๒๕ ม.ค. ๕๐
ฉบับที่ ๐๐๔
Free Online Magazine
ธรรมะใกล้ ต ว ั dharma at hand
ธรรมะสำหรับคนยุคใหม่ ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม http://dungtrin.com/dharmaathand/
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว
ไดอารีห ่ มอดู
เที่ยววัด
วันตายที่แน่นอนมีจริงหรือไม่? การยืดอายุมีความเป็น ไปได้จริงเพียงใด?
ราหูครอบดวง คืออะไร หากประสบเข้าแล้ว ต้องแก้ไขอย่างไรบ้าง
ตามคุณ mari ไปแอ่วเหนือ สัมผัสกับบรรยากาศสัปปายะ ณ วัดอินทราวาส
หน้า ๑๐
หน้า ๒๔
หน้า ๕๖
ธรรมะจากพระผู้รู้
จิตไม่ ใช่ของเรา เราไม่ ใช่จิต แล้วเราอยู่ ไหนกัน? การที่ยกแขน ยกขา นั่งเดินได้ตามใจ ทำให้เข้าใจว่าจิตสั่งรูปได้อยู่เรื่อย
๖
dhamma at hand
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว
๑๐
เขียนให้คนเป็นเทวดา
๑๗
ไดอารี่หมอดู
๒๔
กวีธรรม
๒๗
คำคมชวนคิด
๓๐
สัพเพเหระธรรม
๓๒
ธรรมะจากคนสู้กิเลส
๓๕
ของฝากจากหมอ
๓๙
วันตายที่แน่นอนมีจริงหรือไม่? การยืด อายุมีความเป็นไปได้จริงเพียงใด? วิธีตั้งชื่อเรื่องให้แตกต่างและโดนใจ ราหูครอบดวง
ยอม, ชีวติ , เตรียมตัวตาย
งานด้อยค่า หน้าสดใส ใจเปี่ยมสุข ผมเป็นเกย์
วัคซีนใจ, อาหารกับชีวติ
๔๖
เรื่องสั้นอิงธรรมะ
๔๙
สิ่งที่อยู่ ในกำมือ
เที่ยววัด
๕๖
ธรรมะปฏิบัติ
๖๐
วัดอินทราวาส การเรียนรู้จริตนิสัยวาสนาของตัวเอง
ศรันย์ ไมตรีเวช อลิสา ฉัตรานนท์ สุภิดา โหนกนุ่ม ปรียาภรณ์ เจริญบุตร ศิราภรณ์ อภิรัฐ เอกอร อนุกูล กฤษฎ์ อักษรวงศ์ ณัฐชญา บุญมานันท์ อนัญญ์อร ยิ่งชล กาญจนา สิทธิแพทย์ วรางคณา บุตรดี อนุสรณ์ ตรี โสภา สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ อนัญญา เรืองมา กานต์ ศรีสุวรรณ ศดานัน จารุพูนผล ชนินทร์ อารีหนู และทีมงานท่านอื่นๆ
แง่คิดจากหนัง
บั้งไฟศรัทธา ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑
ธรรมะใกล้ตัว
ธรรมะใกล้ตัว เป็น Free Online Magazine ที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังของผู้อ่านทุกท่าน มาร่วมเป็นอีกหนึ่งกำลัง ที่ช่วยสร้างภาพใหม่ ให้ กับพระพุทธศาสนา ด้วยการร่วมส่งบทความ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ท้ายเล่ม หรือที่ http://dungtrin.com/dharmaathand/
จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว สวัสดีค่ะ
เมื่อสักครู่เข้าไปเดินเล่นในออฟฟิศกอง บ.ก. มาค่ะ เห็นทีมงานแต่ละคนกำลังชูต้นฉบับเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง ผลัดกันแจ้งว่า ตรวจปรู๊ฟต้นฉบับเรื่องนี้เสร็จแล้วนะ... เรื่องนี้เข้าคลังเตรียมลงได้แล้วนะ... ตกลงคอลัมน์นี้ สัปดาห์นี้จะเอาเรื่องอะไรลง... เอ้า มาช่วยกันดูหน่อยว่าฉบับนี้ ปกแบบไหนสวยกว่ากัน... เทมเพลทแบบนี้ดีไหม ....... ฯลฯ ก็คงคล้าย ๆ กับบรรยากาศเวลาใกล้ปิดเล่ม เหมือนสำนักงานนิตยสารทั่วไปกลาย ๆ ล่ะมั้งคะ ......แต่กลางชลไม่ได้เดินไปที่ไหนจริง ๆ หรอกนะคะ : ) ยังนั่งอยู่กับเก้าอี้ตัวเดิมนี่ล่ะค่ะ และออฟฟิศทีว่ า่ ก็คอื กระดานห้องประชุมห้องต่าง ๆ ทีอ่ าศัยอินเตอร์เน็ทตัง้ อยูอ่ อนไลน์นเ่ี อง เพียงแต่คลิกเข้าห้องโน้นห้องนี้แล้ว มันให้ความรู้สึกและเห็นภาพอย่างนั้นจริง ๆ ตอนนี้ นิตยสาร “ธรรมะใกล้ตัว” เริ่มมีกอง บ.ก. อาสา เป็นทีมงานที่ชัดเจน และเริ่มมีระบบการทำงานเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมากทีเดียวนะคะ อย่างที่เกริ่นบรรยากาศให้ฟังในตอนต้นนี่ล่ะค่ะ และคุณผู้อ่านเอง ก็ให้การตอบรับอย่างอบอุ่น ด้วยการส่งบทความเข้ามาร่วมด้วยมากขึ้นเรื่อย ๆ เรียกว่า ถ้าเรารับบทความจากผู้อ่านทางไปรษณีย์ธรรมดาเพียงอย่างเดียว ตู้ ป.ณ. เล็ก ๆ ของเราก็คงเริ่มปริและล้นทะลักกันออกมาบ้างแล้วล่ะค่ะ : ) เลยอยากขอถือโอกาสนี้ บอกกล่าวคุณผู้อ่านด้วยเช่นกันนะคะว่า บทความที่ส่งมาแล้ว หากยังไม่ได้ลงทันใจ ก็อย่าเพิ่งน้อยใจกันไปนะคะ เพราะบทความเริ่มเยอะมากขึ้นจริง ๆ และทีมงานก็คงจะต้องขอใช้เวลา ทยอยอ่าน ทยอยคัด ทยอยปรู๊ฟ กันสักหน่อยน่ะค่ะ เพียงแต่เรื่องไหนที่อาจจะโดดเด่น หรือเข้ากับเหตุการณ์ขณะนั้น ๆ เป็นพิเศษ ก็อาจมีการจัดลำดับที่สลับไปสลับมาบ้าง เพื่อความลงตัวของเนื้อหาในฉบับนั้น ๆ
ธรรมะใกล้ตัว
แต่ไม่ว่าจะช้าจะเร็ว หากเป็นบทความที่เขียนมาด้วยความตั้งใจ มีเนื้อความอันถูกควรและตรงตามทางอันชอบ ก็จะได้รับการทยอยลงแน่นอนค่ะ ส่วนการคัดเลือกเรื่องนั้น ไม่ต้องห่วงนะคะ บ.ก. กองนี้เป็นทีมเกาเหลาค่ะ (ในที่นี้ แปลว่า ไม่มีเส้น : )) เรื่องทุกเรื่องจะได้รับการคัดเลือกจากทีมงานประจำของแต่ละคอลัมน์ ซึ่งแต่ละคอลัมน์ ก็จะมีผู้ที่มีประสบการณ์ในด้านนั้น ๆ มาช่วยดูแลกันอยู่เป็นคณะและเป็นประจำทีเดียว ดังนั้น ทุกเรื่องจะได้รับการดูแลโดยปราศจากฉันทาคติ และจะไม่มีการตัดสินจากมุมมองของใครเพียงลำพังแน่นอนค่ะ นอกจากนี้ แม้ผู้ที่ริเริ่มและให้กำเนิดนิตยสารเล่มนี้ครั้งแรกขึ้น จะเป็นคุณดังตฤณ แต่ต้องขออนุญาตชี้แจงกับคุณผู้อ่านให้ชัดเจนสักนิดนะคะว่า คุณดังตฤณ เป็นเพียงผู้จุดประกาย และให้แนวคิดเบื้องต้นในการสรรค์สร้างเท่านั้น ส่วนงานที่เหลือนับจากวันนั้นทั้งหมด คุณดังตฤณขอไม่มีส่วนในทีม บ.ก. ไม่มีส่วนในการร่วมคัดบทความ ไม่มีส่วนช่วยออกความเห็นเกี่ยวกับชิ้นงานที่ส่งเข้ามา หรือออกสิทธิ์ออกเสียงเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการลงบทความใด ๆ เลยค่ะ คุณดังตฤณ ขอเป็นเพียงนักเขียนคอลัมน์ประจำธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น (และเพียงเท่านั้น รวมกับงานประจำอื่น ๆ คุณดังตฤณก็แทบจะไม่มีเวลาแล้วมั้งคะ) : ) ส่วนการส่งบทความ คงต้องขอรบกวนทุกท่าน ส่งบทความโดยโพสต์เข้ามาที่ dungtrin.com/forum/ ที่กระดาน “ส่งบทความ” ที่เดียวนะคะ เพราะทีมงานจะเข้ามารับและตรวจดูบทความกันจากที่นี่เท่านั้น หากส่งไปทางอื่น อาจพลอยหายกลืนหรือตกหล่นไปกลางทางได้นะคะ ; ) สำหรับฉบับนี้ ก็มีเรื่องราวน่าสนใจหลากหลายมาฝากเช่นเคย และเป็นครั้งแรกที่เราเพิ่งได้เปิดคอลัมน์ “ธรรมะจากคนสู้กิเลส” กันด้วยค่ะ ใครที่กำลังท้อแท้ ยอมแพ้ หรือเป็นทุกข์กับกิเลสในใจ ลองอ่านเรื่อง “ผมเป็นเกย์” โดยคุณเสนาดำเนิน ในคอลัมน์นี้ดูนะคะ ผู้เขียนหาทางออกให้กับชีวิตได้อย่างน่าอนุโมทนายิ่งค่ะ
ธรรมะใกล้ตัว
แล้วให้กำลังใจกับชีวิตกันต่อในคอลัมน์ สัพเพเหระธรรม กับเรื่อง “งานด้อยค่า หน้าสดใส ใจเปี่ยมสุข” โดยคุณ shop girl เธอทำให้เราเห็นว่า ชีวิตมีคุณค่าให้เราค้นหาอยู่เสมอจริง ๆ นะคะ ส่วนเรื่องสั้นสัปดาห์นี้ เป็นเรื่องสั้นแนวกฎแห่งกรรม เรื่อง “สิ่งที่อยู่ในกำมือ” โดยคุณเฮ็กนั้ง เคยร่วมส่งเข้าประกวดด้วยนะคะ แม้จะไม่ได้รางวัลติดมือกลับมา แต่ก็สนุกและน่าจับตาทีเดียวค่ะ และถ้าใครเคยดูภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับบั้งไฟพญานาค เรื่อง “๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑” มาแล้ว อยากให้ลองอ่าน แง่คิดจากหนัง ฉบับนี้ดูนะคะ ว่าคุณเห็นมุมมองที่ละเอียดอ่อนนั้น อย่างที่คุณชลนิลสะท้อนให้เห็นด้วยหรือเปล่า แล้วแวะ เที่ยววัด กันสักนิดนะคะ ฉบับนี้ คุณ mari จะพาเราแอ่วเหนือ ไปรู้จักกับวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ ที่มีประวัติย้อนไปถึงร้อยกว่าปี ที่ “วัดอินทราวาส” หรือ “วัดต้นเกว๋น” กันค่ะ ส่วนเรื่องของสุขภาพ คุณหมอพุดน้ำบุศย์ จะมาช่วยแนะนำวิธีฉีด “วัคซีนใจ” พร้อมด้วยคุณ kittima235 ที่จะมาแนะนำเรื่องสำคัญใกล้ตัว ที่หลายคนมองข้าม กับเรื่อง “อาหารกับชีวิต (ตอนที่ ๑)” ค่ะ สำหรับคนที่สนใจธรรมะปฏิบัติ ฉบับนี้ คุณ satima จะมาเล่าถึง “การเรียนรูจ้ ริตนิสยั วาสนาของตัวเอง” เพือ่ เป็นส่วนช่วยให้เราไม่เนิน่ ช้าในการปฏิบตั กิ นั เกินไป และนอกจากนี้ ยังมีคำคมชวนคิด และกวีธรรมดี ๆ มาฝากให้ชวนอ่านชวนคิดสะกิดใจกัน พร้อมกับสาระธรรมดี ๆ จากนักเขียนคอลัมน์ประจำของเราเช่นเคยค่ะ อย่าลืมนะคะ คุณผู้อ่านท่านใด อ่านแล้วมีความรู้สึกชอบไม่ชอบส่วนไหน อยากให้ปรับปรุงอะไร หรือชื่นชอบคอลัมน์ไหนบ้าง เขียนเข้ามาคุยกันได้ที่ กระดาน “คำแนะนำ ติชม” ที่ dungtrin.com/forum/ บ้างนะคะ แล้วพบกันฉบับหน้าค่ะ
กลางชล
ธรรมะใกล้ตัว
ธรรมะจากพระผู้รู้ ถาม – จิตไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่จิต แล้วเราอยู่ไหนกัน? ในร่างกายจิตใจเรานี้ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า มีความรู้สึกอยู่หย่อมหนึ่ง ที่มันรู้สึกว่าคือ “ตัวเรา” “เรา” นั้น เป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ตัดสิน ผู้เสพย์อารมณ์ต่างๆ สิ่งนี้แหละครับ ที่บัญญัติกันว่า “จิต” มันคือคนที่พูดแจ้วๆ ตลอดเวลา คอยตัดสินว่าอันนั้นดี อันนี้ไม่ดี เวลามันไปรู้อะไรเข้า มันก็เกิดความชอบและความชังขึ้นมา ลองทำใจสบายๆ แล้วทำสติระลึกรู้เข้าไปที่ ความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา ดูสิครับ ปุถุชนกับพระโสดาบันนั้น ความรู้สึกตรงนี้จะต่างกันมาก เพราะปุถุชนถ้าดูเข้าไปที่ความรู้สึกนี้ จะรู้สึกชัดเจนเลยว่า มันเป็น “เรา” แต่พระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เวลามองดูความรู้สึกอันนี้ จะเห็นเพียงว่า มันเป็นเพียงธรรมชาติรู้ ไม่มีความเห็นสักนิดเดียวว่ามันคือตัวเรา แต่พระอริยบุคคลที่ไม่ใช่พระอรหันต์นั้น ในเวลาเผลอ ก็ยังยึดความรู้สึกอันนี้ว่าเป็น เรา เรียกว่าบริสุทธิ์เพียงความเห็นเท่านั้น เอาเข้าจริงยังยึดมั่นถือมั่นจิตอยู่ พูดให้มีศัพท์แสงสักหน่อยก็กล่าวได้ว่า ความรู้สึกว่าเป็น “เรา” นั้น มันคือจิตที่ประกอบด้วยสักกายทิฏฐิ ส่วนความยึดจิตเป็นตัวเราคือ อัตตวาทุปาทาน เป็นคนละอย่างกัน ลำพังจิตที่เป็นเพียงผู้รู้อารมณ์ล้วนๆ นั้น มันไม่มีความเป็นเรามาแต่แรกแล้ว แต่อาศัยความคิด หรือสังขารขันธ์ต่างหาก เข้าไปแทรกปน จนจิตก็หลงเชื่อตามความคิดไปว่า นี่แหละคือตัวเรา ผมเคยภาวนาจนจิตดับ ขณะแรกตอนที่จิตกลับมารับรู้อารมณ์นั้น จิตมันอุทานขึ้นมาด้วยความอัศจรรย์ใจว่า “เอ๊ะ จิตไม่ใช่เรานี่” (จิตเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่มีรูปร่าง แสงสี ตัวตนใดๆ สักนิดเดียวนะครับ
ธรรมะใกล้ตัว
ไม่มีจุดมีดวงใดๆ ทั้งสิ้น) จิตมันอุทานได้เอง มันแสดงธรรมได้เอง ผมก็ตั้งคำถามขึ้นในใจว่า “ถ้ายังงั้น ความเป็นเราเกิดมาจากไหนล่ะ” จิตก็ตอบว่า “เพราะ (หลงตาม) ความคิดนึกปรุงแต่ง จิตจึงเป็นเรา” กำลังจะถามมันต่อไป ก็เกิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่า คือแสงสว่างปรากฏขึ้น ซึ่งในธรรมจักรท่านเรียกว่า อาโลโกอุททปาทิ ถัดจากนั้น จิตก็ร่าเริงเบิกบานในธรรม เพราะมันรู้แล้วว่า อวิชชา ตัณหา อุปาทาน หลอกมันได้อีกไม่นานหรอก (ตรงนี้หลวงปู่ดูลย์ท่านเรียกว่า จิตยิ้ม คือมันเบิกบานยิ้มเยาะกิเลส และผมคิดว่าที่พระพุทธเจ้าท่านอุทานทักตัณหา ก็คือภาวะอันนี้เอง เพียงแต่สภาวะของท่านนั้น ท่านสิ้นชาติ สิ้นภพ จบพรหมจรรย์แล้ว) ถัดจากนั้น จิตก็ทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้น แล้วเห็นว่า ความเห็นผิดว่าจิตเป็นเรานั้น ขาดไม่เหลือแล้ว แต่ความยึดมั่นว่าจิตเป็นเรายังเหลืออยู่ เพราะยึดว่าจิตเป็นเรานีเ้ อง ผูป้ ฏิบตั จิ งึ มีความพากเพียรเจริญสติปฏั ฐานเพือ่ ออกจากทุกข์ ถ้าจิตไม่เป็นเรา จิตจะจมทุกข์จนตายไป มันก็เรื่องของจิตสิครับ แต่เมื่อใดจิตเข้าถึงภาวะที่ปล่อยวางความยึดจิตชั่วขณะ จิตเองกลับวางขันธ์ 5 (โดยย่นย่อคือกายใจนี้) แม้ขันธ์จะเป็นทุกข์ จิตก็ไม่เอาด้วย เพราะกระทั่งจิต ยังไม่ยึดจิตเอง จิตจะไปยึดขันธ์มาทำไมกันอีก มันจึงเกิดภาวะว่าง อิสระ หมดงานที่จะต้องทำ และมีความบรมสุขจริงๆ
�
ถาม - การที่ยกแขน ยกขา นั่งเดินได้ตามใจ ทำให้เข้าใจว่าจิตสั่งรูปได้ จึงทำให้ เข้าใจว่ามีบางสิ่งเป็นเจ้าของบางอย่างอยู่เรื่อยเลยค่ะ ที่กล่าวว่าจิตสั่งกายได้จึงเห็นว่ากายเป็นของจิต (ซึ่งจิตก็คือตัวเรา) อันนั้นถูกต้องแล้วครับ
ธรรมะใกล้ตัว
ต่อเมื่อใดปฏิบัติมากเข้า ถึงจุดที่รู้จริงว่า กายไม่อยู่ในอำนาจบังคับเสมอไป จึงยอมปล่อยวางความยึดถือว่า กายเป็นของเรา ที่สั่งได้ เช่น บางคราวภาวนาไป จิตกับกายแยกออกจากกัน จิตจะสั่งกายไม่ได้แล้ว ได้แต่มองดูกายนอนนิ่งหรือนั่งนิ่งอยู่เท่านั้น ควบคุมไม่ได้กระทั่งกระดิกนิ้ว หรือกำหนดลมหายใจเข้าออก พระศาสดาท่านตรัสว่า “บุคคลในธรรมวินัยอื่น ที่เห็นว่ากายไม่ใช่เรานั้นมีอยู่” ทั้งนี้ก็เพราะว่า กายนี้มีความแปรปรวนอย่างหยาบๆให้เรารู้ทันได้ว่ากายเป็นอนัตตา แต่พระศาสดาก็ตรัสต่อไปว่า “ผูท้ เ่ี ห็นว่า จิตไม่ใช่เรา มีแต่ในธรรมวินยั ของพระองค์ทา่ น” อันนี้ก็จริงอีก เพราะถ้าเมื่อใดเห็นว่าจิตไม่ใช่เรา สักกายทิฏฐิจะขาดทันที การจะเห็นว่าจิตไม่ใช่เรานั้น เป็นเรื่องยาก เพราะจิตเป็นของละเอียดมาก เราต้องเจริญสติสัมปชัญญะเฝ้ารู้อยู่ที่จิต จนเห็นความจริงบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ เช่น พบว่า จิตนั้นรู้อารมณ์อย่างเป็นอิสระจากความจงใจของเรา หมายความว่า เราอยากให้จิต รู้และสัมผัสแต่อารมณ์ที่ดีมีความสุข หรือสั่งจิตไม่ให้ไปรู้ความทุกข์ใดๆ จิตก็ไม่เชื่อฟัง อารมณ์อะไรผ่านมา จิตก็ทำหน้าที่ของเขา คือรู้ไปทั้งหมด ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งหยาบและละเอียด จิตเขาทำหน้าที่ของเขาตรงไปตรงมา ไม่ทำตามที่เราสั่ง รู้แจ้งเห็นจริงซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งที่พยายามฝึกฝนอบรมจิตเข้าสู่ความสงบ แป๊บเดียว จิตไม่สงบอีกแล้ว และไม่สามารถบังคับจิตได้เสมอไปให้สงบ พวกฤาษีชีไพรที่ชำนาญในฌาน สามารถเข้าสงบได้นานๆ นานมากๆ ก็เกิดความหลงผิดหนักขึ้นว่าจิตเป็นเรา ฝึกหัดได้ อบรมได้ จนนิ่งสนิทตามต้องการ เขาลืมเฉลียวใจว่า นัน่ เป็นแค่การป้อนอารมณ์อนั เดียวให้จติ อย่างต่อเนือ่ งยาวนานเท่านัน้ เมื่อใดจิตไม่สนใจอารมณ์นั้นแล้ว ต่อให้เอาช้างมาฉุด มันก็อดฟุ้งซ่านไม่ได้
ธรรมะใกล้ตัว
จิตเป็นของละเอียด แต่ไม่ละเอียดกว่าพระปัญญาตรัสรู้ พวกเราสาวกจึงมีโอกาสได้รู้ตามท่านสอนว่า จิตไม่เที่ยง เป็นของทนอยู่ไม่ได้ และไม่ใช่เรา จะหาอะไรที่ถูกยึดว่าเป็นเรา เท่ากับจิตนั้น ไม่มีเลยครับ กระทั่งพวกที่เชื่อว่าตายแล้วสูญ เขาก็รู้สึกว่า จิตเป็นเรา หรือกลุ่มขันธ์นี้เป็นเรา เพียงแต่ว่าเมื่อตายแล้วก็สูญเท่านั้น ส่วนพระพุทธเจ้านั้น ท่านชี้ว่าไม่มีความเป็นเรา ทั้งที่กลุ่มขันธ์ยังปรากฏต่อหน้านี้เอง เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
สันตินันท์ (พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในปัจจุบัน)
ธรรมะใกล้ตัว
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ถาม – วันตายทีแ่ น่นอนมีจริงหรือไม่คะ? เห็นหมอดูสามารถรูว้ า่ ชะตาถึงฆาตเมือ่ ใด อย่างเช่น ดาราทีป่ ระสบอุบตั เิ หตุทางรถยนต์หลายคนก็โดนหมอดูทกั มาก่อน อย่างนี้ ถ้าว่าตามหลักกรรมวิบาก คือมีการตัดสินลงโทษประหารไว้แน่นอนกันทุกคนใช่ไหม? และอยากทราบด้วยว่าการยืดอายุมีความเป็นไปได้จริงเพียงใด ตามหลักโหราศาสตร์ คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีชะตาถึงฆาตเมื่อนั่นเมื่อนี่อย่างแน่นอน หรอกครับ แต่จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่สมัยอดีตชาติเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้ตกตายก่อนอายุ อันควรไว้มาก คนกลุ่มนี้จะมีช่วงเคราะห์หนักถึงเลือดถึงเนื้อ หรือ ‘มีสิทธิ์ถึงชีวิต’ ได้ เวลาหมอดูเขาทำนาย เขาก็เสี่ยงทำนายเอาจากเกณฑ์เคราะห์หนักอันเกิดจากกรรม ประเภทนี้แหละ พวกที่มีความสามารถทางจิตอาจหยั่งรู้และเห็นถนัดว่าใครจะตายเมื่อไหร่ ที่ไหน ออกหัวออกก้อยท่าใด โดยเฉพาะประเภทกำลังจะประสบอุบัติเหตุภายใน ๓ วัน ๗ วัน เนื่องจากวิบากกรรมของผู้กำลังจะตายได้กำหนดเวลาและวิธีตายไว้เรียบร้อย และสิ่งที่วิบากกำหนดไว้นั้นก็เข้าไปกระทบจิตของผู้มีญาณ อย่างไรก็ตาม ถ้าผูม้ ญ ี าณคนเดียวกันนัน้ พยายามส่องเล็งคนทัว่ ไป ก็ไม่อาจเห็นเวลา และวิธตี ายได้ทกุ คน เนือ่ งจากอายุของคนทัว่ ไปปรับแปรไปตามบารมีทางทานและศีล ทั้งจากอดีตชาติร่วมกับชาติปัจจุบัน อย่างมากก็อาจแค่บอกว่า ‘น่าจะตายสบายท่าม กลางญาติมิตร’ หรือ ‘คงตายทรมานอย่างเดียวดาย’ อะไรทำนองนี้ ฉะนัน้ สำหรับหมอดูประเภทใช้จติ ใช้ตาทิพย์นน่ี ะครับ ถ้าเขาทายอดีตและปัจจุบนั ของคุณถูกต้องแม่นยำเหมือนตาเห็น แล้วทักเกี่ยวกับวันตายของคุณโดยไม่เรียก ร้องให้เอาเงินทองมากองไว้กับเขา ก็เป็นไปได้ว่าเขาเห็นจริง ถึงเวลาคุณอาจตาย ตามวิธีที่เขาเห็นจากนิมิตจริงๆ จะว่าไปไม่ใช่เฉพาะพวกมีญาณเท่านั้น คนธรรมดาทั่วไปบางทีก็ ‘ฝันแม่น’ เกี่ยว กับความตายของคนใกล้ตัว เช่น เห็นแฟนจะโดนรถชน วันต่อมาก็โดนเข้าจริงๆ แต่ ฝันแม่นชนิดนีม้ กั เป็นอะไรแบบหนึง่ ในพันหนึง่ ในหมืน่ คือเห็นกันพันครัง้ หรือหมืน่ หน จึงจะเกิดขึน้ จริงสักที แตกต่างจากผูม้ ญ ี าณทีท่ กั ร้อยครัง้ ตรงร้อยครัง้ หรือเก้าสิบเก้าครัง้
10 ธรรมะใกล้ตัว
(และถ้ามีความหยัง่ รูแ้ บบพุทธจริงๆ ต้องอธิบายเชือ่ มโยงได้ดว้ ยว่าทีต่ อ้ งตายก่อนวัยอั นควร เป็นเพราะกรรมอันใด ไม่ใช่เห็นแต่นิมิตแห้งๆภาพเดียว) ส่วนพวกที่อาศัยวิชาโหราศาสตร์ เข้ารหัสตัวเลขอย่างเดียวนั้น ที่จะทายถูกคง เป็นไปได้ยากครับ ขอให้รู้ไว้เถิดว่าการฟังหมอดูที่ยังต้องอาศัยตัวเลขในการทำนาย นั้น คือการฟังคนๆหนึ่งที่มีความรู้เกี่ยวกับรหัสและการตีความรหัส หรือพูดอีกนัย หนึ่งคือคุณไปนั่งฟังใครคนหนึ่ง ‘คาดเดา’ ว่าชีวิตคุณน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยจิตเขาไม่มีความหยั่งรู้ที่แน่นอนเอาเลยว่าคำทำนายของตนเองแม่นยำเพียงใด และถ้าแม่นก็บอกไม่ถูกอีก ว่าเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นเพราะมีกรรมใดเป็นชนวนเหตุ หากคุณไปดูหมอแบบที่ยังเห็นเขาขีดเขียนตัวเลข ก้มหน้าก้มตาทายมรณกรรม เอาจากตัวเลขล้วนๆแล้วล่ะก็ อย่าเพิ่งไปเชื่อจะดีกว่า เพราะแม้บางตำราและบาง สำนักพยายามผูกเลข หาสถิติ โยงนู่นโยงนี่ จนได้ข้อสรุปว่ารหัสชะตา ‘ถึงฆาต’ เป็นอย่างไร ก็ต้องทายแบบเหวี่ยงแหกันเป็นเดือนเป็นปี เช่น เขาอาจบอกว่าคุณไม่ น่าจะอายุเกินเท่านั้นเท่านี้ หรือเดือนนั้นเดือนนี้ ไม่อาจเจาะจงวันเวลาและท่าทาง การตายของคุณได้เลย นอกจากการคิดค้นการเข้ารหัสวันตายแล้ว ก็มีการใช้วิชาเคล็ดลางบอกวิธี ต่ออายุให้ด้วย คือถ้าอยากมีอายุยืนนานขึ้นกว่าอายุที่ถึงฆาตจะต้องทำอย่างไร เอาเฉพาะศาสตร์ต่ออายุนี้ ถ้ามีอยู่จริงก็แปลว่าคุณไม่มีวันตายที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าคุณ ‘ทำอะไรบางอย่าง’ เป็นการแก้เคล็ดหรือขจัดปัดเป่าเคราะห์ร้าย ขั้นสาหัสให้ทุเลาเบาบางลงหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่นะครับ หมอดูตลาดๆที่ทำนายเคราะห์ร้าย บอกว่าจะตายเมื่อนั่น เมื่อนี่ มักออกแนว ‘รับจ้างต่ออายุ’ เสียมาก คือถ้าคุณเอาเงินไปให้เขา เขาจะช่วย ต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวรให้ หรือจะจัดพิธีขอผัดผ่อนกับพญามัจจุราชให้ เหล่าสิบ แปดมงกุฎพวกนี้นิยมหากินกับความกลัวของผู้คน เพราะรู้ว่ามนุษย์รักตัวกลัวตาย ไม่กล้าเอาตัวเข้าไปท้าพิสูจน์ความตาย พอโดนทักว่าจะตายก็ไม่กล้าเสี่ยง สุดท้าย ยอมเสียทรัพย์มากกว่าเสียชีวิตกันทั้งนั้น
ธรรมะใกล้ตัว 11
ถ้าเขาทายแล้วถึงเวลาคุณไม่ตายตามนัด พอคุณกลับไปเย้ยว่านี่ไง ยังหายใจ อยู่เลย เขาก็อาจทวงบุญคุณเสียอีก โดยบอกว่าที่คุณรอดตายเพราะสงสาร เลยทำพิธีต่อชะตาให้ฟรีๆ อะไรทำนองนั้น พวกนี้ดิ้นไปได้เรื่อยยิ่งกว่าปลาไหลครับ แต่หากคุณไปได้รับคำทำนายมา แบบที่เขารู้ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาหมด แล้วคุณเกิดความวิตกกังวล กินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็สมมุติไว้ก่อนว่าเอาล่ะ ฉันคงไป ทำปาณาติบาตไว้จริงๆ ใกล้เวลาต้องถึงฆาตจริงๆ สิ่งแรกที่ผมจะแนะนำคือให้ เตรียมทำใจให้ผ่องใสเป็นกุศลเสมอ เพราะถ้าตายทั้งจิตเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าก็ ทรงตรัสว่ามีทุคติเป็นที่หวังได้ การคิดเล็กคิดน้อย กังวลไม่หยุดหย่อนนั่นแหละตัวดี ถ้าคุณต้องขาดใจตาย อย่างฉับพลันทันด่วน ก็อาจได้เป็นผีเฝ้าศพตัวเองอยู่แถวๆจุดที่ตายนั่นเอง คุณควร พิจารณาให้เกิดความหนักแน่นว่าคุณไม่ได้รู้วันตายด้วยตนเอง แต่รู้ผ่านลมปาก ของคนอืน่ ไม่อาจมัน่ ใจได้เลยว่าเขารูช้ วั ร์หรือมัว่ เอา แต่จติ คุณตก ความคิดฟุง้ กระเจิง เตลิดเปิดเปิงเสียแล้ว เมือ่ เลิกคิดมากก็มาพูดถึงการต่ออายุ เพือ่ เข้าใจเกีย่ วกับเรือ่ งยืดอายุกนั จริงๆ ก่อน อื่นขอให้มองว่ากายนี้มีอายุขัยของมัน ซึ่งถ้าอาศัย ‘กรรมเก่าแบบปกติ’ ชนิดที่ไม่ได้ ทำปาณาติบาตแรงๆไว้ในชาติใกล้ ก็ต้องบอกว่าอายุขัยเฉลี่ยของคนยุคปัจจุบันอยู่ที่ ประมาณ ๗๐ ปี บวกลบกว่านั้นไม่มาก การจะทำให้อายุยืดออกไปเกิน ๗๐ ปี ที่เห็นๆก็คือต้องบริหารร่างกายอย่างสม่ำ เสมอ บริโภคอาหารอย่างมีสมดุล ตลอดจนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดโปร่งปราศจาก มลพิษ หรือมีมลพิษน้อยที่สุด (คือเป็นผู้หลีกเลี่ยงการสะสมพิษเข้าร่างกายทั้งวิธีกิน วิธีหายใจ และวิธีสัมผัสแตะต้อง) นอกจากบำรุงร่างกายให้แข็งแรงแล้ว ก็ตอ้ งพูดกันเรือ่ งของจิตใจด้วย ขอให้ทราบ ว่าจิตมีส่วนรับผิดชอบกับการต่ออายุได้มากเท่า หรืออาจจะมากกว่าการบำรุง ร่างกายตามปกติเสียอี ขอให้มองว่ามีกรณีตัวอย่างให้เห็นจากทั่วโลกทุกวัน คนใกล้ ตายหลายคนยังสามารถทนอยู่ต่ออย่างเหลือเชื่อ บางทีเป็นวัน หรือกรณีน่าทึ่งหน่อย ก็เป็นเดือนเป็นปี ทั้งที่กายไม่ไหวแล้ว หมอส่ายหน้ากันหมดแล้ว
12 ธรรมะใกล้ตัว
กายอยู่ไม่ได้ แล้วอะไรทำให้อยู่ได้ถ้าไม่ใช่กำลังใจ? ความจริงก็คือถ้าคนเรามี กำลังจิตดีพอ ก็ต่ออายุออกไปได้ เพื่อภารกิจ เพื่อธุระสำคัญ หรือเพื่อบอกกล่าว ล่ำลา ซึ่งไม่ต้องถึงขั้นเป็นผู้วิเศษอะไร แม้แต่คนธรรมดาก็เป็นตัวอย่างให้เห็นมามาก ยกตัวอย่างเช่นทหารกรีกใจถึงผู้หนึ่ง ซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อเกือบสองพันห้าร้อยปีก่อน ก็ใช้พลังกายและพลังจิตทั้งหมดของเขาในการวิ่งยาวเท้าเปล่าเป็นระยะทาง ๔๐ กิโลเมตร ตัง้ ต้นจากเมืองมาราธอนมาถึงเมืองเอเธนส์ เพียงเพือ่ รายงานข่าวว่ากองทัพ กรีกกำชัยชนะเหนือกองทัพเปอร์เชียนได้สำเร็จแล้ว หลังจากบอกข่าวจบตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ทหารนายนั้นก็ล้มลงตายทันที เพราะวิง่ ด่วนแบบไม่พกั เหนือ่ ยมายาวเกินไป และนัน่ ก็สะท้อนให้เห็นว่าจริงๆร่างกาย ของเขา ‘หมดสภาพ’ ไปก่อนหน้านั้นแล้ว ที่ยังอยู่ต่อจนถึงจุดหมายปลายทางก็ด้วย อำนาจความตั้งใจจะบอกข่าวให้ได้โดยแท้ นี่เป็นที่มาของการวิ่งมาราธอนระยะทาง ประมาณ ๔๐ กิโลเมตรจนกระทั่งทุกวันนี้ เพียงแต่วิ่งช้าๆ ไม่ใช่วิ่งเร็วแบบทหารบอก ข่าว มิฉะนั้นคงมีคนขาดใจตายทุกครั้งที่แข่งมาราธอน ก็คนทั่วไปยังใช้กำลังจิตรักษาอายุของตนได้ ผู้ทรงฌานที่บริสุทธิ์จากกิเลสยิ่ง ต้องทำได้มากกว่านั้น ดังเช่นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เมื่อพระองค์มี พระชนมายุได้เกือบ ๘๐ ชันษา ก็ทรงประชวรอย่างหนัก เกิดทุกขเวทนาอย่างร้าย แรงถึงขั้นใกล้เสด็จดับขันธ์ แต่แม้กระนั้นพระผู้มีพระภาคก็ทรงมีสติสัมปชัญญะ มีความอดกลั้น ไม่ยอมละขันธ์ไปตามสภาพ ด้วยทรงดำริว่าการที่ท่านจะไม่อำลา ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเสียก่อนนั้น มิใช่สิ่งสมควรแก่พระพุทธวิสัย พระพุทธองค์อาศัยกำลังพระทัย เพียรขับไล่อาพาธเพื่อดำรงชีวิตสังขารให้ อยู่ต่ออีกระยะหนึ่ง ซึ่งตามคัมภีร์ในมหาปรินิพพานสูตรระบุไว้อย่างชัดเจน ว่า เมื่ออาการอาพาธสงบลง ท่านก็ตรัสกับพระอานนท์ผู้อุปัฏฐากรับใช้ มีใจความคือ เกวียนเก่ายังใช้ได้ก็เพราะซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ แม้ฉันใดกายของพระองค์ก็ฉันนั้น ยังเป็นไปได้เพราะอาศัยเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต ระงับทุกขเวทนาทางกายบาง อย่างให้สงบลง พระวรกายจึงผาสุกอยู่ได้ (คือดำรงสภาพแห่งชีวิตต่อได้โดยไม่แตก ดับไปเสียในระหว่างแห่งการใช้สมาธิข่มไว้นั้น)
ธรรมะใกล้ตัว 13
วันต่อมาพระพุทธเจ้าทรงตรัสเป็นการบอกใบ้ให้พระอานนท์ทราบอีก ว่าถ้า เจริญอิทธิบาท ๔ (โดยอาศัยเจโตสมาธิ) ให้มากแล้ว หากปรารถนาก็สามารถดำรง อยู่ได้ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป ซึ่งก็เอาเป็นง่ายๆว่า ถ้าพระอานนท์ทูลอาราธนาให้ พระพุทธองค์ทรงเจริญอิทธิบาท ๔ รักษาพระชนม์ชพี เพือ่ อนุเคราะห์โลก พระพุทธองค์ ก็จะทรงมีพระชนม์เท่ากับอายุกัปของคนสมัยนั้น คือ ๑๒๐ ปี หรือมากกว่า ๑๒๐ ปี แต่เนื่องจากพระอานนท์มิได้กราบทูลขออาราธนาใดๆ พระพุทธองค์จึงทรงปลงอายุ สังขาร ปล่อยให้พระกรัชกายดับลงในวันที่มีพระชนมายุเต็ม ๘๐ ชันษาพอดีนั่นเอง เท่าที่ผมทราบ ก็มีพระไทยหลายรูปทำได้อย่างนั้นจริงๆ คือกายของท่านนี่หมอ บอกว่าเตรียมใจรับการสูญเสียได้แล้ว แต่พวกท่านก็ยังอยู่ต่อ โดยใช้อำนาจจิตเลี้ยง หัวใจและส่วนสำคัญต่างๆไว้ เพราะเห็นประโยชน์ที่ท่านยังช่วยพระศาสนา หรือ จำเป็นต้องสั่งเสียธุระการงานของสงฆ์ หรือเห็นสมควรมรณภาพในที่เหมาะเพื่อเป็น มงคลทางความรู้สึกแก่ญาติโยม แค่ขอ้ เท็จจริงเกีย่ วกับการใช้พลังจิตต่ออายุ ก็เป็นอันยืนยันได้ระดับหนึง่ ว่าวันตาย แน่ๆนอนๆตามอายุขยั หรือกรรมเก่านัน้ ไม่จริงเสมอไป หากมีปจั จัยแทรกแซงซ่อมเสริม ทางพุทธเราก็ยอมรับว่าเป็นไปได้ทจ่ี ะยืดอายุออกไปอีก ส่วนจะยืดได้นอ้ ยหรือได้มาก ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดมีอุปเท่ห์วิธีเอาชนะความตายแตกต่างกันเพียงใด มากล่าวถึงคนธรรมดาที่ไม่มีกำลังจิตมากพอจะยืดอายุออกไป ก็ต้องอาศัย ‘กรรมขาว’ เป็นตัวกำหนดชี้ชะตากันท่าเดียว เนื่องจากชีวิตมนุษย์ทั้งแท่งนี้ จัดเป็นวิบากฝ่ายขาว คือเป็นผลของบุญ ไม่ใช่ผลของบาป ฉะนั้นถ้าจะรักษาไว้หรือ ยืดให้นานออกไป ก็ต้องอาศัยแต่กรรมสีเดียวกันท่าเดียว ไม่มีใครยืดอายุออกไปได้ ด้วยกรรมดำ (จริงๆมีศาสตร์ลึกลับในทางมืดหลายแบบที่ทำให้วิญญาณยังครองร่าง ได้ หรือออกจากร่างแล้วกลับมาครองใหม่ แต่จะไม่ใช่มนุษย์เต็มร้อยอีกต่อไป เพราะ ต้องอาศัยเครื่องหล่อเลี้ยงอันเป็นพลังสกปรก และทำให้ร่างกายกับความรู้สึกนึกคิด ไม่เป็นสุขเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา) กรรมขาวที่มีอานุภาพต่ออายุออกไป เห็นชัดที่สุดคือการไถ่ชีวิตหรือปล่อยสัตว์ เพราะการปล่อยสัตว์เป็นการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตอื่น จากการต้อง
14 ธรรมะใกล้ตัว
แตกดับให้อยู่รอดต่อไปในอัตภาพเดิม พลังชีวิตของสัตว์ที่รอดตาย ย่อมย้อนกลับ มาเสริมพลังชีวิตให้แก่ผู้ปล่อยอย่างรวดเร็วเป็นธรรมดา อาจทำให้สุขภาพดีขึ้น หรือทำให้อายุยืนขึ้น การปล่อยสัตว์แบบคนไทย ที่ช่วยสัตว์กำลังจะถูกฆ่า กับทั้งนำไปปล่อยให้อยู่รอด ปลอดภัย นั้น มีความหมายให้สัตว์ไม่ต้องได้รับความทรมานอีกด้วย การช่วยเช่นนี้ ย่อมมีผลย้อนกลับมาสนองคุณ ให้บรรเทาความทรมานทางกายลง จากทีว่ บิ ากเดิมให้ ผลเต็มร้อยก็ลดลงตามส่วน การปล่อยสัตว์จึงเป็นที่นิยมแนะนำกันในหมู่คนเจ็บไข้ได้ ป่วย ประเภทภูมิแพ้ หรือประเภทที่รักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันไม่หายขาด ผมทราบจากคำให้การของผู้ป่วยด้วยโรคอันเกิดจากวิบากกรรมหลายคน ที่ แพทย์อธิบายด้วยหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ว่าเหตุใดจึงป่วยแบบนั้น เมื่อคน ป่วยเหล่านี้ให้ทานโดยการต่อชีวิตสัตว์เป็นพันเป็นหมื่น ในช่วงเวลาแรมเดือนแรมปี สุขภาพก็ดีขึ้นได้จริงๆ ทั้งที่ร่อแร่เหมือนไม่แน่ว่าจะรอด ก็กลายเป็นกลับแข็งแรง ฟื้นคืนจนเกือบปกติได้อีก นอกจากกรรมอันเกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นความตายโดยตรงแล้ว ยังมี กรณีอื่นๆ ทั้งฝ่ายย่ออายุและยืดอายุ เท่าที่ผมเห็นมา บางคนที่เสเพล ใช้ร่างกาย ไม่บันยะบันยัง ทั้งเรื่องกินและเรื่องกาม ทั้งเรื่องอบายมุขและเหล้าบุหรี่ เขามีเกณฑ์ ถึงฆาตในช่วงกลางคน แต่พอกลับใจ ลดๆเลิกๆอบายมุข หันมาสนใจธรรมะจริงจัง จนจิตใจผ่องใสขึน้ ก็เข้าทางชะตากรรมสายใหม่ คือตัวเลขทางโหราศาสตร์จะบอกเลย นะครับ ว่าถ้ามั่วอบายมุขมากๆมีสิทธิ์ตายอายุเท่านั้นเท่านี้ แต่ถ้าสนใจธรรมะจริงจัง อายุจะยืนขึ้นอีกนาน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพวกนี้มีปัจจัยเก่าจากอดีตชาติคอยจ้องให้ผลอยู่ เงื่อนไขคือ ถ้าคิดเอาดีทางธรรม ก็มีสิทธิ์ใช้ร่างของมนุษย์ประกอบบุญต่อ เพราะถ้าสิ้นชีวิตไป เสียก่อน ก็จะหมดโอกาสทำบุญต่อบุญให้สมตัวเสียก่อนตาย ต้องกล่าวหมายเหตุไว้ด้วยว่าไม่เสมอไปนะครับ ที่ตั้งใจดีเข้าทางธรรมแล้วจะยืด อายุให้ยืนต่อได้นานๆ แต่เท่าที่เห็นจริงๆคือถ้าตั้งใจปฏิบัติธรรมจริงๆ บุญก็จะเปิด โอกาสให้ปฏิบตั เิ อาดีตดิ ตัวไว้บา้ ง แทนทีจ่ ะตายเลยก็ยดื ออกไปหลายเดือนหรือหลายปี
ธรรมะใกล้ตัว 15
นี่ก็อยากฝากไว้ด้วย ว่าถ้าคนไทยจำนวนมากหันมาเอาดีทางธรรม ตั้งใจรักษาศีล เจริญสติตามแนววิธีที่ถูกต้อง วิบัติภัยที่ต้องเกิดขึ้นก็จะแผ่วลง ธรรมชาติจะเปิด ทางให้เอาดีติดตัวกันต่อไป (พอเกิดอาเพศระดับประเทศ การให้รัฐบาลไถ่ชีวิตโค กระบือเพียงวันละไม่กี่ตัวไม่อาจช่วยให้อะไรๆดีขึ้นสักแค่ไหนหรอกครับ ต้องเปลี่ยน พฤติกรรมกันทั้งประเทศถึงจะได้ผลจริง) ส่วนอีกพวกหนึง่ จะกลับกันเป็นตรงข้ามนะครับ หลายรายเลยทีเ่ คยมีบญ ุ เก่า เช่น เคยเป็นแพทย์ช่วยรักษาคนให้รอดตายและหายเจ็บ หรือถวายทานเป็นหยูกยาแด่ ภิกษุสามเณรไว้ จึงมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงมาก มีความผ่องใสมาก แต่ประมาท ในการใช้ชวี ติ พอมาถึงช่วงกลางคนคือประมาณ ๔๐ แล้วยังไม่เปลีย่ นใจ ยังตัง้ หน้าตัง้ ตาทำเรื่องมัวเมาไม่เลิก แทนที่จะอยู่ถึงอายุขัยเดิม ก็ถูกตัดรอนชีวิตลงด้วยกรรมชั่ว และความประมาทมัวเมา นี่ก็เป็นเยี่ยงอย่างว่าบาปที่พอกพูนมากแล้ว จะไม่เป็นตัว ช่วยรักษาของดีอย่างร่างกายมนุษย์ไว้ให้ใช้สอยนานนัก ยิ่งพอกบาปมากก็ยิ่งเร่งให้ สิ้นสุดการใช้งานเร็วขึ้น จากที่กล่าวมาทั้งหมดก็น่าคิดนะครับ หาก ‘วิธียืดอายุ’ คือการทำตัวดีๆ พวก คุณหลายคนก็อาจยืดอายุของตนเองออกไปเรียบร้อย โดยไม่รเู้ นือ้ รูต้ วั แค่เพียง ‘เข้าใจ’ และ ‘ศรัทธา’ กรรมวิบาก มีความละอายต่อบาป มีความกระตือรือร้นในบุญ เท่านี้ก็ เกิดความสว่างขยายเวลามีชีวิตได้แล้ว อยากย้ำฝากเป็นการทิ้งท้ายไว้ด้วย ว่าการไปดูหมอ ก็คือการไปฟังความรู้ ไปฟัง การตีความผสมการคาดเดาของคนๆหนึ่ง ซึ่งอาจไม่รู้เลยว่าตัวเองตกมาอยู่ภายใต้ อิทธิพลของรหัสดวงดาวต่างๆได้อย่างไร เมื่อไม่รู้ว่าฤกษ์เกิดและฤกษ์ตายเป็นไป ตามกรรมเก่าของแต่ละคน ก็ยอ่ มบอกไม่ถกู ว่าจะทำกรรมใหม่ให้อะไรๆดีขน้ึ ได้อย่างไร คำทำนายจะแม่นหรือไม่แม่นไม่รู้ รู้แต่ว่าคำแนะนำย่อมไม่เป็นไปเพื่อปัญญาอัน ชอบแน่ๆครับ
16 ธรรมะใกล้ตัว
เขียนให้คนเป็นเทวดา
วิธีตั้งชื่อเรื่องให้แตกต่างและโดนใจ โดย ดังตฤณ
ในบทแรกคุณฝึกออกตัว ซึง่ จะเป็นการใช้มอื ทำงาน ปิดสมองไว้ชว่ั คราว ฉะนัน้ หาก สังเกตใจตัวเองจะไม่มคี วามคิดว่า ‘ไม่รจู้ ะเขียนอะไร’ เพราะมือมันขยับไปเองได้เหมือน ปากพูด ส่วนบทที่สองเป็นการฝึกเข้าเส้นชัย ถ้าคุณหัดร่อนทองออกมาจากกรวดหิน ดินทรายเป็น สังเกตใจตัวเองอีกทีจะพบว่าปราศจากความคิดว่า ‘ไม่รู้จะจบอย่างไร’ เช่นกัน เพราะในกองทองย่อมมีสักก้อนที่โดดเด่นพอจะเป็นบทสรุปทางความงาม เสมอ การเข้าเส้นชัยด้วยวิธีร่อนทองทำให้คุณรู้ว่าความคิดส่วนใหญ่ของคนเราเต็ม ไปด้วยเรื่องไร้สาระและขยะส่วนเกิน และนั่นน่าจะทำให้คุณตระหนัก ว่าคนที่เขียน อะไรแล้วเอาหมด เสียดายไปหมด ไม่มีทางเป็นนักเขียนที่ดีได้เลย นักเขียนที่ประสบ ความสำเร็จทุกคนต้องฝึกร่อนทอง หาวรรคทองจากกองขยะด้วยกันทั้งสิ้น พวก เขาไม่เสียดมเสียดายกำลังงานและเวลาที่หมดไปกับการเขียนทิ้งเขียนขว้าง เพราะ มันไม่ใช่ความสูญเปล่า แต่นั่นคือช่วงแห่งการใช้เวลาฝึกตนให้เป็นผู้ ‘คิดเป็น’ และ ‘คัดเป็น’ ต่างหาก เมื่อคิดเป็นและคัดเป็น คุณจะพบว่าตัวเองเกิดความสามารถในการตั้งชื่อเรื่อง ให้โดนใจกับเขาได้เหมือนกัน ไม่ใช่วา่ ต้องอาศัยพรสวรรค์หรือรอโชคช่วยเหมือนชะตา จับยัดแต่อย่างใด อย่าลืมว่าบทนี้เราพูดถึง ‘วิธีตั้งชื่อเรื่องให้แตกต่างและโดนใจ’ ฉะนั้นต้องเน้นกัน ว่าเราไม่ได้คยุ กันแค่ ‘หลักการตัง้ ชือ่ ให้ตรงตามแนวเรือ่ ง’ แต่เป็นการค้นหาแรงปะทะ ที่มีพลังพอจะเตะตาสะดุดใจคนเห็นในวินาทีแรก ท้าทายให้เขานึกอยากอ่านเพื่อ พิสูจน์ว่าเนื้อหาสมชื่อหรือไม่ ซึ่งคุณไม่อาจตั้งชื่อได้ขนาดนั้นตราบเท่าที่ไม่เคยฝึกคิด และคัดให้มัน ‘ใช่’ เสียก่อน
ธรรมะใกล้ตัว 17
๑) วิธีคิด หมายถึงการจงใจคิดให้แตกต่างและโดนใจ โดยคุณมีทิศทางและขอบเขตเนื้อหา อยู่ก่อนแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจะเตรียมเนื้อหาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไปในที่ใหม่ๆ อยาก ให้คนอ่านเกิดแรงบันดาลใจอยากเปลี่ยนบรรยากาศให้ชุ่มปอด คุณก็อาจใช้คำว่า ‘ท่องเที่ยว’ เป็นตัวยืนโรง คิดๆๆว่ามีคำแวดล้อมหรือคำเกี่ยวข้องอะไรอยู่บ้าง ทั้งที่ เป็นคำนามและคำกริยา หากคิดไม่ออกหรือขี้เกียจคิด ก็อาจใช้วิธีง่ายๆ โดยเข้าไปที่ google.com แล้วค้นหาคำว่า ‘ท่องเที่ยว’ เอาดื้อๆนั่นแหละ คุณจะพบเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับคำว่า ท่องเที่ยวมากมาย และในแต่ละเว็บก็จะมีคำหลักๆมาเสนอให้เลือก อย่างในส่วนของ คำนามก็เช่น เทศกาล ที่พัก โรงแรม สายการบิน ในประเทศ นอกประเทศ อากาศ ฯลฯ รวบรวมมาเยอะๆ ถ้าถึงร้อยคำได้ยิ่งดี จากนั้นก็รวบรวมคำกริยาที่ปรากฏในเว็บไซต์เหล่านั้น เช่น เดินทาง ค้นหา เช่า เดินป่า ดำน้ำ ฯลฯ คุณอาจเขียนคำเหล่านีใ้ ส่กระดาษหรือใส่โปรแกรมเวิรด์ ก็ได้ ขอให้ เห็นแล้วจุดประกายความคิดได้หลากหลาย ฉีกกรอบจำกัดออกไปมากๆก็แล้วกัน อย่างในกรณีนี้ ผมบอกแล้วว่าเราต้องการเขียนเรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพื่อ เปลีย่ นบรรยากาศให้ชมุ่ ปอด เมือ่ มาเจอคำว่า ‘อากาศ’ เข้า ก็นกึ ถึงอาการของนักท่อง เที่ยว เมื่อลงจากรถก็มัก ‘สูดอากาศ’ กันด้วยความสดชื่น ผมก็ได้ไอเดียแรกทันทีว่า ชื่อเรื่องอาจเป็น ‘สูดอากาศใหม่’ ซึ่งให้ทั้งข้อมูลและแรงบันดาลใจในตัวเอง หากจะเขียนบทความผมอาจเอาเลย ไม่เสียเวลาคิดให้มากมายไปกว่านี้ แต่ถา้ เป็น การเขียนหนังสือ ก็อาจจำเป็นต้องตั้งชื่อด้วยเทคนิควิธีเดียวกันเอาไว้เผื่อเลือกอีกสัก สิบชื่อ หรืออาจเป็นร้อยชื่อถ้ายังไม่แตกต่างและโดนใจพอ ขออนุญาตใช้หนังสือตัวเองเป็นการยกตัวอย่างแบบเปิดเผยกลเม็ดเคล็ดลับ เพราะ รู้แน่ๆว่ามีรายละเอียดที่มาที่ไปอย่างไร
18 ธรรมะใกล้ตัว
ครัง้ หนึง่ ผมอยากเขียนแนวการปฏิบตั ธิ รรม เพือ่ อ่านเข้าใจง่าย ตามหลักสติปฏั ฐาน ๔ แต่ถา้ ตัง้ ชือ่ แบบมีคำว่า ‘การปฏิบตั ธิ รรม’ หรือ ‘สติปฏั ฐาน ๔’ อยูด่ ว้ ยคงน่าเบือ่ และ เห็นๆกันอยูก่ ลาดเกลือ่ นแล้ว ผมต้องการชือ่ ทีแ่ ปลกออกไป และทีส่ ำคัญต้องสะดุดตา หน่อย แต่คิดอยู่หลายอาทิตย์ จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้สึกว่าใช่เสียที คิดเล่นๆ คิดเรื่อยๆ และหวังว่าจะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง กระตุ้นให้ผลไม้แห่งความคิดสุก งอมและหล่นลงมาโดนใจเข้าเอง ต้องเล่าให้ฟงั เป็นพืน้ สักนิดหนึง่ จากความคุน้ เคยกับแวดวงการภาวนาปฏิบตั ธิ รรม มานาน ผมทราบดีว่าข้อสงสัยในใจคนส่วนใหญ่เป็นอย่างไร เช่น นักภาวนามือใหม่ อยากรูว้ า่ ตนมีสทิ ธิบ์ รรลุธรรมได้ในชาตินไ้ี หม ความเป็นเพศหญิงจะเหมือนเครือ่ งขวาง การบรรลุธรรมหรือไม่ แล้วถ้าบรรลุธรรมจะต้องใช้เวลานานสักกี่สิบปีกัน ฯลฯ คำถามเกี่ยวกับจุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมเหล่านี้ ถามกันมานาน แล้ว ก็มีคำตอบที่ตอบกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เป็นที่เปิดเผยใน ที่โล่งแจ้งกันสักที ต่างก็งึมงำๆอยู่ในที่ลับเฉพาะกลุ่มย่อย น้อยแห่งจะอ้างอิงพุทธ พจน์ซึ่งปรากฏอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตรแท้ๆ อันมีใจความโดยสรุปคือถ้าใครก็ตาม เจริญสติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าประทานไว้อย่างเต็มที่ อย่างช้าภายในเจ็ดปีต้อง บรรลุธรรมขั้นสูงสุด เป็นพระอรหันต์ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นพระอนาคามี ไม่ต้องวนกลับมาเกิดให้ลำบากในภพมนุษย์นี้อีก ผมทราบคำตอบอยู่แล้ว แต่ไม่เคยคิดจะนำมาตั้งเป็นชื่อหนังสือ กระทั่งวันหนึ่ง กำลังอ่านใบโฆษณาหนังสือใหม่ พบหนังสือเล่มหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ถนัด แต่ประมาณว่า ๘๐ วันเพื่อการเป็นกุ๊กมือฉมัง ทีแรกผมอ่านผ่านๆ แต่แล้วก็ฉุกคิดว่าผมเขียนหนังสือ และบทความมาหลายเรื่อง ยังไม่เคยขึ้นต้นชื่อหนังสือด้วยตัวเลขสักที อีกหน่อยน่า จะคิดทำกับเขาบ้าง คงเท่ดีเหมือนกัน ความคิดที่ผุดขึ้นโดยอัตโนมัติในลำดับถัดมา คือเชื่อมโยงแนวการปฏิบัติธรรม เข้ากับตัวเลข ผมแค่นึกนิดเดียวว่าตัวเลขใดเชื่อมโยงกับการปฏิบัติธรรมภาวนาใน พุทธศาสนาบ้าง คำตอบก็โพล่งออกมาทันทีวา่ เลข ๗ กล่าวคือพระพุทธเจ้าตรัสถึงระยะ
ธรรมะใกล้ตัว 19
เวลาในการเจริญสติให้เข้าถึงมรรคผล ว่าอย่างช้า ๗ ปี อย่างกลางประมาณ ๗ เดือน และอย่างเร็วประมาณ ๗ วัน ต้องได้มรรคได้ผลขั้นสูงเป็นแน่แท้ ถ้าเอาอย่างกลางๆสำหรับคนทั่วไป ก็ต้องว่า ๗ เดือนสามารถบรรลุธรรมกันได้ ผมตาสว่างและได้ชื่อหนังสือ ‘๗ เดือนบรรลุธรรม’ ในฉับพลันนั้นเอง ชื่อหนังสือ ยังจุดประกายให้เห็นโครงสร้างและเนื้อหาทั้งหมดอีกด้วย การนี้ผมควรแต่งเรื่องเล่า ประสบการณ์ของคนธรรมดาคนหนึง่ ทีไ่ ด้รบั แรงบันดาลใจให้เข้าสูโ่ ลกของการปฏิบตั ิ ธรรมภาวนา และฉายให้เห็นว่าผ่านวันผ่านเดือนของการปฏิบัติตามพระพุทธองค์ สอน แล้วเกิดประสบการณ์ภายในอย่างไร ผ่านอุปสรรคไปได้ท่าไหน ใช้เวลานานช้า กี่วันกี่เดือน จึงบรรลุธรรมตามระยะแห่งพุทธพยากรณ์ในมหาสติปัฏฐานสูตร เนื้อหาของทั้งเรื่องแม้เป็นสิ่งที่ผูกขึ้นแบบนวนิยาย ทว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการ ปฏิบตั ธิ รรมก็ลว้ นเป็นประสบการณ์ตรงของครูบาอาจารย์ ตลอดจนผมเองและสหาย ธรรมหลายต่อหลายท่าน ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่คอ่านได้อ่านแล้ว รู้สึกว่าเข้าใจ ไขปัญหาและข้อสงสัยต่างๆได้เป็นขั้นๆ และที่สำคัญคือเชื่ออย่างมีเหตุผลรองรับ ว่าพุทธพยากรณ์ในมหาสติปัฏฐานสูตรเป็นจริงได้อย่างไร สรุปคือด้วย ‘วิธีคิด’ คุณอาจได้ชื่อหนังสือที่เป็นทั้งคำตอบให้กับข้อสงสัยของคน ส่วนใหญ่ และเป็นทัง้ คำท้าให้พสิ จู น์ความจริงอันเป็นแก่นสารของพุทธศาสนา ขอเพียง จับประเด็นถูกว่าสิง่ ใดน่ารู้ สิง่ ใดเป็นข้อสงสัยของคน สิง่ ใดทีเ่ ห็นแล้วเกิดแรงบันดาลใจ ถ้อยคำทั้งหมดล้วนลอยรอในอากาศอยู่แล้ว ทำอย่างไรคุณจึงจับฉวยพวกมันมาเป็น แม่เหล็กดึงดูดความสนใจคนอ่านให้ได้เท่านั้น ๒) วิธีคัด หมายถึงการใช้ชวี ติ ตามปกติ รับการกระทบจากโลก และปล่อยให้เกิดปฏิกริ ยิ าทาง ความคิดตามสบาย ไม่คาดคัน้ ตัวเองว่าจะต้องได้ชอ่ื เรือ่ งเด็ดเมือ่ นัน่ เมือ่ นี่ ขอแค่มสี ติคอย ดักความรูส้ กึ พิเศษทีเ่ กิดขึน้ เป็นครัง้ คราว ไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปเปล่าๆ คุณจะพบว่า ตามธรรมชาติแล้ว เมือ่ ใดเกิดความรูส้ กึ พิเศษ เมือ่ นัน้ มักมีกลุม่ คำหรือวลีพเิ ศษเกิด ร่วมด้วยเป็นเงาตามตัว ถ้าวลีใดวลีหนึ่งแตกต่างและโดนใจมากพอ มันก็อาจเขยิบ ฐานะจากคลื่นลมในหัวมาเป็นชื่อหนังสือติดปากคนได้ง่ายๆ
20 ธรรมะใกล้ตัว
ยกตัวอย่างของจริง มีอยูว่ นั หนึง่ ผมได้รบั โทรศัพท์ขอให้เขียนอะไรสัน้ ๆให้คนใกล้ ตายได้อา่ น ซึง่ วูบหนึง่ ผมนึกเห็นดีเห็นงาม เพราะทีผ่ า่ นมาเขียนให้แต่คนเป็นซึง่ นึกว่าจะ ‘เป็น’ ไปอีกนาน ไม่เคยตั้งใจเขียนให้คนที่นึกว่าจะ ‘ตาย’ อยู่รอมร่อสักที แต่ผมก็คิดไม่ออก ไม่ตกลงใจว่าจะเขียนอะไร เนื่องจากช่วงนั้นมีงานจองเวลาทำ งานของผมหลายชิน้ อยูแ่ ล้ว กระทัง่ นานเป็นเดือน จูๆ่ ก็แวบนึกถึงญาติของผูข้ อขึน้ มา ว่าเสียชีวิตไปหรือยัง กับทั้งเกิดความเสียดายขึ้นมาอย่างประหลาด ที่จนแล้วจนรอด ผมก็คิดไม่ออกสักทีว่าจะเขียนอะไรให้คนใกล้ตายได้อ่าน ขณะคิดนัน้ ผมกำลังเดินไปอาบน้ำตามปกติ ความรูส้ กึ ทีผ่ สมกันระหว่างความอยาก เขียนให้คนใกล้ตายอ่าน กับความเสียดายถ้าหากบุคคลผู้นั้นเสียชีวิตไปเสียก่อนผม เขียนเสร็จ ก็เกิดเป็นอาการ ‘คัดคำมาผสมกัน’ โดยไม่ตั้งใจ หลายคนคงเคยได้ยนิ ชือ่ หนังสือ ‘เสียดาย… คนตายไม่ได้อา่ น’ และทีก่ ล่าวมาข้าง ต้นก็คือต้นตอของชื่อหนังสือเล่มนี้ มันคือวันที่ผมไม่ได้ใช้ความสามารถทางการคิด แต่รู้จักคัดเอาวรรคทองที่ลอยผ่านเข้ามาในหัวไว้ ไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปก็เท่านั้น ตอนอาบน้ำผมนึกครึ้มที่คิดชื่อเรื่องได้ แม้ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่ามันจะน่าสนใจ สำหรับคนทัว่ ไปสักแค่ไหน อย่างน้อยก็เกิดโครงสร้างหนังสือขึน้ มาแล้ว คือคำถามพืน้ ๆ เช่น คนเราอยากรู้อะไรบ้าง ชนิดที่ถ้าไม่ได้คำตอบแล้วน่าเสียดายหากตายไปเสียก่อน? เกิดมาเป็นอย่างนี้เพราะอะไร? ตายแล้วไปไหนได้บ้าง? ถ้ายังต้องอยู่ควรทำอย่าง ไรดี? นี่แหละที่คุยกันไม่จบ พุทธเรามีคำตอบให้คนที่ยังไม่ตาย เพียงแต่คนส่วนใหญ่ แม้ชาวพุทธที่ไปวัดเกือบทุกอาทิตย์ ก็ไม่ทราบจะหามาจากไหน มีเกร็ดอยู่นิดหนึ่งที่ถือโอกาสเล่าให้ฟัง ตอนอยู่ในห้องน้ำผมนึกว่าได้ชื่อเรื่องน่า สนใจอย่างนี้คงไม่หนีจากหัวผมไปไหนแน่ แต่พอออกจากห้องน้ำก็แทบลืมอย่างสนิท ว่าเมื่อกี้คิดอะไรออก แบบว่ามันเป็นการผสมคำที่ผมเคยได้ยินมาจากไหน เวลาผ่าน ไปไม่กน่ี าทีจงึ เลือนหาย คล้ายกับทีค่ ณ ุ ชะล่าใจ นึกว่าจะสามารถจดจำเลข ๑๐ หลักได้ แต่ความจริงคืออาจจะไม่ได้
ธรรมะใกล้ตัว 21
ผมรูแ้ ต่วา่ ถ้าปล่อยให้ชอ่ื นัน้ หลุดลอยไปกับสายลม ก็คงเป็นความน่าเสียดายอย่าง ไม่มอี ะไรเกิน ยังโชคดีครับ หลังจากเค้นนึกอยูพ่ กั ใหญ่กจ็ ำได้ รีบปรีไ่ ปทีโ่ ต๊ะหนังสือเพือ่ จดไว้ทนั ที ไม่ปล่อยให้หลุดจากหัวซ้ำสองอีกแล้ว และนับจากนัน้ ผมจะต้องมีอปุ กรณ์ บันทึกอย่างใดอย่างหนึง่ ติดตัวอยูต่ ลอด ๒๔ ชัว่ โมง ทุกวันนีแ้ ม้เข้าห้องน้ำเพือ่ อาบน้ำ คุณก็จะเห็นผมพกพาเอาโทรศัพท์มือถือเข้าไปด้วย ไม่ใช่เพื่อให้ความสำคัญกับการ รอรับโทรศัพท์นักหรอก แต่ไม่อยากให้พลาดทองคำที่อาจผ่านเข้ามาให้คัดกรองไว้ อีกต่างหาก! ทุกวันนี้ผมเขียนคอลัมน์ ‘คิดจากความว่าง’ ลงในเนชั่นสุดสัปดาห์ทุกอาทิตย์ ซึ่งก็จำเป็นต้องตั้งชื่อให้แต่ละตอน คุณอาจเข้าใจว่าผมคิดหรือคัดชื่อเรื่องอาทิตย์ละ ครั้ง แต่ความจริงคือผม ‘คัด’ อยู่ตลอดเวลา แต่ละวันอาจได้ชื่อเรื่องถึงสองสามชื่อ ซึ่งแน่นอนผมบันทึกไว้ ถ้ามันฟังดูน่าสนใจมาก ผมก็อาจลัดคิว อาจยอมเสียเวลาสัก ครึง่ วันเพือ่ ‘คิด’ ถึงเนือ้ ความทันที และมันก็มกั จะได้ผล หลายชือ่ เรือ่ งมีพลังแม่เหล็ก มากพอจะดึงดูดให้อยากอ่าน ผมเองเมื่อเขียนก็ไม่เกิดความเบื่อหน่าย ต่างฝ่ายต่าง ตกอยู่ภายใต้บรรยากาศความน่าสนใจ ทั้งคนเขียนและคนอ่าน ถึงตรงนี้คุณอาจตั้งข้อสงสัย ว่าอะไรเป็นตัวตัดสินว่าชื่อที่คิดและคัดแล้วนั้น ใช้ได้หรือยัง คำตอบคือ ‘ความรู้สึก’ ครับ ความรู้สึกเป็นแกนนำสำคัญในการตัดสิน ว่าชื่อที่คิดและคัดออกมาได้นั้น ใช่หรือไม่ใช่ ขอตั้งข้อสังเกตว่าชื่อเฉี่ยวๆที่แหวกแนว เอาความเก๋ไก๋เข้าว่า โดยไม่สนใจ ‘ความรู้สึก’ ว่าใช่แล้วหรือยัง มักถูกมองยิ้มๆแล้ว ผ่านไปโดยไม่มใี ครไยดี คุณจำเป็นต้องฝึกคิดและคัดชือ่ เรือ่ งไว้เผือ่ เลือกมากๆ ใช้ความ รู้สึกในการเปรียบเทียบมากๆว่าอันไหน ‘ใช่’ กว่ากัน เมื่อผมแนะนำวิธีตั้งชื่อให้น้องบางคนที่มีไฟในการเป็นนักเขียน ผมจะบอกให้เขา หัดผสมคำแวดล้อมเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังจะเขียน เอาคำโน้นมาผสมคำนี้อย่าได้หยุด คิดให้ได้สัก ๕๐๐ ชื่อเพื่อคัดกรองออกมาเลือก ต้องมีสักชื่อที่แตกต่างและโดนใจ อย่างแน่นอน และคุณจะพบว่าวิธีสร้างตัวเลือกนับร้อยเช่นนี้ ต้องได้ผลเสมอ! ใครบอกคุณว่าชื่อเรื่องไม่สำคัญ ไม่เป็นเหตุให้คุณค่าของหนังสือเพิ่มหรือลดลง ก็ขออย่าได้เชื่อเขาเด็ดขาดนะครับ ต่อให้เผยแพร่ให้อ่านบนอินเตอร์เน็ตโดยไม่
22 ธรรมะใกล้ตัว
เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ก็ใช่จะมีใครอยากอ่านเรื่องของคุณเพียงเพราะมันเป็นของฟรี อย่างน้อยคนอ่านก็ต้องจ่ายด้วยเวลาในชีวิตของเขา คิดดูถ้าเป็นตัวคุณเอง เห็นจั่วหัวบทความระหว่าง ‘ศาสนาพุทธอันน่าหวงแหน ของเรา’ กับ ‘ศาสนาทีม่ คี ำตอบให้กบั ทุกข้อสงสัย’ คุณจะเลือกอ่านบทความไหนก่อน? เห็นชื่อบทความแรกคุณอาจนึกถึงพวกคลั่งศาสนาที่พร้อมจะพร่ำพรรณนา ว่าสิ่งที่ เขาเชื่อนั้นสุดวิเศษเพียงใด ในขณะที่เห็นชื่อบทความหลังแล้วอยากรู้ว่าคนเขียนจะ เขียนตอบข้อสงสัยอันใดให้คุณได้บ้าง สรุปนะครับ ถ้าเริม่ ต้นไม่สะกิดใจ ไม่เตะตา ไม่กระชากความอยากรูอ้ ยากเห็นออก มาจากจิตใจทีว่ า่ งเปล่าของคนอ่าน ก็คาดหมายได้วา่ เรือ่ งของคุณจะวางปะปนกับเรือ่ งที่ ไม่ค่อยมีใครอยากอ่านอีกเป็นล้านๆ แม้เนื้อหาข้างในอาจน่าสนใจที่สุดในโลกก็ตาม!
ธรรมะใกล้ตัว 23
ไดอารีห ่ มอดู
ไดอารี่ หน้าที่ ๔ โดย หมอพีร์
ราหูครอบดวง เป็นคำที่พอใครได้ยิน ก็ต้องรู้ว่าไปหาหมอดูมาแน่ ซึ่งวันนี้ตั้งแต่เช้า เจอลูกค้ารายหนึ่ง หน้าตาตื่นมาก บอกว่าอยากมาเช็คดวงให้แน่ใจ เพราะว่าได้ไปดูดวงที่อื่นมาแล้ว แต่ไม่สบายใจเลย หมอดูเขาทักพี่ว่า ปีนี้ราหูจะครอบดวงพี่เขา แนะนำให้ไปบูชาราหูมาไว้ที่บ้าน และแนะนำให้พี่เอาของดำเก้าอย่างบูชาราหูด้วย แต่พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เล่าให้เพื่อนฟัง พอดีเพื่อนพี่เขาเคยมาดูกับน้องพีร์ เขาบอกว่าน้องพีร์จะให้คำแนะนำกับพี่ได้ ได้ถามวันเดือนปีเกิด คำนวณดวงออกมาได้ บอกพี่เขาว่า ไม่เห็นว่าจะมีดวงราหูครอบดวง เห็นแต่ว่าพี่มีกรรมเรื่องคำพูดกับคนไว้ เคยโกหกคนอื่นให้คิดมาก ให้ได้รับความทุกข์ทางใจบ่อย ๆ เหมือนเป็นเรื่องสนุกสนาน พอพูดจบพี่เขาก็บอกว่า ใช่ค่ะ ปัจจุบันบางครั้งก็เป็นอยู่เหมือนกัน กรรมข้อโกหก เวลามันให้ผล บางครั้งมันก็จะส่งคนที่เราไม่รู้จัก มาอธิบายหรือมาบอกให้เราเป็นทุกข์ หรือให้หลงเชื่ออะไรแบบงมงายไม่มีเหตุผล และก็ได้อธิบายให้เขาฟังว่า ราหูครอบดวง ไม่ได้หมายถึงราหูเป็นองค์ ๆ มาครอบงำชีวิตมนุษย์ แต่หมายถึงกรรมที่เราทำไว้ในอดีต ไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาตินี้ กำลังจะให้ผลกับเรา ถ้าตามโหราศาสตร์ จะมีความเชื่อสืบทอดกันมาตามตำราว่า ราหูจะมีอิทธิพลต่อดวงมนุษย์ คือความโชคร้าย ความผิดหวัง มีเคราะห์ เอาแต่ใจตัวเอง เจ้าโทสะมาก บางตำรา ดาวราหูมีอิทธิพลครอบงำอายุถึงสิบสองปี ชีวิตจะไม่รุ่งเรืองไม่ก้าวหน้า
24 ธรรมะใกล้ตัว
พี่เขาก็รีบพูดมาว่า ใช่ค่ะ หมอดูคนนั้นบอกพี่ว่าจะโดนราหูครอบดวงสิบสองปี พีก่ ค็ ดิ ว่า อะไรกันชีวติ พีต่ อ้ งมืดมนไปสิบสองปีเลยเหรอ มันทำให้พไ่ี ม่กล้าลงทุนอะไรเลย และทำให้เสียความมั่นใจเลยเหมือนกัน เมื่อได้ยินคำว่า “ราหู” เราก็มักจะนึกถึงสัญลักษณ์ “สีดำ” ซึ่งก็บ่งบอกถึง ความมืด ความไม่สว่าง ความทึบ ความอึดอัด ความคับแคบ ความทุกข์ ความทรมาน จากประสบการณ์ที่ดูดวงตามหลักกรรมวิบาก ความบังเอิญไม่มีบนโลก ชีวิตของมนุษย์ เป็นไปตามกรรมดีและกรรมไม่ดีของแต่ละบุคคลที่เคยทำมา ไม่ได้มีใครเป็นผู้กำหนด ลิขิตดวงชะตาเราไว้ นอกจากตัวเรา พอมีหลักตรงนี้แล้ว จะทำให้เชื่ออะไรแบบมีเหตุผล ไม่โยนให้คนอื่นว่าเขามาทำเราทำไม หรือทำไมเธอต้องทำกับฉันแบบนี้ จึงทำให้เห็นว่า ราหูครอบดวง คือกรรมไม่ดีที่ทำไว้จะให้ผล ที่สำคัญ ราหู สีดำ ยังหมายถึงกิเลสด้านมืด ๆ ที่มันนอนอยู่ในตัวเรา มันจะโผล่ออกมา มีผลทำให้อารมณ์แปรปรวน จิตใจจะควบคุมยาก ทำกรรมได้ง่าย ความคิดจะเอาแต่ใจ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจะต่ำ บางคนจะเป็นอาการพยาบาท เจ็บใจ อยากแก้แค้นเอาคืน ความอดทนต่ำ อะไรที่เคยอดทนมักจะไม่ทนต่อไปอีก ใจร้อนมาก ปากไว เบื่อชีวิตแบบไร้สาเหตุ ส่วนใหญ่มักจะมีความอยากให้เป็นอย่างที่คิด พอไม่เป็นอย่างที่คิด ก็เป็นทุกข์เพราะมันไม่เป็นอย่างที่คิด อย่างที่หวังไว้ ชอบเอาชนะ รั้นและดื้อเป็นที่หนึ่ง บางคนเพื่อนเตือนไม่ค่อยฟัง จากที่เคยสวดมนต์ไหว้พระ แผ่เมตตา ทำบุญเข้าวัด ก็เลิกทำไปเลย อารมณ์จะเป็นไปในทางด้านผิดหวัง และหดหู่ด้วย บางคนอาจจะมีราหูครอบงำตั้งแต่เกิดเลยก็ได้ คือดื้อตั้งแต่เกิด ใครเตือนก็ไม่ฟังไม่เชื่อ ใครสอนอะไรเถียงตลอด ความจริง สิ่งที่จะเอาชนะสีดำได้ก็มีแต่สีขาว พอนึกถึงสีขาว ก็จะรู้สึกถึงความสว่าง ความสุข ความสดใส
ธรรมะใกล้ตัว 25
ความโปร่ง ความเบาความสบาย ความไม่คับแคบ ไม่อึดอัด ไม่ทรมาน สีขาว หมายถึง กิจกรรมที่เป็นกุศลทุกชนิด เช่น สวดมนต์ แผ่เมตตา ฟังธรรม ทำบุญ ช่วยคน สร้างวัด ไปวิปัสสนากรรมฐาน ปล่อยสัตว์ ตั้งใจรักษาศีล ตั้งใจเลิกด่าคน ฯลฯ พอพี่เขาฟังจบก็คิดได้ บอกว่าจะกลับไปทำกิจกรรมที่เป็นกุศลต่อ ชีวิตเรา เมื่อเราเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับความสว่างมากกว่าความมืด ความมืดจะเข้าครอบงำชีวิตเราไม่ได้ กฎของธรรมชาติคือ สีดำย่อมแพ้สีขาว ถ้าเราเติมสีขาวเข้าไปมากเข้า จิตใจเราที่เคยมืดสนิท อย่างน้อยก็ย่อมเจือจางกลายเป็นสีเทา ถ้าใครเริ่มรู้สึกว่าอาการจะเป็นเช่นที่กล่าวมาแล้ว ว่ากำลังจะโดนราหู ก็หมั่นเติมสีขาวลงไปในใจเยอะ ๆ นะคะ ที่รู้สึกมืดมัวอยู่ ก็จะได้ค่อย ๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ
26 ธรรมะใกล้ตัว
กวีธรรม ยอม
โดย Praew
๏ โกรธขึ้งบึ้ง ตึงหน้า พาอึดอัด คิดข้องขัด คัดข้องขุ่น มุ่นมัวหมอง จิตพลุง่ พล่าน พาลกลัดกลุม้ ทุกข์รมุ ครอง ใจจดจ้อง ปองอาฆาต บาดอารมณ์ ลองพลิกใจ ให้ยอม พร้อมจะแพ้ โทสะจิต พิชิตได้ ใช่โง่งม
ยอมอ่อนแอ แม้ไม่สู้ ดูไม่สม ลดทุกข์ตรม จมโกรธะ ละราวี
จงยินดี ที่ยินยอม รอมชอมได้ ให้อภัย ได้สร้างสุข ผูกไมตรี
ยอมแพ้ไป ใช่เพราะผิด หรือคิดหนี ยอมอ่อนโยน โอนอ่อนที มีสุขเย็น
คนยอมให้ ใจอ่อนนุ่ม ชื่นชุ่มจิต เลิกเพ่งผิด คิดอภัย ไร้ซึ่งเวร
ละความคิด ลดอัตตา พาทุกข์เข็ญ สุขให้เป็น เย็นให้ได้ ใช้เมตตา
�
ชีวิต
โดย กวีปกรณ์
ชีวิตมีร้อยเรื่อง เจ้าจักเรียนรู้มัน บางสิ่งอาจคอยวัน หากจิตยังนอบน้อม
หลากพัน เมื่อพร้อม ปรากฏ ชีพนี้ศรัทธา
จงอย่าหลีกหลบเร้น มันจักคลี่เงื่อนคลาย มีต้นย่อมมีปลาย ข้าอยู่มิคลาดแคล้ว
พรางกาย สุดแล้ว ที่รัก แห่งนั้นมั่นเสมอ
ธรรมะใกล้ตัว 27
เพียงเจ้าจงจับจ้อง มีหนึ่งสถานวิเศษ ค้นหาสิสังเกต ก้าวย่างอย่าเพลี่ยงพล้ำ
สองเนตร มากล้ำ ให้พบ เท่านั้นเป็นดี
ทุกสิ่งจักเปลี่ยนเจ้า อาจแปลกสิ่งซึ่งแสดง อย่าหวั่นไม่ร้ายแรง จงแกร่งอย่ากลัวไซร้
เปลี่ยนแปลง ประจักษ์ได้ หากพบ ชีพเจ้าเติบโต
บางช่วงชีวิตคล้าย บางแห่งอาจเลือนลาง บางวันหมอกหม่นพราง บางสิ่งอุปสรรคแสร้ง
เดินทาง สว่างแจ้ง ขวางจิต แกร่งกล้าฝ่าฟัน
เข้าใจและรับรู้ ทุกสิ่งย่อมกลับกลาย มีเกิดแก่เจ็บตาย เปล่าใช่เราพ่ายแพ้
ความหมาย สิ่งแท้ สลายดับ แต่ต้องเข้าใจ
ใช่ทุกสิ่งเปลี่ยนเจ้า ตั้งสติสิทรามเชย ทบทวนเมื่อแรกเปรย หากมั่นประมาทแม้
สหายเอย อาจแก้ ทวนทบ อาจแพ้ภัยพาล
28 ธรรมะใกล้ตัว
�
เตรียมตัวตาย
โดย ศิราภรณ์ อภิรัฐ
๏ เมื่อความตายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อรู้อยู่แก่ใจไม่เชือนแช
เมื่อรู้ว่าหนีตายไม่พ้นแน่ ว่าเที่ยงแท้คือดับลับชีวี
เราก็มาเตรียมตัวตายกันเถิดมิตร ครองสติดำเนินชนม์บนทางดี
มาตั้งจิตด้วยใจมั่นในวันนี้ ด้วยวิถีแห่งธรรมนำสุขใจ
แม้มิรู้ว่าวันไหนในชีวิต ว่าต้องพรากจากกายนี้อำลาไกล
ที่ลิขิตด้วยกรรมกำหนดให้ จากจรสู่ภพใด...แห่งไหนกัน
แต่ก็รู้…สุคติเป็นที่หมาย ทางอบายไม่เห็นเป็นที่มั่น “ตายก่อนตาย” ยิง่ ประเสริฐเลิศอนันต์ ชีพแสนสั้นอย่าประมาทพลั้งพลาดเอย
�
ธรรมะใกล้ตัว 29
คำคมชวนคิด “For every minute you remain angry, you give up sixty seconds of peace of mind.” “ทุกนาทีที่คุณยังคงโกรธ คุณได้ละทิ้งหกสิบวินาทีแห่งความสงบของใจ”
�
- Ralph Waldo Emerson ศิราภรณ์ อภิรัฐ แปล
“The weak can never forgive. Forgiveness is the attribute of the strong.” “ผู้อ่อนแอไม่สามารถให้อภัยได้ การให้อภัยคือคุณลักษณะของผู้เข้มแข็ง”
�
- Mahatma Gandhi ศิราภรณ์ อภิรัฐ แปล
“ยิ่งยากยิ่งสว่าง” ก้าวแรกในการฮึดต่อกรกับกิเลสให้ชนะโดยแท้นั้น อาจเหมือนยาก แต่โจทย์ยิ่งยากเท่าไหร่ หากก้าวพ้นไปได้ ก็ยิ่งเป็นประตูไปสู่ความเบาสว่างเหนือกิเลสมากเท่านั้น.
� 30 ธรรมะใกล้ตัว
- ศดานัน
“พ่ายแพ้ เพื่อ ชัยชนะ” ความพ่ายแพ้ ไม่ใช่ความล้มเหลว ขอเพียงดูให้รู้ว่า “ทำไมจึงพ่ายแพ้” เพื่อ จะได้แก้ไขที่ทำให้แพ้ไป เมื่อ “อุด” ช่องทางที่แพ้ไปได้ ก็จะถึงคราวที่ชนะ - กอบ
� “Defeat is not the worst of failures. Not to have tried is the true failure.” “ความพ่ายแพ้มิใช่ความล้มเหลวที่สุดหรอก การไม่ พยายามต่างหากคือความล้มเหลวที่แท้จริง”
�
- George E. Woodberry ศิราภรณ์ อภิรัฐ แปล
ธรรมะใกล้ตัว 31
สัพเพเหระธรรม
งานด้อยค่า หน้าสดใส ใจเปี่ยมสุข โดย Shopgirl
มีใครเคยคิดบ้าง ไหมว่า หน้าที่การงานที่แสนจะดูต่ำต้อยในสายตาของผู้คนส่วน ใหญ่ในสังคมนั้น จะสามารถนำความภาคภูมิใจอย่างสูง มาสู่คนคนหนึ่งได้ มีใครเคยคิดบ้างไหม ว่าคนที่ทำงานเหล่านั้น แม้จะดูด้อยกว่าทั้งสติปัญญาและ สถานะ แต่อาจมีทัศนคติและมีน้ำใจดีงามกว่าที่เราเคยคาดหวังไว้มากนัก เมื่อก่อนฉันรู้สึกรังเกียจตัวเองเสียเหลือเกิน ที่ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด หางานอะไรทำก็ไม่ได้ ฉันหางานด้านที่เรียนจบมาอยู่เกือบสามปี แต่จับพลัดจับผลู จะต้องมาทำงานเป็นสาวห้าง ขายเครื่องสำอางในห้างไปวันๆ ตอนแรกก็ไม่ได้รังเกียจอะไร คิดๆว่าน่าจะสนุกดีด้วยซ้ำ แต่พอคุยกับใครๆที่เมือง ไทย เขาก็ว่าเป็นงานประเภทจับกัง (Blue-Collar worker ) ทำงานอย่างนี้จะได้ ประสบการณ์อะไร ทำให้ระดับความมั่นใจที่ปกติอยู่ที่ศูนย์ ลดลงเหลือลบสี่สิบห้าดีกรี จริงๆแล้วการที่ฉันได้ทำงานที่คนส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าเป็น “งานอันต่ำต้อย” มันก็เป็นโอกาสดีที่จะได้แก้ข้อเสียจุดหนึ่งของตัวเอง ได้ลองขูดเปลือกหนาๆที่ห่อ หุ้มตัวเองออกทีละชั้น ทีละชั้น ต้องพยายามเข้าหาคนอื่นก่อน ไปยิ้มให้คนอื่นก่อน เพราะปกติแล้วคะแนนด้านมนุษยสัมพันธ์ของฉันก็ถือว่าแย่ อีกทั้งฉันเองก็มีลูกบ้า อยู่บ้าง จึงตบเข่าตัวเองหนึ่งป้าบ! ประกาศกร้าว! เอาละ ฉันจะถือว่า การทำงานนี้ เป็นการฝึกลดอัตตาของตัวเองลงก็แล้วกัน เมื่อคิดอย่างนั้น ในภายหลัง ฉันก็พบว่า ฉันได้ทำอะไรหลายอย่าง ที่ไม่คิดว่าตนจะทำได้ และจะได้ทำ Blue-Collar Worker หมายถึง ชนชั้นกรรมาชีพที่ทำงานโดยการใช้แรงงาน ได้ค่าแรงเป็นชั่วโมง มีที่มาจากชุดเครื่องแบบการทำงานในสมัยก่อนที่ต้องใช้ผ้าที่มีความทนทาน มักเป็นเสื้อผ้าสีฟ้าหรือสี น้ำเงิน ต่างจาก White-Collar Worker ที่ทำงานด้านวิชาชีพหรืองานบริษัท ไม่ต้องใช้แรงกายมาก และได้ค่าจ้างเยอะกว่า ชุดทำงานมัก เป็นเสื้อสีขาวหรือสีอื่นๆเพราะไม่ต้องกลัวเปื้อน สมัยก่อนใช้ เป็นเครื่องหมายบ่งบอกสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
32 ธรรมะใกล้ตัว
ตามปกติของพนักงานขาย ใครต้อนรับลูกค้าคนไหน คนนั้นจะต้องได้ยอดจาก การขายครั้งนั้นไป และแน่นอนว่าได้เปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งจากการขายนั้นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานขายเครื่องสำอางที่ใครๆก็ถือว่าเป็น”money maker” คือ ได้รายได้เข้ามาง่ายเมื่อเทียบกับแผนกอื่นๆ ในย่านที่ฉันทำงานอยู่ถือว่าเป็นย่านที่อยู่ อาศัยสำหรับผูม้ รี ายได้สงู (เช่นคุณสตีฟ จ๊อบส์ หรือผูบ้ ริหารยาฮู กูเกิล ก็อยูแ่ ถวนี)้ แม้ ว่าฉันยังไม่เคยเจอขนาดแบบในโฆษณายุคเก่า ทีล่ กู ค้าเข้ามาถามว่า ทัง้ ร้านราคาเท่าไร แต่กม็ ีลกู ค้าอีกแบบที่วา่ ช่วยหากล่องของขวัญใหญ่มาหนึง่ ใบ และช่วยเลือกสินค้าใส่ กล่องให้เต็ม ซึ่งลูกค้าแบบนี้ ก็มักจะมาให้แจ็กพอตเอาที่ฉันนี่แหละ มีครั้งหนึ่งที่เจอลูกค้าให้แจ็กพอต และเป็นช่วงแรกๆที่ฉันเริ่มทำงาน ซึ่งก็ยังเรียน รู้เรื่องสินค้าได้ไม่มากนัก โชคดีที่ได้เพื่อนร่วมงานช่วยไว้ ตั้งแต่วิ่งไปหยิบกล่องจาก ส่วนเก็บของของแบรนด์ ซึ่งอยู่ห่างจากเคาน์เตอร์ไกลออกไป ระหว่างนั้นฉันก็ได้แค่ ยิ้มเฉยๆ เพื่อนก็ช่วยแนะนำสินค้า แสดงให้ฉันดูว่าวิธีการขายที่ดีต้องทำอย่างไรบ้าง และทั้งแพ็กของห่อของ เรียกว่าทำให้ทุกอย่าง เสร็จสรรพก็ยื่นให้ฉันเป็นคนคิดเงิน คร่าวๆแล้วออกมาก็หลายร้อยกว่าเหรียญอยู่ แน้! อย่าเพิ่งคิดว่า ทำไมฉันหน้าด้านจัง กล้ารับมาเป็นยอดของตัวเองด้วยเหรอ ตัวเองยืนเฉยๆไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ฉันก็ทำไม่ลงเหมือนกัน ก็เลยบอกเพื่อนว่า เรายกยอดครั้งนี้ให้เธอ เพื่อนก็ตกใจ ถามกลับว่าแน่ใจหรือ แน่ใจจริงๆนะ หลังจากเร ายือ้ ยุดกันไปมาหลายรอบแล้ว พอฉันยืนยันเต็มทีว่ า่ แน่ใจสิ สีหน้าของเพือ่ นก็เจิดจรัส ขึ้นมา นี่ก็เป็นเพราะน้ำใจของเพื่อน ที่เขาคิดช่วยเหลือฉันโดยไม่คิดเอาเข้าตัวเองเลย การได้มีโอกาสพบผู้คนมากมายก็ถือเป็นการได้ช่วยเหลือคนไม่ซ้ำหน้าทุกวันๆ เคานเตอร์ของฉันจะอยู่ใกล้ทางเข้าออกด้านหลังของห้าง จึงมักจะเจอคนที่ถือของ พะรุงพะรังมาบ่อยๆเพื่อจะไปยังที่จอดรถ ฉันมักสังเกตเพื่อนที่เคาน์เตอร์ข้างๆซึ่งอยู่ ใกล้ทางเข้าออกนีม้ ากกว่าฉัน เขาจะคอยทักทายและคอยเดินมาช่วยกดปุม่ เปิดประตู ให้ลูกค้าเสมอๆ แม้จะไม่ใช่หน้าที่ของเขา เขาทำให้ฉันรู้สึกว่า เราสามารถทำอะไรดีๆ ในงานนี้ได้มากกว่าแค่การขาย ดังนั้น เมื่อไรที่เห็นลูกค้าถือของสองมือมาแต่ไกล ฉันจะวิ่งไปรอที่ประตู เพื่อที่จะขอบคุณที่เขามาใช้บริการและกดปุ่มเปิดประตูให้เขา
ธรรมะใกล้ตัว 33
มีลูกค้าหลายๆคนรู้สึกแปลกใจที่มีคนเปิดประตูรอไว้ แต่ก็ยิ้มและทักทายกลับ แม้จะ เป็นเรื่องเล็กๆแค่นี้เอง แต่ทำให้ฉันชุ่มชื่นใจไปหนึ่งวาบ พอทำอย่างนี้บ่อยๆจนใจฉันเอิบอาบมากขึ้นทุกที ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็ตั้งใจว่า ไม่ว่า ใครก็ตามทีเ่ ข้ามาในทีแ่ ห่งนีแ้ ละมาอยูใ่ นสายตาของฉัน ฉันจะช่วยอำนวยความสะดวก ให้เขาเท่าทีจ่ ะทำได้ และเขาจะต้องมีความสุขกลับไป น่าแปลกทีว่ า่ เมือ่ คิดแบบนัน้ แล้ว ฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นสาวห้าง เป็นคนขาย แต่รู้สึกเหมือนว่างานของฉันคือการช่วย เหลือคนอื่น บ่อยครั้งที่ห้างมีโปรโมชันและเพื่อนของฉันได้พยายามแนะนำเรื่องการใช้โอกาส ในโปรโมชัน เพื่อให้ได้สินค้าที่ดีและเหมาะสม มากกว่าจะคิดเรื่องกำไรของตน ฉัน เห็นเพื่อนๆที่เคาน์เตอร์มักจะใช้คูปองของตนเองแสกนให้ลูกค้าบ่อยๆ แต่พนักงาน บางคนไม่ทำให้ก็มีอยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ฉันก็ทำตามเพื่อนที่เคาน์เตอร์บ้าง คือถามลูกค้าว่า มีคูปองลดราคาหรือไม่ ถ้าไม่มี ฉันก็จะสแกนคูปองของพนักงานให้ และก็จะคอยลุ้นกับลูกค้าว่า ของชิ้นนั้นจะได้ลดราคาเท่าไร บางครั้งลูกค้าก็ขอบคุณ บางครัง้ ลูกค้าไม่ได้รสู้ กึ อะไรก็มี แต่มคี รัง้ หนึง่ ทีป่ ระทับใจมาก คือลูกค้าได้ลดกระเป๋าที่ เขาซือ้ ให้ลกู สาวไปถึง $30 จากราคาเดิม $200 กว่าเหรียญ ลูกค้าก็เงยหน้าขึน้ มามอง ฉันด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย แล้วพูดว่า “Thank you, it seems like a Christmas to me.” ทำให้ฉนั รูส้ กึ ภูมใิ จทีส่ ามารถทำให้เขาประหยัดได้ และยิง่ ไปกว่านัน้ ฉันรูส้ กึ เหมือนเป็นผู้ให้ของขวัญแก่ผู้อื่นโดยที่เขาไม่คาดคิด ทำให้พวกเขามีความยินดี ประทับใจ นอกจากตัวงานแล้ว ความมีน้ำใจของเพื่อนๆร่วมงานได้สอนฉันหลายอย่าง ทำให้ฉนั รูส้ กึ ว่า Blue Collar ทีใ่ ครๆมองว่าด้อยค่าเหลือเกิน จริงๆแล้วเราสามารถเลือ่ น Collar ที่ผู้อื่นสวมคอให้เรา มาเป็น Halo คือวงแหวนรัศมีที่ลอยอยู่บนหัวตามแบบ เทวดาได้ อยู่ที่ว่าเรามีมุมมองต่อตัวเอง และคนรอบข้างอย่างไร เราได้หาโอกาสทำดี จากสถานการณ์ต่างๆได้อย่างไร เราไม่จำเป็นต้องมีเงินล้นฟ้า มีอำนาจมาก มีหน้าที่ การงานใหญ่โตเท่านั้นถึงจะสามารถทำดีได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมของเรา ให้เป็นที่ตั้งของเจตนาและการกระทำที่ดีๆได้ อีกทั้งเราก็ได้ใช้โอกาสเหล่านี้พัฒนาจิต ใจของตัวเองได้ด้วยเช่นกัน
34 ธรรมะใกล้ตัว
ธรรมะจากคนสู้กิเลส
ผมเป็นเกย์
โดย เสนาดำเนิน
ตัง้ แต่วยั เด็กมาแล้วทีผ่ มไม่เคยยีห่ ระกับภาพโป๊เปลือยปลุกใจเสือป่า ไม่เคยยีห่ ระ กับการกินเหล้าเข้าเธคตามเพื่อน ผมตั้งหน้าตั้งเรียน ๆ ๆ และเรียนเพียงอย่างเดียว ใจของผมมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม ผมต้องการเป็นบุคคลสำคัญระดับชาติ ช่วงเวลาในวัยรุ่น ของผมจึงไม่เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่มักจะหมดเวลาไปกับการสังสรรค์ จีบสาว เดินห้าง นัง่ ร้านกาแฟ วันเวลาของผมหมดไปกับการปูพน้ื ฐานของตัวเองเพือ่ ก้าวไปให้ถงึ ความ ฝัน ผมศึกษาวิถีการเมือง เศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งกลยุทธทางการทหาร ผมศึกษา ทุก ๆ อย่างที่ผู้ต้องการพัฒนาประเทศชาติพึงกระทำ ผมสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะบริหาร ผมพบว่าชีวิตในมหาวิทยาลัย นั้นอิสระเหลือเกิน ผมมีเพื่อนใหม่ที่หลากหลาย แต่ละคนมีพื้นฐานชีวิตที่แตกต่าง กัน ผมเริ่มสนุกกับการพูดคุยกับเพื่อนใหม่ของผม ผมคิดว่าผมอาจจะชอบเรียนรู้ ประสบการณ์ชีวิตจริงจากคนเหล่านี้ก็ได้ ผมจึงไม่ปล่อยให้ตัวเองขลุกอยู่แต่บ้าน ตำราเรียน และอินเตอร์เน็ตเหมือนเดิม ผมพบว่าผมรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งพูดถึงสาว ๆ แรก ๆ ผมคิดว่าผมไม่เข้าใจว่าทำไมหนุ่มทุกคนจะต้องสนใจสาว ๆ ด้วย อยู่ด้วยกันเองมี ความสุขพออยู่แล้ว เวลาผ่านไปพักใหญ่ผมถึงเข้าใจว่า ที่จริงแล้วผมเป็นเกย์ ผมมา ถึงบางอ้อตอนที่ผมออกอาการหึงหวงเพื่อนของผมเมื่อเขาเขียนจดหมายรักถึงสาว ๆ ผมยอมรับว่าผมงงและสับสนพอสมควร ผมหลงรักเพื่อนผู้ชายของตัวเอง ผมเริ่ม เข้าใจตัวเองขึ้นมาตามลำดับว่า ทำไมผมไม่เคยสนใจผู้หญิง ไม่ว่าสวยเซ็กซี่ขนาดไหน และทำไมผมสนใจมองดูแต่ผู้ชายที่หล่อ ๆ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ผมใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างลำเค็ญจิตใจ จากการที่ผมต้องต่อสู้กับจิตใจ ตัวเองที่ทนไม่ได้กับการที่หนุ่ม (ของผม) เอาแต่สนใจสาวสวย บางครั้งผมหลบหน้า
ธรรมะใกล้ตัว 35
เพือ่ นบางคน เพราะผมเจ็บปวดเกินไปทีจ่ ะอยูใ่ กล้พวกเขา ผมคิดว่าเขาเข้าใจว่าผมเป็น อะไร แต่เขาไม่ได้แสดงอาการรังเกียจผม รวมทัง้ ไม่เอาผมไปพูดในเชิงเสียหายกับคนอืน่ ผมขอบคุณเขาอยู่เงียบ ๆ ในใจ ผมเรียนจบมหาวิทยาลัย และบินไปเรียนต่อต่างประเทศทันที ผมต้องการลบ ฝันร้ายของชีวติ ออกไปให้เร็วทีส่ ดุ แต่ผมไม่รเู้ ลยว่าประเทศทีผ่ มไปนัน้ เปิดเผยในเรือ่ ง การเป็นเกย์กว่าเมืองไทยมาก มีคนผิดเพศเดินอยูข่ วักไขว่ในมหาวิทยาลัยทีผ่ มไปเรียน และยิ่งไปกว่านั้น ผมถูกจีบด้วยหนุ่มหล่อนายหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น มโนธรรมในจิตใจของผมต่อสู้กับความต้องการจากก้นบึ้งของหัวใจ ผมตอบรับน้ำใจไมตรีของหนุม่ หล่อรายนัน้ ผมพยายามปฏิบตั ติ วั ให้เหมือนกับเพือ่ น ธรรมดา ๆ แต่ในบางครัง้ ก็อาจจะเกินเลยไปบ้าง ผมกล้ำกลืนรับสภาพแห่งความขัดแย้ง ในใจของผมที่หนักอึ้งขึ้นทุกวัน ๆ ในที่สุด ความคับแค้นทวีความรุนแรงจนผมเป็นคน ขีโ้ มโหไปโดยปริยาย ในทีส่ ดุ ผมใช้ความขีโ้ มโหของตัวเองเป็นเกราะกำบังตนเองให้ออก จากอำนาจแม่เหล็กแห่งราคะ ผมระเบิดอารมณ์อยูเ่ สมอ ๆ ซึง่ ขณะนัน้ ผมไม่มที างเลือก ผมต้องใช้วิธีนี้ไปก่อน ผมนึกในใจว่าเมื่อไหร่ที่ผมกลับเมืองไทยผมจะไปบวช ตั้งแต่เล็กจนโตผมมีความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา ผมเชื่อมั่นในศาสนาของผม และเชื่อว่าพระพุทธเจ้าจะให้คำตอบแก่ผมได้ทุกอย่าง ความคิดของผมในตอนนี้ไม่ เหลือร่องรอยของคนทีเ่ คยต้องการเป็นคนสำคัญของชาติอกี ต่อไป ผมคิดอย่างเดียวว่า ผมจะเอาตัวให้รอดจากหายนะแห่งจิตใจนีไ้ ปได้อย่างไร ผมคิดอยูเ่ พียงอย่างเดียวจริง ๆ ถ้าผมเอาชนะมันไม่ได้ ผมต้องจบชีวติ ลงอย่างอนาถแน่นอน ซึง่ ผมไม่มวี นั ยอมให้เป็น อย่างนั้นง่าย ๆ ผมจะสู้กับมัน สู้กับจิตใจของผมเอง และแน่นอน พระพุทธศาสนา คือคำตอบเดียวของผม ผมสอบวิชาสุดท้ายเสร็จแล้ว เพื่อนบางคนเตรียมตัวออกเดินทางท่องเที่ยวก่อน ที่จะกลับบ้าน แต่ผมเตรียมตัวกลับบ้านทันที ผมโทรศัพท์กลับมาบอกทางบ้านว่าผม อยากบวช แม่ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงยินดี แม่คงจะลอบสังเกตอยู่เงียบ ๆ และคงจะ ทราบว่าผมมีปัญหาบางอย่างที่ไม่อาจจะเปิดเผยได้ ผมขอบคุณแม่ที่ไม่ได้คาดคั้นเอา ความจริงอะไรกับผม นี่เองคือความประเสริฐของผู้ที่เป็นพ่อแม่
36 ธรรมะใกล้ตัว
ผมกลับมาถึงเมืองไทยและบอกกับแม่ของผมว่าผมมีความทุกข์เหลือเกิน ผม มีความผิดปกติทางจิตใจบางอย่าง แม่รับฟังและลูบหัวผม แม่บอกว่าผมอาจจะยัง ไม่ต้องบวชก็ได้ แม่จะได้มีเวลาดูแลผมอย่างใกล้ชิด และในสมัยนี้มีฆราวาสจำนวน มากที่ปฏิบัติธรรมได้ผลอย่างดีโดยที่ไม่ได้บวช ยังอยู่บ้านกับพ่อแม่ ยังทำงาน เหมือนคนปกติทั่วไป ผมเห็นด้วยกับแม่ ถ้าผมอยู่บ้านผมก็จะได้ดูแลพ่อแม่ของผม และได้ปฏิบัติธรรมไปด้วย ผมเริ่มการปฏิบัติธรรมด้วยการนั่งสมาธิ ผมทำด้วยความเพียรพยายามอยู่ 3 เดือน ระหว่างที่ผมนั่งอยู่นั้น ผมไม่สามารถต่อสู้กับกระแสจิตใจของตัวเองได้เลย ความทุกข์ใจ ความคับแค้น ความเจ็บปวดต่าง ๆ นานาวิ่งเข้าหาและโถมทับจิตใจ ของผม โดยที่ผมเองหมดทางสู้อย่างสิ้นเชิง บางครั้งผมถึงกับร้องไห้ออกมา จิตใจ ของผมชำรุดมาก ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ผมเข้ารับการแนะนำจากพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนา ท่านชี้แนะ แนวทางว่าให้ผมลองปฏิบัติด้วยการเดินจงกรม ผมไม่ได้ถามท่านแต่ผมคิดว่าผม คงไม่เหมาะกับการนั่ง แต่เหมาะกับการเดินมากกว่า ผมลงมือปฏิบัติทันที ทุก ๆ วันตอนเย็นหลังเลิกงาน ผมจะกลับบ้านเดินจงกรม ผมเดินวันละหลาย ๆ ชัว่ โมง นับ ๆ ดูแล้วผมเดินวันละเป็นสิบ ๆ กิโลเลยทีเดียว บางครั้งที่ความทุกข์ใจมันก่อตัวหนาแน่นมาก แม้จะเดินแล้วก็ยังไม่ได้ผลอะไร ผมจะเดินเร็วขึ้น ๆ บางครั้งถึงกับต้องวิ่งกันเลยทีเดียว เวลาผ่านไป 2 เดือน ผมคิดว่า ความทุกข์ของผมมันลดกำลังลง และบังเอิญผมได้พบหนังสือธรรมะเล่มหนึ่ง เป็น หนังสือธรรมะของหลวงพ่อเทียน ท่านสอนการปฏิบัติธรรมด้วยการเคลื่อนไหว ร่างกายอย่างมีสติ ผมจึงเริม่ เข้าว่าความทุกข์ใจนัน้ เป็นเสมือนมายา มันเหมือนจริงมาก และหลอกล่อเราให้ทุกข์ใจ กังวลใจ การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างมีสติเป็นการละลาย ความทุกข์ใจออกไปได้จริง ๆ ทีละเล็กละน้อย จนกระทั่งหมดไปในที่สุด ท่านเปรียบ ทุกข์วา่ เป็นเหมือนปลิงทีม่ าเกาะดูดเลือดเรา เราไม่จำเป็นต้องไปดึงมันออก เพราะมัน จะไม่ยอมปล่อยตัวออกจากเราแน่ แต่เพียงเรานำปูนกินหมากกับใบยามาผสมกับน้ำ แล้วบีบลงบนตัวปลิง ปลิงมันจะหลุดออกไปด้วยตัวมันเอง โดยที่เราไม่ต้องออกแรง แนะนำหนังสืออ่านประกอบ “การทำความรู้สึกตัว ภาค ๑” หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ (พันธ์ อินทผิว)
ธรรมะใกล้ตัว 37
ผมจึงเริ่มเข้าใจว่าการจะเอาทุกข์ออกจากชีวิตจิตใจของผมได้นั้น ผมไม่ต้อง พยายามห้ามความคิดตัวเองหรือห้ามความเป็นเกย์ของผม ผมเพียงแต่เคลือ่ นไหวกาย อย่างมีสติเท่านั้น ผมทำต่อไปอย่างสม่ำเสมอ ทุกวันผมเดินจงกรมอย่างไม่เกี่ยงงอน และมันช่วยผมได้จริง เวลาผ่านไป 6 เดือน ผมพบว่าความทุกข์ทางใจของผมที่เคย มีนั้นมีน้ำหนักอ่อนลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งแทบจะไม่เหลืออยู่เลย แม้กระทั่งในเวลา ทำงานผมก็ยังปฏิบัติธรรมไปด้วย ผมหมายถึงเวลาที่ผมเริ่มมีความทุกข์กังวลเกิด ขึน้ ผมจะเคลือ่ นไหวร่างกายทันที ผมจะลุกเดินไปเข้าห้องน้ำบ้าง ลุกขึน้ มาบิดขีเ้ กียจบ้าง หรือไม่ก็วิ่งขึ้นลงบันไดบริษัทเสียเลย ครั้งหลัง ๆ มานี้ แม้สิ่งที่เคยทำให้ทุกข์นั้น ปรากฏอยู่ในใจ แต่เพียงผมกระพริบตาเท่านั้น มันก็หายวับไป ผมคิดว่าผมไปได้ดีที เดียวในทางสายนี้ วันนี้ผมกลับไปพบเพื่อน ๆ ของผมได้อย่างสดชื่นเบิกบาน ผมรู้ได้เองด้วยใจของ ผมเอง ผมไม่ได้เป็นเกย์อกี แล้ว แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะพิสจู น์ความเป็นชายของผมด้วย การจีบสาว ผมคิดว่าผมจะปฏิบัติธรรมต่อไป ที่จริงแล้วการปฏิบัติธรรมนั้นได้รวมเข้า เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผมไปเสียแล้ว ผมเริ่มเข้าใจในสิ่งที่พระอาจารย์ หลายท่านเคยกล่าวว่า ธรรมะคือความธรรมดา หรือธรรมะคือธรรมชาติ ผมจึงสรรเสริญ คุณธรรมของพระพุทธเจ้าที่สุดในชีวิตจิตใจของผม ธรรมของท่านได้ช่วยชีวิตของผม ไว้ ผมเอ่ยปากอธิษฐานด้วยชีวิตจิตใจของผมว่าผมขอตอบแทนคุณพระพุทธศาสนา คุณของพ่อแม่ และคุณของครูบาอาจารย์ จนกว่าชีวิตของผมจะจบสิ้นไป
38 ธรรมะใกล้ตัว
ของฝากจากหมอ
วัคซีนใจ
โดย หมอพุดน้ำบุศย์ ช่วงวันเด็กที่ผ่านมา ได้จัดกิจกรรมเล็ก ๆ ที่โรงพยาบาลค่ะ เนื้อหามีสองส่วน คือ วัคซีนใจ และลูกรักน่ารัก สำหรับวันนี้ขอเอาเฉพาะเรื่องแรกมาแบ่งปันเล่าสู่กันฟัง ก่อนนะคะ
วัคซีน ในความหมายทั่วไปคือ สารสังเคราะห์จากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทีม่ ผี ลต่อระบบภูมคิ มุ้ กันในแง่การต่อต้านเชือ้ โดยหวังผลในการป้องกันการติดเชือ้ โรค แบบเฉพาะเจาะจง ปัจจุบนั เด็กไทยเริม่ ทำวัคซีนตัง้ แต่แรกคลอด และให้เป็นระยะอีก หลายครั้ง ด้วยวัคซีนหลายชนิด โปรแกรมการให้วัคซีนต่างกันไปแล้วแต่ประเทศ สถานการณ์ระบาดวิทยา อายุ และโรคประจำตัวของเด็กค่ะ หลักการโดยทัว่ ไปของวัคซีน คือ ทำให้ระบบภูมคิ มุ้ กันของร่างกาย รูจ้ กั กับเชือ้ ทีไ่ ม่เคยเจอมาก่อน เมือ่ ติดเชือ้ นัน้ ๆ แล้ว อาจป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคได้ค่ะ ส่วนวัคซีนใจไม่ใช่การฉีดวัคซีนเข้าที่หัวใจนะคะ
ธรรมะใกล้ตัว 39
แต่หมายถึงความรูท้ างด้านจิตวิทยาเด็ก แนวคิด วิธกี ารส่งเสริมและปลูกฝังเจตคติ โดยหวังผลในการเติบโตต่อสูโ้ ลกร้ายโดยเฉพาะ ควรให้เขาทันทีทค่ี ลอด และให้เป็นระยะ อีกหลายครั้ง ด้วยขั้นตอน และวิธีการหลากหลาย โปรแกรมการให้ต่างกันไปแล้วแต่ เชือ้ ชาติ สถานการณ์เฉพาะตัว อายุ และอีกหลาย ๆ ปัจจัยค่ะ ภูมติ า้ นทานจากวัคซีนใจ หวังให้ปกป้องเขาเมื่อเขาติดพิษร้ายของโลก (ธรรม) ค่ะ ยุคหนึ่ง เชื่อกันว่าเด็กฉลาดคือเด็ก IQ สูง โตขึ้นควรประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ความเป็นจริงกลับไม่แน่เสมอไป เราจะมีวธิ อี ะไรทำให้เด็กเติบโตขึน้ ด้วยคุณสมบัติ เก่ง ดี และมีความสุข ยุคนี้ Q ต่าง ๆ จึงค่อย ๆ ผุดมากขึ้น แนวคิดที่ได้รับการยอม รับมากอันหนึ่ง คือ ทักษะความสามารถ 6 ด้าน หรือ 6 Q ดังนี้ค่ะ • IQ (Intellectual Quotient) ความฉลาดทางสติปญ ั ญา ความคิด การวิเคราะห์ ใช้เหตุผล การคำนวณ การเชือ่ มโยง เกีย่ วข้องกับ พันธุกรรม สิง่ แวดล้อม การเลีย้ งดู
40 ธรรมะใกล้ตัว
•
• • • •
การเรียนการสอน และโภชนาการ เชื่อกันว่า IQ มีส่วนช่วยให้ชีวิตประสบความ สำเร็จแค่ 20 % เท่านั้นค่ะ EQ (Emotional Quotient) ความฉลาดทางอารมณ์ ความสามารถในการรับรู้ และเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง และคนอื่น รวมถึงการยับยั้งชั่งใจ เอาใจเขา มาใส่ใจเราได้ ยืดหยุ่น ปรับตัวเองได้ ควบคุมตัวเองได้ มีวินัย พบว่าคนประสบ ความสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่ EQ จะสูงชัดเจนค่ะ CQ (Creativity Quotient) ความริเริ่มสร้างสรรค์ จินตนาการ ความคิด ที่เป็นอิสระ MQ (Moral Quotient) จริยธรรม ความรู้ผิดชอบชั่วดี ความซื่อสัตย์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ PQ (Play Quotient) เรียนรู้ผ่านการเล่น เพื่อฝึกการทำงานประสานกันทั้ง ทางกาย สังคม อารมณ์ ความคิดริเริ่ม AQ (Adversity Quotient) ความฉลาดในการแก้ปัญหา เอาชนะอุปสรรค ไม่ย่อท้อง่าย
แต่ละข้อจะแบ่งลงรายละเอียด ขั้นตอนวิธีการสอนตามวัย มีแบบทดสอบ เฉพาะยิบย่อยเชียวล่ะค่ะ มีคำอธิบายและทฤษฎีร้อยเรียง เชื่อมหาเหตุอย่างนั้น ผลคือได้เด็กประมาณนี้ ในฐานะคนทำงานมีหน้าที่โดยตรงต้องคอยติดตาม ส่งมอบ ให้ผู้ปกครองรับไปส่งเสริมศักยภาพเจ้าตัวน้อยได้เต็มที่ แอบคิดนิดนึงว่าวิทยาการสมัยใหม่ พลีพลังงานมหาศาลแสดงเหตุและผล แต่สิ่ง ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเมื่อสองพันกว่าปีล่วง ดับตรงเหตุแห่งการเกิด สาธุ หาลิงค์มาฝากค่ะ เผื่อท่านไหนอยากอ่านเล่นเพลิน ๆ . http://www.healthnet.in.th/text/forum1/smile/vaccine_heart/vh3.html 2. http://www.healthnet.in.th/text/forum1/smile/vaccine_heart/vh3.html
ธรรมะใกล้ตัว 41
อาหารกับชีวิต โดย Kittima 235
สวัสดีค่ะ บทความนี้ตั้งใจหยิบขึ้นมาเพราะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวทุกคนมากๆ อาหาร เป็นหนึง่ ในปัจจัยสี่ ทีท่ กุ คนต้องได้รบั ถ้าขาดปัจจัยเรือ่ งอาหารจะมีผลกระทบต่อชีวติ มากและอาจถึงขัน้ เสียชีวติ ได้ เคยสังเกตไหมคะว่าวันๆหนึง่ เรารับประทานอะไรกันบ้าง มีใครพอนึกออกไหมคะ ว่าเมื่อเช้านี้รับประทานอะไรหนอ กลางวันรับประทานอะไร และตอนเย็นรับประทานอะไร แล้วเคยถามตัวเองไหมคะว่า สิ่งที่รับประทานไปนั้น จะก่อประโยชน์หรือก่อโทษให้กับร่างกาย พระพุทธองค์ทรงเป็นอัจฉริยบุคคลมาก ที่ทรงตรัสสอนว่าให้เดินสายกลาง แม้ กระทั่งเรื่องการรับประทานอาหารก็ต้องเดินสายกลางเช่นกัน ดิฉันชอบหนังเรื่อง แดจังกึมมาก (เป็นต้นแบบแพทย์ที่ดีและเป็นผู้หญิงที่น่ารัก) หนังเรื่องนี้จุดประกาย ให้ประชาชนทั่วไปสนใจเรื่องอาหารการกินอย่างถูกต้องถึงจะเสริมสร้างสุขภาพที่ดี ดิฉนั จำได้วา่ ตอนหนึง่ ของหนังพูดถึงเกีย่ วกับทูตของต้าหมิง ซึง่ มีโรครุมเร้าจากการรับ ประทานอาหารตามใจอยากเพราะมีแต่คนปรนเปรออาหารชั้นเลิศ แต่อาหารชั้นเลิศ เหล่านั้น ถ้ารับประทานด้วยความโลภ ความตะกละ อาหารนัน้ ก็เปรียบเสมือนยาพิษ ทำให้ร่างกายทรุดโทรมได้เช่นกัน ทางแดจังกึมจึงลดการให้อาหารชั้นเลิศซึ่งอุดมไป ด้วยโปรตีนและไขมัน เปลี่ยนมาเป็นรับประทานอาหารผักและกลุ่มกากใยมากแทน จนทูตต้าหมิงนัน้ รูส้ กึ สบายตัว ร่างกายทีอ่ อ่ นแอก็กลับแข็งแรงขึน้ นีไ่ ม่ใช่หนังเพ้อเจ้อ แต่คอื เรือ่ งจริงทีผ่ เู้ ขียนบทได้สอดแทรกความรูท้ างการแพทย์ได้อย่างงดงามและชวน ติดตามยิ่งนัก ดิฉันได้ทำงานเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคไขมัน ในเลือดสูง, โรคอ้วน พบว่าไม่ว่าคนไทยทั้งรู้หนังสือและไม่รู้หนังสือ, คนต่างด้าว, คนต่างชาติ คือ สรุปว่าไม่ว่าบุคคลระดับใดก็ตามที่เป็นโรคในกลุ่มเหล่านี้ ลอง ถามประวัติย้อนกลับไป ส่วนใหญ่มีภาวะรับประทานเกินพอดีและไม่ค่อยได้ออก กำลังกาย บางคนไม่เข้าใจว่าทำไมรับประทานแต่ผลไม้ ไม่ค่อยรับประทานอย่างอื่น
42 ธรรมะใกล้ตัว
(อยากลดน้ำหนัก) แต่ทำไมอ้วนเอาๆ แล้วที่สำคัญ หลายๆคนทราบว่าต้องปฏิบัติตัว อย่างไร แต่พอกลับไปปฏิบัติตัวในชีวิตจริงก็ลืมทฤษฎีไปเสียสิ้น กลับไปรับประทาน แบบเดิมๆที่ตนเองและครอบครัวเคยชิน ทำให้ผู้ป่วยหลายๆราย ไม่สามารถควบคุม โรคได้และท้อแท้หมดสิ้นกำลังใจในการรักษา ส่วนผู้ที่ยังไม่เป็นโรค ก็เริ่มมีภาวะ แหย่เท้าเข้ามาในกลุ่มโรคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันคาดการณ์ว่า ในปี ค.ศ. 2003 ทั่วโลกมีผู้เป็นเบาหวาน 194 ล้านคน และคาดว่าในปี ค.ศ. 2030 จะมี 366 ล้านคน ซึง่ ในทวีปเอเชียเป็นเขตทีเ่ พิม่ เกือบเท่าตัว ประเทศไทยมีความชุกของเบาหวานร้อยละ 9.6 (สำรวจเมื่อปีค.ศ. 2000) ถ้าอัตราการเพิ่มจำนวนยังคงเป็นไปตามที่คาดหมาย จำนวนผู้เป็นเบาหวานจะเพิ่มอีกร้อยละ 91 ภายในปี ค.ศ. 2025 หลายคนร้อง อ้าวววว แล้วเกี่ยวอะไรกับโรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคไขมันในเลือดสูง ล่ะเนี่ย ลองนึกภาพตามนะคะ ถ้าเราเปรียบเส้นเลือดของเรา เป็นท่อน้ำ อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะเปลี่ยนรูปไปเป็นน้ำตาล, โปรตีน และไขมัน (ยังไม่นับรวมวิตามิน และเกลือแร่) ลองนึกถึงเวลาเราทำน้ำเชื่อมกัน นะคะ ถ้าน้ำตาลน้อย มันก็ไม่หนืด แต่ถ้าน้ำตาลมาก มันก็จะหนืด เหนียว ข้น ไหลไม่ดี ส่วนถ้าไขมันมาก ก็ลองนึกถึงท่อน้ำทิ้งหรือท่อที่ไว้ล้างเศษอาหารดูนะคะ แป๊บเดียว ท่อตันซะแล้ว คิดดูนะคะ อาหารที่เรารับประทานไม่ได้ไปไหนหรอก ถ้าเราไม่ยอมใช้มันให้ออกจากร่างกายของเราไป (คือการออกกำลังกายนั่นเอง) มันก็อยู่ในร่างกายของเรา อยู่ในเส้นเลือดของเรา ไขมันที่เรารับประทานเข้าไป (ไม่ว่าทั้งไขมันโดยตรง เช่นรับประทานข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ แกงเขียวหวาน เป็นต้น หรือ ไขมันทางอ้อม คือ ถ้าเรารับประทานอาหารเข้าไปมากๆ มันใช้ไม่หมด จะเปลีย่ น รูปไปเป็นไขมันค่ะ) ไขมันจะไปเกาะเส้นเลือดของเรา เหมือนไปเกาะท่อน้ำทิง้ บ้านเรา นัน่ แหละ เส้นเลือดของเราก็จะเริม่ ตันมากขึน้ ผนวกกับถ้าชอบรับประทานอาหารหวาน น้ำตาลในเลือดสูง เลือดก็จะหนืดมากขึน้ ถ้าเป็นสภาวะนีบ้ อ่ ยๆ ร่างกายจะเริม่ ดือ้ ด้าน มากขึ้น (ดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ที่เป็นพระเอกมาช่วยเอาน้ำตาลออกจากเส้นเลือด) คราวนีเ้ คราะห์กรรมถามหา คือ โรคเบาหวานเริม่ ย่างกราย โรคความดันโลหิตสูง และโรค ไขมันในเลือดสูง ตบเท้าเดินขบวนตามกันมา ถ้าไม่หยุดพฤติกรรมเดิมๆ และเปลี่ยน แปลงชีวิตใหม่ มันจะพาไปสู่หายนะแห่งโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นึกถึง
ธรรมะใกล้ตัว 43
พุทธวจนะหนึ่ง คือ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ: ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน จริงๆค่ะ งานนี้เงิน เป็นล้านเอาไม่อยู่ถ้าถึงจุดไม่ถอยกลับค่ะ ดิฉันชอบคำขวัญที่ว่า “สุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องทำเอง” เพราะหลายๆ คนมาถึงโรงพยาบาล จะขอยานั้น ขอยานี้ ไม่ทราบเลยว่ายาทุกชนิดมีทั้งคุณและ โทษ เอาไปเกินพิกัดก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น ถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ดิฉันเดาว่าผู้อ่านที่ อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงอยากรู้วิธีที่จะทำให้อาหารเป็นยา ทำให้อาหารเป็นสิ่งชูกำลัง ไม่ใช่เป็นยาพิษสำหรับร่างกายแล้วใช่ไหมคะ (เพราะบทความนี้ ความตั้งใจจริงๆคือ อยากเกริน่ เพือ่ ให้ทกุ คนเห็นความสำคัญของอาหารทีร่ บั ประทานเข้าไปทุกวีท่ กุ วันก่อน) ดิฉันจะค่อยๆ ทยอยนำบทความมาให้อ่านกันนะคะ รวมทั้งจะมีสูตรอาหารจากกรม โภชนาการ กระทรวงสาธารณสุขมาให้ลองทำรับประทานกัน (แต่ดฉิ นั ไม่ใช่แม่ครัวหัวป่า แต่เป็นนักชิมมากกว่าค่ะ) ลองติดตามบทความครัง้ หน้าดูนะคะ ครัง้ นีข้ อฝากข้อปฏิบตั ิ การกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย จากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขให้ ลองทำตามดูก่อนนะคะ ข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย • กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว • กินข้าวเป็นอาหารหลัก สลับกับอาหารประเภทแป้ง เป็นบางมื้อ • กินพืชผักให้มาก และกินผลไม้เป็นประจำ • กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ • ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย • กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร • หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัด และเค็มจัด • กินอาหารที่สะอาด ปราศจากสารปนเปื้อน • งด หรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
44 ธรรมะใกล้ตัว
หนังสืออ้างอิง . โครงการอบรมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน หลักสูตรพื้นฐาน พ.ศ. 2549 (ASEAN DIABETES EDUCATORS) โดยสมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน 2. โภชนบัญญัติ ข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย คณะทำงานจัดทำข้อปฏิบัติการกิน อาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
ธรรมะใกล้ตัว 45
แง่คิดจากหนัง
บั้งไฟศรัทธา ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ โดย ชลนิล
ระหว่างทำความดี กับละเว้นความชั่ว สิ่งไหนทำยากกว่ากัน? ระหว่างทำสิ่งที่ “ดี” กับทำความเห็นให้ถูก-ตรง (สัมมาทิฐิ) สิ่งไหนทำยาก กว่ากัน? สองคำถาม เกิดขึ้นเมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้ “๑๕ ค่ำเดือน ๑๑” หนังเปิดเรื่องด้วยฉากดำน้ำเอาลูกบั้งไฟไปวางตามจุดต่าง ๆ ใต้แม่น้ำโขง บอกให้ รู้กันเลยว่า “บั้งไฟพญานาค” ในหนังเรื่องนี้ เกิดจากการกระทำของคน ถึงหนังจะเฉลยปัญหาที่คนดูอยากรู้เสียตั้งแต่ต้นเรื่อง ก็ใช่จะทำให้หนังหมดสนุก เนื้อหาเจตนาจริง ผู้สร้างไม่ได้เน้นประเด็นเรื่อง “การตามหาความจริง” เกี่ยวกับ ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค แม้จะพยายามให้ข้อมูลความเชื่อครบทุกด้านก็ตาม “ศรัทธา” ต่างหาก คือสิ่งที่ต้องการบอกต่อผู้ชม “คาน” เด็กกำพร้า ถูกเลีย้ งโดยพระทางฝัง่ ลาว เขาคิดมาตลอดว่า การทีห่ ลวงพ่อ พระลูกวัด และตนเองช่วยกันทำบั้งไฟพญานาคให้คนดูทุกวันออกพรรษานั้น เป็นเรื่องที่ดี เป็นงานบุญ งานกุศล จนกระทั่งโตขึ้น มีโอกาสไปเรียนที่กรุงเทพฯ พบเห็นโลกกว้าง พบว่าเรื่องบั้ง ไฟพญานาคกลายเป็นที่สนใจของมหาชน ผู้คนนับแสนแห่แหนมาดูเพิ่มขึ้นทุกปี นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญต่างมุ่งหน้ามาศึกษา ค้นคว้าหาความจริงมาตีแผ่ จับผิด ประกอบกับเพื่อนที่ร่วมดำน้ำวางลูกบั้งไฟด้วยกันเกิดจมน้ำตาย เขาจึงเกิดความกลัว ลังเล สงสัย
46 ธรรมะใกล้ตัว
สิ่งที่เขาทำ...เป็นความดีจริงหรือไม่ กลับจากกรุงเทพฯครั้งนี้ คานไม่ได้มาช่วยวางลูกบั้งไฟอย่างเคยทำทุกปี เขามา เพื่อบอกกับหลวงพ่อว่า ต่อแต่นี้จะไม่ช่วยลงไปวางลูกบั้งไฟอีกแล้ว! เรื่องของหนังจากนี้ เป็นการปะทะกันระหว่างเหตุผลของคาน กับศรัทธาของ หลวงพ่อ หลวงพ่อยืนยัน การทำบัง้ ไฟพญานาคเป็นความดี ได้สร้างกุศล ให้ผคู้ นหันมาศรัทธา เลื่อมใสพระพุทธศาสนา คานแย้งว่า มันเป็นการหลอกลวงผู้คน หากถูกจับได้ จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี “ถ้าไม่มบี ง้ั ไฟพญานาค คนเขาจะยังไหว้พระอยูม่ ย้ั หลวงพ่อ และถ้ามีบง้ั ไฟเยอะ ๆ เต็มแม่น้ำ คนเขาจะไหว้พระมากกว่าเดิมหรือเปล่า” เหตุผลของคาน ทำให้หลวงพ่อเถียงไม่ออก ชาวพุทธเรา กราบไหว้พระพุทธเจ้าด้วยเหตุใด...เพราะศรัทธาในธรรม...หรือชืน่ ชม ต่อปาฏิหาริย์ เมื่อหาคนลงไปวางลูกบั้งไฟใต้น้ำไม่ได้ หลวงพ่อจึงต้องออกเรือ ดำน้ำไปวางลูก บั้งไฟด้วยตัวเอง และนั่นคือวาระสุดท้ายของหลวงพ่อ ถามว่าหลวงพ่อเป็นพระที่ดีไหม...คงตอบยาก หากเอาพระธรรมวินัยมาจับ...การกระทำของหลวงพ่อ ถูกต้อง เหมาะสมตาม พระธรรมวินัยหรือไม่...น่าจะตอบง่ายกว่า แน่นอน...ย่อมไม่ถูกต้อง พระพุทธองค์ไม่ทรงสรรเสริญ - ส่งเสริมให้พระภิกษุแสดงปาฏิหาริย์ โดยเฉพาะ ปาฏิหาริย์หลอกลวงผู้คนอย่างนี้
ธรรมะใกล้ตัว 47
ทว่า...ยามเห็นสีหน้าหลวงพ่อตอนออกเรือเพื่อไปดำน้ำวางลูกบั้งไฟ ทำให้นึก ตำหนิไม่ลง สีหน้านั้นเปี่ยมด้วยศรัทธาแรงกล้า เชื่อมั่นต่อสิ่งที่ตน “คิด” ว่า “ทำดี” จนหมดใจ ระหว่างทำสิ่งที่ “ดี” กับการทำความเห็นให้ถูก-ตรง (สัมมาทิฐิ) อย่างไหน ยากกว่ากัน... อดคิดไม่ได้ว่า...หากหลวงพ่อใช้ศรัทธาต่อปาฏิหาริย์อันเปี่ยมล้นนั้น มาศรัทธาใน “ธรรมแท้” ของพระพุทธองค์ ศรัทธาการดำเนินรอย ตามทาง “สติปัฏฐาน ๔” มุ่งมั่นปฏิบัติตนตามคำสอนแห่งองค์ศาสดาอย่างมอบกาย ถวายชีวิต เฉกเช่นทำให้ แก่พญานาคแล้ว... สามแดนโลกธาตุ คงมีโอกาสได้กราบ “พระแท้” ขึ้นมาอีกหนึ่งองค์แน่ ถ้าหากเจ้าลูกไฟสีแดง ทีข่ น้ึ จากแม่นำ้ โขงทุกวันออกพรรษา เป็นบัง้ ไฟทีพ่ ญานาค จุดถวายเพือ่ เป็นพุทธบูชาจริง ๆ ศรัทธาของเหล่านาคาจะแตกต่างอย่างไร กับศรัทธา ของมวลหมู่สาธุชน ที่นำดอกไม้ ธูปเทียนมากราบบูชาคุณองค์ตถาคตด้วยใจเคารพ เมื่อเป็นเช่นนั้น...ลูกบั้งไฟนี้ คงมีคุณค่าไม่มากไปกว่าดอกไม้ ธูปเทียนที่คนเรานำ มาบูชาธรรมแด่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์เช่นกัน ...ต่างกันตรงไหน เมื่อมีศรัทธาเดียวกัน... “ปาฏิหาริย์” อาจสร้างศรัทธา...แต่...”ธรรมแท้” แห่งพุทธองค์ต่างหาก พาให้ คนพ้นทุกข์
48 ธรรมะใกล้ตัว
เรื่องสั้นอิงธรรมะ
สิ่งที่อยู่ในกำมือ โดย เฮ็กนั้ง
สิ่งที่อยู่ในกำมือของเขาเป็นเศษกระดาษสีขาวแผ่นเล็กที่ถูกกำไว้นานจนชื้นด้วย ไอเหงือ่ เขามองมือข้างนัน้ อย่างครุน่ คิด ชัง่ ใจ เนิน่ นาน... ในทีส่ ดุ เขาค่อยคลีน่ ว้ิ มือออก ช้าๆ บนกระดาษแผ่นนั้นมีเพียงตัวเลขหลายตัวปรากฏ...มันเป็นหมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขซึ่งกำหนดความเป็นความตายของใครบางคน…เพียงแค่เสนอเงินจำนวน หนึ่งให้เอเย่นต์มือปืน ผู้เป็นเจ้าของโทรศัพท์เท่านั้น “ผมต้องการให้ลงมือภายในเดือนนี้ แล้วพรุ่งนี้ผมจะโอนเงินมัดจำใส่ในบัญชี ธนาคารของคุณ ส่วนเงินทีเ่ หลือจะโอนไปเมือ่ งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว” เขาวางหูโทรศัพท์ ลงอย่างแผ่วเบาก่อนจะก้าวออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ หลังจากจบคำสั่งสังหาร ๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2520 พาดหัวข่าวหน้าหนึง่ ของหนังสือพิมพ์รายวันแทบทุกฉบับ มีข้อความคล้ายคลึงกันว่า “ดับนายกเล็ก ขัดผลประโยชน์รับเหมา” “สังหารโหด นายกเล็กดับคารถ” “ถล่มนายกเล็กร่างพรุน มือปืนลอยนวล” ๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏ หนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ 13 กรกฎาคม วางสงบอยู่บนโต๊ะภายในห้องทำงานอัน เงียบสงัด ไม่มใี ครเข้ามารบกวนถ้าเขาไม่เรียกหา เขายิม้ อย่างสาสมใจยามเมือ่ กระดาษสี ขาวแผ่นน้อยถูกวางลงในกล่องใบเล็ก แล้วซุกเข้าไปสุดมุมก้นลิน้ ชักโต๊ะทำงานส่วนตัว จากนั้นก็ล็อกกุญแจลิ้นชักอย่างแน่นหนา มันเป็นครั้งแรกและน่าจะเป็นครั้งเดียวที่
ธรรมะใกล้ตัว 49
เขาได้เปิดกล่องใบนี้เพื่อใช้ประโยชน์จากกระดาษที่อยู่ในกล่อง มันเป็นของเพื่อนคน หนึง่ ได้มอบให้เขาไว้นานแล้ว นานจนแทบจะลืมเลือน หากผลอันน่าพอใจทีไ่ ด้รบั ก็คอื ข่าวพาดหัวของหนังสือพิมพ์วันที่ 13 นี่เอง วินาทีที่ลิ้นชักปิดสนิท เขารู้สึกราวกับว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาอย่าง เงียบเชียบ มันปลุกเส้นขนภายในกายให้ลุกชัน ใจหวั่นสะท้านหวาดกลัวประหลาด เขาเลื่อนเก้าอี้ผลุนผลันรีบลุกออกไปจากห้อง ราวกับจะหนีให้ไกลจากสายตาที่มอง ไม่เห็นคู่นั้น ๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏ เขาเปิดประตูออกจากห้องทำงานแล้วก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของบ้าน ซึ่งใช้ สำหรับนัง่ เล่นพร้อมทัง้ รับแขกด้วยในตัว และต้องชะงัก ขมวดคิว้ อย่างไม่พอใจ สายตา มองไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดปืนอยู่ที่ตั่งไม้สัก ตัวใหญ่ “เฮ้ย...ภพ พ่อบอกแกหลายครั้งแล้วนะว่าถ้าจะทำความสะอาดปืน ให้ไปทำ ในห้องนอนของแก อย่าเอามาเล่นประเจิดประเจ้อแถวนี้” เขาบอกลูกชายเสียงเข้ม ด้วยความโกรธที่พลุ่งขึ้นมา ชายหนุ่มเหลือบตามองผู้เป็นพ่อ แล้วเอ่ยปากถามขณะลงมือเก็บอุปกรณ์ “ทำไมล่ะพ่อ ปืนมีทะเบียน แล้วมันก็ไม่มีลูกสักหน่อย” “เก็บๆไปเร็วๆเถอะ พ่อไม่ชอบ” เขากระชากเสียงตัดบทลูกชาย คนเป็นลูกไม่ต่อล้อต่อเถียงอีก เพราะรู้ดีว่าน้ำเสียงแบบนี้แสดงว่าพ่อโกรธจริงจัง และพร้อมจะออกอาการปึงปังด้วยแรงอารมณ์ ภพรู้ว่าพ่อกลัวปืน ที่โกรธ…ก็เพราะกลัว ความกลัวพร้อมที่จะปะทุออกมาเป็นพายุโทสะ แต่ภพไม่รู้ว่าทำไมพ่อถึงกลัวปืน ๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏
50 ธรรมะใกล้ตัว
กาลเวลาล่วงเลยไป พาให้วัยของเขามากขึ้น ภาพจากกระจกภายในห้องนอน สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงในรูปกายของเขา จากห้วงคำนึงของอดีตซึ่งเป็น ชายหนุ่มผมหยักศกดกดำร่างเพรียว อุดมด้วยมัดกล้ามเมื่อหลายปีก่อน หาก ณ วันนี้ ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า คือ ชายร่างท้วม ผิวหนังหย่อนคล้อย เส้นผมสีเทาแซม ทั่วศีรษะ “คุณ...แต่งตัวเสร็จหรือยัง เดี๋ยวไปไม่ทันใส่บาตรพระนะ” เสียงเมียของเขาเรียก มาจากหน้าห้องนอน กระตุกความคิดของเขาให้กลับสู่ปัจจุบัน เขาประพฤติปฏิบตั ติ นเช่นพุทธศาสนิกชนทัว่ ไป ในอันทีจ่ ะไปทำบุญตักบาตรในวัน พระและในวาระสำคัญ เช่น วันขึน้ ปีใหม่ วันสงกรานต์ วันเข้าพรรษา หรือวันสำคัญอืน่ ๆ เท่าที่โอกาสจะอำนวย ซึ่งอาจจะเป็นความเคยชินที่ต้องไปด้วยกันกับเมียและลูก กับอีกส่วนหนึ่ง เขาต้องการไถ่ถอนบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนจิตใจให้ออกไปด้วย การทำบุญ เพราะในบางครัง้ เขารูส้ กึ ว่าดวงตาล่องหนคูห่ นึง่ เฝ้าติดตามมองดูอยูอ่ ย่างรอคอย และมันทำให้เขาหวั่นไหว ๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏ ความกลัวทีแ่ ฝงเร้นอยูใ่ นห้วงลึกของจิตใจ เกิดขึน้ ตัง้ แต่วนั ทีเ่ ขาหยิบยืน่ คำสัง่ ตาย ให้ใครคนหนึ่ง มันเคยแสดงออกมาเป็นความหวั่นไหวบีบลมหายใจให้อ่อนล้า หดสั้น เมื่อยามที่เขาคิดว่าความตายมาเยือนในครั้งหนึ่ง วันนั้น เขากับภพผู้เป็นลูกชาย พร้อมด้วยเพื่อนหุ้นส่วนโรงเลื่อยไม้พากันเข้าป่า เพื่อไปสำรวจไม้ที่ได้รับสัมปทาน ระหว่างทางเห็นงูเลื้อยผ่านหลายหน จนเป็นหัวข้อ หนึ่งของการสนทนาขณะเดินทาง ค่ำแล้วฝนตกหนัก รถกระบะของเขาติดหล่มโคลน เขากับเพือ่ นต้องถอดรองเท้าลง ไปออกแรงดันรถท่ามกลางสายฝนทีโ่ ปรยปรายในแมกไม้มดื ครึม้ รถกระชากตัวขึน้ พ้น จากหล่มพุง่ ไปข้างหน้า พร้อมๆกับทีค่ วามรูส้ กึ เจ็บแปลบบนหลังเท้า สำนึกบอกตัวเองว่า
ธรรมะใกล้ตัว 51
เขาถูกงูกัด ใจเขาหวิววาบ ร่างทรุดลงนอนเกลือกพื้นโคลน รู้สึกคล้ายมัจจุราชกำลัง ดึงสายใยแห่งชีวิตออกไปจากร่าง เพื่อนรักวิ่งเข้าประคองเขาไว้กับตัก ลูกชายลงจากรถมาคุกเข่าอยู่ข้างตัว ทั้งสองตื่นตระหนก ใจหายเมื่อเขารวบรวมเรี่ยวแรงจับมือเพื่อนรักแล้วเอ่ยปาก “ฝาก...ลูก...ผมด้วย” ภพถามเสียงสั่น “พ่อ...พ่อเป็นอะไร” “พ่อ...ถูก...งู...กัด...ตรง...หลังเท้า” เขาตอบด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นอ่อนระโหย คิดว่าคราวนี้คงไม่รอดเป็นแน่แท้ เพื่อนรักปาดเช็ดโคลนบนหลังเท้าให้ และล้างมันด้วยน้ำดื่มในกระติก ตรวจดู บาดแผล แล้วบอก “คงไม่ใช่งูหรอก น่าจะเป็นตะขาบมากกว่า” เขาลืมตา…หัวใจที่อ่อนล้าราวจะหยุดทำงานกลับเต้นคึกคักเข้มแข็ง ผุดลุกขึ้น นั่งได้ในทันใด “อ้าว…ผมนึกว่างูเห่ากัด” ๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏ เงินทองจำนวนมากที่ได้มาจากกิจการโรงเลื่อยไม้ ทำให้ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต เขามีโอกาสใช้เงินเหล่านัน้ ก้าวเดินเลียบเลาะชายขอบเส้นทางการเมือง เมือ่ นักการเมือง คนหนึ่งของจังหวัดให้ความเชื่อถือและเรียกใช้อยู่เสมอในฐานะหัวคะแนน และแน่ นอนโรงเลื่อยไม้กับงานรับเหมาก่อสร้างของเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ แต่มันก็ เป็นการเพาะบ่มความขุ่นมัวไว้ในจิตใจคนหลายคนที่สูญเสียโอกาสจากการรับเหมา ซึ่งมันทำให้เขาหวาดระแวง และบ่อยครั้งที่มโนสำนึกปรากฏตัวเลขในกระดาษสี หม่นเต้นเร่า ราวกับจะย้ำเตือนว่า อาจมีใครบางคนที่ต้องการหยิบยื่นความตายให้ เขา ด้วยวิธีเดียวกับที่เขาเคยใช้มาแล้ว มันทำให้เขาวนเวียนย้ำคิดถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ ความคิดซึง่ มาพร้อมกับดวงตาลึกลับจับจ้อง ไม่เว้นแม้เวลาทีก่ ำลังอยูใ่ นช่วงผ่อนคลาย อย่างที่สุดเช่นเวลานี้ ยามเย็นในสวนหลังบ้านกับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด
52 ธรรมะใกล้ตัว
ภพเปิดประตูหลังบ้าน มองผ่านสนามหญ้าในยามโพล้เพล้ เห็นผู้เป็นพ่อในชุด กางเกงแพรสีเข้มกับเสื้อยืดคอกลมสีขาว กำลังเดินทอดน่องอยู่ระหว่างกรงนกนานา ชนิดและสุ่มไก่ชนที่วางเรียงอยู่เป็นระยะ ภพขยับปากเพื่อเรียกเขาไปกินข้าวเย็น ทันใดนั้น “ปัง ปัง ปัง” เสียงดังสนั่นเป็นชุด ภพงงกับภาพที่เห็น พ่อกระโจนพุ่งหลาวไปหมอบอยู่หลังสุ่มไก่ สองมือกุมหัว ก้มหน้าซุกดิน “ปัง ปัง ปัง ปัง” เสียงสะท้านสะเทือนยังคงดังติดกัน...กระทั่งเงียบหายไป “พ่อ” ภพร้องเรียก เขาเบียดร่างแนบสุ่มไก่ราวจะใช้เป็นที่กำบังกาย โผล่หน้าซีดเผือดเหลียวมอง ลอกแลก กระชากเสียงถามลูกชาย “ใครยิงปืนวะ” “ปืนอะไรที่ไหนกันล่ะพ่อ นั่นมันเสียงพลุ วันนี้เทศบาลจัดงานรณรงค์อยู่ที่สาม แยก” “นั่นไง” ภพตอบแล้วพูดต่อ “แม่เรียกให้ไปกินข้าวแน่ะพ่อ” เขาลุกขึน้ ยืน ขยับสะบัดกางเกงแพรให้กระชับตัว สบถงึมงำในลำคอขณะเดินตาม หลังลูกชายเข้าบ้าน และรู้สึกเหมือนว่า ดวงตาคู่เดิมยังคงทอดมองตามเขามาตลอด ๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏ ที่ผ่านมา บทสนทนาเดิมๆทางโทรศัพท์ระหว่างเขากับผู้รับเหมาด้วยกัน “เฮีย...งานนี้ผมขอเถอะ ปีนี้ผมยังประมูลงานไม่ได้เลย เฮียเล่นเอาไว้คนเดียว แบบนี้พวกผมก็ไม่ไหวแล้วนะ” เสียงจากกระบอกโทรศัพท์ทำให้เขาฉุนเฉียว “เฮ้ย...มาขออะไรกับอั๊ววะ ประมูลงานได้หรือไม่ได้มันเกี่ยวอะไรกับอั๊วล่ะ มันอยู่ ที่การเสนอราคาเข้าไปลื้อก็รู้นี่ ลื้ออยากเสนอแพงเองนี่หว่า”
ธรรมะใกล้ตัว 53
“ใครๆก็รู้กันทั้งนั้นนั่นแหละ ว่าทำไมเฮียถึงได้ราคาต่ำสุด” “พูดอย่างนี้หมายความว่าไงวะ...ลื้อไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ถ้าลื้ออยากได้งานนี้ก็ เสนอต่ำกว่าอั๊วซิ” เขาตัดบทด้วยการกระแทกโทรศัพท์ลงบนแป้นดังโครม ๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏ ในที่สุด วันยื่นซองเสนอราคาก็มาถึง เช้านี้ เขาขับรถออกจากบ้านเพื่อไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะเพียงลำพัง ตามปกติแล้วภพจะตืน่ ไปวิง่ พร้อมๆกัน แต่วนั นีท้ อ้ งฟ้าครึม้ ฝน อากาศเย็นสบาย ภพคง นอนหลับเพลิน และเขาก็ไม่อยากปลุกลูกชาย ข่าวยามเช้าจากวิทยุในรถทำให้เพลิดเพลิน ค่อยๆขับรถเอื่อยเฉื่อยแบบสบาย อารมณ์ เขามองดูกระจกหลังเห็นมีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งตามมาห่างๆ จนกระทั่งเกือบ ถึงสุดโค้งถนนเจ้าสองล้อคันนั้นก็เร่งเครื่องแซงขึ้นไปเหมือนกับรำคาญที่รถกระบะ ขับช้าเกะกะขวางทาง แต่แซงแล้วแทนที่จะขี่เลยไป หากพลิ้วโฉบปาดหน้ารถเขา อย่างรวดเร็ว พร้อมไฟเบรคท้ายรถแดงวาบ เขากระทืบเท้าทีแ่ ป้นเบรคจนรถหยุดกึก โทสะแล่นลิว่ ลืมฉุกคิด อ้าปากจะผรุสวาท ทว่าเสียงกลับขาดหายไปในลำคอ ในเมือ่ จังหวะทีร่ ถกระบะจอดนิง่ สนิท เจ้าของรถสอง ล้อคันนั้นก็บังคับรถให้หยุดลงเช่นกัน...พร้อมของกำนัลที่นอกเหนือความคาดหมาย “ปัง ปัง ปัง” ๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏ สิ่งที่อยู่ในกำมือของเขายามนี้เป็นช่อดอกไม้ธูปเทียน ซึ่งอยู่ในมือที่ถูกประกบ พนมไว้ระหว่างอก แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานหากแต่ไม่มีไอเหงื่อชื้นๆในกำมือ กระทั่ง...
54 ธรรมะใกล้ตัว
นิ้วมือของเขาถูกคลี่ออกช้าๆ ท่อนแขนข้างหนึ่งทอดวางราบ บนมือข้างนั้น ปรากฏหยาดน้ำรินผ่าน กลีบดอกไม้สีแดงเกาะค้างบนอุ้งมือ เขามองไม่เห็นดวงตาคู่ ที่ติดตามเขาคู่นั้นอีกแล้ว... ๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์รายวันแทบทุก ฉบับ มีข้อความคล้ายคลึงกันว่า “ดับหัวคะแนน ขัดผลประโยชน์รับเหมา” “สังหารโหด หัวคะแนนดับคารถ” “ถล่มหัวคะแนนร่างพรุน มือปืนลอยนวล” ๏๏๏๏๏๏๏๏๏๏ ดวงตาแห่งกรรม...ได้ตดิ ตามทำหน้าทีอ่ ย่างยุตธิ รรมต่อบุคคลทีเ่ ขาติดตามเสมอแล้ว แต่...เส้นทางแห่งกรรมยังไม่จบสิ้น แล้วคนต่อไป...จะกำอะไรไว้ในมือเล่า?
ธรรมะใกล้ตัว 55
เที่ยววัด
วัดอินทราวาส โดย mari
ด้านหน้าวิหาร
56 ธรรมะใกล้ตัว
พระประธานในวิหาร
เราได้ไปวัดอินทราวาสในคราวที่ไปแอ่วเชียงใหม่ เชียงราย แรกเริม่ ก็ไม่เคยรูจ้ กั มาก่อน แต่เพือ่ นสาวทีเ่ ขาเป็นคนคุน้ เคยท้องทีม่ าก่อน เขาก็แนะนำไป เอ้า ไปกัน วัดอินทราวาส หรือวัดต้นเกว๋น อยู่ที่ตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ นี่เอง เมื่อแรกพบ เราก็รู้สึกว่าถึงจะเป็นวัดที่ดูเก่า แต่ก็คงความงามตามแบบฉบับไว้อยู่ วัดทางเหนือนี่น่าเที่ยวมาก มีอะไรให้ดูในวัดแต่ละที่ไม่เหมือนกันเลย ความสำคัญของวัดต้นเกว๋นนี้ ขออ้างอิงแผ่นพับของเขาที่แจกอยู่ที่วัดมาดังนี้
ธรรมะใกล้ตัว 57
ภายในวิหาร
อันดับแรกคือ การเป็นวัดที่ยั้งพักกระบวน(หยุดพักขบวน)แห่พระบรมธาตุศรี จอมทองจากอำเภอจอมทองมาในเมืองเชียงใหม่ในสมัยก่อน ซึ่งถือเป็นประเพณีของ เจ้าหลวงเชียงใหม่และประชาชนทั้งหลาย มีการสรงน้ำพระธาตุทุกปี อันดับที่สองคือ การที่มีมณฑปแบบจตุรมุข มุงด้วยกระเบื้องดินเผา ซึ่งใช้เป็นที่ ประดิษฐานพระบรมธาตุชว่ั คราว ทัง้ ยังมีอาสน์สำหรับตัง้ โกศพระบรมธาตุ ซึง่ ประชาชน สามารถมาหล่อน้ำพระบรมธาตุที่นี่ได้ อันดับที่สามคือ มีเสลี่ยง สำหรับหามบ้องไฟ อันดับที่สี่คือ มีกลองโยน (กลองบูชา) หรือเรียกว่า “ก๋องปู๋จา” มีครบทุกลูก และลูกใหญ่นั้น ถ้าตีก็ว่ากันว่าจะได้ยินไปทั่วตำบลหนองควายเลยทีเดียว อันดับที่ห้าคือ วิหารปัจจุบันสร้างขึ้นเมื่อจุลศักราช ๑๒๒๐ หรือพุทธศักราช ๒๔๐๑ มีการบันทึกปีไว้ที่เพดานด้านทิศเหนือด้วยอักษรไทยยวน มีลายดอกลายรูป
58 ธรรมะใกล้ตัว
สัตว์ทห่ี น้าจัว่ และช่อฟ้าใบระกาทีส่ วยงาม ทีช่ กุ ชี(แท่นแก้ว)พระบรมธาตุในวิหารเป็น ลายรูปปั้นเครือดอกกูดและรูปสัตว์
ระเบียงคดที่เดินจงกรมได้อย่างสบายๆ
เมื่อเข้าไปในวิหาร จะพบกับพระประธานที่พระพักตร์ดูสงบเย็น พื้นปูด้วยเสื่อ ทำให้มีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากวัดในเมืองทั่วไป และยังทำให้มีบรรยากาศ ธรรมชาติ สัปปายะ เหมาะกับการนั่งภาวนาสักพัก หรือนานๆแล้วแต่สะดวกด้วย เนื่องจากมีความสงบ ไม่พลุกพล่าน คาดว่านักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จักวัดนี้กันนัก ทำให้ยังคงความเงียบตามแบบที่วัดควรจะเป็นไว้ได้
ธรรมะใกล้ตัว 59
ธรรมะปฏิบัติ
การเรียนรู้จริตนิสัยวาสนาของตัวเอง โดย satima
การปฏิบัติธรรม ด้วยการศึกษาในภาคปริยัติต่างๆ นั้น เราสามารถหาตำรับ ตำราศึกษาดู โดยเฉพาะในพระไตรปิฎก ซึง่ ถือว่าเป็นแหล่งค้นคว้าเทียบเคียงทีด่ ที ส่ี ดุ โดยเฉพาะที่เป็นพุทธพจน์จากพระโอษฐ์จริงๆ แล้วนำมาน้อมใส่ใจ (โยนิโสมนสิการ) แต่สิ่งสำคัญอย่างยิ่งอย่างหนึ่งก็คือ การเข้าใจเรียนรู้ตัวเองให้ดี ให้ทราบถึงจริต นิสัยวาสนาของตัวเอง ดูว่าเรานั้นค่อนไปทางไหนมากที่สุด และประกอบด้วยอะไร บ้างในตัวเอง ด้วยการหมั่นสังเกตตัวเองอยู่เนืองๆ ศึกษาปฏิบัติแล้ว หมั่นศึกษาดู ความก้าวหน้าและข้อดีข้อด้อยของตัวเอง เมื่อเรารู้จักตัวเองมากขึ้น การปฏิบัติที่ เหมาะสมก็จะทำให้เราก้าวหน้าในทางปฏิบตั ทิ ง้ั สมถะและวิปสั สนากรรมฐาน อย่างเช่น เราทำอย่างไรแล้ว ทำให้เราสามารถมีสมาธิได้งา่ ย เราก็ควรทำอย่างนัน้ เป็นฐานของเรา ไม่ตอ้ งไปปฏิบตั ติ ามอย่างคนอืน่ หรือเห็นว่าคนอืน่ เขาทำได้ดี เพราะแต่ละบุคคลย่อม แตกต่างกันโดยรายละเอียดของตนเอง เราต้องศึกษาตนเองก่อนอื่น ศึกษาตรงจุดสำคัญๆ ว่าเราทำกรรมฐานแบบไหนแล้วทำให้กรรมฐานเจริญ ตั้งแต่สมถกรรมฐานซึ่งมี 40 กอง และวิปัสสนากรรมฐานในเรื่องของรูปและนาม ว่าเราถนัดรู้เรื่องใดกว่ากัน และรู้แล้วทำให้กรรมฐานนั้นๆ เจริญได้รวดเร็วกว่ากัน ข้อนีส้ ามารถโยงไปยังเรือ่ งทีว่ า่ ทำอย่างไรเราจึงสามารถช่วยกันรักษาพุทธศาสนาได้ ก็เพราะเหตุที่ว่า เราเป็นหนึ่งหน่วยในพุทธศาสนาที่จะช่วยกันทำตนให้เจริญในธรรม ได้ ก็เป็นหนทางหนึ่งในการรักษาพระพุทธศาสนา และอีกประการสำหรับผู้ที่มีพลัง สามารถที่จะทำนุบำรุงรักษาพระศาสนาด้วยทราบกำลังของตนเองว่าอยู่ในพุทธภูมิ ก็จะยิ่งสามารถช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาได้กว้างขวาง และมีพละกำลังที่จะทำ ในหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่จะช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาไว้ได้
60 ธรรมะใกล้ตัว
ในการเรียนรูต้ นเอง ทำให้เราสามารถปฏิบตั ภิ าวนาได้กา้ วหน้า และไม่เสียเวลาใน การปฏิบตั ทิ ไ่ี ม่ตรงต่อจริตนิสยั วาสนาตัวเอง แต่ทง้ั นีแ้ ละทัง้ นัน้ เราควรศึกษาแนวทาง การปฏิบัติแต่ละแนวทางให้ดี โดยต้องเทียบเคียงกับในพระไตรปิฎกว่ายังตรงและอยู่ ในแนวทางพ้นทุกข์ ปฏิบัติตนให้พ้นจากทุกข์หรือไม่ การที่เราปฏิบัติแล้วยิ่งทุกข์เพิ่ม ขึ้น ขอให้พึงสังวรว่าอาจจะผิดทางแล้ว ทั้งนี้ไม่รวมถึงข้อขันติความเพียร ซึ่งตรงนี้เราเองก็ต้องทราบว่า เราเป็นคนขยัน หมั่นเพียรหรือไม่ เราย่อหย่อนต่อการปฏิบัติหรือไม่ด้วย ฉะนั้นเราจะต้องเป็นคนที่ ซือ่ ตรงต่อตนเอง ในการศึกษาพิจารณาจริตนิสยั วาสนาของตัวเอง โดยมองเห็นข้อผิด และบกพร่องของตัวเองให้ออก พยายามยุตธิ รรมและดูตวั เองด้วยความเป็นกลางจริงๆ เราถึงจะเข้าถึงหรือรู้จักตัวเองได้จริงๆ
ธรรมะใกล้ตัว 61
ร่วมส่งบทความ
สามารถสร้างสรรค์วรรคทองได้เองยิ่งดี เพราะจะ นิตยสารเล่มนี้จะเป็นนิตยสารคุณภาพได้ ก็ด้วยเนื้อ ได้ฝึกริเริ่มวลีสะดุดใจ ซึ่งเป็นแม่บทของกรรมที่ทำ หาดี ๆ ภายในฉบับที่จัดสรรลงอย่างต่อเนื่องนะคะ ให้มีความคิดสร้างสรรค์ ได้อย่างสุดยอด เนื่องจาก แง่คิดดีๆ จะช่วยให้คนอ่านคิดดี หรือได้คิดเพื่อเปลี่ยน หากคุณผู้อ่านท่านใด มีความสามารถในการเขียน แปลงชีวิต วิบากที่ย้อนกลับมาสนองตอบแทนคุณ มีศรัทธา และความเข้าใจในคำสอนของพุทธศาสนา ก็คือการผุดไอเดียเหมือนน้ำพุไม่รู้จบรู้สิ้น กับทั้งเป็น ไม่ว่าจะในระดับเบื้องต้น เบื้องกลาง หรือเบื้องปลาย ที่ยอมรับในวงกว้างด้วย และมี ใจรักที่อยากจะสื่อสารถ่ายทอดสิ่งนั้นให้กับ กติกา: หากเป็นการคัดมาจากที่อื่น หรือแปลมาจาก ผู้อื่นได้ทราบ และได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้น เช่น ภาษาอังกฤษ กรุณาระบุแหล่งที่มา หรือชื่อของบุคคล เดียวกับที่เราอาจเคยได้รับจากผู้อื่นมาแล้ว ก็ขอ ผู้เป็นเจ้าของคำคมด้วยนะคะ เชิญทุกท่านส่งบทความมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ คอลัมน์: สัพเพเหระธรรม ธรรมะใกล้ตัว ด้วยกันนะคะ เนื้อหา: เรื่องราว เรื่องเล่า อาจมาจากฉากหนึ่งใน คุณอาจไม่จำเป็นต้องเป็นนักเขียนฝีมือเลิศ แต่หาก ชีวิตของคุณ ที่มีเกร็ดข้อคิดทางธรรม หรือข้อคิดดี ๆ มี ใจที่คิดอยากจะถ่ายทอด มีสิ่งที่คิดว่าอยากแบ่ง อันเป็นประโยชน์ อาจเป็นเรื่องเล่าสั้น ๆ ในรูปแบบ ปันความรู้ความเข้าใจนั้นให้กับคนอื่น ๆ ก็ลองเขียน ที่เสมือนอ่านเล่น ๆ แต่อ่านจบแล้ว ผู้อ่านได้เกร็ด ส่งเข้ามาได้เลยค่ะ ธรรมหรือข้อคิดดี ๆ ติดกลับไปด้วย
�
๑. คอลัมน์ที่เปิดรับบทความ คอลัมน์: ธรรมะจากคนสู้กิเลส เนื้อหา: เปิดโอกาสให้คุณๆ ได้เล่าประสบการณ์ จริงของตนเอง ว่าผ่านอะไรมาบ้าง มีอะไรเป็นข้อคิด ที่เป็นประโยชน์บ้าง อะไรทำให้คนธรรมดาคนหนึ่ง กลายเป็นคนดีขึ้นมา และทำให้คนมีกิเลสเยอะกลาย เป็นคนกิเลสบางลงได้ มีแต่คนที่เปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้วเท่านั้น จึงจะเขียน ธรรมะใกล้ตัว ได้สำเร็จ
คอลัมน์: กวีธรรมะ เนื้อหา: พื้นที่ที่เปิดกว้างสำหรับกวีธรรมะทั้งหลาย โดยไม่จำกัดรูปแบบและความยาวของบทกวี หรือ หากจะคัดเอาบทกวีที่น่าประทับใจ ให้แง่คิดอะไรใน เชิงบวก ก็สามารถนำมาลงได้เช่นกัน แต่ถ้าให้ดี กลั่นกรองออกมาด้วยตนเองได้ ก็ยิ่งดีค่ะ กติกา: หากเป็นการคัดมาจากที่อื่น ต้องระบุที่มาที่ ไปอย่างชัดเจนด้วยนะคะ
คอลัมน์: เที่ยววัด เนื้อหา: รับหมดไม่ว่าจะเป็นวัดสวยหรือสถานที่ คอลัมน์: นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ เนื้อหา: เปิดโอกาสกว้างสำหรับคนที่ชอบคิดชอบ ปฏิบัติธรรม ข้อมูลข่าวสารจากทั่วประเทศนั้น ไม่มี เขียน โดยเฉพาะอดีตนักฝัน ที่เพิ่งผันตัวมาอยู่ ในโลก วันที่ ใครคนเดียวจะรู้ ได้หมด ถ้าช่วยเป็นหูเป็นตาให้ ธรรมะ เพื่อสร้างสรรค์เรื่องราวให้คนได้ข้อคิดข้อ แก่กัน ก็คงจะมีประโยชน์อย่างมหาศาล ธรรม ผ่านความสนุกของรูปแบบนิยายหรือเรื่องสั้น กติกา: นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ บรรยากาศ ปฏิปทา ฯลฯ ของวัดแล้ว ต้องขอรบกวนส่งภาพสวย ๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน มาประกอบบทความด้วยนะคะ คอลัมน์: คำคมชวนคิด เนื้อหา: รวบรวมข้อคิด หรือคำคมของบุคคลต่าง ๆ คอลัมน์: ธรรมะปฏิบัติ ที่เคยได้ยินมาแล้วสะดุดใจ มาบอกต่อ ยิ่งถ้าใคร เนื้อหา: ร่วมบอกเล่าประสบการณ์จริง ประสบ-
การณ์ตรงจากการปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นทั้งธรรมทาน ตามแนวทางดังนี้ด้วยนะคะ และเป็นทั้งกำลังใจ สำหรับผู้ที่กำลังร่วมเดินทางอยู่ ๒.๑ ตรวจทานคำถูกผิดให้เรียบร้อย บนเส้นอริยมรรคเส้นเดียวกันนี้ ก่อนส่งบทความ รบกวนผู้เขียนทุกท่านช่วยตรวจ ทานให้แน่ ใจก่อนนะคะว่า ไม่มีจุดไหนพิมพ์ตกหล่น คอลัมน์: ของฝากจากหมอ เนื้อหา: นำเสนอข่าวสารในวงการแพทย์ หรือสาระ พิมพ์เกิน พิมพ์ผิดพลาด หรือเขียนตัวสะกดไม่ถูก น่ารู้อันเป็นประโยชน์เกี่ยวกับสุขภาพ ที่คนทั่วไป ต้อง ผ่านสายตาของผู้เขียนแล้ว สนใจ หรือนำไปใช้ ได้ เพื่อเป็นวิทยาทานให้กับผู้อ่าน หากไม่แน่ ใจตัวสะกดของคำไหน สามารถตรวจ จากแง่มุมต่าง ๆ ที่แพทย์แต่ละแขนงมีความรู้ความ สอบได้จากที่นี่เลยค่ะ เว็บเครือข่ายพจนานุกรม เชี่ยวชาญต่าง ๆ กัน ราชบัณฑิตยสถาน http://rirs3.royin.go.th/ridicกติกา: tionary/lookup.html • หากเป็นบทความที่แนะนำให้มีการทดลองกิน ยา หรือแนะนำให้ผู้อ่านปฏิบัติตามด้วย ขอ ๒.๒ จัดรูปแบบตามหลักงานเขียนภาษาไทย จำกัดเฉพาะผู้เขียน ที่เป็นผู้เรียนหรือทำงาน เพื่อให้ทุกบทความมีลักษณะของการจัดพิมพ์ที่สอด ในสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เพื่อป้องกัน คล้องกัน ขอให้ ใช้การจัดรูปแบบในลักษณะดังนีน้ ะคะ การนำเสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อน และอาจส่ง • เครื่องหมายคำถาม (?) และเครื่องหมาย ผลต่อผู้อ่านได้ค่ะ ตกใจ (!) • หากนำเสนอประเด็นที่ยังเป็นที่ถกเถียงอยู่ ใน เขียนติดตัวหนังสือด้านหน้า และวรรคด้านหลัง วงการแพทย์ ขอให้มีการอ้างอิงด้วย เช่น มา เช่น “อ้าว! เธอไม่ ได้ ไปกับเขาหรอกหรือ? ฉันนึ จากงานวิจัยชิ้นไหน หรือหากเป็นเพียงความ กว่าเธอไปด้วยเสียอีก” เห็นส่วนตัวของหมอ ก็กรุณาระบุให้ชัดเจน • การตัดคำเมื่อขึ้นบรรทัดใหม่ ด้วยค่ะ สำหรับคนที่นิยมเขียนแบบเคาะ [Enter] เพื่อ ตัดขึ้นบรรทัดใหม่ แทนการรวบคำอัตโนมัติ คอลัมน์: ข่าวประชาสัมพันธ์ ของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ อยากให้ช่วยดู เนื้อหา: อาจมีทั้งงานบุญ หรือการแสดงเทศนา การตัดคำด้วยนะคะว่าตัดได้อย่างเหมาะสม ธรรมของพระที่น่าเคารพ ในส่วนนี้อาจมีเกร็ดธรรม คืออ่านได้ลื่น ไม่สะดุด ไม่แยกคำ หรือไม่ขึ้น จากชุมชนคนใกล้ธรรมะ หรือข่าวฝากจากสถานีวิทยุ บรรทัดใหม่ผ่ากลางวลีที่ควรอ่านต่อเนื่องกัน “ธรรมะอารีย์” ซึ่งคุณวีรณัฐ โรจนประภา (เจ้าของ โดยไม่จำเป็น เช่น บางกอก) ได้ริเริ่มร่วมทำกับหมู่ญาติธรรมจำนวน หนึ่งด้วย “ฉันไม่อยากให้เธอทำแบบนั้น ก็เลยบอกเธอไปว่าผลกรรม
�
๒. อ่านสักนิด ก่อนคิดเขียน
ข้อกาเมนั้นหนักไม่ ใช่เล่น” “ฉันไม่อยากให้เธอทำแบบนั้น ก็เลยบอกเธอไปว่า ผลกรรมข้อกาเมนั้นหนักไม่ ใช่เล่น” (อ่านง่ายกว่าค่ะ)
เนื่องจากในแต่ละสัปดาห์ มีงานเขียนส่งเข้ามาเป็น จำนวนมากชิ้นขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วย หรือดูหลักเกณฑ์อื่น ๆ ได้จากที่นี่เพิ่มเติมด้วยก็ ได้ค่ะ ลดเวลา และลดภาระให้กับอาสาสมัคร ในการเข้า มาช่วยกันคัดเลือก และพิสูจน์อักษรของทุกบทความ ราชบัณฑิตยสถาน > หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ต้องขอรบกวนผู้ส่งบทความ เรียบเรียงงานเขียน http://www.royin.go.th/th/profile/index.php
๒.๓ ความถูกต้องของฉันทลักษณ์สำหรับชิ้นงาน ร้อยกรอง สำหรับท่านที่แต่งร้อยกรองเข้ามาร่วมในคอลัมน์ กวีธรรม ขอให้ตรวจทานให้แน่ ใจสักนิดนะคะว่า บทกลอนนั้น ถูกต้องตามฉันทลักษณ์แล้วหรือยัง จะได้ช่วยกันใส่ ใจและเผยแพร่แต่ ในสิ่งที่ถูกต้องให้ผู้ อื่นกันค่ะ คุณผู้อ่านสามารถตรวจสอบ หรือหาความรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับฉันทลักษณ์ของกวี ไทยได้จากที่นี่ด้วยนะคะ
กระดาน “ส่งบทความ” ได้เลยค่ะ ที่: http://dungtrin.com/forum/viewforum.php?f=2 โดยหัวข้อกระทู้ ขอให้ ใช้ฟอร์แมทลักษณะนี้นะคะ (ชื่อคอลัมน์) ชื่อเรื่อง โดย ชื่อผู้แต่ง เช่น (สัพเพเหระธรรม) เทพธิดาโรงทาน โดย คนไกลวัด (ธรรมะปฏิบัติ) เส้นทางการปฏิบัติ 1 โดย satima (ของฝากจากหมอ) เครียดได้...แต่อย่านาน โดย หมออติ
ร้อยกรองของไทย (โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย) http://thaiarc.tu.ac.th/poetry/index.html
เพื่อช่วยให้ทีมงานสามารถจัดหมวดหมู่ของชิ้นงาน ได้เร็วขึ้นค่ะ
มากกว่าบทความอื่น ๆ และมีการเปลี่ยนฉากอยู่บ้าง อย่าลืมเบรกสายตาผู้อ่าน โดยการขึ้นย่อหน้าใหม่ เมื่อถึงจุดหนึ่ง ๆ ของเรื่องที่เหมาะสมด้วยนะคะ เพราะการเขียนเป็นพรืด เห็นแต่ตัวหนังสือติด ๆ กัน ลงมายาว ๆ จะลดทอนความน่าอ่านของบทความไป อย่างน่าเสียดายค่ะ
และหากไฟล์มีขนาดใหญ่ ทำเป็น zip เสียก่อน ก็จะ ช่วยประหยัดพื้นที่ ได้ ไม่น้อยค่ะ
๓.๒ แนบไฟล์ Word มาด้วยทุกครั้ง ๒.๔ ความยาวของบทความ และการจัดย่อหน้า หากแปะเนื้อความลงในกระทู้เลย ฟอร์แมทต่าง ๆ ปกติแล้วเราไม่จำกัดความยาวของชิ้นงานในทุกคอ- เช่น ตัวหนา ตัวบาง ตัวเอียง จะหายไปค่ะ เพื่อ ลัมน์ค่ะ แต่ก็อยากให้ผู้เขียนใช้ดุลยพินิจดูด้วยค่ะว่า ความสะดวก รบกวนทุกท่านแนบไฟล์ Word ที่ ความยาวประมาณใดน่าจะเหมาะสม โดยลองดูจาก พิมพ์ ไว้มาด้วยนะคะ (ในหน้าโพสต์ จะมีปุ่ม Browse บทความที่ลงในเล่ม และลองเทียบเคียงความรู้สึก ให้เลือก Attach File ได้เลยค่ะ) ในฐานะผู้อ่านดูนะคะ ใครมีรูปประกอบ ก็ Attach มาด้วยวิธีเดียวกันนี้เลย สำหรับเรื่องสั้น หรือนวนิยาย ที่อาจมีความยาว นะคะ
หากบทความใด อ่านยาก ๆ หรือมีจุดบกพร่องที่ต้อง แก้ ไขเยอะมาก ๆ ทางทีมงานอาจจะต้องขออนุญาต เก็บไว้เป็นอันดับหลัง ๆ ก่อนนะคะ
�
๓. ส่งบทความได้ที่ ไหน อย่างไร
�
๔. ส่งแล้วจะได้ลงหรือไม่
ปกติแล้ว เวทีแห่งนี้เป็นเวทีที่เปิดกว้าง หากบท ความนั้น ให้เนื้อหาสาระที่เป็นไปเพื่อเกื้อกูลกันใน ทางสว่าง และเป็นแนวทางที่ตรงตามแนวทางคำ สอนของพระพุทธเจ้า หรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน จากผู้รู้จริงในด้านที่เชี่ยวชาญ ก็จะได้รับการลงแน่ นอนค่ะ
ทั้งนี้ รวมถึงความยากง่ายในการอ่านพิจารณาบท ๓.๑ กระดานส่งบทความ ความ การแก้ ไขจุดบกพร่องต่าง ๆ ในงานพิสูจน์ เมื่อเขียน อ่านทาน และตรวจทาน บทความพร้อมส่ง อักษร หากเป็นไปอย่างคล่องตัว ก็จะช่วยให้พิจารณา เรียบร้อยแล้ว งานเขียนทุกชิ้น สามารถโพสท์ส่งได้ที่ ชิ้นงานได้ง่ายขึน้ ด้วยค่ะ
แต่หากบทความใด ยังไม่ ได้รับคัดเลือกให้ลง ก็ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะคะ วันหนึ่ง คุณอาจรู้อะไรดี ๆ และเขียนอะไรดี ๆ ในมุมที่ ใครยังไม่เห็นเหมือนคุณ อีกก็ ได้ค่ะ : ) และถ้ า อยากเริ ่ ม ต้ น การเป็ น นั ก เขี ย นธรรมะที ่ ด ี ก็ลองติดตามอ่านคอลัมน์ เขียนให้คนเป็นเทวดา ที่คุณ ‘ดังตฤณ’ มาช่วยเขียนเป็นนักเขียนประจำให้ ทุกสัปดาห์ดูนะคะ ขออนุโมทนาในจิตอันมีธรรมเป็นทานของทุกท่านค่ะ กอง บ.ก. ๑๕ มกราคม ๒๕๕๐
�
ธรรมะใกล้ตัว dhamma at hand
มาร่วมเป็นอีกหนึ่งกำลัง ที่ช่วยสร้างภาพใหม่ ให้กับพระพุทธศาสนา ด้วยการร่วมส่งบทความ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ท้ายเล่ม หรือที่ http://dungtrin.com/dharmaathand/