www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ กองตํารวจคณะธรรมทาน แปลและรอยกรอง
www.buddhadasa.info ธรรมทานมูลนิธิ จัดพิมพดวยดอกผลทุนพระยาลัดพลีธรรม ประคัลภ เปนหนังสืออันดับที่สาม ในหนังสือชุด “ลัดพลีธรรมประคัลภ อนุสรณ” เปนการพิมพครั้งที่ ๑ ของหนังสือนี้ จํานวน ๑,๕๐๐ ฉบับ
(ลิขสิทธิ์ไมสงวนสําหรับการพิมพแจกเปนธรรมทาน,สงวนเฉพาะการพิมพจําหนาย)
www.buddhadasa.info
คณะธรรมทาน ไชยา จัดพิมพ พิมพครั้งที่หนึ่ง กันยายน ๒๕๒๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
การรอยกรองและจัดทําหนังสือเลมนี้
อุทิศ เปนถามพลี แตบรรดาพระอรหันตสาวก ของพระผูมีพระภาคเจา และ เพื่ อ เป น กํา ลั ง ใจและแนวทาง แต เ พื่ อ นสั ต ว ผู ขุ ด ค น ขุ ม ทรั พ ย
www.buddhadasa.info [๓]
www.buddhadasa.info
ใจความสําคัญ เปนการรวบรวมเรื่อง อทัปปจจยตา ในสวนของปฏิจจสมุปบาทมา อยา งครบถว น เพีย งพอที่จ ะศึก ษาเรื่อ ง ปฏิจ จสมุป บาท อยา ง ชัด แจงถึงที่สุด ใหสมกับพระพุทธภาษิตที่วา “ผูใดเห็นปฏิจจสมุป บาทผูนั้นเห็นธรรม, ผูใดเห็นธรรม ผูนั้นเห็นตถาคต” ดังที่ปรากฏ อยูใ นหนั ง สื อ เล ม นี้ แ ล ว . นั บ เป น การเห็ น พระพุ ท ธองค ใ นภาษา ธรรมซึ่งเกื้อกูลแกการบรรลุมรรคผลนิพพาน เปนอยางยิ่ง. -ผูรวบรวม
www.buddhadasa.info มีปทานุกรมคําสําคัญ, ลําดับหมวดธรรม อยูทายเลม.
[๔]
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
www.buddhadasa.info
[๕]
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
อักษรยอ (เพื่อความสะดวกแกผูที่ยังไมเขาใจเรื่องอักษรยอที่ใชหมายแทนชื่อคัมภีร ซึ่งมีอยูโดยมาก)
มหาวิ.วิ.มหาวิภังค วินัยปฏก ภิกฺขุนี.วิ. ภิกขุนีวิภังฺค ” มหา.วิ.มหาวัคค ” จุลฺล.วิ จุลลวัคค ” ปริวาร. วิ. ปริวารวัคค ” สี. ที. สีลขันธวัคค ทีฑนิกาย มหา. ที. มหาวัคค ” ปา. ที. ปาฏิกวัคค ” มู. ม.มูลปณณาสก มัชฌิมนิกาย ม.ม. มูลปณณาสก ” อุปริ.ม. อุปริปณณาสก ” สคา. สํ. สคาถวัคค สังยุตตนิกาย นิทาน.สํ. นิทานวัคค ” ขนฺธ. สํ. ขันธวารวัคค ” สฬา. สํ สฬายตนวัคค ” มหาร.สํ. มหาวารวัคค ” เอก. อํ. เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ทุก.อํ. ทุกนิบาต ” ติก. อํ. ติกนิบาต ” จตุกฺก. อํ. จตุกกนิบาต ” ปฺจก.อํ. ปญจกนิบาติ ” ฉกฺก. อํ. ฉักกนิบาต ”
สตฺตก.อํ. สัตตกนิบาต อังคุตตรนิกาย อฏก. อํ. อัฏฐกนิบาต ” นวก.อํ. นวกนิบาต ” ทสก.อํ. ทสกนิบาต ” เอกาทสก.อํ. เอกาสกนิบาต ” ขุ. ขุ. ขุททกปาฐะ ขุททกนิกาย ธ. ขุ. ธัมมบท ” อุ. ขุ. อุทาน ” อิติวุ.ขุ. อิติวุตตกะ ” สุ. ขุ. สุตตนิบาต ” วิมาน.ขุ วิมานวัตถุ ” เปต.ขุ. เปตวัตถุ ” เถร. ขุ. เถรคาถา ” เถรี. ขุ. เถรีคาถา ” ชา. ขุ. ชาดก ” มหานิ. ขุ. เถรีคาถา ” จูฬนิ.ขุ. จูฬนิทเทส ” ปฏิสมฺ. ขุ. ปฏิสัมภิทามัคค ” อปท. ขุ. อปทาน ” พุทฺธว. ขุ. พุทธวงส ” จริยา. ขุ. จริยาปฎิก ”
www.buddhadasa.info
ตัวอยางคํายอ : ๑๔/๑๗๑/๒๔๕ ใหอานวา ไตรปฎก เลมที่ ๑๔ หนา ๑๗๑ บรรพที่ ๒๔๕ ไตรปฎก = ไตรปฎกฉบับบาลีสยามรัฐ ฉบับอนุสรณรัชกาลที่ ๗ ชุดพิมพครั้งแรก ท. = ทั้งหลาย ปฏิจจฯ = ปฏิจจสมุปบาท พุ. โอ. = พุทธประวัติจากพระโอษฐ
[๖]
www.buddhadasa.info
คําปรารภ เนื่องในการจัดพิมพหนังสือชุดธรรมโฆษณ เรื่องปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ. ----------------------หนั ง สื อ เล ม นี้ จั ด พิ ม พ ขึ้ น ด ว ยเงิ น ดอกผลของทุ น “’ลั ด พลี ธ รรมประคั ล ภ ’ และเงิ น ที่ ได รั บคื นมาจากการจํ าหน ายหนั งสื อชุ ดจากพระโอษฐ ต าง ๆ ที่ จั ดจํ าหน ายในรู ปเอากุ ศลเป นกํ าไร เพื่ อนํ ามาจั ดพิ มพ หนั งสื อชุ ดนั้ นสื บต อไป ตามระเบี ยบที่ วางไว เพื่ อการนี้ , เป นการสร างหนั งสื อ ชนิ ดนี้ ขึ้ นไว ในพระพุ ทธศาสนา ตามที่ เห็ นว ายั งขาดอยู , หวั งว าจะเป นที่ พอใจ และได รั บการ อนุโมทนา จากทานทั้งหลายโดยทั่วกัน. หนั ง สื อ เล ม นี้ จั ด เข า ในชุ ด พระไตรป ฏ กแปลไทย เลขประจํ า เล ม อั น ดั บ ๔ เป น ลํ าดั บที่ ๒๙ แห งการพิ มพ ออกในชุ ดออกโฆษณ . เนื่ องจากมี ความหนา ๒ เท าของหนั งสื อเล มอื่ น ๆ ราคาที่จําหนายของสวนที่ตองสวนที่ตองจําหนายจึงเปน ๒ เทาของราคาหนังสือเลมอื่นในชุดเดียวกัน. หนั ง สื อ เล ม นี้ จะช ว ยให คํ า บรรยายชุ ด โอสาเรตั พ พธรรม เรื่ อ ง “หลั ก ปฏิ บั ติ เพื่ อ การ ดั บทุ กข โดยอย าให กระแสแห งปฏิ จจสมุ ปบาทเกิ ดขึ้ นได ” ซึ่ งบรรยายเมื่ อ ๑๒ มิ ถุ นายน ๒๕๑๔ มี ประโยชน ถึ งที่ สุ ด. ขอให ผู ศึ กษา นํ าไปศึ กษาประกอบกั บคํ าบรรยายเรื่ องนั้ น. อี กทางหนึ่ งจะช วย ให สํ า เร็ จ ประโยชน โ ดยสมบู ร ณ ในการที่ จ ะศึ ก ษาและปฏิ บั ติ ต ามพระพุ ท ธภาษิ ต ที่ ว า “ผู ใ ดเห็ น ธรรม ผู นั้ น เห็ น ตถาคต, ผู ใ ดเห็ น ตถาคต ผู นั้ น เห็ น ธรรม; ผู ใ ดเห็ น ธรรม ผู นั้ น เห็ น ปฏิ จจสมุ ป บาท , ผู ใดเห็ น ปฏิ จจสมุ ป บาท ผู นั้ น เห็ น ธรรม” ดั งนั้ น . โดยที่ แท แล ว เรื่ อง ปฏิ จจสมุ ปบาท ก็ คื อเรื่ องการเกิ ดและการดั บแห งความทุ กข เป นเรื่ องตั วแท ของพุ ทธศาสนา โดยตรง ซึ่งผูศึกษาจะทราบไดเองจากขอความหลายๆตอน แหงหนังสือเลมนี้. หนั ง สื อ เล ม นี้ พิ ม พ ขึ้ น ด ว ยทุ น “ลั ด พลี ธ รรมประคั ล ภ ” ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ว า ข า งตั น , คณะผู จั ดทํ าและจั ดพิ มพ ขออุ ทิ ศส วนกุ ศลแก พระยาลั ดพลี ธรรมประคั ลภ ผู ล วงลั บไปแล วเป น พิเศษ ซึ่งผูที่ไดรับประโยชนจากหนังสือเลมนี้ คงจะรูสึกอนุโมทนา โดยทั่วกัน.
www.buddhadasa.info ธรรมทานมูลนิธิ เขาพรรษา ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๒๑
[๗]
www.buddhadasa.info
แถลงการณคณะผูจัดทํา หนั ง สื อ เล ม นี้ มี ข นาดใหญ มากพอที่ จ ะสะดุ ด ความรู สึ ก ของผู ที่ ไ ด เห็ น บ า ง ไม ม าก ก็ น อย และทํ าให คิ ดว า เรื่ องเกี่ ยวกั บปฏิ จจสมุ ปบาทนี้ ทํ าไมจึ งมากถึ งอย างนี้ , และนี้ จั ดทํ าขึ้ นมา ดวยความประสงคอยางไรกัน. คณะผูจัดทํา ขอแถลงใหทราบดังตอไปนี้:ผู ที่ ไดอ า นหนั งสื อ เล ม นี้ ตลอดแลว จะเห็นได ทันทีว า ทั้ งหมดนี้ เป นเรื่ อ งเกี่ ย วกั บ ความทุ กข และความดั บทุ กข ไปทั้ งนั้ น และเนื่ องกั บพระพุ ทธภาษิ ตที่ ตรั สว า “ภิ กษุ ท.! ก อนแต นี้ ก็ ดี บั ดนี้ ก็ ดี ตถาคตบั ญ ญั ติ (เพื่ อการสอน) เฉพาะเรื่ องความทุ กข กั บความดั บแห งทุ กข เท านั้ น” ดั งนี้ ; ดั งนั้ นจึ งเป นอั นว า เป นเรื่ องที่ พ ระองค ทรงพระประสงค ที่ จะสั่ งสอนนั่ นเอง. ข อที่ พ ระองค ตรั ส ว า ธรรมที่ ต รั ส รู เท ากั บ ใบไม ทั้ งป า แต ที่ นํ ามาสอนนั้ น เท ากั บ ใบไม กํ า มื อ เดี ย วนั้ น โดย พฤติ นั ย แล ว เรื่ อ งปฏิจจสมุ ป บาท ทั้ งหมดนี้ ก็ คื อ ใบไม กํ า มื อ เดี ย ว ดั งที่ ก ล า วนั้ น ; เรี ย กอี ก อยางหนึ่งก็คือ “อริยสัจโดยสมบูรณ”. อี กประการหนึ่ ง พึ งทราบว า เรื่ องอั นเกี่ ยวกั บปฏิ จจสมุ ปบาทเหล านี้ เป นเรื่ องที่ ถู ก ทอดทิ้ ง จมอยู ในพระไตรป ฏก ไม มี ใครค อยหยิ บยกเอามาบอกกล าวสั่ งสอน รู สึ กเป นที่ น าสลดใจ, เนื่ องจากเป น เรื่ อ งที่ เข าใจยาก, แปลยาก แปลออกมาแล วก็ ยั งเอาใจความไม ค อยจะได น าเบื่ อ แก การศึกษาในรู ป แบบธรรมดา จึ งถู กละเลยมองข ามไปตลอดเวลา ทํ าให จมนิ่ งอยู ในพระไตรป ฏ กส ว นที่ ไม ค อ ยมี ใครสนใจ, ทั้ งที่ เป น หั ว ใจของพุ ท ธศาสนา ที่ ท รงประสงค ให ส นใจศึ ก ษา ในฐานะเปน จุดตั้งตนของพรหมจรรย ดังที่ปรากฏอยูที่หนา๒๓๙ แหงหนังสือเลมนี้แลว. การทํ าหนั งสื อเล มนี้ เปนงานหนั กเกิ นไปสํ าหรั บข าพเจ าผู อยู ในวั ยชรา ที่ จะทํ าตาม ลํ าพั งผู เดี ยวได แต ก็ ทํ าสํ าเร็ จไปด วยความช วยเหลื อร วมมื อของเพื่ อนสพรหมจารี ผู อยู ในวั ยหนุ ม ช วยเปดสํ ารวจหน าพระไตรป ฏกอย างทั่ วถึ ง เพื่ อรวบรวมเอาข อความที่ เกี่ ยวกั บกั บเรื่ องนี้ มา ให ข าพเจ าคั ดเลื อก ร อยกรองและปรั บปรุ งสํ านวนคํ าแปล เพื่ อให สํ าเร็ จประโยชน ดั งที่ เห็ นอยู ในรู ป แห ง หนั ง สื อ เล ม นี้ .ท า นผู ไ ด รั บ ประโยชน จ ากหนั ง สื อ นี้ จงได อ นุ โ มทนาและขอบคุ ณ ภิ ก ษุ ผู เหน็ ด เหนื่ อ ยเหล านั้ น โดยเฉพาะ ธมฺ ม วิ จิ ตฺ โต ภิ กฺ ขุ ซึ่ งได ช วยเหลื อ มาตั้ งแต ต น จนกระทั่ ง การทําสารบัญ และปทานุกรม ทายเลม ดวยเพื่อรวมงานอีกบางคน ในหนาที่ดีพิมพตนฉบับ. ข าพเจ ามี ประณิธานอยู ว า ขอให คํ าว า “อิ ทั ปป จจยตา” และ “ปฏิ จจสมุ ปบาท” ได กลาย มาเป นคํ าที่ ติ ดอยู ที่ ริ มฝ ปากของพุ ทธบริ ษั ท ในการพู ดประจํ าวั น สมกั บที่ เรื่ องนี้ เป นทั้ งเนื้ อตั วและ หั ว ใจของพุ ท ธศาสนา หรื อ เป น องค ส มเด็ จ พระศาสนา ที่ จ ะยั ง ประทั บ อยู กั บ พุ ท ธบริ ษัท ทั้งหลาย หลังจากที่ทรงลวงลับไปแลวโดยพระวรกาย, ตลอดกาลนาน. อ.ป. ในนามกองตําราแหงคณะธรรมทาน โมกขพลาราม, ไชยา
www.buddhadasa.info
๒๔ สิงหาคม ๒๕๒๑
[๘]
www.buddhadasa.info
บทนํา วาดวย เรื่องที่ควรทราบ กอน เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท
www.buddhadasa.info
๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฏอิทัปปจจยตา : หัวใจปฏิจจสมุปบาท. อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมมี อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป. (ม.ม. ๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน. สํ. ๑๖/๘๔/๑๕๔,....)
www.buddhadasa.info
๓
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่องเฉพาะหมวด สําหรับปฏิจจสมุปบาทจากกพระโอษฐ บทนํา วาดวย เรื่องที่ควรทราบกอนเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท (มี ๘ เรื่อง)
มีเรื่อง : สังคีติกาจารยเลาเรื่องการทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทหลังการตรัสรู ---สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ปฏิจ จสมุป บาท—เห็น ปฏิจ จสมุป บาทคือ เห็น พระพุท ธองค-- ปฏิจ จสมุป บาทคือ อริย ญายธรรม--คนเราจิต ยุง เพราะไมรูป ฏิจ จสมุป บาท--ปฏิจ จสมุป บาท เปน ชื่อ แหง ทางสายกลาง—ทรงแนะนํา อยา งยิ่ง ใหศึก ษาเรื่อ ง ปฏิจ จสมุป บาท--คนเรา ไมปรินิพพานในทิฏฐธรรมเพราะไมสามารถตัดกระแสแหงปฏิจจสมุปบาท.
www.buddhadasa.info
๔
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ บทนํา วาดวย เรื่องที่ควรทราบกอนเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท สังคีติกาจารยเลาเรื่อง การทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท หลังการตรัสรู๑ ส มั ย นั้ น พ ร ะ พุ ท ธ เจ า ผู มี พ ร ะ ภ า ค ต รั ส รู แ ล ว ใ ห ม ๆ ยั ง ป ร ะ ทั บ อ ยู ที่ โค น แ ห ง ไ ม โพ ธิ์ ใ ก ล ฝ ง แ ม น้ํ า เน รั ญ ช ร า ใ น เข ต ตํ า บ ล อุ รุ เว ล า . ค รั้ ง นั้ น พ ร ะ ผู มี พ ร ะ ภ า ค เจ า ป ร ะ ทั บ นั่ ง ด ว ย บั ล ลั ง ค อั น เดี ย ว ต ล อ ด เจ็ ด วั น ที่ โ ค น แ ห ง ไ ม โ พ ธิ์ เสวยวิมุตติสุข.
www.buddhadasa.info ลํ า ดั บ นั้ น พ ระ ผู มี พ ระ ภ า ค เจ า ท รงก ระ ทํ า ม น สิ ก า รซึ่ งป ฏิ จ จ ส มุ ป บ า ท โดยอนุโลมและปฏิโลม ตลอดปฐมยามแหงราตรี ดังนี้ วา:-
๕
๑
มหา.วิ.๔/๑/๑; ยังมีที่มาในที่อื่นอีก เชนในโพธิสูตรที่ ๑,๒,๓, แหงโพธิวรรค อุ.ขุ. ๒๕/๗๓/๓๘.
www.buddhadasa.info
๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – บทนํา
“เพราะมีอวิชชา เปนปจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขาร เปนปจจัย จึงมี วิญญาณ; เพราะมีวิญญาณ เปนปจจัย จึงมี นามรูป; เพราะมีนามรูป เปนปจจัย จึงมี สฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะ เปนปจจัย จึงมี ผัสสะ; เพราะมีผัสสะ เปนปจจัย จึงมี เวทนา; เพราะมีเวทนา เปนปจจัย จึงมี ตัณหา; เพราะมีตัณหา เปนปจจัย จึงมี อุปาทาน; เพราะมีอุปาทาน เปนปจจัย จึงมี ภพ; เพราะมีภพ เปนปจจัย จึงมี ชาติ; เพ ราะ มี ช าติ เป น ป จ จั ย , ช ราม รณ ะ โส ก ะ ป ริ เ ท วะ ทุ ก ข ะ โท ม นั ส อุ ป าย าส ทั้ งห ล าย จึ งเกิ ด ขึ้ น ค รบ ถ วน : ค วาม เกิ ด ขึ้ น พ ร อ ม แ ห งก อ งทุ ก ข ทั้ งสิ้ น นี้ ย อ ม มี ดวยอาการอยางนี้.
เพราะความจางคลายดับไปโดยไมเหลือ แหงอวิชชานั้นนั่นเทียว,จึงมีความ ดับแหงสังขาร; เพราะมีความดับ แหงสังขาร จึงมีความดับ แหงวิญญาณ; เพราะมีความดับ แหงวิญญาณ จึงมีความดับ แหงนามรูป; เพราะมีความดับ แหงนามรูป จึงมีความดับ แหงสฬายตนะ; เพราะมีความดับ แหงสฬายตนะ จึงมีความดับ แหงผัสสะ; เพราะมีความดับ แหงผัสสะ จึงมีความดับ แหงเวทนา; เพราะมีความดับ แหงเวทนา จึงมีความดับ แหงตัณหา;
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยเรื่องที่ควรทราบกอนกของปฏิจจ ฯ
๗
เพราะมีความดับ แหงตัณหา จึงมีความดับ แหงอุปาทาน; เพราะมีความดับ แหงอุปาทาน จึงมีความดับ แหงภพ; เพราะมีความดับ แหงภพ จึงมีความดับ แหงชาติ; เพราะมี ค วามดั บ แห งชาติ นั่ น แล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขุ โทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้”, ดังนี้. ลํ าดั บ นั้ น ครั้น พระผู มี พ ระภาคเจา ทรงมี ค วามรูสึ ก อย างนี้ แล ว ไดทรงเปลงอุทานนี้ขึ้น ในขณะนั้น วา :“เมื่อใดเวย ธรรมทั้งหลาย เปนของแจมแจง แกพราหมณ ผูมีความเพียร เพงพินิจอยู; เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณนั้น ยอมหายไป เพราะพราหมณนั้น รูทั่วถึงธรรม พรอมทั้งเหตุ”, ดังนี้. ลําดับนั้น พระผูมีพระภาคเจา ทรงกระทํามนสิการซึ่งปฏิจจสมุปบาท โดยอนุโลมและปฏิโลม ตลอดมัชฌิมยามแหงราตรี ดังนี้ วา :-
www.buddhadasa.info “เพราะมีอวิชชา เปนปจจัย เพราะมีสังขาร เปนปจจัย เพราะมีวิญญาณ เปนปจจัย เพราะมีนามรูป เปนปจจัย เพราะมีสฬายตนะ เปนปจจัย
จึงมี สังขารทั้งหลาย; จึงมี วิญญาณ; จึงมี นามรูป; จึงมี สฬายตนะ; จึงมี ผัสสะ;
www.buddhadasa.info
๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – บทนํา
เพราะมีผัสสะ เปนปจจัย จึงมี เวทนา; เพราะมีเวทนา เปนปจจัย จึงมี ตัณหา; เพราะมีตัณหา เปนปจจัย จึงมี อุปาทาน; เพราะมีอุปาทาน เปนปจจัย จึงมี ภพ; เพราะมีภพ เปนปจจัย จึงมี ชาติ; เพราะมีชาติ เปนปจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้. เพราะความจางคลายดับไปไมเหลือ แหงอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมี ความดับแหงสังขาร; เพราะมีความดับ แหงสังขาร จึงมีความดับ แหงวิญญาณ ; เพราะมีความดับ แหงวิญญาณ จึงมีความดับ แหงนามรูป; เพราะมีความดับ แหงนามรูป จึงมีความดับ แหงสฬายตนะ; เพราะมีความดับ แหงสฬายตนะ จึงมีความดับ แหงผัสสะ; เพราะมีความดับ แหงผัสสะ จึงมีความดับ แหงเวทนา; เพราะมีความดับ แหงเวทนา จึงมีความดับ แหงตัณหา; เพราะมีความดับ แหงตัณหา จึงมีความดับ แหงอุปาทาน; เพราะมีความดับ แหงอุปาทาน จึงมีความดับ แหงภพ; เพราะมีความดับ แหงภพ จึงมีความดับ แหงชาติ; เพราะมีค วามดับ แห งชาตินั่น แล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้” , ดังนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยเรื่องที่ควรทราบกอนกของปฏิจจ ฯ
๙
ลํ าดั บนั้ น ครั้ นพระผู มี พระภาคเจ า ทรงมี ความรู สึ กอย างนี้ แล ว ได ทรง เปลงอุทานนี้ขึ้น ในขณะนั้น วา :“เมื่อใดเวย ธรรมทั้งหลาย เปนของแจมแจง แกพราหมณ ผูมีความเพียร เพงพินิจอยู; เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณนั้น ยอมหายไป เพราะพราหมณนั้น ไดรับแลวซึ่งความสิ้นไปแหงปจจยธรรม ท.”, ดังนี้. ลํ าดั บ นั้ น พระผู มี พ ระภาคเจ า ทรงกระทํ ามนสิ ก ารซึ่ งปฏิ จ จสมุ ป บาท โดยอนุโลมและปฏิโลม ตลอดปจฉิมยามแหงราตรี ดังนี้ วา :“เพราะมีอวิชชา เปนปจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขาร เปนปจจัย จึงมี วิญญาณ; เพราะมีวิญญาณ เปนปจจัย จึงมี นามรูป; เพราะมีนามรูป เปนปจจัย จึงมี สฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะ เปนปจจัย จึงมี ผัสสะ; เพราะมีผัสสะ เปนปจจัย จึงมี เวทนา; เพราะมีเวทนา เปนปจจัย จึงมี ตัณหา; เพราะมีตัณหา เปนปจจัย จึงมี อุปาทาน; เพราะมีอุปาทาน เปนปจจัย จึงมี ภพ; เพราะมีภพ เปนปจจัย จึงมี ชาติ; เพราะมีชาติ เปน ปจ จัย ชรามรณ ะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพร อมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๑๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – บทนํา
เพ รา ะ ค ว า ม จ า ง ค ล า ย ด ับ ไป ไมเ ห ลือ แ หง อ วิช ช า นั ้น นั ่น เทีย ว , จึงมีความดับแหงสังขาร; เพราะมีความดับ แหงสังขาร จึงมีความดับ แหงวิญญาณ; เพราะมีความดับ แหงวิญญาณ จึงมีความดับ แหงนามรูป; เพราะมีความดับ แหงนามรูป จึงมีความดับ แหงสฬายตนะ; เพราะมีความดับ แหงสฬายตนะ จึงมีความดับ แหงผัสสะ; เพราะมีความดับ แหงผัสสะ จึงมีความดับ แหงเวทนา; เพราะมีความดับ แหงเวทนา จึงมีความดับ แหงตัณหา; เพราะมีความดับ แหงตัณหา จึงมีความดับ แหงอุปาทาน; เพราะมีความดับ แหงอุปาทาน จึงมีความดับ แหงภพ; เพราะมีความดับ แหงภพ จึงมีความดับ แหงชาติ; เพ ราะมี ความ ดั บ แห ง ชาติ นั่ น แล ชราม รณ ะ โสกะป ริ เ ทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง ดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ดวยอาการอยางนี้”, ดังนี้.
www.buddhadasa.info ลํ าดั บ นั้ น ครั้ น พระผู มี พ ระภาคเจ า ทรงมี ค วามรู สึ ก อย างนี้ แ ล ว ได ท รง เปลงอุทานนี้ขึ้น ในขณะนั้น วา :“เมื่อใดเวย ธรรมทั้งหลาย เปนของแจมแจง แกพราหมณ ผูมีความเพียร เพงพินิจอยู; เมื่อนั้นพราหมณนั้นยอมแผดเผามารและเสนาใหสิ้นไปอยู เหมือนพระอาทิตย (ขจัดมืด) ยังอากาศใหสวางอยู ฉะนั้น”, ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๑๑
วาดวยเรื่องที่ควรทราบกอนกของปฏิจจ ฯ
สิ่งที่เรียกวา ปฏิจจสมุปบาท๑ ครั้งหนึ่ง ที่พระเชตวัน พระผูมีพระภาคเจา ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ใหตั้งใจฟงแลว ไดตรัสขอความเหลานี้วา :-
“ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เราจักแสดง ปฏิจจสมุปบาท แกพวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟง ปฏิจจสมุปบาท นั้น, จงทําในใจใหสําเร็จประโยชน, เราจักกลาว บัดนี้”. ครั้นภิกษุทั้งหลายเหลานั้น ทูลสนองรับพระพุทธดํารัสแลว, พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัส ถอยคําเหลานี้วา :-
“ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อะไรเลา ที่เรียกวา ปฏิจจสมุปบาท? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! : เพราะมีอวิชชา เพราะมีสังขาร เพราะมีวิญญาณ เพราะมีนามรูป เพราะมีสฬายตนะ เพราะมีผัสสะ เพราะมีเวทนา เพราะมีตัณหา เพราะมีอุปาทาน เพราะมีภพ
เปนปจจัย เปนปจจัย เปนปจจัย เปนปจจัย เปนปจจัย เปนปจจัย เปนปจจัย เปนปจจัย เปนปจจัย เปนปจจัย
จึงมี สังขารทั้งหลาย. จึงมี วิญญาณ; จึงมี นามรูป; จึงมี สฬายตนะ; จึงมี ผัสสะ; จึงมี เวทนา; จึงมี ตัณหา; จึงมี อุปาทาน; จึงมี ภพ; จึงมี ชาติ;
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๑ พุทธวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ.๑๖/๑/๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๑๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – บทนํา
เพราะมีช าติ เปน ปจ จัย , ชรามรณ ะ โสกะปริเ วทะทุก ขะโทมนัส อุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพร อมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ดวยอาการอยางนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกวา ปฏิจจสมุปบาท. เพราะความจางคลายดับไปโดยไมเหลือ แหงอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแหงสังขาร; เพราะมีความดับ แหงสังขาร จึงมีความดับ แหงวิญญาณ; เพราะมีความดับ แหงวิญญาณ จึงมีความดับ แหงนามรูป; เพราะมีความดับ แหงนามรูป จึงมีความดับ แหงสฬายตนะ; เพราะมีความดับ แหงสฬายตนะ จึงมีความดับ แหงผัสสะ; เพราะมีความดับ แหงผัสสะ จึงมีความดับ แหงเวทนา; เพราะมีความดับ แหงเวทนา จึงมีความดับ แหงตัณหา; เพราะมีความดับ แหงตัณหา จึงมีความดับ แหงอุปาทาน; เพราะมีความดับ แหงอุปาทาน จึงมีความดับ แหงภพ; เพราะมีความดับ แหงภพ จึงมีความดับ แหงชาติ; เพราะมี ค วามดั บ แห งชาติ นั่ น แล ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง ดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ยอาการ อยางนี้”, ดังนี้.
www.buddhadasa.info เห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นพระพุทธองค๑
พระสารีบุตรไดกลาวแกภิกษุทั้งหลายวา :“ก็ แ ล คํ า นี้ เป น คํ า ที่ พ ระผู มี พ ระภาคเจ า ได ต รั ส ไว แ ล ว อย า งนี้ ว า ‘ผู ใ ด เห็นปฏิจจสมุปบาท, ผูนั้นชื่อวาเห็นธรรม; ผูใดเห็นธรรม, ผูนั้นชื่อวาเห็น
๑
มหาหัตถิปโทปมสูตร มู.ม.๑๒/๓๕๙, ๓๖๐/๓๔๖.
www.buddhadasa.info
วาดวยเรื่องที่ควรทราบกอนกของปฏิจจ ฯ
๑๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยเรื่องที่ควรทราบกอนกของปฏิจจ ฯ
๑๓
ป ฏิ จ จ ส มุ ป บ า ท ’. (โย ป ฏิ จฺ จ ส มุ ปฺ ป า ทํ ป สฺ ส ติ , โส ธ มฺ มํ ป สฺ ส ติ ; โย ธ มฺ มํ ป สฺ ส ติ , โส ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสติ)……”..๑
อย า เลย วั ก กลิ ! ประโยชน อ ะไร ด ว ยการเห็ น กายเน า นี้ . ดู ก อ นวั ก กลิ ! ผู ใ ดเห็ น ธรรม, ผู นั้ น เห็ น เรา; ผู ใ ดเห็ น เรา, ผู นั้ น เห็ น ธรรม. ดู ก อ นวั ก กลิ ! เพราะ วา เมื่อเห็นธรรมอยู ก็คือเห็นเรา; เมื่อเห็นเราอยู ก็คือเห็นธรรม...…๒ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! แม ภิ กษุ จั บชายสั งฆาฏิ เดิ นตามรอยเท าเราไปข างหลั งๆ, แต ถ าเธอนั้ นมากไปด วยอภิ ชฌา มี กามราคะกล า มี จิ ตพยาบาทประทุ ษราย มี สติ หลงลื ม ไม มี สั ม ปชั ญ ญะ มี จิ ต ไม เป น สมาธิ แกว ง ไปแกว งมา ไม สํ า รวมอิ น ทรี ย แล ว ไซร ; ภิ ก ษุ นั้ น ชื่ อ ว า อยู ไกลจากเรา แม เราก็ อ ยู ไกลจากภิ ก ษุ นั้ น โดยแท . เพราะเหตุ ไ ร เล า ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะว า ภิ ก ษุ นั้ น ไม เห็ น ธรรม : เมื่ อ ไม เห็ น ธรรมก็ ชื ่อ วา ไมเ ห็น เรา (ธมฺม ํ หิ โส ภิก ฺข เว ภิก ฺข ุ น ปสฺส ติ : ธมฺม ํ อปสฺส นฺโ ต มํ น ปสฺส ติ)...[แล ว ได ต รั ส ไว โดยนั ย ตรงกั น ข า มจากภิ ก ษุ นี้ คื อ ตรั ส เป น ปฏิ ป ก ขนั ย โดยนั ย ว า แม จ ะอยู ห า งกั น รอ ยโยชน ถา มีธ รรม เห็น ธรรม ก็ชื ่อ วา เห็น พระองค (ธมฺม ํ หิ โส ภิกฺข เว ภิกฺข ุ ปสฺส ติ: ธมฺมํ ปสฺสนฺโต มํ ปสฺสติ)].๓
ปฏิจจสมุปบาท คืออริยญายธรรม www.buddhadasa.info (สิ่งที่ควรรูอันประเสริฐ) ๔
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อริ ยญายธรรม เป นสิ่ งที่ อริ ยสาวกเห็ นแล วด วยดี แทงตลอดแลวดวยดี ดวยปญญา เปนอยางไรเลา?
มหาหัตถิปโทปมสูตร มู.ม.๑๒/๓๕๙, ๓๖๐/๓๔๖, พระสารีบุตรกลาวแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๒ วักกลิสูตร เถรวรรค มัชฌิมปณณาสก ขนฺธ. สํ.๑๗/๑๔๖-๗/๒๑๖, ตรัสแกพระวักกลิ ที่กุมภการนิเวสน. ๓ สูตรที่ ๓ ปญจมวรรค ติกนิบาต อิติวุ.ขุ.๒๕/๓๐๐/๒๗๒. ๔ สูตรที่ ๒ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ.๑๖/๘๕/๑๕๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน; สุตรที่ ๑ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ.๑๖/๘๔/๑๕๔, สูตรที่ ๒ อุปาสกวรรค ทสก.อํ.๒๔/ ๑๙๗/๙๒; ตรัส แกอนาถปณฑิกคหบดี ที่เชตวัน. ๑
www.buddhadasa.info
๑๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – บทนํา
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวกในกรณีนี้ ยอมกระทําไวในใจโดยแยบคาย ๑ เป นอย างดี ซึ่ งปฏิ จจสมุ ปบาทนั่ นเที ยว ดั งนี้ วา “ด วยอาการอยางนี้ : เมื่ อสิ่ งนี้ มี , สิ ่ง นี ้ย อ มมี; เพราะความเกิด ขึ ้น ของสิ ่ง นี ้, สิ ่ง นี ้จ ึง เกิด ขึ ้น . เมื ่อ สิ ่ง นี ้ไ มม ี, สิ่งนี้ยอมไมมี; เพราะความดับไปของสิ่งนี้, สิ่งนี้จึงดับไป, สิ่งนี้จึงดับไป : ขอนี้ไดแกสิ่ง เหลานี้คือ :เพราะมีอวิชชา เปนปจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขาร เปนปจจัย จึงมี วิญญาณ; เพราะมีวิญญาณ เปนปจจัย จึงมี นามรูป; เพราะมีนามรูป เปนปจจัย จึงมี สฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะ เปนปจจัย จึงมี ผัสสะ; เพราะมีผัสสะ เปนปจจัย จึงมี เวทนา; เพราะมีเวทนา เปนปจจัย จึงมี ตัณหา; เพราะมีตัณหา เปนปจจัย จึงมี อุปาทาน; เพราะมีอุปาทาน เปนปจจัย จึงมี ภพ; เพราะมีภพ เปนปจจัย จึงมี ชาติ; เพราะมีชาติ เปนปจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ... ... (ตอไปไดตรัสปฏิจจสมุปบาทฝายนิโรธวารไปจนจบ)”.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อริยญายธรรมนี้แล เปนสิ่งที่อริยสาวกเห็นแลวดวยดี แทงตลอดแลวดวยดี ดวยปญญา.
๑
คํ า ว า “ย อ มกระทํ า ไว ในใจโดยแยบคาย” นี้ ในสู ต รที่ ๒ แห งอุ ป สกวรรค ทสก. อํ . ๒๔/๑๙๗/๙๒ ใชคําวา “ยอมพิจารณาเห็นโดยประจักษ” (ปฏิสฺจิกฺขติ).
www.buddhadasa.info
วาดวยเรื่องที่ควรทราบกอนกของปฏิจจ ฯ
๑๕
คนเราจิตยุง เพราะไมรูปฏิจจสมุปบาท๑ ดู ก อ นอานนท ! เพราะไม รู เพราะไม รู ต ามลํ า ดั บ เพราะไม แ ทงตลอด ซึ่ งธรรมคื อปฏิ จจสมุ ปบาทนี้ , (จิ ตของ) หมู สั ตว นี้ จึ งเป นเหมื อนกลุ มด ายยุ ง ยุ งเหยิ ง เหมื อนความยุ งของกลุ มด ายที่ หนาแน นไปด วยปม พั นกั นยุ งเหมื อนเชิ งหญ ามุ ญชะ และ หญาปพพชะ อยางนี้; ยอมไมลวงพันซึ่งสังสาระ ที่เปนอบาย ทุคติ วินิบาต ไปได.
ปฏิจจสมุปบาท เปนชื่อแหงทางสายกลาง๒ ดู ก อ นกั จ จานะ! คํ ากล าวที่ ยื น ยั น ลงไปด วยทิ ฏ ฐิ ว า “สิ่ งทั้ ง ปวง มี อ ยู ” ดั ง นี้ : นี้ เป น ส ว นสุ ด ๓ (มิ ใ ช ท างสายกลาง) ที่ ห นึ่ ง ; คํ า กล า วที่ ยื น ยั น ลงไปด ว ย ทิ ฏ ฐิ ว า “สิ่ ง ทั้ ง ปวง ไม มี อ ยู ” ดั ง นี้ : นี้ เ ป น ส ว นสุ ด (มิ ใ ช ท างสายกลาง) ที่ ส อง ดูกอนกัจจานะ! ตถาคต ยอมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไมเขาไปหาสวนสุดทั้งสองนั้น คือตถาคตยอมแสดงดังนี้วา :-
www.buddhadasa.info ๑
สู ตรที่ ๑๐ ทุ กขวรรค อภิ สมยสั งยุ ตต นิ ทาน. สํ . ๑๖/๑๑๑/๒๒๕, มหานิ ทานสู ตร มหา.ที .๑๐/๖๕/๕๗; ตรั ส แกพระอานนท ที่กัมมาสทัมมนิคม แควนกุรุ. ๒ สู ต รที่ ๕ อาหารวรรค นิ ท านสั ง ยุ ต ต นิ ท าน.สํ .๑๖/๒๑/๔๔, ตรั ส แก พ ราหมณ กั จ จานโคตร ที่ เชตวั น ; สูตรที่ ๗ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ.๑๖/๙๑/๑๗๓, ตรัสแกชาณุสโสณิพราหมณ ที่เชตวัน. ๓ คํ า ว า “ส ว นสุ ด ” ในกรณี อ ย า งนี้ หมายถึ ง ทิ ฏ ฐิ ห รื อ ความคิ ด เห็ น ที่ แ ล น ไปสุ ด เหวี่ ย ง ในทิ ศ ทางใด ทางหนึ่ ง; มีลั กษณะเป นความสําคัญมั่ นหมายในลักษณะที่เป นตัวเป นตน หรือตรงกั นขาม. สวนพระ ผู มี พระภาคเจ า ทรงมี หลั กธรรมของพระองค ที่ ไม แล นไปสุ ดเหวี่ยงหรือสุ ดโต งอย างนั้ นอย างนี้ แต ตรัสลง ไปในลั ก ษณะที่ เป น วิ ท ยาศาสตร ว า “เมื่ อ สิ่ ง นี้ มี สิ่ ง นี้ จึ ง มี ; เมื่ อ สิ่ ง นี้ ดั บ สิ่ ง นี้ จึ ง ดั บ ” ในลั ก ษณะที่ ทยอย ๆ กั น ไป ไม มี สิ่ งใดเกิ ด หรื อ ดั บ ได โดยลํ าพั งตั วมั น เอง; ดั งนั้ น จึ งไม มี ทิ ฏ ฐิ ว า “สิ่ งทั้ งปวงมี อยู ” หรือวา “สิ่งทั้งปวงไมมี”.
www.buddhadasa.info
๑๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – บทนํา
“เพราะมีอวิชชา เปนปจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขาร เปนปจจัย จึงมี วิญญาณ; เพราะมีวิญญาณ เปนปจจัย จึงมี นามรูป; เพราะมีนามรูป เปนปจจัย จึงมี สฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะ เปนปจจัย จึงมี ผัสสะ; เพราะมีผัสสะ เปนปจจัย จึงมี เวทนา; เพราะมีเวทนา เปนปจจัย จึงมี ตัณหา; เพราะมีตัณหา เปนปจจัย จึงมี อุปาทาน; เพราะมีอุปาทาน เปนปจจัย จึงมี ภพ; เพราะมีภพ เปนปจจัย จึงมี ชาติ; เพ ราะมี ช าติ เป น ป จ จั ย ชรามรณ ะ โสกะปริ เ ทวะทุ ก ขะโทมนัส-อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ... ... (แลวทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทฝายนิโรธวารไปจนจบ)”.
ทรงแนะนําอยางยิ่ง ใหศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท๑
www.buddhadasa.info (เมื่ อพระผู มี พระภาคเจ าทรงสาธยายปฏิ จจสมุ ปบาท อยู ลํ าพั งพระองค เดี ยว, ภิ กษุ รู ปหนึ่ ง ไดแอบเขามาฟง, ทรงเหลือบไปพบเขา แลวไดตรัสวา :-
ดูกอนภิกษุ! เธอไดยินธรรมปริยายนี้แลวหรือ? “ไดยินแลว พระเจาขา!”
๑
สู ต รที่ ๕ คหปติ ว รรค อภิ ส มยสั ง ยุ ต ต นิ ท าน.สํ .๑๖/๙๐/๑๖๘; สู ต รที่ ๑๐ โยคั ก เขมิ ว รรค สฬายตนสังยุตต สฬา.สํ.๑๘/๑๑๓/๑๖๔.
www.buddhadasa.info
วาดวยเรื่องที่ควรทราบกอนกของปฏิจจ ฯ
๑๗
ดูกอนภิกษุ! เธอจงรับเอา (อุคฺคณฺหาหิ) ธรรมปริยายนี้ไป. ดูกอนภิกษุ! เธอจงเลาเรียน (ปริยาปุณาหิ) ธรรมปริยายนี้. ดูกอนภิกษุ! เธอจงทรงไว (ธาเรหิ) ซึ่งธรรมปริยายนี้. ดูกอนภิกษุ! ธรรมปริยายนี้ ประกอบดวยประโยชน เปนเบื้องตนแหง พรหมจรรย.
คนเราไมปรินิพพานในทิฏฐธรรม เพราะไมสามารถตัดกระแสแหงปฏิจจสมุปบาท๑ ทาวสักกะไดทูลถามพระผูมีพระภาคเจาวา “ขาแตพระองคผูเจริญ! อะไรหนอ เป นเหตุ อะไรเป นป จจั ย ที่ ทํ าให สั ตว บางพวกในโลกนี้ ไม ปริ นิ พพานในทิ ฏฐธรรม? และอะไรเป นเหตุ เป นป จจั ย ที่ ทํ าให สั ตว บางพวกในโลกนี้ ปริ นิ พ พานในทิ ฏฐธรรม (คือทันเวลา, ทันควัน, ไมตองรอเวลาขางหนา) พระเจาขา?”
www.buddhadasa.info ๑
สู ตรที่ ๕ โลกกามคุ ณ วรรค สฬายตนสั งยุ ตต สฬา.สํ .๑๘/๑๒๘/๑๗๘, ตรั สแก ท าวสั กกะที่ ภู เขาคิ ชฌกู ฏ. สู ต รที่ ๖ โลกกามคุ ณ วรรค สฬายตนสั ง ยุ ต ต สฬา.สํ .๑๘/๑๒๗/๑๘๑, ตรั ส แก ป ญ จสิ ข คั น ธั พ พ บุตรที่ภูเขาคิชฌกูฏ. สู ต รที่ ๑ คหปติ วรรค สฬายตนสั งยุ ต ต สฬา.สํ .๑๘/๑๓๗/๑๙๑, ตรั ส แก อุ ค คคหบดี ชาวเมื องเวสาลี ที่ กูฏาคารศาลา ปามหาวัน. สู ตรที่ ๒ คหปติ วรรค สฬายตนสั งยุ ตต สฬา.สํ .๑๘/๑๓๘/๑๙๓, ตรั สแก อุ คคคหบดี ชาวบ านหั ตถิ คาม ที่ บานหัตถิคาม. สู ตรที่ ๓ คหปติ วรรค สฬายตนสั งยุ ตต สฬา.สํ .๑๘/๑๓๙/๑๙๔, ตรั สแก อุ อุ ปาลิ คหบดี ที่ ปาวาริ กั มพวั น สูตรที่ ๕ คหปติวรรค สฬายตนสังยุตต สฬา.สํ.๑๘/๑๔๓/๑๙๙, ตรัสแกโสณคหบดีบุตร ที่เวฬุวัน. สูตรที่ ๘ คหปติวรรค สฬายตนสังยุตต สฬา.สํ.๑๘/๑๔๖/๒๐๓, ตรัสแกนกุลปตุคหบดี ที่เภสกฬาวัน.
www.buddhadasa.info
๑๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – บทนํา
ดูกอนทานผูเปนจอมแหงเทวดาทั้งหลาย! รูปทั้งหลายที่จะพึงรูไดดวยจักษุมี อยู, เปนรูปที่นาปรารถนา นาใคร นาพอใจ มีลักษณะนารัก เปนที่เขาไปอาศัยแหง ความใคร เปนที่ตั้งแหงความกําหนัด; ถาหากวา ภิกษุยอมเพลิดเพลิน พร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู ซึ่งรูปนั้น แลวไซร, เมื่อภิกษุนั้น เพลิดเพลิน พร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู กะรูปนั้น, วิญญาณนั้นอันตัณหาในอารมณคือรูปอาศัยแลว ยอมมีแกเธอนั้น; วิญญาณนั้น คืออุปาทาน. ๑ ดูกอนทานผูเปนจอมแหงเทวดาทั้งหลาย! ภิกษุผู มีอุปาทาน ยอมไมปรินิพพาน. (ในกรณีแหงเสียงที่จะพึงรูสึกดวยโสตะ, กลิ่นที่จะพึงรูสึกดวยฆานะ, รสที่จะพึงรูสึกดวยชิวหา, สัมผัสทางผิวหนังที่จะพึงรูสึกดวยกาย (ผิวกายทั่วไป); ก็มีขอความอยางเดียวกันกับขอความในกรณีแหงรูปที่ จะพึงรูไดดวยจักษุ ดังที่กลาวแลวขางบน ทุกตัวอักษะ; ตางกันเพียงชื่อแหงอายตนะแตละอายตนะเทา นั้น; ในที่นี้จะยกขอความอันกลาวถึงธัมมารมณเปนขอสุดทาย มากลาวไวอีกครั้งดังตอไปนี้ :-)
ดูกอนทานผูเปนจอมแหงเทวดาทั้งหลาย! ธัมมารมณทั้งหลายที่จะพึงรูสึก ดวยมโน มีอยู, เปนธัมมารมณที่นาปรารถนา นาใคร นาพอใจ มีลักษณะนารัก เปนที่เขาไปอาศัยแหงความใคร เปนที่ตั้งแหงความกําหนัด; ถาหากวา ภิกษุยอม เพลิดเพลิน พร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู ซึ่งธัมมารมณนั้น แลวไซร, เมื่อภิกษุนั้น เพลิดเพลิน พร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู กะธัมมารมณนั้น, วิญญาณนั้นอันตัณหา ในอารมณ คื อ ธั ม มารมณ อาศั ย แล ว ย อ มมี แ ก เ ธอนั้ น ; วิ ญ ญาณนั้ น คือ อุปาทาน. ดูกอนทานผูเปนจอมแหงเทวดาทั้งหลาย! ภิกษุผูมีอุปาทาน ยอมไม ปรินิพพาน.
www.buddhadasa.info ดูกอนทานผูเปนจอมแหงเทวดาทั้งหลาย! นี้แลเปนเหตุ นี้เปนปจจัย ที่ทํา ใหสัตวบางพวกในโลกนี้ ไมปรินิพพานในทิฏฐธรรม.
๑
วิญญาณในที่นี้ หมายถึง มโนวิญญาณ ที่รูสึกตอความเพลิดเพลินและความมัวเมาในรูปนั้น; ไมใชจักขุวิญญาณ ที่ เห็นรูปตามธรรมดา.
www.buddhadasa.info
วาดวยเรื่องที่ควรทราบกอนกของปฏิจจ ฯ
๑๙ (ฝายปฏิปกขนัย)
ดู ก อนท านผู เป นจอมแห งเทวดาทั้ งหลาย! รู ปทั้ งหลายที่ จะพึ งรู ได ด วยจั กษุ มี อ ยู , เป น รู ป ที่ น า ปรารถนา น า ใคร น า พอใจ มี ลั ก ษณะน า รั ก เป น ที่ เข า ไปอาศั ย แห งความใคร เป นที่ ตั้ งแห งความกํ าหนั ด; ถ าหากว า ภิ กษุ ย อมไม เพลิ ดเพลิ น ไม พร่ํ า สรรเสริ ญ ไม เมาหมกอยู ซึ่ ง รู ป นั้ น แล ว ไซร , เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น ไม เพลิ ด เพลิ น ไม พ ร่ํ า สรรเสริ ญ ไม เ มาหมกอยู กะรู ป นั้ น , วิ ญ ญาณนั้ น อั น ตั ณ หาในอารมณ คื อ รู ป อ าศั ย แ ล ว ย อ ม ไม มี แ ก เธ อ นั้ น ; วิ ญ ญ าณ ที่ จ ะ เป น อุ ป าท าน ย อ ม ไม มี ดูกอนทานผูเปนจอมแหงเทวดาทั้งหลาย! ภิกษุผูไมมีอุปาทาน ยอมปรินิพพาน. (ในกรณี แห งเสี ยงที่ จะพึ งรู ด วยโสตะ, กลิ่ นที่ จะพึ งรูสึ กด วยฆานะ, รสที่ จะพึ งรู สึ กด วยชิ วหา, สั มผั สทางผิ วหนั งที่ จะพึ งรูสึ กด วยกาย (ผิ วกายทั่ วไป); ก็ มี ข อความอย างเดี ยวกั นกั บข อความในกรณี แห งรูป ที่ จะพึ งรูได ด วยจั กษุ ดั งที่ กล าวแล วข างบน ทุ กตั วอั กษร; ต างกั นแต เพี ยงชื่ อแห งอายตนะแต ละอายตนะ เทานั้น; ในที่นี้จะยกขอความอันกลาวถึงธัมมารมณเปนขอสุดทาย มากกลาวไวอีกครั้ง ดังตอไปนี้ :-)
ดู ก อนท านผู เป นจอมแห งเทวดาทั้ งหลาย! ธั มมารมณ ทั้ งหลายที่ จะพึ งรู สึ ก ด ว ยมโน มี อ ยู , เป น ธั ม มารมณ ที่ น า ปรารถนา น า ใคร น า พอใจ มี ลั ก ษณะน า รั ก เป นที่ เข าไปอาศั ยแห งความใคร เป นที่ ตั้ งแห งความกํ าหนั ด; ถ าหากว า ภิ กษุ ย อมไม เพลิ ดเพลิ น ไม พร่ําสรรเสริญ ไม เมาหมกอยู ซึ่ งธั มมารมณ นั้ น แล วไซร, เมื่ อภิ กษุ นั้ น ไม เพลิ ด เพลิ น ไม พ ร่ํ า สรรเสริ ญ ไม เมาหมกอยู กะธั ม มารมณ นั้ น , วิ ญ ญาณนั้ น อัน ตัณ หาในอารมณค ือ ธัม มารมณอ าศัย แลว ยอ มไมม ีแ กเ ธอนั ้น ; วิญ ญาณ ที่ จ ะเป น อุ ป าทาน ย อ มไม มี . ดู ก อ นท า นผู เป น จอมแห ง เทวดาทั้ ง หลาย! ภิ ก ษุ ผู ไมมีอุปาทาน ยอมปรินิพพาน.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นท า นผู เป น จอมแห งเทวดาทั้ ง หลาย! นี้ แ ลเป น เหตุ นี้ เป น ป จ จั ย ที่ทําใหสัตวบางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในทิฏฐธรรม, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
๒๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – บทนํา หมายเหตุผูร วบรวม : เปน ที่นา สัง เกตวา การทูล ถามถึง การปรินิพ พาน ในปจจุบันเชนนี้ เปนเรื่องที่ทูลถามโดยคฤหัสถผูครองเรือนทั้งนั้น ทั้งที่เปนเทวดาและ มนุษ ย; ยัง ไมพ บที ่ท ูล ถามโดยภิก ษุเ ลย (นอกจากใน จตุก ฺก .อํ.๒๑/๒๒๖/๑๗๙, ซึ่งพระอานนทไดถามเรื่องนี้กะพระสารีบุตร); ชะรอยวาเรื่องนี้จะเปนที่แจมแจงแกภิกษุ ทั้งหลายแลว หรือ อยา งไรกั น แน เป น เรื่อ งที่ ควรจะชวยกัน นํ าไปวินิจฉัย ดู. อนึ่ ง สิ่งที่ เรียกวา ปรินิพพาน นั้น คือการสิ้นสุดแหงกระแสของปฏิจจสมุปบาท นั่นเอง.
บทนํา จบ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
หมวด ๑ วาดวย ลักษณะ – ความสําคัญ - วัตถุประสงค ของเรื่องปฏิจจสมุปบาท
www.buddhadasa.info
๒๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฎอิทัปปจจยตา: หัวใจปฏิจจสมุปบาท. อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมมี อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป. (ม.ม. ๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน. สํ. ๑๖/๘๔/๑๕๔,....)
www.buddhadasa.info
๒๓
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่องเฉพาะหมวด สําหรับปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๑ วาดวย ลักษณะ – ความสําคัญ – และวัตถุประสงค ของเรื่องปฏิจจสมุปบาท (มี ๑๘ เรื่อง) ก. ว าด วยลั กษณะ ๖ เรื่ อง. : ความเหมายของปฏิ จจสมุ ปบาทแต ละอาการ--ปฏิจจสมุปบาทแตละอาการเปนปฏิจจสมุปปนนธรรม --- ทรงขยายความปฏิจจสมุปบาท อยางวิธีถามตอบ ----ป จจยาการเแม เพี ยงอาการเดี ยวก็ ยั งตรัสเรียกวาปฏิ จจสมุ ปบาท ---แม แสดงเพี ยงผั สสะให เกิ ดเวทนา ก็ยังเรียกวาปฏิจจสมุปบาท---ทรงเปรียบปฏิจจสมุปบาทดวยการขึ้นลงของน้ําทะเล ข. วาดวยความสําคัญ ๖ เรื่อง : การเห็นปฏิจจสมุ ปบาทชื่อวาการเห็นธรรม ----ปฏิ จจสมุ ปบาทคื อกฎแห งธรรมฐิติ - ธรรมนิ ยาม – ปฏิ จจสมุ ปบาทเป นเรื่องลึ กและดู ลึ ก—ปฏิ จจสมุ ปบาทเป นเรื่องลึ กซึ้ งเท ากับเรื่องนิ พพาน—นรกเพราะไม รูปฏิ จจสมุ ปบาทรอนยิ่ งกวานรกไหนหมด— ผูแสดงธรรมโดยหลักปฏิจจสมุปบาทเทานั้นจึงชื่อวา “เปนธรรมกถึก”
www.buddhadasa.info ค. วาดวยวัตถุประสงค ๖ เรื่อง : ปฏิจจสมุปบาททําใหอยูเหนือความมีและความ
ไมมีของสิ่งทั้งปวง---ไมมีผูนั้นหรือผูอื่นในปฏิจจสมุปบาท --กายนี้ไมใชของใครเพียงกระแส ปฏิจจสมุปบาท --- ปฏิจจสมุปบาทเปนธรรมที่ทรงแสดงเพื่อไมใหรูสึกวามีสัตวบุคคลตัวนเราเขา --ปฏิจจสมุปบาทมีหลักวา “ไมมีตนเองไมมีผูอื่นที่กอสุขและทุกข” –การรูปฏิจจสมุปบาทเปนหลักการ พยากรณอรหัตผล
๒๔
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๑ วาดวย ลักษณะ- ความสําคัญ-และวัตถุประสงค ของเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ------------(ก. วาดวย ลักษณะ ๖ เรื่อง)
ความหมายของปฏิจจสมุปบาท แตละอาการ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เราจักแสดง เราจักจําแนก ซึ่งปฏิจจสมุปบาท แกพวกเธอทั้งหลาย. พวกเธอทั้งหลายจงฟงซึ่งธรรมนั้น, จงทําในใจใหสําเร็จ ประโยชน, เราจักกลาวบัดนี้.
www.buddhadasa.info ครั้นภิกษุทั้งหลายเหลานั้น ถอยคําเหลานี้วา:-
๑
ทูลสนองรับพระพุทธดํารัสแลว, พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัส
สูตรที่ ๒ พุทธวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ.๑๖/๒/๔, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
๒๕
www.buddhadasa.info
๒๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ ป ฏิ จ จสมุ ป บาท (สมุ ท ยวาร) เป น อย า งไรเล า ? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย!: เพราะมีอวิชชา เปนปจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขาร เปนปจจัย จึงมี วิญญาณ; เพราะมีวิญญาณ เปนปจจัย จึงมี นามรูป; เพราะมีนามรูป เปนปจจัย จึงมี สฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะ เปนปจจัย จึงมี ผัสสะ; เพราะมีผัสสะ เปนปจจัย จึงมี เวทนา; เพราะมีเวทนา เปนปจจัย จึงมี ตัณหา; เพราะมีตัณหา เปนปจจัย จึงมี อุปาทาน; เพราะมีอุปาทาน เปนปจจัย จึงมี ภพ; เพราะมีภพ เปนปจจัย จึงมี ชาติ; เพ ราะมีช าติ เปน ปจ จัย , ชรามรณ ะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ด ขึ้ น ครบถ วน: ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห งกองทุ ก ข ทั้ งสิ้ น นี้ ย อ ม มีดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ ช รามรณ ะ เป น อย า งไรเล า ? ความแก ความ คร่ํ าคร า ความมี ฟ น หลุ ด ความมี ผ มหงอก ความมี ห นั งเหี่ ยว ความสิ้ น ไป ๆ แห งอายุ ความแก รอบแห งอิ น ทรี ย ทั้ งหลาย ในสั ต ว นิ ก ายนั้ น ๆ ของสั ต ว ทั้ งหลายเหล านั้ น ๆ :นี้ เรี ยกว า ชรา การจุ ติ ความเคลื่ อน การแตกสลาย การหายไป การวายชี พ การตายการ ทํากาละ การแตกแหงขันธทั้งหลาย การทอดทิ้งราง การขาดแหงอินทรียคือชีวิต
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๒๗
จากสั ต ว นิ ก ายนั้ น ๆ ของสั ต ว ทั้ ง หลายเหล า นั้ น ๆ : นี้ เรี ย กว า มรณะ ชรานี้ ด ว ย มรณะนี้ดวย ยอมมีอยูดังนี้; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา ชรามรณะ. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ ช าติ เป น อย า งไรเล า? การเกิ ด การกํ า เนิ ด การก าวลง (สู ครรภ ) การบั งเกิ ด การบั งเกิ ดโดยยิ่ ง ความปรากฏของขั นธ ทั้ งหลาย การที่ สั ตว ได ซึ่ งอายตนะทั้ งหลาย ในสั ตวนิ กายนั้ น ๆ ของสั ตวทั้ งหลายเหล านั้ น ๆ : ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา ชาติ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ ภ พ เป น อย า งไรเล า ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ภพทั้ งหลาย ๓ อยางเหลานี้ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ : ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย!นี้ เรียกวา ภพ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อุ ปาทาน เป นอย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อุ ปาทานทั้ งหลาย ๔ อย างเหล านี้ คื อ กามุ ปาทาน ทิ ฏุ ปาทาน สี ลั พพั ตตุ ปาทาน อัตตวาทุปาทาน : ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา อุปาทาน
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ตั ณ หา เป นอย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! หมู แหงตัณหาทั้ งหลาย ๖ หมู เหลานี้ คือ รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฎฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา : ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา ตัณหา.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ เวทนา เป นอย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! หมู เวทนาทั้ งหลาย ๖ หมู เหล านี้ คื อ จั กขุ สั ม ผั สชาเวทนา โสตสั ม ผั ส สชาเวทนา ฆานสั มผั สสชาเวทนา ชิ วหาสั มผั สสชาเวทนา กายสั มผั สชาเวทนา มโนสั มผั สสชาเวทนา : ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา เวทนา.
www.buddhadasa.info
๒๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ผั สสะ เป นอย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! หมู ผั ส สะทั้ ง หลาย ๖ หมู เ หล า นี้ คื อ จั ก ขุ สั ม ผั ส โสตสั ม ผั ส ฆ านสั ม ผั ส ส ชิ ว หาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส : ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา ผัสสะ. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ ส ฬายตนะ เป น อย า งไรเล า ? จั ก ข ว ายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิ วหายตนะกายายตนะ มนายตนะ : ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย ! นี้เรียกวา สฬายตนะ. ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็นามรูป เป นอยางไรเลา? เวทนา สัญญา เจตนาผัสสะ ม น สิ ก าร : นี้ เรี ย ก ว า น าม . ม ห าภู ต ทั้ งสี่ ด วย รู ป ที่ อ าศั ย ม ห าภู ต ทั้ งสี่ ด วย : นี ้ เรีย กวา รูป . นามนี ้ด ว ย รูป นี ้ด ว ย ยอ มมีอ ยู ด ัง นี ้; ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! นี้ เรียกวา นามรูป. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ วิ ญ ญาณ เป นอย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! หมู วิ ญ ญาณทั้ งหลาย ๖ หมู เหล า นี้ คื อ จั ก ขุ วิ ญ ญาณ โสตวิ ญ ญาณ ฆานวิ ญ ญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ : ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา วิญญาณ.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ สั ง ขารทั้ ง หลาย เป น อย า งไรเล า ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สั ง ขารทั้ ง หลาย ๓ อย า งเหล า นี้ คื อ กายสั ง ขาร วจี สั ง ขาร จิ ต ตสั ง ขาร : ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้ เรียกวา สังขารทั้งหลาย.
ดู ก อ น ภิ กษุ ทั้ งห ล าย! ก็ อ วิ ช ชา เป นอย า งไรเล า ? ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ ง หลาย! ความไมรูอันใดแล เปนความไมรูในทุกข, เปนความไมรูในเหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข,
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๒๙
เป น ความไม รู ในความดั บ ไม เหลื อแห งทุ กข , เป นความไม รู ในข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ าสั ต ว ใหลุถึงความดับไมเหลือแหงทุกข : ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา อวิชชา.
ปฏิจจสมุปบาทแตละอาการ เปนปฏิจจสมุปปนนธรรม๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เราจั ก แสดง ปฏิ จ จสมุ ป ป น นธรรม แก พ วก เธอทั้ ง หลาย. พวกเธอทั้ ง หลาย จงฟ ง ซึ่ ง ธรรมนั้ น , จงทํ า ในใจให สํ า เร็ จ ประโยชน , เราจักกลาวบัดนี้. ครั้ น ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น ทู ล สนองรั บ พระพุ ท ธดํ ารั สแล ว, พระผู มี พ ระภาคเจ า ได ตรั ส ถอยคําเหลานี้วา:-
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ปฏิจจสมุปปนนธรรมทั้งหลาย เปนอยางไรเลา? (๑) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ชรามรณะ เป น ของไม เที่ ย ง อั น ป จจั ย ปรุ งแต ง แล ว อาศั ยกั นและกั นเกิ ดขึ้ นแล ว มี ความสิ้ นไปเป นธรรมดา มี ความเสื่ อมไปเป นธรรมดามี ความจางคลายไปเปนธรรมดา มีความดับลงเปนธรรมดา. (๒) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ชาติ เป น ของไม เที่ ย ง อั น ป จ จั ย ปรุ ง แต ง แล ว อาศั ยกั นและกั นเกิ ดขึ้ นแล ว มี ความสิ้ นไปเป นธรรมดา มี ความเสื่ อมไปเป น ธรรมดามี ความจางคลายไปเปนธรรมดา มีความดับลงเปนธรรมดา.
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๑๐ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๓๐. ๓๑/๖๐, ๖๒; ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๓๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑ (๓) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ภพ เป น ของไม เที่ ย ง อั น ป จ จั ย ปรุ ง แต งแล ว
อาศั ยกั นและกั นเกิ ดขึ้ นแล ว มี ความสิ้ นไปเป นธรรมดา มี ความเสื่ อมไปเป นธรรมดามี ความจางคลายไปเปนธรรมดา มีความดับลงเปนธรรมดา. (๔) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อุ ปาทาน เป นของไม เที่ ยง อั นป จจั ยปรุ งแต ง แลว อาศัยกันและกันเกิดขึ้นแลว มี ความสิ้นไปเป นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป นธรรมดามี ความจางคลายไปเปนธรรมดา มีความดับลงเปนธรรมดา. (๕) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตั ณ หา เป นของไม เที่ ยง อั นป จจั ยปรุ งแต งแล ว อาศั ยกั นและกั นเกิ ดขึ้ นแล ว มี ความสิ้ นไปเป นธรรมดา มี ความเสื่ อมไปเป นธรรมดามี ความจางคลายไปเปนธรรมดา มีความดับลงเปนธรรมดา. (๖) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เวทนา เป นของไม เที่ ยง อั นป จจั ยปรุ งแต งแล ว อาศั ยกั นและกั นเกิ ดขึ้ นแล ว มี ความสิ้ นไปเป นธรรมดา มี ความเสื่ อมไปเป นธรรมดามี ความจางคลายไปเปนธรรมดา มีความดับลงเปนธรรมดา.
www.buddhadasa.info (๗) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ผั สสะ เป นของไม เที่ ยง อั นป จจั ยปรุ งแต งแล ว อาศั ยกั นและกั นเกิ ดขึ้ นแล ว มี ความสิ้ นไปเป นธรรมดา มี ความเสื่ อมไปเป นธรรมดามี ความจางคลายไปเปนธรรมดา มีความดับลงเปนธรรมดา.
(๘) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สฬายตนะ เป นของไม เที่ ยง อั นป จจั ยปรุ งแต ง แลว อาศัยกันและกันเกิดขึ้นแลว มี ความสิ้นไปเป นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป นธรรมดามี ความจางคลายไปเปนธรรมดา มีความดับลงเปนธรรมดา. (๙) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นามรูป เป นของไม เที่ ยง อั นป จจั ยปรุงแต งแล ว อาศั ยกั นและกั นเกิ ดขึ้ นแล ว มี ความสิ้ นไปเป นธรรมดา มี ความเสื่ อมไปเป นธรรมดามี ความจางคลายไปเปนธรรมดา มีความดับลงเปนธรรมดา.
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๓๑
(๑๐) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! วิ ญ ญาณ เป นของไม เที่ ยง อั นป จจั ยปรุ งแต ง แล ว อาศั ยกั นและกั นเกิ ดขึ้นแล ว มี ความสิ้ นไปเป นธรรมดา มี ความเสื่ อมไปเป นธรรมดามี ความจางคลายไปเปนธรรมดา มีความดับลงเปนธรรมดา. (๑๑) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! สั งขารทั้ งหลาย เป น ของไม เที่ ย ง อั น ป จ จั ย ปรุ งแต งแล ว อาศั ยกั นและกั นเกิ ดขึ้ นแล ว มี ความสิ้ นไปเป นธรรมดา มี ความเสื่ อมไป เปนธรรมดา มีความจางคลายไปเปนธรรมดา มีความดับลงเปนธรรมดา. (๑๒) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อวิ ชชา เป นของไม เที่ ยง อั นป จจั ยปรุ งแต ง แลว อาศัยกันและกันเกิดขึ้นแลว มี ความสิ้นไปเป นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป นธรรมดามี ความจางคลายไปเปนธรรมดา มีความดับลงเปนธรรมดา. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้ เรียกวา ปฏิจจสมุปปนนธรรม๑ ทั้งหลาย
ทรงขยายความปฏิจจสมุปบาท อยางวิธีถามตอบ๒
www.buddhadasa.info ดูกอน อานนท ! อยากลาวอยางนั้ น. ดูกอนอานนท ! อยากลาวอยางนั้ น. ก็ปฏิจจสมุปบาทนี้ ลึกซึ้งดวย มีลักษณะดูลึกซึ้งดวย. ดูกอนอานนท!
๑
คําวา "ปฏิ จจสมุ ปป นนธรรม" นี้ ผู ที่ ได ฟ งเป นครั้งแรก ไม จําเป นจะต องมี ความตื่ นเต นตกใจ วาเป นคํ า ลึกซึ้ง ซับซอน อะไรมากมาย แต เป นคํ าธรรมดาสามั ญ ในภาษาธรรมะ, มี ความหมายแต เพี ยงว าเป นสิ่ ง ที่เกิดเองไมได จะตองอาศั ยสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เสร็จแลวก็จะเป นสิ่ งที่เปนเหตุเปนปจจัยสําหรับปรุงแตง สิ่ งอื่ นต อไป : ที่ แท ก็ คื อสิ่ งทั้ งปวงในโลกนั่ นเอง หากแต ว า ในที่ นี้ ทรงประสงค แต เรื่องทางจิ ตใจและ เฉพาะที่เกี่ยวกับความทุกข เทานั้น. -ผูรวบรวม. ๒ มหานิ ท านสู ต ร มหา. ที่ . ๑๐/๖๕/๕๗, ตรั ส แก พ ระอานนท ที่ กั ม มาสทั ม มนิ ค ม แควั น กุ รุ . และอี ก แห งหนึ่ งคื อ สู ตรที่ ๑๐ ทุ กขวรรค อภิ สมยสั งยุ ตต นิ ทาน. สํ . ๑๖/๑๑๑/๒๒๕, ข อความเหมื อนกั นตั้ งแต คํ า เริ่มแรกไปจนถึงคําวา "...อบายทุคติวินิบาตไปได".
www.buddhadasa.info
๓๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
เพราะไม รู ๑ เพราะไม รู ต ามลํ า ดั บ เพราะไม แ ทงตลอด ซึ่ ง ธรรมคื อ ปฏิ จ จสมุ ป บาท นี้ (จิ ต ของ)หมู สั ต ว นี้ จึ ง เป น เหมื อ นกลุ ม ด า ยยุ ง , ยุ ง เหยิ ง เหมื อ นความยุ ง ของ กลุ ม ด า ยที่ ห นาแน น ไปด ว ยปม, พั น กั น ยุ ง เหมื อ นเซิ ง หญ า มุ ญ ชะและหญ า ป พ พชะ อยางนี้; ยอมไมลวงพนสังสาระที่เปนอบาย ทุคติ วินิบาตไปได. ดู ก อนอานนท !เมื่ อเธอถู กถามว า "ชรามรณะที่ มี เพราะสิ่ งนี้ ๆ เป นป จจั ยมี ไหม ? " ดัง นี ้ เชน นี ้แ ลว , คํ า ตอบ พึง มีว า "มีอ ยู ". ถา เขาพึง กลา วตอ ไปวา " ชราม รณ ะมี เพ ราะป จจั ย อะไร?" ดั ง นี้ แล ว , คํ า ต อบ พึ งมี ว า "ชราม รณ ะมี เพราะปจจัยคือชาติ". ดู ก อ นอานนท ! เมื่ อ เธอถู ก ถามว า "ชาติ ที่ มี เพราะสิ่ ง นี้ ๆ เป น ป จ จั ย มี ไหม? " ดั งนี้ เช นนี้ แล ว, คํ าตอบ พึ งมี ว า "มี อยู ". ถ าเขาพึ งกล าวต อไปว า "ชาติ มี เพราะ ปจจัยอะไร?" ดังนี้แลว, คําตอบ พึงมีวา "ชาติมี เพราะปจจัยคือภพ". ดู ก อนอานนท ! เมื่ อเธอถู กถามว า "ภพที่ มี เพราะสิ่ งนี้ ๆ เป นป จจั ยมี ไหม?" ดั ง นี้ เช น นี้ แ ล ว , คํ า ตอบ พึ ง มี ว า "มี อ ยู ". ถ า เขาพึ ง กล า วต อ ไปว า "ภพมี เพราะ ปจจัยอะไร?" ดังนี้แลว, คําตอบพึงมีวา "ภพมี เพราะปจจัยคืออุปาทาน".
www.buddhadasa.info ดู ก อ นอานนท ! ถ าเธอถู กถามว า "อุ ป าทานที่ มี เพราะสิ่ งนี้ ๆ เป น ป จจั ย มี ไห ม ? " ดัง นี ้ เชน นี ้แ ลว , คํ า ตอบ พึง มีว า "มีอ ยู ". ถา เขาพ ึง กลา วตอ ไปวา " อุ ป าทานมี เพราะป จ จั ย อะไร?" ดั ง นี้ แ ล ว , คํ า ตอบพึ ง มี ว า "อุ ป าทานมี เพราะ ปจจัยคือตัณหา".
๑
คํานี้วา "เพราะไมรู" (อฺญาณา) ไมมีในมหานิทานสูตร, มีแตในสูตรที่ ๑๐ ทุกขวรรค นิทาน. สํ.
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๓๓
ดู ก อนอานนท ! เมื่ อเธอถู กถามว า "ตั ณ หาที่ มี เพราะสิ่ งนี้ ๆ เป นป จจั ยมี ไหม? " ดั งนี้ เช นนี้ แล ว, คํ าตอบ พึ งมี ว า "มี อยู ". ถ าเขาพึ งกล าวต อไปว า "ตั ณ หามี เพราะปจจัยอะไร?" ดังนี้แลว, คําตอบพึงมีวา "ตัณหามี เพราะปจจัยคือเวทนา". ดู ก อนอานนท ! เมื่ อเธอถู กถามว า "เวทนาที่ มี เพราะสิ่ งนี้ ๆ เป นป จจั ยมี ไหม? " ดั งนี้ เช นนี้ แล ว, คํ าตอบ พึ งมี ว า "มี อยู ". ถ าเขาพึ งกล าวต อไปว า "เวทนามี เพราะปจจัยอะไร?" ดังนี้แลว, คําตอบพึงมีวา "เวทนามี เพราะปจจัยคือผัสสะ". ดู ก อนอานนท ! เมื่ อเธอถู กถามว า "ผั สสะที่ มี เพราะสิ่ งนี้ ๆ เป นป จจั ยมี ไหม? " ดั งนี้ เช นนี้ แล ว, คํ าตอบ พึ งมี ว า "มี อยู ". ถ าเขาพึ งกล าวต อไปว า "ผั สสะมี เพราะปจ จัย อะไร?" ดัง นี ้แ ลว , คํ า ตอบพึง มีว า "ผัส สะมี เพราะปจ จัย คือ นาม รูป". ดู ก อนอานนท ! เมื่ อเธอถู กถามว า "นามรูปที่ มี เพราะสิ่ งนี้ ๆ เป นป จจั ยมี ไหม? " ดั งนี้ เช นนี้ แล ว, คํ าตอบ พึ งมี ว า "มี อยู ". ถ าเขาพึ งกล าวต อไปว า "นามรู ปมี เพราะป จ จั ย อะไร?" ดั ง นี้ แ ล ว , คํ า ตอบ พึ ง มี ว า "นามรู ป มี เพราะป จ จั ย คื อ วิญญาณ".
www.buddhadasa.info ดู ก อนอานนท ! เมื่ อเธอถู กถามว า "วิ ญญาณที่ มี เพราะสิ่ งนี้ ๆ เป นป จจั ยมี ไหม? " ดั งนี้ เช นนี้ แล ว, คํ าตอบ พึ งมี ว า "มี อยู ". ถ าเขาพึ งกล าวต อไปว า "วิ ญญาณมี เพราะป จ จั ย อะไร?" ดั ง นี้ แ ล ว , คํ า ตอบ พึ ง มี ว า "วิ ญ ญาณมี เพราะป จ จั ย คื อ นามรูป".
www.buddhadasa.info
๓๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
ดู ก อ นอานนท ! ด วยเหตุ ดั งกล าวมานี้ แล (เรื่ อ งจึ งสรุ ป ได ว า) วิ ญ ญาณมี เพราะป จจั ยคื อนามรู ป ; นามรู ป มี เพราะป จจั ยคื อวิ ญ ญาณ; ผั สสะมี เพราะป จจั ยคื อ นามรู ป ; เวทนามี เพราะป จจั ยคื อผั สสะ; ตั ณ หามี เพราะป จจั ยคื อเวทนา; อุ ปาทานมี เพราะป จจั ย คื อ ตั ณ หา; ภพมี เพราะป จจั ย คื อ อุ ป าทาน; ชาติ มี เพราะป จจั ย คื อ ภพ; ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย เกิ ดขึ้ นพร อม เพราะป จจั ยคื อ ชาติ: ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ แล.
หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั งเกตให เห็ น ว า ปฏิ จ จสมุ ป บาทแบบนี้ ที่ ตั้ ง ต น จากทุ ก ข ขึ้ น ไปหาอวิ ช ชา, แต ไ ปไม ถึ ง อวิ ช ชา ไปสุ ด ลงเสี ย เพี ย งแค วิ ญ ญ าณ นามรู ป แล ววกกลั บ นั้ น ยั งมี ลั กษณะพิ เศษอยู อี กอย างหนึ่ ง คื อบางสู ตร เช น สู ตรนี้ โดยเฉพาะ หามี "สฬ ายตน ะ" รวมอยู ใ นสาย ดว ยไม, ผิด จากสูต รอื ่น อีก ห ลายสูต ร แหง แบ บ นี ้. จะสั น นิ ษ ฐานว า คั ด ลอกตกหล น มาแต เดิ ม ก็ ไม มี ห นทางที่ จ ะสั น นิ ษ ฐานอย า งนั้ น ; เพราะ มี ก ารเว น คํ า ว า "สฬายตนะ" เหมื อ นกั น หมดทุ ก ๆ แห ง ในสู ต รนี้ , ทั้ ง ตอนที่ เป น อุ ท เทส นิทเทส และตอนที่ทรงย้ําครั้งสุดทาย ในสูตรเดียวกัน.
ปจจยาการแมเพียงอาการเดียว ก็ยังตรัสเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท (อิทิปปจจยตา)๑
www.buddhadasa.info (๑) ดู ก อ น ภิ กษุ ทั้ ง ห ล าย! เพ ราะชาติ เ ป น ป จจั ย ชราม รณ ะย อ ม มี . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระตถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, จะไม บั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, ธรรมธาตุนั้น ยอมตั้งอยูแลวนั่นเทียว; คือความตั้งอยูแหงธรรมดา
๑
สูตรที่ ๑๐ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๓๐/๖๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๓๕
(ธั มมั ฏฐิ ตตา), คื อความเป นกฎตายตั วแห งธรรมดา (ธั มมนิ ยามตา), คื อความที่ เมื่ อมี สิ่ งนี้
สิ่งนี้เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปจจยตา). ตถาคตย อมรู พร อมเฉพาะ ย อมถึ งพร อมเฉพาะ ซึ่ งธรรมธาตุ นั้ น; ครั้นรู พรอมเฉพาะแลว ถึงพรอมเฉพาะแลว, ยอมบอก ยอมแสดง ยอมบัญญั ติ ยอมตั้งขึ้นไว ย อมเป ดเผย ย อมจํ าแนกแจกแจง ย อมทํ าให เป นเหมื อนการหงายของที่ คว่ํ า และได กล าวแล วในบั ด นี้ ว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ท านทั้ งหลายจงมาดู : เพราะชาติ เป น ปจจัย ชรามรณะยอมมี" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ดั ง นี้ แ ล: ธรรมธาตุ ใด ในกรณี นั้ น อั นเป น ตถตา คื อความเป นอย างนั้ น, เป น อวิ ตถตา คื อความไม ผิ ดไปจากความเป น อย างนั้ น, เป น อนั ญญถตา คื อความไม เป นไปโดยประการอื่ น, เป น อิ ทั ปป จจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมนี้ เราเรี ยกว า ปฏิ จจสมุ ปบาท (คื อธรรมอั น เปนธรรมชาติ อาศัยกันแลวเกิดขึ้น).
www.buddhadasa.info (๒) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะภพเป น ป จ จั ย ชาติ ย อ มมี . ดู ก อ น ภิกษุทั้งหลาย! เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม,..ฯลฯ.. …ฯ ล ฯ …๑
๑
การละเปยยาล...ฯลฯ... ...ฯลฯ...เช น นี้ หมายความว า ข อ ความในข อ (๒) เป น ต น ไปจนกระทั่ ง ถึงขอ (๑๐) นี้ ซ้ํ ากันเป นส วนมากกับในขอ (๑) ตางกันแตเพี ยงป จจยาการแตละปจจยาการเทานั้น; สําหรับขอสุดทาย คือขอ (๑๑) จะพิมพไวเต็มเหมือนขอ (๑) อีกครั้งหนึ่ง.
www.buddhadasa.info
๓๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
(๓) ดู ก อ น ภิ กษุ ทั้ งห ล าย! เพ ราะอุ ป าท าน เป น ป จจั ย ภ พ ย อ ม มี . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พ ระตถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม,..ฯลฯ… …..ฯลฯ ….. (๔) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เพราะตั ณ หาเป น ป จ จั ย อุ ป าทานชาติ ย อ มมี . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พ ระตถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม,..ฯลฯ.. …ฯลฯ … (๕) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพ ราะเวทนาเป น ป จ จั ย ตั ณ หาย อ มมี . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พ ระตถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม,..ฯลฯ.. … ฯลฯ … (๖) ดู ก อ น ภิ ก ษุ ทั้ งห ล าย ! เพ ราะผั ส ส ะเป น ป จ จั ย เวท น าย อ ม มี . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พ ระตถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม,..ฯลฯ.. …ฯลฯ …
www.buddhadasa.info (๗) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะสฬายตนะเป น ป จ จั ย ผั ส สะย อ มมี . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พ ระตถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม,..ฯลฯ.. …ฯลฯ …
(๘) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะนามรู ป เป น ป จ จั ย สฬายตนะย อ มมี . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ที่ พ ระตถาคตทั้ ง หลาย จะบั งเกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม,..ฯลฯ.. …ฯลฯ … (๙) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะวิ ญ ญาณเป น ป จ จั ย นามรู ป ย อ มมี . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พ ระตถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม,..ฯลฯ.. …ฯลฯ …
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๓๗
(๑๐) ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะสั งขารเป น ป จจั ย วิ ญ ญาณย อ มมี . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระตถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม,..ฯลฯ.. …ฯลฯ … (๑๑) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เพราะอวิ ชชาเป น ป จจั ย สั งขารทั้ งหลาย ย อมมี . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระตถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, จะไม บั ง เกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม, ธรรมธาตุ นั้ น ย อ มตั้ ง อยู แ ล ว นั่ น เที ย ว; คื อ ความตั้ ง อยู แหงธรรมดา (ธัมมัฏฐิตตา), คือความเปนกฎตายตัวแหงธรรมดา (ธัมมนิยามตา), คือความที่ เมื่อสิ่งนี้สิ่งนี้เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปจจยตา). ตถาคตย อมรู พร อมเฉพาะ ย อมถึ งพร อมเฉพาะ ซึ่ งธรรมธาตุ นั้ น; ครั้นรู พรอมเฉพาะแล ว ถึ งพรอมเฉพาะแล ว, ย อมบอก ย อมแสดง ย อมบั ญ ญั ติ ย อมตั้ ง ขึ้ นไว ย อมเป ดเผย ย อมจํ าแนกแจกแจง ย อมทํ าให เป นเหมื อนการหงายของที่ คว่ํ า และได ก ล า วแล ว ในบั ด นี้ ว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ท า นทั้ ง หลายจงดู : เพราะ อวิชชาเปนปจจัย สังขารทั้งหลายยอมมี" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ดั ง นี้ แ ล : ธรรมธาตุ ใ ดในกรณี นั้ น อันเป น ตถตา คื อความเป นอย างนั้ น, เป น อวิตถตา คื อ ความไม ผิ ดไปจากความเป น อย างนั้ น, เป นอนั ญ ญถตา คื อ ความไม เป นไปโดยประการอื่ น, เป น อิ ทั ปป จจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น;
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมนี้ เราเรี ยกว า ปฏิ จจสมุ ปบาท (คื อธรรมอั น เปนธรรมชาติ อาศัยกันแลวเกิดขึ้น).
www.buddhadasa.info
๓๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
แมแสดงเพียงผัสสะใหเกิดเวทนา ก็ยังเรียกวาปฏิจจสมุปบาท๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บ แล ว จะพึ งเบื่ อหน ายได บ าง พึ ง คลายกํ าหนั ดได บ าง พึ งปล อยวางได บ าง ในกายอั นเป นที่ ประชุ มแห งมหาภู ตทั้ งสี่ นี้ . ข อ นั้ น เพราะเหตุ ใดเล า ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ข อ นั้ น เพราะเหตุ ว า การก อ ขึ้ น ก็ ดี การสลายลงก็ ดี การถู กยึ ดครองก็ ดี การทอดทิ้ งซากไว ก็ ดี แห งกายอั นเป นที่ ป ระชุ ม แห งมหาภู ตทั้ งสี่ นี้ ย อมปรากฏอยู . เพราะเหตุ นั้ นปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บแล ว จึ งเบื่ อหน าย ได บ าง จึ งคลายกํ าหนั ดได บ าง จึ งปล อยวางได บ าง ในกายนั้ น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส ว นสิ่ ง ที่ เรี ย กกั น ว า "จิ ต " ก็ ดี ว า "มโน" ก็ ดี ว า "วิ ญ ญาณ" ก็ ดี ; ปุ ถุ ช นผู มิ ไ ด สดั บ แล ว ไม อาจจะเบื่ อหน าย ไม อาจจะคลายกํ าหนั ด ไม อาจจะปล อยวาง ซึ่ งสิ่ งนั้ น.ข อนั้ น เพราะเหตุ ไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข อนั้ นเพราะเหตุ ว า สิ่ งที่ เรี ยกว า จิ ตเป นต น นี้ เป นสิ่ งที่ ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บแล ว ได ถึ งทั บแล วด วยตั ณ หา ได ยึ ดถื อแล วด วยทิ ฏฐิ โดย ความเป นตั วตน มาตลอดกาลช านาน ว า "นั่ นของเรา, นั่ นเป นเรา, นั่ นเป นตั ว ตนของ เรา" ดั ง นี้ เพราะเหตุ นั้ น ปุ ถุ ช นผู มิ ได ส ดั บ แล ว จึ ง ไม อ าจจะเบื่ อ หน า ยไม อ าจจะ คลายกําหนัด ไมอาจจะปลอยวาง ซึ่งที่เรียกวา จิต เปนตนนั้น.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ปุ ถุ ชนผู มิ ได ส ดั บ แล ว จะพึ งเข าไปยึ ด ถื อ เอากาย อั นเป นที่ ประชุ มแห งมหาภู ตทั้ งสี่ นี้ โดยความเป นตั วตน ยั งดี กว า. แต จะเข าไปยึ ดถื อ เอาจิ ต โดยความเป น ตั วตนไม ดี เลย. ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไรเล า? ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! ขอนั้นเพราะเหตุวา กายอันเปนที่ประชุมแหงมหาภูตทั้งสี่นี้ ดํารงอยู ปหนึ่งบาง สองป
๑
สูตรที่ ๒ มหาวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๑๖/๒๓๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๓๙
บ าง สามป บ าง สี่ ป บ าง ห าป บ าง สิ บป บ าง ยี่ สิ บป บ าง สามสิ บป บ าง สี่ สิ บป บ าง ห าสิ บ ป บ าง ร อ ยป บ าง เกิ น กว าร อ ยป บ าง ปรากฏอยู . ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วน สิ่ ง ที เรี ย กกั น ว า "จิ ต " บ า ง ว า "มโน" บ า ง ว า "วิ ญ ญาณ" บ า งนั้ น ดวงอื่ น เกิ ด ขึ้ น ดวงอื่นดับไป ตลอดวัน ตลอดคืน. ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! ในเรื่ อ งนี้ อริ ยสาวกผู ได สดั บแล ว ย อมกระทํ าไว ในใจโดยแยบคายเป น อย า งดี ซึ่ ง ปฏิ จ จสมุ ป บาทนั่ น เที ย ว ดั ง นี้ ว า ด ว ยอาการ อย า งนี้ : เพราะสิ่ ง นี้ มี สิ่ ง นี้ จึ ง มี , เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห ง สิ่ ง นี้ สิ่ ง นี้ จึ ง เกิ ด ขึ้ น ; เพราะสิ่ ง นี้ ไม มี สิ่ ง นี้ จึ ง ไม มี , เพราะความดั บ ไปแห ง สิ่ ง นี้ สิ่ ง นี้ จึ ง ดั บ ไป. ดู ก อ น ภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ย ผั ส สะอั น เป น ที่ ตั้ งแห งสุ ขเวทนา จึ งเกิ ด สุ ขเวทนาขึ้ น ; เพราะความดั บแห งผั สสะอั นเป นที่ ตั้ งแห งสุ ขเวทนานั้ นแหละ, เวทนาใด ที่ เกิ ดเพราะ ผั สสะนั้ น (ในกรณี นี้ คื อ) สุ ขเวทนา ที่ เกิ ดขึ้ นเพราะอาศั ยผั สสะอั นเป นที่ ตั้ งแห งสุ ขเวทนา, เวทนานั้ นย อมดั บ ย อมสงบไป. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยผั สสะอั นเป นที่ ตั้ งแห งทุ ก ขเวทนา จึ งเกิ ด ทุ ก ขเวทนาขึ้ น ; เพราะความดั บ แห งผั ส สะอั น เป น ที่ ตั้ ง แห งทุ กขเวทนานั้ นแหละ, เวทนาใด ที่ เกิ ดเพราะผั สสะนั้ น (ในกรณี นี้ คื อ) ทุ กขเวทนาที่ เกิ ดขึ้ นเพราะอาศั ยผั สสะอั นเป นที่ ตั้ งแห งทุ กขเวทนา, เวทนานั้ นย อมดั บ ย อมสงบไป. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยผั สสะอั นเป นที่ ตั้ งแห งอทุ กขมสุ ขเวทนา จึ งเกิ ด อทุ ก ขมสุ ข เวทนาขึ้ น ; เพราะความดั บ แห งผั ส สะอั น เป น ที่ ตั้ งแห งอทุ ก ขมสุ ข เวทนา นั้ นแหละ, เวทนาใด ที่ เกิ ดเพราะผั สสะนั้ น (ในกรณี นี้ คื อ) อทุ กขมสุ ขเวทนา ที่ เกิ ดขึ้ น เพราะอาศัยผัสสะอันเปนที่ตั้งแหงอทุกขมสุขเวทนา, เวทนานั้นยอมดับ ยอมสงบไป.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนเพราะไมสองอันเสียดสีกันไปมา ไออุนยอม เกิด ความรอนยอมบังเกิดโดยยิ่ง. เพราะแยกไมทั้งสองอันนั้นแหละออกจากกันเสีย
www.buddhadasa.info
๔๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
ไออุ น ใด ที่ เกิ ดเพราะการเสี ยดสี ระหว างไม สองอั นนั้ น ไออุ นนั้ นย อมดั บ ย อมสงบไป, ข อนี้ ฉั นใด; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข อนี้ ก็ ฉั นนั้ น: เพราะอาศั ยผั สสะอั นเป นที่ ตั้ งแห งสุ ข เวทนา จึ งเกิ ด สุ ข เวทนาขึ้ น ; เพราะความดั บ แห งผั ส สะอั น เป น ที่ ตั้ ง แห งสุ ข เวทนานั้ น แหละ, เวทนาใด ที่ เกิ ด เพราะผั ส สะนั้ น (ในกรณี นี้ คื อ ) สุ ข เวทนา ที่ เกิ ด ขึ้ น เพราะ อาศั ยผั สสะอั นเป นที่ ตั้ งแห งสุ ขเวทนา, เวทนานั้ นย อมดั บ ย อมสงบไป. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ ง หลาย! เพราะอาศั ยผั สสะอั นเป นที่ ตั้ งแห งทุ กขเวทนา จึ งเกิ ดทุ กขเวทนาขึ้ น; เพราะ ความดั บแห งผั สสะอั นเป นที่ ตั้ งแห งทุ กขเวทนานั้ นแหละ, เวทนาใด ที่ เกิ ดเพราะผั สสะนั้ น (ในกรณี นี้ คื อ ) ทุ ก ขเวทนา ที่ เกิ ด ขึ้ น เพราะอาศั ย ผั ส สะอั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ทุ ก ขเวทนา, เวทนานั้ นย อมดั บ ย อมสงบไป. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยผั สสะอั นเป นที่ ตั้ ง แห งอทุ กขมสุ ขเวทนา จึ งเกิ ดอทุ กขมสุ ขเวทนาขึ้ น; เพราะความดั บแห งผั สสะอั นเป นที่ ตั้ ง แห ง อทุ ก ขมสุ ข เวทนานั้ น แหละ, เวทนาใด ที่ เกิ ด เพราะผั ส สะนั้ น (ในกรณี นี้ คื อ ) อทุ กขมสุ ขเวทนา ที่ เกิ ดขึ้ นเพราะอาศั ยผั สสะอั นเป นที่ ตั้ งแห งอทุ กขมสุ ขเวทนา, เวทนานั้ น ยอมดับ ยอมสงบไป. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อริ ยสาวกผู ได สดั บแล ว เห็ นอยู อย างนี้ ย อมเบื่ อหน าย แม ในผั สสะ, ย อมเบื่ อหน าย แม ในเวทนา, ย อมเบื่ อหน าย แม ในสั ญญา, ย อมเบื่ อหน าย แม ใ นสั ง ขารทั้ ง หลาย, ย อ มเบื่ อ หน า ย แม ในวิ ญ ญาณ. เมื่ อ บื่ อ หน า ย ย อ มคลาย กํ าหนั ด, เพราะคลายความกํ าหนั ด ย อมหลุ ดพ น, เมื่ อหลุ ดพ นแล ว ย อมมี ญาณหยั่ งรู ว า หลุ ด พ น แล ว . อริ ย สาวกนั้ น ย อ มทราบชั ด ว า "ชาติ สิ้ น แล ว , พรหมจรรย อั น เราอยู จบแล ว , กิ จ ที่ ค วรทํ า ได ทํ า เสร็ จ แล ว , กิ จ อื่ น เพื่ อ ความเป น อย า งนี้ มิ ได มี อี ก ต อ ไป". ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๔๑
ทรงเปรียบปฏิจจสมุปบาทดวยการขึ้นลง ของน้ําทะเล๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อน้ํ าในมหาสมุ ทรขึ้ น ย อมทํ าให แม น้ํ าในแม น้ํ าใหญ ขึ้ น ; เมื่ อ น้ํ า ในแม น้ํ า ใหญ ขึ้ น ย อ มทํ า ให น้ํ า ในแม น้ํ า น อ ยขึ้ น ; เมื่ อ น้ํ า ในแม น้ํ า น อยขึ้ น ย อมทํ าให ละหานใหญ มี น้ํ าขึ้ น; เมื่ อละหานใหญ มี น้ํ าขึ้ น ย อมทํ าให ละหาน น อ ยมี น้ํ า ขึ้ น , ฉั น ใด; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ข อ นี้ ก็ ฉั น นั้ น : เมื่ อ อวิ ช ชาเข า มา (อุปยนฺตี) ยอมทําให สังขารทั้งหลายเขามา (สงฺขาเร อุปยาเปติ); เมื่อสังขารทั้งหลาย เข ามา ย อมทํ าให วิ ญญาณเข ามา; เมื่ อวิ ญญาณเข ามา ย อมทํ าให นามรูปเข ามา; เมื่ อ นามรู ปเข ามา ย อมทํ าให สฬายตนะเข ามา; เมื่ อสฬายตนะเข ามา ย อมทํ าให ผั สสะ เข ามา; เมื่ อผั สสะเข ามา ย อมทํ าให เวทนาเข ามา; เมื่ อเวทนาเข ามา ย อมทํ าให ตั ณหา เข ามา; เมื่ อตั ณ หาเข ามา ย อมทํ าให อุ ปาทานเข ามา; เมื่ ออุ ปาทานเข ามา ย อมทํ า ให ภ พเข า มา เมื่ อ ภพเข า มา ย อ มทํ า ให ช าติ เข า มา; เมื่ อ ชาติ เข า มา ย อ มทํ า ให ชรามรณะเขามา
www.buddhadasa.info .... .... .... .... ....
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อน้ํ าในมหาสมุ ทรลง ย อมทํ าให แม น้ํ าในแม น้ํ าใหญ ลดลง; เมื่ อ น้ํ าในแม น้ํ าใหญ ล ดลง ย อ มทํ าให น้ํ าในแม น้ํ าน อ ยลดลง; เมื่ อ น้ํ าใน แม น้ํ าน อยลดลง ย อมทํ าให น้ํ าที่ ละหานใหญ ลดลง; เมื่ อน้ํ าที่ ละหานใหญ ลดลง ย อม ทําใหน้ําที่ละหานนอยลดลง, ฉันใด; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ขอนี้ก็ฉันนั้น: เมื่อ
๑
สูตรที่ ๙ มหาวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๔๔/๒๗๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๔๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
อวิ ช ชาออกไป (อุ ป ยนฺ ตี ) ย อ มทํ า ให สั ง ขารทั้ ห ลายออกไป (สงฺ ข าเร อุ ป ยาเปติ ); เมื่ อสั งขารทั้ งหลายออกไป; ย อมทํ าให วิ ญ ญาณออกไป; เมื่ อวิ ญ ญาณออกไป ย อมทํ า ให น ามรู ป ออกไป; เมื่ อ นามรู ป ออกไป ย อ มทํ าให ส ฬายตนะออกไป; เมื่ อ สฬายตนะ ออกไป ย อ มทํ า ให ผั ส สะออกไป; เมื่ อ ผั ส สะออกไป ย อ มทํ า ให เ วทนาออกไป; เมื่ อ เวทนาออกไป ย อ มทํ าให ตั ณ หาออกไป; เมื่ อ ตั ณ หาออกไป ย อ มทํ าให อุ ป าทาน ออกไป; เมื่ อ อุ ป าทานออกไป ย อ มทํ า ให ภ พออกไป เมื่ อ ภพออกไป ย อ มทํ า ให ชาติออกไป; เมื่อชาติออกไป ยอมทําใหชรามรณะออกไป, ดังนี้ แล.
(ข. วาดวย ความสําคัญ ๖ เรื่อง)
การเห็นปฏิจจสมุปบาท ชื่อวาการเห็นธรรม๑ ดูก อ นทา นผู ม ีอ ายุทั ้ง หลาย!... ก็แ ล คํ า นี ้ เปน คํ า ที ่พ ระผู ม ีพ ระ ภาคเจา ตรัส ไวแ ลว วา "ผู ใ ดเห็น ปฏิจ จสมุป บาท, ผู นั ้น ชื ่อ วา เห็น ธรรม; ผู ใด เห็นธรรม, ผูนั้นชื่อวาเห็นปฏิจจสมุปบาท", ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! ธรรมทั้ งหลายเหล านี้ ชื่ อ ว า ปฏิ จ จสมุ ป ปน นธรรม (ธรรมอาศัย ซึ ่ง กัน และกัน เกิด ขึ ้น ); กลา วคือ ปญ จุป าทานขัน ธทั้ ง หลาย
๑
มหาหัตถิปโทปมสูตร มู.ม. ๑๒/๓๕๙, ๓๖๐/๓๔๖, พระสารีบุตรกลาวแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๔๓
ธรรมใด เป นความพอใจ (ฉนฺ โท) เป นความอาลั ย (อาลโย) เป นความ ติ ดตาม (อนุ นโย) เป นความสยบมั วเมา (อชฺโฌสานํ ) ในอุ ปาทานขันธทั้ งหลาย ๕ ประการ เหลานี้, ธรรมนั้น ชื่อวา เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข (ทุกฺขสมุทโย). ธรรมใด เป น ความนํ า ออกซึ่ ง ฉั น ราคะ (ฉนฺ ท ราควิ น โย) เป น ความ ละขาดซึ่ ง ฉั น ทราคะ (ฉนฺ ท ราคปฺ ป หานํ ) ในอุ ป าทานขั น ธ ทั้ ง หลาย ๕ ประการ เหลานี้, ธรรมนั้น ชื่อวา ความดับไมเหลือแหงทุกข (ทุกฺขนิโรโธ). ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! ด วยการปฏิ บั ติ มี ประมาณเพี ยงเท านี้ แล คําสอนของพระผูมีพระภาคเจา ชื่อวาเปนสิ่งที่ภิกษุประพฤติกระทําใหมากแลวดังนี้. ห ม าย เห ตุ ผู รวบ รวม : ผู รั ก ษ าค วรถื อ ว า คํ า กล า วของพ ระสารี บุ ตรใน ลั ก ษณะเช น นี้ มี ค วามหมายเท า กั บ เป น พระพุ ท ธภาษิ ต ที่ มี อ ยู ว า “ผู ใ ดเห็ น ธรรม ผู นั้ น เ ห ็ น ต ถ า ค ต ; ผู ใ ด เ ห ็ น ต ถ า ค ต ผู นั้ น เ ห ็ น ธ ร ร ม ” ; ซึ ่ ง เ ป น เ ค ร ด ิ ต แ ก ปฏิ จ จสมุ ป บาท ว า เป น ตั ว ธรรม ที่ มี ค า เท า กั บ ว า ถ า เห็ น แล ว เป น การเห็ น ตถาคต ในรู ป แห ง ธรรม หรื อ ธรรมกาย นั่ น เอง. ข อ นี้ แ สดงว า เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท เป น เรื่ อ งที่ ค วรสน ใจ กวาเรื่องอื่นๆ ที่เรียกวา “ธรรม” ดวยกัน
www.buddhadasa.info ปฏิจจสมุปบาทคือกฎแหงธรรมทิฏฐิ-ธรรมนิกาย (ในฐานะเปนกฎสูงสุดของธรรมชาติ)๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราจั กแสดงซึ่ งปฏิ จจสมุ ปบาท (คื อธรรมอั นเป น ธรรมชาติ อ าศั ย กั น แล ว เกิ ด ขึ้ น ) แก พ วกเธอทั้ งหลาย. พวกเธอทั้ งหลาย จงฟ ง ซึ่ ง ปฏิจจสมุปบาทนั้น, จงทําในใจใหสําเร็จประโยชน, เราจักกลาวบัดนี้...
๑
สูตรที่ ๑๐ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๓๐/๖๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย. ที่เชตวัน เมืองสาวัตถี.
www.buddhadasa.info
๔๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ปฏิจจสมุปบาท เปนอยางไรเลา? (๑) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะชาติเปนปจจัย ชรามรณะยอมมี. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระตถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, จะไม บั ง เกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม, ธรรมธาตุ นั้ น ย อ มตั้ ง อยู แ ล ว นั่ น เที ย ว; คื อ ความตั้ ง อยู แห งธรรมดา (ธั ม มั ฏ ฐิ ต ตา), คื อ ความเป น กฎตายตั วแห งธรรมดา (ธั ม มนิ ย ามตา), คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปจจยตา). ตถาคต ย อมรู พร อมเฉพาะ ย อมถึ งพร อมเฉพาะ ซึ่ งธรรมธาตุ นั้ น; ครั้ นรู พร อมเฉพาะแล ว ถึ งพร อ มเฉพาะแล ว, ย อ มบอก ย อมแสดง ย อ มบั ญ ญั ติ ย อ มตั้ ง ขึ้ น ไว ย อมเป ดเผย ย อมจํ าแนกแจกแจง ย อ มทํ าให เป นเหมื อนการหงายของที่ ค ว่ํ า; และได กล าวแล วในบั ดนี้ ว า "ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ท านทั้ งหลายจงมาดู : เพราะชาติ เปนปจจัย ชรามรณะยอมมี" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ดั ง นี้ แ ล: ธรรมธาตุ ใ ด ในกรณี นั้ น อั นเป น ตถตา คื อความเป นอย างนั้ น, เป น อวิ ตถตา คื อความไม ผิ ดไปจากความเป น อย างนั้ น, เป น อนั ญ ญถตา คื อความไม เป นไปโดยประการอื่ น, เป น อิ ทั ป ป จจยตา คื อความที่ เมื่ อมี สิ่ งนี้ สิ่ งนี้ เป นป จจั ย สิ่ งนี้ สิ่ งนี้ จึ งเกิ ดขึ้ น; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมนี้ เราเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเปนธรรมชาติ อาศัยกันแลวเกิดขึ้น). (๒) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะภพเปนปจจัย ชาติยอมมี. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระคถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, จะไมบังเกิดขึ้นก็ตาม, ธรรมธาตุนั้น ยอมตั้งอยูแลวนั่นเทียว; คือความตั้งอยู
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๔๕
แห ง ธรรมดา, คื อ ความเป น กฎตายตั ว แห ง ธรรมดา, คื อ ความที่ เมื่ อ มี สิ่ ง นี้ สิ่ ง นี้ เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. ตถาคต ย อมรู พร อมเฉพาะ ย อมถึ งพร อมเฉพาะ ซึ่ งธรรมธาตุ นั้ น; ครั้นรู พร อมเฉพาะแล ว ถึ งพร อมเฉพาะแล ว, ย อมบอก ย อมแสดง ย อมบั ญ ญั ติ ย อมตั้ ง ขึ้ นไว ย อมเป ดเผย ย อมจํ าแนกแจกแจง ย อมทํ าให เป นเหมื อนการหงายของที่ คว่ํ า; และได กล าวแล วในบั ดนี้ ว า "ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ท านทั้ งหลายจงมาดู : เพราะภพ เปนปจจัย ชาติยอมมี" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ดั ง นี้ แ ล: ธรรมธาตุ ใด ในกรณี นั้ น อั นเป น ตถตา คื อความเป นอย างนั้ น, เป น อวิ ตถตา คื อความไม ผิ ดไปจากความเป น อย างนั้ น, เป น อนั ญ ญถตา คื อความไม เป นไปโดยประการอื่ น, เป น อิ ทั ปป จจยตา คื อความที่ เมื่ อมี สิ่ งนี้ สิ่งนี้ เป นป จจั ย สิ่งนี้ สิ่ งนี้ จึ งเกิ ดขึ้น; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมนี้ เราเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเปนธรรมชาติ อาศัยกันแลวเกิดขึ้น).
www.buddhadasa.info (๓) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอุปาทานเปนปจจัย ภพยอมมี.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระคถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, จะไม บั งเกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม ธรรมธาตุ นั้ น ย อ มตั้ งอยู แ ล ว นั่ น เที ย ว; คื อ ความตั้ งอยู แ ห ง ธรรมดา, คื อ ความเป น กฎตายตั ว แห ง ธรรมดา, คื อ ความที่ เมื่ อ มี สิ่ ง นี้ สิ่ ง นี้ เป น ปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
ตถาคต ย อมรู พร อมเฉพาะ ย อมถึ งพร อมเฉพาะ ซึ่ งธรรมธาตุ นั้ น; ครั้นรู พรอมเฉพาะแลว ถึงพรอมเฉพาะแลว, ยอมบอก ยอมแสดง ยอมบัญญัติ ยอมตั้ง
www.buddhadasa.info
๔๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
ขึ้ น ไว ย อ มเป ด เผย ย อ มจํ า แนกแจกแจง ย อ มทํ าให เป น เหมื อ นการหงายของที่ ค ว่ํ า; และได กล าวแล วในบั ดนี้ ว า "ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ท านทั้ งหลายจงมาดู : เพราะอุ ปาทาน เปนปจจัย ภพยอมมี" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ดั ง นี้ แ ล : ธรรมธาตุ ใ ด ในกรณี นั้ น อั นเป น ตถตา คื อความเป นอย างนั้ น, เป น อวิ ตถตา คื อความไม ผิ ดไปจากความเป น อย างนั้ น , เป น อนั ญ ญถตา คื อ ความไม เป น ไปโดยประการอื่ น , เป น อิ ทั ป ป จ จยตา คื อความที่ เมื่ อมี สิ่ งนี้ สิ่ งนี้ เป นป จจั ย สิ่ งนี้ สิ่ งนี้ จึ งเกิ ดขึ้ น ; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมนี้ เราเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเปนธรรมชาติ อาศัยกันแลวเกิดขึ้น). (๔) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะตัณหาเปนปจจัย อุปาทานยอมมี. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระคถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, จะไม บั ง เกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม ธรรมธาตุ นั้ น ย อ มตั้ ง อยู แ ล ว นั่ น เที ย ว ; คื อ ความตั้ ง อยู แห ง ธรรมดา, คื อ ความเป น กฎตายตั ว แห ง ธรรมดา, คื อ ความที่ เ มื่ อ มี สิ่ ง นี้ สิ่ ง นี้ เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
www.buddhadasa.info ตถาคต ย อมรู พ ร อมเฉพาะ ย อมถึ งพร อมเฉพาะ ซึ่ งธรรมธาตุ นั้ น; ครั้ น รู พร อมเฉพาะแล ว ถึ งพร อมเฉพาะแล ว, ย อมบอก ย อมแสดง ย อมบั ญ ญั ติ ย อมตั้ งขึ้ นไว ย อ มเป ดเผย ย อ มจํ าแนกแจกแจง ย อ มทํ าให เป นเหมื อนการหงายของที่ คว่ํ า; และได กล า วแล ว ในบั ด นี้ ว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ท า นทั้ ง หลายจงมาดู : เพราะตั ณ หา เปนปจจัย อุปาทานยอมมี" ดังนี้.
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ดั ง นี้ แ ล: ธรรมธาตุ ใ ด ในกรณี นั้ น อันเปน ตถตา คือความเปนอยางนั้น, เปน อวิตถตา คือความไมผิดไปจากความเปน
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๔๗
อย างนั้ น, เป น อนั ญ ญถตา คื อความไม เป นไปโดยประการอื่ น, เป น อิ ทั ปป จจยตา คือความที่ เมื่ อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป นปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ; ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมนี้ เราเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเปนธรรมชาติ อาศัยกันแลวเกิดขึ้น). (๕) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะเวทนาเปนปจจัย ตัณหายอมมี. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระคถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, จะไม บั ง เกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม ธรรมธาตุ นั้ น ย อ มตั้ ง อยู แ ล ว นั่ น เที ย ว; คื อ ความตั้ ง อยู แห ง ธรรมดา, คื อ ความเป น กฎตายตั ว แห ง ธรรมดา, คื อ ความที่ เมื่ อ มี สิ่ ง นี้ สิ่ ง นี้ เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. ตถาคต ย อมรูพรอมเฉพาะ ย อมถึ งพรอมเฉพาะ ซึ่ งธรรมธาตุ นั้ น; ครั้ นรู พรอมเฉพาะแลว ถึงพรอมเฉพาะแลว, ยอมบอก ยอมแสดง ย อมบั ญญั ติ ยอมตั้งขึ้นไว ย อมเป ดเผย ย อมจํ าแนกแจกแจง ย อมทํ าให เป นเหมื อนการหงายของที่ คว่ํ า; และได กล า วแล ว ในบั ด นี้ ว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ท า นทั้ ง หลายจงมาดู : เพราะเวทนา เปนปจจัย ตัณหายอมมี" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ดั ง นี้ แ ล: ธรรมธาตุ ใ ด ในกรณี นั้ น อั นเป น ตถตา คื อความเป นอย างนั้ น, เป น อวิตถตา คื อความไม ผิ ดไปจากความเป น อย างนั้ น, เป น อนั ญ ญถตา คื อความไม เป นไปโดยประการอื่ น, เป น อิ ทั ปป จจยตา คื อความที่ เมื่ อมี สิ่ งนี้ สิ่งนี้ เป นป จจั ย สิ่งนี้ สิ่ งนี้ จึ งเกิ ดขึ้น; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมนี้ เราเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเปนธรรมชาติ อาศัยกันแลวเกิดขึ้น). (๖) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะผัสสะเปนปจจัย เวทนายอมมี. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระคถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, จะไมบังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ยอมตั้งอยูแลวนั่นเทียว; คือความตั้งอยู
www.buddhadasa.info
๔๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
แห ง ธรรมดา, คื อ ความเป น กฎตายตั ว แห ง ธรรมดา, คื อ ความที่ เ มื่ อ มี สิ่ ง นี้ สิ่ ง นี้ เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. ตถาคต ย อมรู พ ร อมเฉพาะ ย อมถึ งพร อมเฉพาะ ซึ่ งธรรมธาตุ นั้ น; ครั้ น รู พร อ มเฉพาะแล ว ถึ งพร อ มเฉพาะแล ว , ย อ มบอก ย อ มแสดง ย อ มบั ญ ญั ติ ย อ มตั้ ง ขึ้ น ไว ย อ มเป ด เผย ย อ มจํ า แนกแจกแจง ย อ มทํ าให เป น เหมื อ นการหงายของที่ ค ว่ํ า; และได ก ล า วแล ว ในบั ด นี้ ว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ท า นทั้ ง หลายจงมาดู : เพราะ ผัสสะเปนปจจัย เวทนายอมมี" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ดั ง นี้ แ ล : ธรรมธาตุ ใ ด ในกรณี นั้ น อั นเป น ตถตา คื อความเป นอย างนั้ น, เป น อวิ ตถตา คื อความไม ผิ ดไปจากความเป น อย างนั้ น , เป น อนั ญ ญถตา คื อ ความไม เป น ไปโดยประการอื่ น , เป น อิ ทั ป ป จ จยตา คื อความที่ เมื่ อมี สิ่ งนี้ สิ่ งนี้ เป นป จจั ย สิ่ งนี้ สิ่ งนี้ จึ งเกิ ดขึ้ น; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมนี้ เราเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเปนธรรมชาติ อาศัยกันแลวเกิดขึ้น).
www.buddhadasa.info (๗) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะสฬายตนะเปนปจจัย ผัสสะยอมมี.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระคถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, จะไม บั ง เกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม ธรรมธาตุ นั้ น ย อ มตั้ ง อยู แ ล ว นั่ น เที ย ว; คื อ ความตั้ ง อยู แห ง ธรรมดา, คื อ ความเป น กฎตายตั ว แห ง ธรรมดา, คื อ ความที่ เ มื่ อ มี สิ่ ง นี้ สิ่ ง นี้ เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. ตถาคต ย อมรู พ ร อมเฉพาะ ย อ มถึ งพร อ มเฉพาะ ซึ่ งธรรมธาตุ นั้ น; ครั้ น รู พร อ มเฉพาะแล ว ถึ งพร อ มเฉพาะแล ว , ย อ มบอก ย อ มแสดง ย อ มบั ญ ญั ติ ย อ มตั้ ง ขึ้นไว ยอมเปดเผย ยอมจําแนกแจกแจง ยอมทําใหเปนเหมือนการหงายของที่คว่ํา;
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๔๙
และได ก ล า วแล ว ในบั ด นี้ ว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ท า นทั้ ง หลายจงมาดู : เพราะ สฬายตนะเปนปจจัย ผัสสะยอมมี" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ดั ง นี้ แ ล: ธรรมธาตุ ใ ด ในกรณี นั้ น อั นเป น ตถตา คื อความเป นอย างนั้ น, เป น อวิตถตา คื อความไม ผิ ดไปจากความเป น อย างนั้ น, เป น อนั ญ ญถตา คื อความไม เป นไปโดยประการอื่ น, เป น อิ ทั ปป จจยตา คือความที่ เมื่ อมี สิ่งนี้ สิ่งนี้ เป นปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น; ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! ธรรมนี้ เราเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเปนธรรมชาติ อาศัยกันแลวเกิดขึ้น). (๘) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะนามรูปเปนปจจัย สฬายตนะยอมมี. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระคถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, จะไม บั ง เกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม, ธรรมธาตุ นั้ น ย อ มตั้ งอยู แ ล ว นั่ น เที ย ว; คื อ ความตั้ ง อยู แห ง ธรรมดา, คื อ ความเป น กฎตายตั ว แห ง ธรรมดา, คื อ ความที่ เมื่ อ มี สิ่ ง นี้ สิ่ ง นี้ เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
www.buddhadasa.info ตถาคต ย อมรูพรอมเฉพาะ ย อมถึ งพรอมเฉพาะ ซึ่ งธรรมธาตุ นั้ น; ครั้ นรู พรอมเฉพาะแล ว ถึ งพรอมเฉพาะแล ว, ย อมบอก ย อมแสดง ย อมบั ญ ญั ติ ย อมตั้ ง ขึ้ นไว ย อมเป ดเผย ย อมจํ าแนกแจกแจง ย อมทํ าให เป นเหมื อนการหงายของที่ คว่ํ า; และได ก ล า วแล ว ในบั ด นี้ ว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ท า นทั้ ง หลายจงมาดู : เพราะ นามรูปเปนปจจัย สฬายตนะยอมมี" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ดั ง นี้ แ ล : ธรรมธาตุ ใ ด ในกรณี นั้ น อันเปน ตถตา คือความเปนอยางนั้น, เปน อวิตถตา คือความไมผิดไปจากความเปน
www.buddhadasa.info
๕๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
อย างนั้ น, เป น อนั ญ ญถตา คื อความไม เป นไปโดยประการอื่ น, เป น อิ ทั ปป จจยตา คื อความที่ เมื่ อมี สิ่ งนี้ สิ่ งนี้ เป นป จจั ย สิ่ งนี้ สิ่ งนี้ จึ งเกิ ดขึ้ น; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมนี้ เราเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเปนธรรมชาติ อาศัยกันแลวเกิดขึ้น). (๙) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะวิญญาณเปนปจจัย นามรูปยอมมี. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระคถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, จะไม บั ง เกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม ธรรมธาตุ นั้ น ย อ มตั้ ง อยู แ ล ว นั่ น เที ย ว; คื อ ความตั้ ง อยู แห ง ธรรมดา, คื อ ความเป น กฎตายตั ว แห ง ธรรมดา; คื อ ความที่ เ มื่ อ มี สิ่ ง นี้ สิ่ ง นี้ เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. ตถาคต ย อมรู พร อมเฉพาะ ย อมถึ งพร อมเฉพาะ ซึ่ งธรรมธาตุ นั้ น; ครั้ นรู พร อมเฉพาะแล ว ถึ งพรอมเฉพาะแล ว, ย อ มบอก ย อ มแสดง ย อ มบั ญ ญั ติ ย อมตั้ ง ขึ้ น ไว ย อ มเป ดเผย ย อมจํ าแนกแจกแจง ย อมทํ าให เป น เหมื อนการหงายของที่ คว่ํ า; และได ก ล า วแล ว ในบั ด นี้ ว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ท า นทั้ ง หลายจงมาดู : “เพราะ วิญญาณเปนปจจัย นามรูปยอมมี” ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ดั ง นี้ แ ล: ธรรมธาตุ ใ ด ในกรณี นั้ น อั นเป น ตถตา คื อความเป นอย างนั้ น, เป น อวิ ตถตา คื อความไม ผิ ดไปจากความเป น อย างนั้ น, เป น อนั ญ ญถตา คื อความไม เป นไปโดยประการอื่ น, เป น อิ ทั ป ป จจยตา คื อความที่ เมื่ อมี สิ่ งนี้ สิ่ งนี้ เป นป จจั ย สิ่ งนี้ สิ่ งนี้ จึ งเกิ ดขึ้ น; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมนี้ เราเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเปนธรรมชาติ อาศัยกันแลวเกิดขึ้น). (๑๐) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะสังขารเปนปจจัย วิญญาณยอมมี.
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๕๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระคถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, จะไม บั ง เกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม ธรรมธาตุ นั้ น ย อ มตั้ ง อยู แ ล ว นั่ น เที ย ว; คื อ ความตั้ ง อยู แห ง ธรรมดา, คื อ ความเป น กฎตายตั ว แห ง ธรรมดา, คื อ ความที่ เมื่ อ มี สิ่ ง นี้ สิ่ ง นี้ เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. ตถาคต ย อมรูพรอมเฉพาะ ย อมถึ งพรอมเฉพาะ ซึ่ งธรรมธาตุ นั้ น; ครั้ นรู พรอมเฉพาะแล ว ถึ งพรอมเฉพาะแล ว, ย อมบอก ย อมแสดง ย อมบั ญ ญั ติ ย อมตั้ ง ขึ้ นไว ย อมเป ดเผย ย อมจํ าแนกแจกแจง ย อมทํ าให เป นเหมื อนการหงายของที่ คว่ํ า; และได ก ล า วแล ว ในบั ด นี้ ว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ท า นทั้ ง หลายจงมาดู : เพราะ สังขารเปนปจจัย วิญญาณยอมมี" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ดั ง นี้ แ ล: ธรรมธาตุ ใ ด ในกรณี นั้ น อั นเป น ตถตา คื อความเป นอย างนั้ น, เป น อวิตถตา คื อความไม ผิ ดไปจากความเป น อย างนั้ น, เป น อนั ญ ญถตา คื อความไม เป นไปโดยประการอื่ น, เป น อิ ทั ปป จจยตา คือความที่ เมื่ อมี สิ่งนี้ สิ่งนี้ เป นปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น; ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! ธรรมนี้ เราเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเปนธรรมชาติ อาศัยกันแลวเกิดขึ้น).
www.buddhadasa.info (๑๑) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะอวิ ช ชาเป น ป จ จั ย สั ง ขารทั้ ง หลาย
ยอมมี.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ที่ พระคถาคตทั้ งหลาย จะบั งเกิ ดขึ้ นก็ ตาม, จะไม บั ง เกิ ด ขึ้ น ก็ ต าม, ธรรมธาตุ นั้ น ย อ มตั้ งอยู แ ล ว นั่ น เที ย ว; คื อ ความตั้ ง อยู แห ง ธรรมดา, คื อ ความเป น กฎตายตั ว แห ง ธรรมดา, คื อ ความที่ เมื่ อ มี สิ่ ง นี้ สิ่ ง นี้ เปนปจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
www.buddhadasa.info
๕๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
ตถาคต ย อมรู พร อมเฉพาะ ย อมถึ งพร อมเฉพาะ ซึ่ งธรรมธาตุ นั้ น; ครั้ นรู พร อมเฉพาะแล ว ถึ งพรอมเฉพาะแล ว, ย อ มบอก ย อ มแสดง ย อ มบั ญ ญั ติ ย อมตั้ ง ขึ้ น ไว ย อ มเป ดเผย ย อมจํ าแนกแจกแจง ย อมทํ าให เป น เหมื อนการหงายของที่ คว่ํ า; และได ก ล า วแล ว ในบั ด นี้ ว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ท า นทั้ ง หลายจงมาดู : เพราะ อวิชชาเปนปจจัย สังขารทั้งหลายยอมมี" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ ดั ง นี้ แ ล : ธรรมธาตุ ใ ด ในกรณี นั้ น อั นเป น ตถตา คื อความเป นอย างนั้ น, เป น อวิ ตถตา คื อความไม ผิ ดไปจากความเป น อย างนั้ น, เป น อนั ญ ญถตา คื อความไม เป นไปโดยประการอื่ น, เป น อิ ทั ป ป จจยตา คื อความที่ เมื่ อมี สิ่ งนี้ สิ่ งนี้ เป นป จจั ย สิ่ งนี้ สิ่ งนี้ จึ งเกิ ดขึ้ น; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมนี้ เราเรียกวา ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเปนธรรมชาติ อาศัยกันแลวเกิดขึ้น).
ปฏิจจสมุปบาท เปนเรื่องลึกและดูลึก๑ พระอานท ได กราบทู ล พระผู มี พ ระภาคเจ าว า " น าอั ศจรรย พระเจ าข า! ไม เคยมี แ ล ว พระเจ าข า! ข าแต พระองค ผู เจริญ! ก็ ปฏิ จจสมุ ปบาทนี้ เขาร่ําลื อกั นวาเป นธรรมลึ ก๒ด วย ดู ท าทางราวกะว า เปนธรรมลึกดวย แตปรากฏแกขาพระองคเหมือนกับเปนธรรมตื้น ๆ".
www.buddhadasa.info ๑
สู ตรที่ ๑๐ ทุ กขวรรค อภิ สมยสั งยุ ตต นิ ทาน. สํ . ๑๖/๑/๒๒๕, ตรั สแก พระอานนท ที่ กั มมาสทั มมนิ คม; มหานิ ทานสู ตร มหา. ที่ . ๑๐/๖๕/๕๗, ตรั สแก พระอานนท ที่ กั มมาสทั มมนิ คม [มหานิ ทานสู ตรนี้ ไม มี คําวา "เพราะไมรู" (อฺฺาณา)]. ๒ ความลึ กของปฏิ จจสมุ ปบาทนี้ อรรถกถาอธิ บายว า เป นของลึ กเกิ นประมาณ และมี ลั กษณะปรากฏแก ตา ผู ดู รูสึ กว าลึ กเหลื อประมาณด วย เปรียบได กั บความลึ กของมหาสมุ ทรที่ มี อยู ที่ เชิ งเขาสิ เนรุ; ไม เหมื อนกั บ ความลึ กของน้ํ าเน าสี ดํ า เพราะใบไม หมั กหมมอยู ภายใต ซึ่ งหลอกตาให รูสึ กว าเป นของลึ ก น ากลั ว แต ความจริงตื้ นแค เขา. ข อความในอรรถกถาตอนนี้ มี สิ่ งที่ ควรสั งเกตเป นพิ เศษตรงที่ กล าวไววา มี มหาสมุ ทร อั นลึ กเหลื อประมาณ ตั้ งอยู ที่ เชิ งเขาสิ เนรุ คื อภู เขาหิ มาลั ย. ผู ได ฟ งในบั ดนี้ ไม อาจจะเข าใจได เพราะ มหาสมุ ทรอิ นเดี ย ในบั ดนี้ อยู ไกลเชิ งเขาหิ มาลั ยตั้ งพั นไมล แต เผอิ ญไปตรงกั บเค าเงื่ อนที่ นั กธรณี วิทยา แห งยุ คป จจุ บั นได มี มติ กั นวา ประเทศอิ นเดี ยสมั ยดึ กดํ าบรรพ พื้ นที่ ระหวางภู เขาหิ มาลั ยทางเหนื อ กั บ ภู เขาวิ น ธั ยทางใต นั้ น ลุ ม ลึ กเป นทะเล. ดั งนั้ น ข อความในอรรถกถานี้ จะถู กผิ ดหรื อ เพ อ เจ อ ประการใด ขอฝากไว เพื่ อการพิ จารณา -อรรถกถา สุ มั งคลวิ ลาสิ นี ภาค ๒ หน า ๑๐๖. นอกจากนี้ ก็ ยั งมี พระบาลี (สตฺ ต ก. อํ . ๒๓/๑๐๒/๖๓) ที่ ก ล า วว า ภู เขาสิ เนรุ นั้ น หยั่ ง ลงในมหาสมุ ท ร ลึ ก ถึ ง ๘๔,๐๐๐ โยชน ; นับวาเปนสิ่งที่ยังเขาใจไมได จะตองสันนิษฐานกันตอไป.
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๕๓
ดู ก อ นอานนท ! อย า กล า วอย า งนั้ น . ดู ก อ นอานนท ! อย า กล า ว อย า งนั้ น . ก็ ป ฏิ จ จสมุ ป บาทนี้ ลึ ก ซึ้ ง ด ว ย มี ลั ก ษณ ะดู เ ป น ธรรมลึ ก ซึ้ ง ด ว ย. ดู ก อ นอานนท ! เพราะไม รู เพราะไม รู ต ามลํ าดั บ เพราะไม แ ทงตลอด ซึ่ งธรรมคื อ ปฏิจจสมุปบาทนี้ (จิตของ) หมูสัตวนี้ จึงเปนเหมือนกลุมดวยยุง ยุงเหยิงเหมือนความยุง ของกลุ มด ายที่ หนาแน นไปด วยปม พั นกั นยุ งเหมื อนเซิ งหญ ามุ ญชะ และหญ าป พพชะ อยางนี้; ยอมไมลวงพนซึ่งสงสาร ที่เปนอบาย ทุคติ วินิบาตไปได.
ปฏิจจสมุปบาท เปนเรื่องลึกซึ้ง เทากับเรื่องนิพพาน๑ ดู ก อนราชกุ มาร! ความคิ ดข อนี้ ได เกิ ดแก เราว า "ธรรมที่ เราบรรลุ แล วนี้ เป น ธรรมอั น ลึ ก สั ต ว อื่ น เห็ น ได ย าก ยากที่ สั ต ว อื่ น จะรู ต าม เป น ธรรมระงั บ และ ประณีตไมเปนวิสัยที่จะหยั่งลงงาย ๆ แหงความตรึก เปนของละเอียด เปนวิสัยรูไดเฉพาะบัณฑิต. ก็ สั ต ว เหล า นี้ มี อ าลั ย เป น ที่ ม ายิ น ดี ยิ น ดี แ ล ว ในอาลั ย เพลิ ด เพลิ น แล ว ในอาลั ย ; สําหรับสั ตวผู มี อาลัยเป นที่ มายินดี ยินดี เพลิ ดเพลินในอาลัยนั้ น ยากนั กที่ จะเห็ นสิ่งนี้ คื อ ปฏิ จจสมุ ปบาท กล าวคื อความที่ สิ่ งนี้ ๆ เป นป จจั ยแก สิ่ งนี้ ๆ (อิ ทปฺ ปจฺ จยตา ปฎิจฺจสมุปฺปาโท); และยากนักที่จะเห็นแมสิ่งนี้ คือนิพพาน อันเปนธรรมเปนที่สงบ ระงับแหงสังขารทั้งปวง เปนธรรมอันสลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เปนที่สิ้นไปแหงตัณหา
www.buddhadasa.info
๑
โพธิ ราชกุ ม ารสู ต ร ราชวรรค มู ม. ๑๓/๔๖๑/๕๐๙, ตรั ส แก โพธิ ราชกุ ม าร ที่ โกกนุ ทปราสาท เมื อง
สุ งสุ มารคิ ระ; ปาสราสิ สู ตร มู .ม. ๑๒/๓๒๓/๓๒๑, ตรัสแก ภิ กษุ ทั้ งหลาย ที่ เชตวั น. (มี เนื้ อความ เหมือนกันทุกตัวอักษรตางกันแตวาตรัสคนละคราว เพราะตรัสแกผูฟงตางคนกัน คือครั้งหนึ่งตรัสแก โพธิราชกุมาร ครั้งหนึ่งตรัสแกภิกษุทั้งหลาย).
www.buddhadasa.info
๕๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
เป นความจางคลาย เป นความดั บไม เหลื อแห งทุ กข . หากเราพึ งแสดงธรรมแล วสั ตว อื่ น ไม พึ งรู ทั่ วถึ ง ข อ นั้ น จั ก เป น ความเหนื่ อ ยเปล าแก เรา, เป น ความลํ าบากแก เรา". โอ, ราชกุ มาร! คาถาอั นน าเศร า (อนจฺ ฉริ ยา) เหล านี้ ที่ เราไม เคยฟ งมาแต ก อน ได ปรากฏ แจมแจงแกเราวา:"กาลนี้ ไมควรประกาศธรรมที่เราบรรลุไดแลวโดยยาก. ธรรมนี้ สัตวที่ถูกราคะโทสะปดกั้นแลว ไมรูไดโดย งายเลย. สัตวผูกําหนัดแลวดวยราคะอันความมืด หอหุมแลว จักไมเห็นธรรมอันไปทวนกระแส อันเปน ธรรมละเอียด ลึกซึ้ง เห็นไดยาก เปนอณู" ดังนี้. (ยังมีอีกสูตรหนึ่ง๑ ซึ่งมีเนื้อความเหมือนกันกับขอความขางบนนี้ แตเปนคํากลาวของพระ พุทธเจาวิปสสี นํามาตรัสเลาโดยพระพุทธเจาพระองคนี้ ดังตอไปนี้:-
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ครั้งนั้ นแล พระผู มี พระภาคอรหั นตสั มมาสั มพุ ทธเจ า พระนามว า วิ ป ส สี ได ท รงพระดํ า ริ ว า "ถ า อย า งไร เราพึ ง แสดงธรรมเถิ ด " ดั ง นี้ . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ น พระผู มี พระภาคอรหั นตสั มมาสั มพุ ทธเจ าพระนามว า วิ ป ส สี ได ท รงพระดํ าริ อี ก ว า "ธรรมที่ เราบรรลุ แ ล ว นี้ เป น ธรรมอั น ลึ ก สั ต ว อื่ น เห็ น ได ยาก ยากที่ สั ตว อื่ นจะรู ตาม เป นธรรมระงั บและปราณี ต ไม เป นวิ สั ยที่ จะหยั่ งลงง ายๆ แห งความตรึ ก เป นของละเอี ยด เป นวิ สั ยรู ได เฉพาะบั ณ ฑิ ต. ก็ สั ตว เหล านี้ มี อาลั ย เปนที่มายินดี ยินดีแลวในอาลัย เพลิดเพลินแลวในอาลัย; สําหรับสัตวผูมีอาลัยเปนที่มา
www.buddhadasa.info
๑
มหาปทานสูตร มหา. ที่.๑๐/๔๑/๔๒, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๕๕
ยิ น ดี ยิ น ดี เพลิ ดเพลิ น ในอาลั ยนั้ น ยากนั กที่ จะเห็ น สิ่ งนี้ คื อ อิ ทั ป ป จจยตาปฏิ จจสมุ ปบาท (ปฏิ จจสมุ ปบาทกล าวคื อความที่ สิ่ งนี้ ๆ เป นป จจัยแก สิ่ งนี้ ๆ); และยากนั ก ที่ จะเห็ นแม สิ่ งนี้ คื อนิ พพาน อั นเป นธรรมเป นที่ สงบระงับแห งสั งขารทั้ งปวง เป นธรรม อั นสลั ดคื นซึ่ งอุ ปธิ ทั้ งปวง เป นที่ สิ้ นไปแห งตั ณหา เป นความจางคลาย เป นความดั บ ไม เหลื อ แห งทุ ก ข . หากเราพึ งแสดงธรรมแล ว สั ต ว อื่ น ไม พึ งรูทั่ วถึ ง ข อ นั้ น จั ก เป น ความเหนื่อยเปลาแกเรา, เปนความลําบากแกเรา" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ได ยิ น ว า คาถาอั น น าเศร า (อนจฺ ฉริ ยา) เหล านี้ ซึ่งพระองคไมเคยสดับมาแตกอน ไดแจมแจงกะพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา พระนามวาวิปสสี ดังนี้วา "กาลนี้ ไมควรประกาศธรรมที่เราบรรลุไดแลวโดยยาก. ธรรมนี้ สัตวที่ถูกราคะโทสะปดกั้นแลว ไมรูไดโดย งายเลย. สัตวผูกําหนัดแลวดวยราคะ อันความมืด หอหุมแลว จักไมเห็นธรรมอันไปทวนกระแส อันเปน ธรรมละเอียด ลึกซึ้ง เห็นไดยาก เปนอณู" ดังนี้.
นรกเพราะไมรูปฏิจจสมุปบาทรอนยิ่งกวานรกไหนหมด www.buddhadasa.info ๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นรกชื่ อว ามหาปริ ฬาหะ มี อยู . ในนรกนั้ น, บุ คคล ยังเห็นรูปอยางใดอยางหนึ่งไดดวยจักษุ แตไดเห็นรูปที่ไมนาปรารถนาอยางเดียว ไมเห็น
๑
สู ตรที่ ๓ ปปาตวรรค สั จจสั งยุ ตต มหาวาร.สํ . ๑๙/๕๖๒/๑๗๓๑, ตรั สแก ภิ กษุ ทั้ งหลาย ที่ คิ ชฌกู ฏบรรพต นครราชคฤห ; ในที่ อื่ น (สู ตรที่ ๒ เทวทหวรรค สฬา. สํ . ๑๘/๑๕๘/๒๑๔) พระองค ตรั สเรี ยกนรก ชนิดนี้วา ผัสสายตสิกนรก ซึ่งก็ลวนแตเปนนรกในปจจุบันสําหรับสัตวที่ยังมีความรูสึกอยู ดวยกันทั้งนั้น.
www.buddhadasa.info
๕๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
รู ป ที่ น า ปราถนาเลย; เห็ น รู ป ที่ ไม น า ใคร อ ย า งเดี ย ว ไม เห็ น รู ป ที่ น า ใคร เลย; เห็ น รู ป ที่ ไ ม น า พอใจอย า งเดี ย ว ไม เห็ น รู ป ที่ น า พอใจเลย. ในนรกนั้ น , บุ ค คลยั ง ฟ ง เสี ย ง อย างใดอย างหนึ่ งด วยโสตะ แต ได ฟ งเสี ย งที่ ไม น าปรารถนาอย างเดี ยว ไม ได ฟ งเสี ย ง ที่ น าปรารถนาเลย; ฟ งเสี ยงที่ ไม น าใคร อย างเดี ยว ไม ได ฟ งเสี ยงที่ น าใคร เลย; ฟ งเสี ยง ที่ ไม น าพอใจอย างเดี ยว ไม ได ฟ งเสี ยงที่ น าพอใจเลย. ในนรกนั้ น, บุ คคลยั งรู สึ กกลิ่ น อย างใดอย างหนึ่ งได ด วยฆานะ แต ได รู สึ กกลิ่ นที่ ไม น าปรารถนาอย างเดี ยว ไม ได รู สึ กกลิ่ น ที่ น า ปรารถนาเลย; ได รู สึ ก กลิ่ น ที่ ไ ม น า ใคร อ ย า งเดี ย ว ไม ไ ด รู สึ ก กลิ่ น ที่ น า ใคร เลย; ได รู สึ ก กลิ่ น ที่ ไม น าพอใจอย างเดี ย ว ไม ได รู สึ ก กลิ่ น ที่ น าพอใจเลย. ในนรกนั้ น , บุ ค คล ยั ง ลิ้ ม รสอย า งใดอย า งหนึ่ ง ได ด ว ยชิ ว หา แต ได ลิ้ ม รสที่ ไม ป รารถนาอย า งเดี ย ว ไม ได ลิ้ ม รสที่ น า ปราถนาเลย; ได ลิ้ ม รสที่ ไ ม น า ใคร อ ย า งเดี ย ว ไม ไ ด ลิ้ ม รสที่ น า ใคร เ ลย; ได ลิ้ ม รสที่ ไม น าพอใจอย างเดี ย ว ไม ได ลิ้ ม รสที่ น าพอใจเลย. ในนรกนั้ น , บุ ค คลยั งถู ก ต อ งโผฏฐั พ พะอย างใดอย างหนึ่ งได ด วยกาย แต ได ถู ก ต อ งโผฏฐั พ พะที่ ไม น าปรารถนา อย างเดี ยว ไม ได ถู กต องโผฏฐั พพะที่ น าปรารถนาเลย; ได ถู กต องโผฏฐั พพะที่ ไม น าใคร อย า งเดี ย ว ไม ได ถู ก ต อ งโผฏฐั พ พะที่ น า ใคร เลย; ไดถู ก ต อ งโผฏฐั พ พะที่ ไม น า พอใจ อย างเดี ย ว ไม ได ถู ก ต องโผฏฐั พ พะที่ น าพอใจเลย, ในรกนั้ น , บุ ค คลยั งรู สึ ก ธั ม มารมณ อย างใดอย างหนึ่ งได ด วยมโน แต ได รู สึ กธั ม มารมณ ที่ ไม น าปรารถนาอย างเดี ยว ไม ได รู สึ ก ธั ม มารมณ ที่ น าปรารถนาเลย; ได รู สึ ก ธั ม มารมณ ที่ ไม น าใคร อ ย างเดี ย ว ไม ได รู สึ ก ธั มมารมณ ที่ น าใคร เลย; ได รู สึ กธั มมารมณ ที่ ไม น าพอใจอย างเดี ยว ไม ได รู สึ กธั มมารมณ ที่นาพอใจเลย.
www.buddhadasa.info เมื่ อพระผู มี พระภาคเจ าตรั สอย างนี้ แล ว ภิ กษุ รู ปหนึ่ งได ทู ลถาม พระผู มี พระภาคเจ าว า "ข าแต
พระองค ผู เจริ ญ ! ความเร า ร อ นนั้ น ใหญ ห ลวงหนอ ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ความ เร า ร อ นนั้ น ใหญ หลวงนั ก หนอ. ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! มี ไ หม พระเจ า ข า : ความ รอนอื่นที่ใหญหลวงกวา นากลัวกวา กวาความรอนนี้?"
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๕๗
ดู ก อ นภิ ก ษุ ! มี อ ยู : ความเร า ร อ นอื่ น ที่ ใ หญ ห ลวงกว า น า กลั ว กว า กวาความรอนนี้. "ขา แตพ ระองคผู เจริญ ! ก็ค วามรอ นอื ่น ที ่ใหญห ลวงกวา นา กลัว กวา กวาความรอนนี้ เปนอยางไรเลา?" ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ สมณะหรือพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมไม รูชั ด ตามความเป น จริ ง ว า "ทุ ก ข เป น อย า งนี้ ๆ "; ว า "เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งทุ ก ข เป น อย า งนี้ ๆ "; ว า "ความดั บ ไม เ หลื อ แห ง ทุ ก ข เป น อย า งนี้ ๆ"; ว า "ข อ ปฏิ บั ติ เครื่อ งทํ า สั ต ว ให ลุ ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข เป น อย า งนี้ ๆ"; สมณพราหมณ เหล านั้ นยอมยินดี ยิ่งในสั งขารทั้ งหลาย อันเป นไปพรอมเพื่ อชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนั สอุปายาส; สมณพราหมณ เหลานั้น ครั้นยินดี ยิ่งในสังขารทั้งหลาย เชนนั้ น แล ว, ย อมปรุงแต งซึ่งสั งขารทั้ งหลายอั นเป นไปพรอมเพื่ อชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาส; สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ น ครั้นปรุงแต งซึ่ งสั งขารทั้ งหลาย เช น นั้ น แล ว , ย อ มเร า ร อ นเพราะความเร า ร อ นแห ง ชาติ (ความเกิ ด ) บ า ง; ย อ ม เร า ร อ นเพราะความเร า ร อ นแห ง ชราบ า ง, ย อ มเร า ร อ นเพราะความเร า ร อ นแห ง มรณะบ าง, ย อมเร าร อนเพราะความเร าร อนแห งโสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาส บ าง: เรากล าวว า "สมณพราหมณ เหล านั้ น ย อมไม พ นจากชาติ ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย คือไมพนจากทุกข" ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ฝายปฏิษักขนัย)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณหรือพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมรู ชั ด ตามความเปนจริงวา "ทุกข เปนอยางนี้ ๆ"; วา "เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข
www.buddhadasa.info
๕๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
เป น อย า งนี้ ๆ"; ว า "ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข เป น อย า งนี้ ๆ"; ว า " ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ า สั ต ว ใ ห ลุ ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข เป น อย า งนี้ ๆ"; สมณพราหมณ เหลา นั ้น ยอ มไมย ิน ดียิ ่ง ในสัง ขารทั ้ง หลาย อัน เปน ไปพรอ มเพื ่อ ชาติช รามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาส; สมณพราหมณ เหล านั้ น ครั้ นไม ยิ นดี ยิ่ งในสั งขาร ทั้ งหลาย เช นนั้ นแล ว, ย อมไม ปรุ งแต งซึ่ งสั งขารทั้ งหลาย อั นเป นไปพร อมเพื่ อชาติ ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาส; สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ น ครั้นไม ปรุ ง แต ง ซึ่ ง สั ง ขารทั้ ง หลาย เช น นั้ น แล ว , ย อ มไม เร า ร อ นเพราะความเร า ร อ นแห ง ชาติ (ความเกิ ด ) บ า ง ย อ มไม เร า ร อ นเพราะความเร า ร อ นแห งชรา บ า ง ย อ มไม เร า ร อ นเพราะความเร า ร อ นแห ง มรณะบ า ง ย อ มไม เ ร า ร อ นเพราะความเร า ร อ น แห งโลกะ ปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสบ าง: เรากล าวว า "สมณพราหมณ เหล านั้ น ย อมหลุ ดพ นจากชาติ ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย คื อหลุ ดพ น จากทุกข" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ นั้ น ในกรณี นี้ พวกเธอทั้ งหลาย พึ งทํ า ความเพี ย ร เพื่ อ ให รู ต ามที่ เป น จริ ง ว า "ทุ ก ข เป น อย า งนี้ ๆ "; ว า " เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แหง ทุก ข เปน อยา งนี ้ ๆ "; วา "ความดับ ไมเ หลือ แหง ทุก ข เปน อยา งนี ้ ๆ"; วา "ขอ ปฏิบ ัต ิเ ครื ่อ งทํ า สัต วใ หล ุถ ึง ความดับ ไมเ หลือ แหง ทุก ข เปน อยา งนี ้ ๆ"; ดังนี้เถิด.
www.buddhadasa.info ห ม า ย เห ต ุผู ร ว บ ร ว ม : ผู ศ ึก ษ า พ ึง สัง เก ต ให เ ห ็น วา น รก ที ่ร อ น ยิ ่ง ก วา นรกนั ้น คือ นรกแหง การไมรู ไ มเ ห็น ซึ ่ง อริย สัจ สี ่; อริย สัจ สี ่โ ดยสมบูร ณ นั ้น คือ ปฏิจ จส มุ ป บ า ท ดั งที่ พ ระ ผู มี พ ระ ภ า ค เจ า ท รงแ ส ด งไว แ ล ว ใน สู ต ร ๑ ม ห า ว รรค ติ ก . อํ .๒๐/๒๒๗/๕๐๑, ซึ่ งนํ ามาใส ไวในหนั งสื อ เล ม นี้ โดยหั วขอ วา “อริ ย สั จ ในรู ป แห ง ปฏิ จ จ-
สมุปบาท มีในขณะแหงเวทนา ” ; โดยเฉพาะอยางยิ่งในขณะกําลังเสวยทุกขอันเกิดมา จากชาติ เป น ต น ; นรกที่ เ กิ ด มาจากการไม เ ห็ น อริ ย สั จ สี่ จึ ง เป น นรกแห ง การไม เ ห็ น ปฏิจจสมุปบาท นั้นเอง ; เรียกสั้นๆ ในที่นี้วา “นรกปฏิจจสมุปบาทรอนยิ่งกวานรก”
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๕๙
ผูแสดงธรรมโดยหลักปฏิจจสมุปบาทเทานั้น จึงชื่อวา "เปนธรรมกถึก"๑ ครั้งหนึ่ง ที่พระเชตวัน ภิกษุ รูปหนึ่งไดเขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจาถึงที่ ประทับ แลวทู ลถามวา "ข าแ ต พ ระอ งค ผู เจ ริ ญ ! ที่ ก ล าว ๆ กั น ว า "ธ รรม ก ถึ ก - ธรรม ก ถึ ก " ดั งนี้ ; ภิ ก ษุ ชื่ อ วาเปนธรรมกถึก ดวยเหตุเพียงเทาไรหนอ พระเจาขา?" ดังนี้. พระผู มี พระภาคเจ าได ตรัสตอบว า "ดู ก อนภิ กษุ ! ถ าภิ กษุ แสดงธรรมเพื่ อความ
เบื ่อ หนา ย เพื ่อ ความคลา ยกํ า หนัด เพื ่อ ความดับ ไมเ หลือ แหง ชราและมรณะ ผูไซร; ก็เปนการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ! ถ าภิ กษุ แสดงธรรมเพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลาย กํ า หนั ด เพื่ อ ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชาติ อยู ไ ซร ; ก็ เป น การสมควรเพื่ อ จะเรี ย ก ภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก". ดู ก อนภิ กษุ ! ถ าภิ กษุ แสดงธรรมเพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลาย กํ า หนั ด เพื่ อ ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ภพ อยู ไ ซร ; ก็ เป น การสมควรเพื่ อ จะเรี ย ก ภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก".
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ! ถ าภิ กษุ แสดงธรรมเพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลาย กํ า หนั ด เพื่ อ ความดั บ ไม เหลื อ แห ง อุ ป าทาน อยู ไ ซร ; ก็ เป น การสมควรเพื่ อ จะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก".
๑
สูตรที่ ๖ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๒๒/๔๖, ตรัสแกภิกษุรูปหนึ่ง ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๖๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
ดู ก อ นภิ ก ษุ ! ถ า ภิ ก ษุ แ สดงธรรมเพื่ อ ความเบื่ อ หน า ย เพื่ อ ความคลาย กํ า หนัด เพื ่อ ความดับ ไมเ หลือ แหง ตัณ หา อยู ไ ซร; ก็เ ปน การสมควรเพื ่อ จะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก". ดู ก อ นภิ ก ษุ ! ถ า ภิ ก ษุ แ สดงธรรมเพื่ อ ความเบื่ อ หน า ย เพื่ อ ความคลาย กํ า หนัด เพื ่อ ความดับ ไมเ หลือ แหง เวทนา อยู ไ ซร; ก็เ ปน การสมควรเพื ่อ จะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก". ดู ก อ นภิ ก ษุ ! ถ า ภิ ก ษุ แ สดงธรรมเพื่ อ ความเบื่ อ หน า ย เพื่ อ ความคลาย กํ า หนัด เพื ่อ ความดับ ไมเ หลือ แหง ผัส สะ อยู ไ ซร; ก็เ ปน การสมควรเพื ่อ จะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก". ดู ก อ นภิ ก ษุ ! ถ า ภิ ก ษุ แ สดงธรรมเพื่ อ ความเบื่ อ หน า ย เพื่ อ ความคลาย กํ า ห นัด เพื ่อ ค วาม ดับ ไมเ ห ลือ แหง ส ฬ าย ต น ะ อ ยู ไ ซ ร; ก็เ ปน ก ารส ม ค วร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก".
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ! ถ า ภิ ก ษุ แ สดงธรรมเพื่ อ ความเบื่ อ หน า ย เพื่ อ ความคลาย กํ า หนั ด เพื่ อ ความดั บ ไม เ หลื อ แห ง นามรู ป อยู ไ ซร ; ก็ เ ป น การสมควรเพื่ อ จะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก".
ดู ก อ นภิ ก ษุ ! ถ า ภิ ก ษุ แ สดงธรรมเพื่ อ ความเบื่ อ หน า ย เพื่ อ ความคลาย กํ า หนั ด เพื่ อ ความดั บ ไม เหลื อ แห ง วิ ญ ญ าณ อยู ไ ซร ; ก็ เป น การสมควรเพื่ อ จะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก".
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๖๑
ดู ก อนภิ กษุ ! ถ าภิ กษุ แสดงธรรมเพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลาย กํ า หนั ด เพื่ อ ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขารทั้ ง หลาย อยู ไ ซร ; ก็ เป น การสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก". ดู ก อนภิ กษุ ! ถ าภิ กษุ แสดงธรรมเพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลาย กํ า หนัด เพื ่อ ความดับ ไมเ หลือ แหง อวิช ชา อยู ไ ซร; ก็เ ปน การสมควรเพื ่อ จะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก". (ค. วาดวย วัตถุประสงค ๖ เรื่อง)
ปฏิจจสมุปบาท ทําใหอยูเหนือความมี และความไมมีของสิ่งทั้งปวง๑ ชาณุ สโสณิ พรหมณ ได เข าไปเฝ าพระผู มี พระภาคเจ า แล วทู ลถามว า "ข าแต พระโคดม
ผูเจริญ ! สิ่งทั้งปวง มีอยูหรือหนอ?"
www.buddhadasa.info พระผู มี พระภาคเจ า ตรัสตอบว า "ดู ก อนพราหมณ ! คํ ากล าวที่ ยื นยั นลงไปด วย
ทิฏฐิวา 'สิ่งทั้งปวง มีอยู' ดังนี้ : นี้ เปนสวนสุด (มิใชทางสายกลาง)๒ ที่หนึ่ง".
๑
สูตรที่ ๗ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๙๑/๑๑๗๓, ตรัสแกชาณุสโสณิพราหมณ ที่เชตวัน. คําวา "สวนสุด" ในกรณี อยางนี้ หมายถึงทิ ฏฐิหรือความคิ ดเห็ นที่แลนไปสุดเหวี่ยง ในทิศทางใดทางหนึ่ ง มี ลักษณะเปนความสําคั ญมั่นหมายในลักษณะที่เปนตัวเปนตนหรือตรงกันขาม. สวนพระผูมีพระภาคเจา ทรงมี หลักธรรมของพระองค ที่ไมแลนไปสุดเหวี่ยงหรือสุดโตง อย างนั้นอยางนี้ แต ตรัสลงไปในลักษณะที่ เป นวิทยาศาสตรวา 'เมื่ อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ จึงมี เมื่ อสิ่งนี้ ดั บ สิ่ งนี้ จึงดับ' ในลักษณะที่ ทยอย ๆ กันไปไม มีสิ่ งใด เกิดหรือดับได โดยลําพังตัวมันเอง; ดังนั้น จึงไมมีทิฏฐิวา "สิ่งทั้งปวงมีอยู" หรือวา "สิ่งทั้งปวงไมมี". ๒
www.buddhadasa.info
๖๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑ "ขาแตพระโคดมผูเจริญ! ก็สิ่งทั้งปวง ไมมีอยูหรือ?"
ดู ก อนพราหมณ ! คํ ากล าวที่ ยื นยั นลงไปด วยทิ ฏฐิ ว า "สิ่ งทั้ งปวง ไม มี อยู " ดังนี้ : นี้ เปนสวนสุด (มิใชทางสายกลาง) ที่สอง. ดู ก อ นพรหมณ ! ตถาคต ย อ มแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เข า ไปหา ส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คื อตถาคต ย อมแสดงดั งนี้ ว า "เพราะมี อวิ ชชาเป นป จจั ย จึ งมี สั งขาร ทั ้ง ห ล าย; เพ ราะมีส ัง ขารเป น ปจ จัย จึง มีว ิญ ญ าณ ; ..ฯล ฯ...ฯลฯ...ฯลฯ...; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขุ โทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ด ขึ้นครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. เพราะความจางคลายดั บไปโดยไม เหลื อแห งอวิ ชชานั้ นนั่ นเที ยว, จึ งมี ความดั บ แห ง สั ง ขาร; เพราะมี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร จึ ง มี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญ าณ ; ...ฯลฯ ฯลฯ...; เพ ราะมีค วาม ดับ แหง ชาตินั ่น แล ชราม รณ ะ โส กะป ริเ ท วะทุก ขะโทมสั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง ดั บ สิ้ น : ความดั บ แห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ย อาการอยางนี้", ดังนี้.
www.buddhadasa.info พราหมณ นั้ น กล าวสรรเสริ ญ พระธรรมโอวาทนั้ นแล ว ประกาศตนเป นผู รั บนั บถื อ พระพุ ทธศาสนา จนตลอดชีวิต, ดังนี้ แล.
ไมมีผูนั้น หรือผูอื่น ในปฏิจจสมุปบาท๑ ครั้ งหนึ่ ง ที่ พระเชตวั น พราหมณ คนหนึ่ งได เข าไปเฝ าพระผู มี พระภาคเจ าถึ งที่ ประทั บ แล วได ทูล ถามวา "ขา แตพ ระโคดมผู เ จริญ ! ผู นั ้น กระทํ า ; ผู นั ้น เสวย (ผล) ดัง นั ้น หรือ
พระเจาขา?" ๑
สูตรที่ ๖ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๙๐/๑๗๐, ตรัสแกพรหมณผูหนึ่ง ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๖๓
พระผู มี พระภาคเจ า ได ตรัสตอบวา "ดู ก อนพราหมณ ! คํ ากล าวที่ ยื นยั นลงไปด วย
ทิฏ ฐิว า 'ผู นั ้น กระทํ า ; ผู นั ้น เสวย (ผล)' ดัง นี ้ : นี ้เปน สว นสุด (ไมใ ชส ายกลาง) ที่หนึ่ง". "ขา แตพ ระโคดมผู เ จริญ ! ก็ผู อื ่น กระทํ า ; ผู อื ่น เสวย (ผล) หรือ พระเจาขา?" ดู ก อนพราหมณ ! คํ ากล าวที่ ยื นยั นลงไปด วยทิ ฏฐิ วา "ผู อื่นกระทํ า; ผู อื่ น เสวย (ผล)" ดังนี้ : นี้เปนสวนสุด (ไมใชสายกลาง) ที่สอง. ดู ก อนพราหมณ ! ตถาคต ย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เข าไปหา สวนสุดทั้งสองนั้น คือตถาคต ยอมแสดงดังนี้วา เพราะมีอวิชชาเปนปจจัย จึงมีสังขาร ทั ้ง ห ล าย ; เพ ราะ มีส ัง ขารเปน ปจ จัย จึง มีว ิญ ญ าณ ; ...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ...; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ด ขึ้นครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ความอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info เพราะความจางคลายดั บไปโดยไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่ นเที ยว, จึงมี ความดั บ แห ง สั ง ขาร; เพราะมี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร จึ ง มี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญาณ; ...ฯลฯ …..ฯลฯ...; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ชาติ นั่ น แล ชรามรณ ะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะ โทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้", ดังนี้.
พราหมณ นั้ น กล าวสรรเสริญ พระธรรมโอวาทนั้ นแล ว ประกาศตนเป นอุ บาสกผู รับนั บถื อ พระพุทธศาสนา จนตลอดชีวิต, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
๖๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
กายนี้ไมใชของใคร เปนเพียงกระแสปฏิจจสมุปบาท๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! กายนี้ ไม ใ ช ข องเธอทั้ ง หลาย และทั้ ง ไม ใช ข อง บุ คคลเหล าอื่ น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! กรรมเก า (กาย) นี้ อั นเธอทั้ งหลาย พึ งเห็ นว า เปน สิ ่ง ที ่ป จ จัย ปรุง แตง ขึ ้น (อภิส งฺข ต), เปน สิ ่ง ที ่ป จ จัย ทํ า ใหเ กิด ความรู ส ึก ขึ ้น (อภิสฺเจตยิต), เปนสิ่งที่มีความรูสึกตออารมณได (เวทนีย). ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ในกรณี ของกายนั้ น อริ ยสาวกผู ได สดั บแล ว ย อมทํ า ไว ใ นใจโดยแยบคายเป น อย า งดี ซึ่ ง ปฏิ จ จสมุ ป บาทนั่ น เที ย ว ดั ง นี้ ว า ด ว ยอาการ อย า งนี้ : เพราะสิ่ ง นี้ มี , สิ่ ง นี้ จึ ง มี ; เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห ง สิ่ ง นี้ , สิ่ ง นี้ จึ ง เกิ ด ขึ้ น . เพราะสิ ่ง นี ้ไ มม ี, สิ ่ง นี ้จ ึง ไมม ี; เพราะความดับ ไปแหง สิ ่ง นี ้, สิ ่ง นี ้จ ึง ดับ ไป : ข อนี้ ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ เพราะมี อวิ ชชาเป นป จจั ย จึ งมี สั งขารทั้ งหลาย; เพราะมี สั งขาร เปน ป จ จัย จึง ม ีว ิญ ญ าณ ; ...ฯล ฯ...ฯล ฯ...ฯล ฯ...เพ ราะม ีช าติเ ป น ปจ จัย , ชรามรณะโสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ด ขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info เพราะความจางคลายดั บไปโดยไม เหลื อแห งอวิ ชชานั้ นทั่ นเที ยว, จึ งมี ความดั บ แห ง สั ง ขาร; เพราะมี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร จึ ง มี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญาณ; ...ฯลฯ... ฯลฯ...ฯลฯ... เพราะมี ค วามดั บ แห ง ชาติ นั่ น แล ชรามรณ ะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแห งกองทุ ก ข ทั้ งสิ้ น นี้ ย อ มมี ด วย อาการอยางนี้", ดังนี้แล.
๑
สูตรที่ ๗ กฬารขัตติยวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๗๗/๑๔๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๖๕
ปฏิจจสมุปบาทเปนธรรมที่ทรงแสดง เพื่อไมใหรูสึกวามีสัตวบุคคลตัวตนเราเขา (เพื่อขจัดสัสสตทิฏฐิเปนตน)๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! อาหาร ๔ อย า งเหล า นี้ ย อ มเป น ไปเพื่ อ ความ ดํารงอยูของภูตสัตวทั้งหลาย, หรือวา เพื่ออนุเคราะหแกสัมภเวสีสัตวทั้งหลาย. อาหาร ๔ อยาง เป นอย างไรเล า? สี่ อย างคื อ (๑) กพฬี การาหาร ที่ หยาบบ าง ละเอี ยดบ าง, (๒) ผั สสะ, (๓) มโนสั ญเจตนา, (๔) วิ ญญาณ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อาหาร ๔ อย างเหล านี้ แล ยอมเปนไปเพื่อความดํารงอยูของภูตสัตวทั้งหลาย, หรือวา เพื่ออนุเคราะหแกสัมภเวสีสัตว ทั้งหลาย. ภิ กษุ โมลิ ยผั คคุ นะ ได ทู ลถามขึ้นวา "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ! ก็ ใครเล า ย อมกลื นกิ น
ซึ่งวิญญาณาหาร พระเจาขา?" พระผู มี พระภาคเจ า ได ตรั สตอบว า "นั่ นเป นป ญ หาที่ ไม ควรจะเป นป ญ หาเลย :
www.buddhadasa.info เราย อมไม กล าววา 'บุ คคลย อมกลื นกิน' ดั งนี้ : ถ าเราได กล าววา 'บุ คคลย อมกลื นกิ น' ดั งนี้ นั่ นแหละจึ งจะเป นป ญ หาในข อนี้ ที่ ควรถามขึ้ นว า 'ก็ ใครเล า ย อมกลื นกิ น (ซึ่ ง วิญญาณาหาร) พระเจาขา?' ดังนี้. ก็เรามิไดกลาวอยางนั้น, ถาผูใดจะพึ งถามเรา ผูมิได กลาวอยางนั้นเชนนี้วา 'ขาแตพระองคผูเจริญ! วิญญาณาหาร ยอมมีเพื่ออะไรเลาหนอ' ดั งนี้ แล ว, นั่ นแหละจึ งจะเป นป ญ หาที่ ควรแก ความเป นป ญ หา. คํ าเฉลยที่ ควรเฉลย ในปญหาขอนั้น ยอมมีวา 'วิญญาณาหาร ยอมมีเพื่อความเกิดขึ้นแหงภพใหม
๑
สูตรที่ ๒ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๕/๓๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๖๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
ตอ ไป . เมื ่อ ภ ูต ะ (ค วาม เป น ภ พ ) นั ้น มีอ ยู , ส ฬ าย ต น ะ ยอ ม มี; เพ ราะ มี สฬายตนะเปนปจจัย จึงมีผัสสะ (การสัมผัส)', ดังนี้". "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ใครเลา ยอมสัมผัส พระเจาขา?"
นั่ น เป น ป ญ หาที่ ไม ค วรจะเป น ป ญ หาเลย : เราย อ มไม ก ล า วว า "บุ ค คล ย อ มสั ม ผั ส " ดั งนี้ : ถ าเราได ก ล าวว า "บุ ค คล ย อ มสั ม ผั ส " ดั งนี้ นั่ น แหละจึ งจะเป น ป ญ หาในข อ นี้ ที่ ค วรถามขึ้ น ว า "ก็ ใครเล า ย อ มสั ม ผั ส พระเจ าข า?" ดั งนี้ . ก็ เรามิ ได กล าวอย างนั้ น, ถ าผู ใดจะพึ งถามเรา ผู มิ ได กล าวอย างนั้ น เช นนี้ ว า "ผั สสะมี เพราะมี อะไรเป น ป จ จั ย พระเจ า ข า ?" ดั ง นี้ แ ล ว นั่ น แหละจึ ง จะเป น ป ญ หาที่ ค วรแก ค วาม เป น ป ญ หา. คํ า เฉลยที่ ค วรเฉลยในป ญ หาข อ นั้ น ย อ มมี ว า "เพราะมี ส ฬายตนะ เปน ปจ จัย จึง มีผ ัส ส ะ ; เพ ราะ มีผ ัส ส ะ เปน ปจ จัย จึง มีเ วท น า (ค วาม รู ส ึก ตออารมณ)", ดังนี้. "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ใครเลา ยอมรูสึกตออารมณ พระเจาขา?"
www.buddhadasa.info นั่ นเป นป ญ หาที่ ไม ควรจะเป นป ญ หาเลย : เราย อมไม กล าวว า "บุ คคลย อม รู สึ กต ออารมณ " ดั งนี้ : ถ าเราได กล าวว า "บุ คคลย อมรู สึ กต ออารมณ " ดั งนี้ นั่ นแหละ จึ งจะเป นป ญ หาในข อนี้ ที่ ควรถามขึ้ นว า "ก็ ใครเล า ย อมรู สึ กต ออารมณ พระเจ าข า?" ดั งนี้ . ก็ เรามิ ได ก ล าวอย างนั้ น , ถ าผู ใดจะพึ งถามเรา ผู มิ ได ก ล าวอย างนั้ น เช น นี้ ว า "เพราะมี อะไรเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนาพระเจ าข า?" ดั งนี้ แล ว นั่ นแหละจึ งจะเป น ป ญ หา ที่ ค วรแก ค วามเป น ป ญ หา. คํ า เฉลยที่ ค วรเฉลยในป ญ หาข อ นั้ น ย อ มมี ว า "เพราะมี ผั ส สะเป นป จจั ย จึ ง มี เ วทนา; เพ ราะมี เ วทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา (ความ อยาก)", ดังนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๖๗
"ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ใครเลา ยอมอยาก พระเจาขา?" นั่ นเป นป ญ หาที่ ไม ควรจะเป นป ญ หาเลย : ย อมไม กล าวว า "บุ คคลย อม อยาก" ดั งนี้ : ถ าเราได กล าวว า "บุ คลลย อมอยาก" ดั งนี้ นั่ นแหละจึ งจะเป นป ญ หา ในข อ นี้ ที่ ค วรถามขึ้ น ว า "ก็ ใครเล า ย อ มอยาก พระเจ าข า?" ดั งนี้ . ก็ เรามิ ได ก ล าว อย างนั้ น, ถ าผุ ใดจะพึ งถามเรา ผู มิ ได กล าวอย างนั้ น เช นนี้ ว า "เพราะมี อะไรเป นป จจั ย จึ ง มี ตั ณ หา พระเจ า ข า ?" ดั ง นี้ แ ล ว นั่ น แหละจึ ง จะเป น ป ญ หาที่ ค วรแก ค วามเป น ป ญ หา. คํ า เฉลยที่ ค วรเฉลยในป ญ หาข อ นั้ น ย อ มมี ว า "เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน (ความยึดมั่น)", ดังนี้. "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ใครเลา ยอมยึดมั่น พระเจาขา?" นั่ นเป นป ญหาที่ ไม ควรจะเป นป ญหาเลย : เราย อมไม กล าวว า "บุ คคลย อม ยึ ดมั่ น" ดั งนี้ : ถ าเราได กล าวว า "บุ คคลย อมยึ ดมั่ น" ดั งนี้ นั่ นแหละจึ งจะเป นป ญ หา ในข อนี้ ที่ ค วรถามขึ้ น ว า "ก็ ใครเล า ย อ มยึ ด มั่ น พระเจ าข า?" ดั งนี้ . ก็ เรามิ ได กล าว อย างนั้ น ถ าผู ใดจะพึ งถามเราผู มิ ได กล าวอย างนั้ น เช นนี้ ว า "เพราะมี อะไรเป นป จจั ย จึ งมี อุ ป าทาน พระเจ าข า?" ดั งนี้ แ ล ว นั่ น แหละจึ งจะเป น ป ญ หาที่ ค วรแก ค วามเป น ป ญ หา. คํ า เฉลยที่ ค วรเฉลยในป ญ หาข อ นั้ น ย อ มมี ว า "เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึง มีอ ุป าท าน ; เพ ราะ มีอ ุป าท าน เปน ปจ จัย จึง มีภ พ " ดัง นี ้; เพ ราะ มีภ พ เปน ปจ จัย จึง มีช าติ; เพ ราะมีช าติเ ปน ปจ จัย , ชราม รณ ะ โส กะป ริเ ท วะทุ กขุ โทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพร อมแห งกองทุ กข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๖๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
ดู ก อ นผั ค คุ น า! เพราะความจางคลายดั บ ไปโดยไม เหลื อ แห ง ผั ส สา ยตนะ (แดนเกิ ด แห ง สั ม ผั ส ) ทั้ ง ๖ นั้ น นั่ น เที ย ว, จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ผั ส สะ; เพราะ มี ความดั บแห งผั สสะ จึ งมี ความดั บแห งเวทนา; เพราะมี ความดั บแห งเวทนา จึ งมี ความ ดั บ แห งตั ณ หา; เพราะมี ค วามดั บ แห งตั ณ หา จึ งมี ค วามดั บ แห งอุ ป าทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึ งมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บ แห ง ชาติ ; เพระมี ค วามดั บ แห ง ชาติ นั่ น แล ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแห งกองทุ ก ข ทั้ งสิ้ น นี้ ย อ มมี ด วยอาการ อยางนี้, ดังนี้ แล. ห ม า ย เห ตุ ผู ร ว บ ร ว ม : สู ต รนี้ ทั้ ง สู ต ร แ ส ด งว า ไม มี บุ ค ค ล ที่ ก ลื น กิ น วิ ญ ญาณาหาร ไม มี บุ คคลที่ เป น เจ าของอายตนะ ไม มี บุ คคลที่ กระทํ าผั สสะ ไม มี บุ คคลที่ เสวย เวทนา ไม มี บุ ค คลที่ อ ยากด วยตั ณ หา ไม มี บุ ค คลที่ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น , มี แ ต ธรรมชาติ ที่ เป น ปฏิ จจสมุปปนนธรรมอยางหนึ่ง ๆ เปนปจจัย สืบตอแกกันและกันเปนสายไป เทานั้น.
ปฏิจจสมุปบาท มีหลักวา "ไมมีตนเอง ไมมีผูอื่น ที่กอสุขและทุกข"๑
www.buddhadasa.info ครั้ งหนึ่ ง ที่ พ ระเชตวั น ติ ม พรุ กขปริ พ พาชก ได เข าไปเฝ าพระผู มี พ ระภาคเจ าถึ งที่ ป ระทั บ
แล ว ได ทู ล ถามว า "ข า แต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! สุ ข และทุ ก ข เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คลทํ า เองหรื อ
พระเจาขา?"
พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสตอบวา "อยากลาวอยางนั้นเลย ติมพรุกขุ!"
๑
สูตรที่ ๘ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๒๖/๕๔, ตรัสแกติมพรุกขปริพพาชก ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๖๙
"ข าแต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! สุ ขและทุ ก ข เป น สิ่ งที่ บุ ค คลอื่ น กระทํ าให ห รื อ พระเจาขา?" อยากลาวอยางนั้นเลย ติมพรุกขะ! "ข า แต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! สุ ข และทุ ก ข เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คลกระทํ า เองด ว ย และบุคคลอื่นกระทําใหดวยหรือ พระเจาขา?" อยากลาวอยางนั้นเลย ติมพรุกขะ! "ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! สุ ขและทุ กข เป นสิ่ งที่ ไม ใช ทํ าเองหรื อใครทํ าให ก็เกิดขึ้นไดหรือ พระเจาขา?" อยากลาวอยางนั้นเลย ติมพรุกขะ!
www.buddhadasa.info "ขาแตพระโคดมผูเจริญ! สุขและทุกขไมมีหรือ พระเจาขา?"
ดูกอนติมพรุกขะ ! มิใชสุขและทุกขไมมี, ที่แท สุขและทุกขมีอยู. "ข า แต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! ถ า อย า งนั้ น พระโคดมผู เจริ ญ ย อ มไม รู ไ ม เห็นสุขและทุกขกระมัง?"
ดู ก อ นติ ม พรุ กขะ! เราจะไม รู ไม เห็ น สุ ขและสุ ก ข ก็ ห ามิ ได ; เราแลย อ มรู ยอมเห็น ซึ่งสุขและทุกข. "ข า แต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! พระองค , เมื่ อ ข าพระองค ทู ล ถามว า 'ข า แต พระโคดมผู เจริ ญ ! สุ ขและทุ ก ข เป น สิ่ งที่ บุ ค คลกระทํ าเองหรื อ พระเจ าข า?' ดั งนี้ , ทรงตอบวา 'อยากลาวอยางนั้นเลย ติมพรุกขะ!' ดังนี้; เมื่อขาพระองคทูลถามวา
www.buddhadasa.info
๗๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
'ข าแต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! สุ ขและทุ กข เป นสิ่ งที่ บุ คคลอื่ นกระทํ าให หรื อ พระเจ าข า?'
ดั งนี้ , ทรงตอบว า 'อย ากล าวอยางนั้ น เลย ติ ม พรุ ก ขะ!' ดั งนี้ ; เมื่ อ ข า พระองค ทู ล ถามว า 'ข าแต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! สุ ขและทุ กข เป น สิ่ งที่ บุ ค คลกระทํ าเองด วย และ บุ คคลอื่ นกระทํ าให ด วยหรือ พระเจ าข า?' ดั งนี้ , ทรงตอบว า 'อย ากล าวอย างนั้ นเลย ติ มพรุกขะ!' ดั งนี้ ; เมื่ อข าพระองค ทู ลถามว า 'ข าแต พระโคดมผู เจริญ ! สุ ขและทุ กข เป น สิ่ ง ที่ ไม ใช ทํ า เอง หรื อ ใครทํ า ให ก็ เกิ ด ขึ้ น ได ห รื อ พระเจ า ข า ?' ดั ง นี้ , ทรงตอบ ว า 'อย ากลั วอย างนั้ น เลย ติ ม พรุ ก ขะ!'ดั งนี้ ; เมื่ อ ข าพระองค ทู ล ถามว า 'ข าแต พ ระ โคดมผู เจริญ! สุ ขและทุ กขไม มี หรือ พระเจ าข า?' ดั งนี้ , ทรงตอบวา 'ดู ก อนติ มพรุกขะ! มิใ ชส ุข และทุก ขไ มม ี, ที ่แ ทส ุข และทุก ขม ีอ ยู " ดัง นี ้; ครั ้น ขา พระองคท ูล ถามวา 'ข าแต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! ถ าอย างนั้ น พระโคดมผู เจริ ญ ย อ มไม รู ไม เห็ น สุ ขและทุ ก ข กระมั ง ?' ดั งนี้ , ก็ ยั ง ทรงตอบว า 'ดู ก อ นติ ม พรุ ก ขะ! เราจะไม รู ไม เห็ น สุ ข และทุ ก ข ก็ ห ามิ ได ; เราแล ย อ มรู ย อ มเห็ น ซึ่ ง สุ ข และทุ ก ข ' ดั งนี้ . ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ขอพระผู มี พระภาค จงตรั สบอกซึ่ ง (เรื่ องราวแห ง) สุ ขและทุ กข ; และจงทรงแสดงซึ่ ง (เรื่องราวแหง) สุขและทุกข แกขาพระองคเถิด". ดู ก อนติ มพรุ กขะ! เมื่ อบุ คคลมี ความสํ าคั ญ มั่ นหมายมาแต ต นว า "เวทนา ก็ อั นนั้ น บุ คคลผู เสวยเวทนาก็ คนนั้ น" ดั งนี้ ไปเสี ยแล ว แม ออย างนี้ เราก็ ยั งไม กล าวว า "สุขและทุกขเปนสิ่งที่บุคคลกระทําเอง" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนติ มพรุ กขะ! เมื่ อบุ คคลถู กเวทนาสะกิ ดให มี ความสํ าคั ญ มั่ นหมายว า "เวทนาก็ อั นอื่ น บุ คคลผู เสวยเวทนาก็ คนอื่ น" ดั งนี้ ไปเสี ยแล ว แม อย างนี้ เราก็ ยั งไม กล าวว า "สุขและทุกข เปนสิ่งที่บุคลลอื่นกระทําให" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๗๑
ดู ก อ นติ ม พรุ ก ขะ! ตถาคต ย อ มแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เข าไปหา ส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คื อตถาคต ย อมแสดงดั งนี้ ว า "เพราะมี อวิ ชชาเป นป จจั ย จึ งมี สั งขาร ทั้ ง หลาย; เพ ราะมี สั ง ขารเป นป จจั ย จึ ง มี วิ ญ ญ าณ ; ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ...; เพราะมี ชาติ เป นป จจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนั สอุปายาสทั้ งหลาย จึงเกิดขึ้น ครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. เพราะความจางคลายดั บไปโดยไม เหลื อแห งอวิ ชชานั้ นนั่ นเที ยว, จึ งมี ความ ดั บ แห งสั งขาร; เพราะมี ค วามดั บ แห งสั งขาร จึ งมี ค วามดั บ แห งวิ ญ ญาณ; ...ฯลฯ ...ฯลฯ...ฯลฯ...; เพราะมีค วามดับ แหง ชาตินั ่น แล ชรามรณะ โสกะปริเ ทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ดวยอาการอยางนี้". ติ มพรุกขปริพพาชกนั้ น กล าวสรรเสริญพระธรรมโอวาทนั้ นแล ว ประกาศตนเป นอุ บาสกผู รับ นับถือพระพุทธศาสนา จนตลอดชีวิต, ดังนี้ แล.
การรูปฏิจจสมุปบาท เปนหลักการพยากรณอรหัตตผล๑
www.buddhadasa.info ภิ กษุ กฬารขัตติ ยะ เข าไปหาพระสารีบุ ตร ได เลาเรื่องที่ พระโมลิ ยผั คคุ นะผูลาสิ กขาเวียนมาเป น ฆราวาสใหพระสารีบุ ตรฟ ง พระสารีบุ ตรกลาววาที่ พระโมลิยผัคคุนะลาสิกขาไปนั้ น ต องเป นเพราะไม ไดความ มั่ นใจ ในธรรมวิ นั ยนี้ เป นแน เมื่ อได ฟ งดั งนั้ น ภิ กษุ กฬารขั ตติ ยะ จึ งได ย อนถามถึ งความรูสึ กส วนตั ว พระสารีบุ ตรเองว าท านได ความมั่ นใจ ในธรรมวิ นั ยแล วหรือ พระสารีบุ ตร ได ตอบว า เราไม มี กั งขาในข อ นี้ เลย ภิ กษุ กฬารขั ตติ ยะ ได ถามอี กว า แล วในกาลต อไปข างหน าเล า พระสารีบุ ตรตอบว า เราไม ลั งเลสงสั ยเลย ภิกษุกฬารขัตติยะจึงเขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจา ทูลกลาวหาพระสารีบุตรวาพยากรณ อรหัตตผลวาตนมีชาติ สิ้นแลวเปนตน. พระผูมีพระภาคเจา ไดรับสั่งใหเรียกหาพระสารีบุตรมาแลวตรัสถามวา:-
๑
สูตรที่ ๒ กฬารขัตติยวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๖๐/๑๐๖, ตรัสแกพระสารีบุตร ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๗๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
ดูกอนสารีบุตร! ไดยินวา เธอพยากรณอรหัตตผลวา "เรายอมรูชัดวา 'ชาติ สิ้นแลว, พรหมจรรยไดอยูจบแลว, กิจที่ควรทํา ไดทําเสร็จแลว, กิจอื่นที่ตองปฏิบัติ เพื่อความหลุดพนอยางนี้ มิไดมีอีก' ดังนี้ จริงหรือ?" "ขาแตพระองคผูเจริญ! เนื้อความโดยบทและโดยพยัญชนะทั้งหลาย เชนนั้น ขาพระองคมิไดกลาวแลว พระเจาขา!" ดู ก อนสารีบุ ตร! กุ ลบุ ตรย อมพยากรณ อรหั ตตผล ได โดยปริยายแม ตาง ๆ กัน เมื่อเปนดังนั้น ประชาชนทั้งหลาย ก็ยอมเห็นการพยากรณโดยปริยายใด ปริยายหนึ่งนั้น วาเปนอรหัตตผลที่กุลบุตรนั้นพยากรณแลว. "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ขาพระองคไดกราบทูลแลวมิใชหรือวา เนื้อความ มีอรรถและพยัญชนะทั้งหลายเชนนั้น ขาพระองคมิไดกลาวแลว". ดูกอนสารีบุตร! ถาคนทั้งหลาย จะพึงถามเธออยางนี้วา "ขาแตทาน สารีบุตร! ทานรูอยางอยางไร เห็นอยูอยางไร จึงพยากรณอรหัตตผลวา 'ชาติสิ้นแลว, พรหมจรรยไดอยูจบแลว, กิจที่ควรทํา ไดทําเสร็จแลว, กิจที่ตองปฏิบัติเพื่อความหลุด พ น อยางนี้ มิไดมีอีก' ดังนี้" ดูกอนสารีบุตร! เธอถูกถามอยางนี้แลว จะตอบแกเขา วาอยางไร?
www.buddhadasa.info "ขาแตพระองคผูเจริญ! ถาเขาถามเชนนั้น ขาพระองคจะตอบแกเขาวา' ดูกอนทานทั้งหลาย! ชาติ มีสิ่งใดเปนเหตุ เมื่อชาติสิ้นเพราะความสิ้นแหงเหตุนั้น ขาพเจารูวาชาติสิ้นแลว ดังนี้ จึงรูวา 'ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยไดอยูจบแลว กิจที่
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๗๓
ควรทํา ให ทําเสร็จแลว กิ จอื่นที่ ตองปฏิ บั ติเพื่ อความหลุดพ นอย างนี้ มิ ได มี อีก' ดั งนี้ '. ขาแตพระองคผูเจริญ! เมื่อถูกถามอยางนี้ ขาพระองคจะตอบแกเขาอยางนี้". ดูก อ นสารีบ ุต ร! ถา คนทั ้ง หลาย จะพึง ถามเธอ (ตอ ไป) อยา งนี ้ว า "ข า แต ท า นสารี บุ ต ร! ก็ ช าติ มี อ ะไรเป น เหตุ ใ ห เกิ ด (นิ ท าน)? มี อ ะไรเป น เครื่ อ ง ก อ ให เกิ ด (สมุ ท ย)? มี อะไรเป น เครื่ องกํ าเนิ ด (ชาติ ก)? มี อ ะไรเป นแดนเกิ ด (ปภว) เลา?" ดังนี้. ดูกอนสารีบุตร! เธอถูกถามอยางนี้แลว จะตอบแกเขาวาอยางไร? "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ถ าเขาถามเช น นั้ น ข าพระองค จ ะตอบแก เขา วา 'ดู กอนท านทั้ งหลาย! ชาติ มี ภพเป นเหตุ ให เกิ ด มี ภพเป นเครื่องกอให เกิ ด มี ภพ เป น เครื่ อ งกํ าเนิ ด มี ภ พเป น แดนเกิ ด '. ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! เมื่ อ ถู ก ถามอย างนี้ ขาพระองคจะตอบแกเขาอยางนี้". ดู ก อ นสารี บุ ต ร! ถ าคนทั้ งหลาย จะพึ งถามเธอ (ต อ ไปอี ก ) อย างนี้ ว า "ข าแต ท านสารีบุ ตร! ก็ ภ พเล า มี อะไรเป นเหตุ ให เกิ ด? มี อะไรเป นเครื่องก อให เกิ ด? มี อะไรเป นเครื่องกํ าเนิ ด? มี อะไรเป นแดนเกิ ด?" ดั งนี้ . ดู ก อนสารีบุ ตร! เธอถู กถาม อยางนี้แลว จะตอบแกเขาวาอยางไร?
www.buddhadasa.info "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ถ าเขาถามเข นนั้ น ข าพระองค จะตอบแก เขาว า 'ดู ก อ นท า นทั้ งหลาย! ภพ มี อุ ป าทานเป น เหตุ ให เกิ ด มี อุ ป าทานเป น เครื่ อ งก อ ให เกิดมี อุปาทานเปนเครื่องกําเนิ ด มีอุปาทานเป นแดนเกิด'. ขาแตพระองคผูเจริญ! เมื่อถูก ถามอยางนี้ ขาพระองคจะตอบแกเขาอยางนี้".
www.buddhadasa.info
๗๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
ดู ก อนสารี บุ ตร! ถ าคนทั้ งหลาย จะพึ งถามเธอ (ต อไปอี ก) ว า "ข าแต ท าน สารี บุ ต ร! ก็ อุ ป าทาน เล า มี อ ะไรเป น เหตุ ใ ห เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งก อ ให เ กิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งกํ า เนิ ด ? มี อ ะไรเป น แดนเกิ ด ?" ดั งนี้ . ดู ก อ นสารี บุ ต ร! เธอถู ก ถาม อยางนี้แลว จะตอบแกเขาวาอยางไร? "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ถ าเขาถามเช น นั้ น ข าพระองค จ ะตอบแก เขาว า 'ดู ก อนท านทั้ งหลาย! อุ ปาทาน มี ตั ณ หาเป นเหตุ ให เกิ ด มี ตั ณ หาเป นเครื่ องก อให เกิ ด มี ตั ณ หาเป นเครื่ องกํ าเนิ ด มี ตั ณ หาเป นแดนเกิ ด'. ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! เมื่ อถู กถาม อยางนี้ ขาพระองคจะตอบแกเขาอยางนี้". ดู ก อ นสารี บุ ต ร! ถ า คนทั้ ง หลาย จะพึ ง ถามเธอ (ต อ ไปอี ก ) อย า งนี้ ว า "ข า แต ท า นสารี บุ ต ร! ก็ ตั ณ หา เล า มี อ ะไรเป น เหตุ ให เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งกํ า เนิ ด ? มี อ ะไรเป น แดนเกิ ด ?" ดั ง นี้ . ดู ก อ นสารี บุ ต ร! เธอถูกถามอยางนี้แลว จะตอบแกเขาวาอยางไร?
www.buddhadasa.info "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ถ าเขาถามเเช น นั้ น ข าพระองค จะตอบแก เขาว า 'ดู ก อ นท า นทั้ งหลาย! ตั ณ หา มี เวทนาเป น เหตุ ให เกิ ด มี ตั ณ หาเป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด มี ตั ณ หาเป นเครื่ องกํ าเนิ ด มี ตั ณ หาเป นแดนเกิ ด'. ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! เมื่ อถู กถาม อยางนี้ ขาพระองคจะตอบแกเขาอยางนี้". ดู ก อ นสารี บุ ต ร! ถ า คนทั้ ง หลาย จะพึ ง ถามเธอ (ต อ ไปอี ก ) อย า งนี้ ว า "ข า แต ท า นสารี บุ ต ร! ก็ เวทนา เล า มี อ ะไรเป น เหตุ ให เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งกํ า เนิ ด ? มี อ ะไรเป น แดนเกิ ด ?" ดั ง นี้ . ดู ก อ นสารี บุ ต ร! เธอถูกถามอยางนี้แลว จะตอบแกเขาวาอยางไร?
www.buddhadasa.info
วาดวยลักษณะเปนตนของปฏิจจ ฯ
๗๕
"ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ถ าเขาถามเช นนั้ น ข าพระองค จะตอบแก เขาว า 'ดู ก อนท านทั้ งหลาย! เวทนา มี ผั สสะเป นเหตุ ให เกิ ด มี ผั สสะเป นเครื่องก อให เกิ ด มีผัสสะเปนเครื่องกําเนิ ด มีผัสสะเป นแดนเกิด'. ขาแตพระองคผูเจริญ! เมื่ อถูกถาม อยางนี้ ขาพระองคจะตอบแกเขาอยางนี้". ดู ก อ นสารี บุ ต ร! ถ าตรทั้ งหลาย จะพึ งถามเธอ (ต อ ไปอี ก ) อย างนี้ ว า "ข า แต ท า นสารี บุ ต ร! เมื่ อ ท า นรู อ ยู อ ย า งไร เห็ น อยู อ ย า งไร นั น ทิ (กิ เลสเป น เหตุ ให รู สึ ก เพลิ น ) จึ ง จะไม เข า ไปตั้ ง อยู ใ นเวทนาทั้ ง หลาย?" ดั ง นี้ . ดู ก อ นสารี บุ ต ร! เธอถูกถามอยางนี้แลว จะตอบแกเขาวาอยางไร? "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ถ าเขาถามเช นนั้ น ข าพระองค จะตอบแก เขาว า 'ดู ก อ นท า นทั้ ง หลาย! เวทนาสามอย า งเหล า นี้ มี อ ยู ; สามอย า ง คื อ สุ ข เวทนา ทุ กขเวทนา อทุ กขมสุ ขเวทนา. ดู ก อนท านทั้ งหลาย! เดี๋ ยวนี้ ข าพเจ ารูแล วว า 'เวทนา ทั ้ง ๓ อยา งนั ้น เปน ของไมเ ที ่ย ง; สิ ่ง ใดเปน ของไมเ ที ่ย ง, สิ ่ง นั ้น ลว นเปน ทุ กข' ดั งนี้ ; เพราะรูอยู เห็ นอยู อยางนี้ นั นทิ จึ งไม เขาไปตั้ งอยู ในเวทนาทั้ งหลาย'. ขาแตพระองคผูเจริญ! เมื่อถูกถามอยางนี้ ขาพระองคจะตอบแกเขาอยางนี้".
www.buddhadasa.info ถู ก แล ว ถู ก แล ว สารี บุ ต ร! ปริ ย ายที่ เธอกล า วนี้ ก็ เพื่ อ กระทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง เนื้ อ ความนั้ น แหละ แต โ ดยย อ ว า "เวทนาใด ๆ ก็ ต าม เวทนานั้ น ทั้ ง หมด ยอมถึงการประชุมลงในความทุกข" ดังนี้.
ดู ก อ นสารี บุ ต ร! ถ าคนทั้ งหลาย จะพึ งถามเธอ (ต อ ไปอี ก ) อย างนี้ ว า "ขาแตทานสารีบุตร! เพราะอาศัยวิโมกขอยางไหน ทานจึงพยากรณอรหัตตผลวา
www.buddhadasa.info
๗๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑
'ช าติ สิ้ นแล ว, พรหมจรรย ได อยู จบแล ว, กิ จที่ ควรทํ า ได ทํ าเสร็ จ แล ว, กิ จอื่ นที่ ต อง
ปฏิ บั ติ เพื่ อ ความหลุ ด พ น อย า งนี้ มิ ไ ด มี อี ก ', ดั ง นี้ " ดู ก อ นสารี บุ ต ร! เธอถู ก ถาม อยางนี้แลว จะตอบแกเขาวาอยางไร? "ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ถ า เขาถามเช น นั้ น ข า พระองค จ ะตอบแก เขา ว า 'ดู ก อ นท า นทั้ ง หลาย! เพราะอาศั ย อั ช ฌั ตตวิ โ มกข ,๑ เพราะความสิ้ น ไปแห ง อุป าทานทั ้ง ปวง, เราจึง เปน ผู ม ีส ติอ ยู ในลัก ษณ ะที ่อ าสวะทั ้ง หลาย จะไหล ไป ตามไมไ ด; อนึ ่ง เรายอ มไมด ูห มิ ่น ซึ ่ง ตนเองดว ย' ดัง นี ้. ขา แตพ ระองค ผูเจริญ! เมื่อถูกถามอยางนี้ ขาพระองคจะตอบแกเขาอยางนี้". ถู ก แล ว ถู ก แล ว สารี บุ ต ร! ปริ ย ายที่ เธอกล า วนี้ ก็ เพื่ อ กระทํ า ให แ จ งซึ่ ง เนื้ อ ความนั้ น แหละ แต โดยย อ ว า "ข าพเจ าไม ข อ งใจในอาสวะทั้ งหลาย ที่ พ ระสมณะ กล า วแล ว และข า พเจ า ไม ลั ง เลสงสั ย ว า อาสวะทั้ ง หลายเหล า นั้ น ข า พเจ า ละแล ว หรือยัง" ดังนี้.
www.buddhadasa.info หมวดที่หนึ่ง จบ พระผู มี พ ระภาคเจ า ครั้ งตรั ส อย า งนี้ แ ล ว เสด็ จ ลุ ก จากอาสนะ เข า สู วิ ห ารที่ ป ระทั บ ส ว น
พระองค
-------------------
๑
อั ชฌั ตตวิ โมกข คื อ ความพ น วิ เศษในภายใน โดยเหตุ ที่ นั น ทิ ห รื อ ตั ณ หา ไม เข าไปตั้ งอยู ในเวทนา จิ ต จึ งพ นจากความทุ กข อั นจะพึ งเกิ ดจากเวทนาในภายใน ในขณะนั้ น. อธิ บายว าเมื่ อไม มี ตั ณ หาหรื อนั นทิ ก็ ย อมไม มี อุ ป าทาน เมื่ อไม มี อุ ป าทาน ก็ ไม เป น ทุ กข . อาการอย างนี้ เรี ยกว า อั ชฌั ตตวิ โมกข ใช เป น เครื่องวัดในการพยากรณอรหัตตผล วามีจริงหรือไม.
www.buddhadasa.info
หมวด ๒ วาดวยปฏิจจสมุปบาท คือ อริยสัจสมบูรณแบบ
www.buddhadasa.info
๗๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฏอิทัปปจจยตา: หัวใจปฏิจจสมุปบาท. อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมมี อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป. (ม.ม. ๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน. สํ. ๑๖/๘๔/๑๕๔,....)
www.buddhadasa.info
๗๙
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่องเฉพาะหมวด สําหรับปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๒ วาดวย ปฏิจจสมุปบาทคือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ (มี ๙ เรื่อง)
มีเรื่อง : เรื่องปฏิจจสมุปบาทคือเรื่องอริยสัจ-- ปฏิจจสมุปบาททุกอาการมี ลักษณะแหงความเปนอริยสัจสี่-- ปฏิจจสมุปบาทซึ่งแสดงการกอขึ้นแหงทุกข—ปฏิจจสมุ ปบาทซึ่งแสดงการดับลงแห งทุ กข--อริยสั จในรูป แหงปฏิ จจสมุ ปบาทมี ในขณะแห ง เวทนา-- อาการที่ยุงยากที่สุดของปฏิจจสมุปบาทคืออาการของตัณหา—ความเหนียว แนนของสัสสตทิฏฐิปดบังการเห็นอริยสัจสี่จึงสงสัยตอหลักของอริยสัจหรือปฏิจจสมุปบาท –นัตถิกทิฏฐิปดบังการเห็นอริยสัจจสี่จึงสงสัยตอหลักของอริยสัจ หรือปฏิจจสมุปบาท-ปฏิจจสมุปบาทรวมอยูในบรรดาเรื่องที่ใครคัดคานไมได.
www.buddhadasa.info
๘๐
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๒ วาดวย ปฏิจจสมุปบาทคือเรือ่ งอริยสัจสมบูรณแบบ -----------------
เรื่องปฏิจจสมุปบาท คือเรื่องอริยสัจ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมดาอันเราแสดงแลววา "เหลานี้ คืออริยสัจทั้ง ๔" ดังนี้ เปนธรรมอันสมณพราหมณผูรูทั้งหลายขมขี่ไมได ทําใหเราเศราหมองไมได ติเตียน ไมได คัดงางไมได. ขอนี้ เปนธรรมที่เรากลาวแลวอยางนี้ เราอาศัยซึ่งอะไรเลา จึง กลาวแลวอยางนี้? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยซึ่งธาตุทั้งหลาย ๖ ประการ การกาวลงสูครรภ ยอมมี; เมื่อการกาวลงสูครรภ มีอยู, นามรูป ยอมมี; เพราะ มีนามรูปเปนปจจัย จึงมีสฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะเปนปจจัย จึงมีผัสสะ;
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๑ มหาวรรค ติก. อํ. ๒๐/๒๒๗/๕๐๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
๘๑
www.buddhadasa.info
๘๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
เพราะมีผ ัส สะเปน ปจ จัย จึง มีเ วทนา. ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! เรายอ มบัญ ญัต ิว า "นี ้ เปน ความทุก ข" ดัง นี ้; วา "นี ้ เปน ทุก ขสมุท ัย " ดัง นี ้; วา “นี ้ เปน ทุ ก ขนิ โ รธ” ดั ง นี ้ ; ว า นี ้ เป น ทุ ก ขนิ โ รธคามิ น ี ป ฏิ ป ทา" ดั ง นี ้ ; แก ส ั ต ว ผูสามารถเสวยเวทนาอยู. ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ทุ กขอริยสั จ เป นอยางไรเล า? แม ความเกิ ดก็เป น ทุ ก ข , แม ค วามแก ก็ เป น ทุ ก ข , แม ค วามตายก็ เป น ทุ ก ข , แม โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั สอุปายาสทั้ งหลาย ก็ เป นทุ กข, การประสบกับสิ่ งไม เป นที่ รัก เป นทุ กข, ความ พลั ดพรากจากสิ่ งเป นที่ รัก เป นทุ กข, ปรารถนาสิ่ งใดแลวไม ไดสิ่ งนั้ น นั่ นก็เป นทุ กข : กล าวโดยย อ ป ญจุปาทานขันธทั้ งหลาย เป นทุ กข , ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรากล าววา ทุกขอริยสัจ. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ทุ ก ขสมุ ท ยอริ ย สั จ เป น อย า งไรเล า ? เพราะมี อวิ ช ชาเป น ป จ จั ย จึ งมี สั ง ขารทั้ งหลาย; เพราะมี สั ง ขารเป น ป จ จั ย จึ งมี วิ ญ ญาณ; เพราะมี วิญญาณเป นป จจั ย จึ งมี นามรูป; เพราะมี นามรูปเป นป จจั ย จึ งมี สฬายตนะ; เพราะมี ส ฬายตนะเป น ป จ จั ย จึ ง มี ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง มี อุ ป าทาน; เพราะมี อุ ปาทานเป นป จจั ย จึ งมี ภ พ; เพราะมี ภ พเป นป จจั ย จึ งมี ชาติ ; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้นครบถ วน: ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้เรากลาววาทุกขสมุทยอริยสัจ.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ทุ กขนิ โรธอริยสัจ เป นอยางไรเลา? เพราะความ จางคลายดับไปโดยไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแหงสังขาร;
www.buddhadasa.info
๘๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒ และทํ า ให เกิ ด ทุ ก ข ได อ ย างไร ถึ ง ๑๑ ระยะ คื อ สายแห งปฏิ จ จสมุ ป บาทฝ า ยสมุ ท ยวาร สาย หนึ่ ง; แทนที่ จะกล าวสั้ น ๆ ลุ น ๆ ว า ทุ กขนิ โรธ คื อการดั บ ตั ณ หาเสี ย ก็ ต รัสอย างละเอี ยด ถึ ง ๑๑ ระยะ อย า งเดี ย วกั น เป น ปฏิ จ จสมุ ป บาทฝ า ยนิ โรธวาร; ดั ง นั้ น จึ ง เห็ น ได ว า การ ตรั ส อย างนี้ เป น อริ ย สั จ โดยสมบู รณ . เราควรเรี ย กอริ ย สั จ ที่ แ สดงด ว ยปฏิ จ จสุ ม ปบาท ว า "อริยสัจใหญ", และเรียกอริยสัจที่รูกันอยูทั่ว ๆ ไปวา "อริยสัจเล็ก" กันแลวกระมัง.
ปฏิจจสมุปบาททุกอาการมีลักษณะแหงความ เปนอริยสัจสี่๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ ในธรรมวิ นั ยนี้ ย อ มรูทั่ วถึ งซึ่ ง ชรามรณะ, รูทั่ วถึ งซึ่ ง เหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งชรามรณะ, รูทั่ วถึ งซึ่ ง ความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, รูทั่วถึงซึ่ง ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงชรามรณะ; ยอมรูทั่ วถึ งซึ่ ง ชาติ , รูทั่ วถึ งซึ่ง เหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งชาติ , รูทั่ วถึ งซึ่ ง ความ ดับไมเหลือแหงชาติ, รูทั่วถึงซึ่ง ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงชาติ;
www.buddhadasa.info ย อมรู ทั่ วถึ งซึ่ ง ภพ, รู ทั่ วถึ งซึ่ ง เหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งภพ, รู ทั่ วถึ งซึ่ ง ความ ดับไมเหลือแหงภพ, รูทั่วถึงซึ่ง ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงภพ;
ย อมรูทั่ วถึ งซึ่ ง อุ ป าทาน, รูทั่ วถึ งซึ่ ง เหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งอุ ปาทาน, รูทั่ ว ถึงซึ่ง ความดับไมเหลือแหงอุปาทาน, รูทั่วถึงซึ่ง ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับ ไมเหลือแหงอุปาทาน;
๑
สูตรที่ ๘ ทสพลวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๕๑/๙๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๘๕
ยอมรูทั่วถึงซึ่ง ตัณหา, รูทั่วถึงซึ่ง เหตุใหเกิดขึ้นแหงตัณหา, รูทั่วถึงซึ่ง ความดับไมหลือแหงตัณหา, รูทั่วถึงซึ่ง ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือ แหงตัณหา; ยอมรูทั่วถึงซึ่ง เวทนา, รูทั่วถึงซึ่ง เหตุใหเกิดขึ้นแหงเวทนา, รูทั่วถึงซึ่ง ความดับไมเหลือแหงเวทนา, รูทั่วถึงซึ่ง ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือ แหงเวทนา; ยอมรูทั่วถึงซึ่ง ผัสสะ, รูทั่วถึงซึ่ง เหตุใหเกิดขึ้นแหงผัสสะ, รูทั่วถึงซึ่ง ความดับไมเหลือแหงผัสสะ, รูทั่วถึงซึ่ง ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือ แหงผัสสะ; ยอมรูทั่วถึงซึ่ง สฬายตนะ, รูทั่วถึงซึ่ง เหตุใหเกิดขึ้นแหงสฬายตนะ, รูทั่วถึงซึ่ง ความดับไมเหลือแหงสฬายตนะ, รูทั่วถึงซึ่ง ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึง ความดับไมเหลือแหงสฬายตนะ;
www.buddhadasa.info ยอมรูทั่วถึงซึ่ง นามรูป, รูทั่วถึงซึ่ง เหตุใหเกิดขึ้นแหงนามรูป, รูทั่วถึงซึ่ง ความดับไมเหลือแหงนามรูป, รูทั่วถึงซึ่ง ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือ แหงนามรูป;
ยอมรูทั่วถึงซึ่ง วิญญาณ, รูทั่วถึงซึ่ง เหตุใหเกิดขึ้นแหงวิญญาณ, รูทั่วถึงซึ่ง ความดับไมเหลือแหงวิญญาณ, รูทั่วถึงซึ่ง ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือ แหงวิญญาณ;
www.buddhadasa.info
๘๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
ยอมรูทั่วถึงซึ่ง สังขาร ทั้งหลาย, รูทั่วถึงซึ่ง เหตุใหเกิดขึ้นแหงสังขาร, รูทั่วถึงซึ่ง ความดับไมเหลือแหงสังขาร, รูทั่วถึงซึ่ง ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความ ดับไมเหลือแหงสังขาร; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ชรามรณะ เปนอยางไรเลา? ความแก ความ คร่ําครา ความมีฟนหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว ความสิ้นไปแหงอายุ ความแกรอบแหงอินทรียทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตวทั้งหลายเหลานั้นๆ : นี้ เรียกวา ชรา. การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย การทํากาละ การแตกแหงขันธทั้งหลาย การทอดทิ้งราง การขาดแหงอินทรียคือชีวิต จากสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตวทั้งหลายเหลานั้น ๆ : นี้ เรียกวา มรณะ. ชรานี้ดวย มรณะนี้ดวย ยอมมีอยูดังนี้; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา ชรามรณะ. ความ กอขึ้นพรอมแหงชรามรณะ ยอมมี เพราะความกอขึ้นพรอมแหงชาติ; ความดับไมเหลือ แหงชรามรณะ ยอมมี เพราะความดับไมเหลือแหงชาติ; มรรคอันประกอบดวยองคแปด อันประเสริฐนั่นเอง เปนปฏิปทาใหถึงความดับไมเหลือแหงชรามรณะ, ไดแกสิ่งเหลานี้ คือ ความเห็นชอบ ความดําริชอบ การพูดจาชอบ การทําการงานชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ชาติ เปนอยางไรเลา? การเกิด การกําเนิด การ กาวลง (สูครรภ) การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง ความปรากฎของขันธทั้งหลาย การที่ สัตวไดซึ่งอายตนะทั้งหลาย ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตวทั้งหลายเหลานั้น ๆ : ดูกอน ภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา ชาติ. ความกอขึ้นพรอมแหงชาติ ยอมมี เพราะความกอขึ้น พรอมแหงภพ; ความดับไมเหลือแหงชาติ ยอมมี เพราะความดับไมเหลือแหงภพ; มรรคอันประกอบดวยองคแปด อันประเสริฐนั่นเอง เปนปฏิปทาใหถึงความดับไมเหลือ
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๘๗
แห งชาติ , ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ า การงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! ภพ เปน อยา งไรเลา ? ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! ภพทั้ งหลาย ๓ อย างเหล านี้ คื อ กามภพ รู ป ภพ อรู ป ภพ: ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรียกวา ภพ. ความกอขึ้นพรอมแหงภพ ยอมมี เพราะความกอขึ้นพรอมแหงอุปาทาน; ความดั บไม เหลื อแห งภพ ยอมมี เพราะความดั บไม เหลื อแห งอุปาทาน; มรรคอั นประกอบ ด วยองค แปด อั นประเสริฐนั่ นเอง เป นปฏิ ปทาให ถึ งความดั บไม เหลื อแห งภพ, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อุปาทาน เปนอยางไรเลา? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อุปาทานทั้งหลาย ๔ อยางเหลานี้ คือ กามุปาทาน ทิฏุปาทาน สีลัพพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน: ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรียกว า อุ ปาทาน. ความก อขึ้ นพรอมแห งอุ ปาทาน ย อ มมี เพราะความก อขึ้ นพรอมแห งตั ณ หา; ความดั บ ไม เหลื อ แห งอุ ปาทาน ย อ มมี เพราะความดั บ ไม เหลื อ แห งตั ณ หา; มรรคอั น ประกอบด วยองค แ ปด อั น ประเสริ ฐ นั่ นเอง เป นปฏิ ปทาให ถึ งความดั บไม เหลื อแห งอุ ปาทาน, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ น ชอบ ความดํ าริ ชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความ พากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตั ณ หา เป น อย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! หมู ตั ณหาทั้ งหลาย ๖ อย างเหล านี้ คื อ รูปตั ณหา สั ททตั ณหา คั นธตั ณหา รสตั ณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา: ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา ตัณหา. ความกอขึ้น
www.buddhadasa.info
๘๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
พร อ มแห งตั ณ หา ย อ มมี เพราะความก อ ขึ้ น พร อ มแห งเวทนา; ความดั บ ไม เหลื อ แห งตั ณหา ยอมมี เพราะความดั บไม เหลื อแห งเวทนา; มรรคอันประกอบด วยองค แปด อั นประเสริฐนั่ นเอง เป นปฏิ ปทาให ถึ งความดั บไม เหลื อแห งตั ณ หา, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เวทนา เป น อย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! หมูแห งเวทนาทั้ งหลาย ๖ อยางเหลานี้ คื อ จักขุสัมผั สสชาเวทนา โสตสัมผั สสชาเวทนา ฆานสั มผั สสชาเวทนา ชิ วหาสั มผั สสชาเวทนา กายสั มผั สสชาเวทนา มโนสั มผั สสชาเวทนา: ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! นี้ เรี ย กว า เวทนา. ความก อ ขึ้ น พร อ มแห ง เวทนา ยอมมี เพราะความกอขึ้ นพรอมแห งผัสสะ; ความดั บไม เหลื อแห งเวทนา ย อมมี เพราะ ความดั บไม เหลื อแห งผั สสะ; มรรคอั นประกอบด วยองค แปด อั นประเสริฐนั่ นเอง เป น ปฏิ ปทาให ถึ งความดั บไม เหลื อแห งเวทนา, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความ ดํ าริ ชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพากเพี ยรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ผั ส สะ เป น อย างไรเล า? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! หมูแหงผัสสะทั้งหลาย ๖ อยางเหลานี้ คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสั มผั ส มโนสั มผั ส: ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรี ยกว า ผั สสะ. ความก อขึ้ นพร อม แหงผั สสะ ยอมมี เพราะความกอขึ้นพรอมแห งสฬายตนะ; ความดั บไม เหลือแห งผัสสะ ย อ มมี เพราะความดั บ ไม เหลื อ แห ง สฬายตนะ; มรรคอั น ประกอบด ว ยองค แ ปด อันประเสริฐนั่ นเอง เป นปฏิ ปทาให ถึงความดั บไม เหลือแห งผัสสะ, ไดแกสิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๘๙
ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! สฬายตนะ เปน อยา งไรเลา ? จัก ขวายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิ วหายตนะ กายายตนะ มนายตนะ : ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรียกว า สฬายตนะ ความก อขึ้ นพรอมแห งสฬายตนะ ย อมมี เพราะความก อขึ้ น พรอมแห งนามรูป; ความดั บไม เหลื อแห งสฬายตนะ ย อมมี เพราะความดั บไม เหลื อ แห งนามรู ป ; มรรคอั น ประกอบด วยองค แปด อั น ประเสริ ฐนั่ น เอง เป น ปฏิ ป ทาให ถึงความดั บไม เหลื อแห งสฬายตนะ, ได แก สิ่งเหลานี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพากเพี ยรชอบ ความระลึ ก ชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นามรูป เป นอย างไรเล า? เวทนา สั ญญา เจตนา ผั ส สะ มนสิ ก าร: นี้ เรี ย กว า นาม, มหาภู ต ทั้ ง สี่ ด ว ย รู ป ที่ อ าศั ย มหาภู ต ทั้ ง สี่ ด ว ย: นี้เรียกวา รูป, นามนี้ดวย รูปนี้ ดวย ยอมมีอยูดังนี้; ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! นี้ เรียกวา นามรูป. ความก อขึ้ นพรอมแห งนามรูป ย อมมี เพราะความก อขึ้ นพรอมแห งวิ ญญาณ; ความดั บไม เหลื อแห งนามรูป ย อมมี เพราะความดั บไม เหลื อแห งวิญ ญาณ; มรรค อันประกอบดวยองคแปด อันประเสริฐ นั่นเอง เปนปฏิปทาใหถึงความดับไมเหลือแหง นามรูป, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ า การงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพากเพี ยรชอบ ความระลึ กชอบ ความตั้ งใจ มั่นชอบ.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! วิ ญ ญาณ เป นอย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! หมูแหงวิญญาณทั้งหลาย ๖ อยางเหลานี้ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ: ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรียกวา วิญญาณ;. ความกอขึ้นพรอมแหงวิญญาณ ยอมมี เพราะความกอขึ้นพรอมแหงสังขาร; ความดับ
www.buddhadasa.info
๙๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
ไม เหลื อแห งวิ ญญาณ ย อมมี เพราะความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร; มรรคอั นประกอบ ด วยองค แปด อั นประเสริฐนั่ นเอง เป นปฏิ ปทาให ถึ งความดั บไม เหลื อแห งวิ ญ ญาณ ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สั งขารทั้ งหลาย เป นอย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สั งขารทั้ งหลาย ๓ อย างเหล านี้ คื อ กายสั งขาร วจี สั งขาร จิ ตตสั งขาร: ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรี ย กว า สั งขารทั้ งหลาย. ความก อ ขึ้ น พร อ มแห งสั ง ขาร ย อมมี เพราะความก อขึ้ นพร อมแห งอวิ ชชา; ความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร ย อมมี เพราะ ความดั บ ไม เหลื อ แห งอวิ ช ชา; มรรคอั น ประกอบด วยองค แ ปด อั น ประเสริ ฐ นั่ น เอง เป น ปฏิ ป ทาให ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร, ได แ ก สิ่ ง เหล า นี้ คื อ ความเห็ น ชอบ ความดํ าริ ช อบ การพู ด จาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ย งชี วิ ต ชอบ ความ พากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ในกาลใดแล ภิ กษุ ย อมมารูทั่ วถึ งซึ่ง ชรามรณะ; มารู ทั่ วถึ งซึ่ ง เหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งชรามรณะ; มารู ทั่ วถึ งซึ่ ง ความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ; มารูทั่ วถึ งซึ่ง ขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ; วาเปนอยางนี้ ๆ .
www.buddhadasa.info ย อ มมารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ชาติ ; มารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง ชาติ ; มารู ทั่ วถึ งซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห งชาติ ; มารู ทั่ วถึ งซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ าสั ต ว ให ลุ ถึ ง ความดับไมเหลือแหงชาติ; วาเปนอยางนี้ ๆ.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๙๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๙๑
ย อ มมารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ภพ; มารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง ภพ; มารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ภพ; มารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ า สั ต ว ใ ห ลุ ถึ ง ความดับไมเหลือแหงภพ; วาเปนอยางนี้ ๆ. ยอมมารูทั่ วถึ งซึ่ง อุ ปาทาน; มารูทั่ วถึ งซึ่ง เหตุ ให เกิดขึ้นแห งอุ ปาทาน; มารูทั่ วถึ งซึ่ ง ความดั บไม เหลื อแห งอุ ปาทาน; มารูทั่ วถึ งซึ่ ง ข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ใหลุถึงความดับไมเหลือแหงอุปาทาน; วาเปนอยางนี้ ๆ. ย อ มมารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ตั ณ หา; มารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง ตั ณ หา; มารูทั่ วถึ งซึ่ ง ความดั บไม เหลื อแห งตั ณ หา; มารูทั่ วถึ งซึ่ ง ข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุถึงความดับไมเหลือแหงตัณหา; วาเปนอยางนี้ ๆ. ย อ มมารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เวทนา; มารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง เวทนา; มารูทั่ วถึงซึ่ง ความดั บไม เหลือแห งเวทนา; มารูทั่ วถึ งซึ่ง ขอปฏิ บั ติเครื่องทํ าสั ตวให ลุถึงความดับไมเหลือแหงเวทนา; วาเปนอยางนี้ ๆ.
www.buddhadasa.info ย อมมารูทั่ วถึ งซึ่ ง ผั ส สะ; มารูทั่ วถึ งซึ่ ง เหตุ ให เกิ ดขึ้ น แห งผั สสะ; มารู ทั่ วถึ งซึ่ ง ความดั บไม เหลื อแห งผั สสะ; มารูทั่ วถึ งซึ่ง ข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ ง ความดับไมเหลือแหงผัสสะ; วาเปนอยางนี้ ๆ.
ยอมมารูทั่ วถึงซึ่ง สฬายตนะ; มารูทั่วถึงซึ่ง เหตุให เกิดขึ้นแห งสฬายตนะ; มารูทั่ วถึงซึ่ง ความดับไม เหลือแห งสฬายตนะ; มารูทั่ วถึงซึ่ง ขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสัตว ใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสฬายตนะ; วาเปนอยางนี้ ๆ.
www.buddhadasa.info
๙๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
ย อ มมารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง นามรู ป ; มารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง นามรู ป ; มารู ทั่ ว ถึ งซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห งนามรู ป ; มารู ทั่ วถึ งซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ าสั ต ว ใหลุถึงความดับไมเหลือแหงนามรูป; วาเปนอยางนี้ ๆ. ย อมมารู ทั่ วถึ งซึ่ ง วิ ญ ญาณ; มารู ทั่ วถึ งซึ่ ง เหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งวิ ญ ญาณ; มารูทั่ วถึ งซึ่ ง ความดั บไม เหลื อแห งวิ ญญาณ; มารูทั่ วถึ งซึ่ ง ข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุถึงความดับไมเหลือแหงวิญญาณ; วาเปนอยางนี้ ๆ. ย อ มมารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง สั ง ขารทั้ ง หลาย; มารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง สั งขาร; มารู ทั่ วถึ งซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร; มารู ทั่ วถึ งซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ ง ทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสังขาร; วาเปนอยางนี้ ๆ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลนั้น เราเรียกภิกษุนั้น วา :"ผูสมบูรณแลวดวยทิฏฺ (ทิฏสมฺปนฺโน)", ดังนี้บาง; "ผูสมบูรณแลวดวยทัสสนะ (ทสฺสนสมฺปนฺโน)", ดังนี้บาง; "ผูมาถึงพระสัทธรรมนี้แลว (อาคโต อิมํ สทฺธมฺมํ)" ดังนี้บาง; "ยอมเห็นซึ่งพระสัทธรรมนี้ (ปสฺสติ อิมํ สทฺธมฺมํ)" ดังนี้บาง; "ผูประกอบแลวดวยญาณอันเปนเสขะ (เสกฺเขน าเณน สมนฺนาคโต)" ดังนี้บาง; "ผูประกอบแลวดวยวิชชาอันเปนเสขะ (เสกฺขาย วิชฺชาย สมนฺนาคโต)" ดังนี้บาง; "ผูถึงแลวซึ่งกระแสแหงธรรม (ธมฺมโสตํ สมาปนฺโน)" ดังนี้บาง; "ผูประเสริฐมีปญญชําแรกกิเลส (อริโย นิพฺเพธิกปฺโ)" ดังนี้บาง; "ยืนอยูจดประตูแหงอมตะ (อมตทวารํ อาหจฺจ ติฏติ)" ดังนี้บาง.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๙๓
หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตุ ให เห็ น ว า อาการแห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท แต ล ะอาการก็ ยั ง จํ า แนกออกไปเป น อริ ย สั จ สี่ อี ก ชั้ น หนึ่ ง ; เช น เดี ย วกั บ ตั ว ปฏิ จ จสมุ ป บาท ทั ้ง สาย, ดัง ที ่ก ลา วมาแลว โดยหัว ขอ วา “เรื ่อ งปฏิจ จสมุป บาท คือ เรื ่อ งอริย สัจ ”. ทั้ งหมดนี้ รวมกั นแล ว เป น เครื่ องแสดงให เห็ นชั ดยิ่ งขึ้ น ไปอี ก ว า เรื่ องปฏิ จจสมุ ปบาทนั้ นเป น เรื่องอริยสัจทั้งเนื้อทั้งตัว. ขอใหกําหนดไวเปนพิเศษ ตลอดเวลา. (แม คํ า ของพระมหาเถระ คื อ พระสารี บุ ต ร ก็ ไ ด ก ล า วถึ ง ปฏิ จ จสมุ ท บาท โดย หลั ก แห ง อริ ย สั จ สี่ อย า งเดี ย วกั น กั บ พุ ท ธภาษิ ต ข า งบนนี้ แต ก ล า วในฐานะเป น วั ต ถุ แ ห ง สัม มาทิฏ ฐิ คือ การรู ช ัด ซึ ่ง อาการทุก อาการของปฏิจ จสมุท บาท โดยนัย แหง อริย สัจ สี่ ว า เป น สั ม มาทิ ฏ ฐิ อ ย า งหนึ่ ง ๆ ทุ ก อาการ รวมอยู กั บ เรื่ อ งอื่ น ๆ คื อ เรื่ อ งอกุ ศ ล กุ ศ ล พร อ มทั้ ง มู ล เหตุ , เรื่ อ งอาหารสี่ โดยนั ย แห ง อริ ย สั จ สี่ , เรื่ อ งทุ ก ข โ ดยนั ย แห ง อริ ย สั จ สี่ , และเรื่ อ งอาสวะ โดยนั ย แห งอริ ย สั จ สี่ , ซึ่ งล วนแต เป น วั ต ถุ แ ห งสั ม มาทิ ฏ ฐิ ด ว ยกั น ทั้ งนั้ น . สํ า หรั บ เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ท บาทนั้ น มี ข อ ความดั ง ที่ ย กมาไว เป น ส ว นผนวกของพระพุ ท ธภาษิ ต ขางบนนี้ ดังตอไปนี้:-)
"ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! ปริยายอย างอื่ นยั งมี อี ก ที่ จะทํ าอริยสาวก ให ไ ด ชื่ อ ว า เป น ผู มี สั ม มาทิ ฏ ฐิ มี ทิ ฏ ฐิ ดํ า เนิ น ไปตรงแล ว ประกอบพร อ มแล ว ด ว ย ความเลื่อมใสอันไมหวั่นไหวในธรรม, มาสูพระสัทธรรมนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! ปริ ยายนั้ นคื อ ในกาลใด อริ ยสาวก ย อมรู ทั ่ว ถึง ซึ ่ง ชรามรณะ ดว ย, ซึ ่ง เหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ชรามรณะดว ย, ซึ ่ง ความดับ ไม เหลื อแห งชรามรณะด วย, ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห ง ชรามรณะดวย; ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย! ดวยเหตุเพียงเทานี้แล อริยสาวกนั้น.
www.buddhadasa.info
๙๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
ชื่ อ ว า เป น ผู มี สั ม มาทิ ฏ ฐิ มี ทิ ฏ ฐิ ดํ า เนิ น ไปตรงแล ว ประกอบพร อ มแล ว ด ว ยความ เลื่อมใสอันไมหวั่นไหวในธรรม มาสูพระสัทธรรมนี้ ในกาลนั้น. …ปริย ายอยา งอื ่น ยัง มีอ ีก ... ยอ มรู ทั ่ว ถึง ซึ ่ง ชาติ ดว ย, ซึ ่ง เหตุ ใหเ กิด ขึ ้น แหง ชาติด ว ย, ซึ ่ง ความดับ ไมเ หลือ แหง ชาติด ว ย, ซึ ่ง ขอ ปฏิบ ัต ิเครื ่อ ง ทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงชาติดวย;..ฯลฯ...ในกาลนั้น ...ปริ ย ายอย า งอื่ น ยั ง มี อี ก ...ย อ มรู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ภพ ด ว ย, ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห งภพด วย, ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อ แห งภพด วย, ซึ่ งข อ ปฏิ บั ติ เครื่อ งทํ าสั ต ว ให ลุ ถึงความดับไมเหลือแหงภพดวย;..ฯลฯ...ในกาลนั้น ...ปริยายอยางอื่นยังมีอีก... ยอมรูทั่วถึงซึ่ง อุปาทาน ดวย, ซึ่งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ นแห งอุ ป าทานด วย, ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อแห งอุ ป าทานด วย, ซึ่ งข อ ปฏิ บั ติ เครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงอุปาทานดวย;...ฯลฯ...ในกาลนั้น. ...ปริยายอยางอื่นยังมีอีก... ยอมรูทั่วถึงซึ่ง ตัณ หา ดวย, ซึ่งเหตุ ให เกิ ดขึ้นแห งตั ณ หาด วย, ซึ่งความดั บไม เหลื อแห งตั ณ หาด วย, ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่อง ทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงตัณหาดวย;...ฯลฯ...ในกาลนั้น.
www.buddhadasa.info ...ปริย ายอยา งอื่น ยัง มีอ ีก ...ยอ มรูทั ่ว ถึง ซึ ่ง เวทนา ดว ย, ซึ่งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งเวทนาด วย, ซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งเวทนาด วย, ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่อง ทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงเวทนาดวย;...ฯลฯ...ในกาลนั้น.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๙๕
...ปริยายอย างอื่ นยั งมี อี ก...ย อ มรู ทั่ วถึ งซึ่ ง ผั ส สะ ด วย, ซึ่ งเหตุ ให เกิด ขึ ้น แหง ผัส สะดว ย, ซึ ่ง ความดับ ไมเหลือ แหง ผัส สะดว ย, ซึ ่ง ขอ ปฏิบ ัต ิเครื่อ ง ทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงผัสสะดวย;...ฯลฯ...ในกาลนั้น. ...ปริ ย ายอย า งอื่ น ยั งมี อี ก ... ย อ มรู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง สฬายตนะ ด ว ย, ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง สฬายตนะด ว ย, ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สฬายตนะด ว ย, ซึ่ ง ขอ ปฏิบ ัต ิเ ครื ่อ งทํ า สัต วใ หล ุถ ึง ความดับ ไมเ หลือ แหง สฬายตนะดว ย;...ฯลฯ... ในกาลนั้น. ...ปริย ายอยา งอื่น ยัง มีอ ีก ...ยอ มรูทั ่ว ถึง ซึ ่ง นามรูป ดว ย, ซึ่งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง นามรู ป ด ว ย, ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง นามรู ป ด ว ย, ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงนามรูปดวย;...ฯลฯ...ในกาลนั้น. ...ปริยายอยางอื่นยังมีอีก...ยอมรูทั่วถึงซึ่ง วิญญาณ ดวย, ซึ่งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งวิ ญ ญาณด วย, ซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งวิญ ญาณด วย, ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงวิญญาณดวย;...ฯลฯ...ในกาลนั้น.
www.buddhadasa.info ...ปริย ายอยา งอื ่น ยัง มีอ ีก ...ยอ มรู ทั ่ว ถึง ซึ ่ง สัง ขาร ดว ย, ซึ ่ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งสั งขารด วย, ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขารด วย, ซึ่ งข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ ง ทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสังขารดวย;...ฯลฯ...ในกาลนั้น. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย! ปริยายอยางอื่นยังมีอีก ที่จะทําอริยสาวกให ไดชื่อวาเปนผูมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดําเนินไปตรงแลว ประกอบพรอมแลวดวย ความเลื่อมใสอันไมหวั่นไหวในธรรม, มาสูพระสัทธรรมนี้.
www.buddhadasa.info
๙๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! ปริยายนั้ นคื อ ในกาลใด อริ ยสาวก ย อม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง อวิ ช ชาด ว ย, ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง อวิ ช ชาด ว ย, ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห งอวิชชาด วย, ซึ่งขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสัตวให ลุถึ งความดั บไม เหลื อแห งอวิชชาด วย; ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! ด วยเหตุ เพี ย งเท านี้ แล อริ ย สาวกนั้ น . ชื่ อ ว าเป น ผู มี สั ม มาทิ ฏ ฐิ มี ทิ ฏ ฐิ ดํ าเนิ น ไปตรงแล ว ประกอบพร อ มแล วด วยความเลื่ อ มใสอั น ไม หวั่นไหวในธรรม มาสูพระสัทธรรมนี้ ในกาลนั้น….. (ต อไปนี้ พระสารีบุ ตรได กล าวถึ งเรื่องอาสวะ โดนั ยแห งอริยสั จสี่ ไปจนจบสู ตรชื่ อสั มมาทิ ฏฐิ สูตร มู.ม. ๑๒/๙๐/๑๑๗) หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ในพุ ท ธภาษิ ต ในตอนต น ของเรื่ อ งนี้ ตรั ส ลั ก ษณะของ อริ ย สั จ สี่ ในอาการของปฏิ จ จสมุ ป บาท ไม ขึ้ น ไปถึ ง อวิ ช ชา ดั งในสู ต รนี้ ซึ่ ง กล า วขึ้ น ไปถึ ง อวิ ชชา. การรูปฏิ จจสมุ ปบาท แต ละอาการ โดยละอาการ โดยนั ยอริยสั จสี่ เป นลั กษณะของการบรรลุ ความเป นโสดาบั น เป น อย างน อ ย. ความข อ นี้ มี ต รงกั น ทั้ งที่ เป น พุ ท ธภาษิ ต และสาวกภาษิตเชนนี้ แล.
ปฏิจจสมุทบาท ซึ่งแสดง การกอขึ้นแหงทุกข๑
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เราจั ก แสดง ซึ่ งเหตุ เครื่ องก อ ขึ้ น แห งทุ ก ข (ทุ ก ขสมุ ท ยะ) แก พ วกเธอทั้ งหลาย. พวกเธอทั้ งหลายจงฟ งความข อ นั้ น , จงทํ าในใจให สําเร็จประโยชน, เราจักกลาวบัดนี้. .... ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็เหตุเครื่องกอขึ้นแหงทุกข เปนอยางไรเลา?
๑
สูตรที่ ๓ คหปติวรรค อภิมสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๘๖/๑๖๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๙๗
(๑) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยตาด วย รู ป ทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด
จั กขุ วิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรมสามประการ (ตา+รูป+จั กขุ วิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึงมีตัณหา: นี้คือ เหตุเครื่องกอนขึ้นแหงทุกข. (๒) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยหู ด วย เสี ยงทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด โสตวิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรมสามประการ (หู +เสี ยง+โสตวิญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึงมีตัณหา: นี้คือ เหตุเครื่องกอนขึ้นแหงทุกข. (๓) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยจมูกดวย กลิ่นทั้งหลายดวย จึงเกิดฆาน วิญญาณ; การประจวบพรอมแหงธรรมสามประการ (จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ)นั่นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัยจึงมีตัณหา: นี้ คือ เหตุเครื่องกอนขึ้นแหงทุกข.
www.buddhadasa.info (๔) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยลิ้ นด วย รสทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด ชิ วหาวิ ญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรมสามประการ (ลิ้ น+รส+ชิ วหาวิ ญญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึงมีตัณหา: นี้คือ เหตุเครื่องกอนขึ้นแหงทุกข.
(๕) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยกายด วย โผฏฐั พพะรูปทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด กายวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรมสามประการ (กาย+โผฏฐั พพะ+ วิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนา เปนปจจัย จึงมีตัณหา: นี้คือ เหตุเครื่องกอนขึ้นแหงทุกข.
www.buddhadasa.info
๙๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
(๖) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ย ใจด ว ย ธั ม มารมณ ทั้ ง หลาย จึ งเกิ ด มโนวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อ มแห งธรรมสามประการ (ใจ+ธั ม มารมณ + มโนวิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เวทนา; เพราะมี เวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา: นี้คือ เหตุเครื่องกอนขึ้นแหงทุกข. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้แล คือเหตุเครื่องกอขึ้นแหงทุกข
ปฏิจจสมุทบาทซึ่งแสดง การดับลงแหงทุกข๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เราจักแสดง ซึ่งการถึงซึ่งอันตั้งอยูไมไดแหงทุกข (ทุ กขอั ตถั งคนะ) แก พวกเธอทั้ งหลาย, เธอทั้ งหลายจงฟ งซึ่ งความข อนั้ น, จงทํ าในใจ ใหสําเร็จประโยชน, เราจักกลาวบัดนี้. (ครั้นภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น ทู ลสนองรับพระพุ ทธดํ ารัสแล ว, พระผู มี พระภาคเจ า ได ตรั ส ถอยคําเหลานี้วา:-)
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็การถึงซึ่งอันตั้งอยูไมไดแหงทุกข เปนอยางไรเลา?
(๑) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยตาด วย รู ปทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด จั กขุ วิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรมสามประการ (ตา+รูป+จั กขุ วิ ญ ญาณ) นั่นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมี
๑
สูตรที่ ๓ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๘๖/๑๖๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๙๙
ตั ณ หา. เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห ง ตั ณ หานั่ น เอง, จึ ง มี ค วามดั บ แห งอุ ป าทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ป าทาน จึ งมี ค วามดั บ แห งภพ; เพราะมี ความดับแหงภพ จึงมีความดับแห งชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น: ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้น นี้ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ นี้คือ การถึงซึ่งอันตั้งอยูไมไดแหงทุกข. (๒) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยหู ด วย เสี ยงทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด โสตวิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรมสามประการ (หู +เสี ยง+โสตวิญ ญาณ) นั่นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเป นปจจัย จึงมี ตั ณ หา: เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห ง ตั ณ หานั่ น เอง, จึ ง มี ค วามดั บ แหงอุปาทาน; ...ฯลฯ...๑ นี้คือ การถึงซึ่งอันตั้งอยูไมไดแหงทุกข. (๓) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยจมู กด วย กลิ่ นทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด ฆานวิ ญญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรมสามประการ (จมู ก+กลิ่ น+ฆานวิ ญญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั สสะเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา . เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห งตั ณ หานั่ น เอง, จึ งมี ค วาม ดับแหงอุปาทาน; ...ฯลฯ... นี้คือ การถึงซึ่งอันตั้งอยูไมไดแหงทุกข.
www.buddhadasa.info (๔) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยลิ้ นด วย รสทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด ชิวหาวิญญาณ; การประจวบพรอมแหงธรรมสามประการ (ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ)
๑
คํ าที่ ละไว ด วย...ฯลฯ... ตรงนี้ และตอนต อ ๆ ไป แห งหั วข อเรื่ องนี้ หมายความวามี ข อความเต็ มเหมื อน ข อ (๑). เริ่มตั้ งแต คํ าว า "เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึ งมี ความดั บแห งภพ";...ไปจนกระทั่ งถึ งคํ าว า ..."ยอมมีดวยอาการอยางนี้." ผูอานพึงเติมใหเต็มเอาเอง.
www.buddhadasa.info
๑๐๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา. เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห ง ตั ณ หานั่ น เอง, จึ ง มี ค วาม ดับแหงอุปาทาน; ..ฯลฯ... นี้คือ การถึงซึ่งอันตั้งอยูไมไดแหงทุกข. (๕) ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยกายด วย โผฏฐัพพะรูปทั้ งหลายด วย จึงเกิ ดกายวิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรมสามประการ (กาย+โผฏฐั พพะ+ วิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนา เป น ป จ จั ย จึ งมี ตั ณ หา. เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห งตั ณ หานั่ น เอง, จึ ง มี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทาน; ...ฯลฯ... นี ้ ค ื อ การถึ ง ซึ ่ ง อั น ตั ้ ง อยู ไ ม ไ ด แหงทุกข. (๖) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยใจด วย ธัมมารมณ รูปทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ดมโนวิ ญ ญาณ; การประจวบพรอ มแห งธรรมสามประการ (ใจ+ธั ม มารมณ + มโนวิญญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจัย จึงมี เวทนา; เพราะมี เวทนา เป น ป จ จั ย จึ งมี ตั ณ หา. เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห งตั ณ หานั่ น เอง, จึงมีความดับแหงอุปาทาน; เพราะมีความดับแหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุปายาสทั้ งหลาย จึงดั บสิ้ น: ความดั บลงแห ง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ นี้คือ การถึงซึ่งอันตั้งอยูไมไดแหงทุกข.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้แล คือการถึงซึ่งอันตั้งอยูไมไดแหงทุกข.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๑๐๑
อริยสัจในรูปแหงปฏิจจสมุทบาท มีในขณะแหงเวทนา๑ ดู ก อ น ภิ ก ษุ ทั้ ง ห ล า ย ! เพ ร า ะ อ า ศั ย ซึ่ ง ธ า ตุ ทั้ ง ๖ ป ร ะ ก า ร ก า ร ก า ว ล ง สู ค ร ร ภ ย อ ม มี ; เมื่ อ ก า ร ก า ว ล ง สู ค ร ร ภ มี อ ยู , น า ม รู ป ย อ ม มี ; เพ ร า ะ มี น า ม รู ป เป น ป จ จั ย จึ งมี ส ฬ าย ต น ะ ; เพ ราะ มี ส ฬ าย ต น ะ เป น ป จ จั ย จึ งมี ผั ส ส ะ ; เพ ราะ มี ผั ส ส ะ เป น ป จ จั ย จึ งมี เว ท น า ; ดู ก อ น ภิ ก ษุ ทั้ งห ล า ย ! เรา ย อ ม บั ญ ญั ติ ว า "นี้ เป น ค ว า ม ทุ ก ข " ด ั ง นี ้ ; ว า "นี ้ เ ป น ท ุ ก ข ส ม ุ ท ั ย " ด ั ง นี ้ ; ว า "นี ้ เ ป น ท ุ ก ข น ิ โ ร ธ " ด ั ง นี ้ ; ว า "นี้ เปนทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" ดังนี้; แกสัตวผูสามารถเสวยเวทนาอยู. หมายเหตุ ผู รวบรวม : ผูศึ กษาพึ งสังเกตใหเห็นวา ขอเท็จจริงอั นนี้ มีความสําคั ญ อย า งยิ่ ง กล าวคื อ ต อ งมี การเสวยเวทนาจริ ง ๆ จึ งจะเห็ น ทุ ก ขอริ ยสั จที่ เกิ ด จากตั ณ หาอั น เกิ ด จากเวทนานั้ น และความที่ ทุ ก ข ดั บ ไปในขณะที่ ตั ณ หาดั บ ไปในเวทนานั้ น ในเมื่ อ จิ ต ประกอบอยู ด วยธั ม มสมั งคี แห งอั ฏ ฐั งคิ กมรรค โดยอั ตโนมั ติ ; ดั งนั้ น ถ าปราศจากเวทนา เสี ย เพี ย งอย า งเดี ย วแล ว อริ ย สั จ สี่ ก็ ต าม ปฏิ จ จสมุ ป บาทก็ ต าม ยั ง มิ ได เป น สิ่ ง ที่ มี อ ยู จ ริ ง ; ด ว ยเหตุ นี้ จึ ง กล า วได ว า "ปฏิ จ จสมุ ป บาทอริ ย สั จ มี ในขณะแห งเวทนา" ดั ง นี้ โดยนั ย ดั ง ที่ พระพุทธองคตรัสแลวขางบน.
www.buddhadasa.info อาการที่ยุงยากที่สุดของปฏิจจสมุทบาท คืออาการของตัณหา๒
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เราจักแสดงซึ่งตัณหา แกพวกเธอทั้งหลายคือตัณหา ซึ่งเปนดุจมีขายเครื่องคลุมสัตว มีปกติไหลนอง แผกวาง เปนเครื่องเกาะ
๑
สูตรที่ ๑ มหาวรรค ติก.อํ. ๒๐/๒๒๗/๕๐๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย. สูตรที่ ๙ มหาวรรค จตุกฺ. อํ. ๒๑/๒๘๘/๑๙๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
๒
www.buddhadasa.info
๑๐๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
เกี ่ย วของสัต ว, ซึ ่ง ดว ยตัณ หานั ้น เอง โลกนี ้อ ัน ตัณ หายึด โยงไว หอ หุ ม ไว เปน เหมือ นกลุ ม ดว ยยุ ง ยุ ง เหยิง เหมือ นความยุ ง ของกลุ ม ดา ยที ่ห นาแนน ไปดว ย ปม พั น กั น ยุ ง เหมื อ นเซิ ง หญ ามุ ญ ชะและหญ าป พ พชะ ๑ ย อ มไม ล ว งพ น ซึ่ ง สั งสารวัฏฏ ที่ เป นอบาย ทุ คติ วิ นิ บาต ไปได . พวกเธอทั้ งหลาย จงฟ งข อความนั้ น, จงทําในใจใหสําเร็จประโยชน, เราจักกลาวบัดนี้. ครั้นภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น ทู ลสนองรับพระพุ ทธดํ ารัสแล ว, พระผู มี พระภาคเจา จึงได ตรัส ถอยคําเหลานี้วา:-
ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ก็ตัณหาเปนอยางไรเลา? จึงชื่อวาเป นดุจมี ขายเครื่อง คลุมสัตว มีปกติไหลนอง แผกวาง เปนเครื่องเกาะเกี่ยวของสัตว, ซึ่งดวยตัณหานั้นเอง โลกนี้ อันตัณหายึดโยงไว ห อหุ มไวเป นเหมื อนกลุมด ายยุ ง ยุงเหยิงเหมื อนความยุงของ กลุมด ายที่ หนาแน นไปดวยปม พั นกันยุงเหมื อนเซิงหญ ามุ ญชะและหญ าป พพชะ ยอมไม ลวงพนซึ่งสังสารวัฏฏ ที่เปนอบาย ทุคติ วินิบาต ไปได. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ตัณหาวิจริต (ความนึกที่ซานไปดวยอํานาจแหงตัณหา) ทั้งหลาย ๑๘ ประการ อั นเขาไปจั บยึ ดขั นธ ในภายใน และตั ณหาวิจริตทั้ งหลาย ๑๘ ประการ อันเขาไปจับยึดขันธในภายนอก, เหลานี้มีอยู.
www.buddhadasa.info ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตั ณ หาวิ จริตทั้ งหลาย ๑๘ ประการ อั นเข าไป จั บยึ ดขั นธ ในภายใน เป นอย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตั ณ หาวิ จริตทั้ งหลาย ๑๘ ประการ อันเขาไปจับยึดขันธในภายในนั้น เหลานี้คือ (๑) เมื่อมีความนึกวา "เรามีอยู
๑
หญ าสองชนิ ดนี้ เคยแปลกั นวา หญ ามุ งกระต าย และหญ าปล อง แต ไม มี หลักฐานที่ แน นอน, ในที่ นี้ จึ ง ไมแปลไว.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๑๐๓
(อสมิ)" ดัง นี ้; (๒) ความนึก ไปวา "เราเปน อยา งนี ้ (อิต ฺถ สฺม ิ)" ดัง นี ้ ก็ย อ มมี; (๓) หรื อ ว า ความนึ ก ไปว า "เราเป น อย า งนั้ น (เอวสฺ มิ ) ดั ง นี้ ก็ ย อ มมี ; (๔) หรื อ ว า ความนึก ไปวา "เราเปน อยา งอื ่น (อ ฺถาสฺม ิ)" ดัง นี ้ ก็ย อ มมี; (๕) หรือ วา ความนึ ก ไปว า "เราเป น อย า งไม เ ที่ ย งแท (อสสฺ มิ ) ดั ง นี้ ก็ ย อ มมี ;(๖) หรื อ ว า ความนึ ก ว า "เราเป น อย างเที่ ย งแท (สตตฺ มิ )" ดั งนี้ ก็ ย อ มมี ; (๗)หรื อ ว า ความนึ ก ไปว า "เราพึ ง มี (สํ )" ดั ง นี้ ก็ ย อ มมี ; (๘) หรื อ ว า ความนึ ก ไปว า "เราพึ ง มี อ ย า งนี้ (อิ ตฺ ถํ สํ )" ดั งนี้ ก็ ย อ มมี ; (๙) หรื อ ว า ความนึ กไปว า "เราพึ งมี อ ย างนั้ น (เอวํ สํ )" ดัง นี ้ ก็ย อ มมี; (๑๐) หรือ วา ความนึก ไปวา "เราพึง มีอ ยา งอื ่น (อฺญ ถา สํ) ดัง นี้ ก็ย อ มมี; (๑๑) หรือ วา ความนึก วา "เราพึง มีบ า งหรือ (อป สํ)" ดัง นี ้ ก็ย อ มมี; (๑๒) หรื อ ว า ความนึ ก ไปว า " เราพึ งมี อ ย างนี้ บ างหรื อ (อป อิ ตฺ ถํ สํ )"ดั งนี้ ก็ ย อ มมี ; (๑๓) หรื อ ว า ความนึ ก ไปว า "เราพึ งมี อ ย างนั้ น บ างหรื อ (อป เอวํ สํ )" ดั งนี้ ก็ ย อ มมี ; (๑๔) หรือ วา ความนึก ไปวา "เราพึง มีอ ยา งอื ่น บา งหรือ (อป อฺถา สํ) ดัง นี้ ก็ย อ ม มี; (๑๕) ห รือ วา ค วาม นึก วา "เราจัก มีแ ลว (ภ วิส ฺส ํ)" ดัง นี ้ ก็ย อ ม มี; (๑๖) หรื อ ว า ความนึ ก ไปว า "เราจั ก มี แ ล ว อย า งนี้ ( อิ ตฺ ถํ ภวิ สฺ สํ )" ดั ง นี้ ก็ ย อ มมี ; (๑๗) หรื อ ว า ความนึ ก ไปว า "เราจั ก มี แ ล ว อย า งนั้ น (เอวํ ภวิ สฺ สํ )" ดั ง นี้ ก็ ย อ มมี ; (๑๘) หรือวาความนึกไปวา "เราจักมีแลวอยางอื่น (อฺถา ภวิสฺสํ) ดังนี้ ก็ยอมมี. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เหล านี้ คื อ ตั ณหาวิ จริตทั้ งหลาย ๑๘ ประการ อั นเข า ไปจับยึดขันธในภายใน.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ตัณหาวิจริตทั้งหลาย ๑๘ ประการ อันเขาไปจับ ยึดขันธในภายนอก เป นอยางไรเลา? ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย ! ตัณ หาวิจริตทั้งหลาย ๑๘ ประการ อั นเข าไปจั บยึ ดขั นธ ในภายนอก เหล านี้ คื อ (๑) เมื่ อมี ความนึ กว า "เรามี อยูดวยขันธ (อันเปนภายนอก) อันนี้ (อิมินา อสฺมิ)" ดังนี้; (๒) ความนึกไปวา
www.buddhadasa.info
๑๐๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
"เราเป น อย า งนี้ ด ว ยขั น ธ อั น นี้ (อิ มิ น า อิ ตฺ ถ สฺ มิ )" ดั ง นี้ ก็ ย อ มมี ; (๓) หรื อ ว า ความนึ ก ไปว า "เราเป น อย า งนั้ น ด ว ยขั น ธ อั น นี้ (อิ มิ น า เอวสฺ มิ )" ดั งนี้ ก็ ย อ มมี ; (๔) หรือว า ความนึ กไปว า "เราเป นอย างอื่ น ด วยขั นธ อั นนี้ (อิ มิ นา อฺ ถาสฺ มิ )" ดั ง นี้ ก็ ย อ มมี ; (๕) หรื อ ว า ความนึ ก ไปว า "เราเป น อย า งไม เที่ ย งแท ด ว ยขั น ธ อั น นี้ (อิ มิ น า อสสฺ มิ )" ดั งนี้ ก็ ย อ มมี ; (๖) หรื อ ว า ความนึ ก ไปว า "เราเป น อย าง เที่ ย งแท ด ว ยขั น ธ อั น นี้ (อิ มิ น า สตสฺ มิ )" ดั งนี้ ก็ ย อ มมี ; (๗) หรื อ ว า ความนึ ก ไปว า "เราพึ ง มี ด ว ยขั น ธ อั น นี้ (อิ มิ น า สํ )" ดั ง นี้ ก็ ย อ มมี ; (๘) หรื อ ว า ความนึ ก ไปวา "เราพึ งมี อย างนี้ ด วยขั นธ อั นนี้ (อิ มิ นาอิ ตฺ ถํ สํ )" ดั งนี้ ก็ ย อมมี ; (๙) หรือว า ความนึ ก ไปว า "เราพึ ง มี อ ย า งนั้ น ด ว ยขั น ธ อั น นี้ (อิ มิ น า เอวํ สํ )" ดั ง นี้ ก็ ย อ มมี ; (๑๐) หรือวา ความนึ กไปวา "เราพึ งมี อย างอื่ น ด วยขั นธอั นนี้ (อิ มิ นา อฺ ถา สํ )" ดั งนี้ ก็ ย อมมี ; (๑๑) หรื อว า ความนึ กไปว า "เราพึ งมี ด วยขั นธ อั นนี้ บ างหรื อ (อิ มิ นา อป สํ )" ดั งนี้ ก็ ย อมมี ; (๑๒) หรือว า ความนึ กไปว า "เราพึ งมี อย างนี้ ด วยขั นธ อั นนี้ บ างหรือ (อิ มิ นา อป อิ ตฺ ถํ สํ )" ดั งนี้ ก็ ย อมมี ; (๑๓) หรือว า ความนึ กไปว า "เราพึ ง มี อ ย างนั้ น ด วยขั น ธ อั น นี้ บ างหรื อ (อิ มิ น า อป เอวํ สํ )" ดั งนี้ ก็ ย อ มมี ; (๑๔) หรื อ ว า ความนึกไปวา "เราพึงมีอยางอื่นดวยขันธอันนี้บางหรือ (อิมินา อป อฺถา สํ)" ดังนี้ ก็ยอมมี; (๑๕) หรือวา ความนึกไปวา "เราจักมีแลว ดวยขันธอันนี้ (อิมินา ภวิสฺสํ)" ดั ง นี้ ก็ ย อ มมี ; (๑๖) หรื อ ว า ความนึ ก ไปว า "เราจั ก มี แ ล ว อย า งนี้ ด ว ยขั น ธ อั น นี้ (อิ มิ น า อิ ตฺ ถํ ภวิ สฺ สํ )" ดั งนี้ ก็ ย อ มมี ; (๑๗) หรื อ ว า ความนึ ก ไปว า "เราจั ก มี แล ว อย างนั้น ดวยขันธอันนี้ (อิมิ นา เอวํ ภวิสฺสํ )" ดั งนี้ ก็ยอมมี ; (๑๘) หรือวา ความ นึกไปวา "เราจักมีแลวอยางอื่น ดวยขันธอันนี้ (อิมินา อฺถา ภวิสฺสํ )" ดังนี้ ก็ยอมมี. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เหล านี้ คื อ ตั ณหาวิ จริตทั้ งหลาย ๑๘ ประการ อั นเข า ไปจับยึดขันธในภายนอก.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๑๐๕
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยอาการอย างนี้ จึ งมี ตั ณหาวิจริตทั้ งหลาย ๑๘ ประการ อันเขาไปจับยึ ดขันธในภายใน, และตั ณหาวิจริตทั้ งหลาย ๑๘ ประการ อั นเขาไปจับยึ ด ขั นธ ในภายนอก. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยเหตุ นี้ เราย อมกล าวว า ตั ณ หาวิ จริ ต ทั้งหลาย ๓๖ ประการ ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยเหตุ นี้ เมื่ อนั บตั ณหาวิจริต มี ลั กษณะอย างนี้ อั นเป นอดี ต ๓๖ ประการด วย, อั นเป นอนาคต ๓๖ ประการด วย, อั นเป นป จจุ บั น ๓๖ ประการดวย, ตัณหาวิจริตทั้งหลาย ๑๐๘ ประการ ยอมมี. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ แล คื อตั ณหา ซึ่ งเป นดุ จมี ข ายเครื่องคลุ มสั ตว มี ปกติ ไหลนอง แผ กว าง เป น เครื่องเกาะเกี่ ยวของสั ตว , ซึ่ งด วยตั ณ หานั้ น เอง โลกนี้ อันตัณหายึดโยงไว หอหุมไวเปนเหมือนกลุมดายยุง ยุงเหยิงเหมือนความยุงของกลุมดาย ที่หนาแน นไปดวยปม พั นกันยุงเหมื อนเซิงหญ ามุญชะและหญ าป พพชะ ยอมไม ลวงพ น ซึ่งสังสารวัฏฏ ที่เปนอบาย ทุคติ วินิบาต ไปได ดังนี้ แล. ห ม า ย เห ต ุผู ร ว บ ร ว ม : ผู ศ ึก ษ า พ ึง ส ัง เก ต ให เ ห ็น ว า ต ัณ ห า นั ้น เป น อาการของปฏิ จจสมุ ป บาทอาการที่ ๘, นั บ ว าเป นอาการที่ ยุ งยากซั บ ซ อ น ทํ าจิ ตใจของสั ตว ให นุ งนั งสั บสนเหมื อนเซิ งหญ ามุ ญ ชะและกลุ มด ายที่ ยุ ง ดั งที่ กล าวแล วในพระบาลี นี้ ; แถม ยั งมี อาการของสิ่ งที่ ผู กมั ด หุ มหอ ครอบคลุ มเหมื อนตาข าย แผ ซ านไปในภพต าง ๆ มี อาการ ซั บ ซ อ นเหลื อ จะประมาณได ; มี ก ารเที่ ย วไปในทิ ฏ ฐิ ต า งๆ เช น ทิ ฏ ฐิ ๑๘ ประการ, ปรารภ ขั น ธ ทั้ ง ที่ เป น ภายในและภายนอก และมี ทั้ ง ที่ เป น อดี ต อนาคต ป จ จุ บั น : รวมได เป น ๑๐๘ ชนิ ด ; นี้ เป น พวกที่ อ าศั ย ทิ ฏ ฐิ . เมื่ อ ดู ต ามลั ก ษณะที่ อ าศั ย อารมณ ทั้ ง ๖ มี รู ป เสี ย ง กลิ ่น รส เปน ตน นับ เปน ๖ อารมณ, แลว คูณ ดว ยเวทนา ๓ คือ สุข เวทนา ทุก ขเวทนา อทุ ก ขมสุ ข เวทนา และตั ณ หา ๓ คื อ กามตั ณ หา ภวตั ณ หา วิ ภ วตั ณ หา ก็ เป น ๕๔ ชนิ ด ; แล วคู ณ ด วยลั กษณะ ๒ คื อ ที่ เป น ภายในและภายนอกก็ ตาม หรื อจะคู ณ ด วยลั กษณะแห ง เคหสิ ต และเนกขั ม มสิ ต ๒, อย า งนี้ ก็ ต าม ก็ เป น ๑๐๘ ชนิ ด เช น เดี ย วกั น : ใช อ ธิ บ ายได ทั้ งแก ก ามตั ณ หา ภวตั ณ หา วิ ภ วตั ณ หา. ส ว นตั ณ หาวิ จ ริ ต ๑๐๘ ประการ นั ย ที่ ก ล า วแล ว ข า งต น สะดวกที่ จ ะใช อ ภิ บ ายภวตั ณ หา และวิ ภ วตั ณ หา ได ทั้ ง ๒ อย า ง โดยปฏิ ป ก ขนั ย ตอกันและกัน. นี่แหละคือความยุงยากซับซอนแหงอาการของตัณหา ที่ซอนอยูในกระแส
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๑๐๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒ แห งปฏิ จ จสมุ ป บาท ที่ เกิ ด อยู ในชี วิ ต ประจํ าวั น โดยไม ต อ งกล าวถึ งเวลาหลั งจากตายแล ว โดยทางรางกายก็ได.
คํ า ว า "เคหสิ ต " หมายถึ ง อาศั ย กามารมณ โ ดยตรง ในชี ว ิ ต ของ ผู ค รองเรือ น ในลัก ษณะแหง กามสุข ัล ลิก านุโ ยค. สว น "เนกขัม มสิต " หมาย ถึ ง ก า ร อ อ ก จ า ก เรื อ น ป ร ะ พ ฤ ติ พ ร ห ม จ ร ร ย เพื ่ อ เกิ ด ใ น ส ว ร ร ค ร ู ป า พ จ ร อรูปาพจร เปนตน ในลักษณะแหงอัตตกิลมถานุโยค ดังนี้. สํ า ห รั บ คํ า ว า "ตั ณ ห า วิ จ ริ ต " นั ้ น เล็ ง ถึ ง ที ่ เ ที ่ ย ว ที ่ โ ค จ ร ข อ ง ตั ณ ห า ; เป น ทิ ฏ ฐิ ก ็ ไ ด เป น อ ารม ณ ก ็ ไ ด ดั ง จ ะ เห็ น ได จ า ก ข อ ค ว าม ข า ง บนนั้น แล.
ความเหนียวแนนของสัสสตทิฏฐิ ปดบังการเห็นอริยสัจสี่ จึงสงสัยตอหลักของอริยสัจหรือปฏิจจสมุทบาท๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นจนถึงกับวา "ลมก็ไมพั ด แมน้ําก็ไมไหล สตรี มีครรภก็ไมคลอด พระจันทรและพระอาทิตยก็ไมขึ้นไมตก แตละอยาง ๆ เปน ของตั้งอยูอยางมั่นคงดุจการตั้งอยูของเสาระเนียด" ดังนี้?
www.buddhadasa.info ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิงวอนว า "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ขาพระองค มีพระผูมีพระภาคเปนมูล มีพระผูมีพระภาคเปนผูนํา มีพระผูมีพระภาคเปนที่พึ่ง. ขาแตพระองค ผู เจริญ ! เป นการชอบแล วหนอ ขอให อรรถแห งภาษิ ตนั้ น จงแจ มแจ งกะพระผู มี พระภาคเองเถิ ด. ภิ กษุ ทั้ งหลาย ได ฟ งจากพระผู มี พ ระภาคแล ว จั กทรงจํ าไว " ดั งนี้ . พระผู มี พ ระภาคเจ า จึ งตรัสเตื อ นให ภิ กษุ ทั้งหลายเหลานั้นตั้งใจฟงดวยดีแลว ไดตรัสขอความตอไปนี้:-
๑
สูตรที่ ๑ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๔๘/๔๑๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๑๐๗
ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! เมื่อรูปนั่ นแล มีอยู, เพราะเขาไปยึดถือซึ่งรูป เพราะ ป กใจเข าไปสู รูป ทิ ฏ ฐิ จึ งเกิ ดขึ้ นอย างนี้ ว า "ลมก็ ไม พั ด แม น้ํ าก็ ไม ไหล สตรีมี ครรภ ก็ ไม คลอด พระจั นทร และพระอาทิ ตย ก็ ไม ขึ้ นไม ตก แต ละอย าง ๆ เป นของตั้ งอยู อย าง มั่ นคงดุ จการตั้ งอยู ของเสาระเนี ยด" ดั งนี้ . (ในกรณี แหงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มีถอย คําที่ตรัสอยางเดียวกันทุกตัวอักษรกับในกรณีแหงรูปนี้ ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธแตละขันธ เทานั้น).
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอจะสํ าคั ญ ความข อ นั้ น อย างไร: รู ป เที่ ย ง หรือไมเที่ยง? ("ไมเที่ยง พระเจาขา!") ก็สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้น เปนทุกขหรือเปนสุขเลา? ("เป น ทุ ก ข พระเจ าข า!") แม สิ่ งใดไม เที่ ยง เป นทุ กข มี ความแปรปรวนเป นธรรมดา แตถาไมยึดมั่นถือมั่นซึ่งสิ่งนั้นแลว ทิฏฺอยางนี้ จะเกิดขึ้นไดไหมวา "ลมก็ไมพัด แมน้ํา ก็ ไม ไหล สตรีมี ครรภ ก็ ไม คลอด พระจั นทรและพระอาทิ ตย ก็ ไม ขึ้ นและไม ตก แต ละอย างๆ เปนของตั้งอยูอยางมั่นคงดุจการตั้งอยูของเสาระเนียด" ดังนี้? ("ขอนั้นหามิไดพระเจาขา!") (ในกรณี แหงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มีถอยคําที่ตรัสถามและภิกษุ เหลานั้นทูลตอบ อย างเดียวกั น ทุกตัวอักษรกับในกรณีแหงรูปนี้ ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธ แตละขันธเทานั้น).
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! แมสิ่งใดที่บุคคลไดเห็นแลว ฟงแลว รูสึกแลว รูแจ งแล ว บรรลุ แล ว แสวงหาแล ว ครุนคิ ดอยู ด วยใจแล ว; เหล านี้ เป นของเที่ ยงหรื อ ไม เที่ ย ง? ("ไม เที่ ย ง พระเจ า ข า!") ก็ สิ่ งใดไม เที่ ย ง สิ่ งนั้ น เป น ทุ ก ข ห รือ เป น สุ ข เล า ? ("เป น ทุ ก ข พระเจ าข า!") แม สิ่ งใดไม เที่ ยง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา แตถาไมยึดมั่นถือมั่ นซึ่งสิ่งนั้นแลว ทิฏฐิอยางนี้ จะเกิดขึ้นไดไหมวา "ลมก็ไมพั ด แม น้ํ าก็ไม ไหล สตรีมี ครรภ ก็ ไม คลอด พระจันทรและพระอาทิ ตย ก็ไม ขึ้นและไม ตก แต ละอยาง ๆ เปนของตั้งอยูอยางมั่นคงดุจการตั้งอยูของเสาระเนียด" ดังนี้? ("ขอนั้นหามิได พระเจาขา!")
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๑๐๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! ในกาลใดแล ความสงสัย (กัง ขา) ในฐานะ ทั้ ง หลาย ๖ ประการเหล า นี้ ๑ เป น สิ่ ง ที่ อ ริ ย ะสาวกละขาดแล ว ; ในกาลนั้ น ก็ เป น อัน วา ความสงสัย แมใ นทุก ข, แมใ นเหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ทุก ข, แมใ นความดับ ไมเ หลือ แหง ทุก ข, แมใ นขอ ปฏิบ ัต ิเ ครื ่อ งทํ า สัต วใ หล ุถ ึง ความดับ ไมเ หลือ แหง ทุกข; ก็เปนสิ่งที่อริยสาวกนั้น ละขาดแลว. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวกนี้ เราเรียกวา เปนอริยสาวกผูเปนโสดาบัน มี อั นไม ตกต่ํ าเป นธรรมดา เป นผู เที่ ยงแท (ต อนิ พพาน) มี การตรัสรูพรอมในเบื้ องหน า, ดังนี้ แล. เมื่ อบุ คคลมี ความเห็ นว า รู ปเป นต น เป นสิ่ งที่ เที่ ยงแท เป นอั นเดี ยวกั น ทั้ งในโลกนี้ และ ในโลกอื่ นแล ว, สั สสตทิ ฏฐิ จะเกิ ดขึ้นแก เขาอย างแน นแฟ น จนถึ งขนาดที่ จะเปรียบเที ยบกั นกั บอุ ปมาในที่ นี้ ไดวา ลมจะไมพั ด แมน้ําจะไมไหล ดังนี้เปนตน; คือเขาจะไมยอมเปลี่ยนทิ ฏฐิ อันแนนแฟ นดุจเสาระเนียดนี้ , มันจึงปดบังการเห็นอริยสัจสี่, อริยสัจทั้งสี่ ก็คือ ปฏิจจสมุทบาท นั่นเอง; ดังนั้นจึงเปนอันวา ทิ ฏฐินั้นปดบัง การเห็นปฏิจจสมุทบาทโดยแท. – ผูรวบรวม.
www.buddhadasa.info นัตถิกทิฏฐิปดบังการเห็นอริยสัจสี่ จึงสงสัยตอหลักของอริยสัจหรือปฏิจจสมุปบาท๒
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ไมมีทานอันบุคคลบริจาคแลว, ไมมี
๑
ขันธ ๕ และสิ่งที่ไดเห็นแลว เปนตน ดังที่กลาวแลวขางบน. สูตรที่ ๕ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๕๔/๔๒๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
๒
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๑๐๙
ยัญ ญะอัน บุค คลประกอบแลว , ไมม ีโหตระอัน บุค คลบูช าแลว , ไมม ีผ ลวิบ าก แหง กรรม อัน บุค คลกระทํ า ดีแ ลว กระทํ า ชั ่ว แลว , ไมม ีโ ลกนี ้, ไมม ีโ ลกอื ่น , ไม มี ม ารดา, ไม มี บิ ด า, ไม มี สั ต ว ทั้ ง หลายอั น เป น โอปปาติ ก ะ, ไม มี ส รณะและ พราหมณ ผู ไ ปแลว ถูก ตอ ง ผู ป ฏิบ ัต ิแ ลว ถูก ตอ ง ผู ทํ า ใหแ จง ซึ ่ง โลกนี ้ และ โลกอื ่น ดว ยปญ ญ าอัน ยิ ่ง เอง แลว ประกาศอยู ใ นโลก; คนเรานี ้ เปน แต การประชุม ของมหาภูต ทั ้ง สี ่, เมื ่อ ใดทํ า กาละ เมื ่อ นั ้น ดิน ยอ มเขา ไปสู ห มู แหง ดิน น้ํ า ยอ มเขา ไปสู ห มู แ หง น้ํ า ไฟยอ มเขา ไปสู ห มู แ หง ไฟ ลมยอ มเขา ไปสู ห มู แ หง ลม อิน ทรีย ทั ้ง หลายยอ มหายไปในอากาศ; บุร ุษ ทั ้ง หลายมีเ ตีย ง วางศพเปน ที ่ค รบหา จะพาเขาผู ต ายแลว ไป; รอ งรอยทั ้ง หลาย ปรากฏอยู เพีย งแคป า ชา เปน เพีย งกระดูก ทั ้ง หลาย มีส ีเ พีย งดัง สีแ หง นกพิล าป, การ บู ช าเซ น สรวง มี ขี้ เ ถ า เป น ที่ สุ ด , สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ทานนั้ น เป น บทบั ญ ญั ติ ข องคน เขลา, คํ า ของพวกที่ ก ล า วว า อะไร ๆ มี อ ยู นั้ น เป น คํ า เปล า (จากความหมาย), เปน คํ า เท็จ เปน คํ า เพอ เจอ ; ทั ้ง คนพาลและบัณ ฑิต ครั ้น กายแตกทํ า ลาย แลว ยอมขาดสูญพินาศไป มิไดมีอยู ภายหลังแตการตาย" ดังนี้?
www.buddhadasa.info ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิงวอนว า "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ขาพระองค มีพระผูมีพระภาคเปนมูล มีพระผูมีพระภาคเปนผูนํา มีพระผูมีพระภาคเปนที่พึ่ง. ขาแตพระองค ผู เจริญ ! เป นการชอบแล วหนอ ขอให อรรถแห งภาษิ ตนั้ น จงแจ มแจ งกะพระผู มี พ ระภาคเองเถิ ด. ภิ กษุ ทั้งหลายไดฟงจากพระผูมีพระภาคเจาแลว จักทรงจําไว" ดังนี้. พระผูมีพระภาคเจา จึงตรัสเตือนใหภิกษุทั้งหลาย เหลานั้นตั้งใจฟงดวยดีแลว ไดตรัสขอวามตอไปนี้:-
ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อรูปนั่ นแล มี อยู , เพราะเขาไปยึดถือซึ่งรูป เพราะ ปกใจเขาไปสูรูป ทิ ฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ไมมี ทานอันบุ คคลบริจาคแลว, ไมมี ยัญญะ อันบุคคลประกอบแลว, ไมมีโหตระอันบุคคลบูชาแลว, ไมมีผลวิบากแหงกรรม อันบุคคล
www.buddhadasa.info
๑๑๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
กระทํ าดี กระทํ าชั่ ว, ไม มี โลกนี้ , ไม มี โลกอื่ น, ไม มี มารดา, ไม มี บิ ดา, ไม มี สั ตว ทั้ งหลาย อั นเป นโอปปาติ กะ, ไม มี สรณะและพราหมณ ผู ไปแล วถู กต อง ผู ปฏิ บั ติ แล วถู กต อง ผู ทํ า ให แ จ งซึ่ งโลกนี้ แ ละโลกอื่ น ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ งเอง แล ว ประกาศอยู ในโลก; คนเรานี้ เป นแต การประชุ มของมหาภู ตทั้ งสี่ , เมื่ อใดทํ ากาละ เมื่ อนั้ นดิ นย อมเข าไปสู หมู แห งดิ น น้ํ าย อมเข าไปสู หมู แห งน้ํ า ไฟย อมเข าไปสู หมู แห งไฟ ลมย อมเข าไปสู หมู แห งลม อิ นทรีย ทั้ งหลาย ย อมหายไปในอากาศ; บุ รุ ษทั้ งหลาย มี เตี ยงวางศพเป นที่ ครบห า จะพาเขา ผู ตายแล วไป; รองรอยทั้ งหลาย ปรากฏอยู เพี ยงแค ป าช า เป นเพี ยงกระดู กทั้ งหลาย มี สี เพี ยงดั งสี แห งนกพิ ลาป, การบู ชาเซ นสรวง มี ขี้ เถ าเป นที่ สุ ด, สิ่ งที่ เรี ยกว าทานนั้ นเป น บทบั ญญั ติ ของคนเขลา, คํ าของพวกที่ กล าวว า อะไร ๆ มี อยู นั้ น เป นคํ าเปล า (จากความ หมาย) เป นคํ าเท็ จ เป นคํ าเพ อเจ อ; ทั้ งคนพาลและบั ณ ฑิ ต ครั้ นกายแตกทํ าลายแล ว ยอมขาดสูญ พินาศไป มิไดมีอยู ภายหลังแตตายแลว" ดังนี้. ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอจะสํ าคั ญ ความข อ นี้ ว าอย างไร: รู ป เที่ ยง หรือไม เที่ ยง? ("ไม เที่ ยง พระเจ าข า!") ก็ สิ่ งใดไม เที่ ยง สิ่ งนั้ น เป นทุ กข หรือเป นสุ ขเล า? ("เป นทุ กข พระเจ าข า!") แม สิ่ งใดไม เที่ ยง เป นทุ กข มี ความแปรปรวนเป นธรรมดา แต ถาไม ยึดมั่ นถื อมั่ นซึ่งสิ่งนั้ นแลว ทิ ฏฐิอย างนี้ จะเกิดขึ้นได ไหมวา "ไม มี ทานอันบุ คคลบริจาค แล ว, ไม มี ยั ญญะอั นบุ คคลประกอบแล ว, ไม มี โหตระอั นบุ คคลบู ชาแล ว, ไม มี ผลวิบากแห ง กรรมอั น บุ ค คลกระทํ า ดี แ ล ว , กระทํ า ชั่ ว แล ว , ...ฯลฯ...ฯลฯ... คํ า ของพวกที่ ก ล า วว า อะไร ๆ มี อยู นั้ นเป นคํ าเปล า (จากความหมาย) เป นคํ าเท็ จ เป นคํ าเพ อเจ อ; ทั้ งคนพาลและ บั ณ ฑิ ต ครั้ นกายแตกทํ าลายแล ว ย อมขาดสู ญ พิ นาศไป มิ ได มี อยู ภายหลั งแต ตาย" ดั งนี้ . ("ข อนั้ น หามิ ได พ ระเจ าข า!") (ในกรณี แห งเวทนา สัญ ญา สังขาร วิญ ญาณ ก็ มี คํากล าว
www.buddhadasa.info อยางเดียวกันทุกตัวอักษรกับคํากลาวในกรณีแหงรูปนี้ ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธแตละขันธ เทานั้น).
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๑๑๑
ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! แม สิ่ งใดที่ บุ คคลได เห็ นแล ว ฟ งแล ว รูสึกแลว รูแจ ง แลว บรรลุแลว แสวงหาแลวครุนคิดอยูดวยใจแลว; เหลานี้ เปนของเที่ยงหรือไม เที่ยง? ("ไม เที่ ย ง พระเจ า ข า !") ก็ สิ่ ง ใดไม เ ที่ ย ง สิ่ ง นั้ น เป น ทุ ก ข ห รื อ เป น สุ ข เล า ? ("เป น ทุกข พระเจาขา!") แม สิ่งใดไมเที่ ยง เป นทุ กข มี ความแปรปรวนเป นธรรมดา แต ถ า ไมยึดมั่นถือมั่นซึ่งสิ่งนั้นแลว ทิฏฐิอยางนี้ จะเกิดขึ้นไดไหมวา "ไมมีทานอันบุคคลบริจาค แล ว, ไม มี ยั ญญะอันบุ คคลประกอบแล ว, ไม มี โหตระอันบุ คคลบู ชาแล ว, ไม มี ผลวิบาก แห ง กรรมอั น บุ ค คลกระทํ า ดี แ ล ว กระทํ า ชั่ ว แล ว , ...ฯลฯ...ฯลฯ... คํ า ของพวกที่ กล าวว า อะไร ๆ มี อยู นั้ นเป นคํ าเปล า (จากความหมาย) เป นคํ าเท็ จ เป นคํ าเพ อเจ อ; ทั้งคนพาลและบั ณฑิ ต ครั้นกายแตกทํ าลายแล ว ยอมขาดสูญพิ นาศไป มิ ไดมี อยูภายหลั ง แตการตาย" ดังนี้. ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!") ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! ในกาลใดแล ความสงสัย (กัง ขา) ในฐานะ ทั้ ง หลาย ๖ ประการเหล า นี้ เป น สิ่ ง ที่ อ ริ ย ะสาวกละขาดแล ว ; ในกาลนั้ น ก็ เป น อัน วา ความสงสัย แมใ นทุก ข, แมใ นเหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ทุก ข, แมใ นความดับ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข , แม ใ นข อ ปฏิ บั ติ เ ครื่ อ งทํ า สั ต ว ใ ห ลุ ถึ ง ความดั บ ไม เ หลื อ แห ง ทุกข, ก็เปนสิ่งที่อริยสาวกนั้น ละขาดแลว.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวกนี้ เราเรียกวา เปนอริยสาวกผูเปนโสดาบัน มี อั นไม ตกต่ํ าเป นธรรมดา เป นผู เที่ ยงแท (ต อนิ พพาน) มี การตรัสรูพรอมในเบื้ องหน า, ดังนี้ แล.
นัตถิกทิฏฐิ หรืออุจเฉททิ ฏฐิ ดังกลาวมานี้ เป นสุดโต งฝายขางไม มี ตรงกั นขามจากสั สสตทิ ฏ ฐิ ซึ่ งเป น สุ ดโต งฝ ายข างมี ล วนแต ป ดบั งการเห็ นอริยสั จสี่ ด วยกั นทั้ งสองอย าง. อริยสั จสี่ คื อ ปฏิจจสมุทบาท; ดังนั้น จึงเปนการปดบังปฏิจจสมุทบาทพรอมกันไปในตัว.
www.buddhadasa.info
๑๑๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
ตอนต นของนั ตถิ กทิ ฏฐิ ตั้ งแต คํ าวา "การให ทานไม มี " ไปจนถึ งคํ าวา "สั ตวผู เป นอุ ปปาติ กะ ไม มี " นี้ ถู กยกมาใช เป นคํ าอธิบายของมิ จฉาทิ ฏฐิ ในขั้ นมู ลฐานทางศี ลธรรมทั่ วไป เช นมิ จฉาทิ ฏฐิ ในอกุ ศลกรรม บถเปนตน ซึ่งยังมิใชนัตถิกทิฏฐิเต็มรูป จึงเรียกวา มิจฉาทิฏฐิเฉย ๆ. -ผูรวบรวม.
ปฏิจจสมุทบาท รวมอยูในบรรดาเรื่องที่ใครคัดคานไมได๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมนี้ นี่ แล อั นเราแสดงแล ว เป นธรรมอั นสมณ. พราหมณผูรูทั้งหลายขมขี่ไมได ทําใหเศราหมองไมได ติเตียนไมได คัดงางไมได. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ธรรมอันเราแสดงแลว เปนธรรมอันสมณพราหมณผูรูทั้ง หลายขมขี่ไมได ทําใหเศราหมองไมได ติเตียนไมได คัดงางไมได. เปนอยางไรเลา? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมอั นเราแสดงแล ววา"เหล านี้ คื อ ธาตุ ทั้ งหลาย ๖ ประการ ดังนี้ เป นธรรมอันสมณพราหมณ ผูรูทั้ งหลายขมขี่ไมได ทําใหเศราหมอง ไมได ติเตียนไมได คัดงางไมได.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมอั นเราแสดงแล วว า "เหล านี้ คื อผั สสายตนะ (แดนเกิ ดแห งผั ส สะ) ทั้ งหลาย ๖ ประการ" ดั งนี้ เป น ธรรมอั น สมณพราหมณ ผู รู ทั้งหลายขมขี่ไมได ทําใหเศราหมองไมได ติเตียนไมได คัดงางไมได.
๑
สูตรที่ ๑ มหาวรรค ติก. อํ. ๒๐/๒๒๕/๕๐๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๑๑๓
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมอั นเราแสดงแล ววา "เหล านี้ คื อมโนปวิ จาร (ที่เขาไปเที่ยวแหงมโน) ทั้งหลาย ๑๘ ประการ" ดังนี้ เปนธรรมอันสมณพราหมณ ผูรู ทั้งหลายขมขี่ไมได ทําใหเศราหมองไมได ติเตียนไมได คัดงางไมได. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมอั น เราแสดงแล วว า "เหล านี้ คื ออริ ย สั จทั้ ง หลาย ๔ ประการ" ดั งนี้ เป น ธรรมอั น สมณพราหมณ ผู รู ทั้ งหลายข ม ขี่ ไม ได ทํ าให เศราหมองไมได ติเตียนไมได คัดงางไมได. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมอั นเราแสดงแล วว า "เหล านี้ คื อธาตุ ทั้ งหลาย ๖ ประการ" ดั งนี้ เป นธรรมอั นสมณพราหมณ ผู รูทั้ งหลายข มขี่ ไม ได ทํ าให เศราหมอง ไม ได ติ เตี ย นไม ได คั ด ง า งไม ได . ข อ นี้ เป น ธรรมที่ เรากล า วแล ว อย า งนี้ เราอาศั ย ซึ่งอะไรเล า จึ งกล าวแล วอย างนี้ ? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธาตุ ทั้ งหลาย ๖ ประการเหล านี้ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญ ญาณธาตุดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมอั นเราแสดงแล วว า "เหล านี้ คื อ ธาตุ ทั้ งหลาย ๖ ประการ" ดังนี้ เป นธรรมอันสมณพราหมณ ผูรูทั้งหลายขมขี่ไม ได ทําให เศราหมองไม ได ติเตี ยน ไมได คัดงางไมได ดังนี้ อันใด อันเรากลาวแลว; ขอนั้น เรากลาวหมายถึงขอความนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมอั นเราแสดงแล วว า "เหล านี้ คื อผั สสายตนะ ทั้ งหลาย ๖ ประการ" ดั งนี้ เป นธรรมอั นสมณพราหมณ ผู รูทั้ งหลายข มขี่ ไม ได ทํ าให เศราหมองไม ได ติ เตี ยนไม ได คั ดงางไม ได . ข อนี้ เป นธรรมที่ เรากล าวแล วอย างนี้ เราอาศัยซึ่ งอะไรเล า จึงกล าวแลวอย างนี้ ? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ผั สสายตนะทั้ งหลาย ๖ ประการ เหล านี้ คื อ จั กษุ เป นผั สสายตนะ โสตะ เป นผั สสายตนะ ฆานะ เป น ผัสสายตนะ ชิวหา เปนผัสสายตนะ กายะเปนผัสสายตนะ มโนเปนผัสสายตนะ ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๑๑๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! ธรรมอัน เราแสดงแลว วา "เหลา นี ้ คือ ธาตุทั ้ง หลาย ๖ ประการ" ดังนี้ เป นธรรมอันสมณพราหมณ ผู รูทั้ งหลายขมขี่ไม ได ทํ าให เศราหมองไม ได ติ เตี ยนไม ได คั ดงางไม ได ดั งนี้ อั นใด อั นเรากล าวแล ว; ข อนั้ น เรากล าวหมายถึ ง ขอความนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมอั นเราแสดงแล วว า "เหล านี้ คื อ มโนปวิ จาร ทั้ งหลาย ๑๘ ประการ" ดั งนี้ เป นธรรมอั นสมณพราหมณ ผู รูทั้ งหลายข มขี่ ไม ได ทํ าให เศร าหมองไม ได ติ เตี ยนไม ได คั ดง างไม ได . ข อนี้ เป นธรรมที่ เรากล าวแล วอย างนี้ เราอาศัยซึ่งอะไรเลาจึงกลาวอยางนี้? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะเห็นรูปดวยจักษุ มโนย อมเข าไปเที่ ยวในรูปอั นเป นที่ ตั้ งแห งโสมนั ส, ย อมเขาไปเที่ ยวในรูปอั นเป นที่ ตั้ ง แหงโทมนั ส, ยอมเขาไปเที่ยวในรูปอันเปนที่ตั้งแหงอุเบกขา; เพราะฟ งเสี ยงดวยโสตะ มโนยอมเขาไปเที่ ยวในเสียงอันเป นที่ ตั้งแห งโสมนัส, ยอมเขาไปเที่ยวในเสียงอันเป นที่ตั้ ง แหงโทมนัส, ยอมเขาไปเที่ยวในเที่ยวอันเปนที่ตั้งแหงอุเบกขา; เพราะรูสึกกลิ่นดวย ฆานะ มโนย อมเขาไปเที่ ยวในกลิ่ นอั นเป นที่ ตั้ งแห งโสมนั ส, ย อมเข าไปเที่ ยวในกลิ่ น อันเป นที่ตั้งแหงโทมนัส, ยอมเขาไปเที่ยวในกลิ่นอันเป นที่ ตั้งแหงอุเบกขา; เพราะรูสึ ก รสด วยชิวหา มโนย อมเขาไปเที่ ยวในรูปอั นเป นที่ ตั้ งแห งโสมนั ส, ย อมเขาไปเที่ ยวในรส อันเปนที่ตั้งแหงโทมนัส, ยอมเขาไปเที่ยวในรสอันเปนที่ตั้งแหงอุเบกขา; เพราะถูกตอง สัมผัสทางผิวหนังดวยผิวกาย มโนยอมเขาไปเที่ยวในสัมผัสทางผิวหนังอันเปนที่ตั้งแหง โสมนัส, ยอมเขาไปเที่ยวในสัมผัสทางผิวหนังอันเปนที่ตั้งแหงโทมนัส, ยอมเขาไปเที่ยวใน สัมผัสทางผิวหนังอันเปนที่ตั้งแหงอุเบกขา; เพราะรูสึกธัมมารมณดวยมโน มโนยอม เข า ไปเที่ ย วในรู ป อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง โสมนั ส , ย อ มเข า ไปเที่ ย วในธั ม มารมณ อั น เป น ที่ ตั้ งแห งโทมนั ส, ย อมเข าไปเที่ ยวในธัมมารมณ อั นเป นที่ ตั้ งแห งอุ เบกขา; ดั งนี้ ดู ก อน ภิกษุทั้งหลาย! ธรรมอันเราแสดงแลววา "เหลานี้ คือมโนปวิจารทั้งหลาย๑๘ ประการ"
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๑๑๕
ดั งนี้ เป นธรรมอั นสมณพราหมณ ผู รู ทั้ งหลายข มขี่ ไม ได ทํ าให เศราหมองไม ได ติ เตี ยน ไมได คัดงางไมได ดังนี้ อันใด อันเรากลาวแลว; ขอนั้น เรากลาวหมายถึงขอความนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมอั นเราแสดงแล วว า "เหล านี้ คื ออริ ยสั จทั้ งหลาย ๔ ประการ" ดั งนี้ เป นธรรมอั นสมณพราหมณ ผู รู ทั้ งหลายข มขี่ ไม ได ทํ าให เศร าหมอง ไม ได ติ เตี ย นไม ได คั ด ง างไม ได . ข อ นี้ เป น ธรรมที่ เรากล า วแล ว อย า งนี้ เราอาศั ย ซึ่ ง อะไรเล า จึ ง กล า วอย า งนี้ ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราอาศั ย ซึ่ ง ธาตุ ทั้ ง หลาย ๖ ประการ การกา วลงสู ค รรภย อ มมี; เมื ่อ การกา วลงสู ค รรภ มีอ ยู , นามรูป ย อ มมี ; เพราะมี น ามรู ป เป น ป จ จั ย จึ งมี ส ฬายตนะ; เพราะมี ส ฬายตนะเป น ป จ จั ย จึ ง มี ผั ส สะ เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เวทนา ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เราย อ ม บ ัญ ญ ต ิว า "นี ้ เป น ค วา ม ท ุก ข" ด ัง นี ้; วา "นี ้ เป น ทุก ข ส ม ุท ัย " ดัง นี ้; วา "นี้ เปน ทุก ขนิโ รธ" ดังนี้; วา "นี้ เปน ทุก ขนิโ รธคามินีป ฏิป ทา" ดัง นี้; แกสัต วผูสามารถ เสวยเวทนาอยู ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! ทุก ขอริย สัจ เปน อยา งไรเลา ? แมค วามเกิด ก็ เป นทุ กข , แม ความแก ก็ เป นทุ กข , แม ความตาย ก็ เป นทุ กข , แม โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย ก็ เป นทุ กข , การประสบกั บสิ่ งไม เป นที่ รั ก เป นทุ กข , ความ พลั ดพรากจากสิ่ งเป นที่ รั ก เป น ทุ กข , ปรารถนาสิ่ งใดแล วไม ได สิ่ งนั้ น นั่ นก็ เป นทุ กข : กลาวโดยยอ ปญจุปาทานขันธทั้งหลาย เปนทุกข. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้เรากลาววา ทุกขอริยสัจ.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ทุ ก ขสมุ ท ยอริ ย สั จ เป น อย า งไรเล า ? เพราะมี อวิชชาเปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเปนปจจัย จึงมีวิญญาณ;
www.buddhadasa.info
๑๑๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๒
เพราะมีวิญญาณเปนปจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเปนป จจัย จึงมีสฬายตนะ; เพราะมี ส ฬายตนะเป น ป จ จั ย จึ ง มี ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ งมี อุ ป าทาน; เพราะมี อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ งมี ภ พ; เพราะมี ภ พเป น ป จ จั ย จึ งมี ช าติ ; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ น ครบถวน: ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้เรากลาววา ทุกขสมุทยอริยสัจ. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ทุ ก ขนิ โ รธอริ ย สั จ เป น อย า งไรเล า ? เพราะ ความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห ง อวิ ช ชานั้ น นั่ น เเที ย ว, จึ งมี ค วามดั บ แห งสั ง ขาร; เพราะมี ค วามดั บ แห งสั ง ขาร จึ งมี ค วามดั บ แห งวิ ญ ญาณ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญาณ จึ งมี ค วามดั บ แห งนามรู ป ; เพราะมี ค วามดั บ แห งนามรูป จึ งมี ค วามดั บ แห งสฬายตนะ; เพราะมี ความดั บแห งสฬายตนะ จึ งมี ความดั บแห งผั สสะ; เพราะมี ความดั บ แห งผั ส สะ จึ งมี ค วามดั บ แห งเวทนา; เพราะมี ค วามดั บ แห งเวทนา จึ งมี ความดั บ แห ง ตั ณ หา เพราะมี ค วามดั บ แห ง ตั ณ หา จึ ง มี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทาน; เพราะมี ค วามดั บ แห งอุ ป าทาน จึ งมี ค วามดั บ แห ง ภพ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น: ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ดวยอาการอยางนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้เรากลาววา ทุกขนิโรธอริยสัจ.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ทุ ก ขนิ โรธคามิ นี ป ฏิ ป ทาอริ ย สั จ เป น อย างไร เลา? มรรคอันประเสริฐ ประกอบดวยองค ๘ ประการ นี้นั่นเอง, กลาวคือ สัมมา-
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ คือเรื่องอริยสัจสมบูรณแบบ
๑๑๗
ทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากั มมั นตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามาะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้เรากลาววา ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมอั นเราแสดงแล วว า "เหล านี้ คื ออริยสั จทั้ งหลาย ๔ ประการ" ดั งนี้ เป นธรรมอั นสมณพราหมณ ผู รูทั้ งหลายข มขี่ ไม ได ทํ าให เศราหมอง ไม ได ติ เตี ย นไม ได คั ด ง างไม ได ดั งนี้ อั น ใด อั น เรากล าวแล ว; ข อ นั้ น เรากล าว หมายถึงขอความนี้, ดังนี้ แล. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ งสั งเกตให เห็ น วา เรื่อ งที่ พ ระพุ ท ธองค ท รง ท า ทายว า เป น เรื่ อ งที่ ผู รู คั ด ค า นไม ไ ด นั้ น มี อ ยู ๔ เรื่ อ งด ว ยกั น คื อ เรื่ อ งธาตุ ๖, ผั ส สายตนะ ๖, มโนปวิ จ าร ๑๘, และปฏิ จ จสมุ ป บาท ที่ อ ยู ใ นรู ป ของอริ ย สั จ สี่ ที่ ท รงแสดงด ว ย ปฏิ จ จสมุ ป บาท อั น เป น อริ ย สั จสี่ ที่ รั ด กุ ม ; สํ า หรั บ เผชิ ญ กั บ การต อ ต า นคั ด ค า นของสมณพราหมณผู รู เ หลา อื ่น . เปน อัน วา เรื ่อ งปฏิจ จสมุป บาท ทั ้ง สมุป ทยวาร และนิโ รธวาร รวมอยูในบรรดาเรื่องที่ใด ๆ คัดคานไมได.
หมวดที่สอง จบ www.buddhadasa.info -------------------
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
หมวด ๓ วาดวย บาลีแสดงวา ปฏิจจสมุปบาท ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ
www.buddhadasa.info
๑๑๙
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฏอิทัปปจจยตาหัวใจ : ปฏิจจสมุปบาท. อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมมี อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป. (ม.ม. ๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน. สํ. ๑๖/๘๔/๑๕๔,....)
www.buddhadasa.info
๑๒๑
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่องเฉพาะหมวด สําหรับปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๓ วาดวย บาลีที่แสดงวา ปฏิจจสมุปบาท ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ (มี ๙ เรื่อง)
มีเ รื ่อ ง : ปฏิจ จสมุป บาทมีเมื่อ มีก ารกระทบทางอายตนะ-- ปฏิจ จสมุป บาท ดับ ไดก ลางสาย—นัน ทิเ กิด เมื ่อ ใดก็ม ีป ฏิจ จสมุป บาทเมื ่อ นั ้น —นัน ทิด ับ เมื ่อ ใดปฏิจ จสมุป บาทดับ เมื ่อ นั ้น --ในภาษาปฏิจ จสมุป บาทกรรมใหผ ล ในอัต ตภาพที ่ก ระทํ า กรรม --เห็น ปฏิจ จสมุป บาทคือ ฉลาดในเรื ่อ งกรรม—นามรูป หยั ่ง ลงเพราะเห็น สัญ โญชนิย ธรรมโดยความเปน อัส สาทะ-- นามรูป ไมห ยั ่ง ลง เพราะเห็น สัญ โญชนิย ธรรมโดย ความเปนอาทีนวะ--ปฏิจจสมุปบาทที่ตรัสระคนกับปจจุปาทานขันธ
www.buddhadasa.info
๑๒๒
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
หมวดที่ ๓ วาดวย บาลีที่แสดงวา ปฏิจจสมุปบาท ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ ----------------ปฏิจจสมุปบาทมีเมื่อมีการกระทบทางอายตนะ (ไมตองขามภพขามชาติ)๑ เพราะอาศัยซึ่งจักษุดวย, ซึ่งรูปทั้งหลายดวย, จึงเกิดจักขุวิญญาณ; การ ประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการนี้ คือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะ
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๑๐ โยคักเขมิวรรค สฬายตนสังยุตต สฬา. สํ. ๑๘/๑๑๑/๑๖๓, สูตรที่ ๕ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๘๙/๑๖๖; นี้เปนคํากลาวตามลําพังพระองคในคราวประทับหลีกเรนอยู.
๑๒๓
www.buddhadasa.info
๑๒๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๓
มี อุ ปาทานเป นป จจั ย จึ งมี ภพ; เพราะมี ภพเป นป จจั ย จึ งมี ชาติ ; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ด ขึ้ น ครบถ วน: ความ เกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้. เพราะอาศั ยซึ่ งโสตะด วย, ซึ่ งเสี ยงทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดโสตวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการนี้ คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนา; ...ฯลฯ... ๑ ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ยอาการ อยางนี้. เพราะอาศั ยซึ่ งฆานะด วย, ซึ่ งกลิ่ นทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดฆานวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการนี้ คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนา; ...ฯลฯ... ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้. เพราะอาศั ย ซึ่ งชิ วหาด วย, ซึ่ งรสทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดชิ วหาวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการนี้ คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนา; ...ฯลฯ... ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info เพราะอาศั ยซึ่ งกายะด วย, ซึ่ งโผฏฐั พพะทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดกายวิญญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการนี้ คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนา; ...ฯลฯ... ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้.
๑
คํ า ที่ ล ะไว ด ว ย...ฯลฯ...ตรงนี้ แ ละตอนต อ ไป หมายความว า มี เนื้ อ ความเต็ ม เหมื อ นข า งบน เริ่ ม ตั้ ง แต คํ า ว า "เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา" ไปจนกระทั่ ง ถึ ง คํ า ว า "จึ ง เกิ ด ขึ้ น ครบถ ว น" ผู อ า น พึงเติมใหเต็มเอาเอง.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ
๑๒๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ
๑๒๕
เพราะอาศัยซึ่งมโนดวย, ซึ่งธัมมารมณ ทั้งหลายดวย, จึงเกิดมโนวิญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการนี้ คื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจัย จึงมี ตั ณหา; เพราะมี ตั ณหาเป นป จจัย จึงมี อุปาทาน; เพราะมี อุ ปาทานเป นป จจัย จึ งมี ภพ; เพราะมี ภพเป นป จจัย จึงมี ชาติ ; เพราะมี ชาติ เป น ป จจั ย, ชรามรณะโสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน: ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้.
ปฏิจจสมุปบาทดับไดกลางสาย (โดยไมตองขามภพขามชาติ)๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ความตั้ งอยู ไม ได แห งทุ กข เป นอย างไรเล า? (ความ ตั้งอยูไมไดแหงทุกขนั้นคือ:เพราะอาศั ย ซึ่ งจั ก ษุ ด วย, ซึ่ งรู ป ทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ด จั กขุ วิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการนี้ คื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมีเ วทนาเปน ปจ จัย จึง มีต ัณ หา; เพราะความจางคลายดับ ไป ไม เหลื อ แห ง ตั ณ หานั้ น นั่ น เที ย ว, จึ ง มี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทาน; เพราะมี ค วามดั บ แห งอุ ป าทาน จึ งมี ค วามดั บ แห งภพ; เพราะมี ค วามดั บ แห งภพ จึ งมี ค วามดั บแห ง ชาติ, เพราะมีค วามดับ แหง ชาตินั ่น แล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุก ขะโทมนัส อุปายาสทั้ งหลาย จึงดั บสิ้น: ความดับลงแห งกองทุ กขทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการอย างนี้ นี้คือ ความตั้งอยูไมไดแหงทุกข
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๓ โยคักเขมิวรรค สฬายตนสังยุตต สฬา. สํ. ๑๘/๑๐๗/๑๕๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
๑๒๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๓
เพราะอาศั ยซึ่งโสตะดวย, ซึ่งเสียงทั้งหลายดวย, จึงเกิดโสตะวิญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการนี้ คื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา; เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลือ แหง ตัณ หานั ้น นั ่น เทีย ว, จึง มีค วามดับ แหง อุป าทาน;...ฯลฯ...๑ ความ ดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้ นี้คือ ความตั้งอยูไมไดแหงทุกข. เพราะอาศั ยซึ่งฆานะดวย, ซึ่งกลิ่นทั้งหลายดวย, จึงเกิดฆานวิญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการนี้ คื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา; เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห ง ตั ณ หานั้ น นั่ น เที ย ว, จึ ง มี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทาน;….ฯ ลฯ…ความดั บ ลง แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้. นี้คือ ความตั้งอยูไมไดแหงทุกข เพราะอาศั ยซึ่ งชิ วหาด วย, ซึ่งรสทั้ งหลายด วย, จึงเกิดชิวหาวิญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการนี้ คื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา; เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลือ แหง ตัณ หานั ้น นั ่น เทีย ว, จึง มีค วามดับ แหง อุป าทาน;...ฯลฯ... ความ ดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้ นี้คือ ความตั้งอยูไมไดแหงทุกข.
www.buddhadasa.info เพราะอาศัยซึ่งกายะดวย, ซึ่งโผฏฐัพพะทั้งหลายดวย, จึงเกิดกายวิญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการนี้ คื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา; เพราะความจางคลายดับไปไม
๑
คํ าที่ ละไว ด วย...ฯลฯ...ตรงนี้ และต อ ไป หมายความว ามี เนื้ อความเต็ ม เหมื อนข างบน เริ่ม ตั้ งแต คํ าว า "เพราะมีความดับแหงอุปทาน จึงมีความดับแหงภพ;" ...ไปจนถึงคําวา... "จึงดับสิ้น : ".
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ
๑๒๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ
๑๒๗
เห ลื อ แ ห ง ตั ณ ห านั ้ น นั ่ น เที ย ว , จึ ง มี ค ว าม ดั บ แ ห ง อุ ป าท าน ;...ฯ ล ฯ ... ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการอย างนี้ นี้ คื อ ความตั้ งอยู ไม ได แหงทุกข. เพราะอาศัยซึ่งมโนดวย, ซึ่งธัมมารมณทั้งหลายดวย, จึงเกิดมโนวิญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการนี้ คื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจัย จึงมี เวทนา; เพราะมีเวทนาเปน ปจ จัย จึง มีต ัณ หา; เพราะความจางคลายดับ ไป ไมเหลือแหงตัณหานั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแหงอุปาทาน; เพราะมีความดับ แหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึ งดั บสิ้ น: ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการอย างนี้ . นี้ คื อ ความ ตั้งอยูไมไดแหงทุกข. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้แล คือความตั้งอยูไมไดแหงทุกข.
www.buddhadasa.info นันทิเกิดเมื่อใด ก็มีปฏิจจสมุปบาทเมื่อนั้น๑
ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิเถิด. ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ภิกษุผูมีจิตเปนสมาธิตั้งมั่นแลว ยอมรูชัดตามที่เปนจริง. ก็ภิกษุนั้น ยอม รูชัดตามที่เปนจริง ซึ่งอะไรเลา? ภิกษุนั้น ยอมรูชัดตามที่เปนจริง ซึ่งความเกิดขึ้น
๑
สูตรที่ ๕ นกุลปตุวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘/๒๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๑๒๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๓
และความดับ ไปแหง รูป ...แหง เวทนา ...แหง สัญ ญ า ...แหง สัง ขารทั ้ง หลาย …..แหงวิญญาณ. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ ก ารเกิ ด ขึ้ น แห ง รู ป ...แห ง เวทนา...แห ง สั ญ ญา ...แหงสังขารทั้งหลาย...แหงวิญญาณ. เปนอยางไรเลา? ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ภิกษุในกรณี นี้ ยอมเพลิดเพลิน ยอมพร่ําสรรเสริญ ย อ มเมาหมกอยู . ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มเพลิ ด เพลิ น ย อ มพร่ํ า สรรเสริ ญ ย อ มเมาหมกอยู ซึ่งอะไรเลา? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมเพลิ ดเพลิ น ย อมพร่ํ าสรรเสริ ญ ย อม เมาหมกอยู ซึ่ ง รู ป เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น เพลิ ด เพลิ น พร่ํ า สรรเสริ ญ เมาหมกอยู ซึ่ ง รู ป , นั น ทิ (ความเพลิ น ) ย อ มเกิ ด ขึ้ น . ความเพลิ น ใด ในรู ป , ความเพลิ น นั้ น คื อ อุป าทาน. เพราะอุป าทานของภิก ษุนั้น เปน ปจ จัย จึง มีภ พ; เพราะมีภ พ เปน ปจ จัย จึง มีช าติ; เพราะมีช าติเ ปน ปจ จัย , ชรามรณะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุป ายาสทั ้ง หลาย จึงเกิด ขึ ้น ครบถว น: ความเกิด ขึ ้น พรอ มแหง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมเพลิ ดเพลิ น ย อมพร่ํ าสรรเสริ ญ ย อม เม าห ม ก อ ยู ซึ ่ ง เว ท น า ...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ... ค วา ม เกิ ด ขึ ้ น พ ร อ ม แ ห ง ก อ งทุ ก ข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมเพลิ ดเพลิ น ย อมพร่ํ าสรรเสริ ญ ย อม เม าห ม ก อ ยู ซึ ่ง สัญ ญ า ...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ... ค วาม เกิด ขึ ้น พ รอ ม แ หง ก อ งทุก ข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ
๑๒๙
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมเพลิ ดเพลิ น ย อมพร่ําสรรเสริญ ย อม เม าห ม ก อ ยู ซึ ่ง สัง ข าร ทั ้ง ห ล าย ...ฯล ฯ...ฯ ล ฯ ... ค วาม เกิด ขึ ้น พ รอ ม แหง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมเพลิ ดเพลิ น ย อมพร่ําสรรเสริญ ย อม เมาหมกอยู ซึ่ ง วิ ญ ญาณ เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น เพลิ ด เพลิ น พร่ํ า สรรเสริ ญ เมาหมกอยู ซึ่งวิญญาณ, นันทิ ยอมเกิดขึ้น. ความเพลินใด ในวิญญาณ, ความเพลินนั้น คือ อุป าทาน. เพราะอุป าทานของภิก ษุนั้น เปน ปจจัย จึงมีภ พ; เพราะมีภ พ เปนปจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเปนปจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส อุป ายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้น ครบถวน: ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! นี้ คื อ ความเกิ ด ขึ้ น แห ง รู ป ...แห ง เวทนา...แห ง สัญญา...แหงสังขารทั้งหลาย...แหงวิญญาณ.
นันทิดับเมื่อใด ปฏิจจสมุปบาทดับเมื่อนั้น๑
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ ค วามดั บ แห ง รู ป ...แห ง เวทนา...แห ง สั ญ ญา... แหงสังขารทั้งหลาย...แหงวิญญาณ. เปนอยางไรเลา?
๑
สูตรที่ ๕ นกุลปตุวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙/๒๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๑๓๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๓
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ ย อ มไม เพลิ ด เพลิ น ย อ มไม พ ร่ํ า สรรเสริ ญ ย อมไม เมาหมกอยู . ภิ กษุ นั้ น ย อมไม เพลิ ดเพลิ น ย อมไม พ ร่ําสรรเสริ ญ ยอมไมเมาหมกอยู ซึ่งอะไรเลา? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มไม เพลิ ด เพลิ น ย อ มไม พ ร่ํ าสรรเสริ ญ ย อมไม เมาหมกอยู ซึ่ งรู ป เมื่ อภิ กษุ นั้ น ไม เพลิ ดเพลิ น ไม พร่ํ าสรรเสริ ญ ไม เมาหมกอยู ซึ ่ง รูป , นัน ทิ (ความเพลิน )ใด ในรูป , นัน ทินั ้น ยอ มดับ ไป. เพราะความดับ แหง นัน ทิข องภิก ษุนั ้น จึง มีค วามดับ แหง อุป าทาน, เพราะมีค วามดับ แหง อุป าทาน จึง มีค วามดับ แหง ภพ; เพราะมีค วามดับ แหง ภพ จึง มีค วามดับ แหง ชาติ; เพราะมีค วามดับ แหง ชาติ, ชรามรณะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง ดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มไม เพลิ ด เพลิ น ย อ มไม พ ร่ํ าสรรเสริ ญ ย อ ม ไม เ ม า ห ม ก อ ยู ซึ ่ ง เว ท น า ...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ... ค ว า ม ดั บ ล ง แ ห ง ก อ ง ทุ ก ข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มไม เพลิ ด เพลิ น ย อ มไม พ ร่ํ าสรรเสริ ญ ย อ ม เม า ห ม ก อ ยู ซึ ่ ง สั ญ ญ า ...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ... ค ว า ม ดั บ ล ง แ ห ง ก อ ง ทุ ก ข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมไม เพลิ ดเพลิ น ย อมไม พ ร่ํ าสรรเสริ ญ ยอ ม ไมเ ม า ห ม ก อ ยู ซึ ่ง ส ัง ข า ร ทั ้ง ห ล า ย ...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ... ค ว า ม ดับ ล ง แ หง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ
๑๓๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมไม เพลิ ดเพลิ น ย อมไม พร่ํ าสรรเสริ ญ ย อ มไม เมาหมกอยู ซึ่ ง วิ ญ ญาณ เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น ไม เพลิ ด เพลิ น ไม พ ร่ํ า สรรเสริ ญ ไมเมาหมกอยู ซึ่งวิญญาณ นันทิใด ใน;วิญญาณ, นันทินั้น ยอมดับไป. เพราะ ความดับแหงนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแหงอุปาทาน, เพราะมีความดับแหง อุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับแห ง ชาติ; เพราะมีค วามดับ แหง ชาติ, ชรามรณะ โสกะปริเ ทวะทุก ขะโทมนัส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง ดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ย อาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ คื อ ความเกิ ดขึ้ นแห งรู ป...แห งเวทนา...แห งสั ญ ญา ...แหงสังขารทั้งหลาย...แหงวิญญาณ, ดังนี้ แล.
ในภาษาปฏิจจสมุปบาท กรรมใหผล ในอัตตภาพที่กระทํากรรม๑ ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! เหตุ ทั้ งหลาย ๓ ประการเหล านี้ มี อ ยู เพื่ อ ความ เกิ ดขึ้นแห งกรรมทั้งหลาย. สามประการเหลาไหนเลา? สามประการคือ โลภะ เป นเหตุ เพื่ อความเกิ ดขึ้ นแห งกรรมทั้ งหลาย, โทสะ เป นเหตุ เพื่ อความเกิ ดขึ้ นแห งกรรมทั้ งหลาย, โมหะ เปนเหตุเพื่อความเกิดขึ้นแหงกรรมทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๔ เทวทูตวรรค ติก. อํ. ๒๐/๑๗๑/๔๗๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
๑๓๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๓
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! กรรมอั นบุ คคลกระทํ าแล วด วยโลภะ เกิ ดจากโลภะ มี โลภะเป น เหตุ มี โลภะเป น สมุ ทั ย อั น ใด; กรรมอั น นั้ น ย อ มให ผ ลในขั น ธ ทั้ งหลาย อันเปนที่บังเกิดแกอัตตภาพของบุคคลนั้น. กรรมนั้น ใหผลในอัตตภาพใด เขายอม เสวยวิ บ ากแห งกรรมนั้ น ในอั ต ตภาพนั้ น เอง ไม ว า จะเป น ไปอย างในทิ ฏ ฐิ ธ รรม หรือวา เปนไปอยางในอุปปชชะ หรือวา เปนไปอยางในอปรปริยายะ๑ ก็ตาม. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! กรรมอั นบุ คคลกระทํ าแล วด วยโทสะ เกิ ดจากโทสะ มี โทสะเป น เหตุ มี โทสะเป น สมุ ทั ย อั น ใด; กรรมอั น นั้ น ย อ มให ผ ลในขั น ธ ทั้ งหลาย อันเปนที่บังเกิดแกอัตตภาพของบุคคลนั้น. กรรมนั้น ใหผลในอัตตภาพใด เขายอม เสวยวิ บ ากแห งกรรมนั้ น ในอั ต ตภาพนั้ น เอง ไม ว า จะเป น ไปอย างในทิ ฏ ฐิ ธ รรม หรือวา เปนไปอยางในอุปปชชะ หรือวา เปนไปอยางในอปรปริยายะ ก็ตาม. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! กรรมอั นบุ คคลกระทํ าแล วด วยโมหะ เกิ ดจากโมหะ มี โมหะเป น เหตุ มี โมหะเป นสมุ ทั ย อั น ใด; กรรมอั น นั้ น ย อ มให ผ ลในขั น ธ ทั้ งหลาย อันเปนที่บังเกิดแกอัตตภาพของบุคคลนั้น. กรรมนั้น ใหผลในอัตตภาพใด เขายอม เสวยวิ บ ากแห งกรรมนั้ น ในอั ต ตภาพนั้ น เอง ไม ว า จะเป น ไปอย างในทิ ฏ ฐิ ธ รรม หรือวา เปนไปอยางในอุปปชชะ หรือวา เปนไปอยางในอปรปริยายะ ก็ตาม.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรี ยบเหมื อนเมล็ ดพื ชทั้ งหลาย ที่ ไม แตกหั ก ที่ ไม เน า ที่ ไม ถู กทํ าลายด วยลมและแดด เลื อกเอาแต เม็ ด ดี เก็ บ งํ าไว ดี อั นบุ คคลหว านไปแล ว ในพื้นที่ซึ่งมีปริกรรมอันกระทําดีแลว ในเนื้อนาดี. อนึ่ง สายฝนก็ตกตองตามฤดูกาล.
๑
ความหมายของคําอันมีความหมายสําคัญที่สุด ๓ คํานี้ ใหดูที่หมายเหตุทายเรื่องของเรื่องนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ
๑๓๓
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมล็ ดพื ชทั้ งหลายเหล านั้ น จะพึ งถึ งซึ่ งความเจริญ งอกงาม ไพบู ลย โดยแน น อน, ฉั น ใด; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ข อ นี้ ก็ ฉั น นั้ น คื อ กรรมอั น บุ ค คล กระทํ าแล วด วยโลภะ เกิ ดจากโลภะ มี โลภะเป นเหตุ มี โลภะเป นสมุ ทั ย อั นใด; กรรม อั นนั้ น ย อมให ผลในขั นธ ทั้ งหลาย อั นเป นที่ บั งเกิ ดแก อั ตตภาพของบุ คคลนั้ น. กรรมนั้ น ให ผลในอั ตตภาพใด เขาย อมเสวยวิบากแห งกรรมนั้ น ในอั ตตภาพนั้ นเอง ไม ว าจะ เปน ไปอยา งในทิฏ ฐิธ รรม หรือ วา เปน ไปอยา งในอุป ปช ชะ หรือ วา เปน ไป อย างในอปรปริ ย ายะ ก็ ต าม. กรรมอั น บุ ค คลกระทํ าแล วด วยโทสะ เกิ ด จากโทสะ มี โทสะเป น เหตุ มี โทสะเป น สมุ ทั ย อั น ใด; กรรมอั น นั้ น ย อ มให ผ ลในขั น ธ ทั้ งหลาย อั น เป น ที่ บั งเกิ ดแก อั ต ตภาพของบุ ค คลนั้ น . กรรมนั้ น ให ผ ลในอั ต ตภาพใด เขาย อ ม เสวยวิ บ ากแห งกรรมนั้ น ในอั ต ตภาพนั้ น เอง ไม ว าจะเป น ไปอย างในทิ ฏ ฐิ ธรรม หรือว า เป น ไปอย างในอุ ป ป ชชะ หรือว า เป น ไปอย างในอปรปริ ยายะ ก็ ตาม. กรรมอั นบุ คคลกระทํ าแล วด วยโมหะ เกิ ดจากโมหะ มี โมหะเป นเหตุ มี โมหะเป นสมุ ทั ย อั น ใด; กรรมอั น นั้ น ย อ มให ผ ลในขั น ธ ทั้ งหลาย อั น เป น ที่ บั งเกิ ด แก อั ต ตภาพของ บุ คคลนั้ น. กรรมนั้ น ให ผลในอั ตตภาพใด เขาย อมเสวยวิ บากแห งกรรมนั้ น ในอั ตตภาพ นั ้น เอง ไมวา จะเปน ไปอยา งในทิฏ ฐิธ รรม หรือ วา เปน ไปอยา งในอุป ปช ชะ หรือวา เปนไปอยางในอปรปริยายะ ก็ตาม.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เหตุ ทั้ งหลาย ๓ ประการเหล านี้ แล เป นไปเพื่ อความ เกิดขึ้นแหงกรรมทั้งหลาย. .... ..... ..... ....
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เหตุ ทั้ งหลาย ๓ ประการ เหล านี้ มี อยู เพื่ อความเกิ ดขึ้ น แหงกรรมทั้งหลาย. สามประการ เหลาไหนเลา? สามประการคือ อโลภะ เปนเหตุ
www.buddhadasa.info
๑๓๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๓
เพื่ อความเกิ ดขึ้ นแห งกรรมทั้ งหลาย, อโทสะ เป นเหตุ เพื่ อความเกิ ดขึ้ นแห งกรรมทั้ งหลาย, อโมหะ เปนเหตุเพื่อความเกิดขึ้นแหงกรรมทั้งหลาย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! กรรมอั นบุ คคลกระทํ าแล วด วยอโลภะ เกิ ดจากอโลภะ มีอ โลภะเปน เหตุ มีอ โลภะเปน สมุท ัย อัน ใด; เพราะปราศจากโลภะเสีย แลว , ด ว ยอาการอย า งนี้ เอง กรรมอั น นั้ น ย อ มเป น กรรมอั น บุ ค คลนั้ น ละขาดแล ว มี ร าก อั น ถอนขึ้ น แล ว ถู ก กระทํ า ให เหมื อ นตาลมี ขั้ ว ยอดอั น ด ว น ทํ า ให ถึ ง ความไม มี มี อั น ไมเกิดขึ้นตอไปเปนธรรมดา. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! กรรมอั น บุ ค คลกระทํ า แล ว ด ว ยอโทสะ เกิ ด จาก อโทสะ มี อโทสะเป นเหตุ มี อโทสะเป นสมุ ทั ย อั นใด; เพราะปราศจากโทสะเสี ยแล ว, ด วยอาการอย างนี้ เอง กรรมอั นนั้ น ย อมเป นกรรมอั นบุ คคลนั้ นละขาดแล ว มี รากอั นถอน ขึ้ น แล ว ถู กกระทํ าให เหมื อ นตาลมี ขั้ วยอดอั น ด วน ทํ าให ถึ งความไม มี มี อั น ไม เกิ ด ขึ้ น ตอไปเปนธรรมดา.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! กรรมอั น บุ ค คลกระทํ าแล วด วยอโมหะ เกิ ด จาก อโมหะ มีอ โมหะเปน เหตุ มีอ โมหะเปน สมุท ัย อัน ใด; เพราะปราศจากโมหะ เสี ย แล ว, ด วยอาการอย างนี้ เอง กรรมอั นนั้ น ย อ มเป นกรรมอั น บุ คคลนั้ นละขาดแล ว มี รากอั น ถอนขึ้ น แล ว ถู ก กระทํ า ให เหมื อ นตาลมี ขั้ ว ยอดอั น ด ว น ทํ า ให ถึ ง ความไม มี มีอันไมเกิดขึ้นตอไปเปนธรรมดา.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรี ยบเที ยบเมล็ ดพื ชทั้ งหลาย ที่ ไม แตกหั ก ที่ ไม เน า ที่ไมถูกทําลายดวยลมและแดด เลือกเอาแตเม็ดดี เก็บงําไวดี. บุรุษพึงเผาเมล็ดพืช
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ
๑๓๕
เหล านั้ นด วยไฟ ครั้นเผาด วยไฟแล ว พึ งกระทํ าให เป นผงขี้ เถ า; ครั้นกระทํ าให เป นผง ขี้ เถ าแล ว พึ งโปรยไปในกระแสลมอั นพั ดจั ด หรือว าพึ งลอยไปในกระแสน้ํ าอั นเชี่ ยวใน แม น้ํ า. เมล็ดพื ชทั้งหลายเหลานั้นเป นพื ชมี มู ลอันขาดแลว ถูกกระทําให เหมื อนตาลมี ขั้ว ยอดอันด วน ทํ าให ถึงความไม มี มี อันไม เกิดขึ้นตอไปเป นธรรมดา โดยแนนอน, นี้ฉั นใด; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ข อ นี้ ก็ ฉั น นั้ น กล าวคื อ กรรมอั น บุ ค คลกระทํ าแล วด วยอโลภะ เกิ ด จากอโลภะ มี อ โลภะเป น เหตุ มี อ โลภะเป น สมุ ทั ย อั น ใด; เพราะปราศจาก โลภะเสียแลว, ดวยอาการอยางนี้เอง กรรมอันนั้น ยอมเปนกรรมอันบุคคลนั้นละขาดแลว มี รากอั นถอนขึ้ น แล ว ถู กกระทํ าให เหมื อนตาลมี ขั้ วยอดอั น ด วน ทํ าให ถึ งความไม มี มีอันไมเกิดขึ้นตอไปเปนธรรมดา. กรรมอันบุคคลกระทําแลวดวยอโทสะ เกิดจากอโทสะ มีอ โทสะเปน เหตุ มีอ โทสะเปน สมุท ัย อัน ใด; เพราะปราศจากโทสะเสีย แลว , ดวยอาการอยางนี้เอง กรรมอันนั้น ยอมเป นกรรมอันบุ คคลนั้ นละขาดแลว มีรากอันถอน ขึ้ นแล ว ถู กกระทํ าให เหมื อนตาลมี ขั้ วยอดอั นด วน ทํ าให ถึ งความไม มี มี อั นไม เกิ ดขึ้ น ต อไปเป นธรรมดา. กรรมอั นบุ คคลกระทํ าแล วด วยอโมหะ เกิ ดจากอโมหะ มี อโมหะ เป น เหตุ มี อ โมหะเป น สมุ ทั ย อั น ใด; เพราะปราศจากโมหะเสี ย แล ว , ด วยอาการ อย างนี้ เอง กรรมอั นนั้ น ย อมเป นกรรมอั นบุ คคลนั้ นละขาดแล ว มี รากอั นถอนขึ้ นแล ว ถูกกระทํ าให เหมื อนตาลมี ขั้วยอดอั นด วน ทํ าให ถึ งความไม มี มี อันไม เกิดขึ้นต อไปเป น ธรรมดา.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เหตุ ทั้ งหลาย ๓ ประการเหล านี้ แล เป นไปเพื่ อความ เกิดขึ้นแหงกรรมทั้งหลาย. กรรมใด อันผูกระทําเห็นอยูวา เกิดแตโลภะ เกิดแตโทสะ เกิดแตโมหะ ก็ตาม; กระทําแลว นอยก็ตาม มากก็ตาม;
www.buddhadasa.info
๑๓๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๓
ก ร ร ม นั ้ น อั น บุ ค ค ล นั ้ น พ ึ ง เ ส ว ย ผ ล ใ น อั ต ต ภ า พ นี ้ นั ่ น เ ที ย ว : วั ต ถ ุ (พื ้ น ที ่ ) ๑ อื ่ น ห า ม ี ไ ม ; เ พ ร า ะ ฉ ะ นั ้ น ภ ิ ก ษ ุ ผู รู ป ร ะ จั ก ษ ซึ ่ ง โ ล ภ ะ โ ท ส ะ แ ล ะ โ ม ห ะ ก ร ะ ทํ า วิ ช ช า ใ ห เ กิ ด ขึ ้ น อ ยู ; ย อ ม ล ะ ทุคติทั้งหลายทั้งปวงได. ห ม า ย เห ต ุผู ร ว บ ร ว ม : ผู ศ ึก ษ า พ ึง ส ัง เก ต ให เ ห ็น วา คํ า วา "ท ิฏ ฐ ธ รรม ", คํ า วา "อุป ปช ชะ", และคํ า วา "อปรปริย ายะ" (บาลีว า ทิฏ เฐว ธมฺเ ม อุป ฺป ชฺเ ช วา อปเร วา ป ริย าเย); สามคํ า นี ้ เรารู จ ัก กัน ทั ่ว ไป โดยคํ า วา "ทิฏ ฐธรรมเวทนีย ะ", "อุป ปช ชเวทนีย ะ", และ "อปราปรเวทนีย ะ"; และถือ เอาความหมายกัน วา อยา งแรกหมายถึง เวลาในชาติ นี้ ก อ นแต ต าย, สองอย า งหลั ง หมายถึ งเวลาในชาติ ต อ ๆ ไป หลั งจากตายแล ว . สว นในบาลีนี ้ แสดงใหเ ห็น ไปในทํ า นองวา ทั ้ง ๓ ชนิด นี ้ ลว นแตเ ปน ไปในชีว ิต นี ้ หรือ ในอั ต ตภาพนี้ ตามความหมายของคํ า ว า “ชาติ ” ในภาษาปฏิ จ จสมุ ป บาท; กล า วคื อ เกิ ด อุ ป าทานหรื อ ความทุ ก ข ค รั้ ง หนึ่ ง ก็ ช าติ ห นึ่ ง ซึ่ ง วั น หนึ่ ง เพี ย งวั น เดี ย ว ก็ มี ได ห ลายสิ บ ชาติ ; ดั ง นั้ น คํ า ว า "ทิ ฏ ฐธรรม" หมายถึ ง ให ผ ลทั น ควั น , คํ า ว า "อุ ป ป ช ชะ" หมายถึ ง ให ผ ลในระยะ ถั ด มา, และคํ า ว า "อปรปริ ย ายะ" ก็ ห มายถึ ง เวลาที่ ถั ด มาอี ก คื อ หลั ง จากการเกิ ด ชาติ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ตามนั ย ะแห งปฏิ จ จสมุ ป บาทในเวลาถั ด มานั่ น เอง แม อาจจะติ ด ๆ กั น ไปในชั่ วโมง นั้ น หรื อ หลายวั น ต อ มา หรื อ หลายป ต อ มา ซึ่ งเป น ระยะเวลาในอั ต ตภาพนี้ นี่ เอง; ไม จํ า เป น จะต องหมายความถึ งต อเมื่ อตายแล วเหมื อนดั บที่ เข าใจกั นก็ ได . เรื่ องต าง ๆ หลั งจากตายแล ว ยั ง ไม ต อ งพู ด ถึ ง , เพราะว า ในอั ต ตภาพนี้ อั ต ตภาพเดี ย ว ก็ ยั ง มี ช าติ ใ ห เราทํ า กรรม และ เสวยผลกรรมตั้ ง ร อ ยชาติ พั น ชาติ หมื่ น ชาติ แสนชาติ ล า นชาติ อยู แ ล ว . ขอให สั ง เกต ความหมายของคํ าว าชาติ ให ตรงตามความหมายแห งภาษาปฏิ จจสมุ ปบาท หรื อภาษาปรมั ตถ ดั ง กล า วนี้ ด ว ย. ถึ ง แม ใ นภาษาศึ ล ธรรมที่ ใ ช ในการสอนศี ล ธรรม ที่ ก ล า วถึ ง การระลึ ก ชาติ จํ า นวนนั บ ไม ไ หว ก็ ยั ง อาจเล็ ง ถึ ง ชาติ ใ นความหมายนี้ ไ ด อ ยู นั่ น เอง; ดั ง นั้ น น า จะเข า ใจ ความหมายของคํ า ว า "ชาติ " และความหมายของคํ า ว า "ทิ ฏ ฐธรรม" คํ า ว า "อุ ป ป ช ชเวทนี ย ะ" และคํ า ว า "อปราปรเวทนี ย ะ" ให ถู ก ต อ งตามพระพุ ท ธประสงค กั น เสี ย ที : สรุ ป แลว มีค วาม ห ม ายวา คํ า วา "ทิฏ ฐธรรม " คือ ทัน ค วัน , คํ า วา "สัม ป ราย ะ" (ซึ ่ง รวม ทั ้ง อุปปชชะและอปราประ) คือในเวลาถัดมา ซึ่งจะนานเทาไรก็ได.
www.buddhadasa.info
๑
คํ า ว า "วั ต ถุ " ในที่ นี้ หมายถึ ง พื้ น ที่ ที่ ก รรมจะให ผ ลแก ผู ก ระทํ า ได แ ก ขั น ธ ทั้ ง หลายอั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง อั ตตภาพของบุ คคลผู ทํ ากรรมและเสวยกรรมนั่ นเอง ไม มี ความหมายที่ เล็ งไปทางกาละหรือเวลา ว าชาติ นี้ หรือชาติหนา แตประการใด.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ
๑๓๗
อนึ่ง พึงสังเกตใหเห็นวา คําวา อโลภะ อโทสะ อโมหะ นั้น มีความหมายตางกัน อยูเปน ๒ ระดับ : ระดับทั่วไป เปนของผูยังไมสิ้นอาสวะ เปนเพียงสักวาในขณะที่ทํากรรม นั้น ไมมีโลภะ โทสะ โมหะ ปรากฏ แตมีกุศลเจตสิกอยางอื่นที่ตรงกันขามจาก โลภะ โทสะ โมหะ มาปรากฏแทน เชนคนธรรมดาใหทานดวยอํานาจเมตตากรุณาเปนตน. สวนอโลภะ อโทสะ อโมหะ อีก ความหมายหนึ่ง เปน สภาพจิต ของผูสิ้น อาสวะแลว กรรมที่ กระทําถึงการนับวาไมเปนกรรม ไมจําเปนที่จะตองมากลาววาเปนกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมแตอยางใด. ขอความแหงพระบาลีนี้ คําวา อโลภะ อโทสะ อโมหะ นาจะหมายถึง นัยะอยางแรกมากกวา, ผูศึกษาพึงใครครวญดูใหดีเถิด.
เห็นปฏิจจสมุปบาท คือฉลาดในเรื่องกรรม๑ บุคคลเปนพราหมณเพราะชาติ (กําเนิด) ก็หามิได; จะมิใชพราหมณเพราะชาติก็หามิได: บุคคลเปนพราหมณเพราะกรรม; ไมเปนพราหมณก็เพราะกรรม. บุคคลเปนชาวนา ก็เพราะกรรม; เปนศิลปน ก็เพราะกรรม, บุคคลเปนพอคา ก็เพราะกรรม; เปนคนรับใช ก็เพราะกรรม, บุคคลแมเปนโจร ก็เพราะกรรม; เปนนักรบ ก็เพราะกรรม, บุคคลเปนปุโรหิต ก็เพราะกรรม; แมเปนพระราชา ก็เพราะกรรม, บัณฑิตทั้งหลายยอมเห็นซึ่งกรรมนั้น ตามที่เปนจริงอยางนี้ ชื่อวาเปนผูเห็นซึ่งปฏิจจสมุปบาท เปนผูฉลาดในเรื่องวิบากแหงกรรม. โลก ยอมเปนไปตามกรรม หมูสัตว ยอมเปนไปตามกรรม สัตวทั้งหลาย มีกรรมเปนเครื่องรึงรัด เหมือนลิ่มสลักขันยึดรถที่กําลังแลนไปอยู.
www.buddhadasa.info
๑
วาเสฏฐสูตร มหาวรรค สุ.ขุ. ๒๕/๔๕๗/๓๘๒, ตรัสแกวาเสฏฐมาณพ ซึ่งมีภารทวาชมาณพฟงอยูดวย ที่อิจฉานังคละไพรสณฑ.
www.buddhadasa.info
๑๓๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๓
เพราะการบํ า เพ็ ญ ตบะ การประพฤติ พ รหมจรรย การสํ า รวม และเพราะการฝ ก ตน; นั ่น แห ล ะ บุค คลจึง เปน พ ราห ม ณ นั ่น แหละ ความ เปน พ ราหม ณ ชั ้น สูง สุด ; บุ คคลผู ถึ ง พ ร อ มแล ว ด ว ยวิ ช ชา ๓ เป นผู รํ า งั บ แล ว มี ภ พ ใหม สิ้ น แล ว มี อ ยู ; ดูกอนวาเสฏฐะ! ทานจงรูบุคคลอยางนี้ วาเปนพรหม เปนสักกะ ของทานผูรู ท. ห ม า ย เห ต ุผู ร ว บ ร ว ม : ผู ศ ึก ษ า พ ึง ส ัง เก ต ให เ ห ็น วา แ ม อ า ก า ร ท ีก ร ร ม ให ผ ลเพี ยงคู เดี ย ว ก็ ยั ง ตรั ส เรี ย กว า ปฏิ จ จสมุ ป บาท. เมื่ อ เห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาท ก็ คื อ เห็ น อาการที่ ก รรมให ผ ล. เมื่ อ ถื อ ตามพระพุ ท ธภาษิ ต นี้ ก็ เป น อั น ว า โลกหรื อ หมู สั ต ว เป น ไปตาม อํ า นาจของปฏิ จ จสมุ ป บาท. กระแสแห งปฏิ จ จสมุ ป บาทนั้ น จะหยุ ด เสี ย ได ด ว ยตบะ ด ว ย พรหมจรรย ด ว ยสั ญ ญ มะ ด ว ยทมะ; และผู เป น อย า งนั้ น ชื่ อ ว า เป น พระพรหม เป น ท า ว สักกะ ในความหมายของพระอริจเจาในศาสนานี้.
นามรูปหยั่งลง เพราะเห็นสัญโญชนิยธรรม โดยความเปนอัสสาทะ๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อภิ กษุ เป นผู มี ปรกติ เห็ นโดยความเป นอั สสาทะ (น า รั ก น า ยิ น ดี ) ในธรรมทั้ งหลายอั น เป น ที่ ตั้ ง แห งสั งโยชน (สั ญ โญชนิ ย ธรรม)๒ อยู , การหยั่ งลงแห งนามรู ป ย อมมี , เพราะมี นามรู ปเป นป จจั ย จึ งมี สฬายตนะ; เพราะมี สฬายตนะเป น ป จ จั ย จึ ง มี ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เวทนา; เพราะมี เวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะมี
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๘ ทุกขวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๐๘/๒๑๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ธรรมอัน เปน ที ่ตั ้ง สัง โยชน หรือ สัญ โญชนิย ธรรมนั ้น ไดแ ก รูป , เวทนา, สัญ ญา, สัง ขาร, วิญ ญาณ (ข น ฺธ . ส ํ. ๑๗/๒๐๒/๓๐๘); ต า , ห ู, จ ม ูก , ลิ ้น , ก า ย , ใ จ (ส ฬ า . ส ํ. ๑๘/๑๑๐/๑๕๙); ร ูป , เส ีย ง , กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ, ธัมมารมณ (สฬา.สํ. ๑๘/๑๓๕/๑๘๙).
๒
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ
๑๓๙
อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ ง มี ภ พ; เพราะมี ภ พเป น ป จ จั ย จึ ง มี ช าติ ; เพราะมี ช าติ เป น ป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน: ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนต นไม ใหญ มี รากดิ่ งลงไปเบื้ องล างด วย มี รากแผ ไปรอบ ๆ ด วย รากทั้ งหลายเหล านั้ น ล วนแต ดู ดสิ่ งโอชะขึ้นไปเบื้ องบน ดู กอน ภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อเป น อย างนี้ ต น ไม ใหญ ซึ่ งมี อาการอย างนั้ น มี เครื่ อ งหล อเลี้ ยง อย า งนั้ น พึ ง ตั้ ง อยู ไ ด ตลอดกาลยาวนาน, ข อ นี้ ฉั น ใด; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ขอนี้ก็ฉันนั้น: เมื่อภิกษุเปนผูมีปรกติเห็นโดยความเปนอัสสาทะ (นารักนายินดี) ในธรรม ทั้ งหลายอั นเป นที่ ตั้ งแห งสั งโยชน อยู การหยั่ งลงแห งนามรูป ย อมมี , เพราะมี นามรูป เป นป จจั ย จึ งมี สฬายตนะ; เพราะมี สฬายตนะเป นป จจั ย จึ งมี ผั สสะ; เพราะมี ผั สสะ เป น ป จ จั ย จึ ง มี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา; เพราะมี ตั ณ หา เป น ป จ จั ย จึ ง มี อุ ป าทาน; เพราะมี อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ งมี ภ พ; เพราะมี ภ พเป น ป จจั ย จึ งมี ชาติ ; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั ส อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน: ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้ งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info นามรูปไมหยั่งลง เพราะเห็นสัญโญชนิยธรรม โดยความเปนอาทีนวะ๑
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อภิกษุเปนผูมีปรกติเห็นโดยความเปนอาทีนวะ (โทษอันต่ําทราม) ในธรรมทั้งหลายอันเปนที่ตั้งแหงสังโยชนอยู, การหยั่งลงแหง
๑
สูตรที่ ๘ ทุกขวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๐๙/๒๑๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๑๔๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๓
นามรู ป ย อมไม มี , เพราะความดั บแห งนามรูป จึ งมี ความดั บแห งสฬายตนะ; เพราะมี ความดั บแห งสฬายตนะ จึ งมี ความดั บแห งผั สสะ; เพราะมี ความดั บ แห งผั สสะ จึ งมี ความดั บ แห งเวทนา; เพราะมี ความดั บ แห งเวทนา จึ งมี ความดั บ แห งตั ณ หา; เพราะมี ความดั บแห งตั ณ หา จึ งมี ความดั บแห งอุ ปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึ งมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บ แห งชาติ นั่ นแล, ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งดั บ สิ้ น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เปรี ย บเหมื อ นต น ไม ใ หญ มี อ ยู . ลํ า ดั บ นั้ น บุ รุ ษ พึ ง ถื อ เอาจอบและตะกร า มาแล ว บุ รุ ษ นั้ น พึ ง ตั ด ต น ไม นั้ น ที่ โคน; ครั้ น ตั ด ที่ โคนแล ว พึ งขุ ด เซาะ; ครั้ น ขุ ด เซาะแล ว พึ งรื้ อ ขึ้ น ซึ่ งรากทั้ งหลาย แม ที่ สุ ด เพี ย งเท า ก า นแฝก. บุ รุ ษ นั้ นตั ดต นไม เป นท อนน อยท อนใหญ ครั้ นตั ดเป นท อนน อยท อนใหญ แล ว พึ งผ า; ครั้ นผ าแล ว พึ งกระทํ าให เป นซี ก ๆ ; ครั้ นกระทํ าให เป นซี ก ๆ แล ว พึ งผึ่ งให แห งในลม และแดด; ครั้ น พึ่ ง ให แ ห ง ในลมและแดดแล ว ย อ มเผาด ว ยไฟ; ครั้ น เผาด ว ยไฟแล ว พึ งกระทํ าให เป นขี้ เถ า; ครั้ นกระทํ าให เป นขี้ เถ าแล ว ย อมโปรยไปตามลมอั นพั ดจั ด หรื อ ว าพึ งให ลอยไปในกระแสน้ํ าอั นเชี่ ยว. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยการกระทํ าอย างนี้ แล ต นไม ใหญ นั้ นก็ จะพึ งเป นต นไม มี รากอั นขาดแล ว เหมื อนต นตาลที่ ถู กทํ าลายแล วที่ ขั้ ว แห งยอด ถึ งแล วซึ่ งความไม มี ไม เป น มี ความไม งอกอี กต อไปเป นธรรมดา, ข อนี้ ฉั นใด; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข อนี้ ก็ ฉั นนั้ น: เมื่ อภิ กษุ เป นผู มี ปรกติ เห็ นโดยความเป นอาที นวะ (โทษอั นต่ํ าทราม) ในธรรมทั้ งหลาย อั นเป นที่ ตั้ งแห งสั งโยชน อยู , การหยั่ งลงแห งนามรู ป ย อมไม มี . เพราะความดั บแห งนามรู ป จึ งมี ความดั บแห งสฬายตนะ; เพราะมี ความดั บ แห งสฬายตนะ จึ งมี ความดั บแห งผั สสะ; เพราะมี ความดั บแห งผั สสะ จึ งมี ความดั บแห ง เวทนา; เพราะมีความดับแหงเวทนา จึงมีความดับแหงตัณหา; เพราะมีความดับ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ
๑๔๑
แห งตั ณหา จึ งมี ความดั บแห งอุ ปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึ งมี ความดั บ แห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลง แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้, ดังนี้ แล.
ปฏิจจสมุปบาท ที่ตรัสระคนกับปญจุปาทานขันธ๑ เรื่ องในนครกบิ ลพั สดุ : เมื่ อพระผู มี พระภาคเจ า ทรงขั บภิ กษุ สงฆ หมู หนึ่ งผู ละโมบในลาภ สั ก การะ ให อ อกไปพ น แล ว ภายหลั งทรงรํ า พึ ง เมื่ อ ภิ ก ษุ เหล านี้ มิ ได เห็ น พระศาสดาก็ จ ะหมุ น ไปผิ ด เหมื อนลูกโคไรแม จึงนอมพระทั ยไปในทางที่ จะวากลาวตั กเตือน ด วยพระทัยอั นอนุเคราะห ในลั กษณะที่ บาลี ใช สํ านวนว า สหั มบดี พรหมเข ามาอ อนวอนให ทรงกระทํ าเชนนั้ น จึ งทรงบั นดาลด วยอิ ทธาภิ สั งขารให ภิกษุเหลานั้นกลาเขามาเฝาพระองค ทีละรูปสองรูป จนกระทั่งครบถวนแลว จึงตรัสพระพุทธพจนนี้:-
ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อาชี พต่ําที่ สุ ด ในบรรดาอาชีพทั้ งหลาย คื อการขอทาน. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! คํ าสาปแชงอย างยิ่ งในโลกนี้ คื อ คํ าสาปแชงวา "แกถื อกระเบื้ อง ในมือเที่ยวขอทานเถอะ" ดังนี้
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! กุ ลบุ ตรทั้ งหลาย เข าถึ งอาชี พนี้ เป นผู เป นไปใน อํานาจแห งประโยชน เพราะอาศั ยอํ านาจแห งประโยชน , ไม ใชเป นคนหนี ราชทั ณฑ ไม ใช เป น ขอให โจรปล อ ยตั ว ไปบวช ไม ใช เป น คนหนี ห นี้ ไม ใช เป น คนหนี ภั ย ไม ใช เป น คนไรอาชีพ, จึ งบวช, อี กอย างหนึ่ ง กุลบุ ตรนี้ บวชแล ว โดยที่ คิ ดเช นนี้ วา เราทั้ งหลาย เป นผู ถู กหยั่ งเอาแล ว โดยชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุ กขะ โทมนั ส อุ ปายาส ทั้ งหลาย เปนผูอันความทุกขหยั่งเอาแลว มีความทุกขเปนเบื้องหนาแลว ทําไฉน การทําที่สุดแหง
๑
สู ตรที่ ๘ ขั ชชนิ ยวรรค ขั นธสั งยุ ตต ขนฺ ธ. สํ . ๑๗/๑๑๓/๑๖๗, ตรั สแก ภิ กษุ ทั้ งหลาย ที่ นิ โครธารามใกล เมืองกบิลพัสดุ.
www.buddhadasa.info
๑๔๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๓
กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ จะพึ ง ปรากฏแก เรา ดั ง นี้ . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! แต ว า กุ ล บุ ต ร ผูบวชแลวอยางนี้ กลับเปนผูมากไปดวยอภิชฌา มีราคะแกกลาในกามทั้งหลาย มีจิต พยาบาท มีความดําริแหงใจเปนไปในทางประทุษราย มีสติอันลืมหลงแลว ไมมีสัมปชัญญะ มี จิ ตไม ตั้ งมั่ นแล ว มี จิ ตหมุ นไปผิ ดแล ว มี อิ นทรีย อั นตนไม สํ ารวมแล ว. ดู ก อนภิ กษุ ทั้งหลาย! เปรียบเหมือนดุนฟนจากเชิงตะกอนที่เผาศพ ยังมีไฟติดอยูทั้งสอง ตรง กลางก็ เป อนอุ จจาระ ย อมใช ประโยชน เป นไม ในบ านเรือนก็ ไม ได ย อมใช ประโยชน เป นไม ในป าก็ ไม ได , ข อนี้ ฉั นใด; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวบุ คคลนี้ วามี อุ ปมา เชนนั้ น; คื อ เป นผู เสื่ อมจากโภคะแห งคฤหั สถ ด วย, ไม ทํ าประโยชน แห งสมณะให บริบูรณ ดวย. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อกุศลวิตก (ความตริตรึกอันเปนอกุศล) ๓ อยางเหลานี้ มี อยู ; กล าวคื อ กามวิ ตก (ความตริตรึกในทางกาม), พยาบาทวิ ตก (ความตริตรึกใน ทางพยาบาท), วิหิ งสาวิตก (ความตริตรึกในทางทํ าผู อื่ นให ลํ าบากโดยไม เจตนา). ดู ก อน ภิกษุทั้งหลาย! อกุศลวิตกทั้ง ๓ อยางนี้ ยอมดับไปโดยไมเหลือ เมื่อบุคคลมีจิตตั้งมั่ น แลวดวยดี ในสติปฎฐานทั้ง ๔; หรือวา เมื่อบุคคลเจริญอยูซึ่งสมาธิอันหานิมิต มิ ได . ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ประโยชน เพี ยงเท านี้ ก็ พอแล ว เพื่ อการเจริญสมาธิอั นหา นิ มิ ต มิ ได . ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! อนิ มิ ต ตสมาธิ อั น บุ ค คลเจริญ แล ว ทํ าให มากแล ว ยอมเปนสมาธิมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ทิฏฐิทั้งหลาย ๒ อยางเหลานี้ มีอยู; กลาวคือ ภวทิฏฐิ และวิภาวทิ ฏฐิ. ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ในกรณี แห งทิ ฏฐิทั้ งสองอยางนั้ น อริยสาวกผู ได สดั บแล ว ย อมพิ จารณาด วยอาการอย างนี้ วา "ในโลกนี้ มี สิ่ งใด ๆ บ างไหมหนอ ที่ เมื่ อ เรายึดถืออยู เราจักเปนผูหาโทษมิได?" ดังนี้. อริยสาวกนั้น ยอมรูชัดอยางนี้วา
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจ ฯ ไมใชเรื่องขามภพขามชาติ
๑๔๓
"ในโลกนี้ ไมมีสิ่ง ใด ๆ เลย ที่เ มื่อ เรายึด ถือ อยู เราจัก เปน ผูห าโทษมิไ ด" (นตฺถิ นุ โข ตํ กิฺ จิ โลกสฺมึ ยมหํ อุปาทิยมาโน นวชฺชวา อสฺสํ) ดังนี้. อริยสาวกนั้น ยอม รูชั ดอย างนี้ ว า "เราเมื่ อยึ ดถื อ ก็ ยึ ดถื อซึ่ งรู ปนั่ นเอง ซึ่ งเวทนานั่ นเอง ซึ่ งสั ญญานั่ นเอง ซึ ่ง สัง ขารทั ้ง หลายนั ่น เอง ซึ ่ง วิญ ญ าณ นั ่น เอง. เพราะความยึด ถือ (อุป าทาน) ของเรานั ้น เปน ปจ จัย ก็จ ะพึง มีภ พ ; เพ ราะมีภ พ เปน ปจ จัย ก็จ ะพึง มีช าติ; เพราะมี ช าติ เป น ป จ จั ย , ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย ก็จะพึงมี: ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ พึงมี ดวยอาการอยางนี้". ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เธอทั้ งหลาย จะสํ าคั ญ ความข อ นี้ ว าอย างไร: รู ป เที่ ย งหรื อ ไม เ ที่ ย ง? ("ไม เ ที่ ย ง พระเจ า ข า !") ก็ สิ่ ง ใดไม เ ที่ ย ง สิ่ ง นั้ น เป น ทุ ก ข ห รื อ เป น สุ ข เล า ? ("เป น ทุ ก ข พระเจ าข า!") ก็ สิ่ งใดไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา ควรหรื อ หนอที่ จ ะตามเห็ น สิ่ งนั้ น ว า นั่ น ของเรา; นั่ น เป น เรา นั่ น เป น ตั วตน ของเรา?" ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!") (ในกรณี แห งเวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญญาณ ก็ มี การถามตอบด วยข อความอย างเดี ยวกั น
www.buddhadasa.info ทุกตัวอักษร กับในกรณีแหงรูป ตางกันแตชื่อแหงขันธ แตละขันธ เทานั้น)
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ อ งนี้ , รู ป อย า งใดอย า งหนึ่ ง ทั้ งที่ เป นอดี ตอนาคต และป จจุ บั น อั นมี อยู ในภายในหรือภายนอกก็ ดี หยาบหรือละเอี ยด ก็ ดี เลวหรื อ ปราณี ตก็ ดี อยู ห างไกลหรื ออยู ใกล ก็ ดี รู ป ทั้ งหมดนั้ น อั นเธอทั้ งหลาย พึ งเห็ นด วยป ญญาอั นชอบตรงตามที่ เป นจริง (ยถาภู ตสั มมั ปป ญญา) อย างนี้ ว า "นั่ นไม ใชข อ งเรา; นั ่น ไมเ ปน เรา; นั ่น ไมใ ชต ัว ต น ของเรา;" ดัง นี ้ เวท น าอ ยา งใด อย างหนึ่ ง ทั้ งที่ เป น อดี ต อนาคต และป จ จุ บั น อั น มี อ ยู ในภายในหรื อ ภายนอกก็ ดี หยาบหรือละเอียดก็ดี เลวหรือปราณี ตก็ดี อยูหางไกลหรืออยูใกลก็ดี เวทนาทั้ งหมดนั้ น อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นดวยปญญาอันชอบตรงตามที่เปนจริง อยางนี้วา "นั่นไมใชเรา;
www.buddhadasa.info
๑๔๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๓
นั ่น ไมเ ปน เรา; นั ่น ไมใ ชต ัว ต น ขอ งเรา ;" ดัง นี ้. สัญ ญ าอ ยา งใด อ ยา งห นึ ่ง ทั้ ง ที่ เป น อดี ต อนาคต และป จ จุ บั น อั น มี อ ยู ใ นภายใน หรื อ ภายนอกก็ ดี หยาบ หรือละเอี ยดก็ ดี เลวหรือปราณี ตก็ ดี อยู ห างไกลหรืออยู ใกล ก็ ดี สั ญ ญาทั้ งหมดนั้ น อั นเธอทั้ งหลาย พึ งเห็ นด วยป ญญาอั นชอบตรงตามที่ เป นจริง อย างนี้ ว า "นั่ นไม ใช เรา; นั่ น ไม เป น เรา; นั่ น ไม ใ ช ตั ว ตนของเรา "; ดั ง นี้ . สั ง ขารทั้ ง หลายเหล า ใดเหล า หนึ่ ง ทั้ งที่ เป น อดี ต อนาคต และป จ จุ บั น อั น มี อ ยู ในภายในหรื อ ภายนอกก็ ดี หยาบหรื อ ละเอีย ดก็ด ี เลวหรือ ปราณีต ก็ด ี อยู ห า งไกลหรือ อยู ใ กลก ็ด ี สัง ขารทั ้ง หมดนั ้น อั นเธอทั้ งหลาย พึ งเห็ นด วยป ญญาอั นชอบตรงตามที่ เป นจริง อย างนี้ ว า "นั่ นไม ใช เรา; นั่ น ไม เป น เรา; นั่ น ไม ใ ช ตั ว ตนของเรา"; ดั ง นี้ . วิ ญ ญาณอย า งใดอย า งหนึ่ ง ทั้ ง ที่ เป นอดี ต อนาคต และป จจุ บั น อั นมี อยู ในภายใน หรือภายนอกก็ ดี หยาบหรือละเอี ยดก็ ดี เลวหรือปราณี ตก็ ดี อยู ห างไกลหรืออยู ใกล ก็ ดี วิ ญญาณทั้ งหมดนั้ น อั นเธอทั้ งหลาย พึ งเห็ นด วยป ญ ญาอั นชอบตรงตามที่ เป นจริ ง อย างนี้ ว า "นั่ นไม ใช เรา; นั่ นไม เป นเรา; นั่นไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! อริ ย สาวก ผู ได ส ดั บ แล ว เห็ น อยู อ ย า งนี้ ย อ ม เบื่ อหน ายแม ในรูป แม ในเวทนา แม ในสั ญญา แม ในสั งขารทั้ งหลาย แม ในวิ ญญาณ อริ ย สาวกนั้ น เมื่ อ เบื่ อ หน าย ย อมคลายกํ าหนั ด ; เพราะความคลายกํ าหนั ด ย อ ม หลุ ดพ น; เมื่ อหลุ ดพ นแล ว ย อมมี ญ าณหยั่ งรู วาหลุ ดพ นแล ว. อริยสาวกนั้ น ย อมรู ชั ดอย างนี้ ว า "ชาติ สิ้ นแล ว, พรหมจรรย อั นเราอยู จบแล ว, กิ จที่ ควรทํ าได ทํ าสํ าเร็จแล ว, กิจอื่นเพื่อความเปนอยางนี้ มิไดมีอีก," ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info หมวดที่สาม จบ -------------------
www.buddhadasa.info
หมวด ๔ วาดวย ปฏิจจสมุปบาทเกิดไดเสมอ ในชีวิตประจําวันของคนเรา
www.buddhadasa.info ๑๔๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฏอิทัปปจจยตาหัวใจปฏิจจสมุปบาท. อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมมี อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป. (ม.ม. ๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน. สํ. ๑๖/๘๔/๑๕๔,....)
www.buddhadasa.info ๑๔๗
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่องเฉพาะหมวด สําหรับปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๔ วาดวย ปฏิจจสมุปบาทเกิดไดเสมอ ในชีวิตประจําวันของคนเรา (มี ๑๒ เรื่อง) มีเรื่อง : ปฏิจจสมุปบาท จะมีไดแกทารก เฉพาะที่โตขึ้นถึงขนาดรูสึกยึดถือใน เวทนา--ปจจัยาการแหงเวทนาโดยละเอียด—อายตนะคือจุดตั้งตนของปฏิจจสมุปบาท --การเกิดขึ้นแหงไตรทวารขึ้นอยูกับการเกิดขึ้นแหงอวิชชาของปฏิจจสมุปบาท--อวิชชา สัม ผัส คือ ตน เหตุอ ัน แทจ ริง ของปฏิจ จสมุป บาท--นามรูป กา วลง เมื่อ อนุสัย กอ ขึ้น -ตัณ หาเกิดขึ้นเมื่ออนุสัยกอขึ้น-- ภพใหมเกิดขึ้นเมื่ออนุสัยกอขึ้น—การหยั่งลงแหงวิญ ญาณเกิดมีขึ้นเมื่อเห็นสัญโญนิยธรรมโดยความเปนอัสสาทะ—การหยั่งลงแหงวิญญาณ ไม มีเพราะเห็ นสัญ โญชนิยธรรมโดยความเป นอาทีวะ--การเกิดแห งโลกคือการเกิดแห ง กระแสปฏิ จ จสมุ ป บาทที่ เกิ ด ขึ้ น ในใจคนทุ ก คราวไป--การดั บ แห งโลกคื อการดั บ แห ง กระแสปฏิจจสมุปบาทที่ดับลงในใจคนทุกคราวไป.
www.buddhadasa.info ๑๔๘
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๔ วาดวย ปฏิจจสมุปบาทเกิดไดเสมอ ในชีวิตประจําวันของคนเรา ปฏิจจสมุปบาทจะมีไดแกทารก เฉพาะที่โตขึ้นถึงขนาดรูสึกยึดถือในเวทนา๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะการประจวบพร อมแห งป จจั ย ๓ ประการ; การ กาวลงสูครรภ ของสัตวผูเกิดในครรภ ยอมมีขึ้น. ในกรณี นี้คือ แมมารดาบิดาอยูรวมกัน แต ม ารดาไม มี ระดู ทั้ งคั น ธั พ พะ (สั ต ว ที่ จ ะปฏิ ส นธิ ในครรภ ) ก็ ยั งมิ ได เข าไปตั้ งอยู เฉพาะแลว การกาวลงสูครรภของสัตวผูเกิดในครรภ ก็ยังมีไมไดกอน. ในกรณีนี้
www.buddhadasa.info ๑๔๙
๑
มหาตัณหาสังขยสูตร มู.ม. ๑๒/๔๘๗/๔๕๒, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๑๕๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔
แม มารดาบิ ดาอยูรวมกั นดวย มารดาก็มี ระดูด วย แต คันธัพพะยังไม เขาไปอยูเฉพาะแล ว การก าวลงสู ค รรภ ของสั ต ว ผู เกิ ด ในครรภ ก็ ยั งมี ไม ได ก อ น อยู นั่ น เอง. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้งหลาย! แตในกาลใด มารดาบิดาอยูรวมกันดวย, มารดามีระดูดวย , คันธัพพะ เข า ไปตั้ ง อยู เฉพาะแล ว ด ว ย; การก า วลงสู ค รรภ ข องสั ต ว ผู เกิ ด ในครรภ ย อ มมี เพราะการประจวบพรอมแหงปจจัย ๓ ประการ ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มารดาย อมบริหารซึ่ งสั ตวผู เกิ ดในครรภ นั้ น ด วยท อง, ตลอดเวลาเก าเดื อนบ าง สิ บเดื อนบ าง; ด วยความวิ ตกกั งวลอั นใหญ หลวง เป นภาระ หนั ก. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มารดาย อมคลอดซึ่ งทารกนั้ น โดยกาลอั นล วงไปเก าเดื อน บ าง สิ บ เดื อ นบ าง; ด วยความวิ ต กกั งวลอั น ใหญ ห ลวง เป น ภาระหนั ก , เลี้ ย งแล ว ซึ่งทารกอันเปนผูเกิดแลวนั้น ดวยโลหิตแหงตน. ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! ในอริ ย วิ นั ย สิ่ งที่ เรียกว า "โลหิ ต" นั้ น หมายถึ ง น้ํานมแหงมารดา.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! กุมารนั้น อาศัยความเจริญและความเติบโตแหงอินทรีย ทั้ งหลายแล ว เล นอยู ด วยของเล นสํ าหรับทารก กล าวคื อ เล นไถน อย ๆ เล นหม อข าว หม อ แกง เล น ของเล น ชื่ อ โมกขจิ ก ะ ๑ เล น กั งหั น ลมน อ ย ๆ เล น ตวงทรายด วยใบไม เลนรถนอย ๆ เลนธนูนอย ๆ. ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! กุมารนั้น อาศัยความเจริญและความเติบโตแหงอินทรีย ทั้งหลายแลว เปนผูเอิบอิ่มเพียบพรอมดวยกามคุณหา ใหเขาบําเรออยูทางตา ดวยรูป
๑
โมกขจิกะ เปนของเลนสําหรับเด็กชนิดหนึ่ง ที่หมุนไดดวยการบิดตอนบน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๕๑
ทั้ งหลาย; ทางหู ด วยเสี ย งทั้ งหลาย; ทางจมู ก ด ว ยกลิ่ น ทั้ งหลาย; ทางลิ้ น ด วยรส ทั้ ง หลาย; และทางกาย ด ว ยสั ม ผั ส ทางผิ ว หนั ง ทั้ ง หลาย; ล ว นแต น า ปรารถนา น ารักใคร น าพอใจ มี ภาวะเป นที่ ตั้ งแห งความรัก เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยอยู แห งความใคร เปนที่ตั้งแหงความกําหนัด นํามาซึ่งความรัก. กุ ม ารนั้ น ครั้ น เห็ น รู ป ด ว ยตาแล ว .., ได ยิ น เสี ย งด ว ยหู แล ว ...;รู สึ ก กลิ่ น ด ว ยจมู ก แล ว ...; ลิ้ ม รสด ว ยลิ้ น แล ว …; ถู ก ต อ งสั ม ผั ส ทางผิ ว หนั ง ด ว ยผิ ว กาย แลว …; รู แ จง ธัม มารมณด ว ยใจแลว ; ยอ มกํ า หนัด ยิน ดี ในรูป และเสีย งเปน ตน อั นมี ลั กษณะเป นที่ ตั้ งแห งความรัก; ย อมขั ดเคื อง ในรู ปและเสี ยงเป นต น อั นมี ลั กษณะ เป น ที่ ตั้ งแห ง ความชั ง. กุ ม ารนั้ น ย อ มมี จิ ต ใจด อ ยด ว ยคุ ณ ธรรม; อยู โดยปราศจาก สติ อั น เข า ไปตั้ งไว ในกายด ว ย; ย อ มไม รู ชั ด ตามที่ เป น จริ ง ซึ่ งเจโตวิ มุ ต ติ ป ญ ญาวิมุตติ อันเปนที่ดับโดยไมเหลือแหงธรรมอันเปนบาปอกุศลทั้งหลายดวย. กุ มารนั้ น เมื่ อประกอบด วยความยิ นดี และความยิ นร ายอยู เช นนี้ แล ว เสวยอยู ซึ่ ง เวทนาใด ๆ เป น สุ ข ก็ ต าม เป น ทุ ก ข ก็ ต าม ไม ใ ช ทุ ก ข ไ ม ใ ช สุ ข ก็ ต าม เขาย อ ม เพลิ ด เพลิ น พร่ํ า สรรเสริ ญ เมาหมกอยู ซึ่ ง เวทนานั้ น ๆ, เมื่ อ เป น ผู เพลิ ด เพลิ น พร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู ซึ่งเวทนานั้น ๆ, นันทิ (กําหนัดยินดีที่ไดตามอยาก) ยอ มบัง เกิด ขึ ้น , นัน ทิใ ดเปน ไปในเวทนาทั ้ง หลาย, นัน ทินั ้น คือ อุป าทาน; เพราะอุปาทานของกุมารนั้นเปนปจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภ พเป นปจจัย จึงมี ชาติ ; เพราะมี ช าติ เป น ป จ จั ย , ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาส ทั้ งหลาย จึ งเกิ ด ขึ้ น ครบถ วน: ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห งกองทุ ก ข ทั้ งสิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ย อาการอยางนี้ แล.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๑๕๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔ หมายเห ตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตใจความสํ า คั ญ ที่ สุ ด จากพระพุ ท ธภาษิ ต นี้ ไว ๒ ประการคื อ เด็ ก โตพอที่ จ ะรู จั ก ยึ ด มั่ น ในเวทนา จึ ง จะเกิ ด กระแสแห ง ปฏิจ จสมุป บาท ดว ยอํ า นาจแหง อวิช ชา ในจิต ใจเด็ก นั ้น ได, นี ้อ ยา งหนึ ่ง ; อีก อยา งหนึ ่ง ข อ ความตอนท า ย แสดงให เห็ น ชั ด อยู แ ล ว ว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ภพ ก็ ดี , ชาติ ก็ ดี , เพิ่ ง เกิ ด มี เมื่ อ ตอนยึ ด มั่ น ในเวทนานั้ น ๆ; หาใช มี เมื่ อ เด็ ก คลอดจากท อ งแม เหมื อ นดั ง ที่ เข า ใจกั น อยู ในภาษาคนธรรมดาพู ดไม . ดั งนั้ น คํ าพู ดในภาษาปฏิ จจสมุ ปบาทนี้ ตรัสไว โดยภาษาธรรม แท : ภพ ชาติ มี ทุ ก คราวที่ ยึ ด มั่ น ในเวทนา. ชรามรณะ มี ไ ด แ ม แ ก เด็ ก ๆ เพราะมี ค วาม หมายในภาษาธรรมอี กนั่ น เอง, ได แ ก ป ญ หาหนั กใจต าง ๆ ที่ เกิ ด มาจาก "ความหมาย" ของ คํ า วา "แก-ตาย" ซึ ่ง เปน สิ ่ง ที ่ทํ า ใหเ กิด ทุก ขใ จไดจ ริง , เปน ความแก หรือ ความตายที ่ถ ูก ยึ ดถื อ ให มามี อํ านาจเหนื อจิ ตใจของเขา. เมื่ อผู ศึ กษาเข าใจความจริงอั นลึ กซึ้ งนี้ แล ว การ ศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท ก็มีทางที่จะเปนไปไดงายขึ้น. ขอใหสนใจทบทวนเปนพิเศษ.
ปจจยาการแหงเวทนา โดยละเอียด๑ (หลั งจากที่ ได ทรงประทั บอยู ด วยการหลี กเรน เป นเวลากึ่ งเดื อน เสด็ จออกจากที่ หลี กเรนนั้ น แลว ไดตรัสวา:-)
ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราได อ ยู แล วโดยประเทศ ๒แห งวิ ห ารธรรม อย าง เดี ยวกั น กั บ วิ หารธรรมที่ เราเคยอยู แล ว เมื่ อ ตรั สรู แล วใหม ๆ. เมื่ อ อยู โดยวิ หารธรรม อยางนี้เรายอมรูชัดอยางนี้วา:"เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาทิฏฐิบาง; -สัมมาทิฏฐิบาง; เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาสังกัปปะบาง; -สัมมาสังกัปปะบาง;
www.buddhadasa.info
๑
สู ต รที่ ๑ วิ ห ารวรรค มหาวาร. สํ . ๑๙/๑๖/๔๘, ตรั ส แก ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ที่ เชตวั น หลั ง จากที่ ได ป ระทั บ หลีกเรนแลวเปนเวลาครึ่งเดือน. ๒ คํ าวา "ประเทศ" ในที่ นี้ หมายถึ งที่ ตั้ งแห งความรูสึ กทางใจ เช นเดี ยวกับแผ นดิ นเป นที่ ตั้ งแห งความเป น อยู ทางกาย. การที่ คงไวในรูปศั พท เดิ มเช นนี้ ก็ เพื่ อจะให ผู อ านได ทราบเงื่อนงําแห งภาษาบาลี ซึ่ งไม คอยจะปรากฏในภาษาไทย.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๕๓
เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาวาจาบาง; -สัมมาวาจาบาง; เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉากัมมันตะบาง; -สัมมากัมมันตะบาง; เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาอาชีวะบาง; -สัมมาอาชีวะบาง; เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาวายามะบาง; -สัมมาวายามะบาง; เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาสติบาง; - สัมมาสติบาง; เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาสมาธิบาง; -สัมมาสมาธิบาง; เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือฉันทะบาง; เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือวิตกบาง; เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือสัญญาบาง; เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือฉันทะ วิตกและสัญญา ที่ยังไมเขาไปสงบ รํางับบาง; เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือฉันทะ วิตกและสัญญาที่เขาไปสงบ รํางับ แลวบาง; เวทนา ยอมมี เพราะปจจัยคือการบรรลุถึงฐานะที่ไดพยายามเพื่อจะบรรลุ ถึงบาง" ดังนี้.
www.buddhadasa.info (อีกสูตรหนึ่ง๑ไดตรัสโดยขอความที่แปลกออกไปอีกบางประการวา)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราได อยู แล ว โดยประเทศแห งวิ หารธรรม อย างเดี ยว กันกั บวิหารธรรมที่ เราเคยอยู แล วเมื่ อตรัสรูใหม ๆ , เมื่ ออยู โดยวิหารธรรมอย างนี้ เรา ยอมรูชัดอยางนี้วา :-
๑
สู ต รที่ ๒ วิ ห ารวรรค มหาวาร. สํ . ๑๙/๑๗/๕๐, ตรั ส แก ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ที่ เชตวั น หลั ง จากที่ ได ป ระทั บ หลีกเรนแลวเปนเวลา ๓ เดือน.
www.buddhadasa.info
๑๕๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔
"เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาทิฏฐิบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงมิจฉาทิฏฐิบาง; "เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือสัมมาทิฏฐิบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงสัมมาทิฏฐิบาง; "เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาสังกัปปะบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงมิจฉาสังกัปปะบาง; "เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือสัมมาสังกัปปะบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงสัมมาสังกัปปะบาง; "เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาวาจาบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงมิจฉาวาจาบาง; "เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือสัมมาวาจาบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงสัมมาวาจาบาง; "เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉากัมมันตะบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงมิจฉากัมมันตะบาง; "เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือสัมมากัมมันตะบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงสัมมากัมมันตะบาง; "เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาอาชีวะบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงมิจฉาอาชีวะบาง; "เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือสัมมาอาชีวะบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงสัมมาอาชีวะบาง; "เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาวายามะบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงมิจฉาวายามะบาง; "เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือสัมมาวายามะบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงสัมมาวายามะบาง;
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๕๕
เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาสติบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงมิจฉาสติบาง; เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือสัมมาสติบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงสัมมาสติบาง; เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือมิจฉาสมาธิบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงมิจฉาสมาธิบาง; เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือสัมมาสมาธิบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงสัมมาสมาธิบาง; เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือฉันทะบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงฉันทะบาง; เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือวิตกบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงวิตกบาง; เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือสัญญาบาง; -ความเขาไปสงบรํางับ แหงสัญญาบาง; เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือฉันทะ วิตกและสัญญาที่ยังไมเขาไปสงบรํางับ บาง; เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือฉันทะ วิตกและสัญญา ที่เขาไปสงบรํางับ แลวบาง; เวทนายอมมี เพราะปจจัยคือการบรรลุถึงฐานะที่ไดพยายามเพื่อจะบรรลุถึง บาง" ดังนี้.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า วิ ห ารธรรมชนิ ด ที่ ท รง เคยอยู เมื ่อ ตรัส รู ใ หม ๆ เปน วิห ารธรรมชนิด ที ่ทํ า ความงา ยแกก ารเกิด ญ าณ หรือ ความรู ต า ง ๆ; ดั งนั้ น พระองค จึ ง ตรั ส ว า ได รู ชั ด ธรรมอั น เกี่ ย วกั บ เวทนาเหล า นี้ เมื่ อ อยู ด ว ย ประเทศแหงวิหารธรรมชาตินั้น. สําหรับคําวาเวทนา (เวทยิตํ) ในพระบาลีนี้ จะ
www.buddhadasa.info
๑๕๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔ ต อ งมี ค วามหมายกว างกว าความหมายของคํ าว า "เวทนาที่ มี เพราะผั สสะเป น ป จจั ย " ที่ พู ด กั นตามธรรมดา แต หมายถึ งความรูสึ กที่ เป นไปในลั กษณะของความรู หรื อญาณ ในระดั บใด ระดับ หนึ ่ง ดว ยก็ไ ด; หรือ อยา งนอ ยก็เ หมือ นกับ ความหมายของคํ า วา เวทนาแหง คํ า วา "สั ญ ญาเวทยิ ต นิ โรธ" มากกว า; หรือ อี กอย างหนึ่ งก็ เล็ งถึ งความหมายของคํ า ว า เวทนาซึ่ งมา ในประโยคที ่ต รัส วา "เรากลา วอริย สัจ สี ่ สํ า หรับ สัต วผู ม ีเ วทนาอยู "; ดัง นั ้น จึง มีป จ จัย มากมายถึ ง ๒๒ หรื อ ๔๑ ป จจั ย. ป จจั ยนั้ น ๆ ทํ าให เกิ ดเวทนาขึ้ นมา จั ดเป นป จจยาการหนึ่ ง ๆ แหงลักษณะของอิทัปปจจยตา หรือปฏิจจสมุปบาทได.
อายตนะ คือ จุดตั้งตนของปฏิจจสมุปบาท๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อมื อทั้ งหลาย มี อยู , การจั บและการวาง ก็ ปรากฏ; เมื่อเทาทั้งหลาย มีอยู, การกาวไปและการถอยกลับ ก็ปรากฏ; เมื่อขอแขนขาทั้งหลาย มีอยู, การคูเขาและการเหยียดออก ก็ปรากฏ; เมื่ อท องไส มีอยู, ความหิ วและความ กระหาย ก็ ปรากฏ; นี้ ฉั นใด; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อจักษุ มี อยู , สุ ขและทุ กข อั น เป นภายใน ย อมเกิ ดขึ้น เพราะจั กขุ สั มผั สเป นป จจั ย; เมื่ อโสตะ มี อยู , สุ ขและทุ กข อั นเป นภายใน ย อมเกิ ดขึ้ น เพราะโสตะสั มผั สเป นป จจั ย; เมื่ อฆานะ มี อยู , สุ ขและ ทุ กข อั นเป นภายใน ย อมเกิ ดขึ้ น เพราะฆานสั มผั สเป นป จจั ย; เมื่ อชิ วหา มี อยู , สุ ข และทุ กข อั นเป นภายใน ย อมเกิ ดขึ้ น เพราะชิวหาสั มผั สเป นป จจั ย; เมื่ อกายะ มี อยู , สุ ขและทุ กข อั นเป นภายใน ย อมเกิ ดขึ้ น เพราะกายสั มผั สเป นป จจั ย; เมื่ อมโน มี อยู , สุขและทุกขอันเปนภายใน ยอมเกิดขึ้น เพราะมโนสัมผัสเปนปจจัย; ฉันนั้นเหมือนกัน.
www.buddhadasa.info (ตอไปนี้ เปนปฏิปกขนัย จากขางบน)
๑
สูตรที่ ๙, ๑๐ สมุททวรรค สฬายตนสังยุตต สฬา. สํ. ๑๘/๒๑๔/๓๐๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๕๗
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อ มื อ ทั้ งหลาย ไม มี , การจั บ และการวาง ก็ ไม ปรากฏ; เมื่ อ เท า ทั้ งหลาย ไม มี , การก า วไปและการถอยกลั บ ก็ ไม ป รากฏ; เมื่ อ ข อแขนขาทั้ งหลาย ไม มี , การคู เขาและการเหยี ยดออก ก็ ไม ปรากฏ; เมื่ อท องไส ไม มี , ความหิ ว และความกระหาย ก็ ไ ม ป รากฏ; นี้ ฉั น ใด; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อจักษุ ไม มี , สุขและทุกขอันเป นภายใน ยอมไม เกิ ดขึ้น เพราะจักขุสัมผั สเป นป จจัย; เมื่ อโสตะ ไม มี , สุขและทุ กขอันเป นภายใน ย อมไม เกิ ดขึ้น เพราะโสตะสั มผั สเป นป จจั ย; เมื่ อฆานะ ไม มี , สุ ขและทุ กขอั นเป นภายใน ย อมไม เกิ ดขึ้ น เพราะฆานสัมผั สเป นป จจัย; เมื่ อชิวหา ไม มี , สุขและทุ กขอันเป นภายใน ยอมไม เกิดขึ้น เพราะชิวหาสัมผัสเป นป จจัย; เมื่ อกายะ ไม มี , สุขและทุ กขอันเป นภายใน ย อมไม เกิ ดขึ้น เพราะกายสั มผัสเป นป จจัย; เมื่ อมโน ไม มี , สุขและทุ กขอั นเป นภายใน ย อมไม เกิ ดขึ้ น เพราะมโนสั มผั สเป นป จจัย; ฉันนั้นเหมือนกัน. ... ... ... ... ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อมื อทั้ งหลาย มี , การจั บและการวาง ก็ มี ; เมื่ อ เทาทั้งหลาย มี, การกาวไปและการถอยกลับ ก็มี; เมื่อขอแขนขาทั้งหลาย มี, การคูเขา และการเหยี ยดออก ก็ มี ; เมื่ อท องไส มี , ความหิ วและความกระหาย ก็ มี ; นี้ ฉั นใด; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ จั ก ษุ มี อ ยู , สุ ข และทุ ก ข อั น เป น ภายใน ย อ มเกิ ด ขึ้ น เพราะจั กขุ สั มผั สเป นป จจั ย; เมื่ อโสตะ มี อยู , สุ ขและทุ กข อั นเป นภายใน ย อมเกิ ดขึ้ น เพราะโสตะสั มผั สเป นป จจั ย; เมื่ อฆานะ มี อยู , สุ ขและทุ กขอันเป นภายใน ยอมเกิ ดขึ้ น เพราะฆานสั มผั สเป นป จจั ย; เมื่ อชิวหา มี อยู , สุ ขและทุ กขอั นเป นภายใน ย อมเกิ ดขึ้ น เพราะชิ วหาสั มผั สเป นป จจัย; เมื่ อกายะ มี อยู , สุ ขและทุ กข อันเป นภายใน ย อมเกิ ดขึ้ น เพราะกายสั มผั สเป นป จจั ย; เมื่ อมโน มี อยู , สุ ขและทุ กข อั นเป นภายใน ย อมเกิ ดขึ้ น เพราะมโนสัมผัสเปนปจจัย; ฉันนั้นเหมือนกัน.
www.buddhadasa.info
(ตอไปนี้ เปนปฏิปกขนัย จากขางบน)
www.buddhadasa.info
๑๕๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อมื อทั้ งหลาย ไม มี , การจั บและการวาง ก็ ไม มี ; เมื่ อเท าทั้งหลาย ไม มี, การกาวไปและการถอยกลับ ก็ไม มี; เมื่อขอแขนขาทั้งหลาย ไมมี, การคูเขาและการเหยียดออก ก็ไมมี; เมื่อทองไส ไมมี, ความหิวและความกระหาย ก็ ไม มี ; นี้ ฉั น ใด; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อ จั ก ษุ ไม มี , สุ ข และทุ ก ข อั น เป น ภายใน ก็ ไม เกิ ดขึ้ น เพราะจั กขุ สั มผั สเป นป จจั ย; เมื่ อโสตะ ไม มี , สุ ขและทุ กข อั นเป นภายใน ก็ ไม เกิ ดขึ้น เพราะโสตะสั มผั สเป นป จจัย; เมื่ อฆานะ ไม มี , สุ ขและทุ กขอั นเป นภายใน ก็ ไม เกิ ดขึ้ น เพราะฆานสั มผั สเป นป จจั ย; เมื่ อชิ วหา ไม มี , สุ ขและทุ กข อั นเป นภายใน ก็ไม เกิดขึ้น เพราะชิวหาสัมผั สเป นป จจัย; เมื่ อกายะ ไม มี , สุ ขและทุ กขอันเป นภายใน ก็ ไม เกิ ดขึ้ น เพราะกายสั มผั สเป นป จจั ย; เมื่ อมโน ไม มี , สุ ขและทุ กขอั นเป นภายใน ก็ไมเกิดขึ้น เพราะมโนสัมผัสเปนปจจัย; ฉันนั้นเหมือนกัน, ดังนี้แล. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั งเกตให เห็ น ว า อายตนะมี จั ก ษุ เป น ต น เป น จุ ด ตั้ งต น ของการปรุ งแต งทุ ก ชนิ ด ; ในที่ นี้ ได แ ก ก ารเกิ ด ขึ้ น ของเวทนา ทั้ งที่ เป น สุ ข และเป น ทุ กข . ถ าไม มี สติ สั ม ปชั ญ ญะในตอนนี้ ก็ เป น ที่ แ น น อนว า จะเกิ ด ตั ณ หาอุ ป าทานเป น ลํ าดั บ ไป จนเกิดทุกขในที่สุด.
www.buddhadasa.info การเกิดขึ้นแหงไตรทวาร ขึ้นอยูกับการเกิดขึ้นแหงอวิชชาของปฏิจจสมุปบาท๑
ถู กแล ว ถู กแล ว อานนท ! ตามที่ สารีบุ ตรเมื่ อตอบป ญ หาในลั กษณะนั้ น เชนนั้น,๒ ชื่อวาไดตอบโดยชอบ. ดูกอนอานนท! สุขและทุกขนั้น เรากลาววา ๑
สูตรที่ ๕ ทสพลวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๔๖/๘๒, ตรัสแกพระอานนท ที่เชตวัน. ๒ ตรัสกั บพระอานนท ที่ ได เล าเรื่อง พระสารีบุ ตรตอบคํ าถามของพระภู มิ ชะผู มาถามว า "มี สมณพราหมณ ที่ กล าวสอนเรื่องกรรมอยู สี่ พวก : พวกหนึ่ งพู ดว าสุ ขและทุ กข ตนทํ าเอาเอง, พวกหนึ่ งว าผู อื่ นทํ าให , พวก หนึ่ งว าตนทํ าเองด วยผู อื่ นทํ าให ด วย, อี ก พวกหนึ่ งว าไม ใช ทํ าเองหรือใครทํ าให ก็ เกิ ดขึ้ นได ; ในเรื่องนี้ พระผู มี พระภาคเจาตรัสไวอยางไร? และเมื่ อจะกลาว ควรกลาวอย างไร จึ งจะตรงกับพุ ทธมติ ?" ดั งนี้ ; ซึ่ งพระสารีบุ ตรได ตอบอย างเดี ยวกั น กั บที่ พ ระผู มี พ ระภาคเจ าตรัสให พระอานนท ฟ งนี้ . เพราะเหตุ นั้ น พระผูมีพระภาคเจา จึงตรัสกับพระอานนท ดังนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๕๙
เปนเพียงสิ่งที่อาศัยปจจัยอยางใดอยางหนึ่งแลวเกิดขึ้น (เรียกวาปฏิจจสมุปปนนธรรม). สุ ขและทุ กขนั้ นอาศั ยป จจัยอะไรเล า? สุ ขและทุ กขนั้ น อาศั ยป จจั ยคื อ ผั สสะ, ผู กล าวอย างนี้ แล ชื่ อว า กล าวตรงตามที่ เรากล าว ไม เป นการกล าวตู เราด วยคํ าไม จริง; แต เป นการกล าวโดยถู กต อง และสหธรรมมิ กบางคนที่ กล าวตาม ก็ จะไม พลอยกลายเป น ผูควรถูกติไปดวย. ดู ก อนอานนท ! ในบรรดาสมณพราหมณ ที่ กล าวสอนเรื่ องกรรมทั้ งสี่ พวก นั้ น: สมณพราหณ ที่ กล าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย อมบั ญ ญั ติ สุ ขและทุ กข ว าเป น สิ่งที่ตนทําเอาดวยตนเอง; แมสุขและทุกขที่พวกเขาบัญญั ตินั้น ก็ยังตองอาศัยผัสสะ เป น ป จ จั ย จึ งเกิ ด มี ได ; สมณพราหณ ที่ ก ล า วสอนเรื่ อ งกรรมพวกใด ย อ มบั ญ ญั ติ สุขและทุกข วาเป นสิ่งที่ผูอื่นทําให , แมสุขและทุกขที่พวกเขาบัญญั ตินั้น ก็ยังตอง อาศั ย ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด มี ไ ด ; สมณพราหณ ที่ ก ล า วสอนเรื่ อ งกรรมพวกใด ยอมบัญญัติสุขและทุกข วาเปนสิ่งที่ตนทําเอาดวยตนเองดวย ผูอื่นทําใหดวย; แมสุข และทุ ก ข ที่ พ วกเขาบั ญ ญั ติ นั้ น ก็ ยั งต อ งอาศั ย ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ งเกิ ด มี ได ; ถึ งแม สมณพราหมณ ที่กลาวสอนเรื่องกรรมพวกใด ยอมบัญญั ติสุขและทุ กข วาไม ใชทําเอง หรือใครทําใหก็เกิดขึ้นได ก็ตาม, แมสุขและทุกขที่พวกเขาบัญญั ตินั้น ก็ยังตองอาศัย ผัสสะเปนปจจัย จึงเกิดมีได อยูนั่นเอง.
www.buddhadasa.info ดู ก อนอานนท ! ในบรรดาสมณพราหมณ ที่ กล าวสอนเรื่ องกรรมทั้ งสี่ พวกนั้ น: สมณพราหณ ที่ กล าวสอนเรื่ องกรรมพวกใด ย อมบั ญญั ติ สุ ขและทุ กข ว าเป นสิ่ งที่ ตนทํ า เอาด วยตนเอง; สมณพราหมณ พวกนั้ นหนา เว นผั สสะเสี ยแล ว จะรูสึ กต อสุ ขและทุ กข นั ้น ได ดัง นั ้น หรือ : นั ่น ไมใ ชฐ านะที ่จ ัก มีไ ด; ถึง แมส มณ พราหณ ที ่ก ลา วสอน เรื่องกรรมพวกใด ยอมบัญญัติสุขและทุกข วาเปนสิ่งที่ผูอื่นทําใหก็ตาม; สมณพราหมณ
www.buddhadasa.info
๑๖๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔
พวกนั้ น หนา เว น ผั ส สะเสี ย แล ว จะรู สึ ก ต อ สุ ข และทุ ก ข นั้ น ได ดั ง นั้ น หรื อ : นั่ น ไม ใช ฐ านะที่ จั ก มี ได ; ถึ งแม ส มณพราหณ ที่ ก ล าวสอนเรื่ อ งกรรมพวกใด ย อ มบั ญ ญั ติ สุขและทุ กข วาเปนสิ่งที่ตนทําเอาดวยตนเองดวย ผูอื่นทําใหดวย ก็ตาม, สมณพราหมณ พวกนั้ น หนา เว น ผั ส สะเสี ย แล ว จะรู สึ ก ต อ สุ ข และทุ ก ข นั้ น ได ดั ง นั้ น หรื อ : นั่ น ไม ใช ฐ านะที่ จั ก มี ได ; ถึ งแม ส มณพราหณ ที่ ก ล าวสอนเรื่ อ งกรรมพวกใด ย อ มบั ญ ญั ติ สุขและทุกข วาไมใชทําเองหรือใครทําใหก็เกิดขึ้นได ก็ตาม, สมณพราหมณ พวกนั้นหนา เว น ผั ส สะเสี ย แล ว จะรู สึ ก ต อ สุ ข และทุ ก ข นั้ น ได ดั ง นั้ น หรื อ : นั่ น ไม ใ ช ฐ านะที่ จั ก มีได; ดู ก อนอานนท ! เมื่ อกาย (กายทวารที่ ทํ าหน าที่ อยู ด วยอวิ ชชา) ก็ ตาม มี อยู , สุ ขและทุ กข อันเป นภายใน ย อมบั งเกิดขึ้น เพราะกายสั ญเจตนา (ความจงใจ ที่เปนไปทางกาย) เปนเหตุ. ดู ก อ นอานนท ! เมื่ อ วาจา (วจี ท วารที่ ทํ า หน า ที่ อ ยู ด ว ยอวิ ช ชา) ก็ ต าม มีอยู, สุขและทุกขอันเปนภายใน ยอมบั งเกิดขึ้น เพราะวจีสั ญ เจตนา (ความจงใจ ที่เปนไปทางวาจา) เปนเหตุ.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นอานนท ! เมื่ อ มโน (มโนทวารที่ ทํ าหน าที่ อ ยู ด วยอวิ ช ชา) ก็ ต าม มีอยู, สุขและทุ กขอันเป นภายใน ยอมบั งเกิดขึ้น เพราะมโนสั ญเจตนา (ความจงใจ ที่เปนไปทางใจ) เปนเหตุ.
ดู ก อนอานนท ! เพราะอวิ ชชาเป นป จจั ยนั่ นเที ยว ธรรมชาติ ทางฝ ายจิ ต ยอมปรุงแตงใหเกิดกายสังขาร (อํานาจที่ทําใหเกิดการเปนไปทางกาย) ซึ่งเปนปจจัยให สุขและทุกขอันเปนภายในเกิดขึ้น, โดยตนเองบาง;
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๖๑
ดู ก อนอานนท ! เพราะอวิ ชชาเป นป จจั ยนั่ นเที ยว ธรรมชาติ ทางฝ ายจิ ต ย อ มปรุ งแต งให เกิ ดกายสั งขาร ซึ่ งเป น ป จจั ยให สุ ขและทุ กข อั น เป น ภายในเกิ ดขึ้ น , โดยอาศัยการกระตุนจากผูอื่นบาง; ดู ก อนอานนท ! เพราะอวิ ชชาเป นป จจั ยนั่ นเที ยว ธรรมชาติ ทางฝ ายจิ ต ยอมปรุงแตงใหเกิดกายสังขาร ซึ่งเปนปจจัยใหสุขและทุกขอันเปนภายในเกิดขึ้น, โดย รูสึกตัวอยูบาง; ดู ก อนอานนท ! เพราะอวิ ชชาเป นป จจั ยนั่ นเที ยว ธรรมชาติ ทางฝ ายจิ ต ยอมปรุงแต งให เกิดกายสั งขาร ซึ่งเป นป จจัยให สุขและทุกขอันเป นภายในเกิดขึ้น, โดย ไมรูสึกตัวอยูบาง; ดู ก อนอานนท ! เพราะอวิ ชชาเป นป จจั ยนั่ นเที ยว ธรรมชาติ ทางฝ ายจิ ต ย อ มปรุ งแต งให เกิ ด วจี สั งขาร (อํ านาจที่ เกิ ดการเป นไปทางวาจา) ซึ่ งเป น ป จจั ยให สุขและทุกขอันเปนภายในเกิดขึ้น, โดยตนเองบาง;
www.buddhadasa.info ดู ก อนอานนท ! เพราะอวิ ชชาเป นป จจั ยนั่ นเที ยว ธรรมชาติ ทางฝ ายจิ ต ยอมปรุงแตงให เกิดวจีสั งขาร ซึ่งเป นป จจัยให สุขและทุกขอันเปนภายในเกิดขึ้น, โดย อาศัยการกระตุนจากผูอื่นบาง;
ดู ก อนอานนท ! เพราะอวิ ชชาเป นป จจั ยนั่ นเที ยว ธรรมชาติ ทางฝ ายจิ ต ยอมปรุงแตงให เกิดวจีสั งขาร ซึ่งเป นป จจัยให สุขและทุกขอันเปนภายในเกิดขึ้น, โดย รูสึกตัวอยูบาง;
www.buddhadasa.info
๑๖๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔
ดู ก อนอานนท ! เพราะอวิ ชชาเป นป จจั ยนั่ นเที ยว ธรรมชาติ ทางฝ ายจิ ต ยอมปรุงแตงให เกิดวจีสั งขาร ซึ่งเป นป จจัยให สุขและทุกขอันเปนภายในเกิดขึ้น, โดย ไมรูสึกตัวอยูบาง; ดู ก อนอานนท ! เพราะอวิ ชชาเป นป จจั ยนั่ นเที ยว ธรรมชาติ ทางฝ ายจิ ต ย อ มปรุ ง แต งให เกิ ด มโนสั งขาร (อํ านาจที่ เกิ ด การเป น ไปทางใจ) ซึ่ งเป น ป จ จั ย ให สุขและทุกขอันเปนภายในเกิดขึ้น, โดยตนเองบาง; ดู ก อนอานนท ! เพราะอวิ ชชาเป นป จจั ยนั่ นเที ยว ธรรมชาติ ทางฝ ายจิ ต ยอมปรุงแตงใหเกิดมโนสังขาร ซึ่งเปนปจจัยใหสุขและทุกขอันเปนภายในเกิดขึ้น, โดย อาศัยการกระตุนจากผูอื่นบาง; ดู ก อนอานนท ! เพราะอวิ ชชาเป นป จจั ยนั่ นเที ยว ธรรมชาติ ทางฝ ายจิ ต ยอมปรุงแตงใหเกิดมโนสังขาร ซึ่งเปนปจจัยใหสุขและทุกขอันเปนภายในเกิดขึ้น, โดย รูสึกตัวอยูบาง;
www.buddhadasa.info ดู ก อนอานนท ! เพราะอวิ ชชาเป นป จจั ยนั่ นเที ยว ธรรมชาติ ทางฝ ายจิ ต ยอมปรุงแตงใหเกิดมโนสังขาร ซึ่งเปนปจจัยใหสุขและทุกขอันเปนภายในเกิดขึ้น, โดย ไมรูสึกตัวอยูบาง; ดูกอนอานนท! อวิชชา เปนตัวการ ที่แทรกแซงแลวในธรรมทั้งหลาย เหลานั้น. ดู ก อนอานนท ! เพราะความจางคลายดั บไปไม เหลื อแห งอวิชชานั้ นนั่ นเที ยว, กาย (กายทวารที่ทําหนาที่อยูดวยอวิชชา) นั้น ยอมไมมีเพื่อความเปนปจจัยใหสุขและทุกข อันเปนภายในเกิดขึ้น.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๖๓
ดู ก อนอานนท ! เพราะความจางคลายดั บไปไม เหลื อแห งอวิชชานั้ นนั่ นเที ยว, วาจา (วจีทวารที่ทําหนาที่อยูดวยอวิชชา) นั้น ยอมไมมีเพื่อความเปนปจจัยใหสุขและทุกข อันเปนภายในเกิดขึ้น. ดู ก อนอานนท ! เพราะความจางคลายดั บไปไม เหลื อแห งอวิชชานั้ นนั่ นเที ยว, มโน (มโนทวารที่ทําหนาที่อยูดวยอวิชชา) นั้น ยอมไมมีเพื่อความเปนปจจัยใหสุขและทุกข อันเปนภายในเกิดขึ้น. ดู ก อนอานนท ! เพราะความจางคลายดั บไปไม เหลื อแห งอวิชชานั้ นนั่ นเที ยว, สัญเจตนา ในฐานะที่ เปนเขต (ที่เกิดที่งอกแหงสุขและทุ กขในภายใน) ก็ดี, ในฐานะที่ เป น วั ต ถุ (ที่ ตั้ งที่ อาศั ยแห งสุ ขและทุ กข ในภายใน) ก็ ดี , ในฐานะอายตนะ (ป จจั ย โดยตรงแห งสุ ขและทุ กข ในภายใน) ก็ ดี , ในฐานะที่ เป นอธิ กรณะ (เครื่องมื อกระทํ า ใหเกิดสุขและทุกขในภายใน) ก็ดี, ยอมไมมี เพื่อความเปนปจจัยใหสุขและทุกขอันเปน ภายในเกิดขึ้น, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info อวิชชาสัมผัส คือตนเหตุอันแทจริงของปฏิจจสมุปบาท๑
ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหลาใดเหลาหนึ่ ง เมื่อสําคัญเห็น, ยอมสําคัญเห็นซึ่งอัตตา ,(ตน) มีอยางตาง ๆ : สมณพราหมณเหลานั้นทั้งหมด ยอม
๑
สูตรที่ ๕ อัตตทีปวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๗/๙๔, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๑๖๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔
สําคัญเห็นซึ่งอุปาทานขันธทั้ง 5 อยางนั้นบาง, หรือวา ยอมสําคัญเห็นซึ่งอุปาทานขันธ ขันธใด ขันธหนึ่ง ในบรรดาปญจุปาทานขันธเหลานั้นบาง (วาเปนอัตตา). ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อุ ปาทานขั นธ ทั้ ง ๕ เป นอย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ในโลกนี้ ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บ แล ว ไม เห็ นพระอริยเจ าทั้ งหลาย ไม ฉลาดใน ธรรมของพระอริยเจ า ไม ได รับ การแนะนํ าในธรรมของพระอริยเจ า, ไม เห็ นสั ป บุ รุ ษ ทั้ งหลาย ไม ฉ ลาดในธรรมของสั ป บุ รุ ษ ไม ได รั บ การแนะนํ า ในธรรมของสั ป บุ รุ ษ : (๑) เขายอมสําคัญเห็นซึ่งรูป โดยความเปนตนบาง, ยอมสําคัญเห็นซึ่งตนวามีรูปบาง, ย อมสํ าคั ญเห็ นซึ่ งรูปในตนบ าง, ย อมสํ าคั ญ เห็ นซึ่ งตนในรูปบ าง; (๒) เขาย อมสํ าคั ญ เห็นซึ่งเวทนา โดยความเปนตนบาง, ยอมสําคัญเห็นซึ่งตนวามีเวทนาบาง, ยอมสําคัญ เห็ น ซึ่ ง เวทนาในตนบ า ง, ย อ มสํ า คั ญ เห็ น ในเวทนาบ า ง; (๓) เขาย อ มสํ า คั ญ เห็ น ซึ่งสัญญา โดยความเปนตนบาง, ยอมสําคัญเห็นซึ่งตนวามีสัญญาบาง, ยอมสําคัญเห็น ซึ่ งสั ญญาในตนบ าง, ย อมสํ าคั ญเห็ นซึ่ งตนในสั ญญาบ าง; (๔) เขาย อมสํ าคั ญเห็ นซึ่ ง สังขารทั้งหลาย โดยความเปนตนบาง, ยอมสําคัญเห็นซึ่งตนวามีสังขารบาง, ยอมสําคัญ เห็น ซึ ่ง สัง ขารใน ต น บา ง, ยอ ม สํ า คัญ เห็น ซึ ่ง ต น ใน สัง ขารบา ง; (๕) เข า ยอมสําคัญเห็นซึ่งวิญญาณ โดยความเปนตนบาง, ยอมสําคัญเห็นซึ่งตนวามีวิญญาณบาง, ยอมสําคัญเห็นซึ่งวิญญาณในตนบาง, ยอมสําคัญเห็นซึ่งตนในวิญญาณบาง.
www.buddhadasa.info เปนอันวา การสําคัญเห็นดังที่กลาวมาแลวขางตนนี้ ยอมมีดวย, การถึงทับ จับฉวย (อธิคตํ) ของภิกษุนั้นวา "เรามีอยู" , ดังนี้ ก็มีดวย.
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อภิกษุนั้น ถึงทับจับฉวยวา "เรามีอยู (อสฺมีติ)" ดังนี้แลว ลําดับนั้น การกาวลงแหงอินทรียทั้งหลาย ๕ ประการ ยอมมีขึ้น; ไดแก อินทรียคือ ตา อินทรียคือหู อินทรียคือจมูก อินทรียคือลิ้น อินทรียคือกาย.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๖๕
ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! มโน มีอยู, ธรรมทั้ งหลาย มีอ ยู, อวิชชาธาตุ มีอยู. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อปุถุชนผูไมไดสดับแลว เปนผูอันเวทนาอันเกิด จากอวิชชาสัมผัสถูกตองแลว, ความถึงทับจับฉวย วา "เรามีอยู (อสฺมีติ)" ดังนี้บาง ยอมมี แก เขา : วา "นี้ เป นเรา (อยมหมสฺ มี ติ )" ดั งนี้ บ าง ย อมมี แก เขา: วา "เราจั กมี (ภวิสสํอิติ) “ ดังนี้บาง ยอมมีแกเขา : วา "เราจักไมมี (น ภวิสสํอิติ) “ ดังนี้บาง ยอมมี แก เขา : วา "เราจั กเป นสั ตวมี รูป (รูป ภวิสฺ สํ อิ ติ )" ดั งนี้ บ าง ย อมมี แก เขา : วา "เราจั ก เปนสัตวไมมีรูป (อรูป ภวิสฺสํอิติ)" ดังนี้บาง ยอมมีแกเขา วา "เราจักเปนสัตวมีสัญญา (สฺญี ภวิสฺสํอิติ) " ดังนี้บาง ยอมมีแกเขา วา "เราจักเปนสัตวฺไมมีสัญญา (อสฺ ภวิสฺสํอิติ)" ดังนี้บาง ยอมมีแกเขา : วา "เราจักเปนสัตวมีสัญญาก็ไมใชไมมีสัญญาก็ไมใช (เนวสฺญินาสฺญี ภวิสฺสํอิติ) " ดังนี้บาง ยอมมีแกเขา. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย อิ นทรี ย ทั้ งหลาย ๕ ประการ ย อมตั้ งอยู ในการ ถึงทับจับฉวยเหลานั้นนั่นเทียว. แตวา ในกรณีที่อวิชชา เปนสิ่งที่อริยสาวกผูไดสดับ ย อ มละเสี ย ได , วิช ชาย อ มเกิ ด ขึ้ น . เพราะการเกิ ด ขึ้ น แห งวิ ช ชา โดยการสํ ารอก ไม เหลื อ แห งอวิ ช ชา ของอริ ย สาวกนั้ น ความถึ งทั บ จั บ ฉวยว า "เรามี อ ยู " ดั งนี้ ก็ ดี ย อ มไม มี แ ก อ ริย สาวกนั้ น , ว า "นี้ เป น เรา" ดั งนี้ ก็ ดี ย อ มไม มี แ ก อ ริย สาวกนั้ น , ว า ”เราจั ก มี ” ดั งนี้ ก็ ดี ย อ มไม มี แก อ ริยสาวกนั้ น , วา "เราจั ก ไม มี " ดั งนี้ ก็ ดี ย อ มไม มี แกอ ริย สาวกนั ้น ; วา "เราจัก เปน สัต วม ีร ูป " ดัง นี ้ก ็ด ี ยอ มไมม ีแ กอ ริย สาวกนั ้น ; วา "เราจักเป นสั ตวไม มี รูป" ดังนี้ ก็ดี ยอมไม มี แกอริยสาวกนั้ น; วา "เราจักเป นสั ตว มีสัญญา" ดังนี้ก็ดี ยอมไมมีแกอริยสาวกนั้น; วา "เราจักเปนสัตวไมมีสัญญา" ดังนี้ ก็ ดี ย อ มไม มี แ ก อ ริย สาวกนั้ น ; วา "เราจั ก เป น สั ต วมี สั ญ ญาก็ ไม ใช สั ญ ญาก็ ไม ใช " ดังนี้ก็ดี ยอมไมมีแกอริยสาวกนั้น, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๑๖๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔
นามรูปกาวลง เมื่ออนุสัยกอขึ้น ๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย ถ าบุ คคลย อม คิ ด (เจเตติ ) ถึ งสิ่ งใดอยู , ย อมดํ าริ (ปกปฺ เปติ ) ถึ งสิ่ งใดอยู , และย อมมี จิ ตป กลงไป (อนุ เสติ ) ในสิ่ งใดอยู , สิ่ งนั้ น ย อม เปนอารมณ เพื่อการตั้งอยูแหงวิญญาณ. เมื่ออารมณ มีอยู, ความตั้งขึ้นเฉพาะแหง วิ ญ ญาณ ย อมมี , เมื่ อวิ ญ ญาณนั้ น ตั้ งขึ้ นเฉพาะ เจริญ งอกงามแล ว , การก าวลง แห งนามรูป ย อมมี . เพราะมี นามรูปเป นป จจั ย จึ งมี สฬายตนะ, เพราะมี สฬายตนะ เป น ป จ จั ย จึ งมี ผั ส สะ, เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ งมี เวทนา, เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ งมี ตั ณ หา, เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ งมี อุ ป ทาน, เพราะมี อุ ป ทานเป น ป จจั ยจึงมี ภพ; เพราะมี ภพเป นป จจั ยจึ งมี ชาติ ; เพราะมี ชาติ เป นป จจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้นพรอม แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้. ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย ถาบุ คคลยอมไม คิ ดถึ งสิ่งใด, ย อมไม ดํ าริถึ งสิ่งใด, แตเขายังมีใจฝงลงไป (คือมีอนุสัย) ในสิ่งใดอยู; สิ่งนั้น ก็ยังเปนอารมณ เพื่อการ ตั้ งอยู แห งวิ ญ ญาณ. เมื่ ออารมณ มี อยู , ความตั้ งขึ้ นเฉพาะแห งวิ ญ ญาณ ย อมมี ; เมื่ อวิญ ญาณนั้ น ตั้ งขึ้ นเฉพาะ เจริญ งอกงามแล ว, การก าวลงแห งนามรูป ย อมมี . เพราะมี นามรูปเป นป จจั ย จึ งมี สฬายตนะ, เพราะมี สฬายตนะเป นป จจัย จึ งมี ผั สสะ; เพราะมี ป สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา, เพราะ มี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง มี อุ ป าทาน, เพราะมี อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ ง มี ภ พ, เพราะ มีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ, เพราะมีชาติเปนปจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะ-
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๙ กฬารขัตติยวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๗๙/๑๔๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๖๗
โทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ถาวา บุคคลยอมไมคิดถึงสิ่งใดดวย, ยอมไมดําริ ถึงสิ่งใดดวย, และทั้งยอมไม มี ใจฝงลงไป (คือไม มีอนุ สัย) ในสิ่งใดดวย, ในกาลใด, ในกาลนั้น สิ่งนั้น ยอมไมเปนอารมณ เพื่อการตั้งอยูแหงวิญญาณไดเลย. เมื่ออารมณ ไม มี , ความตั้ งขึ้ นเฉพาะแห งวิ ญ ญาณ ย อมไม มี , เมื่ อวิ ญ ญาณนั้ น ไม ตั้ งขึ้ นเฉพาะ ไม เจริญ งอกงามแล ว, การก าวลงแห งนามรูป ย อมไม มี . เพราะความดั บแห งนามรูป จึงมีความดับแหงสฬายตนะ; เพราะมี ความดับแหงสฬายตนะ จึงมีความดับแห งผัสสะ; เพราะมี ความดั บแห งผั สสะ จึ งมี ความดั บแห งเวทนา, เพราะมี ความดั บแห งเวทนา จึงมี ความดั บแห งตั ณ หา; เพราะมี ความดั บแห งตั ณ หา จึ งมี ความดั บแห งอุ ปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึ งมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info ตัณหาเกิดขึ้น เมื่ออนุสัยกอขึ้น๑
ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ าบุ ค คลย อ มคิ ด (เจเตติ ) ถึ งสิ่ งใดอยู , ย อ มดํ าริ (ปกปฺเปติ) ถึงสิ่งใดอยู, และยอมมีใจฝงลงไป (อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู, สิ่งนั้น ยอม
๑
สูตรที่ ๑๐ กฬารขัตติวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๘๐/๑๔๙, ตรัสภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๑๖๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔
เป นอารมณ เพื่ อการตั้ งอยู แห งวิ ญ ญาณ. เมื่ ออารมณ มี อยู . ความตั้ งขึ้ นเฉพาะแห ง วิญ ญาณย อมมี , เมื่ อวิ ญ ญาณนั้ นตั้ งขึ้ นเฉพาะ เจริญ งอกงามแล ว, เครื่ องนํ าไปสู ภพใหม (นติ = ตัณหา) ยอมมี; เมื่อเครื่องนําไปสูภพใหม มี, การมาการไป (อาคติคติ) ย อ มมี , เมื่ อ การมาการไปมี , การเคลื่ อ นและการบั งเกิ ด (จุ ติ +อุ ป ะปาตะ) ย อ มมี ; เมื่ อการเคลื่ อนและการบั งเกิ ด มี , ชาติ ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาส ทั้ งหลาย จึ งเกิ ด ขึ้ น ครบถ วนต อ ไป : ความเกิ ด ขึ้ น พร อมแห งกองทุ ก ข ทั้ งสิ้ น นี้ ย อ มมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ าบุ คคลย อมไม คิ ดถึ งสิ่ งใด, ย อมไม ดํ าริ ถึ งสิ่ งใด, แต เขายั ง มี ใ จป ก ลงไปในสิ่ ง ใดอยู , สิ่ ง นั้ น ย อ มเป น อารมณ เพื่ อ การตั้ ง อยู แ ห ง วิ ญญาณ. เมื่ ออารมณ มี อยู , ความตั้ งขึ้ นเฉพาะแห งวิ ญญาณ ย อมมี ; เมื่ อวิ ญญาณนั้ น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญ งอกงามแลว, เครื่องนํ าไปสู ภพใหม (เนติ =ตั ณ หา) ยอมมี , เมื่ อเครื่ องนํ าไปสู ภ พใหม มี , การมาการไป (อาคติ คติ ) ย อมมี , เมื่ อการมาการไป มี , การเคลื่ อนและการบั งเกิ ด (จุ ติ +อุ ปปาตะ) ย อมมี , เมื่ อการเคลื่ อนและการบั งเกิ ด มี , ชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วนต อไป : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ถ าว า บุ คคลย อมไม คิ ดถึ งสิ่ งใดด วย , ย อมไม ดํ าริ ถึ ง สิ่ ง ใดด ว ย, และย อ มไม มี ใจฝ ง ลงไป (คื อ ไม มี อ นุ สั ย ) ในสิ่ ง ใดด ว ย, ในกาลใด; ในกาลนั้ น สิ่ งนั้ น ย อมไม เป นอารมณ เพื่ อการตั้ งอยู แห งวิ ญญาณได เลย. เมื่ ออารมณ ไม มี , ความตั้ งขึ้ นเฉพาะแห งวิ ญ ญาณ ย อมไม มี , เมื่ อวิ ญ ญาณนั้ น ไม ตั้ งขึ้ นเฉพาะ ไมเจริญงอกงามแลว , เครื่องนําไปสูภพใหม (เนติ=ตัณหา) ยอมไมมี, เมื่อเครื่องนํา ไปสูภพใหม ไมมี, การมาการไป (อาคติคติ) ยอมไมมี; เมื่อการมาการไป ไมมี,
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๖๙
การเคลื่ อนและการบั งเกิ ด (จุ ติ +อุ ปปาตะ) ย อมไม มี , เมื่ อการเคลื่ อนและการบั งเกิ ด ไม มี , ชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลายต อไป จึงดั บสิ้ น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ , ดังนี้ แล.
ภพใหมเกิดขึ้น เมื่ออนุสัยกอขึ้น๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ าบุ คคลย อมคิ ด (เจเตติ ) ถึ งสิ่ งใดอยู , ย อมดํ าริ (ปกปฺเปติ) ถึงสิ่งใดอยู, และยอมมีจิตฝงลงไป (อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู ,๒ สิ่งนั้น ยอม เป นอารมณ เพื่ อการตั้ งอยู แห งวิ ญ ญาณ. เมื่ อารมณ มี อยู , ความตั้ งขึ้ นเฉพาะแห ง วิญญาณ ยอมมี, เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแลว, ความเกิดขึ้นแหง ภพใหมต อ ไป ยอ มมี, เมื ่อ ความเกิด ขึ้น แหง ภพใหมต อ ไป มี, ชาติช รามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วนต อไป : ความเกิ ดขึ้ น พรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ าบุ คคลย อมไม คิ ด (โน เจเตติ ) ถึ งสิ่ งใด, ย อมไม ดําริ (โน ปกปฺเปติ) ถึงสิ่งใด, แตเขายังมีใจฝงลงไป (อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู, สิ่งนั้น
www.buddhadasa.info ๑
สูตรที่ ๘ กฬารขัตติยวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ.๑๖/๗๘/๑๔๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลายที่เชตวัน ๒ คํ าวา "มี จิ ตฝ งลงไปในสิ่ งใด" ถอดศั พท ออกมาจากคํ าว า อนุ เสติ ซึ่ งแปลว านอนตาม กล าวคื อ อาการ แห งอนุ สั ยตามหลั กบาลี ฉฉั กกสู ตร อุ ป ริ . ม.๑๔/๕๑๗/๘๒๒, ซึ่ งมี อยู ว าเมื่ อเสวยสุ ขเวทนา แล วเพลิ ด เพลิ น ยิ น ดี ก็ ก อราคานุ สั ย, เมื่ อเสวยทุ กขเวทนา แล วเศร าโศกเสี ยใจร่ํ าไร ก็ ก อ ปฏิ ฆ านุ สั ย, เมื่ อเสวย อทุ กขมสุขเวทนา แลวหลงไมรูตามเป นจริง ก็กออวิชชานุสัย, ขอนี้หมายความวา เมื่ อจิ ตกระทํ าอาการ "อนุ เสติ" ในสิ่งใด ยอมหมายถึงการกออนุ สัยในสิ่งนั้ น ตามชื่ อแห งอนุสัยนั้ น ๆ จึงสามารถก อภพใหม ได , ไม เหมื อ นกั บ คํ าว า เจเตติ ห รื อปกปฺ เปติ : ตามลํ าพั งความคิ ดและความดํ าริ ล วน ๆ ย อมไม อาจจะก อ ภพใหม เวนได แต จะเป นไปแรงกลาจนถึงขนาดจิตฝ งตั วลงไปในอารมณ ใด จึงจะมี วิญญาณที่ สามารถก อ ภพใหมได. - คําอธิบายของผูรวบรวม.
www.buddhadasa.info
๑๗๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔
ย อมเป นอารมณ เพื่ อการตั้ งอยู แห งวิญญาณ. เมื่ ออารมณ มี อยู , ความตั้ งขึ้ นเฉพาะ แหงวิญญาณ ยอมมี, เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแลว , ความเกิดขึ้น แหงภพใหมตอไป ยอมมี; เมี่อความเกิดขึ้นแหงภพใหมตอไป มี, ชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย ย อมเกิ ดขึ้นครบถ วนต อไป : ความเกิ ดขึ้ น พรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดูกนอภิกษุ ทั้ งหลาย ก็ถาวา บุ คคลยอมไมคิดถึงสิ่งใดดวย, ยอมไมดําริถึง สิ่งใดดวย , และยอมไมมีใจฝงลงไป (โน อนุเสติ) ในสิ่งใดดวย, ในกาลใด, ในกาล นั้ น สิ่ งนั้ น ย อมไม เป นอารมณ เพื่ อการตั้ งอยู แห งวิญญาณได เลย. เมื่ ออารมณ ไม มี , ความตั้งขึ้นเฉพาะแหงวิญญาณ ยอมไมมี ; เมื่ อวิญญาณนั้น ไม ตั้งขึ้นเฉพาะ ไมเจริญ งอกงามแลว , ความเกิดขึ้นแหงภพใหมตอไป ยอมไมมี, เมื่อความเกิดขึ้นแหงภพใหม ต อไป ไม มี , ชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลายต อไป จึ งดั บสิ้ น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ , ดังนี้ แล.
การหยั่งลงแหงวิญญาณเกิดมีขึ้น เมื่อเห็นสัญโญชนิยธรรมโดยความเปนอัสสาทะ๑
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเปนผูมีปรกติเห็นโดยความเป นอัสสาทะ (น ารั ก น ายิ น ดี ) ในธรรมทั้ งหลาย อั น เป น ที่ ตั้ งแห งสั งโยชน ๒อยู , การหยั่ งลงแห ง วิญญาณ ยอมมี. เพราะมีวิญญาณเปนปจจัย จึงมีนามรูป, เพราะมีนามรูปเปนปจจัย จึงมีสฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะเปนปจจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมี
๑
สูตรที่ ๙ ทุกขวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน . สํ. ๑๖/๑๐๙/๒๒๐. ตรัสแกภิกษุทั้งหลายที่เชตวัน. ๒ ดู ธ รรมอั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง สั ง โยชน (สั ญ โญชนิ ย ธรรม) ในหมวดที่ ๓ แห ง หั ว ข อ ว า "นามรู ป หยั่ ง ลง
เพราะเห็นสัญโญชนิยธรรมโดยความเปนอัสสาทะ".
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๗๑
เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณหา; เพราะมี ตั ณหาเป นป จจั ย จึ งมี อุ ปาทาน; เพราะมี อุ ปาทานเป นป จจั ย จึ งมี ภพ; เพราะมี ภพเป นป จจั ย จึ งมี ชาติ ; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย เปรียบเหมื อนต นไม ใหญ มี รากดิ่ งลงไปเบื้ องล างด วย มี ร ากแผ ไปรอบ ๆ ด ว ยรากทั้ ง หลายเหล า นั้ น ล ว นแต ดู ด สิ่ ง โอชะขึ้ น ไปเบื้ อ งบน. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อเปนอยางนี้ ตนไมใหญ ซึ่งมีอาหารอยางนั้น มีเครื่องหลอเลี้ยง อย างนั้ น พึ งตั้ งอยู ได ตลอดกาลยาวนาน, ข อ นี้ ฉั น ใด, ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย ข อ นี้ ก็ ฉั นนั้ น : เมื่ อภิ กษุ เป นผู มี ปรกติ เห็ นโดยความเป นอั สสทะ (น ารักน ายิ นดี ) ในธรรม ทั้ งหลาย อั น เป น ที่ ตั้ ง แห งสั งโยชน อ ยู , การหยั่ ง ลงแห งวิ ญ ญาณย อ มมี . เพราะมี วิ ญญาณเป นป จจั ย จึ งมี นามรูป; เพราะมี นามรูปเป นป จจั ยจึ งมี สฬายตนะ; เพราะมี สฬายตนะเป น ป จ จั ย จึ งมี ผั ส สะ, เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ งมี เวทนา, เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ งมี ตั ณ หา, เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ งมี อุ ป าทาน; เพราะมี อุปาทานเป นป จจัย จึงมี ภพ; เพราะมี ภพเป นป จจัย จึงมีชาติ; เพราะมี ชาติ เป นป จจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ด ขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info การหยั่งลงแหงวิญญาณไมมี เพราะเห็นสัญโญชนิยธรรมโดยความเปนอาทีนวะ๑
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเปนผูมีปรกติเห็นโดยความเปนอาทีนวะ (โทษอันต่ําทราม) ในธรรมทั้งหลาย อันเปนที่ตั้งแหงสังโยชนอยู, การหยั่งลงแหง
๑
สูตรที่ ๙ ทุกขวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ.๑๖/๑๑๐/๒๒๒, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๑๗๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔
วิญญาณ ย อมไม มี . เพราะความดั บแห งวิญญาณ จึงมี ความดั บแห งนามรูป; เพราะมี ความดั บแห งนามรู ป จึ งมี ความดั บแห งสฬายตนะ, เพราะมี ความดั บแห งสฬายตนะ จึ งมี ความดั บแห งผั สสะ, เพราะมี ความดั บแห งผั สสะ จึ งมี ความดั บแห งเวทนา; เพราะมี ความดั บแห งเวทนา จึ งมี ความดั บแห งตั ณหา; เพราะมี ความดั บแห งตั ณหา จึ งมี ความ ดั บ แห งอุ ป าทาน, เพราะมี ค วามดั บ แห งอุ ป าทาน จึ งมี ค วามดั บ แห งภพ, เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนต นไม ใหญ มี อยู . ลํ าดั บนั้ น บุ รุษพึ งถื อ เอาจอบและตะกรามาแล ว บุ รุษนั้ นพึ งตั ดต นไม นั้ นที่ โคน ครั้นตั ดที่ โคนแล ว พึ งขุ ดเซาะ; ครั้น ขุ ดเซาะแล ว พึ งรื้ อขึ้ นซึ่ งรากทั้ งหลาย แม ที่ สุ ดเพี ยงเท าก านแฝก. บุ รุ ษ นั้ น ตั ด ต นไม นั้ นเป นท อนน อยท อนใหญ ครั้นตั ดเป นท อนน อยท อนใหญ แล ว พึ งผ า, ครั้นผ า แล ว พึ งกระทํ าให เป นซี ก ๆ , ครั้นกระทํ าให เป นซี ก ๆ แล ว พึ งผึ่ งให แห งในลมและแดด, ครั้ นผึ่ งให แห งในลมและแดดแล ว ย อมเผาดวยไฟ; ครั้ นเผาด วยไฟแล ว พึ งกระทํ าให เป นขี้ เถ า; ครั้ นกระทํ าให เป นขี้ เถ าแล ว ย อมโปรยไปตามลมอั นพั ดจั ด หรือว าพึ งให ลอย ไปในกระแสน้ํ า อั น เชี่ ย ว. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ด วยการกระทํ า อย า งนี้ แ ล ต น ไม ใหญ นั้ น ก็ จะพึ งเป นต นไม มี รากอั นขาดแล ว เหมื อนต นตาลที่ ถู กทํ าลายแล วที่ ขั้ วแห งยอด ถึ งแล วซึ่ งความไม มี ไม เป น มี ความไม งอกอี กต อ ไปเป นธรรมดา, ข อ นี้ ฉั นใด; ดู ก อ น ภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข อนี้ ก็ ฉั นนั้ น : เมื่ อภิ กษุ เป นผู มี ปรกติ เห็ นโดยความเป นอาที นวะ (โทษ อั นต่ํ าทราม) ในธรรมทั้ งหลายอั นเป นที่ ตั้ งแห งสั งโยชน อยู , การหยั่ งลงแห งวิ ญ ญาณ ย อมไม มี . เพราะความดั บแห งวิ ญ ญาณ จึ งมี ความดั บแห งนามรู ป; เพราะมี ความดั บ แหงนามรูป จึงมีความดับแหงสฬายตนะ : เพราะมีความดับแหงสฬายตนะ จึงมีความดับ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๗๓
แห งผั สสะ, เพราะมี ความดั บแห งผั สสะ จึ งมี ความดั บแห งเวทนา, เพราะมี ความดั บ แห งเวทนา จึ งมี ความดั บแห งตั ณ หา; เพราะมี ความดั บ แห งตั ณ หา จึ งมี ความดั บ แห ง อุ ป าทาน; เพราะมี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทาน จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ควมดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนัสอุปายาสทั้ งหลายจึงดับสิ้ น : ความดับลงแห งกองทุกขทั้ งสิ้ นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ , ดังนี้ แล.
การเกิดแหงโลก คือการเกิดแหงกระแสปฏิจจสมุปบาท ที่เกิดขึ้นในใจคน ทุกคราวไป๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ การเกิ ด ขึ้ น (สมุ ท โย) แห งโลก เป น อย างไรเล า (การเกิดขึ้นแหงโลก เปนอยางนี้คือ :-) เพราะอาศัยซึ่งจักษุดวย, ซึ่งรูปทั้งหลายดวย, จึงเกิดจักขุวิญญาณ; การ ประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (จั กษุ +รูป+จั กษุ วิ ญญาณ) นั่ นคื อผั สสะ; เพราะ มี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จจั ย จึ งมี อุ ป าทาน; เพราะมี อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ งมี ภ พ, เพราะมี ภพเป น ป จ จั ย จึ งมี ช าติ ; เพราะมี ชาติ เป น ป จ จั ย , ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน : นี้ คือการเกิดขึ้นแหงโลก.
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๔ โยคักเขมิวรรค สฬายตนสังยุตต สฬา.สํ.๑๘/๑๐๘/๑๕๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
๑๗๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔
เพราะอาศัยซึ่งโสตะดวย, ซึ่งเสียงทั้งหลายดวย, จึงเกิดโสตวิญญาณ;การ ประจวบพร อ มแห ง ธรรม ๓ ประการ (โสตะ+เสี ย ง+โสตวิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมีผ ัส สะเปน ปจ จัย จึง มีเ วทนา, เพราะมีเ วทนาเปน ปจ จัย จึง มีต ัณ หา; …ฯลฯ... เพราะมี ชาติ เป น ป จ จั ย , ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขโทมนั ส อุ ป ายาส ทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน: นี้ คือการเกิดขึ้นแหงโลก. เพราะอาศั ยซึ่งฆานะด วย, ซึ่ งกลิ่ นทั้ งหลายด วย, จึงเกิดฆานวิญ ญาน; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (ฆานะ + กลิ่ น + ฆานวิ ญญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ เพราะมี ผัสสะเป นป จจั ย จึงมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจัย จึงมี ตั ณหา...ฯลฯ... เพราะมีชาติเปนป จจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนั สอุปายาสทั้ งหลาย จึงเกิด ขึ้นครบถวน : นี้ คือการเกิดขึ้นแหงโลก เพราะอาศัย ซึ ่ง ชิว หาดว ย, ซึ ่ง รสทั ้ง หลาย จึง เกิด ชิว หาวิญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ (ชิ วหา + รส + ชิ วหาวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อผั สสะ เพราะมี ผัสสะเป นป จจัย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจัย จึงมี ตั ณหา ;...ฯลฯ.. เพราะมีชาติเป นป จจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโมทนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิด ขึ้นครบถวน : นี้ คือการเกิดขึ้นแหงโลก
www.buddhadasa.info เพราะอาศัยซึ่งกายดวย, ซึ่งโผฏฐัพพะทั้งหลายดวย จึงเกิดกายวิญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (กาย + โผฏฐั พพะ + กายวิ ญญาณ) นั่ นคื อผั สสะ; เพราะมีผ ัส สะเปน ปจ จัย จึง มีเ วทนา; เพราะมีเวทนาเปน ปจ จัย จึง มีต ัณ หา ; ...ฯลฯ... เพราะมี ช าติ เป น ป จ จั ย , ชรามรณะ โสกปริเทวะทุ ก ขะโมมนั ส อุ ป ายาส ทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน : นี้ คือการเกิดขึ้นแหงโลก
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๗๕
เพราะอาศั ยซึ่งมโนด วย, ซึ่งธั มมารมณ ทั้ งหลายดวย, จึงเกิ ดมโนวิญญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ (มโน + ธั ม มารมณ + มโนวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เ วทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตัณ หา; เพราะมีต ัณ หาเปน ปจ จัย จึง มีอ ุป าทาน; เพราะมีอ ุป าทานเปน ปจ จัย จึ ง มี ภ พ; เพราะมี ภ พเป น ป จ จั ย จึ ง มี ช าติ ; เพราะมี ช าติ เป น ป จ จั ย , ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ยาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ด ขึ้ น ครบถ ว น: นี้ คื อ การเกิ ด ขึ้ น แหงโลก. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้แล คือการเกิดขึ้นแหงโลก.
การดับแกโลก คือการดับแหงกระแสปฏิจจสมุปทาท ที่ดับลงในใจคน ทุกคราวไป๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย ก็ ก ารดั บ ลง (อตฺ ถ งฺ ค โม) แห งโลก เป น อย างไรเล า ? (การดับลงแหงโลก เปนอยางนี้คือ:- )
www.buddhadasa.info เพราะอาศั ย ซึ่ ง จั ก ษุ ด ว ย, ซึ่ ง รู ป ทั้ ง หลายด ว ย จึ ง เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ (จั กษุ + รู ป + จั กษุ วิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ เพราะมี ผั สสะเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนา เพราะมี เวทนาเป น ป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา. เพราะ ความจางคลายดับไปไมเหลือแหงตัณหานั้นนั่นแหละ, จึงมีความดับ
๑
สูตรที่ ๔ โยคักเขมิวรรค สฬายตนสังยุตต สฬา.สํ. ๑๘/๑๐๘/๑๕๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
๑๗๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๔
แห งอุปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุปาทาน จึงมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บ แห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปยาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น: ความดั บแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ดวยอาการอยางนี้ นี้ คือการดับลงแหงโลก เพราะอาศั ยซึ่งโสตะด วย, ซึ่ งเสี ยงทั้ งหลายด าน จึ งเกิ ดโสตวิญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (โสตะ + เสี ยง + โสตวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อผั สสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมี เวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา. เพราะ ค ว า ม จ า ง ค ล า ย ดั บ ไ ป ไ ม เ ห ลื อ ตั ณ ห า นั ้ น นั ่ น แ ห ล ะ , จึ ง มี ค ว า ม ดั บ อุปาทาน; ...ฯลฯ... นี้ คือการดับลงแหงโลก เพราะอาศั ยซึ่ งฆานะด วย, ซึ่ งกลิ่ น ทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดฆานวิ ญ ญาน; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (ฆานะ + กลิ่ น + ฆานวิ ญญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา. เพราะ ค ว า ม จ า ง ค ล า ย ดั บ ไ ป ไ ม เ ห ลื อ ตั ณ ห า นั ้ น นั ่ น แ ห ล ะ , จึ ง มี ค ว า ม ดั บ แห ง อุปาทาน; ...ฯลฯ... นี้ คือการดับลงแหงโลก
www.buddhadasa.info เพราะอาศั ยซี่ งชิ วหาด วย ซึ่ งรสทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ดชิ วหาวิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (ชิ วหา + รส + ชิ วหาวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจัย จึงมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจัย จึงมี ตั ณหา. เพราะ ความจางคลายดั บ ไปไม เ หลื อ แห ง ตั ณ หานั ้ น นั ่ น แหละ, จึ ง มี ค วามดั บ แหงอุปทาน;...ฯลฯ... นี้คือการดับลงแหงโลก
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ เกิดไดเสมอเปนประจําวัน
๑๗๗
เพราะอาศัยซึ่งกายดวย ซึ่งโผฏฐัพพะทั้งหลายดาน จึงเกิดกายวิญญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ (กาย + โผฏฐั พ พะ + กายวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา. เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เ หลื อ แห ง ตั ณ หานั้ น นั่ น แหละ, จึงมีความดับแหงอุปาทาน;...ฯลฯ... นี้ คือการดับลงแหงโลก. เพราะอาศัยซึ่งมโนดวย, ซึ่งธัมมารมณ ทั้งหลายดวย, จึงเกิดมโนวิญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (มโน + ธั มมารมณ + มโนวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เวทนา. เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา. เพราะความจายคลายดั บ ไปไม เ หลื อ แห ง ตั ณ หานั้ น นั่ น แหละ, จึ งมี ค วามดั บแห งอุ ป าทาน; เพราะมี ความดั บ แห งอุ ป าทาน จึ งมี ค วามดั บ แห งภพ; เพราะมี ค วามดั บ แห งภพ จึ งมี ค วามดั บ แห งชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห ง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. นี้ คือการดับลงแหงโลก.
www.buddhadasa.info หมวดที่สี่ จบ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เหลานี้แล คือการดับลงแหงโลก.
--------------------
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
หมวด ๕ วาดวย ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งแสดงการเกิดดับ แหงกิเลสและความทุกข
www.buddhadasa.info
๑๗๙
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฏอิทัปปจจยตา: หัวใจปฏิจจสมุปบาท. อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมมี อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. อิมสฺมมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป. (ม.ม. ๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน. สํ. ๑๖/๘๔/๑๕๔,....)
www.buddhadasa.info ๑๘๑
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่องเฉพาะหมวด สําหรับปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๕ วาดวย ปฏิจจสมุปบาทซึ่แสดงการเกิดดับ แหงกิเลสและความทุกข (มี ๑๕ เรื่อง) มีเรื่อง : ทรงแสดงอัตตวาทุปาทานในลักษณะแหงปฏิจจสมุปบาท—เวทนาใน ปฏิจ จสมุป บาทใหเกิด อนุสัย สาม--ปฏิจ จสมุป บาทแหง การเกิด สัง ขาร ๔ ประเภท-การดับตัณหาเสียไดกอนแตจะเกิดอุปาทาน—การสิ้นกรรมตามแบบของปฏิจจสมุปบาท --อายตนะยัง ไมทํา หนา ที่ปญ จุป าทานขัน ธก็ยัง ไมเ กิด --ปญ จุป าทานขัน ธเ พิ่ง จะมี เมื่อ เกิดเวทนาในปฏิจจสมุป บาท--การเกิด แหงโลกคือ การเกิด แหงปฏิจจสมุป บาท-ทุกขเกิดเพราะเห็นอุปาทานิยธรรมโดยความเปนอัสสาทะ—ทุกขเกิดเพราะเห็นสัญโญชนิย ธรรมโดยความเปน อัส สาทะ--แดนเกิด ดับ แหง ทุก ข - โรค-ชรามรณะ--การดับ แหงโลกคือการดับแหงปฏิจจสมุปบาท--ปฏิจจสมุปบาทที่ตรัสอยางเขาใจงายที่สุด -ทุกขดับเพราะเห็นอุปาทานิยธรรมโดยความเปนอาทีนวะ—ทุกขดับเพราะเห็นสัญโญชนิยธรรมโดยความเปนอาทีนวะ.
www.buddhadasa.info ๑๘๒
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๕ วาดวย ปฏิจจสมุปบาทซึ่งแสดงการเกิดดับ แหงกิเลสและความทุกข -----------------
ทรงแสดงอัตตวาทุปาทานในลักษณะแหงปฏิจจสมุปบาท (ในธรรมวินัยนี้ มีการบัญญัติอุปาทานสี่ โดยสมบูรณ)๑
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อุปาทานทั้งหลาย ๔ อยางเหลานี้ มีอยู, สี่อยาง เหลาไหนเลา? สี่อยางคือ กามุปาทาน ทิฏุปาทาน สีลัพพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน.
www.buddhadasa.info
๑
จูฬสีหนาทสูตร มู.ม. ๑๒/๑๓๒, ๑๓๔/๑๕๖, ๑๕๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. มีการเปรียบเทียบ ความสมบูรณ และไมสมบูรณ ระหวางธรรมวินัยนี้กับลัทธิภายนอก ทั้งในการบัญญัติธรรมและการ ประพฤติธรรม.
๑๘๓
www.buddhadasa.info
๑๘๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บ างพวก ปฏิ ญ าณว า เป น ผู ก ล าว ความรอบรูซึ่ งอุ ปาทานทั้ งปวง ปฏิ ญาณอยู , แต สมณพราหมณ เหล านั้ น หาได บั ญญั ติ ความรอบรูซึ่งอุ ป าทานทั้ งปวงโดยชอบไม กล าวคื อ บั ญ ญั ติ อ ยู แ ต ค วามรอบรูซึ่ ง กามุ ป าทาน หาบั ญ ญั ติ ความรอบรูซึ่ งทิ ฏ ุ ปาทาน ซึ่ งสี ลั พ พั ตตุ ปาทาน ซึ่ งอั ตตวาทุ ปาทานไม . ข อนั้ นเพราะเหตุ ไรเล า? ข อนั้ นเพราะสมณพราหมณ เหล านั้ น ย อมไม รู ฐานะ(อุปาทาน)ทั้งสามเหลานี้ตามที่เปนจริง... ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บางพวก ปฏิ ญาณตั วว า เป นผู กล าว ความรอบรูซึ่ งอุ ปาทานทั้ งปวง ปฏิ ญาณอยู , แต สมณพราหมณ เหล านั้ น หาได บั ญญั ติ ความรอบรูซึ่งอุ ป าทานทั้ งปวงโดยชอบไม กล าวคื อ บั ญ ญั ติ อ ยู แ ต ค วามรอบรูซึ่ ง กามุปาทาน ซึ่งทิฏุปาทาน ...ฯลฯ... ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บางพวก ปฏิ ญาณตั วว า เป นผู กล าว ความรอบรูซึ่ งอุ ปาทานทั้ งปวง ปฏิ ญาณอยู , แต สมณพราหมณ เหล านั้ น หาได บั ญญั ติ ความรอบรูซึ่งอุปาทานทั้งปวงโดยชอบไม กลาวคือ บัญญัติอยูแตความรอบรูซึ่งกามุ ปาทาน ซึ่งทิฏุปาทาน ซึ่งสีลัพพัตตุปาทาน ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ในธรรมวินั ย (อั นมี การบั ญญั ติ อุ ปาทานไม ครบถ วน ทั้ ง ๔ ประการ)เห็ นปานนี้ , ความเลื่ อมใสในพระศาสดาก็ ดี , ความเลื่ อมใสในธรรมก็ ดี , การกระทํ าให บริบู รณ ในศี ลก็ ดี , ความเป นที่ รักที่ พอใจกั นในหมู สหธัมมิ กก็ดี , เหลานี้ เราตถาคตกลา ววา ไมเ ปน ไปโดยชอบ. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? ดูก อ นภิก ษุ ทั ้ง หลาย! ขอ นั ้น เพราะเหตุว า ความเลื ่อ มใสเปน ตน นั ้น เปน ไปในธรรมวิน ัย อันบุคคลกลาวไวชั่วแลว, อันบุคคลใหรูทั่วถึงอยางชั่วแลว, ไมเปนธรรมนํา
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๑๘๕
สัตวออกจากทุกข, ไมเปนไปเพื่อความสงบรํางับ, มิใชเปนธรรมที่พระสัมมา สัมพุทธเจาประกาศแลว. ... ... ... ... ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตอรหั นตสั มมาสั มพุ ทธเจ า เป นผู กล าวความ รอบรูซึ่ งอุ ปาทานทั้ งปวง ปฏิ ญาณอยู ,ย อมบั ญญั ติ ความรอบรูซึ่ งอุ ปาทานทั้ งปวงโดยชอบ คือ ยอมบัญญัติความรอบรูซึ่งกามุปาทาน ซึ่งทิฏุปาทาน ซึ่งสัลัพพัตตุปาทาน ซึ่งอัตตวาทุปาทาน. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!ในธรรมวินั ย (ที่ มี การบั ญญั ติ อุ ปาทานครบถ วนทั้ ง ๔ ประการ) เห็ น ปานนี้ , ความเลื่ อ มใสในพระศาสดาก็ ดี , ความเลื่ อมใสในธรรมก็ ดี , การกระทํ า ให บริ บู รณ ในศี ลก็ ดี , ความเป นที่ รั กที่ พอใจกั นในหมู สหธั มมิ กก็ ดี , เหล านี้ เราตถาคต กล า วว า เป น ไปโดยชอบ. ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไ รเล า ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ข อ นั้ น เพราะเหตุวา ความเลื่อมใสเปนตน นั้น เปนสิ่งที่เปนไปในธรรมวินัย อันเรากลาวดีแลว, อันเราใหรูทั่วถึงแลว, เปนธรรมนําสัตวออกจากทุกข, เปนไปพรอมเพื่อความ สงบรํางับ, เปนธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจาประกาศแลว.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็อุปาทาน ๔ อยางเหลานี้ มีอะไรเปนเหตุใหเกิด (นิ ทาน)? มี อะไรเป นเครื่องก อให เกิ ด (สมุ ทย)? มี อะไรเป นเครื่ องกํ าเนิ ด (ชาติ ก)? มี อะไร เป นแดนเกิ ด (ปภว)? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อุ ปาทาน ๔ อย างเหล านี้ มี ตั ณหาเป นเหตุ ใหเกิด มีตัณหาเปนเครื่องกอใหเกิด มีตัณหาเปนเครื่องกําเนิด มีตัณหาเปนแดนเกิด.
www.buddhadasa.info
๑๘๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ ตั ณ หานี้ เล า มี อ ะไรเป น เหตุ ให เกิ ด ? มี อ ะไร เป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งกํ า เนิ ด ? มี อ ะไรเป น แดนเกิ ด ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้งหลาย! ตัณหา มี เวทนาเป นเหตุ ให เกิด มีเวทนาเปนเครื่องกอใหเกิด มีเวทนาเป น เครื่องกําเนิด มีเวทนาเปนแดนเกิด. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ เวทนานี้ เล า มี อ ะไรเป น เหตุ ให เกิ ด ? มี อ ะไร เป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งกํ า เนิ ด ? มี อ ะไรเป น แดนเกิ ด ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เวทนา มี ผั สสะเป นเหตุ ให เกิ ด มี ผั สสะเป นเครื่องก อให เกิ ด มี ผั สสะเป น เครื่องกําเนิด มีผัสสะเปนแดนเกิด. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ ผั ส สะนี้ เล า มี อ ะไรเป น เหตุ ใ ห เกิ ด ? มี อ ะไร เป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งกํ า เนิ ด ? มี อ ะไรเป น แดนเกิ ด ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ผั ส สะ มี ส ฬายตนะเป น เหตุ ใ ห เกิ ด มี ส ฬายตนะเป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด มีสฬายตนะเปนเครื่องกําเนิด มีสฬายตนะเปนแดนเกิด.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ ส ฬายตนะานี้ เล า มี อ ะไรเป น เหตุ ให เกิ ด ? อะไรเป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งกํ า เนิ ด ? มี อ ะไรเป น แดนเกิ ด ? ดู ก อ น ภิ กษุ ทั้ งหลาย! สฬายตนะ มี น ามรูป เป น เหตุ ให เกิ ด มี นามรูปเป นเครื่องก อให เกิ ด มีนามรูปเปนเครื่องกําเนิด มีนามรูปเปนแดนเกิด.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ น ามรู ป นี้ เล า มี อ ะไรเป น เหตุ ให เกิ ด ? มี อะไร เป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งกํ า เนิ ด ? มี อ ะไรเป น แดนเกิ ด ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั ้ง หลาย! นามรูป มีว ิญ ญาณเปน เหตุใ หเ กิด มีว ิญ ญาณเปน เครื่อ งกอ ใหเ กิด มีวิญญาณเปนเครื่องกําเนิด มีวิญญาณเปนแดนเกิด.
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๑๘๗
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ วิ ญ ญาณนี้ เล า มี อะไรเป นเหตุ ให เกิ ด? มี อะไร เป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งกํ า เนิ ด ? มี อ ะไรเป น แดนเกิ ด ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย!วิญ ญาณ มี สั งขารเป น เหตุ ให เกิ ด มี สั งขารเป นเครื่องก อให เกิ ด มี สั งขาร เปนเครื่องกําเนิด มีสังขารเปนแดนเกิด. ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ สั งขารทั้ งหลายเหล านี้ เล า มี อะไรเป นเหตุ ให เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งกํ า เนิ ด ? มี อ ะไรเป น แดนเกิ ด ? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สั งขารทั้ งหลาย มี อวิ ชชาเป นเหตุ ให เกิ ด มี อวิ ชชาเป นเครื่อง กอใหเกิด มีอวิชชาเปนเครื่องกําเนิด มีอวิชชาเปนแดนเกิด. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ในกาลใดแล อวิ ช ชาเป น สิ่ งที่ ภิ ก ษุ ล ะได แ ล ว วิ ชชาเป น สิ่ งที่ เกิ ด ขึ้ น แล ว; ในกาลนั้ น ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มไม ยึ ด มั่ น ซึ่ งกามุ ป าทาน, ย อ ม ไม ยึ ด มั่ น ซึ่ งทิ ฏ ุ ป าทาน, ย อ มไม ยึ ด มั่ น ซึ่ งสี ลั พ พั ต ตุ ป าทาน, ย อ มไม ยึ ด มั่ น ซึ่ งอั ต ต วาทุ ป าทาน; (ทั้ งนี้ ) เพราะการสํ า รอกเสี ย ได ห มดซึ่ งอวิ ช ชา, เพราะการเกิ ด ขึ้ น แห ง วิช ชา: เมื ่อ ไมย ึด มั ่น (คือ ไมม ีอ ุป าทาน) อยู , ยอ มไมส ะดุ ง ; เมื ่อ ไมส ะดุ ง , ยอมปรินิ พพานเฉพาะตนนั่ นเที ยว.๑ เธอนั้ นยอมรูชัดวา "ชาติสิ้นแลว, พรหมจรรย อั น เราได อยู จบแล ว, กิ จที่ ต องทํ าได ทํ าสํ าเร็จแล ว, กิ จอื่ น เพื่ อ ความเป น อย างนี้ มิ ได มีอีก" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ห ม ายเห ตุ ผู รวบ รวม : ผู ศึ กษ าจงสั ง เกต จนเห็ นลึ กลงไป ถึ ง ว า การ ไม ป ริ นิ พ พานเฉพาะตนนั้ น เพราะยั ง มี กิ เลสที่ เป น เหตุ ให ส ะดุ ง , กล า วคื อ อุ ป าทานข อ ที่ ๔ โดยเฉพาะนั่นเอง; และการละอุปาทานขอที่ ๔ นี้ ยังมีความสําคัญในสวนที่จะทําหมูคณะ
๑
คํ า นี้ บาลี ว า ปจฺ จ ตฺ ต ฺ เว ปริ นิ พฺ พ ายติ ; อรรถกถา (ปป ญ จสู ท นี ภาค ๒ หน า ๒๕) อธิ บ ายว า ยอมปรินิพพาน ดวยกิเลสปรินิพพาน ดวยตนเองนั่นเทียว.
www.buddhadasa.info
๑๘๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕ ให เรียบรอย, มี สรณาคมน ตั้ งมั่ น; และทํ าให พุ ทธศาสนาแปลกไปจากศาสนาอื่ น ที่ บั ญ ญั ติ อุ ป าทานไว เพี ย ง ๓ อย า ง; ดั งนั้ น หลั ก ปฏิ จ จสมุ ป บาทในพุ ท ธศาสนา จึ งมี ค วามสํ า คั ญ เป น พิ เศษ ในข อ ที่ ทํ า ให รู จั ก และละเสี ย ได ซึ่ งอุ ป ทานโดยสมบู รณ จ ริ ง ๆ ; และมี ค วาม สํ าคั ญ ที่ ต องสั งเกตวา แม จะกล าวเพี ยงครึ่งท อน คื อตั้ งแต อุ ปาทานขึ้ นไป, ก็ สมบู รณ ; หรือ เป น ปฏิ จ จสมุ ป บาท ที่ ส มบู รณ ทั้ ง สายอยู นั่ น เอง, เพราะจะละอุ ป าทาน, หรื อ ละอวิ ช ชา, ทุกขก็ดับหมดเทากัน; เพราะการละอุปาทานนั้น ละไดดวยการละอวิชชา นั่นเอง.
เวทนาในปฏิจจสมุปบาท ใหเกิดอนุสัยสาม๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๑) เพราะอาศั ยตาด วย รู ปทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด จักขุ วิญญาณ; การประจวบพรอมดวยแห งธรรม ๓ ประการ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ) นั่ นคื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งเกิ ดเวทนา อั นเป นสุ ขบ าง เป นทุ กข บ าง ไมใชทุกขไมใชสุขบาง. บุคคลนั้น เมื่อสุขเวทนาถูกตองอยู ยอมเพลิดเพลิน ยอมพร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู ; อนุ สั ย คื อ ราคะ ย อ มตามนอน (เพิ่ ม ความเคยชิ น ให ) แก บุ ค คลนั้ น (ตสฺส ราคานุสโย อนุเสติ);
www.buddhadasa.info เมื่อทุกขเวทนาถูกตองอยู เขายอมเศราโศก ยอมระทมใจ ยอมคร่ําครวญ ย อ มตี อ กร่ํ าไห ย อ มถึ งความหลงใหลอยู ; อนุ สั ย คื อ ปฏิ ฆ ะ ย อ มตามนอน (เพิ่ ม ความเคยชินให) แกบุคคลนั้น;
๑
ฉฉักกสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๑๘๙
เมื่อเวทนาอันไมใชทุกขไมใชสุขถูกตองอยู เขายอมไมรูตามเปนจริง ซึ่งเหตุใหเกิดเวทนานั้นดวย ซึ่งความดับไมเหลือแหงเวทนานั้นดวย ซึ่งอัสสาทะ (รสอรอย) ของเวทนานั้ นด วย ซึ่ งอาที นวะ (โทษ) ของเวทนานั้ นด วย ซึ่ งนิ สสรณะ (อุ บายเครื่ อง ออกพน ไป) ของเวทนานั ้น ดว ย; อนุส ัย คือ อวิช ชา ยอ มตามนอน (เพิ ่ม ความ เคยชินให) แกบุคคลนั้น; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคลนั้ นหนอ ยั งละราคานุ สั ยอั นเกิ ดจากสุ ขเวทนา ไมได; ยัง บรรเทาปฏิฆ านุส ัย อัน เกิด จากทุก ขเวทนาไมได; ยัง ถอนอวิช ชานุส ัย อันเกิ ดจากอทุ กขมสุ ขเวทนาไม ได ; เมื่ อยั งละอวิชชาไม ได และยังทํ าวิชชาให เกิ ดขึ้ น ไม ได แลว, เขาจักทํ าที่ สุ ดแห งทุ กข ในทิ ฏฐธรรม (ป จจุ บั น) นี้ ได นั้ น; ข อนี้ ไม เป น ฐานะที่จักมีได. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๒) เพราะอาศั ยหู ด วย เสี ยงทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด โสตวิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (หู +เสี ยง+โสตวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ;...(ข อความตอนต อไปนี้ เหมื อนข อความที่ มี อยู ในข อ (๑) อั นวาด วยรูป เรื่อยไปทั้ ง ๔ ย อ หน า จนถึ ง ตอนท า ยข อ ที่ ว า )…ฯลฯ...ฯลฯ... จั ก ทํ า ที่ สุ ด แห ง ทุ ก ข ในทิ ฏ ฐธรรม (ปจจุบัน) นี้ได นั้น; ขอนี้ไมเปนฐานะที่จักมีได.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๓) เพราะอาศั ยจมู กด วย กลิ่ นทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด ฆานวิ ญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (จมู ก+กลิ่ น+ฆานวิ ญญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ;....(ขอความตอนต อไปนี้ เหมื อนข อความที่ มี อยู ในข อ (๑) อันวาด วยรูป เรื่อยไปทั้ ง ๔ ย อ หน า จนถึ ง ตอนท า ยข อ ที่ ว า )…ฯลฯ...ฯลฯ... จั ก ทํ า ที่ สุ ด แห ง ทุ ก ข ในทิ ฏ ฐธรรม (ปจจุบัน) นี้ได นั้น; ขอนี้ไมเปนฐานะที่จักมีได.
www.buddhadasa.info
๑๙๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๔) เพราะอาศั ยลิ้ น ด วย รสทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด ชิ วหาวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ (ลิ้ น+รส+ชิ วหาวิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ;..(ข อความตอนต อไปนี้ เหมื อนข อความที่ มี อยู ในข อ (๑) อั นว าด วยรู ป เรื่ อยไปทั้ ง ๔ ย อ หน า จนถึ ง ตอนท า ยข อ ที่ ว า )…ฯลฯ...ฯลฯ... จั ก ทํ า ที่ สุ ด แห ง ทุ ก ข ในทิ ฏ ฐธรรม (ปจจุบัน) นี้ได นั้น; ขอนี้ไมเปนฐานะที่จักมีได. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๕) เพราะอาศั ยกายด วย โผฏฐั พพะทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด กายวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อ มแห งธรรม ๓ ประการ (กาย+โผฏฐั พ พะ+ กายวิญญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ;...(ขอความตอนตอไปนี้ เหมื อนขอความที่มี อยู ในขอ (๑) อันวาด วยรูป เรื ่อ ย ไป ทั ้ง ๔ ยอ ห นา จ น ถึง ต อ น ทา ย ขอ ที ่ว า ) ฯล ฯ...ฯล ฯ... จั ก ทํ า ที ่ ส ุ ด แห ง ทุ ก ข ในทิฏฐธรรม (ปจจุบัน) นี้ได นั้น; ขอนี้ไมเปนฐานะที่จักมีได. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๖) เพราะอาศั ยใจด วย ธั ม มารมณ ทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด มโนวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อ มแห งธรรม ๓ ประการ (ใจ+ธมมารมณ + มโนวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ;...เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งเกิ ดเวทนา อั นเป นสุ ขบ าง เปนทุกขบาง ไมใชทุกขไมใชสุขบาง.
www.buddhadasa.info บุ คคลนั้ น เมื่ อสุ ขเวทนาถู กต องอยู ยอมเพลิดเพลิน ยอมพร่ําสรรเสริญ เมาหมกอยู; อนุสัยคือราคะ ยอมตามนอน (เพิ่มความเคยชินให) แกบุคคลนั้น;
เมื่อทุ กขเวทนาถูกต องอยู เขายอมเศราโศก ยอมระทมใจ ยอมคร่ําครวญ ย อมตี อกร่ําไห ย อมถึ งความหลงใหลอยู ; อนุ สั ยคื อปฏิ ฆะ ย อมตามนอน (เพิ่ มความ เคยชินให) แกบุคคลนั้น;
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๑๙๑
เมื่อเวทนาอันไมใชทุกขไมใชสุขถูกตองอยู เขายอมไมรูตามเปนจริง ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด เวทนานั้ น ด ว ย ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง เวทนานั้ น ด ว ย ซึ่ ง อั ส สาทะ (รสอรอย) ของเวทนานั้ นด วย ซึ่ งอาที นวะ (โทษ) ของเวทนานั้ นด วย ซึ่ งนิ สสรณะ (อุบายเครื่องออกพ นไป) ของเวทนานั้นดวย; อนุ สัยคืออวิชชา ยอมตามนอน (เพิ่ ม ความเคยชินให) แกบุคคลนั้น; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคลนั้ นหนอ ยั งละราคานุ สั ยอั นเกิ ดจากสุ ขเวทนา ไมได; ยัง บรรเทาปฏิฆ านุส ัย อัน เกิด จากทุก ขเวทนาไมได; ยัง ถอนอวิช ชานุส ัย อันเกิ ดจากอทุ กขมสุ ขเวทนาไม ได ; เมื่ อยั งละอวิชชาไม ได และยังทํ าวิชชาให เกิ ดขึ้ น ไม ได แลว, เขาจักทํ าที่ สุ ดแห งทุ กข ในทิ ฏฐธรรม (ป จจุ บั น) นี้ ได นั้ น; ข อนี้ ไม เป น ฐานะที่จักมีได. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า เราเคยเข า ใจและ สอนกั น อยู ในเวลานี้ ว า อนุ สั ย นั้ น คื อ ตะกอน นอนอยู ในสั น ดานตลอดเวลา พอได อ ารมณ ก็ ลุ ก ออกมาเป น กิ เลส โลภะ โทสะ โมหะ แล ว กลั บ ไปนอนรออยู ต อ ไปอี ก จนกว า จะได อารมณ อั นใหม อี ก (ในลั กษณะอาการของสั สสตทิ ฏฐิ ) เช นนี้ ดู ไม ตรงตามพระพุ ทธภาษิ ตใน สู ต รนี้ ซึ่ ง ตรั ส ว า เมื่ อ เสวยเวทนาใด จึ ง เกิ ด อนุ สั ย ขึ้ น ตามนอน (คื อ เพิ่ ม ความเคยชิ น ใน การที่ จ ะเกิ ด กิ เลสชื่ อ นั้ น ๆ แก บุ ค คลนั้ น ); และทรงระบุ ชั ด ว า บุ ถุ ช นธรรมดา ถ า เสวยสุ ข เวทนา จะเพิ่ ม ราคานุ สั ย (แก กิ เลสประเภทโลภะทุ ก ชนิ ด ); เมื่ อ เสวยทุ ก ขเวทนา จะ เพิ ่ม ปฏิฆ านุส ัย (แกก ิเ ลสประเภทโมหะทุก ชนิด ); เมื ่อ เสวยอทุก ขมสุข เวทนา จะเพิ ่ม อวิ ช ชานุ สั ย (แก กิ เลสประเภทโมหะทุ ก ชนิ ด ) ข อ นี้ ห มายความว า จะเพิ่ ม ความเคยชิ น หรื อ ความง า ยดาย ในการที่ จ ะเกิ ด กิ เลสชื่ อ นั้ น ๆ ยิ่ ง ขึ้ น ทุ ก ที นั่ น เอง. และพึ ง สั ง เกตเป น พิเ ศษอีก อยา งหนึ ่ง ดว ย วา สํ า หรับ ราคานุส ัย ทรงใชคํ า วา "ละ", ปฏิฆ านุส ัย ใชคํ า วา "บรรเทา", อวิ ช ชานุ สั ย ใช คํ า ว า "ถอน"; ไม พู ด คลุ ม เครื อ เหมื อ นที่ เราพู ด กั น เพ อ ๆ ไป จนถึ งกั บ จั ดอนุ สั ยไวในฐานะเป นสิ่ งตายตั ว ไม มี การเกิ ดดั บ เมื่ อเสวยหรื อหยุ ดเสวยเวทนา. แต อย างไรก็ ตาม ในบางกรณี ที่ มี การกล าว อย างรวม ๆ ด วยภาษาธรรมดา ๆ, ก็ ได ตรัสด วยคํ า "" (ป ห าต พฺ โพ , ป หี โน ) รวม กั น ทั้ ง ๓ อ นุ สั ย ก็ มี เช น บ าลี ส ฬ า. สํ . ๑๘/๒๕๔/๓๖๓; ๑๘/๒๖๒/๓๗๗-๙; และ ๑๘/๒๖๕/๓๘๕.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๑๙๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
ปฏิจจสมุปบาทแหงการเกิดสังขาร ๔ ประเภท๑ (สังขารชนิดที่หนึ่ง : ทิฏปรารภขันธหา) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ เมื่ อบุ คคลรูอยู อย างไร เห็ นอยู อย างไร อาสวะทั้ งหลาย จึงสิ้นไปโดยลําดับ ไมมีระหวางขั้น? [กรณีแหงรูปขันธ]
ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ในกรณี นี้ ปุ ถุ ชนผูมิ ไดสดั บแลว ไม ไดเห็ นพระอริยเจา ทั้ งหลาย ไม ฉลาดในธรรมของพระอริยเจา ไม ได รับการแนะนํ าในธรรมของพระอริยเจ า, ไม ได เห็ นสั ปบุ รุษทั้ งหลาย ไม ฉลาดในธรรมของสั ปบุ รุษ ไม ได รับการแนะนํ าในธรรม ของสัป บุรุษ ยอ มสํ า คัญ เห็น ซึ ่ง รูป โดยความเปน ตน. ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! การสํ า คั ญ เห็ น ซึ่ ง รู ป โดยความเป น ตนนั้ น , อั น ใดแล; การสํ า คั ญ เห็ น อั น นั้ น เป น สั ง ขาร.๒ ก็ สั ง ขารนั้ น มี อ ะไรเป น เหตุ ใ ห เกิ ด ? เป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด ? เป น เครื่ อ ง กํ าเนิ ด ? เป น แดนเกิ ด ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! สั งขารนั้ น เป น สิ่ งที่ เกิ ด จากตั ณ หา ซึ่ งเกิ ดขึ้ นแล วแก ปุ ถุ ชนผู มิ ได ส ดั บ ผู อั น เวทนาที่ เกิ ดแต อ วิ ช ชาสั ม ผั ส ถู กต อ งแล ว. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ดวยเหตุอยางนี้แล แมสังขารนั้นก็ไมเที่ยง. เป นสิ่งที่ปจจัยปรุงแตง แลว อาศัยป จจัยเกิดขึ้นแลว, แมตัณหานั้นก็ไมเที่ยง เป นสิ่งที่ปจจัยปรุงแตงแลว อาศัย ปจจัยเกิดขึ้นแลว, แมเวทนานั้นก็ไมเที่ยง เปนสิ่งที่ปจจัยปรุงแตงแลว อาศัยปจจัย
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๙ ชัชชนิยวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๑๖/๑๗๔, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่ภัททสาลมูล ปาปาลิเลยยกะ. ๒ คํ าวา "สังขาร" ในกรณี นี้ หมายถึงความคิ ดผิ ดเห็ นผิด ที่ป จจัยปรุงแต งให เกิ ดขึ้น, เชนเกิ ดจากการไม ได สดับริยธรรมของพระอริยเจา เปนตน; ที่เรียกวา "สังขาร" ก็เพราะเหตุเปนสิ่งที่ปจจัยปรุงแตงนั่นเอง.
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๑๙๓
เกิดขึ้นแลว, แม ผั สสะนั้ นก็ไม เที่ ยง เป นสิ่ งที่ ป จจัยปรุงแตงแล ว อาศัยป จจัยเกิดขึ้นแล ว, แม อวิ ชชานั้ นก็ ไม เที่ ยง เป น สิ่ งที่ ป จจั ยปรุ งแต งแล ว อาศั ยป จจั ยเกิ ดขึ้ น แล ว, ดู ก อ น ภิกษุทั้งหลาย! เมื่อบุคคลรูอยูอยางนี้ เห็นอยูอยางนี้แล อาสวะทั้งหลาย ยอมสิ้นไป โดยลําดับ ไมมีระหวางขั้น ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บแล ว จะไม สํ าคั ญ เห็ นซึ่ งรู ปโดยความเป นตนก็ จริ ง แต ว า เขายอมสํ าคัญเห็ นซึ่งตนวามี รูป. ดูกอนภิกษุ ทั้ งหลาย! การสําคัญเห็นซึ่งตนวามีรูปนั้น, อั น ใดแล; การสํ า คั ญ เห็ น อั น นั้ น เป น สั ง ขาร. ก็ สั ง ขารนั้ น มี อ ะไรเป น เหตุ ใ ห เกิ ด ? เป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด ? เป น เครื่ อ งกํ า เนิ ด ? เป น แดนเกิ ด ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สั งขารนั้ น เป นสิ่ งที่ เกิ ดจากตั ณหา ซึ่ งเกิ ดขึ้ นแล วแก ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บ ผู อั นเวทนาที่ เกิ ด แต อวิชชาสั มผั สถู กต องแล ว. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยเหตุ อย างนี้ แล แม สั งขารนั้ น ก็ ไม เที่ ยง. เป นสิ่ งที่ ป จจั ยปรุงแต งแล ว อาศั ยป จจั ยเกิ ดขึ้ นแล ว, แม ตั ณหานั้ นก็ ไม เที่ ยง เป นสิ่ งที่ ป จจั ยปรุ งแต งแล ว อาศั ยป จจั ยเกิ ดขึ้ นแล ว, แม เวทนานั้ นก็ ไม เที่ ยง เป นสิ่ งที่ ปจจัยปรุงแตงแลว อาศัยปจจัยเกิดขึ้นแลว, แมผัสสะนั้นก็ไมเที่ยง เปนสิ่งที่ปจจัยปรุงแตงแลว อาศั ยป จจั ยเกิ ด ขึ้ นแล ว, แม อวิ ชชานั้ น ก็ ไม เที่ ย ง เป น สิ่ งที่ ป จจั ยปรุ งแต งแล ว อาศั ย ป จ จั ย เกิ ด ขึ้ น แล ว , ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อ บุ ค คลรู อ ยู อ ย า งนี้ เห็ น อยู อ ย า งนี้ แ ล อาสวะทั้งหลาย ยอมสิ้นไปโดยลําดับ ไมมีระหวางขั้น.
www.buddhadasa.info ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บแล ว จะไม สํ าคั ญเห็ นซึ่ งรู ปโดยความเป นตน ไม สํ าคั ญเห็ น ซึ่ งตนว ามี รูป ก็ จริงแล แต ว าเขาย อ มสํ าคั ญ เห็ น ซึ่ งรู ป ในตน. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! การสํ าคั ญ เห็ นซึ่ งรู ปในตนนั้ น, อั นใดแล; การสํ าคั ญ เห็ นอั นนั้ น เป นสั งขาร. ก็ สั งขาร นั้ น มี อะไรเป นเหตุ ให เกิ ด? เป นเครื่ อ งก อให เกิ ด? เป นเครื่ อ งกํ าเนิ ด ? เป นแดนเกิ ด ? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สังขารนั้น เปนสิ่งที่เกิดจากตัณหา ซึ่งเกิดขึ้นแลวแกปุถุชนผูมิได
www.buddhadasa.info
๑๙๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
สดั บ ผู อั นเวทนาที่ เกิ ดแต อวิชชาสั มผั สถู กต องแล ว. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยเหตุ อย างนี้ แล แม สั งขารนั้ นก็ ไม เที่ ยง. เป นสิ่ งที่ ป จจั ยปรุงแต งแล ว อาศั ยป จจั ยเกิ ดขึ้นแล ว, แมตัณหานั้นก็ไมเที่ยง เปนสิ่งที่ปจจัยปรุงแตงแลว อาศัยปจจัยเกิดขึ้นแลว, แมเวทนานั้น ก็ ไม เที่ ยง เป นสิ่ งที่ ป จจั ยปรุ งแต งแล ว อาศั ยป จจั ยเกิ ดขึ้ นแล ว, แม ผั สสะนั้ นก็ ไม เที่ ยง เป นสิ่ งที่ ป จจั ยปรุงแต งแล ว อาศั ยป จจั ยเกิ ดขึ้ นแล ว, แม อวิ ชชานั้ นก็ ไม เที่ ยง เป นสิ่ งที่ ป จจั ยปรุงแต งแล ว อาศั ยป จจั ยเกิ ดขึ้นแล ว, ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อบุ คคลรูอยู อย างนี้ เห็นอยูอยางนี้แล อาสวะทั้งหลาย ยอมสิ้นไปโดยลําดับ ไมมีระหวางขั้น. ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บแล ว จะไม สํ าคั ญเห็ นซึ่ งรูปโดยความเป นตน ไม สํ าคั ญเห็ น ซึ่งตนวามีรูป ไมสําคัญเห็นซึ่งรูปในตน ก็จริงแล แตวาเขายอมสําคัญเห็นซึ่งตนในรูป. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! การสํ า คั ญ เห็ น ซึ่ ง ตนว า มี รู ป นั้ น , อั น ใดแล; การสํ า คั ญ เห็ น อัน นั ้น เปน สัง ขาร. ก็ส ัง ขารนั ้น มีอ ะไรเปน เหตุใ หเ กิด ? เปน เครื ่อ งกอ ใหเ กิด ? เป นเครื่ องกํ าเนิ ด? เป นแดนเกิ ด? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สั งขารนั้ น เป นสิ่ งที่ เกิ ดจาก ตัณหา ซึ่งเกิดขึ้นแลวแกปุถุชนผูมิไดสดับ ผูอันเวทนาที่เกิดแตอวิชชาสัมผัสถูกตองแลว. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยเหตุ อย างนี้ แล แม สั งขารนั้ นก็ ไม เที่ ยง. เป นสิ่ งที่ ป จจั ยปรุงแต ง แล ว อาศั ย ป จ จั ย เกิ ด ขึ้ น แล ว , แม ตั ณ หานั้ น ก็ ไม เที่ ย ง เป น สิ่ ง ที่ ป จ จั ย ปรุ ง แต ง แล ว อาศั ย ป จ จั ย เกิ ด ขึ้ น แล ว, แม เวทนานั้ น ก็ ไม เที่ ย ง เป น สิ่ งที่ ป จจั ย ปรุ งแต งแล ว อาศั ย ป จจั ยเกิ ดขึ้ นแล ว, แม ผั สสะนั้ นก็ ไม เที่ ยง เป นสิ่ งที่ ป จจั ยปรุงแต งแล ว อาศั ยป จจั ยเกิ ด ขึ้นแลว, แมอวิชชานั้นก็ไมเที่ยง เปนสิ่งที่ป จจัยปรุงแตงแลว อาศัยปจจัยเกิดขึ้นแลว, ดูกอน ภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อบุ คคลรู อยู อย างนี้ เห็ นอยู อย างนี้ แล อาสวะทั้ งหลาย ย อมสิ้ นไป โดยลําดับ ไมมีระหวางขั้น.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๑๙๕
(กรณีแหงเวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณขันธ)
(ครั้นตรัสขอความในกรณี แหงรูปขันธจบลงดังนี้ แลว ไดตรัสขอความที่ สืบ เนื่องกันตอไปวา แมปุถุชนนั้นจะไมสําคัญเห็นรูปขันธโดยอาการทั้ง ๔ ก็ตาม เขาก็จะ สํ าคั ญ เห็ นอาการทั้ ง ๔ นั้ น ในเวทนาขั น ธ ...สั ญ ญาขั น ธ ...สั งขารขั นธ ...วิ ญ ญาณขันธ...ไลกันไปตามลําดับ ๆ ๆ โดยทํานองเดียวกันทุกตัวอักษรกับในกรณีแหงรูปขันธ. ในขั นธ แต ละขั นธ มี อาการอั นจะพึ งเห็ นผิ ดถึ ง ๔ อาการ คื อเห็ นขั นธ โดย ความเป นตน ๑, เห็ นตนว ามี ขั นธ ๑, เห็ นขั นธ ในตน ๑, เห็ นตนในขั นธ ๑ เมื่ ออาการ ทั้ งสี่ นี้ เป นไปในขั นธ ทั้ ง ๕ จึ งรวมกั นเป น ๒๐ อาการ, ทั้ ง ๒๐อาการนี้ รวมกั นแล ว จัดเปนสังขารหมวดที่หนึ่ง. ข อความนี้ แสดงให เห็ นว า ปฏิ จจสมุ ปบาททั้ งสายรวมอยู ในประโยคสั้ น ประโยคเดียววา "สังขารเกิดมาจากตั ณหาอันเกิดขึ้นแกบุ คคลผูถูกตองด วยเวทนาอันเกิด จากอวิ ช ชาสั ม ผั ส " ผู ศึ ก ษาพึ ง ทราบได เองว า อวิ ช ชามี อ ยู ในขณะแห ง การสั ม ผั ส ซึ่งทําให เกิดสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ครบถวนอยูในสัมผัสนั้น; ครั้นเวทนา ให เกิ ดตั ณหาแล ว ก็ มี การปรุงแต งสื บต อไปจนเกิ ดทุ กข. คํ าว าสั งขารในกรณี นี้ หมายถึ ง ปฏิ จจสมุ ปบาททุ กอาการก็ ได เพราะมี ความหมายเพี ยงแต วา เป นอาการของการปรุงแต ง โดยลักษณะแหงอิทัปปจจยตา โดยตลอดสายแหงปฏิจจสมุปบาท นั่นเอง.
www.buddhadasa.info สั งขารประเภทที่ ๑ นี้ แจกโดยละเอี ยด จะเป นสั งขาร ๒๐ ชนิ ด, คื อแจก ตามขันธหา; แตละขันธมี ๔ อาการ คือ เห็นขันธโดยความเปนตน ๑, เห็นตนวา มีขันธ ๑, เห็นขันธในตน ๑, เห็นตนในขันธ ๑; รวมเปน ๒๐ ชนิด แหงสังขาร.
www.buddhadasa.info
๑๙๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
สู ต รนี้ มุ ง หมาย จะแสดงความสิ้ น อาสวะ, แต ไ ด แ สดงลั ก ษณะแห ง สั ง ขารชนิ ด ที่ เป น อกุ ศ ล อย า งละเอี ย ดแปลกออกไป เป น ความรู พิ เศษกว า ทุ ก แห ง สํ า หรั บ คํ า ว า สั งขาร, จึ งนํ า มาใส ไว ในกลุ ม อั น ว า ด ว ยการเกิ ด กิ เลส แทนที่ จ ะใส ใน หมวดปฏิบัติเพื่อดับทุกข.) - ผูรวบรวม
(สังขารชนิดที่ สอง : สัสสตทิฏฐิ) ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บ แล ว จะไม สํ าคั ญ เห็ น ซึ่ งรู ป , ซึ่ งเวทนา, ซึ่ งสั ญ ญา, ซึ่ ง สั ง ขาร, ซึ่ งวิ ญ ญาณ, โดยความเป น ตน; ไม สํ า คั ญ เห็ น ซึ่ งตนว า มี รู ป , ว ามี เวทนา, ว ามี สั ญ ญา, ว ามี สั งขาร, ว ามี วิ ญ ญาณ, ไม สํ าคั ญ เห็ นซึ่ งรู ป, ซึ่ งเวทนา, ซึ่ งสั ญ ญา, ซึ่ งสั งขาร, ซึ่ งวิ ญ ญาณ, ในตน; ไม สํ าคั ญ เห็ น ซึ่ งตน ในรู ป , ในเวทนา, ในสั ญ ญา; ในสั ง ขาร, ในวิ ญ ญาณ; ก็ จ ริ งแล, แต ท ว า เขายั ง เป น ผู มี ทิ ฏ ฐิ อ ย า งนี้ ว า "อั ต ตา (ตน) ก็อันนั้น โลกก็อันนั้น เรานั้น ครั้นละไปแลว จักเปนผูเที่ยง (นิจฺโจ) ยั่งยืน (ธุ โว ) เที่ ย งแท (สสฺ ส โต ) มี ค วามไม แ ปรปรวนเป น ธรรมดา (อวิ ป ริ ณ ามธมฺ โม )." ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ทิ ฏ ฐิ ดั ง กล า วนี้ , อั น ใดแล; ทิ ฏ ฐิ อั น นั้ น ชื่ อ ว า สั ส สตทิ ฏ ฐิ . สั ส ตทิ ฏ ฐิ นั้ น เป น สั งขาร. ก็ สั งขารนั้ น มี อ ะไรเป น เหตุ ให เกิ ด ? เป น เครื่ อ งก อ ให เกิ ด เป น เครื่องกํ าเนิ ด? เป นแดนเกิ ด ? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สั งขารนั้ น เป น สิ่ งที่ เกิ ด จาก ตั ณ หา ซึ่ งเกิ ดขึ้ นแล วแก ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บ ผู อั นเวทนาที่ เกิ ดแต อวิ ชชาสั มผั ส ถู กต อง แล ว . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ด ว ยเหตุ อ ย า งนี้ แ ล แม สั ง ขารนั้ น ก็ ไม เที่ ย ง. เป น สิ่ ง ที่ ป จจั ยปรุงแต งแล ว อาศั ยป จจั ยเกิ ดขึ้ นแล ว, แม ตั ณหานั้ นก็ ไม เที่ ยง เป นสิ่ งที่ ป จจั ยปรุง แต งแล ว อาศั ยป จจั ยเกิ ดขึ้ นแล ว, แม เวทนานั้ นก็ ไม เที่ ยง เป นสิ่ งที่ ป จจั ยปรุ งแต งแล ว อาศั ยป จจัยเกิ ดขึ้นแลว, แม ผัสสะนั้ นก็ไม เที่ ยง เป นสิ่งที่ ป จจัยปรุงแตงแลว อาศัยป จจัย เกิดขึ้นแลว, แมอวิชชานั้นก็ไมเที่ยง เปนสิ่งที่ปจจัยปรุงแตงแลว อาศัยปจจัยเกิดขึ้นแลว,
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๑๙๗
ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อบุ คคลรูอยู อย างนี้ เห็ นอยูอย างนี้ แล อาสวะทั้ งหลาย ยอม สิ้นไปโดยลําดับ ไมมีระหวางขั้น. ห ม าย เห ต ุผู ร ว บ รว ม : สัง ข ารห ม วด ที ่ส อ งนี ้ มีล ัก ษ ณ ะ เป น ป ฏ ิจ จ ส มุป บาท โดยนัย ะอัน เดีย วกัน กับ สัง ขารหมวดที ่ห นึ ่ง คือ สรุป ความลงเปน วา "สัง ขารเกิด มา จากตัณหาอันเกิดขึ้นแกบุคคลผูถูกตองดวยเวทนาอันเกิดจากอวิชชาสัมผัส"
(สังขารชนิดที่ สาม : อุจเฉททิฏฐิ) ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บแล ว จะไม สํ าคั ญ เห็ นซึ่ งรูป, ซึ่ งเวทนา, ซึ่ งสั ญ ญา, ซึ่ ง สั งขาร, ซึ่ งวิ ญ ญาณ, โดยความเป น ตน; ไม สํ าคั ญ เห็ น ซึ่ งตนว ามี รู ป , ว ามี เวทนา, วามี สั ญญา, วามี สั งขาร, วามี วิ ญญาณ, ไม สํ าคั ญเห็ นซึ่ งรูป, ซึ่ งเวทนา, ซึ่ งสั ญญา, ซึ่ งสั งขาร, ซึ่ งวิญ ญาณ, ในตน; ไม สํ าคั ญ เห็ นซึ่ งตน ในรูป, ในเวทนา, ในสั ญ ญา, ในสังขาร, ในวิญญาณ; ก็จริงแล, ทั้งเปนผูไมมีทิฏฐิวา "อัตตา (ตน) ก็อันนั้น โลกก็อันนั้น เรานั้ น ครั้นละไปแล ว จั กเป นผู เที่ ยง ยั่ งยื น เที่ ยงแท มี ความไม แปรปรวนเป นธรรมดา. ดังนี้; ก็จริงแล แตทวา เขายังเปนผูมีทิฏฐิอยางนี้วา "เราไมพึงมีดวย; ของเราไม พึงมีดว ย; เราจัก ไมม ีดว ย; ของเราจัก ไมมีด ว ย"; ดังนี้ ดูกอ นภิก ษุทั้ง หลาย! ทิ ฏฐิ ดั งกล าวนี้ , อั นใดแล; ทิ ฏฐิ อั นนั้ นชื่ อวาอุ จเฉททิ ฏฐิ . อุ จเฉททิ ฏฐิ นั้ นเป นสั งขาร. ก็สังขารนั้น มีอะไรเปนเหตุใหเกิด? เปนเครื่องกอใหเกิด? เปนเครื่องกําเนิด? เปนแดนเกิด? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! สั งขารนั้ น เป น สิ่ งที่ เกิ ด จากตั ณ หา ซึ่ งเกิ ด ขึ้ น แล ว แก ปุ ถุ ช น ผูมิไดสดับ ผูอันเวทนาที่เกิดแตอวิชชาสัมผัสถูกตองแลว. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ดวย เหตุ อย างนี้ แล แม สั งขารนั้ นก็ ไม เที่ ยง. เป นสิ่ งที่ ป จจั ยปรุงแต งแล ว อาศั ยป จจั ยเกิ ด ขึ้นแลว, แม ตัณหานั้นก็ไม เที่ ยง เป นสิ่งที่ป จจัยปรุงแตงแลว อาศัยปจจัยเกิดขึ้นแลว, แมเวทนานั้นก็ไมเที่ยง เปนสิ่งที่ปจจัยปรุงแตงแลว อาศัยปจจัยเกิดขึ้นแลว, แมผัสสะนั้น ก็ไมเที่ยง เปนสิ่งที่ปจจัยปรุงแตงแลว อาศัยปจจัยเกิดขึ้นแลว, แมอวิชชานั้นก็ไมเที่ยง
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๑๙๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
เป นสิ่ งที่ ป จจัยปรุงแต งแล ว อาศั ยป จจัยเกิ ดขึ้นแล ว, ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อบุ คคล รูอยูอยางนี้ เห็นอยูอยางนี้แล อาสวะทั้งหลาย ยอมสิ้นไปโดยลําดับ ไมมีระหวางขั้น. ห ม าย เห ตุผู ร วบ ร วม : สัง ข ารห ม วด ที ่ส าม นี ้ มีล ัก ษ ณ ะเปน ป ฏิจ จสมุป บาท โดยนั ย ะอั น เดี ย วกั น กั บ สั ง ขารหมวดที ่ ห นึ ่ ง คื อ สรุ ป ความลงเป น ว า "สั ง ขารเกิ ด มา จากตัณหาอันเกิดขึ้นแกบุคคลผูถูกตองดวยเวทนาอันเกิดจากอวิชชาสัมผัส"
(สังขารชนิดที่ สี่ : ลังเลในพระสัทธรรม) ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บแล ว จะไม สํ าคั ญ เห็ นซึ่ งรูป, ซึ่ งเวทนา, ซึ่ งสั ญ ญา, ซึ่ ง สั งขาร, ซึ่ งวิ ญ ญาณ, โดยความเป น ตน; ไม สํ าคั ญ เห็ น ซึ่ งตนว ามี รู ป , ว ามี เวทนา, วามี สั ญญา, วามี สั งขาร, วามี วิญญาณ, ไม สํ าคั ญเห็ นซึ่ งรูป, ซึ่ งเวทนา, ซึ่ งสั ญญา, ซึ่ งสั งขาร, ซึ่ งวิญ ญาณ, ในตน; ไม สํ าคั ญ เห็ นซึ่ งตน ในรูป, ในเวทนา, ในสั ญ ญา, ในสั ง ขาร, ในวิ ญ ญาณ; เป น ผู ไม มี ทิ ฏ ฐิ ว า "อั ต ตาก็ อั น นั้ น โลกก็ อั น นั้ น เรานั้ น ครั้นละไปแล ว จักเป นผู เที่ ยง ยั่ งยื น เที่ ยงแท มี ความไม แปรปรวนเป นธรรมดา.ดั งนี้ ; ทั้ งผู ไม มี ทิ ฏฐิ ว า "เราไม พึ งมี ด วย; ของเราไม พึ งมี ด วย; เราจั กไม มี ด วย; ของเราจั ก ไมมีดวย"; ดังนี้ก็จ ริง แล แตท วาเขายังเปน ผูม ีค วามสงสัย (กงฺขี) มีค วามลังเล (วิจิกิจฺฉี) ไมถึ งความมั่ นใจในพระสัทธรรม (อนิฏ งฺคโต สทฺธมฺเม). ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ความเป นผูมี ความสงสัย มีความลังเล ไมถึงความมั่ นใจ ในพระสัทธรรมนั้ น, อัน ใดแล; อัน นั ้น เปน สัง ขาร. สัง ขารนั ้น มีอ ะไรเปน เหตุใ หเ กิด ? เปน เครื ่อ งกอ ให เกิ ด? เป นเครื่ องกํ าเนิ ด? เป นแดนเกิ ด? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สั งขารนั้ น เป นสิ่ งที่ เกิดจากตัณหา ซึ่งเกิดขึ้นแลวแกปุถุชนผูมิไดสดับ ผูอันเวทนาที่เกิดแตอวิชชาสัมผั ส ถู กต องแล ว. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยเหตุ อย างนี้ แล แม สั งขารนั้ นก็ ไม เที่ ยง. เป น สิ่งที่ปจจัยปรุงแตงแลว อาศัยปจจัยเกิดขึ้นแลว, แมตัณหานั้นก็ไมเที่ยง เปนสิ่งที่ปจจัย
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๑๙๙
ปรุงแตงแลว อาศั ยป จจัยเกิดขึ้นแลว, แม เวทนานั้ นก็ไม เที่ ยง เป นสิ่งที่ป จจัยปรุงแต ง แลว อาศัยปจจัยเกิดขึ้นแลว, แมผัสสะนั้นก็ไมเที่ยง เปนสิ่งที่ปจจัยปรุงแตงแลว อาศัย ปจจัยเกิดขึ้นแลว, แมอวิชชานั้นก็ไมเที่ยง เปนสิ่งที่ปจจัยปรุงแตงแลว อาศัยปจจัยเกิด ขึ้ น แล ว , ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ บุ ค คลรู อ ยู อ ย า งนี้ เห็ น อยู อ ย า งนี้ แ ล อาสวะ ทั้งหลาย ยอมสิ้นไปโดยลําดับ ไมมีระหวางขั้น. ห ม าย เห ตุผู ร วบ รวม : สัง ขารห ม วดที ่สี ่นี ้ มีล ัก ษ ณ ะเปน ป ฏิจ จสมุป บ าท โดยนัย ะอัน เดีย วกัน กับ สัง ขารหมวดที ่ห นึ ่ง คือ สรุป ความลงเปน วา "สัง ขารเกิด มาจากตัณ หา อันเกิดขึ้นแกบุคคลผูถูกตองดวยเวทนาอันเกิดจากอวิชชาสัมผัส"
การดับตัณหาเสียไดกอนแตจะเกิดปฏิจจสมุปบาท๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!เราจั กแสดง ซึ่ งความไม ตั้ งอยู ได แห งทุ กข แก พวกเธอ ทั้ งหลาย. พวกเธอทั้ งหลาย จงฟ งข อความนั้ น จงทํ าในใจให สํ าเร็ จประโยชน , เราจั ก กลาวบัดนี้.
www.buddhadasa.info ครั้นภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น ทู ลสนองรั บพระพุ ทธดํ ารัสแล ว, พระผู มี พระภาคเจ า ได ตรั ส ถอยคําเหลานี้วา:-
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ความไมตั้งอยูไดแหงทุกข เปนอยางไรเลา?
(๑) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยตาด วย รูปทั้ งหลายด วย จึงเกิ ดจั กขุ วิญญาณ; การประจวบพรอมแหงธรรมสามประการ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ) นั่นคือ
๑
สูตรที่ ๓ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๘๖-๗/๑๖๑, ๑๖๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๒๐๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
ผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะความจางคลายดับ ไปไมเ หลือ แหง ตัณ หานั ้น นั ่น แหละ, จึง มีค วามดับ แหง อุป าทาน; เพราะมีค วามดับ แหง อุป าทาน จึง มีค วามดับ แหง ภพ; เพราะ มีค วามดับ แหง ภพ จึง มีค วามดับ แหง ชาติ; เพราะมีค วามดับ แหง ชาตินั ่น แล ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแห ง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. นี้คือ ความไมตั้งอยูไดแหงทุกข (๒) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยหู ด วย เสี ยงทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด โสตะวิ ญญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ (โสตะ+เสี ยง+โสตะวิ ญญาณ) นั่ นคื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เ หลื อ แห ง ตั ณ หานั ้ น นั ่ น แหละ, จึ ง ความดั บ แห ง อุ ป าทาน; เพราะมี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทาน จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ภพ; เพราะมี ค วามดั บ แห งภพ จึ งมี ค วามดั บ แห ง ชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห งชาติ นั่ น แล ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั สอุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห ง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. นี้คือ ความไมตั้งอยูไดแหงทุกข
www.buddhadasa.info (๓)ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยจมู กด วย กลิ่ นทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ด ฆานวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ (จมู ก+กลิ่ น+ฆานวิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ต ั ณ หา; เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เ หลื อ แห ง ตั ณ หานั ้ น นั ่ น แหละ, จึ งความดั บแห งอุ ปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึ งมี ความดั บแห งภพ; เพราะ มีความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๐๑
โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุปายาสทั้ งหลาย จึงดั บสิ้น: ความดับลงแห งกองทุ กขทั้งสิ้นนี้ ยอมี ดวยอาการอยางนี้ นี้คือ ความไมตั้งอยูไดแหงทุกข. (๔) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยลิ้ นด วย รสทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ด ชิ วหาวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ (ลิ้ น+รส+ชิ วหาวิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึง มีตัณ หา; เพราะความจางคลายดับ ไปไมเ หลือ แหง ตัณ หานั้น นั่น แหละ, จึ งความดั บ แห งอุ ป าทาน; เพราะมี ค วามดั บ แห งอุ ป าทาน จึ งมี ค วามดั บ แห งภพ; เพราะมี ค วามดั บ แห งภพ จึ งมี ค วามดั บ แห งชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห ง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ นี้คือ ความไมตั้งอยูไดแหงทุกข. (๕) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยกายด วย โผฏฐั พพะทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดกายวิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (กาย+โผฏฐั พพะ+ กายวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ต ั ณ หา; เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เ หลื อ แห ง ตั ณ หานั ้ น นั่ น แหละ, จึ งความดั บ แห งอุ ป าทาน; เพราะมี ค วามดั บ แห งอุ ป าทาน จึ งมี ความ ดั บ แห งภพ; เพราะมี ค วามดั บ แห งภพ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุปายาสทั้ งหลาย จึงดั บสิ้น : ความ ดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ นี้คือ ความไมตั้งอยูไดแหงทุกข.
www.buddhadasa.info (๖) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยใจด วย, ธั มมารมณ ทั้ งหลายด วย, จึงเกิดมโนวิญญาณ; การประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการ (ใจ+ธัมมารมณ+
www.buddhadasa.info
๒๐๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
มโนวิญ ญาณ) นั่ นคื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนา เปน ปจ จัย จึง มีต ัณ หา; เพราะความจางคลายดับ ไปไมเ หลือ แหง ตัณ หา นั้ น แหละ, จึ ง มี ค วามดั บ แห ง อุ ป ทาน; เพราะมี ค วามดั บ แห ง อุ ป ทาน จึ ง มี ค วาม ดั บ แห ง ภพ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ภพ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น: ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. นี้คือ ความไมตั้งอยูได แหงทุกข. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้แล คือความไมตั้งอยูไดแหงทุกข.
การสิ้นกรรม ตามแบบของปฏิจจสมุปบาท๑ ดู ก อนวั ปปะ! ถ าท านจะพึ งยิ นยอมข อที่ ควรยิ นยอม และคั ดค านข อที่ ควร คั ดค าน ต อเรา. อนึ่ ง ท านไม รู ความแห งภาษิ ตของเราข อ ใด ท านพึ งซั กถามเราใน ขอนั้ น ให ยิ่ งขึ้ นไปวา ขอนี้ เป นอย างไร เนื้ อความแห งภาษิ ตข อนี้ เป นอย างไรเล าท าน ผูเจริญ? ดังนี้แลวไซร การสนทนาระหวางเราทั้งสอง ก็จะพึงมีได.
www.buddhadasa.info ครั้นวัปปะศากยะ ไดตกลงยินยอมในขอนั้นแลว, พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสขอความดังตอไปนี้:-
ดู ก อนวั ปปะ! ท านจะสํ าคั ญความข อนี้ ว าอย างไร? คื อ อาสวะทั้ งหลาย เหลาใดเกิดขึ้นเพราะกายสมารัมภะเปนปจจัย แลวทําความคับแคนเรารอน;
๑
สูตรที่ ๕ มหาวรรค จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๖๘/๑๙๕, ตรัสแกวัปปศากยะ ที่นิโครธาราม.
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๐๓
เมื่อบุคคลเวนขาดแลวจากกายสมารัมภะ, อาสวะทั้งหลาย อันทําความคับแคน เรารอนเหลานั้น ยอมไมมี : บุคคลนั้น ยอมไมกระทําซึ่งกรรมใหมดวยและ ย อมกระทํ ากรรมเก าที่ ถู กต องแล ว ๆ ให สิ้ นไปด วย. ปฏิ ปทาเป นเครื่องสิ้นกรรม อย างนี้ เป นธรรมอั นผู ปฏิ บั ติ พึ งเห็ นเอง ไม รูจั กเก า ไม ประกอบด วยสากล ควรเรียกกั น มาดู พึ ง น อ มเข า มาในตน เป น ธรรมที่ ผู รู ทั้ ง หลายพึ ง รู ได เฉพาะตน. ดู ก อ นวั ป ปะ! อาสวะทั้ งหลาย อั นเป นไปเพื่ อทุ กขเวทนา จะพึ งไหลไปตามบุ รุ ษ ในกาลต อไปเบื้ องหน า เนื่องมาแตฐานะใดเปนเหตุ ทานยอมรูซึ่งฐานะนั้นหรือไม? ("ขอนั้นหามิไดพระเจาขา!") ดู ก อนวั ปปะ! ท านจะสํ าคั ญ ความข อนี้ ว าอย างไร? คื อ อาสวะทั้ งหลาย เหลาใด เกิด ขึ้น เพราะวจีสมารัม ภะเปน ปจจัย แลวทําความคับ แคน เรารอ น; เมื่อบุคคลเวนขาดแลวจากวจีสมารัมภะ, อาสวะทั้งหลาย อันทําความคับแคน เรารอนเหลานั้น ยอมไมมี: บุคคลนั้น ยอมไมกระทําซึ่งกรรมใหมดวย และ ย อมกระทํ ากรรมเก าที่ ถู กต องแล ว ๆ ให สิ้ น ไปด วย. ปฏิ ปทาเป นเครื่องสิ้ นกรรม อย างนี้ เป นธรรมอั นผู ปฏิ บั ติ พึ งเห็ นเอง ไม รู จั กเก า ไม ประกอบด วยสากล ควรเรี ยกกั น มาดู พึ งน อ มเข ามาในตน เป น ธรรมที่ ผู รู ทั้ งหลายพึ งรู ได เฉพาะตน. ดู ก อ นวั ป ปะ! อาสวะทั้ ง หลาย อั น เป น ไปเพื่ อ ทุ ก ขเวทนา จะพึ ง ไหลไปตามบุ รุ ษ ในกาลต อ ไป เบื้ องหน าเนื่ องมาแต ฐานะใดเป นเหตุ ท านย อมรู ซึ่ งฐานะนั้ นหรื อไม ? ("ข อนั้ น หามิ ได พระเจาขา!")
www.buddhadasa.info ดู ก อนวั ปปะ! ท านจะสํ าคั ญ ความข อนี้ ว าอย างไร? คื อ อาสวะทั้ งหลาย เหลาใด เกิดขึ้นเพราะมโนสมารัมภะเปนปจจัย แลวทําความคับแคนเรารอน; เมื่อ บุคคลเวนขาดแลวจากมโนสมารัมภะ, อาสวะทั้งหลาย อันทําความคับแคนเรา รอนเหลานั้น ยอมไมมี: บุคคลนั้น ยอมไมกระทําซึ่งกรรม ใหมดวยและยอม
www.buddhadasa.info
๒๐๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
กระทํากรรมเกาที่ถูกตองแลว ๆ ใหสิ้นไปดวย. ปฏิปทาเปนเครื่องสิ้นกรรมอยางนี้ เป น ธรรมอั น ผู ป ฏิ บั ติ พึ งเห็ น เอง ไม รูจั กเก า ไม ประกอบด วยสากล ควรเรียกกั น มาดู พึ งน อ มเข ามาในตน เป นธรรมที่ ผู รู ทั้ งหลายพึ งรู ได เฉพาะตน. ดู ก อ นวั ป ปะ! อาสวะ ทั้ งหลาย อั น เป น ไปเพื่ อ ทุ ก ขเวทนา จะพึ งไหลไปตามบุ รุ ษ ในกาลต อ ไปเบื้ อ งหน า เนื่ องมาแต ฐานะใดเป นเหตุ ท านย อมรู ซึ่ งฐานะนั้ นหรื อไม ? ("ข อนั้ น หามิ ได พระเจ า ขา!") ดู ก อนวั ปปะ! ท านจะสํ าคั ญ ความข อนี้ ว าอย างไร? คื อ อาสวะทั้ งหลาย เหลาใด เกิดขึ้นเพราะอวิชชาเปนปจจัย แลวทําความดับแคนเรารอน; เพราะการ เกิดขึ้นแหงวิชชา เพราะความสํารอกออกเสียไดหมดซึ่งอวิชชา, อาสวะทั้งหลาย อัน ทํ าความคั บแคน เรารอ นเหลานั้ น ยอ มไมมี : บุ ค คลนั้ น ยอ มไม ก ระทํ าซึ่ ง กรรมใหมดวยและยอมกระทํากรรมเกาที่ถูกตองแลว ๆ ใหสิ้นไปดวย. ปฏิปทา เป น เครื่ อ งสิ้ น กรรมอย างนี้ เป น ธรรมอั น ผู ป ฏิ บั ติ พึ งเห็ น เอง ไม รู จั ก เก า ไม ป ระกอบ ด วยกาล ควรเรี ยกกั นมาดู พึ งน อมเข ามาในตน เป นธรรมที่ ผู รู ทั้ งหลายพึ งรู ได เฉพาะตน. ดู ก อ นวั ป ปะ! อาสวะทั้ ง หลาย อั น เป น ไปเพื่ อ ทุ ก ขเวทนา จะพึ ง ไหลไปตามบุ รุ ษ ในกาลต อ ไปเบื้ อ งหน า เนื่ อ งมาแต ฐ านะใดเป น เหตุ ท า นย อ มรู ซึ่ ง ฐานะนั้ น หรื อ ไม ? ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!")
www.buddhadasa.info ดู ก อนวั ปปะ! เมื่ อภิ กษุ มี จิ ตหลุ ดพ นโดยชอบอย างนี้ แล ว สตตวิ หารธรรม๑ ทั้งหลาย ๖ ประการ ก็เปนอันวาภิกษุนั้นถึงทับแลว: ภิกษุนั้นเห็นรูปดวยจักษุแลว
๑
สตตวิ หารธรรม ในที่ นี้ หมายความว า มี สติ สั มปชั ญญะติ ดต อกั นไป ในการสั มผั สทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ไม เกิ ดยิ นดี ยิ นรายขึ้ นมาได อย างติ ดต อกั น ไม มี เวลาเผลอ. เมื่ อมี สติ ควบคุ มสิ่ งทั้ ง ๖ นี้ ไว ได อย าง ติดตอกันเชนนี้ การเปนอยูอยางนี้ ก็เรียกไดวา "สตตวิหารธรรม ๖ ประการ".
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๐๕
ไมเปนผูดีใจ ไมเปนผูเสียใจ เปนผูอยูอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู; ฟงเสียง ด ว ย โส ต ะ แ ล ว ..., รู ส ึ ก ก ลิ ่ น ด ว ย ฆ าน ะ แล ว ..., ลิ ้ ม รส ด ว ย ชิ ว ห าแล ว ..., ถู ก ต อ งสั ม ผั ส ผิ ว หนั ง ด ว ยผิ ว กายแล ว ..., รู สึ ก ธั ม มารมณ ด ว ยมโนแล ว ไม เป น ผู ดี ใจ ไม เป น ผู เสี ย ใจ เป น ผู อ ยู อุ เบกขา มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะอยู . ภิ ก ษุ นั้ น เมื่ อ เสวยดวยเวทนามีกายเปนที่สุดรอบอยู ยอมรูชัดวา เราเสวยซึ่งเวทนา มีกายเปนที่สุด รอบอยู; เมื่อเสวยซึ่งเวทนามีชีวิตเปนที่สุดรอบอยู ยอมรูชัดวา เราเสวยซึ่งเวทนา มี ชี วิ ต เป น ที่ สุ ด รอบอยู ; เธอย อ มรู ชั ด ว า "เวทนาทั้ ง หลายทั้ ง ปวง อั น เราไม เพลิดเพลินแลว จักเปนของเย็นในอัตตภาพนี้นั่นเทียว จนกระทั่งถึงที่สุดรอบ แหงชีวิต เพราะการแตกทําลายแหงกาย" ดังนี้. ดู ก อนวั ปปะ เปรี ยบเหมื อนเงาย อมปรากฏเพราะอาศั ยเสาสดมภ (ถู ณ ะ) ลํ าดั บนั้ น บุ รุษถื อเอามาซึ่ งจอบและตะกรา เขาตั ดซึ่ งเสานั้ นที่ โคน ครั้นตั ดที่ โคนแล ว พึงขุด ครั้นขุดแลว พึ งรื้อซึ่งรากทั้งหลาย ไมใหเหลือแมที่สุดสักแตวาเทาตนแฝก. บุรุษ นั้ น พึ งตั ดซึ่ งเสานั้ นให เป นท อนน อยท อนใหญ ครั้นตั ดซึ่ งเสานั้ นให เป นท อนน อยท อน ใหญ แล ว พึ งผ า; ครั้นผ าแล ว พึ งจั กให เป นซี กเล็ ก ๆ ; ครั้นจั กให เป นซี กเล็ ก ๆ แล ว พึ ง ผึ่ ง ให แ ห ง ในลมและแดด; ครั้ น ผึ่ ง ให แ ห ง ในลมและแดดแล ว พึ ง เผาด ว ยไฟ; ครั้นเผาด วยไฟแล วพึ งทํ าให เป นผงเถ าถ าน; ครั้นทํ าให เป นผลเถ าถานแล ว พึ งโปรย ไปในกระแสลมอั นพั ดจั ด หรื อว าพึ งให ล อยไปในกระแสอั น เชี่ ยวแห งแม น้ํ า. ดู ก อ น วั ปปะ! เงาอั นใด ที่ อาศั ยเสาสดมภ เงาอั นนั้ นย อมถึ งซึ่ งความมี มู ลเหตุ อั นขาดแล ว ถูกกระทํ าเหมื อนตาลมี ขั้วยอดอันดวน กระทํ าให ถึ งความไม มี มี อันไม บั งเกิ ดขึ้นต อไป เปนธรรมดา, นี้ฉันใด;
www.buddhadasa.info ดูกอนวัปปะ! ขอนี้ ก็ฉั นนั้ น กลาวคื อ เมื่ อภิ กษุ มี จิตหลุดพ นโดยชอบอยาง นี้แลว สตตวิหารธรรมทั้งหลาย ๖ ประการ ก็เปนอันวาภิกษุนั้นถึงทับแลว: ภิกษุนั้น
www.buddhadasa.info
๒๐๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
เห็นรูปดวยจักษุ แลวไมเปนผูดีใจ ไมเปนผูเสียใจ เปนผูอยูอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู; ฟง เสีย งดว ยโสตะแลว ...; รู ส ึก กลิ ่น ดว ยฆานะแลว ..; ลิ ้ม รสดว ยชิว หาแลว ...; ถูก ตอ งสัม ผัส ผิว หนัง ดว ยผิว กายแลว ...; รู ส ึก ธัม มารมณด ว ยมโนแลว ไมเปนผูดีใจ ไมเปนผูเสียใจ เปนผูอยูอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู. ภิกษุนั้น เมื่อเสวย ซึ่งเวทนามี กายเป นที่ สุ ดรอบอยู ย อมรูชัดวา เราเสวยซึ่งเวทนา มี กายเป นที่ สุ ดรอบอยู ; เมื่ อเสวยซึ่ งเวทนามี ชีวิตเป นที่ สุ ดรอบอยู ย อมรูชั ดวา เราเสวยซึ่งเวทนามี ชีวิตเป นที่ สุด รอบอยู ; เธอยอ มรู ช ัด วา "เวทนาทั ้ง หลายทั ้ง ปวง อัน เราไมเพลิด เพลิน แลว จั กเป นของเย็ นในอั ตตภาพนี้ นั่ นเที ยว จนกระทั่ งถึ งที่ สุ ดรอบแห งชี วิ ต เพราะการแตก ทําลายแหงกาย" ดังนี้. ครั้นเมื่ อพระผู มี พระภาคเจาตรัสอย างนี้ แลว วัปปศากยะผู เป นสาวกแห งนิ ครนถ ได กราบทู ล วา "ขาแตพระองค ผูเจริญ ! เปรียบเหมื อนบุ รุษผูต องการกําไร พึ งเลี้ยงลูกม าไวขาย เขาไม ได กําไรด วย เป นผู มี ส วนแห งความลํ าบากเดื อดรอนอย างยิ่ งด วย, นี้ ฉั นใด; ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ขอนี้ ก็ ฉั นนั้ น คื อ ขาพระองค ผู ต องการด วยประโยชน ได เขาไปคบหาซึ่งนิ ครนถ ทั้ งหลายผู อ อนด วยป ญญา. ข าพระองค นั้ น ไม ได กําไรด วยเป นผู มี สวนแห งความลํ าบากเดื อดรอนอยางยิ่ งด วย. ขาแต พระองค ผูเจริญ ! ตั้ งแต วันนี้ เปนตนไป ขาพระองค ขอโปรยเสียซึ่งความเลื่อมใสในนิครนถทั้งหลายผูออนดวยป ญญา ในกระแสลมอันพัด จัด หรือวาลอยเสี ยซึ่ งความเลื่ อมใสนั้ น ในกระแสอั นเชี่ ยวแห งแม น้ํ า. ข าแต พระองค ผู เจริญ !วิเศษนั ก พระเจ าข า! วิเศษนั ก พระเจาขา! ข าแต พระองค ผู เจริญ ! เปรียบเหมื อนบุ คคลหงายของที่ คว่ําอยู หรือ วาเป ดของที่ ป ดอยู หรือว าบอกหนทางให แก บุ คคลผู หลงทางหรือวาจุดประที ปอันโพลงขึ้น ด วยน้ํ ามั น ไว ในที่มื ด ดวยความหวั งวา ผู มีจักษุ ทั้งหลายจักไดเห็นรูปทั้ งหลาย ฉันใด; ธรรมอั นพระผูมี พระภาคเจา ประกาศแล ว โดยปริยายเป นอเนก ก็ ฉั นนั้ น. ข าแต พระองค ผู เจริญ! ข าพระองค ขอถึ งซึ่ งพระผู มี พระภาค ด วย ซึ่ งพระธรรมด วย ซึ่ งพระสงฆ ด วย ว าเป นสรณะ. ขอพระผู มี พระภาคเจ า จงทรงถื อว า ข าพระองค เปนอุบาสกผูถึงสรณะแลว จําเดิมแตวันนี้เปนตนไป จนตลอดชีวิต", ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ งสั งเกตให เห็ น ว า การสิ้ น กรรมที่ แ ม จริ ง นั้ น เป น การสิ้ น ไปในกระแสแห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท คื อ เมื่ อ ไม มี ก าย-วจี -มโนสมารั ม ภะ หรือ อวิช ชาอัน เปน เหตุใ หเ กิด อาสวะ อัน เปน อาการที ่เ ห็น ได รู ส ึก ได ดว ยตนเอง ใน ทิ ฏ ฐธรรมนี้ โดยเฉพาะในขณะที่ ความคั บ แค น เราร อนระงับ ลง เมื่ อหยุ ดเสี ยได ซึ่ งกายสมา รัมภะเปนตน แมเพียงในปฏิจจสมุปบาท สายหนึ่ง ๆ เรียกวาเปนการสิ้นกรรมไปคราวหนึ่ง
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๐๗
ได . เมื่ อ ปฏิ จ จสมุ ป บาท ไม อ าจจะเกิ ด ขึ้ น ได อี ก ก็ เป น การสิ้ น กรรมที่ ถ าวร; ไม ค วรจะ หมายถึ งเรื่ องอะไร ๆ หลั งจากตายแล วเพี ยงอย างเดี ยว, แต หมายความว า เมื่ อจิ ตไม มี การปรุ ง แต ง เป น อุ ป าทาน หรื อ เป น ภพขึ้ น มาได แ ล ว กรรมใหม ก็ เป น อั น ไม ก ระทํ า กรรมเก า ก็ เป น อั น สิ้ น สุ ด ไป เพราะไม มี สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ภพ หรื อ ชาติ ในป จ จุ บั น นี้ ที่ จ ะเป น แดนให ก รรม ทําหนาที่ใหผล จึงถือวาสิ้นกรรม ในกระแสแหงปฏิจจสมุปบาท นั่นเอง.
อายตนะยังไมทําหนาที่ ปญจุปาทานขันธ ก็ยังไมเกิด๑ ดู ก อ นท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! เปรี ยบเหมื อนอวกาศถู กแวดล อ มป ด กั้ น ไว แล ว (ส ว นหนึ่ ง ) โดยอาศั ย ไม ด ว ย เถาวั ล ย ด ว ย ดิ น เหนี ย วด ว ย หญ า ด ว ย ย อ ม ถึ ง ซึ่ ง การนั บ ว า "เรื อ น" ดั ง นี้ ฉั น ใด; ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! อวกาศถู ก แวดล อมป ดกั้ นไว แล ว (ส วนหนึ่ ง) โดยอาศั ยกระดู กด วย เอ็ นด วย เนื้ อด วย หนั งด วย ยอมถึงซึ่งการนับวา "รูป (กาย)" ดังนี้; ฉันนั้น. ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! แม ห ากว า , จั ก ษุ (ตา) อั น เป น อายตนะ ภายใน เป น ของไม แตกทํ าลาย, และรู ป ทั้ งหลายอั น เป น อายตนะภายนอก ก็ ยั งไม มาสูคลอง (แหงจักษุ), ทั้งสมันนาหารจิต๒ อันเกิดจากอายตนะ ๒ อยางนั้น ก็ไมมี,
www.buddhadasa.info ๑
มหาหั ตถิ ป โทปมสู ตร มู .ม. ๑๒/๓๕๘/๓๔๖, พระสารี บุ ตรกล าวแก ภิ กษุ ทั้ งหลาย ที่ เชตวั น. ข อความนี้ มิ ใช พุ ทธภาษิ ต เพราะเป นคํ าพระสารีบุ ตร; แต สามารถอธิ บายพระพุ ทธภาษิ ตได ดี , จึ งยกมาใส ประกอบ ในฐานะเปนอภิธรรมแท. ๒ สมั น นาหารจิ ต คื อ จิ ต ที่ ล ะภวั ง ค ขึ้ น มากํ า หนดอารมณ ที่ ม ากระทบทางทวารนั้ น ๆ มี อ วิ ช ชา, หรื อ ความปราศจากสติ, หรือปราศจากวิชชาในวิมุตติ, ประกอบอยู.
www.buddhadasa.info
๒๐๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
แล ว ไซร; ความปรากฏแห งส ว นของวิ ญ ญาณ อั น เกิ ด จากอายตนะ ๒ อย า งนั้ น ก็ยังจะไมมีกอน. ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! แม หากว า, จั กษุ อั นเป นอายตนะภายใน เป น ของไม แ ตกทํ า ลาย, และรู ป ทั้ ง หลายอั น เป น อายตนะภายนอก ก็ ม าสู ค ลอง (แหง จัก ษุ); แตว า สมัน นาหารจิต อัน เกิด จากอายตนะ๒ อยา งนั ้น ก็ไ มม ี, แล ว ไซร; ความปรากฏแห งส ว นของวิ ญ ญาณ อั น เกิ ด จากอายตนะ ๒ อย า งนั้ น ก็ยังจะไมมีอยูนั่นเอง ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย!ก็ แ ต ว า ในกาลใดแล จั ก ษุ อั น เป น อายตนะภายในนั่นเทียว เปนของไมแตกทําลาย, และรูปทั้งหลายอันเปนอายตนะ ภายนอก ก็มาสูคลอง (แหงจักษุ); ทั้งสมันนาหารจิต อันเกิดจากอายตนะ๒ อยาง นั้ น ก็มี ด วย, แล วไซร; เมื่ อ เป น ดั งนี้ ความปรากฏแห งส วนของวิ ญ ญาณ อั น เกิ ด จากอายตนะ ๒ อยางนั้น ยอมมี ในกาลนั้น.
www.buddhadasa.info รู ป ใด (ที่ เป น ของเกิ ด ร วม) แห งสมั น นาหารจิ ต อั น เกิ ด แล วอย างนั้ น , รูปนั้น ยอมถึงซึ่งการสังเคราะหในรูปู ปาทานขันธ; เวทนาใด (ที่ เป นของเกิดรวม) แห ง สมั น นาหารจิ ต อั น เกิ ด แล ว อย า งนั้ น , เวทนานั้ น ย อ มถึ ง ซึ่ ง การสงเคราะห ใน เวทนู ปาทานขั นธ; สัญญาใด (ที่เป นของเกิดรวม) แหงสมั นนาหารจิตอันเกิดแล ว อยา งนั ้น , สัญ ญานั ้น ยอ มถึง ซึ่ง การสงเคราะหใ นสัญ ูป าทานขัน ธ; สัง ขาร ทั้งหลายเหลาใด (ที่ เป นของเกิดรวม) แหงสมั นนาหารจิตอันเกิดแลวอยางนั้ น, สั งขาร ทั้ง หลายเหลา นั้น ยอ มถึงซึ่งการสงเคราะหในสัง ขารูป าทานขัน ธ; วิญ ญาณใด (ที่ เป นของเกิ ดรวม) แห งสมั นนาหารจิตอั นเกิ ดแล วอย างนั้ น, วิญ ญาณนั้ น ย อมถึ ง ซึ่งการสงเคราะหใน วิญญาณูปาทานขันธ.
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๐๙
ภิ ก ษุ ย อ มรู ชั ด อย า งนี้ ว า ได ยิ น ว า การสงเคราะห การประชุ ม พร อ ม การรวมหมูกัน แหงอุปาทานขันธทั้ง ๕ เหลานี้ ยอมมีไดดวยอาการอยางนี้. ก็แล คํานี้ เปนคําที่พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสแลววา "ผูใดเห็นปฏิจจสมุปบาท,ผูนั้นชื่อวาเห็นธรรม; ผูใดเห็นธรรม, ผูนั้นชื่อวาเห็นปฏิจจสมุปบาท" ดังนี้ ธรรมทั้ งหลายเหลานี้ ชื่อวา ปฏิจจสมุ ปป นนธรรม; กลาวคือ ป ญจุปาทานขันธ ทั้งหลาย. ธรรมใด เป น ความเพลิ น เป น ความอาลั ย เป น ความติ ด ตาม เป น ความสยบมัว เมาในอุป าทานขัน ธทั ้ง หลาย ๕ ประการเหลา นี ้; ธรรมนั ้น ชื ่อ วา ทุกขสมุทัย (เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข); ธรรมใด เป นความนํ าออกซึ่ งฉั นทราคะ เป นความละขาดซึ่ งฉั นทราคะ ในอุปาทานขันธทั้งหลาย ๕ ประการ เหลานี้; ธรรมนั้น ชื่อวา ทุ กขนิ โรธ (ความ ดับไมเหลือแหงทุกข) ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! ด วยการปฏิ บั ติ มี ป ระมาณเพี ยงเท านี้ แล คําสอนของพระผูมีพระภาคเจา ชื่อวาเปนสิ่งที่ภิกษุประพฤติกระทําใหมากแลว. .... .... .... ....
(จบขอความอันเกี่ ยวกับอายตนะที่หนึ่ง คือตากับรูป ดังนี้แลว ต อไปนี้ เปนขอความที่ เกี่ยว กับอายตนะที่สองเป นลําดับตอไป จนถึงอายตนะที่หก ซึ่งในที่ นี้จะละไวดวย...ฯลฯ... สําหรับอายตนะที่สอง ถึงอายตนะที่หา, แลวจะใสขอความเต็มสําหรับอายตนะที่หก อีกครั้งหนึ่ง ขอใหสังเกตจนเขาใจไดตามนี้)
www.buddhadasa.info
๒๑๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! แม ห ากว า , โสต (หู ) อั น เป น อายตนะ ภายใน เป นของไม แตก ทํ าลาย, และเสี ยงทั้ งหลายอั นเป นอายตนะภายนอก ก็ยั ง ไม ม า สู ค ล อ ง (แ ห ง โส ต ),...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ... ภิ ก ษุ ป ระ พ ฤ ติ ก ร ะ ทํ า ใหมากแลว. ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! แม หากวา, ฆาน (จมู ก) อั นเป นอายตนะ ภายใน เป นของไม แตก ทํ าลาย, และกลิ่ นทั้ งหลายอันเป นอายตนะภายนอก ก็ ยั ง ไม ม า สู ค ล อ ง (แ ห ง ฆ า น ),...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ... ภิ ก ษุ ป ระ พ ฤ ติ ก ระ ทํ า ใหมากแลว. ดูกอนท านผู มี อายุ ทั้งหลาย! แม หากวา, ชิ วหา (ลิ้ น) อันเป นอายตนะ ภายใน เป นของไม แตก ทํ าลาย, และรสทั้ งหลายอั น เป น อายตนะภายนอก ก็ ยั ง ไม ม าสู ค ล อ ง (แ ห ง ชิ ว ห า ),...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ... ภิ ก ษุ ป ระ พ ฤ ติ ก ระ ทํ า ใหมากแลว. ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! แม หากว า, กาย อั นเป นอายตนะภายใน เป น ของไม แ ตก ทํ าลาย, และโผฏฐั พ พะทั้ ง หลายอั น เป น อายตนะภายนอก ก็ ยั ง ไ ม ม า สู ค ล อ ง (แ ห ง ก า ย ..ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ... ภิ ก ษุ ป ร ะ พ ฤ ติ ก ร ะ ทํ า ใหมากแลว. .... .... .... ....
www.buddhadasa.info ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! แม ห ากว า, มโน (ใจ) อั น เป น อายตนะ ภายใน เปนของไมแตก ทําลาย, และธัมมารมณทั้งหลายอันเปนอายตนะภายนอก
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๑๑
ก็ ยั งไม ม าสู ค ลอง (แห งมโน) ทั้ งสมั น นาหารจิ ต อั น เกิ ด จากอายตนะ๒ อย างนั้ น ก็ ไม มี , แล ว ไซร ; ความปรากฏแห ง ส ว นของวิ ญ ญาณ อั น เกิ ด จากอายตนะ ๒ อยางนั้น ก็ยังจะไมมีกอน. ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! แม หากว า, มโน อั นเป นอายตนะภายใน เป นของไม แตก ทําลาย, และธัมมารมณ ทั้ งหลายอันเป นอายตนะภายนอกก็ยังไมมาสู คลอง (แห งมโน) แต ว าสมั น นาหารจิ ต อั น เกิ ด จากอายตนะ๒ อย างนั้ น ยั งไม มี , แล ว ไซร; ความปรากฏแห งส ว นของวิ ญ ญาณ อั น เกิ ด จากอายตนะ ๒ อย า งนั้ น ก็ยังจะไมมีอยูนั่นเอง. ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! ก็ แ ต ว า ,ในกาลใดแล มโนอั น เป น อายตนะภายในนั่นเทียว เปนของไมแตกทําลาย, และธัมมารมณ ทั้งหลายอันเป น อายตนะภายนอก ก็มาสูคลอง (แหงมโน) ทั้งสมันนาหารจิต อันเกิดจากอายตนะ ๒ อยางนั้นก็มีดวย, แลวไซร; เมื่อเปนดังนี้ ความปรากฏแหงสวนของวิญญาณ อันเกิดจากอายตนะ ๒ อยางนั้น ยอมมี ในกาลนั้น.
www.buddhadasa.info รู ป ใด (ที่ เป น ของเกิ ด ร ว ม) แห งสมั น นาหารจิ ต อั น เกิ ด แล ว อย า งนั้ น รูปนั้น ยอมถึงซึ่งการสังเคราะหในรูปู ปาทานขันธ; เวทนาใด (ที่ เป นของเกิดรวม) แห ง สมั น นาหารจิ ต อั น เกิ ด แล ว อย า งนั้ น , เวทนานั้ น ย อ มถึ ง ซึ่ ง การสงเคราะห ใน เวทนู ปาทานขั นธ; สัญญาใด (ที่เป นของเกิดรวม) แหงสมั นนาหารจิตอันเกิดแล ว อยา งนั ้น , สัญ ญานั ้น ยอ มถึง ซึ ่ง การสงเคราะหใ นสัญ ูป าทานขัน ธ; สัง ขาร ทั้ ง หลายเหล า ใด (ที่ เป น ของเกิ ด ร ว ม) แห ง สมั น นาหารจิ ต อั น เกิ ด แล ว อย า งนั้ น , สังขารทั้งหลายเหลานั้น ยอมถึงซึ่งการสงเคราะหในสังขารูปาทานขันธ; วิญญาณใด
www.buddhadasa.info
๒๑๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
(ที่ เป นของที่ เกิ ดรวม) แห งสมั นนาหารจิ ตอั นเกิ ดแล วอย างนั้ น, วิ ญ ญาณนั้ น ย อมถึ ง ซึ่งการสงเคราะหในวิญญาณูปาทานขันธ. ภิ ก ษุ ย อ มรู ชั ด อย า งนี้ ว า ได ยิ น ว า การสงเคราะห การประชุ ม พร อ ม การรวมหมูกัน แหงอุปาทานขันธทั้ง ๕ เหลานี้ ยอมมีไดดวยอาการอยางนี้. ก็ แล คํ านี้ เป นคํ าที่ พระผู มี พระภาคเจ าได ตรัสแล ววา "ผู ใดเห็ นปฏิ จจสมุปบาท,ผูนั้นชื่อวาเห็นธรรม; ผูใดเห็นธรรม, ผูนั้นชื่อวาเห็นปฏิจจสมุปบาท" ดั งนี้ ธรรมทั้ งหลายเหล านี้ ชื่ อว า ปฏิ จจสมุ ป ป นนธรรม; กล าวคื อ ป ญ จุ ปาทานขันธทั้งหลาย. ธรรมใด เป น ความเพลิ น เป น ความอาลั ย เป น ความติ ด ตาม เป น ความสยบมั ว เมาในอุ ป าทานขั น ธ ทั้ ง หลาย ๕ ประการเหล า นี้ ; ธรรมนั้ น ชื่ อ ว า ทุกขสมุทัย (เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข); ธรรมใด เป น ความนํ าออกซึ่ งฉั น ทราคะ เป น ความละขาดซึ่ งฉั น ทราคะ ในอุ ปาทานขั นธ ทั้ งหลาย ๕ ประการ เหล านี้ ; ธรรมนั้ น ชื่ อว า ทุ กขนิ โรธ (ความ ดับไมเหลือแหงทุกข) ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! ด วยการปฏิ บั ติ มี ป ระมาณเพี ย งเท า นี้ แ ล คํ า สอนของพระผู มี พ ระภาคเจ า ชื่ อ ว า เป น สิ่ ง ที่ ภิ ก ษุ ป ระพฤติ ก ระทํ า ให ม ากแล ว ดังนี้ แล. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า คํ า กล า วของพระ สารี บุ ต รเหล า นี้ แสดงให เห็ น ว า วิ ญ ญาณ, หรื อ ป ญ จุ ป าทานขั น ธ เกิ ด ขึ้ น ได อ ย า งไร และ เมื่อไร; และที่สําคัญที่สุดก็คือวา การเกิดขึ้นแหงวิญญาณ หรือปญจุปาทานขันธ ใน
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๑๓
ลั ก ษณะเช น ที่ กล าวในสู ต รนี้ นั่ น แหละคื อ การเกิ ด ขึ้ น ของปฏิ จ จสมุ ป บาทโดยตรง, กล าวให เจาะจงกว า นั้ น อี ก ก็ คื อ เมื่ อ สมั น นาหารจิ ต เกิ ด ขึ้ น ทางอายตนะใดอายตนะหนึ่ ง นั่ น เอง. การเห็ น การเกิ ด ดั บ อย า งนี้ คื อ เห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาท หรื อ ทุ ก ขสมุ ทั ย และทุ ก ขนิ โ รธ, โดย พฤติ นั ย ก็ คื อเห็ นอริ ยสั จสี่ โดยแท จริ ง ด วยป ญ ญาจั กษุ หรื อยถาภู ตสั มมั ป ป ญ ญา, จึ งมี ค า เทากับเห็นธรรม หรือเห็นตถาคต. ใจความสํ าคั ญของเรื่ องอยู ที่ ว า ปฏิ จจสมุ ปบาทตั้ งต น เมื่ อสมั นนาหารจิ ตทํ าหน าที่ ทาง อายตนะ; ขอใหกําหนดไว เปนหลักสําคัญ เกี่ยวกับเรื่องปฏิจจสมุปบาท สืบไป.
ปญจุปาทานขันธเพิ่งจะมี เมื่อเกิดเวทนาในปฏิจจสมุปบาท๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ ง จั ก ษุ ตามที่ เป น จริ ง , เมื่ อไม รูไม เห็ น ซึ่ งรู ปทั้ งหลาย ตามที่ เป นจริง,เมื่ อไม รูไม เห็ น ซึ่ งจั กษุ วิ ญญาณ ตามที่ เป น จริ ง , เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ ง จั ก ษุ สั ม ผั ส ตามที่ เป น จริ ง ,เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ ง เวทนา อั นเกิ ดขึ้ นเพราะจั กขุ สั มผั สเป นป จจั ย อั นเป นสุ ขก็ ตาม เป นทุ กข ก็ ตาม ไม ใช ทุ กข ไม ใช สุ ข ก็ ต าม ตามที่ เป น จริ ง แล ว ; เขาย อ มกํ า หนั ด ในจั ก ษุ , กํ า หนั ด ในรู ป ทั้ ง หลาย, กํ าหนั ดในจั กขุ วิ ญญาณ, กํ าหนั ดในจั กขุ สั มผั ส, และกํ าหนั ดในเวทนาอั นเกิ ดขึ้ นเพราะ จักขุสัมผัสเปนปจจัย อันเปนสุขก็ตาม เปนทุกขก็ตาม ไมใชทุกขไมใชสุขก็ตาม ตามที่เปนจริง. เมื่อ บุคคลนั้นกําหนัดแลว ติดพันแลว ลุมหลงแลว จองมองตออัสสาทะอยู, ปญจุปาทานขั น ธ ทั้ งหลาย ย อ มถึ งซึ่ งความก อเกิ ดต อ ไป; และตั ณ หาของเขาอั นเป น เครื่ องนํ าไปสู ภพใหม อั นประกอบอยู ด วยความกํ าหนั ดด วยอํ านาจความเพลิ น เป นเครื่ อง ทําใหเพลินอยางยิ่งในอารมณนั้น ๆ ยอมเจริญถึงที่สุด แกเขา; ความกระวนกระวาย
www.buddhadasa.info
๑
สฬายตนวิภังคสูตร อุปริ.ม. ๑๔/๕๒๑/๘๒๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๒๑๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
(ทรถ) แม นทางกาย ยอมเจริญถึงที่ สุด แกเขา; ความกระวนกระวาย แม ทางจิตย อมเจริญ ถึงที่ สุด แก เขา; ความแผดเผา (สนฺ ตาป) แม ทางกาย ยอมเจริญถึงที่ สุ ด แกเขา, ความ แผดเผา แมทางจิต ยอมเจริญถึงที่สุด แกเขา; ความเรารอน (ปริฬาห)แมทางกาย ยอมเจริญถึ งที่ สุด แกเขา, ความเรารอน แมทางจิต ยอมเจริญถึงที่ สุด แกเขา, บุ คคลนั้ น ยอมเสวยซึ่ งความทุ กข อั นเป นไปทางกาย ด วย, ซึ่งความทุ กขอั นเป นไปทางจิ ต ดวย. ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ งโสตะ ตามที่ เป น จริ ง, เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ งเสี ย งทั้ งหลาย ตามที่ เป น จริ ง,เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ งโสตวิ ญ ญาณ ตามที ่เ ปน จริง , ...ฯลฯ...ฯลฯ...บุค คลนั ้น ยอ มเสวยซึ ่ง ความทุก ขอ ัน เปน ไป ทางกาย ดวย, ซึ่งความทุกขอันเปนไปทางจิต ดวย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคล เมื่ อไม รูไม เห็ น ซึ่ งฆานะ ตามที่ เป นจริง, เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ งกลิ่ น ทั้ งหลาย ตามที่ เป น จริ ง,เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ งฆานวิ ญ ญาณ ตามที่เปนจริง,...ฯลฯ...ฯลฯ...บุคคลนั้น ยอมเสวยซึ่งความทุกขอันเปนไปทางกาย ดวย, ซึ่งความทุกขอันเปนไปทางจิต ดวย.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รูไม เห็ น ซึ่ งชิ วหา ตามที่ เป น จริ ง, เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ งรสทั้ งหลาย ตามที่ เป น จริ ง ,เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ งชิ ว หาวิ ญ ญาณ ตามที ่ เ ป น จริ ง ,...ฯลฯ...ฯลฯ...บุ ค คลนั ้ น ย อ มเสวยซึ ่ ง ความทุ ก ข อ ั น เป น ไปทางกาย ดวย, ซึ่งความทุกขอันเปนไปทางจิต ดวย.
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ ง กาย ตามที่ เป น จริ ง , เมื่อไมรูไมเห็น ซึ่งโผฏฐัพพะทั้งหลาย ตามที่เปนจริง,เมื่อไมรูไมเห็น ซึ่งกายวิญญาณ
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๑๕
ตามที ่เ ปน จริง ,...ฯลฯ...ฯลฯ..บุค คลนั ้น ยอ มเสวยซึ ่ง ความทุก ขอ ัน เปน ไปทาง กาย ดวย, ซึ่งความทุกขอันเปนไปทางจิต ดวย. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ ง มโน ตามที่ เป น จริ ง , เมื่ อไม รูไม เห็ น ซึ่ งธั มมารมณ ทั้ งหลาย ตามที่ เป นจริง,เมื่ อไม รูไม เห็ น ซึ่ งมโนวิ ญญาณ ตามที่ เป น จริ ง เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ ง มโนสั ม ผั ส ตามที่ เป น จริ ง , เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ ง เวทนาอันเกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป นป จจัย อันเปนสุขก็ตาม เป นทุ กขก็ตาม ไมใชทุกข ไม ใช สุ ขก็ ตาม ตามที่ เป นจริ ง แล ว; เขาย อมกํ าหนั ดในมโน, กํ าหนั ดในธั มมารมณ ทั้ งหลาย, กํ าหนั ดในมโนสั มผั ส, และกํ าหนั ดในเวทนาอั นเกิ ดขึ้ นเพราะมโนสั มผั สเป น ป จ จั ย อั น เป น สุ ข ก็ ต าม เป น ทุ ก ข ก็ ต าม ไม ใช ทุ ก ข ไม ใช สุ ข ก็ ต าม เมื่ อ บุ ค คลนั้ น กําหนัดแลว ติดพันแลว ลุมหลงแลว จองมองตออัสสาทะอยู, ปญจุปาทานขันธ ทั้ งหลาย ย อ มถึ งซึ่ งความก อเกิ ด ต อ ไป; และตั ณ หาของเขาอั นเป นเครื่องนํ าไปสู ภพใหม อั นประกอบอยู ด วยความกํ าหนั ดด วยอํ านาจความเพลิ น เป นเครื่ องทํ าให เพลิ น อย างยิ่ งในอารมณ นั้ น ๆ ย อ มเจริ ญ ถึ งที่ สุ ด แก เขา; ความกระวนกระวาย (ทรถ) แม ทางกาย ย อมเจริญถึ งที่ สุ ด แก เขา; ความกระวนกระวาย แม ทางจิ ตย อมเจริญ ถึ งที่ สุ ด แก เขา; ความแผดเผา (สนฺ ตาป) แม ทางกาย ย อมเจริ ญถึ งที่ สุ ด แก เขา, ความแผดเผา แม ทางจิ ต ย อมเจริ ญ ถึ งที่ สุ ด แก เขา; ความเร าร อน (ปริฬาห)แม ทางกาย ย อมเจริ ญ ถึ งที่ สุ ด แก เขา, ความเร าร อน แม ทางจิ ต ย อมเจริ ญ ถึ งที่ สุ ด แก เขา บุ คคลนั้ น ย อม เสวยซึ่งความทุกขอันเปนไปทางกาย ดวย, ซึ่งความทุกขอันเปนไปทางจิต ดวย.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๒๑๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
การเกิดแหงโลก คือการเกิดแหงปฏิจจสมุปบาท๑ ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! เราจักแสดง ซึ่งความกอขึ้นแหงโลก แกพวกเธอ ทั้ งหลาย. พวกเธอทั้ งหลาย จงฟ งความข อนั้ น, จงทํ าในใจให สํ าเร็จประโยชน , เราจั ก กลาวบัดนี้. ครั้นภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น ทู ลสนองรับพระพุ ทธดํ ารัสแล ว, พระผู มี พระภาคเจ าได ตรัส ถอยคําเหลานี้วา:-
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ความกอขึ้นแหงโลก เปนอยางไรเลา? (๑) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยตาด วย รู ปทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ; การประจวบพร อ มแห งธรรม ๓ ประการ (ตา+รู ป +จั กขุ วิ ญ ญาณ) นั่ นคื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตัณหา; เพราะมี ตั ณหาเป นป จจัย จึงมี อุ ปาทาน; เพราะมี อุปาทานเป นป จจัย จึงมี ภพ; เพราะมี ภ พเป น ป จจั ย จึ งมี ช าติ ; เพราะมี ชาติ เป น ป จจั ย , ชรามรณะ โสกะปริ เทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวย : นี้คือ ความกอเกิดแหงโลก.
www.buddhadasa.info (๒) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยหู ด วย เสี ยงทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด โสตะวิ ญญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ (โสตะ+เสี ยง+โสตะวิ ญญาณ) นั่นคือผัสสะ; ...ฯลฯ...
๑
สูตรที่ ๔ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๘๗/๑๖๔, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๑๗
(๓)ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยจมูกดวย กลิ่นทั้งหลายดวย, จึงเกิด ฆานวิญญาณ; การประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการ (จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ;...ฯลฯ... (๔) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยลิ้นดวย รสทั้งหลายดวย, จึงเกิด ชิวหาวิญญาณ; การประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการ (ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ; ...ฯลฯ... (๕) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยกายด วย โผฏฐั พพะทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดกายวิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (กาย+โผฏฐั พ พะ+ กายวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ; ...ฯลฯ... (๖) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยใจด วย, ธั มมารมณ ทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ด มโนวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อ มแห งธรรม ๓ ประการ (ใจ+ธั ม มารมณ + มโนวิญญาณ) นั่ นคื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา เพราะมี ตั ณ หาเป นป จจั ย จึ งมี อุ ปาทาน; เพราะมี อุ ปาทานเป น ป จจั ย จึ งมี ภพ; เพราะมี ภพเป นป จจั ยจึ งมี ชาติ ; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน : นี้คือ ความกอเกิดขึ้น แหงโลก.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้แล คือความกอขึ้นแหงโลก.
www.buddhadasa.info
๒๑๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
ทุกขเกิดเพราะเห็นอุปาทานิยธรรม โดยความเปนอัสสทะ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อภิกษุเปนผูมีปรกติ เห็นโดยความเปนอัสสาทะ (น ารั กน ายิ นดี ) ในธรรมทั้ งหลาย อั นเป นที่ ตั้ งแห งอุ ปาทาน (อุ ปาทานิ ยธรรม)๒ อยู , ตั ณหาย อมเจริญอย างทั่ วถึ ง. เพราะมี ตั ณหาเป นป จจั ย จึ งมี อุ ปาทาน; เพราะมี อุ ปาทาน เปน ปจ จัย จึง มีภ พ; เพราะมีภ พเปน ปจ จัย จึง มีช าติ; เพราะมีช าติเ ปน ปจ จัย , ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน :ความ เกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรี ยบเหมื อนไฟกองใหญ พึ งลุ กโพลงด วยไม สิ บ เลมเกวียนบาง ยี่สิบเลมเกวียนบาง สามสิบเลมเลมเกวียนบาง สี่สิบเลมเลมเกวียนบาง. บุรุษ พึงเติมหญ าแหงบ าง มูลโคแหงบาง ไมแหงบาง ลงไปในกองไฟนั้น ตลอดเวลาที่ควรเติม อยู เป นระยะ ๆ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยอาการอย างนี้ แล ไฟกองใหญ ซึ่ งมี เครื่อ ง หล อเลี้ ยงอย างนั้ น มี เชื้ อเพลิ งอย างนั้ น ก็ จะลุ กโพลงตลอดกาลยาวนาน, ข อนี้ ฉั นใด; ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่อภิกษุ เปนผูมี ปรกติ เห็นโดยความเป นอัสสาทะ (น ารักนายินดี ) ในธรรมทั้ งหลาย อั นเป นที่ ตั้ งแห งอุ ปาทานอยู , ตั ณ หาย อมเจริญ อย างทั่ วถึ ง ฉั นนั้ น เหมื อ นกั น เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ งมี อุ ป าทาน; เพราะมี อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึงมีภพ; เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเปนปจจัย, ชรามรณะ
www.buddhadasa.info
๑ ๒
สูตรที่ ๒ ทุกขวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๐๒/๑๙๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ธรรมอันเปนที่ตั้งแหงอุปาทาน หรืออุปาทานิยธรรม คือรูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ (ขนฺธ สํ . ๑๗/๒๐๒/๓๐๙); ตา, หู , จมู ก , ลิ้ น , กาย, ใจ (สฬา. สํ . ๑๘/๑๑๐/๑๖๐); รู ป , เสี ย ง, กลิ่ น , รส, โผฏฐัพพะ, ธัมมารมณ (สฬา.สํ.๑๘/๑๓๖/๑๙๐).
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๑๙
โส ก ะป ริ เท วะทุ ก ข ะโท ม นั ส อุ ป าย าส ทั้ งห ล าย จึ งเกิ ด ขึ้ น ค รบ ถ วน :ค วาม เกิ ด ขึ้ น พ ร อ ม แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ แล.
หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ยั งมี สู ต รอี ก สู ต รหนึ่ ง (คื อ สู ต รที่ ๕ แห งทุ ก ขวรรค อภิ ส มยสั ง ยุ ต ต นิ ท าน. สํ .๑๖/๑๐๕/๒๐๖) แสดงข อ ธรรมข อ เดี ย วกั น กั บ สู ต รข า ง บนนี้ ต างกั นแต อุ ปมา : แทนที่ จะอุ ปมาด วยไฟกองใหญ มี เชื้ อเพลิ งมาก ดั งในสู ตรข างบนนี้ แต ท รงอุ ป มาด ว ยต น ไม ใหญ มี รากมั่ น คง เหมื อ นอุ ป มาในหั ว ข อ ว า "จิ ต สั ต ว ยุ งเป น ปม
เพราะไมเห็นแจงปฏิจจสมุปบาท" อนึ่ ง ยั งมี สู ต รอี ก สู ต รหนึ่ ง (สู ต รที่ ๖ ทุ ก ขวรรค อภิ สมยสั งยุ ต ต นิ ท าน. สํ . ๑๖/๑๐๖/๒๑๐) มี ใจความเหมื อนสู ตรข างบนนี้ ทุ กประการ ผิ ดกั นแต ว าทรงเริ่ มต นสู ตรด วยคํ า อุปมา แลวจึงกลาวถึงขอธรรมซึ่งเปนตัวอุปไมย.
ทุกขเกิด เพราะเห็นสัญโญชนิยธรรม โดยความเปนอัสสาทะ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อภิกษุเปนผูมีปรกติ เห็นโดยความเปนอัสสาทะ (นารักนายินดี) ในธรรมทั้งหลาย อันเปนที่ตั้งแหงสังโยชน๒ อยู, ตัณหายอมเจริญอยาง ทั่ วถึ ง. เพราะมี ตั ณหาเป นป จจั ย จึ งมี อุ ปาทาน; เพราะมี อุ ปาทานเป นป จจั ย จึ งมี ภพ; เพราะมี ภ พเป น ป จจั ย จึ งมี ช าติ ; เพราะมี ชาติ เป น ป จจั ย , ชรามรณะ โสกะปริ เทวะ ทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน :ความเกิ ดขึ้ นพร อมแห งกองทุ กข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๓ ทุกขวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๐๓/๒๐๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๒ ดู ธ รรมอั น เป น ที่ ตั้ งแห ง สั ง โยชน (สั ญ โญชนิ ย ธรรม) ในหมวดที่ ๓ แห งหั ว ข อ ว า "นามรู ป หยั่ งลง
เพราะเห็นสัญโญชนิยธรรมโดยความเปนอัสสาทะ"
www.buddhadasa.info
๒๒๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนประที ปน้ํ ามั น พึ งลุ กอยู ได เพราะอาศั ย ซึ่งน้ํามันดวย ซึ่งไสดวย; บุ รุษพึ งเติมน้ํามัน พึ งเปลี่ยนไส ใหใหมอยู, ตลอดเวลาที่ควร เติ มที่ ควรเปลี่ ยนอยู ทุ กระยะ ๆ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยอาการอย างนี้ แล ประที ป น้ํ ามั น ซึ่ งมี เครื่ อ งหล อ เลี้ ย งอย างนั้ น มี เชื้ อ เพลิ งอย างนั้ น ก็ จะลุ ก โพลงตลอดกาล ยาวนาน, ข อนี้ ฉั น ใด; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อ ภิ กษุ เป น ผู มี ปรกติ เห็ นโดยความ เป นอัสสาทะ (นารักนายินดี) ในธรรมทั้งหลาย อันเป นที่ ตั้งแหงสังโยชนอยู, ตั ณหายอม เจริญอย างทั่ วถึ ง. ฉั นนั้ นเหมื อนกั น. เพราะมี ตั ณหาเป นป จจั ย จึ งมี อุ ปาทาน; เพราะ มี อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ งมี ภ พ; เพราะมี ภ พเป น ป จ จั ย จึ งมี ช าติ ; เพราะมี ช าติ เป น ป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน: ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ แล. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ยั ง มี สู ต รอี ก สู ต รหนึ่ ง (คื อ สู ต รที่ ๔ แห ง ทุ ก ขวรรค อภิ สมยสั งยุ ตต นิ ท าน. สํ .๑๖/๑๐๔/๒๐๔) มี ข อความเหมื อนสู ตรข างบนนี้ ทุ กประการ ผิดกันแตวาทรงเริ่มตนสูตรดวยคําอุปมากอน แลวจึงกลาวถึงขอธรรมซึ่งเปนตัวอุปไมย. อนึ่ ง ยั งมี สู ตรอี กสู ตรหนึ่ ง (สู ตรที่ ๗ ทุ กขวรรค อภิ สมยสั งยุ ตต นิ ทาน.สํ .๑๖/ ๑๐๗/๒๑๒) แสดงข อ ธรรมอย า งเดี ย วกั น กั บ สู ต รข า งบนนี้ ต า งกั น แต อุ ป มา : แทนที่ จ ะ อุ ปมาด วยประที ปน้ํ ามั นดั งในสู ตรข างบนนี้ แต ทรงอุ ปมาด วยต นไม ยั งอ อนอยู มี ผู คอยพรวน ดิน รดน้ํา ใสปุย จึงเจริญเติบโต.
www.buddhadasa.info แดนเกิดดับแหงทุกข-โรค-ชรามรณะ๑ (สูตรที่หนึ่ง : อายตนะภายใน หก)
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! การเกิดขึ้น (อุปฺปาโท) การตั้งอยู (ฐิติ) การเกิดโดยยิ่ง (อภินิพพนฺติ) การปรากฏ (ปาตุภาโว) แหงจักษุ, อันใด; อันนั้นเปนการเกิดขึ้นแหง
๑
สู ต รทั้ ง สิ บ สู ต ร แห ง อุ ป ปาทสั ง ยุ ต ต ขนฺ ธ . สํ . ๑๗/๒๘๓-๒๘๗/๔๗๙-๔๙๘, ตรั ส แก ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๒๑
ทุ กข , เป นการตั้ งอยู แห งโรค (สิ่ งซึ่ งมี ปรกติ เสี ยบแทง) ทั้ งหลาย, เป นการปรากฏออก แหงชราและมรณะ. ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! และการดั บไม เหลื อ (นิ โรโธ) การเขาไปสงบระงับ (วู ป สโม) การถึ งซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได (อตฺ ถงฺ ค โม) แห งจั ก ษุ , อั น ใด; อั น นั้ น เป น ความดั บไม เหลื อแห งทุ กข , เป นการเขาไปสงบระงับแห งโรคทั้งหลาย, เป นการถึ ง ซึ่งความตั้งอยูไมไดแหงชราและมรณะ. (ข อความในกรณี แห งจั กษุ เป นอย างไร ข อความในกรณี แห งโสตะ ฆานะ ชิ วหา กาย มโน ก็เปนอยางนั้นเหมือนกัน ทุกตัวอักษร ตางกันแตชื่ออายตนะแตละอยาง ๆ เทานั้น. ผูศึกษาพึงสังเกตใหเห็น วาจั กษุ โสตะ เป นต นเหล านี้ ดั บไปได โดยที่ คนไม ต องตาย; ดั งนั้ น คํ าวาจั กษุ เป นต นนั้ นมิ ได หมายถึ ง ดวงตา ตามปรกติ แต หมายถึ งดวงตาที่ ทํ าหน าที่ ของตา แล วหยุ ดไปครั้งหนึ่ ง ๆ เรียกวาจั กษุ เกิ ดขึ้นจั กษุ ดั บไป โดยที่ คนไม ต องเกิ ดใหม หรือตายลงโดยรางกาย; และยั งจะเห็ นได ชัดต อไปอี กว า ข อที่ วาการตั้ งอยู แหงจักษุ เปนการตั้งอยูแห งโรคทั้งหลายนั้น หมายถึงความเสี ยดแทงของกิเลสที่ เกิดขึ้นจากการที่ ตาเห็นรูป; และการปรากฏแหงจักษุ คื อ การปรากฏแหงชราและมรณะนั้น หมายความวา การเห็นทางตา ทําใหปญหาอัน เกิ ดแต ชราและมรณะปรากฏขึ้ น ในขณะนั้ นนั่ นเอง. ทั้ งหมดนี้ มี อาการแห งปฏิ จจสมุ ปบาทซ อนอยู ในนั้ น ครบทุ กอาการ นั บตั้ งแต อวิชชาไปจนถึงกองทุ กขทั้ งสิ้น. ตั วอย าง เช น ตาเกิ ดเป นตาขึ้ นมา เพราะการเห็ น รูปแลวเกิดจักขุวิญญาณ อันทําให เกิดการสัมผัสดวยอํานาจแห งอวิชชา (อวิชชาสั มผัส) ซึ่งยอมเป นการปรุง แต ง (สังขาร) อยู ในตั วมั นเองทุ กระยะ จึงได มี เวทนา ตั ณหา อุ ปาทาน ภพ ชาติ ชราและความทุ กข ทุ กครั้ง ที่มีการกระทบทางอายตนะเชนนี้.)
www.buddhadasa.info (สูตรที่สอง : อายตนะภายนอก หก)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! การเกิ ดขึ้ น การตั้ งอยู การเกิ ดโดยยิ่ ง การปรากฏ แห ง รู ป ทั้ ง หลาย, อั น ใด; อั น นั้ น เป น การเกิ ด ขึ้ น แห งทุ ก ข , เป น การตั้ ง อยู แ ห ง โรค ทั้งหลาย, เปนการปรากฏออกแหงชราและมรณะ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! และการดั บไม เหลื อ การเข าไปสงบระงับ การถึ งซึ่ ง ความตั้งอยูไมไดแหงรูปทั้งหลาย, อันใด; อันนั้น เปน ความดับไมเหลือแหงทุกข, เปน การเขาไปสงบระงับแหงโรคทั้งหลาย, เปนการถึงซึ่งความตั้งอยูไมไดแหงชราและมรณะ.
www.buddhadasa.info
๒๒๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
(ข อความในกรณี แห งรู ป เป นอย างไร ข อความในกรณี แห งเสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธัมมารมณ ก็เป นอยางนั้น เหมือนกันทุกตัวอักษร ต างกันแต ชื่ออายตนะแต ละอยาง ๆ เท านั้ น. ผูศึ กษา พึ งสังเกตให เห็นวา รูป เสียง เป นตน เหลานี้ เกิดดั บอยูทุกคราวที่ตาเห็ นรูป, หู ไดยินเสียง เปนตน ทุ ก คราวไปเสร็จกิ จครั้งหนึ่ ง เรียกวาดั บไปครั้งหนึ่ ง. เพราะทํ างานรวมกั นกั บอายตนะภายใน จึ งมี การเกิ ดดั บ พรอมกัน เปนเหตุใหเกิดทุกข ใหตั้งอยูแหงโรค ใหชราและมรณะปรากฏ หรือใหมีการดับไปแหงสิ่งเหลานั้น ในลักษณะอยางเดียวกันกับที่กลาวแลวในสูตรที่หนึ่ง.) (สูตรที่ สาม : วิญญาณ หก)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! การเกิ ดขึ้ น การตั้ งอยู การเกิ ดโดยยิ่ ง การปรากฏ แห งจั ก ขุ วิ ญ ญาณ, อั นใด; อั นนั้ นเป นการเกิ ดขึ้ นแห งทุ กข , เป นการตั้ งอยู แห งโรค ทั้งหลาย, เปนการปรากฏออกแหงชราและมรณะ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! และการดั บไม เหลื อ การเข าไปสงบระงับ การถึ งซึ่ ง ความตั้งอยูไม ได แห งจั กขุ วิญญาณ, อันใด; อันนั้น เป น ความดับไมเหลื อแห งทุกข, เป นการเขาไปสงบระงับแห งโรคทั้ งหลาย, เป นการถึ งซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได แห งชราและ มรณะ.
www.buddhadasa.info (ข อความในกรณี แห งจั กขุ วิ ญญาณ เป นอย างไร ข อความในกรณี แห งโสตวิ ญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ก็เปนอยางนั้นเหมือนกัน ทุกตัวอักษร ตางกันแตชื่อ ของวิญญาณไปตามชื่อของทวารอันเป นที่เกิดของวิญญาณนั้ น ๆ. ผูศึกษาพึ งสังเกตให เห็ นวา วิญญาณเกิดมา จากการกระทบระหว างอายตนะภายในและอายตนะภายนอก จนเกิ ดสั มผั สและเวทนาเป นต น จึ งเกิ ดทุ กข ใน ที่สุด; ดังนั้น จึงถือวาวิญญาณนั้น ๆ ก็เปนเหตุใหเกิดทุกขเปนตน อยางเดียวกันกับอายตนะนั่นเอง.) (สูตรที่ สี่ : ผัสสะ หก)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! การเกิ ดขึ้ น การตั้ งอยู การเกิ ดโดยยิ่ ง การปรากฏ แห ง จั ก ขุ สั ม ผั ส , อั น ใด; อั น นั้ น เป น การเกิ ด ขึ้ น แห ง ทุ ก ข , เป น การตั้ ง อยู แ ห ง โรค ทั้งหลาย, เปนการปรากฏออกแหงชราและมรณะ.
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๒๓
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! และการดั บไม เหลื อ การเข าไปสงบระงั บ การถึ งซึ่ ง ความตั้ งอยู ไม ได แห งจั กขุ สั มผั ส, อันใด; อันนั้ น เป น ความดั บไม เหลื อแห งทุ กข , เป น การเขาไปสงบระงับแหงโรคทั้งหลาย, เปนการถึงซึ่งความตั้งอยูไมไดแหงชราและมรณะ. (ข อความในกรณี แห งจั กขุ สั มผั ส เป นอย างไร ข อความในกรณี แห งโสตสั มผั ส ฆานสั มผั ส ชิ วหาสั มผั ส กายสั มผั ส มโนสั มผั ส ก็ เป นอย างนั้ นเหมื อนกั น ทุ กตั วอั กษร ต างกั นแต ชื่ อสั มผั สไปตามชื่ อ ของทวารนั้ น ๆ ผู ศึ กษาพึ งสั งเกตให เห็ นว า ผั สสะเกิ ดมาจากการประจวบพร อมของสิ่ งทั้ งสาม คื อ อายตนะ ภายใน อายตนะภายนอก, และวิ ญญาณ, เป นผลให เกิ ดเวทนา ตั ณหา เป นต นจนเกิ ดทุ กข และเป นที่ ตั้ งแห ง โรคเปนตน โดยนัยะอยางเดียวกันกับที่กลาวแลวในทายสูตรที่หนึ่ง.) (สูตรที่ หา : เวทนา หก)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! การเกิ ดขึ้ น การตั้ งอยู การเกิ ดโดยยิ่ ง การปรากฏ แห งจั ก ขุ สั ม ผั ส สชาเวทนา, อั น ใด; อั นนั้ น เป นการเกิ ดขึ้ นแห งทุ กข , เป นการตั้ งอยู แหงโรคทั้งหลาย, เปนการปรากฏออกแหงชราและมรณะ. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! และการดั บ ไม เหลื อ การเข าไปสงบระงั บ การถึ ง ซึ่งความตั้งอยูไมไดแหงจักขุสัมผัสสชาเวทนา, อันใด; อันนั้น เปน ความดับไมเหลือ แห งทุ กข , เป นการเข าไปสงบระงั บแห งโรคทั้ งหลาย, เป นการถึ งซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได แหงชราและมรณะ.
www.buddhadasa.info (ข อความในกรณี แห งจั กขุ สั มผั สสชาเวทนา เป นอย างไร ข อความในกรณี แห งโสตสั มผั สสชาเวทนา ฆานสั มผั สสชาเวทนา ชิ วหาสั มผั สสชาเวทนา กายสั มผั สสชาเวทนา มโนสั มผั สสชาเวทนา ก็ เป น อย างนั้ นเหมื อนกั น ทุ กตั วอั กษร ต างกั นแต ชื่ อเวทนาไปตามชื่ อของทวารนั้ นๆ ผู ศึ กษาพึ งสั งเกตให เห็ นว า เวทนาเป นผลเกิดมาจากผั สสะแลวทํ าให เกิ ดตั ณหา อุปาทาน ต อไปจนถึ งกองทุ กข จึ งเป นที่ ตั้ งที่ ดั บแห งโรค เปนตน โดยทํานองเดียวกัน) (สูตรที่ หก : สัญญา หก)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! การเกิ ดขึ้ น การตั้ งอยู การเกิ ดโดยยิ่ ง การปรากฏ แหง รูป สัญ ญา, อัน ใด; อัน นั ้น เปน การเกิด ขึ ้น แหง ทุก ข, เปน การตั ้ง อยู แ หง โรค ทั้งหลาย, เปนการปรากฏออกแหงชราและมรณะ.
www.buddhadasa.info
๒๒๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! และการดั บ ไม เหลื อ การเข าไปสงบระงั บ การถึ ง ซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได แห งรู ปสั ญ ญา, อั นใด; อั นนั้ น เป น ความดั บไม เหลื อแห งทุ กข , เป นการเขาไปสงบระงับแห งโรคทั้ งหลาย, เป นการถึ งซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได แห งชราและ มรณะ. (ขอความในกรณี แห งรูปสั ญญา เป นอย างไร ข อความในกรณี แห งสั ททสั ญญา คั นธสั ญญา รสสั ญญา โผฏฐัพพสั ญญา ธัมมสัญญา ก็เปนอยางนั้นเหมือนกัน ทุ กตัวอักษร ตางกันแตชื่อแหงสัญญาไป ตามชื่อของอารมณ นั้น ๆ ผู ศึกษาพึ งสั งเกตใหเห็ นวาความสําคัญ วารูป, วาเสี ยง เป นตนนั่ นเอง ทํ าให รูปและเสียงเกิดมี ความหมายสําหรับตัณหาและอุปาทาน สัญญาจึงเป นที่ เกิดแหงทุกขและเปนที่ตั้งแห งโรค ไดโดยทํานองเดียวกัน.) (สูตรที่ เจ็ด : สัญเจตนา หก)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! การเกิ ดขึ้ น การตั้ งอยู การเกิ ดโดยยิ่ ง การปรากฏ แหง รูป สัญ เจตนา, อัน ใด; อัน นั ้น เปน การเกิด ขึ ้น แหง ทุก ข, เปน การตั ้ง อยู แ หง โรคทั้งหลาย, เปนการปรากฏออกแหงชราและมรณะ.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! และการดั บไม เหลื อ การเข าไปสงบระงับ การถึ งซึ่ ง ความตั้ งอยูไม ได แห งรูปสั ญเจตนา, อั นใด; อันนั้น เป น ความดั บไม เหลื อแห งทุ กข, เป นการเขาไปสงบระงับแห งโรคทั้ งหลาย, เป นการถึ งซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได แห งชราและ มรณะ.
(ข อความในกรณี แห งรู ปสั ญเจตนา เป นอย างไร ข อความในกรณี แห งสั ททสั ญเจตนา คั นธสั ญเจตนา รสสั ญเจตนา โผฏฐัพพสั ญเจตนา ธัมมสัญเจตนา ก็ เป นอย างนั้ นเหมื อนกั น ทุ กตั วอั กษร ต าง กันแตชื่อแหงสัญญาเจตนาไปตามชื่อของอารมณ นั้นๆ ผูศึกษาพึงสังเกตใหเห็นวาสัญเจตนาเปนผลตอมาจาก สัญญากลาวคือ เมื่ อมี ความสําคัญวารูป วาเสียงเป นตนแลว ยอมเกิ ดสั ญเจตนา คื อความคิ ดอั นประกอบ ด วยเจตนาอย างใดอย างหนึ่ ง ในกรณี เกี่ ยวกั บรูปและเสี ยงเป นต นนั้ น จึ งเป นการเกิ ดแห งทุ กข และการตั้ ง อยูแหงโรคทั้งหลาย โดยทํานองเดียวกัน)
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๒๕
(สูตรที่ แปด : ตัณหา หก)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! การเกิ ดขึ้ น การตั้ งอยู การเกิ ดโดยยิ่ ง การปรากฏ แห ง รู ป ตั ณ หา, อั น ใด; อั น นั้ น เป น การเกิ ด ขึ้ น แห ง ทุ ก ข , เป น การตั้ ง อยู แ ห ง โรค ทั้งหลาย, เปนการปรากฏออกแหงชราและมรณะ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! และการดั บไม เหลื อ การเข าไปสงบระงับ การถึ งซึ่ ง ความตั้ งอยู ไม ได แ ห งรู ป ตั ณ หา, อั น ใด; อั น นั้ น เป น ความดั บ ไม เหลื อ แห งทุ ก ข , เป นการเขาไปสงบระงับแห งโรคทั้ งหลาย, เป นการถึ งซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได แห งชราและ มรณะ. (ข อความในกรณี แห งรูปตั ณหา เป นอย างไร ข อความในกรณี แห งสั ททตั ณหา คั นธตั ณหา รสตั ณหา โผฏฐั พพตัณหา ธัมมตัณหา ก็ เปนอยางนั้นเหมื อนกัน ทุ กตั วอักษร ต างกันแตชื่ อแห งตั ณหาไป ตามชื่อของอารมณ นั้นๆ ผูศึกษาพึ งสังเกตใหเห็นวา เมื่อมีสัญเจตนา กลาวคือความคิดอันเกี่ยวกับอารมณ ทั้งหกแลว ยอมเกิดตัณหาคือความอยาก อยางใดอยางหนึ่ง ไปตามความสําคัญหรือสัญญาในอารมณ เหลานั้น เป นกามตั ณ หาบ าง ภวตั ณ หาบ าง วิภวตั ณ หาบ าง เพื่ อเกิ ดอุ ปาทานต อไป จนกระทั่ งเกิ ดทุ กข ; ดั งนั้ น การเกิดแหงตัณหา จึงเปนการเกิดแหงทุกขหรือเปนที่ตั้งแหงโรคทั้งหลาย โดยทํานองเดียวกัน) (สูตรที่ เกา : ธาตุ หก)
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! การเกิ ดขึ้ น การตั้ งอยู การเกิ ดโดยยิ่ ง การปรากฏ แหง ปฐวีธ าตุ, อัน ใด; อัน นั ้น เปน การเกิด ขึ ้น แหง ทุก ข, เปน การตั ้ง อยู แ หง โรค ทั้งหลาย, เปนการปรากฏออกแหงชราและมรณะ.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! และการดั บไม เหลื อ การเข าไปสงบระงั บ การถึ งซึ่ ง ความตั้ ง อยู ไม ได แ ห ง ปฐวี ธ าตุ , อั น ใด; อั น นั้ น เป น ความดั บ ไม เหลื อ แห งทุ ก ข , เป นการเขาไปสงบระงับแห งโรคทั้ งหลาย, เป นการถึ งซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได แห งชราและ มรณะ. (ข อความในกรณี แห งปฐวี ธาตุ เป นอย างไร ข อความในกรณี แห งอาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ ก็เปนอยางนั้นเหมือนกัน ทุกตัวอักษร ต างกันแตชื่อแหงธาตุ แต ละธาตุ ๆ เทานั้น. ผูศึกษาพึงสังเกตใหเห็นวาธาตุทั้ง ๖ คือสวนประกอบตาง ๆ ที่จะประกอบกันเขาเปนนามรูปที่มีความหมาย
www.buddhadasa.info
๒๒๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
ของคํ าว านามรู ปอั นแท จริ ง คื อทํ าหน าที่ ของนามรู ป; ดั งนั้ น เป นอั นกล าวได ว า ธาตุ แต ละธาตุ ซึ่ งเป น ส วนประกอบของนามรูปนั้ น เพิ่ งจะเกิ ดเมื่ ออายตนะภายใน อายตนะภายนอก ที่ อาศั ยอยู ในนามรูปนั้ น ทํ า หน าที่ ของมั น จนเกิ ดวิญญาณ ผั สสะ เวทนา ตามลํ าดั บ จนกระทั่ งเกิ ดกองทุ กข ในที่ สุ ด. ทํ าให กล าวได ว า การเกิ ดแห งธาตุ หนึ่ ง ๆ ล วนแต เป นการเกิ ดแห งทุ กข หรือเป นที่ ตั้ งแห งโรคทั้ งหลาย โดยทํ านองเดี ยวกั น. อยาได เข าใจไปวา ธาตุ แต ละธาตุ เกิ ดขึ้ น หรือตั้ งอยู ตลอดเวลา ตามความหมายของภาษาวัตถุ เหมื อนที่ พู ด กั นตามธรรมดานั้ นเลย. ในที่ นี้ เป นภาษาฝ ายนามธรรม ซึ่ งถื อว า สิ่ งใด ๆ ก็ ตาม เกิ ดขึ้ นเฉพาะในเมื่ อมั น ทําหนาที่ ของมั นในกรณี อั นเกี่ยวกั บปฏิ จจสมุ ปบาท เป นขณะ ๆ ไปเทานั้น เสร็จแล วก็ถื อวาดับไป จนกวาจะ มีโอกาสทําหนาที่ใหม จึงจะถือวาเกิดขึ้นมาอีก ดังนี้.) (สูตรที่ สิบ : ขันธ หา)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! การเกิ ดขึ้ น การตั้ งอยู การเกิ ดโดยยิ่ ง การปรากฏ แหง รูป (ขัน ธ), อัน ใด; อัน นั ้น เปน การเกิด ขึ ้น แหง ทุก ข, เปน การตั ้ง อยู แ หง โรค ทั้งหลาย, เปนการปรากฏออกแหงชราและมรณะ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! และการดั บไม เหลื อ การเข าไปสงบระงั บ การถึ งซึ่ ง ความตั้ งอยู ไม ได แห งรู ป (ขั นธ ), อั นใด; อั นนั้ น เป น ความดั บไม เหลื อแห งทุ กข , เป น การเขาไปสงบระงับแหงโรคทั้งหลาย, เปนการถึงซึ่งความตั้งอยูไมไดแหงชราและมรณะ.
www.buddhadasa.info (ข อความในกรณี แห งรู ป เป นอย างไร ข อความในกรณี แห งเวทนา สั ญญา สั งขาร วิ ญญาณ ก็ เป น อย างนั้ น เหมื อ นกั น ทุ ก ตั ว อั ก ษร ต างกั น แต ชื่ อ แห งขั น ธ แ ต ล ะขั น ธ เท า นั้ น ผู ศึ ก ษาพึ งสั งเกตให เห็ น ว า ขั น ธ แ ต ล ะขั น ธ มี รู ป ขั น ธ เป น ต น เพิ่ งเกิ ด เป น คราว ๆ ในเมื่ อ มี ก ารกระทบทางอายตนะ จนเกิ ด วิ ญ ญาณ ผั สสะ เวทนา เป น ลํ าดั บ ๆ ไป จนกว าจะเกิ ดทุ กข . ร างกายในขณะนั้ น โดยเฉพาะ เรี ยกว า รูปขั นธ อั นเป นที่ ตั้ งแห งอุปาทาน, เวทนาในขณะนั้ นเรียกวา เวทนาขันธ อั นเป นที่ ตั้ งแห งอุ ปาทาน, สั ญญา หรือความสําคั ญในขณะนั้ น ซึ่งเรียกวา สัญญาขันธ อันเป นที่ตั้งแห งอุปาทน, ความคิดต าง ๆ ในขณะนั้ น ชื่อว า สั งขารขั นธ อั นเป นที่ ตั้ งแห งอุ ปาทาน, ความรูสึ กทางตาเป นต น ที่ เรียกว า จั กขุ วิญญาณเป นต น อั นเกิ ดใน ระยะแรกนั้ นก็ ดี และความรูแจ งต อความรูสึ กต าง ๆ ที่ เกิ ดขึ้ นในลํ าดั บต อมาก็ ดี รวมเรียกว า วิญญาณขั นธ อั นเป นที่ ตั้ งแห งอุ ปาทาน. อุ ปาทานขั นธ ๕ ประการ แต ละอย าง ๆ เป นสิ่ งที่ เพิ่ งเกิ ดมี ต อเมื่ อมี การกระทบ ทางอายตนะครั้ งหนึ่ ง ๆ แล วก็ ดั บไป. อุ ปาทานในขั นธ แต ละขั นธ ๆ นั้ น ล วนแต ให เกิ ดภพ เกิ ดชาติ ชรา มรณะ กล าวคื อกองทุ กข ในที่ สุ ด จึ งกล าววา การเกิ ดขั นธ แต ละขั นธ ๆ เป นการเกิ ดแห งทุ กข , เป นที่ ตั้ งอยู แหงโรคทั้งหลาย, เปนที่ปรากฏแหงชรา มรณะ โดยทํานองเดียวกัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๒๗
ส วนประกอบต าง ๆ ทุ ก ๆ หมวด ในสู ตรทั้ งสิ บสู ตรนี้ คื อสิ่ งที่ พั วพั นกั นอยู ในกระแสแห ง ปฏิจ จสมุป บาท ระยะใด ระยะหนึ ่ง สว นใดสว นหนึ ่ง ; ดัง นั ้น พระผู ม ีพ ระภาคเจา จึง ตรัส ให มี ลั กษณะ อาการ ความหมาย ความเป นเหตุ ความเป นผล เหมื อนกั นทุ กอย าง ทั้ ง ๕๙ อย าง ในสู ตร ทั้งสิบนี้.) -ผูรวบรวม
การดับแหงโลก คือการดับแหงปฏิจจสมุปบาท ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เราจั ก แสดง ซึ่ ง ความไม ตั้ ง อยู ได แ ห ง โลก แก พวกเธอทั้ งหลาย. พวกเธอทั้ งหลาย จงฟ งข อความนั้ น, จงทํ าในใจให สํ าเร็ จประโยชน , เราจักกลาวบัดนี้. ครั้นภิกษุทั้งหลายเหลานั้น ทูลสนองรับพระพุทธดํารัสแลว, พระผูมีพระภาค เ จ า ไ ด ต รั ส ถอยคําเหลานี้วา:ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ความไมตั้งอยูไดแหงโลก เปนอยางไรเลา?๑
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยตาด วย รู ปทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ดจั กขุ วิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรมสามประการ (ตา+รู ป+จั กขุ วิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพ ราะ ค ว าม จ า งค ล าย ดั บ ไป ไม เ ห ลื อ แ ห ง ตั ณ ห านั ้ น นั ่ น แ ห ล ะ , จึ ง มี ความดั บแห งอุ ปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึ งมี ความดั บแห งภพ; เพราะ มีความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ
๑
สูตรที่ ๔ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๘๗,๘๘/๑๖๔,๑๖๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๒๒๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๒๒๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึงดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กขทั้ งสิ้ นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. นี้คือ ความไมตั้งอยูไดแหงโลก ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยหู ด วย เสี ยงทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ดโสต วิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ (หู +เสี ยง+โสตวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผัสสะ;...ฯลฯ... ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยจมู กด วย กลิ่ นทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดฆานวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อ มแห งธรรม ๓ ประการ (จมู ก +กลิ่ น +ฆานวิ ญ ญาณ) นั่นคือผัสสะ;...ฯลฯ... ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยลิ้ นด วย รสทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดชิ วหาวิ ญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (ลิ้ น+รส+ชิ วหาวิ ญญาณ) นั่ นคื อ ผัสสะ;...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยกายด วย โผฏฐั พพะทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ด กายวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อ มแห งธรรม ๓ ประการ (กาย+โผฏฐั พ พะ+กายวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ; ...ฯลฯ...
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยใจด วย, ธั มมารมณ ทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ด มโนวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อ มแห ง ธรรม ๓ ประการ (ใจ+ธั ม มารมณ +มโนวิญ ญาณ) นั่ นคื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ปจจัย จึงมีตัณหา; เพราะความจางคลายดับไปไมเหลือแหงตัณหา
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๒๙
นั่ นแหละ, จึงความดับแห งอุปาทาน; เพราะมีความดั บแหงอุปาทาน จึงมีความดั บ แห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลง แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. นี้คือ ความไมตั้งอยูไดแหงโลก ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้แล คือความไมตั้งอยูไดแหงโลก.
ปฏิจจสมุปบาท (นิโรธวาร) ที่ตรัสอยางเขาใจงายที่สุด๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ความดั บลง (อตฺ ถงฺคโม) แห งกองทุ กข เป นอย างไร เลา? (ความดับลงแหงกองทุกข เปนอยางนี้ คือ:-) เพราะอาศั ยซึ่ งจั กษุ ด วย ซึ่ งรูปทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ดจั กขุ วิ ญ ญาณ; การ ประจวบพร อ มแห ง ธรรมสามประการ (ตา+รู ป +จั ก ขุ วิ ญ ญาณ ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะ ความจางคลายดับไปไมเหลือแหงตัณหานั้นนั่นแหละ, จึงความดับแหงอุปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึงมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดับแหงชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะ-
www.buddhadasa.info
๑
สุตรที่ ๓ โยคักเขมิวรรค สฬายตนสังยุตต สฬา.สํ. ๑๘/๑๐๗/๑๕๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
๒๓๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
โทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้. นี้คือความดับลงแหงกองทุกข. เพราะอาศั ยซึ่ งโสตะด วย ซึ่ งเสี ยงทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ดโสตวิ ญญาณ; การ ประจวบพร อ มแห งธรรม ๓ ประการ (โสตะ+เสี ย ง+โสตะวิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะ ความจางคลายดับไปไมเหลือแหงตัณหานั้นนั่นแหละ, จึงความดับแหงอุปาทาน; ….ฯลฯ...นี้คือความดับลงแหงกองทุกข. เพราะอาศั ยซึ่ งฆานะด วย ซึ่ งกลิ่ นทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดฆานวิ ญญาณ; การ ประจวบพร อ มแห งธรรม ๓ ประการ (ฆานะ+กลิ่ น +ฆานวิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะ ความจางคลายดับไปไมเหลือแหงตัณหานั้นนั่นแหละ, จึงความดับแหงอุปาทาน ; ...ฯลฯ...นี้คือความดับลงแหงกองทุกข. เพราะอาศั ยซึ่ งชิ วหาด วย ซึ่ งรสทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดชิ วหาวิ ญญาณ; การ ประจวบพร อ มแห ง ธรรม ๓ ประการ (ชิ ว หา+รส+ชิ ว หาวิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะ ความจางคลายดับไปไมเหลือแหงตัณหานั้นนั่นแหละ, จึงความดับแหงอุปาทาน; …ฯลฯ...นี้คือความดับลงแหงกองทุกข.
www.buddhadasa.info เพราะอาศั ยซึ่ งกายด วย ซึ่ งโผฏฐั พพะทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดกายวิญญาณ; การประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการ (กาย+โผฏฐัพพะ+กายวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ;
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๓๑
เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะ ความจางคลายดับไปไมเหลือแหงตัณหานั้นนั่นแหละ, จึงความดับแหงอุปาทาน; ...ฯลฯ...นี้คือความดับลงแหงกองทุกข. เพราะอาศั ยซึ่ งมโนด วย, ซึ่ งธั มมารมณ ทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดมโนวิ ญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (มโน+ธั มมารมณ +มโนวิ ญญาณ) นั่ นคื อผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะ ความจางคลายดับไปไมเหลือแหงตัณหานั้นนั่นแหละ, จึงความดับแหงอุปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึงมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้. นี้คือความดับลงแหงกองทุกข. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้แล คือความดับลงแหงกองทุกข.
www.buddhadasa.info ทุกขดับ เพราะเห็นอุปาทานิยธรรม โดยความเปนอาทีนวะ๑
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อภิกษุเปนผูมีปรกติ เห็นโดยความเปนอาทีนวะ (โทษอันต่ําทราม) ในธรรมทั้งหลาย อันเปนที่ตั้งแหงอุปาทานอยู, ตัณหายอมดับ. เพราะ .
๑
สูตรที่ ๒ ทุกขวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๐๒/๑๙๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน
www.buddhadasa.info
๒๓๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕
มี ความดั บแห งตั ณหา จึงมี ความดั บแห งอุปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุปาทานจึงมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บ แห งชาติ เป นนั่ นแล, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนไฟกองใหญ พึ งลุ กโพลงด วยไม สิ บเล ม เกวียนบาง ยี่สิบเลมเกวียนบาง สามสิบเลมเลมเกวียนบาง สี่สิบเลมเลมเกวียนบาง. บุรุษไม พึงเติมหญ าแหงบาง ไมพึงเติมมูลโคแหงบาง ไมพึงเติมไมแหงบาง ลงไปในกองไฟนั้น ตลอด เวลาที่ ควรเติ ม อยู เป น ระยะ ๆ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ด วยอาการอย างนี้ แล ไฟกอง ใหญ นั้ นไหม เชื้ อเพลิ งเก าหมดแล วด วยไม มี เชื้ อ อื่ นมาเติ มด วย เป นไฟหมดเชื้ อหล อ เลี ้ย งแลว ดับ ไป, ขอ นี ้ฉ ัน ใด; ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! ขอ นี ้ก ็ฉ ัน นั ้น เมื ่อ ภิก ษุ เป นผู มี ปรกติ เห็ นโดยความเป นอาที นวะ (โทษอั นต่ํ าทราม) ในธรรมทั้ งหลาย อั นเป น ที่ตั้ งแหงอุปาทานอยู, ตัณหายอมดั บ. เพราะมี ความดับแห งตั ณหา จึงมี ความดับแห ง อุ ปาทาน; เพราะมี ความดั บ แห งอุ ปาทาน จึ งมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บ แห ง ภพ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ชาติ , ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น :ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ยั ง มี สู ต รอี ก สู ต รหนึ่ ง (คื อ สู ต รที่ ๕ แห ง ทุ ก ขวรรค อภิ สมยสั งยุ ตต นิ ทาน. สํ . ๑๖/๑๐๖/๒๐๘) แสดงข อธรรมข อเดี ยวกั นกั บ สู ตรข างบนนี้ ต า งกั น แต อุ ป มา : แทนที่ จ ะอุ ป มาด ว ยไฟกองใหญ ห มดเชื้ อ ดั ง ในสู ต รข า งบนนี้ แต ท รง อุ ป มาด ว ยต น ไม ใหญ ที่ ถู ก ทํ า ลายหมดสิ้ น เหมื อ นอุ ป มาในหั ว ข อ ว า "จิ ต สั ต ว ยุ งเป น ปม
เพราะไมเห็นแจงปฏิจจสมุปบาท" อนึ่ ง ยั งมี สู ตรอี กสู ตรหนึ่ ง (สู ตรที่ ๖ ทุ กขวรรค อภิ สมยสั งยุ ตต นิ ทาน. สํ . ๑๖/ ๑๐๗/๒๑๑) มี ใจความเหมื อ นสู ตรข างบนนี้ ทุ กประการ ผิ ด กั นแต ว าทรงเริ่ มข อความด วยคํ า อุปมากอน แลวจึงกลาวถึงขอธรรมซึ่งเปนตัวอุปไมย.
www.buddhadasa.info
วาดวยการเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข
๒๓๓
ทุกขดับ เพราะเห็นสัญโญชนิยธรรม โดยความเปนอาทีนวะ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อภิกษุเปนผูมีปรกติ เห็นโดยความเปนอที นวะ (โทษอั น ต่ํ า ทราม)ในธรรมทั้ งหลาย อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง สั งโยชน อ ยู , ตั ณ หาย อ มดั บ เพราะมี ความดั บแห งตั ณหา จึ งมี ความดั บแห งอุ ปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึ งมี ค วามดั บ แห งภพ; เพราะมี ค วามดั บ แห งภพ; จึ งมี ค วามดั บ แห งชาติ ; เพราะมี ความดับแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุปายาสทั้ งหลาย จึงดับสิ้น; ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนประที ปน้ํ ามั น พึ งลุ กอยู ได เพราะอาศั ย น้ํามันดวย ซึ่งไสดวย; บุ รุษพึงเติมน้ํามัน พึ งเปลี่ยนไส ใหใหมอยู, ตลอดเวลาที่ควรเติม ที่ ค วรเปลี่ ย นอยู ทุ ก ระยะ ๆ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ด ว ยอาการอย า งนี้ แ ล ประที ป น้ํ ามั นนั้ น ไหม เชื้ อเพลิ งเก าหมดแล วด วย ไม มี น้ํ ามั นและไส อื่ นมาเติ มมาเปลี่ ยนด วย เปนประทีปหมดเชื้อหลอเลี้ยงแลว พึงดับไป,ขอนี้ฉันใด;ขอนี้ก็ฉันนั้น ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ขอนี้ ก็ ฉั นนั้ น; เมื่ อภิ กษุ เป นผู มี ปรกติ เห็ นโดยความเป นอาที นวะ (โทษอั นต่ํ าทราม) ในธรรมทั้ งหลาย อั นเป นที่ ตั้ งแห งสั งโยชน อยู , ตั ณหาย อมดั บ. เพราะมี ความดั บแห ง ตั ณหา จึ งมี ความดั บแห งอุ ปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึ งมี ความดั บแห ง ภพ; เพราะมี ค วามดั บ แห งภพ จึ งมี ค วามดั บ แห งชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห งชาติ , ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ ง หลาย จึ ง ดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๓ ทุกขวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๐๔/๒๐๒, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน
www.buddhadasa.info
๒๓๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๕ ห ม า ย เห ต ุผู ร ว บ ร ว ม : ย ัง ม ีส ูต รอ ีก ส ูต รห นึ ่ง (ค ือ ส ูต รที ่ ๔ แ ห ง ทุ ก ขวรรค อภิ ส มยสั ง ยุ ต ต นิ ท าน. สํ . ๑๖/๑๐๕/๒๐๕) มี ข อ ความเหมื อ นสู ต รข า งบนนี้ ทุ กประการ ผิ ด กั น แต ว าสู ตรโน น ทรงเริ่ ม ข อความด วยคํ าอุ ป มาก อ น แล วจึ งกล าวถึ งข อธรรม ซึ่งเปนตัวอุปไมย. อนึ่ ง ยั ง มี สู ต รอี ก สู ต รหนึ่ ง (สู ต รที่ ๗ ทุ ก ขวรรค อภิ ส มยสั ง ยุ ต ต นิ ท าน. สํ . ๑๖/๑๐๘/๒๑๔) แสดงขอ ธรรมขอ เดีย วกัน กับ สูต รขา งบนนี ้ ตา งกัน แตอ ุป มา : แทน ที ่จ ะอุป มาดว ยประทีป หมดน้ํ า มัน และไสเ หมือ นสูต รนี ้ แตท รงอุป มาดว ยตน ไมย ัง ออ น ถูกทําลายหมดสิ้น.
หมวดที่หา จบ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
หมวด ๖ วาดวย ปฏิจจสมุปบาท ที่ตรัส ในรูปของการปฏิบัติ
www.buddhadasa.info ๒๓๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฎอิทัปปจจยตา : หัวในปฏิจจสมุปบาท. ………………………... อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมมี อิมสฺสุปฺ ปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป (ม.ม.๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน.สํ.๑๖/๘๔/๑๕๔,...)
www.buddhadasa.info ๒๓๗
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่องเฉพาะหมวด สําหรับปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๖ วาดวย ปฏิจจสมุปบาท ที่ตรัสในรูปของการปฏิบัติ (มี ๓๘ เรื่อง) มีเรื่อง: ตรัสวาปฏิจจสมุปบาทเปนเบื้องตนแหงพรหมจรรย-- ผูไมรูปฏิจจสมุปบาทยั ง มีห นา ที่ตอ งเที่ย วแสวงหาครู- -ผูไ มรูป ฏิจ จสมุป บาทยัง มีห นา ที่ ตอ งทํา การศึก ษา-ผู ไ มรูป ฏิจ จสมุป บาทยัง มีห นา ที ่ต อ งบํ า เพ็ญ โยคะ-- ผู ไ มรูป ฏิจ จสมุป บาทยัง มีห นา ที ่ต อ ง ประกอบฉั น ทะ--ผู ไ ม รู ป ฏิ จ จสมุ ป บาทยั ง มี ห น า ที ่ ต อ งบํ า เพ็ ญ อุ ส โสฬ ห ี — ผู ไ ม รู ป ฏิ จ จสมุป บาทยัง มีห นา ที่ตอ งบํา เพ็ญ อัป ปฏิว านี--ผูไ มรูป ฏิจ จสมุป บาทยัง มีห นา ที่ตอ งประกอบ ความเพี ย รเผากิ เ ลส--ผู ไ ม รู ป ฏิ จ จสมุ ป บาทยั ง มี ห น า ที่ ต อ งประกอบวิ ริ ย ะ—ผู ไ ม รู ป ฏิ จ จสมุป บาทยัง มีห นา ที่ตอ งประกอบการกระทํา อัน ติดตอ —ผูไมรูป ฏิจ จสมุป บาทยังมีห นา ที่ตอ ง อบรมสติ - -ผู ไ ม รู ป ฏิ จ จสมุ ป บาทยั ง มี ห น า ที่ ต อ งอบรมสั ม ปชั ญ ญะ—ผู ไ ม รู ป ฏิ จ จสมุ ป บาทยัง มีห นา ที่ตอ งบํา เพ็ญ ความไมป ระมาท--ทรงมุง หมายใหป ฏิจ จสมุป บาทเปน เรื่อ งของ การปฏิ บั ติ - -การหลี ก เร น ทํา ให ง า ยแก ก ารรู ป ฏิ จ จสมุ ป บาท—การคิ ด ค น ปฏิ จ จสมุ ป บาท ก็คือ การเดิน ตามอริยัฏ ฐัง คิก มรรค-- ปฏิบัติเพื่อ การดับ ปฏิจ จสมุป บาทชื่อ วา ปฏิบัติธ รรมสมควรแก ธ รรม--องค ป ระกอบที่ เ ป น บุ พ พภาคของการดั บ แห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท--ผั ส สะ คื อ นิ ท านสั ม ภวะส ว นมากของนิ พ เพนิ ก ธรรม--ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห ง การกํา จั ด อุ ป สั ค ขณะ เจริ ญ สติ ป ฏ ฐาน--ปฏิ จ จสมุ ป บาทเพื่ อ สามั ญ ญผลในป จ จุ บั น --ปฏิ จ จสมุ ป บาทเป น สิ่ ง ที่ ต อ งเห็ น ด ว ยยถาภู ต สั ม มั ป ป ญ ญา--แม ก ารทํา ความเพี ย รในที่ ส งั ด ก็ ยั ง ต อ งปรารภขั น ธ ห า --แม สุ ข ทุ ก ข ภ ายในก็ เ กิ ด ขึ้ น เพราะปรารภขั น ธ ห า -- ต น เงื่ อ นของปฏิ จ จสมุ ป บาท ละไดดว ยการเห็น ธรรมทั้ง ปวงวา ไมค วรยึด มั่น --ตน เงื่อ นแหง ปฏิจ จสมุป บาทละไดดว ยการ เห็น อนิจ จัง --เคล็ด ลับ ในการปด กั้น ทางเกิด ของปฏิจ จสมุป บาท--การพิจ ารณาปจ จัย ในภาย ในคือ การพิจ ารณาปฏิ จ จสมุป บาท--ธรรมปฏิบัติใ นรูป ของปฏิ จ จสมุ ป บาทแหง การละองค สามตามลํา ดั บ --วิ ธี ป ฏิ บั ติ ต อ อาหารสี่ ใ นลั ก ษณะที่ เ ป น ปฏิ จ จสมุ ป บาท—ป ญ จุ ป าทานขัน ธไ มอ าจจะเกิด เมื่อ รูเ ทา ทัน เวทนาในปฏิจ จสมุป บาท—การพิจ ารณาสภาวธรรมตามวิธี ปฏิ จ จสมุ ป บาทกระทั่ ง วาระสุ ด ท า ย—อนุ สั ย ไม อ าจจะเกิ ด เมื่ อ รู เ ท า ทั น เวทนาในปฏิ จ จสมุป บาท--ปฏิจ จสมุ ป บาทสลายตัว เมื่อ รูแ จง ในธรรมห า อัน เปน ที่ตั้ ง แห ง อุ ป าทาน--ญาณ วัตถุ ๔๔ ในปฏิจจสมุปบาทเพื่อความเปนโสดาบัน-- ญาณวัตถุ ๗๗ ในปฏิจจสมุปบาท เพื ่ อ ความเปน โสดาบั น -- การรูป ฏิจ จสมุป บาทไมเ กี่ย วกับ การบรรลุอ ภิ ญ ญาเลยก็ไ ด- ปฏิ จ จสมุ ป บาทรอบสุ ด ท า ยของคนเรา. ๒๓๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
หมวดที่ ๖ วาดวย ปฏิจจสมุปบาท ที่ตรัส ในรูปของการปฏิบัติ -----------------
ตรัสวา เรื่องปฏิจจสมุปบาท เปนเบื้องตนแหงพรหมจรรย๑ ครั้ งหนึ่ ง พระผู มี พ ระภาคเจ า เมื่ อเสด็ จประทั บ อยู ในที่ ห ลี กเร นแห งหนึ่ งแล ว ได กล าว ธรรมปริยายนี้ (ตามลําพังพระองค) วา:-
(๑) "เพราะอาศั ยตาด วย รู ป ทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ดจั กขุ วิ ญ ญาณ; การ ประจวบแหงธรรมสามประการ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ;
www.buddhadasa.info
๑
สู ต รที่ ๕ คหปติ ว รรค อภิ ส มยสั ง ยุ ต ต นิ ท าน. สํ . ๑๖/๘๙/๑๖๖, และ สู ต รที่ ๑๐ โยคั ก เขมิ ว รรค สฬายตนสั งยุ ตต สฬา.สํ . ๑๘/๑๑๑/๑๖๓; กล าวตามลํ าพั งพระองค ในคราวประทั บหลี กเร น ซึ่ งมี ภิ กษุ รูปหนึ่งยืนแอบฟงอยูดวย.
๒๓๙
www.buddhadasa.info
๒๔๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖ เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงอุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเปนปจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย ชรามรณ ะ โสกะปริ เ ทวะทุ ก ขะโทมนั ส
อุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งมี ขึ้ น พร อ ม : ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห งกองทุ ก ข ทั้ งสิ้ น นี้ ย อ มมี ดวยอาการอยางนี้ (ข อความเต็ มในกรณี แห งหู ก็ มี อย างเดี ยวกั นกั บในกรณี แห งตา ทุ กตั วอั กษร ต างกั นแต ชื่อ ในกรณีแหงจมูก ลิ้น กาย ก็มีนัยเดียวกัน. ในกรณีแหงมโน จะเขียนเต็มอีกครั้งหนึ่ง.)
(๒) เพราะอาศั ย หู ด วย เสี ยงทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด โสตวิ ญ ญาณ; การ ประจวบแหงธรรม ๓ ประการ (หู+เสียง+โสตวิญญาณ) นั้นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; … ฯลฯ... ...ฯลฯ... ….ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความเกิดขึ้นพรอมแหง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้
www.buddhadasa.info (๓) เพราะอาศั ยจมู กด วย กลิ่ นทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดชิ วหาวิ ญญาณ; การ ประจวบแหงธรรม ๓ ประการ (จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ) นั้นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ......
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๔๑
ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความเกิดขึ้นพรอมแหง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ (๔) เพราะอาศั ยลิ้ นด วย รสทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดชิ วหาวิ ญญาณ; การ ประจวบแหงธรรม ๓ ประการ (ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ) นั้นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... …ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความเกิดขึ้นพรอมแหง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ (๕) เพราะอาศั ยกายด วย โผฏฐั พพะทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดกายวิ ญญาณ; การประจวบแหงธรรม ๓ ประการ (กาย+โผฏฐัพพะ+กายวิญญาณ) นั้นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ...... …ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความเกิดขึ้นพรอมแหง กองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้
www.buddhadasa.info (๖) เพราะอาศั ยใจด วย, ธั มมารมณ ทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดมโนวิ ญญาณ; การประจวบแหงธรรม ๓ ประการ (ใจ+ธัมมารมณ+มโนวิญญาณ) นั้นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา;
www.buddhadasa.info
๒๔๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงอุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเปนปจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเปนปจจัย , ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส อุปายาสทั้งหลายจึงมีขึ้นพรอม : ความความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวย อาการอยางนี้. ... .... .... .... (๑) เพราะอาศั ยตาด วย รู ป ทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ; การ ประจวบพรอมแหงธรรมสามประการ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ) นั้นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา; เพราะความจางคลายดั บ ไปโดยไม เ หลื อ แห ง ตั ณ หา นั้น จึงมีความดับแหงอุปาทาน; เพราะมีความดับแหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ; เพราะมีค วามดับ แหง ชาติ ชรามรณ ะ โสกะปริเ ทวะทุกขะโทมนั สอุปายาสทั้ งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห งกองทุกขทั้ งสิ้นนี้ ยอมมี ดวย อาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๔๓
(ขอความเต็ มในกรณี แห งหู ก็ มีอยางเดียวกั นกับในกรณี แห งตา ทุ กตัวอักษร ต างกันแต ชื่อ ในกรณีแหง จมูก ลิ้น กาย ก็มีนัยเดียวกัน. ในกรณีแหง มโน จะเขียนเต็มอีกครั้งหนึ่ง.)
(๒) เพราะอาศั ยหู ด วย เสี ยงทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด โสตวิ ญ ญาณ; การ ประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการ (หู+เสียง+โสตวิญญาณ) นั้นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ...... …ฯ ล ฯ ... ...ฯ ล ฯ ... ค วาม ดับ ล งแ หง ก อ งทุก ข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. (๓) เพราะอาศั ยจมู กดวย กลิ่ นทั้งหลายดวย, จึงเกิดฆานวิญญาณ; การ ประจวบแหงธรรม ๓ ประการ (จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ) นั้นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ...... …ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info (๔) เพราะอาศั ยลิ้ นด วย รสทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดชิ วหาวิ ญญาณ; การ ประจวบแหงธรรม ๓ ประการ (ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ) นั้นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info
๒๔๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
(๕) เพราะอาศั ยกายด วย โผฏฐัพพะทั้ งหลายด วย, จึงเกิ ดกายวิญญาณ; การประจวบแหงธรรม ๓ ประการ (กาย+โผฏฐัพพะ+กายวิญญาณ) นั้นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; …ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. (๖) เพราะอาศัยใจดวย, ธัมมารมณ ทั้งหลายดวย, จึงเกิดมโนวิญญาณ; การประจวบแหงธรรม ๓ ประการ (ใจ+ธัมมารมณ+มโนวิญญาณ) นั้นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา; เพราะความจางคลายดั บ ไปโดยไม เ หลื อ แห ง ตั ณ หา นั้น จึงมีความดับแหงอุปาทาน; เพราะมีความดับแหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ; เพราะมีค วามดับ แหง ชาติ ชรามรณ ะ โสกะปริเ ทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ดวยอาการอยางนี้".
www.buddhadasa.info สมัยนั้น ภิ กษุ องค หนึ่ ง ไดยืนแอบฟ งพระผูมีพระภาคเจาอยู, พระผูมีพระภาคเจาทอดพระเนตรภิ กษุ ผู ยื นแอบฟ งนั้ นแล ว ได ทรงกล าวกะภิ กษุ นั้ นวา "ดู ก อนภิ กษุ ! เธอได ยิ นธรรม ปริยายนี้ แล ว มิใชหรือ?"
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๔๕
"ไดยิน พระเจาขา!"
"ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เธอจงรั บ เอาธรรมปริ ย ายนี้ ไ ป. ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เธอจง เล า เรี ย นธรรมปริ ย ายนี้ . ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เธอจงทรงไว ซึ่ ง ธรรมปริ ย ายนี้ . ดู ก อ น ภิก ษุ! ธรรมปริย ายนี้ป ระกอบดว ยประโยชน, เปน เบื้อ งตน แหง พรหมจรรย" ดังนี้ แล.
ผูไมรูปฏิจจสมุปบาท ยังมีหนาที่ ตองเที่ยวแสวงหาครู๑ ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! บุค คล เมื ่อ ไมรู ไ มเ ห็น ซึ ่ง ชรามรณะ, ...ซึ ่ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง ชรามรณะ,...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, ตามที่ เป นจริง; เขาพึ งทํ าการ แสวงห าครู เพื ่อ ใหรู ในชรามรณ ะ,...ในเหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ชรามรณ ะ,...ใน ความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ,...ในข อปฏิ บั ติ เครื่ องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อ แหงชรามรณะ, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ใน กรณ ีแ หง บ ท วา ชาติ..ภ พ ..อุป าท าน ..ตัณ ห า..เวท น า..ผัส สะ.. สฬ ายต น ะ ..นามรู ป ..วิ ญ ญาณ..ก็ มี คํ า ตรั ส อย างเดี ย วกั น กั บ คํ า ตรั ส ของบทว า ชรามรณะ ข า งบนนี้ ตรงกั น ทุ ก ตั วอั กษร ต างกั นแต ชื่ อของสิ่ งที่ หยิ บขึ้ นพิ จารณา จนกระทั่ งถึ งบทสุ ดท าย อั นเกี่ ยวกั บ สั งขาร ดั งที่ มี อยู ตอไปขางลางนี้:-)
๑
สัตถาปริเยสน (เปยยาล) วรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๖๐/๓๐๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลายที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๒๔๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคล เมื่ อไม รู ไม เห็ น ซึ่ งสั งขารทั้ งหลาย, ...ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ า สั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร, ตามที่ เป นจริ ง; เขาพึ งทํ าการแสวงหาครู เพื ่อ ใหรู ในสัง ขารทั ้ง หลาย,...ในเหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง สัง ขาร,...ในความดับ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร,...ในข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ า สั ต ว ให ลุ ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
ผูไมรูปฏิจจสมุปบาท ยังมีหนาที่ ตองทําการศึกษา๑ ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! บุค คล เมื ่อ ไมรู ไ มเ ห็น ซึ ่ง ชรามรณะ, ...ซึ ่ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง ชรามรณะ,...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, ตามที่ เป นจริง; เขาพึ งทํ าการ ศึก ษา เพื ่อ ใหรู ในชรามรณะ,...ในเหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ชรามรณะ,...ในความดับ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ,...ในข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ า สั ต ว ใ ห ลุ ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ใน กรณ ีแ หง บ ท วา ชาติ..ภ พ ..อุป าท าน ..ตัณ ห า..เวท น า..ผัส สะ.. สฬ ายต น ะ ..นามรู ป..วิ ญ ญาณ..ก็ มี คํ าตรั สอย างเดี ยวกั นกั บ คํ าตรั ส ของบทว า ชรามรณะ ข างบนนี้ ตรงกั นทุ กตั ว อั กษร ต างกั นแต ชื่ อ ของสิ่ งที่ ห ยิ บ ขึ้ น พิ จารณา จนกระทั่ งถึ งบทสุ ดท าย อั น เกี่ ยวกั บ สั งขาร ดั งที่ มี อ ยู ตอไปขางลางนี้:-)
๑
สิกขา (เปยยาล) วรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๖๑/๓๑๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๔๗
ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ งสั งขารทั้ งหลาย, ...ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ ง ทํ าสั ต ว ให ลุ ถึ งความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร, ตามที่ เป น จริ ง; เขาพึ งทํ าการศึ ก ษา เพื ่อ ใหรู ในสัง ขารทั ้ง หลาย,...ในเหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง สัง ขาร,...ในความดับ ไม เหลื อ แห งสั งขาร,...ในข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ า สั ต ว ให ลุ ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห งสั ง ขาร, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
ผูไมรูปฏิจจสมุปบาท ยังมีหนาที่ ตองบําเพ็ญโยคะ๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไ ม เห็ น ซึ่ ง ชรามรณะ, ...ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง ชรามรณะ,...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ,...ซึ่ งข อ ปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, ตามที่ เป นจริง; เขาพึ งบํ าเพ็ ญ โยคะ เพื ่อ ใหรู ในชรามรณะ,...ในเหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ชรามรณะ,...ในความดับ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ,...ในข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ า สั ต ว ใ ห ลุ ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ในกรณีแ หง บทวา ชาติ..ภพ..อุป าทาน..ตัณ หา..เวทนา..ผัส สะ.. สฬายตนะ ...นามรูป..วิ ญ ญาณ..ก็ มี คํ าตรัสอย างเดี ยวกั น กั บ คํ าตรัส ของบทว า ชรามรณะ ข างบนนี้ ตรงกั นทุ ก ตัวอักษร ตางกันแตชื่อของสิ่งที่หยิบขึ้นพิจารณา จนกระทั่งถึงบทสุดทาย อันเกี่ยวกับ สังขาร ดังที่มีอยู ตอไป ขางลางนี้:-)
๑
โยค (เปยยาล) วรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๖๑/๓๑๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๒๔๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! บุคคล เมื่อไมรูไมเห็น ซึ่งสังขารทั้งหลาย, ...ซึ่ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ ง ทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสังขาร, ตามที่เปนจริง; เขาพึงบําเพ็ ญโยคะ เพื่อ ใหรู ในสัง ขารทั ้ง หลาย,...ในเหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง สัง ขาร,...ในความดับ ไมเ หลือ แห งสั งขาร,...ในข อปฏิ บั ติ เครื่ องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร, ตามที่ เปนจริง, ดังนี้.
ผูไมรูปฏิจจสมุปบาท ยังมีหนาที่ ตองประกอบฉันทะ๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไ ม เห็ น ซึ่ ง ชรามรณะ, ...ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง ชรามรณะ,...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ,...ซึ่ งข อ ปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึงความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, ตามที่ เป นจริง; เขาพึ งประกอบ ฉัน ทะ (ความพอใจ) เพื ่อ ใหรู ในชรามรณะ,...ในเหตุใ หเกิด ขึ ้น แหง ชรามรณะ, ...ในความดั บ ไม เหลื อ แห งชรามรณะ,...ในข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ าสั ต ว ให ลุ ถึ ง ความดั บ ไมเหลือแหงชรามรณะ, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ในกรณีแ หง บทวา ชาติ..ภพ..อุป าทาน..ตัณ หา..เวทนา..ผัส สะ.. สฬายตนะ ...นามรูป..วิ ญ ญาณ..ก็ มี คํ าตรัสอย างเดี ยวกั นกั บคํ าตรัส ของบทว า ชรามรณะ ข างบนนี้ ตรงกั นทุ กตั ว อักษร ตางกันแตชื่อของสิ่งที่หยิบขึ้นพิจารณา จนกระทั่งถึงบทสุดทาย อันเกี่ยวกับ สังขาร ดังที่มีอยู ตอไป ขางลางนี้:-)
๑
ฉันท (เปยยาล) วรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๖๑/๓๑๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๔๙
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคล เมื่ อไม รู ไม เห็ น ซึ่ งสั งขารทั้ งหลาย, ...ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ ง ทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บ ไม เหลื อแห งสั งขาร, ตามที่ เป น จริ ง; เขาพึ งประกอบฉั น ทะ เพื่ อ ให รู ในสั ง ขารทั้ ง หลาย,...ในเหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขาร,...ในความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร,...ในข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ าสั ต ว ให ลุ ถึ งความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร, ตามที่ เปนจริง, ดังนี้.
ผูไมรูปฏิจจสมุปบาท ยังมีหนาที่ ตองบําเพ็ญอุสโสฬห๑ี ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไ ม เ ห็ น ซึ่ ง ชรามรณะ, ...ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง ชรามรณะ,...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, ตามที่ เป นจริ ง; เขาพึ งบํ าเพ็ ญ อุส โสฬห ี (อุส สาหะ) เพื ่อ ใหรู ในชรามรณะ,...ในเหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ชรามรณะ, ...ในความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ,...ในข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ า สั ต ว ให ลุ ถึ ง ความดั บ ไมเหลือแหงชรามรณะ, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ใน กรณ ีแ หง บ ท วา ชาติ..ภ พ ..อุป าท าน ..ตัณ ห า..เวท น า..ผัส สะ.. สฬ ายต น ะ ..นามรู ป ..วิ ญ ญาณ..ก็ มี คํ า ตรั ส อย างเดี ย วกั น กั บ คํ า ตรั ส ของบทว า ชรามรณะ ข า งบนนี้ ตรงกั น ทุ ก ตัวอักษร ตางกันแตชื่อของสิ่งที่หยิบขึ้นพิจารณา จนกระทั่งถึงบทสุดทาย อันเกี่ยวกับ สังขาร ดังที่มีอยู ตอไป ขางลางนี้:-)
๑
อุสโสฬหี (เปยยาล) วรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๖๑/๓๑๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๒๕๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! บุคคล เมื่อไมรูไมเห็น ซึ่งสังขารทั้งหลาย, ...ซึ่ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ ง ทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสังขาร, ตามที่เปนจริง; เขาพึงบําเพ็ ญอุสโสฬ หี เพื่ อ ให รู ในสั ง ขารทั้ ง หลาย,...ในเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขาร,...ในความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร,...ในข อปฏิ บั ติ เครื่ องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร, ตามที่ เปนจริง, ดังนี้.
ผูไมรูปฏิจจสมุปบาท ยังมีหนาที่ ตองบําเพ็ญอัปปฏิวานี๑ ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! บุค คล เมื ่อ ไมรู ไ มเห็น ซึ ่ง ชรามรณะ, ...ซึ ่ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง ชรามรณะ,..ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, ตามที่ เป นจริง; เขาพึ งบํ าเพ็ ญ อั ป ปฏิ ว าณี (ความไม ถ อยหลั ง ) เพื่ อ ให รู ในชรามรณะ,...ในเหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง ชรามรณะ,...ในความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ,...ในข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ า สั ต ว ให ลุ ถึงความดับไมเหลือแหงชรามรณะ, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ในกรณีแ หง บทวา ชาติ..ภพ..อุป าทาน..ตัณ หา..เวทนา..ผัส สะ.. สฬายตนะ ..นามรู ป ..วิ ญ ญาณ..ก็ มี คํ าตรัสอย างเดี ยวกั น กั บ คํ าตรั ส ของบทว า ชรามรณะ ข างบนนี้ ตรงกั น ทุ ก ตัวอักษร ตางกันแตชื่อของสิ่งที่หยิบขึ้นพิจารณา จนกระทั่งถึงบทสุดทาย อันเกี่ยวกับ สังขาร ดังที่มีอยู ตอไป ขางลางนี้:-)
๑
อัปปฏิวานี (เปยยาล) วรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๖๑/๓๑๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๕๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคล เมื่ อไม รู ไม เห็ น ซึ่ งสั งขารทั้ งหลาย, ...ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ ง ทํ าสัตวให ลุถึ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร, ตามที่ เป นจริง; เขาพึ งบํ าเพ็ ญอั ปปฏิ วาณี เพื่ อ ให รู ในสั ง ขารทั้ ง หลาย,...ในเหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขาร,...ในความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร,...ในข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ าสั ต ว ให ลุ ถึ งความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร, ตามที่ เปนจริง, ดังนี้.
ผูไมรูปฏิจจสมุปบาท ยังมีหนาที่ ตองประกอบความเพียรแผดเผากิเลส๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไ ม เ ห็ น ซึ่ ง ชรามรณะ, ...ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง ชรามรณะ,..ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, ตามที่ เป นจริ ง; เขาพึ งประกอบ ความเพี ยรแผดเผากิ เลส เพื่ อให รู ในชรามรณะ,...ในเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งชรามรณะ, ...ในความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ,...ในข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ า สั ต ว ให ลุ ถึ ง ความดั บ ไมเหลือแหงชรามรณะ, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ใน กรณ ีแ หง บ ท วา ชาติ..ภ พ ..อุป าท าน ..ตัณ ห า..เวท น า..ผัส สะ.. สฬ ายต น ะ ..นามรู ป ..วิ ญ ญาณ..ก็ มี คํ า ตรั ส อย างเดี ย วกั น กั บ คํ า ตรั ส ของบทว า ชรามรณะ ข า งบนนี้ ตรงกั น ทุ ก ตัวอักษร ตางกันแตชื่อของสิ่งที่หยิบขึ้นพิจารณา จนกระทั่งถึงบทสุดทาย อันเกี่ยวกับ สังขาร ดังที่มีอยู ตอไป ขางลางนี้:-)
๑
อาตัปป (เปยยาล) วรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๖๑/๓๑๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๒๕๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! บุคคล เมื่อไมรูไมเห็น ซึ่งสังขารทั้งหลาย, ...ซึ่ง เหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง สัง ขาร, ...ซึ ่ง ความดับ ไมเ หลือ แหง สัง ขาร,...ซึ ่ง ขอ ปฏิบ ัติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร, ตามที่ เป นจริง; เขาพึ งประกอบ ความเพียรแผดเผากิเลส เพื่อใหรู ในสังขารทั้งหลาย,...ในเหตุใหเกิดขึ้นแหงสังขาร, ...ในความดั บไม เหลื อแห งสังขาร,...ในขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อ แหงสังขาร, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
ผูไมรูปฏิจจสมุปบาท ยังมีหนาที่ ตองประกอบวิริยะ๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไ ม เห็ น ซึ่ ง ชรามรณะ, ...ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งชรามรณะ, ...ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อ แห งชรามรณะ,...ซึ่ งข อ ปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึงความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, ตามที่ เป นจริง; เขาพึ งประกอบ วิร ิย ะ เพื ่อ ใหรู ในชรามรณะ,...ในเหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ชรามรณะ,...ในความดับ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ,...ในข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ า สั ต ว ใ ห ลุ ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชรามรณะ, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ในกรณีแ หง บทวา ชาติ..ภพ..อุป าทาน..ตัณ หา..เวทนา..ผัส สะ.. สฬายตนะ ..นามรู ป ..วิ ญ ญาณ..ก็ มี คํ าตรัสอย างเดี ยวกั น กั บ คํ าตรั ส ของบทว า ชรามรณะ ข างบนนี้ ตรงกั น ทุ ก ตัวอักษร ตางกันแตชื่อของสิ่งที่หยิบขึ้นพิจารณา จนกระทั่งถึงบทสุดทาย อันเกี่ยวกับ สังขาร ดังที่มีอยู ตอไป ขางลางนี้:-)
๑
วิริย (เปยยาล) วรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๖๑/๓๑๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๕๓
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! บุคคล เมื่อไมรูไมเห็น ซึ่งสังขารทั้งหลาย, ...ซึ่ง เหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง สัง ขาร, ...ซึ ่ง ความดับ ไมเ หลือ แหง สัง ขาร,...ซึ ่ง ขอ ปฏิบ ัติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร, ตามที่ เป นจริง; เขาพึ งประกอบ วิร ิย ะ เพื ่อ ใหรู ในสัง ขารทั ้ง หลาย,...ในเหตุใ หเกิด ขึ ้น แหง สัง ขาร,...ในความดับ ไม เหลื อแห งสั งขาร,...ในข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
ผูไมรูปฏิจจสมุปบาท ยังมีหนาที่ ตองประกอบการกระทําอันติดตอ๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไ ม เห็ น ซึ่ ง ชรามรณะ, ...ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ดขึ้ น แห งชรามรณะ, ...ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อ แห งชรามรณะ,...ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, ตามที่ เป นจริง; เขาพึ งประกอบ การกระทํ า อัน ติด ตอ เพื ่อ ใหรู ในชรามรณะ,...ในเหตุใ หเกิด ขึ ้น แหง ชรามรณะ, ...ในความดั บ ไม เหลื อ แห งชรามรณะ,...ในข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ าสั ต ว ให ลุ ถึ ง ความดั บ ไมเหลือแหงชรามรณะ, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ในกรณีแ หง บทวา ชาติ..ภพ..อุป าทาน..ตัณ หา..เวทนา..ผัส สะ.. สฬายตนะ ..นามรู ป ..วิ ญ ญาณ..ก็ มี คํ าตรัสอย างเดี ยวกั น กั บ คํ าตรั ส ของบทว า ชรามรณะ ข างบนนี้ ตรงกั น ทุ ก ตัวอักษร ตางกันแตชื่อของสิ่งที่หยิบขึ้นพิจารณา จนกระทั่งถึงบทสุดทาย อันเกี่ยวกับ สังขาร ดังที่มีอยู ตอไป ขางลางนี้:-)
๑
สาตัจจ (เปยยาล) วรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๖๑/๓๑๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๒๕๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! บุคคล เมื่อไมรูไมเห็น ซึ่งสังขารทั้งหลาย, ...ซึ่ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งสั ง ขาร, ...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ ง ทํ าสั ต ว ให ลุ ถึ งความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร, ตามที่ เป น จริ ง; เขาพึ งประกอบการ กระทํ าอั น ติ ด ต อ เพื่ อ ให รู ในสั งขารทั้ งหลาย,...ในเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งสั งขาร,...ใน ความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร,...ในขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห ง สังขาร, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
ผูไมรูปฏิจจสมุปบาท ยังมีหนาที่ ตองอบรมสติ๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไ ม เ ห็ น ซึ่ ง ชรามรณะ, ...ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ดขึ้ น แห งชรามรณะ, ...ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อ แห งชรามรณะ,...ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, ตามที่ เป นจริง; เขาพึ งอบรม สติ เพื่ อให รู ในชรามรณะ,...ในเหตุ ให เกิ ดขึ้ น แห งชรามรณะ,...ในความดั บ ไม เหลื อ แห งชรามรณะ,...ในข อปฏิ บั ติ เครื่อ งทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บ ไม เหลื อแห งชรามรณะ, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ในกรณีแ หง บทวา ชาติ..ภพ..อุป าทาน..ตัณ หา..เวทนา..ผัส สะ.. สฬายตนะ ..นามรู ป ..วิ ญ ญาณ..ก็ มี คํ าตรัสอย างเดี ยวกั น กั บ คํ าตรั ส ของบทว า ชรามรณะ ข างบนนี้ ตรงกั น ทุ ก ตัวอักษร ตางกันแตชื่อของสิ่งที่หยิบขึ้นพิจารณา จนกระทั่งถึงบทสุดทาย อันเกี่ยวกับ สังขาร ดังที่มีอยู ตอไป ขางลางนี้:-)
๑
สติ (เปยยาล) วรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๖๑/๓๑๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๕๕
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! บุคคล เมื่อไมรูไมเห็น ซึ่งสังขารทั้งหลาย, ...ซึ่ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งสั ง ขาร, ...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ ง ทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสังขาร, ตามที่เปนจริง; เขาพึงอบรมสติ เพื่ อใหรู ในสั งขารทั้ งหลาย,...ในเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งสั งขาร,...ในความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร, ...ในขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสังขาร, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
ผูไมรูปฏิจจสมุปบาท ยังมีหนาที่ ตองอบรมสัมปชัญญะ๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไ ม เห็ น ซึ่ ง ชรามรณะ, ...ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ดขึ้ น แห งชรามรณะ, ...ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อ แห งชรามรณะ,...ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, ตามที่ เป นจริง; เขาพึ งอบรม สัม ปชัญ ญ ะ เพื ่อ ใหรู ในชรามรณ ะ,...ในเหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ชรามรณ ะ,...ใน ความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ,...ในข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อ แหงชรามรณะ, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ในกรณีแ หง บทวา ชาติ..ภพ..อุป าทาน..ตัณ หา..เวทนา..ผัส สะ.. สฬายตนะ ..นามรู ป ..วิ ญ ญาณ..ก็ มี คํ าตรัสอย างเดี ยวกั น กั บ คํ าตรั ส ของบทว า ชรามรณะ ข างบนนี้ ตรงกั น ทุ ก ตัวอักษร ตางกันแตชื่อของสิ่งที่หยิบขึ้นพิจารณา จนกระทั่งถึงบทสุดทาย อันเกี่ยวกับ สังขาร ดังที่มีอยู ตอไป ขางลางนี้:-)
๑
สัมปชัญญ (เปยยาล) วรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๖๑/๓๑๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๒๕๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! บุคคล เมื่อไมรูไมเห็น ซึ่งสังขารทั้งหลาย, ...ซึ่ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งสั ง ขาร, ...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ ง ทําสั ตวให ลุถึงความดับไม เหลื อแหงสังขาร, ตามที่เป นจริง; เขาพึ งอบรมสั มปชัญญะ เพื่ อ ให รู ในสั ง ขารทั้ งหลาย,...ในเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งสั ง ขาร, ...ในความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร,...ในข อปฏิ บั ติ เครื่ องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร, ตามที่ เปนจริง, ดังนี้.
ผูไมรูปฏิจจสมุปบาท ยังมีหนาที่ ตองบําเพ็ญความไมประมาท๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ไม รู ไม เห็ น ซึ่ ง ชรามรณะ, ...ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ดขึ้ น แห งชรามรณะ, ...ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อ แห งชรามรณะ,...ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, ตามที่ เป นจริง; เขาพึ งบํ าเพ็ ญ ความไม ป ระมาท เพื่ อ ให รู ในชรามรณะ,...ในเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งชรามรณะ,...ใน ความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ,...ในข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อ แหงชรามรณะ, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ในกรณีแ หง บทวา ชาติ..ภพ..อุป าทาน..ตัณ หา..เวทนา..ผัส สะ.. สฬายตนะ ..นามรู ป ..วิ ญ ญาณ..ก็ มี คํ าตรัสอย างเดี ยวกั น กั บ คํ าตรั ส ของบทว า ชรามรณะ ข างบนนี้ ตรงกั น ทุ ก ตัวอักษร ตางกันแตชื่อของสิ่งที่หยิบขึ้นพิจารณา จนกระทั่งถึงบทสุดทาย อันเกี่ยวกับ สังขาร ดังที่มีอยู ตอไป ขางลางนี้:-)
๑
อัปปมาท (เปยยาล) วรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๖๑/๓๑๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๕๗
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! บุคคล เมื่อไมรูไมเห็น ซึ่งสังขารทั้งหลาย, ...ซึ่ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งสั ง ขาร, ...ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร,...ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ ง ทําสัตวใหลุถึงความดับไม เหลือแหงสังขาร, ตามที่เปนจริง; เขาพึ งบํ าเพ็ ญ ความไม ประมาท เพื่ อ ให รู ในสั ง ขารทั้ ง หลาย,...ในเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขาร, ...ในความ ดับไม เหลือแห งสั งขาร,...ในขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึงความดั บไม เหลื อแห งสังขาร, ตามที่เปนจริง, ดังนี้.
ทรงมุงหมายใหปฏิจจสมุปบาทเปนเรื่องการปฏิบัต๑ิ (มิใชเปนเพียงทฤษฎี) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เราจักแสดง มิจฉาปฏิ ปทาและสัมมาปฏิปทา แก พวกเธอทั้ งหลาย. พวกเธอทั้ งหลายจงฟ งซึ่ งธรรมนั้ น, จงทํ าในใจให สํ าเร็จประโยชน , เราจักกลาวบัดนี้. ครั้นภิ กษุ ทั้ งหลาย เหล านั้ น ทู ลสนองรับพระพุ ทธดํ ารัสแล ว, พระผู มี พระภาคเจ า ได ตรัส ถอยคําเหลานี้วา:-
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ มิ จ ฉาปฏิ ป ทา เป น อย างไรเล า? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เพราะมี อวิชชาเป นป จจัย จึ งมี สั งขารทั้ งหลาย; เพราะมี สั งขารเป นป จจั ย จึง มีว ิญ ญาณ; ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ...; เพราะมีช าติเ ปน ปจ จัย , ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอม แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
๑
สูตรที่ ๓ พุทธวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๕/๑๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๒๕๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา มิจฉาปฏิปทา. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ สั ม มาปฏิ ป ทา เป น อย า งไรเล า ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เพราะความจางคลายดั บไปโดยไม เหลื อแห งอวิ ชชานั้ นนั่ นเที ยว จึ งมี ความ ดั บ แห ง สั ง ขาร; เพราะมี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร จึ ง มี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญาณ; ...ฯลฯ ...ฯลฯ...ฯลฯ...; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ชาติ นั่ น แล ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการ อยางนี้ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา สัมมาปฏิปทา, ดังนี้ แล. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : มิ จ ฉาปฏิ ป ทา คื อ บุ ค คลเผลอหรื อ ปล อ ยสติ เมื่ อ ตากระทบรู ป เป น ต น จนกระทั่ ง ความเผลอสติ (ซึ่ ง ในที่ นี้ เรี ย กว า อวิ ช ชา) นั้ น ได ทํ า ให เกิ ดอาการต าง ๆ ขึ้ น อย างครบถ วนตามที่ กล าวไว ในพระบาลี นี้ และได รั บผลเป น ความทุ กข ในที่ สุ ด . ส ว นสั ม มาปฏิ ป ทา มี นั ย ะตรงกั น ข า ม คื อ มี ส ติ ส มบู ร ณ ในเมื่ อ ตาเห็ น รู ป เป น ต น อวิ ช ชาก็ ไ ม เกิ ด ขึ้ น แต มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ หรื อ ป ญ ญาอยู แ ทน; ดั ง นั้ น อาการต า ง ๆ ก็ ไ ม เกิ ดขึ้ น ในลั กษณะที่ จะมี ความทุ กข ในที่ สุ ด. สรุ ป ความได อย างสั้ น ๆ ว าความมี สติ นั่ น แหละ เป น ตั ว ปฏิ ป ทาที่ เกี่ ย วกั บ ปฏิ จ จสมุ ป บาท ในชี วิ ต ประจํ า วั น เช น การเห็ น รู ป ด ว ยตาเป น ต น ดังที่กลาวแลว.
www.buddhadasa.info การหลีกเรนทําใหงายแกการรูปฏิจจสมุปบาท ๑
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เธอทั้ ง หลาย จงประกอบความเพี ย ร ในการ หลีกเรนเถิด. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุผูหลีกเรนแลว ยอมรูชัดตามที่เปนจริง.
๑
สูตรที่ ๖ นกุลปตวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๐/๓๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๕๙
ก็ ภิ กษุ นั้ น ย อมรูชั ดตามที่ เป นจริง ซึ่ งอะไรเล า? ภิ กษุ ผู หลี กเร นแล ว ย อมรู ชั ดตามที่ เปน จริง ซึ ่ง ความเกิด ขึ ้น และความดับ ไปแหง รูป ...แหง เวทนา...แหง สัญ ญา แหงสังขารทั้งหลาย...แหงวิญญาณ. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ ค วามเกิ ด ขึ้ น แห ง รู ป ..แห ง เวทนา...แห ง สั ญ ญ า ...แหงสังขารทั้งหลาย...แหงวิญญาณ. เปนอยางไรเลา? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ ในกรณี นี้ ย อมเพลิ ดเพลิ น ย อมพร่ํ าสรรเสริ ญ ย อ มเมาหมกอยู . ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มเพลิ ด เพลิ น ย อ มพร่ํ า สรรเสริ ญ ย อ มเมาหมกอยู ซึ่ ง อะไรเลา? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มเพลิ ด เพลิ น ย อ มพร่ํ าสรรเสริ ญ ย อ ม เมาหมกอยู ซึ่ ง รู ป . เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น เพลิ ด เพลิ น พร่ํ า สรรเสริ ญ เมาหมกอยู ซึ่ งรู ป , นั น ทิ (ความเพลิน) ยอมเกิดขึ้น. ความเพลินใด ในรูป, ความเพลินนั้น คืออุปาทาน. เพราะ อุ ป าทาน. เพราะอุ ป าทานของภิ ก ษุ นั้ น เป น ป จ จั ย จึ ง มี ภ พ; เพราะมี ภ พเป น ป จ จั ย จึ งมี ช าติ ; เพราะมี ช าติ เป น ป จ จั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ด ครบถ ว น : ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห งกองทุ ก ข ทั้ งสิ้ น นี้ ย อ มมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มเพลิ ด เพลิ น ย อ มพร่ํ าสรรเสริ ญ ย อ ม เมาหมกอยู ซึ่ ง เวทนา. ...ฯลฯ...ฯลฯ...๑ ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้.
๑
ในกรณี แห ง รู ป มี ข อ ความพิ ส ดารอย า งไร ในกรณี แห ง เวทนา, สั ญ ญา, สั ง ขาร, ซึ่ ง ละ...ฯลฯ...ฯลฯ ...ไว , ก็ พึ ง ทราบว า มี ข อ ความเต็ ม อย า งเดี ย วกั น ทุ ก ตั ว อั ก ษร, ต า งกั น แต เพี ย งชื่ อ แห ง ขั น ธ แ ต ล ะขั น ธ เทา นั ้น . อนึ ่ง แมใ น ฝา ยแหง การดับ ไป ของ เวท นา สัญ ญ า เปน ตน ซึ ่ง ละ...ฯลฯ... ฯลฯ...ไว ก็พึงทราบโดยนัยะนี้.
www.buddhadasa.info
๒๖๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมเพลิ ดเพลิ น ย อมพร่ําสรรเสริญ ย อม เมาหมกอยู ซึ่ งสั ญญา. ...ฯลฯ...ฯลฯ...ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมเพลิ ดเพลิ น ย อมพร่ําสรรเสริญ ย อม เมาหมกอยู ซึ่ งสั งขาร. ...ฯลฯ...ฯลฯ...ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมเพลิ ดเพลิ น ย อมพร่ําสรรเสริญ ย อม เมาหมกอยู ซึ่ งวิ ญ ญาณ. เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น เพลิ ด เพลิ น พร่ํ าสรรเสริ ญ เมาหมกอยู ซึ่ ง วิญญาณ, นันทิ (ความเพลิน) ยอมเกิดขึ้น. ความเพลินใด ในรูป, ความเพลินนั้น คืออุปาทาน. เพราะอุปาทานของภิกษุนั้นเปนปจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเปน ปจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเปนปจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้ งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! นี้ คื อ ความเกิ ด ขึ้ น แห ง รู ป ..แห ง เวทนา..แห ง สัญญา..แหงสังขารทั้งหลาย..แหงวิญญาณ. ... ... ... ...
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ ค วามดั บ แห ง รู ป ..แห ง เวทนา..แห ง สั ญ ญา.. แหงสังขารทั้งหลาย..แหงวิญญาณ เปนอยางไรเลา?.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๖๑
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในกรณี นี้ ยอมไมเพลิดเพลิน ยอมไมพร่ํา สรรเสริญ ยอมไม เมาหมกอยู. ภิ กษุ นั้น ยอมไมเพลิดเพลิน ยอมไมพร่ําสรรเสริญ ยอมไมเมาหมกอยู ซึ่งอะไรเลา? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมไม เพลิ ดเพลิ น ย อมไม พร่ําสรรเสริ ญ ย อ มไม เมาหมกอยู ซึ่ ง รู ป . เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น ไม เพลิ ด เพลิ น ไม พ ร่ํ าสรรเสริ ญ ไม เมา หมกอยู ซึ่งรูป, นันทิ (ความเพลิน) ใด ในรูป, นันทินั้น ยอมดับไป. เพราะ ความดับแหงนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแหงอุปาทาน; เพราะมีความดับ แหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับ แหงชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บ สิ้ น : ความดั บ ลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการ อยางนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุนั้น ยอมไมเพลิดเพลิน ยอมไมสรรเสริญ ยอมไม เมาหมกอยู ซึ่ งเวทนา. ...ฯลฯ...ฯลฯ...ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมไม เพลิ ดเพลิ น ย อมไม พร่ํ าสรรเสริ ญ ย อ มไม เมาหมกอยู ซึ่ ง สั ญ ญา. ...ฯลฯ...ฯลฯ...ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมไม เพลิ ดเพลิ น ย อมไม พร่ําสรรเสริ ญ ยอ มไมเ มาหมกอยู ซึ ่ง สัง ขารทั ้ง หลาย...ฯลฯ...ฯลฯ...ความดับ ลงแหง กองทุก ข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info
๒๖๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นั้ น ย อมไม เพลิ ดเพลิ น ย อมไม พร่ํ าสรรเสริ ญ ย อมไม เมาหมกอยู ซึ่ งวิ ญ ญาณ.. เมื่ อภิ กษุ นั้ น ไม เพลิ ดเพลิ น ไม พร่ําสรรเสริญ ไม เมาหมกอยูซึ่งวิญ ญาณ, นัน ทิใด ในวิญ ญาณ นัน ทินั้น ยอ มดับ ไป. เพราะ ความดับแหงนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแหงอุปาทาน; เพราะมีความดับ แหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับ แหงชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ คื อ ความดั บ แห งรู ป ...แห งเวทนา...แห งสั ญ ญา ...แหงสังขารทั้งหลาย...แหงวิญญาณ, ดังนี้ แล.
การคิดคนปฏิจจสมุปบาท ก็คือการเดินตามอริยัฏฐังคิกมรรค๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนบุ รุษเที่ ยวไปในป าทึ บ เกิ ดพบรอยทาง ซึ่งเคยเปนหนทางเกาที่มนุษยแตกาลกอนเคยใชเดินแลว บุรุษนั้น จึงเดินตามทางนั้นไป เมื่ อเดิ นไปตามทางนั้ นอยู ได พบทรากนครซึ่ งเป นราชธานี โบราณ อั นมนุ ษย ทั้ งหลาย แตกาลกอนเคยอยูอาศัยแลว เปนที่อันสมบูรณ ดวยสวน สมบูรณ ดวยปาไม สมบูรณ ดวย สระโบกขรณี มี ทรากกํ าแพงล อม มี ภู มิ ภาคน ารื่นรมย ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บ นั้น บุ รุษนั้ นเขาไปกราบทู ลแจงขาวนี้แกพระราชา หรือแกมหาอํามาตยของพระราชาวา "ขอทาวพระกรุณา จงทราบเถิด : ขาพระเจาเมื่อเที่ยวไปในปาทึบ ไดเห็นรอยทาง
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๘/๒๕๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๖๓
ซึ่ งเคยเป นหนทางเก า ที่ มนุ ษย แต กาลก อนเคยใช เดิ นแล ว ข าพระเจ า ได เดิ นตามทาง นั้ นไป เมื่ อเดิ นไปตามทางนั้ นอยู ได พบทรากนครซึ่ งเป นราชธานี โบราณ อั นมนุ ษ ย ทั้ งหลายแต กาลก อนเคยอยู อาศั ยแล ว เป นที่ อันสมบู รณ ด วยสวน สมบู รณ ด วยป าไม สมบู รณ ด วยสระโบกขรณี มี ทรากกํ าแพงล อม มี ภู มิ ภาคน ารื่นรมย . ขอพระองค จง ตบแตงสถานที่นั้นใหเปนนครเถิด พระเจาขา!" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ น พระราชาหรือมหาอํ ามาตย ของพระราชานั้ น จึ งตบแต งสถานที่ นั้ น ขึ้ น เป นนคร. สมั ยต อ มา นครนั้ น ได กลายเป น นครที่ มั่ งคั่ งและ รุงเรือง มีประชาชนมาก เกลื่อนกลนดวยมนุษย ถึงแลวซึ่งความเจริญไพบู ลย, นี้ฉันใด; ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ขอนี้ก็ฉันนั้น : เราไดเห็นแลวซึ่งรอยทางเกา ที่เคยเปนหนทางเกา อันพระสัมมาพระพุทธเจาทั้งหลายในกาลกอนเคยทรงดําเนินแลว. ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ รอยทางเก า ที่ เคยเป นหนทางเก า อั นพระสัมมาพระพุทธเจาทั้งหลายในกาลกอนเคยทรงดําเนินแลว นั้นเปนอยางไรเลา? นั่นคือ อริยอัฏฐังคิกมรรคนี้นั่นเทียว, ไดแกสิ่งเหลานี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ แล รอยทางเก า ที่ เป นหนทางเก า อั นพระสั มมาสัมพุทธเจาทั้งหลายในกาลกอนเคยทรงดําเนินแลว. เรานั้น ไดดําเนินไปตามแลวซึ่ง หนทางนั้น, เมื่อดําเนินตามอยู ซึ่งหนทางนั้น เรา :
ไดรู ยิ ่ง เฉพาะแลว ซึ ่ง ชรามรณะ, ซึ ่ง เหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง ชรามรณะ, ซึ่งความดั บไม เหลือแห งชรามรณะ, ซึ่งขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุถึ งความดั บไม เหลื อ แหงชรามรณะ;
www.buddhadasa.info
๒๖๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
...๑ได รู ยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ งชาติ , ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งชาติ , ซึ่ งความดั บ ไมเหลือแหงชาติ, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงชาติ; ...ไดรู ยิ ่ง เฉพาะแลว ซึ ่ง ภพ, ซึ ่ง เหตุใ หเกิด ขึ ้น แหง ภพ, ซึ ่ง ความดับ ไมเหลือแหงภพ, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงภพ; ...ได รู ยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ งอุ ป าทาน, ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งอุ ป าทาน, ซึ่ ง ความดับไม เหลือแหงอุปาทาน, ซึ่งขอปฏิบั ติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแห ง อุปาทาน; ...ได รู ยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ งตั ณ หา, ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งตั ณ หา, ซึ่ งความ ดับไมเหลือแหงตัณหา, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงตัณหา; ...ได รู ยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ งเวทนา, ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งเวทนา, ซึ่ งความ ดับไมเหลือแหงเวทนา, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงเวทนา;
www.buddhadasa.info ...ได รู ยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ งผั สสะ, ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งผั สสะ, ซึ่ งความดั บ ไมเหลือแหงผัสสะ, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงผัสสะ;
...ได รู ยิ่ งเฉพาะแล ว ซึ่ งสฬายตนะ, ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งสฬายตนะ, ซึ่งความดับไมเหลือแห งสฬายตนะ, ซึ่งขอปฏิบั ติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือ แหงสฬายตนะ;
๑
ที่ ล ะ...ไว ต รงนี้ และต อ ๆ ไป มี ข อ ความเต็ ม ว า "เรานั้ น ได ดํ า เนิ น ตามแล ว ซึ่ ง หนทางนั้ น , เมื่ อ ดําเนินไปตามอยู ซึ่งหนทางนั้น เรา".
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๖๕
...ได รู ยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ งนามรู ป , ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งนามรูป, ซึ่ งความ ดับไมเหลือแหงนามรูป, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงนามรูป; ...ได รู ยิ่ งเฉพาะแล ว ซึ่ งวิ ญ ญาณ, ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งวิ ญ ญาณ, ซึ่ ง ความดั บไม เหลื อแห งวิ ญญาณ, ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห ง วิญญาณ; เราได ดํ าเนิ น ไปตามแล วซึ่ งหนทางนั้ น, เมื่ อดํ าเนิ นตามอยู ซึ่ งหนทางนั้ น เราได รูยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ งสั งขารทั้ งหลาย, ซึ่งเหตุ ให เกิ ดขึ้นแห งสั งขาร, ซึ่งความดั บ ไมเหลือแหงสังขาร, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสังขาร; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรานั้ น ครั้นรูยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ งหนทางนั้ น ได บอกแล ว แกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลาย. ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! พรหมจรรยนี้ ที่ เรากลาวบอกแลวนั้ น ได เป น พรหมจรรยตั้งมั่นและรุงเรืองแลว เปนพรหมจรรยที่แผไพศาล เปนที่รูแหงชนมาก เปนปกแผนแนนหนา จนกระทั่งเทวดาและมนุษยทั้งหลายสามารถประกาศไดดวย ดีแลว.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั งเกตให เห็ น ว า ตามข อ ความข า งบนนี้ แสดงอยู ในตั วแล วว า เมื่ อ ดํ าเนิ น ตามอริ ยมรรคมี อ งค ๘ ประการ ย อ มเป น การรู ป ฏิ จจสมุ ป บาทไปตามลํ าดั บ พร อมกั บ ไปในตั ว; ดั งนั้ น จึ งถื อเป น หลั กได ว า การคิ ดค น ปฏิ จจสมุ ป บาท อยู อ ย า งขะมั ก เขม น ขึ้ น คื อ การที่ กํ า ลั ง ดํ า เนิ น อยู ในอริ ย อั ฏ ฐั ง คิ ก มรรค นั่ น เอง. ขออย า ได ขามไปเห็นเปนคนละเรื่องเหมือนดังที่เปนกันอยูโดยมาก ในที่ทั่ว ๆ ไป
www.buddhadasa.info
๒๖๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ปฏิบัติเพื่อการดับปฏิจจสมุปบาท ชื่อวาปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม๑ ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูปฏิบัติแลว เพื่อความเบื่อหนาย เพื่อความ คลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บ ไม เหลื อ แห งชรามรณะ อยู ไซร, ก็ เป นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรม สมควรแกธรรมแลว". ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูปฏิบัติแลว เพื่อความเบื่อหนาย เพื่อความ คลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งชาติ อยู ไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรม สมควรแกธรรมแลว". ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูปฏิบัติแลว เพื่อความเบื่อหนาย เพื่อความ คลายกําหนัด เพื่อความดับไมเหลือ แหงภพ อยูไซร, ก็เปนการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรม สมควรแกธรรมแลว".
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูปฏิบัติแลว เพื่อความเบื่อหนาย เพื่อความ คลายกําหนั ด เพื่อความดับไม เหลือ แห งอุปาทาน อยูไซร, ก็เปนการสมควรเพื่อจะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรม สมควรแกธรรมแลว".
ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูปฏิบัติแลว เพื่อความเบื่อหนาย เพื่อความ คลายกําหนัด เพื่อความดับไมเหลือ แหงตัณหา อยูไซร, ก็เปนการสมควรเพื่อจะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรม สมควรแกธรรมแลว".
๑
สูตรที่ ๖ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๒๒/๔๖, ตรัสแกภิกษุรูปหนึ่ง ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๖๗
ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูปฏิบัติแลว เพื่อความเบื่อหนาย เพื่อความ คลายกําหนัด เพื่อความดับไมเหลือ แหงเวทนา อยูไซร, ก็เปนการสมควรเพื่อจะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรม สมควรแกธรรมแลว". ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูปฏิบัติแลว เพื่อความเบื่อหนาย เพื่อความ คลายกําหนั ด เพื่อความดับไม เหลือ แห งผัสสะ อยูไซร, ก็เปนการสมควรเพื่อจะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรม สมควรแกธรรมแลว". ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูปฏิบัติแลว เพื่อความเบื่อหนาย เพื่อความ คลายกําหนัด เพื่อความดับไมเหลือ แหงสฬายตนะ อยูไซร, ก็เปนการสมควรเพื่อ จะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรม สมควรแกธรรมแลว". ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูปฏิบัติแลว เพื่อความเบื่อหนาย เพื่อความ คลายกําหนัด เพื่อความดับไมเหลือ แหงนามรูป อยูไซร, ก็เปนการสมควรเพื่อจะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรม สมควรแกธรรมแลว".
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูปฏิบัติแลว เพื่อความเบื่อหนาย เพื่อความ คลายกําหนัด เพื่อความดับไมเหลือ แหงวิญญาณ อยูไซร, ก็เปนการสมควรเพื่อจะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรม สมควรแกธรรมแลว". ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูปฏิบัติแลว เพื่อความเบื่อหนาย เพื่อความ คลายกําหนัด เพื่อความดับไมเหลือ แหงสังขารทั้งหลาย อยูไซร, ก็เปนการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรม สมควรแกธรรมแลว".
www.buddhadasa.info
๒๖๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูปฏิบัติแลว เพื่อความเบื่อหนาย เพื่อความ คลายกําหนัด เพื่อความดับไมเหลือ แหงอวิชชา อยูไซร, ก็เปนการสมควรเพื่อจะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรม สมควรแกธรรมแลว", ดังนี้ แล.
องคประกอบที่เปนบุพพภาค ของการดับแหงปฏิจจสมุปบาท๑ (มาคั ณ ฑิ ยปริพ พาชก ได กราบทู ลว า "ข าพเจ าเลื่ อมใสต อพระโคดมอย างนี้ แล ว, ท าน พระโคดมจะสามารถเพื่ อ แสดงธรรมแก ข า พเจ า โดยประการที่ ข า พเจ า จะลุ ก ขึ้ น จากอาสนะนี้ ใน ลักษณะแหงผูหายตาบอดไดไหม พระเจาขา?". พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสวา:-)
ดูกอนมาคัณฑิยะ! ถาอยางนั้น ทานควรคบสัตบุรุษ. ดู ก อนมาคั ณ ฑิ ยะ! เมื่ อใดท านคบสั ตบุ รุษ, เมื่ อนั้ นท านจั กได ฟ งธรรม ของสัตบุรุษ.
www.buddhadasa.info ดู ก อนมาคั ณ ฑิ ยะ! เมื่ อใดท านได ฟ งธรรมของสั ตบุ รุษ, เมื่ อนั้ น ท านจั ก ปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม.
ดู ก อนมาคั ณ ฑิ ยะ! เมื่ อใดท านปฏิ บั ติ ธรรมสมควรแก ธรรมแล ว, เมื่ อนั้ น ทานจักรูเอง เห็นเอง โดยแท วา นี้คือโรค, นี้คือหัวฝ, นี้คือลูกศร;
๑
มาคัณฑิยสูตร ม.ม. ๑๓/๒๘๕/๒๙๑, ตรัสแกมาคัณฑิยปริพพาชก ที่กัมมาสทัมมนิคม แควนกุรุ.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๖๙
โรค หั วฝ ลู กศร ทั้ งหลาย ในกรณี นี้ , ย อมดั บไปโดยไม มี ส วนเหลื อ (ใน ลักษณะเดียวกันกับขอที่วา:-) เพราะความดับแหงอุปาทานของเรานั้น จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั้ นแล ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น. ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้", ดังนี้. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง ทราบว า โรค, หั ว ผี , ลู ก ศร, ในที่ นี้ คื อทุ กข อั นเกิ ดจากตั ณ หา. ตั ณ หาใด ๆ ล วนแต ต องมาจากเวทนา ซึ่ งออกมาจากการสั มผั ส อารมณ ด วยอวิ ชชา ด วยกั น ทั้ งนั้ น ; และตั ณ หานั้ น ย อ มส งต อไปให เกิ ดอุ ป ทาน ภพ ชาติ ชรามรณะอั น เป น ที่ ตั้ งแห งทุ ก ข . การที่ จ ะรู จั ก หั ว ฝ ลู ก ศร เป น ต น แล ว กํ า จั ด เสี ย ให ได นั้ น ต อ งอาศั ยการปฏิ บั ติ ธรรมโดยสมควรแก ธรรมของสั ต บุ รุ ษ ; ดั งนั้ น การที่ ทุ กคนคบสั ต บุ รุ ษ ฟ งธรรมเข า ใจแล วปฏิ บั ติ อ ยู อ ย า งถู ก ต อ ง ไม ว าในรู ป ลั กษณะใด ย อ มเป น การกระทํ า ชนิ ด ที่ เป น บุ รพภาคแห งการทํ าลายกระแสแห งปฏิ จ จสมุ ป บาท เพื่ อการดั บ ทุ กข ด วยกั น ทั้ งนั้ น . ถาผิดไปจากนี้ ยอมไมมีความหมายอะไร และมิใชการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา.
www.buddhadasa.info ผัสสะ คือนิทานสัมภวะสวนมากของนิพเพธิกธรรม๑ (เรื่องนี้ใสเขามาในฐานะที่เปนหลักธรรมที่ชวยปฏิบัติ)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราจักแสดงซึ่งธรรมปริยายชื่ อนิ พเพธิกปริยาย แก พวก เธอทั้ งหลาย. พวกเธอทั้ งหลายจงฟ งซึ่ งข อความนั้ น. จงทํ าในใจให สํ าเร็จประโยชน , เราจักกลาวบัดนี้.
๑
สูตรที่ ๙ มหาวรรค ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๕๗/๓๓๔, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
๒๗๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ครั้ นภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น ทู ลสนองรั บพระผู มี พระภาคเจ าแล ว, พระผู มี พระภาคเจ าได ตรั ส ถอยคําเหลานี้วา:-
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมปริยายชื่อนิพเพธิกปริยาย นั้นเปนอยางไรเลา?ดูกอน ภิกษุทั้งหลาย! (๑) กามทั้ งหลาย อั นบุ คคลพึ งรูแจ ง, นิ ทานสั มภวะ (เหตุ เป นแดนเกิ ด พร อม) แห งกามทั้ งหลาย, เวมั ตตตา (ประมาณต าง ๆ ) แห งกามทั้ งหลาย, วิ บาก (ผล สุ กวิ เศษ) แห งกามทั้ งหลาย, นิ โรธ (ความดั บไม เหลื อ) แห งกาม, นิ โรธคามิ นี ปฏิ ปทา (ขอปฏิบัติใหถึงความดับไมเหลือ) แหงกาม, (นี้, แตละอยาง ๆ) เปนธรรมที่บุคคลพึงรูแจง. (๒) เวทนาทั้งหลาย อันบุคคลพึงรูแจง, นิทานสัมภวะแหงเวทนาทั้งหลาย, เวมั ตตตาแห งเวทนาทั้ งหลาย, วิ บากแห งเวทนาทั้ งหลาย, นิ โรธแห งเวทนา, นิ โรธคามิ นี ปฏิปทาแหงเวทนา, (นี้, แตละอยาง ๆ) เปนธรรมที่บุคคลพึงรูแจง. (๓) สัญญาทั้งหลาย อันบุคคลพึงรูแจง, นิทานสัมภวะแหงสัญญาทั้งหลาย, เวมั ตตตาแห งสั ญญาทั้ งหลาย, วิบากแห งสั ญญาทั้ งหลาย, นิ โรธแห งสั ญญา, นิ โรธคามิ นี ปฏิปทาแหงสัญญา, (นี้, แตละอยาง ๆ) เปนธรรมที่บุคคลพึงรูแจง.
www.buddhadasa.info (๔) อาสวะทั้ งหลาย อันบุ คคลพึ งรูแจง, นิทานสัมภวะแหงอาสวะทั้งหลาย, เวมั ตตตาแห งอาสวะทั้ งหลาย, วิ บากแห งอาสวะทั้ งหลาย, นิ โรธแห งอาสวะ, นิ โรธคามิ นี ปฏิปทาแหงอาสวะ, (นี้, แตละอยาง ๆ) เปนธรรมที่บุคคลพึงรูแจง.
(๕) กรรม อั นบุ คคลพึ งรู แจ ง, นิ ทานสั มภวะแห งกรรม, เวมั ตตตาแห ง กรรม, วิ บากแห งกรรมทั้ งหลาย, นิ โรธแห งกรรม, นิ โรธคามิ นี ปฏิ ปทาแห งกรรม, (นี้ , แต ละ อยาง ๆ) เปนธรรมที่บุคคลพึงรูแจง.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๗๑
(๖) ทุ กข อั นบุ คคลพึ งรูแจ ง, นิ ทานสั มภวะแห งทุ กข, เวมั ตตตาแห ง ทุ กข, วิบากแห งทุ กข , นิ โรธแห งทุ กข , นิ โรธคามิ นี ปฏิ ปทาแห งทุ กข ,(นี้ , แต ละอย าง ๆ) เปนธรรมที่บุคคลพึงรูแจง. (๑) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! กามทั้งหลาย อันบุคคลพึงรูแจง เปนอยางไรเลา? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! กามคุ ณทั้ งหลาย ๕ ประการ เหล านี้ คื อรู ปทั้ งหลาย อันจะพึ งรูแจงด วยจักษุ .. เสี ยงทั้ งหลาย อันจะพึ งรูแจงด วยโสตะ..กลิ่ นทั้ งหลาย อันจะ พึ งรู แจ งด วยจมู ก..รสทั้ งหลาย อั นจะพึ งรูแจ งด วยลิ้ น..สั มผั สผิ วหนั ง อั นจะพึ งสั มผั ส ดวยกาย อันเป นสิ่งที่ น าปรารถนา (อิฏฐา) น าใคร (กนฺ ตา) น าพอใจ (มนาปา) มี ลักษณะ อันนารัก (ปยะรูปา) เปนที่เขาไปตั้งอาศัยแหงความใคร (กามูปสฺหิตา) เปนที่ตั้งแหงความ กํ าหนั ด (รชนิ ยา) มี อยู . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อารมณ ทั้ งหลาย ๕ ประการเหล านี้ หาใชกามไม : ในอริยวินั ย เรียกอารมณ ทั้ งหลาย ๕ ประการเหล านี้ วา "กามคุ ณ " (หาเรียกวากามไม) แตวา :-
www.buddhadasa.info ความกําหนัดไปตามอํานาจความตริตรึก (สงฺกปฺปราค) นั่นและคือกามของคนเรา; อารมณอันวิจิตรทั้งหลาย ในโลก นั้น หาใชกามไม; ความกําหนัดไปตามอํานาจความตริตรึก นั่นและคือกามของคนเรา; อารมณอันวิจิตร ก็มีอยูในโลก ตามประสาของมันเทานั้น; ดังนั้น ผูมีปญญาจึงนําออกเสียซึ่งฉันทะ ในอารมณ อันวิจิตรเหลานั้น ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๒๗๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ นิ ทานแห งสั มภวะ (เหตุ เป นแดนเกิ ดพรอม) แห งกาม ทั้งหลาย เปนอยางไรเลา? ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! นิ ทานสัมภวะแหงกามทั้งหลาย คือ ผัสสะ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ เวมั ตตตา (ประมาณต าง ๆ ) แห งกามทั้ งหลาย เป น อยางไรเลา? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เวมัตตตาแหงกามทั้งหลาย คือความใคร (กาม) ในรูปารมณ ก็อยางหนึ่ง ๆ , ความใครในสัททารมณ ก็อยางหนึ่ง ๆ , ความใครในคันธารมณ ก็อย างหนึ่ ง ๆ , ความใครในรสารมณ ก็ อยางหนึ่ ง ๆ , ความใครในโผฏฐัพพารมณ ก็ อยางหนึ่ง ๆ; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้เราเรียกวา เวมัตตตาแหงกามทั้งหลาย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ วิ บากแห งกามทั้ งหลาย เป นอย างไรเล า? ดู ก อน ภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคลมี ความใครในอารมณ ใดอยู ย อมยั งอั ตตภาพอั นเกิ ดจากกามใน อารมณ นั้ น ๆ ให เกิ ดขึ้ น เป นอั ตตภาพมี ส วนแห งบุ ญบ าง มี ส วนแห งบุ ญหามิ ได บ าง; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้เรากลาววา วิบากแหงกามทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นิ โรธแห งกาม เป นอย างไรเล า ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความดับแหงกามมี เพราะความดับแหงผัสสะ. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ นิ โรธคามิ นี ป ฏิ ป ทาแห งกาม เป น อย างไรเล า? ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย!อริย อัฏ ฐัง คิก มรรคนี ้แ ล คือ นิโ รธคามิน ีป ฏิป ทาแหง กาม, ข อ นั้ น ได แ ก สิ่ งเหล านี้ คื อ สั ม มทิ ฏ ฐิ สั ม มาสั งกั ป ปะ สั ม มาวาจา สั ม มากั ม มั น ตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๗๓
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลใดแล อริยสาวกยอมรูชัดซึ่งกามทั้งหลาย อยางนี้, ซึ่งนิทานสัมภวะแหงกามทั้งหลายอยางนี้, ซึ่งเวมัตตตาแหงกามทั้งหลายอยางนี้, ซึ่งวิบากแห งกามทั้ งหลายอยางนี้ , ซึ่งนิโรธแห งกามอยางนี้ , ซึ่งนิ โรธคามิ นี ปฏิ ปทาแห ง กามอยางนี้; ในกาลนั้น อริยสาวกนั้น ยอมรูชัดซึ่งพรหมจรรยอันเปนเครื่องเจาะ แทงกิเลสนี้วา เปนที่ดับแหงกาม (กามนิโรธ). (๒) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ เวทนาทั้ ง หลาย อั น บุ ค คลพึ ง รู แ จ ง เป น อยางไรเลา? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เวทนาทั้ งหลาย ๓ ประการเหล านี้ คื อ สุ ขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ นิ ทานสั มภวะแห งเวทนาทั้ งหลาย เป นอย างไรเล า? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นิทานสัมภาวะแหงเวทนาทั้งหลาย คือผัสสะ. ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! ก็เวมั ตตตาแหงเวทนาทั้งหลาย เปนอยางไรเลา? ดูกอน ภิ กษุ ทั้ งหลาย! สุ ขเวทนา อั นเป นไปด วยอามิ ส (เหยื่ อ) ก็ มี อยู , สุ ขเวทนา อั นปราศจาก อามิ ส ก็ มี อยู ; ทุ กขเวทนา อั นเป นไปกั บด วยอามิ ส ก็ มี อยู , ทุ กขเวทนา อั นปราศจาก อามิ ส ก็ มี อยู ; อทุ กขมสุ ขเวทนา อั นเป นไปกั บด วยอามิ ส ก็ มี อยู , อทุ กขมสุ ขเวทนา อันปราศจากอามิส ก็มีอยู; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้เรากลาววา เวมัตตตาแห งเวทนา ทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ วิ บากแห งเวทนาทั้ งหลาย เป นอย างไรเล า? ดู ก อน ภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! บุ ค คลเสวยเวทนาใดอยู ย อ มยั งอั ต ตภาพอั น เกิ ด จากเวทนานั้ น ให เกิดขึ้น
www.buddhadasa.info
๒๗๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
เป นอัตตภาพมี สวนแห งบุ ญบ าง เป นอัตตถาพ มี ส วนแห งบุ ญหามิ ไดบ าง; ดู กอน ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรากลาววา วิบากแหงเวทนาทั้งหลาย. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! นิ โ รธแห ง เวทนา เป น อย า งไรเล า ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้งหลาย! ความดับแหงเวทนามี เพราะความดับแหงผัสสะ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ นิ โรธคามิ นี ป ฏิ ป ทาแห งเวทนา เป นอย างไรเล า? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย!อริย อั ฎ ฐั งคิ ก มรรคนี้ แ ล คื อ นิ โรธคามิ นี ป ฏิ ป ทาแห ง เวทนา, ข อ นั้ น ได แ ก สิ่ ง เหล า นี้ คื อ สั ม มทิ ฏ ฐิ สั ม มาสั งกั ป ปะ สั ม มาวาจา สั ม มากั ม มั น ตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลใดแล อริยสาวกยอมรูชัดซึ่งเวทนาทั้งหลาย อย างนี้ , ซึ่ งนิ ทานสั มภวะแห งเวทนาทั้ งหลายอย างนี้ , ซึ่ งเวมั ตตตาแห งเวทนาทั้ งหลาย อย า งนี้ , ซึ่ งวิ บ ากแห งเวทนาทั้ งหลายอย า งนี้ , ซึ่ งนิ โรธแห งเวทนาอย า งนี้ , ซึ่ งนิ โรธ คามิ นี ปฏิ ปทาแห งเวทนาอย างนี้ ; ในกาลนั้ น อริยสาวกนั้ นย อมรู ชั ด ซึ่ งพรหมจรรย อันเปนเครื่องเจาะแทงกิเลสนี้วา เปนที่ดับแหงเวทนา (เวทนานิโรธ).
www.buddhadasa.info (๓) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ สั ญ ญาทั้ ง หลาย อั น บุ ค คลพึ ง รู แ จ ง เป น
อยางไรเลา?
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สั ญ ญาทั้ งหลาย ๖ ประการเหล านี้ คื อ รู ปสั ญ ญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา ธัมมสัญญา. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ นิ ทานสั มภวะแห งสั ญญาทั้ งหลาย เป นอย างไรเล า? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นิทานสัมภาวะแหงสัญญาทั้งหลาย คือผัสสะ.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๗๕
ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ก็เวมัตตตาแหงสัญญาทั้งหลาย เป นอยางไรเลา? ดูกอน ภิกษุ ทั้ งหลาย! สัญญาในอารมณ คือรูปทั้งหลาย ก็อยางหนึ่ ง ๆ , สัญญาในอารมณ คือเสียง ทั้ งหลาย ก็ อย างหนึ่ ง ๆ , สั ญญาในอารมณ คื อกลิ่ นทั้ งหลาย ก็อย างหนึ่ ง ๆ, สั ญญาใน อารมณ คื อรสทั้ งหลาย ก็ อย างหนึ่ ง ๆ , สั ญญาในอารมณ โผฏฐัพพทั้ งหลาย ก็ อย างหนึ่ ง ๆ, สั ญ ญาในอารมณ ธั ม มารมณ ทั้ งหลาย ก็ อ ย างหนึ่ ง ๆ, ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรา กลาววา เวมัตตตาแหงสัญญาทั้งหลาย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ วิบากแห งสั ญญาทั้ งหลาย เป นอย างไรเล า? ดู กอน ภิ กษุ ทั้ งหลาย!เรากล าวซึ่ งสั ญญาทั้ งหลาย วาเป นสิ่ งที่ มี ผลออกมาเป นโวหารพู ดอย าง หนึ่ ง ๆ (โวหารเวปกฺ กา) เพราะว าบุ คคลกระทํ าซึ่ งสั ญญาในสิ่ งนั้ น ๆ ว าอย างไร เขาย อม กล า วออกมาอย า งนั้ น ๆ เช น ว า เราเป น ผู มี สั ญ ญาอย า งนี้ ๆ ๑ เป น ต น . ดู ก อ น ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรากลาววา วิบากแหงสัญญาทั้งหลาย. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! นิ โรธแห ง สั ญ ญา เป น อย า งไรเล า ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้งหลาย! ความดับแหงสัญญามี เพราะความดับแหงผัสสะ.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ นิ โรธคามิ นี ปฏิ ปทาแห งสั ญ ญา เป นอย างไรเล า? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย!อริยอัฏฐังคิกมรรคนี้แล คือ นิโรธคามินีปฏิปทาแหงสัญญา ขอนี้ ไดแกสิ่งเหลานี้คือ สัมมทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
๑
พึ งเข าใจว า คํ าว า "สั ญญา" ในกรณี อย างนี้ มิ ได หมายถึ งความจํ าล วน ๆ แต หมายถึ งความรูสึ ก จนมี ความสําคัญวามันเปนอะไร หรืออยางไรเปนตน.
www.buddhadasa.info
๒๗๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลใดแล อริยสาวกยอมรูชัดซึ่งสัญญาทั้งหลาย อยางนี้, ซึ่งเวมัตตตาแหงสัญญาทั้งหลายอยางนี้, ซึ่งวิบากแหงสัญญาทั้งหลายอยางนี้, ซึ่ งนิ โรธแห งสั ญ ญาอย างนี้ , ซึ่ งนิ โรธคามิ นี ป ฏิ ป ทาแห งสั ญ ญาอย างนี้ ; ในกาลนั้ น อริยสาวกนั้น ยอมรูชัดซึ่งพรหมจรรยอันเปนเครื่องเจาะแทงกิเลสนี้วา เปนที่ดับ แหงสัญญา (สัญญานิโรธ). (๔) ...ฯลฯ... (ข อ ความตอนที่ ล ะไว นี้ เป น ตอนที่ ก ล า วถึ ง อาสวะ จั ก เว น เสี ย ไม นํ า มา ใสไวในที่นี้ เพราะไมไดตรัสไวเกี่ยวกับผัสสะโดยตรง)...ฯลฯ...
(๕) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็กรรม อันบุคคลพึงรูแจง เปนอยางไรเลา? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวซึ่ งเจตนา วาเป นกรรม เพราะว าบุ คคล มีเจตนาแลว ยอมกระทํากรรม ดวยกาย ดวยวาจา ดวยใจ. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ นิ ท านสั ม ภวะแห งกรรมทั้ งหลาย เป น อย า งไร เลา? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นิทานสัมภาวะแหงกรรมทั้งหลาย คือผัสสะ.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ เวมั ต ตตาแห งกรรมทั้ งหลาย เป น อย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! กรรมอั นทํ าสั ตวให เสวยเวทนาเป นสั ตวนรก มี อยู , กรรมอั นทํ า สัตวใหเสวยเวทนาเปนกําเนิดเดรัจฉาน มีอยู, กรรมอันทําสัตวใหเสวยเวทนาเปนเปรตวิสัย มี อ ยู , กรรมอั น ทํ าสั ต ว ให เสวยเวทนาในมนุ ษ ยโลก มี อ ยู , กรรมอั น ทํ าสั ต ว ให เสวย เวทนาในเทวโลก มี อยู; ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรากล าววา เวมั ตตตาแห งเวทนา ทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๗๗
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ วิ บากแห งกรรมทั้ งหลาย เป นอย างไรเล า? ดู ก อน ภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวซึ่ งวิ บากแห งกรรมว ามี อยู ๓ อย าง คื อ วิ บากในทิ ฏฐิ ธรรม (คือทันควัน) หรือวา วิบากในอุปะป ชชะ (คื อในเวลาตอมา) หรือวา วิบากในอปรปริยายะ (คือในเวลาตอมาอีก); ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้เรากลาววา วิบากแหงกรรมทั้งหลาย. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ นิ โ รธแห ง กรรม เป น อย า งไรเล า ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้งหลาย! ความดับแหงกรรมทั้งหลายมี เพราะความดับแหงผัสสะ.๑ ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ นิ โรธคามิ นี ป ฏิ ป ทาแห งกรรม เป น อย างไรเล า? ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!อริยอั ฎฐังคิ กมรรคนี้ แล คื อ นิ โรธคามิ นี ปฏิ ปทาแห งกรรม, ขอนี้ ได แ ก สิ่ ง เหล า นี้ คื อ สั ม มทิ ฏ ฐิ สั ม มาสั ง กั ป ปะ สั ม มาวาจา สั ม มากั ม มั น ตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลใดแล อริยสาวกยอมรูชัดซึ่งกรรม อยางนี้, ซึ่งเวมั ตตตาแห งกรรมทั้ งหลาย อย างนี้ , ซึ่ งวิบากแห งกรรมทั้ งหลายอย างนี้ , ซึ่งนิ โรธ แห ง กรรมอย างนี้ , ซึ่ งนิ โรธคามิ นี ป ฏิ ป ทาแห งกรรมอย างนี้ ; ในกาลนั้ น อริ ย สาวก นั้น ยอมรูชัดซึ่งพรหมจรรยอันเปนเครื่องเจาะแทงกิเลสนี้วา เปนที่ดับแหงกรรม (กัมมนิโรธ).
www.buddhadasa.info ๑
ผู ศึ กษาพึ งสั งเกตให เห็ นใจความสํ าคั ญที่ สุด ในตอนนี้ ที่ ตรัสว า แดนเกิ ดแห งกรรมคื อผั สสะ แดนดั บแห ง กรรม ก็ คื อ ผั ส สะ ซึ่ งแสดงว า กรรมเกิ ด และดั บ ในอั ต ตภาพนี้ อยู อ ย างซ้ํ า ซาก ๆ ; ดั งนั้ น วิ บ าก แห งกรรม จึ งมี ได ในอั ตตภาพนี้ อย างซ้ํ า ๆ ซาก ๆ ไม ว าจะเป นชนิ ดทิ ฏฐธรรมหรื ออุ ปป ชชะ หรืออปร ปริยายะ ซึ่งมั กจะเขาใจกั นไปวา สองชนิ ดหลั งนั้ น จะมี ต อตายเข าโลงไปแล วเท านั้ น, ความถู กต องใน เรื่องนี้ จะเปนอยางไร ขอจงพิจารณาดูเถิด.
www.buddhadasa.info
๒๗๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
(๖) ...ฯลฯ... (ข อ ความตอนที่ ล ะไว นี้ เป น ตอนที่ ก ล า วถึ ง อาสวะ จั ก เว น เสี ย ไม นํ า มา ใสไวในที่นี้ เพราะไมไดตรัสไวเกี่ยวกับผัสสะโดยตรง)...ฯลฯ...
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้แล คือธรรมปริยายอันชื่อวานิพเพธิกปริยาย นั้น.
หมายเหตุ ผู รวบรวม : ผูศึกษาพึ งสังเกตใหเห็นวา สิ่งที่เรียกวาผัสสะ นั้ น มี ค วามสํ า คั ญ มากน อ ยเพี ย งใด โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง คื อ ข อ ที่ ผั ส สะเป น ที่ เกิ ด และที่ ดั บ แห ง กาม แห ง เวทนา แห ง สั ญ ญา และแห ง กรรม. พวกเรายั ง มี ค วามรู เรื่ อ งผั ส สะกั น น อ ย เกิ น ไป จึ ง ไม ส ามารถจะปฏิ บั ติ ใ ห ป ระสบความสํ า เร็ จ ในการเอาชนะกาม, ในการควบคุ ม เวทนา, ในการละเสี ย ซึ่ ง สั ญ ญา และในการทํ า ความสิ้ น สุ ด แห งกรรมทั้ ง หลาย. ผั ส สะเป น ตั ว การสํ า คั ญ ในกระแสแห งปฏิ จ จสมุ ป บาท ดั งที่ ท ราบกั น อยู แ ล ว เมื่ อ มี ก ารกล า วถึ ง ผั ส สะ ในที่ ใด ก็ พึ งทราบเถิ ด ว า ย อ มมมี กระแสแห งปฏิ จ จสมุ ป บาทซ อ นอยู ค รบถ วนในที่ นั้ น ไม ว า จะเรี ย กว า กาม หรื อ เวทนา หรื อ สั ญ ญ า หรื อ กรรม อั น เป น นิ พ เพธิ ก ธรรม ดั ง ที่ ก ล า ว แล ว ในพระบาลี นี้ ; ดั ง นั้ น ควรจะถื อ ว า ผั ส สะทั้ ง หลาย เป น นิ ท านสั ม ภวะส ว นมากของ นิพเพธิกธรรม ที่บุคคลพึงรูแจงแทงตลอด เพื่อความสิ้นสุดแหงความทุกขในที่สุด.
ปฏิจจสมุปบาทแหงการกําจัดอุปสรรค ขณะเจริญสติปฏฐาน๑
www.buddhadasa.info ดู ก อ นอานนท ! ข อ นั้ น เป น อย า งนั้ น ข อ นั้ น เป น อย า งนั้ น ; คื อ ภิ ก ษุ ห รื อ ภิ ก ษุ ณี ใดก็ ต าม มี จิ ต ตั้ งมั่ น ดี แ ล ว ในสติ ป ฏ ฐาน ๔ อยู : ข อ นี้ เป น สิ่ งที่ ภิ ก ษุ ห รื อ ภิกษุณีนั้นพึงหวังไดวา จักรูพรอมซึ่งคุณวิเศษอันโอฬาร อื่นจากคุณวิเศษที่มีแลว ในกอน. ภิกษุหรือภิกษุณีมีจิตตั้งมั่นดวยดีในสติปฏฐาน ๔ อยางไหนเลา?
๑
อัมพปาลิวรรค มหาวาร.สํ. ๑๙/๒๐๗/๗๑๖, ตรัสแกพระอานนท ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๗๙
ดู ก อนอานนท ! ภิ กษุ ในกรณี นี้ ย อมเป นผู พิ จารณาเห็ นกายในกายอยู เป น ประจํา มีความเพี ยรเผากิเลส มีความรูสึกตัวทั่วพรอม มีสติ พึ งกําจัดอภิชฌาและโทมนัส ในโลกเสี ยได . เมื่ อเธอพิ จารณาเห็ นกายในกายอยู , ความเร าร อน (ปริ ฬาห) ในกาย อันมีกายเปนอารมณ เกิดขึ้นก็ดี หรือวาความหดหูแหงจิตเกิดขึ้นก็ดี หรือวาจิตฟุงไปใน ภายนอกก็ดี; ดูกอนอานนท! ภิกษุนั้น พึงตึงจิตในนิมิตอยางใดอยางหนึ่งซึ่งเปน ที่ตั้งแหงความเลื่อมใส. เมื่อตั้งจิตในนิมิตเปนที่ตั้งแหงความเลื่อมใส, ปราโมทยยอมเกิดขึ้น; เมื่อมีปราโมทยแลว ปติ ยอมเกิดขึ้น; เมื่อมีใจปติแลว กาย ยอมรํางับ; ผูมีกายรํางับแลว ยอมรูสึกเปนสุข; เมื่อรูสึกเปนสุข จิตยอมตั้งมั่น. ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มพิ จ ารณาอย างนี้ ว า "เราตั้ งจิ ต ไว เพื่ อประโยชน แก ธรรมใด ประโยชน นั้ นสํ าเร็จแล วแก เรา. เอาละ, บั ดนี้ เราจะนํ าจิ ตเฉพาะต ออารมณ นั้ น". ภิ กษุ นั้ นย อมนํ าจิ ตเฉพาะต ออารมณ นั้ นด วย ไม กระทํ าซึ่ งวิ ตกด วย ไม กระทํ าซึ่ งวิจารด วย. เธอนั้นยอมรูชัดวา "เราเปนผูไมมีวิตก ไมมีวิจาร เปนผูมีสติ มีสุขในภายใน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ในกรณีเวทนา-จิต-และธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน ก็ทรงแสดงไวโดยนัยเดียวกัน)
ดูกอนอานนท! ภาวนา ยอมมีเพราะการตั้งจิตไว อยางนี้ แล.
หม ายเหตุ ผู รวบรวม : ผู ศึ กษาพึ งสั งเกตให เห็ น ว า แม การแก ไขอุ ป สรรค แห งการเจริ ญ สติ ป ฏ ฐาน ซึ่ งเป น ธรรมอั น เอกอั น สู งสุ ด ก็ ยั งต อ งใช วิ ธี การที่ เรียกว า ปฏิ จจสมุ ป บาท ดั งที่ ป รากฏอยู ในพระบาลี นี้ ซึ่ งมี ใจความสํ าคั ญ ว า นิ มิ ต อั น เป น ที่ ตั้ งแห งความ เลื่ อ มใสนั้ น สามารถกํ า จั ด นิ ว รณ ห รื อ อุ ป สรรคของสมาธิ ได , ข อ นี้ เป น การชี้ ให เห็ น วิ ธี ก าร กําจัดนิวรณโดยวิธีที่ละเอียด ลึกซึ้งเกินกวาที่ทราบ หรือสอน ๆ กันอยู.
www.buddhadasa.info
๒๘๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ปฏิจจสมุปบาท เพื่อ สามัญญผลในปจจุบัน (๗ ประการ : อรหันต ๒, อนาคามี ๕)๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! การได เห็ น ..การได ฟ ง ..การได เข า ไปหา..การได นั่ ง ใกล ..การระลึ ก ถึ ง ..การบวชตาม..(แต ล ะอย า ง ๆ ) ในภิ ก ษุ ทั้ ง หลายผู ส มบู ร ณ ด วยศี ล-สมาธิ -ป ญ ญา-วิ มุ ตติ -วิ มุ ตติ ญ าณทั สสนะ-นั้ น เรากล าว (แต ละอย าง ๆ ) วาเปนธรรมมีอุปการะมาก. .... ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข อนั้ นเพราะเหตุ วา เมื่ อผู ใดฟ งธรรมของภิ กษุ เช นนั้ น แล ว เป นผู หลี กออกทั้ งทางกายและทางจิ ตอยู ย อมตามระลึ กตริต รึกซึ่ งธรรมนั้ น ... สติสัมโพชฌงคของเธอนั้น ยอมถึงซึ่งความเจริญบริบูรณ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!ภิ กษุ ผู มี สติ สั มโพชฌงค เจริญบริบู รณ อยู เช นนั้ นแล ว ยอมเลือกเฟ น ยอมพิ จารณา ถึงการใครครวญ ซึ่งธรรมนั้นดวยป ญญา...ธัมมวิจยสัมโพชฌงคของเธอนั้น ยอมถึงซึ่งความเจริญบริบูรณ.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย!เมื่อภิกษุมีธัมมวิจยสัมโพชฌงคเจริญบริบูรณ อยูเชนนั้น (ก็เปนอันวา) เธอเปนผูปรารภความเพียรแลวไมยอหยอน...วิริยสัมโพชฌงคของเธอ นั้น ยอมถึงซึ่งความเจริญบริบูรณ.
ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! นิรามิสปติ (ปติอิงธรรม ไมอิงอามิส) ยอมเกิดแกภิกษุ ผูมีความเพียรอันปรารภแลวเชนนั้น...ปติสัมโพชฌงคของเธอนั้น ยอมถึงซึ่งความเจริญ บริบูรณ.
๑
สีลสูตร ปพพตวรรค มหาวาร. สํ. ๑๙/๙๘-๑๐๒/๓๗๓-๓๘๒.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๘๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!กายก็ ดี จิ ตก็ ดี ของภิ กษุ ผู มี ใจป ติ ย อมสงบรํ างั บ… ปสสัทธิสัมโพชฌงคของเธอนั้น ยอมถึงซึ่งความเจริญบริบูรณ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!จิ ตของภิ กษุ ผู มี กายสงบและเป นสุ ข, ย อมตั้ งมั่ นเป น สมาธิ...สมาธิสัมโพชฌงคของเธอนั้น ยอมถึงซึ่งความเจริญบริบูรณ. ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย!ภิ กษุ (ผู มี ส มาธิ สั ม โพชฌงค ) ย อ มเป น ผู เพ งซึ่ งจิ ต อัน ตั ้ง มั ่น ดีแ ลว อยา งนั ้น ..(เปน อัน วา ) อุเ บกขาสัม โพชฌงคข องเธอนั ้น ยอ มถึง ซึ่งความเจริญบริบูรณ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อโพชฌงค ทั้ ง ๗ เป นธรรมที่ ภิ กษุ นั้ นเจริ ญ ทํ าให มากแล วอย างนี้ , ผลเป น อานิ ส งส ๗ ประการ ย อ มเป น สิ่ งที่ เธอหวั งได . ๗ ประการ อยางไรเลา? ๗ ประการ คือ:(๑) ยอมบรรลุอรหันตตผลโดยพลัน ในทิฏฐิธรรม (ทันควัน) นั่นเทียว, (๒) ถาไมเชนนั้น...ก็ยอมบรรลุอรหันตตผล ในมรณกาล (เวลาที่กําลังจะตาย), (๓) ถาไมเชนนั้น...ก็ยอมเปนอันตราปรินิพพายี (อนาคามี) เพราะสิ้นโอรัมภาคยสัญโญชน ๕, (๔) ถาไมเชนนั้น...ก็ยอมเปนอุปหัจจปรินิพพายี (อนาคามี) เพราะสิ้นโอรัมภาคยสัญโญชน ๕, (๕) ถาไมเชนนั้น...ก็ยอมเปนอสังขารปรินิพพายี (อนาคามี) เพราะสิ้นโอรัมภาคยสัญโญชน ๕, (๖) ถาไมเชนนั้น...ก็ยอมเปนสสังขารปรินิพพายี (อนาคามี) เพราะสิ้นโอรัมภาคยสัญโญชน ๕, (๗) ถาไมเชนนั้น...ก็ยอมเปนอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (อนาคามี) เพราะสิ้นโอรัมภาคยสัญโญชน ๕,
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อโพชฌงค ทั้ ง ๗ เป นธรรมที่ ภิ กษุ นั้ นเจริ ญ ทํ าให มากแลวอยางนี้, ผลเปนอานิสงส ๗ ประการ ยอมเปนสิ่งที่เธอหวังได อยางนี้ แล. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ขอให ผู ศึ ก ษาสั ง เกตว า ในกรณี ที่ เกี่ ย วกั บ อานิ สงสทั ้ง ๗ ประการนี ้ ไมม ีพ ระบาลีคํ า ใดที ่แ สดงวา เปน เรื ่อ งภายหลัง จากการตายแลว (กายสฺ ส เภทา ปรํ มรณา) ดั งที่ เราพู ด หรื อ สอนกั น อยู ทั่ ว ไป ๆ โดยไม ย อมให มี ก ารวิ พ ากย วิจารณ; ดังนั้น ในที่นี้จึงใหชื่อวา "สามัญญผลในปจจุบัน".
www.buddhadasa.info
๒๘๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ปฏิจจสมุปบาท เปนสิ่งที่ตองเห็นดวยยถาภูตสัมมัปปญญา แมที่ยังเปนเสขะเปนอยางนอย๑ ครั้งหนึ่ ง พระมุ สิ ละ พระปวิ ฏฐะ พระนารทะและพระอานนท อยู ณ โฆสิ ตาราม ใกล เมืองโกสัมพี. ครั้งนั้น พระปวิฏฐะไดกลาวกับพระมุสิละวา:-
"ดูก อนทานมุ สิละ! ถาเวนความเชื่อ (ตามที่ ได ฟ งจากพระผูมี พระภาคเจา) เสีย, เวนความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกลาว) เสีย, เวนการฟงตาม ๆ กันมาเสีย, เวนการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดลอมภายนอก) เสีย, เวนการเห็นวามันเขากันได กับทิฏฐิของตนเสีย; ญาณเปนเครื่องรูเฉพาะตนจริง ๆ จะมีแกทานมุสิละวา 'เพราะมี ชาติเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ' ดังนี้ ไดหรือ?" "ดู ก อ นท า นปวิ ฏ ฐะ! แม เว น ความเชื่ อ (ตามที่ ได ฟ ง จากพระผู มี พ ระ ภาคเจา) เสีย, เวนความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกลาว) เสีย, เวนการฟงตาม ๆ กัน มาเสี ย , เว น การตริ ต รึ ก ไปตามอาการ (ของสิ่ ง แวดล อ มภายนอก) เสี ย , เว น การ เห็น วา มัน เขา กัน ไดก ับ ทิฏ ฐิข องตนเสีย ; กระผมก็ย อ มรู ย อ มเห็น ซึ ่ง ธรรมขอ นั ้น ไดวา '’เพราะมีชาติเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ' ดังนี้.
www.buddhadasa.info (พระปวิ ฏฐะได ถามเป นลํ าดั บไปถึ งข อที่ เกี่ ยวกั บชาติ เกี่ ยวกั บภพ เกี่ ยวกั บอุ ปาทาน เกี่ ยว กับตัณหา เกี่ยวกับเวทนา เกี่ยวกับผัสสะ เกี่ยวกับสฬายตนะ เกี่ยวกับนามรูป เกี่ยวกับวิญญาณ ดวยคําถาม อยางเดียวกัน พระมุสิละก็ไดตอบยืนยันดวยคําตอบอยางเดียวกัน จนถึงขอสุดทาย:-)
"ดูกอนทานมุ สิละ! ถาเวนความเชื่อ (ตามที่ ไดฟ งจากพระผูมี พระภาคเจา) เสีย, เวนความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกลาว) เสีย, เวนการฟงตาม ๆ กันมาเสีย,
๑
สูตรที่ ๘ มหาวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๔๐/๒๖๘.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๘๓
เวนการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดลอมภายนอก) เสีย, เวนการเห็นวามันเขากันได กับทิฏฐิของตนเสีย; ญาณเปนเครื่องรูเฉพาะตนจริง ๆ จะมีแกทานมุสิละวา 'เพราะมี อวิชชาเปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย' ดังนี้ ไดหรือ?" "ดู ก อ นท า นปวิ ฏ ฐะ! แม เว น ความเชื่ อ (ตามที่ ได ฟ ง จากพระผู มี พ ระ ภาคเจา) เสีย, เวนความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกลาว) เสีย, เวนการฟงตาม ๆ กัน มาเสี ย , เว น การตริ ต รึ ก ไปตามอาการ (ของสิ่ ง แวดล อ มภายนอก) เสี ย , เว น การ เห็น วา มัน เขา กัน ไดก ับ ทิฏ ฐิข องตนเสีย ; กระผมก็ย อ มรู ย อ มเห็น ซึ ่ง ธรรมขอ นั ้น ไดวา ' เพราะมีอวิชชาเปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย' ดังนี้ ไดหรือ?" (พระปวิ ฏฐะได ถามพระมุ สิ ละต อไปถึ งอาการปฏิ จจสมุ ปบาทฝ ายนิ โรธวาร เป นลํ าดั บ ๆ ไป จนกระทั่งขอสุดทาย:-)
"ดูกอนทานมุ สิละ! ถาเวนความเชื่อ (ตามที่ ไดฟ งจากพระผูมี พระภาคเจา) เสีย, เวนความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกลาว) เสีย, เวนการฟงตาม ๆ กันมาเสีย, เวนการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดลอมภายนอก) เสีย, เวนการเห็นวามั นเขากัน ไดกับทิฏฐิของตนเสีย; ญาณเปนเครื่องรูเฉพาะตนจริง ๆ จะมีแกทานมุสิละวา 'เพราะ มีความดับแหงอวิชชา จึงมีความดับแหงสังขาร' ดังนี้ ไดหรือ?"
www.buddhadasa.info "ดู ก อ นท า นปวิ ฏ ฐะ! แม เว น ความเชื่ อ (ตามที่ ได ฟ ง จากพระผู มี พ ระ ภาคเจา) เสีย, เวนความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกลาว) เสีย, เวนการฟงตาม ๆ กัน มาเสี ย , เว น การตริ ต รึ ก ไปตามอาการ (ของสิ่ ง แวดล อ มภายนอก) เสี ย , เว น การ เห็น วา มัน เขา กัน ไดก ับ ทิฏ ฐิข องตนเสีย ; กระผมก็ย อ มรู ย อ มเห็น ซึ ่ง ธรรมขอ นั ้น ไดวา 'เพราะมีความดับแหงอวิชชา จึงมีความดับแหงสังขาร' ดังนี้".
www.buddhadasa.info
๒๘๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
"ดู ก อนท านมุ สิ ละ! ถ าเว น ความเชื่ อ (ตามที่ ได ฟ งจากพระผู มี พ ระภาค เจา) เสีย, เวนความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกลาว) เสีย, เวนการฟงตาม ๆ กันมาเสีย, เวนการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดลอมภายนอก) เสีย, เวนการเห็นวามั นเขากัน ไดกับทิฏฐิของตนเสีย; ญาณเปนเครื่องรูเฉพาะตนจริง ๆ จะมีแกทานมุสิละวา 'การดับ แหงภพ คือนิพพาน' ดังนี้ ไดหรือ?" "ดูก อ นทา นปวิฏ ฐะ! แมเ วน ความเชื ่อ (ตามที ่ไ ดฟ ง จากพระผู ม ีพระภาคเจา) เสีย, เวนความชอบใจ (ตามที่ บุ คคลบางคนกล าว) เสี ย, เวนการฟ ง ตาม ๆ กั นมาเสี ย, เวนการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่ งแวดล อมภายนอก) เสี ย, เว น การเห็ น ว า มั น เข า กั น ได กั บ ทิ ฏ ฐิ ข องตนเสี ย ; กระผมก็ ย อ มรู ย อ มเห็ น ซึ่ ง ธรรม ขอนั้นไดวา 'การดับแหงภพ คือนิพพาน' ดังนี้ "ดูกอนทานมุสิละ! ถาอยางนั้น ทานเปนพระอรหันตขีณาสพหรือ?" เมื่อถูกถามอยางนี้ พระมุสิละไดนิ่งเสีย.
www.buddhadasa.info (ลํ าดั บนั้ น พระนารทะได เสนอตั วเข ามาให พระปวิฏฐะถามป ญหาอย างเดี ยวกั นนั้ นบ าง เมื่ อ พระปวิฏฐะถาม พระนารทะก็ ตอบอยางเดี ยวกั นกั บที่ พระมุ สิ ละได ตอบแลว ทั้ งในส วน สมุ ทยวาร และ นิโรธวาร จนกระทั้งถึงคําถามและคําตอบคูสุดทาย:-)
"ดู ก อนท านนารทะ! ถ าเวนความเชื่ อ (ตามที่ ได ฟ งจากพระผู มี พระภาคเจา) เสีย, เวนความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกลาว) เสีย, เวนการฟงตาม ๆ กันมาเสีย, เวนการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดลอมภายนอก) เสีย, เวนการเห็นวามั นเขากัน ไดกับทิฏฐิของตนเสีย; ญาณเปนเครื่องรูเฉพาะตนจริง ๆ จะมีแกทานมุสิละวา 'การดับ แหงภพ คือนิพพาน' ดังนี้ ไดหรือ?"
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๘๕
"ดู ก อ นท า นปวิ ฏ ฐะ! แม เว น ความเชื่ อ (ตามที่ ได ฟ ง จากพระผู มี พ ระ ภาคเจ า) เสี ย, เว นความชอบใจ (ตามที่ บุ คคลบางคนกล าว) เสี ย, เว นการฟ งตาม ๆ กันมาเสี ย, เวนการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่ งแวดล อมภายนอก) เสี ย, เวนการ เห็น วา มัน เขา กัน ไดก ับ ทิฏ ฐิข องตนเสีย ; กระผมก็ย อ มรู ย อ มเห็น ซึ ่ง ธรรมขอ นั ้น ไดวา 'การดับแหงภพ คือนิพพาน' ดังนี้ "ดูกอนทานนารทะ! ถาอยางนั้น ทานเปนพระอรหันตขีณาสพหรือ?" "ดู ก อนท าน! ธรรมที่ วา 'ความดั บแห งภพ คื อนิ พ พาน' นั้ น เป นธรรม ที่กระผมเห็นแลวดวยดี ดวยยถาภูตสัมมัปปญญา๑ จริง ๆ แตกระผมก็หาเปนพระ อรหันตขีณ าสพไม. ดู กอนท าน! เปรียบเหมือนบ อน้ํา มี อยูริมหนทางอันกันดาร, ที่ บอนั้น เชือกก็ไมมี ครุสําหรับตักน้ําก็ไมมี. ลําดับนั้น มีบุรุษผูถูกความรอนแผดเผา แล ว ถู ก ความร อ นครอบงํ า แล ว อ อ นเพลี ย อยู หิ วกระหายอยู มาถึ งบ อ นั้ น แล ว ; บุ รุษ นั้ นมองลงในบ อนั้ น เขามี ความรูสึ กว า น้ํ าในบ อนั้ นมี อ ยู แต เขาไม อาจจะทํ า ใหน้ํานั้นถูกตองกายเขาได, ฉันใด; ดูกอนทาน! ขอนี้ก็ฉันนั้น : ธรรมที่วา 'การดับ แห ง ภพ คื อ นิ พ พาน' นั้ น เป น ธรรมที่ ก ระผมเห็ น แล ว ด ว ยดี ด ว ยยถาภู ต สั ม มั ป ปญญาจริง ๆ แตกระผมก็หาเปนอรหันตขีณาสพไม".
www.buddhadasa.info ครั้นพระนารทะกล าวอย างนี้ แล ว พระอานนท ได หั นไปกล าวกะพระปวิ ฏฐะว า "ดู ก อนท าน ปวิฏฐะ! ทานเปนผูขี้มักถามอยางนี้ ไดกลาวอะไรแกทานนารทะบาง?". พระปวิ ฏ ฐะได ต อบว า "ดู ก อ นท า นอานนท ! ผมซึ่ ง เป น ผู ขี้ มั ก ถามอย า งนี้
ไม ได กล าวเรื่องอะไร ๆ กะพระนารทะเลย นอกจากเรื่องที่ งดงาม และเรื่องที่ เป น กุศล", ดังนี้ แล.
๑
ยถาภู ตสั มมปป ญญา คื อ ป ญญาที่ เห็ นอย างถู กต องตามที่ เป นจริง โดยไม ต องอาศั ยเหตุ ๕ ประการ ดั งที่ ไดกลาวแลวขางตน เชน ความเชื่อตามคําของผูอื่น หรือความชอบใจคําที่ผูอื่นกลาว ดังนี้เปนตน.
www.buddhadasa.info
๒๘๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖ หมายเหตุ ผู ร วบรวม : การที่ นํ า เอาเรื่ อ งของพระสาวกมากล า วไว ในที่ นี้ (ซึ่ งล วนแต เป น พุ ท ธภาสิ ต) ก็ เพื่ อ จะให ผู ศึ ก ษาได เข าใจความหมายของคํ าว า "ยถาภู ต สั ม มั ป ป ญ ญา" โดยชั ด เจน จากถ อ ยคํ า ที่ พ ระสาวกเหล า นั้ น โต ต อบกั น ; เนื่ อ งจากว า ไม มี ที่ ใดจะแสดงให เห็ น ลั ก ษณะของสิ่ งที่ เรี ย กว า "ยถาภู ต สั ม มั ป ป ญ ญา" ได ดี ก ว า ข อ ความใน เรื่องนี้.
แมการทําความเพียรในที่สงัด ก็ยังตองปรารภขันธหา ตามวิธีการของปฏิจจสมุปบาท๑ พระอานนท ได กราบทู ล ถามว า "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ดั งข าพระองค ข อโอกาส ขอ พระผูมีพระภาค จงทรงแสดงธรรมแกขาพระองค โดยยอ ซึ่งขาพระองคไดฟ งแลว จะเป นผูหลี กออกผู เดียว เป นผู ไม ประมาท มี ความเพี ยรเผากิ เลส มี ตนส งไปแล ว (ในธรรมปฏิ บั ติ ) อยู เถิ ด พระเจ าข า!". พระผู มี พระภาค ไดตรัสวา:-
ดู ก อนอานนท ! เธอจะสํ าคั ญความข อนี้ วาอย างไร : รูปเที่ ยงหรือไม เที่ ยง? ("ไม เที่ ยง พระเจ าข า!") ก็ สิ่ งใดไม เที่ ยง สิ่ งนั้ นเป นทุ กข หรือเป นสุ ขเล า? ("เป นทุ กข พระเจ า ข า !") ก็ สิ่ ง ใดไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา ควรหรื อ หนอที่ จะตามเห็ นสิ่ งนั้ นวา "นั่ นของเรา; นั่ นเป นเรา; นั่ นเป นตั วตนของเรา" ; ดั งนี้ ? ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!").
www.buddhadasa.info ดู ก อ นอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ อ งนี้ รู ป อย า งใดอย า งหนึ่ ง ทั้ ง ที่ เปนอดีต อนาคต และปจจุบัน อันมีอยูในภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือปราณี ตก็ ตาม รูปทั้ งหมดนั้ นไม ใช ของเรา; นั่ นไม ใชเรา; นั่ นไม ใช ตั วตนของ เรา; เธอพึ งเห็ นซึ่ งขอนนั้ น ด วยยถาภู ตสั มมั ปป ญญา (ความรูทั่ วถึ งถูกต องตามเป นจริง) อยางนี้ ดวยประการดังนี้.
๑
สูตรที่ ๑๐ ทิฏฐิวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๒๘/๓๖๔, ตรัสแกพระอานนท ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๘๗
(ในกรณี แห งเวทนา สั ญญา สั งขาร วิ ญญาณ ก็ มี การตรัสถาม, ทู ลตอบ. และตรัส อย าง เดียวกันทุกตัวอักษร กับในกรณีแหงรูป ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธ เทานั้น).
ดู ก อนอานนท ! อริยสาวกผู ได สดั บ แล ว เห็ นอยู อ ย างนี้ ย อมเบื่ อหน าย แม ในรู ป แม ในเวทนา แม ในสั ญ ญา แม ในสั งขารทั้ งหลาย แม ในวิ ญ ญาณ. เมื่ อ เบื่ อหน าย ยอมคลายกํ าหนั ด; เพราะความคลายกําหนั ด จึงหลุดพ น; เมื่ อหลุ ดพ นแล ว ยอมมี ญาณเกิดขึ้นแกอริยสาวกนั้ นวา "หลุ ดพ นแลว" ดั งนี้ . อริยสาวกนั้ น ยอมรูชัดวา" ชาติ สิ้ น แล ว, พรหมจรรย อั นเราอยู จบแล ว, กิ จที่ ควรทํ าได กระทํ าเสร็ จแล ว, กิ จอื่ น เพื่อทําความเปนอยางนี้มิไดอีก". ดังนี้ แล. ห ม าย เห ตุ ผู รวบ รวม : ผู ศึ ก ษ าพึ งสั ง เกต ให เห็ น ว า "การเห็ น ชอ บ ตามที่ เป น จริ ง" นั้ น มิ ได มี ค วามสํ าคั ญ เพี ย งใดเรื่ อ งราวอั น เกี่ ยวกั บ การพิ จ ารณาเห็ น ปฏิ จจสมุ ป บาท แม ในการทํ าความเพี ย รใด ๆ ก็ ต าม ย อ มปรารภยถาภู ต สั ม มั ป ป ญ ญา คื อ การ เห็ น ชอบตามที่ เป น จริงด วยกั น ทั้ งนั้ น ดั งที่ ได ยกมาให เห็ น เป น ตั วอย างเรื่อ งหนึ่ ง คื อ เรื่ อ งนี้ . ผู ศึ ก ษาพึ งเห็ น ความสํ า คั ญ ของการเห็ น ชอบตามที่ เป น จริ ง เกี่ ย วกั บ อุ ป าทานขั น ธ ห า ดั ง นี้ เถิด.
www.buddhadasa.info แมสุขทุกขในภายใน ก็เกิดขึ้นเพราะปรารภขันธหา๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร สุขและทุกข ในภายใน จึงเกิดขึ้น?
ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลาย ของ พวกขาพระองค มีพระผูมีพระภาคเปนมูล มีพระผูมีพระภาคเปนผูนํา มีพระผูมีพระภาคเปนที่พึ่ง. ขาแต
๑
สูตรที่ ๑ ทิฏฐิวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๒๑/๓๔๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๒๘๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
พระองค ผู เจริ ญ ! เป นการชอบแล วหนอ ขอให อรรถแห งภาษิ ตนั้ น จงแจ มแจ งกะพระผู มี พระภาคเองเถิ ด ภิก ษุทั ้ง หลายไดฟ ง จากพระผู ม ีพ ระภาคแลว จัก ทรงจํ า ไว" ดัง นี ้. พระผู ม ีพ ระภาค ตรัส เตือ นให ภิกษุทั้งหลายเหลานั้นตั้งใจฟงดวยดีแลว ไดตรัสขอความดังตอไปนี้:-
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อรูปนั่นแล มีอยู, เพราะเขาไปยึดถือซึ่งรูป เพราะปกใจเขาไปสูรูป, สุขและทุกข ในภายใน จึงเกิดขึ้น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้ งหลาย จะสํ าคั ญความข อนี้ ว าอย างไร : รู ป เที่ ย งหรื อ ไม เที่ ย ง? ("ไม เที่ ย ง พระเจ าข า!") ก็ สิ่ งใดไม เที่ ย ง สิ่ งนั้ น เป น ทุ ก ข ห รื อ เป น สุ ขเล า? ("เป น ทุ ก ข พระเจ าข า!") ก็ สิ่ งใดไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวน เป น ธรรมดา แต ถ า ไม เข า ไปยึ ด ถื อ สิ่ ง นั้ น แล ว สุ ข และทุ ก ข ในภายใน จะเกิ ด ขึ้ น ไดไหม? ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!"). (ในกรณ ีแ หง เวทนา สัญ ญ า สัง ขาร วิญ ญ าณ ก็ม ีก ารตรัส , ตรัส ถาม , ทูล ตอบ. อยางเดียวกันทุกตัวอักษร กับในกรณีแหงรูป ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธ เทานั้น).
ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อริยสาวกผู ได สดั บแล ว เห็ นอยูอยางนี้ ยอมเบื่ อหน าย แม ในรู ป แม ในเวทนา แม ในสั ญ ญา แม ในสั งขารทั้ งหลาย แม ในวิ ญ ญาณ. เมื่ อ เบื่ อหน าย ยอมคลายกํ าหนั ด; เพราะความคลายกําหนั ด จึงหลุดพ น; เมื่ อหลุ ดพ นแล ว ย อมมี ญ าณเกิ ดขึ้ นแก อริยสาวกวา "หลุ ดพ นแล ว" ดั งนี้ . อริยสาวกนั้ น ย อมรูชั ดว า "ชาติ สิ้ นแล ว, พรหมจรรย อั นเราอยู จบแล ว, กิ จที่ ควรทํ าได กระทํ าเสร็จแล ว, กิ จอื่ น เพื่อทําความเปนอยางนี้มิไดอีก". ดังนี้ แล
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๘๙
ตนเงื่อนของปฏิจจสมุปบาท ละไดดวยการเห็นธรรมทั้งปวงวาไมควรยึดมั่น๑ ภิ กษุ รู ปหนึ่ ง ได ทู ลถามพระผู มี พระภาคเจ าดั งนี้ ว า "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ธรรม
อยางหนึ่ง มีอยูหรือไมหนอ ซึ่งเมื่อภิกษุ ละไดแลว อวิชชายอมละไป วิชชายอมเกิดขึ้น พระเจาขา?" ดูกอนภิกษุ! ธรรมอยางหนึ่ง มีอยูแล ...ฯลฯ... "ขาแตพระองคผูเจริญ! ธรรมอยางหนึ่ง นั้นคืออะไรเลาหนอ .ฯลฯ...?" ดู ก อนภิ กษุ ! อวิ ช ชานั่ นแล เป นธรรมอย างหนึ่ ง ซึ่ งเมื่ อภิ กษุ ละได แล ว อวิชชายอมละไป วิชชายอมเกิดขึ้น. "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! เมื่ อ ภิ ก ษุ รู อ ยู อ ย างไร เห็ น อยู อ ย างไร อวิ ชชา จึงจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น พระเจาขา?"
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุ! หลักธรรมอันภิกษุในกรณีนี้ไดสดับแลว ยอมมีอยูวา "สิ่ง ทั้ง หลายทั้ง ปวง อัน ใคร ๆ ไมค วรยึด มั่น ถือ มั่น (วา เปน ตัว เรา-ของ เรา)" ดั ง นี้ ดู ก อ นภิ ก ษุ ! ถ า ภิ ก ษุ ได ส ดั บ หลั ก ธรรมข อ นั้ น อย า งนี้ ว า สิ่ ง ทั้ ง หลาย ทั้งปวง อันใคร ๆ ไมควรยึดมั่นถือมั่นดังนี้แลวไซร, ภิกษุนั้นยอมรูยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง;
๑
สูตรที่ ๗ คิลานวรรค สฬา. สํ. ๑๘/๖๒/๙๖.
www.buddhadasa.info
๒๙๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ครั้นรูยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวงแลว, ยอมรอบรูซึ่งธรรมทั้งปวง; ครั้นรอบรูซึ่ งธรรมทั้ งปวงแล ว, ภิ กษุ นั้ นย อมเห็ นซึ่ งนิ มิ ตทั้ งหลายของ สิ่งทั้งปวงโดยประการอื่น ๑: ยอมเห็นซึ่งจักษุ โดยประการอื่ น; ยอมเห็นรูปทั้งหลายโดยประการอื่น; ย อมเห็ นซึ่ งจั กขุ วิ ญ ญาณโดยประการอื่ น; ย อมเห็ นซึ่ งจั กขุ สั ม ผั ส โดยประการอื่ น; ยอมเห็ นซึ่งเวทนาอั นเป นสุ ขก็ ตาม เป นทุ กขก็ตาม มิ ใชทุ กขมิ ใชสุ ขก็ตาม ที่ เกิดขึ้น เพราะจักขุสัมผัสเปนปจจัยโดยประการอื่น. (ในกรณี แห งโสตะก็ ดี ฆานะก็ ดี ชิ วหาก็ ดี กายก็ ดี มโนก็ ดี และธรรมทั้ งหลายที่ สั มปยุ ตต ด วยโสตะ ฆานะ ชิ วหา กาย และมโน นั้ น ๆ ก็ ดี พระผู มี พระภาคเจ าได ตรัสไว มี นั ยอย างเดี ยวกั นกั บ ในกรณีแหงการเห็นจักษุและธรรมทั้งหลายที่สัมปยุตตดวยจักษุ).
ดู ก อนภิ กษุ ! เมื่ อภิ กษุ รูอยู อย างนี้ เห็ นอยู อย างนี้ แล อวิ ชชาจึ งจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เ ห็ น ว า อวิ ช ชาซึ่ ง เป น ต น เงื ่อ นของปฏิจ จสมุป บาท จะละไปไดเ พราะการเห็น แจง ในขอ ที ่ว า ธรรมทั ้ง หลาย ทั ้ง ปวง อัน บุค คลไมค วรยึด มั ่น ถือ มั ่น ซึ ่ง มีอ ยู เ ปน ภาษาบาลีว า "สพฺเ พ ธมฺม า นาลํ อภินิเวสาย" ซึ่งควรถือวาเปนหัวใจของพระพุทธศาสนา.
www.buddhadasa.info
๑
เมื่ อบุ คคลรูแจ งสิ่ งทั้ งปวง โดยถู กต องแล ว ย อมเห็ นสิ่ งทั้ งปวงโดยประการอื่ น จากที่ เขาเคยเห็ นเมื่ อยั ง ไม รูแ จ ง เช น เมื่ อ ก อ นเห็ น ว า สั งขารเป น ของเที่ ย ง บั ด นี้ ย อ มเห็ น โดยความเป น ของไม เที่ ย ง เป น ต น นี้ เรี ยกว าเห็ นโดยประการอื่ น. คํ าว า นิ มิ ต หมายถึ งลั กษณะหนึ่ ง ๆ ของสิ่ งต าง ๆ ที่ เป นเครื่ องสั งเกต หรือรูสึก หรือยึดถือ หรือสําคัญมั่นหมาย.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๙๑
ตนเงื่อน แหงปฏิจจสมุปบาท ละไดดวยการเห็นอนิจจัง๑ (ภิกษุองคหนึ่ง ไดทูลถามอยางเดียวกันกับคําถามในเรื่องที่แลวมา ตอไปนี้เปนคําตอบ:-)
ดูกอนภิกษุ! เมื่อภิกษุรูอยูเห็นอยูซึ่งจักษุ โดยความเปนของไมเที่ยง, อวิชชาจึงจะละไป วิชชาจึงเกิดขึ้น; เมื่อภิกษุรูอยูเห็นอยูซึ่งรูปทั้งหลาย ...ฯลฯ...; เมื่อภิกษุรูอยูเห็นอยูซึ่งจักขุวิญญาณ ...ฯลฯ...; เมื่อภิกษุรูอยูเห็นอยูซึ่งจักขุสัมผัส ...ฯลฯ...; เมื่อภิกษุรูอยูเห็นอยูซึ่งเวทนา อันเปนสุขก็ตาม เปนทุกขก็ตาม มิใชทุกข มิใชสุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเปนปจจัย โดยความเปนของไมเที่ยง, อวิชชา จึงจะละไป วิชชาจึงเกิดขึ้น; (ในกรณีแหงโสตะ ฆานะ ชิวหา กาย และมโน ทุกหมวด มีขอความอยางเดียวกัน).
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เมื่ อ ภิ ก ษุ รู อ ยู อ ย า งนี้ เห็ น อยู อ ย า งนี้ อวิ ช ชาจึ งจะละไป วิชชาจึงจะเกิดขึ้น.
๑
สูตรที่ ๖ คิลานวรรค สฬา. สํ. ๑๘/๖๑/๙๕.
www.buddhadasa.info
๒๙๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
อาการแหงอนิจจัง โดยละเอียด๑ (เรื่องนี้ มีความประสงคเพื่อขยายความเรื่องที่แลวมาใหชัดเจนยิ่งขึ้น)
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! วิ ญ ญาณย อ มมี ขึ้ น เพราะอาศั ย ธรรม ๒ อย าง สองอย างอะไรเล า? สองอย างคื อ , ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยซึ่ งจั ก ษุ ด วย ซึ่งรูปทั้งหลายดวย จักขุวิญญาณ จึงเกิดขึ้น. จักษุเปนสิ่งที่ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น; รูปทั้ งหลายเป นสิ่ งที่ ไม เที่ ยง มี ความแปรปรวน มี ความเป นไปโดยประการ อื่ น : ธรรมทั้ งสอง (จักษุ +รูป) อย างนี้ แล เป นสิ่ งที่ หวั่นไหวด วย อาพาธด วย ไม เที่ ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น; จั ก ษุ วิ ญ ญาณ เป นสิ่ งที่ ไม เที่ ยง มี ความแปรปรวน มี ความเป นไปโดย ประการอื่น;
www.buddhadasa.info เหตุ อั นใดก็ ตาม ป จจั ยอั นใดก็ ตาม เพื่ อความเกิ ดขึ้ นแห งจั กขุ วิ ญ ญาณ, แม เหตุ อั น นั้ น แม ป จ จั ย อั น นั้ น ก็ ล วนเป น สิ่ งที่ ไม เที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มี ค วาม เป นไปโดยประการอื่ น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! จั กขุ วิ ญ ญาณเกิ ดขึ้ นแล ว เพราะอาศั ย ปจจัยที่ไมเที่ยงดังนี้ จักขุวิญญาณเปนของเที่ยงมาแตไหน.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความประจวบพร อม ความประชุ มพร อม ความมา พร อมกั น แห งธรรมทั้ งหลาย (จั กษุ +รู ป+จั กขุ วิ ญ ญาณ) ๓ อย างเหล านี้ อั นใดแล; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อันนี้เราเรียกวาจักขุสัมผัส. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! แมจักขุสัมผัส ก็เปนสิ่งที่ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น. ๑
สูตรที่ ๑๐ ฉันนวรรค สฬา. สํ. ๑๘/๘๕/๑๒๔-๗.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๙๓
เหตุ อั น ใดก็ ต าม ป จ จั ย อั น ใดก็ ต าม เพื่ อ ความเกิ ด ขึ้ น แห งจั ก ขุ สั ม ผั ส , แม เหตุ อั น นั้ น แม ป จ จั ย อั น นั้ น ก็ ล วนเป น สิ่ งที่ ไม เที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มี ค วาม เป น ไปโดยประการอื่ น . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! จั ก ขุ สั ม ผั ส เกิ ด ขึ้ น แล ว เพราะอาศั ย ปจจัยที่ไมเที่ยงดังนี้ จักขุสัมผัสจักเปนของเที่ยงมาแตไหน. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคลที่ ผั สสะกระทบแล วย อมรู สึ ก (เวเทติ ), ผั สสะ กระทบแล วย อมคิ ด (เจเตติ ), ผั สสะกระทบแล วย อมจํ าได หมายรู (สฺ ชานาติ ) : แม ธรรม ทั้ งหลาย (เวทนา, เจตนา, สั ญญา๑) อย างนี้ เหล านี้ ก็ ล วนเป นสิ่ งที่ หวั่ นไหวด วย อาพาธ ดวย ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น; (ในกรณี แหงโสตวิญญาณก็ดี, ฆานวิญญาณก็ดี, ชิวหาวิญญาณก็ดี, กายวิญญาณก็ดี, ก็มี นัยเดียวกัน).
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยซึ่งมโนดวย ซึ่งธัมมารมณ ทั้งหลายดวย มโนวิญญาณ จึงเกิดขึ้น.
www.buddhadasa.info มโนเปนสิ่งที่ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น;
ธั มมารมณ ทั้ งหลายเป นสิ่ งที่ ไม เที่ ยง มี ความแปรปรวน มี ความเป นไปโดย ประการอื่ น : ธรรมทั้ งสอง (มโน+ธั ม มารมณ ) อย า งนี้ แ ล เป น สิ่ ง ที่ ห วั่ น ไหวด ว ย อาพาธดวย ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น; มโนวิ ญ ญาณเป น สิ่ งที่ ไม เที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มี ค วามเป น ไปโดย ประการอื่น;
๑
เวทนา คื อความรู สึ ก เป นผลของ เวเทติ , เจตนา คื อความคิ ด เป นผลของ เจเตติ , สั ญญา คื อความจํ าได หมายรู เปนผลของ สฺชานาติ.
www.buddhadasa.info
๒๙๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
เหตุ อั นใดก็ ตาม ป จจั ยอั นใดก็ ตาม เพื่ อความเกิ ดขึ้ นแห งมโนวิ ญ ญาณ, แม เหตุ อั น นั้ น แม ป จ จั ย อั น นั้ น ก็ ล วนเป น สิ่ งที่ ไม เที่ ย ง มี ค วามแปรปรวน มี ค วาม เป นไปโดยประการอื่ น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มโนวิ ญ ญาณเกิ ดขึ้ นแล ว เพราะอาศั ย ปจจัยที่ไมเที่ยงดังนี้ มโนวิญญาณเปนของเที่ยงมาแตไหน. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความประจวบพร อม ความประชุ มพร อม ความมา พร อ มกั น แห งธรรมทั้ งหลาย (มโน+ธั ม มารมณ +มโนวิ ญ ญาณ) ๓ อย า งเหล า นี้ อันใดแล; ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อันนี้ เราเรียกวา มโนสั มผั ส. ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! แมมโนสัมผัส ก็เปนสิ่งที่ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น. เหตุ อั นใดก็ตาม ป จจัยอันใดก็ ตาม เพื่ อความเกิดขึ้ นแห งมโนสั มผั ส, แม เหตุ อันนั้ น แม ป จจัยอั นนั้ น ก็ ล วนเป นสิ่ งที่ ไม เที่ ยง มี ความแปรปรวน มี ความเป นไปโดย ประการอื่ น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มโนสั มผั สเกิ ดขึ้นแล ว เพราะอาศั ยป จจั ยที่ ไม เที่ ยง ดังนี้ มโนสัมผัสจักเปนของเที่ยงมาแตไหน.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคลที่ ผั สสะกระทบแล วย อมรู สึ ก (เวเทติ ), ผั สสะ กระทบแลวยอมคิด (เจเตติ), ผัสสะกระทบแลวยอมจําไดหมายรู (สฺชานาติ) : แมธรรม ทั้งหลาย (เวทนา, เจตนา, สัญญา) อยางนี้เหลานี้ ก็ลวนเปนสิ่งที่หวั่นไหวดวย อาพาธ ดวย ไมเที่ยง มีความแปรปรวน มีความเปนไปโดยประการอื่น.
เคล็ดลับในการปดกั้นทางเกิดแหงปฏิจจสมุปบาท๑ ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ภิ กษุ พึ งพิ จารณาใครครวญ โดยประการที่เมื่ อพิ จารณา ใครครวญอยูแลว วิญญาณ (จิต) ของเธอนั้น อันไมฟุงไป ไมซานไปในภายนอกดวย,
๑
อุทเทสวิภังคสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๔๑๑, ๔๑๔/๖๓๙, ๖๔๓. ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๙๕
อั นไม ตั้ งสยบอยู ในภายในด วย, ก็ จะไม พึ งสะดุ ง เพราะเหตุ ไม มี ความยึ ดมั่ นถื อมั่ น, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อวิญญาณ ไมฟุงไป ไมซานไปในภายนอก ไมตั้งสยบ อยูในภายในอยู เปนจิตไมสะดุง เพราะเหตุไมมีความยึดมั่นถือมั่น ดังนี้แลว; การกอตั้งขึ้นแหงกองทุกข กลาวคือ ชาติ ชรา มรณะ ยอมไมมีอีกตอไป. ๑ ครั้นตรัสดั งนี้ แล ว พระผู มี พระภาคได เสด็ จเข าสู ที่ ประทั บเสี ย. ภิ กษุ เหล านั้ นไม เขาใจใน เนื้ อความแห งพระพุ ทธวจนะนี้ โดยพิ สดาร จึ งพากั นไปหาพระมหากั จจานะ ได รับคํ าอธิ บายจากพระมหา กัจจานะโดยพิสดารดังตอไปนี้:-
ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! ข อที่ พระผู มี พระภาคเจ าทรงแสดงอุ เทสไว แตโดยยอ แกเราทั้งหลายวา "ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพึ งพิจารณาใครครวญ โดยประการที่เมื่อพิจารณาใครครวญอยูแลว วิญญาณ (จิต) ของเธอนั้น อัน ไ ม ฟุงไป ไมซานไปในภายนอกดวย, อันไมตั้งสยบอยูในภายในดวย, ก็จะไมพึง สะดุง เพราะเหตุไมมีความยึดมั่นถือมั่น, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อวิญญาณ ไมฟุงไป ไมซานไปในภายนอก ไมตั้งสยบอยูในภายในอยู เปนจิตไมสะดุง เพราะเหตุไมมีความยึดมั่นถือมั่นแลว; การกอตั้งขึ้นแหงกองทุกข กลาวคือ ชาติ ชรา มรณะ ยอมไมมีอีกตอไป." ดังนี้แลว มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร เสด็ จ ลุ ก จากอาสนะเข า สู ที่ ป ระทั บ เสี ย นั้ น ; ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! สํ า หรั บ อุเทสซึ่งพระผูมี พระภาคเจ าทรงแสดงแต โดยยอ ไม ทรงจําแนกเนื้ อความโดยพิ สดาร นี้ ขาพเจารูเนื้อความแหงอุเทสนั้น โดยพิสดาร ดังตอไปนี้:-
www.buddhadasa.info ๑
เคล็ ดลั บในการป ดกั้ นทางเกิ ดแห งปฏิ จจสมุ ปบาทในที่ นี้ ก็ คื อคํ ากล าวในประโยคที่ ว า "พึ งใครครวญโดย ประการที่ เมื่ อใครครวญอยู จิ ตไม อาจฟุ งซ านไปภายนอก, และไม สยบอยู ในภายใน, และไม สะดุ งเพราะ ความยึ ดมั่ นใด ๆ", โดยวิ ธี ปฏิ บั ติ ตามคํ าอธิบายโดยพิ สดารของพระมหากั จจานะ นั่ นเอง; และเพราะเป น คํ าอธิ บายที่ พระองค ทรงรับรอง วาแม พระองค จะทรงอธิ บายเอง ก็ จะทรงอธิ บายอย างเดี ยวกั น; จึ งนํ า เภรภาษิตนี้มาตอทายถอยคําจากพระโอษฐ เพื่อความแจมแจงและสะดวกแกผูศึกษา.
www.buddhadasa.info
๒๙๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! ก็ คํ าที่ กล าวว า "วิ ญ ญาณอั น ฟุ งไป ซ าน ไปในภายนอก" ดั งนี้ นั้ น มี เนื้ อ ความโดยพิ ส ดารอย างไรเล า? ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! ในกรณี ที่ ก ล าวนี้ วิ ญ ญาณ (จิ ต ) ของภิ ก ษุ ผู เห็ น รู ป ด วยตาแล ว เป น วิ ญ ญาณที่ แ ล น ไปตามนิ มิ ต แห งรู ป , เป น วิ ญ ญาณที่ ห ยั่ งลงในอั ส สาทะ (รสอร อ ย) ของนิ มิ ตแห งรูป, ผู กพั นอยู ในอั สสาทะของนิ มิ ตแห งรูป, ประกอบพร อ มแล วด วย ความผูกพันอยูในอัสสาทะของนิมิตแหงรูป : นี้แหละคือขอความที่กลาวโดยยอวา "วิ ญ ญาณอั น ฟุ ง ไป ซ า นไปในภายนอก" ดั ง นี้ . (ในกรณี แ ห ง การได ยิ น เสี ย งด ว ยหู , การ รูสึ ก ลิ่ นด วยจมู ก, การลิ้ มรสด วยลิ้ น, การสั มผั สทางผิ วหนั งด วยผิ วกาย, และการรูแจ งธั มมารมณ ด วยใจ, ก็ มี ข อความเหมื อนกั บข อความที่ กล าวในกรณี แห งการเห็ นรูปด วยตา ข างบนนี้ ทุ กตั วอั กษร ต างกั นแต ชื่ อของ อายตนะนั้ น ๆ เท านั้ น.) ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! คํ าที่ กล าวว า "วิ ญ ญาณอั น ฟุ งไป
ซานไปในภายนอก" ดังนี้นั้น มีเนื้อความโดยพิสดาร อยางนี้แล. ดูก อ นทา นผู ม ีอ ายุทั ้ง หลาย! ก็คํ า อัน พระผู ม ีพ ระภาคตรัส แลว วา "วิญ ญาณอัน ไมฟุ งไป ไมซานไป ในภายนอก" ดังนี้นั้น มีเนื้อความโดยพิสดาร อย า งไรเล า ? ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! วิ ญ ญาณ (จิ ต ) ของภิ ก ษุ ผู เ ห็ น รู ป ด ว ยตาแล ว ไม เป น วิ ญ ญาณที่ แล น ไปตามนิ มิ ต แห งรู ป , ไม เป น วิ ญ ญาณที่ ห ยั่ งลง ในอั ส สาทะ (รสอร อ ย)ของนิ มิ ต แห งรู ป , ไม ผู ก พั น อยู ในอั ส สาทะของนิ มิ ต แห ง รู ป , ไมประกอบพรอมแลวดวยความผูกพันอยูในอัสสาทะของนิมิตแหงรูป : นี้แหละคือ ข อ ความอั น พระผู มี พ ระภาคตรั ส แล ว โดยย อ ว า "วิ ญ ญาณอั น ไม ฟุ ง ไป ไม ซ า นไป ในภายนอก" ดั ง นี้ .(ในกรณี แห งการได ยิ นเสี ยงด วยหู , การรูสึ กกลิ่ นด วยจมู ก, การลิ้ มรสด วยลิ้ น,
www.buddhadasa.info การสั มผั สทางผิ วหนั งด วยผิ วกาย, และการรูแจ งธั มมารมณ ด วยใจ, ก็ มี ข อความเหมื อนกั บข อความที่ กล าว ในกรณี แห ง การเห็ น รู ป ด ว ยตา ข า งบนนี้ ทุ ก ตั ว อั ก ษร ต า งกั น แต ชื่ อ ของอายตนะนั้ น ๆ เท า นั้ น .) ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! คํ าอั นพระผู มี พระภาคตรั สที่ กล าวว า "วิ ญ ญ าณ อั นไม ฟุ งไป ไมซานไป ในภายนอก" ดังนี้นั้น มีเนื้อความโดยพิสดาร อยางนี้แล.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๙๗
ดูกอนทานผู มีอายุทั้งหลาย! ก็คําที่ กลาววา "จิ ต ตั้ งสยบอยู ในภายใน" ดั งนี้ นั้ น มี เนื้ อ ความโดยพิ ส ดารอย างไรเล า? ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! ในกรณี ที่ ก ล า วนี้ ภิ ก ษุ , เพราะสงั ด จากกามและอกุ ศ ลธรรมทั้ งหลาย จึ งบรรลุ ฌ านที่ ๑ อั น มี วิ ต ก วิ จ าร มี ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด แต วิ เวก แล ว แลอยู . วิ ญ ญาณ (จิ ต ) ของ ภิ กษุ นั้ น เป นวิ ญ ญาณที่ แล นไปตามป ติ และสุ ข อั นเกิ ดแต วิเวก, เป นวิ ญ ญาณที่ หยั่ ง ลงในอั สสาทะของป ติ และสุ ข อั น เกิ ด แต วิ เวก, ผู กพั น อยู ในอั ส สาทะของป ติ และสุ ข อันเกิดแตวิเวก, เปนวิญญาณที่ประกอบพรอมแลวดวยความผูกพันในอัสสาทะของ ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด แต วิ เวก; นี้ แ หละคื อ ขอ ความที่ ก ล าวโดยย อ วา "จิ ต ตั้ งสยบ อยูในภายใน" ดังนี้. ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! ข อ อื่ น ยั ง มี อี ก : ภิ ก ษุ , เพราะความที่ วิ ต กและวิ จ ารสงบระงั บ ลง; จึ ง บรรลุ ฌ านที่ ๒ อั น เป น เครื่ อ งผ อ งใสแห ง ใจใน ภายใน, ทํ า ให ส มาธิ อั น เป น ธรรมอั น เอกผุ ด มี ขึ้ น , ไม มี วิ ต กวิ จ าร, มี แ ต ป ติ แ ละสุ ข อั น เกิ ด แต ส มาธิ แล ว แลอยู . วิ ญ ญาณ ของภิ ก ษุ นั้ น เป น วิ ญ ญาณที่ แ ล น ไปตาม ป ติ และสุ ข อั น เกิ ดแต ส มาธิ , เป น วิ ญ ญาณที่ ห ยั่ งลงในอั สสาทะของป ติ และสุ ข อั น เกิ ดแต สมาธิ , ผู กพั นอยู ในอั สสาทะของป ติ และสุ ข อั นเกิ ดแต สมาธิ , เป นวิ ญ ญาณ ที่ประกอบพรอมแลวดวยความผูกพันในอัสสาทะของปติและสุข อันเกิดแตสมาธิ; นี้แหละ คือขอความที่กลาวโดยยอวา "จิต ตั้งสยบอยูในภายใน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! ข อ อื่ น ยั งมี อี ก : ภิ ก ษุ , เพราะความจาง คลายไปแห ง ป ติ , ย อ มเป น ผู อ ยู อุ เบกขา, มี ส ติ แ ละสั ม ปชั ญ ญะ, และย อ มเสวย ความสุข ดว นนามกาย ชนิด ที ่พ ระอริย เจา ทั ้ง หลาย ยอ มกลา วสรรเสริญ ผู นั ้น วา "เปนผูอยูอุเบกขา มีสติอยูเปนปรกติสุข" ดังนี้; จึงบรรลุฌานที่ ๓ แลวแลอยู.
www.buddhadasa.info
๒๙๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
วิ ญ ญาณของภิ ก ษุ นั้ น เป น วิ ญ ญาณที่ แ ล น ไปตามอุ เบกขา, เป น วิ ญ ญาณที่ ห ยั่ ง ลงในอั สสาทะของสุ ขอั นเกิ ดแต อุ เบกขา, ผู กพั นอยู ในอั สสาทะของสุ ขอั นเกิ ดแต อุ เบกขา, เปนวิญญาณที่ประกอบพรอมแลวดวยความผูกพันในอัสสาทะของสุขอันเกิดแต อุเบกขา, นี้แหละคือขอความที่กลาวโดยยอวา "จิต ตั้งสยบอยูในภายใน" ดังนี้. ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! ข ออื่ นยั งมี อี ก : ภิ กษุ , เพราะความละสุ ขและ ทุ ก ข เสี ย ได เพราะความดั บ ไปแห ง โสมนั ส และโทมนั ส ในกาลก อ น, จึ ง บรรลุ ฌ าน ที่ ๔ อั น ไม มี ทุ ก ข แ ละสุ ข , มี แ ต ค วามที่ ส ติ เป น ธรรมชาติ บ ริ สุ ท ธิ์ เพราะอุ เ บกขา แล ว แลอยู . วิ ญ ญาณของภิ ก ษุ นั้ น เป น วิ ญ ญาณที่ แ ล น ไปตามอทุ ก ขมสุ ข , เป น วิ ญ ญาณที่ ห ยั่ งลงในอั สสาทะของอทุ ก ขมสุ ข, ผู กพั น อยู ในอั ส สาทะของอทุ กขมสุ ข, เปนวิญญาณที่ประกอบพรอมแลวดวยความผูกพันในอัสสาทะของอทุกขมสุข, นี้แหละ คือขอความที่กลาวโดยยอวา "จิต ตั้งสยบอยูในภายใน" ดังนี้. ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! คํ า ที่ ก ล า วว า "จิ ต ตั้ งสยบอยู ในภายใน" ดังนี้นั้น มีเนื้อความโดยพิสดาร อยางนี้แล.
www.buddhadasa.info ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! ก็ คํ าอั นพระผู มี พระภาคตรั สที่ กล าวว า "จิ ต อั น ไม ตั้ งสยบอยู ในภายใน" ดั งนี้ นั้ น มี เนื้ อ ความโดยพิ ส ดารอย างไรเล า? ดู ก อ น ท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! ในกรณี ที่ กล าวนี้ ภิ กษุ , เพราะสงั ดจากกามและอกุ ศลธรรม ทั้ งหลาย จึงบรรลุ ฌ านที่ ๑ อันมี วิตก วิจาร มี ป ติ และสุข อั นเกิ ดแต วิเวก แล วแล อยู . วิ ญ ญาณ (จิ ต) ของภิ กษุ นั้ น ไม เป นวิ ญ ญาณที่ แล นไปตามป ติ และสุ ข อั นเกิ ด แต วิ เวก, ไม เป น วิ ญ ญาณที่ ห ยั่ งลงในอั ส สาทะของป ติ และสุ ข อั น เกิ ด แต วิ เวก, ไม ผูกพันอยูในอัสสาทะของปติและสุข อันเกิดแตวิเวก, ไมเปนวิญญาณที่ประกอบ
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๒๙๙
พรอมแลวดวยความผูกพันในอัสสาทะของปติและสุข อันเกิดแตวิเวก; นี้แหละคือ ข อ ความอั น พระผู มี พ ระภาคตรั ส แล ว โดยย อ ว า "จิ ต อั น ไม ตั้ ง สยบอยู ในภายใน" ดังนี้. ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! ข อ อื่ น ยั งมี อี ก : ภิ ก ษุ , เพราะความที่ วิ ต ก และวิ จ ารสงบระงั บ ลง; จึ งบรรลุ ฌ านที่ ๒ อั น เป น เครื่ อ งผ อ งใสแห งใจในภายใน, ทํ าให ส มาธิ อั น เป น ธรรมอั น เอกผุ ด มี ขึ้ น , ไม มี วิ ต กวิ จาร, มี แ ต ป ติ และสุ ขอั น เกิ ด แต สมาธิ แล ว แลอยู . วิ ญ ญาณของภิ ก ษุ นั้ น ไม เป น วิ ญ ญาณที่ แ ล น ไปตามป ติ แ ละ สุ ขอั น เกิ ดแต สมาธิ , ไม เป น วิ ญ ญาณที่ หยั่ งลงในอั สสาทะของป ติ และสุ ข อั นเกิ ดแต สมาธิ , ไม ผู กพั น อยู ในอั สสาทะของป ติ และสุ ข อั น เกิ ดแต ส มาธิ , ไม เป น วิ ญ ญาณ ที่ประกอบพรอมแลวดวยความผูกพันในอัสสาทะของปติและสุข อันเกิดแตสมาธิ; นี้ แหละ คื อ ข อความอั นพระผู มี พระภาคเจ าตรัสแล ว โดยย อว า "จิ ต อั นไม ตั้ งสยบ อยูในภายใน" ดังนี้. ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! ข อ อื่ น ยั งมี อี ก : ภิ ก ษุ , เพราะความจาง คลายไปแห ง ป ติ , ย อ มเป น ผู อ ยู อุ เบกขา, มี ส ติ แ ละสั ม ปชั ญ ญะ, และย อ มเสวย ความสุข ดว นนามกาย ชนิด ที ่พ ระอริย เจา ทั ้ง หลาย ยอ มกลา วสรรเสริญ ผู นั ้น วา "เป น ผู อ ยู อุ เบกขา มี ส ติ อ ยู เป น ปรกติ สุ ข " ดั ง นี้ ; จึ ง บรรลุ ฌ านที่ ๓ แล ว แลอยู . วิ ญ ญาณของภิ กษุ นั้ น ไม เป นวิ ญญาณที่ แล นไปตามอุ เบกขา, ไม เป นวิ ญญาณที่ หยั่ ง ลงในอั ส สาทะของสุ ขอั น เกิ ด แต อุ เบกขา, ไม ผู ก พั น อยู ในอั ส สาทะของสุ ข อั น เกิ ด แต อุเบกขา, ไมเปนวิญญาณที่ประกอบพรอมแลวดวยความผูกพันในอัสสาทะของสุขอันเกิด แต อ ุเบกขา, นี้แ หละคือ ขอ ความอัน พระผูมีพ ระภาคตรัส แลว โดยยอ วา "จิต อัน ไมตั้งสยบอยูในภายใน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๓๐๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย! ขออื่นยังมีอีก : ภิกษุ , เพราะความละสุขและ ทุก ขเ สีย ได เพราะความดับ ไปแหง โสมนัส และโทมนัส ในกาลกอ น, จึง บรรลุ ฌานที่ ๔ อันไมมีทุ กขและสุข, มีแตความที่สติเป นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล วแลอยู . วิ ญ ญาณของภิ ก ษุ นั้ น ไม เป น วิ ญ ญาณที่ แล น ไปตามอทุ ก ขมสุ ข, ไม เป น วิ ญ ญาณที่ ห ยั่ ง ลงในอั ส สาทะของอทุ ก ขมสุ ข , ไม ผู ก พั น อยู ใ นอั ส สาทะของ อทุกขมสุข, ไมเปนวิญญาณที่ประกอบพรอมแลวดวยความผูกพันในอทุกขมสุข, นี้แหละ คื อขอความอัน พระผูมีพ ระภาคตรัส แลว โดยยอวา "จิต อันไมตั้ งสยบอยู ในภายใน" ดังนี้. ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! คํ า อั น พระผู มี พ ระภาคตรั ส แล ว ว า "จิ ต อันไมตั้งสยบอยูในภายใน" ดังนี้นั้น มีเนื้อความโดยพิสดาร อยางนี้แล. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย! ก็ความสะดุง ยอมมี เพราะเหตุมีความ ยึ ดมั่ น ถื อ มั่ น เป นอย างไรเล า? ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! ในกรณี ที่ กล าวมานี้ ปุถ ุช นผู ไ มม ีก ารสดับ ไมเ ห็น พระอริย เจา ทั ้ง หลาย ไมฉ ลาดในธรรมของพระอริย เจา ไมไ ดร ับ การแนะนํ า ในธรรมของพระอริย เจา , ไมเห็น สัป บุร ุษ ทั ้ง หลาย ไมฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ ไมไดรับการแนะนํา ในธรรมของสัปบุรุษ:-
www.buddhadasa.info (๑) เขายอมตามเห็นซึ่งรูป โดยความเปนตนบาง, ยอมตามเห็นซึ่งตน ว า มี รู ป บ า ง, ย อ มตามเห็ น ซึ่ ง รู ป ในตนบ า ง, ย อ มตามเห็ น ซึ่ ง ตนในรู ป บ า ง; ครั้ น รู ป นั้ น แปรปรวนไป เป น ความมี โดยประการอื่ น แก เขา : วิ ญ ญาณของเขาย อ ม เป นวิ ญ ญาณที่ เปลี่ ยนแปลงไป ตามความแปรปรวนของรูป เพราะความแปรปรวน ของรูปได มี โดยประการอื่ น. ความสะดุ งอั นเกิ ดจากความเปลี่ ยนแปลงไปตามความ แปรปรวนของรูป ยอมครอบงําจิตของเขาตั้งอยู เพราะความเกิดขึ้นแหงธรรม
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๐๑
(เป น เครื่อ งทํ าความสะดุ ง). เพราะความยึ ด มั่ น แห งจิ ต เขาย อ มเป น ผู มี ค วาม หวาดเสียว มีความคับแคน มีความพะวาพะวง และสะดุงอยู เพราะความยึดมั่น. (๒) เขายอมตามเห็นซึ่งเวทนา โดยความเปนตนบาง, ยอมตามเห็น ซึ่ ง ตนว า มี เวทนาบ า ง, ย อ มตามเห็ น ซึ่ งเวทนาในตนบ า ง, ย อ มตามเห็ น ซึ่ งตนใน เวทนาบ า ง; ครั้ น เวทนานั้ น แปรปรวนไป เป น ความมี โดยประการอื่ น แก เขา : วิ ญ ญาณของเขาย อมเป นวิ ญ ญาณที่ เปลี่ ยนแปลงไปตามความแปรปรวนของเวทนา เพราะความแปรปรวนของเวทนาได มี โดยประการอื่ น. ความสะดุ งอั นเกิ ดจากความ เปลี่ ย นแปลงไปตามความแปรปรวนของเวทนา ย อ มครอบงํ า จิ ต ของเขาตั้ ง อยู เพราะความเกิดขึ้นแหงธรรม (เปนเครื่องทําความสะดุง). เพราะความยึดมั่นแหงจิต เขายอมเปนผูมีความหวาดเสียว มีความคับแคน มีความพะวาพะวง และสะดุงอยู เพราะความยึดมั่น. (๓) เขายอมตามเห็นซึ่งสัญญา โดยความเปนตนบาง, ยอมตามเห็นซึ่ง ตนวามี สั ญญาบ าง, ย อมตามเห็ นซึ่ งสั ญญาในตนบ าง, ย อมตามเห็ นซึ่งตนในสั ญญา บ าง; ครั้ น สั ญ ญานั้ น แปรปรวนไป เป น ความมี โดยประการอื่ น แก เขา : วิ ญ ญาณ ของเขา ย อมเป นวิ ญ ญาณที่ เปลี่ ยนแปลงไปตามความแปรปรวนของสั ญ ญา เพราะ ความแปรปรวนของสั ญ ญาได มี โดยประการอื่ น. ความสะดุ งอั นเกิ ดจากความเปลี่ ยน แปลงไปตามความแปรปรวนของสั ญ ญา ย อมครอบงําจิ ตของเขาตั้ งอยู เพราะความ เกิดขึ้นแหงธรรม (เปนเครื่องทําความสะดุง). เพราะความยึดมั่นแหงจิต เขายอม เปนผูมีความหวาดเสียว มีความคับแคน มีความพะวาพะวง และสะดุงอยู เพราะ ความยึดมั่น.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๓๐๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
(๔) เขายอมตามเห็นซึ่งสังขารทั้งหลาย โดยความเปนตนบาง, ยอม ตามเห็ น ซึ่ งตนว า มี สั งขารบ า ง, ย อ มตามเห็ น ซึ่ งสั งขารทั้ ง หลายในตนบ า ง, ย อ ม ตามเห็ น ซึ่ งตนในสั งขารทั้ งหลายบ า ง; ครั้น สั งขารทั้ งหลายเหล านั้ น แปรปรวนไป เป นความมี โดยประการอื่ น แก เขา : วิ ญ ญาณของเขาย อมเป นวิ ญ ญาณที่ เปลี่ ยน แปลงไปตามความแปรปรวนของสั งขารทั้ งหลาย เพราะความแปรปรวนของสั งขาร ทั้ งหลายได มี โดยประการอื่ น. ความสะดุ งอั นเกิ ดจากความเปลี่ ยนแปลงไปตามความ แปรปรวนของสั งขารทั้ งหลาย ย อ มครอบงํ าจิ ต ของเขาตั้ งอยู เพราะความเกิ ด ขึ้ น แหงธรรม (เปนเครื่องทําความสะดุง). เพราะความยึดมั่นแหงจิต เขายอมเปนผูมี ความหวาดเสี ยว มี ความคั บแค น มี ความพะวาพะวง และสะดุ งอยู เพราะความ ยึดมั่น. (๕) เขายอมตามเห็นซึ่งวิญญาณ โดยความเปนตนบาง, ยอมตามเห็น ซึ่งตนวามี วิญญาณบ าง, ยอมตามเห็ นซึ่งวิญญาณในตนบ าง, ยอมตามเห็ นซึ่งตนใน วิญ ญาณบ าง; ครั้นวิ ญ ญาณนั้ นแปรปรวนไป เป นความมี โดยประการอื่ น แก เขา : วิ ญ ญาณของเขา ย อ มเป น วิ ญ ญาณที่ เปลี่ ย นแปลงไปตามความแปรปรวนของ วิ ญ ญาณ เพราะความแปรปรวนของวิ ญ ญาณได มี โดยประการอื่ น . ความสะดุ ง อั นเกิ ดจากความเปลี่ ยนแปลงไปตามความแปรปรวนของวิ ญ ญาณ ย อมครอบงําจิ ต ของเขาตั้ งอยู เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห งธรรม (เป น เครื่ อ งทํ า ความสะดุ ง ). เพราะ ความยึดมั่นแหงจิต เขายอมเปนผูมีความหวาดเสียว มีความคับแคน มีความ พะวาพะวง และสะดุงอยู เพราะความยึดมั่น.
www.buddhadasa.info ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! อย างนี้ แล คื อความสะดุ ง ย อมมี เพราะ เหตุมีความยึดมั่นถือมั่น.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๐๓
ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย! ก็ความไมสะดุง ยอมมี เพราะเหตุไมมี ความยึ ดมั่ นถื อมั่ น เป นอยางไรเลา? ดูกอนทานผูมีอายุทั้ งหลาย! ในกรณี ที่กลาว มานี้ อริ ยสาวกผู มี ก ารสดั บ ได เห็ น พระอริ ยเจ าทั้ งหลาย เป น ผู ฉ ลาดในธรรมของ พระอริ ย เจ า เป น ผู ได รั บ การแนะนํ า ในธรรมของพระอริ ย เจ า , ได เห็ น สั ป บุ รุ ษ ทั้ ง หลาย เปนผูฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ เปนผูไดรับการแนะนํา ในธรรมของสัปบุรุษ:(๑) ท านย อมไม ตามเห็ นซึ่ งรูป โดยความเป นตนบ าง, ย อมไม ตาม เห็น ซึ ่ง ตนวา มีร ูป บา ง, ยอ มไมต ามเห็น ซึ ่ง รูป ในตนบา ง, ยอ มไมต ามเห็น ซึ ่ง ตน ในรูป บา ง; ครั ้น รูป นั ้น แปรปรวนไป เปน ความมีโ ดยประการอื ่น แกท า น : แต วิ ญ ญาณของท า นย อ มไม เป น วิ ญ ญาณที่ เปลี่ ย นแปลงไปตามความแปรปรวน ของรูป เพราะความแปรปรวนของรู ป ได มี โดยประการอื่ น . ความสะดุ งอั น เกิ ดจาก ความเปลี่ ย นแปลงไปตามความแปรปรวนของรู ป เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห ง ธรรม (เปน เครื่อ งทํ า ความสะดุ ง ). ยอ มไมค รอบงํา จิต ของทา นตั ้ง อยู เพราะความไม ยึดมั่นแหงจิต ทานยอมเปนผูมีความหวาดเสียว ไมมีความคับแคน ไมมีความ พะวาพะวง และไมสะดุงอยู เพราะความไมยึดมั่น.
www.buddhadasa.info (๒) ท านย อมไม ต ามเห็ น ซึ่ งเวทนา โดยความเป น ตนบ าง, ย อมไม ตามเห็ นซึ่ งตนวามี เวทนาบ าง, ย อมไม ตามเห็ นซึ่ งเวทนาในตนบ าง, ย อมไม ตามเห็ น ซึ ่ง ตนในเวทนาบา ง; ครั ้น เวทนานั ้น แปรปรวนไป เปน ความมีโ ดยประการอื ่น แก ท าน : แต วิ ญ ญาณของท านย อ มไม เป น วิ ญ ญาณที่ เปลี่ ยนแปลงไปตามความ แปรปรวนของเวทนา เพราะความแปรปรวนของเวทนาได มี โดยประการอื่ น . ความ สะดุงอันเกิดจากความเปลี่ยนแปลงไปตามความแปรปรวนของเวทนา เพราะความ
www.buddhadasa.info
๓๐๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
เกิ ด ขึ้ น แห ง ธรรม (เป น เครื่ อ งทํ า ความสะดุ ง ). ย อ มไม ค รอบงํ า จิ ต ของท า นตั้ ง อยู . เพราะความยึด มั ่น แหง จิต ทา นยอ มไมเ ปน ผูม ีค วามหวาดเสีย ว ไมมีค วาม คับแคน ไมมีความพะวาพะวง และไมสะดุงอยู เพราะความไมยึดมั่น. (๓) ท านย อมไม ต ามเห็ น ซึ่ งสั ญ ญา โดยความเป น ตนบ าง, ย อ มไม ตามเห็ น ซึ่ งตนว ามี สั ญ ญาบ าง, ย อ มไม ต ามเห็ น ซึ่ งสั ญ ญาในตนบ าง, ย อ มไม ต าม เห็ น ซึ่ ง ตนในสั ญ ญาบ า ง; ครั้ น สั ญ ญานั้ น แปรปรวนไป เป น ความมี โดยประการ อื่ น แก ท า น : แต วิ ญ ญาณของท า นย อ มไม เป น วิ ญ ญาณที่ เปลี่ ย นแปลงไป ตาม ความแปรปรวนของสั ญ ญา เพราะความแปรปรวนของสั ญ ญาได มี โดยประการอื่ น . ความสะดุ งอั น เกิ ดจากความเปลี่ ยนแปลงไปตามความแปรปรวนของสั ญ ญา เพราะ ความเกิ ด ขึ้ น แห งธรรม (เป น เครื่ อ งทํ าความสะดุ ง).ย อ มไม ค รอบงํ าจิ ต ของเขาตั้ งอยู เพราะความไมยึดมั่นแหงจิต ทานยอมไมเปนผูมีความหวาดเสียว ไมมีความคับแคน ไมมีความพะวาพะวง และไมสะดุงอยู เพราะความไมยึดมั่น. (๔) เขายอมไมตามเห็นซึ่งสังขารทั้งหลาย โดยความเปนตนบาง, ยอม ไม ต ามเห็ น ซึ่ ง ตนว า มี สั ง ขารบ า ง, ย อ มไม ต ามเห็ น ซึ่ ง สั ง ขารทั้ ง หลายในตนบ า ง, ยอ มไมต ามเห็น ซึ ่ง ตนในสัง ขารทั ้ง หลายบา ง; ครั ้น สัง ขารทั ้ง หลายนั ้น แปร ปรวนไป เปน ความมีโ ดยประการอื ่น แกท า น : แตว ิญ ญาณของทา นยอ มไม เป นวิ ญญาณที่ เปลี่ ยนแปลงไป ตามความแปรปรวนของสั งขารทั้ งหลาย เพราะความแปรปรวน ของสั งขารได มี โดยประการอื่ น . ความสะดุ งอั น เกิ ด จากความเปลี่ ย นแปลงไปตาม ความแปรปรวนของสั งขารทั้ งหลาย เพราะความเกิ ดขึ้นแห งธรรม (เป นเครื่องทํ าความสะดุ ง). ยอมไมครอบงําจิตของเขาตั้งอยู เพราะความไมยึดมั่นแหงจิต ทานยอมไมเปน
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๐๕
ผู มี ค วามหวาดเสี ย ว ไม มี ความคั บ แค น ไม มี ค วามพะว าพะวง และไม ส ะดุ งอยู เพราะความไมยึดมั่น. (๕) ทานยอมไมตามเห็นซึ่งวิญญาณ โดยความเปนตนบาง, ยอมไม ตามเห็ นซึ่ งตนว ามี วิ ญ ญาณบ าง, ย อมไม ต ามเห็ นซึ่ งวิ ญ ญาณในตนบ าง, ย อมไม ตามเห็ น ซึ่ งตนในวิ ญ ญาณบ าง; ครั้ น วิ ญ ญาณนั้ น แปรปรวนไป เป น ความมี โดย ประการอื่ น แก ท าน : แต วิญญาณของท าน ย อมไม เป นวิญญาณที่ เปลี่ ยนแปลงไป ตามความแปรปรวนของวิ ญ ญาณ เพราะความแปรปรวนของวิ ญ ญาณได มี โดย ประการอื่ น . ความสะดุ งอั น เกิ ด จากความเปลี่ ย นแปลงไปตามความแปรปรวนของ วิญ ญาณ เพราะความเกิ ดขึ้นแห งธรรม (เป นเครื่องทํ าความสะดุ ง).ย อมไม ครอบงํา จิต ของเขาตั ้ง อยู เพราะความไมย ึด มั ่น แหง จิต ทา นยอ มไมเ ปน ผู ม ีค วาม หวาดเสี ย ว ไม มี ค วามคั บ แค น ไม มี ค วามพะว า พะวง และไม ส ะดุ ง อยู เพราะ ความไมยึดมั่น. ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! อย า งนี้ แ ล คื อ ความไม ส ะดุ ง ย อ มมี เพราะเหตุไมมีความยึดมั่นถือมั่น.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : เนื่ อ งจากข อ ความตอนนี้ ยื ด ยาวมาก เกรงจะ ฟ น เฝ อ จึ งขอย้ํ าอี ก ครั้ งหนึ่ งว า แม ถ อ ยคํ าเหล า นี้ จะเป น คํ าอธิ บ ายของพระมหากั จ จานะ แตไ ดร ับ การรับ รองจากพระพุท ธองคว า ตรงตามที ่จ ะทรงอธิบ ายเอง; ดัง นั ้น เพื ่อ ความสะดวกจึ งนํ ามาใส ไว ต อท ายพระพุ ทธภาษิ ตข างต นนั้ น. เคล็ ดของการปฏิ บั ติ ในที่ นี้ อยู ที่
ก า รใค ร ค รว ญ ช นิ ด ที ่ จ ิ ต จ ะ ไม แ ล น ไป ข า งน อ ก แ ล ะ ไม ส ย บ อ ยู ใ น ภ า ย ใ น ตามวิ ธี ที่ ไ ด อ ธิ บ ายไว ใ นสู ต รนี้ แ ล ว , ปฏิ จ จสุ ม ปบาท ซึ่ ง เป น การก อ ขึ้ น แห ง ทุ ก ข ก็ ก อ ขึ้ น ไมได, ดังที่ตรัสไวนั้น.
www.buddhadasa.info
๓๐๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
การพิจารณาปจจัยในภายใน คือการพิจารณาปฏิจจสมุปบาท๑ ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เธอทั้ งหลาย เมื่ อพิ จารณา ยอมพิ จารณาซึ่ งป จจั ย ในภายในบางหรือไม? เมื่ อพระผู มี พระภาคเจ าตรัสถามอย างนี้ แล ว, ภิ กษุ รูปหนึ่ ง ได กราบทู ลคํ านี้ กะพระผู มี พระ ภาคเจา วา "ขา แตพ ระองคผู เ จริญ ! ขา พระองค เมื ่อ พิจ ารณา ยอ มพิจ ารณาซึ ่ง ปจ จัย ภายใน พระเจาขา!" พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสถามวา "ดูกอนภิกษุ! ก็เธอเมื่อพิจารณายอมพิจารณาซึ่งปจจัย ในภายใน อยางไรเลา?" ภิกษุนั้นไดกราบทูลเลาเรื่องการพิจารณาปจจัยในภายในของตนแลว โดย ประการใด ๆ ก็ ล วนไม เป น ที่ ถู กพระทั ยของพระผู มี พ ระภาคเจ า. เมื่ อภิ กษุ นั้ น กราบทู ลอย างนั้ นแล ว, ท านพระอานนท ได กราบทู ลคํ านี้ กะพระผู มี พระภาคเจ าวา "ข าแต พระองค ผู เจริญ! ถึ งเวลาที่ จะแสดงเรื่อง นี้ แล ว. ข าแต พระสุ คต! ถึ งเวลาที่ จะแสดงเรื่ องนี้ แล ว. พระผู มี พ ระภาคตรัสการพิ จารณาซึ่ งป จจั ยใน ภายในขอใด ภิกษุ ทั้ งหลายฟ งการพิ จารณาซึ่งป จจัยภายในขอนั้ น จากพระผู มี พระภาคเจ าแลว จักทรงจําไว" ดังนี้. พระผูมีพ ระภาคเจา ไดตรัส วา "ดูกอนอานนท! ถาอยางนั้น พวกเธอทั้งหลายจงฟง, จงทําในใจใหสํา เร็จ ประโยชน, เราจัก กลา วบัด นี้". ครั้น ภิก ษุทั้งหลายเหลานั้น ทูล สนองรับ พระพุทธดํารัสนั้นแลว, พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสถอยคําเหลานี้วา:-
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ ในธรรมวินั ยนี้ เมื่ อพิ จารณา ย อมพิ จารณาซึ่ ง ปจจัยในภายในอยางนี้วา "ทุกขมีอยางมิใชนอย นานาประการ ยอมเกิดขึ้นในโลก กลาว คือชรามรณะ ใดแล; ทุกขนี้ มีอะไรเปนเหตุใหเกิด? มีอะไรเปนเครื่องกอใหเกิด? มี อะไรเป นเครื่ องกํ าเนิ ด? มี อะไรเป นแดนเกิ ด? เพราะอะไรมี ชรามรณะจึ งมี (เพราะ อะไรไมมี ชรามรณะจึงไมมี)" ดังนี้. ภิกษุนั้น พิจารณาอยู ยอมรูอยางนี้วา "ทุกขมี
๑
สู ต รที่ ๖ มหาวรรค อภิ ส มยสั ง ยุ ต ต นิ ท าน. สํ . ๑๖/๑๓๐/๒๕๔-๒๖๒, ตรั ส แก ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ที่ กัมมาสทัมมนิคม แควนกุรุ.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๐๗
อย างมิ ใชน อย นานาประการ ย อมเกิ ดขึ้นในโลก กล าคื อชรามรณะ ใดแล; ทุ กข นี้ มีอุปธิเปนเหตุใหเกิด มีอุปธิเปนเครื่องกอใหเกิด มีอุปธิเปนเครื่องกําเนิด มีอุปธิเปน แดนเกิ ด เพราะอุ ป ธิ มี ชรามรณะจึ งมี เพราะอุ ป ธิ ไม มี ชรามรณะจึ งไม มี " ดั งนี้ . ภิกษุนั้นยอมรูประจักษซึ่งชรามรณะดวย; ยอมรูประจักษซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงชรามรณะด วย; ย อมรูประจั กษ ซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะด วย; ย อมรูประจั กษ ซึ่งขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสัตวให ลุ ถึง ซึ่งธรรมอันสมควรแกความดับไม เหลื อแห งชรามรณะ ด วย; และเป นผู ปฏิ บั ติ แล วอย างสมควรแก ธรรมด วย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ นี้ เราเรียกวา เปนผูปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกขโดยชอบ โดยประการทั้งปวง กลาวคือ เพื่อ ความดับไมเหลือแหงชรามรณะ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข ออื่ นยั งมี อี ก : ภิ กษุ เมื่ อพิ จารณา ย อมพิ จารณา ซึ่งปจจัยในภายในอยางนี้วา "ก็อุปธินี้ มีอะไรเปนเหตุใหเกิด? มีอะไรเปนเครื่องกอใหเกิด? มี อะไรเป นเครื่องกํ าเนิ ด? มี อะไรเป นแดนเกิ ด? เพราะอะไรมี อุ ปธิ จึ งมี เพราะอะไร ไม มี อุ ปธิ จึ งไม มี " ดั งนี้ . ภิ กษุ นั้ น พิ จารณาอยู ย อมรูอย างนี้ ว า "อุ ป ธิ มี ตั ณ หา เปนเหตุใหเกิด มีตัณหาเปนเครื่องกอใหเกิด มีตัณหาเปนเครื่องกําเนิด มีตัณหาเปน แดนเกิด เพราะตัณหามี อุปธิจึงมี เพราะตัณหาไมมี อุปธิจึงไมมี" ดังนี้. ภิกษุ นั้นยอม รู ป ระจั ก ษ ซึ่ ง อุ ป ธิ ด ว ย; ย อ มรู ป ระจั ก ษ ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง อุ ป ธิ ด ว ย; ย อ มรู ประจักษ ซึ่งความดั บไม เหลื อแห งอุปธิด วย; ย อมรูประจักษ ซึ่ งขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ใหลุถึง ซึ่งธรรมอันสมควรแกความดับไมเหลือแหงอุปธิดวย; และเปนผูปฏิบัติแลวอยาง สมควรแกธรรมดวย. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุนี้ เราเรียกวา เปนผูปฏิบัติเพื่อความ สิ้นทุกขโดยชอบ โดยประการทั้งปวง กลาวคือ เพื่อความดับไมเหลือแหงอุปธิ.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข ออื่ นยั งมี อี ก : ภิ กษุ เมื่ อพิ จารณา ย อมพิ จารณา ซึ่งปจจัยในภายในอยางนี้วา "ก็ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ยอมเกิดขึ้น ณ ที่ไหน? เมื่อ
www.buddhadasa.info
๓๐๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
เข า ไปตั้ ง อยู ย อ มเข า ไปตั้ ง อยู ณ ที่ ไหน?" ดั ง นี้ ภิ ก ษุ นั้ น พิ จ ารณาอยู ย อ มรู อยางนี้วา "สิ่งใด มีภาวะเปนที่รักเปนที่ยินดี (ปยรูปสาตรูป) ในโลก, ตัณหา นั้นเมื่อจะเกิด ยอมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น เมื่อจะเขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยู ในสิ่ง นั้น.ก็สิ่งใดเลา มีภาวะเปนที่รักเปนที่ยินดี ในโลก? (หมวดที่ ห นึ่ ง ) ตา..รู ป ทั้ ง หลาย..จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ ..จั ก ขุ สั ม ผั ส ..จั ก ขุ สั ม -
ผัส ส ชาเวท น า..รูป สัญ ญ า.. รูป สัญ เจต น า..รูป ตัณ ห า..รูป วิต ก..รูป วิจ าร.. (แต ละอย างทุ กอยาง) มี ภาวะเป นที่ รักเป นที่ ยิ นดี ในโลก. ตั ณหานั้ น เมื่ อจะเกิด ย อม เกิดขึ้นในตาเปนตนนั้น ๆ เมื่อจะเขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยู ในตาเปนตนนั้น ๆ. (หมวดที่ ส อง ) หู ..เสี ย งทั้ ง หลาย..โสตวิ ญ ญาณ ..โสตสั ม ผั ส ..โสตสั ม -
ผั ส สชาเวทนา..สั ท ทสั ญ ญา..สั ท ทสั ญ เจตนา..สั ท ทตั ณ หา..สั ท ทวิ ต ก..สั ท ทวิ จ าร...(แต ละอย างทุ กอย าง) มี ภาวะเป นที่ รักเป นที่ ยิ นดี ในโลก. ตั ณ หานั้ น เมื่ อจะเกิ ด ยอมเกิดขึ้นในหูเปนตนนั้น ๆ เมื่อจะเขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยู ในหูเปนตนนั้น ๆ. (หมวดที่ ส าม) จมู ก ..กลิ่ น ทั้ ง หลาย..ฆานวิ ญ ญาณ..ฆานสั ม ผั ส ..ฆาน-
www.buddhadasa.info สั ม ผั ส สชาเวทนา..คั น ธสั ญ ญ า..คั น ธสั ญ เจตนา…คั น ธตั ณ หา..คั น ธวิ ต ก.. คั น ธวิ จ าร..(แต ล ะอย า งทุ ก อย า ง) มี ภ าวะเป น ที่ รั ก เป น ที่ ยิ น ดี ในโลก. ตั ณ หานั้ น เมื่ อ จะเกิ ด ย อมเกิ ด ขึ้ น ในจมู ก เป น ต น นั้ น ๆ เมื่ อ จะเข าไปตั้ งอยู ย อ มเข าไปตั้ งอยู ในจมูกเปนตนนั้น ๆ.
(หมวดที่ สี่ ) ลิ้ น ..รสทั้ ง หลาย..ชิ ว หาวิ ญ ญ าณ ..ชิ ว หาสั ม ผั ส ..ชิ ว หา-
สัมผัสสชาเวทนา..รสสัญญา.. รสสั ญ เจตนา..รสตัณหา..รสวิตก..รสวิจาร..
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๐๙
(แต ละอย างทุ กอย าง) มี ภาวะเป นที่ รั กเป นที่ ยิ นดี ในโลก. ตั ณหานั้ น เมื่ อจะเกิ ด ย อม
เกิดขึ้นในลิ้นเปนตนนั้น ๆ เมื่อจะเขาไปตั้งอยู ยอมเขาไปตั้งอยู ในลิ้นเปนตนนั้น ๆ. (หมวดที่ ห า ) กาย..โผฏฐั พ พะทั้ ง หลาย..กายวิ ญ ญ าณ ..กายสั ม ผั ส ..
กายสั ม ผั ส สชาเวทนา..โผฏฐั พ พสั ญ ญา..โผฏฐั พ พสั ญ เจตนา.. โผฏฐั พ พตั ณ หา.. โผฏฐั พ พวิ ต ก..โผฏฐั พ พวิ จ าร..(แต ล ะอย า งทุ ก อย า ง) มี ภ าวะเป น ที่ รั ก เป น ที่ ยิ น ดี ในโลก. ตัณหานั้ น เมื่ อจะเกิด ยอมเกิดขึ้นในกายเป นตนนั้ น ๆ เมื่ อจะเขาไปตั้ งอยู ยอม เขาไปตั้งอยู ในกายเปนตนนั้น ๆ. (หมวดที ่ห ก ) ใจ..ธัม มารมณ ทั ้ง หลาย..มโนวิญ ญ าณ ..มโนสัม ผัส
มโนสัม ผัส สชาเวทนา..ธัม มสัญ ญ า..ธัม มสัญ เจตนา..ธัม มตัณ หา..ธัม มวิต ก.. ธั ม มวิ จ าร..(แต ล ะอย า งทุ ก อย า ง) มี ภ าวะเป น ที่ รั ก เป น ที่ ยิ น ดี ในโลก. ตั ณ หานั้ น เมื่ อจะเกิ ด ย อมเกิ ดขึ้ นในใจเป นต นนั้ น ๆ เมื่ อจะเข าไปตั้ งอยู ย อมเข าไปตั้ งอยู ในใจ เปนตนนั้น ๆ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลยืดยาวนานฝายอดีต สมณะหรือพราหมณก็ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ได เห็ นแล ว ซึ่งสิ่ งที่ มี ภาวะเป นที่ รักเป นที่ ยิ นดี ในโลก โดยความเป น ของเที ่ย ง, ไดเ ห็น แลว โดยความเปน สุข , ไดเ ห็น แลว โดยความเปน ตัว ตน, ไดเห็นแลว โดยความเปนของไมเสียบแทง, ไดเห็นแลว โดยความเป นของเกษม; สมณะหรือพราหมณ เหลานั้น ชื่อวา ทําตัณหาให เจริญแลว; สมณะหรือพราหมณ เหลาใด ทําตัณหาใหเจริญแลว, สมณะหรือพราหมณ เหลานั้น ชื่อวาทําอุปธิใหเจริญ แลว; สมณะหรือพราหมณ เหลาใด ทําอุปธิใหเจริญแลว, สมณะหรือพราหมณ เหลานั้น ชื่อวาทําทุกขใหเจริญแลว; "สมณะหรือพราหมณเหลาใด ทําทุกขใหเจริญแลว,
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๓๑๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
สมณะหรือพราหมณ เหลานั้น ชื่อวา ไม หลุดพ นแลว จากชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย : เรากลาววา สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ไมหลุดพนแลวจากทุกข" ดังนี้. ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ในกาลยืดยาวนานฝายอนาคต สมณะหรือพราหมณ ก็ ตามเหล าใดเหล าหนึ่ ง จั กเห็ นสิ่ งซึ่ งมี ภาวะเป นที่ รักเป นที่ ยิ นดี ในโลก โดยความเป น ของเที่ ยง, จั กเห็ นโดยความเป นสุ ข, จั กเห็ นโดยความเป นตั วตน, จั กเห็ นโดยความ เป นของเสี ยบแทง, จักเห็ นโดยความเป นของเกษม; สมณะหรือพราหมณ เหลานั้ น ชื่ อ ว าจั ก ทํ าตั ณ หาให เจริ ญ ; สมณะหรื อ พราหมณ เหล าใด จั ก ทํ าตั ณ หาให เจริ ญ , สมณะหรือพราหมณ เหลานั้ น ชื่อวาจั กทํ าอุ ปธิ ให เจริญ; สมณะหรือพราหมณ เหลาใด จักทําอุปธิให เจริญ, สมณะหรือพราหมณ เหลานั้ น ชื่อวาจั กทํ าทุ กข ให เจริญ; สมณะ หรือพราหมณ เหล าใด จั กทํ าทุ กข ให เจริ ญ, สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อว าจั ก ไม หลุดพนจากชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย : เรากลาว วา "สมณะหรือพราหมณเหลานั้น จักไมหลุดพนจากทุกข" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ในกาลอั น เป นป จจุ บั นบั ดนี้ สมณ ะหรื อ พราหมณ ก็ ต ามเหล าใดเหล าหนึ่ ง เห็ น อยู ซึ่ งสิ่ งที่ มี ภ าวะเป น ที่ รั ก เป น ที่ ยิ น ดี ในโลก โดยความเป นของเที่ ยง, เห็ นอยู โดยความเป นสุ ข, เห็ นอยู โดยความเป นตั วตน, เห็ นอยู โดยความเป นของไม เสี ยบแทง, เห็ นอยู โดยความเป นของเกษม; สมณะ หรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อว า ทํ าตั ณ หาให เจริ ญ อยู ; สมณะหรือพราหมณ เหล าใด ทํ า ตั ณ หาให เจริ ญ อยู , สมณะหรื อ พราหมณ เหล า นั้ น ชื่ อ ว า ทํ า อุ ป ธิ ใ ห เจริ ญ อยู ; สมณะหรื อ พราหมณ เหล า ใด ทํ า อุ ป ธิ ใ ห เจริ ญ อยู , สมณะหรื อ พราหมณ เหล า นั้ น ชื่ อ ว า ทํ า ทุ ก ข ใ ห เ จริ ญ อยู ; สมณะหรื อ พราหมณ เหล า ใด ทํ า ทุ ก ข ใ ห เจริ ญ อยู , สมณะหรือพราหมณ
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๑๑
เหลานั้น ยอมไมหลุดพนจากชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส ทั้งหลาย : เรากลาววา "สมณะหรือพราหมณเหลานั้น ยอมไมหลุดพนจากทุกข" ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนภาชนะสําริดใสเครื่องดื่มที่ถึงพรอมดวย สี กลิ่ นและรส แต เจื อด วยยาพิ ษ. ครั้นนั้ น บุ รุษผู หนึ่ ง ถู กแดดแผดเผา รอนอบอ าว เพราะแดด เหน็ ดเหนื่ อยเมื่ อยล า หิ วกระหายน้ํ า เดิ นมา. คนทั้ งหลายได พู ดแก เขาวา" แน ะบุ รุษผู เจริญ ! ภาชนะสํ าริดใส น้ํ าดื่ มนี้ ถึ งพรอมด วยสี กลิ่ น และรส แต เจื อด วย ยาพิ ษ ถ าท านประสงค ก็ จงดื่ มเถิ ด. อั นน้ํ านั้ น เมื่ อดื่ มเข าไปแล ว จั กแผ ซาบซ านไป ด วยสี บ าง กลิ่ นบ าง รสบ าง และครั้นท านดื่ มเข าไปแล ว ท านจะถึ งซึ่ งความตาย หรือ ได รับทุ กข เจี ยนตาย เพราะข อนั้ นเป นเหตุ " ดั งนี้ . บุ รุษนั้ น ไม พิ นิ จพิ จารณา ได ดื่ ม น้ํานั้นเขาไปโดยทันที ไม ทิ้งเลย บุ รุษนั้นจะพึ งถึงซึ่งความตาย หรือไดรับทุกขเจียนตาย เพราะขอนั้นเปนเหตุโดยแท, ขอนี้มีอุปมาฉันใด; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อุ ปไมยก็ ฉั นนั้ นเหมื อนกั น; กล าวคื อ ในกาลยื ดยาว นานฝ ายอดี ต สมณะหรือพราหมณ ก็ตามเหลาใดเหลาหนึ่ง ไดเห็นแลว ซึ่งสิ่งที่มีภาวะ เป นที่ รักเป นที่ ยิ นดี ในโลก โดยความเป นของเที่ ยง, โดยความเป นสุ ข,โดยความเป น ตั วตน, โดยความเป นของไม เที่ ยง, โดยความเป น ของเกษม; สมณะหรือพราหมณ เหลานั้ น ชื่อวา ทํ าตัณหาให เจริญแลว; สมณะหรือพราหมณ เหลาใด ทํ าตัณหาให เจริญ แล ว, สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อว าทํ าอุ ปธิ ให เจริ ญแล ว; สมณะหรือพราหมณ เหลาใด ทําอุปธิใหเจริญแลว, สมณะหรือพราหมณ เหลานั้น ชื่อวาทําทุกขใหเจริญแลว; สมณะหรือพราหมณ เหล าใด ทํ าทุ กขให เจริญแล ว,สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่อวา ไม หลุ ดพ นแล ว จากชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย : เรา กลาววา "สมณะหรือพราหมณเหลานั้น ไมหลุดพนแลวจากทุกข" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๓๑๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย!อนึ่ ง ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอนาคต สมณะหรือพราหมณ ก็ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง จักเห็ นสิ่ งซึ่ งมี ภาวะเป นที่ รักเป นที่ ยิ นดี ในโลก โดยความเป น ของเที่ ย ง, โดยความเป น สุ ข , โดยความเป น ตั ว ตน, โดยความเป น ของเสี ย บแทง, โดยความเปนของเกษม; สมณะหรือพราหมณ เหลานั้น ชื่อวาจักทํ าตัณหาใหเจริญ; สมณะ หรือพราหมณ เหลาใด จักทํ าตั ณหาให เจริญ, สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่อวาจักทํ า อุ ปธิ ให เจริญ; สมณะหรือพราหมณ เหล าใด จั กทํ าอุ ปธิให เจริญ, สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อวาจั กทํ าทุ กขให เจริญ; สมณะหรือพราหมณ เหล าใด จักทํ าทุ กข ให เจริญ, สมณะหรื อพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อว า จั กไม หลุ ดพ นจากชาติ ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย : เรากล าวว า "สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น จั กไม หลุดพนจากทุกข" ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย!อนึ่ง ในกาลอันเป นปจจุบั นบัดนี้ สมณะหรือพราหมณ ก็ ตามเหล าใดเหล าหนึ่ ง เห็ นอยู ซึ่งสิ่ งที่ มี ภาวะเป นที่ รักเป นที่ ยิ นดี ในโลก โดยความเป น ของเที่ ยง, โดยความเป น สุ ข, โดยความเป น ตั วตน, โดยความเป นของไม เสี ยบแทง, โดยความเป นของเกษม; สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อวาทํ าตั ณ หาให เจริญ อยู ; สมณะหรือพราหมณ เหลาใด ทําตัณหาใหเจริญอยู, สมณะหรือพราหมณ เหลานั้น ชื่อวา ทําอุปธิใหเจริญอยู; สมณะหรือพราหมณ เหลาใด ทําอุปธิใหเจริญอยู, สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อวาทํ าทุ กข ให เจริญอยู ; สมณะหรือพราหมณ เหล าใด ทํ าทุ กขให เจริญอยู , สมณะหรื อ พราหมณ เหล านั้ น ย อ มไม ห ลุ ด พ น จากชาติ ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย : เรากล าวว า "สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ย อมไม หลุดพนจากทุกข" ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ตอไปนี้ เปนปฏิปกขนัย ฝายตรงขาม)
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๑๓
ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย!ส วนสมณะหรื อ พราหมณ ก็ ต ามเหล าใดเหล าหนึ่ ง ในกาลยืดยาวนานฝายอดีต ไดเห็นแลว ซึ่งสิ่งที่มีภาวะเปนที่รักเปนที่ยินดีในโลก โดย ความเปนของไมเที่ยง, เปนทุกข, เปนสภาพมิใชตัวตน, เปนของเสียบแทง, เปน ภั ยน ากลั ว แล ว, สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อวาละตั ณหาได แล ว; สมณะหรือ พราหมณ เหลาใด ละตัณหาไดแลว, สมณะหรือพราหมณ เหลานั้น ชื่อวาละอุปธิไดแลว; สมณะหรือพราหมณ เหล าใด ละอุ ปธิได แล ว, สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่อวาละทุกขไดแลว; สมณะหรือพราหมณ เหลาใด ละทุกขไดแลว, สมณะหรือพราหมณ เหลานั้น ชื่อวาหลุดพนแลว จากชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส ทั้งหลาย : เรากลาววา "สมณะหรือพราหมณเหลานั้น หลุดพนแลวจากทุกข" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อนึ่ ง สมณะหรื อพราหมณ ก็ ตามเหล าใดเหล าหนึ่ ง ในกาลยืดยาวนานฝายอนาคต จักเห็นสิ่งซึ่งมีภาวะเปนที่รักเปนที่ยินดีในโลก โดย ความเปนของไมเที่ยง, เปนทุกข, เปนสภาพมิใชตัวตน, เปนของเสียบแทง, เปน ภัยนากลัว แลว, สมณะหรือพราหมณเหลานั้น ชื่อวา จักละตัณหาเสียได; สมณะหรือ พราหมณ เหลาใด จักละตัณหาเสียได, สมณะหรือพราหมณ เหลานั้น ชื่อวาจักละอุ ปธิ เสียได ; สมณะหรือพราหมณ เหลาใด จักละอุปธิเสียได, สมณะหรือพราหมณ เหลานั้น ชื่อวาจักละทุกขเสียได; สมณะหรือพราหมณ เหลาใด จักละทุกขเสียได, สมณะหรือ พราหมณเหลานั้น ชื่อวา จักหลุดพน จากชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส อุปายาสทั้งหลาย : เรากลาววา "สมณะหรือพราหมณเหลานั้น จักหลุดพนจากทุกข ได" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อนึ่ ง สมณะหรื อพราหมณ ก็ ตามเหล าใดเหล าหนึ่ ง ในกาลอันเปนปจจุบันบัดนี้ เห็นอยู ซึ่งสิ่งที่มีภาวะเปนที่รักเปนที่ยินดีในโลก โดยความ
www.buddhadasa.info
๓๑๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
เปนของไมเที่ยง, เปนทุกข, เปนสภาพมิใชตัวตน, เปนของเสียบแทง, เปนภัยนา กลั ว แล ว, สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อวาละตั ณ หาได ; สมณะหรือพราหมณ เหล าใด ละตั ณ หาได , สมณะหรื อพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อ ว าละอุ ป ธิ ได ; สมณะหรื อ พราหมณ เหล าใด ละอุ ปธิ ได , สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อว าละทุ กข ได ; สมณะ หรือพราหมณ เหลาใด ละทุ กขได, สมณะหรือพราหมณ เหลานั้ น ชื่อวายอมหลุ ดพ น จาก ชาติ ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ งหลาย : เรากล าวว า" สมณะหรือพราหมณเหลานั้น ยอมหลุดพนจากทุกข" ดังนี้. ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! เปรียบเหมือนภาชนะสําริดใสเครื่องดื่มที่ถึงพรอมดวย สี กลิ ่น และรส แตเ จือ ดว ยยาพิษ . ครั ้ง นั ้น บุร ุษ ผู ห นึ ่ง ถูก แดดแผดเผา รอ น อบอ าวเพราะแดด เหน็ ดเหนื่ อยเมื่ อ ยล า หิ วกระหายน้ํ า เดิ นมา. คนทั้ งหลายได พู ด แก เ ขาว า "แน ะ บุ รุ ษ ผู เ จริ ญ ! ภาชนะใส น้ํ า สุ ร านี้ ถึ ง พร อ มด ว ยสี กลิ่ น และรส แต เจื อ ด ว ยยาพิ ษ ถ า ท า นประสงค ก็ จ งดื่ ม เถิ ด . ก็ น้ํ า สุ ร านั้ น เมื่ อ ดื่ ม เข า ไปแล ว จั กแผ ซาบซ านไปด วยสี บ าง กลิ่ นบ าง รสบ าง และครั้ นท านดื่ มเข าไปแล ว ท านจะถึ ง ซึ่งความตาย หรือไดรับทุกขเจียนตาย เพราะขอนั้นเปนเหตุ" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ครั้ งนั้ น บุ รุ ษนั้ นพึ งคิ ดอย างนี้ ว า "สุ รานี้ เราดื่ มแล ว เราอาจจะบรรเทาด วยน้ํ าเย็ น บ าง ด วยหั วนมส ม บ าง ด วยน้ํ าข าวสั ตตุ เค็ ม บ าง หรื อ ด วยน้ํ าโลณโสจิ รกะบ าง แต เราจะไม ดื่ มสุ รานั้ นเลย เพราะไม เป นประโยชน มี แต เป นไป เพื่ อทุ กข โทษแก เราตลอดกาลนาน" บุ รุษนั้ นพิ จารณาดู ภาชนะใส สุ รานั้ นแล ว ไม พึ งดื่ ม พึ งทิ้ งเสี ย , บุ รุ ษ นั้ น ก็ จ ะไม พึ งถึ งซึ่ งความตายหรื อ ได รั บ ทุ ก ข เจี ย นตาย เพราะข อ นั้ น เปนเหตุ, อุปมานี้ฉันใด;
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๑๕
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! อุ ป ไมยก็ ฉั น นั้ น เหมื อ นกั น ; กล าวคื อ สมณะหรื อ พราหมณ ก็ตาม เหลาใดเหลาหนึ่ง ในกาลยืดยาวนานฝายอดีต ไดเห็นแลว ซึ่งสิ่งที่มีภาวะ เป นที่ รักเป นที่ ยิ นดี ในโลก โดยความเป นของไม เที่ ยง, เป นทุ กข , เป นสภาพมิ ใช ตั วตน, เป น ของเสี ย บแทง, เป น ภั ย น า กลั ว แล ว , สมณะหรื อ พราหมณ เหล า นั้ น ชื่ อ ว า ละตั ณหาได แล ว; สมณะหรื อพราหมณ เหล าใด ละตั ณหาได แล ว, สมณะหรื อพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อว าละอุ ปธิ ได แล ว; สมณะหรื อพราหมณ เหล าใด ละอุ ปธิ ได แล ว, สมณะ หรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อว าละทุ กข ได แล ว; สมณะหรือพราหมณ เหล าใด ละทุ กข ได แล ว, สมณะหรื อพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อว าหลุ ดพ นแล ว จากชาติ ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ งหลาย : เรากล าวว า"สมณะหรื อ พราหมณ เหล านั้ น หลุ ดพ นแล ว จากทุกข" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อนึ่ ง สมณะหรื อพราหมณ ก็ ตามเหล าใดเหล าหนึ่ ง ใน กาลยื ดยาวนานฝ ายอนาคต จักเห็ นสิ่ งซึ่ งมี ภาวะเป นที่ รักเป นที่ ยิ นดี ในโลก โดยความ เป นของไม เที่ ยง, เป นทุ กข, เป นสภาพมิ ใช ตั วตน, เป นของเสี ยบแทง, เป นภั ยน ากลั ว แล ว, สมณะหรื อพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อว าจั กละตั ณ หาเสี ยได ; สมณะหรื อพราหมณ เหล าใด จั กละตั ณหาเสี ยได , สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อว าจั กละอุ ปธิ เสี ยได ; สมณะหรือ พราหมณ เหล าใด จั กละอุ ปธิ เสี ยได , สมณะหรื อพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อว าจั กละทุ กข เสี ยได ; สมณะหรือพราหมณ เหล าใด จั กละทุ กข เสี ยได , สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อว าจั กหลุ ดพ น จากชาติ ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย : เรา กลาววา"สมณะหรือพราหมณเหลานั้น จักหลุดพนจากทุกข" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อนึ่ ง สมณะหรื อพราหมณ ก็ ตามเหล าใดเหล าหนึ่ ง ในกาลอันเปนปจจุบันบัดนี้เห็นอยู ซึ่งสิ่งที่มีภาวะเปนที่รักเปนที่ยินดีในโลก โดยความ
www.buddhadasa.info
๓๑๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
เป นของไม เที่ ยง, เป นทุ กข , เป นสภาพมิ ใช ตั วตน, เป นของเสี ยบแทง, เป นภั ยน ากลั ว แล ว, สมณะหรื อพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อว าละตั ณ หาได ; สมณะหรื อพราหมณ เหล าใด ละตั ณ หาได , สมณะหรือ พราหมณ เหล านั้ น ชื่ อ ว าละอุ ป ธิ ได ; สมณะหรือ พราหมณ เหล าใดละอุ ปธิ ได , สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ชื่ อวาละทุ กข ได ; สมณะหรือพราหมณ เหล าใด ละทุ กขได , สมณะหรือพราหมณ เหลานั้ น ชื่ อวา ย อมหลุ ดพ น จากชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย : เรากล าวว า"สมณะหรื อพราหมณ เหล านั้ น ยอมหลุดพนจากทุกข" ดังนี้.
ธรรมปฏิบัติในรูปของปฏิจจสมุปบาท แหงการละองคสามตามลําดับ๑ ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ถาธรรมทั้ งหลาย ๓ ประการเหลานี้ ไมพึ งมีอยูในโลก แล วไซร , ตถาคตก็ ไม ต อ งเกิ ด ขึ้ น ในโลกเป น อรหั น ตสั ม มามั ม พุ ท ธะ; และธรรมวิ นั ย ที่ ตถาคตประกาศแล วก็ ไม ต องรุ งเรื องในโลก. ธรรมทั้ งหลาย ๓ ประการ คื ออะไรเล า? ธรรมทั้ งหลาย ๓ ประการ คื อ ชาติ ด วย ชราด วย มรณะด วย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมทั้ งหลาย ๓ ประการเหล านี้ แล ถ าไม มี ในโลกแล วไซร ตถาคตก็ ไม ต อ งเกิ ด ขึ้ น ในโลกเป นอรหั นตสั มมามั มพุ ทธะ; และธรรมวิ นั ยที่ ตถาคตประกาศแล วก็ ไม ต องรุ งเรื อง ในโลก.
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๖ อากังขวรรค ทสก. อํ. ๒๔/๑๕๔/๗๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๑๗
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ ใดแล ที่ ธรรมทั้ งหลาย ๓ ประการเหล านี้ มี อยู ในโลก เพราะเหตุ นั้ น ตถาคตจึ งต องเกิ ดขึ้ นในโลกเป นอรหั นตสั มมาสั มพุ ทธะ; และธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแลว จึงตองรุงเรืองในโลก. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคล เมื่ อไม ละซึ่ งธรรมสาม คื อ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ก็ไมอาจเพื่อละซึ่งธรรมสาม คือ ชาติ ๑ ชรา ๑ มรณะ ๑. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคล เมื่ อไม ละซึ่ งธรรมสาม คื อ สั ก กายทิ ฏ ฐิ (ความเห็นวากายของตน) ๑ วิจิกิจฉา (ความลังเลในธรรมที่ไมควรลังเล) ๑ สีลัพพัตตปรามาส (การลูบคลําศีลและวัตรอยางปราศจากเหตุผล) ๑ ก็ไม อาจเพื่ อละซึ่งธรรมสาม คือ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! บุคคล เมื่อไมละซึ่งธรรมสาม คือ อโยนิโส มนสิการ (ความทําในใจไมแยบคาย) ๑ กุมมัคคเสวนา (การพัวพันอยูในทิฏฐิอันชั่ว) ๑ เจตโส ลีนั ตตา (ความมีจิตหดหู) ๑ ก็ไมอาจเพื่อละซึ่งธรรมสาม คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพัตตปรามาส ๑ .
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคล เมื่ อไม ละซึ่ งธรรมสาม คื อ มุ ฏฐสั จจะ (ความ มีสติอันลืมหลง) ๑ อสัมปชัญญะ (ความปราศจากสัมปชัญญะ) ๑ เจตโส วิกเขปะ (ความส ายแห งจิ ต ) ๑ ก็ ไม อ าจเพื่ อละซึ่ งธรรมสาม คื อ อโยนิ โส มนสิ ก าร ๑ กุ ม มัคค-เสวนา ๑ เจตโสลีนัตตา ๑. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! บุคคล เมื่อไมละซึ่งธรรมสาม คืออริยานัง อทัสสนกัมยตา (ความไมอยากเห็นพระอริยเจา) ๑ อริยธัมมัง อโสตุกัมยตา (ความไมอยาก
www.buddhadasa.info
๓๑๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ฟงธรรมของพระอริยเจา) ๑ อุ ปารัมภจิตตตา (ความมี จิตเที่ยวเกาะเกี่ยว) ๑ ก็ไม อาจ เพื่อละซึ่งธรรมสาม คือ มุฏฐสัจจะ ๑ อสัมปชัญญะ ๑ เจตโส วิกเขปะ ๑. ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคล เมื่อไมละซึ่งธรรมสาม คื อ อุ ทธัจจะ (ความ ฟุ งซ าน) ๑ อสั งวระ (ความไม สํ ารวม) ๑ ทุ สสี ลยะ (ความทุ ศี ล) ๑ ก็ ไม อาจเพื่ อ ละซึ่ งธรรมสาม คื อ อริยานั ง อทั สสนกั มยตา ๑ อริยธั มมั ง อโสตุ กั มยตา ๑ อุ ปารัมภจิตตตา ๑. ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! บุ คคล เมื่ อไม ละซึ่งธรรมสาม คือ อสั ทธิ ยะ (ความ ไม มี สั ทธา) ๑ อวทั ญุ ตา (ความไม เป นวทั ญู ) ๑ โกสั ชชะ (ความเกียจคราน) ๑ ก็ไมอาจเพื่อละซึ่งธรรมสาม คือ อุทธัจจะ ๑ อสังวระ ๑ ทุสสีลยะ ๑ ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคล เมื่ อไม ละซึ่งธรรมสาม คื อ อนาทริยะ (ความ ไม เอื้ อเฟ อในบุ คคลและธรรมอั นควรเอื้ อเฟ อ) ๑ โทวจั สสตา (ความเป นคนว ายาก) ๑ ปาปมิ ต ตา (ความมี มิ ต รชั่ ว ) ๑ ก็ ไ ม อ าจเพื่ อ ละซึ่ ง ธรรมสาม คื อ อสั ท ธิ ย ะ๑ อวทัญุตา ๑ โกสัชชะ ๑
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคล เมื่ อไม ละซึ่ งธรรมสาม คื อ อหิ ริ กะ (ความ ไมละอายในสิ่งที่ควรละอาย) ๑ อโนตตัปปะ (ความไมกลัวในสิ่งที่ควรกลัว) ๑ ปมาทะ (ความประมาท) ๑ ก็ ไม อาจเพื่ อละซึ่ งธรรมสาม คื อ อนาทริ ยะ ๑ โทวจั สสตา ๑ ปาปมิตตา ๑: ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! บุคคลนี้ เปนผูมีอหิริกะ มีอโนตตัปปะ มีปมาทะ แลว.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๑๙
เขาเมื่ อเป นผู มี ปมาทะอยู แล ว ก็ ไม อาจเพื่ อละซึ่ ง อนาทริยะ ๑ โทวจั สสตา ๑ ปาปมิตตา ๑; เขาเมื่ อเป นผู มี ปาปมิ ตตตา ก็ ไม อาจเพื่ อละซึ่ ง อสั ทธิ ยะ๑ อวทั ญ ุ ตา ๑ โกสัชชะ ๑ เขาเมื่อเปนผูมีโกสัชชะ ก็ไมอาจเพื่อละซึ่ง อุทธัจจะ ๑ อสังวระ ๑ ทุสสีลยะ ๑ เขาเมื่ อเป นผู มี ทุ สสี ลยะ ก็ ไม อาจเพื่ อละซึ่ ง อริ ยานั ง อทั สสนกั มยตา ๑ อริยธัมมัง อโสตุกัมยตา ๑ อุปารัมภจิตตตา ๑. เขาเมื่ อเป นผู มี อุ ปารั มภจิ ตตตา ก็ ไม อาจเพื่ อละซึ่ ง มุ ฏฐสั จจะ ๑ อสั มปชัญญะ ๑ เจตโส วิกเขปะ ๑. เขาเมื่ อเป นผู มี เจตโส วิ กเขปะ ก็ ไม อาจเพื่ อละซึ่ ง อโยนิ โส มนสิ การ ๑ กุมมัคคเสวนา ๑ เจตโส ลีนัตตา ๑.
www.buddhadasa.info เขาเมื่ อ เป น ผู มี เ จตโส ลี นั ต ตา ก็ ไ ม อ าจเพื่ อ ละซึ่ ง สั ก กายทิ ฏ ฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพัตตปรามาส ๑ . เขาเมื่อเปนผูมีวิจิกิจฉา ก็ไมอาจเพื่อละซึ่ง ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ เขาเมื่ อ ไม ล ะซึ่ งราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ก็ ไม อ าจเพื่ อ ละซึ่ งชาติ ๑ ชรา ๑ มรณะ ๑
www.buddhadasa.info
๓๒๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖ (ปฏิปกขนัย)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคล เมื่ อละซึ่ งธรรมสาม คื อ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ก็อาจเพื่อละซึ่งธรรมสาม คือ ชาติ ๑ ชรา ๑ มรณะ ๑. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคล เมื่ อละซึ่ งธรรมสาม คื อ สั กกายทิ ฏ ฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพัตตปรามาส ๑ ก็อาจเพื่อละซึ่งธรรมสาม คือ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! บุ ค คล เมื่ อ ละซึ่ งธรรมสาม คื อ อโยนิ โส มนสิก าร ๑ กุม มัค คเสวนา ๑ เจตโส ลีนัต ตา ๑ ก็อ าจเพื่อ ละซึ่งธรรมสาม คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพัตตปรามาส ๑ . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! บุ ค คล เมื่ อ ละซึ่ งธรรมสาม คื อ มุ ฏ ฐสั จ จะ ๑ อสั ป ชั ญ ญะ๑ เจตโส วิ กเขปะ ๑ ก็ อาจเพื่ อละซึ่ งธรรมสาม คื อ อโยนิ โส มนสิ การ ๑ กุมมัคคเสวนา ๑ เจตโส ลีนัตตา ๑.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ละซึ่ ง ธรรมสาม คื อ อริ ย านั ง อทัสสนกัมยตา ๑ อริยนัง อโสตุกัมยตา ๑ อุปารัมภจิตตตา ๑ ก็อาจเพื่อละซึ่ง ธรรมสาม คือ มุฏฐสัจจะ ๑ อสัปชัญญะ ๑ เจตโส วิกเขปะ ๑.
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ละซึ่ ง ธรรมสาม คื อ อุ ท ธั จ จะ ๑ อสังวระ ๑ ทุ สสีลยะ ๑ ก็อาจเพื่อละซึ่งธรรมสาม คือ อริยานัง อทัสสนกัมยตา ๑ อริยธัมมัง อโสตุกัมยตา ๑ อุปารัมภจิตตตา ๑.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๒๑
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คล เมื่ อ ละซึ่ ง ธรรมสาม คื อ อสั ท ธิ ย ะ๑ อวทั ญุ ตา ๑ โกสั ชชะ ๑ ก็ อาจเพื่ อละซึ่งธรรมสาม คื อ อุทธัจจะ ๑ อสั งวระ ๑ ทุสสีลยะ๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! บุ ค คล เมื่ อ ละซึ่ ง ธรรมสาม คื อ อนาทริ ย ะ ๑ โทวจัสสตา ๑ ปาปมิตตา ๑ ก็อาจเพื่อละซึ่งธรรมสาม คือ อสัทธิยะ๑ อวทัญุ ตา ๑ โกสัชชะ ๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคล เมื่ อละซึ่ งธรรมสาม คื อ อหิ ริกะ ๑ อโนต ตั ป ปะ ๑ ปมาทะ ๑ ก็ อาจเพื่ อละซึ่ งธรรมสาม คื อ อนาทริยะ ๑ โทวจั สสตา ๑ ปาปมิตตา ๑. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! บุ ค คลนี้ เป น ผู มี หิ ริ มี โอตตั ป ปะ มี อั ป ปมาทะ (ความไมประมาท) แลว. ขาเมื่อเปนผูมีอัปปมาทะอยูแลว ก็อาจเพื่อละซึ่ง อนาทริยะ ๑ โทวจัสสตา ๑ ปาปมิตตา ๑;
www.buddhadasa.info เข า เมื่ อ เป น ผู มี กั ล ย า ณ มิ ต ต ะ ก็ อ าจ เพื่ อ ล ะ ซึ่ ง อ สั ท ธิ ย ะ ๑ อวทัญุตา ๑ โกสัชชะ ๑
เขาเมื่อเป นผูมี อารัทธวิริยะ (ความเพี ยรอันปรารภแลว) ก็อาจเพื่ อละซึ่ง อุทธัจจะ ๑ อสังวระ ๑ ทุสสีลยะ๑
www.buddhadasa.info
๓๒๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
เขาเมื่ อเป นผู มี ศี ล ก็ อาจเพื่ อละซึ่ ง อริยานั ง อทั สสนกั มยตา ๑ อริยธั มมั ง อโสตุกัมยตา ๑ อุปารัมภจิตตตา ๑. เขาเมื่อเปนผูมีอนุปารัมภจิตตะ (จิตไมเที่ยวไปเกาะเกี่ยวแลว) ก็อาจเพื่อละ ซึ่งมุฏฐสัจจะ ๑ อสัปชัญญะ ๑ เจตโส วิกเขปะ ๑. เขาเมื่ อเป นผู มี อวิ กขิ ตตจิ ตตะ (จิ ตไม ส ายแล ว) ก็ อาจเพื่ อละซึ่ ง อโยนิ โสมนสิการ ๑ กุมมัคคเสวนา ๑เจตโสลีนัตตา ๑. เขาเมื่อเปนผูมี อลีนจิตตะ (จิตไมหดหูแลว) ก็อาจเพื่อละซึ่ง สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพัตตปรามาส ๑ . เขาเมื่อเปนผูไมมีวิจิกิจฉา ก็อาจเพื่อละซึ่ง ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ เขาเมื่ อเปนผูละไดแลวซึ่ง ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ก็อาจเพื่ อละซึ่ง ชาติ ๑ ชรา ๑ มรณะ ๑, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info ห ม ายเห ตุ ผู รวบ รวม : ผู ศึ ก ษ าพึ งสั ง เกตให เห็ นว า คํ าว า "ปฏิ จจสมุป บาท" มีค วามหมายกวา ง คือ มิไ ดห มายถึง หลัก ธรรมที ่ก ลา ววา อวิช ฺช าปจฺจ ยา สงฺ ข ารา เป น ต น เพี ย งอย า งเดี ย ว. แต ห มายถึ ง หลั ก ธรรมใด ๆ ก็ ไ ด ที่ เนื่ อ งกั น เป น สาย ในฐานะเป น ป จ จั ย แก กั น และกั น สื บ ต อ ๆ กั น ไป ตามหลั ก ที่ เรี ย กว า อิ ทั ป ป จ ยตา ดั งเช น ข อ ความในเรื่ อ งนี้ ซึ่ ง ลั ก ษณะอาการของปฏิ จ จสมุ ป บาทแสดงให เห็ น ชั ด อยู หากแต ว า แสดงไปในลั ก ษณะของการปฏิ บั ติ ; ดั งนั้ น จึ งนํ า มาแสดงให เห็ น เพื่ อ ประโยชน ทั้ งแก ก าร ศึก ษาและการปฏิบ ัต ิ และเพื ่อ ใหเ ขา ใจความหมายของคํ า วา "ปฏิจ จสมุป บาท" หรือ "อิ ทั ป ป จ จยตา" ยิ่ ง ขึ้ น ไป. หลั ก ธรรมปฏิ บั ติ ที่ อ ยู ใ นรู ป ของปฏิ จ จสมุ ป บาท เช น นี้ ยั ง มี อีกมาก ลวนแตควรแกการสนใจ.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๒๓
วิธีปฏิบัติตออาหารที่สี่ ในลักษณะที่เปนปฏิจจสมุปบาท๑ ก. วาดวยลักษณะอาหารสี่ โดยอุปมา ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อาหาร ๔ อยางเหลานี้ ยอมเป นไปเพื่ อความดํ ารง อยูของภูตสัตวทั้หลาย หรือวา เพื่ออนุเคราะหแกสัมภเวสีสัตวทั้งหลาย. อาหาร ๔ อยาง เปนอยางไรเลา? สี่อยางคือ (๑) กพฬี การาหาร ที่หยาบบาง ละเอียดบาง (๒) ผัสสะ (๓) มโนสัญเจตนา (๔) วิญญาณ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อาหาร ๔ อยาง เหล านี้ แล ย อมเป นไปเพื่ อความดํ ารงอยู ของภู ตสั ตว ทั้ งหลาย หรือว า เพื่ ออนุ เคราะห แกสัมภเวสีทั้งหลาย. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็กพฬี การาหาร จะพึงเห็นไดอยางไร? ดูกอนภิกษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนภรรยาสามี สองคน ถื อเอาสะเบี ยงสํ าหรับเดิ นทางเล็ กน อย เดิ น ไปสูหนทางอันกันดาร สองสามี ภรรยานั้น มี บุ ตรน อยคนเดียวผู น ารักนาเอ็นดู อยู คนหนึ่ ง เมื่อขณะเขาทั้งสองกําลังเดินไปตามทางอันกันดารอยูนั้น สะเบียงสําหรับเดินทางที่เขามีอยู เพี ย งเล็ ก น อ ยนั้ น ได ห มดสิ้ น ไป หนทางอั น กั น ดารนั้ น ยั ง เหลื อ อยู เขาทั้ งสองนั้ น ยั งไม เดิ นข ามหนทางอั นกั นดารนั้ นไปได ครั้งนั้ นแล สองภรรยาสามี นั้ นได มาคิ ดกั นว า "สะเบี ยงสํ าหรับเดิ นทางของเราทั้ งสองที่ มี อยู เพี ยงเล็ กน อยนี้ ได หมดสิ้ นลงแล ว หนทาง อันกันดารนี้ ยังเหลืออยู ทั้งเราก็ยังไม เดิ นขามหนทางอันกันดารนี้ไปได อยากระนั้นเลย เราทั้งสองคนพึงฆาบุตรนอยคนเดียวผูนารักนาเอ็นดูนี้เสีย แลวทําใหเปนเนื้อเค็มและ
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๓ มหาวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ.๑๖/๑๑๘/๒๔๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๓๒๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
เนื้ออยาง บริโภคเนื้อบุตรนี้แหละเดินขามหนทางอันกันดารที่ยังเหลืออยูนี้กันเถิด เพราะถาไม ทํ า เช น นี้ พวกเราทั้ ง สามคนจะต อ งพากั น พิ น าศหมดแน " ดั ง นี้ . ครั้ ง นั้ น แล ภรรยาสามีทั้งสองนั้น จึงฆาบุตรนอยคนเดียวผูนารักนาเอ็นดูนั้น แลวทําใหเปนเนื้อเค็ม และเนื้อยาง บริโภคเนื้อบุตรนั้นเทียว เดินขามหนทางอันกันดารที่ยังเหลืออยูนั้น สองภรรยาสามี นั้ น บริโภคเนื้ อบุ ตรไปพลางพรอมกั บค อนอกไปพลาง รําพั นวา "บุ ตรน อย คนเดียวของเราไปไหนเสีย บุตรนอยคนเดียวของเราไปไหนเสีย"ดังนี้ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เธอทั้ งหลายจะสํ าคั ญ ความข อนี้ ว าอย างไร? สอง ภรรยาสามี นั้ นจะพึ งบริโภคเนื้ อบุ ตรเป นอาหาร เพื่ อความเพลิ ดเพลิ นสนุ กสนานบ าง เพื่ อความมั วเมาบ าง เพื่ อความประดั บประดาบ าง หรือเพื่ อตบแต ง(รางกาย)บ าง หรือ หนอ? ภิกษุทั้งหลายเหลานั้นกราบทูลวา "ขอนั้นหาเปนเชนนั้นไม พระเจาขา!" แลวตรัส ตอไปวา "ถาอยางนั้นสองภรรยาสามีนั้น จะพึงบริโภคเนื้อบุตรเปนอาหาร" เพียงเพื่ อ (อาศั ย )เดิ น ข า มหนทางอั น กั น ดารเท า นั้ น ใช ไหม? "ใช พระเจ า ข า !". ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ข อนี้ มี อุ ปมาฉั น ใด,เราย อมกล าวว า กพฬี การาหาร อั นอริยสาวกพึ งเห็ น (ว า มี อุ ป มาเหมื อ นเนื้ อ บุ ต ร)ฉั น นั้ น . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ กพฬี ก าราหาร อันอริยสาวกกําหนดรูไดแลว, ราคะ(ความกําหนัด)ที่มีเบญจกามคุณเปนแดน เกิดยอมเปนสิ่งที่อริยสาวกนั้นกําหนดรูไดแลวดวย; เมื่อราคะที่มีเบญจกามคุณ เปนแดนเกิด เปนสิ่งที่อริยสาวกนั้นกําหนดรูไดแลว, สังโยชนชนิดที่อริยสาวก ประกอบเขาแลวจะพึงเปนเหตุใหมาสูโลกนี้ไดอีก ยอมไมมี.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ ผั ส สาหาร จะพึ งเห็ น ได อ ย างไร? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้งหลาย! เปรียบเหมือนแมโคนมที่ปราศจากหนังหอหุม: ถาแม โคนมนั้นพึ งยืนพิ งฝาอยู ไซร มันก็จะพึงถูกพวกสัตวที่อาศัยฝาเจาะกิน; ถาแมโคนมนั้นพึงยืนพิงตนไมอยูไซร
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๒๕
มั น ก็ จ ะพึ ง ถู ก พวกสั ต ว ที่ อ าศั ย ต น ไม ไชกิ น ; ถ า หากแม โคนมนั้ น จะพึ งลงไปแช น้ํ า อยู ไซร มั น ก็ พึ ง ถู ก พวกสั ต ว ที่ อ าศั ย น้ํ า ตอดกั ด กิ น ; ถ า หากแม โ คนมนั้ น จะพึ ง ยั น อาศั ย อยู ในที่ โล งแจ งไซร มั น ก็ จ ะพึ ง ถู ก พวกสั ต ว ที่ อ าศั ย อยู ในอากาศเกาะกั ด จิ ก กิ น ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! แม โคนมที่ ปราศจากหนั งหุ มนั้ น จะพึ งไปอาศั ยอยู ในสถานที่ ใด ๆ ก็ ตาม มั นก็ จะพึ งถู กจํ าพวกสั ตว ที่ อาศั ยอยู ในสถานที่ นั้ น ๆ กั ดกิ นอยู ร่ํ าไป,ข อนี้ มี อุ ปมา ฉั น ใด ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เราย อ มกล าวว า ผั ส สาหาร อั น อริ ย สาวกพึ งเห็ น (ว า มี อุ ป มาเหมื อ นแม โคนมที่ ป ราศจากหนั ง ห อ หุ ม ) ฉั น นั้ น . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ ผัสสาหาร อันอริยสาวกกําหนดรูไดแลว, เวทนาทั้งสาม ยอมเปนสิ่งที่อริยสาวก นั้นกําหนดรูไดแลวดวย; เมื่อเวทนาทั้งสาม เปนสิ่งที่อริยสาวกกําหนดรูไดแลว, เรายอมกลาววา "สิ่งไร ๆ ที่ควรกระทําใหยิ่งขึ้นไป (กวานี้) ยอมไมมีแกอริยสาวก นั้น" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ม โนสั ญ เจตนาหาร จะพึ งเห็ นได อย างไร? ดู ก อน ภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรี ยบเสมื อนหลุ มถ านเพลิ ง ลึ กเกิ นกว าชั่ วบุ รุ ษหนึ่ ง เต็ มด วยถ านเพลิ ง ที ่ป ราศจากเปลวและปราศจากควัน มีอ ยู . ครั ้ง นั ้น บุร ุษ หนึ ่ง ผู ต อ งการเปน อยู ไม อ ยากตาย รั ก สุ ข เกลี ย ดทุ ก ข มาสู ที่ นั้ น . และมี บุ รุ ษ ที่ มี กํ า ลั งกล า แข็ งอี ก สองคน จั บบุ รุ ษนั้ น ที่ แขนแต ละข าง แล วฉุ ดคร าพาไปยั งหลุ มถ านเพลิ งนั้ น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ครั้ งนั้ นแล บุ รุ ษ นั้ น มี ความคิ ด ความปรารถนา ความตั้ งใจ ที่ จะให ห างไกลหลุ ม ถ าน เพลิ ง นั้ น .ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไ รเล า ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย!ข อ นั้ น เพราะเหตุ ว า บุ รุ ษ นั้ น ย อ มรู ว า "ถ า เราจั ก ตกลงไปยั งหลุ ม ถ า นเพลิ ง นี้ ไซร เราก็ จ ะพึ ง ถึ ง ความตาย หรื อ ได รั บทุ กข เจี ยนตาย เพราะข อนั้ นเป นเหตุ "ดั งนี้ , ข อนี้ มี อุ ปมาฉั นใด; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราย อมกล าวว า มโนสั ญ เจตนาหาร อั นอริ ยสาวกพึ งเห็ น (ว ามี อุ ปมาเหมื อนหลุ มถ านเพลิง) ฉันนั้น. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อมโนสัญเจตนาหาร อันอริยสาวกกําหนด
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๓๒๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
รูไดแลว, ตัณ หาทั้งสาม ยอมเปนสิ่งที่อริยสาวกนั้น กําหนดรูไดแลวดวย; เมื่ อ ตัณหาทั้งสามเปนสิ่งที่อริยสาวกกําหนดรูไดแลว, เรายอมกลาววา "สิ่งไร ๆ ที่ควร กระทําใหยิ่งขึ้นไป (กวานี้)ยอมไมมีแกอริยสาวกนั้น" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ วิ ญ ญาณณาหาร จะพึ งเห็ น ได อ ย างไร? ดู ก อ น ภิ กษุ ทั้ งหลาย เปรี ยบเหมื อนพวกเจ าหน าที่ จั บโจรผู กระทํ าผิ ดได แล ว แสดงแก พระราชา ว า "ข า แต พ ระองค ผู ส มมติ เทพ! โจรผู นี้ เป น ผู ก ระทํ า ผิ ด ต อ ใต ฝ า ละอองธุ ลี พ ระบาท ขอใต ฝาละอองธุ ลี พระบาท จึ งทรงพระกรุ ณ าโปรดเกล าให ลงโทษโจรผู นี้ ตามที่ ทรงเห็ น สมควรเถิ ด พระพุ ทธเจ าข า". พระราชามี พระกระแสรั บสั่ งอย างนี้ ว า "ดู ก อนท านผู เจริ ญ ทั้ งหลาย! ท านทั้ งหลายจงไป จงประหารชี วิ ตบุ รุ ษนี้ เสี ยด วยหอกร อยเล มในเวลาเช านี้ " เจา หนา ที ่เ หลา นั ้น จึง ประหารนัก โทษ ดว ยหอกรอ ยเลม ในเวลาเชา ตอ มา ในเวลาเที่ ยงวั น พระราชาทรงซั กถามเจ าหน าที่ เหล านั้ นอย างนี้ ว า "ดู ก อนท านผู เจริ ญ ทั้ ง หลาย! นั ก โทษคนนั้ น เป น อย า งไรบ า ง?". พวกเขาพากั น กราบทู ล ว า "ข า แต พระองค ผู ส มมติ เทพ! นั ก โทษนั้ น ยั งมี ชี วิ ต อยู ต ามเดิ ม พระพุ ท ธเจ า ข า !". พระราชา ทรงมี พ ระกระแสรั บ สั่ ง อย า งนี้ ว า "ดู ก อ นท า นผู เจริ ญ ทั้ ง หลาย! ท า นทั้ ง หลายจงไป จงประหารนั ก โทษนั้ น เสี ย ด ว ยหอกร อ ยเล ม ในเวลาเที่ ย งวั น "ดั ง นี้ . พวกเจ า หน า ที่ เหล านั้ นจึ งได ประหารนั กโทษนั้ นด วยหอกร อยเล ม ในเวลาเที่ ยงวั น. ต อมา ในเวลาเย็ น พระราชาทรงซั กถามเจ าหน าที่ เหล านั้ นอี กว า "ดู ก อนท านผู เจริ ญ ทั้ งหลาย! นั กโทษนั้ น เป น อย า งไรบ า ง?"เขาพากั น กราบทู ล ว า "ข า แต พ ระองค ผู ส มมติ เ ทพ! นั ก โทษนั้ น ยั งมี ชี วิ ตอยู ตามเดิ มพระพุ ทธเจ าข า!". พระราชาทรงมี พระกระแสรั บสั่ งอี กว า "ดู ก อนท าน ทั้ ง หลาย! ท า นทั้ ง หลายจงไป จงประหารนั ก โทษนั้ น เสี ย ด ว ยหอกร อ ยเล ม ในเวลา เย็ น" ดั งนี้ . เจ าหน าที่ เหล านั้ น จึ งได ประหารนั กโทษนั้ นด วยหอกร อยเล ม ในเวลาเย็ น. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เธอทั้งหลายจะสําคัญความขอนั้น วาอยางไร? บุรุษนักโทษนั้น
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๒๗
ถูกพวกเจาหน าที่ ประหารอยูด วยหอกสามรอยเลม ตลอดทั้ งวัน เขาจะพึ งเสวยแต ทุ กขโทมนั ส ที่ มี ข อ นั้ น เป น เหตุ เท านั้ น มิ ใช ห รือ ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! บุ รุ ษ นั ก โทษนั้ น ถูกพวกเจาหน าที่ ประหารด วยหอกแม (เล มเดี ยว) นั่ น ก็ พิ งเสวยทุ กขโทมนั สที่ มี ขอนั้ น เป นเหตุ (มากอยู แล ว) ก็ จะกล าวไปไยถึ งการที่ บุ รุษ นั กโทษนั้ นถู กประหารด วยหอก สามร อ ยเล ม เล า , ข อ นี้ มี อุ ป มาฉั น ใด; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เราย อ มกล า วว า วิญญาณาหาร อั นอริยสาวกพึ งเห็ น (วามี อุ ปมาเหมื อนนั กโทษถู กประหารนั้ น) ฉั นนั้ น. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อวิญญาณาหาร อันอริยสาวกกําหนดรูไดแลว, นามรูป ยอมเปนสิ่งที่อริยสาวกนั้นกําหนดรูไดแลวดวย; เมื่อนามรูปเปนสิ่งที่อริยสาวก กําหนดรูไดแลว, เรายอมกลาววา "สิ่งไร ๆ ที่ควรกระทําใหยิ่งขึ้นไป (กวานี้) ยอมไมมีแกอริยาสาวกนั้น", ดังนี้ แล.
ข. วาดวยอาการเกิดดับแหงอาหารสี่๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อาหาร ๔ อย างเหล านี้ ย อมเป นไปเพื่ อความดํ ารงอยู ของภู ตสั ตวทั้ งหลาย หรือวาเพื่ ออนุ เคราะห แก สั มภเวสี สั ตวทั้ งหลาย. อาหาร ๔ อย าง เป นอย างไรเล า? สี่ อย างคื อ (๑) กพฬี การาหาร ที่ หยาบบ าง ละเอี ยดบ าง (๒) ผั สสะ (๓) มโนสัญเจตนา (๔) วิญญาณ.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อาหาร ๔ อย างเหล านี้ แล ย อมเป นไปเพื่ อความดํ ารง อยูของภูตสัตวทั้งหลาย หรือวา เพื่ออนุเคราะหแกสัมภเวสีสัตวทั้งหลาย.
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ถ า มี ร าคะ(ความกํ า หนั ด ) มี นั น ทิ (ความเพลิ น ) มีตัณหา (ความอยาก) ในกพฬีการาหาร ไซร, วิญญาณ ก็เปนสิ่งที่ตั้งอยูได เจริญ
๑
สูตรที่ ๔ มหาวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ.๑๖/๑๒๒/๒๔๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๓๒๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
งอกงามอยู ได ในกพฬี การาหารนั้ น. วิ ญ ญาณที่ ตั้ งอยู ได เจริ ญ งอกงามอยู ได มี อยู ในที่ ใด.การหยั่ งลงแห งนามรูป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. การหยั่ งลงแห งนามรูปมี อยู ในที่ ใด, ความเจริญแห งสั งขารทั้ งหลาย ก็มี อยู ในที่ นั้ น. ความเจริญแห งสั งขารทั้ งหลาย มี อยู ในที ่ใ ด การบัง เกิด ในภพใหมต อ ไป ก็ม ีอ ยู ใ นที ่นั ้น . การบัง เกิด ในภพใหมต อ ไป มี อยู ในที่ ใด, ชาติ รามรณะต อไป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. ชาติ รามรณะต อไป มี อยู ในที่ ใด, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เราเรียกที่นั้นวา "เปนที่มีโศก มีธุลี มีความคับแคน" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ถ า มี ร าคะ(ความกํ า หนั ด ) มี นั น ทิ (ความเพลิ น ) มี ตั ณ หา (ความอยาก) ในผั ส สาหาร ไซร, วิ ญ ญาณ ก็ เป น สิ่ งที่ ตั้ งอยู ได เจริญ งอกงามอยู ได ในผั สสาหารนั้ น. วิญญาณที่ ตั้ งอยู ได เจริญงอกงามอยู ได มี อยู ในที่ ใด, การหยั่ งลงแห งนามรู ป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. การหยั่ งลงแห งนามรู ปมี อยู ในที่ ใด, ความ เจริญแห งสั งขารทั้ งหลาย ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. ความเจริญแห งสั งขารทั้ งหลาย มี อยู ในที่ ใด, การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป มี อยู ในที่ ใด ชาติ ช รามรณะต อ ไป ก็ มี อ ยู ในที่ นั้ น . ชาติ ช รามรณะต อ ไป มี อ ยู ในที่ ใด, ดู ก อ น ภิกษุทั้งหลาย!เราเรียกที่นั้นวา "เปนที่มีโศก มีธุลี มีความคับแคน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ถามีราคะ มีนันทิ มีตัณหา ในมโนสัญเจตนาหาร ไซร, วิญญาณก็เป นสิ่งที่ ตั้งอยูได เจริญงอกงามอยูได ในมโนสัญเจตนาหารนั้น. วิญญาณที่ ตั้ งอยูได เจริญงอกงามอยูได มี อยู ในที่ ใด, การหยั่งลงแห งนามรูป ก็มี อยู ในที่ นั้ น. การหยั่ งลงแห งนามรูป มี อยู ในที่ ใด, ความเจริญแห งสั งขารทั้ งหลาย ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. ความเจริญ แห งสั งขารทั้ งหลาย มี อยู ในที่ ใด, การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป มี อยู ในที่ ใด, ชาติ รามรณะต อไป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น . ชาติ ช รามรณะต อ ไป มี อ ยู ในที่ ใด. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เราเรี ย กที่ นั้ น วา "เปนที่มีโศก มีธุลี มีความคับแคน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๒๙
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ถามีราคะ มีนันทิ มีตัณหา ในวิญญาณาหาร ไซร, วิญญาณก็เปนสิ่งที่ตั้งอยูได เจริญงอกงามอยูได ในวิญญาณาหารนั้น.วิญญาณ ที่ตั้งอยูได เจริญงอกงามอยู ได มี อยู ในที่ ใด, การหยั่ งลงแห งนามรูป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. การหยั่ งลง แห งนามรูป มี อยู ในที่ ใด, ความเจริญแห งสั งขารทั้ งหลาย ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. ความเจริญ แห งสังขารทั้ งหลาย มี อยูในที่ ใด, การบั งเกิ ดในภพใหม ตอไป ก็มี อยูในที่ นั้ น. การบั งเกิ ด ในภพใหม ต อไป มี อยู ในที่ ใด, ชาติ รามรณะต อไป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. ชาติ ราชมรณะ ต อ ไป มี อ ยู ในที่ ใด, ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เราเรีย กที่ นั้ น ว า "เป น ที่ มี โศก มี ธุ ลี มีความคับแคน" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!เปรียบเหมื อนช างย อม หรือช างเขี ยน, เมื่ อมี น้ํ าย อม คื อ ครั่ ง ขมิ้ น คราม หรื อ สี แ ดงอ อ น ก็ จ ะพึ ง เขี ย นรู ป สตรี หรื อ รู ป บุ รุ ษ ลงที่ แ ผ น กระดาษ หรือ ฝาผนั ง หรือ ผื น ผ า ซึ่ งเกลี้ ย งเกลา ได ค รบทุ ก ส ว น, อุ ป มานี้ ฉั น ใด; ดูกอนภิกษุ ทั้ งหลาย! อุปไมยก็ฉันนั้น คือ ถามีราคะ มี นันทิมี ตัณหา ในกพฬการาหาร ไซร, วิญญาณ ก็ เป นสิ่ งที่ ตั้ งอยู ได เจริญงอกงามอยูได ในกพฬี การาหารนั้ น.วิญญาณ ที่ ตั้ งอยู ได เจริญงอกงามอยู ได มี อยู ในที่ ใด, การหยั่ งลงแห งนามรูป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. การหยั่ งลงแห งนามรูป มี อยู ในที่ ใด, ความเจริญแห งสั งขารทั้ งหลาย ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. ความเจริญ แห งสั งขารทั้ งหลาย มี อยู ในที่ ใด, การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป ก็ มี อยู ใน ที่ นั้ น. การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป มี อยู ในที่ ใด, ชาติ ชรามรณะต อไป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. ชาติ ชรามรณะต อไป มี อยู ในที่ ใด, ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราเรียกที่ นั้ นวา "เป นที่ มี โศก มี ธุ ลี มี ความคั บแค น" ดั งนี้ . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ ามี ราคะ มี นั นทิ มี ตั ณ หา ในผั สสาหาร ไซร, วิ ญญาณ ก็ เป นสิ่ งที่ ตั้ งอยู ได เจริญงอกงามอยู ได ในผั สสาหารนั้ น วิญญาณที่ตั้งอยูได เจริญงอกงามอยูได มีอยู ในที่ใด, การหยั่งลงแหงนามรูป ก็มีอยูใน ที่นั้น. การหยั่งลงแหงนามรูป มีอยู ในที่นั้น. ความเจริญแหงสังขารทั้งหลาย ก็มีอยูใน
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๓๓๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ที่ นั้ น. ความเจริญแห งสั งขารทั้ งหลาย มี อยู ในที่ ใด, การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. การบั งเกิดในภพใหม ต อไป มี อยู ในที่ ใด, ชาติ ชรามรณะต อไป ก็มี อยู ในที่ นั้ น. ชาติ ชรามรณะตอไป มี อยู ในที่ ใด, ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราเรียกที่ นั้ นวา "เป นที่ มี โศก มีธุลี มีความคับแคน"ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ถามีราคะ มีนันทิ มีตัณหา ในมโนสัญเจตนาหาร ไซร , วิ ญ ญ าณ ก็ เ ป น สิ่ ง ที่ ตั้ ง อยู ไ ด เจริ ญ งอกงามอยู ไ ด ในมโน สัญเจตนาหารนั้น, วิญญาณ ที่ตั้งอยูได เจริญงอกงามอยูได มีอยู ในที่ใด, การหยั่งลงแหง นามรู ป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น การหยั่ งลงแห งนามรู ป มี อยู ในที่ ใด, ความเจริ ญ แห งสั งขาร ทั้ งหลาย ก็ มี อยู ในที่ นั้ น, ความเจริญแห งสั งขารทั้ งหลาย มี อยู ในที่ ใด, การบั งเกิ ดใน ภพใหม ต อไป ก็มี อยู ในที่ นั้ น. การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป มี อยู ในที่ ใด, ชาติชรามรณะ ตอไป ก็มี อยู ในที นั้ น, ชาติ ชรามรณะต อไป มี อยู ในที ใด, ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราเรียก ที่ นั้ นว า "เป นที่ มี โศก มี ธุ ลี มี ความคั บแค น" ดั งนี้ . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ ามี ราคะ มี นั นทิ มี ตั ณหาในวิญญาณหารไซร, วิญญาณ ก็ เป นสิ่งที่ ตั้ งอยูได เจริญงอกงามอยู ได ในวิญญาณหารนั้ น, วิญญาณ ที่ ตั้ งอยูได เจริญงอกงามอยูได มี อยู ในที่ใด, การหยั่ ง ลงแห งนามรูป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. การหยั่ งลงแห งนามรูป มี อยู ในที่ ใด,ความเจริญ แห ง สั งขารทั้ งหลาย ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. ความเจริญ แห งสั งขารทั้ งหลาย มี อยู ในที่ ใด, การ บั งเกิ ด ในภพใหม ต อ ไป ก็ มี อ ยู ในที่ นั้ น . การบั งเกิ ด ในภพใหม ต อ ไป มี อ ยู ในที่ ใด, ชาติ ชรามรณะต อไป ก็ มี อยู ในที่ นั้ น. ชาติ ชรามรณะต อไป มี อยู ในที่ ใด, ดู ก อนภิ กษุ ทั้งหลาย! เราเรียกที่นั้นวา "เปนที่มีโศกมีธุลี มีความคับแคน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info (ขอความตอไปนี้ เปนขอความฝายปฏิปกขนัย คือ ตรงกันขาม)
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ถ า ไม มี ร าคะ(ความกํ า หนั ด ) ไม มี นั น ทิ (ความ เพลิน) ไมมีตัณหา(ความอยาก) ในกพฬี การาหาร แลวไซร, วิญญาณ ก็เปนสิ่งที่ตั้ง อยูไมได เจริญงอกงามอยูไมได ในกพฬี การาหารนั้น. วิญญาณ ตั้งอยูไม ได เจริญงอก งามอยูไมได ในที่ใด, การหยั่งลงแหงนามรูป ยอมไมมีในที่นั้น. การหยั่งลงแหงนามรูป
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๓๑
ไม มี ในที่ ใด, ความเจริญแห งสังขารทั้ งหลาย ยอมไม มี ในที่ นั้ น. ความเจริญแห งสั งขาร ทั้ งหลาย ไม มี ในที่ ใด, การบั งเกิ ด ในภพใหม ต อ ไป ย อ มไม มี ในที่ นั้ น . การบั งเกิ ด ในภพใหม ต อไป ไม มี ในที่ ใด, ชาติ ชรามรณะต อไป ย อมไม มี ในที่ นั้ น. ชาติ ชรามรณะ ต อ ไป ไม มี ใ นที่ ใ ด, ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เราเรี ย ก "ที่ " นั้ น ว า เป น "ที่ ไ ม มี โ ศก ไมมีธุลี ไมมีความคับแคน" ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ถาไมมีราคะ ไมมีนันทิ ไมมีตัณหา ในผัสสาหาร แล วไซร, วิญญาณ ก็เป นสิ่ งที่ ตั้ งอยูไม ได เจริญงอกงามอยูไม ได ในผั สสาหารนั้ น. วิ ญ ญาณ ตั้ งอยู ไม ได เจริญ งอกงามอยู ไม ได ในที่ ใด, การหยั่ งลงแห งนามรูป ย อม ไม มี ในที่ นั้ น. การหยั่ งลงแห งนามรูป ไม มี ในที่ ใด, ความเจริญ แห งสั งขารทั้ งหลาย ยอมไม มี ในที่ นั้ น. ความเจริญแห งสั งขารทั้ งหลาย ไม มี ในที่ ใด, การบั งเกิดในภพใหม ต อไป ย อมไม มี ในที่ นั้ น. การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป ไม มี ในที่ ใด, ชาติ ชรามรณะ ต อไป ย อมไม มี ในที่ นั้ น. ชาติ ชรามรณะต อไป ไม มี ในที่ ใด, ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราเรียก "ที่" นั้นวาเปน "ที่ไมมีโศก ไมมีธุลี ไมมีความคับแคน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ถาไมมีราคะ ไมมีนันทิ ไมมีตัณหา ในมโนสัญเจตนาหาร แล วไซร, วิญ ญาณ ก็ เป น สิ่ งที่ ตั้ งอยู ไม ได เจริญ งอกงามอยู ไม ได ใน มโนสัญเจตนาหารนั้ น. วิญญาณ ตั้ งอยู ไม ได เจริญงอกงามอยู ไม ได ในที่ ใด, การหยั่ ง ลงแห งนามรู ป ย อมไม มี ในที่ นั้ น. การหยั่ งลงแห งนามรู ป ไม มี ในที่ ใด, ความเจริ ญ แห งสั งขารทั้ งหลาย ย อมไม มี ในที่ นั้ น. ความเจริญแห งสั งขารทั้ งหลาย ไม มี ในที่ ใด, การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป ย อมไม มี ในที่ นั้ น. การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป ไม มี ใน ที่ ใด, ชาติ ชรามรณะต อไป ย อมไม มี ในที่ นั้ น . ชาติ ชรามรณะต อ ไป ไม มี ในที่ ใด, ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เราเรีย ก "ที่ " นั้ น ว า เป น "ที่ ไม มี โศก ไม มี ธุ ลี ไม มี ค วาม คับแคน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๓๓๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ถาไมมีราคะ ไมมีนันทิ ไมมีตัณหา ในวิญญาณาหาร แลวไซร, วิญญาณก็เปนสิ่งที่ตั้งอยูไมได เจริญงอกงามอยูไมได ในวิญญาณาหาร นั้ น. วิญ ญาณ ตั้ งอยู ไม ได เจริญ งอกงามอยู ไม ได ในที่ ใด, การหยั่ งลงแห งนามรูป ยอมไม มี ในที่นั้ น. การหยั่งลงแหงนามรูป ไม มี ในที่ ใด, ความเจริญแหงสังขารทั้งหลาย ย อมไม มี ในที่ นั้ น. ความเจริญแห งสั งขารทั้ งหลาย ไม มี ในที่ ใด, การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป ย อมไม มี ในที่ นั้ น. การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป ไม มี ในที่ ใด, ชาติ ชรามรณะ ต อไป ย อมไม มี ในที่ นั้ น. ชาติ ชรามรณะต อไป ไม มี ในที่ ใด, ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราเรียก "ที่" นั้นวาเปน "ที่ไมมีโศก ไมมีธุลี ไมมีความคับแคน" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนเรือนยอด หรือศาลาเรือนยอดที่ ตั้ งอยู ทางทิศเหนือ หรือใตก็ตาม เปนเรือนมีหนาตางทางทิศตะวันออก. ครั้นพระอาทิตยขึ้นมา แสงสว างแห งพระอาทิ ตย ส องเข าไปทางหน าต างแล ว จั กตั้ งอยู ที่ ส วนไหนแห งเรือ น นั้นเลา? "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! แสงสว างแห งพระอาทิ ตย จั กปรากฏที่ ฝาเรื อน ขางในทิศตะวันตก พระเจาขา".
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ าฝาเรือนทางทิ ศตะวั นตกไม มี เล า แสงสว างแห ง พระอาทิตยนั้นจักปรากฏอยู ณ ที่ไหน?
"ข าแต พระองค ผู เจริญ! แสงสว างแห งพระอาทิ ตย นั้ น จั กปรากฏที่ พื้ นดิ น พระเจาขา". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ าพื้ นดิ นไม มี เล า แสงสวางแห งพระอาทิ ตย นั้ น จั ก ปรากฏที่ไหน?
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๓๓
"ข าแต พ ระองค ผู เจริญ ! แสงสว างแห งพระอาทิ ตย นั้ น จั กปรากฏในน้ํ า พระเจาขา". ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถาน้ํ าไม มี เลา แสงสวางแห งพระอาทิ ตยนั้ น จักปรากฏ ที่ไหนอีก? "ข าแต พ ระองค ผู เจริญ ! แสงสว างแห งพระอาทิ ตย นั้ น ย อมเป น สิ่ งที่ ไม ปรากฏแลว พระเจาขา". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ฉั นใดก็ ฉั นนั้ นแล : ถ าไม มี ราคะ ไม มี นั นทิ ไม มี ตัณหา ในกพฬีการาหาร แลว ไซร,. วิญญาณ ก็เปนสิ่งที่ตั้งอยูไมได เจริญงอกงามอยู ไม ได ในกพฬี การาหารนั้ น. วิ ญญาณ ตั้ งอยู ไม ได เจริญงอกงามอยู ไม ได ในที่ ใด, การ หยั่ งลงแห งนามรูป ย อมไม มี ในที่ นั้ น. การหยั่ งลงแห งนามรูปไม มี ในที่ ใด, ความเจริญ แหงสั งขารทั้ งหลาย ยอมไม มี ในที่ นั้ น. ความเจริญแหงสั งขารทั้ งหลายไม มี ในที่ ใด, การ บังเกิดในภพใหมตอไป ยอมไมมี ในที่นั้น. การบังเกิดในภพใหมตอไปไมมีในที่ใด, ชาติ ชรามรณะต อไป ย อ มไม มี ในที่ นั้ น . ชาติ ชรามรณะต อ ไปไม มี ในที่ ใด, ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้งหลาย! เราเรียก "ที่" นั้นวาเปน "ที่ไมมีโศก ไมมีธุลี ไมมีความคับแคน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ถาไม มี ราคะ ไม มี นันทิ ไม มี ตั ณหา ในผั สสาหาร แล ว ไซร, วิ ญ ญาณ ก็ เป นสิ่ งที่ ตั้ งอยู ไม ได เจริญ งอกงามอยู ไม ได ในผั สสาหารนั้ น. วิญญาณ ตั้ งอยู ไม ได เจริญงอกงามอยู ไม ได ในที่ ใด, การหยั่ งลงแห งนามรูปย อมไม มี ในที่ นั้ น. การหยั่ งลงแห งนามรูปไม มี ในที่ ใด, ความเจริญแห งสังขารทั้ งหลาย ยอมไม มี ในที่ นั้น. ความเจริญแหงสังขารทั้งหลายไมมี่ในที่ใด, การบั งเกิดในภพใหมตอไป ยอมไม มี ในที่นั้น. การบังเกิดในภพใหมตอไป ไมมีในที่ใด, ชาติชรามรณะตอไป ยอมไมมี
www.buddhadasa.info
๓๓๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ในที่ นั้ น . ชาติ ช รามรณะต อ ไป ไม มี ในที่ ใด, ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เราเรี ย ก "ที่ " นั้ น วาเปน "ที่ไมมีโศก ไมมีธุลี ไมมีความคับแคน" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ าไม มี ราคะ ไม มี นั นทิ ไม มี ตั ณ หา ในมโนสั ญ เจตนาหาร แล วไซร, วิญญาณ ก็ เป นสิ่ งที่ ตั้ งอยู ไม ได เจริญงอกงามอยู ไม ได ในมโนสั ญ เจตนาหารนั้ น . วิ ญ ญาณ ตั้ งอยู ไม ได เจริ ญ งอกงามไม ได ในที่ ใด, การหยั่ งลง แห ง นามรู ป ย อ มไม มี ในที่ นั้ น . การหยั่ ง ลงแห ง นามรู ป ไม มี ใ นที่ ใ ด, ความเจริ ญ แห งสั งขารทั้ งหลาย ย อมไม มี ในที่ นั้ น. ความเจริ ญ แห งสั งขารทั้ งหลาย ไม มี ในที่ ใด, การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป ย อมไม มี ในที่ นั้ น. การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป ไม มี ในที่ ใด, ชาติ ชรามรณะต อ ไป ย อ มไม มี ในที่ นั้ น . ชาติ ชรามรณะต อ ไป ไม มี ในที่ ใด, ดู ก อ น ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เราเรี ย ก "ที่ " นั้ น ว า เป น "ที่ ไ ม มี โ ศก ไม มี ธุ ลี ไม มี ค วามคั บ แค น " ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ถาไมมีราคะ ไมมีนันทิ ไมมี ตัณหา ในวิญญาณาหาร แล วไซร, วิ ญญาณก็ เป นสิ่ งที่ ตั้ งอยู ไม ได เจริญงอกงามอยู ไม ได ในวิ ญญาณาหารนั้ น. วิ ญญาณ ตั้ งอยู ไม ได เจริญงอกงามอยู ไม ได ในที่ ใด, การหยั่ งลงแห งนามรูป ย อมไม มี ในที่ นั้ น . การหยั่ งลงแห งนามรู ป ไม มี ในที่ ใด,ความเจริ ญ แห งสั ง ขารทั้ งหลาย ย อ ม ไม มี ในที่ นั้ น. ความเจริญแห งสั งขารทั้ งหลาย ไม มี ในที่ ใด, การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป ย อมไม มี ในที่ นั้ น. การบั งเกิ ดในภพใหม ต อไป ไม มี ในที่ ใด, ชาติ ชรา มรณะ ต อไป ย อ มไม มี ในที่ นั้ น . ชาติ ชรา มรณะ ต อ ไป ไม มี ใ นที่ ใ ด, ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เราเรียก "ที่" นั้นวาเปน "ที่ไมมีโศก ไมมีธุลี ไมมีความคับแคน", ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๓๕
ปญจุปาทานขันธไมอาจจะเกิด เมื่อรูเทาทันเวทนาในปฎิจจสมุปบาท๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!...ส วนบุ คคล เมื่ อรู เมื่ อเห็ น ซึ่ ง จั กษุ ตามที่ เป นจริ ง, เมื่ อรูเมื่ อเห็ น ซึ่งรูปทั้ งหลาย ตามที่ เป นจริง, เมื่ อรูเมื่ อเห็ นซึ่ งจั กขุ วิญญาณ ตามที่ เป น จริง, เมื่ อรูเมื่ อเห็ น ซึ่ งจั กขุ สั มผั ส ตามที่ เป นจริง, เมื่ อรูเมื่ อเห็ น ซึ่ งเวทนาอั นเกิ ดขึ้ น เพราะจั กขุ สั มผั สเป นป จจั ย อั นเป นสุ ขก็ ตาม เป นทุ กข ก็ ตาม ไม ใช ทุ กข ไม ใช สุ ขก็ ตาม ตามที่ เป นจริง แล ว; เขาย อมไม กํ าหนั ดในจั กษุ , ไม กํ าหนั ดในรู ปทั้ งหลาย, ไม กํ าหนั ด ในจักขุวิญญาณ, ไม กํ าหนั ดในจักขุสั มผัส, และไม กํ าหนั ดในเวทนาอั นเกิดขึ้นเพราะจั กขุ สัมผัสเป นปจจัย อันเป นสุขก็ตาม เป นทุกขก็ตาม ไม ใชทุ กขไม ใชสุขก็ตาม. เมื่ อบุ คคล นั้นไมกําหนัดแลว ไมติดพันแลว ไมลุมหลงแลว ตามเห็นอาทีนวะ (โทษของสิ่ง เหลานั้น) อยูเนือง ๆ, ปญจุปาทานขันธทั้งหลาย ยอมถึงซึ่งความไมกอเกิดตอไป; และตั ญหาอั นเป นเครื่องนํ าไปสู ภพใหม อั นประกอบอยู ด วยความกํ าหนั ดด วยอํ านาจความ เพลิ นเป นเครื่องทํ าให เพลิ นอย างยิ่ งในอารมณ นั้ น ๆ นั้ นอั นเขาย อมละเสี ยได ; ความกระวน กระวาย (ทรถ) แม ท างกาย อั น เขาย อ มละเสี ย ได , ความกระวนกระวาย แม ท างจิ ต อั นเขาย อมละเสี ยได ; ความแผดเผา (สนฺ ตาป) แม ทางกาย อั นเขาย อมละเสี ยได , ความ แผดเผา แม ทางจิ ต อั นเขาย อมละเสี ยได ; ความเร ารอน (ปริ ฬาห) แม ทางกาย อั นเขา ยอมละเสี ยได , ความเรารอน แม ทางจิต อันเขาย อมละเสี ยได . บุ คคลนั้ น ย อมเสวยซึ่ ง ความสุขอันเปนไปทางกาย ดวย, ซึ่งความสุขอันเปนไปทางจิต ดวย. เมื่อบุคคล เป นเช นนั้ นแล ว ทิ ฏฐิ ของเขา ย อมเป นสั มมาทิ ฏฐิ ; ความดํ าริของเขา ย อมเป นสั มมาสังกัปปะ; ความพยายามของเขา ยอมเปนสัมมาวายะมะ; สติของเขา ยอมเปน
www.buddhadasa.info
๑
สฬายตนวิภังคสูตร อุปริ. ม.๑๔/๕๒๓/๘๒๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๓๓๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
สัมมาสติ; สมาธิของเขา ยอมเปนสัมมาสมาธิ; สวนกายกรรม วจีกรรม และอาชีวะ ของเขา เป น ธรรมบ ริ สุ ท ธิ์ ม าแล ว แต เดิ ม นั่ น เที ย ว. ด ว ยอาการอย า งนี้ แ ล อั ฎ ฐั งคิ ก มรรค อั น เป นอริยะ ของเขานั้ น ย อมถึ งซึ่ งความเต็ มรอบแห งความเจริญ ; เมื่ อเขาทํ าอั ฎ ฐั งคิ กมรรค อั น เป น อริ ยะ ให เจริ ญ ด วยอาการอย างนี้ อ ยู . สติ ป ฎ ฐาน ทั้ งหลาย แม ทั้ ง ๔ ย อ มถึ งซึ่ งความเต็ ม รอบแห งความเจริ ญ ; สั ม มั ป ปธานทั้ งหลาย แม ทั้ ง ๔ ย อมถึ งซึ่ งความเต็ มรอบแห งความเจริญ; อิ ทธิ บาททั้ งหลาย แม ทั้ ง ๔ ย อม ถึ งซึ่ งความเต็ ม รอบแห งความเจริ ญ ; อิ นทรี ย ทั้ งหลาย แม ทั้ ง ๕ ย อมถึ งซึ่ งความเต็ ม รอบแห งความเจริ ญ ; พละทั้ งหลาย แม ทั้ ง ๕ ย อ มถึ งซึ่ งความรอบแห งความเจริ ญ ; โพชฌงค ทั้ งหลาย แม ทั้ ง ๗ ย อมถึ งซึ่ งความเต็ มรอบแห ง ความเจริญ . ธรรมทั้ ง สอง คื อ สมถะและวิ ป ส สนา ของเขานั้ น ย อ มเป น ธรรมเคี ย งคู กั น ไป. บุ ค คลนั้ น ย อ ม กําหนดรูด วยป ญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุ คคลพึ งกําหนดรูด วยป ญญาอันยิ่ง; ยอม ละด วยป ญ ญาอั นยิ่ ง ซึ่ งธรรมทั้ งหลายอั นบุ คคลพึ งละด วยป ญ ญาอั นยิ่ ง; ย อมทํ าให เจริ ญ ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง ซึ่ ง ธรรมทั้ งหลายอั น บุ ค คลพึ ง ละด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง ; ย อ ม ทําใหแจงดวยปญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงทําใหเจริญดวยปญญาอันยิ่ง;
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ธรรมเหล าไหนเล า เป นธรรมอั นบุ คคลพึ งกํ าหนด รูดวยป ญญาอันยิ่ง! คําตอบ พึ งมี วา ป ญจุ ปาทานขั นธ ทั้งหลาย กลาวคื อ อุปาทานขั นธ คื อรู ป อุ ปาทานขั นธ คื อเวทนา อุ ปาทานขั นธ คื อสั ญ ญา อุ ปาทานขั นธ คื อสั งขาร อุ ป าทานขั น ธ คื อ วิ ญ ญาณ : ธรรมทั้ ง หลายเหล า นี้ แ ล ชื่ อ ว า เป น ธรรมอั น บุ ค คล พึงกําหนดรูดวยปญยาอันยิ่ง.
ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย ! ก็ ธรรมเหล าไหนเล า เป นธรรมอั นบุ คคลพึ งละด วย ป ญญาอั นยิ่ ง ! คํ าตอบ พึ งมี ว า อวิ ชชาด วย ภวตั ณหาด วย : ธรรมทั้ งหลายเหล านี้ แล ชื่อวาเปนธรรมอันบุคคลพึงละดวยปญยาอันยิ่ง.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๓๗
ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย ! ก็ธรรมเหล าไหนเล า เปนธรรมอันบุ คคลพึ งทําให เจริ ญ ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง! คํ า ตอบ พึ งมี ว า สมถะด ว ย วิ ป ส สนาด วย : ธรรมทั้ ง หลายเหลานี้แล ชื่อวาเปนธรรมอันบุคคลพึงทําใหเจริญดวยปญญาอันยิ่ง. ดูกอ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ธรรมเหล าไหนเล า เป น ธรรมอั นบุ คคลพึ งทํ า ให แจงด วยป ญ ญาอั นยิ่ ง! คํ าตอบพึ งมี วา วิ ชชาด วย วิ มุ ต ติ ด วย : ธรรมทั้ งหลาย เหลานี้แล ชื่อวาเปนธรรมอันบุคคลพึงทําใหแจงดวยปญญาอันยิ่ง. (ในกรณี เกี่ ยวกั บ โสต ฆาน ชิ วหา กาย มโน และสหคตธรรมแห งอายตนะมี โสต เป นตั น ก็มี เนื่อความเหมื อนกับที่ กลาวแลวในกรณี แหง จักษุ และสหคตธรรมของจั กษุ ดั งที่ กล าวขางบนนี้ทุกประการ พึงขยายความเอาเองใหเต็มตามนั้น.)
การพิจารณาสภาวธรรม ตามวิธีปฎิจจสมุปบาทกระทั่งวาระสุดทาย๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุผูฉลาดในฐานะ ๗ ประการ (สตฺตฏฐานกุสโล) ผูพิจารณาใครครวญธรรมโดยวิธี ๓ ประการ (ติวิธูปปริกฺขี) เราเรียกวา ภิกษุผูเกพลี๒ อยู จบกิจแหงพรหมจรรย ในธรรมวินัยนี้.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ! ก็ภิกษุผูฉลาดในฐานะ ๗ ประการ เปนอยางไรเลา
๑
สูตรที่ ๕ อุปายวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๖/๑๑๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๒ เกพลี ในลั กษณะอย างนี้ หมายถึ งพระอรหั นต ผู ถึ งซึ่ งนิ พพาน ซึ่ งเป นความสิ้ นเชิ งแห งสิ่ งทั้ งปวง ในแง ของความดับสิ้นแหงความทุกข กลาวคือการถึงอมตภาวะ อันไมมีการแบงแยก.- ผูแปล.
www.buddhadasa.info
๓๓๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย ! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ ย อ มรู ชั ด ซึ่ งรู ป ; .. ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ นแห งรู ป ; . ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อแห งรู ป ; ... ซึ่ งข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ าสั ต ว ให ลุ ถึ งความ ดั บ ไม เ หลื อ แห ง รู ป ;... ซึ่ ง อั ส สาทะ (รสอร อ ย) แห ง รู ป ; ... ซึ่ ง อาที น วะ (โทษอั น ต่ํ า ทราม) แห ง รู ป ; ... ซึ่ ง นิ ส สรณ ะ (อุ บ ายเป น เครื่ อ งออกไปพ น ) จากรู ป (รวม ๗ ประการ). (ในกรณี แห งเวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ ก็ ได ตรัสด วยข อความอย างเดี ยวกั นทุ กตั ว อักษร กับขอความที่กลาวในกรณีแหงรูป ผิดกันแตชื่อแหงขันธ ทีละขันธ ๆ เทานั้น.)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ รู ปเป นอย างไรเล า? มหาภู ตรู ปทั้ งหลาย ๔ อย าง ด วย รู ป ที่ อ าศั ย มหาภู ต รรู ป ทั้ งหลายอย างด วย: ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! นี้ เราเรี ย กว า รูป ; การเกิ ดขึ้ นแห งรูป ย อมมี เพราะการเกิ ดขึ้ นแห งอาหาร; ความดั บไม เหลื อแห ง รูป ย อ มมี เพราะความดั บ ไม เหลื อ แห งอาหาร; มรรคอั นประกอบด วยองค แปดอั น ประเสริ ฐ นั่ น เอง เป น ปฏิ ป ทาให ถึ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง รู ป , ได แ ก สิ่ ง เหล า นี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริ ชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพยายามชอบ ความระลึ กชอบ ความตั้ งใจมั่ น ชอบ; สุ ข โสมนั สใด ๆ อาศั ยรู ป เกิ ด ขึ้ น : นี้ เป น อั ส สาทะแห ง รู ป ; รู ป ใด ไม เที่ ย งเป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา:นี้ เป น อาที น วะแห ง รู ป ; การนํ า ออกเสี ย ได ซึ่ ง ความกํ า หนั ด ด ว ยอํ า นาจ ความพอใจ กล าวคื อ การละเสี ยได ซึ่ งความกํ าหนั ดด วยอํ านาจความพอใจ ในรู ป, อั นใด; นี้ เป นนิ สสรณะเครื่ องออกจากรู ป (รวมเป นสิ่ งที่ ต องรู ๗ อย าง). ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือ พราหมณ ก็ ตามเหล าใดเหล าหนึ่ ง รูด วยป ญญาอั นยิ่ งซึ่ งรูป วา อย างนี้ คื อรูป; ...อย า งนี้ คื อ เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง รู ป ;...อย า งนี้ คื อ ความดั บ ไม เหลื อ แห ง รู ป ; ...อย า งนี้ คื อข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งรูป; ...อย างนี้ คื ออั สสาทะแห งรูป; ... อยางนี้คืออาทีนวะแหงรูป; ... อยางนี้คือ นิสสรณะเครื่องออกจากรูป; ดังนี้แลว
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๓๙
เปน ผู ป ฏิบ ัต ิแ ลว เพื ่อ ความเบื ่อ หนา ย (นิพ ฺพ ิท า) เพื ่อ ความ สํ า รอก (วิร าค) เพื่ อ ความดั บ ไม เหลื อ (นิ โรธ) แห งรูป ; สมณพราหมณ เหล านั้ น เป น ผู ป ฎิ บั ติ แ ล ว ; บุ ค คลเหล าใด ปฏิ บั ติ ดี แล ว. บุ ค คลเหล านั้ น ชื่อ วาหยั่ งลงในธรรมวินั ย นี้ . ดู กอ น ภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ ก็ตามเหล าใดเหล าหนึ่ ง รูด วยป ญญาอั นยิ่ งซึ่ งรูป วา อยา งนี ้ค ือ รูป ; ...อยา งนี ้ค ือ เหตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง รูป ; ...อยา งนี ้ค ือ ความดับ ไม เหลื อแห งรูป; ...อย างนี้ คื อขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งรูป; ...อย า งนี้ คื อ อั ส สาทะแห ง รู ป ;...อย า งนี้ คื อ อาที น วะแห ง รู ป ; ...อย า งนี้ คื อ นิ ส สรณะ เครื่อ งออกจากรูป ; ดั งนี้ แ ล ว เป น ผู พ น วิ เศษแล ว เพราะความเบื่ อ หน า ย เพราะ ความสํ ารอก เพราะความดั บไม เหลื อ เพราะความไม ยื ดมั่ น ซึ่ งรู ป; สมณพราหมณ เหล า นั้ น เป น ผู พ น วิ เ ศษ แล ว ด ว ยดี (สุ วิ มุ ตฺ ต า); บุ ค คลเหล า ใดเป น ผู พ น วิ เ ศษ แลวดวยดี บุคคลเหลานั้นชื่อวาเป นเกพลี ผูจบกิจอันบุ คคลพึงกระทํา;บุคคลเหลาใด จบกิจอันบุคคลพึงกระทํา วัฎฎะยอมไมมีเพื่อจะบัญญัติแกบุคคลเหลานั้น. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็เวทนา เปนอยางไรเลา ? ดูกอนกิกษุทั้งหลาย! หมู แห งเวทนา (เวทนากายา) ทั้ งหลาย ๖ หมู เหล านี้ คื อ เวทนาอั นเกิ ดแต จั กขุ สั มผั ส เวทนาอั นเกิ ดแต โสตสั มผั ส เวทนาอั นเกิ ดแต ฆานสั มผั ส เวทนาอั นเกิ ดแต ชี วหาสั มผั ส เวทนาอั นเกิ ดแต กายสั มผั ส เวทนาอั นเกิ ดแต มโนสั มผั ส : ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรา เรียกวา เวทนา; การเกิดขึ้นแหงเวทนา ยอมมี เพราะการเกิดขึ้นแหงผัสสะ; ความดับ ไมเหลือแหงเวทนา ยอมมี เพราะความดับไมเหลือแหงผัสสะ; มรรค อันประกอบดวย องคแปดอันประเสริฐนั่นเอง เปนปฏิปทาใหถึงความดับไมเหลือแหงเวทนา, ไดแก
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๓๔๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การ เลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพยายามชอบ ความระลึ กชอบ ความตั้ งใจมั่ นชอบ; สุ ขโสมนั ส ใด ๆ อาศัย เวทนาเกิด ขึ ้น : นี ้เ ปน อัส สาทะแหง เวทนา; ...ฯลฯ...ฯลฯ... (ขอความต อไปนี้ มีการตรัสเหมือนกับที่ตรัสแลวในกรณี แหงรูปทกตัวอั กษร ตางกันแต เพี ยงชื่อวาเวทนา แทนคําวารูป ดังนี้เรื่อยไปจนกระทั่งถึง)...วัฎฎะ ยอมไมมีเพื่อการบัญญัติแกบุคคลเหลานั้น.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ สั ญ ญาเป นอย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! หมู แห งสั ญญา (สฺ ญากายา) ทั้ งหลาย ๖ หมู เหล านี้ คื อ สั ญญาในรูป สั ญญาในเสี ยง สั ญญา ในกลิ่น สัญญาในรส สั ญญาในโผฏฐัพพะ สั ญญาในธัมมรมณ ; ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เราเรียกวาสั ญญา; การเกิ ดขึ้นแห งสั ญญา ยอมมี เพราะการเกิ ดขึ้ นแห งผั สสะ; ความดับไมเหลือแหงสัญญา ยอมมี เพราะความดับไมเหลืองแหงผัสสะ; มรรคอัน ประกอบดวยองคแปดอันประเสริฐนั่นเอง เปนปฏิปทาใหถึงความดับไมเหลือแหง สั ญ ญา, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ า การงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพยายามชอบ ความระลึ กชอบ ความตั้ งใจมั่ นชอบ; สุ ข โสมนั สใด ๆ อาศั ยสั ญ ญาเกิ ดขึ้ น : นี้ เป นอั สสาทะแห งสั ญ ญา; ...ฯลฯ...ฯลฯ... วัฏฏะ ยอมไมมีเพื่อการบัญญัติแกบุคคลเหลานั้น.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็สังขารทั้งหลาย เปนอยางไรเลา? ดูกอนภิกษุทั้ งหลาย! หมู แห งเจตนา (เจตนากายา) ทั้ งหลาย ๖ หมู เหล านี้ คื อ ความคิ ดนึ กในรู ป ความคิ ดนึ กในเสี ยง ความคิ ดนึ กในกลิ่ น ความคิ ดนึ กในรส ความคิ ดนึ กในโผฏฐั พพะ ความคิ ดนึ กในธั มมารมณ : ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เหล านี้ เราเรียกว า สั งขารทั้ งหลาย การเกิ ดขึ้ นแห งสั งขาร ย อมมี เพราะการเกิ ดขึ้ นแห งผั สสะ; ความดั บไม เหลื อแห ง สังขารยอมมี เพราะความดับไมเหลือแหงผัสสะ; มรรคอันประกอบดวยองคแปด อันประเสริฐนั่นเอง เปนปฏิปทาใหถึงความดับไมเหลือแหงสังขาร, ไดแกสิ่งเหลานี้
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๔๑
คื อ ความเห็ น ชอบ ความดํ าริ ชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ต ชอบ ความพยายามชอบ ความระลึ ก ชอบ ความตั้ งใจมั่ นชอบ; สุ ข โสมนั สใด ๆ อาศั ย สัง ขารทั ้ง หลายเกิด ขึ ้น : นี ้ เปน อัส สาทะแหง สัง ขารทั ้ง หลาย;...ฯลฯ...ฯลฯ ...วัฏฏะ ยอมไมมี เพื่อการบัญญัติ แกบุคคลเหลานั้น. ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็วิญญาณ เป นอย างไรเล า? ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! หมู แห งวิ ญญาณ (วิ ญญาณกายา) ทั้ งหลาย ๖ หมู เหล านี้ คื อ วิ ญญาณทางตา วิ ญญาณ ทางหู วิ ญญาณทางจมู ก วิ ญญาณทางลิ้ น วิ ญญาณทางกาย วิ ญญาณทางใจ : ดู ก อน ภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! นี้ เราเรี ย กว า วิ ญ ญาณ; การเกิ ด ขึ้ น แห งวิ ญ ญาณ ย อ มมี เพราะ การเกิดขึ้นแหงนามรูป; ความดับไมเหลือแหงวิญญาณ ยอมมี เพราะความดับไมเหลือ แห งนามรูป; มรรคอันประกอบด วยองค แปดอันประเสริฐนั่ นเอง เป นปฏิ ปทาให ถึ ง ความดั บไม เหลื อแห งวิญ ญาณ, ได แก สิ่ งเหลานี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพยายามชอบ ความระลึ ก ชอบ ความตั้ งใจมั่ นชอบ; สุ ข โสมนั ส ใด ๆ อาศั ยวิ ญญาณเกิ ดขึ้ น : นี้ เป นอั สสาทะแห ง วิ ญญาณ; วิ ญญาณใดไม เที่ ยง เป นทุ กข มี ความแปรปรวนเป นธรรมดา : นี้ เป นอาที นวะ แห งวิ ญญาณ; การนํ าออกเสี ยได ซึ่ งความกํ าหนั ดด วยอํ านาจ ความพอใจ กล าวคื อ การละ เสี ยได ซึ่ งความกํ าหนั ดด วยอํ านาจแห งความพอใจ ในวิ ญญาณ, อั นใด; นี้ เป นนิ สสรณะ เครื่ องออกจากวิ ญ ญาณ (รวมเป นสิ่ งที่ ต องรู ๗ อย าง). ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะ หรือพราหมณก็ตามเหลาใดเหลาหนึ่ง รูดวยปญญาอันยิ่งซึ่งวิญญาณวาอยางนี้คือวิญญาณ; ...อย างนี้ คื อเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งวิ ญ ญาณ; ...อย างนี้ คื อความดั บไม เหลื อแห งวิ ญ ญาณ; ...อย างนี้ คื อข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งวิ ญ ญาณ; ...อย างนี้ คื ออั สสาทะแห งวิ ญ ญาณ; ...อย างนี้ คื อาที นวะแห งวิ ญ ญาณ; ...อย างนี้ คื อนิ สสรณะ เครื่องออกจากวิญญาณ; ดังนี้แลวเปนผูปฏิบัติแลว เพื่อความเบื่อหนาย (นิพฺพิทา)
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๓๔๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
เพื่ อความสํ ารอก (วิราค) เพื่ อความดั บไม เหลื อ(นิ โรธ)แห งวิ ญญาณ; สมณพราหมณ เหล านั้ น เปนผู ปฏิบัติดีแลว, บุคคลเหลาใดปฏิบัติดีแลว; บุคคลเหลานั้น ชื่อวา หยั่งลงใน ธรรมวิ นั ย นี้ . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง รูดวยปญญาอันยิ่งซึ่งวิญญาณ วา อยางนี้คือวิญญาณ; ...อยางนี้คือเหตุใหเกิดขึ้นแหง วิญญาณ; ...อยางนี้คือความดับไมเหลือแหงวิญญาณ; ...อยางนี้คือขอปฏิ บัติเครื่องทํ า สั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งวิ ญ ญาณ; ...อย างนี้ คื ออั สสาทะแห งวิญ ญาณ; ... อยางนี้คืออาทีนวะแหงวิญญาณ; ...อยางนี้คือนิสสรณะเครื่องออกจากวิญญาณ; ดังนี้แลว เป นผู พ นวิเศษแลว เพราะความเบื่อหนาย เพราะความสํารอก เพราะความดับไม เหลื อ เพราะความไม ยึ ดมั่ น ซึ่ งวิ ญ ญาณ; สมณพราหมณ เหล านั้ น เป นผู พ นวิ เศษ แล วด วยดี (สุ วิมุ ตฺ ตา); บุ คคลเหล าใด เป นผู พ นวิเศษแล วด วยดี บุ คคลเหล านั้ น ชื่ อวา เปน เกพลี ผูจบกิจอันบุ คคลพึ งกระทํา; บุคคลเหลาใดจบกิจอันบุ คคลพึ งกระทํ า วัฏฏะ ยอมไมมี เพื่อจะบัญญัติ แกบุคคลเหลานั้น. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุเปนผูฉลาดในฐานะ ๗ ประการ อยางนี้แล.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! ก็ภิ กษุ เปนผูพิ จารณาใครครวญธรรมโดยวิธี ๓ ประการ เป นอย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ ในกรณี นี้ ย อมพิ จารณาใครครวญธรรม โดยความเปนธาตุ, ยอมพิจารณาใครครวญธรรมโดยความเปนอายตนะ, ยอมพิจารณา ใครครวญธรรมโดยความเป น ปฏิ จ จสมุ ป บาท. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ เป น ผู พิจารณาใครครวญธรรมโดยวิธี ๓ ประการ อยางนี้แล. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ เป นผู ฉลาดในฐานะ ๗ ประการ เป นผู พิ จารณา ใคร ครวญธรรมโดยวิ ธี ๓ ประการ เราเรียกว า ภิ กษุ ผู เกพลี อยู จบกิ จแห งพรหมจรรย ในธรรมวินัยนี้, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๔๓
อนุสัยไมอาจจะเกิด เมื่อรูเทาทันเวทนา ในปฏิจจสมุปบาท๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๑) เพราะอาศั ยตาด วย รู ปทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด จั กขุ วิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรมสามประการ (ตา+รู ป + จั กขุ วิ ญ ญาณ) นั่นคื อผั สสะ; เพราะมี ป สสะเป นป จจัย จึงเกิดเวทนา อันเป นสุขบ าง เป นทุ กขบ าง ไมใชทุกขไมใชสุขบาง บุ ค คลนั้ น เมื่ อ สุ ข เวทนาถู ก ต อ งอยู ยอ มไม เพลิ ด เพลิ น ยอ มไม พ ร่ํา สรรเสริญ ไมเมาหมกอยู, อนุ สั ยคือราคะ ยอมไม ตามนอน (ไมเพิ่ มความเคยชินให ) แกบุคคลนั้น; เมื่ อทุ กขเวทนาถู กต องอยู เขาย อมไม เศราโศก ย อมไม ระทมใจ ย อมไม คร่ําครวญ ย อมไมตื อกร่ําไห ย อมไม ถึงความหลงใหลอยู, อนุ สั ยคื อปฏิ ฆะ ยอมไม ตามนอน (ไมเพิ่มความเคยชินใหแกบุคคลนั้น;
www.buddhadasa.info เมื่อเวทนาอันไมใชทุกขไมใชสุขถูกตองอยู เขายอมรูตามเปนจริง ซึ่ง เหตุใหเกิดเวทนานั้นดวย ซึ่งความดับไมเหลือแหงเวทนานั้นดวย ซึ่งอัสสาทะ (รสอรอย) ของเวทนานั้ นด วย ซึ่ งอาที นวะ (โทษ) ของเวทนานั้ นด วย ซึ่ งนิ สสรณะ (อุ บายเครื่ อง ออกพ นไป) ของเวทนานั้ นด วย, อนุ สั ยคื ออวิชชา ย อมไม ตามนอน (ไม เพิ่ มความ เคยชินให) แกบุคคลนั้น.
๑
ฉฉักกสูตร อุปริ. ม.๑๔/๕๑๘/๘๒๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๓๔๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย ! บุ คคลนั้ นหนอ ละราคานุ สั ยอันเกิ ดจากสุ ขเวทนา เสียไดแลว; บรรเทาปฏิฆานุสัยอันเกิดจากทุกขเวทนาเสียไดแลว; ถอนอวิชชานุสัย อั นเกิ ดจากอทุ กขสุ ขเวทนาเสี ยได แล ว; เมื่ อละอวิ ชชาเสี ยได แล ว และทํ าวิ ชชาให เกิ ด ขึ้ น ได แ ล ว เขาจั ก ทํ า ที่ สุ ด แห ง ทุ ก ข ในทิ ฏ ฐธรรม (ป จ จุ บั น ) นี้ ได นั้ น ; ข อ นี้ เป น ฐานะที่จักมีได. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๒) เพราะอาศั ยหู ด วย เสี ยงทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด โสตวิญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรมสามประการ (หู + เสี ยง + โสตวิญญาณ) นั ่น คือ ผัส สะ; ...ฯลฯ...ฯลฯ...จัก ทํ า ที ่ส ุด แหง ทุก ข ในทิฏ ฐธรรม (ปจ จุบ ัน ) นี้ได นั้น; ขอนี้เปนฐานะที่จักมีได. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๓) เพราะอาศั ยจมู กด วย กลิ่ นทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด ฆานวิ ญญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรมสามประการ (จมู ก + กลิ่ น +ฆานวิ ญญาณ) นั ่น คือ ผัส สะ; ...ฯลฯ...ฯลฯ...จัก ทํ า ที ่ส ุด แหง ทุก ข ในทิฏ ฐธรรม (ปจ จุบ ัน ) นี้ได นั้น; ขอนี้เปนฐานะที่จักมีได.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๔) เพราะอาศั ยลิ้ นด วย รสทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด ชิ วหาวิ ญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรมสามประการ (ลิ้ น + รส + ชิ วหาวิ ญญาณ) นั ่น คือ ผัส สะ; ...ฯลฯ...ฯลฯ... จัก ทํ า ที ่ส ุด แหง ทุก ข ในทิฏ ฐธรรม (ปจ จุบ ัน ) นี้ได นั้น; ขอนี้เปนฐานะที่จักมีได. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๕) เพราะอาศั ยกายด วย โผฏฐั พพะทั้ งหลายด วย จึงเกิดกายวิญญาณ; การประจวบพรอมแหงธรรมสามประการ (กาย + โผฏฐัพพะ +
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๔๕
กายวิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; ...ฯลฯ...ฯลฯ... จั ก ทํ า ที่ สุ ด แห ง ทุ ก ข ในทิ ฏ ฐธรรม (ปจจุบัน) นี้ได นั้น; ขอนี้เปนฐานะที่จักมีได. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๖) เพราะอาศั ยใจด วย ธั มมารมณ ทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ดมโนวิ ญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรมสามประการ (ใจ + ธัมมารมณ + มโนวิญ ญาณ) นั่ นคื อผั สสะ; เพราะมี ผัสสะเป นป จจัย จึงเกิดเวทนาอันเป นสุขบ าง เปนทุกขบาง ไมใชทุกขไมใชสุขบาง. บุ ค คลนั้ น เมื่ อ สุ ข เวทนาถู ก ต อ งอยู ยอ มไม เพลิ ด เพลิ น ยอ มไม พ ร่ํา สรรเสริญ ไม เมาหมกอยู , อนุ สั ยคื อราคะ ย อมไม ตามนอน (ไม เพิ่ มความเคยชิ นให แกบุคคลนั้น; เมื่อทุกขเวทนาถูกตองอยู เขายอมไมเศราโศก ยอมไมระทมใจ ยอมไม คร่ําครวญ ยอมไมตีอกร่ําไห ยอมไมถึงความหลงใหลอยู, อนุสัยคือปฏิฆะ ยอมไม ตามนอน (ไมเพิ่มความเคยชินให) แกบุคคลนั้น;
www.buddhadasa.info เมื่อเวทนาอันไมใชทุกขไมใชสุขถูกตองอยู เขายอมรูตามเปนจริงซึ่ง เหตุใหเกิดเวทนานั้นดวย ซึ่งความดับไมเหลือแหงเวทนานั้นดวย ซึ่งอัสสาทะ (รสอรอย) ของเวทนานั้ นด วย ซึ่ งอาที นวะ (โทษ) ของเวทนานั้ นด วย ซึ่ งนิ สสรณะ (อุ บายเครื่ อง ออกพ นไป) ของเวทนานั้ นด วย, อนุ สั ยคื ออวิชชา ย อมไม ตามนอน (ไม เพิ่ มความ เคยชินให) แกบุคคลนั้น.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บุ คคลนั้ นหนอ ละราคานุ สั ยอั นเกิ ดจากสุ ขเวทนา เสียไดแลว; บรรเทาปฏิฆานุสัยอันเกิดจากทุกขเวทนาเสียไดแลว; ถนอนอวิชชา-
www.buddhadasa.info
๓๔๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
นุ สั ยอั นเกิ ดจากอทุ กขมสุ ขเวทนาเสี ยได แล ว; เมื่ อละอวิชชาเสี ยได แล ว และทํ าวิชชา ให เกิ ดขึ้ นได แล ว เขาจั กทํ าที่ สุ ดแห งทุ กข ในทิ ฏฐธรรม (ป จจุ บั น) นี้ ได นั้ น; ข อ นี้ เปนฐานะที่จักมีได, ดังนี้.
ปฎิจจสมุปบาทสลายตัว เมื่อรูแจงธรรมหา อันเปนที่ตั้งแหงอุปาทาน๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราจั กแสดงธรรมแก พวกเธอทั้ งหลาย เพื่ อความรอบรู ซึ่งอุปาทานทั้งปวง. พวกเธอทั้งหลายจงฟงซึ่งธรรมนั้น. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ธรรมเปนไปเพื่อความรอบรูซึ่งอุปาทานทั้งปวง เปนอยางไรเลา? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยซึ่ งตาด วย, ซึ่ งรู ปทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ด จั กขุ วิ ญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (ตา + รูป + จั กขุ วิ ญญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนา. ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! อริย สาวกผูมีการสดับแลว เห็นอยูอยางนี้ ยอมเบื่อหนายแมในตา ๑. ยอมเบื่อหนายแมใน รูปทั้งหลาย ๑. ยอมเบื่อหนายแม ในจักขุวิญญาณ ๑. ยอมเบื่ อหน ายแมในจักขุสัมผัส ๑, ยอมเบื่อหนายแมในเวทนา ๑. เมื่อเบื่อหนาย ยอมคลายกําหนัด; เพราะความ
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๘ อวิชชาวรรค สฬายตนสังยุตต สฬา. สํ. ๑๘/๓๙/๖๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลายที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๔๗
คลายกํ าหนั ด ย อ มหลุ ด พ น . อริย สาวกนั้ น ย อ มรูชัด วา "อุป าทาน ๑ เป น สิ่ งที่ เรา รอบรูแลว เพื่อความหลุดพน (วิโมกฺข)" ดังนี้. ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! เพราะอาศัยซึ่งหู ดวย, ซึ่งเสี ยงทั้งหลายดวย, จึงเกิด โสตวิญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (หู + เสี ยง + โสตวิญญาณ) นั่นคื อ ผั สสะ; เพราะมี ผัสสะเป นป จจัย จึงมี เวทนา. ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อริยสาวก ผูมีการสดับแลว เห็ นอยูอยางนี้ ยอมเบื่อหนายแม ในหู ๑, ยอมเบื่อหนายแมในเสียง ทั้ งหลาย ๑, ย อมเบื่ อหน ายแม ในโสตวิญญาณ ๑, ย อมเบื่ อหน ายแม ในโสตสั มผั ส ๑, ยอมเบื่อหนายแมในเวทนา ๑, เมื่อเบื่อหนาย ยอมคลายกําหนัด; เพราะความ คลายกําหนัด ยอมหลุดพน. อริยสาวกนั้นยอมรูชัดวา "อุปาทาน เปนสิ่งที่เรารอบรู แลวเพื่อความหลุดพน" ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยซึ่งจมูกดวย, ซึ่งกลิ่นทั้งหลายดวย, จึงเกิด ฆานวิ ญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (จมู ก + กลิ่ น + ฆานวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ; เพราะมี ผัสสะเป นป จจัย จึงมีเวทนา. ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! อริยสาวก ผูมีการสดับแลว เห็นอยูอยางนี้ ยอมเบื่อหนายแมในจมูก ๑, ยอมเบื่อหนายแมในกลิ่น ทั้ งหลาย ๑, ย อมเบื่ อหน ายแม ในฆานวิญญาณ๑, ยอมเบื่ อหน ายแม ในฆานสั มผั ส ๑, ยอมเบื่อหนายแมในเวทนา ๑, เมื่อเบื่อหนาย ยอมคลายกําหนัด; เพราะความ คลายกําหนัด ยอมหลุดพน. อริยสาวกนั้นยอมรูชัดวา "อุปทาน เปนสิ่งที่เรารอบรูแลว เพื่อความหลุดพน"ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๑
ตา รู ป จั กขุ วิ ญ ญาณ ผั สสะ เวทนา รวม ๕ อย างนี้ คื อสิ่ งซึ่ งเป นที่ ตั้ งของอุ ปทาน เมื่ อรู จั กสิ่ งเหล านี้ จนถึ งกั บเบื่ อหน าย คลายกําหนั ด จากสิ่งเหลานี้ และหลุดพ นแล ว เรียกวารอบรูในเรื่องอั นเกี่ ยวกั บอุ ปทาน ทั้งปวง ซึ่งตามปกติหมายถึง กามุปาทาน,ทิฏุปาทาน,สีลัพพัตตุปาทาน,อัตตวาทุปาทาน.
www.buddhadasa.info
๓๔๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยซึ่ งลิ้ นด วย, ซึ่ งรสทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ด ชิ วหาวิ ญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (ลิ้ น + รส + ชิ วหาวิ ญญาณ) นั่นคื อ ผั สสะ; เพราะมี ผัสสะเป นป จจัย จึงมี เวทนา. ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อริยสาวก ผูมีการสดับแลว เห็นอยูอยางนี้ ยอมเบื่อหนายแมในลิ้น ๑, ยอมเบื่อหนายแมในรสทั้งหลาย ๑, ย อ มเบื่ อ หน า ยแม ใ นชิ ว หาวิ ญ ญาณ ๑, ย อ มเบื่ อ หน า ยแม ใ นชิ ว หาสั ม ผั ส ๑, ยอมเบื่อหนายแมในเวทนา ๑, เมื่อเบื่อหนาย ยอมคลายกําหนัด; เพราะความ คลายกําหนัด ยอมหลุดพน. อริยสาวกนั้นยอมรูชัดวา "อุปทานเปนสิ่งที่เรารอบรู แลว เพื่อความหลุดพน"ดังนี้. ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยซึ่งกายด วย, ซึ่งโผฏฐัพพะทั้ งหลายดวย, จึ งเกิ ดกายวิ ญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (กาย + โผฏฐั พพะ + กายวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั สสะเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนา. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้งหลาย! อริยสาวกผูมีการสดับแลว เห็นอยูอยางนี้ ยอมเบื่อหนายแมในการ ๑, ยอม เบื่ อหน ายแม ในโผฏฐัพพะทั้ งหลาย ๑, ยอมเบื่ อหน ายแม ในกายวิญญาณ ๑, ยอมเบื่ อ หนายแมในการสัมผัส ๑, ยอมเบื่อหนายแมในเวทนา ๑, เมื่ อเบื่ อหน าย ยอมคลาย กํา หนัด ; เพราะความคลายกํา หนัด ยอ มหลุด พน . อริย สาวกนั้น ยอ มรูชัด วา "อุปทาน เปนสิ่งที่เรารอบรูแลว เพื่อความหลุดพน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยซึ่ งใจด วย, ซึ่ งธั มมารมณ ทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดมโนวิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (ใจ + ธั มมารมณ + มโนวิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั สสะเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนา. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! อริย สาวกผู มี ก ารสดั บ แล ว เห็ น อยู อ ย างนี้ ย อ มเบื่ อ หน ายแม ในใจ ๑, ยอมเบื่อหนายแมในธัมมารมณทั้งหลาย ๑, ยอมเบื่อหนายแมในมโนวิญญาณ ๑, ยอม
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๔๙
เบื่ อหน ายแม ในมโนสั มผั ส ๑, ย อมเบื่ อหน ายแม ในเวทนา ๑, เมื่ อเบื่ อหน าย ย อม คลายกําหนัด; เพราะความคลายกําหนัด ยอมหลุดพน อริยสาวกนั้นยอมรูชัดวา "อุปทาน เปนสิ่งที่เรารอบรูแลว เพื่อความหลุดพน" ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมนี้แล. เปนไปเพื่อความรอบรูซึ่งอุปทานทั้งปวง. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ยั ง มี สู ต รอี ก สู ต รหนึ่ ง คื อ สู ต รถั ด ไป (สู ต รที่ ๙ อวิช ชาวรรค สฬายตนสัง ยุต ต สฬา.สํ. ๑๘/๔๐/๖๔) มีข อ ความอยา งเดีย วกับ สูต รที่ กล า วแล ว นี้ ทุ ก ตั ว อั ก ษร ผิ ด กั น แต คํ า พู ด เพี ย งสองคํ า คื อ แทนที่ จ ะตรั ส ว า "เพื่ อ ความ รอบรู ซึ ่ง อุป ทานทั ้ง ปวง" และ "เปน สิ ่ง ที ่เรารอบรู แ ลว " เหมือ นสูต รที ่แ ลว มา แตไ ดต รัส วา "เพื ่อ การครอบงํ า ซึ ่ง อุป ทานทั ้ง ปวง" และ "เปน สิ ่ง ที ่เ ราครอบงํ า แลว " เทา นั ้น เอง. ใจความแห งสู ตรทั้ งสองนี้ แสดงว า เมื่ อ ใดมี ความรูสึ กอยู ว า ธรรมทั้ งห า มี เวทนาเป น ที่ สุ ด นี้ เป นเพี ยงอิ ทั ป ป จจยตา ของปฏิ จจสมุ ป ป นนธรรม กล าวคื อ อาศั ยกั น เกิ ดขึ้ น ดั งที่ กล าว ไว ชั ดในสู ตรนั้ น ๆ แล ว เมื่ อนั้ นปฏิ จจสมุ ปบาทย อมสลายตั ว ในขณะแห งเวทนานั้ น หรือไม อาจจะเกิดขึ้นไดเลย มาตั้งแตแรก ดังนี้.
ญาณวัตถุ ๔๔ ในปฏิจจสมุปบาท๑ เพื่อความเปนโสดาบัน
www.buddhadasa.info ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราจักแสดง ซึ่งญาณวัตถุ ๒ ๔๔ อย าง แกพวกเธอ ทั้ งหลาย. พวกเธอทั้ งหลายจงฟ งข อความนั้ น จงกระทํ าในใจให สํ าเร็จประโยชน , เรา จักกล าวบั ดนี้ . ครั้นภิกษุ ทั้งหลายเหลานั้น ทูลรับสนองพระพุ ทธดํารัสแลว พระผูมีพระภาคเจาไดตรัส
ถอยคําเหลานี้ :-
๑
สูตรที่ ๓ กฬารขัตติยวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ ๑๖/๖๗/๑๑๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ญาณวั ตถุ แปลว า สิ่ งซึ่ งเป นที่ กํ าหนดพิ จารณาของญาณ ญาณกํ าหนดพิ จารณาสิ่ งใด สิ่ งนั้ น เรียกว าญาณ วัตถุ เฉพาะในกรณี นี้ หมายถึ งอาการ ๔ อย าง ๆ ของปฏิ จจสมุ ปบาทแต ละอาการ ซึ่ งมี อยู ๑๑ อาการ; ดังนั้น จึงเรียกวา ญาณวัตถุ ๔๔.
๒
www.buddhadasa.info
๓๕๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ญาณวัตถุ ๔๔ อยาง เปนอยางไรเลา? ญาณวัตถุ ๔๔ อยางคือ: (หมวด ๑) ๑.ญาณ คื อ ความรู ในชรามรณะ; ๒. ญาณ คื อความรู ในเหตุ
ให เกิ ดขึ้ นแห งชรามรณะ; ๓. ญาณ คื อความรู ในความดั บ ไม เหลื อแห งชรามรณะ; ๔. ญาณ คือความรูในขอปฏิบัติเครื่องสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงชรามรณะ; (หมวด ๒) ๑. ญาณ คื อ ความรู ในชาติ ; ๒. ญาณคื อ ความรู ใ นเหตุ
ให เกิ ด ขึ้ น แห ง ชาติ ; ๓.ญาณ คื อ ความรู ใ นความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชาติ ; ๔. ญาณ คือความรู ในขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงชาติ; (หมวด ๓) ๑. ญาณ คื อ ความรู ใ นภพ; ๒. ญาณ คื อ ความรู ใ นเหตุ ใ ห
เกิ ด ขึ้ น แห งภพ; ๓. ญาณ คื อ ความรู ในความดั บ ไม เหลื อ แห งภพ; ๔. ญาณ คื อ ความรูในขอปฏิบัติเครื่องสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงภพ;
www.buddhadasa.info (หมวด ๔) ๑. ญาณ คื อความรู ในอุ ป าทาน; ๒. ญาณ คื อความรู ในเหตุ
ให เกิ ด ขึ้ น แห ง อุ ป าทาน; ๓. ญาณ คื อ ความรู ใ นความดั บ ไม เหลื อ แห ง อุ ป าทาน; ๔ ญาณ คือความรูในขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงอุปาทาน; (หมวด ๕) ๑. ญาณ คื อ ความรู ในตั ณ หา; ๒. ญาณ คื อ ความรู ในเหตุ
ให เกิ ดขึ้ นแห งตั ณ หา; ๓. ญาณ คื อความรูในความดั บไม เหลื อแห งตั ณ หา; ๔ ญาณ คือความรูในขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงตัณหา;
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๕๑
(หมวด ๖) ๑. ญาณ คื อ ความรู ใ นเวทนา; ๒. ญาณ คื อ ความรู ใ นเหตุ
ให เกิ ดขึ้ นแห งเวทนา; ๓. ญาณ คื อความรู ในความดั บไม เหลื อแห งเวทนา; ๔ ญาณ คือความรูในขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงเวทนา; (หมวด ๗) ๑. ญาณ คื อ ความรู ในผั ส สะ; ๒. ญาณ คื อ ความรู ในเหตุ ให
เกิ ด ขึ้ น แห งผั ส สะ; ๓. ญาณ คื อ ความรู ในความดั บ ไม เหลื อ แห งผั ส สะ; ๔ ญาณ คือความรูในขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงผัสะ; (หมวด ๘) ๑. ญาณ คื อความรู ในสฬายตนะ; ๒. ญาณ คื อความรู ในเหตุ
ให เกิ ดขึ้ น แห งสฬายตนะ; ๓. ญาณ คื อความรู ในความดั บ ไม เหลื อ แห งสฬายตนะ; ๔ ญาณ คือความรูในขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสฬายตนะ; (หมวด ๙) ๑. ญาณ คื อ ความรู ในนามรู ป ; ๒. ญาณ คื อ ความรู ในเหตุ
ใหเ กิด ขึ ้น แหง นามรูป ; ๓. ญาณ คือ ความรู ใ นความดับ ไมเ หลือ แหง นามรูป ; ๔ ญาณ คือความรูในขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงนามรูป;
www.buddhadasa.info (หมวด ๑๐) ๑. ญาณ คื อความรู ในวิ ญ ญาณ; ๒. ญาณ คื อความรู ในเหตุ
ให เกิ ด ขึ้ น แห งวิ ญ ญาณ; ๓. ญาณ คื อ ความรู ในความดั บ ไม เหลื อ แห งวิ ญ ญาณ; ๔ ญาณ คือความรูในขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงวิญญาณ; (หมวด ๑๑) ๑. ญาณ คื อความรู ในสั งขารทั้ งหลาย; ๒. ญาณ คื อความรู
ในเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งสั งขาร; ๓. ญาณ คื อ ความรู ในความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร; ๔ ญาณ คือความรูในขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสังขาร;
www.buddhadasa.info
๓๕๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้เรียกวา ญาณวัตถุ ๔๔ อยาง.
ดู ก อ น ภิ ก ษุ ทั้ งห ล า ย ! ก็ ช ร า ม ร ณ ะ เป น อ ย า ง ไร เล า ? ค ว า ม แ ก ค ว า ม ค ร่ํ าค ร า ค วาม มี ฟ น ห ลุ ด ค วาม มี ผ ม ห งอ ก ค วาม มี ห นั งเหี่ ย ว ค วาม สิ้ น ไป ๆ แ ห งอ ายุ ค วาม แ ก รอ บ แ ห งอิ น ท รี ย ทั้ งห ล าย ใน สั ต ว นิ ก าย นั้ น ๆ ข อ งสั ต ว ทั้ งห ล าย เห ล านั้ น ๆ : นี้ เรี ย ก ว า ช ร า . ก า ร จุ ติ ค ว า ม เค ลื่ อ น ก า ร แ ต ก ส ล า ย ก า ร ห า ย ไป ก า ร ว า ย ชี พ ก า ร ต า ย ก า รทํ า ก า ล ะ ก า รแ ต ก แ ห งขั น ธ ทั้ งห ล า ย ก า รท อ ด ทิ้ งร า ง ก า รข า ด แ ห งอิ น ท รี ย คื อ ชี วิ ต จ า ก สั ต ว นิ ก า ย นั้ น ๆ ข อ งสั ต ว ทั้ งห ล า ย เห ล า นั้ น ๆ : นี้ เรี ย ก ว า ม รณ ะ . ช รา นี้ ด ว ย ม ร ณ ะ นี้ ด ว ย ย อ ม มี อ ยู ดั ง นี้ ; ดู ก อ น ภิ ก ษุ ทั้ ง ห ล า ย ! นี้ เรี ย ก ว า ช ร า ม ร ณ ะ . ค วาม ก อ ขึ้ น พ ร อ ม แ ห งช ราม รณ ะ ย อ ม มี เพ ราะ ค วาม ก อ ขึ้ น พ ร อ ม แ ห งช าติ ; ค วาม ดั บ ไม เห ลื อแห งชราม รณ ะ ย อม มี เพ ราะค วาม ดั บ ไม เห ลื อแห งชาติ ; ม รรค อั น ป ระกอบ ด วย อ งค แ ป ด อั น ป ระ เส ริ ฐ นั่ น เอ ง เป น ป ฏิ ป ท าให ถึ งค วาม ดั บ ไม เห ลื อ แ ห งช ราม รณ ะ ได แ ก สิ่ งเห ล านี้ คื อ ค วาม เห็ น ช อ บ ค วาม ดํ าริ ช อ บ ก ารพู ด จ าช อ บ ก ารทํ าก ารงาน ช อ บ ก าร เลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ดู ก อ น ภิ ก ษุ ทั้ งห ล าย ! อ ริ ย ส าวก ย อ ม ม ารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ งช ร าม ร ณ ะ ว าเป น อ ย า ง นี้ ๆ , ม า รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เห ตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แ ห ง ช ร า ม ร ณ ะ ว า เป น อ ย า ง นี้ ๆ , ม า รู ทั่ ว ถึ งซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณ ะ ว าเป นอย างนี้ ๆ, มารู ทั่ วถึ ง ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่ องทํ า สั ต ว ให ลุ ถึ งค วาม ดั บ ไม เห ลื อ แ ห งช ราม รณ ะ ว าเป น อ ย างนี้ ๆ , ใน ก าล ใด ; ใน ก าล นั้ น ความ รู นี้ ของอริ ยสาวกนั้ น ชื่ อว า ญ าณ ใน ธ รรม (ธมฺ ม ญ าณ ). ด วยธรรม นี้ อั น อริ ยสาวก นั้ นเห็ นแล ว รู แล ว บ รรลุ แล ว หยั่ งลงแล ว และเป นธรรมอั นใช ได ไม จํ ากั ดกาล, อริ ยสาวก นั้ น ย อม นํ าค วาม รู นั้ น ไป สู นั ย ะอั น เป น อ ดี ต แ ล ะอ น าค ต (ต อไป อี ก) ว า "สม ณ ะห รื อ พราหมณเหลาใดเหลาหนึ่ง ในกาลยืดยาวนานฝายอดีต ไดรูอยางยิ่งแลว ซึ่งชรามรณะ,
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๕๓
ได รูอย างยิ่ งแล ว ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งมรณะ, ได รูอย างยิ่ งแล ว ซึ่ งความดั บไม เหลื อ แหงชรามรณะ, ไดรูอยางยิ่งแลว ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหง ชรามรณะ; สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ นทุ กท าน ก็ ได รูอย างยิ่ งแล ว เหมื อนอย างที่ เราเองได รูอย างยิ่ งแล วในบั ดนี้ . ถึ งแม สมณะหรือพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ในกาล ยืดยาวนานฝ ายอนาคต จักรูอยางยิ่ง ซึ่งชรามรณะ, จักรูอยางยิ่ง ซึ่งเหตุให เกิดขึ้นแห ง ชรามรณะ, จั กรูอย างยิ่ ง ซึ่งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, จั กรูอย างยิ่ ง ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บ ไม เหลื อแห งชรามรณะ ก็ ตาม; สมณะหรื อพราหมณ เหล านั้ นทุ กท าน ก็ รูจั กอย างยิ่ ง เหมื อนอย างที่ เราเองได รูอย างยิ่ งแล วในบั ดนี้ " ดั งนี้ . ความรูนี้ของอริยสาวกนั้น ชื่อวา ญาณในการรูตาม (อนฺวยญาณ). ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ญาณทั้งสอง คือธัมมญาณและอันวยญาณ เหลานี้ ของอริยสาวก เปนธรรมชาติบริสุทธิ์ ผองใส ในกาลใด; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลนั้น เราเรีย กอริยสาวกนั้ น วา "ผูสมบูรณ แลวดวยทิฏฐิ", ดังนี้บ าง; วา "ผู สมบู รณ แล วด วยทั สสนะ", ดั งนี้ บ าง; วา "ผู มาถึ งพระสั ทธรรมนี้ แล ว", ดั งนี้ บ าง; ว า "ได เห็ นอยู ซึ่ งพระสั ทธรรมนี้ ", ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ประกอบแล วด วยญาณอั นเป นเสขะ", ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ประกอบแล วด วยวิ ชชาอั นเป นเสขะ", ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ถึ งซึ่ งกระแส แห งธรรมแล ว", ดั งนี้ บ าง; วา "ผู ประเสริฐ มี ป ญ ญาเครื่องชํ าแรกกิ เลส", ดั งนี้ บ าง; วา "ยืนอยูจนประตูแหงอมตะ", ดังนี้บาง, ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ก็ชาติ เป นอยางไรเล า? การเกิด การกําเนิด การ กา วลง(สู ค รรภ)การบัง เกิด การบัง เกิด โดยยิ ่ง ความปรากฏของขัน ธทั ้ง หลาย การที่ สั ตวได ซึ่ งอายตนะทั้ งหลาย ในสั ตว นิ การนั้ น ๆ ของสั ตว ทั้ งหลาย เหล านั้ น ๆ : ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกวา ชาติ. ความกอขึ้นพรอมแหงชาติ ยอมมี เพราะ
www.buddhadasa.info
๓๕๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ความก อขึ้ นพร อมแห งภพ; ความดั บไม เหลื อแห งชาติ ย อมมี เพราะความดั บไม เหลื อ แห งภพ; มรรคอั นประกอบด วยองค แปดอั นประเสริ ฐนั่ นเอง เป นปฎิ ปทาให ถึ งความ ดั บ ไม เหลื อ แห งชาติ , ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ น ชอบ ความดํ าริ ช อบ การพู ด จา ชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ต ชอบ ความพากเพี ยรชอบ ความระลึ ก ชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! อริยสาวกยอมมารูทั่ วถึ ง ซึ่งชาติ วาเป นอย างนี้ ๆ มารูทั่ วถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งชาติ ว าเป นอย างนี้ ๆ, มารูทั่ วถึ ง ซึ่ งความดั บไม เหลื อ แห งชาติ วาเป นอยางนี้ ๆ, มารูทั่ วถึ ง ซึ่งขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อ แห งชาติ ว าเป นอย างนี้ ๆ, ในกาลใด; ในกาลนั้ น ความรู นี้ ของอริ ยสาวกนั้ น ชื่ อว า ญาณในธรรม(ธมฺ ม ญาณ) ด ว ยธรรมนี้ อั น อริ ย สาวกนั้ น เห็ น แล ว รูแ ล ว บรรลุ แ ล ว หยั่ งลงแล ว และเป นธรรมอั นใช ได ไม จํ ากั ดกาล, อริยสาวกนั้ น ย อมนํ าความรู นั้ นไป สู นั ยะอั นเป นอดี ตและอนาคต (ต อไปอีก) วา "สมณะหรือพราหมณ เหลาใดเหลาหนึ่ ง ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอดี ต ได รูอย างยิ่ งแล ว ซึ่ งชาติ , ได รูอย างยิ่ งแล ว ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ น แห งชาติ , ได รูอย างยิ่ งแล ว ซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งชาติ , ได รูอย างยิ่ งแล ว ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลือแห งชาติ ; สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ นทุ กท าน ก็ ได รูอย างยิ่ งแล ว เหมื อนอย างที่ เราเองได รูอย างยิ่ งแล วในบั ดนี้ . ถึ งแม สมณะหรือพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอนาคต จั กรู อย างยิ่ ง ซึ่ งชาติ , จั กรู อย างยิ่ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งชาติ , จั กรู อ ย างยิ่ ง ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อแห งชาติ , จั กรู อ ย างยิ่ ง ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่ องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งชาติ ก็ ตาม; สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ทุ กท านก็ จั กรู อ ย างยิ่ ง เหมื อ นอย างที่ เราเองได รู อ ย างยิ่ งแล วในบั ด นี้ " ดั งนี้ . ความรูนี้ ของอริยสาวกนั้น ชื่อวา ญาณในการรูตาม (อนฺวยญาณ)
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๕๕
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ญาณทั้งสอง คือธัมมญาณและอันวยญาณ เหลานี้ ของอริยสาวก เปนธรรมชาติบริสุทธิ์ ผองใส ในกาลใด; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลนั ้น เราเรีย กอริย สาวกนั ้น วา "ผู ส มบูร ณแ ลว ดว ยทิฏ ฐิ", ดัง นี ้บ า ง; วา "ผู สมบู รณ แล วด วยทั สสนะ", ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ม าถึ งพระสั ทธรรมนี้ แล ว", ดั งนี้ บ าง; ว า "ได เห็ น พระสั ท ธรรมนี้ ", ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ป ระกอบแล วด วยญาณอั น เป น เสขะ", ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ประกอบแล วด วยวิ ชชาอั นเป นเสขะ", ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ถึ งซึ่ งกระแส แห งธรรมแล ว", ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ประเสริ ฐ มี ป ญ ญาเครื่ องชํ าแรกกิ เลส", ดั งนี้ บ าง; วา "ยืนอยูจดประดูแหงอมตะ", ดังนี้บาง, ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ ภพ เปนอยางไรเลา? ...ฯลฯ... ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ อุปทาน เปนอยางไรเลา? ...ฯลฯ... ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ ตัณหา เปนอยางไรเลา? ...ฯลฯ... ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ เวทนา เปนอยางไรเลา? ...ฯลฯ... ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ ผัสสะ เปนอยางไรเลา? ...ฯลฯ... ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ สฬายตนะ เปนอยางไรเลา? ...ฯลฯ... ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ นามรูป เปนอยางไรเลา? ...ฯลฯ... ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ วิญญาณ เปนอยางไรเลา? ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info (ข อความนี้ ที่ ละไว ด วย...ฯลฯ...ดั งข างบนนี้ มี ข อความเต็ มดั งในข ออั นว าด วย ชรามรณะ และชาติ ขางตนทุกประการ ตางกันแตชื่อหัวขอธรรม).
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็สังขารทั้งหลาย เปนอยางไรเลา? ดูกอนภิกษุ ทั้ งหลาย! สั งขารทั้ งหลาย สามอย างเหล านี้ คื อ กายสั งขาร วจี สั งขาร จิ ตตสั งขาร : ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้เรียกวา สังขารทั้งหลาย. ความกอขึ้นพรอมแหงสังขาร
www.buddhadasa.info
๓๕๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ย อมมี เพราะความก อขึ้ นพรอมแห งอวิชชา; ความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร ย อมมี เพราะ ความดั บไม เหลื อแห งอวิ ชชา; มรรคอั นประกอบด วยองค แปดอั นประเสริ ฐนั่ นเอง เป น ปฏิ ปทาให ถึ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความ ดํ าริ ชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพากเพี ยรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! อริย สาวก ย อ มมารู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง สั ง ขารทั้ ง หลาย วาเป นอยางนิ้ ๆ. มารูทั่วถึง ซึ่งเหตุให เกิดขึ้นแห งสังขาร วาเป นอยางนี้ ๆ, มารูทั่ วถึ ง ซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร ว าเป นอย างนี้ ๆ, มารูทั่ วถึ ง ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร ว าเป นอย างนี้ ๆ, ในกาลใด; ในกาลนี้ ความรู นี้ ของอริย สาวกนั้ น ชื่ อ ว า ญาณในธรรม (ธมฺ ม ญาณ). ด วยธรรมนี้ อั น อริย สาวกนั้ น เห็ นแล ว รู แล ว บรรลุ แล ว หยั่ งลงแล ว และเป นธรรมอั นใช ได ไม จํ ากั ดกาล, อริยสาวก นั้น ยอมนํ าความรูนั้ น ไปสูนั ยะอั น เป น อดี ต และอนาคต (ตอ ไปอีก) วา "สมณะ หรื อพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอดี ต ได รู อย างยิ่ งแล ว ซึ่ งสั งขาร ทั้ งหลาย, ได รูอย างยิ่ งแล ว ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งสั งขาร, ได รูอย างยิ่ งแล ว ซึ่ งความดั บ ไม เหลือแห งสังขาร, ไดรูอยางยิ่งแลว ซึ่งขอปฏิ บั ติเครื่องทําสัตวใหลุ ถึงความดั บไม เหลื อ แห งสั งขาร; สมณะหรื อพราหมณ เหล านั้ นทุ กท าน ก็ ได รู อย างยิ่ งแล ว เหมื อนอย างที่ เราเองได รู อย างยิ่ งแล วในบั ดนี้ . ถึ งแม สมณะหรื อพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ในกาล ยื ดยาวนานฝ ายอนาคต จั กรูอย างยิ่ ง ซึ่ งสั งขารทั้ งหลาย, จักรูอย างยิ่ ง ซึ่งเหตุ ให เกิ ดขึ้ น แห งสั งขาร, จั กรูอย างยิ่ ง ซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร, จั กรูอย างยิ่ ง ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร ก็ ตาม; สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ทุ กท าน ก็ จั กรู อย างยิ่ ง เหมื อนอย างที่ เราเองได รู อย างยิ่ งแล วในบั ดนี้ " ดั งนี้ . ความรู นี้ ของอริยสาวกนั้น ชื่อวา ญาณในการรูตาม (อนฺวยญาณ).
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๕๗
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ญาณทั้งสอง คือธัมมญาณและอันวยญาณ เหลานี้ ของอริยสาวก เปนธรรมชาติบริสุทธิ์ ผองใส ในกาลใด; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลนั ้น เราเรีย กอริย สาวกนั ้น วา "ผู ส มบูร ณแ ลว ดว ยทิฏ ฐิ" ดัง นี ้บ า ง; วา "ผู ส มบู รณ แล วด วยทั ส สนะ" ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ม าถึ งพระสั ท ธรรมนี้ แล ว;, ดั งนี้ บ าง: ว า "ได เห็ น พระสั ท ธรรมนี้ ", ดั งนี้ บ า ง; ว า "ผู ป ระกอบแล ว ด ว ยญาณอั น เป น เสขะ" ดั ง นี้ บ า ง; ว า "ผู ป ระกอบแล ว ด ว ยวิ ช ชาอั น เป น เสขะ", ดั ง นี้ บ า ง; ว า "ผู ถึ ง ซึ่ ง กระแสแห งธรรมแล ว", ดั งนี้ บ าง; วา "ผู ประเสริฐ มี ป ญ ญาเครื่องชํ าแรกกิ เลส", ดั งนี้ บาง; วา "ยืนอยูจดประตูแหงอมตะ" ดังนี้บาง, ดังนี้แล.
ญาณวัตถุ ๗๗ ในปฏิจจสมุปบาท เพื่อความเปนโสดาบัน๑ ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราจักแสดง ซึ่ งญาณวัตถุ ๗๗ อย าง แก พวกเธอ ทั้ งหลาย. พวกเธอทั้ งหลายจงฟ งความข อนั้ น, จงทํ าในใจให สํ าเร็จประโยชน , เราจั ก กล าวบั ดนี้ . ครั้นภิกษุ ทั้งหลายเหลานั้ นทูลรับสนองพระพุ ทธดํารัสนั้นแลว พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัส
www.buddhadasa.info ถอยคําเหลานี้วา:-
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ญาณวัตถุ ๗๗ อยาง เปนอยางไรเลา? ญาณวัตถุ ๗๗ อยางนั้นคือ :(หมวด ๑) ๑. ญาณ คือความรูวา เพราะมีชาติเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ; ๒. ญาณ คือความรูวา เมื่อชาติไมมี ชรามรณะยอมไมมี; ๓.ญาณ คือความรูวา
๑
สูตรที่ ๔ กฬารขัตติยวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๗๑/๑๒๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๓๕๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
แม ในกาลยืดยาวนานฝายอดี ต เพราะมี ชาติเป จป จจัย จึงมี ชรามรณะ; ๔. ญาณ คื อ ความรู ว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอดี ต เมื่ อชาติ ไม มี ชรามรณะย อมไม มี ; ๕. ญาณ คือความรูวา แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอนาคต เพราะมี ชาติเป นป จจัย จึงมี ชรามรณะ; ๖. ญาณ คื อความรู ว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอนาคต เมื่ อชาติ ไม มี ชรามรณะย อม ไมม ี; ๗. ญาณ คือ ความรูว า แมธ ัม มัฏ ฐิต ิญ าณ ๑ ในกรณีนี ้ ก็ม ีค วามสิ ้น ไป เลื่อมไป จางไป ดับไป เปนธรรมดา; (หมวด ๒) ๑. ญาณ คื อ ความรู ว า เพราะมี ภ พเป น ป จ จั ย จึ ง มี ช าติ ; ๒. ญาณ คื อ ความรู ว า เมื่ อ ภพไม มี ชาติ ย อ มไม มี ; ๓. ญาณ คื อ ความรู ว า แม ใน
กาลยืดยาวนานฝายอดี ต เพราะมีภพเปนป จจัย จึงมีชาติ; ๔. ญาณ คือความรูวา แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอดี ต เมื่ อภพไม มี ชาติ ย อมไม มี ; ๕. ญาณ คื อความรู ว า แม ใน กาลยื ดยาวนายฝ ายอนาคต เพราะมี ภพเป นป จจั ย จึ งมี ชาติ ; ๖. ญาณคื อความรูว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอนาคต เมื่ อภพไม มี ชาติ ย อมไม มี ; ๗. ญาณ คื อความรูว า แม ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไปเปนธรรมดา; (หมวด ๓) ๑. ญาณ คื อความรู ว า เพราะมี อุ ปาทานเป นป จจั ย จึ งมี ภพ;
www.buddhadasa.info ๒. ญาณ คื อความรู ว า เมื่ ออุ ปาทานไม มี ภพย อมไม มี ; ๓. ญาณ คื อความรู ว า แม ใน
กาลยื ดยาวนานฝ ายอดี ต เพราะมี อุ ปาทานเป นป จั ย จึ งมี ภพ; ๔. ญาณ คื อความรู ว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอดี ต เมื่ ออุ ปาทานไม มี ภพย อมไม มี ; ๕. ญาณ คื อความรู วา แมในกาลยืดยาวนานฝายอนาคต เพราะมีอุปาทานเปนปจจัย จึงมีภพ; ๖. ญาณ
๑
ธั ม มั ฎ บิ ติ ญ าณ ในกรณี นี้ คื อ ญาณเป น ไปตามหลั ก ของปฏิ จ จสมุ ป บาท เป น กรณี ๆ ไป เช น ในกรณีแหงชาติดังที่กลาวนี้เปนตน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๕๙
คื อความรู ว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอนาคต เมื่ ออุ ปาทานไม มี ภพย อมไม มี ; ๗. ญาณ คือความรูวา แมธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เปนธรรมดา; (หมวด ๔) ๑. ญาณ คื อความรู ว า เพราะมี ตั ญ หาเป นป จจั ย จึ งมี อุ ปาทาน; ๒. ญาณ คื อ ความรู ว า เมื่ อ ตั ญ หาไม มี อุ ป าทานย อ มไม มี ; ๓.ญาณ คื อ ความรู ว า
แม ในกาลยื ด ยาวนายฝ ายอดี ต เพราะมี ตั ญ หาเป นป จจั ย จึ งมี อุ ปทาน; ๔. ญาณ คื อความรูว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอดี ต เมื่ อตั ญหาไม มี อุ ปาทานย อมไม มี ; ๕. ญาณ คือความรูวา แมในกาลยืดยาวนายฝายอนาคต เพราะมีตัญหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน; ๖. ญาณ คื อความรู ว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอนาคต เมื่ อตั ญหาไม มี อุ ปาทานย อม ไมมี; ๗. ญาณ คือความรูวา แมธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เปนธรรมดา; (หมวด ๕) ๑. ญาณ คื อ ความรู ว า เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ งมี ตั ญ หา; ๒. ญาณ คื อ ความรู ว า เมื่ อ เวทนาไม มี ตั ญ หาย อ มไม มี ; ๓. ญาณ คื อ ความรู ว า
www.buddhadasa.info แม ในกาลยื ด ยาวนายฝ ายอดี ต เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ งมี ตั ญ หา; ๔. ญาณ คื อความรูว า แม ในกาลยื ดยาวนายฝ ายอดี ต เมื่ อเวทนาไม มี ตั ญหาย อมไม มี ; ๕. ญาณ คือความรูวา แม ในกาลยื ดยาวนายฝ ายอนาคต เพราะมี เวทนาเป นป จจัย จึงมี ตั ญหา; ๖. ญาณ คื อความรู ว าแม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอนาคต เมื่ อเวทนาไม มี ตั ญหาย อมไม มี ; ๗. ญาณ คือความรูวา แมธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เปนธรรมดา; (หมวด ๖) ๑. ญาณ คื อความรู ว า เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; ๒. ญาณ คือความรูวา เมื่อผัสสะไมมี เวทนายอมไมมี; ๓. ญาณ คือความรูวา แม
www.buddhadasa.info
๓๖๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ในกาลยื ดยาวนายฝ ายอดี ต เพราะมี ผั สสะเป นป จจัย จึ งมี เวทนา; ๔. ญาณ คื อความ รู ว า แม ในกาลยื ด ยาวนานฝ ายอดี ต เมื่ อ ผั สสะไม มี เวทนาย อ มไม มี ; ๕. ญาณ คื อ ความรูวา แม ในกาลยืดยาวนานฝายอนาคต เพราะมีผัสสะเปนป จจัย จึงมีเวทนา; ๖. ญาณ คื อความรู ว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอนาคต เมื่ อผั สสะไม มี เวทนาย อมไม มี ; ๗. ญาณ คื อ ความรูว า แม ธั ม มั ฏ ฐิ ติ ญ าณ ในกรณี นี้ ก็ มี ค วามสิ้ น ไป เสื่ อ มไป จางไป ดับไป เปนธรรมดา; (หมวด ๗) ๑. ญาณ คื อความรู ว า เพราะมี สฬายตนะเป นป จจั ยจึ งมี ผั สสะ; ๒. ญาณ คื อ ความรู ว า เมื่ อ สฬายตนะไม มี ผั ส สะย อ มไม มี ; ๓. ญาณ คื อ ความรู ว า
แม ในกาลยื ดยาวนายฝ ายอดี ต เพราะมี สฬายตนะเป นป จจั ย จึ งมี ผั สสะ; ๔. ญาณ คื อความรูวา แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอดี ต เมื่ อสฬายตนะไม มี ผั สสะย อมไม มี ; ๕. ญาณ คือความรูวา แม ในกาลยืดยาวนานฝายอนาคต เพราะมีสฬายตนะเปนปจจัย จึงมี ผั สสะ; ๖. ญาณ คื อความรู ว า แม ในกาลยื ดยาวนายฝ ายอนาคต เมื่ อสฬายตนะไม มี ผั สสะย อมไม มี ; ๗. ญาณ คื อความรูว า แม ธั ม มั ฏ ฐิ ติ ญ าณ ในกรณี นี้ ก็ มี ค วาม สิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เปนธรรมดา;
www.buddhadasa.info (หมวด ๘) ๑. ญาณ คื อ ความรู ว า เพราะมี น ามรู ป เป น ป จ จั ย จึ ง มี
สฬายตนะ; ๒. ญาณ คื อความรู ว า เมื่ อนามรู ปไม มี สฬายตนะย อมไม มี ; ๓. ญาณ คือความรูวา แมในกาลยืดยาวนานฝายอดีตเพราะมีนามรูปเปนปจจัย จึงมีสฬายตนะ; ๔. ญาณ คื อ ความรู ว า แม ในกาลยื ด ยาวนานฝ ายอดี ต เมื่ อ นามรู ป ไม มี สฬายตนะ ย อ มไม มี ; ๕. ญาณ คื อ ความรู ว า แม ใ นกาลยื ด ยาวนานฝ า ยอนาคต เพราะมี นามรู ปเป นป จจั ย จึ งมี สฬายตนะ; ๖. ญาณ คื อความรู ว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ าย อนาคต เมื่ อนามรู ปไม มี สฬายตนะย อมไม มี ; ๗.ญาณ คื อความรู ว า แม ธั มมั ฏ ฐิ ติ ญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เปนธรรมดา;
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๖๑
(หมวด ๙) ๑.ญาณ คื อ ความรู ว า เพราะมี วิ ญ ญาณเป น ป จ จั ย จึ ง มี
นามรู ป ; ๒. ญาณ คื อ ความรู ว า เมื่ อ วิ ญ ญาณไม มี นามรู ป ย อ มไม มี ; ๓. ญาณ คือความรูวา แม ในกาลยืดยาวนานฝายอดีต เพราะมีวิญญาณเปนปจจัย จึงมีนามรูป; ๔. ญาณ คื อความรู ว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอดี ต เมื่ อวิ ญญาณไม มี นามรู ปย อมไม มี ; ๕. ญาณ คื อความรูวา แม ในกาลยืดยาวนานฝ ายอนาคต เพราะมี วิญญาณเป นป จจั ย จึ งมี นามรู ป; ๖. ญาณ คื อความรู ว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอนาคต เมื่ อวิ ญญาณไม มี นามรูปยอมไมมี ; ๗. ญาณ คื อความรูวา แม ธัมมั ฏฐิติ ญาณ ในกรณี นี้ ก็ มี ความสิ้ นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เปนธรรมดา; (หมวด ๑๐) ๑. ญาณ คื อความรู ว า เพราะมี สั งขารเป นป จจั ย จึ งมี วิ ญญาณ; ๒. ญาณ คื อความรู ว า เมื่ อสั งขารทั้ งหลายไม มี วิ ญญาณย อมไม มี ; ๓. ญาณ คื อความ
รูวา แม ในกาลยืดยาวนานฝายอดีต เพราะมีสังขารเปนป จจัย จึงมีวิญญาณ; ๔. ญาณ คื อความรูว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอดี ต เมื่ อสั งขารทั้ งหลายไม มี วิ ญญาณย อมไม มี ; ๕. ญาณ คื อความรูวา แม ในกาลบื ดยาวนานฝ ายอนาคต เพราะมี สั งขารเป นป จจั ย จึ งมี วิ ญ ญาณ; ๖. ญาณ คื อความรู ว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอนาคต เมื่ อสั งขาร ทั้งหลายไมมี วิญญาณยอมไมมี; ๗. ญาณ คือความรูวา แมธัมมัฏฐิติ ญาณ ในกรณี นี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เปนธรรมดา;
www.buddhadasa.info (หมวดที่ ๑๑) ๑. ญาณ คื อความรู ว า เพราะมี อวิ ชชาเป นป จจั ย จึ งมี สั งขาร
ทั้ งหลาย; ๒. ญาณ คื อความรู ว า เมื่ ออวิ ชชาไม มี สั งขารทั้ งหลายย อมไม มี ; ๓. ญาณ คื อความรูวา แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอดี ต เพราะมี อวิชชาเป นป จจัย จึ งมี สั งขาร ทั้ งหลาย; ๔. ญาณ คื อความรู ว า แม ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอดี ต เมื่ ออวิ ชชาไม มี สั งขาร ทั้งหลายยอมไมมี; ๕. ญาณ คือความรูวา แมในกาลยืดยาวนานฝายอนาคต เพราะ
www.buddhadasa.info
๓๖๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
มี อวิ ชชาเป นป จจั ย จึ งมี สั งขารทั้ งหลาย; ๖. ญาณ คื อความรูวา แม ในกาลยื ดยาวนาน ฝ ายอนาคต เมื่ ออวิ ชชาไม มี สั งขารทั้ งหลาย อ มไม มี ; ๗. ญาณ คื อความรูว า แม ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณีนี้ ก็มีความสิ้นไป เสื่อมไป จางไป ดับไป เปนธรรมดา. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้ เรียกวา ญาณวัตถุ ๗๗ อยาง, ดังนี้ แล.
การรูปฏิจจสมุปบาท ไมเกี่ยวกับการบรรลุอภิญญาเลยก็ได๑ ครั้ งหนึ่ ง พระผู มี พระภาคเจ า ประทั บอยู ที่ เวฬุ วั น อั นเป นที่ ให เหยื่ อแก กระแต. ครั้ งนั้ น พระผู มี พระภาคเจ าและภิ กษุ สงฆ มี ประชาชนเคารพ นั บถื อ บู ชา สมบู รณ ด วยจี วรบิ ณ ฑบาตเสนาสนะ คิ ลานเภสั ช. ส วนพวกปริพพาชกผู เป นอั ญ ญเดี ยรถี ย อื่ น ไม มี ประชาชนเคารพนั บถื อบู ชา. ปริ พพาชก ผูหนึ่ งชื่ อสุสิ มะ ได รับคํ าแนะนํ าจากศิ ษย ให เขามาบวชในพระพุ ทธศาสนา เพื่ อเรียนธรรมมาสอนประชาชน โดยหวังจะใหพวกตนมีประชาชนเคารพนับถือและสมบูรณ ดวยลาภสักการะบ าง. สุ สิมปริพพาชกนั้น จึงเขา ไปขอบวชกะพระอานนท พระอานนท ได พาไปเฝ าพระผู มี พระภาคเจา ๆ ทรงรับสั่ งให บวชให แล ว. สมั ยนั้ น ภิกษุจํานวนมาก พากันพยากรณ อรหัตตผลในสํานักพระพุทธเจา. พระสุสิมาะไดยินขาว จึงเขา ไปถามพวกภิกษุ เหลานั้นถึงเรื่องการพยากรณ ความเปนพระอรหันต, เมื่อภิกษุ เหลานั้นรับแลว จึงไดถามภิ กษุ เหลานั้ นตอไป ถึงการบรรลุอภิ ญญาต าง ๆ คื อ อิทธิ วิธี, ทิ พพโสต, เจโตปริยญาณ, ปุ พเพนิ วาสานุ สสติ , ทิ พพจั กขุ และ อารุปปวิโมกข; เมื่ อภิ กษุ เหล านั้ นกลาวว า ไม ต องบรรลุอภิ ญญาเหล านี้ ดวย ก็ บรรลุความเป นพระอรหันต ได ด วยป ญญาวิมุ ตติ ; พระสุสิ มะจึงเข าไปเฝ าพระผู มี พระภาคเจา แล วทู ลเล าเรื่องที่ ตนสนทนากั บภิ กษะ ทั้งหลายใหทรงสดับ. พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสวา:-
www.buddhadasa.info "ดู ก อ นสุ สิ ม ะ! ธั ม มั ฏ ฐิ ติ ญ าร เป น สิ่ ง ที่ เกิ ด ก อ น, ญาณในนิ พ พาน เปนสิ่งที่เกิดภายหลัง".
๑
สูตรที่ ๑๐ มหาวรรค อภิสมยสังยุต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๕๑/๒๙๐ - ๓๐๔.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๖๓
พระสุ สิ มะกราบทู ลว า "ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ข าพระองค ยั งไม รูอย างทั่ วถึ งซึ่ งเนื้ อความ แห งภาษิ ต ที่ พระผู มี พระภาคตรั สแล วโดยย อนี้ . ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ข าพระองค ขอประทานโอกาส ขอพระผู มี พระภาคจงตรัสซึ่งเนื้ อความนั้ น โดยประการที่ ขาพระองคจะพึ งรูอยางทั่ วถึ ง ซึ่ งเนื้ อความแห ง ภาษิตที่พระผูมีพระภาครัสโดยยอนี้เถิด พระเจาขา! "
ดูกอนสุสิมา! เธอจะรูอยางทั่วถึงหรือไม ก็ตาม ธัมมั ฏฐิติญาณก็ยังเปนสิ่งที่ เกิ ดก อน และญาณในนิ พพานเป นสิ่ งที่ เกิ ดภายหลั ง อยู นั่ นเอง. ดู ก อนสุ สิ มะ! เธอจะ สําคัญความขอนี้ วาอยางไร : รูปเที่ยงหรือไมเที่ยง? "ไมเที่ยง พระเจาขา!" ก็สิ่งใด ไมเที่ยง, สิ่งนั้น เปนทุกข หรือเปนสุขเลา? "เปนทุกข พระเจาขา!" ก็ สิ่ งใด ไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา ควรแลหรื อ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นวา "นั่น เปนของเรา, นั่น เปนเรา, นั่น เปนตัวตนของเรา". "ขอนั้น ไมสมควรเห็นเชนนั้น พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info (ในกรณีแหงเวทนา สัญญา สังขารทั้งหลาย วิญญาณ ก็มีการถามและตอบอยางเดียวกัน).
ดู ก อ นสุ สิ ม ะ! เพราะเหตุ นั้ น แหละ ในเรื่ อ งนี้ รู ป ชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ งมี อ ยู จะเป นอดี ตอนาคตหรือป จจุบั นก็ตาม เป นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียด ก็ ตาม เลวหรือประณี ตก็ ตาม มี อยู ในที่ ไกลหรือที่ ใกล ก็ ตาม; รูปทั้ งหมดนั้ น อั นเธอ พึ งเห็ นด วยป ญ ญาอั นชอบตามที่ เป นจริง อย างนี้ วา "นั่ นไม ใชของเรา, นั่ นไม ใชเรา, นั่นไมใชตัวตนของเรา" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๓๖๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
(ในกรณี แ ห ง เวทนา สั ญ ญา สั ง ขารทั้ ง หลาย วิ ญ ญาณ ก็ ไ ด ต รั ส ทํ า นองเดี ย วกั น กับกรณีแหงรูปนี้ ตางกันเพียงชื่อเทานั้น.)
ดู ก อ นสุ สิ ม ะ! อริ ย สาวกผู ได ส ดั บ แล ว เห็ น อยู อ ย างนี้ ย อ มเบื่ อ หน า ย แม ในรูป, ย อมเบื่ อหน าย แม ในเวทนา, ย อมเบื่ อหน าย แม ในสัญญา, ยอมเบื่ อหน าย แม ในสังขารทั้ งหลาย, ยอมเบื่ อหน าย แม ในวิญญาณ. เมื่ อเบื่ อหน าย ยอมคลายกําหนั ด; เพราะความคลายกํ าหนั ด ยอมหลุ ดพ น; เมื่ อหลุ ดพ นแล ว ยอมมี ญาณหยั่ งรูวา "หลุดพ น แล ว" ดั งนี้ . อริยสาวกนั้ น ย อมรูชั ดว า "ชาติ สิ้ นแล ว, พรหมจรรย อั นเราอยู จบแล ว, กิจที่ควรทําไดทําสําเร็จแลว, กิจอื่นเพื่อความเปนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้. ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เธอเห็ นวา "เพราะมี ชาติ เป นป จจัย จึ งมี ชรามรณะ" ดั งนี้ ใชไหม? "อยางนั้น พระเจาขา!" ดูกอนสุสิมะ! เธอเห็นวา "เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ" ดังนี้ใชไหม? "อยางนั้น พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info (ในกรณี แห งอาการต อ ๆ ไป ก็ ได ตรัสถามเช นเดี ยวกั นนี้ จนตลอดปฏิ จจสมุ ปบาท, ทั้ งฝ าย สมุทยวารและนิโรธวาร; ลวนแตไดรับคําตอบวา "อยางนั้น พระเจาขา!" จนตลอดทั้งยี่สิบสอง).
ดู ก อนสุ สิ มะ! เมื่ อเธอรูอยู อย างนี้ เห็ นอยู อย างนี้ ยอมบรรลุ อิ ทธิ วิธี มี ประการตาง ๆ เหลานี้บางหรือ คือผูเดียวแปลงรูปเป นหลายคน, หลายคนเปนคนเดียว, ทําที่กําบังใหเปนที่แจง, ทําที่แจงใหเปนที่กําบัง, ไปไดไมขัดของ ผานทะลุฝา ทะลุกําแพง ทะลุ ภู เขา ดุ จไปในอากาศวาง ๆ, ผุ ดขึ้นและดํ าลงในแผ นดิ นได เหมื อนในน้ํ า, เดิ นได เหนือน้ํา เหมือนเดินบนแผนดิน, ไปไดในอากาศเหมือนนกมีปก ทั้งที่ยังนั่งขัดสมาธิ
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๖๕
คูบั ลลังก, ลูบคลําพระจันทรและพระอาทิตย อันมีฤทธิ์อนุภาพมากอยางนี้ได ดวยฝามือ, และแสดงอํานาจทางกาย เปนไปตลอดถึงพรหมโลกได? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา!" ดูกอนสุสิมะ! เมื่อเธอรูอยูอยางนี้ เห็นอยูอยางนี้ ยอมไดยินเสียงสองชนิด คื อเสี ยงทิ พ ย และเสี ยงมนุ ษ ย ทั้ งที่ อยู ไกลและอยู ใกล ด วยทิ พพโสตธาตุ อั นบริสุ ทธิ์ เกินกวาโสตของมนุษยบางหรือ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา!" ดูกอนสุสิมะ! เมื่ อเธอรูอยูอยางนี้ เห็ นอยูอยางนี้ ยอมกํ าหนดรูใจของ สั ตว อื่ น ของบุ คคลอื่ นได ด วยใจว า "จิ ตของเขามี ราคะ หรือว าไม มี ราคะ; ...ฯลฯ... จิตพนวิเศษ หรือไมพนวิเศษ", ดังนี้ บางหรือ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info ดูกอนสุสิมะ! เมื่อเธอรูอยูอยางนี้ เห็นอยูอยางนี้ ยอมระลึกถึงขันธที่เคย อยู ในภพก อน มี อยางต าง ๆ คื อระลึ กได ชาติ หนึ่ งบ าง สองชาติ บ าง ...ฯลฯ... คื อ ระลึกถึงขันธที่เคยอยูในภพกอนมีอยางตาง ๆ พรอมทั้งอาการ พรอมทั้งอุเทศ บางหรือ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา!" ดูกอนสุสิมะ! เมื่อเธอรูอยูอยางนี้ เห็นอยูอยางนี้ ยอม เห็ นหมูสัตวที่กําลัง จุ ติ อ ยู ...ฯลฯ...ซึ่ งกํ าลั งเป นไปตามกรรม ด วยจั กษุ อั นเป น ทิ พ ย อั น บริสุ ท ธิ์ เกิ นกว า จักษุของมนุษย บางหรือ?
www.buddhadasa.info
๓๖๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
"ขอนั้น หามิได พระเจาขา!" ดู ก อนสุ สิ มะ! เมื่ อเธอรูอยู อย างนี้ เห็ นอยู อย างนี้ เธอย อม ถู กต องด วย นามกาย ซึ่งอารุปปวิโมกข อันสงบ อันกาวลวงซึ่งรูปทั้งหลายเสียได บางหรือ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา!" ดู ก อนสุ สิ มะ! คราวนี้ , คํ าพู ดอย งโน นของเธอกั บการที่ (เธอกล าวบั ดนี้ ว า) ไมตองมีการบรรลุถึงอภิญญาธรรมทั้งหลายเหลานี้ก็ได, ในกรณีนี้ นี้เราจะวาอยางไรกัน. ลําดั บนั้นเอง ท านสุสิมิ หมอบลงแทบพระบาททั้ งสองของพระผู มี พระภาคเจาดวยเศียรเกล า แลวไดกลาวถอยคํานี้กะพระผูมีพระภาคเจา : "ข าแต พระองค ผู เจริญ! โทษได ท วมทั บข าพระองค
แลว ตามที่ เป นคนพาลอยางไร ตามที่เป นคนหลงอยางไร ตามที่ มี ความคิดเป นอกุศล อย า งไร คื อ ข อ ที่ ข า พระองค บ วชแล ว เพื่ อ ขโมยธรรมวิ นั ย ที่ พ ระองค ต รั ส ดี แ ล ว อย า งนี้ . ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ขอพระผู มี พ ระภาคจงทรงรั บ ซึ่ ง โทษโดยความ เปนโทษของขาพระองค เพื่อความสํารวมระวังตอไปเถิด พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info เอาละ สุ สิ มะ! โทษได ท วมทั บเธอ ผู เป นคนพาลอย างไร ผู เป นคนหลง อยางไร ผูมีความคิดเปนอกุศลอยางไร คือขอที่เธอบวชแลวเพื่อขโมยธรรมในธรรมวินัย ที่ ตถาคตกลาวดีแลวอยางนี้ . ดู กอนสุ สิ มะ! เปรียบเหมื อนราชบุ รุษจับโจรผู ประพฤติ ผิ ด มาแสดงแก พระราชาแล ว กราบทู ลว า "ข าแต เทวะ! โจรนี้ ประพฤติ ผิ ดแด พระองค ขอ พระองค จงทรงลงอาชญาแก โจรนี้ ตามที่ พระองค ทรงพระประสงค เถิ ด" ดั งนี้ . พระราชา ทรงรับสั่งกะราชบุรุษเหลานั้นดังนี้วา "ดูกอนบุรุษผูเจริญ! ทานทั้งหลายจงไป จงมัดบุรุษนี้ ใหมีแขนในเบื้องหลัง ใหมีการผูกมัดที่แนนหนาดวยเชือกอันเหนียว แลวโกนศรีษะเสีย
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๖๗
พาเที่ ยวตระเวนตามถนนต าง ๆ ตามทางแยกต าง ๆ ด วยกลองปณวะเสี ยงแข็ ง พาออก ทางประตู ด านทั กษิ ณ แล วจงตั ดศี รษะเสี ยทางด านทั กษิ ณของนคร". ราชบุ รุ ษมั ดโจรนั้ น กระทํ าตามที่ พระราชาได รับสั่ งแล วอย างไร. ดู ก อนสุ สิ มะ! เธอจะสํ าคั ญ ความข อนี้ ว า อยางไร? บุรุษนั้นตองเสวยทุกขโทมนัสเพราะขอนั้นเปนเหตุ ไหนหนอ? "อยางนั้น พระเจาขา!" ดู ก อนสุ สิ มะ! บุ รุ ษนั้ นต องเสวยทุ กขโทมนั สเพราะข อนั้ นเป นเหตุ เพี ยงใด, แต การบวชของเธอเพื่ อ ขโมยธรรม ในธรรมวินั ยที่ ตถาคตกล าวดี แล วอย างนี้ : นี้ ยั งมิ วิบากเปนทุกขยิ่งกวา มีวิบากเผ็ดรอนยิ่งกวา; แลวยังแถมเปนไปเพื่อวินิบาต (ความฉิ บหาย)อี กด วย. ดู ก อนสุ สิ มะ! แต เพราะเธอเห็ นโทษโดยความเป นโทษแล ว ทํ า คื น ตามธรรม, เราจึ งรับ โทษนั้ น ของเธอ. ผู ใดเห็ น โทษโดยความเป น โทษแล ว ทําคืนตามธรรม ถึงความสํารวจตอไป; ขอนี้เปนความเจริญในอริยวินัยของผูนั้น, ดังนี้ แล.
ปฏิจจสมุปบาทรอบสุดทายของคนเรา๑
www.buddhadasa.info (ในสู ตรนี้ พระผู มี พระภาคเจ า ได ตรั สถึ งการที่ พระตถาคตอรหั นตสั มมาสั มพุ ทธเจ าเกิ ดขึ้ น ในโลก; ได ท รงแสดงธรรม ประกาศพรหมจรรย งามในเบื้ อ งต น ท า มกลาง และเบื้ อ งปลาย; คหบดี หรือคหบดี บุ ตรเป นต น ได ฟ งธรรมแล ว; เกิ ดสั ทธา พิ จารณาเห็ นว า ฆราวาสคั บแคบ เป นทางมาแห งธุ ลี , บรรพชาเป นโอกาสวาง จะประพฤติ พรหมจรรย ให บริสุ ทธิ์ในเพศฆราวาสนั้ น ยากเกิ นไป; จึ งละจึงละฆราวาสวิสั ย ออกบวช แลวกระทําเต็มที่ในศีลอันเปนสิกขาสาชีพของภิกษุ; เปนผูสันโดษ มีความประพฤติเบาพรอม
๑
มหาตัณหาสังขยาสูตร มู.ม. ๑๒/๔๙๔/๔๕๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลายที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๓๖๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
เหมื อ นนกมี ภ าระแต ป กสํ าหรั บ บิ น ไป; สํ ารวมอิ น ทรี ย ทั้ งหก ในลั กษณะที่ อภิ ชฌาและโทมนั สไม เกิ ดขึ้ น ครอบงํ าจิ ต; มี สติ สั มปชั ญ ญะสมบู รณ ในทุ กอิ ริ ยาบถ; เสพเสนาสนะอั นสงั ด บํ าเพ็ ญ ความเพี ยรในอธิ จิ ต; กํ าจั ดนิ วรณ ทั้ งห าเสี ยได แล ว บรรลุ รู ป ฌานในอั นดั บที่ สี่ อยู เป นปรกติ ; แล วกระทํ าให แจ งซึ่ งเจโตวิ มุ ตติ ป ญญาวิ มุ ตติ ; ถึ งความดั บซึ่ งกระแสแห งปฏิ จจสมุ ปบาทอั นเป นรอบสุ ดท าย ในชี วิ ตแห งตนได ตามข อความ ที่กลาวไว ในตอนตอไปขางลางนี้:-) (๑) ภิ กษุ นั้ น เห็ นรู ปด วยตาแล ว ย อมไม กํ าหนั ดยิ นดี ในรู ป อั นลั กษณะ
เปน ที ่ตั ้ง แหง ความ รัก ; ยอ ม ไมข ัด เคือ งใน รูป อัน มีล ัก ษ ณ ะเปน ที ่ตั ้ง แหง ความเกลี ย ดชั ง ; เป น ผู อ ยู ด ว ยสติ เป น ไปในกายอั น ตนเข า ไปตั้ งไว แ ล ว มี จิ ต หา ประมาณมิ ได ด วย; ย อ มรูชั ด ตามที่ เป น จริงซึ่ งเจโตวิมุ ต ติ ป ญ ญาวิมุ ต ติ อั น เป น ที่ดับโดยไมเหลือแหงธรรมอันเปนบาปอกุศลทั้งหลาย ดวย. ภิ กษุ นั้ น เป นผู ละเสี ยได แล วซึ่ งความยิ นดี และความยิ นร ายอย างนี้ แล ว เสวยเวทนาใด ๆ อั น เป น สุ ข ก็ ต าม เป น ทุ ก ข ก็ ต าม มิ ใช ทุ ก ข มิ ใช สุ ข ก็ ต าม ย อ มไม เพลิดเพลิน ไมพร่ําสรรเสริญ ไมเมาหมกอยูในเวทนานั้น ๆ.
www.buddhadasa.info เมื่ อภิ กษุ นั้ น ไม เพลิ ดเพลิ น ไม พร่ํ าสรรเสริ ญ ไม เมาหมกอยู ในเวทนานั้ น ๆ; นันทิ(ความกําหนัดยินดีเพราะไดตามใจอยาก) ในเวทนาทั้งหลายเหลานั้น ยอม ดับไป. เพราะความดับแหงนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแหงอุปาทาน; เพราะ มี ค วามดั บ แห งอุ ป ทาน จึงมี ค วามดั บ แห งภพ; เพราะมี ค วามดั บ แห งภพ จึ งมี ความดับแหงชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ในรูปของการปฏิบัติ
๓๖๙
(๒) ภิกษุนั้น ได ยินเสียงด วยหู แลว ยอมไมกําหนัดยินดีในเสียง อันมี ลั ก ษณะเป น ที่ ตั้ งแห งความรั ก , ...ฯลฯ ๑ ... นิ น ทิ ในเวทนาทั้ งหลายเหล านั้ น ย อ ม ดับไป ...ฯลฯ... ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. (๓) ภิกษุนั้น รูสึกกลิ่นด วยจมู กแลว ยอมไมกําหนัดยินดีในกลิ่น อันมี ลั กษณะเป นที่ ตั้ งแห งความรัก; ...ฯลฯ... นั นทิ ในเวทนาทั้ งหลายเหล านั้ น ย อมดั บไป ...ฯลฯ... ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. (๔) ภิ กษุ นั้ น ลิ้ มรสด วยลิ้ นแล ว ย อมไม กํ าหนั ดยิ นดี ในรส อั นมี ลั กษณะ เปน ที ่ตั ้ง แหง ความรัก ; ...ฯลฯ... นัน ทิ ในเวทนาทั ้ง หลายเหลา นั ้น ยอ มดับ ไป …ฯลฯ... ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. (๕) ภิกษุนั้น ถูกตองสัมผัสทางผิวหนังดวยผิวกายแลว ยอมไมกําหนัด ยิน ดีใ นสัม ผัส ทางผิว หนัง อัน มีล ัก ษณะเปน ที ่ตั ้ง แหง ความรัก ;...ฯลฯ... นัน ทิ ในเวทนาทั้ งหลายเหล านั้ น ย อ มดั บ ไป ...ฯลฯ... ความดั บ ลงแห งกองทุ ก ข ทั้ งสิ้ น นี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info (๖) ภิกษุ นั้น รูแจ งธัม มารมณ ด วยใจแลว ยอ มไม กํ าหนั ดยิ น ดี ใน ธัม มารมณ อัน มีลัก ษณะเปน ที่ตั้งแหงความรัก ; ยอ มไมขัด เคือ งในธัม มารมณ อันเปนที่ตั้งแหงความเกลียดชัง; เปนผูอยูดวยสติเปนไปในกายอันตนเขาไปตั้ง
๑
การละเปยยาล ...ฯลฯ... เช น นี้ หมายความว า ข อ ความในข อ ที่ (๒)นี้ ซ้ํ า กั น เป น ส ว นมากกั บ ใน ขอที่(๑)จะพิมพ เต็มตามขอที่(๑) ก็เป นการเสียเวลาอานและรกตา กํ าหนดหัวขอยาก จึงไดละไวดวยเปยยาล สํ าหรั บคํ าที่ ซ้ํ ากั น คงไวแต ขอความที่ ไม ซ้ํ ากั น และขอความเชื่ อมสั มพั นธ กั น พอให เป นเครื่องสั งเกตได เทานั้น; ขอถัดไปก็ทําอยางนี้ จนกระทั่งขอสุดทาย จึงจะพิมพไวเต็มเหมือนขอที่(๑) อีกครั้งหนึ่ง.
www.buddhadasa.info
๓๗๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๖
ไวแลว มีจิตหาประมาณมิได ดวย; ยอมรูชัดตามที่เปนจริงซึ่งเจโตวิมุตติ ปญญา วิมุตติ อันเปนที่ดับโดยไมเหลือแหงธรรมอันเปนบาปอกุศลทั้งหลาย ดวย. ภิ กษุ นั้ น เป นผู ละเสี ยได แล วซึ่ งความยิ นดี และความยิ นราย อย างนี้ แล ว เสวย เวทนาใด ๆ อั นเป นสุ ขก็ ตาม เป นทุ กข ก็ ตาม มิ ใช ทุ กข มิ ใช สุ ขก็ ตามย อมไม เพลิ ดเพลิ น ไมพร่ําสรรเสริญ ไมเมาหมกอยูในเวทนานั้น ๆ. เมื ่อ ภ ิก ษ ุนั ้น ไม เ พ ล ิด เพ ล ิน ไม เ ม า ห ม ก อ ยู ใ น เว ท น า นั ้น ๆ ; นัน ทิ (ความกําหนัด ยิน ดีเพราะไดต ามใจอยาก) ในเวทนาทั้งหลายเหลานั ้น ยอมดับไป. เพราะความดับแหงนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแหงอุปาทาน; เพราะมีความดับแหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ชาติ นั่ น แล ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ แล. หมายเหตุ ผู รวบรวม : ผู ศึ กษาพึ งสั งเกตในข อที่ ว า ผู ที่ ประพฤติ พรหมจรรย จบ โดยแท จ ริ ง นั้ น คื อ ผู ที่ ห ยุ ด กระแสแห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท เสี ย ได เป น ครั้ ง สุ ด ท า ย หรื อ รอบ สุ ด ท า ย; ต อ จากนั้ น จะรั บ อารมณ ท างตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ชนิ ด ใดอี ก ก็ ต าม ย อ ม ไม มี ท างที่ จ เกิ ด กระแสแห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท เช น นั้ น อี ก ได . ขอให พิ จ ารณาดู ลั ก ษณะอาการ และเหตุ ผ ลต า ง ๆ ที่ แ สดงอยู ใ นข อ ความเหล า นี้ โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง ในข อ ที่ ว า "ความ ดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ มิ ได ด วยอาการอย างนี้ " นี้ นั้ น มิ ได หมายความว าผู นั้ นจะต องตาย (อย า งเข า โลง)ไปเสี ย ก อ น จึ งจะดั บ ทุ ก ข ได , การดั บ ของนั น ทิ ในเวทนาทั้ งหลายนั้ น ดั บ กั น ที่ นี่ เดี๋ ยวนี้ ด วยอํ านาจเจโตวิ มุ ต ติ ป ญ ญาวิ มุ ต ติ , ซึ่ งดั บ อวิ ชชาที่ นี่ เดี๋ ยวนี้ ด วยเหมื อ นกั น , ปฏิ จ จสมุ ป บาทรอบสุ ด ท ายของคนมี ได ด ว ยอาการอย างนี้ , ทั้ ง ๆ ที่ ในตอนต น ๆ แห งชี วิ ต ของเขานั้ น เต็ ม ไปด ว ยปฏิ จ จสมุ ป บาท นั บ สาย หรื อ นั บ รอบไม ถ ว น. ศึ ก ษากั น ให ชั ด เจน ในขอเท็จจริงอันนี้ ก็จะไดรับประโยชนจากความรูเรื่องนี้ โดยสมบูรณ และไมเหลือวิสัย.
www.buddhadasa.info
หมวดที่หก จบ --------------
www.buddhadasa.info
หมวด ๘ วาดวย ปฏิจจสมุปบาท เกี่ยวกับ ความเปนพระพุทธเจา
www.buddhadasa.info ๔๕๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฎอิทัปปจจยตา : หัวในปฏิจจสมุปบาท. ………………………... อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมมี อิมสฺสุปฺ ปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป (ม.ม.๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน.สํ.๑๖/๘๔/๑๕๔,...)
www.buddhadasa.info ๓๗๓
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่องเฉพาะหมวด สําหรับปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๗ วาดวย โทษของการไมรูและอานิสงส ของการรูปฏิจจสมุปบาท (มี ๓๐ เรื่อง)
มีเรื่อง : จิตสัตวยุงเปนปมเพราะไมเห็นแจงปฏิจจสมุปบาท -- ผูไมรูปฏิจจสมุป บาทโดยอาการแหง อริย สัจสี่ยอมไมสามารถกาวลว งปฏิจ จสมุป ปน นธรรม -- สํา หรับ ผู ที่ไมสามารถเขาใจปฏิจจสมุปบาท ยึดถือกายเปนตัวตนยังดีกวายึดถือจิตเปนตัวตน -- ทิฏ ฐิ และการหยั่งลงแหงทิฏ ฐิ เนื่องมาจากการยึดซึ่งขัน ธทั้งหา -- ไมควบคุมรากฐานแหงปฏิจจสมุป บาทจึง เกิด ทุก ข -- คนพาลกับ บัณ ฑิต ตา งกัน โดยหลัก ปฏิจ จสมุป บาท -- เปน สมณะ หรือ ไมเ ปน สมณะขึ้น อยูกับ การรูห รือ ไมรูป ฏิจ จสมุป บาทโดยนั ย สี่ -- เปน สมณะหรือ ไม เปน สมณะขึ้น อยูกับ การรูห รือไมรูช รามรณะโดยนัย สี่ -- เปน สมณะหรือ ไมเปน สมณะขึ้น อยู กับการรูหรือไมรูชาติโ ดยนั ย สี่ -- เป น สมณะหรื อ ไม เ ป น สมณะขึ้ น อยู กั บ การรู ห รื อ ไม รู ภ พ โดยนั ย สี ่ -- เป น สมณะหรื อ ไม เ ป น สมณะขึ ้ น อยู ก ั บ การรู ห รื อ ไม รู อ ุ ป ทานโดยนั ย สี ่ -เปน สมณะหรือ ไมเ ปน สมณะขึ้น อยูกับ การรูห รือ ไมรูตัณ หาโดยนัย สี่ -- เปน สมณะหรือ ไม เปน สมณะขึ้น อยูกับ การรู ห รื อ ไม รู เ วทนาโดยนั ย สี่ -- เป น สมณะหรื อ ไม เ ป น สมณะขึ้ น อยู กับ การรูห รือ ไมรู ผัส สะโดยนัย สี่ -- เปน สมณะหรือ ไมเ ปน สมณะขึ ้น อยู กับ การรูห รือ ไมรู สฬายตนะโดยนั ย สี่ -- เป น สมณะหรื อ ไม เ ป น สมณะขึ้ น อยู กั บ การรู ห รื อ ไม รู น ามรู ป โดย นัย สี ่ -- เปน สมณะหรือ ไมเ ปน สมณะขึ้น อยู ก ับ การรูห รือ ไมรูว ิญ ญาณโดยนัย สี ่ -- เปน สมณะหรือ ไมเ ปน สมณะขึ้น อยูกับ การรูห รือ ไมรูสัง ขารโดยนัย สี่ -- ควบคุม รากฐาน แหง ปฏิจจสมุปบาทจึงเกิดสุข -- ปฏิจจสมุปบาทอาการหนึ่งถาเห็นแลวทําใหหยุดความมั่นหมายใน สิ่งทั้งปวง -- พอรูปฏิจจสมุปบาทก็หายตาบอดอยางกระทันหัน -- เพราะรูปฏิจจสมุปบาทจึง หมดความสงสัยเรื่องตัวตนทั้ง ๓ กาล -- การรูเรื่องปฏิจจสมุปบาททําใหหมดปญ หาเกี่ยวกับ ขั น ธ ใ นอดี ต และในอนาคต -- ผลอานิ ส งส พิ เ ศษ ๘ ประการของการเห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาทผู รู ป ฏิ จ จสมุ ป บาท โดยอาการแห ง อริ ย สั จ สี่ ย อ มสามารถก า วล ว งปฏิ จ จสมุ ป ป น นธรรม -อานิส งสข องการถึง พรอ มดว ยทัส สนทิฏ ฐิ -- ผูเสร็จ กิจ ในปฏิจ จสมุป บาทชื่อ วา ผูบ รรลุน ิพ พานในปจจุบัน -- อานิส งสสูง สุด (อนุป าทิเสสนิพ พาน) ของการพิจ ารณาปฏิจ จสมุป บาท อยางถูกวิธี -- อุปปริกขีในปฏิจจสมุปบาทเปนอุดมบุรุษ -- บัณฑิตคือผูฉลาดในปฏิจจสมุปบาท.
www.buddhadasa.info
๓๗๔
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
หมวดที่ ๗ วาดวย โทษของการไมรูและอานิสงส ของการรูปฏิจจสมุปบาท ------------------จิตสัตวยุงเปนปม เพราะไมเห็นแจงปฏิจจสมุปบาท๑ พระอานนท ไดกราบทูลพระผูมีพระภาคเจาวา "นาอัศจรรย พระเจาขา! ไมเคยมีแลว พระเจาขา! ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ปฏิจจสมุปบาทนี้ เขาร่ําลือกันวาเปนธรรมลึกดวย ดูทาทางราวกะวา เปนธรรมลึกดวย แตปรากฎแกขาพระองคเหมือนกับเปนธรรมตื้น ๆ"
www.buddhadasa.info ดูกอนอานนท! อยากลาวอยางนั้น . ดูกอ นอานนท ! อยากลา ว อยางนั้น. ก็ปฏิจจสมุปบาทนี้ ลึกซึ้งดวย มีลักษณะเปนธรรมลึกซึ้งดวย. ดูกอน
๑
สูตรที่ ๑๐ ทุกขวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๑๑/๒๒๕, ตรัสแกพระอานนท ที่กัมมาสทัมมนิคม.
๓๗๕
www.buddhadasa.info
๓๗๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
อานนท ! เพราะไม รู เพราะไม รู ต ามลํ า ดั บ เพราะไม แ ทงตลอด ซึ่ ง ธรรมคื อ ปฏิจจสมุปบาทนี้ (จิตของ) หมูสัตวนี้ จึงเปนเหมือนกลุมดายยุง ยุงเหยิงเหมือนความยุง ของกลุ มด วยที่ หนาแน นไปด วยปม พั นกั นยุ งเหมื อนเซิ งหญ ามุ ญชะและหญ าป พพชะ อยางนี้; ยอมไมลวงพนซึ่งสงสาร ที่เปนอบาย ทุคติ วินิบาต ไปได. ดูกอนอานนท! เมื่อภิกษุเปนผูมีปรกติเห็นโดยความเปนอัสสาทะ (นารัก น ายิ นดี ) ในธรรมทั้ งหลายอั นเป นที่ ตั้ งแห งอุ ปทาน๑อยู ตั ณ หาย อมเจริญ อย างทั่ วถึ ง. เพราะมี ตั ณ หาเป นป จจั ย จึ งมี อุ ปทาน; เพราะมี อุ ปทานเป นป จจั ย จึ งมี ภพ; เพราะ มี ภพเป นป จจั ย จึ งมี ชาติ ; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุปายาสทั้ งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแห งกองทุ กขทั้ งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนอานนท ! เปรี ยบเหมื อนต นไม ใหญ มี รากดิ่ งลงไปเบื้ องล างด วยมี รากแผ ไปรอบ ๆ ด ว ย; รากทั้ ง หลายเหล า นั้ น ล ว นแต ดู ด สิ่ ง โอชะขึ้ น ไปเบื้ อ งบน. ดู ก อ นอานนท ! เมื่ อเป น อย างนี้ ต น ไม ใหญ ซึ่ งมี อ าหารอย างนั้ น มี เครื่ อ งหล อ เลี้ ย ง อย างนั้ น พึ งตั้ ง อยู ได ตลอดกาลยาวนาน, ข อ นี้ ฉั น ใด; ดู ก อ นอานนท ! เมื่ อ ภิ ก ษุ เป นผู มี ปรกติ เห็ นโดยความเป นอั สสาทะ (น ารักน ายิ นดี ) ในธรรมทั้ งหลายอั นเป นที่ ตั้ ง แห งอุ ปทานอยู ตั ณ หาย อมเจริญ อย างทั่ วถึ ง ฉั นนั้ นเหมื อนกั น. เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง มี อุ ป ทาน; เพราะมี อุ ป ทานเป น ป จ จั ย จึ ง มี ภ พ; เพราะมี ภ พเป น ป จ จั ย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเปนปจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส
www.buddhadasa.info
๑
ธรรมอั น เป น ที่ ตั้ งแห งอุ ป ทาน หรื ออุ ป าทานิ ยธรรม ได แก รู ป, เวทนา, สั ญ ญา, สั งขาร, วิ ญ ญาณ (ขนฺ ธ .สํ . ๑๗/๒๐๒/๓๐๙); ตา,หู ,จมู ก ,ลิ้ น ,กาย,ใจ (สฬ า.สํ . ๑๘/๑๑๐/๑๖๐); รู ป ,เสี ย ง,กลิ่ น , รส, โผฏฐัพพะ, ธัมมารมณ (สฬา.สํ. ๑๘/๑๓๖/๑๙๐).
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๓๗๗
ทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้. (ปฏิปกขนัยฝายตรงกันขาม)
ดูกอนอานนท! เมื่อภิกษุเปนผูมีปรกติเห็นโดยความเปนอาทีนวะ (โทษ อั นต่ํ าทราม) ในธรรมทั้ งหลายอั นเป นที่ ตั้ งแห งอุ ปทานอยู ตั ณ หาย อมดั บ. เพราะมี ความดั บแห งตั ณ หา จึ งมี ความดั บแห งอุ ปทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปทาน จึงมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บ แห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อ นอานนท ! เปรี ย บเหมื อ นต น ไม ใหญ มี อ ยู . ลํ า ดั บ นั้ น บุ รุ ษ พึ งถื อ เอาจอบและตะกรามาแล ว บุ รุษนั้ น พึ งตั ดต นไม นั้ นที่ โคน ครั้นตั ดที่ โคนแล ว พึ งขุ ด เซาะ ครั้งขุ ดเซาะแล ว พึ งรื้อขึ้ นซึ่ งรากทั้ งหลายแม ที่ สุ ดเพี ยงเท านก านแฝก. บุ รุษนั้ น ตั ดต นไม นั้ นเป นท อนน อยท อนใหญ ครั้นตั ดเป นท อนน อยท อนใหญ แล ว พึ งผ า; ครั้น ผ าแล ว พึ งกระทํ าให เป นซี ก ๆ ; ครั้ นกระทํ าให เป นซี ก ๆ แล ว พึ งผึ่ งให แห งในลมและ แดด; ครั้น ผึ่ งให แห งในลมและแดดแล ว ย อ มเผาด วยไฟ; ครั้น เผาด วยไฟแล ว พึ ง กระทํ าให เป นขี้ เถ า; ครั้นกระทํ าเป นขี้ เถ าแล ว ย อมโปรยไปตามลม อั นพั ดจั ด หรือ วาพึ งให ลอยไปในกระแสน้ํ าอั นเชี่ยว. ดู ก อนอานนท ! ด วยการกระทํ าอย างนี้ แล ต นไม ใหญ นั้น ก็จะพึงเปนตนไมมีรากอันขาดแลว เหมือนตนตาลที่ถูกทําลายแลวที่ขั้วแหงยอด ถึ งแล วซึ่ งความไม มี ไม เป น มี ความไม งอกอี กต อไปเป นธรรมดา, ข อนี้ ฉั นใด; ดู ก อน อานนท ! ข อ นี้ ก็ ฉั น นั้ น : เมื่ อ ภิ ก ษุ เป น ผู มี ป รกติ เห็ น โดยความเป น อาที น วะ (โทษ อันต่ําทราม) ในธรรมทั้งหลายอันเปนที่ตั้งแหงอุปทานอยู ตัณหายอมดับ. เพราะมี
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๓๗๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ความดั บแห งตั ณ หา จึ งมี ความดั บ แห งอุ ป ทาน; เพราะมี ค วามดั บแห งอุ ป ทาน จึ งมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บ แห งชาติ นั่ น แล ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ะโทมนั ส อุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งดั บ สิ้ น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้, ดังนี้ แล.
ผูไมรูปฏิจจสมุปบาท โดยอาการแหงอริยสัจสี่ ไมสามารถกาวลวงปฏิจจสมุปปนนธรรม๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมไม รู ทั่ วถึ ง ซึ่ ง ชรามรณะ, ไม รูทั่ ว ถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งชรามรณะ, ไม รูทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อแห งชรามรณะ, ไม รูทั่ วถึ ง ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อ แห งชรามรณะ; สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ นหนา จั กก าวล วงชรามรณะเสี ยได แล ว ดํารงอยู ดังนั้นหรือ นั่นไมใชฐานะที่จักมีได. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมไม รูทั่ วถึ ง ซึ่ งชาติ , ไม รู ทั่ วถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้นแห งชาติ , ไม รูทั่ วถึง ซึ่งความดั บไม เหลื อแห งชาติ , ไม รูทั่ วถึ ง ซึ่ งข อ ปฏิ บั ติ เครื่ องทํ าสั ต ว ให ลุ ถึ งความดั บ ไม เหลื อแห งชาติ ; สมณะหรื อ พราหมณ เหล า นั้ น หนา จั ก ก าวล ว งชาติ เสี ย ได แล วดํ ารงอยู ดั งนั้ น หรื อ นั่ น ไม ใช ฐานะที่จักมีได.
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๑๐ ทสพลวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๕๔/๙๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๓๗๙
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณะหรือพราหมณเหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมไมรูทั่วถึงซึ่ง ภพ; ไม รู ทั่ วถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งภพ, ไม รู ทั่ วถึ ง ซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งภพ, ไม รู ทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติ เครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงภพ; สมณะหรือพราหมณ เหลานั้นหนา จักกาวลวงภพเสียไดแลวดํารงอยู ดังนั้นหรือ นั่นไมใชฐานะที่จักมีได. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งอุปาทาน, ไมรูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงอุปาทาน, ไมรูทั่วถึง ซึ่งความดับไมเหลือ แหงอุปาทาน, ไมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงอุปาทาน; สมณะหรือพราหมณ เหลานั้นหนา จักกาวลวงอุปาทานเสียได แลวดํารงอยู ดังนั้นหรือ นั่นไมใชฐานะที่จักมีได. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งตั ณหา, ไมรูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงตัณหา, ไมรูทั่วถึง ซึ่งความดับไมเหลือแหง ตัณหา, ไมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงตัณหา; สมณะ หรือพราหมณเหลานั้นหนา จักกาวลวงตัณหาเสียได แลวดํารงอยู ดังนั้นหรือ นั่นไมใช ฐานะที่จักมีได.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งเวทนา, ไมรูทั่วถึง ซึ่งเหตุ ใหเกิดขึ้นแห งเวทนา, ไมรูทั่วถึง ซึ่งความดับไม เหลือแห ง เวทนา, ไมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิ บัติเครื่องทํ าสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงเวทนา; สมณะ หรือพราหมณ เหลานั้นหนา จักกาวลวงเวทนาเสียได แลวดํารงอยู ดังนั้นหรือ นั่นไม ใชฐานะที่จักมีได.
www.buddhadasa.info
๓๘๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งผัสสะ, ไมรูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงผัสสะ, ไมรูทั่วถึง ซึ่งความดับไมเหลือแหงผัสสะ, ไมรูทั่วถึงซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงผัสสะ; สมณะหรือพราหมณ เหลานั้นหนา จักกาวลวงผัสสะเสียได แลวดํารงอยู ดังนั้นหรือ นั่นไมใชฐานะที่จักมีได. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมไม รูทั่ วถึ ง ซึ่ งสฬายตนะ, ไม รูทั่ วถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งสฬายตนะ, ไม รู ทั่ วถึ ง ซึ่ งความดั บ ไมเหลือแหงสฬายตนะ,ไมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหง สฬายตนะ; สมณะหรือพราหมณ เหลานั้นหนา จักกาวลวงสฬายตนะเสียได แลวดํารงอยู ดังนั้นหรือ นั่นไมใชฐานะที่จักมีได. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่ งนามรู ป, ไม รูทั่ วถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งนามรูป, ไม รูทั่ วถึ ง ซึ่ งความดั บไม เหลื อ แหงนามรูป, ไมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบั ติเครื่องทํ าสัตวใหลุถึงความดับไม เหลือแหงนามรูป; สมณะหรือพราหมณ เหลานั้นหนา จักกาวลวงนามรูปเสียได แลวดํารงอยู ดังนั้นหรือ นั่นไมใชฐานะที่จักมีได.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งวิญญาณ, ไมรูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงวิญญาณ, ไมรูทั่วถึง ซึ่งความดับไมเหลือ แหงวิญญาณ, ไมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงวิญญาณ; สมณะหรือพราหมณเหลานั้นหนา จักกาวลวงวิญญาณเสียได แลวดํารงอยู ดังนั้นหรือ นั่นไมใชฐานะที่จักมีได.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๓๘๑
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่ งสั งขารทั้ งหลาย ไม รูทั่ วถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งสั งขาร, ไม รูทั่ วถึ ง ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อแห งสั งขาร, ไม รูทั่ วถึง ซึ่งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห ง สัง ขาร; สมณ ะหรือ พราหมณเ หลา นั ้น หนา จัก กา วลว งสัง ขารเสีย ได แลว ดํารงอยู ดังนั้นหรือ นั่นไมใชฐานะที่จักมีได.
สําหรับผูที่ไมสามารถเขาใจปฏิจจสมุปบาท ยึดถือกายเปนตัวตน ยังดีกวายึดถือจิตเปนตัวตน๑ ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ปุ ถุชนผูมิไดสดับแลว จะพึ งเบื่ อหนายไดบ าง พึ งคลาย กําหนัดไดบาง พึงปลอยวางไดบาง ในกายอันเปนที่ประชุมแหงมหาภูตทั้งสี่นี้. ขอนั้น เพราะเหตุ ไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข อนั้ นเพราะเหตุ วา การก อขึ้ นก็ ดี การสลาย ลงก็ ดี การถู กยึ ดครองก็ ดี การทอดทิ้ งซากไว ก็ ดี แห งกายอั นเป นที่ ประชุ มแห งมหาภู ต ทั้ งสี่ นี้ ย อ มปรากฎอยู . เพราะเหตุ นั้ น ปุ ถุ ช นผู มิ ได ส ดั บ แล ว จึ งเบื่ อ หน ายได บ า ง จึงคลายกําหนั ดได บ าง จึงปลอยวางได บ าง ในกายนั้ น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสิ่ ง ที่ เรียกกั นว า "จิ ต" ก็ ดี ว า "มโน" ก็ ดี ว า "วิ ญ ญาณ" ก็ ดี ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บแล ว ไม อาจจะเบื่ อหน าย ไม อาจจะคลายกําหนั ด ไม อาจจะปล อยวาง ซึ่งจิ ตนั้ น. ขอนั้ นเพราะ เหตุ ไ รเล า ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ข อ นั้ น เพราะเหตุ ว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า จิ ต เป น ต น นี้ เป นสิ่ งที่ ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดับแล ว ได ถึงทั บแลวตั ณ หา ได ยึดถือแลวด วยทิ ฏฐิโดยความ เปนตัวตน มาตลอดกาลชานานวา "นั่นของเรา นั่นเปนเรานั่นเปนตัวตนของเรา" ดังนี้;
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๑ มหาวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๑๔/๒๓๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๓๘๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
เพราะเหตุ นั้ น ปุ ถุ ชนผู มิ ได สดั บแล ว จึ งไม อาจจะเบื่ อหน าย ไม อาจจะคลายกํ าหนั ด ไมอาจจะปลอยวาง ซึ่งสิ่งที่เรียกวาจิตเปนตนนั้น. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ปุถุชนผูมิไดสดับแลว จะพึงเขาไปยึดถือเอากาย อันเปนที่ประชุมแหงมหาภูตทั้งสี่นี้ โดยความเปนตัวตน ยังดีกวา. แตจะเขาไป ยึดถือเอาจิตโดยความเปนตัวตน ไมดีเลย. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา? ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ขอนั้นเพราะเหตุวา กายอันเปนที่ประชุมแหงมหาภูตทั้งสี่นี้ ดํารงอยูป หนึ่งบาง สองปบาง สามปบาง สี่ปบาง หาปบาง สิบปบาง ยี่สิบปบาง สามสิบปบางสี่ สิ บป บ าง ห าสิ บป บ าง รอยป บ าง เกิ นกวารอยป บ าง ปรากฏอยู . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สวน สิ่งที่ เรียกกั น วา "จิต " ก็ดี วา "มโน" ก็ดี วา "วิญ ญาณ" ก็ดี นั้น ดวงอื่ น เกิดขึ้น ดวงอื่นดับไป ตลอดวัน ตลอดคืน. ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อน วานร เมื่ อเที่ ยวไปอยู ในป าใหญ ย อม จับกิ่ งไม : ปล อยกิ่ งนั้ น จั บกิ่ งอื่ น ปล อยกิ่ งที่ จั บเดิ ม เหนี ยวกิ่ งอื่ น เช นนี้ เรื่อย ๆ ไป, ขอ นี ้ฉ ัน ใด; ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! สิ ่ง ที ่เ รีย กกัน วา "จิต " ก็ด ี วา "มโน" ก็ดี วา "วิญญาณ" ก็ดี นั้น ดวงอื่นเกิดขึ้น ดวงอื่นดับ ไป ตลอดวัน .
www.buddhadasa.info ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ในเรื่องที่ กลาวนี้ อริยสาวกผู ได สดั บแล ว ย อมกระทํ า ในใจโดยแยบคายเป นอย างดี ซึ่ งปฏิ จจสมุ ปบาทนั่ นเที ยว ดั งนี้ ว า "เพราะสิ่ งนี้ มี สิ่ งนี้ จึง มี; เพราะความเกิด ขึ ้น แหง สิ ่ง นี ้ สิ ่ง นี ้จ ึง เกิด ขึ ้น . เพราะสิ ่ง นี ้ไ มม ี สิ ่ง นี ้จ ึง ไม มี ; เพราะความดั บ ไปแห งสิ่ งนี้ สิ่ งนี้ จึ งดั บ ไป : ข อนี้ ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ เพราะมี อวิ ช ชาเป น ป จ จั ย จึ ง มี สั ง ขารทั้ งหลาย; เพราะมี สั ง ขารเป น ป จ จั ย จึ งมี วิ ญ ญาณ; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ...; เพราะมี ช าติ เ ป น ป จ จั ย , ชรามรณะ โสกะปริ เ ทวะ-
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๓๘๓
ทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. เพราะความจางคลายดั บไปโดยไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่ นเที ยว, จึงมี ความดั บ แห ง สั ง ขาร; เพราะมี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร จึ ง มี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญาณ; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ...; เพราะมี ความดั บ แห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั ส อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้". ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวกผูไดสดับแลว เห็นอยูอยางนี้ ยอมเบื่อหนาย แม ในรูป, ย อมเบื่ อหน าย แม ในเวทนา, ย อมเบื่ อหน าย แม ในสัญญา, ยอมเบื่ อหน าย แม ในสังขารทั้ งหลาย, ยอมเบื่ อหน าย แม ในวิญญาณ. เมื่ อเบื่ อหน าย ยอมคลายกําหนั ด; เพราะความคลายกําหนั ด ยอมหลุดพ น;เมื่ อหลุ ดพ นแลว ยอมมี ญาณหยั่งรูวา "หลุ ดพ น แล ว" ดั งนี้ . เธอย อมรูชั ดว า "ชาติ นี้ แล ว, พรหมจรรย อั นเราอยู จบแล ว, กิ จที่ ควรทํ า ไดทําเสร็จแลว, กิจอื่น เพื่อความเปนอยางนี้ มิไดมีอีก", ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info ทิฏฐิและการหยั่งลงแหงทิฏฐิ เนื่องมาจากการยึดซึ่งขันธทั้งหา ๑ [๑. อัตรา-อัตตนิยานุทิฏฐิ]
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร บุคคลจึงตามเห็นวา "นั่นของเรา, นั่นเปนเรา, นั่นเปนตัวตนของ เรา", ดังนี้?
๑
สูตรที่ ๒ ทิฏฐิวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๒๑/๓๔๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๓๘๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข าพระองค มี พ ระผู มี พ ระภาคเป น มู ล มี พ ระผู มี พ ระภาคเป น ผู นํ า มี พ ระผู มี พ ระภาคเป น ที่ พึ่ ง. ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! เป นการชอบแล วหนอ ขอให อรรถแห งภาษิ ตนั้ น จงแจ มแจ งกะพระผู มี พระภาคเองเถิ ด ภิ กษุ ทั้ งหลายได ฟ งจากพระผู มี พ ระภาคแล ว จั กทรงจํ าไว " ดั งนี้ . พระผู มี พ ระภาคเจ า จึ งตรั สเตื อ นให ภิกษุทั้งหลายเหลานั้นตั้งใจฟงดวยดีแลว ไดตรัสขอความดังตอไปนี้ :-
ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! เมื่ อรูปนั่นแลมีอยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรูป เพราะ ป กใจเข าไปสู รู ป บุ ค คลจึ งตามเห็ น ว า "นั่ น ของเรา นั่ น เป น เรา นั่ น เป น ตั วตนของเรา" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้ งหลาย จะสํ าคั ญ ความข อนี้ ว าอย างไร? รู ป เที่ ย งหรื อ ไม เที่ ย ง? ("ไม เที่ ย ง พระเจ า ข า !") ก็ สิ่ งใดไม เที่ ย ง สิ่ งนั้ น เป น ทุ ก ข ห รื อ เป น สุ ขเล า? ("เป น ทุ กข พระเจ าข า!") แม สิ่ งใดไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวน เป นธรรมดา แต ถาไม เขาไปยึดถือซึ่งสิ่งนั้นแลว เขาจะตามเห็นไดไหมวา "นั่นของเรา นั่นเปนเรา นั่นเปนตัวตนของเรา" ดังนี้? ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!").
www.buddhadasa.info (ในกรณีแหงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มีถอยคําที่ตรัส, ตรัสถาม, และภิกษุทูลตอบอยาง เดียวกันทุกตัวอักษรกับในกรณีแหงรูปนี้ ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธแตละขันธ เทานั้น.)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อริยสาวกผู ได สดั บแล ว เห็ นอยู อย างนี้ ย อมเบื่ อหน าย แม ในรู ป, แม ในเวทนา, แม ในสั ญ ญา, แม ในสั งขารทั้ งหลาย, แม ในวิ ญ ญาณ. เมื่ อ เบื่ อหน าย ย อมคลายกํ าหนั ด; เพราะความคลายกํ าหนั ด จึ งหลุ ดพ น; เมื่ อหลุ ดพ นแล ว ย อมมี ญ าณเกิ ด ขึ้ น แก อริ ยสาวกนั้ น ว า"หลุ ดพ นแล ว"ดั งนี้ . อริยสาวกนั้ น ย อ มรูชั ดว า "ชาติ สิ้ น แล ว, พรหมจรรย อั น เราอยู จบแล ว, กิ จที่ ควรทํ าได ก ระทํ าเสร็ จแล ว, กิ จ อื่ น เพื่อความเปนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๓๘๕ [๒. สัสสตทิฏฐิ (ธรรมดา)]๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "อัตตา (ตน) ก็อันนั้น; โลกก็อันนั้น; เรานั้ นละไปแลว จักเป นผูเที่ยง (นิจฺโจ) ยั่งยืน (ธุโว) เที่ยงแท (สสฺสโต) มีความ แปรปรวนเปนธรรมดา (อวิปริฌามธมฺโม)", ดังนี้? ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข าพระองค มี พระผู มี พระภาคเป นมู ล มี พ ระผู มี พ ระภาคเป นผู นํ า มี พระผู มี พระภาคเป นที่ พึ่ ง. ข าแต พระองคผู เจริญ! เป นการชอบแลวหนอ ขอให อรรถแห งภาษิ ตนั้ น จงแจมแจงกะพระผูมี พระภาคเองเถิ ด ภิ กษุ ทั้ งหลายได ฟ งจากพระผู มี พระภาคแล ว จั กทรงจํ าไว " ดั งนี้ . พระผู มี พระภาคเจ า ตรั สเตื อนให ภิ กษุ ทั้งหลายเหลานั้นตั้งใจฟงดวยดีแลว ไดตรัสขอความดังตอไปนี้ :-
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อรูปนั่นแล มีอยู เพราะเขาไปยึดถือซึ่งรูป เพราะ ป ก ใจเข าไปสู รู ป ทิ ฏ ฐิ จึ งเกิ ด ขึ้ น อย างนี้ ว า "อั ต ตา ก็ อั น นั้ น โลกก็ อั น นั้ น เรานั้ น ละ ไปแลว จักเปนผูเที่ยง ยั่งยืน เที่ยงแท มีความไมแปรปรวนเปนธรรมดา" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้ งหลาย จะสํ าคั ญ ความข อนี้ ว าอย างไร? รูป เที่ ย งหรือ ไม เที่ ย ง? ("ไม เที่ ย ง พระเจ าข า!") ก็ สิ่ งใดไม เที่ ย ง สิ่ งนั้ น เป น ทุ ก ข ห รื อ เป นสุ ขเล า? ("เป นทุ กข พระเจ าข า!") แม สิ่ งใดไม เที่ ยง เป นทุ กข มี ความแปรปรวน เปนธรรมดา แตถาไมเขาไปยึดถือ ซึ่งสิ่งนั้นแลว ทิฏฐิอยางนี้ จะเกิดขึ้นไดไหมวา "อั ตตาก็ อั นนั้ น โลกก็ อั นนั้ น เรานั้ นละไปแล ว จั กเป นผู เที่ ยง ยั่ งยื น เที่ ยงแท มี ความ ไมแปรปรวนเปนธรรมดา" ดังนี้? ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!").
๑
สูตรที่ ๓ ทิฏฐิวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๒๒/๓๕๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๓๘๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๓๘๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
(ในกรณี แห งเวทนา สั ญญา สั งขาร วิญญาณ ก็ มี ถ อยคํ าที่ ตรัส, ตรัสถาม, และพวกภิ กษุ ทูลตอบอยางเดียวกันทุกตัวอักษรกับในกรณีแหงรูปนี้ ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธแตละขันธ เทานั้น.)
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวกผูไดสดับแลว เห็นอยูอยางนี้ ยอมเบื่อหนาย แม ในรูป, แม ในเวทนา, แม ในสั ญ ญา, แม ในสั งขารทั้ งหลาย, แม ในวิ ญ ญาณ. เมื่ อ เบื่ อหน าย ยอมคลายกํ าหนั ด; เพราะความคลายกําหนั ด จึงหลุดพ น; เมื่ อหลุ ดพ นแล ว ย อ มมี ญ าณเกิ ด ขึ้ น แก อ ริย สาวกนั้ น ว า "หลุ ด พ น แล ว "ดั งนี้ . อริย สาวกนั้ น ย อ มรูชั ด อย างนี้ วา "ชาติ สิ้ นแล ว, พรหมจรรย อั นเราอยู จบแล ว, กิ จที่ ควรทํ า ได กระทํ าเสร็จแล ว, กิจอื่นเพื่อความเปนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้. [๓. อุจเฉททิฏฐิ (ธรรมดา)]๑
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ อะไรมี อ ยู ห นอ เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง อะไร เพราะปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "เราไมพึงมีดวย ของเราไมพึงมีดวย เราจักไมมี ของเราจักไมมี" ดังนี้? ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info (ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ที่ ๒ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลาย ของพวกข าพระองค "… ไปจนจบข อความ ด วยคํ าวา... "อริยสาวกนั้ นย อมรูชั ดวา ชาติ สิ้ นแล ว, พรหมจรรย อั นเราอยู จบแล ว, กิ จที่ ควรทํ าได กระทํ าเสร็จแล ว, กิ จอื่ นเพื่ อความเป นอย างนี้ มิ ได มี อี ก ดั งนี้ ."; เป นข อความซึ่ งเหมื อนกั น ทุกตัวอักษร จนตลอดขอความ มีแปลกกันแตเพียงชื่อแหงทิฏฐิแตละทิฏฐิ เทานั้น.) [๔. มิจฉาทิฏฐิ]๒
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ อะไรมี อ ยู ห นอ เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง อะไร
๑
สูตรที่ ๔ ทิฏฐิวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๒๓/๓๕๒, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. สูตรที่ ๕ ทิฏฐิวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๒๔/๓๕๔, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
๒
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๓๘๗
เพราะปกใจเขาไปสูอะไร มิจฉาทิฏฐิ จึงเกิดขึ้น?...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๓๘๗
(ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ที่ ๒ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลาย ของพวกข าพระองค "... ไปจนจบข อความ ด วยคํ าวา... "อริยสาวกนั้ นย อมรูชั ดวา ชาติ สิ้ นแล ว, พรหมจรรย อั นเราอยู จบแล ว, กิจที่ควรทําไดกระทําเสร็จแลว, กิจอื่นเพื่ อความเป นอยางนี้ มิ ไดมี อีก ดั งนี้ ."; เป นขอความซึ่งเหมื อนกัน ทุกตัวอักษร จนตลอดขอความ ตางกันแตเพียงชื่อแหงทิฏฐิแตละทิฏฐิ เทานั้น.) [๕. สักกายทิฏฐิ]๑
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ อะไรมี อ ยู ห นอ เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง อะไร เพราะปกใจเขาไปสูอะไร สักกายทิฏฐิ จึงเกิดขึ้น?...ฯลฯ... (ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ที่ ๒ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลาย ของพวกข าพระองค "... ไปจนจบข อความ ด วยคํ าวา... "อริยสาวกนั้ นย อมรูชั ดวา ชาติ สิ้ นแล ว, พรหมจรรย อั นเราอยู จบแล ว, กิจที่ควรทําไดกระทําเสร็จแลว, กิจอื่นเพื่ อความเป นอยางนี้ มิ ไดมี อีก ดั งนี้ ."; เป นขอความซึ่งเหมื อนกัน ทุกตัวอักษร จนตลอดขอความ ตางกันแตเพียงชื่อแหงทิฏฐิแตละทิฏฐิ เทานั้น.) [๖. อัตตานุทิฏฐิ]๒
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ อะไรมี อ ยู ห นอ เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง อะไร เพราะปกใจเขาไปสูอะไร อัตตานุทิฏฐิ จึงเกิดขึ้น?...ฯลฯ...
(ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ที่ ๒ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลาย ของพวกข าพระองค "... ไปจนจบข อความ ด วยคํ าวา... "อริยสาวกนั้ นย อมรูชั ดวา ชาติ สิ้ นแล ว, พรหมจรรย อั นเราอยู จบแล ว, กิ จที่ ควรทํ าได กระทํ าเสร็จแล ว, กิ จอื่ นเพื่ อความเป นอย างนี้ มิ ได มี อี ก ดั งนี้ ."; เป นข อความซึ่ งเหมื อนกั น ทุกตัวอักษร จนตลอดขอความ ตางกันแตเพียงชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.)_
๑
สูตรที่ ๖ ทิฏฐิวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๒๕/๓๕๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. สูตรที่ ๗ ทิฏฐิวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๒๖/๓๕๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
๒
www.buddhadasa.info
๓๘๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗ [๗. สัญโญชนาภินิเวสวินิพันธะ]๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ความผูกพันดวยสังโยชนและอภินิเวส (ความผูกพันในอารมณ ดวยกิเลสเปนเครื่องผูกและทิฏฐิเปนเครื่องตามเห็น) จึงเกิดขึ้น? ...ฯลฯ... (ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ที่ ๒ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พ ระองค ผู เจริญ ! ธรรมทั้ งหลาย ของพวกข าพระองค "... ไปจนจบข อความ ด วยคํ าวา... "อริยสาวกนั้ นย อมรูชั ดวา ชาติ สิ้ นแล ว, พรหมจรรย อั นเราอยู จบแล ว, กิ จที่ ควรทํ าได กระทํ าเสร็จแล ว, กิ จอื่ นเพื่ อความเป นอย างนี้ มิ ได มี อี ก ดั งนี้ ."; เป นข อความซึ่ งเหมื อนกั น ทุกตัวอักษร จนตลอดขอความ ตางกันแตเพียงชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.) [๘. สัญโญชนาภินิเวสวินิพันธาชโฌสานะ]๒
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่ออะไรมีอยูหนอ เพราะเขาไปยึดถือซึ่งอะไร เพราะปกใจเขาไปสูอะไร การหยั่งลงสูความผูกพันดวยสังโยชนและอภินิเวส จึง เกิดขึ้น?
www.buddhadasa.info ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลายเหลานั้ น กราบทู ลวิงวอนวา "ขาแต พระองค ผูเจริญ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ขาพระองค มีพระผูมีพระภาคเปนมูล มีพระผูมีพระภาคเปนผูนํา มีพระผูมีพระภาคเปนที่ พึ่ง. ขาแตพระองค ผู เจริ ญ ! เป นการชอบแล วหนอ ขอให อรรถแห งภาษิ ตนั้ น จงแจ มแจ งกะพระผู มี พ ระภาคเองเถิ ดภิ กษุ ทั้งหลายไดฟงจากพระผูมี พระภาคแลว จักทรงจําไว" ดังนี้. พระผูมี พระภาคเจา ตรัสเตือนใหภิกษุ ทั้ งหลาย เหลานั้นตั้งใจฟงดวยดีแลว ไดตรัสขอความดังตอไปนี้ :-
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อ รูป นั่ น แล มี อ ยู เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง รู ป เพราะปกใจเขาไปสูรูป การหยั่งลงสูความผูกพันดวยสังโยชนและอภินิเวส จึงเกิดขึ้น.
๑
สูตรที่ ๘ ทิฏฐิวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๒๕/๓๖๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. สูตรที่ ๙ ทิฏฐิวรรค ขันธสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๒๗/๓๖๒, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
๒
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๓๘๙
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้ งหลาย จะสํ าคั ญ ความข อนี้ ว าอย างไร? รู ป เที่ ย งหรื อ ไม เที่ ย ง? ("ไม เที่ ย ง พระเจ าข า!") ก็ สิ่ งใดไม เที่ ย ง สิ่ งนั้ น เป น ทุ ก ข ห รื อ เป นสุ ขเล า? ("เป นทุ กข พระเจ าข า!") แม สิ่ งใดไม เที่ ยง เป นทุ กข มี ความแปรปรวน เปนธรรมดา แตถาไมเขาไปยึดถือซึ่งสิ่งนั้นแลว การหยั่งลงสูความผูกพันดวยสังโยชน และอภินิเวส จะเกิดขึ้นไดไหม? ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!"). (ในกรณี แห งเวทนา สั ญญา สั งขาร วิญญาณ ก็ มี ถ อยคํ าที่ ตรัส, ตรัสถาม, และพวกภิ กษุ ทูลตอบ อยางเดียวกันทุกตัวอักษรกับในกรณีแหงรูปนี้ ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธแตละขันธเทานั้น.)
ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อริยสาวกผูไดสดับแลว เห็ นอยูอยางนี้ ยอมเบื่ อ หน ายแม ในรูป, แม ในเวทนา, แม ในสั ญ ญา, แม ในสั งขารทั้ งหลาย, แม ในวิ ญ ญาณ. เมื่อเบื่อหนาย ยอมคลายกําหนัด; เพราะความคลายกําหนัด จึงหลุดพน; เมื่อหลุดพนแลว ยอมมีญาณเกิดขึ้นแกอริยสาวกนั้นวา"หลุดพนแลว"ดังนี้. อริยสาวกนั้น ยอมรูชัดอยางนี้วา "ชาติ สิ้ นแล ว, พรหมจรรย อั นเราอยู จบแล ว, กิ จที่ ควรทํ าได กระทํ าเสร็ จแล ว, กิ จอื่ น เพื่อความเปนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า ทิ ฏ ฐิ ทุ ก ชนิ ด เกิ ด ขึ้ น เพราะปรารภขั น ธ ๕ อั น เป น ที่ ตั้ งของความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เนื่ องมาจากเกิ ดผั สสะและเวทนา อยา งใดอยา งหนึ ่ง กอ น จึง เกิด การตามเห็น หรือ เกิด ทิฏ ฐิขึ ้น โดยสมควรแกค วามรู ส ึก ที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น ในใจของบุ ค คลนั้ น ๆ จนสรุ ป เป น ทิ ฏ ฐิ ไ ด อ ย า งหนึ่ ง ๆ แม นี้ ก็ เป น อาการแห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาทที่ ซ อ นเร น อยู อ ย า งครบถ ว น แต ถู ก ป ด บั ง เสี ย มิ ด ชิ ด ด ว ยทิ ฏ ฐิ นั้ น นั่ น เอง; ดัง นั ้น จึง ถือ วา ทิฏ ฐิแ ตล ะทิฏ ฐิ ยอ มปด บัง อิท ัป ปจ จยตา กลา วคือ ปฏิจ จสมุป บาท อีกนั่นเอง.
www.buddhadasa.info
๓๙๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ไมควบคุมรากฐานแหงปฏิจจสมุปบาทจึงเกิดทุกข๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ผั สสายตนะทั้ งหลาย ๖ อย างเหล านี้ อั นบุ คคล ไม ฝ ก แลวไมคุมครองแลวไมรักษาแลวไมสํารวมระวังแลว ยอม เปนสิ่งนํามาอยางยิ่งซึ่งทุกข. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ผั ส สายตนะทั้ ง หลาย ๖ อย า ง นั้ น เป น อย า ง ไรเลา? หกอยาง นั้นคือ : ผัสสายตนะคือจักษุ (ตา) …ฯลฯ… … นํามาอยางยิ่งซึ่งความทุกข; ผัสสายตนะคือโสตะ (หู) …ฯลฯ… … นํามาอยางยิ่งซึ่งความทุกข; ผัสสายตนะคือฆานะ (จมูก) …ฯลฯ… … นํามาอยางยิ่งซึ่งความทุกข; ผัสสายตนะคือชิวหา (ลิ้น) …ฯลฯ… … นํามาอยางยิ่งซึ่งความทุกข; ผัสสายตนะคือกายะ (กาย) …ฯลฯ… … นํามาอยางยิ่งซึ่งความทุกข; ผัสสายตนะคือมนะ (ใจ) …ฯลฯ… … นํามาอยางยิ่งซึ่งความทุกข;
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ผั สสายตนะทั้ งหลาย ๖ อย างเหล านี้ แล อั นบุ คคล ไม ฝ กแล ว ไม คุ มครองแล ว ไม รักษาแล ว ไม สํ ารวมระวั งแล ว ย อมเป นสิ่ งนํ ามาอย างยิ่ ง ซึ่งทุกข หมายเหตุ ผู รวบรวม : ผู ศึ กษาพึ งสั งเกตให เห็ นว า ผั สสายตนะทั้ งหลายเหล านี้ เปน รากฐานหรือ ตน เงื ่อ นของปฏิจ จสมุป บาททางฝา ยการปฏิบ ัต ิ ดัง บาลีว า “เพราะ อาศั ย ตาด ว ย รู ป ทั้ ง หลายด ว ย จึ ง เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ ; การประจวบพร อ มแห ง ธรรม ๓ ประการนั้ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เ วทนา; …ฯลฯ…” ดั ง นี้ เ ป น ต น เพราะฉะนั้ น การไม ค วบคุ ม ผั ส สายตนะ ก็ คื อ การไม ค วบคุ ม การเกิ ด แห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท นั่นเอง จึงเกิดทุกข.
๑
สูตรที่ ๑ ฉฬวรรค สฬา.สํ. ๑๘/๘๘/๑๒๘.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๓๙๑
คนพาลกับบัณฑิตตางกันโดยหลักปฏิจจสมุปบาท๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อคนพาล มี อ วิ ชชาเป นเครื่ องห อหุ ม ประกอบ พรอมแลวด วยตัณหา, กายนี้ ในลั กษณะอย างนี้ ก็ ตั้ งขึ้นพรอมแล ว กลาวคื อ มี กายนี้ ดวย มีนามรูปอันเปนภายนอกดวย (เปนของคูกัน). เพราะอาศัยของเปนคู ๆ อยาง นี้ ยอมเกิดผัสสะ เกิดอายตนะถึง ๖ ทางนั่นเทียว ซึ่งเมื่อมีการสัมผัสแลวทั้งหมด หรือแมเพียงอยางใดอยางหนึ่ง คนพาลก็เสวยสุขและทุกข. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อคนบั ณฑิ ต มี อวิ ชชาเป นเครื่องห อหุ ม ประกอบ พรอมแลวดวยตัณหา, กายนี้ในลักษณะอยางนี้ ก็ตั้งขึ้นพรอมแลว กลาวคือ มีกายนี้ดวย มีน ามรูป อัน เปน ภายนอกดวย (เปนของคูกัน). เพราะอาศัยของเปนคู ๆ อยาง นี้ ยอมเกิดผัสสะ เกิดอายตนะถึง ๖ ทางนั่ นเทียว ซึ่งเมื่อมีการสัมผัสแลวทั้งหมด หรือแมเพียงอยางใดอยางหนึ่ง บัณฑิตก็เสวยสุขและทุกข. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ในระหวางคนพาลกับบัณฑิต ดังที่กลาวมานี้ อะไร เป นความผิ ดแปลกแตกต างกั น อะไรเป นความมุ งหมายที่ แตกต างกั น อะไรเป นเครื่อง กระทําใหตางกัน ระหวางคนพาลกับบัณฑิต?
www.buddhadasa.info ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ขาพระองค มีพระผูมีพระภาคเปนมูล มีพระผูมีพระภาคเปนผูนํา มีพระผูมีพระภาคเปนที่พึ่ง. ขาแตพระองคผู เจริญ ! เป น การชอบแล วหนอ ขอให อ รรถแห งภาษิ ต นั้ น จงแจ ม แจ งกะพระผู มี พ ระภาคเองเถิ ด ภิ ก ษุ ทั้งหลายไดฟงจากพระผูมีพระภาคแลว จักทรงจําไว" ดังนี้.
๑
สูตรที่ ๙ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สฺ. ๑๖/๒๘/๕๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๓๙๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗ พระผู มี พ ระภาคเจ า ได ต รั ส ว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ถ า อย า งนั้ น พวกเธอ
ทั้งหลายจงฟง, จงทําในใจใหสําเร็จประโยชน, เราจักกลาวบัดนี้" ดังนี้. ครั้ นภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น ทู ลสนองรั บพระพุ ทธดํ ารั สแล ว, พระผู มี พระภาคเจ า ได ตรั ส ถอยคําเหลานี้วา :-
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อคนพาล ถู กอวิ ชชาใดห อหุ มแล ว ประกอบพร อม แล วด วยตั ณ หาใด, กายนี้ จึ งตั้ งขึ้ น พรอ ม; อวิ ชชานั้ น เป น สิ่ งที่ คนพาลละไม ได ด วย, ตั ณ หานั้ น ก็ ยั ง ไม สิ้ น รอบ ด ว ย. ที่ เป น ดั ง นี้ เพราะเหตุ ไ ร? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ที่เปนดังนี้เพราะเหตุวา คนพาลไมไดประพฤติพรหมจรรยเพื่อความสิ้นไปแหงทุกข โดยชอบ; เพราะเหตุ นั้ น คนพาลจึ งเป นผู เข าถึ งกาย เพราะการแตกทํ าลายแห งกาย. คนพาลนั้ น เป น ผู เข าถึ งกายอยู ย อ มไม พ นจากชาติ ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย : เรากลาววา ยอมไมพนจากทุกข ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อบั ณ ฑิ ต ถู กอวิ ชชาใดห อหุ มแล ว ประกอบพร อม แล วด วยตั ณ หาใด,กายนี้ จึ งตั้ งขึ้ น พร อ ม; อวิ ชชานั้ น เป น สิ่ งที่ บั ณ ฑิ ต ละได แล วด วย ตั ณ หานั้ น ก็ สิ้ นรอบด วย. ที่ เป นดั งนี้ เพราะเหตุ ไร? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ที่ เป น ดั งนี้ เพราะเหตุวา บัณฑิตไมไดประพฤติพรหมจรรยเพื่อความสิ้นไปแหงทุกขโดยชอบ; เพราะเหตุ นั้ น บั ณ ฑิ ตจึ งเป นผู เข าถึ งกาย เพราะการแตกทํ าลายแห งกาย. บั ณ ฑิ ตนั้ น เป นผู เข าถึ งกายอยู ย อมไม พ นจากชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาส ทั้งหลาย : เรากลาววา ยอมไมพนจากทุกข ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ แล เป นความผิ ดแปลกแตกต างกั น เป นความมุ ง หมายที่ แตกต างกั นเป นเครื่องทํ าให ต างกั น ระหวางคนพาลกั บบั ณฑิ ต กล าวคื อ ระบบ พรหมจริยวาส ที่แตกตางกัน, ดังนี้แล.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๓๙๓
เปนสมณะหรือไมเปนสมณะ ขึ้นอยูกับการรูหรือไมรูปฏิจจสมุปบาทโดยนัยสี่๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมไม รู ทั่ วถึ งซึ่งชรามรณะ, ย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่ งสาเหตุ ให เกิ ดขึ้นแห งชรามรณะ, ย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่ ง ความดับไม เหลื อแห งชรามรณะ, ทั้ งย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่งขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุถึ งความ ดับไมเหลือแหงชรามรณ; ย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่ ง ชาติ , ย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่ งสาเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งชาติ , ย อมไม รู ทั่ วถึ งซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งชาติ , ทั้ งย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ ง ความดับไมเหลือแหงชาติ; ยอมไมรูทั่วถึงซึ่ง ภพ, ยอมไมรูทั่วถึงซึ่งสาเหตุใหเกิดขึ้นแหงภพ, ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งความดับไม เหลือแหงภพ, ทั้งยอมไม รูทั่ วถึงซึ่งขอปฏิ บั ติเครื่องทํ าสัตวใหลุถึงความดั บ ไมเหลือแหงภพ;
www.buddhadasa.info ย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่ ง อุ ปทาน, ย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่ งสาเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งอุ ปทาน, ย อมไม รูทั่ วถึ ง ซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งอุ ปทาน, ทั้ งย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่ งขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ า สัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงอุปทาน;
๑
สูตรที่ ๓ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สฺ. ๑๖/๑๗/๓๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๓๙๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ยอมไมรูทั่วถึงซึ่ง ตัณหา, ยอมไมรูทั่วถึงซึ่งสาเหตุใหเกิดขึ้นแหงตัณหา, ยอม ไมรูทั่วถึงซึ่งความดับไมเหลือแหงตัณหา, ทั้งยอมไมรูทั่วถึงซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุ ถึงความดับไมเหลือแหง ตัณหา; ย อมไม รู ทั่ วถึ งซึ่ งเวทนา, ย อมไม รู ทั่ วถึ งซึ่ งสาเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งเวทนา, ยอมไมรูทั่วถึงซึ่งความดับไมเหลือแหงเวทนา, ทั้งยอมไมรูทั่วถึงซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตว ใหลุถึงความดับไมเหลือแหงเวทนา; ยอมไมรูทั่วถึงซึ่ง ผัสสะ, ยอมไมรูทั่วถึงซึ่งสาเหตุใหเกิดขึ้นแหงผัสสะ, ยอม ไม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ผั ส สะ, ทั้ ง ย อ มไม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งทํ า สัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงผัสสะ; ยอมไมรูทั่วถึงซึ่งสฬายตนะ, ยอมไมรูทั่วถึงซึ่งสาเหตุใหเกิดขึ้นแหงสฬายตนะ, ยอมไม รูทั่ วถึ งซึ่งความดั บไม เหลื อแห งสฬายตนะ, ทั้ งย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่งขอปฏิ บั ติ เครื่อง ทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสฬายตนะ;
www.buddhadasa.info ยอมไม รูทั่ วถึ งซึ่งนามรูป, ยอมไม รูทั่ วถึงซึ่งสาเหตุ ให เกิดขึ้นแห งนามรูป, ย อมไม รู ทั่ วถึ งซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งนามรูป, ทั้ งย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ า สัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงนามรูป;
ยอมไมรูทั่วถึงซึ่ง วิญญาณ, ยอมไมรูทั่วถึงซึ่งสาเหตุใหเกิดขึ้นแหงวิญญาณ, ย อ มไม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห ง วิ ญ ญาณ, ทั้ ง ย อ มไม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ข อ ปฏิ บั ติ เครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงวิญญาณ;
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๓๙๕
ย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่ ง สั งขารทั้ งหลาย, ย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่ งสาเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห ง สั งขาร, ย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร, ทั้ งย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่ งขอปฏิ บั ติ เครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับ ไมเหลือแหงสังขาร; ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหลานั้ น มิ ใช ผู ที่ ควรได รับ การสมมติวาเปนสมณะในหมูสมณะ มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวา เปนพราหมณในหมู พราหมณ . อี ก อย า งหนึ่ ง บุ ค คลผู ไ ม รู เ หล า นั้ น จะทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง ประโยชน แ ห ง ความเป นสมณะ หรือประโยชนแหงความเป นพราหมณ ดวยป ญญาอันยิ่งเองเขาถึงแลว แลอยู ในทิฏฐิธรรมนี้ หาไดไม. (ปฏิปกขนัย ฝายตรงขาม)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ยอมรูทั่วถึงซึ่ง ชรามรณะ, ยอมรูทั่วถึงซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงชรามรณะ, ยอมรูทั่วถึงซึ่ง ความดับไมเหลือแหงชรามรณะ, ทั้งยอมรูทั่วถึงซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับ ไมเหลือแหงชรามรณะ;
www.buddhadasa.info ย อ มรู ทั่ ว ถึ งซึ่ ง ชาติ , ย อ มรู ถึ งซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งชาติ , ย อ มรู ทั่ ว ถึ ง ซึ่งความดับไมเหลือแหงชาติ, ทั้งยอมรูทั่วถึงซึ่งขอปฏิ บัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับ ไมเหลือแหงชาติ;
ย อมรู ทั่ วถึ งซึ่ ง ภพ, ย อ มรู ถึ งซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ นแห งภพ, ย อ มรู ทั่ วถึ งซึ่ ง ความดับไมเหลือแหงภพ, ทั้งยอมรูทั่วถึงซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือ แหงภพ;
www.buddhadasa.info
๓๙๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ย อ มรู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง อุ ป ทาน, ย อ มรู ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง อุ ป ทาน, ย อ ม รูทั่ วถึงซึ่งความดับไมเหลือแหงอุปทาน, ทั้งยอมรูทั่ วถึงซึ่งขอปฏิบั ติเครื่องทําสัตวให ลุถึง ความดับไมเหลือแหงอุปทาน; ย อ มรู ทั่ วถึ งซึ่ งตั ณ หา, ย อ มรู ถึ งซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งตั ณ หา, ย อ มรูทั่ ว ถึงซึ่งความดับไมเหลือแหงตัณหา, ทั้งยอมรูทั่วถึงซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความ ดับไมเหลือแหงตัณหา; ย อมรูทั่ วถึ งซึ่ ง เวทนา, ย อมรูถึ งซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งเวทนา, ย อมรูทั่ ว ถึงซึ่งความดับไมเหลือแหงเวทนา, ทั้งยอมรูทั่วถึงซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความ ดับไมเหลือแหงเวทนา; ย อมรูทั่ วถึ งซึ่ งผั สสะ, ย อมรูถึ งซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งผั สสะ, ย อมรูทั่ วถึ ง ซึ่งความดับไมเหลือแหงผัสสะ, ทั้งยอมรูทั่วถึงซึ่งขอปฏิ บัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับ ไมเหลือแหงผัสสะ;
www.buddhadasa.info ย อ มรู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง สฬายตนะ, ย อ มรู ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง สฬายตนะ, ยอมรูทั่วถึงซึ่งความดับไมเหลือแหงสฬายตนะ, ทั้งยอมรูทั่วถึงซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตว ใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสฬายตนะ;
ย อ มรู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง นามรู ป , ย อ มรู ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง นามรู ป , ย อ มรู ทั่วถึงซึ่งความดับไม เหลือแห งนามรูป, ทั้งยอมรูทั่ วถึงซึ่งขอปฏิบั ติเครื่องทํ าสัตวให ลุถึง ความดับไมเหลือแหงนามรูป;
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๓๙๗
ย อมรู ทั่ วถึ งซึ่ ง วิ ญ ญาณ, ย อมรู ถึ งซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งวิ ญ ญาณ, ย อมรู ทั่วถึงซึ่งความดับไมเหลือแหงวิญญาณ, ทั้ งยอมรูทั่วถึงซึ่งขอปฏิบั ติเครื่องทํ าสัตวใหลุถึง ความดับไมเหลือแหงวิญญาณ; ย อ มรู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง สั ง ขารทั้ ง หลาย, ย อ มรู ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขาร, ย อมรูทั่ วถึ งซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร, ทั้ งย อมรูทั่ วถึ งซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุถึงความดับไมเหลือแหงสังขาร; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ย อมเป นผู ควรได รั บ การสมมติ วาเป นสมณะในหมู สมณะ ย อมเป นผู ควรได รับการสมมติ วาเป นพราหมณ ใน หมู พ ราหมณ . อี ก อย างหนึ่ ง บุ ค คลผู รู ทั่ ว ถึ งเหล า นั้ น ย อ มทํ าให แ จ งซึ่ ง ประโยชน แห ง ความเป น สมณะหรื อ ประโยชน แ ห ง ความเป น พราหมณ ด ว ยป ญ ญาอั น ยิ่ ง เอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐิธรรมนี้ ไดโดยแท, ดังนี้ แล. ห ม ายเห ตุ ผู รวบ รวม : ยั ง มี สู ต รอี ก สู ต รหนึ่ ง (สู ต รที่ ๙ ทสพ ลวรรค นิ ท านสั ง ยุ ต ต นิ ท าน.สฺ . ๑๖/๕๓/๙๔.) มี เนื้ อ ความเหมื อ นกั บ สู ต รข า งบนนี้ ทุ ก ประการ ผิ ด กั น แต เพี ย งสู ต รนี้ ใช คํ า ว า "ปชานาติ (รู ทั่ ว ถึ ง)" สู ต รโน น ใช คํ า ว า "ปริ ช านาติ (รู รอบคอบ)"; สําหรับการรูปฏิจจสมุปบาท. และยั งมี สู ตรอี กสู ตรหนึ่ ง (สู ตรที่ ๔ อาหารวรรค นิ ทานสั งยุ ตต นิ ทาน.สํ . ๑๖/๑๙/๔๐.)มี ใ จความเหมื อ นสู ต รข า งบนนี้ ทุ ก ประการ ผิ ด กั น แต เพี ย งว า ทรงใช อั ก ษรให มากขึ้ น . ตั วอย างเช น แทนที่ จ ะตรั ส ว า "ชรามรณะ, เหตุ เกิ ด ชรามรณะ, ความดั บ ชรามรณะ, ทางให ถึ ง ความดั บ ชรามรณะ", ตรง ๆ ดั ง นี้ ; แต ไ ด ใ ช คํ า ว า ธรรมขึ้ น มาก อ น ว า "ธรรม, เหตุ เกิ ด ธรรม, ความดั บ ธรรม, ทางให ถึ ง ความดั บ ธรรม", แล ว จึ ง ขยายความที ห ลั ง ให เห็ น ไดว า สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธรรมนั ้น คือ ชรามรณ ะ ชาติ ภพ....กระทั ่ง ถึง ....วิญ ญ าณ สัง ขาร; โดยตรัส วา "....ไมรู ทั ่ว ถึง ธรรมเหลา นี ้, เหตุเ กิด ธรรมเหลา นี ้, ความดับ ธรรมเหลา นี ้, ทางใหถ ึง ความดับ ธรรมเหลา นี ้; ไมรู ทั ่ว ถึง ธรรมเหลา ไหน, เหตุเ กิด ธรรมเหลา ไหน, ความดั บ ธรรมเหล า ไหน, ทางให ถึ ง ความดั บ ธรรมเหล า ไหน? ไม รู ทั่ ว ถึ ง ชรามรณะ, เหตุ เกิดชรามรณะ, ความดับชรามรณะ, ทางใหถึงความดับชรามรณะ;" ...ฯลฯ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๓๙๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗ เช น นี้ เรื่ อ ยไปทุ ก อาการของปฏิ จ จสมุ ป บาท จึ ง ถึ ง อาการที่ ๑๑ คื อ สั ง ขาร; แล ว สรุป รวม ด ว ยคํ า ว า ธรรมอี ก ครั้ ง ว า "ไม รู ทั่ ว ถึ ง ธรรมเหล า นี้ , เหตุ เกิ ด ธรรมเหล า นี้ , ความดั บ ธรรม เหล านี้ , ทางให ถึ งความดั บ ธรรมเหล านี้ ;" ส วนความนอกนี้ ทั้ งตอนต น และตอนท ายเหมื อ น กั บ เนื้ อความของสู ต รข างบนนั้ น ทุ กประการ. แม ในฝ ายปฏิ ป กขนั ยหรือนั ยตรงกั น ข าม ก็ ได ตรัสโดยนั ยะดั งที่ กล าวมานี้ หากแต ว าเป น ปฏิ ป ก ขนั ยเท านั้ น . การที่ ทรงแสดงโดยยกธรรม ขึ้ นมาก อนเชนนี้ ดู คล าย ๆ กั บวาประสงค จะให เข าใจวาทุ กสิ่ งทุ กอย างไม วาอะไร เรียกวา " ธรรม" คําเดียวไดทั้งนั้น.
เปนสมณะหรือไมเปนสมณะ ขึ้นอยูกับการรูหรือไมรูชรามรณะโดยนัยสี่๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ งย อม ไมรูทั่วถึงซึ่ง ชรามรณะ, ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงชรามรณะ, ยอมไมรูทั่ว ถึง ซึ่งความดั บไม เหลือแห งชรามรณะ,ย อมไม รูทั่ วถึงซึ่งขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสัตวให ลุ ถึ ง ความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะ หรือพราหมณ เหล านั้ น มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะในหมูสมณะ มิใชผูที่ควรไดรับการ สมมติวา เปน พราหมณในหมู พ ราหมณ.อีก อยา งหนึ ่ง บุค คลผู ไ มรูเหลา นั ้น จะทํ า ใหแ จง ซึ่งประโยชน แห ง ความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญา อันยิ่งเอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ หาไดไม.
www.buddhadasa.info (ปฏิปกขนัย)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนวาสมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ยอมรูทั่วถึงซึ่ง ชรามรณะ, ยอมรูทั่วถึงซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงชรามรณะ, ยอมรูทั่วถึง
๑
สูตรที่ ๑ สมณพราหมณวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๕๘/๓๐๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๓๙๙
ซึ่งความดับไมเหลือแหงชรามรณะ, ยอมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความ ดับไม เหลือแห งชรามรณะ; ดู ก อน ภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ย อม เปนผูควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะในหมูสมณะ ยอม เปนผูควรไดรับการสมมติวา เปนพราหมณ ในหมูพราหมณ . อีกอยางหนึ่ง บุคคลผูรูทั่วถึงเหลานั้น ยอมทําให แจงซึ่งประโยชนแหงความเปนสมณะ หรือประโยชนแหงความเปนพราหมณ ดวยป ญญา อันยิ่งเองเขาถึงแลวแลอยูในทิฏฐธรรมนี้ไดโดยแท,ดังนี้แล
เปนสมณะหรือไมเปนสมณะ ขึ้นอยูกับการรูหรือไมรูชาติโดยนัยสี่๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ งย อม ไม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ชาติ ,ย อ มไม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง ชาติ , ย อ มไม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อแห งชาติ ,ย อมไม รูทั่ วถึ งซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บ ไม เหลื อแหงชาติ ; ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย!สมณะ หรือพราหมณ เหลานั้ น มิ ใช ผู ที่ ควร ไดรับการสมมติวาเปนสมณะในหมูสมณะ มิใชผูที่ควรไดรับการ สมมติวาเปนพราหมณ ในหมูพราหมณ . อีกอยางหนึ่ง บุ คคลผูไมรูเหลานั้ น จะทําใหแจงซึ่งประโยชนแหง ความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ เข าถึ งแล วแลอยู ในทิ ฏฐธรรมนี้ หาไดไม.
www.buddhadasa.info (ตอนี้ไป เปนปฏิปกขนัย ฝายตรงขาม)
๑
สูตรที่ ๒ สมณพราหมณวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๕๘/๓๐๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๔๐๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อ มรู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ชาติ , ย อ มรูทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง ชาติ , ย อ มรูทั่ ว ถึ งซึ่ ง ความ ดับไมเหลือแหงชาติ, ยอมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหง ชาติ; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณะหรือ พราหมณ เหลานั้น ยอมเปนผูควรไดรับการ สมมติวาเปนสมณะ ในหมูสมณะยอมเปนผูควรไดรับการสมมติวาเปนพราหมณ ในหมู พราหมณ . อีกอยางหนึ่ง บุ คคลผูรูทั่ วถึงเหลานั้ น ยอมทําใหแจงซึ่งประโยชนแห ง ความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญาอั นยิ่ งเอง เขาถึ งแล ว แลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ ไดโดยแท, ดังนี้แล
เปนสมณะหรือไมเปนสมณะ ขึ้นอยูกับการรูหรือไมรูภพโดยนัยสี่๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ งย อมไม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ภพ, ย อ มไม รูทั่ ว ถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งภพ, ย อ มไม รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ความ ดับไม เหลือแห งภพ, ยอมไมรูทั่ วถึงซึ่งขอปฏิ บั ติเครื่องทําสัตวให ลุถึงความดับไมเหลื อ แห งภพ; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย!สมณะ หรือ พราหมณ เหล า นั้ น มิ ใช ผู ที่ ค วรได รั บ การสมมติวาเปนสมณะ ในหมูสมณะ มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวาเปนพราหมณ ใน หมูพราหมณ .อีกอยางหนึ่ง บุคคลผูไมรูเหลานั้น จะทําใหแจงซึ่งประโยชนแหงความ เป นสมณะ หรื อประโยชน แห งความเป นพราหมณ เข าถึ งแล วแลอยู ในทิ ฏฐธรรมนี้ หาไดไม.
www.buddhadasa.info (ตอนี้ไป เปนปฏิปกขนัย ฝายตรงขาม)
๑
สูตรที่ ๓ สมณพราหมณวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๕๘/๓๐๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๐๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อ มรู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ภพ, ย อ มรู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง ภพ, ย อ มรู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ความ ดับไมเหลือแหงภพ,ยอมรูทั่วถึงซึ่งขอ ปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหง ภพ; ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหลานั้ น ยอมเป นผู ควรได รับการ สมมติวาเปนสมณะ ในหมูสมณะ ยอมเปนผูควรไดรับการสมมติวาเปนพราหมณในหมู พราหมณ . อีกอยางหนึ่ง บุ คคลผูรูทั่ วถึงเหลานั้ น ยอมทําใหแจงซึ่งประโยชนแห ง ความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญาอั นยิ่ งเอง เข าถึ งแล ว แลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ ไดโดยแท, ดังนี้แล
เปนสมณะหรือไมเปนสมณะ ขึ้นอยูกับการรูหรือไมรูอุปาทานโดยนัยสี่๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อม ไมรูทั่วถึง ซึ่งอุปาทาน , ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงอุปาทาน, ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งความดั บไม เหลื อแห งอุ ปาทาน, ย อมไม รูทั่ วถึ ง ซึ่งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ ง ความดั บไม เหลื อแห งอุ ปาทาน; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะในหมูสมณะ มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวา เปนพราหมณ ในหมูพราหมณ . อีกอยางหนึ่ง บุ คคลผู ไม รูเหลานั้ น จะทําใหแจงซึ่ง ประโยชน แห งความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ เขาถึ งแล วแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ หาไดไม.
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๒ สมณพราหมณวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๕๘/๓๐๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๔๐๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗ (ตอนี้ไป เปนปฏิปกขนัย ฝายตรงขาม)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ยอมรูทั่ วถึ ง ซึ่ งอุ ป าทาน, ย อมรูทั่ วถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งอุ ปาทาน, ย อมรูทั่ วถึ ง ซึ่งความดับไมเหลือแหงอุปาทาน,ยอมรูทั่วถึงซึ่งขอปฏิบั ติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับ ไม เหลื อ แห ง อุ ป าทาน; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณะหรือ พราหมณ เหล า นั้ น ย อ ม เปนผูควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะ ในหมูสมณะ ยอมเปนผูควรไดรับการสมมติวา เปนพราหมณ ในหมูพราหมณ. อีกอยางหนึ่ง บุคคลผูรูทั่วถึงเหลานั้น ยอมทําใหแจง ซึ่ งประโยชน แห งความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญา อันยิ่งเอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ ไดโดยแท, ดังนี้แล
เปนสมณะหรือไมเปนสมณะ ขึ้นอยูกับการรูหรือไมรูตัณหาโดยนัยสี่๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ งย อม ไม รูทั่ ว ถึ ง ซึ่ งตั ณ หา, ย อ มไม รูทั่ วถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งตั ณ หา, ย อ มไม รูทั่ วถึ ง ซึ่งความดับไมเหลือแหงตัณหา, ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับ ไม เหลื อ แห งตั ณ หา; ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือ พราหมณ เหล านั้ น มิ ใช ผู ที่ ควรได รับการสมมติวาเป นสมณะในหมูสมณะ มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวาเป น พราหมณ ในหมูพราหมณ. อีกอยางหนึ่ง บุคคลผูไมรูเหลานั้น จะทําใหแจงซึ่ง
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๕ สมณพราหมณวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๕๘/๓๐๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๐๓
ประโยชนแหงความเปนสมณะ หรือประโยชนแหงความเปนพราหมณ ดวยปญญาอันยิ่งเอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ หาไดไม. (ตอนี้ไป เปนปฏิปกขนัย ฝายตรงขาม)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ยอมรูทั่ วถึง ซึ่งตั ณหา, ยอมรูทั่ วถึง ซึ่งเหตุ ให เกิดขึ้นแห งตัณหา, ยอมรูทั่ วถึงซึ่ งความ ดับไม เหลือแหงตัณหา, ยอมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบั ติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือ แห งตั ณ หา; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น ย อมเป นผู ควรได รับการสมมติวาเปนสมณะในหมูสมณะ ยอมเปนผูควรไดรับการสมมติวาเปนพราหมณ ในหมูพราหมณ . อีกอยางหนึ่ง บุคคลผูรูทั่วถึงเหลานั้น ยอมทําใหแจงซึ่งประโยชน แห งความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญาอันยิ่งเอง เขาถึ ง แลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ ไดโดยแท, ดังนี้แล
เปนสมณะหรือไมเปนสมณะ ขึ้นอยูกับการรูหรือไมรูเวทนาโดยนัยสี่๑
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ งย อม ไม รูทั่ วถึ ง ซึ่ ง เวทนา, ย อ มไม รูทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งเวทนา, ย อ มไม รูทั่ ว ถึ ง ซึ่งความดับไมเหลือแหงเวทนา,ยอมไมรูทั่วถึงซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับ
๑
สูตรที่ ๖ สมณพราหมณวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๕๘/๓๐๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๔๐๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ไม เหลื อ แห ง เวทนา; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณะหรื อ พราหมณ เหล า นั้ น มิ ใ ช ผู ที่ ค วรได รับ การสมมติ วาเป น สมณะในหมู ส มณะ มิ ใชผู ที่ ควรไดรับ การสมมติวา เป น พราหมณ ในหมู พ ราหมณ . อี ก อยางหนึ่ ง บุ ค คลผู ไม รูเหล านั้ น จะทํ าให แจ ง ซึ่ งประโยชน แห งความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญา อันยิ่งเอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ หาไดไม. (ตอนี้ไป เปนปฏิปกขนัย ฝายตรงขาม)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ยอ มรู ทั ่ว ถึง ซึ ่ง เวทนา, ยอ มรู ทั ่ว ถึง ซึ ่ง เหตุใ หเกิด ขึ ้น แหง เวทนา, ยอ มรู ทั ่ว ถึง ซึ่งความดับไมเหลือแห งเวทนา, ยอมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบั ติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับ ไม เหลื อแห งเวทนา; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือ พราหมณ เหล านั้ น ย อมเป น ผูควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะในหมูสมณะ ยอมเปนผูควรไดรับการสมมติวา เปนพราหมณ ในหมูพราหมณ. อีกอยางหนึ่ง บุคคลผูรูทั่วถึงเหลานั้น ยอมทําใหแจง ซึ่ งประโยชน แห งความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญา อันยิ่งเอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ ไดโดยแท, ดังนี้ แล
เปนสมณะหรือไมเปนสมณะ www.buddhadasa.info ขึ้นอยูกับการรูหรือไมรูผัสสะโดยนัยสี่ ๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ งย อม ไมรูทั่วถึง ซึ่งผัสสะ, ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงผัสสะ, ยอมไมรูทั่วถึง
๑
สูตรที่ ๗ สมณพราหมณวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๕๘/๓๐๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๐๕
ซึ่งความดั บไม เหลื อแห งผัสสะ, ย อมไม รูทั่ วถึ ง ซึ่งขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุถึ งความ ดับไมเหลือแหงผัสสะ; ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหลานั้น มิ ใชผู ที่ ควรได รับการสมมติวาเป นสมณะในหมูสมณะ มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวาเป น พราหมณ ในหมู พ ราหมณ . อี ก อย า งหนึ่ ง บุ ค คลผู ไม รู เหล า นั้ น จะทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง ประโยชน แห งความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญาอั นยิ่ ง เอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ หาไดไม. (ตอนี้ไป เปนปฏิปกขนัย ฝายตรงขาม)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ งย อม รูทั ่ว ถึง ซึ ่ง ผัส สะ, ยอ มรูทั ่ว ถึง ซึ ่ง เหตุใ หเกิด ขึ ้น แหง ผัส สะ, ยอ มรูทั ่ว ถึง ซึ ่ง ความ ดั บไม เหลื อแห งผั สสะ, ยอมรูทั่ วถึ ง ซึ่งขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อ แห งผั สสะ; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ นย อมเป นผู ควรได รับ การสมมติวาเปนสมณะ ในหมูสมณะ ยอมเปนผูควรไดรับการสมมติวาเปน พราหมณในหมูพราหมณ . อีกอยางหนึ่ง บุคคลผูรูทั่วถึงเหลานั้น ยอมทําใหแจงซึ่งประโยชน แห งความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญาอันยิ่งเอง เขาถึ ง แลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ ไดโดยแท, ดังนี้ แล
www.buddhadasa.info เปนสมณะหรือไมเปนสมณะ ขึ้นอยูกับการรูหรือไมรูสฬายตนะโดยนัยสี่๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมไม รูทั่วถึง ซึ่งสฬายตนะ, ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงสฬายตนะ, ยอมไมรูทั่วถึง
๑
สูตรที่ ๘ สมณพราหมณวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๕๘/๓๐๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๔๐๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งสฬายตนะ, ย อมไม รูทั่ วถึ ง ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ ง ความดั บไม เหลื อแห งสฬายตนะ; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรื อพราหมณ เหล านั้ น มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะในหมูสมณะ มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวา เป นพราหมณ ในหมู พราหมณ .อี กอย างหนึ่ ง บุ คคลผู ไม รู เหล านั้ น จะทํ าให แจ งซึ่ ง ประโยชน แห งความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญาอั นยิ่ งเอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้หาไดไม. (ตอนี้ไป เปนปฏิปกขนัย ฝายตรงขาม)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรื อพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ยอมรูทั่ วถึง ซึ่ งสฬายตนะ, ยอมรูทั่ วถึง ซึ่งเหตุ ให เกิ ดขึ้นแห งสฬายตนะ, ยอมรูทั่ วถึ ง ซึ่งความดั บไม เหลื อแห งสฬายตนะ, ย อมรูทั่ วถึ ง ซึ่ งขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความ ดั บไม เหลื อแห งสฬายตนะ; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรื อพราหมณ เหล านั้ นย อม เปนผูควรได รับการสมมติ วาเป นสมณะในหมูสมณะ ยอมเปนผูควรไดรับการสมมติวา เปนพราหมณ ในหมูพราหมณ . อีกอยางหนึ่ ง บุ คคลผูรูทั่ วถึ งเหลานั้ น ยอมทําให แจง ซึ่ งประโยชน แห งความเป นสมณะ หรื อประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญ ญา อันยิ่งเอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ได โดยแท, ดังนี้ แล
www.buddhadasa.info เปนสมณะหรือไมเปนสมณะ ขึ้นอยูกับการรูหรือไมรูนามรูปโดยนัยสี่๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรื อพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมไม รูทั่วถึง ซึ่งนามรูป, ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงนามรูป, ยอมไมรูทั่วถึง
๑
สูตรที่ ๙ สมณพราหมณวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๕๙/๓๐๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๐๗
ซึ่งความดับไมเหลือแหงนามรูป, ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความ ดับไมเหลือแหงนามรูป; ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหลานั้น มิใชผูที่ ควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะ ในหมูสมณะ มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวาเปนพราหมณในหมู พราหมณ . อีกอยางหนึ่ง บุคคลผูไมรูเหลานั้น จะทําใหแจงซึ่งประโยชนแหงความ เป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญาอันยิ่งเอง เขาถึ งแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้หาไดไม. (ปฏิปกขนัย)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อ มรู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง นามรู ป , ย อ มรูทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง นามรู ป , ย อ มรู ทั่ ว ถึ ง ซึ่งความดับไมเหลือแหงนามรูป, ยอมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับ ไม เหลื อแห งนามรูป; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ นย อมเป นผู ควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะในหมูสมณะ ยอมเปนผูควรไดรับการสมมติวาเปน พราหมณ ในหมู พราหมณ . อี กอย างหนึ่ ง บุ คคลผู รูทั่ วถึ งเหล านั้ น ย อมทํ าให แจ ง ซึ่งประโยชน แหงความ เปนสมณะ หรือประโยชน แหงความเป นพราหมณ ดวยป ญญาอันยิ่ง เองเขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ ไดโดยแท, ดังนี้ แล
เปนสมณะหรือไมเปนสมณะ www.buddhadasa.info ขึ้นอยูกับการรูหรือไมรูวิญญาณโดยนัยสี่ ๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมไม รูทั่วถึง ซึ่งวิญญาณ, ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงวิญญาณ, ยอมไมรูทั่วถึง
๑
สูตรที่ ๑๐ สมณพราหมณวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๕๙/๓๐๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๔๐๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ซึ่งความดับไมเหลือแหงวิญญาณ, ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความ ดับไม เหลือแหงวิญญาณ; ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย!สมณะหรือ พราหมณ เหลานั้น มิใชผูที่ ควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะในหมูสมณะ มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวา เปน พราหมณ ใ นหมู พ ราหมณ . อี ก อย า งหนึ่ ง บุ ค คลผู ไ ม รู เหล า นั้ น จะทํ า ให แ จ ง ซึ่ ง ประโยชน แห งความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญาอั น ยิ่งเอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ หาไดไม. (ปฏิปกขนัย)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ยอมรูทั่ วถึ งซึ่ ง วิญ ญาณ, ย อมรูทั่ วถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้นแห งวิญ ญาณ, ย อมรูทั่ วถึ ง ซึ่งความดับไมเหลือแหงวิญญาณ, ยอมรูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับ ไม เหลื อแห งวิญญาณ; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ นย อมเป นผู ควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะ ในหมูสมณะ ยอมเปนผูควรไดรับการสมมติวาเปน พราหมณ ในหมู พ ราหมณ . อีกอยางหนึ่ ง บุ ค คลผู รูทั่ วถึ งเหล านั้ น ยอ มทําให แจง ซึ่งประโยชน แห งความ เป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญา อันยิ่งเอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ได โดยแท, ดังนี้ แล
www.buddhadasa.info เปนสมณะหรือไมเปนสมณะ ขึ้นอยูกับการรูหรือไมรูสังขารโดยนัยสี่๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อม ไมรูทั่วถึง ซึ่งสังขาร, ยอมไมรูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงสังขาร, ยอมไม
๑
สูตรที่ ๑๑ สมณพราหมณวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๕๙/๓๐๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๐๙
รูทั่วถึง ซึ่งความดับไมเหลื อแห งสังขาร, ย อมไม รูทั่ วถึง ซึ่งขอปฏิ บั ติเครื่องทําสัตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ น มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะในหมูสมณะ มิใชผูที่ควรไดรับการสมมติวา เป น พราหมณ ในหมู พ ราหมณ . อี ก อยางหนึ่ ง บุ ค คลผู ไม รูเหล านั้ น จะทํ าให แจ ง ซึ่ งประโยชน แห งความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญา อันยิ่งเอง เขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ หาไดไม. (ปฏิปกขนัย)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ ก็ ตาม เหล าใดเหล าหนึ่ ง ยอมรูทั่วถึง ซึ่ง สั งขารทั้งหลาย, ยอมรูทั่วถึง ซึ่งเหตุ ใหเกิดขึ้นแห งสังขาร, ยอมรูทั่วถึง ซึ่งความดับไม เหลือแห งสังขาร, ยอมรูทั่ วถึงซึ่งขอ ปฏิ บั ติเครื่องทํ าสัตวให ลุ ถึงความ ดั บไม เหลื อแห งสั งขาร; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ นย อมเป น ผูควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะในหมูสมณะ ยอมเปนผูควรไดรับ การสมมติวาเปน พราหมณ ในหมูพ ราหมณ . อีกอยางหนึ่ง บุ คคลผูรูทั่ วถึงเหลานั้น ยอมทําใหแจง ซึ่ งประโยชน แห งความเป นสมณะ หรือประโยชน แห งความเป นพราหมณ ด วยป ญญา อันยิ่งเองเขาถึงแลวแลอยู ในทิฏฐธรรมนี้ได โดยแท,ดังนี้แล
www.buddhadasa.info ควบคุมรากฐานแหงปฏิจจสมุปบาทจึงเกิดสุข ๑
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ผัสสายตนะทั้งหลาย ๖ อยางเหลานี้ อันบุคคลฝกแลว คุมครองแลว รักษาแลว สํารวมระวังแลว ยอมเปนสิ่งนํามาอยางยิ่งซึ่งสุข
๑
สูตรที่ ๑ ฉฬวรรค สฬา.สํ. ๑๘/๘๘/๑๒๙.
www.buddhadasa.info
๔๑๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ผั สสายตนะทั้ งหลาย ๖ อย าง นั้ นเป นอย างไรเล า? หกอยาง นั้นคือ:ผัสสายตนะ คือจักษุ (ตา) ...ฯลฯ... ...นํามาอยางยิ่งซึ่งสุข; ผัสสายตนะ คือโสตะ (หู) ...ฯลฯ... ...นํามาอยางยิ่งซึ่งสุข; ผัสสายตนะ คือฆานะ (จมูก)...ฯลฯ... ...นํามาอยางยิ่งซึ่งสุข; ผัสสายตนะ คือชิวหา (ลิ้น) ...ฯลฯ... ...นํามาอยางยิ่งซึ่งสุข; ผัสสายตนะ คือกายะ (กาย)...ฯลฯ... ...นํามาอยางยิ่งซึ่งสุข; ผัสสายตนะ คือมนะ (ใจ) ...ฯลฯ... ...นํามาอยางยิ่งซึ่งสุข; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ผั สสายตนะทั้ งหลาย ๖ อย างเหล านี้ แล อั นบุ คคล ฝกแลว คุมครองแลว รักษาแลว สํารวมระวังแลว ยอมเปนสิ่งนํามาอยางยิ่งซึ่งสุข. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า ผั ส สายตนะเหล า นี้ เป นรากฐานหรือต นเงื่ อนของปฏิ จจสมุ ปบาททางฝ ายการปฏิ บั ติ ดั งพระบาลี ว า "เพราะอาศั ย ตาด วยรูป ทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ดจั กขุ วิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการนั้ น คือ ผัส สะ; เพราะมีผ ัส สะเปน ปจ จัย จึง มีเ วทนา; ...ฯลฯ..."ดัง นี ้เ ปน ตน . เพราะฉะนั ้น การควบคุมผัสสายตนะ ก็คือการควบคุมการเกิดแหงปฏิจจสมุปทานนั่นเอง จึงเปนสุข
www.buddhadasa.info ปฏิจจสมุปบาทอาการหนึ่ง (นันทิใหเกิดทุกข) ถาเห็นแลวทําใหหยุดความมั่นหมายในสิ่งทั้งปวง๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ในโลกนี้ ปุ ถุ ชนผู ไม มี การสดั บ ไม เห็ นพระอริ ยเจ า ทั้งหลาย ไมฉลาดในธรรมของพระอริยเจา ไมไดรับการแนะนําในธรรมของพระอริยเจา,
๑
มู ล ปริ ย ายสู ต ร ม.ม.๑๒/๑/๒, ตรั ส แก ภิ ก ษุ ทั้ งหลาย ที่ โคนพญาไม ส าละ ในป า สุ ภ ควั น ใกล เมื อ ง อุกกัฏฐะ.ขอความที่แสดงใหเห็นวา ปฏิจจสมุปบาทอาการที่มีความสําคัญในการละความมั่นหมายทุกชนิด ตามหัวขอขางบนนี้ นั้น มี อยูในตอนที่จะจบขอความแหงหัวขอนี้ที่เดียว. ขอใหสังเกตดู มิฉะนั้นจะเขาใจ ไมได วาใจความของเรื่องอยูที่ตรงไหน,
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๑๑
ไม เห็ นสั ปบุ รุษทั้ งหลาย ไม ฉลาดในธรรมของสั ปบุ รุษ ไม ได รับการแนะนํ าในธรรมของ สัปบุรุษ. บุถุชน นั้น :(๑) ย อ มรู สึ ก ซึ่ ง ดิ น โดยความเป น ดิ น ; ครั้ น รู สึ ก ซึ่ งดิ น โดยความเป น
ดินแลว ยอมสําคัญมั่นหมายซึ่งดิน; ยอมสําคัญมั่นหมายในดิน; ยอมสําคัญมั่นหมาย โดยความเปนดิน; ยอมสําคัญมั่นหมายวา ดินของเรา; ยอมเพลินอยางยิ่งซึ่งดิน. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา? ขอนั้นเรากลาววา เพราะดินเปนสิ่งที่ปุถุชนนั้น มิไดรูโดย รอบแลว. (๒)๑ยอมรูสึกซึ่ง น้ํา ...ฯลฯ...ฯลฯ...ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๓) ยอมรูสึกซึ่ง ไฟ ...ฯลฯ...ฯลฯ...ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๔) ยอมรูสึกซึ่ง ลม ...ฯลฯ...ฯลฯ...ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๕) ยอมรูสึกซึ่ง ภูตสัตวทั้งหลาย ...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๖) ยอมรูสึกซึ่ง เทพทั้งหลาย ...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๗) ยอมรูสึกซึ่ง ปชาบดี ...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๘) ยอมรูสึกซึ่ง พรหม ...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว.
www.buddhadasa.info
๑
การละ...ฯลฯ...ไว อ ย า งนี้ หมายความว า ให เติ ม ข อ ความให เต็ ม เช น เดี ย วกั บ ข อ บน, ทุ ก ข อ ไป: เพื่อประหยัดการอาน,และหนากระดาษ
www.buddhadasa.info
๔๑๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
(๙) ยอมรูสึกซึ่ง อาภัสสรพรหมทั้งหลาย ...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๑๐) ยอมรูสึกซึ่ง สุภกิณหพรหมทั้งหลาย...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๑๑) ยอมรูสึกซึ่ง เวหัปผลพรหมทั้งหาลย ...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๑๒) ยอมรูสึกซึ่ง อภิภู...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๑๓) ยอมรูสึกซึ่ง อากาสานัญจายตนะ ...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๑๔) ยอมรูสึกซึ่ง วิญญาณณัญจายตนะ...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๑๕) ยอมรูสึกซึ่ง อากิญจัญญายตนะ ...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๑๖) ยอมรูสึกซึ่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะ...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๑๗) ยอมรูสึกซึ่ง รูปที่เห็นแลว ...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๑๘) ยอมรูสึกซึ่ง เสียงที่ไดฟงแลว...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๑๙) ยอมรูสึกซึ่ง สิ่งที่รูสึกแลว (ทางจมูก,ลิ้น,ผิวกาย)...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๒๐) ยอมรูสึกซึ่ง สิ่งที่รูแจงแลว (ทางมโนวิญญาณ)...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๑๓
(๒๑) ยอมรูสึกซึ่ง เอกภาวะ (เอกตฺตํ) ...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๒๒) ยอมรูสึกซึ่ง นานาภาวะ (นานตฺตํ)...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๒๓) ยอมรูสึกซึ่ง สรรพภาวะ (สพฺพํ)...ฯลฯ...ฯลฯ... ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (๒๔) ยอมรูสึกซึ่ง นิ พพาน โดยความเป นนิ พพาน; ครั้นรูสึกซึ่งนิ พพาน โดยความเป นนิพพานแลว ยอมสําคัญมั่ นหมายซึ่งนิ พพาน; ยอมสําคัญมั่ นหมายใน นิพพาน; ยอมสําคัญมั่นหมายโดยความเปนนิพพาน; ยอมสําคัญมั่นหมายวา นิพพาน ของเรา; ยอ มเพลิน อยา งยิ ่ง ซึ ่ง นิพ พาน. ขอ นั ้น เพราะเหตุไ รเลา ? ขอ นั ้น เรา กลาววา เพราะนิพพานเปนสิ่งที่ปุถุชนนั้น มิไดรูโดยรอบแลว. (เครื่องกําหนดภูมิของปุถุชน เปนปฐมนัย จบแลว)
ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! สวนวา ภิกษุ ใด ยังเปนเสขะอยู มีความประสงค แห งใจ (อรหั ตตผล)อั นตนยั งไม บรรลุ แล ว ปรารถนาอยู ซึ่ งธรรมเป นแดนเกษมจากโยคะ อันไมมีธรรมอื่นยิ่งกวา; ภิกษุนั้น :-
www.buddhadasa.info (๑) ยอม จะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่งดิน โดยความเปนดิน; ครั้นจะรูโดยยิ่งขึ้น ไปซึ่งดินโดยความเปนดินแลว ยอม จะไมสําคัญมั่นหมายซึ่งดิน; ยอมจะไมสําคัญ มั่นหมายในดิน; ยอมจะไมสําคัญมั่นหมายโดยความเปนดิน; ยอมจะไมสําคัญ มั่นหมายวาดินของเรา; ยอมจะไมเพลินอยางยิ่งซึ่งดิน. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา? ขอนั้นเรากลาววา เพราะดินเปนสิ่งที่พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ
www.buddhadasa.info
๔๑๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
(๒)๑ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง น้ํา ...ฯลฯ...พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๓) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง ไฟ ...ฯลฯ...พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๔) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง ลม ...ฯลฯ...พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๕) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง ภูตสัตวทั้งหลาย ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๖) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง เทพ ทั้งหลาย ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๗) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง ปชาบดี ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๘) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง พรหม ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๙) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง อาภัสสรพรหม ทั้งหลาย ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๑๐) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง สุภกิณหพรหม ทั้งหลาย ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๑๑) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง เวหัปผลพรหม ทั้งหลาย ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๑๒) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง อภิภู ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๑๓) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง อากาสานัญจายตนะ ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ.
www.buddhadasa.info
๑
ข อ ที่ (๑)เรื่ อ งดิ น และข อ ที่ (๒๔)เรื่ อ งนิ พ พานมี ข อ ความเต็ ม รู ป เรื่ อ งอย า งไร ในข อ ที่ (๒)ถึ ง ข อ ที่ (๒๓)ซึ่งละไวดวย...ฯลฯ...นั้น พึงเพิ่มขอความใหเต็ม อยางเดียวกัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๑๕
(๑๔) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง วิญญาณัญจายตนะ ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๑๕) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง อากิญจัญญายตนะ ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๑๖) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะ ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๑๗) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง รูปที่เห็นแลว ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๑๘) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง เสียงที่ไดฟงแลว ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๑๙) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง สิ่งที่รูสึกแลว (ทางจมูก,ลิ้น,ผิวกาย) ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๒๐) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง สิ่งที่รูแจงแลว (ทางมโนวิญญาณ) ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๒๑) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง เอกภาวะ (เอกตฺตํ) ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๒๒) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง นานาภาวะ (นานตฺตํ) ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๒๓) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่ง สรรพภาวะ (สพฺพํ) ...ฯลฯ... พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (๒๔) ยอมจะรูโดยยิ่งขึ้นไปซึ่งนิพพาน โดยความเปนนิพพาน; ครั้นจะรู โดยยิ่งขึ้นไปซึ่งนิพพานโดยความเปนนิพพานแลว ยอมจะไมสําคัญมั่นหมายซึ่งนิพพาน; ยอมจะไมสําคัญมั่นหมายในนิพพาน; ยอมจะไมสําคัญมั่นหมายโดยความเปน
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๔๑๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
นิพพาน; ยอมจะไมสําคัญมั่นหมายวานิพพานของเรา; ยอมจะไมเพลินอยางยิ่ง ซึ่งนิ พ พาน. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา? ขอ นั้นเรากลาววา เพราะนิ พ พานเป น สิ่งที่ พระเสขะนั้น จะพึงรูไดโดยรอบ. (เครื่องกําหนดภูมิ ของเสขบุคคล เปนทุติยนัย จบแลว)
ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ฝ ายภิ กษุ ใด เป นพระอรหั นต ผู มี อาสวะสิ้นแล ว อยู จบพรหมจรรย ทํ ากิ จที่ ต องทํ าสํ าเร็จแล ว มี ภาระอั นปลงลงแล ว มี ประโยชน ของตน อันตามบรรลุถึงแลว มีสังโยชนในภพสิ้นไปรอบแลว เป นผูหลุดพ นแลวเพราะรูโดยชอบ; ภิกษุแมนั้น :(๑) ยอมรูชัดแจงซึ่งดิน โดยความเป นดิน; ครั้นรูชัดแจงซึ่งดินโดยความ เปนดินแลว ยอมไมสําคัญมั่นหมายซึ่งดิน; ยอมไมสําคัญมั่นหมายในดิน; ยอม ไมสําคัญมั่นหมายโดยความเปนดิน; ยอมไมสําคัญมั่นหมายวาดินของเรา; ยอม ไม เพลิ น อย า งยิ่ ง ซึ่ ง ดิ น . ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไ รเล า ? ข อ นั้ น เรากล า วว า เพราะดิ น เปนสิ่งที่พระขีณาสพนั้น ไดรูโดยรอบแลว; ...และเพราะวา ความเปนผูมีราคะไป ปราศแลว ยอมมีแกพระขีณาสพนั้น เพราะความสิ้นไปแหงราคะ; ...ความเปนผูมี โทสะไปปราศแลว ยอมมีแกพระขีณาสพนั้น เพราะความสิ้นไปแหงโทสะ; ...ความ เปนผูมีโมหะไปปราศแลว ยอมมีแกพระขีณาสพนั้น เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ.
www.buddhadasa.info (๒)๑ ยอมรูชัดแจงซึ่ง น้ํา ...ฯลฯ...ฯลฯ...เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๓) ยอมรูชัดแจงซึ่ง ไฟ ...ฯลฯ...ฯลฯ...เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ.
๑
ขอที่ (๑) เรื่องดิน และขอที่ (๒๔) มีขอความเต็มรูปเรื่องอยางไร ในขอที่ (๒) ถึงขอที่(๒๓) ซึ่งละ ไวดวย...ฯลฯ...นั้น พึงเพิ่มขอความใหเต็ม อยางเดียวกัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๑๗
(๔) ยอมรูชัดแจงซึ่ง ลม ...ฯลฯ...ฯลฯ...เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๕) ยอมรูชัดแจงซึ่ง ภูตสัตวทั้งหลาย ...ฯลฯ...ฯลฯ...เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๖) ยอมรูชัดแจงซึ่ง เทพทั้งหลาย ...ฯลฯ...ฯลฯ...เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๗) ยอมรูชัดแจงซึ่ง ปชาบดี ...ฯลฯ...ฯลฯ...เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๘) ยอมรูชัดแจงซึ่ง พรหม ...ฯลฯ...ฯลฯ...เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๙) ยอมรูชัดแจงซึ่ง อาภัสสรพรหม ทั้งหลาย ...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๑๐) ยอมรูชัดแจงซึ่ง สุภกิณหพรหมทั้งหลาย ...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๑๑) ยอมรูชัดแจงซึ่ง เวหัปผลพรหมทั้งหลาย ...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๑๒) ยอมรูชัดแจงซึ่ง อภิภู ...ฯลฯ...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๑๓) ยอมรูชัดแจงซึ่ง อากาสานัญจายตะ ...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๑๔) ยอมรูชัดแจงซึ่ง วิญญาณัญจายตนะ...ฯลฯ...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๑๕) ยอมรูชัดแจงซึ่ง อากิญจัญญายตนะ...ฯลฯ...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๑๖) ยอมรูชัดแจงซึ่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะ ...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๑๗) ยอมรูชัดแจงซึ่ง รูปที่เห็นแลว ...ฯลฯ...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๑๘) ยอมรูชัดแจงซึ่ง เสียงที่ไดฟงแลว...ฯลฯ...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๔๑๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
(๑๙) ยอมรูชัดแจงซึ่ง สิ่งที่รูสึกแลว (ทางจมูก,ลิ้น,ผิวกาย)...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๒๐) ยอมรูชัดแจงซึ่ง สิ่งที่รูแจงแลว (ทางมโนวิญญาณ)...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๒๑) ยอมรูชัดแจงซึ่ง เอกภาวะ (เอกตฺตํ) ...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๒๒) ยอมรูชัดแจงซึ่ง นานาภาวะ (นานตฺตํ) ...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๒๓) ยอมรูชัดแจงซึ่ง สรรพภาวะ (สพฺพํ) ...ฯลฯ... เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ. (๒๔) ยอมรูชัดแจงซึ่งนิ พพาน โดยความเป นนิ พพาน; ครั้งรูชัดแจงซึ่งนิพพาน โดยความเป น นิ พ พานแล ว ย อ ม ไม สํ า คั ญ มั่ น หมายซึ่ ง นิ พ พาน; ย อ มไม สํ า คั ญ มั่น หมายในนิพ พาน; ยอ ม ไมสํา คัญ มั่น หมายโดยความเปน นิพ พาน; ยอ ม ไม สํ า คั ญ มั่ น หมายว า นิ พ พานของเรา; ย อ มไม เพลิ น อย า งซึ่ ง นิ พ พาน. ข อ นั้ น เพราะเหตุไรเลา? ขอนั้นเรากลาววา เพราะนิพพานเปนสิ่งที่พระขีณาสพนั้น ไดรู โดยรอบแล ว; ...และเพราะว า ความเป นผู ราคะไปปราศแล ว ย อมมี แก พระขี ณ าสพ นั ้น เพราะความสิ ้น ไปแหง ราคะ;...ความเปน ผู ม ีโ ทสะไปปราศแลว ยอ มมีแ ก พระขี ณ าสพนั้ น เพราะความสิ้ น ไปแห งโทสะ; ...ความเป น ผู มี โมหะไปปราศแล ว ยอมมีแกพระขีณาสพนั้น เพราะความสิ้นไปแหงโมหะ.
www.buddhadasa.info (เครื่องกําหนดภูมิ ของอเสขบุคคล เปนตติย-ฉัฏฐนัย จบแลว)
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! แม ตถาคตผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็ :-
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๑๙
(๑) ย อ มรู ชั ด แจ ง ซึ่ ง ดิ น โดยความเป น ดิ น ; ครั้ ง รู ชั ด แจ ง ซึ่ ง ดิ น โดย ความเป นดินแลว ยอม ไม สํ าคั ญมั่ นหมายในดิน; ยอม ไม สํ าคั ญมั่ นหมายในดิ น; ยอม ไมสําคัญมั่นหมายโดยความเปนดิน; ยอม ไมสําคัญ มั่นหมายวาดินของเรา; ยอม ไมเพลินอยางยิ่งซึ่งดิน. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา? ขอนั้นเรากลาววา เพราะดินนั้น เป น สิ่งที่ ต ถาคตได รูโดยรอบแล ว ; ...ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! และขอ นั้นเรากลาววา เพราะรูแจง (โดยนัยแหงปฏิจจสมุปบาท ขอนี้) วา นันทิ เปนมูลแหงความทุกข; เพราะ มีภ พ จึง มีช าติ; ชรามรณะ ยอ มมี แกส ัต วผู เ กิด แลว ; ดัง นี ้; เพราะเหตุนั ้น ในเรื่ องนี้ ตถาคตจึ งชื่ อว าผู ตรั สพร อมเฉพาะแล ว ซึ่ งอนุ ตตรสั มมสั มโพธิ ญ าณ เพราะ ความสิ้ นไปแห งตั ณ หาทั้ งหลาย, เพราะความสํ ารอกไม เหลื อ, เพราะความดั บไม เหลื อ, เพราะความสลัดทิ้ง, เพราะความสลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๒)๑ ยอมรูชัดแจงซึ่งน้ํา ...ฯลฯ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๓) ยอมรูชัดแจงซึ่งไฟ ...ฯลฯ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๔) ยอมรูชัดแจงซึ่งลม ...ฯลฯ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๕) ยอมรูชัดแจงซึ่งภูตสัตวทั้งหลาย ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๖) ยอมรูชัดแจงซึ่งเทพทั้งหลาย ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๗) ยอมรูชัดแจงซึ่งปชาบดี ...ฯลฯ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๘) ยอมรูชัดแจงซึ่งพรหม ...ฯลฯ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๙) ยอมรูชัดแจงซึ่งอาภัสสรพรหมทั้งหลาย ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๑
ข อ ที่ (๑) เรื่ อ งดิ น และข อ ที่ (๒๔) เรื่ อ งนิ พ พาน มี ข อ ความเต็ ม รู ป เรื่ อ งอย างไร ในข อ ที่ (๒) ถึ งข อ ที่ (๒๓) ซึ่งละไวดวย...ฯลฯ...นั้น พึงเพิ่มขอความใหเต็ม อยางเดียวกัน.
www.buddhadasa.info
๔๒๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
(๑๐) ยอมรูชัดแจงซึ่งสุภกิณหพรหมทั้งหลาย ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๑๑) ยอมรูชัดแจงซึ่งเวปปผลพรหมทั้งหลาย ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๑๒) ยอมรูชัดแจงซึ่งอภิภู ...ฯลฯ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๑๓) ยอมรูชัดแจงซึ่งอากาสานั ญจายตนะ...ฯลฯ...สลัดคื น โดยประการทั้ งปวง; ดังนี้. (๑๔) ย อมรูชั ดแจ งซึ่ งวิ ญญณั ญจายตนะ ...ฯลฯ...สลั ดคื น โดยประการทั้ งปวง; ดังนี้. (๑๕) ยอมรูชัดแจงซึ่งอากิ ญจัญญยตนะ ...ฯลฯ...สลัดคื น โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๑๖) ย อมรูชั ดแจ งซึ่ งเนวสั ญญานาสั ญญายตนะ ...ฯลฯ...สลั ดคื น โดยประการ ทั้งปวง; ดังนี้. (๑๗) ยอมรูชัดแจงซึ่งรูปที่เห็นแลว ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๑๘) ยอมรูชัดแจงซึ่งเสียงที่ไดฟงแลว ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๑๙) ย อมรูชั ดแจ งซึ่ งสิ่ งที่ รู สึ กแล ว (ทางจมู ก, ลิ้ น, ผิ วกาย) ...ฯลฯ...สลั ดคื น โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (๒๐) ย อมรู ชั ดแจ งซึ่ งสิ่ งที่ รูแจ งแล ว (ทางมโนวิ ญ ญาณ) ...ฯลฯ...สลั ดคื นโดย ประการทั้งปวง; ดังนี้. (๒๑) ย อมรู ชั ดแจ งซึ่ งเอกภาวะ(เอกตฺ ตํ )...ฯลฯ...สลั ดคื น โดยประการทั้ งปวง; ดังนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๒๑
(๒๒) ยอมรูชัดแจงซึ่งนานาภาวะ (นานตฺตํ) ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง;ดังนี้. (๒๓) ยอมรูชัดแจงซึ่งสรรพภาวะ (สพฺพํ) ...ฯลฯ...สลัดคืน โดยประการทั้งปวง;ดังนี้. (๒๔) ยอมรูชัดแจงซึ่งนิ พพาน โดยความเป นนิ พพาน; ครั้นรูชัดแจงซึ่งนิ พพาน โดยความเปนนิพพานแลว ยอมไมสําคัญมั่นหมายซึ่งนิพพาน; ยอมไมสําคัญมั่นหมาย ในนิพ พาน; ยอ มไมสํ า คัญ มั ่น หมายโดยความเปน นิพ พาน; ยอ มไมสํ า คัญ มั ่น หมายวา นิพ พานของเรา; ยอ มไมเ พลิน อยา งยิ ่ง ซึ ่ง นิพ พาน. ขอ นั ้น เพราะ เหตุไรเลา? ขอนั้นเรากลาววา เพราะนิพพานนั้นเปนสิ่งที่ตถาคตไดรูโดยรอบแลว; ...ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! และขอนั้นเรากลาววา เพราะรูแจง (โดยนัยแหงปฏิจจสมุปบาท ขอนี้) วา นัน ทิ เปน มูล แหง ความทูก ; เพราะมีภ พ จึง มีช าติ; ชรามรณะ ยอ มมี แก สั ต ว ผู เกิ ด แล ว ; ดั ง นี้ ; เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ อ งนี้ ตถาคตจึ ง ชื่ อ ว า ผู ต รั ส รู พ ร อ ม เฉพาะแล ว ซึ่ งอนุ ตตรสั มมาสั มโพธิ ญาณ เพราะความสิ้ นไปแห งตั ณหาทั้ งหลาย, เพราะ ความสํ ารอกไม เหลื อ, เพราะความดั บไม เหลื อ, เพราะความสลั ดทิ้ ง, เพราะความสลั ดคื น โดยประการทั้งปวง; ดังนี้. (เครื่องกําหนดภูมิ ของพระศาสดา เปนสัตตม-อัฏฐมนัย จบแลว)
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า ข อ ความตามที่ ก ล า ว มาแล ว ทั้ ง หมดข า งบนนี้ มี ค วามเป น ปฏิ จ จสมุ ป บาท หรื อ อิ ทั ป ป จ จยตา อยู ใ นส ว นลึ ก , ต อ งพิ จ ารณาอย า งสุ ขุ ม จึ ง จะมองเห็ น .สิ่ งแรกที่ สุ ด ก็ คื อ ธรรมทั้ ง ๒๔ ประการ อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง อุ ป ทาน ของปุ ถุ ช น ดั งที่ ก ล า วไว ในสู ต รนี้ นั้ น ยกพระนิ พ พานเสี ย อย า งเดี ย วแล ว ย อ ม กลาวไดวาลวนแตเปน ปฏิจจสมุปปนนธรรม โดยตรง. สําหรับนิพพานนั้น ถาหมายถึง
www.buddhadasa.info
๔๒๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗ ทุ ก ขนิ โ รธ ก็ ยั ง คงอยู ใ นขอบเขตแห ง อิ ทั ป ป จ จยตา หรื อ ว า เป น ปฏิ จ จสมุ ป บาทส ว นนิ โรธ วาระ อยู นั ้น เอง. ผู ร วบรวมมีเ จตนานํ า เอาสูต รนี ้ม าแสดงไวใ นที ่นี ้ ดว ยความมุ ง หมาย ในการที่ จ ะให ผู ศึ ก ษาทุ ก ท า น พิ จ ารณากั น อย า งลึ ก ซึ้ ง เช น นี้ อั น จะมี ผ ลทํ า ให เห็ น ความ ลึ ก ซึ้ ง ของสิ่ ง ที่ เรี ย กว า ปฏิ จ จสมุ ป บาท สื บ ต อ ไปข า หน า . ส ว นข อ ความที่ ต รั ส ไว โดยเป ด เผยถึ งลั ก ษณะแห งปฏิ จจสมุ ป บาทในสู ตรนี้ ก็ ได แก ข อ ความตอนท ายที่ ตรั สว า "นั น ทิ เป น มู ล แห งความทุ ก ข , เพราะมี ภ พ จึ งมี ช าติ ", นั่ น เอง. แม จ ะกล า วแต โดยชื่ อ ว า นั น ทิ ก็ ย อ ม หมายถึ งอวิ ช ชา ด ว ย เพราะนั น ทิ ม าจากอวิ ช ชา, ปราศจากอวิ ช ชาแล ว นั น ทิ ห รือ อุ ป ทาน ก็ ต าม ย อ มมี ขึ้ น ไม ไ ด , นั น ทิ ห รื อ อุ ป ทานนั้ น ย อ มทํ า ให มี ภ พ ซึ่ ง จะต อ งมี ช าติ ช รามรณะ ตามมา โดยไม มี ที่ สงสั ย. ด วยเหตุ นี้ เอง การนํ าเอาอาการของปฏิ จจสมุ ป บาทมากล าว แม เพี ย งอาการเดี ย ว ก็ ย อ มเป น การกล า วถึ ง ปฏิ จ จสมุ ป ทานทุ ก อาการอยู ใ นตั ว โดยพฤติ นั ย หรื อ โดยอั ต โนมั ติ ; ดั ง นั้ น การรู แ จ ง ปฏิ จ จสมุ ป บาทเพี ย งอาการเดี ย ว แม โ ดยปริ ย ายว า "นั น ทิ เป น มู ล แห ง ทุ ก ข " เท า นั้ น ก็ อ าจจะสกั ด กั้ น เสี ย ซึ่ ง การเกิ ด ขึ้ น แห ง อุ ป ทาน ในธรรม ทั้ งหลาย ๒๔ ประการ ดั งที่ ก ล า วแล ว ในสู ต รนี้ ได ตามสมควรแก ค วามเป น ปุ ถุ ช น, ความ เป น พระเสขะ, ความเป น พระอเสขะ, และความเป น พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ าเป น ที่ สุ ด. ขอให พิ จารณาดู ให ดี ๆ ให เห็ นว า ความลั บแห งความเป นปฏิ จจสมุ ปบาท ย อมซ อนอยู ในกระแส ธรรมทั้งปวง ทั้งที่เปนรูปธรรม นาม ธรรม และธรรมเปนที่ดับแหงรูปและนาม ทั้งสองนั้น.
พอรูปฏิจจสมุปบาท ก็หายตาบอดอยางกระทันหัน๑
www.buddhadasa.info ดูกอนมาคัณฑิยะ! เปรียบเหมือนบุรุษตามืดบอดมาแตกําเนิด, เขาจะมอง เห็นรูปทั้งหลาย ที่มีสีดําหรือขาว เขียวหรือเหลือง แดงหรือขาว ก็หาไม; จะได เห็นที่อันเสมอหรือขรุขระ ก็หาไม; จะไดเห็นดวงดาว หรือดวงจันทรและดวงอาทิตย ก็หาไม. เขาไดฟงคําบอกเลาจากบุรุษผูมีตาดีวา "ดูกอนทานผูเจริญ! ผาขาวเนื้อดีนั้น เปนของงดงาม ปราศจากมลทิน เปนผาสะอาด มีอยู(ในโลก)" ดังนี้. บุรุษตาบอดนั้น จะพึงเที่ยวแสวงหาผาขาวอยู. ยังมีบุรุษผูหนึ่งลวงเขาดวยผาเนื้อเลวเปอนเขมาวา "ดูกอน
๑
มาคัณฑิยสูตร ม.ม. ๑๓/๒๘๔/๒๙๐, ตรัสแกมาคัณฑิยปริพพาชก ที่กัมมาสทัมมนิคม แควนกุรุ.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๒๓
ทานผูเจริญ! นี่!เปนผาขาวเนื้อดี, เปนของงดงาม ปราศจากมลทิน เปนผาสะอาด, สําหรับทาน" ดังนี้. บุรุษตาบอดก็จะพึงรับผานั้น; ครั้นรับแลวก็จะหม. ในกาลต อมา มิ ตร อมาตย ญาติ สาโลหิ ตของเขา เชิ ญแพทย ผ าตั ดผู ชํ านาญ มารั กษา. แพทย นั้ น พึ งประกอบซึ่ งเภสั ชอั นถ ายโทษในเบื้ องบน ถ ายโทษในเบื้ องต่ํ า ยาหยอด ยากั ดและยานั ตถุ เพราะอาศั ยยานั้ นเอง เขากลายเป นผู มี จั กษุ ดี ; พร อ ม กั บการมี จั กษุ ดี ขึ้นนั้ น, เขาย อมละความรักใครพอใจในผ าเนื้ อเลวเป อนเขม าเสี ยได ; เขาจะพึ งเป นอมิ ตร เป นข าศึ กผู หมายมั่ น ต อบุ รุ ษ ผู ลวงเขานั้ น; หรื อถึ งกั บเข าใจเลย ไปว า ควรจะปลงชี วิ ต เสี ย ด ว ยความแค น , โดยกล า วว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลายเอ ย ! เราถู กบุ รุษผู นี้ คดโกง หลอกลวง ปลิ้ นปล อน ด วยผ าเนื้ อเลวเป อนเขม า มานานหนั กหนา แล ว; โดยหลอกเราว า ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! นี้ แลเป น ผ าขาวเนื้ อ ดี เป น ของงดงาม ปราศจากมลทิน เปนผาสะอาดสําหรับทาน' ดังนี้"; อุปมานี้ฉันใด; ดู ก อ นมาคั ณ ฑิ ยะ! อุ ป ไมยก็ ฉั น นั้ น : เราแสดงธรรมแก ท านว า "อย างนี้ เปน ความไมม ีโ รค; อยา งนี ้ เปน นิพ พาน", ดัง นี ้. ทา นจะรู จ ัก ความไมม ีโ รค จะพึงเห็นนิพพานไดก็ตอเมื่อทานละความเพลิดเพลินและความกําหนัด ในอุปาทาน ขันธหาเสียได พรอมกับการเกิดขึ้นแหงธรรมจักษุของทานนั้น. อนึ่ง ความรูสึก จะพึงเกิดขึ้นแกทานวา "ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลายเอย! นานจริงหนอ ที่เราถูกจิตนี้ คดโกง หลอกลวง ปลิ้น ปลอก; จึง เราเมื่อ ยึด ถือ ก็ยึด ถือ เอาแลว ซึ่ง รูป , ซึ่งเวทนา, ซึ่งสัญญา, ซึ่งสังขาร, และซึ่งวิญญาณ นั่นเทียว :
www.buddhadasa.info เพราะความยึดถือ (อุปาทาน) ของเรานั้นเปนปจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ;
www.buddhadasa.info
๔๒๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
เพราะมีชาติเปนปจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส ทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี". ดังนี้. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตว า ปฏิ จ จสมุ ป บาทในกรณี นี้ แสดงอวิ ช ชา ด ว ยโวหารว า "เราถู ก จิ ต คดโกง หลอกลวง", จนยึ ด ถื อ รู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร และวิ ญ ญาณ. การที่ จ ะเกิ ด การยึ ด ถื อ ในขั น ธ เหล า นี้ ได จะต อ งมี อ ารมณ ม ากระทบ ทางตาหรื อ หู เป น ต น ก อ น และมี "อวิ ชชาสั ม ผั ส"ในอารมณ นั้ น , จนมี เวทนา ตั ณ หาอุ ป าทาน เกิ ด ขึ้ น ยึ ด มั่ น ต อ ความรู สึ ก ต า ง ๆ ภายในใจ; โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง ยึ ด มั่ น ในอั ส สาทะแห ง เวทนานั้ น จึ ง กลายเป น ยึ ด มั่ น ครบทั้ ง ห า อย า ง คื อ ทั้ ง รู ป เวทนาสั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ ดั ง ที่ ก ล า วแล ว ; หลั ง จากมี ก ารยึ ด มั่ น (อุ ป ทาน)แล ว ก็ มี ภ พ ชาติ จนถึ ง ที่ สุ ด ;นี้ เ ป น ปฏิจ จสมุป บ าท ตลอดทั ้ง สาย; แตต ัว อัก ษ รแสดงไวเ พีย งสองสาม อาการ; ผู ไ มมี ความเขาใจอันถูกตองในเรื่องนี้ จะไมรูสึกวา เปนปฏิจจสมุปบาททั้งสาย ไดอยางไร. ครั้ น ละอุ ป าทานได ทุ ก ข ดั บ ไป จึ ง รู สึ ก เหมื อ นกั บ หายตาบอดในทั น ใดนั้ น เพราะวิ ช ชาเกิ ด ขึ้ น รู สิ่ ง ทั้ ง หลายทั้ ง ปวงตามที่ เป น จริ ง ; โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง ก็ คื อ รู ป ฏิ จ จสมุ ป บาททั้ ง ฝ า ยสมุ ท ยวาระ และนิ โรธวาระ ด ว ยยถาภู ต สั ม มั ป ป ญ ญาของตนในขณะนั้ น นั่นเอง.
เพราะรูปฏิจจสมุปบาท www.buddhadasa.info จึงหมดความสงสัยเรื่องตัวตนทั้ง ๓ กาล ๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ในกาลใดแล ปฏิ จจสมุ ปบาทนี้ และปฏิ จจสมุ ปป นนธรรมเหลานี้ เปนสิ่งที่อริยสาวกเห็นชัดแลวดวยดี ดวยปญญาอันชอบตามที่เปนจริง
๑
สูตรที่ ๑๐ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๓๑/๖๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๒๕
(ยถาภูตสัมมัปปญญา) แลว ขอนั้นเปนฐานะที่จักมีไมไดวา ในกาลนั้น อริยสาวกนั้นจัก แล นไปสู ทิ ฏฐิ อั นปรารภที่ สุ ดในเบื้ องต น (ปุ พพั นตทิ ฏฐิ ) วา"ในกาลยื ดยาวนานฝ าย อดี ต เราได มี แ ล ว หรื อ หนอ; เราไม ไ ด มี แ ล ว หรื อ หนอ; เราได เ ป น อะไรแล ว หนอ; เราได เป น อย างไรแล ว หนอ; เราเป น อะไรแล ว จึ งได เป น อะไรอี ก แล ว หนอ"; ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือวาอริยาสาวกนั้นจักแลนไปสูทิฏฐิอันปรารภที่สุดในเบื้องปลาย (อปรันตทิฏฐิ) วา "ในกาลยื ด ยาวนานฝ า ยอนาคต เราจั ก มี ห รื อ ไม ห นอ; เราจั ก ไม มี ห รื อ หนอ; เราจั ก เป น อะไรหนอ; เราจั ก เป น อย า งไรหนอ; เราเป น อะไร แล ว จั ก เป น อะไรต อ ไปหนอ"; ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือวา อริยสาวกนั้ น จั กเป นผู มี ความสงสั ยเกี่ ยวกั บตน ปรารภกาลอั น เป น ป จ จุ บั น ในกาลนี้ ว า "เรามี อ ยู ห รื อ หนอ; เราไม มี อ ยู ห รื อ หนอ; เราเป น อะไร หนอ; เราเป น อย า งไรหนอ; สั ต ว นี้ ม าจากที่ ไหนแล ว จั ก เป น ผู ไปสู ที่ ไ หนอี ก หนอ" ; ดั งนี้ : ข อ นี้ เป น ฐานะที่ จั ก มี ไม ได . เพราะเหตุ ไรเล า ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ข อ นี้ เปนฐานะที่จักมีไมได เพราะเหตุวา ปฏิจจสมุปบาทนี้ และปฏิจจสมุปปนนธรรม เหลานี้ เปนสิ่งที่อริยสาวกนั้นเห็นชัดแลวดวยดี ดวยปญญาอันชอบ ตามที่เปน จริงนั่นเอง ดังนี้.
การรูเรื่องปฏิจจสมุปบาท ทําใหหมดปญหาเกี่ยวกับขันธในอดีตและอนาคต๑
www.buddhadasa.info สกุ ลุ ทายิ ปริ พพาชก ได ทู ลพระผู มี พระภาคเจ าด วยเรื่องที่ เขาเคยถามผู ที่ ปฏิ ญาณตั วเองว าเป น สั พพั ญู สั พพทั สสาวีอยู ทุ กอริยาบถ เมื่ อหลายวันมาแล ว ถึ งเรื่องอั นปรารภขั นธในอดี ต ผู ตอบกลั บตอบเถล ไถลไปเรื่องอื่ น แล วยั งพาลโกรธเอาด วย ทํ าให เขาระลึ กถึ งพระผู มี พระภาคเจ าว าคงทราบเรื่องนี้ เป นแน นอน เมื่อพระผูมีพระภาคเจาเสด็จมาสูอารามของเขา จึงไดปรารภเรื่องนี้ขึ้น. พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสวา :-
๑
จูฬสกุลทายิสูตร ม. ม, ๑๓/๓๕๔/๓๗๑, ตรัสแกสกุลทายิปริพพาชก ที่ปริพพาชการาม เมืองราชคฤห.
www.buddhadasa.info
๔๒๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ดู ก อนอุ ทายิ ! ถ าผู ใดพึ งระลึ กถึ งขั นธ ที่ เคยอยู อาศั ยในภพก อนได มี อย างต าง ๆ เป น เอนก คื อ ระลึ ก ได ช าติ ห นึ่ ง บ า ง สองชาติ สามชาติ สี่ ช าติ ห า ชาติ , สิ บ ชาติ ยี่ สิ บชาติ สามสิ บชาติ สี่ สิ บชาติ ห าสิ บชาติ , รอยชาติ พั นชาติ แสนชาติ บ าง, ตลอด หลายสังวัฏฏกัปป หลายวิวัฏฏกัปปหลายสังวัฏฏกัปปและวิฏฏกัปปบาง, วาเมื่อขาพเจา อยู ในภพโน น มี ชื่ ออย างนั้ น มี โคตร มี วรรณะ มี อาหารอย างนั้ นๆ,เสวยสุ ขและทุ กข เช นนั้ น ๆ, มี อายุ สุ ดลงเท านั้ น; ครั้ นจุ ติ จากภพนั้ นแล ว ได เกิ ดในภพโน น มี ชื่ อโครต วรรณะ อาหาร อย างนั้ น ๆ, ได เสวยสุ ขและทุ กข เช นนั้ น ๆ, มี อายุ สุ ดลงเท านั้ น; ครั้น จุติ จากภพนั้ น ๆๆๆ แล ว มาเกิ ดในภพนี้ . เขาพึ งระลึ กถึ งขั นธที่ เคยอยู อาศั ยในภพก อน ได หลายประการ พรอมทั้ งอาการและลั กษณะด วยประการฉะนี้ ดั งนี้ ไซร; ผู นั้ นแหละ ควรถามป ญหาปรารภขันธส วนอดี ตกะเรา หรือวาเราควรถามป ญหาปรารภขันธส วนอดี ต, กะผูนั้น ผูนั้นจะพึ งยังจิตของเราใหไดยินดวยการพยากรณ ป ญหาปรารภขันธสวนอดีต, หรือวาเราพึงยังจิตของผูนั้น ใหยินดีไดดวยการพยากรณปญหาปรารภขันธสวนอนาคต. ดูกอนอุทายิ! ถาผูใดพึงมีจักษุอันเปนทิพย บริสุทธิ์กวาจักษุของสามัญมนุษย, พึ งแลเห็นสัตวทั้ งหลายจุติอยู บั งเกิดอยู, เลวทราม ประณี ต, มีวรรณะดี มีวรรณะเลว, มีทุ กข มี สุ ข; รูแจงชัดหมู สัตวผู เขาถึ งตามกรรมวา "ผู เจริญทั้ งหลาย! สั ตวเหล านี้ หนอ ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต พูดติเตียนซึ่งพระอริยเจาทั้งหลาย เปนมิจฉาทิฏฐิ ประกอบการงานด วยอํ านาจมิ จฉาทิ ฏฐิ , เบื้ องหน าแต กายแตกตายไป ล วนพากั นเข าสู อบายทุ คติ วิ นิ บาตนรก. ท านผู เจริ ญ ทั้ งหลาย! ส วนสั ตว เหล านี้ หนอ ประกอบกาย สุ จริต วจี สุ จริต มโนสุ จริต ไม ติ เตี ยนพระอริยเจ า เป นสั มมาทิ ฏฐิ ประกอบการงาน ด วยอํ านาจสั มมทิ ฏฐิ , เบื้ องหน าแต กายแตกตายไป ล วนพากั นเข าสู สุ คติ โลกสวรรค ". เขาพึงมีจักษุทิพยบริสุทธิ์ลวงจักษุสามัญมนุษย แลเห็นเหลาสัตวผูจุติอยู บังเกิดอยูเลวทราม ประณีต มีวรรณะดี มีวรรณะทราม มีทุกข มีสุข, รูแจงชัดหมูสัตวผูเขาถึงตามกรรม
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๒๗
ได ดั งนี้ ไซร; ผู นั้ นแหละควรถามป ญหาปรารภขั นธ ส วนอนาคตกะเรา หรือว าเราควรถาม ป ญหาปรารภขันธ ส วนอนาคตกะผู นั้ น ผู นั้ นพึ งยั งจิ ตของเราให ยิ นดี ได ด วยการพยากรณ ป ญหาปรารภขั นธ ส วนอนาคต หรื อว าเราพึ งยั งจิ ตของผู นั้ นให ยิ นดี ได ด วยการพยากรณ ปญหาปรารภขันธสวนอนาคต. ดูก อ นอุท ายิ! เออก็เ รื ่อ ง ขัน ธใ นอดีต ยกไวก อ น; เรื ่อ งขัน ธใ น อนาคต ก็ยกไวกอน; เราจักแสดงธรรมแกทานอยางนี้วา "เมื่อสิ่งนี้มี, สิ่งนี้ยอมมี; เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห งสิ่ งนี้ , สิ่ งนี้ จึ งเกิ ด ขึ้ น ; เมื่ อ สิ่ งนี้ ไม มี , สิ่ งนี้ ย อ มไม มี ; เพราะ ความดับไมเหลือแหงสิ่งนี้, สิ่งนี้จึงดับไป", ดังนี้. สกุลทายิปริพพาชก ไดกราบทูลวา :"ขาแตพระองคผูเจริญ! แม แต เรื่องที่ไดเกิดแกขาพระองคในอัตภาพนี้ มีอยูเท าไร ขาพระองค ก็ ไม อาจที่ จะระลึ กได พรอมทั้ งอาการ พรอมทั้ งอุ เทศ (ทั้ งโดยรายละเอี ยดทั้ งโดยหั วข อ) เสี ยแล ว ไฉน ขาพระองคจะตามระลึกถึงขันธที่เคยอยูอาศัยในภพกอนไดมีอยางตาง ๆ เปนอเนก คือระลึกไดชาติหนึ่งบาง สองชาติบาง ...ฯลฯ... พรอมทั้งอาการและลักษณะ ดวยประการฉะนี้ เหมือนพระผูมีพระภาคเลา
www.buddhadasa.info ขาแต พระองค ผูเจริญ! แม ในกาลบั ดนี้ ขาพระองค ก็ไมเห็ นแม แตป งสุป ศาจ (ป ศาจเลนฝุน) เสี ยแล ว ไฉนข าพระองค จะเห็ นสั ตวทั้ งหลาย... ด วยจั กษุ อั นเป นทิ พย บริสุ ทธิ์ กวาจั กษุ ของสามั ญมนุ ษย ...ฯลฯ... รูแจงชัดหมูสัตวผูเขาถึงตามกรรมไดเหมือนพระผูมีพระภาคเลา. ขาแต พระองค ผู เจริญ! ก็ คํ าที่ พระผู มี พระภาคตรัสกะข าพระองค อย างนี้ วา ดู ก อนอุ ทายิ ! เออก็ เรื่องขั นธในอดี ตยกไวก อน เรื่องขั นธในอนาคตก็ ยกไวก อน เราจั กแสดงธรรมแก ท านอย างนี้ ว า ’เมื่อสิ่งนี้มี, สิ่งนี้ยอมมี; เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น; เมื่อสิ่งนี้ไมมี, สิ่งนี้ยอมไมมี, เพราะ ความดั บไปแห งสิ่ งนี้ สิ่ งนี้ จึงดั บไป. ดั งนี้ นั้ น ก็ ไม แจ มแจ งแก ขาพระองค โดยประมาณอั นยิ่ งเสี ยแล ว; ขาแต พระองค ผูเจริญ! ไฉนเลาขาพระองค จะพึ งยังจิตของพระผู มี พระภาคให ยินดี ด วยการพยากรณ ป ญหา ในลัทธิเปนของอาจารยแหงตน". หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ใจความสํ า คั ญ แห ง เรื่ อ ง นี้ ว า ถ า ผู ใดมี ค วามเข าใจในเรื่ อ งอิ ท ปป จ จยตาหรื อ ปฏิ จ จสมุ ป บาทแล ว จะไม รู สึ กว ามี อ ดี ต หรืออนาคต มีแตกระแสแหงการปรุงแตงของปจจัยที่ทยอยกันไป ตามแบบแหงอิทัป-
www.buddhadasa.info
๔๒๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗ ป จจยตา การบั ญ ญั ติ ว าอดี ตหรืออนาคตก็ เป นอั นยกเลิ กเพิ กถอนไป เพราะวาความมี อยู แห ง ขั น ธ ทั้ ง หลาย เป น เพี ย งกระแสแห งอิ ทั ป ป จ จยตาเท า นั้ น . อี ก อย างหนึ่ ง พึ งทราบว า ตาม พระบาลีนี้ ถือเป นหลักวา ปุ พเพนิ วาสานุ สสติ ญาณยอมปรารภขันธ ในอดี ต จุ ตู ปปาตญาณหรือ ทิพพจักขุญาณ ยอมปรารภขันธในอนาคต ขอใหผูศึกษาพึงพิจารณาดูดวยตนเองโดยละเอียด.
ผลอานิสงส พิเศษ ๘ ประการ ของการเห็นปฏิจจสมุปบาท๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ถู ก แล ว ! เมื่ อ เป น อย า งนี้ ก็ เป น อั น ว า พวกเธอ ทั้งหลายก็กลาวอยางนั้น, แมเราตถาคต ก็กลาวอยางนั้น, วา "เมื่อสิ่งนี้ไมมี, สิ่งนี้ยอม ไม มี ; เพราะสิ่ งนี้ ดั บ, สิ่ งนี้ ย อมดั บ๒ กล าวคื อ เพราะความดั บแห งอวิ ชชา จึ งมี ความ ดั บแห งสั งขาร; เพราะมี ความดั บแห งสั งขาร จึ งมี ความดั บแห งวิญญาณ; เพราะมี ความ ดั บ แห ง วิ ญ ญาณ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง นามรู ป ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง นามรู ป จึ ง มี ความดับแหงสฬายตนะ; เพราะมีความดับแหงสฬายตนะ จึงมีความดับแหงผัสสะ; เพราะมี ความดับแห งผัสสะ จึงมี ความดับแหงเวทนา; เพราะมี ความดับแหงเวทนา จึงมี ความดั บ แห งตั ณหา; เพราะมี ความดั บแห งตั ณหา จึ งมี ความดั บแห งอุ ปาทาน; เพราะมี ความดั บ แหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ;
www.buddhadasa.info ๑
มหาตั ณ หาสั งขยสู ตร ม.ม. ๑๒/๔๘๕/๔๕๐, ตรั สแก ภิ กษุ ทั้ งหลาย ที่ เชตวั น. ตั วเลขประจํ าข อในวงเล็ บ ทุกแหง พึงทราบวา มิไดมีในภาษาบาลี; ในที่นี้จัดใสขึ้น เพื่อกําหนดศึกษางายสําหรับเรื่องนี้. ๒ คํ าบาลี ของประโยคนี้ มี ว า "อิ มสฺ มึ อสติ , อิ ทํ น โหติ ; อิ มสฺ ส นิ โรธา อิ ทํ นิ รุชฺ ฌ ติ ." และกฎเกณฑ อันนี้ ตรัสเรียกวา กฎอิ ทั ปป จจยตา - "ความที่สิ่งนี้ ๆ เปนปจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิดขึ้น". สําหรับกฎอิทัปป จจยตานั้ น ขยายตั วออกไปเป นปฏิ จจสมุ ปบาท ทั้ งฝ ายสมุ ทยวารและนิ โรธวาร, สวนในที่ นี้ เป นอย าง นิโรธวาร.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๒๙
เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้". (๑) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! จะเป น ไปได ไหมว า พวกเธอ เมื่ อ รู อ ยู อ ย างนี้ เห็นอยูอยางนี้ จึงพึ งแลนไปสู ทิ ฏฐิอั นปรารภที่ สุดในเบื้ องตน (ปุ พพั นตทิฏฐิ) วา "ในกาลยื ดยาวนานฝ ายอดี ต เราได มี แล วหรื อหนอ; เราไม ได มี แล วหรื อหนอ ; เราได เป น อะไรแล วหนอ; เราได เป น อย าไรแล วหนอ; เราเป น อะไรแล ว จึ ง ได เป น อะไรอี ก แลวหนอ" ; ดังนี้? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา" (๒) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! หรื อว า จะเป น ไปได ไหมว า พวกเธอ เมื่ อรู อ ยู อยางนี้ เห็นอยูอยางนี้ จะพึงแลนไปสูทิฏฐิอันปรารภที่สุดในเบื้องปลาย (อปรันตทิฏฐิ) ว า "ในกาลยื ด ยาวนานฝ ายอนาคต เราจั ก มี ห รื อ หนอ; เราจั ก ไม มี ห รื อ หนอ; เราจั ก เป น อะไรหนอ; เราจั ก เป น อย า งไรหนอ; เราเป น อะไรแล ว จั ก เป น อะไรต อ ไปหนอ"; ดังนี้? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info (๓) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! หรื อว า จะเป นไปได ไหมว า พวกเธอ เมื่ อรู อยู อยางนี้ เห็นอยูอยางนี้ จะพึ งเปนผูมีความสงสัยเกี่ยวกับ ตน ปรารภกาลอันเป น ป จ จุ บั น ในกาลนี้ ว า "เรามี อ ยู ห รื อ หนอ; เราไม มี อ ยู ห รื อ หนอ ; เราเป น อะไรหนอ; เราเปนอยางไรหนอ; สัตวนี้มาจากที่ไหน แลวจักเปนผูไปสูที่ไหนอีกหนอ"; ดังนี้?
www.buddhadasa.info
๔๓๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗ "ขอนั้น หามิได พระเจาขา!"
(๔) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! จะเป น ไปได ไหมว า พวกเธอ เมื่ อ รู อ ย า งนี้ เห็นอยูอยางนี้ แลวจะพึงกลาววา "พระศาสดาเปนครูของพวกเรา ดังนั้น พวกเรา ตองกลาวอยางที่ทานกลาว เพราะความเคารพในพระศาสดานั่นเทียว" ดังนี้? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา!" (๕) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! จะเป นไปได ไหมว า พวกเธอ เมื่ อรู อยู อย างนี้ เห็นอยูอยางนี้ แลวจะพึงกลาววา "พระสมณะ(พระพุทธองค) กลาวแลวอยางนี้; แตสมณะทั้งหลายและพวกเรา จะกลาวอยางอื่น" ดังนี้? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา!" (๖) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! จะเป นไปได ไหมว า พวกเธอ เมื่ อรูอยู อย างนี้ เห็นอยูอยางนี้ จะพึงประกาศการนับถือศาสดาอื่น?
www.buddhadasa.info "ขอนั้น หามิได พระเจาขา!"
(๗) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! จะเป นไปได ไหมว า พวกเธอ เมื่ อรู อยู อย างนี้ เห็นอยูอยางนี้ จะพึงเวียนกลับไปสูการประพฤติซึ่งวัตตโกตูหลมงคลทั้งหลาย ตาม แบบของสมณพราหมณทั้งหลายเหลาอื่นเปนอันมาก โดยความเปนสาระ?
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๓๑
"ขอนั้น หามิได พระเจาขา!"
(๘) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอจะกลาวแตสิ่งที่พวกเธอรูเอง เห็นเอง รูสึกเองแลว เทานั้น มิใชหรือ? "อยางนั้น พระเจาขา!" ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ถู ก แล ว . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้ งหลาย เปน ผู ที ่เรานํ า ไปแลว ดว ยธรรมนี ้ อัน เปน ธรรมที ่บ ุค คลจะพึง เห็น ไดด ว ยตนเอง (สนฺทิฏโก), เปนธรรมใหผลไมจํากัดกาล (อกาลิโก), เปนธรรมที่ควรเรียกกันมาดู (เอหิ ปสฺสิ โก), ควรนอมเขามาใสตัว (โอปนยิโก), อั นวิญ ู ชนจะพึ งรูได เฉพาะตน (ปจฺจตฺตํ เวทตพฺโพ วิฺูหิ). ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! คํ านี้ เรากล าวแล ว หมายถึ งคํ าที่ เราได เคยกล าวไว แลววา "ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมนี้ เปนธรรมที่บุคคลจะพึงเห็นไดดวยตนเอง เปนธรรมใหผลไมจํากัดกาล เปนธรรมที่ควรเรียกกันมาดู ควรนอมเขามาใสตน อันวิญูชนจะพึงรูไดเฉพาะตน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ความหมายของอานิ ส งส อัน ประเสริฐ สูง สุด แหง การเห็น ปฏิจ จสมุป บาท ทั ้ง ๘ อนิส งสจ ริง ๆ วา เมื ่อ รู แ ลว : จะไม เกิ ด ปุ พ พั น ตทิ ฏ ฐิ ๑, ไม เกิ ด อปรั น ตทิ ฏ ฐิ ๑, ไม เกิ ด ความสงสั ย ปรารภในป จ จุ บั น ๑ ไม ต อ งจํ า ใจกล า วอะไรไปตามที่ พ ระศาสดากล า ว ๑,ไม ต อ งรู สึ ก ว าตนกล าวผิ ด ไปจากที่ พ ระศาสดากล า ว๑, ไม หั น ไปถื อ ศาสนาอื่ น ๑, ไม เวี ย นกลั บ ถื อ วั ต รชนิ ด สี ลั พ พั ต ตปรามาส ๑, และกล าวไปตามที่ เป น สั น ทิ ฏ ฐิ โก, อกาลิ โก, ป จจั ตตั งเวทิ ตั พ โพวิ ญ ู หิ แก ตั วเองเท านั้ น ๑; เมื่อมองเห็นอานิสงสเหลานี้ ยอมสนใจเพื่อทําใหแจงปฏิจจสมุปบาทอยางยิ่ง.
www.buddhadasa.info
๔๓๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ผูรูปฏิจจสมุปบาท โดยอาการแหงอริยสัจทั้งสี่ ยอมสามารถกาวลวงปฏิจจสมุปปนนธรรม๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สวนสมณะหรือพราหมณ เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมรูทั่วถึง ซึ่ง ชรามรณะ, รูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงชรามรณะ, รูทั่วถึง ซึ่งความดับไมเหลือ แหงชรามรณะ, รูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงชรามรณะ; สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ นหนอ จั กก าวล วงชรามรณะเสี ยได แล วดํ ารงอยู ดั งนี้ : ขอนี้เปนฐานะที่จักมีได. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สวนสมณะหรือพราหมณ เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมรูทั่วถึง ซึ่ งชาติ , รูทั่ วถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้น แห งชาติ , รูทั่ วถึ ง ซึ่งความดั บ ไม เหลื อ แห งชาติ , รูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงชาติ; สมณะหรือพราหมณ เหลานั้นหนอ จักกาวลวงชาติเสียได แลวดํารงอยู ดังนี้ : ขอนี้เปนฐานะที่จักมีได. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สวนสมณะหรือพราหมณ เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมรูทั่วถึง ซึ ่ง ภพ, รูทั ่ว ถึง ซึ ่ง เหตุใ หเกิด ขึ ้น แหง ภพ, รูทั ่ว ถึง ซึ ่ง ความดับ ไมเหลือ แหง ภพ, รูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบั ติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงภพ; สมณะหรือพราหมณ เหลานั้นหนอ จักกาวลวงภพเสียได แลวดํารงอยู ดังนี้ : ขอนี้เปนฐานะที่จักมีได.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สวนสมณะหรือพราหมณ เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมรูทั่วถึง ซึ่ง อุปาทาน, รูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงอุปาทาน, รูทั่วถึง ซึ่งความดับไมเหลือ
๑
สูตรที่ ๑๐ ทสพลวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๕๕/๙๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๓๓
แห งอุ ปาทาน, รูทั่ วถึ ง ซึ่งขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งอุ ปานทาน; สมณะหรื อ พราหมณ เหล านั้ น หนอ จั กก าวล วงอุ ป าทานเสี ยได แล วดํ ารงอยู ดั งนี้ : ขอนี้เปนฐานะที่จักมีได. ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมรูทั่ วถึ ง ซึ่ ง ตั ณ หา, รู ทั่ วถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งตั ณ หา, รู ทั่ วถึ ง ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อแห ง ตั ณหา, รูทั่ วถึ ง ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งตั ณหา; สมณะ หรือพราหมณ เหล านั้ นหนอ จั กก าวล วงตั ณ หาเสี ยได แล วดํ ารงอยู ดั งนี้ : ข อนี้ เป น ฐานะที่จักมีได. ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมรูทั่ วถึ ง ซึ่ ง เวทนา, รูทั่ วถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งเวทนา, รู ทั่ วถึ ง ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อ แห ง เวทนา, รูทั่ วถึ ง ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่ องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งเวทนา; สมณะ หรือพราหมณ เหล านั้ นหนอ จั กก าวล วงเวทนาเสี ยได แล วดํ ารงอยู ดั งนี้ : ข อนี้ เป น ฐานะที่จักมีได.
www.buddhadasa.info ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมรูทั่ วถึ ง ซึ่ ง ผั สสะ, รูทั่ วถึ ง ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้นแห งผั สสะ, รูทั่ วถึ ง ซึ่งความดั บไม เหลื อแห งผั สสะ, รูทั่ วถึง ซึ่งขอปฏิ บัติเครื่องทําสัตวให ลุถึงความดับไม เหลือแห งผัสสะ; สมณะหรือพราหมณ เหลานั้นหนอ จักกาวลวงผัสสะเสียได แลวดํารงอยู ดังนี้ : ขอนี้เปนฐานะที่จักมีได.
ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนสมณะหรือพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมรูทั่ วถึ ง ซึ่ง สฬายตนะ, รูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงสฬายตนะ, รูทั่วถึง ซึ่งความดับไมเหลือ
www.buddhadasa.info
๔๓๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
แหงสฬายตนะ, รูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสฬายตนะ; สมณะหรือพราหมณ เหล านั้ นหนอ จักก าวล วงสฬายตนะเสี ยได แล วดํ ารงอยู ดั งนี้ : ขอนี้เปนฐานะที่จักมีได. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมรูทั่ วถึ ง ซึ่ง นามรูป, รูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงนามรูป, รูทั่วถึง ซึ่งความดับไมเหลือแหง นามรูป, รูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงนามรูป; สมณะ หรือพราหมณ เหลานั้นหนอ จักกาวลวงนามรูปเสียได แลวดํารงอยู ดังนี้ : ขอนี้เป น ฐานะที่จักมีได. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรือพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมรูทั่ วถึ ง ซึ่ง วิญญาณ, รูทั่วถึง ซึ่งเหตุใหเกิดขึ้นแหงวิญญาณ, รูทั่วถึง ซึ่งความดับไมเหลือแหง วิญญาณ, รูทั่วถึง ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงวิญญาณ; สมณะ หรือพราหมณ เหลานั้นหนอ จักกาวลวงวิญญาณ เสียได แลวดํารงอยู ดังนี้ : ขอนี้ เป น ฐานะที่จักมีได.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณะหรื อพราหมณ เหล าใดเหล าหนึ่ ง ย อมรู ทั่ วถึ ง ซึ่ ง สั ง ขาร, รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขาร, รู ทั่ ว ถึ ง ซึ่ ง ความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร, รูทั่ วถึ ง ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่อ งทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร; สมณ ะหรือ พราหมณเ หลา นั ้น หนอ จัก กา วลว งสัง ขารเสีย ได แลว ดํ า รงอยู ดังนี้ : ขอนี้เปนฐานะที่จักมีได, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๓๕
อานิสงส ของการถึงพรอมดวยทัสสนทิฏฐิ๑ สูตรที่ หนึ่ง ครั้งหนึ่ ง ที่ พ ระเชตวั น พระผู มี พ ระภาคเจ า ทรงเอาปลายพระนขาช อนฝุ น ขึ้ นเล็ กน อย แลวตรัสกะภิกษุทั้งหลายวา:-
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้ งหลายจะสํ าคั ญ ความข อนี้ ว าอย างไร? ฝุนนิดหนึ่งที่เราชอนขึ้นดวยปลายเล็บนี้ กับมหาปฐพีนี้ ขางไหนจะมากกวากัน? "ขาแต พระองค ผู เจริญ! มหาปฐพี นั่ นแหละ เป นดิ นที่ มากกวา. ฝุ นนิ ดหนึ่ ง เท าที่ ทรงช อนขึ้ นด วยปลายพระนขานี้ เป นของมี ประมาณน อย. ฝุ นนั้ น เมื่ อนํ าเขาไป เที ยบกั บมหาปฐพี ยอมไม ถึงสวนหนึ่ งในรอย ส วนหนึ่ งในพั น ส วนหนึ่ งในแสน ของ มหาปฐพีนั้น". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อุ ปมานี้ ฉั นใด อุ ปไมยก็ ฉั นนั้ น : สํ าหรับอริยสาวก ผูถึงพรอมดวย (สัมมา) ทิฏฐิ เปนบุคคลผูรูพรอมเฉพาะแลว, ความทุกขของ ท า นส วนที่ สิ้ นไปแล ว หมดไปแล วย อมมากกว า; ความทุ กข ที่ ยั งเหลื ออยู มี ประมาณ น อย :เมื่ อนํ าเขาไปเที ยบกั บกองทุ กขที่ สิ้ นไปแล ว หมดไปแล ว ในกาลก อน ย อมไม เข า ถึ งส วนหนึ่ ง ในร อ ย ส ว นหนึ่ ง ในพั น ส ว นหนึ่ ง ในแสน; กล า วคื อ ความสิ้ น ไปแห ง กองทุ ก ข (ของพระโสดาบั น) ผู เป นสั ตตั กขั ตตุ ปรมะ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! การรู พรอมเฉพาะ
www.buddhadasa.info
๑
สู ต รที่ ๑-๑๐ อภิ ส มยวรรค อภิ ส มยสั ง ยุ ต ต นิ ท าน.สํ . ๑๖/๑๖๒-๑๖๘/๓๑๑-๓๓๐, ตรั ส แก ภิ ก ษุ ทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๔๓๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ซึ่ งธรรม เป น ไปเพื่ อ ประโยชน อั น ใหญ ห ลวงอย างนี้ การได เฉพาะซึ่ งธรรมจั ก ษุ เปนไปเพื่อประโยชนอันใหญหลวงอยางนี้. สูตรที่สอง (สู ตรที่ สองและสู ตรต อ ๆ ไป เป นสู ตรที่ ตรัสถึ งประโยชน ของความสมบู รณ ด วยทั สสนทิ ฏฐิ แห งความเป นพระโสดาบั น เหมื อนกั นทุ กตั วอั กษรในส วนที่ เป นอุ ปไมย; ต างกั นแต อุ ปมา ซึ่ งทรงนํ ามา ใชเปนเครื่องเปรียบเทียบแตละอุปมาเปนลําดับไป ในทุก ๆ สูตร ดังตอไปนี้ :-)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนสระโบกขรณี ยาว ๕๐ โยชน กว าง ๕๐ โยชน ลึ ก ๕๐ โยชน มี น้ํ าเต็ มเสมอขอบ กาดื่ มได สะดวก มี อยู . ลํ าดั บนั้ น บุ รุษพึ ง จุมแล วยกขึ้นมาซึ่ งน้ํ าด วยปลายแห งใบหญ าคา. ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้ งหลาย จะสําคัญความขอนั้นวาอยางไร? น้ําที่บุรุษจุมแลวยกขึ้นมาดวยปลายแหงใบหญ าคา เปน น้ําที่มากกวา หรือวาน้ําในสระโบกขรณีนี้มากกวา? "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! น้ํ าในสะโบกขรณี นั่ นแหละ เป นน้ํ าที่ มากกว า. น้ําที่บุรุษจุมแลวยกขึ้นมาดวยปลายแหงใบหญ าคา มีประมาณนอย. น้ํานี้ เมื่อนําเขา ไปเทียบกับน้ํ าในสระโบกขรณี ยอมไมเขาถึงสวนหนึ่งในรอย สวนหนึ่งในพั น สวนหนึ่ ง ในแสน แหงน้ํานั้น". ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info สูตรที่สาม
ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรี ยบเหมื อ นแม น้ํ าใหญ เหล านี้ คื อ แม น้ํ าคงคา แม น้ํ ายมุ นา แม น้ํ าอจิ รวดี แม น้ํ าสรภู แม น้ํ ามหี ไหลมาบรรจบกั นในที่ ใด ลํ าดั บนั้ น บุรุษพึงนําน้ําขึ้นมาสองหรือสามหยด. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย จะสําคัญ
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๓๗
ความขอนี้ วาอย างไร? น้ํ าสองหรือสามหยดที่ บุ รุษนํ าขึ้นมา เป นน้ํ าที่ มากกวา หรือวาน้ํ า ตรงที่แมน้ําบรรจบกัน มากกวา? "ขาแตพระองคผูเจริญ! น้ําตรงที่แมน้ํ าบรรจบกันนั่นแหละ เป นน้ํ าที่ มากกวา. น้ํ าสองหรือสามหยดที่ บุ รุษนํ าขึ้ นมา มี ประมาณน อย. น้ํ านี้ เมื่ อนํ าเขาไปเที ยบกั บน้ํ า ตรงที่ แม น้ําบรรจบกัน ยอมไม เขาถึงสวนหนึ่ งในรอย ส วนหนึ่งในพั น ส วนหนึ่งในแสน แหงน้ํานั้น". ...ฯลฯ... สูตรที่สี่
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนแม น้ํ าเหล านี้ คื อ แม น้ํ าคงคา แม น้ํ า ยมุ น า แม น้ํ าอจิ รวดี แม น้ํ าสรภู แม น้ํ ามหี ไหลมาบรรจบกั น ในที่ ใด น้ํ านั้ น พึ งถึ ง ความสิ้ นไป หมดไป ยั งเหลื ออยู สองหรือสามหยด. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอ ทั้ งหลาย จะสํ าคั ญความขอนั้ นวาอยางไร? คื อน้ํ าตรงที่ แม น้ํ าบรรจบกั น ซึ่ งสิ้ นไปแล ว หมดไปแลว เปนน้ําที่มากกวา หรือวาน้ําที่ยังเหลืออยูสองหรือสามหยด มากกวา?
www.buddhadasa.info "ข าแต พระองค ผู เจริญ! น้ํ าตรงที่ แม น้ํ าบรรจบกั นซึ่ งสิ้ นไปแล วหมดไปแล ว นั่นแหละ เปนน้ําที่ มากกวา. น้ําที่ยังเหลืออยูสองหรือสามหยด มีประมาณหนอย. น้ํานี้ เมื่อนําเขาไปเทียบกับน้ําตรงที่แมน้ําบรรจบกันซึ่งสิ้นไปแลวหมดไปแลว ยอมไมเขาถึงสวน หนึ่งในรอย สวนหนึ่งในพัน สวนหนึ่งในแสน แหงน้ํานั้น". ...ฯลฯ... สูตรที่หา
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเที ยบบุ รุษพึ งโยนก อนดิ นมี ประมาณเท าเม็ ด กระเบาเจ็ดกอนลงไปบนมหาปฐพี. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลายจะสําคัญ
www.buddhadasa.info
๔๓๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ความขอนั้นวาอยางไร? กอนดินมี ประมาณเทาเม็ดกระเบาเจ็ดกอนที่บุ รุษโยนลงไปแล ว นั้น เปนดินมากกา หรือมหาปฐพีมากกวา? "ข าแต พระองค ผู เจริญ ! มหาปฐพี นั่ นแหละ เป นดิ นที่ มากกว า. ก อนดิ น มี ป ระมาณเท าเม็ ดกระเบาเจ็ ดก อนที่ บุ รุษ โยนลงไปแล วนั้ น มี ป ระมาณน อย. ดิ น นี้ เมื่อน้ําเขาไปเทียบกับมหาปฐพี ยอมไมเขาถึงสวนหนึ่งในรอย สวนหนึ่งในพัน สวนหนึ่ง ในแสน แหงมหาปฐพีนั้น". ...ฯลฯ... สูตรที่หก
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเที ยบเหมื อนมหาปฐพี ถึ งความสิ้ นไปหมดไป เหลือกอนดินมี ประมาณเทาเม็ดกระเบาเจ็ดกอน. ดู กอนภิกษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย จะสํ าคั ญความขอนั้ นวาอย างไร? มหาปฐพี ที่ สิ้ นไปแล วหมดไปแล ว เป นดิ นที่ มากกวา หรือวากอนดินมีประมาณเทาเม็ดกระเบาเจ็ดกอนที่ยังเหลืออยูมากกวา? "ขาแต พระองค ผู เจริญ! มหาปฐพี ที่ สิ้ นไปแล วหมดไปแล วนั่ นแหละ เป นดิ น ที่ มากกวา. ก อนดิ นมี ประมาณเท าเม็ ดกระเบาเจ็ ดก อนที่ ยั งเหลื ออยู มี ประมาณน อย. ดินนี้เมื่อนําเขาไปเทียบกับมหาปฐพีที่สิ้นไปแลวหมดไปแลว ยอมไมเขาถึงสวนหนึ่งในรอย สวนหนึ่งในพัน สวนหนึ่งในแสน แหงมหาปฐพีนั้น". ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info สูตรที่เจ็ด
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนบุ รุษพึ งนํ าน้ํ าสองหรือสามหยดขึ้ นจาก มหาสมุ ทร. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้ งหลาย จะสํ าคั ญความข อนั้ นว าอย างไร? น้ําสองหรือสามหยดที่บุรุษนําขึ้นแลว เปนน้ําที่มากกวา หรือวาน้ําในมหาสมุทรมากกวา?
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๓๙
"ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! น้ํ า ในมหาสมุ ท รนั่ น แหละ เป น น้ํ า ที่ ม ากกว า . น้ํ าสองหรื อสามหยดที่ บุ รุ ษนํ าขึ้ นแล ว มี ประมาณน อย. น้ํ านี้ เมื่ อนํ าเข าไปเที ยบกั บ น้ํ า ในมหาสมุ ท ร ย อ มไม เข า ถึ ง ส ว นหนึ่ ง ในร อ ย ส ว นหนึ่ ง ในพั น ส ว นหนึ่ ง ในแสน แหงน้ํานั้น". ...ฯลฯ... สูตรที่แปด
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เปรี ย บเหมื อ นมหาสมุ ท รพึ ง ความสิ้ น ไปหมดไป ยั งเหลื อน้ํ าอยู ส องหรื อ สามหยด. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้ งหลาย จะสํ าคั ญ ความข อนั้ นว าอย างไร? คื อน้ํ าในมหาสมุ ทรซึ่ งสิ้ นไปแล วหมดไปแล ว เป นน้ํ าที่ มากกว า หรือวาน้ําที่ยังเหลืออยูสองหรือสามหยด มากกวา? "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ! น้ํ าในมหาสมุ ทรซึ่ งสิ้ นไปแล วหมดไปแล วนั่ นแหละ เป นน้ํ าที่ มากกวา.น้ํ าที่ ยั งเหลื ออยู สองหรือสามหยด มี ประมาณน อย. น้ํ านี้ เมื่ อนํ าเข าไป เที ยบกั บน้ํ าในมหาสมุ ทรซึ่ งสิ้ นไปแล วหมดไปแล ว ย อมไม เข าถึ งส วนหนึ่ งในร อย ส วน หนึ่งในพัน สวนหนึ่งในแสนแหงน้ํานั้น"....ฯลฯ...
www.buddhadasa.info สูตรที่เกา
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนบุ รุ ษพึ งโยนกรวดหิ นมี ประมาณเท าเม็ ด พั นธุ ผั กกาดเจ็ ดเม็ ดเข าไปที่ เทื อกเขาหลวงชื่ อหิ มพานต . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอ ทั้ งหลาย จะสํ าคั ญความขอนั้ นวาอย างไร? กรวดหิ นมี ประมาณเท าเม็ ดพั นธุผั กกาดเจ็ดเม็ ด ที่บุรุษโยนเขาไปนั้น เปนของมากกวา หรือวาเทือกเขาหลวงชื่อหิมพานต มากกวา
www.buddhadasa.info
๔๔๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗ "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! เทื อ กเขาหลวงชื่ อ หิ ม พานต นั่ น แหละ เป น สิ่ งที่
มากกว า. กรวดหิ นมี ประมาณเท าเม็ ดพั นธุ ผั กกาดเจ็ ดเม็ ดที่ ยั งเหลื ออยู มี ประมาณ น อย. กรวดหิ นนี้ เมื่ อนํ าเข าไปเที ยบกั บ เทื อกเขาหลวงชื่ อหิ ม พานต ย อมไม เข าถึ ง สวนหนึ่งในรอย สวนหนึ่งในพัน สวนหนึ่งในแสน แหงเทือกเขานั้น". …ฯลฯ… สูตรที่สิบ
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรี ยบเหมื อนเทื อกเขาหลวงชื่ อ หิ ม พานต . พึ งถึ ง ความสิ้ นไปหมดไป เหลื อกรวดหิ นมี ประมาณเท าเม็ ดพั นธุผั กกาดเจ็ดเม็ ด. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้ งหลายจะสํ าคั ญความข อนั้ นวาอย างไร? เทื อกเขาหลวงชื่ อหิ มพานต ซึ่งสิ้นไปแลวหมดไปแลว เป นสิ่งที่มากวา หรือวากรวดหินมีประมาณเทาเม็ดพันธุผักกาด เจ็ดเม็ดที่ยังเหลืออยู มากกวา "ข าแต พระองค ผู เจริญ ! เทื อกเขาหลวงชื่ อหิ มพานต ซึ่ งสิ้ นไปแล วหมดไป แล วนั่ นแหละ เป นสิ่ งที่ มากกว า. กรวดหิ นมี ประมาณเท าเม็ ดพั นธุ ผั กกาดเจ็ ดเม็ ดที่ ยังเหลืออยู มี ประมาณนอย. กรวดหินนี้ เมื่อนําเขาไปเทียบกับเทือกเขาหลวงชื่อหิมพานต ซึ ้ง สิ ้น ไปแลว หมดแลว ยอ มไมเขา ถึง สว นหนึ ่ง ในรอ ย สว นหนึ ่ง ในพัน สว นหนึ ่ง ในแสน แหงเทือกเขานั้น".
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อุ ปมานี้ ฉั นใด อุ ปไมยก็ ฉั นนั้ น : สํ าหรั บอริ ยสาวก ผูถึงพรอมดวย (สัมมา) ทิฏฐิ เปนบุคคลผูรูพรอมเฉพาะแลว, ความทุกขของทาน ส วนที่ สิ้ นไปแล ว หมดไปแล วย อมมากกวา; ความทุ กขที่ ยั งเหลื ออยู มี ประมาณน อย : เมื่ อนํ าเข าไปเที ยบกั บกองทุ กข ที่ สิ้ นไปแล ว หมดไปแล ว ในกาลก อน ย อมไม เข าถึ ง สวนหนึ่งในรอย สวนหนึ่งในพัน สวนหนึ่งในแสน; กลาวคือความสิ้นไปแหง
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๔๑
กองทุ กข (ของพระโสดาบั น ) ผู เป น สั ต ตั ก ขั ต ตุ ป รมะ. ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! การรู พรอ มเฉพาะซึ ่ง ธรรม เปน ไปเพื ่อ ประโยชนอ ัน ใหญห ลวงอยา งนี ้ การไดเฉพาะ ซึ่งธรรมจักษุ เปนไปเพื่อประโยชนอันใหญหลวงอยางนี้ ดังนี้ แล.
ผูเสร็จกิจในปฏิจจสมุปบาท ชื่อวาผูบรรลุนิพพาน ในปจจุบัน๑ ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูหลุดพ นแลว เพราะความเบื่ อหนาย เพราะ ความคลายกํ าหนั ด เพราะความดั บไม เหลื อ แห งชราและมรณะ ด วยความเป น ผู ไม ยึ ดมั่ นถื อมั่ น อยูแลวไซร, ก็เป นการสมควรเพื่ อจะเรียกภิ กษุ นั้ นวา "ภิ กษุ ผู บรรลุ แลวซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม" (ทิฏฐธมฺมนิพฺพานปฺปตฺโต). ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูหลุดพ นแลว เพราะความเบื่อหนาย เพราะ ความคลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลือ แหงชาติ ดวยความเปนผูไมยึดมั่นถือมั่น อยู แ ล ว ไซร , ก็ เป น การสมควรเพื่ อ จะเรี ย กภิ ก ษุ นั้ น ว า "ภิ ก ษุ ผู บ รรลุ แ ล ว ซึ่ ง นิ พ พาน ในทิฏฐรรม".
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูหลุดพ นแลว เพราะความเบื่อหนาย เพราะ ความคลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลือ แหงภพ ดวยความเปนผูไมยึดมั่นถือมั่น
๑
สูตรที่ ๖ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สฺ. ๑๖/๒๒/๔๖, ตรัสแกภิกษุรูปหนึ่ง ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๔๔๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
อยู แล วไซร , ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะเรี ยกภิ กษุ นั้ นว า "ภิ กษุ ผู บรรลุ แล วซึ่ งนิ พ พานใน ทิฏฐรรม" ดู ก อ นภิ ก ษุ ! ถ าภิ ก ษุ เป น ผู ห ลุ ด พ น แล ว เพราะความเบื่ อ หน า ย เพราะ ความคลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลือ แหงอุปทาน ดวยความเปนผูไมยึดมั่น ถือ มั ่น อยู แ ลว ไซร, ก็เ ปน การสมควรเพื ่อ จะเรีย กภิก ษุนั ้น วา "ภิก ษุผู บ รรลุแ ลว ซึ่งนิพพานในทิฏฐรรม" ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูหลุดพ นแลว เพราะความเบื่ อหนาย เพราะ ความคลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลือ แหงตัณหา ดวยความเปนผูไมยึดมั่นถือมั่น อยู แ ล ว ไซร , ก็ เป น การสมควรเพื่ อ จะเรี ย กภิ ก ษุ นั้ น ว า "ภิ ก ษุ ผู บ รรลุ แ ล ว ซึ่ ง นิ พ พาน ในทิฏฐรรม" ดูก อนภิ กษุ ! ถาภิ กษุ เป นผูหลุ ดพ นแล ว เพราะความเบื่ อหน าย เพราะ ความคลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลื อ แห งเวทนา ด วยความเป นผู ไม ยึดมั่ น ถือ มั ่น อยู แ ลว ไซร, ก็เ ปน การสมควรเพื ่อ จะเรีย กภิก ษุนั ้น วา "ภิก ษุผู บ รรลุแ ลว ซึ่งนิพพานในทิฏฐรรม"
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูหลุดพ นแลว เพราะความเบื่อหนาย เพราะ ความคลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลือ แหงผัสสะ ดวยความเปนผูไมยึดมั่นถือมั่น อยู แล วไซร , ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะเรี ยกภิ กษุ นั้ นว า "ภิ กษุ ผู บ รรลุ แล วซึ่ งนิ พ พานใน ทิฏฐรรม"
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๔๓
ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูหลุดพนแลว เพราะความเบื่อหนาย เพราะ ความคลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลือ แหงสฬายตนะ ดวยความเปนผูไมยึดมั่น ถือ มั ่น อยู แ ลว ไซร, ก็เปน การสมควรเพื ่อ จะเรีย กภิก ษุนั ้น วา "ภิก ษุผู บ รรลุแ ลว ซึ่งนิพพานในทิฏฐรรม" ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูหลุดพนแลว เพราะความเบื่อหนาย เพราะ ความคลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลือ แหงนามรูป ดวยความเปนผูไมยึดมั่น ถือ มั ่น อยู แ ลว ไซร, ก็เปน การสมควรเพื ่อ จะเรีย กภิก ษุนั ้น วา "ภิก ษุผู บ รรลุแ ลว ซึ่งนิพพานในทิฏฐรรม" ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูหลุดพนแลว เพราะความเบื่อหนาย เพราะ ความคลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลือ แหงวิญญาณ ดวยความเปนผูไมยึดมั่น ถือ มั ่น อยู แ ลว ไซร, ก็เปน การสมควรเพื ่อ จะเรีย กภิก ษุนั ้น วา "ภิก ษุผู บ รรลุแ ลว ซึ่งนิพพานในทิฏฐรรม"
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูหลุดพนแลว เพราะความเบื่อหนาย เพราะ ความคลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลือ แหงสังขารทั้งหลาย ดวยความเปนผูไม ยึ ดมั่ นถื อมั่ น อยูแลวไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะเรียกภิ กษุ นั้ นวา "ภิ กษุ ผู บรรลุแล ว ซึ่งนิพพานในทิฏฐรรม"
ดูกอนภิกษุ! ถาภิกษุเปนผูหลุดพนแลว เพราะความเบื่อหนาย เพราะ ความคลายกําหนัด เพราะความดับไมเหลือ แหงอวิชชา ดวยความเปนผูไมยึดมั่น ถือ มั ่น อยู แ ลว ไซร, ก็เปน การสมควรเพื ่อ จะเรีย กภิก ษุนั ้น วา "ภิก ษุผู บ รรลุแ ลว ซึ่งนิพพานในทิฏฐรรม", ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
๔๔๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
อานิสงสสูงสุด (อนุปาทิเสสนิพพาน) ของการพิจารณาปฏิจจสมุปบาทอยางถูกวิธี๑ ครั้ ง หนึ่ ง ที่ พ ระเชตวั น พระผู มี พ ระภาคเจ า ตรั ส เรี ย กภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ให ตั้ ง ใจฟ ง แล ว ได ต รั ส ข อ ความเหล า นี้ ว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ด ว ยเหตุ เท า ไรหนอ ภิ ก ษุ เมื่ อ พิ จ ารณา
พึงพิจารณาเพื่อความสิ้นทุกขโดยชอบ โดยประการทั้งปวง?" ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น ได กราบทู ลวิ งวอนว า "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลายของ พวกข าพระองค มี พระผู มี พระภาคเป นมู ล มี พระผู มี พระภาคเป นผู นํ า มี พระผู มี พระภาคเป นที่ พึ่ ง. ข าแต พระองค ผู เจริญ ! เป นการชอบแล วหนอ ขอให อรรถแห งภาษิ ตนั้ น จงแจ มแจ งกะพระผู มี พระภาคเองเถิ ด ภิกษุทั้งหลาย ไดฟงจากพระผูมีพระภาคแลว จักทรงจําไว" ดังนี้. พระผู มี พระภาเจ า ได ตรั สว า "ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ าอย างนั้ น เธอทั้ งหลาย
จงฟงซึ่งธรรมนั้น, จงทําในใจใหสําเร็จประโยชน, เราจักกลาวบัดนี้". ครั้ น ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น ทู ลสนองรั บ พระดํ ารั สนั้ นแล ว, พระผู มี พ ระภาคเจ า ได ตรั ส ถอยคําเหลานี้วา :-
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ ในธรรมวิ นั ยนี้ เมื่ อพิ จารณาย อมพิ จารณาว า "ทุ กข มี อย างมิ ใช น อยนานาประการ ย อมเกิ ดขึ้ นในโลก กล าวคื อ ชรามรณะ, ใดแล; ทุ กข นี้ มี อะไรเป นเหตุ ให เกิ ด (นิทาน)? มี อะไรเป นเครื่องก อให เกิ ด (สมุ ทย)? มี อะไร เป นเครื่ องกํ าเนิ ด (ชาติ ก)? มี อะไรเป นแดนเกิ ด (ปภว) หนอ? เพราะอะไรมี ชรามรณะ จึ ง มี ; เพราะอะไรไม มี ชรามรณะจึ ง ไม มี "; ดั ง นี้ . ภิ ก ษุ นั้ น พิ จ ารณาอยู ย อ มรู ประจักษอยางนี้วา "ทุกข มีอยางมิใชนอยนานาประการ ยอมเกิดขึ้นในโลก กลาวคือ
๑
สูตรที่ ๑ ทุกขวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สฺ. ๑๖/๙๗/๑๘๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๔๕
ชรามรณะ ใดแล; ทุกขนี้ มีชาติเปนเหตุใหเกิด, มีชาติเปนเครื่องกอใหเกิด, มีชาติ เป น เครื่อ งกํ า เนิ ด , มี ช าติ เป น แดนเกิ ด ; เพราะชาติ มี ชรามรณะจึ งมี ; เพราะชาติ ไม มี ชรามรณะจึ ง ไม มี "; ดั ง นี้ . ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มรู ป ระจั ก ษ ซึ่ ง ชรามรณะ ด ว ย; ย อมรูประจั กษ ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ น แห งชรามรณะ ด วย; ย อ มรูประจั กษ ซึ่ งความดั บ ไม เหลื อแห งชรามรณะ ด วย, ย อมรูประจั กษ ขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ งซึ่ งธรรม อั นสมควรแก ความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ (ชรามรณนิ โรธสารุปฺ ปคามิ นี )ด วย; และ เปนผูปฏิบัติแลวอยางสมควรแกธรรม ดวย. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุนี้ เราเรียกวา เปนผูปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกขโดยชอบ โดยประการทั้งปวง. กลาวคือ เพื่อความดับ ไมเหลือแหงชรามรณะ. ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ขออื่นยังมี อี ก : ภิ กษุ เมื่ อพิ จารณา ย อมพิ จารณาวา "ก็ ชาติ นี้ มีอะไรเปนเหตุใหเกิด? มีอะไรเปนเครื่องกอใหเกิด? มีอะไรเปนเครื่อง กํ า เนิ ด ? มี อ ะไรเป น แดนเกิ ด ?เพราะอะไรมี ชาติ จึ ง มี ; เพราะอะไรไม มี ชาติ จึ ง ไมมี" ดังนี้. ภิกษุนั้นพิจารณาอยู ยอมรูประจักษอยางนี้วา "ชาติ มีภพเปนเหตุใหเกิด, มี ภพเป นเครื่องกอให เกิด, มี ภพเป นเครื่องกําเนิ ด, มี ภพเป นแดนเกิ ด; เพราะภพมี ชาติ จึ ง มี ; เพราะภพไม มี ชาติ จึ ง ไม มี "; ดั ง นี้ . ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มรู ป ระจั ก ษ ซึ่ ง ชาติ ด ว ย; ย อมรูประจั กษ ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งชาติ ด วย; ย อมรูประจั กษ ซึ่ งความดั บไม เหลื อ แห งชาติ ด วย; ยอมรูประจักษ ซึ่งขอปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึงซึ่งธรรมอันสมควรแก ความดั บ ไม เหลื อ แห งชาติ (ชาติ นิ โรธสารุปฺ ป คามิ นี ) ด วย; และเป น ผู ป ฏิ บั ติ แ ล ว อยางสมควรแกธรรม ดวย. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุนี้ เราเรียกวา เปนผูปฏิบัติ เพื่อความสิ้นทุกขโดยชอบ โดยประการทั้งปวง, กลาวคือ เพื่อความดับไมเหลือ แหงชาติ. ---- ---- ---- ----
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๔๔๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข ออื่ นยั งมี อี ก : ภิ กษุ เมื่ อพิ จารณา ย อมพิ จารณาว า "ก็ ภพ นี้ มี อ ะไรเป น เหตุ ใ ห เกิ ด ?...ฯลฯ... ก็ อุ ป าทาน นี้ มี อ ะไรเป น เหตุ ใ ห เกิ ด ? ...ฯ ล ฯ ... ก็ ต ั ณ ห า นี ้ มี อ ะ ไ ร เป น เห ตุ ใ ห เ กิ ด ? ...ฯ ล ฯ ... ก็ เ ว ท น า นี้ มี อ ะไรเป น เหตุ ใ ห เกิ ด ? ...ฯลฯ... ก็ ผั ส สะ นี้ มี อ ะไรเป น เหตุ ใ ห เกิ ด ? ...ฯลฯ... ก็ ส ฬายตนะ นี้ มี อ ะไรเป น เหตุ ให เกิ ด ? ...ฯลฯ... ก็ นามรู ป นี้ มี อ ะไรเป น เหตุ ใหเกิด? ...ฯลฯ... ก็ วิญญาณ นี้ มีอะไรเปนเหตุใหเกิด? ...ฯลฯ... " ---- ---- ---- ---ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข ออื่ นยั งมี อี ก : ภิ กษุ เมื่ อพิ จารณา ย อมพิ จารณาว า "ก็สังขารทั้งหลาย เหลานี้ มีอ ะไรเปน เหตุใหเกิด ? มีอะไรเปนเครื่องกอใหเกิด ? มี อ ะไรเป น เครื่ อ งกํ าเนิ ด ? มี อ ะไรเป น แดนเกิ ด ?เพราะอะไรมี สั งขารทั้ งหลายจึ งมี ; เพราะอะไรไม มี สั งขารทั้ งหลายจึ งไม มี " ดั งนี้ . ภิ กษุ นั้ นพิ จารณาอยู ย อมรูประจั กษ อยางนี้วา "สังขารทั้งหลาย มีอวิชชาเปนเหตุใหเกิด, มีอวิชชาเปนเครื่องกอใหเกิด, มี อวิชชาเป นเครื่องกํ าเนิ ด, มี อวิชชาเป นแดนเกิด; เพราะอวิชชามี สังขารทั้ งหลายจึงมี ; เพราะอวิชชาไม มี สั งขารทั้ งหลายจึ งไม มี "; ดั งนี้ . ภิ กษุ นั้ นย อมรูประจั กษ ซึ่ งสั งขาร ทั้ ง หลายด ว ย; ย อ มรูป ระจั ก ษ ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ง ขารด ว ย; ย อ มรู ป ระจั ก ษ ซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขารด วย; ย อมรูประจั กษ ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตวให ลุ ถึ ง ซึ่ งธรรมอั นสมควรแก ความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขารด วย; และเป น ผู ป ฏิ บั ติ แล วอย าง สมควรแกธรรมดวย. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุนี้ เราเรียกวา เปนผูปฏิบัติเพื่อ ความสิ ้น ทุก ขโดยชอบ โดยประการทั ้ง ปวง, กลา วคือ เพื ่อ ความดับ ไมเหลือ แหงสังขาร.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๔๗
ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! บุรุษบุ คคลผู เขาถึงแลวซึ่งอวิชชา (อวิชฺชาคโต) ถาเขาปรุงแตงซึ่งสังขารอันเปนบุญ วิญญาณก็เขาถึงซึ่งวิบากอันเปนบุญ; ถาเขาปรุงแตง ซึ่งสั งขารอั นมิ ใชบุ ญ วิญญาณก็ เขาถึ งซึ่งวิบากอั นมิ ใชบุ ญ; ถ าเขาปรุงแต งซึ่งสั งขาร อันเปนอเนญชา วิญญาณก็เขาถึงซึ่งวิบากอันเปนอเนญชา. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อวิชชาภิกษุละไดแลว วิชชาเกิดขึ้นแลว ในกาลใด; ในกาลนั้ น ภิ กษุ นั้ น, เพราะความสํ ารอกออกโดยไม เหลื อแห งอวิชชา เพราะการเกิ ดขึ้ น แหงวิชชา, ยอมไมปรุงแตงซึ่งอภิสังขารอันเปนบุญ; ยอมไมปรุงแตงซึ่งอภิสังขาร อันมิใชบุญ ; ยอมไมปรุงแตงซึ่งอภิสังขารอันเปนอเนญชา; เมื่อไมปรุงแตงอยู, เมื่อไมกอพรอมอยางยิ่งอยู, เธอยอมไมถือมั่นสิ่งไร ๆ ในโลก; เมื่อไมถือมั่นอยู, เธอย อ ม ไม ส ดุ งหวาดเสี ย ว; เมื่ อ ไม ส ะดุ งหวาดเสี ย วอยู , เธอย อ ม ปริ นิ พ พาน เฉพาะตน นั่นเที ยว. เธอยอมรูประจักษ วา "ชาติสิ้นแลว, พรหมจรรยอันเราอยูจบแลว, กิจที่ควรทํา ไดทําเสร็จแลว, กิจอื่นเพื่อความเปนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้. ภิ กษุ นั้ น ถ าเสวยสุ ขเวทนา ก็ รูประจั กษ ว า "เวทนานั้ น ไม เที่ ยง อั นเราไม สยบมัวเมาแลว อันเราไมเพลิดเพลินเฉพาะแลว" ดังนี้. ถาเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็รูประจักษ วา "เวทนานั้ น ไม เที่ ยง อั นเราไม สยบมั วเมาแล ว อั นเราไม เพลิ ดเพลิ นเฉพาะแล ว" ดั งนี้ . ถ าเสวยอทุ กขมสุ ขเวทนา ก็ รูประจั กษ ว า “เวทนานั้ น ไม เที่ ยง อั นเเราไม สยบมั วเมาแล ว อั นเราไม เพลิ ดเพลิ นเฉพาะแล ว” ดั งนี้ . ภิ กษุ นั้ น ถ าเสวยสุ ขเวทนา ก็ เป นผู ปราศจาก กิ เลสเครื่องรอยรัดแล ว เสวยเวทนานั้ น; ถ าเสวยทุ กขเวทนา ก็ เป นผู ปราศจากกิ เลส เครื่ องร อยรั ดแล ว เสวยเวทนานั้ น ถ าเสวยอทุ กขมสุ ขเวทนา ก็ เป นผู ปราศจากกิ เลส เครื่องรอยรัดแลว เสวยเวทนานั้น.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๔๔๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
ภิ กษุ นั้ น เมื่ อเสวยเวทนาอั นมี กายเป นที่ สุ ดรอบ ย อมรู ประจั กษ ว า "เราเสวย เวทนาอั น มี ก ายเป น ที่ สุ ด รอบ" ดั งนี้ . เมื่ อ เธอนั้ น เสวยเวทนาอั น มี ชี วิ ต เป น ที่ สุ ด รอบ ย อ มรู ป ระจั ก ษ ว า "เราเสวยเวทนาอั น มี ชี วิ ต เป น ที่ สุ ด รอบ" ดั ง นี้ . ภิ ก ษุ นั้ น ย อ มรู ประจักษวา "เวทนาทั้งหลายทั้งปวง อันเราไมเพลิดเพลินเฉพาะแลว จักเปนของ เย็น ในอัตตภาพนี้เอง; สรีระทั้งหลายจักเหลืออยู; จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแหงชีวิต เพราะการแตกทําลายแหงกาย". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนบุ รุษยกหม อที่ ยั งรอนออกจากเตาเผาหม อ วางไว ที่ พื้ นดิ นอั นเรี ยบ ไออุ นที่ หม อนั้ นพึ งระงั บหายไป ในที่ นั้ นเอง กระเบื้ องทั้ งหลาย ก็ เ หลื อ อยู , นี้ ฉั น ใด; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ ก็ ฉั น นั้ น เหมื อ นกั น กล าวคื อ เมื่ อเสวยเวทนาอั นมี กายเป นที่ สุ ดรอบ ย อมรูประจั กษ วา "เราเสวยเวทนาอั นมี กายเป นที่ สุ ดรอบ" ดั งนี้ . เมื่ อเธอนั้ น เสวยเวทนาอั นมี ชี วิ ตเป นที่ สุ ดรอบ ย อมรูประจั กษ ว า "เราเสวยเวทนาอั นมี ชี วิ ตเป นที่ สุ ดรอบ" ดั งนี้ . ภิ กษุ นั้ น ย อมรู ประจั กษ ว า "เวทนา ทั้งหลายทั้งปวง อันเราไมเพลิดเพลินเฉพาะแลว จักเปนของเย็นในอัตตภาพ นี้เอง; สรีระทั้งหลายจัก เหลืออยู; จนกระทั่งถึงที่สุดรองแหงชีวิต เพราะการแตก ทําลายแหงกาย" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เธอทั้ งหลาย จะสํ าคั ญ ความข อนั้ นว าอย างไร; คื อ ภิกษุผูขีณาสพ พึงปรุงแตงปุ ญญาภิสังขาร, หรือวา พึงปรุงแตงอปุญญาภิสังขาร, หรือวา ถึงปรุงแตงอเนญชาภิสังขาร, บางหรือหนอ? "ไมเปนอยางนั้น พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๔๙
เมื่ อสั งขารทั้ งหลาย ไม มี , เพราะความดั บแห งสั งขาร โดยประการทั้ งปวง, วิญญาณพึงปรากฏ บางหรือหนอ? "ไมเปนอยางนั้น พระเจาขา!" เมื่ อวิญญาณ ไม มี , เพราะความดั บแห งสั งขาร โดยประการทั้ งปวง, นามรูป พึงปรากฏ บางหรือหนอ? "ไมเปนอยางนั้น พระเจาขา!" เมื่ อนามรูป ไม มี , เพราะความดั บแห งนามรูป โดยประการทั้ งปวง, สฬายตนะ พึงปรากฏ บางหรือหนอ? "ไมเปนอยางนั้น พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info เมื่ อสฬายตนะ ไม มี , เพราะความดั บแห งสฬายตนะ โดยประการทั้ งปวง, ผัสสะพึงปรากฏ บางหรือหนอ? "ไมเปนอยางนั้น พระเจาขา!"
เมื่ อผั สสะ ไม มี , เพราะความดั บแห งผั สสะ โดยประการทั้ งปวง, เวทนา พึงปรากฏ บางหรือหนอ? "ไมเปนอยางนั้น พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info
๔๕๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
เมื่ อเวทนา ไม มี , เพราะความดั บแห งเวทนา โดยประการทั้ งปวง, ตั ณ หา พึงปรากฏ บางหรือหนอ? "ไมเปนอยางนั้น พระเจาขา!" เมื่ อตั ณหา ไม มี , เพราะความดั บแห งตั ณหา โดยประการทั้ งปวง, อุ ปาทาน พึงปรากฏ บางหรือหนอ? "ไมเปนอยางนั้น พระเจาขา!" เมื่ ออุ ปาทาน ไม มี , เพราะความดั บแห งอุ ปาทาน โดยประการทั้ งปวง, ภพ พึงปรากฏ บางหรือหนอ? "ไมเปนอยางนั้น พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info เมื่ อภพ ไม มี , เพราะความดั บแห งภพ โดยประการทั้ งปวง, ชาติ พึ งปรากฏ บางหรือหนอ? "ไมเปนอยางนั้น พระเจาขา!"
เมื่ อชาติ ไม มี , เพราะความดั บแห งชาติ โดยประการทั้ งปวง, ชรามรณะ พึงปรากฏ บางหรือหนอ? "ไมเปนอยางนั้น พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๕๑
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ถู ก แล ว ถู ก แล ว . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เธอ ทั้ ง หลาย จงสํ า คั ญ จงเชื่ อ ซึ่ ง ข อ นั้ น ไว อ ย า งนั้ น เถิ ด . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เธอ ทั้ งหลาย จงปลงซึ่ งความเชื่ อ ในข อ นั้ น อย างนั้ น เถิ ด ; จงเป น ผู ห มดความเคลื อ บ แคลงสงสัยในขอนั้นเถิด; นั่นแหละที่สุดแหงทุกขละ, ดังนี้ แล.
อุปปริกขีในปฏิจจสมุปบาท เปนอุดมบุรุษ๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ภิ กษุ เป นผู พิ จารณาใครครวญธรรมโดยวิ ธี ๓ ประการ เปนอยางไรเลา? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ ในกรณี นี้ ย อมพิ จารณาใคร ครวญธรรม โดย ความเป นธาตุ , ย อมพิ จารณาใคร ครวญธรรม โดยความเป นอายตนะ, ย อมพิ จารณา ใคร ครวญธรรม โดยความเป น ปฏิ จ จสมุ ป บาท. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ภิ ก ษุ เป น ผู พิจารณาใครครวญธรรมโดยวิธี ๓ ประการ อยางนี้แล.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ เป นผู ฉลาดในฐานะ ๗ ประการ๒ (ของขั นธ ทั้งหา) เปนผูพิจารณาใครครวญธรรมโดยวิธี ๓ ประการ เราเรียกวาภิกษุผู เกพลี อยูจบพรหมจรรย เปนอุดมบุรุษ ในธรรมวินัยนี้.
๑ ๒
สูตรที่ ๕ อุปายวรรค ขนฺธ.สํ. ๑๗/๘๐/๑๒๔, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ฐานะ ๗ ประการ คื อ รู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร และวิ ญ ญาณ ๑, สมุ ทั ยแห งรู ปเป นต น ๑, นิ โรธแห ง รูปเป นต น ๑, นิ โรธคามิ นี ปฏิ ปทาแห งรูปเป นต น ๑, อั สสาทะแห งรูปเป นต น ๑, อาที นวะแห งรู ปเป นต น ๑, นิ ส สรณะแห ง รู ป เป น ต น ๑. ส ว นรายละเอี ย ดพึ ง ตรวจดู ใ นหั ว ข อ ว า "การพิ จ ารณาสภาวธรรม ตามวิธีปฏิจจสมุปบาทกระทั่งวาระสุดทาย" ซึ่งอยูที่หนา ๓๓๗ แหงหนังสือเลมนี้.
www.buddhadasa.info
๔๕๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗ หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า มี คํ า แปลกพิ เศษอยู คํ าหนึ่ ง คื อคํ าว า "เกพลี ". คํ านี้ ถ าเป นในศาสนาอื่ นบางศาสนา หมายถึ งผู บรรลุ ไกวั ลย ห รือ ปรมาตมั น อั นเป นจุ ดหมายปลายทางของการประพฤติ พ รหมจรรย แห งศาสนานั้ น ๆ. ในที่ นี้ เข าใจวาเล็ งถึ งการบรรลุ นิ พพานอั นเที ยบกั นได กั บ ไกรวัลย หรือปรมาตมั นนั่ นเอง คงจะไม ใช เป น เพี ย งคํ า วิ เ สสนะ ที่ เคยแปลกั น ว า ทั้ ง สิ้ น สิ้ น เชิ ง ล ว น หรื อ อย า งเดี ย ว ตามแบบ เรียนไวยากรณ.
บัณฑิต คือผูฉลาดในปฏิจจสมุปบาท๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภั ยทั้ งหลาย ใด ๆ ก็ ตาม ที่ จะเกิ ดขึ้ น, ทั้ งหมดนั้ น ยอมเกิดขึ้นจากคนพาล; ยอม ไมเกิดขึ้นจากบัณฑิต. อุ ป ททวะทั้ งหลาย ใด ๆ ก็ ตาม ที่ จะเกิ ดขึ้น, ทั้ งหมดนั้ น ย อมเกิ ดขึ้ น จากคนพาล; ยอม ไมเกิดขึ้นจากบัณฑิต. อุ ป สรรคทั้ งหลาย ใด ๆ ก็ ตาม ที่ จะเกิ ดขึ้ น, ทั้ งหมดนั้ น ย อมเกิ ดขึ้ น จากคนพาล; ยอม ไมเกิดขึ้นจากบัณฑิต.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนไฟอั นลุ กโพลงขึ้ นแล วจากเรือนอั นทํ า ดวยไมออหรือดวยหญ าก็ตาม ยอมจะไหมไดแมกระทั่งเรือนยอดที่มีปูนอันฉาบแลวทั้งขึ้น และลง มี เครื่องยึดประตูอันแน นหนา มี ชองประตูและหน าตางอันป ดสนิท, ขอนี้ ฉันใด; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ขอนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือ ภัยทั้งหลายใด ๆ ก็ตาม ที่จะเกิดขึ้น,
๑
พหุธาตุกสูตร อนุปทวรรค อุปริ.ม. ๑๔/๑๖๖, ๑๖๙/๒๓๕, ๒๔๔, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๕๓
ทั้ งหมดนั้ น ย อมเกิ ดขึ้ นจากคนพาล; ย อมไม เกิ ดขึ้ นจากบั ณฑิ ต. อุ ป ททวะทั้ งหลายใด ๆ ก็ ตาม ที่ จะเกิ ดขึ้ น, ทั้ งหมดนั้ น ย อมเกิ ดขึ้ นจากคนพาล; ย อมไม เกิ ดขึ้ นจากบั ณ ฑิ ต. อุ ปสรรคทั้ งหลายใด ๆ ก็ ตาม ที่ จะเกิ ดขึ้ น, ทั้ งหมดนั้ น ย อมเกิ ดขึ้ นจากคนพาล; ย อม ไมเกิดขึ้นจากบัณฑิต. ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! เพราะเหตุนี้แหละ คนพาลจึงชื่อวา ผูมี ภั ยเฉพาะหน า, บัณฑิตจึงชื่อวา ผูไมมีภัยเฉพาะหนา; คนพาลจึงชื่อวา ผูมีอุปททวะ, บัณฑิตจึงชื่อวา ผูไมมีอุปททวะ; คนพาลจึงชื่อวา ผูมีอุปสรรค, บัณฑิตจึงชื่อวา ผูไมมีอุปสรรค. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภั ยย อมไม มี จากบั ณฑิ ต; อุ ป ททวะย อมไม มี จากบั ณฑิ ต; อุ ป สรรค ย อมไม มี จากบั ณ ฑิ ต. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ องนี้ พวก เธอทั้งหลาย พึงทําในใจวา "เราทั้งหลาย จักเปนบัณฑิ ต", ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย พึงสําเหนียกไวอยางนี้ แล. ครั้ นพระผู มี พระภาคเจ า ตรัสพระพุ ทธวจนะนี้ จบลงแล ว. พระอานนท ได ทู ลถามว า คนจะเป น วี มั งสกบั ณ ฑิ ต (บั ณ ฑิ ตผู ประกอบไปด วยป ญ ญาเป นเครื่ องพิ จารณา) ได ด วยเหตุ เท าไร? ได ตรั สตอบว า ด วยเหตุ ๔ ประการ คื อ เป น ผู ฉ ลาดในธาตุ ด ว ย เป น ผู ฉ ลาดในอายตนะด วย ในปฏิ จ จสมุ ป บาทด ว ย ในฐานะและอฐานะด วย. สํ าหรั บ ความเป น ผู ฉลาดในปฏิ จจสมุ ป บาทนั้ น พระอานนท ได ทู ลถามสื บ ไป ดังนี้วา :-
www.buddhadasa.info "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ภิ กษุ ควรจะได นามว า ผู ฉลาดในปฏิ จจสมุ ปบาท
ดวยเหตุเพียงเทาไร พระเจาขา?" ดู ก อนอานนท ! ภิ กษุ ในกรณี นี้ ย อมรู อย างนี้ ว า "เพราะสิ่ งนี้ มี , สิ่ งนี้ จึ งมี ; เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห ง สิ่ ง นี้ , สิ่ ง นี้ จึ ง เกิ ด ขึ้ น ; เพราะสิ่ ง นี้ ไ ม มี , สิ่ ง นี้ จึ ง ไม มี ; เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้, สิ่งนี้จึงดับไป : ขอนี้ไดแกสิ่งเหลานี้คือ :-
www.buddhadasa.info
๔๕๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗
เพราะมีอวิชชาเปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขารเปนปจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะมีวิญญาณเปนปจจัย จึงมีนามรูป; เพราะมีนามรูปเปนปจจัย จึงมีสฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะเปนปจจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเปนปจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ; เพราะมี ชาติ เป น ป จจั ย, ชรามรณะ โสกะเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ป ายาส ทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการ อยางนี้. เพราะความจางคลายดับไปโดยไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมี ความดับแหงสังขาร; เพราะความดับแหงสังขาร จึงมีความดับแหงวิญญาณ; เพราะความดับแหงวิญญาณ จึงมีความดับแหงนามรูป; เพราะความดับแหงนามรูป จึงมีความดับแหงสฬายตนะ; เพราะความดับแหงสฬายตนะ จึงมีความดับแหงผัสสะ; เพราะความดับแหงผัสสะ จึงมีความดับแหงเวทนา; เพราะความดับแหงเวทนา จึงมีความดับแหงตัณหา;
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยโทษและอานิสงสเกี่ยวกับปฏิจจฯ
๔๕๕
เพราะความดับแหงตัณหา จึงมีความดับแหงอุปาทาน; เพราะความดับแหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ; เพราะความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัส อุปายาสทั้งหลายจึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้", ดังนี้. ดู ก อนอานนท ! ด วยเหตุ เพี ยงเท านี้ แล ภิ กษุ ควรจะได นามว า ผู ฉลาดใน ปฏิจจสมุปบาท. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ งสั งเกตให เห็ น ว า ความเป น บั ณ ฑิ ต นั้ น เป นได เพราะเหตุ อย างใดอย างหนึ่ งใน ๔ อย าง หมายความว า ทั้ ง ๔ อย างนั้ น แม ต างกั น แต ล ะอย างทางตั วหนั งสื อ แต โดยเนื้ อแท แ ล ว ยั งแทนกั น ได เพราะฉลาดในธาตุ ก็ คื อ รูธ าตุ ทั้ งหลายอั น เป น ที่ ตั้ งแห งปฏิ จ จสมุ ป บาท ทั้ งฝ ายสุ ม ทยวารและนิ โรธวาร, (ดั งที่ ได กล าวไว ใน หัว ขอ ที ่ว า "แดนเกิ ด ดั บ แห ง ทุ ก ข - โรค-ชราม รณ ะ "แหง ห ม วดที ่ ๕ เปน ตน ) นั่ น เอง; การฉลาดในอายตนะ ก็ คื อ ฉลาดในการระวั งไม ให เกิ ด "อวิ ชชาสั ม ผั ส " เพราะการ กระทบทางอายตนะ, (ดั งที่ ก ล า วไว ในหั ว ข อ ที่ ว า "ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ไม อ าจจะเกิ ด เมื่ อ รู เ ท า ทั น เวทนาในปฏิ จ จสมุ ป บาท" แห ง หมวดที่ ๖ เป น ต น ); ยิ่ ง การฉลาดในฐานะ และอฐานะด วยแล ว, ยิ่ งหมายถึ งฉลาดในปฏิ จจสมุ ปบาท ในฐานะที่ เป นทางเกิ ดทุ กข และ ทางดับ ทุก ข โดยตรง. (ดัง ที ่ก ลา วไวใ นหัว ขอ ที ่ว า "การพิจ ารณ าปจ จัย ในภายใน คือ การพิจ ารณ าปฏิจ จสมุป บาท" แหง หมวดที ่ ๖ เปน ตน ) อีก นั ่น เอง; ดัง นั ้น แม พระองค จ ะทรงใช คํ า ปริ กั ป ป ว า "ด ว ย" แทนที่ จ ะใช คํ า ว า "หรื อ " ในเมื่ อ ตรั ส ถึ ง คุ ณ ธรรม ๔ ประการ ที่ ทํ า ความเป น วี มั ง สกบั ณ ฑิ ต , ในตอนต น ของเรื่ อ งนี้ ; ก็ ย อ มหมายความว า รูอยางเดียวยอมรูทั้ง ๔ อยาง.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๔๕๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๗ สํ าหรับ "ความเป นผู ฉลาดในปฏิ จจสมุ ปบาท" เท าที่ ตรัสไว ในที่ นี้ , เรียกได วาตรั ส ไวแ ตห ัว ขอ . ในความพิส ดาร ยอ มมีโ ดยนัย ตา ง ๆ ดัง ที ่ไ ดร วบรวมมาไวทั ้ง หมดแลว ในหนัง สือ เลม นี ้. ยิ ่ง ในอภิธ ัม มปฏก (ธัม มสัง คณี ๓๔/๓๓_/๘๕๗) ดว ยแลว อธิบ าย คํ า ว า "ปฏิ จฺ จ สมุ ปฺ ป าทกุ ส ลตา" ไว สั้ น นิ ด เดี ย ว, คื อ ไม มี ก ล าวถึ งนิ โรธวาร, และไม มี คํ า นํ า ซึ่ งเป น หั วใจของปฏิ จ จสมุ ป บาท ที่ เรี ยกว ากฏอิ ทั ป ป จจยตา ว า "อิ ติ อิ ม สฺ มึ สติ อิ ทํ โหติ ...ฯลฯ... อิมสฺส นิโรธา อิทฺ นิรุชฺฌติ" เลย.
หมวดที่เจ็ด จบ ------------
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
หมวด ๘ วาดวย ปฏิจจสมุปบาท เกี่ยวกับ ความเปนพระพุทธเจา
www.buddhadasa.info ๔๕๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฎอิทัปปจจยตา : หัวในปฏิจจสมุปบาท. ………………………... อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมมี อิมสฺสุปฺ ปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป (ม.ม.๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน.สํ.๑๖/๘๔/๑๕๔,...)
www.buddhadasa.info
๔๕๙
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่องเฉพาะหมวด สําหรับปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๘ วาดวยปฏิจจสมุปบาทเกี่ยวกับความเปนพระพุทธเจา (มี ๘ เรื่อง) มีเรื่อง : ทรงเดินตามรอยพระพุทธเจาองคกอนๆ -- การคิดคนปฏิจจสมุปบาท กอ นการตรัส รู -- การคิด คน ปฏิจ จสมุป บาทของพระพุท ธเจา ในอดีต ๖ พระองค --ทรงบันลือสีหนาทเพราะทรงรูปจจัยแหงความเกิดและความดับ -- ทรงพยากรณแตอริยญายธรรมเทา นั้น – ทรงชัก ชวนวิงวอนเหลือ ประมาณในความเพีย รเพื่อ กิจ เกี่ย วกับ ปฏิจจสมุปบาท -- ทรงแสดงธรรมเนื่องดวยปฏิจจสมุปบาทมีความงามเบื้องตน-ทามกลาง -เบื้องปลาย -- ศาสดาและสาวกยอมมีความเห็นตรงกันในเรื่องปฏิจจสมุปบาท.
www.buddhadasa.info
๔๖๐
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
หมวดที่ ๘ วาดวย ปฏิจจสมุปบาท เกีย่ วกับความเปนพระพุทธเจา --------------ทรงเดินตามรอย แหงพระพุทธเจาองคกอนๆ (ในกรณีของการคนเรื่องปฏิจจสมุปบาท)๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ครั้งกอนแตการตรัสรู เมื่อเรายังไมไดตรัสรู ยังเปน โพธิสัตวอยู, ความปริวิตกอันนี้ไดเกิดขึ้นแกเราวา "สัตวโลกนี้หนอ ถึงแลวซึ่งความ ยากเข็ญ ยอมเกิด ยอมแก ยอมตาย ยอมจุติ และยอมอุบัติ, ก็เมื่อสัตวโลกไมรูจัก อุบายเครื่องออกไปพนจากทุกข คือชรามรณะแลว การออกจากทุกขคือชรามรณะนี้ จักปรากฏขึ้นไดอยางไร?"
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
๔๖๑
www.buddhadasa.info
๔๖๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก เราว า "เมื่ ออะไรมี อยู หนอ ชรามรณะ จึงไดมี : เพราะมีอะไรเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความรู แจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะการทํ าในใจโดย แยบคาย ได เกิ ดขึ้ นแก เราว า "เพราะชาติ นั่ นแล มี อยู ชรามรณะ จึ งได มี : เพราะมี ชาติเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ" ดังนี้. …๑เพราะภพนั่ น แล มี อ ยู ชาติ จึ ง ได มี : เพราะมี ภ พเป น ป จ จั ย จึ ง มี ชาติ" ดังนี้. ...เพราะอุ ป าทานนั่ นแล มี อยู ภพ จึ งได มี : เพราะมี อุ ปาทานเป นป จจั ย จึงมีภพ" ดังนี้. ...เพราะตั ณ หานั่ นแล มี อยู อุ ปาทาน จึ งได มี : เพราะมี ตั ณ หาเป นป จจั ย จึงมีอุปาทาน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ...เพราะเวทนานั่ น แล มี อ ยู ตั ณ หา จึ งได มี : เพราะมี เวทนาเป น ป จจั ย จึงมีตัณหา" ดังนี้.
...เพราะผั ส สะนั่ น แล มี อ ยู เวทนา จึ ง ได มี : เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึงมีเวทนา" ดังนี้.
๑
ความข อตามที่ ละ...ไว นั้ น หมายความว า ได มี ความฉงนเกิ ดขึ้ น ทุ ก ๆ ตอน แล วทรงทํ าในใจโดยแยบ คาย จนความรูแจ งเกิ ด ขึ้ น ทุ ก ๆ ตอนเป น ลํ าดั บ ไป จนถึ งที่ สุ ด ทั้ งฝ ายสมุ ท ยวารและนิ โรธวาร; ในที่ นี้ละไวโดยนัยะที่ผูอานอาจจะเขาใจเอาเองได; เปนการตัดความรําคาญในการอาน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๖๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๔๖๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
ทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวย อาการอยางนี้". ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ดวงตา เกิ ด ขึ้ น แล ว ญาณ เกิ ด ขึ้ น แล ว ป ญ ญา เกิ ดขึ้ นแล ว วิ ชชา เกิ ดขึ้ นแล ว แสงสว าง เกิ ดขึ้ นแล ว แก เรา ในธรรมทั้ งหลายที่ เรา ไม เคยฟ งมาแต ก อนว า "ความเกิ ดขึ้ นพร อม (สมุ ทโย)! ความเกิ ดขึ้ นพร อม (สมุ ทโย)!" ดังนี้ . (ปฏิปกขนัย)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก เราต อไปว า "เมื่ ออะไรไม มี หนอ ชรามรณะ จึ งไม มี : เพราะความดั บ แห งอะไร จึ งมี ค วามดั บ แห งชรามรณะ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความรู แจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะการทํ าในใจโดย แยบคาย ได เกิ ด ขึ้ น แก เราว า "เพราะ ชาติ นั่ น แล ไม มี ชรามรณะจึ งไม มี : เพราะ ความดับแหงชาติ จึงมีความดับแหงชรามรณะ" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ....เพราะภพนั่ น แล ไม มี ชาติ จึ งไม มี : เพราะความดั บ แห ง ภพ จึ ง มี ความดับแหงชาติ" ดังนี้.
....เพราะอุ ป าทานนั่ น แล ไม มี ภพ จึ ง ไม มี : เพราะความดั บ แห ง อุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ" ดังนี้. ....เพราะตั ณ หานั่ น แล ไม มี อุ ป าทาน จึ ง ไม มี : เพราะความดั บ แห ง ตัณหา จึงมีความดับแหงอุปทาน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๖๕
....เพราะเวทนานั่ น แล ไม มี ตั ณ หา จึ ง ไม มี : เพราะความดั บ แห ง เวทนา จึงมีความดับแหงตัณหา" ดังนี้. ....เพราะผั สสะนั่ นแล ไม มี เวทนา จึ งไม มี : เพราะความดั บแห งผั สสะ จึงมีความดับแหงเวทนา" ดังนี้. ....เพราะสฬายตนะนั่ นแล ไม มี ผั สสะ จึ งไม มี : เพราะความดั บแห ง สฬายตนะ จึงมีความดับแหงผัสสะ" ดังนี้. ....เพราะนามรู ป นั่ น แล ไม มี สฬายตนะ จึ งไม มี : เพราะความดั บแห ง นามรูป จึงมีความดับแหงสฬายตนะ" ดังนี้. ....เพราะวิ ญ ญาณนั่ น แล ไม มี นามรู ป จึ งไม มี : เพราะความดั บ แห ง วิญญาณ จึงมีความดับแหงวิญญาณ" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก เราว า "เมื่ ออะไรไม มี หนอ วิญญาณ จึงไมมี :เพราะความดับแหงอะไร จึงมีความดับแหงวิญญาณ" ดังนี้
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความรูแจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะการทํ าในใจโดย แยบคาย ได เกิ ดขึ้ นแก เราวา "เพราะนามรูปนั่ นแล ไม มี วิญญาณ จึงไม มี : เพราะ ความดับแหงนามรูป จึงมีความดับแหงวิญญาณ" ดังนี้ ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! ความรู แ จง นี ้ไ ดเ กิด ขึ ้น แกเ ราวา "หนทาง เพื่อ การตรัส รูนี้ อัน เราไดถึงทับ แลว แล : ไดแกสิ่งเหลานี้คือ เพราะความดับ แหงนามรูป จึงมีความดับแหงวิญญาณ; เพราะมีความดับแหงวิญญาณ จึงมีความดับแหง
www.buddhadasa.info
๔๖๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
นามรูป; เพราะมี ความดั บแห งนามรูป จึ งมี ความดั บแห งสฬายตนะ; เพราะมี ความดั บ แหงสฬายตนะ จึงมีความดับแหงผัสสะ; เพราะมีความดับแหงผัสสะ จึงมีความดับแหง เวทนา; เพราะมี ความดั บแห งเวทนา จึ งมี ความดั บแห งตั ณหา; เพราะมี ความดั บแห ง ตั ณ หา จึ งมี ค วามดั บ แห งอุ ป าทาน; เพราะมี ค วามดั บ แห งอุ ป าทาน จึ งมี ค วามดั บ แห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึงดั บสิ้น : ความดั บลง แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ดวงตา เกิ ดขึ้นแล ว ญาณ เกิ ดขึ้นแล ว ป ญหา เกิ ด ขึ้นแล ว วิชชา เกิ ดขึ้นแล ว แสงสวาง เกิ ดขึ้ นแลว แกเรา ในธรรมทั้ งหลายที่ เราไม เคยฟงมาแตกอน วา "ความดับไมเหลือ (นิโรโธ)! ความดับไมเหลือ (นิโรโธ)!" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนบุ รุษเที่ ยวไปในป าทึ บ เกิ ดพบรอยทาง ซึ่งเคยเปนหนทางเกา ที่มนุษยแตกาลกอนเคยใชเดินแลว. บุรุษนั้น จึงเดินตามทางนั้นไป เมื่ อเดิ นไปตามทางนั้ นอยู ได พบทรากนครซึ่ งเป นราชธานี โบราณ อั นมนุ ษย ทั้ งหลาย แตกาลกอนเคยอยูอาศัยแลว เปนที่อันสมบูรณ ดวยสวน สมบูรณ ดวยปาไม สมบูรณ ดวย สระโบกขรณี มีทรากกําแพงลอม มีภูมิภาคน ารื่นรมย. ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ลําดับนั้ น บุ รุษนั้ นเข าไปกราบทู ลแจ งข าวนี้ แก พระราชา หรือแก มหาอํ ามาตย ของพระราชาว า "ขอท าวพระกรุณาจงทรงทราบเถิ ด : ขาพระเจ าเมื่ อเที่ ยวไปในป าทึ บ ได เห็ นรอยทางซึ่ ง เคยเป นหนทางเก า ที่ มนุ ษย แต กาลก อนเคยใชเดิ นแล ว ขาพระเจาได เดิ นตามทางนั้ นไป, เมื่ อเดิ นไปตามทางนั้ นอยู , ได พบทรากนครซึ่ งเป นราชธานี โบราณ อั นมนุ ษย ทั้ งหลายแต กาลกอนเคยอยูอาศั ยแลว เป นที่ อันสมบู รณ ดวยสวน สมบู รณ ด วยป าไม สมบู รณ ดวย สระโบกขรณี มีทรากกําแพงลอม มีภูมิภาคนารื่นรมย. ขอพระองคจงปรับปรุงสถานที่นั้น ใหเปนนครเถิด พระเจาขา!" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๖๗
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ น พระราชาหรือมหาอํ ามาตย ของพระราชานั้ น จึงตบแตงสถานที่นั้นขึ้นเป นนคร. สมั ยตอมา นครนั้นไดกลายเปนนครที่มั่งคั่งและรุงเรือง มี ป ระชาชนมาก เกลื่ อ นกล น ด ว ยมนุ ษ ย ถึ ง แล ว ซึ่ ง ความเจริ ญ ไพบู ล ย , นี้ ฉั น ใด; ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! ขอ นี ้ก ็ฉ ัน นั ้น : เราไดเห็น แลว ซึ ่ง รอยทางเกา ที ่เคยเปน หนทางเกา อันพระสัมมาสัมพุทธเจาทั้งหลายในกาลกอนเคยทรงดําเนินแลว. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ รอยทางเก า ที่ เคยเป นหนทางเก า อั นพระสั มมา สัมพุ ทธเจาทั้ งหลายในกาลก อนเคยทรงดํ าเนิ นแล ว นั้ นเป นอย างไรเลา? นั่ นคื ออริยอัฏฐังคิกมรรคนี้นั่นเทียว, ไดแกสิ่งเหลานี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติสัมมาสมาธิ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้ แ ลรอยทางเก า ที่ เป น หนทางเก า อั น พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ าทั้ งหลายในกาลก อ น เคยทรงดําเนินแลว. เรานั้น ก็ไดดําเนินไปตามแลวซึ่งหนทางนั้น, เมื่อดําเนินไปตามอยู ซึ่งหนทางนั้น เรา : ได รู ยิ่ ง เฉพาะแล ว ซึ่ ง ชรามรณะ, ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งชรามรณะ, ซึ่ ง ความดับไมเหลือแหงชรามรณะ, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหง ชรามรณะ; ...๑ได รู ยิ่ ง เฉพาะแล ว ซึ่ ง ชาติ , ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง ชาติ , ซึ่ ง ความดั บ ไมเหลือแหงชาติ, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงชาติ;
www.buddhadasa.info
๑
ที่ละ...ไวตรงนี้ และตอ ๆ ไปมีขอความเต็มวา "เรานั้น ไดดําเนินไปตามแลวซึ่งหนทาง, เมื่อดําเนินไปตาม อยูซึ่งหนทางนั้น เรา".
www.buddhadasa.info
๔๖๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
...ได รู ยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ งภพ, ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งภพ, ซึ่ งความดั บไม เหลื อ แหงภพ, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงภพ; ...ได รู ยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ งอุ ปาทาน, ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งอุ ปาทาน, ซึ่ งความ ดับไมเหลือ แหงอุปาทาน, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงอุปาทาน; ...ได รู ยิ่ ง เฉพาะแล ว ซึ่ ง ตั ณ หา, ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง ตั ณ หา, ซึ่ ง ความ ดับไมเหลือแหงตัณหา, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงตัณหา; ...ได รู ยิ่ ง เฉพาะแล ว ซึ่ ง เวทนา, ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห ง เวทนา, ซึ่ ง ความ ดับไมเหลือแหงเวทนา, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงเวทนา; ...ได รู ยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ งผั ส สะ, ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งผั ส สะ, ซึ่ งความดั บ ไมเหลือแหงผัสสะ, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงผัสสะ;
www.buddhadasa.info ...ได รู ยิ่ ง เฉพาะแล ว ซึ่ ง สฬายตนะ, ซึ่ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น แห ง สฬายตนะ, ซึ่ งความดั บไม เหลื อแห งสฬายตนะ, ซึ่ งข อปฏิ บั ติ เครื่องทํ าสั ตว ให ลุ ถึ งความดั บไม เหลื อ แหงสฬายตนะ; ...ได รู ยิ่ ง เฉพาะแล วซึ่ ง นามรู ป , ซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น แห งนามรู ป , ซึ่ งความ ดับไมเหลือแหงนามรูป, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงนามรูป; ...ได รู ยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ งวิ ญ ญาณ, ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งวิ ญ ญาณ, ซึ่ งความ ดับไมเหลือแหงวิญญาณ, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงวิญญาณ;
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๖๙
เราได ดํ าเนิ นไปตามแล วซึ่ งหนทางนั้ น, เมื่ อดํ าเนิ นไปตามอยู ซึ่ งหนทางนั้ น เราได รู ยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ ง สั งขาร ทั้ งหลาย, ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งสั งขาร, ซึ่ งความดั บ ไมเหลือแหงสังขาร, ซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงสังขาร. ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรานั้ น ครั้ น รู ยิ่ งเฉพาะแล วซึ่ งหนทางนั้ น ได บ อก แลวแกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลาย ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! พรหมจรรย นี้ ที่ เรากล า วบอกแล ว นั้ น ได เป น พรหมจรรยตั้งมั่นและรุงเรืองแลว เปนพรหมจรรยแผไพศาล เปนที่รูแหงชนมาก เปนปกแผนแนนหนา จนกระทั่งเทวดาและมนุษยทั้งหลายสามารถประกาศไดดวย ดีแลว.
การคิดคนปฏิจจสมุปบาท กอนการตรัสรู๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ครั้ งก อนแต การตรั สรู เมื่ อเรายั งไม ได ตรั สรู ยั งเป น โพธิ สั ตว อยู , ความปริวิ ตกอั นนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก เราว า "สั ตว โลกนี้ หนอ ถึ งทั่ วแล วซึ่ งความ ยากเข็ ญ ย อมเกิ ด ย อมแก ย อมตาย ย อมจุ ติ และย อมอุ บั ติ , ก็ เมื่ อสั ตว โลกไม รู จั ก อุบายเครื่องออกไปพันจากทุกขคือชรามรณะแลว การออกจากทุ กขคือชรามรณะนี้จัก ปรากฏขึ้นไดอยางไร?"
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๑๐ พุทธวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๑/๒๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๔๗๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก เราว า "เมื่ ออะไรมี อยู หนอ ชรามรณะ จึงไดมี : เพราะมีอะไรเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความรูแจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะการทํ าในใจโดย แยบคาย ไดเกิดขึ้นแกเราวา "เพราะชาตินั่นแล มีอยู ชรามรณะจึงไดมี : เพราะมี ชาติเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ"ดังนี้. ....เพราะภพนั่นแล มีอยู ชาติจึงไดมี : เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ" ดังนี้. ....เพราะอุปาทานนั่นแล มีอยู ภพจึงไดมี : เพราะมีอุปทานเปนปจจัย จึงมีภพ" ดังนี้. ....เพราะตัณหานั่นแล มีอยู อุปาทานจึงไดมี : เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน ดังนี้.
www.buddhadasa.info ....เพราะเวทนานั่นแล มีอยู ตัณหาจึงไดมี : เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา ดังนี้.
....เพราะผัสสะนั่นแล มีอยู เวทนาจึงไดมี : เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา ดังนี้. ....เพราะสฬายตนะนั่ นแล มี อยู ผั สสะจึ งได มี : เพราะมี สฬายตนะเป น ปจจัย จึงมีผัสสะ ดังนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๗๑
....เพราะนามรูปนั่นแล มีอยู สฬายตนะจึงไดมี : เพราะมีนามรูปเปน ปจจัย จึงมี สฬายตนะ ดังนี้. ....เพราะวิญญาณนั่นแล มีอยู นามรูปจึงไดมี : เพราะมีวิญญาณเปน ปจจัย จึงมีนามรูป" ดังนี้. ....เพราะสังขารนั่นแล มีอยู วิญญาณจึงไดมี : เพราะมีสังขารเปนปจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก เราว า "เมื่ ออะไรมี อยู หนอ สังขารทั้งหลายจึงไดมี : เพราะมีอะไรเปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความรูแจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะการทํ าในใจโดย แยบคาย ไดเกิดขึ้นแกเราวา "เพราะอวิชชานั่นแล มีอยู สังขารทั้งหลายจึงไดมี : เพราะอวิชชาเปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย" ดังนี้.
www.buddhadasa.info เพราะเหตุ นั้ น ขอนี้ จึงมี วา เพราะมี อวิชชาเป นป จจัย จึ งมี สั งขารทั้ งหลาย; เพ ราะมี ส ั ง ขารเป น ป จ จั ย จึ ง มี ว ิ ญ ญ าณ ; ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ...; เพ ราะ มี ชาติ เป นป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ น ครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ดวงตา เกิ ดขึ้ นแล ว ญาณ เกิ ดขึ้ นแล ว ป ญ ญา เกิดขึ้นแลว วิชชา เกิดขึ้นแลว แสงสวาง เกิดขึ้น แกเรา ในธรรมทั้งหลายที่เรา
www.buddhadasa.info
๔๗๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
ไมเคยฟงมาแตกอนวา "ความเกิดขึ้นพรอม(สมุทัย)! ความเกิดขึ้นพรอม (สมุทัย)!" ดังนี้. (ปฏิปกขนัย) ....
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก เราว า "เมื่ ออะไรไม มี อยู หนอ ชรามรณะจึงไมมี : เพราะความดับแหงอะไร จึงมีความดับแหงชรามรณะ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความรู แจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะการทํ าในใจโดย แยบคาย ไดเกิดขึ้นแกเราวา "เพราะชาติ นั่ นแล ไม มี ชรามรณะจึ งไม มี : เพราะ ความดับแหงชาติ จึงมีความดับ แหงชรามรณะ" ดังนี้. ....เพราะภพนั่ นแล ไม มี ชาติ จึ งไม มี : เพราะความดั บแห งภพ จึ งมี ความดับแหงชาติ" ดังนี้. ....เพราะอุป าทานนั ่น แลไมม ี ภพจึง ไมม ี : เพราะความดับ แหง อุปทาน จึงมีความดับแหงภพ" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ....เพราะตั ณ หานั่ น แล ไม มี อุ ป าทานจึ งไม มี : เพราะความดั บแห ง ตัณหา จึงมีความดับแหงอุปาทาน" ดังนี้.
....เพราะเวทนานั่ น แล ไม มี ตั ณ หาจึ ง ไม มี : เพราะความดั บ แห ง เวทนา จึงมีความดับแหงตัณหา" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๗๓
....เพราะผั ส สะนั่ น แล ไม มี เวทนาจึ ง ไม มี : เพราะความดั บ แห ง ผัสสะ จึงมีความดับแหงเวทนา" ดังนี้. ....เพราะสฬายตนะนั่ น แล ไม มี ผั ส สะจึ ง ไม มี : เพราะความดั บ แหงสฬายตนะ จึงมีความดับแหงผัสสะ" ดังนี้. ....เพราะนามรู ป นั่ น แล ไม มี สฬายตนะจึ งไม มี : เพราะความดั บ แหงนามรูป จึงมีความดับแหงสฬายตนะ" ดังนี้. ....เพราะวิญญาณนั่นแล ไมมี นามรูปจึงไมมี : เพราะความดับแหง วิญญาณ จึงมีความดับแหงนามรูป" ดังนี้. ....เพราะสังขารนั่ นแล ไม มี วิญญาณจึงไม มี : เพราะความดับแหง สังขาร จึงมีความดับแหงวิญญาณ" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก เราว า "เมื่ ออะไรไม มี อยู หนอ สังขารทั้งหลายจึงไมมี : เพราะความดับแหงอะไร จึงมีความดับแหงสังขารทั้งหลาย" ดังนี้.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความรูแจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะการทํ าในใจโดย แยบคาย ไดเกิดขึ้นแกเราวา "เพราะอวิชชานั่นแล ไมมี สังขารทั้งหลายจึงไมมี : เพราะความดับแหงอวิชชา จึงมีความดับแหงสังขาร" ดังนี้.
เพราะเหตุ นั้ น ข อนี้ จึ งมี ว า เพราะความดั บแห งอวิ ชชา จึ งมี ความดั บแห ง สังขาร; เพราะมีความดับแหงสังขาร จึงมีความดับแหงวิญญาณ; ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info
๔๗๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
…ฯลฯ...ฯลฯ...; เพราะมีค วามดับ แหง ชาตินั ่น แล, ชรามรณะ โสกะปริเ ทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลายจึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ดวงตา เกิดขึ้นแลว ญาณ เกิดขึ้นแลว ป ญญา เกิด ขึ้นแล ว วิชชา เกิ ดขึ้นแล ว แสงสวาง เกิ ดขึ้ นแลว แกเรา ในธรรมทั้ งหลายที่ เราไม เคยฟ งมาแตกอนวา "ความดั บไม เหลื อ(นิ โรธ)! ความดั บไม เหลื อ (นิ โรธ)!" ดั งนี้ ; ดังนี้. แล.
การคิดคนปฏิจจสมุปบาท ของพระพุทธเจาในอดีต ๖ พระองค๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อพระผู มี พระภาคอรหั นตสั มมาสั มพุ ทธเจ าพระนาม วาวิป สสี ยั งไม ได ตรัสรู ก อนแต ที่ ท านตรัสรู ยั งเป นโพธิสั ตวอยู , ความปริวิตกอั นนี้ ได เกิ ดขึ้นแก ท านวา "สั ตวโลกนี้ หนอ ถึ งทั่ วแล วซึ่ งความยากเข็ ญ ย อมเกิ ด ย อมแก ยอมตาย ยอมจุติ และยอมอุบั ติ, ก็เมื่ อสัตวโลกไม รูจักอุบายเครื่องออกไปพ นจากทุกข คือชรามรณะแลว การออกจากทุกขคือชรามรณะ นี้ จักปรากฎขึ้นไดอยางไร?"
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บ นั้ นแล ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ น แก พ ระวิ ป สสี โพธิสัตวนั้นวา "เมื่ ออะไรมี อยูหนอ ชรามรณะ จึงไดมี : เพราะมีอะไรเป นปจจัย จึงมี ชรามรณะ" ดังนี้.
๑
สูตรที่ ๔ พุทธวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๕/๒๒, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๗๕
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ลํ า ดั บ นั้ น แล ความรู แ จ ง อย า งยิ่ ง ด ว ยป ญ ญา เพราะการทํ าในใจโดยแยบคาย ได เกิ ดขึ้นแก พระวิป สสี โพธิ สั ตวนั้ นวา "เพราะ ชาติ นั่นแล มีอยูชรามรณะจึงไดมี : เพราะมีชาติเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ" ดังนี้ ....๑เพราะภพนั่ นแล มี อยู ชาติ จึ งได มี : เพราะมี ภพเป นป จจั ย จึ งมี ชาติ ดังนี้. ....เพราะอุ ป าทานนั่ นแล มี อยู ภพจึ งได มี : เพราะมี อุ ปทานเป นป จจั ย จึงมีภพ, ดังนี้. ....เพราะตั ณ หานั่ นแล มี อยู อุ ปาทานจึ งได มี : เพราะมี ตั ณ หาเป นป จจั ย จึงมีอุปาทาน, ดังนี้. ....เพราะเวทนานั่ นแล มี อยู ตั ณ หาจึ งได มี : เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึงมีตัณหา, ดังนี้.
www.buddhadasa.info ....เพราะผั สสะนั่ นแล มี อยู เวทนาจึ งได มี : เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา, ดังนี้.
....เพราะสฬายตนะนั่ นแล มี อยู ผั สสะจึ งได มี : เพราะมี สฬายตนะเป น ปจจัยจึงมีผัสสะ, ดังนี้.
๑
ข อ ความตามที่ ล ะ....ไว นั้ น หมายความว า ได มี ค วามฉงนเกิ ด ขึ้ น ทุ ก ๆ ตอน แล ว ทรงทํ า ในใจโดย แยบคาย จนควมรูแจ งเกิ ดขึ้ น ทุ ก ๆ ตอน เป นลํ าดั บ ไป จนถึ งที่ สุ ด ทั้ งฝ ายสมุ ท ยวารและนิ โรธวาร; ในที่นี้ละไว โดยนัยะที่ผูอานอาจจะเขาใจเอาเองได : เปนการตัดความรําคาญในการอาน.
www.buddhadasa.info
๔๗๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
....เพราะนามรู ปนั่ นแล มี อยู สฬายตนะจึ งได มี : เพราะมี นามรูปเป นป จจั ย จึงมีสฬายตนะ, ดังนี้. ....เพราะวิ ญญาณนั่ นแล มี อยู นามรูปจึ งได มี : เพราะมี วิญญาณเป นป จจั ย จึงมีนามรูป, ดังนี้. ....เพราะสั งขารนั่ นแล มี อยู วิ ญญาณจึ งได มี : เพราะมี สั งขารเป นป จจั ย จึงมีวิญญาณ, ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บ นั้ นแล ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ น แก พ ระวิ ป สสี โพธิสั ตวนั้ นวา "เมื่ อะไรมี อยู หนอ สั งขาร ทั้ งหลายจึ งได มี : เพราะมี อะไรเป นป จจั ย จึงมีสังขารทั้งหลาย" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ นแล ความรูแจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะ การทํ าในใจโดยแยบคาย ไดเกิดขึ้นแกพระวิป สสีโพธิสัตวนั้นวา "เพราะอวิชชานั่นแล มีอยู สังขารทั้งหลายจึงไดมี : เพราะอวิชชาเปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย" ดังนี้.
www.buddhadasa.info เพราะเหตุ นั้ น ขอนี้ จึงมี วา เพราะมี อวิชชาเป นป จจัย จึ งมี สั งขารทั้ งหลาย; เพราะมีส ัง ขารเปน ปจ จัย จึง มีว ิญ ญ าณ ; ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ...; เพราะมี ชาติ เป นป จจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึงเกิ ดขึ้นครบ ถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ดวงตา เกิ ดขึ้ นแล ว ญาณ เกิ ดขึ้ นแล ว ป ญ ญา เกิดขึ้นแลว วิชชา เกิดขึ้นแลว แสงสวาง เกิดขึ้นแลว แกพระวิปสสีโพธิสัตวนั้น
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๗๗
ในธรรมทั้งหลายที่เราไมเคยฟงมาแตกอนวา "ความเกิดขึ้น พรอม! ความเกิดขึ้น พรอม!" ดังนี้. --- --- --- --ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ นแล ความฉงนนี้ ได มี แก พระวิ ป สสี โพธิ สั ตว ต อไปวา "เมื่ ออะไรไม มี หนอ ชรามรณะจึงไม มี : เพราะความดั บแห งอะไร จึ งมี ความ ดับแหงชรามรณะ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ นแล ความรูแจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะ การทําในใจโดยแยบคาย ไดเกิดขึ้นแกพระวิปสสีโพธิสัตวนั้นวา "เพราะชาตินั่นแล ไมมี ชรามรณะจึงไมมี : เพราะความดับแหงชาติ จึงมีความดับ แหงชรามรณะ" ดังนี้. ....เพราะภพนั่ น แล ไม มี ชาติ จึ งไม มี : เพราะความดั บ แห ง ภพ จึ ง มี ความดับแหงชาติ , ดังนี้.
www.buddhadasa.info ....เพราะอุ ป าทานนั่ นแลไม มี ภพจึ งไม มี : เพราะความดั บแห งอุ ปทาน จึงมีความดับแหงภพ, ดังนี้.
....เพราะตั ณหานั่ นแล ไม มี อุ ปาทานจึ งไม มี : เพราะความดั บแห งตั ณหา จึงมีความดับแหงอุปาทาน, ดังนี้. ....เพราะเวทนา นั่ นแล ไม มี ตั ณ หาจึ งไม มี : เพราะความดั บแห งเวทนา จึงมีความดับแหงตัณหา, ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๔๗๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
....เพราะผั ส สะนั่ นแล ไม มี เวทนาจึ งไม มี : เพราะความดั บ แห งผั สสะ จึงมีความดับแหงเวทนา, ดังนี้. ....เพราะสฬายตนะนั่ น แล ไม มี ผั ส สะจึ งไม มี : เพราะความดั บ แห ง สฬายตนะ จึงมีความดับแหงผัสสะ, ดังนี้. ....เพราะนามรู ป นั่ น แล ไม มี สฬายตนะจึ งไม มี : เพราะความดั บแห ง นามรูป จึงมี ความดับแหงสฬายตนะ, ดังนี้. ....เพราะวิ ญ ญาณนั่ น แล ไม มี นามรู ป จึ งไม มี : เพราะความดั บ แห ง วิญญาณ จึงมีความดับแหงนามรูป, ดังนี้. ....เพราะสั งขารนั่ นแล ไม มี วิ ญญาณจึ งไม มี : เพราะความดั บแห งสั งขาร จึงมีความดับแหงวิญญาณ, ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บ นั้ นแล ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ น แก พ ระวิ ป สสี โพธิสั ตวนั้ นวา "เมื่ ออะไรไม มี หนอ สั งขารทั้ งหลายจึ งไม มี : เพราะความดั บแห งอะไร จึงมีความดับแหงสังขาร" ดังนี้.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ นแล ความรูแจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะ การทําในใจโดยแยบคาย ไดเกิดขึ้นแกพระวิปสสีโพธิสัตวนั้นวา "เพราะอวิชชานั่นแลไมมี สังขารทั้งหลายจึงไมมี : เพราะความดับแหงอวิชชา จึงมีความดับแหงสังขาร" ดังนี้. เพราะเหตุ นั้ น ข อนี้ จึ งมี ว า เพราะความดั บแห งอวิ ชชา จึ งมี ความดั บแห ง สังขาร; เพราะมีความดับแหงสังขาร จึงมีความดับแหงวิญญาณวิญญาณ; ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๗๙
…ฯลฯ...ฯลฯ...; เพราะมีค วามดับ แหง ชาตินั ้น แล ชรามรณะ โสกะปริเ ทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลายจึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ดวงตา เกิ ดขึ้ นแล ว ญาณ เกิ ดขึ้ นแล ว ป ญ ญา เกิ ด ขึ้ น แล ว วิ ช ชา เกิ ด ขึ้ น แล ว แสงสว า งเกิ ด ขึ้ น แล ว แก พ ระวิ ป ส สี โพธิ สั ต ว นั้ น ในธรรมทั้งหลายที่พระองคไมเคยฟงมาแตกอนวา "ความดับไมเหลือ! ความดับไม เหลือ! ดังนี้; แล. หมายเหตุ ผู ร วบรวม: แม ก ารคิ ด ค น ปฏิ จ จสมุ ป บาทของอดี ต พระพุ ท ธิ เจ า ๕ พระองค นอกจากนี้ คื อ พระสิ ขี พระเวสสภู พระกกุ สั น ธะ พระโกนาคมนะ และพระ กั ส สปะ ก็ มี เนื้ อ ความตรงกั น กั บ เรื่ อ งราวอั น เกี่ ย วกั บ พระพุ ท ธเจ า วิ ป ส สี นี้ ทุ ก ๆ ประการ ทุกตัวอักษร เวนแตชื่อพระพุทธเจาเทานั้น. อนึ่ ง ข อความเกี่ ยวกั บการคิ ดค นปฏิ จจสมุ ปบาทของพระพุ ทธเจ าวิป สสี ที่ กล าวไว ในคั ม ภี ร สั งยุ ตตนิ กายตามที่ ได นํ ามากล าวไว ในข อความแห งหั วข อข างบนนี้ นั้ น มี ข อความ บางอย างไม ต รงกั น แท กั บ ข อ ความเรื่ อ งเดี ย วกั น ที่ ก ล า วอยู ในคั ม ภี ร ที่ ฆ นิ ก าย คื อ ในคั ม ภี ร ที ฆนิ กายนั้ นกล าวกระแสแห งปฏิ จจไปหยุ ดเสี ยเพี ยงแค วิ ญ ญาณกั บนามรูป ไม เลยขึ้ นไปถึ ง อวิ ช ชา; ซึ่ ง ได ย กข อ ความนั้ น มากล า วไว ใ นหมวดที่ ๑๐ ภายใต หั ว ข อ ว า "ปฏิ จ จสมุ ป บ า ท แ บ บ ที ่ ต รั ส โด ย พ ระ พุ ท ธ เจ า วิ ป ส สี " ผู ส น ใจ พึ ง ทํ า ก า รเป รี ย บ เที ย บ กั น ดู และจะพบขอแตกตางอยูบางอยางดังที่กลาวมานี้, ซึ่งจะเปนเพราะเหตุใดก็ยากที่จะทราบได.
www.buddhadasa.info ทรงบันลือสีหนาท เพราะทรงรูปจจัยแหงความเกิดและความดับ๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคต เป นผู ประกอบด วยพลญาณ ๑๐ อย าง และ ประกอบดวยเวสารัชชญาณ ๔ อยาง จึงปฏิญญาตําแหนงจอมโลก บันลือสีหนาท
๑
สูตรที่ ๑ ทสพลวรรค นิทานสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๓๓/๖๔ ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๔๘๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
ประกาศพรหมจั ก ร ในท ามกลางบริ ษั ทั้ งหลายว า "รู ป คื อ ย างนี้ ๆ. เหตุ ให เกิ ด รู ป คื ออยางนี้ ๆ, ความไม ตั้ งอยู ได แห งรูป คื ออย างนี้ ๆ;" และวา "เวทนา คื ออย างนี้ ๆ, เหตุ ให เกิ ด เวทนา คื ออย างนิ้ ๆ, ความไม ตั้ งอยู ให แห งเวทนา คื อ ย างนี้ ๆ;" และว า "สั ญญา คื ออย างนี้ ๆ, เหตุ ให เกิ ดสั ญญา คื ออย างนี้ ๆ, ความไม ตั้ งอยู ได แห งสั ญญา คื ออย างนี้ ๆ;" และว า "สั งขาร ทั้ งหลาย คื ออย างนี้ ๆ, เหตุ ให เกิ ดสั งขารทั้ งหลาย คื ออย างนี้ ๆ, ความไม ตั้ งอยู ได แห งสั งขารทั้ งหลาย คื ออย างนี้ ๆ;" และว า "วิ ญ ญาณ คื ออย างนี้ ๆ, เหตุ ให เกิ ดวิญ ญาณ คื ออย างนี้ ๆ, ความไม ตั้ งอยู ได แห งวิญ ญาณคื อ อยา งนี ้ ๆ;" แล ะวา "เพ ราะสิ ่ง นี ้ม ี, สิ ่ง นี ้จ ึง มี; เพ ราะสิ ่ง นี ้เ กิด ขึ ้น , สิ ่ง นี้ จึง เกิด ขึ ้น ; เพ ราะสิ ่ง นี ้ไ มม ี, สิ ่ง นี ้จ ึง ไมม ี; เพ ราะสิ ่ง นี ้ด ับ , สิ ่ง นี ้จ ึง ดับ ; ดวยอาการอยางนี้ : นี้ไดแกความที่ :เพราะมีอวิชชาเปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขารเปนปจจัย จึงมีวิญญาณ; ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ...
เพราะมีชาติเปนปจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาส ทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info เพราะความจางคลายดับไปโดยไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมี ความดับแหงสังขาร; เพราะมีความดับแหงสังขาร จึงมีความดับแหงวิญญาณ; ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๘๑
เพราะมีความดั บแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกอบทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการอย างนี้ " , ดังนี้ แล.
ทรงพยากรณแตอริยญายธรรมเทานั้น๑ อุ ตติ ยปริพพาชก ได ทู ลถามว า "ข าแต ท านโคดมผู เจริ ญ! คํ านี้ ว า โลกเที่ ยงเท านั้ น
เปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?" ดู ก อ นอุ ต ติ ย ะ! ข อ ที่ ว า โลกเที่ ย ง เท า นั้ น เป น คํ า จริ ง คํ า อื่ น เป น โมฆะ ดังนี้นั้น เปนสัจจะที่เราไมพยากรณ. "ข าแต ท านโคดมผู เจริ ญ ! คํ านี้ ว า โลกไม เที่ ยง เท านั้ นเป นคํ าจริ ง คํ าอื่ น เปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?" ดู ก อนอุ ตติ ยะ ! ข อที่ ว า โลกไม เที่ ยง เท านั้ นเป นคํ าจริ ง คํ าอื่ นเป นโมฆะ ดังนี้นั้น เปนสัจจะที่เราไมพยากรณ.
www.buddhadasa.info "ข าแต ท านโคดมผู เจริญ! คํ านี้ ว า โลกมี ที่ สุ ด เท านั้ นเป นคํ าจริง คํ าอื่ นเป น โมฆะ ดังนั้นหรือ?"
๑
สูตรที่ ๕ อุปาสกวรรค ทสก.อํ. ๒๔/๒๐๗/๙๕, ตรัสแกอุตติยปริพพาชก
www.buddhadasa.info
๔๘๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
ดู ก อนอุ ตติ ยะ! ข อที่ ว า โลกมี ที่ สุ ด เท านั้ นเป นคํ าจริ ง คํ าอื่ นเป นโมฆะ ดังนี้นั้น เปนสัจจะที่เราไมพยากรณ. "ขาแตท านโคดมผูเจริญ! คํานี้วา โลกไมมีที่ สุด เทานั้ นเปนคําจริง คําอื่น เปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?" ดู ก อนอุ ตติ ยะ! ข อที่ ว า โลกไม มี ที่ สุ ด เท านั้ นเป นคํ าจริง คํ าอื่ นเป นโมฆะ ดังนี้นั้น เปนสัจจะที่เราไมพยากรณ. "ขาแต ท านโคดมผู เจริญ! คํ านี้ วา ชี วะก็อั นนั้ น สรีระก็ อั นนั้ น เท านั้ นเป น คําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?" ดู ก อ นอุ ต ติ ยะ! ข อที่ ว า ชี วะก็ อั น นั้ น สรีระก็ อั น นั้ น เท านั้ น เป น คํ าจริ ง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนี้นั้น เปนสัจจะที่เราไมพยากรณ. "ขาแตท านโคดมผูเจริญ! คํ านี้วา ชีวะก็ อันอื่น สรีระก็อันอื่น เท านั้นเป น คําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?"
www.buddhadasa.info ดู ก อ นอุ ต ติ ย ะ! ข อ ที่ ว า ชี วะก็ อั น อื่ น สรี ระก็ อั น อื่ น เท านั้ น เป น คํ าจริ ง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนี้นั้น เปนสัจจะที่เราไมพยากรณ.
"ข าแต ท านโคดมผู เจริญ! คํ านี้ ว า ตถาคตภายหลั งแต ตายแล ว ย อมมี อี ก เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?" ดู ก อนอุ ตติ ยะ! ข อที่ ว า ตถาคตภายหลั งแต ตายแล ว ย อมมี อี ก เท านั้ น เปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนี้นั้น เปนสัจจะที่เราไมพยากรณ.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๘๓
"ข าแต ท านโคดมผู เจริ ญ! คํ านี้ ว า ตถาคตภายหลั งแต ตายแล ว ย อมไม มี อี ก เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?" ดู ก อนอุ ตติ ยะ! ข อที่ ว า ตถาคตภายหลั งแต ตายแล ว ย อมไม มี อี ก เท านั้ น เปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนี้นั้น เปนสัจจะที่เราไมพยากรณ. "ข าแต ท านโคดมผู เจริญ! คํ านี้ ว า ตถาคตภายหลั งแต ตายแล ว ย อมมี อี กก็ มี ยอมไมมีอีกก็มี เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?" ดู ก อนอุ ตติ ยะ! ข อที่ ว า ตถาคตภายหลั งแต ตายแล ว ย อมมี อี กก็ มี ย อม ไมมีอีกก็มี เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนี้นั้น เปนสัจจะที่เราไมพยากรณ. "ข าแต ท านโคดมผู เจริ ญ ! คํ านี้ ว า ตถาคตภายหลั งแต ตายแล ว ย อมมี อี ก ก็หามิได ยอมไมมีอีกก็หามิได เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?" ดู ก อนอุ ตติ ยะ! ข อที่ ว า ตถาคตภายหลั งแต ตายแล ว ย อมมี อี กก็ หามิ ได ย อ มไม มี อี กก็ ห ามิ ได เท านั้ น เป น คํ าจริง คํ าอื่ น เป น โมฆะ ดั งนี้ นั้ น เป น สั จ จะที่ เรา ไมพยากรณ.
www.buddhadasa.info "ข าแต ท านโคดมผู เจริ ญ! เมื่ อท านถู กเขาถามว า คํ าว า โลกเที่ ยงเท านั้ นเป น คํ าจริง คํ าอื่ นเป นโมฆะ ดั งนั้ นหรือ? ท านก็ ตอบวา นั่ นเราไม พยากรณฺ ; เมื่ อท านถู ก เขาถามวา คําวา โลกไมเที่ยง เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?, ดังนี้ก็ดี; หรือเมื่อถูกเขาถามวา คําวา โลกมีที่สุด เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?, ดังนี้ก็ดี; หรือเมื่อถูกเขาถามวา คําวา โลกไมมีที่สุด เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?, ดังนี้ก็ดี; หรือเมื่อถูกเขาถามวา คําวา ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น
www.buddhadasa.info
๔๘๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
เท า นั้ น เป น คํ า จริ ง คํ า อื่ น เป น โมฆะ ดั งนั้ น หรื อ ?, ดั งนี้ ก็ ดี ; หรื อ เมื่ อ ถู ก เขาถามว า คําวา ชีวะก็อันอื่นสรีระก็อันอื่น เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ ดังนั้นหรือ?, ดังนี้ก็ดี; หรือเมื่ อถูกเขาถามวา คํ าวา ตถาคตภายหลั งแต ตายแล ว ย อมมี อี ก เท านั้ นเป นคํ าจริง คํ าอื่ นเป นโมฆะ ดั งนั้ นหรือ?, ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือเมื่ อถู กเขาถามวา คํ าวา ตถาคตภายหลั ง แต ตายแล ว ย อมไม มี อี ก เท านั้ นเป นคํ าจริง คํ าอื่ นเป นโมฆะ ดั งนั้ นหรือ?, ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือเมื่อถูกเขาถามวา คําวา ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีกก็มี ยอมไมมีอีกก็มี เท านั้ นเป นคํ าจริง คํ าอื่ นเป นโมฆะ ดั งนั้ นหรือ?, ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือวาท านเมื่ อถู กเขาถามว า คําวา ตถาคตภายหลังแต ตายแล ว ยอมมี อีกก็หามิ ได ย อมไม มี อีกก็หามิ ได เท านั้ นเป น คํ าจริง คํ าอื่ นเป นโมฆะ ดั งนั้ นหรือ?, ดั งนี้ ก็ ดี ; ท านก็ ล วนแต ตอบวา ขอนั้ น เราไม พยากรณ, เมื่อเปนดังนั้น ขอที่ทานยอมพยากรณนั้น เปนอยางไรเลา?" ดู ก อนอุ ตติ ยะ! เราย อมแสดงธรรมแก สาวกทั้ งหลาย ด วยป ญ ญาอั น ยิ่ ง เพื่ อ ความหมดจดแห ง สั ต ว ทั้ ง หลาย เพื่ อ ก า วล ว งเสี ย ซึ่ ง โสกะปริ เทวะ เพื่ อ ความ ตั้ งอยู ไม ได แ ห งทุ ก ข โทมนั ส เพื่ อ การบรรลุ ซึ่ งญายธรรม เพื่ อ กระทํ าให แ จ งซึ่ ง นิพพาน (นั่นแหละ คือขอที่เราพยากรณ)
www.buddhadasa.info "ดู ก อนท านโคดมผู เจริญ! ข อที่ ท านแสดงธรรมแก สาวกทั้ งหลาย ด วยป ญญา อั นยิ่ ง เพื่ อความหมดจดแห งสั ตว ทั้ งหลาย เพื่ อก าวล วงเสี ยซึ่ งโสกะปริเทวะ เพื่ อความ ตั้ งอยู ไม ได แห งทุ กข โทมนั ส เพื่ อการบรรลุ ซึ่ งญายธรรม เพื่ อกระทํ าให แจ งซึ่ งนิ พพาน, นั้น สัตวโลก ทั้งโลก หรือวาสัตวโลก ครึ่งโลก หรือวาสัตว หนึ่งในสามของโลก เลา ที่ออก ไปจากทุกขได ดวยการแสดงธรรมนั้น". เมื่ออุตติยปริพพาชก ไดกลาวอยางนี้, พระผูมีพระภาคเจาไดทรงนิ่งเสีย.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๘๕
หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท เป น เรื่ อ งอริยญายธรรม (ดั งที่ ป รากฏอยู ในบทนํ าแห งหนั งสื อ เล ม นี้ ภายใต หั วข อว า "ปฏิ จจสมุ ป บาทคื อ อริ ย ญ ายธรรม") ซึ่ ง เมื่ อ บุ ค คลรู แ ล ว ย อ มไม มี ห นทางที่ จ ะเกิ ด ทิ ฏ ฐิ ๑๐ ประการ ดั งที่ อุ ต ติ ย ปริ พ พาชกได นํ ามาทู ล ถาม และพระองค ไม ท รงพยากรณ เพราะจะทรง พยากรณ แต ในเรื่ องญายธรรม เช น ปฏิ จจสมุ ป บาท เป น ต น อั นจะป องกั น หรื อ ทํ าลายเสี ยซึ่ ง ทิ ฏ ฐิ ๑๐ ประการนั้ น . ขอให เห็ น โดยประจั ก ษ อ ยู เสมอไปว า มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ ทุ ก ชนิ ด เกิ ด ขึ้ น เพราะไม เห็ น อิ ทั ป ป จจยตา กล าวคื อ ปฏิ จจสมุ ป บาท. การแสดงปฏิ จ จสมุ ป บาทซึ่ งมุ งตรงไป ยั ง การบรรลุ นิ พ พาน จึ ง เป น สิ่ ง ที่ เ ราพยากรณ เสมอไป. อนึ่ ง ขอให สั ง เกตเป น พิ เ ศษใน ตอนท า ยแห ง เรื่ อ งนี้ ว า ถ า มี ผู ก ล า วล อ เลี ย น ประชดแดกดั น , พระองค จ ะทรงนิ่ ง เสี ย , ซึ่ ง ควรถือวาเปน "พระพุทธจริยา"โดยแท.
ทรงชักชวนวิงวอนเหลือประมาณ ในความเพียรเพื่อกิจเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคต เป นผู ประกอบด วยพลญาณ ๑๐ อย าง และ ประกอบด วยเวสารั ชชญาณ ๔ อย าง จึ งปฏิ ญ ญาตํ าแหน งจอมโลก บั น ลื อสี ห นาท ประกาศพรหมจั กร ในท านกลางบริษั ททั้ งหลาย ว า "รู ป คื ออย างนี้ ๆ, เหตุ ให เกิ ดรู ป คื อ อย างนี้ ๆ , ความไม ตั้ งอยู ได แ ห งรู ป คื อ อย างนี้ ๆ ;" และว า "เวทนา คื อ อย างนี้ ๆ , เหตุ ให เกิ ด เวทนา คื อ อย า งนี้ ๆ , ความไม ตั้ งอยู ได แ ห ง เวทนา คื อ อย างนี้ ๆ; และว า "สั ญ ญา คื ออย างนี้ ๆ, เหตุ ให เกิ ดสั ญ ญา คื ออย างนี้ ๆ, ความไม ตั้ งอยู ได แห งสั ญ ญา คื ออย างนี้ ๆ;" และว า "สั งขาร ทั้ งหลาย คื ออย างนี้ ๆ, เหตุ ให เกิ ดสั งขารทั้ งหลาย คื อ อย างนี้ ๆ, ความไม ได ตั้ งอยู แห งสั งขารทั้ งหลาย คื ออย างนี้ ๆ;" และว า "วิ ญ ญาณ คื อ อย างนี้ ๆ, เหตุ ให เกิ ดวิ ญ ญาณ คื ออย างนี้ ๆ, ความไม ตั้ งอยู ได แห งวิ ญ ญาณ คื ออย าง นี้ๆ;" และวา "เพราะสิ่งนี้มี, สิ่งนี้จึงมี; เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น, สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น,
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๒ พสพลวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๓๓/๖๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๔๘๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
เพราะสิ่ งนี้ ไม มี , สิ่ งนี้ จึ งไม มี ; เพราะสิ่ งนี้ ดั บ, สิ่ งนี้ จึ งดั บ, ด วยอาการอย างนี้ : นี้ ไดแกความที่ :เพราะมีอวิชชาเปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขารเปนปจจัย จึงมีวิญญาณ ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ... เพราะมีชาติเปนปจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขุโทมนัสอุปายาส ทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้. เพราะความจางคลายดับไปโดยไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมี ความดับแหงสังขาร; เพราะมีความดับแหงสังขาร จึงมีความดับแหงวิญญาณ; ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ... เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการ อยางนี้" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมอั นเรากล าวดี แล วอย างนี้ เป นธรรมที่ ทํ าให ตื้ น แลว เปดเผยแลวประกาศแลว มีสวนขี้ริ้วอันเราเฉือนออกสิ้นแลว (ฉินฺนปโลติโก). ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ในธรรมที่ เรากล าวไว ดี แ ล วอย างนี้ เป น ธรรมที่ ทํ าให ตื้ น แล ว เป ดเผยแล ว ประกาศแล ว มี ส วนขี้ริ้วอั นเราเฉื อนออกสิ้ นแล ว อย างนี้ ย อมเป นการ สมควรแทที่กุลบุตรผูบวชแลวดวยสัทธา จะปรารภความเพียร (ดวยการอธิษฐานจิต) วา
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๘๗
"หนัง เอ็น กระดูก จัก เหลือ อยู เนื ้อ และเลือ ดในสรีร ะจะเหือ ดแหง ไปก็ต ามที เมื่ อยั งไม ลุ ถึ งประโยชน อั นบุ คคลจะลุ ได ด วยกํ าลั งของบุ รุษ ด วยความเพี ยรของบุ รุษ ดวยความบากบั่นของบุรุษแลว จักหยุดความเพียรนั้นเสีย เปนไมมีเลย" ดังนี้. ดูกอนภิกษุ ทั้ งหลาย! บุ คคลผูมี ความเกี ยจคราน เกลื่อนกลนไปด วยธรรม ที่ เป นบาปอกุ ศลทั้ งหลาย ย อมอยู เป นทุ กข , และย อมทํ าประโยชน ตนอั นใหญ หลวงให เสื่อมสิ้น. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สวนภิกษุผูมี ความเพี ยรอันปรารภแลว ยอมอยูเปนสุข, สงั ดแล วจากธรรมที่ เป นบาปอกุ ศลทั้ งหลาย เป นอยู ด วย, และย อมทํ าประโยชน ตนอั น ใหญหลวงใหบริบูรณ ดวย. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! การบรรลุ ธ รรมอั น เลิ ศ ด ว ยการกระทํ าอั น เลวนั้ น ยอมมีไมได; แตวาการบรรลุธรรมอันเลิศ ดวยการกระทําอันเลิศนั้น ยอมมีได แล. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พรหมจรรย นี้ มี ลั กษณะ น าดื่ ม เหมื อ นมั ณ ฑะ;๑ ทั้งพระศาสดาก็ อยูที่นี่แลว.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะเหตุ นั้ นในเรื่ องนี้ พวกเธอทั้ งหลาย พึ งปรารภ ความเพีย ร เพื ่อ บรรลุธ รรมที ่ย ัง ไมไ ดบ รรลุ เพื ่อ เขา ถึง ธรรมที ่ย ัง ไมไ ดเ ขา ถึง เพื่อทําใหแจงธรรมที่ยังไมไดทําใหแจง เถิด.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้ งหลาย พึ งทํ าความสํ าเหนี ยกอย างนี้ ว า "ดวยการกระทําอยางนี้ บรรพชาของเราทั้งหลาย นี้ จักเปนบรรพชาไมต่ําทราม,
๑
มัณฑะ ในที่นี้ คือโอชะที่ดีที่สุดลอยอยูผิวหนาของเนยใส.
www.buddhadasa.info
๔๘๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
ไม เป นหมั น; แต จั กเป นบรรพชามี ผลกํ าไร. อนึ่ ง เราทั้ งหลายบริ โภคจี วร บิ ณ ฑบาต เสนาสนะ คิ ลานป จจยเภสั ชชบริขาร ของชนทั้ งหลายเหล าใด, การบริโภคทั้ งหลายนั้ น จักเปน การบริโภคที่มีผลใหญ มีอานิสงสใหญ แกชนทั้งหลายเหลานั้น" ดังนี้. ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะวา เมื่ อบุ คคลเห็ นอยู ซึ่งประโยชน ตน ย อม ควรแท ที่ จะทํ าประโยชน นั้ นให ถึ งพรอม ด วยความไม ประมาท; หรือวา เมื่ อเห็ นอยู ซึ่ ง ประโยชนเพื่อผูอื่น ยอมควรแทที่จะทําประโยชนนั้นใหถึงพรอม ดวยความไมประมาท; หรื อ ว า เมื่ อ เห็ น อยู ซึ่ งประโยชน ทั้ งสองฝ าย ย อ มควรแท ที่ จะทํ าประโยชน นั้ น ให ถึ ง พรอม ดวยความไมประมาท, ดังนี้ แล.
ทรงแสดงธรรมเนื่องดวยปฏิจจสมุปบาท มีความงามเบื้องตน - ทามกลาง - เบื้องปลาย๑ ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! เราจั กแสดงธรรมอั น มี ค วามไพเราะในเบื้ อ งต น ไพเราะในทางมกลาง ไพเราะในเบื้ องปลาย แก พวกเธอทั้ งหลาย : จักประกาศ พรหมจรรย พ ร อ มทั้ งอรรถะ พร อ มทั้ งพยั ญ ชนะ บริ สุ ท ธิ์ บ ริ บู รณ สิ้ น เชิ ง; กล าวคื อ ธรรมหมวดละหก ๖ หมวด. พวกเธอทั้งหลายจงฟงซึ่งธรรมนั้น, จงทําในใจใหสําเร็จ ประโยชน, เราจักกลาวบัดนี้. .....
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๑) อายตนะทั้ งหลายหก อั นเป นภายใน เป นสิ่ งที่ ควรรู, (๒) อายตนะ ทั้งหลายหก อันเปนภายนอก เปนสิ่งที่ควรรู, (๓) หมูแหงวิญญาณ
๑
ฉฉักกสูตร อุปริ. ม.๑๔/๕๐๙/๘๑๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน ใกลเมืองสาวัตถี.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๘๙
ทั้งหลายหก เปนสิ่งที่ควรรู, (๔) หมู แหงผัสสะ ทั้งหลายหกเปนสิ่งที่ควรรู, (๕) หมู แห ง เวทนา ทั้งหลายหก เปนสิ่งที่ควรรู, (๖) หมูแหงตัณหา ทั้งหลายหก เปนสิ่งที่ควรรู, (๑) คําอันเรากลาวแลวอยางนี้วา "อายตนะทั้ งหลายหกอันเป นภายใน เป น สิ่ งที่ ควรรู" ดั งนี้ นั้ น เราอาศั ยอะไรกล าวเล า? อายตนะคื อ ตา มี อยู , อายตนะคื อ หู มี อยู , อายตนะคื อ จมู ก มี อยู , อายตนะคื อ ลิ้ น มี อยู , อายตนะคื อ กาย มี อยู , อายตนะคื อ ใจ มี อยู . ข อที่ เรากล าวว า "อายตนะทั้ งหลายหก อั นเป นภายใน เป นสิ่ งที่ ควรรู" ดั งนี้ นั้ น เราอาศัยสิ่งเหลานี้เองกลาว. นี้คือ ธรรมหมวดละหก หมวดที่หนึ่ง. (๒) คําอันเรากลาวแลวอยางนี้วา "อายตนะทั้งหลายหกอันเป นภายนอก เป นสิ่ งที่ ควรรู " ดั งนี้ นั้ น เราอาศั ยอะไรกล าวเล า? อายตนะคื อ รู ป มี อยู , อายตนะคื อ เสี ยง มี อยู , อายตนะคื อ กลิ่ น มี อยู , อายตนะคื อ รส มี อยู, อายตนะคือ โผฏฐัพพะ มี อยู , อายตนะคื อ ธั มมารมณ มี อยู . ข อที่ เรากล าวว า "อายตนะทั้ งหลายหก อั นเป น ภายนอก เป น สิ่ งที่ ค วรรู " ดั งนี้ นั้ น เราอาศั ยสิ่ งเหล านี้ เองกล าว. นี้ คื อ ธรรมหมวด ละหก หมวดที่สอง.
www.buddhadasa.info (๓) คํ าอั นเรากล าวแล วอย างนี้ วา "หมู แห งวิญญาณทั้ งหลายหก เป นสิ่ งที่ ควรรู" ดั งนี้ นั้ น เราอาศั ยอะไรกล าวเล า? เพราะอาศั ยซึ่ งจั กษุ ด วย รูปทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด จักขุ วิญญาณ; (ในกรณี แหงโสตะที่จะใหเกิดโสตวิญญาณก็ดี ฆานะที่จะใหเกิดฆานวิญญาณก็ดี ชิวหา ที่ จะให เกิดชิวหาวิญญาณก็ดี กายะที่จะให เกิดกายวิญญาณก็ ดี และมนะที่ จะใหเกิ ดมโนวิญญาณก็ ดี ก็ มี ขอ ความอย างเดี ยวกั น). ข อที่ เรากล าวว า "หมู แห งวิ ญญาณทั้ งหลายหกเป นสิ่ งที่ ควรรู " ดั งนี้ นั้ น
เราอาศัยสิ่งเหลานี้เองกลาว. นี้คือ ธรรมหมวดละหก หมวดที่สาม. (๔) คําอันเรากลาวแลวอยางนี้วา "หมู แหงผัสสะทั้ งหลายหก เปนสิ่งที่ควรรู" ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกลาวเลา? เพราะอาศัยซึ่งจักษุดวย รูปทั้งหลายดวย จึงเกิด
www.buddhadasa.info
๔๙๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
จักขุวิญญาณ; การประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการ (จักษุ + รูป + จักขุวิญญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; (ในกรณี แห งโสตะที่ จะให เกิ ดโสตสั มผั สก็ ดี ฆานะที่ จะให เกิ ดฆานสั มผั สก็ ดี เป นต น จนกระทั่ งถึ งมโนที่ จะให เกิ ดมโนสั มผั สก็ ดี ก็ มี ข อความอย างเดี ยวกั น). ข อที่ เรากล าวว า "หมู แห ง ผัสสะทั้ งหลายหก เป นสิ่ งที่ ควรรู" ดังนี้ นั้ น เราอาศั ยสิ่งเหลานี้ เองกล าว. นี้ คื อ ธรรม หมวดละหก หมวดที่สี่. (๕) คําที่เรากลาวแลวอยางนี้วา "หมูแหงเวทนาทั้งหลายหก เปนสิ่งที่ควรรู" ดั งนี้ นั้ น เราอาศั ยอะไรกล าวเล า? เพราะอาศั ยซึ่ งจั กษุ ด วย รู ปทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด จักขุวิญญาณ; การประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการ (จักษุ + รูป + จักขุวิญญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เ วทนา; (ในกรณี แ ห ง โสตะที่ จ ะให เกิ ด โสตสั มผั สสชาเวทนาก็ดี ฆานะที่ จะให เกิดฆานสั มผั สสชาเวทนาก็ดี เป นต น จนกระทั่ งถึ งมนะที่ จะให เกิ ด มโนสั มผั สสชาเวทนาก็ ดี ก็ มี ข อความอย างเดี ยวกั น). ข อที่ เรากล าวว า "หมู แห งเวทนาทั้ งหลายหก
เปนสิ่งที่ควรรู" ดังนี้นั้น เราอาศัยสิ่งเหลานี้เองกลาว. นี้คือ ธรรมหมวดกละหก หมวด ที่หา. (๖) คําที่เรากลาวแลวอยางนี้วา "หมูแหงตัณหาทั้งหลายหก เปนสิ่งที่ควรรู" ดั งนี้ นั้ น เราอาศั ยอะไรกล าวเล า? เพราะอาศั ยซึ่ งจั กษุ ด วย รูปทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ดจั กขุ วิญญาณ การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (จักษุ + รูป + จั กขุ วิญญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ, เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณหา;
www.buddhadasa.info (ในกรณีแหงการเกิดสัททตัณหาก็ดี คันธตัณหาก็ดี รสตัณหาก็ดี โผฏฐัพพตัณหาก็ดี ธัมมตัณหาก็ดี ก็มีขอ ความอย างเดี ยวกั น). ข อที่ เรากล าวว า "หมู แห งตั ณหาทั้ งหลายหก เป นสิ่ งที่ ควรรู " ดั งนี้ นั้ น
เราอาศัยสิ่งเหลานี้เองกลาว. นี้คือ ธรรมหมวดละหก หมวดที่หก. ผูใดพึ งกล าวอยางนี้ วา "จักษุ เป นอัตตา", คํ ากลาวเชนนั้น ยอม ไม เขาถึ ง (ซึ่งฐานะแหงเหตุผล); เพราะวาความเกิดก็ดี ความเสื่อมก็ดี ของจักษุ ปรากฏอยู.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๙๑
ก็เมื่ อความเกิดก็ดี ความเสื่อมก็ดี ของสิ่งใด ปรากฏอยู, คําที่ควรกลาวสําหรับสิ่ง(จักษุ ) นั้ น ก็ ควรจะต องเป นอย างนี้ ว า "อั ตตาของเรา ย อมเกิ ดขึ้ นด วย ย อมเสื่ อมไปด วย" ดั งนี้ ; เพราะฉะนั้ น คํ ากล าวของผู ที่ กล าววา "จั กษุ เป นอั ตตา" ดั งนี้ นั้ น จึ งไม เขาถึ ง (ซึ่งฐานะแหงเหตุผล); เพราะเหตุนั้น จักษุจึงเปนอนันตา. (ในกรณีแหงรูปก็ดี จักขุวิญญาณ ก็ ดี จักขุสัมผัสก็ ดี จักขุสัมผัสสชาเวทนาก็ดี รูปตัณหาก็ดี มี ขอความอย างเดี ยวกันกั บในกรณี แห งจักษุ ตางกันแต เพี ยงประโยคสุดท าย คื อจะเอาธรรมและสหคตธรรมที่ กลาวแล วในกรณี กอน มากลาวเพิ่ มขางหน า ในกรณี หลังอี กตามลําดับกันไปแห งกรณี นั้น ๆ ; เชนในกรณี แห งจักขุสัมผัส : ประโยคสุ ดทายจะมี วา "เพราะ เหตุ นั้ น จั กษุ จึงเป นอนั ตตา, รูปทั้ งหลายจึงเป นอนั ตตา, จักขุวิ ญญาณจึ งเป นอนั ตตา, จั กขุสั มผั สจึงเป น อนั ตตา."; หรือเช นในกรณี แห งรูปตั ณ หา อั นเป นกรณี สุ ดท ายแห งหมวดจั กษุ ประโยคสุ ดท ายจะมี ว า "เพราะเหตุนั้น จักษุจึงเปนอนัตตา, รูปทั้งหลายจึงเปนอนัตตา, จักขุวิญญาณจึงเปนอนัตตา, จักขุสัมผัสจึง เปนอนัตตา, เวทนาจึงเปนอนัตตา, ตัณหาจึงเปนอนัตตา.". ขอความในหมวดโสตะก็ดี-ฆานะก็ดี-ชิวหาก็ดี-กายะก็ดี-มนะก็ดี ที่ถูกยืดถือเปนอัตตา; ก็มีนัยแหง การตรัสอยางเดียวกันกับขอความที่ตรัสแลวในหมวดแหงจักษุที่ถูกยืดถือเปนอัตตา ตางกันแต เพียงชื่อธรรม ประจําหมวดแตละหมวดเทานั้น.)
[ขางบนนี้ เปนการแสดงความงามเบื้องตน]
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ปฏิปทาอันใหถึงความเกิดขึ้นพรอมแหงสักกายะ มีอยูอยางนี้ คือ:-
บุ คคล ย อ มสํ าคั ญ เห็ น ซึ่ งจั กษุ ว า "นั่ น ของเรา, นั่ น เป น เรา, นั่ น เปนอัตตาของเรา". (ในกรณีแหงรูปทั้งหลาย, จักขุวิญญาณ, จักขุสัมผัส, เวทนา, และตัณหา; ก็ตรัส มีนัยดุจเดียวกันกับในกรณีแหงจักษุ. ในกรณี แห งหมวดโสตะก็ ดี -ฆานะก็ ดี -ชิ วหาก็ ดี -กายะก็ ดี -มนะก็ ดี ได ตรัสไว มี นั ยเดี ยว กันกับในกรณีแหงหมวดจักษุนั้นทุกประการ ตางกันแตเพียงชื่อซึ่งตองเปลี่ยนไปตามหมวดนั้น ๆ เทานั้น.)
[ขางบนนี้ เปนการแสดงความงามทามกลาง]
www.buddhadasa.info
๔๙๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ปฏิปทาอันใหถึงความดับไมเหลือแหงสักกายะ มีอยูอยางนี้ คือ:บุ คคล ย อ มตามเห็ น ด วยดี ซึ่ งจั กษุ ว า "นั่ น ไม ใช ข องเรา (เนตํ มม), นั ่น ไมเ ปน เรา (เนโสหมสฺม ิ), นั ่น ไมใ ชอ ัต ตาของเรา (น เมโส อตฺต า)" (ใน กรณีแหงรูปทั้งหลาย, จักขวิญญาณ, จักขุสัมผัส, เวทนา, และตัณหา; ก็ตรัสมีนัยดุจเดียวกันกับกรณีแหงจักษุ. กรณี แห งหมวดโสตะ - ฆานะ ไปจนกระทั่ งหมวดมนะ ก็ได ตรัสไวมี นั ยะอยางเดี ยวกั นกั บที่ ตรัสไวในกรณีแหงหมวดจักษุนั้น ทุกประการ ตางกันแตเพียงชื่อซึ่งตองเปลี่ยนไปตามหมวดนั้น ๆ เทานั้น).
[ขางบนนี้ เปนการแสดงความงามเบื้องปลาย] (ต อไปได ทรงแสดงอายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิ ญญาณ ผั สสะ ทํ าหน าที่ กั นจนเกิ ด เวทนา; ปฏิ บั ติ ผิ ดต อเวทนา ๓ มี สุ ขเวทนาเป นต น ก็ เป นเหตุ ให เพิ่ มอนุ สั ยนั้ นๆ ไปตามเวทนา; เมื่ อยั งละ บรรเทา ถนอมอนุ สั ยไม ได ไม ทํ าวิ ชชาให เกิ ดขึ้นแล ว ก็ ไม เป นฐานะที่ จะทํ าที่ สุ ดแห งทุ กขได ในทิ ฏฐิ ะรรม; ซึ่งเนื้ อ ความที่ ท รงแสดงนี้ ไดนํ าใส ไวในหมวดที่ ๕ ภายใต หั ว ขอ วา "เวทนาในปฏิ จ จสมุ ป บาท ใหเกิดอนุสัย"; แลวไดตรัสโดยนัยที่ตรงกันขาม หรือปฏิกขนัย อีกครั้งหนึ่ง, ซึ่งเนื้อความที่ทรงแสดงนี้ก็ ได นํ า มาใส ไว แ ล ว ในหมวดที่ ๖ โดยหั ว ข อ ว า "อนุ สั ย ไม อ าจจะเกิ ด เมื่ อ รู เท า ทั น เวทนาใน ปฏิ จจสมุปบาท". ผูศึกษาตองการทราบรายละเอียดในถอยคําที่ตรัสทั้งสองนัยะนี้ ก็ดูไดจากหัวขอนั้น ๆ แห งหมวดนั้น ๆ. ต อจากนั้น ไดตรัสวา อริยสาวกเมื่ อเห็นอยูอยางนั้น จะเบื่ อหนาย คลายกําหนั ด หลุดพ น ในอายตนะภายในทั้ งหก และสหคตธรรมที่ เนื่ องด วยอายตนะนั้ น ๆ ซึ่งมี จํานวน ๖ หมวด ๆ ละ ๖. ในที่ สุ ด แหงธรรมเทศนานี้ มีผลทําใหภิกษุ ๖๐ รูป บรรลุอรหัตตผล.)
www.buddhadasa.info ศาสดาและสาวก ยอมมีการกลาวตรงกันในเรื่องปฏิจจสมุปบาท๑ ก็คํานี้วา "ชรามรณะมี เพราะปจจัยคือชาติ" ดังนี้ เชนนี้แลเปนคําที่เรา กล าวแล ว. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ชรามรณะมี เพราะป จ จั ย คื อ ชาติ ใช ไหม? เป น อยางนี้หรือเปนอยางไร ในขอนี้?
๑
มหาตัณหาสังขยสูตร มู.ม. ๑๒/๔๘๐/๔๔๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๙๓
"ขาแตพระองค ผูเจริญ! ชรามรณะมี เพราะปจจัยคือชาติ , ในขอนี้ ตองมี วา ชรามรณะมี เพราะปจจัยคือชาติ อยางนี้เปนแนนอน พระเจาขา!" (ตรัสบอกแล วทรงซั กถาม และภิ กษุ ทั้ งหลายทู ลตอบ ในลั กษณะอย างเดี ยวกั นนี้ เป นลํ าดั บไป ทุ กอาการของปฏิ จจสมุ ปบาท ซึ่ งในที่ นี้ จะละไว ด วย...ฯลฯ...จนกระทั่ งถึ งอาการสุ ดท าย คื อสั งขาร จึ งจะ เขียนเต็มรูปความอีกครั้งหนึ่ง) ---- ---- ---- ----
ก็คํานี้วา "ชาติมี เพราะปจจัยคือภพ...ฯลฯ...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ก็คํานี้วา "ภพมี เพราะปจจัยคืออุปาทาน...ฯลฯ...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ก็คํานี้วา "อุปาทานมี เพราะปจจัยคือตัณหา...ฯลฯ...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ก็คํานี้วา "ตัณหามี เพราะปจจัยคือเวทนา...ฯลฯ...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ก็คํานี้วา "เวทนามี เพราะปจจัยคือผัสสะ...ฯลฯ...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ก็คํานี้วา "ผัสสะมี เพราะปจจัยคือสฬายตนะ...ฯลฯ...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ก็คํานี้วา "สฬายตนะมี เพราะปจจัยคือนามรูป...ฯลฯ...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ก็คํานี้วา "นามรูปมี เพราะปจจัยคือวิญญาณ...ฯลฯ...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๔๙๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
ก็คํานี้วา "วิญญาณมี เพราะปจจัยคือสังขาร...ฯลฯ...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ---- ---- ---- ---ก็ คํ านี้ วา "สั งขารทั้ งหลายมี เพราะป จจั ยคื ออวิ ชชา" ดั งนี้ , เช นนี้ แล เป นคํ าที่ เรากล าวแล ว. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สั งขารทั้ งหลายมี เพราะป จจั ยคื ออวิ ชชา ใชไหม? เปนอยางนี้หรือเปนอยางไร ในขอนี้? "ข าแต พระองค ผู เจริญ! สั งขารทั้ งหลายมี เพราะป จจั ยคื ออวิ ชชา, ในข อนี้ ตองมีวาสังขารทั้งหลายมี เพราะปจจัยคืออวิชชา อยางนี้เปนแนนอน พระเจาขา!" ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถู กแล ว! ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เป นอั นว า แม พ วก เธอก็ กล าวอย างนี้ ; แม เราก็ กล าวอย างนี้ วา "เมื่ อสิ่ งนี้ มี อยู สิ่ งนี้ ก็ มี ; เพราะสิ่ งนี้ เกิ ด ขึ้ น สิ่ งนี้ ก็ เกิ ด ขึ้ น ;"๑ กล า วคื อ เพราะมี อ วิ ช ชาเป น ป จ จั ย จึ งมี สั งขารทั้ งหลาย; เพราะมี สั งขารเป น ป จจั ย จึ งมี วิ ญ ญาณ; เพราะมี วิ ญ ญาณเป น ป จจั ย จึ งมี น ามรู ป ; เพราะมี นามรู ปเป นป จจั ย จึ งมี สฬายตนะ; เพราะมี สฬายตนะเป นป จจั ย จึ งมี ผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จจั ย จึ งมี อุ ป าทาน; เพราะมี อุ ป าทานเป น ป จจั ย จึ งมี ภ พ; เพราะมี ภ พ เป นป จจั ย จึ งมี ชาติ ; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info
๑
ขอความในเลขในอัญญประกาศ ๒ ประโยคนี้ คือกฎที่ทรงเรียกวา อิทัปปจจยตา ฝายเกิด.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๙๕
เพราะความจางคลายดั บไปโดยไม เหลื อแห งอวิ ชชานั้ นนั่ นเที ยว, จึ งมี ความ ดั บ แห งสั งขาร; เพราะมี ความดั บ แห งสั งขาร จึ งมี ความดั บ แห งวิ ญ ญาณ; เพราะมี ความดั บแห งวิญญาณ จึ งมี ความดั บแห งนามรูป; เพราะมี ความดั บแห งนามรูป จึ งมี ความดั บ แห งสฬายตนะ; เพราะมี ค วามดั บ แห งสฬายตนะจึ งมี ความดั บ แห งผั สสะ; เพราะมีความดับแหงผัสสะ จึงมีความดับแหงเวทนา; เพราะมี ความดับแหงเวทนา จึงมี ความดั บแห งตั ณหา; เพราะมี ความดั บแห งตั ณหา จึ งมี ความดั บแห งอุ ปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึ งมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บ แห งชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห งชาติ นั่ น แล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ ก ขุ โทมนั ส อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ก็คําวา "ความดับแห งชรามรณะมี เพราะความดั บแหงชาติ" ดังนี้, เช น นี้ แ ล เป น คํ า ที่ เรากล า วแล ว . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ความดั บ แห งชรามรณะมี เพราะความดับแหงชาติ ใชไหม? เปนอยางนี้หรือเปนอยางไร ในขอนี้? "ขาแต พระองค ผู เจริญ! ความดั บแห งชาติ ชรามรณะมี เพราะความดั บแห งชาติ , ในขอนี้ตองมีวา ความดับแหงชรามรณะมี เพราะความดับแหงชาติ อยางนี้เปนแนนอน พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info (ตรัสบอกแล วทรงซั กถาม และภิ กษุ ทั้ งหลายทู ลตอบ ในลั กษณะอย างเดี ยวกั นนี้ ทุ กอาการของ ปฏิ จจสมุ ปบาท ซึ่ งในที่ นี้ จะละไวด วย...ฯลฯ...จนกระทั่ งถึ งอาการสุ ดท าย คื อสั งขาร จึ งจะเขี ยนเต็ มอี ก ครั้งหนึ่ง.) ---- ---- ---- ----
ก็คํานี้วา "ความดับแหงชาติมี เพราะความดับแหงภพ...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" คํานี้วา "ความดับแหงภพมี เพราะความดับแหงอุปาทาน...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info
๔๙๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๘
ก็คํานี้วา "ความดับแหงอุปาทานมี เพราะความดับแหงตัณหา...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ก็คํานี้วา "ความดับแหงตัณหามี เพราะความดับแหงเวทนา...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ก็คํานี้วา "ความดับแหงเวทนามี เพราะความดับแหงผัสสะ...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ก็คํานี้วา "ความดับแหงผัสสะมี เพราะความดับแหงสฬายตนะ...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ก็คํานี้วา "ความดับแหงสฬายตนะมี เพราะความดับแหงนามรูป...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ก็คํานี้วา "ความดับแหงนามรูปมี เพราะความดับแหงวิญญาณ...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!" ก็คํานี้วา "ความดับแหงวิญญาณมี เพราะความดับแหงสังขาร...ฯลฯ... อยางนี้แนนอน พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info ---- ---- ---- ----
ก็คํานี้วา "ความดับแหงสังขารมี เพราะความดับแหงอวิชชา" ดังนี้, เชนนี้ แล เป นคํ าที่ เรากล าวแล ว. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความดั บแห งสั งขารมี เพราะความดั บ แหงอวิชชาใชไหม? เปนอยางนี้หรือเปนอยางไร ในขอนี้?
"ข าแต พระองค ผู เจริ ญ! ความดั บแห งสั งขารมี เพราะความดั บแห งอวิ ชชา, ในขอนี้ ตองมี วา ความดับแหงสังขารมี เพราะความดับแห งอวิชชา อยางนี้เป นแนนอน พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ กับความเปนพระพุทธเจา
๔๙๗
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ถูกแลว! ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปนอันวา แมพวกเธอก็กลาว อยางนี้ ; แม เราก็ กล าวอยางนี้ วา "เมื่อสิ่งนี้ ไมมีอยู สิ่งนี้ก็ไมมี ; เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่ ง นี้ ก็ ดั บ ไป;”๑ กล า วคื อ เพราะความดั บ แห ง อวิ ช ชา จึ ง มี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร; เพราะมีความดับแห งสังขาร จึงมีความดับแหงวิญญาณ; เพราะมี ความดับแหงวิญญาณ จึงมี ความดั บแห งนามรูป; เพราะมี ความดั บแห งนามรูป จึ งมี ความดั บแห งสฬายตนะ; เพราะมี ความดั บแห งสฬายตนะจึ งมี ความดั บแห งผั สสะ; เพราะมี ความดั บแห งผั สสะ จึงมี ความดับแห งเวทนา; เพราะมี ความดับแห งเวทนา จึงมี ความดับแหงตัณหา; เพราะ มีความดับแหงตัณหา จึงมี ความดับแหงอุปาทาน; เพราะมี ความดับแหงอุปาทาน จึงมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บ แห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขุ โทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวย อาการอยางนี้. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกต ในข อ ที่ ว า พระศาสดากั บ พระสาวก ย อมจะมี ความรูเห็ นตรงกั น, โดยเฉพาะอย างยิ่ งในกรณี แห งปฏิ จจสมุ ปบาท, โดย ไม เพี ย งแต ป ากว า, หรือ กล าวไปเพราะความเคารพในพระศาสดา, แต ห มายความว า พระ สาวกรูจั กสิ่ งที่ เรี ยกว า ปฏิ จจสมุ ปบาท นั้ นดี ทุ กอาการ; และมองเห็ นความเป นอทิ ปป จจยตา คือเปนปจจัยอาศัยกันเกิด ทุกอาการ จริงๆ.
www.buddhadasa.info หมวดที่แปด จบ ---------------
๑
ขอความในเลขในอั ญญประกาศ ๒ ประโยคนี้ คื อกฏที่ เรียกวา อิ ทั ปป จจยตา ฝ ายดั บ ผู ศึ กษาพั งสั งเกต ไวทุ กคราวที่ ผานไป, เพื่ อจะไดรูวาเรื่องอิทั ปป จจยตานี้ มีความสําคั ญมากนอยเพี ยงไร : บางสูตร กลาว วา ไดทรงนํ าเอาเรื่องอิทั ปป จจยตานี้ มาทรง "พึ มพั ม" เลน อยูในที่สงัดแต พระองคเดียวก็ยังมี (ดูหมวดที่ ๖ หัวขอวา "ตรัสวาเรื่องปฏิจจสมุปบาทเปนเบื้องตนแหงพรหมจรรย" และที่อื่นอีก).
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
หมวด ๙ วาดวย ปฏิจจสมุปบาท กับอริยสาวก
www.buddhadasa.info ๔๙๙
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฎอิทัปปจจยตา : หัวในปฏิจจสมุปบาท. ………………………... อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมมี อิมสฺสุปฺ ปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป (ม.ม.๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน.สํ.๑๖/๘๔/๑๕๔,...)
www.buddhadasa.info ๕๐๑
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่องเฉพาะหมวด สําหรับปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๙ วาดวย ปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก (มี ๑๐ เรื่อง) มีเรื่อง : ทรงกําชับสาวกใหเลาเรียนปฏิจจสมุปบาท - - ไมรูเรื่องรากฐานแหง ปฏิจจสมุปบาท ก็ยังไมใชสาวกในศาสนานี้ -- อริยสาวกยอมรูปฏิจจสมุปบาทโดยไมตอง เชื่อ ผูอื่ น - - อริยญายธรรมคือ การรูเรื่อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท – การสนทนาของพระมหา สาวก -- เวทนาของปุถุชนตางจากของอริยสาวก -- อริยสาวกรูความเกิดและความดับของ โลกอยางไมมีที่สงสัย -- พระโสดาบันคือผูเห็นชัดปฏิจจสมุปบาทโดยวิธีแหงอริยสัจสี่ -โสตาปตติยังคะขึ้นอยูกับการรูปฏิจจสมุปบาทของอริยสาวก -- สามัญญผลในพุทธศาสนา เทียบกันไมไดกับลัทธิอื่น.
www.buddhadasa.info ๕๐๒
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
หมวดที่ ๙ วาดวย ปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก --------------ทรงกําชับสาวกใหเลาเรียนปฏิจจสมุปบาท๑ ครั้งหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา เมื่อเสด็จประทับอยูในที่หลีกเรนแหนงหนึ่งแลว ไดทรงกลาว ธรรมปริยายนี้ (ตามลําพังพระองค) วา :-
"เพราะอาศัย ตา ดวย รูป ทั้งหลายดวย จึงเกิด จักขุวิญญาณ; การประจวบ แหงธรรม ๓ ประการ (ตา + รูป + จักขุวิญญาณ) นั่นคือ ผัสสะ;
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๕ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๘๙/๑๖๖-๘, และสูตรที่ ๑๐ โยคักเขมิวรรค สฬายตนสังยุตต สฬา.สํ. ๑๘/๑๑๑/๑๖๓, กลาวตามลําพังพระองคในคราวประทับหลีกเรน ซึ่งมีภิกษุ รูปหนึ่งยืนแอบฟงอยูดวย.
๕๐๓
www.buddhadasa.info
๕๐๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเปนปจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขุ โทมนั สอุ ปายาส ทั้ งหลายจึ งมี ขึ้ นพร อม : ความเกิ ดขึ้ นพร อมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการ อยางนี้. เพราะอาศั ย หู ด วย เสี ยง ทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ดโสตวิ ญญาณ; การประจวบ แหงธรรม ๓ ประการ (หู + เสียง + โสตวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... (ข อความเต็ มในกรณี แห ง หู ก็ มี อย างเดี ยวกั นกั บในกรณี แห งตา ทุ กตั วอั กษร, ต างกั น แต ชื่ อ. ในกรณีแหงจมูก ลิ้น กาย ก็มีนัยเดียวกัน. ในกรณีแหงมโน จะเขียนเต็มอีกครั้งหนึ่ง).
www.buddhadasa.info ...ฯล ฯ ... ...ฯล ฯ ... ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
ค วาม เกิด ขึ ้น พ รอ ม แหง กอ งทุก ขทั ้ง สิ ้น นี้
เพราะอาศั ย จมู ก ด วย กลิ่ น ทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด ฆานวิ ญญาณ; การประจวบ แหงธรรม ๓ ประการ (จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ;
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๐๕
เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ดวยอาการ อยางนี้. เพราะอาศัย ลิ้น ดวย รส ทั้งหลายดวย จึงเกิด ชิวหาวิญญาณ; การประจวบ แหงธรรม ๓ ประการ (ลิ้น + รส + ชิวหาวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ดวยอาการ อยางนี้. เพราะอาศั ย กาย ด วย โผฏฐั พพะ ทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด กายวิ ญญาณ; การประจวบแหงธรรม ๓ ประการ (กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info เพราะอาศัยใจ ดวย ธั มมารมณ ทั้งหลายดวย จึงเกิดมโนวิญญาณ; การ ประจวบแหงธรรม ๓ ประการ (ใจ + ธัมมารมณ + มโนวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ;
www.buddhadasa.info
๕๐๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเปนปจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ; เพราะมี ชาติ เป นป จจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขุโทมนั สอุ ปายาส ทั้ งหลายจึ งมี ขึ้ นพร อม : ความเกิ ดขึ้ นพร อมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการ อยางนี้. (ปฏิปกขนัย)
เพราะอาศัย ตา ดวย รูป ทั้ งหลายดวย จึงเกิด จักขุ วิญญาณ; การประจวบ แหงธรรม ๓ ประการ (ตา + รูป + จักขุวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา. เพราะความจางคลายดับ ไปโดยไมเ หลือ แหง ตัณ หา นั ้น จึง มี ความดับแหงอุปทาน; เพราะมีความดับแหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขุโทมนัสอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการ อยางนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๐๗
เพราะอาศั ย หู ดวย เสี ยง ทั้ งหลายด วย จึ งเกิดโสตวิญญาณ; การประจวบ แหงธรรม ๓ ประการ (หู + เสียง + โสตวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... (ขอความเต็มในกรณี แหง หู ก็มีอยางเดียวกันกับในกรณี แหงตา ทุ กตัวอักษร, ตางกัน แตชื่อ ในกรณีแหงจมูก ลิ้น กาย ก็มีนัยเดียวกัน. ในกรณีแหงมโน จะเขียนเต็มอีกครั้งหนึ่ง).
...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กขทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้. เพราะอาศั ย จมู ก ด วย กลิ่ น ทั้ งหลายด วย จึงเกิด ฆานวิญญาณ; การ ประจวบแหงธรรม ๓ ประการ (จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info เพราะอาศัย ลิ้น ดวย รส ทั้งหลายดวย จึงเกิด ชิวหาวิญญาณ; การประจวบ แหงธรรม ๓ ประการ (ลิ้น + รส + ชิวหาวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info
๕๐๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ย อาการอยางนี้. เพราะอาศัย กาย ดวย โผฏฐัพพะ ทั้งหลายดวย จึงเกิด กายวิญญาณ; การ ประจวบแหง ธรรม ๓ ประการ (กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ความดั บ ลงแห ง กองทุ ก ข ทั้ ง สิ้ น นี้ ย อ มมี ด ว ย อาการอยางนี้. เพราะอาศั ยใจ ด วย ธัมมารมณ ทั้ งหลายด วย จึงเกิ ดมโนวิญญาณ; การ ประจวบแหงธรรม ๓ ประการ (ใจ + ธัมมารมณ + มโนวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา. เพราะความจางคลายดับ ไปโดยไมเ หลือ แหง ตัณ หา นั ้น จึง มี ความดับแหงอุปทาน; เพราะมีความดับแหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขุโทมนัสอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการ อยางนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๐๙
สมั ยนั้ น ภิ กษุ องค หนึ่ ง ได ยื นแอบฟ งพระผู มี พระภาคเจ าอยู . พระผู มี พระภาคเจ าทอดพระเนตรเห็ นภิ กษุ ผู ยื นแอบฟ งนั้ นแล ว ได ทรงกล าวกะภิ กษุ นั้ นวา "ดู ก อนภิ กษุ ! เธอได ยิ นธรรมปริ ยายนี้ แ ล ว
มิใชหรือ?" "ไดยินแลว พระเจาขา!" "ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เธอจงรั บ เอาธรรมปริ ย ายนี้ ไ ป. ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เธอจง เลา เรีย นธรรมปริย ายนี ้. ดูก อ นภิก ษุ! เธอจง ทรงไวซึ ่ง ธรรมปริย ายนี ้. ดูก อ น ภิก ษ! ธรรมปริยายนี้ ประกอบดว ยประโยชน เปน เบื้อ งตน แหงพรหมจรรย", ดังนี้ แล.
ไมรูเรื่องรากฐานแหงปฏิจจสมุปบาท ก็ยังไมใชสาวกในศาสนานี้๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ รูปใดก็ ตาม ยั งไม รูชั ดซึ่ ง สมุ ทั ย อั ตถั งคมะ อัสสาทะ อาทีนวะ และนิสสรณะ แหงผัสสายตนะทั้งหลาย ๖ ประการ ตามความ เป นจริง ก็ เป นอั นว า พรหมจรรย นี้ อั น ภิ กษุ นั้ นไม ได อยู ประพฤติ เธออยู ห างไกลออกไป จากธรรมวินัยนี้.
www.buddhadasa.info เมื่ อพระผู มี พระภาคเจ าตรัสอย างนี้ แล ว ภิ กษุ รูปหนึ่ ง ได กราบทู ลพระผู มี พระภาคเจ าวา " ข า แต พระองค ผู เจริญ ! ข าพระองค ยั งไม โล งใจในกรณี นี้ เพราะว าข าพระองค ยั งไม รู ชั ดซึ่ งสมุ ทั ย อั ตถั งคมะ อัสสาทะ อาทีนวะ และนิสสรณะ แหงผัสสายตนะทั้งหลาย ๖ ประการตามความเปนจริง"
๑
สูตรที่ ๙ มิคชาลวรรค สฬา.สํ. ๑๘/๕๒/๘๕.
www.buddhadasa.info
๕๑๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
ดู ก อนภิ กษุ ! เธอจะสํ าคั ญความข อนี้ ว าอย างไร : เธอย อมตามเห็ นซึ่ งจั กษุ วา "นั่นของเรา ; นั่นเปนเรา; นั่นเปนตัวตนของเรา;" ดังนี้หรือ? "ขอนั้น หามิได พระเจาขา!" ถู กแล ว ภิ กษุ , ในข อนี้ การที่ เธอตามเห็ น ซึ่ งจั กษุ ด วยอาการอย างนี้ ว า "นั่ น ไม ใช ข องเรา; นั่ น ไม เป น เรา; นั่ น ไม ใช ตั ว ตนของเรา," ดั งนี้ จั ก เป น อั น เธอเห็ น ดีแลวดวยปญญาโดยชอบ ตาม ความจริง : นี้แล เปนที่สุดแหงทุกข. [ในกรณี แห ง โสตะ ฆานะ ชิ วหา กายะ และมโน ก็ ทรงถาม, ภิ กษุ ทู ลตอบ, และตรั ส อยางเดียวกันกับในกรณีแหงจักษุ ทุกประการ ...ในสู ตรถั ดไปและในที่ อื่ น อี ก (สู ตรที่ ๑๐ มิ คชาลวรรค สฬา.สํ ๑๘/๕๓/๘๖ และ สู ตร ที่ ๕ ฉั นนวรรค สฬา.สํ ๑๘/๗๖/๑๑๔) ทรงแสดงอานิ สงส ของการเห็ นผั สสายตนะ ๖ โดยอาการ ๕ ใน ตอนท ายแห งเรื่องอย างเดี ยวกั นนี้ แปลกออกไป; คื อแทนที่ จะทรงแสดงวา "นั่ นเป นที่ สุ ดแห งทุ กข" แต ทรงแสดงวา "จั กละผั สสายตนะได ไม เป นไปเพื่ อการเกิ ดใหม แห งผั สสายตนะนั้ น อี กต อไป" อี ก สู ตรหนึ่ ง (สู ตรที่ ๑๑ มิ คชาลวรรค สฬา.สํ ๑๘/๕๔/๘๗) ทรงแสดงข อความอย างเดี ยวกั น แต ทรงซั ก ถามในภิ กษุ นั้ น ตอบยืนยั นการเห็ นอนั ตตา อย างละเอียดลออตามนั ยแห งอนั ตตลั กขณสู ตร และประสบผล อย างเดียวกั นกับใน อนัตตลักขณสูตรนั้น].
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู รวบรวม : ผู ศึ กษาพึ งสั งเกตให เห็ น ว า ผั สสายตนะ ๖ คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย และใจ นั่ น เป น รากฐานของปฏิ จ จสมุ ป บาท ถ า รู ทุ ก สิ่ ง ที่ ค วรรู เกี่ ย วกั บ รากฐานอันนี้ ก็ยอมตัดกระแส แหงปฏิจจสมุปบาทไดเปนแนนอน.
อริยสาวก ยอมรูปฏิจจสมุปบาท โดยไมตองเชื่อผูอื่น ๑ ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! อริยสาวกไดสดับแลว ยอมไมมีความสงสัยอยางนี้ วา "เพราะอะไรมี อะไรจึงมีหนอ; เพราะความเกิดขึ้นแหงอะไร อะไรจึงเกิดขึ้น :
๑
สูตรที่ ๑๐ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๙๔/๑๘๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๑๑
เพราะอะไรมี สั ง ขารทั้ ง หลายจึ ง มี ; เพราะอะไรมี วิ ญ ญาณจึ ง มี ; เพราะอะไรมี นามรู ป จึ งมี ; เพราะอะไรมี สฬายตนะจึ งมี ; เพราะอะไรมี ผั สสะจึ งมี ; เพราะอะไรมี เวทนาจึ งมี ; เพราะอะไรมี ตั ณ หาจึ งมี ; เพราะอะไรมี อุ ป าทาน จึ งมี ; เพราะอะไรมี ภพจึงมี; เพราะอะไรมี ชาติจึงมี; เพราะอะไรมี ชรามรณะจึงมี" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! โดยที่ แท อริยสาวกผู ได สดั บแล ว ย อมมี ญาณหยั่ งรู ในเรื่องนี้ โดยไม ต องเชื่ อผู อื่ นวา "เพราะสิ่งนี้ มี สิ่ งนี้ จึงมี ; เพราะความเกิ ดขึ้นของ สิ่ งนี้ สิ่ งนี้ จึ งเกิ ดขึ้ น : เพราะ อวิ ชชามี สั งขารทั้ งหลายจึ งมี ; เพราะสั งขารทั้ งหลายมี วิ ญ ญาณจึ ง มี ; เพราะวิ ญ ญาณมี นามรู ป จึ ง มี ; เพราะนามรู ป มี สฬายตนะจึ ง มี ; เพราะสฬายตนะมี ผั ส สะจึ งมี ; เพราะผั ส สะมี เวทนาจึ งมี ; เพราะเวทนามี ตั ณ หา จึง มี; เพราะตัณ หามี อุป าทานจึง มี; เพราะอุป าทานมี ภพจึง มี; เพราะภพมี ชาติ จึ งมี ; เพราะ ชาติ มี ชรามรณะจึ งมี " ดั งนี้ . อริ ยสาวกนั้ น ย อมรู ประจั กษ อย างนี้ วา "โลกนี้ ยอมเกิดขึ้น ดวยอาการอยางนี้" ดังนี้. ดูกอนภิ กษุทั้ งหลาย! อริยสาวกผูไดสดับแลว ยอมไม มี ความสงสัยอยางนี้ ว า "เพราะอะไร ไม มี อะไรจึ ง ไม มี ห นอ; เพราะความดั บ แห ง อะไร อะไรจึ ง ดั บ : เพราะอะไรไม มี สั งขารทั้ งหลาย จึ งไม มี ; เพราะอะไรไม มี วิ ญ ญาณจึ งไม มี ; เพราะ อะไรไม มี นามรู ป จึ ง ไม มี ; เพราะอะไรไม มี สฬายตนะจึ ง ไม มี ; เพราะอะไรไม มี ผั ส สะจึ ง ไม มี ; เพราะอะไรไม มี เวทนาจึ ง ไม มี ; เพราะอะไร ไม มี ตั ณ หาจึ ง ไม มี ; เพราะอะไรไม มี อุ ป าทานจึ ง ไม มี ; เพราะอะไรไม มี ภพจึ ง ไม มี ; เพราะอะไร ไม มี ชาติจึงไมมี; เพราะอะไรไมมี ชรามรณะจึงไมมี" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! โดยที่ แท อริยสาวกผู ได สดั บแล ว ย อมมี ญาณหยั่ งรู ในเรื่องนี้ โดยไม ตองเชื่อผูอื่น วา "เพราะสิ่งนี้ไมมี สิ่งนี้จึงไมมี ; เพราะความดับ
www.buddhadasa.info
๕๑๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
แห ง สิ่ ง นี้ สิ่ ง นี้ จึ ง ดั บ : เพราะ อวิ ช ชาไม มี สั ง ขารทั้ ง หลายจึ ง ไม มี ; เพราะสั ง ขาร ทั้งหลายไมมี วิญญาณจึงไมมี; เพราะวิญญาณไมมี นามรูปจึงไมมี ; เพราะนามรูปไม มี สฬายตนะจึ งไม มี ; เพราะสฬายตนะไม มี ผั สสะจึ งไม มี ; เพราะผั ส สะไม มี เวทนา จึ ง ไม มี ; เพราะเวทนาไม มี ตั ณ หาจึ ง ไม มี ; เพราะตั ณ หาไม มี อุ ป าทานจึ ง ไม มี ; เพราะอุป าทานไมม ี ภพจึง ไมม ี; เพราะภพไมม ี ชาติจ ึง ไมม ี; เพราะชาติไ มมี ชรามรณะจึ ง ไม มี " ดั งนี้ . อริยสาวกนั้ น ย อมรูประจั กษ อย างนี้ วา "โลกนี้ ย อมดั บลง ดวยอาการอยางนี้" ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวก ยอมมารูทั่วถึงเหตุเกิดและความดับ แหงโลก ตามที่เปนจริงอยางนี้ ในกาลใด; ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนี้วา "ผู ส มบู ร ณ แ ล ว ด ว ยทิ ฏ ฐิ " ดั ง นี้ บ า ง; ว า " ผู ส มบู ร ณ แ ล ว ด ว ยทั ส สนะ" ดั ง นี้ บ า ง; ว า "ผู ม าถึ ง พระสั ท ธรรมนี้ แ ล ว " ดั ง นี้ บ า ง; ว า "ได เห็ น พระ สั ท ธรรมนี้ " ดั ง นี้ บ า ง; ว า "ผู ม าถึ ง พระสั ท ธรรมนี้ แ ล ว " ดั ง นี้ บ า ง; ว า "ได เห็ น พระสั ท ธรรมนี้ " ดั ง นี้ บ า ง; วา "ผู ประกอบแล วด วยญาณอั นเป นเสขะ" ดั งนี้ บ าง; ว าประกอบแล วด วยวิชชาอั น เป น เสขะ" ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ถึ งซึ่ งกระแสแห งธรรมแล ว" ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ป ระเสริ ฐ มีปญญาเครื่องชําแรกกิเลส" ดังนี้บาง; วา "ยืนอยูจดประตูแห งอมตะ" ดังนี้บาง, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info อริยญายธรรมคือการรูเรื่องปฏิจจสมุปบาท๑
ดู ก อนคหบดี ! ก็ อริยญายธรรม เป นสิ่ งที่ อริยสาวกเห็ นแล วด วยดี แทงตลอด แลวดวยดี ดวยปญญา เปนอยางไรเลา?
๑
สูตรที่ ๒ อุปาสกวรรค ทสก.อ. ๒๔/๑๙๗/๙๒, ตรัสแกอนาถปณฑิกคหบดี ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๑๓
ดู ก อนคหบดี ! อริยสาวกในธรรมวิ นั ยนี้ ย อมพิ จารณาเห็ นโดยประจั กษ ดั งนี้ ว า "ด วยอาการอย างนี้ เพราะสิ่ งนี้ มี , สิ่ งนี้ จึ งมี ; เพราะความเกิ ด ขึ้ น แห งสิ่ งนี้ , สิ ่ง นี ้จ ึง เกิด ขึ ้น . เพราะสิ ่ง นี ้ไ มม ี, สิ ่ง นี ้จ ึง ไมม ี; เพราะความดับ ไปแหง สิ ่ง นี ้, สิ่ งนี้ จึ งดั บไป : ข อนี้ ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ เพราะมี อวิ ชชา เป นป จจั ย จึ งมี สั งขารทั้ งหลาย; เพราะมี สั งขารเป นป จจั ย จึ งมี วิ ญ ญาณ; เพราะมี วิ ญ ญาณเป นป จจั ย จึ งมี นามรู ป ; เพราะมี นามรู ปเป นป จจั ย จึ งมี สฬายตนะ; เพราะมี สฬายตนะเป นป จจั ย จึ งมี ผั สสะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะ มี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง มี อุ ป าทาน; เพราะมี อุ ป าทานป จ จั ย จึ ง มี ภ พ; เพราะมี ภพเป น ป จ จั ย จึ งมี ช าติ ; เพราะมี ช าติ เป น ป จ จั ย , ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ด ขึ้ นพรอมแห งก องทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. เพราะความจางคลายดั บไปโดยไม เหลื อแห งอวิ ชชานั้ นนั่ นเที ยว, จึ งมี ความ ดั บ แห ง สั ง ขาร; เพราะมี ค วามดั บ แห งสั ง ขาร จึ ง มี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญาณ; เพราะมี ความดั บแห งวิ ญ ญาณ จึ งมี ความดั บ แห งนามรูป; เพราะมี ความดั บแห งนามรูป จึ งมี ความดั บ แห งสฬายตนะ; เพราะมี ค วามดั บ แห งสฬายตนะ จึ งมี ค วามดั บ แห งผั ส สะ; เพราะมี ค วามแห ง ผั ส สะ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง เวทนา; เพราะมี ค วามดั บ แห ง เวทนา จึ งมี ค วามดั บ แห งตั ณ หา; เพราะมี ค วามดั บแห งตั ณ หา จึ งมี ค วามดั บ แห งอุ ป าทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึ งมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บ แห งชาติ ; เพราะมี ความดั บ แห งชาติ นั่ น แล ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขุ โทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ ง ดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการ อยางนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๕๑๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
ดู ก อ นคหบดี ! อริ ย ญายธรรมนี้ แ ล เป น สิ่ ง ที่ อ ริ ย สาวกเห็ น แล ว ด ว ยดี แทงตลอดแลวดวยดี ดวยปญญา. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เ ห็ น ว า ตั ว บทของปฏิ จ จสมุ ป บาทที่ แ สดงไว ตามที่ รู กั น อยู ทั่ วไป ฟ ง ดู ค ล า ยกั บ ว า เป น เพี ย งหลั ก สํ า หรั บ เรี ย น หรื อ สํ า หรั บ คิ ด ; ต อ เมื่ อ สั งเกตอย าง ละเอี ยด จึ งจะมองเห็ น ว า เป น สิ่ งที่ ยิ่ งกว าหลั ก สํ า หรั บ เรี ย น หรื อ สํ า หรั บ คิ ด เท า นั้ น แต ท รงประสงค ให เป น ตั ว ธรรมสํ า หรั บ การรู แ จ ง แทงตลอด หรื อ เป น เครื่องนํ าสั ตว ออกไปจากกองทุ กข ด วยป ญ ญา ในตั วป ญ ญาที่ เรียกว า "ยถาภู ตสั มมั ปป ญ ญา" นั้ น เองเป น ตั วการปฏิ บั ติ ; และในที่ นี้ ตรั ส เรี ย กว า เป น การรู แ จ งแทงตลอดซึ่ งอริ ย ญายธรรม. ตั ว การปฏิ บั ติ โดยตรง ตั้ ง ต น ด ว ยการมี ส ติ ระวั ง เมื่ อ มี ก ารกระทบทางอายตนะ เช น ตาเห็ น รูป เป น ตน , อยา ให เ กิด มีสิ ่ง ที ่เ รีย ก วา "อ วิช ชาสัม ผัส " ขึ ้น ม าได; แ ลว ก ระแ ส แห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท ก็ จ ะไม เกิ ด ขึ้ น หรื อ ดํ า เนิ น ไป. สํ า หรั บ สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อวิ ช ชาสั ม ผั ส นั้ น มี แ จ ง อยูในหัวขอชื่อนั้น ในหนังสือเลมนี้แลว.
การสนทนาของพระมหาสาวก๑ (เรื่องปฏิจจสมุปบาท)
www.buddhadasa.info ครั้ งนั้ น ท านพระสารีบุ ตรกั บท านพระมหาโกฏฐิ ตะ อยู ณ ป าอิ สะปตนมฤคทายวั น ใกล เมื อง พาราณสี . ครั้งนั้ น ท านพระมหาโกฏฐิ ตะออกจากที่ หลี กเร น ในเวลาเย็ น เข าไปหาพระสารี บุ ตร ถึ งที่ อยู แล วได กล าวคํ านี้ กะท านพระสารีบุ ตรวา "ดู ก อนท านสารี บุ ตร! ชรามรณะเป นสิ่ งที่ บุ คคลกระทํ า
เองหรือ หนอ? หรื อ ว า ชรามรณะ เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คลอื่ น กระทํ า ? ชรามรณะ เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คลกระทํ า เองด ว ย บุ ค คลอื่ น กระทํ า ด ว ยหรื อ ? หรื อ ว า ชรามรณะ เป น สิ่ ง ที่ ไมใชบุคคลกระทําเองหรือบุคคลอื่นกระทํา ก็เกิดขึ้นได เลา?"
๑
สู ตรที่ ๗ มหาวรรค อภิ สมยสั งยุ ตต นิ ทาน.สํ .๑๖/๑๓๖/๒๖๓, พระสารี บุ ตรกั บพระมหาโกฏฐิ ตะ สนทนากั น ที่ปาอิสิปตนมฤคทายวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๑๕
ท านพระสารี บุ ตร ได ตอบว า "ดู ก อนท านโกฏฐิ ตะ! ชรามรณะเป นสิ่ งที่ บุ คคล
กระทํ า เอง ก็ ไมใ ช, ชรามรณะ เปน สิ ่ง ที ่บ ุค คลกระทํ า ก็ไ มใ ช, ชรามรณะ เป นสิ่งที่ บุ คคลกระทํ าเองดวย บุ คคลอื่ นกระทํ าด วย ก็ ไม ใช, ทั้ งชรามรณะ จะเป น สิ่ ง ที่ ไ ม ใ ช บุ ค คลกระทํ า เองหรื อ บุ ค คลอื่ น กระทํ า ก็ เ กิ ด ขึ้ น ได ก็ ไ ม ใ ช ; แต ว า เพราะมีชาติเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ". ท านพระมหาโกฏฐิ ตะ ได ถามอี กว า "ดู ก อนท านสารี บุ ตร! ชาติ เป นสิ่ งที่ บุ คคล
กระทําเอง หรือหนอ? หรือวาชาติ เปนสิ่งที่บุคคลอื่นกระทํา? ชาติ เปนสิ่งที่บุคคลกระทํา เองดวยบุคคลอื่นกระทํา ดวยหรือ? หรือวาชาติ เปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเองหรือบุคคล อื่นกระทํา ก็เกิดขึ้นได เลา?" ท า นพระสารี บุ ต ร ได ต อบว า "ดู ก อ นท า นโกฏฐิ ต ะ! ชาติ เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คล
กระทํ า เอง ก็ ไ ม ใ ช , ชาติ เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คลอื่ น กระทํ า ก็ ไ ม ใ ช , ชาติ เป น สิ่ ง ที่ บุคคลกระทําเองดวย บุคคลอื่นกระทําดวย ก็ไมใช, ทั้งชาติ จะเปนสิ่งที่ไมใชบุคคล กระทําเองหรือบุคคลอื่นกระทําก็เกิดขึ้นได ก็ไมใช; แตวา เพราะมีภ พเปนปจจัย จึงมีชาติ".
www.buddhadasa.info ท านพระมหาโกฏฐิ ตะ ได ถามอี กว า "ดู ก อนท านสารี บุ ตร! ภพ เป นสิ่ งที่ บุ คคล
กระทํ าเอง หรือหนอ? หรือวาภพ เป นสิ่งที่บุ คคลอื่นกระทํา? ภพ เปนสิ่งที่บุ คคลกระทํ า เองดวยบุคคลอื่นกระทํา ดวยหรือ? หรือวาภพ เปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเองหรือบุคคลอื่น กระทํา ก็เกิดขึ้นได เลา?" ท า นพระสารี บุ ต ร ได ต อบว า "ดู ก อ นท า นโกฏฐิ ต ะ! ภพเป น สิ่ ง ที่ บุ ค คล
กระทําเอง ก็ไมใช, ภพ เปนสิ่งที่บุคคลอื่นกระทํา ก็ไมใช, ภพ เปนสิ่งที่บุคคล
www.buddhadasa.info
๕๑๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
กระทําเองดวย บุคคลอื่นกระทําดวย ก็ไมใช, ทั้งภพ จะเป นสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทํา เองหรือ บุ คคลอื่ นกระทํ าก็ เกิด ขึ้น ได ก็ ไม ใช; แต วา เพราะมี อุ ป ทานเป น ป จ จั ย จึงมีภพ" ทานพระมหาโกฏฐิตะ ไดถามอีกวา "ดู ก อนท านสารีบุ ตร! อุ ปาทาน เป นสิ่ งที่ บุ คคล
กระทําเองหรือ? หรือวา เปนสิ่งที่บุคคลอื่นกระทํา? อุปาทาน เปนสิ่งที่บุคคลกระทําเอง ดวย บุคคลอื่นกระทําดวยหรือ? หรือวาเปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเองหรือบุคคลอื่นกระทํา ก็เกิดขึ้นได เลา?" ท า นพระสารี บุ ต ร ได ต อบว า "ดู ก อ นท า นโกฏฐิ ต ะ! อุ ป าทานเป น สิ่ ง ที่
บุ ค คลกระทํ า เอง ก็ ไม ใช ,เป น สิ่ งที่ บุ ค คลอื่ น กระทํ า ก็ ไม ใช , อุ ป าทาน เป น สิ่ ง ที่ บุคคลกระทําเองดวย บุคคลอื่นกระ ทําดวย ก็ไมใช, ทั้งจะเปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทํา เองหรือ บุค คลอื่น กระทํ า ก็เกิด ขึ้น ได ก็ไมใช; แตวา เพราะมีต ัณ หาเปน ปจ จัย จึงมีอุปาทาน" ทานพระมหาโกฏฐิตะ ไดถามอีกวา "ดู ก อนท านสารี บุ ตร! ตั ณหา เป นสิ่ งที่ บุ คคล
www.buddhadasa.info กระทําเองหรือ? หรือวา เปนสิ่งที่บุคคลอื่นกระทํา? ตัณหา เปนสิ่งที่บุคคลกระทําเองดวย บุคคลอื่นกระทําดวยหรือ? หรือวาเปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเองหรือบุคคลอื่นกระทํา ก็เกิด ขึ้นได เลา?" ท า นพระสารี บุ ต ร ได ต อบว า "ดู ก อ นท า นโกฏฐิ ต ะ! ตั ณ หาเป น สิ่ ง ที่ บุ ค คล
กระทํ า เอง ก็ ไ ม ใ ช ,เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คลอื่ น กระทํ า ก็ ไ ม ใ ช , ตั ณ หา เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คล กระทําเองดวย บุคคลอื่นกระทําดวย ก็ไมใช, ทั้งจะเปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเอง
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๑๗
หรือ บุ ค คลอื่น กระทํ าก็เกิด ขึ้ น ได ก็ไม ใช; แต วา เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ งมี ตัณหา". พระมหาโกฏฐิ ตะ ได ถามอี กว า "ดู ก อนท านสารี บุ ตร! เวทนา เป นสิ่ งที่ บุ คคล
กระทําเองหรือ? หรือวา เปนสิ่งที่บุคคลอื่นกระทํา? เวทนา เปนสิ่งที่บุคคลกระทําเองดวย บุคคลอื่นกระทําดวยหรือ? หรือวาเปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเองหรือบุคคลอื่นกระทํา ก็เกิด ขึ้นได เลา?" พระสารี บุ ต ร ได ต อบว า "ดู ก อ นท า นโกฏฐิ ต ะ! เวทนา เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คล
กระทํ า เอง ก็ ไม ใ ช , เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คลอื่ น กระทํ า ก็ ไม ใช , เวทนา เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คล กระทํ าเองด วย บุ คคลอื่ นกระทํ าด วย ก็ ไม ใช , ทั้ งจะเป นสิ่ งที่ ไม ใช บุ คคลกระทํ าเอง หรื อ บุ ค คลอื่ น กระทํ า ก็ เกิ ด ขึ้ น ได ก็ ไม ใ ช ; แต ว า เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เวทนา". พระมหาโกฏฐิ ตะ ได ถามอี กว า "ดู ก อ นท านสารี บุ ต ร! ผั ส สะ เป น สิ่ งที่ บุ ค คล
กระทําเองหรือ? หรือวา เปนสิ่งที่บุคคลอื่นกระทํา? เปนสิ่งที่บุคคลกระทําเองดวยบุคคลอื่น กระทําดวยหรือ? หรือวาเปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเองหรือกระทํา ก็เกิดขึ้นได เลา?"
www.buddhadasa.info พระสารีบุ ตร ได ตอบว า "ดู ก อนท านโกฏฐิ ตะ! ผั สสะเป นสิ่ งที่ บุ คคลกระทํ า
เอง ก็ไมใช, เปนสิ่งที่บุคคลอื่นกระทํา ก็ไมใช, เปนสิ่งที่บุคคลกระทําเองดวย บุคคล อื่ นกระทํ าด วย ก็ ไม ใช , ทั้ งจะเป นสิ่ งที่ ไม ใช บุ คคลกระทํ าเองหรือบุ คคลอื่ นกระทํ าก็ เกิดขึ้นได ก็ไมใช;แตวา เพราะมีสฬายตนะเปนปจจัย จึงมีผัสสะ". พระมหาโกฏฐิ ต ะ ได ถามอี กว า "ดู ก อ นท า นสารี บุ ต ร! สฬายตนะ เป น สิ่ ง ที่
บุคคลกระทําเองหรือ? หรือวา เปนสิ่งที่บุคคลอื่นกระทํา? เปนสิ่งที่บุคคลกระทําเองดวย
www.buddhadasa.info
๕๑๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
บุคคลอื่นกระทําดวยหรือ? หรือวาเปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเองหรือบุคคลอื่นกระทํา ก็เกิด ขึ้นได เลา?" พระสารี บุ ต ร ได ต อบว า "ดู ก อ นท า นโกฏฐิ ต ะ! สฬายตนะเป น สิ่ ง ที่ บุ ค คล
กระทํ า เอง ก็ ไม ใ ช ,เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คลอื่ น กระทํ า ก็ ไม ใช , เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คลกระทํ า เอง ดวยบุ คคลอื่นกระทําดวย ก็ไมใช, ทั้งจะเปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเองหรือบุ คคลอื่น กระทําก็เกิดขึ้นได ก็ไมใช;แตวา เพราะมีนานรูปเปนปจจัย จึงมีสฬายตนะ" พระมหาโกฏฐิ ตะ ได ถามอี กว า "ดู ก อนท านสารี บุ ตร! นามรู ป เป นสิ่ งที่ บุ คคล
กระทําเองหรือ? หรือวา เปนสิ่งที่บุคคลอื่นกระทํา? เปนสิ่งที่บุคคลกระทําเองดวย บุคคลอื่น กระทําดวยหรือ? หรือวาเปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเองหรือบุคคลอื่นกระทํา ก็เกิดขึ้นได เลา?" พระสารี บุ ต ร ได ต อบว า "ดู ก อ นท า นโกฏฐิ ต ะ! นามรู ป เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คล
กระทํ าเอง ก็ ไม ใช , เป น สิ่ งที่ บุ คคลอื่ นกระทํ า ก็ ไม ใช , เป น สิ่ งที่ บุ คคลกระทํ าเอง ดวยบุคคลอื่นกระทําดวย ก็ ไมใช, ทั้งจะเปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเองหรือบุคคล อื่นกระทําก็เกิดขึ้นได ก็ไมใช; แตวา เพราะมีวิญญาณเปนปจจัย จึงมีนามรูป".
www.buddhadasa.info พระมหาโกฏฐิ ตะ ได ถามอี กว า "ดู ก อนท านสารี บุ ตร! วิ ญญาณ เป นสิ่ งที่ บุ คคล
กระทําเองหรือ? หรือวาเปนสิ่งที่บุคคลอื่นกระทํา? เปนสิ่งที่บุคคลกระทําเองดวยบุคคลอื่น กระทําดวยหรือ? หรือวาเปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเองหรือบุคคลอื่นกระทําก็เกิดขึ้นได เลา?" พระสารี บุ ต ร ได ต อบว า "ดู ก อ นท า นโกฏฐิ ต ะ! วิ ญ ญาณเป น สิ่ ง ที่ บุ ค คล
กระทํ าเอง ก็ ไม ใช , เป น สิ่ งที่ บุ คคลอื่ นกระทํ า ก็ ไม ใช , เป น สิ่ งที่ บุ คคลกระทํ าเอง ด วยบุ คคลอื่ นกระทํ าด วย ก็ ไม ใช , ทั้ งจะเป นสิ่ งที่ ไม ใชบุ คคลกระทํ าเองหรือบุ คคลอื่ น กระทําก็เกิดขึ้นได ก็ไมใช; แตวา เพราะมีนามรูปเปนปจจัย จึงมีวิญญาณ".
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๑๙
ท านพระมหาโกฏฐิ ตะ ได กล าวกะท านพระสารี บุ ตรต อไปว า "เราทั้ งหลาย ย อมรู ทั่ วถึ ง
ภาษิ ตของท านสารีบุ ตรเดี๋ ยวนี้ เอง อย างนี้ ว า `ดู ก อนท านโกฏฐิ ตะ! นามรู ปเป นสิ่ งที่ บุ คคลกระทํ าเอง ก็ ไม ใช ,เป นสิ่ งที่ บุ คคลอื่ นกระทํ า ก็ ไม ใช , เป นสิ่ งที่ บุ คคลกระทํ าเอง ดวยบุคคลอื่นกระทําดวย ก็ไมใช ,ทั้งจะเป นสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเองหรือบุคคลอื่นกระทํ า ก็เกิดขึ้นได ก็ไมใช; แตวา เพราะมีวิญญาณ เป นป จจัย จึงมีนามรูป.' อนึ่ง เราทั้งหลาย ยอมรูทั่ วถึ งภาษิ ตของท านสารีบุ ตรเดี๋ ยวนี้ อีกเหมื อนกัน อยางนี้ วา `ดู ก อนท านโกฏฐิตะ! วิ ญ ญาณ เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คลกระทํ า เอง ก็ ไ ม ใ ช ,เป น สิ่ ง ที่ บุ ค คลอื่ น กระทํ า ก็ ไ ม ใ ช , เปนสิ่งที่บุคคลกระทําเองดวยบุคคลอื่นกระทําดวย ก็ไมใช, ทั้งจะเปนสิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเอง หรือบุ คคลอื่ นกระทํ าก็ เกิ ดขึ้ นได ก็ ไม ใช ; แต วา เพราะมี นามรูปเป นป จจั ยจึ งมี วิญญาณ'. ดูกอนทาน สารีบุตร ! ก็เนื้อความแหงภาษิตนี้ อันเราทั้งหลายจะพึงเห็นไดอยางไร?" ท า นพระสารี บุ ต ร ได ก ล า วว า "ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ! ถ า อย า งนั้ น ผมจั ก
กระทํ าอุ ป มาให ท านฟ ง. วิ ญ ู ชนทั้ งหลายบางพวกในโลกนี้ ย อ มรูทั่ วถึ งเนื้ อความ แหง ภาษิต ได แมด ว ยอุป มา. ดูก อ นทา น ผู ม ีอ ายุ! เปรีย บเหมือ นไมอ อ สองกํ า จะพึง ตั ้ง อยู ไ ดก ็เ พราะอาศัย ซึ ่ง กัน และกัน , ขอ นี ้ฉ ัน ใด, ดูก อ นทา น ผู ม ีอ ายุ! ข อ นี้ ก็ ฉั น นั้ น เหมื อ นกั น กล า วคื อ เพราะมี น ามรู ป เป น ป จ จั ย จึ ง มี วิ ญ ญ าณ ; เพราะมี วิ ญ ญาณ เป นป จจั ย จึ งมี นามรูป; เพราะมี นามรูปเป นป จจั ยจึ งมี สฬายตนะ; เพราะมี ส ฬายตนะเป น ป จ จั ย จึ ง มี ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา; เพราะมี ตั ณ หา เป น ป จ จั ย จึ ง มี อุ ป าทาน; เพราะมี อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ ง มี ภ พ; เพราะมี ภ พเป น ป จ จั ย จึ ง มี ช าติ ; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริ เหาะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ น ครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้."
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๕๒๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
ดู ก อนท านผู มี อายุ ! ไม อ อสองกํ านั้ น ถ าบุ คคลดึ งเอาออกเสี ยกํ าหนึ่ งไซร อี ก กํ า หนึ่ ง ก็ พึ ง ล ม ไป , ถ า บุ ค คลดึ ง เอากํ า อื่ น อี ก ออกไปไซร กํ า อื่ น อี ก ก็ พึ ง ล ม ไป, ขอ นี้ ฉั นใด; ดู ก อนท านผู มี อายุ ! ข อ นี้ ก็ ฉั นนั้ น เหมื อนกั น คื อ เพราะความดั บแห ง นามรูป จึ งมี ความดั บแห งวิญญาณ; เพราะมี ความดั บแห งวิญญาณ จึ ง มี ความดั บ แห งนามรูป ; เพราะมี ค วามดั บ แห งนามรูป จึ งมี ค วามดั บ แห ง สฬายตนะ; เพราะ มี ความดั บ แห งสฬายตนะ จึงมี ความดั บแห งผั สสะ; เพราะมี ความดับแห งผั สสะ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง เวทนา; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ตั ณ หา;เพราะมี ค วามดั บ แห ง เวทนา จึ งมี ความดั บแห งตั ณ หา; เพราะมี ความดั บแห งตั ณ หา จึ งมี ความดั บแห งอุ ปาทาน; เพราะมี ค วามดั บ แห ง อุ ป าทานจึ ง มี ค วามดั บ แห ง ภพ จึ ง มี ค วามดั บ แห ง ชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห ง ชาติ นั้ น แล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาส ทั้งหลายจึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้" ท านพระมหาโกฏฐิตะ ได กล าววา "น าอั ศจรรย ท านสารี บุ ตร! ไม เคยมี แล ว ท าน
สารีบุตร ! เทาที่ทานสารีบุตรกลาวมานี้ นับวาเปนการกลาวดีแลว. ก็แล เราทั้งหลายขอ อนุโมทนายินดีตอคํา เปนสุภาษิตของทานสารีบุตรนี้ ดวย วัตถุ ๓๖ เรื่อง เหลานี้ คือ :-
www.buddhadasa.info (๑) ดู ก อนท านผู มี อายุ ! ถ าภิ กษุ แสดงธรรม เพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อ ความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อแห งชราและมรณะ อยู ไซร, ก็ เป นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก"
(๒) ดู ก อนท านผู มี อายุ ! ถ าภิ กษุ เป นผู ปฏิ บิ ตแล ว เพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งชราและมรณะ อยู ไซร, ก็ เป นการ สมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา " ภิกษุผูปฏิบัติสมควรแกธรรมแลว".
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๒๑
(๓) ดู ก อนท านผู มี อายุ ! ถ าภิ กษุ เป นผู หลุ ดพ นแล ว เพราะความเบื่ อหน าย เพราะความคลายกํ าหนั ด เพราะความดั บไม เหลื อ แห งชราและมรณะ ด วยความเป นผู ไม ยึ ดมั่ นถื อมั่ น อยู แล วไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะเรียกภิ กษุ นั้ นวา "ภิ กษุ ผู บรรลุ แล ว ซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม". (๔) ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ ! ถ าภิ ก ษุ แสดงธรรม เพื่ อ ความเบื่ อ หน าย เพื่ อ ความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งชาติ อยู แล วไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก". (๕) ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ ! ถ าภิ กษุ เป น ผู ป ฏิ บั ติ แล ว เพื่ อ ความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งชาติ อยู แล วไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อ จะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมแลว". (๖) ดู ก อนท านผู มี อายุ ! ถ าภิ กษุ เป นผู หลุ ดพ นแล ว เพราะความเบื่ อหน าย เพราะความคลายกํ าหนั ด เพราะความดั บไม เหลื อ แห งชาติ ด วยความเป นผู ไม ยึ ดมั่ น ถือมั่ น อยู แล วไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะเรียกภิ กษุ นั้ นวา "ภิ กษุ ผูบรรลุ แล วซึ่งนิ พพาน ในทิฏฐธรรม".
www.buddhadasa.info (๗) ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ ! ถ าภิ ก ษุ แสดงธรรม เพื่ อ ความเบื่ อ หน าย เพื่ อ ความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งภพ อยู ไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะเรียก ภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก".
(๘) ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ ! ถ าภิ ก ษุ เป น ผู ป ฏิ บั ติ แล ว เพื่ อ ความเบื่ อ หน าย เพื่ อความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งภพ อยู ไซร , ก็ เป นการสมควรเพื่ อ จะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมแลว".
www.buddhadasa.info
๕๒๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
(๙) ดู ก อนท านผู มี อายุ ! ถ าภิ กษุ เป นผู หลุ ดพ นแล ว เพราะความเบื่ อหน าย เพราะความคลายกํ าหนั ด เพราะความดั บไม เหลื อ แห งภพ ด วยความเป นผู ไม ยึ ดมั่ น ถือมั่ น อยู แล วไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะเรียกภิ กษุ นั้ นวา "ภิ กษุ ผูบรรลุ แล วซึ่งนิ พพาน ในทิฏฐธรรม". (๑๐) ดู ก อนท านผู มี อายุ ! ถ าภิ กษุ แสดงธรรม เพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อ ความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งอุ ปาทาน อยู ไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อ จะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก". (๑๑) ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ !ถ าภิ ก ษุ เป น ผู ป ฏิ บั ติ แล ว เพื่ อ ความเบื่ อ หน าย เพื่ อความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งอุ ปาทาน อยู ไซร, ก็ เป นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา"ภิกษุผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมแลว". (๑๒) ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ !ถ า ภิ ก ษุ เป น ผู ห ลุ ด พ น แล ว เพราะความเบื่ อ หน าย เพราะความคลายกํ าหนั ด เพราะความดั บไม เหลื อ แห งอุ ปาทานด วยความเป น ผู ไม มี ความยึ ดมั่ นถื อมั่ น อยู แล วไซร , ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะเรี ยกภิ กษุ นั้ นว า"ภิ กษุ ผู บรรลุแลวซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม".
www.buddhadasa.info (๑๓) ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ !ถ าภิ ก ษุ แสดงธรรม เพื่ อ ความเบื่ อ หน าย เพื่ อ ความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งตั ณหา อยู ไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะ เรียกภิกษุนั้นวา"ภิกษุธรรมกถึก".
(๑๔) ดู ก อ นท านผู มี อายุ !ถ าภิ กษุ เป น ผู ป ฏิ บั ติ แล ว เพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งตั ณหา อยู ไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อ จะเรียกภิกษุนั้นวา"ภิกษุผูปฏิบัติ ธรรมสมควรแกธรรมแลว".
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๒๓
(๑๕) ดู กอนท านผู มี อายุ !ถ าภิ กษุ เป นผู หลุ ดพ นแล ว เพราะความเบื่ อหน าย เพราะความคลายกําหนั ด เพราะความดับไม เหลือ แห งตั ณหา ดวยความเป นผูไม มีความ ยึดมั่ นถือมั่ น อยูแล วไซร, ก็เป นการสมควรเพื่ อจะเรียกภิ กษุ นั้ นวา "ภิ กษุ ผูบรรลุแล ว ซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม". (๑๖) ดู ก อนท านผู มี อายุ !ถ าภิ กษุ แสดงธรรม เพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อ ความคลายกําหนัด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งเวทนา อยูไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อ จะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก". (๑๗) ดู ก อนท านผู มี อายุ !ถ าภิ กษุ เป นผู ปฏิ บั ติ แล ว เพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลายกําหนั ด เพื่ อความดับไม เหลื อ แห งเวทนา อยูไซร, ก็เป นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมแลว". (๑๘) ดู กอนท านผู มี อายุ !ถ าภิ กษุ เป นผู หลุ ดพ นแล ว เพราะความเบื่ อหน าย เพราะความคลายกําหนั ด เพราะความดับไมเหลือ แหงเวทนาด วยความเปนผูไมยึดมั่ น ถือมั่ น อยูแล วไซร, ก็เป นการสมควรเพื่ อจะเรียกภิ กษุ นั้ นวา "ภิ กษุ ผู บบรรลุ แล วซึ่ ง นิพพานในทิฏฐธรรม".
www.buddhadasa.info (๑๙) ดู ก อนท านผู มี อายุ !ถ าภิ กษุ แสดงธรรม เพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อ ความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดับไม เหลือ แหงผั สสะ อยูไซร, ก็เป นการสมควรเพื่ อจะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก".
(๒๐) ดู ก อนท านผู มี อายุ !ถ าภิ กษุ เป นผู ปฏิ บั ติ แล ว เพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งผั สสะ อยู ไซร , ก็ เป นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมแลว".
www.buddhadasa.info
๕๒๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙ (๒๑) ดู ก อนท านผู มี อายุ !ถ าภิ กษุ เป นผู หลุ ดพ นแล ว เพราะความเบื่ อหน าย
เพราะความคลายกําหนั ด เพราะความดั บไม เหลือ แหงผั สสะ ดวยความเป นผูไม มี ความยึดมั่ น ถื อ มั่ น อยู แ ล ว ไซร , ก็ เป น การสมควรเพื่ อ จะเรี ย กภิ ก ษุ นั้ น ว า "ภิ ก ษุ ผู บ รรลุ แ ล ว ซึ่ ง นิพพานในทิฏฐธรรม". (๒๒) ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ !ถ า ภิ ก ษุ แ สดงธรรม เพื่ อ ความเบื่ อ หน า ยเพื่ อ ความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งสฬายตนะ อยู ไซร, ก็ เป นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา"ภิกษุธรรมกถึก". (๒๓) ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ !ถ าภิ กษุ เป น ผู ป ฏิ บั ติ แล ว เพื่ อความเบื่ อ หน าย เพื่ อความคลายกํ าหนั ดเพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งสฬายตนะ อยู ไซร , ก็ เป นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมแลว". (๒๔) ดู ก อนท านผู มี อายุ ! ถ าภิ กษุ เป นผู หลุ ดพ น แล ว เพราะความเบื่ อ หน าย เพราะความคลายกํ าหนั ด เพราะความดั บไม เหลื อ แห งสฬายตนะ ด วยความไม ยึ ดมั่ นถื อมั่ น อยู แล วไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะเรียกภิ กษุ นั้ นวา "ภิ กษุ ผู บรรลุ แล วซึ่ ง นิพพานในทิฏฐธรรม".
www.buddhadasa.info (๒๕) ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ !ถ า ภิ ก ษุ แ สดงธรรม เพื่ อ ความเบื่ อ หน า ยเพื่ อ ความคลายกํ าหนั ดเพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งนามรู ป อยู ไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อ จะเรียกภิกษุนั้นวา"ภิกษุธรรมกถึก".
(๒๖) ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ !ถ าภิ กษุ เป น ผู ป ฏิ บั ติ แล ว เพื่ อความเบื่ อ หน าย เพื่ อความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งนามรูป อยู ไซร , ก็ เป นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมแลว".
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๒๕
(๒๗) ดู ก อนท านผู มี อายุ ! ถ าภิ กษุ เป นผู หลุ ดพ นแล ว เพราะความเบื่ อหน าย เพราะความคลายกํ าหนั ด เพราะความดั บไม เหลื อ แห ง นามรู ป ด วยความไม ยึ ดมั่ น ถือมั่ น อยู แล วไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะเรียกภิ กษุ นั้ นวา "ภิ กษุ ผูบรรลุ แล วซึ่งนิ พพาน ในทิฏฐธรรม". (๒๘) ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ !ถ า ภิ ก ษุ แ สดงธรรม เพื่ อ ความเบื่ อ หน า ยเพื่ อ ความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห ง วิ ญ ญาณ อยู ไซร , ก็ เป นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก". (๒๙) ดู ก อนท านผู มี อายุ !ถ าภิ กษุ เป นผู ปฏิ บั ติ แล ว เพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลายกํ าหนั ด เพื่ อความดั บไม เหลื อ แห งวิญญาณ อยู ไซร, ก็ เป นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมแลว". (๓๐) ดู ก อนท านผู มี อายุ ! ถ าภิ กษุ เป นผู หลุ ดพ นแล ว เพราะความเบื่ อหน าย เพราะความคลายกํ าหนั ด เพราะความดั บไม เหลื อ แห ง วิญญาณ ด วยความไม ยึ ดมั่ น ถือมั่ น อยู แล วไซร, ก็ เป นการสมควรเพื่ อจะเรียกภิ กษุ นั้ นวา "ภิ กษุ ผูบรรลุ แล วซึ่งนิ พพาน ในทิฏฐธรรม".
www.buddhadasa.info (๓๑) ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ !ถ าภิ ก ษุ แสดงธรรม เพื่ อ ความเบื่ อ หน ายเพื่ อ ความคลายกํ าหนั ด เพื่ อ ความดั บ ไม เหลื อ แห งสั งขาร อยู ไซร , ก็ เป น การสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก".
(๓๒) ดู ก อนท านผู มี อายุ !ถ าภิ กษุ เป นผู ปฏิ บั ติ แล ว เพื่ อความเบื่ อหน าย เพื ่อ ความคลายกํ า หนัด เพื ่อ ความดับ ไมเ หลือ แหง สัง ขาร อยู ไ ซร, ก็เ ปน การ สมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมแลว".
www.buddhadasa.info
๕๒๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
(๓๓) ดู ก อนท านผู มี อายุ ! ถาภิ กษุ เป นผู หลุ ดพ นแล ว เพราะความเบื่ อหน าย เพราะความคลายกํ า หนัด เพราะความดับ ไมเ หลือ แหง สัง ขาร ดว ยความ ไมยึดมั่นถือมั่น อยูแลวไซร, ก็เปนการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูบรรลุแลว ซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม". (๓๔) ดู ก อนท านผู มี อายุ !ถ าภิ กษุ แสดงธรรม เพื่ อความเบื่ อหน ายเพื่ อ ความคลายกําหนัด เพื่อความดับไมเหลือ แหง อวิชชา อยูไซร,ก็เปนการสมควรเพื่อจะ เรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุธรรมกถึก". (๓๕) ดู ก อนท านผู มี อายุ !ถ าภิ กษุ เป นผู ปฏิ บั ติ แล ว เพื่ อความเบื่ อหน าย เพื่ อความคลายกําหนัด เพื่ อความดับไมเหลือ แหงอวิชชา อยูไซร, ก็เปนการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมแลว". (๓๖) ดูกอนทานผูมีอายุ! ถาภิกษุเปนผู หลุดพนแลว เพราะความเบื่อหนาย เพราะความคลายกําหนัด เพราะความดั บไม เหลือ แหง อวิชชา ดวยความไม ยึดมั่ น ถือมั่น อยูแลวไซร, ก็เปนการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นวา "ภิกษุผูบรรลุแลวซึ่งนิพพาน ในทิฏฐธรรม", ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info เวทนาของปุถุชน ตางจากของอริยสาวก ๑ (ในแงของปฏิจจสมุปบาท)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ปุ ถุ ชนผู ไม มี การสดั บแล ว ย อมเสวยซึ่ งเวทนา อั นเป น สุขบาง อันเปนทุกขบาง อันมิใชทุกขมิใชสุขบาง. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! แมอริยสาวก
๑
สูตรที่ ๖ ปฐมกสคาถวรรค สฬายตนสังยุตต สฬา.สํ. ๑๘/๒๕๗/๓๖๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๒๗
ผู มี การสดั บแล ว ก็ ย อมเสวยซึ่ งเวทนา อั นเป นสุ ขบ าง. อั นเป นทุ กข บ าง อั นมิ ใช ทุ กข มิ ใช สุ ขบ าง. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อเป นเช นนั้ น ในระหว างอริ ยสาวกผู มี การสดั บ กับปุถุชนผูไมมีการสดับดังที่กลาวมานี้ อะไรเปนความผิดแผกแตกตางกัน อะไรเปน ความมุงหมายที่แตกตางกัน อะไรเปนเหตุที่แตกตางกัน ระหวางอริยสาวกผูมีการสดับ จากปุถุชนผูไมมีการสดับ? ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข าพระองค มี พ ระผู มี พ ระภาคเป น มู ล มี พ ระผู มี พ ระภาคเป น ผู นํ า มี พ ระผู มี พ ระภาคเป น ที่ พึ ง. ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! เป นการชอบแล วหนอ ขอให อรรถแห งภาษิ ตนั้ น จงแจ มแจ งกะพระผู มี พระภาคเองเถิ ด ภิกษุทั้งหลายไดฟงจากพระผูมีพระภาคแลว จักทรงจําไว" ดังนี้.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ปุ ถุ ชนผู ไม มี การสดั บแล ว อั นทุ กขเวทนาถู กต องอยู ย อ มเศราโศก ย อมกระวนกระวาย ย อ มร่ําไรรํ าพั น เป น ผู ทุ บอกร่ําไห ถึ งความมี ส ติ ฟนเฟอน เขายอมเสวยซึ่งเวทนาทั้ง เวทนาทั้ง ๒ ฝาย คือ เวทนาทั้งทางกายและทางจิต. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนบุ รุษพึ งยิ งบุ รุษด วยลู กศร แล วพึ งยิ งซ้ํ า ซึ่งบุ รุษนั้ นด วยลู กศรที่ สองอี ก บุ รุษผู ถู กยิ งด วยลู กศรสองลู กอย างนี้ ย อมเสวยเวทนาทาง กายด ว ย ทางจิ ต ด ว ย,แม ฉั น ใด; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ปุ ถุ ช นผู ไ ม มี ก ารสดั บ แล ว ก็เปนฉันนั้น คือ เมื่อทุกขเวทนาถูกตองอยู,ยอมเศราโศก ยอมกระวนกระวาย ยอมร่ําไรรําพัน เปนผูทุกอกร่ําไห ถึงความมีสติฟนเฟอนอยู; ชื่อวาเขายอมเสวย ซึ่ งเวทนาทั้ งสองอย าง คื อทั้ งทางกายและทางจิ ต. เขาเป นผู มี ปฏิ ฆะเพราะทุ กขเวทนา นั้ น นั่ น เอง. ปฏิ ฆ านุ สั ย อั น ใด อั น เกิ ด จากทุ ก ขเวทนา, ปฏิ ฆ านุ สั ย อั น นั้ น ก็ ย อ ม นอนตามซึ่ งบุ คคลนั้ นผู มี ป ฏิ ฆ ะด วยทุ กขเวทนา. บุ คคลนั้ นอั นทุ กขเวทนาถู กต อ งอยู ยอมจะพอใจซึ่งกามสุข. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ขอนั้นเพราะ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๕๒๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
เหตุวา ปุถุชนผูไมมีการสดับแลว ยอมไมรูชัดอุบายเครื่องปลดเปลื้องซึ่งทุกขเวทนา เว นแต กามสุ ขเท านั้ น (ที่ เขาคิ ดว าจะระงับทุ กขเวทนาได ). เมื่ อปุ ถุ ชนนั้ นพอใจยิ่ งอยู ซึ่งความสุข, ราคานุสัยอันใด อันเกิดจากสุขเวทนา, ราคานุสัยอันนั้นยอมนอนตาม ซึ่ งปุ ถุ ชนนั้ น. ปุ ถุ ชนนั้ น ย อมไม รูชั ดซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งเวทนา ซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได ซึ่งรสอรอย ซึ่งโทษอั นต่ํ าทราม และซึ่งอุ บายเป นเครื่องออกไปพ น แห งเวทนาทั้ งหลาย เหล า นั้ น ตามที่ เป น จริ ง . เมื่ อ ปุ ถุ ช นนั้ น ไม รู ชั ด อยู ซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น ซึ่ ง ความตั้ ง อยู ไม ได ซึ่ งรสอรอย ซึ่ งโทษอั นต่ํ าทราม และ ซี่ งอุ บายเป นเครื่ องออกไปพ น แห งเวทนา ทั้ งหลายเหล านั้ น ตามที่ เป นจริง ดั งนี้ แล ว, อวิชชานุ สั ยอั นใด อันเกิดจากอทุ กขมสุ ข เวทนา, อวิชชานุ สั ยอันนั้ น ยอมนอนตามซึ่งปุ ถุ ชนนั้ น. ปุ ถุ ชนนั้ น ถ าเสวยสุขเวทนา ย อ มเป น ผู ติ ด พั น (ในเวทนา)เสวยเวทนานั้ น ;ถ า เสวยทุ ก ขเวทนา ก็ เป น ผู ติ ด พั น เสวยเวทนานั้น; ถาเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ยังเปนผูติดพันเสวยเวทนานั้น. ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ปุ ถุชนผู ไม มี การสดั บนี้ เรากลาววา เป นผูติ ดพั นแล ว ดวยชาติ ชรามรณะโสกะปริเทวะทุ กขะโทมนัสอุปายาสทั้ งหลาย; เรากลาววา เป นผู ติดพันแลวดวยทุกข ดังนี้
www.buddhadasa.info (ปฏิปกขนัย)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ส วนอริ ยสาวกผู มี การสดั บแล ว อั นทุ กขเวทนาถู ก ตองอยู ยอมไมเศราโศก ยอมไมกระวนกระวาย ยอมไมร่ําไรรําพัน ไมเปนผูทุบอกร่ําไห ไมถึงความมีสติฟนเฟอน; ยอมเสวยเวทนาเพียงอยางเดียว คือเวทนาทางกาย, หามีเวทนาทางจิตไม.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนบุ รุษพึ งยิ งบุ รุษด วยลู กศรแล ว ไม พึ ง ยิงซ้ําซึ่งบุรุษนั้นดวยลูกศรที่สอง เมื่อเปนอยางนี้ บุรุษนั้นยอมเสวยเวทนาจากลูกศรเพียง
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๒๙
ลู ก เดี ย ว, แม ฉั น ใด; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! อริ ย สาวกผู มี ก ารสดั บ แล ว ก็ ฉั น นั้ น คือเมื่อทุกขเวทนาถูกตองอยู,ยอมไมเศราโศกไมกระวนกระวาย ไมร่ําไรรําพัน ไมเปนผูทุบอกร่ําไห ไมถึงซึ่งความมีสติฟนเฟอน; อริยสาวกนั้น ชื่อวายอมเสวย เวทนาเพี ยงอย างเดี ยว คื อเวทนาทางกาย หามี เวทนาทางจิ ตไม อริยสาวกนั้ น หาเป น ผูมีปฏิฆะ เพราะทุกขเวทนานั้นไม. ปฏิฆานุสัย อันใด อันเกิดจากทุกขเวทนา, ปฏิฆานุสัย อันนั้น. ก็ยอมไม นอนตามซึ่งอริยสาวกนั้นผูไมมี ปฏิฆะเพราะทุกขเวทนา.อริยสาวกนั้ น อั นทุ กขเวทนาถู กต องอยู ก็ ไม พ อใจซึ่ งกามสุ ข.ข อนั้ นเพราะเหตุ ไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้งหลาย! ขอนั้นเพราะเหตุ วา อริยสาวกผู มี การสดั บแลว ยอมรูชั ดอุ บายเครื่องปลด เปลื้ องซึ่ งทุ กขเวทนา ซึ่ งเป นอุบายอื่ นนอกจากกามสุ ข.เมื่ ออริยสาวกนั้ นมิ ได พอใจ ซึ่งกามสุขอยู, ราคานุสัยอันใด อันเกิดจากสุขเวทนา, ราคานุสัยอันนั้นก็ไมนอนตาม ซึ่งอริยสาวกนั้ น. อริยสาวกนั้ น ย อมรูชั ดซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งเวทนา ซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได ซึ่ งรสอรอยซึ่ งโทษอั นต่ํ าทราม และซึ่ งอุ บายเป นเครื่องออกไปพ น แห งเวทนา ทั้ งหลายเหล านั้ น ตามที่ เป นจริง.เมื่ ออริยสาวกนั้ น รูชั ดอยู ซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ น ซึ่ งความ ตั้ งอยู ไม ได ซึ่ งรสอรอย ซึ่ งโทษอั นต่ํ าทราม และซี่ งอุ บายเครื่องออกไปพ น แห งเวทนา ทั้งหลายเหลานั้น ตามที่ เป นจริง ดั งนี้ แลว, อวิชชานุ สั ยอันใดอันเกิดจากอทุ กขมสุขเวทนา, อวิชชานุสัยอันนั้น ก็ยอมไมนอนตามซึ่งอริยสาวกนั้น.อริยสาวกนั้น ถาเสวย สุ ข เวทนาย อ มไม เป น ผู ติ ด พั น (ในเวทนา)เสวยเวทนานั้ น ; ถ าเสวยทุ ก ขเวทนา ก็ ไม เปนผูติดพันเสวยเวทนานั้น;ถาเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ไมเปนผูติดพันเสวยเวทนานั้น.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! อริยสาวกผูมีการสดับนี้ เรากลาววา เปนผูไมติดพั นแลว ดวยชาติชรามรณะโสกะปริเทวะทุ กขะโทมนัสอุปายาสทั้ งหลาย; เรากลาววา เป นผู ไม ติดพันแลวดวยทุกข ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๕๓๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ แล เป นความผิ ดแผกแตกต างกั น เป นความมุ งหมาย ที่ แตกต างกั น เป น เหตุ ที่ แตกต างกั น ระหว างอริยสาวกผู มี การสดั บ จากปุ ถุ ชนผู ไม มี การสดับ ดังนี้. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : เวทนา ๓ ชนิ ด ของปุ ถุ ช นผู ไ ม มี ก ารสดั บ ย อ ม ก อ ให เกิ ด อนุ สั ย ๓ ชนิ ด ซึ่ งเป นอาการของการเกิ ดปฏิ จจสมุ ป บาทโดยสมบู รณ คื อ เกิ ดทุ กข ในที่ สุ ด . ส ว นเวทนาของอริ ย สาวกผู มี ก ารสดั บ ย อ มไม ก อ ให เกิ ด อนุ สั ย นั้ น คื อ การไม เกิ ด ขึ้ น แห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท คื อ ไม เกิ ด ทุ ก ข ใ นที่ สุ ด .เวทนาชนิ ด ที่ ก อ ให เกิ ด อนุ สั ย หรื อ ปฏิ จ จสมุ ปบาทนั้ น ย อมหมายความว า เป น เวทนาที่ ตั้ งต นหรื อเกี่ ยวข องอยู กั บอวิ ชชา ตามนั ยแห ง กระแสของปฏิ จ จสมุ ป บาทโดยสมบู ร ณ ; ดั ง นั้ น การกล า วถึ ง เวทนาเพี ย งอย า งเดี ย ว เช น ในกรณี นี้ ก็ พ อแล ว ย อ มหมายความถึ ง เหตุ ป จ จั ย ทั้ ง หลายของเวทนา ซึ่ ง ย อ นขึ้ น ไปถึ ง อวิชชา อันเขามาเกี่ยวของในกรณีที่มีการกระทบทางอายตนะ มีตากับรูป เปนตน.
อริยสาวกรูความเกิดและความดับ ของโลกอยางไมมีที่สงสัย ๑ ดูกอนภิ กษุทั้ งหลาย! อริยสาวกผูไดสดับแลว ยอมไม มี ความสงสัยอยางนี้ ว า "เพราะอะไรมี อ ะไรจึ ง มี ห นอ; เพราะอะไรเกิ ด ขึ้ น อะไรจึ ง เกิ ด ขึ้ น : เพราะ อะไรมี นามรู ป จึ ง มี ; เพราะอะไรมี สฬายตนะจึ ง มี ; เพราะอะไรมี ผั ส สะจึ ง มี ; เพราะอะไรมี เวทนาจึ งมี ; เพราะอะไรมี ตั ณ หาจึ งมี ; เพราะอะไรมี อุ ป าทานจึ งมี ; เพราะอะไรมี ภพจึงมี; เพราะอะไรมี ชาติจึงมี; เพราะอะไรมี ชรามรณะจึงมี" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๙ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๙๒/๑๗๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๓๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! โดยที่ แท อริยสาวกผู ได สดั บแล ว ย อม มี ญาณหยั่ งรู ในเรื่องนี้ โดยไมตองเชื่อผูอื่น วา "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี; เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ จึ ง เกิ ด ขึ้ น : เพราะวิ ญ ญาณมี นามรู ป จึ ง มี ; เพราะนามรู ป มี สฬายตนะจึ ง มี ; เพราะสฬายตนะมี ผั ส สะจึ งมี ; เพราะผั ส สะมี เวทนาจึ งมี ; เพราะเวทนามี ตั ณ หา จึ ง มี ; เพราะตั ณ หามี อุ ป าทานจึ ง มี ; เพราะอุ ป าทานมี ภพจึ ง มี ; เพราะภพมี ชาติ จึ งมี ; เพราะชาติ มี ชรามรณะจึ งมี " ดั งนี้ .อริ ย สาวกนั้ น ย อ มรู ป ระจั ก ษ อ ย า งนี้ วา "โลกนี้ ยอมเกิดขึ้น ดวยอาการอยางนี้" ดังนี้. ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! อริยสาวกผูไดสดับแลว ยอมไม มี ความสงสัยอยางนี้ ว า "เพราะอะไรไม มี อะไรจึ ง ไม มี ห นอ; เพราะอะไรดั บ อะไรจึ ง ดั บ : เพราะอะไร ไม มี นามรู ป จึ ง ไม มี ; เพราะอะไรไม มี ส ฬายตนะจึ ง ไม มี ; เพราะอะไรไม มี ผั ส สะ จึ ง ไม มี ; เพราะอะไรไม มี เวทนาจึ ง ไม มี ; เพราะอะไรไม มี ตั ณ หาจึ ง ไม มี ; เพราะ อะไรไม มี อุ ป าทานจึ ง ไม มี ; เพราะอะไรไม มี ภพจึ ง ไม มี ; เพราะอะไรไม มี ชาติ จึงไมมี; เพราะอะไรไมมี ชรามรณะจึงไมมี" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! โดยที่ แท อริยสาวกผู ได สดั บแล ว ย อมมี ญาณหยั่ งรู ในเรื่ อ งนี้ โ ดยไม ต อ งเชื่ อ ผู อื่ น ว า "เพราะสิ่ ง นี้ ไม มี สิ่ ง นี้ จึ ง ไม มี ; เพราะสิ่ ง นี้ ดั บ สิ่ ง นี้ จึ ง ดั บ : เพราะวิ ญ ญาณไม มี นามรู ป จึ ง ไม มี ; เพราะนามรู ป ไม มี สฬายตนะ จึ ง ไม มี ; เพราะสฬายตนะไม มี ผั ส สะจึ ง ไม มี ; เพราะผั ส สะไม มี เวทนาจึ ง ไม มี ; เพราะเวทนาไม มี ตั ณ หาจึ ง ไม มี ; เพราะตั ณ หาไม มี อุ ป าทานจึ ง ไม มี ; เพราะ อุ ป าทานไม มี ภพจึ ง ไม มี ; เพราะภพไม มี ชาติ จึ ง ไม มี ; เพราะชาติ ไ ม มี ชรา มรณะจึงไม มี " ดั งนี้ . อริยสาวกนั้ น ย อมรูประจักษ อยางนี้ วา "โลกนี้ ย อมดั บ ด วย อาการอยางนี้" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๕๓๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวก ยอมมารูประจักษถึงเหตุเกิดและความ ดับแหงโลก ตามที่เปนจริงอยางนี้ ในกาลใด; ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนี้ ว า "ผู ส มบู รณ แ ล วด วยทิ ฏ ฐิ " ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ส มบู รณ แ ล ว ด ว ยทั ส สนะ" ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ม าถึ ง พระสั ท ธรรมนี้ แ ล ว " ดั ง นี้ บ า ง; ว า "ได เห็ น พระสั ท ธรรมนี้ " ดั ง นี้ บ า ง; ว า "ผู ป ระกอบแล วด วยญาณอั น เป น เสขะ" ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ป ระกอบแล วด วยวิ ช ชา อั นเป นเสขะ" ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ถึ งซึ่ งกระแสแห งธรรมะแล ว"ดั งนี้ บ าง ; ว า "ผู ประเสริฐมี ปญ ญาเครื่อ งชํ า แรกกิเลส"ดัง นี ้บ า ง; วา "ยืน อยู จ ดประตูแ หง อมตะ" ดัง นี ้บ า ง, ดังนี้ แล.
พระโสดาบัน คือผูเห็นชัดปฏิจจสมุปบาท โดยวิธีแหงอริยสัจสี่๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะมี อวิ ชชาเป นป จจั ย จึ งมี สั งขารทั้ งหลาย; เพราะ มี สั งขารเป นป จจั ย จึ งมี วิ ญ ญาณ; เพราะมี วิ ญ ญาณเป นป จจั ย จึ งมี นามรู ป; เพราะ มี นามรูปเป นป จจั ย จึ งมี สฬายตนะ; เพราะมี สฬายตนะเป นป จจั ย จึ งมี ผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะมี ตั ณ หา เป น ป จ จั ย จึ ง มี อุ ป าทาน; เพราะมี อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ ง มี ภ พ; เพราะมี ภ พเป น ป จ จั ย จึ ง มี ช าติ ; เพราะมี ช าติ เป น ป จ จั ย , ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๗ ทสพลรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ.๑๖/๕๐/๘๘,ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๓๓
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ ช รามรณะ เป น อย า งไรเล า ? (๑) ความแก ความคร่ํ าคร า ความมี ฟ นหลุ ด ความมี ผมหงอก ความมี หนั งเหี่ ยว ความสิ้ นไปแห งอายุ ความแก รอบแห งอิ นทรี ย ทั้ งหลาย ในสั ตว นิ กายนั้ นๆ ของสั ตว ทั้ งหลายเหล านั้ นๆ : นี้ เรี ยกว า ชรา. การจุ ติ ความเคลื่ อน การแตกสลาย การหายไป การวายชี พ การตาย การทํ ากาละ การแตกแห งขั นธ ทั้ งหลาย การทอดทิ้ งร าง การขาดแห งอิ นทรี ย คื อชี วิ ต จากสั ต ว นิ ก ายนั้ น ๆ ของสั ต ว ทั้ ง หลายเหล า นั้ น ๆ : นี้ เรี ย กว า มรณะ. ชรานี้ ด ว ย มรณะนี้ ด วย ย อมมี อ ยู ดั งนี้ ; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรี ยกว า ชรามรณะ. (๒)ความ ก อขึ้ นพร อมแห งชรามรณะ ย อมมี เพราะความก อขึ้ นพร อมแห งชาติ ; (๓)ความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ ย อมมี เพราะความดั บ ไม เหลื อ แห งชาติ ; (๔)มรรคอั น ประกอบ ด วยองค แปดอั นประเสริ ฐนั่ นเอง เป นปฏิ ปทา ให ถึ งความดั บไม เหลื อแห งชรามรณะ, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริ ชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ชาติ เป นอย างไรเล า? การเกิ ด การกํ าเนิ ด การ ก าวลง(สู ครรภ ) การบั งเกิ ด การบั งเกิ ดโดยยิ่ ง ความปรากฏของขั น ธ ทั้ งหลาย การที่ สั ตว ได ซึ่ งอายตนะทั้ งหลาย ในสั ตว นิ กายนั้ นๆ ของสั ตว ทั้ งหลายเหล านั้ นๆ : ดู ก อน ภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรี ยกว า ชาติ . ความก อขึ้ นพร อมแห งชาติ ย อมมี เพราะความก อขึ้ น พร อ มทั้ ง ภพ; ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ชาติ ย อ มมี เพราะความดั บ ไม เหลื อ แห ง ภพ; มรรคอั นประกอบด วยองค แปดอั นประเสริ ฐนั้ นเอง เป นปฏิ ปทาให ถึ งความดั บไม เหลื อ แห งชาติ , ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริ ชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการ งานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ ภ พ เป น อย า งไรเล า ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ภพทั้งหลาย ๓ อยางเหลานี้ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ : ดูกอนภิกษุทั้งหลาย!
www.buddhadasa.info
๕๓๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
นี้ เรี ยกว าภพ. ความก อขึ้ นพร อมแห งภพ ย อมมี เพราะความก อขึ้ นพร อมแห งอุ ปาทาน; ความดั บ ไม เหลื อ แห งภพ ย อ มมี เพราะความดั บ ไม เหลื อ แห งอุ ป าทาน; มรรคอั น ประกอบด วยองค แปดอั นประเสริฐนั้ นเอง เป นปฏิ ปทาให ถึ งความดั บไม เหลื อแห งภพ, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็อุปาทาน เปนอยางไรเลา? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อุปาทานทั้งหลาย ๔ อยางเหลานี้ คือ กามุปาทาน ทิฏุปาทาน สีลัพพัตตุปาทาน อัตตวาทุ ป าทาน : ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! นี้ เรี ย กว า อุ ป าทาน. ความก อ ขึ้ น พร อ มแห ง อุ ปาทาน ย อมมี เพราะความก อขึ้ นพร อมแห งตั ณ หา; ความดั บไม เหลื อแห งอุ ปาทาน ย อมมี เพราะความดั บไม เหลื อแห งตั ณหา; มรรคอั นประกอบด วยองค แปดอั นประเสริ ฐ นั้นเองเปนปฏิ ปทาใหถึงความดับไมเหลือแหงอุปาทาน, ไดแกสิ่งเหลานี้คือ ความเห็นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิตชอบ ความพากเพี ยรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;
www.buddhadasa.info ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! ก็ตั ณหา เป นอยางไรเล า? ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! หมู แหงตัณหาทั้งหลาย ๖ หมูเหลานี้ คือ รูปตั ณหา สัททตัณหา คันธตั ณหา รสตัณหา โผฏฐั พ พตั ณ หา ธั ม มตั ณ หา : ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรี ยกว าตั ณ หา. ความก อ ขึ้นพรอมแห งตั ณ หา ย อมมี เพราะความก อขึ้ นพรอมแห งเวทนา; ความดั บไม เหลื อ แห งตั ณ หา ย อมมี เพราะความดั บ ไม เหลื อ แห งเวทนา; มรรคอั น ประกอบด วยองค แปดอันประเสริฐนั้ นเอง เปนปฏิ ปทาใหถึงความดับไมเหลือแหงตัณหา, ไดแกสิ่งเหลานี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๓๕
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็เวทนา เปนอยางไรเลา? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! หมู แห งเวทนาทั้ ง หลาย ๖ หมู เหล านี้ คื อ จั กขุ สั มผั สสชาเวทนา โสตสั มผั สสชาเวทนา ฆานสั มผัสสชาเวทนา ชิวหาสัม ผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผั สสชาเวทนา : ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรียกว าเวทนา. ความก อขึ้ นพรอมแห งเวทนา ย อมมี เพราะ ความก อ ขึ้ น พร อ มแห งผั ส สะ; ความดั บ ไม เหลื อ แห งเวทนา ย อ มมี เพราะความดั บ ไม เหลื อแห งผั สสะ; มรรคอั นประกอบด วยองค แปดอั นประเสริ ฐนั้ นเอง เป นปฏิ ปทา ให ถึงความดั บไม เหลื อแห งเวทนา, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพากเพี ยรชอบ ความระลึ ก ชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ผั สสะ เป นอย างไรเล า? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! หมูแหงผัสสะทั้งหลาย ๖ หมูเหลานี้ คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสั มผั ส มโนสั ม ผั ส : ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรี ยกว าผั สสะ.ความก อขึ้ นพร อ ม แห งผั ส สะ ย อ มมี เพราะความก อ ขึ้ น พรอ มแห ง สฬายตนะ; ความดั บ ไม เหลื อ แห ง ผั สสะ ย อมมี เพราะความดั บไม เหลื อแห งสฬายตนะ; มรรคอั นประกอบด วยองค แปด อันประเสริฐนั่ นเอง เป นปฏิ ปทาให ถึงความดั บไม เหลือแห งผัสสะ, ไดแกสิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ ส ฬายตนะ เป น อย างไรเล า? จั กขวายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิ วหายตนะ กายายตนะ มนายตนะ : ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรีย กว าสฬายตนะ.ความก อ ขึ้ น พร อ มแห งสฬายตนะ ย อ มมี เพราะความก อ ขึ้ น พรอมแหงนามรูป; ความดับไมเหลือแหงสฬายตนะ ยอมมีเพราะความดับไมเหลือแหง
www.buddhadasa.info
๕๓๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
นามรูป; มรรคอั นประกอบด วยองค แปดอั นประเสริฐนั่ นเอง เป นปฏิ ปทาให ถึ งความ ดั บไม เหลื อแห งสฬายตนะ, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ด จาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพากเพี ยรชอบ ความระลึ กชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็นามรูปเปนอยางไรเลา? เวทนา สัญญา เจตนา ผั สสะ มนสิ การ : นี้ เรียกว า นาม. มหาภู ตทั้ งสี่ ด วย รูปที่ อาศั ยมหาภู ตทั้ งสี่ ด วย : นี้ เรี ย กว า รู ป . นามนี้ ด ว ย รู ป นี้ ด ว ย ย อ มมี อ ยู อ ย า งนี้ : ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! นี้ เรียกวานามรูป. ความก อขึ้ นพรอมแห งนามรูป ย อมมี เพราะความก อขึ้ นพรอมแห ง วิญญาณ; ความดั บไม เหลื อแห งนามรูป ย อมมี เพราะความดั บไม เหลื อแห งวิญญาณ; มรรคอั นประกอบด วยองค แปดอั นประเสริฐนั่ นเอง เป นปฏิ ปทาให ถึ งความดั บไม เหลื อ แห งนามรูป, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบการ ทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความ พากเพี ยรชอบ ความระลึ กชอบ ความตั้ งใจมั่ น ชอบ;
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็วิญญาณ เปนอยางไรเลา? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! หมูแหงวิญญาณทั้งหลาย ๖ หมูเหลานี้ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิ ญญาณ กายวิ ญญาณ มโนวิ ญญาณ : ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เรียกว าวิ ญญาณ. ความก อขึ้นพรอมแห งวิญญาณ ย อมมี เพราะความก อขึ้ นพรอมแห งสั งขาร; ความดั บ ไม เหลื อแห งวิ ญ ญาณ ย อมมี เพราะความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร; มรรคอั นประกอบ ด วยองค แปดอั นประเสริ ฐนั้ นเอง เป นปฏิ ปทาให ถึ งความดั บไม เหลื อแห งวิ ญ ญาณ, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความดํ าริชอบ การพู ดจาชอบการทํ าการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๓๗
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็สังขารทั้งหลาย เปนอยางไรเลา? ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! สังขารทั้ งหลาย ๓ อยางเหลานี้ คือ กายสั งขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร : ดูกอน ภิ กษุ ทั้ งหลาย! เหล านี้ เรียกว า สั งขารทั้ งหลาย. ความก อขึ้ นพร อมแห งสั งขาร ย อมมี เพราะความก อ ขึ้ น พร อ มแห ง อวิ ช ชา ;ความดั บ ไม เหลื อ แห ง สั ง ขาร ย อ มมี เพราะ ความดั บ ไม เหลื อ แห งอวิ ชชา ; มรรคอั น ประกอบด วยองค แ ปดอั น ประเสริ ฐนั่ น เอง เป นปฏิ ปทาให ถึ งความดั บไม เหลื อแห งสั งขาร, ได แก สิ่ งเหล านี้ คื อ ความเห็ นชอบ ความ ดํ าริชอบ การพู ดจาชอบ การทํ าการงานชอบ การเลี้ ยงชี วิ ตชอบ ความพากเพี ยรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลใดแล อริยสาวก ยอมมารูทั่วถึงซึ่งธรรม อันเปนปจจัย (ปจจัยธรรมดา)วาเปนอยางนี้ๆ; มารูทั่วถึงซึ่งเหตุแหงธรรมอันเปน ป จจั ย วาเป นอยางนี้ ๆ; มารูทั่ วถึ งซึ่งความดั บไม เหลื อแห งธรรมอั นเป นป จจั ย วาเป น อยางนี้ๆ; มารูทั่วถึงซึ่งขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับไมเหลือแหงธรรมอันเปน ปจจัย วาเปนอยางนี้ๆ, ดังนี้; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนั้น ว า "ผู ส มบู รณ แ ล วด วยทิ ฏ ฐิ " ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ส มบู รณ แ ล วด วยทั ส สนะ"ดั งนี้ บ าง; วา "ผู ม าถึง พระสัท ธรรมนี ้แ ลว " ดัง นี ้บ า ง; วา "ไดเห็น พระสัท ธรรมนี ้"ดัง นี ้บ า ง; ว า "ผู ประกอบแล วด วยญาณอั นเป นเสขะ" ดั งนี้ บ าง; ว า "ผู ประกอบแล วด วยวิ ชชา อัน เปน เสขะ" ดัง นี ้บ า ง; วา "ผู ถ ึง ซึ ่ง กระแสแหง ธรรมแลว " ดัง นี ้บ า ง; วา "ผูประเสริฐ มีป ญญาเครื่องชําแรกกิเลส" ดังนี้ บ าง; วา "ยื นอยู จดประตู แห งอมตะ" ดังนี้บาง, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๕๓๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
โสตาปตติยังคะ ขึ้นอยูกับการรูปฏิจจสมุปบาทของอริยสาวก๑ ดูกอนคหบดี! ภยเวร ๕ ประการ อันอริยสาวกทําใหสงบระงับไดแลว ในกาลใด; ในกาลนั้ น อริย สาวกนั้ น ย อ มเป น ผู ป ระกอบพรอ มแล ว ด วยองค แ ห ง โสดาบัน ๔ ประการ ดวย, และอริยญายธรรม ยอมเปนสิ่งที่อริยสาวกนั้นเห็นแลวดวยดี แทงตลอดแล ว ด ว ยดี ด ว ยป ญ ญาด ว ย; อริ ย สาวกนั้ น เมื่ อ หวั ง จะพยากรณ ก็ พึ ง พยากรณ ตนเองด วยตนเองได ว า "เราเป นผู มี นรกสิ้ นแล ว มี กํ าเนิ ดเดรั จฉานสิ้ นแล ว มี เปรตวิ สั ย สิ้ น แล ว มี อ บาย ทุ ค ติ วิ นิ บ าตสิ้ น แล ว ,เราเป น ผู ถึ ง แล ว ซึ่ ง กระแส(แห ง นิ พ พาน)มี ธรรมอั น ไม ตกต่ํ าเป นธรรมดา เป น ผู เที่ ยงแท ต อ นิ พ พาน มี การตรั สรู ธรรม เปนเบื้องหนา" ดังนี้. ดู ก อนคหบดี ! ภยเวร ๕ ประการ เหล าไหนเล า อั นอริ ยสาวกทํ าให สงบ รํางับไดแลว?
www.buddhadasa.info (๑)ดู ก อ นคหบดี ! บุ ค คลผู ฆ าสั ต ว อ ยู เป น ปรกติ ย อ มประสบภยเวรใด ในทิ ฏ ฐธรรมบ า ง, ย อ มประสบภยเวรใด ในสั ม ปรายิ ก บ าง, ย อ มเสวยทุ ก ขโทมนั ส แห งจิ ตบ าง, เพราะปาณาติ บาตเป นป จจั ย; ภยเวรนั้ นๆเป นสิ่ งที่ อริยสาวกผู เวนขาดแล ว จากปาณาติบาต ทําใหสงบรํางับไดแลว.
(๒)ดู ก อ นคหบดี ! บุ ค คลผู ถื อ เอาสิ่ ง ของที่ เขาไม ไ ด ใ ห อ ยู เป น ปรกติ ยอมประสบภยเวรใดในทิฏฐธรรมบาง, ยอมประสบภยเวรใด ในสัมปรายิกบาง, ยอม
๑
สูตรที่ ๑ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน. สํ ๑๖/๘๒/๑๕๑, ตรัสแกอนาถปณฑิกคหบดี ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๓๙
เสวยทุ กขโทมนั สแห งจิ ตบ าง, เพราะอทิ นนาทานเป นป จจั ย; ภยเวรนั้ นๆ เป นสิ่ งที่ อริยสาวกผูเวนขาดแลวจากอทินนาทาน ทําใหสงบรํางับไดแลว. (๓)ดูกอนคหบดี! บุคคลผูประพฤติผิดในกามทั้งหลายอยูเปนปรกติ ย อมประสบภยเวรใด ในทิ ฏฐธรรมบ าง, ย อมประสบภยเวรใด ในสั มปรายิ กบ าง, ย อม เสวยทุ กขโทมนั สแห งจิ ตบ าง, เพราะกาเมสุ มิ จฉาจารเป นป จจั ย; ภยเวรนั้ นๆ เป นสิ่ งที่ อริยสาวกผูเวนขาดแลวจากกาเมสุมิจฉาจาร ทําใหสงบรํางับไดแลว. (๔)ดูกอนคหบดี! บุคคลผูกลาวคําเท็จอยูเปนปรกติ ยอมประสบภยเวรใด ในทิ ฏฐธรรมบ าง, ย อมประสบภยเวรใด ในสั มปรายิ กบ าง,ย อมเสวยทุ กขโทมนั สแห ง จิตบ าง, เพราะมุ สาวาทเป นป จจั ย; ภยเวรนั้ นๆเป นสิ่ งที่ อริยสาวกผู เวนขาดแล วจาก มุสาวาท ทําใหสงบรํางับไดแลว. (๕)ดูกอนคหบดี! บุคคลผูดื่มสุราและเมรัยอันเปนที่ตั้งของความประมาท อยูเป นปรกติ ยอมประสบภยเวรใด ในทิฏฐธรรมบ าง, ยอมประสบภยเวรใด ในสัมปรายิกบ าง, ยอมเสวยทุกขโทมนั สแหงจิตบ าง, เพราะสุราเมรยปานะเปนป จจัย; ภยเวร นั้นๆ เปนสิ่งที่อริยสาวกผูเวนขาดแลวสุราเมรยปานะ ทําใหสงบรํางับไดแลว.
www.buddhadasa.info ดู ก อนคหบดี ! ภยเวร ๕ ประการเหล านี้ แล อั นอริ ยสาวกทํ าให สงบรํ างั บ
ไดแลว. ………… ดู ก อนคหบดี ! อริยสาวก เป นผู ประกอบพรอมแล ว ด วยองค แห งโสดาบั น ๔ ประการ เหลาไหนเลา?
www.buddhadasa.info
๕๔๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙ (๑)ดู ก อนคหบดี ! อริ ยสาวกในธรรมวิ นั ยนี้ เป นผู ประกอบพร อมแล ว ด วย
ความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไมหวั่นไหว ในพระพุทธเจา (พุทธอเวจจัปปสาท) ว า "เพราะเหตุ อย างนี้ ๆ พระผู มี พระภาคเจ านั้ น เป นผู ไกลจากกิ เลส ตรั สรู ชอบได โดย พระองค เอง เป น ผู ถึ ง พร อ มด ว ยวิ ช ชาและจรณะ เป น ผู ไ ปแล ว ด ว ยดี เป น ผู รู โ ลก อย างแจ มแจ ง เป นผู สามารถฝ กคนที่ ควรฝ กอย างไม มี ใครยิ่ งกว า เป นครูของเทวดาและ มนุ ษย ทั้ งหลาย เป นผู รู ผู ตื่ น ผู เบิ กบาน ด วยธรรม เป นผู มี ความจํ าเริญ จํ าแนกธรรม สั่งสอนสัตว"ดังนี้. (๒)ดู ก อนคหบดี ! อริ ยสาวกในธรรมวิ นั ยนี้ เป นผู ประกอบพร อมแล ว ด วย ความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไมหวั่นไหว ในพระธรรม (ธัมมอเวจจัปปสาท) วา "พระธรรม เป นสิ่ งที่ พระผู มี พระภาคเจ าตรัสไวดี แล ว เป นสิ่ งที่ ผู ศึ กษาและปฏิ บั ติ พึ งเห็ น ได ด วยตนเอง เป นสิ่ งที่ ปฏิ บั ติ ได และให ผลได ไม จํ ากั ดกาล เป นสิ่ งที่ ควรกล าวกะผู อื่ น วาทานจงมาดูเถิด เปนสิ่งที่ควรนอมเขามาใสตัว เปนสิ่งที่ผูรูก็รูไดเฉพาะตน" ดังนี้. (๓)ดู ก อนคหบดี ! อริ ยสาวกในธรรมวิ นั ยนี้ เป นผู ประกอบพร อมแล ว ด วย ความเลื่อ มใสอัน หยั่งลงมั่น ไมห วั่น ไหว ในพระสงฆ (สังฆอเวจจัปปสาท) วา "สงฆ สาวกของพระผู มี พระภาคเจา เป นผู ปฏิ บั ติ แล ว เป นผู ปฏิ บั ติ ตรงแล ว เป นผู ปฏิ บั ติ เพื่ อรูธรรมเป นเครื่องออกจากทุ กข เป นผู ปฏิ บั ติ สมควรแล ว ได แก บุ คคลเหล านี้ คื อ คู แห ง บุ รุษสี่ คู นั บเรียงตั วได แปดบุ รุษ นั่ นแหละคื อสงฆ สาวกของพระผู มี พระภาคเจ า เป นสงฆ ควรแก สั กการะที่ เขานํ ามาบู ชา เป นสงฆ ควรแก สั กการะที่ เขาจั ดไวต อนรับ เป นสงฆ ควร รับทั กษิ ณ าทาน เป นสงฆ ที่ บุ คคลทั่ วไปจะพึ งทํ าอั ญ ชลี เป นสงฆ ที่ เป นนาบุ ญ ของโลก ไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๔๑
(๔)ดู ก อนคหบดี ! อริยสาวกในธรรมวิ นั ยนี้ เป นผู ประกอบพรอมแล ว ด วย ศีลทั้งหลายในลักษณะเปนที่พอใจของพระอริยเจา (อริยกันตศีล): เปนศีลที่ไมขาด ไม ทะลุ ไม ด าง ไม พรอย เป นศี ลที่ เป นไทจากตั ณหา วิญู ชนสรรเสริญ ไม ถูกตั ณหา และทิฏฐิลูบคลํา เปนศีลที่เปนไปพรอมเพื่อสมาธิ ดังนี้. ดู ก อ นคหบดี ! อริ ย สาวก เป น ผู ป ระกอบพร อ มแล ว ด ว ยองค แ ห ง โสดาบัน ๔ ประการ เหลานี้แล. ... ... ... ดูกอนคหบดี! ก็ อริยญายธรรม เป นสิ่งที่อริยสาวกเห็นแลวดวยดี แทง ตลอดแลวดวยดีดวยปญญา เปนอยางไรเลา? ดูกอ นคหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินั ยนี้ ยอ มทํ าไวในใจโดยแยบคาย เปนอยางดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว ดังนี้วา "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี; เพราะ ความเกิด ขึ ้น แหง สิ ่ง นี ้ สิ ่ง นี ้จ ึง เกิด ขึ ้น . เพราะสิ ่ง นี ้ไ มม ี สิ ่ง นี ้จ ึง ไมม ี; เพราะ ความดั บ ไปแห งสิ่ งนี้ สิ่ งนี้ จึ งดั บ ไป : ข อ นี้ ได แ ก สิ่ ง เหล า นี้ คื อ เพราะมี อ วิ ช ชาเป น ป จ จั ย จึ ง มี สั ง ขารทั้ ง หลาย; เพราะมี สั ง ขารเป น ป จ จั ย จึ ง มี วิ ญ ญาณ; ...ฯลฯ... ฯลฯ...ฯลฯ...เพราะมี ชาติ เป น ป จจั ย,ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ป ายาส ทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info เพราะความจางคลายดั บไปไม เหลื อแห งอวิ ชชานั้ นนั่ นเที ยว, จึ งมี ความดั บ แห ง สั ง ขาร; เพราะมี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร จึ ง มี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญาณ; ...ฯลฯ... ฯลฯ...ฯลฯ...เพราะมี ค วามดั บ แห ง ชาติ นั่ น แล ชรามรณ ะ โสกะปริ เ ทวะทุ ก ขะ โทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลง แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการ อยางนี้".
www.buddhadasa.info
๕๔๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๙
ดู ก อนคหบดี ! อริยญายธรรมนี้ แล เป นสิ่ งที่ อริ ยสาวกเห็ นแล วด วยดี แทง ตลอดแลวดวยดีดวยปญญา. ดู ก อนคหบดี ! ภยเวร ๕ ประการเหล านี้ อั นอริ ยสาวกทํ าให สงบรํางั บได แล ว ในกาลใด; ในกาลนั้ น อริ ย สาวกนั้ น ย อ มเป น ผู ป ระกอบพร อ มแล ว ด ว ยองค แห งโสดาบั น ๔ ประการเหล านี้ ด วย,และอริ ยญาธรรมนี้ ย อมเป นสิ่ งที่ อริยสาวกนั้ น เห็ นแลวดวยดี แทงตลอดแลวด วยดี ดวยป ญญาด วย; อริยสาวกนั้ น เมื่ อหวังจะพยากรณ ก็พึ งพยากรณ ตนเองดวยตนเองได วา"เราเป นผูมี นรกสิ้นแลว มีกําเนิ ดเดรัจฉานสิ้ นแล ว มี เปรตวิ สั ยสิ้ นแล ว มี อ บาย ทุ คติ วิ นิ บ าตสิ้ น แล ว,เราเป น ผู ถึ งแล วซึ่ งกระแส (แห ง นิ พพาน)มี ธรรมอั นไม ตกต่ํ าเป นธรรมดา เป นผู เที่ ยงแท ต อนิ พพาน มี การตรั สรูธรรม เปนเบื้องหนา, ดังนี้ แล. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ยั งมี สู ต รอี ก สู ต รหนึ่ ง ข อ ความอย า งเดี ย วกั น กั บ สู ต รนี้ ผิ ด กั น แต เพี ย งตรัส แก ภิ ก ษุ ทั้ งหลาย แทนที่ จ ะตรั ส กั บ อนาถป ณ ฑิ ก คหบดี , คื อ สู ต ร ที ่ ๒ แ หง ค ห ป ติว รรค อ ภ ิส ม ย สัง ยุต ต นิท าน .สํ.๑๖/๘๕/๑๕๖; และยัง มีส ูต รอีก สูต รหนึ ่ง (เวรสูต รที ่ ๒ อุป าสกวรรค ทสก.อํ. ๒๔/๑๙๕/๙๒)มีเ คา โครงและใจความ ของสู ต รเหมื อ นกั น กั บ สู ต รข างบนนี้ ต างกั น แต เพี ย งในสู ต รนั้ น มี คํ า ว า "ย อ มพิ จ ารณาเห็ น โดยประจั ก ษ "แทนคํ า ว า "ย อ มกระทํ า ไว ใ นใจโดยแยบคายเป น อย า งดี ซึ่ ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท นั่นเทียว" แหงสูตรขางบนนี้ เทานั้น.
www.buddhadasa.info สามัญญผลในพุทธศาสนา เทียบกันไมได กับในลัทธิอื่น ๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนบุ รุษพึ งโยนกรวดหิ นมี ประมาณเท าเม็ ด ถั่วเขียวเจ็ดเม็ด เขาไปที่เทือกเขาหลวงชื่อสิเนรุ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย
๑
สูตรที่ ๑๑ อภิสมยวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ.๑๖/๑๖๘/๓๓๑,ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก
๕๔๓
จะพึ งสําคัญความขอนี้ วาอยางไร : กรวดหินมีประมาณเท าเม็ ดถั่วเขียวเจ็ดเม็ด ที่บุ รุษ โยนเข าไป (ที่ เทื อกเขาหลวงชื่ อสิ เนรุ)เป นสิ่ งที่ มากกวา หรือวาเทื อกเขาหลวงชื่ อสิ เนรุ มากกวา? "ขาแต พระองค ผู เจริญ! เทื อกเขาหลวงชื่ อสิ เนรุนั้ นแหละ เป นสิ่ งที่ มากกวา. กรวดหิ นมีประมาณเท าเม็ ดถั่วเขียวเจ็ดเม็ดที่ บุรุษโยนเขาไป (ที่เทือกเขาหลวงชื่อสิเนรุ) มี ประมาณน อย. กรวดหิ นนี้ เมื่ อนํ าเข าไปเที่ ยวกั บเทื อกเขาหลวงชื่ อสิ เนรุ ย อมไม เข า ถึงสวนหนึ่งในรอย สวนหนึ่งในพัน สวนหนึ่งในแสน". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อุ ปมานี้ ฉั นใด อุ ปไมยก็ ฉั นนั้ น : การบรรลุ คุ ณวิ เศษ แหงสมณพราหมณ และปริพพาชกผูเปนเดียรถียเหลาอื่น เมื่อนําเขาไปเทียบกับ การบรรลุ คุณวิเศษ ของอริยสาวกซึ่งเปนบุคคลผูถึงพรอมดวย(สัมมา)ทิฏฐิ ยอมไมเขาถึงสวน หนึ่ ง ในร อ ย ส ว นหนึ่ ง ในพั น ส ว นหนึ่ ง ในแสน.ดู ก อ น ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คลผู ถึ ง พรอมดวย(สัมมา) ทิฏฐิ (ทิฏ ฐิสมฺปนฺโน)เป นผูมีการบรรลุอันใหญ หลวงอยางนี้ (มหาธิคโม) เปนผูมีความรูยิ่งอันใหญหลวงอยางนี้ (มหาภิฺโญ),ดังนี้ แล.
หมวดที่เกา จบ www.buddhadasa.info ---------------
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
หมวด ๑๐ วาดวย ปฏิจจสมุปบาท นานาแบบ
www.buddhadasa.info ๕๔๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฎอิทัปปจจยตา : หัวในปฏิจจสมุปบาท. ………………………... อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมมี อิมสฺสุปฺ ปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป (ม.ม.๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน.สํ.๑๖/๘๔/๑๕๔,...)
www.buddhadasa.info ๕๔๗
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่องเฉพาะหมวด สําหรับปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๑๐ วาดวย ปฏิจจสมุปบาท นานาแบบ (มี ๓๗ เรื่อง) มี เรื่อง : ปฏิ จจสมุ ปบาทที่ ซอนอยู ในปฏิ จจสมุ ปบาท--ปฏิ จจสมุ ปบาทแบบที่ ตรัส โดยพระพุท ธเจา วิป ส สี—ปฏิจ จสมุป บาทแบบที ่ต รัส เหมือ นแบบของพระพุท ธเจา วิป ส สี --ปฏิจ จสมุป บาทแบบที ่ตั ้ง ตน ดว ยอารัม มณเจตน-ปกัป ปน-อนุส ยะ—ปฏิจ จสมุป บาท ที ่ต รัส อยา งยอ ที ่ส ุด --ปฏิจ จสมุป บาทที ่ต รัส อยา งสั ้น ที ่สุด —ปฏิจ จสมุป บาทแหง อาหารสี่ --ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห งอาหารสี่ เพื่ อ ภู ต สัต วแ ละสัม ภเวสีสั ต ว—ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห งอภั ท ทกาลกิริย า--ปฏิจ จสมุป บาทแหง ทุพ พลภาวะแหง มนุษ ย--ปฏิจ จสมุป บาทแหง มิค สัญ ญี สั ต ถั น ตรกั ป ป --ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห ง อารั ม มณลาภนานั ต ตะ--ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห ง การ ปฏิ บั ติ ผิ ด โดยไตรทวาร--ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห ง การปฏิ บั ติ ช อบโดยไตรทวาร—ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห งการรบราฆ า ฟ น กั น --ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห ง กลหวิ ว าทนิ โรธ—ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห ง การอยู อ ย า งมี "เพื่ อ นสอง"—ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห ง การอยู อ ย า ง "คนเดี ย ว"—ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห งการอยู ด วยความประมาท—ปฏิ จจสมุ ปบาทแห งปป ญ จสั ญ ญาสั งขาสมุ ทาจรณะ --ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห งปป ญ จสั ญ ญาอั น ทํ า ความเนิ่ น ชา แก ก ารละอนุ สั ย --ปฏิ จ จสมุ ป บาท แห ง การดั บ ปป ญ จสั ญ ญาสั ง ขา--ปฏิ จ จสมุ ป บาทที่ ยิ่ ง กว า ปฏิ จ จสมุ ป บาท—ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห ง อาหารของอวิ ช ชา--ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห ง อาหารของภวตั ณ หา--ปฏิ จ จสมุ ป บาท แหง อาหารของวิช ชาและวิม ุต ติ--ปฏิจ จสมุป บาทแหง วิช ชาและวิม ุต ติ—ปฏิจ จสมุป บาทแหง การปฏิส รณาการ--ปฏิจ จสมุป บาทแหง สัจ จานุโ พธและผลถัด ไป—ปฏิจ จสมุ ป บาทแห ง การอยู ด ว ยความประมาทของอริย สาวก--ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห ง การขาดที่ อิ ง อาศั ย สํ า หรั บ วิ มุ ต ติ ญ าณทั ส สนะ--ปฏิ จ จสมุ ป บาทเพื่ อ ความสมบู ร ณ แ ห ง อรหั ต ตผล-ปฏิจ จสมุป บาทแหง บรมสัจ จะ--ปฏิจ จสมุป บาท แหง สุว ิม ุต ตจิต --ปฏิจ จสมุป บาท แห ง การปริ นิ พ พานเฉพาะตน--ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห ง การดั บ อุ ป าทานสี่ --ปฏิ จ จสมุ ป บาท แหงความสิ้นสุดของโลก.
www.buddhadasa.info
๕๔๘
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
หมวดที่ ๑๐ วาดวย ปฏิจจสมุปบาท นานาแบบ ---------ปฏิจจสมุปบาท ที่ซอนอยูในปฏิจจสมุปบาท๑ (๑) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมทั้งหลายอันเปนกุศลเหลาใด ซึ่งเปนอริยะ เปนเครื่องนําออกจากทุกข เปนเครื่องยังสัตวใหลุถึงความตรัสรูพรอม ที่อยู; ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ถาหากวาบุคคลผูชอบถามทั้งหลาย จะพึงถามพวกเธออยางนี้วา "ประโยชนที่ มุงหมายแหงการฟงซึ่งธรรมอันเปนกุศลเหลานั้น มีอยูอยางไรเลา?" ดังนี้ไซร, คําที่ ควรตอบแกพวกเขา พึงมีอยางนี้วา "ประโยชนที่มุงหมายแหงการฟงธรรมเหลานั้น
www.buddhadasa.info
๑
ทวยตานุ ป ส สนาสู ต ร มหาวรรค สุ . ขุ . ๒๕/๔๗๓, ๔๗๔/๓๙๐, ๓๙๒ - ๔๐๑, ตรั สแก ภิ ก ษุ ทั้งหลายที่ปุพพราม ใกลเมืองสาวัตถี.
๕๔๙
www.buddhadasa.info
๕๕๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ยอมมีเพื่อความรูตามความเปนจริงซึ่งธรรมทั้งหลาย ตามที่กําหนดไวเปนสองฝาย". สองฝ ายอยางไรกันเล า? จงบอกเขาวา สองฝายคือ "นี้ คื อทุ กข, นี้ คื อทุ กขสมุ ทั ย". ดัง นี ้ นี ้เ ปน อนุป ส สนา (การตามเห็น )ฝา ยที ่ห นึ ่ง ; และ "นี ้ คือ ทุก ขนิโ รธ, นี้ คือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" ดังนี้ นี้เปนอนุปสสนาฝายที่สอง. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อภิ กษุ ตามเห็ นอยู ซึ่ งธรรมตามที่ กํ าหนดไว เป นสอง ฝ ายโดยชอบอย างนี้ เป นผู ไม ประมาท มี ความเพี ยรเครื่ องเผากิ เลส มี ตนส งไปแล วใน ธรรมอยู ; ผลที่ เธอพึ งหวั งได อย างใดอย างหนึ่ ง ในสองอย าง คื อการบรรลุ อรหั ตตผล ในทิฏฐธรรมนั่นเทียว, หรือวาถาอุปาทานยังเหลืออยู ก็ยอมเปนอนาคามี. ..... (๒) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ าหากว าบุ คคลผู ชอบถามทั้ งหลาย จะพึ งถาม ต อไปอี ก ดั งนี้ ว า "การตามเห็ นซึ่ งธรรมตามที่ กํ าหนดไว เป นสองฝ ายโดยชอบ โดยปริยาย แม อ ย า งอื่ น มี อ ยู ห รื อ ?" คํ า ที ค วรตอบพึ ง มี ว า "มี อ ยู ". มี อ ยู อ ย า งไรเล า ? มี อ ยู สองฝายคือ "ทุกขใดๆเกิดขึ้น ทุกขทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะมีอุปธิเปนปจจัย". ดังนี้ นี้ เปน อนุป สสนาฝายที่ห นึ่ง; และ "เพราะความดั บ โดยสํารอกไม เหลือ แห ง อุปธิทั้งหลายนั่นเทียว ความเกิดขึ้นแหงทุกขยอมไมมี". ดังนี้ นี้เปนอนุปสสนา ฝายที่สอง.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อภิ กษุ ตามเห็ นอยู ซึ่ งธรรมตามที่ กํ าหนดไว เป นสอง ฝ ายโดยชอบอย างนี้ เป นผู ไม ประมาท มี ความเพี ยรเครื่ องเผากิ เลส มี ตนส งไปแล วใน ธรรมอยู ; ผลที่ เธอพึ งหวั งได อย างใดอย างหนึ่ ง ในสองอย าง คื อการบรรลุ อรหั ตตผล ในทิฏฐธรรมนั่นเทียว, หรือวาถาอุปาทานยังเหลืออยู ก็ยอมเปนอนาคามี.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๕๑
(ครั้นตรัสขอความนี้แลว ไดตรัสคําที่เปนคาถา ตอไปนี้อีกวา:-)
" {ทุกขทั้ งหลาย ยอมมี ขึ้น มา เพราะมี อุป ธิเปน แดน เกิด ; { นั ่น คือ ทุก ขทั ้ง หลายที ่ม ีล ัก ษณะตา งกัน เปน เอนก ในโลกนี ้. { ผู ใ ด เปน ผู ไมรู และยอ มกระทํ า ซึ ่ง อุป ธิ; ผู นั ้น เปน คนเขลา ยอ มเขา ถึง ทุก ขอ ยู ร่ํา ไป; { เพ ร าะเห ตุ นั ้ น ผู รู อ ยู ไม พ ึ ง ก ระทํ า ซึ ่ ง อุ ป ธิ , เปนผูเห็นอยู ซึ่งแดนเกิด แหงความทุกข." (๓) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ าหากว าบุ คคลผู ชอบถามทั้ งหลาย จะพึ งถาม ต อไปนี้ ดั งนี้ ว า "การตามเห็ นซึ่ งธรรมตามที่ กํ าหนดไว เป นสองฝ ายโดยชอบ โดยปริยาย แม อ ย า งอื่ น มี อ ยู ห รื อ ?" คํ า ที่ ค วรตอบ พึ ง มี ว า "มี อ ยู ". มี อ ยู อ ย า งไรเล า ? มี อ ยู สองฝายคือ "ทุกขใดๆเกิดขึ้น ทุกขทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะมีอวิชชาเปนปจจัย". ดังนี้ นี้ เปน อนุป สสนาฝายที่ห นึ่ง; และ "เพราะความดั บ โดยสํารอกไม เหลือ แห ง อวิช ชานั่น เทีย ว ความเกิด ขึ้น แหงทุก ข ยอ มไมมี" . ดังนี้ นี้เปน อนุปส สนาฝาย ที่สอง.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อ ภิ ก ษุ ต ามเห็ น อยู ซึ่ งธรรมตามที่ กํ าหนดไว เป น สองฝายโดยชอบอยางนี้...ฯลฯ... ...ฯลฯ..๑ ก็ยอมเปนอนาคามี.
๑
คํ า ที ล ะไว ด ว ย...ฯลฯ... นี้ ห มายความว า มี เนื้ อ ความเต็ ม เหมื อ นกั บ เนื้ อ ความตอนท า ยแห ง ข อ (๒) ตั้งแตคําวา "เปนผูไมประมาท..." ไปจนถึงคําวา"...ก็ยอมเปนอนาคามี" -เชนนี้ทุกแหง.
www.buddhadasa.info
๕๕๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐ (ครั้นตรัสขอความนี้แลว ไดตรัสคําที่เปนคาถา ตอไปนี้อีกวา:-)
" {สัตวเหลาใด ไปสูสังสาระแหงชาติและมรณะร่ําไป; ประเดี๋ ย วอย า งนั้ น ประเดี๋ ย วอย า งอื่ น ; {อวิ ช ชานั่ น แ ห ล ะ เป น ค ติ (เค รื ่ อ งไป ) ข อ งสั ต ว เ ห ล า นั ้ น . {อวิชชานี้แลเปนความมืดอันใหญ หลวง คือทําใหสัตว ตอ งทอ งเที ่ย วไป ในวัฏ ฏสงสาร ตลอดกาลนาน. { สัตวเหลาใด เปนผูไปดวยวิชชา. สัตวเหลานั้น ยอมไมไปสูภพใหม." (๔) ดู ก อ น ภิ กษุ ทั้ ง ห ลาย! ถ า ห ากว า บุ คคล...ฯลฯ...ฯล ฯ...๑ มี อยู สองฝายคือ "ทุกขใดๆเกิดขึ้น ทุกขทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะมีสังขารเปนปจจัย" ดังนี้ นี้ เปน อนุป สสนาฝายที่ห นึ่ง; และ "เพราะความดั บ โดยสํารอกไม เหลือ แห ง สังขารทั้งหลายนั่นเทียว ความเกิดขึ้นแหงทุกข ยอมไมมี" ดังนี้ นี้เปนอนุปสสนา ฝายที่สอง.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อ ภิ กษุ ต ามเห็ น อยู ซึ่ งธรรมตามที่ กํ าหนดไว เป น สองฝายโดยชอบอยางนี้...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ก็ยอมเปนอนาคามี.
๑
คํ า ที่ ล ะไว ด ว ย...ฯลฯ...นี้ หมายความว า มี เนื้ อ ความเต็ ม เหมื อ นกั บ เนื้ อ ความตอนต น แห งข อ (๒),(๓) ตั้งแตคําวา "ถาหากวาบุคคล..." ไปจนถึงคําวา "...มีอยูอยางไรเลา?"-เชนนี้ทุกแหง.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๕๓
(ครั้นตรัสขอความนี้แลว ไดตรัสคําที่เปนคาถา ตอไปอีกวา:-)
" {ทุกขใด ๆ เกิดขึ้น ทุกขทั้งหมดนั้น มีเพราะสังขาร เป นป จจั ย; {เพราะความดั บแห งสั งขารทั้ งหลาย ความ เกิดขึ้นแหงความทุกข ยอมไมมี. { ครั้นรูโทษนั้นแหงสังขาร วา ทุก ขม ีเ พราะสัง ขารเปน ปจ จัย , และวา เพราะความ ดั บ แห ง สั ง ขารทั้ ง ปวง ความดั บ แห ง สั ญ ญาย อ มมี ; { ความสิ ้น ไปแหง ทุก ข ยอ มมีด ว ยอาการอยา งนี ้ เพราะ รูธ รรมนั้ น อย างถู ก ต อ งถ อ งแท . {เพราะรู ด ว ยป ญ ญา โดยชอบ, บัณฑิตผูถึงเวท เห็นสิ่งตาง ๆ อยู อยางถูกตอง, ครอบงําเครื่องผูกพันแหงมารแลว, ยอมไมไปสูภพใหม." (๕) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ถ า หากว า บุ ค คล...ฯลฯ...ฯลฯ... มี อ ยู ส อง ฝายคือ "ทุกขใดๆเกิดขึ้น ทุกขทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะมีวิญญาณเปนปจจัย" ดั งนี้ นี้ เป น อนุ ป ส สนาฝ ายที่ ห นึ่ ง; และ "เพราะความดั บ โดยสํ ารอกไม เหลื อ แห ง วิญญาณนั่นเทียว ความเกิดขึ้นแหงทุกขยอมไมมี" ดังนี้ นี้เปนอนุปสสนาฝายที่สอง.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อภิ กษุ ตามเห็ นอยู ซึ่ งธรรมตามที่ กํ าหนดไว เป นธรรม สองฝายโดยชอบอยางนี้ ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ก็ยอมเปนอนาคามี. (ครั้นตรัสขอความนี้แลว ไดตรัสคําที่เปนคาถา ตอไปอีกวา:-)
" {ทุกขใดๆเกิดขึ้น ทุกขทั้งหมดนั้น มีเพราะวิญญาณ เปนปจจัย, {เพราะความดับแหงวิญญาณ ความ
www.buddhadasa.info
๕๕๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
เกิ ด ขึ้ น แ ห งทุ ก ข ย อ ม ไม มี . {เพ ราะรู โ ท ษ นั่ น แ ห ง วิญญาณวา ทุกขมีเพราะวิญญาณเปนปจจัย, ภิกษุจึงหมด สิ ่ ง ป รารถน า ดั บ ส นิ ท ไม ม ี ส ว น เห ลื อ เพ ราะค วาม เขาไปสงบรํางับแหงวิญญาณ." (๖) ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ ง ห ลาย! ถ า ห ากว า บุ คคล ...ฯลฯ...ฯล ฯ... มี อยู สองฝายคือ "ทุกขใดๆเกิดขึ้น ทุกขทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะมีผัสสะเปนปจจัย" ดัง นี้ นี้เปนอนุปสสนาฝายที่หนึ่ง; และ "เพราะความดับโดยสํารอกไมเหลือแหงผัสสะ นั่นเทียว ความเกิดขึ้นแหงทุกข ยอมไมมี" ดังนี้ นี้เปนอนุปสสนาฝายที่สอง. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อภิ กษุ ตามเห็ นอยู ซึ่ งธรรมตามที่ กํ าหนดไว เป นสอง ฝายโดยชอบอยางนี้ ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ก็ยอมเปนอนาคามี. (ครั้นตรัสขอความนี้แลว ไดตรัสคําที่เปนคาถา ตอไปอีกวา:-)
www.buddhadasa.info " {สําหรับ สัต วผู มี ผั สสะบั งหน า, แล น ไปตามกระแส แห ง ภพอยู , เดิ น ไปผิ ด ทาง,นั้ น ความสิ้ น ไปแห ง สั ญ โยชน ข องเขายั ง อยู ไ กล ; ส ว น ชน เห ล า ใด รอบ รู แ ล ว ซึ่ ง ผั ส สะ ยิ น ดี แ ล ว ในธรรมเป น ที่ ส งบรํ า งั บ ด ว ย ป ญ ญา; {ชนเหล า นั้ น ย อ มเป น ผู ห มดสิ่ ง ปรารถนา ดับสนิทไมมีสวนเหลือเพราะรูพรอมเฉพาะซึ่งผัสสะ."
(๗) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ถ า หากว า บุ ค คล...ฯลฯ...ฯลฯ... มี อ ยู ส อง ฝายคือ "ทุกขใดๆเกิดขึ้น ทุกขทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะมีเวทนาเปนปจจัย" ดังนี้
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๕๕
นี้เปนอนุปสสนาฝายที่หนึ่ง; และ "เพราะความดับโดยสํารอกไมเหลือแหงเวทนา นั่นเทียว ความเกิดขึ้นแหงทุกข ยอมไมมี" ดังนี้ นี้เปนอนุปสสนาฝายที่สอง. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อภิ กษุ ตามเห็ นอยู ซึ่ งธรรมตามที่ กํ าหนดไว เป นสอง ฝายโดยชอบอยางนี้...ฯบฯ... ...ฯลฯ... ก็ยอมเปนอนาคามี. (ครั้นตรัสขอความนี้แลว ไดตรัสคําที่เปนคาถา ตอไปอีกวา:-)
" {เวทนาอัน เปน สุข ก็ต าม เปน ทุก ขก ็ต าม รวมทั ้ง อทุก ขมสุขเวทนา, เปน ภายในดวย เป นภายนอกดวย ชนิ ด ใดๆ, เป น เวทนามี อ ยู ; {ครั้ น รู ว า เวทนานั้ น ๆ เปน ทุก ข เปน สิ ่ง หลอดลวง เปน สิ ่ง แตกสลาย; สัม ผัส แลว ๆ เห็น อยู ว า เสื ่อ มไปๆ, ยอ มรู ช ัด ในเวทนา นั้ น ๆ ด ว ยอาการอย า งนี้ ; {เพราะความสิ้ น ไปแห ง (อุป าทานใน)เวทนาทั้ งหลาย นั่ น แหละ ความเกิ ดขึ้ น แหงทุกข ยอมไมมี."
www.buddhadasa.info (๘) ดู ก อ น ภิ กษุ ทั้ ง ห ลาย! ถ า หากว า บุ คคล ...ฯลฯ...ฯลฯ... มี อยู สองฝายคือ "ทุกขใดๆเกิดขึ้นทุกขทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะมีตัณหาเปนปจจัย" ดังนี้ นี้เปนอนุปสสนาฝายที่หนึ่ง; และ "เพราะความดับโดยสํารอกไมเหลือแหงตัณ หา นั่นเทียว ความเกิดขึ้นแหงทุกข ยอมไมมี" ดังนี้ นี้เปนอนุปสสนาฝายที่สอง.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อภิ กษุ ตามเห็ นอยู ซึ่ งธรรมตามที่ กํ าหนดไว เป นสอง ฝายโดยชอบอยางนี้ ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ก็ยอมเปนอนาคามี.
www.buddhadasa.info
๕๕๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐ (ครั้นตรัสขอความนี้แลว ไดตรัสคําที่เปนคาถา ตอไปอีกวา :-)
"{บุรุษ มี ตัณ หาเปนเพื่ อนสอง แลนไปอยูสูสังสารวัฏฏ อัน ยาวนาน, เดี ๋ย วเปน อยา งนั ้น เดี ๋ย วเปน อยา งนี ้, ยอ มไมล ว งพน สัง สารวัฏ ฏไ ปได. {ภิก ษุ ครั ้น รู โ ทษ นั่ น แห ง ตั ณ หา ว า ตั ณ หาเป น แดนเกิ ด แห ง ทุ ก ข , ย อ ม เปนผูปราศจากตัณหา ไมมีอุปทาน มีสติ ก็เวนขาดจาก ความทุกข." (๙) ดู ก อ น ภิ กษุ ทั้ ง ห ลาย! ถ า หากว า บุ คคล ...ฯลฯ...ฯลฯ... มี อยู สองฝายคือ "ทุกขใด ๆ เกิดขึ้น ทุกขทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะมีอุปาทานเปนปจจัย" ดังนี้ นี้ เปน อนุป สสนาฝายที่ห นึ่ง; และ "เพราะความดั บ โดยสํารอกไม เหลือ แห ง อุปาทานนั่นเทียว ความเกิดขึ้นแหงทุกข ยอมไมมี" ดังนี้ นี้เปนอนุปสสนาฝายที่สอง. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อ ภิ ก ษุ ต ามเห็ น อยู ซึ่ งธรรมตามที่ กํ าหนดไว เป น สองฝายโดยชอบอยางนี้ ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ก็ยอมเปนอนาคามี.
www.buddhadasa.info (ครั้นตรัสขอความนี้แลว ไดตรัสคําที่เปนคาถา ตอไปอีกวา :-)
"{เพราะอุป าทานเปน ปจ จัย จึง มีภ พ; ผู ม ีภ พแลว ยอ มถึง ซึ ่ง ทุก ข; {ความตาย ยอ มมีแ กผู ที ่เ กิด แลว นั ่น แ ห ล ะ คือ ค วาม มีพ รอ ม แ ห ง ทุก ข. {เห ตุนั ้น เพราะความสิ้น ไปแหงอุป าทาน บัณ ฑิต ทั ้งหลาย เปน ผูรูแลวดวยปญ ญาอันชอบ, รูเฉพาะซึ่งความสิ้นไปแห ง ชาติ ยอมไมไปสูภพใหม."
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๕๗
(๑๐) ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งห ล าย ! ถ า ห ากว า บุ ค ค ล ...ฯลฯ...ฯล ฯ... มี อ ยู สองฝายคือ "ทุกขใด ๆ เกิดขึ้น ทุกขทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะมีอารัมภะ๑เปนปจจัย" ดั ง นี้ นี้ เป น อนุ ป ส สนาฝ า ยที่ ห นึ่ ง ; และ "เพราะความดั บ โดยสํ า รอกไม เหลื อ แห ง อารัม ภะนั ่น เทีย ว ความเกิด ขึ ้น แหง ทุก ข ยอ มไมม ี" ดัง นี ้ นี ้เ ปน อนุป ส สนา ฝายที่สอง. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ ภิ ก ษุ ต ามเห็ น อยู ซึ่ ง ธรรมตามที่ กํ า หนดไว เปนสองฝายโดยชอบอยางนี้ ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ก็ยอมเปนอนาคามี. (ครั้งตรัสขอความนี้แลว ไดตรัสคําที่เปนคาถา ตอไปอีกวา :-)
"{ทุกขใด ๆ เกิดขึ้น, ทุกขทั้งหมดนั้น มีเพราะอารัมภะ เป น ป จ จั ย ; {เพราะความดั บ แห ง อารั ม ภะทั้ ง หลาย, ความเกิด ขึ ้น แหง ทุก ข ยอ มไมม ี. {ครั ้น รู โ ทษนั ้น แหง อารั ม ภะ ๒ ว า ทุ ก ข มี เ พราะอารั ม ภะเป น ป จ จั ย , ก็ ส ลั ด เสี ย ซึ่ ง อารั ม ภะทั้ ง ปวง, เป น ผู พ น พิ เศษแล ว เพราะอนารั ม ภะ. {เมื่ อ ภิ ก ษุ มี ภ วตั ณ หาอั น ตั ด ขาดแล ว มี จิ ต รํ า งับ แลว ชาติส ัง ส าระข อ งเธอ ก็สิ ้น ไป . ภ พ ให ม ยอมไมมี แกเธอนั้น."
www.buddhadasa.info
๑
อารัมภะ ในที่นี้ คือการหนวงจิตไปในภพตาง ๆ ดวยตัณหา มีภวตัณหาเปนตน. อารัมภะ คือ การปรารภดวยอํานาจของกิเลส, หรือหวังดวยกิเลส.
๒
www.buddhadasa.info
๕๕๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
(๑๑) ดูก อ น ภ ิก ษ ุทั ้ง ห ล า ย ! ถา ห า ก วา บุค ค ล ...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ... มีอยูสองฝายคือ "ทุกขใด ๆ เกิดขึ้น ทุกขทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นเพราะมีอาหารเปน ป จ จั ย " ดั งนี้ นี้ เป น อนุ ป ส สนาฝ า ยที่ ห นึ่ ง ; และ "เพราะความดั บ โดยสํ า รอกไม เหลือแหงอาหารนั่นเทียว ความเกิดขึ้นแหงทุกข ยอมไมมี" ดังนี้ นี้เปนอนุปสสนา ฝายที่สอง. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อ ภิ ก ษุ ต ามเห็ น อยู ซึ่ งธรรมตามที่ กํ าหนดไว เป น สองฝายโดยชอบอยางนี้ ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ก็ยอมเปนอนาคามี. (ครั้งตรัสขอความนี้แลว ไดตรัสคําที่เปนคาถา ตอไปอีกวา :-)
"{ทุกขใด ๆ เกิดขึ้น, ทุกขทั้งหมดนั้น มีเพราะอาหาร เป น ป จ จั ย ; {เพราะความดั บ แห ง อาหาร, การเกิ ด ขึ้ น แหง ทุก ข ยอ มไมม ี. ครั ้น รู โ ทษนั ้น แหง อาหาร วา ทุก ขม ี เพ ราะอาห ารเปน ปจ จัย , รอบรู ซึ ่ง อาห าร ทั ้ง ปวง ก็เ ปน ผู อ ัน ตัณ หาอาศัย ไมไ ดแ ลว ในอาหาร ทั ้ง ปวง. {เพราะรู โ ดยชอบซึ ่ง พระนิพ พาน อัน หา โรคมิไ ด, เพราะสิ ้น ไปแหง อาสวะทั ้ง หลาย, ชื ่อ วา ผู ตั ้ง อยู ใ นธรรม, รู ทั ่ว ถึง แลว จึง เสพ, เปน ผู จ บเวท, ยอมไมเขาถึง ซึ่งการถูกนับวาเปนอะไร๑."
www.buddhadasa.info
๑
คื อไม ควรแก การที่ จะเรี ยกว ามนุ ษย เทวดา มาร พรหม นาค คั นธั พพ อสู ร หรื ออะไรทั้ งสิ้ น ตามที่ เขา บัญญัติกันอยูในโลก.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๕๙
หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า ข อ ความเป น ตอน ๆ ที่ เนื่ องกั นอยู อย างนี้ ก็ แสดงว าลั กษณะแห งปฏิ จจสมุ ปบาท อย างที่ เห็ นได ว าเนื่ องกั น แต ถึ ง กระนั้ นก็ ดี เมื่ อพิ จารณาดู ในตอนหนึ่ ง ๆ ก็ ยั งมี ลั กษณะเป นปฏิ จจสมุ ปบาทเป นคู ๆ แฝงอยู ทุ กตอน; ดั งนั้ น จึ งเห็ น ว า ควรจะเรี ยกว าปฏิ จจสมุ ป บาทที่ ซ อนอยู ในปฏิ จจสมุ ป บาท หรื อ ซอนอยูในปฏิจจสมุปบาท ก็ยังได นับวาเปนวิธีกลาวเปนพิเศษวิธีหนึ่ง.
ปฏิจจสมุปบาทที่ตรัสโดยพระพุทธเจาวิปสสี (: สุดลงเพียงแควิญญาณ)๑ ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ครั้ ง นั้ น แล ความปริ วิ ต กแห ง ใจ ได เกิ ด ขึ้ น แก พระวิ ป ส สี โพธิ สั ต ว ผู เสด็ จเข าประทั บ อยู ในที่ ห ลี ก เรน ทรงหลี ก เรน อยู ; อย างนี้ ว า "สั ตวโลกนี้ หนอถึ งทั่ วแล วซึ่ งความยากเข็ญ ย อมเกิ ด ย อมแก ย อมตาย ย อมจุติ และ ยอมอุ บั ติ, ก็ เมื่ อสัตวโลกไม รูจักอุบายเครื่องออกไปพ นจากทุกขคื อชรามรณะแลว การ ออกจากทุกข คือชรามรณะนี้ จักปรากฏขึ้นไดอยางไร?". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ นแล ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก พระวิป สสี โพธิสั ตวนั้ นวา "เมื่ ออะไรมี อยู หนอ ชรามรณะจึ งได มี : เพราะมี อะไรเป นป จจั ย จึ งมี ชรามรณะ" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลําดั บนั้ นแล ความรูแจ งอยางยิ่งด วยป ญญา เพราะ การทําในใจโดยแยบคาย ไดเกิดขึ้นแกพระวิปสสีโพธิสัตวนั้นวา "เพราะชาตินั่นแล มีอยู; ชรามรณะ จึงไดมี : เพราะมีชาติเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ" ดังนี้.
๑
มหาปทานสูตร มหา.ที. ๑๐/๓๕/๓๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๕๖๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
...๑เพราะภพนั ่น แล มีอ ยู ; ชาติ จึง ไดม ี : เพราะมีภ พเปน ปจ จัย จึงมีชาติ". ดังนี้. ...เพราะอุปาทานนั่นแล มีอยู; ภพ จึงไดมี : เพราะมีอุปทานเปนปจจัย จึงมีภพ". ดังนี้. ...เพราะตั ณ หานั่ น แล มี อ ยู ; อุ ป าทาน จึ งได มี : เพราะมี ตั ณ หา เปนปจจัย จึงมีอุปาทาน". ดังนี้. ...เพราะเวทนานั่นแล มีอยู; ตัณหา จึงไดมี : เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา". ดังนี้. ...เพราะผัสสะนั่นแล มีอยู; เวทนา จึงไดมี : เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา". ดังนี้. ...เพราะสฬายตนะนั่นแล มีอยู; ผัสสะ จึงไดมี : เพราะมีสฬายตนะ เปนปจจัย จึงมีผัสสะ". ดังนี้. ...เพราะนามรูปนั่นแล มีอยู; สฬายตนะ จึงไดมี : เพราะมีนามรูป เปนปจจัย จึงมีสฬายตนะ". ดังนี้. ...เพราะวิญญาณนั่นแล มีอยู; นามรูป จึงไดมี : เพราะมีวิญญาณ เปนปจจัย จึงมีนามรูป". ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ นแล ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก พระวิ ป สสี โพธิ สั ตวนั้ นวา "เมื่ ออะไระมี อยู หนอ วิ ญญาณจึ งได มี : เพราะมี อะไรเป นป จจั ย จึ งมี วิญญาณ". ดังนี้.
๑
ข อ ความตามที่ ล ะ....ไว นั้ น หมายความว า ได มี ค วามฉงนเกิ ด ขึ้ น ทุ ก ๆ ตอน แล ว ทรงทํ า ในใจโดย แยบคาย จนความรูแจ งเกิ ดขึ้ นทุ ก ๆ ตอน เป นลํ าดั บไป จนถึ งที่ สุ ด. ในที่ นี้ ละไว โดยนั ยที่ ผู อ านอาจ จะเขาใจเอาเองได : เปนการตัดความรําคาญในการอาน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๖๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ นแล ความรู แจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะ การทํ าในใจโดยแยบคาย ได เกิ ดขึ้ นแก ภระวิป สสี โพธิสั ตวนั้ นวา "เพราะนามรูปนั่ นแล มีอยู; วิญญาณจึงไดมี : เพราะมีนามรูปเปนปจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ นแล ความรู แจ งนี้ ได มี แก พระวิ ป สสี โพธิ สั ตว นั ้น วา "วิญ ญาณนี ้ ยอ มเวีย นกลับ จากนามรูป ยอ มไมเลยไปอื ่น . ดว ยเหตุ เพียงเทานี้ สัตวโลกนี้พึงเกิดบาง พึงแกบาง พึงตายบาง พึงจุติบาง พึงอุบัติบาง. ข อนี้ ได แก การที่ เพราะนามรูปเป นป จจั ย จึ งมี วิ ญ ญาณ; เพราะมี วิ ญ ญาณเป นป จจั ย จึ งมี นามรู ป; เพราะมี นามรูปเป นป จจั ย จึ งมี สฬายตนะ; เพราะมี สฬายตนะเป นป จจั ย จึงมี ผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจัย จึงมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณหา; เพราะมี ตั ณหาเป นป จจั ย จึ งมี อุ ปาทาน; เพราะมี อุ ปาทานเป นป จจั ย จึ งมี ภพ; เพราะมี ภพ เป น ป จจั ย จึ งมี ชาติ ; เพราะมี ชาติ เป น ป จจั ย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขุ โทมนั ส อุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ดวยอาการอยางนี้".
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ดวงตาเกิ ดขึ้ นแล ว ญาณเกิ ดขึ้ นแล ว ป ญญาเกิ ดขึ้ น แล ว วิ ช ชาเกิ ด ขึ้ น แล ว แสงสว า งเกิ ด ขึ้ น แล ว แก พ ระวิ ป ส สี โ พธิ สั ต ว นั้ น ในธรรม ทั้ ง หลายที่ พ ระองค ไม เคยฟ ง มาแต ก อ นว า "ความเกิ ด ขึ้ น พร อ ม(สมุ ทั ย )! ความ เกิดขึ้นพรอม (สมุทัย)! ดังนี้. (ปฏิปกขนัย)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ นแล ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก พ ระวิ ป สสี โพธิ สั ตว นั้ นต อไปว า "เมื่ ออะไรไม มี หนอ ชรามรณะ จึ งไม มี : เพราะความดั บแห งอะไร จึงมีความดับแหงชรามรณะ". ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๕๖๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ครั้นนั้นแล ความรูแจง อยางยิ่งดวยปญญา เพราะการ ทําในใจโดยแยบคาย ไดเกิดขึ้นแกพระวิปสสีโพธิสัตวนั้นวา "เพราะชาตินั่นแล ไมมี; ชรามรณะจึงไมมี : เพราะความดับแหงชาติ จึงมีความดับแหงชรามรณะ" ดังนี้. ...๑เพราะภพนั่น แล ไมม ี; ชาติ จึงไมม ี : เพราะความดับ แหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ." ดังนี้. ...เพราะอุป าทานนั่ น แล ไม มี ; ภพ จึงไม มี : เพราะความดับแห ง อุปทาน จึงมีความดับแหงภพ". ดังนี้. ...เพราะตั ณ หานั่ น แล ไม มี ; อุ ป าทาน จึ งไม มี : เพราะความดั บ แหงตัณหา จึงมีความดับแหงอุปาทาน". ดังนี้. ...เพราะเวทนานั่นแล ไมมี; ตัณ หา จึงไมมี : เพราะความดับแหง เวทนา จึงมีความดับแหงตัณหา". ดังนี้.
www.buddhadasa.info ...เพราะผั สสะนั่ น แล ไม มี ; เวทนา จึงไมมี : เพราะความดับแหง ผัสสะ จึงมีความดับแหงเวทนา". ดังนี้.
...เพราะสฬายตนะนั่นแล ไมมี; ผัสสะ จึงไมมี : เพราะความดับแหง สฬายตนะ จึงมีความดับแหงผัสสะ". ดังนี้.
๑
ข อ ความตามที่ ล ะ....ไว นั้ น หมายความว า ได มี ค วามฉงนเกิ ด ขึ้ น ทุ ก ๆ ตอน แล ว ทรงทํ าในใจโดย แยบคาย จนความรูแจ งเกิ ดขึ้ นทุ ก ๆ ตอน เป นลํ าดั บไป จนถึ งที่ สุ ด. ในที่ นี้ ละไว โดยนั ยที่ ผู อ านอาจ จะเขาใจเอาเองได : เปนการตัดความรําคาญในการอาน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๖๓
...เพราะนามรูปนั่นแล ไมมี; สฬายตนะ จึงไมมี : เพราะความดับ แหงนามรูป จึงมีความดับแหงสฬายตนะ". ดังนี้. ...เพราะวิญ ญาณนั่ น แล ไมมี ; นามรูป จึงไม มี : เพราะความดับ แหงวิญญาณ จึงมีความดับแหงนามรูป". ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ นแล ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก พระวิ ป สสี โพธิสั ตวนั้ นวา "เมื่ ออะไระไม มี หนอ วิญญาณจึงไม มี : เพราะความดั บแห งอะไร จึงมี ความดับแหงวิญญาณ". ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ลํ าดั บนั้ นแล ความรูแจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะ การทําในใจโดยแยบคาย ไดเกิดขึ้นแกพระวิปสสีโพธิสัตวนั้นวา "เพราะนามรูปนั่นแล ไม มี ; วิ ญญาณจึ งไม มี : เพราะความดั บแห งนามรูป จึ งมี ความดั บแห งวิญญาณ." ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ลําดับนั้นแล ความรูแจงนี้ ไดเกิดขึ้นแกพระวิปสสีโพธิสัตวนั้นวา "หนทางเพื่อการตรัสรูนี้ อันเราถึงทับแลวแล; ไดแกสิ่งเหลานี้คือ เพราะความดั บแห งนามรูป จึงมี ความดั บแห งวิญญาณ; เพราะมี ความดั บแห งวิญญาณ จึงมี ความดั บแห งนามรูป; เพราะมี ความดั บแห งนามรูป จึ งมี ความดั บแห งสฬายตนะ; เพราะมี ความดั บแห งสฬายตนะ จึ งมี ความดั บแห งผั สสะ; เพราะมี ความดั บแห งผั สสะ; จึงมี ความดับแห งเวทนา; เพราะมี ความดับแห งเวทนา จึงมี ความดับแหงตัณหา; เพราะ มี ความดั บแห งตั ณหา จึ งมี ความดั บแห งอุ ปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึ ง มีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ; เพราะมีความ
www.buddhadasa.info
๕๖๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลายจึ งดั บสิ้ น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้". ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ดวงตาเกิดขึ้นแลว ญาณเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้น แล ว วิ ช ชาเกิ ด ขึ้ น แล ว แสงสว า งเกิ ด ขึ้ น แล ว แก พ ระวิ ป ส สี โพธิ สั ต ว นั้ น ในธรรม ทั้งหลายที่พระองคไมเคยฟงมาแตกอน วา "ความดับไมเหลือ(นิโรธ)! ความดับไม เหลือ (นิโรธ)!". ดังนี้.
ปฏิจจสมุปบาทแบบที่ตรัสเหมือนแบบของพระพุทธเจาวิปสสี ( : สุดลงเพียงแควิญญาณ )๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ครั้งก อนแต การตรัสรู เมื่ อเรายั งไม ได ตรัสรู ยั งเป น โพธิ สั ต ว อ ยู , ความปริ วิ ต กนี้ ได เกิ ด ขึ้ น แก เราวา "สั ต ว โลกนี้ ห นอ ถึ งแล ว ซึ่ งความ ยากเข็ญ ยอมเกิด ยอมแก ยอมตายยอมจุติ และยอมอุบัติ, ก็เมื่อสัตวโลกไมรูจักอุบาย เครื่อ งออกไปพ น จากทุ ก ข คื อ ชรามรณะแล ว การออกจากทุ ก ข คื อ ชรามรณะนี้ จักปรากฎขึ้นไดอยางไร?".
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความฉงนนี้ เกิ ดขึ้ นแก เราว า "เมื่ ออะไรมี อยู หนอ ชรามรณะ จึงไดมี :เพรามีอะไรเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ" ดังนี้.
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ความรู แ จ ง อย า งยิ่ ง ด ว ยป ญ ญา เพราะการทํ า ในใจโดยแยบคาย ไดเกิดขึ้นแกเราวา "เพราะชาตินั่นแล มีอยู ชรามรณะ จึงไดมี : เพราะมีชาติเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ" ดังนี้.
๑
สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๖๕
...เพราะภพนั่นแล มีอยู ชาติ จึงไดมี : เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมี ชาติ" ดังนี้. ...เพราะอุปาทานนั่นแล มีอยู ภพ จึงไดมี : เพราะมีอุปทานเปนปจจัย จึงมีภพ" ดังนี้. ...เพราะตัณหานั่นแล มีอยู อุปาทาน จึงไดมี : เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน" ดังนี้. ...เพราะเวทนานั่นแล มีอยู ตัณหา จึงไดมี : เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา" ดังนี้. ...เพราะผัสสะนั่นแล มีอยู เวทนา จึงไดมี : เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ...เพราะสฬายตนะนั่นแล มีอยู ผัสสะ จึงไดมี : เพราะมีสฬายตนะ เปนปจจัย จึงมีผัสสะ" ดังนี้.
...เพราะนามรูปนั่นแล มีอยู สฬายตนะ จึงไดมี : เพราะมีนามรูป เปนปจจัย จึงมีสฬายตนะ" ดังนี้. ...เพราะวิญญาณนั่นแล มีอยู นามรูป จึงไดมี : เพราะมีวิญญาณ เปนปจจัย จึงมีนามรูป" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๕๖๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดู ก อนภิ กษุ ภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก เราว า "เมื่ ออะไรมี อยู หนอ วิญญาณจึงไดมี : เพราะมีอะไรเปนปจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความรู แจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะการทํ าในใจโดย แยบคาย ไดเกิดขึ้นแกเราวา "เพราะนามรูปนั่นแล มีอยู วิญญาณ จึงไดมี : เพราะ มีนามรูปเปนปจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความรู แจ งนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก เราว า "วิ ญ ญาณนี้ ย อม เวียนกลับจากนามรูป ยอมไมเลยไปอื่น. ดวยเหตุเพียงเทานี้ สัตวโลกนี้ พึงเกิด บาง พึงแกบาง พึงตายบาง พึงจุติบ าง พึงอุบัติบาง. ขอ นี้ไดแกการที่ เพราะ มี นามรู ปเป นป จจั ย จึ งมี วิ ญ ญาณ; เพราะมี วิ ญ ญาณเป นป จจั ย จึ งมี นามรู ป; เพราะ มี น ามรู ป เป น ป จ จั ย จึ ง มี ส ฬายาตนะ; เพราะมี ส ฬายตนะเป น ป จ จั ย จึ ง มี ผั ส สะ; เพราะมี ผั สสะเป น ป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะ มี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง มี อุ ป าทาน; เพราะมี อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ ง มี ภ พ; เพราะมี ภพเป น ป จ จั ย จึ ง มี ช าติ ; เพราะมี ช าติ เป น ป จ จั ย , ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะ โทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้".
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ดวงตาเกิ ดขึ้ นแล ว ญาณเกิ ดขึ้ นแล ว ป ญญาเกิ ดขึ้ น แล ว วิ ชชาเกิ ด ขึ้ น แล ว แสงสว างเกิ ด ขึ้ น แล ว แก เรา ในธรรมทั้ งหลายที่ เราไม เคยฟ ง มาแตกอน วา "ความเกิดขึ้นพรอม(สมุทัย)! ความเกิดขึ้นพรอม (สมุทัย)!" ดังนี้. (ตอนี้ไปเปนปฏิปกขนัย)
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๖๗
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก เราต อไปว า "เมื่ ออะไรไม มี หนอ ชรามรณะจึงไมมี : เพราะความดับแหงอะไร จึงมีความดับแหงชรามรณะ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความรูแจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะการทํ าในใจโดย แยบคาย ไดเกิดขึ้นแกเราวา "เพราะชาตินั่นแล ไมมี ชรามรณะ จึงไมมี : เพราะ ความดับแหงชาติ จึงมีความดับแหงชรามรณะ" ดังนี้. ...เพราะภพนั่นแล ไมมี ชาติ จึงไมมี : เพราะความดับแหงภพ จึงมี ความดับแหงชาติ" ดังนี้. ...เพราะอุ ป าทานนั่ น แล ไม มี ภพ จึ งไม มี : เพราะความดั บ แห ง อุปทาน จึงมีความดับแหงภพ" ดังนี้. ...เพราะตัณหานั่นแล ไมมี อุปาทาน จึงไมมี : เพราะความดับแหง ตัณหา จึงมีความดับแหงอุปาทาน" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ...เพราะเวทนานั่ นแล ไมมี ตัณ หา จึงไม มี : เพราะความดับแหง เวทนา จึงมีความดับแหงตัณหา" ดังนี้.
...เพราะผัสสะนั่นแล ไมมี เวทนา จึงไมมี : เพราะความดับแหงผัสสะ จึงมีความดับแหงเวทนา" ดังนี้. ...เพราะสฬายตนะนั่ นแล ไม มี ผั สสะ จึ งไม มี : เพราะความดั บแห ง สฬายตนะ จึงมีความดับแหงผัสสะ" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๕๖๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
...เพราะนามรูปนั่นแล ไมมี สฬายตนะ จึงไมมี : เพราะความดับ แหงนามรูป จึงมีความดับแหงสฬายตนะ" ดังนี้. ...เพราะวิญญาณนั่นแล ไมมี นามรูป จึงไมมี : เพราะความดับแหง วิญญาณ จึงมีความดับแหงนามรูป" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความฉงนนี้ ได เกิ ดขึ้ นแก เราว า "เมื่ ออะไรไม มี หนอ วิญญาณ จึงไมมี :เพราะความดับแหงวิญญาณ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความรูแจ งอย างยิ่ งด วยป ญญา เพราะการทํ าในใจโดย แยบคายไดเกิดขึ้นแกเราวา "เพราะชาตินั่นแล ไมมี ชรามรณะ จึงไมมี : เพราะ ความดับแหงนามรูป จึงมีความดับแหงวิญญาณ" ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ความรูแจงนี้ไดเกิดขึ้นแกเราวา "หนทางเพื่อการ ตรัสรูนี้อันเราไดถึงทับแลวแล; ไดแกสิ่งเหลานี้คือ เพราะความดับแหงนามรูป จึงมี ความดั บแห งวิญญาณ; เพราะมี ความดับแห งวิญญาณ จึงมี ความดั บแห งนามรูป; เพราะ มี ความดั บแห งนามรูป จึ งมี ความดั บแห งสฬายตนะ; เพราะมี ความดั บแห งสฬายตนะ จึงมี ความดับแหงผัสสะ; เพราะมีความดั บแห งผัสสะ จึงมีความดั บแห งเวทนา; เพราะมี ความดั บแห งเวทนา จึงมี ความดั บแห งตั ณหา; เพราะมี ความดั บแห งตั ณหา จึงมี ความ ดั บ แห งอุ ป าทาน; เพราะมี ค วามดั บ แห งอุ ป าทาน จึ งมี ค วามดั บ แห งภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขุโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดั บสิ้ น : ความดับลงแห งกองทุ กขทั้ งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้".
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๖๙
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ดวงตาเกิดขึ้นแลว ญาณเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้นแลว วิ ชชาเกิ ดขึ้ นแล ว แสงสว างเกิ ดขึ้ นแล ว แก เรา ในธรรมทั้ งหลายที่ เราไม เคยฟ งมาแต ก อน วา "ความดับไมเหลือ (นิโรธ)! ความดับไมเหลือ (นิโรธ)!" ดังนี้.
ปฏิจจสมุปบาทแบบที่ตั้งตน ดวย อารัมมณเจตน - ปกัปปน - อนุสยะ๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ าบุ คคลย อมคิ ด(เจเตติ ) ถึ งสิ่ งใดอยู , ย อมดํ าริ (ปกปฺ เปติ ) ถึงสิ่ งใดอยู , และย อมมี จิ ตป กลงไป(อนุ เสติ )ในสิ่ งใดอยู ; สิ่ งนั้ น ย อมเป น อารมณ เพื่อการตั้งอยูแหงวิญญาณ. เมื่ออารมณ มีอยู, ความตั้งขึ้นเฉพาะแหงวิญญาณ ยอมมี; เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแลว, การกาวลงแหงนามรูป ยอมมี; เพราะมีนามรูปเปนปจจัย จึงมีสฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะเปนปจจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา;
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๙ กฬารขัตติยวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ.๑๖/๗๙/๑๔๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๕๗๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเปนปจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ; เพราะมี ชาติ เป นป จจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุปายาส ทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพร อมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้. ---- ---- ---- ---ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถ าบุ คคลย อมไม คิ ดถึ งสิ่ งใด, ย อมไม ดํ าริ ถึ งสิ่ งใด, แต เขายั งมี ใจฝ งลงไป (คื อมี อนุ สั ย) ในสิ่ งใดอยู ; สิ่ งนั้ นย อมเป นอารมณ เพื่ อ การ ตั้งอยูแหงวิญญาณ. เมื่ออารมณมีอยู, ความตั้งขึ้นเฉพาะแหงวิญญาณ ยอมมี; เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแลว, การกาวลงแห ง นามรูป ยอมมี;
www.buddhadasa.info เพราะมีนามรูปเปนปจจัย จึงมีสฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะเปนปจจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเปนปจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ;
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๗๑
เพราะมีชาติเปนปจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส ทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการ อยางนี้. ---- ---- ---- ---ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ถาวา บุคคลยอมไมคิดถึงสิ่งใด ดวย, ยอมไมดําริ ถึงสิ่งใด ดวย, และทั้งยอม ไมมีใจฝงลงไป (คือไมมีอนุสัย) ในสิ่งใด ดวย, ในกาลใด; ในกาลนั้น สิ่งนั้น ยอมไมเปนอารมณ เพื่อการตั้งอยูแหงวิญญาณไดเลย. เมื่ออารมณไมมี, ความตั้งขึ้นเฉพาะแหงวิญญาณ ยอมไมมี; เมื่อวิญญาณนั้น ไมตั้งขึ้นเฉพาะ ไมเจริญงอกงามแลว, การกาวลง แหงนามรูป ยอมไมมี; เพราะมีความดับแหงนามรูป จึงมีความดับแหงสฬายตนะ; เพราะมีความดับแหงสฬายตนะ จึงมีความดับแหงผัสสะ; เพราะมีความดับแหงผัสสะ จึงมีความดับแหงเวทนา; เพราะมีความดับแหงเวทนา จึงมีความดับแหงตัณหา; เพราะมีความดับแหงตัณหา จึงมีความดับแหงอุปาทาน; เพราะมีความดับแหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๕๗๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ปฏิจจสมุปบาท (สมุทยวาร) ที่ตรัสอยางยอที่สุด๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ก็ความตั้งขึ้นพรอม (สมุทโย) แหงกองทุกข เปน อยางไรเลา? (ความตั้งขึ้นพรอมแหงทุกข เปนอยางนี้ คือ :-) เพราะอาศั ยซึ่งจักษุ ด วย, ซึ่งรูปทั้ งหลายด วย, จึงเกิ ดจักขุ วิญญาณ; การ ประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (จักษุ + รูป + จักขุวิญญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; เพราะ มี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เ วทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา : นี้ คื อ ความตั้งขึ้นพรอมแหงกองทุกข. เพราะอาศั ยซึ่ งโสตะด วย, ซึ่ งเสี ยงทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดโสตวิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (โสตะ + เสี ยง + โสตวิ ญญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา : นี้ คือ ความตั้งขึ้นพรอมแหงกองทุกข.
www.buddhadasa.info เพราะอาศั ยซึ่ งฆานะด วย, ซึ่ งกลิ่ นทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดฆานวิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (ฆานะ + กลิ่ น + ฆานวิญญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจัย จึงมี ตั ณ หา : นี้ คื อ ความตั้งขึ้นพรอมแหงกองทุกข.
๑
สูตรที่ ๓ โยคักเขมิวรรค สฬายตนสังยุตต สฬา.สํ.๑๘/๑๐๖/๑๕๔, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๗๓
เพราะอาศั ยซึ่ งชิ วหาด วย, ซึ่ งรสทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดชิ วหาวิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (ชิ วหา + รส + ชิ วหาวิ ญญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตั ณหา : นี้ คือ ความตั้งขึ้นพรอมแหงกองทุกข. เพราะอาศั ยซึ่ งกายด วย, ซึ่ งโผฏฐั พพะทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ด กายวิ ญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ ( กาย + โผฏฐั พพะ + กายวิ ญญาณ) นั่ นคื อผั สสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา ; นี้คือ ความตั้งขึ้นพรอมแหงกองทุกข. เพราะอาศัยซึ่งมโนดวย, ซึ่งธัมมมารมณ ทั้งหลายดวย, จึงเกิดมโนวิญญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ (มโน + ธั มมารมณ + มโนวิ ญญาณ) นั่ นคื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เ วทนา; เพราะมี เวทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตัณหา ; นี้ คือความตั้งขึ้นพรอมแหงกองทุกข. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เหลานี้แล คือความตั้งขึ้นพรอมแหงทุกข.
ปฏิจจสมุปบาท (ทั้งสมุทยะและนิโรธวาร) www.buddhadasa.info ที่ตรัสอยางสั้นที่สุด ๑
ดู ก อ นปุ ณ ณะ! รู ป ทั้ ง หลายที่ เห็ น ด ว ยตา อั น เป น รู ป ที่ น า ปรารถนา นารักใคร นาพอใจ เปนที่ยั่วยวนชวนใหรัก เปนที่เขาไปตั้งอาศัยอยูแหงความใคร
๑
ปุณ โณ วาทสูต ร อุป ริ.ม. ๑๔/๔๘๑/๗๕๕-๖, สฬา.สํ. ๑๘/๗๕/๑๑๒-๓, ตรัส แกพ ระปุณ ณ ะ; มิคชาลสูตร สฬา.สํ. ๑๘/๔๕/๖๘-๙, ตรัสแกพระมิคชาละ.
www.buddhadasa.info
๕๗๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความกํ า หนั ด ย อ มใจ มี อ ยู ; ถ าภิ ก ษุ ย อ มเพลิ ด เพลิ น พร่ําสรรเสริญ สยบมั วเมาในรูป นั้ น ไซร, เมื่ อภิ ก ษุ นั้ น เพลิ ด เพลิ น พร่ํ าสรรเสริ ญ สยบมั วเมาในรู ป นั ้น อยู , นัน ทิ(ความเพลิน )ยอ มเกิด ขึ ้น . ดูก อ นปุณ ณะ! เรากลา ววา "ความ เกิดขึ้นแหงทุกขมีได เพราะความเกิดขึ้นแหงนันทิ" ดังนี้. ดูกอนปุณณะ! เสียง ทั้งหลายที่ไดยินดวยหู ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ดูกอนปุณณะ! กลิ่น ทั้งหลายที่ดมดวยจมูก ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ดูกอนปุณณะ! รส ทั้งหลายที่ลิ้มดวยลิ้น ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ดูกอนปุณณะ! โผฏรัพพะ ทั้งหลายที่ถูกตองดวยกาย ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ดู ก อนปุ ณณะ! ธั มมารมณ ทั้ งหลายที่ รูแจ งด วยใจ อั นเป นธัมมารมณ ที่ น า ปรารถนา น ารั กใคร น าพอใจ เป นที่ ยั่ วยวนชวนให รั ก เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยอยู แห งความ ใคร เป นที่ ตั้ งแห งความกํ าหนั ดย อมใจ มี อยู ; เมื่ อภิ กษุ นั้ นเพลิ ดเพลิ น พร่ํ าสรรเสริ ญ สยบมั วเมาในธั มมารมณ นั้ น ไซร , เมื่ อภิ กษุ นั้ นเพลิ ดเพลิ น พร่ํ าสรรเสริญ สยบมั วเมา ในธัมมารมณ นั้ นอยู, นั นทิ (ความเพลิ น) ย อมเกิ ดขึ้ น. ดู กอนปุ ณ ณะ! เรากลาววา "ความเกิดขึ้นแหงทุกขมีได เพราะความเกิดขึ้นแหงนันทิ" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ----
(ปฏิปกขนัย)
----
ดู ก อนปุ ณณะ! รูป ทั้ งหลายที่ เห็ นด วยตา อั นเป นรูปที่ น าปรารถนา น ารักใคร น าพอใจ เป นที่ ยั่ วยวนชวนให รั ก เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยอยู แห งความใคร เป นที่ ตั้ งแห ง ความกํ าหนั ด ย อ มใจ มี อ ยู ; ถ า ภิ ก ษุ นั้ น ไม เพลิ ด เพลิ น ไม พ ร่ํา สรรเสริญ ไม ส ยบ มั ว เมาในรู ป นั้ น ไซร , เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น ไม เพลิ ด เพลิ น ไม พ ร่ํ า สรรเสริ ญ ไม ส ยบมั ว เมา ในรู ป นั้ น อยู , นั น ทิ ย อ มดั บ ไป. ดู ก อ นปุ ณ ณะ! เรากล า วว า "ความดั บ ไปไม มี เหลือของทุกขมีได เพราะความดับไปไมเหลือของนันทิ" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๗๕
(ในกรณี แห งเสี ยงก็ ดี กลิ่ นก็ ดี รสก็ ดี โผฏฐั พพะก็ ดี และธัมมารมณ ก็ดี พระผู มี พระภาคเจ า ไดตรัสไว มีนัยะอยางเดียวกันกับในกรณีแหงรูป).
ปฏิจจสมุปบาทแหงอาหารสี๑่ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อาหารทั้ งหลาย ๔ อย างเหล านี้ มี อะไรเป นต นเหตุ (นิท าน), มีอ ะไรเปน เครื ่อ งกอ ขึ ้น (สมุท ย), มีอ ะไรเปน เครื ่อ งทํ า ใหเ กิด (ชาติก ), มีอะไรเปนแดนเกิด(ปภว)? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อาหารทั้งหลาย ๔ อยางเหลานี้ มีตัณหาเปน ตนเหตุ ...ฯลฯ... ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ตั ณหานี้ มี อะไรเป นต นเหตุ , มี อะไรเป นเครื่องกอขึ้น, มีอะไรเปนเครื่องทําใหเกิด, มีอะไรเปนแดนเกิด? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ตัณหา มีเวทนาเปนตนเหตุ ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ เวทนานี้ มี อะไรเป นต นเหตุ , มี อะไรเป นเครื่องก อขึ้ น, มีอะไรเปนเครื่องทําใหเกิด, มีอะไรเปนแดนเกิด? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เวทนา มีผัสสะเปนตนเหตุ ...ฯลฯ...
๑
มหาตัณหาสังขยสูตร มู.ม. ๑๒/๔๗๙/๔๔๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน ใกลเมืองสาวัตถี.
www.buddhadasa.info
๕๗๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ผั สสะนี้ มี อะไรเป นต นเหตุ , มี อะไรเป นเครื่องก อขึ้ น, มีอะไรเปนเครื่องทําใหเกิด, มีอะไรเปนแดนเกิด? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ผัสสะ มีสฬายตนะเปนตนเหตุ ...ฯลฯ... ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ สฬายตนะนี้ มี อะไรเป นต นเหตุ , มี อะไรเป นเครื่อง กอขึ้น, มีอะไรเปนเครื่องทําใหเกิด, มีอะไรเปนแดนเกิด? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สฬายตนะ มีนามรูปเปนตนเหตุ ...ฯลฯ... ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ นามรูปนี้ มี อะไรเป นต นเหตุ , มี อะไรเป นเครื่องกอขึ้น, มีอะไรเปนเครื่องทําใหเกิด, มีอะไรเปนแดนเกิด? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นามรูป มีวิญญาณเปนตนเหตุ ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ วิ ญญาณนี้ มี อะไรเป นต นเหตุ , มี อะไรเป นเครื่อง กอขึ้น, มีอะไรเปนเครื่องทําใหเกิด, มีอะไรเปนแดนเกิด? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! วิญญาณ มีสังขารเปนตนเหตุ ...ฯลฯ...
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ สั งขารทั้ งหลายเหล านี้ มี อะไรเป นต นเหตุ , มี อะไร เปนเครื่องกอขึ้น, มีอะไรเปนเครื่องทําใหเกิด, มีอะไรเปนแดนเกิด?
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๗๗
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สังขารทั้งหลายเหลานี้ มีอฺวิชชาเปนตนเหตุ, มีอวิชชาเปนเครื่องกอขึ้น, มีอวิชชาเปนเครื่องทําใหเกิด, มีอวิชชาเปนแดนเกิด?
ปฏิจจสมุปบาทแหงอาหารสี่ เพื่อภูตสัตว และ สัมภเวสีสัตว๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อาหาร ๔ อย างเหล านี้ ย อมเป นไปเพื่ อความดํ ารงอยู ของภู ตสัตวทั้ งหลาย, หรือวา เพื่ ออนุ เคราะห แกสั มภเวสี สั ตวทั้ งหลาย. อาหาร ๔ อย าง เปนอยางไรเลา? สี่อยางคือ (๑) กพฬี การาหาร ที่หยาบบาง ละเอียดบาง (๒) ผัสสะ (๓) มโนสั ญเจตนา (๔) วิญญาณ. ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! อาหาร ๔ อยาง เหลานี้แล ยอมเป นไปเพื่ อความดํ ารงอยู ของภู ตสั ตวทั้ งหลาย, หรือวา เพื่ ออนุ เคราะห แกสั มภเวสี สัตวทั้งหลาย. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ อ าหาร ๔ อย างเหล านี้ มี อ ะไรเป น เหตุ ให เกิ ด (นิ ทาน)? มี อะไรเป นเครื่องก อให เกิด(สมุ ทย)? มี อะไรเป นเครื่องกํ าเนิ ด(ชาติ ก)? มี อะไร เปนแดนเกิด(ปภว)? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อาหาร ๔ อยางเหลานี้ มีตัณ หาเป น เหตุใหเกิด มัตัณหาเปนเครื่องกอใหเกิด มีตัณหาเปนเครื่องกําเนิด มีตัณหาเปนแดนเกิด.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ตั ณหานี้ เล า มี อะไรเป นเหตุ ให เกิ ด เป นเครื่องก อ ใหเกิด เป นเครื่องกําเนิด เป นแดนเกิด? ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ตั ณหา มี เวทนาเป น เหตุใหเกิด เปนเครื่องกอใหเกิด เปนเครื่องกําเนิด เปนแดนเกิด.
๑
สูตรที่ ๑ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๔/๒๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๕๗๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ เวทนานี้ เล า มี อ ะไรเป น เหตุ ให เกิ ด เป น เครื่ อ ง กอให เกิด เป นเครื่องกํ าเนิ ด เป นแดนเกิด? ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เวทนา มี ผั สสะ เปนเหตุใหเกิด เปนเครื่องกอใหเกิด เปนเครื่องกําเนิด เปนแดนเกิด. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ผั สสะนี้ เล า มี อะไรเป นเหตุ ให เกิ ด เป นเครื่องก อ ให เกิ ด เป น เครื่ อ งกํ าเนิ ด เป น แดนเกิ ด ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ผั ส สะ มี ส ฬายต นะเปนเหตุใหเกิด เปนเครื่องกอใหเกิด เปนเครื่องกําเนิด เปนแดนเกิด. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ สฬายตนะนี้ เล า มี อะไรเป นเหตุ ให เกิ ด เป นเครื่อง กอ ใหเ กิด เปน เครื่อ งกํ า เนิด เปน แดนเกิด ? ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! สฬายตนะ มีนามรูปเปนเหตุใหเกิด เปนเครื่องกอใหเกิด เปนเครื่องกําเนิด เปนแดนเกิด. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ นามรู ป นี้ เล า มี อะไรเป นเหตุ ให เกิ ด เป นเครื่ อ ง กอใหเกิด เปนเครื่องกําเนิด เปนแดนเกิด? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นามรูป มีวิญญาณ เปนเหตุใหเกิด เปนเครื่องกอใหเกิด เปนเครื่องกําเนิด เปนแดนเกิด.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ วิ ญ ญาณนี้ เล า มี อะไรเป นเหตุ ให เกิ ด เป นเครื่อง ก อให เกิ ด เป นเครื่องกํ าเนิ ด เป นแดนเกิ ด? ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! วิญญาณ มี สั งขาร เปนเหตุใหเกิด เปนเครื่องกอใหเกิด เปนเครื่องกําเนิด เปนแดนเกิด. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ สั งขารนี้ เล า มี อ ะไรเป น เหตุ ให เกิ ด เป น เครื่ อ ง กอ ใหเ กิด เปน เครื ่อ งกํ า เนิด เปน แดนเกิด ? ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! สัง ขาร ทั้งหลายมีอวิชชาเปนเหตุใหเกิด เปนเครื่องกอใหเกิด เปนเครื่องกําเนิด เปนแดนเกิด.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๗๙
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยอาการอย างนี้ แล เพราะมี อวิชชาเป นป จจัย จึงมี สั ง ขารทั้ ง หลาย; เพราะมี สั ง ขารเป น ป จ จั ย จึ ง มี วิ ญ ญ าณ ; ....ฯลฯ....ฯลฯ.... ฯลฯ....; เพราะมี ช าติ เป น ป จ จั ย , ชรามรณะ โสกะปริเวทะทุ ก ขะโทมนั ส อุ ป ายาส ทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้. เพราะความจางคลายดั บไปโดยไม เหลื อแห งอวิ ชชานั้ นนั่ นเที ยว, จึ งมี ความ ดั บ แห ง สั ง ขาร; เพราะมี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร จึ ง มี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญาณ; .... ฯลฯ....ฯลฯ....ฯลฯ....; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขุ โทมนั ส อุ ป ายาสทั้ งหลาย จึ งดั บ สิ้ น : ความดั บ แห งกองทุ ก ข ทั้ งสิ้ น นี้ ย อ มมี ด วย อาการอยางนี้, ดังนี้ แล. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : เรื่ อ งอาหารอย า งเดี ย วกั น นี้ ได มี ก ล า วถึ ง ในสู ต ร ชื่ อ มหาตั ณ หาสั ง ขยสู ต ร มู .ม. ๑๒/๔๗๙/๔๔๖; ผิ ด กั น แต ว า ตอนท า ย มี เรื่ อ งอื่ น แทรก แลวจึงกลาวถึงนิโรธวาร.
www.buddhadasa.info ปฏิจจสมุปบาท แหง อภัททกาลกิริยา(ตายชั่ว)๑
ดูก อนคหบดี ! เมื่ อจิ ตไม ได รับการรักษา, กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็เปนอันไมไดรับการรักษา;
๑
ติก.อํ. ๒๐/๓๓๕/๕๔๙, ตรัสแกอนาถปณฑิก.
www.buddhadasa.info
๕๘๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
เมื่อกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมไมไดรับการรักษา, กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็มีสภาพเปยกแฉะ (กิเลสรั่วรด); เมื่อกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเปยกแฉะ, กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็มีสภาพบูดเนา; เมื่อกายกรรม วีจีกรรม มโนกรรมบูดเนา, ก็มีการตายที่ไมงดงาม มีกาลกิริยาที่ไมงดงาม. เปรียบเหมือนเมื่อเรือนหลังคาแหลม(กูฎาคาร)มุงไมดี ยอดหลังคา (อก ไก) ก็ เป นอันไม ได รับการรักษา กลอนหลั งคาก็ เป นอันไม ได รับการรักษา ฝาเรือนก็ เป น อันไมได รับการรักษา; (เมื่ อเป นดังนี้ ) อกไกก็เป ยกชื้น กลอนหลั งคาก็เป ยกชื้น ฝาเรือน ก็เปยกชื้น; อกไกก็ผุเปอย กลอนหลังคาก็ผุเปอย, ฉันใดก็ฉันนั้น. (ขอความต อไป ได ตรัสถึ งเรื่องจิ ตที่ ตรงกั นข าม ผู ศึ กษาพึ งทราบโดยปฏิ ป กขนั ยโดยตลอดสาย กลาวคือ มี กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ไดรับการรักษา, ไมเปยกแฉะ, ตายงดงาม.)
ปฏิจจสมุปบาท แหงทุพพลภาวะ ของมนุษย๑
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมั ยใด ราชา (ผู ปกครอง) ทั้ งหลาย ไม ตั้ งอยู ใน ธรรม, สมัยนั้น ราชยุตต (ขาราชการ) ทั้งหลาย ก็ไมตั้งอยูในธรรม;
๑
จตุกฺก.อํ ๒๑/๙๗/๗๐.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๘๑
เมื่อราชยุตตทั้งหลาย ไมตั้งอยูในธรรม, พราหมณและคหบดีทั้งหลาย ก็ไมตั้งอยูในธรรม; เมื่ อพราหมณ ละคหบดี ทั้ งหลาย ไม ตั้ งอยู ในธรรม, ชาวเมื องและชาวชนบททั้ งหลาย ก็ ไม ตั้งอยูในธรรม; เมื่ อ ชาวเมื อ งและชาวชนบททั้ งหลาย ไม ตั้ งอยู ในธรรม, ดวงจัน ทรแ ละดวงอาทิ ต ย ก็ มี ปริวรรตไมสม่ําเสมอ; เมื่ อ ดวงจั น ทร แ ละดวงอาทิ ต ย มี ป ริวรรตไม สม่ํ า เสมอ, ดาวนั กษั ตรและดาวทั้ งหลาย ก็ มี ปริวรรตไมสม่ําเสมอ; เมื่อดาวนักษัตรและดาวทั้งหลายมีปริวรรตไมสม่ําเสมอ, คืนและวัน ก็มีปริวรรตไมสม่ําเสมอ; เมื่อคืนและวันมีปริวรรตไมสม่ําเสมอ, เดือนและปกษ ก็มีปริวรรตไมสม่ําเสมอ; เมื่อเดือนและปกษมีปริวรรตไมสม่ําเสมอ, ฤดูและป ก็มีปริวรรตไมสม่ําเสมอ; เมื่อฤดูและปมีปริวรรตไมสม่ําเสมอ, ลม(ทุกชนิด) ก็พัดไปไมสม่ําเสมอ; เมื่อลม(ทุกชนิด)พัดไปไมสม่ําเสมอ, ปญชสา (ระบบแหงทิศทางลมอันถูกตอง)ก็แปรปรวน; เมื่อปญชสาแปรปรวน, เทวดาทั้งหลาย ก็ระส่ําระสาย; เมื่อเทวดาทั้งหลาย ระส่ําระสาย, ฝน ก็ตกลงมาอยางไมเหมาะสม; เมื่อฝนตกลงมาอยางไมเหมาะสม, พืชพรรณขาวทั้งหลาย ก็แกและสุกไมสม่ําเสมอ;
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อมนุ ษย ทั้ งหลาย บริโภคพื ชพรรณข าวทั้ งหลายอั น มีความแกและสุกไมสม่ําเสมอ ก็กลายเปนผูมีอายุสั้น ผิดพรรณทราม ทุพพลภาพ และมีโรคภัยไขเจ็บมาก.
www.buddhadasa.info (ข อ ความต อ ไปนี้ ได ต รั สถึ งภาวะการณ ที่ ต รงกั น ข าม ผู ศึ กษาพึ งทราบโดยปฏิ ป กขนั ย
โดยตลอดสาย.)
ปฏิจจสมุปบาท แหง มิคสัญญีสัตถันตรกัปป๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อพระราชา (ชนชั้ นปกครอง ในสมั ยที่ ท านกล าวว า มนุษยมีอายุขัย ๘ หมื่นป ซึ่งขอนี้เปนการคํานวณเทียบสวนแหงความตองการของกิเลสกับ
๑
จักกวัตติสูตร ปา.ที. ๑๑/๗๐-๘๐/๓๙-๔๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ในแวนแควนมคธ.
www.buddhadasa.info
๕๘๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ความเปนอยูของมนุษย) มีการกระทําชนิดที่เปนไปแตเพียงเพื่อการคุมครอง อารักขา, แตมิไดเปนไปเพื่อการกระทําใหเกิดทรัพย แกบุคคลผูไมมีทรัพยทั้งหลาย ดังนั้นแลว ความยากจนขัดสน ก็เปนไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด; เพราะความยากจนขันสนเปนไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด อทินนาทาน ก็เปนไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด; เพราะอทิ นนาทานเปนไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด การใชศัสตราวุธ โดยวิธีการตาง ๆ ก็เปนไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด; เพราะการใช ศัสตราวุธโดยวิธีการตาง ๆ เป นไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด ปาณาติบาต (ซึ่งหมายถึงการฆามนุษยดวยกัน) ก็เปนไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด; เพราะปาณาติ บาตเป นไปอย างกว างขวางแรงกล าถึ งที่ สุ ด มุ สวาท (การ หลอกลวงคดโกง) ก็เปนไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด;
www.buddhadasa.info (สมัยนี้ มนุษยมีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๔ หมื่นป)
เพราะมุ สาวาทเป นไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด ป สุ ณาวาท (การพู ดจา ยุแหย เพื่ อการแตกกันเป นกกเป นหมู ทําลายความสามั คคี) ก็ เป นไปอยางกวางขวางแรงกล า ถึงที่สุด; (สมัยนี้ มนุษยมีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒ หมื่นป)
เพราะป สุ ณาวาทเป นไปอย างกวางขวางแรงกล าถึ งที่ สุ ด กาเมสุ มิ จฉาจาร (การทําชู การละเมิดของรักของบุคคลอื่น) ก็เปนไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด; (สมัยนี้ มนุษยมีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๑ หมื่นป)
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๘๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๘๓
เพราะกาเมสุมิจฉาจารเปนไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด ผรุสวาท และ สัมผัปปลาปวาท (การใชคําหยาบ และคําพูดเพอเจอเพื่อความสําราญ) ก็เปนไปอยาง กวางขวางแรงกลาถึงที่สุด; (สมัยนี้ มนุษยมีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๕ พันป)
เพราะผรุสวาท และสัมผัปปลาปวาทเปนไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด อภิ ชฌาและพยาบาท (แผนกการกอบโกย และการทําลายลาง) ก็เปนไปอยางกวางขวางแรง กลาถึงที่สุด; (สมัยนี้ มนุษยมีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒,๕๐๐-๒,๐๐๐ ป)
เพราะอภิชฌาและพยาบาท เปนไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็ นผิ ดชนิ ดเห็ นกงจั กรเป นดอกบั ว นิ ยมความชั่ ว) ก็ เป นไปอย างกวางขวางแรง กลาถึงที่สุด; (สมัยนี้ มนุษยมีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๑,๐๐๐ ป)
www.buddhadasa.info เพราะมิจฉาทิฏฐิเปนไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด(อกุศล)ธรรมทั้งสาม คือ อธัมมราคะ (ความยินดีที่ไมเปนธรรม) วิสมโลภะ (ความโลภไมสิ้นสุด) มิจฉาธรรม (การประพฤติตามอํานาจกิเลส)ก็เป นไปอยางกวางขวางแรงกลาถึ งที่สุ ด(อยางไม แยกกัน); (สมัยนี้ มนุษยมีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๕๐๐ ป)
เพราะ(อกุศล)ธรรม ทั้งสาม...นั้นเปนไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด (อกุศล) ธรรมทั้งหลายคือ ไมปฏิบัติอยางถูกตองในมารดา, -บิดา, -สมณะ,
www.buddhadasa.info
๕๘๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
-พราหมณ, และ ไมมีกุลเชฏธาปจายนธรรม (ความออนนอมตามฐานะสูงต่ํา), ก็เปน ไปอยางกวางขวางแรงกลาถึงที่สุด. (สมัยนี้ มนุษยมีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒๕๐-๒๐๐-๑๐๐ ป)
สมัยนั้น จักมีสมัยที่มนุษยมีอายุขัยลดลงมาเหลือเพียง ๑๐ ป (จักมีลักษณะ แห งความเสื่ อมเสี ยมี ประการต าง ๆ ดั งที่ ท านกล าวไว วา) : หญิ งอายุ ๕ ป ก็ มี บุ ตร; รสทั้ ง ห า คื อ เนยใส เนยข น น้ํ า มั น น้ํ า ผึ้ ง น้ํ า อ อ ย, และรสเค็ ม ก็ ไ ม ป รากฎ; มนุ ษย ทั้ งหลาย กิ นหญ าที่ เรียกวา กุ ทรุสกะ (ซึ่ งนิ ยมแปลกั นวาหญ ากั บแก ) แทน การกิน ขา ว; กุศ ลกรรมบถหายไป ไมม ีร อ งรอย, อกุศ ลกรรมบถ รุ ง เรือ งถึง ที ่ส ุด ; ในหมู ม นุษ ย ไมม ีคํ า พูด วา กุศ ล จึง ไมม ีก ารทํ า กุศ ล; มนุษ ยส มัย นั ้น จักไม ยกย องสรรเสริญมั ตเตยยธรรม (ความเคารพเกื้ อกู ลต อมารดา), เปตเตยยธรรม (ความเคารพเกื้ อ กู ล ต อ บิ ด า), สามั ญ ญธรรม (ความเคารพเกื้ อ กู ล ต อ สมณะ,) พรหมั ญ ญธรรม (ความเคารพเกื้ อกู ลต อ ชี พ ราหมณ ), และกุ ลเชฏฐาปจายนธรรม, เหมื อ นอย า งที่ ม นุ ษ ย ย กย อ งกั น อยู ใ นสมั ย นี้ ; ไม มี คํ า พู ด ว า แม น า ชาย น า หญิ ง พอ อา ลุง ปา ภรรยาของอาจารย และคําพูดวา เมียของครู; สัตวโลกจักกระทําการ สั ม เภท(สมสู สํ า ส อ น) เช น เดี ย วกั น กั บ แพะ แกะ ไก สุ ก ร สุ นั ข สุ นั ข จิ้ ง จอก; ความอาฆาต ความพยาบาท ความคิ ด ร า ย ความคิ ด ฆ า เป น ไปอย า งแรงกล า แม ในระหวางมารดากั บบุ ตร บุ ตรกั บมารดา บิ ดากั บ บุ ตร บุ ตรกั บ บิ ดา พี่ กั บน อ ง นองกับพี่ ทั้งชายและหญิง เหมือนกับที่นายพรานมีความรูสึกตอเนื้อทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info ในสมัยนั้น จักมีสัตถัน ตรกัป ป (การใชศัส ตราวุธติดตอกัน ไมห ยุด หยอน) ตลอดเวลา ๗ วัน : สัตวทั้งหลายเหลานั้น จักมีความสําคัญแกกันและ กัน
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๘๕
ราวกะวาเนื้ อ ; แต ละคนมี ศั สตราวุธในมื อ ปลงชีวติ ซึ่งกั นและกั นราวกะวาฆ าปลา ฆาเนื้อ. (มี มนุ ษย หลายคน ไม เข ารวมวงสั ตถั นตรกั ปป ด วยความกลั ว หนี ไปซ อนตั วอยู ในที่ ที่ พอ จะซอนตัวไดตลอด ๗ วัน แลวกลับออกมาพบกันและกัน ยินดีสวมกอดกัน กล าวกะกันและกันในที่นั้น วา มี โชคดีที่รอดมาได แลวก็ ตกลงกันในการตั้งตนประพฤติธรรมกันใหมต อไป ชีวติ มนุษยก็ค อยเจริญขึ้น จาก ๑๐ ป ตามลํ าดั บ ๆ จนถึ งสมั ย ๘ หมื่ นป อี กครั้งหนึ่ ง จนกระทั่ งเป นสมั ยแห งศาสนาของพระพุ ทธเจามี พระนามวา เมตเตยยสัมมาสัมพุทธะ).
ปฏิจจสมุปบาทแหงอารัมมณลาภนานัตตะ๑ (การไดอารมณ หก) ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! เพราะอาศัยธาตุ นานั ตตะ (ธาตุนานาชนิด) จึงมีการ เกิดขึ้นแหงสัญญานานัตตะ (สัญญานานาชนิด); เพราะอาศัย สัญญานานัตตะ จึงมีความเกิดขึ้นแหงสังกัปปนานัตตะ(ความ ตริตึกนานาชนิด);
www.buddhadasa.info เพราะอาศัย สังกัปปนานัตตะ จึงมีการเกิดขึ้นแหง ผัสสนานัตตะ(ผัสสะ
นานาชนิด);
เพราะอาศั ย ผั สสนานั ตตะ จึงมี การเกิดขึ้นแห ง เวทนานั ตตะ (เวทนา นานาชนิด); เพราะอาศั ย เวทนานั ตตะ จึงมี การเกิ ดขึ้ นแห ง ฉั นทนานั ตตะ (ความ พอใจนานาชนิด);
๑
สูตรที่ ๙ ธาตุสังยุตต นิทาน.สํ.๑๖/๑๗๕/๓๔๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๕๘๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
เพราะอาศัย ฉันทนาตันนะ จึงมีการเกิดขึ้นแหง ปริฬาหนานัตตะ (ความ เรารอนนานาชนิด); เพราะอาศัย ปริฬาหนานัตตะ จึงมีการเกิดขึ้นแหง ปริเยสนานานัตตะ (การ แสวงหานานาชนิด); เพราะอาศัย ปริเยสนานานั ตตะ จึงมี การเกิดขึ้นแหง ลาภนานั ตตะ(การ ไดรับนานาชนิด); ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ธาตุ นั ต ตะ เป น อย า งไรเล า ? ธาตุ น านั ต ตะคื อ รูป ธาตุ สัท ทธาตุ คัน ธธาตุ รสธาตุ โผฏฐัพ พธาตุ ธัม มธาตุ. ดูกอ นภิก ษุ ทั้งหลาย! นี้เราเรียกวา ธาตุนานัตตะ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยธาตุ นานั ตตะ จึ งมี การเกิ ดขึ้ นแห งสั ญญา นานัต ตะ; เพราะอาศัย สัญ ญานานัต ตะ จึง มีก ารเกิด ขึ ้น แหง สัง กัป ปนานัต ตะ; ...ฯลฯ... เพราะอาศั ยปริฬาหนานั ตตะ จึ งมี การเกิ ดขึ้ นแห งปริเยสนานานั ตตะ; เพราะ อาศัยปริเยสนานานัตตะ จึงมีการเกิดขึ้นแหงลาภนานัตตะ; เปนอยางไรเลา?
www.buddhadasa.info ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยรูปธาตุ จึงมีการเกิดขึ้นแหงรูปสั ญญา (สัญญาในรูป); เพราะอาศัยรูปสัญญา จึงมีการเกิดขึ้นแหง รูปสังกัปปะ(ความตริตรึก ในรูป); เพราะอาศั ยรูปสั ปปะ จึงมี การเกิ ดขึ้นแห ง รูปสั มผั สสะ (การสั มผั สซึ่งรูป); เพราะอาศัยรูปสัมผัสสะ จึงมีการเกิดขึ้นแหง รูปสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาที่เกิดขึ้นจาก การสั มผั สซึ่ งรูป ); เพราะอาศั ยรูปสั มผั สสชาเวทนา จึ งมี การเกิ ดขึ้ นแห ง รู ป ฉั น ทะ (ความพอใจในรูป); เพราะอาศัยรูปฉันทะ จึงมีการเกิดขึ้นแหง รูปปริฬาหะ (ความเรารอน เพราะรูป); เพราะอาศั ยรูปริฬาหะ จึงมี การเกิดขึ้นแห ง รูปปริเยสนา (การแสวงหา ซึ่งรูป); เพราะอาศัยรูปปริเยสนา จึงมีการเกิดขึ้นแหงรูปลาภะ(การไดรับซึ่งรูป).
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๘๗
(หมวดเกี่ ยวกั บ ธาตุ อื่ น ๆ อี ก ๕ ธาตุ สั ท ทธาตุ คั นธธาตุ รสธาตุ โผฏฐั พ พธาตุ และ ธัมมธาตุ ก็มีการจําแนกโดยนัยะอยางเดียวกันกับหมวดรูปธาตุ ดังที่กลาวแลวขางบนนี้).
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อย างนี้ แล (ที่ เรากล าวว า) เพราะอาศั ยธาตุ นานั ตตะ จึงมี การเกิดขึ้นแหงสั ญญานานัตตะ; เพราะอาศัยสัญญานานานั ตตะ จึงมี การเกิดขึ้นแห ง สั งกั ป ปนานั ต ตะ;...ฯลฯ...เพราะอาศั ย ปริ ฬ าหนานั ต ตะ จึ งมี การเกิ ด ขึ้ น แห งปริ เยส นานานัตตะ; เพราะอาศัยปริเยสนานานัตตะ จึงมีการเกิดขึ้นแหงลาภนานัตตะ. [ยั งมี สูตรอีกสู ตรหนึ่ ง ซึ่ งลั กษณะอย างเดี ยวกั นกั บสูตรขางบนนี้ ทุ กประการ ต างแต ตรัสไว โดยยอ คื อเวนผั สสนานั ตตะ และเวทนานานั ตตะ แล วเวนลาภนานั ตตะ ซึ่ งเป นอันดั บสุ ดท ายเสี ย คงตรัส เพียงแคปริเยสนานานัตตะ เทานั้น (- สูตรที่ ๗ ธาตุสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๗๓/๓๔๔).]
ปฏิจจสมุปบาท แหงการปฏิบัติผิดโดยไตรทวาร๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! กามวิ ตก (ความครุนคิ ดในกาม) เป นธรรมมี นิ ทาน (เหตุใหเกิด) ไมใชเปนธรรมไมมีนิทาน. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ขอนี้เปนอยางไรเลา?
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยกามธาตุ (ธาตุ เป นที่ ตั้ งแห งความรูสึ ก ทางกาม) จึงมีการเกิดขึ้นแหง กามสัญญา (ความหมายมั่นในกาม); เพราะอาศั ยกามสั ญญา จึ งมี การเกิ ดขึ้ นแห ง กามสั งกั ปปะ (ความตริตรึก ในกาม); เพราะอาศัยกามสังกัปปะ จึงมีการเกิดขึ้นแหงกามฉันทะ (ความพอใจในกาม);
๑
สูตรที่ ๒ ทุติยวรรค ธาตุสังยุตต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๘๑/๓๕๕-๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๕๘๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
เพราะอาศั ยกามฉั นทะ จึ งมี การเกิ ดขึ้นแห ง กามปริฬาหะ (ความเรารอน เพื่อกาม); เพราะอาศั ยกามปริฬหะ จึ งมี การเกิ ดขึ้ นแห ง กามปริ เยสนา (การแสวง หากาม). ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ปุ ถุ ชนผู ไม มี การสดั บ เมื่ อแสวงหาอยู ซึ่ งกาม ย อม ปฏิบัติผิดโดยฐานะสาม คือ โดยกาย โดยวาจา โดยใจ. (ข อความต อไปนี้ มี การตรั สถึ ง พยาปาทวิ ตก และวิ หิ งสาวิ ตก โดยนั ยะอย างเดี ยวกั นกั บการ แสดงนัยะแหงกามวิตกนี้).
ปฏิจจสมุปบาท แหงกามปฏิบัติชอบโดยไตรทวาร๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เนกขัมม๒ วิตก เปนธรรมมีนิทาน (เหตุใหเกิด) ไมใช เปนธรรมไมมีนิทาน. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ขอนี้ เปนอยางไรเลา?
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยเนกขัมมธาตุ (ธาตุเปนที่ตั้งแหงความรูสึก ในการหลีกออกจากกาม) จึงมี การเกิดขึ้นแห งเนกขั ม มสั ญ ญา (ความหมายมั่ นใน เนกขัมมะ); เพราะอาศั ย เนกขั ม มสั ญ ญา จึ งมี ก ารเกิ ด ขึ้ น แห ง เนกขั ม มสั งกั ป ปะ (ความตริตรึกในเนกขัมมะ);
๑
สูตรที่ ๒ ทุติยวรรค ธาตุสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๘๒-๓/๓๕๘-๙,ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. คํ าว า "เนกขั ม มะ" หมายถึ งการหลี กออกจากกาม; ดั งนั้ น คํ าว า "เนกขั ม มวิ ตก" เป น ต น จึ งหมาย ความวา ความวิตกไปในการหลีกออกจากกาม, เปนตน. ๒
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๘๙
เพราะอาศัยเนกขัมมสั งกัปปะ จึงมี การเกิดขึ้นแห ง เนกขั มมฉั นทะ (ความ พอใจในเนก ขัมมะ); เพราะอาศั ยเนกขัมมฉั นทะ จึงมี การเกิดขึ้นแห ง เนกขั มมปริฬาหะ (ความ เรารอนเพื่อเนกขัมมะ); เพราะอาศัยเนกขัมมปริฬาหะ จึงมี การเกิดขึ้นแหง เนกขั มมปริเยสนา (การ แสวงหาซึ่งเนกขัมมะ). ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อริ ยสาวกผู มี การสดั บ เมื่ อแสวงหาอยู ซึ่ งเนกขั มมะ ยอม ปฏิบัติชอบ โดยฐานะสาม คือ โดยกาย โดยวาจา โดยใจ. (ขอความต อไปนี้ มี การตรัสถึ งอั พยาปาทวิตก และอวิหิ งสาวิตก โดยนั ยะอย างเดี ยวกั นกั บ การแสดงนัยะแหงจัมมวิตกนี้).
ปฏิจจสมุปบาท แหง การรบราฆาฟนกัน๑ (ซึ่งนาอัศจรรย)
www.buddhadasa.info ดู ก อ นอานนท ! ก็ ด วยอาการดั งนี้ แ ล (เป น อั น กล าวได ว า) เพราะอาศั ย เวทนา จึงมีตัณหา; เพราะอาศัยตัณหา จึงมี การแสวงหา๒ (ปริเยสนา); เพราะอาศัยการแสวงหา จึงมีการได (ลาโภ); เพราะอาศัยการได จึงมี ความปลงใจรัก (วินิจฺฉโย);
๑
มหานิทานสูตร มหา.ที.๑๐/๖๙/๕๙, ตรัสแกพระอานนท ที่กัมมาสทัมมนิคม แควนกุรุ. คํ าว า "แสวงหา" ในที่ นี้ หมายถึ งแสวงด วยตั ณ หา นั่ น เอง; มิ ใช ก ารแสวงด วยวิ ช ชา หรือ ยถาภู ต สัมมัปปญญา.
๒
www.buddhadasa.info
๕๙๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
เพราะอาศัยความปลงใจรัก จึงมี ความกําหนัดดวยความพอใจ (ฉนฺทราโค); เพราะอาศัยความกําหนัดดวยความพอใจ จึงมีความสยบมัวเมา (อชฺโฌสานํ); เพราะอาศัยความสยบมัวเมา จึงมีความจับอกจับใจ(ปริคฺคโห); เพราะอาศัยความจับอกจับใจ จึงมีความตระหนี่ (มจฺฉริยํ); เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงมีการหวงกั้น (อารกฺโข); เพราะอาศั ยการหวงกั้ น จึ งมี เรื่องราวอั นเกิ ดจากการหวงกั้ น (อารกฺ ขาธิ ก รณํ ) กล าวคื อ การใช อ าวุ ธไม มี ค ม การใช อ าวุ ธ มี ค ม การทะเลาะ การแก งแย ง การวิ วาท การกล าวคํ าหยาบว า "มึ ง! มึ ง!" การพู ดคํ าส อเสี ยด และการพู ดเท็ จทั้ งหลาย: ธรรมอั น เป น บาปอกุ ศ ลเป น อเนก ย อ มเกิ ด ขึ้ น พร อ มด วยอาการอย างนี้ ; (เป น อั น ว า) ขอความเชนนี้ เปนขอความที่เราไดกลาวไวแลว. ดู กอนอานนท ! ความขอนี้ เธอต องทราบอธิบาย โดยปริยาย ดั งต อไปนี้ ที่ ตรง กั บหั วข อที่ เรากล าว ไวแลววา "ธรรมเป นบาปอกุศลเป นเอนก กล าวคื อ การใชอาวุธ ไม มี คม การใช อาวุ ธมี คม การทะเลาะ การแก งแย ง การวิ วาท การกล าวคํ าหยาบว า มึ ง ! มึ ง !' การพู ด คํ า ส อ เสี ย ด และการพู ด เท็ จ ทั้ ง หลาย ย อ มเกิ ด ขึ้ น พร อ ม เพราะ เรื่ องราวอั นเกิ ดจากการหวงกั้ นเป นเหตุ ดั งนี้ : ดู ก อนอานนท ! ถ าหากว าการหวงกั้ น จั ก ไม ได มี แ ก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ ก ชนิ ด โดยทุ ก อาการ แล ว ไซร ; เมื่ อ การหวง กั้ น ไม มี เพราะความดั บ ไปแห งการหวงกั้ น โดยประการทั้ งปวงแล ว; ธรรมเป น บาป อกุ ศ ลเป น อเนก กล า วคื อ การใช อ าวุ ธ ไม มี ค ม การใช อ าวุ ธ มี ค ม การทะเลาะการ แก งแย ง การวิ วาท การกล าวคํ าหยาบว า "มึ ง! มึ ง!" การพู ดคํ าส อเสี ยด และการพู ดเท็ จ ทั้ งหลายจะพึ งเกิ ดขึ้ นพรอมได ไหมหนอ? ("ข อนั้ น หามิ ได พระเจ าข า!") ดู ก อนอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ อ งนี้ , นั่ น แหละคื อ เหตุ นั่ น แหละคื อ นิ ท าน นั่ น แหละคื อ สมุ ทั ย นั่นแหละคือปจจัย ของความเกิดขึ้นพรอมแหงธรรมเปนบาปอกุศลเปนอเนกเหลานี้ กลาว
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๙๑
คื อ การใช อาวุ ธไม มี คม การใช อาวุ ธมี คม การทะเลาะการแก งแย ง การวิ วาท การ กลาวคําหยาบวา "มึง! มึง!" การพูดคําสอเสียด และการพูดเท็จ; นั้นคือ การหวงกั้น. ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงมีการหวงกั้น" ดั งนี้ , เช น นี้ แ ล เป น คํ า ที่ เรากล าวแล ว . ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอต อ งทราบ อธิบายโดยปริยายดังตอไปนี้ ที่ตรงกับหัวขอที่เรากลาวไวแลววา "เพราะอาศัยความตระหนี่ จึ งมี การหวงกั้ น" : ดู ก อนอานนท ! ถ าหากว าความตระหนี่ จั กไม ได มี แก ใครๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ กชนิ ด โดยทุ กอาการ แล วไซร ; เมื่ อความตระหนี่ ไม มี เพราะความดั บ ไปแห ง ความตระหนี่ โดยประการทั้ ง ปวงแล ว ; การหวงกั้ น จะมี ขึ้ น มาให เห็ น ได ไหมหนอ? ("ขอนั้ น หามิ ได พระเจ าข า!") ดู ก อนอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่องนี้ , นั่ นแหละคื อเหตุ นั้ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นแหละคื อสมุ ทั ย นั่ นแหละคื อป จจัย ของการ หวงกั้น; นั้นคือ ความตระหนี่. ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เพราะอาศัยความจับอกจับใจ จึงมีความ ตระหนี่ " ดั งนี้ , เชนนี้ แล เป นคําที่ เรากลาวแลว. ดูกอนอานนท! ความขอนี้ เธอตอง ทราบอธิบายโดยปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วขอที่ เรากล าวไวแล ววา "เพราะอาศั ยความ จั บอกจั บใจ จึ งมี ความตระหนี่ " : ดู ก อนอานนท ! ถ าหากวาความจั บอกจั บใจ จั กไม ได มี แ ก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ ก ชนิ ด โดยทุ ก อาการ แล ว ไซร ; เมื่ อ ความจั บ อก จับใจไม มี เพราะความดั บไปแห งความจั บอกจับใจ โดยประการทั้ งปวงแล ว; ความ ตระหนี่ จะมี ขึ้นมาให เห็ นได ไหมหนอ? ("ข อนั้ น หามิ ได พระเจ าข า!") ดู ก อนอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ อ งนี้ , นั่ น แหละคื อ เหตุ นั่ น แหละคื อ นิ ท าน นั่ น แหละคื อ สมุทัย นั่นแหละคือปจจัย ของความตระหนี่; นั้นคือ ความจับอกจับใจ.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๕๙๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เพราะอาศัยความสยบมัวเมา จึงมีความ จั บ อกจั บ ใจ" ดั งนี้ , เช น นี้ แ ล เป น คํ า ที่ เรากล าวแล ว . ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอต องทราบอธิบายโดยปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วข อที่ เรากล าวไวแล วว า "เพราะ อาศั ยความสยบมั วเมา จึ งมี ความจั บอกจั บใจ" : ดู ก อนอานนท ! ถ าหากว าความสยบ มัว เมา จัก ไมไ ดม ีแ กใ คร ๆ ในที ่ไ หน ๆ โดยทุก ชนิด โดยทุก อาการ แลว ไซร; เมื่ อความสยบมั วเมาไม มี เพราะความดั บไปแห งความสยบมั วเมา โดยประการทั้ งปวงแล ว; ความจั บ อกจั บ ใจ จะมี ขึ้ น มาให เห็ น ได ไหมหนอ? ("ข อ นั้ น หามิ ได พระเจ า ข า !") ดู ก อนอานนท ! เพราะเหตุ นั้ นในเรื่องนี้ , นั่ นแหละคื อเหตุ นั่ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นแหละ คือสมุทัย นั่นแหละคือปจจัย ของความจับอกจับใจ; นั้นคือ ความสยบมัวเมา. ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เพราะอาศั ยความกําหนั ดดวยความพอใจ จึ ง มี ค วามสยบมั ว เมา" ดั ง นี้ , เช น นี้ แ ล เป น คํ า ที่ เรากล า วแล ว . ดู ก อ นอานนท ! ความขอนี้ เธอตองทราบอธิบายโดยปริยายดังตอไปนี้ ที่ตรงกับหัวขอที่เรากลาวไวแลวา "เพราะอาศั ยความกํ าหนดด วยความพอใจ จึ งมี ความสยบมั วเมา" : ดู ก อนอานนท ! ถ าหากว าความกํ าหนั ดด วยความพอใจ จั กไม ได มี แก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ กชนิ ด โดยทุ ก อาการ แล วไซร; เมื่ อ ความกํ าหนั ด ด วยความพอใจไม มี เพราะความดั บ ไป แห งความกํ าหนั ดด วยความพอใจ โดยประการทั้ งปวงแล ว; ความสยบมั วเมา จะมี ขึ้ น มาให เห็ นได ไหมหนอ? ("ข อนั้ น หามิ ได พระเจ าข า!") ดู ก อนอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่องนี้ , นั่ นแหละคื อเหตุ นั่ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นแหละคื อสมุ ทั ย นั่ นแหละคื อป จจั ย ของความสยบมัวเมา; นั้นคือ ความกําหนัดดวยความพอใจ.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นอานนท ! ก็ คํ า นี้ ว า "เพราะอาศั ย ความปลงใจรั ก จึ งมี ค วาม กําหนั ดดวยความพอใจ" ดังนี้, เชนนี้แล เปนคําที่เรากลาวแลว. ดูกอนอานนท! ความขอนี้ เธอตองทราบอธิบายโดยปริยายดังตอไปนี้ ที่ตรงกับหัวขอที่เรากลาวไวแลววา
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๙๓
"เพราะอาศั ยความปลงใจรั ก จึ งมี ค วามกํ าหนั ด ด วยความพอใจ" : ดู ก อ นอานนท ! ถ าหากว าความปลงใจรั ก จั กไม ได มี แก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ กชนิ ด โดยทุ กอาการ แล วไซร; เมื่ อความปลงใจรักไม มี เพราะความดั บไปแห งความปลงใจรัก โดยประการ ทั้ งปวงแล ว; ความกํ าหนั ด ด วยความพอใจ จะมี ขึ้ น มาให เห็ น ได ไหมหนอ? ("ข อ นั้ น หามิ ไ ด พระเจ า ข า !") ดู ก อ นอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ อ งนี้ , นั่ น แหละคื อ เหตุ นั่ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นแหละคื อสมุ ทั ย นั่ นแหละคื อป จจัย ของความกําหนั ดด วยความ พอใจ : นั้นคือ ความปลงใจรัก ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เพราะอาศัยการได จึงมีความปลงใจรัก" ดั งนี้ , เช น นี้ แ ล เป น คํ า ที่ เรากล าวแล ว . ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอต อ งทราบ อธิบายโดยปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วข อที่ เรากล าวไวแล ววา "เพราะอาศั ยการได จึ งมี ค วามปลงใจรัก ” : ดู ก อ นอานนท ! ถ าหากว าการได จั ก ไม ได มี แก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ ก ชนิ ด โดยทุ ก อาการ แล ว ไซร ; เมื่ อ การได ไม มี เพราะความดั บ ไป แห งการได โดยประการทั้ งปวงแล ว; ความปลงใจรัก จะมี ขึ้ นมาให เห็ นได ไหมหนอ? ("ข อนั้ น หามิ ได พระเจ าข า!") ดู ก อนอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่องนี้ , นั่ นแหละ คื อเหตุ นั่ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นแหละคื อสมุ ทั ย นั่ นแหละคื อป จจัย ของความปลงใจรัก นั้นคือ การได
www.buddhadasa.info ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เพราะอาศัยการแสวงหา จึงมีการได ดังนี้, เช น นี้ แล เป น คํ าที่ เรากล าวแล ว. ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอต อ งทราบอธิ บ าย โดยปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วขอที่ เรากลาวไวแล ววา "เพราะอาศั ยการแสวงหา จึ งมี การได " : ดู ก อ นอานนท ! ถ า หากว า การแสวงหา จึ ก ไม ได มี แ ก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุกชนิด โดยทุกอาการ แลวไซร; เมื่อความปลงใจรักไมมี เพราะความดับไปแหง
www.buddhadasa.info
๕๙๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
การแสวงหา โดยประการทั้ ง ปวงแล ว ; การได จ ะมี ขึ้ น มาให ได ไหมหนอ? ("ข อ นั้ น หามิ ได พระเจ า ข า !") ดู ก อ นอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่อ งนี้ , นั่ น แหละคื อ เหตุ นั่ น แหละคื อ นิ ท าน นั่ น แหละคื อ สมุ ทั ย นั่ น แหละคื อ ป จ จั ย ของการได ; นั้ น คื อ การแสวงหา. ดูกอนอานนท! ก็คํานี้ วา "เพราะอาศั ยตั ณหา จึงมี การแสวงหา" ดั งนี้ , เช น นี้ แล เป น คํ าที่ เรากล าวแล ว. ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอต อ งทราบอธิ บ าย โดยปริยายดังต อไปนี้ ที่ตรงกับหั วขอที่ เรากล าวไวแลววา "เพราะอาศัยตั ณหา จึงมี การ แสวง" : ดู ก อ นอานนท ! ถ า หากว า ตั ณ หา จั ก ไม ไ ด มี แ ก ใ คร ๆ ในที่ ไ หน ๆ โดย ทุ กชนิ ด โดยทุ กอาการ กล าวคื อ กามตั ณ หา ภวตั ณ หา วิ ภวตั ณ หา แล วไซร ; เมื่ อ ตั ณหาไม มี เพราะความดั บไปแห งตั ณหา โดยประการทั้ งปวงแล ว; การแสวงหา จะมี ขึ้ น มาให เห็ น ได ไหมหนอ? ("ข อ นั้ น หามิ ได พระเจ า ข า !") ดู ก อ นอานนท ! เพราะ เหตุ นั้ น ในเรื่องนี้ , นั่ นแหละคื อเหตุ นั่ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นแหละคื อสมุ ทั ย นั่ นแหละ คือปจจัย ของการแสวงหา; นั้นคือ ตัณหา.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า ข อ ความข า งบนนี้ มี ลั ก ษณะเป น อิ ทั งป จ จยตา กล า วคื อ เป น ปฏิ จ จสมุ ป บาท อย างเต็ ม ตั ว : ตั้ งต น ที่ เวทนา, อั นทํ าให มี ตั ณ หา, การแสวงหา, การได , การปลงใจรั ก, การกํ าหนั ดพอใจ, การสยั บมั วเมา, การจั บ อกจั บ ใจ, การตระหนี่ , การหวงกั้ น , และเรื่ อ งราวอั น เกิ ด จากการหวงกั้ น ; รวมเป น ๑๑ อย า ง และเป น ๑๒ อย า งทั้ ง ผลของมั น กล า วคื อ การทะเลาะวิ ว าท. ปฏิ จ จสมุ ป บาท สายนี้ เป น ส ว นหนึ่ งของปฏิ จ จสมุ ป บาทสายปรกติ คื อ แทรกอยู ต รงที่ เวทนาให เกิ ด ตั ณ หา นั่ นเอง. การที่ ยกมาแสดงให เห็ น ชั ดในตอนนี้ ก็ เพื่ อจะให ผู ศึ กษาเข าใจความหมายอั น กว าง ขวาง ของคํ า ว า ปฏิ จ จสมุ ป บาท ในทุ ก แง ทุ ก มุ ม อั น จะเป น เหตุ ให เข า ใจปฏิ จ จสมุ ป บาท สายปรกติ ไ ด ดี ขึ้ น ว า คํ า ว า "ปฏิ จ จสมุ ป บาท" นี้ มี ข อบเขตแห ง ความหมายเพี ย งไหน. ขอให เปรียบเที ยบดู กั นกั บ ปฏิ จจสมุ ป บาทในรูปอื่ น อี กทุ กแบบด วย เสมอไป. ที่ สํ าคั ญ ที่ สุ ด ก็ คื อ เรื่ อ งนี้ จ ะแสดงให เห็ น ว า พุ ท ธศาสนาได ชี้ ให เห็ น มู ล เหตุ แห ง การทะเลาะวิ ว าท การ รบราฆ า ฟ น กระทั่ งถึ งการทํ าสงคราม มหาสงคราม ของโลก ไว อ ย างชั ด แจ งแล ว ทั้ งโดย ส ว นป จ เจกชน และโดยหมู ค ณะหรื อ สั ง คมใหญ ๆ ในโลกนี้ ในแง ข องจิ ต ตวิ ท ยาที่ เป น สัจจธรรม.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๙๕
ปฏิจจสมุปบาท แหงกลวิวาทนิโรธ๑ (ขอความเหลานี้ แปลมาตามรูปคาถา บรรทัดตอบรรทัด, และ ในการอาน ตองอานคําถามใหจบตอนเสียกอน แลวจึงอานซีก คําตอบ, แลวจึงเหลือบดูอยางเทียบกันเปนคู ๆ อีกครั้ง -ผูรวบรวม) (คําถาม) (๑) การทะเลาะวิวาท มีขึ้นมาจากเหตุอะไร? แมกระทั่งความร่ําไรรําพัน เศราโศก ความตระหนี่, ความถือตัว ความดูหมิ่นผูอื่น และการยุใหแตกกันนี้ดวย, ขอจงตรัสบอก วาสิ่งเหลานี้ มีขึ้นมาจากเหตุอะไร?
(คําตอบ) การทะเลาะวิวาท มีขึ้นมาจากสิ่ง เปนที่รัก แมกระทั่งความร่ําไรรําพัน เศราโศก และความตระหนี่, ความถือตัว ความดูหมิ่นผูอื่น การยุใหแตกกัน, ก็เชนเดียวกัน, รวมทั้งการยุใหแตกกัน ซึ่งเกิดมาจากการทะเลาะวิวาทนั้น.
(๒) สิ่งเปนที่รักเลามีอะไรเปนแดนเกิดในโลกนี้? ซึ่งเปนเหตุใหพวกคนโลภ ทองเที่ยวไป ในโลก; ความหวัง และสมหวังเลา มีอะไรเปนแดนเกิด? ซึ่งทําใหคนสามัญ เขาหวังกันเพื่อสัมปรายภพ?
สิ่งเปนที่รัก ในโลกนี้ มีฉันทะ เปนแดนเกิด, ซึ่งเปนเหตุใหพวกคนโลภ ทองเที่ยวไป ในโลก; ความหวัง และสมหวัง มีฉันทะนี้เอง เปนแดนเกิด ซึ่งทําใหคนสามัญ เขาหวังกัน เพื่อสัมปรายภพ.
(๓) ฉันทะเลา ในโลกนี้ มีอะไรเปนแดนเกิด? หรือวา ความตกลงใจตาง ๆ มีขึ้นมาจากเหตุอะไร? รวมทั้งความโกรธ การพูดเท็จ และความสงสัยซึ่งลวนแตเปนสิ่ง ที่สมณะกลาวถึงกันอยู ดวย?
ความยินดี ความไมยินดี ที่ กลาวกันอยูในโลกนั่นแหละ ฉั นทะ ย อมมี ขึ้ นมา เพราะอาศั ยซึ่ ง สิ่ งทั้ งสอง นั้ น; เพราะเห็นความฉิบหายความเจริญ กันที่วัตถุธรรมทั้งหลาย, สั ตว โลก จึ งทํ าความตกลงใจต าง ๆ (ไปตามนั้ น); แม ความโกรธ การพู ดเท็ จ และความสงสั ยเหล านี้ ก็ จั กมี , ในเมื่อความยินดี ความไมยินดี ทั้งสองอยางนั้น มีอยู, ซึ่ งผู สงสั ยอยากรู พึ งศึ กษา เพื่ อนํ าไปสู ญ าณ, ใหรูซึ่งสิ่งเหลานั้น อันสมณะกลาวถึง กันอยู.
www.buddhadasa.info
๑
กลหวิวาทสูตร อัฏฐกวรรค สุ.ขุ.๒๕/๕๐๒/๔๑๘.
www.buddhadasa.info
๕๙๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
(๔) ความยินดีและไมยินดี มีอะไรเปนแดนเกิด? เมื่ออะไรไมมี สิ่งทั้งสองนั้น จึงไมมี? แม ค วามรู สึ ก ว าความฉิ บ หายและเจริ ญ นั้ น เล า ขอจงตรัสบอก วาสิ่งทั้งสองนั้น มีอะไรเปนแดนเกิด?
ความยินดีและความไมยินดี มีผัสสะเปนแดนเกิด: เมื่อผัสสะ ไมมี, สิ่งทั้งสองนั้นก็ไมมี. แม ความรู สึ กว าความฉิ บหาย และความเจริ ญนั้ นเล า เราบอกทานวา มีผัสสะนี้เอง เปนแดนเกิด.
(๕) ผัสสะเลา ในโลกนี้ มีอะไรเปนแดนเกิด? แม ความคิ ดยึ ดครองก็ ตาม มี ขึ้ นมาแต เหตุ อะไร? เมื่ อ อะไรไม มี ความยึ ด ถื อ ว า ของเรา จึ ง ไม มี ? เมื่ออะไรไมมี ผัสสะจึงจะไมเกิดการกระทบ?
ผัสสะ ในโลกนี้ ยอมเกิด เพราะอาศัยซึ่งนามและรูป ความคิ ดยึ ดครองทั้ งหลาย มี ความอยากเป นแดนเกิ ด; เมื่ อความอยากไม มี ความยื ดถื อว าของเรา ก็ ไม มี ; เมื่อรูปธรรมไมมี ผัสสะก็จะไมเกิดการกระทบ.
(๖) รูปจะไมมี เมื่อดํารงอัตตภาพไว อยางไร? สุขหรือทุกขก็ตาม จะไมมีไดอยางไร? ขอจงตรัสบอกโดยประการที่สิ่งนั้นจะไมมี ใจของขาพระองค หวังอยูวาจักไดทราบซึ่งขอนั้น.
ไมเปนผู สัญญสัญญี, ๑ไมเปน ผูวิสัญญสัญญี, ๒ ไมเปน ผูอสัญญี,๓ ไมเปน ผูวิภูตสัญญี,๔ ดํารงอัตตภาพอยูในสถานะอยางนี้ รูปจึงไมมี, เพราะวาปปญจสังขา๕ มีสัญญา เปนแดนเกิด.
(๗) ทูลถามขอใด ไดทรงอธิบายขอนั้นแลว; ขอทูลถามขออื่นอีก ขอจงบอก ซึ่งขอนั้น : พวกบั ณ ฑิ ต ที่ ก ล า วความบริ สุ ท ธิ์ ข องคนในโลก พวกหนึ่ งกล าวความบริ สุ ทธิ์ ว าสู งสุ ดเพี ยงเท านั้ น๖ หรือวายังมีพวกที่กลาวสิ่งอื่น ที่สูงสุดกวาสิ่งนั้น?
แม พวกหนึ่ งกล าวความบริ สุ ทธิ์ ว าสู งสุ ดเพี ยงเท านั้ น อ างตนเป นบั ณฑิ ต กล าวความบริ สุ ทธิ์ ของคนในโลกอยู ; แต ก็ ยังมี อี กพวกหนึ่ ง กล าวลั ทธิสมั ยแห งตน เป นพวกฉลาดพู ดกล าวถึ งชั้ น "อนุ ปาทิ เสส"๗ ส วนมุ นี รูจั กทั้ งสองพวกนั้ น ว ายั งถู กทิ ฏฐิ อาศั ยอยู , พิ จารณาเห็ นอยู ว า มี นิ สั ยของทิ ฏฐิ อาศั ยทั้ งสองพวก. มุ นี รู เช น นั้ น แล ว จึ งหลุ ด พ น ไม ถึ งซึ่ งการวิ ว าท, เปนปราชญ ไมไปสูความมีและความไมมี อีกตอไป
www.buddhadasa.info ๑. ไมใชผูมีสัญญาดวยสัญญาปรกติ. ๒. ไมใชผูมีสัญญา ดวยสัญญาวิปริต (คือไมใชเมาหรือบา ฯลฯ). ๓. ไมใชผูไมมีสัญญา (คือไมใชอยูในนิโรธสมาบัติหรืออสัญญีสัตว). ๔. ไมใช ผูปราศจากสัญญา (คือไมใชกําลังอยูในอรูปฌาน). ๕. ปปญจสังขา คือธรรมเปนเหตุใหเนิ่นชาแกการหลุดพน, ไดแก ตัณหา มานะ ทิฎฐิ. ๖. พวกนี้ถือวา ความบริสุทธิ์ของบุ คคลชั้นเลิศ สูงสุดอยูที่ความไมมี รูป ของผูที่ ไม ประกอบอยูดวย สัญญา ๔ ประการ ดังที่กลาวแลว ในคําตรัสตอบ ตอนที่ (๖) ขางบน. ๗. "อนุปาทิเสส" ในที่นี้ ไดใสเครื่องหมายอัญ ประกาศไว เพราะเปนเรื่องของอุจเฉททิฎฐิ, กลาวคือ
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๙๗
ความที่ตายแลวขาดสูญไมมีอะไร โดยประการทั้งปวง, อันเปนผลของอุจเฉททิฏฐิ นั่นเอง.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๙๗
ห ม า ย เห ตุ ผู ร ว บ ร ว ม : ผู ศึ ก ษ า พึ งสั งเก ต ให เห็ น ว า ก า รท ะ เล า ะ วิ ว า ท นั้ น จะสิ ้น สุด ลงโดยสิ ้น เชิง ไมไ ด ตลอดเวลาที ่ย ัง ไมห ลุด พน เปน พระอรหัน ต, เพราะยัง มีร ูป และอรู ป อั น เป น ที่ ตั้ ง ของสั ญ ญาที่ เป น แดนเกิ ด ของปป ญ จสั ง ขา, กล า วคื อ ยั ง ไม บ รรลุ ความเป น พระอรหั น ต นั่ น เอง. พระบาลี นี้ แสดงไว ใ นลั ก ษณะของปฏิ จ จสมุ ป บาท อย า ง นาสนใจยิ่ง.
ปฏิจจสมุปบาท แหงการอยูอยางมี "เพื่อนสอง"๑ พระมิ คชาละ ได ทู ลถามพระผู มี พ ระภาคเจ าว า "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ด วยเหตุ
เพียงเทาไรหนอ ภิกษุจึงชื่อวา เปนผูมี การ อยู อยางมีเพื่อนสอง พระเจาขา?". ดู กอนมิ คชาละ รูปทั้ งหลายอันจะพึ งเห็ นได ด วยจักษุ เป นรูปที่ น าปรารถนา น ารักใคร น าพอใจ มี รูปน ารัก เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยอยู แห งความใคร เป นที่ ตั้ งแห ง ความกํ าหนั ดย อมใจ มี อยู ; ถ าหากวาภิ กษุ ย อมเพลิ ดเพลิ น พร่ําสรรเสริญ สยบมั วเมา ซึ่งรูปนั้นไซร,
www.buddhadasa.info แกภิกษุ ผูเพลิดเพลิน พร่ําสรรเสริญสยบมั วเมา ซึ่งรูปนั้นอยูนั่นแหละ, นั นทิ (ความเพลิดเพลิน) ยอมเกิดขึ้น. เมื่อนันทิ มีอยู, สาราคะ (ความกําหนัดกลา) ยอมมี;
เมื่อสาราคะ มีอยู, สัญโญคะ (ความผูกจิตติดกับอารมณ) ยอมมี:
๑
สูตรที่ ๑ มิคชาลวรรค สฬา.สํ. ๑๘/๔๓/๖๖, ตรัสแกพระมิคชาละ ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๕๙๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดู ก อนมิ คชาละ! ภิ กษุ ผู ประกอบพร อมแล ว ด วยการผู กจิ ตติ ดกั บอารมณ ดวยอํานาจแหงความเพลิน นั่นแล เราเรียกวา "ผูมีการอยูอยางมีเพื่อนสอง". (ในกรณี แห งเสี ยงทั้ งหลายอั นจะพึ งได ยิ นด วยหู ก็ ดี , กลิ่ นทั้ งหลายอั นจะพึ งดมด วยจมู กก็ ดี , รสทั้ งหลายอั นจะพึ งลิ้ มด วยลิ้ นก็ ดี , โผฏฐั พพะทั้ งหลายอั นจะพึ งสั มผั สด วยผิ วกายก็ ดี , และธั มมารมณ ทั้ งหลาย อั นจะพึ งรูแจ งด วยใจก็ ดี , พระผู มี พระภาคเจ าได ตรัสไว มี นั ยอย างเดี ยวกั นกั บในกรณี แห งรู ปทั้ งหลายอั นจะ พึงเห็นไดดวยจักษุ).
ดู ก อนมิ คชาละ! ภิ กษุ ผู มี การอยู ด วยอาการอย างนี้ แม จะส องเสพเสนาสนะ อั น เป น ป า และป า ชั ฏ ซึ่ งเงี ย บสงั ด มี เสี ย งรบกวนน อ ย มี เสี ย งกึ ก ก อ งครึ ก โครมน อ ย ปราศจากลมจากผิ วกายคน เป น ที่ ทํ าการลั บ ของมนุ ษ ย เป น ที่ สมควรแก การหลี กเร น เช น นี้ แ ล ว ก็ ต าม ถึ ง กระนั้ น ภิ ก ษุ นั้ น เราก็ ยั ง คงเรี ย กว า ผู มี ก ารอยู อ ย า งมี เพื่ อ นสอง อยู นั่ นเอง ข อนั้ นเพราะเหตุ ไรเล า? ข อนั้ นเพราะเหตุ วา ตั ณ หานั่ นแล เป นเพื่ อนสอง ของภิ กษุ นั้ น ตั ณหานั้ น อั นภิ กษุ นั้ นยั งละไม ได แล ว เพราะเหตุ นั้ น ภิ กษุ นั้ นเราจึ งเรี ยกว า ผูมีการอยูอยางมีเพื่อนสอง, ดังนี้
www.buddhadasa.info ห ม าย เห ตุ ผู รวบ รวม : ผู ศึ ก ษ าพึ งสั งเกต ให เห็ น ว า พ ระพุ ท ธภ าษิ ต นี้ แสดงให เห็ น ความหมาย และความแตกต า งของภาษาคน และภาษาธรรม. เพื่ อ นสองใน ภาษาธรรม หมายถึ ง ตั ณ หาที่ กํ า ลั ง เกิ ด อยู ใ นอารามนั้ น ๆ เป น เพื่ อ นสองที่ มี ค วามรุ น แง มากกวาเพื่อนสองในภาษาคน, เพราะวาเขาไปอยูถึงภายในจิต
ปฏิจจสมุปบาท แหงการอยูอยางมี "เพื่อนคนเดียว"๑ พระมิ คชาละได ทู ลถามพระผู มี พระภาคเจ าว า "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ด วยเหตุ เพี ยง
เทาไรหนอแล ภิกษุจึงชื่อวา เปนผูมีการอยูอยางผูเดียว พระเจาขา?".
๑
สูตรที่ ๑ มิคชาลวรรค สฬา.สํ. ๑๘/๔๓/๖๗, ตรัสแกพระมิคชาละ ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๕๙๙
ดู กอนมิ คชาละ รูปทั้ งหลายอันจะพึ งเห็ นได ด วยจักษุ เป นรูปที่ น าปรารถนา นารักใคร นาพอใจ มีรูปนารัก เปนที่เขาไปตั้งอาศัยอยูแหงความใคร เปนที่ตั้งแหงความ กํ าหนั ดย อมใจ มี อยู ; ถ าหากว าภิ กษุ ย อมไม เพลิ ดเพลิ น ไม พ ร่ํ าสรรเสริ ญ ไม สยบ มัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร, แกภิกษุผูไมเพลิดเพลิน ไมพร่ําสรรเสริญ ไมสยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นอยูนั่นแหละ, นันทิ ยอมดับ เมื่อนันทิ ไมมีอยู, สาราคะ (ความกําหนัดกลา) ยอมไมมี; เมื่อสาราคะ ไมมีอยู, สัญโญคะ (ความผูกจิตติดกับอารมณ) ยอมไมมี : ดู ก อนมิ คชาละ! ภิ กษุ ผู ไม ประกอบพรอมแล ว ด วยการผู กจิ ตติ ดกั บอารมณ ดวยอํานาจแหงความเพลิดเพลิน นั่นแล เราเรียกวา "ผูมีการอยูอยางอยูผูเดียว".
www.buddhadasa.info (ในกรณี แห งเสี ยงทั้ งหลายอันจะพึ งได ยินด วยหู ก็ดี , กลิ่ นทั้ งหลายอันจะพึ งดมดวยจมู กก็ ดี , รสทั้งหลายอันจะพึงลิ้มดวยลิ้นก็ดี, โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึ งสัมผัสดวยผิวกายก็ดี, และธัมมารมณ ทั้งหลาย อันจะพึงรูแจงดวยใจก็ดี, พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสไว มีนัยอยางเดียวกันกับในกรณี แหงรูปทั้งหลายอันจะ พึงเห็นไดดวยจักษุ).
ดู ก อ นมิ ค ชาละ! ภิ ก ษุ ผู มี ก ารอยู ด ว ยอาการอย า งนี้ แม อ ยู ในหมู บ า น อั น เกลื่ อ นกล น ไปด ว ยภิ ก ษุ ภิ ก ษุ ณี อุ บ าสก อุ บ าสิ ก าทั้ ง หลาย, ด ว ยพระราชา มหาอํ ามาตย ของพระราชาทั้ งหลาย, ด วยเดี ยรถี ย สาวกของเดี ยรถี ย ทั้ งหลาย ก็ ตาม; ถึงกระนั้น ภิกษุนั้นเราก็เรียกวา ผูมีการอยูอยางอยูผูเดียวโดยแท.ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา? ขอนั้นเพราะเหตุวาตัณหานั่นแล เปนเพื่อนสองของภิกษุนั้น ตัณหานั้น อันภิกษุนั้นละ เสียไดแลว เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นเราจึงเรียกวา ผูมีการอยูอยางอยูผูเดียว, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
๖๐๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ปฏิจจสมุปบาท แหง การอยูดวยความประมาท๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เราจักแสดงซึ่งอาการของภิกษุผูมีปรกติอยูดวยความ ประมาท และของภิกษุผูมีปรกติอยูดวยความไมประมาท แกพวกเธอทั้งหลาย. พวกเธอ ทั้งหลายจงฟงซึ่งความขอนั้น. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุเปนผูมีปรกติอยูดวยความประมาท เปนอยาง ไรเลา? ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อภิ กษุ ไม สํ ารวมระวัง ซึ่งอิ นทรีย คือตาอยู จิ ต ยอมเกลือกกลั้ว ในรูปทั้งหลายอันเปนวิสัยแหงการรูสึกดวยตา; เมื่อภิกษุนั้นมีจิตเกลือกกลั้วแลว ปราโมทย ยอมไมมี; เมื่อ ปราโมทย ไมมี ปติ ก็ไมมี; เมื่อ ปติ ไมมี ปสสัทธิ ก็ไมมี; เมื่อ ปสสัทธิ ไมมี ภิกษุนั้นยอม อยูเปนทุกข; เมื่อ มีทุกข จิตยอมไมตั้งมั่น; เมื่อ จิตไมตั้งมั่น ธรรม ทั้งหลายยอม ไมปรากฏ;
www.buddhadasa.info เพราะธรรมทั้งหลายไมปรากฏ ภิกษุนั้นยอมถึงซึ่งการถูกนับวาเปนผู มีปรกติอยูดวยความประมาท โดยแท.
๑
สูตรที่ ๔ ฉฬวรรค สฬายตนสังยุตต สฬา.สํ. ๑๘/๙๗/๑๔๓-๔.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๐๑
(ในกรณีแหงอินทรีย คือ หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็มีนัยะอยางเดียวกัน)
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อยางนี้แล ภิกษุเปนผูมีปรกติอยูดวยความประมาท. (ในกรณี แห งภิ กษุ ผู มี ปรกติ อยู ด วยความไม ประมาท ได ทรงแสดงไว โดยปฏิ ป กขนั ย, ผูศึกษาพึงเทียบเคียงเอาเอง). หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตุ ใ ห เห็ น ว า สู ต รนี้ เป น ตั ว อย า ง ที่ แ สดงให เห็ น ว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ปฏิ จ จสมุ ป บาทนั้ น มี อ ยู ใ นรู ป ต า ง ๆ กั น ไม จํ า เป น จะต อ ง ขึ้นตนดวยคําวา "อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา...ฯลฯ..." เสมอไป.
ปฏิจจสมุปบาท แหง ปปญจสัญญาสังขาสมุทาจรณะ๑ ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ย ตา ด วย รู ป ทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด จั กขุ วิ ญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรมสามประการ (ตา + รูป + จั กขุ วิ ญญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เ วทนา; บุ ค คลเสวยซึ่ ง เวทนาใด, ย อ ม รู สึ ก (สั ญ ญา) ซึ่ ง เวทนานั้ น ; บุ ค คลรูสึ ก ซึ่ ง เวทนาใด, ย อ มตริ ต รึ ก (วิ ต ก) อยู ก ะเวทนานั้ น ; บุ ค คลตริ ต รึ ก อยู ก ะเวทนาใด, ย อ มประพฤติ ซึ่ ง ความเนิ่ น ช า (ปป ญ จะ) อยู กะเวทนานั้ น; บุ คคลประพฤติ ซึ่ งความเนิ่ นช าอยู กะเวทนาใด, สั ญ ญา (กลาวคืออนุสัย) ชนิดตาง ๆ อันเปนเครื่องทําความเนิ่นชา (ปปญจสัญญาสังขา) ย อมกลุ มรุมซึ่ งบุ รุษนั้ น โดยมี เวทนานั้ นเป นเหตุ ในรูปทั้ งหลายอั นจะพึ งรูแจ งได ด วยตา ทั้งที่เปนอดีตอนาคตและปจจุบัน.
www.buddhadasa.info
๑
มธุปณฑิกสูตร สีหนาทวรรค มู.ม. ๑๒/๒๒๖/๒๔๘, พระมหากัจจานะ กลาวแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
๖๐๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยหู ด วย เสี ยง ทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด โสตวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรมสามประการ (หู +เสี ยง+โสตวิ ญ ญาณ) นั ่น คือ ผัส ส ะ; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ในเสีย งทั ้ง หลายอัน จะพึง รู แ จง ไดด ว ยหู ทั้งที่เปนอดีตอนาคตและปจจุบัน. ดูกอนทานผูมี อายุทั้ งหลาย! เพราะอาศัยจมู ก ด วย กลิ่ น ทั้งหลายดวย จึงเกิ ด ฆานวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรมสามประการ (จมู ก+กลิ่ น+ฆานวิ ญ ญาณ) นั ่น คือ ผัส สะ; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ในกลิ ่น ทั ้ง หลายอัน จะพึง รู แ จง ไดด ว ยจมูก ทั้งที่เปนอดีตอนาคตและปจจุบัน. ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยลิ้ น ด วย รส ทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด ชิ วหาวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรมสามประการ (ลิ้ น+รส+ชิ วหาวิ ญ ญาณ) นั ่น คือ ผัส ส ะ; ...ฯล ฯ... ...ฯล ฯ... ใน รส ทั ้ง ห ล าย อัน จะพึง รู แ จง ไดด ว ย ลิ ้น ทั้งที่เปนอดีตอนาคตและปจจุบัน.
www.buddhadasa.info ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยกาย ด วยโผฏฐั พพะ ทั้ งหลายด วย จึ งเกิ ด กายวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรมสามประการ(กาย+โผฏฐั พ พะ+ ก าย วิญ ญ าณ ) นั ่น คือ ผัส ส ะ ; ..ฯ ล ฯ ... ...ฯ ล ฯ ... ใน โผ ฏ ฐัพ พ ะ ทั ้ง ห ล าย อันจะพึงรูแจงไดดวยกาย ทั้งที่เปนอดีตอนาคตและปจจุบัน.
ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ย ใจ ด วย ธั มมารมณ ทั้ งหลายด วย จึ ง เกิ ด มโนวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อ มแห ง ธรรมสามประการ (ใจ+ธั ม มารมณ +มโนวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; บุคคลเสวย
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๐๓
ซึ ่ง เวทนาใด, ยอ มรู ส ึก (สัญ ญ า) ซึ ่ง เวทนานั ้น ; บุค คลรู ส ึก ซึ ่ง เวทนาใด, ยอ ม ตริ ต รึ ก (วิ ต ก) อยู ก ะเวทนานั้ น ; บุ ค คลตริ ต รึ ก อยู ก ะเวทนาใด, ย อ มประพฤติ ซึ่ ง ความเนิ่ นช า(ปป ญจะ) อยู กะเวทนานั้ น; บุ คคลประพฤติ ซึ่ งความเนิ่ นช าอยู กะเวทนาใด, สัญญา (กลาวคืออนุสัย) ชนิดตาง ๆ อันเปนเครื่องทําความเนิ่นชา (ปปญจสัญญาสั งขา) ย อมกลุ มรุ มซึ่ งบุ รุ ษ นั้ น โดยมี เวทนานั้ นเป นเหตุ ในธั มมารมณ ทั้ งหลาย อั นจะ พึงรูแจงไดดวยใจ ทั้งที่เปนอดีตอนาคตและปจจุบัน. ---- ---- ---- ---ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! บุ รุ ษ นั้ น หนอ เมื่ อ ตามี อ ยู , เมื่ อ รู ป มี อ ยู , เมื่ อ จั ก ขุ วิ ญ ญาณมี อ ยู ; เขาก็ จั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง ผั ส สบั ญ ญั ติ : ข อ นี้ เป น ฐานะที่ มี ได ; เมื่ อการบั ญญั ติ ซึ่ งผั สสะมี อยู เขาก็ จั กบั ญญั ติ ซึ่ ง เวทนาบั ญญั ติ : ข อนี้ เป นฐานะที่ มี ได ; เมื่ อการบั ญญั ติ ซึ่ งเวทนามี อยู เขาก็ จั กบั ญญั ติ ซึ่ ง สั ญญาบั ญญั ติ : ข อนี้ เป นฐานะที่ มี ได ; เมื่ อการบั ญญั ติ ซึ่ งสั ญญามี อยู เขาก็ จั กบั ญญั ติ ซึ่ ง วิ ตกบั ญญั ติ : ข อนี้ เป นฐานะที่ มี ได ; เมื่อการบั ญญั ติซึ่งวิตกมี อยู เขาก็จักบั ญญั ติ ซึ่ง ปป ญจสั ญญาสั งขาสมุ ทาจรณบั ญญั ติ : ขอนี้เปนฐานะที่มีได;
www.buddhadasa.info ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! บุ รุ ษ นั้ น หนอ เมื่ อ หู มี อ ยู , เมื่ อ เสี ย งมี อ ยู , เมื่ อ โสตวิ ญ ญาณมี อ ยู ; เขาจั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง ผั ส สบั ญ ญั ติ ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ข อ นี้ เป น ฐานะที่มีได.
ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! บุ รุ ษ นั้ นหนอ เมื่ อจมู กมี อยู , เมื่ อกลิ่ นมี อยู , เมื่ อ ฆานวิ ญ ญ าณ มี อ ยู ; เขาจั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง ผั ส สบั ญ ญั ติ ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ข อ นี้ เปนฐานะที่มีได.
www.buddhadasa.info
๖๐๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! บุ รุ ษ นั้ น หนอ เมื่ อ ลิ้ น มี อ ยู , เมื่ อ รสมี อ ยู , เมื ่อ ชิว หาวิญ ญ าณ มีอ ยู ; เขาจัก บัญ ญ ัต ิซึ ่ง ผัส สบัญ ญ ัต ิ ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ขอนี้เปนฐานะที่มีได. ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! เมื่ อกายมี อยู , เมื่ อโผฏฐั พพะมี อยู , เมื่ อกายวิญ ญ าณ ม ีอ ยู ; เข า จัก บ ัญ ญ ัต ิซึ ่ง ผ ัส ส บ ัญ ญ ัต ิ ...ฯ ล ฯ ... ...ฯ ล ฯ ...ข อ นี้ เป น ฐานะที่มีได. ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! บุ รุษนั้ นหนอ เมื่ อใจมี อยู , เมื่ อธั มมารมณ มี อยู, เมื่ อมโนวิญญาณมี อยู; เขาก็จักบัญญั ติซึ่ง ผั สสบั ญญั ติ : ขอนี้เปนฐานะที่มีได; เมื่ อการบั ญญั ติ ซึ่ งผั สสะมี อยู เขาก็ จั ก บั ญญั ติ ซึ่ ง เวทนาบั ญญั ติ : ข อนี้ เป นฐานะที่ มี ได ; เมื่ อการบั ญญั ติ ซึ่งเวทนามี อยู เขาก็ จักบั ญญั ติ ซึ่ง สั ญญาบั ญญั ติ : ขอนี้ เป นฐานะที่ มี ได ; เมื่ อการบั ญญั ติ ซึ่งสัญญามี อยู เขาก็ จักบั ญญั ติซึ่ง วิตกบั ญญั ติ : ขอนี้เป น ฐานะที่ มี ได ; เมื่ อการบัญญั ติซึ่งวิตกมีอยู เขาก็จักบัญญั ติซึ่ง ปป ญจสั ญญาสังขาสมุ ทาจรณบั ญญั ติ : ขอนี้ เปนฐานะที่มีได;
ปฏิจจสมุปบาทแหงปปญจสัญญา www.buddhadasa.info อันทําความเนิ่นชา แกการละอนุสัย ๑
(เมื่ อ พระผู มี พ ระภาคเจ า ทรงเล าเรื่ องการสนทนากั บ ทั ณ ฑปาณิ ศากยะจบลงแล ว, ภิ กษุ รูปหนึ่ง ไดทูลถามขึ้นวา :-)
๑
มธุ ป ณ ฑิ กสู ต ร มู .ม.๑๒/๒๒๒,๒๒๕/๒๔๕,๒๔๘, ตรั ส แก ภิ ก ษุ รู ป หนึ่ ง ต อ หน า ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ที่ นิ โครธาราม ใกลกรุงกบิลพัสดุ.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๐๕
"ขาแตพระองคผูเจริญ! พระผูมีพระภาคทรงมีปรกติตรัสอยางไร จึงไม โตเถียงกับผูใดผูหนึ่ง ในโลกพรอมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมูสัตวพรอม ทั้งสมณพราหมณ พรอมทั้ งเทวดาและมนุษย, ดํ ารงอยูในโลก; อนึ่ ง จะเป นไปไดโดย วิธีใด ที่สัญญาทั้งหลาย จะไมนอนตาม ซึ่งบุคคลผูเปนพราหมณ ผูปราศจากกาม ทั้งหลายอยู, ผูหมดความสงสัยอันเปนเหตุใหถามวาอะไรเปนอยางไร, ผูมีความรําคาญ อันตัดขาดแลว, ผูปราศจากตัณหาในภพนอยและภพใหญ; พระเจาขา!" ดู ก อนภิ กษุ ! สั ญ ญา (ความสํ าคั ญ มั่ นหมายซึ่ งเป นอนุ สั ย)๑ ชนิ ดต าง ๆ อันเปนเครื่องทําความเนิ่นชา (ปปญจสัญญา), ยอมกลุมรุมบุรุษ เพราะมีอารมณใดเปน ตนเหตุ ถาสิ่งใด ๆเพื่อความเปนอารมณ นั้น มี ไม ได (ดวยเหตุใดก็ตาม) เพื่อบุ รุษนั้น จะพึงเพลิดเพลิน พราสรรเสริญ เมาหมก แลวไซร; นั่นแหละคือที่สุดแหงราคานุสัย, แหงปฏิฆานุสัย , แหงทิฏฐานุสัย, แหงวิจิกิจฉานุสัย, แหงมานานุสัย แหง ภวราคานุสัย แหงอวิชชานุสัย; และนั่นแหละคือที่สุดแหงการใชอาวุธไมมีคม การ ใช อาวุ ธมี คม, การทะเลาะ การแก งแย ง การวิ วาท การกล าวคํ าหยาบว า "มึ ง! มึ ง!", การพู ดคํ าส อเสี ยด และการพู ดเท็ จ ทั้ งหลาย : ธรรมอั นเป นบาปอกุ ศลเหล านั้ น ในเพราะ เหตุนั้น, ยอมดับไปโดยไมมีสวนเหลือ, ดังนี้.๒
www.buddhadasa.info (ครั้นพระผู มี พระภาคตรัสดั งนี้ แล ว เสด็ จเขาสู ที่ ประทั บ, พวกภิ กษุ ที่ ฟ งอยู ยั งไม เข าใจในเนื้ อ ความแห งพุ ทธพจน นี้ จึ งพากั นไปหาพระมหากั จจานะให ชวยขยายความ. พระมหากัจจานะกล าวขยายความ ดังนี้ :-)
๑
สั ญญาในที่ นี้ มิ ใช เป นเพี ยงความจํา; แต เป นความสํ าคั ญมั่ นหมาย เช น สุ ขสั ญญา = สั ญญาวาสุ ข; อัตตสัญญา = สั ญญาวาตั วตน เป นต น, เกิดขึ้นดวยอุปาทาน; เกิ ดเมื่อใด ยอมก ออนุ สัย และเพิ่ มความ เปนอนุสัย (ความเคยชิน) ยิ่งขึ้นทุกที; ก็ทําความเนิ่นชา หรือความยากแกการดับทุกข ยิ่งขึ้นทุกที. ๒ การที่ พระผู มี พระภาคเจ า ไม ตรัสตอบคํ าถามที่ หนึ่ งโดยตรง เพราะตอบรวมกั นได กั บคํ าตอบของคํ าถาม ที่ ส องนั่ น เอง, ถ า พิ จ ารณาดู ใ ห ดี ก็ จ ะเห็ น ได , ไม ต อ งฉงน : ข อ ความตอนที่ ว า "นั่ น คื อ ที่ สุ ด แห ง การใชอาวุธไมมีคม...", นั่นเองเปนคําตอบของปญหาที่หนึ่ง ที่ถามวา มีปรกติตรัสอยางไร?
www.buddhadasa.info
๖๐๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! ข อ ที่ พ ระผู มี พ ระภาคเจ า ทรงแสดงอุ เทศ ไว แ ต โ ดยย อ ว า "ดู ก อ นภิ า ษุ ! สั ญ ญาชนิ ด ต า ง ๆ อั น เป น เครื่ อ งทํ า ความเนิ่ น ช า ย อมกลุ มรุ มบุ รุ ษ เพราะมี อารมณ ใดเป นต นเหตุ ถ าสิ่ งใด ๆ เพื่ อความเป นอารมณ นั้ น มี ไ ม ไ ด (ด ว ยเหตุ ใ ดก็ ต าม) เพื่ อ บุ รุ ษ นั้ น จะพึ ง เพลิ ด เพลิ น ...ฯลฯ...ฯลฯ...ธรรม อั น เป นบาปอกุ ศลเหล านั้ น ในเพราะเหตุ นั้ น , ย อมดั บ ไปโดยไม มี ส วนเหลื อ ",ดั งนี้ แล ว ไม ท รงจํ า แนกเนื้ อ ความโดยพิ ส ดาร และเสด็ จ ลุ ก จากอาสนะเข า สู ที่ ป ระทั บ เสี ย นั้ น ; ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! เราย อ มรู เนื้ อ ความแห ง อุ เทศที่ พ ระผู มี พ ระภาคเจ า ทรงแสดงไว แ ต โ ดยย อ , ไม ท รงชี้ แ จงเนื้ อ ความไว โ ดยพิ ส ดารนี้ ; ได โ ดยพิ ส ดาร อยางนี้คือ :ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! เพราะอาศั ย ตาด ว ย, รู ป ทั้ ง หลายด ว ย, จึ ง เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ ; การประจวบพร อ มแห ง ธรรม ๓ ประการ (ตา+รู ป +จั ก ขุ วิญญาณ) นั่นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; บุคคลเสวยซึ่งเวทนาใด, ยอมรูสึกซึ่งเวทนานั้น; บุคคลรูสึกซึ่งเวทนาใด, ยอมมีวิตกอยูกะเวทนานั้น; บุคคลมีวิตกอยูกะเวทนาใด, ยอมประพฤติซึ่งความเนิ่นชาอยูกะเวทนานั้น๑ บุคคลประพฤติซึ่งความเนิ่นชาอยูกะเวทนาใด, สัญญา(ความมั่นหมาย) ชนิดตาง ๆ อันเปนเครื่องทําความเนิ่นชา ยอมกลุมรุมซึ่งบุรุษนั้น, โดยมีเวทนานั้น เปนเหตุ, เปนไปในรูปทั้งหลาย อันพึงรูแจงไดดวยตา, ทั้งที่เปนอดีต อนาคต และปจจุบัน.
www.buddhadasa.info
๑
ผูอานควรจะสังเกตใหเห็นไดตรงนี้เลยวา เวทนานี้แหละคืออาการของปฏิจจสมุปบาทที่สําคัญอันหนึ่งที่ทําความ เนิ่นชาแกการละอนุสัย.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๐๗
ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย! เพราะอาศัยหูดวย, ...ฯลฯ...๑ และปจจุบัน. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย! เพราะอาศัยจมูกดวย, ...ฯลฯ... และปจจุบัน. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย! เพราะอาศัยลิ้นดวย, ...ฯลฯ... และปจจุบัน. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย! เพราะอาศัยกายดวย, ...ฯลฯ... และปจจุบัน. ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ยใจด วย, ธั มมารมณ ทั้ งหลายด วย, จึ ง เกิ ด มโนวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อ มแห ง ธรรม ๓ ประการ (ใจ+ธั ม มารมณ +มโนวิญญาณ) นั่นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; บุคคลเสวยซึ่งเวทนาใด, ยอมรูสึกซึ่งเวทนานั้น; บุคคลรูสึกซึ่งเวทนาใด, ยอมมีวิตกอยูกะเวทนานั้น; บุคคลมีวิตกอยูกะเวทนาใด, ยอมประพฤติซึ่งความเนิ่นชาอยูกะเวทนานั้น; บุคคลประพฤติซึ่งความเนิ่นชาอยูกะเวทนาใด, สัญญา(ความมั่นหมาย) ชนิดตาง ๆ อันเปนเครื่องทําความเนิ่นชา ยอมกลุมรุมซึ่งบุรุษนั้น, โดยมีเวทนานั้น เป น เหตุ , เป น ไปในธั ม มารมณ ทั้ งหลาย อั น พึ งรู แจ งได ด วยใจ, ทั้ งที่ เป น อดี ต อนาคต และปจจุบัน. ---- ---- ---- ----
www.buddhadasa.info
๑
ในกรณี แห งตากั บรูป มี ข อความพิ สดารอย างไร ในกรณี แห งหู กั บเสี ยง, จมู กกั บกลิ่ น, ลิ้ นกั บรส, กายกั บ โผฏฐัพพะ ซึ่งละ...ฯลฯ...ไว, ก็พึงทราบวามีขอความเต็มอยางเดียวกัน ทุกตัวอักษร ตางกันแตเพียงชื่อแหง อายตนะ แตละอายตนะเทานั้น.
www.buddhadasa.info
๖๐๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดู ก อ นท านผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! บุ รุ ษ นั้ น หนอ เมื่ อ ตามี อ ยู , เมื่ อ รู ป มี อ ยู , เมื่ อ จั กขุ วิ ญ ญาณมี อยู ; เขาก็ จั กบั ญ ญั ติ ซึ่ ง ผั สสบั ญ ญั ติ ๑ : ข อนี้ เป นฐานะที่ มี ได ; เมื่ อ การบั ญ ญั ติ ซึ่ ง ผั ส สะมี อ ยู เขาก็ จั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง เวทนาบั ญ ญั ติ : ข อ นี้ เป น ฐานะ ที่ มี ได ; เมื่ อ การบั ญ ญั ติ ซึ่ ง เวทนามี อ ยู เขาก็ จั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง สั ญ ญาบั ญ ญั ติ : ข อ นี้ เป น ฐานะที่ มี ได ; เมื่ อ การบั ญ ญั ติ ซึ่ งสั ญ ญามี อ ยู เขาก็ จั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ งวิ ต กบั ญ ญั ติ : ข อนี้ เป นฐานะที่ มี ได ; เมื่ อการบั ญญั ติ ซึ่ งวิ ตกมี อยู เขาก็ จั กบั ญญั ติ ซึ่ ง ปป ญจสั ญญาสังขาสมุทาจรณบัญญัติ ๒ :ขอนี้เปนฐานะที่มีได. ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! บุ รุ ษ นั้ น หนอ เมื่ อ หู มี อ ยู , เมื่ อ เสี ย งมี อ ยู , เมื่ อ โสตวิ ญ ญาณมี อ ยู ; เขาก็ จั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง ผั ส สบั ญ ญั ติ ...ฯลฯ...ฯลฯ...๓ข อ นี้ เป น ฐานะที่มีได. ดูก อ นทา นผู ม ีอ ายุทั ้ง หลาย| บุร ุษ นั ้น หนอ เมื ่อ จมูก มีอ ยู , เมื ่อ กลิ ่น มี อ ยู , เมื่ อ ฆานวิ ญ ญาณมี อ ยู ; เขาก็ จั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง สั ม ผั ส สบั ญ ญั ติ ...ฯลฯ...ฯลฯ... ขอนี้เปนฐานะที่มีได.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย| บุ รุ ษ นั้ น หนอ เมื่ อ ลิ้ น มี อ ยู , เมื่ อ รสมี อ ยู , เมื่ อ ชิ ว หาวิ ญ ญาณมี อ ยู ; เขาก็ จั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง สั ม ผั ส สบั ญ ญั ติ ...ฯลฯ...ฯลฯ... ข อ นี้ เปนฐานะที่มีได
๑
ผั ส สบั ญ ญั ติ คื อ การกล า วไป ตามความรู สึ ก ของเขา เกี่ ย วกั บ ผั ส สะ ว า มี อ ยู โ ดยชนิ ด โดย อาการเป น ต น ว ามี อ ยู อ ย า งนั้ น ๆ, ไม มี อ ะไรอื่ น มากไปกว า นั้ น . แม ในการบั ญ ญั ติ ข อ อื่ น ๆ มี เวทนาบัญญัติเปนตนก็มีนัยอยางเดียวกัน. ๒ ปป ญจสั ญญาสั งขาสมุ ทาจรณบั ญญั ติ คื อการบั ญญั ติ ซึ่ งการกลุ มรุ มของสั ญญา กล าวคื อความสํ าคั ญ ซึ่ ง เปนอนุสัยมีชนิดตาง ๆ ลวนแตทําความเนิ่นชา. ๓ ในกรณี แ ห ง ตากั บ รู ป มี ข อ ความพิ ส ดารอย า งไร; ในกรณี แ ห ง หู กั บ เสี ย ง, จมู ก กั บ กลิ่ น , ลิ้ น กั บ รส, กายกับโผฏฐัพพะ, ซึ่งละ...ฯลฯ...ไว; พึงทราบวามีขอความเต็มอยางเดียวกัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๐๙
ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ งหลาย! บุ รุษ นั้ น หนอ เมื่ อ กายมี อ ยู , เมื่ อ โผฏฐั พ พะมี อ ยู , เมื่ อ กายวิ ญ ญาณมี อ ยู ; เขาก็ จั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง ผั ส สบั ญ ญั ติ ...ฯลฯ... ฯลฯ...ขอนี้เปนฐานะที่มีได. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย! บุรุษนั้นหนอ เมื่อใจมีอยู, เมื่อธัมมารมณ มีอยู, เมื่อมโนวิญ ญาณมีอยู; เขาก็จักบัญญั ติซึ่งผัสสบัญ ญั ติ : ขอนี้เปนฐานะ ที่ มี ได ; เมื่ อ การบั ญ ญั ติ ซึ่ งผั ส สะมี อ ยู เขาก็ จั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ งเวทนาบั ญ ญั ติ : ข อ นี้ เปนฐานะที่มีได; เมื่อการบัญญั ติซึ่งเวทนามีอยู เขาก็จักบัญญั ติซึ่งสัญญาบัญญั ติ : ข อ นี้ เป น ฐานะที่ มี ได ; เมื่ อ การบั ญ ญั ติ ซึ่ ง สั ญ ญามี อ ยู เขาก็ จั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง วิ ต กบัญ ญัต ิ : ขอ นี ้เปน ฐานะที ่ม ีไ ด; เมื ่อ การบัญ ญัต ิซึ ่ง วิต กมีอ ยู เขาก็จ ัก บัญ ญัติ ซึ่ง ปปญจสัญญาสังขาสมุทาจรณบัญญัติ : ขอนี้เปนฐานะที่มีได. ----
(ปฎิปกขนัย)
----
ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! บุ รุ ษ นั้ น หนอ เมื่ อ ตาไม มี อ ยู , เมื่ อ รู ป ไม มี อ ยู , เมื่ อ จั ก ขุ วิ ญ ญาณไม มี อ ยู ; เขาจั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง ผั ส สบั ญ ญั ติ : ข อ นี้ เป น ฐานะที่ มี ไม ได ; เมื่ อการบั ญ ญั ติ ซึ่งผั สสะไม มี อยู เขาจักบั ญ ญั ติ ซึ่งเวทนาบั ญ ญั ติ : ข อ นี้ เป น ฐานะที่ มี ไ ม ไ ด ; เมื่ อ การบั ญ ญั ติ ซึ่ ง เวทนาไม มี อ ยู เขาจั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง สั ญ ญาบั ญ ญั ติ : ข อ นี้ เป น ฐานะที่ มี ไม ได ; เมื่ อ การบั ญ ญั ติ ซึ่ งสั ญ ญาไม มี อ ยู เขา จั กบั ญ ญั ติ ซึ่ งวิ ตกบั ญ ญั ติ : ข อ นี้ เป นฐานะที่ มี ไม ได ; เมื่ อการบั ญ ญั ติ ซึ่ งวิ ตกไม มี อยู เขาจักบัญญัติซึ่งปปญจสัญญาสังขาสมุทาจรณบัญญัติ :ขอนี้เปนฐานะที่มีไมได.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๖๑๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! บุ รุ ษ นั้ น หนอ เมื่ อ หู ไ ม มี อ ยู , เมื่ อ เสี ย ง ไมม ีอ ยู , เมื ่อ โสตวิญ ญ าณ ไมม ีอ ยู ; เขาจัก บัญ ญัต ิซึ ่ง ผัส สบัญ ญัต ิ ...ฯลฯ ...ฯลฯ... ๑ขอนี้เปนฐานะที่มีไมได. ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! บุ รุษ นั้ นหนอ เมื่ อ จมู กไม มี อ ยู , เมื่ อกลิ่ น ไมม ีอ ยู , เมื ่อ ฆาน- วิญ ญ าณ ไมม ีอ ยู ; เขาจัก บัญ ญัต ิซึ ่ง ผัส สบัญ ญัต ิ ...ฯลฯ ...ฯลฯ... ขอนี้เปนฐานะที่มีไมได. ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! บุ รุ ษ นั้ น หนอ เมื่ อ ลิ้ น ไม มี อ ยู , เมื่ อ รส ไมม ีอ ยู , เมื ่อ ชิว หาวิญ ญาณไมม ีอ ยู ; เขาจัก บัญ ญัต ิซึ ่ง ผัส สบัญ ญัต ิ ...ฯลฯ ... ฯลฯ... ขอนี้เปนฐานะที่มีไมได. ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! บุ รุ ษ นั้ น หนอ เมื่ อ กายไม มี อ ยู , เมื่ อ โผฏฐัพ พะไมม ีอ ยู , เมื ่อ กายวิญ ญาณไมม ีอ ยู ; เขาจัก บัญ ญัต ิซึ ่ง ผัส สบัญ ญัติ ...ฯลฯ...ฯลฯ... ขอนี้เปนฐานะที่มีไมได.
www.buddhadasa.info ดูก อ นทา นผู ม ีอ ายุทั ้ง หลาย! บุร ุษ นั ้น หนอ เมื ่อ ใจไมม ีอ ยู , เมื ่อ ธั ม มารมณ ไ ม มี อ ยู , เมื่ อ มโนวิ ญ ญาณไม มี อ ยู ; เขาจั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง ผั ส สบั ญ ญั ติ : ข อ นี้ เ ป น ฐานะที่ มี ไ ม ไ ด ; เมื่ อ การบั ญ ญั ติ ซึ่ ง ผั ส สะไม มี อ ยู เขาจั ก บั ญ ญั ติ ซึ่ ง เวทนาบัญ ญ ัต ิ :ขอ นี ้เ ปน ฐานะที ่ม ีไ มไ ด; เมื ่อ การบัญ ญ ัต ิซึ ่ง เวทนาไมม ีอ ยู เขาจักบัญญัติซึ่งสัญญาบัญญัติ : ขอนี้เปนฐานะที่มีไมได; เมื่อการบัญญัติซึ่ง
๑
ในกรณี แห งตากั บรู ป มี ข อความพิ สดารอย างไร ในกรณี แห งหู กั บเสี ยง, จมู กกั บกลิ่ น, ลิ้ นกั บรส, กาย กับโผฏฐัพพะ, ซึ่งละ...ฯลฯ...ไว, พึงทราบวามีขอความเต็มอยางเดียวกัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๑๑
สัญ ญาไมม ีอ ยู เขาจั กบั ญ ญั ติ ซึ่ งวิ ตกบั ญ ญั ติ : ข อนี้ เป นฐานะที่ มี ไม ได ; เมื่ อการ บัญญั ติซึ่งวิตกไมมีอยูเขาจักบัญญั ติซึ่งปปญจสัญญาสังขาสมุทาจรณบัญญั ติ : ขอ นี้เปนฐานะที่มีไมได. ---- ---- ---- ----
ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย! ขอที่พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงอุเทศไว แตโดยยอวา "ดูกอนภิกษุ! สัญญา (ความมั่นหมาย) ชนิดตาง ๆ อันเปนเครื่องทําความ เนิ่นชา ยอมกลุมรุมบุรษ เพราะมีอารมณ ใดเปนตนเหตุ ถาสิ่งใด ๆ เพื่อความเปนอารมณ นั้ นมี ไม ได (ด วยเหตุ ใดก็ ตาม) เพื่ อบุ รุษนั้ นจะพึ งเพลิ ดเพลิ น ...ฯลฯ...ฯลฯ... ธรรม อันเปนบาปอกุศลเหลานั้น ในเพราะเหตุนั้น, ยอมดับไปโดยไมมีสวนเหลือ" ดังนี้ แลว ไม ทรงจํ าแนกเนื้ อความโดยพิ สดาร และเสด็ จลุ กจากอาสนะเข าสู ที่ ประทั บ เสี ยนั้ น; ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! เราย อมรู เนื้ อความแห งอุ เทศที่ พระผู มี พระภาคทรง แสดงไว แต โดยย อ ไม ท รงชี้ แจงเนื้ อความโดยพิ ส ดารนี้ ได โดยพิ ส ดาร อย างนี้ แล. ดูก อ นทา นผู ม ีอ ายุทั ้ง หลาย! ก็ถ า ทา นทั ้ง หลายหวัง อยู ก็จ งเขา ไปเฝา พระผู มี พระภาคเจ า แล วทู ลถามซึ่ งความข อนั้ นเถิ ด พระผู มี พ ระภาคทรงพยากรณ แก ท าน ทั้งหลายอยางไร ทานทั้งหลาย จงทรงจําไวอยางนั้นเถิด.
www.buddhadasa.info (ภิกษุ เหลานั้น ไดเขาไปกราบทูลเรื่องนี้แตพระผูมีพระภาคเจา, ไดตรัสรับรองขอความนั้นวา ถูกตองตามที่พระองคจะตรัสเอง และไดตรัสสรรเสริญพระมหากัจจานะวา เปนบัณฑิต มีปญญามาก). หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ งสั ง เกตอาการแห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท เพี ยงอาการเดี ยว ซึ่ งในที่ นี้ ได แก เวทนา อั น เกิ ด มาจากอวิ ชชาสั ม ผั สนั่ น แหละ ไม ว าจะเป น ทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย หรื อ ใจก็ ต าม เป น สิ่ งทํ าความเนิ่ น ช าแก ก ารละเสี ยซึ่ งอนุ สั ย คื อ ความเคยชิ น ในการสยบมั วเมาในเวทนาแต กาลก อ น, ยิ่ งเสวยเวทนาอี ก ก็ ยิ่ งเพิ่ ม อนุ สั ย ยิ่ ง ขึ้นไปอีก : สุขเวทนา เพิ่มกําลังแกอนุสัยประเภทราคะ, ทุกขเวทนา เพิ่มกําลังแกอนุสัย
www.buddhadasa.info
๖๑๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐ ประเภทโทสะ, อทุ ก ขมสุ ข เวทนา เพิ่ ม กํ า ลั ง แก อ นุ สั ย ประเภทโมหะ. มั น เพิ่ ม กํ า ลั ง แก อ นุ สั ย อย า งไร รู ไ ด ที่ อ าการแห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาททั้ ง หลาย นั่ น เอง; กล า วคื อ ทํ า ความเคยชิ น เพิ่ ม ขึ้ น ในการสร า งภพ-ชาติ -ตามแบบปฏิ จ จสมุ ป บาท; ดั ง นั้ น จงระวั ง แม แ ต ป ฏิ จ จสมุ ป บาท เพี ย งอาการเดี ย ว คื อ "เวทนา" ในลั ก ษณ ะที่ ก ล า วไว ใ นสู ต รนี้ แ ล ว ซ อ นตั ว อยู ในนามของ "สัญญา" ซึ่งในที่นี้หมายถึงความสําคัญมั่นหมายในเวทนานั้น.
ปฏิจจสมุปบาท แหง การดับปปญจสัญญาสังขา๑ "ข าแต พระองค ผู นิ รทุ กข ! อะไรเป นเครื่ องผู กพั นเทวดา มนุ ษย อสู ร นาค คั นธั พพ ทั้ งหลาย อั นมี อยู เป นหมู ๆ (ซึ่ งแต ละหมู ) ปรารถนาอยู ว า เราจั กเป นคนไม มี เวร ไม มี อาชญา ไม มี ข าศึ ก ไม มี การเบี ยดเบี ยนแก กั นและกั น แต แล วก็ ไม สามารถจั กเป นผู อยู อยางผูไมมีเวร ไมมีอาชญา ไมมีขาศึก ไมมีเบียดเบียนแกกันและกันเลา พระเจาขา?" ดูกอนจอมเทพ! อิสสาและมัจฉริยะ นั่นแล เปนเครื่องผูกพัน...ฯลฯ... "ข าแต พระสุ คต! ความสงสั ยของข าพระองค ในเรื่ องนั้ นสิ้ นแล ว เรื่ องที่ จะต อง ถามใครวาอย างไรในเรื่องนั้ น ก็ ปราศจากไปแล ว เพราะได ฟ งป ญหาพยากรณ ของพระผู มี พระภาคเจ า. ข าแต พระองค ผู นิ รทุ กข ! ก็ อิ สสาและมั จฉริ ยะนั้ น มี อะไรเป นนิ ทาน (ต นเหตุ ) มี อะไรเป นสมุ ทั ย (เครื่ องก อขึ้ น) มี อะไรเป นชาติ กะ (เครื่ องทํ าให เกิ ด) มี อะไรเป นปภวะ (แดนเกิ ด)? เมื่ ออะไรมี อยู อิ สสาและมั จฉริ ยะจึ งมี ? เมื่ ออะไรไม มี อยู อิ สสาและมั จฉริ ยะ จึงไมมี พระเจาขา?"
www.buddhadasa.info
๑
สักกปญหสูตร มหา.ที.๑๐/๓๑๐/๒๕๕, ตรัสแกทาวสักกเทวราช ที่ถ้ําอินทสาละ ภูเขาเวทยิกบรรพต.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๑๓
ดูกอนจอมเทพ! อิสสาและมัจฉริยะนั้น มีสิ่งเปนที่รักและสิ่งไมเปน ที่ รัก (ป ยาปฺ ป ย) นั่ น แล เป น นิ ท าน ...ฯลฯ... เมื่ อ สิ่งเป นที่ รักและสิ่งไม เป นที่ รัก ไมมีอยู อิสสาและมัจฉริยะ ก็ไมมี. "ขาแตพระองคผูนิรทุกข! ก็สิ่งเปนที่รักและสิ่งไมเปนที่รักนั้นเลา มีอะไรเปน นิทาน เปนสมุทัย เปนชาติกะ เปนปภวะ? เมื่ออะไรมีอยู สิ่งเปนที่รักและสิ่งไมเปนที่รัก จึงมี? เมื่ออะไรไมมีอยู สิ่งเปนที่รักและสิ่งไมเปนที่รักจึงไมมี พระเจาขา?" ดูกอนจอมเทพ! สิ่ งเป น ที่ รัก และสิ่ งไม เป น ที่ รัก นั้ น มี ฉั น ทะ(ความ พอใจ)เปนนิทาน ...ฯลฯ... เมื่อฉันทะ ไมมีอยู สิ่งเปนที่รักและสิ่งไมเปนที่รักก็ไมมี. "ข าแต พระองค ผู นิ รทุ กข ! ก็ ฉั นทะนั้ นเล า มี อะไรเป นนิ ทาน เป นสมุ ทั ย เปนชาติกะ เปนปภวะ? เมื่ออะไรมีอยู ฉันทะจึงมี? เมื่ออะไรไมมีอยู ฉันทะจึงไมมี พระเจาขา?"
www.buddhadasa.info ดู ก อนจอมเทพ! ฉั น ทะนั้ น มี วิ ตก (ความตริ ตรึ ก )เป น นิ ทาน...ฯลฯ... เมื่อวิตกไมมีอยู ฉันทะก็ไมมี
"ขาแตพระองคผูนิรทุกข! ก็วิตกนั้นเลา มีอะไรเปนนิทาน เปนสมุทัย เป น ชาติกะ เปนปภวะ? เมื่ออะไรมีอยู วิตกจึงมี? เมื่ออะไรไมมีอยู วิตกจึงไมมี พระเจาขา?" ดูกอนจอมเทพ! วิตกนั้น มีปป ญจสัญญาสังขา เปนนิ ทาน ...ฯลฯ... เมื่อปปญจสัญญาสังขาไมมีอยู วิตกก็ไมมี.
www.buddhadasa.info
๖๑๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
“ข า แต พ ระองค ผู นิ รทุ ก ข ! ก็ ภิ ก ษุ เป น ผู ป ฏิ บั ติ อ ย า งไรเล า จึ งชื่ อ ว า เป น ผู ปฏิ บั ติ ข อ ปฏิ บั ติ เครื่ อ งยั งสั ต ว ให ถึ งซึ่ งสมควรแก ก ารดั บ ไม เหลื อ แห งปป ญ จสัญญาสังขา พระเจาขา?" ดู ก อนจอมเทพ! เราตคถาคตย อมกล าวซึ่ งโสมนั ส ไว เป น ๒ อย าง คื อโสมนั สที่ ควรเสพ อยางหนึ่ ง โสมนั สที่ ไม ควรเสพ อย างหนึ่ ง (ตอไปไดตรัสถึงโทมนัส และอุเบกขา ซึ่งแตละอยาง ๆ ไดตรัสไวโดยแยกเปนสองอยางเชนเดียวกัน).
ดู ก อนจอมเทพ! คํ านี้ ว า "เราตถาคตย อมกล าวซึ่ งโสมนั ส ไว เป น ๒ อย าง คื อโสมนั สที่ ควรเสพอย างหนึ่ ง โสมนั สที่ ไม ควรเสพอย างหนึ่ ง" ดั งนี้ เป นคํ าที่ เรากล าว แลว ก็คํานั้น เราอาศัยเหตุผลอะไรกลาวเลา? ดู ก อ นจอมเทพ! ในบรรดาโสมนั ส ๒ อย างนั้ น บุ ค คลพึ งรู จั ก ซึ่ งโสมนั ส อั น ใดว า "เมื่ อ เราเสพโสมนั ส นี้ แ ลอยู ธรรมอั น เป น อกุ ศ ลทั้ ง หลาย ย อ มเจริ ญ ยิ่ ง ขึ้ น ธรรมอั น เป น กุ ศ ลทั้ ง หลาย ย อ มเสื่ อ มสิ้ น ไป" ดั ง นี้ ; โสมนั ส อั น มี ลั ก ษณะอย า งนี้ เปน โสมนัส ที ่ไ มค วรเสพ. ดูก อ นจอมเทพ! ในบรรดาโสมนัส อยา งนั ้น บุค คล พึ งรู จั กซึ่ งโสมนั สอั นใดว า "เมื่ อเราเสพโสมนั สนี้ แลอยู ธรรมอั นเป นอกุ ศลทั้ งหลาย ย อม เสื่ อ มสิ้ น ไป ธรรมอั น เป น กุ ศ ลทั้ ง หลาย ย อ มเจริ ญ ขึ้ น " ดั ง นี้ ; โสมนั ส อั น มี ลั ก ษณะ อย า งนี้ เป น โสมนั ส ที่ ค วรเสพ. ดู ก อ นจอมเทพ! ในบรรดาโสมนั ส ทั้ ง ๒ อย างนั้ น โสมนั ส ใดแล มี วิ ต กมี วิ จ าร, โสมนั ส ใดแล ไม มี วิ ต กไม มี วิ จ าร; โสมนั ส ที่ ไม มี วิ ต ก ไมมีวิจารนั่น เปนโสมนัสที่ประณีตกวาโสมนัสที่มีวิตกมีวิจารนั้น.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นจอมเทพ! คํ าใดที่ เรากล าวแล วว า "โสมนั ส มี ส องอย าง คื อ โสมนั ส ที่ ควรเสพอย างหนึ่ ง โสมนั สที่ ไม ควรเสพอย างหนึ่ ง" ดั งนี้ นั้ น คํ านั้ น เรากล าวแล วอาศั ย เหตุผลเหลานี้แล.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๑๕
(ตอไปนี้ก็ไดตรัสคําอธิบายเกี่ยวกับโทมนัส และอุเบกขา โดยนัยอยางเดียวกันทุกประการ)
ดู ก อนจอมเทพ! ภิ กษุ เป นผู ปฏิ บั ติ แล ว (ในลั กษณะที่ ทํ าให รูจั กโสมนั ส โทมนัสและอุเบกขา ดังที่กลาวแลว) อยางนี้แล ชื่อวาเปนผูปฏิบัติขอปฏิบัติเครื่องยังสัตว ใหถึงซึ่งความสมควรแกการดับไมเหลือแหงปปญจสัญญาสังขา.
ปฏิจจสมุปบาท ที่ยิ่งกวาปฏิจจสมุปบาท (มี ๒๔ อาการ)๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เรากลาวความสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย สําหรับ บุคคลผูรูอยู เห็นอยู มิใชสําหรับบุคคลผูไมรูอยู ไมเห็นอยู. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ความสิ้ นไปแห งอาสวะทั้ งหลาย ย อมมี แก บุ คคลผู รูอยู เห็นอยู ซึ่งอะไรเลา? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ความสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลาย ยอมมีแกบุคคลผู รูอยู เห็ นอยู วา "รูป คื ออย างนี้ ๆ, เหตุ ให เกิ ดรูป คื อย างนี้ ๆ, ความไม ตั้ งอยู ได แห งรูป คื ออย างนี้ ๆ;" และว า "เวทนา คื ออย างนี้ ๆ, เหตุ ให เกิ ดเวทนา คื ออย างนี้ ๆ, ความ ไม ตั้ งอยู ได แ ห ง เวทนา คื อ อย างนี้ ๆ"; และว า "สั ญ ญา คื อ อย างนี้ ๆ, เหตุ ให เกิ ด สั ญ ญา คื อย างนี้ ๆ, ความไม ตั้ งอยู ได แห งสั ญ ญา คื อ อย างนี้ ๆ"; และว า "สั งขาร ทั้งหลาย คืออยางนี้ๆ, เหตุใหเกิดสังขารทั้งหลาย คืออยางนี้ๆ, ความไมตั้งอยูไดแหง
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๓ ทสพลวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๓๕/๖๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๖๑๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
สั งขารทั้ งหลาย คื ออย างนี้ ๆ"; และว า "วิ ญ ญาณ คื ออย างนี้ ๆ, เหตุ ให เกิ ดวิ ญ ญาณ คื ออย างนี้ ๆ, ความไม ตั้ งอยู ได แห งวิ ญญาณ คื ออย างนี้ ๆ"; ดั งนี้ . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ความสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลายยอมมีแกบุคคลผูรูอยู เห็นอยูอยางนี้ ๆ แล. (๑) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ ความสิ้ น ไปแห ง อาสวะทั้ ง หลาย มี อ ยู , ญาณในความสิ้ นไปแห งอาสวะนั้ นย อมมี . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวญาณแม นั้ น วาเปนญาณมีที่เขาไปตั้งอาศัย, หาใชไมมีที่เขาไปตั้งอาศัยไม. (๒) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ อ ะไรเล า เป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ของญาณใน ความสิ้ นไป? คํ าตอบพึ งมี ว า "วิ มุ ตติ คื อธรรมเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของญาณในความ สิ้ น ไป". ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เรากล า วว า แม วิ มุ ต ติ ก็ เป น ธรรมมี ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย , หาใชเปนธรรมไมมีที่เขาไปตั้งอาศัยไม. (๓) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ อ ะไรเล า เป น ที่ เ ข า ไปอาศั ย ของวิ มุ ต ติ ? คํ าตอบ พึ งมี ว า "วิ ราคะ คื อธรรมเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของวิ มุ ตติ ". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า แม วิ ราคะ ก็ เป นธรรมมี ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย , หาใช เป นธรรมไม มี ที่ เข าไปตั้ ง อาศัยไม.
www.buddhadasa.info (๔) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ อ ะไรเล า เป น ที่ เข า ไปอาศั ย ของวิ ร าคะ? คํ าตอบ พึ งมี ว า "นิ พพิ ทา คื อธรรมเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของวิ ราคะ". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล า วว า แม นิ พ พิ ท า ก็ เป น ธรรมมี ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย , หาใช เป น ธรรมไม มี ที่ เข าไป ตั้งอาศัยไม.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๑๗
(๕) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อะไรเล า เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของนิ พพิ ทา? คําตอบ พิงมีวา "ยถาภู ตญาณทั สสทะ คือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัยของนิพพิ ทา". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า แม ยถาภู ตทั สสนะ ก็ เป นธรรมมี ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย, หาใชเปนธรรมไมมีที่เขาไปตั้งอาศัยไม. (๖) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อะไรเล า เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของยถาตภู ตญาณทัสสนะ? คําตอบ พึงมีวา "สมาธิ คือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัยของยถาภูตญาณทัสสนะ". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว าแม สมาธิ ก็ เป นธรรมมี ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย, หาใช เป น ธรรมไมมีที่เขาไปตั้งอาศัยไม. (๗) ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อะไรเล า เป น ที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของสมาธิ ? คําตอบ พึ งมี วา "สุ ข คื อธรรมเป นที่ เขาไปตั้ งอาศั ยของสมาธิ". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากลาววาแมสุข ก็เปนธรรมมีที่เขาไปตั้งอาศัย, หาใชเปนธรรมไมมีที่เขาไปตั้งอาศัยไม. (๘) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ อ ะไรเล า เป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ของสุ ข ? คําตอบ พึงมีวา "ปสสัทธิ คือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัยของสุข". ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เรากล าวว า แม ป สสั ทธิ ก็ เป นธรรมมี ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย, หาใช เป นธรรมไม มี ที่ เข าไปตั้ ง อาศัยไม.
www.buddhadasa.info (๙) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อะไรเล า เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของป สสั ทธิ ? คําตอบ พึ งมีวา "ป ติ คือธรรมเปนที่ เขาไปตั้งอาศั ยของปสสัทธิ". ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! เรากล าวว า แม ป ติ ก็ เป น ธรรมมี ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย , หาใช เป น ธรรมไม มี ที่ เข าไปตั้ ง อาศัยไม.
www.buddhadasa.info
๖๑๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
(๑๐) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ อ ะไรเล า เป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ของป ติ ? คํ า ตอบ พึง มีว า "ปราโมทย คือ ธรรมเปน ที ่เ ขา ไปตั ้ง อาศัย ของปต ิ".ดูก อ นภิก ษุ ทั้ งหลาย! เรากล า วว า แม ป ราโมทย ก็ เป น ธรรมมี ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย , หาใช เป น ธรรม ไมมีที่เขาไปตั้งอาศัยไม. (๑๑) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อะไรเล า เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของปราโมทย ? คํ า ตอบ พึ ง มี ว า "สั ท ธา คื อ ธรรมเป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ของปราโมทย ".ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า แม สั ท ธา ก็ เป นธรรมมี ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย, หาใช เป นธรรมไม มี ที่ เขาไปตั้งอาศัยไม. (๑๒) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ อ ะไรเล า เป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ของสั ท ธา? คํ าตอบ พึ งมี ว า "ทุ กข คื อธรรมเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของสั ทธา". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล า วว า แม ทุ ก ข ก็ เป น ธรรมมี ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย , หาใช เป น ธรรมไม มี ที่ เข า ไปตั้ ง อาศัยไม.
www.buddhadasa.info (๑๓) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ อ ะไรเล า เป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ของทุ ก ข ? คํ าตอบ พึ งมี ว า "ชาติ คื อธรรมเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของทุ กข ". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล า วว า แม ช าติ ก็ เป น ธรรมมี ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย , หาใช เป น ธรรมไม มี ที่ เข า ไปตั้ ง อาศัยไม. (๑๔) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ อ ะไรเล า เป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ของชาติ ? คํ าตอบ พึ งมี ว า "ภพ คื อ ธรรมเป น ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย ของชาติ ". ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เรากลาววา แมภพ ก็เปนธรรมมีที่เขาไปตั้งอาศัย, หาใชเปนธรรมไมมีที่เขาไปตั้งอาศัยไม.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๑๙
(๑๕) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ อ ะไรเล า เป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ของภพ? คําตอบ พึงมีวา "อุปาทาน คือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัยของภพ". ดูกอนภิ กษุทั้งหลาย! เรากลาววา แมอุปาทาน ก็ เปนธรรมมีที่เขาไปตั้งอาศัย, หาใชเปนธรรมไมมีที่เขาไปตั้ง อาศัยไม. (๑๖) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อะไรเล า เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของอุ ปาทาน? คํ าตอบ พึ งมี ว า "ตั ณ หา คื อธรรมเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของอุ ปาทาน". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าววา แม ตั ณ หา ก็ เป นธรรมมี ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย, หาใช เป นธรรมไม มีที่เขาไปตั้งอาศัยไม. (๑๗) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อะไรเล า เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของตั ณ หา? คําตอบ พึงมีวา "เวทนา คือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัยของตัณหา". ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เรากล าวว า แม เวทนา ก็ เป นธรรมมี ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย, หาใช เป นธรรมไม มี ที่ เข าไปตั้ ง อาศัยไม.
www.buddhadasa.info (๑๘) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อะไรเล า เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของเวทนา? คําตอบ พึ งมี วา "ผั สสะ คื อธรรมเป นที่เขาไปตั้ งอาศัยของเวทนา". ดูกอนภิกษุ ทั้ งหลาย! เรากล าววา แม ผั สสะ ก็ เป นธรรมมี ที่ เขาไปตั้ งอาศั ย, หาใช เป นธรรมไม มี ที่ เขาไปตั้ ง อาศัยไม. (๑๙) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อะไรเล า เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของผั สสะ? คําตอบ พึ งมี วา "สฬายตนะ คื อธรรมเป นที่ เข าไปตั้ งอาศัยของผั สสะ". ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า แม สฬายตนะ ก็ เป นธรรมมี ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย, หาใช เป นธรรม ไมมีที่เขาไปตั้งอาศัยไม.
www.buddhadasa.info
๖๒๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
(๒๐) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อะไรเล า เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของสฬายตนะ? คํ าตอบ พึ งมี ว า "นามรู ป คื อ ธรรมเป น ที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของสฬายตนะ". ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า แม นามรู ป ก็ เป นธรรมมี ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย, หาใช เป นธรรมไม มี ที่ เขาไปตั้งอาศัยไม. (๒๑) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ อะไรเล า เป น ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย ของนามรู ป ? คํ า ตอบ พึ งมี ว า "วิ ญ ญาณ คื อ ธรรมเป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ของนามรู ป ". ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า แม วิ ญญาณ ก็ เป นธรรมมี ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย, หาใช เป นธรรมไม มี ที่ เขาไปตั้งอาศัยไม. (๒๒) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อะไรเล า เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของวิ ญ ญาณ? คํ าตอบ พึ งมี ว า "สั งขาร ทั้ งหลาย คื อธรรมเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของวิ ญ ญาณ". ดู ก อน ภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า แม สั งขารทั้ งหลาย ก็ เป นธรรมมี ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย, หาใช เปนธรรมไมมีที่เขาไปตั้งอาศัยไม.
www.buddhadasa.info (๒๓) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ก็ อ ะไรเล า เป น ที่ เข าไปตั้ งอาศั ย ของสั งขาร? ทั้ งหลาย คํ าตอบ พึ งมี ว า "อวิ ชชา คื อธรรมเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ยของสั งขารทั้ งหลาย". [เมื่อนับความสิ้นอาสวะเขาดวย ก็เปน ๒๔ พอดี ] ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยเหตุ ดั งกล าวมานี้ แล สั งขารทั้ งหลาย ชื่ อว ามี อวิชชาเปนที่เขาไปตั้งอาศัย;
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๒๑
วิญญาณ ชื่อวามี สังขาร เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; นามรูป ชื่อวามี วิญญาณ เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; สฬายตนะ ชื่อวามี นามรูป เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; ผัสสะ ชื่อวามี สฬายตนะ เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; เวทนา ชื่อวามี ผัสสะ เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; ตัณหา ชื่อวามี เวทนา เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; อุปาทาน ชื่อวามี ตัณหา เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; ภพ ชื่อวามี อุปาทาน เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; ชาติ ชื่อวามี ภพ เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; ทุกข ชื่อวามี ชาติ เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; สัทธา ชื่อวามี ทุกข เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; ปราโมทย ชื่อวามี สัทธา เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; ปติ ชื่อวามี ปราโมทย เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; ปสสทธิ ชื่อวามี ปติ เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; สุข ชื่อวามี ปสสัทธิ เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; สมาธิ ชื่อวามี สุข เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; ยถาภูตญาณทัสสนะ ชื่อวามี สมาธิ เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; นิพพิทา ชื่อวามี ยถาภูตญาณทัสสนะ เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; วิราคะ ชื่อวามี นิพพิทา เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; วิมุตติ ชื่อวามี วิราคะ เปนที่เขาไปตั้งอาศัย; ญาณในความสิ้นไป ชื่อวา วิมุตติ เปนที่เขาไปตั้งอาศัย.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนเมื่ อฝนหนั ก ๆ ตกลงบนภู เขา, น้ํ าฝน นั้นไหลไปตามที่ลุม ยอมทําซอกเขา ซอกผา และลําหวยทั้งหลายใหเต็ม; ครั้นซอกเขา
www.buddhadasa.info
๖๒๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ซอกผา และลํ าห วยทั้ งหลาย เต็ มแล ว ย อมทํ าบึ งน อยทั้ งหลายให เต็ ม; บึ งน อยทั้ งหลาย เต็ มแล ว ย อมทํ าบึ งใหญ ทั้ งหลายให เต็ ม; บึ งใหญ ทั้ งหลายเต็ มแล ว ย อมทํ าแม น้ํ าน อย ทั้ ง หลายให เต็ ม ; แม น้ํ า น อ ยทั้ ง หลายเต็ ม แล ว ย อ มทํ า แม น้ํ า ใหญ ทั้ ง หลายให เต็ ม ; แมน้ําใหญทั้งหลายเต็มแลว ยอมทํามหาสมุทรใหเต็ม, นี้ฉันใด; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข อนี้ ก็ ฉั นเดี ยวกั นนั้ นแล คื อ สั งขารทั้ งหลาย ชื่ อว า มี อวิ ชชาเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ย; วิ ญ ญาณ ชื่ อว ามี สั งขารเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ย; นามรู ป ชื่ อว ามี วิ ญ ญาณเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ย; สฬายตนะ ชื่ อว ามี นามรู ปเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ย; ผั สสะ ชื่ อว ามี สฬายตนะเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ย; เวทนา ชื่ อว ามี ผั สสะเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ย; ตั ณ หา ชื่ อ ว า มี ส ฬายตนะเป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ; อุ ป าทาน ชื่ อ ว า มี ตั ณ หาเข า ไปตั้ ง อาศั ย ; ภพ ชื่ อ ว า มี อุ ป าทานเป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ; ชาติ ชื่ อ ว า มี ภ พเป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย; ทุ กข ชื่ อว ามี ชาติ เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ย; สั ทธา ชื่ อว ามี ทุ กข เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ย; ปราโมทย ชื่ อว ามี สั ทธาเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ย; ป ติ ชื่ อว ามี ปราโมทย เป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ย; ป ส สั ท ธิ ชื่ อ ว า มี ป ติ เป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ; สุ ข ชื่ อ ว า มี ป ส สั ท ธิ เป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ; สมาธิ ชื่ อว ามี สุ ขเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ย; ยถาภู ตญาณทั สสนะ ชื่ อว ามี สมาธิ เป นที่ เข าไป ตั้ งอาศั ย; นิ พพิ ทา ชื่ อว ามี ยถาภู ตญาณสั ททนะเป นที่ เข าไปตั้ งอาศั ย; วิ ราคะ ชื่ อว ามี นิ พ พิ ท าเป น ที่ เข า ไปตั้ งอาศั ย ; วิ มุ ต ติ ชื่ อ ว า มี วิ ราคะเป น ที่ เข า ไปตั้ ง อาศั ย ; ญาณใน ความสิ้นไป ชื่อวามีวิมุตติเปนที่เขาไปตั้งอาศัย, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info ปฏิจจสมุปบาท แหง อาหารของอวิชชา๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ที่สุดในเบื้องตนของอวิชชา ยอมไมปรากฏ; กอน แตนี้ อวิชชามิไดมี; แตวา อวิชชาเพิ่งมีตอภายหลัง. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย!
๑
อวิชชาสูตรที่ ๑ ยมกวรรค ทสก.อํ. ๒๔/๑๒๐/๖๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๒๓
คํ ากล าวอย างนี้ แหละ เป นคํ าที่ ใครๆ๑ ควรกล าว และควรกล าวด วยวา "อวิ ชชาย อม ปรากฏเพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เปนปจจัย" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าววา ถึ งแม อวิ ชชานั้ น ก็ เป นธรรมชาติ มี อาหาร หาใชเป นธรรมชาติ ที่ ไม มี อาหารไม . ก็ อะไรเล า เป นอาหารของอวิชชา? คํ าตอบพึ งมี วา "นิวรณทั้งหลาย ๕ ประการเปนอาหารของอวิชชา" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าววา ถึ งแม นิ วรณ ทั้ งหลาย ๕ ประการ ก็ เป น ธรรมชาติ มี อ าหารหาใช เป น ธรรมชาติ ที่ ไม มี อ าหารไม . ก็ อ ะไรเล า เป น อาหารของ นิวรณทั้งหลาย ๕ ประการ? คําตอบพึงมีวา "ทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ" ดังนี้ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า ถึ งแม ทุ จริ ตทั้ งหลาย ๓ ประการ ก็ เป น ธรรมชาติ มีอาหาร หาใชเป นธรรมชาติที่ ไม มี อาหารไม. ก็อะไรเลา เป นอาหารของทุจริต ทั้งหลาย ๓ ประการ? คําตอบพึงมีวา "การไมสํารวมอินทรีย" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เรากล า วว า ถึ ง แม ก ารไม สํ า รวมอิ น ทรี ย ก็ เป น ธรรมชาติ อาหาร หาใช เป นธรรมชาติ ที่ ไม มี อาหาไม . ก็ อะไรเล า เป นอาหารของการ ไมสํารวมอินทรีย? คําตอบพึงมีวา "ความเปนผูไมมีสติสัมปชัญญะ" ดังนี้.
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เรากลาววา ถึงแมความเปนผูไมมีสติสัมปชัญญะ ก็เปน ธรรมชาติ มี อ าหาร หาใช เป น ธรรมชาติ ที่ ไม มี อ าหารไม . ก็ อะไรเล า เป น อาหารของ ความเปนผูไมมีสติสัมปชัญญะ? คําตอบพึงมีวา "อโยนิโสมนสิการ" ดังนี้.
๑
คํ าวา วุจฺ จติ คํ านี้ เคยแปลกั นแต วา อั นตถาคตย อมกลาว กันจนเป นธรรมเนี ยมไปเสี ย ในที่ นี้ พิ จารณา ดู แล ว เห็ นได วาควรจะแปลวาใคร ๆ ทุ กคนที่ เป นผู รู รวมทั้ งพระองค เองด วยควรจะกล าว หาใช เป น การผูกขาดเฉพาะไวแตพระองคผูเดียวไม.
www.buddhadasa.info
๖๒๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า ถึ งแม อโยนิ โสมนสิ การ ก็ เป นธรรมชาติ มี อ าหาร หาใช เป น ธรรมชาติ ที่ ไม มี อาหารไม . ก็ อะไรเล า เป น อาหารของอโยนิ โสมนสิ การ? คําตอบพึงมีวา "ความไมมีสัทธา" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า ถึ งแม ความไม มี สั ท ธา ก็ เป นธรรมชาติ มี อ าหาร หาใช เป น ธรรมชาติ ที่ ไม มี อ าหารไม . ก็ อ ะไรเล า เป น อาหารของความไม มี สัทธา? คําตอบพึงมีวา "การไมไดฟงพระสัทธรรม" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เรากล า ว า ถึ งแม ก ารไม ได ฟ งพระสั ท ธรรม ก็ เป น ธรรมชาติ มี อาหาร หาใช เป นธรรมชาติ ที่ ไม มี อาหารไม . ก็ อะไรเล า เป นอาหารของการ ไมไดฟงพระสัทธรรม? คําตอบพึงมีวา "การไมคบสัตบุรุษ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยอาการอย างนี้ แล ที่ เมื่ อการไม คบสั ตบุ รุ ษเป น ไปบริบูรณแลว ยอมทําการไมไดฟงพระสัทธรรมใหบริบูรณ;
www.buddhadasa.info การไม ได ฟ งพระสั ท ธรรมบริ บู ร ณ แ ล ว ย อ มทํ า ความไม มี สั ท ธาให
บริบูรณ;
ความไมมีสัทธาบริบูรณแลว ยอมทําอโยนิโสมนสิการใหบริบูรณ;
อโยนิโสมนสิการบริบูรณ แลว ยอมทําความเปนผูไมมีสติสัมปชัญญะ ใหบริบูรณ; ความเป น ผู ไม มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะบริ บู รณ แ ล ว ย อ มทํ าการไม สํ ารวม อินทรียใหบริบูรณ;
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๒๕
การไมสํารวมอินทรียบริบูรณแลว ยอมทําทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ ใหบริบูรณ ทุ จริตทั้ งหลาย ๓ ประการบริบู รณ แล ว ย อมทํ านิ วรณ ทั้ งหลาย ๕ ประการใหบริบูรณ; นิวรณทั้งหลาย ๕ ประการบริบูรณแลว ยอมทําอวิชชาใหบริบูรณ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อาหารแห งอวิ ชชานี้ ย อมมี ได ด วยอาการอย างนี้ และ บริบูรณแลวดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรี ยบเหมื อนเมื่ อฝนหนั ก ๆ ตกลงบนภู เขา, น้ํ าฝน นั้ น ไหลไปตามที่ ลุ ม ย อ มทํ า ซอกเขา ซอกผา และลํ า ห ว ยทั้ ง หลายให เต็ ม ; ครั้ น ซอกเขา ซอกผา และลํ าห วยทั้ งหลาย เต็ มแล ว ย อมทํ าบึ งน อยทั้ งหลายให เต็ ม; บึ งน อย ทั้ งหลายเต็ มแล ว ย อมทํ าบึ งใหญ ทั้ งหลายให เต็ ม; บึ งใหญ ทั้ งหลายเต็ มแล ว ย อมทํ า แม น้ํ าน อยทั้ งหลายให เต็ ม; แม น้ํ าน อยทั้ งหลายเต็ มแล ว ย อมทํ าแม น้ํ าใหญ ทั้ งหลาย ให เต็ ม ; แม น้ํ า ใหญ ทั้ งหลายเต็ ม แล ว ย อ มทํ า มหาสมุ ท รสาครให เต็ ม . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! อาหารแห งมหาสมุ ทรสาครนั้ น ย อมมี ได ด วยอาการอย างนี้ และเต็ มแล วด วย อาการอยางนี้, นี้ฉันใด;
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ข อ นี้ ก็ ฉั น นั้ น กล าวคื อ การไม ค บสั ต บุ รุ ษ เป น ไป บริ บู รณ แล ว ย อ มทํ าการไม ได ฟ งพระสั ท ธรรมให บ ริ บู รณ ; การไม ได ฟ งพระสั ทธรรม บริบูรณแลว ยอมทําความไมมีสัทธาใหบริบูรณ; ความไมมีสัทธาบริบูรณแลว ยอมทํา
www.buddhadasa.info
๖๒๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
อโยนิ โสมนสิ ก ารให บ ริ บู รณ ; อโยนิ โสมนสิ ก ารบริ บู รณ แ ล ว ย อ มทํ า ความเป น ผู ไม มี สติ สั มปชั ญ ญะให บริ บู รณ ; ความเป นผู ไม มี สติ สั มปชั ญ ญะบริบู รณ แล ว ย อมทํ าการไม สํ ารวมอิ น ทรี ย ให บ ริ บู รณ ; การไม สํ ารวมอิ น ทรี ย บ ริ บู รณ แล ว ย อ มทํ าทุ จ ริ ต ทั้ งหลาย ๓ ประการให บริ บู รณ ; ทุ จริ ตทั้ งหลาย ๓ ประการบริ บู รณ แล ว ย อมทํ านิ วรณ ทั้ งหลาย ๕ ประการให บ ริ บู ร ณ ; นิ ว รณ ทั้ ง หลาย ๕ ประการบริ บู ร ณ แ ล ว ย อ มทํ า อวิ ช ชาให บริ บู รณ . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อาหารแห งอวิ ชชานี้ ย อมมี ได ด วยอาการอย างนี้ และ บริบูรณดวยอาการอยางนี้. ห มายเห ตุ ผู รวบ รวม : ผู ศึ ก ษ าพึ งสั ง เกตให เ ห็ นว า ข อ ความทั้ งหมดนี้ ก็ มี ลั ก ษณะแห ง อิ ทั ป ป จ จยตา คื อ เป น อาการแห ง กระแสปฏิ จ จสมุ ป บาทของอวิ ช ชาโดยตรง เกิ ด แก อ วิ ช ชา ก อ นหน า แต อ วิ ช ชาจะทํ า หน า ที่ ป รุ ง แต ง ปฏิ จ จสมุ ป บาทสายที่ เป น ใหญ เป น ประธาน ของการเกิดแกงกองทุกข.
ปฏิจจสมุปบาท แหงอาหารของภวตัณหา๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ที่ สุ ด ในเบื้ อ งต น ของภวตั ณ หา ย อ มไม ป รากฏ; กอนแตนี้ภวตัณหามิไดมี;แตวา ภวตัณหาเพิ่มมีตอภายหลัง. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! คํ ากล าวอย างนี้ แหละเป น คํ าที่ ใครๆ ควรกล าวและควรกล าวด วยว า "ภวตั ณ หาย อ ม ปรากฏ เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เปนปจจัย" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เรากล า วว า ถึ ง แม ภ วตั ณ หานั้ น ก็ เป น ธรรมชาติ มี อ าหาร หาใช เป น ธรรมชาติ ที่ ไม มี อ าหารไม . ก็ อ ะไรเล า เป น อาหารของภวตั ณ หา? คําตอบพึงมีวา "อวิชชา เปนอาหารของภวตัณหา" ดังนี้.
๑
สูตรที่ ๒ ยมกวรรค ทสก.อํ. ๒๔/๑๒๔/๖๒, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๒๗
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เรากล า วว า ถึ งแม อ วิ ช ชา ก็ เป น ธรรมชาติ มี อ าหาร หาใช เป น ธรรมชาติ ที่ ไม มี อ าหารไม . ก็ อ ะไรเล า เป น อาหารของอวิ ช ชา? คํ า ตอบพึ ง มีวา "นิวรณทั้งหลาย ๕ ประการ เปนอาหารของอวิชชา" ดังนี้. ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า ถึ งแม นิ วรณ ทั้ งหลาย ๕ ประการ ก็ เป น ธรรมชาติ มี อ าหาร หาใช เป น ธรรมชาติ ที่ ไ ม มี อ าหารไม . ก็ อ ะไรเล า เป น อาหารของ นิวรณทั้งหลาย ๕ ประการ? คําตอบพึงมีวา "ทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ ดังนี้. (คํ า ต อ ไปนี้ เหมื อ นกั บ ข อ ความในหั ว ข อ ว า "ปฏิ จ จสมุ ป บาทแห ง อาหารของอวิ ช ชา" คื อหั วข อที่ แล วมา ตั้ งแต คํ าว า "ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า ถึ งแม ทุ จริ ตทั้ งหลาย ๓ ประการ ก็ เป น ธรรมชาติ มี อ าหาร"...ไปจนกระทั่ ง ถึ ง คํ า ว า ..."การไม สํ า รวมอิ น ทรี ย บ ริ บู ร ณ แ ล ว ย อ มทํ า ทุ จ ริ ต ทั้ ง หลาย ๓ ประการใหบริบูรณ;" เปนขอความ ๒๙ บรรทัด ผูศึกษาพึงเติมเอาเองใหเต็ม)
ทุจริตทั้งหลาย ๓ ประการบริบูรณแลว ยอมทํานิวรณทั้งหลาย ๕ ประการ ใหบริบูรณ;
www.buddhadasa.info นิวรณทั้งหลาย ๕ ประการบริบูรณแลว ยอมทําอวิชชาใหบริบูรณ; อวิชชาบริบูรณแลว ยอมทําภวตัณหาใหบริบูรณ.
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! อาหารแห งภวตั ณ หานี้ ย อ มมี ได ด วยอาการอย างนี้ และบริบูรณแลวดวยอาการอยางนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เปรี ย บเหมื อ นเมื่ อ ฝนหนั ก ๆ ตกลงบนภู เขา, น้ํ าฝน นั้นไหลไปตามที่ลุม ยอมทําซอกเขา ซอกผา และลําหวย ทั้งหลาย ใหเต็ม;
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
๖๒๘
ครั้นซอกเขา ซอกผา และลํ าห วย ทั้ งหลาย เต็ มแล ว (ข อความต อไปนี้ เหมื อนกั บขอความ ที่ เป นอุ ปมาในหั วข อวา "ปฏิ จจฯ แห งอาหารของอวิ ชชา" จนกระทั่ งถึ งคํ าว า...."ทุ จริตทั้ งหลาย ๓ ประการ บริบู รณ แล ว ย อมทํ านิ วรณ ทั้ งหลาย ๕ ประการให บริบู รณ ;") นิ วรณ ทั้ งหลาย ๕ ประการบริ บู รณ
แล ว ย อมทํ าอวิ ชชาให บ ริบู รณ ; อวิ ชชาบริบู รณ แล ว ย อมทํ าภวตั ณ หาให บ ริบู รณ . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อาหารแห งภวตั ณหานี้ ย อมมี ได ด วยอาการอย างนี้ และบริบู รณ แลวดวยอาการอยางนี้.
ปฏิจจสมุปบาท แหง อาหารของวิชชาและวิมุตติ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เรากลาววา แมวิชชาและวิมุ ตติ ก็เปนธรรมชาติ มี อ าหาร หาใช เป นธรรมชาติ ที่ ไม มี อาหารไม . ก็ อะไรเล า เป น อาหารของวิ ชชาและ วิมุตติ? คําตอบพึงมีวา "โพชฌงคทั้งหลาย ๗ ประการ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า ถึ งแม โพชฌงค ทั้ งหลาย ๗ ประการ ก็ เป นธรรมชาติ มี อาหาร หาใช เป นธรรมชาติ ที่ ไม มี อาหารไม . ก็ อะไรเล า เป นอาหาร ของโพชฌงค ทั้ ง ๗ ประการ? คํ าตอบพึ งมี วา "สติ ป ฏฐานทั้ งหลาย ๔ ประการ" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! เรากลาววา ถึงแม สติ ป ฏฐานทั้ งหลาย ๔ ประการ ก็เป น ธรรมชาติ มี อ าหาร หาใช เป น ธรรมชาติ ที่ ไม มี อ าหารไม . ก็ อะไรเล า เป น อาหารของ สติปฏฐานทั้งหลาย ๔ ประการ? คําตอบพึงมีวา "สุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ" ดังนี้.
๑
สูตรที่ ๑-๒ ยมกวรรค ทสก.อํ. ๒๔/๑๒๒,๑๒๖/๖๑,๖๒.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๒๙
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า ถึ งแม สุ จริตทั้ งหลาย ๓ ประการ ก็ เป น ธรรมชาติ มี อ าหารหาใช เป น ธรรมชาติ ที่ ไม มี อ าหารไม . ก็ อ ะไรเล า เป น อาหารของ สุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ? คําตอบพึงมีวา "การสํารวมอินทรีย" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าววา ถึ งแม การสํ ารวมอินทรีย ก็ เป นธรรมชาติ มี อาหาร หาใช เป น ธรรมชาติ ที่ ไม มี อ าหาไม . ก็ อ ะไรเล า เป น อาหารของการสํ ารวม อินทรีย? คําตอบพึงมีวา "ความเปนผูสีสติสัมปชัญญะ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากลาววา ถึ งแม ความเป นผู มี สติ สั มปชัญญะ ก็ เป น ธรรมชาติ มี อ าหาร หาใช เป น ธรรมชาติ ที่ ไม มี อ าหาไม . ก็ อ ะไรเล า เป น อาหารของ ความเปนผูมีสติสัมปชัญญะ? คําตอบพึงมีวา "โยนิโสมนสิการ" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า ถึ งแม โยนิ โสมนสิ การ ก็ เป นธรรมชาติ มี อาหาร หาใช เป นธรรมชาติ ที่ ไม มี อาหารไม . ก็ อะไรเล า เป นอาหารของโยนิ โสมนสิ การ? คําตอบพึงมีวา "สัทธา" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เรากล าวว า ถึ งแม สั ทธา ก็ เป นธรรมชาติ มี อาหาร หาใช เป นธรรมชาติ ที่ ไม มี อาหารไม . ก็ อะไรเล า เป นอาหารของสั ทธา? คํ าตอบพึ งมี ว า "การไดฟงพระสัทธรรม" ดังนี้.
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ถึ งแม การได ฟ งพระสั ทธรรม ก็ เป นธรรมชาติ มี อาหาร หาใช เป นธรรมชาติ ที่ ไม มี อาหารไม . ก็ อะไรเล า เป นอาหารของการได ฟ งพระสั ทธรรม? คําตอบพึงมีวา "การคบสัปบุรุษ" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
๖๓๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยอาการอย างนี้ แล ที่ เมื่ อการคบสั ปบุ รุ ษเป นไป บริ บู ร ณ แ ล ว ย อ มทํ า การได ฟ ง พระสั ท ธรรมให บ ริ บู ร ณ ; การได ฟ ง พระสั ท ธรรม บริบู รณ แล ว ย อมทํ าสั ทธาให บริบู รณ ; สั ทธาบริบู รณ แล ว ย อมทํ าโยนิ โสมนสิ การให บริบู รณ ; โยนิ โสมนสิการบริบู รณ แลว ย อมทํ าความเป นผู มี สติ สัมปชัญญะให บริบู รณ ; ความเปนผูมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ แลว ยอมทําการสํารวมอินทรียใหบริบูรณ; การสํารวม อิ นทรี ย บริ บู รณ แล ว ย อมทํ าสุ จริ ตทั้ งหลาย ๓ ประการให บริ บู รณ ; สุ จริ ตทั้ งหลาย ๓ ประการบริบู รณ แล ว ย อมทํ าสติ ป ฏฐานทั้ งหลาย ๔ ประการให บริบู รณ ; สติ ป ฏฐาน ทั้ งหลาย ๔ ประการบริ บู รณ แล ว ย อมทํ าโพชฌงค ทั้ งหลาย ๗ ประการให บริ บู รณ ; โพชฌงค ทั้ ง หลาย ๗ ประการบริ บู ร ณ แ ล ว ย อ มทํ า วิ ช ชาและวิ มุ ต ติ ใ ห บ ริ บู ร ณ . ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อาหารแหงวิชชาและวิมุตตินี้ ยอมมีไดดวยอาการอยางนี้ และ บริบูรณแลวดวยอาการอยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรียบเหมื อนเมื่ อฝนหนั ก ๆ ตกลงบนภู เขา, น้ํ าฝนนั้ น ไหลไปตามที่ ลุ ม ย อมทํ าซอกเขา ซอกผา และลํ าห วยทั้ งหลายให เต็ ม; ครั้นซอกเขา ซอกผา และลํ าห วยทั้ งหลาย เต็ มแล ว ย อมทํ าบึ งน อยทั้ งหลายให เต็ ม; บึ งน อยทั้ งหลาย เต็ มแล ว ย อมทํ าบึ งใหญ ทั้งหลายให เต็ ม; บึ งใหญ ทั้ งหลายเต็ มแล ว ย อมทํ าแม น้ําน อย ทั้งหลายให เต็ ม; แม น้ํ าน อยทั้ งหลายเต็ มแลว ยอมทํ าแม น้ําใหญ ทั้ งหลายให เต็ม; แม น้ํ า ใหญ ทั้ งหลายเต็ มแล ว ย อมทํ ามหาสมุ ทรสาครให เต็ ม. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อาหาร แห งมหาสมุ ทรสาครนั้ น ย อมมี ได ด วยอาการอย างนี้ และเต็ มแล วด วยอาการอย างนี้ , นี้ฉันใด;
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข อนี้ ก็ ฉั นนั้ น กล าวคื อ การคบสั ปบุ รุษบริบู รณ แล ว ยอมทําการไดฟงพระสัทธรรมใหบริบูรณ; การไดฟงพระสัทธรรมบริบูรณแลว ยอมทํา
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๓๑
สั ทธาให บริบู รณ ; สั ทธาบริบู รณ แล ว ย อมทํ าโยนิ โสมนสิ การให บริบู รณ ; โยนิ โสมนสิ การ บริบู รณ แลว ยอมทําความเป นผูมี สติสัมปชัญญะให บริบู รณ ; ความเป นผูมี สติสัมปชัญญะ บริ บู รณ แล ว ย อ มทํ าการสํ ารวมอิ น ทรี ย ให บ ริ บู รณ ; การสํ ารวมอิ น ทรี ย บ ริ บู รณ แล ว ย อมทํ าสุ จริตทั้ งหลาย ๓ ประการให บริ บู รณ ; สุ จริ ตทั้ งหลาย ๓ ประการบริบู รณ แล ว ย อมทํ าสติ ป ฏฐานทั้ งหลาย ๔ ประการให บ ริ บู รณ ; สติ ป ฏฐานทั้ งหลาย ๔ ประการ บริ บู รณ แ ล ว ย อ มทํ า โพชฌงค ทั้ งหลาย ๗ ประการให บ ริ บู รณ ; โพชฌงค ทั้ งหลาย ๗ ประการบริ บู รณ แ ล ว ย อ มทํ า วิ ช ชาและวิ มุ ต ติ ให บ ริ บู รณ . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! อาหารแห งวิ ชชาและวิ มุ ตตนี้ ย อมมี ได ด วยอาการอย างนี้ และบริ บู รณ แล วด วยอาการ อยางนี้, ดังนี้ แล.
ปฏิจจสมุปบาทแหงวิชชาและวิมุตติ (โดยสังเขป)๑ กุ ณ ฑลิ ยปริ พพาชก ได ทู ลพระผู มี พระภาคเจ าว า "ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! ข าพเจ าเป นผู ชอบเที่ ยวไปตามหมู บริษั ทในอารามต างๆ. ข าแต พระโคดมผู เจริญ ! เมื่ อข าพเจ าเสร็ จภั ตตกิ จในเวลาเช า แล ว หลั งจากเวลาแห งภั ตแล ว กิ จเป นประจํ าวั นของข าพเจ า คื อ เที่ ยวไปจากอารามนั้ นสู อารามนี้ จาก อุทยานนั้นสูอุทยานนี้. ในที่ นั้น ขาพเจาได เห็ นสมณพราหมณ พวกหนึ่งๆ เป นผูมีการเปลื้ องวาทะแกกันและกั น วาอย างนี้ ๆ เป นเครื่องสนุ กสนานชอบใจ (อานิ สงส ) ก็ มี , มี การติ เตี ยนกั นเมื่ อกล าวกถานั้ น ๆ อยู เป นเครื่อง
www.buddhadasa.info สนุกสนานชอบใจก็มี ก็พระสมณะโคดมเลา เปนผูอยูดวยการมีอะไรเปนเครื่องสนุกสนาน
ชอบใจ?"
ดูกอนกุณฑลิยะ! ตถาคตอยูดวยการมีผลแหงวิชชาและวิมุตติ เปนเครื่อง สนุกสนานชอบใจ.
๑
ปพพตวรรค มหาวาร.สํ. ๑๙/๑๐๕/๓๙๔, ตรัสแกกุณฑลิยปริพพาชก ที่มิคทายอัญชนวัน.
www.buddhadasa.info
๖๓๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
"ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธรรมเหล าไหนเล า ที่ บุ คคลเจริ ญ แล ว กระทํ าให มากแลว ยอมทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณ?" ดูกอนกุณฑลิยะ! โพชฌงค ๗ ประการ แล.... "ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธรรมเหล าไหนเล า ที่ บุ คคลเจริ ญ แล ว กระทํ าให มากแลว ยอมทําโพชฌงค ๗ ประการใหบริบูรณ?" ดูกอนกุณฑลิยะ! สติปฏฐาน ๔ ประการ แล.... "ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธรรมเหล าไหนเล า ที่ บุ คคลเจริ ญ แล ว กระทํ าให มากแลว ยอมทําสติปฏฐาน ๔ ประการใหบริบูรณ?" ดูกอนกุณฑลิยะ! สุจริต ๓ ประการ แล....
www.buddhadasa.info "ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธรรมเหล าไหนเล า ที่ บุ คคลเจริ ญ แล ว กระทํ าให มากแลว ยอมทําสุจริต ๓ ประการใหบริบูรณ?"
ดู ก อนกุ ณ ฑลิ ยะ! อิ นทรี ย สั งวรแล ที่ บุ คคลเจริ ญ แล ว กระทํ าให มากแล ว ยอมทําสุจริต ๓ ประการใหบริบูรณ.
ดู ก อ นกุ ณ ฑลิ ย ะ! อิ น ทรี ย สั ง วร ที่ บุ ค คลเจริ ญ แล ว กระทํ า ให ม ากแล ว อย างไรเล าจึ งจะทํ าสุ จ ริ ต ๓ ประการให บ ริ บู รณ ? ดู ก อ นกุ ณ ฑลยะ! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ เห็นรูปที่นาพอใจดวยจักษุแลวยอมไมเพงเล็งดวยความโลภ, ไมหวังจะเอามาทะนุถนอม,
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๓๓
ไม ทํ าราคะให เกิ ด ขึ้ น ; กายของเธอก็ ค งที่ จิ ต ก็ ค งที่ ตั้ งมั่ น ดี แ ล ว หลุ ด พ น ดี แ ล วใน ภายใน. อนึ่ง เธอเห็นรูปที่ไมนาพอใจดวยจักษุแลว ยอมเปนผูไมเงอะงะ, ไมมีจิต ตั้ งอยู ด วยโทสะ, มี ใจอั นความโกรธไม ครอบงําแล ว, มี จิ ตไม มาดรายแล ว; กายของเธอ ก็ ค งที่ จิ ต ก็ ค งที่ ตั้ ง มั่ น ดี แ ล ว หลุ ด พ น ดี แ ล ว ในภายใน. (ในกรณี แห ง เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ ก็ตรัสไวมีนัยเดียวกัน).
ดู ก อนกุ ณฑลิ ยะ! เพราะเหตุ ที่ ภิ กษุ เห็ นรูปด วยจั กษุ แล ว เป นผู คงที่ มี จิ ต อันกิเลสไม ครอบงําแลว ไม มี จิตถึงความผิดปรกติแลว ในรูปทั้ งหลายทั้ งที่น าพอใจและ ไม น า พอใจ; กายของเธอจึ ง คงที่ จิ ต ของเธอจึ ง คงที่ เป น จิ ต ตั้ ง มั่ น ดี แ ล ว หลุ ด พ น ดีแลวในภายใน. (ในกรณีแหงเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ ก็ตรัสไวมีนัยเดียวกัน). ดู ก อนกุ ณ ฑลิ ยะ! อิ นทรี ยสั งวร อั นบุ คคลเจริ ญ แล ว กระทํ าให มากแล ว อยางนี้แล จึงจะทําสุจริต ๓ ประการใหบริบูรณ. ดูกอนกุณฑลิยะ! สุจริต ๓ ประการ อันบุคคลเจริญแลว กระทําใหมากแลว อย างไรเล า จึ งจะทํ าสติ ป ฏฐาน ๔ ประการให บริบู รณ ? ดู ก อนกุ ณ ฑลิ ยะ! ภิ กษุ ใน กรณีนี้ (๑) ยอมเจริญกายสุจริตเพื่อละกายทุจริต, (๒) ยอมเจริญวจีสุจริตเพื่อละ วจีทุจริต (๓) ยอมเจริญ มโนสุจริตเพื่อละมโนทุจริต . ดูกอนกุณ ฑลิยะ! สุจริต ๓ ประการ อั นบุ คคลเจริ ญ แล ว กระทํ าให มากแล ว อย างนี้ แล จึ งจะทํ าสติ ป ฏฐาน ๔ ประการใหบริบูรณ
www.buddhadasa.info ดูกอนกุณฑลิยะ! สติป ฏฐาน ๔ ประการ อันบุคคลเจริญแลว กระทําให มากแล วอย างไรเล าจึ งจะทํ าโพชฌงค ๗ ประการให บริบู รณ ? ดู ก อนกุ ณฑลิ ยะ! ภิ กษุ ในกรณีนี้ (๑) ยอมเปนผูพิจารณาเห็นกายในกายอยูเปนประจํา มีความเพียรเผา
www.buddhadasa.info
๖๓๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
กิ เลส มี สั มปชั ญญะ มี สติ พึ งกํ าจั ดอภิ ชฌาและโทมนั สในโลกออกเสี ยได , (๒) ย อมเป น ผู พ ิจ ารณาเห็น เวทนาในเวทนาทั ้ง หลายอยู เ ปน ประจํ า ...ฯลฯ..., (๓)ยอ มเปน ผู พิ จ ารณาเห็ น จิ ต ในจิ ต อยู เป น ประจํ า ...ฯลฯ..., (๔) ย อ มเป น ผู พิ จ ารณาเห็ น ธรรมในธรรมทั้ งหลายอยูเป นประจํา มี ความเพี ยรเผากิเลส มี สัมปชัญญะ มีสติ พึ ง กํ าจั ดอภิ ชฌาและโทมนั สในโลกออกเสี ยได . ดู ก อนกุ ณ ฑลิ ยะ! สติ ป ฏฐาน ๔ ประการ อั น บุ ค คลเจริ ญ แล ว กระทํ าให ม ากแล ว อย างนี้ แล จึ งจะทํ าโพชฌงค ๗ ประการให บริบูรณ ดู ก อนกุ ณ ฑลิ ยะ! โพชฌงค ๗ ประการ อั นบุ คคลเจริ ญ แล ว กระทํ าให มากแล ว อย า งไรเล า จึ ง จะทํ า วิ ช ชาและวิ มุ ต ติ ให บ ริ บู ร ณ ? ดู ก อ นกุ ณ ทลิ ย ะ! ภิ ก ษุ ในกรณี นี้ (๑) ย อมเจริ ญ สติ สั ม โพชฌงค อั นอาศั ยวิ เวก อาศั ยวิ ราคะ อาศั ยนิ โรธะ น อ มไปเพื่ อ ความปล อ ยวาง, (๒) ย อ มเจริ ญ ธั ม มวิ จ ยสั ม โพชฌงค ...ฯลฯ..., (๓) ย อ มเจริ ญ วิ ริ ย สั ม โพชฌงค ...ฯลฯ..., (๔) ย อ มเจริ ญ ป ติ สั ม โพชฌงค ...ฯลฯ..., (๕) ยอ มเจริญ ป ส สั ท ธิ สั ม โพชฌงค ...ฯลฯ..., (๖) ย อ มเจริญ สมาธิ สั ม โพชฌงค ...ฯลฯ...,(๗) ย อ มเจริ ญ อุ เบกขาสั ม โพชฌงค อั น อาศั ย วิ เวก อาศั ย วิ ราคะ อาศั ย นิ โรธะ น อมไปเพื่ อความปล อยวาง. ดู ก อนกุ ณ ฑลิ ยะ! โพชฌงค ๗ ประการ อั นบุ คคล เจริญแลว กระทําไปมากแลว อยางนี้แล จึงจะทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณ.
www.buddhadasa.info เมื่ อพระผู มี พระภาคเจ าตรั สดั งนี้ แล ว กุ ณ ฑลิ ยปริ พ พาชกยกย องชมเชยในพระธรรมเทศนา แลวแสดงตนเปนอุบาสก รับนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปนสรณะ จนตลอดชีวิต. หมายเหตุ ผู รวบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ งสั ง เกตให เห็ น ว า ปฏิ จจสมุ ป บาทสายนี้ เป น การแสดงโดยสั ง เขปเพี ย งไม กี่ อ าการ มี ลํ า ดั บ คื อ อิ น ทรี ย สั ง วร สุ จ ริ ต ๓ สติ ป ฏ ฐาน ๔ โพชฌงค ๗ และวิ ช ชาวิ มุ ต ติ ถึ ง กระนั้ น ก็ พึ ง ทราบว า อาจจะขยายออกให มี ม ากครบทุ ก ประการ ดังที่ไดแสดงไวแลวในหัวขอเรื่องที่แลวมา.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๓๕
ปฏิจจสมุปบาท แหง ปฏิสรณาการ๑ อุ ณณาภพราหมณ ทู ลถามวา "ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ! อิ นทรี ย ๕ อย างเหล านี้
มีวิสัยตางกันมีโคจรตางกัน ไมเสวยโคจรและวิสัยของกันและกัน. หาอยางคือจักขุนทรีย โสตินทรีย ฆานินทรีย ชิวหินทรีย กายินทรีย. ขาแตพระโคดมผูเจริญ! อะไรเปนปฏิสรณะ(ที่ แลนไปสู) ของอินทรียเหลานั้น? อะไรยอมเสวยซึ่งโคจรและวิสัย ของอินทรียเหลานั้น?" ดู ก อนพราหมณ ! ...ใจ เป นปฏิ สรณะของอิ นทรีย เหล านั้ น; ใจ ย อม เสวยซึ่งโคจรและวิสัยของอินทรียเหลานั้น. "ขาแตพระโคดมผูเจริญ! อะไรเปนปฏิสรณะของใจ?" ดูกอนพราหมณ! สติแล เปนปฏิสรณะของใจ. "ขาแตพระโคดมผูเจริญ! อะไรเปนปฏิสรณะของสติ?" ดูกอนพราหมณ! วิมุตติแล เปนปฏิสรณะของสติ. "ขาแตพระโคดมผูเจริญ! อะไรเปนปฏิสรณะของวิมุตติ?" ดูกอนพราหมณ! นิพพานแล เปนปฏิสรณะของวิมุตติ.
www.buddhadasa.info "ขาแตพระโคดมผูเจริญ! อะไรเปนปฏิสรณะของนิพพาน?" ดู ก อนพราหมณ ! แล นเตลิ ดเลยไปเสี ยแล ว, ไม อาจถื อเอาที่ สุ ดแห งป ญหา เสียแลว; เพราะวาพรหมจรรย นั้น เขาอยูประพฤติกัน มีนิพพานเปนที่ห ยั่งลง มีนิพพานเปนเบื้องหนา มีนิพพานเปนที่สุด..
๑
สูตรที่ ๒ ชราวรรค มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๘๘/๙๖๘-๙๗๑.
www.buddhadasa.info
๖๓๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐ ห ม ายเห ตุ ผู รวบ รวม : ผู ศึ กษ าพึ งสั งเกตให เห็ นว า สิ่ งที่ ควรสั งเกตใน สู ต รนี้ คื อ คํ าว าปฏิ สรณะ ซึ่ งตามธรรมดาเราแปลกั น ว า ที่ พึ่ งอาศั ย เช น คํ าว า กมฺ ม ปฏิ ส รโณ ซึ่ ง แปลว า มี ก รรมเป น ที่ พึ ง อาศั ย ส วนในกรณี นี้ หมายถึ ง ที่ เป น ที่ แ ล น ไปสู ของมโนเป น ต น , ขอให ถื อ เอาความตามที่ มี อ ยู ใ นวงเล็ บ นั้ น . อี ก อย า งหนึ่ ง ข อ ความในสู ต รนี้ กล า วได ว า ได เ ป น ที่ แ สดงให เ ห็ น หลั ก ธรรมที่ แ ปลกเป น พิ เ ศษ อี ก แนวหนึ่ ง ซึ่ ง ไม ค อ ยจะได ผ า นการ ได ยิ น ได ฟ ง กั น นั ก กล า วคื อ อิ น ทรี ย แ ล น ไปสู ใ จ, ใจแล น ไปสู ส ติ , สติ แ ล น ไปสู วิ มุ ต ติ , วิมุตติแลนไปสูนิพพาน, ซึ่งถาเขาใจกันดีแลว จะมีประโยชนเปนอันมาก.
ปฏิจจสมุปบาท แหง สัจจานุโพธ และผลถัดไป๑ กาปทิ กมาณพผู ภารทวาชโคตร ได ทู ลถามพระผู มี พระภาคเจ าว า "...พระโคดมผู เจริ ญ !
สั จจานุ โพธ (การรูตามซึ่ งสั จจธรรม) ย อมมี ได ด วยเหตุ เพี ยงเท าไร? บุ คคลย อมรูตามซึ่ ง สั จ จธรรมได ด วยเหตุ เพี ยงเท าไร? พวกเราถามซึ่ งการรู ต ามซึ่ งสั จ จธรรมกะพระโคดม ผูเจริญแลวละ" ดังนี้. พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสตอบแกมาณพนั้น ดวยขอความตอไปขางลางนี้วา :ดู ก อนภารทวาชะ! ได ยิ นว า ภิ กษุ ในธรรมวิ นั ยนี้ ได เข าไปอาศั ยอยู ในบ าน หรื อ ในนิ ค มแห ง ใดแห ง หนึ่ ง . คหบดี ห รื อ คหบดี บุ ต ร ได เ ข า ไปใกล ภิ ก ษุ นั้ น แล ว ใคร ครวญดู อยู ในใจเกี่ ยวกั บ ธรรม ๓ ประการ คื อธรรมเป น ที่ ตั้ งแห งโลภะ ธรรมเป น ที่ ตั้ งแห งโทสะ ธรรมเป น ที่ ตั้ งแห งโมหะ ทั้ งหลาย (โดยนั ย เป น ต น ว า) "ท านผู มี อ ายุ ผู นี้ จะมี ธรรมอั นเป นที่ ตั้ งแห งโลภะหรื อไม หนอ อั นเป นธรรมที่ เมื่ อครอบงํ าจิ ตของท านแล ว จะทํ าให ท านเป นบุ คคลที่ เมื่ อไม รู ก็ กล าวว ารู เมื่ อไม เห็ นก็ กล าวว าเห็ น หรือว าจะชั กชวน ผูอื่นในธรรมอันเปนไปเพื่อความทุกข ไมเปนประโยชนเกื้อกูล แกสัตวทั้งหลายเหลาอื่น
www.buddhadasa.info
๑
สู ต รที่ ๕ พราหมณวรรค ม.ม. ๑๓/๖๐๒/๖๕๗, ตรั ส แก ก าปทิ ก มาณพ ที่ พ ราหมณคามชื่ อ โอปาสาทะ ในหมูชนชาวโกศล.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๓๗
ตลอดกาลนาน" ดั งนี้ ; เมื่ อเขาใคร ครวญดู อ ยู ในใจซึ่ งภิ กษุ นั้ น ก็ รู ว า "ธรรมเป นที่ ตั้ ง แห งโลภะชนิ ดนั้ นมิ ได มี แก ท านผู มี อายุ นี้ , อนึ่ ง กายสมาจาร วี สมาจาร ของท านผู มี อายุ ผู นี้ ก็ เป นไปในลั กษณะแห งสมาจารของบุ คคลผู ไม โลภแล ว, อนึ่ ง ท านผู มี อายุ นี้ แสดงซึ่ งธรรมใด ธรรมนั้ น เป น ธรรมที่ ลึ ก เห็ น ได ยาก รูต ามได ยาก เป น ธรรมที่ รํ างั บ ประณี ต ไม เป นวิ สั ยที่ จะหยั่ งลงง ายแห งความตรึ ก เป นธรรมละเอี ยดอ อน รู ได เฉพาะ บั ณ ฑิ ต วิ สั ย , ธรรมนั้ น มิ ใ ช ธ รรมที่ ค นผู มี ค วามโลภ จะแสดงให ถู ก ต อ งได"ดั ง นี้ . เมื่ อเขาใครครวญดู อยู ซึ่ งภิ กษุ นั้ น ย อมเล็ งเห็ นวา เป นผู บริสุ ทธิ์ จากธรรมอั นเป นที่ ตั้ งแห ง โลภะ. ต อแต นั้ น เขาจะพิ จารณาใคร ครวญภิ กษุ นั้ นให ยิ่ งขึ้ นไป ในธรรมทั้ งหลายอั นเป นที่ ตั้ ง แห ง โทสะ... ในธรรมทั้ ง หลายอั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง โมหะ ... (ก็ ได เห็ น ประจั ก ษ ในลั ก ษณะ อย างเดี ยวกั น กั บ ในกรณี แห งโลภะ ตรงเป น อั น เดี ยวกั น ทุ กตั วอั กษร ไปจนถึ งคํ าว า "เมื่ อเขาใครครวญ ดูอยูซึ่งภิกษุนี้ ยอมเล็งเห็นวา เปนผูบริสุทธิ์จากธรรมเปนที่ตั้งแหงโมหะ"). ลําดับนั้น เขา (๑)ปลูกฝง
ศรั ท ธาลงไปในภิ ก ษุ นั้ น ครั้ น มี สั ท ธาเกิ ด แล ว (๒) ย อ มเข า ไปหา ครั้ น เข า ไปหา แล ว (๓) ย อมเข าไปนั่ งใกล ครั้นเข าไปนั่ งใกล แล ว(๔) ย อมเงี่ยโสตลง ครั้นเงี่ยโสต ลง(๕) ย อมฟ งซึ่ งธรรม ครั้งฟ งซึ่ งธรรมแล ว (๖) ย อมทรงไว ซึ่ งธรรม (๗) ย อมใคร ครวญซึ่ งเนื้ อความแห งธรรมทั้งหลาย อันตนทรงไวแลว เมื่อใครครวญซึ่งเนื้ อความ แหงธรรมอยู (๘) ธรรมทั้ งหลายยอมทนต อความเพ งพิ นิ จ, เมื่อการทนตอการเพิ่ ง พิ นิ จของธรรมมี อยู (๙) ฉั นทะย อมเกิ ดขึ้ น ผู มี ฉั นทะเกิ ดขึ้ นแล ว (๑๐) ย อมมี อุ สสาหะ ครั้นมีอุสสาหะแลว (๑๑) ยอมพิ จารณาหาความสมดุ ลยแหงธรรม ครั้นมีความสมดุลย แห ง ธรรมแล ว (๑๒) ธรรมเป น เครื่ อ งตั้ ง มั่ น ย อ มตั้ ง มั่ น ; เขาผู มี ต นส ง ไปแล ว อยางนี้อยู ยอมกระทําใหแจงซึ่งปรมัตถสัจจะ ดวย(นาม)กายดวย, ยอมแทงตลอด ซึ่งธรรมนั้ นแลวเห็ นอยูด วยป ญ ญาดวย. ดูกอนภารทวาชะ! ดวยเหตุ เพี ยงเทานี้แล สั จจานุ โพธ(การรูตามซึ่ งสั จจธรรม) ย อมมี ได , บุ คคลย อมรูตามซึ่ งสั จจธรรมได ด วย เหตุ เพี ยงเท านี้ , พวกเราบั ญญั ติ ซึ่งสั จจานุ โพธ ดวยเหตุเพี ยงเทานี้ ; แตวา สั จจานุ ป ตติ (การบรรลุซึ่งสัจจธรรม) ยังมิไดมี ดังนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๖๓๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
"ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ! ถ าสั จจานุ โพธ มี ได ด วยเหตุ เพี ยงเท านี้ , บุ คคลย อม รู ตามซึ่ งสั จจธรรมได ด วยเหตุ เพี ยงเท านี้ , และพวกเราก็ หวั งได ซึ่ งสั จจธรรม ด วยเหตุ เพี ยงเท านี้ ดั งนี้ แล ว ข าแต พระโคดมผู เจริญ! สั จจานุ ป ตติ (การบรรลุ ซึ่ งสั จจธรรม) จะมี ได ด วยเหตุ เพี ยงเท าไรเล า?บุ คคลจะบรรลุ ซึ่ งสั จจธรรมได ด วยเหตุ เพี ยงเท าไรเล า? และ พวกเราถามซึ่งสัจจานุปตติ กะพระโคดมผูเจริญแลวละ" ดูก อนภารทวาชะ! การเสพคบ การทํ าให เจริญ การกระทํ าให มาก ซึ่ ง ธรรมทั้ งหลายเหล านั้ น แหละ เป น ตั ว สั จ จานุ ป ต ติ ; ดู ก อ นภารทวาชะ! สั จ จานุ ป ตติ ย อมมี ได ด วยเหตุ เพี ยงเท านั้ นแหละ, บุ คคลย อมบรรลุ ซึ่ งสั จจธรรม ด วยเหตุ เพี ยง เทานี้แหละ, และพวกเราก็บัญญัติซึ่งสัจจานุปตติ ดวยเหตุเพียงเทานี้แหละ. (๑)"ข า แต พ ระโคดมผู เจริ ญ !...(ถ า เป น ดั ง นี้ แ ล ว )ธรรมชื่ อ อะไรเล า เป น ธรรมมี อุ ปการะมากแก สั จจานุ ป ตติ ? พวกเราถามซึ่ งธรรมมี อุ ปการะมากแก สั จจานุ ป ตติ กะพระโคดมผูเจริญแลวละ".
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภารทวาชะ! ธรรมเครื่ อ งตั้ ง มั่ น (ปธาน) เป น ธรรมมี อุ ป การะ มากแก สั จจานุ ป ตติ : ถ าบุ คคลไม ตั้ งไว ซึ่ งธรรมเป นเครื่ องตั้ งมั่ น (ปธาน) แล วไซร เขา ก็ ไม พึ งบรรลุ ซึ่ งสั จจธรรม. เพราะเหตุ ที่ เขาตั้ งไว ซึ่ งธรรมเป นเครื่ องตั้ งมั่ น เขาจึ งบรรลุ ซึ่ ง สั จ จธรรม; เพราะเหตุ นั้ น ธรรมเป น เครื่ อ งตั้ งมั่ น จึ งชื่ อ ว า เป น ธรรมมี อุ ป การะมากแก สัจจานุปตติ. (๒) "ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธรรมชื่ ออะไรเล า เป นธรรมมี อุ ปการะมากแก ธรรมเป น เครื่ อ งตั้ งมั่ น ? พวกเราถามซึ่ งธรรมมี อุ ป การะมากแก ธ รรมเป น เครื่ อ งตั้ งมั่ น กะพระโคดมผูเจริญแลวละ".
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๓๙
ดูกอนภารทวาชะ! การพิ จารณาหาความสมดุ ลย แห งธรรม (ตุลนา) เป น ธรรมมีอุปการะมากแกธรรมเปนเครื่องตั้งมั่น : ถาบุคคลไมพึงพบซึ่งความสมดุลยแหง ธรรมนั้ น แล ว ไซร ธรรมเป น เครื่ อ งตั้ งมั่ น ก็ ไม พึ ง ตั้ งมั่ น . เพราะเหตุ ที่ เขาพบซึ่ ง ความ สมดุล ยแ หง ธรรม ธรรมเปน เครื ่อ งตั ้ง มั ่น จึง ตั ้ง ; เพราะเหตุนั ้น การพิจ ารณ า หาความสมดุลยแหงธรรม จึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกธรรมเปนเครื่องตั้งมั่น. (๓) "ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธรรมชื่ อไรเล า เป นธรรมมี อุ ปการะมากแก การพิ จารณาหาความสมดุ ลย แห งธรรม? พวกเราถามซึ่ งธรรมมี อุ ปการะมากแก การพิ จารณา หาความสมดุลยแหงธรรมกะพระโคดมผูเจริญแลวละ". ดูกอนภารทวาชะ! อุสสาหะ เปน ธรรมมีอุปการะมากแกการพิจารณาหา ความสมดุลยแหงธรรม : ถาบุคคลไมพึงมีอุสสาหะแลวไซร ก็ไมพึงพบซึ่งความสมดุลย แห งธรรม. เพราะเหตุ ที่ เขามี อุ สสาหะ เขาจึ งพบความสมดุ ลย แห งธรรม; เพราะเหตุ นั้ น อุสสาหะ จึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกการพิจารณาหาความสมดุลยแหงธรรม.
www.buddhadasa.info (๔) "ข าแต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธรรมชื่ อ ไรเล า เป น ธรรมมี อุ ป การะมาก แก อุ ส สาหะ? พวกเราถามซึ่ ง ธรรมมี อุ ป การะแก อุ ส สาหะ กะพระโคดมผู เ จริ ญ แลวละ".
ดูกอนภารทวาชะ! ฉันทะ เปน ธรรมมีอุปการะมากแกอุสสาหะ : ถาบุคคล ไม พึ งยั งฉั นทะให เกิ ดแล วไซร ก็ ไม พึ งมี อุ สสาหะ. เพราะเหตุ ที่ ฉั นทะเกิ ดขึ้ น เขาจึ งมี อุสสาหะ; เพราะเหตุนั้น ฉันทะจึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกอุสสาหะ.
www.buddhadasa.info
๖๔๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
(๕) "ข า แต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธ รรมชื่ อ ไรเล า เป น ธรรมมี อุ ป การะมาก แกฉันทะ? พวกเราถามซึ่งธรรมมีอุปการะมากแกฉันทะ กะพระโคดมผูเจริญแลวละ". ดูก อนภารทวาชะ! ความที่ ธรรมทั้ งหลายทนได ต อการเพ งพิ นิ จ (ธมฺ มนิ ชฺ ฌานกฺ ขนฺ ติ ) เป นธรรมมี อุ ปการะมากแก ฉั นทะ : ถ าธรรมทั้ งหลายไม พึ งทนต อการ เพ งพิ นิ จแล วไซร ฉั นทะก็ ไม พึ งเกิ ด. เพราะเหตุ ที่ ธรรมทั้ งหลายทนต อการเพ งพิ นิ จ ฉั นทะ จึ งเกิ ด; เพราะเหตุ นั้ น ความที่ ธรรมทั้ งหลายทนต อการเพ งพิ นิ จ จึ งเป นธรรมมี อุ ปการะ มากแกฉันทะ. (๖) "ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธรรมชื่ ออะไรเล า เป นธรรมมี อุ ปการะมาก แก ความที่ ธรรมทั้ งหลายทนต อการเพ งพิ นิ จ? พวกเราถามซึ่ งธรรมมี อุ ปการะมากแก ความ ที่ธรรมทั้งหลายทนตอการเพงพินิจ กะพระโคดมผูเจริญแลวละ". ดู ก อนภารทวาชะ! ความเข าไปใคร ครวญซึ่ งอรรถะ (อตฺ ถุ ปปริ กฺ ขา) เป น ธรรมมีอุปการะมากแกความที่ธรรมทั้งหลายทนตอการเพงพินิจ : ถาบุคคลไมเขาไป ใคร ครวญซึ่ งอรรถะแล วไซร ธรรมทั้ งหลายก็ ไม พึ งทนต อการเพ งพิ นิ จ. เพราะเหตุ ที่ บุ คคล เข าไปใคร ครวญซึ่ งอรรถะ ธรรมทั้ งหลายจึ งทนต อการเพ งพิ นิ จ; เพราะเหตุ นั้ นการเข าไป ใครครวญซึ่งอรรถะ จึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกความที่ธรรม ท. ทนตอการเพงพินิจ.
www.buddhadasa.info (๗) "ข า แต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธ รรมชื่ อ ไรเล า เป น ธรรมมี อุ ป การะมาก แก ความเข าไปใคร ครวญซึ่ งอรรถะ? พวกเราถามซึ่ งธรรมมี อุ ปการะมากแก ความเข าไป ใครครวญซึ่งอรรถะ กะพระ- โคดมผูเจริญแลวละ".
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๔๑
ดูกอนภารทวาชะ! การทรงไวซึ่งธรรม (ธมฺมธารณา) เปนธรรมมีอุ ปการะ มากแกความเขาไปใครครวญซึ่งอรรถะ. ถาบุคคลไมทรงไวซึ่งธรรมะแลวไซร เขา ก็ ไม อาจเข าไปใครครวญซึ่ งอรรถะ เพราะเหตุ ที่ เขาทรงธรรมไว ได เขาจึ งเข าไปใครครวญ ซึ่ งอรรถะได . เพราะเหตุ นั้ น การทรงไว ซึ่ งธรรม จึ งเป น ธรรมมี อุ ป การะมากแก ความ เขาไปใครครวญซึ่งอรรถะ. (๘) "ข าแต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธรรมชื่ อ ไรเล า เป น ธรรมมี อุ ป การะมาก แก ก ารทรงไว ซึ่ ง ธรรม? พวกเราถามซึ่ ง ธรรมมี อุ ป การะมากแก ก ารทรงไว ซึ่ ง ธรรม กะพระโคดมผูเจริญแลวละ". ดูกอนภารทวาชะ! การฟ งซึ่งธรรม (ธมฺ มสฺสวน) เปนธรรมมี อุ ปการะมาก แก การทรงไวซึ่ งธรรม. ถาบุ คคลไม พึ งฟ งซึ่ งธรรมแล วไซร เขาก็ ไม พึ งทรงธรรมไวได เพราะเหตุ ที่ เขาฟ งธรรมซึ่ งธรรม เขาจึ งทรงธรรมไว ได . เพราะเหตุ นั้ น การฟ งซึ่ งธรรม จึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกการทรงไวซึ่งธรรม.
www.buddhadasa.info (๙) "ข าแต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธรรมชื่ อ ไรเล า เป นธรรมมี อุ ป การะมาก แก การฟ งซึ่ ง ธรรม? พวกเราถามซึ่ งธรรมมี อุ ปการะมากแก การฟ งซึ่ งธรรม กะพระโคดม ผูเจริญแลวละ".
ดูกอนภารทวาชะ! การเงี่ยลงซึ่ งโสตะ (โสตาวธาน) เป นธรรมมี อุ ปการะ มากแกการฟ งซึ่งธรรม. ถาบุ คคลไม เงี่ยลงซึ่งโสตะแลวไซร เขาก็ไมพึ งฟ งซึ่งธรรมได เพราะเหตุ ที่ เขาเงี่ ยลงซึ่ งโสตะ เขาจึ งฟ งซึ่ งธรรมได . เพราะเหตุ นั้ น การเงี่ ยลงซึ่ งโสตะ จึงเปนธรรมมีอุปการะมากแกการฟงซึ่งธรรม.
www.buddhadasa.info
๖๔๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
(๑๐) "ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธรรมชื่ ออะไรเล า เป นธรรมมี อุ ปการะมาก แก ก ารเงี่ ย ลงซึ่ ง โสตะ? พวกเราถามซึ่ ง ธรรมมี อุ ป การะมากแก ก ารเงี่ ย ลงซึ่ ง โสตะ กะพระโคดมผูเจริญแลวละ". ดู ก อนภารทวาชะ! การเข าไปนั่ งใกล (ปยิ รุปาสนา) เป นธรรมมี อุ ปการะ มากแก การเงี่ยลงซึ่ งโสตะ. ถ าบุ คคลไม พึ งเข าไปนั่ งใกล แล วไซร เขาก็ ไม พึ งเงี่ยลงซึ่ ง โสตะ เพราะเหตุ ที่ เขาเข าไปนั่ งใกล เขาจึ งเงี่ ยลงซึ่ งโสตะได เพราะเหตุ นั้ น การเข าไป นั่งใกล จึงเปนธรรมมีอุปการะมากกวาการเงี่ยลงซึ่งโสตะ. (๑๑) "ข าแต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! ก็ ธรรมชื่ อ ไรเล า เป น ธรรมมี อุ ป การะมาก แก การเข าไปนั่ งใกล ? พวกเราถามซึ่ งธรรมมี อุ ปการะมากแก การเข าไปนั่ งใกล กะพระโคดม ผูเจริญแลวละ". ดู ก อนภารทวาชะ! การเข าไปหา (อุ ปสงฺกมน) เป นธรรมมี อุ ปการะมาก แก ก ารเข า ไปนั่ ง ใกล . ถ า บุ ค คลไม เข า ไปหาแล ว ไซร เขาก็ ไม พึ ง เข า ไปนั่ ง ใกล ไ ด เพราะเหตุ ที่ เขาเข าไปหา เขาจึ งเข าไปนั่ งใกล ได . เพราะเหตุ นั้ น การเข าไปหาจึ งเป น ธรรมมีอุปการะมากแกการเขาไปนั่งใกล.
www.buddhadasa.info (๑๒) “ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ! ก็ ธรรมชื่ อไรเล า เป นธรรมมี อุ ปการะมากแก การ เขาไปหา.? พวกเราถามซึ่งธรรมมีอุปการะมากแกการเขาไปหา กะพระโคดมผูเจริญแลวละ” .
ดู ก อนภารทวาชะ! สั ทธา เป น ธรรมมี อุ ปการะมากแก การเข าไปหา. ถ า สั ทธาไม พึ งเกิ ดแล วไซร เข าก็ จะไม เข าไปหา เพราะเหตุ ที่ สั ทธาเกิ ดขึ้ น เข าจึ งเข าไปหา เพราะเหตุนั้น สัทธาจึงเปนธรรมมีอุปการระมากแกการเขาไปหา.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๔๓
"ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ! ข าพเจ าได ทู ลถามพระสมณโคดมด วยเรื่ องสั จจานุ รักขณา ...ด วยเรื่องสั จจานุ โพธ ...ด วยเรื่องสั จจานุ ป ตติ ...และเรื่องใด ๆ ดั งที่ กล าว แล วนั้ นก็ ตาม พระโคดมผู เจริญได พยากรณ ซึ่ งเรื่องนั้ น ๆ นั่ นเที ยว. ก็ คํ าพยากรณ นั้ น เป นที่ ชอบใจด วย เหมาะสมด วย แก พวกข าพระองค ทั้ งหลาย ข าพระองค ทั้ งหลายพอใจ ดวยคํ าพยากรณ นั้ น. ขาแต พระโคดมผูเจริญ! ในกาลก อนแต นี้ พวกขาพระองครูสึกวา จะเอาอะไรกะมั นกะพวกสมณะหั วโล นทั้ งหลาย ซึ่ งเป นเชื้ อไพรกุ ฎ มพี กั ณหโคตร เกิ ดแต เท าแห งพรหม (วรรณศทร) อะไรกะมั นที่ จะเป นผูรูธรรมได. บั ดนี้ พระโคดมผู เจริญไดทํ า ความรักของสมณะใหเกิดแลวในสมณะทั้งหลาย ทําความเลื่อมใสในสมณะใหเกิดแลวในสมณะ ทั้งหลาย ทําความเคารพในสมณะใหเกิดขึ้นแลวในสมณะทั้งหลาย. ขาแตพระโคดมผูเจริญ! วิ เศษนั ก พระเจ าข า วิ เศษนั ก พระเจ าข า พระโคดมผู เจริ ญ! เปรี ยบเหมื อนบุ คคลหงาย ของที่คว่ําอยู หรือวาเปดของที่ป ดอยู หรือวาบอกหนทางใหแกบุ คคลที่หลงทาง หรือวา จุดประทีปอันโพลงขึ้นดวยน้ํามันไวในที่มืด ดวยความหวังวา ผูมีจักษุทั้งหลายจัดไดเห็นรูป ทั้ งหลาย ฉั นใด; ธรรมอั นพระผู มี พระภาคประกาศแล ว โดยปริยายเป นอเนก ก็ ฉั นนั้ น. ข าแต พระองค ผู เจริญ! ข าพระองค ขอถึ งซึ่ งพระผู มี พระภาคด วย ซึ่ งพระธรรมด วย ซึ่ ง พระสงฆ ด วยวาเป นสรณะ. ขอพระผู มี พระภาคเจ า จงทรงถื อวา ขาพระองค เป นอุ บาสก ผูถึงสรณะแลวจําเดิมแตวันนี้เปนตนไป จนตลอดชีวิต", ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า ลั ก ษณ ะของสิ่ ง ที่ เรี ยกว าปฏิ จจสมุ ป บาท อาจจะมี ได ในแบบต าง ๆ กั น ดั งเช น ในสู ตรนี้ แสดงลั กษณะแห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท ของการบรรลุ ธ รรม เช น เดี ย วกั บ ข อ ความในเรื่ อ งที่ แ ล ว มา โดยหั ว ข อ ว า "ปฏิจจสมุปบาท ที่ยิ่งกวาปฏิจจสมุปบาท" ควรแกการสนใจ.
www.buddhadasa.info
๖๔๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ปฏิจจสมุปบาทแหงการอยู ดวยความประมาทของอริยสาวก๑ พระเจ านั นทิ ยสั กกะ ได ทู ลพระผู มี พระภาคเจ าว า "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! โสตาป ตติ -
ยั งคะทั้ งหลาย ๔ ประการ ของอริ ยสาวกใด ย อมไม มี เสี ยเลยโดยประการทั้ งปวง; อริยสาวก นั้นหรือหนอที่พระองคตรัสวา เปนผูอยูดวยความประมาท?" ดู ก อ นนั น ทิ ย ะ! โสตาป ต ติ ยั งคะทั้ งหลาย ๔ ประการ ของบุ ค คลใด ย อ ม ไม มี เลยโดยประการทั้ ง ปวง เราเรี ย กบุ ค คลนั้ น ว า เป น คนนอกวง ตั้ ง อยู ใ นฝ า ย แหงปุถุชน. ดู ก อนนั นทิ ยะ! อริยสาวก เป นผู อยู ด วยความประมาท และเป นผู อยู ด วย ความไมประมาท มีอยูอยางไรนั้น เราจักแสดงแกเธอ เธอจงฟงใหสําเร็จประโยชน.... ดู ก อ นนั น ทิ ย ะ! อริ ย สาวกในธรรมวิ นั ย นี้ เป น ผู ป ระกอบพร อ มแล ว ด ว ย พุ ทธอเวจจั ปปสาทะ (ความเลื่ อมใสในพระพุ ทธเจ าอย างไม หวั่ นไหวอี กต อไป) ดั งนี้ ว า "แม เพราะเหตุ อย างนี้ ๆ พระผู มี พระภาคเจ านั้ น เป นผู ไกลจากกิ เลส ตรั สรู ชอบได โดย พระองค เอง เป นผู ถึ งพร อมด วยวิ ชชาและจรณะ เป นผู ไปแล วด วยดี เป นผู รู โลกอย าง แจ มแจ ง เป นผู สามารถฝ กบุ รุษที่ สมควรฝ กได อย างไม มี ใครยิ่ งกว า เป นครูผู สอนของเทวดา และมนุ ษย ทั้ งหลาย เป นผู รูผู ตื่ นผู เบิ กบาน เป นผู มี ความจํ าเริญจํ าแนกธรรมสั่ งสอนสั ตว ". อริยสาวกนั้ น ยิ นดี อยู แต ในธรรมเพี ยงเท านั้ น ไม พ ยายามให ยิ่ งขึ้ นไปเพื่ อปวิ เวกใน กลางวัน เพื่อปฏิสัลลาณะในกลางคืน.
www.buddhadasa.info
๑
มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๐๐/๑๖๐๐-๒, ตรัสแกพระเจานันทิยสักกะ ที่นิโครธาราม.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๔๕
เมื่ออริยสาวกนั้น เปนผูประมาทแลวอยางนี้อยู, ปราโมทยยอมไมมี; เมื่อปราโมทยไมมี, ปติก็ไมมี (ปามุชฺเช อสติ ปติ น โหติ); เมื่อปติไมมี, ปสสัทธิก็ไมมี (ปติยา อสติ ปสฺสทฺธิยา น โหติ); เมื่อปสสัทธิไมมี, ยอมอยูเปนทุกข (ปสฺสทฺธิยา อสติ ทุกฺขํ วิหรติ); ผูมีทุกข จิตยอมไมตั้งมั่น (ทุกฺขิโน จิตฺตํ น สมาธิยติ); เมื่อจิตไมตั้งมั่น, ธรรมทั้งหลายยอมไมปรากฏ (อสมาหิเต จิตฺเต ธมฺมา น ปาติภวนฺติ); เพราะธรรมทั้งหลายไมปรากฏ อริยสาวกนั้นยอมถึงซึ่งการถูกนับวา เปน ผูอยูดวยความประมาท. (ในกรณี แห งโสตาป ตติ ยั งคะที่ สอง คื อธั มมอเวจจั ปปสาทะ (ความเลื่ อมใสในพระธรรม อยางไม หวั่นไหวอีกต อไป) ก็ ดี , ที่ สาม คื อสั งฆอเวจจัปปสาทะ (ความเลื่ อมใสในพระสงฆ อยางไม หวั่นไหว อีกตอไป) ก็ดี, ที่สี่ คืออริยกันตศีล (ศีลที่พระอริยเจาพอใจก็ดี ไดตรัสไวมีนัยะอยางเดียวกัน).
ดูกอนนันทิยะ! อยางนี้แล อริยสาวกเปนผูอยูดวยความประมาท.
www.buddhadasa.info (สํ าหรับอริยสาวกผู อยู ด วยความไม ประมาทนั้ น ได ทรงแสดงไว โดยปฏิ ป กขนั ย ผู ศึ กษาพึ ง เทียบเคียงเอาเอง). หมายเหตุ ผู รวบรวม : ผู ศึ กษาพึ งสั งเกตให เห็ น ว านั น ทิ ย สั ก กะได ใช คํ าว า อริ ย สาวก แก ผู ไม ป ระกอบด ว ยโสตาป ต ติ ยั งคะสี่ ซึ่ งเป น การผิ ด หลั ก ธรรมตามที่ ถื อ กั น อยู ในธรรมวิ นั ย นี้ . ส ว นพระพุ ท ธองค ได ท รงแยกบุ ค คลชนิ ด นั้ น ออกไปจากวงของอริ ย สาวก และยั งได ต รั ส ต อ ไปว า แม เป น อริ ย บุ ค คลที่ ห นึ่ ง คื อ พระโสดาบั น แล ว ถ า ไม พ ยายามสื บ ต อ ในการบรรลุ ธรรมให สู งขึ้ น ไป จนกว าจะถึ งความเป น พระอรหั น ต เสี ยก อ น ก็ ยั งตกอยู ใน ฐานะแห งบุ คคลผู อยู ด วยความประมาทอยู นั่ น เอง. สิ่ งที่ น าสนใจในสู ตรนี้ อี กอย างหนึ่ งก็ คื อ ได ตรั สปวิ เวกว าเป น สิ่ งที่ เป น ไปในกลางวั น และปฏิ สั ลลาณะว าเป น สิ่ งที่ เป น ไปในกลางคื น เปนสิ่งที่ยังเขาใจไดยากอยู ของฝากผูรูไวพิจารณาดวย. อนึ่ง ขอความนี้แสดงใหเห็นวา
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
๖๔๖
สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ปฏิ จ จสมุ ป บาทมี อ ยู ห ลายนั ย ไม จํ า เป น ต อ งขึ้ น ต น ด ว ยคํ า ว า "อวิ ชฺ ช าปจฺ จ ยา ส งฺ ข า ร า ...ฯ ล ฯ ..."เส ม อ ไป ดั ง เช น ใ น สู ต ร นี ้ เ ป น ตั ว อ ย า ง ซึ ่ ง ไ ด แ ส ด ง อ า ก า ร แ ห ง อิทัปปจจยตาสําหรับความเปนผูอยูดวยความประมาท ไวอยางชัดแจงแลว.
ปฏิจจสมุปบาท แหงการขาดที่อิงอาศัย สําหรับวิมุตติญาณทัสสนะ๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อทุ ศี ล มี ศี ลอั นวิ บั ติ แล ว, อวิ ปปฏิ สาร (ความไม รอนใจ) ก็ขาดที่ตั้งอาศัย; เมื่ ออวิ ปปฏิ สารไม มี , ความปราโมทย ของผู มี อวิ ปปฏิ สารอั นวิ บั ติ แล ว ก็ ขาด ที่ตั้งอาศัย; เมื่ อความปราโมทย ไม มี , ป ติ ของผู มี ความปราโมทย อั นวิ บั ติ แล ว ก็ ขาดที่ ตั้งอาศัย;
www.buddhadasa.info เมื่อปติไมมี, ปสสัทธิ ของผูมีปติอันวิบัติแลว ก็ขาดที่ตั้งอาศัย;
๑
เอ ก าท ส ก .อฺ . ๒๔/๓๓๘/๒๑๐; แล ะใน ที่ อื่ น ๆ อี ก ห ล าย สู ต ร (ป ฺ จก .อํ .๒๒/๒๑/๒๔; ท ส ก .อํ .๒๔/ ๔/๓;ฯลฯ) อั น มี ทั้ ง ที่ เ ป น พุ ท ธภาษิ ต และสารี ปุ ต ตเถรภาษิ ต เป น ต น : ที่ เ ป น พุ ท ธภาษิ ต ได ต รั ส ไว โดยย อ กว า สู ต รข า งบนนี้ ; ที่ เป น เถรภาษิ ต ได ก ล า วไว โดยพิ ส ดารอย า งสู ต รข า งบนนี้ ก็ มี ย อ กว า ก็ มี , ซึ่ งล วนแต กล าวไว โดยนั ยะเดี ยวกั บ ที่ ทรงแสดงทุ กประการ; ต างกั นแต อาลปนะที่ ใช เรี ยกภิ กษุ ทั้ งหลาย เทา นั ้น ; กลา วคือ ที ่เ ปน พุท ธภาษิต ทรงใชว า "ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย!" ที ่เ ปน เถรภาษิต ทา นใชว า "ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย!".
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๔๗
เมื่อปสสัทธิไมมี, สุข ของผูมีปสสัทธิอันวิบัติแลว ก็ขาดที่ตั้งอาศัย; เมื่อสุขไมมี, สัมมาสมาธิ ของผูมีสุขอันวิบัติแลว ก็ขาดที่ตั้งอาศัย; เมื่อสัมมาสมาธิไมมี, ยถาภูตญาณทัสสนะ ของผูมีสัมมาสมาธิอันวิบัติแลว ก็ขาดที่ตั้งอาศัย; เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะไมมี, นิพพิทาของผูมียถาภูตญาณทัสสนะอันวิบัติแลว ก็ขาดที่ตั้งอาศัย; เมื่อนิพพิทาไมมี, วิราคะ ของผูมีนิพพิทาอันวิบัติแลว ก็ขาดที่ตั้งอาศัย; เมื่อวิราคะไมมี, วิมุ ตติญาณทั สสนะ ของผูมีวิราคะอันวิบัติแลว ก็ขาดที่ ตั้งอาศัย; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เปรี ย บเหมื อ นต น ไม ซึ่ งมี กิ่ งและใบอั น วิ บั ติ แล ว สะเก็ ดเปลื อกนอกของมั นก็ ไม บริบู รณ เปลื อกชั้นในก็ ไม บริบู รณ กระพี้ ก็ ไม บริบู รณ แกนก็ไมบริบูรณดวย, นี้ฉันใด; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อทุศีล มีศีลอันวิบัติแลว อ วิป ป ฏิส าร ก็ข าด ที ่อ าศัย ; ...ฯ ล ฯ ... ...ฯ ล ฯ ... เมื ่อ วิร าค ะ ไม ม ี วิม ุต ติญาณทัสสนะของผูมีวิราคะอันวิบัติแลว ก็ขาดที่ตั้งอาศัย; ฉันนั้นเหมือนกัน.
www.buddhadasa.info (ตอไปนี้ มี ขอความที่ ทรงแสดงโดยปฏิ ป กขนั ย คื อเป นเรื่องของฝ ายที่ มี ศี ลสมบู รณ มี ที่ ตั้ ง อาศั ยสมบู รณ มี ผลตรงกั นข ามจากฝ ายทุ ศี ล จนตลอดสาย โดยทํ านองเดี ยวกั น หากแต เป นปฏิ ป กขนั ย คือตรงกันขาม ทั้งในสวนที่เปนอุปมัย (ตัวเรื่อง)และสวนที่เปนอุปมาที่นํามาเปรียบเทียบ).
www.buddhadasa.info
๖๔๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐ (อีกนัยหนึ่งซึ่งตรัสไวในที่อื่น)๑
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อสติสัมปชัญญะไมมี, หิริและโอตตัปปะ ของผูมี สติสัมปชัญญะอันวิบัติแลว ก็ขาดที่ตั้งอาศัย ; เมื่อหิริและโอตตัปปะไมมี, อินทรียสัง วร ของผูมีหิริและโอตตัปปะอันวิบัติ แลว ก็ขาดที่ตั้งอาศัย ; เมื่ออินทรียสังวรไมมี, ศีล ของผูมีอินทรียสังวรอันวิบัติแลว ก็ขาดที่ตั้ง อาศัย ; เมื่อศีลไมมี, สัมมาสมาธิ ของผูมีศีลอันวิบัติแลว ก็ขาดที่ตั้งอาศัย ; เมื่อสัมมาสมาธิไมมี, ยถาภูตญาณทัสสนะของผูมีสัมมาสมาธิอันวิบัติแลว ก็ขาดที่ตั้งอาศัย ;
www.buddhadasa.info เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะไมมี, นิพพิทาวิราคะของผูมียถาภูตญาณทัสสนะอัน วิบัติแลว ก็ขาดที่ตั้งอาศัย ; เมื่อนิพพิทาวิราคะไมมี, วิมุตติญาณทัสสนะของผูมีนิพพิทาวิราคะอันวิบัติ แลว ก็ขาดที่ตั้งอาศัย ;
๑
สูตรที่ ๑ สติวรรค อฏฐก. อํ. ๒๓/๓๔๘/๑๘๗, ในที่อื่น (ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๐๑/๓๒๑) ตรัสเริ่มตนแตคําวา "เมื่ออินทรียสังวรไมมี....", และในสตฺตก.อํ. ๒๓/๑๐๐/๖๒ ตรัสเริ่มตนแตคําวา "เมื่อหิริและโอตตัปปะไม มี...."; ตอจากนั้นเหมือนกันกับสูตรขางบนนี้ทุกประการ.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๔๙
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนตนไม ซึ่งมีกิ่งและใบอันวิบัติแลวสะเก็ด เปลื อ กนอกของมั น ก็ ไ ม บ ริ บู ร ณ เปลื อ กชั้ น ในก็ ไ ม บ ริ บู ร ณ กระพี้ ก็ ไ ม บ ริ บู ร ณ แก นก็ ไม บริบู รณ ด วย, นี้ ฉั นใด; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อสติ สั มปชั ญ ญะไม มี , หิ ริ และโอตตั ป ปะของผู มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะอั น วิ บั ติ แ ล ว ก็ ข าดที่ ตั้ งอาศั ย ; ...ฯลฯ...ฯลฯ ...เมื่อนิพพิทาวิราคะไมมี, วิมุตติญาณทัสสนะของผูมีนิพพิทาวิราคะอันวิบัติแลว ก็ขาด ที่ตั้งอาศัย; ฉันนั้นเหมือนกัน. (ตอไปนี้ มีขอความที่ ทรงแสดงโดยปฏิปกขนัย คือเปนเรื่องของฝายที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ มี ที่ ตั้งอาศัยสมบู รณ มีผลตรงกันขามจากฝายมี สติสัมปชัญญะอันวิบั ติ จนตลอดสาย โดยทํานองเดี ยวกั น หากแตเปนปฏิปกขนัย คือตรงกันขาม ทั้งในสวนที่เปนอุปไมย และสวนที่เปนอุปมา).
ปฏิจจสมุปบาทเพื่อความสมบูรณแหงอรหัตตผล๑ พระอานนทไดทูลพระผูมีพระภาคเจาวา "ข าแต พระองค ผู เจริญ! ศี ลอั นเป นกุ ศล มี
อะไรเปนประโยชนที่มุงหมาย มีอะไรเปนอานิสงส?"
www.buddhadasa.info ดูกอนอานนท! ศีลอันเปนกุศล มีอวิปปฏิสาร (ความไมรอนใจ) เปน อานิสงส ที่มุงหมาย. "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็อวิปปฏิสารเลา มีอะไรเปนอานิสงสที่มุงหมาย?" ดูกอนอานนท! อวิปปฎิสาร มีความปราโมทย เปนอานิสงส ที่มุงหมาย.
๑
สู ต ร ที่ ๑ นิ ส ส า ย ว ร ร ค เอ ก า ท ส ก .อํ . ๒๔/๓๓๕/๒๐๘, ต รั ส แ ก พ ร ะ อ า น น ท ที่ เช ต วั น . พระบาลี ในที่ อื่ น (สู ตรที่ ๑ อานิ สั งสวรรค ทสก. อํ . ๒๔/๑/๑) ตรั สเหมื อนกั บ สู ตรนี้ ทุ กประการ ต าง กันแตเพียงไดตรัสนิพพิทาและวิราคะ รวมเปนอันเดียวกันเทานั้น.
www.buddhadasa.info
๖๕๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
"ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ความปราโมทย มีอะไรเปนอานิสงส ที่มุงหมาย?" ดูกอนอานนท! ความปราโมทย มีปติ เปนอานิสงส ที่มุงหมาย. "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ปติเลา มีอะไรเปนอานิสงส ที่มุงหมาย?" ดูกอนอานนท! ปติ มีปสสัทธิ เปนอานิสงส ที่มุงหมาย. "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ปสสัทธิเลา มีอะไรเปนอานิสงส ที่มุงหมาย?" ดูกอนอานนท! ปสสัทธิ มีสุข เปนอานิสงส ที่มุงหมาย. "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็สุขเลา มีอะไรเปนอานิสงส ที่มุงหมาย?" ดูกอนอานนท! สุข มีสมาธิ เปนอานิสงส ที่มุงหมาย. "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็สมาธิเลา มีอะไรเปนอานิสงส ที่มุงหมาย?" ดูกอนอานนท! สมาธิ มียถาภูตญาณทัสสนะ เปนอานิสงส ที่มุงหมาย. "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ยถาภูตญาณทัสสนะเลา มีอะไรเปนอานิสงส ที่มุงหมาย?" ดูกอนอานนท! ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทา เปนอานิสงส ที่มุงหมาย. "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็นิพพิทา มีอะไรเปนอานิสงส ที่มุงหมาย?" ดูกอนอานนท! นิพพิทา มีวิราคะ เปนอานิสงส ที่มุงหมาย. "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็วิราคะเลา มีอะไรเปนอานิสงส ที่มุงหมาย?" ดูกอนอานนท! วิราคะ มีวิมุตติญาณทัสสนะ เปนอานิสงส ที่มุงหมาย.
www.buddhadasa.info ดูกอนอานนท! ดวยอาการอยางนี้แล : ศีลอันเปนกุศล มีอวิปปฏิสารเปนอานิสงส ที่มุงหมาย; อวิปปฏิสาร มีความปราโมทยเปนอานิสงส ที่มุงหมาย; ความปราโมทย มีปติเปนอานิสงส ที่มุงหมาย; ปติ มีปสสัทธิเปนอานิสงส ที่มุงหมาย;
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๕๑
ปสสัทธิ มีสุขเปนอานิสงส ที่มุงหมาย; สุข มีสมาธิเปนอานิสงส ที่มุงหมาย; สมาธิ มียถาภูตญาณทัสสนะ เปนอานิสงส ที่มุงหมาย; ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาเปนอานิสงส ที่มุงหมาย; นิพพิทา มีวิราคะเปนอานิสงส ที่มุงหมาย; วิราคะ มีวิมุตติญาณทัสสนะเปนอานิสงส ที่มุงหมาย; ดูกอนอานนท! ศีลอันเปนกุศล ยอมยังความเปนพระอรหันตใหเต็ม ไดโดยลําดับ ดวยอาการอยางนี้แล. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพั ง สั ง เกตให เห็ น ลั ก ษณะอั น สํ า คั ญ อย า ง หนึ่ ง ว า เป น หลั ก เกณฑ อั น ตายตั ว อย า งไร กล า วคื อ ลํ า ดั บ แห ง ธรรม ที่ แ สดงไว ใ นสู ต รนี้ และที ่ม าแหง อื ่น ๆ อีก เปน อัน มากอยา งที ่จ ะกลา วไดว า ตรงเปน แบบเดีย วกัน . ลํ า ดับ ที ่ก ลา ว นี ้ค ือ ศีล - อ วิป ป ฏ ิส า ร - ป รา โม ท ย - ป ต ิ- ปส สัท ธิ - สุข - ส ม า ธิ -ยถาภู ต ญาณทั ส สนะ - นิ พ พิ ท า - วิ ราคะ - วิ มุ ต ติ ญ าณทั ส สนะ และควรสั งเกตเป น พิ เศษ อี ก อย า งหนึ่ ง ว า ปราโมทย เป น สิ่ ง ที่ จ ะขาดไม ไ ด ใ นตอนต น แห ง กระแส และสุ ข กั บ สมาธิ เป น สิ่ ง ที่ แ ยกกั น ไม ได . และควรถื อ ว า ธรรม ๑๑ อย า งนี้ แ ล คื อ คํ า ขยายความของคํ า ว า ศี ล สมาธิ ปญญา นั่นเอง. ศีลเปนกุศล คือมิไดรักษาเพื่อลาภ เพื่อสวรรค; หากแตเพื่อวิมุตติ.
ปฏิจจสมุปบาท แหง บรมสัจจะ www.buddhadasa.info ๑
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เรายอมไมกลาว การประสพความพอใจในอรหัตตผล ด วยการกระทํ าอั นดั บแรกเพี ยงอั นดั บเดี ยว. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ แต ว า การประสบ ความพอใจในอรหัตตผล ยอมมีไดเพราะการศึกษาโดยลําดับ เพราะการกระทํ า โดย ลําดับ เพราะการปฏิบัติ โดยลําดับ
๑
กีฏคิริสูตร ภิกขุวรรค ม.ม. ๑๓/๒๓๓/๒๓๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่กีฏาคิรินิคมของชนชาวกาสี.
www.buddhadasa.info
๖๕๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ การประสบความพอใจในอรหั ตตผล ย อมมี ได เพราะ การศึ ก ษาโดยลํ าดั บ เพราะการกระทํ า โดยลํ า ดั บ เพราะการปฏิ บั ติ โดยลํ าดั บ เป น อยางไรเลา? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! บุรุษบุคคลในกรณีนี้: เปนผูมีสัทธาเกิดขึ้นแลว ยอมเขาไปหา; เมื่อเขาไปหา ยอมเขาไปนั่งใกล; เมื่อเขาไปนั่งใกล ยอมเงี่ยโสตลงสดับ; ผูเงี่ยโสตลงสดับ ยอมไดฟงธรรม; ครั้นฟงแลว ยอมทรงจําธรรมไว, ยอมใครครวญพิจารณา ซึ่งเนื้อความแหงธรรมทั้งหลายที่ตนทรงจําไว; เมื่อเขาใครครวญพิจารณา ซึ่งเนื้อความแหงธรรมนั้นอยู, ธรรมทั้งหลายยอมทนตอการเพงพิสูจน; เมื่อธรรมทนตอการเพงพิสูจนมีอยู ฉันทะ (ความพอใจ) ยอมเกิด; ผูเกิดฉันทะแลว ยอมมีอุตสาหะ; ครั้นมีอุตสาหะแลว ยอมใชดุลยพินิจ (เพื่อหาความจริง); ครั้นใชดุลยพินิจ (พบ) แลว ยอมตั้งตนไวในธรรมนั้น; ผูมีตนสงไปแลวในธรรมนั้นอยู ยอมกระทําใหแจงซึ่งบรมสัจจดวยกายดวย, ยอมเห็นแจงแทงตลอดซึ่งบรมสัจจนั้นดวย ปญญา ดวย.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๕๓
ปฏิจจสมุปบาท แหง สุวิมุตตจิต๑ กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ภิ กษุ เห็ นจักษุ อันไม เที่ ยงนั่ นแล วาไม เที่ ยง ความเห็ น เชนนั้น เปนสัมมาทิฏฐิ (การเห็นอยูโดยถูกตอง) ของเธอนั้น. เมื่อเห็นอยูโดยถูกตอง ยอมเบื่อหนาย (สมฺมา ปสฺสํ นิพฺพินฺทติ); เพราะความสิ้นไปแหงนันทิ จึงมีความสิ้นไปแหงราคะ (นนฺทิกฺขยา ราคกฺขโย); เพราะความสิ้นไปแหงราคะ จึงมีความสิ้นไปแหงนันทิ (ราคกฺขยา นนฺทิกฺขโย); เพราะความสิ้นไปแหงนันทิและราคะ กลาวไดวา "จิตหลุดพนแลว ดวยดี" ดังนี้ (นนฺทิราคกฺขยา จิตฺตํ สุวิมุตฺตนฺติ วุจฺจติ)
www.buddhadasa.info (ในกรณี แห งอายตนะภายในที่ เหลื ออี ก ๕ คื อ โสตะ ฆานะ ชิ วหา กายะ มโน และในกรณี แห งอายตนะภายนอก ๖ คื อ รูป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ ก็ ตรัสอย างเดี ยวกั นกั บในกรณี แห ง จักษุ ทุกประการ). (อีกนัยหนึ่งซึ่งตรัสไวในที่อื่น)๒
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เธอทั้งหลายจงกระทําโยนิโสมนสิการซึ่งจักษุ และ จงพิจารณาเห็นความที่จักษุเปนสิ่งที่ไมเที่ยง ตามที่เปนจริง. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย!
๑
สูตรที่ ๑-๒ นันทิกขยวรรค สฬา.สํ. ๑๘/๑๗๙/๒๔๕-๖. สูตรที่ ๓-๔ นันทิกขยวรรค สฬา.สํ. ๑๘/๑๗๙/๒๔๗-๘.
๒
www.buddhadasa.info
๖๕๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
ภิ กษุ , เมื่ อกระทํ าโยนิ โสมนสิ การซึ่ งจั กษุ และพิ จารณาเห็ นความที่ จั กษุ เป นสิ่ งที่ ไม เที่ ยง ตามที่เปนจริงอยู, ยอมเบื่อหนายแมในจักษุ. เพราะความสิ้นไปแหงนันทิ จึงมีความสิ้นไปแหงราคะ; เพราะความสิ้นไปแหงราคะ จึงมีความสิ้นไปแหงนันทะ; เพราะความสิ้ น ไปแห งนั น ทิ และราคะ กล าวได ว า "จิ ต หลุ ด พ น แล ว ดวยดี" ดังนี้. (ในกรณี แห งอายตนะภายในที่ เหลื ออี ก ๕ และในกรณี แห งอายตนะภายนอก ๖ ก็ ตรั สอย าง เดียวกันกับในกรณีแหงอายตนะภายในคือจักษุ ที่กลาวมาแลวนี้ ทุกประการ.) หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า ปฏิ จ จสมุ ป บาทฝ า ย วิ มุ ต ติ จั ก ต อ งตั้ ง ต น ขึ้ น มาด ว ยวิ ช ชา ซึ่ ง ตรงกั น ข า มจากอวิ ช ชา. ในที่ นี้ ใ ช คํ า ว า สั ม มาทิ ฏ ฐิ แทนคํ า ว า วิ ช ชา เพราะทํ า หน า ที่ ไ ด อ ย า งเดี ย วกั น . อี ก อย า งหนึ่ ง น า จะถื อ เป น หลั ก ว า วิ มุ ต ติ ที่ ตั้ ง ต น ขึ้ น มาจากสั ม มาทิ ฏ ฐิ เติ ม คํ า นํ า หน า ว า สุ เข า ไปอี ก พยางค ห นึ่ ง นั่ น เป น การ ถูก ตอ งแท.โด ยห ลัก ให ญ ๆ แ ลว แ น วแห ง วิม ุต ติก ็ต รงกัน ห ม ด คือ ตั ้ง ตน ดว ยค วาม รู ความเห็ น ที่ ถู ก ต อ ง แล ว เบื่ อ หน า ย คลายกํ า หนั ด แล ว ก็ ถึ ง ความหลุ ด พ น เป น แนวเดี ย วกั น หมด การเพิ่ ม จํ า นวนชื่ อ ของข อ ธรรมให ม ากขึ้ น เป น เพี ย งการขยายออกไปในส ว นที่ เป น บท ประกอบอยูรอบ ๆ ใจความสําคัญเพียง ๓ อยาง ดังที่กลาวมาแลวนั่นเอง.
ปฏิจจสมุปบาท แหง การปรินิพพานเฉพาะตน www.buddhadasa.info ๑
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! รู ป เป น สิ่ ง ที่ ไ ม เที่ ย ง. สิ่ ง ใดไม เที่ ย ง สิ่ ง นั้ น เป น ทุกข สิ่งใดเปนทุกข สิ่งนั้นเปนอนัตตา สิ่งใดเปนอนัตตา สิ่งนั้นนั้น ไมใชของเรา
๑
สูตรที่ ๔ อัตตทีปวรรค ขนฺธ.สํ. ๑๗/๕๗/๙๓, ตรัสแกงภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๕๕
ไม ใช เป นเรา ไม ใช เป นตั วตนของเรา : เธอทั้ งหลายพึ งเห็ นข อนั้ น ด วยป ญญาโดยชอบ ตรงตามที่เปนจริง อยางนี้ ดวยประการดังนี้. (ในกรณี แห ง เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร และวิ ญ ญาณ ก็ ต รั ส อย า งเดี ย วกั น กั บ ในกรณี แหงรูปทุกประการ).
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อบุคคลเห็นขอนั้น ดวยปญญาโดยชอบตรงตาม ที่เปนจริงอยูอยางนี้, ปุพพันตานุทิฏฐิทั้งหลาย ยอมไมมี; เมื่อปุพพันตานุทิฏฐิทั้งหลายไมมี, อปรันตานุทิฏฐิทั้งหลาย ยอมไมมี; เมื่ออปรันตานุทิฏฐิทั้งหลายไมมี, ความยึดมั่นลูบคลําอยางแรงกลา ยอมไมมี; เมื่อความยึดมั่นลูบคลําอยางแรงกลาไมมี, จิตยอมจางคลายกําหนัด ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย ในวิญญาณ ยอมหลุดพนจาก อาสวะทั้งหลาย เพราะไมมีความยึดมั่นถือมั่น; เพราะจิตหลุดพนแลว จิตจึงดํารงอยู (ตามสภาพของจิต); เพราะเปนจิตที่ดํารงอยู จิตจึงยินดีราเริงดวยดี; เพราะเปนจิตที่ยินดีราเริงดวยดี จิตจึงไมหวาดสะดุง; เมื่อไมหวาดสุดุง ยอมปรินิพพาน(ดับรอบ) เฉพาะตนนั่นเทียว. เธอนั้ น ย อ มรู ชั ด ว า "ชาติ สิ้ น แล ว, พรหมจรรย ได อ ยู จบแล ว, กิ จที่ ควร ทําไดทําเสร็จแลว, กิจอื่นที่จะตองปฏิบัติเพื่อความเปนอยางนี้ มิไดมีอีก" ดังนี้.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า คํ า ว า "ปริ นิ พ พาน" หรือ "ปริน ิพ ฺพ ายติ"ก็ต าม ไมใ ชเ ปน สิ ่ง ที ่ม ีขึ ้น เมื ่อ ตายลงไป หรือ หลัง จากตายแลว แต เปนสิ่งที่มีไดแกจิตที่ยังมีความรูสึกอยูหรือยังเปนๆ อยู โดยไมสําคัญผิดไปวา ปรินิพพาน
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
๖๕๖
นั้ น จะมี ต อ ตายแล ว หรื อ แม กํ า ลั ง ตายลงในขณะนั้ น ซึ่ งไม มี ป ระโยชน อ ะไร หรื อ เป น ความ เข า ใจที่ ง มงายอย า งยิ่ ง . ผู ศึ ก ษาทุ ก ท า นจงให ค วามสนใจในเรื่ อ งนี้ เป น พิ เศษ และควรจะ เห็ น ว า ปริ นิ พ พาน หรื อ การดั บ รอบนั้ น คื อ เย็ น สนิ ท ปราศจากกิ เลสที่ เผาลน หรื อ แม แ ต ความรบกวนใด ๆ ของเวทนาภายหลั ง จากการสิ้ น กิ เ ลสแล ว ทั้ ง สิ้ น . และยิ่ ง เมื่ อ มี คํ า ว า ปจฺ จ ตฺ ตํ (เฉพาะตน) เอว ประกอบเข า มาด ว ยแล ว ย อ มเป น การยื น ยั น ถึ ง ที่ สุ ด ว า เป น ความ รูสึกในใจที่ผูนั้นกําลังรูสึกอยูจริง ๆ, จะไปมีตอตายแลวไดอยางไรกันเลา.
ปฏิจจสมุปบาท แหง การดับอุปาทานสี๑่ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อุ ปาทานทั้ งหลาย ๔ อย างเหล านี้ มี อยู . สี่ อย างเป น อย างไรเล า? สี่ อย างคื อ กามุ ป าทาน ๑, ทิ ฏ ุ ป าทาน ๑, สี ลั พ พั ต ตุ ป าทาน ๑, อัตตวาทุปาทาน ๑. .... ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ อุ ปาทานทั้ งหลาย ๔ อย างเหล านี้ มี อะไรเป นนิ ทาน (ต น เหตุ )มี อะไรเป น สมุ ทั ย (เครื่ องก อขึ้ น ) มี อะไรเป นชาติ กะ(เครื่ อ งทํ าให เกิ ด ) มี อะไร เปนปภวะ(แดนเกิด)?
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อุ ปาทานทั้ งหลาย ๔ อย างเหล านี้ มี ตั ณ หาเป น นิทาน ...ฯลฯ...
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ตั ณ หานี้ มี อะไรเป นนิ ทาน เป นสมุ ทั ย เป นชาติ กะ เปนปภวะ?
๑
จูฬสีหนาทสูตร สีหนาทวรรค มู.ม. ๑๒/๑๓๒, ๑๓๔/๑๕๖, ๑๕๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๕๗
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ตัณหา มีเวทนาเปนนิทาน ...ฯลฯ... ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ เวทนานี้ มี อะไรเป นนิ ทาน เป นสมุ ทั ย เป นชาติ กะ เปนปภวะ? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เวทนา มีผัสสะเปนนิทาน ...ฯลฯ... ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ ผั สสะนี้ มี อะไรเป นนิ ทาน เป นสมุ ทั ย เป นชาติ กะ เปนปภวะ? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ผัสสะ มีสฬายตนะเปนนิทาน ...ฯลฯ... ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ สฬายตนะนี้ มี อะไรเป นนิ ทาน เป นสมุ ทั ย เป น ชาติกะเปนปภวะ? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สฬายตนะ มีนามรูปเปนนิทาน ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็ นามรู ปนี้ มี อะไรเป นนิ ทาน เป นสมุ ทั ย เป นชาติ กะ
เปนปภวะ?
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นามรูป มีวิญญาณเปนนิทาน ...ฯลฯ...
ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ก็วิญญาณนี้ มีอะไรเป นนิ ทาน เป นสมุ ทั ย เป นชาติกะ เปนปภวะ?
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๐
๖๕๘
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! วิญญาณ มีสังขารเปนนิทาน ...ฯลฯ... ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ก็สังขารทั้งหลายเหลานี้ มีอะไรเปนนิทาน เปนสมุทัย เปนชาติกะ เปนปภวะ? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สังขารทั้งหลาย มีอวิชชาเปนนิทาน เปนสมุทัย เปนชาติกะ เปนปภวะ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลใดแล อวิชชา ภิกษุละไดแลว วิชชาเกิด ขึ้ น แล ว ; ในกาลนั้ น ภิ ก ษุ นั้ น , เพราะความสํ า รอกออกโดยไม เหลื อ แห งอวิ ช ชา เพราะวิช ชาเกิด ขึ้น , เธอยอ มไมย ึด มั ่น ซึ ่ง กามุป าทาน เธอยอ มไมย ึด มั ่น ซึ ่ง ทิฏ ุป าทาน เธอยอมไมยึดมั่น ซึ่งสีลัพ พัต ตุป าทาน ยอมไมยึด มั่น ถือมั่น ซึ่ง อั ต ตวาทุ ป าทาน. เมื่ อไม ยึ ดมั่ น ถื อมั่ น , เธอย อ มไม ส ะดุ ง; เมื่ อ ไม สะดุ ง, ย อ ม ปรินิพพาน (ดั บรอบ) เฉพาะตนนั่ นเที ยว. ภิกษุนั้น ยอมรูชัดวา "ชาติสิ้นแลว, พรหมจรรย ได อ ยู จบแล ว, กิ จที่ ค วรทํ าได ทํ าเสร็ จแล ว, กิ จอื่ น ที่ จะต อ งปฏิ บั ติ เพื่ อ ความเปนอยางนี้มิไดมีอีก" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ปฏิจจสมุปบาท แหง ความสิ้นสุดของโลก ๑
พระผูมีพระภาคเจา ไดทรงชักชวนภิกษุ ทั้งหลายดวยธัมมิกถาอันเนื่ องเฉพาะดวยนิพพาน, ไดทรงเห็นวาภิกษุทั้งหลายสนใจฟงอยางยิ่ง จึงไดตรัสพระพุทธอุทานนี้ขึ้น ในเวลานั้น วา :-
๑
สูตรที่ ๔ ปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘ อุทาน.ขุ. ๒๕/๒๐๘/๑๖๑.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ
๖๕๙
"ความหวั่นไหว ยอมมีแกบุคคลผูอันตัณหาและทิฏฐิอาศัยแลว" (นิสฺสิตสฺส จลิตํ).
ความหวั่นไหว ยอมไมมีแกบุคคลผูอันตัณหาและทิฏฐิไมอาศัยแลว (อนิสฺสิตสฺส จลิตํ นตฺถิ);
เมื่อความหวั่นไหวไมมี, ปสสัทธิ ยอมมี (จลิเต อสติ ปสฺสทฺธิ);
เมื่อปสสัทธิมี, นติ(ความนอมไป) ยอมไมมี (ปสฺสทฺธิยา สติ นติ น โหติ);
เมื่อนติไมมี, อาคติคติ (การมาและการไป) ยอมไมมี (นติยา อสติ อาคติคติ น โหติ);
เมื่ออาคติคติไมมี, จุตูปปาตะ (การเคลื่อนและการเกิดขึ้น) ยอมไมมี
www.buddhadasa.info (อาคติคติยา อสติ จุตูปปาโต น โหติ);
เมื่ อ จุ ตู ป ปาตะไม มี , อะไรๆ ก็ ไ ม มี ใ นโลกนี้ ไม มี ใ นโลกอื่ น ไม มี ใ น ระหวางแหงโลกทั้งสอง(จุตูปปาเต อสติ เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเร):
นั่นแหละ คือที่สุดแหงทุกขละ (เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺส)",
ดังนี้ แล.
หมวดที่สิบ จบ ------------
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
หมวด ๑๑ วาดวย ลัทธิหรือทิฏฐิ ที่ขัดกับปฏิจจสมุปบาท (: มิจฉาทิฏฐิ)
www.buddhadasa.info
๖๖๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฎอิทัปปจจยตา : หัวในปฏิจจสมุปบาท. ………………………... อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมมี อิมสฺสุปฺ ปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป (ม.ม.๑๓/๓๕๕/๓๗๑, นิทาน.สํ.๑๖/๘๔/๑๕๔,...)
www.buddhadasa.info ๖๖๓
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่องเฉพาะหมวด สําหรับปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๑๑ วาดวย ลัทธิหรือทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจสมุปบาท (มี ๑๔ เรื่อง) มี เรื่ อง : สั มมาทิ ฏฐิ คื อทิ ฏฐิ ที่ ปราศจากอั ตถิ ตาและนั ตถิ ตา -- ปฏิ จจสมุ ปบาท มีห ลัก วา "ไมม ีต นเอง ไมม ีผู อื ่น ที ่ก อ ทุก ข"--แมท ุก ขใ นลัท ธิทั ้ง หลายอื ่น ก็ม ีผ ัส สะเปน จุ ด ตั้ ง ต น -- พวกกรรมวาที _ทุ ก พวกกั บ หลั ก ปฏิ จ จสมุ ป บาท -- เงื่อ นงํา ที่ อ าจนํ า ไปสู สั ส สต ทิ ฏ ฐิ ห รือ อุ จ เฉททิ ฏ ฐิ ในอาการหนึ่ ง ๆ_ของปฏิ จ จสมุ ป บาท--โลกายตะ ๔ ชนิ ด ที่ ท รงปฏิ เสธ - - ทิฏ ฐิชั ้น หัว หนา ๑๘ อยา ง ลว นแตป รารภ ธรรมที ่เ ปน ฐานะ ๖ อยา ง --ทิฏ ฐิ ๒๖ อย า ง ล ว นแต ป รารภขั น ธ ห า --อั น ตคาหิ ก ทิ ฏ ฐิ สิ บ ๒,๒๐๐ นั ย ล ว นแต เ ป น ไปในขั น ธ ห า ล ว นแต ป ด บั ง การเห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาท--ผั ส สะคื อ _ป จ จั ย แห ง ทิ ฏ ฐิ ๖๒ --ทิ ฏ ฐิ ๖๒ เป น เพีย งความรู ส ึก ผิด ๆของผู ไ มรู ป ฏิจ จสมุป บาท--ผัส สะคือ ที ่ม าของทิฏ ฐิ_ ๖๒ --ทิฏ ฐิ ๖๒ เปน ผลของการไมรู ป ฏิจ จสมุป บาท--ถา รู ป ฏิจ จสมุป บาทก็จ ะไมเ กิด ทิฏ ฐิอ ยา งพวก ตาบอดคลําชาง.
www.buddhadasa.info
๖๖๔
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
หมวดที่ ๑๑ วาดวย ลัทธิหรือทิฏฐิที่ขัดกันกับปฏิจจสมุปบาท ( : มิจฉาทิฏฐิ) -------------สัมมาทิฏฐิ คือทิฏฐิที่ปราศจาก อัตถิตาและนัตถิตา๑ ครั้งหนึ่งที่เชตวัน ทานพระกัจจานโคตต ไดเขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจาถึงที่ประทับ แลวทูลถามวา "ขาแตพระองคผูเจริญ! ที่กลาวๆกันวา สัมมาทิฏฐิ-สัมมาทิฏฐิ ดังนี้
สัมมาทิฏฐิ ยอมมีไดดวยเหตุเพียงเทาไรหนอ พระเจาขา?" ดูกอนกัจจานะ! สัตวโลกนี้ อาศัยแลวซึ่ง สวนสุดทั้งสอง โดยมาก คือ สวนสุดวา อัตถิตา (ความมี) และสวนสุดวา นัตถิตา (ความไมมี).
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๕ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ.๑๖/๒๑/๔๓, ตรัสแกภิกษุกัจจานโคตต ที่เชตวัน.
๖๖๕
www.buddhadasa.info
๖๖๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ดูกอนกัจจนะ! สวนสุดวา นัตถิตา ยอมไมมีแกบุคคลผูเห็นอยูดวยปญญา อันชอบตามที่เปนจริง ซึ่งธรรมอันเปนเหตุใหเกิดขึ้นแหงโลก. ดูกอนกัจจานะ! สวนสุดวา อัตถิตา ยอมไมมีแกบุคคลผูเห็นอยูดวยปญญา อันชอบตามที่เปนจริง ซึ่งธรรมคือความดับไมเหลือแหงโลก. ดูก อนกัจจานะ! สั ตวโลกนี้ โดยมาก ถูกผูกพั นแล วด วยตั ณหา ด วยอุ ปาทาน ดวยทิฏฐิ (อุป ายุปาทานาภิ นิเวสวินิพ นฺโธ). แตอริย สาวกนี้ ไม เขาถึง ไม ถื อ เอา ไม ถึ งทั บ ซึ่ งตั ณหาและอุ ปาทาน อั นเป นเครื่องถึ งทั บแห งใจ อั นเป นอนุ สั ยแห งทิ ฏฐิ ว า "อั ตตาของเรา" ดั งนี้ ; ย อมไม สงสั ย ย อมไม ลั งเล ในข อที่ ว า "เมื่ อจะเกิ ด ทุ กข เท านั้ น ย อ มเกิ ด ขึ้ น ; เมื่ อจะดั บ ทุ ก ข เท านั้ น ย อ มดั บ " ดั งนี้ . ญาณในข อ นี้ ย อ มมี แกอริยสาวกนั้น โดยไมตองเชื่อตามผูอื่น. ดูกอนกัจจานะ! สัมมาทิ ฏฐิ ยอมมีได ดวยเหตุเพียงเทานี้แล. ดู ก อนกั จจานะ! คํ ากล าวที่ ยื นยั นลงไปด วยทิ ฏฐิ วา "สิ่ งทั้ งปวง มี อยู " ดั งนี้ นี ้ เปน สว นสุด ที ่ห นึ ่ง (ไมใ ชท างสายกลาง); คํ า กลา วที ่ย ืน ยัน ลงไปดว ยทิฏ ฐิว า "สิ่ งทั้ งปวง ไม มี อยู " ดั งนี้ เป นส วนสุ ดที่ สอง(ไม ใช ทางสายกลาง); ดู ก อนกั จจานะ! ตถาคต ย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เขาไปหาส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คื อตถาคตยอม แสดงดั งนี้ วา "เพราะมี อวิชชาเป นป จจัย จึงมี สังขารทั้ งหลาย; เพราะมี สั งขารเป นป จจัย จึ ง มี ว ิ ญ ญ าณ ; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ...; เพ ราะมี ช าติ เ ป น ป จ จั ย , ชราม รณ ะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอม แหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๖๗
เพราะความจางคลายดั บไปโดยไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่ นเที ยว, จึงมี ความดั บ แหง สัง ขาร; เพราะความดับ แหง สัง ขาร จึง มีค วามดับ แหง วิญ ญาณ; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ...; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแหละ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั ส อุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการ อยางนี้", ดังนี้ แล.
ปฏิจจสมุปบาท มีหลักวา "ไมมีตนเอง ไมมีผูอื่น ที่กอทุกข" ๑ ครั้นอเจลกั สสปะ ได รับพุ ทธานุ ญาตให ทู ลถามป ญหาได จากพระผู มี พระภาคเจ าแล ว ได ทู ล ถามปญหาพระผูมีพระภาคเจาวา "ขาแตพระโคดมผูเจริญ! ความทุกข เปนสิ่งที่บุคคลกระทํา
เองหรือพระเจาขา?" ดังนี้. พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสตอบวา "อยากลาวอยางนั้นเลย กัสสปะ!" ดังนี้.
"ข าแต พ ระโคดมผู เจริ ญ ! ความทุ ก ข เป น สิ่ งที่ บุ ค คลอื่ น กระทํ าให ห รื อ
www.buddhadasa.info พระเจาขา?"
อยากลาวอยางนั้นเลย กัสสปะ!
"ข าแต พระโคดมผู เจริญ! ความทุ กข เป นสิ่ งที่ บุ คคลกระทํ าเองด วย และ บุคคลอื่นกระทําใหดวยหรือ พระเจาขา?"
๑
สูตรที่ ๗ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๒๓/๔๙, ตรัสแกอเจลกัสสปะ ที่เวฬุวัน.
www.buddhadasa.info
๖๖๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
อยากลาวอยางนั้นเลย กัสสปะ! "ขาแต พระโคดมผู เจริญ! ความทุ กข เป นสิ่ งที่ ไม ใชทํ าเองหรือใครทํ าให เกิ ด ขึ้นไดหรือ พระเจาขา?" อยากลาวอยางนั้นเลย กัสสปะ! "ขาแตพระโคดมผูเจริญ! ความทุกขไมมีหรือ พระเจาขา?" ดูกอนกัสสปะ! มิใชความทุกขไมมี ที่แท ความทุกขมีอยู. "ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! ถ าอย างนั้ น พระโคดมผู เจริญ ย อมไม รู ไม เห็ น ความทุกข กระมัง?" ดู ก อนกั สสปะ! เราจะไม รู ไม เห็ นความทุ กข ก็ หามิ ได . เราแล ย อ มรู ยอมเห็น ซึ่ง ความทุกข "ขาแต พระโคดมผู เจริญ! พระองค , เมื่ อข าพระองค ทู ลถามวา `ข าแต พระ โคดมผูเจริญ! ความทุกข เปนสิ่งที่บุคคลกระทําเองหรือ พระเจาขา?' ดังนี้, ทรงตอบวา ‘อยากลาวอยางนั้นเลย กัสสปะ!' ดังนี้; เมื่อขาพระองคทู ลถามวา `ขาแตพระโคดม ผูเจริญ! ความทุ กขเป นสิ่ งที่ บุ คคลอื่ นกระทํ าให หรือ พระเจ าขา?' ดั งนี้ , ทรงตอบวา ‘อยากลาวอยางนั้นเลย กัสสปะ!' ดังนี้; เมื่อขาพระองคทู ลถามวา `ขาแตพระโคดม ผูเจริญ! ความทุกข เปนสิ่งที่บุคคลกระทําเองดวย และบุคคลอื่นกระทําใหดวยหรือ พระ เจาขา?' ดั งนี้ ทรงตอบวา `อย ากลาวอย างนั้ นเลย กัสสปะ!' ดั งนี้ ; เมื่ อขาพระองค ทูลถามวา ‘ขาแตพระโคดมผูเจริญ! ความทุกข เปนสิ่งที่ไมใชทําเองหรือใครทําใหก็เกิดขึ้น ไดหรือ พระเจาขา?' ดังนี้, ทรงตอบวา `อยากลาวอยางนั้นเลยกัสสปะ!' ดังนี้; เมื่อ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๖๙
ข าพระองค ทู ลถามว า ‘ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! ความทุ กข ไม มี หรื อ พระเจ าข า?' ดั งนี้ , ทรงตอบว า ‘ดู ก อ นกั ส สปะ! มิ ใช ความทุ กข ไม มี ; ที่ แท ความทุ กข มี อ ยู ' ดั งนี้ ; ครั้ น ข าพระองค ทู ลถามว า ‘ข าแต พระโคดมผู เจริ ญ ! ถ าอย างนั้ น พระโคดมผู เจริ ญ ย อมไม รู ไม เห็ นความทุ กข กระมั ง?' ดั งนี้ , ก็ ยั งทรงตอบว า `ดู ก อนกั สสปะ! เราจะไม รู ไม เห็ น ความทุ ก ข ก็ ห ามิ ได ; เราแล ย อ มรู ย อ มเห็ น ซึ่ งความทุ ก ข ' ดั งนี้ . ข าแต พ ระองค ผู เจริญ! ขอพระผู มี พระภาคเจ า จงตรัสบอกซึ่ ง (เรื่องราวแห ง) ความทุ กข ; และจงทรงแสดง ซึ่ง (เรื่องราวแหง) ความทุกข แกขาพระองคเถิด". ดู ก อนกั สสปะ! เมื่ อบุ คคลมี ความสํ าคั ญ มั่ นหมายมาแต ต นว า "ผู นั้ นกระทํ า ผู นั้ นเสวย (ผล)" ดั งนี้ เสี ยแล ว เขามี วาทะ(คื อลั ทธิ ยื นยั นอยู ) ว า "ความทุ กข เป นสิ่ งที่ บุคคลกระทําเอง" ดังนี้ : นั่นยอมแลนไปสู (คลองแหง) สัสสตะ (ทิฏฐิที่ถือวาเที่ยง). ดู ก อนกั สสปะ! เมื่ อบุ คคลถู กเวทนากระทบให มี ความสํ าคั ญมั่ นหมายว า "ผู อื่ นกระทํ าผู อื่ น เสวย (ผล)" ดั ง นี้ เสี ย แล ว เขามี ว าทะ(คื อ ลั ท ธิ ยื น ยั น อยู )ว า "ความทุ ก ข เป น สิ่ ง ที่ บุคคลอื่นกระทําให" ดังนี้ : นั่นยอมแลนไปสู (คลองแหง) อุจเฉทะ (ทิฏฐิ ที่ถือวา ขาดสูญ).
www.buddhadasa.info ดู ก อนกั สสปะ! ตถาคตย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เข าไปหาส วนสุ ด ทั้ งสองนั้ น คื อตถาคตย อมแสดงดั งนี้ ว า "เพราะมี อวิ ชชาเป นป จจั ย จึ งมี สั งขารทั้ งหลาย; เพ ราะ ม ีส ัง ข ารเป น ปจ จัย จึง มีว ิญ ญ าณ ; ...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ...ฯ ล ฯ ...; เพ ราะ มี ชาติ เป นป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบ ถวน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้.
เพราะความจางคลายดั บไปโดยไม เหลื อแห งอวิ ชชานั้ นนั่ นเที ยว, จึ งมี ความดั บ แห ง สั ง ขาร; เพราะมี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร จึ ง มี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญาณ; ...ฯลฯ... ฯลฯ...ฯลฯ...; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะ-
www.buddhadasa.info
๖๗๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
โทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการ อยางนี้" ดังนี้. อเจลกั สสปะนั้ น กล าวสรรเสริญ พระธรรมโอวาทนั้ นแล ว ทู ลขอบรรพชาอุ ปสมบทกะ พระผูมีพระภาคเจา ครั้นไดอุปสมบทแลว ไมนานนัก ก็ทําใหแจงซึ่งอรหัตตผลอันเปนที่สุดแหงพรหมจรรย ไดเปน พระอรหันตองคหนึ่ง ในบรรดาพระอรหันตทั้งหลาย, ดังนี้ แล.
แมทุกขในลัทธิทั้งหลายอื่น ก็มีผัสสะเปนจุดตั้งตน๑ ดู ก อนอานนท ! คราวหนึ่ ง เราอยู ที่ ป าไผ เป นที่ ให เหยื่ อแก กระแต ใกล กรุงราชคฤห นี่ เอง.ครั้งนั้ น เวลาเช า เราครองจี ว รถื อ บาตร เพื่ อ ไปบิ ณ ฑบาตใน กรุงราชคฤห คิดขึ้นมาวา ยังเชาเกินไปสําหรับการบิณฑบาตในกรุงราชคฤห ถาไฉน เราเขาไปสูอารามของปริพพาชก ผูเปนเดียรถียเหลาอื่นเถิด. ดูกอนอานนท! เราไดเขาไปสูอารามของปริพพาชก ผูเปนเดียรถียเหลาอื่น กระทําสัมโมทยียกถาแกกันและกัน นั่งลง ณ ที่ควรขางหนึ่ง. ดูกอนอานนท! ปริพพาชก ผูเปนเดียรถียอื่นเหลานั้น ไดกลาวแกเราผูนั่งแลว อยางนี้วา “ทานโคตมะ! มีสมณพราหมณบางพวกที่กลาวสอนเรื่องกรรม ยอมบัญญัติความทุกข วาเปนสิ่งที่ตนทําเอาดวย ตนเอง; มีสมณพราหมณ อีกบางพวกที่กลาวสอนเรื่องกรรม ยอมบัญญั ติความทุกข วาเปนสิ่งที่ผูอื่นกระทําให; มีสมณพราหมณอีกบางพวกที่กลาวสอนเรื่องกรรม ยอม
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๔ ทสพลวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๔๑/๗๖, ตรัสแกพระอานนท ที่เวฬุวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๗๑
บัญญั ติความทุกขวา เปนสิ่งที่ตนทําเอาดวยตนเองดวย ผูอื่นทําใหดวย; มีสมณพราหมณ อีกบางพวก ที่กลาวสอนเรื่องกรรม ยอมบัญญัติความทุกขวาเปนสิ่งที่ไมใชทําเองหรือใครทําให ก็ เกิ ดขึ้ นได . ในเรื่องนี้ ท านโคตมะของพวกเรา จะพู ดวาอย างไร จะกล าววาอย างไร; และพวกเรากลาวอยู อย างไร จึงจะเป นอั นกล าวตามคํ าที่ ท านโคตมะกล าวแล ว, ไม เป น การกลาวตู ดวยคํ าไม จริง แตเป นการกล าวโดยถูกต อง และสหธรรมิ กบางคนที่ กลาวตาม จะไมพลอยเปนผูควรถูกติเตียนไปดวย?" ดังนี้. ดู ก อนอานนท ! เราเมื่ อถู กถามอย างนี้ แล ว ได ตอบแก ปริพพาชกเหล านั้ นวา "ดูกอนทานทั้งหลาย! ทุกขนั้นเรากลาววา เปนเพียงสิ่งที่อาศัยปจจัยอยางใดอยาง หนึ่ งแล วเกิ ด ขึ้ น (เรีย กวา ปฏิ จ จสมุ ป ป น ธรรม). ทุ ก ขนั้ น อาศั ย ป จ จัย อะไรเล า? ทุกขนั้น อาศัยปจจัยคือผัสสะ. ผูกลาวอยางนี้แลชื่อวากลาวตรงตามที่เรากลาว, ไม เป นการกล าวตู เราด วยคํ าไม จริง แต เป นการกล าวโดยถู กต อง และสหธรรมิ กบางคน ที่กลาวตาม ก็จะไมพลอยกลายเปนผูควรถูกติไปดวย. ดูกอนท านทั้งหลาย! ในบรรดาสมณพราหมณ ที่กลาวสอนเรื่องกรรมทั้ งสี่ พวก นั้น : สมณพราหมณ ที่กลาวสอนเรื่องกรรมพวกใด บั ญญั ติความทุกข วาเป นสิ่งที่ ตนทํ า เอาดวยตนเอง; แมความทุกขที่พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังตองอาศัยผัสสะเปนปจจัย จึง เกิดมีได. สมณพราหมณ ที่กลาวสอนเรื่องกรรมพวกใด บัญญั ติความทุกข วาเปนสิ่งที่ ผูอื่นทําให; แมความทุกขที่พวกเขาบัญ ญั ตินั้น ก็ยังตองอาศัยผัสสะเปนปจจัยจึง เกิดมีได. สมณพราหมณ ที่กลาวสอนเรื่องกรรมพวกใด บัญญั ติความทุกข วาเปนสิ่งที่ ตนทํ าเอาด วยตนเองด วย ผู อื่ นทํ าให ด วย; แม ความทุ กข ที่ พวกเขาบั ญ ญั ติ นั้ น ก็ ยั ง ตองอาศัยผัสสะเปนปจจัยจึงเกิดมีได. ถึงแมสมณพรามหณที่กลาวสอนเรื่องกรรมพวก ใด บัญญัติความทุกข วาเปนสิ่งที่ไมใชทําเองหรือใครทําใหเกิดขึ้นได ก็ตาม; แมความทุกขที่ พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังตองอาศัยผัสสะเปนปจจัยจึงเกิดมีได อยูนั่นเอง.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๖๗๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ดู ก อนท านทั้ งหลาย! ในบรรดาสมณพราหมณ ที่ กล าวสอนเรื่ องกรรมทั้ งสี่ พวกนั้ น : สมณพราหมณ ที่ กล าวสอนเรื่องกรรมพวกใด บั ญญั ติ ความทุ กข ว าเป นสิ่ งที่ ตนทํ าเอาด วยตนเอง; สมณพราหมณ พวกนั้ นหนา เว นผั สสะเสี ยแล ว จะรู สึ กต อความ ทุ ก ข นั้ น ได ดั ง นั้ น หรื อ : นั่ น ไม ใ ช ฐ านะที่ จั ก มี ไ ด . ถึ ง แม ส มณพราหมณ ที่ ก ล า ว สอนเรื่ องกรรมพวกใด บั ญญั ติ ความทุ กข ว าเป นสิ่ งที่ ผู อื่ นทํ าให ก็ ตาม; สมณพราหมณ พวกนั้ น หนา เว น ผั ส สะเสี ยแล ว จะรูสึ ก ต อ ความทุ กข นั้ น ได ดั งนั้ น หรื อ : นั่ น ไม ใช ฐานะที่ จั กมี ได . ถึ งแม สมณพราหมณ ที่ กล าวสอนเรื่องกรรมพวกใด บั ญญั ติ ความทุ กข ว าเป นสิ่ งที่ ตนทํ าเอาด วยตนเองด วย ผู อื่ นทํ าให ด วย ก็ ตาม; สมณพราหมณ พวกนั้ น หนา เว น ผั ส สะเสี ย แล ว จะรูสึ ก ต อ ความทุ ก ข นั้ น ได ดั ง นั้ น หรือ : นั่ น ไม ใ ช ฐ านะที่ จั กมี ได . ถึ งแม สมณพราหมณ ที่ กล าวสอนเรื่องกรรมพวกใด บั ญญั ติ ความทุ กข ว าที่ ไม ใช ทํ าเองหรือใครทํ าให ก็ เกิ ดขึ้ นได ก็ ตาม; สมณพราหมณ พวกนั้ นหนาเว นผั สสะเสี ยแล วจะ รูสึกตอความทุกขนั้นได ดังนั้นหรือ : นั่นไมใชฐานะที่จักมีได", ดังนี้.
พวกกัมมวาทีทุกพวก กับหลักปฏิจจสมุปบาท๑
www.buddhadasa.info ดู ก อ นอานนท ! คราวหนึ่ ง เราอยู ที่ ป าไผ เป น ที่ ให เหยื่ อ แก ก ระแต ใกล กรุ งราชคฤห นี่ เอง.ครั้ งนั้ น เวลาเช า เราครองจี วรถื อ บาตร เพื่ อ ไปบิ ณ ฑบาตในกรุ ง ราชคฤห คิ ดขึ้ นมาว า ยั งเช าเกิ นไปสํ าหรั บ การบิ ณ ฑบาตในกรุ งราชคฤห ถ าไฉนเรา เขาไปสูอารามของปริพพาชก ผูเปนเดียรถียเหลาอื่นเถิด.
๑
สู ต รที่ ๔ ทสพลวรรค นิ ท านสั งยุ ต ต นิ ท าน.สํ . ๑๖/๔๑/๗๖, ตรั ส แก พ ระอานนท ที่ เวฬุ วั น . ข อ ความ ตอนต น แห งเรื่ อ งนี้ เหมื อ นกั บ ข อความในหั วข อ ที่ แล วมา คื อหั วข อ ว า "แม ทุ ก ข ในลั ท ธิ ทั้ งหลายอื่ น ก็ มี ผั สสะเป นจุ ดตั้ งต น" ทุ กตั วอั กษร; แต จํ าเป นต องยกมาใส ไว ในที่ นี้ อี ก ก็ เพื่ อสะดวกแก การศึ กษา ในประเด็ นแห งหั วข อนี้ ซึ่ งมุ งจะเปรี ยบเที ยบลั ทธิ กรรมนอกพระพุ ทธศาสนากั บหลั กปฏิ จจสมุ ปบาทแห ง พระพุทธศาสนา.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๗๓
ดู ก อนอานนท ! เราได เขาไปสู อารามของปริพพาชก ผู เป นเดี ยรถี ย เหล าอื่ น กระทําสัมโมทยียกถาแกกันและกัน นั่ งลง ณ ที่ควรขางหนึ่ ง. ดู กอนอานนท! ปริพพาชก ผู เป นเดี ยรถี ย อื่ นเหล านั้ น ได กล าวแก เราผู นั่ งแล ว อย างนี้ วา “ท านโคตมะ! มี ส มณพราหมณ บางพวกที่กลาวสอนเรื่องกรรม ยอมบัญญั ติความทุกข วาเปนสิ่งที่ตนทําเอาดวย ตนเอง; มี สมณพราหมณ อีกบางพวกที่ กล าวสอนเรื่องกรรม ย อมบั ญญั ติ ความทุ กข วา เปนสิ่งที่ผูอื่นกระทําให; มีสมณพราหมณ อีกบางพวกที่กลาวสอนเรื่องกรรม ยอมบัญญั ติ ความทุ กข วา เป นสิ่ งที่ ตนทํ าเอาด วยตนเองด วย ผู อื่ นทํ าให ด วย; มี สมณพราหมณ อี ก บางพวกที่ กล าวสอนเรื่องกรรม ยอมบั ญญั ติ ความทุ กขวาไม ใชทํ าเองหรือใครทํ าให ก็เกิ ด ขึ้ นได . ในเรื่องนี้ ท านโคตมะของพวกเราจะพู ดว าอย างไร จะกล าวว าอย างไร; และ พวกเรากล าวอยู อย างไร จึ งจะเป นอั นกล าวตามคํ าที่ ท านโคตมะกล าวแล ว, ไม เป นการ กล าวตู ด วยคํ าไม จริง แต เป นการกล าวโดยถู กต อง และสหธรรมิ กบางคนที่ กล าวตาม จะไมพลอยเปนผูควรถูกติเตียนไปดวย?" ดังนี้. ดู ก อนอานนท ! เราเมื่ อถู กถามอย างนี้ แล ว ได ตอบแก ปริพพาชกเหล านั้ นว า "ดูกอนทานทั้งหลาย! ทุกขนั้นเรากลาววา เปนเพียงสิ่งที่อาศัยปจจัยอยางใดอยางหนึ่ง แลวเกิดขึ้น (เรียกวา ปฏิจจสมุปปนธรรม). ทุกขนั้น อาศัยปจจัยอะไรเลา? ทุกขนั้น อาศัยปจจัยคือผัสสะ. ผูกลาวอยางนี้แล ชื่อวา กลาวตรงตามที่เรากลาว, ไมเปน การกลาวตูเราดวยคําไมจริง แตเปนการกลาวโดยถูกตอง และสหธรรมิกบางคนที่กลาวตาม ก็จะไมพลอยกลายเปนผูควรถูกติไปดวย.
www.buddhadasa.info ดู ก อนท านทั้ งหลาย! ในบรรดาสมณพราหมณ ที่ กล าวสอนเรื่องกรรมทั้ งสี่ พวกนั้น : สมณพราหมณ ที่กลาวสอนเรื่องกรรมพวกใด บั ญญั ติ ความทุกข วาเป นสิ่งที่ ตนทําเอาดวยตนเอง; แมความทุกขที่พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังตองอาศัยผัสสะเปน
www.buddhadasa.info
๖๗๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ปจจัยจึงเกิดมีได. สมณพราหมณ ที่กลาวสอนเรื่องกรรมพวกใด บัญญั ติความทุกข วา เปนสิ่งที่ผูอื่นทําให; แมความทุกขที่พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังตองอาศัยผัสสะเปนปจจัย จึงเกิดมี ได . สมณพราหมณ ที่กลาวสอนเรื่องกรรมพวกใด บัญญั ติความทุกข วาเป น สิ่งที่ตนทําเอาดวยตนเองดวย ผูอื่นทําใหดวย; แมความทุกขที่พวกเขาบัญญั ตินั้น ก็ยัง ตองอาศัยผัสสะเปนปจจัยจึงเกิดมีได. ถึงแมสมณพรามหณที่กลาวสอนเรื่องกรรม พวกใด บัญญัติความทุกข วาเปนสิ่งที่ไมใชทําเองหรือใครทําใหเกิดขึ้นได ก็ตาม; แมความทุกข ที่พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังตองอาศัยผัสสะเปนปจจัยจึงเกิดมีได อยูนั่นเอง. ดู ก อนท านทั้ งหลาย! ในบรรดาสมณพราหมณ ที่ กล าวสอนเรื่องกรรมทั้ งสี่ พวกนั้ น : สมณพราหมณ ที่กล าวสอนเรื่องกรรมพวกใด บั ญญั ติ ความทุ กข วาเป นสิ่ งที่ ตนทํ าเอาด วยตนเอง; สมณพราหมณ พวกนั้ นหนา เว นผั สสะเสี ยแล ว จะรูสึ กต อความ ทุกขนั้นได ดังนั้นหรือ : นั่นไมใชฐานะที่จักมีได. ถึงแมสมณพราหมณ ที่กลาวสอน เรื่ องกรรมพวกใด บั ญ ญั ติ ความทุ กข ว าเป นสิ่ งที่ ผู อื่ นทํ าให ก็ ตาม; หมณพราหมณ พวกนั้ นหนา เวนผั สสะเสี ยแล ว จะรูสึ กต อความทุ กขนั้ นได ดั งนั้ นหรือ : นั่ นไม ใช ฐานะที่จักมีได. ถึงแมสมณพราหมณ ที่กลาวสอนเรื่องกรรมพวกใด บัญญั ติความทุกข วาเป นสิ่งที่ตนทําเอาดวยตนเองดวย ผูอื่นทําให ดวย ก็ตาม; สมณพราหมณ พวกนั้นหนา เวนผัสสะเสียแลว จะรูสึกตอความทุกขนั้นไดดังนั้นหรือ : นั่นไมใชฐานะที่จักมีได. ถึ งแม สมณพราหมณ ที่ กล าวสอนเรื่องกรรมพวกใด บั ญญั ติ ความทุ กข ว าไม ใช ทํ าเองหรื อ ใครทํ าให ก็ เกิ ดขึ้นได ก็ ตาม; สมณพราหมณ พวกนั้ นหนาเวนผั สสะเสี ยแล ว จะรูสึ ก ตอความทุกขนั้นได ดังนั้นหรือ : นั่นไมใชฐานะที่จักมีได",
www.buddhadasa.info "น าอั ศจรรย พระเจ าข า! ไม เคยมี แล ว พระเจ าข า! คื อข อที่ ในกาลใด อรรถะทั้งปวง จักเปนอรรถะที่พระผูมีพระภาคตรัสแลวดวยบทเพียงบทเดียว (วาผัสสะ) และ
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๗๕
อรรถะนั้น จึงพึงเปนอรรถะที่ เมื่อกลาวโดยพิสดารแลว จะพึงเปนของลึกซึ้งดวย มีลักษณะ ดูลึกซึ้งดวยไหม พระเจาขา?" ดูกอนอานนท! ถาอยางนั้น คําตอบในกรณีนี้ จงแจมแจงกะเธอเองเถิด. "ขาแตพระองคผูเจริญ! ถาคนทั้งหลาย จะพึ งถามขาพระองคอยางนี้วา ‘ขาแต ทานอานนท! ชรามรณะ มีอะไรเปนเหตุใหเกิด? มีอะไรเปนเครื่องกอใหเกิด? มีอะไร เป นเครื่องกํ าเนิ ด? มี อะไรเป นแดนเกิ ด?' ดั งนี้ . ข าแต พระองค ผู เจริญ! ข าพระองค ถู ก ถามอยางนี้ จะตอบแกเขาอยางนี้วา ‘ดูกอนทานทั้งหลาย! ชรามรณะ มีชาติเปนเหตุให เกิด มีชาติเปนเครื่องกอใหเกิด มีชาติเปนเครื่องกําเนิด มีชาติเปนแดนเกิด' ดังนี้. ขาแต พระองคผูเจริญ! ขาพระองคถูกถามอยางนี้แลว จะตอบแกเขาอยางนี้". "ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ถ าคนทั้ งหลาย จะพึ งถามข าพระองค อย างนี้ ว า ‘ขาแตทานอานนท! ชรามรณะ มีอะไรเปนเหตุใหเกิด? มีอะไรเปนเครื่องกอใหเกิด? มีอะไร เป นเครื่องกําเนิด? มีอะไรเปนแดนเกิด?' ดังนี้. ขาแตพระองคผูเจริญ! ขาพระองคถูกถาม อยางนี้ จะตอบแกเขาอยางนี้วา ‘ดูกอนทานทั้งหลาย! ชาติ มีภพเปนเหตุใหเกิด มีภพ เปนเครื่องกอใหเกิด มีภพเปนเครื่องกําเนิดมีภพเปนแดนเกิด' ดังนี้.ขาแตพระองคผูเจริญ! ขาพระองคถูกถามอยางนี้แลว จะตอบแกเขาอยางนี้".
www.buddhadasa.info ...ฯลฯ... ภพมีอุปาทาน เปนเหตุใหเกิด ...ฯลฯ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... อุปาทานมีตัณหา เปนเหตุใหเกิด ...ฯลฯ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ตัณหามีเวทนา เปนเหตุใหเกิด ...ฯลฯ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... เวทนาผัสสะ เปนเหตุใหเกิด ...ฯลฯ...ฯลฯ...
"ขาแตพระองคผูเจริญ! ถาคนทั้งหลาย จะพึ งถามขาพระองค(ตอไปอีก) อยางนี้ วา ‘ขาแตทานอานนท! ก็ผัสสะเลา มีอะไรเปนเหตุใหเกิด? มีอะไรเปนเครื่องกอใหเกิด?
www.buddhadasa.info
๖๗๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
มี อะไรเป นเครื่องกํ าเนิ ด? มี อะไรเป นแดนเกิ ด?' ดั งนี้ . ข าแต พระองค ผู เจริญ! ข าพระองค ถู ก ถามอยางนี้ จะตอบแกเขาอยางนี้วา `ดูกอนทานทั้งหลาย! ผัสสะ มีสฬายตนะเป นเหตุ ให เกิ ด มสฬายตนะเป นเครื่องก อให เกิ ด มี สฬายตนะเป นเครื่องกํ าเนิ ด มี สฬายตนะเป น แดนเกิด. ดู ก อนท านทั้ งหลาย! เพราะความจางคลายดั บไปโดยไม เหลื อแห งผั สสายตนะทั้ งหกนั่ นแหละ, จึ งมี ความดั บแห งผั สสะ; เพราะมี ความดั บแห งผั สสะ จึ งมี ความดั บ แห งเวทนา; เพราะมี ความดั บ แห งเวทนา จึ งมี ความดั บแห งตั ณ หา; เพราะมี ความดั บ แห งตั ณหา จึ งมี ความดั บแห งอุ ปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึ งมี ความดั บแห ง ภพ; เพราะมี ความดั บแห งภพ จึ งมี ความดั บแห งชาติ ; เพราะมี ความดั บแห งชาติ นั่ นแล ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกอง ทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วยอาการอย างนี้ ' ดั งนี้ . ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ข าพระองค ถู ก ถามอยางนี้แลว จะตอบแกเขาอยางนี้", ดังนี้. เงื่อนงําที่อาจนําไปสูสัสสตทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ ในอาการหนึ่ง ๆ ของปฏิจจสมุปบาท๑
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เพราะมีอวิชชาเปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะ มี สั ง ขารเป น ป จจั ย จึ ง มี วิ ญ ญ าณ ; ฯลฯ..ฯลฯ..ฯลฯ...เพ ราะมี ชาติ เ ป น ป จจั ย ,
๑
สู ต รที่ ๕ กฬารขั ต ติ ย วรรค นิ ท านสั งยุ ต ต นิ ท าน. สํ . ๑๖/๗๒/๑๒๘, ตรั ส ตอบแก ภิ ก ษุ รู ป หนึ่ ง ในหมู ภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน ๒. ความหมายเล็งถึง ความจางคลายแหงอุปาทาน ที่มีตออัสสาทะ ในผัสสายตนะ
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๗๗
ชรามรณะ โสกะปริ เทวะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ น ครบถ วน : ความเกิ ด ขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้. เมื่ อพระผู มี พระภาคเจ า ตรัสอย างนี้ แล ว, ภิ กษุ รูปหนึ่ งได ทู ลถามพระผู มี พระภาคเจ าว า
"ข าแต พระองค ผู เจริญ! ชรามรณะ เป นอย างไรหนอ? และชรามรณะนี้ เป นของใคร? พระเจาขา!" พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสวา "นั่นเปนปญหาที่ไมควรจะเปนปญหาเลย : ดูกอน
ภิ กษุ !บุ คคลใดจะพึ งกล าวเช นนี้ วา `ชรามรณะ เป นอยางไร และชรามรณะนี้ เป นของใคร' ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือว าบุ คคลใดจะพึ งกล าวเช นนี้ ว า `ชรามรณะเป นอย างอื่ น (: ตรงกั นข าม จากที่กลาววาเปนอยางไร, ตามนัยแรก)และชรามรณะนี้ เปนของผูอื่น๑ (: ตรงกันขามจากที่ กล าววาเป นของใคร, ตามนั ยแรก)ดั งนี้ ก็ ดี : คํ ากล าวของบุ คคลทั้ งสองนั้ น มี อรรถ (ความหมาย เพื่อการยึดมั่นถือมั่น) อยางเดียวกัน, ตางกันแตเพียงพยัญชนะ (เสียงที่ กลาว) เทานั้น. ดูกอนภิ กษุ ! เมื่ อทิ ฏฐิวา `ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น' ดังนี้ก็ดี มี อยู, การ อยู อย างประพฤติ พรหมจรรย ก็ ไม มี . ดู ก อนภิ กษุ ! หรื อว า เมื่ อทิ ฏฐิ ว า ‘ชี วะก็ อั นอื่ น สรี ระก็ อั น อื่ น ’ ดั งนี้ ก็ ดี มี อ ยู , การอยู อ ย า งประพฤติ พ รหมจรรย ก็ ไม มี .๒ ดู ก อ น ภิกษุ!
www.buddhadasa.info ๑
คําวา "อื่น" ในที่นี้ หมายความวาตรงกันขามจากความเปนตัวมันเอง หรือกลาวอีกอยางหนึ่ง ก็วามิใช ชรามรณะนั่นเอง จึงเกิดเปนของคูขึ้นมา วาสิ่งนี้เปนอยางนี้ และสิ่งอื่นเปนอยางอื่นจากความเปนอยางนี้. พุทธศาสนา ไมยอมกลาววา "อยางนี้" หรือ "อยางอื่น" ทั้งสองอยาง แตจะกลาวโดยสายกลางวา เพราะสิ่งนี้มี สิ่งถัดมาจึงมี เปนลําดับ ๆ ไป ไมมีลักษณะเปนตัวมันเอง หรือไมเปนตัวมันเองเสียเลย.
- ผูรวบรวม. ๒
"การประพฤติ พรหมจรรย ก็ ไม มี " นี้ หมายความว า การประพฤติ กระทํ าของชนเหล านั้ น แม มี อยู ก็ ไม เรียกวา การประพฤติพรหมจรรย,เพราะวา การกระทําของเขานั้น มิไดเปนไป เพื่อดับทุกข นั่นเอง.
www.buddhadasa.info
๖๗๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ตถาคต ย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เขาไปหาส วนทั้ งสองนั้ น คื อตถาคต ย อม แสดงดังนี้วา ‘เพราะมีชาติเปนปจจัย จึงมีชรามรณะ' ดังนี้. "ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ชาติ เป นอย างไรหนอ? และชาติ นี้ เป นของใคร? พระเจาขา!" นั่ นเป นป ญหาที่ ไม ควรจะเป นป ญหาเลย : ดู ก อนภิ กษุ ! บุ คคลใดจะพึ งกล าว เช น นี้ ว า "ชาติ เป น อย า งไร และชาติ นี้ เป น ของใคร" ดั ง นี้ ก็ ดี ; หรื อ ว า บุ ค คลใดจะ พึ งกลาวเชนนี้วา "ชาติเป นอยางอื่น(: ตรงกันขามจากที่ กลาววาเป นอยางไร, ตามนั ยแรก) และชาติ นี้ เป นของผู อื่น (: ตรงกั นขามจากที่ กล าววาเป นของใคร, ตามนั ยแรก)" ดั งนี้ ก็ ดี : คํ ากล าวของบุ ค คลทั้ งสองนั้ น มี อ รรถ (ความหมายเพื่ อ การยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น อยางเดียวกัน, ตางกันแตเพียงพยัญชนะ (เสียงที่กลาว) เทานั้น. ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ว า "ชี ว ะก็ อั น นั้ น สรี ระก็ อั น นั้ น " ดั งนี้ ก็ ดี มี อ ยู , การอยูอยางประพฤติ พรหมจรรย ก็ ไม มี . ดู กอนภิ กษุ ! หรือวา เมื่ อทิฏฐิวา "ชีวะก็อันอื่ น สรีระก็ อั นอื่ น" ดั งนี้ ก็ ดี มี อยู , การอยู อย างประพฤติ พรหมจรรย ก็ ไม มี . ดู ก อนภิ กษุ ! ตถาคตย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เขาไปหาส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คื อ ตถาคตยอม แสดงดังนี้วา "เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ" ดังนี้.
www.buddhadasa.info "ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ภพเป นอย างไรหนอ? และภพนี้ เป นของใคร? พระเจาขา!" นั่ นเป นป ญ หาที่ ไม ควรจะเป นป ญ หาเลย : ดู ก อนภิ กษุ ! บุ คคลใดจะพึ ง กลาวเชนนี้วา "ภพเปนอยางไร และภพนี้เปนของใคร" ดังนี้ก็ดี; หรือวาบุคคลใด
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๗๙
จะพึ งกลาวเชนนี้วา "ภพเป นอยางอื่น (: ตรงกันขามจากที่ กลาววาเปนอยางไร, ตามนั ย แรก) และภพนี้ เป นของผูอื่น (: ตรงกันขามจากที่กลาววาเปนของใคร, ตามนั ยแรก)" ดังนี้ก็ดี : คํากลาวของบุคคลทั้งสองนั้น มีอรรถ (ความหมายเพื่อการยึดมั่นถือมั่น อยางเดียวกัน, ตางกันแตเพียงพยัญชนะ (เสียงที่กลาว)เทานั้น. ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ว า "ชี วะก็ อั น นั้ น สรี ระก็ อั น นั้ น " ดั งนี้ ก็ ดี มี อ ยู , การอยูอยางประพฤติ พรหมจรรย ก็ ไม มี . ดู กอนภิ กษุ ! หรือวา เมื่ อทิฏฐิวา "ชีวะก็อันอื่ น สรีระก็ อั นอื่ น" ดั งนี้ ก็ ดี มี อยู , การอยู อย างประพฤติ พรหมจรรย ก็ ไม มี . ดู ก อนภิ กษุ ! ตถาคตย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เขาไปหาส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คื อ ตถาคตยอม แสดงดังนี้วา "เพราะมีอุปาทานเปนปจจัย จึงมีภพ" ดังนี้. "ข าแต พระองค ผู เจริญ! อุ ปาทานเป นอย างไรหนอ? และอุ ปาทานนี้ เป น ของใคร? พระเจาขา!" นั่ น เป น ป ญ หาที่ ไม ค วรจะเป น ป ญ หาเลย: ดู ก อ นภิ กษุ ! บุ ค คลใดจะพึ ง กล าวเช นนี้ ว า "อุ ปาทานเป นอย างไร และอุ ปาทานนี้ เป นของใคร" ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือว า บุคคลใดจะพึงกลาวเชนนี้วา "อุปาทานเปนอยางอื่น (: ตรงกันขามจากที่กลาววาเปนอยางไร, ตามนั ยแรก)และอุ ปาทานนี้ เป นของผู อื่ น (: ตรงกั นข ามจากที่ กล าวว าเป นของใคร, ตามนั ยแรก)" ดั งนี้ ก็ดี : คํ ากล าวของบุ คคลทั้ งสองนั้ น มี อรรถ (ความหมายเพื่ อ การยึดมั่นถือมั่น) อยางเดียวกัน, ตางกันแตเพียงพยัญชนะ (เสียงที่กลาว)เทานั้น.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ว า "ชี วะก็ อั น นั้ น สรี ระก็ อั น นั้ น " ดั งนี้ ก็ ดี มี อ ยู , การอยูอยางประพฤติพรหมจรรย ก็ไมมี. ดูกอนภิกษุ! หรือวา เมื่อทิฏฐิวา "ชีวะก็
www.buddhadasa.info
๖๘๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
อันอื่น สรีระก็ อั นอื่ น" ดั งนี้ ก็ ดี มี อยู , การอยู อย างประพฤติ พรหมจรรย ก็ ไม มี . ดู ก อน ภิ กษุ ! ตถาคตย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เขาไปหาส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คือ ตถาคต ยอมแสดงดังนี้วา "เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน" ดังนี้. "ขาแต พระองค ผู เจริญ! ตั ณหาเป นอย างไรหนอ? และตั ณหานี้ เป นของใคร? พระเจาขา!" นั่ นเป นป ญ หาที่ ไม ควรจะเป นป ญ หาเลย: ดู ก อนภิ กษุ ! บุ คคลใดจะพึ ง กลาวเชนนี้วา "ตัณหาเปนอยางไร และตัณหานี้เปนของใคร" ดังนี้ก็ดี; หรือวาบุคคลใด จะพึงกลาวเชนนี้วา ตัณหาเปนอยางอื่น (: ตรงกันขามจากที่กลาววาเปนอยางไร, ตาม นัยแรก) และตัณหานี้ เปนของผูอื่น (: ตรงกันขามจากที่กลาววาเปนของใคร, ตามนัย แรก)" ดังนี้ก็ดี : คํากลาวของบุคคลทั้งสองนั้น มีอรรถ (ความหมายเพื่อการยึดมั่น ถือมั่น) อยางเดียวกัน, ตางกันแตเพียงพยัญชนะ (เสียงที่กลาว) เทานั้น. ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ว า "ชี วะก็ อั น นั้ น สรี ระก็ อั น นั้ น " ดั งนี้ ก็ ดี มี อ ยู , การอยูอยางประพฤติ พรหมจรรย ก็ ไม มี . ดู กอนภิ กษุ ! หรือวา เมื่ อทิฏฐิวา "ชีวะก็อันอื่ น สรี ระก็ อั นอื่ น" ดั งนี้ ก็ ดี มี อยู ,การอยู อย างประพฤติ พรหมจรรย ก็ ไม มี . ดู ก อนภิ กษุ ! ตถาคตย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เข าไปหาส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คื อ ตถาคตย อม แสดงดังนี้วา "เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา" ดังนี้.
www.buddhadasa.info "ข าแต พระองค ผู เจริญ! เวทนาเป นอย างไรหนอ?และเวทนานี้ เป นของใคร? พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๘๑
นั่ นเป นป ญหาที่ ไม ควรจะเป นป ญหาเลย: ดู ก อนภิ กษุ ! บุ คคลใดจะพึ งกล าว เช น นี้ ว า "เวทนาเป น อย างไร และเวทนานี้ เป นของใคร" ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือ ว าบุ คคลใด จะพึงกลาวเชนนี้วา เวทนาเปนอยางอื่น (: ตรงกันขามจากที่กลาววาเปนอยางไร, ตาม นัยแรก) และเวทนานี้ เปนของผูอื่น (: ตรงกันขามจากที่กลาววาเปนของใคร, ตามนัยแรก)" ดังนี้ก็ดี : คํากลาวของบุคคลทั้งสองนั้น มีอรรถ (ความหมายเพื่อการยึดมั่นถือมั่น) อยางเดียวกัน, ตางกันแตเพียงพยัญชนะ (เสียงที่กลาว) เทานั้น. ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ว า "ชี วะก็ อั น นั้ น สรี ระก็ อั น นั้ น " ดั งนี้ ก็ ดี มี อ ยู , การอยู อ ย า งประพฤติ พ รหมจรรย ก็ ไม มี . ดู ก อ นภิ ก ษุ ! หรือ ว า เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ว า "ชี ว ะ ก็ อั น อื่ น สรี ร ะก็ อั น อื่ น " ดั ง นี้ ก็ ดี มี อ ยู ,การอยู อ ย า งประพฤติ พ รหมจรรย ก็ ไ ม มี . ดู ก อ นภิ กษุ ! ตถาคตย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เข าไปหาส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คือตถาคตยอมแสดงดังนี้วา "เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา" ดังนี้. "ขาแตพระองค ผู เจริญ! ผั สสะเป นอย างไรหนอ? และผั สสะนี้ เป นของใคร? พระเจาขา!"
www.buddhadasa.info นั่ น เป น ป ญ หาที่ ไม ค วรจะเป น ป ญ หาเลย: ดู ก อ นภิ กษุ ! บุ ค คลใดจะพึ ง กล าวเช นนี้ ว า "ผั สสะเป นอย างไร และผั สสะนี้ เป นของใคร" ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือว าบุ คคล ใดจะพึ งกล าวเช นนี้ วา ผั สสะ เป นอย างอื่ น (: ตรงกั นขามจากที่ กล าววาเป นอย างไร, ตามนัยแรก) และผัสสะนี้ เปนของผูอื่น (: ตรงกันขามจากที่กลาววาเปนของใคร, ตาม นัยแรก)" ดังนี้ก็ดี : คํากลาวของบุคคลทั้งสองนั้น มีอรรถ (ความหมายเพื่ อการ ยึดมั่นถือมั่น) อยางเดียวกัน, ตางกันแตเพียงพยัญชนะ (เสียงที่กลาว)เทานั้น.
www.buddhadasa.info
๖๘๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ว า "ชี วะก็ อั น นั้ น สรี ระก็ อั น นั้ น " ดั งนี้ ก็ ดี มี อ ยู , การอยู อย างประพฤติ พ รหมจรรย ก็ ไม มี . ดู ก อ นภิ กษุ ! หรือ ว า เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ว า "ชี วะก็ อั น อื่ น สรี ร ะก็ อั น อื่ น " ดั ง นี้ ก็ ดี มี อ ยู ,การอยู อ ย า งประพฤติ พ รหมจรรย ก็ ไ ม มี . ดู ก อ นภิ กษุ ! ตถาคตย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เข าไปหาส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คือตถาคตยอมแสดงดังนี้วา "เพราะมีสฬายตนะเปนปจจัย จึงมีผัสสะ" ดังนี้. "ข าแต พระองค ผู เจริญ! สฬายตนะเป นอย างไรหนอ? และสฬายตนะนี้ เป น ของใคร? พระเจาขา!" นั่ น เป น ป ญ หาที่ ไม ค วรจะเป น ป ญ หาเลย: ดู ก อ นภิ กษุ ! บุ ค คลใดจะพึ ง กล า วเช น นี้ ว า "สฬายตนะเป น อย า งไร และสฬายตนะนี้ เป น ของใคร" ดั ง นี้ ก็ ดี ; หรือวาบุคคลใดจะพึงกลาวเชนนี้วา สฬายตนะเปนอยางอื่น (: ตรงกันขามจากที่กลาววา เป นอย างไร, ตามนั ยแรก) และสฬายตนะนี้ เป นของผู อื่ น (: ตรงกั นข ามจากที่ กล าว ว า เป น ของใคร, ตามนั ย แรก)" ดั ง นี้ ก็ ดี : คํ า กล า วของบุ ค คลทั้ ง สองนั้ น มี อ รรถ (ความหมายเพื่อการยึดมั่นถือมั่น) อยางเดียวกัน, ตางกันแตเพียงพยัญชนะ (เสียง ที่กลาว)เทานั้น.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ว า "ชี วะก็ อั น นั้ น สรี ระก็ อั น นั้ น " ดั งนี้ ก็ ดี มี อ ยู , การอยู อ ย า งประพฤติ พ รหมจรรย ก็ ไม มี . ดู ก อ นภิ ก ษุ ! หรือ ว า เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ว า "ชี ว ะ ก็ อั น อื่ น สรี ร ะก็ อั น อื่ น " ดั ง นี้ ก็ ดี มี อ ยู ,การอยู อ ย า งประพฤติ พ รหมจรรย ก็ ไ ม มี . ดู ก อ นภิ กษุ ! ตถาคตย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เข าไปหาส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คือตถาคตยอมแสดงดังนี้วา "เพราะมีนามรูปเปนปจจัย จึงมีสฬายตนะ" ดังนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๘๓
"ข าแต พระองค ผู เจริ ญ! นามรู ปเป นอย างไรหนอ? และนามรู ปนี้ เป นของใคร?
พระเจาขา!" นั่ นเป นป ญหาที่ ไม ควรจะเป นป ญหาเลย: ดู ก อนภิ กษุ ! บุ คคลใดจะพึ งกล าว เช นนี้ วา "นามรูป เป นอย างไร และนามรูปนี้ เป นของใคร" ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือวาบุ คคล ใดจะพึงกลาวเชนนี้วา “นามรูปเปนอยางอื่น (: ตรงกันขามจากที่กลาววาเปนอยางไร, ตาม นัยแรก) และนามรูปนี้ เปนของผูอื่น (: ตรงกันขามจากที่กลาววาเปนของใคร, ตามนัย แรก)" ดังนี้ก็ดี : คํากลาวของบุคคลทั้งสองนั้น มีอรรถ (ความหมายเพื่อการยึดมั่น ถือมั่น) อยางเดียวกัน, ตางกันแตเพียงพยัญชนะ(เสียงที่กลาว)เทานั้น. ดูกอนภิกษุ ! เมื่อทิฏฐิวา "ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น" ดังนี้ก็ดี มีอยู, การ อยู อย างประพฤติ พรหมจรรย ก็ ไม มี . ดู ก อนภิ กษุ ! หรือวา เมื่ อทิ ฏฐิ วา "ชี วะก็ อั นอื่ น สรีระก็ อั นอื่ น" ดั งนี้ ก็ ดี มี อยู ,การอยู อย างประพฤติ พรหมจรรย ก็ ไม มี . ดู ก อนภิ กษุ ! ตถาคตย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เขาไปหาส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คื อ ตถาคตยอม แสดงดังนี้วา "เพราะมีวิญญาณเปนปจจัย จึงมีนามรูป" ดังนี้.
www.buddhadasa.info "ขาแตพระองคผูเจริญ! วิญญาณ เป นอยางไรหนอ? และวิญญาณนี้เป นของ ใคร? พระเจาขา!"
นั่ น เป น ป ญ หาที่ ไม ค วรจะเป น ป ญ หาเลย: ดู ก อ นภิ กษุ ! บุ ค คลใดจะพึ ง กล าวเช นนี้ วา "วิญญาณ เป นอย างไร และวิญญาณนี้ เป นของใคร" ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือว า บุคคลใดจะพึงกลาวเชนนี้วา “วิญญาณเปนอยางอื่น (: ตรงกันขามจากที่กลาววาเปนอยางไร, ตามนัยแรก) และวิญญาณนี้ เปนของผูอื่น (: ตรงกันขามจากที่กลาววาเปนของใคร, ตาม
www.buddhadasa.info
๖๘๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
นัยแรก)" ดังนี้ก็ดี : คํากลาวของบุคคลทั้งสองนั้น มีอรรถ(ความหมายเพื่อการยึดมั่น ถือมั่น) อยางเดียวกัน, ตางกันแตเพียงพยัญชนะ(เสียงที่กลาว)เทานั้น. ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ว า "ชี ว ะก็ อั น นั้ น สรี ระก็ อั น นั้ น " ดั งนี้ ก็ ดี มี อ ยู , การอยู อย างประพฤติ พ รหมจรรย ก็ ไม มี . ดู ก อ นภิ กษุ ! หรือ ว า เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ว า "ชี วะก็ อั นอื่ น สรีระก็ อั นอื่ น" ดั งนี้ ก็ ดี มี อยู ,การอยู อย างประพฤติ พรหมจรรย ก็ ไม มี . ดู ก อน ภิ กษุ ! ตถาคตย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เข าไปหาส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คื อตถาคต ยอมแสดงดังนี้วา "เพราะมีสังขารเปนปจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้. "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! สั งขารทั้ งหลาย เป นอย างไรหนอ? และสั งขาร ทั้งหลายเหลานี้ เปนของใคร? พระเจาขา!" นั่ น เป น ป ญ หาที่ ไม ค วรจะเป น ป ญ หาเลย: ดู ก อ นภิ กษุ ! บุ ค คลใดจะพึ ง กล าวเช นนี้ วา "สั งขารทั้ งหลาย เป นอย างไร และสั งขารทั้ งหลายเหล านี้ เป นของใคร" ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือวาบุ คคลใดจะพึ งกล าวเช นนี้ วา สั งขารทั้ งหลายเป นอย างอื่ น (: ตรง กันขามจากที่กลาววาเปนอยางไร, ตามนัยแรก) และสังขารทั้งหลายเหลานี้ เปนของผูอื่น (: ตรงกั นขามจากที่ กล าววาเป นของใคร, ตามนั ยแรก)" ดั งนี้ ก็ ดี : คํ ากล าวของบุ คคล ทั้งสองนั้น มีอรรถ (ความหมายเพื่อการยึดมั่นถือมั่น) อยางเดียวกัน, ตางกันแต เพียงพยัญชนะ (เสียงที่กลาว) เทานั้น.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เมื่ อ ทิ ฏ ฐิ ว า "ชี ว ะก็ อั น นั้ น สรี ระก็ อั น นั้ น " ดั งนี้ ก็ ดี มี อ ยู , การอยูอยางประพฤติ พรหมจรรย ก็ ไม มี . ดู กอนภิ กษุ ! หรือวา เมื่ อทิฏฐิวา "ชีวะก็อันอื่ น สรีระก็อันอื่น" ดังนี้ก็ดี มีอยู, การอยูอยางประพฤติพรหมจรรย ก็ไมมี. ดูกอนภิกษุ!
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๘๕
ตถาคตย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เข าไปหาส วนสุ ดทั้ งสองนั้ น คื อ ตถาคตย อม แสดงดังนี้วา "เพราะมีอวิชชาเปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย" ดังนี้. ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห งอวิ ช ชานั้ น นั่ น เอง, ทิ ฏฐิ ทั้ งหลาย บรรดามี มิ ว าชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ ง ที่ ดํ าเนิ นไปผิ ดทาง อั นบุ คคลเสพผิ ดแล ว ดิ้ นรนไปผิ ดแล วว า "ชรามรณะ" เป นอย างไร และชรามรณะนี้ เป นของใคร" ดั งนี้ ก็ ดี : หรื อว า "ชรามรณะเป นอย างอื่ น (: ตรงกั นข ามจากที่ กล าวว าเป นอย างไร, ตามนั ยแรก) และชรามรณะนี้ เป นของผู อื่ น (: ตรงกั นข ามจากที่ กล าวว าเป นของใคร, ตามนั ยแรก)" ดั ง นี้ ก็ ดี ; หรื อ ว า "ชี ว ะก็ อั น นั้ น สรี ร ะก็ อั น นั้ น " ดั ง นี้ ก็ ดี ; หรื อ ว า "ชี ว ะก็ อั น อื่ น สรีระก็อันอื่น" ดังนี้ก็ดี; ทิฏฐิทั้งหมดนั้น เปนธรรมอันบุคคลนั้นละไดแลว มีราก เงาอันเขาตัดขาดแลว อันเขาทําใหเหมือนตาลมีขั้วยอดอันเนาแลว ถึงซึ่งความมี ไมไดแลว ทําใหเปนสิ่งที่เกิดขึ้นไมไดอีกตอไป. ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เพราะความจางคลายดั บ ไปไม เหลื อ แห งอวิ ช ชานั้ น นั่ น เอง, ทิ ฏฐิ ทั้ งหลาย บรรดามี มิ ว าชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ ง ที่ ดํ าเนิ นไปผิ ดทาง อั นบุ คคลเสพผิ ดแล ว ดิ้ น รนไปผิ ด แล ว ว า "ชาติ เป น อย า งไร และชาติ นี้ เป น ของใคร" ดั ง นี้ ก็ ดี : หรื อ ว า "ชาติ เป นอย างอื่ น (: ตรงกั นข ามจากที่ กล าวว าเป นอย างไร, ตามนั ยแรก) และชาติ นี้ เป น ของผู อื่ น (: ตรงกั น ข ามจากที่ ก ล าวว าเป น ของใคร, ตามนั ย แรก)" ดั งนี้ ก็ ดี ; หรื อ ว า "ชี วะก็ อั น นั้ น สรี ระก็ อั น นั้ น " ดั งนี้ ก็ ดี ; หรื อ ว า "ชี วะก็ อั น อื่ น สรี ระก็ อั น อื่ น " ดั งนี้ ก็ ดี ; ทิฏฐิทั้งหมดนั้ น เปนธรรมอันบุ คคลนั้ นละไดแลว มีรากเงาอัน เขาตัดขาดแลว อันเขาทําใหเหมือนตาลมีขั้วยอดอันเนาแลว ถึงซึ่งความมีไมไดแลว ทําใหเปน สิ่งที่เกิดขึ้นไมไดอีกตอไป.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๖๘๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ดูกอนภิกษุ! เพราะความจางคลายดับไปไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเอง, ทิฏฐิทั้ งหลาย บรรดามี มิ วาชนิดใดชนิ ดหนึ่ ง ที่ ดําเนินไปผิ ดทาง อั นบุ คคลเสพผิ ดแล ว ดิ ้น รนไปผิด แลว วา " ภพ เปน อยา งไร ...ฯลฯ...ฯลฯ... เขาทํ า ใหเ ปน สิ ่ง ที ่เ กิด ขึ้นไมไดอีกตอไป. (คําที่ละเปยยาลนี้ พึงเทียบดูกับขอที่แลวมา) ดูกอนภิกษุ! เพราะความจางคลายดับไปไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเอง, ทิฏฐิทั้ งหลาย บรรดามี มิ วาชนิดใดชนิ ดหนึ่ ง ที่ ดําเนินไปผิ ดทาง อั นบุ คคลเสพผิ ดแล ว ดิ้นรนไปผิดแลววา "อุปาทาน เป นอยางไร ...ฯลฯ...ฯลฯ... เขาทํ าให เป นสิ่ งที่ เกิ ด ขึ้นไมไดอีกตอไป. ดูกอนภิกษุ! เพราะความจางคลายดับไปไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเอง, ทิฏฐิทั้ งหลาย บรรดามี มิ วาชนิดใดชนิ ดหนึ่ ง ที่ ดําเนินไปผิ ดทาง อั นบุ คคลเสพผิ ดแล ว ดิ้น รนไปผิด แลว วา "ตัณ หา เปน อยางไร ...ฯลฯ...ฯลฯ... เขาทํ า ใหเปน สิ่ง ที ่เกิด ขึ้นไมไดอีกตอไป. ดูกอนภิกษุ! เพราะความจางคลายดับไปไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเอง, ทิฏฐิทั้ งหลาย บรรดามี มิ วาชนิดใดชนิ ดหนึ่ ง ที่ ดําเนินไปผิ ดทาง อั นบุ คคลเสพผิ ดแล ว ดิ้น รนไปผิดแลววา "เวทนา เปน อยางไร ...ฯลฯ...ฯลฯ... เขาทํ าใหเปน สิ่งที ่เกิด ขึ้นไมไดอีกตอไป.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุ! เพราะความจางคลายดับไปไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเอง, ทิฏฐิทั้ งหลาย บรรดามี มิ วาชนิดใดชนิ ดหนึ่ ง ที่ ดําเนินไปผิ ดทาง อั นบุ คคลเสพผิ ดแล ว ดิ้น รนไปผิด แลว วา "ผัส สะ เปน อยางไร ...ฯลฯ...ฯลฯ... เขาทํ า ใหเปน สิ ่ง ที ่เกิด ขึ้นไมไดอีกตอไป.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๘๗
ดูกอนภิกษุ! เพราะความจางคลายดับไปไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเอง, ทิ ฏฐิ ทั้ งหลาย บรรดามี มิ ว าชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ ง ที่ ดํ าเนิ นไปผิ ดทาง อั นบุ คคลเสพผิ ดแล ว ดิ้ น รนไปผิ ด แล ว ว า "สฬายตนะ เป น อย า งไร ...ฯลฯ...ฯลฯ... เขาทํ า ให เ ป น สิ่ ง ที่ เกิดขึ้นไมไดอีกตอไป. ดูกอนภิกษุ! เพราะความจางคลายดับไปไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเอง, ทิ ฏฐิ ทั้ งหลาย บรรดามี มิ ว าชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ ง ที่ ดํ าเนิ นไปผิ ดทาง อั นบุ คคลเสพผิ ดแล ว ดิ้ น รนไปผิ ด แล ว ว า "นามรูป เป น อย า งไร ...ฯลฯ...ฯลฯ... เขาทํ า ให เป น สิ่ ง ที่ เกิ ด ขึ้นไมไดอีกตอไป. ดูกอนภิกษุ! เพราะความจางคลายดับไปไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเอง, ทิ ฏฐิ ทั้ งหลาย บรรดามี มิ ว าชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ ง ที่ ดํ าเนิ นไปผิ ดทาง อั นบุ คคลเสพผิ ดแล ว ดิ้ น รนไปผิ ด แล วว า "วิ ญ ญาณ เป นอย างไร ...ฯลฯ...ฯลฯ... เขาทํ าให เป น สิ่ งที่ เกิ ด ขึ้นไมไดอีกตอไป. ดูกอนภิกษุ! เพราะความจางคลายดับไปไมเหลือแหงอวิชชานั้นนั่นเอง, ทิ ฏฐิ ทั้ งหลาย บรรดามี มิ ว าชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ ง ที่ ดํ าเนิ นไปผิ ดทาง อั นบุ คคลเสพผิ ดแล ว ดิ้ นรนไปผิ ดแล วว า "สั งขารทั้ งหลาย เป นอย างไร และสั งขารทั้ งหลายเหล านี้ เป นของใคร" ดังนี้ ก็ดี : หรือวา "สังขารทั้งหลายเป นอยางอื่น (: ตรงกันขามจากที่กลาววาเป นอยางไร, ตามนั ย แรก) และสั ง ขารนี้ เ ป น ของผู อื่ น (: ตรงกั น ข า มจากที่ ก ล า วว า เป น ของ ใคร, ตามนั ยแรก)" ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือวา "ชี วะก็ อั นนั้ น สรีระก็ อั นนั้ น" ดั งนี้ ก็ ดี ; หรือว า "ชีว ะก็อ ัน อื่น สรีร ะก็อ ัน อื่น " ดัง นี ้ก็ด ี; ทิฏ ฐิทั ้ง หมดนั ้น เปน ธรรมอัน บุค คลนั ้น ละไดแลว มีรากเงาอันเขาตัดขาดแลว อันเขาทําใหเหมือนตาลมีขั้วยอดอันเนา แลว ถึงซึ่งความมีไมไดแลว ทําใหเปนสิ่งที่เกิดขึ้นไมไดอีกตอไป, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๖๘๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑ หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ยั ง มี สู ต รถั ด ไปอี ก สู ต รหนึ่ ง (สู ต รที่ ๖ แห ง กฬาร ขั ต ติ ย วรรคนิ ท านสั ง ยุ ต ต นิ ท าน.สํ . ๑๖/๗๕/๑๓๗) มี เนื้ อ ความตรงเป น อั น เดี ย วกั น ทุ ก ตั ว อั ก ษร ผิ ด กั น แต ว า ในสู ต รหลั ง นี้ ตรั ส แก ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย โดยพระองค เอง ไม มี ภิ ก ษุ รู ป ใด ทูลถาม เหมือนในสูตรขางบนนี้.
โลกายตะ ๔ ชนิด ที่ทรงปฏิเสธ๑ โลกายติ กพราหมณ ได เข าเฝ าพระผู มี พระภาคเจ า แล วทู ลถามว า "ข าแต พ ระโคดม
ผูเจริญ! สิ่งทั้งปวง มีอยูหรือหนอ?" พระผู มี พ ระภาคเจ า ตรั ส ตอบว า "ดู ก อ นพราหมณ ! คํ า กล า วที่ ยื น ยั น ลงไป
ดวยทิฏฐิวา ‘สิ่งทั้งปวง มีอยู' ดังนี้ : นี้ เปนลัทธิโลกายตะชั้นสุดยอด”. "ขาแตพระโคดมผูเจริญ! ก็สิ่งทั้งปวง ไมมีอยูหรือ?" ดู ก อนพราหมณ ! คํ ากล าวที่ ยื นยั นลงไปด วยทิ ฏฐิ ว า `สิ่ งทั้ งปวง ไม มี อยู ' ดังนี้ : นี้ เปนลัทธิโลกายตะอยางที่สอง.
www.buddhadasa.info "ขาแตพระโคดมผูเจริญ! สิ่งทั้งปวง มีสภาพเปนอยางเดียวกันหรือ?"
ดู ก อนพราหมณ ! คํ ากล าวที่ ยื นยั นลงไปด วยทิ ฏฐิ ว า ‘สิ่ งทั้ งปวง มี สภาพ ตางกัน' ดังนี้ : นี้ เปนลัทธิโลกายตะอยางที่สาม.
๑
สูตรที่ ๘ คหปติวรรค อภิสมยสังยุตต นิทาน.สํ.๑๖/๙๒/๑๗๖, ตรัสแกโลกายติกพราหมณ ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๘๙
"ขาแตพระโคดมผูเจริญ! สิ่งทั้งปวง มีสภาพเปนตางกันหรือ?" ดู ก อนพราหมณ ! คํ ากล าวที่ ยื นยั นลงไปด วยทิ ฏฐิ ว า ‘สิ่ งทั้ งปวง มี สภาพ ตางกัน' ดังนี้ : นี้ เปนลัทธิโลกายตะอยางที่สี่. ดู ก อนพราหมณ ! ตถาคต ย อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม เข าไปหาส วนสุ ด ทั้ งสองนั้ น คื อตถาคต ย อมแสดงดั งนี้ ว า "เพราะมี อวิ ชชาเป นป จจั ย จึ งมี สั งขารทั้ งหลาย; เพราะมีส ัง ขารเปน ปจ จัย จึง มีว ิญ ญ าณ ; ...ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ... เพราะมีช าติ เป นป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. เพราะความจางคลายดั บไปโดยไม เหลื อแห งอวิ ชชานั้ นนั่ นเที ยว, จึ งมี ความ ดั บ แห ง สั ง ขาร; เพราะมี ค วามดั บ แห ง สั ง ขาร จึ ง มี ค วามดั บ แห ง วิ ญ ญาณ; ...ฯลฯ ...ฯลฯ...ฯลฯ... เพราะมี ค วามดั บ แห งชาติ นั่ น แหละ ชรามรณะ โสกะปริ เทวะทุ ก ขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ย อมมี ด วย อาการอยางนี้", ดังนี้.
www.buddhadasa.info พราหมณ นั้ น กล าวสรรเสริ ญ พระธรรมโอวาทนั้ นแล ว ประกาศตนเป นผู รั บนั บถื อพระพุ ทธ ศาสนา จนตลอดชีวิต, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info
๖๙๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ทิฏฐิชั้นหัวหนา ๑๘ อยาง ลวนแตปรารภธรรมที่เปนฐานะ ๖ อยาง๑ [ทิฏฐิที่ ๑ : เอสิกัฏฐายิฏฐิตสัสสตทิฏฐิ]
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ลมก็ไมพัด แมน้ําก็ไมไหล สตรีมีครรภ ก็ไมคลอด พระจันทรและพระอาทิตยก็ไมขึ้นไมตก แตละอยาง ๆ เปนของตั้ง อยูอยางมั่นคง ดุจการตั้งอยูของเสาระเนียด" ดังนี้? ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข าพระองค มี พระผู มี พระภาคเป นมู ล มี พระผู พระภาคเป นผู นํ า มี พระผู มี พระภาคเป นที่ พึ ง. ข าแต พระ องค ผู เจริ ญ ! เป นการชอบแล วหนอ ขอให อรรถแห งภาษิ ตนั้ น จงแจ มแจ งกะพระผู มี พระภาคเองเถิ ด ภิ กษุ ทั้ งหลายได ฟ งจากพระผู มี พ ระภาคแล ว จั กทรงจํ าไว " ดั งนี้ . พระผู มี พ ระภาคเจ า จึ งตรั สเตื อ นให ภิ กษุ ทั้งหลายเหลานั้นตั้งใจฟงดวยดีแลว ไดตรัสขอความดังตอไปนี้ :-
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ รู ป นั่ น แล มี อ ยู ; เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง รู ป เพราะป กใจเข าไปสู รูป ทิ ฏฐิ จึ งเกิ ดขึ้ นอย างนี้ ว า "ลมไม พั ด แม น้ํ าก็ ไม ไหล สตรีมี ครรภ ก็ไม คลอด พระจันทรและพระอาทิตยก็ไมขึ้นไม ตก แตละอยาง ๆ เป นของตั้งอยูอยางมั่ นคง ดุ จการตั้ งอยู ของเสาระเสี ยด" ดั งนี้ . (ในกรณี แห งเวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ ก็ มี ถ อยคํ าที่
www.buddhadasa.info ตรัสอยางเดียวกันทุกตัวอักษรกับในกรณีแหงรูปนี้ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธแตละขันธเทานั้น).
๑
สูตรที่ ๑ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขน.ธ.สํ. ๑๗/๒๔๘/๔๑๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๙๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอจะสํ าคั ญความข อนั้ น ว าอย างไร? รูปเที่ ยง หรือไม เที่ ยง? ("ไม เที่ ยง พระเจ าข า!") ก็ สิ่ งใดไม เที่ ยง สิ่ งนั้ นเป นทุ กข หรือเป นสุ ขเล า? ("เป นทุ กข พระเจ าขา!") แม สิ่ งใดไม เที่ ยง เป นทุ กข มี ความแปรปรวนเป นธรรมดา แต ถ าไม เขาไปยึ ดถื อ ซึ่งสิ่ งนั้ นแล วไซร ทิ ฏฐิ อย างนี้ จะเกิ ดขึ้ นได ไหมวา "ลมก็ ไม พั ด แม น้ํ าก็ ไม ไหล สตรีมี ครรภ ก็ ไม คลอด พระจั นทรและพระอาทิ ตย ก็ ไม ขึ้ นไม ตก แต ละอย าง ๆ เปนของตั้งอยูอยางมั่นคงดุจการตั้งอยูของเสาระเนียด" ดังนี้? ("ขอนั้นหามิได พระเจาขา!") (ในกรณี แห งเวทนา สั ญญา สังขาร วิญญาณ ก็ มี ถอยคํ าที่ ตรัสถามและพวกภิ กษุ ทู ลตอบ อยางเดี ยวกั นทุ ก ตัวอักษร กับในกรณีแหงรูปนี้ ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธแตละขันธ เทานั้น).
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! แม สิ่ ง ใดที่ บุ ค คลได เห็ น แล ว ฟ ง แล ว รู สึ ก แล ว รูแจงแลว บรรลุแลว แสวงหาแลว ครุนคิดอยูดวยใจแลว เหลานี้เปนของเที่ยงหรือไมเที่ยง? (ไม เที่ ยง พระเจ าข า!) ก็ สิ่ งใดไม เที่ ยง สิ่ งนั้ น เป น ทุ กข หรือ เป น สุ ขเล า? ("เป น ทุ กข พระเจ า ข า !") แม สิ่ ง ใดไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวนเป น ธรรมดา แต ถ า ไม เข าไปยึ ดถื อ ซึ่ งสิ่ งนั้ น แล วไซร ทิ ฏ ฐิ อ ย างนี้ จะเกิ ด ขึ้ น ได ไหมวา "ลมก็ ไม พั ด แม น้ํ า ก็ไม ไหล สตรีมี ครรภ ก็ไม คลอด พระจันทรและพระอาทิ ตย ก็ไม ขึ้นไม ตก แต ละอย าง ๆ เป นของตั้ งอยู อย างมั่ นคงดุ จการตั้ งอยู ของเสาระเนี ยด" ดั งนี้ ? ("ข อนั้ นหามิ ได พระเจาขา!")
www.buddhadasa.info ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ในกาลใดแล ความสงสั ย (กงฺ ข า) ในฐานะ ทั้งหลาย ๖ ประการเหลานี้๑ เปนสิ่งที่อริยสาวกละขาดแลว; ในกาลนั้น ก็เปน อั นว า ความสงสั ยแม ในทุ กข แม ในเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งทุ กข แม ในความดั บไม เหลื อ แหงทุกข แมในทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข ก็เปนสิ่งที่อริยสาวกนั้น ละขาดแลว.
๑
ฐานะ ๖ ประการ คือ ขันธ ๕ และสิ่งที่ไดเห็นแลวเปนตน; ดังที่กลาวแลวขางบน.
www.buddhadasa.info
๖๙๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! อริยสาวกนี้ เราเรียกว า เป นอริ ยสาวกผู เป นโสดาบั น มี อั นไม ตกต่ํ าเป นธรรมดา เป นผู เที่ ยงแท (ต อนิ พ พาน) มี การตรั สรู พร อมในเบื้ องหน า, ดังนี้. [ทิฏฐิที่ ๒ : อัตตา - อัตตนิยานุทิฏฐิ]๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ป ก ใจเข า ไปสู อ ะไร ทิ ฏ ฐิ จึ ง เกิ ด ขึ้ น อย า งนี้ ว า "นั่ น ของเรา; นั่ น เป น เรา; นั่ น เป น ตัวตนของเรา;" ดังนี้? ...ฯลฯ... (ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรั ส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวกข า พระองค "...ไปจนจบข อ ความด ว ยคํ า ว า ... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ย งแท (ต อนิ พ พาน) มี การตรั สรู พ ร อ มในเบื้ อ งหน า ดั งนี้ ." เป น ข อ ความซึ่ งเหมื อ นกั น ทุ กตั วอั กษร จนตลอดข อ ความ ตางกันแตเพียงชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.); [ทิฏฐิที่ ๓ : สัสสตทิฏฐิ (ทั่วไป)]๒
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ป กใจเข าไปสู อะไร ทิ ฏ ฐิ จึ งเกิ ด ขึ้ นอย างนี้ ว า "อั ต รา (ตน) ก็ อั น นั้ น ; โลกก็ อั น นั้ น ; เรานั้น ละไปแลว จักเปนผูเที่ยง ยั่งยืน เที่ยงแท มีความไมแปรปรวนเปนธรรมดา" ดังนี้? ...ฯลฯ...
(ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรั ส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้งแตคําวา "ภิกษุทั้งหลายเหลานั้น กราบทูลวิงวอนวา ขาแตพระองคผูเจริญ! ธรรมทั้งหลาย ของพวก
๑
สูตรที่ ๒ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๕๐/๔๑๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. สูตรที่ ๓ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๕๑/๔๒๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
๒
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๙๓
ข า พระองค " ...ไปจนจบข อ ความด ว ยคํ า ว า ... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ย งแท (ต อนิ พ พาน) มี การตรั สรู พ ร อ มในเบื้ อ งหน า ดั งนี้ ". เป น ข อความซึ่ งเหมื อนกั น ทุ กตั วอั กษร จนตลอดข อ ความ ตางกันแตเพียงชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.); [ทิฏฐิที่ ๔ อุจเฉททิฏฐิ(ทั่วไป)]๑
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ อะไรมี อ ยู ห นอ เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง อะไร เพราะป ก ใจเข า ไปสู อ ะไร ทิ ฏ ฐิ จึ ง เกิ ด ขึ้ น อย า งนี้ ว า "เราไม พึ ง มี ด ว ย; ของเราไม พึงมีดวย; เราจักไมมี ของเราจัก ไมมี" ดังนี้? ...ฯลฯ... (ข อ ความตรงที่ ล ะเปยยาลไว นี้ มี ก ารตรั ส การถาม การตอบ เหมื อ นกั บ ข อ ความ ในทิ ฏ ฐิ ที่ ๑ ตั้ ง แต คํ า ว า "ภิ ก ษุ ทั้ ง หลายเหล า นั้ น กราบทู ล วิ ง วอนว า ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ธรรม ทั้ ง หลายของพวกข า พระองค "...ไปจนจบข อ ความด ว ยคํ า ว า ... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา เป นผู เ ที่ ย งแท (ต อ นิ พ พ าน ) มี ก ารตรั ส รู พ ร อ มในเบื้ องหน า ดั ง นี้ ." เป นข อ ความซึ่ ง เหมือนกันทุกตัวอักษร จนตลอดขอความ ตางกันแตเพียงชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.); [ทิฏฐิที่ ๕ : นัตถิกทิฏฐิ]๒
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ป กใจเข าไปสู อะไร ทิ ฏ ฐิ จึ งเกิ ด ขึ้ น อย างนี้ ว า "ไม มี ท างอั น บุ ค คลบริ จ าคแล ว, ไม มี ยัญญะอันบุคคลประกอบแลว, ไมมีโหตระอันบุคคลบูชาแลว, ไมมีผลวิบากแหง กรรมอันบุคคกระทําดีแลวกระทําชั่วแลว, ไมมีโลกนี้, ไมมีโลกอื่น, ไมมีมารดา, ไมมีบิดา, ไมมีสัตวทั้งหลายอันเปนโอปปาติกะ, ไมมีสมณะและพราหมณ ผูไป แลวถูกตอง ผูปฏิบัติแลวถูกตอง ผูทําใหแจงซึ่งโลกนี้ และโลกอื่น ดวยปญญา
๑
สูตรที่ ๔ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๕๒/๔๒๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๒ สูตรที่ ๕ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๕๔/๔๒๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๖๙๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
อั น ยิ่ งเอ ง แ ล วป ระก าศ อ ยู ใน โล ก ; ค น เรานี้ เป น แ ต การป ระชุ ม ขอ งม ห าภู ต ทั้ ง ๔ ; เมื่ อ ใด ทํ าก าล ะ, เมื่ อ นั้ น ดิ น ย อ ม เข าไป สู ห มู แ ห งดิ น , น้ํ าย อ ม เข าไป สู ห มู แ ห งน้ํ า, ไฟ ย อม เข าไป สู ห มู แห งไฟ , ลม ย อ ม เข าไป สู ห มู แห งลม , อิ น ท รี ย ทั้ งห ลาย ย อม ห าย ไป ใน อ า ก าศ ; บุ รุ ษ ทั้ งห ล า ย มี เตี ย ง ว า งศ พ เป น ที่ ค ร บ ห า จ ะ พ า เข าผู ต า ย แ ล ว ไป ; ร อ งร อ ย ทั้ งห ล าย ป ร าก ฎ อ ยู เพี ย งแ ค ป าช า เป น เพี ย งก ระดู ก ทั้ งห ล าย มี สี เพี ย งดั ง ส ี แ ห ง น ก พ ิ ล า ป ; ก า ร บ ู ช า เ ซ น ส ร ว ง ม ี ขี ้ เ ถ า เ ป น ที ่ ส ุ ด ; สิ ่ ง ที ่ เ ร ี ย ก ว า ท า น นั ้ น เป น บ ท บ ัญ ญ ัต ิข อ ง ค น เข ล า ; คํ า ข อ ง พ ว ก ที ่ก ล า ว ว า อ ะ ไ ร ๆ ม ีอ ยู นั ้น เป น คํ า เป ล า (จ า ก ค ว า ม ห ม า ย ) เป น คํ า เท็ จ เป น คํ า เพ อ เจ อ ; ทั้ ง ค น พ า ล แ ล ะ บั ณ ฑิ ต ค รั้ น ก าย แ ต ก ทํ าล าย แ ล ว ย อ ม ข าด สู ญ พิ น าศ ไป มิ ได มี อ ยู ภ าย ห ลั งแ ต ก ารต าย " ดังนี้? ...ฯลฯ... (ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรั ส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ ก ษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข า พระองค "...ไปจนจบข อ ความด ว ยคํ า ว า ... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ย งแท (ต อ นิ พ พาน) มี ก ารตรั ส รู พ ร อ มในเบื้ อ งหน า ดั ง นี้ ." เป น ข อ ความซึ่ ง เหมื อ นกั น ทุ ก ตั ว อั ก ษร จนตลอด ขอความ ตางกันแตเพียงชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.); [ทิฏฐิที่ ๖ : อกิริยทิฏฐิ]๑
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ป ก ใจเข า ไปสู อ ะไร ทิ ฏ ฐิ จึ ง เกิ ด ขึ้ น อย า งนี้ ว า "เมื่ อ กระทํ า เองหรื อ ยั ง บุ ค คลอื่ น ให กระทําก็ดี, เมื่อตัดเองหรือยังบุคคลอื่นใหตัดก็ดี, เมื่อกําจัดเองหรือยังบุคคลอื่นให กําจัดก็ดี, เมื่อทําสัตวใหเศราโศกเองหรือยังบุคคลอื่นใหทําสัตวใหเศราโศกก็ดี,
๑
สูตรที่ ๖ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๕๖/๔๒๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๙๕
เมื่อทําสัตวใหลําบากเองหรือยังบุคคลอื่นใหทําสัตวใหลําบากก็ดี, เมื่อทําสัตวให ดิ้นรนเองหรือยังบุคคลอื่นใหทําสัตวใหดิ้นรนก็ดี, เมื่อยังสัตวมีปราณใหตกลวงไป ก็ดี, เมื่อถือเอาสิ่งของที่บุคคลไมไดใหแลวก็ดี, เมื่อตัดซึ่งที่ตอ(ตัดของยองเบา) ก็ดี, เมื่อ ปลน ทั้งหมูบานก็ดี, เมื่อ ปลน เฉพาะเรือ นก็ดี, เมื่อ ซุม ปลน อยูต าม หนทางก็ดี, เมื่อลวงเกินภรรยาของผูอื่นก็ดี, เมื่อกลาวเท็จก็ดี; บาปยอมไมเปน อัน กระทํา สํา หรับ ผูก ระทํา . แมวา ผูใ ดจะกระทํา ซึ่ง สัต วทั้ง หลายในแผน ดิน นี้ ดวยจักรอัน คมดั งมีด โกน ให กลายเป น ลานเนื้ อลานหนึ่ งก็ดี , บาปเพราะการ กระทําอยางนั้น ยอมไมมี; การมาแหงบาป ยอมไมมี. แมวาบุรุษจะไปที่ฝงขวา แหงแมน้ําคงคา ฆาเองอยู ใชผูอื่นฆาอยู, ตัดเองอยู ใชผูอื่นตัดอยู, กําจัดเอง อยูใชผูอื่น กําจัด อยู; บาปเพราะการกระทําอยางนั้น ยอ มไมมี; การมาแหง บาป ยอ มไมมี. แมวาบุรุษ จะไปที่ฝงซายแหงแมน้ําคงคา ใหท านเองอยูก็ดี, ยังบุคคลอื่นใหใหทานอยูก็ดี, บูชาเองอยูก็ดี, ยังบุคคลอื่นใหบูชาอยูก็ดี; บุญ เพราะการกระทําอยางนั้น ยอมไมมี; การมาแหงบุญ ยอ มไมมี. เพราะการ ใหทานก็ตาม เพราะการฝกจิตก็ตาม เพราะการสํารวมก็ตาม เพราะการกลาว คําสัจก็ตาม บุญยอมไมมี; การมาแหงบุญ ยอมไมมี" ดังนี้? ...ฯลฯ... (ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรั ส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข า พระองค "...ไปจนจบข อ ความด ว ยคํ า ว า ... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ย งแท (ต อนิ พพาน) มี การตรั สรู พร อมในเบื้ องหน า ดั งนี้ ." เป นข อความซึ่ งเหมื อนกั นทุ กตั วอั กษร จนตลอดข อ ความ ตางกันแตเพียงชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.);
www.buddhadasa.info [ทิฏฐิที่ ๗ : อเหตุกทิฏฐิ]๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "เหตุไมมี, ปจจัยไมมี, เพื่อความเศรา
๑
สูตรที่ ๗ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๕๗/๔๒๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๖๙๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
หมองแห งสัตวทั้ งหลาย. ไม มีเหตุ ไมมี ป จจัย สัตวทั้ งหลายก็เศรางหมอง. เหตุ ไมม ี ปจ จัย ไมม ี, เพื ่อ ความบริส ุท ธิ ์แ หง สัต วทั ้ง หลาย. ไมม ีเ หตุ ไมม ีป จ จัย สั ต ว ทั้ ง หลายก็ บ ริ สุ ท ธิ์ . กํ า ลั ง ไม มี , ความเพี ย รไม มี , เรี่ ย วแรงแห ง บุ รุ ษ ไม มี , ความบากบั่ น ของบุ รุษ ไม มี . สั ต วทั้ งปวง ปาณะทั้ งปวง ภู ต ทั้ งปวง ชี ว ะทั้ งปวง ไมมีอํานาจ ไมมีกําลัง ไมมีความเพียร; ยอมแปรปรวนไปตามสภาวะ นิยติและ สัง คติ; ยอ มเสวยซึ ่ง สุข และทุก ขใ นอภิช าติทั ้ง หลาย ๖ ประการ นั ่น เอง". ดังนี้? ...ฯลฯ... (ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรั ส การถาม การตอบ เหมื อนกั บ ข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้ ง แต คํ า ว า "ภิ ก ษุ ทั้ งหลายเหล า นั้ น กราบทู ล วิ งวอนว า ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข า พระองค "...ไปจนจบข อ ความด ว ยคํ า ว า ... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ต กต่ํ า เป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ย งแท (ต อนิ พพาน) มี การตรั สรู พร อมในเบื้ องหน า ดั งนี้ ." เป นข อความซึ่ งเหมื อนกั นทุ กตั วอั กษร ต างกั นแต เพี ยง ชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.); [ทิฏฐิที่ ๘ : สัตตกายทิฏฐิ]๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ป กใจเข าไปสู อะไร ทิ ฏฐิ จึ งเกิ ดขึ้ นอย างนี้ ว า "กาย (หมู แห งธรรมชาติ ) ทั้ งหลาย ๗ หมู เ หลา นี ้ ไมม ีใ ครทํ า ไมม ีใ ครจัด ระเบีย บ ไมม ีใ ครนฤมิต ร ไมม ีร ะเบีย บ อันใครนฤมิตร ไมคลอดผลใด ๆ ตั้งอยูอยางยอดภูเขา ตั้งอยูอยางมั่นคงดุจการตั้งอยู ของเสาระเนี ย ด. กายทั้ ง หลายเหล า นั้ น ไม ห วั่ น ไหว ไม แ ปรปรวน ไม ก ระทบ กระทั่งซึ่งกันและกัน ไมอาจกระทําซึ่งสุขและทุกขแกกันและกัน. กายทั้งหลาย ๗ หมูเปนอยางไรเลา? กาย ๗ หมู คือ ปฐวีกาย อาโปกาย เตโชกาย วาโยกาย
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๘ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๕๙/๔๓๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๙๗
สุข (กาย) ทุก ข(กาย) ชีว ะ(กาย). กาย ๗ หมู เ หลา นี ้เ ปน กายที ่ไ มม ีใ ครทํ า ไมมีใครจัดระเบียบ ไมมีใครนฤมิตร ไมมีระเบียบอันใครนฤมิตร ไมคลอดผลใด ๆ ตั้งอยูอยางยอดภูเขา ตั้งอยูอยางมั่นคงดุจการตั้งอยูของเสาระเนียด. กายทั้งหลาย เหล า นั้ น ไม ห วั่ น ไหว ไม แ ปรปรวน ไม ก ระทบกระทั่ ง ซึ่ ง กั น และกั น ไม อ าจ กระทําซึ่งสุขและทุกขแกกันและกัน. แมผูใดจะตัดศีรษะใครดวยศาสตราอันคมก็ไม ชื่อวาใครปลงชีวิต ใคร: เป น แตเพี ยงศาสตราผานไปตามชองในระหวางแหงกาย ทั้ งหลาย ๗ หมู เหล านั้ นเท านั้ น. ก็ โยนี ประมุ ขทั้ งหลายเหล านี้ แลมี อยู ๑,๔๐๐,๐๐๐; มี อ ยู ๖,๐๐๐; มี อ ยู ๖๐๐; กรรม ๕๐๐;กรรม ๕; กรรม ๓; กรรมเต็ ม กรรม ด ว ย; กรรมกึ ่ ง กรรมด ว ย; ปฏิ ป ทา ๖๒; อั น ตรกั ป ป ๖๒; อภิ ช าต ๖; ป ุร ิส ภ ูม ิ ๘; อ า ช ีว ก ๔,๙๐๐; ป ร ิพ พ า ช ก ๔,๙๐๐; น า ค ว า ส ๔,๙๐๐; อ ิน ท รีย ๒,๐๐๐; น ร ก ๓,๐๐๐; ร โช ธ า ต ุ ๓๖; ส ัญ ญ ีค ร ร ภ ๗; อ ส ัญ ญี ครรภ ๗; นิ ค รนถครรภ ๗; เทพ ๗; มนุ ษ ย ๗; ป ศ าจ ๗; สระ ๗; ปวุ ฎ ะ ๗ ด ว ย, ๗๐๐ ด ว ย; ปปาตะ ๗ ด ว ย, ๗๐๐ ด ว ย; สุ ป น ะ ๗ ด ว ย, ๗๐๐ ด ว ย; มหากั ป ป ๘,๔๐๐,๐๐๐; เหล า นี้ เป น สั ง สารวั ฏ ซึ่ ง ทั้ ง คนพาลและ บั ณ ฑิ ต แล น ไปแล ว ท อ งเที่ ย วไปแล ว จัก กระทํ าที่ สุด แห งทุ ก ขได ; ในสั งสารวัฏ นั้น ไมมีกฎเกณฑที่ใครตะหวังไดวา กรรมที่ยังไมแกรอบ เราจักกระทําใหแกรอบ, หรือวา จักเสวยผลแห งกรรมที่ แกรอบแลว กระทําซึ่งที่สุดแห งทุ กขได, ดวยขอ ปฏิบ ัต ิค ือ ดว ยศีล หรือ ดว ยวัต ร ดว ยตบะ ดว ยพรหมจรรย; สุข และทุก ขที่ หมดไปสิ ้น ไป ราวกะวา ตวงของดว ยทะนาน จึง ไมม ี ในสัง สารวัฏ นั ้น ไมมี อะไรที่ ชื่ อ ว า ความเสื่ อ มหรื อ ความเจริ ญ , ความดี ขึ้ น หรื อ ความเลวลง, เปรี ย บ เหมือนกลุมดวยอันบุคคลซัดใหกลิ้งไป ยอมคลี่ออกๆ จนหมดกลุมแลวก็หยุดเอง, ฉันใด; ทั้งคนพาลและบัณ ฑิต แลนไปในสงสาร ยอมมีสุขและทุกขอันคลี่คลาย จนหมดไปเอง, ฉันนั้น" ดังนี้? ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๖๙๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
(ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรัส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข าพระองค "...ไปจนจบข อ ความด วยคํ าว า... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ตกต่ํ าเป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ย งแท (ต อนิ พพาน) มี การตรัสรูพรอมในเบื้ องหน า ดั งนี้ ." เป นขอความซึ่งเหมื อนกั นทุ กตั วอั กษร ต างกันแต เพียงชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.); [ทิฏฐิที่ ๙ : สัสสตโลกทิฏฐิ] ๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "โลกเที่ยง" ดังนี้? ...ฯลฯ... (ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรั ส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข าพระองค "...ไปจนจบข อ ความด วยคํ าว า... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ตกต่ํ าเป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ย งแท (ต อนิ พพาน) มี การตรัสรูพรอมในเบื้ องหน า ดั งนี้ ." เป นข อความซึ่ งเหมื อนกั นทุ กตั วอั กษร ต างกั นแต เพียงชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.); [ทิฏฐิที่ ๑๐ : อสัสสตโลกทิฏฐิ] ๒
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "โลกเที่ยง" ดังนี้? ...ฯลฯ...
(ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรั ส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้งแตคําวา "ภิกษุทั้งหลายเหลานั้น กราบทูลวิงวอนวา ขาแตพระองคผูเจริญ! ธรรมทั้งหลายของพวก
๑
สูตรที่ ๙ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๖๑/๔๓๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. สูตรที่ ๑๐ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๖๓/๔๓๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
๒
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๖๙๙
ข าพระองค " ...ไปจนจบข อความด วยคํ าวา... "เป นโสดาบั น มี อั นไม ตกต่ํ าเป นธรรมดา เป นผู เที่ ยงแท (ต อนิ พพาน) มี การตรัสรูพรอมในเบื้ องหน า ดั งนี้ ." เป นข อความซึ่ งเหมื อนกั นทุ กตั วอั กษร ต างกั นแต เพียงชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.); [ทิฏฐิที่ ๑๑ : อันตวันตโลกทิฏฐิ]๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไรเพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "โลกมีที่สุด" ดังนี้? ...ฯลฯ... (ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรัส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข าพระองค "...ไปจนจบข อ ความด วยคํ าว า... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ตกต่ํ าเป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ย งแท (ตอนิพพาน) มี การตรัสรูพรอมในเบื้องหนา ดังนี้." เป นขอความซึ่งเหมื อนกันทุกตัวอั กษร ตางกั นแต เพียง ชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.); [ทิฏฐิที่ ๑๒ : อนันตวันตโลกทิฏฐิ]๒
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไรเพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "โลกไมมีที่สุด" ดังนี้? ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info (ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรัส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข าพระองค "...ไปจนจบข อ ความด วยคํ าว า... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ตกต่ํ าเป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ย งแท (ตอนิ พพาน) มี การตรัสรูพรอมในเบื้ องหน า ดั งนี้ ." เป นขอความซึ่งเหมื อนกันทุ กตั วอั กษร ต างกั นแต เพี ยง ชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.);
๑
สูตรที่ ๑๑ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๖๓/๔๓๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. สูตรที่ ๑๒ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๖๓/๔๓๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
๒
www.buddhadasa.info
๗๐๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑ [ทิฏฐิที่ ๑๓ : ตังชีวตังสรีรทิฏฐิ] ๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ชีวะก็ อันนั้ น สรีระก็ อันนั้ น" ดังนี้? ...ฯลฯ... (ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรัส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข าพระองค "...ไปจนจบข อ ความด วยคํ าว า... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ตกต่ํ าเป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ย งแท (ต อ นิ พ พาน) มี การตรัสรูพ รอมในเบื้ องหน า ดั งนี้ ." เป น ข อความซึ่ งเหมื อนกั น ทุ กตั ว ต างกั นแต เพี ยง ชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.); [ทิฏฐิที่ ๑๔ : อัญญังชีวอัญญังสรีรทิฏฐิ] ๒
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไรเพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อัน อื่น " ดังนี้? ...ฯลฯ... (ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรัส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข าพระองค "...ไปจนจบข อ ความด วยคํ าว า... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ตกต่ํ าเป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ย งแท (ต อ นิ พ พาน) มี การตรัสรูพ รอมในเบื้ องหน า ดั งนี้ ." เป น ข อความซึ่ งเหมื อนกั น ทุ กตั ว ต างกั นแต เพี ยง ชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.);
www.buddhadasa.info [ทิฏฐิที่ ๑๕ : โหติตถาคโตทิฏฐิ]๓
ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! เมื่ออะไรมี อยูหนอ เพราะเขาไปยึดถือซึ่งอะไร เพราะป ก ใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีก" ดังนี้? ...ฯลฯ...
๑
สูตรที่ ๑๓ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๖๔/๔๓๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. สูตรที่ ๑๔ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๖๔/๔๓๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๓ สูตรที่ ๑๔ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๖๔/๔๓๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๒
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๐๑
(ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรัส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข า พระองค "...ไปจนถึ งข อความด วยคํ าว า... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ต กต่ํ าเป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ยงแท (ตอนิ พพาน) มี การตรัสรูพรอมในเบื้ องหน า ดั งนี้ ." เป นขอความซึ่งเหมื อนกันทุ กตั วอั กษร ต างกั นแต เพี ยง ชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.); [ทิฏฐิที่ ๑๖ : นโหติตถาคโตทิฏฐิ]๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไรเพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมไมมี อีก" ดังนี้? ...ฯลฯ... (ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรัส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้ งแต คํ าว า "ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า ข าแต พระองค ผู เจริญ ! ธรรมทั้ งหลายของพวก ข าพระองค "...ไปจนจบข อความด วยคํ าว า... "เป น โสดาบั น มี อั น ไม ตกต่ํ าเป น ธรรมดา เป น ผู เที่ ย งแท (ตอนิพพาน) มี การตรัสรูพรอมในเบื้องหนา ดังนี้." เป นขอความซึ่งเหมื อนกันทุกตัวอั กษร ตางกั นแต เพียง ชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.);
www.buddhadasa.info [ทิฏฐิที่ ๑๗ : โหติจนจโหติทิฏฐิ]๒
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีก ก็มี ยอมไมมีอีกก็มี" ดังนี้? ...ฯลฯ...
๑
สูตรที่ ๑๖ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๖๔/๔๔๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. สูตรที่ ๑๗ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๖๔/๔๔๒, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
๒
www.buddhadasa.info
๗๐๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
(ข อความตรงที่ ละเปยยาลไว นี้ มี การตรัส การถาม การตอบ เหมื อนกั บข อความในทิ ฏฐิ ที่ ๑ ตั้ ง แต คํ า วา "ภิ ก ษุ ทั้ ง หลายเหล า นั้ น กราบทู ล วิ ง วอนว า ข า แต พ ระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ ง หลายของ พวกข าพระองค "...ไปจนจบข อความด วยคํ าว า... "เป นโสดาบั น มี อั นไม ตกต่ํ าเป นธรรมดา เป นผู เที่ ยงแท (ตอนิพพาน) มี การตรัสรูพรอมในเบื้องหนา ดังนี้." เป นขอความซึ่งเหมื อนกันทุกตัวอั กษร ตางกั นแต เพียง ชื่อแหงทิฏฐิ เทานั้น.); [ทิฏฐิที่ ๑๘ : เนวโหตินนโหติทิฏฐิ]๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไรเพราะ ปกใจเขาไปสูอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีก ก็มี ก็หามิได ยอมไมมีอีกก็หา มิได"ดังนี้? ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิงวอนวา "ข าแต พระองค ผู เจริญ! ธรรมทั้ งหลาย ของพวก ขาพระองค มี พระผู มี พระภาคเป นมู ล มี พระผู มี พระภาคเป นผู นํ า มี พระผู มี พระภาคเป นที่ พึ่ ง. ขาแต พระ องค ผู เจริญ ! เป นการชอบแล วหนอ ขอให อรรถแห งภาษิ ตนั้ นจงแจ มแจ งกะพระผู มี พระภาคเองเถิ ดภิ กษุ ทั้ งหลายได ฟ งจากพระผู มี พ ระภาคแล ว จั กทรงจํ าไว " ดั งนี้ พระผู มี พระภาคเจ า จึ งตรัสเตื อนให ภิ กษุ ทั้งหลายเหลานั้นตั้งใจฟงดวยดีแลว ไดตรัสขอความดังตอไปนี้ :-
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อรูปนั้ นแล มี อยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรูป เพราะ ป กใจเข าไปสู รูปทิ ฏฐิ จึ งเกิ ดขึ้ นอย างนี้ วา "ตถาคตภายหลั งแต ตายแล ว ย อมมี อี กก็ หา มิ ได ย อมไม มี อี กก็ หามิ ได " ดั งนี้ . (ในกรณี แหงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มี ถอยคําที่ตรัส อยางเดียวกันทุกตัวอักษรกับในกรณีแหงรูปนี้ ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธแตละขันธ เทานั้น.)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอจะสํ าคั ญความข อนี้ ว าอย างไร? รูปเที่ ยงหรือ ไม เที่ ย ง? ("ไม เที่ ย ง พระเจ าข า!") ก็ สิ่ งใดไม เที่ ย ง สิ่ งนั้ น เป น ทุ ก ข ห รื อ เป น สุ ขเล า? ("เปนทุกข พระเจาขา!") แมสิ่งใดไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา แตถา
๑
สูตรที่ ๑๘ โสตาปตติวรรค ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ.๑๗/๒๖๔/๔๔๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๐๓
ไม เขาไปยึดถือ ซึ่งสิ่งนั้ นแลวไซร ทิฏฐิอยางนี้ จะเกิดขึ้นไดไหมวา "ตถาคตภายหลังแต ตายแล ว ย อมมี อี กก็ หามิ ได ย อมไม มี อี กก็ หามิ ได " ดั งนี้ ? ("ขอนั้ น หามิ ได พระเจ าขา!") (แม ในกรณี แห งเวทนา สัญญา สั งขาร วิญญาณ ก็มี ถ อยคํ าที่ ตรัสถามและพวกภิ กษุ ทู ลตอบ อย างเดี ยวกั น ทุกตัวอักษรกับในกรณีแหงรูปนี้ ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธแตละขันธ เทานั้น.)
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! แม สิ่ ง ใดที่ บุ ค คลได เห็ น แล ว ฟ ง แล ว รู สึ ก แล ว รูแจงแลว บรรลุแลว แสวงหาแลว ครุนคิดอยูดวยใจแลว เหลานี้เปนของเที่ยงหรือไมเที่ยง? ("ไม เที่ ยง พระเจาขา!") ก็ สิ่ งใดไม เที่ ยง สิ่ งนั้ นเป นทุ กข หรือเป นสุ ขเล า? (“เป นทุ กข พระเจ าข า!”) แม สิ่ งใดไม เที่ ยง เป นทุ กข มี ความแปรปรวนเป นธรรมดา แต ถ าไม เข า ไปยึดถือซึ่งสิ่งนั้นแลวไซร ทิฏฐิอยางนี้ จะเกิดขึ้นไดไหมวา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีกก็หามิได ยอมไมมีอีกก็หากมิได” ดังนี้? ("ขอนั้นหามิได พระเจาขา!") ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ในกาลใดแล ความสงสั ย (กงฺ ข า) ในฐานะ ทั้งหลาย ๖ ประการเหลานี้๑ เปนสิ่งที่อริยสาวกละขาดแลว; ในกาลนั้น ก็เปน อั นว า ความสงสั ยแม ในทุ กข แม ในเหตุ ให เกิ ดขึ้ นแห งทุ กข แม ในความดั บไม เหลื อ แหงทุกข แมในทางดําเนินใหถึงความดับไมเหลือแหงทุกข ก็เปนสิ่งที่อริยสาวกนั้น ละขาดแลว.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวกนี้ เราเรียกวา เปน อริยสาวกผูเปนโสดาบัน มี อั นไม ตกต่ํ าเป นธรรมดา เป นผู เที่ ยงแท (ต อนิ พพาน) มี การตรัสรูพรอมในเบื้ องหน า, ดังนี้ แล. ทิ ฏฐิ ทั้ ง ๑๘ ประการนี้ เกิ ดขึ้ นเพราะไม รูปฏิ จจสมุ ปบาท หรืออิ ทั ปป จจยตา ที่ เกี่ ยวข องกั น อยูฐานะทั้ ง ๖; กล าวคืออุปาทานขันธทั้ ง ๕ และสิ่งที่ รูสึกทางอายตนะทั้ งหลาย; หรือกล าวอีกอย างหนึ่ งก็ว า ถายังมีทิฏฐิเหลานี้อยูเพียงใด ก็ไมอาจจะรูแจงในปฏิจจสมุปบาท อยูเพียงนั้น.- ผูรวบรวม.
๑
ฐานะ ๖ ประการคือ ขันธ ๕ และสิ่งที่ไดเห็นแลว เปนตน; ดังที่กลาวแลวขางบน.
www.buddhadasa.info
๗๐๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ทิฏฐิ ๒๖ อยาง ลวนแตปรารภขันธหา๑ [ทิฏฐิที่ ๑ : เอสิกัฏฐายิฏฐิตทิฏฐิ]
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร เพราะ ป ก ใจเข า ไปสู อ ะไร ทิ ฏ ฐิ จึ ง เกิ ด ขึ้ น อย า งนี้ ว า "ลมก็ ไ ม พั ด น้ํ า ก็ ไ มไหล สตรี มี ครรภก็ไมคลอด พระจันทรและพระอาทิตยก็ไมขึ้นไมตก แตละอยาง ๆ เปนของ ตั้งอยูอยางมั่นคงดุจการตั้งอยูของเสาระเนียด" ดังนี้? ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ น กราบทู ลวิ งวอนว า "ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ธรรมทั้ งหลาย ของพวก ข าพระองค มี พระผู มี พ ระภาคเป นมู ล มี พระผู มี พระภาคเป นผู นํ า มี พ ระผู มี พระภาคเป นที่ พึ่ ง. ข าแต พระ องค ผู เจริ ญ ! เป น การชอบแล ว หนอ ขอให อ รรถแห ง ภาษิ ต นั้ น จงแจ ม แจ ง กะพระผู มี พ ระภาคเองเถิ ด ภิ กษุ ทั้ งหลายได ฟ งจากพระผู มี พระภาคแล ว จั กทรงจํ าไว " ดั งนี้ . พระผู มี พระภาคเจ า จึ งตรั สเตื อนให ภิ กษุ ทั้งหลายเหลานั้นตั้งใจฟงดวยดีแลว ไดตรัสขอความดังตอไปนี้:-
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! (๑) เมื่ อ รู ป นั่ น แล มี อ ยู เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง รู ป เพราะป ก ใจเข า ไปสู รู ป ทิ ฏ ฐิ จึ งเกิ ด ขึ้ น อย า งนี้ ว า "ลมก็ ไม พั ด แม น้ํ า ก็ ไม ไหล สตรี มี ครรภ ก็ ไม คลอด พระจั นทร และพระอาทิ ตย ก็ ไม ขึ้ นไม ตก แต ละอย าง ๆ เป นของตั้ งอยู อยางมั่นคงดุจการตั้งอยูของเสาระเนียด" ดังนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้ งหลาย จะสํ าคั ญ ความข อนั้ น ว าอย างไร? รู ป เที่ ย งหรื อ ไม เที่ ย ง? ("ไม เที่ ย ง พระเจ า ข า !") ก็ สิ่ ง ใดไม เที่ ย ง สิ่ ง นั้ น เป น ทุ ก ข ห รื อ เป น สุ ข เล า ? ("เป น ทุ ก ข พระเจ า ข า !") แม สิ่ งใดไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข มี ค วามแปรปรวน เปนธรรมดา แตถาไมเขาไปยึดถือ ซึ่งสิ่งนั้นแลว ทิฏฐิอยางนี้ จะเกิดขึ้นไดไหมวา "ลมก็
๑
สูตรที่ ๑ ทุติยเปยยาบ ทิฏฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๖/๔๔๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๐๕
ไม พั ด แม น้ํ าก็ ไม ไหล สตรีมี ครรภ ก็ไม คลอด พระจันทรและพระอาทิ ตย ก็ไม ขึ้นไม ตก แต ละอย าง ๆ เป นของตั้ งอยู อย างมั่ นคงดุ จการตั้ งอยู ของเสาระเนี ยด" ดั งนี้ ? ("ข อนั้ น หามิได พระเจาขา!"). ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยอาการอยางนี้แล : เมื่ อทุ กขมี อยู เพราะเข าไป ยึดถือซึ่งทุกข เพราะปกใจเขาไปสูทุกข ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ลมก็ไมพัด แมน้ํา ก็ไม ไหล สตรีมี ครรภ ก็ไม คลอด พระจันทรและพระอาทิ ตย ก็ไม ขึ้นไม ตก แต ละอย าง ๆ เปนของตั้งอยูอยางมั่นคงดุจการตั้งอยูของเสาระเนียด" ดังนี้. (ในกรณี แห งเวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ ก็ มี การตรั ส การตรั สถาม และการทู ลตอบ อย างเดี ยวกั นกั บในกรณี แห งรูปนี้ ซึ่ งเริ่มตั้ งแต คํ าว า "ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อรู ปนั่ นแล มี อยู ...ไปจน จบข อความด วยคําวา... แต ละอย าง ๆ เป นของตั้ งอยูอย างมั่ นคงดุ จการตั้ งอยู ของสาระเนี ยด ดั งนี้ ." ซึ่ ง ตรัสเป นคํ าสุ ดท ายในกรณี แห งรูป; เป นขอความที่ เหมื อนกั นทุ กตั วอั กษร จนตลอดข อความ ต างกั นแต เพียงชื่อแหงขันธแตละขันธ เทานั้น. ในทิ ฏฐิ ที่ ๒ ที่ ๓ ต อไปจนถึ งทิ ฏฐิ ที่ ๒๖ มี ข อความนํ าเรื่องเหมื อนกั นตอนต นของทิ ฏฐิ ที่ ๑ ทุ กตั วอั กษร คื อตั้ งแต คํ าวา "ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งอะไร ...จน ไปถึ งคํ าวา... พระผู มี พระภาคเจา จึงตรัสเตื อนให ภิ กษุ ทั้ งหลายเหล านั้ นตั้ งใจฟ งด วยดี แล ว ได ตรัสข อ ความดังตอไปนี้:-";ในทิฏฐิตอๆ ไป ขอความเหลานี้จะไมเขียนไว จะเริ่มที่ตัวทิฏฐิเลยทีเดียว.
www.buddhadasa.info และขอความตอนสรุปท ายของเรื่องทิ ฏฐิหนึ่ ง ๆ ตั้ งแต คํ าวา ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอ ทั้ งหลาย จะสํ าคั ญความข อนี้ ว าอย างไร? ...ไปจนจบเรื่องทิ ฏฐิ นั้ น ๆ ก็ มี ข อความเหมื อนกั นทุ กทิ ฏฐิ ทุ ก ตัวอั กษร ต างกั นแต ชื่ อแห งทิ ฏฐิแต ละทิ ฏฐิ เท านั้ น; ดังนั้ น ขอความตอนสรุปท ายเช นนี้ ในทิ ฏฐิ ต อ ๆ ไป จะไมเขียนไว เปนอันรูกันไดเอง. สําหรับทิฏฐิที่ ๒๖ ไดนํามาใสไวเต็ม ดังที่กลาวไวในทิฏฐิที่หนึ่ง.
อนึ่ ง ผู ศึ กษาต องไม ลื มสั งเกตว า ทิ ฏฐิ ทั้ ง ๒๖ นี้ แม แต ละทิ ฏฐิ ล วนเป นไปในป ญจุ ปาทาน ขันธแตละขันธดวยกันทั้งนั้น.)
www.buddhadasa.info
๗๐๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑ [ทิฏฐิที่ ๒ : อัตตา - อัตตนิยานุทิฏฐิ]๑
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! (๒) เมื่ อ รู ป นั่ น แลมี อ ยู เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง รู ป เพราะป กใจเขาไปสู รูป ทิ ฏฐิจึงเกิดขึ้นอย างนี้ วา "นั่ นของเรา; นั่ นเป นเรา; นั่ นเป น ตัวตนของเรา" ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๓ สัสสตทิฏฐิ (ทั่วไป)]๒
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! (๓) เมื่ อ รู ป นั่ น แลมี อ ยู เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง รู ป เพราะป กใจเขาไปสู รูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้ วา "อั ตตา (ตน) ก็ อั นนั้ น; โลกก็ อั นนั้ น; เรานั้นละไปแลว จักเปนผูเที่ยง ยั่งยืน เที่ยงแท มีความไมแปรปรวนเปนธรรมดา" ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๔ อุจเฉททิฏฐิ (ทั่วไป)๓
ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! (๔) เมื่ อ รู ป นั่ น แลมี อ ยู เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง รู ป เพราะป กใจเข าไปสู รูป ทิ ฏ ฐิ จึ งเกิ ด ขึ้ น อย างนี้ ว า "เราไม พึ งมี ด วย; ของเราไม พึ งมี ดวย; เราจักไมมี ของเราจักไมมี" ดังนี้. ...
www.buddhadasa.info [ทิฏฐิที่ ๕ นัตถิกทิฏฐิ (ทั่วไป)๔
...ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! (๕) เมื่ อ รู ป นั่ น แลมี อ ยู เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง รู ป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ไมมีทางอันบุคคลบริจาคแลว, ไมมี
๑
สูตรที่ ๒ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๕๐/๔๑๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. สูตรที่ ๓ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๕๑/๔๒๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๓ สูตรที่ ๔ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๕๒/๔๒๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๔ สูตรที่ ๕ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๕๔/๔๒๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๒
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๐๗
ยัญญะอันบุคคลประกอบแลว, ไมมีโหตระอันบุคคลบูชาแลว, ไมมีผลวิบากแหง กรรมอัน บุค คลกระทํ า ดีแ ลว กระทํ า ชั ่ว แลว , ไมม ีโ ลกนี ้, ไมม ีโ ลกอื ่น , ไมมี มารดา, ไมมีบิดา, ไมมีสัตวทั้งหลายอันเปนโอปปาติกะ,ไมมีสมณะและพราหมณ ผูไปแลวถูกตอง ผูปฏิบัติแลวถูกตอง ผูทําใหแจงซึ่งโลกนี้และโลกอื่น ดวยปญญา อัน ยิ่งเอง แลว ประกาศอยูในโลก; คนเรานี้เปน การประชุม ของมหาภูต ทั้ง ๔; เมื่อใดทํากาละ, เมื่อนั้นดินยอมเขาไปสูหมูแหงดิน, น้ํายอมเขาไปสูหมูแหงน้ํา, ไฟยอมเขาไปสูหมูแหงไฟ, ลมยอมเขาไปสูหมูแหงลม, อินทรียทั้งหลาย ยอม หายไปในอากาศ; บุรุษ ทั ้ง หลายมีเตีย งวางศพเปน ที ่ค รบ ๕ จะพาเขาผู ต าย แลว ไป; รอ งรอยทั้งหลายปรากฎอยูเพีย งแคปา ชา เปน เพีย งกระดูก ทั้งหลาย มีสีเพีย งดังสีแ หงนกพิล าป; การบูช าเซน สรวง มีขี้เถาเปน ที่สุด ; สิ่งที่เรีย กวา ทานนั้ น เป น บทบั ญ ญั ติ ข องคนเขลา; คํ าของพวกที่ กล าววา อะไรๆ มี อ ยูนั้ น เปน คํ า เปลา (จากความหมาย) เปน คํ า เท็จ เปน คํ า เพอ เจอ ; ทั ้ง คนพาลและ บัณ ฑิ ต ครั้นกายแตกทํ าลายแล ว ยอ มขาดสูญ พิ น าศไป มิไดอ ยู ภายหลังแต ตายแลว." ดังนี้... [ทิฏฐิที่ ๖ อกิริยทิฏฐิ]๑
www.buddhadasa.info ...ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! (๖) เมื่ อ รู ป นั่ น แลมี อ ยู เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง รู ป เพราะป กใจเข าไปสู รูป ทิ ฏฐิจึ งเกิ ดขึ้นอย างนี้ วา "เมื่ อกระทํ าเองหรือยั งบุ คคลอื่ นให กระทําก็ดี, เมื่อตัดเองหรือยังบุคคลอื่นใหตัดก็ดี, เมื่อกําจัดเองหรือยังบุคคลอื่นให กําจัดก็ดี, เมื่อทําสัตวใหเศราหมองเองหรือยังบุคคลอื่นใหทําสัตวใหเศราหมองเอง ก็ดี, เมื่อทําสัตวใหลําบากเองหรือยังบุคคลอื่นใหทําสัตวใหลําบากก็ดี, เมื่อทําสัตว
๑
สูตรที่ ๖ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๕๖/๔๒๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๗๐๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ใหดิ้นรนเองหรือยังบุคคลอื่นใหทําสัตวใหดิ้นรนก็ดี, เมื่อยังสัตวมีปราณใหตกลวง ไปก็ดี, เมื่อถือเอาสิ่งของที่บุคคลไมไดใหแลวก็ดี, เมื่อตัดซึ่งที่ตอ (ตัดชองยอง เบา) ก็ดี, เมื่อปลนทั้งหมูบานก็ดี, เมื่อปลนเฉพาะเรือนก็ดี, เมื่อซุมปลนอยูตาม หนทางก็ด ี, เมื ่อ ลว งเกิน ภรรยาของผู อื่น ก็ด ี, เมื ่อ กลา วเท็จ ก็ด ี; บาปยอ มไม เปนอันกระทําสําหรับผูกระทํา. แมวาผูใดจะกระทําซึ่งสัตวทั้งหลายในแผนดินนี้ ดวยจักรอันคมดังมีดโกน ใหกลายเปนลานเนื้อลานหนึ่งก็ดี, บาปเพราะการกระทํา อยา งนั ้น ยอ มไมม ี; การมาแหง บาป ยอ มไมม ี. แมว า บุร ุษ จะไปที ่ฝ ง ขวา แหง แมน้ํ า คงคา ฆา เองอยู ใชผูอื่น ฆา อยู, ตัด เองอยู ใชผูอื่น ตัด อยู, กํา จัด เองอยู ใชผู อื ่น กํ า จัด อยู ; บาปเพราะการกระทํ า อยา งนั ้น ยอ มไมม ี; การมา แหงบาป ยอมไมมี. แมวาบุรุษจะไปที่ฝงซายแหงแมน้ําคงคา ใหทานเองอยูก็ดี, ยังบุ ค คลอื่น ให ให ท านอยูก็ดี, บู ชาเองอยูก็ดี, ยังบุ ค คลอื่น ให บู ชาอยูก็ดี ; บุ ญ เพราะการกระทําอยางนั้นยอมไมมี; การมาแหงบุญยอมไมมี. เพราะการใหทาน ก็ตาม เพราะการฝกจิตก็ตาม เพราะการสํารวจก็ตาม เพราะการกลาวคําสัตยก็ตาม บุญยอมไมมี; การมาแหงบุญยอมไมมี." ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๗ : อเหตุกทิฏฐิ]๑
www.buddhadasa.info ...ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! (๗) เมื่ อ รู ป นั่ น แลมี อ ยู เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ งรู ป เพราะป กใจเขาไปสูรูป ทิ ฏฐิจึงเกิ ดขึ้นอย างนี้ วา "เหตุ ไม มี , ป จจั ยไม มี , เพื่ อความ เศราหมองแหงสั ตวทั้งหลาย. ไม มีเหตุ ไม มีป จจัย สัต วทั้ งหลายก็เศราหมอง. เหตุไ มม ี, ปจ จัย ไมม ี, เพื ่อ ความบริส ุท ธิ ์แ หง สัต วทั ้ง หลาย. ไมม ีเ หตุ ไมมี ปจจัย สัตวทั้งหลายก็บริสุทธิ์. กําลังไมมี, ความเพียรไมมี, เรี่ยวแรงแหง
๑
สูตรที่ ๗ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๕๗/๔๒๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๐๙
บุ รุษ ไม มี , ความบากบั่ น ของบุ รุษ ไม มี . สั ต วทั้ งปวง ปาณะทั้ งปวง ภู ต ทั้ งปวง ชี ว ะทั้ ง ปวง ไม มี อํ า นาจ ไม มี กํ า ลั ง ไม มี ค วามเพี ย ร; ย อ มแปรปรวนไปตาม สภาวะ นิยติ และสังคติ; ยอมเสวยซึ่งสุขและทุกขในอภิชาติทั้งหลาย ๖ ประการ นั่นเอง" ดังนี้. .... [ทิฏฐิที่ ๘ : สัตตกายทิฏฐิ]๑ ...ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! (๘) เมื่ อ รู ป นั่ น แลมี อ ยู เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่ ง รู ป
เพราะป กใจเข าไปสู รู ป ทิ ฏฐิ จึ งเกิ ดขึ้ นอย างนี้ ว า "กาย (หมู แห งธรรมชาติ ) ทั้ งหลาย ๗ หมูเหลานี้ ไมมีใครทํา ไมมีใครจัดระเบียบ ไมมีใครนฤมิต ร ไมมีระเบียบ อันใครนฤมิตร ไมคลอดผลใดๆ ตั้งอยูอยางยอดภูเขาตั้งอยูอยางมั่นคงดุจการตั้งอยู ของสาระเนี ย ด. กายทั้ งหลายเหล า นั้ น ไม ห วั่น ไหว ไม แ ปรปรวน ไม ก ระทบ กระทั่งซึ่งกันและกัน ไมอาจกระทําซึ่งสุขและทุกขแกกันและกัน. กายทั้งหลาย ๗ หมู เปนอยางไรเลา? การ ๗ หมู คือปฐวีกาย อาโปกาย เตโชกาย วาโยกาย สุช(กาย) ทุ ก ข(กาย) ชีว(กาย).กาย ๗ หมู เหลานี้ เป น กายที่ ไมี มี ใครทํ า ไม มี ใครจัดระเบียบ ไมมีใครนฤมิตร ไมมีระเบียบอันใครนฤมิตร ไมคลอดผลใด ๆ ตั้งอยูอยางยอดภูเขา ตั้งอยูอยางมั่นคงดุจการตั้งอยูของเสาระเนียด. กายทั้งหลาย เหลานั้นไมหวั่นไหว ไมแปรปรวน ไมกระทบกระทั่งซึ่งกันและกัน ไมอาจกระทํา ซึ่งสุข และทุก ขแกกัน และกัน . แมผูใดจะตัดศีรษะใครดวยศาสตราอัน คม ก็ไม ชื่อวาใครปลงชีวิตใคร : เปนแตเพียงศาสตราผานไปตามชองในระหวางแหงกาย ทั้งหลาย ๗ หมูเหลานั้นเทานั้น. ก็โยนีประมุขทั้งหลายเหลานี้แลมีอยู๑,๔๐๐,๐๐๐; มีอยู ๖,๐๐๐; มีอยู ๖๐๐; กรรม ๕๐๐; กรรม ๕; กรรม ๓; กรรมเต็ม
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๘ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๕๙/๔๓๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๗๑๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
กรรมดวย; กรรมกึ่งกรรมดวย; ปฏิปทา ๖๒; อันตรกัปป ๖๒; อภิชาติ ๖; ป ุร ิส ภ ูม ิ ๘; อ าช ีว ก ๔,๙๐๐; ป ริพ พ า ช ก ๔,๙๐๐; น า ค ว าส ๔,๙๐๐; อิน ทรีย ๒,๐๐๐; นรก ๓,๐๐๐; รโชธาตุ ๓๖; สัญ ญีครรภ ๗; อสัญ ญีครรภ; นิ ค รนถครรภ ๗; เทพ ๗; มนุ ษ ย ๗; ป ศ าจ ๗; สระ ๗; ปวุฏ ะ ๗ ด วย, ๗๐๐ ด วย; ปปาตะ ๗ ด วย, ๗๐๐ ด วย; สุ ป นะ ๗ ด วย, ๗๐๐ ด วย; มหากั ปป ๘,๔๐๐,๐๐๐; เหลา นี ้ เปน สัง สารวัฎ ซึ ่ง ทั ้ง คนพาลและบัณ ฑิต แลน ไปแลว ทองเที่ยวไปแลว จักกระทําที่สุดแหงทุกขได; ในสังสารวัฏนั้น ไมมีกฎเกณฑ ที่ใครจะหวังไดวา กรรมที่ยังไมแกรอบ เราจักกระทําใหแกรอบ, หรือวาจักเสวย ผลแหงกรรมที่แกรอบแลว กระทําซึ่งที่สุดแหงทุกขได, ดวยขอปฏิบัตินี้คือ ดวย ศีลหรือดวยวัตร ดวยตบะ ดวยพรหมจรรย; สุขและทุกขที่หมดไปสิ้นไป ราวกะ วาตวงของดวยทะนาน จึงไมมี.ในสังสารวัฎฎนั้น ไมมีอะไรที่ชื่อวาความเสื่อม หรือความเจริญ, ความดีขึ้นหรือความเลวลง, เปรียบเหมือนกลุมดวยอันบุคคล ซัดใหกลิ้งไป ยอมคลี่ออก ๆ จนหมดกลุม แลวก็หยุดเอง, ฉันใด; ทั้งคนพาล และบัณฑิต แลนไปในสงสาร ยอมมีสุขและทุกขอันคลี่คลาย จนหมดไปเอง, ฉันนั้น" ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๙ : สัสสตโลกทิฏฐิ] ๑
www.buddhadasa.info ...ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! (๙) เมื่ อ รู ป นั่ น แลมี อ ยู เพราะเข าไปยึ ด ถื อ ซึ่ งรู ป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "โลกเที่ยง" ดังนี้. ...
๑
สูตรที่ ๙ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๑/๔๓๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๑๑ [ทิฏฐิที่ ๑๐ : อสัสสตโลกทิฏฐิ] ๑
...ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! (๑๐) เมื่ อ รู ป นั่ น แลมี อ ยู เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่งรูป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "โลกไมเที่ยง" ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๑๑ : อันตวันตโลกทิฏฐิ] ๒
...ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! (๑๑) เมื่ อ รู ป นั่ น แลมี อ ยู เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่งรูป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "โลกมีที่สุด " ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๑๒ : อันตวันตโลกทิฏฐิ] ๓
...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๑๒) เมื่ อรู ปนั่ นแลมี อยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรู ป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "โลกไมมีที่สุด" ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๑๓ : อันตวันตโลกทิฏฐิ] ๔
www.buddhadasa.info ...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๑๓) เมื่ อรู ปนั่ นแลมี อยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรู ป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น" ดังนี้. ...
๑
สูตรที่ ๑๐ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๓/๔๓๕, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. สูตรที่ ๑๑ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๓/๔๓๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๓ สูตรที่ ๑๒ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๓/๔๓๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๔ สูตรที่ ๑๓ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๔/๔๓๘, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๒
www.buddhadasa.info
๗๑๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๗๑๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑ [ทิฏฐิที่ ๑๔ : อัญญังชีวอัญญังสรีรทิฏฐิ] ๑
...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๑๔) เมื่ อรู ปนั่ นแลมี อยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรู ป เพราะปก ใจเขา ไปสู รูป ทิฏ ฐิจ ึง เกิด ขึ้น อยา งนี ้วา "ชีว ะก็อ ัน นั ้น สรีร ะก็อ ัน อื ่น " ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๑๕ : โหติตถาคโตทิฏฐิ] ๒
...ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! (๑๕) เมื่ อ รู ป นั่ น แลมี อ ยู เพราะเข า ไปยึ ด ถื อ ซึ่งรูปเพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมีอีก" ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๑๖ : นโหติตถาคโตทิฏฐิ] ๓
...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๑๖) เมื่ อรู ปนั่ นแลมี อยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรู ป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอม ไมมีอีก" ดังนี้. ...
www.buddhadasa.info [ทิฏฐิที่ ๑๗ : โหติจนจโหติทิฏฐิ] ๔
...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๑๗) เมื่ อรู ปนั่ นแลมี อยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรู ป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมี อีกก็มี ยอมไมมีอีกก็มี" ดังนี้. ...
๑
สูตรที่ ๑๔ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๔/๔๓๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. สูตรที่ ๑๕ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๗/๔๔๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๓ สูตรที่ ๑๖ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๗/๔๔๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๔ สูตรที่ ๑๗ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๗/๔๔๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๒
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๑๓
[ทิฏฐิที่ ๑๘ : เนวโหตินนโหติทิฏฐิ] ๑
...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๑๘) เมื่ อรู ปนั่ นแลมี อยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรู ป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "ตถาคตภายหลังแตตายแลว ยอมมี อีกก็หามิได ยอมไมมีอีกก็หามิได" ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๑๙ : รูปอัตตาทิฏฐิ] ๒
...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๑๙) เมื่ อรู ปนั่ นแลมี อยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรู ป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "(ตองเปน) อัตตามีรูป ๓ (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได (อโรโค)๔ หลังจากตายแลว" ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๒๐ : นโหติตถาคโตทิฏฐิ] ๕
...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! (๒๐) เมื่ อรู ปนั่ นแลมี อยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรู ป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "(ตองเปน)อัตตาไมมีรูป๖ (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได" หลังจากตายแลว" ดังนี้. ...
www.buddhadasa.info ๑
สูตรที่ ๑๘ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๗/๔๔๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๒ สูตรที่ ๑๙ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๘/๔๔๙, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๓ อัตตามีรูป คืออัตตาที่มีรูปสมาบัติเปนนิทานสัมภวะ. ๔ อโรโค หรือหาโรคมิได หมายถึงความที่ยั่งยืน ไมมีอะไรกระทบกระทั่งใหเกิดการเปลี่ยนแปลงได. ๕ สูตรที่ ๒๐ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๙/๔๕๑, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๖
อัตตาไมมีรูป คืออัตตาที่มีอรูปสมบัติ เปนนิทานสัมภวะ.
www.buddhadasa.info
๗๑๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑ [ทิฏฐิที่ ๒๑ : รูปจอรูปจอัตตาทิฏฐิ] ๑
...ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย!(๒๑)เมื ่อ รูป นั ่น แลมีอ ยู เพราะเขา ไปยึด ถือ ซึ่งรูป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "อัตตามีรูปก็ไดไมมีรูปก็ได เปนอัตตาหาโรคมิไดหลังจากตายแลว" ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๒๒ : เนวรูปนารูปจอัตตาทิฏฐิ] ๒
...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!(๒๒)เมื่ อรู ป นั่ นแลมี อ ยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรู ป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "(ตองเปน) อัตตามีรูปก็มิใชไมมีรูป ก็มิใช(เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว" ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๒๓ : เอกันตสุขีอัตตาทิฏฐิ] ๓
...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!(๒๓)เมื่ อรู ป นั่ นแลมี อ ยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรู ป เพราะป กใจเข าไปสู รู ป ทิ ฏฐิ จึ งเกิ ดขึ้ นอย างนี้ ว า "(ต องเป น ) อั ตตามี สุ ขโดยส วน เดียว(เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว" ดังนี้. ...
www.buddhadasa.info [ทิฏฐิที่ ๒๔ : เอกันตทุกขีอัตตาทิฏฐิ] ๔
...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!(๒๔)เมื่ อรู ป นั่ นแลมี อ ยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรู ป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "(ตองเปน) อัตตามีทุกขโดยสวนเดียว (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว" ดังนี้. ...
๑
สูตรที่ ๒๑ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๙/๔๕๒, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. สูตรที่ ๒๒ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๙/๔๕๓, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๓ สูตรที่ ๒๓ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๙/๔๕๔, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๔ สูตรที่ ๒๔ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๙/๔๕๔, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๒
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๑๕
[ทิฏฐิที่ ๒๕ : สุขทุกขีอัตตาทิฏฐิ]๑
...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!(๒๕)เมื่ อรู ป นั่ นแลมี อ ยู เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรู ป เพราะปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "(ตองเปน) อัตตามีทั้งสุขและทุกข (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว" ดังนี้. ... [ทิฏฐิที่ ๒๖ : เอกันตทุกขีอัตตาทิฏฐิ]๒
...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ ออะไรมี อยู หนอ เพราะเข าไปยึ ดถื อซึ่ งรูป เพราะ ปกใจเขาไปสูรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "(ต องเปน ) อัต ตาไม มีทั้ งทุ กขและสุ ข (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหา โรคมิได หลังจากตายแลว" ดังนี้. ... ภิ กษุ ทั้ งหลายเท านั้ น กราบทู ลวิงวอนว า "ข าแต พระองค ผู เจริญ! ธรรมทั้ งหลาย ของพวก ขาพระองค มี พระผู มี พระภาคเป นมู ล มี พระผู มี พระภาคเป นผู นํ า มี พระผู มี พระภาคเป นที่ พึ่ ง. ขาแต พระ องคผู เจริญ! เป นการชอบแล วหนอ ขอให อรรถแห งภาษิ ตนั้ นจงแจมแจ งกกะพระผู มีพระภาคเองเถิด ภิ กษุ ทั้ งหลายได ฟ งจากพระผู มี พระภาคแล ว จั กทรงจํ าไว" ดั งนี้ . พระผู มี พระภาคเจ า จึ งตรัสเตื อนให ภิ กษุ ทั้งหลายเหลานั้นตั้งใจฟงดวยดีแลว ไดตรัสขอความดังตอไปนี้ :-
www.buddhadasa.info ...ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!(๒๖)เมื่ อรู ป นั่ นแลมี อ ยู เพราะเข าไปยึ ดถื อ ซึ่ งรู ป เพราะป กใจเข าไปสู รูป ทิ ฏฐิ จึงเกิ ดขึ้นอย างนี้ วา "(ต องเป น) อั ตตาไม มี ทั้ งทุ กข และสุ ข (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหา โรคมิได หลังจากตายแลว" ดังนี้. ...
๑
สูตรที่ ๒๕ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๙/๔๕๖, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน. ๒ สูตรที่ ๒๖ ทุติยเปยยาล ทิฎฐิสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๒๖๙/๔๕๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๗๑๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเธอทั้ งหลาย จะสํ าคั ญความข อนั้ นว าอย างไร? รูป เที่ ย งหรือ ไม เที่ ย ง? ("ไม เที่ ย ง พระเจ าข า!") ก็ สิ่ งใดไม เที่ ย ง สิ่ งนั้ น เป น ทุ ก ข ห รื อ เป นสุ ขเล า? ("เป นทุ กข พระเจ าข า!") แม สิ่ งใดไม เที่ ยง เป นทุ กข มี ความแปรปรวน เป น ธรรมดา แต ถ าไม เข าไปยึ ด ถื อ ซึ่ งสิ่ งนั้ นแล ว ทิ ฏ ฐิ อ ย างนี้ จะเกิ ด ขึ้ น ได ไหมว า "(ต องเป น) อั ตตาไม มี ทั้ งทุ กข และสุ ข (เท านั้ น จึ งจะ) เป นอั ตตาหาโรคมิ ได หลั งจาก ตายแลว" ดังนี้? ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!") ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยอาการอย างนี้ แล : เมื่ อทุ กข มี อยู เพราะเข าไป ยึดถือซึ่งทุกข เพราะปกใจเขาไปสูทุกข ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอยางนี้วา "(ตองเปน) อัตตาไมมี ทั้งทุกขและสุข (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว" ดังนี้. (ในกรณี แห งเวทนา สั ญญา สั งขาร วิ ญญาณ ก็ มี การตรัส การตรัสถาม และการทู ลตอบอย าง เดี ยวกั นกั บในกรณี แห งรูป นี้ ซึ่ งเริ่มตั้ งแต คํ าว า "ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อรู ปนั่ นแลมี อยู " ...ไปจนจบ ข อ ความด ว ยคํ าว า ... "อั ต ตาไม มี ทั้ งทุ ก ข แ ละสุ ข หาโรคมิ ได ห ลั งจากตายแล ว ดั งนี้ ." ซึ่ งตรัส เป น คํ า สุดทายในกรณี แหงรูป เปนขอความที่เหมือนกันทุกตัวอักษร จนตลอดขอความ ตางกันแตเพียงชื่อแหงขันธ แตละขันธ เทานั้น).
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ทิ ฏ ฐิ ทั้ ง ๒๖ ทิ ฏ ฐิ นี้ ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า เพราะไม รู ไ ม เห็ น ปฏิ จ จสมุ ป บาท จึ ง เกิ ด ทิ ฏ ฐิ ทั้ ง หลายเหล า นี้ ขึ้ น โดยเห็ น อุ ป าทานขั น ธ ทั้ ง ๕ พร อ มกั บ ความทุ ก ข อั น เนื่ อ งด ว ยขั น ธ ๕ นั้ น ไปในแง ใดแง ห นึ่ ง ตามลั ก ษณะแห ง ทิ ฏฐิ นั้ น ๆ ทั้ ง ๒๖ ทิ ฏฐิ ครั้ นเกิ ดทิ ฏฐิ เหล านี้ แล ว ก็ กลั บป ดบั งการรู การเห็ นปฏิ จจสมุ ปบาท ยิ ่ง ขึ ้น ไปอีก ; ดัง นั ้น จึง ถือ วา ทิฏ ฐิทั ้ง หลายเปน เครื ่อ งปด กั ้น การเห็น ปฏิจ จสมุป บาท ทุ ก ทิ ฏ ฐิ ที เดี ย ว นั บ ว า เป น เรื่ อ งที่ เกี่ ย วข อ งกั น อยู กั บ เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท ในส ว นลึ ก ซึ่ ง บางทีก็มิไดกลาวไวชัด โดยตัวอักษรตรง ๆ.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๑๗
อันตคาหิกทิฏฐิ สิบ ๒,๒๐๐ นัย ลวนแตเปนไปในขันธหา ลวนแตปดบังการเห็นปฏิจจสมุปบาท๑ ปริ พพาชกชื่ อวั จฉโคตต ได เข าไปเฝ าพระผู มี พระภาคเจ า แล วทู ลถามว า "ข าแต พระโคดม
ผู เจริญ! อะไรหนอเป นเหตุ อะไรหนอเป นป จจั ย ทิ ฏฐิ ทั้ งหลายมี ประการต าง ๆ เป นอเนก เหลา นี ้ จึง เกิด ขึ ้น (๑) วา โลกเที ่ย ง ดัง นี ้บ า ง; (๒) วา โลกไมเ ที ่ย ง ดัง นี ้บ า ง; (๓) วา โลกมีที ่ส ุด ดัง นี ้บ า ง; (๔) วา โลกไมม ีที ่ส ุด ดัง นี ้บ า ง; (๕) วา ชีว ะก็ อั น นั้ น สรี ร ะก็ อั น นั้ น ดั ง นี้ บ า ง; (๖) ว า ชี ว ะก็ อั น อื่ น สรี ร ะก็ อั น อื่ น ดั ง นี้ บ า ง; (๗) ว า ตถาคตภายหลั งแต ตายแล ว ย อมมี อี ก ดั งนี้ บ าง; (๘) ว าตถาคตภายหลั ง แต ตายแล ว ย อมไม มี อี ก ดั งนี้ บ าง; (๙) ว าตถาคตภายหลั งแต ตายแล ว ย อมมี อี กก็ มี ย อ มไม มี อี ก ก็ มี ดั งนี้ บ าง; (๑๐) ว าตถาคตภายหลั งแต ต ายแล ว ย อ มมี อี ก ก็ ห ามิ ได ยอมไมมีอีกก็หามิได ดังนี้บาง?" (๑) ดูกอนทานผูวัจฉโคตต! เพราะความไมรู (อฺญาณ) ...ฯลฯ... (๒) ดูกอนทานผูวัจฉโคตต! เพราะความไมเห็น (อทสฺสน) ...ฯลฯ... (๓) ดูกอนทานผูวัจฉโคตต! เพราะความไมถึงพรอมเฉพาะ (อนภิสมย) ...ฯลฯ... (๔) ดูกอนทานผูวัจฉโคตต! เพราะความไมรูโดยลําดับ (อนนุโพธ) ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info
๑
วัจฉโคตตสังยุตต ขนฺธ.สํ. ๑๗/๓๑๙/๕๕๔, ตรัสแกปริพพาชกชื่อวัจฉโคตต ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๗๑๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
(๕) ดูกอนทานผูวัจฉโคตต! เพราะความไมแทงตลอด (อปฺปฏิเวธ) ...ฯลฯ... (๖) ดูกอนทานผูวัจฉโคตต! เพราะความไมกําหนดทั่วถึง (อสลฺลกฺขณ) ...ฯลฯ... (๗) ดูกอนทานผูวัจฉโคตต! เพราะความไมเขาไปกําหนด (อนุปลกฺขณ) ...ฯลฯ... (๘) ดูกอนทานผูวัจฉโคตต! เพราะความไมเพงพินิจอยางสม่ําเสมอ (อสมเปกฺขณ) ...ฯลฯ... (๙) ดูกอนทานผูวัจฉโคตต! เพราะความไมพิจารณาโดยเจาะจง (อปฺปจฺจเวกฺขณ) ...ฯลฯ... (๑๐) ดูกอนทานผูวัจฉโคตต! เพราะความไมเขาไปกําหนดโดยเฉพาะ (อปฺปจฺจุปลกฺขณ) ...ฯลฯ... (๑๑) ดูกอนทานผูวัจฉโคตต! เพราะการไมทําใหประจักษ (อปฺปจฺจกฺขกมฺม) (๑) ใน รูป (๒) ใน เห ตุใ หเ กิด ขึ ้น แหง รูป (๓) ใน ค วาม ดับ ไมเ ห ลือ แหง รูป (๔) ในขอปฏิ บั ติ เครื่อทํ าสัตวให ลุถึ งความดั บไม เหลื อแห งรูป, ทิ ฏฐิทั้ งหลายมี ประการ ต า ง ๆ เป น อเนกเหล า นี้ จึ ง เกิ ด ขึ้ น ว า "โลกเที่ ย ง" ดั ง นี้ บ า ง; ว า "โลกไม เที่ ย ง" ดัง นี ้บ า ง; วา "โลกมีที ่ส ุด " ดัง นี ้บ า ง; วา "โลกไมม ีที ่ส ุด " ดัง นี ้บ า ง; วา "ชีว ะ ก็อ ัน นั ้น สรีร ะก็อ ัน นั ้น " ดัง นี ้บ า ง; วา "ชีว ะก็อ ัน อื ่น สรีร ะก็อ ัน อื ่น " ดัง นี ้บ า ง; ว า "ตถาคตภายหลั ง แต ต ายแล ว ย อ มมี อี ก " ดั ง นี้ บ า ง; ว า "ตถาคตภายหลั ง แต ตายแล ว ย อ มไม มี อี ก " ดั งนี้ บ าง; ว า "ตถาคตภายหลั งแต ต ายแล ว ย อ มมี อี ก ก็ มี ย อ มไม มี อี ก ก็ มี " ดั ง นี้ บ า ง; ว า "ตถาคตภายหลั ง แต ต ายแล ว ย อ มมี อี ก ก็ ห ามิ ไ ด ยอมไมมีอีกก็หามิได" ดังนี้บาง.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๑๙
ดู ก อนท านผู วั จฉโคตต ! อั นนี้ แลเป นเหตุ อั นนี้ เป นป จจั ย ทิ ฏฐิ ทั้ งหลาย มี ป ระการต าง ๆ เป น อเนกเหล านี้ จึ งเกิ ด ขึ้ น ว า "โลกเที่ ยง" ดั งนี้ บ าง; ว า "โลกไม เที ่ย ง" ดัง นี ้บ า ง; วา "โลกมีที ่ส ุด " ดัง นี ้บ า ง; วา "โลกไมม ีที ่ส ุด " ดัง นี ้บ า ง; ...ฯลฯ...ฯลฯ... ว า "ตถาคตภายหลั งแต ต ายแล ว ย อ มมี อี ก ก็ ห ามิ ได ย อ มไม มี อี ก ก็หามิได" ดังนี้บาง, ดังนี้ แล. ขางบนนี้ เป นการถามและการตอบแกป ญหาที่ วา อะไรเป นเหตุ เป นป จจั ย แห งการเกิ ดขึ้น ของอั นตคาหิ กทิ ฏฐิ ๑๐ ประการ ในกรณี อั นเกี่ยวกั บรูปขั นธ ซึ่งมี ลักษณะ ๔ ประการ ตามนั ยะแห งอริยสั จสี่ . แม ในกรณี แห งเวทนาขันธ สั ญญาขั นธ สังขารขันธ วิญญาณขันธ ก็ มี การถามและการตอบโดยนั ยะอย าง เดี ย วกั น ทุ ก ตั ว อั ก ษรกั บ ในกรณี แ ห ง รู ป ขั น ธ ต า งกั น แต เพี ย งชื่ อ ของขั น ธ เท า นั้ น . ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกต ใหเห็นวา วิธีการกําหนดรูนั้น มีถึง ๑๑ อยาง กําหนดรูลงไปที่ขันธถึง ๕ ขันธ ในขันธหนึ่ง ๆ ยังตองกําหนด รู ถึ ง ๔ นั ย จึ งกลายเป นการกํ าหนดรูถึ ง ๒๒๐ นั ย และนั ยหนึ่ งๆ สามารถให เกิ ดทิ ฏฐิ ได ถึ ง ๑๐ ทิ ฏฐิ ; ดั งนั้ น ทางเกิดหรือไมเกิดแหงทิฏฐิ จึงมีไดถึง ๒,๒๐๐ อยาง ดังนี้ ลวนแตเปนเครื่องปดบังอริยสัจสี่ ซึ่งไดแกปฏิจจสมุปบาท ทั้งฝายสมุทยวารและฝายนิโรธวาร นั่นเอง. -ผูรวบรวม.
ผัสสะ คือปจจัยแหงทิฏฐิ ๖๒๑
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกสั สสตวาท ยอมบัญญั ติอัตตาและโลกวาเที่ยง ดวยวัตถุ ๔ ประการ; เหตุการณ นี้มีได เพราะผัสสะ เปนปจจัย, ...สมณพราหมณทั้งหลายเหลานั้นหนอ เวนจากผัสสะเสียแลว จะรูสึก
๑
พรหมชาลสู ตร สี .ที . ๙/๕๓-๕๗/๖๔-๘๙, ข อความในพระบาลี ตอนนี้ แยกกล าวเป นสองกลุ ม ต างกั น แต คํ าสํ าคั ญ ท ายกลุ ม (คํ าสํ าคั ญ ท ายกลุ มที่ หนึ่ ง คื อคํ าวา "เหตุ การณ นี้ มี ได เพราะผั สสะเป นป จจั ย"; ท ายกลุ มที่ สอง ตั้ งแต คํ าว า "สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ นหนอ" เป น ต นไป จนจบข อแต ละข อ.) ในที่นี้ นํามารวมเปนกลุมเดี ยว โดยนําขอความสําคัญทายกลุมที่ สอง มาตอท ายขอความสํ าคัญทายกลุม ที่ หนึ่ ง แต ได คั่ นละไว ให เห็ นด วย...ขอให สั งเกตด วย. ข อความนี้ เป นข อความที่ ตรัสแก ภิ กษุ ทั้ งหลาย ที่สวนอัมพลัฏฐิกา.
www.buddhadasa.info
๗๒๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ต อเวทนาตามทิ ฏฐิเฉพาะอย างๆ ของตนๆ ขึ้นมา (ปฏิ สํ เวทิ สฺ สนฺ ติ ) ได ดั งนี้ นั้ น : ข อนี้ มิใชฐานะที่จะมีไดเลย. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลาใด เปนพวกเอกัจจสัสสติกเอกัจจอสั สสติ กวาท ยอมบั ญญั ติอัตตาและโลกวา เที่ ยงบางอยาง ไม เที่ ยงบางอยาง ด วยวั ต ถุ ๔ ประการ เหตุ การณ นี้ มี ได เพราะผั ส สะเป น ป จ จั ย , ...สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ นหนอ เว นจากผั สสะเสี ยแล ว จะรู สึ กต อเวทนาตามทิ ฏฐิ เฉพาะอย าง ๆ ของตน ๆ ขึ้นมาได ดังนี้นั้น : ขอนี้มิใชฐานะที่จะมีไดเลย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกอั นตานั นติ กวาท ย อมบั ญ ญั ติ ความมี ที่ สุ ดหรื อความไม มี ที่ สุ ดแห งโลก ด วยวั ตถุ ๔ ประการ; เหตุ การณ นี้ มี ได เพราะผั ส สะเป น ป จ จั ย , ...สมณพราหมณ ทั้ ง หลายเหล า นั้ น หนอ เว นจากผั สสะเสี ยแล ว จะรูสึ กต อเวทนาทิ ฏฐิ เฉพาะอย างๆ ของตนๆ ขึ้ นมาได ดั งนี้ นั้น : ขอนี้มิใชฐานะที่จะมีไดเลย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกอมราวิ กเขปกวาท เมื่อถูกถามปญหาในที่นั้น ๆ ยอมถึงความสายแหงวาจาอันดิ้นไดไมตายตัว ดวยวัตถุ ๔ ประการ; เหตุ ก ารณ นี้ มี ได เพราะผั ส สะเป น ป จ จั ย , ...สมณพราหมณ ทั้ งหลาย เหล านั้ นหนอ เว นจากผั สสะเสี ยแล ว จะรู สึ กต อเวทนาตามทิ ฏฐิ เฉพาะอย าง ๆ ของตน ๆ ขึ้นมาได ดังนี้นั้น : ขอนี้มิใชฐานะที่จะมีไดเลย.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกอธิ จจสมุ ปป นนิ กวาท ยอมบั ญญั ติอัตตาและโลกวา เกิดเองลอย ๆ ดวยวัตถุ ๒ ประการ; เหตุการณ นี้มีได เพราะผัสสะเปนปจจัย,...สมณพราหมณทั้งหลายเหลานั้นหนอ เวนจากผัสสะ
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๒๑
เสี ยแล ว จะรู สึ กต อเวท น าต าม ทิ ฏ ฐิ เฉพ าะอย างๆ ของต น ๆ ขึ้ น ม าได ดั งนี้ นั้ น : ข อ นี้ มิใชฐานะที่จะมีไดเลย. (๑๘ พวกนี้ เปนพวกปุพพันตานุทิฏฐิ) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณ พราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพ วกอุ ท ธมาฆ ตนิ กสั ญ ญี วาท ย อมบั ญ ญั ติ อั ตตามี สั ญ ญ าภายหลั งแต ตายแล ว ด วยวั ตถุ ๑๖ ประการ; เห ตุ ก า ร นี้ มี ได เพ ร า ะ ผั ส ส ะ เป น ป จ จั ย , ...ส ม ณ พ ร า ห ม ณ ทั้ ง ห ล า ย เห ล า นั้ น ห น อ เว นจากผั สสะเสี ยแล ว จะรู สึ กต อเวทนาตามทิ ฏฐิ เฉพาะอย าง ๆ ของตน ๆ ขึ้ นมาได ดั งนี้ นั้น : ขอนี้มิใชฐานะที่จะมีไดเลย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณ พราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพ วกอุ ท ธมาฆ ตนิ กอสั ญ ญี วาท ย อมบั ญ ญั ติ อั ตตาไม มี สั ญ ญ าภายหลั งแต ตายแล ว ด วยวั ตถุ ๘ ประการ; เห ตุ ก ารณ นี้ มี ได เพ ร า ะ ผั ส ส ะ เป น ป จ จั ย , ...ส ม ณ พ ราห ม ณ ทั้ งห ล า ย เห ล า นั้ น ห น อ เว นจากผั สสะเสี ยแล ว จะรู สึ กต อเวทนาตามทิ ฏฐิ เฉพาะอย าง ๆ ของตน ๆ ขึ้ นมาได ดั งนี้ นั้น: ขอนี้มิใชฐานะที่จะมีไดเลย. ดู ก อนภิ กษู ทั้ งหลาย! สมณ พราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพ วกอุ ท ธมาฆ ตนิ กเนวสั ญญี นาสั ญญี วาท ย อมบั ญญั ติ อั ตตามี สั ญญาก็ ไม ใช ไม มี สั ญญาก็ ไม ใช ภายหลั งจาก ต า ย แ ล ว ด ว ย ว ัต ถ ุ ๘ ป ร ะ ก า ร ; เ ห ต ุก า ร นี ้ ม ีไ ด เ พ ร า ะ ผ ัส ส ะ เ ป น ป จ จ ัย ,... สมณ พ ราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ นหนอ เว น จากผั สสะเสี ยแล วจะรู สึ กต อเวทนาตามทิ ฏ ฐิ เฉพาะอยาง ๆ ของตน ๆ ขึ้นมาได ดังนี้นั้น : ขอนี้มิใชฐานะที่จะมีไดเลย.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๗๒๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกอุ จเฉทวาท ยอมบั ญญั ติ ความขาดสู ญ ความวินาศ ความไม มี แห งสั ตวที่ มี อยู ด วยวัตถุ ๗ ประการ; เหตุ ก ารณ นี้ มี ได เพราะผั ส สะเป น ป จ จั ย , ...สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ น หนอ เวนจากผั สสะเสี ยแล ว จะรูสึ กต อเวทนาตามทิ ฏฐิเฉพาะอย าง ๆ ของตน ๆ ขึ้นมาได ดั งนี้ นั้น: ขอนี้มิใชฐานะที่จะมีไดเลย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกทิ ฏฐธั มมนิพพานวาท ยอมบัญญั ตินิพพานอยางยิ่งในทิฏฐธรรมแหงสัตวผูมีอยูดวยวัตถุ ๕ ประการ; เหตุ ก ารณ นี้ มี ได เพราะผั ส สะเป น ป จ จั ย , ...สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ น หนอ เว น จากผั ส สะเสี ย แล ว จะรู สึ ก ต อ เวทนาตามทิ ฏ ฐิ เฉพาะอย า ง ๆ ของตน ๆ ขึ้ น มาได ดังนี้นั้น: ขอนี้มิใชฐานะที่จะมีไดเลย. (๔๔ พวกนี้ เปนพวกปรันตานุทิฏฐิ)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกปุ พพั นตกัปปกวาทก็ดี เปนพวกอปรันตกัปปกวาทก็ดี เปนพวกปุพพันตอปรันตกัปปกวาทก็ดี ล ว นแต เป น ผู มี ปุ พ พั น ตาปรั น ตานุ ทิ ฏ ฐิ ปรารภปุ พ พั น ตาปรัน ตขั น ธ แล ว กล า ว บั ญญั ติ ซึ่ งทิ ฏฐิ อั นเป นอธิ มุ ตติ บท (ทางแห งความหลุ ดพ นอย างยิ่ งของสั ตวตามทิ ฏฐิ แห ง ตน ๆ) มี อย างต างๆ เป นอเนก ด วยวั ตถุ (ที่ ตั้ งแห งทิ ฏฐิ รวมหมดด วยกั น) ๖๒ ประการ; เหตุ การณ นี้ มี ได เพราะผั ส สะเป น ป จ จั ย , ...สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ น หนอ เว นจากผั สสะเสี ยแล ว จะรู สึ กต อเวทนาตามทิ ฏฐิ เฉพาะอย าง ๆ ของตน ๆ ขึ้ นมาได ดังนี้นั้น: ขอนี้มิใชฐานะที่จะมีไดเลย.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๒๓
หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ งสั งเกตให เห็ น เป น พิ เศษ เฉพาะในกรณี อั นสํ าคั ญ ยิ่ งนี้ ว า ผั สสะอย างเดี ยว เป นตั วสํ าคั ญ อั นร ายกาจ นํ าให เกิ ดสิ่ งอั นไม พึ งปรารถนา ทุ กชนิ ดทุ กประการ รวมทั้ งทิ ฏ ฐิ ๖๒ ประการนี้ ด วย ขออย าได ศึ กษาอย างเล น ๆ กั บ คํ าว า ผัส สะ. หรือ เมื ่อ ไดย ิน คํ า วา "ผัส สะคือ ปจ จัย แหง ทิฏ ฐิ ๖๒" ก็อ ยา ไดสํ า คัญ ไป วา เป นคํ าพู ดขบขั นหรือเพ อเจ อแล วก็ ไม สนใจที่ จะเข าใจ นั่ นแหละคื อต นตอของความไม เข าใจ โดยแทจริงในเรื่องปฏิจจสมุปบาท หรือ ทิฏฐิ ๖๒ ก็ตาม. คํ าว า "ผั สสะ" ในที่ นี้ หมายถึ ง "อวิ ชชาสั มผั ส" คื อผั สสะที่ มี อวิ ชชาเข าผสมอยู ด วย มิ ใ ช ผั ส สะที่ เป น สั ก ว า การกระทบระหว า งอายตนะ; คื อ ในขั้ น สุ ด ท า ย ซึ่ ง เล็ ง ถึ งมโนสั ม ผั ส ที่ มี เวทนาอย า งใดยอย า งหนึ่ ง เป น ตั ว ธรรมารมณ ; ดั ง นั้ น จึ ง เป น ช อ งทางให อ วิ ช ชาเข า ผสมอยู ในสั ม ผั ส นั้ น ได ตั้ งแต ต น จนปลาย; ด ว ยเหตุ นี้ จึ งมี น ามว า "อวิ ช ชาสั ม ผั ส " เป น ที่ เกิ ด แห ง ทิ ฏ ฐิ ทั้ ง หลาย ทุ ก ชนิ ด โดยผ า นเวทนาทุ ก ๆ ขั้ น จนถึ ง ขั้ น ที่ จิ ต สั ม ผั ส เวทนาอั น ประกอบอยูดวยทิฏฐินั้น ๆ ทุกคราวไป จนเปนทิฏฐิที่แนนแฟนตายตัว.
ทิฏฐิ ๖๒ เปนเพียงความรูสึกผิด ๆ ของผูไมรูปฏิจจสมุปบาท๑ ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกสั สสตวาท ยอมบัญญั ติอัตตาและโลกวาเที่ยง ดวยวัตถุ ๔ ประการ; นั่นเปนเพียงความรูสึกของ สมณพราหมณ ทั้ งหลาย ผู ไม มี ญาณเครื่องรูเครื่องเห็ น เหลานั้ น ซึ่งเป นเพี ยงความหวาด เสียวสั่นคลอนแหงจิตใจของบุคคลผูมีตัณหาเทานั้น.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลาใด เป นพวกเอกั จจสั สสติกเอกัจจอสัสสติกวาท ยอมบัญญัติอัตตาและโลกวา เที่ยงบางอยาง ไมเที่ยงบางอยาง
๑
พรหมชาลสูตร สี.ที. ๙/๕๐/๕๑. ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่สวนอัมพลัฏฐิกา.
www.buddhadasa.info
๗๒๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ดวยวัตถุ ๔ ประการ; นั่ นเป นเพี ยงความรูสึ ก ของสมณพราหมณ ทั้ งหลาย ผูไม มี ญาณเครื่องรูเครื่องเห็นเหลานั้น ซึ่งเปนเพียงความหวาดเสียว สั่นคลอน แหงจิตใจ ของบุคคลผูมีตัณหาเทานั้น. ดูก อนภิ กษู ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกอั นตานั นติ กวาท ย อมบั ญ ญั ติ ความมี ที่ สุ ดหรือความไม มี ที่ สุ ดแห งโลก ด วยวั ตถุ ๔ ประการ; นั่นเปนเพียงความรูสึกของสมณพราหมณทั้งหลาย ผูไมมีญาณเครื่องรูเครื่องเห็นเหลานั้น ซึ่งเปนเพียงความหวาดเสียว สั่นคลอน แหงจิตใจ ของบุคคลผูมีตัณหาเทานั้น. ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหลาใด เป นพวกอมราวิกเขปกวาท เมื่อถูกถามปญหาในที่นั้น ๆ ยอมถึงความสายแหงวาจาอันดิ้นไดไมตายตัว ดวยวัตถุ ๔ ประการ; นั่นเป นเพี ยงความรูสึก ของสมณพราหมณ ทั้งหลาย ผูไม มี ญาณเครื่องรูเครื่องเห็น เหลานั้น ซึ่งเปนเพียง ความหวาดเสียว สั่นคลอน แหงจิตใจ ของบุคคลผูมีตัณหาเทานั้น.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหลาใด เป นพวกอธิจจสมุ ปป น นิ กวาท ย อมบั ญ ญั ติ ซึ่ งอั ตตาและโลกว า เกิ ดเองลอยๆ ด วยวั ตถุ ๒ ประการ; นั่ น เป น เพี ย งความรู สึ ก ของพราหมณ ทั้ ง หลาย ผู ไ ม มี ญ าณเครื่ อ งรู เครื่ อ งเห็ น เหลานั้น ซึ่งเปนเพียง ความหวาดเสียว สั่นคลอน แหงจิตใจ ของบุคคลผูมีตัณหา เทานั้น. (๑๘ พวกนี้ เปนพวกปุพพันตานุทิฏฐิ)
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๒๕
ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลาใด เป นพวกอุ ทธมาฆตนิกสัญญี วาท ยอมบัญญั ติอัตตามีสัญญาภายหลังแตตายแลว ดวยวัตถุ ๑๖ ประการ; นั่น เปนเพียงความรูสึกของสมณพราหมณ ทั้งหลาย ผูไมมีญาณเครื่องรูเครื่องเห็น เหลา นั้น ซึ่งเปนเพียง ความหวาดเสียว สั่นคลอน แหงจิตใจของบุคคลผูมีตัณหาเทานั้น. ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลาใด เป นพวกอุ ทธมาฆตนิกอสัญญีวาท ยอมบัญญัติอัตตาไมมีสัญญาภายหลังแตตายแลว ดวยวัตถุ ๘ ประการ; นั่น เป นเพี ยงความรูสึ กของสมณพราหมณ ทั้งหลาย ผูไมมีญ าณเครื่องรูเครื่องเห็ น เหลานั้น ซึ่งเปนเพียงความหวาดเสียว สั่นคลอน แหงจิตใจของบุคคลผูมีตัณหาเทานั้น. ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลาใด เป นพวกอุ ทธมาฆตนิกเนวสัญญีนาสัญญีวาท ยอมบัญญัติอัตตามีสัญญาก็ไมใช ไมมีสัญญาก็ไมใช ภายหลัง แตตายแลว ดวยวัตถุ ๘ ประการ; นั่น เป นเพียงความรูสึกของสมณพราหมณ ทั้งหลาย ผูไมมีญาณเครื่องรูเครื่องเห็น เหลานั้น ซึ่งเปนเพียงความหวาดเสียว สั่นคลอน แหง จิตใจของบุคคลผูมีตัณหาเทานั้น.
www.buddhadasa.info ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลาใด เปนพวกอุจเฉทวาท ยอมบัญญั ติความขาดสูญ ความวินาศ ความไมมี แหงสัตวที่มีอยู ดวยวัตถุ ๗ ประการ; นั่ น เป น เพี ยงความรู สึ ก ของสมณพราหมณ ทั้ งหลาย ผู ไม มี ญ าณเครื่ อ งรูเครื่ อ งเห็ น เหลานั้น ซึ่งเปนเพียงความหวาดเสียว สั่นคลอน แหงจิตใจของบุคคลผูมีตัณหา เทานั้น.
www.buddhadasa.info
๗๒๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกทิ ฏฐธั มมนิพพานวาท ยอมบัญญัตินิพพานอยางยิ่งในทิฏฐธรรม แกสัตวผูมีอยู ดวยวัตถุ ๕ ประการ; นั่น เปนเพียงความรูสึกของสมณพราหมณทั้งหลาย ผูไมีมีญาณเครื่องรูเครื่องเห็นเหลานั้น ซึ่งเปนเพียง ความหวาดเสียว สั่นคลอน แหงจิตใจของบุคคลผูมีตัณหาเทานั้น. (๔๔ พวกนี้ เปนพวกอปรันตานุทิฏฐิ)
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลาใด เปนพวกปุพพันตกัปปกวาท ก็ดี เปนพวกอปรันตกัปปกวาทก็ดี เปนพวกปุพพันตอปรันตกัปปกวาท ก็ดี ล วนแต เป น ผู มี ปุ พ พั น ตาปรั น ตานุ ทิ ฏ ฐิ ปรารภปุ พ พั น ตาปรัน ตขั น ธ แล วกล า ว บัญญั ติซึ่งทิฏฐิอันเปนอธิมุตติบท (ทางแหงความหลุดพ นอยางยิ่งของสัตวตามทิฏฐิแหง ตนๆ) มี อยางตางๆ เปนเอนก ดวยวัตถุ (ที่ตั้งแห งทิฏฐิรวมหมดดวยกัน) ๖๒ ประการ ; นั่น เปนเพียงความรูสึกของสมณพราหมณทั้งหลาย ผูไมมีญาณเครื่องรูเครื่องเห็นเหลานั้น ซึ่งเปนเพียง ความหวาดเสียว สั่นคลอน แหงจิตใจของบุคคลผูมีตัณหาเหลานั้น. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห น ว า ทิ ฏ ฐิ ๖๒ ประการ เป น เพี ย งความรู สึ ก (เวทยิ ตํ )ของจิ ต ที่ ไ ม รู ป ฏิ จ จสมุ ป บาท ในเมื่ อ กระทบอารมณ ก็ เกิ ด ความตื่ น เต น ฟุ ง ซ า น หวาดเสี ย ว สั่ น คลอน แห ง จิ ต , จากความรู สึ ก นั้ น ๆ ผู นั้ น สรุ ป ความเห็ น ของตนว า สิ่ งนั้ น ๆ เป น อย างไร ได ต ามความรู สึ ก ของตน แล ว ก็ ถื อ เอาเป น ทิ ฏ ฐิ ของตน ว านี้ เท านั้ น จริ ง อย างอื่ น เป น โมฆะ เป น เหตุ ให เกิ ด มี ทิ ฏ ฐิ ขึ้ น ต า ง ๆ นานา แปลก กั นไปตามลั กษณะของอารมณ ที่ มากระทบ หรือตามลั กษณะของจิ ตที่ มี ภาวะต าง ๆ กั น ของ ผู เ ปน เจา ของทิฏ ฐิ. ถา เปน ผู ม ีญ าณ เครื ่อ งรู เ ครื ่อ งเห็น โดยเฉพาะอยา งยิ ่ง ในปฏิจ จสมุปบาท แลว ทิฏฐิเหลานี้ ยอมไมเกิดขึ้นไดเลย.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๒๗
ผัสสะ (แหงปฏิจจสมุปบาท) คือที่มาของทิฏฐิ ๖๒๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! บรรดาสมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ น สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกสั สสตวาท ย อมบั ญญั ติ อั ตตาและโลกว าเที่ ยง ดั งนี้ (๔ จํ าพวก) ก็ดี, สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกที่ บั ญญั ติ ว า เที่ ยงแต บางอย าง ไม เที่ยงบางอยาง ดังนี้ (๔ จําพวก)ก็ดี, สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลาใด เปนพวกที่บัญญั ติวา มีที่สุดหรือไมมีที่สุด ดังนี้ (๔ จําพวก)ก็ดี, สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกที่ บั ญญั ติ ด วยคํ าดิ้ นได ไม ตายตั ว ดั งนี้ (๔ จําพวก)ก็ดี,
www.buddhadasa.info สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกที่ บั ญ ญั ติ เกิ ดเองลอยๆ ดั งนี้ (๒ จําพวก)ก็ดี, (รวมเป น)สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ที่ บั ญญั ติ ทิ ฏฐิ ปรารภปุ พพั นตขั นธ (๑๘ จําพวก ดังกลาวแลวขางบน)ก็ดี;
๑
พรหมชาลสูตร สี.ที.๙/๕๗/๙๐,ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่สวนอัมพลัฏฐิกา.
www.buddhadasa.info
๗๒๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลาใด เปนพวกที่บัญญั ติวา ตายแลวมีสัญญา ดังนี้ (๑๖ จําพวก)ก็ดี, สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหลาใด เป นพวกที่ บั ญญั ติวา ตายแลว ไม มีสั ญญา ดังนี้ (๘ จําพวก)ก็ดี, สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลาใด เปนพวกที่บัญญั ติวา ตายแลว มีสัญญาก็ไมใช ไมมีสัญญาก็ไมใช ดังนี้ (๘ จําพวก)ก็ดี, สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกที่ บั ญญั ติ ว า (ตายแล ว) ขาดสู ญ ดังนี้ (๗ จําพวก)ก็ดี, สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกที่ บั ญ ญั ติ นิ พพานในทิ ฏฐธรรม (๕ จําพวก)ก็ดี,
www.buddhadasa.info (รวมเป น)สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ที่ บั ญญั ติ ทิ ฏฐิปรารภอปรันตขั นธ (๔๔ จําพวก ดังที่กลาวแลวขางบน)ก็ดี;
(รวมทั้ งหมดเป น)สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ที่ บั ญญั ติ ทิ ฏฐิ ปรารภปุ พพันตขันธ ก็ดี ปรารภอปรันตขันธ ก็ดี ปรารภทั้งปุพพั นตะและอปรันตขันธ ก็ดี ลวนแต เปนผูมีปุพ พั น ตาปรัน ตานุ ทิฏ ฐิ ปรารภขันธทั้งที่เปนปุพ พันตะและอปรันตะ ดังนี้ แลว กลาวบัญญั ติทิฏฐิอันเปนอธิมุตติบท (ทางแหงความหลุดพนอยางยิ่งของสัตว ตาม ทิฏ ฐิแ หง ตนๆ) มีอ ยา งตา งๆกัน เปน อเนก ดว ยวัต ถุ (ที ่ตั ้ง แหง ทิฏ ฐิ)ทั ้ง หลาย ๖๒ ประการก็ดี;
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๒๙
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณพราหมณทั้งหลายเหลานั้นทั้งหมด รูสึกตอ เวทนาตามทิฏฐิเฉพาะอยางๆของตนๆ ขึ้นมา (ปฏิสํเวเทนฺติ)๑ เพราะการถูกตอง แลวๆดวยผัสสายตนะทั้งหลาย ๖ ประการ. เพราะเวทนาแหงสมณพราหมณ ทั้งหลาย เหล า นั้ น เป น ป จ จั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะมี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ งมี อุ ป าทาน; เพราะ มี อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ งมี ภ พ; เพราะมี ภ พเป น ป จ จั ย จึ งมี ช าติ ; เพราะมี ชาติ เป น ปจจัย, จึงมีชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ในกาลใดแล ภิ ก ษุ ย อ มรู ชั ด ตามที่ เป น จริงซึ่ ง ความเกิดขึ้น (สมุทัย) ซึ่งความตั้งอยูไมได (อัตถังคมะ) ซึ่งรสอรอย (อัสสาทะ) ซึ่งโทษอันต่ําทราม (อาทีนวะ) ซึ่งอุบายเปนเครื่องออกไปพน (นิสสรณะ) แหง ผัส สายตนะทั้งหลาย ๖ ประการ; ภิก ษุนี้ชื่อ วายอ มรูชัด (ซึ่งเรื่องอัน เกี่ยวกับ ผัสสายตนะ ๖ ประการนั้ น) ยิ่งกวาสมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ นทั้ งหมดที เดียวในกาลนั้น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใดเหล าหนึ่ ง ที่ บั ญญั ติ ทิ ฏฐิ ปรารภปุ พพั นตขั นธ บ าง ปรารภอปรันตขั นธ บ าง ปรารภทั้ งปุ พพั นตะและอปรันตขั น ธ บ าง ล วนแต เป น ผู มี ปุ พ พั นตาปรั นตานุ ทิ ฏ ฐิ ปรารภขั นธ ทั้ งที่ เป น ปุ พ พั นตะและ อปรันตะ ดังนี้แลว กลาวบัญญัติทิฏฐิอันเปนอธิมุตติบท (ทางแหงความหลุดพนอยางยิ่ง
www.buddhadasa.info ๑
คํ าว า "รูสึ ก"(ปฏิ สํ เวเทนฺ ติ )ในที่ นี้ เป น ความรูสึ กต อธั ม มารมณ ด วยมโน,เมื่ อคนมี ทิ ฏ ฐิ อยู อ ย างไร การ เสวยเวทนาของเขา ย อมทํ าให เกิ ดความรูสึ กชนิ ดที่ เป นไปตามอํ านาจแห งทิ ฏฐิ ที่ เขามี อยู ; ดั งนั้ นเมื่ อมี ทิ ฏฐิ ต างกั น แม อารมณ ที่ มากระทบจะเป นอย างเดี ยวกั น เขาย อมเกิ ดความรู สึ กต ออารมณ ต างกั นไปตาม ทิ ฏ ฐิ ข องเขา; ดั งนั้ น เวทนาที่ ม าจากอารมณ เดี ย วกั น จึ งมี ค วามหมายต างกั น ได เป น เหตุ ให มี ทิ ฏ ฐิ ชนิ ด ที่ ห ล อ เลี้ ย งทิ ฏ ฐิ เดิ ม ให แ น น แฟ น อยู เสมอไป : นี้ เรี ย กได ว า ผั ส สะหรื อ เวทนาสร า งทิ ฏ ฐิ แล ว ก็ หลอเลี้ยงทิฏฐินั้นไว.ถาปราศจากผัสสะหรือเวทนาเสียอยางเดียวเทานั้น ยอมไมมีทางที่จะเกิดทิฏฐิได.
www.buddhadasa.info
๗๓๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ของสั ต ว ตามทิ ฏ ฐิ แ ห ง ตนๆ)มี อ ย า งต า งๆกั น เป น อเนก; สมณพราหมณ ทั้ ง หลาย เหลานั้นทั้งหมด ถูกกระทําแลวใหตกอยูภายในแห งขาย ดวยวัตถุ (ที่ตั้งแหงทิฏฐิ) ทั้งหลาย ๖๒ ประการเหลานั้นเอง เมื่อโงหัวอยูทีเดียว ก็โงหั วอยูในข ายนั้ น เมื่อเที่ ยว โงหัวอยูในที่ทั่วๆไป ก็โงหัวอยูในขายนั้น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เปรี ยบเหมื อนชาวประมงและลู กมื อของชาวประมงผู เชี่ยวชาญ ไดลอมแหลงน้ํ านอยไวดวยอวนตาถี่ เมื่ อเป นอยางนี้ สัตวมีชีวิตทั้ งหลายเป น อั นมากเหล าหนึ่ งเหล าใด ในแหล งน้ํ านี้ สั ตว ทั้ งหลายเหล านั้ น แม ทั้ งหมด ชื่ อว าถู ก กระทํ าไว แล วในภายในแห งอวน เมื่ อผุ ดอยู ที่ เดี ยว ก็ ผุ ดอยู ในอวนนั้ น เมื่ อเที่ ยวผุ ดอยู ในที ่ทั ่ว ๆไป ก็ย ัง คงผุด อยู ใ นอวนนั ้น นั ่น เอง,นี ้ฉ ัน ใด; ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! ขอ นี้ ก็ฉันนั้น กลาวคือ สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลาใดเหลาหนึ่ง ที่บัญญั ติทิฏฐิปรารภปุพพันตขันธบ าง ปรารภอปรันตขันธบ าง ปรารภทั้ งปุ พพั นตะและอปรันตขันธบ าง ล วนแตเป น ผูมี ปุพพั นตาปรันตานุทิฏฐิ ปรารภขันธทั้งที่เปนปุพพั นตะและอปรันตะ ดังนี้แลว กลาว บัญญั ติทิ ฏฐิอันเปนอธิมุตติบท (ทางแห งความหลุดพ นอยางยิ่งของสัตว ตามทิฏฐิแห ง ตนๆ)มี อย างต างๆกั นเป นอเนก; สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ นทั้ งหมด ถู กกระทํ า แล วให ตกอยู ภายในแห งข าย ด วยวัตถุ(ที่ ตั้ งแห งทิ ฏฐิ)ทั้ งหลาย ๖๒ ประการเหล านั้ นเอง เมื่ อ โงหั ว อยู ที่ เดี ย ว ก็ โงหั ว อยู ในข า ยนั้ น เมื่ อ เที่ ย วโงหั ว อยู ในที่ ทั่ วๆไป ก็ โงหั ว อยู ในขายนั้นนั่นเอง.
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! กาย(หมู แห งนามรู ป)ของตถาคต มี ตั ณ หาเครื่ องนํ า ไปสู ภพถู กตั ดขาดแล วยั งตั้ งอยู .กายนั้ น ยั งตั้ งอยู ตลอดกาลเพี ยงใด เทวดาและมนุ ษย ทั้งหลาย จักเห็นซึ่งกายนั้นอยูเพี ยงนั้น แตจักไมเห็นซึ่งกายนั้น ในที่สุดแหงชีวิต เพราะ การทําลายแหงกาย.ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนเมื่อพวงแหงผลมะมวง ขาดแลว
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๓๑
ที่ ขั้ ว ผลมะม ว งใดๆที่ มี ขั้ ว เนื่ อ งกั น ย อ มหล น ลงมาด ว ยกั น ทั้ ง หมดทั้ ง สิ้ น ,นี้ ฉั น ใด; ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข อนี้ ก็ ฉั นนั้ น กล าวคื อ กายของตถาคตมี ตั ณหาเครื่องนํ าไปสู ภพ ถู กตั ดขาดแล ว ยั งตั้ งอยู . กายนั้ นยั งตั้ งอยู ตลอดกาลเพี ยงใด เทวดาและมนุ ษย ทั้ งหลาย จั ก เห็ น ซึ่ ง กายนั้ น อยู เพี ย งนั้ น แต จั ก ไม เห็ น ซึ่ ง กายนั้ น ในที่ สุ ด แห ง ชี วิ ต เพราะการ ทําลายแหงกาย. (เมื่ อพระผู มี พระภาคเจ าตรัสอย างนี้ แล ว พระอานนท ได กราบทู ลวา "น าอั ศจรรย พระ-
เจ า ข า !ไม เ คยมี พระเจ า ข า ! ข า แต พ ระองค ผู เ จริ ญ ! ธรรมปริ ย ายนี้ มี น ามว า กระไร พระเจาขา!" ดังนี้). ดู ก อนอานนท ! ถ าอย างนั้ น เธอจงจํ าธรรมปริ ยายนี้ ไว ว า ชื่ อ ว า "อั ต ถชาละ" บา ง "ธัม มชาละ" บา ง "พระชาละ" บา ง "ทิฏ ฐิช าละ" บา ง "อนุต ตรสังคามวิชัย" บาง ดังนี้เถิด. ห มายเห ตุ ผู ร วบ รวม: ผู ศึ ก ษ าพึ ง สั ง เกตให เ ห็ น ใจความของพระพุ ท ธ ภาษิ ต ที่ ต รั ส ไว ใ นตอนนี้ ว า ถ า รู จั ก สมุ ทั ย ,อั ต ถั ง คมะ,อั ส สาทะ,อาที น วะ,และนิ ส สรณ ะ ของผั สสายตนะทั้ ง ๖ ตามที่ เป นจริ งแล ว ก็ จะเป นความรู ที่ ยิ่ งกว าทิ ฏฐิ ๖๒ ประการเหล านั้ น. ข อ นี้ แ สดงว าทิ ฏ ฐิ ๖๒ ประการเหล านั้ น เกิ ด ขึ้ น จากการที่ ไม รู ลั กษณะ ๖ ประการ อั น เกี่ ย ว กั บ ผั ส สายตนะนั่ น เอง.โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง คื อ ไม รู ว า ผั ส สะคื อ อะไร อะไรเป น มู ล เหตุ ข อง ผั ส สะ อะไรเป น ความตั้ ง อยู ไม ได ข องผั ส สะ อะไรเป น รสอร อ ยที่ ได รั บ จากผั ส สะ อะไรเป น โทษที่ เลวทรามของผั สสะ อะไรเป น อุ บ ายที่ จะอยู เหนื ออํ านาจของผั สสะ รวมกั น เป นลั กษณะ ๖ ประการ.ความรู ต ามเป น จริ งทั้ ง ๖ ประการ ที่ เกี่ ยวกั บ ผั ส สะ ก็ คื อ ความรู ป ฏิ จ จสมุ ป บาท ทั้ ง สายนั่ น เอง : ผั ส สะ เกิ ด มาจากอวิ ช ชา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ เป น ต น มี ผ ลให เกิ ด เวทนา ตั ณ หา อั น เป น รสอร อ ยของผั ส สะ แล ว ให เกิ ด อุ ป าทาน ภพ ชาติ อั น เป น ทุ ก ข ซึ่ ง เป น โทษอั น เลวทรามของผั ส สะ และปฏิ จ จสมุ ป บาทส ว นนิ โ รธวารทั้ ง สาย เป น ความตั้ ง อยู ไ ม ได หรือ เปน อุบ ายเครื ่อ งออกไปพน จากอํ า นาจของผัส สะนั ่น เอง. ทิฏ ฐิ ๖๒ ประการ ไม มี ท างที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น เพราะมี ค วามรู เกี่ ย วกั บ ผั ส สะ ตลอดสายแห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท ดั ง นี้ . อยาลืมวา ผัสสะในที่นี่ ก็คือ "อวิชชาสัมผัส"ดังที่กลาวมาแลว ในเรื่องกอนๆนั่นเอง.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๗๓๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ทิฏฐิ ๖๒ เปนผลของการ ไมรูปฏิจจสมุปบาท๑ ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มี ธรรม๒ที่ ลึ ก ที่ สั ตวอื่นเห็ นได ยาก ยากที่ สั ตวอื่ นจะ รูตาม เป นธรรมเงียบสงบ ประณี ต ไม เป นวิสั ยที่ จะหยั่ งลงงายแห งความตรึก เป นของ ละเอียด รูไดเฉพาะบัณฑิตวิสัย;ซึ่งเราตถาคตไดทําใหแจงดวยปญญาอันยิ่งเอง แลวสอน ผูอื่นให รูแจง, เป นคุ ณวุฒิ เครื่องนําไปสรรเสริญของผู ที่เมื่ อจะพู ดสรรเสริญเราตถาคตให ถูกตองตรงตามที่เปนจริง. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมทั้งหลายเหลานั้น เปนอยางไรเลา?
[ หมวด ๑ ปุพพันตกัปปกวาท ๑๘ ประการ ] ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มี สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง เป นพวกปุ พพั นตกั ปป กวาท มีปุ พพันตานุทิฏฐิ [ทิฏฐิเปนไปตามซึ่งขันธอันเปนปุพพันตะ (ขันธที่มีแลวในกาลกอน)] ปรารภขันธอันมีแลวในกาลกอน ยอมกลาวบั ญญั ติซึ่งอธิมุตติบท(ทางแห งความหลุดพ น อย างยิ่ งของสั ตวตามทิ ฏฐิแห งตนๆ)มี อย างต างๆ เป นอเนก ด วยวัตถุ (ที่ ตั้ งแห งทิ ฏฐิ ) ทั้ งหลาย ๑๘ ประการ. สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ น อาศั ยอะไร ปรารภอะไร จึงบัญญัติอธิมุตติบทดวยวัตถุ ๑๘ ประการเหลานั้น?
www.buddhadasa.info ๑
พรหมชาลสูตร สี.ที. ๙/๑๖/๒๖,ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่สวนอัมพลัฏฐิกา. คํ า วา "ธรรม"(ธมฺม า)ในขอ ความอยา งนี ้ เปน คํ า นามนามธรรมดา หมายถึง "เรื ่อ ง"หรือ "สิ ่ง " ตามธรรมดาสามั ญ เท านั้ น มิ ได หมายความว า เป นพระธรรม หรือตั วคํ าสั่ งสอนใดๆ. ผู ที่ ไม เคยศึ กษา ภาษาบาลี อาจจะเข าใจผิ ดได จึ งต องอธิ บ ายไว ดั งนี้ .สํ าหรั บ ในกรณี นี้ คํ าว า "ธรรม" หมายถึ งเรื่ อง ทิฏฐิ ๖๒ เรื่อง ซึ่งพระองคทรงรูแจงและไมติดอยูในทิฏฐิเหลานั้น นั่นเอง.
๒
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๓๓
(ก. สัสสตทิฏฐิ ๔ ประการ) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มี สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง เป นพวกสั สสตวาท ย อม บั ญ ญั ติ อั ต ตาและโลกว าเที่ ย ง ด วยวั ต ถุ ทั้ งหลาย ๔ ประการ... (ต อไปนี้ จะตั ดข อความ อั นยื ดยาวแห งทิ ฏฐิ หนึ่ งๆให เหลื อเฉพาะแต ใจความ นํ ามาเรียงลํ าดั บติ ดต อกั นไปจนกว าจะครบทั้ ง ๖๒ ทิ ฏฐิ วัตถุ และจัดเปนหมวดยอยๆตามลําดับหมวดดังที่มีอยูในพระบาลีนับตั้งแตหมวด ก.ขางบนนี้ไป):-
(๑) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บางท านในโลกนี้ อาศั ยความเพี ยร เผากิ เลส...จึ งมี เจโตสมาธิ ในลั กษณะที่ เมื่ อจิ ตตั้ งมั่ นแล ว เขาย อมระลึ กถึ งขันธ อั นเคยอยู ใน ก าล กอ น ม ีป ระก ารตา งๆ เป น อ เน ก คือ ระลึก ได ๑ ชาติบ า ง,...ฯล ฯ... หลายแสนชาติ เป น อเนกบ าง;...แล วกล าว(ตามความเห็ น ของตน)อย างนี้ วา"อั ต ตา และโลกเป นของเที่ ยง คงตั ว ยื นอยู เหมื อนยอดภู เขา ตั้ งอยู อย างมั่ นคงดุ จการตั้ งอยู ของ เสาระเนี ยด; แม (ปรากฏการณ ของ)สั ตว ทั้ งหลาย จะแล นไป ท องเที่ ยวไป เคลื่ อนไป บั ง เกิ ด ไป,แต สิ่ ง ซึ่ ง เที่ ย งแท ส ม่ํ า เสมอ ยั ง คงอยู นั่ น เอง"ดั ง นี้ ; ...เพราะว า เราย อ ม ระลึ กได ซึ่ งขั นธ อั นเคยอยู ในกาลก อนมี ประการต างๆเป นอเนกได พรอมทั้ งอาการ พรอม ทั้ ง อุ เทศ ดั ง นี้ . ...ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! นี้ เป น ฐานะที่ ๑ อั น สมณพราหมณ พ วก หนึ่งซึ่งเปนพวกสัสสตวาท อาศัยแลว ปรารภแลว จึงบัญญัติอัตตาและโลกวาเที่ยง.
www.buddhadasa.info (๒)ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บ างท าน อาศั ย ความเพี ย รเผา กิ เลส...จึ งมี เจโตสมาธิ ในลั กษณะที่ เมื่ อจิ ตตั้ งมั่ นแล ว เขาย อมระลึ กถึ งขั นธ อั นเคยอยู ใน กาลก อ น มี ป ระการต า งๆเป น อเนก คื อ ระลึ ก ได ๑ สั ง วั ฏ ฏะ-วิ วั ฏ ฏกั ป ป บ า ง... กระทั่ ง สิ บ สั ง วั ฏ ฏะ-วิ วั ฏ ฏกั ป ป บ า ง...แล ว กล า ว(ตามความเห็ น ของตน)อย า งนี้ ว า "อั ตตาและโลก เป นของเที่ ยง คงตั ว ยื นอยู เหมื อนยอดภู เขา ตั้ งอยู อย างมั่ นคงดุ จการตั้ ง อยูของเสาระเนียด; แม(ปรากฏการณของ)สัตวทั้งหลาย จะแลนไป ทองเที่ยวไป
www.buddhadasa.info
๗๓๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
เคลื่ อ นไปบั งเกิ ด ไป, แต สิ่ งซึ่ งเที่ ย งแท ส ม่ํ า เสมอ ยั งคงอยู นั่ น เอง"ดั งนี้ ; ...เพราะว า เราย อ มระลึ ก ได ซึ่ งขั น ธ อั น เคยอยู ในกาลก อ น มี ประการต างๆเป น อเนกได พร อ มทั้ ง อาการ พร อ มทั้ ง อุ เทศ ดั ง นี้ . ...ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! นี้ เป น ฐานะที่ ๒ อั น สมณพราหมณ พวกหนึ่ งซึ่ งเป นพวกสั สสตวาท อาศั ยแล ว ปรารภแล ว จึ งบั ญญั ติ อั ตตาและ โลกวาเที่ยง. (๓)ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บ างท าน อาศั ย ความเพี ย รเผา กิ เลส...จึ งมี เจโตสมาธิ ในลั กษณะที่ เมื่ อจิ ตตั้ งมั่ นแล ว เขาย อมระลึ กถึ งขั นธ อั นเคยอยู ในกาลก อ น มี ป ระการต า งๆเป น อเนก คื อ ระลึ ก ได สิ บ สั ง วั ฏ ฏะ-วิ วั ฏ ฏกั ป ป บ า ง... กระทั่ ง ถึ ง สี่ สิ บ สั ง วั ฏ ฏะ-วิ วั ฏ ฏกั ป ป บ า ง...แล ว กล า ว(ตามความเห็ น ของตน)อย า ง นี้ ว า "อั ตตาและโลก เป นของเที่ ยง คงตั ว ยื นอยู เหมื อนยอดภู เขา ตั้ งอยู อย างมั่ นคง ดุ จการตั้ งอยู ของเสาระเนี ยด; แม (ปรากฏการณ ของ)สั ตว ทั้ งหลาย จะแล นไป ท องเที่ ยว ไป เคลื่ อ นไป บั ง เกิ ด ไป,แต สิ่ ง ซึ่ ง เที่ ย งแท ส ม่ํ า เสมอ ยั ง คงอยู นั่ น เอง" ดั ง นี้ ; ... เพราะว าเราย อมระลึ กได ซึ่ งขั นธ อั นเคยอยู ในกาลก อน มี ประการต างๆเป นอเนกได พรอม ทั้ งอาการ พร อ มทั้ งอุ เทศ ดั งนี้ . ...ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! นี้ เป นฐานะที่ ๓ อั น สมณพราหมณ พวกหนึ่ งซึ่ งเป นพวกสั สสตวาท อาศั ยแล ว ปรารภแล ว จึ งบั ญญั ติ อั ตตาและ โลกวาเที่ยง.
www.buddhadasa.info (๔)ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บ างท าน เป น นั ก ตรึ ก นั ก ตรอง เขายอมกลาวตามที่ความตรึกพาไป ความตรองแลนไป ตามปฏิภาณของตนเอง ว า "อั ตตาและโลก เป นของเที่ ยง คงตั ว ยื นอยู เหมื อนยอดภู เขา ตั้ งอยู อย างมั่ นคงดุ จการ ตั้ งอยู ของเสาระเนี ยด; แม (ปรากฏการณ ของ)สั ตว ทั้ ง หลาย จะแล นไป ท องเที่ ยวไป เคลื่อนไป บังเกิดไป,แตสิ่งซึ่งเที่ยงแทสม่ําเสมอ ยังคงอยูนั่นเอง" ดังนี้; ...ดูกอน
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๓๕
ภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เป นฐานะที่ ๔ อั นสมณพราหมณ พวกหนึ่ งซึ่ งเป นพวกสั สสตวาท อาศั ย แลว ปรารภแลว จึงบัญญัติอัตตาและโลกวาเที่ยง. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย; สมณพราหมณ ทั้ งหลายเท าใด เป นพวกสั สสตวาท บัญญั ติอัตตา และโลกวาเป นของเที่ ยง สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหลานั้ นทั้งหมด บั ญญั ติ โดยอาศั ยวัตถุ ทั้ งหลาย ๔ ประการเหล านี้ หรือวาวัตถุ ประการใดประการหนึ่ ง ในบรรดา วั ตถุ ทั้ งหลาย ๔ ประการเหล านี้ , วั ตถุ อื่ นนอกจากนี้ มิ ได มี . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคต ยอมรูชัดวา ฐานะที่ตั้งแหงทิฏฐิเหลานี้ เมื่อใครถือเอาแลวอยางนี้ ลูบคลําแลว อย างนี้ ก็ จะมี คติอย างนั้ น มี อภิ สัมปรายภพอยางนั้ น: ตถาคต ยอมรูชัดซึ่งขอนั้ นด วย รูชัดซึ่งธรรมอันยิ่งไปกวานั้นดวย และไม จับฉวยไวซึ่งสิ่งที่ตถาคตรูแลวนั้นดวย และเมื่ อ ไม จับฉวยอยู ความดั บเย็ น (นิ พฺ พุ ติ )ก็ เป นสิ่ งที่ ตถาคตรูแจ งแล ว เฉพาะตนนั่ นเที ยว เพราะรูแจ งตามที่ เป นจริงซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ น ซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได ซึ่ งรสอรอย ซึ่ งโทษ อันเลวทราม และซึ่งอุบายเปนเครื่อง ออกไปพน แหงเวทนาทั้งหลาย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตเป นผู พ นวิ เศษแล ว เพราะความไม ยึ ดมั่ น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมทั้ งหลายเหล านี้ แล เป นธรรมที่ ลึ ก ที่ สั ตว อื่ นเห็ นได ยาก ยากที่สัตวอื่นจะรูตาม เปนธรรมเงียบสงบ ประณี ต ไมเปนวิสัยที่จะหยั่งลงงายแหงความ ตรึก เป นของละเอียด รูได เฉพาะบั ณฑิ ตวิสัย, ซึ่งเราตถาคตได ทํ าให แจงด วยป ญญา อั นยิ่ งเอง แล วสอนผู อื่ นให รูแจ ง, เป นคุ ณวุ ฒิ เครื่องนํ าไปสรรเสริญ ของผู ที่ เมื่ อจะพู ด สรรเสริญเราตถาคตใหถูกตองตรงตามที่เปนจริง.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เ ห็ น ความสํ า คั ญ ของสิ่ ง ที่ เรี ย กว า "เวทนา"ดั ง ที่ พ ระองค ไ ด ต รั ส ว า เพราะรู เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น ความตั้ ง อยู ไ ม ได รสอร อ ย โทษต่ํ าทราม อุ บายเครื่อง ออก ตถาคตจึ งรูแจ งสั สสตทิ ฏฐิ เหล านั้ นรูแจ งซึ่ งสิ่ งที่ ยิ่ งขึ้ นไปกว า ทิฏฐิเหลานั้น แลวไมยึดมั่น จนกระทั่งรูแจงนิพพุติ(ความดับเย็น)อันเปนภายใน.ความ
www.buddhadasa.info
๗๓๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑ รู แ จ ง เวทนาในลั ก ษณะ ๕ ประการ มี รู แ จ ง เหตุ ใ ห เกิ ด ขึ้ น เป น ต น นั้ น คื อ รู แ จ ง เวทนาในสาย แห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาท ทั้ ง ส ว นหน า และส ว นหลั ง ของเวทนานั้ น เอง.ถ า ไม รู แ จ ง เวทนาใน ลักษณะอยางนี้ ยอมไมพนไปจากขายแหงสัสสตทิฏฐิ ๔ ประการนี้.
(ข.เอกัจจสัสสติก - เอกัจจอสัสสติกทิฏฐิ ๔ ประการ) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มี สมณพราหมณ พ วกหนึ่ ง เป นพวกเอกั จจสั สสติ กเอกั จจอสั ส สติ กวาท ย อมบั ญ ญั ติ อั ต ตาและโลกว าเที่ ย งบางอย าง ไม เที่ ยงบางอย าง ดวยวัตถุทั้งหลาย ๔ ประการ: (๕) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ...ฯลฯ... ข อ นี้ เ ป น ฐานะที่ มี ไ ด คื อ สั ต ว ตนใดตนหนึ่ ง เคลื่ อนจากหมู อาภั สรเทพนั้ นแล ว มาสู ความเป นอย างนี้ , ครั้นมาสู ความ เป น อย า งนี้ แ ล ว ได อ อกบวชจากเรื อ น เป น ผู ไม มี เรื อ น อาศั ย ความเพี ย รเผากิ เลส.... มี เจโตสมาธิ ในลั กษณะที่ เมื่ อจิ ตตั้ งมั่ นแล ว เขาย อมระลึ กถึ งขั นธ อั นเคยอยู ในกาลก อน (ชั่ วเวลาที่ เขาอยู ในหมู อาภั สสรเทพ), ที่ เกิ นกว านั้ น เขาระลึ กไม ได . สั ตว นั้ นได กล าวว า "พรหมผู เจริ ญ ผู ใด เป นมหาพรหม เป นผู ครอบงํ าสั ตว ทั้ งหลาย ไม มี สั ตว ใดครอบงํ าเขา ได เห็น สิ ่ง ทั ้ง หลายอยา งถอ งแท เปน ผู ใ หอํ า นาจเปน ไป เปน อิศ วร เปน ผู ส รา ง เป น ผู นิ รมิ ต เป น ผู ป ระเสริ ฐ สุ ด เป น ผู จั ด สรร (สิ่ ง ทั้ ง ปวง) ผู มี อํ า นาจ เป น บิ ด าแห ง สั ตว ทั้ งหลายทั้ งที่ เป นแล วและจั กเป น. พวกเราทั้ งหลายเป น ผู อั นพรหมนั้ นนิ รมิ ตแล ว. พรหมนั้น เปนผูเที่ยง ผูยั่งยืน ผูเที่ยงแท ผูไมมีความแปรปรวนเปนธรรมดา จักตั้งอยูอยางเที่ยงแทสม่ําเสมอเชนนั้น นั่นเทียว. สวนวาเราทั้ งหลายเป นผูอัน พรหมนั้นนิรมิตแลว จึงเปนผูไมเที่ยง ไมยั่งยืน มีอายุนอย มีการจุติเปนธรรมดา มาสูความเปนอยางนี้แลว" ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้เปนฐานะที่ ๑ อันสมณ-
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๓๗
พรหมณ พวกหนึ่ งซึ่ งเป นพวกเอกั จจสั สสติ กเอกั จจอสั สสติ กวาทอาศั ยแล ว ปรารภแล ว จึงบัญญัติอัตตาและโลกวาเที่ยงบางอยาง ไมเที่ยงบางอยาง. (๖) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ...ฯลฯ... ข อ นี้ เป น ฐานะที่ จ ะมี ไ ด คื อ สั ต ว ตนใดตนหนึ่ ง เคลื่ อนจากหมู ขิ ฑฑาปโทสิ กเทพนั้ นแล ว มาสู ความเป นอย างนี้ , ครั้ นมา สู ความเป นอย างนี้ แล ว ได ออกบวชจากเรื อน เป นผู ไม มี เรื อน อาศั ยความเพี ยรเผากิ เลส ...มี เจโตสมาธิ ในลั กษณะที่ เมื่ อจิ ตตั้ งมั่ นแล วเขาย อมระลึ กถึ งขั นธ อั นเคยอยู ในกาลก อนได , ที่ เกิ นกว านั้ นเขาระลึ กไม ได . สั ตว นั้ นได กล าวว า "ท านผู เจริ ญทั้ งหลายเอ ย! เทพทั้ งหลาย เหล าใด ซึ่ งมิ ใช พวกขิ ฑฑาปโทสิ กา เทพทั้ งหลายเหล านั้ น ถึ งพร อมด วยธรรมคื อ ความ ยิ นดี ในการร าเริ งและการเล นหั ว ไม เกิ นเวลา (ไม เกิ นขนาด) เป นอยู เมื่ อเทพทั้ งหลาย เหลานั้น ไมยินดีในการราเริงเลนหัวจนเกินเวลาเปนอยู สติยอมไมหลงลืม เพราะ ความไมหลงลืมแหงสติ เทพทั้งหลายเหลานั้นยอมไมเคลื่อนจากเทพนิกายนั้น จึงเปนผูเที่ยง ผูยั่งยืน ผูเที่ยงแท มีความไมแปรปรวนเปนธรรมดา ตั้งอยูอยาง เที่ยงแทสม่ําเสมอเชนนั้นนั่นเทียว. สวนวาเราทั้งหลายซึ่งเปนพวกขิฑฑาปโทสิ กาไดเปนผูยินดีในการราเริงเลนหัว จนเกินเวลา เมื่อพวกเรายินดีในการราเริง เลนหัว จนเกินเวลา สติยอมหลงลืม เพราะความหลงลืมแหงสติ พวกเราทั้งหลาย จึงเคลื่อนแลวจากเทพนิกายนั้น เปนผูไมเที่ยง ไมยั่งยืน มีอายุนอย มีการจุติ เป น ธรรมดา มาแล วสู ความเป น อย างนี้ " ดั งนี้ . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เป นฐานะ ที่ ๒ อั นสมณพราหมณ พวกหนึ่ งซึ่ งเป นพวกเอกั จจสั สสติ กเอกั จจอสั สสติ กวาทอาศั ยแล ว ปรารภแลว จึงบัญญัติอัตตาและโลกวาเที่ยงบางอยาง ไมเที่ยงบางอยาง.
www.buddhadasa.info (๗) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ...ฯลฯ... ขอนี้เปนฐานะที่จะมีได คือ สัตวตนใดตน หนึ่ง เคลื่อนจากหมูมโนปโทสิกเทพนั้นแลว มาสูความเปนอยางนี้, ครั้นมาสู
www.buddhadasa.info
๗๓๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ความเป นอย างนี้ แล ว ได ออกบวชจากเรื อน เป นผู ไม มี เรื อน อาศั ยความเพี ยรเผากิ เลส ... มี เจโตสมาธิ ในลั ก ษณะที่ เมื่ อ จิ ต ตั้ งมั่ น แล ว เขาย อ มระลึ กถึ งขั น ธ อั น เคยอยู ในกาล ก อ นได , ที่ เกิ น กว านั้ น เขาระลึ ก ไม ได . สั ต ว นั้ น ได ก ล าวว า "เทพทั้ งหลายที่ ไม ใช พ วก มโนปโทสิ ก า ย อ มไม เพ งโทษซึ่ งกั น และกั น เกิ น เวลา (เกิ น ขนาด); เมื่ อ เทพทั้ งหลาย เหลานั้นไมเพงโทษซึ่งกันและกันเกินเวลา จิตก็ไมประทุษรายซึ่งกันและกัน เมื่อ มีจิตไมประทุษรายซึ่งกันและกัน กายก็ไมบอบช้ํา จิตก็ไมบอบช้ํา เทพทั้งหลาย เหลานั้น จึงไมเคลื่อนจากเทพนิกายนั้น เปนผูเที่ยง ผูยั่งยืน ผูเที่ยงแท มีความ ไมแปรปรวนเปนธรรมดา ตั้งอยูอยางเที่ยงแทสม่ําเสมอเชนนั้นนั่นเทียว. สวน พวกเราเหลามโนปโทสิกา มีปรกติเขาไปเพงโทษซึ่งกันและกันอยูเกินเวลา, เมื่อ เพ ง โทษซึ่ ง กั น และกั น อยู เกิ น เวลา จิ ต ก็ ป ระทุ ษ ร า ยในกั น และกั น ; เมื่ อ มี จิ ต ประทุ ษ ร า ยในกั น และกั น กายก็ บ อบช้ํ า จิ ต ก็ บ อบช้ํ า . พวกเราทั้ ง หลาย จึ ง เคลื่อนแลวจากเทพนิกายนั้น เปนผูไมเที่ยง ไมยั่งยืน มีอายุนอย มีการจุติเปน ธรรมดา แล วมาสู ค วามเป น อย างนี้ " ดั งนี้ . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เป น ฐานะที่ ๓ อั นสมณพราหมณ พวกหนึ่ งซึ่ งเป นพวกเอกั จจสั สสติ กเอกั จจอสั สสติ กวาทอาศั ยแล วปรารภ แลว จึงบัญญัติอัตตาและโลกวาเที่ยงบางอยาง ไมเที่ยงบางอยาง.
www.buddhadasa.info (๘) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บางท าน เป น นั ก ตรึ ก นั ก ตรอง เขายอมกลาวตามที่ความตรึกพาไป ความตรองแลนไป ตามปฏิภาณของตน อยาง นี้ ว า "อั ต ตาใด ที่ เขาเรี ย กว า ‘จั ก ษุ ' ดั ง นี้ บ า ง `โสตะ' ดั ง นี้ บ า ง `ฆานะ' ดั ง นี้ บ า ง ‘ชิ วหา' ดั งนี้ บ าง `กายะ' ดั งนี้ บ าง อั ตตานี้ ๆ ไม เที่ ยง ไม ยั่ งยื น ไม เที่ ยงแท มี ความแปร ปรวนเป นธรรมดา. ส วนว าอั ตตาใด ที่ เขาเรี ยกกั นว า ’จิ ต' ก็ ดี ‘มโน' ก็ ดี `วิ ญ ญาณ' ก็ ดี อั ตตานี้ เป น ของเที่ ยง ยั่ งยื น เที่ ยงแท มี อั น ไม แปรปรวนเป น ธรรมดา จั กตั้ งอยู อ ย าง เที่ยงแท สม่ําเสมอ เชนนั้น นั่นเทียว" ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้เปนฐานะที่ ๔
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๓๙
อันสมณพราหมณ พวกหนึ่งซึ่งเปนพวกเอกัจจสัสสติกเอกัจจอสัสสติกวาทอาศัยแลว ปรารภ แลว จึงบัญญัติอัตตาและโลกวาเที่ยงบางอยาง ไมเที่ยงบางอยาง. ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหลาใด เป นพวกเอกัจจสัสสติ กเอกั จจอสั สสติ กวาท บั ญญั ติ อั ตตาและโลกวาเที่ ยงบางอยาง ไม เที่ ยงบางอย าง สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลานั้นทั้งหมด บัญญั ติโดยอาศัยวัตถุทั้งหลาย ๔ ประการเหลานี้ หรือ วาวัตถุ ประการใดประการหนึ่ ง ในบรรดาวั ตถุ ทั้ งหลาย ๔ ประการเหล านี้ , วัตถุ อื่ น นอกจากนี้ มิ ได มี . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตย อ มรู ชั ด ว า ฐานะที่ ตั้ งแห งทิ ฏ ฐิ เหลานี้ เมื่อใครถือเอาแลวอยางนี้ ลบคลําแลวอยางนี้ ก็จะมีคติอยางนั้น มีอภิสัมปรายภพ อย างนั้ น : ตถาคตย อมรูชั ดซึ่ งข อนั้ นด วย รูชั ดซึ่ งธรรมอั นยิ่ งไปกวานั้ นด วย และไม จับฉวยไวซึ่งสิ่งที่ตถาคตรูแลวนั้นดวย และเมื่อไมจับบฉวยอยู ความดับเย็น (นิพฺพุติ) ก็เปน สิ่งที่ ตถาคตรูแจงแลวเฉพาะตนนั่ นเที ยว เพราะรูแจงตามที่เป นจริงซึ่งเหตุ ให เกิดขึ้น ซึ่ง ความตั้ งอยู ไม ได ซึ่ งรสอรอย ซึ่ งโทษอั นเลวทราม และซึ่ งอุ บายเป นเครื่องออกไปพ น แห งเวทนาทั้ งหลาย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตเป นผู พ นวิเศษแล ว เพราะความ ไม ยึ ด มั่ น . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ธรรมทั้ งหลายเหล านี้ แลเป น ธรรมที่ ลึ ก ที่ สั ต ว อื่ น เห็ นไดยาก ยากที่ สัตวอื่นจะรูตาม เป นธรรมเงียบสงบ ประณี ต ไม เป นวิสั ยที่ จะหยั่งลง งายแห งความตรึก เป นของละเอียด รูได เฉพาะบั ณฑิ ตวิสั ย, ซึ่งเราตถาคตได ทํ าให แจ ง ดวยป ญญาอันยิ่งเอง แลวสอนผูอื่นใหรูแจง, เปนคุณวุฒิ เครื่องนําไปสรรเสริญ ของผูที่ เมื่อจะพูดสรรเสริญเราตถาคตใหถูกตองตรงตามที่เปนจริง.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เ ห็ น ว า แม ทิ ฏ ฐิ ข องพวก เอกั จจสั สสติ กเอกั จจ- อสั สสติ กวาท ๔ จํ าพวกนี้ ก็ มี มู ลมาจากสิ่ งที่ เรี ยกว า "เวทนา" ; มี ข อ ความอย างเดี ยวกั บข อความที่ พระองค ตรัสเกี่ ยวกั บพวกสั สสตวาท; ขอให ย อนไปดู หมายเหตุ ท ายหมวดสั สสตวาท อี ก ครั้ งหนึ่ ง จนเห็ น ว า ถ าไม รู แจ งเวทนา ในลั ก ษณะอย างนั้ น ย อ ม ไม พ นไปจากข ายแห งเอกั จจสั สสติ กเอกั จจอสั สสติ กทิ ฏ ฐิ ๔ ประการนี้ ได . นี่ แหละคื อความ สําคัญของสิ่งที่เรียกวา "เวทนา" เพียงสิ่งเดียว.
www.buddhadasa.info
๗๔๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
(ค. อันตานันติกทิฏฐ ๔ ประการ) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มี สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง เป นพวกอั นตานั นติ กวาท ยอมบัญญัติซึ่งโลกวามีที่สุดหรือไมมีที่สุด ดวยวัตถุทั้งหลาย ๔ ประการ: (๙) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บางท าน อาศั ยความเพี ยรเผา กิ เลส ... มี เจโตสมาธิในลั กษณะที่ เมื่ อจิตตั้ งมั่ นแล ว เป นผู มี สั ญญาวา มี ที่ สุ ดอยู ในโลก สมณพราหมณ ผู นี้ กล าวอย างนี้ ว า "โลกอั นกลมรอบตั วนี้ มี ที่ สุ ด". เพราะเหตุ ไร ข าพเจ า จึ งกล าวอย างนี้ ? เพราะเหตุ ว า ข าพเจ าอาศั ยความเพี ยรเผากิ เลส... มี เจโตสมาธิ ใน ลักษณะที่เมื่อจิตตั้งมั่นแลว เปนผูมีสัญญาวา "มีที่สุดอยูในโลก".ดวยเหตุนี้ขาพเจา จึ งรู ค วามข อ นี้ ว า "โลกอั น กลมรอบตั วนี้ มี ที่ สุ ด " ดั งนี้ . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! นี้ เป น ฐานะที่ ๑ อั นสมณพราหมณ พวกหนึ่ งซึ่ งเป นพวกอั นตานั นติ กวาทอาศั ยแล ว ปรารภแล ว จึงบัญญัติซึ่งโลกวามีที่สุดหรือไมมีที่สุด. (๑๐) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บางท าน อาศั ยความเพี ยรเผา กิ เลส... มี เจโตสมาธิ ในลั กษณะที่ เมื่ อจิ ตตั้ งมั่ นแล ว เป นผู มี สั ญญาวาไม มี ที่ สุ ดอยู ในโลก. สมณพราหมณ ผู นี้ กล าวอย างนี้ ว า "โลกอั นไม มี ที่ สุ ดรอบนี้ ไม มี ที่ สุ ด"; สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกที่ กล าวว า โลกอั นกลมรอบตั วนี้ มี ที่ สุ ด ดั งนี้ นั้ น คํ าพู ดของ สมณพราหมณ เหล านั้ น เป นมุ สา; เพราะว า โลกอั นไม มี ที่ สุ ดรอบนี้ ไม มี ที่ สุ ด. ข อนี้ เพ ร า ะ เ ห ตุ ไ ร เล า ข า พ เจ า อ า ศั ย ค ว า ม เพี ย ร เผ า กิ เ ล ส ... มี เ จ โ ต ส ม า ธิ ในลักษณะที่เมื่อจิตตั้งมั่นแลว เปนผูมีสัญญาวา "ไมมีที่สุดอยูในโลก". ดวยเหตุนี้ ขาพเจาจึงรูความขอนี้วา "โลกอันไมมีที่สุดรอบนี้ ไมมีที่สุด" ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย!
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๔๑
นี้ เป นฐานะที่ ๒ อั นสมณพราหมณ พวกหนึ่ งซึ่ งเป นพวกอั นตานั นติ กวาทอาศั ยแล ว ปรารภ แลว จึงบัญญัติซึ่งโลกวามีที่สุดหรือไมมีที่สุด. (๑๑) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บ างท าน อาศั ยความเพี ยรเผา กิ เลส... มี เจโตสมาธิ ในลั กษณะที่ เมื่ อจิ ตตั้ งมั่ นแล ว เป นผู มี สั ญ ญาว ามี ที่ สุ ดในเบื้ องบน และเบื้ องต่ํ า อยู ในโลก มี สั ญ ญาว าไม มี ที่ สุ ดในเบื้ อ งขวาง(รอบตั ว)อยู ในโลก. สมณพราหมณ ผู นี้ กล าวอย างนี้ ว า "โลกนี้ มี ที่ สุ ดด วย ไม มี ที่ สุ ด วย"; สมณพราหมณ ทั้ งหลาย เหล าใด เป น พวกที่ ก ล าวว า โลกอั น กลมรอบตั วนี้ มี ที่ สุ ด ดั งนี้ นั้ น คํ าพู ด ของสมณพราหณ เหล านั้ น เป นมุ สา; ถึ งแม สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ซึ่ งเป นพวกที่ พู ดว า โลกอั นไม มี ที่ สุ ดรอบนี้ ไม มี ที่ สุ ด ดั งนี้ นั้ น คํ าของสมณพราหมณ แม เหล านั้ น ก็ เป นมุ สา; เพราะเหตุ ว า โลกนี้ มี ที่ สุ ด ว ยไม มี ที่ สุ ด ด ว ย. ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไ รเล า ? ข อ นั้ น เพราะ เหตุ ว า ข าพเจ าอาศั ยความเพี ยรเผากิ เลส... มี เจโตสมาธิ ในลั กษณะที่ เมื่ อจิ ตตั้ งมั่ นแล ว เปนผูมีสัญญาวา "มีที่สุดในเบื้องบนและเบื้องต่ํา อยูในโลก" มีสัญญาวา "ไมมี ที่ สุ ดในเบื้ องขวาง(รอบตั ว) อยู ในโลก". ด วยเหตุ นี้ ขาพเจาจึงรูความขอนี้ วา "โลก นี้ มี ที่ สุ ด ว ย ไม มี ที่ สุ ด ว ย" ดั ง นี้ . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! นี้ เป น ฐานะที่ ๓ อั น สมณพราหมณ พวกหนึ่ งซึ่ งเป นพวกอั นตานั นติ กวาทอาศั ยแล ว ปรารภแล ว จึ งบั ญญั ติ ซึ่ งโลก วามีที่สุดหรือไมมีที่สุด.
www.buddhadasa.info (๑๒) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บ างท าน เป นนั กตรึ กนั กตรอง เขายอมกลาวตามที่ความตรึกพาไป ความตรองแลนไป ตามปฏิภาณของตนเอง ว า"โลกนี้ มี ที่ สุ ดก็ หามิ ได ไม มี ที่ สุ ดก็ หามิ ได .สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวก ที่ ก ล าวว า โลกอั น กลมรอบตั วนี้ มี ที่ สุ ด ดั งนี้ นั้ น คํ าพู ด ของสมณพราหมณ เหล านั้ น เปนมุสา; แมสมณพราหมณทั้งหลายเหลาใด ซึ่งเปนพวกที่กลาววา โลกอันไมมีที่สุด
www.buddhadasa.info
๗๔๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
รอบนี้ ไม มี ที่ สุ ด ดั งนี้ นั้ น คํ าพู ดของสมณพราหมณ แม เหล านั้ น ก็ เป นมุ สา; ถึ งแม สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ซึ่ งเป นพวกที่ กล าวว าโลกนี้ มี ที่ สุ ด วย ไม มี ที่ สุ ดด วย ดั งนี้ นั้ น คํ าพู ดของสมณพราหมณ แม เหล านั้ น ก็ เป นมุ สา; เพราะวา โลกนี้ มี ที่ สุดก็ หา มิ ได ไม มี ที่ สุ ด ก็ ห ามิ ได " ดั ง นี้ . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! นี้ เป น ฐานะที่ ๔ อั น สมณพราหมณพวกหนึ่งซึ่งเปนพวกอันตานันติกวาทอาศัยแลว ปรารภแลว จึงบัญญั ติซึ่งโลก วามีที่สุดหรือไมมีที่สุด. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด เป นพวกอั นตานั นติ กวาท บัญญั ติโลกวามีที่สุดหรือไมมีที่สุด สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลานั้นทั้งหมด บัญญั ติ โดยอาศั ยวัตถุ ทั้ งหลาย ๔ ประการเหล านี้ หรือวาวัตถุ ประการใดประการหนึ่ ง ในบรรดา วั ตถุ ทั้ งหลาย ๔ ประการเหล านี้ , วั ตถุ อื่ นนอกจากนี้ มิ ได มี . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตยอมรูชัดวา ฐานะที่ ตั้ งแห งทิ ฏฐิเหล านี้ เมื่ อใครถื อเอาแล วอยางนี้ ลบคลํ าแล ว อย างนี้ ก็ จะมี คติอย างนั้ น มี อภิ สัมปรายภพอยางนั้ น : ตถาคตยอมรูชัดซึ่งขอนั้ นด วย รูชัดซึ่งธรรมอันยิ่งไปกวานั้นดวย และเมื่อไมจับฉวยไวซึ่งสิ่งที่ตถาคตรูแลวนั้นดวย และเมื่อ ไม จับฉวยอยูความดั บเย็ น (นิ พฺ พุ ติ ) ก็เป นสิ่ งที่ ตถาคตรูแจงแลวเฉพาะตนนั่ นเที ยว เพราะ รูแจงตามที่ เป นจริง ซึ่งเหตุ ให เกิดขึ้น ซึ่งความตั้ งอยูไม ได ซึ่งรสอรอย ซึ่งโทษอันเลวทราม และซึ่งอุบายเปนเครื่องออกไปพนแหงเวทนาทั้งหลาย. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ตถาคต เป น ผู พ น วิ เศษแล ว เพราะความไม ยึ ด มั่ น . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ธรรมทั้ ง หลาย เหล านี้ แล เป นธรรมที่ ลึ ก ที่ สั ตว อื่ นเห็ นได ยาก ยากที่ สั ตว อื่ นจะรูตาม เป นธรรมเงียบ สงบ ประณี ต ไม เป นวิ สั ยที่ จะหยั่ งลงงายแห งความตรึก เป นของละเอี ยด รูได เฉพาะ บั ณ ฑิ ตวิสั ย, ซึ่ งเราตถาคตได ทํ าให แจ งด วยป ญญาอั นยิ่ งเอง แล วสอนผู อื่ นให รูแจ ง, เป นคุ ณวุฒิ เครื่องนํ าไปสรรเสริญ ของผูที่ เมื่ อจะพู ดสรรเสริญเราตถาคตให ถูกต องตรงตาม ที่เปนจริง.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๔๓
หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า แม ทิ ฏ ฐิ ข องพวก อั นตานั นติ กวาท ๔ จํ าพวกนี้ ก็ มี มู ลมาจากสิ่ งที่ เรี ยกว า "เวทนา" ; มี ข อความอย างเดี ยวกั บ ข อความที่ พระองค ตรัสเกี่ ยวกั บพวกสั สสตวาท ขอให ย อนไปดู หมายเหตุ ท ายหมวดสั สสตวาท อี ก ครั้ งหนึ่ ง จนเห็ น ว า ถ า ไม รู แ จ งเวทนา ในลั ก ษณะอย างนั้ น ย อ มไม พ น ไปจากข า ยแห ง อั น ตานั น ติ ก ทิ ฏ ฐิ ๔ ประการนี้ ไ ด . นี่ แ หละคื อ ความสํ า คั ญ ของสิ่ ง ที่ เ รี ย กว า "เวทนา” เพียงสิ่งเดียว.
(ฆ. อมราวิกเขปกทิฏฐิ ๔ ประการ) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มี สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง เป นพวกอมราวิ กเขป กวาท เมื่ อถูกถามป ญหาในที่ นั้ น ๆ ยอมถึ งความส ายแห งวาจาอันดิ้นได ไม ตายตั ว ด วยวัตถุ ทั้งหลาย ๔ ประการ: (๑๓) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บ างท า น ...มี ค วามคิ ด ว า เราไม รูชั ดตามที่ เป นจริงว า นี้ เป น กุ ศ ล นี้ เป นอกุ ศ ล, เมื่ อ ไม รูตามที่ เป นจริงอย างนี้ ไปพยากรณ เข าวานี้ เป นกุ ศล นี้ เป นอกุ ศล ดั งนี้ แล ว นั่ นจะเป นการกล าวเท็ จของเรา; การกล าวเท็ จ เป นความคั บแคน, ความคับแค น เป นอันตราย. ดังนี้ สมณพราหมณ ผู นี้ กลัวตอมุสาวาท ขยะแขยงตอมุสาวาท อยูอยางนี้ ก็ไมยอมกลาววา เชนนี้เปนกุศล เชนนี้ เป นอกุศล; เมื่ อถูกเขาถามอยูด วยป ญหาขอนี้ ก็ถึงซึ่งความส ายแห งวาจาอันดิ้ นได ไม ตายตั ว เช นนี้ วา "อย างนี้ ก็ มิ ใช , อย างนั้ น ก็ มิ ใช , อย างอื่ น ก็ มิ ใช , ไม ใช ก็ มิ ใช , ไม ไม ใช ก็ มิ ใช " ดั งนี้ . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! นี้ เป น ฐานะที่ ๑ อั น สมณพราหมณ พวกหนึ่งซึ่งเปนพวกอมราวิกเขปกวาทอาศัยแลว ปรารภแลว เมื่อถูกถามปญหานั้น ๆ ยอมถึงความสายแหงวาจาอันดิ้นไดไมตายตัว.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๗๔๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
(๑๔) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณ พราหมณ บางท า น ...มี ค วามคิ ด ว า เราไม รู ชั ด ตามที่ เป น จริ ง ว า นี้ เป น กุ ศ ล นี้ เป น อกุ ศ ล, เมื่ อ ไม รู ต ามที่ เป น จริ ง อย า งนี้ ไปพยากรณ เข าว า นี้ เป น กุ ศ ล นี้ เป น อกุ ศ ล ดั งนี้ แ ล ว นั่ น จะทํ าให เกิ ด ฉั น ทะ (ความ พอใจ) บ า ง ราคะบ าง โทสะบ าง ปฏิ ฆ ะ(ความหงุ ด หงิ ด ) บ าง; ฉั น ทะ ราคะ โทสะ ปฏิ ฆ ะ เกิ ด ในธรรมใด ธรรมนั้ น เป น อุ ป ทานแก เรา อุ ป าทานนั้ น เป น ความคั บ แค น แก เรา ความคั บแค น เป นอั นตรายดั งนี้ สมณพราหมณ ผู นี้ กลั วต ออุ ปาทาน ขยะแขยง ต อ อุ ป ทาน อยู อ ย า งนี้ ก็ ไม ย อมกล า วว า เช น นี้ เป น กุ ศ ล เช น นี้ เป น อกุ ศ ล; เมื่ อ ถู ก เขาถามอยู ด วยป ญหาข อนี้ ก็ ถึ งซึ่ งความส ายแห งวาจาอั นดิ้ นได ไม ตายตั ว เช นนี้ ว า "อย าง นี้ ก็ มิ ใ ช , อย า งนั้ น ก็ มิ ใ ช , อย า งอื่ น ก็ มิ ใ ช , ไม ใ ช ก็ มิ ใช , ไม ไม ใ ช ก็ มิ ใ ช " ดั ง นี้ . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เป นฐานะที่ ๒ อั นสมณพราหมณ พวกหนึ่ งซึ่ งเป นพวกอมราวิ กเขป ก วาทอาศั ย แล ว ปรารภแล ว เมื่ อ ถู ก ถามป ญ หานั้ น ๆ ย อ มถึ งความส ายแห ง วาจาอันดิ้นไดไมตายตัว. (๑๕) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณ พราหมณ บางท า น ...มี ค วามคิ ด ว า เราไม รู ชั ด ตามที่ เป น จริ ง ว า นี้ เป น กุ ศ ล นี้ เป น อกุ ศ ล, เมื่ อ ไม รู ต ามที่ เป น จริ ง อย า งนี้ ไปพยากรณ เข าว า นี้ เป นกุ ศล นี้ เป นอกุ ศล ดั งนี้ แล ว เกิ ดมี สมณพราหมณ ทั้ งหลายที่ เป น บั ณ ฑิ ต มี ป ญ ญาละเอี ยดอ อน เชี่ ยวชาญในการข มด วยวาทะ มี ความเฉี ยบแหลมดุ จยิ ง ถู กเส นขนเนื้ อทราย เผอิ ญ มาเที่ ยวทํ าลายทิ ฏฐิ ของผู อื่ น ด วยป ญ ญาอยู สมณพราหมณ เหล านั้ น จะพึ งรุ มกั นซั กไซ ไล เลี ยงเราในที่ นั้ น เราจะไม สามารถตอบโต แก เขาได การที่ ตอบโต เขาไม ได นั้ น มั นเป นความคั บ แค นแก เรา ความคั บ แค นนั้ น เป นอั นตราย ดั งนี้ . สมณพราหมณผูนี้กลัวตอการรุมลอมซักถาม ขยะแขยงตอการรุมลอมซักถาม อยูอยางนี้ ก็ ไม ยอมกล าวว า เช น นี้ เป น กุ ศ ลเช น นี้ เป น อกุ ศ ล; เมื่ อ ถู กเขาถามอยู ด วยป ญ หาข อ นี้ ก็ถึงซึ่งความสายแหงวาจาอันดิ้นไดไมตายตัว เชนนี้วา "อยางนี้ ก็มิใช, อยางนั้น ก็มิใช,
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๔๕
อยา งอื ่น ก็ม ิใ ช, ไมใ ช ก็ม ิใ ช, ไมไ มใ ช ก็ม ิใ ช" ดัง นี ้. ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! นี้ เป น ฐานะที่ ๓ อั น สมณพราหมณ พ วกหนึ่ งซึ่ งเป น พวกอมราวิ กเขป ก วาทอาศั ยแล ว ปรารภแลว เมื่อถูกถามปญหานั้นๆ ยอมถึงความสายแหงวาจาอันดิ้นไดไมตายตัว. (๑๖)ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณื บ างท าน เป น คนเขลา เป น คน งมงาย เพราะความเป นคนเขลา เพราะความเป นคนงมงาย เมื่อถูกถามป ญหาในที่ นั้ น ๆ ก็ ถึ งซึ่ งความส ายแห งวาจาอั นดิ้ นได ไม ตายตั ว โดยกล าวว า ถ าท านถามเราว า โลก อื่ นมี อยู หรื อ? ถ าเรารู สึ กว าโลกอื่ นมี อยุ เราก็ จะพยากรณ ข อนั้ นแก ท านว า โลกอื่ นมี อยู . แต ความจริ งนั้ น แม การตอบว าอย างนี้ ก็ ไม เป นที่ ชอบใจแก เรา, แม การตอบว าอย างโน น ก็ มิ ได เป นที่ ชอบใจแก เรา, แม การตอบว าอย างอื่ น ก็ ไม เป นที่ ชอบใจแก เรา, แม การตอบว า ไม ก็ มิ ได เป นที่ ชอบใจแก เรา, แม การตอบว า ไม ก็ หามิ ได ก็ ไม เป นที่ ชอบใจแก เรา.... (จะมี การตอบส ายไปส ายมา ไม ตายตั วถึ ง ๕ ประการ ในลั กษณะอย างนี้ ในทุ ก ๆ คํ าถาม ซึ่ งได สมมติ ขึ้ นต อ ไปอี กถึ ง ๑๕ คํ าถาม. รวมกั นทั้ งหมดเป น ๑๖ คํ าถาม ทั้ งคํ าถามที่ กล าวแล วข างต น. สํ าหรั บอี ก ๑๕คํ าถาม
ต อไปนั้ น คื อ ๒. โลกอื่ นไม มี หรื อ? ๓. โลกอื่ นมี และไม มี หรื อ? ๔. โลกอื่ นมี ก็ หามิ ได ไม มี ก็ หามิ ได หรื อ? ๕. สั ตว เป นโอปปาติ กะ (เกิ ดผุ ดขึ้ น) มี หรื อ? ๖. สั ตว เป นโอปปาติ กะ ไม มี หรื อ? ๗. สั ตว เป นโอปปาติ กะมี และไม มี หรื อ? ๘. สั ตว เป นโอปปาติ กะมี ก็ หามิ ได ไม มี ก็ หามิ ได หรื อ? ๙. ผลแห งกรรมดี กรรมชั่ วมี หรื อ? ๑๐. ผลแห งกรรมดี กรรมชั่ วไม มี หรื อ? ๑๑. ผลแห งกรรมดี กรรมชั่ วมี และไม มี หรื อ? ๑๒. ผลแห งกรรมดี กรรมชั่ วมี ก็ หามิ ได ไม มี ก็ หามิ ได หรื อ? ๑๓. ตถาคตตายแล วมี อี กหรื อ? ๑๔. ตถาคตตายแล วไม มี อี กหรื อ? ๑๕. ตถาคตตายแล วมี อี กและไม มี อี กหรื อ? ๑๖. ตถาคตตายแล วมี อี กก็ หามิ ได ไม มี อี กก็ หา มิ ได หรื อ? แล วก็ มี คํ าตอบต อท ายทุ ก ๆ ป ญหาว า ถ าเขารูสึ กว าอย างไร เขาก็ จะตอบว า อย างนั้ น ตามตั ว
www.buddhadasa.info ป ญ หาที่ ถาม แล วก็ กลั บปฏิ เสธว า แต ความจริ งนั้ น แม การตอบว า อย างนี้ ก็ ไม เป นที่ ชอบใจแก เรา, แม การตอบว าอย างโน น ก็ ไม เป นที่ ชอบใจแก เรา, แม การตอบว าอย างอื่ น ก็ ไม เป นที่ ชอบใจแก เรา, แม การตอบว า
ไม ก็ไมเปนที่ชอบใจแกเรา, แมการตอบวา ไมก็หามิได ก็ไมเปนที่ชอบใจแกเรา.) ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย!
www.buddhadasa.info
๗๔๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
นี้ เป นฐานะที่ ๔ อั นสมณพราหมณ พวกหนึ่ งซึ่ งเป นพวกอมราวิกเขป กวาทอาศั ยแล ว ปรารภแลว เมื่อถูกถามปญหานั้น ๆ ยอมถึงซึ่งความสายแหงวาจาอันดิ้นไดไม ตายตัว. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ที่ เป นพวกอมราวิ กเขปกวาท เมื่อถูกเขาถามปญหาในที่นั้น ๆ ยอมถึงซึ่งความสายแหงวาจาอันดิ้นไดไมตายตัว; สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ นทั้ งหมด ก็อาศั ยวัตถุ ทั้ งหลาย ๔ ประการเหล านี้ , หรือวา วัตถุ ประการใดประการหนึ่ ง ในบรรดาวั ถตุ ทั้ งหลาย ๔ ประการเหล านี้ วั ตถุ อื่ นนอกจากนี้ มิ ไดมี . ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตย อมรูชัดวา ฐานะที่ ตั้ งแห งทิฏฐิเหลานี้ เมื่ อใคร ถื อเอาแล วอย างนี้ ลู บคลํ าแล วอย างนี้ ก็ จะมี คติ อย างนั้ น มี อภิ สั มปรายภพอย างนั้ น: ตถาคตยอมรูชัดซึ่งขอนั้ นดวย รูชัดซึ่งธรรมอันยิ่งไปกวานั้นดวย และไมจับฉวยไวซึ่งสิ่ง ที่ตถาคตรูแลวนั้ นด วย และเมื่ อไม จับฉวยอยู ความดั บเย็น(นิ พฺ พุ ติ ) ก็เป นสิ่งที่ ตถาคต รูแจ งแล วเฉพาะตนนั่ นเที ยว เพราะรูแจ งตามที่ เป นจริงซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ น ซึ่ งความตั้ ง อยูไม ได ซึ่งรสอรอย ซึ่งโทษอันเลวทราม และซึ่งอุบายเป นเครื่องออกไปพ น แห งเวทนา ทั้ งหลาย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตเป นผู พ นวิ เศษแล ว เพราะความไม ยึ ดมั่ น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมทั้ งหลายเหล านี้ แล เป นธรรมที่ ลึ ก ที่ สั ตว อื่ นเห็ นได ยาก ยากที่สัตวอื่นจะรูตาม เปนธรรมเงียบสงบ ประณี ต ไมเปนวิสัยที่จะหยั่งลงงายแหงความ ตรึก เป นของละเอี ยด รูได เฉพาะบั ณฑิ ตวิสั ย, ซึ่ งเราตถาคตได ทํ าให แจงด วยป ญญาอั น ยิ่ งเอง แล วสอนผู อื่ นให รูแจ ง, เป นคุ ณ วุฒิ เครื่องนํ าไปสรรเสริญ ของผู ที่ เมื่ อจะพู ด สรรเสริญเราตถาคตใหถูกตองตรงตามที่เปนจริง.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เ ห็ น ว า แม ทิ ฏ ฐิ ข องพวก อมราวิ กเขป กวาท ๔ จํ าพวกนี้ ก็ มี มู ลมาจากสิ่ งที่ เรียกว า "เวทนา" ; มี ข อความอย างเดี ยวกั บ ขอความที่พระองคตรัสเกี่ยวกับพวกสัสสตวาท ขอใหยอนไปดูหมายเหตุทายหมวดสัสสตวาท
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๔๗
อี ก ครั้ งหนึ่ ง จนเห็ น ว า ถ า ไม รู แ จ งเวทนา ในลั ก ษณะอย างนั้ น ย อ มไม พ น ไปจากข า ยแห ง อมราวิ ก เขป ก ทิ ฏ ฐิ ๔ ประการนี้ ไ ด . นี่ แ หละคื อ ความสํ า คั ญ ของสิ่ ง ที่ เรี ย กว า "เวทนา เพียงสิ่งเดียว.
(ง. อธิจจสมุปปนทิกทิฏฐิ ๒ ประการ)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง เป นพวกอธิ จจสมุ ปป นนิ กวาท ยอมบัญญัติอัตตาและโลกวาเกิดเองลอย ๆ ดวยวัตถุทั้งหลาย ๒ ประการ: (๑๗) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พวกเทพทั้ งหลายมี ชื่ อว า อสั ญญี สั ตว (สั ตว ผู ไม มี สั ญญา) มี อยู . ก็ พวกเทพเหล านั้ น ย อมเคลื่ อนจากอสั ญญี เทพนิ กายนั้ น เพราะการ เกิ ด ขึ้ น แห ง สั ญ ญา. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย!ข อ นี้ เป น ฐานะที่ มี ได คื อ สั ต ว ต นใดตน หนึ่ ง เคลื่ อนจากอสั ญ ญี เทพนิ กายนั้ นแล ว มาสู ความเป น(มนุ ษย )อย างนี้ , ครั้นมาสู ความเป นอย างนี้ แล ว ออกบวชจากเรือน เป นผู ไม มี เรือน ครั้นออกบวชจากเรือนแล ว เป น ผู ไม มี เรื อ น ครองชี วิ ต อยู , ได อ าศั ย ความเพี ย รเผากิ เลส... เกิ ด เจโตสมาธิ ใ น ลักษณะที่เมื่อจิตตั้งมั่นแลว เขายอมระลึกไดถึงการเกิดขึ้นแหงสัญญานั้น; ที่ไกลไป กวานั้น (เมื่อเปนอสัญญีสัตว) เขาระลึกไมได เขาจึงกลาวอยางนี้วา "อัตตาและโลก เกิ ดขึ้ นเองลอย ๆ ข อนั้ นเพราะเหตุ ไรเล า? ข อนั้ นเพราะเหตุ ว า ในกาลก อน ข าพเจ ามิ ไดมีอยูเลย แตบัดนี้ขาพเจามี เพราะขาพเจานอมจิตไป เพื่ อความไมมีแลวกลับมี" ดังนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! นี้ เป นฐานะที่ ๑ อั นสมณพราหมณ พวกหนึ่ งซึ่ งเป นพวกอธิ จจสมุปปนนิกวาทอาศัยแลว ปรารภแลว จึงบัญญัติซึ่งอัตตาและโลกวาเกิดเองลอย ๆ.
www.buddhadasa.info (๑๘) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมรพราหมณ บางท าน เป นสั กตรึ กนั กตรอง เขายอมกลาวตามที่ความตรึกพาไป ความตรองแลนไป ตามปฏิภาณของตน เอง
www.buddhadasa.info
๗๔๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
อยางนี้วา "อัตตาและโลกเกิดเองลอย ๆ"ดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! นี้เปนฐานะที่ ๒ อั นสมณพราหมณ พวกหนึ่ งซึ่ งเป นพวกอธิ จจสมุ ปป นนิ กวาทอาศั ยแล ว ปรารภแล วจึ ง บัญญัติซึ่งอัตตาและโลกวาเกิดเองลอย ๆ. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ที่ เป นพวกอธิ จจสมุ ปป นนิ กวาท บั ญญั ติอั ตตาและโลกวาเกิดขึ้นเองลอย ๆ; สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหลานั้ น ทั้ งหมด ก็ บั ญญั ติ โดยอาศั ยวัตถุ ทั้ งหลาย๒ ประการเหล านี้ หรือวัตถุ ประการใดประการ หนึ่ ง ในบรรดาวั ตถุ ทั้ งหลาย ๒ ประการเหล านี้ , วั ตถุ อื่ นนอกจากนี้ มิ ได มี . ดู ก อน ภิกษุ ทั้งหลาย! ตถาคตยอมรูชัดวา ฐานะที่ตั้งแหงทิฏฐิเหลานี้ เมื่อใครถือเอาแลวอยางนี้ ลูบคลําแลวอยางนี้ ก็จะมีคติอยางนั้น มีอภิสัมปรายภพอยางนั้น: ตถาคตยอมรูชัดซึ่งขอ นั้นด วย รูชัดซึ่งธรรมอันยิ่งไปกวานั้ นดวย และไม จับฉวยไวซึ่งสิ่งที่ ตถาคตรูแลวนั้ นดวย และเมื่อไม จับฉวยอยู ความดับเย็น(นิ พฺ พุ ติ ) ก็เป นสิ่งที่ตถาคตรูแจงแลวเฉพาะตนนั่นเทียว เพราะรูแจ งตามที่ เป นจริงซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ น ซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได ซึ่ งรสอรอย ซึ่ งโทษอั น เลวทราม และซึ่งอุบายเปนเครื่องออกไปพน แห งเวทนาทั้งหลาย. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ตถาคตเป น ผู พ น วิ เศษแล ว เพราะความไม ยึ ด มั่ น . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ธรรมทั้ ง หลายเหลานี้ แล เป นธรรมที่ลึก ที่ สัตวอื่นเห็ นไดยาก ยากที่ สัตวอื่นจะรูตามเป นธรรมเงียบ สงบ ประณี ต ไมเปนสิ่งที่หยั่งลงงายแหงความตรึก เปนของละเอียด รูไดเฉพาะบัณฑิ ตวิสัย, ซึ่งเราตถาคตไดทําใหแจงดวยปญญาอันยิ่งเอง แลวสอนผูอื่นใหรูแจง, เปนคุณวุฒิ เครื่อง นําไปสรรเสริญ ของผูที่เมื่อจะพูดสรรเสริญเราตถาคตใหถูกตองตรงตามที่เปนจริง.
www.buddhadasa.info (สรุป ปุพพันตกัปปกทิฏฐิ ๑๘ ประการ)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ซึ่ งเป นพวกปุ พพั นตกัปปวาท มีปุพพันตานุทิฏฐิ ปรารภขันธอันมีแลวในกาลกอน (ขันธมีสวนสุดในกาล
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๔๙
ก อน); ย อมกล าวบั ญญั ติ ซึ่ งอธิ มุ ตติ บททั้ งหลายมี อ ย า งเป น อเนก ด ว ยวั ต ถุ ทั้ ง หลาย ๑๘ ประการเหล านี้ นั่ นเที ยว หรื อว าด วยวั ตถุ ประการใดประการหนึ่ ง ในบรรดาวั ตถุ ทั้ ง หลาย ๑๘ ประการเหล า นี้ , วั ต ถุ อื่ น นอกจากนี้ มิ ได มี . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ตถาคตยอมรูชัดวา ฐานะที่ตั้ งแห งทิ ฏฐิเหล านี้ เมื่ อใครถื อเอาแล วอยางนี้ ลูบคลําแล ว อย างนี้ ก็จะมี คติอย างนั้ นมี อภิ สัมปรายภพอย างนั้ น : ตถาคตย อมรูชัดซึ่งขอนั้ นด วย รูชั ดซึ่ งธรรมอั นยิ่ งไปกวานั้ นด วย และไม จับฉวยไวซึ่ งสิ่ งที่ ตถาคตรูแล วนั้ นด วย และ เมื่ อไม จับฉวยอยูความดับเย็น (นิ พฺ พุ ติ ) ก็ เป นสิ่ งที่ ตถาคตรูแจงแล วเฉพาะตนนั่ นเที ยว เพราะรูแจ งตามที่ เป นจริงซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ น ซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได ซึ่ งรสอรอย ซึ่ งโทษ อัน เลวทราม ซึ ่ง อุบ ายเปน เครื ่อ งออกไปพน แหง เวทนาทั ้ง หลาย. ดูก อ นภิก ษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตเป น ผู พ น วิ เศษแล ว เพราะความไม ยึ ดมั่ น . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมทั้ งหลายเหล านี้ แล เป นธรรมที่ ลึ ก ที่ สั ตว อื่ นเห็ นได ยาก ยากที่ สั ตว อื่ นจะรูตาม เปนธรรมเงียบสงบ ประณี ต ไม เป นวิสัยที่จะหยั่งลงงายแหงความตรึก เปนของละเอียด รูได เฉพาะบั ณฑิ ตวิสั ย, ซึ่ งเราตถาคตได ทํ าให แจงด วยป ญญาอั นยิ่ งเองแล วสอนผู อื่ น ให รู แจ ง, เป น คุ ณ วุ ฒิ เครื่ องนํ าไปสรรเสริ ญ ของผู ที่ เมื่ อ จะพู ด สรรเสริ ญ เราตถาคต ใหถูกตองตรงตามที่เปนจริง.
www.buddhadasa.info หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เ ห็ น ว า แม ทิ ฏ ฐิ ข องพวก อธิ จจสมุ ปป นนิ กวาท ๒ จํ าพวกนี้ ก็ มี มู ลมาจากสิ่ งที่ เรียกว า "เวทนา" มี ข อความอย างเดี ยว กั บ ข อ ความที่ พ ระองค ต รั ส เกี่ ย วกั บ พวกสั ส สตวาท ขอให ย อ นไปดู ห มายเหตุ ท า ยหมวด สั ส สตวาท อี ก ครั้ง หนึ่ ง จนเห็ น ว า ถ า ไม รูแ จ ง เวทนา ในลั ก ษณะอย า งนั้ น ย อ มไม พ น ไป จากข ายแห งอธิ จจสมุ ปป นนิ กทิ ฏฐิ ๒ ประการนี้ ได . นี่ แหละคื อความสํ าคั ญ ของสิ่ งที่ เรี ยกว า "เวทนา" เพียงสิ่งเดียว.
(ครั้ นตรัสปุ พพั นตกั ปป กทิ ฏฐิ ๑๘ ประการ จบลงดั งนี้ แล ว ต อนี้ ไปเป นการตรัสอปรันตกั ปป ก ทิฏฐิ ๔๔ ประการ:-)
www.buddhadasa.info
๗๕๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
[หมวด ๒ อปรันตกัปปกวาท ๔๔ ประการ] ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มี สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง เป นพงกอปรั นตกั ปป กวาท มี อปรั นตานุ ทิ ฏฐิ [ ทิ ฏฐิ เป นไปตามซึ่ งขั นธิ อั นเป นอปรั นติ (ขั นธ มี ส วนสุ ดในเบื้ องหน า)] ปรารภซึ่ งขั นธ มี ที่ สุ ดในเบื้ องหน า ย อมกล าวบั ญ ญั ติ ซึ่ งอธิ มุ ตติ บททั้ งหลาย มี อย างเป น อเนก ด ว ยวั ต ถุ ทั้ งหลาย ๔๔ ประการ. สมณพราหมณ ทั้ .หลายเหล า นั้ น อาศั ย อะไร ปรารภอะไร จึงบัญญัติอธิมุตติบท ดวยวัตถุทั้งหลาย ๔๔ ประการเหลานั้น!
(จ.อุทธมาฆตนิก ชนิด สัญญีทิฏฐิ ๑๖ ประการ) ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! มี ส มณพราหมณ พ วกหนึ่ ง เป น พวกอุ ท ธมาฆตนิ ก สัญญีวาท ยอมบัญญัติอัตตาหลังจากตายแลววามีสัญญาดวยวัตถุทั้งหลาย ๑๖ ประการ: (๑๙) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! มี ส มณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า "(ตอ งเปน ) อัต ตามีรูป ๑ (เทา นั ้น จึงจะ) เปน อัต ตาหาโรคมิได (อโรโค)๒หลัง จากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
www.buddhadasa.info (๒๐) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า "(ตองเปน) อัตตาไมมีรูป ๓(เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
๑
อัตตามีรูป คืออัตตาที่มีรูปสมาบัติเปนนิทานสัมภวะ. อโรโค หรือหาโรคมิได หมายถึงความที่ยั่งยืน ไมมีอะไรกระทบกระทั่งใหเกิดการเปลี่ยนแปลงได. ๓ อัตตาไมมีรูป คือัตตาที่มีอรูปสมาบัติเปนนิทานสัมภวะ ๒
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๕๑
(๒๑) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า "อัตตามีรูปก็ได ไมมีรูปก็ได เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตว มีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง). (๒๒) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า "(ตองเปน) อัตตามีรูปก็มิไชไมมีรูปก็มิใช (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง). (๒๓) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า "(ต อ งเป น อั ต ตามี ที่ สุ ด (เท านั้ น จึ งจะ) เป น อั ต ตาหาโรคมิ ได หลั งจากตาย แลว,เปนสัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง). (๒๔) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อมบั ญ ญั ติ ว า "(ต อง เปน) อัตตาไมมีที่สุด (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
www.buddhadasa.info (๒๕) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า "อัต ตามี ที่ สุ ด ก็ ได ไม มี ที่ สุด ก็ ได เป น อั ต ตาหาโรคมิ ได หลั งจากตายแล ว, เป น สัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
(๒๖) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อมบั ญ ญั ติ ว า "(ต อง เปน) อัตตามีที่สุดก็มิใชไมมีที่ สุดก็มิใช (เทานั้น จึงจะ) เป นอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
www.buddhadasa.info
๗๕๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
(๒๗) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ พ วกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า " (ตองเปน) อัตตามีสัญญาอยางเดียวกัน (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง). (๒๘) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พ วกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า "(ตองเป น ) อัตตามีสัญ ญานานาอยาง (เท านั้น จึงจะ) เปน อัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง). (๒๙) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! สมณพราหมณพวกหนึ่ง ยอมบัญญัติวา "(ตองเปน) อัตตามีสัญญานอย (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิไดหลังจากตายแลว,เปน สัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง). (๓๐) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อมบั ญญั ติ ว า "(ต อง เปน) อัตตามีสัญญา (มาก) ไมมีประมาณ (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
www.buddhadasa.info (๓๑) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พ วกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า "(ตองเปน) อัตตามีสุขโดยสวนเสดียว (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
(๓๒) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พ วกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า "(ตองเปน) อัตตามีทุกขโดยสวนเดียว (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๕๓
(๓๓) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า "(ตองเปน) อัตตามีทั้งสุขและทุกข (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจาก ตายแลว, เปนสัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง). (๓๔) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า "(ตอ งเปน ) อัต ตาไมม ีทั ้งทุก ขแ ละสุข (เทา นั ้น จึงจะ) เปน อัต ตาหาโรคมิไ ด หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง). ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ที่ เป นพวกอุ ทธมาฆตนิ กสั ญญี วาท ย อมบั ญญั ติ อั ตตาหลั งจากตายแล วว ามี สั ญญา; สมณพราหมณ ทั้ งหลาย เหล านั้ นทั้ งหมด ก็ บั ญ ญั ติ โดยอาศั ยวั ตถุ ทั้ งหลาย ๑๖ ประการเหล านี้ นั่ นเที ยว หรื อว า ด วยวั ตถุ ประการใดประการหนึ่ ง ในบรรดาวั ตถุ ทั้ งหลาย ๑๖ ประการเหล านี้ , วั ตถุ อื่ น นอกจากนี้ มิ ไ ด มี . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ตถาคตย อ มรู ชั ด ว า ฐานะที่ ตั้ ง แห ง ทิ ฏ ฐิ เหล านี้ เมื่ อใครถื อเอาแล วอย างนี้ ลู บคลํ าแล วอย างนี้ ก็ จะมี คติ อย างนั้ น มี อภิ สั มปรายภพ อย า งนั้ น : ตถาคตย อ มรู ชั ด ซึ่ ง ข อ นั้ น ด ว ย รู ชั ด ซึ่ ง ธรรมอั น ยิ่ ง ไปกว า นั้ น ด ว ย และไม จับฉวยไวซึ่ งสิ่ งที่ ตถาคตรูแล วนั้ นด วย และเมื่ อไม จั บฉวยอยู ความดั บเย็ น (นิ พฺ พุ ติ ) ก็ เป น สิ่ งที่ ต ถาคตรู แ จ ง แล ว เฉพาะตนนั่ น เที ย ว เพราะรู แ จ ง ตามที่ เป น จริ งซึ่ ง เหตุ ให เกิ ด ขึ้ น ซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได ซึ่ งรสอร อย ซึ่ งโทษอั นเลวทราม และซึ่ งอุ บายเป นเครื่ องออกไปพ น แห งเวทนาทั้ งหลาย. ดู ก อ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตเป นผู พ น วิ เศษแล ว เพราะความ ไม ยึ ด มั่ น . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ธรรมทั้ งหลายเหล า นี้ แ ล เป น ธรรมที่ ลึ ก ที่ สั ต ว อื่ น เห็ นได ยาก ยากที่ สั ตว อื่ นจะรู ตาม เป นธรรมเงี ยบสงบ ประณี ต ไม เป นวิ สั ยที่ จะหยั่ งลง งายแหงความตรึก เปนของละเอียด รูไดเฉพาะบัณฑิตวิสัย, ซึ่งเราตถาคตไดทําใหแจง
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๗๕๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ด วยป ญ ญาอั นยิ่ งเอง แล วสอนผู อื่ นให รู แจ ง, เป นคุ ณ วุ ฒิ เครื่ องนํ าไปสรรเสริ ญ ของผู ที่เมื่อจะพูดสรรเสริญเราตถาคตใหถูกตองตรงตามที่เปนจริง.!
(ฉ.อุทธมาฆตนิก ชนิด อสัญญีทิฏฐิ ๘ ประการ) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มี สมณพราหมณ พ วกหนึ่ ง เป น พวกอุ ท ธมาฆตนิ กอสั ญ ญี วาท ย อมบั ญ ญั ติ อั ตตาหลั งจากตายแล ว ว าไม มี สั ญ ญา ด วยวั ตถุ ทั้ งหลาย ๘ ประการ : (๓๕) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า “(ตองเปน) อัตตามีรูป (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวไมมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง). (๓๖) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า “(ตองเปน) อัตตาไมมีรูป (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวไมมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
www.buddhadasa.info (๓๗) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า “อัตตามีรูปก็ไดไมมีรูปก็ได เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตว ไมมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
(๓๘)ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณ พราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า “(ตองเปน) อัตตามีรูปก็ มิใชไมมีรูปก็มิใช (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวไมมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๕๕
(๓๙) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พ วกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า (ตองเป น) อัตตามี ที่ สุด (เท านั้ น จึงจะ) เป นอั ตตาหาโรคมิ ได หลั งจากตาย แลว,เปนสัตวไมมีสัญญา" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง). (๔๐)ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พ วกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า “(ตองเปน) อัตตาไมมีที่สุด(เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวไมมีสัญญา" ดังนี้(นี้อยางหนึ่ง). (๔๑)ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พ วกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า “อัตตามีที่สุดก็ไดไมมีที่สุดก็ได เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตว ไมมีสัญญา" ดังนี้(นี้อยางหนึ่ง). (๔๒)ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พ วกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า “(ตองเปน) อัตตามีที่สุดก็มิใชไมมีที่สุดก็มิใช(เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรค มิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวไมมีสัญญา" ดังนี้(นี้อยางหนึ่ง).
www.buddhadasa.info ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ที่ เป นพวกอุ ทธมาฆตนิ กอสั ญญี วาท ย อมบั ญญั ติ อั ตตาหลั งจากตายแล ววามี สั ญญา; สมณพราหมณ ทั้ งหลาย เหล านั้ นทั้ งหมด ก็ บั ญญั ติ โดยอาศั ยวั ตถุ ทั้ งหลาย ๘ ประการเหล านี้ นั่ นเที ยว หรือว าด วย วั ตถุ ประการใดประการหนึ่ ง ในบรรดาวั ตถุ ทั้ งหลาย ๘ ประการเหล านี้ , วั ตถุ อื่ นนอกจากนี้ มิ ได มี . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตย อมรูชั ดว า ฐานะที่ ตั้ งแห งทิ ฏฐิ เหล านี้ เมื่ อใคร ถื อเอาแล วอย างนี้ ลู บคลํ าแล วอย างนี้ ก็ จะมี คติ อย างนั้ น มี อภิ สั มปรายภพอย างนั้ น: ตถาคตยอมรูชัดซึ่งขอนั้นดวย รูชัดซึ่งธรรมอันยิ่งไปกวานั้นดวย และไมจับฉวยไวซึ่งสิ่ง
www.buddhadasa.info
๗๕๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ที่ ตถาคตรูแล วนั้ นด วย และเมื่ อไม จั บฉวยอยู ความดั บเย็ น (นิ พฺ พุ ติ ) ก็ เป นสิ่ งที่ ตถาคต รูแจ งแล วเฉพาะตนนั่ นเที ยว เพราะรูแจ งตามที่ เป นจริงซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได ซึ่ งรสอร อย ซึ่ งโทษอั นเลวทราม และซึ่ งอุ บายเป นเครื่ องออกไปพ น แห งเวทนา ทั้ งหลาย. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตเป น ผู พ น วิ เศษแล ว เพราะความไม ยึ ด มั่ น . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ธรรมทั้ งหลายเหล านี้ แ ล เป น ธรรมที่ ลึ ก ที่ สั ต ว อื่ น เห็ น ได ย าก ยากที่ สั ตวอื่ นจะรูตาม เป นธรรมเงียบสงบ ประณี ต ไม เป นวิ สั ยที่ จะหยั่ งลงงายแห งความ ตรึก เป นของละเอี ยด รูได เฉพาะบั ณ ฑิ ตวิ สั ย, ซึ่ งเราตถาคตได ทํ าให แจ งด วยป ญ ญา อั นยิ่ งเอง แล วสอนผู อื่ นให รู แจ ง, เป นคุ ณ วุ ฒิ เครื่ องนํ าไปสรรเสริ ญ ของผู ที่ เมื่ อจะพู ด สรรเสริญเราตถาคตใหถูกตองตรงตามที่เปนจริง.
(ช.อุทธมาฆตนิก ชนิด เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ ๘ ประการ) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มี สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง เป นพวกอุ ทธมาฆตนิ กเนวสั ญ ญี น าสั ญ ญี วาท ย อ มบั ญ ญั ติ อั ต ตาหลั งจากตายแล ว ว ามี สั ญ ญาก็ ห ามิ ได ไมมีสัญญาก็หามิได ดวยวัตถุทั้งหลาย ๘ ประการ :
www.buddhadasa.info (๔๓) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พ วกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า “(ตองเปน) อัตตามีรูป (เทานั้น จึงจะ)เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญาก็หามิได ไมมีสัญญาก็หามิได" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
(๔๔) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พ วกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า “(ตองเปน) อัตตาไมมีรูป (เทานั้น จึงจะ)เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญาก็หามิได ไมมีสัญญาก็หามิได" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๕๗
(๔๕) ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า “อัตตามีรูปก็ได ไมมีรูปก็ได เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตว มีสัญญาก็หามิได ไมมีสัญญาก็หามิได" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง). (๔๖)ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อมบั ญ ญั ติ ว า “(ต อง เปน) อัตตามีรูปก็ มิใชไมมีรูปก็มิใช (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลัง จากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญาก็หามิได ไมมีสัญญาก็หามิได" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง). (๔๗)ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณ พราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า “(ตองเปน) อัตตามีที่สุด (เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญาก็หามิได ไมมีสัญญาก็หามิได" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง). (๔๘)ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมณ พราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ว า “(ตองเปน) อัตตาไมมีที่สุด(เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญาก็หามิได ไมมีสัญญาก็หา มิได" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
www.buddhadasa.info (๔๙)ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อมบั ญ ญั ติ ว า “อั ตตา มี ที่ สุ ดก็ ได ไม มี ที่ สุ ดก็ ได เป นอั ตตาหาโรคมิ ได หลั งจากตายแล ว, เป น สั ต ว มี สัญญาก็หามิได ไมมีสัญญาก็หา มิได" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
(๕๐)ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อมบั ญ ญั ติ ว า “(ต อง เปน) อัตตามีที่สุดสุดก็มิใช ไมมีที่สุดก็มิใช(เทานั้น จึงจะ) เปนอัตตาหาโรคมิได หลังจากตายแลว, เปนสัตวมีสัญญาก็หามิได ไมมีสัญญาก็หามิได" ดังนี้ (นี้อยางหนึ่ง).
www.buddhadasa.info
๗๕๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ที่ เป นพวกอุ ทธมาฆตนิกเนวสัญญี นาสัญญี วาท ยอมบัญญั ติอัตตาหลังจากตายแลววา มีสัญญาก็หามิได ไมมี สัญญาก็หามิได; สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลานั้นทั้งหมด ก็บัญญั ติโดยอาศัยวัตถุทั้งหลาย ๘ ประการเหลานี้ นั่ นเที ยว หรือวาด วยวัตถุประการใดประการหนึ่ ง ในบรรดาวัตถุ ทั้ งหลาย ๘ ประการเหล านี้ , วัตถุ อื่ นนอกจากนี้ มิ ได มี . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตย อมรูชัดวา ฐานะที่ ตั้ งแห งทิ ฏฐิเหล านี้ เมื่ อใครถื อเอาแล วอย างนี้ ลู บคลํ าแล วอย างนี้ ก็ จะมี คติ อย างนั้ น มี อภิ สั มปรายภพอย างนั้ น: ตถาคตย อมรูชั ดซึ่ งข อนั้ นด วย รูชั ดซึ่ งธรรมอั น ยิ่ งไปกวานั้ นด วย และไม จั บฉวยไว ซึ่ งสิ่ งที่ ตถาคตรูแล วนั้ นด วย และเมื่ อไม จั บฉวยอยู ความดับเย็น (นิพฺพุติ) ก็เปนสิ่งที่ตถาคตรูแจงแลวเฉพาะตนนั่นเทียว เพราะรูแจงตามที่ เป นจริงซึ่ งเหตุ ให เกิ ด ขึ้ น ซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได ซึ่ งรสอรอ ย ซึ่ งโทษอั น เลวทราม และ ซึ่งอุ บายเป นเครื่องออกไปพ น แห งเวทนาทั้ งหลาย. ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคต เป น ผู พ น วิ เศษแล ว เพราะความไม ยึ ด มั่ น . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ธรรมทั้ ง หลาย เหล านี้ แล เป นธรรมที่ ลึ ก ที่ สั ตว อื่ นเห็ นได ยาก ยากที่ สั ตว อื่ นจะรูตาม เป นธรรมเงียบ สงบ ประณี ต ไม เป นวิ สั ยที่ จะหยั่ งลงงายแห งความตรึก เป นของละเอี ยด รูได เฉพาะ บั ณ ฑิ ตวิสั ย, ซึ่ งเราตถาคตได ทํ าให แจ งด วยป ญญาอั นยิ่ งเอง แล วสอนผู อื่ นให รูแจ ง, เป นคุ ณวุฒิ เครื่องนํ าไปสรรเสริญ ของผูที่ เมื่ อจะพู ดสรรเสริญเราตถาคตให ถูกต องตรงตาม ที่เปนจริง.
www.buddhadasa.info (ฌ. อุจเฉททิฏฐิ ๗ ประการ)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มี สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง เป นพวกอุ จเฉทวาท ย อม บั ญ ญั ติ ซึ่ ง ความขาดสู ญ ซึ่ ง ความพิ น าศ ซึ่ ง ความไม มี แห ง สั ต ว ที่ มี อ ยู ด ว ยวั ต ถุ ทั้งหลาย ๗ ประการ : -
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๕๙
(๕๑) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บางท าน มี วาทะอย างนี้ มี ทิ ฏฐิ อยางนี้วา "ดูกอนท านผูเจริญ! อัตตานี้ใด ที่ เปน อั ตตามี รูป ประกอบขึ้นด วยมหาภู ต ทั้ง ๔ มีมารดาบิดาเปนแดนเกิด ภายหลังแตการตาย เพราะการทําลายแหงกาย ย อ มขาดสู ญ ย อ มวิ น าศ ย อ มไม มี . ท านผู เจริญ เอ ย ! อั ต ตานี้ เท านั้ น ที่ ชื่ อ ว าเป น อั ต ตาอั นขาดสู ญ โดยถู กต อง" ดั งนี้ . สมณพราหมณ พ วกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ซึ่ งความ ขาดสูญ ซึ่งความวินาศ ซึ่งความไมมี แหงสัตวที่มีอยู อยางนี้. (๕๒) สมณพราหมณ ผู อื่ น กล าวกะสมณพราหมณ ผู นั้ น อย างนี้ ว า ดู ก อน ท านผู เจริ ญ! อั ตตาชนิ ดที่ ท านกล าวนั้ น มี อยู จริ ง ท านกล าวอั ตตาใดว ามี อยู ข าพเจ าก็ มิ ได กล าวว าอั ตตานั้ นไม มี ; แต ว าอั ตตาที่ ท านกล าวเพี ยงเท านั้ น จะชื่ อว าเป นอั ตตาที่ ขาด สู ญ โดยถู กต อง หาได ไม . ท านผู เจริญ เอ ย! เพราะว ายั งมี อั ต ตาอื่ น ที่ เป น ทิ พ ย เป น อั ต ตามี รูป เป น พวกกามาพจร มี ก วฬิ งการาหารเป น ภั ก ษา๑ ท านไม รูไม เห็ น ซึ่ ง อั ต ตานั้ น แต ข าพเจ า ย อ มรู ย อ มเห็ น ซึ่ งอั ต ตานั้ น . ท านผู เจริ ญ เอ ย ! อั ต ตานี้ ใด ภาย หลังแตการตาย เพราะการทําลายแหงกาย ก็ยอมขาดสูญ ยอมวินาศ ยอมไมมี. ท านผู เจริ ญ เอ ย! อั ตตาอย างนี้ ต างหาก จึ งจะชื่ อว าเป นอั ตตาอั นขาดสู ญ โดยถู กต อง" ดั งนี้ . สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อมบั ญญั ติ ซึ่ งความขาดสู ญ ซึ่ งความวิ นาศ ซึ่ งความไม มี แหงสัตวที่มีอยู อยางนี้.
www.buddhadasa.info
๑
ผู ศึ ก ษาพึ งสั งเกตให เห็ น ว า โดยทั่ ว ไปเขาเชื่ อ ว า พวกกายทิ พ ย กิ น อาหารทิ พ ย แต ในที่ นี้ มี พ ระพุ ท ธภาษิ ต กล าวถึ งลั ทธิ ที่ ว ามี พวกกายทิ พย จํ าพวกที่ กิ นอาหารคํ าข าว. ความเชื่ อเรื่ องกายทิ พย ของคนทั่ วไป ยั งไม ต รงกั บ ข อ ความในพระบาลี อยู อ ย างนี้ . พึ งใคร ค รวญและพึ งถื อเอาใจความให ถู ก ต อ งด วย จะได หายงมงาย. ในบาลี ที่ กล าวถึ งอาหารทั้ งสี่ ก็ กล าวทํ านองว า แม กพฬิ งการาหาร ก็ เป น ไปเพื่ อการตั้ งอยู ของภูตสัตว และเพื่ออนุเคราะหแกสัมภเวสีสัตว.
www.buddhadasa.info
๗๖๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
(๕๓) สมณพราหมณ ผู อื่ น กล า วกะสมณพราหมณ ผู นั้ น อย างนี้ ว า "ดู ก อ น ท านผู เจริ ญ ! อั ต ตาชนิ ด ที่ ท านกล าวนั้ น มี อ ยู จริ ง ท านกล าวอั ต ตาใดว ามี อ ยู ข าพเจ าก็ มิ ได กล าวว าอั ตตานั้ นไม มี แต ว าอั ตตาที่ ท านกล าวเพี ยงเท านั้ น จะชื่ อว าเป นอั ตตาที่ ขาดสู ญ โดยถู ก ต อ ง หาได ไม . ท า นผู เจริ ญ เอ ย ! เพราะว า ยั ง มี อั ต ตาอื่ น อั น เป น อั ต ตาที่ มี รู ป สํ าเร็ จ มาจากใจ (มโนมโย) มี อ วั ย วะใหญ น อ ยครบถ ว น มี อิ น ทรี ย ไม ท ราม ท าน ไม รู ไม เห็ น ซึ่ งอั ต ตานั้ น แต ข าพเจ าย อ มรู ย อ มเห็ น ซึ่ งอั ต ตานั้ น . ท านผู เจริ ญ เอ ย ! อั ต ตา นี้ ใด ภายหลั งแต ก ารตาย เพราะการทํ าลายแห งกาย ก็ ย อ มขาดสู ญ ย อ มวิน าศ ย อ มไม มี . ท า นผู เจริ ญ เอ ย ! อั ต ตาอย า งนี้ ต า งหาก จึ ง จะชื่ อ ว า เป น อั ต ตาอั น ขาดสู ญ โดยถู กต อง" ดั งนี้ . สมณพราหมณ พวกหนึ่ งย อมบั ญ ญั ติ ซึ่ งความขาดสู ญ ซึ่ งความวิ นาศ ซึ่งความไมมี แหงสัตวที่มีอยู อยางนี้. (๕๔) สมณพราหมณ ผู อื่ น กล าวกะสมณพราหมณ ผู นั้ น อย างนี้ ว า "ดู ก อ น ท านผู เจริ ญ ! อั ตตาชนิ ดที่ ท านกล าวนั้ นมี อยู จริ ง ท านกล าวอั ตตาใดว ามี อยู ข าพเจ าก็ มิ ได กล าวว าอั ตตานั้ นไม มี แต ว าอั ตตาที่ ท านกล าวเพี ยงเท านั้ น จะชื่ อว าเป นอั ตตาที่ ขาดสู ญ โดยถู ก ต อ ง หาได ไม . ท า นผู เจริ ญ เอ ย ! เพราะว า ยั ง มี อั ต ตาอื่ น อั น เป น อั ต ตาซึ่ ง เข า ถึ งอากาสานั ญ จายตนะ อั น มี ค วามรู สึ กอยู แต เพี ย งว า `อากาศหาที่ สุ ด มิ ได ' ดั งนี้ อ ยู , เพราะว าเป นอั ตตาซึ่ งก าวล วงรู ปสั ญ ญาเสี ยได โดยประการทั้ งปวง เพราะดั บไปแห งปฏิ ฆ สั ญ ญา เพราะไม ก ระทํ าสั ญ ญาต าง ๆ ไว ในใจ. ท านผู เจริ ญ เอ ย ! ท านย อ มไม รู ไม เห็ น ซึ่ งอั ต ตาใด ข าพเจ าย อ มรู ย อ มเห็ น ซึ่ งอั ต ตานั้ น . ท านผู เจริ ญ เอ ย ! อั ต ตานี้ ใด ภายหลั ง แตตายแลว เพราะการ_ทําลายแหงกาย ก็ยอมขาดสูญ ก็ยอมขาดสูญ ยอมวินาศ ยอมไมมี. ท า นผู เจริ ญ เอ ย ! อั ต ตาอย า งนี้ ต า งหาก จึ ง จะชื่ อ ว า เป น อั ต ตาอั น ขาดสู ญ โดยถู ก ต อ ง" ดั งนี้ . สมณพราหมณ พ วกหนึ่ งย อมบั ญ ญั ติ ซึ่ งความขาดสู ญ ซึ่ งความวิ นาศ ซึ่ งความไม มี แหงสัตวที่มีอยู อยางนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๖๑
(๕๕) สมณพราหมณ ผู อื่น กล าวกะสมณพราหมณ ผู นั้ นอยางนี้ วา "ดูก อนทาน ผูเจริญ! อัตตาชนิดที่ทานกลาวนั้น มีอยูจริง ท านกลาวอัตตาใดวามี อยู ขาพเจาก็มิได กลาววาอัตตานั้นไม มี แตวาอัตตาที่ ทานกลาวเพี ยงเทานั้ น จะชื่อวาเป นอัตตาที่ขาดสูญ โดยถูกตอง หาไดไม. ทานผูเจริญ เอย! เพราะวายังมีอัตตาอื่น อันเป นอัตตาซึ่งเข า ถึงวิญญาณั ญจายตนะ อันมีความรูสึกอยูแตเพียงวา `วิญญาณหาที่สุดมิได' ดังนี้อยู, เพราะวาเป นอัตตาซึ่งกาวลวงอากาสานัญจายตนะเสียไดโดยประการทั้ งปวง ทานผูเจริญ เอ ย ท านย อมไม รูไม เห็ นซึ่ งอั ตตาใด ช าพเจ าย อมรูย อมเห็ นซึ่ งอั ตตานั้ น.ท านผู เจริญ เอย! อัตตานี้ใด ภายหลังแตตายแลว เพราะการทําลายแหงกาย ก็ยอมขาดสูญ ยอมวินาศ ยอมไมมี. ทานผูเจริญเอย! อัตตาอยางนี้ตางหาก จึงจะชื่อวาเปนอัตตา อันขาดสูญโดยถูกต อง" ดั งนี้. สมณพราหมณ พวกหนึ่ งยอมบั ญญั ติซึ่งความขาดสู ญซึ่ง ความวินาศ ซึ่งความไมมีแหงสัตวที่มีอยู อยางนี้. (๕๖) สมณพราหมณ ผู อื่น กล าวกะสมณพราหมณ ผูนั้ นอยางนี้ วา "ดูก อนท าน ผูเจริญ! อัตตาชนิดที่ทานกลาวนั้น มีอยูจริง ท านกลาวอัตตาใดวามี อยู ขาพเจาก็มิได กลาววาอัตตานั้นไม มี แตวาอัตตาที่ ทานกลาวเพี ยงเทานั้ น จะชื่อวาเป นอัตตาที่ขาดสูญ โดยถูกตอง หาไดไม. ทานผูเจริญ เอย! เพราะวายังมีอัตตาอื่น อันเป นอัตตาซึ่งเข า ถึงอากิญจัญญายตนะ อันมีความรูสึกอยูแตเพี ยงวา `ไมมีอะไร' ดังนี้อยู, เพราะเป น อัตตาซึ่งกาวล วงวิญญาณั ญจายตนะเสี ยได โดยประการทั้ งปวง. ท านผู เจริญเอ ย! ท าน ย อ มไม รู ไม เห็ น ซึ่ ง อั ต ตาใด ข า พเจ า ย อ มรู ย อ มเห็ น ซึ่ ง อั ต ตานั้ น . ท า นผู เจริญ เอ ย ! อัตตานี้ใด ภายหลังแตตายแลว เพราะการทําลายแหงกาย ก็ยอมขาดสูญ ยอม วินาศ ย อมไม มี . ท านผูเจริญ เอย! อัตตาอยางนี้ตางหาก จึงจะชื่อวาเปนอัตตาอัน ขาดสู ญโดยถู กต อง" ดั งนี้ .สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อมบั ญญั ติ ซึ่ งความขาดสู ญ ซึ่ ง ความวินาศ ซึ่งความไมมีแหงสัตวที่มีอยู อยางนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๗๖๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
(๕๗) สมณพราหมณ ผู อื่ น กล าวกะสมณพราหมณ ผู นั้ น อย างนี้ ว า "ดู ก อ น ท านผู เจริ ญ ! อั ตตาชนิ ดที่ ท านกล าวนั้ น มี อยู จริ ง ท านกล าวอั ตตาใดว ามี อยู ข าพเจ าก็ มิ ได กล าวว าอั ตตานั้ นไม มี แต ว าอั ตตาที่ ท านกล าวเพี ยงเท านั้ น จะชื่ อว าเป นอั ตตาที่ ขาดสู ญ โดยถู ก ต อ ง หาได ไม . ท า นผู เจริ ญ เอ ย ! เพราะว า ยั งมี อั ต ตาอื่ น อั น เป น อั ต ตาซึ่ งเข า ถึ งซึ่ งเนวสั ญญานาสั ญญายตนะอยู เพราะว าเป นอั ตตาซึ่ งก าวล วงอากิ ญจั ญญายตนะ เสี ย ได โดยประการทั้ งปวง. ท านผู เจริ ญ เอ ย ! ท านย อ มไม รู ไม เห็ น ซึ่ งอั ต ตาใด ข าพเจ า ย อมรู ย อมเห็ นซึ่ งอั ตตานั้ น. ท านผู เจริ ญ เอ ย! อั ตตานี้ ใด ภายหลั งแต ตายแล ว เพราะ การทําลายแหงกาย ก็ยอมขาดสูญ ก็ยอมขาดสูญ ยอมวินาศ ยอมไมมี. ทานผูเจริญเอย! อัตตา อย า งนี้ ต างหาก จึ งจะชื่ อ ว าเป น อั ต ตาอั น ขาดสู ญ โดยถู ก ต อ ง" ดั งนี้ . สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อ มบั ญ ญั ติ ซึ่ ง ความขาดสู ญ ซึ่ ง ความวิ น าศ ซึ่ ง ความไม มี แ ห ง สั ต ว ที่ มี อ ยู อยางนี้. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ที่ เป นพวกอุ จเฉทวาท ย อ มบั ญ ญั ติ ซึ่ ง ความขาดสู ญ ซึ่ ง ความวิ น าศ ซึ่ ง ความไม มี แห งสั ต ว ที่ มี อ ยู ; สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ นทั้ งหมด ก็ บั ญญั ติ โดยอาศั ยวั ตถุ ทั้ งหลาย ๗ ประการเหล านี้ นั่ น เที ยว หรื อว าด วยวั ตถุ ประการใดประการหนึ่ งในบรรดาวั ตถุ ทั้ งหลาย ๗ ประการเหล านี้ , วั ต ถุ อื่ น นอกจากนี้ มิ ได มี . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตย อ มรู ชั ด ว า ฐานะที่ ตั้ งแห ง ทิ ฏ ฐิ เหล านี้ เมื่ อ ใครถื อ เอาแล วอย างนี้ ลู บ คลํ าแล วอย างนี้ ก็ จ ะมี ค ติ อ ย างนั้ น มี อ ภิ สั มปรายภพอย างนั้ น : ตถาคตย อมรู ชั ดซึ่ งข อนั้ นด วย รู ชั ดซึ่ งธรรมอั นยิ่ งไปกว านั้ นด วย และไม จั บฉวยไว ซึ่ งสิ่ งที่ ตถาคตรูแล วนั้ นด วย และเมื่ อไม จั บฉวยอยู ความดั บเย็ น (นิ พฺ พุ ติ ) ก็ เป นสิ่ งที่ ตถาคตรู แจ งแล วเฉพาะตนนั่ นเที ยว เพราะรู แจ งตามที่ เป นจริ งซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ น ซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได ซึ่ งรสอร อย ซึ่ งโทษอั นเลวทราม และซึ่ งอุ บายเป นเครื่ องออกไปพ น แหงเวทนาทั้งหลาย. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ตถาคตเปนผูพนวิเศษแลว เพราะความ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๖๓
ไม ยึ ดมั่ น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมทั้ งหลายเหล านี้ แล เป นธรรมที่ ลึ ก ที่ สั ตว อื่ น เห็ นไดยาก ยากที่ สัตวอื่นจะรูตาม เป นธรรมเงียบสงบ ประณี ต ไม เป นวิสั ยที่ จะหยั่งลง งายแห งความตรึก เป นของละเอี ยด รูได เฉพาะบั ณ ฑิ ตวิสั ย, ซึ่ งเราตถาคตได ทํ าให แจ งด วยป ญ ญาอั นยิ่ งเอง แล วสอนผู อื่ นให รู แจ ง, เป นคุ ณ วุ ฒิ เครื่ องนํ าไปสรรเสริ ญ ของผูที่เมื่อจะพูดสรรเสริญเราตถาคตใหถูกตองตรงตามที่เปนจริง.
(ญ. ทิฏฐธัมมนิพพานทิฏฐิ ๕ ประการ) ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! มี สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง เป นพวกทิ ฏฐิ ธัมมนิ พพานวาท ย อมบั ญ ญั ติ ซึ่งปรมทิ ฏฐธัมมนิ พพาน (นิ พพานอย างยิ่งในทิ ฏฐธรรม) แก สั ตว ที่มีอยู ดวยวัตถุทั้งหลาย ๕ ประการ : (๕๘) ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ บางท าน มี วาทะอย างนี้ มี ทิ ฏฐิ อยางนี้วา "อัตตานี้ใด อิ่มเอิบแลว เพียบพรอมแลว ใหเขาบําเรออยู ดวย กามคุณ ทั้งหลาย ๕ ประการ. ทานผูเจริญ เอย!อัตตาอยางนี้เทานั้น เป น อัต ตา ที่ถึงแลวซึ่งปรมทิฏฐธัมมนิพพาน" ดังนี้. สมณพราหมณ พวกหนึ่ง ยอมบัญ ญั ติ ซึ่งปรมทิฏฐธัมมนิพพาน แกสัตวที่มีอยู อยางนี้.
www.buddhadasa.info (๕๙) สมณพราหมณ ผู อื่ นกล าวกะสมณพราหมณ ผู นั้ น อย างนี้ ว า "ดู ก อน ทานผูเจริญ! อัตตาชนิดที่ทานกลาวนั้น มีอยูจริง ทานกลาวอัตตาใดวามีอยู ขาพเจาก็ มิ ได กล าวว าอั ตตานั้ นไม มี แต ว าอั ตตาที่ กล าวเพี ยงเท านั้ น จะชื่ อว าเป นอั ตตาที่ บรรลุ ปรมทิฏฐธัมมนิพพาน หาไดไม. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา? ทานผูเจริญเอย! ขอนั้นเพราะ
www.buddhadasa.info
๗๖๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
เหตุ ว า กามทั้ งหลาย ไม เที่ ยง เป นทุ กข มี ความแปรปรวนเป นธรรมดา;โสกะปริ เทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย ย อมบั งเกิ ดขึ้ นเพราะความแปรปรวนเป นอย างอื่ น ของ กามทั้งหลายเหลานั้น. ทานผูเจริญเอย! แตวาอัตตานี้ใด เป นอัตตาที่ สงัดแลวจาก กามทั้งหลาย สงัดแลวจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เขาถึงซึ่งปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มี ป ติ และสุ ขอั นเกิ ดแต วิ เวก แล วแลอยู . ท านผู เจริญ เอ ย! อั ตตาอย างนี้ เท านั้ นแล ที่ ชื่ อ วาเป น อั ต ตาอั น บรรลุ แ ล วซึ่ งปรมทิ ฏ ฐธั ม มนิ พ พาน" ดั งนี้ . สมณพราหมณ พ วก หนึ่งยอมบัญญัติปรมทิฏฐธัมมนิพพาน แกสัตวที่มีอยู อยางนี้. (๕๙) สมณพราหมณ ผู อื่ นกล าวกะสมณพราหมณ ผู นั้ น อย างนี้ ว า "ดู ก อน ท านผู เจริญ! อั ตตาชนิ ดที่ ท านกล าวนั้ น มี อยู จริง ท านกล าวอั ตตาใดว ามี อยู ข าพเจ าก็ มิ ได กล าวว าอั ตตานั้ นไม มี แต ว าอั ตตาที่ กล าวเพี ยงเท านั้ น จะชื่ อว าเป นอั ตตาที่ บรรลุ ปรมทิ ฏ ฐธั ม มนิ พ พาน หาได ไม . ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไรเล า ? ท า นผู เจริ ญ เอ ย ! ข อ นั้ น เพราะเหตุ ว า ในปฐมฌานนั้ น องค ฌ านใด เป นเพี ยงธรรมอั นบุ คคลทํ าการวิ ตกทํ าการ วิ จารแล ว, เพราะเหตุ แห งองค ฌ านนั้ น ท านจึ งกล าวซึ่ งปฐมฌานนั้ น ว าเป นของที่ ยั ง หยาบอยู . ท านผู เจริญ เอ ย! แต วาอั ต ตานี้ ใด เป น อั ต ตาที่ ร ะงับ วิต กวิ จ ารเสี ย ได แล วเข าถึ งทุ ติ ยฌาน อั นไม มี วิตกไม มี วิจาร มี แต ป ติ และสุ ขอั นเกิ ดแต สมาธิ อั นเป น เครื่ องผ องใสแห งใจในภายใน ทํ าให สมาธิ เป นธรรมอั นเอกผุ ดมี ขึ้ น, แล วแลอยู . ท าน ผูเจริญเอย! อัตตาอยางนี้เทานั้นแล ที่ชื่อวาเปนอัตตาอันบรรลุแลวซึ่งปรมทิฏฐธัมมนิ พพาน" ดั งนี้ . สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อมบั ญ ญั ติ ปรมทิ ฏฐธั มมนิ พพาน แก สั ตว ที่มีอยู อยางนี้.
www.buddhadasa.info (๖๐) สมณพราหมณ ผู อื่ นกล าวกะสมณพราหมณ ผู นั้ น อย างนี้ ว า "ดู ก อน ทานผูเจริญ! อัตตาชนิดที่ทานกลาวนั้น มีอยูจริง ทานกลาวอัตตาใดวามีอยู ขาพเจาก็
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๖๕
มิ ได กล าวว าอั ตตานั้ นไม มี แต ว าอั ตตาที่ กล าวเพี ยงเท านั้ น จะชื่ อว าเป นอั ตตาที่ บรรลุ ปรมทิ ฏ ฐธั ม มนิ พ พาน หาได ไม . ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไรเล า ? ท า นผู เจริญ เอ ย ! ข อ นั้ น เพราะเหตุ วา ในทุ ติ ยฌานนั้ น องค แห งฌานใด ถึงซึ่ งป ติเป นที่ เฟ องฟู แห งใจ, เพราะ เหตุ แห งองค ฌานนั้ น ท านจึงกล าวซึ่งทุ ติ ยฌานนั้ นวายั งเป นของที่ ยังหยาบอยู . ท านผู เจริญเอย! แตวาอัตตานี้ใด เปนอัตตาที่เขาถึงซึ่งตติยฌาน เพราะความจางคลายแหง ป ติ ด วย เป นผู อุ เบกขาด วย มี สติ สั มปชั ญญะด วย เสวยสุ ขโดยนามกายด วย อั นเป น ฌานที่ พระอริยเจาทั้ งหลาย กล าวสรรเสริญผู เขาถึงฌานนี้ วา เป นผูอยูอุ เบกขา มี สติ อยู เป น สุ ข ดั งนี้ , แล ว แลอยู . ท า นผู เจริญ เอ ย ! อั ต ตาอย า งนี้ เท า นั้ น แล ที่ ชื่ อ ว า เป น อัตตาอันบรรลุแลวซึ่งปรมทิฏฐธรรมนิพพาน" ดังนี้. สมณพราหมณพวกหนึ่ง ยอม บัญญัติปรมทิฏฐธัมมนิพพาน แกสัตวที่มีอยู อยางนี้. (๖๑) สมณพราหมณ ผู อื่ นกล าวกะสมณพราหมณ ผู นั้ น อย างนี้ ว า "ดู ก อน ทานผูเจริญ! อัตตาชนิดที่ทานกลาวนั้น มีอยูจริง ทานกลาวอัตตาใดวามีอยู ขาพเจาก็ มิ ได กล าวว าอั ตตานั้ นไม มี แต ว าอั ตตาที่ กล าวเพี ยงเท านั้ น จะชื่ อว าเป นอั ตตาที่ บรรลุ ปรมทิ ฏ ฐธั ม มนิ พ พาน หาได ไม . ข อ นั้ น เพราะเหตุ ไรเล า ? ท า นผู เจริญ เอ ย ! ข อ นั้ น เพราะเหตุ วา ในตติ ยฌานนั้ น องค แห งฌานใดเป นเพี ยงความยิ นดี แห งจิ ตวา ‘สุ ขๆ' ดั งนี้ , เพราะเหตุ แห งฌานนั้ น ท านจึ งกล าวซึ่ งตติ ยฌานนั้ นวาเป นของที่ ยั งหยาบอยู . ทานผูเจริญเอย! แตวาอัตตานี้ใด เปนอัตตาที่เขาถึงซึ่งจตุตถฌาน อันไมมีทุกขและ สุ ข มี แต ความที่ สติ เป นธรรมชาติ บริสุ ทธิ์เพราะอุ เบกขา เพราะเหตุ ที่ ละสุ ขและทุ กขเสี ยได และเพราะความตั้งอยูไมไดแหงโสมนัสและโทมนัสทั้งหลายในกาลกอน ดังนี้, แลวแลอยู. ทานผูเจริญเอย! อัตตาอยางนี้เทานั้นแลที่ชื่อวาเปนอัตตาอันบรรลุแลวซึ่งปรมทิฏฐธัมมนิ พพาน" ดั งนี้ . สมณพราหมณ พวกหนึ่ ง ย อมบั ญญั ติ ปรมทิ ฏฐธัมมนิ พพาน แก สัตวที่มีอยู อยางนี้.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๗๖๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ที่ เป นพวกทิ ฏฐธั มมนิ พพานวาท ย อมบั ญญั ตซึ่ งปรมทิ ฏฐธั มมนิ พพาน แก สั ตวที่ มี อยู ; สมณพราหมณ ทั้ ง หลายเหลานั้นทั้งหมด ก็บั ญญั ติโดยอาศัยวัตถุทั้งหลาย ๕ ประการเหลานี้นั่นเทียว หรือ ว า ด ว ยวั ต ถุ ป ระการใดประการหนึ่ ง ในบรรดาวั ต ถุ ทั้ ง หลาย ๕ ประการเหล า นี้ , วัตถุอื่นนอกจากนี้ มิไดมี. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ตถาคตยอมรูชัดวา ฐานะที่ตั้งแหงทิฏฐิเหลานี้ เมื่ อใครถื อเอาแล วอย างนี้ ลู บคลํ าแล วอย างนี้ ก็ จะมี คติ อย างนั้ น มี อภิ สั มปรายภพ อยางนั้น : ตถาคตย อมรูชัดซึ่งขอนั้ นดวย รูชัดซึ่งธรรมอันยิ่ งไปกวานั้ นดวย และไม จับ ฉวยไวซึ่งสิ่งที่ตถาคตรูแลวนั้นดวย และเมื่อไมจับฉวยอยู ความดับเย็น (นิพฺพุ ติ) ก็เป น สิ่ งที่ ตถาคตรู แจ งแล วเฉพาะตนนั่ นเที ยว เพราะรู แจ งตามที่ เป นจริ งซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้ นซึ่ ง ความตั้ งอยู ไม ได ซึ่ งรสอรอย ซึ่ งโทษอั นเลวทราม และซึ่ งอุ บายเป นเครื่องออกไปพ น แห งเวทนาทั้ ง หลาย. ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ตถาคตเป น ผู พ น วิ เศษแล ว เพราะ ความไม ยึ ด มั่ น . ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ธรรมทั้ งหลายเหล านี้ แ ล เป น ธรรมที่ ลึ ก ที่ สั ตว อื่ นเห็ นได ยาก ยากที่ สั ตว อื่ นจะรูตาม เป นธรรมเงี ยบสงบ ประณี ต ไม เป นวิ สั ยที่ จะหยั่ งลงง ายแห ง ความตรึ ก เป น ของละเอี ย ด รู ไ ด เฉพาะบั ณ ฑิ ต วิ สั ย , ซึ่ ง เรา ตถาคตไดทําใหแจงดวยป ญญาอันยิ่งเอง แลวสอนผูอื่นใหรูแจง, เป นคุณวุฒิ เครื่องนํ า ไปสรรเสริญ ของผูที่เมื่อจะพูดสรรเสริญเราตถาคตใหถูกตองตรงตามที่เปนจริง.
www.buddhadasa.info (สรุป อปรันตกัปปกทิฏฐิ ๔๔ ประการ)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ซึ่ งเป นพวกอปรันตกั ป ป ก วาท มี อ ปรั น ตานุ ทิ ก ฐิ ปรารภขั น ธ มี ส ว นสุ ด ในเบื้ อ งหน า ; สมณพราหมณ ทั้งหลายเหลานั้นทั้งหมด ยอมกล าวบั ญญั ติซึ่งอธิมุ ตติบททั้งหลาย มีประการตาง ๆ เป น อเนก ด วยวั ต ถุ ทั้ งหลาย ๔๔ ประการเหล านี้ นั่ น เที ย ว หรื อ ว าด วยวั ต ถุ ป ระการใด ประการหนึ่ง ในบรรดาวัตถุทั้งหลาย ๔๔ ประการเหลานี้, วัตถุอื่นนอกจากนี้มิไดมี.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๖๗
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ตถาคตยอมรูชัดวา ฐานะที่ตั้งแหงทิฏฐิเหลานี้ เมื่อใครถือเอา แล วอย างนี้ ลู บคลํ าแล วอย างนี้ ก็ จะมี คติ อย างนั้ น มี อภิ สั มปรายภพอย างนั้ น : ตถาคต ยอมรูชัดซึ่งขอนั้ นดวย รูชัดซึ่งธรรมอันยิ่งไปกวานั้นดวย และไม จับฉวยไวซึ่งสิ่งที่ตถาคต รูแลวนั้นดวย และเมื่อไมจับฉวยอยู ความดับเย็น(นิพฺพุติ) ก็เปนสิ่งที่ตถาคตรูแจงแลว เฉพาะตนนั่ นเที ยว เพราะรูแจ งตามที่ เป นจริงซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้นซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได ซึ่ ง รสอรอย ซึ่งโทษอันเลวทราม และซึ่งอุบายเปนเครื่องออกไปพ น แห งเวทนาทั้ งหลาย. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคตเป นผู พ นวิ เศษแล ว เพราะความไม ยึ ดมั่ น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้งหลาย! ธรรมทั้ งหลายเหลานี้ แล เป นธรรมที่ลึก ที่ สัตวอื่นเห็ นได ยาก ยากที่สัตวอื่นจะ รูตามเป นธรรมเงียบ สงบ ประณี ต ไม เป นวิสั ยที่ จะหยั่ งลงงายแห งความตรึก เป นของ ละเอียด รูได เฉพาะบั ณฑิ ตวิสั ย, ซึ่งเราตถาคตได ทํ าให แจงด วยป ญญาอันยิ่ งเอง แล ว สอนผู อื่ นให รูแจ ง, เป นคุ ณ วุฒิ เครื่องนํ าไปสรรเสริญ ของผู ที่ เมื่ อจะพู ดสรรเสริญ เรา ตถาคตใหถูกตองตรงตามที่เปนจริง. (สรุปทิฏฐิหมดทั้ง ๖๒ ประการ)
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล าใด ที่ บั ญญั ติ ทิ ฏฐิปรารภ ปุ พพั นตขั นธ บ าง (คื อพวกปุ พพั นตกั ปปกวาท) ปรารภอปรันตขั นธ บ าง (คื อพวกอปรันตกัปป กวาท) ปรารภทั้ งปุ พพั นตะและอปรันตขันธบ าง (คื อพวกปุ พพั นตาปรันตกั ปป กวาท) ล วนแต เป นผู มี ปุ พพั นตาปรันตานุ ทิ ฏฐิ ปรารภขั นธ ทั้ งที่ เป นปุ พพั นตะและอปรันตะ; ดังนี้แลว กลาวบัญญั ติทิฏฐิอันเปนอธิมุตติบท (ทางแหงความหลุดพนอยางยิ่งของสัตว ตามทิฏฐิแหงตนๆ) มีอยางตางๆ กันเป นเอนก ดวยวัตถุ (ที่ตั้งแห งทิ ฏฐิ) ทั้งหลาย ๖๒ ประการเหล านี้ นั่ นเที ยว หรือวาด วยวัตถุประการใดประการหนึ่ ง ในบรรดาวัตถุทั้ งหลาย ๖๒ ประการเหล านี้ , วัตถุ อื่ นนอกจากนี้ มิ ได มี . ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตคาคตย อม รูชัดวา ฐานะที่ตั้งแหงทิฏฐิเหลานี้เมื่อใครถือเอาแลวอยางนี้ ลูบคลําแลวอยางนี้ ก็จะมี
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๗๖๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
คติ อย างนั้ น มี อภิ สั มปรายภพอย างนั้ น : ตถาคตย อมรูชั ดซึ่ งข อนั้ นด วย รูชั ดซึ่ งธรรม อันยิ่งไปกวานั้นดวย และไม จับฉวยไวซึ่งสิ่งที่ตถาคตรูแลวนั้ นดวย และเมื่อไมจับฉวยอยู ความดั บเย็ น(นิ พฺ พุ ติ ) ก็ เป นสิ่ งที่ ตถาคตรูแจ งแล วเฉพาะตนนั่ นเที ยว เพราะรูแจ งตาม ที่ เป นจริงซึ่ งเหตุ ให เกิ ดขึ้นซึ่ งความตั้ งอยู ไม ได ซึ่ งรสอรอย ซึ่งโทษอั นเลวทราม และ ซึ่งอุ บายเป นเครื่องออกไปพ น แห งเวทนาทั้ งหลาย. ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ตถาคต เป นผู พ นวิเศษแล ว เพราะความไม ยึ ดมั่ น. ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ธรรมทั้ งหลายเหล านี้ แล เป น ธรรมที่ ลึ ก ที่ สั ต ว อื่ น เห็ น ได ยาก ยากที่ สั ต ว อื่ นจะรูต ามเป น ธรรมเงี ยบสงบ ประณี ต ไมเปนวิสัยที่จะหยั่งลงงายแหงความตรึก เป นของละเอียด รูไดเฉพาะบัณฑิ ตวิ สั ย, ซึ่ งเราตถาคตได ทํ าให แจ งด วยป ญ ญาอั น ยิ่ งเอง แล วสอนผู อื่ น ให รู แจ ง, เป น คุณวุฒิ เครื่องนําไปสรรเสริญ ของผูที่เมื่อจะพู ดสรรเสริญเราตถาคตใหถูกตองตรงตามที่ เปนจริง. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เ ห็ น ว า ทุ ก ๆ ตอนที่ ท รง แสดงซึ่ งทิ ฏฐิ หมวดหนึ่ งๆจบลงไปทั้ ง ๑๐ หมวดย อย จะมี คํ าสรุปท ายให เห็ นความสํ าคั ญ ของ สิ่ งที่ เรี ยกว า "เวทนา" ในลั กษณะที่ ว าเป น ตั วการสํ าคั ญ : ถ าไม รู สมุ ทั ย ความดั บ รสอร อย โทษต่ํ าทราม และอุ บ ายเป น เครื่อ งออก แห งเวทนาทั้ งหลายแล ว จะไม มี ค วามดั บ เย็ น จะ มี แต การเกิ ดขึ้ นแห งทิ ฏฐิ ทั้ งหลาย ๖๒ ประการนี้ ด วยความยึ ดมั่ นถื อมั่ นอย างใดอย างหนึ่ ง. ในทางที่ ต รงกั น ข า ม ถ ารู ข อ เท็ จจริงทั้ ง ๕ ประการนี้ เกี่ ย วกั บ เวทนาแล ว ไม มี ท างที่ จ ะถื อ เอา หรื อ จะลู บ คลํ า หรื อ จะถึ ง ทั บ ด ว ยอุ ป าทาน ในสิ่ ง ใดเลย. ข า พเจ า ขอรอ งให ต รวจดู คํ า ว า "ผั ส สะ" และ "เวทนา" มากมายหลายสิ บ คํ า ที่ เกี่ ย วข อ งกั น อยู กั บ ทิ ฏ ฐิ เหล า นี้ ดั ง ที่ ปรากฏอยู ใ นพระพุ ท ธภาษิ ต ที่ นํ า มาแสดงไว ก อ นหน า เรื่ อ งทิ ฏ ฐิ ๖๒ นี้ โดยหั ว ข อ ที่ ว า
www.buddhadasa.info "ผั สสะ คื อป จจั ยแห งทิ ฏฐิ ๖๒", และวา "ทิ ฏฐิ ๖๒ เป นเพี ยงความรูสึ กผิ ดๆ ของผู ไ มรู ป ฏิจ จสมุป บาท", "ผัส สะ (แหง ปฏิจ จสมุป บาท) คือ ที ่ม าของ ทิฏฐิ ๖๒". ทิฏฐิวัตถุ คือตนเหตุเดิมอันจะใหเกิดทิฏฐิตาง ๆ ขึ้น มีอยู ๖๒ วัตถุ แตเราเรียกกัน วาทิฏฐิ๖๒ เฉย ๆ.
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๖๙
ถารูปฏิจจสมุปบาท ก็จะไมเกิดทิฏฐิอยางพวกตาบอดคลําชาง๑ ครั้ งนั้ น ภิ กษุ ทั้ งหลายเป นอั นมาก ครองจี วรถื อบาตรเข าไปสู เมื องสาวั ตถี เพื่ อบิ ณ ฑบาต ในเวลาเชา; กลับจากบิณฑบาตแลว ไดเขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจาถึงที่ประทับ แลวกราบทูลวา :-
"ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! ในเมื องสาวั ตถี นี้ มี สมณพราหมณ ปริ พพาชกผู มี ทิฏฐิตาง ๆ กันเปนอันมาก อาศัยอยู ลวนแตมีทิฏฐิตาง ๆ กัน มีความชอบใจตาง ๆ กัน มีความพอใจตาง ๆ กัน อาศัยทิฏฐิตาง ๆ กัน: สมณพราหมณ บางพวก มี วาทะอย างนี้ มี ทิ ฏฐิ อย างนี้ ว า `คํ านี้ ว า โลกเที่ ยง เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ'; สมณพราหมณ บางพวก มี วาทะอยางนี้ มี ทิ ฏฐิอยางนี้ วา `คํ านี้ วา โลกไม เที่ ยง เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ';
www.buddhadasa.info สมณพราหมณ บางพวก มี วาทะอยางนี้ มีทิฏฐิอยางนี้วา `คํานี้วา โลกมีที่ สุด เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ';
สมณพราหมณ บางพวก มี วาทะอย างนี้ มี ทิ ฏฐิ อย างนี้ ว า `คํ านี้ ว า โลกไม มี ที่สุด เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ';
สมณพราหมณ บางพวก มีวาทะอยางนี้ มีทิฏฐิอยางนี้วา `คํานี้วา ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ';
๑
สูตรที่ ๔ ชัจจันธรรค อุ.ขุ. ๒๕/๑๘๒/๑๓๗, ตรัสแกภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
www.buddhadasa.info
๗๗๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
สมณพราหมณบางพวก มีวาทะอยางนี้ มีทิฏฐิอยางนี้วา `คํานี้วา ชีวะก็อันอื่น สรีระก็อันอื่น เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ'; สมณพราหมณ บางพวก มีวาทะอยางนี้ มีทิฏฐิอยางนี้วา `คํานี้วา ตถาคต ภายหลังแตตาย แลว ยอมมีอีก เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ'; สมณพราหมณ บางพวก มีวาทะอยางนี้ มีทิฏฐิอยางนี้วา `คํานี้วา ตถาคต ภายหลังแตตาย แลว ยอมไมมีอีก เทานั้นเปนคําจริง คําอื่นเปนโมฆะ'; สมณพราหมณ บางพวก มี วาทะอย างนี้ มี ทิ ฏฐิ อย างนี้ วา `คํ านี้ วา ตถาคต ภายหลั ง แต ต าย แล ว ย อ มมี อี ก ก็ มี ย อ มไม มี อี ก ก็ มี เท า นั้ น เป น คํ า จริ ง คํ า อื่ น เปนโมฆะ'; สมณพราหมณ บางพวก มี วาทะอย างนี้ มี ทิ ฏฐิอย างนี้ วา `คํ านี้ วา ตถาคต ภายหลังแตตาย แลว ยอมมีอีกก็หามิได ยอมไมมีอีกก็หามิได เทานั้นเปนคําจริง คําอื่น เปนโมฆะ';
www.buddhadasa.info สมณพราหมณ ทั้ งหลายเหล านั้ น เกิ ดการบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกั น ทิ่ มแทงซึ่ งกั นและกั นอยู ด วยหอกคื อปากทั้ งหลายว า `ธรรมเป นอย างนี้ ธรรมมิ ใช เป น อยางนี้; ธรรมมิใชเปนอยางนี้ ธรรมเปนอยางนี้' อยูดังนี้".
ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ปริพพาชกทั้งหลายผูเปนเจาลัทธิอื่น ๆ เหลานั้น เปนคน บอดไรจักษุ จึงไมรูอัตถะ ไมรูอนัตถะ; จึงไมรูธรรมะ ไมรูอธรรมะ : เมื่อ ไมรูอัตถะอนัตถะ เมื่อไมรูธรรมะอธรรมะ ก็เกิดการบาดหมางกัน ทะเลาะกัน
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๗๑
วิวาทกัน ทิ่มแทงซึ่งกันและกันอยูดวยหอกคือปากทั้งหลายวา "ธรรมเปนอยางนี้ ธรรมมิใชเปนอยางนี้: ธรรมมิใชเปนอยางนี้ ธรรมเปนอยางนี้"อยูดังนี้". ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย!เรื่ องเคยมี มาแล ว ในเมื องสาวั ตถี นี้ เอง มี พ ระราชา องค ห นึ่ ง ตรั ส กะราชบุ รุ ษ คนหนึ่ งว า มานี่ ซิ บุ รุ ษ ผู เจริ ญ ! คนตาบอดแต กํ าเนิ ด ใน เมื องสาวั ตถี นี้ มี ประมาณเท าใด ท านจงให คนทั้ งหมดนั้ น มาประชุ มกั นในที่ แห งหนึ่ ง. บรุ ษ นั้ น ทํ า ตามพระประสงค แ ล ว . พระราชานั้ น ได ต รั ส สั่ ง กะบุ รุ ษ นั้ น ว า ดู ก อ น พนาย! ถาอยางนั้น ทานจงแสดงซึ่งชาง แกคนตาบอดแตกําเนิดเถิด. ราชบุรุษนั้น ไดทําตามพระประสงค โดยการ :ให ค นตาบอดแต กํ า เนิ ด พวกหนึ่ ง คลํ า ซึ่ ง ศี รษะช า ง พร อ มกั บ บอกว า นี่ แ หละช า ง ใหค นตาบอดแตกํ า เนิด พวกหนึ ่ง คลํ า ซึ ่ง หูช า ง พรอ มกับ บอกวา นี ่แ หละชา ง ใหค นตาบอดแตกํ า เนิด พวกหนึ ่ง คลํ า ซึ ่ง งาชา ง พรอ มกับ บอกวา นี ่แ หละชา ง ให ค นตาบอดแต กํ า เนิ ด พวกหนึ่ ง คลํ า ซึ่ ง งวงช า ง พร อ มกั บ บอกว า นี่ แ หละช า ง ให ค นตาบอดแต กํ า เนิ ด พวกหนึ่ ง คลํ า ซึ่ ง กายช า ง พร อ มกั บ บอกว า นี่ แ หละช า ง ให ค นตาบอดแต กํ า เนิ ด พวกหนึ่ ง คลํ า ซึ่ ง เท า ช า ง พร อ มกั บ บอกว า นี่ แ หละช า ง ให ค นตาบอดแต กํ า เนิ ด พวกหนึ่ ง คลํ า ซึ่ ง หลั ง ช า ง พร อ มกั บ บอกว า นี่ แ หละช าง ให ค นตาบอดแต กํ าเนิ ดพวกหนึ่ ง คลํ าซึ่ งโคนหางช าง พร อ มกั บ บอกว า นี่ แหละช าง ใหคนตาบอดแตกําเนิดพวกหนึ่ง คลําซึ่งพวงหางชาง พรอมกับบอกวา นี่แหละชาง ดังนี้.
www.buddhadasa.info ครั้ งบุ รุ ษนั้ นแสดงซึ่ งช าง แก พวกคนตาบอดแต กํ าเนิ ด ดั งนั้ นแล ว ได เข าไป กราบทู ลพระราชาว า "พวกคนตาบอดแต กํ าเนิ ดเหล านั้ น ได เห็ นช างแล ว. ข าแต เทวะ! ขอพระองคจงทรงทราบซึ่งสิ่งอันพึงกระทําตอไป ในกาลนี้เถิด พระเจาขา!".พระราชาได
www.buddhadasa.info
๗๗๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๑
เสด็จไปสูที่ ประชุมแหงคนตาบอดแตกําเนิ ด แลวตรัสวา "พ อบอดทั้งหลาย! พ อเห็นชาง แล ว หรื อ ?" ครั้ น ได ท รงรั บ คํ า ตอบว า เห็ น แล ว จึ ง ตรั ส ว า "ถ า เห็ น แล ว พ อ บอด ทั้งหลายจงกลาวดูทีวา ชางนั้น เปนอยางไร?" ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! คนตาบอดพวกใด ได ค ลํ าศี รษะช าง ก็ ก ล าวว า ขาแตเทวราชเจา! ชางเหมือนหมอ, คนตาบอดพวกใด ได คลํ าหู ช าง ก็ กล าวว า ข าแต เทวราชเจ า! ช างเหมื อนกระด ง, คนตาบอดพวกใด ได ค ลํ า งาช า ง ก็ ก ล า วว า ข า แต เทวราชเจ า ! ช า งเหมื อ นผาล, คนตาบอดพวกใด ได คลํ างวงช าง ก็ กล าวว า ข าแต เทวราชเจ า! ช างเหมื อนงอนไถ, คนตาบอดพวกใด ได คลํ ากายช าง ก็ กล าวว า ข าแต เทวราชเจ า! ช างเหมื อนพ อม, คนตาบอดพวกใด ได ค ลํ า เท า ช า ง ก็ ก ล า วว า ข า แต เทวราชเจ า ! ช า งเหมื อ นเสา, คนตาบอดพวกใด ไดคลําหลังชาง ก็กลาววา ขาแตเทวราชเจา! ชางเหมือนครก กระเดื่อง, คนตาบอดพวกใด ไดคลําโคนหางชาง ก็กลาววา ขาแตเทวราชเจา!ชางเหมือนสาก ตําขาว, คนตาบอดพวกใด ไดคลําพวงหางชาง ก็กลาววา ขาแตเทวราชเจา! ชางเหมือน ไมกวาด,
www.buddhadasa.info คนตาบอดแตกําเนิดทั้ งหลายเหลานั้นเถียงกันอยูวา ชางเป นอยางนี้ ชางมิใช อยางนี้ บ าง; ช างมิ ใชอยางนี้ ชางเป นอย างนี้ ต างหาก ดั งนี้ บ าง; ได ประหารซึ่ งกั นและ กันด วยกําหมั ดทั้ งหลาย. ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! พระราชามี ความพอพระทั ยเป นอั นมาก ดวยเหตุนั้น, นี้ฉันใด;
www.buddhadasa.info
วาดวยลัทธิหรืออทิฏฐิที่ขัดกับปฏิจจฯ
๗๗๓
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข อนี้ ก็ ฉั นนั้ น กล าวคื อ ปริ พพาชกทั้ งหลายผู เป น เจาลัทธิอื่น ๆ เหลานั้นเปนคนบอดไรจักษุ จึงไม รูอัต ถะ ไม รูอนั ต ถะ; จึงไม รู ธรรมะ ไมรูอธรรมะ: เมื่อไมรูอัตถะอนัตถะ เมื่อไมรูธรรมะอธรรมะ ก็เกิดการ บาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ทิ่งแทงซึ่งกันและกันอยูดวยหอก คือปาก ทั้งหลายวา "ธรรมเปน อยางนี้ ธรรมมิใชเปน อยางนี้;ธรรมมิใชเปน อยางนี้ ธรรมเปนอยางนี้" อยูดังนี้. ลํ าดั บนั้ นแล พระผู มี พ ระภาคเจ า ทรงรู สึ กความข อนี้ แล ว ได ทรงเปล งอุ ทานนี้ ในเวลา นั้นวา:-
"ไดยินวา สมณพราหมณทั้งหลายพวกหนึ่ง ๆ ยอมของอยู ในทิฏฐิหนึ่งๆ แหงทิฏฐิทั้งหลายเหลานี้. ชนทั้งหลาย ผูมี ความเห็นแลนไปสูที่สุดขางหนึ่ง ๆ ถือเอาซึ่งทิฏฐิตางกัน แลว ยอมวิวาทกัน เพราะเหตุนั้น," ดังนี้ แล. ห ม ายเห ตุผู ร วบ รวม : ผู ศ ึก ษ าพึง สัง เกตใหเ ห็น วา การทะเลาะวิว าทกัน ด ว ย เรื ่ อ ง เดี ย ว กั น มี ขึ ้ น ม า ไ ด เ พ ร า ะ เห ตุ ที ่ พ ว ก ห นึ ่ ง ๆ ถื อ เอ า เพี ย ง ส ว น ห นึ ่ ง ๆ ข อ ง เรื ่อ งนั ้น มายืน ยัน แกผู อื ่น จึง เกิด ความตา งกัน ถึง กับ เปน เหตุใ หว ิว าททํ า รา ยกัน เหมือ นพวก ตาบอดคลํ า ช า ง ๙ พวก ประหั ต ประหารกั น เพราะคลํ า อวั ย วะของช า งคนละส ว นกั น ทั้ ง ๙ พวก. ธรรมหรือ สัต ถุศ าสนใ นพระพุท ธศาสนา เปน เหมือ นชา งที ่ต ัว ใหญยิ ่ง กวา ชา ง แลว ยั ง อาจจะแบง ไดเ ปน ๙ สว น ตามจํ า นวนแหง นวัง คสัต ถุ ศ าสน กลา วคือ สุต ตะ เคยยะ เวยยากรณ ะ คาถา อุท าน อิต ิว ุต ตกะ ชาดก อัพ ภูต ธรรม เวทัล ละ รวม ๙ องคด ว ยกัน ฉัน ใด ก็ฉ ั น นั ้น . แ ตถ า ทุก ค น เขา ใจเรื ่อ งสํ า คัญ เพีย งเรื ่อ งเดีย ว คือ อิท ัป ปจ จ ย ต า ห รือ ปฏิจ จสมุป บาท ที ่ส ามารถแสดงใหเ ห็น วา ธรรมทั ้ง หลายเกี ่ย วขอ งกัน อยา งไร ทั ้ง ในฝา ยเกิด และฝา ยดับ แหง กองทุก ขแ ลว ก็จ ะเทา กับ คลํ า ชา งทีเ ดีย วทั ้ง ตัว ไมม ีโ อกาสจะเถีย งกัน แลว วิวาทหรือทํารายกันไดแตประการใดเลย.
www.buddhadasa.info หมวดที่สิบเอ็ด จบ -------------
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
หมวด ๑๒ วาดวย ปฏิจจสมุปบาท ที่สอไปในทางภาษาคน -เพื่อศีลธรรม
www.buddhadasa.info
๗๗๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฏอิทัปปจจยตา : หัวใจปฏิจจสมุปบาท -----------------อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมี อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป. (ม.ม. ๑๓/๓๕๕/๓๗๑,นิทาน.สํ.๑๖/๘๔/๑๕๕,…)
www.buddhadasa.info
๗๗๗
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่องเฉพาะหมวด สําหรับปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๑๒ วาดวย ปฏิจจสมุปบาทที่สอใหในทางภาษาคน -เพื่อศีลธรรม (มี ๒ เรื่อง)
มีเรื่อง: ทรงขยายความปฏิจจสมุปบาทอยางประหลาด—ธาตุ๓ อยางเปน ที่ตั้งแหงความเ)นไปไดของปฏิจจสมุปบาท.
www.buddhadasa.info
๗๗๘
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ หมวดที่ ๑๒ วาดวย ปฏิจจสมุปบาทที่สอ ไปในทางภาษาคน -เพื่อศีลธรรม ---------------
ทรงขยายความปฏิจจสมุปบาท อยางประหลาด๑ ดูกอนอานนท ! ก็คํานี้วา “ชารามรณะมี เพราะปจจัยคือชาติ” ดังนี้, เชน นี้และ เปนคําที่เรากลาวแลว. ดูกอนอานนท ! ความขอนี้ เธอตองทราบอธิบายโดย ปริยายดังตอไปนี้ ที่ตรงกับหัวขอที่เรากลาวไวแลวา “ชรามณะมี เพราะปจจัยคือชาติ”:ดูกอนอานนน! ถาหากวาชาติ จักไมไดมีแกใครๆ ในที่ไหนๆ โดยทุกชนิด โดยทุก อาการ กลาวคือ เพื่อความเปนเทพ แหงหมูเทพทั้งหลายก็ดี, เพื่อความ
www.buddhadasa.info
๑
มหานิทานสูตร มหา. ที. ๑๐/๖๗/๕๘, ตรัสแกพระอานนท ที่กัมมาสทัมมนิคม แควนกุรุ.
๗๗๙
www.buddhadasa.info
๗๘๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
เปนคนธรรพแหงพวกคนธรรพทั้งหลายก็ดี, เพื่อความเปนยักษแหงพวกยักษทั้งหลาย ก็ดี, เพื่ อความเป นภู ตแหงพวกภู ตทั้ งหลายก็ดี , เพื่ อความเป น มนุ ษย แห งพวกมนุ ษย ทั้งหลายก็ดี, เพื่อความเปนสัตวสี่เท าแหงพวกสัตวสี่เทาทั้งหลายก็ดี, เพื่อความเปน สัตวมีปกแหงพวกสัตวมีปกทั้งหลายก็ดี, เพื่อความเปนสัตวเลื้อยคลานแหงพวกสัตว เลื้อยคลานทั้งหลายก็ดี , แลวไซร; ดูกอนอานนท ! ชาติ ก็จักไม ไดมี แลวแกสัตวทั้ งหลาย เหล า นั้ น ๆ เพื่ อ ความเป น อย า งนี้ แ ล. เมื่ อ ชาติ ไ ม มี เพราะความดั บ ไปแห ง ชาติ โดยประการทั้ งปวงแล ว; ชรามรณะ จะมี ขึ้ นมาให เห็ น ได (ปฺ ญ าเยถ) ไหมหนอ? ("ข อนั้ น หามิ ได พระเจ าข า!") ดู ก อนอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ องนี้ , นั่ นแหละ คื อ เหตุ นั่ น แหละคื น นิ ท านนั่ น แหละคื อ สมุ ทั ย นั่ น แหละคื อ ป จ จั ย ของชรามรณะ; นั้นคือ ชาติ. ดูก อ นอานนท! ก็คํ า นี ้ว า "ชาติ เพราะปจ จัย คือ ภพ" ดัง นี ้, เชน นี้ แล เป น คํ า ที่ เรากล า วแล ว . ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอต อ งทราบอธิ บ ายโดย ปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วขอที่ เรากล าวไวแล ววา "ชาติ มี เพราะป จจัยคื อภพ" : ดู ก อนอานนท ! ถ าหากวาภพ จั กไม ได มี แก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ กชนิ ด โดยทุ กอาการ กลา วคือ กามภพ ก็ด ี, รูป ภพ ก็ด ี, อรูป ภพ ก็ด ี, แลว ไซร; เมื ่อ ภพไมมี เพราะความดั บ ไปแห งภพ โดยประการทั้ งปวงแล ว; ชาติ จะมี ขึ้ น มาให เห็ น ได ไหม หนอ? ("ข อ นั้ น หามิ ไ ด พระเจ า ข า !") ดู ก อ นอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ อ งนี้ , นั่ นแหละคื อเหตุ นั่ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นแหละคื อสมุ ทั ย นั่ นแหละคื อป จจั ย ของชาติ ; นั้นคือ ภพ.
www.buddhadasa.info ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "ภพมี เพราะปจจัยคืออุปาทาน" ดังนี้, เชน นี้แล เปนคําที่เรากลาวแลว. ดูกอนอานนท! ความขอนี้ เธอตองทราบอธิบายโดย
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๗๘๑
ปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วข อที่ เรากล าวไว แล วว า "ภพมี เพราะป จจั ยคื ออุ ปาทาน": ดู ก อนอานนท ! ถ าหากวาอุ ปาทาน จั กไม ได มี แก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ กชนิ ด โดย ทุกอาการ กลาวคือ กามุปาทาน ก็ดี ทิฏุปาทาน ก็ดี สีลัพพัตตุปาทาน ก็ดี อัตตวาทุปาทาน ก็ ดี , แล ว ไซร ; เมื่ อ อุ ป าทานไม มี เพราะความดั บ ไปแห ง อุ ป าทาน โดย ประการทั้ งปวงแล ว; ภพ จะมี ขึ้นมาให เห็ นได ไหมหนอ? ("ขอนั้ น หามิ ได พระเจ าขา!") ดู ก อ นอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ อ งนี้ , นั่ น แหละคื อ เหตุ นั่ น แหละคื อ นิ ท าน นั่นแหละคือสมุทัย นั่นแหละคือปจจัย ของภพ; นั้นคือ อุปาทาน. ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "อุปาทานมี เพราะปจจัยคือตัณ หา" ดังนี้, เช น นี้ แล เป น คํ าที่ เรากล าวแล ว. ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอต อ งทราบอธิ บ าย โดยปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วขอที่ เรากล าวไวแล วา "อุปาทานมี เพราะป จจัยคื อ ตั ณ หา": ดู ก อ นอานนท ! ถ า หากว า ตั ณ หา จั ก ไม ได มี แ ก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดย ทุกชนิด โดยทุกอาการ กลาวคือ รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา, แลวไซร; เมื่อตัณหาไมมี เพราะความดับไปแหงตัณหา โดยประการทั้ งปวงแล ว; อุ ปาทาน จะมี ขึ้ นมาให เห็ นได ไหมหนอ? ("ข อนั้ น หามิ ได พระเจ าข า!") ดู ก อ นอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่อ งนี้ , นั่ นแหละคื อ เหตุ นั่ น แหละ คือนิทาน นั่นแหละคือสมุทัย นั่นแหละคือปจจัย ของอุปาทาน; นั้นคือ ตัณหา.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นอานนท ! ก็ คํ า นี้ ว า "ตั ณ หามี เพราะป จ จั ย คื อ เวทนา" ดั งนี้ , เช น นี้ แล เป น คํ าที่ เรากล าวแล ว. ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอต อ งทราบอธิ บ าย โดยปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วข อที่ เรากล าวไว แล วว า "ตั ณหามี เพราะป จจั ย คื อ เวทนา": ดู ก อ นอานนท ! ถ า หากว า เวทนา จั ก ไม ไ ด มี แ ก ใ ครๆ ในที่ ไ หน ๆ โดย ทุกชนิด โดยทุกอาการ กลาวคือ จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา
www.buddhadasa.info
๗๘๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชา เวทนา. แลว ไซร; เมื ่อ เวทนาไมม ี เพราะความดับ ไปแหง เวทนา โดยประการ ทั้ ง ปวงแล ว ; ตั ณ หา จะมี ขึ้ น มาให เห็ น ได ไหมหนอ? ("ข อ นั้ น หามิ ได พระเจ า ข า !") ดู ก อ นอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ อ งนี้ , นั่ น แหละคื อ เหตุ นั่ น แหละคื อ นิ ท าน นั่ น แหละคือสมุทัย นั่นแหละคือปจจัย ของตัณหา; นั้นคือ เวทนา. ดู ก อนอานนท ! ก็ ด วยอาการดั งนี้ แล (เป นอั นกล าวได ว า) เพราะอาศั ยเวทนา จึงมีตัณหา; เพราะอาศัยตัณหา จึงมี การแสวงหา ๑(ปริเยสนา); เพราะอาศัยการแสวงหา จึงมี การได (ลาโภ); เพราะอาศัยการได จึงมี ความปลงใจรัก (วินิจฺฉโย); เพราะอาศัยความปลงใจรัก จึงมี ความกําหนัดดวยความพอใจ (ฉนฺทราโค); เพราะอาศัยความกําหนัดดวยความพอใจ จึงมี ความสยบมัวเมา (อชฺโฌสานํ); เพราะอาศัยความสยบมัวเมา จึงมี ความจับอกจับใจ (ปริคฺคโห); เพราะอาศัยความจับอกจับใจ จึงมี ความตระหนี่ (มจฺจริยํ); เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงมี การหวงกั้น (อารกฺโข); เพราะอาศั ยการหวงกั้ น จึ งมี เรื่ องราวอั นเกิ ดจากการหวงกั้ น (อารกฺ ขาธิ ก รณํ ); กล า วคื อ การใช อ าวุ ธ ไม มี ค ม การใช อ าวุ ธ มี ค ม การทะเลาะ การแก งแย ง การวิ วาท การกล าวคํ าหยาบว า "มึ ง! มึ ง!" การพู ดคํ าส อเสี ยด และการพู ดเท็ จ ทั้ งหลาย: ธรรมอั น เป น บาปอกุ ศ ลเป น อเนกย อ มเกิ ด ขึ้ น พร อ ม ด ว ยอาการอย า งนี้ ; (เป น อั น ว า ) ขอความเชนนี้ เปนขอความที่เราไดกลาวไวแลว.
www.buddhadasa.info
๑
คํ าว า "แสวงหา" ในที่ นี้ หมายถึ งแสวงด วยตั ณ หา นั่ น เอง. มิ ใช เป น การแสวงด วยวิ ชชา หรื อ ยถาภู ต ญาณทัสสนะ.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๗๘๓
ดู ก อนอานนท ! ความข อนี้ เธอต องทราบอธิ บายโดยปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกับหัวขอที่เรากลาวไวกลาวไวแลววา "ธรรมเปนบาปอกุศลเปนอเนก กลาวคือ การใชอาวุธ ไม มี คม การใช อาวุ ธมี คม การทะเลาะ การแก งแย ง การวิ วาท การกล าวคํ าหยาบว า ‘มึ ง! มึ ง!' การพู ดคํ าส อเสี ยด และการพู ดเท็ จ ทั้ งหลาย; ย อมเกิ ดขึ้ นพรอม เพราะ เรื่องราวอันเกิดจากการหวงกั้นเปนเหตุ " ดังนี้ : ดูกอนอานนท! ถาหากวาการหวงกั้น จั กไม ได มี แก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ กชนิ ด โดยทุ กอาการ แล วไซร; เมื่ อการหวงกั้ น ไม มี เพราะความดั บ ไปแห ง การหวงกั้ น โดยประการทั้ ง ปวงแล ว ; ธรรมเป น บาป อกุ ศลเป นอเนก กล าวคื อ การใช อ าวุ ธไม มี คม การใช อาวุ ธมี คม การทะเลาะ การ แก งแย ง การวิวาท การกล าวคํ าหยาบวา "มึ ง! มึ่ ง!" การพู ดคํ าส อเสี ยด และการพู ดเท็ จ ทั้ งหลาย จะพึ งเกิ ด ขึ้ น พรอ มได ไหมหนอ? ("ข อ นั้ น หามิ ได พระเจ า ข า !") ดู ก อ น อานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ อ งนี้ , นั่ น แหละคื อ เหตุ นั่ น แหละคื อ นิ ท าน นั่ น แหละ คื อสมุ ทั ย นั่ นแหละคื อป จจัย ของความเกิ ดขึ้นพรอมแห งธรรมเป นบาปอกุ ศลเป นอเนก เหล านี้ กล าวคื อ การใช อาวุ ธไม มี คม การใช อ าวุ ธมี คม การทะเลาะ การแก งแย ง การวิ วาท การกล าวคํ าหยาบว า "มึ ง! มึ ง!" การพู ดคํ าส อเสี ยด และการกล าวเท็ จ; นั้ นคื อ การหวงกั้น.
www.buddhadasa.info ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงมีการหวงกั้น" ดั ง นี้ , เช น นี้ แ ล เป น คํ า ที่ เ รากล า วแล ว . ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอต อ ง ทราบอธิบายโดยปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วขอที่ เรากล าวไวแล ววา "เพราะอาศั ยความ ตระหนี่ จึ ง มี ก ารหวงกั้ น " : ดู ก อ นอานนท ! ถ า หากว า ความตระหนี่ จั ก ไม ไ ด มี แก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ กชนิ ด โดยทุ กอาการ แล วไซร , เมื่ อความตระหนี่ ไม มี เพราะความดั บไปแห งความตระหนี่ โดยประการทั้ งปวงแล ว; การหวงกั้ น จะมี ขึ้ นมา ใหเห็นไดไหมหนอ? ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!") ดูกอนอานนท! เพราะเหตุนั้น
www.buddhadasa.info
๗๘๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
เรื่องนี้ , นั่ นแหละคื อเหตุ นั่ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นแหละคื อสมุ ทั ย นั่ นแหละคื อป จจั ย ของการหวงกั้น; นั้นคือ ความตระหนี่. ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เพราะอาศัยความจับอกจับใจ จึงมีความ ตระหนี่ " ดั งนี้ , เช น นี้ แ ล เป น คํ าที่ เรากล าวแล ว . ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอ ต องทราบอธิบายโดยปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วขอที่ เรากล าวไวแล ววา "เพราะอาศั ย ความจั บ อกจั บ ใจ จึ งมี ค วามตระหนี่ ": ดู ก อ นอานนท !ถ า หากว า ความจั บ อกจั บ ใจ จั ก ไม ได มี แ ก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ ก ชนิ ด โดยทุ ก อาการ แล ว ไซร ; เมื่ อ ความ จับอกจับใจไมมี เพราะความดับไปแหงความจับอกจับใจ โดยประการทั้ งปวงแลว; ความตระหนี่ จะมี ขึ้ นมาให เห็ นได ไหมหนอ? ("ขอนั้ น หามิ ได พระเจาขา!") ดู ก อนอานนท ! เพราะ เหตุ นั้ น ในเรื่องนี้ , นั่ นแหละคื อเหตุ นั่ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นแหละคื อสมุ ทั ย นั่ นแหละ คือปจจัย ของความตระหนี่; นั้นคือ ความจับอกจับใจ. ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เพราะอาศัยความสยบมัวเมา จึงมีความ จั บ อกจั บ ใจ" ดั งนี้ , เชน นี้ แ ล เป น คํ าที่ เรากล าวแล ว. ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอต องทราบอธิบายโดยปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วข อที่ เรากล าวไวแล ววา "เพราะ อาศั ยความสยบมั วเมา จึ งมี ความจั บอกจั บ ใจ". ดู ก อนอานนท ! ถ าหากความสยบ มั วเมา จั กไม ได มี แก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ กชนิ ด โดยทุ กอาการ แล วไซร; เมื่ อ ความสยบมั วเมาไม มี เพราะความดั บไปแห งความสยบมั วเมา โดยประการทั้ งปวงแล ว; ความจั บ อกจั บ ใจ จะมี ขึ้ น มาให เห็ น ได ไหมหนอ? ("ข อ นั้ น หามิ ได พระเจ า ข า !") ดูก อ นอานนท! เพราะเหตุนั ้น ในเรื ่อ งนี ้, นั ่น แหละคือ เหตุ นั ่น แหละคือ นิท าน นั่นแหละคือสมุทัย นั่นแหละคือปจจัย ของความจับอกจับใจ; นั้นคือ ความสยบมัวเมา.
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๗๘๕
ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เพราะอาศัยความกําหนัดดวยความพอใจ จึ ง มี ค วามสยบมั ว เมา" ดั ง นี้ , เช น นี้ แ ล เป น คํ า ที่ เรากล า วแล ว . ดู ก อ นอานนท ! ความนี้ เธอต องทราบอธิบายโดยปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกับหั วขอที่ เรากลาวไวแล ววา "เพราะอาศั ยความกํ าหนั ดด วยความพอใจ จึ งมี ความสยบมั วเมา" : ดู ก อนอานนท ! ถาหากวาความกํ าหนั ดดวยความพอใจ จักไม ได มี แกใคร ๆ ในที่ ไหน ๆโดยทุ กชนิ ด โดย ทุกอาการ แลวไซร; เมื่ อความกําหนั ดดวยความพอใจไมมี เพราะความดับไปแหงความ กํ าหนั ดด วยความพอใจ โดยประการทั้ งปวงแล ว; ความสยบมั วเมา จะมี ขึ้ นมาให เห็ นได ไหมหนอ? ("ข อนั้ น หามิ ได พระเจ าข า!") ดู ก อนอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ องนี้ , นั่ นแหละคื อเหตุ นั่ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นแหละคื อสมุ ทั ย นั่ นแหละคื อป จจั ย ของความ สยบมัวเมา; นั้นคือ ความกําหนัดดวยความพอใจ. ดู ก อ นอานนท ! ก็ คํ า นี้ ว า "เพราะอาศั ย ความปลงใจรั ก จึ งมี ค วาม กําหนั ดดวยความพอใจ" ดังนี้, เชนนี้แล เปนคําที่เรากลาวแลว. ดูกอนอานนท! ความขอนี้ เธอต องทราบอธิบายโดยปริยายดังตอไปนี้ ที่ ตรงกับหั วขอที่ เรากลาวไวแลววา "เพราะอาศั ย ความปลงใจรัก จึ งมี ความกํ าหนั ด ด วยความพอใจ" : ดู ก อ นอานนท ! ถ าหากว าความปลงใจรั กจั กไม ได มี แก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ กชนิ ด โดยทุ กอาการ แล วไซร; เมื่ อความปลงใจรักไม มี เพราะความดั บไปแห งความปลงใจรัก โดยประการ ทั้ งปวงแล ว; ความกํ าหนั ดด วยความพอใจ จะมี ขึ้ นมาให เห็ นได ไหมหนอ? ("ข อนั้ น หามิ ได พระเจ า ข า !") ดู ก อ นอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่อ งนี้ , นั่ น แหละคื อ เหตุ นั่ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นและคื อสมุ ทั ย นั่ นแหละคื อป จจั ย ของความกํ าหนั ดด วยความ พอใจ; นั้นคือ ความปลงใจรัก.
www.buddhadasa.info ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เพราะอาศัยการได จึงมีความปลงใจรัก" ดังนี้, เชนนี้แลเปนคําที่เรากลาวแลว. ดูกอนอานนท! ความขอนี้ เธอตองทราบอธิบาย
www.buddhadasa.info
๗๘๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
โดยปริยายดั งตอไปนี้ ที่ ตรงกับหัวขอที่ เรากลาวไวแลววา "เพราะอาศั ยการได จึงมี ความ ปลงใจรั ก " : ดู ก อ นอานนท ! ถ า หากว า การได จั ก ไม ไ ด มี แ ก ใ คร ๆ ในที่ ไ หน ๆ โดยทุ กชนิ ด โดยทุ กอาการ แล วไซร; เมื่ อการได ไม มี เพราะความดั บไปแห งการได โดยประการทั้ ง ปวงแล ว; ความปลงใจรั ก จะมี ขึ้ น มาให เห็ น ได ไหมหนอ? ("ข อ นั้ น หามิ ได พระเจ า ข า !") ดู ก อ นอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่อ งนี้ , นั่ น แหละคื อ เหตุ นั่ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นแหละคื อสมุ ทั ย นั่ นแหละคื อป จจัย ของความปลงใจรัก; นั้ นคื อ การได. ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เพราะอาศัยการแสวงหา จึงมีการได" ดังนี้, เช นนี้ แลเป นคํ าที่ เรากล าวแล ว. ดู ก อนอานนท ! ความข อนี้ เธอต องทราบอธิบายโดย ปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกับหั วขอที่เรากลาวไวแลวา "เพราะอาศัยการแสวงหา จึงมี การ ได " : ดู ก อ นอานนท! ถ าหากว าการแสวงหาจั ก ไม ได มี แ ก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดย ทุ กชนิ ด โดยทุ กอาการ แล วไซร; เมื่ อ การแสวงหาไม มี เพราะความดั บ ไปแห งการ แสวงหา โดยประการทั้ งปวงแล ว; การได จะมี ขึ้ น มาให เห็ น ได ไหมหนอ? ("ข อ นั้ น หามิ ไ ด พ ระเจ า ข า !") ดู ก อ นอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่ อ งนี้ , นั่ น แหละคื อ เหตุ นั่ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นแหละคื อสมุ ทั ย นั่ นแหละคื อป จจั ย ของการได ; นั้ นคื อ การ แสวงหา.
www.buddhadasa.info ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เพราะอาศัยตัณหา จึงมีการแสวงหา" ดังนี้. เช นนี้ แลเป นคํ าที่ เรากล าวแล ว. ดู ก อนอานนท ! ความข อนี้ เธอต องทราบอธิบายโดย ปริยายดังต อไปนี้ ที่ ตรงกับหั วขอที่ เรากลาวไวแลววา "เพราะอาศั ยตั ณหา จึงมี การแสวง หา" : ดู ก อนอานนท ! ถ าหาว าตั ณ หา จั กไม ได มี แก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ กชนิ ด โดยทุกอาการกลาวคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา, แลวไซร; เมื่อตัณหา
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๗๘๗
ไม มี เพราะความดั บไปแห งตั ณ หา โดยประการทั้ งปวงแล ว; การแสวงหา จะมี ขึ้ นมา ให เห็ น ได ไหมหนอ? ("ข อ นั้ น หามิ ได พระเจ าข า!") ดู ก อ นอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่องนี้ , นั่ นแหละคื อเหตุ นั่ นแหละคื อนิ ทาน นั่ นแหละคื อสมุ ทั ย นั่ นแหละคื อป จจั ย ของการแสวงหา; นั้นคือ ตัณหา. ดู ก อนอานนท ! ก็ ด วยอาการดั งนี้ แล (เป นอั นกล าวได ว า) ธรรมทั้ งสอง๑ เหลานี้รวมเปนธรรมที่มีมูลอันเดียวกันในเวทนา; คือเวทนาอยางเดียว ก็เปนมูล สําหรับใหเกิดตัณหาแตละอยาง ๆ ทั้งสองอยางได. ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "เวทนามี เพราะปจจัยคือผัสสะ" ดังนี้, เชน นี้ แล เป น คํ าที่ เรากล าวแล ว. ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอต อ งทราบอธิ บ ายโดย ปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วข อที่ เรากล าวไวแล ววา "เวทนามี เพราะป จจั ยคื อผั สสะ" : ดู ก อนอานนท ! ถ าหากว าผั สสะ จั กไม ได มี แก ใคร ๆ ในที่ ไหน ๆ โดยทุ กชนิ ด โดย ทุกอาการ กลาวคือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัสกายสัมผัส มโนสัม ผัส , แลว ไซร;เมื ่อ ผัส สะไมม ี เพราะความดับ ไปแหง ผัส สะ โดยประการ ทั้ ง ปวงแล ว ;เวทนา จะมี ขึ้ น มาให เห็ น ได ไหมหนอ? (ข อ นั้ น หามิ ได พระเจ า ข า !") ดูก อ นอานนท! เพราะเหตุนั ้น ในเรื ่อ งนี ้, นั ่น แหละคือ เหตุ นั ่น แหละคือ นิท าน นั่นแหละคือสมุทัย นั่นแหละคือปจจัย ของเวทนา; นั้นคือผัสสะ.
www.buddhadasa.info
๑
ธรรมทั้ งสองในที่ นี้ คื อ ตั ณ หา ในบทว า "เพราะเวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา" นี้ อย างหนึ่ ง; อี กอย าง หนึ่ ง คื อ ตั ณ หา ที่ ทํ าหน าที่ แสวงหาอารมณ หรือเพลิ ดเพลิ นในอารมณ , รวมเป นสองอย างด วยกั น ; อย างแรก ได ในบทว า โปโนพฺ ภวิ กา, ที่ อรรถกถาเรียกว า วั ฏฏมู ลตั ณ หา; อย างหลั งได ในบทว า ตตฺ ร ตตฺราภนนฺทินี, หรือที่อรรถกถาเรียกวา สมุทาจารตัณหา.
www.buddhadasa.info
๗๘๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
ดู กอนอานนท ! ก็ คํ านี้ วา "ผั สสะมี เพราะป จจั ยคื อนามรูป" ดั งนี้ , เช น นี้ แ ล เป น คํ า ที่ เรากล า วแล ว . ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอต อ งทราบอธิ บ ายโดย ปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วข อที่ เรากล าวไว แล วว า "ผั สสะมี เพราะป จจั ยคื อนามรูป๑ " ดูกอนอานนท! การบัญญัติซึ่งหมูแหงนาม ยอมมีไดโดยอาศัยอาการ ลิงค นิ มิ ต อุ เทศ ทั้ งหลายเป นหลั ก, เมื่ ออาการ ลิ งค นิ มิ ต อุ เทศ เหล านั้ น ไม มี เสี ยแล ว การสัมผัสดวยการเรียกชื่อ (อธิวจนสมฺผสฺโส) ในกรณีอันเกี่ยวกับรูปกาย จะมีขึ้นมา ใหเห็นไดไหมหนอ? ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!"); ดูก อนอานนท ! การบั ญญั ติ ซึ่ งหมู แห งรูป ย อมมี ไดโดยอาศั ยอาการ ลิ งค นิ มิ ต อุ เทศ ทั้ งหลายเป นหลั ก, เมื่ ออาการ ลิ งค นิ มิ ต อุ เทศ เหล านั้ น ไม มี เสี ยแล ว การสัมผัสดวยการกระทบ (ปฏิฆสมฺผสฺโส) ในกรณี อันเกี่ยวกับรูปกาย จะมีขึ้นมา ใหเห็นไดไหมหนอ? ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!");
www.buddhadasa.info ดู ก อ นอานนท ! การบั ญ ญั ติ ซึ่ ง หมู แ ห ง นามด ว ย ซึ่ ง หมู แ ห ง รู ป ด ว ย ย อมมี ได โดยอาศั ยอาการ ลิ งค นิ มิ ต อุ เทศ ทั้ งหลายเป นหลั ก, เมื่ ออาการ ลิ งค นิ มิ ต อุเทศ เหลานั้น ไมมีเสียแลว การสัมผัสดวยการเรียกชื่อ ก็ดี การสัมผัสดวยการกระทบ ก็ดี จะมีขึ้นมาใหเห็นไดไหมหนอ? ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!");
ดู ก อนอานนท ! การบั ญ ญั ติ ซึ่ งนามรู ป ย อมมี ได โดยอาศั ยอาการ ลิ งค นิ มิ ต อุ เทศ ทั้ งหลายเป นหลั ก, เมื่ ออาการ ลิ งค นิ มิ ต อุ เทศ เหล านั้ น ไม มี เสี ยแล ว ผัสสะ จะมีขึ้นมาใหเห็นไดไหมหนอ? ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!");
๑
พึ งสั งเกตไว ว า ปฏิ จจสมุ ปบาท แบบที่ หยุ ดลงเพี ยงนามรู ป-วิ ญ ญาณ ไม เลยขึ้ นไปถึ งสั งขารและอวิ ชชา นี้; สําหรับสูตรนี้ ไมมี สฬายตนะ เหมือนสูตรอื่น ๆ แหงแบบนี้.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๗๘๙
ดู ก อนอานนท ! เพราะเหตุ นั้ นแหละ ในเรื่ องนี้ , นั่ นแหละคื อเหตุ นั่ นแหละ คือนิทาน นั่นแหละคือสมุทัย นั่นแหละคือปจจัย ของผัสสะ; นั้นคือ นามรูป. ดูกอนอานนท! ก็คํานี้วา "นามรูปมี เพราะปจจัยคือวิญญาณ" ดังนี้, เช น นี้ แล เป น คํ าที่ เรากล าวแล ว. ดู ก อ นอานนท ! ความข อ นี้ เธอต อ งทราบอธิ บ าย โดยปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วข อที่ เรากล าวไวแล ววา "นามรูปมี เพราะป จจั ยคื อ วิญญาณ" : ดู ก อนอานนท ! ถ าหากวาวิญญาณ จักไม กาวลงในท องแห งมารดา แล วไซร; นามรูปจักปรุงตัวขึ้นมาในทองแหงมารดาไดไหม? (ขอนั้น หามิไดพระเจาขา!"); ดู ก อนอานนท ! ถ าหากว าวิ ญญาณก าวลงในท องแห งมารดาแล ว∗ จั กสลายลง เสี ยแล วไซร; นามรูป จั กบั งเกิ ดขึ้ น เพื่ อความเป นอย างนี้ ได ไหม? ("ข อนั้ น หามิ ได พระเจาขา!"); ดู ก อนอานนท ! ถ าหากว าวิ ญญาณของเด็ กอ อน ที่ เป นชายก็ ตาม เป นหญิ ง ก็ ตาม จั กขาดลงเสี ยแล วไซร; นามรู ป จั กถึ งซึ่ งความเจริญ ความงอกงาม ความไพบู ลย บางหรือ? ("ขอนั้น หามิไดพระเจาขา"!);
www.buddhadasa.info ดู ก อนอานนท ! เพราะเหตุ นั้ น ในเรื่องนี้ , นั่ นแหละคื อเหตุ นั่ นแหละคื อ นิทาน นั่นแหละคือสมุทัย นั่นแหละคือปจจัย ของนามรูป; นั้นคือ วิญญาณ.
∗
ขอความนี้ เป นข อความที่ มี ลั กษณะเป นปฏิ จจสมุ ปบาทอย างภาษาคน, หรือภาษาศี ลธรรม. แต เราอาจถื อ เอาข อความนี้ เป นเพี ยงอุ ปมา แล วถื อเอาข อความในภาษาธรรมเป นอุ ป ไมย. หรือมิ ฉะนั้ น ก็ ถื อว า เปนเรื่องศีลธรรม โดยสวนเดียว.
www.buddhadasa.info
๗๙๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
ดู ก อนอานนท ! ก็ คํ านี้ ว า "วิ ญ ญาณมี เพราะป จจั ยคื อ นามรู ป " ดั งนี้ , เช นนี้ แล เป นคํ าที่ เรากล าวแล ว. ดู ก อนอานนท ! ความข อนี้ เธอต องทราบอธิ บายโดย ปริยายดั งต อไปนี้ ที่ ตรงกั บหั วข อที่ เรากล าวไว แล วว า "วิ ญญาณมี เพราะป จจั ยคื อนามรูป": ดู ก อ นอานนท ! ถ าหากว าวิ ญ าณ จั ก ไม ได มี ที่ ตั้ งที่ อ าศั ย ในนามรู ป แล วไซร ; ความ เกิ ดขึ้ นพรอมแห งทุ กข คื อชาติ ชรามรณะต อไป จะมี ขึ้ นมาให เห็ นได ไหม? ("ข อนั้ น หามิ ได พระเจาขา!") ดูกอนอานนท! เพราะเหตุนั้นแหละ ในเรื่องนี้, นั่นแหละคือเหตุ นั่นแหละ คือนิทาน นั่นแหละคือสมุทัย นั่นแหละคือปจจัย ของวิญญาณ; นั่นคือ นามรูป. ดู ก อ นอานนท ! ด ว ยเหตุ เ พี ย งเท า นี้ สั ต ว โ ลก จึ ง เกิ ด บ า ง จึ ง แก บ า ง จึงตายบ าง จึ งจุ ติ บ าง จึ งอุ บั ติ บ าง : คลองแห งการเรียก (อธิวจน) ก็ มี เพี ยงเท านี้ , คลองแหงการพูดจา (นิรุตฺติ) ก็มีเพียงเทานี้, คลองแหงการบัญญั ติ (ปฺ ญตฺติ) ก็มี เพียงเทานี้, เรื่องที่ จะตองรูดวยป ญญา (ปฺ ญาวจร) ก็มีเพี ยงเทานี้, ความเวียนวาย ในวัฏฏะ ก็มีเพียงเทานี้ : นามรูปพรอมทั้งวิญญาณตั้งอยู เพื่อการบัญญัติซึ่งความเปน อยางนี้ (ของนามรูปกับวิญญาณ นั่นเอง).
ธาตุ ๓ อยาง www.buddhadasa.info เปนที่ตั้งแหงความเปนไปไดของปฏิจจสมุปบาท ๑
"ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ! คํ าที่ กล าว ๆ กั นว า ‘ภพ-ภพ' ดั งนี้ นั้ น ภพย อม มีได ดวยเหตุมีประมาณเทาไรแล พระเจาขา?"
๑
สูตรที่ ๖ อานันทวรรค ติก.อํ. ๒๐/๒๘๗/๕๑๖, ตรัสแกพระอานนท.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๗๙๑
ดู ก อ นอานนท ! ถ า กรรมอั น มี ก ามธาตุ เป น วิ บ าก (วิ บ าก=ผลแห ง การ กระทํ า) จักไม ได มี แล วไซร, กามภพจะพึ งปรากฎได แลหรือ? ("ขอนั้ น หามิ ได พระเจ า ข า!") ดู ก อนอานนท ! ด วยเหตุ ดั งนี้ แล กรรม จึ งชื่ อวาเนื้ อนา, วิ ญ ญาณ ชื่ อว าพื ช, ตัณหา ชื่อวายางในพืช. เมื่อวิญญาณ ของสัตวทั้งหลายผูมีอวิชชาเปนเครื่องกั้น มีตัณหา เปนเครืองผูก ตั้งอยูดวย ธาตุอันทราม (กามธาตุ) อยางนี้แลว, การบังเกิดขึ้นใน ภพใหมตอไป (อายตึ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ) ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดู ก อ นอานนท ! ถ า กรรมอั น มี รู ป ธาตุ เป น วิ บ าก จั ก ไม ได มี แ ล ว ไซร , รู ป ภพ จะพึ ง ปรากฎได แ ลหรื อ ? ("ข อ นั้ น หามิ ไ ด พระเจ า ข า !") ดู ก อ นอานนท ! ด วยเหตุ ดั งนี้ แล กรรม จึ งชื่ อว าเนื้ อหา, วิญญาณ ชื่ อว าพื ช, ตั ณหา ชื่ อว ายางในพื ช. เมื่อวิญญาณของสัตวทั้งหลายผูมีอวิชชาเปนเครื่องกั้น มีตัณหาเปนเครื่องผูก ตั้งอยูดวย ธาตุป านกลาง(รูป ธาตุ)อยา งนี ้แ ลว , การบัง เกิด ขึ ้น ในภพใหมต อ ไป ยอ มมี ดวยอาการอยางนี้. ดูกอนอานนท ! ถากรรมอั น มี อ รูป ธาตุ เป น วิบ าก จักไม ไดมี แลวไซร, อรูป ภพ จะพึ ง ปรากฎได แ ลหรือ ? ("ข อ นั้ น หามิ ได พระเจ า ข า !") ดู ก อ นอานนท ! ด วยเหตุ ดั งนี้ แล กรรม จึ งชื่ อว าเนื้ อหา, วิญญาณ ชื่ อว าพื ช, ตั ณหา ชื่ อว ายางในพื ช. เมื่อวิญญาณของสัตวทั้งหลายผูมีอวิชชาเปนเครื่องกั้น มีตัณหาเปนเครื่องผูก ตั้งอยูดวย ธาตุอ ัน ประณีต (อรูป ธาตุ) อยา งนี ้แ ลว , การบัง เกิด ขึ ้น ในภพใหมต อ ไป ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info ดูกอนอานนท! ภพ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ แล.
www.buddhadasa.info
๗๙๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒ (ตอไปนี้ เปนขอความในสูตรอีกสูตรหนึ่ง๑ ซึ่งมีหลักธรรมทํานองเดียวกัน:-)
"ข าแต พระองค ผู เจริ ญ ? คํ าที่ กล าว ๆ กั นว า ‘ภพ-ภพ' ดั งนี้ นั้ น ภพย อม มีได ดวยเหตุที่ประมาณเทาไรแล พระเจาขา?" ดู ก อนอานนท ! ถ ากรรมอั นมี กามธาตุ เป นวิ บาก (วิบาก = ผลแห งการกระทํ า) จั กไม ได มี แล วไซร, กามภพ จะพึ งปรากฎได แลหรือ? ("ข อนั้ น หามิ ได พระเจ าข า!") ดู ก อนอานนท ! ด วยเหตุ ดั งนี้ แล กรรม จึ งชื่ อว าเนื้ อนา, วิ ญ ญาณ ชื่ อว าพื ช, ตั ณ หา ชื่ อว ายางในพื ช. เมื่ อเจตนา ก็ ดี ความปรารภนา (ปตฺ ถนา) ก็ ดี ของสั ตว ทั้ งหลายผู มี อวิชชาเปนเครื่องกั้น มีตัณหาเปนเครื่องผูก ตั้งอยูดวยธาตุ อันทราม (กามธาตุ) อยางนี้ แลว, การบังเกิดในภพใหมตอไป ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดูกอนอานนท! ถากรรมอั นมี รูปธาตุเป นวิบาก จักไมไดมีแลวไซร, รูปภพ จะพึ ง ปรากฎได แ ลหรื อ ? ("ข อ นั้ น หามิ ได พระเจ า ข า !") ดู ก อ นอานนท ! ด ว ยเหตุ ดั ง นี้ แ ล กรรม จึ ง ชื่ อ ว า เนื้ อ นา, วิ ญ ญาณ ชื่ อ ว า พื ช , ตั ณ หา ชื่ อ ว า ยางในพื ช . เมื่ อเจตนา ก็ ดี ความปรารภนา ก็ ดี ของสั ตว ทั้ งหลายผู มี อวิ ชชาเป นเครื่องกั้ น มี ตั ณหา เป นเครื่องผู ก ตั้ งอยู ด วยธาตุ ป านกลาง (รูปธาตุ ) อย างนี้ แล ว, การบั งเกิ ด ในภพใหมตอไป ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info ดู ก อ นอานนท ! ถ า กรรมอั น มี อ รู ป ธาตุ เป น วิ บ าก จั ก ไม ได มี แ ล ว ไซร, อรูปภพ จะพึงปรากฎไดแลหรือ? ("ขอนั้น หามิได พระเจาขา!") ดูกอนอานนท!
๑
สูตรที่ ๗ อานันทวรรค ติก.อํ. ๒๐/๒๘๘/๕๑๗, ตรัสแกพระอานนท.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๗๙๓
ด ว ยเหตุ ดั ง นี้ แ ล กรรม จึ ง ชื่ อ ว า เนื้ อ นา, วิ ญ ญาณ ชื่ อ ว า พื ช , ตั ณ หา ชื่ อ ว า ยาง ในพื ช . เมื่ อ เจตนา ก็ ดี ความปรารภนาก็ ดี ข องสั ต ว ทั้ ง หลายผู มี อ วิ ช ชาเป น เครื่อ ง กั้น มีตัณหาเปนเครื่องผูก ตั้งอยูดวยธาตุอันประณีต (อรูปธาตุ) อยางนี้แลว, การบังเกิด ในภพใหมตอไป ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดูกอนอานนท! ภพ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้ แล. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เห็ น ว า การเกิ ด ขึ้ น แห ง ภพ ใหม ต อ ไปในที่ นี้ หมายถึ งการเกิ ด แห งภพ เพราะอํ านาจแห งอุ ป าทาน ของสั ต ว ผู ป ระกอบ ด วยอวิ ชชาและตั ณหา ในขณะแห งปฏิ จจสมุ ปบาทสายหนึ่ ง ๆ ทุ กสาย ต างกั นไปตามอารมณ ของตั ณ หา ซึ่ ง เป น กามธาตุ บ า ง รู ป ธาตุ บ า งอรู ป ธาตุ บ า ง; ดั ง นั้ น ถ า ธาตุ ทั้ ง ๓ นี้ ยั ง มี อยู แม เพี ย งอย างใดอย า งหนึ่ ง การเกิ ด ในภพใหม ในกระแสแห งปฏิ จ จสมุ ป บาทนั้ น ก็ พึ ง มีตอไป.
หมวดที่สิบสอง จบ ------------
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
บทสรุป วาดวย คุณคาพิเศษ ของปฏิจจสมุปบาท
www.buddhadasa.info
๗๙๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
กฏอิทัปปจจยตา : หัวใจปฏิจจสมุปบาท -----------------อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ยอมี อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไมมี สิ่งนี้ ยอมไมมี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป. (ม.ม. ๑๓/๓๕๕/๓๗๑,นิทาน.สํ.๑๖/๘๔/๑๕๕,…)
www.buddhadasa.info
๗๙๗
www.buddhadasa.info
ลําดับเรื่อง ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ บทสรุป วาดวย คุณคาพิเศษของปฏิจจสมุปบาท (มี ๕ เรื่อง)
มี เรื่ อง : ปฏิ จจสมุ ปบาทคื อเรื่องความไม มี สั ตวบุ คคลตั วตนเราเขา - - ที่ สุ ด แห ง ปฏิ จ จสมุ ป บาทคื อ ที่ สุ ด แห ง ภพ -- ธรรมไหลไปสู ธ รรมโดยไม ต อ งมี ใ ครเจตนา -แม พ ระพุ ท ธองค ก็ ท รงสาธยายปฏิ จ จสมุ ป บาท -- เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาทรวมอยู ใ นเรื่ อ งที่ พุทธบริษัทควรทําสังคีติ.
www.buddhadasa.info
๗๙๘
www.buddhadasa.info
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
บทสรุป วาดวย คุณคาพิเศษ ของปฏิจจสมุปบาท --------------ปฏิจจสมุปบาท คือเรื่องความไมมีสัตวบุคคลตัวตนเราเขา๑ ภิกษุโมลิยผัคคุนะ ไดทูลถามวา "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ใครเลา ยอมกลืนกิน
ซึ่งวิญญาณาหาร พระเจาขา?" พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสตอบวา :"นั่นเปนปญหาที่ไมควรจะเปนปญหาเลย: เรายอมไมกลาววา ‘บุคคลยอม กลืนกิน' ดังนี้ ถาเราไดกลาววา ‘บุคคลยอมกลืนกิน' ดังนี้ นั่นแหละจึงจะเปนปญหา
www.buddhadasa.info
๑
สูตรที่ ๒ อาหารวรรค นิทานสังยุตต นิทาน.สํ. ๑๖/๑๕/๓๒, ตรัสแกพระโมลิยผัคคุนะในที่ชุมนุมสงฆ ที่เชตวัน.
๗๙๙
www.buddhadasa.info
๘๐๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
ในขอนี้ที่ควรถามขึ้นวา `ก็ใครเลา ยอมกลืนกิน (ซึ่งวิญญาณาหาร) พระเจาขา?' ดั งนี้ . ก็เรามิไดกลาวอยางนั้น, ถาผูใดจะพึงถามเราผูมิไดกลาวอยางนั้น เชนนี้วา `ขาแตพระองค ผูเจริญ ! วิญ ญาณาหาร ยอมมี เพื่ ออะไรเลาหนอ?’ ดังนี้แลว, นั่ นแหละจึ งจะเป น ป ญ หาที่ ค วรแกค วามเป น ป ญ หา. คําเฉลยที่ควรเฉลยในปญ หาขอ นั้น ยอมมีวา ‘วิญญาหาร ยอมมีเพื่อความเกิดขึ้นแหงภพใหมตอไป. เมื่อภูตะ (ความเปน ภพ) นั้น มีอยู' สฬายตนะ ยอมมี;เพราะมีสฬายตนะเปนปจจัย จึงมีผัสสะ (การสัมผัส)', ดังนี้". "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ใครเลา ยอมสัมผัส พระเจาขา?" นั่ นเป นป ญหาที่ ไม ควรจะเป นป ญหาเลย: เราย อมไม กล าววา "บุ คคล ย อม สัมผั ส" ดั งนี้ ถาเราได กล าววา "บุ คคล ยอมสั มผั ส" ดั งนี้ นั่ นแหละจึงจะเป นป ญหาใน ข อนี้ ที่ ควรถามขึ้ นวา "ก็ ใคร เล า ย อมสั มผั ส พระเจ าข า?" ดั งนี้ . ก็ เรามิ ได กล าวอย าง นั้ น, ถ าผู ใดจะพึ งถามเราผู มิ ได กล าวอย างนั้ น เช นนี้ วา "ผั สสะมี เพราะมี อะไรเป น ปจจัย พระเจาขา?" ดังนี้แลว นั่นแหละจึงจะเปนปญหาที่ควรแกความเปนปญหา. คําเฉลยที่ควรเฉลยในปญหาขอนั้น ยอมมีวา "เพราะมีสฬายตนะเปนปจจัย จึงมี ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา (ความรูสึกตออารมณ)", ดังนี้.
www.buddhadasa.info "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ใครเลา ยอมรูสึกตออารมณ พระเจาขา?"
นั่ นเป นป ญหาที่ ไม ควรจะเป นป ญหาเลย: เราย อมไม กล าววา "บุ คคล ย อม รูสึ กต ออารมณ "ดั งนี้ ถ าเราได กล าววา "บุ คคล ย อมรูสึ กต ออารมณ " ดั งนี้ นั่ นแหละ จึงจะเปนปญหาในขอนี้ที่ควรถามขึ้นวา "ก็ใครเลา ยอมรูสึกตออารมณ พระเจาขา?"
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๘๐๑
ดั งนี้ . ก็ เรามิ ได ก ล าวอย างนั้ น , ถ าผู ใดจะพึ งถามเราผู มิ ได ก ล าวอย างนั้ น เช น นี้ ว า "เพราะมี อ ะไรเป น ป จจัย จึงมี เวทนา พระเจาข า?" ดั งนี้ แล ว นั่ น แหละจึ งจะเป น ป ญ หาที่ ค วรแก ค วามเป น ป ญ หา. คําเฉลยที่ ควรเฉลยในป ญ หาขอ นั้น ยอ มมี วา "เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา (ความอยาก)", ดังนี้. "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ใครเลา ยอมอยาก พระเจาขา?" นั่ นเป นป ญหาที่ ไม ควรจะเป นป ญหาเลย: เราย อมไม กล าววา "บุ คคล ย อม อยาก" ดั งนี้ , ถ าเราได กล าวว า "บุ คคลย อมอยาก" ดั งนี้ นั่ นแหละจึ งจะเป นป ญ หา ในข อ นี้ ที่ ค วรถามขึ้ น ว า "ก็ ใ ครเล า ย อ มอยาก พระเจ า ข า ?" ดั ง นี้ . ก็ เรามิ ได ก ล า ว อย างนั้ น, ถ าผู ใดจะพึ งถามเราผู มิ ได กล าวอย างนั้ น เช นนี้ วา "เพราะมี อะไรเป นป จจั ย จึงมีตัณหา พระเจาขา?" ดังนี้แลว นั่นแหละจึงจะเปนปญหาที่ควรแกความเปน ปญ หา. คําเฉลยที่ควรเฉลยในปญ หาขอนั้น ยอมมีวา "เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน (ความยึดมั่น)", ดังนี้.
www.buddhadasa.info "ขาแตพระองคผูเจริญ! ก็ใครเลา ยอมยึดมั่น พระเจาขา?"
นั่ นเป นป ญหาที่ ไม ควรจะเป นป ญหาเลย: เราย อมไม กล าววา "บุ คคลย อม ยึ ดมั่ น" ดั งนี้ ถ าเราได กล าววา "บุ คคลย อมยึ ดมั่ น" ดั งนี้ นั่ นแหละจึ งจะเป นป ญหาใน ข อ นี้ ที่ ค วรถามขึ้ น ว า "ก็ ใครเล า ย อ มยึ ด มั่ น พระเจ า ข า ?" ดั งนี้ . ก็ เรามิ ได ก ล า ว อยางนั้ น, ถาผู ใดจะพึ งถามเราผู มิ ได กลาวอยางนั้ น เช นนี้ วา "เพราะมี อะไรเป นป จจั ย จึงมีอุปาทาน พระเจาขา?" ดังนี้แลว นั่นแหละจึงจะเปนปญหาที่ควรแกความเปน
www.buddhadasa.info
๘๐๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
ปญหา. คําเฉลยที่ควรเฉลยในปญหาขอนั้น ยอมมีวา "เพราะมีตัณหาเปนปจจัยจึง มีอุป าทาน; เพราะมีอุป าทานเปน ปจ จัย จึง มีภ พ;" เพราะมีภ พเปน ปจ จัย จึง มีช าติ; เพราะมีช าติเ ปน ปจ จัย , ชรามรณะ โสกะปริเ ทวะทุก ขุโ ทมนัส อุปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน: ความเกิ ดขึ้นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. ดูกอนผัคคุนะ! เพราะความจางคลายดับไปโดยไมเหลือแหงผัสสายตนะ (แดนเกิด แหง ผัส สะ)ทั ้ง ๖ นั ้น นั่น เทีย ว จึง มีค วามดับ แหง ผัส สะ; เพราะมี ความดับแหงผัสสะ จึงมีความดับแหงเวทนา; เพราะมีความดับแหงเวทนา จึงมีความ ดับแหงตัณหา; เพราะมีความดับแหงตัณหา จึงมีความดับแหงอุปาทาน; เพราะมี ความดับแหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับ แห งชาติ ; เพราะมี ค วามดั บ แห งชาติ นั่ น แล ชรามรณะโสกะปริเทวะทุ ก ขุโทมนั ส อุปายาสทั้งหลาย จึงเดับสิ้น: ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ยอมมี ด วยอาการ อยางนี้. ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info ที่สุดแหงปฏิจจสมุปบาท คือที่สุดแหงภพ๑
ลํ าดั บนั้ น พระผู มี พระภาคเจ า ทรงออกจากสมาธิ นั้ น โดยกาลอั นล วงไปแห งวั นทั้ ง ๗ ทรง ตรวจดู โลกดวยพุ ทธจักษุ แลว ไดทรงเห็นหมูสัตวผูเดือนรอนอยู ดวยความเดือนรอนมีประการตาง ๆ และเรา รอนอยู ด วยความเรารอนมี ประการต าง ๆ อั นเกิ ดจากราคะบ าง อั นเกิ ดจากโทสะบ าง อั นเกิ ดจากโมหะบ าง, ครั้นทรงรูสึกความขอนี้แลว ไดทรงเปลงอุทานนี้ ในเวลานี้วา :-
๑
สูตรที่ ๑๐ นันทวรรค อุ.ขุ ๒๕/๑๒๑/๘๔, ทรงเปลงอุทาน ที่โคนแหงตนโพธิ์ใกลผั่งแมน้ําเนรัญชรา.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๘๐๓
{ "สัตวโลกนี้ เกิดความเดือนรอนแลว มีผัสสะบังหนา๑ ยอมกลาวซึ่งโรค (ความเสียบแทง) นั้น โดยความเปนตน." { เขาสําคัญสิ่งใด โดยความเป นประการใด แตสิ่ งนั้ นยอมเป น (ตามที่ เป นจริง) โดยประการอื่น จาก ที่เขาสําคัญนั้น. { สัตวโลกติดของอยูในภพ ถูกภพบังหนาแลว มีภพโดยความเปนอยางอื่น (จากที่มันเปนอยูจริง) จึงได เพลิดเพลินยิ่งนักในภพนั้น. { เขาเพลิดเพลินยิ่งนักในสิ่งใด สิ่งนั้น ก็เปนภั ย(นากลัว); เขากลัวตอสิ่งใด สิ่งนั้น ก็เปนทุกข. { พรหมจรรยนี้ อันบุคคลยอมประพฤติ ก็เพื่อการละขาดซึ่งภพ นั้นเอง. { สมณะหรือพราหมณ ทั้งหลายเหลาใด กลาวความหลุนพนจากภพวามี ไดเพราะ ภพ; เรากลาววา สมณะทั้งปวงนั้น มิใชผูหลุดพนจากภพ. { ถึงแมสมณะหรือพราหมณ ทั้งหลายเหลาใด กลาวความออกไปไดจากภพ วามี ได เพราะวิภพ๒ เรา กล าววา สมณะหรือพราหมณ ทั้ งปวงนั้ น ก็ ยังสลั ดภพ ออกไปไมได. { ก็ทุกขนี้เกิดขึ้นเพราะอาศัยซึ่ง อุปธิ ทั้งปวง. { ความเกิดขึ้นแหงทุกข ไมมี ก็เพราะความสิ้นไปแหงอุปาทานทั้งปวง. { ทานจงดูโลกนี้เถิด (จะเห็นวา) สัตวทั้งหลาย อันอวิชชาหนาแนนบังหนา
www.buddhadasa.info ๑
คํ าว า "มี ผั สสะบั งหน า (ผสฺ สปเรโต)" หมายความว า เมื่ อเขาถู กต องผั สสะใด จิ ตทั้ งหมดของเขายึ ดมั่ น อยูในผั สสะนั้ น จนไม มองเห็ นสิ่ งอื่ น แม จะใหญ โตมากมายเพี ยงใด ทํ านองเส นผมบั งภู เขา : เขาหลงใหล ยึ ดมั่ นแต ในอั สสาทะของผั สสะนั้ นจนไม มองเห็ นสิ่ งอื่ น; อย างนี้ เรี ยกว า มี ผั สสะบั งหน า คื อบั งลู กตา ของเขา ใหเห็นสิ่งตาง ๆ ผิดไปจากตามที่เปนจริง. ๒ คํ าว า "วิ ภ พ" ในที่ นี้ ตรงกั น ข ามกั บ คํ าว า "ภพ" คื อ ไม มี ภ พตามอํ านาจของนั ตถิ กทิ ฏ ฐิ ห รื อ อุ จเฉททิ ฏฐิโดยตรง คื อไม เป นไปตามกฎของอิ ทั ปป จจยตา; ดั งนั้ น แม เขาจะรูสึ กวาไม มี อะไร มั นก็ มี ความ ไมมีอะไรนั้นเอง ตั้งอยูในฐานะเปนภพ ชนิดที่เรียกวา "วิภพ" เปนที่ตั้งแหงวิภวตัณหา.
www.buddhadasa.info
๘๐๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
แลว; และวาสัตวผูยินดีในภพ อันเปนแลวนั้น ยอมไมเปนผูหลุดพนไปจาก ภพได. { ก็ ภพทั้ งหลายเหล าหนึ่ งเหล าใด อั นเป นไปในที่ หรือในเวลาทั้ งปวง๑ เพื่ อ ความมีแห งประโยชนโดยประการทั้งปวง; ภพทั้งหลายทั้งหมดนั้ น ไม เที่ ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา. { เมื่อบุคคลเห็นอยูซึ่งขอนั้น ดวยปญญาอันชอบตามที่เปนจริง อยางนี้อยู; เขายอมละภวตัณหาได และไมเพลิดเพลินซึ่งวิภวตัณหาดวย. { ความดั บเพราะความสํ ารอกไม เหลื อ (แห งภพทั้ งหลาย)เพราะความสิ้ นไป แหงตัณหาโดยประการทั้งปวง นั้นคือ นิพพาน. { ภพใหมยอมไมมีแกภิกษุนั้น ผูดับเย็นสนิทแลว เพราะไมมีความยึดมั่น. { ภิกษุนั้นเปนผูครอบงํามารไดแลว ชนะสงครามแลว กาวลวงภพทั้งหลาย ทั้งปวงไดแลว เปนผูคงที่(คือไมเปลี่ยนแปลงอีกตอไป), ดังนี้แล. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ ง สั ง เกตให เ ห็ น ว า เมื่ อ ประทั บ เสวย วิ มุ ต ติ สุ ข หลั ง การตรั ส รู ใ หม ๆ บริ เวณต น โพธิ์ นั้ น บางเวลาทรงพิ จ ารณาทบทวนปฏิ จ จสมุ ป บาท บางเวลาทรงพิ จ ารณาความเป น ไปของหมู สั ต ว ที่ เป น ไปตามอาการของปฏิ จ จสมุ ป บาท อย างประจั กษ ชั ด จนถึ งกั บ ออกพระอุ ท านนี้ ซึ่ งก็ แสดงอยู ในตั วแล วว า ความมี ผั สสะบั งหน า ในขณะแห งการกระทบของผั สสะนั่ น เอง เป น จุ ดตั้ งต น ของปฏิ จจสมุ ป บาทที่ ทํ า ให เกิ ด ภพ และมี ค วามหลงใหลในภพต า งๆจนเกิ ด ทุ ก ข มี ค วามกลั ว เป น ต น .เขารู ทุ ก ๆ สิ่ ง ชนิ ด ที่ ต รงกั น ข า มจากที่ มั น เป น จริ ง ; ดั ง นั้ น จึ ง กล า วว า เขาย อ มรู ย อ มสํ า คั ญ ย อ ม เห็นโดยประการอื่น จากที่ธรรมชาติเหลานั้นเปนอยูจริง: อันนี้เรียกวาเปนอวิชชาของเขา,
www.buddhadasa.info ๑
คํ า ว า "ในที่ ห รือ ในเวลาทั้ ง ปวง"ตลอดถึ ง คํ า ว า "เพื่ อ ความมี แ ห ง ประโยชน โดยประการทั้ ง ปวง" เป น คุ ณบทแห งค าอั นเป นที่ ตั้ งแห งความยึ ดถื อของภพ.ความมี ความเป นอย างใดก็ ตาม ย อมเนื่ องด วยเวลา ที่พอเหมาะเนื้อที่ที่พอดี ประโยชนที่นารัก มันจึงจะเปนที่ตั้งแหงความยึดถือ หรือยั่วยวนใหยึดถือ; ดังนั้น ภพชนิ ดไหนก็ ตาม ย อมเนื่ องอยู ด วยสิ่ งทั้ ง ๓ นี้ แต แล วในที่ สุ ดมั นก็ เป นเพี ยงสิ่ งที่ ไม เที่ ยง เป นทุ กข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา ดังที่กลาวแลว ในพุทธอุทานนั้น.
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๘๐๕
เป น สิ่ ง ซึ่ ง จะเข า มาประกอบกั บ สั ม ผั ส จนได น ามว า "อวิ ช ชาสั ม ผั ส "; เป น เงื่ อ นต น แห ง ปฏิจ จสมุป บาท ดัง ที ่ไ ดก ลา วไวแ ลว โดยหัว ขอ ชื ่อ นั ้น (อวิช ชาสัม ผัส คือ ตน เหตุ
อันแทจริงของปฏิจจสมุปบาท; ซึ่งเปนเรื่องที่ ๖ แหงหมวดที่ ๔)
ธรรมไหลไปสูธรรม โดยไมตองมีใครเจตนา๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อมีศีลสมบู รณ แลว ก็ไมตองทําเจตนาวา "อวิปปฏิ ส าร จงบั ง เกิ ด แก เรา".ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ข อ นี้ เป น ธรรมดา ว า เมื่ อ มี ศี ล สมบูรณแลว อวิปปฏิสารยอมเกิด(เอง). ดูกอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่อไม มี วิปปฏิ สาร ก็ไมตองทําเจตนาวา "ปราโมทย จงบั งเกิ ด แก เรา".ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ข อ นี้ เป น ธรรมดา วา เมื่ อ ไม มี วิป ปฏิ ส าร ปราโมทยยอมเกิด(เอง). ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ ปราโมทย แ ล ว ก็ ไม ต อ งทํ า เจตนาว า "ป ติ จงบังเกิดแกเรา". ดูกอ นภิ กษุ ทั้ งหลาย! ข อ นี้ เป น ธรรมดา วา เมื่ อ ปราโมทยแล ว ปติยอมเกิด(เอง).
www.buddhadasa.info ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อมี ใจป ติ แล ว ก็ ไม ต องทํ าเจตนาวา "กายของเรา จงรํางับ". ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ขอนี้เปนธรรมดา วา เมื่อมีใจปติแลว กายยอม รํางับ(เอง).
๑
สู ต รที่ ๒ นิ ส สายวรรคเอกาทสก.อํ .๒๔/๓๓๖/๒๐๙.พระบาลี ในที่ อื่ น (สู ต รที่ ๑ อานิ สั งสวรรค ทสก.อํ . ๒๔/๒/๒)ตรัสเหมื อนกั บ สู ตรนี้ ทุ กประการ ต างกั นแต เพี ยงได ตรัสตอน เบื่ อหน าย และคลายกํ าหนั ด รวมเปนอันเดียวกันเทานั้น
www.buddhadasa.info
๘๐๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อกายรํ างั บ แล ว ก็ ไม ต องทํ าเจตนาวา "เราจง เสวยสุขเถิด".ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ขอนี้เปนธรรมดา วา เมื่อกายรํางับแลว ยอมได เสวยสุข(เอง). ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อมี สุ ข ก็ ไม ต องทํ าเจตนาวา "จิ ตของเราจงตั้ งมั่ น เปนสมาธิ".ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ขอนี้เปนธรรมดา วา เมื่อมีสุข จิตยอมตั้งมั่นเปน สมาธิ(เอง). ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อจิตตั้งมั่นเปนสมาธิแลว ก็ไมตองทําเจตนาวา "เราจงรูจงเห็นตามที่เปนจริง". ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ขอนี้ เป นธรรมดา วา เมื่อจิต ตั้งมั่นเปนสมาธิแลว ยอมรู ยอมเห็นตามที่เปนจริง(เอง). ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อรูอยูเห็นอยูตามที่เปนจริง ก็ไมตองทําเจตนาวา "เราจงเบื่อหนาย" ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! ข อนี้ เป นธรรมดา วา เมื่อรูอยูเห็นอยูตามที่ เปนจริง ยอมเบื่อหนาย(เอง).
www.buddhadasa.info ดู กอนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อเบื่ อหน ายแล ว ก็ ไม ต องทํ าเจตนาวา "เราจง คลายกําหนัด". ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ขอนี้เปนธรรมดา วา เมื่อเบื่อหนายแลว ยอม คลายกําหนัด(เอง).
ดู ก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! เมื่ อจิ ตคลายกํ าหนั ด แล ว ก็ ไม ต องทํ าเจตนาวา "เราจงทําใหแจงซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ". ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ขอนี้เปนธรรมดา วา เมื่อคลายกําหนัดแลว ยอมทําใหแจงซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ(เอง).
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๘๐๗
ดูก อนภิ กษุ ทั้ งหลาย! ด วยอาการอยางนี้ แล วิราคะ ยอมมี วิมุ ตติ ญาณทั สสนะ เป นอานิ สงส ที่ มุ งหมาย; นิ พพิ ทา ย อมมี วิราคะเป นอานิ สงส ที่ มุ งหมาย; ยถาภู ตญาณทั สสนะ ยอมมีนิพพิทาเปนอานิสงสที่มุงหมาย; สมาธิ ยอมมียถาภู ตญาณทั สสนะเป นอานิ สงส ที่ มุ งหมาย; สุ ข ย อมมี สมาธิเป นอานิ สงส ที่ มุ งหมาย; ปสสัทธิ ยอมมีสุขเปนอานิสงส ที่มุงหมาย; ปติ ยอมมีปสสัทธิเปนอานิสงส ที่มุงหมาย; ปราโมทย ยอ มมีป ติเป นอานิสงส ที่มุ งหมาย; อวิป ปฏิ สาร ยอมมี ป ราโมทยเป น อานิสงส ที่มุงหมาย; ศีลอันเปนกุศล ยอมมีอวิปปฏิสารเปนอานิสงส ที่มุงหมาย. ดูกอนภิ กษุ ทั้งหลาย! ดวยอาการอยางนี้แล ธรรมยอมไหลไปสู ธรรม; ธรรมยอมทําธรรมใหเต็ม เพื่อการถึงซึ่งฝง (คือนิพพาน)จากที่มิใชฝง(คือสังสาระ) ดังนี้. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : ผู ศึ ก ษาพึ งสั งเกตให เห็ น ว า เราเพี ย งแต ตั้ งเจตนา ในการกระทํ า ให ถู ก ต อ ง ก็ พ อแล ว ; ไม ต อ งตั้ ง เจตนาในการที่ จ ะให ก ารกระทํ า นั้ น ออกผล, นั่ น เป น สิ่ งที่ ไม จํ าเป น แถมยั งจะเป น สิ่ งที่ ทํ าให เกิ ดความกระวนกระวาย หรื อเป น ทุ กข โดย ไม จํ าเป น อี กด วย.คนโดยมากกระทํ าผิ ดในข อนี้ จึ งทํ าการงานอยู ด วยความทนทรมาน หรื อ ป ว ยเป น โรคทางจิ ต .หลั ก เกณฑ อั น นี้ ใ ช ไ ด ทั้ ง ในทางคดี โ ลกและคดี ธ รรม; แม ที่ สุ ด แต ก าร ที่เหตุใหเกิดผลในกระแสแหงปฏิจจสมุปบาท ก็ยังมีลักษณะเชนนี้และโดยเด็ดขาด.
www.buddhadasa.info แมพระพุทธองคก็ทรงสาธยายปฏิจจสมุปบาท (เกียรติสูงสุดของปฏิจจสมุปบาท)๑ ครั้งหนึ่ ง พระผู มี พระภาคเจ า เมื่ อเสด็ จประทั บอยู ในที่ หลี กเร นแห งหนึ่ งแล ว ได ทรงกล าว ธรรมปริยายนี้ (ตามลําพังพระองค) วา:-
๑
สู ต รที่ ๑๐ โยคั ก เขมิ วรรค สฬายตนสั งยุ ต ต สฬา.สํ .๑๘/๑๑๑/๑๖๓,สู ต รที่ ๕ คหปติ วรรค อภิ ส มยสังยุตต นิทาน.สํ.๑๖/๘๙/๑๖๖-๘; กลาวตามลําพังพระองคในคราวประทับหลีกเรนอยู.
www.buddhadasa.info
๘๐๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
เพราะอาศั ยซึ่ งจั กษุ ด วย, ซึ่ งรู ปทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดจั กขุ วิ ญ ญาณ; การ ประจวบพร อ มแห ง ธรรม ๓ ประการ (จั ก ษุ +รู ป +จั ก ขุ วิ ญ ญาณ) นั้ น คื อ ผั ส สะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะ มี ตั ณ หาเป น ป จ จั ย จึ ง มี อุ ป าทาน; เพราะมี อุ ป าทานเป น ป จ จั ย จึ ง มี ภ พ; เพราะ มี ภ พเป นป จจั ย จึ งมี ช าติ ; เพราะมี ชาติ เป นป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. เพราะอาศั ยซึ่ งโสตะด วย, ซึ่ งเสี ยงทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดโสตวิ ญ ญาณ;การ ประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ(โสตะ+เสี ยง+โสตวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; เพราะ มีผ ัส ส ะ เปน ปจ จัย จึง มีเ ว ท น า ;...ฯ ล ฯ ... ...ฯ ล ฯ ... (ใน ก รณ ีแ หง โส ต ะ ฆ า น ะ ชิ วหา และกายะ ตอนที่ ละเปยยาลไวเช นนี้ ทุ กแห ง หมายความวามี ข อความเต็ มดุ จในกรณี แห งจั กษุ และกรณี แหงมนะทุกตัวอักษร).
เพราะอาศั ย ซึ่ งฆานะด วย, ซึ่ งกลิ่ น ทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ด ฆานวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ (ฆานะ+กลิ่ น+ฆานวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา;...ฯลฯ... ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info เพราะอาศั ย ซึ่ งชิ ว หาด ว ย, ซึ่ ง รสทั้ ง หลายด ว ย, จึ งเกิ ด ชิ ว หาวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ (ชิ วหา+รส+ชิ วหาวิ ญญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; เพราะ มีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา;...ฯลฯ... ...ฯลฯ...
เพราะอาศั ยซึ่ งกายะด วย, ซึ่ งโผฏฐั พพะทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดกายวิ ญญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (กายะ+โผฏฐั พพะ+กายวิ ญญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมี เวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ...
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๘๐๙
เพราะอาศั ยซึ่ งมนะด วย, ซึ่ งธั มมารมณ ทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดมโนวิ ญญาณ; การประจวบพร อ มแห งธรรม ๓ ประการ (มนะ+ธั ม มารมณ +มโนวิ ญ ญาณ) นั้ น คื อ ผั สสะ; เพราะมี ผั สสะเป นป จจั ย จึ งมี เวทนา; เพราะมี เวทนาเป นป จจั ย จึ งมี ตั ณ หา; เพราะมี ตั ณหาเป นป จจั ย จึ งมี อุ ปาทาน; เพราะมี อุ ปาทานเป นป จจั ย จึ งมี ภพ; เพราะ มี ภ พเป นป จจั ย จึ งมี ช าติ ; เพราะมี ชาติ เป น ป จจั ย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุ กขะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งเกิ ดขึ้ นครบถ วน : ความเกิ ดขึ้ นพรอมแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้. --- (ปฏิปกขนัย) ---
เพราะอาศั ย ซึ่ ง จั ก ษุ ด ว ย, ซึ่ ง รู ป ทั้ ง หลายด ว ย, จึ ง เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห ง ธรรม ๓ ประการ (จั กษุ +รูป+จั กขุ วิ ญญาณ) นั้ นคื อผั สสะ; เพราะ มี ผั ส สะเป น ป จ จั ย จึ ง มี เ วทนา; เพราะมี เ วทนาเป น ป จ จั ย จึ ง มี ตั ณ หา; เพราะ ความจางคลายดั บ ไปไม เ หลื อ แห ง ตั ณ หานั้ น นั่ น แหละจึ ง มี ค วามดั บ แห ง อุ ปาทาน; เพราะมี ความดั บแห งอุ ปาทาน จึงมี ความดั บแห งภพ; เพราะมี ความดั บ แหง ภพ จึง มีค วามดับ แหง ชาติ; เพราะมีค วามดับ แหง ชาตินั ่น แล ชรามรณะ โสกะปริ เทวะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info เพราะอาศั ย ซึ่ งโสตะด วย, ซึ่ งเสี ย งทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ด โสตวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ(โสตะ+เสี ยง+โสตวิ ญ ญาณ) นั่ น คื อ ผั ส สะ; เพ ราะมีผ ัส ส ะเปน ปจ จัย จึง มีเ วท น า; ...ฯล ฯ... ...ฯล ฯ... (ใน ก รณ ีแ หง โส ต ะ
ฆานะ ชิ วหา และกายะ ตอนที่ ละเปยยาลไวเช นนี้ ทุ กแห ง หมายความว ามี ข อความเต็ มดุ จในกรณี แห งจั กษุ และกรณีแหงมนะทุกตัวอักษร).
www.buddhadasa.info
๘๑๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๑๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
เพราะอาศั ยซึ่ งฆานะด วย, ซึ่ งกลิ่ นทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดฆานวิ ญ ญาณ; การประจวบพร อมแห งธรรม ๓ ประการ(ฆานะ+กลิ่ น+ฆานวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... เพราะอาศั ยซึ่ งชิ วหาด วย, ซึ่ งรสทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดชิ วหาวิ ญ ญาณ; การประจวบพรอมแห งธรรม ๓ ประการ (ชิ วหา+รส+ชิ วหาวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผั สสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา;...ฯลฯ... ...ฯลฯ... เพราะอาศั ยซึ่ งกายะด วย, ซึ่ งโผฏฐั พพะทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดกายวิ ญญาณ; การประจวบ พร อมแห งธรรม ๓ ประการ(กายะ+โผฏฐั พพะ+กายวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... เพราะอาศั ยซึ่ งมนะด วย, ซึ่ งธั มมารมณ ทั้ งหลายด วย, จึ งเกิ ดมโนวิญญาณ; การประจวบ พร อมแห งธรรม ๓ ประการ (มนะ+ธั มมารมณ +มโนวิ ญ ญาณ) นั่ นคื อ ผัสสะ; เพราะมี ผัสสะเปนป จจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเป นปจจัย จึงมีตั ณหา; เพราะความจางคลายดับ ไปไมเ หลือ แหง ตัณ หานั ้น นั ่น แหละ จึง มีค วาม ดับแหงอุปาทาน; เพราะมีความดับแหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ; เพราะมี ความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ; เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะโทมนั สอุ ปายาสทั้ งหลาย จึ งดั บสิ้ น : ความดั บลงแห งกองทุ กข ทั้ งสิ้ นนี้ ยอมมี ดวยอาการอยางนี้.
www.buddhadasa.info สมั ยนั้ นแล ภิ กษุ องค หนึ่ ง ได ยื นแอบฟ งพระผู มี พระภาคเจ าอยู .พระผู มี พระภาคเจ าทอด พระเนตรเห็ น ภิ ก ษุ ผู ยื น แอบฟ งนั้ น แล ว ได ต รัส คํ านี้ ก ะภิ ก ษุ นั้ น ว า "ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เธอได ยิ น ธรรมปริยายนี้แลวมิใชหรือ?" (ไดยิน พระเจาขา!")
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๘๑๑
ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เธอจงรั บ เอาธรรมปริ ย ายนี้ ไ ป; ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เธอจงเล า เรี ย นธรรมปริ ย ายนี้ ;ดู ก อ นภิ ก ษุ ! เธอจงทรงไว ซึ่ ง ธรรมปริ ย ายนี้ ; ดู ก อ นภิ ก ษุ ! ธรรมปริยายนี้ ประกอบดวยประโยชน,เปนเบื้องตนแหงพรหมจรรย", ดังนี้ แล. หมายเหตุ ผู ร วบรวม : เรายั ง ไม เคยพบเลยว า มี สู ต รใดบ า ง, นอกจาก สู ต รนี้ , ที่ พ ระพุ ท ธองค ท รงนํ า เอาข อ ความเรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาทมาสาธยายเล น ตามลํ า พั ง พระองค, เหมือ นคนสมัย นี ้ ฮัม เพลงบางเพลงเลน อยู ค นเดีย ว. เรื ่อ งปฏิจ จสมปบาท เป น เรื่ อ งที่ มี เกี ย รติ สู ง สุ ด ด ว ยเหตุ ผ ล กล า วคื อ ถึ ง กั บ ทรงนํ า มาสาธยายเล น ในยามว า ง ลํ า พั ง พระองค ๑; ทรงกํ า ชั บ ให ภิ ก ษุ เล า เรี ย น ๑; ทรงบั ญ ญั ติ ว า เรื่ อ งนี้ เป น อาทิ พ รหม จรรย ๑; ดั ง ที่ ป รากฏอยู ใ นข อ ความแห ง สู ต รนี้ แ ล ว ; และทรงตี ค า เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท เทา กับ พระองคเ อง โดยตรัส วา "ผู ใ ดเห็น ปฏิจ จสมุป บาท ผู นั ้น เห็น ธรรม : ผู ใ ด เห็น ธ รรม ผู นั ้น เห็น ป ฏิจ จ ส มุป บ า ท " (ม ห า หัต ถิป โท ป ม สูต ร ๑๒/๓๕๙/๓๔๖) ซึ่ ง เที ย บกั น ได กั บ พุ ท ธภาษิ ต ในขั น ธวารวรรค สั ง ยุ ต ตนิ ก าย ว า "ผู ใ ดเห็ น ธรรม ผู นั้ น เห ็น ต ถ า ค ต : ผุ ใ ด เห ็น ต ถ า ค ต ผู นั ้น เห ็น ธ ร ร ม " (๑๗/๑๔๗/๒๑๖)๑; ดัง นั ้น จึ ง ถื อ ว า เรื่ อ งปฏิ จ จสมุ ป บาท เป น เรื่ อ งที่ มี เกี ย รติ สู ง สุ ด สมแก ก ารที่ เป น หั ว ใจของพุ ท ธศาสนา แต ก ลั บ เป น เรื่ อ งที่ มี ผู ส นใจน อ ยที่ สุ ด ; ดั ง นั้ น จึ ง นํ า เอาข อ ความแห ง สู ต รข า งบนนี้ มาอ า งไว ในหนั ง สื อ เล ม นี้ ถึ ง ๕ แห ง ด ว ยกั น โดยหั ว ข อ ว า "ทรงแนะนํ า อย า งยิ่ ง ให
www.buddhadasa.info ศึ ก ษ า เรื ่ อ งป ฏิ จ จ ส มุ ป บ า ท " แ ล ะ ว า "ป ฏิ จ จ ส มุ ป บ า ท มี เ มื ่ อ มี ก า รก ระ ท บ ท า ง อ า ย ต น ะ ", "ต รั ส ว า ป ฏิ จ จ ส มุ ป บ า ท เป น เบื ้ อ ง ต น แ ห ง พ ร ห ม จ ร ร ย " "ท ร ง กํ า ช ับ ส า ว ก ใ ห เ ล า เรีย น ป ฏ ิจ จ ส ม ุป บ า ท ", "แ ม พ ร ะ พ ุท ธ อ ง ค ก ็ท ร ง สาธยายปฏิจจสมุปบาท"
เรื่องปฏิจจสมุปบาทรวมอยูในเรื่อง ที่พุทธบริษัทควรทําสังคีต๑ิ ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย! ธรรมสองอย าง อั นพระผู มี พระภาคเจ า ผู รู ผูเห็น ผูอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา ไดตรัสไวดีแลว มีอยู; อันพุทธบริษัททั้งหลาย
๑
สังคีติสูตร ปา.ที. ๑๑/๒๒๖/๒๒๗, ภาสิตของพระสารีบุตร ซึ่งอางถึงพระพุทธภาสิตอีกตอหนึ่ง,
www.buddhadasa.info
๘๑๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ – หมวดที่ ๑๒
(ภิ กษุ ภิ กษุ ณี อุบาสก อุบาสิกา) ทั้ งปวงนั่ นเที ยว พึ งทํ าสั งคี ติ (คื อสอบสวน จนเป นที่ เขาใจ ตรงกั น ทุ ก คน แล ว ช วยกั น สาธยาย เพื่ อ ทรงจํ า ไว อ ย างมั่ น คง)ในธรรมสองอย างนั้ น , ไม พึ ง วิ ว าทกั น ในธรรมสองอย า งนั้ น ,โดยประการที่ พ รหมจรรย (ศาสนา)นี้ จะพึ ง มั่ น คง ตั้ ง อยู น าน.ข อ นั้ น จะพึ ง เป น ไป เพื่ อ หิ ต สุ ข แก ม หาชนเป น อั น มาก เพื่ อ อนุ เคราะห โลก เพื่ อ ประโยชน หิ ต สุ ข แกเทวดาและมนุ ษ ยทั้ งหลาย. ธรรมสอง อยางนั้นเลาคืออะไร? ธรรมสองอยางนั้นคือ :-
อายตนกุสลตา -ความเปนผูฉลาดในอายตนะ ๑ ปฏิจจสมุปบาทกุสลตา -ความเปนผูฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ๑ ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย! เหล า นี้ แ ลคื อ ธรรมสองอย า ง อั น พระผู มี พระภาคเจ า ผู รู ผู เ ห็ น ผู อ รหั น ตสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า ได ต รั ส ไว ดี แ ล ว ; อั น พุ ท ธ บริ ษั ททั้ งหลาย (ภิ กษุ ภิ กษุ ณี อุ บาสก อุ บาสิ กา) ทั้ งปวงนั่ นเที ยว พึ งทํ าสั งคี ติ (คื อ สอบสวน จนเป น ที่ เข า ใจตรงกั น ทุ ก คน แล ว ช ว ยกั น สาธยาย เพื่ อ ทรงจํ า ไว อ ย า ง มั่ น คง) ในธรรมสองอย า งนั้ น , ไม พึ ง วิ ว าทกั น ในธรรมสองอย า งนั้ น , โดยประการที่ พรหมจรรย (ศาสนา)นี้ จะพึ ง มั่ น คง ตั้ ง อยู น าน. ข อ นั้ น จะพึ ง เป น ไปเพื่ อ หิ ต สุ ข แกมหาชนเปนอันมาก เพื่ออนุเคราะหโลก เพื่อประโยชนหิตสุข แกเทวดาและ มนุษยทั้งหลาย, ดังนี้ แล.
www.buddhadasa.info (อตฺ ถิ โข อาวุ โส เตน ภควตา ขานตา ปสฺ สตา อรหตา สมฺ มาสมฺ พุ ทฺ เธน เทฺ ว ธมฺ มา สมฺ มทกฺ ขาตา ตตฺ ถ สพฺ เพเหว สงฺ คายิ ตพฺ พํ น วิ วทิ ตพฺ พํ ยถยิ ทํ พฺ รหฺ มจริ ยํ อทฺธนิยํ อสฺส จิรฏติกํ ตทสฺส พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย
www.buddhadasa.info
วาดวยปฏิจจฯ ที่มีลักษณะเพื่อศีลธรรม
๘๑๓
สุขาย เทวมนุ สฺ สานํ . กตเม เทฺ ว ธมฺ มา? ...อายตนกุ สลตา จ ปฏิ จฺ จสมุ ปฺ ปาทกุ สลตา จ ....อิ เม โข อาวุ โส เตน ภควตา ชานตา ปสฺ สตา อรหตา สมฺ มาสมฺ พุ ทฺ เธน เทฺ ว ธมฺ มา สมฺมทกฺขาตา ตตฺถ สพฺเพเหว สงฺคายิตพฺพํ น วิวทิตพฺพํ ยถยิทํ พฺรหฺมจริย อทฺธนิยํ อสฺส จริฏติกํ ตทสฺส พหุชนหิตาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺติ). ห ม ายเห ตุ ผู ร วบ รวม : ผู ศึ ก ษ าพึ งสั ง เกตจนเข า ใจได อ ย า งชั ด เจน ว า ความฉลาดในอายตนะ ก็ คื อ ฉลาดในสิ่ ง ที่ เป น ที่ ตั้ ง ของปฏิ จ จสมุ ป บาทนั่ น เอง; และเมื่ อ ฉลาดในการควบคุ ม อายตนะแล ว ก็ ส ามารถคุ ม การเกิ ด แห ง กระแสของปฏิ จ จสมุ ป บาท; นั บ ว า เนื่ อ งกั น อย า งที่ จ ะแยกกั น ไม ไ ด , และเป น หั ว ใจของพระพุ ท ธศาสนาในแง ข องการ ปฏิบัติโดยแท.
บทสรุป จบ
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ จบ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ในหนังสือปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ (เรียงลําดับตามหลักอักษรไทย) (จํานวน ๒,๕๗๖ คํา) -----------
ก กฎสูงสุดของธรรมชาติ ๔๓ กรรมอันกระทําแลวดวยอโลภะ ๑๓๔ กฎแหงธรรมฐิติ-ธรรมนิยาม ๔๓ กรรมอันมีกามธาตุเปนวิบาก ๗๙๑ กฎอิทัปปจจยตา ๓ กรรมอันมีรูปธาตุเปนวิบาก ๗๙๑ กพฬีการาหาร ๖๕/๓๖๓ กรรมอันมีอรูปธาตุเปนวิบาก ๗๙๑ กรณีของกาย ๖๔ กระทําในใจโดยแยบคายเปนอยางดีกรณีที่อวิชชาเปนสิ่งที่ละเสียได ๑๖๕ -ซึ่งปฏิจจสมุปบาท ๓๘๒ กรรมกึ่งกรรม ๖๙๗ กระทําโยนิโสมนสิการซึ่งจักษุ ๖๕๓ กรรมเกาก็เปนอันสิ้นสุดไป ๒๐๗ กระทําใหแจงซึ่งนิพพาน ๔๘๔ กรรมเกา (กาย) นี้ ๖๔ กระทําใหแจงซึ่งบรมสัจจดวยกาย ๖๕๒ กรรมเกิดและดับในอัตตภาพนี้ ๒๗๗ กระทําใหแจงซึ่งปรมัตถสัจจะดวยกรรมดวยกายดวยวาจาดวยใจ ๒๗๖ -(นาม) กาย ๖๓๗ กรรมเต็มกรรม ๖๙๗ กระแสปฏิจจสมุปบาท ๖๔ กรรมเปนเครื่องรึงรัดเหมือนลิ่มสลัก ๑๓๗ กระแสแหงการปรุงแตงของปจจัยที่ – กรรมใหมก็เปนอันไมกระทํา ๒๐๗ - ทยอยกันไป ๔๒๗ กรรมใหผลในอัตตภาพที่กระทํากรรม ๑๓๑ กระแส (แหงนิพพาน) ๕๓๘ กรรมอันกระทําแลวดวยโทสะ ๑๓๒ กลหวิวาทนิโรธ ๕๙๕ กรรมอันกระทําแลวดวยโมหะ ๑๓๒ กลองปณวะเสียงแข็ง ๓๖๗ กรรมอันกระทําแลวดวยโลภะ ๑๓๒ กลัวตอการรุมลอมซักถาม ๗๔๔ กรรมอันกระทําแลวดวยอโทสะ ๑๓๔ กลัวตออมุสาวาท ๗๔๓ กรรมอันกระทําแลวดวยอโมหะ ๑๓๔ กลัวตออุปาทาน ๗๔๔ ๘๑๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๑๖ กลาวตรงตามที่เรากลาว ๑๕๙ กลาวแตสิ่งที่พวกเธอรูเองเห็นเอง-รูสึกเอง ๔๓๑ กลาวอยางที่ทานกลาวเพราะความ-เคารพในพระพระศาสดา ๔๓๐ กอนแตนี้อวิชชามิไดมี ๖๒๒ ก็ยังเปนอารมณเพื่อการตั้งอยูแหง-วิญญาณ ๑๖๖ ก็เวทนา(โดยละเอียด)เปนอยางไรเลา? ๓๓๙ กัมมนิโรธ ๒๗๗ กัมมาสทัมมนิคมแควนกุรุ ๑๕/๓๑ กามของคนเรา ๒๗๑ กามคุณทั้งหลาย ๕ ประการ ๗๖๓ “กามคุณ” (หาเรียกวากามไม) ๒๗๑ กามคุณ ๕ ประการ ๒๗๑ กามฉันทะ (ความพอใจในกาม) ๕๘๗ กามธาตุ (ธาตุเปนที่ตั้งแหงความรูสึก-ทางกาม) ๕๘๗ กามปริเยสนา(การแสวงหากาม) ๕๘๘ กามปริฬาหะ (ความเรารอนเพื่อกาม) ๕๘๘ กามภพ ๒๗/๘๗ กามวิตก ๑๔๒ กามวิตก (ความครุนคิดในกาม) ๔๘๗ กามสังสัปปะ (ความตริตรึกในกาม) ๕๘๗ กามสัญญา (ความหมายมั่นในกาม) ๕๘๗ กามุปาทาน ๒๗/๘๗/๑๘๓/๓๔๗
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่ไดรับ-การรักษา ๕๘๐ กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมบูดเนา ๕๘๐ กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมเปยกแฉะ ๕๘๐ กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมอันไมได-รับการรักษา ๕๗๙ กายกรรมวจีกรรมและอาชีวะของเขา-เปนธรรมบริสุทธิ์มาแลวแตเดิม ๓๓๖ กาย (กายทวารที่ทําหนาที่อยูดวยอวิชชา) ๑๖๐ กายของตถาคตมีตัณหาเครื่องนําไปสูภพ-ถูกตัดขาดแลวยังตั้งอยู ๗๓๑ กายจิตของผูมีใจปติยอมสงบรํางับ ๒๘๑ กายนี้ไมใชของใคร ๖๔ กายนี้ไมใชของเธอทั้งหลาย ๖๔ กายเปนเพียงกระแสปฏิจจสมุปบาท ๖๔ กายยอมรํางับ (เอง) ๘๐๕ กายรํางับแลวยอมรูสึกเปนสุข ๒๗๙ กายสมารัมภะ ๒๐๓ กายสังขาร ๒๘/๙๐ กายสังขาร (อํานาจที่ใหเกิดการเปนไป-ทางกาย) ๑๖๐ “กาย (หมูแหงธรรมชาติ)ทั้งหลาย ๗หมู- เหลานี้ไมมีใครทํา ฯลฯ” ๖๙๖ กายอันเปนที่ประชุมแหงมหาภูตทั้งสี่ ๓๘/๓๘๒
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม การกระทําใหบริบูรณในศีล ๑๘๔ กายกระทําอันติดตอ ๒๕๓ การกระทําอันเลว ๔๘๗ การกระทําอันเลิศ ๔๘๗ การกลาวคําหยาบวา “มึง ! มึง !..” ๕๙๐/๗๘๒ การกลาวถึงปฏิจจสมุปบาททุกอาการ-อยูในตัว ๔๒๒ การกอขึ้นแหงทุกข ๙๖ การกาวลงสูครรภของสัตวผูเกิดในครรภ ๑๔๙ การกาวลงแหงนามรูป ๑๖๖/๕๖๙ การกาวลงแหงอินทรีย ๑๖๔ การกาวลวงเสียซึ่งโสกะปริเทวะ ๔๘๔ การกําจัดอุปสรรคขณะเจริญสติปฏฐาน ๒๗๘ การเกิดขึ้นของปฏิจจสมุปบาทโดยตรง ๒๑๓ การเกิดขึ้นแหงรูปสัญญา ๒๒๓ การเกิดขึ้นแหงจักษุ ๒๒๐ การเกิดขึ้นแหงไตรทวาร ๑๕๘ การเกิดขึ้นแหงทุกข ๒๒๐ การเกิดขึ้นแหงธรรมจักษุ ๔๒๓ การเกิดขึ้นแหงนามรูป ๓๔๑ การเกิดขึ้นแหงปฐวีธาตุ ๒๒๕ การเกิดขึ้นแหงผัสสะ ๓๓๙ การเกิดขึ้นแหงภพใหมตอไป ๗๙๓ การเกิดขึ้นแหงรูป ๑๒๘/๒๒๑/๓๓๘ การเกิดขึ้นแหงรูปขันธ ๒๒๖
๘๑๗ การเกิดขึ้นแหงรูปตัณหา ๒๒๕ การเกิดขึ้นแหงรูปสัญเจตนา ๒๒๔ การเกิดขึ้นแหงโลก ๑๗๓/๑๗๕ การเกิดขึ้นแหงวิชชา ๑๖๕/๑๘๗ การเกิดขึ้นแหงวิญญาณ ๓๔๑ การเกิดขึ้นแหงเวทนา ๑๒๘ การเกิดขึ้นแหงสังขาร ๓๔๐ การเกิดขึ้นแหงสัญญา ๑๒๘/๓๔๐ การเกิดขึ้นแหงอวิชชา ๑๕๘ การเกิดขึ้นแหงอาหาร ๓๓๘ การเกิดดับแหงกิเลสและความทุกข ๑๘๓ การเกิดในภพใหมในกระแสแหง-ปฏิจจสมุปบาท ๗๙๓ การเกิดสังขาร ๔ ประเภท ๑๙๒ การเกิดแหงกระแสปฏิจจสมุปบาทที่เกิด- ขึ้นในใจคนทุกคราว ๑๗๓ การเกิดแหงโลก ๒๑๖ การแกไขอุปสรรคแหงการเจริญ- สติปฏฐาน ๒๗๙ การขอทาน ๑๔๑ การขาดที่อิงอาศัยสําหรับวิมุตติญาณ- ทัสสนะ ๖๔๖ การขาดแหงอินทรียคือชีวิต ๒๖/๘๖ การขึ้นลงของน้ําทะเล ๔๑ การเขาไปนั่งใกล (ปยิรุปาสนา) ๖๔๒ การเขาไปสงบระงับแหงโรค ๒๒๑ การเขาไปหา (อุปสงฺกมน) ๖๔๒
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๑๘ “การคบสัปบุรุษ” ๖๒๙ การครอบงําซึ่งอุปาทานทั้งปวง ๓๔๙ การควบคุมกาเกิดปฏิจจสมุปบาท ๔๑๐ การควบคุมผัสสายตนะ ๔๑๐ การควบคุมเวทนา ๒๗๘ การคํานวณเทียวสวนแหงความตองการ-ของกิเลสกับความเปนอยูของมนุษย ๕๘๒ การคิดคนปฏิจจสมุปบาทกอนการตรัสรู ๔๖๙ การคิดคนปฏิจจสมุปบาทของ-พระพุทธเจาในอดีต ๔๗๔ การคิดคนปฏิจจสมุปบาทอยูอยาง- ขะมักเขมน ๒๖๕ การเคลื่อนและการบังเกิด (จุติอุปปาตะ) ๑๖๘ การใครครวญชนิดที่จิตจะไมแลนไป-ขางนอกและไมสยบอยูในภายใน ๓๐๕ การใครครวญซึ่งธรรมนั้นดวยปญญา ๒๘๐ การเงี่ยลงซึ่งโสตะ (โสตาวธาน) ๖๔๑ การจับและการวางปรากฏ ๑๕๖ การใชศัสตราวุธติดตอกันไมหยุดหยอน-ตลอดเวลา ๗ วัน ๕๘๔ การดับของนันทิในเวทนาทั้งหลาย ๓๗๐ การดับปปญจสัญญาสังขา ๖๑๒ การดับไมเหลือแหงรูปสัญญา ๒๒๔ การดับไมเหลือแหงจักษุ ๒๒๑ การดับไมเหลือแหงปฐวีธาตุ ๒๒๕
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ การดับไมเหลือแหงรูป ๒๒๑ การดับไมเหลือแหงรูปขันธ ๒๒๖ การดับไมเหลือแหงรูปตัณหา ๒๒๕ การดับไมเหลือแหงรูปสัญเจตนา ๒๒๔ การดับลงแหงทุกข ๙๘ การดับลงแหงโลก ๑๗๖/๑๗๗ การดับแหงกระแสปฏิจจสมุปบาท ๑๗๕ การดับแหงปฏิจจสมุปบาท ๒๒๗ การดับแหงภพคือนิพพาน ๒๘๔ การดับแหงโลก ๒๒๗ การดับแหงโลกที่ดับลงในใจคน ๑๗๕ การดับอุปาทานสี่ ๖๕๖ การไดเฉพาะซึ่งธรรมจักษุ ๔๓๖ “การไดฟงพระสัทธรรม” ๖๒๙ การได (ลาโภ) ๕๘๙ การไดอารมณหก ๕๘๕ การตริตรึกไปตามอาการ ๒๘๒ การตั้งจิตในนิมิตอยางใดอยางหนึ่ง- ซึ่งเปนที่ตั้งแหงความเลื่อมใส ๒๗๙ การตายที่ไมงดงาม ๕๘๐ การถึงความตั้งอยูไมไดแหงชราและมรณะ ๒๒๑ การถึงซึ่งฝง (คือนิพพาน) จากที่มิใชฝง- (คือสังสาระ) ๘๐๗ การถึงซึ่งอันตั้งอยูไมไดแหงทุกข ๙๘ การถึงทับจับฉวยวา “เรามีอยู” ๑๖๔ การถึงพรอมดวยทัสสนทิฏฐิ ๔๓๕ การถึงอมตภาวะอันไมมีการแบงแยก ๓๓๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม การทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ๕ การทรงไวซึ่งธรรม (ธมฺมธารณา) ๖๔๑ การทะเลาะวิวาทมีขึ้นมาจากสิ่งเปนที่รัก ๕๙๕ การทําความเพียรในที่สงัด ๒๘๖ การทําความสิ้นสุดแหงกรรม ๒๗๘ การทําในใจโดยแยบคายเปนอยางดี-ซึ่งปฏิจจสมุปบาท ๕๔๑ การที่กําลังดําเนินอยูในอริยอัฏฐังคิกมรรค ๒๖๕ การที่สัตวได ซึ่งอายตนะทั้งหลาย ๒๗/๘๖ การทูลถามถึงการปรินิพพานในปจจุบัน ๒๐ การนําจิตเฉพาะตออารมณ ๒๗๙ การนําออกเสียไดซึ่งความกําหนัด ๓๓๘ การบรรลุคุณวิเศษของอริยสาวกซึ่งเปน-บุคคลผูถึงพรอมดวย (สัมมา) ทิฏฐิ ๕๔๓ การบรรลุคุณวิเศษแหงสมณพราหมณ-และปริพาชกผูเปนเดียรถียเหลาอื่น ๕๔๓ การบรรลุซึ่งญายธรรม ๔๘๔ การบรรลุถึงฐานะที่ไดพยายาม- เพื่อจะบรรลุ ๑๕๓ การบรรลุธรรมอันเลิศ ๔๘๗ การบรรลุนิพพานอันเทียบกันไดกับ-ไกวัลยหรือปรมาตมัน ๔๕๒ การบรรลุอรหัตตผลในทิฏฐธรรม ๕๕๐ การบริโภคที่มีผลใหญมีอานิสงสใหญ-แกชนทั้งหลาย ๔๘๘
๘๑๙ การบังเกิดในภพ ๓๓๓ การบังเกิดในภพใหมตอไป ๓๒๘/๓๒๙ การบัญญัติซึ่งผัสสะ ๖๐๓ การบัญญัติซึ่งวิตก ๖๐๓ การบัญญัติซึ่งเวทนา ๖๐๓ การบัญญัติซึ่งสัญญา ๖๐๓ การบัญญัติซึ่งหมูแหงนาม ๗๘๘ การบัญญัติซึ่งหมูแหงนามดวยซึ่งหมู- แหงรูปดวย ๗๘๘ การบัญญัติซึ่งหมูแหงรูป ๗๘๘ การบัญญัติวาอดีตหรืออนาคตก็เปนอัน- ยกเลิกเพิกถอนไป ๔๒๘ การปฏิบัติชอบโดยไตรทวาร ๕๘๘ การปฏิบัติธรรมโดยสมควรแกธรรม ๒๖๙ การปฏิบัติผิดโดยไตรทวาร ๕๘๗ การปฏิบัติเพื่อการดับปฏิจจสมุปบาท ๒๖๖ การประจวบพรอมแหงธรรม ๓ ประการ- คือผัสสะ ๑๗๓/๒๓๙ การประจวบพรอมแหงปจจัย ๑๔๙ การประพฤติซึ่งวัตตโกตูหลมงคลทั้งหลาย ๔๓๐ การปรินิพพานเฉพาะตน ๖๕๔ การปรากฎแหงจักษุคือการปรากฎ- แหงชราและมรณะ ๒๒๑ การปดกั้นทางเกิดแหงปฏิจจสมุปบาท ๒๙๔ การพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ๓๐๖ การพิจารณาปฏิจจสมุปบาทอยางถูกวิธี ๔๔๔
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๒๐ การพิจารณาปจจัยในภายใน ๓๐๖ การพิจารณาหาความสมดุลยแหงธรรม-(ดุลนา) ๖๓๙ การฟงซึ่งธรรม (ธมฺมสฺสวน) ๖๔๑ การฟงตามๆ กันมาเสีย ๒๘๒ การมาการไป (อาคติคติ) ๑๖๘ การมีผลแหงวิชชาและวิมุตติ- เปนเครื่องสนุกสนานชอบใจ ๖๓๑ การไมควบคุมการเกิดแหง-ปฏิจจสมุปบาท ๓๙๐ การไมควบคุมผัสสายตนะ ๓๙๐ การไมทําใหประจักษ (อฺปปจฺจกฺขกมฺม) ๗๑๘ การไมสามารถกาวลง-ปฏิจจสมุปปนนธรรม ๓๗๘ การยึดซึ่งขันธทั้งหา ๓๘๓ การรวมหมูกันแหงอุปาทานขันธทั้งหา ๒๐๙ การรูซัดซึ่งอาการทุกอาการของ-ปฏิจจสมุปบาท๙๓ การรูตามซึ่งสัจจธรรม ๖๓๖ การรูเทาทันเวทนาในปฏิจจสมุปบาท ๓๓๕ การรูปฏิจจสมุปบาท ๓๖๒ การรูปฏิจจสมุปบาทไปตามลําดับ-พรอมกันไปในตัว ๒๖๕ การรูพรอมเฉพาะซึ่งธรรม ๔๓๕ การรูหรือไมรูปฏิจจสมุปบาท ๓๙๓
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ การละผัสสายตนะได ๕๑๐ การละเสียซึ่งสัญญา ๒๗๘ การละเสียไดซึ่งความกําหนัด ๓๓๘ การละอุปาทานขอที่ ๔ ๑๘๗ การละอุปาทานละไดดวยการละอวิชชา ๑๘๘ การศึกษาเพื่อใหรูในชรามรณะ ๒๔๖ การสงเคราะหในรูปูปาทานขันธ ๒๐๘ การสงเคราะหในวิญญาณูปาทานขันธ ๒๐๘ การสงเคราะหในเวทนูปทานขันธ ๒๐๘ การสงเคราะหในสังขารูปาทานขันธ ๒๐๘ การสงเคราะหในสัญูปาทานขันธ ๒๐๘ การสนทนาของพระมหาสาวก ๕๑๔ การสมควรแทที่กุลบุตรผูบวชแลว-ดวยสัทธาจะปรารภความเพียร ๔๘๖ การสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้น-วา “ภิกษุธรรมกถึก” ๕๙ การสัมผัสดวยการกระทบ (ปฏิฆสมฺผสฺโส) ๗๘๘ การสัมผัสดวยการเรียกชื่อ-(อธิวจนสมผสโส) ๗๘๘ การสําคัญเห็น ๑๖๔ การสําคัญเห็นซึ่งตนในรูป ๑๙๔ การสําคัญเห็นซึ่งตนวามีรูป ๑๙๓ การสําคัญเห็นซึ่งรูปโดยความเปนตน ๑๙๒ การสําคัญเห็นซึ่งรูปในตน ๑๙๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม การสําคัญเห็นอันเปนสังขาร ๑๙๒ “การสํารรวมอินทรีย” ๖๒๙ การสํารอกไมเหลือแหงอวิชชา-ของอริยสาวก ๑๖๕ การสํารอกเสียไดหมดซึ่งอวิชชา๑๘๗ การสิ้นกรรม ๒๐๒ การสิ้นกรรมที่ถาวร ๒๐๗ การสิ้นกรรมที่แทจริง ๒๐๖ การสิ้นกรรมไปคราวหนึ่ง ๒๐๖ การเสพคบการทําใหเจริญการกระทํา-ใหมากซึ่งธรรมทั้งหลาย ๖๓๘ การแสดงความงามเบื้องปลาย ๔๙๒ การแสดงชางแกคนตาบอดแตกําเนิด ๗๗๑ การแสดงธรรมเนื่องดวยปฏิจจสมุปบาท ๔๘๘ การแสดงธรรมมีความงามทามกลาง ๔๙๑ การแสดงธรรมมีความงามเบื้องตน ๔๙๑ การแสดงอวิชชาดวยโวหาร-วา “เราถูกจิตคดโกงหลอกลวง” ๔๒๔ การแสวงหาครู ๒๔๕ การแสวงหา (ปริเยสนา) ๕๘๙ การหยั่งลงสูความผูกพันดวยสังโยชน-และอภินิเวส ๓๘๘ การหยั่งลงแหงนามรูป ๑๓๘/๓๒๘/๓๒๙/๓๓๓ การหยั่งลงแหงวิญญาณเกิดมี ๑๗๐ การหยั่งลงแหงวิญญาณไมมี ๑๗๑ การหลีกเรน ๒๕๘
๘๒๑ การหลีกเรนเปนเวลากึ่งเดือน ๑๕๒ การหวงกั้น (อารกฺโข) ๕๙๐ การเห็นความฉิบหายความเจริญ-กันที่วัตถุธรรม ๕๙๕ การเห็นชอบตามที่เปนจริงเกี่ยวกับ-อุปาทานขันธหา ๒๘๗ การเห็นตถาคตในรูปแหงธรรมหรือ-ธรรมกาย ๔๓ การเห็นธรรม ๔๒ การเห็นธรรมทั้งปวงวาไมควรยืดมั่น ๒๘๙ การเห็นปฏิจจสมุปบาท ๔๒ การเห็นวามันเขากันไดกับทิฎฐิของตน ๒๘๒ การเห็นอนิจจัง ๒๙๑ การอยูดวยความประมาท ๖๐๐ การอยูหางไกลออกไปจาธรรมวินัยนี้ ๕๐๙ การอยูอยางมี “คนเดียว” ๕๙๘ การอยูอยางมี “เพื่อนสอง” ๕๙๗ กาลกิริยาที่ไมงดงาม ๕๘๐ กาลใดอวิชชาเปนสิ่งที่ละไดแลว ๑๘๗ กาลยืดยาวนานฝายอดีต ๓๐๙ กาลยืดยาวนานฝายอนาคต ๓๑๐ กาลอันเปนปจจุบันบัดนี้ ๓๑๐ กําหนดรูใจของสัตวอื่น ๓๖๕ กําหนดรูซึ่งธรรมอันบุคคลพึงกําหนดรู ๓๓๖ กําหนัดในจักษุ ๒๑๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๒๒ กําหนัดในจักขุสัมผัส๒๑๓ กําหนัดในจักขุวิญญาณ ๒๑๓ กําหนัดในรูป ๒๑๓ กําหนัดในเวทนาเกิดเพราะจักขุสัมผัส ๒๑๓ กิจที่ควรทําไดทําเสร็จแลว ๔๐/๑๔๔ การในปฏิจจสมุปบาท ๔๔๑ กิเลสที่เปนเหตุใหสะดุงคืออุปทานขอที่ ๔ ๑๘๗ กิเลสรั่วรด ๕๘๐ กุมารเห็นรูปดวยตา ๑๕๑ กุศลกรรมบถหายไปไมมีรองรอย ๕๘๔ เกพลี ผู จ บกิ จ อั น บุ ค คลพึ ง กระทํา ๓๓๙/๓๔๒ เกพลีอยูจบกิจแหงพรหมจรรย ๓๓๗/๓๔๒/๔๕๑ เกิดกายวิญญาณ ๑๗๔/๑๙๐ เกิดขึ้นโดยตนเอง ๑๖๐/๑๖๑/๑๖๒ เกิดขึ้นโดยไมรูสึกตัวอยู ๑๖๑/๑๖๒ เกิดขึ้นโดยรูสึกตัวอยู ๑๖๑/๑๖๒ เกิดขึ้นโดยอาศัยการกระตุนจากผูอื่น ๑๖๑/๑๖๒ เกิดฆานวิญญาณ ๑๗๔/๑๘๙ เกิดจักขุวิญญาณ ๑๗๓/๑๘๘ เกิดชิวหาวิญญาณ ๑๗๔/๑๙๐ เกิดมโนวิญญาณ ๑๗๕/๑๙๐ เกิดสังขารวิญญาณนามรูปอายตนะ-ครบถวนอยูในสัมผัส ๑๙๕
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ เกิดโสตวิญญาณ ๑๗๔/๑๘๙
ข ขโมยธรรม ๓๖๗ ของเกิดรวมแหงสมันนาหารจิต ๒๐๘/๒๑๑ ของไมเที่ยง ๒๙ ของไมเที่ยงเปนทุกขมิใชตัวตน-เสียบแทงนากลัว ๓๑๔ ของเย็นในอัตตภาพนี้ ๒๐๕ ของลึกเกินประมาณ๕๒ ของเลนสําหรับทารก๑๕๐ ขอบเขตแหงอิทัปปจจยตา ๔๒๒ ขอความเกี่ยวกับการคิดคนปฏิจจ- สมุปบาทของพระพุทธเจาวิปสสี ๔๗๙ ขอความที่พระองคตรัสเกี่ยวกับพวก-สัสสตวาท ๗๔๖ ขอเท็จจริงอันมีความสําคัญอยางยิ่ง ๑๐๑ ขอนั้นจักเปนความเหนื่อยเปลาแกเรา ๕๔ ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงความดับ-ไมเหลือแหงธรรมอันเปนปจจัย ๕๓๗ ขอปฏิบัติเครื่องทําสัตวใหลุถึงซึ่งธรรม-อันสมควรแกความดับไมเหลือแหง-ชรามรณะ ๔๔๕ ขอปฏิบัติเครื่องยังสัตวใหถึงซึ่งความ-สมควรแกการดับไมเหลือแหง-ปปญจสัญญาสังขา ๖๑๔ ขันธอันมีอาการอันจะพึงเห็นผิด-ถึง๔อาการ ๑๙๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม
๘๒๓
ขายเครื่องคลุมสัตว ๑๐๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม
๘๒๓
เขต(ที่เกิดที่งอบแหงสุขและทุกข-ในภายใน)๑๖๓ เขาเพลิดเพลินยิ่งนักในสิ่งใด-สิ่งนั้นก็เปนภัย๘๐๓ เขายอมเกิดความรูสึกตออารมณตางกัน-ไปตามทิฏฐิของเขา๗๒๙
ค คนตั้งอยูในฝายแหงปุถุชน ๖๔๔ คนธรรพแหงพวกคนธรรพทั้งหลาย๗๘๐ คนนอกวง : ตั้งอยูในฝายแหงปุถุชน ๖๔๔ คนพาลกับบัณฑิตตางกัน ๓๙๑ คนรับใช ๑๓๗ คบสัตบุรุษ ๒๖๘ คลองแหงการบัญญัติ (ปฺตฺติ) ๗๙๐ คลองแหงการพูดจา (นิรุตฺติ) ๗๙๐ คลองแหงการเรียก (อธิวจน) ๗๙๐ คลองแหงสัสสตะ (ทิฏฐิที่ถือวาเที่ยง) ๖๖๙ คลองแหงอุจเฉทะ (ทิฏฐิที่ถือวาขาดสูญ) ๖๖๙ คลายกําหนัดยอมหลุดพน ๑๔๔ คลายกําหนัด(เอง) ๘๐๖ ความกระวนกระวาย (ทรถ) ทางกาย ๒๑๓/๓๓๕ ความกระวนกระวายทางจิต ๒๑๔/๓๓๕ ความกอขึ้นแหงโลก ๒๑๖
ความกําหนัดดวยความพอใจ (ฉนฺทราโค) ๕๙๐ ความกําหนัดไปตามอํานาจความตริตรึก ๒๗๑ ความเกิ ด ขึ้ น พร อ มแห ง กองทุ ก ข ๖/๗๑/๑๖๖ ความเกิดขึ้นพรอมแหงธรรมเปนบาป-อกุศล๗๘๓ ความเกิดขึ้นพรอมแหงสักกายะ๔๙๑ “ความเกิดขึ้นแหงทุกขมีไดเพราะ-ความเกิดขึ้นแหงนันทิ”๕๗๔ ความเกิดขึ้นแหงภพใหมตอไป ๑๖๙/๑๗๐ ความเกิดขึ้นแหงรูปเวทนาสัญญาสังขาร-วิญญาณ ๒๖๐ ความเกิดขึ้นแหงวิญญาณ๑๒๙ ความเกิดขึ้นแหงสังขาร ๑๒๙ ความเกิดและความดับของโลก๕๓๐ ความแกรอบแหงอินทรียทั้งหลาย ๒๖/๘๖ ความเขาไปใครครวญซึ่งอรรถะ-(อตฺถุปปริกฺขา) ๖๔๐ ความเขาไปสงบรํางับแหงวิญญาณ ๕๕๔ ความคิดฆาเปนไอยางแรงกลาแมใน-ระหวางมารดากับบุตร ๕๘๔ ความคิดฆาเปนไปอยางแรงกลาเหมือน-กับที่นายพรานมีความรูสึกตอเนื้อ- ทั้งหลาย ๕๘๔ ความงามเบื้องตน-ทามกลาง-เบื้องปลาย ๔๘๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๒๔ ความจับอกจับใจ (ปริคฺคโห) ๕๙๐ ความจางคลายดับไปไมเหลือแหงตัณหา ๑๗๕/๒๐๐/๒๒๗ ความจางคลายดับไปโดยไมเหลือ-แหงผัสสายตนะ ๖๘/๖๗๖ ความจางคลายดับไปโดยไมเหลือ-แหงอวิชชา๖ ความเจริญในอริยวินัย ๓๖๗ ความเจริญแหงสังขาร ๓๓๓ ความเจริญแหงสังขารทั้งหลาย ๓๒๘/๓๒๙ ความฉงน (จากปริวิตก) ๕๕๙ ความชอบใจ(ตามที่บุคคลบางคนกลาว ) ๒๘๒ ความเชื่อ(ตามที่ไดฟงจาก-พระผูมีพระภาคเจา) ๒๘๒ ความดับโดยสํารอกไมเหลือแหงอุปธิ ๕๕๐ “ความดับไปไมมีเหลือของทุกขมีได-เพราะความดับไปไมเหลือของนันทิ” ๕๗๔ ความดับไปไมเหลือของนันทิ ๕๗๔ ความดับเพราะความสํารอกไมเหลือ-(แหงภพทั้งหลาย) ๘๐๔ ความดับไมเหลือแหงทุกข ๔๓/๒๒๑ ความดับไมเหลือแหงธรรมอันเปนปจจัย ๕๓๗ ความดับไมเหลือแหงนามรูป ๓๔๑ ความดับไมเหลือแหงผัสสะ ๓๓๙
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ ความดับไมเหลือแหงรูป ๓๓๘ ความดับไมเหลือแหงวิญญาณ ๓๔๑ ความดับไมเหลือแหงเวทนา ๓๓๙ ความดับไมเหลือแหงสังขาร ๓๔๐ ความดับไมเหลือแหงสัญญา ๓๔๐ ความดับไมเหลือแหงอาหาร ๓๓๘ ความดับไมเหลือแหงอุปธิ ๓๐๗ ความดับเย็น (นิพฺพุติ) ๗๓๕ ความดับลงแหงกองทุกข ๗/๗๑/๑๗๐/๒๓๓ ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้น ๑๖๗ ความดับแหงกรรม ๒๗๗ ความดับแหงกาม ๒๗๒ ความดับแหงนันทิ ๓๖๘ ความดับแหงภพ ๓๖๘ ความดับแหงรูป ๑๒๙/๑๓๑ ความดับแหงรูปเวทนาสัญญาสังขาร-วิญญาณ๒๖๒ ความดับแหงวิญญาณ๑๒๙/๑๓๑ ความดับแหงเวทนา ๑๒๙/๑๓๑ ความดับแหงเวทนามี ๒๗๔ ความดับแหงสังขาร ๑๒๙/๑๓๑ ความดับแหงสัญญา ๑๒๙/๑๓๑ ความดับแหงสัญญามี ๒๗๕ ความดับแหงอาหาร ๕๕๘ ความดํารงอยูของภูตสัตวทั้งหลาย๕๗๗ ความตระหนี่ (มจฺฉริยํ) ๕๙๐ ความตั้ ง ขึ้ น เฉพาะแห ง วิ ญ ญาณ ๑๖๖/๑๖๗/๕๖๙
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ความตั้งขึ้นพรอมแหงกองทุกข ๕๗๒ ความตั้งอยูไมไดแหทุกขโทมนัส ๔๘๔ ความตั้งอยูแหงธรรมดา ๓๔/๔๔ ความติดตาม (อนุนโย) ๔๓ ความแตกตางของภาษาคนและภาษาธรรม ๔๙๘ ความถึงทับจับฉวยวา “เรามีอยู”๑๖๕ ความที่จักษุเปนสิ่งที่ไมเที่ยง ๖๕๓ ความที่ธรรมทั้งหลายทนไดตอการ-เพงพินิจ (ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติ) ๖๔๐ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้เปนปจจัยสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ๓๕/๔๔ ความที่สิ่งนี้ๆ เปนปจจัยแกสิ่งนี้ ๆ ๕๓ ความทุกขเปนสิ่งที่บุคคลกระทําเอง ๖๖๗ ความทุกขเปนสิ่งที่บุคคลกระทําเองดวย-และบุคคลอื่นกระทําใหดวย ๖๖๗ ความทุกขเปนสิ่งที่บุคคลอื่นกระทําให ๖๖๗ ความทุกขเปนสิ่งที่ไมใชทําเอง-หรือใครทําใหก็เกิดขึ้นได๖๖๘ ความทุกขอันจะพึงเกิดจากเวทนา-ในภายใน ๗๖ ความทุกขอันเปนไปทางกาย ๒๑๔ ความทุกขอันเปนไปทางจิต ๒๑๔ ความนําออกซึ่งฉันทราคะ (ฉนฺทราควินโย) ๔๓ ความนึกไปวา “ราจักมีแลว” ๑๐๓
๘๒๕ ความนึกไปวา “ราจักมีแลวดวยขันธอันนี้” ๑๐๔ ความนึกไปวา “ เราจักมีแลวอยางนั้น” ๑๐๓ ความนึกไปวา “ เราจักมีแลวอยางนั้น -ดวยขันธอันนี้” ๑๐๔ ความนึกไปวา “เราจักมีแลวอยางนี้” ๑๐๓ ความนึกไปวา “เราจักมีแลวอยางนี้-ดวยขันธอันนี้” ๑๐๔ ความนึกไปวา “เราจักมีแลวอยางอื่น” ๑๐๓ ความนึกไปวา “ เราจักมีแลวอยางอื่น-ดวยขันธอันนี้” ๑๐๔ ความนึกไปวา “เราเปนอยางเที่ยงแท” ๑๐๓ ความนึกไปวา “เราเปนอยางเที่ยงแท-ดวยขันธอันนี้” ๑๐๔ ความนึกไปวา “เราเปนอยางนั้น” ๑๐๓ ความนึกไปวา “เราเปนอยางนั้น-ดวยขันธอันนี้”๑๐๔ ความนึกไปวา “เราเปนอยางนี้” ๑๐๓ ความนึกไปวา “เราเปนอยางนี้-ดวยขันธอันนี้” ๑๐๓ ความนึกไปวา “เราเปนอยางไมเที่ยงแท” ๑๐๓ ความนึกไปวา “เราเปนอยางไมเที่ยงแท-ดวยขันธอันนี้”๑๐๔
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๒๖ ความนึกไปวา “เราเปนอยางอื่น” ๑๐๓ ความนึกไปวา “เราเปนอยางอื่น-ดวยขันธอันนี้”๑๐๔ ความนึกไปวา “เราพึงมี” ๑๐๓ ความนึกไปวา “ เราพึงมีดวยขันธอันนี้” ๑๐๔ ความนึกไปวา “เราพึงมีดวยขันธอันนี้บางหรือ.” ๑๐๔ ความนึกไปวา “เราพึงมีบางหรือ” ๑๐๓ ความนึกไปวา “เราพึงมีอยางนั้น” ๑๐๓ ความนึกไปวา “เราพึงมีอยางนั้นดวยขันธอันนี้” ๑๐๔ ความนึกไปวา “เราพึงมีอยางนั้นดวยขันธอันนี้บางหรือ”๑๐๔ ความนึกไปวา “เราพึงมีอยางนั้นบางหรือ” ๑๐๓ ความนึกไปวา “เราพึงมีอยางนี้” ๑๐๓ ความนึกไปวา “เราพึงมีอยางนี้- ดวยขันธอันนี้” ๑๐๔ ความนึกไปวา “เราพึงมีอยางนี้-ดวยขันธอันนี้บางหรือ” ๑๐๔ ความนึกไปวา “เราพึงมีอยางนี้บางหรือ” ๑๐๓ ความนึกไปวา “เราพงมีอยางอื่น” ๑๐๓ ความนึกไปวา “เราพึงมีอยางอื่น-ดวยขันธอันนี้” ๑๐๔ ความนึกไปวา “เราพึงมีอยางอื่น-ดวยขันธอันนี้บางหรือ” ๑๐๔
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ ความนึกไปวา “เราพึงมีอยางอื่นบางหรือ” ๑๐๓ ความนึกวา “เรามีอยู” ๑๐๒ ความนึกวา “เรามีอยูดวยขันธอันนี้” ๑๐๓ ความเนิ่นชาหรือความยากแกการดับทุกข ๖๐๕ ความประมาทของอริยสาวก ๖๔๔ ความปรากฎแหงสวนของวิญญาณ ๒๐๘/๒๑๑ ความปราโมทยของผูมีอวิปปฎิสาร-อันวิบัติแลว ๖๔๖ ความปราโมทยมีปติเปนอานิสงส-ที่มุงหมาย ๖๕๐ ความปริวิตกวาการออกจากทุกขคือชรา-มรณะนี้จักปรากฎขึ้นไดอยางไร ๔๖๑ ความปริวิตกแหงใจ ๕๕๙ ความปลงใจรัก (วินิจฺฉโย) ๕๘๙ ความเปนกฎตายตัวแหงธรรมดา ๓๕/๔๔ ความเปนที่รักที่พอใจกันในหมูสหธัมมิก ๑๘๔ ความเปนปจจัยใหสุขและทุกขอันเปน-ภายในเกิดขึ้น ๑๖๓ ความเปนผูฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ๘๑๒ ความเปนผูฉลาดในอายตนะ ๘๑๒ ความเปนผูมีความสงสัยนั้นเปนสังขาร ๑๙๘ “ความเปนผูมีสติสัมปชัญญะ” ๖๒๙ ความเปนพราหมณชั้นสูงสุด ๑๓๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ความเปนภพ ๖๖ ความเปนอยางนั้น ๓๕/๔๔ ความผิดแผกแตกตางกันระหวาง-อริยสาวกผูมีการสดับจากปุถุชน-ผูไมมีการสดับ ๕๒๗ ความผูกพันดวยสังโยชนและอภินิเวส ๓๘๘ ความผูกพันในอัสสาทะของปติและสุข-อันเกิดแตวิเวก ๒๙๗ ความผูกพันในอารมณดวยกิเลสเปน-เครื่องผูกและทิฏฐิเปนเครื่องตามเห็น ๓๘๘ ความแผดเผาทางจิต ๒๑๔/๓๓๕ ความแผดเผา (สนฺตาป) ทางกาย๒๑๔/๓๓๕ ความพนวิเศษในภายใน ๗๖ ความพยายามยิ่งขึ้นไปของอริยสาวก ๖๔๔ ความพอใจ (ฉนฺโท) ๔๓ ความเพียรในที่สงัด ๒๘๖ ความเพียรแผดเผากิเลส ๒๕๑ ความเพียรเพื่อกิจเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท ๔๘๕ ความเพียรเพื่อเขาถึงธรรมที่ยังไมได-เขาถึง๔๘๗ ความเพียรเพื่อทําใหแจงธรรมที่ยัง-ไมไดทําใหแจง ๔๘๗ ความเพียรเพื่อบรรลุธรรมที่ยังไมไดบรรลุ ๔๘๗ ความเพียรเพื่อใหรูตามที่เปนจริง ๕๘
๘๒๗ ความเพลินนั้นคืออุปาทาน ๑๒๘ ความมีผัสสะบังหนาในขณะแหงการ-กระทบของผัสสะ ๘๐๔ ความมีสติเปนตัวปฏิปทาที่เกี่ยวกับ-ปฏิจจสมุปบาท ๒๕๘ ความมืดอันใหญหลวงทําใหสัตวตอง-ทองเที่ยวไปในวัฏฏสงสาร ๕๕๒ ความไมกําหนดทั่วถึง (อสลฺลกฺขณ)๗๑๘ ความไมเขาไปกําหนดโดยเฉพาะ-(อปฺปจฺจุปลกขณ)๗๑๘ ความไมเขาไปกําหนด (อนุปลกฺขณ)๗๑๘ ความไมตั้งอยูไดแหงทุกข ๑๙๙ ความไมตั้งอยูไดแหงโลก ๒๒๗ ความไมถึงพรอมเฉพาะ (อนภิสมย) ๗๑๗ ความไมแทงตลอด (อปฺปฏิเวธ) ๗๑๘ ความไมประมาท ๒๕๖ ความไมเปนไปโดยประการอื่น ๓๕/๔๔ ความไมผิดไปจากความเปนอยางนั้น๓๕/๔๔ ความไมพิจารณาโดยเจาะจง-(อปฺปจฺจเวกฺขณ)๗๑๘ ความไมเพงพินิจอยางสม่ําเสมอ -(อสมเปกฺขณ) ๗๑๘ ความไมมีโรค ๔๒๓ ความไมมีโรค ๔๒๓ ความไมรูโดยลําดับ (อนนุโพธ) ๗๑๗ ความไมรู (อฺาณ) ๗๑๗ ความไมสะดุงยอมมีเพราะเหตุไมมีความ-ยึดมั่นถือมั่น ๓๐๓/๓๐๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๒๘ ความไมหวาดเสียวเพราะความไมยึดมั่น ๓๐๓ ความไมเห็น (อทสฺสน) ๗๑๗ ความยินดีความไมยินดีที่กลาวกัน-อยูในโลก ๕๙๕ ความยินดีและความไมยินดีมีผัสสะ-เปนแดนเกิด ๕๙๖ ความยึดมั่นลูบคลําอยางแรงกลา ๖๕๕ ความรอบรูซึ่งอุปาทานทั้งปวง ๓๔๖ ความรอบรูซึ่งอุปาทานทั้งปวง -โดยชอบ ๑๘๕ ความรูแจงอยางยิ่งดวยปญญา ๕๕๙ ความรูแจงอยางยิ่งดวยปญญาเพราะการ -ทําในใจโดยแยบคาย ๔๗๑ ความรูนี้ของอริยสาวกนั้น-ชื่อวาณาณในการรูตาม ๓๕๓ ความรูนี้ของอริยสาวกนั้นชื่อวา-ญาณในธรรม ๓๕๒/๓๕๔/๓๕๖ ความรูพิเศษกวาทุกแหงสําหรับ-คําวาสังขาร ๑๙๖ ความรูสึกผิดๆ ของผูไมรู-ปฏิจจสมุปบาท ๗๒๓ ความรูสึก (เวทยิตํ) ของจิตที่ไมรู-ปฏิจจสมุปบาท ๗๒๖ ความเรารอนทางจิต ๒๑๔/๓๓๕ ความเรารอน (ปริฬาห) ทางกาย ๒๑๔/๓๓๕ ความเรารอนอื่นที่ใหญหลวงกวา-นากลัวกวา ๕๗
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ ความละขาดซึ่งฉันทราคะ-(ฉนฺทราคปฺปหานํ) ๔๓ ความละขาดซึ่งฉันทราคะ-ในอุปาทานขันธ ๒๐๙ ความลับแหงความเปนปฏิจจสมุปบาท ๔๒๒ ความลึกของน้ําเนาสีดํา ๕๒ ความลึกของปฏิจจสมุปบาท ๕๒ ความเลื่อมใสในธรรม ๑๘๔ ความเลื่อมใสในพระพุทธเจา-อยางไมหวั่นไหว ๖๔๔ ความเลื่อมใสในพระศาสดา ๑๘๔ ความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น-ไมหวั่นไหวในพระธรรม ๕๔๐ ความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น-ไมหวั่นไหวในพระพุทธเจา๕๔๐ ความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น -ไมหวั่นไหวในพระสงฆ ๕๔๐ ความวิตกกังวลอันใหญหลวง ๑๕๐ ความเวียนวายในวัฎฎะ ๗๙๐ ความสงสัย (กังขา) ๑๐๘/๑๑๑ ความสังสัย (กงฺขา) ในฐานะทั้งหลาย-๖ ประการ ๖๙๑ ความสงสัยเกี่ยวกับตนปรารภกาล-อันเปนปจจุบัน ๔๒๕/๔๒๙ ความสงสัยในพระสัทธรรม ๑๙๘ ความสงสัยยอมหายไป ๗/๙ ความสงสัยเรื่องตัวตนทั้ง ๓ กาล ๔๒๔
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ความสมควรแกการดับไมเหลือแหง-ปปญจสัญญาสังขา๖๑๕ ความสมบูรณแหงอรหัตตผล ๖๔๙ ความสยบมัวเมาในอุปาทานขันธ ๒๐๙ ความสยบมัวเมา (อชฺโฌสานํ) ๔๓/๕๙๐ ความสะดุงยอมมีเพราะเหตุมีความ-ยึดมั่นถือมั่น ๓๐๐ ความสะดุงอันเกิดจากความเปลี่ยนแปลง-ไปตามความแปรปรวน ๓๐๐ ความสําคัญแกกันและกันราวกะวาเนื้อ ๕๘๕ ความสําคญของปฏิจจสมุปบาท ๔๒ ความสําคัญของสิ่งที่เรียกวา “เวทนา” ๗๖๘ ความสําคัญมั่นหมายมาแตตนวา “เวทนา-ก็อันนั้นบุคคลผูเสวยเวทนา-ก็คนนั้น” ๗๐ ความสํารอกออกโดยไมเหลือแหงอวิชชา ๖๕๘ ความสายแหงวาจาอันดิ้นไดไมตายตัว ๗๔๓ ความสิ้นทุกขโดยชอบโดยประการทั้งปวง ๔๔๔ ความสิ้นไปแหงนันทิ ๖๕๓ ความสิ้นไปแหงนั้นและราคะ ๖๕๓ ความสิ้นไปแหงราคะ ๖๕๓ ความสิ้นไปแหงอาสวะ ๖๑๖ ความสิ้นสุดของโลก ๖๕๘
๘๒๙ ความสุขอันเปนไปทางกาย ๓๓๕ ความสุขอันเปนไปทางจิต ๓๓๕ ความหมดจดแหงสัตวทั้งหลาย ๔๘๔ ความหมายของคําวา “ยถา-ภูตสัมมัปปญญา” โดยชัดเจน ๒๘๖ ความหมายของปฏิจจสมุปบาท ๒๕ ความหมายของอานิสงสอันประเสริฐสูง-สุดแหงการเห็นปฏิจจสมุปบาท ๔๓๑ ความหวั่นไหว ๖๕๙ ความหวาดเสียวเพราะความยึดมั่น ๓๐๑ ความหวาดเสียวสั่นคลอนแหงจิตใจ-ของบุคคลผูมีตัณหา ๗๒๓ ความเห็นตรงกันในเรื่องปฏิจจสมุปบาท ๔๙๒ ความเห็นแลนไปสูที่สุดขางหนึ่งๆ ๗๗๓ ความเหนี่ยวแนนของสัสสตทิฎฐิ ๑๐๖ ความออนนอมตามฐานะสูงต่ํา ๕๘๔ ความอาลัย (อาลโย) ๔๓ คัดคานขอที่ควรคัดคาน ๒๐๒ คันธัพพะเขาไปตั้งอยูเฉพาะแลวดวย ๑๕๐ คาถาอันนาเศรา ๕๔ คํากลาวที่ไมเขาถึงซึ่งฐานะแหงเหตุผล ๔๙๐ คําที่เรา (พระองค) กลาวแลว ๔๙๒ คําแปลกพิเศษคําหนึ่งคือคําวา “เกพลี” ๔๕๒ คําวา “ทิฏฐธรรม” ๑๓๖ คําวา “ปฏิจจสมุปปนนธรรม” ๓๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๓๐ คําวา “”สวนสุด” ๖๑ คําวา “อปริปริยายะ” ๑๓๖ คําวา “อุปปชชะ” ๑๓๖ คําสอนของพระผูมีพระภาคเจา-ที่กระทําใหมากแลว ๒๐๙ คําสาปแชงอยางยิ่งในโลกนี้ ๑๔๑ คิด(เจเตติ) ถึงสิ่งใดอยู ๑๖๖/๑๖๙ คืนและวันมีปริวรรคไมสม่ําเสมอ ๕๘๑ คุณคาพิเศษของปฏิจจสมุปบาท ๗๙๙ คุณวิเศษอันโอฬารอื่นจากคุณวิเศษ-ที่มีแลวในกอน ๒๗๘ เคหสิตและเนกขัมมสิต ๑๐๕ เคล็ดลับในการปดกั้น ๒๙๔ เครื่องกําหนดภูมิของปุถุชน ๔๑๓ เครื่องกําหนดภูมิของพระศาสดา ๔๒๑ เครื่องกําหนดภูมิของเสขบุคคล ๔๑๖ เครื่องกําหนดภูมิของอเสขบุคคล ๔๑๘ เครื่องเกาะเกี่ยวของสัตว ๑๐๑ เครื่องดื่มที่ถึงพรอมดวยสีกลิ่นและรสแตเจือดวยยาพิษ ๓๑๑ เครื่องทําใหตางกันระหวางคนพาล-กับบัณฑิต ๓๙๒ เครื่องทําใหเพลินอยางยิ่งในอารมณ ๒๑๓ เครื่องนําไปสูภพใหม ๒๑๓ เครื่องนําไปสูภพใหม (นติ= ตัณหา) ๑๖๘ เครื่องปดกั้นการเห็นปฏิจจสมุปบาท ๗๑๖ เครื่องผูกพันเทวดา ๖๑๒ เครื่องสนุกสนานชอบใจ ๖๓๑
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ เครื่องวัดการพยากรณอรหัตตผล ๗๖ เคลื่อนจากหมูขิฑฑาปโทสิกเทพนั้นแลว-มาสูความเปนอยางนี้ ๗๓๗ เคลื่อนจากหมูมโนปโทสิกเทพนั้นแลว-มาสูความเห็นอยางนี้ ๗๓๗ เคลื่อนจาหมูอาภัสสรเทพนั้นแลว-มาสูความเปนอยางนี้ ๗๓๖ ใครเลายอมกลืนกิน ๖๕ ใครเลายอมยึดมั่น ๓๗ ใครเลายอมรูสึกตออารมณ ๖๖ ใครเลายอมสัมผัส ๖๖ ใครเลายอมอยาก ๖๗ ใครครวญซึ่งเนื้อความแหงธรรมทั้งหลาย ๖๓๗ ใครครวญธรรมโดยวิธี ๓ ประการ - (ติวิธูปปริกฺขี) ๓๓๗
www.buddhadasa.info ง เงื่อนงําที่อาจนําไปสูสัสสตทิฏฐิหรือ-อุจเฉททิฏฐิ ๖๗๖
จ จงเจริญสมาธิเถิด ๑๒๗ จงประกอบความเพียรในการหลีเรนเถิด ๒๕๘
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม จงปลงซึ่งความเชื่อในขอนั้น ๔๕๑ จงเปนผูหมดความเคลือบแคลงสงสัย -ในขอนั้น๔๕๑ จงสําคัญจงเชื่อซึ่งขอนั้น ๔๕๑ จองมองตออัสสาทะอยูปญจุปาทานขันธ – -ทั้งหลายยอมเกิด๒๑๓ “จะเอาอะไรกะมันกะพวกสมณะหัวโลน-ทั้งหลาย” ๖๔๓ จักษุเกิดขึ้นจักษุดับไปโดยที่คน-ไมตองเกิดใหมหรือตาย ๒๒๑ จักษุและสหคตธรรมของจักษุ ๓๓๗ จับชายสังฆาฎิเดินตามรอยเทาเรา ๑๓ จําแนกปฏิจจสมุปบาท ๒๕ จิตของภิกษุผูมีกายสงบและเปนสุข ๒๘๑ จิตจางคลายกําหนัด ๖๕๕ จิตดํารงอยู (ตามสภาพของจิต) ๖๕๕ จิตตวิทยาที่เปนสัจจธรรม ๕๙๔ จิตตสังขาร ๒๘/๙๐ จิตตั้งสยบอยูในภายใน ๒๙๗/๒๙๘ จิตที่ยินดีราเริงดวยดี ๖๕๕ จิตนี้คดโกงหลอกลวงปลิ้นปลอก ๔๒๓ จิตเปนสมาธิตั้งมั่นแลวยอมรูชัด-ตามที่เปนจริง ๑๒๗ จิตเปนเหมือนกลุมดายยุง ๑๕/๓๒/๕๓ จิตไมตั้งมั่น ๖๐๐ จิตไมตั้งมั่นธรรมทั้งหลายยอมไปปรากฏ ๖๔๕ จิตไมหวาดสะดุง๖๕๕
๘๓๑ จิตยอมเกลือกกลั้ว ๖๐๐ จิตยุงเพราะไมรูปฏิจจสมุปบาท ๑๕ จิตสัตวยุงเปนปม ๓๗๕ จิตหลุดพนโดยชอบ ๒๐๕ จิตหลุดพนแลว ๖๕๕ “จิตหลุดพนแลวดวยดี” ๖๕๓ จิ ต อั น ไม ตั้ ง สยบอยู ใ นภายใน ๒๙๘/๒๙๙/๓๐๐ จุดตั้งตนของปฏิจจสมุปบาท ๑๕๖ จุดประทีปอันโพลงขึ้น ๒๐๖ จุตูปปาตะ (การเคลื่อนและการเกิดขึ้น) ๖๕๙ เจตนาเปนผลของเจเตติ ๒๙๓ เจโตวิมุตติปญญาวิมุตติ ๑๕๑/๓๖๘ เจริญกายสุจริตเพื่อละกายทุจริต ๖๓๓ เจริญมโนสุจริตเพื่อละมโนทุจริต ๖๓๓ เจริญวจีสุจริตเพื่อละวจีทุจริต ๖๓๓ เจริญอยูซึ่งสมาธิอันหานิมิตมิได ๑๔๒ โจร ๑๓๗ ใจเปนปฏิสรณะของอินทรีย ๖๓๕ ใจยอมเสวยซึ่งโคจรและวิสัยของอินทรีย ๖๓๕ ใจแลนไปสูสติ ๖๓๖
www.buddhadasa.info ฉ ฉลาดในฐานะ ๗ ประการ-(สตฺตฎานกุสโล) ๓๓๗ ฉลาดในฐานะและอฐานะ ๔๕๓
www.buddhadasa.info
๘๓๒
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ
ฉลาดในธาตุดวย ๔๕๓ ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ๔๕๓ ฉลาดในเรื่องกรรม ๑๓๗ ฉลาดในอายตนะดวย ๔๕๓ ฉันทนานัตตะ ๕๘๖ ฉันทะเพื่อใหรูในชรามรณะ ๒๔๘ ฉั น ทะมี วิ ต ก (ความตริ ต รึ ก ) เป น นิทาน ๖๑๓
ช ชรา ๒๖ ชรามรณนิโรธสารุปฺปคามินี ๔๔๕ ชรามรณะ ๒๖ “ชรามรณะเปนอยางไร”และ-“ ชรามรณะนี้เปนของใคร” ๖๗๗ “ชรามรณะเปนอยางอื่น”และ-“ชรามรณะนี้เปนของผูอื่น” ๖๗๗ ชรามรณะมีไดแมแกเด็กๆ ๑๕๒ “ชรามรณะมีเพราะปจจัยคือชาติ” ๓๒ ชรามรณะยอมมีแกสัตวผูเกิดแลว ๔๒๑ ชาติ ๒๗/๘๔ ชาติเขามายอมทําใหชรามรณะเขามา ๔๑ “ชาติคือธรรมเปนที่เขาไปตั้ง-อาศัยของทุกข” ๖๑๘ ชาตินิโรธสารุปฺปคามินี ๔๔๕ “ ชาติ” ในภาษาปฏิจจสมุปบาท ๑๓๖ “ชาติเปนอยางไร” และ “ชาตินี้-เปนของใคร” ๖๗๘
“ชาติเปนอยางอื่น” และ “ ชาตินี้-เปนของผูอื่น” ๖๗๘ “ชาติมีเพราะปจจัยคือภพ” ๓๒ ชาติมีภพเปนทีเขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ ชาติมีภพเปนเหตุใหเกิด ๗๓ ชาติสิ้นเพราะความสิ้นแหงเหตุ ๗๒ ชาติสิ้นแลว ๑๔๔ ชาติออกไปยอมทําใหชรามรณะออกไป ๔๒ ชาวนา ๑๓๗ ชาวเมืองและชาวชนบททั้งหลาย-ไมตองอยูในธรรม ๕๘๑ “ชีวะก็อันนั้นสรีระก็อันั้น” ๗๐๐ ชีวิตประจําวันของคนเรา ๑๔๙
www.buddhadasa.info ฌ ซ
เซิงหญามุญชะและหญาปพพชะ ๑๐๒ ฌานที่ ๑ ๒๙๗ ฌานที่ ๒ ๒๙๗ ฌานที่ ๓ ๒๙๗ ฌานที่ ๔ ๒๙๘
ญ ญาณเกิดขึ้นแกอริยสาวกนั้นวา-“หลุดพนแลว” ๒๘๗
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม
๘๓๓
ญาณ ๗ ในปฏิจจสมุปบาทแตละอาการ ๓๕๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ญาณในการรูตาม (อนฺวยาณ) ๓๕๓/๓๕๔/๓๕๖ ญาณคือความรูในชรามรณะ ๓๕๐ ญาณคือความรูในชาติ ๓๕๐ ญาณคือความรูในตัณหา ๓๕๐ ญาณคือความรูในนามรูป ๓๕๑ ญาณคือความรูในผัสสะ ๓๕๑ ญาณคือความรูในภพ ๓๕๐ ญาณคือความรูในวิญญาณ ๓๕๑ ญาณคือความรูในเวทนา ๓๕๑ ญาณคือความรูในสฬายตนะ ๓๕๑ ญาณคือความรูในสังขาร ๓๕๑ ญาณคือความรูในอุปาทาน ๓๕๐ ญาณในความสิ้นไปมีวิมุตติเปนที่ – -เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ ญาณในความสิ้นไปแหงอาสวะ ๖๑๖ ญ า ณ ใ น ธ ร ร ม ( ธ มฺ ม า ณ ) ๓๕๒/๓๕๔/๓๕๖ ญาณในนิพพาน ๓๖๒ ญาณในนิพพานเปนสิ่งที่เกิดภายหลัง ๓๖๒ ญาณเปนเครื่องรูเฉพาะตนจริงๆ ๒๘๒ ญาณเปนไปตามหลักของปฏิจจ-สมุปบาทเปนกรณีๆ ไป ๓๕๘ ญาณวัตถุ ๗๗ ในปฏิจจสมุปบาท ๓๕๗ ญาณวัตถุ ๔๔ในปฏิจจสมุปบาท ๓๔๙ ญาณวั ต ถุ เ พื่ อ ความเป น โสดาบั น ๓๔๙/๓๕๗
๘๓๓
ฐ ฐานะ ๗ประการ ๔๕๑ ฐานะที่จักมีได ๑๙๑/๓๔๔/๓๔๖ ฐานะที่เปนเขต ๑๖๓ ฐานะที่เปนวัตถุ๑๖๓ ฐานะที่เปนอธิกรณะ๑๖๓ ฐานะที่เปนอายตนะ๑๖๓ ฐานะสามคือโดยกายโดยวาจาโดยใจ ๕๘๘
ด ดวงจันทรและดวงอาทิตย-มีปริวรรตไมสม่ําเสมอ ๕๘๑ ดวงตา-ญาณ-ปญญา-วิชชา-แสงสวาง-ในความเกิดขึ้นพรอม (สมุทโย) ๔๖๔ ดวงอื่นเกิดขึ้นดวงอื่นดับไปตลอดวัน-ตลอดคืน ๓๘๒ ดับตัณหากอนแตเกิดอุปาทาน ๑๙๙ ดับอวิชชาที่นี่เดี๋ยวนี้ ๓๗๐ ดาวนักษัตรและดาวทั้งหลาย-มีปริวรรตไมสม่ําเสมอ ๕๘๑ ดําริ (ปกปฺเปติ) ถึงสิ่งใดอยู ๑๖๖/๑๖๙ ดิน ๔๑๑ ดุนฟนไฟติดอยูทั้งสองขางตรงกลาง-ก็เปอนอุจจาระ ๑๔๒ เด็กโตพอที่จะรูจักยึดมั่นในเวทนา ๑๕๒
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๓๔
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ
เดือนและปกษมีปริวรรคไมสม่ําเสมอ ๕๘๑ แดนเกิดแหงกรรม ๒๗๗ แดนเกิดแหงสัมผัส ๖๘ แดนใหกรรมทําหนาที่ใหผล ๒๐๗ ไดยินเสียงสองชนิด ๓๖๕ “ไดเห็นพระสัทธรรมนี้” ๓๕๕/๓๕๗
ต ตถตา ๓๕/๔๔ “ตถาคตภายหลังแตตายแลวยอมมีอีก” ๗๐๐ “ตถาคตภายหลังแตตายแลวยอมมีอีกก็มี-ยอมไมมีอีกก็มี” ๗๐๑ “ตถาคตภายหลังแตตายแลวยอมมีอีก-ก็หามิไดยอมไมมีอีกก็หามิได” ๗๐๒ “ตถาคตภายหลังแตตายแลวยอมไมมีอีก” ๗๐๑ ตถาคตยอมแสดงธรรมโดยสายกลาง ๖๒ ตนเงื่อนของปฏิจจมสมุปบาท ๒๘๙ ตนเงื่อนของปฏิจจสมุปบาททางฝาย-การปฏิบัติ ๓๙๐ ตนเงื่อนแหงปฏิจจสมุปบาท ๒๙๑ ตนตาลที่ถูกทําลายแลวที่ขั้วแหงยอด ๓๗๗ ตนเหตุอันแทจริงของปฏิจจสมุปบาท ๑๖๓ ตรัสอยางไรจึงไมโตเถียงกับผูใด ๖๐๕
ตอบปญหาในลักษณะชื่อวาไดตอบ-โดยชอบ ๑๕๘ “(ตองเปน) อัตตามีทั้งสุขและทุกข-(เทานั้นจึงจะ)เปนอัตตาหาโรค-มิไดหลังจากตายแลว” ๗๑๕ “(ตองเปน) อัตตามีรูปก็มิใชไมมีรูป-ก็มิใช (เทานั้นจึงจะ) เปนอัตตา-หาโรคมิไดหลังจากตายแลว” ๗๑๔ “(ตองเปน) อัตตามีรูป( เทานั้นจึงจะ)-เปนอัตตาหาโรคมิได(อโรโค)-หลังจากตายแลว” ๗๑๓ “(ตองเปน) อัตตามีสุขโดยสวนเดียว-(เทานั้นจึงจะ) เปนอัตตาหาโรค-มิไดหลังจากตายแลว”๗๑๔ “(ตองเปน) อัตตาไมมีทั้งทุกขและสุข-(เทานั้นจึงจะ)เปนอัตตาหาโรค-มิไดหลังจากตายแลว” ๗๑๔ “(ตองเปน) อัตตาไมมีรูป (เทานั้นจึงจะ)-เปนอัตตาหาโรคมิไดหลังจาก-ตายแลว” ๗๑๓ ตังชีวตังสรีรทิฏฐิ๗๐๐ ตั้งจิตในนิมิตเปนที่ตั้งแหงความเสื่อมใส-ปราโมทยยอมเกิด ๒๗๙ ตั้งอยูอยางมั่นคงดุจจากตั้งอยูของ-เสาระเนียด ๖๙๐ ตัณหา ๒๗/๘๕/๕๘๙
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ตัณหาเกิดขึ้น ๑๖๗ ตัณหาเกิดขึ้นเขาไปตั้งอยูในปยรูป-สาตรูป ๓๐๘ ตัณหาเขามายอมทําใหอุปาทานเขามา ๔๑ “ตัณหาคือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัย-ของอุปาทาน” ๖๑๙ ตัณหานั่นแลเปนเพื่อนสอง ๕๙๘ “ตัณหามีเพราะปจจัยคือเวทนา” ๓๓ ตัณหามีเวทนาเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ ตัณหามีเวทนาเปนเหตุใหเกิด ๗๔ ตัณหายอมเจริญถึงที่สุด ๒๑๓ ตัณหายอมเจริญอยางทั่วถึง ๓๗๖ ตัณหาวิจริต ๓๖ ประการ ๑๐๕ ตัณหาวิจริต ๑๐๘ ประการ ๑๐๕ ตัณหาวิจริตอันเขาไปจับยึดขันธ – -ในภายนอก ๑๐๒ ตัณหาวิจริตอันเขาไปจับยึดขันธ- ในภายใน ๑๐๒ ตัณหาออกไปยอมทําใหอุปาทาน-ออกไป ๔๒ ตัดกระแสแหงปฏิจจสมุปบาท ๑๗ ตัวการที่แทรกแซงแลวในธรรมทั้งหลาย ๑๖๒ ตัวการสําคัญในกระแสแหงปฏิจจสมุปบาท๒๗๘ ตัวสัจจานุปตติ ๖๓๘ ตาบอดคลําชาง ๗๖๙ ตามเห็นอาทีนวะอยูเนื่องๆ ๓๓๕ ติดของอยูในภพถูกภพบังหนา ๘๐๓
๘๓๕ ติวิธูปปริกฺขี ๓๓๗ แตถาไมเขาไปยึดถือ ๒๘๘ โตขึ้นถึงขนาดรูสึกยึดถือในเวทนา ๑๔๙
ถ ถอนอวิชชานุสัยอันเกิดจากอทุกขมสุข-เวทนา ๓๔๔ ถาปราศจากเวทนาเสียเพียงอยางเดียว ๑๐๑ ถามีราคะมีนันทิมีตัณหา-ในกพฬีการาหาร ๓๒๗ ถามีราคะมีนันทิมีตัณหา-ในผัสสาหาร ๓๒๘ ถามีราคะมีนันทิมีตัณหา-ในมโนสัญเจตนาหาร ๓๒๘ ถามีราคะมีนันทิมีตัณหา-ในวิญญาณาหาร ๓๒๘ ถาไมมีราคะไมมีนันทิไมมีตัณหา-ในกพฬีการาหาร ๓๓๐ ถาไมมีราคะไมมีนันทิไมมีตัณหา-ในผัสสาหาร ๓๓๑ ถาไมมีราคะไมมีนันทิไมมีตัณหา-ในมโนสัญเจตนาหาร ๓๓๑ ถาไมมีราคะไมมีนันทิไมมีตัณหา-ในวิญญาณาหาร ๓๓๒ ถาไมยึดมั่นถือมั่น ๑๐๗ ถึงซึ่งการนับวา” รูป (กาย)” ๒๐๗ ถึงซึ่งการนับวา “เรือน” ๒๐๗ ถูกเวทนาสะกิดใหมีความสําคัญมั่นหมาย ๗๐
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๓๖
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ
ท ทรงนิ่งเสียเมื่อทรงถูกกระทบกระเทียบ ๔๘๔ ทรงพยากรณแตอริยญายธรรม ๔๘๑ ทรงแสดงธรรมแกสาวกทั้งหลาย-ดวยปญญาอันยิ่ง ๔๘๔ ทรงใหศึกษาปฏิจจสมุปบาท ๑๖ ทางสายกลาง ๖๖๖ ทานนั้นเปนบทบัญญัตของคนเขลา ๑๐๘ “ทานทั้งหลายจงมาดู” ๓๕/๔๔ ทําความเคารพในสมณะใหเกิดขึ้นแลว-ในสมณะทั้งหลาย๖๔๓ ทําความรักของสมณะใหเกิดแลว-ในสมณะทั้งหลาย ๖๔๓ ทําความเลื่อมใสในสมณะใหเกิดแลว-ในสมณะ ๖๔๓ ทําตัณหาใหเจริญ ๓๐๙ ทําทุกขใหเจริญ ๓๐๙ ทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณ ๖๓๔ ทําไวในใจโดยแยบคายซึ่ง-ปฏิจจสมุปบาท ๑๔ ทําใหเจริญซึ่งธรรมอันบุคคลพึงทําใหเจริญ ๓๓๖ ทําใหแจงซึ่งธรรมอันบุคคลพึงทําใหแจง ๓๓๖ ทําใหแจงซึ่งประโยชนแหงความเปน-สมณะ ๓๙๗
ทําใหแจงซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ(เอง) ๘๐๖ ทําใหเปนเหมือนการหงายของที่คว่ํา ๓๕/๔๔ ทําใหเหมือนตาลมีขั้วยอดอันเนาแลว ๖๘๕ ทําอุปธิใหเจริญ ๓๐๙ ทิฎฐธรรม ๑๓๒ ทิฏฐธัมมนิพพานทิฏฐิ ๕ ๗๖๓ ทิฏธมฺมนิพพานปฺปตฺโต ๔๔๑ ทิฏญฐานุสัย ๖๐๕ ทิฏฐิชั้นหัวหนา ๑๘ ๖๙๐ “ทิฏฐิชาละ” ๗๓๑ ทิฏฐิตางกันแมอารมณที่มากระทบ-จะเปนอยางเดียวกัน ๗๒๙ ทิฏฐิแตละทิฏฐิยอมปดบังอิทัปปจจยตา ๓๘๙ ทิฏฐิทั้งลาย ๒อยาง ๑๔๒ ทิฏฐิปรารภขันธหา ๑๙๒ ทิฏฐิเปนไปตามซึ่งขันธอันเปนปุพพันตะ ๗๓๒ ทิฏฐิเปนไปตามซึ่งขันธอันเปนอปรันตะ ๗๕๐ ทิฏฐิ๒๖ ปรารภขันธหา ๗๐๔ ทิฏฐิและการหยั่งลงแหงทิฏฐิ ๓๘๓ ทิฏฐิวัตถุคือตนเหตุเดิมอันจะใหเกิด-ทิฏฐิ ๗๖๘ ทิฏฐิวา “ผูนั้นกระทําผูนั้นเสวย” ๖๓ ทิฏฐิวา “ผูอื่นกระทําผูอื่นเสวย” ๖๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ทิฏฐิวา “ราไมพึงมีดวย ; ของเราไมพึง-มีดวย ; เราจักไมมีดวย ;-ของเราจักไมมีดวย ;” ๑๙๗ ทิฏฐิวา “สิ่งทั้งปวงมอยู “ ๖๑ ทิฏฐิวา “สิ่งทั้งปวกไมมีอยู” ๖๒ ทิฏฐิวา “อัตตาก็อันนั้นโลกก็อันนั้น” ๑๙๖ ทิฏฐิอยางพวกตาบอดคลําชาง ๗๖๙ ทิฏฐิอันปรารภที่สุดในเบื้องตน ๔๒๕ ทิฏฐิอันปรารภที่สุดในเบื้องตน-(ปุพพันตทิฏฐิ) ๔๒๙ ทิฏฐิอันปรารภที่สุดในเบื้องปลาย ๔๒๕ ทิฏฐิอันปรารภที่สุดในเบื้องปลาย (อปรันตทิฏฐิ) ๔๒๙ ทิฏฐิปาทาน ๒๗/๘๗/๑๘๓/๓๔๗ ทิพพโสตธาตุอันบริสุทธิ์เกินกวา -โสตของมนุษย ๓๖๕ ทิ่มแทงซึ่งกันและกันอยูดวย-หอกคือปาก ๗๗๑ ที่เกิดและที่ดับแหงสัญญาและแหงกรรม ๒๗๘ ที่ดับโดยไมเหลือแหงธรรมอันเปน-บาปอกุศลทั้งหลาย ๓๖๘ ที่ดับแหงกรรม ๒๗๗ ที่ดับแหงกาม ๒๗๓ ที่ดับแหงเวทนา ๒๗๔ ที่ดับแหงสัญญา ๒๗๖ ที่ตองของสํญญาที่เปนแดนเกิด-ของปปญจสังขา ๕๙๗
๘๓๗ ที่ตั้งแตแหงความเปนไปได-ของปฏิจจสมุปบาท ๗๙๐ ที่เที่ยวที่โคจรของตัณหา ๑๐๖ ที่มาของทิฏฐิ ๖๒ ๗๒๗ ที่มีโศกมีธุลีความคับแคน ๓๒๘/๓๒๙ “ที่ไมมีโศกไมมีธุลีไมมีความคับแคน” ๓๓๑ “ที่ไมมีโศกไมมีธุลีไมมีความคับแคน” ๓๓๒ ที่สุดในเบื้องตนของภวตัณหา-ยอมไมปรากฎ ๖๒๖ ที่สุดในเบื้องตนของอวิชชา-ยอมไมปรากฎ ๖๒๒ ที่สุดแหงทุกข ๖๕๙ ที่สุดแหงปฏิจจสมุปบาทคือที่สุดแหงภพ ๘๐๒ ทุกขนิโรธ(ความหมายพิเศษ) ๒๐๙ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ๘๓ ทุกขนิโรธอริยสัจ ๘๒ ทุกขเวทนาถูกตองอยูยอมจะนึก-พอใจซึ่งกามสุข ๕๒๗ ทุกขสมุทยอริยสัจ ๘๒ ทุกขสมุทัย (ความหมายพิเศษ) ๒๐๙ ทุกขอริยสัจ ๘๒ “ทุกขคือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัย-ของสัทธา”๖๑๘ ทุกขใดๆ เกิดขึ้นทุกขทั้งหมดนั้นเกิดขึ้น-เพราะมีตัณหาเปนปจจัย ๕๕๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๓๘ ทุกขทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะมีผัสสะ-เปนปจจัย ๕๕๔ ทุกขทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะมีวิญญาณ-เปนปจจัย ๕๕๓ ทุกขทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะมีเวทนา-เปนปจจัย ๕๕๔ ทุกทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะมีสังขาร-เปนปจจัย ๕๕๒ ทุกขทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะมีอวิชชา-เปนปจจัย ๕๕๑ ทุกขทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะมีอารัมภะ-เปนปจจัย ๕๕๗ ทุกขทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะมีอาหาร-เปนปจจัย ๕๕๘ ทุกขทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะมีอุปาทาน-เปนปจจัย ๕๕๖ ทุกขนั้นอาศัยปจจัยคือผัสสะ ๖๗๑ ทุกขนี้เกิดขึ้นเพราะอาศัยซึ่งอุปธิ ๘๐๓ ทุกขนี้มีอุปธิเปนเหตุใหเกิด ๓๐๗ ทุกขในลัทธิทั้งหลายอื่นก็มีผัสสะ-เปนจุดตั้งตน ๖๗๐ ทุกขมีชาติเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ ทุกขมีเพราะวิญญาณเปนปจจัย ๕๕๔ ทุกขมีเพราะสังขารเปนปจจัย ๕๕๓ ทุกขมีอยางมิใชนอยนานาประการ ๔๔๔ ทุกขมีอุปธิเปนแดนเกิด ๕๕๑ ทุพพลภาวะของมนุษย ๕๘๐ เทพทั้งหลาย ๔๑๑
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ เทพแหงหมูเทพทั้งหลาย ๗๗๙ เทวดาทั้งหลายระส่ําระสาย ๕๘๑ แทงตลอดซึ่งธรรมนั้นแลวเห็นอยู-ดวยปญญา ๖๓๗ โทสะเปนเหตุเพื่อความเกิดขึ้น-แหงกรรม ๑๓๑
ธ ธรรมกถึก ๕๙ ธรรมชื่อวาปฏิจจสมุปปนนธรรม ๔๒ ธรรมซึ่งฟงแลวจะเปนผูหลีกออก-ผูเดียว ๒๘๖ ธรรมซึ่งเมื่อละไดแลววิชชายอม-เกิดขึ้น ๒๘๙ ธรรมเงียบสงบประณีต ๗๓๕ ธรรมทั้ง๒๔ ประการอันเปนที่ตั้ง-แหงอุปาทาน ๔๒๑ ธรรมทั้งหลายตามที่กําหนดไว-เปนสองฝาย ๕๕๐ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันบุคคลไมควร-ยึดมั่นถือมั่น ๒๙๐ ธรรมทั้งหลายที่เราไมเคยฟง-มาแตกอน ๔๖๖ ธรรมทั้งหลายมีอยู ๑๖๕ ธรรมทั้งหลายยอมทนตอการ-เพงพิสูจน ๖๕๒
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ธรรมทั้งหลายยอมทนตอความเพงพินิจ ๖๓๗ ธรรมที่ทรงแสดงเพื่อไมใหรูสึก-วามีสัตวบุคคล ๖๕ ธรรมที่บุคคลพึงรูแจง ๒๗๐ ธรรมที่เปนฐานะ ๖อยาง ๖๙๐ ธรรมที่พระสัมมาสัมมาพุทธเจาประกาศ ๑๘๕ ธรรมที่เมื่อจะพูดสรรเสริญเราตถาคต-ใหถูกตองตรงตามที่เปนจริง ๗๓๕ ธรรมที่รูปอยางเดียวยอมรูทั้ง ๔ อยาง ๔๕๕ ธรรมที่ลึกที่สัตวอื่นเห็นไดยาก ๗๓๕ ธรรมธาตุ ๓๔ ธรรมนําสัตวออกจากทุกข ๑๘๕ ธรรมปริยายชื่อนิพเพธิกปริยาย ๒๖๙ ธรรมปริยายนี้ประกอบดวยประโยชน ๑๗/๕๐๙/๘๑๑ ธรรมปริยายนี้เปนเบื้องตนแหง -พรหมจรรย ๑๗/๕๐๙/๘๑๑ ธรรมปริยายประกอบดวยประโยชน ๒๔๕ ธรรมปริยายเปนเบื้องตนแหง-พรหมจรรย ๒๔๕ ธรรมเปนเครื่องตั้งมั่น (ปธาน) ๖๓๘ ธรรมเปนที่สงบระงับแหงสังขารทั้งปวง ๕๓ ธรรมเปนไปเพื่อความรอบรูซึ่งอุปาทานทั้งปวง ๓๔๖
๘๓๙ ธรรมเปนเหตุใหเนิ่นชาแกการหลุดพน ๕๙๖ ธรรมมีอุปาการะมากแกการเขาไป-นั่งใกล ๖๔๒ ธรรมมีอุปการะมากแกการเขาไปหา ๖๔๒ ธรรมมีอุปการะมากแกการเงี่ยลง-ซึ่งโสตะ ๖๔๒ ธรรมมีอุปการะมากแกการทรงไว-ซึ่งธรรม ๖๔๑ ธรรมมีอุปการระมากแกการพิจารณา-หาความสมดุลยแหงธรรม ๖๓๙ ธรรมมีอุปการะมากแกการฟงซึ่งธรรม๖๔๑ ธรรมมีอุปการระมากแกความเขาไป-ใครครวญซึ่งอรรถะ ๖๔๑ ธรรมมีอุปการะมากแกความที่ธรรม-ทั้งหลายทนตอการเพิ่งพินิจ ๖๔๐ ธรรมมีอุปการะมากแกฉันทะ ๖๔๐ ธรรมมีอุปการะมากแกธรรม-เปนเครื่องตั้งมั่น ๖๓๙ ธรรมมีอุปการะมากแกสัจจานุปตติ ๖๓๘ ธรรมมีอุปการะมากแกอุสสาหะ ๖๓๙ ธรรมไมเปนวิสัยที่จะหยั่งลงงาย-แหงความตรึก ๗๓๕ ธรรมไมรูจักเกา ๒๐๓ ธรรมยอมทําธรรมใหเต็มเพื่อการถึง -ซึ่งฝง (คือนิพพาน) ๘๐๗ ธรรมละเอียดรูไดเฉพาะบัณฑิตวิสัย ๗๓๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๔๐ ธรรมวินัยอันบุคคลกลาวไวชั่วแลว ๑๘๔ ธรรมวินัยอันมีการบัญญัตอุปทาน-ไมครบถวน ๑๘๔ ธรรมวินัยอันเรากลาวดีแลว ๑๘๕ ธรรมสามคือ ชาติ ๑ชรา ๑ มรณะ ๑ ๓๑๗/๓๒๐ ธรรมสามคือมุฎฐสัจจะ ๑ อสัมปชัญญะ๑– -เจตโสวิกเขปะ ๑ ๓๑๗/๓๒๐ ธรรมสามคือราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ๓๑๗/๓๒๐ ธรรมสามคือสักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา๑ -สีลัพพัตตปรามาส๑ ๓๑๗/๓๒๐ ธรรมสามคือนาทริยะ ๑ โทวจัสสตา ๑– - ปาปมิตตตา ๑ ๓๑๘/๓๒๑ ธรรมสามคืออโยนิโสมนสิการ ๑ กุมมัคค-เสวนา ๑ เจตโสลีนัตตา ๑ ๓๑๗/๓๒๐ ธรรมสามคืออริยานังอทัสสนกัมยตา๑– -อริยธัมมังอโสตุกัมยตา๑– -อุปารัมภจิตตตา ๑ ๓๑๘/๓๒๐ ธรรมสามคืออสัทธิยะ ๑ อวทัญุตา๑– -โกสัชชะ๑ ๓๑๘/๓๒๑ ธรรมสามคืออุทธัจจะ อสังวระ๑– -ทุสสีลยะ ๑ ๓๑๘/๓๒๑ ธรรมหมวดละหกหมวดที่สอง ๔๘๙ ธรรมหมวดละหกหมวดที่สาม ๔๘๙ ธรรมหมวดละหกหมวดที่สี่ ๔๙๐ ธรรมหมวดละหกหมวดที่หก ๔๙๐ ธรรมหมวดละหกหมดที่หนึ่ง ๔๘๙
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ ธรรมหมวดละหกหมวดที่หา ๔๙๐ ธรรมหาอันเปนที่ตั้งแหงอุปาทาน ๓๔๖ ธรรม,เหตุเกิดธรรม,ความดับธรรม,-ทางใหถึงความดับธรรม, ๓๙๗ ธรรมไหลไปสูธรรมโดยไมตองมีใคร-เจตนา ๘๐๕ ธรรมอันบุคคลพึงกําหนดรูดวยปญญา-อันยิ่ง ๓๓๖ ธรรมอันบุคคลพึงทําใหเจริญดวยปญญา-อันยิ่ง ๓๓๗ ธรรมอันบุคคลพึงทําใหแจงดวยปญญา-อันยิ่ง ๓๓๗ ธรรมอันบุคคลพึงละดวยปญญาอันยิ่ง ๓๓๖ ธรรมอันเปนที่ตั้งแหงสังโยชน ๑๓๘/๑๗๑ ธรรรมอันเปนธรรมชาติอาศัยกันแลว-เกิดขึ้น ๓๕/๔๓ ธรรมอันเปนปจจัย ๕๓๗ ธรรมอันไปทวนกระแส ๕๔ ธรรมอันผูปฏิบัติพึงเห็นเอง ๒๐๓ ธรรมอันมีความไพเราะในเบื้องตน-ไพเราะในทามกลางไพเราะ-ในเบื้องปลาย ๔๘๘ ธรรมอันลึกสัตวอื่นเห็นไดยาก ๕๓ ธรรมอันสมควรแกความดับไมเหลือ-แหงชรามรณะ ๓๐๗ ธรรมอันสมณพราหมณผูรูทั้งหลาย-ขมขี่ไมได ๘๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ธรรมอันสมณพราหมณผูรูทั้งหลาย-คัดงางไมได ๘๑ ธรรมอันสมณพราหมณผูรูทั้งหลาย-ติเตียนไมได ๘๑ ธรรมอันสมณพราหมณผูรูทั้งหลาย-ทําใหเศราหมองไมได ๘๑ ธรรมอาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น ๔๒ “ธัมมาชาละ” ๗๓๑ ธัมมญาณและอันวยญาณ ๓๕๓/๓๕๕/ ๓๕๗ ธัมมตัณหา ๓๐๙ ธัมมนิยามตา ๓๕/๔๔ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค ๒๘๐ ธัมมวิจาร ๓๐๙ ธัมมวิตก ๓๐๙ ธัมมสัญเจตนา ๓๐๙ ธัมมสัญญา ๓๐๙ ธัมมอเวจัปปสาท ๕๔๐ ธัมมัฏฐิตตา ๓๕/๔๔ ธัมมัฏฐิติญาณเปนสิ่งที่เกิดกอน ๓๖๒ ธัมมิกถกาอันเนื่องเฉพาะดวยนิพพาน ๖๕๘ ธาตุทั้งหลาย ๖ ประการ ๑๑๒ ธาตุนานัตตะ ๕๘๕ ธาตุปานกลาง (รูปธาตุ) ๗๙๑ ธาตุอันทราม(กามธาตุ) ๗๙๑ ธาตุอันประณีต (อรูปธาตุ) ๗๙๑ เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิเถิด ๑๒๗
๘๔๑
น นติ (ความนอมไป) ๖๕๙ นติ= ตัณหา ๑๖๘ นรกชื่อวามหาปริฬาหะ ๕๕ นรกที่รอนยิ่งกวานรก ๕๘ นรกในปจจุบันสําหรับสัตวที่ยังมี-ความรูสึกอยู ๕๕ นรกปฏิจจสมุปบาทรอนยิ่งกวานรก ๕๘ นรกเพราะไมรูปฏิจจสมุปบาท ๕๕ นรกยิ่งกวานรกไหนหมด ๕๕ นรกแหงการไมเห็นปฏิจจสมุปบาท ๕๘ นโหติตถาคโตทิฏฐิ๗๐๑ นักรบ ๑๓๗ นัตถิกทิฏฐิ๑๐๘ นัตถิกทิฏฐิ(โดยพิศดาร) ๖๙๓ นัตถิตา(ความไมมี) ๖๖๕ นันทิ ๑๒๘ นันทิเกิดก็มีปฏิจจสมุปบาท ๑๒๗ นันทิดับปฏิจจสมุปบาทดับ ๑๒๙ นันทิในเวทนานั่นคืออุปาทาน ๑๕๑ นันทิเปนมูลแหงความทุกข ๔๑๙/๔๒๑ นันทิหรือตัณหาไมเขาไปตั้งอยูในเวทนา ๗๖ “นั่นของเรา’ ; นั่นเปนเรา ; นั่นเปน – -ตัวตนของเรา” ; ๖๙๒ “นั้นของรา , นั่นเปนเรา, นั่นเปนอัตตา-ของเรา” ๔๙๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๔๒ นั่นไมใชของเราไมใชเราไมใช-ตัวตนของเรา ๒๘๖ นั่นไมใชฐานะที่จักมีได ๑๕๙/๓๗๘ นั่นแหละที่สุดแหงทุกขละ-(อีกความหมายหนึ่ง) ๔๕๑ นานจริงหนอที่เราถูกจิตนี้คดโกง-หลอกลวงปลนปลอก ๔๒๓ นานาภาวะ (นานตฺตํ) ๔๑๓ นาม ๒๘/๙๘ นามรูป ๒๘/๘๕/๘๙ นามรูปกาวลง ๑๖๖ นามรูปเขามายอมทําใหสฬายตนะเขา มา๔๑ “นามรูปคือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัย-ของสฬายตนะ” ๖๒๐ “นามรูปเปนอยางไร ” และ “นามรูปนี้-เปนของใคร” ๖๘๓ “นามรูปมีเพราะปจจจัยคือวิญญาณ” ๓๓/๗๘๙ นามรูปมีวิญญาณเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ นามรูปไมหยั่งลง ๑๓๙ นามรูปหยั่งลง ๑๓๘ นมรูปออกไปยอมทําใหสฬายตนะ-ออกไป๔๒ นามรูปอันเปนภายนอก ๓๙๑ นําออกเสียซึ่งฉันทะในอารมณ ๒๗๑ น้ํา ๔๑๑
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ น้ําที่จุมแลวขึ้นดวยปลายใบหญาคา ๔๓๖ น้ําในบอนั้นมีอยูแตเขาไมอาจจะทํา- ใหน้ํานั้นถูกตองกายเขาได ๒๘๕ นิทานสมุทัยปจจัยของผัสสะ ๗๘๙ นิทานสัมภวะสวนมากของนิพเพธิกธรรม ๒๖๙ นิทานสัมภวะแหงกรรม ๒๗๐/๒๗๖ นิทานสัมภวะแหงกาม ๒๗๐/๒๗๒ นิทานสัมภวะแหงเวทนา ๒๗๓ นิทานสัมภวะแหงสัญญา ๒๗๔ นิทานสัมภวะแหงอาสวะ ๒๗๐ นิพพานแลเปนปฏิสรณะของวิมุตติ ๖๓๕ นิพพานอยางยิ่งในทิฏฐธรรม ๗๖๓ นิพพิทาของผูมียถาภูตณาณทัสสนะ-อันวิบัติแลว ๖๔๗ “นิพพิทาคือธรรมเปนที่เขาไปตั้ง-อาศัยของวิราคะ” ๖๑๖ นิพพิทามียถาภูตญาณทัสสนะเปนที่ – -เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ นิพพิทามีวิราคะเปนอานิสงสที่หมาย ๖๕๐ นิพพิทายอมมีวิราคะเปนอานิสงส ๘๐๗ นิพพิทาวิราคะของผูมียถาภูตญาณ-ทัสสนะอันวิบัติแลว ๖๔๘ นิพเพธิกปริยาย ๒๗๘ นิมิตอันเปนที่ตั้งแหลงความเลื่อมใส ๒๗๙ นิรามิสปติ(ปติอิงธรรมไมอิงอามิส)๒๘๐ นิโรธคามินีปฏิปทาแหงกรรม ๒๗๐/๒๗๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม
๘๔๓
นิโรธคามินีปฏิปทาแหงกาม ๒๗๐/๒๗๒
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม นิโรธคามินีปฏิปทาแงสัญญา ๒๗๕ นิโรธคามินีปฏิปทาแหงอาสวะ ๒๗๐ นิโรธแหงกรรม ๒๗๐ นิโรธแหงกาม ๒๗๐ นิโรธแหงอาสนะ ๒๗๐ นิสสรณะเครื่องออกจากรูป ๓๓๘ นิสสรณะเครื่องออกจากวิญญาณ ๓๔๑ นิสสรณะ(อุบายเครื่องออกพนไป)-ของเวทนา ๓๔๓ นี้คือโรคนี้คือหัวฝนี้คือลูกศร ๒๖๘ “นี้เปนเรา (อยมหมสฺมีติ)” ๑๖๕ เนกขัมมฉันทะ ๕๘๙ เนกขัมมธาตุ ๕๘๘ เนกขัมมปริเยสนา ๕๘๙ เนกขัมมวิตก ๕๘๘ เนกขัมมวิตก ๕๘๘ เนกขัมมสังกัปปะ ๕๘๘ เนกขัมมสัญญา ๕๘๘ “เนกขัมมสิต” ๑๐๖ เนวรูปนารูปอัตตาทิฏฐิ๗๑๔ เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ ๘ ๗๕๖ เนวสัญญานาสัญญาตนะ ๔๑๒ เนวโหตินนโหติทิฏฐิ ๗๐๒ เนื้อความโดยบทและโดยพยัญชนะ ๗๒ เนื้อบุตรเปนอาหาร ๓๒๔ ในสังสารวัฏนั้นไมมีอะไรที่ชื่อวา-ความเสื่อมหรือความเจริญ ๖๙๗
๘๔๓
บ บรมสัจจะ ๖๕๑ บรรเทาปฏิฆานุสัยอันเกิจากทุกขเวทนา ๓๔๔/๓๔๕ บรรพชาที่ไมเปนหมัน ๔๘๘ บรรพชาเปนโอกาสวาง ๓๖๗ บรรพชามีผลมีกําไร ๔๘๘ บรรพชาไมต่ําทราม ๔๘๗ บรรลุอิทธิวิธีมีประการตางๆ ๓๖๔ บริโภคเนื้อบุตร ๓๒๔ บวชแลวเพื่อขโมยธรรม ๓๖๖ บอกหนทางใหแกผูหลงทาง ๒๐๖ บัญญัติแกสัตวผูสามารถเสวยเวทนา อยู ๘๒/๑๐๑/๑๑๕ บัญญัติซึ่งทิฏฐิอันเปนอธิมุตติบท ๗๒๖ บัณฑิต ๑๓๗ บัณฑิตผูประกอบไปดวยปญญาเปน-เครื่องพิจารณา ๔๕๓ บัดนี้ไมเห็นแมแตปงสุปศาจ-(ปศาจเลนฝุน) ๔๒๗ “บาปยอมไมมี; การมาแหงบาปยอม-ไมมี. บุญยอมไมมี; การมา-แหงบุญยอมไมมี” ๖๙๕ บุคคลผูถึงพรอมดวย(สัมมา)ทิฏฐิ-(ทิฏิสมฺปนฺโน) ๕๔๓ บุคคลผูไมรู ๓๙๕ บุคคลผูรู ๓๙๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๔๔ บุคคลผูรูอยูเห็นอยู ๖๑๕ บุคคลมีเจตนาแลวยอมกระทํา-ซึ่งกรรม ๒๗๖ บุพพภาคของการดับแหงปฏิจจสมุปบาท ๒๖๘ บุรพภาคแหงการทําลายกระแส-ปฏิจจสมุปบาท ๒๖๙ บุรุษตามืดบอดมาแตกําเนิด ๔๒๒ เบื่อหนายแมในจักขุวิญญาณ๓๔๖ เบื่อหนายแมในจักขุสัมผัส ๓๔๖ เบื่อหนายแมในตา ๓๔๖ เบื่อหนายแมในรูป ๓๔๖ เบื่อหนายแมในเวทนา ๓๔๖ เบื่อหนายยอมคลายกําหนัด ๑๔๔ เบื่อหนาย(เอง) ๘๐๖ เบื้องตนแหงพรหมจรรย ๒๓๙
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ ปฏิจจสมุปบาทเกิดไดเสมอ ๑๔๘ ปฏิจจสมุปบาทเกี่ยวกับความเปน-พระพุทธเจา ๔๖๑ ปฏิจจสมุปบาทของการบรรลุธรรม ๖๔๓ ปฏิจจสมุปบาทคืออริยญายธรรม ๑๓ ปฏิจจสมุปบาทจะมีไดแกทารก๑๔๙ ปฏิจจสมุปบาทซึ่งนาอัศจรรย ๕๘๙ ปฏิจจสมุปบาทดับไดกลายสาย ๑๒๕ ปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลมและปฏิโลม ๕ ปฏิจจสมุปบาทตั้งตนเมื่อสมันนาหาร-จิตทําหนาที่ ๒๑๓ ปฏิจจสมุปบาทแตละอาการ ๒๙ ปฏิจจสมุปบาททั้งสายรวมอยูใน-ประโยคเดียว ๑๙๕ ปฏิจจสมุปบาทที่ซอนอยูในปฏิจจ-สมุปบาท ๕๔๙ ปฏิจจสมุปบาทที่ตรัสอยางเขาใจงายที่สุด ๒๒๙ ปฏิจสมุปบาทที่ตรัสอยางยอที่สุด ๕๗๒ ปฏิจจสมุปบาทที่ตรัสอยางสั้นที่สุด ๕๗๓ ปฏิจจสมุปบาทที่เปนสวนหนึ่งของ-ปฏิจสมุปบาทสายปรกติ ๕๙๔ ปฏิจจสมุปบาทที่ยิ่งกวาปฏิจจสมุปบาท ๖๑๕ ปฏิจจสมุปบาทที่สอไปในทางภาษาคน ๗๗๙ ปฏิจจสมุปบาทที่สําคัญอาการหนึ่ง ๔๑๐
www.buddhadasa.info ป ปชาปดี ๔๑๑ ปฏิฆานุสัย ๖๐๕ ปฏิฆานุสัยเกิดจากทุกขเวทนา ๑๙๑ ปฏิฆานุสัยใชคําวา “บรรเทา” ๑๙๑ ปฏิฆานุสัยอันใดอันเกิดจากทุกขเวทนา ๕๒๗ ปฏิจจสมุปบาท ๓๕ ปฏิจจสมุปบาทกับอริยสาวก ๕๐๓ ปฏิจจสมุปบาทกุสลตา-ความเปนผู-ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ๘๑๒
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ปฏิจจสมุปบาทนี้และปฏิจจสมุปปนน-ธรรมเหลานี้ ๔๒๔ ปฏิจจสมุปบาทนานาแบบ๕๔๙ ปฏิจจสมุปบาทแบบที่ตรัสโดย-พระพุทธเจาวิปสสี ๕๕๙ ปฏิจจสมุปบาทแบบที่ตรัสเหมือนแบบ-ของพระพุทธเจาวิปสสี ๕๖๔ ปฏิจจสมุปบาทแบบที่ตั้งตนดวยอารัม-มณเจตน-ปกับปน-อันสยะ ๕๖๙ ปฏิจจสมุปบาทแบบไปสุดลงเสีย-เพียงแควิญญาณ-นามรูป ๓๔ ปฏิจจสมุปบาทเปนทางสายกลาง ๑๕ ปฏิจจสมุปบาทเปนเบื้องตนแหงพรหมจรรย -๒๓๙ ปฏิจจสมุปบาทเปนเรื่องของการปฏิบัติ ๒๕๗ ปฏิจจสมุปบาทเพื่อความสมบูรณ-แหงอรหัตตผล ๖๔๙ ปฏิจจสมุปบาทมีเมื่อมีการกระทบ-ทางอายตนะ ๑๒๓ ปฏิจจสมุปบาทไมใชเรื่องขามภพ-ขามชาติ ๑๒๓ ปฏิจจสมุปบาทรอบสุดทายของคนเรา ๓๖๗ ปฏิจจสมุปบาทสลายตัว ๓๔๖ ปฏิจจสมุปบาทสุดลงเพียงแควิญญาณ ๕๕๙
๘๔๕ ปฏิจจสมุปบาทแหงกลหวิวาทนิโรธ ๕๙๕ ปฏิจจสมุปบาทแหงการขาดที่อิงอาศัย-สําหรับวิมุตติญาณทัสสนะ๖๔๖ ปฏิจจสมุปบาทแหงการดับปปญจ-สัญญาสังขา ๖๑๒ ปฏิจจสมุปบาทแหงการดับอุปาทานสี่ ๖๕๖ ปฏิจจสมุปบาทแหงการปฏิบัติชอบ-โดยไตรทวาร ๕๘๘ ปฏิจจสมุปบาทแหงการปฏิบัติผิด-โดยไตรทวาร ๕๘๗ ปฏิจจสมุปบาทแหงการปรินิพพาน-เฉพาะตน ๖๕๔ ปฏิจจสมุปบาทแงการรบราฆาฟนกัน ๕๘๙ ปฏิจจสมุปบาทแหงการละองคสาม-ตามลําดับ ๓๑๖ ปฏิจจสมุปบาทแหงการอยูดวยความ-ประมาท ๖๐๐ ปฏิจจสมุปบาทแหงการอยูดวยความ-ประมาทของอริยสาวก ๖๔๔ ปฏิจจสมุปบาทแหงการอยูอยางมี-“คนเดียว” ๕๙๘ ปฏิจจสมุบาทแหงการอยูอยางมี-“เพื่อสอง” ๕๙๗ ปฏิจจสมุปบาทแหงความเนิ่นชา-แกการละอนุสัย๖๐๔
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๔๖ ปฏิจจสมุปบาทแหงความสิ้นสุดของโลก ๖๕๘ ปฏิจจสมุปบาทแหงทุพพลภาวะของมนุษย ๕๘๐ ปฏิจจสมุปบาทแหงบรมสัจจะ ๖๕๑ ปฏิจจสมุปบาทแหงปฏิสรณาการ ๖๓๕ ปฏิจจสมุปบาทแหงปปญจสัญญา ๖๐๔ ปฏิจจสมุปบาทแหงปปญจสัญญาสังขา-สุมทาจรณะ๖๐๑ ปฏิจจสมุปบาทแหงมิคสัญญี-สัตถันตรกัปป๕๘๑ ปฏิจจสมุปบาทแหงวิชชาและวิมุตติ-(โดยสังเขป) ๖๓๑ ปฏิจจสมุปบาทแหงสัจจานุโพธและผล-ถัดไป ๖๓๖ ปฏิจจสมุปบาทแหงสุวิมุตตจิต ๖๕๓ ปฏิจจสมุปบาทแหงอภัททกาลกิริยา ๕๗๙ ปฏิจจสมุปบาทแหงอารัมมณลาภนานัตตะ ๕๘๕ ปฏิจจสมุปบาทแหงอาหารของภวตัณหา ๖๒๖ ปฏิจจสมุปบาทแหงอาหารของวิชชา-และวิมุตติ ๖๒๘ ปฏิจจสมุปบาทแหอาหารของอวิชชา ๖๒๒ ปฏิจจสมุปบาทแหงอาหารสี่ ๕๗๕/๕๗๗ ปฏิจจสมุปบาทอยางวิธีถามตอบ ๓๑ ปฏิจจสมุปปนนธรรม ๒๙
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ ปฏิจจสมุปปนนธรรมคือปญจุปาทานขันธ ๒๐๙ ปฏิญญาตําแหนงจอมโลก ๔๗๙ ปฏิบัติชอบโดยฐานะสาม ๕๘๙ ปฏิบัติดีแลว ๓๔๒ ปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม ๒๖๖/๒๖๘ ปฏิบัติผิดโดยฐานะสาม ๕๘๘ ปฏิปทาเปนเครื่องสิ้นกรรม ๒๐๓ ปฏิปทาใหถึงความดับไมเหลือแหงรูป ๓๓๘ ปฏิปทาใหถึงความดับไมเหลือแหง-วิญญาณ ๓๔๑ ปฏิปทาใหถึงความดับไมเหลือแหงเวทนา ๓๓๙ ปฏิปทาใหถึงความดับไมเหลือแหงสังขาร ๓๔๐ ปฏิปทาใหถึงความดับไมเหลือแหงสัญญา ๓๔๐ ปฏิปทาอันใหถึงความเกิดขึ้นพรอม-แหงสักายะ ๔๙๑ ปฏิสรณะ (ที่แลนไปสู) ของอินทรีย ๖๓๕ ปฏิสรณาการ ๖๓๕ ปฏิสัลลาณะในกลางคืน ๖๔๔ ปฐมยามแหงราตรี ๕ ปปญจสังขามีสัญญาเปนแดนเกิด ๕๙๖ ปปญจสัญญาสังขาสมุทาจรณบัญญัติ ๖๐๓ ปปญจสัญญาสังขาสมุทาจรณะ ๖๐๑ ปรมทิฏฐธัมมนิพพาน ๗๖๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ประกาศการนับถือศาสนาอื่น ๔๓๐ ประกาศพรหมจักรในทามกลางบริษัท ๔๘๐ ประเทศแหงวิหารธรรม ๑๕๒ ประพฤติซึ่งความเนิ่นชา (ปปญจะ) ๖๐๑ ประพฤติพรหมจรรยเพื่อความสิ้นไป-แหงทุกข ๓๙๒ ประโยชนตน ๔๘๘ ประโยชนทั้งสองฝาย ๔๘๘ ประโยชนที่มุงหมายแหงการฟงธรรม ๕๔๙ ประโยชนเพื่อผูอื่น ๔๘๘ ประโยชนแหงความเปนพราหมณ ๓๙๕ ประโยชนแหงความเปนสมณะ ๓๙๕ “ ปราโมทยคือธรรมเปนที่เขาไปตั้ง-อาศัยของปติ” ๖๑๘ ปราโมทยมีสัทธาเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ ปราโมทยยอมเกิด(เอง)๘๐๕ ปราโมทยยอมมีปติเปนอานิสงส ๘๐๗ ปรารภขันธหาตามวิธีการของ-ปฏิจจสมุปบาท ๒๘๖ ปริกรรมอันกระทําดีแลวในเนื้อนาดี๑๓๒ ปรินิพพานเฉพาะตน ๔๔๗ ปรินิพพานนั้นคือการิ้นสุดแหง-ปฏิจจสมุปบาท ๒๐ ปรินิพพานในทิฏฐธรรม ๑๗
๘๔๗ ปริพพาชกทั้งหลายผูเปนเจาลัทธิอื่นๆ ๗๗๐ ปริเยสนานานัตตะ ๕๘๖ ปริฬาหนานัตตะ ๕๘๖ ปรุงแตงซึ่งสังขารอันเปนบุญ ๔๔๗ ปรุงแตงซึ่งสังขารอันเปนอเนญชา ๔๔๗ ปรุงแตงซึ่งสังขารอันมิใชบุญ ๔๔๗ ปลงชีวิตซึ่งกันและกันราวกะวาฆาปลา-ฆาเนื้อ ๕๘๕ ปวิเวกในกลางวัน ๖๔๔ ปจจยาธรรม ๕๓๗ ปจจยาการแหงเวทนา ๑๕๒ ปจจัยที่ทําใหสัตวปรินิพพาน-ในทิฏฐธรรม ๑๙ ปจจัยที่ทําใหสัตวไมปรินิพพาน-ในทิฏฐธรรม ๑๘ ปจจัยในภายใน ๓๐๖ ปจจัย ๒๒ หรือ ๔๑ ปจจัย ๑๕๖ ปจจัยแหงทิฏฐิ ๖๒ ๗๑๙ ปจจัยแหงวิญญาณก็ลวนเปนสิ่งที่ไมเที่ยง ๒๙๒ ปจจัยแหงสัมผัสก็ลวนเปนสิ่งที่ไมเที่ยง ๒๙๓ ปจฉิมยามแหงราตรี ๙ ปญจุปาทานขันธ ๔๒ ปญจุปาทานขันธทั้งหลาย ๓๓๖ ปญจุปาทานขันธเพิ่งจะมีเมื่อเกิดเวทนา ๒๑๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปญจุปทานขันธไมกอเกิดตอไป ๓๓๕ ปญจุปาทานขันธไมอาจจะเกิด ๓๓๕ ปญชสา(ระบบแหงทิศทางลมอันถูกตอง)-แปรปรวน ๕๘๑ ปญญาโดยชอบตรงตามที่เปนจริง ๖๕๕ ปญหาที่ควรแกความเปนปญหา ๖๕ ปญหาที่ไมควรจะเปนปญหา ๖๕ ปญหาหนักใจตางๆ ที่เกิดมาจาก “ ความ-หมาย” ของคําวา “แก-ตาย” ๑๕๒ ปสสัทธิของผูมีปติอันวิบัติแลว ๖๔๖ “ปสสสัทธิคือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัย-ของปสสัทธิ” ๖๑๗ ปสสัทธิมีปติเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ ปสสัทธิมีสุขเปนอานิสงสที่มุงหมาย ๖๕๐ ปสสัทธิยอมมีสุขเปนอานิสงส ๘๐๗ ปสสัทธิสัมโพชฌงค ๒๘๑ ปยรูปสาตรูป ๓๐๘ ปติของผูมีความปราโมทยอันอิบัติแลว ๖๔๖ “ปติคือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัย-ของปสสัทธิ” ๖๑๗ ปติมีปราโมทยเปนที่เขาไปตั้งอาศัย๖๒๑ ปติมีปสสัทธิเปนอานิสงสที่มุงหมาย ๖๕๐ ปติยอมเกิด(เอง) ๘๐๕ ปติยอมมีปสสิทธิเปนอานิสงส ๘๐๗ ปติสัมโพชฌงค ๒๘๐ ปุญญาภิสังขาร ๔๔๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ผัสสนานัตตะ๕๘๕ ผัสสบัญญัติ ๖๐๓ ผัสสะ ๒๘/๘๕/๑๗๕ ผัสสะกระทบแลวยอมคิด (เจเตติ) ๒๙๓ ผัสสะกระทบแลวยอมจําไดหมายรู-(สฺชานาติ) ๒๙๓ ผัสสะกระทบแลวยอมรูสึก (เวเทติ) ๒๙๓ ผัสสะเขามายอมทําใหเวทนาเขามา ๔๑ “ผัสสะคือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัย-ของเวทนา” ๖๑๙ ผัสสะคือนิทานสัมภวะ ๒๖๙ ผัสสะคือปจจัยแหงทิฏฐิ ๖๒ ๗๑๙ ผัสสะในโลกนี้ยอมเกิดเพราะอาศัย-ซึ่งนามและรูป ๕๙๖ “ผัสสะมีเพราะปจจัยคือนามรูป” ๓๓/๗๘๘ ผัสสะมีสฬายตนะเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ ผัสสะหรือเวทนาสรางทิฏฐิ ๗๒๙ ผัสสะออกไปยอมทําใหเวทนาออกไป ๔๒ ผัสสะอันเปนที่ตั้งแหงทุกขเวทนา ๓๙ ผัสสะอันเปนที่ตั้งแหงสุขเวทนา ๓๙ ผัสสะอันเปนที่ตั้งแหงอทุกขมสุขเวทนา ๓๙ ผัสสายตนะทั้งหลาย ๖ ๗๙๐ ผัสสายตนะทั้งหลาย ๖ ประการ ๑๑๒ ผัสสายตนิกนรก ๕๕ ผัสสาหาร ๖๕/๓๒๔ แผดเผามารและเสนาใหสิ้นไป ๑๐ ผูกลาวคําเท็จอยูเปนปรกติ ๕๓๙
๘๔๙ ผูกลาวตรงตามที่เรากลาว ๖๗๑ ผูกลาวตามที่ความตรึกพาไปความ-ตรงแลนไป ๗๔๑ ผูขี้มักถามอยางนี้ ๒๘๕ ผูเขาถึงแลวซึ่งอวิชชา (อวิชฺชาคโต) ๔๔๗ ผูฆาสัตวอยูเปนปรกติ ๕๓๘ ผูคงที่(คือไมเปลี่ยนแปลงอีกตอไป) ๘๐๔ ผูครอบงํามารไดแลวชนะสงครามแลว ๘๐๔ ผูควรไดรับการสมมติวาเปนพรามณ ๓๙๗ ผูควรไดรับการสมมติวาเปนสมณะ ๓๙๗ ผูควรถามปญหาปรารภขันธสวนอดีต-กะเรา ๔๒๖ ผูควรถามปญหาปรารภขันธสวนอนาคต-กะเรา ๔๒๗ ผูจบเวท ๕๕๘ ผูจะพึงยังจิตของเราใหยินดีไดดวย-การพยากรณปญหา ๔๒๖ ผูฉลาดในฐานะ ๗ ประการ ๔๕๑ ผูฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ๔๕๒/๔๕๓ ผูฉลาดในเรื่องวิบากแหงกรรม ๑๓๗ ผูดับเย็นสนิทแลว (โดยไมตองตาย) ๘๐๔ ผูดื่มสุราและเมรัยอันเปนที่ตั้งของ-ความปรามาท ๕๓๙ ผูใดเห็นตถาคตผูนั้นเห็นธรรม ๔๓ “ผู ใ ดเห็ น ธรรมผู นั้ น เห็ น ตถาคต” ๔๓/๘๑๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ผูใดเห็นธรรมผูนั้นเห็นเรา ๑๓ “ผูใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผูนั้นเห็นธรรม” ๘๑๑ ผูใดเห็นเราผูนั้นเห็นธรรม ๑๓ “ผูใดเห็นพระสัทธรรมนี้”๕๓๗ ผูใดเห็นอยูซึ่งพระสัทธรรมนี้ ๓๕๓ ผูตองทําการศึกษา ๒๔๖ ผูตองเที่ยวแสวงหาครู ๒๔๕ ผูตองบําเพ็ญความไมประมาท ๒๕๖ ผูตองบําเพ็ญโยคะ ๒๔๗ ผูตองบําเพ็ญอัปปฏิวาณี ๒๕๐ ผูตองบําเพ็ญอุสโสฬหี ๒๔๙ ผูตองประกอบการกระทําอันติดตอ ๒๕๓ ผูตองประกอบฉันทะ ๒๔๘ ผูตองประกอบวิริยะ ๒๕๒ ผูตองเพียรแผดเผากิเลส ๒๕๑ ผูตองอบรมสติ ๒๕๔ ผูตองอบรมสัมปชัญญะ ๒๕๕ ผูตั้งยูในธรรม ๕๕๘ ผูติดพัน(ในเวทนา) เสวยเวทนา ๕๒๘ ผูติดพันแลวดวยชาติชรามณะโสกะ-ปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปยาส-ทั้งหลาย ๕๒๘ ผูติดพันแลวดวยทุกข ๕๒๘ “ผูถึงซึ่งกระแสแหงธรรมแลว” ๙๒/๓๕๓/๓๕๕/๓๕๗/๕๓๗ ผูถึงพรอมดวย (สัมมา) ทิฏฐิ ๔๓๕ ผูถึงพรอมแลวดวยวิชชา ๓ ๑๓๘
“ผูถึงแลวซึ่งกระแสแหงธรรม” ๙๒/๓๕๕/๓๕๗ ผูถึงแลวซึ่งกระแส (แหงนิพพาน) ๕๔๒ ผูถือเอาสิ่งของที่เขาไมไดใหอยูเปนปรกติ ๕๓๘ ผูที่ประพฤติพรหมจรรยจบโดยแทจริง ๓๗๐ ผูที่เราควรถามปญหาปรารภขันธ-สวนอดีต ๔๒๖ ผูที่เราควรถามปญหาปรารภขันธ-สวนอนาคต ๔๒๗ ผูเที่ยงแทตอนิพพาน ๕๓๘ “ผูนั้นกระทําผูนั้นเสวย(ผล)” ๖๖๙ ผูบรรลุนิพพานไปปจจุบัน ๔๔๑ ผูบรรลุแลวซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม ๔๔๑ ผูปฏิบัติดีแลว ๓๓๙ ผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมแลว ๒๖๖ ผูปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกขโดยชอบ ๓๐๗ ผูปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกขโดยชอบ-โดยประการทั้งปวง ๔๔๕ ผูปฏิบัติเพื่อเบื่อหนายคลายกําหนัด-ดับไมเหลือ ๒๖๖ ผูปฏิบัติแลวเพื่อความดับไมเหลือ ๓๓๙ ผูปฏิบัติแลวเพื่อความเบื่อหนาย ๓๓๙ ผูปฏิบัติแลวเพื่อความสํารอก ๓๓๙ ผูปฏิบัติแลวอยางสมควรแกธรรม ๔๔๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ผูประกอบพรอมแลวดวยความเลื่อมใส-อันไมหวั่นไหว ๙๓ “ผู ป ระกอบแล ว ด ว ยญาณอั น เป น เสขะ”๙๒/๓๕๓/๓๕๕/๓๕๗/๕๓๗ “ผูประกอบแลวดวยวิชชาอันเปนเสขะ” ๙๒/๓๕๓/๓๕๕/๓๕๗/๕๓๗ ผูประพฤติผิดในกามทั้งหลายอยูเปนปรกติ ๕๓๙ “ผูประเสริฐมีปญญาเครื่องชําแรกกิเลส” ๙๒/๓๕๓/๓๕๕/๓๕๗/๕๓๗ “ผูประเสริฐมีปญญาชําแรกกิเลส” ๙๒/๓๕๕/๓๕๗ ผูปรารภความเพียรแลวไมยอหยอน ๒๘๐ ผูปราศจากตัณหาในภพนอยและภพใหญ ๖๐๙ ผูปราศจากสัญญา ๕๙๖ ผูเปนไปในอํานาจแหงประโยชน ๑๔๑ ผูไปดวยวิชชา ๕๕๒ ผูพนวิเศษแลว ๓๓๙/๓๔๒ ผูพิจารณาใครครวญธรรมโดย-วิธี ๓ ประการ ๓๔๒/๔๕๑ ผูเพงซึ่งจิตอันตั้งมั่นดีแลว ๒๘๑ “ผูมาถึงพระสัทธรรมนี้แลว” ๙๒/๓๕๓/๓๕๕/๓๕๗/๕๓๗ ผูมิไดสดับแลวจะพึงเบื่อหนายไดบาง ๓๘ ผูมีกัลยาณมิตตะ ๓๒๑ ผูมีการบรรลุอันใหญหลวง (มหาธิคโม) ๕๔๓
๘๕๑ ผูมีการอยูอยางผูเดียว ๕๙๘ ผูมีโกสัชชะ ๓๑๙ ผูมีความเกียจคราน ๔๘๗ ผูมีความเพียรอันปรารภแลว ๔๘๗ ผูมีความรําคาญอันตัดขาดแลว ๖๐๕ ผูมีความรูยิ่งอันใหญหลวง (มหาภิฺโ) ๕๔๓ ผูมีจักษุอันเปนทิพยบริสุทธิ์กวาจักษุ-ของสามัญมนุษย ๔๒๖ ผูมีจิตตั้งมั่นดีแลวในสติปฏฐาน ๔ ๒๗๘ ผูมีเจตโสลีนัตตา ๓๑๙ ผูมีเจตโสวิกเขปะ ๓๑๙ ผูมีทิฏฐิดําเนินไปตรงแลว ๙๓ ผูมีทุกขจิตยอมไมตั้งมั่น ๖๔๕ ผูมีทุสสีลยะ ๓๑๙ ผูมีนรกสิ้นแลว ๕๓๘ ผูมีปฏิฆะเพราะทุกขเวทนา ๕๒๗ ผูมีปมาทะ ๓๑๙ ผูมีปรกติเห็นโดยความเปนอัสสาทะ ๑๓๙/๒๑๘/๓๗๖ ผูทีปรกติเห็นโดยความเห็นอาทีนวะ ๑๔๐/๒๓๑/๓๗๗ ผูมีปรกติอยูดวยความประมาท ๖๐๐ ผูมีปรกติอยูดวยความไมประมาท ๖๐๑ ผูมีปญญา ๒๗๑ ผูมีบาปมิตตตา ๓๑๙ ผูมีผัสสะบังหนา ๕๕๔ ผูมีภัยเฉพาะหนา ๔๕๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๕๒ ผูมีสติมีสุขในภายใน ๒๗๙ ผูมีสัญญาดวยสัญญาปรกติ ๕๙๖ ผูมีสัญญาดวยสัญญาวิปริต ๕๙๖ ผูมีสัญญาวา “มีที่สุดในเบื้องบน-และเบื้องต่ําอยูในโลก” ๗๔๑ ผูมีสัญญาวา “มีที่สุดอยูในโลก” ๗๔๐ ผูมีสัญญาวา “ไมมีที่สุดในเบื้องขวาง-(รอบตัว) อยูในโลก” ๗๔๑ ผูมีสัญญาวา “ไมมีที่สุดอยูในโลก” ๗๔๐ ผูมีวิจิกิจฉา ๓๑๙ ผูมีศีล ๓๒๒ ผูมีสัมมาทิฏฐิ ๙๓ ผูมีหิริมีโอตตัปปะ ๓๒๑ ผูมีอนุปารัมภจิตตะ ๓๒๒ ผูมีอลีนจิตตะ ๓๒๒ ผูมีอวิกขิตตจิตตะ ๓๒๒ ผูมีอหิริกะมีอโนตตัปปะ ๓๑๘ ผูมีอัปปมาทะ ๓๒๑ ผูมีอารัทธวิริยะ ๓๒๑ ผูมีอุปสรรค ๔๕๓ ผูมีอุปททวะ ๔๕๓ ผูมีอุปาทานยอมไมปรินิพพาน ๑๘ ผูมีอุปารัมภจิตตตา ๓๑๙ ผูไมเขาถึงซึ่งการถูกนับวาเปนอะไร ๕๕๘ ผูไมติดพัน(ในเวทนา) เสวยเวทนา ๕๒๙ ผูไมติดพันแลวดวยชาติชรามรณะโสกะ-ปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส-ทั้งหลาย ๙๒๕
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ ผูไมติดพันแลวดวยทุกข ๕๒๙ ผูไมประมาทมีความเพียรเผากิเลส-มีตนสงไปแลว ๒๘๖ ผูไมมีภัยเฉพาะหนา ๔๕๓ ผูไมมีวิจิกิจฉา ๓๒๒ ผูไมมีวิตกไมมีวิจาร ๒๗๙ ผูไมมีสัญญา ๕๙๖ ผูไมมีอุปสรรค ๔๕๓ ผูไมมีอุปททวะ ๔๕๓ ผูไมมีอุปาทานยอมปรินิพพาน ๑๙ ผูไมรูปฏิจจสมุปบาทโดยอาการ-แหงอริยสัจสี่ ๓๗๘ ผูไมรูยอมกระทําซึ่งอุปธิ ๕๕๑ ผูไมรูสึกวามีอดีตหรืออนาคต ๔๒๗ “ผูยืนอยูจดประตูแหงอมตะ” ๙๒/๓๕๓/๓๕๕/๓๕๗/๕๓๗ ผูระลึกถึงขันธที่เคยอยูอาศัยไมภพกอน ๔๒๖ ผูรูทั่วถึงแลวจึงเสพ ๕๕๘ ผูรับปฏิจจสมุปบาทโดยอาการ-แหงอริยสัจทั้งสี่ ๔๓๒ ผูรูพรอมเฉพาะแลว ๔๓๕ ผูละเสียไดแลวซึ่งความยินดีและ-ความยินราย ๓๘๖ ผูวิภูตสัญญี ๕๙๖ ผูวิสัญญสัญญี ๕๙๖ “ผู ส มบู ร ณ แ ล ว ด ว ยทั ส สนะ” ๙๒/๓๕๓/๓๕๕/๓๕๗/๕๓๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม “ผู ส มบู ร ณ แ ล ว ด ว ยทิ ฎ ฐิ ” ๙๒/๓๕๓/๓๕๕/๓๕๗/๕๓๗ ผูสัญญสัญญี ๕๙๖ ผูเสร็จกิจในปฏิจจสมุปบาท ๔๔๑ ผูแสดงธรรมโดยหลักปฏิจจสมุปบาท ๕๙ ผูหมดความสงสัยอันเปนเหตุใหถามวา-อะไรเปนอยางไร ๖๐๕ ผูหมดสิ่งปรารภนาดับสนิทไมมีสวน-เหลือ ๕๕๔ ผูหยั่งลงในธรรมวินัยนี้ ๓๓๙ ผูหลีกเรนยอมรูชัดตามที่เปนจริง ๒๕๘ ผูเห็นชัดปฏิจจสมุปบาทโดยวิธีแหง-อริยสัจสี่ ๕๓๒ ผูเห็นปฏิจจสมุบาท ๑๓๗ ผูอสัญญี ๕๙๖ ผูอยูดวยความประมาท ๖๔๕ ผูอยูดวยความไมประมาท ๖๔๔/๖๔๕ ผูอยูเหนืออิทธิพลของอดีตและอนาคต ๔๒๗ ผูอยูอุเบกขา ๒๐๕ ผูอันตัณหาและทิฏฐิไมอาศัยแลว ๖๕๙ ผูอันตัณหาและทิฏฐิอาศัยแลว ๖๕๙ ผูอันตัณหาอาศัยไมได ๕๕๘ ผูอันพรหมนั้นนิรมิตแลว ๗๓๖ ผูอันเวทนาจากอวิชชาสัมผัสถูกตองแลว ๑๖๕ ผูอันเวทนาที่เกิดแตอวิชชาสัมผัส-ถูกตองแลว ๑๙๒
๘๕๓ “ผูอื่นกระทําผูอื่นเสวย (ผล)” ๖๖๙ ผูเอิบอิ่มเพรียบพรอมดวยกามคุณหา ๑๕๐
ฝ ฝนตกลงมาอยางไมเหมาะสม ๕๘๑ ฝุนนิดหนึ่งที่เราชอนขึ้นดวยปลายเล็บ ๔๓๕
พ พยากรณโดยปริยายใดปริยายหนึ่ง ๗๒ พยากรณอรหัตตผล ๗๒ พยากรณอรหัตตผลในสํานักพระพุทธเจา ๓๖๒ พยาปาทวิตก ๑๔๒/๕๘๘ พยายามใหยิ่งขึ้นไปเพื่อปวิเวกในกลาง-วันเพื่อปฏิสัสลาณะในกลางคืน ๖๔๔ พรหม๔๑๑ พรหมจรรยตั้งมั่นและรุงเรืองแลว ๒๖๕ พรหมจรรยที่ทั้งเทวดาและมนุษย-สามารถประกาศไดดวย ๒๖๕ พรหมจรรยนี้มีลักษณะนาดื่มเหมือนมัณฑะ ๔๘๗ พรหมจรรยแผไพศาล ๒๖๕ พรหมจรรยมีนิพพานเปนที่หยั่งลง ๖๓๕ พรหมจรรย(ศาสนา) นี้จะพึงมั่นคง-ตั้งอยูนาน ๘๑๒
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๕๔ พรหมจรรยอันเปนเครื่องเจาะแทงกิเลส ๒๗๓ พรหมจรรยอันภิกษุนั้นไมไดอยูประพฤติ ๕๐๙ พรหมจรรยอันเราอยูจบแลว ๑๔๔ พรหมจริยวาส ๓๙๒ “พรหมชาละ” ๗๓๑ พรหม,สักกะของทานผูรูท. ๑๓๘ พระจันทรและพระอาทิตยก็ไมขึ้นไมตก ๑๐๗ พระพุทธจริยา ๔๘๕ พระพุทธเจามีพระนามวาเมตเตยย-สัมมาสัมพุทธะ๕๘๕ พระราชา ๑๓๗ พระโสดาบัน ๕๓๒ พระโสดาบันผูเปนสัตตักขัตตุปรมะ๔๓๕ พระอรหันต ๔๑๖ พระอรหันตผูถึงซึ่งความสิ้นเชิงแหงสิ่ง-ทั้งปวง ๓๓๗ พราหมณ ๑๓๗ พราหมณบางพวกที่กลาวสอนเรื่องกรรม ๖๗๐ พราหมณและคหบดีทั้งหลายไมตั้งอยู-ในธรรม ๕๘๑ พลญาณ๑๐ ๔๗๙ พละถึงซึ่งความเต็มรอบ ๓๓๖ พวกกัมมวาที ๖๗๒ พวกกัมมวาทีกับหลักปฏิจจสมุปบาท ๖๗๒
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ พวกฉลาดพูดกลาวถึงชั้น “อนุปาทิเสส” ๕๙๖ พวกเทพทั้งหลายมีชื่อวา อสัญญีสัตว ๗๔๗ “พวกเธอก็กลาวอยางนี้; แมเราก็กลาว-อยางนี้” ๔๙๔ พวกเธอทั้งหลายก็กลาวอยางนั้น,-แมเราตถาคตก็กลาวอยางนั้น ๔๒๘ พวกปุพพันตกัปปกวาท ๗๔๘ พวกหนึ่งๆ ถือเอาเพียงสวนหนึ่งๆ-ของเรื่องนั้นมายืนยัน ๗๗๓ พวกหนึ่งๆ ยอมของอยูในทิฏฐิหนึ่งๆ ๗๗๓ พวกอธิจจสมุปปนนิกวาท ๗๔๘ พอคา ๑๓๗ พิจารณาใครครวญธรรมโดยความ-เปนธาตุ ๓๔๒/๔๕๑ พิจารณาใครครวญธรรมโดยความ-เปนปฏิจจสมุปบาท ๓๔๒/๔๕๑ พิจารณาใครครวญธรรมโดยความ-เปนอายตนะ ๓๔๒/๔๕๑ พิจารณาสภาวธรรมตามวิธีปฏิจจสมุปบาท ๓๓๗ พิจารณาหาความสมดุลยแหงธรรม ๖๓๗ พึงปลอยวางไดบางในกายอันเปนที่-ประชุมแหงมหาภูตทั้งสี่ ๓๘๑ พืชพรรณขาวแกและสุกไมสม่ําเสมอ ๕๘๑ พืชมีมูลอันขาดแลว ๑๓๕ พื้นที่ทีกรรมจะใหผลแกผูกระทํา ๑๓๖
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม พุทธศาสนาแปลกไปจากศาสนาอื่น ๑๘๘ พุทธอเวจจัปปสาท ๕๔๐/๖๔๔ พูดหรือสอนกันอยูโดยไมยอมใหมีการ-วิพากษวิจารณ ๒๘๑ เพราะเขาไปยึดถือซึ่งรูป ๑๐๗/๑๐๙ เพราะความเกิดขึ้นแหงธรรมเปนเครื่อง-ทําความสะดุง ๓๐๐ เพราะความคลายกําหนัดยอมหลุดพน ๓๔๖ เพราะตัณหามีอุปธิจึงมี ๓๐๗ “เพราะอาศัยการไดจึงมีความปลงใจรัก” ๕๙๓ “เพราะอาศัยการแสวงหาจึงมีการได” ๕๙๓ “เพราะอาศัยความกําหนัดดวยความ-พอใจจึงมีความสยบมัวเมา” ๕๙๒ “เพราะอาศัยความจับอกจับใจ-จึงมีความตระหนี่ ๕๙๑ “เพราะอาศัยความตระหนี่-จึงมีการหวงกั้น” ๕๙๑ “เพราะอาศัยความปลงใจรักจึงมี-ความกําหนัดดวยความพอใจ” ๕๙๒ “เพราะอาศัยความสยบมัวเมา จึงมีความจับอกจับใจ” ๕๙๒ เพราะอาศัยซึ่งธาตุ ๖ ประการการกาว-ลงสูครรภยอมมี ๘๑/๑๑๕ “เพราะอาศัยตัณหาจึงมีการแสวงหา” ๕๙๔
๘๕๕ เพราะอุปธิมีชารมรณะจึงมี ๓๐๗ เพลิดเพลินพร่ําสรรเสริญเมาหมก ๑๘/๑๕๑ เพลินอยางยิ่งซึ่งดิน ๔๑๑ เพื่อความดํารงอยูของภูตสัตว ๖๕/๓๒๓ เพื่อนสองที่เขาไปยูถึงภายในจิต ๕๙๘ เพื่อนสองในภาษาธรรม ๕๙๘ เพื่อประโยชนหิตสุขแกเทวดาและ-มนุษยทั้งหลาย ๘๑๒ เพื่ออนุเคราะหแกสัมภเวสีสัตว ๖๕/๓๒๓ โพชฌงค ๗ ประการ ๖๓๔ “โพชฌงคทั้งหลาย๗ ประการ” ๖๒๘
ฟ ฟงธรรมของสัตบุรุษ ๒๖๘ ไฟ ๔๑๑
www.buddhadasa.info ภ ภพ ๒๗/๘๔ ภพเขามายอมทําใหชาติเขามา ๔๑ “ภพคือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัย-ของชาติ” ๖๑๘ ภพชาติมีทุกคราวที่ยึดมั่นในเวทนา ๑๕๒ “ภพเปนอยางไร” และ “ภพนี้เปนของใคร” ๖๗๘
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม
๘๑๕
“ภพมีเพราะปจจัยคืออุปาทาน” ๓๒ ภพมีอุปาทานเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ ภพมีอุปทานเปนเหตุใหเกิด ๗๓ ภพใหมเกิดขึ้น ๑๖๙ ภพออกไปยอมทําใหชาติออกไป ๔๒ ภวตัณหาเพิ่งมีตอภายหลัง ๖๒๖ ภวทิฏฐิ ๑๔๒ ภวราคานุสัย ๖๐๕ ภยเวร ๕ ประการ ๕๓๘ ภัยทั้งหลาย ๔๕๒ “ภาวนา” ยอมมีเพราะการตั้งจิตไว ๒๗๙ ภาวะเปนที่รักเปนที่ยินดีในโลก ๓๐๘ ภาษาปฏิจจสมุปบาท ๑๓๑ “ภิกษุธรรมกถึก” ๕๒๐ ภิกษุนั้นชื่อวาอยูไกลจากเรา ๑๓ “ภิกษุผูบรรลุแลวซึ่งนิพพานใน-ทิฏฐธรรม” ๕๒๑ “ภิกษุผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมแลว” ๕๒๐ ภิกษุภิกษุณีอุบาสกอุบาสิกา ๔๖๙ ภิกษุมีจิตหลุดพนโดยชอบ ๒๐๕ ภิกษุ ๖๐ รูปบรรลุอรหัตตผล ๔๙๒ ภูตสัตวทั้งหลาย ๖๕/๔๑๑ ภูตแหงภูติทั้งหลาย ๗๘๐ ภูตะ ๖๖
มนุษยมีอายุขัยลดลงมาเหลือเพียง ๑๐ ป ๕๘๔ มนุษยหลายคนไมเขารวมวงแหง-สัตถันตรกัปป ๕๘๕ มนุษยแหงพวกมนุษยทั้งหลาย ๗๘๐ มโนปโทสิกา ๗๓๘ มโนปวิจารทั้งหลาย ๑๘ ประการ ๑๓๓ มโน มโนทวารที่ทําหนาที่อยูดวยอวิชชา) ๑๖๐ มโนมีอยู ๑๖๕ มโนยอมเขาไปเที่ยวในกลิ่น ๑๑๔ มโนยอมเขาไปเที่ยวในธัมมารมณ ๑๑๔ มโนยอมเขาไปเที่ยวในรส ๑๑๔ มโนยอมเชาไปเที่ยวในรูป ๑๑๔ มโนยอมเขาไปเที่ยวในสัมผัสทางผิวหนัง๑๑๔ มโนยอมเขาไปเที่ยวในเสียง ๑๑๔ มโนสังขาร(อํานาจที่ใหเกิดการเปนไป-ทางใจ) ๑๖๒ มโนสัญเจตนาหาร ๖๕/๓๒๕ มรณะ ๒๗ มหาธิคโค ๕๔๓ มหาพรหมเปนผูครอบงําสัตวทั้งหลาย ๗๓๖ มหาภิฺโ ๕๔๓ มหาภูตทั้งสี่ ๒๘ มหาภูตรูป ๓๓๘ มัชฌิมยามแหงราตรี ๗
www.buddhadasa.info
ม มนุษย ท. ๕๘๔
กินหญาที่เรียกวากุทรุสกะ
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม มัณฑะอุปมาแหงพรหมจรรย ๔๘๗ มั่นคงดุจการตั้งอยูของเสาระเนียด ๑๐๗ มานานุสัย ๖๐๕ มารดาบิดาอยูรวมกันดวย ๑๕๐ มารดามีระดูดวย ๑๕๐ มิคสัญญีสัตถันตรกัปป๕๘๑ มิจฉาทิฏฐิ ๖๖๕ มิจฉาทิฏฐิดุจเสาระเนียด ๖๙๐ มิจฉาปฏิปทา ๒๕๗ “มิใช ความทุกขไม มีที่แทความทุ กข มี อยู ๖๖๘ มีจิตปกลงไป (อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู ๑๖๖/๑๖๙ มีใจปติแลวกายยอมรํางับ ๒๗๙ มีแตธรรมชาติที่เปนปฏิจจสมุปปนน-ธรรมอยางหนึ่งๆ ๖๘ มีนิพพานเปนที่สุด ๖๓๕ มีนิพพานเปนที่หยั่งลง ๖๓๕ มีนิพพานเปนเบื้องหนา ๖๓๕ มีปรกติเขาไปเพงโทษซึ่งกันและกัน-อยูเกินเวลา ๗๓๘ มีปรกติไหลนอง ๑๐๑ มีปราโมทยแลวปติยอมเกิดขึ้น ๒๗๙ มีพระผูมีพระภาคเปนที่พึ่ง ๓๘๔ มีพระผูมีพระภาคเปนผูนํา ๓๘๔ มีพระผูมีพระภาคเปนมูล ๓๘๔ มีภพจึงมีชาติ ๔๒๑
๘๕๗ มีสติอยูในลักษณะที่อาสวะทั้งหลาย-จะไหลไปตามไมได ๗๖ มีสวนขี้ริ้วอันเราเฉือนออกสิ้นแลว ๔๘๖ มีหลักวาไมมีตนเองไมมีผูอื่น ๖๘ มีอยูในโลกตามประสาของมัน ๒๗๑ มีอวิชชาเปนเครื่องหอหุม ๓๙๑ มูลเหตุแหงการทะเลาะวิวาท ๕๙๔ มูลแหงความทุกข ๔๑๙ เมื่อขอแขนขาทั้งหลายมีอยู ๑๕๖ เมื่อขอแขนขาทั้งหลายไมมี ๑๕๗ เมื่อความพยายามเปนสัมมาวายามะ ๓๓๕ เมื่อโงหัวอยูที่เดียวก็โงหัวอยูในขายนั้น ๗๓๐ “เมื่อจะเกิดทุกขเทานั้นยอมเกิดขึ้น;-เมื่อจะดับทุกขเทานั้นยอมดับ” ๖๖๖ เมื่อจักษุมีอยู ๑๕๖ เมื่อจักษุไมมี ๑๕๗ เมื่อจิตไมไดรับการรักษา ๕๗๙ เมื่อทองไสมีอยู ๑๕๖ เมื่อทองไสไมมี ๑๕๗ เมื่อทิฏฐิเปนสัมมาทิฏฐิ ๓๓๕ เมื่อทุกขเวทนาถูกตอง ๑๘๘/๑๔๕ เมื่อทุกขเวทนาถูกตองอยู ๓๔๓ เมื่อทุกขเวทนถูกตองอยู , ก็ไมเศราโศก ๕๒๙ เมื่อเทาทั้งหลายมีอยู ๑๕๖ เมื่อเทาทั้งหลายไมมี ๑๕๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๕๘ เมื่อเที่ยวโงหัวอยูในที่ทั่วไปก็โงหัว-อยูในขายนั้น ๗๓๐ เมื่อนามรูปเปนสิ่งที่อริยสาวกกําหนด-รูไดแลว ๓๒๗ เมื่อเบื่อหนายยอมคลายกําหนัด ๓๔๖ เมื่อภูตะ (ความเปนภพ) นั้นมีอยู,-สฬายตนะยอมมี; ๘๐๐ เมื่อมือทั้งหลายมีอยู ๑๕๖ เมื่อมือทั้งหลายไมมี ๑๕๗ เมื่อไมยึดมั่นยอมไมสะดุง ๑๘๗ เมื่อไมรูไมเห็นตามที่เปนจริงยอมกําหนัด ๒๑๓ เมื่อไมสะดุงยอมปรินิพพานเฉพาะตน ๑๘๗ เมื่อยังไมลุถึงประโยชนอันบุคคลจะลุได๔๘๗ เมื่อยึดถือก็ยึดถือรูปเวทนาสัญญาสังขาร-วิญญาณ ๑๔๓ เมื่อรูปเทาทันเวทนาในปฏิจจสมุปบาท ๓๔๓ เมื่อวิญญาณนั้นไมตั้งขึ้นเฉพาะไมเจริญ-งอกงามแลว ๕๗๑ เมื่อเวทนาอันไมใชทุกขไมใชสุขถูกตองอยู ๑๘๙/๓๔๕ เมื่อเวทนาอันไมใชทุกขไมใชสุข-ถูกตองอยู ๓๔๓/๓๔๕ เมื่อสติเปนสัมมาสติ ๓๓๖ เมื่อสมาธิเปนสัมมาสมาธิ ๓๓๖
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ เมื่อสุขเวทนาถูกตอง ๑๘๘/๓๔๕ เมื่อสุขเวทนาถูกตองอยู ๓๔๓ เมื่อโสตะมีอยู ๑๕๖ เมื่อโสตะไมมี ๑๕๗ เมื่ออนุสัยกอขึ้น ๑๖๖/๑๖๗/๑๖๙ เมื่ออารมณไมมี, ความตั้งขึ้นเฉพาะ-แหงวิญญาณยอมไมมี ๕๗๑ แมโคนมที่ปราศจากหนังหอหุม๓๒๔ แมน้ําก็ไมไหล ๑๐๗ แมจะอยูหางกันรอยโยชน ๑๓ แมธัมมัฎฐิติญาณก็มีความสิ้นไป – -เสื่อมไป…เปนธรรมดา; ๓๕๘ แมธัมมัฏฐิติญาณในกรณีนี้ก็มีความ-สิ้นไป… ดับไปเปนธรรมดา ๓๖๒ แมในกาลยืดยาวนานฝายอดีต ๓๕๘/๓๖๑ แมในกาลยืดยาวนานฝายอนาคต ๓๕๘/๓๖๑ แมพระพุทธองคก็ทรงสาธยาย-ปฏิจจสมุปบาท ๘๑๑ แมเพียงอาการเดียวก็เรียกวา-ปฏิจจสมุปบาท ๓๔ โมหะเปนเหตุเพื่อความเกิดขึ้นแหงกรรม ๑๓๑ ไมกระทํากรรมใหมและกรรมเกา-สิ้นไปดวย ๒๐๓ ไมของใจในอาสวะที่พระสมณะกลาวแลว ๗๖ ไมคิด(โน เจเตติ) ถึงสิ่งใด ๑๖๙
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ไมฉลาดในธรรมของพระอริยเจา ๑๖๔ ไมฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ ๑๖๔ ไมดําริ(โน ปกปฺเปติ) ถึงสิ่งใด ๑๖๙ ไมดูหมิ่นซึ่งตนเอง ๗๖ ไมไดรับการแนะนําในธรรมของ-พระอริยเจา ๑๖๔ ไมไดรับการแนะนําในธรรมของสัปบุรุษ ๑๖๔ ไมตองสยบอยูในภายใน ๒๙๕ ไมเปนไปเพื่อการเกิดใหมแหงผัสสายตนะ ๕๑๐ ไมเปนวิสัยที่จะหยั่งลงงายแหงความตรึก ๕๓/๖๓๗ ไมเพลิดเพลินไมพร่ําสรรเสริญ-ไมเมาหมกอยู ๑๓๐ ไมฟุงไปไมซานไปในภายนอก ๒๙๕ ไมมีกุลเชฏฐาปจารยนธรรม ๕๘๔ ไมมีคําพูดวากุศล ๕๘๔ ไมมีคําพูดวาเมียของครู ๕๘๔ ไมมีความพูดวาแมนาชายนาหญิง ๕๘๔ ไมมีใจฝงลงไป(โน อนุเสติ ) ในสิ่งใด ๑๗๐ “ไมมีตนเองไมมีผูอื่นทีกอทุกข” ๖๖๗ ไมมีตนเองไมมีผูอื่นที่กอสุขและทุกข ๖๘ ไมมีทานอันบุคคลบริจาคแลว ๑๐๘ ไมมีผูนั้นหรือผูอื่น ๖๒ ไมมีสิ่งใดเกิดหรือดับไดโดยลําพัง-ตัวมันเอง ๑๕/๖๑
๘๕๙ ไมมีสิ่งใดยึดถืออยูจักเปนผูหาโทษมิได ๑๔๓ ไมมีเหตุไมมีปจจัยสัตวทั้งหลายก็บริสุทธิ์ ๖๙๖ ไมมีเหตุไมมีปจจัยสัตวทั้งหลาย-ก็เศราหมอง ๖๙๖ ไมยกยองสรรเสริญมัตเตยยธรรม-(ความเคารพเกื้อกูลตอมารดา) ๕๘๔ ไมยินดีในการราเริงเลนหัวจนเกินเวลา-สติยอมไมหลงลืม ๗๓๗ ไมลวงพนซึ่งสังสาระที่เปนอบายทุคติ-วินิบาต ๑๕ ไมลังเลสงสัยวาอาสวะทั้งหลายละแลว-หรือยัง ๗๖ ไมสะดุงเพราะเหตุไมมีความยึดมั่นถือมั่น ๒๙๕ ไมเห็นพระอริยเจา ๑๖๔ ไมเห็นสัปบุรุษ ๑๖๔ ไมสองอันเสียดสีกันไปมา ๓๙
www.buddhadasa.info ย ยถาภูตญาณทัสสนะของผูมีสัมมาสมาธิ-อันวิบัติแลว ๖๔๗/๖๔๘ “ยถาภูตญาณทัสสนะคือธรรมเปนที่ – -เขาไปตั้งอาศัยของนิพพิทา” ๖๑๗ ยถาภูตญาณทัสสนะมีนิพพิทาเปน-อานิสงสที่มุงหมาย ๖๕๐
www.buddhadasa.info
๘๖๐ ยถาภูตญาณทัสสนะมีสมาธิเปนที่เขาไป-ตั้งอาศัย ๖๒๑ ยถาภูตญาณทัสสนะยอมมีนิพพิทาเปน-อานิสงส ๘๐๗ ยถาภูตสัมมปญญา ๑๔๓ ยถาภูตสัมมัปปญญาแมที่ยังเปนเสขะ-เปนอยางนอย ๒๘๒ ยถาภูตสัมมัปปญญาไมตองอาศัยเหตุ-๕ ประการ ๒๘๕ “ยอมขาดสูญพินาศไปมิไดมีอยูภายหลัง-แตกาลตาย” ๖๙๔ “ยอมพิจารณาโดยประจักษ” ๑๔. ยอมเพลิดเพลินพร่ําสรรเสริญเมาหมกอยู ๑๒๘ ยอมรูทั่วถึงเนื้อความแหงภาษิตได-แมดวยอุปมา ๕๑๙ “ยอมเห็นซึ่งพระสัทธรรมนี้” ๙๒ ยักษแหงพวกยักษทั้งหลาย ๗๘๐ ยากนักที่จะเห็นนิพพาน ๕๓ ยากนักที่จะเห็นฏิจจสมุปบาท ๕๓ ยินดียินรายอยูเสวยซึ่งเวทนา ๑๕๑ ยินยอมขอที่ควรยินยอม ๒๐๒ ยึดถือกายเปนตัวตน ๓๘๑ ยึดถือจิตเปนตัวตน ๓๘๑ ยึดถือเอากายเปนตัวตนยังดีกวา ๓๘ ยึดถือเอาจิตเปนตัวตนไมดีเลย ๓๘ “ยืนอยูจดประตูแหงอมตะ” ๙๒/๓๕๕ โยคะเพื่อใหรูในชรามรณะ ๒๔๗
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ “โยนิโสมนสิการ” ๖๒๙ โยนีประมุขทั้งหลาย ๖๙๗
ร รสทั้งหาไมปรากฎ ๕๘๔ รอบรูซึ่งธรรมทั้งปวง ๒๙๐ รอบรูในเรื่องอันเกี่ยวกับอุปาทาน ๓๔๗ รอยทางเกา ๒๖๓ รอยทางเกาที่เคยเปนหนทางเกา ๔๖๗ รอยแหงพระพุทธเจาองคกอนๆ ๔๖๑ ระบบพรหมจริยวาสที่แตกตางกัน ๓๙๒ ระลึกถึงขันธที่เคยอยูในภพกอน ๓๖๕ ระหวางแหงโลกทั้งสอง ๖๕๙ รากฐานของปฏิจจสมุบาท ๕๑๐ รากฐานของปฏิจจสมุปบาททางฝาย-การปฏิบัติ ๓๙๐ รากฐานแหงปฏิจจสมุปบาท ๓๙๐/๔๐๙/๕๐๙ ราคะที่มีเบญจกามคุณเปนแดนเกิด ๓๒๔ ราคานุสัย ๖๐๕ ราคานุสัยเกิดจากสุขเวทนา ๑๙๑ ราคานุสัยทรงใชคําวา “ละ” ๑๙๑ ราคานุสัยอันใดอันเกิดจากสุขเวทนา ๕๒๘ ราชยุตต(ขาราชการ)ไมตั้งอยูในธรรม ๕๘๐
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ราชาไมตองอยูในธรรม ๕๘๐ รูป ๒๘/๘๙ “รูป(กาย)” ๒๐๗ รูปฉันทะ ๕๘๖ รูป(โดยละเอียด)เปนอยางไรเลา? ๓๓๘ รูปทั้งหลายทั้งที่เปนอดีตอนาคตและ-ปจจุบัน ๖๐๑ รูปที่เห็นแลว ๔๑๒ รูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ ๒๘ รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๓๓๘ รูปธาตุ ๕๘๖ รูปปริเยสนา ๕๘๖ รูปปริฬาหะ ๕๘๖ รูปภพ ๒๗/๘๗ รูปลาภะ ๕๘๖ รูปสังกัปปะ ๕๘๖ รูปสัญญา ๕๘๖ รูปสัมผัสสชาเวทนา ๕๘๖ รูปสัมผัสสะ ๕๘๖ รูปจอรูปจอัตตาทิฏฐิ ๗๑๔ รูปอัตตาทิฏฐิ ๗๑๓ รูดวยปญญาอันยิ่ง ๓๓๘/๓๔๑ รูทั่วถึงเหตุเกิดและความดับแหงโลก ๕๑๒ รูปโทษนั้นแหงอาหาร ๕๕๘ รูปฏิจจสมุปบาทโดยไมตองเชื่อผูอื่น ๕๑๐ รูปประจักษซึ่งอุปธิ ๓๐๗ รูยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง ๒๘๙ รูสึกซึ่งดินโดยความเปนดิน ๔๑๑
๘๖๑ รูสึกตอเวทนาตามทิฏฐิเฉพาะอยางๆ – -ของตนๆ ๗๒๙ รูสึกเปนสุขจิตยอมตั้งมั่น ๒๗๙ รูเองเห็นเองวา “นี้คือโรค,นี้คือหัวฝ,-นี้คือลูกศร”, ๒๖๙ รูอยูเห็นอยูอยางไรอวิชชาละไป-วิชชาเกิดขึ้น ๒๘๙ รูอยูอยางไรเห็นอยูอยางไรจึงพยากรณ-อรหัตตผล ๗๒ เรากลาวซึ่งเจตนาวาเปนกรรม ๒๗๖ “เราจักเปนสัตวมีรูป (รูปภวิสฺสํอิต)ิ ” ๑๖๕ “เราจักเปนสัตวมีสัญญาก็ไมใช-ไมมีสัญญาก็ไมใช-(เนวส ฺีนาสส ฺีภวิสฺสํอิติ)” ๑๖๕ “เราจักเปนสัตวมีสัญญา (สฺีภวิสฺสํอิติ)” ๑๖๕ “เราจักเปนสัตวไมมีรูป(อรูป ภวิสสฺ ํอิต)ิ ”๑๖๕ “เราจักเปนสัตวไมมีสัญญา (อสฺี-ภวิสฺสํอิติ)” ๑๖๕ “เราจักมี (ภวิสฺสํอิติ)” ๑๖๕ “เราจักไมมี(นภวิสฺสํอิติ)” ๑๖๕ “เรามีอยู (อสฺมีติ)” ๑๖๕ “เราไมพึงมีดวยของเราไมพึงมีดวย” ๓๘๖ “เราไมพึงมีดวย; ของเราไมพึงมีดวย; -เราจักไมมีของเราจักไมมี” ๖๙๓ “เราแลยอมรูยอมเห็นซึ่งความทุกข” ๖๖๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๖๒ เรียกวา “สังขาร” เพราะเปนสิ่งที่-ปจจัยปรุงแตง ๑๙๒ “เรือน” ๒๐๗ “เรื่องขันธในอดีตยกไวกอน” ๔๒๗ “เรื่องขันธในอนาคตก็ยกไวกอน” ๔๒๗ เรื่องความไมมีสัตวบุคคลตัวตนเราเขา ๗๙๙ เรื่องที่งดงาม ๒๘๕ เรื่องที่ควรสนใจกวาเรื่องอื่นๆ ๔๓ เรื่องที่ใครคัดคานไมได ๑๑๒ เรื่องที่จะตองรูดวยปญญา(ปฺาวจร) ๗๙๐ เรื่องที่ทรงชักชวนวิงวอนเหลือประมาณ ๔๘๕ เรื่องที่ทูลถามโดยคฤหัสถผูครองเรือน ๒๐ เรื่องที่เปนกุศล ๒๘๕ เรื่องที่พุทธบริษัทควรทําสังคีติ ๘๑๑ เรื่องที่มีเกียรติสูงสุด ๘๑๑ เรื่องที่ศาสดาและสาวกยอมมีความเห็น-ตรงกัน ๔๙๒ เรื่องปฏิจจสมุปบาทคือเรื่ออริยสัจ ๘๑ เรื่องราวอันเกิดจาการหวงกั้น-(อารกฺขาธิกรณ) ๕๙๐ เรื่องลึกซึ้งเทากับเรื่องนิพพาน ๕๓ เรื่องลึกและดูลึก ๕๒ เรืองอริยสัจทั้งเนื้อทั้งตัว ๙๓ โรคหัวฝลูกศร ๒๖๙
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ
ฤ ฤดูและปมีปริวรรตไมสม่ําเสมอ ๕๘๑
ล ลม ๔๑๑ ลมก็ไมพัด ๑๐๗ ลม(ทุกชนิด) พัดไปไมสม่ําเสมอ ๘๕๑ ละซึ่งธรรมอันบุคคลพึงละ ๓๓๖ ละตัณหาไดแลว ๓๑๓ ละทุกขไดแลว ๓๑๓ ละราคานุสัยอันเกิดจากสุขเวทนา๓๔๔/ ๓๔๕ ละอุปธิไดแลว ๓๑๓ ลักษณะของการบรรลุความเปนโสดาบัน ๙๖ ลักษณะของการปฏิบติ ๓๒๒ ลักษณะของปฏิจจสมุปบาท ๒๕ ลักษณะของสิ่งที่เรียกวา – -“ยถาภูตสัมมัปปญญา” ๒๘๖ ลักษณะที่เปนวิทยาศาสตร ๑๕/๖๑ ลักษณะแหงความเปนอริยสัจสี่ ๘๔ ลักษณะแหงสังขารชนิดที่แปลกออกไป ๑๙๖ ลังเลในพระสัทธรรม๑๙๘ ลัทธิโลกายตะชั้นสุดยอด ๖๘๘ ลัทธิโลกายตะอยางที่สอง ๖๘๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม ลัทธิโลกายตะอยางที่สาม๖๘๘ ลัทธิโลกายตะอยางที่สี่ ๖๘๙ ลัทธิหรือทิฏฐิที่ขัดกันกับฏิจจสมุปบาท ๖๖๕ ลาภนานัตตะ ๕๘๖ ลึกซึ้งดวยมีลักษณะดูลึกซองดวย ๓๑ ลึกซึ้งดวยมีลักษณะเปนธรรมลึกซึ้งดวย ๓๗๕ ลึกซึ้งเห็นไดยากเปนอณู ๕๔ “แลนไปในสงสารสุขและทุกขคลี่คลาย-จนหมดไปเอง” ๖๙๗ “โลกเที่ยง” ๖๙๘ “โลกนี้มีที่สุดดวยไมมีที่สุดดวย ๗๔๑ “โลกนี้ยอมเกิดขึ้นดวยอาการอยางนี้” ๕๑๑ “โลกนี้ยอมดับดวยอาการอยางนี้” ๕๑๒ โลกนี้อันตัณหายึดโยงไว ๑๐๒ “โลกมีที่สุด” ๖๙๙ “โลกไมเที่ยง” ๖๙๘ “โลกไมมีที่สุด ๖๙๙ “โลกอันกลมรอบตัวนี้มีที่สุด ” ๗๔๐ โลกายตะ ๔ ชนิดที่ทรงปฏิเสธ ๖๘๘ โลภะเปนเหตุเพื่อความเกิดขึ้นแหงกรรม ๑๓๑ “โลหิต” หมายถึงน้ํานมแหงมารดา ๑๕๐
๘๖๓
ว วจีสมารัมภะ๒๐๓ วจีสังขาร ๒๘/๙๐ วจีสังขาร(อํานาจที่ใหเกิดการเปนไป-ทางวาจา) ๑๖๑ วัฏฏะยอมไมมีเพื่อจะบัญญัติแกบุคคล-เหลานั้น ๓๓๙/๓๔๒ วัตถุ ๑๖๓ วัตถุประสงคของปฏิจจสมุปบาท ๖๑ วัตถุแหงสัมมาทิฏฐิ ๙๓ วาจา (วจีทวารที่ทําหนาที่อยูดวยอวิชชา) ๑๖๐ วิจิกิจฉานุสัย ๖๐๕ วิชชาดวยวิมุตติดวย ๓๓๗ วิชชาและวิมุตติก็เปนธรรมชาติมีอาหาร ๖๒๘ วิญญาณ ๒๘/๘๕ “วิญญาณ” ๓๘ วิญญาณเกิดขึ้นแลวเพราะอาศัยปจจัย-ที่ไมเที่ยง ๒๙๒ วิญญาณเขาถึงซึ่งวิบากอันเปนบุญ ๔๔๗ วิญญาณเขาถึงซึ่งวิบากอันเปนอเนญชา ๔๔๗ วิญญาณเขาถึงซึ่งวิบากอันมิใชบุญ ๔๔๗ วิญญาณเขามายอมทําใหนามรูปเขามา ๔๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๖๔ “วิญญาณคือธรรมเปนที่เขาไปตั้ง-อาศัยของนามรูป” ๖๒๐ วิญญาณตั้งอยูได ๓๒๘ วิญญาณตั้งอยูไมได ๓๓๐ วิญญาณที่เปลี่ยนแปลงไปตามความ-แปรปรวน ๓๐๐ วิญญาณที่ประกอบพรอมแลวดวย-ความผูกพันในสุขอันเกิดแตอุเบกขา ๒๙๙ วิญญาณที่ไมประกอบพรอมแลวดวย-ความผูกพันในอทุกขมสุข ๓๐๐ วิญญาณที่ไมประกอบพรอมแลวดวย -ความผูกพันในอัสสาทะของ-ปติและสุขอันเกิดแตวิเวก๒๙๙ วิญญาณที่ไมประกอบพรอมแลวดวย-ความผูกพนในอัสสาทะของ-ปติและสุขอันเกิดแตสมาธิ ๒๙๙ วิญญาณที่ไมเปลี่ยนแปลงไปตาม-ความแปรปรวน ๓๐๓ วิญญาณที่ไมแลนไปตามปติและสุข-อันเกิดแตวิเวก ๒๙๘ วิญญาณที่ไมแลนไปตามปติและสุข-อันเกิดแตสมาธิ ๒๙๙ วิญญาณที่ไมแลนไปตามอทุกขมสุข ๓๐๐ วิญณาณที่ไมแลนไปตามอุเบกขา ๒๙๙ วิญญาณที่ไมหยั่งลงในอัสสาทะของ-ปติและสุขอันเกิดแตวิเวก ๒๙๙
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ วิญญาณที่ไมหยั่งลงในอัสสาทะของ-ปติและสุขอันเกิดแกสมาธิ ๒๙๙ วิญญาณที่ไมหยั่งลงในอัสสาทะของ-สุขอันเกิดแตอุเบกขา ๒๙๙ วิญญาณที่ไมหยั่งลงในอัสสาทะของ-อทุกขมสุข ๓๐๐ วิญญาณที่แลนไปตามนิมิต ๒๙๖ วิญญาณที่แลนไปตามปติและสุขอัน-เกิดแตสมาธิ ๒๙๗ วิญญาณที่แลนไปตามปติและสุขอัน-เกิดแตวิเวก๒๙๗ วิญาณที่แลนไปตามอทุกขมสุข ๒๙๘ วิญญาณที่แลนไปตามอุเบกขา ๒๙๘ วิญญาณที่หยั่งลงในอัสสาทะของนิมิต ๒๙๖ วิญญาณที่หยั่งลงในอัสสาทะของปติ-และสุขอันเกิดแตวิเวก๒๙๗ วิญญาณที่หยั่งลงในอัสสาทะของปติ-และสุขอันเกิดแตสมาธิ๒๙๗ วิญญาณทีหยั่งลงในอัสสาทะของสุข-อันเกิดแตอุเบกขา ๒๙๘ วิญญาณที่หยั่งลงในอัสสาทะของอทุกขมสุข ๒๙๘ วิญญาณนั้นคืออุปาทาน ๑๘ วิญญาณนี้ยอมเวียนกลับจากนามรูป-ยอมไมเลยไปอื่น ๔๖๓/๕๖๑ วิญญาณประกอบพรอมแลวดวยความ-ผูกพันในอัสสาทะของนิมิต ๒๙๖
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม “วิญญาณเปนอยางไร”และ-“วิญญาณนี้เปนของใคร” ๖๘๓ “วิญญาณเปนอยางอื่น”และ-“วิญญาณนี้เปนของผูอื่น”๖๘๓ “วิญญาณมีเพราะปจจัยคือนามรูป” ๓๓/๗๙๐ วิญญาณมีสังขารเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ วิญญาณยอมมีขึ้นเพราะอาศัยธรรม -อยาง ๒๙๒ -วิญญาณ(วิฺาณกายา) ๖หมู ๓๔๑ วิญญาณออกไปยอมทําใหนามรูปออกไป ๔๒ วิญาญาณอันตัณหาในอารมณคือรูป-อาศัยแลว ๑๘ วิญญาณอันฟุงไปซานไปในภายนอก ๒๙๖ วิญญาณอันไมฟุงไปไมซานไปใน-ภายนอก ๒๙๖ วิญญาณอันไมฟุงไมซานไปใน-ภายนอก ๒๙๖ วิญญาณณัญจายตนะ ๔๑๒ วิญญาณาหาร ๖๕/๓๒๖ วิญญาณาหารยอมมีเพื่อความเกิดขึ้น-แหงภพใหม ๖๕ วิญญาณาหารยอมมีเพื่อความเกิดขึ้น-แหงภพใหมตอไป ๘๐๐ วิญญาณาหารยอมมีเพื่ออะไร ๖๕ วิตกบัญญัติ ๖๐๓ วิตกมีปปญจสัญญาสังขาเปนนิทาน ๖๑๓
๘๖๕ วิธีการกําจัดนิวรณโดยวิธีที่ละเอียด – -ลึกซึ้ง ๒๗๙ วิธีปฏิบัติตออาหารสี่ ๓๒๓ วิบากในทิฏฐธรรม ๒๗๗ วิบากในอปรปริยายะ ๒๗๗ วิบากในอุปปชชะ ๒๗๗ วิบากแหงกรรม ๒๗๐/๒๗๗ วิบากแหงกรรมจึงมีไดในอัตตภาพนี้-อยางซ้ําๆซากๆ ๒๗๗ วิาบากแหงกาม ๒๗๐/๒๗๒ วิบากแหงเวทนา ๒๗๔ วิบากแหงสัญญา ๒๗๕ วิบาแหงอาสวะ ๒๗๐ วิปสสี ๕๔ วิภวทิฏฐิ ๑๔๒ “วิมุตติคือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัย-ของญาณในความสิ้นไป” ๖๑๖ วิมุตติญาณทัสสนะของผูมีนิพพิทาวิราคะ-อันวิบัติแลว ๖๔๘ วิมุตติญาณทัสสนะของผูมีวิราคะ-อันวิบัติแลว ๖๔๗ วิมุตติที่ตั้งตนขึ้นมาจากสัมมาทิฏฐิ-เติมคํานําหนาวาสุ ๖๕๔ วิมุตติมีวิราคะเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ วิมุตติแลเปนปฏิสรณะของสติ ๖๓๕ วิมุตติแลนไปสูนิพพาน ๖๓๖ วิราคะของผูมีนิพพิทาอันวิบัติแลว ๖๔๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๖๖ “”วิราคะคือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัย-ของวิมุตติ” ๖๑๖ วิราคะมีนิพพิทาเปนที่เขาไปตั้ง-อาศัย ๖๒๑ วิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเปน-อานิสงสที่มุงหมาย ๖๕๐ วิราคะยอมมีวิมุตติญาณทัสสนะเปน-อานิสงส ๘๐๗ วิริยสัมโพชฌงค ๒๘๐ วิริยะเพื่อใหรูในชรามณะ ๒๕๒ วิหารธรรมชนิดที่ทําความงายแกการ-เกิดญาณ ๑๕๕ วิหารธรรมที่เราเคยอยูแลว เมื่อตรัสรู-แลวใหมๆ ๑๕๒ วิหิงสาวิตก ๑๔๒/๕๘๘ วีมังสกบัณฑิต ๔๕๓ เวทนา ๒๗/๘๕/๕๘๙ เวทนาของปุถุชน ๕๒๖ เวทนาของปุถุชนผูไมมีการสดับ ๕๓๐ เวทนาของอริยสาวก ๕๒๖ เวทนาของอริยสาวกผูมีการสดับ ๕๓๐ เวทนาเขามายอมทําใหตัณหาเขามา ๔๑ “เวทนาคือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัย”-ของตัณหา” ๖๑๙ เวทนาทั้งทางกายและทางจิต ๕๒๗ เวทนาทั้งหมดยอมถึงการประชุมลง-ในความทุกข ๗๕
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ เวทนาทั้งหลายทั้งปวงจักเปนของเย็น-ในอัตตภาพนี้เอง ๔๔๘ เวทนาทั้งหลายทั้งปวงอันเราไม-เพลิดเพลินเฉพาะแลว ๔๔๘ เวทนาที่เกิดแตอวิชชาสัมผัส ๑๙๒ เวทนาที่ตั้งตนหรือเกี่ยวของอยูกับ -อวิชชา๕๓๐ เวทนานานัตตะ ๕๘๕ เวทนาบัญญัติ ๖๐๓ เวทนาเปนผลของเวเทติ ๒๙๓ “เวทนาเปนอยางไร”และ “เวทนานี้-เปนของใคร” ๖๘๑ “เวทนาเปนอยางอื่น”และ “เวทนานี้-เปนของผูอื่น” ๖๘๑ เวทนาเพียงอยางเดียวคือเวทนา-ทางกายหามีเวทนาทางจิตไม ๕๒๙ เวทนามีกายเปนที่สุดรอบ ๒๐๕ เวทนามีชีวิตเปนที่สุดรอบ ๒๐๕ เวทนามีผัสสะเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ เวทนามีผัสสะเปนเหตุใหเกิด ๗๕ เวทนามีเพราะปจจัยคือ := ฉันทะ ๑๕๓ =ฉันทะบาง; ความเขาไปสงบ-รํางับแหงฉันทะบาง ๑๕๕ =ฉันทะวิตกและสัญญาที่เขา-ไปสงบ ๑๕๓ =ฉันทะวิตกและสัญญาที่ยังไม-เขาไปสงบ ๑๕๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม
๘๖๗
=มิจฉาสติบาง; สัมมาสติบาง ๑๕๓ =มิจฉาสมาธิบาง; ความเขาไป-สงบรํางับแหงมิจฉาสมาธิบาง๑๕๕ =มิจฉาสมาธิบาง; สัมมาสมาธิบาง ๑๕๓ = วิตก ๑๕๓ = วิตกบาง ; ความเขาไปสงบรํางับสัญญา ๑๕๓ สัญญาบาง; ความเขาไปสงบรํางับ-แหงสัญญาบาง ๑๕๕ -แหงวิตกบาง ๑๕๕ =สัมมาสติบาง ; ความเขาไปสงบ-รํางับแหงสัมมาสติบาง ๑๕๕ =สัมมาสมาธิบาง ; ความเขาไปสงบ-รํางับแหงสัมมาสมาธิบาง ๑๕๕ เวทนา(เทวนากายา)๖หมู ๓๓๙ เวทนา ๓ ประการ ๒๗๓ เวทนาใหเกิดอนุสัยสาม ๑๘๘ เวทนาออกไปยอมทําใหตัณหาออกไป ๔๒ เวทนาอันมีกายเปนที่สุดรอบ ๔๔๘ เวทนาอันมีชีวิตเปนที่สุดรอบ ๔๔๘ เวทนาอันเราไมเพลิดเพลินแลว ๒๐๕ เวมัตตาแหงกรรม ๒๗๐/๒๗๖ เวมัตตตาแหงกาม ๒๗๐/๒๗๒ เวมัตตาแหงเวทนา ๒๗๓ เวทัตตตาแหอาสวะ ๒๗๐ เวสารัชชญาณ ๔ ๔๗๙ เวหัปผมพรหม ๔๑๒
“ศาสตราผานไปตามชองในระหวาง-แหงกาย” ๖๙๗ ศาสนาของพระพุทธเจามีพระนามวา-เมตเตยสัมมาสัมพุทธะ ๕๘๕ ศิลปน ๑๓๗ ศีลของผูมีอินทรียสังวรอันวิบัติแลว ๖๔๘ ศีลทั้งหลายในลักษณะเปนที่พอใจ-อยูพระอริยเจา ๕๔๑ ศีลที่เปนไทจากตัณหา ๕๔๑ ศีลที่เปนไปพรอมเพื่อสมาธิ ๕๔๑ ศีลที่ไมขาดไมทะลุไมดางไมพรอย ๕๔๑ ศีลเปนกุศลมิไดรักษาเพื่อลาภ-เพื่อสวรรคๆ; หากแตเพื่อวิมุตติ ๖๕๑ ศีลอันเปนกุศลมีอวิปปฏิสารเปน-อานิสงสที่มุงหมาย ๖๔๙ ศีลอันเปนกุศลยอมยังความเปน-พระอรหันตใหเต็ม ๖๕๑ ศีลอันเปนสิกขาสาชีพของภิกษุ ๓๖๗
www.buddhadasa.info ส
สตตวิหารธรรม ๒๐๔ สตรีมีครรภก็ไมคลอด ๑๐๗ สติปฏฐานถึงซึ่งความเต็มรอบ ๓๓๖ “สติปฏฐานทั้งหลาย ๔ ประการ” ๖๒๘ สติปฏฐาน ๔ ประการ ๖๓๓
ศ
www.buddhadasa.info
๘๖๘ สติเพื่อใหรูในชารามรณะ ๒๕๔ สติแลเปนปฏิสรณะของใจ ๖๓๕ สติแลนไปสูวิมุตติ ๓๖๓ สติสัมโพชฌงค ๒๘๐ สภาพจิตของผูสิ้นอาสวะแลว ๑๓๗ สมควรเพื่อจะเรียกวา “ธรรมกถึก” ๕๙ สมณพราหมณที่กลาวสอนเรื่องกรรม-สีพวก ๑๕๙ สมถะดวยวิปสสนาดวย ๓๓๗ สมถะและวิปสสนาของเขาเปนธรรม-เคียงคูกันไป ๓๓๖ สมสูส่ําสอนเชนเดียวกันกับแพะ-แกะ ไก สุกร ๕๘๔ สมันนาหารจิต ๒๐๗/๒๑๑ สมัยที่มนุษยมีอายุขัยลดลงมาเหลือ-เพียง ๑๐ ป ๕๘๔ “สมาธิคือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัย – -ของยถาภูตญาณทัสสนะ” ๖๑๗ สมาธิมีผลใหญมีอานิสงสใหญ ๑๔๒ สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะเปนอานิสงส-ที่มุงหมาย ๖๕๐ สมาธิมีสุขเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ สมาธิยอมมียถาภูตญาณทัสสนะเปน-อานิสงส ๘๐๗ สมาธิสัมโพชฌงค ๒๘๑ สมาธิอันหานิมิตมิได ๑๔๒ สรรพภาวะ(สพฺพํ) ๔๑๓ สสังขารปรินิพพายี(อนาคามี) ๒๘๑
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ สฬายตนะ ๒๘/๘๕ สฬายตนะเขามายอมทําใหผัสสะเขามา ๔๑ “สฬายตนะคือธรรมเปนที่เขาไปตั้ง-อาศัยของผัสสะ” ๖๑๙ สฬายตนะมีนามรูปเปนที่เขาไปตั้ง-อาศัย ๖๒๑ สฬายตนะออกไปยอมทําใหผัสสะ-ออกไป ๔๒ สวนของวิญญาณอันเกิดจากอายตนะ-อยาง ๒๐๘ สวนสุดทั้งสอง๖๖๕ สวนสุดที่สอง ๑๕/๖๒/๖๓ สวนสุดที่หนึ่ง ๑๕/๖๑/๖๓ สักกายทิฏฐิ ๓๘๗ สังกัปปนานัตตะ ๕๘๕ สงฺกปฺปราค๗๑ สังขาร ๘๖ สังขารเขามายอมทําใหวิญญาณเขามา ๔๑ สังขารชนิดที่สอง ๑๙๖ สังขารชนิดที่สาม ๑๙๗ สังขารชนิดที่สี่ ๑๙๘ สังขารชนิดที่หนึ่ง ๑๙๒ สังขาร(โดยละเอียด) เปนอยางไรเลา ๓๔๐ สังขารทั้งหลาย ๒๘ “สังขารทั้งหลายคือธรรมเปนที่เขาไป-ตั้งอาศัยของวิญญาณ” ๖๒๐ สังขารทั้งหลายมีอวิชชาเปนที่เขาไป-ตั้งอาศัย ๖๒๐
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม สติเพื่อใหรูในชารามรณะ ๒๕๔ สติแลเปนปฏิสรณะของใจ ๖๓๕ สติแลนไปสูวิมุตติ ๓๖๓ สติสัมโพชฌงค ๒๘๐ สภาพจิตของผูสิ้นอาสวะแลว ๑๓๗ สมควรเพื่อจะเรียกวา “ธรรมกถึก” ๕๙ สมณพราหมณที่กลาวสอนเรื่องกรรม-สีพวก ๑๕๙ สมถะดวยวิปสสนาดวย ๓๓๗ สมถะและวิปสสนาของเขาเปนธรรม-เคียงคูกันไป ๓๓๖ สมสูส่ําสอนเชนเดียวกันกับแพะ-แกะ ไก สุกร ๕๘๔ สมันนาหารจิต ๒๐๗/๒๑๑ สมัยที่มนุษยมีอายุขัยลดลงมาเหลือ-เพียง ๑๐ ป ๕๘๔ “สมาธิคือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัย – -ของยถาภูตญาณทัสสนะ” ๖๑๗ สมาธิมีผลใหญมีอานิสงสใหญ ๑๔๒ สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะเปนอานิสงส-ที่มุงหมาย ๖๕๐ สมาธิมีสุขเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ สมาธิยอมมียถาภูตญาณทัสสนะเปน-อานิสงส ๘๐๗ สมาธิสัมโพชฌงค ๒๘๑ สมาธิอันหานิมิตมิได ๑๔๒ สรรพภาวะ(สพฺพํ) ๔๑๓ สสังขารปรินิพพายี(อนาคามี) ๒๘๑
๘๖๙ สฬายตนะ ๒๘/๘๕ สฬายตนะเขามายอมทําใหผัสสะเขามา ๔๑ “สฬายตนะคือธรรมเปนที่เขาไปตั้ง-อาศัยของผัสสะ” ๖๑๙ สฬายตนะมีนามรูปเปนที่เขาไปตั้ง-อาศัย ๖๒๑ สฬายตนะออกไปยอมทําใหผัสสะ-ออกไป ๔๒ สวนของวิญญาณอันเกิดจากอายตนะ-อยาง ๒๐๘ สวนสุดทั้งสอง๖๖๕ สวนสุดที่สอง ๑๕/๖๒/๖๓ สวนสุดที่หนึ่ง ๑๕/๖๑/๖๓ สักกายทิฏฐิ ๓๘๗ สังกัปปนานัตตะ ๕๘๕ สงฺกปฺปราค๗๑ สังขาร ๘๖ สังขารเขามายอมทําใหวิญญาณเขามา ๔๑ สังขารชนิดที่สอง ๑๙๖ สังขารชนิดที่สาม ๑๙๗ สังขารชนิดที่สี่ ๑๙๘ สังขารชนิดที่หนึ่ง ๑๙๒ สังขาร(โดยละเอียด) เปนอยางไรเลา ๓๔๐ สังขารทั้งหลาย ๒๘ “สังขารทั้งหลายคือธรรมเปนที่เขาไป-ตั้งอาศัยของวิญญาณ” ๖๒๐ สังขารทั้งหลายมีอวิชชาเปนที่เขาไป-ตั้งอาศัย ๖๒๐
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๗๐ สัมมาทิฏฐิคือทิฏฐิที่ปราศจากอัตถิตา-และนัตถิยา ๖๖๕ สัมมาปฏิปทา ๒๕๘ สัมมาสมาธิของผูมีศีลอันวิบัติแลว๖๔๘ สัมมาสมาธิของผูมีสุขอันวิบัติแลว ๖๔๗ สัสสตทิฏฐิ ๑๙๖ สัสสตทิฏฐิ(ทั่วไป) ๖๙๒ สสัสตทิฏฐินั้นเปนสังขาร ๑๙๖ สัสสตทิฏฐิ ๔ ๗๓๓ สัสสตโลกทิฏฐิ ๖๙๘ สัสสตะ(ทิฏฐิที่ถือวาเที่ยง) ๖๖๙ สัสสตทิฏฐิ(ธรรมดา) ๓๘๕ สามัญญผลในปจจุบัน ๒๘๐ สามัญญผลในพุทธศาสนา ๕๔๒ สามัญญผลในลัทธิอื่น ๕๔๒ สามารถประกาศไดดวย ๒๖๕ สายกลางไมเขาไปหาสวนสุดทั้งสอง๑๕ สาราคะ(ความกําหนัดกลา) ๕๙๗ สําคัญมั่นหมายซึ่งดิน ๔๑๑ สําคัญมั่นหมายโดยความเปนดิน ๔๑๑ สําคัญมั่นหมายในดิน ๔๑๑ สําคัญมั่นหมายวาดินของเรา ๔๑๑ สําคัญเห็นซึ่งตนในรูป ๑๙๔ สําคัญเห็นซึ่งตนวามีรูป ๑๙๓ สําคัญเห็นซึ่งวิญญาณ ๑๖๔ สําคัญเห็นซึ่งเวทนา ๑๖๔ สําคัญเห็นซึ่งรูป ๑๖๔ สําคัญเห็นซึ่งรูปโดยความเปนตน ๑๙๒ สําคัญเห็นซึ่งรูปในตน ๑๙๓
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ สําคัญเห็นซึ่งสังขารทั้งหลาย ๑๖๔ สําคัญเห็นซึ่งสัญญา ๑๖๔ สําคัญเห็นซึ่งอัตตา ๑๖๓ สําคัญเห็นซึ่งอุปาทานขันธ ขันธใด-ขันธหนึ่ง ๑๖๔ สําคัญเห็นซึ่งอุปาทานขันธทั้ง ๕อยาง ๑๖๔ สิ่งซึ่งเปนที่กําหนดพิจารณาของญาณ ๓๔๙ สิ่งซึ่งเปนที่ตั้งของอุปาทาน ๓๔๗ สิ่งทั้งปวงในโลก๓๑ “สิ่งทั้งปวงมีอยู” ๑๕ “สิ่งทั้งปวงไมมีอยู”๑๕ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆ ไมควร-ยึดมั่นถือมั่น ๕๘๙ สิ่งที่เกิดเองไมได ๓๑ สิ่งที่ควรรู ๔๘๘ สิ่งที่ควรรูอันประเสริฐ ๑๓ สิ่งที่รงพยากรณเสมอไป ๔๘๕ สิ่งที่ตนทําเอาดวยตนเอง ๑๕๙ สิ่งที่ตถาคตรูแจงแลวเฉพาะตน ๗๓๕ สิ่งที่ตนทําเอาดวยตนเองดวย ผูอื่น-ทําใหดวย ๑๕๙ สิ่งที่ตองเห็นดวยยถาภูตสัมมัปปญญา ๒๘๒ สิ่งที่บุคคลกระทําเองก็ไมใช ๕๑๕ สิ่งที่บุคคลกระทําเองดวยบุคคลอื่น-กระทําดวยก็ไมใช ๕๑๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม สิ่งที่บุคคลไดเห็นแลวฟงแลวรูสึกแลว-รูแจงแลวบรรลุแลวแสวงหาแลว-ครุนคิดอยูดวยใจแลว ๖๙๑ สิ่งที่บุคคลอื่นกระทําก็ไมใช ๕๑๕ สิ่งที่ปจจัยทําใหเกิดความรูสึกขึ้น-(อภิสฺเจตยิต) ๖๔ สิ่งที่ปจจัยปรุงแตงขึ้น(อภิสงฺขต) ๖๔ สิ่งที่ปุถุชนไดยึดถือแลวดวยทิฏฐิ ๓๘ สิ่งที่ปุถุชนไดยึดถือแลวดวยทิฏฐิโดย-ความเปนตัวตนมาตลอดกาลชานาน ๓๘๑ สิ่งที่ปุถุชนถึงทับแลวดวยตัณหา ๓๘ สิ่งที่ปุถุชนผูมิไดสดับแลวไดถึงทับ-แลวดวยตัณหา ๓๘๑ สิ่งที่เปนอารมณเพื่อการตั้งอยูแหง-วิญญาณ ๕๖๙ สิ่งที่ผูอื่นทําให๑๕๙ สงิที่พัวพันกันอยูในกระแสแหง-ปฏิจจสมปบาท ๒๒๗ สิ่งที่มีความรูสึกตออารมณได (เวทนีย) ๖๔ สิ่งที่ไมใชทําเองหรือใครทําใหก็เกิดขึ้นได ๑๕๙ สิ่งที่ไมใชบุคคลกระทําเองหรือบุคคล-อื่นกระทําก็เกิดขึ้นไดก็ไมใช ๕๑๕ สิ่งที่ไมเห็นอารมณเพื่อการตั้งอยูแหง-วิญญาณ ๕๗๑ สิ่งที่รูแจงแลว ๔๑๒ สิ่งที่รูสึกแล ว ๔๑๒
๘๗๑ สิ่งที่เราครอบงําแลว ๓๔๙ สิ่งที่เรียกกันวา “จิต” ๓๘ สิ่งที่เรียกกันวา “จิต”บางวา “มโนบาง”-วา “วิญญาณ” บาง ๓๙ สิ่งที่เรียกกันวา “มโน” ๓๘ สิ่งที่เรียกวาจิต ๓๘๒ สิ่งที่เรียกวาปฏิจจสมุปบาท ๑๑ สิ่งที่อริยสาวกเห็นแลวดวยดี ๕๑๔ สิ่งที่อริยสาวกเห็นชัดแลวดวยดีดวย-ปญญาอันชอบตามที่เปนจริง ๔๒๔ สิ่งที่อาศัยปจจัยอยางใดอยางหนึ่งแลว-เกิดขึ้น ๑๙๕ สิ่งที่อาศัยปจจัยอยางใดอยางหนึ่งแลว-เกิดขึ้น(ปฏิจจสมุปปนนธรรม) ๖๗๑ สิ่งเปนที่รักในโลกนี้มีฉันทะเปน-แดงเกิด ๕๕๙ สิ่งที่เปนรักและสิ่งไมเปนที่รัก ๖๑๓ สิ่งเปนที่รักและสิ่งไมเปนที่รักมีฉันทะ-เปนนิทาน ๖๑๓ สิ่งที่ภาวะเปนที่รักเปนที่ยินดี ๓๐๘ สิ่งไรๆ ที่ควรกระทําใหยิ่งขึ้นไป ๓๒๗ สิ้นกรรมตามแบบของปฏิจจสมุปบาท ๒๐๒ สิ้นกรรมในกระแสแหงปฏิจจสมุบาท ๒๐๗ สีลัพพัตตุปาทาน ๒๗/๘๗/๓๔๗/๑๘๓ สีหนาทเพราะทรงรูปจจัยแหงความ-เกิดและความดับ ๔๗๙
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๗๒ สุขของผูมีปสสัทธิอันวิบัติแลว ๖๔๗ “สุขคือธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัย-ของสมาธิ” ๖๑๗ สุขทุกขในภายในเกิดขึ้นเพราะปรารภ-ขันธหา ๒๘๗ สุขทุกขีอัตตาทิฏฐิ ๗๑๕ สุขมีปสสัทธิเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ สุขมีสมาธิเปนอานิสงสที่มุงหมาย ๖๕๐ สุขยอมมีสมาธิเปนอานิสงส ๘๐๗ “สุขและทุกขเปนสิ่งที่บุคคลกระทําเอง” ๗๐ “สุขและทุกขเปนสิ่งที่บุคคลอื่น-กระทําให” ๗๐ สุขและทุกขอันเปนภายในยอมเกิดขึ้น ๑๕๖ สุขและทุกขอันเปนภายในยอมไม-เกิดขึ้น ๑๕๗ สุขและทุกขอาศัยปจจัยคือผัสสะ, ๑๕๙ สุขโสมนัสใดๆ อาศัยรูปเกิดขึ้น ๓๓๘ “สุจริตทั้งหลาย ๓ ประการ” ๖๒๘ สุจริต ๓ ประการ ๖๓๓ สุภกิณหพรหม ๔๑๒ สุวิมุตตจิต ๖๕๓ เสวยซึ่งเวทนาทั้ง ๒ ฝาย ๕๒๗ เสวยสุข (เอง) ๘๐๖ เสียงที่ไดฟงแลว ๔๑๒ แสงสวางเกิดขึ้นแลว ๕๖๑ แสดงธรรมโดยสายกลาง ๑๕
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ แสดงดวยตัณหา ๕๘๙ แสวงดวยวิชชาหรือ ยถาภูตสัมมัปปญญา ๕๘๙ โสตาปตติยังคะ ๕๓๘ โสตาปตติยังคะทั้งหลาย ๔ ประการ ๖๔๔ โสมนัสที่ควรเสพ ๖๑๔ โสมนัสที่มีวิตกมีวิจาร ๖๑๔ โสมนัสที่ไมควรเสพ ๖๑๔ โสมนัสที่ไมมีวิตกไมมีวิจาร ๖๑๔
ห หงายของที่คว่ํา ๒๐๖ หญามุญชะและหญ็าปพพชะ ๑๕ หญิงอายุ ๕ ป ก็มีบุตร ๕๘๔ หนทางเกาอันพระพุทธเจาในกาลกอน-เคยทรงดําเนิน ๒๖๓ หนทางเพื่อการตรัสรู ๕๖๓ หมวดกาย ๓๐๙ หมวดจมูก ๓๐๘ หมวดใจ ๓๐๙ หมวดตา ๓๐๘ หมวดลิ้น ๓๐๘ หมวดหู ๓๐๘ หมูแหงตัณหาทั้งหลาย ๒๗/๘๗ หมูแหงตัณหาทั้งหลายหก ๔๘๙ หมูแหงผัสสะทั้งหลาย ๒๘/๘๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม หมูแหงผัสสะทั้งหลายหก ๔๘๙ หมูแหงวิญญาณทั้งหลาย ๒๘/๘๙ หมูแหงวิญญาณทั้งหลายหก ๔๘๘ หมูแหงเวทนาทั้งหลาย ๒๗/๘๘ หมูแหงเวทนาทั้งหลายหก ๔๘๙ หยั่งลงในธรรมวินัยนี้ ๓๔๒ หลักการพยากรอรหัตตผล ๗๑ หลักธรรมใดๆ ก็ไดที่เนื่องกันเปนสาย ๓๒๒ หลักธรรมอันภิกษุในกรณีนี้ไดสดับแลว ๒๘๙ หลุดพนแลวจากทุกข ๓๑๓ หลุดพนแลวยอมมีญาณหยั่งรู ๑๔๔ หัวใจของปฏิจจสมุปบาทที่เรียกวา-กฎอิทัปปจจยตา ๔๕๖ หัวใจของพระพุทธศาสนา ๒๙๐ หัวใจของพุทธศาสนาแตกลับมีผูสนใจ-นอยที่สุด ๘๑๑ หัวใจของพุทธศาสนาในแงของการ-ปฏิบัติ ๘๑๓ หัวใจปฏิจจสมุปบาท ๓ หายตาบอดอยางกระทันหัน ๔๒๒ หิริและโอตตัปปะของผูมีสติสัมปชัญญะ-อันวิบัติแหง ๖๔๘ เหตุเครื่องกอขึ้นแหงทุกข ๙๖ เหตุเพื่อความเกิดขึ้นแหงกรรม ๑๓๑/๑๓๓ เหตุไมอาจจะปลอยวางซึ่งสิ่งที่เรียกวาจิต ๓๘
๘๗๓ เหตุแหงธรรมอันเปนปจจัย ๕๓๗ เหตุใหเกิดขึ้นแหงทุกข(ทุกฺขสมุทโย) ๔๓ เห็นขันธโดยความเปนตน ๑๙๕ เห็นขันธในตน ๑๙๕ เห็นแจงแทงตลอดซึ่งบรมสัจจดวยปญญา ๖๕๒ เห็นซึ่งนิมิตทั้งหลายของสิ่งทั้งปวง-โดยประการอื่น ๒๙๐ เห็นโดยความเปนอัสสาทะ ๑๓๘ เห็นโดยความเปนอาทีนวะ ๑๓๙ เห็นตนในขันธ ๑๙๕ เห็นตนวามีขันธ ๑๙๕ เห็นตามที่เปนจริง (เอง) ๘๐๖ เห็นโทษโดยความเปนโทษ ๓๖๗ เห็นธรรมชื่อวาเห็นปฏิจจฯ ๑๒/๔๒/๒๐๙ เห็นปฏิจจ ฯ คือเห็นพระพุทธองค ๑๒ เห็นปฏิจจสมุปบาทชื่อวาเห็นธรรม ๑๒/๔๒/๒๐๙ เห็นแลวดวยดีดวยยถาภูตสัมมัปปญญา-จริงๆแตก็หาเปนพระอรหันต-ขีณาสพไม ๒๘๕ เห็นสัญโญชนิยธรรมโดยความเปน-อัสสาทะ ๑๗๐/๒๑๙ เห็นสัญโญชนิยธรรมโดยความเปน-อาทีนวะ ๑๗๑/๒๓๓ เห็นสิ่งทั้งปวงโดยประการอื่นจากที่-เขาเคยเห็นเมื่อยังไมรูแจง ๓๙๐ เห็นหมูสัตวที่กําลังจุติอยู ๓๖๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๗๔
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ
เห็นอยูอยางนี้ยอมเบื่อหนาย ๔๐/๑๔๔ เห็นอยูอยางไรนันทิจึงจะไมเขาไป-ตั้งอยูในเวทนา ๗๕ เห็นอุปาทานิยธรรมโดยความเปน-อัสสาทะ ๒๑๘ เห็นอุปาทานิยธรรมโดยความเปน-อาทีนวะ ๒๓๑ โหติจนจโหติทิฏฐิ ๗๐๑ โหติตถาคโตทิฏฐิ ๗๐๐
อ อกิริยทิฏฐิ(โดยพิศดาร) ๖๙๔ อกุศลกรรมบถรุงเรืองถึงที่สุด ๕๘๔ อกุศลวิตก ๑๔๒ องคแหงโสดาบัน ๔ ประการ ๕๓๘ อทุกขมสุขีอัตตาทิฏฐิ ๗๑๕ อโทสะเปนเหตุเพื่อความเกิดขึ้น-แหงกรรม ๑๓๔ อธิกรณะ(เครื่องมือกระทําใหเกิดสุข-และทุกขในภายใน) ๑๖๓ อธิจจสมุปปนนิกทิฏฐิ ๒ ๗๔๗ อธิมุตติบาท ๗๒๘ อนัญญถตา ๓๕/๔๔ อนันตวันตโลกทิฏฐิ ๖๙๙ อนิมิตตสมาธิ ๑๔๒ อนุเคราะหแกสัมภเวสีสัตวทั้งหลาย ๕๗๗ “อนุตตรสังคามวิชัย” ๗๓๑ อนุปสสนาฝายที่สอง ๕๕๐ อนุปสสนาฝายที่หนึ่ง ๕๕๐
“อนุปาทิเสส”ที่เปนเรื่องของอุจเฉท-ทิฏฐิ ๕๙๖ อนุโมทนายินดีตอคําเปนสุภาษิต-ดวยวัตถุ ๓๖ เรื่อง ๕๒๐ อนุสัยคือปฏิฆะ๓๔๓/๓๔๕ อนุสัยคือปฏิฆะยอมตามนอน ๑๘๘ อนุสัยคือราคะ ๓๔๓/๓๔๕ อนุสัยคือราคะยอมตามนอน ๑๘๘ อนุสัยคืออวิชชา ๓๔๓/๓๔๕ อนุสัยคืออวิชชายอมตามนอน ๑๘๙ อนุสัยชนิดตางๆ อันเปนเครื่องทํา-ความเนิ่นชา(ปปญจสัญญาสังขา) ๖๐๑ อนุสัยไมอาจจะเกิด ๓๔๓ อเนญชาภิสังขาร๔๔๘ อปรปริยายะ ๑๓๒ อปรันตกัปปกวาท ๗๒๖ อปรันตานุทิฏฐิทั้งหลายยอมไมมี ๖๕๕ อปุญญาภิสังขาร ๔๔๘ อภัททกาลกิริยา(ตายชั่ว) ๕๗๙ อภิภู ๔๑๒ อมตภาวะอันไมมีการแบงแยก ๓๓๗ อมราวิกเขปกทิฏฐิ๔ ๗๔๓ อโมหะเปนเหตุเพื่อความเกิดขึ้น-แหงกรรม ๑๓๔ อยูเหนือความมีและความไมมี ๖๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม อรรถะทั้งปวงที่พระผูมีพระภาคตรัส-แลวดวยบทเพียงบทเดียว-(วาผัสสะ) ๖๗๔ อรหัตตผลโดยพลันในทิฏฐธรรม ๒๘๑ อรหัตตผลในมรณกาล ๒๘๑ อริยกันตศีล ๕๔๑ อริยญายธรรม ๑๓/๔๘๑/๕๑๒ อริยญายธรรมที่เห็นแลวดวยดี ๑๓ อริยวินัย ๑๕๐ อริยวินัยเรียกอารมณทั้งหลาย ๕ ประการ-วา “กามคุณ” ๒๗๑ อริยสัจมีในขณะแหงเวทนา ๑๐๑ “”อริยสัจเล็ก’ ๘๔ อริยสัจสมบูรณแบบ ๘๑ อริยสัจสี่โดยสมบูรณนั้นคือ – -ปฏิจจสมุปบาท ๕๘ อริยสัจสี่ที่รัดกุม ๑๑๗ “อริยสัจใหญ” ๘๔ อริยสาวกที่เปนผูอยูดวยความประมาท ๖๔๕ อริยสาวกผูไดสดับแลว ๓๙/๖๔ อริยสาวกผูเปนโสดาบัน ๑๐๘/๑๑๑ อริยสาวกผูมีการสดับแลวยอมเสวย-เวทนาเพียงอยางเดียว ๕๒๘ อริยสาวกรูความเกิดและความดับ-ของโลก ๕๓๐ อรูปภพ ๒๗/๘๗ อรูปอัตตาทิฏฐิ ๗๑๓
๘๗๕ อโลภะเปนเหตุเพื่อความเกิดขึ้น-แหงกรรม ๑๓๓ อโลภะอโทสะอโมหะนั้นมีความหมาย๒ ระดับ ๑๓๗ -อวิชชา ๒๘ อวิชชาเขามายอมทําใหสังขารเขามา ๔๑ “อวิชชคือธรรมเปนทีเขาไปตั้งอาศัย-ของสังขาร” ๖๒๐ อวิชชาธาตุมีอยู ๑๖๕ อวิชชาดวยภวตัณหาดวย ๓๓๖ อวิชชานุสัย ๖๐๕ อวิชชานุสัยเกิดจากอทุขมสุขเวทนา ๑๙๑ อวิชชานุสัยใชคําวา “ถอน” ๑๙๑ อวิชชานุสัยอันใดอันเกิดจากอทุกขม-สุขเวทนา ๕๒๘ “อวิชชาเปนอาหารของภวตัณหา” ๖๒๖ อวิชชาเพิ่งมีตอภายหลัง ๖๒๒ อวิชชามีอยูในขณะแหงการสัมผัส๑๙๕ อวิชชาสัมผัส ๑๖๓ อวิชชาออกไปยอมทําใหสังขารออกไป ๔๒ อวิตถตา ๓๕/๔๔ อวิปปฏิสาร(ความไมรอนใจ) ๖๔๖ อวิปปฏิสารมีความปราโมทยเปน-อานิสงสที่มุงหมาย ๖๔๙ อวิปปฏิสารยอมเกิด (เอง) ๘๐๕ อวิปปฏิสารยอมมีปราโมทยเปนอานิสงส ๘๐๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๗๖ อวิหิงสาวิตก ๕๘๙ อสังขารปรินิพายี(อนาคามี) ๒๘๑ อสัญญีทิฏฐิ ๘ ๗๕๔ อสัสสตโลกทิฏฐิ ๖๙๘ อเหตุกทิฏฐิ (โดยพิศดาร) ๖๙๕ อัชฌัตตวิโมกข ๗๖ อัญญังชีวอัญญังสรีรทิฏฐิ ๗๐๐ อัฏฐังคิกมรรคถึงซึ่งความเต็มรอบ ๓๓๖ อัตตวาทุปาทาน ๒๗/๘๗/๑๘๓/๓๔๗ อัตตาซึ่งเขาถึงซึ่งเนวสัญญานาสัญญา-ยตนะ ๗๖๒ อัตตาซึ่งเขาถึงวิญญาณัญจายตนะ ๗๖๑ อัตตาซึ่งเขาถึงอากาสานัญจายตนะ ๗๖๐ อัตตาซึ่งเขาถึงอากิญจัญญายตนะ๗๖๑ อัตตา(ตน)ก็อันนั้น; โลกก็อันนั้น ๓๘๕/๖๙๒ อัตตาที่เขาถึงซึ่งจตุตถฌาน ๗๖๕ อัตตาที่เขาถึงซึ่งตติยฌาน ๗๖๕ อัตตาที่ถึงแลวซึ่งปรมทิฏฐธัมมนิพพาน ๗๖๓ อัตตาที่มีรูปสําเร็จมาจากใจ (มโนมโย) ๗๖๐ อัตตาที่ระงับวิตกวิจารเสียไดแลวเขาถึง-ทุติยฌาน ๗๖๔ อัตตานี้ใดอิ่มเอิบแลวดวยกามคุณ-ทั้งหลาย ๕ ประการ ๗๖๓ อัตตานุทิฏฐิ ๓๘๗ อัตตามีที่สุด ๗๕๗ อัตตามีที่สุดก็ไดไมมีที่สุดก็ได ๗๕๗ อัตตามีที่สุดก็มิใชไมมีที่สุดก็มิใช ๗๕๗
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ อัตตามีรูป ๗๕๖ อัตตามีรูปก็ได ไมมีรูปก็ได ๗๕๗ “อัตตามีรูปก็ได ไมมีรูปก็ไดเปนอัตตา-หาโรคมิไดหลังจากตายแลว” ๗๑๔ อัตตามีรูปก็มิใชไมมีรูปก็มิใช ๗๕๗ อัตตามีรูปประกอบขึ้นดวยมหาภูต ๗๕๙ อัตตามีรูปเปนพวกกามาพจรมี-กวฬิงการาหารเปนภักษา ๗๕๙ อัตตาไมมีที่สุด ๗๕๗ อัตตาไมมีรูป ๗๕๖ อัตตา-อัตตานิยานุทิฏฐิ ๓๘๓/๖๙๒ อัตตาอันขาดสูญ ๗๕๙–๗๖๒ อัตตาอื่นที่เปนทิพย ๗๕๙ “อัตถชาละ” ๗๓๑ อัตถิตา (ความมี) ๖๖๕ อัตถิตาและนัตถิตา ๖๖๕ อันตคาหิกทิฏฐิสิบ ๒,๒๐๐นัย๗๑๗ อันตราปรนิพพายี (อนาคามี) ๒๘๑ อันตวันตโลกทิฏฐิ ๖๙๙ อันตานันทิกทิฏฐิ๔ ๗๔๐ อัปปฏิวานิ(ความไมถอยหลัง)๒๕๐ อพยาปาทวิตก ๕๘๙ อัสสาทะ ๑๓๘ อัสสาทะของนิมิต ๒๙๖ อัสสาทะของปติและสุขอันเกิดแตวิเวก ๒๙๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม อัสสาทะของปติและสุขอันเกิดแตสมาธิ ๒๙๗ อัสสาทะของสุขอันเกิดแตอุเบกขา ๒๙๘ อัสสาทะของอทุกขมสุข ๒๙๘ อัสสาทะ(รสอรอย) ของเวทนา ๓๔๓ อัสสาทะแหงรูป ๓๓๘ อัสสาทะแหงวิญญาณ ๓๔๑ อัสสาทะแหงเวทนา ๓๔๐ อัสสาทะแหงสังขาร ๓๔๑ อัสสาทะแหงสัญญา ๓๔๐ อาการเกิดดับแหงอาหารสี่ ๓๒๗ อาการของการเกิดปฏิจจสมุปบาท-โดยสมบูรณ ๕๓๐ อาการของตัณหา ๑๐๑ อาการของภิกษุผูมีปรกติอยูดวยความ-ประมาท ๖๐๐ อาการที่ยุงยากที่สุดของปฏิจจสมุปบาท ๑๐๑ อาการลิงคนิมิตอุเทศ ๗๘๘ อาการ ๔อยางๆ ของปฏิจจสมุปบาท-แตละอาการ ๓๔๙ อาการแหงอนิจจังโดยละเอียด ๒๙๒ อาการสานัญจายตนะ๔๑๒ อากิญจัญญายตนะ ๔๑๒ อาคติคติ(การมาและการไป)๖๕๙ อาชีพต่ําที่สุดในบรรดาอาชีพทั้งหลาย ๑๔๑ อาทีนวะ ๑๓๙
๘๗๗ อาทีนวะ(โทษ)ของเวทนา ๓๔๓ อาทีนวะแหงรูป ๓๓๘ อาทีนวะแหงวิญญาณ ๓๔๑ อาทีนวะแหงสังขาร ๓๔๑ อาทีนวะแหงสัญญา ๓๔๐ อานิสงสของการถึงพรอมดวยทัสสน-ทิฏฐิ๔๓๕ อานิสงสของการเห็นผัสสายตนะ๖ -โดยอาการ ๕ ๕๑๐ อานิสงส ๗ประการของสัมโพชฌงค ๒๘๑ อานิสงสสูงสุดของการพิจารณา-ปฏิจจสมุปบาทอยางถูกวิธี๔๔๔ อานิสงสสูงสุด(อนุปาทิเสสนิพพาน) ๔๔๔ อาภัสสรพรหม ๔๑๒ อายตนกุสลตา-ความเปนผูฉลาดใน-อายตนะ ๘๑๒ อายตนะทั้งหลายหกอันเปนภายนอก ๔๘๘ อายตนะทั้งหลายหกอันเปนภายใน ๔๘๘ อายตนะ(ปจจัยโดยตรงแหงสุขและ-ทุกขในภายใน) ๑๖๓ อายตนะภายนอก ๒๐๗ อายตนะภายใน ๒๐๗ อายตนะยังไมทําหนาที่ ๒๐๗ อารมณเพื่อการตั้งอยูแหงวิญญาณ ๑๖๖ อารมณ ๕ ประการหาใชกามไม ๒๗๑ อารมณอันวิจิตรทั้งหลายในโลก ๒๗๑ อารัมมณเจตน-ปกัปปน-อนุสยะ ๕๖๙ อารัมมณลาภนานัตตะ ๕๘๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๗๘ อารุปปวิโมกข ๓๖๒/๓๖๖ อาศํยวิโมกขอยางไหนทานจึงพยากรณ-อรหัตตผล ๗๕ อาสวะเกิดขึ้นเพราะกายสมารัมภะ๒๐๒ อาสวะเกิดขึ้นเพราะมโนสมารัมภะ ๒๐๓ อาสวะเกิดขึ้นเพราะวจีสมารัมภะ ๒๐๓ อาสวะเกิดขึ้นเพราะอวิชชา๒๐๔ อาสวะสิ้นไปโดยลําดับไมมีระหวางขั้น ๑๙๓ อาหารของภวตัณหา ๖๒๖ อาหารของวิชชาและวิมุตติ ๖๒๘ อาหารของอวิชชา ๖๒๒ อาหารมีตัณหาเปนตนเหตุ๕๗๕ อาหาร๔ ๖๕ อาหารสี่โดยอุปมา ๓๒๓ อาหรสี่เพื่อภูตสัตวและสัมภเวสีสัตว ๕๗๗ อิทธิบาทถึงซึ่งความเต็มรอบ ๓๓๖ อิทัปปจจยตา ๓๕/๔๔ อิทัปปจจยตาปฏิจจสมุปบาท ๔๔ อิทปฺปจฺจยตาปฏิจฺจสมุปฺปาโท ๕๓ อิทัปปจจยตาฝายเกิด ๔๙๔ อิทัปปจจยตาฝายดับ ๔๙๗ อินทรียคือกาย ๑๖๔ อินทรียคือจมูก ๑๖๔ อินทรียคือตา ๑๖๔ อินทรียคือลิ้น ๑๖๔ อินทรียคือหู ๑๖๔ อินทรียถึงซึ่งความเต็มรอบ ๓๓๖
ปฏิจจ ฯจากพระโอษฐ อินทรียทั้งหลาย ๕ ประการ ๑๖๕ อินทรียแลนไปสูใจ ๖๓๖ อินทรียสังวรของผูมีหิริและโอตตัปปะ-อันวิบัติแลว ๖๔๘ อินทรียสังวร(พิเศษอีกนัยหนึ่ง) ๖๓๒ อิศวรเปนผูสรางเปนผูจัดสรร(สิ่งทั้งปวง) ๗๓๖ อิสสาและมัจฉริยะ๖๑๒ อิสสาและมัจฉริยมีสิ่งเปนที่รักและสิ่งไม-เปนที่รัก(ปยาปฺปย) เปนนิทาน ๖๑๓ อุจเฉททิฏฐิ๑๙๗ อุจเฉททิฏฐิ๗ ๘๕๘ อุจเฉททิฏฐิ(ทั่วไป) ๖๙๓ อุจเฉททิฏฐิ(ธรรมดา) ๓๘๖ อุจเฉททิฏฐินั้นเปนสังขาร ๑๙๗ อุจเฉทะ(ทิฏฐิที่ถือวาขาดสูญ) ๖๖๙ อุดมบุรุษ ๔๕๑ อุดมบุรุษในธรรมวินัยนี้ ๔๕๑ อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี(อนาคามี) ๒๘๑ อุทานในปฐมยามแหงราตรี ๗ อุทานในปจจฉิมยามแหงราตรี ๑๐ อุทานในมัชชฌิมยามแหงราตรี ๙ อุบายเครื่องปลดเปลื้องซึ่งทุกขเวทนา ๕๒๘ อุบายเครื่องปลดเปลื้องซึ่งทุกขเวทนา-ซึ่งเปนอุบายอื่นนอกจากกามสุข ๕๒๙ อุบายอื่นนอกจากกามสุข ๕๒๙
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๗๙ อุเบกขาสัมโพชฌงค ๒๘๑ อุปธิมีตัณหาเปนเหตุใหเกิด ๓๐๗
www.buddhadasa.info
๘๗๙
www.buddhadasa.info
ปทานุกรม
๘๗๙
อุปริกขีในปฏิจจสมุปบาท ๔๕๑ อุปปชชะ ๑๓๒ อุปมาของปยรูปสาตรูป ๓๑๑ อุปมาแสงอาทิตยสองเขาไปทางชอง-หนาตาง ๓๓๒ อุปมาเหมือนนักโทษถูกประหาร ๓๒๗ อุปมาเหมือนเนื้อบุตร ๓๒๔ อุปมาเหมือนเมื่อมีน้ํายอม(สี) ครบ ๓๒๙ อุปมาเหมือนแมโคนมที่ปราศจากหนัง-หอหุม ๓๒๕ อุปมาเหมือนหลุมถานเพลิง ๓๒๕ อุปมาแหงการทําลายไมใหเหลือเชื้อ ๓๗๗ อุปสรรคทั้งหลาย ๔๕๒ อุปหัจจปรินิพานยี(อนาคามี) ๒๘๑ อุปททวะทั้งหลาย ๔๕๒ อุปาทาน ๒๗/๘๔ อุปาทานของกุมาร ๑๕๑ อุปาทานขันธทั้ง ๕ ๑๖๔ อุปาทานเขามายอมทําใหภพเขามา ๔๑ “อุปาทานคือธรรมเปนที่เขาไปตั้ง-อาศัยของภพ” ๖๑๙ อุปทานทั้งหลาย ๔ อยาง ๑๘๓
“อุปาทานเปนสิ่งที่เรารอบรูแลว-เพื่อความหลุดพน’ ๓๔๙ “อุปาทานเปนสิ่งที่เรารอบรูแลว-เพื่อความหลุดพน(วิโมกฺข)” ๓๔๗ อุปาทานมีตัณหาเปนที่เขาไปตั้งอาศัย ๖๒๑ อุปาทานมีตัณหาเปนเหตุใหเกิด ๗๔ “อุปาทานมีเพราะปจจัยคือตัณหา” ๓๒ อุปาทาน๔ อยางมีตัณหาเปนเหตุใหเกิด ๑๘๕ อุปาทานออกไปยอมทําใหภพออกไป ๔๒ อุปายุปาทานาภินิเวสวินิพนฺโธ ๖๖๖ อุสโสฬหีเพื่อใหรูในชรามรณะ ๒๔๙ เอกภาวะ(เอกตฺตํ) ๔๑๓ เอกัจจสัสสสติก-เอกัจจอสัสสติกทิฏฐิ ๔ ๗๓๖ เอกันตทุกขีอัตตทิฏฐิ ๗๑๔ เอกันตสุขีอัตตาทิฏฐิ๗๑๔ เอสิกัฏฐายิกฏฐิตสัสสตทิฏฐิ ๖๙๐ ไออุนทีเกิดเพราะการเสียดสีระหวาง-ไมสองอัน ๔๐ ไออุนทีหมอนั้นระงับหายไปกระเบื้อง -ทั้งหลายก็เหลืออยู ๔๔๘
www.buddhadasa.info
------------------------
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม ในหนังสือปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ (เรียงลําดับจากนอยไปหามากและตามลําดับอักษร) (จํานวน๑,๔๑๔ หมวด) ---------------------
๑ กพฬีการาหาร (มีเนื้อบุตรเปนอุปมา) หนึ่ง ๓๒๓ กรรมมีแดนเกิดและดับในอัตตภาพนี้(ที่ธรรมคือผัสสะ) หนึ่ง ๒๗๗ กรรมมีนิทานสัมภวะ (คือผัสสะ) หนึ่ง ๒๗๖ กรรมมีนิโรธคามินีปฏิปทา(คืออริยัฏฐังคิกมรรค) หนึ่ง ๒๗๗ กรรมมีนิโรธ(เพราะความดับแหงธรรมคือผัสสะ) หนึ่ง ๒๗๗ กรรมสามบูดเนาเพราะเหตุแหงธรรม(:การเปยกแฉะแหงตัวเอง)หนึ่ง ๕๘๐ กรรมสามเปยกแฉะเพราะเหตุขาดธรรม(คือการรักษา) หนึ่ง ๕๘๐ กรรมสามไมไดรับการรักษาเพราะไมมีการรักษาแหงธรรม(คือจิต)หนึ่ง ๕๗๙ กามแทของคนเรา(คือสังกัปปราคะ)หนึ่ง ๒๗๑ กามภพมีไมไดเพราะไมมีธรรม(:กรรมมีกามธาตุเปนวิบาก) หนึ่ง ๗๙๑/๗๙๒ กามมีนิทานสัมภวะ(คือผัสสะ) หนึ่ง ๒๗๒ กามมีนิโรธคามินีปฏิปทา(คืออริยัฏฐังคิกมรรค) หนึ่ง ๒๗๒ กามมีนิโรธ (เพราะความดับแหงธรรมคือผัสสะ) หนึ่ง ๒๗๒ การกําหนดรูกพฬีการาหารเปนเหตุแหงการกําหนดรู(ราคะจากกามคุณ)หนึ่ง ๓๒๔
www.buddhadasa.info
๘๘๑
www.buddhadasa.info
๘๘๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
การกําหนดรูผัสสาหารเปนเหตุแหการกําหนดรู(เวทนาสาม) หนึ่ง ๓๒๕ การกําหนดรูมโนสัญเจตนาหารเปนเหตุแหงการกําหนดรู(ตัณหาสาม) หนึ่ง ๓๒๕ การกําหนดรูวิญญาณาหารเหตุแหงการกําหนดรู(นามรูป) หนึ่ง ๓๒๗ “การกินเนื้อบุตร”เพราะเหตุ(:เพียงเพื่อการขามทะเลทราย) หนึ่ง ๓๒๔ การเกิดขึ้นแหงรูปมีเพราะการเกิดขึ้นแหงธรรม(:อาหาร) หนึ่ง ๓๓๘ การเกิดขึ้นแหงวิญญาณมีเพราะธรรม(:การเกิดขึ้นแหงนามรูป)หนึ่ง ๓๔๑ การเกิดแหงโลกคือการเกิดแหงกระแสธรรม(: ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๑๗๓ การเกิดแหงโลกคือการเกิดแหง (ในภายใน) หนึ่ง ๒๑๖ การจับฉวย(ดวยทิฏฐิ) ไมมีเพราะเหตุแหงธรรม หนึ่ง ๑๖๕ การดับแหงโลกคือการดับแหงกระแสธรรม (:ปฏิจจ) หนึ่ง ๑๗๕/๒๒๗ การติดพันอยูในเวทนาคือการติดพันอยูในกองทุกข หนึ่ง ๕๒๘ การทรงแสดงธรรมมีความงามทามกลางคือแสดงการเกิดแหงสักกายะ ท. หนึ่ง ๔๙๑ การทรงแสดงธรรมมีความงามเบื้องปลายคือแสดงการดับแหงสักกายะ ท.หนึ่ง ๔๙๒ การทะเลาะวิวาท (ทุกรูปแบบ) สิ้นสุดลงโดยสิ้นเชิงตอเมื่อลุถึงธรรม-(: อรหันตภาวะ) หนึ่ง๕๙๗ การทําการศึกษาตอไปคือหนาที่ของผูยังไมรูปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๔๖ การบําเพ็ญความไมประมาทตอไปคือหนาที่ของผูยังไมรูปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๕๖ การบําเพ็ญโยคะตอไปคือหนาที่ของผูยังไมรูปฏิจจ ฯ หนึ่ง ๒๔๗ การบําเพ็ญอัปปฏิวาณีตอไปคือหนาที่ของผูยังไมรูปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๕๐ การบําเพ็ญอุสโสฬหีตอไปคือหนาที่ของผูไมรูปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๔๙ การประกอบการกระทําอันติดตอตอไปคือหนาที่ของผูยังไมรูปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๕๓ การประกอบความเพียรแผดเผากิเลสตอไปคือหนาที่ของผูยังไมรูปฏิจจฯ หนึ่ง๒๕๑ การประกอบฉันทะตอไปคือหนาที่ของผูยังไมรูปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๔๘ การประกอบวิริยะตอไปคือหนาที่ของผูยังไมรูปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๕๒ การพิจารณาปฏิจจฯ คือการพิจารณาปจจัยในภายใน (ชนิด) หนึ่ง ๓๐๖ การพิจารณาปฏิจจฯ อยางถูกวิธีมีอานิสงสสูงสุด(: อนุปาทิเสสนิพพาน) หนึ่ง๔๔๔ การไมติดพันอยูในเวทนาคือการไมติดพันอยูในกองทุกข หนึ่ง ๕๒๙
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๘๘๓
การไมทรงจับฉวยสิ่งที่ทรงรูยิ่ง (เพราะทราบเวทนาโดยอาการหา) มีผล-(:นิพพุติ) หนึ่ง ๗๓๕/ฯลฯ การไมปรินิพพานเฉพาะตนเพราะเหตุแหงธรรม หนึ่ง ๑๘๗ การรูยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวงคือรู (เพียงขอเดียว) วา “ไมควรยึดมั่น” หนึ่ง ๒๘๙ การแลนไปสูสัสสตทิฏฐิมีไดดวยความมั่นหมายและวาทะ(ฝายที่กลาววา “เอง”) -หนึ่ง๖๖๙ การแลนไปสูอุจเฉททิฏฐิมีไดดวยความมั่นหมายและวาทะ (ฝายที่กลาววา “อื่น”)-หนึ่ง๖๖๙ การสิ้นกรรมแทจริงมีในกระแสปฏิจจฯ ฝายนิโรธวาร หนึ่ง ๒๐๖ การแสดงที่มุงตรงไปยังการบรรลุนิพพานคือสิ่งที่ทรงพยากรณเสมอ หนึ่ง ๔๘๕ การแสวงหาครูตอไปคือหนาของผูยังไมรูปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๔๕ การหลีกเรนคือธรรมทําความงายแกการรูปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๕๘ การหายตาบอดอยางกระทันหันในขณะสักวาพอเห็นธรรม(:ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๔๒๒ การเห็นถูกตอปยรูปสาตรูปอุปมาดวยการไมหลงดื่มยาพิษ ที่มีลักษณะชวนดื่ม-หนึ่ง๓๑๔ การเห็นธรรมที่เปนการเห็นตถาคตคือเห็นปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๑๓ การเห็นนิพพานมีไดพรอมกับการเกิดแหงธรรม(:ธรรมจักษุ) หนึ่ง ๔๒๓ การเห็นผัสสายตนะโดยอนัตตลักษณะสามมีผล (:ทําที่สุดทุกขได) หนึ่ง ๕๑๐ การเห็นผัสสายตนะโดยอนัตตลักษณะสามมีผล (:ทําใหละผัสสายตนะได) หนึ่ง ๕๑๐ การเห็นผิดตอปยรูปสาตรูปอุปมาดวยการดื่มยาพิษทีมีลักษณะแหงเครื่องดื่ม-ที่ชวนดื่ม หนึ่ง๓๑๑ การเห็ น สิ่ ง ต า งๆ ของผู ห ายจากตาบอดแต กํ า เนิ ด เป น อุ ป มาของการเกิ ด ธรรมจักษุ-หนึ่ง ๔๒๓ การอธิษฐานจิตเพื่อความเพียรตองตั้งเปาหมายดวยการเหลือแตหนังหุมกระดูก-เปนเดิมพัน หนึ่ง๔๘๗ การอบรมสติตอไปคือหนาที่ของผูยังไมรูปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๕๔ การอบรมสัมปชัญญะตอไปคือหนาที่ของผูยังไมรูปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๕๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๘๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
“เกพลี”คือ “ผูจบกิจอันบุคคลพึงกระทํา” หนึ่ง ๓๓๙/๔๕๑ “เกพลี” คือไวพจนพิเศษ (ของผูพนวิเศษแลว) หนึ่ง ๓๓๙ ขึ้นชื่อวา “การปรุงแตง” แลวลวนแตเปนไปตามอํานาจแหงธรรม(คืออวิชชา)-หนึ่ง๔๔๗ คนพาลและบัณฑิตตางกันเพราะธรรม(:ความมุงหมายแหงพรหมจรรย) หนึ่ง ๓๙๒ คนเราจิตยุงเพราะไมรูธรรม (:ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๑๕/๓๒/๕๓/๓๗๖ คนเราไมปรินิพพานในปจจุบันเพราะเหตุแหงธรรม หนึ่ง ๑๗ ความเกิดขึ้นหรือดับไปแหงทุกข (อีกนัยหนึ่ง) มีเพราะธรรม (คือนันทิ) หนึ่ง ๕๗๔ ความคิดยึดครองมีขึ้นเพราะเหตุแหงธรรม( :ความอยาก) หนึ่ง ๕๙๖ ความฉลาด๔ประการซึ่งมีใจความเนื่องเปนความฉลาดอันเดียวกัน หนึ่ง ๔๕๕ ความดับแหงรูปมีเพราะความดับแหงธรรม(:อาหาร) หนึ่ง ๓๓๘ ความดับแหงวิญญาณมีเพราะธรรม(:ความดับแหงนามรูป) หนึ่ง ๓๔๑ ความถึงทับจับฉวย (ดวยทิฏฐิ) มีเพราะการกระทบของธรรม หนึ่ง ๑๖๕ ความเบื่อหนายเกิดเพราะเห็นเวทนาเปนเพียงผลแหงปจจยาการ แหง ๓๔๖ ความเปนบัณฑิตคือภาวะอันหนึ่งซึ่งทรงชักชวน หนึ่ง ๔๕๓ ความเปนผูหาโทษมิไดขึ้นอยูกับสัมมาทิฏฐิตอธรรม หนึ่ง ๑๔๓ ความเพียรใดๆ ก็ตามตองอิงอาศัยธรรม(: ยถาภูตสัมมัปปญญา) หนึ่ง ๒๘๗ ความเพียรปรารภขันธหาก็ยังตองเปนไปตามวิธีการณแหงธรรม(:ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๒๘๖ ความมั่นหมายในสิ่งทั้งปวงหยุดไดเพาระเห็นปฏิจจฯ อาการทีสําคัญหนึ่ง ๔๑๐ ความมืดอันใหญหลวง (ไมมีอะไรยิ่งกวา) คืออวิชชา หนึ่ง ๕๕๒ ความไมสะดุงยอมมีเพราะเหตุ (: อนุปาทาน) หนึ่ง ๓๐๓ ความยินดีและไมยินดี (ตามวิสัยโลก) เปนปจจัยแหงฉันทะ (วิสัยโลก)หนึ่ง ๕๙๕ ความยึดถือวา “ของเรา” ไมมีเพราะความไมมีแหงธรรม (: ความอยาก) หนึ่ง ๕๙๖ ความรอบรู (ปริชานนํ) เปนเหตุใหเห็นสิ่งทั้งปวงโดยประการอื่น (จากปุถุชนเห็น)-หนึ่ง๒๙๐ ความรูแจง(พิเศษ) เกี่ยวกับวิญญาณและนามรูป หนึ่ง ๔๖๓/๕๖๑/๕๖๖ ความรูแจง(พิเศษ) เกี่ยวกับหนทางเพื่อการตรัสรูหนึ่ง ๔๖๕/๕๖๓/๕๖๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๘๘๕
ความรูผิดตอธรรมยี่สิบสี่โดยอาการหก มีขึ้นเพราะเหตุแหงธรรม หนึ่ง๔๑๑–๔๑๓ ความรูยิ่ง (อภิชานนํ) เปนเหตุใหเกิดความรอบรู(ปริชานนํ) หนึ่ง ๒๙๐ ความรูเริ่มถูกยิ่งขึ้นตอธรรมยี่สิบสี่โดยอาการหกเพราะเหตุแหงธรรม หนึ่ง ๔๑๓–๔๑๕ ความรูสึกฝายยินดีหรือฝายไมยินดีลวนแตเกิดขึ้นจากธรรม(:ผัสสะ) หนึ่ง ๕๙๖ ความรูสึกฝายยินดีหรือฝายไมยินดีลวนแนไมเกิดเมื่อไมมีธรรม (:ผัสสะ) หนึ่ง๕๙๖ ความรูอันสมบูรณเกี่ยวกับผัสสายตนะทําใหตัดกระแสแหงปฏิจจฯได หนึ่ง ๕๑๐ ความสะดุงยอมมีเพราะเหตุ(:อุปาทาน) หนึ่ง ๓๐๐ ความสิ้นทุกขโดยชอบมีไวพจน(อีกอยางหนึ่ง) คือความดับไมเหลือแหงอุปธิ หนึ่ง๓๐๗ คําถามที่ไมทรงตอบอีกประเภทหนึ่ง (คําถามกระทบกระเทียบ) หนึ่ง ๔๘๔ คําแปลกพิเศษ (เกพลี) ในพุทธศาสนาที่ควรที่ควรสนใจเปนพิเศษ หนึ่ง ๔๕๒ เคล็ดลับแหงการใครครวญเพื่อปดกั้นการกอขึ้นแหงกองทุกข หนึ่ง ๒๙๔/๓๐๕ เงื่อนตนอยางยิ่งของพรหมจรรย (:ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๑๗/๒๔๕/ฯลฯ จิตเปนสมาธิแลวมีผลเฉพาะโดยอัตโนมัติ หนึ่ง ๑๒๗ จิตยุงเพราะเหตุ(:ไมรูปฏิจจฯ) หนึ่ง ๑๕/๓๒/๕๓/๓๗๖ จิตสัตวยุงเปนปมเพราะไมเห็นแจงธรรม(คือปฏิจจฯ) หนึ่ง ๑๕/๓๒/๕๓/๓๗๕ ใจมีปฏิสรณะ (สําหรับแลนไปหา) คือธรรม (:สติ) หนึ่ง ๖๓๕ ฉันทะคือธรรม (ที่พึงนําออกเสียจากกามคุณ) หนึ่ง ๒๗๑ ฉันทะคือธรรม (:วิตก) ที่เปนเหตุ (นิทาน) หนึ่ง ๖๑๓ ตนเงื่อนของปฏิจจฯ ละไปเพราะเห็นแจงธรรม (:อนิจจัง) หนึ่ง ๒๙๑ ตนเงื่อนของปฏิจจฯ ละไปเพราะเห็นแจงธรรม (:อนุปาทาน) หนึ่ง ๒๘๙ ตัณหาเกิดขึ้นเมื่อมีการกอขึ้นตนแหงธรรม หนึ่ง ๑๖๗ ตัณหาเจริญทั่วถึงเพราะหลงอัสสาทะแหง (สัญโญชนิยะ) ธรรม หนึ่ง ๒๑๙ ตัณหาเจริญทั่วถึงเพราะหลงอัสสาทะแหง(อุปาทานิยะ) ธรรม หนึ่ง ๒๑๘/๓๗๖ ตัณหาเจริญอยางทั่วถึงเพราะหลงเห็นเปนอัสสาทะใน(อุปาทานิยา) ธรรม หนึ่ง ๒๑๘/๓๗๖ ตัณหาดับเพราะเห็นเปนอาทีนวะใน (อุปาทานิยะ) ธรรม หนึ่ง ๒๓๑/๓๗๗ ตัณหาดับเพราะเห็นอาทีนวะแหง (สัญโญชนิยะ) ธรรม หนึ่ง ๒๓๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๘๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
ตัณหาทําหนาที่ถึงที่สุดเมื่อมีการกอเกิดแหงธรรม(อุปาทานขันธ) หนึ่ง ๒๑๓ ตัณหายอมละไปเมื่อไมมีการกอเกิดแหงธรรม (อุปาทานขันธ) หนึ่ง ๓๓๕ ตัวการปฏิบัติโดยตรง (ในกรณีปฏิจจฯ) ตั้งตนดวยธรรม (สติในขณะสัมผัส) หนึ่ง๕๑๔ ทางลัดพิเศษแหงอัฏฐังคิกมรรคือการคิดคนปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๖๒ ทิฏฐิ ท. บรรดามีมิวาชนิดใดชนิดหนึ่งดับไปเพราะดับแหงธรรม (อวิชชา) หนึ่ง ๖๘๕ ทิฏฐิ(มิจฉา) ท. อยูรวมกันไมไดกับธรรม (ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๗๐๓/ฯลฯ ทิฏฐิหกสิบสองมีปจจัยคือธรรม (ผัสสะ) หนึ่ง ๗๑๙ ที่สุดแหงความทุกข (ในความหมายพิเศษอีกความหมาย) หนึ่ง ๔๕๑ ที่สุดแหงปฏิจจฯ คือที่สุดแหงภพ (หรือนิพพาน) หนึ่ง ๘๐๒ ที่สุดแหงอนุสัยมีขึ้นมาเพราะความไมมแี หงอารมณเพื่อปปญจสัญญา หนึ่ง ๖๐๕ ทุกขเกิด (อีกนัยหนึ่ง) เพราะหลงอัสสาทะแหงธรรม (:สัญโญชนิยธรรม) หนึ่ง ๒๑๙ ทุกขเกิด (อีกนัยหนึ่ง) เพราะหลงอัสสาทะแหงธรรม (:อุปาทานนิยธรรม) หนึ่ง ๒๑๘ ทุกขดับในขณะที่ตัณหาดับในธรรม หนึ่ง ๑๐๑ ทุกขดับ (อีกนัยหนึ่ง) เพราะเห็นอาทีนวะแหงธรรม (:สัญโญชนิยธรรม) หนึ่ง ๒๓๓ ทุกขดับ (อีกนัยหนึ่ง เพราะเห็นอาทีนวะแหงธรรม (:อุปาทานิยธรรม ) หนึ่ง ๒๓๑ ทุกข ท. ในทุกขสัจสรุปลงในธรรม หนึ่ง ๘๒/๑๑๕ ทุกขสมุทัย (พิเศ) ไดแกธรรม (คืออุปธิ) หนึ่ง ๓๐๗ โทษ (แหงการไมรูธรรมลักษณะหาของผัสสายตนะหก) อันรายกาจ หนึ่ง ๕๐๙ ธรรมเครื่องรึงรัดสัตวเหมือนหมุดสลัก หนึ่ง ๑๓๗ ธรรม (ซึ่งเปนตัวกรรมอันแทจริง )คือ เจตนา หนึ่ง ๒๗๖ ธรรมดาสัตวโลกตกลงใจ (ในเรื่องไดเสีย) กันแตในแงของ (วัตถุ) ธรรม หนึ่ง ๕๙๕ “ธรรมทั้งปวงไมควรยึดมั่น” คือประมวลหลักสุตะในพุทธศาสนา หนึ่ง ๒๘๙ ธรรมที่จําเปนเกี่ยวกับปฏิจจฯ ในชีวิตประจําวัน หนึ่ง ๒๕๘ ธรรม (ที่ทรงแนะนําในการทําประโยชนสามใหถึงพรอม) คือความไมประมาท -หนึ่ง ๔๘๘ ธรรมที่เปนตัวการสําคัญที่สุดแตรูจักกันนอยที่สุด (คือผัสสะ) หนึ่ง ๒๗๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๘๘๗
ธรรมที่ไมเคยทรงฟงมาแตกอน (ในกรณีปฏิจจฯ นิโรธวาร) หนึ่ง ๔๖๖/๔๗๔/๔๗๙/ ๔๖๔/๔๖๙ ธรรมที่ไมเคยทรงฟงมาแตกอน(ในกรณีแหงปฏิจจฯ สมุทยวาร) หนึ่ง ๔๖๔/๔๗๑/ ๔๗๗/๕๖๑/๕๖๖ ธรรมที่สามารถดับอกุศลวิตกสาม หนึ่ง ๑๔๒ ธรรมเปน “เครื่องสนุกสนานชอบใจ” ของตถาคต ( :ผลแหงวิชชาและวิมุตติ) หนึ่ง ๖๓๑ ธรรมเปนจุดตั้งตนของปฏิจจฯ หนึ่ง ๑๕๖ ธรรมเปนจุดตั้งตนอันแทจริงของปฏิจจฯ(คืออวิชชาสัมผัส) หนึ่ง ๑๖๓ ธรรมสาม(:สิ่งรัก-ความหวัง-ความสมหวัง) เกิดจากธรรม (ฉันทะ) หนึ่ง ๕๙๕ ธรรมหนึ่ง (อวิชชา) ละไปธรรมหนึ่ง(วิชชา) ยอมเกิดขึ้น หนึ่ง ๒๘๙ ธรรมเอกที่ทรงแสดงเพื่อขจัดความรูสึกวามีบุคคล (:ปฏิจจฯ ) หนึ่ง ๖๕/๗๙๙ นติ (ตัณหา) มีเมื่อมีการตั้งขึ้นงอกงามแหงธรรม (:วิญญาณ ) หนึ่ง ๑๖๘ นัตถิตา (ทิฏฐิ) ไมมีแกผูเห็นตามเปนจริงซึ่งธรรม (โลกสมุทัย) หนึ่ง ๖๖๖ นันทิ (ทุกชนิด) เปนมูลแหงความทุกข (ในความหมายพิเศษ) หนึ่ง ๔๒๑ นามรูปกาวลงเมื่อมีการกอขึ้นแหงธรรม หนึ่ง ๑๖๖ นามรูปหยั่งลง(สูความมี) เพราะหลงอัสาทะแหง (สัญโญชนิยะ) ธรรม หนึ่ง ๑๓๘ นามรูปไมหยั่งลง (สูความมี เพราะเห็นอาทีนวะแหงธรรม หนึ่ง ๑๓๙ นิมิต (ที่ประจําอยูในสิ่งทั้งปวง) คือสิ่งตบตาสําหรับปุถุชน หนึ่ง ๒๙๐ บัณฑิตแมกระหายสุดขีดก็ไมยอมดื่มน้ําเจือดวยโทษทั้งที่อาจแกไขไดทีหลัง-(เปนลักษณะ) หนึ่ง ๓๑๔ บุคคลมีความเปนตางๆ เพราะธรรมเพียงหนึ่งเดียว หนึ่ง ๑๓๗ เบื้องตนอยางยิ่งของพรหมจรรย (:ปฏิจจฯ )หนึ่ง ๑๗/๒๔๕/ฯลฯ (ปฏิฆะ) สัมผัสไมมีเพราะความไมมีแหงธรรม (: รูปธรรม) หนึ่ง ๕๙๖ ปฏิฆานุสัยยอมนอนตามเพราะเหตุแหงธรรม (คือปฏิฆะในทุกขเวทนา) หนึ่ง ๑๘๘/๕๒๗ ปฏิฆานุสัยยอมไมนอนตามเพราะเหตุแหงธรรม (คือไมมีปฏิฆะในทุกขเวทนา)-หนึ่ง ๓๔๓/๕๒๗ ปฏิจจฯ ดับลงเมื่อมีการดับแหงธรรม (:นันทิ) หนึ่ง ๑๒๙ ปฏิจจ ฯ ตั้งตนเมื่อมีการทําหนาที่ทางอายตนะแหงธรรม หนึ่ง ๒๑๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๘๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
ปฏิจจฯเปนเรื่องที่ทรงย้ําพิเศษเพื่อการปฏิบัติหนึ่ง ๒๕๗ ปฏิจจฯ เปนสิ่งที่ตองเห็นดวย (ยถาภูตสัมมัป) ปญญา หนึ่ง ๒๘๒/๔๒๔ ปฏิจจฯ ฝายนิโรธวารตรัสวาสัมมาปฏิปทา หนึ่ง ๒๕๘ ปฏิจจฯฝายสมุทยวารตรัสวามิจฉาปฏิปทา หนึ่ง ๒๕๗ ปฏิจจฯมีขึ้นเมื่อมีการเกิดแหงธรรม( :นันทิ) หนึ่ง ๒๑๗ ปฏิจจฯ และปฏิจจสมุปปนนธรรมเปนสิ่งที่ตองเห็นชัดดวย (ยถาภูตสัมมัป) ปญญา-หนึ่ง ๔๒๕ ปฏิจจฯสลายตัวเมื่อรูเทาทันธรรม (อันเปนที่ตั้งแหงอุปาทาน) หนึ่ง ๓๔๖ ปฏิจจฯ อาการหนึ่งที่มีอาการยุงยากที่สุด (:อาการของตัณหา) หนึ่ง ๑๐๑ ปปญจสังขามีแดนเกิดจากธรรม (:สัญญา ) หนึ่ง ๕๙๖ ปจจัยแหงชรามรณะ (:ชาติ) หนึ่ง ๖/๓๒/๔๙๒/ฯลฯ ปจจัยแหงชาติ (:ภพ) หนึ่ง ๖/๓๒/๔๙๓/ฯลฯ ปจจัยแหงตัณหา(:เวทนา) หนึ่ง ๖/๓๓/๔๙๓/ฯลฯ ปจจัยแหงนามรูป (:วิญญาณ) หนึ่ง ๖/๓๓/๔๙๓/ฯลฯ ปจจัยแหงผัสสะ (:สฬายตนะ) หนึ่ง ๖/๔๙๓/ฯลฯ ปจจัยแงผัสสะ (อีกนัยหนึ่ง) (คือนามรูป) หนึ่ง ๓๓/๗๘๘ ปจจัยแหงภพ (:อุปาทาน) หนึ่ง ๖/๓๒/๔๙๓/ฯลฯ ปจจัยแหงวิญญาณ (:สังขาร) หนึ่ง ๖/๔๙๔ ปจจัยแหงวิญญาณอ (อีกนัยหนึ่ง) (คือนามรูป) หนึ่ง ๓๓/๗๙๐ ปจจัยแหงเวทนา (:ผัสสะ) หนึ่ง ๖/๓๓/๔๙๓/ฯลฯ ปจจัยแหงสังขาร (:อวิชชา) หนึ่ง ๖/๔๙๔/ฯลฯ ปจจัยแหงสุขทุกขสี่ไมมีเพราะความดับแหงธรรม (:อวิชชา) หนึ่ง ๑๖๒ ปจจัยแหงอุปาทาน (:ตัณหา ) หนึ่ง ๖/๓๒/๔๙๓/ฯลฯ ปญจุปาทานขันเกิดเพราะมีการทําหนาที่สมบูรณแหงธรรม(: สมันนาหารจิต) -หนึ่ง ๒๐๘ ปญจุปาทานขันธไมอาจเกิดเพราะรูทันธรรม (:เวทนา) ในปฏิจจฯ หนึ่ง ๓๓๕ ปญจุปาทานขันธยังไมเกิดเพราะยังไมมีการทําหนาที่สมบูรณแหงธรรม-(:สมันนาหารจิต) หนึ่ง๒๐๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๘๘๙
ปญหาเตลิดไมมีที่สุด (เกี่ยวกับนิพพาน) คือการถามถึงธรรม (ที่ซึ่งนิพพานจะแลนไป)-หนึ่ง ๖๓๕ ปยรูปสาตรูปมีอํานาจลึกลับ(ถึงกับทําใหเห็นยาพิษเปนเครื่องดื่ม) หนึ่ง ๓๑๑ ปุถุชนประสบทุกขเวทนาจักหวนระลึกถึงแตธรรม (คือกามสุข) หนึ่ง ๕๒๗ ปุถุชนไมรูอุบายอื่นที่จะปลดเปลื้องทุกขเวทนา,นอกจากธรรม(กรมสุข)หนึ่ง ๕๒๘ ปุถุชนเสวยเวทนาใดยอมติดพันอยูในเวทนานั้น (ตางจากอริยสาวก) หนึ่ง ๕๒๘ ผลแหงพรหมจรรย (ตรัสอีกโวหารหนึ่ง) เพื่อธรรม(:การละขาดซึ่งภพ) หนึ่ง ๘๐๓ ผัสสะคือธรรมที่เปนนิทานสัมภวะ (ของนิพเพธิกธรรมสวนมาก) หนึ่ง ๒๖๙ ผัสสะ(ในความหมายพิเศษ) ตรัสวามีเพราะปจจัย (คือนามรูป) หนึ่ง ๗๘๘ ผัสสะเปนตัวการสําคัญในกระแสแหงปฏิจจฯ ทั้งสิ้น หนึ่ง ๒๗๘ ผัสสาหาร (มีโคปราศจากหนังหุมเปนอุปมา) หนึ่ง ๓๒๔ “ผู” ที่หลอกลวงเราอยางลึกซึ้งและนานแสนนาน หนึ่ง ๔๒๓ ผูบรรลุนิพพานในปจจุบันคือผูเสร็จกิจในธรรม (คือปฏิจจฯ) หนึ่ง ๔๔๑/๕๒๐–๕๒๖ ผูปฏิบัติดีแลวมีไวพจนพิเศษ (คือ “ผูหยั่งลงในธรรมวินัยนี้”) หนึ่ง ๓๓๙ ผูปรินิพพานเฉพาะตนรูประจักษปริยันติกเวทนาทั้งสองโดยเสมอกัน หนึ่ง ๒๐๕/๔๔๘ ผูพนวิเศษแลวมีไวพจนพิเศษ (คือ “เกพลี”) หนึ่ง ๓๓๙ ผูอยูจบพรหมจรรยคือผูหยุดกระแสแหงธรรม(: ปฏิจจฯ) เสียได หนึ่ง ๓๗๐ ผูอยูเหนืออิทธิพลของอดีตและอนาคตคือผูรูธรรม (.:อิทัปปจจยตา) หนึ่ง ๔๒๗ พรหมจรรยมีที่หยั่งลง-เบื้องหนา-ที่สุดคือธรรม(:นิพพาน)หนึ่ง ๖๓๕ พรหมจรรยมีรสนาดื่ม (เปรียบดวยมัณฑะ) หนึ่ง ๔๘๗ พรหมหรือสักกะคือผูหยุดเสียไดซึ่งกระแสแหงธรรม หนึ่ง ๑๓๘ พุทธจริยาพิเศษ(ทรงนิ่งเมื่อมีการกลาวประชดแดกดัน) หนึ่ง ๔๘๕ ภพใหมเกิดขึ้นเมื่อมีการกอขึ้นแหงธรรม(:อนุสัย) หนึ่ง ๑๖๙ มโนสัญเจตนาหาร (มีหลุมถานเพลิงเปนอุปมา) หนึ่ง ๓๒๕ มัณฑะมีรสชวนดื่มเปรียบดวยรสชวนดื่มของพรหมจรรย หนึ่ง ๔๘๗ มาตรฐานของพระโสดาบัน (คือการรูปฏิจจฯโดยวิธีอริยสัจสี่) หนึ่ง ๕๓๒ มารดาเลี้ยงลูกดวยผลิตผลจากทรวงอก หนึ่ง ๑๕๐
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๙๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
มิจฉาทิฏฐิทุกชนิดเกิดขึ้นเพราะไมเห็นธรรมสัจจะ (คือกฎอิทัปฯ ) หนึ่ง ๔๘๕ มิจฉาปฏิปทาคือปฏิจจฯฝายสมุทยวาร หนึ่ง ๒๕๗ มูลแหงความทุกข(โวหารพิเศษ)คือนันทิ หนึ่ง ๔๒๑ ยถาภูตสัมมัปปญญาตอนิพพานมีไดแกบุคคลแมมิใชขีณาสพ หนึ่ง ๒๘๕ “ยึดกายดีกวายึดจิต” ในกรณีที่ยังไมสามารถเขาใจธรรม (ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๓๘/๓๘๑ ระหวางกลางแหงมิจฉาทิฏฐิสองยอมมีสัมมาทิฏฐิ หนึ่ง ๑๔๒ ราคานุสัยยอมนอนตามเพราะเหตุแหงธรรม(คือมีราคะในสุขเวทนา) หนึ่ง ๑๘๘/๕๒๘ ราคานุสัยยอมไมนอนตามเพราะเหตุแหงธรรม (คือไมมีราคะในสุขเวทนา) หนึ่ง ๓๔๓/๕๒๙ รูปภพมีไมไดเพราะไมมีธรรม(:กรรมอันมีรูปธาตุเปนวิบาก) หนึ่ง ๗๙๑/๗๙๒ เรื่องที่ทรงแนะนําใหศึกษาอยางยิ่ง(:ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๑๖ เรื่องที่ทุกคนตองฉลาด หนึ่ง ๑๓๗ เรื่องที่ลึกซึ้งเทากับเรื่องนิพพาน (: ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๕๓ เรื่องที่ลึกซึ้งเทากับเรื่องปฏิจจฯ (:นิพพาน) หนึ่ง ๕๓ เรื่องที่ลึกและดูก็รูสึกวาลึก (:ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๓๑/๕๒/๓๗๕ โลกเกิดขึ้นในใจคนเพราะกระแสแหงธรรม (:ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๑๗๓ โลกดับในใจคนเพราะดับกระแสแหงธรรม (:ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๑๗๕ โลกยุงเพราะเหตุ หนึ่ง ๑๐๒ โลก(สัตว)ไมลวงพนสังสารวัฏฏเพราะเหตุ หนึ่ง ๑๐๒ “โลหิต” มีความหมายพิเศษในอริยวินัย หนึ่ง ๑๕๐ วิญญาณที่ไดชื่อวาอุปทานมีเพราะเหตุ (: ถูกตัณหาในอารมณอาศัยแลว) หนึ่ง ๑๘ วิญญาณมีอาการเกิดขึ้นโดยลําดับแหงปจจยาการ หนึ่ง ๑๒๓/ฯลฯ วิญญาณไมหยั่งลง(สูความมี) เพราะเห็นอาทีนวะแหงธรรม(:สัญโญชนิยธรรม)-หนึ่ง๑๗๑ วิญญาณหยั่งลง(สูความมี) เพราะหลงอัสสาทะแหงธรรม (:สัญโญชนิยธรรม) หนึ่ง ๑๗๐ วิญญาณาหาร (มีนักโทษประหารเปนอุปมา) หนึ่ง ๓๒๖ วิตกมีธรรม(:ปปญจสัญญาสังขา)ที่เปนเหตุ(นิทาน) หนึ่ง ๖๑๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๘๙๑
วิมุตติมีปฏิสรณะ (สําหรับแลนไปหา) คือธรรม(“นิพพาน) หนึ่ง ๖๓๕ วิหารธรรมที่ทําความงายแกการเกิดญาณ หนึ่ง ๑๕๕ วิหารธรรมที่ทําใหเห็นธรรมอยางละเอียดลึกซึ้ง หนึ่ง ๑๕๒ เวทนาทั้งหลายยอมประชุมในธรรม หนึ่ง ๗๕ เวทนามีนิทานสัมภวะ(คือผัสสะ) หนึ่ง ๒๗๓ เวทนามีนิโรธคามินีปฏิปทา(คืออริยัฏฐังคิกมรรค) หนึ่ง ๒๗๔ เวทนามีนิโรธ(เพราะความดับแหงธรรมคือผัสสะ) หนึ่ง ๒๗๔ เวทนาเย็นสนิทในอัตตภาพนี้จนกระทั้งสิ้นชีวิต หนึ่ง ๒๐๕/๔๔๘ ไวพจนของมูลแหงความทุกข (โวหารพิเศษ) ไดแกธรรม (:นันทิ) หนึ่ง ๔๒๑ ไวพจน (พิเศษ) ของนันทิ หนึ่ง ๑๒๘/๑๕๑/๒๕๙ ไวพจนพิเศษของนิพพาน(คือความดับแหงภพ) หนึ่ง ๒๘๔ ไวพจน(พิเศษ) ของปฏิจจฯ (:อริยญายธรรม) หนึ่ง ๑๓ ไวพจน(พิเศษ)แหงทางสายกลาง(:ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๑๕ ไวพจน(พิเศษ)แหงอุปาทาน หนึ่ง ๑๒๘/๑๕๑/ฯลฯ ไวพจน(พิเศษอยางยิ่ง) สําหรับ “ผูอ ยูจบกิจแหงพรหมจรรย” หนึ่ง ๓๓๗/๔๕๑ ศีลอันเปนกุศลตรัสวาเปนไปเพื่อธรรม (ความเต็มแหงอรหัตตผล) หนึ่ง ๖๕๐/๖๕๑ สติปฏฐานสี่เปนขณะสําคัญแหงการรูคุณวิเศษยิ่งขึ้นไป หนึ่ง ๒๗๘ สติมีปฏิสรณะ(สําหรับแลนไปหา)คือธรรม(:วิมุตติ) หนึ่ง ๖๓๕ สามาธิที่มีผลใหญมีอานิสงสใหญ หนึ่ง. ๑๔๒ สังกัปปราคะคือความหมายอันแทจริงของ “กาม” หนึ่ง ๒๗๑ สังขาร (ที่มีความหมายพิเศษ) ชนิดที่สองมีอาการแหงสัสสตทิฏฐิ หนึ่ง ๑๙๖ สังขาร(ที่มีความหมายพิเศษ) ชนิดที่สามมีอาการแหงอุจเฉททิฏฐิ หนึ่ง ๑๙๗ สังขาร (ที่มีความหมายพิเศษ) ชนิดที่สี่มีอาการแหงวิจิกิจฉา หนึ่ง ๑๙๘ สังขารสาม (บุญ-อบุญ-อเนญชะ) ลวนแตขึ้นอยูกับธรรม (คือวิชชา) หนึ่ง ๔๔๗ สัจจะที่ทรงพยากรณ (คืออริยญายธรรม) หนึ่ง ๔๘๑ สัญญามีนิทานสัมภวะ (คือผัสสะ) หนึ่ง ๒๗๔ สัญญามีนิโรธคามินีปฏิปทา(คืออริยัฎฐังคิกมรรค) หนึ่ง ๒๗๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๙๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
สัญญามีนิโรธ (เพราะความดับแหงธรรมคือผัสสะ) หนึ่ง ๒๗๕ สัญญามีวิบาก(ใหเกิดโวหารพูดตามสัญญานั้น) หนึ่ง ๒๗๕ สัตวไปสูสังสาระร่ําไปเพราะคติ (เครื่องไป) คืออวิชชา หนึ่ง ๕๕๒ สัตวไมลวงพนสังสารวัฏฎเพราะเหตุ (:ไมรูปฏิจจฯ) หนึ่ง ๑๕/๓๒/๕๓/๓๗๖ สัตวไมหลงพอใจในการไปสูภพใหมเพราะธรรม(วิชชา) หนึ่ง ๕๕๒ สัตวโลกเปนไปตามอํานาจแหงธรรม หนึ่ง ๑๓๘ สัมมาทิฏฐิเพื่อความเปนผูหาโทษมิไดขึ้นอยูกับธรรม หนึ่ง ๑๔๓ สัมมาทิฏฐิระดับโลกุตตระ(เนื่องดวยอัตถิตา-นัตถิตา) หนึ่ง ๖๖๕ สัมมาปฏิปทาคือปฏิจจฯฝายนิโรธวาร หนึ่ง ๒๕๘ สิ่งควรรูอันประเสริฐ หนึ่ง ๑๓ สิ่งที่จักกาวลงในทองแหงมารดาเพื่อปรุงเปนนามรูป, คือธรรม(วิญญาณ) หนึ่ง ๗๘๙ สิ่งที่นายึดถือยิ่งกวาจิต(:กาย) หนึ่ง ๓๘/๓๘๒ สิ่งที่ปุถุชนถึงทับยึดถือแลวตลอดกาลนาน (:จิต) หนึ่ง ๓๘/๓๘๑ สิ่งที่ยากที่สุดที่ปุถุชนจะปลอยวาง (:จิต) หนึ่ง ๓๘/๓๘๑ สิ่งเปนที่รักและสิ่งไมเปนที่รักมีธรรม(:ฉันทะ) ที่เปนเหตุ(นิทาน) หนึ่ง ๖๑๓ สุขและทุกขในภายในมีปจจัย หนึ่ง ๑๕๖ สุขและทุกขบัญญัติโดยลัทธิภายนอกก็ยังอาศัยปจจัย หนึ่ง ๑๕๙/๖๗๑ สุขและทุกข(ชนิดไหนก็ตาม) อาศัยปจจัย (:ผัสสะ) หนึ่ง ๑๕๙/๖๗๑ สุขและทุกขไมมีทางรูสึกไดถาเวนธรรม หนึ่ง ๑๕๙/๖๗๑ หมุดสลัก(ตรึงสัตว) หนึ่ง ๑๓๗ หลักธรรม (พิเศษ) เพื่อการพยากรณอรหัตตผล หนึ่ง ๗๑ หลักสุตะเพียงขอเดียว (วาไมควรยึดมั่น) เปนเหตุใหเกิดความรูยิ่ง (อภิชานนํ) หนึ่ง๒๘๙ เหตุของการกาวลงแหงอินทรียหา หนึ่ง ๑๖๔ เหตุที่ทําใหผูแมอยูคนเดียวก็ยังชื่อวา “มีเพื่อนสอง” (คือตัณหา) หนึ่ง ๕๙๘ เหตุที่ทําใหผูแมอยูทามกลางคนหมูมากก็ยังชื่อวา “อยูคนเดียว” (:ไมมีตัณหา)-หนึ่ง ๕๙๙ เหตุที่ทําใหสัตว เกิด-แก –ตาย-จุติ-อุบัติ หนึ่ง ๔๖๓/๕๖๑/๕๖๖
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๘๙๓
เหตุที่ทําใหเห็นปฏิจจฯและนิพพานไมได หนึ่ง ๕๓ เหตุที่ปุถุชนไมสามารถปลอยวางจิต หนึ่ง ๓๘/๓๘๑ เหตุแหงความไมสะดุง หนึ่ง ๑๘๗ “อนุปาทิเสส” ในฝายมิจฉาทิฏฐิเล็งถึงธรรม (อุจเฉททิฏฐิในความหมายหนึ่ง)หนึ่ง ๕๙๖ อนุสัยสิ้นสุดลงเพราะธรรม (:ความไมมีแหงอารมณเพื่อปปญจสัญญา) หนึ่ง ๖๐๕ อริยญายธรรม (:ปฏิจจฯ) หนึ่ง ๑๓ อริยสัจทรงบัญญัติสําหรับสัตวผูยังรูสึกตอธรรม หนึ่ง ๘๒/๑๐๑/๑๑๕ อริยสาวกประสบทุกขเวทนาจักไมหวนระลึกถึงธรรม(คือกามสุข) หนึ่ง ๕๒๙ อริยสาวกมีลักษณะ(เปนผูไมสงสัยในปจจยาการ ๙) หนึ่ง ๕๓๑ อริยสาวกมีลักษณะ(เปนผูไมสงสัยในปจจยากร๑๑) หนึ่ง ๕๑๑ อริยสาวกมีลักษณะ(รูทั่วถึงเหตุเกิดและความดับแหงโลก) หนึ่ง ๕๑๒/๕๓๒ อริสาวกมีลักษณะ (รูปฏิจจฯ โดยไมตองเชื่อตามผูอื่น) หนึ่ง ๕๑๐/๕๓๐ อริยสาวกมีลักษณะ (รูปจจยธรรมโดยนัยอริยสัจสี่) หนึ่ง ๕๓๗ อริยสาวกมีลักษณะ (รูวาโลกเกิดอยางไรโดยไมตองเชื่อตามผูอื่น) หนึ่ง ๕๑๑/๕๓๑ อริยสาวกมีลกั ษณะ (รูวาโลกดับลงอยางไรโดยไมตองเชือ่ ตามผูอ ื่น) หนึ่ง ๕๑๒/๕๓๑ อริยสาวกรูปอุบายอื่นที่จะปลดเปลื้องทุกขเวทนา (โดยไมหวังพึ่งกามสุข) หนึ่ง ๕๒๙ อรูปภพมีไมไดเพราะไมมีธรรม (:กรรมอันมีอรูปธาตุเปนวิบาก) หนึ่ง ๗๙๑/๗๙๒ อวิชชานุสัยยอมนอนตามเพราะเหตุแหงธรรม (คือไมมีความรูในอทุกขมสุขเวทนา)-หนึ่ง ๑๘๙/๕๒๘ อวิชชานุสัยยอมไมนอนตามเพราะเหตุแหงธรรม(คือมีความรูในเวทนา ท.) หนึ่ง ๓๔๓/๕๒๙ อวิชชาละไป : วิชชาเกิดขึ้นเพราะเห็นธรรม(ความไมควรยึดมั่น) หนึ่ง ๒๙๐ อวิชชาละไป : วิชชาเกิดขึ้นเพราะเห็นธรรม (:อนิจจัง) หนึ่ง ๒๙๑ อัฏฐังคิกมรรคมีโดยอัตโนมัติ (อยูในตัวความไมกอเกิดแหงอุปาทานขันธ) หนึ่ง ๓๓๕ อัตถิตา (ทิฏฐิ) ไมมีแกผูเห็นตามเปนจริงซึ่งธรรม (โลกนิโรธ) หนึ่ง ๖๖๖ อาการที่มีตออทุกขมสุขเวทนาซึ่งทําอวิชชานุสัยใหนอนตาม หนึ่ง ๑๘๙ อาการที่มีตออทุกขมสุขเวทนาซึ่งไมทําอวิชชานุสัยใหนอนตาม หนึ่ง ๓๔๓ อาชีพต่ําสุดในบรรดาอาชีพทั้งหลาย หนึ่ง ๑๔๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๙๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
อานิสงส (อันนามหัศจรรย) ของพระโสดาบันแมในอันดับต่ําสุด หนึ่ง ๔๓๕ อารมณเพื่อการตั้งอยูแหงวิญญาณมีขึ้นเมื่อจิตมีอาการแม หนึ่ง ๑๖๖/ฯลฯ อํานาจลึกลับของปยรูปสาตรูป (ลึกถึงกับเห็นยาพิษเปนเครื่องดื่ม) หนึ่ง ๓๑๑ อิทัปฯประกอบดวยคุณคาพิเศษถึงกับทรงนํามาบันลือสีหนาท หนึ่ง ๔๘๐/๔๘๖ อินทรีย(แตละอินทรีย) มีปฏิสรณะ (สําหรับแลนไปหา) คือธรรม(:.ใจ) หนึ่ง ๖๓๕ อุดมบุรุษในธรรมวินัยนี้มีไวพจนพิเศษ (คืออุปปริกขีในปฏิจจฯ) หนึ่ง ๓๔๒/๔๕๑ อุปธิคือสมุทัย(พิเศษ) แหงทุกข หนึ่ง ๓๐๗ อุปธิมีแดนเกิดจากธรรม(คือตัณหา) หนึ่ง ๓๐๗ อุปธิสมุทัยไดแกธรรม (คือตัณหา) หนึ่ง ๓๐๗ อุปมา (การทําลายเสาสดมภ) ที่ควรเห็นวาเปนอุปมาแหงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ-หนึ่ง๒๐๕ อุปมา(การเย็นของกระเบื้อง) ที่ควรเห็นวาเปนอุปมาแหงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ-หนึ่ง๔๔๘ อุปมาการเสวยทุกขเวทนาของอริยสาวกดวยการถูกยิงดวยศร หนึ่ง ๕๒๘ อุปมาดวยชางเขียนที่มีสี่ครบ(แกปฏิจจฯแหงอาหารสี่ที่มีปจจยาการครบ) หนึ่ง ๓๒๙ อุปมาดวยแสงไมปรากฏเมื่อไมมีวัตถุดานแสง(แกความไมมีปจจยาการแหงปฏิจจฯ)-หนึ่ง๓๓๒ อุปมาพิเศษแหงพรหมจรรย(เปรียบดวยมัณฑะ) หนึ่ง ๔๘๗ อุปมาวิญญาณกับนามรูปอิงอาศัยกันเหมือนกําไมสองกําอิงกัน หนึ่ง ๕๑๙ อุปมาแหงกรรมสามที่ไมมีการรักษา (ดวยเรือนที่มุงไมด:ี ผุลงมาตามลําดับ) หนึ่ง ๕๘๐ อุปมาแหงการทรงดําเนินตามรอยทางเกา หนึ่ง ๒๖๒/๔๖๖ อุปมาแหงการทรงดําเนินตามรอยทางเกา หนึ่ง ๒๖๒/๔๖๖ อุปมาแหงการเห็นนิพพานของบุคคที่ยังไมเปนขีณาสพ หนึ่ง ๒๘๕ อุปมาแหงจิต (เปรียบดวยวานร) หนึ่ง ๓๘๒ อุปมาแหงปยรูปสาตรูปดวยยาพิษที่มีสี่-กลิ่น-รส ที่ชวนดื่มอยางยิ่ง หนึ่ง ๓๑๑ อุปมาแหงเวทนาที่เปนของเย็นในอัตตภาพนี้ (ของผูปรินิพพานเฉพาะตน) หนึ่ง ๒๐๕/๔๔๘ อุปสรรคแหงการเจริญสติปฏฐานก็ยังสิ้นไปตามวิธีการแหงปฏิจจฯ หนึ่ง ๒๗๙ อุปาทานดับเพราะความจางคลายไปไมเหลือแหงธรรม หนึ่ง ๑๗๕/๑๙๙/ฯลฯ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๘๙๕
๒ กฎสูงสุดของธรรมชาติมีโดยชื่อ สอง ๔๓ กฎอิทัปปจจยาตาขยายออกไดเปนปฏิจจฯ โดยวาร สอง ๑๔/๓๙/๖๔/๓๘๒/๔๒๗/๔๕๓/ ๔๘๐/๔๘๕/๕๑๓/๕๔๑ กฎอิทัปปจจยาตาปฏิจจฯ แสดงนัย สอง ๑๔/๓๙/๖๔/๓๘๒/๔๒๗/๔๕๓/ ๔๘๐/๔๘๕/๕๑๓/๕๔๑ กามมีวิบาก (จําแนกตามอัตตภาพที่เกิดขึ้น) สอง ๒๗๒ การกระทําความสิ้นกรรมมีลักษณะ สอง ๒๐๓ การคบหาผูออนดวยปญญามีโทษ สอง ๒๐๖ การทรงรับขมาโทษตอบุคคลผูประกอบดวยองค สอง ๓๖๗ การทรงแสดงอิทัปปจจยตาเพื่อทรงขจัดเสียซึ่งความหมายแหงกาล สอง ๔๒๗ การบรรลุธรรมไดหรือไมได, ขึ้นอยูกับการกระทํามีอยาง สอง ๔๘๗ การบริโภคที่มีผลใหญอานิสงสใหญคือการบริโภคดวยการสําเหนียก สอง ๔๘๘ การบวชเพื่อขโมยธรรมมีโทษ สอง ๓๖๗ การบัญญัติความบริสุทธิ์นอกพุทธศาสนา (มีทั้งอยาง “สอุปาทิเสส”และ-“อนุปาทิเสส” สอง ๕๘๖ การบันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรเพราะทรงประกอบดวยญาณมีหมวด สอง ๔๗๙/๔๘๕ การปฏิญญาตําแหนงจอมโลกเพราะทรงประกอบดวยญาณมีหมวด สอง ๔๗๙/๔๘๕ การปฏิบัติจนบรรลุผลเปนความหลุดพนมีขั้นตอน สอง ๓๓๘–๓๓๙ การประกาศพรหมจักรคือการประกาศธรรมสัจจะของเบญจขันธและอิทัปปจจยตา-สอง๔๘๐/๔๘๖ การประพฤติพรหมจรรยที่ไมเปนการประพฤติพรหมจรรยเพราะเหตุ-มีทิฐฐิสุดโตง สอง ๖๗๗ การพยากรณอรหัตตผล (อีกนัยหนึ่ง) โดยอาการ สอง ๗๖
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๙๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
การรู ชั ด ขั น ธ ห า (เมื่ อ จิ ต เป น สมาธิ ) โดยอาการ สอง ๑๒๗ การรู ชั ด ซึ่ ง ขั น ธ ห า โดยอาการ สอง ๑๒๗/๒๕๙ การรูปฏิจจฯทําใหหมดปญหาเกี่ยวกับขันธในกาล (ทั้ง) สอง ๔๒๕ การแสดงธรรมโดยสายกลาง(ปฏิจจฯ) เพื่อหลีกเลี่ยงที่สดุ โดง สอง ๑๕/๖๒/๖๓/๗๑/ ๖๖๖/๖๖๙/๖๗๘/๖๘๙ การเห็นกรรมตามเปนจริงทําผูนั้นใหไดรับชื่อ สอง ๑๓๗ การเห็นธรรมมีนัย สอง ๑๒–๑๓ การเห็นภพไมเที่ยงตามเปนจริงมีผลใหละและไมเพลิดเพลินตัณหา สอง ๘๐๔ กุมารพึงมีแมวิมุตติ สอง ๑๕๑ กุมารเริ่มรูจักหวั่นไหวดวยการมคุณโดยอาการ สอง ๑๕๑ ขันธเพิ่งเกิดเมื่อมีการกระทบทางอายตนะ สอง ๒๒๖ คนผูถามที่ไมควรถูกตําหนิเพราะถามอยูในขอบเขตแหงธรรม สอง ๒๘๕ คนบวชที่สูญเสียประโยชนทุกฝาย สอง ๑๔๒ คนพาลและบัณฑิตเสวยสุขและทุกขเสมอกันเพราะเหตุแหงธรรม สอง ๓๙๑ ความกระวนกระวาย (ทรถ) มีวิภาค สอง ๒๑๓/๓๓๕ ความทุกข(อีกนัยหนึ่ง) มีวิภาค สอง ๒๑๔/๓๓๕ ความปริวิตกกอนตรัสรู(ปรารภสัตวโลกและการออกจากทุกข) สอง ๔๖๑/๔๗๔/ ๕๕๙/๕๖๔ ความเปนผูฉลาด(กุสลตา) ในธรรม (เนื่องดวยปฏิจจฯ) สอง ๘๑๒ ความแผดเผา (สนฺตาป) มีวิภาค สอง ๒๑๔/๓๓๕ ความไมมีอาสวะมีผล(พิเศษเกี่ยวกับกรรม) สอง ๒๐๓ ความสงสัยเกี่ยวกับตัวตนทั้ง๓ กาลหมดไปเมื่อรูชัดซึ่งธรรม สอง ๔๒๔ ความสําคัญมั่นหมายสองชนิดนําไปสูทิฏฐิมีชนิด (สัสสตะ-อุจเฉทะ) สอง ๖๖๙ ความสําเหนียก(อันภิกษุพึงกระทําในกรณีอันเกี่ยวกับบรรพชาแหงตน) สอง ๔๘๗ ความสุข(อีกนัยหนึ่ง)มีวิภาค สอง ๓๓๕ ความรูเรื่องปฏิจจฯ ทําใหอยูเหนือภาวะ สอง ๑๕/๖๑–๖๓/๗๑/๖๖๖/๖๖๙/๖๗๘/๖๘๙ ความรูสึก(ของผูฟงตอคําพยากรณของพระองค) มีนัย สอง ๖๔๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๘๙๗
ความเรารอน (ปริฬาห)มีวิภาค สอง ๒๑๔/๓๓๕ ความลึกของปฏิจจฯ(มีนัยที่พึงสังเกต) สอง ๓๑/๕๓/๓๗๕ คํากลาว(ของพวกอัตตานุทิฏฐิ) แมมีคําพูดตรงกันขามก็มีอรรถอยางเดียวกัน สอง๖๗๗ ฆราวาสที่มีหนาที่ประกาศพรหมจรรยใหดีมีประเภท สอง ๒๖๕/๔๖๙ ใจความสําคัญเกี่ยวกับปจจยาการของกุมาร สอง ๑๕๒ ใจเสวยสมบัติของอินทรีย (:โคจรและวิสัย) สอง ๖๓๕ ญาณ (เกี่ยวกับการเกิดกอนหรือเกิดหลัง) มีประเภท สอง ๓๖๒ ญาณที่ทําความเปนโสดาบัน (เกี่ยวกับการรูปฏิจจฯ) สอง ๓๕๓ ญาณ(ที่ทําใหทรงสามารถบันลือสีหนาทประกาศพรหมจักร) มีหมวด สอง ๔๗๙/๔๘๕ ญาณ(ในการรูปฏิจจสมุปปนนธรรมแตละอาการโดยนัยอริยสัจสี่) สอง ๓๕๒–๓๕๓ ญาณ (มีชื่อพิเศษ) เกี่ยวกับการรูปฏิจจฯ โดยอริยสัจสี่ สอง ๓๕๓ ดุนฟนอุปมาแกคนบวชชั่วประกอบดวยโทษ สอง ๑๔๒ ตัณหาวิจริต สอง ๑๐๒ ทางสายกลาง(อีกนัยหนึ่ง) ระหวาง “ชีวะนั้น” กับ “ชีวะอื่น” สอง ๖๗๘–๖๘๕ ทางสายกลาง (อีกนัยหนึ่ง) ระหวาง “ทําเอง” กับ “อื่นทํา” สอง ๗๑/๖๙ ทางสายกลาง(อีกนัยหนึ่ง) ระหวาง “นั้น” กับ “อื่น” สอง ๖๓/๗๑/๖๖๙ ทางสายกลาง(อีกนัยหนึ่ง) ระหวาง “มีอยู”กับ “ไมมีอยู” สอง ๑๕/๖๒/๖๖๖ ทางสายกลาง(อีกนัยหนึ่ง) ระหวาง “อยางเดียวกัน”-“ตางกัน” สอง ๖๘๘–๖๘๙ ทิฏฐิ(เกี่ยวกับอัตตา-อัตตนิยา) สอง ๓๘๓/๖๙๒/ฯลฯ ทิฏฐิบัญญัติวาอัตตาและโลกเกิดเองลอยๆ, มีจําพวก สอง ๗๒๗ ทิฏฐิมีวิภาค สอง ๑๔๒ ทุกขนิโรธ (ที่เปนไปในปญจุปาทานขันธ)อาศัยธรรม สอง ๔๓/๒๐๙ โทมนัสมีวิภาค (ควรเสพ-ไมควรเสพ) สอง ๖๑๕ โทมนัสมีวิภาค (สวิตกสวิจาร-อวิตกอวิจาร) สอง ๖๑๕ โทษ(เกิดจากบุคคลผูมีธรรมเปนที่ตั้งแหง โลภะ-โทสะ-โมหะ) สอง ๖๓๖ ธรรม(ทําความไมมีแหงสังโยชนเครื่องนํามาสูโลกนี้) สอง ๓๒๔
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๘๙๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
ธรรม(ทําความไมมีแหงสิ่งที่ควรทําใหยิ่งขึ้นไป) สอง ๓๒๕ ธรรม(ทําความไมมีแหงสิ่งที่ควรทําใหยิ่งขึ้นไป-อีกนัยหนึ่ง) สอง ๓๒๕/๓๒๗ ธรรม (ที่มีมูลอันเดียวกันในเวทนา) คือตัณหา,มีประเภท สอง ๗๘๗ ธรรมเปนที่ตั้งแหงความยึดถือวาอัตตามีประเภท สอง ๑๖๔ ธรรมและพรหมจรรยที่ทรงแสดงและประกาศประกอบดวยคุณลักษณะ สอง ๔๘๘ ธรรมสอง (สมถะและวิปสสนา) เคียงคูกันไปเมื่อโพธิปกขิยธรรม๓๗เต็มรอบสอง๓๓๖ ธรรมอันบุคคลพึงทําใหเจริญดวยปญญาอันยิ่ง (สมถะและวิปสสนา สอง ๓๓๗ ธรรมอันบุคคลพึงทําใหแจงดวยปญญาอันยิ่ง (วิชชาและวิมุตติ) สอง ๓๓๗ ธรรมอันบุคคลพึงละดวยปญญาอันยิ่ง(อวิชชาและภวตัณหา) สอง ๓๓๖ ธรรม(อันพุทธบริษัทพึงทําสังคีติเพื่อศาสนาตั้งอยูนาน) สอง ๘๑๒ นันทิไมเขาไปตั้งอยูในเวทนาเพราะเห็นธรรม สอง ๗๕ นิมิตที่แสดงอยูที่สิ่งทั้งปวงเปนที่ตั้งแหงการมองเห็นอยางตรงขาม สอง ๒๙๐ บุคคล (ที่ควรถามปญหาปรารภขันธในกาลสองกะพระองค) สอง ๔๒๖ ปฏิจจฯโดยวาระ (:สมุทยวารและนิโรธวาระ) สอง ๖/ฯลฯ ปฏิจจฯทําใหไมมี “ผู” (ตรงกันขาม) ในลักษณะ สอง ๖๒/๖๖๙ ปฏิจจฯที่ตรัสอยางสั้นที่สุด (ยกนันทิเปนหลัก) มีปจจยากร สอง ๕๗๓–๕๗๔ ปฏิจจฯที่พระพุทธเจาทุกพระองคตรัสเหมือนกัน (อยางนอยมีแบบ) สอง ๔๖๙/๔๗๔/ ๕๕๙/๕๖๔ ปฏิจจฯ มีขึ้นเมื่อมีการกระทบทางอายตนะ สอง ๑๒๓/ฯลฯ ปฏิจจฯ แหงทุกข(โดยปฏิโลม) ซึ่งสั้นที่สุดมีปจจยาการเพียง สอง ๓๐๖–๓๐๗ ปฏิจจฯอยูเหนือภาวะสุดโตง สอง ๑๕/๖๑–๖๓/๗๑–/๖๖๖/๖๖๙/๖๗๘/๖๘๙ ปฏิปทา(เกี่ยวกับปฏิจจฯ) มีวิภาค สอง ๒๕๗ ประโยชนแหงการฟงอริยธรรมคือการไดความรูตามที่กําหนดไวเปนฝาย สอง ๕๔๙ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯที่เนื่องดวยนันทิ) สอง ๕๗๓–๕๗๔ ปจจยาการ(แหงความไมมีสังโยชนเครื่องนํามาสูโลกนี้) สอง ๓๒๔ ปจจยาการ(แหงความไมมีสิ่งที่ควรทําใหยิ่งขึ้นไป) สอง ๓๒๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๘๙๙
ปจจยาการ(แหงความไมมีสิ่งที่ควรทําใหยิ่งขึ้นไป-อีกนัยหนึ่ง) สอง ๓๒๕/๓๒๗ ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯของทุกขโดยปฏิโลมที่ลัดสั้นที่สุด) สอง ๓๐๖–๓๐๗ ปุถุชนและอริยสาวกตางกันในการเสวยเวทนาโดยนัย สอง ๕๒๖–๕๒๙ ผลที่พึ่งหวังได (จากอนุปสสนาแตละคู)มีอยาง สอง ๕๕๐–๕๕๘ ผัสสะมีอาการเกิดขึ้นโดยลําดับแหงปจจยาการ สอง ๑๒๓/ฯลฯ ผัสะยอมเกิดเพราะอาศัยการกระทบแหงธรรม (:นาม+รูป) สอง ๕๙๖ ผูจบกิจแหงพรหมจรรยคือผูปฏิบัติแลวโดยวิธี สอง ๓๓๗/๔๕๑ ผูฉลาดในปฏิจจฯคือฉลาดในอิทัปปจจยตาปฏิจจฯ โดยนัย สอง ๔๕๓ ผูที่จะพึงยังจิตของพระองคใหยินดี(ในการพยากรณปญหา)มีจําพวก สอง ๔๒๖/๔๒๗ ผูที่พระองคควรถามปญหา(ปรารภขันธในกาลสอง)มีจําพวก สอง ๔๒๖ ผูที่พระองคจะพึงยังจิตของเขาใหยินดี(ในการพยากรณปญหา) มีจําพวก สอง๔๒๖/๔๒๗ ผูปฏิบัติ (ปฏิจจฯ) โดยนัยอริยสัจสี่ชื่อวาผูปฏิบัติแลวดีโดยความหมาย สอง ๔๔๕ ผูมีตนสงไปแลวในธรรมยอมประสบผลสูงสุด สอง ๖๓๗/๖๕๒ ผูไมรูปฏิจจฯ โดยนัยอริยสัจสี่ยอมประกอบดวยโทษ สอง ๓๙๕ ผูรูปฏิจจฯ โดยนัยอริจสัจสี่ยอมประกอบดวยประโยชน สอง ๓๙๗ ผูหลีกเรน (ตามทางธรรม) จักรูชัดซึ่งธรรม สอง ๒๕๙ พรหมจักรคือธรรมสัจจะของเบญจขันธและอิทัปปจจยตา สอง ๔๘๐/๔๘๖ พระคุณอันใหญหลวงของมารดาเมื่อบริหารครรภ สอง ๑๕๐ พระศาสดาและสาวกมีการเห็นและกลาวตรงกันในอิทปั ปจจยตาวาร สอง ๔๙๔/๔๙๗ พระอรหันตหมดความของใจสงสัยโดยสถาน สอง ๗๖ ภาษามีระดับแหงการใช(ในการสื่อความหมาย) สอง ๕๙๘ มนสิการปฏิจจฯ โดยอาการ สอง ๕/๗/๙ รูป (ในนามรูป) มีวิภาค สอง ๒๘/๘๙/ฯลฯ เรื่องชนิดที่ทรงขอใหยกไวกอน (ซึ่งอาจจะเขาใจไดเองที่หลัง) มีชนิด สอง ๔๒๗ วาทะที่ไมทรงกลาว(เกี่ยวกับ “เอง” และ “อื่น” ) สอง ๗๐ วิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยธรรม(อายตนะนอก+ใน) สอง ๒๙๐/ฯลฯ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๐๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
วิมุตติที่แมกุมารก็พึงมี สอง ๑๕๑ เวทนา(ที่ทําความตางระหวางปุถุชนกับอริยสาวก)มีวิภาค สอง ๕๒๗ เวทนาที่เปนไปถึงที่สุด(ปริยนฺต)มีวิภาค สอง ๒๐๕/๔๔๘ เวทนา(ทุกข) ซึ่งเปนไปถึงที่สุดมีระดับ สอง ๒๐๕/๔๔๘ เวทนามีวิบาก (จําแนกตามอัตตภาพที่เกิดขึ้น) สอง ๒๗๓ ไวพจนแหงการบรรลุธรรม (ที่นาสนใจ) สอง ๔๓๕–๔๔๑/๕๔๓ สมันนาหารจิตเกิดเพราะการอาศัยกันแหงอายตนะ สอง ๒๐๗ สมาธิตั้งมั่นแลวยอมรูชัดซึ่งธรรม สอง ๑๒๗ สวนสุด(เกี่ยวกับ “ทําเอง-อื่นทํา” ) สอง ๗๑/๖๖๙ สวนสุด(เกี่ยวกับ “นั้น-อื่น”) สอง ๖๓/๖๖๙ สวนสุด(เกี่ยวกับ “มี-ไมมี”) สอง ๑๕/๖๑–๖๒/๖๖๖ สวนสุด(เกี่ยวกับสิ่งทั้งปวง) สอง ๑๕/๖๑–๖๒/๖๖๖ สวนสุด(ทางทิฏฐิ) ซึ่งสัตวโดยมากอาศัยแลว สอง ๖๖๕ สวนสุดมิใชทางสายกลาง(เกี่ยวกับ “ชีวะนั้น-ชีวะอื่น”) สอง ๖๗๘–๖๘๕ สวนสุดมิใชทางสายกลาง(เกี่ยวกับ “นั้น” กับ “อื่น”) สอง ๖๓/๗๑/๖๖๙ สวนสุดมิใชทางสายกลาง(เกี่ยวกับ “อยางเดียวกัน’-“ตางกัน”) สอง ๖๘๘–๖๘๙ สวนสุดมิใชทางสายกลาง(อัตถิตา-นัตถิตา)สอง ๖๖๕ สัตวผูไมหลุดพนจากภพ (โดยหลักกวางๆ)มีประเภท สอง ๘๐๓ สัตวผูไมอยางอยูดวยความมีเวรไมพนไปจากการกอเวรเพราะธรรม สอง ๖๑๒ สัมผัสมีความหมายตางกันเปนชั้น(และโดยเวลา) สอง ๗๘๘ สัมมาทิฏฐิหนึ่งยอมมีในระหวางแหงมิจฉาทิฏฐิ สอง ๑๔๒ สิ่งที่ลึกซึ้งเห็นไดยาก สอง ๕๓ สิ่งที่สมณพราหมณบางพวกเขาใจวาเปนเครื่องหลุดพนจากภพ (:ภพและวิภพ)-สอง๘๐๓ สีหนาที่ทรง “แผด” ออกมา(คือธรรมสัจจะเกี่ยวกับเบญจขันธและอิทัปฯ) สอง๔๘๐/๔๘๖ “เสขะ” มีเพราะเหตุแหงความหมาย สอง ๔๑๓ โสมนัสมีวิภาพ (ควรเสพ-ไมควรเสพ) สอง ๖๑๔ โสมนัสมีวิภาค (สวิตกสวิจาร-อวิตกอวิจาร) สอง ๖๑๔
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๐๑
หลักที่ทรงแสดงวาญาณสอง(ปุพเพนิวาส-จุตูปปาต) เปนไปในกาล สอง ๔๒๘ เหตุเกี่ยวกับการปรินิพพานในทิฏฐธรรม สอง ๑๗ เหตุที่ทําใหไดนามวา “ยังเปนเสขะ” สอง ๔๑๓ เหตุผล (ที่ทรงอางเพื่อชี้ชวนภิกษุในการปรารภความเพียร) สอง ๔๘๗ เหตุผล (ที่ทําใหกลาวไดวาจักษุเปนตน,เปนอนัตตา) สอง ๔๙๑ เหตุผล(ที่ทําใหไมอาจกลาวไดวาจักษุเปนตน,เปนอัตตา) สอง ๔๙๐ อรหัตตผล (ในกรณีแหงโพชฌงคเจ็ด) มีวิภาคโดยกาล สอง ๒๘๑ อกิริยทิฏฐิปรารภทั้งฝายบุญและฝายบาปมีนัย สอง ๖๙๔/๗๐๗ อกุศลวิตกดับไดโดยฐานะใดหนึ่งแหงฐานะ สอง ๑๔๒ อธิจจสมุปปนนิกทิฏฐิแหงพวกอธิจจสมุปปนนิกวาท(เกิดลอยๆ) มีประการ สอง ๗๔๗ อนุปสสน(ในธรรมตามที่กําหนดไวเปนสองฝาย) เนื่องดวยตัณหา,มีนัย สอง ๕๕๕ อนุปสสนา(ในธรรมตามที่กําหนดไวเปนสองฝาย)เนื่องดวยทุกข,มีนัย สอง ๕๕๐ อนุปสสนา(ในธรรมตามที่กําหนดไวเปนสองฝาย) เนื่องดวยผัสสะ,มีนัย สอง ๕๕๔ อนุปสสนา(ในธรรมตามที่กําหนดไวเปนสองฝาย) เนื่องดวยวิญญาณ,มีนัย สอง ๕๕๓ อนุปสสนา(ในธรรมตามที่กําหนดไวเปนสองฝาย) เนื่องดวยเวทนา,มีนัย สอง ๕๕๔ อนุปสสนา(ในธรรมตามที่กําหนดไวเปนสองฝาย) เนื่องดวยสังขาร,มีนัย สอง ๕๕๒ อนุปสสนา(ในธรรมตามที่กําหนดไวเปนสองฝาย) เนื่องดวยอวิชชา,มีนัย สอง ๕๕๑ อนุปสสนา(ในธรรมตามที่กําหนดไวเปนสองฝาย) เนื่องดวยอารัมภะ,มีนัย สอง ๕๕๗ อนุปสสนา(ในธรรมตามที่กําหนดไวเปนสองฝาย) เนื่องดวยอาหาร,มีนัย สอง ๕๕๘ อนุปสสนา(ในธรรมตามที่กําหนดไวเปนสองฝาย) เนื่องดวยอุปธิ,มีนัย สอง ๕๕๐ อนุปสสนา(ในธรรมตามที่กําหนดไวเปนสองฝาย) เนื่องดวยอุปาทาน,มีนัย สอง๕๕๖ อนุปจจนา(๑๑คู) แตละคูมีวิภาค สอง ๕๕๐–๕๕๘ อภิสังขารไมถูกปรุงแตงอีกตอไปเพราะการละไปและเกิดขึ้นแหงธรรม-(คูตรงขา) สอง๔๔๗ อริยญายธรรมคือ (ความรูเรื่อง) อิทัปจจยตาปฏิจจฯ โดยวาระ สอง๕๑๓/๕๑๔
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๐๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
อริยญายธรรมเปนสิ่งที่อริยสาวกรูโดยกิริยาการ สอง ๑๔/๕๑๔/๕๔๒ อริยสัจมีลีลาแหงการแสดงโดยแบบ สอง ๘๔ อริยสาวกไมสงสัย-ไมลังเล-ไมตองเชื่อตามผูอื่นเกี่ยวกับทุกขโดยนัย สอง ๖๖๖ อโลภะเปนตนมีความหมายตางกันอยูโดยระดับ สอง ๑๓๗ อเหตุกทิฏฐิปรารภความไมมีหตุปจจัยทั้งเพื่อเศราหมองและบริสุทธ สอง ๖๙๕/๗๐๘ อัตตภาพอันเกิดจากกาม (ในอารมณนั้นๆ)มีวิภาค สอง ๒๗๒ อัตตภาพอันเกิดจากเวทนามีวิภาค สอง ๒๗๓ อัตตานุทิฏฐิยี่สิบเกิดขึ้นเพราะไมไดสดับธรรมฯแหงบุคคล สอง ๑๖๔/๑๙๒/ฯลฯ “อัตตา”เปนคําที่ใชพูดกันอยู (ครั้งโบราณ) โดยความหมายสอง ๗๓๘ อาหารสี่เปนไปเพื่อเกื้อกูลและอนุเคราะหแกสัตวมีจําพวก สอง ๖๕/๓๒๓/๓๒๗/๕๗๗ อาหารสี่เปนไปเพื่อประโยชน สอง ๖๕/๓๒๓/๓๒๗/๕๗๗ อินทรียมีสิ่งสําหรับใจเสวย (คือโคจรและวิสัย) สอง ๖๓๕ อินทรียสังวร(ชนิดตรัสเปนพิเศษ) มีผลทั้งทางกายและจิต สอง ๖๓๓ อินทรียสังวร (ที่ทําสุจริตสามใหบริบูรณ)มีอารมณ สอง ๖๓๓ อิสสาและมิจฉริยะมีธรรมที่เปนเหตุ (นิทาน) สอง ๖๑๓ อุเบกขามีวิภาค(ควรเสพ-ไมควรเสพ) สอง ๖๑๕ อุเบกขามีวิภาค(สวิตกสวิจาร-อวิตกอวิจาร) สอง ๖๑๕ อุปมาการเสวยทุกขเวทนาของปุถุชนดวยการถูกยิงดวยศร สอง ๕๒๗ อุปมาแกสมณพราหมณผูตกอยูในขายทิฏฐิดุจปลาติดอยูในอวนดวยอาการ สอง ๗๓๐ อุปมาแหงอาการของจิต (เปรียบดวยอาการแหงวานร) สอง ฯลฯ๓๘๒ อุปาทานขันธเพิ่งเกิดเมื่อมีการกระทบทางอายตนะ สอง ๒๒๖ อุปาทานสี่ละไดเพราะการละไปและเกิดขึ้นแหงธรรม(คูตรงขาม) สอง ๑๘๗
www.buddhadasa.info ๓ กรรมเกา(กาย) พึงเห็นโดยลักษณะ สาม กรรม(ฝายกุศล)มีประเภท สาม
๖๔ ๑๓๔
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๐๓
กรรม(ฝายกุศล) มีเหตุแหงการเกิด สาม ๑๓๓ กรรม(ฝายอกุศล) มีประเภท สาม ๑๓๒ กรรม(ฝายอุกุศล)มีเหตุแหงการเกิด สาม ๑๓๑ กรรมมีชื่อตามกาละที่ใหผล สาม ๑๓๒ กรรม(มีทวาร) สาม ๒๗๖ กรรมมีวิบาก (จําแนกตามกาลที่ใหผล)สาม ๒๗๗ กรรมมีอาการเกิดซึ่งมีไวพจน สาม ๑๓๒ กรรมใหผลในอัตตภาพที่กระทําจําแนกโดยชนิด สาม ๑๓๒/๑๓๖ กองทุกขกอขึ้นไมไดเมื่อใครครวญอยูโดยอาการที่จิตมีคุณธรรม สาม ๒๙๕ การกลาวตรงตามที่ทรงกลาวมีอานิสงส สาม ๑๕๙/๖๗๑ การเกิดดับแหงธรรมอื่นไมมี,นอกจากแหงธรรม สาม ๒๒๐ การเจริญธรรมสามเพื่อละธรรมสาม,เพื่อความมีแหงสุจริต สาม ๖๓๓ การดับลงแหงทุกขประกอบดวยอาการ สาม ๒๒๑ การดับลงแหงสังขารธรรม(สิบหมวด)ประกอบดวยอาการ สาม ๒๒๑ การตายที่ไมงดงามมีมูลมาจากการบูดเนาแหงกรรม สาม ๕๘๐ การถึงทับสสตวิหารธรรมมีผล(พิเศษ) สาม ๒๐๕ การทําที่สุดทุกขในทิฏฐิธรรมไดเพราะเหตุ สาม ๓๔๔ การทําที่สุดทุกขในทิฏฐธรรมไมไดเพราะเหตุ สาม ๑๘๙ การบรรพชามีผลสมบูรณ(โดยลักษณะ ๓ ) เพราะภิกษุสําเหนียกการกระทํา-(โดยอาการ) สาม๔๘๗–๔๘๘ การปฏิบัติเพื่อดับ “โรค-หัวฝ-ลูกศร” มีปจจยาการ สาม ๒๖๘ การประสบความพอใจในอรหัตตผลมีไดโดยลําดับ สาม ๖๕๑ การปรากฏขึ้นแหงภพใหมสําเร็จไดโดยองคประกอบ สาม ๗๙๑/๗๙๒ การปรินิพพานเฉพาะตน(ในกรณีแหงอุปาทานสี่)มีปจจยาการ สาม ๑๘๗ การพิจารณาใครครวญธรรม(ของผูเปนเกพลี)โดยวิธี สาม ๓๔๓/๔๕๑ การพิจารณาปจจัยในภายใน(มีวัตถุตามที่ทรงระบุ) สาม ๓๐๖–๓๐๗ การละเสียไดซึ่งตัณหาไมนํามาซึ่งอาการแหงความทุกขโดคู สาม ๓๓๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๐๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
การละอุปาทานขอที่สี่มีอานิสงส(พิเศษ) สาม ๑๘๗ การสนทนาของสัตบุรุษตองประกอบดวยลักษณะ สาม ๒๐๒ การเสวยเวทนา (ของผูปราศจากกิเลสเครื่องรอยรัด) เปนไปเสมอกันในเวทนา-สาม๔๔๗ การแสดงธรรม (เนื่องดวยปฏิจจฯ) มีความงม สาม ๔๘๘ การหลงยึดเบญจขันธคือการลวงของจิตเองโดยลักษณะ สาม ๔๒๓ การเห็นชัดปฏิจจฯและปฏิจจสมุปปนนธรรมทําใหไมมีทิฏฐิและกังขาในธรรม-สาม๔๒๕ การเห็นผัสสายตนะโดยธรรมลักษณะหามีคาเทากับเห็นโดยอนัตตลักษณะ-สาม๕๐๙–๕๑๐ การเห็นผัสสายตนะในลักษณะทําที่สุดไดคือเห็นโดยอนัตตลักษณะ สาม ๕๑๐ การเห็นอนัตตลักษณะแหงเบญจขันธมีลักษณะ สาม ๑๔๓/๒๘๖ กาลกิริยาที่ไมงดงามมีมูลมาจากการบูดเนาแหงกรรม สาม ๕๘๐ ขอปฏิบัติสมควรแกการดับไมเหลือแหงปปญจสัญญาสังขามีคู สาม ๖๑๔ ขันธแตละขันธมีลักษณะตามธรรมชาติ (ที่ปุถุชนมองไมเห็น) สาม ๑๐๗/ฯลฯ คนพาลเปนทางมาแหงสิ่งอันพึงรังเกียจ สาม ๔๕๓ ความคิดที่ทําใหออกบวชโดยบริสุทธปรารภเหตุ สาม ๑๔๑ ความงาม(ในการแสดงธรรม) สาม ๔๘๘ ความเจริญถึงที่สุดแหงตัณหานํามาซึ่งอาการแหงความทุกขโดยคู สาม ๒๑๓ ความเจริญในอริยวินัย(เกี่ยวกับการขมาโทษ)ประกอบดวยองค สาม ๓๖๗ ความเดือดรอนมีประการตางๆมีมูลมาจากกิเลสมีประเภท สาม ๘๐๒ ความตั้งอยูมั่นคงแหงศาสนาเปนไปเพื่อประโยชนโดยนัย สาม ๘๑๒ ความตางระหวางคนพาลกับบัณฑิตมีทางกําหนดไดโดยสิ่งพึงรังเกียจ สาม ๔๕๒ ความตางแหงคํากิริยา(เกี่ยวกับการทําลายอนุสัย) สาม ๑๘๙ ความเพียรปรารภการกระทํามีอาการ สาม ๔๘๗ ความยินดีหรือไมยินดีลวนแตอาจนํามาซึ่งธรรม (:โกรธ-พูดเท็จ-สงสัย) สาม ๕๙๕ ความสิ้นอาสวะมีแกผูรูเห็นขันธ(แตละขันธ)โดยนัย สาม ๖๑๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๐๕
ความหลุดพนเพราะเหตุแหงอาการ สาม ๔๔๑–๔๔๓/๕๒๑–๕๒๖ ความเห็นถูกตองเกี่ยวกับอนัตตามีนัย สาม ๑๔๓/๒๘๖/๔๙๒/๕๑๐ ความเห็นถูกในปยรูปสาตรูปโดยอาการหาทําใหละธรรมฝายทุกข สาม ๓๑๓ ความเห็นถูกในปยรูปสาตรูปใหผลอยางเดียวกันแมในกาลทั้ง สาม ๓๑๓ ความเห็นวิปริตในปยรูปสาตรูปโดยอาการหาทําความเจริญฝายทุกข สาม ๓๐๙ ความเห็นวิปลาสในปยรูปสาตรูปใหผลอยางเดียวกันแมในกาลทั้ง สาม ๓๐๙ คํากิริยา(เกี่ยวกับการทําลายอนุสัย) คําเดียวใชแกอนุสัย สาม ๑๙๑ “จิต”มีไวพจน สาม ๓๘/๓๘๑ จิตไมไดรับการรักษาเปนเหตุใหไมมีการรักษาแกกรรม สาม ๕๗๙ จิต “อนุเสติ”ในเวทนาสาม, กอใหเกิดอนุสัย สาม ๑๖๙ ฉันทะเปนแดนเกิดแหงธรรม (:สิ่งรัก-ความหวัง-ความสมหวัง) สาม ๕๙๕ ฐานะหก(แหงการดับทุกขในทิฏฐธรรม) เพราะเหตุ สาม ๓๔๔ ตัณหา (ในกรณีที่เกี่ยวกับการแสวงหา) มีวิภาค สาม ๕๙๔/๗๘๖ ตัณหาวิจริตสิบแปดจําแนกโดยกาล สาม ๑๐๒–๑๐๔ ตัณหาวิจริตหนึ่งรอยแปดมีนัย (แหงการรับ) สาม ๑๐๕ ที่ตั้งแหงเจตนา (ของผูมอี วิชชาเปนเครื่องกัน้ , ตัณหาเปนเครื่องผูก)คือธาตุ สาม๗๙๒ ที่ตั้งแหงวิญญาณ (ของผูมีอวิชชาเปนเครื่องกั้น, ตัณหาเปนเครื่องผูก)-คือธาตุ สาม๗๙๑ ทุคติละไดเพราะรูประจักษซึ่งธรรม สาม ๑๓๖ ธรรม(ที่ตองมีเปนพื้นฐาน “บริสุทธิ์มาแลวแตเดิม”) สาม ๓๓๖ ธรรมธาตุ(เกี่ยวกับอิทัปปจจยตาปฏิจจฯ) มีไวพจน สาม ๓๔/๔๔/ฯลฯ ธรรมธาตุ(เกี่ยวกับอิทัปปจจยตาปฏิจจ)มีอยูโดยชื่อ สาม ๓๕/๔๔/ฯลฯ ธรรมเปนเครื่องผูกพันสัตวโลกโดยมาก สาม ๖๖๖ ธรรมสัจจะที่ทรงนํามาบันลือสีหนาทเกี่ยวกับเบญขันธมีสัจจะ(เพียง) สาม ๔๘๐/๔๘๖ ธรรมสําหรับฆราวาสใชตรวจสอบภิกษุ(คือธรรมเปนที่ตั้งแหงธรรม) สาม ๖๓๖ ธาตุเปนที่ตั้งแหงความเปนไปไดของปฏิจจฯมีอยาง สาม ๗๙๐ ธาตุเปนที่ตั้งแหงเจตนาหรือปรารถนา(ของสัตวผูจักเกิดในภพใหม)มีชนิด สาม ๗๙๒ ธาตุเปนที่ตั้งแหงวิญญาณ (ของสัตวผูจักเกิดในภพใหม) มีชนิด สาม ๗๙๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๐๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
นันทิในขันธเกิดขึ้นเพราะเหตุแหงอาการ สาม ๑๒๘/๑๕๑/๑๕๙ บัณฑิตไมเปนทางมาแหงสิ่งอันพึงรังเกียจ สาม ๔๕๓ บุพพภาคของการปฏิบัติเพื่อดับปฏิจจฯ สาม ๒๖๘ เบญจขันธพึงเห็นดวยยถาภูตสัมมัปปญญาโดยลักษณะ สาม ๑๔๓/๒๘๖ ปฏิจจฯ(แหงการดับอุปาทานสี่) มีปจจยาาร สาม ๖๕๘ ปฏิจจฯแหงการปฏิบัติชอบโดยไตรทวาร, ตั้งตนที่กุสลธาตุ(แตละธาตุ) สาม ๕๘๘ ปฏิจจฯแหงการปฏิบัติชอบโดยไตรทวาร, ตั้งตนที่อกุสลธาตุ(แตละธาตุ) สาม ๕๘๗ ปฏิจจฯแหงการเห็นโดยประการอื่น (จากที่ปุถุชนเห็น) มีปจจยาการ สาม ๒๘๙ ปฏิจจฯ(แหง “การอยูคนเดียว”) มีปจจยาการ สาม ๕๙๙ ปฏิจจฯ(แหง “การอยูอยางมีเพื่อนสอง”) มีปจจยาการ สาม ๕๙๗ ปฏิจจฯแหงความไมเรารอนมีอาการ สาม ๕๘ ปฏิจจฯแหงความเรารอนอันใหญหลวงมีอาการ สาม ๕๗ ปฏิบัติธรรม “สมควรแกธรรม” ตองเปนไปเพื่อธรรม สาม ๒๖๖/๕๒๐–๕๒๖ ปฏิปทา(การสําคัญผิดเกี่ยวกับอัตตา)ทําใหเกิดสักกายะ (เกี่ยวกับ “เรา”) สาม๔๙๒ ปฏิปทา(ความเห็นถูกตองเกี่ยวกับอนัตตา)ทําใหมีการดับสักกายะ(“เรา”)สาม ๔๙๒ ปปญจสัญญา (ธรรมเปนเหตุใหเนินชาแกการหลุดพน) มีวิภาค สาม ๕๙๖ ปปญจสัญญาสังขายอมเปนไปในอายตนะภายนอกแหงกาล สาม ๖๐๑ ประโยชน(ที่พึงกระทําใหสมบูรณดวยความไมประมาท) มีวิภาค สาม ๔๘๘ ปจจยาการ (ของปฏิจจฯแหงการดับอุปาทานสี่) สาม ๖๕๘ ปจจยาการ (ของปฏิจจฯแหงการเห็นโดยประการอื่นจากที่ปุถุชนเห็น) สาม ๒๘๙ ปจจยาการ (ของปฏิจจฯแหง“การอยูคนเดียว”) สาม ๕๙๙ ปจจยาการ (ของปฏิจจฯแหง“การอยูอยางมีเพื่อนสอง”) สาม ๕๙๗ ปจจยาการ (แหงอาการของจิตในกรณีแหงการหลุดพน) สาม ๓๔๗ ปจจัยที่ประจวบพรอมเพื่อการกาวลงสูครรภ สาม ๑๔๙ ผัสสะเกิดเพราะการประจวบแหงธรรม สาม ๙๗/ฯลฯ ผัสสะบัญญัติมีเพราะมีองคประกอบแหงการบัญญัติ สาม ๖๐๓ ผัสสะบัญญัติไมมีเพราะไมมีองคประกอบแหงการบัญญัติ สาม ๖๐๙ ผัสสะเปนเหตุเกิดแหงธรรม (เวทนา-เจตนา-สัญญา) สาม ๒๙๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๐๗
ผัสสะมีชนิด สาม ๓๙ ผูเกียจครานยอมประสบ(อนิฏฐ) ผล สาม ๔๘๗ ผูปฏิบัติดีแลวคือเห็นขันธโดยลักษณะเจ็ดแลวปฏิบัติเพื่อธรรม สาม ๓๓๙ ผูปฏิบัติธรรม “สมควรแกธรรม” ตองเปนไปเพื่อธรรม สาม ๒๖๖/๕๐๒–๕๒๖ ผูประกอบภัยเวรหาประการ (แตละอยาง) ยอมประสบโทษมีอยาง สาม ๕๓๘ ผูปรารภความเพียรยอมประสบ (อิฎฐิ) ผล สาม ๔๘๗ ผูปรินิพพานเฉพาะตนยอมรูประจักษชัดเวทนาโดยลักษณะ สาม ๔๔๗ ผูพนวิเศษแลวคือเห็นขันธโดยลักษณะเจ็ดแลวพนดวยธรรม สาม ๓๓๙ ผูพิจารณาใครครวญธรรมโดยวิธี (ของผูเปนเกพลี) สาม ๓๔๒/๔๕๑ ผูไมมีภพใหมยอมถึงความเปนผูประเสริฐ(อยางนอยก็)โดยนัย สาม ๘๐๔ พรหมจรรยมีนิพพานเปนที่เปนไป, ในลักษณะ สาม ๖๓๕ พระขีณาสพอยูเหนือวิสัยแหงการปรุงแตงอภิสังขาร สาม ๔๔๘ พุทธอุทานเฉพาะยาม สาม ๗,๙,๑๐ ภพทุกชนิดไมวาที่ไหนหรือเมื่อไรยอมประกอบดวยลักษณะ สาม ๘๐๔ ภพมีวิภาค สาม ๒๗/๘๗/ฯลฯ “ภิกษุธรรมกถึก’ แทยอมแสดงปฏิจจฯ เพื่อผล สาม ๕๙/๕๒๐ ภิกษุธรรมกถึก (แท) แสดงธรรมเพื่อใหเกิดปฏิกิริยา(ตอปฏิจจสมุปปนนธรรม)-สาม๕๙/๕๒๐ ภิกษุบรรลุนิพพานในทิฏฐธรรมคือสําเร็จในการทําปฏิกิริยา(ตอปฏิจจ-สมุปปนนนธรรม) สาม๔๔๑/๕๒๑ ภิกษุปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมคือมีปฏิกิรยิ า(ตอปฏิจจสมุปปนนธรรม)--สาม๒๖๖/๕๒๐ ภิกษุผูสามารถอํานวยใหเกิดสัจจานุโพธ,มีคุณสมบัติ สาม ๖๓๗ มนสิการปฏิจจฯ โดยยาม สาม ๕,๗,๙ ยถาภูมสัมมัปปญญาในเบญขันธมีลักษณะ สาม ๑๔๓/ฯลฯ ระบบการถามเกี่ยวกับขันธหาที่นําไปสูยถาภูมสัมมัปปญญา(มีระยะ) สาม๑๔๓/๒๘๖ วัตถุ(ที่ทรงระบุ) เพื่อการพิจารณาปจจัยในภายใน สาม ๓๐๖–๓๐๗ วิญญาณ(จิต) ของบุคคลผูไปตามอวิชชา ยอมเขาถึงวิบากแหงสังขาร สาม ๔๔๗ วิญญาณตั้งอยูเจริญงอกงามในกพฬีการาหารเพราะเหตุแหงธรรม สาม ๓๒๗
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๐๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
วิญญาณตั้งอยูเจริญงอกงามในผัสสาหารเพราะเหตุแหงธรรม สาม ๓๒๘ วิญญาณตั้งอยูเจริญงอกงามในมโนสัญเจตนาหารเพราะเหตุแหงธรรม สาม ๓๒๘ วิญญาณตั้งอยูเจริญงอกงามในวิญญาณเพราะเหตุแหงธรรม สาม ๓๒๙ วิญญาณตั้งอยูเจริญงอกงามไมไดในอาหารสี่เพราะไมมีเหตุ สาม ๓๓๐–๓๓๒ วิญญาณปรากฏเพราะความสมบูรณแหงธรรม สาม ๒๐๘ วิญญาณยังไมปรากฏเพราะความไมสมบูรณแหงธรรม สาม ๒๐๗ วิธีพิจารณาใครครวญธรรมทั้งปวงประมวลลงในการพิจารณาโดยความเปนธรรม— -สาม๓๔๒/๔๕๑ วิบากแหงสังขาร (กรรมที่เนื่องดวยอวิชชา)มีวิภาคไปตามสังขาร สาม ๔๔๗ เวทนามีชนิด สาม ๓๙ เวทนามีวิภาค สาม ๒๗๓ เวทนามีอาการเกิดขึ้นโดยลําดับแหงปจจยาการ สาม ๑๒๓/ฯลฯ ไวพจน(ของกันและกัน) แหงคําวา “ผูไมประมาท” มีอยาง สาม ๕๕๐ ไวพจนแหงความทุกขโดยอุปมา สาม ๒๖๙ สมารัมภะมีวิภาค สาม ๒๐๒–๒๐๓ สักกายะ(ความเห็นผิดเกี่ยวกับอัตตา,หรือ “เรา’) มีนัย สาม ๔๙๑ สังขาร(กรรมที่เนื่องดวยอวิชชา)มีวิภาค สาม ๔๔๗ สังขารมีวิภาค สาม ๒๘/๙๐/ฯลฯ สังคมปญญาชน(ครั้งพุทธกาล)จําแนกเปนพวก สาม ๕๙๙ สัจจนุปตติคือการทําอาการสิบสองแหงสัจจนุโพธใหถึงที่สุด,โดยอาการ สาม ๖๓๘ สัญเจตนาเกิดขึ้นโดยทวาร สาม ๑๖๐ สัตวโลกเพลิดเพลินอยูในภพ,ถูกลวงโดยภพดวยอาการ สาม ๘๐๓ สาวกปฏิญญาวายึดถือในธรรมของพระผูมีพระภาคโดยฐานะ สาม ๑๐๖/ฯลฯ “สิ่ง”ที่มีอยู สาม ๑๖๕ สิ่งเปนอารมณเพื่อการตั้งอยูแหงวิญญาณประกอบดวยลักษณาการ สาม ๑๖๖/ฯลฯ สิ่งพึงรังเกียจ(อันเกิดจากคนพาล,ไมเกิดจากบัณฑิต) สาม ๔๕๒ สิ่งไมเปนอารมณเพื่อการตั้งอยูแหงวิญญาณประกอบดวยลักษณาการ-สาม๑๖๗/๑๖๘/๑๗๐/๕๗๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๐๙
สุขและทุกขเกิดขึ้นเพราะสัญเจตนา สาม ๑๖๐ สุจริต (ที่ทําสติปฏฐานสี่ใหบริบูรณ)มีวิภาค สาม ๖๓๓ โสดาบันมีคุณลักษณะ สาม ๑๐๘/ฯลฯ เหตุ(ที่ทําใหตถาคตตองเกิดและธรรมวินัยรุงเรืองในโลก) สาม ๓๑๖ อกุศลวิตกมีวิภาค สาม ๑๔๒ องคแหงสุตะ สาม ๑๗/๒๔๕/ฯลฯ อฐานะ(ที่ผูรูชัดปฏิจจฯแลวจักสงสัยในธรรมสาม) สาม ๔๒๕ อฐานะหก(แหงการดับทุกขในทิฏฐธรรม)เพราะเหตุ สาม ๑๘๙ อภิสังขารมีวิภาค สาม ๔๔๗ อนุสัยมีขึ้นเพราะเหตุแหงเวทนา(มีคู) สาม ๑๘๘/๕๒๗ อนุสัย(มีปจจัยตางกันดวยอํานาจเวทนาตางกัน)มีวิภาค สาม ๑๘๘/๕๒๗ อนุสัยไมอาจมีขึ้น (แกผูรูเทาทันเวทนา) แมเพราะเหตุแหงเวทนา สาม ๓๔๓/๕๒๙ อริยสาวกพยากรณความเปนโสดาบันของตนได,เมื่อประกอบดวยองคคุณมีหมวด-สาม๕๓๘ อริยสาวกไมเขาถึง-ไมถือเอา-ไมถึงทับซึ่งธรรม สาม ๖๖๖ อวิชชาเปนปจจัยแหงสังขาร สาม ๑๖๐ อัตตา-อัตตนิยานุทิฏฐิเปนไปในความหมาย(วาของเรา,เปนเรา,ตัวตนของเรา)-สาม๓๘๓/๖๙๒/ฯลฯ อาการที่ควรรู-เห็นเกี่ยวกับขันธ(แตละขันธ) มีนัย สาม ๔๘๐/๔๘๕/๖๑๕ อาการ(ที่เนื่องดวยการทรงทราบคติของมิจฉาทิฏฐิ ท.) สาม ๗๓๕/ฯลฯ อาการที่มีตอสุขเวทนาซึ่งทําราคานุสัยใหนอนตาม สาม ๑๘๘ อาการที่มีตอสุขเวทนาซึ่งไมทําราคานุสัยใหนอนตาม สาม ๓๔๓ อาการแหงสุตะ สาม ๑๗/๒๔๕/ฯลฯ “อาชีวมัฏฐกศีล”คือธรรมสามที่ตอง “บริสุทธิ์มาแลวแตเดิม” สาม ๓๓๖ อารมณเพื่อการตั้งอยูแหงวิญญาณมีขึ้นเมื่อจิตมีอาการ สาม ๑๖๖/ฯลฯ อารมณเพือ่ การตั้งอยูแหงวิญญาณมีไมไดเมื่อจิตไมมอี าการ สาม๑๖๗/๑๖๘/๑๗๐/๕๗๑ อินทรีย(แตละอินทรีย) มีลักษณะเฉพาะซึ่งทําความตางจากกัน สาม ๖๓๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๑๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
อุปปริกขีคือผูพิจารณาธรรมโดยวิธี สาม ๓๔๒/๔๕๑ อุปมาแหงองคประกอบเพื่อภพใหม (: เนื้อหา-พืช-ยางในพืช) แหงภพสาม-สาม๗๙๑/๗๙๒ อุปสรรค(ที่มักจะเกิด) ในขณะเจริญสติปฏฐานทั้งสี่ สาม ๒๗๙
๔ กรรมบัญญัต(เกี่ยวกับทุกขนี้ใครทําให) นอกพุทธศาสนามีวิภาค สี่ ๖๗๐/๖๗๓ กระแสปฏิจจฯหยุดไดเพราะธรรม สี่ ๑๓๘ กายมีอาการที่เห็นไดงาย สี่ ๓๘/๓๘๑ การกอเกิดแหงปญจุปาทานขันธไมมีเพราะไมมีลําดับแหอาการ สี่ ๓๓๕ การกอขึ้นแหงทุกขประกอบดวยอาการ สี่ ๒๒๐ การกอขึ้นแหงสังขารธรรม(สิบหมวด) ประกอบดวยอาการ สี่ ๒๒๐ การกาวลวงปฏิจจสมุปปนนธรรมเพราะรูทั่วถึงสิ่งนั้นโดยอาการ สี่ ๔๓๒ การเกิดแหงกองทุกข(ที่มีนันทิเปนหลัก)มีปจจยาการ สี่ ๑๒๘/๑๕๑/๒๕๙ การเกิดแหงอิสสาและมัจจฉริยะ(เครื่องผูกพันเทวดาฯลฯ)มีปจจยาการ สี่ ๖๑๓ การเจริญโพชฌงค(ที่ทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณ)ประกอบดวยลักษณะ สี่ ๖๓๔ การดับแหงกองทุกข(ที่มีนันทิเปนหลัก)มีปจจยาการ สี่ ๑๓๐/๒๖๑ การตามเห็นขันธ(แตละขันธ) ในความหมายแหงตัวตนโดยอาการ สี่ ๓๐๐/ฯลฯ การตามเห็นรูปเปนอัตตามีอาการ สี่ ๑๖๔/ฯลฯ การตามเห็นวิญญาณเปนอัตตามีอาการ สี่ ๑๖๔/ฯลฯ การตามเห็นเวทนาเปนอัตตามีอาการ สี่ ๑๖๔/ฯลฯ การตามเห็นสังขารเปนอัตตามีอาการ สี่ ๑๖๔/ฯลฯ การตามเห็นสัญญาเปนอัตตามีอาการ สี่ ๑๖๔/ฯลฯ การถึงทับสสตวิหารธรรมมีลักษณะ สี่ ๒๐๔ การประกาศธรรมของพระพุทธเจามีผลเปรียบดวยอุปมา สี่ ๒๐๖/ฯลฯ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๑๑
การปรินิพพานเฉพาะตน (ในกรณีแหงอภิสังขาร) มีปจจยาการ สี่ ๔๔๗ การพยากรณอรหัตตผลดวยลักษณะ สี่ ๗๒ การไมตามเห็นขันธ(แตละขันธ) ในความหมายแหงตัวตนโดยอาการ สี่ ๓๐๓ การไมสามารถกาวลวงปฏิจจสมุปปนนธรรมเพราะไมรทู ั่วถึงสิ่งนั้นโดยอาการ สี่ ๓๗๘ การรูปฏิจจฯ โดยวิธีแหงอริยสัจสี่ สี่ ๒๔๕/ฯลฯ การรูปฏิจจสมุปปนนธรรมเปนไปโดยอาการ สี่ ๘๔/๘๖/ฯลฯ การละสงสัยในฐานะหกทําใหละสงสัยในอริยสัจ สี่ ๑๐๘/๖๙๑/ฯลฯ การหลุดพนของอริยสาวกเนื่องดวยขันธหามีขั้นตอนโดยปจจยาการ สี่ ๑๔๔/ฯลฯ การอยูจบพรพมจรรยประกอบดวยลักษณะ สี่ ๔๐/ฯลฯ กิจควรกระทําทั้งสี่เปนอันกระทําอยูในเมื่อโพธิปกขิยธรรม๓๗เต็มรอบอยู สี่ ๓๓๖ กิจ (ที่บุคคลพึงกระทําเกี่ยวกับผัสสายตนะ) สี่ ๔๐๙ กิจ(ที่บุคคลละเลยเกี่ยวกับผัสสายตนะจนเกิดทุกข) สี่ ๓๙๐ ขันธ(แตละขันธ) มีอาการอันจะพึงเห็นผิด สี่ ๑๙๕ คนนอกวง(:ตั้งอยูในฝายแหงปุถุชนเพราะปราศจากโสตาปตติยังคะ) สี่ ๖๔๔ ความกอเกิดแหงปญจุปาทานขันธมีลําดับแหงอาการ สี่ ๒๑๓ ความดับแหงอวิชชาทําใหไมมีปจจัยแหงสุขทุกข สี่ ๑๖๒ ความประมาทของอริยสาวกเกี่ยวกับโสตาปตติยังคะ สี่ ๖๔๔ ความเปนไปโดยชอบ(ในธรรมวินัย)มีลักษณะ สี่ ๑๘๕ ความเปนผูฉลาด(ในธรรมขั้นปรมัตถ)มีวิภาค สี่ ๔๕๓ ความเปนพราหมณชั้นสูงสุดมีเพราะธรรม สี่ ๑๓๘ ความเปนสมณะขึ้นอยูกับการรูปฏิจจฯโดยนัย (แหงอริยสัจ)สี่ ๓๙๕ ความเปนโสดาบัน (อีกนัยหนึ่ง) มีไดเพราะการละกังขาในสัจจะ-สี่๑๐๘/๑๑๑/๖๙๑–๗๐๓ ความเพียรที่ตองทําเพื่อใหรูตามเปนจริง สี่ ๕๘ ความไมเปนไปโดยชอบ(ในธรรมวินัย)มีลักษณะ สี่ ๑๘๔ ความไมเปนสมณะขึ้นอยูกับการไมรูปฏิจจฯโดยนัย(แหงอริยสัจ)สี่ ๓๙๓ ความไมยึดมั่นขันธทําใหไมเกิดความกระทบกระทั่งแหงจิตโดยอาการ สี่ ๓๐๓ ความยึดมั่นขันธใหเกิดความกระทบกระทั่งแหงจิตโดยอาการ สี่ ๓๐๑/ฯลฯ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๑๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
ความรูชัดแจง (ภูมิศาสดา) ตอธรรมยี่สิบสี่โดยอาการหกเพราะเหตุแหงธรรม-สี่๔๑๙–๔๒๑ ความรูชัดแจง(อเสขะ)ตอธรรมยี่สิบสี่โดยอาการหกเพราะเหตุแหงธรรม สี่ ๔๑๖–๔๑๘ ความสิ้นอาสวะลุถึงนิพพานเปนเหตุใหไดสมญา(พิเศษ) สี่ ๕๕๘ คุณวิเศษยิ่งขึ้นไปหวังไดในขณะจิตตั้งมั่นอยูในสิตปฏฐาน สี่ ๒๗๘ เครื่องผูกพันเทวดามนุษยฯลฯไวในการจองเวรมีปจจยาการ สี่ ๖๑๒ จิตพนจากทุกขเพราะอาศัยปฏิจจสมุปปนนธรรม สี่ ๕๘ จิตไมพนจากทุกขเพราะปฏิจจสมุปปนนธรรม สี่ ๕๗ ชาละที่เปนชื่อของทิฏฐิ,มีปริยาย สี่ ๗๓๑ ญาณคือความรูในปฏิจจสมุปบันนธรรม(แตละอาการโดยนัยแหงอริยสัจ) สี่ ๓๕๐ ฐานะที่ไมอาจจะมีได(อฐานะ) สี่ ๑๕๙/๖๗๒ ตัณหามีลักษณะอาการ สี่ ๑๐๑ ตัณหามีอาการเกิดขึ้นโดยลําดับแหงปจจยาการ สี่ ๑๒๓/ฯลฯ ทิฏฐิเนื่องดวย “เอง” หรือ “อื่น”มนัยแหงการถาม สี่ ๕๑๔ ทิฏฐิบัญญัติคําดิ้นไดไมตายตัวมีจําพวก สี่ ๗๒๗ ทิฏฐิบัญญัติวามีที่สุดหรือไมมีที่สุดมีจําพวก สี่ ๗๒๗ ทิฏฐิบัญญัติอัตตาและโลกวาเที่ยงแตบางอยางมีจําพวก สี่ ๗๒๗ ทิฏฐิบัญญัติอัตตาและโลกวาเที่ยง,มีจําพวก สี่ ๗๒๗ ทุกขบัญญัติ(เกี่ยวกับทุกขนี้ใครทําให) นอกพุทธศาสนามีวิภาค สี่ ๖๗๐/๖๗๓ ทุกขสมุทัย(ที่เปนไปในปญจุปาทานขันธ) อาศัยธรรม สี่ ๔๓/๒๐๙ โทษของธรรมวินัยที่ไมเปนไปโดยชอบ สี่ ๑๘๔ โทษของธรรมวินัยที่ไมสมบูรณในการบัญญัติอุปาทาน สี่ ๑๘๔ ธรรมทําความเปนพราหมณชั้นสูงสุด สี่ ๑๓๘ ธรรมธาตุมีลักษณะ สี่ ๓๕/ฯลฯ ธรรมวินัยปญญัติไวไมดีคือบัญญัติอุปาทานไมครบ สี่ ๑๘๔ ธรรมอันผูรูขมขี่คัดคานไมไดมีหมวด สี่ ๑๑๒ ธัมมัฏฐิติญาณแมรูเห็นธัมมัฏฐิติอันไมเปลี่ยนแปลงก็ยังมีความเปลี่ยนแปลง-โดยอาการ สี่๓๕๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๑๓
ธาตุหกเปนคําตรัสที่ใครทําอะไรไมไดโดยอาการ สี่ ๑๑๒ นิทเทสโดยพิศดารแหงอริยสัจ(อีกนัยหนึ่ง)สี่ ๘๒/๑๑๕ แนวปฏิบัติที่ตั้งตนดวยการเห็นความไมเที่ยงของอายตนะมีลําดับ สี่ ๖๕๓–๖๕๔ บริษัทที่พลอยไดรับผลแหงการคนพบของพระองค สี่ ๒๖๕/๔๖๙ บัณฑิตผูประกอบดวยปญญา(วีมังสกบัณฑิต) ประกอบดวยความฉลาด สี่ ๔๕๓ ปฏิจจฯดับลงที่กลางสายมีปจจยาการ สี่ ๙๙/๑๒๕/๑๗๕/ฯลฯ ปฏิจจฯตั้งตนดวยเจตน-ปกัปปน-อนุสย-แหงจิตมีปจจยาการ สี่ ๑๖๙ ปฏิจจฯ(แตละอาการ) พึงรูโดยวิธีแหงอริยสัจสี่ สี่ ๑๔๕/ฯลฯ ปฏิจจฯ ที่เกิดเพียงครึ่งสายมีปจจยาการ สี่ ๙๘/๑๒๕/๑๗๕/ฯลฯ ปฏิจจฯที่ตรัสอยางยอที่สุด(เพียงตัณหา) มีปจจยาการ สี่ ๕๗๒/ฯลฯ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนดวยการลวงของจิต)มีปจจยาการ สี่ ๔๒๓ ปฏิจจฯที่เปนนิโรธวารกลางสายมีปจจยาการ สี่ ๑๒๕/ฯลฯ ปฏิจจฯที่เปนสมุทยวารเพียงครึ่งสายมีปจจยาการ สี่ ๑๒๕/ฯลฯ ปฏิจจฯแมตั้งตนดวยอนุสยะอยางเดียวก็มีปจจยาการ สี่ ๑๖๙ ปฏิจจสมุปปนนธรรมมีอาการแหงอริยสัจ สี่ ๘๔/๘๖/ฯลฯ ปฏิจจสมุปปนนธรรมแหงความไมเรารอน สี่ ๕๘ ปฏิจจสมุปปนนธรรมแหงความเรารอนอันใหญหลวง สี่ ๕๗ ปฏิจจฯแหงการเกิดสังขารมีประเภทแหงชนิด สี่ ๑๙๒ ปฏิจจฯ(แหงปฏิสรณาการ) มีลักษณะแหงปจจยาการ สี่ ๖๓๕ ปฏิจจฯ(แหงภพใหม)มีปจจยาการ สี่ ๑๖๙/๑๗๐ ปฏิจจฯ(แหงวิชชาและวิมุตติ) โดยสังเขปมีปจจยาการ สี่ ๖๓๑–๖๓๒ ปฏิจจฯ(แหงสุวิมุตมจิต-จิตหลุดพนวิเศษดวยดีป มีปจจยาการ สี่ ๖๕๓ ปฏิจจฯ(แหงสุวิมุตตจิต-อีกนัยหนึ่ง)มีปจจยาการ สี่ ๖๕๓ ปฏิจจฯ(แหงอภัททกาลกิริยา “ตายชั่ว”) มีปจจยาการ สี่ ๕๗๙ ปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมคือสมควรแกความรูที่รูโดยนัยอริยสัจ สี่ ๓๐๗/๔๔๕ ปฏิบัติเพื่อสิ้นทุกโดยชอบคือสมควรแกการรูอุปธิโดยนัยอริยสัจ สี่ ๓๐๗ ปจจยาการ(ของการเกิดแหงกองทุกขที่มีนันทิเปนหลัก) สี่ ๑๒๘/๑๕๑/๒๕๙
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๑๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
ปจจยาการ(ของการดับกองทุกขที่มีนันทิเปนหลัก) สี่ ๑๓๐/๒๖๑ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯดับลงที่กลางสาย) สี่ ๙๙/๑๒๕/๑๗๕/ฯลฯ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯตั้งตนดวยเจตน-ปกัปปน-อนุสย-แหงจิต) สี่ ๑๖๙ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯที่เกิดขึ้นเพียงครึ่งสาย) สี่ ๙๘/๑๒๕/๑๗๕/ฯลฯ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯที่ตรัสอยางยอที่สุดเพียงตัณหา) สี่ ๕๗๒/ฯลฯ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯที่ตั้งตนดวยการลวงของจิต) สี่ ๔๒๓ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯที่แมตั้งตนดวยอนุสยะอยางเดียว) สี่ ๑๖๙ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงปฏิสรณาการ)มีลักษณะ สี่ ๖๓๕ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงภพใหม ) สี่ ๑๖๙/๑๗๐ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงวิชชาและวิมุตติโดยสังเขป) สี่ ๖๓๑–๖๓๒ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงสุวิมุตตจิต) สี่ ๖๕๓ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงสุวิมุตตจิต-อีกนัยหนึ่ง) สี่ ๖๕๓ ปจจยาการจากการกาวลงสูครรภจนถึงเวทนามีอาการ สี่ ๘๑/๑๐๑/๑๑๕ ปจจยาการ(ที่ตั้งตนจากความเพลิน) สี่ ๑๒๘/๑๕๑/๒๕๙ ปจจยาการ(นิโรธวาร-พิเศษ) สี่ ๑๗๐ ปจจยาการ(สมุทยวาร-พิเศษ) สี่ ๑๖๙ ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯของอภัททกาลกิริยา) สี่ ๕๗๙ ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯที่เปนนิโรธวารกลางสาย) สี่ ๑๒๕/ฯลฯ ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯที่เปนสมุทยวารเพียงครึ่งสาย) สี่ ๑๒๕/ฯลฯ ปจจยาการ(แหงวิมุตติญาณ) สี่ ๔๐/ฯลฯ ปุถุชนตามปรกติมีลักษณาการ สี่ ๑๖๔/๑๙๒/ฯลฯ ผัสสะจะปรากฎใหเห็นไดเพราะองคประกอบแหงการบัญญัติ สี่ ๗๘๘ ผัสสะเปนที่เกิดและดับแหงนิพเพธิกธรรม สี่ ๒๗๙ ผัสสายตนะหกเปนคําตรัสที่ใครทําอะไรไมไดโดยอาการ สี่ ๑๑๒ ผูที่ไดรับบอกผลแหงการคนพบของพระองคคือบริษัท สี่ ๒๖๕/๔๖๙ ผูปฏิบัติ(ปฏิจจฯ) โดยสมควรแกธรรมคือปฏิบัติโดยอาการแหงอริยสัจ สี่ ๔๔๕ ผูปฏิบัติ(ปฏิจจฯ) เพื่อสิ้นทุกขโดยชอบคือปฏิบัติโดยอาการแหงอริยสัจ สี่ ๔๔๕ มโนปวิจารสิบแปดคําตรัสที่ใครทําอะไรไมไดโดยอาการ สี่ ๑๑๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๑๕
รูป (อันเปนที่ตั้งแหงสุขและทุกข) ไมมีเพราะไมอยูในภาวะแหงสัญญีวิภาค สี่ ๕๙๖ เรื่องที่ทรงทาวาผูรูคัดคานไมได สี่ ๑๑๗ เรื่องปฏิจจฯเปนเรื่องที่มีเกียรติสูงสุดดวยเหตุผล สี่ ๘๑๑ ลักษณะแหงอาหารสี่โดยอุปมา สี่ ๓๒๓ โลกายะตะ(ที่ไมอาจนับเนื่องในทางสายกลาง)มีวิภาค สี่ ๖๘๘ วาทะที่ทรงแนะวาไมควรกลาว(เกี่ยวกับ “อืน่ ”- “เอง”) สี่ ๖๘/๖๖๗ วิญญาณฟุงไปภายนอกทางอายตนะหกโดยอาการ สี่ ๒๙๖ วิญญาณไมฟุงไปภายนอกทางอายนนะหกโดยอาการ สี่ ๒๙๖ วิญญาณไมสยบในภายใน:ในสุขจากรูปฌานสี่โดยอาการ สี่ ๒๙๘–๓๐๐ วิญญาณสยบในภายใน:. ในปติและสุขเกิดแตวิเวก(แหงปฐมฌาน) โดยอาการ สี่ ๒๙๗ วิญญาณสยบในภายใน:. ในปติและสุขเกิดแตสมาธิ(แหงทุติยฌาน) โดยอาการ สี่๒๙๗ วิญญาณสยบในภายใน:. ในสุขจากรูปฌานสี่โดยอาการ สี่ ๒๙๗ วิญญาณสยบในภายใน: ในสุขอันเกิดแตอุเบกขา (แหงตติยฌาน)โดยอาการ สี่ ๒๙๗ วิญญาณสยบในภายใน:.ในอทุกขมสุข (แหงจตุตถฌาน) โดยอาการ สี่ ๒๙๘ วิมุตติญาณมีลําดับแหงอาการ สี่ ๔๐/ฯลฯ วีมังสกบัณฑิตคือบุคคลผูประกอบดวยความฉลาดในธรรม สี่ ๔๕๓ เวสารัชชญาณ(ดู พุ. โอ. หัวขอวา “ทรงมีเวสารัชชญาณสี่”) สี่ ๔๗๙/๔๘๕ ไวพจน(แกกันและกัน) ของคําวา “สมุทัย” สี่ ๗๓/ฯลฯ ไวพจน(แกกันและกัน) แหงคําวา “ความเชื่อ” สี่ ๔๕๑ ไวพจนของคําวา “ละไดขาดแลว” (สําหรับกิเลสและสิ่งที่ตองละอื่นๆ) สี่ ๖๘๕ ไวพจน(แหงกันและกัน) ของคําวา “เหตุ” สี่ ๕๙๐/๗๘๔ สติปฏฐาน (ที่ทําโพชฌงคเจ็ดใหบริบูรณ)มีวิภาค สี่ ๖๓๓ สมณพราหมณที่สอนเรื่องกรรม (เกี่ยวกับสุขทุกข) มีพวก สี่ ๑๕๙/๖๗๐ สังขาร (ชนิดที่มีความหมายพิเศษ) มีประเภท สี่ ๑๙๒ สังขารปรุงแตงสุขทุกขโดยอาการ สี่ ๑๖๐ สัญเจตนาตั้งอยูในฐานะแหงธรรม สี่ ๑๖๓ สัญญีบัญญัติ(เกี่ยวกับการมีสัญญา-ไมมีสัญญา)มีวิภาค สี่ ๕๙๖
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๑๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
สัมมาทิฏฐิ(นัยพิเศษนัยหนึ่ง) สมบูรณดวยอาการแหงเหตุ สี่ ๖๖๖ สัสสตทิฏฐิ(ชนิดเอสิกัฏฐายี) มีนัยแหงอุปมา สี่ ๑๐๖/๖๙๐/ฯลฯ สัสสตทิฏฐิแหงพวกสัสสตวาท(บัญญัติอัตตาและโลกวาเที่ยง) มีประการ สี่ ๗๓๓–๗๓๕ สิ่งเปนที่ตั้งอาศัยแหงการบัญญัติ (ซึ่งหมูแหงรูปและนาม) สี่ ๗๘๘ องคประกอบ (แหงความสมควรที่จะไดนามวา “ผูบรรลุนิพพานในทิฏฐธรรม”)-สี่ ๔๔๑–๔๔๓/๕๒๑/๕๒๖ องคแหงโสดาบัน (โสตาปตติยังคะ) มีวิภาค สี่ ๕๓๙ อฐานะ (สิ่งที่ไมอาจจะมีได) เกี่ยวกับการบัญญัติทุกขโดยไมเนื่องดวยผัสสะ-สี่๑๕๙/๖๗๒/๖๗๔ อมราวิกเขปกทิฏฐิแหงพวกอมราวิกเขปกวาท(พูดสาย) มีประการ สี่ ๗๔๓–๗๔๖ อรรถแหง “ผัสสะ” คําเดียวสามารถลบลางลัทธิกัมมวาที (นอกพุทธศาสนา) มีพวก สี๖่ ๗๔ อวกาศสวนที่ถูกกันออกมาเปนรูป (กาย ) โดยสิ่งสี่ ๒๐๗ อริยสัจมีนิทเทสโดยพิศดาร (อีกนัยหนึ่ง) สี่ ๘๒/๑๑๕ อริยสัจสี่เปนคําตรัสที่ใครทําอะไรไมไดโดยอาการ สี่ ๘๑/๑๑๓ อริยสาวกแทจริงประกอบดวยความหมาย สี่ ๙๓ อริยสาวกแทจริงเพราะรูปฏิจจฯโดยนัย สี่ ๙๓ อริยสาวกมีลักษณะ(ตรงกันขามจากปุถุชน) สี่ ๓๐๓ อวิชชามีวิภาค สี่ ๒๘ อันตานันติกทิฏฐิแหงพวกอันตานันติกวาท(มีที่สุด-ไมมีที่สุด) มีประการ สี่๗๔๐–๗๔๒ อาการของกาย(ที่เห็นไดงายเพื่อความเบื่อหนาย) สี่ ๓๘/๓๘๑ อาสวะเกิดขึ้นเพราะเหตุปจจัย สี่ ๒๐๒–๒๐๔ อาสวะไมมีเพราะความไมมีแหงปจจัย สี่ ๒๐๓–๒๐๔ อาหารมีวิภาค สี่ ๖๕/๓๒๓/๓๒๗/๕๗๗ อุปธิดับเมื่อปฏิบัติสมควรแกการรูอุปธิโดยนัยแหงอริยสัจ สี่ ๓๐๗ อุปธิเปนสิ่งที่ตองรูโดยนัยแหงอริยสัจ สี่ ๓๐๗ อุปาทานที่บัญญัติโดยพระสัมมาสัมพุทธเจา (ตองมี) สี่ ๑๘๕ อุปาทานมีวิภาค สี่ ๒๗/๘๗/ฯลฯ เอกกัจจสัสสติก-เอกัจจอสัสสติกทิฏฐิ(เที่ยงแตบางอยาง)มีประการ สี่ ๗๓๖–๗๓๙
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๑๗
๕ กรณีที่ไมตรัสวามีบุคคลเปนผูกระทํา หา ๖๕–๖๗/๗๙๙–๘๐๒ กรรมมีเวมัตตา(จําแนกตามคติ) หา ๒๗๖ กามคุณที่ใชบําเรอกุมาร หา ๑๕๐ กามคุณมีวิภาค หา ๒๗๑ กามมีเวมัตตา(จําแนกตามอารมณ) หา ๒๗๒ การเกิดแหงกองทุกขคือการเกิดแหง (อุปาทาน) ขันธ หา ๑๒๘/๒๖๐ การดับแหงกองทุกขคือการดับแหง(อุปาทาน) ขันธ หา ๑๓๑/๒๖๒ การทรงแสดงธรรมดวยปญญาอันยิ่งเพื่อประโยชนอันมีนัย หา ๔๘๔ การไมยึดมั่นจับฉวยสิ่งที่รูยิ่งกวาผูอื่นมีไดเพราะรูเวทนาโดยอาการ หา ๗๓๕/ฯลฯ การรูชัด(ดวยสมาธิจิต) ซึ่งการเกิดดับของขันธ หา ๑๒๗ การรูตามที่เปนจริงซึ่งธรรมหายอมไมกําหนดในธรรมหา หา ๓๓๕ การรูวานิพพานเปนอะไรไมเนื่องดวยวิธีการรูของสามัญชน หา ๒๘๔ การสําคัญเห็นปยรูปสาตรูปโดยอาการที่ทําตัณหาใหเจริญมีอาการ หา ๓๐๙ การแสดงธรรมของพระองคประกอบดวยลักษณะ หา ๕๘๖ การเห็นความไมมีโรคคือนิพพานมีไดเมื่อละนันทิราคะในธรรม หา ๔๒๓ การเห็นถูกในปยรูปสาตรูปโดยอาการที่ละตัณหาไดมีอาการ หา ๓๑๓ กุมารเกิดทุกขไดแมโดยปจจยาการ หา ๑๕๑ กุมารหลงใหลในเวทนาเพราะเหตุ หา ๑๕๑ ขันธหาเกิดเนื่องกันทางอายตนะหกโดยวิธีแหงปจจยาการ หา ๒๙๒ ความดับทุกขของผูไมหลงใหลในเวทนามีปจจยาการ หา ๓๖๘ ความเบื่อหนาย (ในธรรมเปนที่ตั้งแหงตัณหา) หา ๓๔๖ ความไมมีสัตวบุคคลตัวตนเราเขาทรงแสดงไวดวยความไมมีผูกระทํา “กิจ”-หา๖๕–๖๗/๗๙๙–๘๐๒ ความไมรูตามเปนจริงในสิ่งใดยอมกําหนัดในสิ่งนั้น หา ๒๑๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๑๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
ความสงสัย(กถํกถี) เกี่ยวกับตนอันเปนปจจุบันมีแนวแหงความหมาย หา ๔๒๕/๔๒๙ คําตอบที่ทรงตอบตอปญหาที่ควรตั้งขึ้นเปนปญหาเกี่ยวกับธรรม-หา๖๕–๖๗/๘๐๐–๘๐๒ ชาติมีปจจยาการ(โดยปฏิโลม) หา ๗๓ ญาณเครื่องรูปฏิจจฯไมเนื่องดวยทางมาแหงความรูของสามัญชน หา ๒๘๒/๒๘๓ ฐานที่ตั้งแหงความกําหนัดมีวิภาค หา ๒๑๓/๓๓๕ ฐานะทีมีได(เกี่ยวกับการบัญญัติแกสิ่งที่มีอยูจริง) หา ๖๐๓ ทิฏฐิธัมมนิพพานทิฏฐิ(นิพพานในทิฏฐธรรม) มีประการ หา ๗๖๓–๗๖๕ ทิฏฐิบัญญัตินิพพานในทิฏฐิธรรม,มีจําพวก หา ๗๒๘ ทิฏฐิปรารภที่สุดในเบื้องตน (ปุพพันตทิฏฐิ) มีแนวแหงความหมาย หา ๔๒๕/๔๒๙ ทิฏฐิปรารภที่สุดในเบื้องปลาย (อปรันตทิฏฐิ) มีแนวแหงความหมาย หา ๔๒๕/๔๒๙ ทิฏฐิผิด(แมขยายออกไปเปน๒๖)ก็ยังปรารภขันธ หา ๗๐๔ ทิฏฐิและการหยั่งลงดวยทิฏฐิ (รวมแปด) เกิดเพราะเขาไปยึดถือในขันธ หา๓๘๐–๓๘๙ ทิฏฐิและการหยั่งลงแหงทิฏฐิเนื่องมาจากการยึดธรรม(คือขันธ) หา ๓๘๓ ธรรม(ขันธ)เปนที่ตั้งแหงความเบื่อหนาย หา ๔๔/ฯลฯ ธรรมจักษุมีไวพจน หา ๕๖๑/๕๖๔/ฯลฯ ธรรมที่ไมเที่ยง หา ๑๙๒ ธรรมเปนที่ตั้งแหงความเบื่อหนาย(อีกนัยหนึ่ง) หา ๔๐ ธรรมเปนที่ตั้งแหงอุปาทานมีวิภาค หา ๓๔๖ ธรรมวินัยที่เปนไปโดยชอบมีลักษณะ หา ๑๘๕ ธรรมวินัยที่ไมเปนโดยชอบมีลักษณะ หา ๑๘๔ ธรรม(สิ่งเปนที่ตั้งของอุปาทาน) หา ๓๔๗ ธรรมอันบุคคลพึงกําหนดรูดวยปญญาอันยิ่ง (อุปาทานขันธ) หา ๓๓๖ นัตถิกทิฏฐิเกิดเพราะยึดในขันธ หา ๑๐๙/ฯลฯ นาม(ในนามรูป) มีวิภาค หา ๒๘/๘๙/ฯลฯ นามรูปมีความเปนอยางนี้ๆ(ตามที่มันเปน) ทําใหเกิดการบัญญัติในรูปแบบ หา ๗๙๐ นิพพานมีลักษณะหรือไวพจน หา ๕๓
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๑๙
บัญญัติที่เปนฐานะ (เพราะบัญญัติแกสิ่งที่มีอยูจริง ) หา ๖๐๓ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนดวยอัสสาทะในุอุปาทานนิยธรรม) มีปจจยาการ หา ๒๑๘/๓๗๖ ปฏิจจฯ(นิโรธวารที่ตั้งตนดวยการเห็นอาทีนวะในสัญโญชนิยธรรม) มีปจจยาการ-หา๒๓๓ ปฏิจจฯ(นิโรธวารที่ตั้งตนดวยการเห็นอาทีนวะในอุปาทานิยธรรมมีปจจยาการ-หา๒๓๑/๓๗๗ ปฏิจจฯเนื่องดวยสัญโญชนิยะมีปจจยาการ หา ๒๑๙/๒๓๓ ปฏิจจฯเนื่องดวยอุปาทานนิยะมีปจจยาการ หา ๒๑๘/๒๓๑/๓๗๖/๓๗๗ ปฏิจจฯ(แหงการเกิดขันธหาโดยสมบูรณ)มีปจจยาการ หา ๒๙๒ ปฏิจจสมุปปนนธรรม(ในกรณีแหงขันธ) หา ๔๒/๒๐๙ ปฏิจจฯ (แหงกลหวิวาทสมุทัย) มีปจจยาการ หา ๕๙๕ ปฏิจจฯ(แหงความสิ้นสุดของโลก) มีปจจยาการ หา ๖๕๙ ปปญจสัญญาสังขาสมุทาจรณบัญญัติเปนบัญญัติสุดทายแหงบัญญัติ หา ๖๐๓ ปจจยาการ (ของปฏิจจฯนิโรธวาที่ตั้งตนดวยการเห็นอาทีนวะในสัญโญชนิยธรรม)-หา๒๓๓ ปจจยาากร (ของปฏิจจฯนิโรธวารที่ตั้งตนดวยการเห็นอาทีนวะในอุปาทานิยธรรม)-หา๒๓๑/๓๗๗ ปจจยาการ (ของปฏิจจฯแหงกลหวิวาทสมุทัย) หา ๕๙๕ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงความสิ้นสุดขอโลก ) หา ๖๕๙ ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯที่ตั้งตนดวยอัสสาทะ) หา ๒๑๘/๓๗๖ ปจจยาการ(แหงฏิจจฯเนื่องดวยสัญโญชนิยะ) หา ๒๑๙/๒๓๓ ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯเนื่องดวยอุปาทานิยะ) หา ๒๑๘/๒๓๑/๓๗๖/๓๗๗ ปญหาที่ควรตั้งขึ้นเปนปญหาเกี่ยวกับธรรม(วิญญาณ-ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน) หา๖๕/๘๐๐ ปญหาที่ไมควรตั้งขึ้นเปนปญหาเกี่ยวกับธรรม(วิญญาณ-ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน ) หา๖๕–๖๗/๗๙๙–๘๐๒ ปุถุชนยอมไรูจักเวทนาโดยธรรมลักษณะ หา ๕๒๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๒๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
ผูเจริญสติปญญาอยาสมบูรณประกอบอยูดวยลักษณะ หา ๖๓๓ ผูที่ควรปฏิบัติตามคือผูประกอบดวยธรรมขันธ หา ๒๘๐ ผูไมหลงใหลในเวทนาเพราะประกอบดวยคุณธรรม หา ๓๖๘ พรหมจรรยที่ทรงประกาศ(สําเร็จ) แลวมีลักษณะ หา ๒๖๕/๔๖๙ พรหมชาลปริยาย(สูตร)มีชื่อตางๆแทนกันไดถึง หา ๗๓๑ พรหมหรือสักกะของผูรูยอมประกอบดวยธรรม หา ๑๓๘ พระธรรมคุณ (ในบางครั้งตรัสไวแตเพียง) หา ๔๓๑ ภยเวร(อันอริยสาวกพึงใหสงบระงับแลวเพื่อความเปนโสดาบัน) หา ๕๓๘ ภิกษุชื่อวาไมไดอยูประพฤติพรหมจรรยเพราะไมรูธรรมลักษณะ หา ๕๐๙ ภิกษุชื่อวาอยูหางไกลจากธรรมวินัยนี้เพราะไมรูธรรมลักษณะ หา ๕๐๙ ภิกษุรูจักผัสสายตนะยิ่งกวาที่สมณพราหมณรู, เพราะรูโดยอาการ หา ๗๒๙ รากฐานแหงปฏิจจฯ(ผัสสายตนะ) อันบุคคลพึงรูโดยธรรมลักษณะ หา ๕๐๙ ลักษณะแหงการไมรูอทุกขมสุขเวทนาตามที่เปนจริง หา ๑๘๙ ลักษณะแหงการรูอทุกขมสุขเวทนาตามที่เปนจริง หา ๓๔๓ ลักษณะแหงการรูอทุกขมแทจริงนิยมแสดงดวยโวหารอันประกอบดวยนัย หา ๑๓๔/๖๘๕ ไวพจน(ของกันและกัน)แหงธรรมในประเภทปญญา หา ๔๖๔/๔๖๖/๔๗๑/๔๗๔/๔๗๗/ ๔๗๙/๕๖๑/๕๖๔/๕๖๖/๕๖๙ ไวพจนแหงคําวา “เที่ยง” (ของพรหม) หา ๗๓๖ สัญโญชนาภินิเวสวินิพันธะเกิดเพราะเขาไปยึดถือในขันธ หา ๓๘๘ สัญโญชนาภินิเวสวินิพันธาชโฌสานะเกิดเพราะเขาไปยึดถือในขันธ หา ๓๘๘ สัญโญชนิยธรรมมีวิภาค หา ๑๓๘ สัสสตทิฏฐิ (เอสิกัฏฐายี) เกิดเพราะยึดในขันธ หา ๑๐๗/๖๙๐/ฯลฯ สิ่งที่เคยหลงกันวาเปน (ปรมทิฏฐธัมม) นิพพาน หา ๗๖๓ สิ่งเปนที่ตั้งแหงความเบื่อหนาย หา ๓๘๓/ฯลฯ สิ่งเปนที่ตั้งแหงความยึดถือ หา ๑๔๓/ฯลฯ สุขและทุกขในภายในเกิดขึ้นเพราะเขาไปยึดถือในธรรม(คือขันธ) หา ๒๘๘ เหตุผล(สําหรับการปรารภความเพียรมีอยูในลักษณะแหงธรรมที่ทรงแสดง) หา ๕๘๖
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๒๑
องคมรรคประเภทปญญาขันธสมาธิขันธ(จักเต็มรอบภายหลังประเภทสีลขันธ) หา๓๓๖ อฐานะ(สิ่งที่มีไมได,เกี่ยวกับการบัญญัติแกสิ่งที่ไมมีอยู) หา ๖๐๙ อนาคามี (ในกรณีแหงโพชฌงคเจ็ด) มีวิภาค หา ๒๘๑ อริยวันยเรียกอารมณ (อฏิฐารมณ) หาวากามคุณ หา ๒๗๑ อวิชชานุสัยยอมนอนตามปุถุชนเพราะไมรูชัดแจงเวทนาโดยธรรมลักษณะ หา๕๒๘ อัตตา(ที่เคยหลงสมมติกันวาบรรลุปรมทิฏฐธัมมนิพพาน) หา ๗๖๓ อัตตาที่ถึงแลวซึ่งปรมทิฏฐธัมมนิพพาน (ทิฏฐิกอนพุทธกาล) หา ๗๖๓–๗๖๕ อันตคาหิกทิฏฐิสิบก็ลวนแตปรารภขันธ หา ๗๑๗ อาการที่มีตอทุกขเวทนาซึ่งทําปฏิฆานุสัยใหนอนตาม หา ๑๘๘/๕๒๗ อาการที่มีตอทุกขเวทนาซึ่งไมทําปฏิฆานุสัยใหนอนตาม หา ๓๔๓/๕๒๙ อายตนะหนึ่งๆมีระยะขั้นตอนเปนที่ตั้งแหงการยึดถือ หา ๒๙๐ อารมณ (มิใชกาม,เปนเพียงกามคุณ) หา ๒๗๑ อินทรีย (ซึ่งมีใจเปนปฏิสรณะ - ที่แลนไปหา) มีวิภาค หา ๖๓๕ อินทรีย มีวิภาค หา ๑๖๔ อินทรียสังวรตออนิฏฐารมณมีอานิสงส(ตามที่ตรัสเปนพิเศษ) โดยลักษณะ หา ๖๓๓ อินทรียสังวรตออิฏฐารมณมีอานิสงส(ตามที่ตรัสเปนพิเศษ) โดยลักษณะ หา ๖๓๒ อุปาทานขันธ มีวิภาค หา ๑๖๔ อุปาทานมีอาการเกิดขึ้นโดยลําดับแหงปจจยาการ หา ๑๒๓/ฯลฯ อุปาทานิยธรรมมีวิภาค หา ๒๑๘/๓๗๖
www.buddhadasa.info ๖ กรรมพึงรูแจงโดยนิพเพธิกลักษณะ หก กังขา(ความสังสัย)ในฐานะ หก กามพึงรูแจงโดยนิพเพธิกลักษณะ หก การกาวลงสูครรภมีเพราะอาศัยธาตุ หก
๒๗๐ ๑๐๘/๖๙๑/ฯลฯ ๒๗๐ ๘๑/๑๐๑/๑๑๕
www.buddhadasa.info
๙๒๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
การกําจัดอุปสรรค (ในขณะเจริญสติปฏฐาน) โดยปจจยาการ หก ๒๗๙ การเกิดแหงโลกมีทางมาโดยอายตนะ หก ๑๗๓/๒๑๖ การดับแหงโลกโดยทางอายตนะ หก ๑๗๕/๒๒๗ การตั้งอยูไมไดแหทุกขทางอายตนะ หก ๙๘/๑๒๕/ฯลฯ การบรรลุอรหันตสุกขวิปสสกไมเกี่ยวกับการบรรลุอภิญญา(ชนิดพิเศษ) หก ๓๖๒ การรูชัดพรหมจรรยนี้วาเปนที่ดับแหงกรรม,เมื่อรูกรรมโดยลักษณะ หก ๒๗๗ การรูชัดพรหมจรรยนี้วาเปนที่ดับแหงกาม,เมื่อรูกามโดยลักษณะ หก ๒๗๓ การรูชัดพรหมจรรยนี้วาเปนที่ดับแหงเวทนา, เมื่อรูเวทนาโดยลักษณะ หก ๒๗๔ การรูชัดพรหมจรรยนี้วาเปนที่ดับแหงสัญญา,เมื่อรูสัญญาโดยลักษณะ หก ๒๗๖ การรูปฏิจจฯไมเกี่ยวกับการบรรลุอภิญญา(ชนิดพิเศษ) หก ๓๖๒ ความเปนโสดาบัน(อีกนัยหนึ่ง)มีไดเพราะการละกังขาในฐานะ หก ๑๐๘/๑๑๑/๖๙๑–๗๐๓ ความรูชัดแจงแหงภูมิพระศาสดาตอธรรมยี่สิบสี่โดยอาการ หก ๔๑๙–๔๒๑ ความรูชัดแจงแหงภูมิอเสขะตอธรรมยี่สิบสี่โดยอาการ หก ๔๑๖–๔๑๘ ความรูผิดแหงภูมิปุถุชนตอธรรมยี่สิบสี่โดยอาการ หก ๔๑๑–๔๑๓ ความรูเริ่มถูกยิ่งขึ้นแหงภูมิเสขะตอธรรมยี่สิบสี่โดยอาการ หก ๔๑๓–๔๑๕ ความรูสึกตอเวทนาตามทิฏฐิเฉพาะอยางของตนๆเนื่องจากผัสสายตนะ หก ๗๒๙ ความเลื่อมใสไมหวั่นไหวในพระธรรมประกอบดวยองคคุณ หก ๕๔๐/๖๔๔ ความสงสัย (กังขา) ในฐานะ หก ๑๐๘/๖๙๑/ฯลฯ ความสงสัยในอริยสัจละไดเพราะละสงสัยในฐานะ หก ๑๐๘/๖๙๑/ฯลฯ ฐานที่ตั้งที่เกิดแหงความสงสัย(กังขา) มีหมวด หก ๑๐๘/๑๑๑/๖๙๑–๗๐๓ ฐานที่ตั้งที่เกิดแหงทิฏฐิทั่วๆไปมีหมวด หก ๖๙๑–๗๐๓ ฐานะ(ที่ตั้งแหงทิฏฐิ) หก ๑๐๘/๖๙๑/ฯลฯ ตัณหามีวิภาค หก ๒๗/๘๗/๔๙๐/ฯลฯ ทางมาแหงทุกขหรือสุขลวนแตขึ้นอยูกับกิจเกี่ยวกับผัสสายตนะ หก ๓๙๐+๔๐๙ ทุกขสมุทยะโดยทางอายตนะ หก ๙๗/ฯลฯ ทุกขอัตถังคมะโดยทางอายตนะ หก ๙๘/๑๒๕/ฯลฯ ทุกขเกิดเพราะไมมีการควบคุมผัสสายตนะ หก ๓๙๐
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๒๓
ทุกขพึงรูแจงโดยนิพเพธิกลักษณะ หก ๒๗๐ ธรรมเปนรากฐานแหงการเกิดปฏิจจฯที่ควรรูฝายปฏิบัติ หก ๓๙๐ ธรรมมีอุปการะมากมีลําดับแหงการปฏิบัติ หก ๒๘๐ ธรรมหมวดละหก (ที่ทรงประสงคแสดงเปนพิเศษ) มีหมวด หก ๔๘๘ ธัมมอเวจจัปปสาทประกอบดวยองคคุณ หก ๕๔๐/๖๔๔ ธาตุ มีวิภาค หก ๑๑๓ นัตถิกทิฏฐิไมเกิดเพราะไมยึดในฐานะ หก ๑๑๐/ฯลฯ นานัตตะ(แตละหมวดทั้งเกาหมวด)มีวิภาคตามอารมณ หก ๕๘๖ นิพเพธิกธรรมมีวิภาค (โดยหมวด) หก ๒๗๐ ปฏิจจฯ(เกี่ยวกับการดับปปญจสัญญาสังขา) มีปจจยาการ หก ๖๑๒ ปฏิจจฯตั้งตนดวยเจตน-ปกัปปน-อนุสัย-แหงจิต มีปจจยาการ หก ๑๖๗ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนดวยราคะในกพฬีการาหาร)มีปจจยาการ หก ๓๒๗ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนดวยราคะในผัสสาหาร) มีปจจายาการ หก ๓๒๘ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนดวยราคะในมโนสัญเจตนาหาร)มีปจจยาการ หก ๓๒๘ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนดวยราคะในวิญญาณาหาร)มีปจจยาการ หก ๓๒๙ ปฏิจจฯ(นิโรธวาร,ที่ตั้งตนดวยไมมีราคะในอาหารสี่) มีปจจยาการ หก ๓๓๐–๓๓๒ ปฏิจจฯมีความสําคัญ หก ๔๒–๖๐ ปฏิจจฯมีลักษณะ หก ๒๕–๔๑ ปฏิจจฯมีวัตถุประสงค หก ๖๑–๗๖ ปฏิจจฯแมตั้งตนดวยอนุสยะ(การปกใจ) เพียงอยางเดียวก็มีปจจยาการ หก ๑๖๘ ปฏิจจฯ(แหงการปฏิบัติชอบโดยไตรทวาร) มีปจจยาการ หก ๕๘๘ ปฏิจจฯ(แหงการปฏิบัติผิดโดยไตรทวาร) มีปจจยาการ หก ๕๘๗ ปฏิจจฯ(แหงการรบราฆาฟงตั้งตนที่เวทนา(แตละอยาง)หก ๕๘๙/๗๘๒ ปฏิจจฯ(แหงที่มีโศกมีธุลีมีความคับแคน)มีปจจยาการ หก ๓๒๘ ปฏิจจฯ(แหงที่ไมมีโศกไมมีธุลีไมความคับแคน)มีปจจยาการ หก ๓๓๑ ปฏิจจฯ(แหงอาคติคติ)มีปจจยาการ หก ๑๖๘ ปฏิจจฯแหงอารัมมณลาภนานัตตะตั้งตนที่ธาตุ (แตละธาตุ) หก ๕๘๕
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๒๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
ปฏิปทา (ธรรม) เปนเครื่องสิ้นกรรมมีลักษณะ หก ๒๐๓ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯเกี่ยวกับการดับปปญจสัญญสังขา) หก ๖๑๒ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯที่ตั้งตนดวยเจตน-ปกับปน-อนุสย-แหงจิต) หก ๑๖๗ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯที่ตั้งตนดวยราคะในกพฬีการาหาร) หก ๓๒๗ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯที่ตั้งตนดวยราคะในผัสสาหาร) หก ๓๒๘ ปจจยากร(ของปฏิจจฯที่ตั้งตนดวยราคะในมโนสัญเจตนาหาร)หก ๓๒๘ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯที่ตั้งตนดวยราคะในวิญญาณาหาร)หก ๓๒๙ ปจจยาการ[ของปฏิจจฯที่แมตั้งตนดวยอนุสยะ(การปกใจ)เพียงอยางเดียว] หก ๑๖๘ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯนิโรธวารที่ตั้งตนดวยไมมีราคะในอาหารสี่) หก ๓๓๐–๓๓๒ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงการปฏิบัติชอบโดยไตรทวาร) หก ๕๘๘ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงการปฏิบัติผิดโดยไตรทวาร) หก ๕๘๗ ปจจยาากร(ของปฏิจจฯแหงที่มีโศกมีธุลีมีความคับแคน) หก ๓๒๘ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงที่ไมมีโศกไมมีธุลี ไมมีความคับแคน) หก ๓๓๑ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงอาคติคติ ) หก ๑๖๗/๑๖๘ ปจจยาการ(นิโรธวาร-พิเศษ) หก ๑๖๘ ปจจยาการ(สมุทยวาร-พิเศษ) หก ๑๖๗ ปจจยาการ(แหงความรูสึกตอเวทนาตามทิฏฐิเฉพาะอยางของตนๆ) หก ๗๒๙ ปาหรือปาชัฏประกอบดวยคุณลักษณะมีไวพจนแกกันและกัน หก ๕๙๘ ผัสสะมีวิภาค หก ๒๘/๘๘/๔๘๙/ฯลฯ ผัสสายตนะมีวิภาค หก ๑๑๓/๓๙๐/๔๑๐ ผูที่ยังไมใชสาวกในศาสนานี้เพราะยังไมรูธรรมลักษณะแหงผัสสายตนะ หก ๕๐๙ ภพมีอาการเกิดขึ้นโดยลําดับแหงปจจยาการ หก ๑๒๔/ฯลฯ มหาปริฬาหนรกมีภาวะไมนาปรารถนา หก ๕๕–๕๖ รากฐานของปฏิจจฯฝายการปฏิบัติคือคูแหงผัสสายตนะ(แตละคู) หก ๓๙๐/๔๑๐ วิญญาณมีทางเกิดโดยคูแหงอายตนะ หก ๙๗/ฯลฯ วิญญาณมีวิภาค หก ๒๘/๘๙/๔๘๙/ฯลฯ เวทนาพึงรูแจงโดยพนิพเพธิกลักษณะ หก ๒๗๐
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๒๕
เวทนามีวิภาค หก ๒๗/๘๘/๔๙๐/ฯลฯ เวทนามีเวมัตตา(จําแนกตามอามิส) หก ๒๗๓ ไวพจนแหงคําที่มีความหมายแหง “กามคุณ” หก ๒๗๑ สตตวิหารธรรมมีวิภาค หก ๒๐๔ สฬายตนะมีวิภาค หก ๒๘/๘๙/ฯลฯ สัญญาพึงรูแจงโดยนิพเพธิกลักษณะ ๒๗๐ สัญญามีวิภาค หก ๒๗๔ สัญญามีเวมัตตา(จําแนกตามอารมณ) หก ๒๗๕ สัญโญชนิยธรรมมีวิภาค หก ๑๓๘ สัญโญชนิยธรรมมีวิภาค (อีกนัยหนึ่ง) หก ๑๓๘ สัสสตทิฏฐิไมเกิดเพราะไมยึดในฐานะ หก ๑๐๗/๖๙๑/ฯลฯ สุขเกิดเพราะมีการควบคุมผัสสายตนะ หก ๔๐๙ สุขและทุกขในภายในมีทางมาโดยอายตนะ หก ๑๕๖ สุขและทุกขในภายในไมอาจเกิดขึ้นเมื่อไมมีทางมา หก ๑๕๗ หมูแหงตัณหามีวิภาค หก ๔๙๐ หมูแหงผัสสะมีวิภาค หก ๔๘๙ หมูแหงวิญญาณมีวิภาค หก ๔๘๙ หมูแหงเวทนามีวิภาค หก ๔๙๐ เหตุแหงทุกขมีทางมาโดยอายตนะ หก ๙๗/ฯลฯ อภิญญา(ชนิดที่ไมเกี่ยวกับความเปนพระอรหันต) หก ๓๖๒ อริยอัฏฐังคิกมรรคเต็มรอบแลวโพธิปกขิยธรรมที่เหลือ-(๖หมวด) ยอมเต็มรอบ หก๓๓๖ อายตนะภายนอกมีวิภาค หก ๔๘๙ อายตนะภายในมีวิภาค หก ๔๘๙ อาสวะพึงรูแจงโดยนิพเพธิกลักษณะ หก ๒๗๐ อุปาทานิยธรรมมีวิภาค หก ๒๑๘/๓๗๖ อุปาทานิยธรรมมีวิภาค (อีกนัยหนึ่ง) หก ๒๑๘/๓๗๖
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๒๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
๗ การรูชัดซึ่งขันธโดยลักษณะ เจ็ด ๓๓๘ กิริยาอาการที่สัตวจะพึงกระทําตออายตนะหก(ภายนอก) มีอาการ เจ็ด ๑๐๗/๑๑๑/ ๖๙๑–๗๐๓ ขอทานที่เปนปูชนียบุคคลมีลักษณะ เจ็ด ๑๔๑ คนตาบอด “ลุกขึ้นหายจากตาบอด” เพราะรูธรรมมีปจจยาการ เจ็ด ๒๖๘ ความรูสึกทางสฬายตนะมีไดโดยอาการ เจ็ด ๑๗๐/๙๐๙/ฯลฯ ความลึกของธรรมที่ตรัสรูแลวไดนํามาสอน (ในระดับทิฏฐิ๖๒) มีลักษณะเจ็ด ๗๓๒/๗๓๕/ฯลฯ คุณลักษณะของพระอรหันต (ทั่วไป) เจ็ด ๔๑๓ ชราลักษณะมีวิภาค เจ็ด ๒๖/๘๖/ฯลฯ ชาติมีอาการเกิดขึ้นโดยลําดับแหงปจจยาการ เจ็ด ๑๒๔/ฯลฯ ชาติลักษณะมีวิภาค เจ็ด ๒๗/๘๖/ฯลฯ ญาณในปฏิจจฯ(แตละปจจยาการทั้ง๑๑หมวด) เจ็ด ๓๕๗ ฐานะ๗ประการที่จําเปนตองรูสําหรับผูเปนอุดมบุรุษ (เกพลีผูอยูจบพรหมจรรย)-เจ็ด๓๔๒/๔๕๑ ฐานะแหงขันธ(แตละขันธ) อันบุคคลพึงรูชัดโดยประการ เจ็ด ๓๓๘/๔๕๑ ทิฏฐบัญญัติวา(ตายแลว)ขาดสูญ,มีจําพวก เจ็ด ๗๒๘ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนดวยการคบสัตบุรุษ) มีปจจยาการ เจ็ด ๒๖๘ ปฏิจจฯนิโรธวาร(ที่ตั้งตนจากผัสสะ) มีปจจยาการ เจ็ด ๖๘/๖๗๖/๘๐๒ ปฏิจจสมุปปนนธรรมทั้งหลายมีลักษณะ เจ็ด ๒๙ ปฏิจจฯ(แหงการขาดที่ตั้งอาศัยสําหรับวิมุตติญาณทัสสนะ) มีปจจยาการ เจ็ด ๖๔๘ ปฏิจจฯ(แหงการอยูดวยความประมาทของอริยสาวก) มีปจจยาการ เจ็ด ๖๔๔ ปฏิจจฯ(แหงปปญจสัญญาสังขาสมุทาจรณะ) มีปจจยาการ เจ็ด ๖๐๑ ปฏิจจฯ (แหงปปญจสัญญาอันทําความเนิ่นชาแกการละอนุสัย)มีปจจยาการ เจ็ด๖๐๖
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๒๗
ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงการขาดที่ตั้งอาศัยสําหรับวิมุตติญาณทัสสนะ) เจ็ด ๖๔๘ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงการอยูดวยความประมาทของอริยสาวก) เจ็ด ๖๔๔ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงปญจสัญญาสังขาสมุทาจรณะ) เจ็ด ๖๐๑ ปจจยาการ (ของปฏิจจฯแหงปปญจสัญญาอันทําการเนิ่นชาแกการละอนุสัย) เจ็ด๖๐๖ ปจจยาการ (แหงปฏิจจฯที่ตั้งตนดวยการคบสัตบุรุษ) เจ็ด ๒๖๘ ปจจยาการ(แหงสัมโพชฌงคที่สมบูรณ)เจ็ด ๒๘๐ ผูฉลาดในฐานะ (แหงขันธ) โดยประการ เจ็ด ๓๓๘ โพชฌงค(ที่ทําวิชชาและวิมุตติใหบริบูรณ)มีวิภาค เจ็ด ๖๓๔ รูปขันธมีลักษณะที่ตองรู เจ็ด ๓๓๘ วัฏฏะไมมีเพื่อจะบัญญัติแกผูหลุดพนแลวเพราะรูเห็นขันธโดยฐานะ เจ็ด ๓๓๙ วิญญาณขันธมีลักษณะที่ตองรู เจ็ด ๓๔๑ เวทนาขันธมีลักษณะที่ตองรู เจ็ด ๓๓๙ สังขารขันธมีลักษณะที่ตองรู เจ็ด ๓๔๐ สัญญาขันธมีลักษณะที่ตองรู เจ็ด ๓๔๐ สัตตกายทิฏฐิปรารภความเปลี่ยนแปลงไมไดแหงกาย เจ็ด ๖๙๖ สัมโพชฌงคที่สมบูรณเปนไปโดยปจจยาการ เจ็ด ๒๘๐ สามัญผลของการเจริญโพชฌงคเจ็ดมีโดยประการ เจ็ด ๒๘๑ สิ่งเปนที่ตั้งแหงความรูสึกทางสฬายตนะโดยอาการ เจ็ด ๑๐๗/๙๐๙ฯลฯ องคแหงการประกาศ เจ็ด ๓๕/ฯลฯ อนุสัย (อันมีมูลมากจาปปญจสัญญา)มีวิภาค เจ็ด ๖๐๕ อรรถแหง “ผัสสะ” คําเดียวสามารถขยายออกเปนปจจยาการ เจ็ด ๖๗๕ อาการแหงการประกาศ เจ็ด ๓๕/ฯลฯ อุจเฉททิฏฐิแหงพวกอุจเฉทวาท (ขาดสูญ) มีประการ เจ็ด ๗๕๘–๗๖๒
www.buddhadasa.info ๘ การเกิดแหงอุปาทานมีปจจยาการ แปด ๑๘๕/๖๕๖ การบัญญัติ “สัตวปญญัติ’ (โดยภาษาคนแตโบราณ) มีจําพวก แปด ๗๗๙ การพิจารณาปฏิจจฯคือการเดินตามอัฏฐังคิกมรรคมีองค แปด ๒๖๕/๔๖๙
www.buddhadasa.info
๙๒๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
การเห็นปฏิจจฯมีผลอานิสงสพิเศษ แปด ๔๒๘ ขันธหาเปนที่ตั้งแหงทิฏฐิและการหยั่งลงดวยทิฏฐิ(รวมดวยกัน) แปด ๓๘๓–๓๘๙ ความเปนโสดาบันพยากรณไดโดยประกอบดวยองคคุณ แปด ๕๓๘ ทิฏฐิบัญญัติวาตายแลวมีสัญญาหรือไมมีสัญญาก็ไมใช,มีจําพวก แปด ๗๒๘ ทิฏฐิบัญญัติวาตายแลวไมมีสัญญา,มีจําพวก แปด ๗๒๘ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทามีองค แปด ๘๓/๑๑๖ แนวปฏิบัติที่ตั้งตนดวยยถาภูตสัมมัปปญญาในเบญจขันธมีลําดับ แปด ๖๕๕ บาปอกุศลอันเกิดจาการหวงกั้น (เนื่องดวยเวทนา) แปด ๕๙๐/๗๘๔ เบื้องตนแหงพรหมจรรย (นัยพิเศษ) คือธรรมปริยายมีปจจยาการ แปด ๒๓๙/๕๐๓/ฯลฯ ปฏิจจฯชนิดที่มีปจจยาการ แปด ๑๒๓/ฯลฯ ปฏิจจฯโดยนัยอริยสัจสี่เห็นไดเมื่อเดินตามรอยทางเกามีองค แปด ๒๖๓/๔๖๗ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนดวยการกระทบทางอายตนะ)มีปจจยาการ แปด ๑๒๓/ฯลฯ ปฏิจจฯ(ที่แสดงแดนเกิดแหงอาหารสี่)มีปจจยาการ แปด ๕๗๕/๕๗๗ ปฏิจจฯ(ที่แสดงแดนเกิดแหงอุปาทานสี่) มีปจจยาการ แปด ๑๘๕/๖๕๖ ปฏิจจฯในรูปแบบที่ทรงนํามาสาธยายเองมีปจจยาการ แปด ๘๐๗ ปฏิจจฯในรูปแบบที่ทรงใหถือวาเปน “เบื้องตนแหงพรหมจรรย” มีปจยาการ-แปด๒๓๙/๕๐๓/ฯลฯ ปฏิจจฯ(แหงการเกิดขึ้นของโลก) มีปจจจยาการ แปด ๑๗๓/๒๑๖ ปฏิจจฯ(แหงการปรินิพพานเฉพาะตน)มีปจจยาการ แปด ๖๕๕ ปฏิจจฯ(แหงการอยูดวยความประมาท) มีปจจยาการ แปด ๖๐๐ ปฏิจจ ฯ (แหงสามัญญผลในปจจุบัน) มีปจจยาการ แปด ๒๘๐/๒๘๑ ปฏิจจฯ(แหงอารัมมณลาภนานัตตะ) มีปจจยาการ แปด ๕๘๕ ปฏิจจฯ(แหงอาหารของอวิชชา) มีปจจยาการ แปด ๖๒๒–๖๒๔ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯที่แสดงแดนเกิดอุปาทานสี่) แปด ๑๖๕/๖๕๖ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯในรูปที่ทรงนํามาสาธยายเอง) แปด ๘๐๗ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯในรูปแบบที่ทรงใหถือวาเปน “เบื้องตนแหงพรหมจรรย”)-แปด๒๓๙/๕๐๓/ฯลฯ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๒๙
ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงการเกิดขึ้นเอง “โลก”) แปด ๑๗๓/๒๑๖ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงการปรินิพพานเฉพาะตน) แปด ๖๕๕ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงการอยูดวยความประมาท) แปด ๖๐๐ ปจจยาการ(ของปฏิจจญแหงอารัมมณลาภนานัตตะ) แปด ๕๘๕ ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯที่ตั้งตนดวยการกระทบทางอายตนะ) แปด ๑๒๓/ฯลฯ ปจจยาการแหงปฏิจจฯที่แสดงแดนเกิดแหงอาหารสี่ แปด ๕๗๕/๕๗๗ มรรคในมรรคสัจมีองค แปด ๘๓/๑๑๖ รอยทางเกา(ของพระพุทธเจา ท.) ก็ประกอบดวยองค แปด ๒๖๓/๔๖๗ ศีลชนิดเปนที่พอใจของพระอริยเจาประกอบดวยคุณลักษณะ แปด ๕๔๑ สิ่งที่เปนที่รักเปนทีออกมาแหงโทษที่อาการ แปด ๕๙๕ เหตุรายอันเกิดจาการหวงกั้น (เนื่องดวยเวทนา) แปด ๕๙๐/๗๘๔ อริยกันตศีลประกอบดวยคุณลักษณะ แปด ๕๔๑/๕๔๕ อัฏฐังคิกมรรคคือทางเกาตลอดอนันตกาลมีองค แปด ๒๖๓/๔๖๗ อานิสสงส(ที่ทําใหสนใจในการเห็นปฏิจจฯ) แปด ๔๓๑ อุทธมาฆาตนิกเนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐี(ตายแลวไมใชมีและไมมีสัญญา) มีประการ-แปด๗๕๖–๗๕๗ อุทธมาฆตนิกอสัญญีทิฏฐิ (ตายแลวไมมีสัญญา) มีประการ แปด ๗๕๔/๗๕๕
www.buddhadasa.info ๙ การเกิดแหงวิชชาทําใหไมมีการจับฉวย เกา ๑๖๕ การบวชที่ไมเปนการบวชประกอบดวยโทษ เกา ๑๔๒ การรูปฏิจจฯโดยอริสัจสี่ประสบอานิสงสมีไวพจน เกา ๙๒/๓๕๓/๕๓๓ การรูปจจยธรรมโดยนัยแหงอริยสัจสี่ทําใหประสบอานิสงสมีไวพจน เกา ๕๓๗
www.buddhadasa.info
๙๓๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
ความถึงทับจับฉวย (ดวยทิฏฐิ) มีวิภาค เกา ๑๖๕ ความเลื่อมใสไมหวั่นไหวในพระพุทธเจาประกอบดวยองคคุณ เกา ๕๔๐/๖๔๕ ความเลื่อมใสไมหวั่นไหวในพระสงฆประกอบดวยองคคุณ เกา ๕๔๐/๖๔๔ ความหมายแหงคําวา “มหาพรหม’ แหงลัทธิภายนอกมีปริยาย เกา ๗๓๖ ชื่อวา “อยูไกลพระพุทธองค” เพราะจิตมีอาการ เกา ๑๓ ทิฏฐิ(เนื่องดวยการจับฉวย) มีวิภาค เกา ๑๖๕ นานัตตะ(:ความตางแหงพฤติของจิตที่มีความหลงในธาตุ) มีวิภาค เกา ๕๘๕ ปฏิจจฯ[ที่ตั้งตนจากนามรูป(แบบหนึ่ง)] มีปจจยาการ เกา ๓๔ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนดวยอัสสาทะในสัญโญชนิยธรรม) มีปจจยาการ เกา ๑๓๘ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนลงไปจากวิญญาณ)มีปจจยาการ เกา ๕๓๑ ปฏิจจฯ(นิโรธวารที่ตั้งตนดวยการเห็นอาทีนวะในสัญโญชนิยธรรม) มีปจจยาการ-เกา๑๓๙ ปฏิจจฯเนื่องดวยสัญโญชนิยะมีปจจยาการ เกา ๑๓๘–๑๔๐ ปฏิจจฯ(แหงการเกิดขึ้นของ “โลก”) มีปจจยาการ เกา ๕๓๑ ปฏิจจฯ(แหงการละองคสามตามลําดับโดยปฏิโลม)มีปจจยาการ เกา ๓๑๗ ปฏิจจฯ(แหงการไมละองคสามตามลําดับโดยอนุโลม) มีปจจยาการ เกา ๓๑๙ ปฏิจจฯ(แหงการไมละองคสามตามลําดับโดยปฏิโลม) มีปจจยาการ เกา ๓๒๐ ปฏิจจฯ(แหงการละองคสามตามลําดับโดยอนุโลม) มีปจจยาการ เกา ๓๒๑ ปฏิจจฯ(แหงอาหารของภวตัณหา) มีปจจยาการ เกา ๖๒๖–๖๒๗ ปฏิจจฯ(แหงอาหารของวิชชาและวิมุตติ) มีปจจยาการ เกา ๖๒๘–๖๒๙ ปจจยาการ เกา ๑๓๘/๑๔๐ ปจจยาการ [ของปฏิจจฯที่ตั้งตนจากนามรูป(แบบหนึ่ง)]เกา ๓๔ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯที่ตั้งตนลงไปจากวิญญาณ) เกา ๕๓๑ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯนิโรธวารที่ตั้งตนดวยการเห็นอาทีนวะใน-สัญโญชนิยธรรม) เกา๑๓๙ ปจจยาการ (ของปฏิจจฯแหงการเกิดขึ้นของ “โลก” ) เกา ๕๓๑ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงอาหารของภวตัณหา) เกา ๖๒๖–๖๒๗ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงอาหารของวิชชาและวิมุตติ) เกา ๖๒๘–๖๒๙
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๓๑
ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯที่ตั้งตนดวยอัสสาทะในสัญโญชนิยธรรม) เกา ๑๓๘ ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯเนื่องดวยสัญโญชนิยะ) เกา ๑๓๘–๑๔๐ ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯในการละและไมละองคสาม ) เกา ๓๑๗–๓๒๒ ผูรูทั่วถึงเหตุเกิดและดับแหงโลกชื่อวาอริยสาวกประกอบดวยเกียรติคุณมีไวพจน-เกา๕๑๒/๕๓๒ พุทธอเวจจัปปสาทประกอบดวยองคคุณ เกา ๕๔๐/๖๔๕ เวทนาจากอวิชชาสัมผัสใหเกิดการจับฉวย เกา ๑๖๕ ไวพจนของโสดาบัน เกา ๙๒/๓๕๓/๕๑๒/๕๓๒/๕๓๗ สังฆอเวจจัปปสาทประกอบดวยองคคุณ เกา ๕๔๐/๖๔๔ โสดาบันผูมีญาณสองประกอบดวยองคคุณ เกา ๓๕๓ โสดาบันมีไวพจน เกา ๙๒/๓๕๓/๕๑๒/๕๓๒/๕๓๗
๑๐ การรบราฆาฟนกันมีปจจยาการ สิบ ๕๘๙/๗๘๒ ความฉงนและความรูแจงเกี่ยวกับปฏิจจฯมีเงื่อนงํา สิบ ๔๖๒–๔๖๕/๕๕๙–๕๖๘ ความเปนพระอรหันตเต็มมาไดโดยลําดับโดยอาการ สิบ ๖๕๐–๖๕๑ แดนเกิดดับแหงทุกข โรค ชรา มรณะ จําแนกโดยธรรมมีหมวด สิบ ๒๒๐–๒๒๖ “ตาบอดคลําชาง” เปนอุปมาสํารับพวกยึดถืออันตคาหิกทิฏฐิ สิบ ๗๗๑ ทศพลญาณ (ดู พุ.โอ.หัวขอวา “ทรงมีตถาคตพลฯาณสิบ”)สิบ ๔๗๙/๔๘๕ ทิฏญิ(อันตคาหิก: แลนไปจับเอาที่สุด)มีวิภาค สิบ ๔๘๑/๖๙๘/๗๑๐/๗๑๗/๗๓๓/๗๖๙ “ธรรมดา” ของความที่ “ธรรมไหลไปสูธรรม” มีอาการ สิบ ๘๐๕ ธรรมไหลไปสูธรรมโดยไมตองมีใครเจตนามีอาการ สิบ ๘๐๕ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนจากวิญญาณชนิดที่เวียนกลับจากนามรูป) มีปจจยาการ สิบ ๕๖๓/๔๖๕/๕๖๑/๕๖๓/๕๖๖/๕๖๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๓๒
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
ปฏิจจฯที่ตั้งตนจากศีลสมบูรณ(จนถึงวิมุตติญาณทัสสนะ) มีปจจยาการ สิบ ๘๐๕ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนดวยอัสสาทะในสัญโญชนิยธรรม) มีปจจยาการ สิบ ๑๗๐ ปฏิจจฯนิโรธวาร (ที่ตั้งตนจากนามรูป) มีปจจยาการ สิบ ๔๖๕/๕๒๐/๕๖๓/๕๖๘ ปฏิจจฯ(นิโรธวารที่ตั้งตนดวยการเห็นอาทีนวะในสัญโญชนิยธรรม)-มีปจจยาการ สิบ๑๗๑ ปฏิจจฯเนื่องดวยสัญโญชนิยะมีปจจยาการ สิบ ๑๗๐–๑๗๒ ปฏิจจฯแบบที่ตรัสโดยพระพุทธเจาวิปสสีแบบหนึ่ง) มีปจจยาการ สิบ ๕๕๙ ปฏิจจฯ(เพื่อความสมบูรณแหงอรหัตตผล)มีปจจยาการ สิบ ๖๔๙–๖๕๐ ปฏิจจฯ(แหงการขาดที่ตั้งอาศัยสําหรับวิมุตติญาณทัสสนะ) มีปจจยาการ สิบ ๖๔๖ ปฏิจจฯ(แหงการมีเรื่องราวอันเกิดจากการหวงกั้น) มีปจจยาการ สิบ ๕๘๙/๗๘๒ ปฏิจจฯ(แหงการรบราฆาฟนกัน) มีปจจยาการ สิบ ๕๘๙/๗๘๒ ปฏิจจฯ(แหงวิมุตติญาณทัสสนะ)มีปจจยาการ สิบ ๘๐๕ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯนิโรธวาที่ตั้งตนดวยการเห็นอาทีนวะในสัญโญชนิยธรรม)-สิบ๑๗๑ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯ เพื่อความสมบูรณแหงอรหัตตผล) สิบ ๖๔๙–๖๕๐ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯ แหงการขาดที่ตั้งอาศัยสําหรับวิมุตติญาณทัสสนะ) สิบ๖๔๖ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯ แหงการมีเรื่องราวอันเกิดจากการหวงกั้น) สิบ๕๘๙/๗๘๒ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯ แหงการรบราฆาฟนกัน) มีปจจยาการ สิบ ๕๘๙/๗๘๒ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯ แหงวิมุตติญาณทัสสนะ) มีปจจยาการ สิบ ๘๐๕ ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯ ที่ตั้งตนจากวิญญาณชนิดที่เวียนกลับจากนามรูป) สิบ ๔๖๓/๔๖๕/๕๖๑/๕๖๓/๕๖๘ ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯ ที่ตั้งตนดวยอัสสาทะในสัญโญชนิยธรรม)สิบ ๑๗๐ ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯ เนื่องดวยสัญโญชนิยะ) สิบ ๑๗๐–๑๗๒ ปยรูปสาตรูปหมวดกายมีวิภาค สิบ ๓๐๙ ปยรูปสาตรูปหมวดฆานะมีวิภาค สิบ ๓๐๘ ปยรูปสาตรูปหมวดจักษุมีวิภาค สิบ ๓๐๘
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๓๓
ปยรูปสาตรูปหมวดชิวหามีวิภาค สิบ ๓๐๘ ปยรูปสาตรูปหมวดมโนมีวิภาค สิบ ๓๐๙ ปยรูปสาตรูปหมวดโสตะมีวิภาค สิบ ๓๐๘ มรณลักษณะมีวิภาค สิบ ๒๖/๘๖/ฯลฯ โมฆสัจ(สัจจภินิเวส) ที่ตางลัทธิตางยึดมั่นและดูหมิ่นกัน สิบ ๔๘๑/๔๖๙ สัจจะที่ไมทรงพยากรณ(คืออันตคาหิกทิฏฐิ) มีวิภาค สิบ ๔๘๑–๔๘๓ สัจจะ(สัจาภินิเวส) ที่ผลัดกันกลาวหากันและกันวาโมฆะ สิบ ๔๘๑/๗๖๙ เหตุ(หรือปจจัย)แหงทุกขมีชื่อตางๆกัน(โดยไวพจน) สิบ ๕๕๐–๕๕๘ อริยญายธรรมหรือปฏิจจฯเปนสิ่งที่ปองกันไมใหเกิดอันตคาหิกทิฏฐิ สิบ ๔๘๕ อุปมา(ของความสิ้นไปแหงทุกขอันใหญหลวงระดับโสดาบัน) สิบ ๔๓๕–๔๔๐
๑๑ การพิจารณาเพื่อความสิ้นทุกขโดยชอบมีวิธีแหงการพิจารณา สิบเอ็ด ๔๔๔–๔๔๖ ขันธแตะลขันธจําแนกโดยรายละเอียด สิบเอ็ด ๑๔๓/๒๘๖ ความฉงนและความรูแจงเกี่ยวกับปฏิจจฯมีเงื่อนงํา สิบเอ็ด ๔๗๐/๔๗๒/๔๗๔/๔๗๗ ความพอใจในอรหัตตผลชนิดที่มีโดยลําดับ สิบเอ็ด ๖๕๒ ความสิ้นทุกขโดยชอบคือความดับไมเหลือแหงอาการของปฏิจจฯสิบเอ็ด ๔๔๕–๔๔๖ ฐานะ(ความเปนไปได) ในการกาวลวงปฏิจจสมุปปนนธรรม สิบเอ็ด ๔๓๒–๔๓๔ ทุกขในทุกขสัจมีวิภาค สิบเอ็ด ๘๒/๑๑๕ ธรรมที่ทรงขอรองใหปลงความเชื่ออยางปราศจากเคลือบแคลงสงสัย-(คือปจจยาการ) สิบเอ็ด๔๕๑ ธรรมธาตุ(เกี่ยวกับอิทัปปจจยาตาปฏิจจฯ)มีอาการ สิบเอ็ด ๓๔–๓๗/๔๔–๕๑ นิโรธในนิโรธสัจ(โดยพิศดาร) มีปจจยาการ สิบเอ็ด ๘๒/๑๑๖ ปฏิจจฯ ตั้งตนดวยเจน-ปกัปปน-อนุสย-แหงจิต มีปจจยาการ สิบเอ็ด ๑๖๖/๕๖๙ ปฏิจจฯ ตั้งตนดวยอนุสยะแหงจิตก็มีปจจยาการ สิบเอ็ด ๑๖๖/๕๗๐ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนจากอวิชชาา)มีปจจยาการ สิบเอ็ด ๖/ฯลฯ
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
๙๓๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
ปฏิจจฯนิโรธวาร(ที่ตั้งตนจากอวิชชา) มีปจจยาการ สิบเอ็ด ๖/ฯลฯ ปฏิจจฯ(ที่ตั้งตนดวยอวิชชา)มีปจจยาการ สิบเอ็ด ๖/ฯลฯ ปฏิจจฯ(แบบที่ตรัสโดยพระพุทธเจาวิปสสีแบบหนึ่ง)มีปจจยาการ สิบเอ็ด ๔๗๔ ปฏิจจฯ(สุมทยวาร (ที่ตั้งตนดวยอวิชชา) มีปจจยาการ สิบเอ็ด ๖/ฯลฯ ปฏิจจสมุปปนนธรรมที่เปนผล สิบเอ็ด ๒๙–๓๑ ปฏิจจสุมปนนธรรมที่เปนเหตุ สิบเอ็ด ๒๙–๓๑ ปฏิจจสมุปนนธรรมที่อาจถูกนําไปกลาวอยางเปนอัตตา (ดวยอัตตานุทิฏฐิ)-สิบเอ็ด๖๗๗–๖๘๔ ปฏิจจฯ(แหงการเกิดขึ้นเอง “โลก” )มีปจจยาการ สิบเอ็ด ๕๑๑ ปฏิจจฯ(แหงบรมสัจจะ)มีปจจยาการ สิบเอ็ด ๖๕๒ ปจจยาธรรม(ธรรมที่เปนปจจัยแหงธรรมอื่น) มีวิภาค สิบเอ็ด ๕๓๗ ปจจาการ(ของปฏิจจฯตั้งตนดวยเจตน-ปกัปปน-อนุสย-แหงจิต)สิบเอ็ด ๑๖๖/๕๖๙ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯตั้งตนดวยอนุสยะแหงจิต) สิบเอ็ด ๑๖๖/๕๗๐ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงการเกิดขึ้นของ “โลก”) สิบเอ็ด ๕๑๑ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯแหงบรมสัจจะ) สิบเอ็ด ๖๕๒ ปจจยาการ(นิโรธวาร-พิเศษ) สิบเอ็ด ๑๖๗/๕๗๑ ปจจยาการ(สมุทยาวาร-พิเศษ)สิบเอ็ด ๑๖๖/๕๖๙ ปจจยาการ(แหงปฏิจจฯที่ตั้งตนดวยอวิชชา) สิบเอ็ด ๖/ฯลฯ พระศาสดาและสาวกมีการเห็นและกลาวตรงกันปจจยาการ สิบเอ็ด ๔๙๔/๔๙๗ มิจฉาปฏิปทาชนิดที่มีปจจยาการ สิบเอ็ด ๒๕๗ สมุทัยในสมุทยสัจ(โดยพิศดาร)ปจจยาการ สิบเอ็ด ๘๒/๑๑๕ สัมมาปฏิปทาชนิดที่มีปจจยาการ สิบเอ็ด ๒๕๘ อฐานะ(ความเปนไปไมได) ในการกาวลวงปฏิจจสมุปปนนธรรม สิบเอ็ด ๓๗๘–๓๘๑ อันตคาหิกทิฏฐิสิบเกิดขึ้นเพราะปจจัยคือความไมแจมแจง (ในขันธ) โดยอาการ-สิบเอ็ด๗๑๗ อาการเขามา-ออกไป (ดุจน้ําไหล) ในกระแสปฏิจจฯ สิบเอ็ด ๔๑
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๓๕
อานิสงสแหงการ “เดินตามรอยทางเกา”สิบเอ็ด อุปมาแหงการทําลายรากเหงาของกิเลสมีระยะ สิบเอ็ด
๒๖๓/๔๖๗ ๑๔๐/๓๗๗
๑๒ การบรรลุวิมุตติของกุลบุตรในศาสนานี้มีขั้นตอน สิบสอง ๓๖๗ การปฏิบัติธรรม “สมควรแกธรรม” ที่หนึ่งดวยปฏิจจสมุปปนนธรรม สิบสอง ๒๖๖/๕๒๐–๕๒๖ ธรรมเปนอุปการระแกกันและกันจนกระทั่งถึงสัจจานุปตติมีลําดับ สิบสอง ๖๓๘–๖๔๒ ปฏิจจสมุปปนนธรรม (ในกรณีปฏิจจฯ) สิบสอง ๒๙–๓๑ ปฏิจจ ฯ (แหงมิคสัญญีสัตถันตรกัปป ) มีปจจยาการ สิบสอง ๕๘๑ ปฏิจจฯ(แหงสัจจานุโพธ :รูตามบุคคลที่ควรรูตาม) มีปจจยาการ สิบสอง ๖๓๗ ปจจยาการ (ของปฏิจจฯแหงมิคคสัญญีสัตถันตรกัปป) สิบสอง ๕๘๑ ปจจยาการ (ของปฏิจจฯแหงสัจจานุโพธ :รูตามบุคคลที่ควรรูตาม) สิบสอง ๖๓๗ ผูไมรูปฏิจจฯ โดยวิธีอริยสัจสี่ตรัสวายังมีหนาที่อีก สิบสอง ๒๔๕/๒๕๖ สัจจานุปตติ(การตามบรรลุซึ่งสัจจธรรม) มีอาการแหงขั้นตอน สิบสอง ๖๓๘ สัจจานุโพธ (การรูสัจจะตามบุคคลที่ควรรูตาม) มีอาการแหงขั้นตอน สิบสอง ๖๓๗ หนาที่สําหรับผูไมรูปฏิจจฯ โดยอริยสัจสี่มี สิบสอง ๒๔๕–๒๕๖ อวิชฃาแทรกแซงการปรุงแตงสุขทุกขโดยอาการ สิบสอง ๑๖๒
www.buddhadasa.info ๑๔ ความวิปริต (ที่จักปรากฏเมื่อมนุษยมีอายุขัยสิบป) มีอยาง สิบสี่ ปฏิจจฯ(แหงทุพพลภาวะของมนุษยโลก) มีปจจยาการ สิบสี่ ปจจยาการ (ของปฏิจจฯแหงทุพพลภาวะของมนุษยโลก) สิบสี่
๕๘๔ ๕๘๐ ๕๘๐
www.buddhadasa.info
๙๓๖
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
๑๕ ทิฏฐิปรารภความสงสัยเปนไปในกาลสาม (สามหมวด) รวม สิบหา๔๒๕
๑๖ ทิฏฐิบัญญัติวาตายแลวมีสัญญา, มีจําพวก สิบหก ๗๒๘ นัตถิกทิฏฐิมีวัตถุ สิหก ๑๐๘/๖๙๓/ฯลฯ อุทธมาฆตนิกสัญญีทิฏฐิ (ตายแลวมีสัญญา) มีประการ สิบหก ๗๕๐–๗๕๓
๘ ตัณหาวิจริตจับยึดขันธภายนอก สิบแปด ตัณหาวิจริตยึดขันธภายใน สิบแปด ทิฏฐิบัญญัติปรารภปุพพันตชันธรวม๕กลุม,มีจําพวก สิบแปด ทิฏฐิผิด (ชั้นหัวหนาที่ควรเขาใจกันไวกอน) มีชนิด สิบแปด ทิฏฐิ๖๒ หมวดที่๑ มีหมวดยอย ๕หมวด รวมเปนทิฏฐิ สิบแปด ปุพพันตกัปปกวาทผูมีปุพพันตานุทิฏฐิมีประการ สิบแปด มโนปวิจารมีวิภาค สิบแปด
๑๐๓ ๑๐๒ ๗๒๗ ๖๙๐ ๗๓๒–๗๔๘ ๗๓๒/๗๔๙ ๑๑๔
www.buddhadasa.info ๒๐ การตามเห็นขันธหา (ในความหมายแหงตัวตน) โดยอากร ยี่สิบ ๓๐๐–๓๐๒/ฯลฯ การตามเห็นขันธหาเปนอัตตามีอาการ ยี่สิบ ๑๖๔/ฯลฯ การไมตามเห็นขันธหา(ในความหมายแหงตัวตน) โดยอาการ ยีส่ ิบ ๓๐๓–๓๐๕
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๓๗
สังขาร (ที่มีความหมายพิเศษ) ชนิดที่หนึ่งมีอาการแหงอัตตานุทิฏฐิ ยี่สิบ ๑๙๒–๑๙๕ อัตตานุทิฏฐิมีวิภาค ยี่สิบ ๑๖๔/๑๙๕/๓๐๐ อุปาทานขันธมีวิภาค (โดยพิศดาร) ยี่สิบ ๑๖๔/ฯลฯ
๒๒ ปจจัยแหงเวทนา (โดยพิศดาร) ยี่สิบสอง
๑๕๒
๒๓ ธรรมเปนที่เขาไปตั้งอาศัยของธรรม ยี่สิบสาม ๖๑๖–๖๒๐ ปฏิจจฯที่ยิ่งกวาปฏิจจฯ (ถอยหลังจากดับทุกขไปสูเหตุแหงทุกข) มีปจจยาการ-ยี่สิบสาม๖๑๖–๖๒๐ ปจจยาการ(ของปฏิจจฯที่ยิ่งกวาปฏิจจฯ)ยี่สิบสาม ๖๑๖–๖๒๐ อาสวะสิ้นไปโดยรวดเดียวเมื่อรูเห็นสังขารสี่โดยอาการ ยี่สิบสาม ๑๙๓–๑๙๙
๒๔
www.buddhadasa.info ธรรมเปนที่ตั้งแหงการกําหนด (เพื่อใหรูซึ่งปุถุชัน-เสข-อเสข-ศาสดาภูมิ)-ยี่สิบสี่๔๑๑–๔๒๑ สิ่งเปนที่ตั้งแหงความรูสึก-ยึดถือ-สําคัญมั่นหมาย-เพลิดเพลิน(โดยสิ้นเชิง)-ยี่สิบสี่ ๔๑๑–๔๒๒
๒๖ ทิฏฐิผิด(ขยายความตออกไปจากทิฏฐิสิบแปด) มีชนิด ยี่สิบหก
๗๐๔
www.buddhadasa.info
๙๓๘
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
๒๗ อกุศลธรรม (เนื่องดวยเหตุที่ตองมีการเกิดแหงตถาคต) เกาหมวดหมวดลงสาม-ยี่สิบเจ็ด ๓๑๗–๓๒๒
๓๐ ธรรมเปนที่ตั้งแหงการเห็นอนิจจัง (หกหมวด,หมวดละหา) สามสิบ ๒๙๑ ธรรมเปนที่ตั้งแหงความเบื่อหนาย (อีกนัยหนึ่ง) หกหมวด, หมวดละหา สามสิบ ๓๔๖–๓๔๘ ธรรมมีนิมิตเปนที่ตั้งแหงความยึดถือ(หกหมวด,หมวดละหา) สามสิบ ๒๙๐
๓๖ คํากลาวที่เขาถึงฐานะแหงเหตุผล(กลาวอนัตตาของอายตนะและสหคตธรรม)-สามสิบหก๔๙๑ คํากลาวที่ไมเขาถึงฐานะแหงเหตุผล (กลาวอัตตาของอายตนะและสหคตธรรม)-สามสิบหก ๔๙๐–๔๙๑ คําอนุโมทนา ในการแสดงปฏิจจสมุปปนนธรรมสิบสอง, อยางละสามๆ,สามสิบหก ๕๒๐ ตัณหาวิจริต (ประมวลโดยขันธที่จับยึด) สามสิบหก ๑๐๕ วัตถุ(สิ่งเปนที่ตั้ง) แหงความสําคัญผิดวาอัตตา(หกหมวด,หมวดละหก)-สามสิบหก๔๙๑ วัตถุ (สิ่งเปนที่ตั้ง) แหงความเห็นถูกตองวาอนัตตา (หกหมวด,หมวดละหก)-สามสิบหก๔๙๒
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๓๙
๔๑ ปจจัยแหงเวทนา (โดยพิศดาร) สี่สิบเอ็ด
๑๕๔
๔๔ ญาณวัตถุ (เกี่ยวกับปฏิจจฯ สิบเอ็ดหมวด, หมวดละสี่) สี่สิบสี่ ทิฏฐิบัญญัติปรารภอปรันตขันธรวม ๕ กลุม,มีจําพวก สี่สิบสี่ ทิฏฐิ๖๒ หมวดที่ ๒ มีหมวดยอย ๕ หมวด,รวมเปนทิฏฐิ สี่สิบสี่ อปรันตกัปปกวาทผูมีอปรันตนุทิฏฐิมีประการ สี่สิบสี่
๓๕๐ ๗๒๘ ๗๕๐–๗๖๖ ๗๕๐–๗๖๖
๕๔ อารมณ (แหงนานัตตะเกาหมวด,หมวดละหก) หาสิบสี่
๕๘๖–๕๘๗
๕๙ แดนเกิดดับแหงทุกขโรคชรามรณะจําแนกโดยขอธรรมเรียงอยาง หาสิบเกา๒๒๐–๒๒๖
www.buddhadasa.info ๖๐
ตัณหามีแดนเกิดแดนตั้งอยูสิบหมวด(หมวดละหก) หกสิบ ๓๐๘ ทุกขสมุทัย (ตัณหา) อาศัยเปนไปในปยรูปสาตรูป หกสิบ ๓๐๘ ปยรูปสาตรูป (ที่เกิดที่ตั้งอยูแหงตัณหา) สิบหมวด (หมวดละหก) หกสิบ ๓๐๘ สิ่งที่ภาวะเปนที่รักเปนที่ยินดี (ปยรูปสาตรูป) สิบหมวด (หมวดละหก) หกสิบ ๓๐๘
www.buddhadasa.info
๙๔๐
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
๖๒ การชนะสงครามอันสูงสุด (อนุตตรสังคามวิชัย) คือการทําลายขายแหงทิฏฐิ หกสิบสอง ๗๓๑ ความรูสึกผิดๆของผูไมรูปฏิจจฯมีผลออกมาเปนทิฏฐิ หกสิบสอง ๗๒๓–๗๒๖ ความหวาดเสียวสั่นคลอนแหงจิตดวยตัณหาคือบอเกิดแหงทิฏฐิ หกสิบสอง ๗๒๓–๗๒๖ ทิฏฐิ (แตละอยาง) เปนเพียงผลแหงความหวาดเสียวสั่นคลอนแหงใจของผูมีตัณหา-หกสิบสอง๗๒๓–๗๒๖ ผลแหงความไมมีสัมมาทิฏฐิในปฏิจจฯ ก็คืมิจฉาทิฏฐิ หกสิบสอง ๗๓๒ ผัสสะคือปจจัยแหงเวทนาอันใหเกิดทิฏฐิเฉพาะอยางตน หกสิบสอง๗๑๙–๗๒๒ วัตถุ(ที่ทําสมณพราหมณใหตกอยูใ นขายแหงทิฏฐิ) หกสิบสอง ๗๒๒/๗๒๖/๗๓๐/๗๖๗ ฐานะ (การไมมีผัสสะแลวจะมีเวทนาอันใหเกิดทิฏฐิเฉพาะอยาง) หกสิบสอง ๗๑๙–๗๒๒
๗๗ ญาณวัตถุ (เกี่ยวกับปฏิจจฯสิบเอ็ดหมวด,หมวดละเจ็ด) เจ็ดสิบเจ็ด
๓๕๗
๑๐๘ www.buddhadasa.info ตัณหาวิจริต(ประมวลโดยกาลและขันธ) หนึ่งรอยแปด ๑๐๕ สักกายะ(มีนัยสามเปนไปในวัตถุที่ตั้งหกหมวด,หมวดละหก) หนึ่งรอยแปด ๔๙๑
๒๒๐๐ อันตคาหิกทิฏฐิสิบมีทางที่จะขยายออกไปไดโดยนัย สองพันสองรอย
๗๑๗
www.buddhadasa.info
ลําดับหมวดธรรม
๙๔๑
หมวดคํานวณไมได การบรรลุคุณวิเศษ (ระหวางลัทธิ) ที่ตางกันถึงขนาดยิ่งกวา หนึ่งตอแสน ๕๔๓ พอสักวาบรรลุโสดาบัน, ทุกเหลืออยูไมถึง หนึ่งในแสน ๔๓๕/ฯลฯ อุปมาแหงคุณวิเศษ (ระหวางลัทธิ) ที่ตางกันถึงขนาดยิ่งกวา หนึ่งตอแสน ๕๔๒ ---------------------------------
www.buddhadasa.info
www.buddhadasa.info