ชุดธรรม โฆษณ์ เล่มที่ 14ก, ปรมัถสภาวธรรม

Page 1

www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


ปรมัตถสภาวธรรม

www.buddhadasa.info


ปรมัตถสภาวธรรม คําบรรยายธรรม ประจําวันเสาร ป พ.ศ.๒๕๑๖ ในสวนโมกขพลาราม ไชยา พ.ศ. ๒๕๑๖ ของ

พุทธทาสภิกขุ

www.buddhadasa.info จัดพิมพดวยทุนบริจาค ทาง “สวนอุศมมูลนิธิ” เปนอันดับสองแหงทุนนี้ เปนการพิมพครั้งแรก อันดับที่ ๑๔ ก บนพื้นแถบสีแดง ของหนังสือชุด ธรรมโฆษณ จํานวน ๑,๕๐๐ ฉบับ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ (ลิขสิทธิ์ไมสงวนสําหรับการพิมพแจกเปนธรรมทาน , สงวนเฉพาะการพิมพจําหนาย)


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


คําปรารภ การสรางหนังสือชุดธรรมโฆษณ ขึ้นไวในพระพุทธศาสนา การจั ด พิ ม พ ห นั งสื อ ชุ ด ธรรมโฆษณ อั น ดั บ ที่ ๑๔ ก. บนพื้ น แถบสี แดง เล มนี้ มี ชื่ อว า ปรมั ตถสภาวธรรม. สวนอุ ศมมู ลนิ ธิ จั ดทํ าขึ้ นเป นอั นดั บที่ ๒. ต อจาก ธรรมปาฏิ โมกข โดยได รั บ ฉั น ทานุ มั ติ ข องท า นอาจารย “พุ ท ธทาสภิ ก ขุ ” ให ใช เงิ น บริ จ าคเป น ทุ น ของสามอุ บ าสิ ก า คื อ อุ บ าสิ ก า ประกอบ โปษยนั น ทน , ประดั บ โปษยนั นทน และอุ บาสิ กา ประยู ร เศวตเศรนี ร วมกั นถวายแด ท านอาจารย เพื่ อจั ด พิ ม พ คํ าบรรยาย “ชุ ดธรรมโฆษณ ” เรื่ องใดเรื่ องหนึ่ งตามประสงค ของท าน โดยขอตั้ ง ชื่อทุนนี้วา “ทุน ประกอบ – ประดับ - ประยูร” อุทิศสวนกุศลถึง พระพรหมปริญญา (โกย โปษยานันทน) กับ พระอโศกมนตรี (เรียม เศวตเศรณี) การดํ าเนิ นงานจั ดพิ มพ , แจกจ าย, หรื อจํ าหน าย, คงจั ดทํ าตามความมุ งหมาย และหลั กการปฏิ บั ติ ทุ กประการ ของธรรมทานมู ลนิ ธิ ทั้ งนี้ เพื่ อ ช วยแบ งเบางานของ ธรรมทานมู ลนิ ธิ และช วยรวบรวมคํ าบรรยายขององค บรรยายไว ให ครบถ วน สะดวกแก การคนควา และเผยแพรไปใหทันแกเวลา ที่มีอยูนอย สําหรับงานอันมีอยูเปนจํานวนมาก. หากท านผู ใดศรั ทธาจะบริ จาคเงิ นสมทบทุ น ร วมกั บ สวนอุ ศมมู ลนิ ธิ และ ธรรมทานมู ลนิ ธิ เพื่ อวัตถุ ประสงค ดั งกล าวมาแล วนั้ นอี ก ก็ ดี หรือหากมี เงินรายได พิ เศษ ใดๆ จากการรั บบริ จาค ก็ ดี , จากการจํ าหน ายหนั งสื อนี้ “ในราคาที่ เอากุ ศลเป นกํ าไร” บ า งก็ ดี , สวนอุ ศ มมู ล นิ ธิ จะได นํ า เงิ น นั้ น รวมสมทบทุ น ไว เพื่ อ จั ด พิ ม พ ห นั งสื อ ชุ ด นี้ ในอันดับอื่นอีกตอไป

www.buddhadasa.info สวนอุศมมูลนิธิ ๗๗ สุขุมวิท ซอย ๑๐๓ กรุงเทพ ฯ ๑๑.


สารบาญ ปรมัตถสภาวธรรม ๑.ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” ๒.ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ) ๓.ธาตุเกี่ยวของกัน จนถึงความดับทุกข ๔.ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ ๕.ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง ๖.หลักปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” ๗.พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ-อายตนะ-ขันธ ๘.ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ ๙.ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ ๑๐.อายตนสัมผัส ใหเกิดสิ่งที่เรียกวา ขันธ ๑๑.อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธ โดยวิธีปหงปฏิจจสมุปบาท ๑๒.ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน” ๑๓.ประโยชนแหงการเขาถึง ปรมัตถสภาวธรรม พระบาลีปรมัตถสภาวธรรม บทสวดมนตแปล ธาตุปจจเวกขณปาฐะ

หนา ” ” ” ” ” ” ” ” ”

๔๑ ๖๗ ๑๐๑ ๑๓๓ ๑๖๓ ๑๙๗ ๒๒๙ ๒๖๓ ๒๙๗

” ” ” ” ”

๓๒๙ ๓๖๑ ๓๘๙ ๔๓๕ ๔๕๕

www.buddhadasa.info

โปรดดูสารบาญละเอียดในหนาตอไป [๑]


สารบาญละเอียด ปรมัตถสภาวธรรม -----------------------

๑.ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ การบรรยายธรรมะนี้ เปนงานประจําวันเสารแรกของป ๒๕๑๖ …. …. ๑ เหตุผลที่บรรยายเพราะ ขอ ๑.ใครทําใหธรรมะเปนเครื่องชวยตานทานมิคสัญญี ๒ ขอ ๒.ปรับปรุงสมรรถภาพของพุทธบริษัททั้งปริยัติ ทั้งปฏิบัติ …. …. …. ๓ ขอ ๓.ปริยัติธรรมยังไมเพียงพอในความละเอียด,ตองชวยเผยแผ …. …. ๓ ขอ ๔.พุทธบริษัทตองทําการเผยแผธรรมะ เปนงานประจํา …. …. …. ๔ ขอ ๕.ปริยัติธรรมเปนรากแกว จึงจําเปนตองมีปริยัติอันถูกตอง …. …. ๔ เลือกพูดเรื่องธาตุกอน เพราะธาตุเปนทุกสิ่ง ทั้งในและนอกกาย …. …. ๕ “ธาตุ” เปนปจจัยในขั้นรากฐานของทุกสิ่ง มนุษยควรรูจัก …. …. …. ๖ ศึกษาเรื่องธาตุใหเขาใจ แลวจะเห็นจริงในเรื่องอนัตตา, สุญญตา …. …. ๗ พูดอยางสั้นมีธาตุ : สัพพสังขาร กับอมต หรือรูป, อรูป, นิโรธเทานั้น …. ๘ การคบหาก็คบกันตามธาตุ : เลวกับเลว, ดีกับดี …. …. …. …. …. ๙ ในบาลีแบงธาตุอีกอยางเปน หีนะ มัชฌิม ปณีต-เลว กลาง ประณีต ก็มี ๑๐ มนุษย สัตว เทวดา แมจะเลือกคู ก็เลือกกันตามธาตุที่ถูกกัน …. …. ๑๑ สิ่งที่เรียกวาธาตุ นี้เปนเรื่องสําคัญ ที่ควรจะตองศึกษา …. …. …. …. ๑๒ ธาตุ แปลวาทรงไว : ทรงอยูไดไมสลายไป, มีลักษณะกําหนดได …. …. ๑๓ ธาตุ มาจาราชาศัพท ธ-ร คือทรงตัวเอง, ทรงสิ่งอื่น, ถูกสิ่งอื่นทรง …. …. ๑๔ คําวา “ธรรม” นี้ก็มาจาก ธ-า-ตุ คือสิ่งที่ทรงผูปฏิบัติไว …. …. …. …. ๑๕

www.buddhadasa.info

[๒]


[๓] ธาตุ ในภาษาอังกฤษ ภาษาละติน ก็มีความหมายตรงกันวา “ทรงอยู” …. ๑๖ ธาตุ ในภาษาทางวัตถุ เขาเล็งถึงตัวธาตุ ที่เปนวัตถุโดยตรง …. …. …. ๑๗ ในพุทธศาสนาตองการพูดถึงธาตุทางนามธรรม คือ คุณสมบัติของวัตถุ ๑๘ วัตถุธาตุทุกชนิดมีคุณสมบัติที่ทรงไวในตัวมัน …. …. …. …. …. ๑๙ ในสวนตาง ๆ ของรางกายมี ธาตุดิน น้ํา ไฟ ลม ผสมกันอยูตามมากนอย ๒๐ ธาตุที่เปนตัวเองโดยเด็ดขาด เรียกวา อสังขตะ, ที่อาศัยกันเรียก สังขตะ ๒๑ พึงศึกษาใหเขาใจวา ธาตุคืออะไร มาจากอะไร เปนสังขตะ หรืออสังขตะ ๒๒ ธาตุมีเพื่อประโยชนอะไร ก็เพื่อมนุษยจะตองชนะใหได จึงตองศึกษามัน ๒๓ จะเอาชนะได โดยมีสัมมาทิฏฐิ : อยาไปยึดมั่นถือมั่นจนตกเปนทาสของธาตุ ๒๔ ดูใหดีใหรูวา ธาตุขางนอกกระทบกับขางใน เกิดธาตุที่ ๓ มีอวิชชาดวยก็เปนทุกข ๒๕ ธาตุแทๆ เปนคุณคาอยางใดอยางหนึ่งที่แสดงออกมาจากทางวัตถุนั้น ๒๖ พวกนามธาตุมีจิตเปนที่แสดงออก, นิพพานธาตุแสดงออกทางธัมมารมณ ๒๗ ธาตุแบงเปนกลุมได ๓ : รูป อรูป นิโรธ …. …. …. …. …. …. ๒๘ ธาตุฝายสังขตะจะปรากฏตอเมื่อมีเหตุ ปจจัย และโอกาสปรุงแตง …. ๒๙ รูป หรือ อรูปธาตุปรากฏ ตองมีปจจัย โอกาส และการปรุงแตง …. …. ๓๐ เมื่อสิ้นโลภะ โทสะ โมหะ แลว อสังขตธาตุจะปรากฏ …. …. …. …. ๓๑ ทุกสิ่งเปนธาตุ จะแสดงคุณคาออกมา เมื่อถึงโอกาสไดปจจัยและปรุงแตง ๓๒ คนยุคปจจุบันรูแตเรื่องวัตถุธาตุ ไมรูจักธาตุทางนามธรรม …. …. …. ….๓๓ พุทธบริษัทควรตองรูจักทั้งวัตถุธาตุ รูปธาตุ อรูป และนิโรธธาตุ …. …. ๓๔ ธาตุมิใชมีเพียงวัตถุ ยังมีธาตุ มโน วิญญาณ จิต นําสุข ทุกขมาใหอีก …. ๓๕ พุทธบริษัทจะตองศึกษาเรื่องธาตุใหละเอียดทั้งวัตถุธาตุ และนามธาตุ …. ๓๖ ดูธาตุใหรูจัก แมมีที่เสนผมวามีธาตุอะไร เพื่อเกิดความไมยึดมั่นฯ …. ๓๗ คน กับ ธาตุ เปนอยางเดียวกัน มีสวนประกอบตางๆ เชนเดียวกับรถยนต ๓๘ รูหลักทั่วๆ ไปเกี่ยวกับ “ธาตุ” ไวกอน เมื่อฟงตอไปจะเขาใจไดงาย …. …. ๓๙

www.buddhadasa.info


[๔]

๒.ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ) ขอใหทานทําความเขาใจเกี่ยวกับธาตุโดยทั่วๆ ไปกอน …. …. …. ๔๑ ทุกสิ่งเปนธาตุ และ “ธาตุ” ไมใชตัวตน มีคําสอนดังเรื่องธาตุปจจเวกขณ ๔๒ ทุกสิ่งเปนสักวา ธาตุ หรือ ธรรมชาติ หรือเปนธรรมลวนๆ ไมใชสัตว บุคคล ๔๓ แตละธาตุยังประกอบดวยธาตุอื่นอีก, ถาไปยึดมั่นเปนตัวตน ก็มีความทุกข ๔๔ คนประกอกดวยธาตุ ๕ : รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ …. …. ๔๕ รูปธาตุประกอบดวย ธาตุ ดิน น้ํา ลม ไป เปนพื้นฐานที่จะเปนขันธตอไป ๔๖ ธาตุทั้ง ๕ จะทําหนาที่เปนขันธ ตอเมื่อสัมผัสกับสิ่งภายนอก …. …. ๔๗ พอธาตุขางในกระทบกับขางนอก วิญญาณธาตุทําหนาที่ ธาตุ ๕ ก็เปนขันธ ๕ ขึ้น๔๘ เมื่อธาตุทําหนาที่เปนขันธยังไมทุกข ตอมีอวิชชาเขาผสมปรุงเปนอุปาทานจึงทุกข๔๙ เรื่องดับทุกขจะตองรูจักธาตุทั้ง ๕ และสําเหนียกไววา ทุกสิ่งสักวาเปนธาตุ ๕๐ พึงพิจารณาทุกสิ่งสักวาธาตุตามบทสวดมนต “ธาตุปจจเวกขณปาฐะ” ๕๑ พิจารณาใหเห็นคุณลักษณะของธาตุ ๔ มีอยูในรูปธาตุ …. …. …. ๕๒ รูปธาตุ กับ นามธาตุ พบกันจะปรุงแตงเปนธาตุอื่นๆ อีก …. …. …. ๕๓ ปญหาเกี่ยวกับความทุกขจะมีแกคนมีชีวิต มีธาตุรูสึกคิดนึกได …. …. ๕๔ ความสัมพันธของธาตุมาปรุงแตงกันตองมีแนนอน “คน” จึงเกิดขึ้น …. ๕๕ ถาไมรูจักโทษของอวิชชาธาตุ เผลอสติ อวิชชาผสม เปนอกุศล ก็เปนทุกข ๕๖ ถาเผลอขาดสติประมาท อวิชชาก็เขาผสมทันที …. …. …. …. …. ๕๗ เราควบคุมกิเลสไมได ก็เพราะไมรูจักธาตุหมดทุกธาตุ …. …. …. ๕๘ ธาตุมีชื่อเรียกตางๆ กันทั้งฝายสังขตะและอสังขตะ แยกออกไปเปนอันมาก ๕๙ การผสมระหวางธาตุ ฝายวัตถุก็ยังยักยายเปลี่ยนไปไดมาก …. …. …. ๖๐ ธาตุปรุงแตงทั้งหลายมีการเกิดขึ้น-ตั้งอยู-ดับไป ไหลเวียนอยูเสมอ …. ๖๑ การเกิดขึ้น-ตั้งอยูแหงธาตุนั้น ก็คือ เกิดขึ้น-ตั้งอยูแหงทุกข …. …. …. ๖๒

www.buddhadasa.info


[๕] “เกิดขึ้น” หมายถึงเกิดทางนามธรรม ไมใชเกิดทางวัตถุ …. …. …. ภาษาธาตุ มีการเกิด-ดับ หรือตายอยูวันละหลายๆ หน, ขณะดับเปนนิโรธธาตุ ถาพบกันกับนิโรธธาตุจะหยุดการปรุงแตง กรณีนั้น ๆ ก็ดับขณะนั้น …. ใหรูสึกวาเปนสักวาธาตุ จะเปนอานิสงสใหถึงนิโรธธาตุ ทุกขดับได ….

๖๓ ๖๔ ๖๕ ๖๖

๓.ธาตุเกี่ยวของกัน จนถึงความดับทุกข เรื่องธาตุเปนรากฐานของทุกเรื่อง แตไมใครเขาใจจึงไมสนใจ …. …. …. การปฏิบัติตามมรรคมีองค ๘ ก็ควรตองศึกษาลึกถึงรากฐานคือเรื่องธาตุ ความทุกขเกิดขึ้นไดเพราะยึดมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งไมรูวาเปนเพียงธาตุ เรียนพุทธศาสนาก็ใหรูวา ทุกอยางสักวาเปนธาตุ จะไดไมยึด ไมทุกข …. คนประกอบอยูดวยธาตุ ๖ เปนพื้นฐาน สัมพันธกันปรุงเปนนั่นเปนนี่ …. ทุกธาตุอาศัยกันและกันเปนฐานที่ตั้ง มีธาตุที่สําคัญคือ วิญญาณธาตุ …. ธาตุทั้งหมดมีการปรุงแตงเรียกสังขตะ, ที่ไมมีการปรุงแตงเรียกอสังขตะ ประเภทสังขตะแบงได ๒ พวก: ดิน น้ํา ลม ไฟ เปนรูป, เวทนา-วิญญาณเปนอรูป รูปธาตุแยกไดเปนคูๆเชน ตา-รูป,หู-เสียง,จมูก-กลิ่น,ลิ้น-รส,กาย-สัมผัส …. แตละธาตุที่กายมีประสาทใหเกิดความรูสึก แลวทําตามหนาที่ของมัน …. ตัวอยาง จักขุกับกับรูปธาตุทําหนาที่กระทบกัน เปนจักขุ กับรูปอายตนะขึ้น อายตนะคูหนึ่งทําหนาที่แลว จะเกิดวิญญาณธาตุ, ๓ อยางนี้พบกันเรียกผัสสะ ผัสสะเกิดทําใหเวทนาธาตุที่มีอยูกลายเปนเวทนา สัญญา สังขารขันธ ความคิดนึกเกิดเปนสาย นับแตมี สัญญา-สัญญเจตนา-ตัณหา-วิตก-วิจาร ขันธ ๕ พอมีอวิชชาธาตุปรุงกลายเปนอุปาทานขันธ แลวมีทุกข …. …. ธาตุทั้งปวงปรุงแตงกันทําใหเกิดทุกข, วิญญาณชวยทําหนาที่หลายตอน ธาตุฝายสังขตะจะปรุงแตงเรื่อย จะดับตอเมื่อพบนิโรธธาตุ …. ….

๖๗ ๖๘ ๖๙ ๗๐ ๗๑ ๗๒ ๗๓ ๗๔ ๗๕ ๗๖ ๗๗ ๗๘ ๗๙ ๘๐ ๘๑ ๘๒ ๘๓

www.buddhadasa.info


[๖] ทางที่จะใหนิโรธธาตุมาดับทุกข ตองเจริญภาวนาใหเกิดปญญา …. …. ๘๔ นิโรธธาตุเมื่อถึงขั้นสูงสุดเรียกวานิพพานธาตุ เกิดไดดวยเจริญวิปสสนา …. ๘๕ ตองรูสึกอยูเสมอวา “ไมมีอะไรที่ไมใชธาตุ” ทั้งเห็นดวยตา และไมเห็น …. ๘๖ ทุกธาตุมีอยูตามธรรมชาติ จะแสดงตัวเมื่อไดปจจัยปรุงแตง …. …. ๘๗ ความทุกขก็เปนธาตุเพราะเปนเวทนา ซึ่งเปนธาตุอยางใดอยางหนึ่ง …. ๘๘ ความทุกขเกิดขึ้นเปนเวทนาธาตุ เมื่อดับลงเปนนิโรธธาตุ หรือนิพพานธาตุ ๘๙ ทุกธาตุจะเกิดขึ้นในเมื่อไดทําหนาที่ของธาตุนั้นๆ …. …. …. …. ๙๐ ธาตุในและนอกกับวิญญาณพบกันทําใหมี ๑๘ ธาตุ อยูเปนประจําชีวิต ๙๑ สัญญาเปนความจําหมาย พอสําคัญวาเปนอะไร นี่เปนสัญญาขันธ …. ๙๒ “ความสําคัญ” นี้เปนตัวการใหเกิด สุภสัญญา-อัตตสัญญา-สําคัญวาเปน ฯลฯ ๙๓ สัญญาของคนจะผิดอยูมากคือ เห็นตรงกันขามกับที่เปนจริง เปนสัญญาวิปลาส ๙๔ คนธรรมดายึดมั่นมาก จึงมีทุกขมาก ถามีแตสติปญญาจะไมทุกข …. ๙๕ ยิ่งเรียนมากยิ่งหันหลังใหศาสนา ไมเห็นวาทุกอยางสักวาเปนธาตุจึงมีทุกข ๙๖ ธาตุตามธรรมชาติเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ …. …. …. ๙๗ ธาตุที่ปรุงผิดทาง อวิชชาแทรก จะทําใหเกิดวัฏฏสงสาร …. …. …. ๙๘ ใหรูจักธาตุทั้งหลายแลวควบคุมใหอยูในทางไมทุกข ทุกขจะดับได …. ๙๙ จําเปนหลักไววา ธาตุปรุงแตงไปมาก ไปยึดมั่นเขาจะเปนตัวทุกข …. ๑๐๐

www.buddhadasa.info ๔.ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ รูเรื่องธาตุมุงหมายใหไมยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเปนตัวตน-ของตน …. …. ใหมีสติสัมปชัญญะ รูสึกตัวอยูทุกเวลาวา “ไมมีอะไรที่ไมเรียกวาธาตุ” มีความฉลาดรูใ นธาตุ และทําในใจใหแยบคาย นี้จะเปนการตั้งอยูแหงพุทธศาสนา พระพุทธเจาตรัสยืนยัน ที่เปนสัมพุทธะ เพราะรูเรื่องธาตุดวย …. ….

๑๐๑ ๑๐๒ ๑๐๓ ๑๐๔


[๗] ถาเขาใจเรื่องธาตุไมถูกตรง ทําใหยึดมั่น ฯ ไมชวยใหเกิดความสงบ …. ๑๐๕ “เปนสักวาธาตุ” ถาเขาใจผิดจะเปนมิจฉาทิฏฐิ ทําอะไรตามกิเลส …. ๑๐๖ “ธาตุเทานั้น” ถาเขาใจผิดจะเปนอันตรายขนาดไมรับผิดชอบใด ๆ ก็ได ๑๐๗ ที่พูดเรื่อง “ธาตุเทานั้น” มุงหมายไมใหยึด ฯ เพื่อไมเกิดกิเลส …. …. ๑๐๘ รูเรื่องธาตุใหถูกตองวา ประกอบเปนนรก-สวรรคก็ได ในจิตใจ …. …. ๑๐๙ เรื่องขางในใจนั้นตั้งตนจากขางนอก แลวเกิดวิญญาณ ฯลฯ สังขาร ไมมีดีเลย ๑๑๐ การปรุงแตงของธาตุ สรางนรกหรือสวรรคขึ้นในจิตใจเอง …. …. ๑๑๑ เดือดรอนเปนนรก, พอใจเปนสวรรค ไปรวมอยูที่เวทนาธาตุ …. …. ๑๑๒ การเห็นรูปดวยตาบางทีสุข บางทีทุกข ซึ่งลวนมีธาตุตาง ๆ ผสมกันมาก ๑๑๓ ตากับรูปกับวิญญาณธาตุ ทําใหเกิดผัสสะ ซึ่งเปนสวนหนึ่งของเวทนาธาตุ ๑๑๔ ผัสสะที่เนื่องกับวิญญาณธาตุเปนสังขารธาตุ, อีกสวนหนึ่งเปนเวทนาธาตุ ๑๑๕ ในขณะแหงผัสสะ ถาวิชชา หรืออวิชชาเขาผสม ผัสสะก็เปนไปตามที่ผสม ๑๑๖ เวทนาเปนธาตุหนึ่ง ยังไมแสดงตัวจนกวาจะมีสัมผัสระหวางธาตุนอกในกับวิญญาณ๑๑๗ เวทนาเกิดแลว เกิด “ความสําคัญวา” ธาตุ สัญญาจึงปรากฏ …. …. ๑๑๘ ในขณะแหงสังขารธาตุเกิด, ผสมอวิชชา จะเกิดธาตุกุศล อกุศลก็ได ๑๑๙ อกุศลธาตุก็แจกออกเปนธาตุ กาม พยาบาท วิหิงสา …. …. …. ๑๒๐ กามธาตุสงใหเกิด กามสัญญา ฯลฯ-กามปริฬาหะ, รอนเปนนรก …. ๑๒๑ พยาบาท และวิหิงสา เปนอกุศลทําใหเปน นรก เปรต เดรัจฉาน อสุรกาย ๑๒๒ ฝายกุศลธาตุ ตรงกันขามกับอกุศล มีผลเปนสวรรค …. …. …. ๑๒๓ ถารูจักผสมธาตุใหถูกตอง จะไดสวรรคที่นี่และเดี๋ยวนี้ …. …. …. ๑๒๔ เมื่อเกิดความยึดถือแลวตองเปนทุกข เพราะมีอวิชชาทําใหยึดมั่น …. ๑๒๕ ฉลาด โง มืด บอด ไมงาม ก็เปนธาตุที่เนื่องอยูกับรูป …. …. …. ๑๒๖ ธัมมารมณ-รูสึกดวยใจยังแยกเปนธาตุเวทนา สัญญา หรือเปนขันธ …. ๑๒๗

www.buddhadasa.info


[๘] สังขารธาตุ หรือสังขารขันธ อยูในฐานะเปนธรรมธาตุ ใหเกิดมโนวิญญาณ เอาภาวะของรูป หรืออสังขตธาตุมาเปนอารมณของมโน ก็ได …. …. ธาตุมีอยูทั้งในฐานะเปนเหตุและเปนผล สับเปลี่ยนกันก็มี …. …. การรูจักธาตุ ก็เพื่อใหเห็นสุญญตา-ความไมมีตัวตน …. …. …. ถาเห็น “ธาตุเทานั้น” อยางถูกตองแลว จะไมยึดมั่นจนเกิดกิเลส ….

๑๒๘ ๑๒๙ ๑๓๐ ๑๓๑ ๑๓๒

๕.ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง ใหอดทนศึกษาเรื่องธาตุ เพราะเปนรากฐานของทุกอยาง …. …. พิจารณาใหเห็นวา ธาตุเปนสวนยอยๆ ที่ประกอบกันเปนสิ่งใดๆ …. ความปรากฏของธาตุนี่แหละคือความเกิดขึ้นแหงทุกข …. …. …. ธาตุ ทุกข ปรากฏแลว ก็มีความตั้งอยูแหงโรค คือทุกข …. …. …. ธาตุปรุงแตงเปนสัตว บุคคล จนเกิดความรูสึกทุกข นี้ควรศึกษาใหรูไว ธาตุในตัวคนที่ปรุงแตงไมหยุด นี้พึงศึกษาใหรูจัก …. …. …. นามธาตุ ที่เปนธาตุแกงวงนอนได ก็มี เชน อารัมภธาตุ …. …. ธาตุแกงวงนอน กําจัดถีนมิทธะได มีอยูในอีงคุตตรนิกาย …. …. สังขตธาตุปรุงแตงกันเรื่อย แตอสังขตธาตุ ไมปรุงและหยุดปรุง …. …. ธาตุหมวดเกี่ยวกับตา-ใจ ๖ หมวดๆ ละ ๓ ธาตุ มี ๑๘ ธาตุ …. …. กิริยาของธาตุปรุงแตงเปนไปตามหลักของปฏิจจสมุปบาท …. …. การสัมผัส เวทนา ตัณหา หรือขันธ ๕ ลวน เปนธาตุ จับกลุมเปนอุปาทานขันธ เมื่อจิตถูกปรุงแตงอยูดวยกามธาตุ เรียกวาอยูในกามภพ …. …. การปรุงแตงจากรูปธาตุสัมพันธกันอยางยอ ๆ สืบไป ๖ ระยะ …. …. ถาปรุงอยางละเอียด จะเคลื่อนไหวไปถึง ๙ ระยะ …. …. …. จากรูปเปนสัญญา-ครุนคิด-สัมผัส-เวทนา-พอใจ-เรารอน-แสวงหา-ไดผล

๑๓๓ ๑๓๔ ๑๓๕ ๑๓๖ ๑๓๗ ๑๓๘ ๑๓๙ ๑๔๐ ๑๔๑ ๑๔๒ ๑๔๓ ๑๔๔ ๑๔๕ ๑๔๖ ๑๔๗ ๑๔๘

www.buddhadasa.info


[๙] พิจารณาอีกวิธีหนึ่ง ธาตุที่สัมพันธกันอยูจะมี กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ คนธรรมดาบางเวลาก็เกี่ยวกับกามธาตุ หรือรูปธาตุ อรูปธาตุบาง …. กามธาตุมีอยูทั่วไป เมื่อโอกาสมีก็แสดงตัวในจิตของมนุษย …. …. การแสดงตัวของกามธาตุ ก็มีอาการปรุงทํานองเดียวกับรูปธาตุ …. ครั้นไดกามลาภะก็เปนเหตุใหไดอื่นเปน : ตัณหา-อุปทาน-กามภพ …. ธาตุตามธรรมชาติถูกเอามากระทําใหไดเปนวัตถุของสัญญา จึงมีความหมาย กามธาตุใหผลเปนกามภพ รูปภพ อรูปภพ ก็ได …. …. …. …. มนุษยทุกระดับจิตใจมีธาตุที่มุงจะไดกามธาตุเปนอารมณทั้งนั้น …. มนุษย เทวดา มารก็ตองการกามธาตุมาปรุงแตงบริโภคกาม …. …. ถาเปนพรหมไมชอบกาม ไปเอารูปธาตุ อรูปธาตุมาปรุงภพก็ได …. …. ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ลวนยังเปนอุปธิ แบกไวเพื่อทุกข …. …. คน เปนกลุมของธาตุ ๖ พอมีอวิชชาก็ไปทําสิ่งที่ไมนาทํา …. …. การศึกษาตัวพุทธศาสนาไมใชทองจํา ตองรูจักการปรุงแตงของธาตุ …. ใหพยายามมีความฉลาดในธาตุ, ฉลาดทําในใจเกี่ยวกับธาตุ จะไมผิดทาง

๑๔๙ ๑๕๐ ๑๕๑ ๑๕๒ ๑๕๓ ๑๕๔ ๑๕๕ ๑๕๖ ๑๕๗ ๑๕๘ ๑๕๙ ๑๖๐ ๑๖๑ ๑๖๒

www.buddhadasa.info ๖.หลักปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

ที่บรรยายมาแลว ตองการใหรูจักวา ธาตุคืออะไร ปรุงแตงกันอยางไร ครั้งนี้ใหรูจักหลักปฏิบัติเกี่ยวกับธาตุใหถูกตอง …. …. …. พุทธบริษัทควรจะรูจักปรมัตถสภาวธรรมตามสมควร …. …. ปรมัตถสภาวะมีอยูในทุกสิ่งทั้งวัตถุ กาย จิต …. …. …. แมกฎเกณฑตัวธรรมชาติ ก็เปนปรมัตถ เรียกวา ธรรมธาตุ …. รางกายประกอบดวยธาตุ ๔ หรือ ๖ ก็มีคุณสมบัติเปนปรมัตถ …. ตองรูจักคุณลักษณะของของแตละธาตุ เชน อาโป มีลักษณะเกาะกุม

…. …. …. …. …. …. ….

๑๖๓ ๑๖๔ ๑๖๕ ๑๖๖ ๑๖๗ ๑๖๘ ๑๖๙


[๑๐] วาโยธาตุ ระเหย เคลื่อนที่ได, อากาสธาตุ ทําใหมีที่วาง …. …. …. ตองรูจักธาตุที่ประกอบขึ้นมาเปนคนๆ หนึ่ง เพื่อแกปญหาเรื่องทุกข …. เพราะจะแกปญหาเรื่องทุกข จึงจําเปนตองรูวาธาตุคืออะไร …. …. ตองรูจักธาตุเทาที่จําเปนตองรูคือฝายกระทํา กับถูกกระทํา …. …. ฝายกระทําเปนฝายแรกที่ไปสัมผัสกับธาตุฝายตรงกันขาม …. …. ธาตุไหนก็ตามปรุงแตงแลว มีอวิชชา ตัณหา อุปทาน ก็ไปสูทุกขทั้งนั้น นอกจากนิพพานธาตุแลว ทุกธาตุเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น …. …. เมื่อเปนเรื่องยึดมั่นถือมั่นแลว จะตองเปนทุกขทั้งนั้น …. …. …. การปฏิบัติเกี่ยวกับธาตุ ตองไมยึดมั่นในธาตุนั้นๆ …. …. …. ตองมองลงไปใหเห็นชัดวาเปนอยางไรจึงยึดมั่นไมได …. …. …. จงมองใหเห็นความจริงวา ทุกสิ่งเปนสักวาธาตุไปหมด …. …. …. เมื่อใดเขาไปยึดถือในธาตุใดแลว ก็เทากับธาตุนั้นเกิดขึ้นแลว …. …. ระยะแรกตองรูจักละกามธาตุวามันเผาลน ผูกพัน ครอบงําอยางไร …. ระยะตอมาไปพอใจในรูปธาตุตางๆ ซึ่งก็เปนที่ตั้งแหงทุกข …. …. พนเรื่องรูปธาตุไปติดอรูปธาตุ หนักเขา ก็ดับไมเหลือ ไมได …. …. ถารอบรูธาตุกาม รูป อรูป แลว นิโรธธาตุจะแสดงตัวเอง …. …. …. ตองถอนจิตออกมาเสียจากธาตุปรุงแตง นอมจิตไปยังอมตธาตุ …. บรรดาอุปธิคือของหนัก ตองสลัดปลอยไป …. …. …. …. …. แมบุญ กุศล ความดี ตองรูจักในลักษณะที่ไมกลายเปนอุปธิ …. …. ถอยจากความไมยึดถือ แลวหันไปหาธาตุที่ดับความยึดถือ …. …. ทําอานาปานสติโดยกําหนดวา “เปนธาตุตามธรรมชาติ” ไมใชเรา-ของเรา เมื่ออยูตามธรรมดา ก็ทําความรูสึกใหจิตใจเปนเหมือนธาตุทั้ง ๖ …. ผูปฏิบัติถูกตองยอมมองเห็นความไมมีสาระของทุกภาวะตลอดจนธาตุ พิจารณาจนเห็นอนัตตา แลวสลัดคืนได, สิ้นความยึดมั่นถือมั่น …. ….

๑๗๐ ๑๗๑ ๑๗๒ ๑๗๓ ๑๗๔ ๑๗๕ ๑๗๖ ๑๗๗ ๑๗๘ ๑๗๙ ๑๘๐ ๑๘๑ ๑๘๒ ๑๘๓ ๑๘๔ ๑๘๕ ๑๘๖ ๑๘๗ ๑๘๘ ๑๘๙ ๑๙๐ ๑๙๑ ๑๙๒ ๑๙๓

www.buddhadasa.info


[๑๑] “สลัดคืน” คือคืนใหธรรมชาติ อันเปนเจาของเดิม …. …. …. ๑๙๔ เมื่อเห็นอยูรูอยู จิตก็พนอาสวะ เพราะไมยึดมั่นธาตุ …. …. …. ๑๙๕ สรุปวาตองดูความเปนธาตุ วาเปนไปตามปจจัย ไมใชสัตวบุคคล …. ๑๙๖

๗.พระอรหันต กับ สิ่งที่เรียกวา ธาตุ-อายตนะ-ขันธ การบรรยายวันนี้พองวันมาฆบูชา จึงพูดเนื่องกันกับวันนี้ …. …. ใหสังเกตวา เรายึดมั่นถือมั่นตอเมื่อเราโง มิใชยึดตลอดเวลา …. …. ถายึดมั่นขึ้นทีไร ก็เปนทุกข เหมือนตกนรกทั้งเปน …. …. …. ถาไมยึดมั่นก็ไมมีความทุกขเลย นี้เปนกฎธรรมดา …. …. …. ทําการงานใดๆ ใหทําตามหนาที่ ทําดวยสติปญญา ไมยึดมั่นก็ไมทุกข เราชินกันแตจะยึดมั่น เพราะอบรมแวดลอมอยางเปนตัวตน - ของตน ความยึดมั่นในธาตุทําใหจิตรูสึกเปนนรก หรือสวรรคก็ได …. …. การบรรยายวันนี้จะดูธาตุเกี่ยวกับพระอรหันต …. …. …. …. พระอรหันตทั้งหลายทานรอบรูในสังขตธาตุ วาเปนสักวาธาตุ …. ทานมีสติตลอดกาลตอธาตุในระดับที่เปนอายตนะ …. …. …. ทานไมมีความยึดมั่น, ไมมีอวิชชา, มีแตทุกขตามธรรมชาติ …. …. คนธรรมดาจะเจ็บปวย ๒ ชั้นทั้งกายใจ, ผูสิ้นอาสวะเจ็บชั้นเดียว …. พระอรหันตมีแตทุกขกาย และไมมีความยึดมั่นในทุกขนั้น …. …. แมอสังขตธาตุ-ไมมีปจจัยปรุงแตง พระอรหันตก็มิไดยึดมั่น …. …. ธาตุที่ทําใหเปนพระอรหันตนัยที่ ๑. อรหันต วิมุตติ, หรือนิสสรณะ …. นัยที่ ๒. เรียกนิจจธาตุ อิสสรธาตุ หรือ อมุสาธาตุ …. …. …. นัยที่ ๓. เรียกนิพพานธาตุ นิโรธธาตุ สันติธาตุ เขมธาตุ ทีปธาตุ …. นัยที่ ๔. ชื่อ สุญญตา อมต อนันต โลกุตตร ปฏินิสสัคค อนุตตร ….

๑๙๗ ๑๙๘ ๑๙๙ ๒๐๐ ๒๐๑ ๒๐๒ ๒๐๓ ๒๐๔ ๒๐๕ ๒๐๖ ๒๐๗ ๒๐๘ ๒๐๙ ๒๑๐ ๒๑๑ ๒๑๒ ๒๑๓ ๒๑๔

www.buddhadasa.info


[๑๒] พระอรหันตไมมีอุปาทาน เพราสิ้นอาสวะแลว …. …. …. …. บุญ บาป สุข ทุกข ฯลฯ ไมเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่นแกพระอรหันต …. พระอรหันตไมมีอวิชชา จึงอยูเหนือสุข เหนือทุกข …. …. …. สภาวธรรมของพระอรหันต กลาวไดเพียงเปนคําสมมติมีหลายคํา …. ภาวะของความเปนพระอรหันตมีคําเดียววา “วาง” หรือพูดวาอะไรไมได การจะสอนเรื่องความเปนอรหันตก็ไดแตบอกวิธีประพฤติปฏิบัติ …. อุปมาเหมือนเสียงของมือที่ตบขางเดียว เพราะเปนเสียงสงบ …. อยากรูภาวะของพระอรหันตตองหัดคิดอยาง “ตบมือขางเดียว” …. การพูดเรื่องปรมัตถสภาวธรรม นี้มุงจะใหรูเรื่องที่ลึกเห็นยาก …. …. รูเรื่องธาตุ ก็คือที่ตัวตน และสิ่งแวดลอมซึ่งประกอบดวยอวิชชา …. มองเห็นโดยความเปนธาตุ เพื่อถึงความวาง และไมเปนทุกข …. …. ขอใหมีความรูในธาตุทั้งปวง และมีสติเกี่ยวของกับธาตุ …. …. ไมมีอะไรเหนือความสามารถของผูตั้งใจจริง, นิพพานก็ไมเหลือวิสัย

๒๑๕ ๒๑๖ ๒๑๗ ๒๑๘ ๒๑๙ ๒๒๐ ๒๒๑ ๒๒๒ ๒๒๓ ๒๒๔ ๒๒๕ ๒๒๖ ๒๒๗

www.buddhadasa.info ๘.ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

ครั้งนี้จะพูดกันถึงธาตุที่เปลี่ยนรูปมาเปนอายตนะ …. …. …. ยกตัวอยาง ตากับรูปอาศัยกัน ทําหนาที่เห็น, ตากลายเปนจักขุอายตนะ ถาเห็นปรมัตถสภาวธรรม ตองเห็นลึกวา “ตัวกู” คือธาตุประชุมกันอยู ลักษณะของปรมัตถก็คือใหเห็นจริงลึกลงไปจนทําใหไมยึดมั่น …. ตองพยายามเห็นแจงจนวางเฉยไดในสิ่งที่เขามากระทบ …. …. ใหทุกคนพยายามที่จะรู ทั้งภาษาคน ภาษาธรรม และปรมัตถใหถูกตอง ถารูจริงยอมมีผลเปนความหลุดพนจากความยึดมั่น ฯ …. …. …. คนยังไมหลุดพนจากความมืด, ปรุงแตงและผูกพัน, ก็ยังมีทุกข ….

๒๒๙ ๒๓๐ ๒๓๑ ๒๓๒ ๒๓๓ ๒๓๔ ๒๓๕ ๒๓๖


[๑๓] จะหลุดออกจากการผูกพัน ตองรูแจงในปรมัตถสภาวธรรม …. …. ๒๓๗ ธาตุเดิมเมื่อมาอยูในรูป ลักษณะ หนาที่ ของอายตนะ จึงไดชื่อเปนอายตนะ ๒๓๘ อายตนะใชไดทั้งวัตถุและนามธรรม หมายถึงสิ่งที่รูสึกได …. …. ๒๓๙ ความทุกขเปนตัวเรื่อง บอเกิดของมันคือ อายตนะ ๖ …. …. …. ๒๔๐ พระพุทธเจาตรัสวา “สมุทร” ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ …. …. ๒๔๑ อายตนะนอก-ในทําหนาที่ปรุงแตง จึงเปนสมุทรขึ้นมา …. …. ๒๔๒ กามคุณ ๕ เกิดขึ้นมา ก็เพราะอายตนะเปนบอเกิดแหงเรื่อง …. …. ๒๔๓ เพราะมีอายตนะมีการสัมผัส จึงเกิดนามธรรมทั้งหลาย …. …. ๒๔๔ เพราะมีอายตนะสัมผัสจึงเกิดเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ …. ๒๔๕ อายตนะมีไดทั้งสังขตะ, อสังขตะซึ่งไดแกนิพพาน …. …. …. ๒๔๖ ธาตุฝายนิพพานเปนอสังขตะ, ฝายสังขารเปนสังขตะ …. …. …. ๒๔๗ ธาตุเมื่อเปนอายตนะหมายถึงมันทําหนาที่รับการเกี่ยวพัน …. …. ๒๔๘ มีหนาที่ของอายตนะที่ไหน เมื่อไร เมื่อนัน้ มีไดทั้งนรกหรือสวรรค …. ๒๔๙ นรกหรือสวรรคเกิดไดในลักษณะอุปปาติกะผลุงขึ้นมาเลย …. …. ๒๕๐ การบรรลุมรรค ผล นิพพาน ก็ตองอาศัยความเปนไปทางอายตนะ ๒๕๑ ไมตองการทุกข ตองมีสติควบคุมอายตนะนั้นเสีย …. …. …. ๒๕๒ “ดับอายตนะ” คือ ใชวิชชา-ปญญาเห็นแจง ไมยึดมั่นในสิ่งใด …. ๒๕๓ เมื่อฆาอายตนะพวกสังขตะได อสังขตะจะปรากฏ …. …. …. ๒๕๔ ใหพิจารณาเห็นอายตนะนี้นากลัวเหมือนภัยในมหาสมุทร …. …. ๒๕๕ ตองมีสติหยุด “อายตนะเวคะ” คือกําลังของการปรุงแตงของอายตนะเสียใหได ๒๕๖ ประโยชนจากการรูปรมัตถสภาวธรรม จะเขาสูสังขตธาตุได …. …. ๒๕๗ ทบทวนใหรูวามองดูนรกสวรรคที่อายตนะ อยารอดูที่โลกอื่นเลย …. ๒๕๘ เราเปนทาสของธาตุ เพราะมีอวิชชาหลงรสเสนหของอายตนะ …. ๒๕๙

www.buddhadasa.info


[๑๔] โลกเปนทาสของอายตนะมากขึ้น เพราะไมรูปรมัตถสภาวธรรม …. ธาตุเปลี่ยนรูปมาเปนอายตนะ นี่ยิ่งเปนพิษแกเรายิ่งขึ้น …. ….

๒๖๐ ๒๖๑

๙.ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ ปรมัตถสภาวธรรมเปนเรื่องซ้ําซากไมชวนฟง, ตองทนฟงเปนธรรมดา เรารูเรื่องปรมัตถอยางที่พระพุทธเจา รูจักได เห็นได …. …. …. ที่อายตนะ ๖ นี่แหละ มีสภาพเปนนรกบาง สวรรคบาง …. …. ตองรูจักธาตุดังที่วา เหลียวไปทางไหนรูสึกชัดวา “สักวาธาตุ” …. ธาตุสังขตะ ปรุงแตงขึ้นเปนวิญญาณธาตุเนื่องกันไปจนเปนอื่นๆ …. ตอมาเปลี่ยนหนาที่เปนอายตนะ จะเปนที่ของการสัมผัสตอไป …. ตา+รูป+จักขุวิญญาณ นี้เปนผัสสะ; จะปรุงตอไปตามลําดับ …. ไมมีอะไรสําคัญรายกาจ ยิ่งไปกวา เรื่องผัสสะ …. …. …. ความประจวบกัน ดังตา-รูป-จักขุวิญญาณ นี้ตองจําใหแมน …. …. ผัสสะคือการกระทบมี ๓ ๑.ปกติสัมผัส คือสัมผัสตามธรรมชาติ ๒.อวิชชาสัมผัส มีความโง ไมมีสติสัมปชัญญะควบคุมจิต ๓.มีสติสัมปชัญญะ มีความรู สัมผัสดวยวิชชา …. …. การสัมผัสดวยวิชชาเปนลักษณะของพระอริยเจา …. …. …. อวิชชาสัมผัสเปนอันตราย ทําใหรัก กลัว เกลียด …. …. …. ถาขาดสัมผัสแลว “โลก” ไมมีความหมาย …. …. …. …. “โลก” ไดแกสัตวโลก และสัตวโลกคือโลกของกิเลส …. …. …. อีกอยางหนึ่งสังขารโลกคือ การปรุงแตงไมรูหยุด …. …. …. สังขารโลกฝายจิตปรุงดวยอวิชชา ปราศจากสติ ไปสุดที่ทุกข …. …. โลกทั้ง ๓ ประเภทมีขึ้นไดดวยอํานาจของผัสสะ …. …. ….

๒๖๓ ๒๖๔ ๒๖๕ ๒๖๖ ๒๖๗ ๒๖๘ ๒๖๙ ๒๗๐ ๒๗๑

www.buddhadasa.info ๒๗๒ ๒๗๓ ๒๗๔ ๒๗๕ ๒๗๖ ๒๗๗ ๒๗๘ ๒๗๙ ๒๘๐


[๑๕] พิจารณาโลกแยกตามที่พระพุทธเจาตรัส เรื่องที่ ๑. คือ กา-มะ …. กามคุณ ๕ ทานตรัสเรียกวาโลก ในอริยวินัยนี้เกิดจากผัสสะ …. …. เรื่องที่ ๒. กรรมคือการกระทําดวยเจตนา ก็มาจากผัสสะ …. …. กรรมทั้งหลายมาจากผัสสะ ไมมีผสั สะก็ไมมีเจตนาทํากรรม …. …. เรื่องที่ ๓-๔ เวทนา-สัญญา ก็มีมูลมาจากผัสสะ …. …. …. เรื่องที่ ๕. ทิฏฐิ-ความเห็น ความเชื่อ มาจากผัสสะ …. …. …. ถาผัสสะประกอบดวยวิชชาเปนสัมมา, ประกอบดวยอวิชชาก็เปนมิจฉา เรื่องที่ ๖. กิเลสที่เกิดเปนโลภะ โทสะ โมหะ ก็มาจากผัสสะ …. …. โลภะ โทสะ โมหะ มีลักษณะเนื่องกันคือ ดึงเขามา, ผลักไป, สงสัยลังเลอยู เรื่องที่ ๗. อาสวะ อนุสัย คือความเคยชินของกิเลสก็มาจากผัสสะ …. เรื่องที่ ๘. ทุกขทั้งหลายโดยแทจริง มาจากผัสสะ …. …. …. ทุกอยางไปรวมจุดที่ผัสสะ เกิดเปนปญหาไมพึงปรารถนาก็มีมาก ผัสสะในแงดีนั้น เปนสัมมาทิฏฐิ เพราะมีวิชชาสัมผัส …. …. …. ถาจิตสัมผัสตอความวางจากกิเลสไดก็เรียกวา สุญญตาสัมผัส …. ถาไมมีสัมผัสเสียอยางเดียว ก็เทากับไมมีอะไรในจักรวาล …. ….

๒๘๑ ๒๘๒ ๒๘๓ ๒๘๔ ๒๘๕ ๒๘๖ ๒๘๗ ๒๘๘ ๒๘๙ ๒๙๐ ๒๙๑ ๒๙๒ ๒๙๓ ๒๙๔ ๒๙๕

www.buddhadasa.info ๑๐.อายตนสัมผัส ใหเกิดสิ่งที่เรียกวา ขันธ

การบรรยายเรื่องนี้ทําความเขาใจกันในเรื่องธาตุ อายตนะ และขันธ …. ๒๙๗ เพื่อกันความสับสน ใหรูจักธาตุวา ตั้งอยูเปนพื้นฐาน :…. …. ๒๙๘ ธาตุ อายตนะ ขันธ มีชื่ออยางเดียวกัน สับสนกันอยู :ธาตุ -สิ่งที่มีรูป, มีอาการแตกทําลาย, อายตนะ -ธาตุมาสัมผัสกับคูของมัน, ขันธ -ทําหนาที่ปรุงกันขึ้นมาเปนสวนสําคัญ …. …. ๒๙๙


[๑๖] ปญหายุงยากอยูที่ อายตนะนอกในกระทบกันเกิดวิญญาณธาตุ …. แลวเกิดผัสสะ เกิดเจตนาที่เปนตัวกรรม และอื่นๆ ตามลําดับ ผัสสะทําใหเกิดขันธ พอไปยึดมั่น ขันธก็เปนอุปาทานขันธ ขันธคือกลุมของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เปนของลมๆ แลงๆ ยิ่งกวาอายตนะ ขันธนี่หลอกลวงเรามาก “เรา” คือจิตที่โงไปสําคัญขันธเปนตัวตน ผัสสะทําใหเกิดเวทนาและอื่นๆ ตอนที่เปนขันธนี้ปรุงกันหลายซอน เมื่ออายตนะ ๒ ฝายพบกัน แลวทําหนาที่เต็มตั้งแต รูป-วิญญาณ ขันธ ๕ เขาเรียงไวเปนรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้ถูกตองแลว แตละขันธเกิดทยอยกัน ปรุงแตงไปเรื่อย ไมเกิดพรอมกัน ขันธจะไดชื่ออยางนั้นๆ ตอเมื่อมันทําหนาที่ของขันธนั้นๆ เปนขันธแลว ถายึดมั่นก็เปนทุกข ไมยึดมั่นก็ไมเปนทุกข ในบางขณะขันธไมทําหนาที่เชนหลับอยู ขณะนั้นยังไมเปนขันธ ธาตุ ๖ มีตลอดเวลานี้ถูก แตมีขันธ ๕ ตลอดเวลา นี้เปนไปไมได เมื่อธาตุทําหนาที่เปนอายตนะ ก็ทําทีละอยาง เพราะผัสสะมีทีละอยาง ขันธ ๕ มีเมื่อธาตุปรุงกันตามหนาที่ พออวิชชาผสมจึงเปนอุปาทาน ขันธ ๕ ยังไมทุกข ตอเปนอุปาทานขันธจึงเปนทุกข รูจักขันธใหชัดใจวา เกิดเมื่อทําหนาที่สมบูรณทีละขันธ เพื่อความเขาใจถูก ตองรูวาเมื่อไรเกิดอายตนะ ขันธ อุปาทานขันธ เมื่อเปนอุปาทานขันธ สังเกตไดวาเปนไปกับดวยอาสวะกิเลส เชน ๑.ปญจุปาทานขันธมีลักษณะประกอบดวยสักกายทิฏฐิถึง ๒๐ อยาง ๒. ในบาลีบางแหงระบุวามีฉันทะเปนมูล ก็เปนอุปาทานขันธ ๓. บางแหงวาขันธเปนอุปาทาน เพราะสัมผัสดวยอวิชชา ๔. ถาสังเกตที่เขียนเชน รูปูปาทานักขันโธ นี่ขันธถูกยึดดวยอุปาทานแลว

๓๐๐ ๓๐๑ ๓๐๒ ๓๐๓ ๓๐๔ ๓๐๕ ๓๐๖ ๓๐๗ ๓๐๘ ๓๐๙ ๓๑๐ ๓๑๑ ๓๑๒ ๓๑๓ ๓๑๔ ๓๑๕ ๓๑๖ ๓๑๗ ๓๑๘ ๓๑๙ ๓๒๐ ๓๒๑ ๓๒๒

www.buddhadasa.info


[๑๗] ๕. ถาขันธไหนรูสึกวาหนัก นั่นคืออุปาทานขันธ ตัวอยางเชนเห็นลูกหลานนาเอ็นดู, รูปนั้นก็เปนอุปาทานักขันธแลว ในกรณีที่จิตประกอบดวยอวิชชา ขณะนั้นสมุทัยไดตั้งขึ้นแลว ๗. ทุกขเกิดขึ้นเพราะขันธใด ขันธนั้นนับเปนปญจุปาทานักขันธ ตัวอยางวันหนึ่งๆ จะถูกศรอยูเรื่อย ถามีอุปาทานเมื่อไรก็เปนทุกข ที่แนนอนที่สุดคือ ขันธไหนเปนทุกข ขันธนั้นเปนปญจุปาทานักขันธ

๓๒๓ ๓๒๔ ๓๒๕ ๓๒๖ ๓๒๗ ๓๒๘

๑๑.อาการที่เกิดได และเกิดไมได แหง ปญจุปาทานักขันธ โดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท การบรรยายครั้งนี้เกี่ยวกับธาตุ ฯลฯ กระทั่งถึงทุกขละเอียดขึ้น ตองรูจักตัวเองกับความทุกข วาตางกันอยางไรเสียกอน ปญหายุงยากมาจากคําวา “ตัวตน” นี้มีในขั้นศีลธรรม ไมมีในขั้นปรมัตถ ตัวตนมีเฉพาะเวลาที่คิดวาเปนตัวตน นอกนั้นไมมี ความทุกขมีความหมายกวางที่สุด คือ นาเกลียด อุปาทานขันธเปนทุกข หมายถึงตองทนทรมานอยางใดอยางหนึ่ง ขันธเฉยๆ ไมเที่ยง เปนเพียงนาเกลียด พอมีอุปาทานก็เปน ๒ นาเกลียด ถาไมยึดถือจะเปนขันธเฉยๆ ถายึดถือจะเปนอุปาทานและทุกข ตองรูเปนหลักวาขันธอุปาทานขันธ มิใชสิ่งเดียวกัน เมื่อใดเปนกลุมธาตุ ขณะนั้นแทบจะไมมีความรูสึกนึกคิดอะไร เมื่อเปนอายตนะ ก็กอเกิดการกระทบ จนปรุงตอไป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นตามลําดับจากการปรุง การคิดใดๆ ถาไมมุงมาถึงเปนตัวเรา-ของเรา ก็ไมใชอุปาทานักขันธ เมื่อใดมีฉันทราคะในขันธ ขันธนั้นก็เปนอุปาทานักขันธ

๓๒๙ ๓๓๐ ๓๓๑ ๓๓๒ ๓๓๓ ๓๓๔ ๓๓๕ ๓๓๖ ๓๓๗ ๓๓๘ ๓๓๙ ๓๔๐ ๓๔๑ ๓๔๒

www.buddhadasa.info


[๑๘] อวิชชามีอยูทุกหนทุกแหง พรอมที่จะเขาผสมไปในผัสสะ อวิชชาจะเขาผสมไดเมื่อมีโอกาส เปนที่ตั้งแหงอาสวะ เมื่อขันธเปนที่ตั้งแหงอาสวะ จะเกิดอวิชชาสัมผัสเต็มที่ เปนอุปาทานักขันธ เมื่อคิดไปตามความรูสึกยังไมเปนอุปาทานักขันธ ไมทุกข ถามีทุกขขึ้นมา ควรศึกษาคนวาเปนปญจุปทานักขันธอยางไร สิ่งตางๆ เปนไปตามอํานาจของจิต+อวิชชา+สัมผัส ตองพยายามรูจักตัวเรา โดยศึกษาจากขางในเริ่มแตธาตุ ฯลฯ การปองกันมิใหเกิดอวิชชาสัมผัส ตองมีสติสัมปชัญญะนําวิชชามาทันทวงที ถาไมมีสติสัมปชัญญะ อวิชชาไดโอกาส ก็เปนอวิชชาสัมผัส ตองศึกษาจนเขาใจ และรูจักควบคุมการกระทบ รูทัน วาผิดหรือถูก การเกิดกิเลสจนทุกขก็เพราะยังไมมีสติสัมปชัญญะขนวิชชามาทัน การทําใหกาย วาจา มีสีลขันธเปนพื้นฐาน จะมีสมาธิ ปญญาขันธไดงาย พิจารณาธาตุรูป นอกกับในพบกันเปนรูปขันธ แลวปรุงตอไปเปนนามขันธ วิญญาณขันธมีนามรูปเปนปจจัย นี้เขาใจยาก ตองคอยๆ ศึกษา “วิญญาณ” ไมใชสิงเขาราง แตหมายถึงมีเหตุปจจัย ทําใหเกิดธาตุนี้ขึ้น ถารูจัก “วิญญาณ” ดังกลาวมา เราจะควบคุมไมใหปฏิสนธิเปนอุปาทานได อุปาทานักขันธ จะเกิดหรือไมเกิด ตองดูตามกรรมวิธีของปฏิจจสมุปบาท ใหมีสติสัมปชัญญะ เปนวิชชาสัมผัส นี้เปนวิปสสนาที่ตองทําตลอดเวลา

๓๔๓ ๓๔๔ ๓๔๕ ๓๔๖ ๓๔๗ ๓๔๘ ๓๔๙ ๓๕๐ ๓๕๑ ๓๕๒ ๓๕๓ ๓๕๔ ๓๕๕ ๓๕๖ ๓๕๗ ๓๕๘ ๓๕๙ ๓๖๐

www.buddhadasa.info ๑๒.ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน” การบรรยายปรมัตถสภาวธรรม มุงหมายใหพุทธบริษัทเห็นธรรมชาติ ที่เราดับทุกขไมได เพราะไมรูพอสมควร ที่จะดับทุกขได รูปธรรมมิใชเปนเพียงเรื่องตื้นๆ มีสวนเปนปรมัตถเหมือนกัน

๓๖๑ ๓๖๒ ๓๖๓


[๑๙] ในรางกายก็ยังมีสวนเปนปรมัตถมาก แตมีปญหาทางจิตใจ จงดูสวนนี้ ปรมัตถสภาวธรรมสวนจิตมีผลเปนสมาธิ และปญญา ปรมัตถสภาวธรรมมีมาก แตรูเพียงเทาที่จําเปนจะดับทุกขไดก็พอ ไมใครมีผูทนศึกษาเรื่องธาตุ ขันธ ทั้งที่เปนเรื่องเดียวที่จะเอาตัวรอด ถาคิดวาดับทุกขไดดวยเรื่องปรมัตถสภาวธรรม คงจะสนใจกันบาง เรื่องของคน นี้ควรตองศึกษากันอยางละเอียดลออ “คน” บางเวลาเปนธาตุ, เปนอายตนะ, ขันธ, มีกิเลส เปนทุกข เปรียบสวนประกอบของคนกับรถยนตจะมีสภาพคลายกัน ทุกคนมักไมสนใจตัวเอง ไปสนใจแตเรื่องใหเกิดทุกข ปรมัตถสภาวธรรมจริงนั้นเปนวิชชาที่จะชวยแกโง พระพุทธเจาตรัสเรียก “สิ่งทั้งปวง” ในชื่ออาตนะ ๖ คู ตรัสเรียก รูป เสียงฯ ที่นาปรารถนานั้นวา “สมุทร” ตรัสวา อยามีตัวตนอะไรกันนัก ใหมีแตความรูสึกเปนธาตุฯ เพราะ “มี” ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงมีทุกข ปลอยวางเสียทุกขไมมี จะตกนรกขึ้นสวรรค ก็อยูที่อายตนะ ๖ ถาจิตทําไวดี อะไรๆ ก็จะเปนที่ถูกใจไปได รูตามที่เปนจริงเสียวา อายตนะ ๒ ฝายเปนเหตุ, ไมยึดถือก็ไมตกสมุทร คน ยังไมเปนอิสระตองอบรมจนมีความรู ไมตกสมุทร ถาจิตมิไดรูสึกอะไร ก็เทากับวา ไมมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปุถุชนทั่วไปตกอยูในกามาวจรมากที่สุดกวาพวกอื่น เราพยายามรูปรมัตถเพื่อถอนตนออกจากวัฏฏะ, ขึ้นบกไปทีละชั้น ถาทําใหขันธไมปรุงเปนอุปาทาน ก็หยุดทุกขได จะทําลายทุกขไดก็ตองอยูใหถูกตองตามมรรคมีองค ๘

๓๖๔ ๓๖๕ ๓๖๖ ๓๖๗ ๓๖๘ ๓๖๙ ๓๗๐ ๓๗๑ ๓๗๒ ๓๗๓ ๓๗๔ ๓๗๕ ๓๗๖ ๓๗๗ ๓๗๘ ๓๗๙ ๓๘๐ ๓๘๑ ๓๘๒ ๓๘๓ ๓๘๔ ๓๘๕ ๓๘๖

www.buddhadasa.info


[๒๐] ใหรูจักพื้นฐานของ “คน” แลวมองดูจนเกิดญาณทัสสนะรูทั้งสวนกาย ใจ รูจัก “คน” ในวาระ สถานะตางๆ กัน แลวเขาใจปรมัตถฯ ดีขึ้น

๓๘๗ ๓๘๘

๑๓.ประโยชนแหงการเขาถึง ปรมัตถสภาวธรรม การบรรยายปรมัตถสภาวธรรม จะทําสิ่งที่ทอดทิ้งใหเปนประโยชน แตตองทําเอามายัดเยียดใหคนรับเอาไป โลกจะฉิบหายเพราะไมสนใจปรมัตถสภาวธรรม ธาตุทําหนาที่เปนอายตนะ เปนขันธอยูประจําวัน ตัองรูและจํา คนไมสนใจเรื่องธาตุ เพราะไมรูวาจะดับทุกขไดโดยวิธีนี้ ถาอุปาทานขันธเกิดได ทุกขก็เกิดขึ้นมา พระพุทธเจาทรงถือเปนเรื่องสําคัญ อุปาทานขันธทั้ง ๕ เปนตัวทุกขเพราะยึดมั่นถือมั่น พระองคไมทรงสอนเรื่องอืน่ นอกจากทุกขกับดับทุกข ในรางกายมีโลกฯ..จนความดับสนิทของโลก นี้คือตัวปรมัตถธรรม ปญหาการศึกษาพุทธศาสนามัก “ฟงไมศัพทจับไปกระเดียด” ที่เขาใจผิดกัน เชนเรื่องกรรม สอนกันวาใหผลทันทีชาตินี้ชาติหนา แตขั้นปรมัตถถือวาขณะจิตตอมาจากการทํากรรมก็ไดผลไปตามนั้น ขณะที่ทําผิดทางอายตนะยอมเกิดนรก ทําถูกก็เกิดสวรรค ทันที นรก สวรรค ไมใชเรื่องนอกเหนือ แตเปนวิทยาศาสตรของพระพุทธเจา วิทยาศาสตรของพระพุทธเจาพิสูจนใหเห็นได ประโยชนของการถึงปรมัตถมี ๓. ๑.รอบรูปริยัติถูกตามเปนจริง ๒.การปฏิบัติจะทําไปไดไมผิด ๓.รับผลไดไมมีทุกขเลย เมื่อรูวาอะไรเปนอะไรแลว ไมยึดมั่น ทําใหหายโง รูปรมัตถแลว ทําใหหายตื่น หายหลง รูจักสิ่งที่ควรหยุด มนุษยตองเกี่ยวดวยเรื่องกาย จิต วิญญาณใหถูกตองจะดับทุกขได

๓๘๙ ๓๙๐ ๓๙๑ ๓๙๒ ๓๙๓ ๓๙๔ ๓๙๕ ๓๙๖ ๓๙๗ ๓๙๘ ๓๙๙ ๔๐๐ ๔๐๑ ๔๐๒ ๔๐๓ ๔๐๔ ๔๐๕ ๔๐๖ ๔๐๗ ๔๐๘

www.buddhadasa.info


[๒๑] ความรูของทั้ง ๓ เรื่องขางตน เรียกวาปรมัตถสภาวธรรม=เปนอยางนั้นเอง ๔๐๙ ความรูปรมัตถตรงตามจุดหมายที่แทจริงของสิ่งมีชีวติ ๔๑๐ พอรูเรื่องปรมัตถจะเขาถึงอสังขตะ ไมเกิดตัวกู-ของกู ๔๑๑ เดี๋ยวนี้มนุษยจิตใจไมสูง มุง ไปหาความทุกขยาก ยิ่งขึ้นทุกที ๔๑๒ ถารูปรมัตถสภาวธรรมจะสามารถจัดใหตัวมีความตองการนอย ๔๑๓ พระพุทธเจาตรัสวา คิดวา “ตัวกู” ทีหนึ่ง นี่เทากับชาติหนึ่ง ๔๑๔ รูปรมัตถสภาวธรรมจะชวยใหไมมีทุกข ในกรณีของสิ่งที่เปนคู ๔๑๕ ทรงหวังใหทุกคนถึงโลกุตตระโดยอาศัยปรมัตถสภาวธรรม ๔๑๖ เรามีความทุกขเพราะโงไปยึดมั่นอะไรเขา ๔๑๗ ที่วา “นิพพานเปนสุขอยางยิ่ง” นี้พูดเพื่อศีลธรรม ปรมัตถไมพูดวาสุข ๔๑๘ มีอะไรก็ได แตถาไปยึดมั่นเขาแลว มันจะกัดเอาทันที ๔๑๙ เพราะไมรูปรมัตถสภาวธรรมจึงสลัดความทุกขออกไปไมได ๔๒๐ พึงมีสติสมั ปชัญญะในการเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป ของเวทนา สัญญา และวิตก ๔๒๑ ถาควบคุมเวทนา สัญญา วิตก ไมได ก็ไมมีสติสัมปชัญญะ ๔๒๒ ศีลธรรมแกปญหาทางจิตไมได ตองอาศัยปรมัตถสภาวธรรม ๔๒๓ คนในโลกศีลธรรมไมดี เพราะมีศรัทธาในพระรัตนตรัยไมถูก ๔๒๔ คนเห็นแกตัวจัดยิ่งขึ้น เพราะหลงวัตถุเนื้อหนัง ๔๒๕ คนหลงเปนทาสเนื้อหนังเพราะโง ไมสนใจปรมัตถฯและประมาทมานาน ๔๒๖ ถารูจักปรมัตถฯ จิตจะเปนอิสระ มีเมตตา ไมเห็นแกตัว ๔๒๗ โลกตองการเมตตาสามัคคีธรรม แตมีไมได เพราะมีปรมัตถแตทางวัตถุ ๔๒๘ ทุกศาสนายิ่งเลอะเทอะเพราะไปเอาสมมติธรรมมาแทนปรมัตถ ๔๒๙ ถาทุกขศาสนารวมมือกันมีปรมัตถตรงกัน คือไมเห็นแกตัว จะชวยได ๔๓๐

www.buddhadasa.info


[๒๒] อยาติดอยูในศาสนาสมมุติ เขาถึงปรมัตถแลว ทุกศาสนาจะแกทุกขได ๔๓๑ คนรูจักแตรสอรอยของกิเลส ไมรูจักอรอยแทจริง ที่ธรรมะมอบให ๔๓๒ ขอใหตื่นจากหลับคืออวิชชา รูสิ่งทั้งหลายตามเปนจริง; จบคําบรรยายเทานี้ ๔๓๓ พระบาลีปรมัตถสภาวธรรม ๔๓๕-๔๔๘ ธาตุปจจเวกขณปาฐะ ๔๔๙-๔๕๔ บทสวดมนตแปล ธัมมปหังสนปาฐะ ๔๕๕-๔๕๗

www.buddhadasa.info


ปรมัตถสภาวธรรม

๑ ๖ มกราคม ๒๕๑๖

ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวาธาตุ

ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย, การบรรยายธรรมะประจํ า วั น เสาร ได เวี ย นมาถึ ง เข า อี ก ในรอบป ใ หม นี้ ซึ ่ ง จะมี ท ุ ก วั น เส าร เ รื ่ อ ยๆ ไป จน กว า จะถึ ง ฤดุ ฝ น , รวม เวล าที ่ บ รรยายนี้ ๙ เดือ น ตอ ปห นึ ่ง ; เวน ไว ๓ เดือ น ฤ ดูฝ น . วัน นี ้เ ปน วัน ตั ้ง ตน วัน เส าร แรกของปใหม ๒๕๑๖ นี้ เปนสิ่งที่เราไดทํากันมาเปนประจํา

ทําไมจึงมีการบรรยายประจําวันเสารในทํานองนี้? www.buddhadasa.info ขอบอกกล าวแก ผู ที่ ยั งไม ทราบอี กครั้งหนึ่ ง, และขอย้ํ าความเข าใจแก ผู ที่ ทราบอยูแลวอีกครั้งหนึ่ง; เพื่อจะไดทําในใจใหถูกตอง, แลวก็มีการกระทําที่มันมี


ปรมัต ถสภาวธรรม

ความหมาย, ไม ใ ช ทํ า เป น พิ ธี รี ต อง. เวลานาตั้ ง ป อ าจจะลื ม เลื อ นไปบ า ง; ก็ ต อ ง ฟนความจํากันใหม วาทําไมจึงมีการบรรยายวันเสาร ทํานองนี้ เราอาจจะมองดู เห็นเหตุผลที่จะเปนคําตอบไดมากมายหลายสถานทีเดียว. ข อที่ ๑ จะพู ดอย างหยาบคายที่ สุ ด ก็ จะพู ดว า โลกกํ าลั งจะฉิ บหาย คื อ ยุคที่เรียกวา สัตถันตรกัปป : ความนิยมยินดีในการใชอาวุธฆากันอยางมิคสัญญี นี่ แหละ มั นกํ าลั งมา, ที่จะมาถึงอยางที่ กล าวไวในพระคั มภี ร; และเราก็เห็ นๆกันอยู ว า ถ าจะปล อยกั นไปในรู ปนี้ มั นก็ ต องถึ งแน ๆ. เพราะฉะนั้ นจะต องช วยกั นต านทาน ตามแต ที่ จ ะต า นทานได ; แม จ ะเป น การต า นทานอย า งช ว ยกั น ตี ป อ งตี แ ป ง ช ว ย พระจั นทรที่ ถู กราหู จั บ; อย างนี้ มั นก็ ยั งดี กว าจะไม ทํ าอะไรเสี ยเลย. ถ าจะเปรียบกั นแล ว เราทํ าอย างนี้ มั นอาจจะถู กหั วเราะเยาะ ว ามั นมี ค าเท ากั บติ๊ ป บตี กระป อง ช วยพระจั นทร ในวั นจั นทรคราส ซึ่ งเป นเพี ยงพิ ธี รี ตอง; แม อย างนี้ ก็ ยั งพอใจ เพราะว าเราได มี ความ รู สึ ก มี ความคิ ดความนึ ก ความพยายาม ที่ จะทํ าหน าที่ ของเรา : กล าวคื อ ธรรมะนี้ เปนเครื่องชวยตานทานความฉิบหายของโลก.

www.buddhadasa.info เราจะใชธรรมะเปนเครื่องตานทาน มันก็ตองทําใหธรรมะนี้เปนที่ปรากฏ ออกไป, ให เป นที่ รูกั นทั่ วๆ ไปมากขึ้ น ก็ จะมี ส วนช วยให โลกนี้ ลื มหู ลื มตาขึ้ นมาบ าง; หรื อว าถ าบั งเอิ ญ เป นไปได มากๆ มั นก็ จะหมุ นกลั บได . ดั งนั้ นเรามี สติ ป ญ ญา มี ความ สามารถเทา ไร เราก็ทํ า กัน เทา นั ้น : อยา งทํ า กัน ที ่นี ่, มีผู ฟ ง เทา นี ้, และยัง จะ เผยแพร เป น ลายลั กษณ อั กษรต อ ไปอี ก, มั น ก็ ค งจะมี ผ ลบ าง; แม อ ย างน อ ย ก็ ทํ าให ผู อื่ นเกิ ดความสนใจ, ไม ดู ดาย. ถึ งจะเรียกว า ช วยกั นตี ประป องกระแป งช วยพระจั นทร ในทํ า นองนั้ น ก็ ยั ง เป น ที่ น า พอใจ; หรื อ มี เหตุ ผ ลอยู . แปลว า ไม ดู ด าย ไม เฉยเมย ในสิ่ งที่ เป นความทุ กข รอนของเพื่ อนมนุ ษย ด วยกั น. นี้ เป นข อหนี่ ง ที่ เราจั ดการบรรยาย ธรรมะ ในวั น เสาร ซึ่ ง เป น เหตุ ใ ห เกิ ด การพิ ม พ เป น ลายลั ก ษณ อั ก ษร เพื่ อ อยู เป น หลักฐานตอไปอีก.


ขอ ควรทราบก อ น เกี่ย วกั บ สิ่ง ที่ เรี ยกวา ธาตุ

ข อ ที่ ๒. มองดู อี ก ทางหนึ่ ง ฝ า ยภายในของพวกพุ ท ธบริ ษั ท เรา; มั น ก็ เป น การปรับ ปรุ งพวกพุ ท ธบริ ษั ท เรา ให มี ส มรรถภาพเพิ่ ม ขึ้ น . ท านทั้ ง หลายอย า ได อวดดี ทั้ งในฝ ายปริ ยั ติ และปฏิ บั ติ ; ในฝ ายปริ ยั ติ ก็ ยั งมื ดมั ว ยั งสลั วอยู มาก, ในฝ าย ปฏิ บั ติ ก็ ยั งโลเลเหลาะแหละอยู ม าก; นี่ เรี ย กว าไม มี ส มรรถภาพ ทั้ งในฝ ายปริ ยั ติ และ ฝ ายปฏิ บั ติ . เราจะต อ งปรั บ ปรุ งพุ ท ธบริ ษั ท เราให มี ส มรรถภาพเพิ่ ม ขึ้ น ในข อ นี้ ; ดั งนั้ น จึ งได พยายาม ให มี การบรรยายในวั นเสาร เช นนี้ ด วยการเลื อกเอา ในสิ่ งที่ เห็ นว ายั งไม เคยฟ ง บ า ง, หรื อ ว า ได ฟ ง แล ว เข า ใจผิ ด ๆ กั น อยู บ า ง, เอามาบรรยายเป น การเพิ่ ม ความรู บ า ง, เป น การชํ า ระสะสางความรู ที่ มี อ ยู แ ล ว บ า ง, ให มั น สํ า เร็ จ ประโยชน ยิ่ง ๆ ขึ้นไป. อันนี้ก็เปนเหตุผลอันหนึ่ง ที่ทําใหเรามีการบรรยายวันเสารในทํานองนี้. ข อ ที่ ๓. ถ าจะดู อี ก ที ห นึ่ ง มั น เป น หน า ที่ ข องพุ ท ธบริ ษั ท ที่ ต อ งทํ าการ เผยแผ ธ รรมะอยู เป น งานประจํ า . ลองไปคิ ด ดู เถิ ด ว า ความเป น พุ ท ธบริ ษั ท นี้ นอก จากจะปฏิ บั ติ ส วนตนแล ว ก็ ยั งมี หน าที ที่ จะต องช วยกั นเผยแผ ธรรมะหรื อพระพุ ทธศาสนา; เพราะว า ข อ นี้ ก็ เป น พุ ท ธประสงค อ ย า งยิ่ ง ด ว ยเหมื อ นกั น . พระองค ท รงส ง สาวกไป ประกาศพระศาสนา ในทั น ที ที่ อ าจจะส ง ได แล ว ก็ ส ง ไปเรื่ อ ยๆ : ให ไ ปแสดงธรรม, ให ไปประกาศพรหมจรรย มี ค วามไพเราะทั้ งเบื้ อ งต น ท ามกลาง เบื้ อ งปลาย, ให เป น ประโยชน แก สั ตว ทั้ งหลาย ทั้ งเทวดาและมนุ ษ ย . นี้ เป นเหมื อนกั บ คํ าสั่ ง หรื อคํ าขอร อ ง หรื อ คํ า อ อ นวอนของพระพุ ท ธเจ า . ฟ ง ดู ต ามสํ า นวนนี้ แ ล ว มี ลั ก ษณะเป น ได ทั้ ง คํ า ออนวอน และคําสั่งพรอมกันไป.

www.buddhadasa.info ขอที่ ๔. ปริยัติธรรมยังไม เพี ยงพอในความถูกตอ ง ในความละเอี ยด ลออ; เรายั ง ต อ งช ว ยกั น ในข อ นี้ ให ก ารเผยแผ นี้ มี ค วามถู ก ต อ งมากพอ, และมี ค วาม ละเอียดลออมากพอ ที่จะเขาใจและปฏิบัติไดจริง.


ปรมัต ถสภาวธรรม

ถาจะสรุปอีกทีหนึ่งก็อาจจะกลาวไดวาความกาวหนาในกิจการทางพระพุทธศาสนานี้ ก็อยูที่ การเผยแผ, การบรรยายธรรมก็เปนหัวใจของความกาวหนาในการ เผยแผ , หรือ อาจจะเรี ยกว า เป น หั วใจของปริยั ติ ซึ่ งคนโบราณเขาถื อ กั น . สํ าหรั บ สมัยนี้แลว ปริยัตินั้นเปนรากแกวของศาสนา; เพราะวา เมื่อไมมีพระพุทธเจาแลว ไมรูจะไปถามใครที่ไหน. ขอที่ ๕. เราหวังอยูแตปริยัติอันถูกตอง อยางที่พระพุทธองคไดตรัสเมื่อจะ ปรินิ พ พานนั้ น ว า : “ธรรมะที่ แสดงแล ว วิ นั ย ที่ บั ญ ญั ติ แล ว จั ก อยู เป น ศาสดาของ พวกเธอ หลั ง แต ก าลล ว งลั บ ไปแล ว แห งเรา”. เราจึ งได ถื อ กั น เป น หลั ก ว า ปริ ยั ติ ธรรมนี้จะเปนรากแกว, หรือความคงอยูของพุทธศาสนาในสมัยปจจุบันนี้ ฉะนั้น จึงตองมีปริยัติที่ถูกตอง และก็ตองละเอียดลออเพียงพอดวย; เพียงเทานี้ มันก็เปน เหตุ ผลที่ เพี ยงพอ สํ าหรับพวกเราที่ จะเหน็ ดเหนื่ อย ที่ จะหมดเปลื อง สํ าหรับการเผยแผ แมแตดวยการบรรยายประจําวันเสาร อยางวันนี้. ทําไมจึงพูดเรื่องธาตุ และเรียกวา ปรมัตถสภาวธรรม

www.buddhadasa.info เรื่ อ งที่ อ ยากจะบอกต อ ไปก็ คื อ ว า ในภาคมาฆบู ช า ๓ เดื อ น คื อ เดื อ น มกราคม กุมภาพั นธ มีนาคม นี้ จะไดบรรยายโดยหัวขอใหญ เรียกวา ปรมั ตถสภาวธรรม ที ่เกี ่ย วกับ ธาตุ. ทํ า ไมจึง เรีย กวา ปรมัต ถสภาวธรรม? นี ้เปน ภาษาบาลี ฟ งไม ค อยจะรู เรื่ อง. ถ าเป นภาษาไทย ก็ จะมี ใจความว า : พู ด ถึ งเรื่ อ ง สภาวธรรม ที ่ม ีอ รรถอัน ลึก ซึ ้ง . สภ าวธรรม ก็ค ือ ธรรมที ่ม ัน เปน ไปเอง เปน อยู เ อง, เป น ธรรมทั้ งปวงที่ เป น เองไปตามธรรมชาติ ; ปรมั ต ถ แปลวา มี อ รรถอั น ซึ้ ง. คํ าว า ปรมัต ถสภาวธรรม ก็คือ เรื่อ งของธรรมชาติที่ม ีค วามหมายอัน ลึก ซึ้ง. นี่คือ ความหมายของคํ า ที่ เอามาใช เป นชื่ อของการบรรยายในรอบนี้ ; และในรอบ ๓ เดื อน, มาฆบูชานี้จะไดกลาวปรมัตถสภาวธรรม ในสวนที่เรียกวา ธาตุ, ธา-ตุ หรือ ธาตุ.


ขอ ควรทราบกอ น เกี่ ย วกับ สิ่ง ที่เรี ยกวา ธาตุ

ทําไมจึงเลือกเอาเรื่องสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” มาพูดกอนเรื่องอื่น? ถา ทานทั้งหลายสังเกตดูสักเล็กนอย ก็จะเขาใจได วาทําไมจึงเลือกเอาเรื่องธาตุมาพูดกอน เรื่องอื่น. คําตอบในขอนี้มีไดหลายแงหลายกระแส; นับตั้งแตวา : สิ่งที่เรียกวา ธาตุ นั้นแหละ มันคือทุกสิ่ง; ที่กําลังเปนตัวเราอยูในกายเรา, หมายความวาภายในเรา ภายในตัวเรานี้ ก็คือสิ่งที่เรียกวา ธาตุ; และทุกสิ่งที่อยู ภายนอกเรา ที่แ วดลอ มเราอยู ก็เ รีย กวา ธาตุอีก นั่น เอง. ที่เ ปน ภายในตัว เรา ก็ เรียกวา ธาตุ อันเป นภายใน : มีจักขุธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิวหาธาตุ กายธาตุ มโนธาตุ , ธาตุ คื อ ตา ธาตุ คื อ หู ธาตุ คื อ จมู ก ธาตุ คื อ ลิ้ น ธาตุ คื อ กาย ธาตุ คื อ ใจ; คือ อายตนะ ๖ นั่นเอง. แตเมื่อมันยังไมทําหนาที่เปนอายตนะนั้นๆ; เราเรียกวา ธาตุ; ตอเมื่อมันทําหนาที่รับอารมณ จึงจะเรียกวาอายตนะ, แตเมื่อมันอยูตามธรรมชาติ เรียกวา ธาตุ. ภายในเราก็มี ธาตุ ๖ : คือ ธาตุตา ธาตุหู ธาตุจมูก ธาตุลิ้น ธาตุกาย ธาตุใจ. ภายนอกตัวเราก็มีธาตุ ๖ ซึ่งมันคูกัน : คือรูปธาตุ สัททธาตุ คันธธาตุ รสธาตุ โผฏฐั พพธาตุ ธัมมธาตุ , คื อธาตุ รูป ธาตุ เสี ยง ธาตุ กลิ่ น ธาตุ รส ธาตุ โผฏฐั พพะ ธาตุ ธัมมารมณ มั นอยูขางนอก แล วมั นก็จะเขาสั มผั สกับธาตุ ขางใน; ถ ามั นยังไม ถู ก สัมผัส, มันมีอยู ก็เรียกวาธาตุ; ถามีการสัมผัสเกี่ยวของกันจึงจะเรียกวาอายตนะ ภายนอก.

www.buddhadasa.info ธาตุภายใน ที่เปนตัวเรา กับธาตุภายนอก มีการสัมผัสกัน ก็มีผลแหง การสั ม ผั ส, มี กิ ริยาอาการแห งการสั มผั ส; ผลเหล านั้ นก็ เรี ยกว า ธาตุ คื อมั นเกิ ด เป น ความทุ กข ความสุ ข เป นเวทนา สั ญ ญา สั งขาร อะไรก็ เรียกว าธาตุ , จะเป น ความเป น ความตาย นี้ ก็ เรี ย กว า ธาตุ . ผลอั น ใด ที่ มั น เกิ ด ขึ้ น จากการกระทบกั น ระหวางธาตุภายใน กับธาตุภายนอก นั้นก็คือธาตุที่เปนผล.


ปรมัต ถสภาวธรรม

พึงเห็นไดเสียทีหนึ่งกอนวา สิ่งที่เรียกวาธาตุนั้ นมันคือตัวเรา, คือสิ่งที่ ครอบงําตัวเรา, คือสิ่งที่เปนปญหาทุกอยางที่มันเกี่ยวกับตัวเรา. ถาเราไมสนใจกับสิ่ง เหล า นี้ เราก็ เป น คนโง เต็ ม ที ; ไปสนใจแต เรื่ อ งเงิ น เรื่ อ งทอง เรื่ อ งข า ว เรื่ อ งของ เรื่อ งลู ก เรื่องผั ว ก็โงไป, เพราะวานั้ น ก็ เป น เพี ย งสั ก วาธาตุ ; แต มั น เป น ธาตุ ที่ ยั่ ว ให เกิ ดการเกี่ ยวข อง หรือยึ ดมั่ นถื อมั่ นมากกว า. แต แล วมั นก็ ยั งเป นธาตุ ตามธรรมดา ซึ่งเราจะไดกลาวกันโดยละเอียดในการบรรยายขางหนา. ถ าจะพู ดอี กที หนึ่ ง คํ าว า “ธาตุ ” นั้ น ขอให จํ าไว เป น ประโยคสั้ น ๆ ว า: คื อ ป จ จั ย ในขั้ น รากฐานของสิ่ ง ทุ ก สิ่ ง มั น เป น มู ล หรือ เป น เหตุ หรือ เป น ป จ จั ย เรียกวาเป นป จจั ยก็ แล วกั น; ในชั้นที่ เป นรากฐานลึ กสุ ดของสิ่ งทุ กสิ่ ง หมายความวาสิ่ ง ทุกสิ่ งมั นตั้ งรากฐานอยูบนสิ่งที่ เรียกวาธาตุ . ธาตุหลายๆ ธาตุ ประกอบกันขึ้นหลายๆ ซั บ หลายๆ ซอน ก็มาเปนสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมา; แตวา ธาตุที่แทจริงนั่น คือสิ่งแรกที่สุด ที่ เป นป จจัยในชั้นแรกที่ สุ ด เป นชั้นรากฐานที่ สุ ดของสิ่ งทุ กสิ่ ง ไม วาทางรูปธรรม และ ทางนามธรรม. นี้ ก็ เรียกว า มั น มี ความสํ าคั ญ อย างยิ่ ง ที่ ม นุ ษ ย จะต อ งรูจั กต น เหตุ , มูลเหตุอะไรของทุกสิ่ง, จึงจะแกปญหาของสิ่งเหลานั้นได.

www.buddhadasa.info สิ่งที่ไมมีชีวิต ก็เปนธาตุ, มีชีวิต ก็เป นธาตุ, เปนวัตถุมีแตรูป ก็เปนธาตุ, เปนจิตเปนใจก็เรียกวา ธาต, แมที่สุดแตพระนิพพานก็เรียกวาธาตุ คือนิพพานธาตุ. สิ่งเหล านี้ มี อยูในส วนลึ กตามธรรมชาติ จึงเรียกวา สภาวธรรม; แต เมื่ อมี เหตุ ป จจั ย โอกาสเหมาะสม ก็ จะแสดงตั วออกมา. ที่ พู ดอย างนี้ ก็ เรียกวาพู ดตามภาษาธรรม หรือ ภาษาสภาวธรรม; เชน วา นิพ พานธาตุ ความดับ สนิท แหง ความทุก ขนี ้ เดี ๋ย วนี้ ไมป รากฏ; ตอ เมื ่อ ใด มีก ารประพฤติก ระทํ า ถูก ตอ ง เปน ปจ จัย และมีโ อกาส มั นก็ ปรากฏ. อย างนี้ ท านก็ เรียกวา เป น ธาตุ , นิ พพานนั้ นเป นธาตุ ที่ มี อยู ตามสภาพ ตามธรรมชาติ สามารถทําใหปรากฏออกออกมาอยางนี้; แมนิพพานก็ถูกจัดวา เปน ธาตุ.


ขอ ควรทราบกอ น เกี่ ย วกับ สิ่ง ที่เรี ยกวา ธาตุ

ทีนี้ จะดูกันอีกมุ มหนึ่ง การพู ดกั นเรื่องธาตุ . บรรยายเรื่องธาตุใหเขาใจ แจมแจงนี้, มันตรงกับจุดประสงคอันเปนความมุงหมายของพระพุทธศาสนา. พระพุท ธศาสนาตอ งการจะใหท ุก คน ไมย ึด มั ่น ถือ มั ่น ในสิ ่ง ใด โดยความเปน ตัวกู ของกู, ใหม องเห็น ตามที่เปน จริงวา มัน เปน แตสัก วา ธาตุ ; คื อ ธาตุ ม ตฺ ต โก -สั ก แต ว า ธาตุ หรื อ ธาตุ ม ตฺ ตํ เอว-มั น เป น สั ก แต ว า ธาตุ เทานั้นเอง. ถามองเห็นขอนี้ มั นไมมี ทางจะเกิดกิ เลส ไม มี ทางจะเกิดความยึดมั่ นถือมั่ น ไมมีทางที่จะเปนทุกข; ฉะนั้นการที่บรรยายเรื่องธาตุ ใหมองเห็นความจริงขอนี้ จึงเป นสิ่ งที่ สํ าคั ญ ที่ควรกระทําอยางยิ่ง ที่ ทํ าให เห็นเรื่องอนัตตา เรื่องสุญ ญตา วา เปน ธาตุ มตฺต โก-สัก วา ธาตุ นิส ฺส ตฺโ ต-ไมใ ชส ัต ว, นิช ฺช ีโ ว-ไมใ ชช ีว ะ, สุ ฺโ วางเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน. ถาเรามาศึกษาเรื่องธาตุจนเขาใจกันดีแลว ก็จะมองเห็นความจริง ขอนี้ คื อ เรื่ อ งอนั ต ตา, หรื อ เรื่ อ งสุ ญ ญตา; เหตุ ผ ลเพี ย งเท า นี้ ก็ พ อแล ว สํ า หรั บ ที่ จ ะ ตอบวา ทํ าไมจึ งเอาเรื่องธาตุ นี้ มาพู ดกั นก อน เป นจุดตั้ งต น, เป นเหมื อนชนวนที่ จะ ตั้ ง ต น ไปยั งเรื่ อ งทั้ ง หลายอื่ น ที่ เกี่ ย วเนื่ อ งกั น เป น ลํ า ดั บ ไป. ดั งนั้ น ในระยะแรกๆ ของการบรรยายนี้ เราจะตองพูดกันเรื่องธาตุ.

www.buddhadasa.info ความสําคัญของสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” ที่ตองสนใจ สํ าหรับวั นนี้ จะบรรยายแต เพี ยงโดยหั วข อวา : “เรื่องที่ ควรทราบก อน” เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวาธาตุ; เพราะยังไมสามารถจะพูดถึงเรื่องตัวธาตุโดยตรง อยาง ละเอียด เปนธาตุๆ ไปได; จะตองพูดถึงเรื่องที่ควรทราบกอนเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวาธาตุ.


ปรมัต ถสภาวธรรม

มั นคล ายกั บวาเรามองดู คราวๆ ทั่ วไปให รูที่ เราเรียกกั นวา back ground :ภู มิ หลัง ของ สิ่งที่ เรียกวาธาตุ ; ทั้งภู มิ หนาภู มิ หลัง เท าที่เกี่ยวกับมนุษยเรานี้แหละ เพื่ อให เกิดความ สนใจกันเสียกอน. วันนี้ แม วาจะพู ดเรื่องธาตุ แต ก็ พู ดได เพี ยงวา “เรื่ องที่ ควรทราบก อน” เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ; ไมสามารถจะบรรยายเรื่องธาตุโดยตรงโดยละเอียด ทีละ ธาตุ ที ละธาตุ ได ซึ่ งจะต องบรรยายกั นหลายคราว จึ งจะจบเรื่องธาตุ ซึ่ งมี อยู มากมาย เหลือเกิน; เพราะมันเปนเรื่องครอบหมดไมยกเวนอะไร อย างเช น สิ่ งทุ กสิ่ งที่ มี ในฝ ายโลกเรานี้ ก็ เรี ยกว า สพฺ พสงฺ ขารธาตุ -ธาตุ คื อ สั ง ขารทั้ ง ปวงนี้ ก็ พ รรณนากั น ไม ไ หวแล ว มั น มาก มั น เป น ทุ ก สิ่ ง ; แล ว ที่ ต รง กั นข ามก็ คื อ อมตธาตุ ซึ่ งหมายถึ งนิ พ พาน ก็ เลยหมด เลยไม มี อะไรเหลื อ ที่ จะไม เรีย กว า ธาตุ ห รือ ไม เกี่ ย วกั บ ธาตุ . ในที่ บ างแห ง ท า นแบ งไว เป น รูป ธาตุ อรูป ธาตุ แล ว ก็ นิ โรธธาตุ , เพี ย ง ๓ ชื่ อ เท า นั้ น แหละ มั น ก็ ห มด คื อ ว า หมดเลย หมดทั้ ง จักรวาล และหมดทุกฝายดวย.

www.buddhadasa.info รูป ธาตุ ก็ค ือ ธาตุที ่ม ีร ูป รา ง, อรูป ธาตุ ก็ค ือ ธาตุที ่ไ มร ูป ไมม ีร า ง คื อ เป น นามหรือ เป น จิ ต , นิ โรธธาตุ ก็ คื อ ธาตุ เป น ที่ ดั บ ของสิ่ งทั้ งสองขางต น ก็ คื อ นิ พ พาน. พู ด เพี ย ง ๓ คํ าเท านี้ มั น หมดไม มี อ ะไรเหลื อ ; เราจะบรรยายกั น ในเวลา ครั้งเดียว สองครั้ง มันทําไมได, มันกตองเอาไวพูดกันไปทีละอยางละอยางตามลําดับ.

อิทธิพล หรือ คาของธาตุ เกี่ยวกับมนุษย สําหรับ เรื่อ งที่ ค วรทราบก อ น เกี่ ย วกั บ สิ่ งที่ เรียกวาธาตุ นี้ มั น ก็มี มาก เหมื อนกั น ถ าจะพู ดกั นให หมดแล วก็ พู ดไม จบได ในการบรรยายคราวเดี ยว; แต จะ ลองพยายาม เทาที่วาจะใหเกิดความสนใจเปนพิเศษกันในสิ่งที่เรียกวาธาตุนี้.


ขอ ควรทราบกอ น เกี่ ย วกับ สิ่ง ที่เรี ยกวา ธาตุ

สัตวทั้งหลายยอมคบหาสมาคมกันตามธาตุ ตัวอยางอั นที่ หนึ่ ง พระพุ ทธเจาทานตรัสวา : ธาตุโส ว ภิ กฺขเว สตฺตา สํ ส นฺ ท นฺ ติ สเมนฺ ติ -ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย สั ต ว ทั้ ง หลาย ย อ มคบหาสมาคมกั น ตามธาตุ . ที่ พระพุ ทธเจ าตรัสวาสั ตวทั้ งหลายจะคบหาสมาคมกั นแต ตามธาตุ : ธาตุ โส-โดยธาตุ , ว-เท านั้ น, ธาตุ โส ว- โดยธาตุ หรือตามธาตุ เท านั้ น. สั ตวที่ มี จิ ตใจเลว ก็ จ ะคบหาสมาคมกั น แต สั ต ว ที่ มี จิ ต ใจเลว -หี น าติ มุ ตฺ ติ ก า หี น าติ มุ ตฺ ติ เกหิ สทฺ ธึ สํสนฺ ทนฺ ติ สเมนฺ ตี ติ ; แลวสั ตวที่มี จิตใจดี ก็จะคบสมาคมกันแตพวกสัตวที่ มี จิตใจดี เป น บาลี ว า -กลฺ ย าณาธิ มุ ตฺ ติ ก า กลฺ ย าณาธิ มุ ตฺ ติ เกหิ สทฺ ธึ สํ ส นฺ ท นฺ ติ สเมนฺ ตี ติ ก็ ได ความว าคนที่ คบหาสมาคมกั นนี้ คบกั นตามธาตุ . นี้ เราอาจจะไม นึ ก หรือไม เคย สังเกต หรือไมเคยใชคําๆ นี้. ที่วาคบหาสมาคมกันตามธาตุนี่ ในบาลีสังยุตตนิกาย ระบุไวสองอยาง: คื อธาตุ เลว กั บธาตุ ดี . พวกธาตุ เลวมั นก็ คบกั นแต พวกธาตุ เลว พวกธาตุ ดี ก็ คบกั น แต พ วกธาตุ ดี ; ใช คํ า ว า หี น ะ แปลว า เลว; กั ล ยาณะ แปลว า ดี . นี้ ย อ มมอง เห็ น กั น ได แล วว า คนดี จะคบกั น แต พ วกคนดี , คนเลวคบกั น แต พ วกคนเลว; เพราะ มั นมี อะไรตรงกั น; แม ว าคนเลวมั นจะคิ ดว า เลวนั้ นคื อดี . มั นก็ มี ความเห็ นตรงกั นว า เลวนั้นแหละคือดี; มันก็คบกันไดตามเลว; และโดยคิดวาดี.

www.buddhadasa.info ถ าจะถื อตามบาลี แห งอื่ น เช นบาลี ที ฆนิ กาย ก็ แบ งธาตุ ออกไปเป น อย าง ละ ๓ : เปน ฝา ยอกุศ ลกอ น; อกุศ ล คือ กามธาตุ พยาบาท วิหิง สาธาตุ นี้ ธาตุ อกุ ศล : ความรูสึ กนึ กคิ ด หรือสั นดานอะไรก็ ตามที่ มั นหมกมุ นในกาม, หมกมุ น ในความพยาบาท, หมกมุ นในความเบี ยดเบี ยน; นี้ เป นอกุ ศลธาตุ . พวกที่ มี อกุ ศลธาตุ มันก็พอใจแตจะคบพวกที่มีอกุศลธาตุดวยกัน


๑๐

ปรมัต ถสภาวธรรม

สวนกุศลธาตุนั้น ทานระบุเปน เนกขัมมธาตุ อัพยาปาทธาตุ อวิหิง สาธาตุ . เนกขัมมธาตุ คือ ไมติดอยูในกาม หลีกออกจากกาม ไมเปนผูลุมหลงในกาม; แล วก็ ไม พยาบาท; ไม เบี ยดเบี ยน; ธาตุ นี้ เรียกวา กุ ศลธาตุ . พวกที่ มี กุ ศลธาตุ ก็ พอใจ คบกั น แต พวกที่ มี กุ ศลธาตุ ด วยกั น ; ยกมาให เป นตั วอย างเท านั้ น ไม อ าจจะอธิ บ าย โดยละเอียด เฉพาะธาตุนั้นๆ ได. ธาตุ อี กหมวดหนึ่ งในที่ มาเดี ยวกันนั้ น แบ งไวงายเหลือเกินวา หี นธาตุ ธาตุเลว มัชฌิ มธาตุ-ธาตุขนาดกลาง ปณี ตธาตุ-ธาตุอันละเอียดประณี ต. หีนธาตุ ธาตุ เลวนั้ น ได แ ก : กามธาตุ คื อ มี สั น ดานที่ ห มกมุ น อยู ใ นกาม, มั ช ฌิ ม ธาตุ นั้ น คื อ รูป ธาตุ ไม เกี่ ย วกั บ กาม หมกมุ น อยู ในรูป ที่ บ ริสุ ท ธิ์, ปณี ต ธาตุ -ธาตุ อั น ละเอี ย ด ได แก อรูปธาตุ ไม เกี่ ยวกับกาม ไม เกี่ ยวกั บรูป ไปหมกมุ นอยู ในอรูปอันละเอี ยด; แต นี้ ยั งไม ถึ งนิ พพาน เพราะที่ ว าเป นอย างเลว อย างกลาง อย างประณี ต. นี้ เป นเรื่องฝ าย โลกๆยั ง ไม ถึ ง นิ พ พาน; เพราะว า ถ า บรรลุ นิ พ พานแล ว ไม ต อ งพู ด กั น ถึ ง เรื่ อ งการ คบหาสมาคม มันอยูเหนืออะไรทั้งหมด.

www.buddhadasa.info คบก็คบกันตามธาตุ สัตวก็คบกันตามธาตุ

ที่นี้ อยากจะพูดแตวา คนมีธาตุเลว หมกมุนอยูในกามนี้ มันก็คบกันแต คนที่มีธาตุเลวดวยกัน คนที่มีธาตุขนาดกลางคือรูปธาตุนี้ ก็คบหาสมาคมกันแลวแตพวกที่ พอใจในรู ป ธาตุ ; เช น ฤาษี ชี ไพร ตั้ งหน าตั้ งตาเจริ ญ สมาธิ พอใจอยู ในความสุ ขอั น เกิ ดแต รูปสมาบั ติ . คนพวกนี้ ก็ พอใจจะคบกั นแต คนพวกเดี ยว จะมาคบกั บชาวบ าน ที่ ห มกมุ น อยู ในกามได อ ย างไร. เราจะเห็ น ได ทั น ที ดั งที่ พ ระพุ ท ธเจ าตรั ส ไว ชั ด เจน วา : สัตวทั้งหลายจะคบหาสมาคมกันแตโดยธาตุเทานั้น.

ฝายคนที่ ไปไกล ถึ งขนาดเป นพวกที่ ได อรูปสมาบั ติ ก็มี ลั กษณะคล ายจะดู หมิ่ นคนต่ํ าๆ, ไม อยากจะมาสนทนาคบหากั นกั บคนต่ํ าๆ. พวกอรูปสมาบั ติ ก็ คบหา สมาคมกันแตพวกที่อยูในชั้นสูง มีจิตใจสูง พอใจในอรูปสมาบัติดวยกัน


ขอ ควรทราบก อ น เกี่ ย วกับ สิ่ง ที่ เรียกวา ธาตุ

๑๑

นี่ เห็ นได ชั ดว า มนุ ษย ย อมชอบคบกั นแต ผู ที่ มี ธาตุ อย างเดี ยวกั น; แม เป น เทวดาก็ ตาม เป นเทวดาชั้ นไหน มี กามธาตุ ชั้ นไหน เทวดาที่ มี กามธาตุ ชั้ นนั้ น ก็ คลุ กคลี กั น แต กั บ เทวดาในกามธาตุ ชั้ น นั้ น ; ถ า มั น มี . หรื อ ถ า ว า เป น พรหม, ในพรหมโลก ที่มีพรหมเหลานั้น พรหมก็จะคบหาสมาคมกันแตตามธาตุหรือตามภูมิตามชั้น. เดี๋ ย วนี้ เราเอาจิ ต ใจที่ มี ค วามรู สึ ก จริ ง ๆกั น อยู , ที่ เห็ น ๆกั น อยู นี้ แ หละ เป น หลั ก : คนที่ มั ว เมาในกาม ก็ ย อ มคบคนที่ มั ว เมาในกาม, คนที่ พ อใจในรู ป สุ ข ความสุขอันเกิดแตรูปอันบริสุทธิ์ ก็ยอมพอใจ จะคบกันแตคนที่มีจิตใจอยางนั้น. ทีนี้ แมไมตองพูดถึงคนแลว แมแตสัตวเดรัจฉาน มันก็ยังคบกันตามธาตุ, มั น จั บ คู กั น ตามธาตุ . แม แ ต น กหนู อ ย า งนี้ มั น ก็ เลื อ กคู แ ต ที่ มั น ถู ก อารมณ ข องมั น , มั น พอใจของมั น ; ถ าดู ผิ ด ท าผิ ด ทาง แล วมั น ไม เล น ด ว ย. หรื อ ว ามั น จะต อ งเหมื อ น มัน พอใจของมัน ; ถา ดูผ ิด ทางแลว มัน ไมเ ลน ดว ย. หรือ วา มัน จะตอ งเหมือ น กั นอย างน อย เช นว า ควายก็ เข าฝู งควาย, วั วก็ เข าฝู งวั ว, ม าก็ เข าฝู งม า; มั นจะไปกั น ตามธาตุอยางนี้. แมมันจะคบหากันจะจับคูกันมันก็ทําไปตามธาตุแมแตสัตวเดรัจฉาน.

www.buddhadasa.info จะดู ให ล ะเอี ย ด ให ใกล เข า มาว า คนเรานี่ แ หละ, ที่ เป น ผั ว เมี ย รั ก กั น ปานจะกลื น กั น นั้ น ก็ เพราะมั น ถู ก กั น โดยธาตุ อย า งพระพุ ท ธเจ า ตรั ส . ถ า ผั ว เมี ย คู ไ หนธาตุไ มถ ูก ัน เลย มัน ตอ งอยา กัน แน, หรือ ถา ขนากพอทนได มัน ก็ม ีส ว น ที่เรียกวามีธาตุตรงกันบาง มันจึงทนกันอยูได.

หี น ธาตุ -ธาตุ ห ยาบ ธาตุ เ ลว ธาตุ ไ พร ; คิ ด ดู ซิ กั บ ปณี ตธาตุ ธาตุ ประณี ต ดี ธาตุ ผู ดี . ธาตุ ไพร มั น ก็ ยากจะคบกั บ ธาตุ ผู ดี , ธาตุ ผู ดี ก็ ยากที่ จ ะคบกั น ได กั บ ธาตุ ไพร ; เพราะอั น หนึ่ งเป น หี นธาตุ อี กอั น หนึ่ งเป น ปณี ต ธาตุ . ถึ งแม ว าเป นธาตุ ชื่ อเดี ยวกั น แต ถ าต างระดั บกั นนั ก คื อเลวมากเกิ นไป มั นก็ คบกั บพวกที่ เลวน อยไม ได มันตองมีอะไรพอดีๆ กัน จึงจะคบกันได.


ปรมัต ถสภาวธรรม

๑๒

แมที่สุดแตวาศิษยกับอาจารย บางทีไมอยากจะสนใจกันและกัน เพราะวา มั น มี ธาตุ ไม ต รงกั น ; เท าที่ เห็ น มาบางสํ านั ก นี้ จะเอาศิ ษ ย ไปฝาก ต อ งดู เดื อ นดู วั น ดู ป ตามโหราศาสตร ว าธาตุ มั น พอจะไปกั น ได ไหม? ถ าดู แ ล ว ตั วเลขมั น บอกว า พอจะไปกันไดจึงจะรับไวอยางนี้ก็มี. นี่ก็เรียกวากลัวมากหรือวาเชื่อถืออยางนี้มาก. บ า วกั บ นาย ก็ เหมื อ นกั น แหละ ถ า ธาตุ ไม กิ น กั น แล ว มั น อยู กั น ไม ไ ด คนหนึ่ งเป น นาย คนหนึ่ งเป น บ าว มั น ก็ ยั งรั บ ใช กั น ยาก; ถ าว าธาตุ อ ะไรบางอย าง มั น ไม กิ น กั น . เพื่ อ นกั บ เพื่ อ น นี้ ยิ่ งชั ด มากที เดี ย ว; ถ า มั น มี อ ะไรที่ ไม ต รงกั น แล ว จะเปนเพื่อนกันไมได. แม แตวาพ อแม กับลู ก : พ อแมฝายหนึ่งกับลูกฝายหนึ่ง; ถามีธาตุอะไร ไกลกันเหลือเกินแลวมันก็ไมรัก หรือไมรักมาก. มันสําคัญอยูที่วามีธาตุตรงกันนั่นแหละ จึ งจะมี ความรั ก มาก; ไม ใช เพี ย งแต ว าคลอดออกมาเองแล วก็ จ ะรัก . มั น ก็ ค งจะรั ก กั น บ า งในส ว นนั้ น ; แต มั น จะเท า กั น ไม ไ ด . ถ า ลู ก คนไหนมี ธ าตุ ต รงกั น กั บ พ อ แม พ อ แม จ ะรั ก มาก, ลู ก คนไหนมั น ดื้ อ กระด า ง มั น เกเร พ อ แม ก็ รัก น อ ย, หรือ บางที อาจจะไมรักเลย.

www.buddhadasa.info นี้ คื อเหตุ ผลที่ เป นตั วอย างที่ ว า แม การสั งคมมั นก็ เป นไปตามธาตุ , โดย ส วนป จเจกชน ส วนคนหนึ่ งๆ มั นก็ เป นไปตามธาตุ ประกอบอยู ด วยธาตุ . พอจะไป สังคมกันอีก มั นก็ยังตองอาศั ยสิ่งที่ เรียกวาธาตุ นั่ นเอง; ดั งนั้ น ควรจะยุ ติ กันได ที หนึ่ ง แลววา สิ่งที่เรียกวาธาตุนี้เปนเรื่องสําคัญ เปนสิ่งสําคัญที่ควรจะศึกษา.

คําวา ธาตุ ในทางพุทธศาสนา เอาละที นี้ จ ะได พู ด กั น ต อ ไปถึ ง คํ า ว า “ธาตุ ”; สํ า หรั บ คํ า นี้ เมื่ อ เป น ที่ คุนหูแกเรา ก็เรียกวา ธาตุนั้น ธาตุนี้ กันอยูมากแลว; แตก็ไดแตพูดไปตามๆ กัน


ขอ ควรทราบกอ น เกี่ ย วกับ สิ่ง ที่ เรียกวา ธาตุ

๑๓

หรือเท าที่ เขาพู ดกั นอยู ที่ ลึ กซึ้ งกว านั้ นยั งไม รู. เดี๋ ยวนี้ เราต องการจะพู ดธรรมะในทาง พุ ทธศาสนา ต องการจะพู ดอย างละเอี ยดลออ ก็ ต องพู ดกั นมากหน อย แม แต สํ าหรั บ คําวา “ธาตุ” เพียงคําเดียว. ขอให ตั้ ง ใจฟ งให เข าใจ คํ า ว า ธาตุ . ถ า คํ า อธิ บ ายอั น ใดเป น ส ว นเกิ น สํ าหรับคนธรรมดาสามั ญ ก็ ต องเห็ นใจบ าง เพราะคนที่ อยากจะรูอย างละเอี ยดลอออย าง ทั่ ว ถึ ง นั้ น ก็ มี อ ยู ; มั น ไม เกิ น สํ า หรั บ ผู ที่ มี ส ติ ป ญ ญา สามารถจะรู ใ ห ล ะเอี ย ดลออ เพราะฉะนั้น อาตมาจะขอโอกาสพูดถึงคําวาธาตุนี้อยางละเอียดลออสักหนอย เพื่อ เปนการพูดคราวเดียวเสร็จไปเลย ไมตองพูดถึงอีก. คํ า ว า ธาตุ ; ธอ ธง สระ อา ตอ เต า สระ อุ , ในบาลี อ อกเสี ย ง ว า ธา-ตุ , ภาษาไทยว าธาตุ . คํ าๆ นี้ เป น คํ าที่ ต รงกั น ทั้ งบาลี และสั น สกฤต; ฉะนั้ น จึงพูดถึงนัยะแหงภาษาบาลีและสันสกฤต กอน. คํ าว า ธา-ตุ หรื อ ธาตุ นี้ มาจากธาตุ ศั พท หรื อรากศั พท ว า ธร คื อ ธอ ธง รอ เรื อ . ธร ธาตุ มี ค วามหมายว า ธารเณ คื อ ทรงไว ; มี ค วามหมายว า อวิ ทฺ ธํ ส เน คื อ ไม สลายไป; มี ความหมายว า อวตฺ ถาเน คื อการ กํ าหนดได ทั้ ง ๓ ความหมายนี้ เนื่ องกั น : ถ ามั น ทรงตั วอยู ได มั นจึ งจะ ไม สลาย; เมื่ อมั นทรงตั วอยู อย างไม สลาย มั นจึ งเป นสิ่ งที่ กํ าหนดได ว าอะไรเป นอะไร. รวมความทั้ ง ๓ ความหมาย มั นก็ เป น คําวา ธาตุ : คือสิ่งที่ทรงตัวอยูไดไมสลายไป, มีลักษณะที่อาจจะกําหนดไดวา เปนอยางนั้น อยางนี่.

www.buddhadasa.info ถ า จะตอบให สั้ น ที่ สุ ด คํ า ว า ธาตุ ธาตุ นี้ “แปลว า ทรงไว ”; แต ถึ ง อยางนั้น มันก็แยกความหมายออกไปไดหลายอยาง : ทรงตัวเองไวก็มี ก็เรียกวา ธาตุ,


๑๔

ปรมัต ถสภาวธรรม

แลวก็ทรงสิ่งอื่นไวก็มี, และก็ถูกสิ่งอื่นทรงไวอีกทีหนึ่งก็มี. คําวา “ทรง” เพียงคําเดียว มันทรงตัวเองก็ได ทรงสิ่งอื่นก็ได และถูกสิ่งอื่นทรงไวก็ได; ดังคําบาลีวา นิพฺพานํ นิจฺจํ ธรติ -พระนิ พพานอั นเป นของเที่ ยงย อมทรงอยู ; แปลว านิ พพานนั้ นทรงอยู ; นิ พพาน นั้ นเป นธาตุ อั นหนึ่ งทรงตั วเองอยู แต ถ า พู ด ว า ธาเรติ สตฺ ถุ สาสนํ -ย อ มทรงไว ซึ่ ง ศาสนาของพระศาสดา อยางนี้. นี้มั นทรงสิ่งอื่นอยู มั นมีผูใดผูหนึ่งทรงสิ่งใดสิ่งหนึ่ งอยู; สาวกยอมทรงไว ซึ่งศาสนาของพระศาสดา คื อยอมดํารงศาสนาของพระศาสดาใหยังคงอยู. คําวา ทรง ในรูปนี้ มันหมายถึงทรงสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว. ทีนี้ อันสิ่งใดสิ่งหนึ่งทรงไว หรือทรงอยู เชน ภูเขา เรียกวา : ภูธโร -อั นแผ นดิ นทรงไว ภู ธร แปลว า อั นแผ นดิ นทรงไว , ศั พท เดิ มหมายถึ งภู เขา จะหมาย ถึ งพระราชา หมายถึ งอะไรก็ ได แล วแต มั นจะเล็ งถึ งอะไร แต ต องมี สิ่ งหนึ่ งสิ่ งใดทรงไว เชน พระราชานี้ ต องมี ราษฎรทรงไว, หรือพระเจาอย างนี้ เรียกวา ภู ธร ก็ ได แต ต องมี สาวกหรือ ผู นั บ ถื อ ทรงไว . คํ าแรกที เดี ย ว ภู ธร, ภู ธโร นี้ แปลว าภู เขา : ภู แปลว า แผ น ดิ น , ธร ทรงไว, ภู ธระ อั น แผ น ดิ น ทรงไว. นี้ หมายถึ งภู เขา, แต แ รกที เดี ย ว เขาใหหมายถึงภูเขามากกวาอยางอื่น.

www.buddhadasa.info ยกตั วอย างทางธรรม ทางภาษามาให ฟ ง คงจะลํ าบากสํ าหรับผู ที่ ไม สนใจ. แต ขอใหจับใจความใหไดวา “คําวา ธาตุ นี้ มาจากรากศัพทวา ทรง” ทรงตัวเอง ก็ได, ทรงสิ่ ง อื่ น ก็ ได , ถู ก สิ่ ง อื่ น ทรงไว ก็ ได , เรี ย กว า ธาตุ ทั้ ง นั้ น . ธาตุ จึ ง มี ม าก มี ค รบ ทุกอยาง ทุกสิ่ง ทุกอยาง เรียกวา ธาตุ. ทีนี้จะตองไมลืมก็คือวาธาตุ กับคําวาธรรมะนี้ มูลธาตุเปนธาตุเดียวกัน ธาตุ ทรงไว ทรงสิ่งอื่น หรือถูกสิ่งอื่นทรงก็ตาม.


ข อ ควรทราบกอ น เกี่ย วกับ สิ่ง ที่ เรียกว า ธาตุ

๑๕

คําวา ธาตุ หรือ ธรรม ตามภาษาบาลี คํ าวา ธรรม ที่ เราเรียกกั นวา พระธรรมนี้ ก็ มาจากธาตุ ที่ วาทรงเหมื อน กั น, ธรรมะคื อ สิ่ งที่ ทรงตั วไวหรือวา สิ่ งที่ ทรงผู ปฏิ บั ติ ไว ไม ให ตกไปในที่ ชั่ ว อย างนี้ เป น ต น . ธา-ตุ กั บ ธมฺ ม นั้ น เป น ธาตุ เดี ยวกั น คื อ ธาตุ ท รงด วยกั น . ธาร ที่ ม าใน หมวด จุ ธาตุ นี้ แจกได รูปเป น ธมฺ ม, ธร ธาตุ ที่ มาในหมวด ภู ธาตุ แจกรูป ได เป น ธาตุ. นี ่ม ัน ยุ ง ทางไวยากรณ  ไมต อ งพูด ก็ไ ด; เอาความหมายวา :- ธาตุก ็ดี ธรรมะนี้ก็ดี มีคําแปลวา ทรง, ทรงตัวเองดวย, ทรงสิ่งอื่นดวย ถูกสิ่งอื่นทรงไวดวย นี้เป นภาษาบาลี มองดูสิ่งที่เรียกวาธาตุ ตามหลักเกณฑ แหงภาษาบาลีจะไดความอยางนี้: วามั นเป นสิ่ งที่ มี อยู , หรือทรงอยู โดยตั วมั นเอง แล วมั นก็ ทรงสิ่ งอี่ นด วยก็ ได , หรือวา มันถูกสิ่งอื่นทรงดวยก็ได, เปน ๓ ความหมายอยูดังนี้.

คําวา ธาตุ ตามความหมายภาษาอังกฤษ ถ าสํ าหรับภาษาอั งกฤษ แปลคํ าวาธาตุ ธา-ตุ นี้ เป นภาษาอั งกฤษว า element แปลว าส วนที่ เป นรากฐาน. ถ าจะให คํ านิ ยามให มั นชั ดๆ ต องพู ดว า “ส วน ประกอบ, ส ว นสุ ด ท า ยที่ เป น ขั้ น รากฐาน ที่ ถู ก ต อ งและจํ า เป น เพื่ อ ประกอบเป น สิ่ งสมบู รณ ขึ้ น มาสิ่ งหนึ่ งๆ”. ความหมายของคํ าว า element ในภาษาอั งกฤษ คื อ ส วนประกอบส วนสุ ดท าย; หมายความว าเราแยก ส วนประกอบ แยกออกไป จนแยก ออกไปไมไดอีก.

www.buddhadasa.info สวนประกอบสวนสุดทาย ที่เปนขั้นรากฐาน ที่ถูกตอง; หมายความวา ถูกตองสําหรับจะเปนอยางนั้น, ที่จําเปนที่จะเปนอยางนั้น, เพื่อประกอบใหเปนสิ่งสมบูรณ ขึ้นมาสักสิ่งหนึ่ง. นี้ก็หมายความวา สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งสําเร็จรูปมาไดแลวนี้แหละ จะตองประกอบอยูดวยสิ่งที่เรียกวาธาตุ หรือ element เปนสวนสุดชั้นลาง ขั้นพื้นฐาน


๑๖

ปรมัต ถสภาวธรรม

ที่ ถู ก ต อ ง และจํ า เป น ให คํ า นิ ย ามสั้ น ๆ ว า Ultimate constituent of a whole-ส ว น ประกอบที่จําเปนอยางเด็ดขาด สําหรับสิ่งทั้งหมด เรียกวา element หรือตรงกับคําวาธาตุ. ถ าเราดู เราก็ จะเห็ นว า เป นความถู กต องอย างนั้ น, มี ความหมายถู กต อง อย างนั้ น . สิ่ งใดสิ่ งหนึ่ งแยกออกไปเป น ส วนๆ, แยกออกไปอี ก เป น ส ว นๆ จึ งถึ งส ว น สุ ดท าย; แต ละส วนละส วน ที่ จํ าเป นจะต องมี , จะต องมี อย างถู กต อง, สํ าหรับจะประกอบ กันขึ้นมาเปนสิ่งนี้. ยกตั ว อย า งเช น คนๆ หนึ่ ง แยกออกไปดู มั น ก็ จ ะเป น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ดิ น ธาตุ ลม ธาตุ ไฟ ธาตุ อากาส ธาตุ วิ ญ ญาณ; ก็ เลยถื อว าส วนนั้ นแต ละส วนละส วนนั้ น คื อส วนประกอบชั้ นสุ ดท าย ในขั้ นลึ กที่ เป นรากฐานที่ จํ าเป นอย างยิ่ ง ที่ จะต องมี ; และจะ ต องมี อย างถู กต อง; แล วคนๆ หนึ่ งจึ งจะมี ขึ้ นมาได . ภาษาบาลี มี อยู เป นหลั กเดิ มอย างนี้ , ถ ายออกไปเป นภาษาอื่ นโดยความหมายเดิ ม. ในภาษาอั งกฤษ ผู รูภาษาก็ ใช คํ าว า element คือรากฐานเบื้องตน ที่ถูกตอง และจําเปน สําหรับสิ่งสมบูรณสิ่งหนึ่ง.

www.buddhadasa.info คําวาธาตุ ตามความหมายในภาษาละติน

มี นั ก ศึ ก ษาบางคน ที่ ค งแก เรี ย นเขาสอบสวนแล ว ; เขาบอกว า คํ า ว า ธา-ตุ นี้ มั นตรงกั บภาษาละติ นว า conditor, คํ า conditor นี้ ตรงกั บคํ าว า “ธร ธาตุ ” ในภาษาบาลี . คํ า นี้ แ ปลว า เนื่ อ งกั น อยู และทรงกั น ไว ; แสดงความหมายเด น ขึ้ น ไปอี ก ว ามั น แยกกั น ไม ได , มั น ต อ งเนื่ อ งกั น อยู มั น เนื่ อ งกั น อยู ผู กพั น กั น อยู , มั น จึ ง ทรงตั ว กั น ไว ไ ด . อย า งว า คนเรานี้ ป ระกอบด ว ยธาตุ ๖; ธาตุ ทั้ ง ๖ ต อ งเนื่ อ งๆ กั น อยู ต อ งสั ม พั น ธ กั น อยู . ถ ามั น เกิ ด แยกกั น มั น ก็ ส ลาย, มั น ต อ งเนื่ อ งกั น อยู มั น จึงจะทรงตัวไวได ก็เปนความหมายวามันทรงไวนั่นเอง, คือ “ทรงอยู” นั่นเอง.


ข อ ควรทราบกอ น เกี่ย วกับ สิ่ง ที่ เรียกว า ธาตุ

๑๗

นี่ เรียกวา “ธาตุ ” ตามตั วหนั งสื อ ตามความหมาย ตามตั วหนั งสื อของภาษา ต างๆ, ขื น พู ด ไปมั น ก็ ไม รูจั ก จบจั ก สิ้ น . แต ส รุ ป ความได ว า ทุ กชาติ ทุ กภาษา จะมี ความหมายที่ ต รงกั น สํ า หรั บ คํ า ๆ หนึ่ ง คื อ คํ า ว า ธาตุ ซึ่ ง ส ว นประกอบ, ส ว น รากฐานที่ สุ ด ของสิ่ งทั้ งปวง; มี ด วยกั น ทุ ก ชาติ ทุ กภาษา ทุ ก ลั ท ธิ ทุ ก ศาสนา มั น ต อ งมี สิ่ ง ๆ นี้ . พู ด ไปทางภาษามั น ก็ เป น เรื่ อ งเวี ย นหั ว แต เมื่ อ ถื อ เอาความหมาย มั นก็ยิ่ งได ชั ดเจนขึ้ น วาถ ามี สิ่ งที่ ทรงตั วเองได และสั มพั นธกั นอยู ก็ ทรงหมู หรือทรง กลุมนั้นไวได นี่ก็คือคําวาธาตุ.

ธาตุในภาษาวัตถุ ถาวาจะดูสิ่งที่เรียกวาธาตุใหชัดเจนอีก ก็จะตองดูกันในแงที่วา เปนภาษาวัตถุ หรือวาเปนภาษานามธรรม; ถาเปนภาษาวัตถุ มันก็หมายถึงตัววัตถุ อยางภาษาเคมี หรือแม แต ภาษาฟ สิ คส . คํ าวา element หรือธาตุ มั นหมายถึ งวัตถุ , หมายถึ งตั ววัตถุ . พวกที่เรียนวิทยาศาสตรมาแลว ก็จะรูวาเคมีนี้แหละเขาเล็งถึงตัวธาตุตางๆ ที่เปนธาตุแท เชน ไฮโดร-เจน ไนโตรเจน อะไรทํ า นองนี ้. มัน ก็เ ปน สิ ่ง หนึ ่ง ซึ ่ง เปน วัต ถุ แล วก็ ไม มี อะไรปน เรี ยกว าธาตุ แท หนึ่ งๆ ซึ่ งเดี๋ ยวนี้ เขาว ามี ตั้ ง ๑๐๘ : ธาตุ ทางเคมี ธาตุ แ ท ห ลายๆ ธาตุ ม าผสมกั น เข า จนกระทั่ ง สํ า เร็จ เป น วั ต ถุ นี้ , เป น ยาขนานนั้ น เปนยาขนานนี้ อันนี้มันเปนวัตถุธาตุ. พุ ทธศาสนาไมไดพู ดถึงสิ่งนี้ ; อยาเขาใจวา พุ ทธศาสนามุ งจะพู ดถึ งวัตถุ ธาตุ อย างนี้ นั้ นเป นเรื่องทางวัตถุ ทางชาวบ านที่ เขาค นพบ เขาปรับปรุง เขาอะไรตออะไรกันไป แตก็เรียกวาธาตุไดอยูนั่นเอง.

www.buddhadasa.info ถ าพู ด ทางฟ สิ ค ส แม แต แสงสว าง ก็ เป นธาตุ ชนิ ดหนึ่ ง, เสี ยงที่ ได ยิ น ก็เปนธาตุชนิดหนึ่ง, ความรอนก็เปนธาตุชนิดหนึ่ง; เพราะมันระบุอยูแลววา : มัน


ปรมัต ถสภาวธรรม

๑๘

มี รูปธาตุ นั่ นแหละคื อแสง มี สั ททธาตุ นั่ นแหละคื อเสี ยง, มี เตโชธาตุ เป นต น นั่ นแหละ ความรอน. วัตถุ ล วนๆ ก็ เป นธาตุ แล วยั งจะหมายถึ งตั ววัตถุ ก็ ได , ตั วกิ ริยาอาการแห ง วัตถุ ก็ได , ตัวปฏิ กิ ริยาอาการที่ เกิดขึ้นก็ได , เรียกวาธาตุ ทั้ งนั้ น จึงเป นรูปธาตุ ได ทั้ งนั้ น. อย างน อยที่ สุ ดก็ เพราะมั นแสดงให เห็ นได สั มผั สได ทางตา ทางหู ทางลิ้ น ทางกาย นี้ ก็ เรียกวาวัตถุ ธาตุ . พุ ทธศาสนาไม ต องการจะสอน ไม ต องการจะพู ดถึ ง, ถ าพู ดถึ ง ก็พูดถึงในฐานะไวเปนธาตุทั้งปวง ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา.

ธาตุในภาษานามธรรม ในทางพุทธศาสนา ตองการจะพูดถึงธาตุ ในภาษานามธรรม ไมใช ภาษาวัตถุ, เป นภาษาจิตใจ; แม จะเรียกวารูปธาตุ ก็หมายถึ งนามธรรม คื อคุ ณสมบั ติ ที่มีอยูในวัตถุ : ธาตุ ดิ น, ปฐวีธาตุ วัตถุนี้ มี ลักษณะแข็ง คํ าวาแข็งคือมั นไม ยอมให สิ่งอื่ น มากินเนื้อที่ของมัน. มันกินเนื้อที่อยูเรื่อย, ของแข็งมันกินเนื้อที่, มีความหมายสําคัญวา มันกินเนื้อที่ นั่นแหละคือของแข็ง. ของแข็ง เรียกวาธาตุดิน แตมิไดหมายถึงตัวดิน; หมายถึงคุณสมบัติที่มีอยูในดิน เปนตน ที่มันเปนของแข็ง และกินเนื้อที่. ตองพูดวา ความที่ มั น แข็ ง และกิ น เนื้ อ ที่ นั่ น แหละคื อ ธาตุ ดิ น ; มิ ได เล็ ง ถึ ง ตั ว ดิ น . เข า ใจกั น เสียอยางนี้กอนวา พุทธศาสนาไมไดเรียกดินวาธาตุดิน; แตเรียกคุณสมบัติที่มี อยูในธาตุดินนั้นวาดิน.

www.buddhadasa.info ทีนี้ มาถึงธาตุน้ํา อาโปธาตุ นี้ มิไดเล็งถึงน้ํา แตเล็งถึงคุณสมบัติของน้ํา คือ ออ นตัว ได; แตเ กาะกุม กัน อยู  มัน จึง ไหลไปได มัน เกาะกัน อยู  มัน ดึง กัน ไว มันจึงไหลไปได. มันกุมเกาะกันอยู มันหมายความวามันจะรวมกันอยู มันไมยอมแยกกัน


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวาธาตุ

๑๙

จนกวาจะมีเหตุสุดวิสัย, อาการนี้เรียกวาธาตุน้ํา; แตมิไดหมายถึงตัวน้ํา. คุณสมบัติ อันนั้นเรียกวาธาตุน้ํา ธาตุไฟก็เหมือนกัน หมายถึงคุณสมบัติที่รอนที่เผาไหม, ที่ทําใหสิ่งอื่น ไหมไปได นี้แหละธาตุไฟ; แตมิไดหมายถึงตัวเปลวไฟ. ธาตุลม ก็หมายถึงคุณสมบัติ ที่มันระเหยได เคลื่อนได ลอยได นี่แหละธาตุลม; แตมิไดหมายถึงตัวลม; หมายถึงคุณสมบัติที่เปนอยางนั้นๆ. การพูดถึงคุณสมบัติอยางนี้เรียกวาพูดถูกกวาหรือพูดสูงกวา คือไมไดหมายถึง ตัววัตถุ แตหมายถึงคุณสมบัติในวัตถุ; เชนวา ดินกอนหนึ่ง สวนที่มันเปนของแข็ง กินเนื้อที่นั้น เปนคุณสมบัติของธาตุดิน; ที่ในดินไมวาดินชนิดไหน มันมีน้ํา มันมี ความชื้น รวมอยูในนั้นดวย, และดินไมวาดินชนิดไหนมันมีธาตุไฟ มีอุณหภูมิระดับใด ระดับหนึ่งรวมอยูดวย, แลวดินไมวาดินชนิดไหนมันก็มีแกส ซึ่งกําลังระเหยอยูตลอดเวลา. ยกตัวอยางเชน เมื่อเราหยิบดินมากอนหนึ่งแลวบอกวานี้ธาตุดิน อยางนี้มัน ไมถูก; เพราะในดินกอนหนึ่งมีธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุลมดวย. แตถาระบุวา ธาตุดินนั้นคือคุณสมบัติ หรือํานาจ หรืออะไรก็ตาม ที่มันกินเนื้อที่ เปนของแข็ง, ของแข็งที่กินเนื้อที่; นั่นแหละคือธาตุดิน. ฉะนั้น ในน้ําก็มีธาตุดิน เพราะวาน้ํา ก็มีของแข็งที่ละเอียด ที่มันกินเนื้อที่; ในน้ําก็มีธาตุไฟ เราะวาน้ําก็มีอุณหภูมิระดับใด ระดับหนึ่ง; ในน้ําก็มีธาตุลม เพราะวามีคุณสมบัติที่กําลังระเหยอยูตลอดเวลา.

www.buddhadasa.info คุณสมบัติ ที่ทรงไวในตัวมัน และทรงสิ่งอื่นไว ในฐานะเปนรูปธาตุ ขอใหเขาใจกันเสียใหมวา คําวา ธาตุในพระพุทธศาสนานั้น ไมไดเล็ง ถึงตัววัตถุ; แมจะเรียกวารูปธาตุ ธาตุที่มีรูป ก็เถอะ ไมไดเล็งถึงเนื้อวัตถุนั้นๆ;


๒๐

ปรมัต ถสภาวธรรม

แต เล็ งถึ งคุ ณ สมบั ติ ที่ มี อยู ในวั ตถุ นั้ นๆ. วั ตถุ บางอย าง ส วนมากมี ครบทั้ งสี่ ธาตุ อย าง ก อนหิ นอย างนี้ มั นก็ มี ธาตุ ดิ นเป นส วนใหญ . จะเห็ นได งาย แต มั นก็ มี ธาตุ น้ํ า มี ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม อะไรอยู ในก อ นหิ น นั้ นด วยเหมื อนกั น; ฉะนั้ น เราจะต องระบุ ไปที่ คุ ณ สมบั ติ ของมัน แลวก็เรียกวาธาตุนั้นๆ. ที นี้ อยากจะพู ดกั นเสี ยเลยว า ที่ สอนกั นอยู ในโรงเรี ยนนั กธรรมนั้ น ใช คํ าผิ ด เช น : จะพู ด ว า ปฐวี ธ าตุ , ธาตุ ดิ น มี ลั ก ษณะแค น แข็ ง มี อ ยู ในกายนี้ ได แ ก ผม ขน เล็ บ ฟ น หนั ง เป นต น นี้ เรี ยกว าธาตุ ดิ น. ได แต ผม ขน เล็ บ ฟ น หนั ง เรี ยกว า ธาตุ ดิ น นี้ อย างนี้ พู ดชนิ ด ที่ ไม เป น logic, มั น เป น ill-logical คื อ ว ามั น ขั ดต อ เหตุ ผล; เพราะวาในผม เส น หนึ่ งนั้ น ส วนที่ เป น ธาตุ ดิ น คื อ แข็ งนั้ น ก็ มี , ในผมเส น หนึ่ งนั้ น มีน้ํา, มีน้ํามัน, เสนผมก็มีอุณหภู มิคือธาตุไฟ ระดับใดระดับหนึ่ง, ผมก็มีสวนที่จะ ระเหยเป น แก ส หายไปอยู ต ลอดเวลา; ดั งนั้ น ในเส น ผมเส น หนึ่ งมี ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุล ม. ในขนเสน หนึ ่ง ในสว นอื ่น ๆ ก็เ หมือ นกัน ในเล็บ ฟน ในหนัง ก็เหมือนกัน ถาพูดวาธาตุดินไดแกผม ขน เล็บ ฟน หนัง นี้ไมถูก.

www.buddhadasa.info ควรจะพูดเสียใหมวาธาตุดิน ในรางกายเรานี้ จะสังเกตเห็นไดงาย ที่ “ผม ขน เล็ บ ฟ น หนั ง ” อย า งนี้ ไม มี ท างค า น. ปฐวี ธ าตุ -ธาตุ ดิ น เป น ของแข็ ง ในร างกายนี้ จะสั งเกตเห็ นได ที่ ผม ขน เล็ บ ฟ น หนั ง เพราะเอาสิ่ งที่ มั นมี ลั กษณะแข็ ง เห็ นได งายมาเป นตั วอย า แต ต องไม ใช คํ าว า “ได แก ” เพราะเราเคยสั งเกตเห็ นได แต ที่ ผม ขน เล็บ ฟน หนัง เราก็เอาแตสวนเหลานี้ เพราะมันแข็ง เห็นงาย.

อาโปธาตุ ธาตุ น้ํ า เป น ของเหลว, ไหลได . ในร างกายเรานี้ เห็ น ได ง าย ที่ เลื อ ด หนอง น้ํ า ลาย น้ํ า มู ก น้ํ า ตา อย า งนี้ ได . แต ถ า จะพู ด ว า อาโปธาตุ ธาตุ น้ําไดแก เลือด หนอง น้ํามูก น้ําตา; นี้มันผิดไปแลว เพราะในเลือด ในหนอง


ข อ ควรทราบกอ น เกี่ย วกับ สิ่ง ที่ เรียกว า ธาตุ

๒๑

น้ํ ามู ก น้ํ าตา นั้ น มั นมี ธาตุ ดิ นอยู ด วย, มี ธาตุ ไฟอยู ด วย, มี ธาตุ ลมอยู ด วย. ควรจะ ไปพูดกันเสียใหมใหใชคําวา “เห็นไดงายในรางกายนี้ก็ไดแก” ผม ขน เล็บ ฟน หนัง , ไดแ ก น้ํ า เลือ ด น้ํ า เหลือ ง น้ํ า มูก น้ํ า หนอง ก็เ พราะวา สว นที ่ม ัน เห็น ไดงายเทานั้นเอง. นี้ คื อ รู ป ธาตุ ใ นทางพุ ท ธศาสนา ไม ใ ช วั ต ถุ ธ าตุ ; วั ต ถุ ธ าตุ เป น ภาษา ชาวบ าน ภาษานักวิทยาศาสตร และป จจุบั นที่เปนชาวบ าน; เขาเรียกวาวัตถุธาตุ หมายถึง ไฮโดรเจน ออกซิเจน ธาตุเหล็ก ธาตุทองธาตุกํามะถัน คารบอน เปนสวนมาก. ธาตุ ห นึ่ งๆ ในภาษานั กวิ ท ยาศาสตร นั้ น เป น วั ต ถุ ธาตุ แต ในทางธรรมะ ในทางศาสนาจะเรียกเสียวารูป ธาตุ แลวไมไดหมายถึงสิ่งเหลานั้น; แตห มายถึ ง คุณสมบัติ หรือคา หรืออํานาจอะไรก็แลวแต ที่มีอยูในสื่งเหลานั้น, ที่มีอยูในธาตุ ดิน น้ํา ลม ไฟ อะไรอยางนี้, หรือแมมี อยูในธาตุตางๆตามภาษาป จจุบั นนี้. รูปธาตุ มี คุ ณ สมบั ติ อ ย า งนี้ มั น ทรงตั ว เองไว ได ;ดั งนั้ น จึ งเรีย กว า ธาตุ , รูป ธ า ตุ ที่ มี คุ ณ ลักษณะอยางนี้ มันทรงดํารงสิ่งอื่นไวดวยก็ได นั่นก็คงเรียกวาธาตุ.

www.buddhadasa.info ธาตุที่มีความเปนตัวเองโดยเด็ดขาด เรียกวา อสังขตธาตุ

ถ าว ามั นเป นตั วมั นเองโดยเด็ ดขาด ไม มี อะไรมากระทํ าแก มั นได ; นี้ ก็ เลย เรียกเป นพวกที่ ตรงกั นข ามอี กพวกหนึ่ ง ก็ เรียกวา อสั งขตธาตุ . ในเมื่ อเรียกสิ่ งนอกนั้ น วาสังขตธาตุ เราก็เรียกสิ่งที่ตรงกันขามนี้วา อสังขตธาตุ, หรือสุญญธาตุ-ความวาง, หรือ นิพ พานธาตุ นิโ รธธาตุ ก็แ ลว แต; มีค วามหมายในทางนามธรรมทั ้ง นั ้น . สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ ในพุ ท ธศาสนา มิ ได ห มายเอาก อ นเนื้ อ หรื อ วั ต ถุ นั้ น เป น ตั ว ธาตุ ; แต หมายเอาคุ ณสมบั ติ , และยั งหมายเอาคุ ณสมบั ติ ที่ ถู กยึ ดถื อว า เป นตั วกู -ของกู นั้ น เปนสวนสําคัญ; มันยิ่งเปนนามธาตุมากขึ้น.


ปรมัต ถสภาวธรรม

๒๒

ขอให ศึ ก ษาไว เรื่ อ ยๆ เกี่ ยวกั บ คํ าว า “ธาตุ ” โดยละเอี ย ดลออให เข าใจ อยางนี้:-

ขอที่ ๑ ความหมายของคําวา “ธาตุ” คืออะไร? สรุปความทั้งที่วามันจะเปนความหมายทางตัวหนังสือก็ดี, จะเปนตัวหนังสือ ก็ดี , จะเป นความหมายของตั วหนั งสือ ของคํ าพู ดก็ ดี ; มั นหมายถึ งสิ่ งที่ มั นทรงตั วเอง ไว ได , และทรงสิ่ ง อื่ น ไว ด ว ย, หรื อ ถู ก สิ่ ง อื่ น ทรงด ว ย. นี้ คื อ ความหมายของคํ า ว า ธาตุ อยู ใ นรูป ที ่เ ปน วัต ถุก ็ไ ด, ในคุณ สมบัต ิที ่อ ยู ใ นวัต ถุก ็ไ ด, เปน นามธรรมก็ ได;สู งสุ ดอยู เพี ยงนิ พพาน คื อเป นอสั งขตธาตุ ที่ แท จริง ไม หลอกลวง และทรงตั วเอง โดยไมมี สิ่งใดมาชวยทรง. นี้คือคําอธิบายของคําวา ธาตุ มันคืออะไร; แลวก็ดูวามั น จะเป น อย างไร เป น ส วนใหญ คื อ ลั กษณะของมั น ไม เที่ ย ง เป น ทุ ก ข เป น อนั ต ตา จะเป นอสั งขตธาตุ หรือสั งขตธาตุ ก็ ตามใจ ยั งคงเป นอนั ตตา. เราจะศึ กษากั นให รูว า ธาตุนี้คืออะไร? คืออยางนี้เปนขอที่ ๑

www.buddhadasa.info ขอที่ ๒ ธาตุมาจากอะไร?

ธาตุนี้มันมาจากอะไร? ถาเปนสังขตธาตุ คือธาตุที่มันมีปจจัยปรุงแตง มันก็มาจากปจจัยบวกกับวิวัฒนาการตามกฎแหงอนิจจัง มันก็มีเหตุมีปจจัย มันบวกกัน กั บ วิ วั ฒ นาการ; คื อ ป จ จั ย นั้ น มิ ได อ ยู นิ่ ง มั น เปลี่ ย นแปลง. ความเปลี่ ย นแปลงนั้ น มั นต องบวกกั น เท ากั บกฎแห งการเปลี่ ยนแปลง เช นกฎแห งอนิ จจั ง เป นต น. นี้ มั นเป น ต น ตอที่ ม า ของธาตุ ทั้ งหลาย ที่ เป น สั งขตธาตุ : มี เหตุ ป จจั ยของมั น , แล วก็ มี ก าร วิ วั ฒ นาการ, แล ว ก็ มี ก ฎแห ง วิ วั ฒ นาการ เช น กฎอนิ จ จั ง เป น ต น ; รวมกั น ได แ ล ว มันจึงจะปรากฏเป นธาตุประเภทสังขตะ อยางใดอยางหนึ่ งออกมา. แตที่ มันเป นประเภท อสังขตธาตุ นี้ไมตองมีเหตุ ไมตองมีปจจัย; นั่นแหละ คือความหมายที่แทจริง


ขอ ควรทราบก อ น เกี่ย วกั บ สิ่ง ที่ เรี ยกวา ธาตุ

๒๓

ของคํ าว าธาตุ คื อทรงตั วอยู ได เอง แล วก็ เป นนิ รันดร เป นอนั นตกาล ไม เกี่ ยวกั บเวลา. แตถามันเปนสังขตธาตุ มันตองเกี่ยวกับปจจัย เกี่ยวกับเวลา แลวก็ชั่วเวลา ระยะเวลา ไมเปนนิรันดร. ถาใครจะถามวา ธาตุมาจากอะไร? เราก็ตอบเขาไดเลยวา ถาเป นสังขตธาตุ ก็มาจากปจจัยนั้นๆ. ถาเปนอสังขตธาตุ มันเปนอยูในตัวมันเอง โดยไมตอง มาจากอะไร.โดยอย าลื มเสี ยว าได บอกแล วแต ที แรกวา ความหมายของคํ าว า “ธาตุ ” นี้ แปลวา ทรงไว : ทรงตั วเองก็ ได โดยไม ต องมี อะไรมาช วย คื อพวกอสั งขตธาตุ . ที่ ว า ทรงสิ่งอื่นไว หรือถูกสิ่งอื่นทรงนี้ คือพวกสังขตธาตุ.

ขอที่ ๓ ธาตุมี เพื่อประโยชนอะไร? ตามหลั ก logic เราจะพู ดวามั นเพื่ อประโยชน อะไรกั นธาตุ ทั้ งหลายนี้ ? ตอบ ไดวา มีไวเพื่ อใหมนุษยเอาชนะใหได ให ม นุ ษ ยไดรับ สิ่งที่ ดีที่ สุด ที่ มนุ ษ ยควรจะ ไดรับ มนุษยจะตองชนะธาตุทั้งหลาย, ถามนุษยพายแพแกธาตุทั้งหลาย เปนบาว เป นทาส เป นขี้ขาของธาตุ ทั้ งหลายแล ว มนุ ษย ก็ไม เป นมนุ ษย ไม ได สิ่ งที่ ดี ที่ สุ ดที่ มนุ ษย ควรจะได.

www.buddhadasa.info ขอใหยอมรับวา ธาตุ ทั้งหลายนี้มั นมี ไวเพื่ อให มนุ ษย เอาชนะให ได , หรือ ชนะได แ ม มั น เป น สั ง ขตธาตุ อย าไปหลงไปโง กั บ มั น ; หรื อ มั น เป น อสั ง ขตธาตุ เช น นิ พพาน เป นต น ก็ ต องเอามาให ได ในฐานะเป นสิ่ งที่ ดี ที่ สุ ดที่ มนุ ษย ควรจะได . ดั งนั้ น เราจึงถือวา ธาตุทั้ งหลายมี ไวเพื่ อให มนุษยชนะ, และให มนุ ษยได รับสิ่ งที่ ดีที่ สุด ที่ มนุษย ควรจะได . นี้ เราควรจะคิ ด ดู สั ก หน อ ย ว าเรากํ าลั งพ ายแพ ห รื อ เรากํ าลั งชนะ หรื อ ว า เรากํ าลั งได อ ะไร ในฐานะเป น สิ่ งที่ ดี ที่ สุ ด ที่ ม นุ ษ ย ค วรจะได . ดู ยั งจะเหลวอยู ทั้ งนั้ น ยังจะไมไดอะไร ก็ได จึงตองศึกษามัน ใหรูจักมัน เอาชนะมันใหได; เพราะวาธาตุ


๒๔

ปรมัต ถสภาวธรรม

ทั้ งหลาย มี ม าเพื่ อให ม นุ ษ ย เอาชนะให ได มนุ ษ ย จะได สิ่ งที่ ดี ที่ สุ ด ที่ ม นุ ษ ย ค วรจะได ไมเสียชาติเกิดมาเปนมนุษย นั่นเอง.

ขอที่ ๔ ธาตุนี้เอาชนะมันไดโดยวิธีใด? พู ด อย าง logie ข อ ที่ ๔ นี้ ก็ อ ยากจะพู ด เสี ย เลย ว าโดยวิ ธี ใด จะได ม า โดยวิ ธี ใ ด? ก็ ต อบว า โดยสั ม มาทิ ฏ ฐิ , มี สั ม มาทิ ฏ ฐิ เ ท า นั้ น แหละพอ; เพราะว า สั ม มาทิ ฏฐิ จะนํ าไปสู การปฏิ บั ติ ที่ ถู กต อง คื อมั นรูวา ธาตุ นี้ คื ออะไร, ธาตุ นี้ มาจาก อะไร, ธาตุ นี้ เพื่ อ ประโยชน อ ะไร. สั ม มาทิ ฏ ฐิ มั น รู มั น เห็ น มั น เข า ใจ อย า งถู ก ต อ ง แล วมั นยั งรู ว าควรทํ าอย างไร มั นก็ ทํ า เท านั้ นแหละ; ฉะนั้ นเราจึ งใช สั มมาทิ ฏฐิ นี้ แหละ ให เ ป น เครื่ อ งบั น ดาล ให ช นะสิ่ ง ทั้ ง ปวง ให ไ ด สิ่ ง ที่ ดี ที่ สุ ด ที่ ค วรจะได . พู ด อย า ง ตรงไปตรงมา ก็ ว า อย า ไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น “อย า ไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น จนตกไปเป น ทาส ของธาตุ นะโวย” . คํ าว าเป นทาสของธาตุ นี้ ฟ งให ดี ; เป นทาสก็ คื อเป นขี้ ข าของธาตุ ทั้ งหลาย. สัมมาทิฏฐิจะชวยให ไมไปยึดมั่นถือมั่น นั่นนี่ จนตกไปเปนทาสของธาตุทั้งหลาย; เช น ตกไปเป น ทาสของกามธาตุ ก็ ไปบ า กามอยู อ ย า งนี้ ; เรี ย กว า มั น ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น , ตกไปเป น ทาสของธาตุ ที่ เรี ยกว ากามธาตุ . หรื อแม แต ฤาษี มุ นี บางพวกก็ ตกไปเป น ทาสของรู ป ธาตุ หลงใหลในความสุ ข เกิ ด แต รู ป เรี ย กว า “จํ า ศี ล กิ น วาตา เป น ผาสุ ก ทุ ก คื น วั น ” นี้ ก็ เพราะว าหลงใหลเหมื อ นกั น . แม จ ะไปในชั้ น อรู ป มั น ก็ อ ย างเดี ย วกั น นั้นแหละ; ถานิพพานไมได มันก็ยังใชไมได เพราะมันตองไปจนถึงนิพพาน.

www.buddhadasa.info สัมมาทิฏฐิจะชวยใหไดสิ่งที่ดีที่สุดจากการมีธาตุ เราจะต อ งมี สั ม ม าทิ ฏ ฐิ รู ว า : ธาตุ คื อ ะไร? ม าจากอะไร? เพื่ อ ประโยชนอะไร? แลวก็โดยวิธีใด? จึงจะไดรับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษยควรจะไดรับจาก


ข อ ควรทราบกอ น เกี่ย วกับ สิ่ ง ที่เรี ยกว า ธาตุ

๒๕

การที่ มั นมี ธาตุ อยู ในโลกนี้ . เมื่ อดู ให ดี แล วก็ จับใจความให ได วา; ในตั วเราก็ คื อธาตุ , นอกตัวเราก็คือธาตุ, แลวมาพบกัน เกิดปฏิ กิริยามี ผลอะไรขึ้นมา นั้นมันก็คือธาตุ , เชน เวทนาธาตุ เปน ตน ; มัน หลีก ไมพ น . เนื ้อ ตัว ของเราเปน ธาตุภ ายใน; ของตา งๆ อยู ข างนอกเป นธาตุ ภายนอก พอมาสั มพั นธ กระทบกั นเข า มาสั มผั สกั นเข า มั นก็ มี การปรุ งแต ง ก็ เกิ ดธาตุ ที่ ส าม : เช น เวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ สั งขารธาตุ เป น ต น . ถาอวิชชาธาตุ เขามาครอบงําด วยก็เป นทุ กข; แต ถาวิชชาธาตุ เขามาเกี่ ยวของด วยก็ไม เปนทุกข. มั น ยั งมี วิ ช ชาธาตุ -ธาตุ วิ ช ชา, อวิ ช ชาธาตุ -ธาตุ อ วิ ช ชา, อยู เป น สอง แผนก. ถาพูดวา สัมมาทิฏฐิก็ตองหมายถึงมีวิชชาธาตุ; เพราะฉะนั้นอวิชชาธาตุ เขาไม จุ, เขาไม จุในสัมมาทิ ฏฐิ. เดี๋ ยวนี้ เรามี สั มมาทิ ฏฐิ ความรูก็ดํ าเนิ นไปๆ จนกระทั่ ง เอาชนะธาตุทั้งหลายได ชนะธาตุสุดทายก็คือชนะนิพพานธาตุ ทํานิพพานธาตุให ปรากฏแกเรา ก็ไดสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษยควรจะได. นี้แหละปญหาที่เราจะตองสะสาง หรือแกไข เกี่ยวกับธาตุ; ก็คือใหรู กั น เสี ย ให แ น น อนว า : ธาตุ นั้ น คื อ อะไร? ธาตุ นั้ น มาจากไหน? ธาตุ นั้ น เพื่ อ ประโยชน อั นใด? แล วก็ ธาตุ นั้ นจะสํ าเร็จได โดยวิ ธีใด? ก็ เรียกว ามี ความรูพอสมควร แล ว เกี่ ย วกั บ ธาตุ . ถ า รูเท า นี้ ก็ พ อแล ว มั น ก็ โดยนั ย อั น เดี ย วกั บ การรู อ ริ ย สั จ จ . อริ ย สั จ จ ทั้ ง ๔ เราต อ งรู คื อ อะไร? มาจากอะไร? เพื่ อ ประโยชน อ ะไร? แล วก็ โดย วิธีใด? ถารูและปฏิบัติไดตามที่รูนี้ ก็เปนอันวา หมดปญหาเกี่ยวกับความทุกข.

www.buddhadasa.info ธาตุแทๆ นั้นมันคืออะไร ทีนี้ จะได พู ดกันตอไปตามลําดับ อยากจะพู ดเน นถึงตั วสิ่ งที่ เรียกวาธาตุ นั้ น ใหชัดยิ่งขึ้นไปอีก โดยจะตั้งหัวขอวา ตัวธาตุแทๆ นั้นมันคืออะไร.


๒๖

ปรมัต ถสภาวธรรม

จะพู ดกั นตามหลั กธรรมในฝ ายพุ ทธศาสนา แล วจะไม พู ดถึ งเรื่ องชาวบ าน ไมพูดถึงเรื่องของฝรั่งมังคาที่หมายถึงวัตถุทั้งนั้น. ถาเมื่อถามวาตัวธาตุแทๆ นั้นมันคือ อะไร ก็ต อ งบอกวา คุณ สมบัต ิห นึ ่ง ๆ, หรือ วา คา , คุณ คา อยา งหนึ ่ง ๆ, ที ่แ สดง ออกมาจากวั ต ถุ ห นึ่ ง ๆ. ไม ใ ช วั ต ถุ ไม ใ ช เนื้ อ วั ต ถุ นั้ น ; แต ว า เป น คุ ณ ค า อย า งใด อยางหนึ่งที่มันแสดงออกมาจากวัตุนั้น; นั่นแหละคือธาตุ. ถ าเอาธาตุ อย างธรรมดาสามั ญ มา ก็ ต องรู ให ได ว า เช นว า ธาตุ อ อกซิ เจน มี คุ ณ ค าอย างไร, ไฮโดรเจนมี คุ ณ ค าอย างไร, คารบอนมี คุ ณ ค าอย างไร หรือธาตุ พวก ประเภทโลหะมี คุ ณค าอยางไร, ธาตุประเภทอโลหะมี คุ ณค าอยางไร? คุ ณค านั้ นๆคื อ ตั ว ธาตุ ; มิ ได ห มายถึ งตั ววั ต ถุ คุ ณ ค าทางธรรมต างกั น อย างนี้ ไม ใช อ ย างชาวบ าน; มั นเป นคุ ณ ค าอั นหนึ่ งที่ มี อยู ในวั ตถุ หนึ่ งๆ, คิ ดดู เถิ ดว ามั นมี ปรากฏการณ หรื อมี วั ตถุ นั้นๆ แหละเปนเครื่องแสดง. คุ ณ ค าทั้ งหลายเป น นามธรรม; ที นี้ มั น ไม รูว าจะแสดงออกมาทางไหน มันก็ตองแสดงมาทางวัตถุนั้น; คือทางปรากฏการณที่เราเห็นไดจากวัตถุนั้นๆเชน:-

www.buddhadasa.info ความรอนเปนคุณสมบัติอันหนึ่ง เปนนามธรรม มันแสดงออกมาทาง ไม ฟ น หรื อ ถ า นไฟ, หรื อ ปรากฏการณ ที่ ไ ฟกํ า ลั ง ลุ ก อยู ที่ ไ ม ฟ น หรื อ ถ า นไฟ; ไม ฟ น หรือ ถา นไฟ หรือ แมแ ตเ ปลวไฟก็ย ัง มิใ ชธ าตุไ ฟโดยตรง. ธาตุไ ฟโดยตรงก็ค ือ คุ ณสมบั ติ ที่ เผาไหม สิ่ งใดสิ่ งหนึ่ งได , ทั้ งที่ มั นไม ต องแสดงเปลวไฟ, ทั้ งที่ มั นไม ต องการ ถานและฟน, มันก็รอนไดและเผาได; จึงตองกลาววามันมีปรากฏการณ.

วัตถุมีคุณคาที่แสดงออกมาทางปรากฏการณ ของวัตถุนั้นๆ; เชนวัตถุใด ที่เรียกวาธาตุนี้แหละ; มันก็มีคุณสมบัติแข็ง อยางธาตุดิน, คุณสมบัติเหลวอยาง


ข อ ควรทราบกอ น เกี่ย วกับ สิ่ ง ที่เรี ยกว า ธาตุ

๒๗

ธาตุ น้ํ า, คุ ณ สมบั ติ ไหม เผาอยางธาตุ ไฟ, คุ ณ สมบั ติ ลอยระเหยอยางธาตุ ลม; นี้ เป น รูปธาตุ.

การแสดงออกของนามธาตุ ถาวามันเปนนามธาตุ มันมีจิตเปนที่แสดงออก; สวนวารูปธาตุ ธาตุไฟ อย างนี้ มั นมี คุ ณ สมบั ติ ของไม ฟ น มี ถ าน มี เปลวโพลงๆเป นเครื่องแสดงออก. แต ถาเปนนามธาตุเชนความรูสึกความคิดดความนึก ความจํา สติปญญา อยางนี้เปนนามธาตุ; นี้เรียกวามันมีสิ่งที่เรียกวา จิตเปนที่แสดงออก. ถาจะเปรียบ ก็เปรียบเหมือนไมฟน หรือถ านไฟ ให สิ่ งที่ เรียกวานามธาตุ ในรูปของสติ ป ญญา ความคิ ด ความนึ ก ความจํ า อะไร แสดงออกมา; สิ่งทั้งหลายทั้งหมดนี้เปนเรื่องธาตุที่มีเหตุมีปจจัย.

การแสดงออก ของนิพพานธาตุ ถาเปนนิพพานธาตุ ตัวแทของนิพพานธาตุ มิไดขึ้นอยูกับเหตุปจจัย; มันก็เลยตองมีการแสดงออกอีกแบบหนึ่ง คือทางธัมมารมณ อันเปนสิ่งที่รูไดทางจิต รูได แตเพียงปรากฏการณ หรือปฏิกิริยาที่แสดงออกมา. ตัวธาตุนิพพานแทๆ ไมมีทางจะ ทราบได ไม มี ท างจะสั ม ผั ส ได ; แตวาปฏิ กิริยาที่ สิ่งนั้ นกระทําแกจิต นี้ เมื่ อ จิ ต มั น หลุ ด พ น จากเครื่องผู ก มั ด แลว สิ่ งนั้ น สั ม ผั ส กั บ จิ ต แล ว มี ค วามรูสึ ก ได ทางจิ ต นั้ น ; มันก็ใหความรูสึกที่ไมมีความทุกขเลย. นี้เรียกวานิพพานธาตุแสดงออกมาทางจิต; แต วาจิตนั้ นก็ ไม ใชนิ พพาน หรือวาความรูสึ กนั้ นปรากฏการณ นั้ นก็ไม ใชนิ พพานธาตุ . แตหากวามันมาจากนิพพานธาตุที่มันแสดงออกมาทางจิต, หรือทางปรากฏการณทางจิต.

www.buddhadasa.info พูดไปเทาไรก็ตองสรุปความไดแตเพียงแคนี้วา : ตัวธาตุแทๆ นั้น มันมี คุณสมบัติอันหนึ่ง แสดงมาทางวัตถุ บาง ทางจิต บาง แลวแตวามันเปนธาตุชนิดไหน.


ปรมัต ถสภาวธรรม

๒๘

ธาตุ แบงกลุมไดเปน ๓ ความหมายของคํ าว า “ธาตุ ” ถ าจะจํ าแนกให มั นเป นเค าๆ, ก็ จํ าแนกอย าง พระท านสวดเมื่ อตะกี้ นี้ ว า : ธาตุ มี อยู ๓ ธาตุ ๑. รู ปธาตุ ธาตุ ที่ ทํ าให ปรากฏเป นรู ป ธรรมขึ้ น มา. ๒.อรู ป ธาตุ ธาตุ ที่ ทํ า ให ป รากฏเป น อรู ป ธรรมขึ้ น มา. ๓.นิ โ รธธาตุ ธาตุที่ทําใหปรากฏความดับแหงธาตุทั้งหลายทั้งปวงขึ้นมา. มีอยู ๓ ธาตุเทานั้น. ธาตุ ที่ ๑ รูปธาตุ นี้ เราคุ นเคยกั นมาก ทั้ งในแงของวัตถุ และทั้ งในแง ของคุ ณ สมบั ติ ที่ มี อ ยู ใ นวั ต ถุ นั้ น ; นี้ เรี ย กว า รู ป ธาตุ ห รื อ สั ง ขตธาตุ , หรื อ เรี ย กอี ก อย างหนึ่ งก็ เรียกวารูปธรรมก็ ได . เมื่ อตะกี้ นี้ ได บอกแล วว า คํ าว า ธาตุ ,ธา-ตุ กั บคํ าว า รู ป ธรรม, พู ด ว า รู ป ธรรมก็ คื อ รู ป ธาตุ . แต เดี๋ ย วนี้ เรากํ า ลั ง พู ด กั น ด ว ยคํ า ว า ธาตุ , พูดดวยคําวารูปธาตุ. ธาตุที่ ๑ คือรูปธาตุ ที่ทําใหเกิด รูปธรรมทั้งหลาย. ธาตุที่ ๒ เรียกวา อรูปธาตุ ที่ทําใหเกิดอรูปธรรมทั้งหลาย. ธาตุนี้ เรียกวา สังขตธาตุ.

www.buddhadasa.info ธาตุที่ ๓ เรียกวา นิโรธธาตุ หรืออสังขตธาตุ คือธาตุที่จะเปนที่ดับเสีย ทั ้ง แกรูป ธรรม และอรูป ธรรม. ธาตุม ีเ ทา นี ้ ไมม ีม ากไปกวา นี ้; ตั ้ง แตขี ้ฝุ น เม็ ดหนึ่ ง สู งขึ้ นไปจนถึ งเทวดา พระเจ า จนกระทั่ งถึ งนิ พพาน รวมได เป น สามอย าง เทานั้นเอง คือรูป อรูป และนิโรธ.

การปรากฏแหงธาตุอันเปนนามธรรมจะปรากฏอยางไร ที นี้ จะดู กั นในแง ที่ ว ามั นจะปรากฏอย างไร? เพราะสิ่ งที่ เรี ยกว า ธาตุ นั้ น มิ ใช ตั ววัตถุ ; ในทางธรรมะในทางศาสนาถื อวาคุ ณ สมบั ติ แห งวัตถุ แห งสิ่ งที่ เรียกว า ธาตุนั้น มันเปนนามธรรม; แลวมันจะปรากฏอยางไร?


ขอ ควรทราบก อ น เกี่ย วกั บ สิ่ง ที่ เรี ยกวา ธาตุ

๒๙

การปรากฏแหงธาตุ ที่เปนสังขตะ คือมีเหตุมีปจจัยปรุงแตงนี้ มันปรากฏ ไดต อ เมื ่อ มีเ หตุ มีป จ จัย , แลว ก็ม ีโ อกาสแหง การปรุง แตง . ถา มีแ ตป จ จัย ไม มี โอกาส มั น ไม มี ท างจะปรุ ง แต ง ได ; ต อ งมี ป จ จั ย ด ว ย และมี โอกาสที่ จ ะทํ า การ ปรุ ง แต ง นั้ น ด ว ย. เหมื อ นว า เรามี ดิ น เหนี ย ว มั น เป น หม อ ไม ได ; มั น ก็ ต อ งมี โอกาส หรือสามารถ ที่ จะป นดิ นเหนี ยวให กลายเป นหม อได . บรรดาธาตุ ทั้ งหลายที่ เป นสั งขตะ คื อ ต อ งอาศั ย ป จ จั ย ปรุ ง แต งแล ว, มั น ต อ งมี ป จ จั ย ด ว ย, แล วก็ ต อ งมี โอกาสแห งการ ปรุงแตงนั้นดวย.

การปรากฏของกามธาตุ ยกตั วอย างเช น กามธาตุ คื อธาตุ อั นหนึ่ ง ซึ่ งถ าแสดงออกมาแล ว ก็ ทํ าให เกิ ด ความรู สึ ก ทางกามระหว างเพศ. นี้ เรี ย กว า กามธาตุ ต อ งมี ป จ จั ย แห งกามธาตุ เช นเพศตรงกั นข าม พรอมอยู , แล วต องมี โอกาสแห งการสั มผั สทางอายตนะ ระหว าง สิ่ ง ทั้ ง สองนั้ น , แล ว ก็ ด ว ยอํ า นาจของอวิ ช ชา; นั้ น แหละเรี ย กว า โอกาส, แล ว ก็ มี การปรุงแต งไปตามกฎเกณฑ ของปฏิ จจสมุ ปบาท; กามธาตุ ก็ สํ าเร็จประโยชน ตามความ หมายของกามธาตุ : มี ก ารบริ โภคกาม หรื อ ว า มี ป ฏิ กิ ริ ย า มี วิ บ ากอะไรเกิ ด ขึ้ น มา จากกามนั้นๆ.

www.buddhadasa.info นี่ ส วนที่ เป น กามธาตุ ต อ งมี เหตุ ป จจั ยของกามธาตุ เช น เพศตรงกั น ข าม ต อ งมี โอกาสแห งการสั ม ผั ส ทางอายตนะ เพราะความโง ; แล วต อ งมี ก ารปรุ งแต งไป ตามลําดับในลักษณะปฏิจจสมุปบาท เชน กระทบ เกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน อยางนี้เปนตน เรียกวาสมบูรณฺ; นี้เปนสวนกามธาตุ.

การปรากฏของรูปธาตุ ในส วนรู ปธาตุ หรื ออรู ปธาตุ ก็ เหมื อนกั นอี ก; แต มั นไม เกี่ ยวกั บกามธาตุ หรือเรื่องระหวางเพศ. มันไมตองมีกามตัณหา สําหรับรูปธาตุ; แตมันก็ตองมี


ปรมัต ถสภาวธรรม

๓๐

ภวตั ณหา หรือวิ ภวตั ณหาอย างใดอย างหนึ่ ง ตามแต ว าจะไปพอใจในรูปล วนๆ ไม เกี่ ยว กั บ กาม; หรื อ เกลี ยดกาม เช น รู ป ฌาน และอรู ป ฌานอย างนี้ มั น ก็ ต อ งมี ภ วตั ณ หา, หรื อ มี วิ ภ วตั ณ หา คื อ ความรั ก หรื อ ความเกลี ย ดสิ่ ง ตรงข า ม ด ว ยความโง ความ หลงในสิ่ งนั้ น. เหมื อนว าคนเราจะไปหลงนกเขา หลงปลากั ด หลงต นบอน หลงอะไรที่ เป น วั ต ถุ ล ว นๆ; นี้ มั น ก็ ต อ งมี ตั ณ หาชนิ ด หนึ่ ง แม ไ ม ใ ช ก ามตั ณ หา. นี้ เ ป น เรื่ อ ง ของรูปธาตุ ที่มันจะแสดงตัวออกมา จะตองมีปจจัยนั้นๆ. หรื อว า จะยกตั วอย างด วยเรื่ อง เล นต นบอน หรื อเล นเครื่ องแก วเจี ยระไน อย างนี้ มั นก็ ต องมี วั ตถุ นั้ นเป นอารมณ , ก็ ต องมี โอกาสที่ จะได สั มผั ส ที่ จะได เกี่ ยวข อง, แล วก็ มี การปรุ งแต งในจิ ตใจ จนกระทั่ งเกิ ดความรั กความหลง, รู ปธาตุ จึ งจะแสดงตั ว ออกมา.

การปรากฏของอรูปธาตุ จะยกตั วอย าง เรื่ อ งเกี ย รติ ย ศชื่ อ เสี ย ง ซึ่ งบ า ซึ่ งหลงใหลกั น นั ก ซึ่ งเป น ของไม มี รูป มั นก็ต องมี เหตุ ป จจั ย แม ไม มี รูป; ก็เอานามธรรมที่ นึ กเห็ นมาเป นป จจัย และมี โอกาสที่ จ ะได รั บ ได รู สึ ก ว า มี เกี ย รติ อ ะไรอย า งนี้ มั น ต อ งมี ; มั น ก็ ต อ งปรุ ง แต งไปตามกฎเกณฑ ของปฏิ จจสมุ ปบาท จึ งเกิ ดตั ณหา อุ ปาทาน. นี้ เรียกว าอรูปธาตุ มันแสดงออกมาแลว หรือมันทําพิษแลว.

www.buddhadasa.info ดั ง ที่ ก ล า วมาแล ว จะเรี ย กว า กามธาตุ หรื อ รู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ อย า งใด อย างไหนก็ ตามเถอะ การที่ จะปรากฏออกมานี้ มั นจะต องมี ลั กษณะอย างเดี ยวกั น : คือตองมีปจจัย แลวก็มีโอกาส แลวก็มีการปรุงแตงตามกฎเกณฑ. สามคํานี้จะตอง จําไวใหดี จะตองมีปจจัย ตองมีโอกาส แลวตองมีการปรุงแตงตามกฎเกณฑ; สิ่ง ที่เรียกวากาม วารูป วาอรูป จะเกิดขึ้น


ข อ ควรทราบกอ น เกี่ย วกับ สิ่ง ที่ เรียกว า ธาตุ

๓๑

นี้ ฝ ายสั งขตธาตุ มั นเป นอย างนี้ ; ยกเว นแต ฝ ายอสั งขตธาตุ คื อพระนิ พพาน หรือนิโรธธาตุ ซึ่งไมตองเปนอยางนี้.

การปรากฏของฝายอสังขตธาตุ ที นี้ สํ าหรับฝ ายอสั งขตธาตุ ที่ จะปรากฏออกมาได จะเป นอย างไร? เพราะว า พระนิ พพานไม มี ป จจัย, พระนิ พพานไมอยูใตอํานาจป จจัย. มั นก็ตองโอนมาเป นเรื่อง ของฝ ายสั งขตธาตุ โอนมาเป นเรื่องของจิ ต, มั นเป นเรื่องของจิ ตที่ เป นฝ ายสั งขตธาตุ ; ไมใชเรื่องของนิพพานซึ่งเปนอสังขตธาตุ. แตวาเราจะสามารถไดรับประโยชนจาก พระนิพพาน ดวยการที่เราอบรมจิตใหดี ใหถูกตอง ตามวิธีที่พระพุทธเจาทานได ตรัสไววา กิเลสและอาสวะทั้งหลาย มันจะสิ้นไปไดอยางไร? เมื่อกิเลสและอาสวะทั้งหลายออกไป มันก็นิพพานนั่นแหละ, หรือ อย างน อยก็ รสของพระนิ พพาน คื อความไม มี ทุ กข เลย นั่ นแหละ ก็ ปรากฏแก จิ ต. มั น ทํ าได เพี ยงเท านี้ ; เพราะวา กายและจิ ต นี้ มั นเป นสั งขตธาตุ . แต สามารถจะปรับปรุง ใหไ ดร ับ ประโยชน ไดร ับ ผลจากธาตุ ที ่เ ปน อสัง ขตธาตุ; ไมใ ชค วามหมดกิเ ลส โดยตรงจะเป นตั วธาตุ . มั นมี อะไรอี กอั นหนึ่ ง ซึ่ งซ อนอยู หลั งนั้ น ซึ่งอยูหลั งนั้ นไปอี ก ทีหนึ่ง ; คือ วาเมื่อหมดกิเลส ธาตุนี้จึงจะปรากฏ แตเวลาพูดก็พูดไมไดอยางนั้น; ก็ ต องพู ดเอาว า ความที่ สิ้ นโลภะ โทสะ โมหะ นั้ นเป นอสั งขตธาตุ . นี่ คํ าอธิ บายใน บาลี พบอย างนี้ ; แม ไม ใช พุ ท ธภาษิ ต ก็ พ บอย างนี้ ; เพราะว าเราไม ส ามารถจะพู ด อยางอื่นได.

www.buddhadasa.info ที่ แ ท ค วรจะพู ด ว าภาวะอะไรอั น หนึ่ ง ซึ่ งปรากฏออกมา เมื่ อ สิ้ น โลภะ โทสะ โมหะ แล ว นั ่ น แหละ เป น อสั ง ขตธาตุ ; แต ไ ม เ ห็ น ท า นพู ด อย า งนี้ ทานพูดวา สิ้นโลภะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ นั้นเปนอสังขตธาตุ มันก็ตองเอาความที่,


ปรมัต ถสภาวธรรม

๓๒

หรือลักษณะ หรือภาวะ หรืออะไร ที่สิ้นโลภะ โทสะ โมหะ นั่นแหละ เปนอสังขตธาตุ; นี่การปรากฏแหงธาตุเปนอยางนี้ ทั้งฝายสังขตะและฝายอสังขตะ.

ทุกสิ่งเปนธาตุ สรุป สั ้น ๆ ขอ ความนี ้ ก็จ ะไดว า ทุก สิ ่ง เปน ธาตุ; นี ่แ หละขอ แรก. จะต อ งมองให เห็ น ให เข า ใจชั ด เลย ไม ต อ งเชื่ อ ใคร ว า ทุ ก สิ่ ง ไม ว า อะไร สั ง ขตะ หรืออสั งขตะ หรืออะไรก็ ตาม เป นธาตุ ; แต วาธาตุ นั้ นๆ ไม อาจจะแสดงคุ ณ หรือค า หรือคุ ณสมบั ติ ออกมาจนกวาจะถึ งโอกาส. หมายความวาธาตุ นั้ นๆ จะเป นสั งขตธาตุ หรืออสังขตธาตุก็ตาม แตยังไมแสดงคุณคา หรือคุณสมบัติออกมาจนกวาจะถึงโอกาส; เมื่ อมั นได ป จจั ยเฉพาะ ได โอกาสแห งการปรุงแต ง ปรับ ปรุงถู กต อ ง มั นจึ งจะแสดง คุณคาอันแทจริงออกมา. ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ก็ เหมื อ นกั น โอกาสเหมาะ มั น จึ ง แสดงคุณคานั้นออกมาได; ไมใชตัววัตถุนั้นๆ. ถึงแมแตนิพพานธาตุก็เหมือนกัน ต องมี การปรั บปรุง กาย วาจา ใจ ครบถ วนถู กต องพรอมแล ว มั นจึ งจะแหวกออกมา ให “เห็ น”; อย างที่ นิ พพานธาตุ แสดงออกมาเป นความสุ ข นั้ นไม ใช ตั วนิ พพาน; มั น เปนเพียงปฏิกิริยาที่ออกมา จากการที่จิตสัมผัสกับนิพพานธาตุ หรือคุณคาของนิพพานธาตุ. ผลคือความสุขนั้น มันก็เปนธาตุ เรียกวา เวทนาธาตุ.

www.buddhadasa.info เรื่องที่ เกี่ ยวกั บพระนิ พพานนี้ ขอให ไปศึ กษาเรื่องนิ พพานธาตุ สองอย าง : สอุ ป าทิ เสสนิ พ พานธาตุ , อนุ ป าทิ เสสนิ พ พานธาตุ . อั น สู ง สุ ด เรี ย กว า อนุ ป าทิ เสสนิพ พานธาตุ ไดแ ก : “ภิก ษุนั ้น มี ราคะ โทสะ โมหะ สิ ้น แลว , มีอ าสวะ สิ้ น แล ว, มี กิ จควรทํ า ทํ าเสร็จแล ว, เวทนาทั้ งหลายของเธอนั้ น จั กเป นของเย็ น” ; นี่คือลักษณะของอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ มีความเย็นอะไรอันหนึ่งแสดงออกมาใน


ขอ ควรทราบก อ น เกี่ย วกั บ สิ่ง ที่ เรี ยกวา ธาตุ

๓๓

เวทนาทั้ งหลาย คื อไม มี เวทนาที่ เป นของรอนอี กต อไป. นี้ เรียกว าการปรากฏแห งธาตุ ทั้งที่เปนสังขตะและเปนอสังขตะ.

การเปรียบเทียบ ระหวางธาตุกับคน ชั่ วเวลาที่ เหลื ออยู เล็ กน อยนี้ จะพู ดเพื่ อความเข าใจชั ดขึ้ น โดยการเปรี ยบ เทียบระหวางสิ่งที่เรียกวาธาตุ กับสิ่งที่เรียกวาคน. เดี๋ ยวนี้ เราจะมองโลกในป จจุ บั น กั น ก อน เพื่ อ ให รู จั กคํ าว า “คน” ในโลก ป จ จุ บั น นี้ . เราจะได รู ว า คน ในโลกป จ จุ บั น นี้ มั น เกี่ ย วข อ งกั บ สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ ในลัก ษณ ะอยา งไร; แลว เราจะรู จ ัก ไดเ องวา คนคือ อะไร, ธาตุค ือ อะไร, เพราะคนในโลกป จ จุ บั น นี้ เราก็ เคยวิ จารณ กั น มามากแล ว ว ามั น เป น ยุ ค อะไรก็ ไม รู ไมอ ยากจะเรีย ก. มัน เปน ยุค ปจ จุบ ัน นี ้ ที ่ค นหลงใหลกัน แตว ัต ถุ. คนหลงใหล กัน แตว ัต ถุ, รู จ ัก กัน แตว ัต ถุ; รู จ ัก แตเ นื ้อ หนัง รู จ ัก แตค วามสุข ทางเนื ้อ หนัง ; ไม รู จั กนามธรรม จิ ตใจ วิ ญ ญาณ ธรรมะ พระเจ า นี้ ไม รู , ไม เอาใจใส สลั ดทิ้ งไปเสี ย; ไม มี พระเจ า พระเจ าตายแล ว ศาสนาไม จํ าเป น ธรรมะไม มี ประโยชน ซื้ อของกิ นไม ได อย า งนี้ เป น ต น : คนโดยเฉพาะในยุ ค ป จ จุ บั น นี้ เขารู เรื่ อ งแต ฝ า ยวั ต ถุ ธ าตุ ที่ เป น ตัววัตถุ.

www.buddhadasa.info คนสมั ยป จจุ บั นสามารถเอาวั ตถุ เอาตั ววั ตถุ มาประดิ ษฐ เป นอุ ปกรณ สํ าหรั บ ให ความสุ ข สนุ กสนานทางเนื้ อหนั งกั นถึ งที่ สุ ด, หรื อว าเพื่ อจะใช สอยสะดวกอย างใด อย างหนึ่ งจนถึ งที่ สุ ด. แต ว าทั้ งหมดนั้ นเป นไปเพื่ อความสุ ขทางเนื้ อหนั งกั นทั้ งนั้ น คื อเพื่ อ กามธาตุ ทั้ งนั้ น; แม ว าจะมี วิ ชาไปโลกพระจั นทรไปอะไรได แต ผลมุ งหมายปลายทางมั นก็ เพื่ อเนื้ อหนั ง, เพื่ อความสุ ขทางเนื้ อหนั ง เพื่ อกามธาตุ ทั้ งนั้ น, เขาจึงรูแต ฝ ายวัตถุ ธาตุ แลวก็เพื่อสงเสริมกิเลสแระเภทตัวกู-ของกู ใหมากขึ้นๆ. เราเลยเรียกพวกนี้วา


๓๔

ปรมัต ถสภาวธรรม

พวกวัตถุ นิ ยม, เป นไปแต เรื่องวัตถุ , วัตถุ ธาตุ . มั นต างจากพวกพุ ทธบริษั ทที่ แท จริง; พุทธบริษัทที่แทจริงจะรูแตอยางนั้น จะทําอยางนั้นไมได.

พุทธบริษัทจะตองรูทั้งวัตถุธาตุ กระทั่งนิโรธธาตุ พุ ทธบริษั ทนี่ จะตองรูทั้ งวัตถุธาตุ ทั้งรูปธาตุ ทั้งอรูปธาตุ กระทั่งทั้ง นิ โรธธาตุ ; ในเมื่ อคนธรรมดาสามั ญ ในโลกนี้ รูจั กกั นแต เรื่องวั ตถุ ธาตุ เรื่องกามธาตุ . พุ ท ธบริ ษั ท จะต อ งรู ห มด: เรื่ อ งกามธาตุ เรื่ อ งรู ป ธาตุ เรื่ อ งวั ต ถุ ธ าตุ อรู ป ธาตุ ก็ รู แล วต องรูนิ พพานธาตุ ด วย จึ งจะเรียกว าเป นพุ ทธบริษั ท; ต องมี ความรูที่ จะขจั ดตั วกู ของกู ออกเสี ย. ขจั ดธาตุ ที่ เป นป จจัยแห งความทุ กข ออกเสี ย, แล วก็ ปรับปรุงธาตุ ที่ เป น ปจจัยแหงความดับทุกข ใหมันเจริญ กาวหนา. สรุ ปแล วพุ ทธบริ ษั ทต องไปจบที่ นิ พพาน; ดั งนั้ นพวกเราพุ ทธบริ ษั ทจึ งพู ด กั นแต เรื่องนิ พพานอยู เป นประจํ า ในเมื่ อพวกอื่ นเขาพู ดกั นแต เรื่องวั ตถุ และความสุ ขทาง เนื้ อหนั งเท านั้ นเอง. พวกที่ รู จั กแต วั ตถุ มั นก็ กลายเป น วั ตถุ นิ ยม; พวกพุ ทธบริษั ท รูหมด ก็กลายเปนพวกรูความจริงเปนสัจจนิยม ธรรมนิยม อะไรไป.

www.buddhadasa.info พวกวั ต ถุ นิ ย มรู แ ต วั ต ถุ ; เขาเลยถื อ ว า ไม มี ธาตุ อื่ น แล ว มี แต ธาตุ วั ต ถุ นั่ นแหละ, ธาตุ อื่ นจากวั ตถุ ไม มี . ถ าไปถามเขาว า แล วจิ ตใจของคนเราที่ คิ ดนึ กได นี้ มั น เป นอะไร มั นเป นธาตุ อะไร? เขาบอกว ามั นเป นผลิ ตภั ณ ฑ ของวั ตถุ , เนื้ อหนั งร างกาย เป นวั ตถุ . พอมี อะไรมากระทํ าให เกิ ดปฏิ กิ ริยา มั นก็ เป นปฏิ กิ ริยา ออกมาเป นจิ ตเป นใจ เป นความรูสึ กนึ กคิ ด; ธาตุ ที่ แท จริงสํ าหรับเป นจิ ตเป นใจ นั้ นไม มี เป นเพี ยงปฏิ กิ ริยาจาก วัตถุ . เช นเดี ยวกั บว า พอมั นเกิ ดการถู หรือการหมุ นวั ตถุ กระแสไฟฟ าก็ เกิ ดขึ้ น อย างนี้ เปนตน.


ขอ ควรทราบก อ น เกี่ย วกั บ สิ่ง ที่ เรี ยกวา ธาตุ

๓๕

ยกตั วอย างง ายๆ เอาวั ตถุ สองอย าง มี ศั กดิ์ ต างกั นมาถู เกิ ดกระแสไฟฟ าขึ้ น หรื อ ทํ า เป น ขดลวดไดนาโมให ห มุ น ปฏิ กิ ริ ย าก็ อ อกมาเป น กระแสไฟฟ า ; เขาเห็ น ว า มี แ ต วั ต ถุ ธ าตุ อั น แท จ ริ ง นอกนั้ น ไม ใช ไม มี ; ดั งนั้ น ที่ เรี ย กว าจิ ต วิ ญ ญาณอะไรนี้ เป นเพี ยงปฏิ กิ ริยาออกมาจากวัตถุ . เขาจึ งสรุปความว า : เพราะฉะนั้ นจิ ตใจนี้ อยู ภายใต อํ า นาจวั ต ถุ ; เมื่ อ จิ ต ใจอยู ใต อํ า นาจวั ต ถุ เราก็ ไม ต อ งไปสนใจกั บ จิ ต ใจ, เราสนใจ แตเรื่องวัตถุ แลววัตถุก็จะสรางจิตใจไปตามที่เราตองการ. นี้ เรี ย กว าวั ต ถุ นิ ย ม ซึ่ งจะต อ งรู ไว อย า ให ไปเข าพวกเขาโดยไม ทั น รู ตั ว เดี๋ยวนี้โลกมันกําลังถูกครอบงําดวยวัตถุธาตุมากขึ้น.

พุทธบริษัท ตองรูสูงถึง นิพพาน พวกพุ ทธบริษัทเห็ นตรงกันขาม วา มันมีธาตุประเภทนามธาตุ วิญญาณธาตุ มโนธาตุ อะไร ตามที่ พระพุ ทธเจ าได ตรัสไว , แล วยั งแถมมี อสั งขตธาตุ คื อไกลลิ บ ไปถึ ง สู ง สุ ด เป น นิ พ พานโน น . แต ใ นระดั บ ทั่ ว ไปนี้ ถื อ ว า มี ม โนธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ จิ ต ธาตุ อะไรนี้ แหละเป น ตั วสํ าคั ญ ,เป น ตั วประธาน ซึ่ งมี อํ านาจนํ า หรื อ บั งคั บ วั ต ถุ . มั นกลั บตาลป ตรกั นอย างสิ้ นเชิง ในเมื่ อฝ ายนี้ ถื อวา จิ ตนี้ มั นเป นธาตุ เป นตั วเองอยางหนึ่ ง แลว นํ า หรือ บัง คับ วัต ถุทั ้ง หลาย, บัง คับ รูป ธรรมทั ้ง หลาย; ดัง นั ้น สุข หรืท ุก ข ขึ้นอยูกับมโนธาตุ มิไดขึ้นอยูกับวัตถุเลย. นี้แหละถาวาคนเขารูเรื่องนี้กันแลว ก็ไม เกิดวัตถุนิยม ก็ไมเกิดคอมมูนิสต ไมเกิดนายทุน กรรมกรขึ้นมาได.

www.buddhadasa.info เขาไปหลงบู ช าวั ต ถุ นิ ย ม; มั น ก็ เ กิ ด คอมมู นิ ส ต ซึ่ ง เป น dialectic materialism คือเปนวัตถุนิยมที่สามารถแสดงใหเห็นแจมแจงไดดวยเหตุผล ก็เรียกวา


๓๖

ปรมัต ถสภาวธรรม

dialectic materialism ซึ่ งกํ าลั งเป นป ญ หายุ งยากลํ าบากเหลื อประมาณ ในโลกเวลานี้ . เพราะว าไปเอาวั ตถุ เป นหลั ก; ไม ได เอาจิ ตใจเป นหลั ก จึ งไม ยอมเสี ยสละวั ตถุ , ยอมตาย เพื่อวัตถุ; ก็เลยไดฆากันเพราะวัตถุ. พวกพุ ท ธบริ ษั ท มี ค วามรู เรื่ อ งธาตุ ; นี้ ห มายความว า เป น พุ ท ธบริ ษั ท จริ ง ๆ ไม ใ ช พุ ท ธบริ ษั ท เก . ต อ งมี ค วามรู เรื่ อ งธาตุ รู วั ต ถุ ธ าตุ รู รู ป ธาตุ รู อ รู ป ธาตุ รู นิ โ รธธาตุ , หรื อ สรุ ป ความสั้ น ๆ ก็ ว า รู ทั้ ง สั ง ขตธาตุ และอสั ง ขตธาตุ ; นี้ แ หละ จึงจะเปนพุทธาบริษัท. ที นี้ ก็ เหลื อ แต ว า เราจะทํ าไปตามวิ ถี ท างของเราอย างไร? คื อ หมาย ความวา เราไมไปตามกนฝรั่งแลว; เราจะไปตามวิถีทางของพุทธบริษัท : ก็ตอง ศึ ก ษาเรื่ อ งธาตุ อย า งที่ ว า มาแล ว ให ล ะเอี ย ดลออให ยิ่ ง ขึ้ น ไป, ให รู ว า เรื่ อ งธาตุ อย า งชาวบ า นเป น วั ต ถุ นั้ น อย า งหนึ่ ง , เรื่ อ งธาตุ อ ย า งทางธรรมะอย า งพุ ท ธบริ ษั ท นี้ อย างหนึ่ ง. แต เรื่องธาตุ นี้ ก็ มี กฎเกณฑ บางอย าง ที่ ยั งคล ายๆ กั นอยู มาก ทั้ งฝ ายวั ตถุ และฝายนามธรรม.

www.buddhadasa.info เปรียบเทียบ ธาตุ ฝายวิทยาศาสตร กับฝายธรรม

จะพู ดกั นด วยธาตุ ทางวิ ทยาศาสตร : เรื่องธาตุ แท ; ธาตุ ที่ เดี๋ ยวนี้ เขาพบ กั นว ามี ตั้ ง ๑๐๘ อย างแล วกระมั ง. ส วนหนึ่ งเป นอโลหะ, ส วนหนึ่ งเป นโลหะ. ส วนใด มี คาร บอนมากเรี ยกว า organic นี้ มั นก็ เป นที่ ตั้ งแห งชี วิ ต, เป นที่ ตั้ งแห งธาตุ จิ ตตธาตุ เป น ชี วิ ต . อี ก พวกหนึ่ ง เป น อโลหะ เป น inorganic เป น อโลหะ นี่ ก็ ไ กลจากการ ที่จะเปนชีวิต; แตแลวมันก็ยังตองปนกันผสมปนเปกัน.


ข อ ควรทราบกอ น เกี่ย วกับ สิ่ ง ที่เรี ยกว า ธาตุ

๓๗

อย างเช นในเส นผมของเราเส นเดี ยว มั นก็ มี ธาตุ นั บไม ไหว, ในผมเส นเดี ยว มี ธาตุ นั บ ไม ไหว; แต ค รูนั กธรรมในโรงเรียนจะสอนลู ก ศิ ษ ย ว า ในผมเส น หนึ่ งก็ เป น เพี ยงธาตุ ดิ นเพี ยงพาตุ เดี ยว. อย างนี้ มั นน าหั วเราะ เพราะในผมเส นหนึ่ งของคนเรา ที่ยังเป น ๆ อยู; ถ าพู ดทางฝ ายวัตถุธาตุ เท านั้ นแหละ ผมเส นหนึ่ งมั นก็มี ธาตุ คารบอน มีธาตุกํามะถัน มีธาตุเหล็ก มีธาตุอะไรอีกหลายธาตุ ประกอบๆ กันขึ้นมาเปนผมเสนหนึ่ง; นี้แหละฝายวัตถุธาตุ. ทีนี้ ธาตุฝายทางธรรม ฝายรูปธาตุ มันก็มีคุณสมบัติแหงธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุ ไ ฟ ธาตุ ล มอยู ใ นผมเส น เดี ย วนั้ น : ความที่ มั น แข็ ง เป น ธาตุ ดิ น , ความที่ มั น มี น้ํ าปนอยู เป นธาตุ น้ํ า, ความที่ มั นอุ ณ หภู มิ ปนอยู เป นธาตุ ไฟ, ความที่ มั นระเหยได เป น ธาตุ ล ม. ที นี้ ข อ ที่ มั น เป น ผมเส น หนึ่ ง นี้ มั น ต อ งเป น สั ง ขตธาตุ คื อ มี เหตุ ป จ จั ย มี โอกาสปรุงแต ง มั นจึงมาอยูในรูปของเส นผมอย างนี้ ; แตถ ามองดู อีกอันหนึ่ งมั นก็เป น รู ป ธาตุ ; เพราะมั น มี สิ่ ง แสดงออกให เห็ น ได ท างตา จึ ง ได เรี ย กว า รู ป ธาตุ . โอ ย , เยอะแยะไปเลย ในผมเส นเดี ยวนั้ นมี ธาตุ ตั้ งยี่ สิ บ สามสิ บอย าง. นี้ เรียกว า วิ ถี ทาง พุทธบริษัท มองดูธาตุอยางนี้ เพื่อจะเกิดความไมยึดมั่นถือมั่น.

www.buddhadasa.info ทุกสิ่ง มีแต กลุม แหงธาตุ

ดั งนั้ น เราดู ให ครบวา ธาตุ ทั้ งหลายที่ ประกอบกั นขึ้ นเป นผมเส นหนึ่ ง เป น เล็ บ เป น ฟ น เป น เนื้ อ เป น หนั ง เป น เอ็ ด เป น กระดู ก นั้ น แหละ มั น คื อ ธาตุ แ ท ๆ รวมกั น ครบหมดแล ว. ทํ าไม เราไปเรียกมั นวาคน? ก็ ลองตั้ งป ญหาถามดู วา : อั นไหน เป นคน? อั นไหนเป นธาตุ ? หรือว าสิ่ งที่ เรียกว าธาตุ กั บ สิ่ งที่ เรียกว าคน นั้ นมั น ต าง กันอยางไร?


๓๘

ปรมัต ถสภาวธรรม

เราจะพบกฎเกณฑ อั น หนึ่ งซึ่ งเขาเรี ย กว า : ถ าพู ด กั น ตามความจริ ง คื อ ปรมั ต ถ นี่ อ ย างหนึ่ ง, ถ าพู ด ตามสมมติ ตามที่ ค นรู สึ ก ด วยอวิ ช ชาของตั วเองนี้ ก็ ไปอี ก อย า งหนึ่ ง . ถ า รู สึ ก ด ว ยอวิ ช ชาด ว ยการอบรมกั น มา อย า งอวิ ช ชากั น แต อ อ นแต อ อก มั น ก็ พู ด วาคน. แต ถ าศึ ก ษาอย างละเอี ย ด ตามวิถี ท างของพระอริย เจ า ก็บ อกวา กลุ ม แหง ธาตุ มิใ ชค น, กลุ ม แหง ธาตุแ ลว ก็ม ิใ ชค น. คนหนึ ่ง พูด วา คน แลว ก็ ไม พ ยายามที่ จ ะรู เรื่ อ งธาตุ หรื อ ไม เข า ใจสิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ . สิ่ ง ที่ เรี ย กว า คน กั บ สิ่ ง ที่ เรีย กวา ธาตุที ่แ ทม ัน สิ ่ง เดีย วกัน ; แตถ ูก มองในลัก ษณ ะตรงกัน ขา มเสีย เลย. คนก็ไปอยาง ธาตุก็ไปอยาง แตที่แทมันสิ่งเดียวกัน. นี่ พุ ท ธบริ ษั ท จะต อ งเข าใจสิ่ งที่ เรี ยกว าคน กั บ สิ่ งที่ เรียกว าธาตุ นี้ ให ถู ก ต อ ง; แล ว ก็ จ ะได รั บ ประโยชน จ ากการที่ เ ป น พุ ท ธบริ ษั ท , หรื อ ว า เป น คนที่ ไ ม มี ความทุ ก ข นั่ น แหละ. ถ า มิ ฉ ะนั้ น แล ว ต อ งปล อ ยไปตามธรรมดาสามั ญ : ต อ งเป น คน มี ค วามทุ ก ข แล ว ก็ ต ายไป โดยไม มี ค วามหมาย ไม มี ค า อะไร ในการที่ เกิ ด มาที ห นึ่ ง . ถ าจะให คนมี ค าเป นมนุ ษย จะให สู งสุ ดหรื ออะไรขึ้ นมา, รู จั กแก ป ญ หาต าง ๆ ได , ก็ ต อง รู จั ก ธาตุ แทนที่ จ ะรู จั ก คน. เหมื อ นคนชาวบ า นรู จั ก รถยนต ก็ รู จั ก คั น หนึ่ ง เท า นั้ น . แต พ วกนายช าง พวก technician ทั้ งหลาย เขาไม ได รู จั กรถยนต ห นึ่ งคั น , เขารู จั กอะไร ทุ ก ชิ้ น ที่ ป ระกอบกั น ขึ้ น เป น รถยนต แล ว ยั งรู อ ะไรมากไปกว า นั้ น อี ก . นี่ แ หละสายตา มันตางกันอยางนี้.

www.buddhadasa.info ขอใหพุท ธบริษัท เรามีส ายตาแบบที่เ ห็น เปน ธาตุ อยา เห็น เปน คน. คนทั่ ว ไปเขาเห็ น เป น คน ตามความรู สึ ก ของเขา ก็ ต ามใจเขา แตเราจะเห็นเปนธาตุ.


ขอ ควรทราบก อ น เกี่ย วกั บ สิ่ง ที่ เรี ยกวา ธาตุ

๓๙

นี้คือความรู รูเรื่องที่ควรทราบกอน เป นหลักทั่ว ๆ ไป เกี่ยวกับสิ่งที่ เรี ย กว า ธาตุ ที่ อ าตมาได เอามาบรรยายเป น วั น แรก เป น ครั้ ง แรก; เรี ย กว า เรื่ อ งที่ ควรรูคราว ๆ ทั่ ว ๆ ไปก อน เกี่ ยวกั บสิ่ งที่ เรียกวาธาตุ ; แล ววันหลั งก็ จะได พู ดถึ งตั วธาตุ โดยเฉพาะ เป น พวก ๆ เป น หมู ๆ เป น ชั้ น ไป เป น ลํ าดั บ จะเข าใจได ง าย. เชื่ อ ว า ทานทั้งหลาย คงจะมีความสนใจในสิ่งที่เรียกวาธาตุขึ้นมาพอ สมควรแลว.

โอกาสวันนี้ก็หมดแลว คือเวลาหมดแลว, จึงขอยุติไวเพียงเทานี้กอน.

www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


ปรมัตถสภาธรรม

- ๒ ๑๓ มกราคม ๒๕๑๖

ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย, การบรรยายเรื่ อ ง ปรมั ต ถสภาธรรม เป น ครั้ ง ที่ ๒ นี้ ก็ ยั ง เป น เรื่ อ ง เกี ่ย วกับ ธาตุต อ ไปตามเดิม เพราะวา ยัง ไมจ บ. แมจ ะเปน เรื่อ งเกี ่ย วกับ ธาตุ ก็ย ัง ไมไ ดก ลา วถึง สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุ โดยเฉพาะ; ไดก ลา วถึง แตเ รื ่อ งที ่ค วร ท รา บ กอ น ทั ่ว ๆ ไป เกี ่ย ว กับ สิ ่ง ที ่เ รีย ก วา ธ า ตุเ ทา นั ้น ; ทั ้ง นี ้ ก็เ พื ่อ จ ะ ให เขา ใจสิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุ ได โดยสะดวก โดยงา ย หรือ โดยชัด เจนทีห ลัง . ฉะนั ้น จึง ขอใหตั ้ง ใจทํ า ความเขา ใจ เกี ่ย วกับ เรื ่อ งควรทราบกอ นทั ่ว ๆ ไป เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวาธาตุ.

www.buddhadasa.info

๔๑


ปรมัตถสภาวธรรม

๔๒

ในครั้งที่ แลวมา ก็ไดพู ดโดยใจความที่สรุปไดวา ธาตุ คื อทุ กสิ่ งที่ กํ าลั ง เปน ตัวเราในภายใน และเปน ทุกสิ่งภายนอกตัวเรา; ธาตุจะเปน ทุกสิ่งที่เกี่ย ว ของกันระหวางภายนอกและภายในตัวเรา จึงเปนอันวา ไมมีอะไรที่ไมใชสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”. แตแลวเราก็ไปเขาใจ เปนตัวตนบุคคลไปเสีย ไมเขาใจวาเปนแตเพียงสักวาธาตุ โดยแท จริง; เช น นี้ เรียกว า ยึ ด ถื อเอาธาตุ แท ๆ ตามธรรมชาติ นี้ ว า เป น ตั วเป นตน. ดังนั้น เมื่อคนจะเขามาบวชในพุทธศาสนา จึงสอนกันเปนเรื่องแรก ใหเขาใจ สิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” วาไมใชตัวตน. พอคนเข าวัดวันแรก ก็ ให เรียนเรื่องธาตุ หรือธาตุ ป จจเวกขณ มี บทท องว า ยถาปจฺจยํ ปวตฺตมานํ ธาตุมตฺตเมเวตํ ยทิ ทํ จีวรํ ตทุ ปภุ ฺชโก จ ปุคฺ คโล ธาตุ มตฺ ต โก, อธิ บายเป น นิ สฺ สตฺ โต นิ ชฺ ชี โว สุ ฺ โ ฯลฯ นี่ คื อ เรื่อ งที่ บอกให รูว า จี วร หรือคนที่ใชสอยจีวรนั้นก็ตาม เปนสักแตวาธาตุ มิใชสัตว หรือบุคคล ซึ่งจะถือ วาเปนการวางจากบุคคล เรียกวาธาตุ. ในขออาหารก็เหมือนกัน : อาหารก็ดี ผูกิน อาหารก็ดี เป นสักแตวาธาตุ, เปนไปตามธรรมชาติ วางเปลาจากบุคคล. ที่ อยู อาศัย และผูที่เขาไปอยูอาศัยก็เปนสักวาธาตุ ดวยกันทั้งสองฝาย ไมใชสัตวบุคคล วางจากสัตวบุคคล. แมแตยาแกไขและคนเปนไขบริโภคยาเขาไป ทั้งสองอยางนี้ ก็ไมใชสัตวหรือบุคคล หรือตัวตนอะไร เปนสักแตวาธาตุ.

www.buddhadasa.info ทุกสิ่งเปนสักวา ธาตุ

ขอใหถือวานี่เปนหัวใจของพุทธศาสนา ที่แสดงใหเห็นวา ทุกสิ่งเปนสัก วาธาตุ; ทั้งนี้ก็เพื่อไมใหไปหลงสําคัญผิดวา เปนสัตวเปนบุคคล. ถาเกิดเปนตัวเปนตน ขึ้นมา : เปนเราพวกหนึ่ง เปนเขาพวกหนึ่ง เปนของเราอยางหนึ่ง เปนของเขา


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

๔๓

อย า งหนึ่ ง ; อย า งนี้ เรี ย กว า มื ด มนเต็ ม ที ที่ ไม เห็ น ว า “เป น สั ก แต ว า ธาตุ ” ไปเห็ น เป น ตัวตน. อยางนี้ก็มีเรื่องธาตุนี้เรื่องเดียวที่เปนหัวใจของธรรมะในพุทธศาสนา. ถายังเห็ นวาเป นธาตุ อยู ไม ยึ ดมั่ นวาเป นตั วตน ก็ ไม เห็ นแก ตน และไม มี ของตน; แล ว ก็ จ ะไม เ กิ ด กิ เ ลส และไม เ กิ ด ทุ ก ข . พอเห็ น ว า เป น บุ ค คล : สํ า คั ญ ไปว า ร า งกายนี้ จิ ต ใจนี้ เป น บุ ค คล เป น ตั ว เป น ตน; ฝ า ยนี้ เป น เราขึ้ น มา ฝ า ยโน น ก็ เป น เขาขึ้ น มา; เป น ของเราของเขาขึ้ น มา. ความเห็ น แก ต นของแต ล ะฝ า ยทํ า ให เกิ ด เบี ย ดเบี ย นกั น ก็ ได ; แม ฝ า ยเดี ย วก็ ยั ง เป น ทุ ก ข เป น รอ น เพราะกิ เลสที่ เกิ ด ขึ้ น เพราะความเห็ นแต ตนนั้ นก็ ได . ขอให เข าใจเรื่ องเป นพื้ นฐานทั่ ว ๆ ไปเกี่ ยวกั บสิ่ งที่ เรี ยก วาธาตุ อยางนี้กอน. ที นี้ ก็ มี ป ญ หาที่ เ ราจะดู กั น ต อ ไป ว า ทั้ ง หมดนี้ มั น เป น สั ก ว า ธาตุ อยา งไร? เรื ่อ งนี ้ต อ งขออภัย ขอโอกาสที ่จ ะพูด ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ ทํ า ใหบ างคนเบื ่อ ทนไมคอยจะได ในเมื่อพูดกันซ้ํา ๆ ซาก ๆ เรื่องมิใชตัวมิใชตน.

www.buddhadasa.info เรื่ อ งมิ ใ ช ตั ว มิ ใ ช ต น นี้ อ ธิ บ ายได ห ลายอย า ง : อธิ บ ายเป น สั ก ว า ธาตุ ก็ไ ด เปน ธรรม ชาติก ็ไ ด เปน ธรรม ลว น ๆ ก็ไ ด อะไรก็ไ ด; แตใ น ที ่นี ้เ ราจ ะ อธิบายวาเปนธาตุ คือเปนสักวาธาตุ ไมใชสัตวบุคคล.

มนุษยรูเรื่องธาตุมาตั้งแตกอนพุทธกาล ขอให นึ ก ถึ ง คํ า ว า “โลกธาตุ ”, หมื่ น โลกธาตุ ในบางครั้ ง ก็ ห วั่ น ไหว. โลกธาตุ คื อ ธาตุ ที่ ป ระกอบกั น เป น โลกนี้ กล า วไว ว า มี ตั้ ง หมื่ น โลกธาตุ ; จะจริ ง หรื อ ไม จ ริ ง ก็ สุ ด แท . ในที่ นี้ ข อแต เพี ย งว า มนุ ษ ย ก็ รู เรื่ อ งธาตุ อ ยู ไ ม น อ ย ถึ ง กั บ บั ญ ญั ติ กัน แลว กอ นพระพุท ธเจา เกิด วา มีโ ลกธาตุตั ้ง หมื่น โลกธาตุ. ถา มีอ ะไรพิเ ศษ รุนแรงก็ไหว หวั่นไหวไป กระทั่งหมื่นโลกธาตุ.


ปรมัตถสภาวธรรม

๔๔

เราได ยิ นบาลี ธั มมจั กกั ปปวั ตตนสู ตรตอนท ายว า หมื่ นโลกธาตุ หวั่ นไหว เพราะ การประกาศธรรมจั กรของพระพุ ทธเจ านั่ นแหละ ค อยรูกั นต อไปวา โลกธาตุ อั นแท จริ ง นั้นคืออะไร?

ธาตุ คือสิ่งที่เปนพื้นฐานที่สุด เดี๋ ยวนี้ จะดู กั นเกี่ ยวกั บเรื่องเบื้ องต นนี้ ก อน : สํ าหรับสิ่ งที่ เรียกว า “ธาตุ ” นั้ น ก็ได อธิบายแล ว ในการบรรยายครั้งที่ แลวมา; ตามความหมายทางตั วหนั งสื อนี้ ก็ คื อ สิ่ งที่ เป นรากฐาน ชั้ นพื้ นฐานที่ สุ ด สํ าหรับที่ จะประกอบกั นขึ้น เป นสิ่ งต าง ๆ ต อมา. สิ่ ง ๆ หนึ่ งต องประกอบอยู ด วยส วนหลายส วน, แต ละส วนเป นธาตุ ทั้ งนั้ น อย างนี้ เป นต น. คําวา “ธาตุ ” จึงเปนคําที่เล็งถึง สิ่งซึ่งอยูในชั้นรากฐานชั้นตนที่สุด และเป นหน วยยอย หนวยหนึ่ง ที่จะประกอบกันขึ้น เปนหนวยใหญ ทั้งหมด คือทั้งหมดของหนวยใหญ ประกอบอยูดวยธาตุหนึ่ง ๆ. ทีนี้ ธาตุหนึ่ง ๆ ก็ยังประกอบกันขึ้น เปนธาตุอื่นไดหลาย ๆ ธาตุ จนกระทั่งเกิดเปนธาตุจิต ธาตุใจขึ้นมา แลวไปยึดมั่นถือมั่น “ธาตุ” นั้นเอง วาเป นตัว เปนตน มันก็เกิดเปนความคิดขึ้นวาเปนตัวเปนตนโดยสําคัญผิด แลวก็มีความทุกข.

www.buddhadasa.info มนุษยมีความทุกข เพราะไมรูเรื่องธาตุ

ในที่ นี้ จ ะพู ด ต อ ไปถึ ง สิ่ ง ที่ เราเรี ย กกั น ว า คน ว า สั ต ว คื อ สิ่ ง ที่ มี ชี วิ ต นี้ ป ระกอบอยู ด ว ยธาตุ อ ย า งไร. บางส ว นของเรื่ อ งนี้ ก็ ไ ด ก ล า วไปแล ว ในการ บรรยายครั้งกอน. ในครั้งนี้ก็จะกลาวเพื่อสรุปความบางสวนนั้น ใหมาอยูในที่เดียวกัน. ปญหาเรื่องความทุกขนี้ มันมีแตแกสิ่งมีชีวิต หรือสัตวที่มีชีวิต; ถาไมมี ชีวิตแลวก็ไมมีปญหาอะไร ที่จะพูดกันถึงความทุกข. เดี๋ยวนี้เรากําลังพูดถึงสิ่งที่มีชีวิต


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

๔๕

โดยเฉพาะก็คื อมนุ ษย หรือคน ที่ กําลังมี ความทุ กขก็เพราะไม รูเรื่องธาตุ ไปยึ ดถื อกลุ ม แหงธาตุวาเปนตัวตนเขา.

สิ่งมีชีวิตชั้นมนุษย ประกอบดวยธาตุ ๕ อยาง สํ าหรั บ คน ๆ หนึ่ ง ๆ มี ห ลั ก ที่ จะแบ งออกได เป น ๕ ส วน สํ าหรั บ การศึ ก ษาเรื่ อ งนี้ . ในพระบาลี ที่ จ ะไม ค อ ยพบเห็ น กั น นั ก มี อ ยู แ ห ง หนึ่ ง คื อ พวก ขันธสังยุตต สังยุตตนิกาย นี้ชี้ระบุไววา สิ่งที่จะประกอบกันขึ้นเปนคนหนึ่ง ๆ นั้น ประกอบด วยธาตุ ๕ : รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญ ญาธาตุ สังขารธาตุ วิญ ญาณธาตุ , ที่ เ ราเคยเรี ย กกั น ว า ขั น ธ ๕ ; รู จั ก เรี ย กกั น แต ว า ขั น ธ ๕. ส ว นธาตุ ๕ ที่ มี ชื่ อ อย างเดี ยวกั บขั นธ ๕ นี้ ไม ค อยรูจั ก ไม ค อยได พู ดกั น; ฉะนั้ นขอให รูเสี ยว า เมื่ อมั น ยังไมเปนขันธ ก็เรียกวาธาตุ เชน รูปธาตุ.

คุณสมบัติของรูปธาตุแบงยอยออกไปไดอีก เมื่อยังไมประกอบขึ้นเปนขันธอยูตามธรรมชาติแท ๆ ก็เรียกวารูปธาตุ คื อ ธาตุ ที่ เป น วั ต ถุ ,ที่ ป ระกอบด วยคุ ณ สมบั ติ ของวั ต ถุ และเล็ งถึ งคุ ณ สมบั ติ ของวั ต ถุ นั้ น ๆ ก็ เรี ยกว ารู ปธาตุ . นี้ ยั งจะอยู ในลั กษณะที่ อาจแบ งย อยออกไปว า เป นปฐวี ธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ.

www.buddhadasa.info ธาตุที่มีลักษณะหรือคุณสมบัติ แข็ง กินเนื้ อที่ นี้ก็เรียก ปฐวีธาตุ-ธาตุดิน. ธาตุ ที่ มี คุ ณ สมบั ติ ไ หลได แต ก็ ยั ง เกาะกุ ม กั น อยู มั น จึ ง พากั น ไหลไปได ; อย า งนี้ ก็ เรียกวา อาโปธาตุ หรือธาตุน้ํา. ธาตุที่มีคุณสมบั ติรอน หรือตัวคุ ณสมบั ติ รอน ที่มี อยู ใ นวั ต ถุ ใ ดก็ ต าม นี้ ก็ เรี ย กว า เตโชธาตุ คื อ ธาตุ ไ ฟ ธาตุ ค วามร อ น. ส ว นที่ มั น ระเหยลอยไปได กระจายตัวเรื่อย ก็เรียกวา วาโยธาตุ คือธาตุลม. ทั้งหมดนี้มิได


๔๖

ปรมัตถสภาวธรรม

หมายความถึ งตั ววั ตถุ หรือลั กษณะวั ตถุ ข างนอก; แต ห มายถึ งคุ ณ สมั บั ติ ในธาตุ นั้ น เสมอไป. ยกตั ว อย า งให ฟ งง า ย ๆ เช น ว า เราหายใจออกมา; ลมหายใจนี้ ถู ก หายใจออกมา เป น ลมหายใจ. ในลมหายใจนั้ น มี ส ว นที่ เป น ธาตุ ดิ น คื อ ส วนที่ เป น อณู น อย ๆ ที่ มั นแข็ งหรือมั นกิ นเนื้ อที่ แต ละเอี ยดดู ไม ค อยเห็ น; อย างนี้ ก็ เรียก ว า ธาตุ ดิ น มั น จะออกมากั บ ลมหายใจนั้ น . และมี ธ าตุ น้ํ า อาโปธาตุ ก็ อ อกมากั บ ลมหายใจนั้ น เพราะมั น มี ส วนที่ เป น น้ํ า; ในลมหลายใจมี ส วนที่ เป น น้ํ า ซึ่ งน อ ยมาก หรื อ ละเอี ย ดมาก. และลมหายใจนี้ ก็ ยั ง อุ น ; หมายความว า ยั ง ร อ ยอยู ร ะดั บ หนึ่ ง มี ธ าตุ ไฟ เตโชธาตุ อยู ระดั บ หนึ่ ง ติ ด ออกมากั บ ลมหายใจ. และลมหายใจนี้ ก็ เป น วาโยธาตุ คื อมี ธาตุ ลมอยู ในตั วแล ว มี ส วนที่ มั นระเหยกระจายตั วออกลอยได นี้ ก็ เป น ธาตุลม. แมแตในลมหายใจก็มีครบทั้ง ๔ ธาตุดังกลาวมา. ทีนี้ ตัวอยางในของที่หยาบลงไปอีก เชน ในเลือด ก็มีสวนที่เปนธาตุดิน, ธาตุน้ํ า , ธาตุไ ฟ คือ ความรอ น, และธาตุล ม คือ สิ ่ง ที ่ร ะเหยเปน ไอไปได. แม ในเนื้ อ ก อ นหนึ่ ง เชื อ ดออกมาจากคน นี้ ก็ มี ทั้ ง ธาตุ ดิ น คื อ ส ว นที่ เป น ของแข็ ง กิ น เนื้ อ ที่ , ธาตุ น้ํ า คื อ มี น้ํ า อยู ใ นเนื้ อ นั้ น , มี ธ าตุ ไ ฟ คื อ ความอบอุ น ความร อ น ระดั บใดระดั บหนึ่ ง อยู ในเนื้ อก อนนั้ น, ก็ มี ธาตุ ลม คื อส วนที่ จะระเหยลอยไปได . ก็ เรียก ไดวามีทั้ง ๔ ธาตุ; นี้คือธาตุทั้ง ๔ ที่ประกอบกันขึ้นเปนรูปธาตุ เปนพื้นฐาน มีอยู สําหรับที่จะเปนรูปขันธในเมื่อถึงโอกาส.

www.buddhadasa.info มีรูปธาตุแลวยังมีธาตุอื่นสําหรับประกอบเปนขันธตามโอกาส ธาตุที่ จะทํ าความรูสึ ก ก็เรียกวา เวทนาธาตุ ที่ยังไม ทั นจะทํ าหน าที่เป นเวทนา; แตมีไวสําหรับที่จะปรากฏตัวออกมาเปนเวทนา สําหรับเปนเวทนาขันธ ในเมื่อถึงโอกาส.


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

๔๗

สั ญญาธาตุ ธาตุที่ ทํ าให จําได นี่ ก็คือธาตชนิ ดหนึ่ ง ซึ่งยังไม ทํ าหน าที่ เป น สัญญาขันธ กวาจะถึงโอกาส ที่จะเปนสัญญาขันธ. สั งขารธาตุ ก็เหมื อนกัน ธาตุ ที่เป นธาตุ แห งความคิด เรียกวาสังขารธาตุ , ซึ่งจะเปนสังขารขันธ เมื่อถึงโอกาส. ธาตุที่เปนวิญญาณธาตุ คือธาตุรู ซึ่งจะเปนวิญญาณขันธ เมื่อถึงโอกาส. ธาตุ ทั้ ง ๕ เหล านี้ เมื่ อยั งไม ถึ งโอกาสยั งไม เป นขั นธ ห าได ก็ ยั งเป นธาตุ ทั้งหาอยูนั่นแหละ : รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ วิญญาณธาตุ.

ธาตุทั้งหลายเกี่ยวของกันอยางไร. บางคนจะไมเขาใจเรื่องของพุทธศาสนา ในขอที่วาธาตุนั้นคืออะไร ถาเป นทางวิทยาศาสตรสมัยใหมทางวัตถุ พู ดวา “ธาตุ ” ก็เล็งถึงวัตถุธาตที่ แท; สวน พระพุทธศาสนานี้เล็งถึงคุณสมบัติอยางใดอยางหนึ่ง ซึ่งแทเหมือนกัน ซึ่งอยูใน วัต ถุธ าตุนั ้น ๆ. เมื ่อ ใดธาตุทั ้ง ๕ มีรูป ธาตุเ ปน ตน นี้ จะทํ า หนา ที ่เ ปน ขัน ธ, มันทําตอเมื่อสัมผัสกันกับสิ่งภายนอก; เชนวา วิญญาณธาตุ ขางใน ที่ทําหนาที่ ทางตา ทางหู ทางจมู ก เปนตน, และก็ไดสั มผั สกับสิ่ งภายนอก คือรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐั พ พะ เป น ต น . หมายความว า วิ ญ ญาณธาตุ จะทหน า ที่ วิ ญ ญาณขั น ธ ตอเมื่อายตนะขางในสัมผัสกับอายตนะขางนอก.

www.buddhadasa.info สิ่งที่มีชื่อวา อายตนะขางใน กับขางนอก ก็เปนรูปธาตุดวย ธาตุ ข างนอกกั บข างในกระทบกั นตามหน าที่ จะประกอบเป นอื่ น ๆ ขึ้ นต อไป ท านจึ งเรียก อายตนะภายในว า จั กษุ ก็ เป นธาตุ ตา ก็ เป นธาตุ หู ก็ เป นธาตุ ฯลฯ คือเปนธาตุขางในชนิดหนึ่ง ซึ่งทําหนาที่ตามหนาที่ของอวัยวะนั้น. ทีนี้ รูป เสียง


๔๘

ปรมัตถสภาวธรรม

กลิ่ น รส ฯลฯ ข า งนอกก็ เ ป น รู ป ธาตุ : ธาตุ รู ป ธาตุ เ สี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น ธาตุ ร ส; เปนธาตุขางนอกมีสําหรับจะทํานหนาที่เปนอารมณ หรือเปนวัตถุสําหรับสัมผัสของ ธาตุ ข างใน. แสดงให เห็ นวา อายตนะทั้ ง ๖ ข างในก็ เป นธาตุ ๖ อยู , อายตนะข าง นอกทั้ง ๖ ก็เปนธาตุ ๖ อยู. เมื่ อไรได อาศั ยกั น : จักษุ ธาตุ อาศั ยกับรูปธาตุ วิญญาณธาตุ ก็เกิดขึ้น แล วทํ าหน าที่ ; นี่ มั นจะเกิ ด วิญ ญาณขั น ธ ขึ้น มา. วิญ ญาณธาตุเป น วิญ ญาขัน ธได ก็ตอเมื่อทําหนาที่; ถาอยูเฉย ๆ เราเรียกวาธาตุ คือไมไดทําหนาที่อะไรของตนเลย.

ธาตุตาง ๆ เมื่อทําหนาที่จึงเกิดอาการขันธโดยลําดับ ทุก สิ่งที่ เรียกวา เป น ธาตุ มี รออยู เป น พื้ น ฐาน พอทํ าหน าที่ ก็ ก ลาย เปนขันธ : พอมีตาเห็นรูป วิญ ญาณธาตุเกิดเปนวิญ ญาขันธ, รางกายนี้ก็กลาย เป น รู ป ขั น ธ ขึ้ น มาประกอบกั น . เพราะว าตาก็ เป น รูป อั น หนึ่ ง ก็ อ าศั ยวิ ญ ญาณธาตุ ทางตา และประกอบเข ากั บรูปธาตุ ข างนอก ก็ เกิ ดเป นความเห็ นทางตา และสั ญญาธาตุ ที่ ยั งเป นสั ญญาธาตุ จะลุ กขึ้ นมากลายเป นสั ญญาขั นธ ทํ าหน าที่ รูสึ กได วา มั นรูปอะไร ดวยความจําหรือดวยความรูสึกอะไรก็ตาม สัญญาธาตุเลยกลายเปนสัญญาขันธ.

www.buddhadasa.info ที นี้ รู สึ กได ว า มั นเป นของเย็ น ของร อน ของอะไรก็ แล วแต ว า จะเห็ นได , สวยหรือไมสวยอยางนี้ และเรียกวา เวทนาธาตุก็กลายเปนเวทนาขันธขึ้นมา. ถามี ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเกิดขึ้น สังขารธาตุก็กลายเปนสังขารขันธขึ้นมา.

สรุ ป ความว า ธาตุ ทั้ ง ๕ ซึ่ งมี พ ร อ มอยู เสมอ คื อ รู ป ธาต เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ วิญญาณธาตุนี้ เดี๋ยวนี้ก็ไดกลายเปนขันธทั้ง ๕ ขึ้นมา ในชั่ว ขณะที่ตา เปนตน กระทบรูปขางนอก เปนตน และมีการปรุงแตงกันขึ้นเปนขันธ


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

๔๙

ทั้ ง ๕ ชั่ วเวลานี้ เท านั้ น . ถ าไม ทํ าหน าที่ อ ย างนี้ ก็ ก ลายเป น ธาตุ ต ามเดิ ม , อยู เป น ธาตุ ไปตามเดิ ม . ฉะนั้ น เราจึ งได ห มวดแรก เป น รูป ธาตุ เวทนาธาตุ สั ญ ญธาตุ สังขารธาตุ วิญ ญาณธาตุ ๕ ธาตุ; พอทํ าหน าที่ ก็จะกลายเปน ขัน ธ : รูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ วิญญาขันธ ๕ ขันธขึ้นมา. ตอนที่ เป นขันธ นี้ ยั งไม ถื อวาเป นทุ กข ; จะเป นทุ กข ต องเป นในกรณี ที่ มี อ วิ ช ชา-ความหลง ความไม รูจ ริงเข า ไปผสมด วย. เมื่ อ มี อ วิช ชาความคิ ด อั น เป น สังขารขันธก็เกิ ดคิ ดปรุงแต งเป นอุ ปาทาน ยึ ดมั่ นวา เราเห็ นแล ว, เราเห็ น, เราเห็ นสวย, เราอยากจะได ; มั น ก็ เลยกลายเป น : รู ปู ป าทานั ก ขั น ธ -รู ป ขั น ธ ที่ ถู ก ยึ ด มั่ น ด ว ย อุ ป าทาน, เวทนู ป าทานนั ก ขั น ธ -เวทนาขั น ธ ที่ ถู ก ยึ ด มั่ น โดยอุ ป าทาน,สั ญ ญาขั น ธ กลายเป น สั ญ ู ป าทานั ก ขั น ธ - สั ญ ญาขั น ธ ซึ่ งถู ก ยึ ด มั่ น โดยอปาทาน, แม แ ต สังขารขันธ ก็กลายเปนสังขารูปาทานักขันธ, วิญญาณกลายเปนวิญญาณูปาทานักขันธ.

ธาตุปรุงเปนเรื่องอื่น ๆ ไดอีก ๓ ชุด

www.buddhadasa.info เมื่อธาตุทําหนาที่ตาง ๆ นี้ ก็เลยไดปญจุปาทานักขันธ ๕ คือขันธที่มีอุปาทาน ๕ ขึ้ น มา;ซึ่ ง กล า วได เป น ๓ ชุ ด : ชุ ด แรกเป น เพี ย งธาตุ ๕, ชุ ด ที่ ๒ เป น เพี ย ง ขันธ ๕, ชุดที่ ๓ เปนอุปาทานขันธ ๕ เปนขันธที่มีอุปาทาน.

เมื่อยังเปนธาตุ : รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ ฯลฯ ดูเหมือนกับ วามันยังนอนอยูนิ่ง ๆตามธรรมชาติ พรอมอยูตามธรรมชาติ, หรือวาเมื่อมีเหตุ ปจจัย ก็เป นสักวาธาตุอยูอยางนั้นแหละ ไมปรุงอะไรกอน; จะกวาจะทําหนาที่อายตนะ ธรรมขางนอก ขางใน ธาตุขางนอกกับธาตุขางใน ในรูปของอายตนะ ๖ เกิดสัมผัส


๕๐

ปรมัตถสภาวธรรม

กันเขา ก็กลายสภาพ จากธาตุเปนขันธขึ้นมา เปนรูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ วิญญาขันธ. ถาโงดวยอวิชชา ก็กลายเปน อุปาทานนักขันธขึ้นมา : รูปที่ถูกยึดมั่น ถือ มั่น วา กูห รือ ของกูก็ได. เวทนาจะถูก ยึด มั่น วากูห รือ ของกูก็ได. สัญ ญานี ่ก็ ไม ใ ช เ ล น สํ า คั ญ นั ก คื อ รู สึ ก นึ ก คิ ด อะไรได นี้ จํ า อะไรได นี้ ; ยึ ด ว า กู นี่ ถ า ไม มี กู ทํ าไมจะจําได รูสึกได จึงยึ ดสั ญ ญาวากู วาของกู อะไรกั นขึ้นมา. สั งขารเป นตั ว ผู ค ิด นี ้ก ็ยิ ่ง ไปใหญเลย มัน คิด ไดนี ่ ทํ า ไมจะวา ไมใ ชต ัว ตน; มัน ก็เปน กูค ิด อยู นี่ ก็เกิดสั งขารที่เป น สั งขารูปทานนั กขันธ ขึ้นมา ในวิญ ญาณที่ รูแจ ง ทางตาเป นต น รวมทั้งทางหู ทางอื่นดวย; นี่ก็ควรจะเปนตัวกูอีกเหมือนกัน กูเห็นนี่. ขอใหจํา ๓ ชุดนี้ไวใหดี ๆ วาที่เปนเพียงสักวาธาตุ ตามธรรมชาตินั้น เดี๋ยวนี้ไดกลายเปนขันธ และจากนั้นก็จะกลายเปนอุปาทานนักขันธ.

รูจักธาตุทั้ง ๕ ไวเพื่อศึกษาเกี่ยวกับเรื่องดับทุกข

www.buddhadasa.info ธาตุใหญ ๆ ที่จะเปนปญหา สําหรับการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องทุกข เรื่องดับ ทุกข นี้จะตองถือเอา ๕ ธาตุ นี้แหละเปนหลัก : รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สั งขารธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ ก อน; แล วมั นก็ อยู ตามหน าที่ เช นว า วิ ญ ญาณธาตุ ก็ จะ ทํ าหน าที่ เป นวิญญาณขั นธ โดยทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางใจนี้ แหละ. หรือวา รูปขางนอก เสียงขางนอก กลิ่นขางนอกที่มันเปนเพียงสักวาธาตุ มันก็ จะเขามาสัมผัสกับขางใน และก็ปรุงใหเปนสัมผัสเปนวิญญาณ เกิดเวทนาอะไรได.

พึงสําเหนียกวาทุกอยางเปนเพียงสักวา “ธาตุ” นี่แหละขอใหมองดูวา โดยหลักสวนใหญนั้น มันก็เปนเพียงสักวาธาตุ ไปทั้งนั้น; พูดอยางธรรมดาสามัญ ก็วา กายนี่มันก็เปนรูปธาตุ ที่ประกอบอยูดวย


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

๕๑

ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อะไร ๆ อี กหลาย ๆ ธาตุ . ความรูสึ กนึ กคิ ด ของเราก็ เป น ธาตุ ทางฝ ายนามธรรมทางจิ ต ซึ่ งมั นมี ความสามารถ มี คุ ณ สมบั ติ ของมั นอย างนั้ นเอง, ตามประสาของสิ่ งที่ เป นนามธาตุ หรือจิ ตตธาตุ หรือวิ ญ ญาณธาตุ ก็ ตาม; ไม อย างนั้ น ก็ไม เรียกวา จิ ตตธาตุ หรือนามธาตุ . ยิ่ งเป นความคิ ด นึ ก รูสึ ก ความจํ า ความ เห็นแจง ทางตา หู จมูก ก็เรียกวาธาตุทั้งนั้นเลย ไมมีอะไร ที่จะไมถูกเรียกวา เปนธาตุ.

หมั่นพิจารณาใหรูจักธาตุ เหมือนดังภิกษุสวดปจจเวกขณ ขอให พิ จารณาดู อยู เสมอ ที่ เรี ยกว า ธาตุ ป จจเวกขณ ; โดยเฉพาะ ภิ กษุ สามเณ ร ที ่พ ิจ ารณ าวา จีว รและผู ใ ชส อยจีว ร เปน สัก วา ธาตุ ไมใ ชต ัว ตน. อาหารบิณ ฑบาตและผู บ ริโ ภค ก็เ ปน สัก วา ธาตุ ไมใ ชต ัว ตน. ที ่อ ยู อ าศัย และผู อยู อาศั ย ก็ สั กว าธาตุ ไม ใช ตั วตน. หยู กยาและคนเจ็ บไข ที่ กิ นเข าไป หลาย ๆ อย าง ก็สักวา ธาตุ ไมใชตัวตน.

www.buddhadasa.info ที นี้ ไม เฉพาะแต ภิ ก ษุ สามเณร แม แ ต ช าวบ า น ก็ ต อ งมี เครื่ อ งนุ ง ห ม มี อ าหาร มี ที่ อ ยู อ าศั ย เมื่ อ มี ก ารเจ็ บ ไข ต อ งใช ห ยู ก ยา ก็ ใ ห รู แ ต ว า เป น เพี ย งสั ก วาธาตุ เปนไปตามเหตุ ตามปจจัยของธรรมชาติ ก็ไมมีตัว ที่จะเปนตัวกู-ของกู แล ว ก็ จ ะไม เกิ ด ความโลภ ความโกรธ ความหลงไปได . ฉะนั้ น การพิ จ ารณาเห็ น เป น สั ก ว า ธาตุ ไม ใช สั ต ว บุ ค คล นี้ เป น หลั ก ธรรมชั้ น สู ง สุ ด ในพุ ท ธศาสนา; แต เรื่ อ ง เชนนี้ไมนาสนใจหรืออยางไร จึงไมคอยมีใครสนใจกัน.

เรื่องธาตุ เป นเรื่องไม สนุ กสนานที่ จะไปสนใจ เพราะไปสนุ กสนานที่ จะมี ตั วกู -ของกู ยึ ดมั่ นถื อมั่ น สนุ กสนานไปด วยกิ เลส ก็ เลยไม สนใจที่ จะพิ จารณาเรื่องธาตุ ; เรื่องธาตุก็เลยเปนหมัน ไมเปนประโยชนอะไร แมแกพุทธบริษัทตามสมควรที่จะเปน.


๕๒

ปรมัตถสภาวธรรม

ที นี้ มั นยิ่ งกวานั้ นก็ คื อวา ถ าใครเกิ ดอยากจะสนใจขึ้นมาบ าง ก็ ไม รูจะสนใจอยางไร, ไม รู จะไปเรี ย นที่ ไหน, ธาตุ มี ลั ก ษณะอย างไรก็ ไม ท ราบ, และก็ ยั งจะพู ด กั น มาบางอย าง ผิดพลาด ไมตรงตามที่พระพุทธเจาตรัสไวก็มี เปนเสียอยางนี้. ถ า พู ด ดั ง เช น ว า ปฐวี ธ าตุ ชี้ ไ ปที่ ดิ น , อาโปธาตุ ชี้ ไ ปที่ น้ํ า , อย า งนี้ มั นลวก ๆ หรือวามั นคราว ๆ เกิ นไป. ต องดู ให รู วาแม แต ในดิ นมั นก็ มี ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม, แม แ ต ในน้ํ า มั น ก็ มี ธ าตุ ดิ น ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม; แม แ ต ในลมมั น ก็ มี ธ าตุ ดิ น ธาตุ ไ ฟและธาตุ น้ํ า อย า งนี้ เป น ต น ; อย า งที่ ย กตั ว อย า งให ดู แ ล ว เราหายใจออก มาครั้งหนึ่ง ก็ยังประกอบดวยธาตุทุกธาตุ.

พิจารณาดูสวนประกอบของสิ่งที่มีชีวิต จะเห็นคุณลักษณะของธาตุ เราดู ค นต อ งดู ให ห มด : ผม ขน เล็ บ ฟ น หนั ง เนื้ อ เอ็ น กระดู ก เยื่ อ ในกระดูก กระทั่งตับ ไต ไส พุ ง อะไรตาง ๆ แตละสวน ๆ จะประกอบอยูดวยธาตุ ทั้ ง ๔. ที่ เป น ของเหลว เช น น้ํ า เลื อ ด น้ํ า หนอง น้ํ า ตา น้ํ า มู ก น้ํ า ลาย น้ํ า เหงื่ อ อะไรก็ต าม ก็ลว นแตป ระกอบดว ยธาตุทั้ง ๔ ทั้งนั้น , หรือ แมแตวา ความอุน ที่ เป น ธาตุ ไฟนี้ มั น ก็ มี ธ าตุ ทั้ ง ๔ อยู ได ; ไม มี อ ะไรที่ จ ะขาดจากธาตุ ทั้ ง ๔ แล ว มัน จะทรงอยู ไ ด. ใหเ ราพิจ ารณาอยา งนี ้ ใหถ ูก ยิ ่ง ขึ ้น กวา เดิม ; แมผ มเสน หนึ ่ง ก็ ประกอบด วยธาตุ ทั้ ง ๔. พิ จารณาอย างนี้ ซึ่ งไม คอ ยจะได คิ ดกั นนั ก ให เห็ นชั ดว าธาตุ ทั้ง ๔ เปนรากฐานของทุกสิ่ง ที่มีรูปมีรางเสียกอน.

www.buddhadasa.info พิจารณาอีกวิธีหนึ่งจะเห็นธาตุในวนที่เปนนามกับรูป ยังมี รูปธาตุ ชนิ ดที่ วาดู เห็ นไม ได ด วยตา แต รูสึกได โดยความรูสึกทางอื่ น ก็มี มันก็ยังมีอีกหลายธาตุ. เราจับกลุมใหเปนธาตุไปเสียเปนสองสวน สวนหนึ่ง


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

๕๓

เรี ยกว ารู ป : เป นของมี รู ปร าง, สั มผั สได โดย ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย นี้ . อี กส วนหนึ่ ง เป นนาม เป นจิ ต, สั มผั สไม ได โดยตา หู จมู ก ลิ้ น กาย โดยตรง; แต สั มผั สด วยจิ ต คื อ มโนธาตุ หรื อ จิ ต ตธาตุ :สิ่ งใดที่ รู ได ด ว ยจิ ต ด ว ยมโนธาตุ สิ่ ง นั้ น เรี ย กว า ธรรม หรือธัมมารมณ.

ธาตุรูปกับธาตุนามทําหนาที่แลวปรุงเปนธาตุอื่นอีก ตาคู กั บ รู ป หู คู กั บ เสี ย ง จมู ก คู กั บ กลิ่ น , ลิ้ น คู กั บ รส กายคู กั บ สิ่ ง ที่ มาสั ม ผั ส ผิ ว หนั ง มโน - ใจ คู กั บ สิ่ ง ที่ ม ารู สึ ก ได ท างจิ ต ใจ; สองฝ า ย ๆ ละ ๖ ก็ เป น ๑๒ เรี ย กว า เป น ธาตุ ก็ เป น ๑๒ ธาตุ . ๖คู อ ย า งนี้ ก็ เป น การแบ ง เสี ย ที ห นึ่ ง ว า ธาตุข า งใน ตา หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ และธาตุข า งนอก รูป เสีย ง กลิ ่น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ; พอมาพบกั น เข า ก็ ป รุ ง แต ง เป น พวกมโนธาตุ วิ ญ ญาณ ธาตุอะไรขึ้นมา, กระทั่งเปนเวทนาบาง เปนสัญญาบาง เปนสังขารบาง เปนวิญญาณเองบาง. ไม มี อะไรเลยที่ จะไม เกี่ ยวกั บธาตุ ; แม แตแสงสวางที่ เราเห็ นไดด วยตา, แสงแดดที่ มากระทบตา ก็ เป นธาตุ ชนิ ดหนึ่ งที่ ต องสมทบเอาไว ในรู ปธาตุ ที่ จะเห็ นได ด วยจั กษุ . นี่ เรี ยกว าแม สิ่ งที่ ไม ได มาเกี่ ยวข อ งกั บคนที่ มี ชี วิ ตอยู โดยตรง, แม เป นสิ่ งที่ ไม มี ชี วิ ต , เป น วั ต ถุ ก็ ล ว นแต เป น ธาตุ , และเป น ธาตุ ที่ เห็ น ง า ย ที่ เรี ย กว า มั น ยั งไม มี ค า อะไรทางความรู สึ ก เช น เป น ไม เป น ดิ น เป น หิ น เป น ภู เขา อะไรพวกนี้ มั น ก็ ยั งเป นธาตุ ; แต ธาตุ วั ตถุ นั้ น ๆ ไม มี ความหมาย ไม มี ป ญ หาอะไรเกี่ ยวกั บ ความทุ กข หรือดับทุกข.

www.buddhadasa.info คนมีปญหา เรื่องดับทุกข จึงตองพิจารณาธาตุที่เกี่ยวกับจิตกอน เดี๋ ยวนี้ เราจะพู ดกั นเกี่ ยวกั บส วนที่ เกี่ ยวกั บจิ ตใจก อน สิ่ งที่ มี จิ ตใจและมี ความ รูสึก จึงจะมีปญหาเกี่ยวกับความทุกข หรือดับทุกข. เหมือนดังบาลีที่พระสวด


๕๔

ปรมัตถสภาวธรรม

เมื่อกี้นี้วา : สําหรับสัตวซึ่งมีความรูสึกตอเวทนาอยู เราตถาคตจึงจะบัญญั ติทุกข เปนอยางนี้ ๆ, เหตุใหเกิดทุกขเปนอยางนี้ ๆ, ความดับทุกขเปนอยางนี้ ๆ, ทางให ถึ งความดั บทุ กข เป นอย างนี้ ๆ. แปลวาเรื่องนี้ พู ดกั นได กั บสิ่ งที่ มี ชี วิต ซึ่ งมี ความรูสึ ก เกี่ ย วกั บ เวทนาอยู ; ถ า ไม รู สึ ก ก็ พู ด ไม รู เ รื่ อ ง. เป น อั น ว า เรื่ อ งนี้ เ ป น เรื่ อ งจะพู ด สําหรับคนที่มีชีวิต รูสึกคิดนึกได. สิ่งมีชีวิตที่เปนสัตวนั้น ก็มีธาตุในลักษณะเดียวกับคน แตมันยังไมได เป นป ญหา. ให รูไววาสั ตวก็มี เรื่องหลั กเกณฑ อยางสิ่งที่ มี ชีวิต และเป นธาตุ เหมื อน ๆ กั น แต ยั งไม เป นป ญหา เพราะยังไม ใช คน ที่ จะเกิ ดความรูสึ กอย างคน; เวนไวแต จะศึ กษา ให มากออกไป. เรารูวาสั ตวเหมื อนกั นกั บคน แต มั นอยู ในระดั บที่ ต่ํ ากวา ยั งอ อนกวา ยังดิบ ๆ อยู ไมรุงเรือง ไมรูสึกเหมือนกับคน. สิ่งมีชีวิตที่เปนตนไม ที่เราถือวาไมมีวิญญาณมาแตเดิมนั้น ถาดูใหดีมันก็มี ความรูสึ ก มี หลั กเกณฑ อย างเดี ยวกั บสิ่ งที่ มี ชี วิตทั้ งหลาย; แต วามั นยั งต่ํ ามาก มั นยั ง ไม แ สดงชั ด . คนเราเลยไปถื อ ว าไม มี วิ ญ ญาณ ไม มี อ ะไร; ที่ แ ท มั น ก็ มี ห ลั ก เกณฑ อยางเดียวกัน ที่จะมีความรูสึก แมกระทั่งวา ตองดิ้นรนตอสูเพื่อจะใหรอดอยู.

www.buddhadasa.info ทุกสิ่งเปนธาตุ แตระวังจะสับสนที่คําพูด

ทีนี้ ดูตอไปอีกหนอยหนึ่งวา สิ่งที่จะทําใหสับสน ฟงไมคอยรูเรื่อง เข าใจไม ได ทั น ที ในขณะที่ ได ยิ น นี้ ก็ ยั งมี อ ยู . นี้ คื อ คํ า พู ด ที่ ไม ค อ ยจะแน น อน : บางที ในพระพุ ท ธภาษิ ต นั่ น เอง ตรั ส เรี ย กสิ่ งที่ เป น ธาตุ นั้ น ธาตุ นี้ ; แต ไม ได ต รั ส ใช คํ า ว า ธาตุ ; เช น คํ า ว า รู ป อรู ป นิ โ รธ นี้ บ า ง. ที่ ต รั ส ถึ ง ธาตุ หมายถึ ง ที่ เป น ธาตุ โดยไมไดต รัส วา รูป ธาตุ อรูป ธาตุ นิโ รธธาตุ ก็มี; แตที่แ ทก็คือ ธาตุ เปน รูป ธาตุ อรูป ธาตุ นิโ รธาตุ. เมื ่อ อา นแตห นัง สือ ก็ไ มรู เ รื ่อ งอยา งนี ้, ไมรู จ ริง ขอนี้, แลวก็จะสับสนไปหมด วานี้เปนอะไร เปนธาตุหรือไม?


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

๕๕

บางที เราพู ด กั น ว า ดิ น น้ํ า ลม ไฟ เราไม ถื อ ว า เป น ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ล ม ธาตุ ไ ฟ ก็ มี ; แต มั น ก็ ห มายถึ ง ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไ ฟ ธาตุ ล ม. เพราะ ถึ งแม จะหมายถึ งดิ น น้ํ า ไฟ ลม หรือเป นสิ่ งปรากฏอยู อย างนี้ ก็ หมายถึ งส วนที่ เป นธาตุ มี คุ ณสมบั ติ ที่ เป นธาตุ รวมกั นในสิ่ งนั้ นนั่ นแหละ. ขอให ทราบไว ด วยว าคํ าว า “ธาตุ ” นี้ บางทีก ็พ ูด ถึง ตอ ทา ยชื ่อ นั ้น ๆ, บางทีก ็ไ มพ ูด ถึง คํ า วา ธาตุ; อยา งไรก็ด ีข อให เขาใจวา ทุกสิ่งเปนธาตุหนึ่ง ๆ. ที นี้ ยั ง มี ธ าตุ ที่ เจื อ กั น จะบริ สุ ท ธิ์ ห รื อ ไม บ ริ สุ ท ธิ์ , เป น ธาตุ เดี ย ว หรื อ หลายธาตุ เจื อ กั น ก็ มี .ธาตุ บ ริสุ ท ธิ์ ในที่ นี้ เราจะให คํ า วา ไม มี ธ าตุ อื่ น เจื อ , ยั งไม มี ธาตุ อื่ น เจื อ ; เป น วั ต ถุ ธ าตุ ล ว น ๆ สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง ยั ง ไม มี ธ าตุ อื่ น เจื อ . ธาตุ บ ริ สุ ท ธิ์ นั้ น ๆ เมื่ อไม มี สิ่ งอื่ นเจื อ นี้ หมายความว า ไม มี การปรุ งแต ง เป นสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ งขึ้ นมา. ฉะนั ้น ในการที ่ ธาตุจ ะเจือ กัน จะสัม พัน ธั ์ก ัน จะปรุง แตง กัน เปน ของที่ ต อ งมี แ น น อน; ไม อ ย า งนั้ น เรื่ อ งก็ ค งไม มี แม ก ระทั่ ง ชี วิ ต มั น ก็ จ ะไม เกิ ด อย า งนี้ เป น ต น . อย างหลั ก ในพระพุ ท ธภาษิ ต ที่ พ ระสวดเป น บทแรก ดั งได บ รรยายไปแล ว ในคราวกอนนั้นแหละ.

www.buddhadasa.info ธาตุตาง ๆ ยอมเจือและปรุงแตงเปนอยางอื่นอีกมาก

โดยสวนใหญแลวคน ๆ หนึ่งประกอบดวยธาตุ ๖ คือปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิ ญญาณธาตุ ; นี่ ดู กั นแต หยาบ ๆ คื อมี ตั้ งแต ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุลม ธาตุ ไฟ ธาตุ อากาส ธาตุ วิญญาณ ในหนึ่ งคนก็มี ธาตุ ๖. ถ าธาตุ นั้ น ๆ แยกกันอยู แตละอัน แตละธาตุ ๆ คนก็เกิดขึ้นไมได, สิ่งที่เรียกวาคนก็เกิดขึ้นไมได. แต เมื่ อธาตุ มารวมกั น ทํ าหน าที่ ด วยกั น ก็ จะเกิ ดคน, เกิ ดสิ่ งที่ เรี ยกว า “คน” ขึ้ นมา; ครั้นแยกเปนธาตุ ก็กลายเป นธาตุ แตละอยางไป, ถาทําหนาที่รวมกันก็เป นของใหม ขึ้นมาสิ่งหนึ่ง ซึ่งสมมติเรียกวาคน หรือวาสัตวก็แลวแตจะเรียก.


ปรมัตถสภาวธรรม

๕๖

นี่จะเห็นวาแมแตเรียกวาธาตุหนึ่งแลว ก็ยังประกอบดวยสวนอื่นอีกหลาย ธาตุ , และมั น ยั งมี ก ารแบ ง ออกเป น กุ ศ ลธาตุ อกุ ศ ลธาตุ คื อ ธาตุ ที่ ดี ธาตุ ที่ ไม ดี อยางนั้น อยางนี้ ยังมีอีก.

ธาตุที่เจืออยูดวยอวิชชาธาตุก็มีอยู นี่คงจะแปลกสําหรับคนทั่วไป ที่พระพุ ทธเจาท านตรัสวา : อวิชชาธาตุ ก็ มี อ ยู , ใจก็ มี อ ยู , ธั ม มารมณ ทั้ ง หลายที่ ใจจะรู สึ ก ก็ มี อ ยู . นี่ แ สดงว า อวิ ช ชาธาตุ ก็มีอยู คําพูดนี้เปนพระพุทธภาษิต ที่เปนหลักโดยตรง และสําคัญที่ควรจะทราบ. ทีนี้พระพุทธเจาทานมองไป ในทางที่จะเกิดกุศลขึ้นมา ก็มาตรัสเทศน ใหฟงวา : ใจหรือมโนนี้ก็มีอ ยูธาตุหนึ่ง เรียกวา มโนธาตุ, สิ่งตาง ๆ ที่ใจจะ รูสึกได ก็มีอยูเรียกวาธัมมารมณหรือธัมมธาตุ, และยังแถมมีสิ่งที่ ๓ คืออวิชชาธาตุ. ถ าอวิชชาธาตุ เข ามาปนเข ากั บใจ และธั มมารมณ แล ว ความรูสึ กนึ กคิ ดที่ เป นอกุ ศล, เป นอวิ ชชาโดยตรงนี้ ก็ เกิ ดขึ้ น; เพราะมั นเป นอวิ ชชา มั นไม รู. ฉะนั้ น สิ่ งที่ เรียกว า อวิชชาธาตุนั้น เปนสิ่งที่มีอยูตามธรรมชาติ เหมือนกับธาตุอื่น ๆเหมือนกัน, และก็ พรอมทีจะพลัดเขามาปรุงอยูในจิตใจ ในเมื่อไดโอกาส.

www.buddhadasa.info ถาสัตวนั้น ๆ ไมเคยรูจักโทษของอวิชชามากอน ไมเคยถูกมากอน ยัง เผลอสติ อยู อวิชชาธาตุ ก็จะเขาผสมเขาไปในขณะที่ ปรุงแต ง : เชน ตาเห็ นรูป เป นต น, จะมี การปรุงแต งทางจิ ต แล วก็ เผลอสติ เป นช องให อวิชชาธาตุ เข าไปผสมกั นพอดี ทํ า ใหเปนอกุศลและเปนทุกข. ขอให รูจั ก ระวั งอวิ ช ชาธาตุ คล า ยกั บ ว า ผี ป ศ าจอั น หนึ่ ง ซึ่ งมี อ ยู ใ น ทุกหนทุกแหง; เผลอไมได, ไมมีสติ ไมมีความรู ไมมีปญญา เปนไมได;


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

๕๗

ถาเผลอ อวิชชาธาตุจะเขามาผสมความคิด หรือการกระทําอันนั้น ใหมันเกิดทุกขขึ้นมา จนได. ยกตัว อยา งเชน เด็ก เล็ก ๆ เกิด ขึ้น มาใหม ไมรูเรื่อ งอะไร ไมรูจัก อะไร ก็เ รีย กวา ยัง ไมม ีว ิช ชา; พอพบเห็น ไฟเปน สิ ่ง ที ่น า สนใจ ก็เ อามือ ไปขยํ า ไฟดู ไปจั บไฟดู เด็ กก็ มี ความรูเกิ ดขึ้ นมาทั นที . ที แรกไม มี ค วามรู มี แต อวิ ชชา : ลู กตา เห็ นไฟ มโนธาตุ ที่ จะทํ าให สั กแต ว ามองเห็ น ก็ มี , ธั ม มารมณ ก็ มี , ก็ ไปจั บ เอาไฟเข า เพราะมันมีอวิชชา ไมรู เขามาชวยดวย. ทีนี้ พอถูกไฟเขาทีหนึ่งมือพองก็เกิดวิชชาขึ้นมา เปนความรูวา สิ่งชนิดนี้ มัน รอ น หรือ มัน เปน อยา งนี ้, จะเรีย กวา มัน เปน อะไรก็ไ มรู ; แลว สัญ ญามัน ก็ ช วยจํ าไว . ครั้งที่ สองพอมาเห็ นไฟอย างนี้ ก็ ไม จั บแล ว นี่ ก็ คื อมั นไม มี โอกาส แห ง อวิชชาชนิดนั้นแลว. เมื่อมีวิชชาเขามาแทนแลว ก็มีปญ ญา มีความรู มีสัญ ญา มี ความจํ า วาอย างนี้ ไปจับเขาไม ได . แม แต สั ตวเดรัจฉาน ที แรกก็ ยั งเป นอย างที่ ไม รู อะไร; อย า ว า แต ค น ซึ่ ง เด็ ก ๆ ยั ง ไม มี ค วามรู ใ นเรื่ อ งอะไร; ก็ ทํ า ไปโดยอวิ ช ชา เกี่ ย วกั บ เรื่ อ งนั้ น . พอถู ก เข าเป น อย างนั้ น อย างนี้ ทํ า ให ค อ ย ๆ จํ าได และก็ รู เอง ที่เปนความเจ็บความปวดก็คอย ๆ รูจัก และไมทําอีกตอไป.

www.buddhadasa.info ถาเผลอ อวิชชาธาตุจะเขาผสมปรุงแตจิตทันที

อวิชชาจะเขาผสมหรือไม, นี้มันเหลืออยูแตวา จะเผลอหรือไมเผลอ; ถ าเผลอเป น เรื่อ งของไม มี ส ติ เป น เรื่อ งประมาท เป น เรื่ อ งไม มี ส ติ : เช น ทั้ งที่ รูอ ยู ว า รอนก็ยังเผลอไปจับเขา นี่เปนเรื่องขาดสติ.

ตัวอยางดังกลาวมาขางตนจะเห็นวา อวิชชาธาตุนี่พรอมเสมอที่จะผสม เขาไปในการปรุงแตงทางจิตไมวาในกรณีใด ตั้งแตลูกทารกเด็ก ๆ ขึ้นมา เปนเด็ก เดินได เปนวัยรุน เปนหนุมสาว เปนพอบานแมเรือน คนเฒา คนแก; ลวนแตมีอวิชชา


๕๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ซึ่ ง พร อ มที่ จ ะเข า ไปผสมโรง แทรกแซงในทุ ก กรณี . ต อ เมื่ อ เจ็ บ ปวดเป น ทุ ก ข ขึ้ น มา ที ห นึ่ ง ก็ จ ะรู จั ก เข็ ด หลาบ คอยระวั ง ไว ; ไม เ ผลอก็ แ ล ว ไป ถ า เผลอก็ ม าอี ก สั ก สองสามหน แลวก็ไมเผลออีกในเรื่องนั้น. ทีนี้ ยังมีปญหาเหลือในเรื่องธาตุที่ปรุงเปนกิเลส ซึ่งระวังยาก เขาในยาก. ไฟคื อกิ เลสนี่ เราจั บกั นแล วจั บกั นอี ก; กิ เลสไม เหมื อนอย างถ านไฟแดง ๆ ซึ่ งเหยี ย บที ห นึ่ งแล วก็ ไม เหยี ย บอี ก . เรื่ อ งทางกายทางวั ต ถุ นั้ น เห็ น ง าย; แต เรื่ อ งทาง จิ ตในนี้ เห็ นยาก เพราะจิ ตมี ความไว ควบคุ มยาก และเป นเรื่องลึ กซึ้ งขึ้ นไปทุ กที , ลึ กซึ้ ง ยิ่ งขึ้ นไปทุ กที . เรื่องงาย ๆ ต่ํ า ๆ เราค อย ๆ รูโดยลํ าดั บ แล วฉลาดเข าไปทุ กที ; ค นไป ๆ ๆ เมื่อคนเขาไป ติดในชั้นลึก ๆ จึงจะรูวาเขาใจยาก ดังเชนวา : ทํ า ไมเราจึ ง ควบคุ ม ความโลภ ความรั ก ความอะไรไม ไ ด ? ทํ า ไม ควบคุม ความโกรธ หรือ บัน ดาลโทสะก็ไ มไ ด, กระทั ่ง วา ทํ า ไมควบคุม ความโง ก็ไมได? นี่เปนปญ หายากอยางนี้; ก็เพราะวามันมีธาตุชนิดที่ละเอียด ๆ ไปตาม ลําดับ ; แมแตความโง ก็ยังมีอยางหยาบ อยางกลาง อยางละเอียด.

www.buddhadasa.info ปญหาที่ควบคุมกิเลสไมได เพราะรูจักธาตุไมเพียงพอ

นี่เปนปญหาที่คนเราจักตองรู วาสิ่งที่ เรียกวาธาตุ - ธาตุนั้นมันมีอยู หลายชั้ น มี อ ยู ห ลายอย าง, พรอ มกั น นั้ น ยั งเจื อ ปนกั น ให ยุ งไปหมด แทบจะสางไม ออกวา มันเปนเรื่องของธาตุอะไร. ทีนี้ดูใหดีวา ยังมีความยากลําบากที่ทําใหเขาใจ เรื่ อ งธาตุ นี้ ไ ม ไ ด อ ยู อี ก หลายอย า ง; สํ า หรั บ พุ ท ธบริ ษั ท เรานี่ แ หละ ก็ นั บ ว า ยั ง ไม เคยได ยิ น ชื่ อ ธาตุ บ างธาตุ ที่ มี อ ยู แม ใ นพระไตป ฎ ก. พู ด อย า งนี้ ไ ม ใ ช จ ะตํ า หนิ ติ เตี ย น หรื อ ว าจะโยนความผิ ด ไปให ใคร; แต ป รากฏชั ด อยู ว า แม พุ ท ธบริ ษั ท เรานี่ ก็ไมรูจักธาตุทุกธาตุ ไมเคยไดยินเรื่องธาตุบางธาตุ แมที่มีอยูในพระไตรปฎก.


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

๕๙

ตองศึกษาชื่อของธาตุที่ควรรูไวบาง ธาตุ มี ชื่ อ เรี ย กต า ง ๆ กั น เช น สั ง ขตธาตุ อสั ง ขตธาตุ ก็ ยั ง ยากที่ จ ะรู . รู ป ธาตุ เวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ สั ง ขารธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ ก็ ยั ง ยากที่ จ ะได ยิ น . ธาตุ ที่ ลึ ก ยิ่ ง ไปกว า นั้ น อี ก เช น กุ ศ ลธาตุ อกุ ศ ลธาตุ ก็ ไ ม เ คยรู ; เพราะเคยได ยิ น แตก ุศ ลธรรม อกุศ ลธรรม; ไมเ คยไดย นิว า กุศ ลธาตุ อกุศ ลธาตุ. แมธ าตุที ่จ ริง เป นสั จจธาตุ อมุ สาธาตุ นี้ ก็ จะไม เคยได ยิ น คื อธาตุ ที่ ไม เคยโกหก ซึ่ งหมายถึ งอสั งขตะ หมายถึ งนิ พพานเท านั้ นแหละที่ จะเป นอมุ สาธาตุ , ธาตุ นอกนั้ นเป นมุ สาธาตุ ซึ่ งหลอก ลวงเปลี่ยนแปลง ไมเที่ยงไมแนนอน. เราอาจพู ด ได แม ว า ธาตุ อ บาย ธาตุ ส วรรค หรื อ ธาตุ สั ต ว เดรั จ ฉาน; พู ด ได อ ย างนี้ เพราะว ามี ธาตุ ช นิ ด หนึ่ ง หรื อ สิ่ งหนึ่ ง ที่ ทํ าให เกิ ด ความหมายเป น สั ต ว เดรั จ ฉาน หรื อ เป น สั ต ว ม นุ ษ ย หรื อ เป น อบาย หรื อ เป น สวรรค ขึ้ น มา. นี่ ก็ คื อ พวก กุศล พวกอกุศล พวกสังขตะ พวกอสังขตะ ความสุข ความทุ กขเหลานี้ก็เป นธาตุ คือเปนเวทนาธาตุ.

www.buddhadasa.info ที นี้ ธาตุ หนึ่ ง ๆ มี อยู อย างแท จริ ง; นี้ ก็ ยั งไม เคยเรี ยกว าธาตุ แต ไปเรี ยกเสี ย อย างอื่ นอย างนี้ มั นก็ ยิ่ งเข าในยาก; เพราะว าในธาตุ หนึ่ ง ๆ ในทางวั ตถุ ธรรมดาแท ๆ นี้ ก็ยังเรียกชื่อไดหลายอยาง ผู ที่เรียนวิทยาศาสตรแลวเขาจะยิ่งรู. ผูที่ เรียนวิทยาศาสตรอยาง ป จ จุ บั น ทางวั ต ถุ นี้ จ ะรู ดั ง เช น : ธาตุ ถ า น ที่ เรีย กว า คารบ อนเป น ธาตุ ห นึ่ ง แน เป น ธาตุแทธาตุหนึ่งแน; แตถามันอยูในลักษณะที่หลวมๆ มันก็เปนถานไฟ สําหรับ ติ ด ไฟหุ งข าว หรือ วาติ ด ไฟเพื่ อ อะไรก็ ได . แต วาถ ามั น อั ด ตั วกั น แน น ถึ งที่ สุ ด กลั บ เรีย กวาเพชร; คิดดู ถายังไมรูก็รูเสีย วาสิ่งที่ เรียกวาเพชร ซึ่งแพงนัก ที่ จ ริงก็ คื อ ถ านไฟ แต ว าอั ดกั นแน น จนแปรสภาพเป นอย างนั้ น. นี่ ถ าไม เคยเรียนวิ ทยาศาสตร ก็ไมเชื่อ และก็ไมรูวาเปนอะไรกัน; เพียงแตบอกใหรูวา ถานไฟก็คือ คารบอนบริสุทธิ์;


๖๐

ปรมัตถสภาวธรรม

เพชรนั้ น ก็ คื อ คาร บ อนหรื อ ธาตุ ถ า นที่ บ ริ สุ ท ธิ์ อย า งนี้ เป น ต น ; เท า นี้ ก็ ทํ า ให ง ง หรือวามันหลอก หรือเปนอวิชชา หนักมากอยูแลว. เคยถามพวกที่เขาเรียนวิทยาศาสตร เขาก็บอกวามันนาหัวเราะอยางนี้แหละ. น้ําตาลที่เรากินอยูนี้ ก็คือคารบอน ผสมกันไฮโดรเจน ลูกกลม ๆ เหม็น ๆ ใส ตู ห นั งสื อ กั น มด นั่ น ก็ คื อ คาร บ อนผสมกั บ ไฮโดรเจน มั น เป น ไฮโดรเจน กั บ คาร บ อนด ว ยกั น ทั้ ง นั้ น . อั น หนึ่ ง อยู ใ นสภาพ เป น น้ํ า ตาล กิ น ได อั น หนึ่ ง อยู ใ น สภาพที่เปนกอนขาวๆกลมๆ ใสตูยากันแมลง เหม็น กินไมลง เรื่องของธาตุนี้ ให ถือวา การผสมระหวางธาตุ นี่ ยั ก ย ายไปได , และ แม แต ธาตุ เดี ยว ถ าอยู ในสภาพไม เหมื อนกั น เช นแน น เช นหลวม เช นรอน เช นเย็ น ก็กลับเปนคนละอยาง ที่ ใหคุณสมบั ติต างกัน นี่ มันแลวแต วากําลังอยูในสภาพอยางไร ในเวลาอย า งไร, คื อ มั น มี เหตุ ผ ล ที่ ทํ า ให เป น อย า งไร มี อ ะไรเปลี่ ย นแปลงออกไป ก็เลยทําใหภาษาที่พูดนั้นสับสน.

www.buddhadasa.info เดี๋ยวนี้เราจะศึกษาใหเขาใจเรื่องธาตุ ก็ตองรู เชน : พวกหนึ่งมีธาตุดิน ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม. พวกหนึ่ งมี ธาตุ ตา ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ กาย ธาตุ ใจ. พวกหนึ่ งมี ธาตุ รูป ธาตุ เสี ยง ธาตุ ก ลิ่ น ธาตุ รส ยั งมี ธาตุ ที่ จะกล าวแยกได อี ก เช น : สีเขียว สีแดง นี้ก็เปนธาตุสี, เสียง เสียงนก เสียงกา เสียงอะไร มันก็เปนธาตุเสียง, กลิ่นตางๆ ก็เป นธาตุ กลิ่น ซึ่งมี บาลีเรียกชัดๆ ทั้งนั้น. รสเปรี้ยว รสเค็ม รสหวาน ที ่ถ ูก กับ ลิ ้น นี ่ ก็เ รีย กวา ธาตุ : ธาตุเค็ม ธาตุเปรี้ย ว ธาตุอ ะไร. แมสิ ่ง ที ่ม าถูก ผิวหนั ง เป นรอน เปนเย็น เปนแข็ง เป นนิ่มนวลอะไรพวกนี้ ก็เปนสภาวะที่เรียกวา ธาตุอยางหนึ่งๆ, ก็เปนอันวา ไมมีอะไรเลย ที่ไมใชธาตุ.


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

๖๑

www.buddhadasa.info


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

๖๑

ลองคิ ด ดู อ ะไรบ างที่ จ ะไม ใช ธ าตุ : ขี้ ฝุ น ตามพื้ น ดิ น ก็ เรี ย กว าธาตุ ชนิ ด หนึ่ ง, แล วมั น ก็ ป รุ งแต งเป น นั่ น เป น นี่ ได กระทั่ งดอกไม ใบไม ที่ เห็ น ๆ นี่ มั น ก็ มี ธาตุ อยู หลายธาตุ : มี ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ าธาตุ ไฟ ธาตุ ลม, กระทั่ งธาตุ สี ที่ ว าเป นอยู ในรูป ธาตุ ; ทุ กอย างไม มี อะไรที่ ไม ใช ธาตุ ที่ กล าวมานี้ คื อความมุ งหมายที่ จะบอกว า ไม มีอะไรที่ไมใชธาตุ การที่จะสรุปก็สรุปไดเปนหมวด ๆ แลวแตเราจะมีความมุงหมาย อย างไรกั นแน ; แต ที่ สรุปนั่ น ก็ สรุปไปตามลั กษณะอาการก็ มี , ตามหน าที่ การงานก็ มี ตามปจจัยที่ปรุงแตก็มี. ธาตุที ่ม ีป จ จัย ปรุง แตง ก็ห มายความวา มีห ลายสว น ปรุง กัน เขา ; ซึ่งเรียกวาธาตุที่มีการปรุง มีเหตุปจจัยปรุง. ถาไมมีการปรุงก็เรียกวา ธาตุแท ไมมี ปจจัยปรุง; บาลีเรียกวา “สังขตะ” กับ “อสังขตะ”. อสั ง ขตธาตุ นั้ น บางที ก็ เรี ย กว า นิ พ พาน หรื อ นิ โ รธ, นิ โ รธธาตุ นิ พ พานธาตุ ก็ มี . นี่ จะเข าใจไว ก อ นก็ ได และได เคยพู ด มาแล วหลายหนแล ว ว าแม แต นิ พพานนี่ ก็ เป นธาตุ : ธาตุ เป นที่ ดั บแห งธาตุ อื่ น เรียกว า สอุ ปาทิ เสสนิ พพานธาตุ อนุ ป าทิ เสสนิ พ พานธาตุ ; มี อ ยู ๒ นิ พ พาน. ธาตุ นิ พ พาน บางที ก็ เรี ย กว า ธาตุ นิโรธ; ธาตุนิโรธก็เปนที่ดับแหงธาตุทั้งหลายที่มันปรุงแตง.

www.buddhadasa.info ธาตุปรุงแตงทั้ งหลายตองมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป. ที่ดับไปก็คือ เ มื่ อ ถึงกันเขากับนิโรธธาตุ; ดังนั้น ความทุกข จึงเปนสิ่งที่ดับได. อยาไดกลัว อยาได เข าใจ ลั งเลอะไรเลยกั บ ความทุ กข ; ความทุ กข ก็ เป น ธาตุ อั นหนึ่ ง เป นสั งขตธาตุ มาในรูปของเวทนาธาตุ . เมื่ อเป นสั งขตธาตุ ก็ เป นสิ่ งที่ ดั บได , สิ่ งที่ ดั บได คื อ นิ โรธธาตุ . นิ โรธธาตุ นั้ นจะออกมา โดยอํ านาจของป ญ ญาของความรู ข อไหนก็ สุ ดแท แต ; ถ าออก มาได ก็เปนที่ดับของธาตุที่มีการปรุงแตง มีเหตุปจจัย ใหไหลใหเวียน อยางนี้เปนตน.


๖๒

ปรมัตถสภาวธรรม

www.buddhadasa.info


๖๒

ปรมัตถสภาวธรรม

นิโรธาตุเปนที่ดับแหงทุกขทั้งหมด ธาตุอะไรที่จะปรุงแตงใหเปนความทุกขละก็ นิโรธธาตุก็สามารถดับได เปนการดับทุกขดวย.

พิจารณากันใหเขาใจถึงสิ่งที่เขาใจยาก คือการเกิดของธาตุ เวลาเหลื อเล็ กน อย ก็ อยากจะพู ดถึ งสิ่ งที่ เข าใจได ยากต อไปอี ก ว าพระพุ ทธภาษิ ต ที่ ต รั ส ไว นั้ น บางที เราเข า ใจไม ได ในข อ ที่ ว า “เมื่ อ ใดธาตุ ป รากฏขึ้ น ปรากฏ ออกมา, เมื่ อ นั้ น คื อ การปรากฏออกแห งความทุ ก ข ”; นี่ ฟ งดู ให ดี พระพุ ท ธเจ า ท า น ได ต รั ส ไว เหมื อ นกั บ บทสวดที่ พ ระสวดเมื่ อ ตะกี้ นี้ . การเกิ ด ขึ้ น การตั้ งอยู , หรื อ การ บังเกิด การปรากฏออกมา แห งธาตุทั้งหลายแมธาตุห นึ่ง ๆนั้นก็คือ การเกิดขึ้น การตั้ ง อยู การปรากฏ ออกมาแห งทุ ก ข . ถ า ฟ งไม ดี จ ะเข า ใจว า ตั ว ธาตุ นั้ น เป น ตัวทุกขอยูแลว. แม ว า พระพุ ท ธเจ า ท า นจะตรั ส ว า “ปรากฏขึ้ น บั ง เกิ ด ขึ้ น ” นี่ ห มาย ความวา ธาตุ ทํ าหน าที่ ของมั นเสมอไป; เบญขขันธนี้ ถาไมทํ าหน าที่ ก็ยังไม เรียกวา มี เ บญ จขั น ธ . ที่ เ ราเข า ใจกั น ว า รู ป เวทนา สั ญ ญ า สั ง ขาร วิ ญ ญ าณ ที่ เ รามี อยู ต ลอดเวลานั ้น เราเขา ใจผิด ; ที ่แ ทเปน แต รูป ธาตุ เวทนาธาตุ สัญ ญาธาตุ สังขารธาตุ วิญญาณธาตุ เทานั้นแหละที่พอพูดไดวา มีอยูตลอดเวลา.

www.buddhadasa.info ทํ า ไมพระพุ ท ธเจ าไม ต รั ส ว า มั น เกิ ด ขึ้ น ? ก็ เพราะมั น ยั งไม ทํ าหน า ที่ . ถามัน “ทํ าหน าที่ในลักษณะแห งขันธ หรืออุปาทานขันธ” นั่ นแหละคือเกิดขึ้นจริง, เรีย กวา ไดเ กิด ขึ ้น จริง และก็เ ปน ทุก ข; ทํ า นองเดีย วกับ ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุ ลม ๔ อยาง งาย ๆ นี้. ถาพู ดกันอยางหลักธรรมแลว ก็ถือวา ธาตุ นั้ น ๆ ยังไม ได เกิ ด ขึ้ น เพราะไม ไ ด เกิ ด หน า ที่ ไม ไ ด ทํ า หน า ที่ ; ไม ไ ด เกิ ด ขึ้ น เป น ไปตามความ หมายวา มันมีคุณสมบัติอยางไร มีหนาที่อยางไร. ตอเมื่อไดทําหนาที่นั้น มีคุณ


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

๖๓

สมบั ติ อย างนั้ น; เมื่ อนั้ น จึ งจะเรี ย กว าได เกิ ด ขึ้ น . แต ถ าอย างอยู ตามธรรมดาสามั ญ อยางนี้เหมือนกับวาธรรมชาติ ที่ยังอยูตามธรรมชาติอยางนี้; ยังไมไดเกิดขึ้น. ธรรมชาติ ที่ เป นธาตุ ใดก็ ดี อย างหนึ่ ง ๆ จะเกิ ดขึ้ น ต อเมื่ อเกิ ดทํ าหน าที่ แสดงหน าที่ แสดงคุ ณ สมบั ติ แสดงผล หรื อแสดงปฏิ กิ ริ ยาอะไรออกมาแล ว; อย างนี้ จึ ง เรี ย กว า สิ่ ง นั้ น ได เกิ ด ขึ้ น . พู ด ว า ธาตุ ดิ น ได เกิ ด ขึ้ น ธาตุ น้ํ า ได เกิ ด ขึ้ น ธาตุ ไ ฟได เกิ ด ขึ้ น ธาตุ ล มได เกิ ด ขึ้ น ; อย า งนี้ ก็ พู ด ได คื อ มั น ได เกิ ด ขึ้ น ทํ า หน า ที่ เป น ร า งกายนี้ สํ าหรั บจะเป นที่ รองรั บวิ ญ ญาณธาตุ สํ าหรั บทํ าหน าที่ ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย; ดั งนั้ น ทางธรรมจึ งพู ด ได ดั งเช น ว า เราเห็ น รู ป ด ว ยตาครั้ งหนึ่ ง เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณสั ม ผั ส จนกระทั่ ง มี ค วามคิ ด เกี่ ย วกั บ เรื่ อ งนี้ แ ล ว นั่ น แหละจึ ง จะเรีย กว า ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม อะไรก็ เกิ ด ขึ้ น พร อ มกั น เลย. เมื่ อ ก อ นนี้ ไม ได เกิ ด คือไมไดชวยกันทําหนาที่ทั้งหมด. คํ า ว า “เกิ ด ขึ้ น ” ของพระพุ ท ธเจ า ส ว นมากเป น อย า งนี้ ทั้ ง นั้ น เกิ ด ขึ้ น โดยหน า ที่ เกิ ด ขึ้ น ทางนามธรรม ที่ ไม ได ม องเห็ น ตั ว ; ไม ใช เกิ ด อย างวั ต ถุ หรือ เกิ ดคลอดออกมาจากพ อแม ทางวั ตถุ อย างนี้ . เกิ ดอย างที่ เกิ ดทางวั ตถุ นี้ ไม มี ป ญหาอะไร เกิดทีเดียวก็เลิกกันและก็หมดกันแลว.

www.buddhadasa.info ส วนการเกิ ดทางนามธรรมอย างนี้ เกิ ดอยู เรื่ อย ๆ ไป : เช นเกิ ดเป นตั วกู ขึ้ น มา เรี ย กว า เป น อวิ ช ชา เป น อุ ป าทานขึ้ น มา. เมื่ อ ตาเห็ น รู ป ก็ ต อ งได จั ก ษุ ธ าตุ รู ปธาตุ เวทนาธาตุ เอามารวมกั นเข า มี ความรู สึ กครบ ๕ อย าง, และยึ ดมั่ นด วยธาตุ กิ เ ลส อวิ ช ชาธาตุ ธาตุ ตั ว กู ; ขณ ะนั้ น มั น จะมี ธ าตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไ ฟ ธาตุ ล ม ลุกขึ้นมาใหม เกิดขึ้นมาใหม.


๖๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ถาพูดวาเกิดอยูตลอดเวลา นี่ก็พูดอยางภาษาธาตุ ที่ไมมีความรูสึก เปน ธาตุ ดิ น ธาตุ ก อนหิ น อะไรก็ ตาม ในความหมายที่ เกี่ ยวกั บความทุ กข แล ว จะต องหมาย ถึ ง เมื่ อ ทํ า หน า ที่ อ ยู ; พอทํ า หน า ที่ เสร็จ แล ว มั น ก็ ดั บ ลงไปอี ก . นี่ เป น เหตุ ให พู ด ว า แมแตคนเรานี้ เกิดตาย-เกิดตายอยูวันละหลาย ๆ หน : อุปาทานหรืออวิชชา เกิด ขึ้ น ว า ตั ว กู ที ห นึ่ ง ของกู ที ห นึ่ ง เกิ ด ที ห นึ่ ง เดี๋ ย วก็ ดั บ ไปอี ก . ธาตุ แ ต ล ะธาตุ : รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ เดี๋ ย วก็ เ กิ ด ขึ้ น เดี๋ ย วก็ ดั บ ไป อยู ใ นรู ป ธาตุ เวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ ฯลฯ. แม แ ต ในรู ป ธาตุ เมื่ อ แจกออกเป น ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลมแล ว; ก็ ยั งถื อว า แม แต ธาตุ ดิ นก็ เพิ่ มเกิ ด ชั่ วขณะที่ มั นไปทํ างานร วม กันกับขันธทั้ง ๕ เหมือนกัน, ธาตุน้ําก็เพิ่งเกิด, ธาตุไฟก็เพิ่งเกิด, ธาตุลมก็เพิ่งเกิด. นี่ แหละคื อข อที่ เข าใจยาก จะเขาในพุ ทธภาษิ ตยากอยูที่ ตรงนี้ ถ าไม เขาใจ ที่ ต รงนี้ ก็ เป น อั น ไม ต อ งเข าใจเลย. ทํ า ไมไม เข าใจ? ก็ เพราะว ามั น ไม เข าใจที่ ต รงนี้ ตรงเมื่ อ เกิด หรือ ตั้ งอยูห รือ ปรากฏออก; ตรงนี้ไมเขาใจ ก็เลยไม เขาใจวานิ โรธ นิโรธคือดับลงนี้ก็มี.

www.buddhadasa.info ทุกคราวที่มีความดับลงดวยเหตุผลอะไรก็ตามแต มันก็เปนนิโรธของธาตุ ที ่ป รุง กัน ชั ่ว คราวๆ; มิใ ชด ับ กิเลสโดยตรงโดยถาวร. นิโ รธนี ้จ ึง ดับ ทุก ขชั ่ว คราว ชั่ ว ขณะ : เกิ ด ตั ว กู ขึ้ น มา ร อ นเป น ไฟ ขณะหนึ่ ง ไม กี่ น าที บางที ไ ม ถึ ง ชั่ ว โมง ก็ ดั บเย็ นลงไป, เป นนิ โรธชั่ วขณะ นิ โรธชั่ วคราว; แต ถึ งอย างไรก็ ดี เราก็ ต องเรียกว านิ โรธ. นิโรธธาตุเขามา กิเลสคือความรอนนี้จึงดับลงไดชั่วขณะ ๆ. การเกิ ดขึ้นก็เกิดขึ้นแห ง ธาตุ การดับ ลงก็ดับ ลงแหง ธาตุ และสิ่ง ที่มีม าทํา การชว ยดับ ลงนี้ก็เปน ธาตุ. นี่ คื อเรื่ องที่ ต องเข าใจก อน. ขอให ท านทั้ งหลายทุ ก ๆ คนเข าใจเรื่ องทั่ ว ๆ ไป เกี่ ยวกั บการ ศึกษาเรื่องธาตุไวในลักษณะอยางนี้.


ขอควรทราบกอน เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ” (ตอ)

๖๕

สรุ ป ความว า ไม มี อ ะไรที่ ไ ม ใ ช ธ าตุ ข า งในเราทั้ ง หมดนี่ ก็ เป น ธาตุ , นอกเราทั้ งหมดก็ เป นธาตุ , ข างใน ข างนอก ทั้ งหมดมาพบกั น ปรุ งแต ง อะไรเกิ ด ขึ้ น ใหม ๆ เป นรูปก็ ดี เป นความคิ ดทางนามก็ ดี ก็ เป นธาตุ ; ดั งนั้ น จึ งเป นอั นว าหมดกั นเลย ไม มี อ ะไรที่ ไม เป น ธาตุ ที่ เกี่ ย วกั บ คนนี้ . ให พิ จ ารณามองเห็ น สิ่ ง เหล า นี้ โดยความ เปน ธาตุ มิใ ชส ัต วบ ุค คลตัว ตนเราเขา; อยา งนี ้เรีย กวา เห็น เปน ธาตุ เมื ่อ เห็น เปนธาตุก็ไมเห็นเปนอัตตา คือเห็นเปนอนัตตา หรือเรียกอีกทีหนึ่งซึ่งคนกลัวมาก ก็เรียกวาสุญญตา คือวาง : วางจากตัว วางจากตน ซึ่งไมมีใครชอบ. ที นี้ แม แ ต สุ ญ ญตาหรื อ ความว า งก็ เป น ธาตุ เป น ธาตุ พ วกนิ โรธธาตุ พวกอสั งขตธาตุ . ความว าง-สุ ญ ญตานี่ ก็ ยั งเป นธาตุ อยู นั่ นแหละ ไม ใช อะไร; หลั บตา มองใหเห็น พิจารณาอยูบอย ๆ, หลับตามองใหเห็น วามิใชอะไรอื่นนอกจากธาตุ. ธาตุที่มีเหตุปจจัยปรุงแตง ก็แตงกันไปแตงกันมา เปนนั่นเปนนี่ขึ้นมา; ในเมื่อธาตุหนึ่งไมมีเหตุ ไมมีปจจัย, ก็ไมปรุงแตง ไมเปลี่ยนแปลง ไมไหลเวียน. สวนที่ปรุงแตงไปนั่นแหละ ถาไดมาพบกันเขากับนิโรธธาตุแลว จะหยุดปรุงแตง; ดั บ ไปในกรณี นั้ น ๆ. ถ าเป น เรื่อ งกิ เลส เรื่อ งความทุ ก ข ก็ ต อ งเป น นิ โรธชนิ ด ที่ จ ะ ต องดั บกั นให ถาวร คื อต องสราง วิ ชชา ป ญญา แสงสว าง ในเรื่องธาตุ นี้ มาให ถึ งที่ สุ ด ให สู งสุ ดถึ งที่ สุ ด ที่ เรี ยกว า ญาณ : มรรคญาณ ผลญาณ อะไรทํ านองนี้ จึ งจะดั บ หรือหยุดเรื่องความทุกข เรื่องกิเลสนี้ได.

www.buddhadasa.info สําหรับผูที่จะปฏิบัติในชีวิตประจําวัน ศึกษาเรื่องธาตุใหเขาใจก็เพื่อปอง กั นอย าได ไปหลงใหล เรื่องที่ ทํ าให รัก และที่ ทํ าให เกลียด ให โกรธ; ซึ่งมี อยู ๒ ขาง ๒ ฝ ายเท านั้ น : เรื่ อ งหนึ่ งมั น ทํ าให รั ก ให ต อ งการ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในทางที่ จะรั กจะ ต องการ, อี กทางหนึ่ งมาทํ าให โกรธ ให เกลี ยด ยึ ดมั่ นถื อมั่ นในทางที่ จะเกลี ยด จะโกรธ จะทําลาย; เชนนี้ เดี๋ยวก็ขึ้น เดี๋ยวก็ลง, เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง อยูอยางเปนบาในโลกนี้.


ปรมัตถสภาวธรรม

๖๖

ความรูสึกในจิตใจ ก็ ให รูสึ กวาเป น สั กวาธาตุต ามธรรมชาติ เท านั้ น เมื่ อรู สึ ก “สั กว าเป นธาตุ ตามธรรมชาติ เท านั้ น” ก็ คงจะไม หลงรั กเกิ นไป ไม หลงเกลี ยด เกิ นไป, แล วก็ ค อยซาลง ๆ จนไม รักไม โกรธ อย างนี้ เป นต น. นี่ เป นความมุ งหมาย เปนอานิสงสของการที่จะทําใหถึงนิโรธธาตุ หรือความดับลง สนิท แหงความทุกข ทั้งปวง. ข อสุ ดท ายนี้ คื อข อที่ แสดงให เห็ นว า สิ่ งที่ เราเข าใจไม ได ว า เป น ธาตุ ก็เพราะมี อะไรบางอยางเป นเหตุ เชนวาภาษาบ านนอก แสดงออกมาไม ตรงตามที่ ควรจะเรี ย กบ าง, แม แ ต พ ระพุ ท ธภาษิ ต ได ต รั ส ไว โดยภาษาธรรมโดยเฉพาะ. เรามา พู ดกั นอย างภาษาคน ตี ความหมายอย างภาษาคน อย างเช นคํ าว า “เกิ ด” ในภาษาคน ใชไมไดในตอน “เกิด” ในภาษาธรรม ก็เวียนหัว.

เอาละ พอกันที สําหรับวันนี้.

www.buddhadasa.info


ปรมัตถสภาวธรรม

-๓๒๐ มกราคม ๒๕๑๖

ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย, ในการบรรยายเรื ่อ งปรมัต ถสภาวธรรม เปน ครั ้ง ที ่ ๓ นี ้ จัก ได กล า วด ว ยเรื ่ อ งธาตุ ใ ห ช ั ด เจนยิ ่ ง ๆ ขึ ้ น ไป. เรื่ อ งที ่ เ กี ่ ย วกั บ ธาตุ เป น เรื่ อ ง ที ่ล ึก ซึ ้ง ซึ ่ง เรีย กวา เปน เรื ่อ งรากฐานของทุก เรื ่อ ง แตเ ราก็ไ มค อ ยจะเขา ใจ กัน อยา งนั ้น จึง ไมไ ดส นใจ; ดัง นั ้น จึง ตอ งใชเ วลาหรือ ความพยายามอยา ง มาก ใน การที ่จ ะใหเ ขา ใจเรื ่อ งนี ้ใ หจ น ได. มัน เปน เรื ่อ งที ่ช วน เบื ่อ ชวน ให งว งนอ น สํ า ห รับ ผู ที ่ไ มอ ยากจะศึก ษ าโดยลึก ซึ ้ง ; แ ตเ ราก็ไ มม ีท างห ลีก เลี ่ย งที ่จ ะไมพ ูด กัน ถึง เรื ่อ งนี ้ ซึ ่ง ทา นทั ้ง หลายก็ท ราบดีอ ยู แ ลว วา ความ มุ ง หมายของการบรรยายประจํา วั น เสาร นี้ ก็ ป รารภเหตุ ส ว นใหญ คื อ

www.buddhadasa.info

๖๗


๖๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ตอ งการที ่จ ะทํ า การศึก ษาของพุท ธบริษ ัท ใหมั ่น คง ใหถ ึง ที ่ส ุด ใหเ ปน ที่ เขาใจกันอยางทั่วถึง. ที่ แล วมา ไม เรี ยกว า เป นที่ เข าใจกั นอย างทั่ วถึ ง โดยเฉพาะอย างยิ่ งในเรื่ อง ธาตุ นี้ นี้ เรี ยกว าพุ ทธบริ ษั ท ยั งไม ใช พุ ทธบริ ษั ทก็ ได เพราะยั งไม ได รู จริ งตามความหมาย ของคํ าว า “พุ ทธ”. พุ ท ธก็ รู กั นอยู แล วว า แปลว า รู ; เมื่ อ ถามว าเรื่ องอะไรที่ จะต องรู ? มั น ก็ มี เป น ลํ าดั บ ๆ ไป ตั้ งแต เรื่ อ งง าย ๆ ผิ วเผิ น ที่ สุ ด จนถึ งเรื่ อ งที่ ลึ กที่ สุ ดที่ จะทํ าให ดับทุกขทั้งปวงได.

เรื่องที่จะทําใหดับทุกขทั้งปวงไดโดยสิ้นเชิงนั้น ก็คือ ตองรูเรื่องธาตุโดยตรง แม ว าในที่ อื่ นจะได กล าวว า ทุ กข เกิ ดมาจากตั ณ หา และจะต องรู เรื่ องความ ทุ ก ข และเหตุ ให เกิ ด ทุ ก ข คื อ ตั ณ หา และวิ ธี ดั บ เสี ย ให ได ; พึ งทราบเถิ ด ว า ในคํ าพู ด เหล า นั้ น ได ร วมคํ า ว า “ธาตุ ” อยู พ ร อ มมู ล เพราะว า จะต อ งเล็ ง กั น ถึ ง อุ ป าทานขั นธ ทั้ ง ๕ มี รู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ ที่ เป นที่ ตั้ งแห งความยึ ดถื อ; และ นั่นแหละคือธาตุ.

www.buddhadasa.info ถ าจะรู เพี ยงว าปฏิ บั ติ ในมรรคมี องค ๘ เป นอยู ให ถู กต องแล ว ก็ ไม เกิ ดตั ณหา ไม เกิ ดทุ กข อย างนี้ ก็ ได เหมื อนกั น แต มิ ได ลึ กซึ้ งถึ งที่ สุ ด และบางที จะไม เป นการทํ าให งายหรือ เร็วได . เราจึ งตอ งศึ ก ษาให ลึ ก ลงไปถึ งส ว นที่ เป น รากฐาน คื อ เรื่ อ งสิ่ งที่ เรียกวา ธาตุ.

ท านทั้ งหลายที่ เป นผู สู งอายุ แล ว คงจะเคยได ยิ นได ฟ ง คนสมั ย ปู ย า ตา ยาย พูดเรื่องธาตุ ไดมากกวาคนสมัยนี้ คือ มักจะพลั้งปากออกไปวา “มันเปนเพียง


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๖๙

สั ก วาธาตุ ” “ไม มี อ ะไรมากไปกว าธาตุ ”; หรือ บางที ก็ จ ะพู ด เป น ทํ า นองขบขั น ตลก ว า “ไม มี อ ะไร นอกจากธาตุ มั น กระทบกั น ”, มี ก ารกระทบกั น ระหว า งธาตุ นั้ น ธาตุ นี้ จึ งทํ า ให ค นเราเกิ ด ความรู สึ ก อย า งนั้ น อย า งนี้ ; นี้ มั น ก็ ถู ก ต อ ง แต ว า พู ด ไปโดยที่ ยั งไม รู ชั ด เจน. ส ว นลึ ก ที่ ค วรต อ งรู มี อ ยู ว า ต อ งการให ม องเห็ น ชั ด ลงไปว า ไม มี สิ่ ง ที่เรียกวาตัวตน มีแตสักวาที่เปน “ธาตุ”. แต ที นั้ มี ธ าตุ บ างชนิ ด ในหลาย ๆ ชนิ ด นั้ น มี บ างชนิ ด ที่ รู สึ ก ได ; เมื่ อ ธาตุ นั้ นกระทบกั นเข ากั บธาตุ ใด ได ป จจั ยปรุงแต งครบถ วนแล ว ก็ เกิ ดความรูสึ กอย างที่ เรากําลังรูสึก อยูในใจ. มโนธาตุเปน สิ่งที่รูสึก คิด นึก ได ในเมื่อ ไดธ าตุภ ายนอก เชน รูปธาตุเปน ตน ก็เกิด ความรูสึก ขึ้น มาวาเราอยางนั้น เราอยางนี้; คนนั้น ก็ เลยคิด ไปวา มีต ัว ตน มีต ัว กู-ของกู, มีเ รา-มีเ ขา; มิไ ดรู ส ึก วา ความรู ส ึก วาตน วาเรา วาเขานั้น มันเป นเพี ยงปฏิกิริยา ของสิ่งที่ เรียกวาธาตุเทานั้น. เมื่อไมรู อยู อย างนี้ ก็ ย อมไปยึ ดถื อเอาส วนใดส วนหนึ่ ง ของธาตุ ใดธาตุ หนึ่ ง, หรื อทั้ งกลุ มก็ ได ว าเป นตั วเรา; ก็ เลยมี่ ความยึ ดมั่ นถื อมั่ น เป นตั วเรา ก็ เกิ ดความทุ กข ขึ้ น. ความทุ กข จึงเกิดมาเพราะความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเราไมรูวาเปนเพียงธาตุ.

www.buddhadasa.info ยกตั วอย างเช น บางที ก็ ยึ ดเอา วิ ญญาณธาตุ ที่ รู ทางตา ทางหู ได นี้ ว า เป น ตั วเราก็มี . บางที ก็ เอาสั ญ ญา รูสึ ก นึ ก ได จํ าได สํ าคั ญ มั่ น หมายเอาได วา อะไรเป น อะไร เราเป น อะไร อย า งนี้ ขึ้ น มาเป น ตั ว ตนก็ มี ; ที่ แ ท มั น ก็ เป น เพี ย ง สัญญาธาตุ. บางทีเอาความคิดนึกอยางนั้นอยางนี้ที่เกิดขึ้นมาใหมวาเปนตัวเราก็มี เพราะเราคิดนึกได นี่ก็เปนเพียง สังขารธาตุ.

ธาตุทั้งหลายอาศัยกันแลวจึงเกิดความรูสึกขึ้นมา ขอให เข า ใจว า ในบรรดาธาตุ ทั้ ง หลาย ซึ่ ง ไม ใ ช ตั ว ตนขึ้ น เมื่ อ มั น ได อาศัยซึ่งกันและกัน ไดเหตุไดปจจัยครบถวนแลว มันจึงเปนความรูสึกขึ้นมา


๗๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ไดวา ตัวฉัน ตัวเรา ตัวกู ซึ่งเปนตัวตนขึ้นมาทีเดียว. ถามันไมไดเหตุปจจัย ไมได อาศัยธาตุอื่น ๆ ปรุงแตงแลว ก็ไมเกิดความรูสึกอยางนี้เลย. การที่ จ ะให รู ว า สิ่ งที่ จ ะรู สึ ก ขึ้ น มาเป น ตั ว ตน นั้ น ไม ใช ตั วตน นี้ เป น ของ ยากลํ าบาก; เพราะฉะนั้ น เราจึ งต องเรี ยนเรื่ องธาตุ นี้ กั นให มากเป นพิ เศษ อย างที่ เคย บอกให ฟ งวา : สมั ยก อน ท านถื อกั นเป นระเบี ยบธรรมเนี ยม เครงครัดวา มาบวชนี้ เพื่อมาเรียน เพื่อใหรูเรื่องธาตุ วาสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เปนสักวาธาตุ ไมใชตัวตน. เรื่ อ งแรกที่ ให เรี ย นก็ คื อ ยถาปจฺ จ ยํ ปวตฺ ต มานํ ธาตุ ม ตฺ ต เมเวตํ ซึ่ ง ได ยิ นกั นอยู โดยเฉพาะผู ที่ เคยบวชแล ว, ก็ บ วชเพื่ อให รู ว า “เรา” ที่ เรี ยกว าตั วเรา ผู กิ น อาหาร ผู นุ งห ม ผู อ ยู อ าศั ย ผู เจ็ บ ไข รั ก ษาความเจ็ บ ไข นี้ ก็ ดี สิ่ งที่ เรารั บ ประทาน ใชส อย นุ ง หม อะไรก็ด ี ลว นแตส ัก วา ธาตุ. อยา ไดถ ือ สว นใดวา เปน ตัว เรา หรือวาเป นของเรา, หรือวาจิตอยาไดยึดมั่ นถือมั่ นวา เป นตัวเรา และก็ไม มี ความทุ กข ไม มี ความหนั ก เพราะวาไม ได ยึ ดมั่ นถื อมั่ นนั่ นเอง; ก็ แปลวาเมื่ อยั งไม ได เรียนพุ ทธศาสนา ก็ยังไมรูเรื่องนี้. เมื่อมาเรียนพุทธศาสนา ก็คือมาเรียนใหรูวา ทุกอยางเปนสักวา ธาตุ ไมใชตัวเรา และจะไดไมยึดมั่นถือมั่น และไมเปนทุกข. ไมยึดมั่นถือมั่นนี้ เปนความฉลาดอยูแลว จึงสามารถจะทําอะไรไปได ตามที่จิตรูอยูวาจะตองทําอยางไร.

www.buddhadasa.info ธาตุ ทําใหเกิดความรูสึกเปนตัวตนไดอยางไร

ที นี้ เราจะศึ กษาเรื่ องนี้ ให ละเอี ยดยิ่ งไปกว าครั้ งที่ แล วมา แม ว ามั นเป นเรื่ อง ที่ไมนาสนุก หรือวาเปนเรื่องชวนใหงวงนอน ก็ตองขอรองใหชวยศึกษากันตอไปอีก เพื่อใหเห็นวา สิ่งที่เรียกวา ธาตุ ไมใชตัวไมใชตนนี้ มันทําใหเกิดความรูสึก ที่เปนตัวเรา เปนตัวตน เปนของตนขึ้นมาไดอยางไร, กระทั่งเกิดความทุกข และ กระทั่งความทุกขดับไป.


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๗๑

ความทุ ก ข นั้ น ก็ เป น ธาตุ ความดั บ ทุ ก ข นั้ น ก็ เป น สั ก ว า ธาตุ ; ไม มี อ ะไร ที ่ไ มใ ชธ าตุ. เมื ่อ ไดย ิน ครั ้ง แรกอาจจะไมเ ชื ่อ วา “ไมม ีอ ะไรที ่ไ มใ ชธ าตุ”, คิด วา จะมี ยกเว นอะไรไว บางอย าง. แต เมื่ อได ศึ กษาพิ จารณา ศึ กษาไปจนละเอี ยดถึ งที่ สุ ดแล ว ก็จะรูเองไดทันทีวา ไมมีอะไรที่จะไมใชธาตุ, ลวนแตเปนธาตุ, อยางใดอยางหนึ่งทั้งนั้น. คํ า ว า “ธาตุ ” หมายถึ ง อะไร? เราก็ ไ ด พู ด กั น โดยละเอี ย ดแล ว ในตอน บรรยายครั้ งที่ ๑ ที่ ๒ ที่ แล วมาว า ธาตุ เป นสิ่ งที่ มี อยู ตามธรรมชาติ ; แต มั นต างกั นตรงที่ จะมาดู ค ราวเดี ย วหมด ให รูจั ก สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ ในฐานะเป น พื้ น ฐาน ที่ จ ะปรุ ง เป นนั่ นเป นนี่ ขึ้ นมาให ได โดยอาศั ยธาตุ ช วยกั นเอง สํ าหรับจะเป นคนขึ้ นมาสั กคนหนึ่ ง; อยางพระบาลีที่พระไดสวดไปแลวเมื่อตะกี้นี้ วาคนเราประกอบอยูดวยธาตุ ๖ ธาตุ. คํ าว า คนเราประกอบอยู ด วยตรง ๖ ธาตุ นี้ หมายความว า สิ่ งที่ มี ชี วิ ต ละก็ จะต องประกอบอยู ด วยธาตุ ๖ ธาตุ . ส วนที่ เป น โครงร างนี้ ก็ เรี ยกว า ธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ ๔ ธาตุ แต ละอย าง เป นธาตุ หนึ่ ง ๆ คื อ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม. อี ก ธาตุ ห นึ่ งก็ คื อ อากาส หรื อ ที่ ว า งสํ า หรั บ เป น ที่ ตั้ ง ที่ อ าศั ย แห ง ธาตุ เหล า นั้ น ; แล ว อี ก อย า งหนึ่ ง ก็ คื อ วิ ญ ญาณธาตุ , นี่ คื อ ธาตุ ใ จ ที่ จ ะปรุ ง กั น ขึ้ น เป น จิ ต เป น ใจ เป น ความรูสึกคิดนึกได.

www.buddhadasa.info ก อนแต ที่ ไม ปรุ งอะไร ก็ เรี ยกเป นสั กว า ธาตุ , เป นสั กว าธาตุ ใจ หรื อธาตุ จิ ต หรื อธาตุ วิ ญ ญาณ; ยั งไม ได เหตุ ไม ได ป จจั ยมาปรุ งแต ง ธาตุ นี้ ก็ ยั งรู สึ กคิ ดนึ กไม ได แล ว จะไม ป รากฏให เห็ น ด วยซ้ํ าไป. ดั งนั้ นจึ งเห็ น ได ว า ในคนเราที่ ประกอบด วย ธาตุ ๖ คื อ ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ฯลฯ นี้ ยั งจะต อ งอาศั ย สั ม พั น ธ กั น และก็ ไม ได แ ยก จากกัน; ไมมีสวนใดของสิ่งที่มีชีวิต ที่จะไมประกอบอยูดวยธาตุเหลานี้,


๗๒

ปรมัตถสภาวธรรม

อนึ่ ง อย าลื มว าได เคยขอให สั งเกต สนใจเป นพิ เศษว า คํ าว า ธาตุ ดิ น นั้ น มิ ได หมายเอา ดิ น, ธาตุ น้ํ า ก็ มิ ได หมายเอา น้ํ า, ธาตุ ไฟ ก็ มิ ได หมายเอาตั ว ไฟ, หรือ ธาตุลม ก็มิไดหมายเอาตัว ลม; แตหมายถึงคุณสมบัติอยางใดอยางหนึ่ง ที่ตางกัน เชน : - ธาตุ ดิ น มี คุ ณสมบั ติ คื อกิ นเนื้ อที่ ทั้ งยั งปรากฏอาการเป นของแข็ ง. อย าง เนื้ อ หนั ง กระดู ก อะไรเหล า นี้ มี อ าการที่ กิ น เนื้ อ ที่ เป น ของแข็ ง ลุ ก เนื้ อ ที่ ; นี้ ก็ เลย ยกเอาว านี้ เป นธาตุ ดิ น ที่ จะเห็ นได โดยง าย. แต ดู ให ดี จะเห็ นว าในเนื้ อหนั งเป นต นนั้ น ก็มีทั้งธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุลม รวมอยูดวย. - ในธาตุ น้ํ าที่ ระบุ ไปยั งเลื อด หนอง น้ํ าลาย น้ํ ามู ก นี้ ก็ เหมื อนกั น มั นมี ส วนที่ เป นของเหลว เป นคุ ณสมบั ติ ของธาตุ น้ํ า คื อเกาะกลุ มกั นแล วก็ จะไหลไปได ดึ งกั น ไปได ก็ เรี ย กว า ธาตุ น้ํ า ; แต ว า ในเลื อ ด ในน้ํ า มู ก น้ํ า ลาย น้ํ า เหลื อ ง อะไรที่ เป น ธาตุน้ํานี้ มันก็ยังมีธาตุดิน และก็ยังมีธาตุไฟ คือมีอุณหภูมิดวย. ทุ กธาตุจะต องสัมพั นธกันอยู จนเปนวาแตละธาตุมันแยกออกได; แตละ อย าง ๆ หรือส วนประกอบอย างหนึ่ งในร างกายของคนเรานี้ มั นจะต องประกอบอยู ด วย ธาตุ ทั้ ง ๔ นี้ . ในลมที่ หายใจออกมา ก็ ยั งมี อุ ณ ภู มิ ที่ เป น ธาตุ ไฟ, มี วั ตถุ ห รื ออนุ ภ าค เล็ ก ๆ ซึ่ งเป นธาตุ ดิ นนี้ ก็ มี ส วนที่ เป นน้ํ าอั นละเอี ยดรวมอยูด วย. เป นอันวาไม มี ธาตุ ใด ที่จะอยูไดตามลําพัง มันตองมีการอาศัยซึ่งกันและกัน เปนฐานเปนที่ตั้ง.

www.buddhadasa.info ที่ เป น ส ว นโครงสร า ง ที่ เป น ร า งกาย ก็ ต อ งมี ที่ ว า งให มั น อยู ไม เช น นั้ น มัน จะอยู ไ ดอ ยา งไร ถา ไมม ีที ่ว า ง; สว นที ่เ ปน ที ่ว า งนี ้ ก็เ รีย กวา ธาตุว า ง หรือ อากาสธาตุ. มี ธาตุ อี กอั นหนึ่ ง ที่ สํ าคั ญมากคื อ ธาตุ วิ ญญาณ หรือวิญญาณธาตุ ธาตุ นี้ จะเปนสวนจิตใจ แตเมื่อยังไมไดอาศัย ปจจัยที่เหมาะ มันก็ไมปรากฏ ไมแสดง


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๗๓

ให เ ห็ น . ที นี้ ใ นธาตุ ทั้ ง ๖ นี้ ยั ง อาจกระจายออกไปได ม าก เช น วิ ญ ญาณธาตุ นี้ ยังกระจายออกไปไดอีกมาก ซึ่งเราจะไดพิจารณากันตอไป.

ธาตุทั้งหมด แบงเปนกลุมใหญ มีสองกลุม : สังขตะ, อสังขตะ เดี๋ ยวนี้ อยากจะบอกให ทราบ ก อนว า ใน ๖ ธาตุ นั้ น เป นพวกสั งขตธาตุ คื อธาตุ มี ป จจัยปรุงแต ง แลวก็ไหลเวียนเปลี่ยนแปลงไป. ธาตุ จะอยูในลักษณะที่ มี รูป ก็ ดี เช น ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อย า งนี้ , หรื อ ไม มี รู ป เป น อรู ป ก็ ดี ; เช น วิ ญ ญาณหรื อ อากาสอย างนี้ ก็ เป นสั งขตธาตุ คื อธาตุ ที่ มี อะไรปุ รงแต ง ส งเสริมให เกิ ดขึ้ น เจริ ญ ขึ้ น งอกงามต อ ไป, แล วก็ ป รุ งแต งสิ่ งอื่ น ต อ ไปอี ก . ธาตุ ทั้ งหมดนี้ จ ะกี่ สิ บ ธาตุ ห รื อ จะแยก ไปไดกี่รอยธาตุ ก็เปนสังขตธาตุหมด. ที นี้ มี ธาตุ ที่ ตรงกั นข าม คื อไม เป นอย างนั้ น เรียกว า อสั งขตธาตุ : คื อ เติม ตัว อะ เขา ไป แปลวา ไม หรือ วา ไมใ ช, ก็ค ือ ไมใ ชส ัง ขตธาตุ. ธาตุนี ้ไ มมี เหตุไม มี ป จ จัย ปรุงแตง ฉะนั้ น จึ งไม มี ก ารเกิ ด หรือ การเปลี่ ย นแปลง จะถือ ได วา เป นของที่ มี อยู ก อนสิ่ งใดก็ ได เพราะว ามั นไม ได มี การเกิ ด มิ ได มี การเปลี่ ยน มาตั้ งแต แรกเริ่ ม เดิ ม ที . ส ว นสั ง ขตธาตุ ทั้ ง หลายนั้ น มี ก ารเกิ ด ขึ้ น – ตั้ ง อยู - ดั บ ไป, เกิ ด ขึ้ น ตั้งอยู - ดับไป, ไมมีที่สิ้นสุด.

www.buddhadasa.info ในชั้ นแรกนี้ เราจะต องเห็ นว า ในบรรดาธาตุ ทั้ งหลาย จะมี อยู จํ านวน เทา ไรก็ต าม แยกออกไปไดเ ปน สองฝา ย สองพวก กอ น คือ สัง ขตธาตุ กับ อสั งขตธาตุ : ที่ เป นสั งขตธาตุ ซึ่ งจะแยกเป นร างกาย หรือเป นจิ ตใจส วนไหน ก็ ยั ง เปนสังขตธาตุ เพราะยังมีการเกิดขึ้น – ตั้งอยู - ดับไป; สวนที่ตรงกันขาม เปน


๗๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ธรรมชาติ อั นหนึ่ ง ซึ่ งแม จะเห็ นไม ได ง าย ๆ หรื อบางคนจะไม เข าใจว ามี มั นก็ ได มี อยู โดยแท คือ อสังขตธาตุ บางทีเรียกวา นิโรธธาตุ. เมื่ อเราจะกล าวสรุป ให เหลื อ เพี ยง ๒ ธาตุ นี้ ได แก : สั งขตธาตุ คื อ ธาตที่ มี เหตุ มี ป จจัย ปรุงแต งนี้ อย างหนึ่ ง, และอสั งขตธาตุ คื อธาตุ ที่ ไม มี เหตุ ไม มี ปจจัยปรุงแตง นี้อีกอยางหนึ่ง. ทีนี้ สวนประเภทที่มีเหตุปจจัยปรุงแตง อาจแยกเปน ๒ อยาง : คือ เป น รู ป ธาตุ -มี รู ป ปรากฏ, และอรู ป ธาตุ -ไม มี รู ป ปรากฏ ซึ่ ง เป น นามหรื อ เป น จิ ต . ถ าจะดู ฝ ายที่ เป นรู ปธาตุ คื อที่ เป นธาตุ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม นี้ เป นรู ปธาตุ มี รู ปปรากฏ. ที่ เป น อรู ป ธาตุ ก็ เช น วิ ญ ญาณธาตุ เวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ สั ง ขารธาตุ นี้ ล ว น แต เป น นาม เป น ฝ า ยจิ ต เป น ความรู สึ ก คิ ด นึ ก ของจิ ต ไม มี รู ป ร า งปรากฏ. ข อ นี้ ได เคยแนะให ฟ งแล วว า บางคนอาจจะไม เคยได ยิ นว า รู ปธาตุ เวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ สั งขารธาตุ วิ ญ ญาธาตุ ; อย างนี้ ไม เคยได ยิ น เพราะเคยได ยิ นแต ว า รูปขั นธ เวทนาขั น ธ สั ญ ญาขั น ธ สั ง ขารขั น ธ วิ ญ ญาณขั น ธ ; หรื อ บางที ก็ ได ยิ น แต ว า รู ป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ๕ อยางเฉย ๆ ยังไมเคยไดยินคําวาธาตุ.

www.buddhadasa.info ขอให ได ยิ น ได ฟ ง ให ทราบไววา พระพุ ทธเจ าท านก็ ได ตรัสสิ่ งทั้ ง ๕ นี้ ไว ใ นฐานะที่ ว า เป น ธาตุ : เรี ย กว า รู ป ธาตุ เวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ สั ง ขารธาตุ วิญ ญาณธาตุ ตามลํ าดั บขั้นธ ๕ นั่ นเอง. แต ทํ าไมยั งไม เรียกวา ขั นธ เพราะมั น ยังไมไดปรุงแตงกันขึ้นมา เพื่อจะเปนขันธกลุมใดกลุมหนึ่ง มันจึงยังเปนเพียงธาตุ.

ธาตุ ปรุงแตง เปนขันธ เมื่อมีโอกาส ธาตุ ที่ เ ป น พื้ น ฐานนี้ เป น รู ป ธาตุ ที่ จ ะปรุ ง แต ง รู ป ขั น ธ ก็ ดี . ที่ เ ป น เวทนาธาตุ ที่ จะปรุ งแต งเวทนาขั นธ ก็ ดี , ที่ เป นสั ญ ญาธาตุ ที่ จะปรุงแต งเป นสั ญ ญาขันธก็ดี, ที่เปนสังขารธาตุ ที่จะปรุงแตงเปนสังขารขันธก็ดี, ที่เปนวิญญาณธาตุ


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๗๕

ที ่จ ะปรุง แตง เปน วิญ ญาณขัน ธก ็ด ี, มัน เปน สัก วา ธาตุ; ไดโ อกาสเมื ่อ ไรก็จ ะ ปรุงแตงเปนขันธนั้น ๆ ขึ้นมา. ที นี้ ธาตุ พื้ นฐานนี้ ต องอาศั ยอะไร ที่ จะปรุ งแต งได ? ก็ ต องอาศั ยธาตุ แรก ๆ ซึ่ งจะอยู เป นพื้ นฐานก อน ก็ คื อรู ปธาตุ ; รู ปธาตุ นี้ มั นจะแยกออกไปตามประเภท หรื อ ตามลั กษณะที่ มั นจะทํ าหน าที่ เป น ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ก อ น; และต องมี ของคู กั น คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ : - ตา เรียกวา จั กขุ ธาตุ คู กับรูปที่ เห็นดวยตา เรียกวา รูปธาตุ อีกชื่อหนึ่ ง ซึ่งมันพองกันกับชื่อรวมของมัน. - หู เรียกวา โสตธาตุ ซึ่ งคู กั บ เสี ยง ซึ่ งทํ าให ได ยิ น เรียกวา สั ททธาตุ -ธาตุเสียง. - จมูก เรียกวา ฆานธาตุ ซึ่งคูกันกับกลิ่น คือ คันธธาตุ ซึ่งเปนกลิ่น. - ลิ้น ก็เรียกวา ชิวหาธาตุ ซึ่งตองคูกันกับรส คือ รสธาตุ. - กาย นีก้ ็เรียกวา กายธาตุ คูกันกับ โผฏฐัพพธาตุ ที่มากระทบกาย.

www.buddhadasa.info ที นี้ จะดู ที เดี ย วหมดก็ : ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย นี้ คื อ จั ก ขุ ธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิ วหาธาตุ กายธาตุ . บางคนอาจจะสงสั ย เช น ว า ตาเป น ธาตุ ได อ ย างไร? นี้ ขอให ศึ กษาต อไปตามหลั กธรรมนี้ แล วก็ ถื อวาเป นธาตุ อั นหนึ่ ง ซึ่ งมั นเป นรูปธาตุ ก็ จริง แต มิ ได หมายถึ งส วนที่ เป นก อนเนื้ อของลู กตา หรืออะไรทํ านองนั้ น; แต หมายถึ งธาตุ อัน หนึ ่ง ซึ ่ง อยู ใ นลัก ษณะที ่อ าจจะรูส ึก อะไรได ทางตา หรือ ทางลูก ตา. ที ่เปน บาลีใชคําวา ปสาท, ประสาท แปลวา สิ่งที่ทําใหรูสึกได : จั ก ขุ ป ระสาท สิ่ ง ที่ ทํ า ให รู สึ ก ทางตาได นั่ น แหละคื อ จั ก ษุ ธ าตุ , หรื อ จักขุธาตุ-ธาตุทางตา.


๗๖

ปรมัตถสภาวธรรม

ธาตุ ท างหู ก็ หมายถึ งประสาทที่ ทํ าให เกิ ด ความรูสึ กได ทางหู . สิ่ งนี้ มั น เป นรูป แต วาดูไมเห็นดวยตาธรรมดา จึงจัดวา แมแตโสตประสาทก็ยังจัดไวในพวกรูป, รูปธรรม. จมู ก ก็เรียกวา ฆานประสาท; หรือใชคํ าวา ธาตุ ก็ ดี กวา ฆานธาตุ คื อ ทํ าให เกิดความรูสึกไดทางจมูก เรียกวาฆานธาตุ หรือธาตุจมูก. ลิ้น ก็เรียกวา ชิวหาธาตุ ธาตุ ลิ้น คือประสาททางลิ้น ตั้งอยูในฐานะเป น สิ่ งพื้ นฐานอั นหนึ่ ง เรียกวา ธาตุ สํ าหรับทํ าให เกิ ดความรูสึ กทางลิ้ น; ส วนนี้ เรียกวา ชิวหาธาตุ. กายธาตุ นี่ ก็หมายถึงประสาทที่ มี อยูทั่ วผิ วหนั ง ทั่ วกาย ทั่ วไป ที่ จะทํ าให เกิ ดความรูสึ กทางผิ วกาย แต ก็ มิ ได หมายถึ ง ตั วเนื้ อหนั งโดยตรง. แต หมายถึ งธาตุ อันหนึ่ง ที่จะอาศัยเนื้อหนังนั้นแลวทําความรูสึกตามหนาที่ของมันได.

www.buddhadasa.info ธาตุนั้น ๆ ยังไมอาจจะรูสึกได จนกวาจะมีอีกอันหนึ่งเขามาชวย

เช น ตาจะต องมี ธาตุ ช วย ซึ่งจะต องอาศั ยสิ่ งที่ เรียกวารูปข างนอก ที่ จะมา กระทบตา. สิ่ ง ที่ จ ะมากระทบตาก็ เรี ย กว า รู ป ; ในบาลี ใ ช คํ า ว า วั ณ ณนิ ภ า ซึ่ ง ตามตั วหนั งสื อก็ แปลวา รัศมี ของสี ทั้ งหลาย, หมายความวา สิ่ งที่ เป นสี เขี ยว สี แดง ที่ เราจะได เห็ นอยู ในโลกนี้ ซึ่ งวิ ทยาศาสตรว าจะออกมาจากดวงอาทิ ตย ก็ ตาม; มั นมี รัศมี คื อเป นกระแสที่ ซานออกมา สําหรับจะกระทบตาเรียกวา วัณณนิภา แลวแต วามั น จะนิ ภาของวัณณะอะไร. ถามั นเป นนิ ภาของวัณณะสีแดง ก็เห็นเป นสี แดง, เป นนิ ภาของ วัณณะสีเขียว ก็เห็นเปนสีเขียวอยางนี้เปนตน. นิภาเหลานี้ตองมากระทบตา; แตเรา


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๗๗

เรี ยกกั นตามธรรมดาว ารู ปเฉย ๆ จะเป นเขี ยว แดง ดํ า เหลื อง ก็ สุ ดแท กระทั่ งมั นจะเป น รู ปทรงอย างไรก็ สุ ดแท มั นมาโดยอาศั ยการเป นรั ศมี ของสิ่ งนั้ น ๆ ที่ เข ามาสู ตา; อย างนี้ เรียกวารูป และก็เรียกวาธาตุ อยูนั้นแหละ.

ดูตัวอยางธาตุตา+รูป+วิญญาณธาตุ เปนวิญญาณขันธ ยกตัว อยางคูแ รก ประสาทที ่จ ะรูส ึก ไดท างตานี ้ เรีย กวา จัก ขุธ าตุ -ธาตุจักษุ หรือธาตุตา; รูปที่จะมากระทบตาไดนี้ เรียกวา รูปธาตุ. ที นี้ ตากั บรู ป อาศั ยกั นแล ว จึ งจะเกิ ดสิ่ งที่ เรี ยกว า การเห็ นทางตา คื อจั กขุ วิญญาณ พระบาลี จะกล าวไว ชั ดว า จกฺ ขุ ญจฺ ปฏิ จฺ จ รูเป จ อุ ปฺ ปชฺ ชติ จกฺ ขุ วิ ฺาณํ -อาศั ยตาด วย อาศั ยรู ปด วย ย อมเกิ ดจั กขุ วิ ญ ญาณขึ้ นมา; แม จั กขุ ซึ่ งเป นเพี ยงธาตุ เดี๋ ยวนี้ ก็ ได ทํ าหน าที่ เป น ฝ ายหนึ่ ง ซึ่ งจะกระทบ ก็ เลยเรี ย กว าอายตนะขึ้ น มา ที่ เคย เรี ยกที แรก เป นพื้ นฐานที่ สุ ดว า จั กขุ ธาตุ เท านั้ น มั นกลายเป นจั กขุ อายตนะขึ้ นมาแล ว. ที นี้ ที่ มั น เป น เพี ย ง รู ป ธาตุ หรื อ วั ณ ณนิ ภ าต าง ๆ ที่ จ ะมากระทบตา ซึ่ งเราเรี ย กว า รูปธาตุ นั้ น เดี๋ ยวนี้ ก ลายเป น รู ป อายตนะขึ้ นมา, พอเป นรูปอายตนะขึ้ นมา, ก็ เลย ได เป นคู สํ าหรับที่ จะกระทบกั น : จากจั กขุ ธาตุ มาเป นจั กขุ อายตนะ และก็ จากรูปธาตุ มาเปนรูปายตนะ; อยางที่ ๑ เปนอายตนะขางใน, อยางที่ ๒ อายตนะขางนอก.

www.buddhadasa.info อายตนะสองอย าง นี้ อาศั ยกั นเข าแล ว ย อมจะเกิ ดสิ่ งที่ เรียกวา วิญญาณ; ดั งนั้ น มั นจึงเกิ ดจั กขุ วิญญาณ. จั กขุ วิญญาณนี้ ก็ ออกมาจากวิญญาณธาตุ ซึ่ งตามปกติ ทรงตั วอยู ในลั กษณะเป นวิ ญญาณธาตุ ยั งไม เป นจั กขุ วิ ญญาณ หรือวิ ญญาณอะไรหมด จนกว าจะมากระทํ าหน าที่ ทางตา สํ าเร็จแล ว จึ งจะเกิ ดจั กขุ วิ ญญาณ เพราะตาอาศั ยกั บรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ.


๗๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ลองยอนไปดู อีกที วา ที แรกก็เป นเพี ยงธาตุ เปนจักขุธาตุ เป นรูปธาตุ พอทําหนาที่ก็กลายเปนจักขุอายตนะ, รูปายตนะ. พออายตนะนี้ทําหนาที่ก็กลาย เปนจักขุวิญ ญาณขันธขึ้นมา. ของเดิมมีแตเพียง ๓ อยาง : จักขุธาตุ อยางหนึ่ง, รูป ธาตุ อย างหนึ่ ง, วิ ญ ญาณธาตุ อย างหนึ่ ง; ๓ ธาตุ เท านั้ น . วิ ญ ญาณธาตุ นี้ จะกลายเปน วิญญาณขันธ อะไรขึ้นมาได ก็ตองอาศัย จักขุธาตุ กับ รูปธาตุ ได อ าศั ย กั น เสี ย ก อ น ดั ง นั้ น จึ ง ต อ งมี ธ าตุ ทั้ ง ๓ คื อ จั ก ขุ ธ าตุ -ธาตุ ต า, รูป ธาตุ ธาตุ รูป, และก็ วิญญาณธาตุ -ธาตุ จิต; พบกั นแล วจึงจะเกิ ด วิญญาณ ขึ้ นทางตา หู จมู ก ลิ้น กาย แลวแตกรณีไหน.

อาการที่ธาตุ ตา+รูป+วิญญาณธาตุ นี้เรียกวาผัสสะ ที นี้ ธาตุ ๓ อย างนี้ พบกั น ท านเรี ยกว าผั สสะ; พระพุ ทธเจ าท านตรั สว า ติณฺ ณํ ธมฺมานํ สงฺคติ ผสฺโส - ความพบกันประจวบกันระหวางสิ่งทั้ง ๓ คือ ตากับรูป และวิญญาณ ทางตานี่. ตากับรูปและวิญญาณทางตา ๓ อยางพบกันแลว เรียกวา ผัสสะ. ผัสสะนี้ ดูโดยเนื้อแทก็เปนธาตุ สงเคราะหอยูในพวกเวทนาธาตุ เพราะวา นั บ ตั้ งแต ผั ส สะนี้ ไป จะเป นเวทนาขัน ธ. ที่ วาผั ส สะนี้ ก็ คื อ การกระทบ; กระทบ ระหวางอะไร? ระหวางสิ่งทั้ง ๓ คือตากับรูป และจักขุวิญ ญาณ. วิญ ญาณขันธ เกิ ดขึ้ นเป นจั กขุ วิญญาณแล ว ที นี้ อาศั ยทั้ ง ๓ อย างนี้ กระทบกั น จึงจะเรียกวาผั สสะ ไดเกิดขึ้น.

www.buddhadasa.info ที่จริงผัสสะก็เปนแตเพียงอาการ แตเปนความรูสึกไดที่จิตใจ ก็เลย สงเคราะหเขาไวในฝายเวทนาขันธ; ผัสสะเกิดขึ้นแลวเปนปจจัย ก็ยอมเกิดเวทนา โดยตรง อยางบาลีวา ผสฺสปจฺจยา เวทนา-เพราะผัสสะเปนปจจัย จึงเกิดเวทนา.


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๗๙

ผัสสะ + เวทนาธาตุ ออกมาเปนเวทนขันธ เวทนานี้ ม าจากไหน? ที่ แ ท มั น ก็ เป น เวทนาธาตุ อั น หนึ่ ง ซึ่ งมี อ ยู เป น พื้ นฐาน ประจํ าอยู ตลอดเวลา เป นสั กว าธาตุ เวทนา แต มั นไม ได ออกมา จนกว าจะมี ผั สสะ อย า งที่ ว า . พอออกมาก็ ล ะจากความเป น เวทนาธาตุ มาเป น เวทนาขั น ธ ที่ กํ า ลั ง ทํ าหน าที่ อยู นี่ เราจึ งเปลี่ ยนชื่ อจากเวทนาธาตุ มาเป นเวทนาขั นธ , เพราะมี อยู เป นกลุ มๆ : เวทนาทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย แม ก ระทั่ ง ทางใจ มั น เป น กลุ ม ขึ้ น มา จึ ง เรี ย กว า เวทนาขั น ธ . เวทนาธาตุ ที่ ยั ง ไม ถู ก ปรุ ง บั ด นี้ ถู ก ปรุ ง ขึ้ น มาแล ว เปน เวทนาขัน ธ; รูป ขัน ธ ก็เ กิด แลว , วิญ ญาณขัน ธ ก็เ กิด แลว , เวทนาขัน ธ ก็เกิดแลว.

พอเวทนาขันธเกิด จะปรุงแตงเปน สัญญา-สังขารตามลําดับ ที นี้ เวทนานี้ เกิ ดขึ้ นแล ว จะปรุงแต งให เกิ ดความรูสึ กทางจิ ตใจขึ้ นตามลํ าดั บ ในอั น ถั ด ไป :จะมี สั ญ ญาขั น ธ ก อ น, เวทนาเกิ ด ขึ้ น เป น สุ ขเป น ทุ ก ข เป น อทุ ก ขมสุ ข อย างไรก็ ตาม จะต องมี ความรูสึ กสํ าคั ญวามั นเป นอะไร สํ าคั ญวาเป นสุ ข สํ าคั ญวาเป น ทุ กข สํ าคั ญ ว าเป นอทุ กขมสุ ข. สิ่ งสํ าคั ญ ยิ่ งไปกว านั้ นที่ จะเป นกิ เลส ก็ คื อ สํ าคั ญ ว า เที่ ยง สํ าคั ญ ว าของเรา, สํ าคั ญ ส วนใดส วนหนึ่ ง ที่ เป นแต เพี ยงสั กว า ความรู สึ กนั้ นว า ตั วเรา วาของเรา นั่ นแหละสั ญญาเกิ ดขึ้ นเป นอั ตตสั ญญาวาเรา เรารูสึ กได : ในเวทนานั้ น เรารูสึกได คื อรูสึ กวาเรานั้ นต องมี ตั วเรา ก็ เลยเกิดเป นอัตตสั ญญาขึ้นมา เป นสั ญญาขันธ ที่ ทํ าหน าที่ รุนแรงที่ สุ ด ในบรรดาสั ญญาขั นธ ทั้ งหลาย. สั ญญาว าเที่ ยง สั ญญาว าไม เที่ ยง สัญญาวาสุขวาทุกข นี่ไมรุนแรงเทากับสัญญาวา “เรา”, วาอัตตสัญญา.

www.buddhadasa.info หลังจากเวทนาเกิ ดแล ว จะมี ความสํ าคั ญในเวทนานั้ นวาเป นอยางไร อยางใด อยางหนึ่ง จะกระทั่งสําคัญวาเปนเวทนาของเรา; จึงเห็นไดวาสัญญาขันธไดเกิดขึ้น


ปรมัตถสภาวธรรม

๘๐

แลว สําคั ญวาเป นอยางนั้นอยางนี้ขึ้นมาแล ว ที นี้ หลั งจากสั ญญาขั นธ แลว ยอมเกิ ด สั งขารขั นธ ก็ มาจากสั งขารธาตุ อย างที่ กล าวแล วข างต น; เพราะมั นมี อยู เป นรากฐาน พื้นฐาน ในที่ทั่วไป จนกวาจะไดโอกาสจึงจะแสดงตัวออกมา. ทีนี้เมื่อสัญญาธาตุกลายเปนสัญญาขันธ สําคัญอยางนั้นอยางนี้แลว สังขารธาตุก็กลายเปนสังขารขันธ : รูสึกคิดนึกอยางนั้นอยางนี้ขึ้นมา ; ดังนั้นจากความคิดนึก เหล านั้ นมั นก็ มี เป นสายไป นั บตั้ งแต วามี สั ญญาวา “เรา” แล วมั นก็ มี สั ญเจตนา ที่ จะทํ า, ที่เราจะทําอยางใดอยางหนึ่ง; นี่เรียกวามีสัญเจตนา, แลวก็มี ตัณหา. จากสัญเจตนา ก็ จะเกิ ดตั ณ หา เกิ ดความอยากอย างใดอย างหนึ่ ง ตามสั ญ เจตนา; แล วก็ จะเกิ ดวิ ตก แลวก็จะเกิดวิจาร. กลุมนี้ เป น สั งขารขั นธ ทั้ งนั้ น มันก็มีรวมกันหมดเรียกวา สังขารขันธ นับตั้งแตเกิดสัญเจตนา เกิดตัณหา เกิดวิตกวิจาร ตามลําดับ; นี้รวมทั้งหมดแลว ก็ เรี ยกว าสั งขารขั นธ . นั บตั้ งแต มี เจตนาไปตามสั ญ ญา แล วเกิ ดตั ณ หา ความต องการ และก็ วิ ต ก ไปตามความต อ งการ, และได ม า ก็ วิ ต กไปตามที่ ไ ด ม า, และก็ วิ จ ารคือวาผูกพันธหลงใหล รูสึกอยูในสิ่งนั้น. กลุมที่เรียกวา สังขารขันธนี้ก็เลยมีมาก หลายอาการ เรียกวา สังขารขันธ ทั้งนั้น, รวมแลวครบ ๕ ขันธ.

www.buddhadasa.info ทบทวนอาการที่ธาตุปรุงกัน

ถ าลื มไปบ างก็ ทบทวนเสี ยใหม : เมื่ อ ตา พบกั บรู ป ได อาศั ย กั นกั บรู ป ยอ มเกิด จัก ขุว ิญ ญาณขึ ้น มา; นี ่ร ูป ขัน ธเ กิด ขึ ้น แลว วิญ ญาณขัน ธก ็เ กิด แลว . ระหวางตากับรูป กับวิญญาณขันธนั้น เมื่อมาสัมพั นธกันแลวก็เรียกวาผัสสะ, จาก ผัส สะก็ เกิด เวทนา คือเวทนาขัน ธ; จากเวทนาขั น ธก็ทํ าใหสําคัญ อยางนั้น อยางนี้ ในเวทนาขั น ธ มั น ก็ เป น สั ญ ญาขั น ธ เกิ ด ขึ้ น มาว า เป น อะไร เพื่ อ จะยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในขั้นตอไป ซึ่งเรียกวา สังขารขันธ.


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๘๑

ธาตุ ป รุ งกั น มั น จึ งเกิ ด รู ป ขั น ธ วิ ญ ญาณขั น ธ เวทนาขั น ธ สั ญ ญาขั น ธ สังขารขันธ ครบทั้ง ๕ ขันธดังนี้. เมื่อยังไมทําหนาที่ปรุงอยางนี้ ก็ยังเรียกวาธาตุ: คื อ รู ป ธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ เวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ สั งขารธาตุ มี ๕ ธาตุ พอได ทํ า หน า ที่ ตามหน า ที่ ที่ จ ะต อ งทํ า ในชี วิ ต ประจํ า วั น เมื่ อ ได อ ารมณ ข า งนอก ก็ เกิ ด เป น รูปขันธ วิญญาณขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ ขึ้นมา.

ขันธทั้ง ๕ + อวิชชา จะเปนอุปาทานขันธ ตอนที่ เป นขั นธ นี้ ก็ แยกออกเป น ๒ ฝ าย : ถ าไม มี อวิ ชชาธาตุ ธาตุ เหล านั้ น ก็ทําหนาที่ขันธลวน ๆ ตามเดิม; ถามีอวิชชาธาตุ ความโงเขลาเขาไปปรุง ปนอยูดวย มัน ก็ก ลายเปน อุป าทานขัน ธ; ไมใ ชข ัน ธเฉย ๆ ตอ งเปน อุป าทานขัน ข. รูป ก็เปน รูปู ปาทานขั นข ที่ เป นเวทนาก็ เป นเวทนู ปาทานขั นธ ที่ เป นสั ญญาก็ เป นสั ญู ปาทานขั นธ ที่ เป นสั งขารก็ เป นสั งขารูปาทานขั นธ และที่ เป นวิ ญญาณก็ เป นวิ ญญาณู ปาทานขั นธ ก็ เกิ ด อุปาทานขันธ ๕ ขึ้นมา. เมื่อเปนอุปาทานขันธสมบูรณอยางนี้แลว ก็คือตัวความทุกข ที่ มี อ ยู ใ นนั้ น ; เพราะความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เป น เรา-เป น ของเรามี อ ยู แ ล ว ตั้ ง แต มี สั ญญาขั นธ ในรูปของสั ญญาขั นธ กระทั่ งมาอยู ในสั งขารขั นธ คิ ดนึ กอยู เต็ มที่ เป นอุ ปาทาน เปนภพขึ้นมาแลว.

www.buddhadasa.info ถ าถื อตามหลั กปฏิ จจสมุ ปบาท จะเข าใจได ง าย โดยเริ่ มขึ้ นมาว า จกฺ ขุ ฺจ ปฏิ จฺจ รูเป จ อุปฺ ปชชติ จกฺ ขุวิฺาณํ - อาศั ยตากับรูปเกิ ดจักขุวิญญาณ ติ ณฺ ณํ ธมฺ มานํ สงฺ ค ติ ผสฺ โส ๓ อย างนี้ รวมกั น เรี ย กว าผั ส สะ. ผสฺ ส ปจฺ จยา เวทนา -เพราะผั ส สะ เปนปจจัยจึงเกิดเวทนา. ขอให สั ง เกตดู ใ ห ดี ว า รู ป ขั น ธ ได เกิ ด ขึ้ น แล ว ในขณะตากระทบรู ป , วิญญาณขันธเกิดขึ้นเพราะอาศัยตากระทบรูป. แมผัสสะกับเวทนานั้นคือเวทนาขันธ


๘๒

ปรมัตถสภาวธรรม

ที่ เกิ ด มาในรองลํ าดั บ : ผสฺ ส ปจฺ จ ยา เวทนา; จากเวทนาปจฺ จ ยา ตณฺ ห า -เวทนา เป นป จจั ยให เกิ ดตั ณหา นี่ มั นรวมกั นที เดี ยวหมดเลย : จากเวทนานั้ น ก็ จะเป นสั ญญา แล วก็ เป นสั ญญา เจตนา เป นตั ณหา เป นวิ ตก เป นวิ จาร รวมอยู ในคํ าเดี ยวกั บตั ณหา. จากเวทนาเปนปจจัย ยอมเกิดตัณหา กระทั่งมาถึงอุปาทาน นี่ก็ยังอยู ในพวกสังขารขั น ธ , กระทั่ งเป น ภพ ชนิ ด ที่ เป น กั ม มภพ ความรู สึ ก คิ ด นึ ก ที่ ส มบู รณ เป น นั่ น เป น นี่ นี้ ก็ ยั ง เป น สั ง ขารขั น ธ ; ก็ เลยเกิ ด ทุ ก ข . สั ง ขารขั น ธ ป รุง แต งเป น ความทุ ก ข ขึ้ น มา โดยสมบูรณ คือเปนชาติ ชรา มรณะ. ในกระแสแหงปฏิจจสมุปบาทสายหนึ่ง เราจะพบความเปนขันธ ๕ เกิดขึ้นมาจากธาตุ ทั้ง๕; และขันธ ๕ นั้น ถูกกระทําใหเปน อุปาทานขันธ ๕ เลยเปนทุกข.

พุทธบริษัทตองเขาใจเรื่องธาตุปรุงกันใหเกิดทุกข ถาเขาใจเรื่องนี้ ก็ เป นอั นวาเขาใจเรื่องธาตุ ทั้ งปวงที่ มี อยู ปรุงแต งกั นจน เกิ ด เป น ความทุ ก ข ขึ้ น มา, เป น ความรูอ ย างเดี ย วที่ เรีย กว า เป น ความรูจ ริง รูแ จ ง ของคนที่ เป นพุ ทธบริ ษั ท. ดั งนั้ น ขอให พยายามทํ าความเข าใจ ให เข าใจจนได ในเรื่ อง ธาตุ ทั้ งหลาย ปรุ งแต งขึ้ น มาจนเป น อายตนะนอก อายตนะใน; การพบกั น ระหว า ง อายตนะนอกกั บอายตนะใน ก็ เกิ ดวิ ญญาณขึ้ นมา ระหว าง ๓ สิ่ งนั้ นรวมกั นเข า ก็ เรี ยกว า ผัสสะ ขึ้นมา, แลวก็เปนเวทนาขึ้นมา เปนสัญญาขึ้นมา เปนสังขารขึ้นมา.

www.buddhadasa.info วิญ ญาณนั้ นอาจจะทํ าหน าที่ ได หลายตอน ตอนตากระทบรูปก็ เรียกวา จั ก ขุ วิ ญ ญาณนี้ วิ ญ ญาณก็ เกิ ด แล ว ; พอเวทนาเกิ ด ขึ้ น ในจิ ต ในความรู สึ ก ของจิ ต มโนก็ ทํ าหน าที่ มโนวิญญาณได เป นวิญญาณ; หรือกํ าลั งคิ ดนึ กอยู ถ ามั นเกิ ดความรูสึ ก อะไรขึ้นมา มันก็เปนมโนวิญญาณได. ฉะนั้นวิญญาณจะมีไดหลาย ๆ หน โดยอาศัย


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๘๓

เวทนาเป น อารมณ ก็ ได , กลายเป น ธั ม มารมณ ข างใน สํ า หรับ จิ ต กระทบและรูสึ ก หรือจะเอาสัญญาเปนอารมณก็ได เอาสังขารเปนอารมณเองก็ได. ยิ่ งพิ จารณาไปจะยิ่ งเห็ นว า ไม มี อะไรที่ ไม ใช ธาตุ แม จะกิ นเวลามากจน น าเบื่ อที่ สุ ดอย างไร ก็ ยั งขอรองให ท านทั้ งหลาย พยายามทํ าความเข าใจให จงได . ค อย ๆ เข า ใจไปที ล ะนิ ด ๆ ก็ ยั ง ดี , จะพู ด กั น สั ก กี่ ค รั้ ง หรื อ กี่ สิ บ ครั้ ง ก็ ยั ง ดี . อาตมาผู พู ด ก็ ไม รูสึ กเหนื่ อย เพราะว าต องพู ดไปจนรูเรื่อง เกรงแต ว าท านทั้ งหลายจะไม อดทนพอที่ จะ ทํ าความเข าใจ เรื่ อ งสิ่ งที่ เรี ย กว าธาตุ ซึ่ งมี อ ยู เป น พื้ น ฐาน และปรุ งขึ้ น มาเป น ความ รู สึ ก คิ ด นึ ก ว า เรา ว า ของเรา จึ ง เกิ ด ความทุ ก ข และก็ จ ะดั บ ไป. ถึ ง แม จ ะดั บ ไป มันก็ตองดับดวยธาตุอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกวานิโรธธาตุ หรือนิพพานธาตุก็ตาม.

ธาตุฝายสังขตะ จะปรุงแตงเรื่อย จะดับตอเมื่อพบกับธาตุฝายอสังขตะ สรุปความอี กที หนึ่ งว า ธาตุ ทั้ งหลายนี้ ฝ ายสั งขตะ จะเกิ ดขึ้ น ๆ ๆ ปรุงแต ง ให เกิ ด ขึ้ น จะเป น รู ป ธาตุ ก็ ได อรู ป ธาตุ คื อ นามธาตุ ก็ ไ ด , มั น จะปรุ ง แต ง กั น ขึ้ น จนเป นวิญ ญาณ จนเป นผัสสะ เวทนา ครบขันธ ๕ ; แต แล ว ที่ สุ ดมั นจะดั บลงไป ดว ยธาตุอ ีก ธาตุห นึ ่ง ซึ ่ง เรีย กวา นิโ รธธาตุ ซึ ่ง เปน ฝา ยอสัง ขตะ. ฉะนั ้น ความดั บ นี่ มั น มิ ได โดยธาตุ ข องความดั บ ที่ เรี ย กว า นิ โรธธาตุ ; ไม อ ย า งนั้ น มั น ดั บ ไมได.

www.buddhadasa.info จะยกตั วอย างทางวั ตถุ เหมื อนอย างไฟ กว ามั นจะเกิ ดเป นไฟขึ้ นมาได มั น ตองอาศั ยหลาย ๆ ธาตุ , กวาไฟจะลุ ก เป น ไฟขึ้ น มาได ต อ งอาศั ย ธาตุ นั้ น ธาตุ นี้ ธาตุ โน น ตามธาตุ ทางวั ตถุ ทางวิ ทยาศาสตร ซึ่ งก็ รูกั นได ดี ว า ไฟจะเกิ ดขึ้ นได อย างไร. มันตองมีเชื้อเพลิง เชนไมฟน หรือน้ํามัน นี้ก็ตาม, มันก็จะตองมีความรอน มีธาตุ


๘๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ที่ ห ล อ เลี้ ย งไฟเป น อ็ อ กซิ เจน หรื อ อะไรก็ สุ ด แท , และยั งต อ งมี อ ะไรอี ก บางอย า งมา ชวยกัน ไฟจึงจะลุกเปนไฟขึ้นมา. ทีนี้เมื่อจะดับไป ก็ตองไปตามกฎที่วา เหตุปจจัย นั ้น มัน สิ ้น , เหตุป จ จัย จะสิ ้น จนทํ า ใหไฟดับ นี ้ ปจ จัย สิ ้น หมดเองไปก็ไ ด เชน วา น้ํ ามั นมั นหมด ไฟมั นก็ ดั บ อย างนี้ เรียกว า เหตุ ป จจั ย ที่ ทํ าให ไฟลุ กนั้ นหมดเสี ยแล ว; ไฟก็ ดั บเองด วยเหตุ ผล เพราะเหตุ ป จจัยมั นสิ้นเอง. ที นี้ ถ าป จจัยไม สิ้ นเอง แต มี อํ านาจ อันใดอันหนึ่งมาทําใหไฟดับก็ได เชนวา ถาไฟที่มันดับไดดวยน้ํา ก็เอาน้ําสาดเขาไป หรื อ เอาแผ น อะไรทั บ เสี ย ไฟก็ ต อ งดั บ โดยที่ มี อ ะไรแทรกแซงเข า มา; ไม ใ ช ดั บ เพราะว าป จ จั ย ค อ ย ๆ สิ้ น ไปเอง; ทั้ งหมดนี้ เรี ย กว า ความดั บ . จะต อ งมี ค วามดั บ ที่ เป น พื้ น ฐานอยูอีกอั นหนึ่ ง มั น จึ งจะปรากฏเป น ความดั บ ออกมาได; ในทางธรรม ถื อเป นอย างนี้ . ฉะนั้ นความทุ กข ที่ เกิ ดขึ้ นเพราะป ญ จุ ปาทานั กขั นธ ทั้ งหลาย มั นจะถึ ง ความดับ ก็โดยเมื่อมีนิโรธธาตุเขามา:ดั บ เพราะว า เหตุ ป จ จั ย สิ้ น สุ ด ลง ตามธรรมชาติ ตามโอกาส; ตั ว อย า ง เช นว า : ตาเห็ นของที่ น ารั ก น าพอใจ จนเกิ ดกิ เลส จนยึ ดมั่ นถื อมั่ นจนเป นความทุ กข แต มั น จะอยู อ ย างนั้ น ตลอดวั น ตลอดเดื อ นตลอดป ไม ได ; เหตุ ป จ จั ย ส วนใดส วนหนึ่ ง มั นเปลี่ ยน มั นรอยหรอ มั นก็ หยุ ดไปได , คื อว าหยุ ดทรมานด วยการหลงรักหลงอะไรได . นี้ เรี ยกว าดั บไป ตามโอกาส หรื อการสิ้ นสุ ดของป จจั ยตามธรรมชาติ ; อย างนี้ ก็ เรี ยกว า ดับชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งไมใชฝไมลายมืออะไรของคนนั้นนัก.

www.buddhadasa.info แต ยั งมี ทาง หรือวิธี ที่ จะปฏิ บั ติ ให นิ โรธธาตุ เข ามาดั บทุ กข นี้ ได โดยเร็วไปตาม ต องการ ยิ่ งกวานั้ น; นี่ คื อดั บความทุ กข นี้ ด วยสติ ป ญญา ที่ เจริญภาวนา เช นวิ ป สสนาภาวนา เป นตน . นี่เราทํ าให เกิ ด สติ ป ญ ญา ที่ เป น วิป ส สนาเขามา ก็ เลยหายโง หายหลงรัก หายยึดมั่นถือมั่นที่นั่นเดี๋ยวนั้นทันทีก็ได.


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๘๕

ที นี้ ถ าจะพู ดอี กที หนึ่ งก็ พู ดว า ทุ กข ดั บเพราะว ามั นมาพบกั นเข ากั บนิ โรธธาตุ เชนนิพพานธาตุเปนตน. นิโรธธาตุนี้เมื่อถึงขั้นสูงสุด เขาจะเรียกเปนวานิพพาน ธาตุ : เจริ ญ วิ ป สสนาอยู เป นประจํ าจนกระทั่ งว า เกิ ดความรู แจ ง เห็ นแจ ง มรรคญาณ ผลญาณ นิ พพิ ทา วิ ราคะ วิ มุ ตติ ไปตามลํ าดั บ จนกระทั่ ง นิ พพานธาตุ ชนิ ดสอุ ปาทิ เสสนิ พพาน หรื ออนุ ปาทิ เสสนิ พพานก็ ดี ปรากฏขึ้ น สั งขารทั้ งปวงก็ ดั บ; ไม มี ทางจะปรุ งแต ง เปนนี่เปนนั่น เพื่อจะเปนอุปาทานขันธอีกตอไป; นี้ก็เรียกวานิโรธธาตุโดยแทจริง นิ พพานนี้ ก็ เป นธาตุ ครั้งสุ ดท าย สู งสุ ดกว าเขาหมด แล วก็ ยั งคงเป นธาตุ ; คื อ ธา-ตุ , ก็ เรี ย กว า นิ พ พานธาตุ บ าง นิ โรธธาตุ บ าง อสั งขตธาตุ บ าง อมตธาตุ บ าง; แลวแตจะเรียก. นี่คือ ธาตุแหงความดับซึ่งมาถูกเขากับสังขาร หรือสังขารมาถูกเขา กั บธาตุ แห งความดั บแล ว มั น ก็ ต องดั บ . ที่ เห็ นได งาย ๆ เชนวา ไฟมั นลุ กโพลงอยู พอมันถูกเขากับน้ํา มันก็ดับลง เพราะมันเปนธรรมชาติตรงกันขามอยู.

พิจารณาใหดี ไมมีอะไรที่ไมใชธาตุ

www.buddhadasa.info เอาละที นี้ ก็ ต องย้ํ าหรื อขอร องให พิ จารณาย้ํ า ให ซ้ํ า ให ดู ใหม ว า : ตั้ งแต ต น จนถึง ที ่ส ุด นั ้น มัน มีอ ะไรที ่ม ิใ ชธ าตุ? คือ นับ ไดตั ้ง แตค วามทุก ข ยัง มิไ ดเ กิด ขึ ้น จนกระทั่ งความทุ กข เกิ ด ขึ้ น และเป น ไป เป น ทุ ก ข ท รมานไป จนกว าทุ ก ข นั้ นจะดั บ ลง หมดสิ้ น . นี่ มั น มี อ ะไรส ว นไหนที่ มิ ใช ธ าตุ ? แม แ ต ตั ว วั ต ถุ มั น ก็ ธ าตุ และตั ว กริ ย า อาการที่ เปลี่ ยนแปลงไป มั นก็ เป นธาตุ คื อเป นสั งขตธาตุ หรื อเป นสั งขารธาตุ ก็ สุ ดแท ; กระทั่ ง มั น ดั บ ลง มั น ก็ เ ป น นิ โ รธธาตุ หรื อ นิ พ พานธาตุ . ถ า มั น ดั บ ชั่ ว คราว ก็ เป น นิโรธธาตุปรากฏชั่วคราว มิไดปรากฏอยูตลอดเวลา หรือเด็ดขาดลงไปได. ขอใหด ูว า วัน หนึ ่ง กี ่ว ัน กี ่เ ดือ น กี ่ป ; ในวัน หนึ ่ง ๆ ในเรื ่อ งหนึ ่ง ๆ ก็ไมมีอะไรที่มิใชธาตุ : ลมหายใจก็คือธาตุ, รางกายนี้ก็คือธาตุ, การปรุงแตงกันระหวาง


๘๖

ปรมัตถสภาวธรรม

สิ่ ง นี้ ก็ คื อ ธาตุ , ความรู สึ ก เกิ ด ขึ้ น ก็ คื อ ธาตุ , กิ ริ ย าอาการที่ มั น ปรุ ง แต ง กั น ก็ เ ป น อาการของธาตุ ที่ เรี ยกว า สั งขตธาตุ , ส วนที่ ว ามั นจะหยุ ดไปดั บไป ก็ เพราะธาตุ คื อ นิโรธธาตุ. ตอ งขอโอกาสย้ํ า แลว ย้ํ า อีก วา ไมม ีอ ะไรที ่ไ มใ ชธ าตุ. ถา จะแจก รายละเอี ยดก็ จะแจกได ม ากมาย คน ๆ หนึ่ ง เรานี่ แหละไม ต องใครละ; ตรงไหนบ าง ที่ ไ ม ใ ช ธ าตุ ? ผม ขน เล็ บ ฟ น หนั ง ที่ เป น พวกเดี ย วกั น นี้ , และก็ น้ํ า เลื อ ด น้ํ า หนองน้ํ ามู ก น้ํ าลาย นั่ นก็ เป นส วนธาตุ , และความรอน ชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ ง ที่ อยู ในรางกายนี้ เหล านี้ ก็ เป นส วนธาตุ , และส วนที่ เป นแก ส เป นความระเหยอยู ที่ เรี ยกว า ธาตุ ลม นั้ น ก็ คื อ ธาตุ ; เพราะว า วั ต ถุ อาศั ย ๔ ธาตุ นี้ ประกอบกั น เข า เป น โครงร า ง เนื้ อ หนั ง ของมนุษย; ทุกสวนเปนธาตุหมด. ผมเส น หนึ่ ง เอามาดู ก็ ป ระกอบอยู ด ว ย ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ และ ธาตุ ล ม. นี่ ก็ พ อจะเข าใจได ว า ผมก็ มี ความเป น ของแข็ ง, ในผมก็ มี น้ํ า ที่ จ ะบี บ คั้ น ออกมาได , และก็ มี อุ ณ ภู มิ ธาตุ ไฟอยู ระดั บ ใดระดั บ หนึ่ ง, ในผมเส น เดี ยวนั้ น แหละ ก็ มี ล ม ธาตุ ล ม คื อ ส ว นที่ ร ะเหยไปได , มี อ ากาศมี ที่ ว า ง ที่ จ ะให ผ มเส น นี้ ตั้ ง อยู ไ ด ถาไมมีที่วาง ผมก็ตั้งอยูไมได. นี่เรียกวา ในผมเสน หนึ่ งก็มี แตความเปน ธาตุลวน แตเปนฝายรูปธาตุ. ยิ่งไปพิจารณาเล็บ ฟน หนัง กระดูก เลือก เนื้อ หมดทุกสวน ของร างกาย ล วนเป นธาตุ ทั้ ง ๔ รวมกั นอยู ในรูปใดรูปหนึ่ ง; เป นอั นวา ส วนรางกาย ไมม ีอ ะไรที ่ไ มใ ชธ าตุ. แมแ ตเ นื ้อ ที ่ว า ง มัน ก็เ ปน ธาตุ. สว นที ่ก ิน หรือ ครอง เนื้อที่วางอยู มันก็ลวนแตเปนธาตุใดธาตุหนึ่ง.

www.buddhadasa.info ทีนี้ สวนจิตใจมันเริ่มขึ้นมาเปนความคิดนึกได ก็เพราะวา รูปธาตุนี้ ทํา หนาที่ของธาตุ; ตาก็เปนรูปธาตุ รูปขางนอกก็เปนรูปธาตุ อาศัยกันเขาแลวก็เปนอายตนะ


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๘๗

สํ าหรั บ กระทบกั บ ตา ข างใน รู ป ข างนอก. ตาก็ เป น รู ป ธาตุ รู ป ก็ เป น รู ป ธาตุ อ ยู แล ว แม ว าจะเป นสิ่ งละเอี ยด เห็ นไม ได ด วยตา ก็ ยั งคงเป นธาตุ ; เช น ความรู สึ กต าง ๆ นี้ ก็เปนธาตุ แตวาเห็นดวยตามไมได. ถารูสึกที่ตาได นั่นก็เรียกวา จักขุธาตุ. ที นี้ รู ป ที่ ม ากระทบตา ก็ เป น ธาตุ เป น ส วนที่ จั บ ไม ได แต เห็ น ได ก็ มี เช นว ารั ศมี หรื อวั ณ ณนิ ภาของคลื่ นแสงต าง ๆ ที่ มากระทบตา เราจั บ มั นไม ได แต มั นก็ ยั งเห็ น ได ด วยตา ด วยความรู สึ ก ที่ ต า นี้ ก็ คื อ ธาตุ . ส วนรู ป ธาตุ อยู ในฝ ายนี้ เรี ย กว า จั ก ขุ ธ าตุ , ฝ า ยโน น เรี ย กว า รู ป ธาตุ อาศั ย กั น เกิ ด วิ ญ ญาณขึ้ น มาจากธาตุ ที่ เป น วิญญาณธาตุ ซึ่งมีอยูเปนปกติตามธรรมชาติ เหมือนกับธาตุอื่น ๆ นั่นแหละ.

ทุกธาตุมีอยูตามธรรมชาติ มีโอกาสเมื่อไร ก็แสดงตัว ไมวาธาตุไหน ลวนมีอยูอยางนั้น ตามธรรมชาติ คลาย ๆ กับวา รออยู อย างนั้ น จนกว าจะมี โอกาส ที ค จะแสดงตั ว คื อ ได ป จจั ยที่ ป รุงแต ง เมื่ อได ป จจั ย ที่ ปรุ งแต ง ก็ แสดงตั วออกมาอี กที หนึ่ ง. เมื่ อเรากํ าลั งมี ความคิ ดนึ กอยู ในใจ ความคิ ดนึ ก นั้ น มั น เป น สาย หรื อ ว า เป น วิ ถี ข องการที่ ป รุ ง แต ง กั น มาทางจิ ต โดยอํ า นาจของสิ่ ง ที่ เรี ยกว า นามธาตุ นั บ ตั้ งแต พ อเห็ นก็ เป นวิ ญ ญาณ แล วก็ เป นผั สสะ แล วก็ เป นเวทนา แล วก็ เป นสั ญ ญา แล วก็ เป นสั งขาร ไม มี ส วนไหนที่ มิ ใช ธาตุ , แล วก็ ยั งหาส วนที่ มิ ใช ธาตุไมพบ แมแตที่วางก็เปนอากาสธาตุ.

www.buddhadasa.info ตั ว ตนจะมี อ ยู ที่ ไ หน; ตั ว ตนก็ เป น เพี ย งสั ง ขารธาตุ ที่ ถู ก ปรุ ง ด ว ย อวิชชาออกมาเปน สังขารขันธ เปนความคิดนึกอยางนั้นอยางนี้ และอาจจะมีได ปรุงได ตั้งแต พอมีเวทนาขึ้นมาโดยสมบูรณแลว ก็จะเกิดสัญญา ก็ปรุงเปน เรารูสึก


๘๘

ปรมัตถสภาวธรรม

อย างนั้ น เรารู สึ กอย างนี้ ในเวทนา; และสํ าคั ญ เวทนาว าเป นอย างนั้ นอย างนี้ . ต อมา เมื่ อเกิ ดวิ ญญาณ รูสึ กในสิ่ งเหล านี้ หลายซั บหลายซ อนขึ้น แล วก็ ไปคว าเอาวิญญาณขันธ นั้ น มาเป น ตั ว ตนก็ ได , หรื อ บางที เพราะเหตุ ที่ มั น อาศั ย สิ่ ง เหล า นี้ เป น เครื่ อ งรู สึ ก ได รวมกั นในรูป เวทนา สั ญญา สั งขาร วิ ญญาณ ทั้ ง ๕ อย างนี้ ; คนที่ ยั งรูน อย ยั งไม ฉลาด ยังโงอยูบาง อาจจะไปควาเอารูปขันธ มาเปนตัวตนก็ได. พระพุ ท ธเจ าท านได ต รั ส ไว ทั้ ง ๕ ขั น ธ เลย ว า “เอารู ป เป นตั วตนก็ มี เวทนาเป นตั วตนก็ มี สั ญ ญาเป นตั วตนก็ มี สั งขารเป นตั วตนก็ มี วิ ญ ญาณเป นตั วตน ก็ มี ” ; แล วแต ว า คน ๆ นั้ นมั นกํ าลั งโง อยู อย างไร. หรื อถ าพู ดให ถู กว านั้ นก็ แล วแต ว า กลุ มธาตุ หรือกลุ มขั นธ กลุ มนั้ น มั นยั งโง อยู ในระดั บไหน; ซึ่ งจะเอารูปเป นตั วตนก็ ได เอาเวทนาเป นตั วตนก็ ได สั ญ ญาเป นตั วตนก็ ได สั งขารเป น ตั วตนก็ ได วิ ญ ญาณเป น ตั ว ตนก็ ไ ด . เหมื อ นที่ ส วดท อ งเวลาไหว พ ระสวดมนต อ ยู ทุ ก เช า ทุ ก เย็ น ว า “รู ป ง อนิ จจั งเวทนา อนิ จจา เรื่อยไปกระทั่ งวา รูป ง อนั ตตา เวทนา อนั ตตา”. นี่ เป นคํ าบอก ของพระพุ ทธเจ าว า ทุ กอย างเป นอนั ตตาทั้ งนั้ น ในทั้ ง ๕ นั่ นแหละ; พอโง ไปยึ ดมั่ นว า มิใชอนัตตา แตเปนอัตตา เปนตัวเราหรือของเราก็ตาม ความทุกขก็เกิดขึ้น.

ความทุกข ก็เปนธาตุ เพราะเปนพวกเวทนาธาตุ www.buddhadasa.info ที นี้ ตั วความทุ กข ที่ เกิ ดขึ้ นนี้ เป นธาตุ หรื อ มิ ใช ธาตุ ? ใครที่ ได เรี ยนมาแล ว อย างไร? แตหนหลั ง มี ความรูมาเท าไร? ความทุ กขเกิดขึ้น ตั วความทุ กข นั้ นคื อธาตุ หรือมิใชธาตุ? และก็คงลืมเสียอีกวา ความทุกขนี้ เปนเวทนา เวทนาก็ตองเปน ธาตุ คื อ เป นเวทนาธาตุ , ความสุ ขก็ เป นธาตุ เพราะเป นเวทนา และเป นเวทนาธาตุ . ที นี้ เวทนาธาตุ จะแบ งเป น สุ ขธาตุ ทุ กขธาตุ อทุ กขมสุ ขธาตุ ก็ ได ; แต ไม ต องแบ งก็ ได เพราะเวทนาทั้งหลายเปนธาตุอยูแลว.


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๘๙

นี้เรียกวา ความทุกขที่เกิดขึ้นก็เปนธาตุ คือเปนเวทนาธาตุ; หรือวา ความทุก ขจ ะดับ ลง ก็ตอ งเปน นิโรธธาตุ หรือ เปน นิพ พานธาตุ ชั่วขณะ ๆ เป นนิ โรธธาตุ โดยส วนรวมเรี ยกได ว า เป นนิ โรธธาตุ . เมื่ อทุ กข เกิ ดขึ้ นเป นเวทนาธาตุ ; เมื่ อ ทุ ก ข ดั บ ลง ก็ เป น นิ โรธธาตุ คื อ ความดั บ แห ง เวทนาธาตุ นั้ น เอง; จะเหลื อ เนื้ อ ที่ ตรงไหนไว ที่วาจะมีสิ่งไรที่มิใชธาตุ มันก็ไมมีแลว. ขอใหทบทวนอยางนี้เรื่อยไป : ในสวนรูปก็ไมมีอะไรที่มิใชธาตุ ตั้งแต ผม ขน เล็ บ ฟ น หนั ง แม ก ระทั่ ง ขี้ มู ก น้ํ า ลาย น้ํ า ตา ล ว นเป น ธาตุ ไปทั้ ง นั้ น , ส วนฝ ายจิ ต ก็ มี ผั สสะ เวทนา ตั ณหา วิ ตก วิจาร จนกระทั่ ง เป นทุ กข เป นต นไปเลย ก็ เป นธาตุ . กลั วแต วาจะไม มองเห็ นอย างนี้ ; จะไปเข าใจวา มี อะไรเหลื ออยู บางอย าง ซึ่ งมิ ใช ธาตุ คื อนอกเหนื อไปจากธาตุ ตามธรรมชาติ แล วก็ จะไปเอาอั นนั้ นแหละมาเป น ตั วตนเข าอี ก. บางคนเป นเอามาก จนถึ งกั บว ายอมรั บว า รู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ ทั้ ง ๕ นี้ ก็ เป น ธาตุ , นั่ น ถู ก แล ว ; แต จ ะมี อ ะไรที่ น อกไปจากนั้ น อี ก ; ซึ่ ง เขาไปเรี ยกว าจิ ตบ าง จิ ตอมตะบ าง มั นไม ถู ก; ถ าเป นจิ ตมั นก็ ต องรวมอยู ในขั นธ ๕ นี้ ถ า เป น อมตะมั น เป น อมตธาตุ มั น อยู ฝ า ยนิ โรธธาตุ โน น ; นี่ ก็ เลยไม มี อ ะไรที่ ไ ม ใ ช ธาตุ.

www.buddhadasa.info ธาตุ เกิดมีเมื่อไร ทุกขปรากฏขึ้นเมื่อนั้น ทีนี้ก็มีสิ่งที่ตองทราบตอไปวา เมื่อไร ธาตุเกิดขึ้น ตั้งอยู หรือปรากฏ ออกมา เมื่อนั้น เปนความเกิดขึ้น ตั้งอยู หรือปรากฏแหงทุกข. นี่ขอใหเขาใจวา ในพระบาลี อ ย า งนี้ จะมี ม าก : เมื่ อ ใด ตา หู ฯลฯ เกิ ด ขึ้ น , เมื่ อ ใดธาตุ เกิ ด ขึ้ น , หรื อ เมื่ อ ใดขั น ธ ใ ดขั น ธ ห นึ่ ง , ธาตุ ใ ดธาตุ ห นึ่ ง เกิ ด ขึ้ น . นี้ ท า นหมายความว า เมื่ อ ธาตุ ทํ าหน าที่ ปรุงแต งจนถึ งขนาดที่ เป นที่ ตั้ งแห งความยึ ดมั่ นถื อมั่ น ว าตั วกู - ว าของกู เขาแลว เชนวา รูปธาตุของกู เวทนาธาตุของกู สัญญาธาตุของกู สังขารธาตุของกู


๙๐

ปรมัตถสภาวธรรม

วิญญาณธาตุ ของกู จนไปติ ดมั่ นยึ ดมั่ นในธาตุ นั้ นๆอย างใดอย างหนึ่ งเข าแล ว; ก็ คิ ดดู ซิ วา ความทุกขจะไมเกิดขึ้นอยางไรได. เรื่ อ งดั ง กล า วมานี้ ใ ห ค วามหมายลึ ก ลึ ก มากขนเข า ยากตรงที่ ว า : สิ่ ง ทั้งหลายจะเปนธาตุใด ธาตุไหน ก็ตาม ถายังมิไดอยูในการทําหนาที่ของธาตุแลว จะไม เรียกวาธาตุ เกิ ดขึ้ น; ดั งนั้ นจึ งถื อวา ตายังมิ ได เกิดขึ้นอยางตามธรรมดานี่ จน กวาเมื่อใดนัยนตาทําหนาที่เห็น จึงเรียกวาเกิดขึ้น. แมรูปที่ตาเห็น ก็เหมือนกัน; ถื อว า ยั งมิ ได เกิ ดขึ้ น จนกว าเมื่ อใดรู ป นั้ นถู กเห็ นด วยตา ปรากฏเป นรู ปอะไรแล วนั้ น จึ ง จะเรี ย กว า รู ป เกิ ด ขึ้ น . จั ก ขุ วิ ญ ญาณก็ เหมื อ นกั น ก อ นหน า นั้ น ไม รู ว า อยู ที่ ไ หน จนกวาเมื่อไรทําหนาที่ดวยการเห็นทางตา เมื่อนั้นจึงจะเรียกวา จักขุวิญญาณ เกิ ด ขึ้ น . พอเสร็ จ หน า ที่ ข องการเห็ น ทางตา เมื่ อ นั้ น จึ ง จะเรี ย กว า จั ก ขุ วิ ญ ญาณ เกิ ด ขึ้ น . พอเสร็ จ หน า ที่ ข องการเห็ น ทางตา จั ก ขุ วิ ญ ญาณนั้ น ก็ ดั บ ไป; เพราะได เกิ ด ผั ส สะ เกิ ด เวทนา ตั ณ หา อะไรขึ้ น มาแทนเสี ย แล ว . ฉะนั้ น จึ ง มี ก ารเกิ ด ขึ้ น ตามลําดับ, ดับลงไปตามลําดับ.

www.buddhadasa.info ในกรณี ข องตาเป น อยางไร, ในกรณี ของหู จมู ก ลิ้ น กาย ก็ เป น อย า งนั้ น ; ในกรณี ข องจิ ต นั้ น ก็ ยิ่ ง เร็ ว มากในการที่ จ ะเป น อย า งนั้ น . ฉะนั้ น เราจึ ง ได ธ าตุ ที่ จ ะแจกออกไปได เป น หมวด ๆ ในฝ า ยธาตุ ที่ จ ะเป น พื้ น ฐาน โดยแท จ ริ ง แจกออกไดเปนหมวด ๆ : หมดวตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.

หมวดตา นี้ ก็ เป น ตั วตา เป น ตั วรู ป , เป น ตั ววิ ญ ญาณทางตา, จั กขุ +รู ป , แล วก็ +จั กขุ วิ ญ ญาณ. ที นี้ หู ก็ มี โสต คื อ หู ก็ มี เสี ยง และก็ มี โสตวิ ญ ญาณ-วิ ญ ญาณ ที่ รู แจ งทางหู . มี อ ย างนี้ จนครบทั้ ง ๖ อายตนะแยกอย างละ ๓ ก็ เลยได ๑๘ ธาตุ : จั ก ขุ ธ าตุ +รู ป ธาตุ +จั ก ขุ วิ ญ ญ าณ ธาตุ ; และก็ ยั ง มี โ สต+สั ท โท คื อ เสี ย ง+โสตวิญญาณคือวิญญาณทางหู; ไปแจกเอาเองก็ได ไมใชลึกลับอะไร:-


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๙๑

- ตา แลวก็ รูป แลวก็วิญญาญสําหรับเห็นรูปทางตา. - หู แลวก็มีเสียง วิญญาณสําหรับรูสึกตอเสียงทางหู. - จมูก แลวก็มีกลิ่น แลวก็มีวิญญาณสําหรับรูกลิ่นทางจมูก. - ลิ้ น แล วก็ มี รส ที่ จะมากระทบลิ้ น แล วก็ มี วิ ญญาณที่ จะรูจั กรสนั้ นทางลิ้ น. - กาย กั บ สั ม ผั ส คื อ ส ว นที่ ม าถู ก กาย และก็ มี วิ ญ ญาณสํ า หรั บ รู สึ ก สัมผัสที่มาถูกกาย. - ใจหรื อมโนกั บ ธั ม มารมณ คื อ สิ่ งที่ จะเข ามาถู กใจได แล วก็ มี วิ ญ ญาณ สําหรับจะรูจักสิ่งนั้นทางมโน หรือโดยมโน. เราก็ ท อ งกั น บ อ ย ๆ เป น ๑๘ ธาตุ : จั ก ขุ ธาตุ รู ป ธาตุ จั ก ขุ วิ ญ ญาณธาตุ, โสตธาตุ สัท ทธาตุ โสตวิญ ญ าณ ธาตุ, ฆ านธาตุ คัน ธธาตุ ฆ านวิ ญ ญาณธาตุ , ชิ ว หาธาตุ รสธาตุ ชิ ว หาวิ ญ ญาณธาตุ , กายธาตุ โผฏฐั พ พธาตุ กายวิ ญ ญาณธาตุ , มโนธาตุ ธั มมธาตุ มโนวิ ญ ญาณธาตุ . ทั้ งหมดมี อยู ๖ อายตนะ เอา ๓ คูณเขาไป จนะเปน ๑๘ ธาตุ.

www.buddhadasa.info ใครรู จั ก ๑๘ ธาตุ นี้ โดยชั ด เจนโดยละเอี ย ด ว า คื อ อะไร? อยู อ ย า งไร? มี เมื่ อ ไร? ในอาการอย า งไร? ก็ เรี ย กว า รู จั ก ธาตุ อย า งละเอี ย ด อย า งดี ที่ สุ ด โดย หลักอยางที่กลาวมาแลววา : คลายกับ วา ชีวิต วัน หนึ่ ง ๆ นี้ วนเวีย นอยูแต เรื่อ ง ธาตุ ๑๘ นี้ ไมมีอะไรมากไปกวานี้ จนกระทั่งจะเกิดเปน ธาตุ ที่เปนความทุกข อะไรขึ้นมา แลวก็ดับลงไปเรื่องหนึ่ง. ชีวิตแตละวัน มีแตธาตุเกิดขึ้น แลวธาตุดับลง เมื่อธาตุปรุงเสร็จเรื่องนี้แลว เรื่องใหมก็มาอีก : เดี๋ยวมาทางตา เดี๋ยว มาเรื่องทางหู เดี๋ยวมาทางจมูก. ถาไมมีเรื่องอะไร จากขางนอก มันก็เอาใจ เปน


๙๒

ปรมัตถสภาวธรรม

ตั ว รู เรื่ อ งที่ เคยผ า นมาแล ว แต ห นหลั ง มาคิ ด มานึ ก ได ; แม จ ะคิ ด เรื่ อ งอนาคตก็ ต อ ง เอาเรื่องแตหนหลังแตอดีต มาเปนรากฐาน เปนวัตถุสําหรับจะคิดตอไปขางหนา. สวนที่เรียกวาสัญญา ที่เปนความจํา นั่นก็ชวยใหจิตนี้ สรางอารมณ ภายในขึ้ น มา; มโนก็ ไ ด ธั ม มารมณ ขึ้ น มา เป น มโนวิ ญ ญาณ ปรุ ง แต ง คิ ด นึ ก ได . แม ว า เราจะป ด ตา ป ด หู ป ด อะไร ไม ทํ า อะไร จิ ต ก็ ยั งเอาอารมณ ในอดี ต มาทํ า ได . สัญญาอยางนี้เปนเพียงสัญญา จําหมาย ไมไดเปนความหมายอันแทจริง ของ คํ าวา สั ญ ญาขั นธ ; สั ญญาขันธ จะต องหมายความ สํ าคั ญ วามั นเป นอะไร เรียกว า สัญญาขันธ. สัญญาที่ จําได วาเปนอะไร นี่มันยังไม ถึงกับสําคัญดวยอํานาจกิเลสตัณหา; เพี ยงแต วา เป นความจํ าตามธรรมดา อันสั ญ ญาประเภทนี้ ต องมากอนสั มผัส หรือ ก อ นวิ ญ ญาณด ว ยซ้ํ า ไป. เช น ตาเห็ น รู ป เข า ความจํ า แต ห นหลั ง มั น รู ว า รู ป อะไร? ตนไม หรือใบไม หรือดอกไมหรือลูกไม; นี่จะเปนการเห็นทางตาที่สมบูรณ. สั ญญาอย างนี้ ไม ใช สั ญญาสํ าคั ญมั่ นหมาย ที่ จะเอาเป นตั วเป นตนได ก อน; มัน ยัง ไมถ ึง . มัน ตอ งเกิด เวทนากอ น : เปน สุข หรือ ทุก ข หรือ เปน อทุก ขมสุข ; ทีนี้จะสําคัญมั่นหมายในเวทนานี้ ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ที่จะยึดมั่นถือมั่น. เช นสุ ข สํ าคั ญวาสุ ข เรียกว า สุ ขสั ญญา เกิ ดขึ้ น; หมายมั่ นป นมื อที่ จะเอาสุ ขนี้ เวทนานี้ ไว ให ได ; หรื อ แม แ ต ว า ลึ ก ลงไปกว านั้ น อี ก ก็ ว า สุ ข เวทนาอั น นี้ จ ะต อ งเที่ ย ง, จะต อ ง เป นของเที่ ยง เป นนิ จจสั ญ ญา ในสุ ขเวทนานั้ น; อย างนี้ เรี ยกว า สั ญ ญาที่ หมายมั่ น ดวยอวิชชา นี่คือสัญญาขันธ.

www.buddhadasa.info เมื่ อเรามี ความหมายมั่ นได เพราะว ามี สั ญ ญา ลงไปในสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ ง; และ บางทีก็ผิด อยางตรงกันขามเลย: เชนสิ่งนี้มันไมเที่ยงเลย แตสัญญานี้ มันสําคัญไปตาม


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๙๓

อวิ ช ชา มั น ว า เที่ ย ง, สํ าคั ญ เอาเองว าเที่ ย ง, สํ าคั ญ เอาเองว าเป น สุ ข , สํ าคั ญ เอาเอง ว าเป นตั วตน. พอสํ าคั ญ ว าเป นตั วตน ไม ใช ธาตุ ไม ใช ขั นธ ไม ใช อะไรตามธรรมชาติ แลว ก็เรียกวาสัญญานี้ผิดอยางยิ่ง ผิดขนาดที่จะเปนทุกขรอยเปอรเซ็นตเต็มที่.

เรื่องของ “สัญญา” สําคัญมาก ถาสัญญาวิปลาสตองเกิดทุกข ขอให ระวั งสุ ภ สั ญ ญา-สํ าคั ญ ว างาม ในสิ่ งที่ มั น ไม งาม, นิ จ จสั ญ ญาสํ า คัญ วา เที ่ย ง ในสิ ่ง ที ่แ ทจ ริง มิไ ดเ ที ่ย ง, ในสุข สัญ ญา - สํ า คัญ วา เปน สุข ซึ่งแทจ ริง มัน มิไดเปน สุข เลย, อัต ตสัญ ญา - สําคัญ วา ตัว ตนที ่แ ทจ ริง แลว ไมมี อะไรที ่เ ปน ตัว ตน. “ความสํ า คัญ ” นี ้เ ปน ตัว การที ่จ ะทํ า ใหเ กิด สัง ขารขัน ธเ ปน อะไรขึ้ น มา เป น รู ป อะไรขึ้ น มา, เป น ภพ เป น ชาติ เป น มึ ง เป น กู อย า งนั้ น อย า งนี้ ขึ้นมาก็ดวยอาศัยสัญญานี้ทั้งนั้น. พระพุ ทธเจ าท านจึ งเรี ยงลํ าดั บว า : เวทนา สั ญ ญา สั งขาร ๓ อย างนี้ ; เวทนาทําใหเกิดสัญญา ในเวทนานั้น, สัญญานั้นทําใหเกิดสังขาร-ความคิดที่จะ เปนตัวเปนตนขึ้นมา สําหรับจะยึดมั่นถือมั่นและเปนทุกข. พอเปนทุกขก็กลับไป เปนเวทนาอีก เวทนานั้นก็จะชวยใหเกิดความคิดนึก ที่เปนสังขารอยางใดอยางหนึ่ง ตอไปอีก.

www.buddhadasa.info ดั ง นั้ น สั ง ขารในบางรู ป ก็ คื อ ลั ก ษณ ะของกรรม หรื อ มโนกรรม; การ กระทํ าทางจิ ต ใจ ก็ มี ผ ลออกมาเป น ทุ ก ข เป น เวทนาอี ก ; ซึ่ งวนกั น อยู อ ย างนี้ เพราะ ความสําคั ญผิด ด วยอํานาจของสั ญญาที่ มี มาตามอวิชชา ไมรูวาอันนี้เปนอยางไร; จึงเรียกวา สัญญานี้จะวิปลาสอยูเปนสวนมาก.


๙๔

ปรมัตถสภาวธรรม

สั ญ ญาของคนเรานี้ จะผิ ดอยู เป นส วนมาก เชน เห็ นของสกปรกวาไม สกปรก, เห็น ของไมเ ที ่ย งวา เที ่ย ง, กระทั ่ง เห็น สิ ่ง ที ่ไ มใ ชต ัว ตน ก็ว า ตัว ตน. เมื ่อ เปน อยู อ ยา งนี ้ เคยชิน อยู แ ตอ ยา งนี ้ ก็เ ปน สิส สัย เปน อาสวะ เปน อนุส ัย , เห็ นอย างไรอี ก มั นก็ ยั งโงอยู อย างนั้ นแหละ; ยั งไม ค อยฉลาดขึ้ นมาได ก็ เลยหลงในของ ไม เที่ ยง ว าเที่ ยง, ของเป นทุ กข ว าสุ ข, ของไม ใช ตั วตนว าตั วตน; อย างนี้ เป นสั ญ ญา วิ ปลาสอั น ใหญ ห ลวง อยู ในจิ ต ใจ. ถ าไม มี สั ญ ญาวิ ป ลาสนี้ แ ล ว กิ เลสก็ เกิ ด ไม ได เพราะไม เป นที่ ตั้ งแห งความอยาก หรื อความต องการอย างใดอย างหนึ่ ง ในขณะแห ง สั งขารขั น ธ พอเกิ ด สั ญ ญาแล ว จะเกิ ด สั งขารขั น ธ ; ตอนนี้ จ ะมี ก ารปรุ งแต งทางจิ ต หลาย ๆ ชั้ น และก็ รวมเรี ย กว าสั งขารหมด. ฉะนั้ น หลั งจากสั ญ ญาขั น ธ แล ว ก็ เกิ ด สั ง ขารขั น ธ , ในรู ป ของสั ญ เจตนาบ า ง ตั ณ หาบ า ง วิ ต กบ า ง วิ จ ารบ า ง; นี่ เป น การ กระทํ า กรรมอยู โดยมโนกรรมแล ว , ก็ เลยปรุ ง เป น ภพ เป น ตั ว กู - ของกู อ ะไรขึ้ น มา ไดเปนทุกข เรียกวาสิ้นไปกรณีหนึ่ง. ความเป นทุ กข นี้ กว าจะหมดไปเรื่ องหนึ่ ง ทุ กข ก็ เข ามาในรู ปอื่ นอี ก; วั นหนึ่ ง เกิดตาย - เกิดตาย โดยสัญญาวิปลาส หรือยึดมั่นถือมั่นอยางนี้ หลาย ๆ หน เดี๋ยว เข า มาเพราะเหตุ ท างตา เดี๋ ย วเข ามาเพราะเหตุ ท างหู . ถ าผู ใดได ยิ น ได ฟ ง คํ าของ พระพุ ทธเจ า ของพระอริยเจ า สอนให เห็ นมาตั้ งแต ที แรก คื อให เห็ นวา : นี่ เป นสั กว า ธาตุตามธรรมชาติ เขามาแลวพบกัน แลวเปนอยางนั้น ๆ , นับตั้งแตทีแรกแลว มั นก็ ไม ต องเป นอย างนี้ ซิ วัน หนึ่ ง ๆ จะไม ต องมี ความทุ กข . เมื่ อยั งไม รู ก็ ปรุงเป น วิ ญ ญาณ เวทนา สั ญ ญา สั งขารอยู เรื่ อยไป, ขั น ธ ๕ เกิ ดขึ้ น แล วก็ ดั บ ไป. และใน บางกรณี ขัน ธ ๕ กลายเปน อุป าทานขัน ธ คือ ถูก ยึด มั ่น ถือ มั ่น แลว ก็เ ปน ทุก ข จนหมดอํ านาจสุ ด เหวี่ ย งแล ว ก็ ดั บ ไป; มั น ก็ มี อ ยู แ ต อ ย า งนี้ . นี่ แ หละคื อ คนธรรมดา ที่ เวี ยนว ายอยู ในกองทุ กข หมายความว าอย างนี้ ; ก็ เลยวนเป นทะเลวน เป นวั ฏฏสงสาร เปนโอฆะ อันใหญหลวงอยูที่นี่.

www.buddhadasa.info


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

คนธรรมดา วนอยูในทุกข เพราะยึดมั่นถือมั่นผิด

๙๕ ๆ

คนธรรมดาเที่ยวอยูในความวนเวียน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ได รู ป เสี ย งกลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ผสมปรุ ง แต ง สร า งนรก สร า งสวรรค สร างอะไรขึ้ น ที่ นี่ , สร า งโลกทั้ งปวงกั น ขึ้ น ที่ นี่ : ที่ ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ; ทั้ งที่ มั นไม มี เลย. ไม มี นรก สวรรค ไม มี อะไร มั นมี แต ธาตุ ธาตุ ตามธรรมชาติ เป นไปอยู : เป นรูปธาตุ เวทนาธาตุ สั ญญาธาตุ สั งขารธาตุ วิญญาณธาตุ . แต คนปุ ถุ ชนไม อาจ จะรูได ; เพราะเห็ นเป นตั วตน เป นนรก เป นสวรรค เป นคนเป นอะไร ก็ แล วแต เถอะ ลวนแตวาจะสําคัญไปอยางไร ก็ลวนแตวายึดมั่น แลวเปนความทุกขทั้งนั้น. ถาไมยึดมั่นแลว จะไมมีความทุกข มีแตสติปญญา รูวาจะทําอยาง ไ ร ควรทํ าอย างไร : ตาเห็ นรูป เกิดความรูสึกอะไรขึ้น ก็รูวาอะไรเป น อยางไร, อะไร เป น อย างไร, ก็ ไม เกิ ด ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในสิ่ งเหล า นั้ น ไม ว า ในระยะไหน ไม ได เกิ ดความยึ ดมั่ นถื อมั่ น; แล วก็ ทํ าไปตามที่ ควรจะทํ า; เรื่องอาหาร ก็ หากิ นโดยไม ต อง ยึดมั่นถือมั่นในเวทนา เชนความอรอย เปนตน.

www.buddhadasa.info ถา ยิ ่ง ยึด มั ่น ถือ มั ่น เกง ก็ยิ ่ง มีค วามทุก ขม าก. ขอใหส ัง เกตวา คนที่ยึดมั่นถือมั่นมากจะมีความทุกขมาก คนที่ไมคอยจะยึดมั่นถือมั่นก็ไมมีความทุกข กระทั่งไมยึดมั่นถือมั่นเลย ก็ไมมีความทุกขเลย; ถาถึงที่สูงสุดอยางนั้น ก็เรียกวา พระอรหันตไปเสียเลย.

พระอรหั นต ท านเป นผู ที่ ไม อาจจะมี ความทุ กขได อี กต อไป; แต ในคนปุ ถุ ชน เรานี่ แหละ ถ าคนไหนยึ ดมั่ นถื อมั่ นเก ง หรือมาก ก็ ต องเป นทุ กขมาก; สู สุ นั ขก็ ไม ได มันยึดมั่ นถือมั่ นน อยกวาคน มั นไม เป นทุ กขมากเหมื อนคน. นี่ ไม ใชจะแกลงพู ดประชด ประชัน หรือวาจะแกลงดาแกลงวา; พูดเพื่อจะชี้ตัวอยางใหเห็นงาย ๆ วาใครยึดมั่น


๙๖

ปรมัตถสภาวธรรม

ถื อมั่ นมาก ก็ ย อมเป นทุ กข มาก, ยิ่ งอบรมจิ ตไปในทางยึ ดมั่ นถื อมั่ นมาก แล วมั นก็ เป น ทุกขมาก เหมือนอยางคนสมัยนี้.

คนสมัยนี้ มีทุกขมาก เพราะยึดมั่นมาก ขอให ดู ใ ห ดี คนสมั ย นี้ เป น ทุ ก ข มากกว า สมั ย ปู ย า ตา ทวด ของเรา ใช ไหม? เพราะวาคนสมั ยนี้ ถู กหลอกให ยึ ดมั่ น ถื อ มั่ น มาก, ถู กหลอกให โงมากกว า คนชั้ น ปู ย า ตา ยาย ของเรา ในทางที่ จ ะยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น . ฉะนั้ น คนสมั ย นี้ ที่ เป น ลู กหลานมี ความทุ กข มาก เพราะว ายึ ดมั่ นถื อมั่ นมากกว ารุ นบิ ดามารดา ปู ทวด ยายทวด ขึ้นไปทางโนน ซึ่งเขายึดมั่นถือมั่นนอย. การเรี ย นในสมั ย นี้ แม จ ะก า วหน า วิ เศษอย า งไร ส ว นใหญ ก็ เรี ย นเพื่ อ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น จึ งได เป น ทุ ก ข ม ากทั้ งที่ เรี ย นมาก, มี อั น ธพาลมาก ทั้ งที่ ก ารศึ ก ษาใน โลกนี้ เจริญ , มี การรบราฆ าฟ นเบี ยดเบี ยนกั นมาก ทั้ งที่ ว าการศึ กษาในโลกนี้ กํ าลั งเจริ ญ , ยิ่งเรียนมากก็ยิ่งหันหลังใหพระเจา ยิ่งหันหลังใหศาสนาที่สอนวาอยายึดมั่นถือมั่น, ยิ่ งเรี ยนมากมั นยิ่ งยึ ดมั่ นถื อมั่ นเก งจนไม ดู หน าใคร จนไม เห นแก ศาสนา หรื อไม เห็ นแก หลักธรรมหรือพระเจาอะไรเลย. นี่คือความที่ไมเห็นวา ทุกอยางเปนสักวาธาตุ.

www.buddhadasa.info พิจารณาเห็น “สักวาธาตู” จะไมเปนทุกข

ที่ ส วยทางตา ก็ สั ก แต ว า ธาตุ , ไพเราะทางหู ก็ เป น สั ก ว า ธาตุ , ที่ ห อม ทางจมู ก ก็ สั ก แต ว า ธาตุ ; แต เ ขาไม นึ ก กั น อย า งนี้ นึ ก แต เ ป น ของที่ ถู ก ใจของกู , พอใจเป น ตั ว ตน ของกู เป น ของของตั ว ตนของกู เป น ทรั พ ย ส มบั ติ ข องกู เป น อะไร ของกูไปหมด. นี้คือโทษของการที่ไมเห็นวาเปนธาตุเทานั้น ใจความสําคัญ มันก็ มีเทานี้.


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๙๗

นี่ ขอให ใคร ครวญดู ให ดี ก็ จะรู จั ดสิ่ งที่ เรี ยกว า “ธาตุ ตามธรรมชาติ เป นไป ตามเหตุ ตามป จจั ยอยุ เนื องนิ จ” ซึ่ งอุ บาสก อุ บสิ กา ภิ กษุ สามเณร สวดทุ กเช าทุ กเย็ น ก็ยังเหมื อนกับนกแก ว นกขุนทองอยู อีก : “สิ่ งเหล านี้ เป นสั กวาธาตุ ตามธรรมชาติ เปนไปตามเหตุ ตามปจจัย อยูเนืองนิจ; ไมใชสัตว ไมใชบุคคล ไมใชตัวตน เป นของวางจากความหมายแห งตั วตน”. ทํ าไมวาแตปาก? ก็เพราะวาไม รูจักคําวา “ธาตุ ” ไม รูจั กสิ่ งที่ เรียกว าธาตุ หรือเป นสั กแต ว าธาตุ ; แล วก็ ลํ าบากยุ งยาก อยู ตรงที่ เวทนา, เวทนามีรส มี กําลังมาก และเพราะเวทนามีรสรุนแรงมากที่จะทํ าให คนหลง จนไมสามารถที่จะมองเห็นวา “นี่สักวาธาตุ” ซึ่งเกิดขึ้นมาหยก ๆ จากการพบกันระหวาง ธาตุตามธรรมชาตินั่น นี่ ก็ปรุงกันขึ้นมาเปนวิญญาณ เปนผัสสะ เปนเวทนา เทานั้นเอง. วั น หนึ่ ง ครั้ ง หนึ่ ง ของการบรรยายนี้ ยรรยายอะไรไม ไ ด ม ากไปกว า นี้ สํ าหรับทั้ งผู พู ดและผู ฟ ง ดั งนั้ นจึ งต องค อยบรรยายไปตามลํ าดั บ ตามลํ าดั บ ของเรื่อง หนึ ่ง ๆ เชน เรื ่อ งธาตุ ขอใหค ิด ดูว า เราไดพ ูด ถึง เรื ่อ งธาตุก ัน ครั ้ง ละชั ่ว โมงเศษ มา ๒ ครั้ งแล ว และก็ ๓ ครั้ งนี้ ก็ มี แ ต ข อ เดี ย วนี้ ที่ จ ะชี้ ห รื อ อธิ บ าย หรื อ แยกแยะ ใหเห็นวา เปนแตสักวาธาตุตามธรรมขาติเทานั้น.

www.buddhadasa.info ทีนี้อาศัยที่เราเรียนกันกอน ๆ สอนกันมาแตกอน ๆ นั้น รวบรัดเกินไปบาง และผิดพลาดไปบ าง; แมแตคําวาธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุลม อยางนี้ ก็ยังอธิบาย กั น ผิ ด ๆ จนเข าใจไม ได : ว าเนื้ อ เป นธาตุ ดิ น เลื อดเป นธาตุ น้ํ า แต แล วทํ าไม ในเนื้ อ มี น้ํ าเล า? ทํ าไมในเนื้ อมี อุ ณภู มิ คื อความรอน? ทํ าไมในเนื้ อมี ธาตุ ลมที่ ระเหยอยู เรื่อย? ก็ตอบไมได; อยางนี้ ก็คือการอธิบายที่ไมถูกตองถึงที่สุดนั่นเอง.

ขอให มารูเสี ยใหม ว า ธาตุ ๔ นี้ เขาเล็ งถึ งคุ ณสมบั ติ หนึ่ ง ๆ ที่ มี อยู ในวั ตถุ สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง .วั ต ถุ สิ่ ง เดี ย วมี ค รบทั้ ง ๔ ธาตุ สํ า หรั บ สิ่ ง ที่ มี ชิ วิ ต ; ใช คํ า ว า สิ่ ง ที่ มี ชีวิตนี้ สวนใดสวนหนึ่ง ของสิ่งนั้นจะครบอยูทั้ง ๔ ธาตุ, ยิ่งรวมกันหมดก็ยิ่งครบ


๙๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ทั ้ง ๔ ธาตุ. ธาตุที ่เปน วัต ถุ ไดโ อกาสเมื ่อ ไร ก็ป รุง ใหธ าตุว ิญ ญาณแสดงตัว ออกมา, ธาตุ จิ ต ธาตุ วิ ญญาณ ธาตุ มโน แสดงตั วออกมา แล วก็ ปรุงตั วมั นเองเรื่อยไป จนเป น ความทุ ก ข ได โดยที่ ไม ต อ งเป น ตั ว ตน, แล ว จะไม เกิ ด ทุ ก ข ดั บ ทุ ก ข ล งไปได เมื่อเปนไปถูกกฏเกณฑของมัน โดยที่ไมตองมีตัวตน.

ธาตุที่ปรุงไปตามอํานาจอวิชชาธาตุ จะทําใหเกิดวัฏฏสงสาร ถ าจะมี อ ะไรเป น ผู ส ร างทุ ก ข ขึ้ น มา ก็ คื อ ธาตุ ที่ ป รุ งไปผิ ด ทาง เพราะ เหตุ ว าอวิ ช ชาธาตุ นี้ เข ามาแทรก เป นเจ ากี้ เจ าการเสี ยเรื่อย. ความไม รูนี้ ก็ เป นธาตุ ความรู ก็ เป นธาตุ อวิ ชชาก็ เป นธาตุ วิ ชชาก็ เป นธาตุ ; จะสงเคราะห ไปในสั ญ ญาขั นธ หรือสั งขารขั นธ หรื ออะไร ก็ แล วแต รูปรางของมั นที่ จะอยู ในลั กษณะอย างไร และอย าง นอยก็เปนพวกมโนธาตุ หรือวาที่เนื่องกันอยูกับมโนธาตุ คือธัมมธาตุ. เป น อั น ว า วั น นี้ เราพู ด กั น ได เ พี ย งเค า โครงคร า ว ๆ พอให ม องเห็ น ได ไปที ห นึ่ งก อ น แม ไม ชั ด เจนและละเอี ย ด ว าทุ ก สิ่ งไม มี อ ะไรที่ ไม ใช ธ าตุ : จะเป น ฝ ายโลกิ ยะ ฝ ายสั งขตะ นี้ ก็ เป น ธาตุ , เป น ฝ ายโลกุ ต ตระ เป น ฝ ายดั บ ฝ ายนิ พ พาน นี ้ก ็ย ัง คงเปน ธาตุ; เพราะสรุป รวมได เปน สัง ขตธาตุ กับ อสัง ขตธาตุ หรือ นิโ รธธาตุ นั ่น เอง, ตั ้ง ตน ดว ยธาตุ ที ่ทํ า ใหเ กิด ขึ้น และก็ไ ปจบลงดว ยธาตุ ที่ทําใหดับลง.

www.buddhadasa.info วั ฏ ฏสงสาร จะเป น อย างนี้ ตั้ งต น ด วยการเกิ ด ขึ้ น แห งสั งขารที่ ป ระกอบ ด ว ยอวิ ช ชา ไปจนถึ ง ที่ สุ ด แล ว ; หมดฤทธิ์ ของสั ง ขตธาตุ แ ล ว ก็ เป น โอกาสแห ง นิโ รธธาตุที ่จ ะทํ า ใหด ับ ลง; มัน ก็ม ีอ ยู อ ยา งนี ้ จะเปน ชั ่ว คราวก็ต าม จะทํ า ให เด็ดขาดถาวรก็ตาม. ดังนั้น อยาไดเขาใจผิดในเรื่องของธรรมชาติ ซึ่งเปนตัวธาตุแท ๆ


ธาตุเกี่ยวของกันจนถึงความดับทุกข

๙๙

หรือ เป น กฎของธรรมชาติ ซึ่ งมี อํ านาจบั งคั บ ให ธ าตุ ทั้ งหลายทั้ งปวงนี้ เปลี่ ย น แปลงปรุงแตงกันไป ตามกฎเกณฑ ของธรรมชาตินั้น ๆ และเมื่อมีผลออกมาก็สัก วาธาตุ แลวในที่สุดดับไปก็สักวาธาตุ ของความดับไป; นี่สรุปความก็เปนอยางนี้.

ธาตุแยกไปไดมากชนิด แตรวมแลวมีเพียงสอง ขอย้ํ า อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ว า ธาตุ แ บ ง ได เป น ๒ ชนิ ด : เป น สั ง ขตธาตุ ที่ จ ะ ปรุงแต งกั น ขึ้ น เกิ ดนั่ นนี่ ขึ้ นมาอั นหนึ่ ง, อี กอั นหนึ่ งก็ เป นอสั งขตธาตุ จะไม ปรุงแต ง อะไร และจะดั บลง หรือสิ้ นสุ ดลง; มี เท านี้ เอง. เดี๋ ยวนี้ ธาตุ กํ าลั งเป นอย างไร : ในทาง ฝายวัตถุก็ เป นไปอยางหนึ่ ง ไม ค อยสําคั ญ เพราะไม ใชความทุ กขโดยตรง; ฝ ายจิ ตใจนี่ ถาปรุงในลักษณะของสังขตะธาตุแลว ก็เปนความทุกขเกิดขึ้น จนกวาจะมีการ จั ดการทํ าที่ ถู กต อง ให เกิ ดธาตุ ที่ เป นอสั งขตะ หรือเป นนิ โรธธาตุ ปรากฏออกมา, ความ รูสึกเปนทุกข ในจิตนั้นก็ดับไป. ที่ เรียกวา เป นเรื่องสํ าคั ญของพระศาสนาก็ มี วา ความทุ กข เกิ ดขึ้ นก็ คื อ เรื่ อ งธาตุ นี้ , ความทุ ก ข ดั บ ลงก็ คื อ เรื่ อ งธาตุ นี้ ; ผู รูที่ มี ส ติ ป ญ ญาในเรื่อ งนี้ ก็ คื อ พระพุท ธเจา ที ่แ ทจ ริง , กฎเกณฑอ ัน นี ้ ความจริง อัน นี ้ ก็ค ือ พระธรรมอัน แทจ ริง , ผูปฏิบัติอันมีสติปญญาเกิดขึ้นตอสูอยูนั้น ก็คือพระสงฆที่แทจริง ดังนี้.

www.buddhadasa.info ขอใหเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ จริงอยูขางใน คือการรูจัก ธาตุทั้งหลาย และก็ควบคุมใหเปนไปแตในทางที่จะไมทุกข จะดับทุกขไดเพราะ เหตุ นี้ . คํ าว า ธาตุ คํ าเดี ยวก็ จะขยายออกไปได เป นธรรมทั้ งหมด ในพระพุ ทธศาสนา ได เหมื อนกั น. ฉะนั้ น ขอให ฟ งสิ่ งที่ เรียกว าธาตุ ไว ในลั กษณะอย างนี้ ที ก อน ซึ่ งเราจะ ไดพูดถึงคําวาอายตนะ วาขันธ วาอุปาทานขันธ ใหละเอียดตอไปอีก.


๑๐๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ข อ ให จํ าไว เป น ห ลั ก ว า พื้ น ฐ าน แ ท ๆ คื อ คํ าว าธ าตุ เมื่ อ ถู ก ป รุ งแ ต งขึ้ น ม าแล ว มั น ก็ จะสํ าเร็ จรู ป ม าเป น อายต น ะ จากธาตุ จะม ากลายเป น อายต น ะ อายต น ะน อก อ า ย ต น ะ ใ น ; จ า ก อ า ย ต น ะ ได ป รุ ง แ ต ง กั น แ ล ว มั น ก็ จ ะ เกิ ด พ ว ก ขั น ธ คื อ เป น ห มู ๆ ขึ้ น ม า ห มู ต า ห มู หู ห มู จ มู ก ห มู ลิ้ น ห มู อ ะ ไรขึ้ น ม า ; ถ า ไป เกิ ด ยึ ด มั่ น เข า ห มู ขั น ธ นั้ น ก็จะกลายเปนหมูอุปาทานขันธขึ้นมา คือตัวทุกข.

สําหรับวันนี้ก็ขอยุติการบรรยายเรื่องธาตุไวแตเพียงเทานี้กอน.

www.buddhadasa.info


ปรมัตถสภาธรรม

-๔๒๗ มกราคม ๒๕๑๖

ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย, การบรรยายประจํ า วัน เสารใ นครั ้ง ที ่ ๔ นี ้ เปน การบรรยายในชุด ที ่ เ รี ย กว า ป รมั ต ถส ภ าวธรรม , และในตอนต น ๆ ของการบรรยายชุ ด นี้ ไดก ลา วถึง เรื ่อ งธาตุ; ในวัน นี ้ก ็ย ัง จะได กลา วถึง เรื ่อ งธาตุ อีก นั ่น เอง. อาตม าคิด วา คงจะเปน ที ่รํ า คาญ แกค นบ างคนก็ไ ด; แตก ็ไ มก ลัว วา จะ เปน ที ่รํ า คาญ เพราะไมม ีท างจะหลีก เลี ่ย ง; แตสํ า หรับ ผู ที ่ส นใจ แลว ก็จ ะ ไมรูสึกรําคาญ.

www.buddhadasa.info เรื่องธาตุนี้เปนเรื่องที่มีความมุงหมายสวนใหญ คือจะใหไมมีความ ยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งใดโดยความเปนตัวตน หรือเปนของของตน.

๑๐๑


๑๐๒

ปรมัตถสภาวธรรม

เพราะไม รู เรื่ องธาตุ จึ งได ยึ ดมั่ นถื อมั่ นในธาตุ บางสิ่ งบางอย างนั้ น ว าเป น ตัว ตนหรือ ของตน ดังที่ ได กล าวมาแล วตั้ งแต ต น วา ไม มี อ ะไรที่ จ ะไม เรีย กวาธาตุ ; ถ า เรารู ว า มั น เป น ธาตุ ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ก็ จ ะเกิ ด ขึ้ น ไม ได ; เพราะไม รู ว า เป น ธาตุ โดยแท จริง จึ งเกิ ดความยึ ดมั่ นถื อมั่ น. นี้ เป นความประสงค ส วนใหญ สํ าหรับการศึ กษา ของพุทธบริษัท ซึ่งมีหลักไปในทางที่วา “ใหมีสติสัมปชัญญะ รูสึกตัวอยูทุกเวลา”.

ทุกสิ่งที่เกี่ยวของกันอยูเปนธาตุทั้งนั้น ให รูไว วาทุ กสิ่ งทุ กอย าง ที่ แวดล อมเราอยู เกี่ ยวของกั บเราอยู หรือเกิ ดขึ้ น ในจิ ต ใจเราก็ ต าม ทุ ก อย า งเป น สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ ทั้ ง นั้ น . ฉะนั้ น ชื่ อ ของธาตุ จึ ง มี มากมายหลายสิ บชื่ อ : เป นชื่ อธาตุ ที่ เป นหมวดใหญ ๆ ก็ มี , เป นรายละเอี ยดก็ มี และ ที่ เกี่ ยวกั บคนอยู เป นประจํ านั้ น ก็ หมายถึ งธาตุ ๑๘ อย าง จํ าแนกไปตามอายตนะคื อ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งมีอยู ๖ อยาง. เรื่ องนี้ ก็ เคยพู ดกั นมาแล ว ที่ เรี ยกว า จั กขุ ธาตุ – ธาตุ สํ าหรั บรู อะไรทางตา, รูปธาตุ - ธาตุ ที่ มี รู ป สํ าหรับจั กษุ จะได รู ได ทางตา, และจั กขุ วิ ญญาณธาตุ – วิ ญญาณธาตุ ที่ จะเกิ ด ทางจั ก ษุ ; ในเรื่ อ งตามี ๓ อย าง ในเรื่ อ ง หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ แต ล ะ อยางก็มี ๓ อยาง นั้นจึงเปน ๑๘ อยาง

www.buddhadasa.info ที่ เป น ๑๕ อย างตอนต น หมวดนั้ น เป นพวกรู ปธาตุ ห รื อเกี่ ยวกั บ รู ป ธาตุ ที ่เ ห็น ไดช ัด เปน สว นใหญ; ๓ อยา งขา งทา ย เปน นามธาตุ คือ ธาตุท างจิต ใจ; ก็ เลยได เป นธาตุ ๑๘ อย างใน ๑๘อย างนั้ นมั นแยกออกไปได . โดยเฉพาะธาตุ ที่ จิ ตใจ จะรูนั้ นแยกออกไปได อี กมามาย ซึ่ งเราจะคอ ย ๆ พิ จารณากั นไปตามลํ าดั บ จนกระทั่ งรูว า รอบตัวเราไมมีอะไร ที่มันไมใชธาตุ.


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๐๓

เนื้ อ หนั งร างกายนี้ ก็ เป น ธาตุ แ ต ล ะอย าง ๆ, อาหารที่ รั บ ประทานเข าไป ก็ สั ก ว า ธาตุ , เครื่ อ งนุ ง หุ ม ที่ นุ ง ห ม อยู นี้ ก็ สั ก ว า ธาตุ หลาย ๆ ธาตุ ป ระกอบกั น อยู , บ านเรือนที่ เราอยู อาศั ย มั นก็ สั กวาธาตุ ความเจ็ บไข ก็ เกิ ดมาจากธาตุ เป นธาตุ ยาแกไข ก็เปนธาตุ อยางนี้เปนตน. ขอใหรูวาไมมีอะไรนอกจากธาตุตาง ๆ ที่กําลังเปลี่ยนแปลงไปตามปจจัย คือ ตามเหตุข องมัน ; แมแ ตต ัว ใจเองนั ้น ก็เ ปน ธาตุ, และก็ไ ดอ ะไรมาปรุง แตง ก็ ล วนแต เป นธาตุ ; ที่ เราคิ ดนึ กว าเป นตั วเรา เป นของเราเหล านี้ มั นก็ กลายเป นอวิ ชชาธาตุ คื อ ธาตุ แ ห ง อวิ ช ชาขึ้ น มา; ธาตุ อ วิ ช ชาไม เคยปรากฏ เดี๋ ย วนี้ ก็ ป รากฏออกมา. นี่ คื อ ความสํ าคั ญที่ ต องขอร องให ท านทั้ งหลายทนฟ ง เรื่ องธาตุ เราจะถื อเป นโอกาสพู ดเรื่ องนี้ ใหละเอียดลออ ใหจบไปเสียสักเรื่องหนึ่ง.

พุทธบริษัท ตองรูเรื่องธาตุใหตรงกัน พระสารีบุ ตรไดกลาววา ความฉลาดในธาตุ กับความฉลาดในการกระทํ า ในใจเรื่องธาตุนี้ เปนสิ่งสําคัญที่พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสไว เพื่อไมใหเราถือ ผิด ๆ กัน จนทะเลาะวิวาทกัน แลวจะไดเปนการตั้งอยู อยางถูกตองของพระ สัทธรรม คือของพระพุทธศาสนา ชนิดที่จะเปนประโยชนแกโลกทั้งหลายได.

www.buddhadasa.info นี่ ขอให ล องคิ ด ดู ทบทวนดู อี ก ครั้ งหนึ่ งว า “ความเป น ผู ฉ ลาดในเรื่ อ งธาตุ และเรื่ องการทํ าในใจโดยแยบคายเกี่ ยวกั บธาตุ ” เป นสิ่ งที่ พระผู มี พระภาคเจ าได ตรั สไว เพื่ ออย าให พุ ทธบริ ษั ททั้ งหลายถื อผิ ด ๆ แผก ๆ แตกต างกั นไป ให รู ตรงกั น ถื อตรงกั น นั่ น แหละจะเป น การตั้ ง อยู แ ห ง พระพุ ท ธศาสนา ชนิ ด ที่ อ าจจะเป น ประโยชน แ ก สั ต ว ทั้งหลายได.


๑๐๔

ปรมัตถสภาวธรรม

พอเขาใจผิดเรื่องธาตุก็ถือไมตรงกัน มีความรูไมตรงกัน ก็เลยสอนผิด ออกไปนอกลู นอกทางพุ ทธศาสนา จนพุ ทธศาสนาไม เป นประโยชน แก ใครเลย อย างนี้ เป นต น. เราจึ งพยายามกั นอย างยิ่ ง ในการจะให มี ความก าวหน าในทางการศึ กษาในที่ นี้ ก็คือ การรูเรื่องธาตุใหถูกตอง. พระพุ ทธเจาเองท านก็ตรัสยืนยันวา : ที่กลาปฏิญ ญาวา เป นสัมมาสั ม พุ ท ธะ บั น ลื อ สิ ง หนาท ในท า มกลางบริ ษั ท ทั้ ง หลาย แล ว ประกาศธรรมจั ก ร หรื อ พรหมจั ก รให เป น ไปในโลกนี้ ก็ เพราะอํ า นาจแห ง ความรู ๑๐ ประการ, ใน ๑๐ ประการนั้ น มี ค วามรู เรื่ อ งธาตุ อ ยู ด ว ย; เรี ย กว า มี ค วามรู ถู ก ต อ งตามที่ เป น จริ ง ซึ่ งโลกอั นประกอบด วยธาตุ เป นอเนก ต าง ๆ กั น ที่ เรี ยกว า นานาธาตุ ญ าณ เรี ยกสั้ น ๆ วา นานาธาตุญาณ - ญาณของพระพุทธเจาที่รูแจมแจงในเรื่องธาตุตาง ๆ. นานาธาตุ ญ าณ ขยายความออกไปก็ วา : โลกนี้ ประกอบไปด วยธาตุ เปน อเนก ประกอบดว ยธาตุต า ง ๆ ตา ง ๆ กัน ; มิใ ชห นึ ่ง ธาตุ แลว ยัง แปลก ๆ กั น อี ก ด ว ย. นี้ ห มายความว า “ถ า ไม ท รงมี ญ าณในเรื่ อ งนี้ แ ล ว ก็ จ ะไม ป ระกาศ พระองค เองว า เป น พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า ”. นี่ จึ งไม ต อ งพู ด ถึ งเรา ซึ่ งเป น สาวกของ พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า ที่ จ ะไม ต อ งรู เรื่ อ งธาตุ ; แม แ ต พ ระพุ ท ธเจ า เองท า นก็ ยั ง ตรั ส อยางนั้น.

www.buddhadasa.info เพราะรูเรื่องธาตุไมตรงกัน การประพฤติปฏิบัติจึงตางกัน ขอที่ สัตวทั้งหลายไม มี ค วามเข าใจ ในเรื่อ งธาตุ อยางถูกตอ งนี้; พระพุ ท ธเจ า ท า นตรั ส ว า เป น เหตุ ใ ห เกิ ด มี ก ารกล า ว หรื อ การยื น ยั น การประพฤติ ปฏิ บั ติ ต า งกั น ; เลยทํ า ให คํ า พู ด ต า งกั น มี ศี ล ต า งกั น มี ค วามพอใจต า งกั น มี ก าร ยืนยันตางกัน, นี่ก็พอจะเห็นไดโดยทั่วไปวา ทําไมจึงพูดเรื่องธรรมะไมตรงกัน


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๐๕

แม ในวงพุ ท ธบริ ษั ท เอง ก็ พู ด ไม ต รงกั น , ก็ เพราะเข า ใจความหมายของธาตุ ไม ถู ก ต อ ง เป น ไปอย างนั้ น เป น ไปอย างนี้ . แต นี้ ก็ ยั งไม สํ าคั ญ มากนั ก เท า กั บ ที่ ว า ในโลกนี้ เกิ ด มี ศาสนาต าง ๆ กั นขึ้ นมา ก็ เพราะว า ไปยึ ดถื อในเรื่ องธาตุ โดยนั ยต าง ๆ กั นไป; พอตั วมี ความเขาใจอยางไรก็ยื นยันวา “อิ ทเมว สจฺจํ โมฆมฺ  - นี่ เท านั้ นจริง ที่ คนอื่ นวา นั้ น ไม จ ริ ง ” แล ว ก็ ท ะเลาะกั น . ฉะนั้ น การที่ โ ลกจะต อ งมี ศ าสดาต า งกั น มี คํ า สอน อะไรตาง ๆ กันนี่ ก็เพราะวาเขาใจเรื่องธาตุไมตรงกัน. ถาจะสรุป ให สั้นที่สุดก็คือวา เพราะรูจักโลกนี้ไมถูกตอง จึงมีเรื่องที่ พู ด ออกไปไม ต รงกั น ; ถ า สมมติ ว า แต ล ะคนรู จั ก โลกนี้ ถู ก ต อ ง ก็ พู ด เหมื อ นกั น และก็ ไม มี ความคิ ดเห็ นต างกั น ไม ต องวิ วาทกั นทางวาจาหรื อว าทางร างกายที่ ต องทํ าร ายกั นนั้ น. ไม เฉพาะแต คํ าสอนทางศาสนา แม แต ลั ทธิ อื่ น ๆ ที่ ไม เกี่ ยวกั บทางศาสนามั นก็ อาศั ยเรื่ อง ธาตุ นี้ . ที่ เป น อยู ในครอบครั วหนึ่ ง ๆ พู ด กั น ไม รู เรื่ อ ง พู ด ไปคนละทิ ศ ละทาง นี้ ก็ เพราะ เขาใจสิ่งที่เรียกวาธาตุนี้ ไมเหมือนกัน ไมตรงกัน จึงทําใหยึดมั่นถือมั่น หลงรัก หลงพอใจอะไรต า งกั น ไปหมด; ไม เป น ไปในทางที่ จ ะช ว ยให เกิ ด ความสงบ หรื อ ดั บความโกลาหลวุ นวายเสี ยได . เมื่ อเข าใจต างกั น ทํ าให พู ดก็ ต างกั น มี ระเบี ยบปฏิ บั ติ ยึดถือก็ตางกัน, เพราะชอบใจในสิ่งที่ตางกัน จึงตองขัดแยงกันอยูเสมอ.

www.buddhadasa.info การเขาใจผิดในเรื่องธาตุยอมกอความไมสงบ ที นี้ ม าถึ งตอนนี้ ก็ อยากจะพู ด ออกไปให ชั ดอี กอย างหนึ่ งว า การเข าใจเรื่ อ ง ธาตุ นี้ นอกจากจะแตกต างกั น จนพู ดผิ ด ๆ แตกต างกั นแล ว ยั งมี ผลบางอย าง ที่ ร ายแรง ไปกว า นั้ น ก็ มี คื อ ว า เข า ใจผิ ด เรื่ อ งธาตุ อย า งที่ ส อนหรื อ ที่ พู ด อยู นี้ , แต เข า ใจผิ ด ไปในทางที่ ว าไม มี อะไรเสี ยเลย ก็ คื อความคิ ดนึ กหรือความรูสึ กที่ เรียกวาเป นอั นธพาล เรื่องจิตวางอยางอันธพาลก็หมายถึงเรื่องนี้. เมื่อสักวาธาตุเทานั้นแลวก็เลยไมตอง


๑๐๖

ปรมัตถสภาวธรรม

มี บุ ญ ไม ต อ งมี บ าป; แม ก ระทั่ ง แต เ รื่ อ งชกต อ ยกั น ก็ ไ ม มี บ าปอะไร เป น สั ก ว า ธาตุ เท า นั้ น ชกต อ ยกั น , หรื อ กิ จ กรรมทางเพศระหว า งเพศ ก็ ถื อ ว า ธาตุ เท า นั้ น ไม มี อะไร ไม มี ศี ล ธรรมที่ จ ะต อ งยึ ด ถื อ ; แล ว ก็ เลยประพฤติ อ ย างอั น ธพาลเข า ข างตั วเป น อย า งอั น ธพาล, ไม ต อ งมี ระเบี ย บไม ต อ งมี วั ฒ นธรรม; นี้ เป น เรื่ อ งของการที่ เข า ใจ คํ าว าธาตุ ผิ ด โดยที่ คํ าพู ดนั้ นเหมื อนกั น; คํ าพู ดนี้ ก็ คื อคํ าพู ดที่ พู ดสั้ น ๆ ว า “มั น เป น สักวาธาตุเทานั้น”. พระพุ ท ธเจ า ก็ ต รั ส อย า งนี้ , หลั ก เกณฑ ก็ มี อ ยู อ ย า งนี้ ที่ ว า “มั น เป น สั กว าธาตุ เท านั้ น” นี้ เกิ ดมี ความหมาย ๒ อย าง : อย างหนึ่ ง จะไม ยึ ดถื อเพื่ อจะไม เกิดกิเลส และไมเกิดทุกข นี้ก็ถูกตอง; อีกอยางหนึ่งจะกลายเปนโอกาส ที่จะ ทํ าอะไรตามกิ เลส คื อไม ยอมรับ ผิ ดชอบ ว ามี สั ตว มี บุ ค คล มี อ ะไรที่ จะต อ งผิ ด จะ ต องถู ก จะต องดี หรื อจะต องชั่ ว ก็ เลยเป นอั นธพาล; หมายความว า กิ เลสออกมารั บเอา “ความเป น สั ก ว า ธาตุ เท านั้ น ” ก็ เพื่ อ ให ค นที่ มี กิ เลส เป น เจ า ของกิ เลสนั้ น ทํ า อะไรไป ตามอํานาจของกิเลส โดยไมรับผิดชอบ.

www.buddhadasa.info เรื่ อ งอนั ต ตา เรื่ อ งสุ ญ ญตา หรื อ “เรื่ อ งธาตุ เท า นั้ น ” นี้ ก็ เหมื อ นกั น ถ า ถือเอาความผิดไปแล ว นั้ นก็ เป นมิ จฉาทิ ฏฐิ. พอวา “ธาตุเทานั้น” แลวก็ไมตองนึก ตองคิดอะไร; นี่เปนมิจฉาทิฏฐิ.

เจาลัทธิพองสมัยไดเคยสอนเรื่องธาตุตาง ๆ กันมา ที่ เคยมี มาแล วแต ก อนในครั้ งพุ ทธกาล พร อม ๆ กั นกั บพระพุ ทธเจ านั้ น ก็ มี เจ าลั ทธิ ที่ สอนอย างนี้ ว ามี แต “ธาตุ เท านั้ น” ดั งนั้ นจึ งไม มี บุ ญไม มี บาป; การถื ออย างนี้ จึ งเป นลั ทธิ ศาสนาขึ้ นมาเป นศาสนาหนึ่ ง. เจ าลั ทธิ นั้ นเป นศาสดาชื่ อว า ปกุ ธะกั จจายนะ เปนคูแขงกับพุทธศาสนาดวย, สมัยนั้นเขาเรียกกันวา ครูทั้ง ๖; ในครูทั้ง ๖


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๐๗

มี คนชื่ อนี้ รวมอยู ดวย ก็ เลยสอนในทํ านองวา “ธาตุ เท านั้ น” แล วก็ ไม ต องมี ความรับ ผิดชอบเรื่องบุญเรื่องบาป. ลั ทธิ นี้ เขาสอนว ามี ธาตุ อยู ๗ อย าง ซึ่ งอะไร ๆ ก็ ทํ าไม ได เปลี่ ยนแปลง ไม ได แก ไขไม ได เป นของตายตั วอยู อย างนั้ น. ที นี้ การที่ เกิ ดการฆ าการฟ นกั นขึ้ นนั้ น ก็ไม มี ความหมายอะไร ธาตุ ๗ อยางนั้ นเรียกวา ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ : คื อ ดิ น น้ํ า ไฟ ลม แล ว ก็ มี เรื่ อ งสุ ข เรื่ อ งทุ ก ข เรื่ อ งชี ว ะ. ความรู สึ ก เป น สุ ข เป นทุ กข เหล านี้ เป นธาตุ ที่ ตายตั วเปลี่ ยนแปลงไม ได ; ชี วะคื อชี วิ ต หรืออาตมั น นี่ ก็ เปลี่ ยนแปลงไม ได เป น ๗ ธาตุ อยู ด วยกั น; ไม มี อะไรทํ าขึ้ นหรือไม มี อะไรทํ าให เปลี่ ยน แปลงได . ฉะนั้ นการที่ ว าคนจะเอาดาบมาฟ นคอคนให ขาดไป นี้ ก็ ไม มี ความหมายอะไร ไม มีบุ ญ ไมมี บาปอะไร เพราะ “สั กวาธาตุ เท านั้ น ” มั น ผานไป ในระหวางธาตุ . อย างนี้ เรีย กวาเป น มิ จ ฉาทิ ฎ ฐิ ซึ่งในพุ ทธศาสนา ไม อธิบายคําวา “ธาตุเทานั้น ” ในลั กษณะอย างนี้ ซึ่งเราก็ จะต องศึ กษากั นต อไป. มี ครูอี กคนหนึ่ งใน ๖ คนนั้ น ซึ่ ง ชื่อวา อชิตเกสกัมพลี เขาสอนวาบุ รุษนี้ ประกอบด วยธาตุ ๔ เท านั้น พอตายปฐวีธาตุ ก็ ไปหาปฐวี ธาตุ อาโปธาตุ ก็ ไปหาอาโปธาตุ เตโชธาตุ ก็ ไปหาเตโชธาตุ วาโยธาตุ ก็ ไปหาวาโยธาตุ; ฉะนั ้น ไมม ีป ระโยชนอ ะไรในการทํ า บุญ ทํ า ทาน การบูช ายัญ ที่ เรี ย กกั น ว า ดี , แล ว ก็ ไม มี ผ ลอะไรที่ เรีย กกั น ว า ชั่ ว หรื อ บาป. นี้ มี ป รากฏชั ด อยู ใน พระคัมภีร โดยเฉพาะพระบาลีในพระไตรปฎก.

www.buddhadasa.info “ธาตุเทานั้น” เขาใจผิดก็เปนอันตราย ขอใหเขาใจวา คําวา “ธาตุเทานนั้น” ถาเขาใจผิดก็เปนอันตราย กลาย เปนมิจฉาทิฏฐิ ไปก็ได คือไปถือวาไมมีตัวไมมีตน แลวก็ไมตองรับผิดชอบอะไร. ทีนี้ ที่พวกเราศึกษาหรือฟ งกันอยูเรื่อย ๆ มานี้ หลั กเกณฑ ก็ อยูในความ หมายอันนี้วา “ธาตุเทานั้น” ไมใชสัตว ไมใชบุคคล. ถาไปถือตามที่เขาวาใคร


๑๐๘

ปรมัตถสภาวธรรม

จะไปตกนรก ใครจะไปขึ้ น สวรรค ใครจะบรรลุ ม รรคผลนิ พ พาน มั น ก็ ไ ม มี ใ ครไป ใครบรรลุ เพราะว า เป น สั ก ว า “ธาตุ เท า นั้ น ”, และโดยเฉพาะคนที่ เขายึ ด มั่ น ใน เรื่ อ งโลกหน า ตายแล วไปเกิ ด ใหม เป น นั่ น เป น นี่ ไปตามดี ต ามชั่ ว ตามบุ ญ ตามบาป ก็ จะพลอยไม มี ใครผู ไปด ว ย; เพราะเห็ น ว า มั น “สั ก ว า ธาตุ เท า นั้ น ” ไม มี ใครกระทํ า ไมมีใครรับผลของการกระทํา : อยางนี้มันก็ผิดไปมาก. สําหรับพวกเราที่นี่ พูดเรื่องธาตุกันนี้ มุงหมายความไมยึดมั่นถือมั่น เพื ่อ จะไมเ กิด กิเลส, และก็บ อกใหเห็น วา “เปน สัก วา ธาตุ ธาตุ เทา นั ้น ” ไมไ ด มุ งหมายจะยกเลิ กเรื่องดี เรื่องชั่ ว เรื่องบุ ญ เรื่องบาป หรือเรื่องนรก เรื่ องสวรรค ; ยั งไม ได พู ด ยั งไม ได บ อกว า ตายแล ว ไม เกิ ด , ยั งไม ได บ อกว านรกหรื อ สวรรค ไม มี ; หาก แตวา ใหมาสนใจกันที่นี่กอน ใหรูจักวาอะไรมีอยูที่นี่ และก็มีนรก หรือมีสวรรค ชนิ ด อื่ น ในความหมายอี ก อย า งหนึ่ ง ซึ่ งอยู ที่ นี่ ซึ่ งจะเห็ น อยู ชั ด ๆ นี่ และถ า ไม ต ก ก็ไมตกไดที่นี่ หรือถาจะเอาใหไดเชนสวรรคเปนตน ก็จะเอาไดที่นี่.

การสอน “เรื่องธาตุเทานั้น” ตองการใหรูจักความจริงอันมีประโยชน

www.buddhadasa.info การเรีย นเรื่อ งธาตุ ที่ มี ป ระโยชน ที่ ถู ก ต อ ง จะทํ า ให เห็ น นรกที่ นี่ ที่ จ ะ หลีกเลี่ยงไมตกได, และเห็นสวรรคที่นี่ ถาตองการแลวก็ทําใหได ใหถึงที่นี่ได, และถาตองการจะพนจากนั้นไปอีก จะเปนมรรคผลนิพพาน ก็ยังทําใหสําเร็จ ไดที่นี่และเดี๋ยวนี้; เพราะความรูเรื่องเกี่ยวกับธาตุ.

อาตมาพู ดว า “ที่ นี่ และเดี๋ ยวนี้ ” บ อย ๆ เข า บางคนก็ เลยพาลหาเอาว า ยกเลิ ก เรื ่อ งนรกสวรรคโ ลกหนา . ฉะนั ้น ขอใหถ ือ วา ไมไ ดพ ูด ถึง เรื ่อ งยกเลิก อะไรเลย ไมไดยกเลิก หรือไมไดสนับสนุนอะไรในที่นี้; เพียงแตวาขอใหมาดู เรื่องนรก


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๐๙

ที่จริงกวา เรื่องสวรรคที่จริงกวา “ที่นี่และเดี๋ยวนี้” ก็ได, และก็ดูเรื่องมรรค ผล นิพพาน “ที ่นี ่แ ละเดี ๋ย วนี ้” ก็ไ ด. แตถ า เมื ่อ ที ่นี ่ไ มต กนรกหรือ ไดส วรรคแ ลว ; สมมติว า ถ า ตายไปแล ว มี ไปเกิ ด ใหม มี น รกสวรรค ก็ ไม ต อ งตกนรก, และก็ จ ะได ส วรรค อ ยู นั่ นเอง. แต ถ ามั วสนใจเรื่องนรกสวรรค ข างหน าซึ่งอยู ที่ ไหนก็ ไม รู ก็ จะกลายเป นเรื่อง งมงายอยูเรื่อ ย ๆ จะไมรูจัก สิ่ง ที ่เรีย กวา นรกสวรรคก็ได; ฉะนั ้น มารูเรื่อ งธาตุ ให ถู ก ต อ ง ที่ ป ระกอบกั น อยู เป น ชีวิต จิ ต ใจของมนุ ษ ย และก็ เข ามาประกอบกั น อยูเปนความรูสึกในจิตใจ ที่เรียกวานรกก็มี ที่เรียกวาสวรรคก็มี. นี่เปนสิ่ง ที่จะต องสนใจมาก อย างยิ่ง เป นพิ เศษที่ นี่ เพื่ อจะแกป ญหาได ตลอดกาลไปเลย; เพราะ ฉะนั้ น จึ งเห็ นว าจะต องทนหน อย การที่ จะศึ กษาให เข าใจนี่ ต องทนหน อย ทนศึ กษา เรื่องธาตุนี้เรื่อย ๆ ไป. เรื่ องธาตุ เป นเรื่องที่ ซั บซ อนกั นมาก พู ดคราวเดี ยวเข าใจไม ได จํ าต องพู ด หลาย ๆ หน, พู ดหลายหนก็ต องมี ซ้ํากันด วยเรื่องเดียวกัน. แต วาอธิบายให เห็ นความต าง โดยรายละเอียดแยกออกไป แยกออกไป จนกวาจะเขาใจได ด วยการฟ งในไม กี่ ครั้งนั ก; ไม ใ ช จ ะต อ งพู ด กั น ตั้ ง ร อ ยครั้ ง พั น ครั้ ง แต มั น ก็ ค งจะ ๔-๕ ครั้ ง ๙ ครั้ ง ๑๐ ครั้ ง ก็เปนได. ขออยาใหเขาใจผิดวา ทําไมจึงพูดแตเรื่องธาตุ - ธาตุ ไมรูจักจบจักสิ้น.

www.buddhadasa.info ธาตุที่แวดลอมเรา ปรุงแตงกันอยูตลอดเวลา ที นี้ ก็ มาถึ งหลั กสั้ น ๆ ที่ เคยเตื อนไว เสมอ หรื อให ถื อเป นหลั กว า “ไม มี อะไรนอกจากธาตุ”, ธาตุเทานั้น ที่แวดลอมเราอยู ที่ปรุงแตงรางกายชีวิต จิตใจนี้ อยู ที่เปนความรูสึกนึกคิด เปนความสุข เปนความทุกขอยู; ก็หมายความวา ไม มี อะไรที่ เกี่ ย วขอ งกั น อยูกั บ มนุ ษ ยนี้ แลว ที่ จะไม ใชธาตุ นั้ น ไม มี . เราจะต อ งรูว า ธาตุ เหล านี้ เป นอยู กั นอย างไร; ก็เคยกลาวมาแลวสั้น ๆ วา ธาตุมี การปรุงแต งกั น อยางไร ในเรื่องประจําวันของคนเรา.


๑๑๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ในวั น หนึ่ ง ๆ คนเราก็ มี เรื่ อ งทางหู ทางตา ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย; ๕ เรื่ องนี้ เป นส วนที่ ถู กเรี ยกว า “ข างนอก”, และมี เรื่ องทางใจที่ เรี ยกว า “ข างใน”. เรื่ อง ทางใจนี้ ตองอาศัยเรื่องขางนอก จนกลาวไดวาเรื่องต าง ๆ ตั้ งต นจากข างนอกแล วจึ ง เข าไปข างใน. เมื่ อ ตาเห็ น รูป รู ป ก็ อ ยู ข างนอก ตานี้ ก็ เป น เนื้ อ หนั ง, ประสาทนี้ เป น เรื่ อ งของรู ป ธรรมอยู ข างนอก. ตาเห็ น รู ป จึ งเกิ ด ความคิ ด หรื อ ความรู สึ ก ไปตามลํ าดั บ เชนตาเห็นรูปก็เรียกวาจักขุวิญญาณ เห็นแลวก็จะไดวาอะไร ก็มีความคิดนึกตอไป. เรื่ องข างในนั้ นเกิ ดที หลั ง เรื่ องข างนอกตั้ งต นก อน; หรื อจะเรี ยกว าตั้ งต น ที่รูปธรรม ตามเห็นรูป ก็จะเกิดจักขุวิญญาณที่เปนนามธรรม. ความประจวบกัน นี ้ก ็เ รีย กวา ผัส สะ ซึ ่ง เปน เหตุใ หเกิด เวทนา; รู ส ึก หรือ ทุก ข นี ้ก ็เ ปน นามธรรม แล วสํ าคั ญมั่ นหมายเอาเวทนานี้ เป นของกู บ าง เวทนานี้ เที่ ยงแท ถาวรบ าง. นี่ เป นสั ญญา ขึ้ น มา นี้ ก็ เป น นามธรรม; เมื่ อ มี สั ญ ญาอย างไรแล ว ก็ มี ค วามคิ ด อย างนั้ น อย า งนี้ จะจั ด การกั บ สิ่ งนั้ น ที่ รั ก หรื อ ไม รั ก ที่ ช อบหรื อ ไม ช อบนี้ เรีย กว าสั งขาร สั งขารก็ เป น นามธรรม เป นความคิ ดของจิต, ก็ ทํ าให เกิ ดมโนกรรม คื อความคิ ดที่ จะกระทํ าอยางนั้ น อย า งนี้ จนกระทั่ งแยกออกไปได เป น ดี ห รื อ ชั่ ว . ที่ เรี ย กว า ดี ห รื อ ชั่ ว นี้ ไม ใช เรื่ อ งของ ธรรมชาติ โดยแท เป นเรื่ องของมนุ ษ ย เรา เรารู สึ กว าอย างไหนมั นเป นประโยชน แก เรา ไม ทํ าให เรายุ งยากลํ าบาก เราก็ ว าดี ; ส วนอั น ไหนทํ าให เรายุ งยากลํ าบาก เป น ทุ ก ข เราก็วาไมดี.

www.buddhadasa.info เรื่องดีเรื่องไมดีนี้ เปนเรื่องของมนุษยบัญญัติขึ้นตามความรูสึก หรือ ความต อ งการของตน; ส วนธรรมชาติ นั้ นมี แต วา ถ าลองกระทํ าลงไปอย างนี้ ผลก็ ต องเกิ ดออกมาอย างนี้ ก็ เลยมี เรื่อ งที่ ดี ไม ดี ขึ้ นมา; แล วก็ จะมี นรกและสวรรค ขึ้ นมา ทั นที เหมื อนกั น : ที่ ไม ดี ไม ชอบและเป นทุ กข นั้ นเป นนรกขึ้ นมาทั นที และเห็ นได ชั ดเจน เห็นไดงาย หรือเห็นไดประจักษเลย, ถาเปนเรื่องดี ทําใหสบายใจ ก็เปนสวรรคขึ้นมา.


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๑๑

สวรรค หรือ นรก ก็ตาม เรามองเห็นชัดใจความคิดที่ถูกปรุงขึ้นมา จาก การที่ ตาเห็ นรูปบ าง จากการที่ หู ได ยิ นเสี ยงบ าง จมู กได ดมกลิ่ นบ าง ลิ้ นได สั มผั สรสบ าง ผิ ว หนั งได สั ม ผั ส ทางผิ วหนั งบ า ง, แล ว ใจก็ เอาไปคิ ด ไปปรุ ง . ที นี้ ในบางกรณี ที่ ไม ได เกี่ ยวกั บ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย; ใจก็ ไปเอาความจํ าเดิ ม ๆ ที่ ได มาทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย แต เก าก อน ซึ่ งยั งจํ าได อยู ยั งยึ ดถื ออยู นั้ น เอามาทํ าเป นอารมณ ของใจล วน ๆ ก็ ได . เหมื อนอย างในความฝ น ก็ มี ความคิ ดนึ กรู สึ กอะไรได ทั้ งที่ ตาก็ ไม ได ลื ม หู ก็ ไม ได ยิ น นี่เพราะวาใจเก็บสะสมเอาไวสําหรับเปนเรื่องทางจิตใจ.

การปรุงแตงของธาตุ สรางนรกสวรรคขึ้นก็ได เมื่ อกล าวใจความย อก็ คื อว าวั นหนึ่ ง ๆ ความเป นไปในทางจิ ตใจ นั้ นย อม มี ก ารปรุงแต งเป น นรกเป น สวรรค ขึ้นมาได. ถาเราอยาตกนรกอยางนี้ ตายแลวก็ ไม ตกนรกชนิ ดไหน ถ าเราอยากจะได สวรรค ก็ ให ได สวรรค ชนิ ดนี้ เถิ ด ตายแล วก็ ต อง ได ส วรรค ช นิ ด เดี ย วกั น อี ก . ป ญ หามี อ ยู ที่ ว า จะต อ งจั ด การกั น ที่ เรื่ อ งจริ ง ตั ว จริ ง ให ถู กต อง ไม ใช สั กแต ว าคิ ด ๆ นึ กปรารถนาเอา หรื อว าอ อนวอนเอา; และในบรรดา สิ่งเหลานี้ ก็เรียกวาธาตุทั้งนั้น, ธา-ตุ หรือธาตุ ทั้งนั้น ไมยกเวนอะไร.

www.buddhadasa.info ที่ เป น ความเลว ความชั่ ว ความผิ ด นั้ น ก็ เรี ย กว า อกุ ศ ลธาตุ . หรื อ ธาตุอ กุศ ล, ที ่เ ปน ดี เปน ถูก ตามความตอ งการ ที ่จ ะไมทํ า ใหเ ปน ทุก ข นี ้ก็ เรี ย กว า กุ ศ ลธาตุ . ธาตุ เหล านี้ มี อ ยู เป น ปกติ เหมื อ นกั บ ธาตุ ทั้ งหลายอื่ น หากแต ยั ง ไม ปรากฏออกมา ยั งไม ปรากฏแก จิ ตใจหรือความรูสึ ก จนกว าจิ ตนั้ นรวมกั บรางกายนั้ น ได กระทํ าลงไปทางใดทางหนึ่ ง อย างใดอย างหนึ่ ง สํ าหรั บ เรื่ องนั้ น เพื่ อสิ่ งนั้ น จึ งจะ ปรากฏออกมาเป นกุ ศลธาตุ เป นอกุ ศลธาตุ แล วแต กรณี ที่ ว าจะเป นนรกสวรรค ได ที่ นี่ . ฉะนั้น นรกหรือสวรรคนั้นก็ไมมีอะไรมากไปกวาธาตุ.


๑๑๒

ปรมัตถสภาวธรรม

แต ม องดู กั น ให ลึ ก แล ว มั น ไปรวมกั น อยู ที่ คํ าว า “เวทนาธาตุ ” เวทนาก็ เปน สัก วา ธาตุ; ความรู ส ึก ที ่เ ปน ทุก ข เดือ ดรอ น ก็เ ปน เวทนาธาตุ. เราใหชื ่อ ยี่ ห อ ว า นรก. ที่ ไ ม เ ป น ทุ ก ข ไม เดื อ ดร อ นและเป น ที่ พ อใจของคนทั้ ง หลาย นี้ ก็ เรี ย กว า เวทนาธาตุ แต เราไปให ชื่ อ ว า สวรรค ; เพราะว า คํ า ว า นรก หรื อ คํ า ว า สวรรค นี้ เป น คํ าสมมุ ติ ไม ได ก ล าวเป น คํ าจริ ง หรื อ ภาษาปรมั ต ถ . นี้ เป น เค าคร าว ๆ เปนเคา ๆ แสดงเปนแนวพอใหรูวา เรื่องธาตุมีอยูอยางนี้ ในคนเราประจําวัน.

พิจารณาดูธาตุที่ปรุงกันเปนประจํา ที นี้ ก็ มาดู ให ชั ดยิ่ งขึ้ นไปอี ก ในเรื่ องเดี ยวกั นนี้ จะยกเอาคู แรกเป นตั วอย าง ก อ น ดู คู ต ากั บ รู ป ให ทุ กคนสั งเกตเอาเองด วยตั วเอง ในเรื่ องของตั วเอง ให เข าใจว า เราเห็นรูปดวยตา แลวมันก็มีผลเกิดขึ้น อยางนอยก็เปน ๓ ชนิดดวยกันคือ : ๑. เห็ น รู ป แล ว ก็ เ ลิ ก กั น ไป แม จ ะรู ว า รู ป อะไร หรื อ กระทั่ ง รู ว า สวย ไม ส วยด ว ยซ้ํ า แล ว ก็ เลิ ก กั น ไป; ความคิ ด ไม ไ ด ไ ปมากกว า นั้ น . เช น ว า ทุ ก คนนั่ ง อยู ที่ นี่ เวลานี้ ก็ ยั งลื มตา แล วตาก็ ยั งดี อยู ยั งไม บอด ยั งมองเห็ นรู ปภาพทั้ งหลาย เห็ น ตน ไม ฯลฯ; ภาพที ่เ ห็น อยู ด ว ยตานี ้ ก็เ ห็น ทํ า ไมจะไมเ ห็น . แตใ นกรณีอ ยา งนี้ พอเห็ น พอรู ว า มั น เป น อะไร หรื อ ว า ภาพอะไร แล ว ก็ เลิ ก กั น ไป; การเห็ น หยุ ด เสี ย เพียงเทานั้นก็ไมเกิดเปนนรก หรือเปนสวรรคขึ้นมา.

www.buddhadasa.info ๒. ในกรณี ที่ เห็ น รู ป คราวอื่ น หรื อ มั น มี อ ะไรผิ ด ธรรมดาไป : เราไปมี การปรุ งแต งในทางจิ ต ใจที่ เป น กิ เลส จนเกิ ดตั ณ หา อุ ป าทาน อะไรอย างนี้ ก็ เป น ทุ ก ข ห รื อ เป น นรกไป; เรี ย กว า เป น ทุ ก ข ห รื อ ตกนรกเพราะการเห็ น รู ป นั้ น ทํ า ให เกิ ด เปนทุกข ที่เรียกวาตกนรกก็ได. ๓. บางที ไ ด เห็ น รู ป นั้ น แต ค วามคิ ด เดิ น ไปอี ก ทางหนึ่ ง ได ค วามเข า ใจ ได ค วามฉลาด ไม เกิ ด กิ เลส แต เกิ ด ความรู สึ ก ที่ เป น บุ ญ เป น กุ ศ ล การที่ เห็ น รูป นั้ น ก็ทําใหไดความไมมีทุกข หรือไดความรู ไดความฉลาด ไดบุญ ไดกุศล ไดความสุข


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๑๓

สรุปสั้น ๆ ก็วา ในการเห็นรูปดวยตานี้ บางทีก็ใหก็มีความสุข บางทีก็ให ความทุ กข และบางทีก็ไมไปถึงนั้ น เลิกกันเสียครึ่งทาง; แตถึงอยางนั้นก็ตองเรียกวา ในกรณี ที่ ตานั้ นเห็ นรูปเหมื อนกัน. จะยกตั วอย างกรณี ตาเห็ นรูปนี้ ให เขาใจชัดยิ่ งขึ้ น วามาเปนธาตุ ลวนแตธาตุทั้งนั้น ไมมีอะไร.

ดูตัวอยางในกรณี ที่ตาเห็นรูป ; ธาตุตางผสมกันมากมาย วันก อน ๆ ได กล าวแล ววา ส วนที่ เป นรางกายของคนเรานี้ เป นเนื้ อเป นหนั ง เปนรางกาย ในตัวคนนี้ ก็ประกอบอยูดวยธาตุตางๆ ฝายวัตถุ คือธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม, และธาตุ อากาส คื อความวาง สํ าหรับให ธาตุ ต างๆ ตั้ งอยู ได ; เพราะ ถ า ไม มี ที่ ว า ง ก็ ไ ม มี อ ะไรตั้ ง อยู ได ; ก็ แ ปลว า ร า งกายซึ่ ง รวมก อ นลู ก ตานี้ อ ยู ด ว ย ก็ เป น รู ป ธาตุ , แม ใยเส นประสาท ทํ าความรูสึ กทางตา นั้ นก็ จั ดไวเป นพวกรูป ธาตุ เป น รู ป ธรรม. เราจึ งได รู ป ธาตุ เป น ๒ ฝ า ย รู ป ธาตุ หรื อ รู ป ธรรม นี่ เป น ๒ ฝ า ย : ฝายหนึ่ งอยูขางในตัวเรา คือลูกตา กอนลูกตา รวมทั้งเสนประสาท, อี กฝายหนึ่ ง คืออะไรก็ตามซึ่งอยูขางนอก ที่ตามันจะเห็นนั้น ก็คือรูปธรรมขางนอก.

www.buddhadasa.info บัด นี้เกิด เป นรูป ธรรมขางใน คื อดวงตา, รูป ธรรมข างนอก คื อ รูป ที่ มองเห็ น ; และก็ ห ลี ก ไม พ น ที่ ว า ทั้ ง รู ป ธรรมข า งใน และรู ป ธรรมข า งนอกนี้ มั น ก็ ประกอบอยู ด วยธาตุ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ และอากาสธาตุ เป นต น. เดี๋ ยวนี้ มั นสํ าเร็จมา เป นจักขุธาตุ -คื อธาตุ สําหรับจะทํ าความรูสึ กทางตา หรือจักษุ ประสาท อันนี้ เป นต น; คื อ รูปธาตุ ที่ จะสํ าเร็จการเห็ นทางตา และรูปธาตุ ข างนอก ที่ จะทํ าให การเห็ นทางตา สํ า เร็ จ ได คื อ จะถู ก เห็ น : ตามั น จะเป น สิ่ ง ที่ เห็ น , รู ป ข า งนอกก็ จ ะเป น สิ่ ง ที่ จ ะถู ก ตาเห็น, เรียกวาเปนธาตุทั้ง ๒ ฝาย. เป น รู ป ธาตุ ด ว ยกั น ทั้ ง ๒ ฝ า ย ต า งแต อั น หนึ่ ง อยู ข า งใจ อั น หนึ่ ง อยู ขางนอก; โดยเหตุที่อันหนึ่งทําหนาที่อยูขางใน เราจึงเรียกวา อายตนะภายในคือตา


๑๑๔

ปรมัตถสภาวธรรม

สวนอีกอันหนึ่งทําหนาที่อยูขางนอก เราก็เรียกวาอายตนะภายนอก คือรูป, ทั้งสอง อายตนะนี้ก็คือธาตุ อันหนึ่งเรียกวาจักขุธาตุ อีกอันหนึ่งเรียกวารูปธาตุ. ที นี้ เมื่ อ เราลื ม ตามองเห็ น อะไร เราก็ ไม มี ค วามรู สึ ก ว าธาตุ เรารูสึ ก ว า มองเห็ น นั่ น นี่ เป น รู ป ร างอย างนั้ น อย างนี้ ไปเสี ย เลย. เดี่ ย วนี้ ต อ งการให รู ว ายั งไม มี อะไร มี แต ว าตา จั กขุ ธาตุ คื อธาตุ ทํ าให เห็ นทางตา และก็ รู ปข างนอกเป นรู ปธาตุ คื อ เป น ธาตุ สํ าหรับ ที่ ต าจะได เห็ น ; พอ ๒ ธาตุ นี้ เกิ ด ถึ งกั น เข า ที่ เรีย กว ากระทบ หรื อ อาศัยกัน ก็เกิดจักขุ วิญญาณธาตุ -คือวิญญาณธาตุทางตา. อั นนี้ กลายเป นนามธรรม เป น เรื่ อ งของจิ ต ที่ อ าศั ย รู ป ธรรมเกิ ด ขึ้ น : อาศั ย ตากั บ รู ป แล ว ก็ เกิ ด วิ ญ ญาณธาตุ ที่ เป นเรื่ องทางจิ ตขึ้ นมา. แต โดยเหตุ ที่ มั นอาศั ย ตา จึ งเลยให ชื่ อมั นว า วิ ญ ญาณธาตุ ทางตา นี้เรียกวาธาตุที่ ๓ ซึ่งเปนเรื่องสําคัญ เกิดขึ้นแลว คือวิญญาณธาตุ. ที่ใชคําวา “เกิด” นี้ หมายความวา กอนนี้มันแสดงตัวออกมาไมได จนกวาจะไดมี ตากับรูป มาเนื่องกันกอน วิญญาณธาตุนี้จึงจะแสดงออกมาได.

www.buddhadasa.info ตากับรูปกับวิญญาณธาตุ ทําใหเกิดผัสสะ

ที นี้ ต ากั บ รู ป และวิ ญ ญาณธาตุ ได ๓ ธาตุ แล ว จั ก ขุ ธ าตุ รู ป ธาตุ วิญญาณธาตุ รวม ๓อยางนี้ เกิดมาพรอมกัน มาถึงพรอมกัน มาประจวบกันเขา ก็เ กิด ธาตุอ ัน ใหม ที ่เ รีย กวา ผัส สะ; ผัส สะที ่แ ปลวา การกระทบ; บางทีก ็เ รีย ก เต็ ม ๆ ว า สั ม ผั ส . ถ า เป น การกระทบที่ ส มบู ร ณ แล ว ก็ เรี ย กว า สั ม ผั ส . เรื่ อ งสั ม ผั ส นี้ ก็ เป น ธาตุ สิ่ ง ที่ ม าสั ม ผั ส นี้ ก็ เป น ธาตุ ; ทั่ ว ๆ ไปเขาอธิ บ ายว า เป น สั ง ขารธาตุ : คื อ การกระทบ การปรุ ง การทํ าให เป น ขึ้ น เรี ย กว าสั งขารธาตุ อย างนี้ ก็ มี . แต ถ า เราดู จากบาลี โดยตรง ก็ มี อยู หลายแห งเหมื อนกั นที่ แสดงวา ผั สสะไม ใช สั งขารธาตุ แตเปนเวทนาธาตุ, หรือเปนสวนหนึ่งของเวทนาธาตุ.


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๑๕

ผัสสะปรุงเปนสังขารธาตุก็ได เปนเวทนาธาตุก็ได ผั สสะนี้ น าจะถู กแบ งออกเป น ๒ ซี ก ซี กที่ ยั งเนื่ องอยู กั บวิ ญญาณธาตุ นั่ นก็ เป น สั ง ขารธาตุ ไ ปได คื อ การพบกั น กระทบกั น แล ว ปรุ ง เป น อะไรขึ้ น มา; ส ว นอี ก ซี ก หนึ่ ง มั น เนื่ อ งอยู กั บ เวทนาธาตุ เพราะฉะนั้ น ผั ส สะนี้ จะต อ งเรี ย กส วนนี้ ว าเป น เวทนาธาตุ. ธรรมะชื่ อ เดี ยวข อเดี ย ว จะต อ งผ าตรงกลาง เอาซี กหนึ่ งไว ฝ ายโน น เอา ซี ก หนึ่ ง ไว ฝ า ยนี้ ก็ มี อ ยู เหมื อ นกั น ไม ใ ช เฉพาะเรื่ อ งนี้ เรื่ อ งเดี ย ว. ยกตั ว อย า งเช น เรื่ อ งอุ ป าทาน ให เกิ ด ภพ, ภพให เกิ ด ชาติ . ภพนั้ น ซี ก แรกอยู ฝ า ยอุ ป าทาน มั น ก็ เป น กรรมไป, อี ก ซี ก หนึ่ ง อยู ฝ า ยชาติ ก็ ก ลายเป น วิ บ ากไป; ภพนั้ น เป น ได ทั้ ง กรรมและวิบาก. สิ่ งที่ เรี ยกว าผั สสะ คื อการกระทบระหว างตากั บรู ป และจั กขุ วิ ญ ญาณนี้ ก็ เหมื อ นกั น มี ลั ก ษณะที่ จ ะถู ก แบ ง ครึ่ง แรกนี้ ไว เป น สั ง ขาร, การมาพรอ มกั น เข า ปรุงอั นนี้ ขึ้นเรียกวาสั งขาร หรือสั งขารขันธ หรือสั งขารธาตุ ที นี้ ส วนที่ มั นมี ความรูสึ กได นี้ เพื่ อ มาอยู ฝ ายข างล าง เป น เวทนาธาตุ สงเคราะห ไว ในเวทนา; เพราะว าเวทนานั้ น ก็ ยั งมี พระบาลี ตรัสว า อุ ปฺ ปนฺ นา มนาปา อมนาปา ผสฺ สา -ผั สสะทั้ งหลายที่ เป นที่ ชอบใจ และไมเปนที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแลว.

www.buddhadasa.info ฟ งดู ให ดี ผัสสะ ซึ่งมี ลั กษณะ เป นที่ ชอบใจ คือ มนาปา, อมนาปา คื อไม ชอบใจ; อยางนี้มันเปนลักษณะของเวทนาเกิดขึ้นแลว มันก็จะครอบงําจิตตั้งอยู. พระพุ ทธเจ าตรั ส สอนพระราหุ ลว า : ถ าเราทํ าจิ ต เจริ ญ จิ ต นี้ ให เหมื อ น กับแผนดิน ใหมันเฉยเหมือนกับแผนดิน แลวผัสสะทั้งหลายที่เกิดขึ้นเปนมนาปะ


๑๑๖

ปรมัตถสภาวธรรม

หรื อ อมนาปะ ก็ ดี จะไม ค รอบงํ า จิ ต ของเธอแล ว ตั้ ง อยู . ลั ก ษณะอย า งนี้ แ สดงว า เป น เวทนาชั ด ๆ เลย. หรื อ แม แ ต คํ าของพระสารี บุ ต ร ที่ ว า อ างคํ าของพระพุ ท ธเจ า ไปกล าวอี กที หนึ่ ง ก็ ยั งมี คํ าที่ กล าววา ผสฺ โส สาสโว อุ ปาทานิ โย -ผั ส สะนั้ น เป น ไปดวยอาสวะ และเปนที่ตั้งแหงอุปาทาน ถาเปนที่ตั้งแหงอุปาทาน ตองเปนเวทนา จะเปนสังขารไมได อยางนี้เปนตน. เรารูกันเสียวา ผัสสะนี้ ซีกหนึ่งจะเปนสังขารธาตุ อีกซีกหนึ่งจะเปน เวทนาธาตุ ; แม ไม มี คํ าที่ ระบุ ไว ชั ด เราจะต องศึ กษาเอาเอง; เพราะว าคํ าที่ ระบุ ไว ชั ด แสดงไว แต ลั ก ษณะของผั ส สะว า : เป น มนาปะ และอมนาปะ คื อ เป น ที่ พ อใจ และ ไม เ ป น ที่ พ อใจได , หรื อ เป น ที่ ตั้ ง แห ง อุ ป าทานได ; นี่ เ ป น ลั ก ษณะของความเป น เวทนา. ตากับ รูป กับ จัก ขุว ิญ ญาณ พบกัน แลว เกิด ผัส สะขึ ้น มา; ผัส สะนี้ เปนสังขารธาตุในระยะแรก และเปนเวทนาธาตุในระยะหลัง; ฉะนั้น ผัสสะก็สัก วาธาตุอยูนั่นแหละ.

ระหวาง มีผัสสะ เปนโอกาสที่วิชชา หรืออวิชชาธาตุผสมก็ได

www.buddhadasa.info ในระหว างที่ มี ผั ส สะนั้ น มั น จะต างกั น ไปอี ก ว า ในขณะแห ง ผั ส สะนั้ น ถาเป นโอกาสแห งอวิชชาธาตุ เข ามาผสมได หรือวา ให เกิดอวิชชาธาตุขึ้นมาได ผัสสะ นั้ น ก็ เป น ผั ส สะของอวิ ช ชา คื อ ผั ส สะโดยอวิ ช ชาธาตุ เรี ย กว า อวิ ช ชาสั ม ผั ส ; แต ถ า เผอิ ญ ในขณะนั้ น มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะดี อวิ ช ชาไม เกิ ด คงเป น ความรู สึ ก ตั ว มี ส ติ สัมปชัญญะอยู ก็เรียกวามีวิชชาธาตุ ประกอบอยูในสัมผัสนั้น. ดังนั้น การสัมผัสจึง แยกออกเปน ๒ ชนิด วาสัมผัสดวยอวิชชาก็ได สัมผัสดวยวิชชาก็ได. ในกรณี ที่ จะเป นเรื่องกิ เลส เป นเรื่องความทุ กขแล ว ก็หมายถึงอวิชชาธาตุ เขามาประกอบกับผัสสะ ก็เลยเปนการสัมผัสดวยอํานาจของอวิชชาไปเลย. ทีนี้ก็เกิด


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๑๗

เวทนา เป น รู ป ขึ้ น มา เป นเวทนาธาตุ ที่ มาจากการสั ม ผั สด วยอวิชชา; แล วเวทนา นั้ นก็ ถู กปรุ งขึ้ นด วยอํ านาจของอวิ ชชาอยู ส วนหนึ่ ง เวทนานี้ ก็ เรี ยกว า เวทนาธาตุ . เรา รูสึกเปนสุข เปนทุกข เปนไมสุข ไมทุกขก็ตาม นี้เรียกวาเวทนา ก็ยังสักแตวาเปนธาตุ.

ธาตุใดก็ตามมีอยูแตยังไมแสดงตัว คนที่ ไม เคยได ฟ งมาแต ก อน จะไม เข าใจหรื อไม ยอมรับถื อว าเวทนาเป นสั กว า ธาตุ ก็ เลยเห็ นเวทนาเป นอะไรก็ ไม รู เห็ นเป นดี ที่ สุ ด เป นตั วเราเป นของเราไปเสี ยเลย. แตพระพุทธเจาทานตรัสวา เวทนาเปนธาตุอันหนึ่งเหมือนกับเปนธาตุทั้งหลายที่มีอยู ในโลกนี้; แตยังไมแ สดงตัว ออกมา จนกวาจะมีการสัม ผัส ระหวางสิ่งทั้ง ๓ เช น ในตั วอย างนี้ คื อตา และรูป และจั กขุ วิ ญญาณ-วิญญาณทางตา มี ผั สสะอย างนี้ แล ว ก็ เวทนาจะออกมา. นี้ จะเรี ยกว าเกิ ดขึ้ นก็ ได และโดยที่ แท แล วต องใช ว าปรากฏออกมา กอนนี้มันไมปรากฏออกมา. จะยกตัวอยางเหมือนวาเอาเหล็กมาตีลงไปที่หินเหล็กไฟ ก็เกิดประกายไฟ ออกมา; เราจะพู ด ว า ประกายไฟนั้ น เพิ่ ง เกิ ด หรื อ ว า ประกายไฟนั้ น มี อ ยู เป น ธาตุ ชนิ ดหนึ่ ง อยู ตามธรรมชาติ ในโลกนี้ แต มั นยั งไม ปรากฏออกมา จนกว าจะมี การกระทํ า ชนิ ดที่ ให มั น ปรากฏออกมา; ซึ่ งในกรณี นี้ ได แก การที่ เอาแท งเหล็ ก ไปฟาดเข าที่ หิ น ประกายไฟจึงปรากฏออกมา.

www.buddhadasa.info ประกายไฟจะเรี ยกว า เป นธาตุ ไฟก็ ได หรื อจะเรี ยกว า ธาตุ ความร อนก็ ได อุ ณ หภู มิ ความรอนก็ ได นี้ มี อยู ; แต ยั งไม แสดงตั วออกมา หรือมั นจะแสดงออกมามาก หรือน อยก็ ตาม ก็ต อเมื่ อมี เหตุ ป จจัย ที่ จะทํ าให ธาตุ ไฟสามารถแสดงตั วออกมาได . ถ าเรา เล็ งอย า งนี้ ก็ จ ะเห็ น ว า มี ธ าตุ ช นิ ด หนึ่ ง อยู ต ลอดเวลาในโลกนี้ ยั งไม แ สดงตั ว จนกวาจะไดเหตุปจจัยหรือโอกาสที่จะแสดงตัวออกมา; นี่คือความหมายที่คอน ขางจะเรนลับ หรือคําอธิบายที่วา ทําไมพระพุทธเจาทานจึงตรัสสิ่งเหลานี้เปน ธาตุไปหมด.


๑๑๘

ปรมัตถสภาวธรรม

แมแตที่เรารูสึกพอใจ ไมพอใจ เปนสุขเปนทุกข นี้ก็เปนธาตุอยางหนึ่ง แต เป น ธาตุ ท างจิ ตใจ ธาตุ ฝ ายจิ ตใจ ธาตุ ฝ ายนามธรรม. เกิ ดเวทนาซึ่ งเป นธาตุ ชนิ ด หนึ่ ง ขึ้ น มา ก็ พู ด ได เพราะพู ด อย า งมองข า งนอก มั น เพิ่ ง เกิ ด เดี๋ ย วนี้ . เวทนาธาตุ ปรากฏออกมาพู ดอย างนี้ ก็ ได ; เพราะว ามั นอาศั ยเหตุ ป จจั ยอั นหนึ่ งเป ดโอกาสให มั นปรากฏ ออกมา; ก็เอาเปนวาเวทนาธาตุ ไดเกิดขึ้นแลว ปรากฏแลว แสดงตัวออกมาแลว.

เวทนาเกิดแลว ปรุงใหเกิดสัญญาธาตุ ที นี้ ในความรู สึ กของจิ ตต อไป ก็ จะเกิ ดสั ญ ญาธาตุ คื อความรู สึ กสํ าคั ญ มั่ นหมาย อย างใดอย างหนึ่ งในเวทนานั้ น เช นเรารู สึ กเวทนาว าเป นสุ ข ก็ สํ าคั ญมั่ นหมาย ว า เป น สุ ข . อย า งนี้ เขาเรี ย กว า สุ ข สั ญ ญา เห็ น รู ป สวย เห็ น รู ป คนที่ เรารั ก เราพอใจ ก็ ส บายตา มี สุ ข เวทนา แล ว เกิ ด ความสํ า คั ญ มั่ น หมายว า ของเรา ว า คนรั ก ของเรา. ถ าเห็ นคนเกลี ยด ก็ มี สั ญ ญาว าเกลี ยด ไม ชอบคนที่ เป นข าศึ กศั ตรู ของเรา; ความสํ าคั ญ มั่ น หมายที่ เกี่ ยวกั บ ตั วเรา ก็ เกิ ด สั ญ ญาขึ้ น ว าความสุ ขความสบาย ความเอร็ ด อร อ ย สนุ ก สนานของเรา หรื อ ความเจ็ บ ปวดรวดร าว ความไม พ อใจของเรา. หรื อ ถ าสั ญ ญา มาในรู ป ของบุ ค คล ก็ ก ลายเป น บุ ค คล ที่ เรารั ก หรื อ เราไม รั ก อย างนี้ เป น ต น ; สํ าคั ญ ว าเขาเป น ศั ต รู สํ าคั ญ ว าเขาเป น คู รั ก อย างนี้ ก็ เรี ยกว า สั ญ ญาทั้ งนั้ น . ความสํ าคั ญ มั่ น หมายลงไปอย างนี้ นี่ ก็ เรียกว าธาตุ ซึ่ งมี อยู แล วในโลกนี้ ซึ่ งมี อยู แล วในที่ ทั่ วไป เหมื อนกั บธาตุ ทั้ งหลาย แต ยั งไม ปรากฏออกมาเป นธาตุ จนกว าจะได โอกาสเช นมี เวทนามา ใหสําหรับเปนที่สําคัญมั่นหมาย

www.buddhadasa.info เมื่ อ ใดเราสํ าคั ญ ว า นี่ ข องเรา นี่ เราชอบ นี่ เป น สุ ข แม แ ต นี้ เป น ได กํ าไร นี้เปนขาดทุนอะไรก็ตาม นี้เรียกวาสัญญาทั้งนั้น, ธาตุสัญญาปรากฏออกมาอยางนี้.

สัญญาธาตุ ปรากฏแลวเกิดสังขารธาตุ เมื่อธาตุสัญญาปรากฏแลว อยางนี้แลว ก็จะมีธาตุที่ถัดไป คือสังขารธาตุ; สังขารธาตุนี้คือความคิดที่ปรุงแตงออกมาจากสัญญานั้น เชน สัญญาวา สวย สัญญาวาดี


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๑๙

สั ญญาว าน ารั ก สั ญญาว าคนที่ เรารั ก ฯลฯ สั งขารก็ จะเกิ ดขึ้ น เกิ ดเป นความคิ ดที่ ปรุ งแต งว า เราจะทํ า อย า งไร หรื อ เราจะต อ งการอย า งไร เราจะต อ งทํ า อย า งไร. ส ว นที่ เรี ย กว า ความคิดที่ประกอบกันขึ้นมาเต็มรูป ตามความหมายของคําวาสังขาร พระพุทธเจา ท านก็ ตรั สให เป นธาตุ . แม แต สั งขาร-ความคิ ดว าอย างนี้ ๆ ก็ ยั งเป นธาตุ เรียกว าสั งขาร ธาตุ , ในขณะแห งสั งขารธาตุ นี้ จะซอยให ละเอี ยดออกไปได เรี ยกว าสั ญ เจตนา, ที แรก เมื่ อ มี สั ญ ญาว าเป น อะไรแล ว ก็ จ ะเกิ ด เจตนาที่ จ ะทํ าอะไรกั บ สิ่ งนั้ น ;เจตนานี้ ก็ เรี ย กว า สั ง ขารธาตุ . เมื่ อ เจตนาแล ว ก็ มี ตั ณ หา ที่ อ ยากจะทํ าลงไปอย างนั้ น ต อ งการอย างนั้ น อย างที่ ท นอยู ไม ได แม ตั ณ หานี้ ก็ เป น สั งขารธาตุ ; แล วก็ มี สิ่ งที่ เรี ย กว า วิ ต ก-ตริ ต รึ ก , วิจาร -ใครครวญโดยละเอียด อันนี้ก็เปนสังขารธาตุ.

สวรรคหรือนรกเกิดได เพราะมีอวิชชาธาตุในขณะที่มีสังขารธาตุ ในขณะที่ สั งขารธาตุ หรื อสั งขารขั นธ ป รากฏขึ้ นนี้ เราจะมองดู มั นในรู ปของ สั ญ เจตนาก็ ไ ด ตั ณ หาก็ ไ ด วิ ต กก็ ไ ด วิ จ ารก็ ไ ด ก็ ร วมเรี ย กว า สั ง ขารหมด; และ ตอนนี้เองที่จะไดนรกหรือสวรรคกัน แลวแตวาสังขานนั้น จะถูกปรุงไปในลักษณะ อย า งไร. จะได น รกหรื อ สวรรค ต อ งนึ ก ถึ ง ธาตุ ๒ ธาตุ ที แ รก คื อ อวิ ช ชาธาตุ กั บ วิ ช ชาธาตุ ที่ จ ะเข ามาปรุ งในขณะของการสั ม ผั ส . ถ าอวิ ช ชาธาตุ เข า มาปรุ งแล ว ก็ เป น ไปในทางกิ เลสในทางผิ ด ที่ ต อ งเป น ไปในทางอกุ ศ ล, ถ า วิ ช ชาธาตุ เข า มาแทน ก็ ป รุ ง ไปในทางถูกหรือที่เรียกวา กุศล.

www.buddhadasa.info สังขารธาตุผสมวิชชาหรืออวิชชาจะเกิดกุศล อกุศลธาตุตาง ๆ ในขณะแห งสั งขารธาตุ ปรากฏออกมาผสมวิ ชชาหรื ออวิ ชชานั้ น ก็ เลยถู ก จําแนกออกไปเปนกุศลธาตุ หรืออกุศลธาตุ อีกทีหนึ่ง.


๑๒๐

ปรมัตถสภาวธรรม

เราเคยได ยิ นกั นแต คํ าว ากุ ศลหรืออกุ ศลเฉย ๆ ไม ใช คํ าวาธาตุ ; เพราะวาเรา ไม พู ด กั น เป น ภาษาปรมั ต ถ หรื อ ภาษาอภิ ธรรม, เราพู ด ภาษาธรรมดา ก็ พู ด ว ากุ ศ ล อกุ ศลเฉย ๆ ก็ ได คื อดี หรื อชั่ วเท านั้ น. แต ถ าพู ดให เป นปรมั ตถธรรม ที่ ลึ กซึ้ งถึ งที่ สุ ด ก็ กลายเป น ว า ไม ใช อะไร ที่ มากไปกว ากุ ศ ลธาตุ และอกุ ศ ลธาตุ . เมื่ อ อวิ ชชาเข าไป ปนอยู แล ว ในขณะแห งการสั ม ผั ส ; พอมาถึ งตอนสั งขารนี้ มั น ก็ กลายเป น อกุ ศ ลธาตุ ปรากฏออกมา. ที นี้ อกุ ศ ลธาตุ นี้ ก็ แ จกออกไปได เป น กามธาตุ พยาปาทธาตุ วิหิงสาธาตุ: ๑. ออกมาเป นกามธาตุ คื อ ธาตุ ที่ ทํ าให เกิ ดความรูสึ กเป นกามหรือความ ใคร ไปตามความหมายของกาม โดยเฉพาะอย างยิ่ ง ก็ เป นเรี่ องระหว างเพศ; ความรู สึ ก อั นนี้ เรี ยกว ากามธาตุ ซึ่ งมี อยู แล วเป นปกติ ธรรมดา เหมื อนกั บธาตุ ทั้ งหลายอื่ น, เดี๋ ยวนี้ เพิ่งปรากฏออกมา เพราะไดโอกาสไดเหตุไดปจจัย กามธาตุก็แสดงออกมา.

www.buddhadasa.info ความคิ ด ครั้ ง หนึ่ ง เป น เรื่ อ งของกามธาตุ ก็ ได หรือ จะเป น เรื่อ งของ พยาบาท คื อ เกลี ย ดชั ง ก็ ไ ด , หรื อ เป น เรื่ อ งของวิ หิ ง สา คื อ เบี ย ดเบี ย นก็ ไ ด . ถ า สมมติ ว าเป นเรื่องที่ ทํ าให เกิ ดความใคร ในทางกามก็ ว า กามธาตุ ปราฏกออกมา แสดง ตั วออกมา; แล วมั นก็ ทํ าให มี ความสํ าคั ญมั่ นหมายในสิ่ งที่ ตั วรักตั วใคร อย างนี้ ก็ เรียกว า กามสัญ ญาอีก ทีห นึ ่ง . เปน เรื ่อ งสัญ ญาขึ ้น มา อีก ทีห นึ ่ง มั ่น หมายเปน กาม เปนกามของเราอะไรขึ้นมา กามธาตุก็ใหเกิด กามสัญญา.

กามสั ญ ญา คื อ สํ าคั ญ มั่ น หมาย ในกามนี้ ก็ ให เกิ ด กามสั งกั ป ปะ หรื อ ตริ ต รึ ก ไปแต ใ นเรื่ อ งกามของเรานั้ น กามสั ง กั ป ปะก็ ทํ า ให เ กิ ด กามฉั น ทะ-พอใจ หลงใหลในกามนั้น กามฉันทะก็ทําใหเกิด กามปริเยสนา -แสวงหาซึ่งกามนั้น


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๒๑

แม ด ว ยลํ า พั ง จิ ต ใจล ว น ๆ หรื อ จะออกมา ทางกาย ทางวาจา ด ว ยก็ ได ; ในที่ สุ ด ก็เกิด กามปริฬ าหะ -คื อ ความเรารอ น เหมื อ นกั บ ถู ก เผาไฟ เพราะอํ านาจแห ง กามนั้น. นี่ คิ ด ดู ว า กามธาตุ เป น สั ง ขารธาตุ ช นิ ด หนึ่ ง แต อ ยู ใ นรู ป ที่ ทํ า ให เกิ ด ความรัก ความต องการ ซึ่ งเป นอกุ ศลธาตุ ; หมายความว า ธาตุ ฝ ายผิ ด ฝ ายบาป ฝ าย ที่ จ ะทํ าให เกิ ด ทุ ก ข . กามธาตุ -ให เกิ ด กามสั ญ ญา-เกิ ด กามสั งกั ป ปะ-เกิ ด กามฉั ท ะเกิ ด กามปริ เยสนา-เกิ ด กามปริ ฬ าหะ; ดั งที่ ได ก ล าวไปแล ว . นี่ คื อ นรก ที่ นี่ ใช ห รื อ ไมใช? ใชคําวา ปริฬาหะ นี่หมายความวา รอนจนไมมีคําอะไรจะพูด จะวัดได คื อวา รอนถึ งที่ สุ ด ถ าจะถื อวา อย างนี้ เป นสวรรค นั้ นก็ ได สํ าหรับผู ที่ เขาไม มองกั น ไปในแงร อ น เขามองไปในแงข องกิเ ลส เพราะวา เปน ทาสกามเสีย แลว ก็ไ ด; มั นแล วแต ความรู สึ กของคนนั้ นจะเป นอั นธพาล สั กกี่ มากน อย, หรื อว า จะเป นบั ณฑิ ต สั กกี่ มากน อย. นี้ เรียกว า อกุ ศลธาตุ อย างที่ หนึ่ งแสดงตั วออกมา เป นกามธาตุ และก็ มี ความเปนไปอยางนั้น.

www.buddhadasa.info ๒. ออกมาเป น พยาปาทธาตุ หรื อ มั น ตรงกั น ข า มกั บ กาม; โกรธ ไมชอบนึกตรงกันขามกับกาม เขาเรียกวา พยาปาทธาตุ นี้ไมรักไมพอใจ มุงแตจะ ทํ าลาย มุ งแต ที่ จ ะผลั ก ออกไป. ถ าเป น เรื่อ งของกามธาตุ ก็ จ ะดึ งเข า มาหา, ถ า เป นเรื่องของพยาปาทธาตุ ก็ จะผลั กออกไป คื อมั นไม ชอบ; มั นก็ มี สั ญ ญา อย างเดี ยว กั นอี กนั่ นแหละ. เมื่ อมี พยาปาทธาตุ แล ว ก็ มี สั ญญาด วยพยาบาทนั้ น : เป นศั ตรู ของกู เปนอะไรของกู; ในที่สุดก็อยากจะทําลายมันเสีย ก็มีความเรารอนเพราะขอนี้อีก.


๑๒๒

ปรมัตถสภาวธรรม

๓. ถ า ว า ออกมาเป น วิ หิ งสาธาตุ . นี้ อ าศั ย โมหะ อาศั ย ความโง ก็ คิ ด ทํ าการเบี ยดเบี ยนผู อื่ นไปโดยไม ได เจตนา; ถ าพยาปาทธาตุ นี้ เบี ยดเบี ยนด วยเจตนา ด วยความรู สึ กสํ านึ ก; ถ าเป นเรื่องของกาม ก็ ไม เบี ยดเบี ยนใคร จะเอาเข ามา ดึ งเข ามา เปนของเรา. ทีนี้ ทั้งกามธาตุก็ดี พยาปาทธาตุก็ดี วิหิงสาธาตุก็ดี เปนอกุศลทั้งนั้น เมื่อสําเร็จตามหนาที่ของมันแลว ก็ทําใหเกิด นรก เปรต เดรัจฉาน อสุรกาย อยางใด อยางหนึ่ง ที่เรียกวา อบาย.อบายที่นี่ และเดี๋ยวนี้. ในกรณี นี้ ที่ ยกมาเป นตั วอย าง โดยอาศั ยตากั บรู ป, ในกรณี อื่ น เวลาอื่ น อาจอาศั ยหู กั บเสี ยง, ในเวลาอื่ น ก็ อาจจะอาศั ย กลิ่ น กั บ จมู ก, อาศั ยลิ้ นกั บรส, อาศั ย ผิ วกายกั บ สิ่ งที่ ม ากระทบผิ วกาย. ยกตั วอย างแต เพี ยง ทางตา ให ฟ ง นอกจากนั้ น ก็ ศึ กษาเอาเอง : ดั งเช น ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย : หู ได ยิน เสี ยงที่ น ารัก ก็ เกิ ดความปรุ งแต ง ทํ านองเดี ยวกั นกั บกามธาตุ ; หู ได ยิ น เสี ยง ที่ ไม ชอบ น าเกลี ยด เป น ศั ต รู เป น การที่ เราเกลี ย ด มั น ก็ ป รุ ง แต ง เป น พยาปาทธาตุ . จมู ก ก็ เหมื อ นกั น ลิ้ น ก็ เ หมื อ นกั น , ผิ ว หนั ง ก็ เ หมื อ นกั น ; ไม มี เ วลาพอที่ จ ะแจก และแจกก็ ไ ม มี ประโยชนอะไรมันรําคาญเปลา ๆ.

www.buddhadasa.info รวมใจความแตเพียงวา ถาในขณะนั้น การสัมผัสมีมูลมาจากอวิชชาแลว ก็ตองปรุงเปนสังขาร ชนิดที่เปนกุศลธาตุ เกิดกามธาตุ พยาปาทธาตุ วิหิงสาธาตุ; แลวก็เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนผูอื่น นี่เปนนรกที่นี่และเดี๋ยวนี้.

ที นี้ สมมติ ว ามั นตรงกั นข าม คื อสั มผั สนั้ นได อาศั ยสติ สั มปชั ญญะบ างตาม สมควร หมายความวา มี วิชชาอยู แทนอวิชชา ตอนที่ ปรุงมาจนถึงเวทนา ถึ งสั ญญา ถึงสังขาร นี้ก็เปนโอกาสที่ กุศลธาตุ จะเกิดขึ้น. กุศลธาตุก็ไมมีอะไร นอกจากตรง กันขามกับ ๓ อยาง ที่วามาแลว ;


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๒๓

คู ที่ ๑ ถ าเป น อกุ ศล ก็ เกิ ด กามธาตุ , ถ าเป น กุ ศล ก็ เกิ ด เนกขั มมธาตุ คือหลีกออกมาเสียจากกาม ไมโง ไมหลง ในเรื่องกาม. คู ที ่ ๒ ถา เปน อกุศ ล ก็อ อกมาเปน พยาปาทธาตุ, แตถ า เปน กุศ ล ก็ออกมาเปน อพยาบาท คือไมพยาบท แตรักใคร พอใจยินดีดวย. คู ที่ ๓ ถ า เป น อกุ ศ ล ก็ อ อกมาในรู ป ของ วิ หิ ง สาธาตุ -ธาตุ แ ห ง ความ เบี ย ดเบี ย น, ถ าเป น กุ ศ ล ก็ อ อกมาในรู ป ของอวิ หิ งสาธาตุ ระมั ด ระวั งที่ จ ะไม ก ระทบ กระทั่ง ที่จะทําใครใหเดือดรอนแมโดยไมเจตนา. เนกขัมมธาตุ ก็ดี อพยาปาทธาตุ ก็ดี อวิหิ งสาธาตุ ก็ดี นี้ทานเรียกวาเป น กุ ศ ลธาตุ . เมื่ อกระทํ าไปแล วมั นก็ ต องให เกิ ดสวรรค ; สิ่ งที่ เรี ยกว าสวรรค คื อความสุ ข ความพอใจ จะเป นสวรรค อย างกามาวจรก็ ได อย างรู ปาวจร ก็ คื อพวกพรหมมี รู ปก็ ได , อยางอรูปาวจร คือพวกพรหมไมมีรูปก็ได นี่ก็ลวนแตเรียกวาเปนสุคติชั้นสวรรค.

www.buddhadasa.info เรื่ อ งพรหมมี รู ป พรหมไม มี รู ป นี้ ค อ ยอธิ บ ายกั น ที ห ลั ง อย า เพ อ เข า ใจ ไปเอง. ถ าเข าในเอาเองก็ ต องเข าใจเหมื อนที่ เขาพู ดกั น : อยู ที่ โลกไหนก็ ไม รู , เป นสั ตว เปน คนมีร ูป รา งก็ม ี ไมม ีร ูป รา งก็ม ี. เปน พรหมนั ้น เปน พรหมที ่ย ัง ไมท ัน จะเห็น อยูที่ไหนก็ยังไมรู.

ถากุศลธาตุ แสดงตัวออกมา ผลจะเปนสวรรคที่นี่เดี๋ยวนี้ เดี๋ ยวนี้ เราจะดู กั นที่ นี่ ก็ คื อวา ถ ากุ ศลธาตุ แสดงตั วออกมา เป นเนกขั มมธาตุ, เปน เนกขัม มธาตุห ลีก ออกจากกามก็ด ี ไมห ลงใหลในกามก็ด ี, หรือ วา เปนอพยาปาทธาตุ ไมกระทบกระทั่งผูใดโดยเจตนาก็ดี, เปนอวิหิงสาธาตุ ไมกระทบ


๑๒๔

ปรมัตถสภาวธรรม

กระทั่ ง ผู ใ ด แม โ ดยไม เจตนาก็ ดี ; อย า งนี้ ก็ เป น สวรรค คื อ ไม มี ก ารเบี ย ดเบี ย น, อยู เป น ความสงบสุ ขสํ าหรั บ คนทั่ วไป ซึ่ งจะให ค วามพอใจ เป น ที่ พ อใจในตั วเอง ให ชี วิ ต ของตัวเองก็ได. โดยการกระทํ าอย างมี กุ ศลธาตุ นี้ จะทํ าให สามารถหลี กตั วออกไปจากชุ มนุ มชน ไปแสวงหาความสุ ขจากรูปฌาน ทํ าสมาธิ ให เกิ ดฌานประเภทรูปฌาน อย างที่ เคยได ฟ ง กั น อยู เสมอในคํ า อธิ บ ายของสั ม าทิ ฏ ฐิ ก็ ยิ่ ง มี สุ ข ในรู ป ฌานที่ สู ง ไปกว า สุ ข อย า ง ชาวบา น. ถา ยิ ่ง ไปกวา นั ้น อีก ก็ถ ึง กับ ทํ า อรูป ฌาน ฌานที ่ไ มม ีรูป เปน อารมณก็ ยิ่ งมี ค วามสุ ข ที่ สู งละเอี ย ดยิ่ งขึ้ น ไปอี ก ก็ แปลว า จะเป น สวรรค กามาวจร สวรรค รูปาวจร หรื อสวรรค อรู ปาวจร ก็ สรางเอาได ที่ นี่ เดี๋ ยวนี้ ในเมื่ อรู จั กทํ าสิ่ งที่ เรียกว าธาตุ นั้ น ใหถูกตอง. พู ดอย างสมั ยนี้ พู ด หรื อว าพู ดอย างภาษาวั ตถุ ก็ จะพู ดได เลยว า ถ ารู จั กผสม ธาตุ ให ถู กต อง แล วจะได สวรรค ทั้ งกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร ที่ นี่ และเดี๋ ยวนี้ โดยผ านทางตา ทางหู ทางจมู ก ฯลฯ นี่ คื อเป นเรื่ องของฝ ายกุ ศลธาตุ มี เพราะธาตุ ที่ วิ ชชาธาตุ เข าไปผสมกั บการปรุ งแต งของจิ ต ในขณะที่ กํ าลั งเป นผั สสะคื อ เป นสั งขาร ธาตุ หรือเวทนาธาตุ ก็ ตาม. ฉะนั้ นเราจะต องระวั งกั นที่ สุ ดก็ ตรงที่ มี ผั สสะ ตากั บรูปหู กั บเสี ยง จมูกกับกลิ่น เปนตน.

www.buddhadasa.info ขณะที ่ม ีก ารกระทบ ที ่เรีย กวา ผัส สะนั ้น จะตอ งระวังกัน ที ่ต รงนั ้น ; ถ า เป น โอกาสของอวิ ช ชามั น ก็ ไ ปทางอกุ ศ ลและมี ทุ ก ข , ถ า เป น ในทางวิ ช ชาก็ เป น ฝา ยกุศ ลและไมต อ งทุก ข; เพราะวา ในขณะแหง ผัส สะที ่ม ีว ิช ชานั ้น ก็ค ือ รูส ึก ตัว มีส ติสัม ปชัญ ญะอยู  ไมเผลอ ไมห ลง อวิช ชาก็ไ มไ ดเขา มาแทรกแซงมัน ก็มี สติ ป ญ ญา ทํ า ให สํ า เร็ จ ประโยชน ใ นหน า ที่ ก ารงาน ที่ เราจะต อ งทํ า ในเวลานั้ น หรือเมื่อไรก็ตามใจ.


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๒๕

หน าที่ การงานอะไรที่ เราจะต องทํ า ย อมต องทํ าด วยการเกี่ ยวข องกั นกั บเรื่ อง ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย เหล า นี้ ทั้ ง นั้ น . นี้ ก็ ห มายความว า ไม เป น ทุ กข ด วย หน าที่ การงานก็ สํ าเร็ จด วย และยั งแถมเป นการประพฤติ ธรรมอยู ในตั วด วย. มี ผัส สชนิ ด นี้ มั น ไม เป น อาสวะ ไม มี อ าสวะ ไม เป นที่ตั้งแหงกิเลสตัณ หา นั่ น คื อ ผั ส สะของผู ป ฏิ บั ติ ธ รรมอย า งถู ก ต อ งแล ว . จะเป น ตาเห็ น รู ป ก็ ดี หู ได ยิ น เสี ย งก็ ดี จมู กได กลิ่ น ก็ ดี ทุ ก ๆ คู ไป มั น ก็ เป น ผั ส สะที่ ไม เป น ช อ ง ไม เป นโอกาสของกิ เลส หรื อ อาสวะและก็ไมเปนที่ตั้ง แหงอุปาทาน ที่จะไปยึดถือใหเกิดความทุกข. ที นี้ ถ ามั นตรงกั นข าม มั นก็ ให เกิ ดความยึ ดถื อแล วก็ ต องเป นทุ กข ทุ กข อย าง ที่ เรี ย กว า : เมื่ อ มี อุ ป าทานแล วก็ ต อ งมี ภ พ-เมื่ อ มี ภ พแล วก็ มี ชาติ มี ชรา มรณะ โสกะ ปริ เทวะ; ซึ่ ง ล ว นแต เป น ชื่ อ ของความทุ ก ข ทั้ ง นั้ น ; เพราะว า มั น มี อ วิ ช ชาทํ า ให ยึ ด มั่ น ถือมั่น เปนกระแสแหงความผิด คืออกุศลทั้งนั้น มันก็ตองเปนทุกข. นี่ ลองคิ ดดู ซิ ว า อะไรที่ ไม ใช ธาตุ จนกระทั่ งเป นทุ กข มั นก็ เป นเวทนาธาตุ ; อย างเป นอุ ปาทานอย างนี้ มั นก็ อยู ในพวกที่ เป นสั งขารธาตุ : เรามี ความเข าใจผิ ด มี ความ คิ ดผิ ด รู สึ กผิ ด มั น ก็ เป น ธาตุ ใดธาตุ ห นึ่ ง ในพวกสั งขารธาตุ ทั้ งนั้ น ซึ่ งเราไม เคยได ฟ ง กั นอย างนี้ ว า อะไร ๆ มั นก็ ธาตุ ทางฝ ายวั ตถุ นี้ ก็ ธาตุ ทางฝ ายจิ ตใจ นามธรรมมั นก็ ธาตุ และมี ตั้ งมากมายหลาย ๆ ธาตุ ที่ ออกชื่ อไปว า รู ป าวจร อรู ป าวจร มั นยั งมี ธาตุ อยู อี ก เยอะแยะ เช นอรู ปาวจรก็ ยั งมี อากาสานั ญจายตนธาตุ วิ ญญาณั ญจายตนธาตุ อากิ ญจั ญญายตนธาตุ เนวสั ญ ญานาสั ญ ญาตนธาตุ ซึ่ งเราเคยได ยิ น แต คํ า ว าฌาน พระพุ ท ธเจ า จะตรัสไวในลักษณะที่เปนธาตุ ตามธรรมชาติที่มันมีอยู.

www.buddhadasa.info เมื่ อ ใดคนไปทํ าถู ก วิธี ถู ก เรื่อ งถู ก ราวของมั น ก็ เป น โอกาสให ธ าตุ นั้ น แสดงตัวออกมา เชนวา อากาสานัญจายตนธาตุ ก็จะไดแสดงตัวออกมาเปนอากาสานัญ-


๑๒๖

ปรมัตถสภาวธรรม

จายตนะฌานอย างนี้ เป นต น กระทั่ งมี ชื่ อธาตุ แปลก ๆ ที่ ว า อาภาธาตุ คื อธาตุ สว าง ธาตุฉ ลาด ธาตุไ มโ ง ก็ต รงขา มกับ อัน ธการธาตุ คือ ธาตุโ ง ธาตุม ืด ธาตุบ อด, หรือสุภธาตุ-ธาตุซึ่งงามซึ่งนาดู ก็มีตรงกันขามกับ อสุภธาตุ-ไมงาม ไมนาดู. แมแตความงาม ความไมงามนี้ มันก็เปนธาตุ แลวก็เปนธาตุที่เนื่องอยู กั บ รูป จึ งยั งไม จั ด ว าเป นนามธรรมแท เป น รูป ธาตุ ที่ แฝงอยู ที่ รูป หยาบ. ความงาม ความไมงามก็แฝงอยูที่ รูปธรรม อยางใดอยางหนึ่ง; เชนความงามอยูที่ ดอกไม ตัวดอกไม ก็ เป นรูป ธาตุ โดยตรง, ความงามนั้ นก็ เป น รูปธาตุ โดยอ อ ม. ที นี้ ความงามก็ ดี ความ ไม งามก็ ดี ก็ ล วนแต เป นธาตุ เรื่อยไป กระทั่ งถึ งวา ดั บเสี ยซึ่ งสั ญ ญาก็ เป น สั ญ ญาเวทยิตนิโรธ ก็เปนธาตุ. แมแตนิ พพานก็เป นธาตุ เรียกวานิพพานธาตุ มีอยู ๒ ชนิด หรือบางที ก็ เรี ย กว า “อมตธาตุ ” -คื อ ธาตุ ที่ ไ ม รู จั ก เกิ ด ไม รู จั ก ตาย, หรื อ บางที ก็ เรี ย กว า อสังขตธาตุ - คือธาตุที่ไมมีปจจัยปรุงแตง นี่ออกชื่อธาตุอยางนี้ตั้งหลายสิบหรือตั้ง รอยสองรอย ล วนแต ใช คํ าวาธาตุ เสมอกั น ถื อ ว ามี อยู ต ามธรรมชาติ จนกว าเมื่ อไร จะมีโอกาส มีเหตุปจจัยใหปรากฏออกมา.

www.buddhadasa.info ที นี้ ที่ วามั นไม มี อะไรที่ ไม เป นธาตุ หรือไม เกี่ ยวกั บธาตุ ก็ ไปทบทวนเอาเอง เถอะ อธิบายมาอย างละเอี ยด ก็ เป นตั วอย าง เฉพาะตากั บรูป นอกนั้ นเรื่องหู กั บเสี ยง กลิ่นกับจมูก ฯลฯ ไปทบทวนไดเองเหมือนกันเลย.

ปญหาที่เขาใจยากอยูที่คูสุดทาย คือใจกับธัมมารมณ คนที่ เขาเรี ยนนั กธรรมมาในโรงเรี ยนแล ว ก็ เข าใจคํ าคู ๆ นี้ แล ว ตากั บรู ป แลวก็หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับสัมผัสผิวหนัง แลวก็ใจกับธัมมารมณ.


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๒๗

ใจคือมโน อารมณ ของมโนเรียกวา “ธรรมหรือธัมมารมณ ” ก็แลวแตจะเรียก. สําหรับ ธั มมารมณ นี้ เคยเข าใจกั นว าอย างไร? ผู ที่ เคยเล าเรี ยนธรรมะในโรงเรี ยนนั กธรรมกั น มาแล ว เข าใจว าอะไร? ก็ คงจะเข าใจสรุ ปสั้ น ๆ ว า ส งที่ รูสึ กได ด วยใจ และเมื่ อถามว า มีอะไรบาง? ก็คงจะวากันไปตามี่วาใจมันจะนึกได. พวกที่ ๑. สําหรับธรรมที่เปนอารมณของใจหรือเรียกวาธัมารมณก็ตาม นี้ก็แบงเปนพวก ๆไป คือเวทนาธาตุ สัญ ญาธาตุ สังขารธาตุ, จะมาเปนธรรม ธัมมารมณ สําหรับเปนอารมณของใจได. อยางที่ ๑. เวทนารูสึกเปนสุขเปนทุกข กําลังรูสึกอยู นี่เกิดขึ้นมาจากการ ปรุ ง แต ง ตั้ ง แต ตาหรื อ หู อะไรก็ สุ ด แท แ ต เดี๋ ย วนี้ เป น เวทนา รู สึ ก เป น สุ ข อยู ; ที นี้ ในก็สัมผัสลงไปบนอารมณ คือเวทนาที่กําลังรูสึกเปนสุขอยูอยางนี้ ก็เรียกวา เวทนานั้นเปนธัมารมณของใจ. เรากํ า ลั ง รู สึ ก เป น สุ ข สนุ ก สนาน เอร็ ด อร อ ย เพิ ล ดเพลิ น อะไรอยู นั้ น เรียกวามีเวทนา, แลวใจสัมผัสลงไปบนเวทนานั้น นี่เรียกวา มีมโนวิญญาณเกิดขึ้น. คือมี การสัมผั สระหวางมโนวิญญาณกั บธัมมารมณ , แลวมโนกั บธัมมารมณ กับมโนวิญญาณ ก็ ปรุงแต งต อไปได ; เมื่ อเป นมโนวิ ญญาณขึ้ นมาแล วก็ ปรุงเป นสิ่ งที่ เรียกว า ผั สสะ เวทนา สัญญา สังขาร จนกระทั่งเกิดทุกขไปไดเหมือนกัน.

www.buddhadasa.info อยางที่ ๒. เรียกวา สั ญญาธาตุ หรือสัญญาขันธ -ความจําได หมายรู; เราหลั บหู หลั บตาป ดหมด ใจก็ นึ กถึ งความหนหลั งจํ าอะไรได เอามาเป นอารมณ สํ าหรั บ มโนจะสัมผัสลงไปบนสัญญานั้น. ลองนึ กคิ ดถึ งเหตุ การณ หนหลั ง ที่ เรายั งจํ าได ดี อยู ว าเมื่ อเด็ ก ๆ เป นอย างไร, เมื่อเด็กเล็ก ๆ เปนอยางไร, เคยทําอะไรผิดถูกที่ไหน, เอาอันหนึ่งมาเปนอารมณ


๑๒๘

ปรมัตถสภาวธรรม

สํ าหรั บใจจะสั มผั สลงไปบนสั ญ ญานั้ น ก็ จะปรุ งแต งเป นมโนวิ ญ ญาณ เกิ ดเป นเวทนา สัญญา สังขาร จนเปนทุกขไดอีกเหมือนกัน. อย างที่ ๓. สํ าหรั บ สั งขาร สั งขารธาตุ หรื อ สั งขารขั น ธ คื อ ความคิ ด ที่ กําลังปรุงแต งอยู รูสึกอยู เวลานี้ ก็เป นอารมณ ของจิต ที่ จะสั มผั สทั บลงไป อี กที หนึ่ ง ก็ ไ ด ; คิ ด ดี คิ ด เลว คิ ด ชั่ ว อยู ใ นใจ ใจก็ สั ม ผั ส ลงไปจนรู ว า อ า ว, นี่ คิ ด ดี คิ ด เลว คิ ด ชั่ วคิ ด ถู ก อะไรอยู ก็ ได ; นี่ ก็ เรี ย กว าสั งขารนั้ น เป น อารมณ ของใจ. สั งขารธาตุ ห รื อ สั งขารขั นธ ในที่ นี้ ตั้ งอยู ในฐานะเป นธรรมะหรื อธรรมธาตุ ที่ เป นอารมณ ของใจกระทบ แลวเกิดมโนวิญญาณธาตุได. อย างว า อยากมาวั ดนี้ ก็ ลองคิ ดดู : ทํ าไมจึ งรู สึ กเกิ ดอยากมาวั ดนี้ ? นี่ ก็ อาศั ย สั ญ ญาหรื อ สั ง ขาร อย า งใดอย า งหนึ่ ง ; รู เรื่ อ งดี ว า มาวั ด นี้ ทํ า อะไร, มานั่ ง ตรงนี้ มาทํ าอะไร, ได ผ ลอะไร, นี่ เป น สั ญ ญาอั น หนึ่ งหรื อ สั งขารอั น หนึ่ ง. จิ ต ที่ รู สึ ก ต อผลอั นนี้ แล วมั นก็ ปรุ งแต งเป นมโนวิ ญ ญาณ; เกิ ดความคิ ดที่ รู สึ กพอใจ แล วก็ อยาก จะมา แลวก็มาวัดนี้ มานั่งอยูที่นี่.

www.buddhadasa.info หรื อแม ที่ สุ ดแต ว าเราอยากจะไปไหน ไปทํ าอะไรที่ ไหน ไปหาเงิ นหาทอง คาขายอะไรที่ไหน ก็ตองอาศัยนามธรรมเหลานั้นแหละเป นอารมณ ของใจ ที่จะคิดนึก ที่ จ ะทํ า ไป. นี้ ห มายความว า ไม ต อ งอาศั ย ทางตา ทางหู ; เพราะว า เราอาจจะนอน ก ายหน าผาก อยู ในที่ นอนกลางคื น ไม เห็ นอะไรแต คิ ดนึ กคิ ดถึ งการ ถึ งงาน ที่ กรุงเทพฯ ที่เมืองอื่น จังหวัดอื่น ก็ได; มันเปนอารมณของใจไดอยางนี้.

แม ที่ สุ ดแต ว าเกิ ดอยากดี อยากเด นขึ้ นมา อยากยกหู ชู หางขึ้ นมา; นี่ มั นก็ ตองมีเวทนาหรือสัญญา หรือสังขาร อันใดอันหนึ่งเปนอารมณของใจ ก็เกิดมโนวิญญาณ เกิดปรุงแตงมาก็อยากจะออกทาเปนยกหูชูหางเปนดีเปนเดน เปนอะไรขึ้นมา.


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๒๙

อย างนี้ ไม ต อ งอาศั ย รู ป ธรรมในขั้ น ต น ๆ ก็ ได ; เพราะว าสั ญ ญานั้ น มี อ ยู ระลึ ก จํ าได สํ าคั ญ มั่ นหมายขึ้ นมาใหม ก็ ได . อย างนี้ เรียกว าคู สุ ดท ายคื อใจกั บธั มมารมณ ที่ อาศั ย เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ. พวกที่ ๒ ในกรณี ที่ ผิ ด ไปจากนั้ น ก็ ยั งอาศั ย รูป ธรรม ชนิ ด ละเอี ย ด ชนิ ดสุ ขุมที่ ไม ใช นามธาตุ ; แต วาเป นรูปธาตอั นละเอี ยด เชนความงาม ความไม งาม เป น ต น ที่ มี อ ยู ในรู ป ธาตุ ใด อั น นี้ เขาก็ ส งเคราะห ไว ในฝ ายธั ม มายตนะ เหมื อ นกั น . เช นดอกไม ก็ เป นรู ปธาตุ เป นอารมณ ของตา แต ว าความงามนั้ นกลายเป นธั มมายตนะ เป นอารมณ ของใจ นี้ ก็ เป นธั มมารมณ พ วกที่ ๒ คื อภาวะของรู ป หรื อภาวะของอะไร ก็ตาม ที่มันไมใชตัวรูปอันแทจริง. ทีนี้ถาผิดไปจากนี้อีกก็พวกอสังขตธรรมทั้งหลายมาเปนอารมณของใจได เชนจะคิ ดถึ งพระนิ พพานเป นอารมณ พิ จารณาอยูถึงพระนิ พพาน เป น เอตํ สนฺ ตํ เอตํ ปณี ตํ -นั่ นสงบระงั บยิ่ ง นั่ นประณี ตยิ่ ง, นั่ นเป นที่ สงบระงั บของสั งขารทั้ งหลาย เป นที่ สิ้ นสุ ดอุ ปธิ ทั้ งหลาย เป นที่ สิ้ นตั ณหา เป นที่ จางคลาย แห งความยึ ดมั่ นถื อมั่ น เป นความ ดั บ แห ง กิ เลส เป น นิ พ พาน. อย า งนี้ เป น อารมณ ข องใจได โดยเอาลั ก ษณะของ อสั งขตธาตุ ม าเป นอารมณ หรื อว าได บ รรลุ ม รรคผลนิ พ พานจริ ง ๆ อยู ในใจ อั น นั้ น ก็ เป น อารมณ . อารมณ อ ย างนี้ ก็ ก ลายเป น ธรรม หรื อ ธั ม มารมณ สํ าหรั บ มโนธาตุ ด วย เหมือนกัน; ก็รวมเรียกสั้นๆ วาอสังขตธาตุ.

www.buddhadasa.info อสังขตธาตุนี้เอามาเปนอารมณของมโน ก็ได จะเรียกอมตธาตุ ก็ได. ก็ เลยเป นว าธั มมารมณ นี้ มี พวกเจตสิ กธรรม เช น เวทนา สั ญญา สั งขาร ก็ เป นธั มมารมณ และรู ปธรรมอั นละเอี ยดจะต องมาสงเคราะห ไว ฝ ายธั มมายตนะนี้ ก็ เป นธั มมารมณ , และ อสังขตธาตุในแงไหนก็ตาม ก็เปนธัมมารมณสําหรับใจสัมผัสอันนี้คนธรรมดายิ่งเห็นยาก


๑๓๐

ปรมัตถสภาวธรรม

และบางอย างไม เกี่ ยวข องกั น; ที่ เกี่ ยวข องกั นคื อความรู สึ กคิ ดนึ ก ที่ เราไม ต องอาศั ยตา หู จมู ก ลิ้ น กายอี ก แล ว, อาศั ย สั ญ ญาเก า หรื อ อาศั ย เวทนาที่ กํ าลั งรู สึ ก อยู แ ล วนั้ น ไม ต อ งตั้ ง ต น อี ก . หรื อ ความคิ ด นึ ก ที่ กํ า ลั ง ปรุ ง แต ง อยู แ ล ว นั้ น ระวั ง ให ดี , ที่ ว า เป น อารมณ ของมโน เกิ ด มโนวิ ญ ญาณ แล วก็ ป รุ งไปหากิ เลสและความทุ กข ได เหมื อ นกั น ตามลักษณะของปฏิจจสมุปบาท.

ธาตุมีอยูมาก ปรุงแตงเนื่อง ๆ กัน เกิดผลทั้งกุศล, อกุศล นี่คือสิ่งที่เรียกวา ธาตุ ธาตุ มี มากถึ งขนาดนี้ : ในฐานะที่ เป นเหตุให เกิ ด สิ่ ง อื่ น ก็ มี , ในฐานะที่ เป น ผล ที่ เกิ ด มาจากสิ่ ง อื่ น ก็ มี . ครั้ ง เป น ผลแล ว มั น กลาย เป นเหตุ ทํ าหนาที่เป นเหตุ อีก, แล วให เกิ ดผลอี กไม มี ที่ สิ้ นสุ ด; มีลักษณะเปนเหมื อน กับวากระแสไหนไปเป นเกลียว ของสิ่งที่เรียกวาธาตุทั้งหลายอยางนี้ นับตั้งแตจักษุ ธาตุ รู ปธาตุ วิ ญญาณธาตุ , ผั สสะ ซึ่ งเป นสั งขารธาตุ ผั สสะซึ่ งเป นเวทนาธาตุ แล วก็ สั ญญาธาตุ สั งขารธาตุ จนกระทั่ งเป นกุ ศลธาตุ อกุ ศลธาตุ เกิ ดขึ้ นเป นความสุ ขหรื อความทุ กข เป น นรก หรื อ เป น สวรรค ; ซึ่ ง ล ว นแต เป น ธาตุ ทั้ ง หลายที่ ร อคอยอยู แ ล ว ได โ อกาส เมื่ อไรก็ แสดงตั วออกมา, และนี่ คื อข อที่ ว า ถ าเรารู เรื่ องธาตุ ดี เหมื อนคํ าพู ดธรรมดา ๆ ว า ถ าเรารูจั กผสมธาตุ ดี หรือเป น แล วเราจะได นรกที่ นี่ ก็ ได หรือทางตรงกั นข ามจะได สวรรค ที่ นี่ ก็ ไ ด นรกชั้ น ไหนก็ ไ ด สวรรค ชั้ น ไหนก็ ได เราอาจจะผสมขึ้ น มาได เหมื อ น กั บ การผสมธาตุ . ที่ เรี ย กว า สวรรค ก็ มี ม ากมายหลายชนิ ด ล ว นแต เป น ธาตุ ทั้ ง นั้ น ออกชื่อธาตุใหหมดก็คงจะเวียนหัว คือวาจําไมไหว ควรจะไวพูดกันเปนคราว ๆ.

www.buddhadasa.info เป นอั นว าในครั้ งนี้ เราก็ พู ดกั นเรื่ องธาตุ อี กนั่ นแหละ แต แสดงพฤติ หรื อ ว า กรรมวิ ธี ข องมั น ในลั ก ษณะที่ ล ะเอี ย ดยิ่ ง ขึ้ น ไปกว า ครั้ ง ที่ แ ล ว ; โดยเฉพาะต อ งการ จะใหส ัง เกตในขอ ที ่ว า คํ า วา “ธาตุเ ทา นั ้น ” ไมม ีอ ะไรมากกวา ธาตุ. ธาตุ เทานั้นแหละ, ระวังใหดี เปนมิจฉาทิฏฐิเมื่อไรก็ได ตอเมื่อทําถูกตองตามวิธี


ความเนื่องกันระหวางกลุมธาตุ

๑๓๑

เท านั้ นจึ งจะเป นสั มมาทิ ฏฐิ เดิ นไปถู กทาง และก็ ดั บทุ กขได ไม ทํ าให ผู อื่ นลํ าบาก. พอเข าใจผิ ดทางรูผิ ดทาง ทํ าผิ ดทาง ก็ เป นมิ จฉาทิ ฏฐิ ทํ าตั วเองให ลํ าบาก ทํ าผู อื่ น ใหลําบาก เรื่องธาตุก็มีอยางนี้.

การใหเห็นเรื่องธาตุ ก็คือใหเห็นสุญญตา ความไมมีตัวตน ถ า รู จั ก ธาตุ ถู ก เห็ น ถู ก ก็ ไม เป น ไร, พอเห็ น ผิ ด ก็ เป น สุ ญ ญตาอั น ธพาล; สุ ญ ญตาไม รั บผิ ดชอบอะไร เอาแต กิ เลส เอาแต ประโยชน ส วนตั ว ก็ มี บ างเหมื อนกั น; แม กระทั่ งคํ าว า “จิ ตว าง” ก็ ยั งมี ความหมายว า ว างที่ ถู กต อง หรื อว างอย างอั นธพาล. ถ าเห็ นวาเป นสุ ญญตาธาตุ จริงแล ว ก็ ไม เป นไร เพราะถู กต องและเป นสั มมาทิ ฏฐิ ไม ทํ า อันตรายใคร. ถาเป นสุ ญญตาธาตุ ที่ ปลอม เก ไม จริง ก็ไม ใชสุญญตาธาตุ; เป นเรื่อง ว าเอาเอง เหมาเอาเอง เข าใจผิ ดเอาเอง ก็ เป นอั นธพาลขึ้ นมา; เช นเดี ยวกั บตั วอย าง ที่ ยกขึ้ นมาเรื่องครูทั้ ง ๖. เขาสอนเรื่อง สุ ญญตาอั นธพาลอยู อย างที่ ปกุ ธะกั จจายนะ กล าวว า มี ธาตุ อยู ๗ หมู ; ฉะนั้ นการที่ มนุ ษย เอาดาบฟ นคอกั น ก็ ไม มี บาปหรือบุ ญอะไร เพราะเป นสั กว าธาตุ ผ านไปในระหว างธาตุ ; นี่ เป นอั นธพาลสั กกี่ มากน อย. อั นธพาล ที่ ไม ยอมรั บผิ ดชอบเรื่ องกามารมณ เรื่ องอะไรต างๆ ถื อ “สั กว าธาตุ เท านั้ นแหละ” นี่ ก็ เป นอั นธพาลอย างยิ่ ง, เป นอั นธพาลที่ สกปรก หรือเป นอั นธพาลที่ จะทํ าทุ กฝ ายให มั น เดือดรอน. นี่ขอใหเขาใจไวอยางดวยวาเรื่องธาตุเทานั้น มันเปนไดถึงอยางนี้.

www.buddhadasa.info พระพุ ทธศาสนามุ งหมายสอนเพื่ อจะให รู ว า “ธาตุ เท านั้ น” ไม ใช สั ตว บุ คคล ตั วตน เรา เขา; พอบวชเข ามาวั น แรกก็ ให เรียน ยถาปจฺ จยํ ปวตฺ ต มานํ ธาตุ เมตฺ ต เมเวตํ วา “นั่นแหละธาตุเทานั้น กําลังเปนไปตามเหตุตามปจจัยอยูเนืองนิจ”. คนที่กําลังทําอะไรอยู หรือสิ่งที่ถูกกระทําอยูนั้นก็ธาตุมตฺตโก นิสฺสตฺโต นิชฺชีโว สุฺโ


ปรมัตถสภาวธรรม

๑๓๒

นี้ คื อ ว า เป น สั ก ว า ธาตุ ไม ใช สั ต ว ไม ใช ชี ว ะ ไม ใช บุ ค คล ว า เปล า จากความหมาย แหงความเปนตัวตน. คนที่ บ วชเข ามาพอเรี ยนวั นแรก จะรู อ ย างไรก็ ไม ท ราบ จะเข าใจอย างไรก็ ไม ทราบ อาจจะเป นอั นธพาลไปก็ ได ; เว นไว แต ว าครู บาอาจารย จะช วยทํ าความเข าใจดี ๆ. ที่ เรามาบวชนี่ เรี ยน ยถาปจฺ จยํ นี่ ก็ เพื่ อจะให รู จั ก “ธาตุ เท านั้ น” อย างถู กต อง, และ เราจะได ไ ม มั่ น หมายสิ่ ง ใด จนเกิ ด กิ เลส เกิ ด โลภะ โทสะ โมหะ. ถ า เห็ น ว า “ธาตุ เท า นั้ น ” เห็ น อย า งถู ก ต อ งแล ว ; ไม เ กิ ด ความโลภได เ พราะเป น “ธาตุ เท า นั้ น ”ไม เกิด ความโลภ ; และ “ธาตุเ ทา นั ้น ” ก็ไ มโ กรธได, ไมโ กรธไดจ ริง เพ ราะเปน สักวา “ธาตุเทานั้น”. ผู ที่ ม าชกปากเรา หรื อ ว า เราถู ก เขาชกปาก นี่ ก็ ธ าตุ เ ท า นั้ น ; แต แ ล ว อาจจะเกิ ด ความคิ ด ว า “ธาตุ เท า นั้ น ” แล ว ชกสวนกลั บ ไป เราก็ ช กเขาบ า ง เพราะ วา “ธาตุเทานั้น”; อยางนี้ก็ไมสําเร็จประโยชนที่ถูกตองกลายเปนอันธพาลเสียอีก.

www.buddhadasa.info ที่จ ริง เขาตอ งการจะใหรูใ นลัก ษณะที ่ไ มเ กิด กิเ ลส ไมวา ชนิด ไหน ไมมีความโลภ ไมมีความโกรธ ไมมีความโงเกิดขึ้น เพราะวาเห็นธาตุ เหลานี้ อยูอยางถูกตอง ตามที่เปนจริง.

สํ าหรั บวั นนี้ ก็ สรุ ปความว า ให เข าใจคํ าว า “ธาตุ เท านั้ น” ยิ่ งขึ้ นไปอี ก อย าง ที่ เห็ น ได ชั ด ถึ ง ขนาดที่ จ ะสร า งนรก สวรรค เมื่ อ ไรก็ ได หรื อ ว า ถ า ไม ต อ งการ แล ว ก็ จะใหพนไปเสียจาก นรกสวรรค ทั้งหมดทั้งสิ้นก็ได. เอาละเปนอันวาพอกันทีสําหรับวันนี้.


ปรมัตถสภาวธรรม

-๕๓ กุมภาพันธ ๒๕๑๖

ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย, ก ารบ รรย าย เรื ่อ งป รม ัต ถ ส ภ าวธรรม ใน ค รั ้ง ที ่ ๕ นี ้ ก็ย ัง ค งเป น เรื ่อ งที ่เ กี ่ย วกับ สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุต อ ไปอีก . อาตมาเคยขอรอ งในการบ รรยาย ครั ้ง ที ่แ ลว ๆ มาวา ขอใหอ ดทนศึก ษาเรื ่อ งธาตุนี ้ใ หม ากเปน พิเ ศษ แมว า จะ เปน เรื ่อ งที ่ไ มช วนฟง ชวนงว งนอนก็ต ามที แตก ็ม ีค วามสํ า คัญ มาก เพราะวา ทุกอยางมีรากฐานอยูที่สิ่งที่เรียกวาธาตุ.

www.buddhadasa.info เราไม ค อยจะได ยิ นได ฟ งเรื่ องธาตุ ทั้ งหมดตามที่ มี อยู ในพระบาลี แม ในพระไตรปฎก จะไดยินไดฟงก็แตเรื่อง ดิน น้ํา ลม ไฟ อะไรทํานองนี้เทานั้น; แตเมื่อสํารวจ

๑๓๓


๑๓๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ดู แล วยั งมี ธาตุ มากมายหลายสิ บชื่ อ ล วนแต เกี่ ยวข องหรื อแวดล อมกั นอยู กั บมนุ ษย . ถ า ไม รู จั ก สิ่ งเหล านั้ น ก็ เท ากั บ ว าไม รู จั ก ตั วมนุ ษ ย นั่ น เอง เพราะตั วมนุ ษ ย นั้ น ก็ เป น ธาตุ หลาย ๆ ส วนประกอบกั น ; สิ่ งที่ เกี่ ย วข อ ง เกิ ด ขึ้ น ปรุ งแต งอยู ในร างกายมนุ ษ ย เรื่อย ๆ ไป ตอไปอีก ๆ ตลอดเวลานั้นก็คือสิ่งที่เรียกวาธาตุ. สิ่ ง แวดล อ มอยู ร อบ ๆ มนุ ษ ย ทั่ ว ไปในโลกนี้ ก็ คื อ สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ ; แม ที่ สุ ดแต สิ่ งที่ มนุ ษย จะใช ติ ดต อกั นกั บสิ่ งนอกตั ว คื อสิ่ งที่ เป นสื่ อ เช น ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย เปนตนนี้ ก็ยังคงเปนสิ่งที่เรียกวาธาตุอยูนั่นเอง. ขอรบเร าเซ าซี้ ให ท านทั้ งหลายสนใจกั บคํ าว าธาตุ นี้ ให ละเอี ยดลออเป นพิ เศษ ยิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกทีจนกวาจะเพียงพอ.

จับใจความใหไดเสียกอนวาธาตุคืออะไร เท าที่ กล าวมานี้ ท านทั้ งหลายก็ คงจะพอจั บใจความได ว า สิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ นั่นคืออะไร? โดยตัวหนังสือ คําวา “ธาตุ” ก็แปลวา สิ่งที่ เปนสวนยอยที่สุด ที่ทรง ตัว มัน เองอยูไ ด แลว ก็ป ระกอบกัน ขึ้น เพื ่อ จะเปน สิ ่ง ใดสิ่ง หนึ ่ง โดยสมบูร ณ ; หรือจะกล าวอี กที หนึ่ งก็ คื อว า ความสมบู รณ อย างหนึ่ ง ๆ มั นก็ ประกอบอยู ด วยสิ่ งที่ เรียกว า ธาตุ นั้ น หลาย ๆ ธาตุ ด วยกั น ; ดั งนั้ น จึ งไม มี อ ะไรที่ เรี ย กว าไม ใช ธ าตุ จะเป น เรื่ อ งทาง วั ตถุ ก็ ดี เป นเรื่ องทางจิ ตใจก็ ดี แม ที่ สุ ดเป นเรื่ องที่ ว างหมด ไม มี ร างกาย ไม มี จิ ตใจก็ ดี ก็ยังคงเปนสิ่งที่เรียกวาธาตุนั่นแหละ.

www.buddhadasa.info ขอให หลั บตามองด วยสติ ป ญ ญา ให เห็ นกว างขวางและลึ กซึ้ งออกไป จะเห็ น ว า ไม มี อ ะไรที่ ไ ม เรี ย กว า ธาตุ , ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นได ต รั ส ไว ในลั ก ษณะที่ ค วรจะ สนใจ; หรือถึงขนาดที่เรียกวาควรจะตกใจเหมือนกับบทที่พระสงฆไดสวดคณะสาธยาย


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๓๕

ออกไปแลว เมื ่อ ตะกี ้นี ้ ก็ค ือ พระพุท ธภาษิต ที ่ว า : ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย, ภาวะ อัน ใดเปน ความเกิด ขึ้น ความตั้ง อยู ความปรากฏออก ของธาตุทั้ง หลาย ๖ นั่น แหละคือ ความเกิด ขึ้น แหงทุก ข นั่น แหละคือ ความตั้งอยูแ หง โรค นั่น แหละคือความปรากฏของชราและมรณะ. พระพุ ทธภาษิ ตเพี ยงเท านี้ ก็ มี ใจความสํ าคั ญ ที่ จะต องเข าใจมากที่ เดี ยว; แต ก็ เป นเพี ยงคํ าที่ ผ านไปผ านมา ไม มี ใครสนใจที่ จะเข าใจ. เมื่ อไรเข าใจก็ คิ ดว าไม จริง, หรื ออย างน อยก็ คิ ดว าไม จํ าเป นสํ าหรั บว าเราที่ จะต องรู; เพราะว าเราไม เข าใจ. เดี๋ ยวนี้ ก็ พ ยายามที่ จะให ท านทั้ งหลายทราบยิ่ ง ๆ ขึ้ นไป, ได รบเร าให ทราบเรื่ องธาตุ นี้ มาเป น เวลาหลายสัปดาหแลว. ขอที่พระพุทธเจาทานตรัสวา “ความปรากฏออกมาของสิ่งที่เรียกวาธาตุ นั้นแหละคือความเกิดขึ้นแหงทุกข นั่นแหละคือความตั้งอยูแหงโรค คือความ ปรากฏออกของชราและมรณะ”; ขอนี้มีใจความสําคัญอยูตรงที่วา สิ่งที่เรียกวาธาตุนั่น เมื่ อ ไรจึ งจะปรากฏออกมา? หมายความว าธาตุ ใด ๆ เหล านั้ น ถ าไม ได อ าศั ย ผสม ปรุงแตงซึ่งกันและกันแลว มีคาเทากับมิไดปรากฏออกมา; เชนวา ธาตุ ดิน น้ํา ลม ไฟ อากาสธาตุ ที่ จะปรุ งเป นร างกายมนุ ษย นี่ ไม ได ปรากฏออกมา จนกว าเมื่ อไรจะ มี การปรุ งกั นขึ้ นมา เป นร างกายของมนุ ษย . เมื่ อปรุ งออกมาเป นร างกายของมนุ ษย ได อยางนี้ เรียกวา ปรากฏออกมา; กอนนี้ไมไดปรากฏออกมา.

www.buddhadasa.info นี่ แหละธาตุ ล วน ๆ แท ๆ ยั งมิ ได ปรากฏละก็ ยั งไม มี เรื่ อง; ธาตุ ตามธรรมดา เป นส วนย อยส วนหนึ่ ง จึ งยั งไม ปรากฏ เวนไวแต เมื่ อมาประกอบกั นเข าเป นสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ ง จึงจะเรียกวา “ปรากฏ”. นี้ คื อลั กษณะของสั งขตธาตุ คื อธาตุ ที่ มี เหตุ ป จจั ยปรุงแต ง หมุนเวียนเปลี่ยนไปเปนอยางนี้ทั้งนั้น; ดังนั้น เมื่อใดธาตุปรากฏออกมานั่นแหละ


๑๓๖

ปรมัตถสภาวธรรม

คื อ ความปรากฏแห งทุ ก ข ; ข อ นี้ ห มายความว า ถ าธาตุ ป รากฏออกมาอย างเป น คน เป นสั ตว อย างที่ เราเห็ นกั นอยู นี้ ก็ มี ลั กษณะแห งความทุ กข แสดงออกมา. เมื่ อยั งเป น ธาตุ ล วน ๆ ธาตุ ใดธาตุ หนึ่ งอยู ยั งแสดงเป นความทุ กข ออกมาไม ได ; เพราะยั งไม พร อม ที่ จะรูสึ ก คิ ดนึ ก หรือรูสึกอยางนั้ นอย างนี้ ได . เมื่ อปรากฏออกมาเป นความทุ กข แล ว ก็ม ีพ ระบาลีที ่ต รัส วา “นั ่น แหละคือ ความตั ้ง อยู แ หง โรค” คํ า วา “โรค” ในที ่นี้ ก็ห มายถึง สิ ่ง ที ่เ สีย บแทงใหเ จ็บ ปวด. คํ า วา “โรค” นี ้แ ปลวา แทง คือ แทงให เจ็ บ ปวด; ไม ว า โรคอะไร ถ า ไม มี ก ารแทงให เกิ ด การเจ็ บ ปวดอย า งใดอย า งหนึ่ ง แล ว ก็ไมเรียกวาโรค. เมื่ อ ธาตุ ป รากฏออกมาในลั ก ษณะที่ ทํ า อะไรได ทํ าให เป น สั ต ว เป น คน อย า งที่ เรี ย กกั น นี้ ได แ ล ว ก็ มี ค วามทุ ก ข ป รากฏออก มี ค วามตั้ ง อยู แ ห ง โรค; คื อ ว า ตลอดชี วิ ต นั้ น จะมี ก ารเสี ย บแทง ไม ท างกายก็ ท างใจ; ทางกายก็ เจ็ บ ปวดป ว ยเป น โรคไปตามประสาของกาย, แต ก็ ไม ร ายแรงเท า กั บ ความเจ็ บ ป ว ยเสี ย บแทงในทางจิ ต ซึ่ งละเอี ยดกวา สุ ขุ มกว า และมากลั กษณะกวา. ดั งนั้ นจึ งถื อว า ความปรากฏออกแห ง ธาตุ นั่ นแหละ คื อความปรากฏแห งชราและมรณะ; เมื่ อเป นธาตุใดธาตุหนึ่ งล วน ๆ ก็ ไม มี ชราและมรณะปรากฏ. ต อเมื่ อธาตุ ป ระชุ มกั นเข า แสดงตั วออกมาได ก็ เกิ ดเป น สิ่ ง ที่ จ ะต อ งเปลี่ ย นแปลง เกิ ด ขึ้ น -ตั้ ง อยู -ดั บ ไป จึ ง ปรากฏอาการที่ เรี ย กว า ชรา และ มรณะออกมา.

www.buddhadasa.info ที นี้ เราก็ พิ จารณาดู ว าความทุ ก ข หรื อ โรค หรื อ ความชรา และความตาย นี่ ไม เคยมี ก อนแต ที่ ธาตุ ทั้ งหลายจะประชุ มกั นแล วปรากฏออกมา; ฉะนั้ น ขอให เข าใจ กันเสียวา ธาตุทั้งหลายเหลานี้ ถามิไดประชุมกันจนปรากฏออกมาแลว เราก็จะ ไม มี ป ญ หา เรื่ อ งความทุ ก ข เรื่ อ งโรค เรื่ อ งชรา และมรณะ เป น ต น . หมายความว า ความทุกขทั้งหลายจะไมปรากฏได ในเมื่อธาตุทั้งหลายจะมิไดประชุมกัน ทําหนาที่ของ


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๓๗

ตั ว แล วแสดงออกมา; แม ตั วความทุ ก ข นั่ น เอง ตั วโรคนั่ น เอง ชราและมรณะนั่ น เอง ก็เปนธาตุอันหนึ่ง ซึ่งเรียกวา สังขตธาตุ มีอาการที่ถูกปรุงแตง แลวก็เปลี่ยนไป. ทีนี้ ธาตุปรุงแตงจนถึงขนาดที่เรียกวา เปนสัตว เปนคน ที่ มี ความรูสึกได ก็ เลยมี ค วามรู สึ ก ที่ เป น ทุ ก ข ไ ด ; ถ า ปรุ ง แต ง เป น ก อ นหิ น ก อ นดิ น อย า งนี้ ก็ ไ ม มี ทางจะรูสึ กเป นทุ กข ได . แม แต จะปรุงแต งขึ้ นมาเป นต นไม ก็ รูสึ กต อความทุ กข ได น อย ที่ สุ ด; พอเป นสั ตวเดี ยรัจฉานขึ้ นมา ก็ จะมี ความรูสึ กที่ เรียกวาเป นความทุ กขนั่ นมากขึ้ น; แต พอมาเป นมนุ ษย แล ว ความทุ กข จะมากขึ้ นตั้ งหลายรอยเท าพั นเท าที เดี ยว เพราะ มนุ ษย นี้ สู งด วยจิ ตใจ คิ ดเก งจํ าเก ง รูสึ กได เก ง อะไรได เก งไปหมดด วยจิ ตใจ; ฉะนั้ น จึ งจํ าเป นอยู เองที่ ต องรูสึ กต อความเปลี่ ยนแปลง หรือความเป นทุ กข นั้ นมากกว า. ดั งนั้ น ถ อยคํ าเหล านี้ ที่ พระผู มี พระภาคเจ าได ตรัสไว ท านเล็ งถึ งสั ตว ที่ เรียกว ามนุ ษย , และก็ ยั งเป นมนุ ษ ย ที่ เป น ๆ คื อไม ตาย แล วก็ ยั งมี ความรู สึ กได ตามปกติ ไม ใช เป นอั มพาต เป น ต น . จึ งหมายถึ งมนุ ษ ย ที่ ยั ง มี ชี วิ ต มี จิ ต ใจ พร อ มทั้ ง สั ญ ญา สมปฤดี ต า ง ๆ ; นี่ แหละคื อมนุ ษย ที่ เป นเจาของป ญหาต าง ๆ ที่ เราต องเอามาพู ด มาเทศน มาปรึกษาหารือกั น ในลักษณะอยางนี้.

www.buddhadasa.info เท าที่ พู ดมานี้ ก็ พอจะแสดงให เห็ นได แล วว า เรื่ องธาตุ นี่ เป นเรื่ องที่ จํ าเป น จะตองรู; ธาตุบางอยางก็มีลักษณะที่นาหวาดเสียว คือวาเปนเหตุ เปนที่ตั้งแหง ความทุกขโดยตรง.

สํ าหรั บในครั้ งนี้ จั กได บ รรยายเรื่ องธาตุ โดยหั วข อว า “ลั กษณะอาการที่ ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง”. ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงธรรม คือ สิ่งทั้งปวง แมวาเราจะไดเคย กลาวมาแลวในการบรรยายครั้งที่ ๓ แหงชุดนี้วา ธาตุใหเกิดอายตนะ ขันธ อุปาทานขันธ


๑๓๘

ปรมัตถสภาวธรรม

และความทุ กข ได อย างไรมาครั้ งหนึ่ งแล วก็ จริ ง; แต นั่ นเป นการกล าวโดยเค าโดดหมวด หรือเรียกวากลาวอยางคราว ๆ.

ในตัวคน มีแตเรื่องของธาตุปรุงแตงกันไมรูหยุด ในวั นนี้ จะได กล าวถึ งกิ ริ ยาอาการและลั กษณะโดยละเอี ยด ของการที่ ธาตุ แต ละอย าง ๆ นั้ น จะปรุ งแต งธรรม คื อ สิ่ งทั้ งปวงขึ้ น มาอย างไร; และก็ ห ลี กไม พ น ไปได จากภาวะต าง ๆ, อาการต าง ๆ ที่ เป น อยู ในร างกายและจิ ต ใจของเรา. พู ด โดยสมมติ ก็ วา เป นเรื่ องในคนเรา ที่ เรียกวาเรา ๆ กั นตามธรรมดานี่ แหละ มี แต เรื่องของสิ่ งที่ เรีย กวา ธาตุแ ตง กัน อยา งนั ้น อยา งนี ้ไ มรู ห ยุด ; เปน ไปอยา งละเอีย ดลึก ซึ ้ง ยากที่ จะเข า ใจ, และมี อ ยู ในจิ ต ใจของมนุ ษ ย เราเป น ประจํ า วั น ตลอดวั น หรื อ ว า ตลอดคื น ; เป น เรื่ องที่ เป น ไปในจิ ตใจนั้ นมากกว า สํ าคั ญ วา เป นป ญ หากว า ที่ จะเป นเรื่องของ รางกาย. การศึ กษาในทํ านองนี้ ดู ๆ ก็ คล ายกั บว า จะเป นเรื่ องของจิ ตวิ ทยาอยู มาก แต ก็ ยั ง มี สิ่ ง ที่ จํ า เป น ที่ จ ะต อ งศึ ก ษา; เพราะว า เรื่ อ งที่ เกี่ ย วกั บ จิ ต หรื อ จิ ต วิ ท ยาใน พุ ทธศาสนาที่ เป นไปตามแบบของพุ ทธศาสนา ไมใชจิตวิทยาอยางวิชาจิตวิทยา ป จจุ บั น . จิ ต วิ ท ยานั้ น มี ความหมายกว างไปในทํ านองที่ ว า ถ าเรื่ อ งใดเกี่ ย วข อ งกั น กั บ จิ ต ที่ เราจะต อ งทราบ ต อ งรู ก็ เรี ย กว าจิ ต วิ ท ยาทั้ งนั้ น ; แต ในพุ ท ธศาสนานั้ น มุ งกั น แตจิตวิทยา ในแงเพื่อใหรูจักจิต ใหรูจักควบคุม รูจักจัดแจงเกี่ยวกับสิ่งที่เรียก วาจิ ต จนกระทั่ งไม มี ความทุ กข ; จํากั ดไวชั ดเจนหรือแคบได ในขอบเขตเพี ยงเท านี้ . ฉะนั้ น เราจึ งยิ นดี ที่ จะศึ กษาในฐานะที่ แม จะเป นจิ ตวิ ทยา, แต ไม ใช จิ ตวิ ทยาที่ จะดํ าเนิ น การงานแก สั ง คม หรื อ แก ป ระโยชน อ ะไรจากสั ง คม; แต เป น จิ ต วิ ท ยา ที่ จ ะจั ด การ แกไขปองกันกับเรื่องภายในตนเอง ไมใหเกิดความทุกขขึ้นมาได, ใหอยูเปนปกติสุข

www.buddhadasa.info


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๓๙

แล วก็ ยั งแถมให มี สมรรถภาพในการที่ จะทํ าอะไรได ดี ด วยจิ ตนั้ น ๆ ที่ เราศึ กษาดี แล วอบรม ดีแลวเปนตน. สํ าหรับสิ่ งที่ เรียกว าธาตุ ทั้ งหลายนั้ น ทํ าอะไรไม ได มาก หรือทํ าอะไรไม ได เลยตามลํ าพั งตั งเอง เวนไวแต จะเขามาเกี่ ยวของ หรือเข ามาปรุงกั นจนกลายเป น เรื่อ งของจิ ต ไปเสี ย ก อ นเท า นั้ น ; ฉะนั้ น คํ าว า ธาตุ ล ว น ๆ ในทางวั ต ถุ ล ว น ๆ ก็ ไม เป นป ญหาอะไร แต เดี๋ ยวนี้ มาเป นที่ ตั้ งที่ อาศั ยของธาตุ ประเภทที่ เป นจิ ต คื อประเภทที่ เป น นาม. มั น มาเข าคู กั น ทั้ งรู ป ธาตุ และนามธาตุ ก็ เลยได ทั้ งรางกายและจิ ต ใจ ปรุง แตง เขา เปน อัน เดีย วกัน จนทํ า หนา ที ่อ ยา งใดอยา งหนึ ่ง ได; นี ่แ หละจึง จะ เกิดเปนปญหาขึ้นมา.

ธาตุที่มีชื่อแปลก ๆ ก็ควรตองศึกษา ขอให ทราบไว ว า เรื่ องธาตุ เป นสิ่ งที่ ลึ กลั บ น าอั ศจรรย หรื อลึ กซึ้ ง; สํ าหรั บ สิ ่ง ที ่เรีย กวา ธาตุ ไมม ีอ ะไรที ่ไ มใ ชธ าตุ; แมที ่ส ุด แตธ าตุที ่ม ีชื ่อ แปลก ๆ ซึ ่ง ทา น ทั้งหลายก็อาจจะยังไมเคยไดยินคือวา “ธาตุ ที่แกงวงนอนได”. เดี๋ยวนี้ใครกําลังงวงนอน แล วก็ จะต องมี ธาตุ หนึ่ งที่ จะแก ความง วงนอนนั้ นได เป นธาตุ ที่ พระพุ ทธเจ าท านได ตรั ส ไวเอง เรียกวา อารัมภธาตุ หรือนิ กกมธาตุ หรือปรั กกมธาตุ สามชื่อนี้ เป นธาตุ ที่ ตรัสไว กําจัดสิ่งที่เรียกวา ถีนะมิทธะได.

www.buddhadasa.info ถีน ะมิท ธะ คือ ความซึม เซางว งนอน ละเหี ่ย ออ นเพลีย ; นี ่เ รีย กวา ถี น ะมิ ท ธะ โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง ก็ คื อ ความมึ น ความง ว ง; นี่ ก็ เ ป น ธาตุ อั น หนึ่ ง เหมื อ นกั น . ธาตุ ที่ ต รงกั น ข า มที่ เรี ย กว า อารั ม ภธาตุ นั้ น คื อ เมื่ อ ธาตุ นี้ เกิ ด ขึ้ น แล ว ทํ าให เกิ ดความรู สึ กชนิ ดที่ สลั ดความง วงนอนออกไปได เพื่ อจะเริ่ มเรื่ องอะไรอื่ นที่ ตรง กันขาม.


๑๔๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ลองคิ ดดู ว าบางเวลาเราก็ ง วงนอนไม อยากทํ าอะไร อยากจะนอนต อไปอย างที่ เรี ยกว าขี้ เกี ยจก็ แล วกั น; แต ถ ามี อะไรเกิ ดแทรกแซงเข ามา ทํ าให สะดุ ง ตาสว างขึ้ นมา ทั นที ลุ กขึ้ นไปทํ านั่ นทํ านี่ ทั นที นอนอยู ไม ได ; นี่ คื อธาตุ ประเภทที่ เรียกวาอารั มภธาตุ คือธาตุที่ทําใหเราลุกขึ้นปรารภเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไมงวงนอนอยูได. บางทีก็เรียกวา นิกกมธาตุ คือกาวออกไปบางหนา ก็หมายความวากาวออกมาจากความงวงนอน มึนชา ซบเซา. บางทีก็เรียกวา ปรักกมธาติ ธาตุเปนเครื่องกาวไปสูความเบื้องสูง. นี่ เป นสิ่ งที่ น าแปลกหรื อไม สํ าหรั บคํ าว าธาตุ ; แม แต ธาตุ ที่ ทํ าให ง วงนอน และธาตุ ที่ จะกํ าจั ดความง วงนอน ไม ให ถี นมิ ทธะที่ ยั งไม ได เกิ ด เกิ ดขึ้ นมาได , และให ถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแลวนั้นสลายตัวไป. ที่ ยกมาให ฟ งเป นตั วอย างนี้ เพื่ อให ทราบว า เรื่ องสิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ นี่ มี อะไร มากมายถึ งอย างนี้ . ข อความที่ กล าวไว ในพระคั มภี ร เช นเรื่องนี้ มี อยู ในอั งคุ ตตรนิ กาย หมวดที่ ๑ ก็ ไม ค อยจะมี ใครเอามาพู ดกั นในฐานะที่ เป นธาตุ หนึ่ งที่ แก ง วงนอนได . เราจะ แก ง ว งนอนด ว ยเหตุ อั น ใดก็ ต าม ด ว ยวิ ธี ใดก็ ต าม; ถ าธาตุ ชื่ อ นี้ ไม เข า มา ไม เกิ ด ขึ้ น ไม ผ สมเข าไปด วยกั น แล ว ไม ห ายง วงนอนได ; ถ าธาตุ ชื่ อ นี้ เข ามาเกี่ ยวข อ งด วยแล ว มันก็จะสะดุงหายงวงนอน ลุกขึ้นไปทําอะไรไดอยางกระปรี้กระเปราตอไปอีก.

www.buddhadasa.info นี่เรียกวาเปนตัวอยางที่แสดงไดยิ่งขึ้นไปอีก วาไมมีอะไร ที่เกี่ยวกับมนุษย เราแล วจะไม เรียกวาธาตุ ได, คือสามารถจะเรียกวาธาตุไดทั้งนั้น ไมวาจะเป นอะไร ในแง ใดแง ห นึ่ ง ในมุ ม ใดมุ ม หนึ่ ง ; คล า ย ๆ กั บ ว า พุ ท ธศาสนานี้ ไม ได พู ด อะไรเลย นอกจากจะพูด เรื ่อ งธาตุ; นี ้เ ปน ความจริง อยา งยิ ่ง . นับ ตั ้ง แตขี ้ฝุ น สัก อณูห นี ่ง ก็ เ ป น ธาตุ ขึ้ น มา เป น ก อ นหิ น ก อ นดิ น ต น หญ า ต น บอน ต น ไม สั ต ว มนุ ษ ย กระทั่งมีจิต ความคิด ความนึก ความทุกข ความสุข กระทั่งถึงนิพพานนั้น แตละ


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๔๑

อย า งละอั น ก็ ล ว นแต เป น ธาตุ ; แม แ ต นิ พ พานก็ เป น ธาตุ ดั งที่ เคยพู ด ให ฟ ง มาแล ว . เราจะตองรูวาธาตุเหลานี้มีการปรุงแตงกันอยางไร จึงเกิดเปนนั่นเปนนี่ขึ้นมา.

ธาตุแมมีมาก กลาวโดยสรุปมีเพียงสอง : สังขตะ, อสังขตะ เมื่ อ กล า วโดยสรุ ป แล ว ก็ มี ก ารกล า วไว แ ต เพี ย งว า สิ่ ง สองสิ่ ง ที่ ค วรรู อยางยิ่งดวยปญญานั้น ก็คือสังขตธาตุ และอสังขตธาตุ. สั งขตธาตุ คื อ ธาตุ ที่ ป ระกอบกั น เป น สิ่ งนั่ น สิ่ งนี่ ปรุงแต งกั นเรื่อ ยไป ไม มี ห ยุ ด ; ถ า ยั ง มี ก ารเกิ ด ขึ้ น -ตั้ ง อยู -ดั บ ไป ของสิ่ ง อะไรในกายเรา นอกกายเรา อะไรก็ ตามนี้ เรียกว า สั งขตธาตุ หมด. คํ าว าสั งขตธาตุ จึ งรวม ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ ทั้ ง หลายต า ง ๆ แม แ ต ธ าตุ ที่ ว า แก ง ว งนอน เอาไว ด ว ยเสร็ จ เป น พวก สังขตธาตุ แปลวา ธาตุที่มีปจจัยปรุงแตง. อีกธาตุหนึ่งเรียกวา อสังขตธาตุ แปลวา ธาตุที่ไมมีปจจัยปรุงแตง ก็ตรง กั นข ามและก็ เป นที่ สุ ด ที่ ดั บ แห งการปรุ งแต งของสั งขตธาตุ ด วย. จิ ตใจของมนุ ษ ย นี้ ลุ ถึ ง สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อสั ง ขตธาตุ แ ล ว ก็ ห ยุ ด การปรุ ง แต ง ; ดั ง นั้ น จึ ง ได แ ก สิ่ ง ที่ เรี ย กว า นิ พ พาน หรือ นิ พ พานธาตุ ธาตุ คื อ นิ พ พาน, บางที ก็ เรีย กว า อมตธาตุ คื อ ธาตุ ที่ ไม รูจักตาย, หรือจะเรียกวานิ โรธธาตุ ธาตุ ที่ เป นที่ ดั บแห งสังขตธรรม คือสิ่ งปรุงแต ง ทั้ งหลายอย า งนี้ . นี่ มั น เป น ส ว น ๆ หนึ่ งที่ ต รงกั น ข า ม; เรี ย กว า อสั ง ขตธาตุ มี อ ยู อยางเดียว แตเรียกชื่อไดมากอยาง.

www.buddhadasa.info ทีนี้ในสังขตธาตุนี้ แยกออกไปมากมายทีเดียว จนนับไมไหววาจะเปน ธาตุอะไรบาง ซึ่งเราจะไดศึกษากันตอไป.


๑๔๒

ปรมัตถสภาวธรรม

ในการบรรยายครั้ งที่ แล วได พู ดแล วพู ดอี กถึ งธาตุ ที่ จั ดไว เป นหมวด ๆ เรี ยกว า ธาตุ ๑๘ ธาตุ : หมวดที่เกี่ยวกับตา ก็ไดแก จักขุธาตุ แลวก็รูปธาตุที่จะมากระทบกับตา และจักขุวิญญาณธาตุ คือความรูแจงที่เกิดขึ้นทางจักษุ. จับเคาเงื่อนใหไดเสียกอนวา เรานั้นประกอบอยูดวย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อยาง; ทีนี้แตละอยางนั้น เราจะ ดูกัน ๓ สวนเสมอไป เชน : ตา ก็ดูกันที่ตาและรูปที่จะมากระทบตา มาพบกันแลว ก็เกิดวิญญาณทางตาขึ้นมา นี่หมวดนี้ก็มี ๓ ทุกหมวดมี ๓. หมวดหู ก็มีหู แลวก็มีเสียงที่จะมากระทบหู หูกับเสียงกระทบกันแลว ก็เกิด วิญญาณธาตุทางหู คือไดยินทางหู เรียกวารูแจงทางหู. หมวดจมูกก็มีจมูก คือที่เรียกวาฆานธาตุ แลวก็กลิ่นที่มากระทบจมูก เรียกวาคันธธาตุ กระทบแลวก็เกิดสิ่งที่เรียกวา ฆานวิญญาณธาตุ เปนการรูแจงทางจมูก; มันจะมี ๓ อยางนี้ทั้งนั้น.

www.buddhadasa.info หมวดลิ้น ก็มีลิ้นซึ่งเรียกวา ชิวหาธาตุ ก็มีรสธาตุ รสที่มากระทบลิ้น เรียกวารสธาตุ กระทบแลวก็มีชิวหาวิญญาณธาตุ การรูแจงทางลิ้น.

หมวดกาย ก็มีกาย เรียกวากายธาตุ ก็มีสิ่งที่มากระทบกาย เรียกวา โผฏฐัพพธาตุ, อะไรจะมากระทบกาย ทําใหเกิดความรูสึกขึ้น อันนั้นเรียกวา โผฏฐัพพธาตุ; ธาตุโผฏฐัพพะมากระทบแลวก็เกิดกายวิญญาณธาตุความรูแจงทางกาย ขึ้นมา นี่ก็ ๓ อีก. หมวดสุดทาย หมวดใจ หรือมโนก็เรียกวา มโนธาตุ เปนธาตุอันหนึ่ง; สิ่งที่มากระทบใจเรียกวา ธัมมารมณ เรียกสั้น ๆ วาธรรมธาตุ ธรรมธาตุนี้กระทบแลว ก็เรียกวา เกิดมโนวิญญาณธาตุ ธาตุนี้ทําความรูแจงทางมโน หรือทางใจ.


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๔๓

รวมเปน ๖ หมวด ๆ ละ ๓ ก็เลยเปน ๑๘. ธาตุ ๑๘ นี้ เป นแม บทที่ จะต องศึ กษาเกี่ ยวกั บสั งขตธาตุ และที่ เกี่ ยวกั บมนุ ษย โดยตรง. เราจะต อ งจํ า ไว ใ ห แ ม น ยํ า ว า มี อ ยู โ ดยหลั ก ทั่ ว ไปอย า งนี้ , เป น ความ สั ม พั น ธ กั น ครบถ ว นหมด ทั้ ง ระหว า งรู ป ธาตุ แ ละนามรู ป ธาตุ คื อ ทั้ ง กายและจิ ต . เช นว า จั กขุ ธาตุ อย างนี้ ธาตุ ตานี้ ก็ ไม หมายความแต เพี ยงก อนเนื้ อลู กตา แต หมายถึ ง ประสาทที่ อ าจจะมี ค วามรู สึ ก ทางตารวมอยู ด ว ย ไม ใช ก อ นเนื้ อ ล ว น ๆ. ที นี้ รู ป ที่ จ ะ มากระทบตานั้ น ก็ เป น รู ป แม โดยทั่ ว ไปแล ว ก็ ไม ใช เป น วั ต ถุ ล วน ๆ ต อ งมี อ ะไรอยู ในสิ่ ง ที่ เรี ย กว า รู ป นั้ น ที่ ทํ า ให เคลื่ อ นไหว ให มี ค วามหมายอะไรต า ง ๆ; นี่ จึ ง จะเกิ ด เปนปญหาขึ้นมาได. จักขุวัญญาณธาตุนั้น ยิ่งเห็นไดชัดวา เปนเรื่องทางจิตใจ.

ดูวิธีการปรุงแตงของธาตุ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท การที่เราจะมาดูวา ธาตุปรุงแตงใหเกิดสิ่งทั้งปวงนี้มีกิริยาอาการอยางไร; นี่ดูไดหลายแบบ ดูไดมากแบบ. ที่เปนหลักทั่วไปนั่นก็คือหลักของปฏิ จจสมุปบาท ที่ เคยพู ดกั นมาอย างละเอี ยดลออที่ สุ ดแล ว ตั้ งแต ป ก อนโน น. ถ าใครยั งจํ าได ก็ จะเข าใจได ทั น ที เมื่ อ เอามาพู ด ในฐานะที่ เป น เรื่ อ งธาตุ ; ขอให ล องกํ า หนดสั ง เกตดู อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ดังนี้ :-

www.buddhadasa.info เรามี จั ก ขุ ธ าตุ ธาตุ ต า, แล ว ก็ มี รู ป ธาตุ คื อ ธาตุ ที่ เป น รู ป ที่ จ ะเห็ น ได ทางตา ที่ มากระทบตา, กระทบแล วเกิ ดจั กขุ วิ ญ ญาณธาตุ ธาตุ วิ ญญาณที่ อาศั ยจั กษุ ; สามอย างนี้ เกิ ด ขึ้ น พร อ มกั น แล ว; แล วสามอย างนี้ ก็ เรี ย กว าจั ก ขุ สั ม ผั ส . จั ก ขุ สั ม ผั ส นี้ จะจัดไว เปนสังขารธาตุก็ได เวทนาธาตุก็ได แลวแตจะเอาระยะไหนเปนหลัก.


๑๔๔

ปรมัตถสภาวธรรม

การสั มผั สทางตานี้ ก็ ยั งเป นธาตุ . เมื่ อมี การสั มผั สทางตาแล ว ก็ เกิ ดเวทนา ที่ ม าจากการสั ม ผั ส ทางตา; เวทนานี้ ก็ เรี ย กว าเวทนาธาตุ . เวทนาเกิ ด แล วก็ ทํ าให เกิ ด ความอยากอยางนั้นอยางนี้ ที่เรียกวา ตัณหา, เวทนา เปนปจจัยใหเกิดตัณหา. ตั ณหานี้ ก็ เป นธาตุ จะเรี ยกว าธาตุ ตั ณหาเฉย ๆ ก็ ได แต ถ าถื อตามหลั กแล ว มั น เป น สั ง ชารธาตุ , เป น ธาตุ ห นึ่ ง ในธาตุ ทั้ ง ๕ ที่ มี ชื่ อ คล า ยกั บ ขั น ธ . ข อ นี้ ต อ งไม ลืม เสีย วา รูป เวทนา สัญ ญา สัง ขาร วิญ ญาณ ๕ คํ า นี ้ บางทีเรีย กวา ขัน ธ บางที เ รี ย กว า ธาตุ บางที ก็ เ รี ย กว า อุ ป าทานขั น ธ ก็ มี . ในที่ นี้ มุ ง หมายจะให เป น ธาตุ อั น หนึ่ ง เป น ส ว นประกอบส ว นหนึ่ ง เป น ธาตุ ล ว น ๆ; ถ า เป น ขั น ธ มั น จั บ กลุ ม กั นมากกว านั้ น; ถ าเป นอุ ปาทานขั นธ จะจั บกลุ มกั นยิ่ งกว านั้ นอี ก คื อมี อุ ปาทานเข าไป แทรกดวย. เดี ยวนี้ เราเรี ยกว าตั ณหา ความอยากเกิ ดขึ้ นเป นสั งขารขั นธ ก็ คื อสั งขารธาตุ ; แล ว ก็ เกิ ด อุ ป ทาน ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในสิ่ ง ที่ เป น อารมณ ข องตั ณ หานั่ น หรื อ ตั ว ตั ณ หาเองก็ ได ก็ เลยเรี ย กว า สั ง ขารธาตุ เหมื อ นกั น ; กระทั่ ง ไปถึ ง ภพ ซึ่ ง ส ว นหนึ่ ง ก็ เปนกรรม สวนหนึ่งก็เปนวิบาก.

www.buddhadasa.info เมื่อเรามีความอยากอยางไรแลว ยึดมั่นในความอยากนั้นอยางไรแลว ก็ มี ส ว นที่ จ ะเป น ความรู สึ ก เป น ตั ว กู -ของกู ขึ้ น มาเต็ ม ที่ แ ล ว ; เพราะที่ เรี ย กว า อุ ป าทานนั่ น ก็ คื อ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ที่ เอี ย งไปในทางจะเป น เรา เป น ของเราขึ้ น มาแล ว ; เสร็ จแล วก็ เป นภพ เรี ยกว าภพใด ภพหนึ่ ง อย างที่ เรากํ าลั งเป นอยู นี้ . ถ าจิ ตมั่ นหนั กไป ในทางกาม เพราะว ามี กามธาตุ เข ามาปนอยู มาก อุ ปาทานและภพนั้ นก็ เป นไปในทางกาม เพราะอยูในกามภพ.


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๔๕

ขณะที่มนุษยมีจิตใจถูกปรุงแตงอยูดวยกามธาตุเต็มที่ ก็เรียกวาอยูใน กามภพ; หรื อว าถ ามี รู ปธาตุ อรูปธาตุ อย างอื่ นมาปรุงแต งเต็ ม ที่ ก็ เรียกเป น รูป ภพ อรูปภพ ไปได. แตถึงอยางไรก็ตาม เมื่อเปนภพอยางนี้แลวก็เกิดสิ่งที่เรียกวาชาติ คือความเบิกบานเต็มที่ ปรากฏออกมาเต็มที่ แหงสิ่งที่ประชุมปรุงแตงกันขึ้นดวยธาตุ ทั้งหลาย ที่นี้ ก็มี ป ญหาเรื่องแก เรื่องเจ็บ เรื่องตาย เอามาคิ ดมานึ กให เป นเรื่องตั ว เรื่องของตัว สําหรับจะมีความทุกขนานาชนิด; นี่ทุกขทั้งหลายมันเกิดขึ้นไดอยาง นี้ . นี้คือลักษณะอาการอันหนึ่งที่เรียกวา ตั้งตนขึ้นมาดวยจักขุธาตุ คือธาตุตา. ก็ เมื่ อมองกั นในแงนี้ ก็ หมายความวา เอาธาตุ ตานี้ เป นหลั ก แล วเกิ ดการ เห็ นรู ป เกิ ดวิ ญ ญาณ เกิ ดผั สสะ เกิ ดเวทนา เกิ ดตั ณ หา เกิ ดอุ ปาทาน ภพ ชาติ เป น ตั วฉั น กลั ดกลุ มอยู ด วยกามธาตุ เป นต น; เรียกว าอยู ในกามภพเวลานั้ น นี้ เอาจั กขุ ธาตุ เปนของเริ่มตน แลวก็เล็งไปตามหลักของจักขุธาตุ.

www.buddhadasa.info พิจารณาโดยเริ่มตนจากรูปธาตุก็สัมพันธกัน ๖ ระยะ

ทีนี้ถาเราจะเอารูปธาตุ เปนขอเริ่มตน การปรุงแตงก็จะมีไปอีกแนวหนึ่ง ในอี ก รู ป หนึ่ ง ; ที่ เป น อย า งหยาบ ๆ คร า ว ๆ. พระพุ ท ธเจ า ตรั ส ไว ในธาตุ สั งยุ ต ต นั้ น เปน ๖ ระยะ; ๖ ระยะนี้ก็คือ :-

๑. รู ป ธาตุ -ธาตุ ที่ เ ป น รู ป นี้ หมายถึ ง มี รู ป เป น ลั ก ษณะของธาตุ นั้ น . รูปธาตุนี้ยอมจะกอใหเกิดรูปสัญญา สัญญาวารูป หมายถึงรูป ที่จะเห็นทางตานี้ก็ได : มีรูปธาตุ แลวก็จะกอใหเกิด รูปสัญญา ความสําคัญวารูป.


๑๔๖

ปรมัตถสภาวธรรม

นี่ เป น เรื่ องทางจิ ตใจ; ขอให เข าใจไว ตลอดเวลาว า ที่ กํ าลั งพู ด นี้ เป น เรื่ อ ง ทางจิตใจ. ๒. รูปธาตุ มี อยู ในที่ ทั่ วไป; แตพอเขามาเกี่ ยวของกับจิตใจ รูปธาตุ นั้ น ก็ทําใหเกิดความรูสึกที่เรียกวา รูปสัญญา รูสึกตอรูป สําคัญในรูป มั่นหมายในรูป, เปนรูปสัญญาขึ้นมา. ๓. พอมี รูปสั ญ ญาอย างไรแล ว จะมี “รูป สั งกั ป ปะ” คื อความครุ นคิ ด ใครครวญ ครุนคิ ด เกี่ ยวกั บรูปสั ญญา นั่ นแหละ. ตั วมี ความสํ าคั ญมั่ นหมายว านั่ นรู ป อะไร ก็จะมีสังกัปปะ -ความครุนคิดเกี่ยวกับรูปนั้น ในลักษณะอยางนั้น อยูในใจ. ๔. จากรูป สั งกั ป ปะ ก็ จ ะเกิ ด รู ป ฉั น ทะ-พอใจในรู ป สั ญ ญา ที่ เอามา กระทํ าเป น รูป สั งกั ปปะอยู ; ไม ต อ งมี รูป เข ามาทางตาก็ ยั งได เพราะว า รูปทางตาแต ก อน ๆ ที่ เคยผ านมาแล ว อยู ในความจํ าหมายก็ มี หรื อจะอาศั ยรู ป ในป จจุ บั นนี้ ก็ ได . แต ในที่ นี้ โดยส วนใหญ แ ล ว ก็ ห มายถึ งรู ป ที่ อ ยู ในความจํ าที่ ล วงมาแล วแต ห นหลั ง; เพียงแตเรามาคิดก็ใครครวญได ใครครวญ ๆ แลวเกิดทอใจขึ้นมาก็ได.

www.buddhadasa.info ๕. เมื ่อ มีร ูป ฉัน ทะ พอใจในรูป นั ้น แลว , ก็ม ีไ ดแ มแ ตร ูป ปริฬ าหะ คือความเรารอน กระวนกระวายเพราะรูป ที่เนื่องมาจากความพอใจในรูป.

๖. พอมี ค วามกระวนกระวาย ก็ ท นอยู ไม ได ก็ เกิ ด ปริ เยสนา คื อ ต อ ง แสวงหาโดยทางกาย ทางวาจา ทางใจ ก็ ออกแสวงหารู ป จนได รู ปนั้ นเป นวั ตถุ เป น ของเฉพาะหน า หรือเป นของป จจุ บั นขึ้ นมา หรือแม แต เพี ยงความรูสึ ก ที่ รูสึ กว าได มา ซึ่งรสอรอย หรืออะไรของรูปนั้น ตามที่ตัวตองการอยูในใจนี้ ก็เรียกวาเปนเรื่องที่


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๔๗

แสวงหาอยู ในใจ ถ าออกแสวงหาทางกายก็ ทํ าอะไรที่ เป นการแสวงทางกาย หรื อแสวงหา โดยใชวาจาเปนเครื่องมือ ก็มีการแสวงหาทางวาจา. ธาตุ ปรุ งกั นกล าวอย างย อ ๆ พระพุ ทธเจ าท านตรั สไว ๖ ระยะอย างนี้ ; ถ า ทบทวนอี ก ครั้ งหนึ่ งก็ คื อ ว า รู ป ธาตุ : ให เกิ ด รู ป สั ญ ญา-สํ าคั ญ มั่ น หมายในรู ป นั้ น , รูป สัญ ญาใหเ กิด รูป สัง กัป ปะ-ดิ ้น รนใครค รวญครุ น คิด ในรูป นั ้น , รูป สัง กัป ปะ ใหเ กิด รูป ฉัน ทะ-พอใจในรูป ที ่ต นรู ส ึก อยู นั ้น ในเวลานั ้น , รูป ฉัน ทะ-แลว ก็ต อ ง เกิ ด รู ป ปริ ฬ าหะ-ความกระวนกระวายใจ เรารอ น นิ่ งอยู ไม ได , รู ป ปริ ฬ าหะ ก็ ให เกิดรูปปริเยสนา แสวงหา. นี่ คิ ด ดู เถิ ด ว า การที่ อ อกแสวงหาในส ว นที่ เป น รู ป ก็ มี ลั ก ษณะอย า งนี้ ; แม วาเราจะแสวงหารูปอะไร ก็ มี ลั กษณะอยางนี้ , ที นี้ มั นยั งมี เสียง มี กลิ่ น มี รส มี สั มผั ส มีอะไรตอไปอีกที่แสวงหากัน ขอใหทราบไดวามันเปนลักษณะเดียวกันกับรูปนี้.

รูปธาตุ ปรุงอยางละเอียดมี ๙ ระยะ

www.buddhadasa.info ที นี้ ที่ ได ตรั สไว อย างละเอี ยดนั้ น ขยายออกไปอี กสามเป น ๙ ระยะ : ครั้ ง แรกที่สุดก็รูปธาตุอีกนั่นแหละ ๑. เริ่มดวยรูปธาตุ. ๒. รูปธาตุก็ให เกิดรูปสัญ ญา เหมือนกับที่แลวมา. ๓. รูปสัญญาก็ใหเกิดรูปสังกัปปะ-ความตริตรึกไปในเรื่องรูป.

๔. เรื่ อ งนี้ เป น เรื่ อ งทางจิ ต ใจ คื อ ทํ าการเคลื่ อ นไหวไปในทางจิ ต ใจ หรื อ ทางมโนทั้ง นั้น ; เมื ่อ เอารูป มาตริต รึก เปน รูป สัง กัป ปะอยูก็ไ ดสัม ผัส กับ รูป นั ้น ก็เลยมี สิ่ งที่ แทรกเขามาตรงนี้ อย างละเอี ยดอี กอั นหนึ่ ง เรียกวา รูปสั มผั ส หลั งจากรู ป สังกัปปะแลวก็มีรูปสัมผัส.


๑๔๘

ปรมัตถสภาวธรรม

เมื่ อ มี รู ป สั ม ผั ส ในทางจิ ต ใจ คื อ ใครค รวญรูป ใดอยู ครุ น คิ ด รู ป ใดอยู นั่ น เป น สั ง กั ป ปะ คื อ เป น สั ง ขารขั น ธ อั น หนึ่ ง จึ ง เป น อารมณ ข องจิ ต ที่ จ ะเอารู ป ใน สั งกั ปปะนั้ นมาเป นอารมณ ของสั มผั สในที่ นี้ เป นเรื่ องทางใจล วน ๆ แต สั มผั สรู ป ที่ กํ าลั ง เป น อารมณ ของรูป สั งกั ป ปะ จึ งเรี ยกว า มี รู ป สั ม ผั ส ที่ ต รงนี้ ได ; แต มิ ได ห มายสั มผั ส ข างนอก ถ าสั ม ผั ส ด วยตาข างนอก เขาเรี ย กว าจั ก ขุ สั ม ผั ส มิ ได เรี ย กว ารู ป สั ม ผั ส เลย เดี๋ยวนี้เปนเรื่องรูปทั้งนั้น. ๕. จากรูป สั ม ผั ส นั้ น ก็ ให เกิ ด รูป สั ม ผั ส สชาเวทนา-คื อ เวทนาอั น ใหม ที่ จิ ตรู ได โดยการสั มผั สข างใน, ในสั มผั สรู ปที่ เป นอารมณ ของสั งกั ปปะ ก็ เกิ ดรูปสั มผั สสชา เวทนา. ๖. หลั งจากนั้ นก็ เกิ ด รู ป ฉั น ทะอย างเดี ยวกั บ หมวดที่ แล วมา คื อ พอใจใน รูปนั้น เพราะมันเปนที่ตั้งแหงเวทนา ก็ตองหมายถึงเปนสุข หรือพอใจละ. ๗. ที นี้ รู ป ฉั น ทะ ก็ ทํ า หน า ที่ ต อ ไป ให เกิ ด รู ป ปริ ฬ าหะ-เร า ร อ นกระวน กระวายใจเพราะรูป.

www.buddhadasa.info ๘. ร อ นใจทนอยู ไม ไ ด ก็ เกิ ด รู ป ปริ เยสนา-แสวงหารู ป กระทั่ ง ออกมา เปนทางการกระทํา ทางกาย ทางวาจา ทางใจก็ได. ๙. รู ป ปริ เยสนา ก็ ให เกิ ด ต อ ไปอี ก ชั้ น หนึ่ ง เรี ย กว า รู ป ลาภะ -คื อ การ ไดมาซึ่งรูป. ถ า จะจํ า ก็ จํ า ให ดี ดั ง จะทบทวนอี ก ครั้ ง หนึ่ ง : ๑. รู ป ธาตุ -ธาตุ คื อ รู ป ก อ ให เ กิ ด ๒. รู ป สั ญ ญ า-ความสํ า คั ญ มั่ น หมายในรู ป . ๓. รู ป สั ญ ญ าให เ กิ ด รู ป สัง กัป ปะ-คือ ครุ น คิด ในรูป . ๔. รูป สัง กัป ปะ ใหเ กิด รูป สัม ผัส สะ-คือ ไดส ัม ผัส กับรูป ในอารมณของรูป สังกัปปะ. ๕. รูปสัมผัสสะใหเกิด รูปสัมผัสสชาเวทนา


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๔๙

-ความรู สึ กเป นเวทนา สุ ข ทุ กข อุ เบกขา ออกมาจากรู ปสั มผั สสะ. ๖. รู ปสั มผั สสชาเวทนานี้ ให เกิ ด รู ป ฉั น ทะ-ความพอใจในรู ป ที่ กํ า ลั ง เกิ ด เป น อารมณ อ ยู นั่ น . ๗. รู ป ฉั น ทะนี้ ให เกิ ด รู ป ปริ ฬ าหะ-เร า ร อ นกระวนกระวายทนอยู ไม ได เพราะรู ป ฉั น ทะนั่ น เปน เหตุ. ๘. รูป ปริฬ าหะนี ้ก ็ทํ า ใหเ กิด ลุก ขึ ้น แสวงหา เรีย กวา รูป ปริเ ยสนา ๙. การแสวงหาในที่ สุ ด ก็ ต อ งได ; ไม ไ ด ใ นครั้ ง แรก ก็ ต อ งได ใ นครั้ ง หลั ง ก็ ต อ งได อะไรอย างใดอย างหนึ่ ง ได รู ปนั้ นมาก็ ตาม. ได สิ่ งที่ เกี่ ยวข องกั บรู ปก็ ตามหรื อได สิ่ งซึ่ ง มี รู ป นั้ น เป น เหตุ แม แ ต ค วามทุ ก ข ก็ เรี ย กว า เป น การได ; นี่ เรี ย กว า เป น ๙ ระยะ อยางนี้. ทีนี้ในเรื่องของเสียง, กลิ่น เปนตน แตละอยางก็มีระยะอยางเดียวกันนี้.

พิจารณาธาตุสัมพันธอีกวิธีหนึ่งเริ่มทางใจลวน ๆ ที่ กล าวมานี้ เพื่ อจะชี้ ให เห็ นว า กิ ริ ยาอาการลั กษณะโดยละเอี ยด ที่ ว าสิ่ งที่ เรี ยกว า ธาตุ ธาตุ เฉย ๆ ที่ ป รุ งแต งธรรมทั้ งปวงขึ้ นมาได อ ย างไร. ในที่ นี้ ก็ เห็ น ได ชั ด แล ว ว า รู ป ธาตุ ซึ่ ง เป น ธาตุ อั น หนึ่ ง นี่ ก็ ป รุ ง แต ง สั ญ ญา สั ง กั ป ปะ ผั ส สชาเวทนา ฉันทะ ปริฬาหะ ปริเยสนา กระทั่งลาภะ คือการไดขึ้นมา.

www.buddhadasa.info ที นี้ จะยกตั วอย างด วย หมวดที่ ชั ดขึ้ นมาอี ก ให เห็ นใกล ชิ ดตามที่ เป นอยู จริ ง ในเราคนหนึ่ งๆ วั น หนี่ ง ๆ โดยะจยกเอาเรื่ อ งของสิ่ งที่ เรี ย กว า กาม หรื อ กามะขึ้ น มา. แต ว าจะขอให ทุ กคนนึ กถึ งการบรรยายในครั้งที่ แล วมา ที่ เราได ฟ งกั นมาแล วว า ถ าจะ แบ งแยกธาตุ ออกเป น ๓ หมวด อีกชนิ ดหนึ่ ง ก็ มี ได วา กามธาตุ -ธาตุ ที่ เป นกาม, รู ป ธาตุ -ธาตุ ที่ เป น รู ป บริ สุ ท ธิ์ ไม เจื อ ด ว ยกาม. อรู ป ธาตุ -ธาตุ ที่ ไม มี รู ป ไม เจื อ ด ว ย กาม แล วก็ ไม มี รู ปด วย; นี่ มี อยู ๓ ธาตุ อย างนี้ . เมื่ อตะกี้ นี้ พระสงฆ ก็ สวดบทนี้ ว ามี อยู ๓ ธาตุ ที่ จะเป นเครื่ องวั ดภาวะ หรื อสถานะอะไรของจิ ต : กามธาตุ อย างหนึ่ ง รู ปธาตุ อยางหนึ่ง อรูปธาตุอยางหนึ่ง.


๑๕๐

ปรมัตถสภาวธรรม

คนที่ จิ ตตกไปในทางความรั ก ความใคร โดยเฉพาะอย างยิ่ งเกี่ ยวกั บเพศ อาศั ยสิ่ งที่ เรียกว า กามธาตุ . บางคนจะด วยอะไรก็ ต ามใจเถอะ เขาไม ได ส นใจใน สิ่ งที่ เรี ย กว ากาม; เขาไปสนใจเรื่ อ งที่ เรี ยกว ารู ป ล วน ๆ บริ สุ ท ธิ์ ไม เกี่ ย วกั บกาม, ก็ มี สิ่ ง ที่ เรี ย กว า รู ป ธาตุ เป น ที่ ตั้ ง . บางคนไปไกลกว า นั้ น รู ป นี่ ก็ ยั ง เกะกะนั ก เอาที่ ไมมีรูปดีกวา พอใจอยูในสิ่งที่ไมมีรูปอะไร ไมมีความหมายแหงกามดวย; นี่ก็เรียกวา อรูปธาตุ. คนธรรมดาหมกมุ นอยู กั บกามธาตุ เชนเรื่องเพศ แต ถึงอยางนั้ น บาง เวลาก็ ไม ไหวเหมื อ นกั น มั น เบื่ อ มั น ระอา แม ไม ต ลอดไปก็ เบื่ อ เป น ครั้งคราว แล ว ไปสนใจในรู ป ธรรมอั น ใดอั น หนึ่ ง ซึ่ ง ไม เกี่ ย วกั บ กาม; แต ว า พระฤาษี โยคี มุ นี เขาไปหาวิธีที่จะใชรูปบริสุทธิ์เปนอารมณของสมาธิ ทําใหเกิดฌาน ไมเกี่ยวกับกาม ก็ เป น สุ ข อยู กั บ รู ป ธรรมเหล า นั้ น ได . ฤาษี มุ นี โยคี บ างหมู ไปไกลกว า นั้ น : ไม เอา แล ว รู ป นี่ เห็ น ว า ยั ง เกะกะนั ก หยาบนั ก กระทบกระทั่ ง ได ด ว ย; จึ ง ไปเอาสิ่ ง ที่ ไ ม เป นรู ป ไม มี รูป คื อเป นนามล วน ๆ เช นธาตุ จิ ต หรื อธาตุ วิ ญ ญาณ หรื อว าเอาความ ไมมีอะไรเปนตนมาเปนอารมณสําหรับทําจิตใหเปนสมาธิ แลวเกิดความสุข พอใจ อยูดวยอรูปธาตุ ชนิดนั้น.

www.buddhadasa.info นี่เราก็ไดเปนกามธาตุอยางหนึ่ง รูปธาตุอยางหนึ่ง อรูปธาตุ อยางหนึ่ง เป น ๓ อยางในหมวดนี้ อย างแรกที่ เรียกวา กาม หรือกามธาตุ นี้ เราอาจจะศึ กษาได จากหลั กที่ พระพุท ธเจา ทา นไดต รัส ไวใ นธาตุส ัง ยุต ต อยา งเดีย วกัน อีก ; แตแ ลว ก็ยัง อยาก จะให มองเห็ น ให ชั ดมากออกไปอี กบางอย าง หรื อบางระยะ บางขณะที่ มากไปกว าที่ พระองคไดตรัสไว และเราเห็นไดวามันมีอยูจริง


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๕๑

ทีนี้ก็จะเริ่มขึ้นดวยสิ่งที่เรียกวาตัวอยาง อันนี้จะเริ่มขึ้นดวยสิ่งที่เรียกวา กามธาตุ : ธาตุ ก าม ธาตุ เป น ที่ ตั้ งแห งกาม ธาตุ ป รุ งแต งกาม ธาตุ เป น ไปเพื่ อ กาม เป นผลในที่ สุ ดอะไรก็ ต ามเพื่ อ ความหมาย เราเรี ยกสั้ น ๆ ว า กามธาตุ . ความรู สึ ก ที่ เป นกามธาตุ นี้ จะมี อยู เหมื อนกั บว ามี อยู ทั่ วไป ในบรรยากาศ หรือว านอกบรรยากาศ ในสากลจั กรวาล ธาตุ นี้ ก็ มี อยู แต ยั งไม มี โอกาสจะแสดงตั วอะไรออกมา จนกว าจะมี โอกาส มี ที่ ตั้ ง มี อ ะไร คื อ มี จิ ต ของมนุ ษ ย มี อ ะไรให โอกาส มี อ ารมณ ให โอกาส; กามธาตุ ที่มีอยูในที่ทุกหนทุกแหงนี่ ก็แสดงตัวออกมาในจิตใจของมนุษยคนนั้น ในขณะนั้น. เหมื อนอย างที่ ได เคยยกตั วอย างในการบรรยายครั้ งก อน ๆ ว า ธาตุ ไฟ ความ รอนก็ มี อยู ในที่ ทุ กหนทุ กแห ง ที่ เราจะหาพบได ; ไฟธรรมดาก็ดี ไฟฟ าก็ดี ไฟอะไรก็ดี มันจะแสดงออกมาไดก็ตอเมื่อมีโอกาส มีการกระทํา มีอะไร; แมที่สุดแตวาเอาเหล็ก มาโขกลงไปบนหิ น เกิ ด เป น ประกายไฟ มี ทั้ ง ความร อ น มี ทั้ ง แสง มี ทั้ งอะไรขึ้ น มา ธาตุไฟจึงจะปรากฏออกมา; เรื่องกามธาตุก็มีนัยอยางเดียวกัน.

www.buddhadasa.info บางคนจะคิ ดไปว า ธาตุ ไฟเพิ่ งสร างขึ้ นมา ด วยการโขกเหล็ กลงไปบนหิ น อยา งนี ้; แตท างหลัก ธรรมะ เขาไมถ ือ อยา งนั ้น . เขาถือ วา ธาตุไ ฟ หรือ ความ ร อนนั้ น มั นมี อยู ตลอดเวลาเป นธาตุ ๆ หนึ่ ง แต มั นไม แสดงออกมา จนกว าจะได โอกาส ไดเหตุ ไดปจจัย.

ธาตุ ไฟเป นอย างไร กามธาตุ นี้ ก็ เหมื อนกั น จะต องมี คน และจะต องมี คน ที่ โตพอสมควรที่ จะรูค วามหมายอั น นี้ . เด็กทารกแรกคลอด ยังไม สามารถจะรูได เต็ ม รู ป อย า งนี้ ; ต อ งโตขึ้ น มาพอสมควร แล ว ก็ ต อ งได อ ารมณ ซึ่ ง มี ก ารปรุ ง แต ง ตามกระแส ของสิ่งที่เรียกวา กามธาตุ.


๑๕๒

ปรมัตถสภาวธรรม

๑. เมื่ อ ใดมี อ ารมณ แ ห งกามธาตุ ที่ จ ะแสดงตั ว ในจิ ต ใจของมนุ ษ ย ได กามธาตุจึงแสดงตัว, ๒. กามธาตุ นั้ นก็ ให เกิ ดสิ่ งที่ เรี ยกว า กามสั ญ ญา, ลํ าดั บนี้ คล ายกั นมาก ซ้ํ า ๆ กั น . กามธาตุ ทํ าให เกิ ด กามสั ญ ญา-สํ าคั ญ มั่ น หมายว ากาม ว าของรั ก ของใคร รู สึ ก ของรั ก ของใคร รู สึ ก กระสั น ได ด ว ยอํ า นาจของกิ เลสชื่ อ นี้ . กามธาตุ ทํ า ให เกิ ด กามสัญญา-สําคัญวา ของใคร ของรัก สําคัญวากาม. ๓. กามสั ญ ญาก็ ทํ าให เกิ ด กามสั งกั ป ปะ-ความครุ งคิ ดในกาม; ครุ นคิ ด ใครครวญในกาม เรียกวากามสังกัปปะ; มีกามสังกัปปะ ก็ทําใหเกิด กามสัมผัส. ๔. เมื่ อมี ความหมายของกามธาตุ หรือตั วกามธาตุ มาทํ าสั งกั ปปะอยู จิ ต ก็ สั ม ผั สกามธาตุ นั้ น หรือกามนั้ น ; อย างนี้ เรี ย กว ากามสั ม ผั ส สะ. มิ ใช ทางเนื้ อหนั ง ระหวางบุคคล แตเปนเรื่องจิตใจเทานั้น, จิตใจของบุคคลกําลังเปนไปอยางนั้น.

www.buddhadasa.info ๕. กามสั มผัสสนั้ นทํ าให เกิ ดกามสัมผัสสะชาเวทนา คือความรูสึกเวทนา สนุ กอยู ในใจ เป นสุ ขอยู ในใจ อะไรก็ ตามที่ เรี ยกว าเวทนา ซึ่ งเนื่ องมาแต กามสั มผั สสะ ที่เปนภายใน เปนสักวากระแสแหงความครุนคิดปรุงแตง.

๖. เวทนานั้ น ทํ า ให เ กิ ด กามฉั น ทะ ความรู สึ ก ที่ พ อใจในกาม. แม ไ ม ได เกี่ ยวข องกั บบุ คคลที่ สอง บุ คคลเดี ยวภายในใจของบุ คคลนั้ น ก็ มี สิ่ งที่ เรียกว า กามฉั นทะ เกิดได โดยอาศัยเหตุปจจัยตาง ๆ ขางตน. ๗. เมื่ อ มี ก ามฉั น ทะ ก็ ใ ห เกิ ด กามปริ ฬ าหะ คื อ ความเรา รอ นกระวน กระวายเหมือนไฟเผา, เนื่องมาแตกามนั้น. ๘. มี กามปริ ฬาหะ ก็ ให เกิ ดกามปริ เยสนา คื อการแสวงหากาม แสวงหา อยู ด วยจิ ตใจข างใน หรื อออกมาข างนอก เป นการกระทํ าทางกาย วาจา หรื ออะไรก็ ตาม มันเปนการแสวงหากาม.


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๕๓

๙. กามปริ เยสนา แสวงหากามนี้ ก็ ทํ า ให เกิ ด กามลาภะ, กามลาโภ กามลาภะ,แลวแตจะเรียก คือไดมาซึ่งกาม. ที นี้ เราก็ ดู เอาเองต อจากรายชื่ อในพระบาลี ที่ ตรั สไว เราก็ อาศั ยหลั กพระบาลี ที่อื่นมาชวยประกอบกัน ทําใหเขาใจไดวา : เมื่ อ มี ก ามลาภะ การได ม าซึ่ ง กาม ต อ ไปก็ มี ก ามโภคะ คื อ การบริ โภค ซึ่ ง กามนั้ น . เมื่ อ มี ก ารบริ โภค แล ว มั น ก็ จ ะต อ งมี ค วามรู สึ ก ต อ ไป เช น กามตั ณ หา โดยตรง, มี ค วามอยาก... ที่ เ กิ ด ขึ้ น เพราะเวทนาในระยใหม ระยะหลั ง นี้ อี ก เป น กามตั ณ หา. จากกามตั ณ หาก็ เป นกามุ ปาทาน-ความยึ ดมั่ นถื อมั่ น ในฐานะที่ เป นกาม เรี ย กว า กามุ ป าทาน ซึ่ ง ทุ ก คนก็ มี ค วามรู สึ ก เป น กามุ ป าทาน ตามวิ สั ย ของปุ ถุ ช น คนธรรมดา; เมื่ อ มี ก ามุ ป าทานอย า งนี้ อ ยู ใ นใจ เมื่ อ นั้ น ภาวะอั น นั้ น ก็ เ ป น กามภพของบุ ค คลนั้ น คื อบุ ค คลนั้ น ในเวลานั้ น เขาอยู ในกามภพ, ตั้ งอยู ในกามภพ หรื อเป นอยู อย างกามภพ; เขาได มี ภพอั นหนึ่ งขึ้ นมา เป นกามภพ จนกว าความรู สึ กอั นนี้ จะหายไป จะเปลี่ยนเปนเรื่องอื่น.

www.buddhadasa.info บางเวลาจะเป น กามภพมาอี ก ในรู ป ใหม อารมณ อื่ น ก็ เป น กามภพได , อยู ในกามภพ หรื อ จะเปลี่ ย นเป น รู ป ภพ อรู ป ภพบ า งก็ ยั ง ได ; แต ถ า วิ สั ย คนธรรมดา สามั ญ แล ว ก็ จะซ้ํ าซากกั นอยู แต ในลั กษณะของกามภพ. เป นอั นว ามี ภพโดยอาศั ยกาม เป นไปเพื่ อกาม เป นอยู ด วยกาม กํ าลั งมี ผลเป นกามอยู อย างนี้ เรี ยกว ากามภพ ที่ นี่ และ เดี๋ยวนี้ไมตองรอตอตายแลว เรียกวาคนนั้นกําลังอยูในกามภพแลว.

ที นี้ ก็ ไม มี อะไรนอกจากที่ จะเป นไปตามหลั กทั่ วไปว า มี ภพแล วก็ มี ชาติ คื อ ตนเองมีความเปนอยางนั้นขึ้นมาเต็มที่ เกิดเปนอยางนั้นแลวในเวลานั้น.


๑๕๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ต อ ไปก็ มี ป ญ หาเกี่ ย วกั บ ชรา มรณะ โสกะ ปริ ท วะ ทุ ก ขะ โทมนั ส อุ ป ายาส ไม ได อ ย า งใจ พลั ด พรากของรั ก กระทบของไม รั ก ; สรุ ป แล ว ก็ คื อ ความ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในขั น ธ ใ ดขั น ธ ห นึ่ ง แล ว ความทุ ก ข ก็ เกิ ด ขึ้ น ; นี่ เรี ย กว า ความทุ ก ข ทั้งปวงเกิด ขึ้น แลวโดยสมบูรณ. ขอใหพิจารณาดูวา “ธาตุ” คําเดีย วทําใหเกิด อะไรขึ้นมา กี่อยาง ๆ จนธรรมทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นเปนความทุกขทั้งปวง ความทุกข ทั้งมวลเกิดขึ้นมาไดอยางนี้.

ธาตุตามธรรมชาติ มีความหมายเพราะ “สัญญา” โดยหลั กนี้ เราก็ พอจะสรุปความได ว า ที่ เรียกว าเป น “ธาตุ ”, ธาตุ มี อยู ตาม ธรรมชาตินั้น ถาไมถูกนํามากระทําเปนสัญญาขึ้นในใจ ก็ไมมีความหมายอะไร มันก็เปนธาตุตามเดิม. แตจิตที่ประกอบดวยอวิชชาธาตุ คือความโงนั่นแหละไปเอา ธาตุ ล วน ๆ โดยเฉพาะอย าง “กามธาตุ ” นี้ มากระทํ าเป นกามสั ญญา-สํ าคั ญมั่ นหมายว า เปนกาม ที่มีความหมายวา จะใหคุณคาแกตน แกกิเลสตัณหาของตน. ธาตุตามธรรมชาติถูกเอามากระทําใหเปนวัตถุของสัญญา อารมณของ สั ญ ญา สํ าคั ญ อย างนั้ น อย างนี้ , มี สั ญ ญาอย างนี้ แล ว ก็ ทํ าให มี สั งกั ป ปะ ครุ น คิ ด ใครครวญอยู , สั งกั ปปะอย างนี้ ทํ าให เกิ ดสั มผั ส คื อจิ ตสั มผั สกั บสิ่ งนั้ นถึ งที่ สุ ด, สั มผั ส อย างนี้ ให เกิ ดเวทนา รูสึ กเป นไปในทางที่ วา สุ ข ทุ กข ชอบใจ หรือไม ชอบใจอย างนี้ . เวทนาให เกิ ดฉั นทะขึ้ นมา ฉั นทะให เกิ ดปริ ฬาหะเรารอนขึ้นมา ปริฬาหะเรารอนทน อยู ไม ได ก็ ให เกิ ด ปริ เยสนา คื อ แสวงหา มี แสวงหาแล ว ก็ มี ได ได แ ล ว ก็ มี บ ริ โภค บริโภคแลวก็มี ตั ณหาในเวทนาที่ มาจากการบริโภค ก็เลยเกิ ดอุ ปาทาน ยึดมั่ น ถือมั่ น ก็เกิดเปนภพนี้ขึ้นมาอยางใดอยางหนึ่ง.

www.buddhadasa.info สรุปแล วในกรณี ก าม ก็ เรียกว ากามภพ, ในกรณี รู ป ก็ เรียกวารู ป ภพ, ในกรณีอรูปก็เรยกวาอรูปภพ. สิ่งที่เรียกวารูปภพ อรูปภพนี้ก็มีไดที่นี่และเดี๋ยวนี้


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๕๕

ในลั กษณะอย างนี้ คื อปรุ งจากธาตุ ล วน ๆ ขึ้นมาเป นความรูสึ กทางจิต เป นจิต เป น เจตสิก เป นการกระทําทางจิต เกิดวิบากทางจิต; นี่เป นอยางที่ เรากําลังรูสึกวาเป น ความทุกข.

กามธาตุปรุงเปนภพสามก็ได คําวา “กามธาตุ” ให ผลในที่ สุดท ายเป นกามภพ; ความเป นอยางนั้ น จะเรียกว าเป นกามาวจรภพ หรือกามาวาจรภู มิ ก็ ได . ถ าหมายถึ งชั้ นหรือลํ าดั บก็ เรียกว า กามาวจรภู มิ คื อจิ ตที่ กํ าลั งตั้ งอยู ในระดั บของกาม; ถ าหมายถึ ง “ความเป น” อั นนั้ น ก็ เ รีย กวา กามาวจรภพ คือ จิต เปน จิต ที ่วุ น อยู แ ตใ นเรื ่อ งกาม; ถา เปน เรื ่อ งรูป ไม เกี่ ยวกั บเรื่ องกาม ก็ เรี ยกว ารู ปาวจรภู มิ รู ปาวจรภพ อย างที่ เราได ยิ นได ฟ งบ อย ๆ แล วก็ ไมคอยจะรูวา เปนอะไร. จิ ต อยู ในรูป าวจรภู มิ ก็ คื อ จิ ต นี้ ไม ต กลงไปในกาม จิ ต นี้ ไปเกี่ ยวขอ ง พั วพั นอยู กั บสิ่ งที่ เรียกว ารูปล วน ๆ รูปบริสุ ทธิ์ ล วน ๆ; เมื่ อยึ ดมั่ นแล วก็ เกิ ดเป นรูปสั ญญา สั งกั ปปะ ผั สสะ เวทนา ฉั นทะ ปริ ฬาหะ ปริ เยสนา ลาภะ บริ โภค ตั ณ หา อุ ปาทาน กระทั่งเปนภพไดเหมือนกัน.

www.buddhadasa.info แมในอรูป ที่วาจิตเอาสิ่งที่ไมมีรูปเทานั้นมาเปนอารมณ เปนอรูปธาตุ มาเป นอารมณ ก็ เกิ ดสั ญญา เกิ ดสั งกั ปปะ ฯลฯ ขึ้ นในสิ่ งนั้ น จนในที่ สุ ดก็ มาได หลงใหล อยูในสิ่ งที่ ไม มี รูปนั้ น. จิตอยางนี้ ก็ เรียกวา เป นอรูปาวจรภู มิ ก็ ยังเป นความบ าเท าเดิ ม คื ออารมณ เปลี่ ยนจากกามไปเป นรู ป จากรู ปเป นอรู ป; ภาวะอย างนั้ นก็ เรี ยกว า อรู ปาวจรภู มิ ซึ่ งย อ มมี ได แ ม ที่ นี่ แ ละเดี๋ ย วนี้ . เผอิ ญ ว า ใครสั ก คนหนึ่ ง ได ห ลงใหลในสิ่ งที่ ไม มี รู ป ซึ่ งเป น นามธรรมล วน ๆ; อย างเช น เกี ย รติ ย ศชื่ อ เสี ย งอย างนี้ ไม เล็ งถึ งผลที่ จะได มาจากเกี ยรติ ยศชื่ อเสี ยง อย างไปหลงเกี ยรติ ยศชื่ อเสี ยงก็ จั ดเป นอรู ปได แล วก็ มี ความทุกขได เหมือนกับกามหรือรูป.


๑๕๖

ปรมัตถสภาวธรรม

มนุ ษ ย เรานี่ จึ งมี ธาตุ ๓ ธาตุ นี้ เป นรากฐานที่ จะปรุ งแต งให เป นอย างนั้ น อยางนี้; ธาตุ ๓ ธาตุ คือ กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ. มนุษยเราสวนใหญ ปุถุชน ทั่ วไป ก็ ลุ ม หลงอยู ในกามธาตุ เรี ย กว าตกอยู ในกามาวจรภู มิ เป น กามาวจรภพอยู . แม จะมองลงไปถึ งสั ตว เดรัจฉาน มั นก็ มี ส วนที่ เป นอย างนี้ อยู เหมื อนกั น แต ว าไม เต็ มที่ เหมือนมนุษยเทานั้น ฉะนั้นจึงมีความทุกขนอยกวามนุษย.

พิจารณาดูธาตุของสัตวโลกทั้งหลาย ที นี้ มองมาถึ งมนุ ษ ย ชั้ น ต่ํ า ชั้ นเลวที่ เรียกวา อยู ในอบาย ในกองทุ กข นรก เปรต อะไรก็ ตาม จิ ตใจก็ ยั งมี ธาตุ ที่ มุ งหมายจะได กาม อยูนั่ นแหละ; แม วา ในขณะนั้ น จะทํ าการแสวงหากาม หรื อ บริ โภคกาม เต็ ม ที่ ไม ได ; แต จิ ต ใจก็ ยั งเป น อยางเดียวกัน. สมมุติวาอยูในนรก อยางที่เขาพูดกันวาในนรก หรือพู ดวาจะอยูในนรกปจจุบั น เช น คุ กตะราง ถู กกั ก ถู กขั ง ถู กล าม ถู กอะไรอยู จิ ตของเขาที่ อยู ในวิสั ยแห งกามาวจรภูมินี้ เขาอาจจะทํ าได ต ลอดสาย : เขานึ ก ถึงกามธาตุ ม าเป น อารมณ แลวก็ทํ า กามสัญญา กามสังกัปปะ กามสัมผัสสะ กามเวทนา กามฉันทะ กามปริฬาหะ อยู ใ นใจเรื่ อ ย ทั้ ง ที่ ว า มั น ถู ก ขั ง อยู ใ นนรก หรื อ ในคุ ก . นี่ คื อ วิ สั ย ของสั ต ว ที่ เป น ไป ในกาม.

www.buddhadasa.info ถ าเป น มนุ ษ ย อิ ส ระ ไม ถู กขั ง ไม เป น สั ตว นรก เป นมนุ ษ ย เต็ ม ที่ ส บายดี ก็ อ ย า งเดี ย วกั น นั่ น แหละ. เมื่ อ ยู ในวิ สั ย แห ง กามาวจรภู มิ แล ว เขาก็ เอากามธาตุ มาทํ าเป นกามสั ญญา กามสั งกั ปปะ กามสั มผั สสะ เป นเวทนา ฉั นทะ ปริฬาหะ ปริเยสนา เรื่อยมา จนถึงที่สุด.


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๕๗

ถ าเป นเทวดา ที่ เรี ยกว า ชั้ นกามาวจร ๖ คื อฉกามาวจร, เทวดาประเภทนี้ เขาบริโภคกาม ก็มีธาตุที่ทําอยางเดียวกับมนุษย ผิดกันแตวาเทวดานั้นไดสะดวกดาย ได ไวได ชนิ ดที่ ไม ต องแลกเอาด วยเหงื่ อเท านั้ น; นี่ เรี ยกว าสวรรค แล ว สวรรค ชั้ นเทวดา ชั้นเทพ. ที นี้ สวรรค ชั้ นมาร ก็ คื อยอดของเทวดาประเภทนี้ นี้ ก็ ต องเข าใจกั นเสี ย ใหม ว ามาร วสวั ตตี มาร ที่ ลงมาผจญพระพุ ทธเจ าที่ ต นโพธิ์ ที่ เรียกว าวสวั ตตี มาร มาจาก สวรรค ชั้ น ปรินิ มมิ ตวสวั ตตี ; นี่ คื อสวรรค ในอั นดั บสู งสุ ดของกามาวจรภู มิ มี กามธาตุ มาเป นเครื่องปรุงแต ง ไดกาม แล วก็ ไดอยางที่ เรียกวาสะดวกดายที่ สุ ด เต็ มที่ที่ สุ ด มี คน ประคบประหงม ชั้นสูงสุดของพวกกาม เขาเรียกวาชั้นมาร มารโลก. จากมนุ ษย โลกถึ งเทวโลก เทวโลกนี้ มี ยอดสุ ดอยู แค มารโลก พอเลยมารโลก ก็ จ ะเป น พรหมโลก; สภาพของพรหมโลกนี้ ไม เกี่ ย วกั บ กามเลย. ถ า เอารู ป ธาตุ เป นอารมณ เป นธานที่ ตั้ ง ก็ เกิ ดเป นรูปาวจรภู มิ หรือพรหมโลกชนิ ดที่ มี รูป เป นรากฐาน ขึ้นมา เปนพรหมอยางมีรูป; ถาเลยนั้นไปก็เปนพรหมอยางเปนอรูป.

www.buddhadasa.info นี่ก็เปนอันเห็นไดวา บรรดาสิ่งที่มีชีวิต แลวก็จะตองเกี่ยวของพัวพันผูกมัด รัดรึงกันอยูกับธาตุทั้ง ๓ นี้ ไดแกกามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ แลวก็แจกออกไปเถอะ ไม มี ที่ สิ้ น สุ ด . สั ต ว น รกกี่ ช นิ ด เปรตกี่ ช นิ ด ต างต อ งการกามธาตุ นี้ ป รุ งแต ง, มนุ ษ ย กี่ ชนิ ด กี่ ยุ คกี่ สมั ย ก็ ต องการกามธาตุ นี้ ปรุงแต งเป นส วนใหญ , ที่ เป นเทวดา กามาวจร หรือเป นชั้ นมาร ชั้ นสู งสุ ด ก็ ต องการกามธาตุ นี้ ; ที่ ผิ ดไปจากนั้ น ไปชั้ นพรหมก็ คื อ รูปธาตุอยางหนึ่ง กับอรูปธาตุ อีกอยางหนึ่ง; จะเห็นไดวามันเนื่องอยูใน ๓ ธาตุนี้.

สัตวโลกทุกประเภท มีจิตประกอบดวยธาตุทั้ง ๓ ถ าเราจะถื ออย างที่ เขาถื อกั นโดยมาก เข าใจกั นว ามั นอยู กั นคนละโลก ก็ ตาม ใจเขาซิ; เขาถือวาตายแลวจึงจะไปเปนเทวดา ไปเปนเปรต เปนพรหม ตายแลวจึง


๑๕๘

ปรมัตถสภาวธรรม

จะไปเป น นั่ น นี่ ตายอี กกี่ ห นจึ งจะไปเป น ก็ ต ามใจเขาซิ . แต ว าหลั กธรรมะนี้ ไม ต องการ อยางนั้น; หลักธรรมนี้ตองการที่นี่และเดี๋ยวนี้ วาจิตใจกําลังเปนอยางไร. ถ าเดี๋ ยวนี้ จิ ตใจกํ าลั งจั บเอากามธาตุ มาทํ าเป น กามสั ญญา กามสั งกั ปปะ กามสั มผั สสะ กามเวทนา กามฉั นทะ กามปริ ฬาหะ เรื่ อยไปจนถึ งกามภพแล ว ก็ ต องเป น ที ่นี ่ เดี ๋ย วนี ้ ทัน ที; อ ยา งเลวก็เ ปน ของม นุษ ย, อยา งดีก ็เ ปน ขอ งเท วดา, สูงสุดก็เปนของชั้นมาร คือจอมเทวดา. ถ า เป น พรหมก็ เหมื อ นกั น อี ก บางคน บางเวลา บางโอกาส ไม ช อบ เรื่ อ งกาม ก็ ไ ปคว า เอารู ป ธาตุ ม าปรุ ง เป น รู ป สั ญ ญา รู ป สั ง กั ป ปะ รู ป สั ม ผั ส สะ รู ปสั มผั สสชาเวทนา รู ปฉั นทะ รู ปปริ ฬาหะ รู ปปริ เยสนา รู ปลาภะ รู ปบริ โภค รู ปตั ณ หา รูป อุป าทาน รูป ภโวรูป ภพ; ซึ ่ง เปน ไดที ่นี ่ และเดี ๋ย วนี ้ไ ด. พิจ ารณ าอยา งนี ้เ ห็น ได ชั ด ไม ต อ งเชื่ อ ตามคนอื่ น , ไม ต อ งฝากใจกั บ เหตุ ผ ลอะไรที่ ไ หนอี ก แล ว , รู สึ ก ชัดแจงอยูในใจอยางนี้.

www.buddhadasa.info ถ า ว า ใครเก ง ไปกว า นั้ น ก็ ไ ปเอาสิ่ ง ที่ ไ ม มี รู ป เอาอรู ป ธาตุ ม าทํ า เป น อรู ปสั ญ ญา อรู ปสั งกั ปปะ อรู ปสั มผั สสะ อรู ปสั มผั สสชาเวทนา อรู ปฉั นทะ อรู ปปริ ฬาหะ อรู ป ปริ เยสนา อรู ปลาภะ มั น ก็ เป นไปได ในที่ สุ ดเป นอรู ปภพ อยู อย างอรู ป คื อไม สนใจ กับรูป จิตใจไมสนใจกับรูป สนใจแตสิ่งที่ไมมีรูป.

มโนธาตุ ไปควาเอาธาตุอะไรมาปรุงแตงจิตจนทุกขก็ได เป น อั น ว า เรื่ อ งธ าตุ นี่ มี อ ยู พ ร อ ม พ รั่ งร อ บ ตั ว เร า ทุ ก ห น ทุ ก แ ห ง; จิ ต ซึ่ งก็ เป น ธาตุ อั น ห นึ่ ง เรี ย ก ว า ม โน ธาตุ นี้ มั น ยั งไป ค ว าเอ าธาตุ ไห น ม า ไป ค ว าเอ าก าม ธาตุ ม า รู ป ธ า ตุ ม า อ รู ป ธ า ตุ ม า แ ล ว ก็ มี ก า ร ป รุ ง แ ต ง ใ น ใ จ จ น เป น อ ย า ง นี้ ม า ก ม า ย ห ล า ย ชื่ อ จนกระทั่งไดเปนทุกข เพราะเหตุนี้.


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๕๙

ตั้งแตเบื้องตนจนที่สุด คือความทุกขนี้ จะมีลักษณะอยางที่กลาวมานี้ จะเปน อยา งนี ้เ รื ่อ ยๆ ๆ ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ คือ เกิด แลว เกิด อีก , เกิด แลว เกิด อีก ; แลว ก็อ ยา ลืมวา มันมีคําวา “ปริฬาหะ” อยูคําหนึ่งแลว. ทีแรกความเผาลนจากกาม ความ เผาลนจากรูป จากอรูปา คือความกระหาย แลวก็มาถึงตัณ หาในสิ่งนั้น. มาถึง อุ ป าทานในสิ่ งนั้ น มั น ก็ เป น เรื่อ งหนั ก เรื่อ งทุ ก ข : อุ ป าทานก็ แ บก ไว เหมื อ นกั บ แบกของหนั ก ๆ อยู ; พวกแรกก็ เอากามมาแบกไวเป นของหนั ก เรียกวา กามู ป ธิ , พวกอื่ นก็ เอารู ป อรู ปบ าง เป นขั นธู ปธิ เป นอุ ปธิ คื อของหนั กด วยกั นทั้ งนั้ น. รวม ความวา ถายังติดอยูในกาม ในรูป ในอรูปแลว จะกลายเปนของหนักมาสําหรับให แบกไวโ ดยจิต ใจ จิต ใจมัน ก็ห นัก ; หนัก อยูก็เ ปน ทุก ข. อุป ธิ แปลวา แบก, แปลวาเขาไปทรงไวขางใต ก็คือแบกทูนไว แบกไว. อาการแบกมาจากกามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ ซึ่ งได มาเป นก อนหิ นหนั ก กดอยู บนหั วของคน ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ สลั บ สั บ เปลี่ ยนกั นไป; ตามธรรมดาโดยมากก็ เป นกามภพ แบกกามมาเป นก อนหิ น กดอยู บ นหั ว . สิ่ ง ทั้ ง หลายทั้ ง ปวง ธรรมทั้ ง ปวงที่ เป น ไปเพื่ อ ทุ ก ข เกิ ด ขึ้ น มาใน ลักษณะอยางนี้.

www.buddhadasa.info คนทํากรรมทั้งกุศล อกุศล เพราะโง ถูกธาตุกิเลสบังคับ

ทีนี้ลองดูตัวเรา ที่วาเราตองทําการงานเพราะกิเลส ตัณหา บังคับใหทํา ก็ เพราะว าเราโง ทํ าผิ ด เรื่องธาตุ จึ งได ผ ลมาตามลํ าดั บ จนได เป นทุ กข . ในชั้ น แรก เราไม รู อะไรเลย เราก็ ต องทํ าไปตามธรรมดาสามั ญ ที่ เขาทํ า ๆ กั น จึ งได ปรารถนากาม แสวงหากาม, กามปริเยสนาโดยตรงบ าง โดยทางอ อมบ าง โดยสลั บซั บซ อนหลายชั้ น บ าง; แต โดยเนื้ อแท ก็ คื อ กามปริเยสนา สํ าหรับมนุ ษย ธรรมดา ที่ เป นไปในกามภพ หรือกามภูมิ. เมื่อมีปริเยสนา ก็มีการทํากรรมเพื่อใหไดมาซึ่งสิ่งนั้น.


๑๖๐

ปรมัตถสภาวธรรม

กรรมนี้ ก็ ทํ ากั นอยู เห็ นกั นอยู หลาย ๆ แบบ ทางกายก็ มี ทางวาจาก็ มี ทางใจ ก็ มี ; กายกรรม วจี ก รรม มโนกรรม นี้ ก็ ทํ า กั น อยู เพราะอํ า นาจของกามปริ เยสนา บั งคั บ ให ทํ า ซึ่ งมี เป นชนิ ด ว า ชนิ ด กุ ศ ล ชนิ ด อกุ ศ ล คื อ ดี หรื อ ชั่ ว แล วก็ ชนิ ด ที่ ยั งไม อาจจะกลาวไดวา ดีหรือชั่ว คืออัพยากฤต นี้ก็มี. การทํ ากรรมเพื่ อให ได มาซึ่ งสิ่ งนั้ นก็ มี นานาแบบ, เพื่ อผลอั นนี้ ก็ นานาแบบ : บางคนก็ ทํ านา บางคนก็ ค าขาย บางคนก็ รั บ จ าง ทํ าไปตามที่ จะทํ าได , อย างนี้ ไม ผิ ด ที่ เรี ยกว าไม ผิ ดกฏหมาย. ที นี้ บางคนไม ได อย างใจ ก็ ทํ าสิ่ งที่ ผิ ดกฎหมาย ไปปล น ไปฆ า ไปขโมย ไปอะไรก็ ต ามใจ ซึ่ ง เป น กรรมเพราะกามปริ เยสนา มาบั ง คั บ ทั้ ง นั้ น แหละ. ขอใหไปดูอาชญากรรมตาง ๆ ลวนถูกบังคับใหกระทําขึ้นมาโดยกามปริเยสนา บางที ก็โดยตรง บางทีก็โดยออม บางทีก็ซับซอนหลายชั้น. กรรมนั้ น บางที ก็ เบี ย ดเบี ย นตนเอง, บางที ก็ เบี ย ดเบี ย นผู อื่ น , บางที ก็ เบียดเบียนทั้งตนเองและทั้งผูอื่น; นี่เปนทุกข เกิดมาจากการกระทํ ากรรม ที่กระทํ า ไปเพราะกามปริ เยสมา ซึ่ งมั น ก็ ไม ใช อ ะไรเลย นอกจากว าหลงเข าไปในสิ่ งเรีย กว า “ธาตุ ” ตามธรรมชาติ ที่ มี อ ยู ต ามธรรมชาติ ; ที่ ตั ว มนุ ษ ย ก ลุ ม นี้ ซึ่ งประกอบอยู ด ว ย ธาตุ ๖.

www.buddhadasa.info มนุ ษ ย ค นนี้ เป น กลุ ม ของธาตุ ๖ นี่ ; ในธาตุ นั้ น มี อ วิ ช ชาธาตุ รวมอยู ด วย จึ งเห็ นผิ ด ๆ ไปในเรื่ องที่ ไม รู , ไม รู แล วก็ เห็ นไปว าเป นเรื่ องที่ น าทํ า ควรทํ าไปเลย; อาการที่ ไปเอากามธาตุ มาปรุ งเป นกามสั ญญา กามสั งกั ปปะ กามสั มผั สสะ ฯลฯ อะไรต าง ๆ ก็เกิดขึ้น จนไดมีความทุกขเปนปกติเกี่ยวกับกามนั้น ๆ ที่เรียกวาเขาอยูในกามาวจรภูมิ.

ที่ กล าวมาเป นตั วอย างสํ าหรั บวั นนี้ ที่ แสดงให เห็ นว าธาตุ แท ๆ นี้ มั นปรุ งแต ง ๆ โดยละเอี ยด โดยกิ ริ ยาอาการลั กษณะอย างนั้ น อย างนั้ น ๆ จนเกิ ดสิ่ งทั้ งปวง คื อธรรม ทั้งปวงขึ้นมา ทั่วไปหมดในที่ทุกหนทุกแหง.


ลักษณะอาการที่ธาตุปรุงแตงสิ่งทั้งปวง

๑๖๑

ถาถือตามหลักพระพุทธศาสนา : ไมไดสอนใหดูขางนอก. ไมตองไปดู ขางนอก, ใหดูในจิตใจเรื่อย หรือวาอยางนอยก็ดูอยูที่กาย วาจา ใจ ของเรานี่ ที่กายที่วาจานี่ก็เรียกวาขางนอกหนอย แตมันก็เนื่องอยูกับใจ; ฉะนั้นก็เปนการดูขางใน. ขอให ดู จนเปนที่เขาใจ ดูทุกวัน ดูทุ กคราวที่ มั นเกิดเรื่องเกิดราวนี้ขึ้น; พอเข าใจสิ่ งนี้ ก็ จ ะเห็ น ธรรมทั้ งปวง จะเห็ น ธาตุ ทั้ งปวง; เห็ น ธรรมทั้ งปวงแล ว จะ แทงตลอดธาตุทั้งปวง แลวก็จะเขาถึงอมตธาตุได. วันนี้เราไมมีเวลาพอที่จะกลาว ถึ งในเรื่องนั้ น จะกล าวแต เพี ยงว า นี่ แหละคื อธาตุ ทั้ งปวง คื อธรรมทั้ งปวง ธาตุ ทั้ งปวง ปรุง แตง เปน ธรรมทั ้ง ปวง. ธรรมทั ้ง ปวงก็ไ มม ีอ ะไรนอกจากธาตุ ซึ่ง เพีย งแต ผสมผสานกันไปเรื่อย ๆ อยางนั้น อยางนี้ จนมีสิ่งทั้งปวงอยางนี้. ถ าเรามองเห็ นความจริ งข อนี้ ธรรมทั้ งปวงมี แต เรื่องของธาตุ นี้ ก็ คื อการแทง ตลอดธรรมธาตุ ม ากขึ้ น ๆ ๆ จนกว าจะสมบู รณ ; เมื่ อ เป น อย างนี้ ก็ เรี ยกว าเราเข าใจ พระพุ ทธศาสนา อยางอื่ นไม มี หนทางที่ จะเข าใจและเห็ นแจ งแทงตลอดพระพุ ทธศาสนา. การศึกษาที่ไดแตทอง ๆ จํา ๆ พระพุ ทธศาสนาไวตามตัวหนั งสือเชนนั้น ไมใชตัว พระพุทธศาสนาที่แทจริง เวนเสียแตวา เราจะทําในใจโดยแยบคายที่สุด จนแจมแจง ซึมซาบอยูในใจ ถึงลักษณะอาการอันละเอียดที่วา “ธาตุมันปรุงแตงขึ้นมาเปนธรรม ทั้ งปวงอย างไร” โดยนั ยที่ ได กล าวมาแล วตลอดวันนี้ ; ที่ แสดงวันนี้ มี วา ธาตุ ปรุงแต ง ใหเกิดธรรมทั้งปวงขึ้นมาไดอยางไร.

www.buddhadasa.info ศึกษาเรื่องธาตุใหแจมแจง เพื่อไมตกเปนทาสของวัตถุ เราศึ กษาพระพุ ทธศาสนาจากการศึ กษาว า “การที่ ธาตุ ปรุ งแต งสิ่ งทั้ งปวง ขึ้น มาในจิต ใจ เป น ลําดั บ ๆ อยางไร” นี้เรียกวาเปน ผูฉลาดในธาตุดวย เป น ผู ฉลาดในมนสิการดวย, สมตามลักษณะความฉลาดที่พระสารีบุตร อางเอาคําของ


๑๖๒

ปรมัตถสภาวธรรม

พระพุ ท ธเจ า มากล า ว ว า ความฉลาดนั้ น มี อ ยู ๒ อย า ง : ธาตุ กุ ส ลตา - เป น ผู ฉ ลาด ในเรื่ อ งของธาตุ , มนสิ ก ารกุ ส ลตา - ความฉลาดในการกระทํา ในใจ คื อ ทํ าในใจในเรื่ องธาตุ เข าใจเรื่ องธาตุ ถู กต องจนเกิ ดความไม ยึ ดมั่ นถื อมั่ น ในธาตุ ทั้ งปวง. ความฉลาด ๒ อยางนี้ เปนสิ่งที่พุทธบริษัทจะตองฝกฝนศึกษา ซักซอมอยาให ผิดได; ความเปนพุทธบริษัทก็จะปลอดภัย ถูกตอง หรือวาดีดวยกันแกทุก ๆ ฝาย. ขอให พ ยายามทํ าให สุ ด ความสามารถของตน ในการที่ จะมี ธ าตุ กุ ส ลตาความฉลาดในธาตุ , มนสิ ก ารกุ ส ลตา - ความฉลาดในการกระทํา ในใจใน เรื่องที่เกี่ยวกับธาตุ, ใหถูกตองครบถวนทุกประการ. ถ ายั งพู ด ผิ ด กั น อยู ถื อ ผิ ด กั น อยู ค านกั น อยู ก็ ต อ งมี ค วามโง อ ย างใด อย า งหนึ่ ง ของคนใดคนหนึ่ ง ในเรื่ อ งที่ เกี่ ย วกั บ ธาตุ ทั้ ง นั้ น จึ งได เกิ ด หลายลั ท ธิ หลายศาสดา, หรื อแม ว าในศาสนาเดี ยวกั น ยั งเช าใจขั ดแย งกั น ก็ เพราะไม เข าใจเรื่ อง ธาตุ โดยถู ก ต อ ง. เรื่ อ ง “ธาตุ ” นี้ เป น สิ่ ง ที่ รู แ จ ง ได ด ว ยจิ ต ใจแล ว ไม ต อ งใช เหตุ ผ ล อยางอื่น เพราะวาเปนเรื่องที่รูสึกดวยใจจริง ๆ.

www.buddhadasa.info ขอให พยายามกระทํ าไปเถิ ด ไม มี ทางที่ จะผิ ดได มี แต ว าจะช าหรื อเร็ วเท านั้ น ที่ เราจะรู แ จ ง ในสิ่ งที่ เรี ย กว า ธาตุ ที่ ป รุ งแต งกั น จนเป น อั น ทํ า นั่ น ทํ า นี่ ขึ้ น มา จนเป น ปญหายุงยากไปหมด จนกระทั่งมันจะดับลงไปไดดวยธาตุที่ตรงกันขาม คืออสังขตธาตุ. ที่ เราพู ด ทั้ ง หมดนี้ เป น สั ง ขตธาตุ -ธาตุ ที่ มี ป จ จั ย ปรุ ง แต ง ทํ า ไปก็ เกิ ด ความเบื่ อหน ายความเอื อมความระอา; เมื่ ออวิชชาค อย ๆ หมดไป จิ ตก็ ค อย ๆ เดิ นไปสู ธาตุ ที่ ต รงกั น ข า ม คื อ อสั ง ขตธาตุ ซึ่ ง จะทํ า ให นิ พ พานธาตุ ป รากฏออกมา หรื อ ว า อมตธาตุปรากฏออกมา. เป น อั น ว า วั น นี้ พ อสมควรแก เวลา ขอให พ ระสงฆ ส วดธรรมเป น ที่ ตั้ งแห ง ศรัทธา ปสาทะ วิริยะ เพื่อการศึกษาและปฏิบัติตอไป.


ปรมัตถสภาวธรรม

-๖๑๐ กุมภาพันธ ๒๕๑๖

หลักปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย,

การบ รรยายวัน เส ารใ น ชุด ป รมัต ถสภ าธรรมนี ้ ไดดํ า เนิน ม าเปน ครั ้ง ที ่ ๖ แลว ใน วัน นี ้.ใน ๕ ค รั ้ง ที ่แ ลว ม า ก็ไ ดก ลา วถึง แตเ รื ่อ งที ่เ กี ่ย วกับ ธาตุ; แมใ น วัน นี ้ก ็จ ะไดก ลา วถึง เรื ่อ งที ่เ กี ่ย วกับ ธาตุเ ปน ค รั ้ง สุด ทา ย โด ย หัวขอวา หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ.

www.buddhadasa.info การบรรยายเกี่ยวกับเรื่องธาตุนี้ ไดแสดงให เห็ นในแงใดแงหนึ่ งมาทุกครั้ง นับตั้งแตวาสิ่งที่เรียกวาธาตุนั้นคืออะไร ใหทราบไวกอนแตที่จะทราบเรื่องอื่นตอไป เปนลําดับมา, จนกระทั่งใหทราบวา สิ่งที่เรียกวาธาตุลวน ๆ นั้นปรุงใหเกิดสิ่งที่เรียกวา

๑๖๓


๑๖๔

ปรมัตถสภาวธรรม

อายตนะ หรื อ ขั น ธ หรื อ อุ ป าทานขั น ธ กระทั่ ง ความทุ ก ข ทั้ ง ปวง ขึ้ น มาได อ ย า งไร; ยั งได แสดงได เห็ นถึ งความเนื่ องกั น ระหว างธาตุ นานาชนิ ด หรื อนานากลุ มเป นกลุ ม ๆ ไป. ในครั้งสุด ท ายของวัน ที่ แล วมานั้ น แสดงถึงอาการที่ ธาตุ ป รุงแต งกัน ใหเกิดสิ่งที่ เรียกวาธรรม หรือธรรมทั้งปวง. ในวันนี้จะไดกลาวถึง หลั กปฏิ บั ติ เกี่ยวกั บสิ่ งที่ เรียกวาธาตุ ให ถู กต อง ตามธรรมชาติ ของสิ่งที่เรียกวาธาตุ เพื่ออยาใหความทุกขเกิดขึ้นจากสิ่งที่เรียกวา ธาตุ . ถ าสรุ ปความก็ อาจจะกล าวได ว า เรามี วิ ธี ปฏิ บั ติ ไม ให ความทุ กข เกิ ดขึ้ นจากการ ยึดถือธาตุ แมธาตุใดธาตุหนึ่ง วาเปนตัวเรา หรือเปนของเรานั่นเอง. สิ่งที่เรียกวาธาตุแลว ยอมเปนของธรรมชาติ เปนไปตามธรรมชาติ ตั้ งอยู ตามธรรมชาติ ; แม ที่ สุ ดแต จะเป นอสั งขตธาตุ หรือนิ พ พานธาตุ ก็ ตาม ก็ คงถื อ ว าเป นธรรมชาติ จะเอามาเป น ตั วเราไม ได จะเอามาเป นของเราไม ได . ถ าใครคิ ด ไป รูสึ ก ไป ในทํ านองเป น ตั วเรา เป น ของเรา นั้ น ก็ เป นความคิ ด ที่ ผิ ด แล วก็จ ะต อ ง เกิด ความทุก ขขึ้น เพราะความคิด ที่ผิด นั้น ไมวาในธาตุไหน. นี่เปนหลักใหญที่ จะต องปฏิ บั ติ เกี่ ยวกั บสิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ ; แต เพื่ อจะให ทราบโดยละเอี ยดยิ่ งขึ้ นไป ก็ มี การ พิ จ ารณาในส ว นที่ ลึ ก ซึ้ ง เรี ย กว า “ปรมั ต ถสภาวะ” ซึ่ ง เป น หั ว ข อ บรรยายของการ บรรยายชุ ด นี้ . ดั งนั้ น เราจะทํ า ความเข า ใจ เป น การทบทวนถึ งสิ่ งที่ เรี ย กว า ปรมั ต ถสภาวะนี้ กั น อี ก สั ก ครั้ งหนึ่ ง พอสมควรแก ก ารที่ จ ะทํ า ความเข า ใจเกี่ ย วกั บ การปฏิ บั ติ เรื่องธาตุ.

www.buddhadasa.info ทําความเขาใจเรื่องธาตุตามแนวปรมัตถสภาวะกอน คําวา ปรมั ต ถะ นี่ ก็แปลวา มี อั ต ถ อั น ลึ ก ซึ้ ง อั น สู งสุ ด หรือ อย างยิ่ ง; เมื่อพูดถึงลักษณะอาการ ก็สูงสุดอยางยิ่ง, พูดถึงประโยชนก็สูงสุดอยางยิ่ง แลวแตวา


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๖๕

จะมองกั นในแงไหนก็ เป นเรื่องสู งสุ ดอย างยิ่ ง; เรียกว าปรมั ตถสภาวะ คื อเป นสภาพตามที่ เป นอยู เอง และเป นอยู จริง ตามธรรมชาติ ในส วนที่ ลึ ก. เดี๋ ยวนี้ เราไม ค อยจะทราบ ถึง สว นที ่ล ึก ก็เ พราะไปคิด เสีย วา ไมค อ ยจะจํ า เปน . ความจํ า เปน มัน อยู ที ่ว า จะทํ าอย างไรกั นก อนกั บสิ่ งเหล านั้ น. จะยกตั วอย างให เห็ นง าย ๆ ว าเรามี ร างกายและ จิ ต ใจ เราก็ ใ ช ร า งกาย หรื อ จิ ต ใจของเรานี้ ใ ห ทํ า นั่ น ทํ า นี่ เป น ไปอย า งนั้ น อย า งนี้ โดยที่ เกื อบจะไม รูเรื่องปรมั ตถ ของรางกายและจิ ตใจเลย. ต องขออภั ยที่ จะยกตั วอย าง ดวยสัตวเดรัจฉานอีกตามเคย :จงมองดู ที่ สั ตว เดรั จฉานมั นเกิ ดขึ้ นมา มั นเจริ ญเติ บโต มั นกิ น มั นวิ่ ง มั นทํ า ทุ กอย างเป นไปตามธรรมชาติ โดยที่ มั นไม ต องรู ว ารางกายนี้ ประกอบด วยอะไร, จิ ตใจนี้ ประกอบด วยอะไร, หรื อโดยละเอี ยดถี่ ยิ บขึ้ นไป ที่ เรี ยกว าปรมั ตถธรรม หรื อปรมั ตถสภาวะ ปรมั ตถลั กษณะ; สั ตว เดรัจฉานเป นอย างนี้ . คนเราก็ เหมื อนกั นอี ก พอเกิ ด มาแลว ก็ทําอะไรไป ตามที่ ความรูสึกตองการใหทํา ใหกิน ใหเลน ใหทําอะไร ทุ กอย างที่ มนุ ษย ธรรมดาเขาทํ ากั น โดยที่ ไม ต องรูวา รางกายหรือจิ ตใจนี่ ประกอบอยู ด วย อะไรที่เปนสวนลึกซึ้ง; คนเราจึงไมคอยรูจักสวนที่เปนปรมัตถสภาวะ.

www.buddhadasa.info ป ญ หาก็ มี บ างว า เราควรจะรู จั กหรื อจะไม รู จั กกั นดี , หรื อถ าจะรู จั กก็ ควร จะรูจักสักเทาไร. สําหรับพุทธบริษัทเรา ถือกันวาควรจะรูจักปรมัตถสภาวธรรม ตามสมควร.

เรารู จั กวั ตถุ เครื่ องใช ในบ านในเรื อนของเราน อยมาก เพี ยงเท าที่ จะใช มั นได : เรามี น าฬิ ก าใช เราก็ ใช มั น เท า นั้ น เรื่ อ งลึ ก ซึ้ ง ของนาฬิ ก า ที่ มั น เกิ ด ขึ้ น มา มั น ปรุ ง ขึ้ น มา ทํ า กั น มาอย า งไร ไม รู . ถ า ไปเปรี ย บกั น กั บ พวกที่ เขาประดิ ษ ฐ น าฬิ ก าขึ้ น มา เขารูกวาเรามากมายเหลือที่จะคํานวณได; หรือวาเราไปซื้อรถยนตมา พอรับคําอธิบาย


๑๖๖

ปรมัตถสภาวธรรม

นิ ด หน อ ย ฝ ก ฝนกั น บ างนิ ด หน อ ย แล วก็ ขั บ ไปได ใช ป ระโยชน ได โดยที่ รู เรื่ อ งรถยนต นั้ น น อ ยมาก; ไม เ หมื อ นกั บ ผู ที่ เ ขาผลิ ต รถยนต ขึ้ น มา. นี่ ข อให นึ ก ดู ถึ ง ส ว นนี้ ว า ธรรมดาเราก็ไมค อยไดสนใจสวนที่ ลึกซึ้งเป นปรมั ตถ เราก็ใชรางกายนี้ตามแตที่จะใช ไปวันหนึ่ง ๆ. สิ ่ง ที ่เ รีย กวา “ป รมัต ถสภ าวะ” หรือ “ป รมัต ถลัก ษ ณ ะ” นี ้ม ีไ ด ในทุกสิ่ง นับตั้งแตวัตถุลวน ๆ :หมวดที่ ๑ วั ต ถุ ล ว น ๆ; เช น ในก อ นหิ น ก อ นดิ น อย า งนี้ มั น ก็ เ ป น วั ต ถุ ล ว น ๆ. แต อ ย า ลื ม ว า มั น มี ส ว นที่ ลึ ก ซึ้ ง ที่ เข า ใจไม ไ ด อ ยู อี ก มาก; ต อ งเป น ผู ที่ ศึ กษาเฉพาะทางนี้ จึ งจะรู เรื่ องนี้ โดยละเอี ยด และลึ กซึ้ งถึ งที่ สุ ด ราวกั บ ว าเขาจะสร าง ก อ นหิ น หรื อ สร า งอะไรขึ้ น มาได . นี่ ท างวั ต ถุ ล ว น ๆ ก็ ยั งมี ส ว นที่ เป น ปรมั ต ถสภาวะ; แต เมื่ อเราไม จํ าเป น เราก็ ไม ต องรู พวกที่ เขาจํ าเป นจะต องรู เขาก็ ต องรู เขาจึ งจะสามารถ ทํ า ก อ นหิ น ก อ นดิ น อะไรต า ง ๆ ให เป น ประโยชน ม ากที่ สุ ด ได ; นี้ ส ว นหนึ่ ง เรี ย กว า สวนวัตถุลวน ๆ.

www.buddhadasa.info หมวดที่ ๒ คือเนื้ อหนั งรางกายของคนเรา ก็ เป นวัตถุ เหมื อนกั น แต เป น วั ต ถุ ที่ แปลกไปจากก อ นหิ น ก อ นดิ น ; เพราะว าร างกายนี้ เป น ของสด เป น ที่ ตั้ งของชี วิ ต จึ งมี ค วามลึ ก ซึ้ ง เป น ปรมั ต ถลั กษณะมากขึ้ น ไปอี ก . เราก็ ไม ค อ ยรู เรื่ อ งร างกาย เช น ว า ร างกายนี้ ประกอบอยู ด วยธาตุ อะไรกี่ อย าง, ปรุ งแต งกั นอย างไร จึ งจะเกิ ดเป นความรู สึ ก ทางตา หู เปนตน ขึ้นมาได; นี้เรื่องทางกายแท ๆ ก็ยังรูนอยมาก. สู งขึ้ น ไปอี ก เป น หมวดที่ ๓ เรื่ อ งทางจิ ต ซึ่ งรวมทั้ งเรื่ อ งเจตสิ ก คื อ ความ รู สึ ก คิ ด นึ ก ที่ จ ะปรุ ง แต ง จิ ต ; เรื่ อ งจิ ต นี้ ก็ ยิ่ ง ละเอี ย ดลึ ก ซึ้ ง รวดเร็ ว ยิ่ ง ขึ้ น ไปอี ก เป น ปรมัตถที่มากขึ้นไปอีก กวาเรื่องของกอนดิน.


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๖๗

และในที่สุด หมวดที่ ๔ มี ธาตุ ที่ เรียกวา ธรรมธาตุ ที่ มีความหมายเป น กลาง ๆ หมายถึ งตั วธรรมชาติ ตั วธรรมดาอะไรต าง ๆ เหล านี้ , ก็ ยิ่ งมี ความลึ กซึ้ งยิ่ งขึ้ น ไปกว า เรื่ อ งจิ ต เรื่ อ งเจตสิ ก อะไรเสี ย อี ก ; เช น เรื่ อ งนิ พ พาน หรื อ ว า เรื่ อ งธรรมธาตุ อื่ น ๆ ที่ เป นกฎเกณฑ ตามธรรมชาติ ธรรมดาเป นต น ที่ จะทํ าให ร างกายหรื อจิ ตใจของ มนุษยนี้ เปลี่ยนแปลงไปตามกฎเกณฑนั้น ๆ; กฎเกณฑ นั้น ๆ ก็เปนธาตุอันหนึ่งดวย เหมือนกัน ยิ่งมีความลึกซึ้งมาก. เมื่อเปนดังนั้นแลว เราจะมองเห็นไดบางวา ความลึกซึ้งนั้ นมีอยูในทุกสิ่ง : จะเป นวั ตถุ ล วน ๆ ก็ มี ความลึ กซึ้ ง; อย างเข าใจวั ตถุ ล วน ๆ ว าไม มี ความลึ กซึ้ งอะไร มั นก็ มี ความลึ กซึ้ งพอๆ กั น กั บสิ่ งที่ มี ชี วิ ตจิ ตใจไปตามแบบของมั น. พวกที่ เขามี ความเข าใจ ลึ ก ซึ้ ง ในเรื่ อ งวั ต ถุ ล ว น ๆ นี่ เขาทํ า อะไรได ม าก อย า งไม น า เชื่ อ ยิ่ ง ขึ้ น ทุ ก ที ; อย า ง พลั งปรมาณู นี้ เป นเรื่ องวั ตถุ ล วน ๆ แต ว าลึ กซึ้ งถึ งที่ สุ ด เราเอามาใช เป นกํ าลั งงานก็ ได ใช เป นลู กระเบิ ดร ายแรง ทํ าให คนตายที ละแสน ที ละล านก็ ได ; คิ ดดู เรื่ องวั ตถุ ล วน ๆ มีความลึกลับอยูอยางนี้.

www.buddhadasa.info ยกตัวอยางมานี้ก็เพื่อจะใหเขาใจคําวาปรมัตถลักษณะนี้มีอยูแมในสิ่งที่เปน วั ต ถุ ล วน ๆ และสู งขึ้ น มาถึ งเรื่อ งร างกายมนุ ษ ย เรื่ อ งจิ ตใจของมนุ ษ ย กระทั่ งเรื่อ ง ธรรมชาติเรื่องกฎธรรมชาติ.

ที นี้ เราพุ ทธบริษั ทกํ าลั งศึ กษาธรรมะกั นอยู ในลั กษณะอย างนี้ ต องการจะรู เรื่องของปรมัตถสภาวธรรมตามที่ควร. เมื่อถือเอาตามหลักคําสั่งสอนของพระพุทธเจา ท านก็ แนะเรื่องธาตุ ขึ้ นมาก อน ซึ่ งก็ มี ความเป นปรมั ตถ มาก รายละเอี ยดบางอย างก็ ได พู ดกั นมาแล วทุ ก ๆ คราวที่ พู ดใน ๕ ครั้ งที่ แล วมา; ในครั้ งนี้ ก็ จะได สรุ ป ความให สั้ น วา มีสิ่งที่เปนปรมัตถสภาวะอยูในทุก ๆ สิ่ง.


๑๖๘

ปรมัตถสภาวธรรม

รางกายประกอบดวยธาตุนี้ก็เปนปรมัตถสภาวะ อย างว า ในร างกายเราคนหนึ่ งนี่ เมื่ อพู ดถึ งเรื่ องส วนร างกายล วน ๆ ก็ ว ามี อยู ถึ ง ๕ธาตุ ด วยกั น : ปฐวี ธาตุ ที่ เราชอบเรียกกั น ว า ธาตุ ดิ น , อาโปธาตุ ที่ ชอบ เรีย กกัน วา ธาตุน้ํ า ,เตโชธาตุ - ธาตุไ ฟ, วาโยธาตุ-ธาตุล ม, อากาสธาตุธาตุอากาส คือความวาง. เราไมคอยจะไดทราบกัน ไม คอยจะไดนึกกันวา รางกายนี้ ประกอบอยู ด วย ๕ ธาตุ อย างนี้ ; แต เรามั กจะได ยิ น ได ฟ งเมื่ อเขาพู ด หรือเมื่ อมี การแสดงธรรม ก็ พู ดถึ งเรื่ องว า ร างกายนี้ ประกอบด วยธาตุ สี่ ดิ น น้ํ า ลม ไฟ กั นบ าง; บางที ก็ บอก กั น ไปถึ ง ๕ ว าอากาศด ว ย, บางที ก็ บ อกไปถึ ง ๖ ว า มี วิ ญ ญาณธาตุ อี ก ธาตุ ห นึ่ ง . ที นี้ เอาแต ว าธาตุ เป นวั ตถุ มหาภู ต เช นธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม; เราก็ มั กจะ ฟ ง ไปในทางที่ มั น เป น ดิ น เหมื อ นกั บ ดิ น ข า งนอก, เป น น้ํ า เหมื อ นกั บ น้ํ า ในบ อ มอง ไปยั งลั ก ษณะนั้ น ทั้ งนั้ น ; แต ธ าตุ ในร างกายเรานั้ น มี ค วามละเอี ย ดลึ ก ซึ้ งยิ่ ง กว านั้ น เชนวา :-

www.buddhadasa.info ธาตุ ดิ น มั กจะระบุ กั นไปที ขน ผม เล็ บ ฟ น หนั ง อย างนี้ ก็ อาจจะคล าย กันกั บดินขางนอกก็ได จริงเหมื อนกัน; แตตามความมุ งหมายอั นแท จริงนั้ น คํ าวา ธาตุ ดิ น หรือปฐวีธาตุ นี้ หมายถึ งอะไรก็ ตาม ที่ มี คุ ณ สมบั ติ เป นของแข็ ง ใช เป น โครงร า งหรื อ โครงสร า งได . ธรรมดาของแข็ ง ก็ ต อ งกิ น เนื้ อ ที่ จึ ง จะเป น รู ป เป น โครง อะไรขึ้ นมา เพราะมั นแข็ ง; ฉะนั้ นสิ่ งใดก็ ตามที่ มี คุ ณ สมบั ติ แข็ ง ใช เป นโครงร างสร าง อะไรขึ้ น มาได นี้ ก็ เรี ย กว า ธาตุ ดิ น เช น จะสร า งเป น เส น ผม เส น ขน เล็ บ ฟ น หนั ง กระดู กอะไรขึ้ น มา ต องมี ส วนที่ เป น ของแข็ งนั้ น ยื น อยู เป น โครงร าง แล วเราก็ เรี ยกว า ธาตุดินได.


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๖๙

ส วนอาโปธาตุ นั้ น คื อ ธาตุ ที่ ช วยให เกิ ด การเกาะกั น ยึ ด กั น หรื อ ให เป น ความสด สํ าหรับเลี้ ยงสิ่ งที่ มี ชี วิ ต. เราพอจะเข าใจได ว า สิ่ งที่ สดเขี ยวอยู ได รอบตั วเรา เช นต นไม เป นต น ก็ เพราะมี อาโปธาตุ เลี้ ยงอยู . ส วนร างกายภายในของเราก็ เหมื อนกั น ที่ จะสดชื่ นอยู ได ก็ เพราะมี สิ่ งที่ เรียกว าอาโปธาตุ เลี้ ยง. ในรางกายเราไม ใช เป นก อนหิ น; แต มี เซลล เล็ ก ๆ ที่ มี ชี วิ ตต องการความชื้ น ต องการน้ํ า. ชี วิ ตนี้ ตั้ งต นในน้ํ า เกิ ดในน้ํ า ก็ตองมีน้ํา อันเปนสวนสําคัญแกการที่จะเลี้ยงชีวิตนั้นใหสดชื่น. เนื้ อ หนั งของคนเรานี่ เมื่ อ แยกออกเป น เซลล เล็ ก ๆ เป น ตั วเล็ ก ๆ เรี ย กว า เซลล ห นึ่ ง ๆ, เป น โครงสร า งขึ้ น มาด ว ยของแข็ ง ; แต ว า มั น เล็ ก ละเอี ย ดมาก แล ว ในนั้ น มี เ ยื่ อ วุ น ที่ ส ด ที่ มี ชี วิ ต ซึ่ ง ต อ งการธาตุ น้ํ า ที่ ห ล อ เลี้ ย เซลล นี้ ไ ว เป น ส ว น ย อยที่ สุ ดของเนื้ อหนั งเรี ยกว าเซลล หนึ่ ง มี โปรโตปลาสซึ มอยู ข างใน สดอยู ใได เพราะมี น้ํ าเลี้ ยง. ถ าไม มี น้ํ าเลี้ ยงเซลล ก็ ตายหมด รางกายก็ เลยตาย ด วยอย างนี้ เป นต น; ฉะนั้ น อาโปธาตุนั่น คือสวนที่จะชวยเลี้ยงใหเกิดความสด. และชวยใหเกิดการเกาะกุม ยึดหนวงกันไวได.

www.buddhadasa.info คํ าว า “น้ํ า” นี่ มี ลั กษณะเกาะกุ ม คื อมั นจะวิ่ งเข าหากั นเรื่ อย ไม ยอมจาก กั นตามปกติ เว นไว แต จะมี อะไรมาทํ าให แยกออกจากกั น แต แล วมั นก็ พยายามที่ จะกลั บ เข ารวมกั น มั นจึ งมี การเกาะกุ มเป นน้ํ าอยู ได แล วก็ เลี้ ยงสิ่ งต าง ๆ ให สดอยู ได ; คุ ณสมบั ติ อั น นี้ เองที่ เรี ย กกั น ว า ธาตุ น้ํ า . ไม จํ า เป น จะต อ งระบุ ที่ น้ํ า เลื อ ดน้ํ า หนอง; น้ํ า อะไรก็ ไดเพราะมีทั่วไปหมด ที่จะเปนธาตุน้ํา ที่จะหลอเลี้ยงสวนนอย สวนเล็กที่สุดของ เซลลที่ประกอบกันเปนชีวิต แลวก็ประกอบกันเปนรางกายเรานี้. เตโซธาตุ คือ ธาตุไ ฟ ถา ไปนึก ถึง ไฟขา งนอกไมถ ูก เพราะในที ่นี้ ในภายในคนนี่ก็มีธาตุไฟ; หมายถึงอุณหภูมิหรือความรอนระดับหนึ่ง ซึ่งจําเปน;


๑๗๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ร อ นมากก็ ไม ได ร อ นน อ ยก็ ไม ได ; ต อ งร อ นเท านี้ สิ่ งที่ เรี ย กว าน้ํ า มั น จึ งจะทํ างานได , สิ่ งที่ เรี ยกว าดิ นจึ งจะทรงอยู ได , เป น อุ ณ หภู มิ ในระดั บ ที่ พ อเหมาะแก สิ่ งต าง ๆ ตั้ งอยู ได และเจริ ญ งอกงามออกไป กระทั่ งทํ าให สิ่ งที่ ควรจะสลายไป ก็ ได สลายไป เปลี่ ยนอั นใหม ขึ้ น มา นี่ เ ตโชธาตุ หรื อ ธาตุ ไ ฟ ทํ า หน า ที่ อ ย า งนี้ ; คุ ณ สมบั ติ ใ ดที่ ทํ า หน า ที่ อ ย า งนี้ เราเรียกคุณสมบัตินั้นวา ธาตุไฟ - เตโชธาตุ ที่อยูขางในรางกาย. วาโยธาตุ ห รื อ ธาตุ ล ม ก็ มี คุ ณ สมบั ติ อี ก ทางหนึ่ ง คื อ จะต อ งระเหยได จะต อ งเคลื่ อ นย ายได จะต อ งยื ด หยุ น ได ; เพราะอาศั ย คุ ณ สมบั ติ ของธาตุ ล ม เราจึ ง มี ค วามไหลเวี ย นในร างกาย มี ยื ด หยุ น ได มี ก ารระเหยออกมาได หรื อ ดู ด ซึ ม เข าไปได เป นหน าที่ ของส วนที่ เรี ยกว าเป นวาโยธาตุ . วาโยธาตุ นี้ ไม เฉพาะแต จะเล็ งถึ งลมหายใจ อย างเดี ยว; นั้ น มั นง ายเกิ น ไป. ยั งมี วาโยธาตุ อย างอื่ น ๆ ที่ ลึ กลั บ ซั บ ซ อนละเอี ยด ที่ จะ ทําใหรางกายนี้มีชีวิตอยูได ประกอบกันดวยธาตุอื่นหลาย ๆ ธาตุ. คํ า ว า ธาตุ ล มนี้ หมายถึ ง ความลอยไปได ระเหยไปได ซึ่ ง จะเป น สื่ อ อะไร ที่ จะทํ าให ร างกายนี้ มี การถ ายเข า ถ ายออก ด วยของที่ ละเอี ยด คื อรั บเอาธาตุ อากาส ภายนอกเข า ไปภายใน, ภายในออกมาภายนอก ได ทั่ ว ทั้ ง ตั ว ; ไม เ ฉพาะแต ก าร หายใจ แม แต ในเนื้ อ ในหนั งก็ ต อ งมี ก ารระเหย มี การเปลี่ ย นแปลงในลั กษณะนี้ อ ยู ด วย เปนหนาที่ของวาโยธาตุ.

www.buddhadasa.info อั น สุ ด ท ายที่ เนื่ องกั น อยู กั บ ร างกาย ก็ เรี ย กว า อากาสธาตุ ; อากาสธาตุ นี้ ก็ ห มายถึ ง ที่ ว า ง มี ห น า ที่ มี คุ ณ สมบั ติ คื อ ให เนื้ อ ที่ , ให เนื้ อ ที่ ที่ ธ าตุ อื่ น ๆ จะได ตั้ ง อยู , หรื อ จะเจริ ญ งอกงามออกไป. นี่ เป น สิ่ ง ที่ จ ะต อ งพิ จ ารณาดู ว า ถ า ไม มี ที่ ว า ง ให แล ว สิ่ งต าง ๆ จะมาปรากฏได อ ย างไร. ที่ ดู กั นอย างหยาบ ๆ ง าย ๆ เหมื อ นเช น ว า ถาไมมีที่วางเราจะเดินมาไดอยางไร หรือจะนั่งลงไดอยางไร; มันตองมีที่วางให.


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๗๑

คุณสมบัติที่ใหเนื้อที่อยางนี้ เรียกวาอากาสธาตุ ก็มีสวนที่ประกอบกัน อยู ในร างกายนี้ ให ผม ขนเล็ บ ฟ น หนั ง เป นต น ได มี เนื้ อที่ ได ตั้ งอยู , ให ธาตุ อื่ น ๆ ทุ ก ๆ ธาตุ ที่ ทํ าหน าที่ ของแต ล ะธาตุ นั้ น มี เนื้ อ ที่ สํ าหรั บ เกิ ด ขึ้ น สํ าหรั บ ปรุ งแต งกั น และสําหรับเปนไปได; นี่เปนหนาที่ของอากาสธาตุ. ถาพูดอยางปรมัตถ เขาก็พูดกันวาอากาสธาตุ นี้ เปนฐานสําหรับรองรับ ธาตุ อื่ น ๆ. พู ด อย า งนี้ ค นก็ จ ะฟ ง ไม เข า ใจ; อากาสมั น ว า ง แล ว ก็ ไ ม ใ ช ข องแข็ ง อะไร, แล ว มั น จะเป น ฐานรองรั บ ธาตุ อื่ น ๆ ได อ ย า งไร. นี่ ห มายความว า พู ด กั น อยางปรมัตถ ทุกสิ่งทุกอยางจะตองวางอยูบนอากาสธาตุ หรือบนที่วาง, แมวาเรา จะนั ่ง อยู บ นพื ้น ดิน พื ้น ดิน นี ้ก ็ย ัง บนสิ ่ง ที ่ม ัน รองรับ พื ้น ดิน , ใตล งไปเปน โลก ใต โลกทั้ ง โลกนี้ ก็ เป น ที่ ว า ง. ที นี้ ไม ต อ งคิ ด อย า งนั้ น แม ที่ นี่ ในที่ เฉพาะแห ง เล็ ก ๆ น อ ย ๆ นี่ ก็ ต อ งมี สิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง ซึ่ ง วางอยู บ นที่ ว า งทั้ ง นั้ น ; ไม มี ที่ ว า งแล ว ธาตุ ดิ น ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ไมมีที่จะตั้ง ไมมีที่จะวาง ไมมีที่จะอาศัย.

เราจําเปนตองรูจักธาตุ เพื่อแกปญหาเรื่องทุกข

www.buddhadasa.info นี้ จึ งถื อว า แม แต สิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ ที่ ประกอบกั นขึ้ นเป นเรา คนหนึ่ ง ๆ นี่ เราก็ รู จั ก มั น น อ ย; เมื่ อ ไม จํ า เป น เราไม รู จั ก ก็ ได ; แต ถ า เกิ ด ป ญ หา เป น ความทุ ก ข ขึ้นมา เราก็ตองรูจัก เทาที่จะแกไขความทุกขนั้นได.

พระพุทธเจาทานไดตรัสไววา เมื่อใด ธาตุถูกปรุงแตงใหเกิดขึ้น (ใหมี คาเทากับเกิดขึ้น ใหมีคาเทากับออกมา) เมื่อนั้นเปนความทุกข; ขอนี้กินความ ทั้งทางวัตถุ ทั้งทางจิตใจ. ที่วา “ธาตุใ ดจะเกิด ขึ้น มา ปรากฏออกมา” ก็เพราะวา มนุษ ยไป ยึดถือมันเขา วาธาตุดินของฉัน ธาตุน้ําของฉัน ธาตุไฟของฉัน, หรือวาทั้งหมดนี้เปน


๑๗๒

ปรมัตถสภาวธรรม

ของฉั น อะไรก็ ต ามใจ; พอไปมี ค วามยึ ด ถื อ อย า งนี้ เข า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ นั้ น ก็ มี ลั ก ษณะเหมื อ นกั บ “ออกมา”; ก อ นนี้ เหมื อ นกั บ ไม ได อ อกมา เพราะไม มี ใครไป สนใจมั น . พอมี ก ารยึ ด ถื อ ก็ เหมื อ นกั บ ออกมาปรากฏขึ้ น หรื อ ว า ตั้ งอยู ด วยความ ยึดถือของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่ไมมีสติปญญาอันถูกตอง ก็เลยเปนทุกขขึ้นมา. ทีนี้ เพื่อจะแกไขความทุกขนี้ เราก็เลยจําเปนขึ้นมาทีเดียว ที่จะตอง รูเรื่องสิ่ งที่ เรียกว าธาตุ : วาธาตุ นั้ นคื ออะไร? มี ความมั่ นหมายวาเป นเราเป นของเรา หรือไม? เลยทําใหตองมีความรูในขั้นที่เรียกวา ปรมัตถธรรมขึ้นในสิ่งที่เรียกวาธาตุ. ต อไปอี กก็ ยิ่ งมี การปรุ งละเอี ยดออกไปอี ก ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม อากาสธาตุ กระทั่งวิญญาณธาตุ เมื่อเปนธาตุอยางธรรมดานั่น ยังทํ าหน าที่ อะไรไม ได ก็ไมม ีป ญ หาอะไร; แตพ อธาตุทํ าหนาที่ข องมัน ไดเมื่อ ไร ก็ม ีป ญ หาเมื่อ นั้น . เช น ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ได เหตุ ได ป จ จั ย ปรุ งแต ง กั น ขึ้ น เป น ร า งกาย เป นที่ ตั้ งที่ อาศั ยของจิ ต ของวิญญาณ ก็ ทํ าให เกิ ดธาตุ สํ าหรับรูทางตา สํ าหรับรูทางหู สํ าหรั บรู ทางจมู ก สํ าหรั บรู ทางลิ้ น ทางผิ วหนั ง ทางใจเอง ขึ้ นมา เหมื อนอย างที่ พ ระ ท านสวดเมื่ อตะกี้ นี้ . เดี๋ ยวก็ มี ป ญหาเกิ ดขึ้ นมาทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ นทางกาย ทางใจ; เรียกวาธาตุ ทําใหเกิดปญหาขึ้นมา.

www.buddhadasa.info บางที เราก็ ไปยึ ด ถื อ เอาตรงที่ ธ าตุ . บางที ก็ ไปยึ ด ถื อ เอาตรงสิ่ งที่ ธ าตุ ปรุง แตง ขึ ้น มา; เชน วา เนื ้อ หนัง เปน ที ่ตั ้ง แหง ความสัม ผัส ทางกาย มีค วามอบอุ น มี ความนิ่ มนวล อะไรต าง ๆ ซึ่ งเมื่ อบุ คคลไม รูสึ กว าเป นธาตุ แล ว ก็ ไปหลงใหลในเนื้ อหนั ง นั้นได. ถามีความรูถูกตองอยูวา เปนเพียงสักวาธาตุ ก็คงจะไมหลงใหล หรือ วาจะยับยั้งได ไมถึงกับหลงใหล.

นี่ก็คือขอที่ เป นป ญหา และเป นความลึกลับซอนเรนอยู จนตองเรียกชื่อ กันวา ปรมัตถธรรม คือธรรมชั้นปรมัตถ, หรือปรมัตถลักษณะ ลักษณะในชั้น


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๗๓

ปรมั ตถ ; เป นเหตุ ให ต องรู ส วนที่ ลึ กที่ ละเอี ยด ที่ เป นปรมั ตถ นี้ ตามสมควร. ถ าจะรู หมด มัน ก็รู ไ มไ ด สํ า หรับ คนธรรมดา; แมจ ะรู ไ ดม ัน ก็เ กิน จํ า เปน , ไมม ีป ระโยชนอ ะไร คือไมจําเปนจะตองไปรูสวนที่ไมเปนปญหา. ป ญ หาในที่ นี้ คื อ ความทุ ก ข , เมื่ อ จะแก ค วามทุ ก ข ไ ด นั่ น แหละ เป น ส ว นที่ ค วรรู ; ถ า นอกไปจากนั้ น แล ว เราไปนอนเสี ย ไม ดี ก ว า หรื อ จะไปทํ า ให ลํ า บาก ทํ า ไม หรื อ ทํ า ไปมั น เกิ น ; พอมั น เกิ น ก็ จ ะสร า งความทุ ก ข แ บบอื่ น ขึ้ น มาก็ ได . นี่ ต อ ง ถื อ หลั ก ที่ ว าพอเหมาะพอดี หรื อ มั ช ฌิ ม าปฏิ ป ทาอยู นั่ น เอง. เราจะรู จั ก สิ่ งทั้ งปวงสั ก เท าไร? เราก็ ต อบว า เท าที่ จ ะแก ป ญ หาได , คื อ ว า พอเหมาะพอดี ที่ จะแก ป ญ หาได ไมตองมากกวานั้น แลวก็ตองไมนอยกวานั้น. ที นี้ เราก็ ดู สํ า หรั บ เรื่ อ งธาตุ ว า เราจะต อ งรู กั น สั ก เท า ไร; เมื่ อ คนบางคน เขาไม มี ป ญ ญาจะรู ไ ด ก็ ไ ม ต อ งรู ม าก. คนที่ อ าจจะรู ไ ด ก็ รู ก็ ค งจะมี ป ระโยชน บ า ง ไม ม ากก็ น อ ย; แต ทุ ก คนจะต อ งรู เ ท า ที่ จํ า เป น จะต อ งรู คื อ ที่ จ ะดั บ ทุ ก ข ไ ด . ที่ จ ะ ต องรู เป นส วนสํ าคั ญที่ สุ ด ก็ คื อรู การที่ สิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ นั่ น ว าจะปรุ งแต งให เกิ ดความทุ กข ขึ้นมาไดอยางไร.

www.buddhadasa.info ถา เราจะมองดูทั ้ง หมดในบรรดาธาตุทั ้ง หมด ก็พ อจะแยกออก ไปไดเ ปน สองฝา ยดว ยกัน : ธาตุพ วกหนึ ่ง เปน ธาตุที ่ม ีห นา ที ่สํ า รหับ กระทํ า , หรื อเป น ฝ ายกระทํ า เช น ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ๖ อย างนี้ ก็ ล วนแต เป น ธาตุ ห นึ่ ง ๆ เรี ย กว า จั ก ขุ ธ าตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ อะไรเป น ต น อย า งนี้ ; ธาตุ ฝ า ยนี้ มั น เป น ฝ า ย ที่จะกระทํา. ธาตุ อี ก ฝ า ยหนึ่ ง จะเป น ฝ า ยที่ ถู ก กระทํ า ; นี่ ก็ คื อ รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ ก็เรียกวา รูปธาตุ สัททธาตุ คันธธาตุ รสธาตุ กระทั่ง


ปรมัตถสภาวธรรม

๑๗๔

โผฏฐัพพธาตุ และธรรมธาตุ ๖ อย างนี้ เป นฝ ายที่ จะถู กอี กฝ ายหนึ่ งกระทํ า ฝ ายที่ กระทํ าก็ คื อ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ ๖ ธาตุนี้เปนธาตุ ฝายที่จะกระทําตออีกฝายหนึ่งที่เปนคูกัน.

พิจารณาฝายที่เปนผูกระทํา ยกตั ว อย า งธาตุ แ รกก็ คื อ จั ก ขุ ธ าตุ -ธาตุ ต า ก็ ก ระทํ า แก ธ าตุ ฝ า ยที่ ถู ก กระทําคือรูป ที่จะเห็นดวยตา, แลวจะเกิดธาตุที่เรียกวา วิญญาณธาตุขึ้นมาทางตา, การเห็ น ทางตา หรื อ จั ก ขุ วิ ญ ญาณ; อั น นั้ น เรี ย กว า ผั ส สะ : หรื อ ลั ก ษณะ ๓ ธาตุ พบกั น ก็ เรี ย กว า ผั ส สะ. ผั ส สะให เกิ ด เวทนา-เวทนาให เกิ ด ตั ณ หา-เกิ ด อุ ป าทานเกิ ด ภพ-เกิ ดชาติ -แล วก็ เป น ทุ ก ข ทั้ งปวง. นี่ อ าศั ยธาตุ ฝ ายแรกคื อ จั กขุ ธาตุ ที่ จะเป น ผูกระทํา; นี่เรามองในสายฝายนี้ ฝายที่เปนผูกระทํา.

พิจารณาฝายที่ถูกกระทํา ที นี้ เรามองจากทางสายฝ ายที่ ถู กระทํ า คื อรูปธาตุ ; รูปธาตุ นี้ ทํ าอะไร เองไมได ตองมี จักขุธาตุ เป นผูกระทํา; แลวรูปธาตุ-ธาตุสําหรับตาเห็น, สําหรับตา -จัก ษุ เห็น . เมื ่อ ตาไดเ ห็น แลว , รูป ธาตุนี ้ก ็ใ หเ กิด รูป สัญ ญ าขึ ้น มา สํ า คัญ มั่ นหมายวา รูปอะไร; แล วเกิ ดรู ปสั งกั ป ปะขึ้ นมา คื อความใคร ความดํ าริในรูปนั้ น; แล ว เกิ ด รู ป สั ม ผั ส คื อ สั ม ผั ส ต อ รู ป ในทางมโน ในทางมโนคติ ในทางภาพ ในทาง ภายใน สัมผั สรูป นั้ นเป นรูปสั มผัส; แลวเกิดเวทนาขึ้นมา เป นรูปสั มผั สสชาเวทนา ขึ ้ น ม า; ก็ เ กิ ด รู ป ฉั น ท ะ-ค วาม พ อ ใจใน รู ป นั ้ น ; เกิ ด รู ป ป ริ ฬ าห ะ-เร า ร อ น ทนอยู ไ ม ไ ด เพราะรู ป นั้ น ; เกิ ด รู ป ปริ เ ยสนา -ขวนขวายเพื่ อ จะให ไ ด ม าซึ่ ง รู ป นั้ น ; เกิ ด รู ป ลาภะ การได ม าซึ่ ง รูป นั้ น ; แล ว เกิ ด การบริ โภคซึ่ ง รู ป นั้ น ก็ เป น รู ป ปริ โภคะ; แลว ก็ต อ งเกิด รูป ตัณ หา ในรูป นั ้น , เกิด อุป าทานในรูป นั ้น , เกิด ภพในรูป นั ้น , เกิดชาติในรูปนั้น, เกิดทุกขทั้งปวงในรูปนั้น; มันไปจบลงอยูที่ทุกขทั้งปวง.

www.buddhadasa.info


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๗๕

ถ าตั้ งต นมาจากตา มั นก็ มาในแนวของปฏิ จจสมุ ปบาทแบบหนึ่ ง จนกระทั่ ง เกิ ด ความทุ ก ข ทั้ ง ปวง; ถ า ตั้ ง ต น มาจากรู ป ที่ ม ากระทบตา มั น ก็ เกิ ด กระแสแห ง ปฏิ จจสมุ ปบาทอี กแบบหนึ่ ง เพราะว าเล็ งเอาทางฝ ายรู ปเป นหลั ก เกิ ดสั ญ ญา สั งกั ปปะ ผั ส สะ เวทนา เป น ต น จนในที่ สุ ด ก็ เ กิ ด ตั ณ หา อุ ป าทาน และเกิ ด ภพ เกิ ด ชาติ คือทุกขทั้งปวงอีกเหมือนกัน. นี้ เป น ตั ว อย า งที่ แ สดงให เห็ น ว า ธาตุ ไหนก็ ต ามเถอะ ถ า ไปเกิ ด ปรุ ง แต ง กั นขึ้ น แล วมี ความสํ าคั ญมั่ นหมายด วยอวิ ชชา ด วยตั ณหา อุ ปาทาน ละก็ นํ าไปสู ความ ทุ ก ข ทั้ ง นั้ น . ดั ง ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นตรั ส ว า การเกิ ด ขึ้ น แห ง ธาตุ คื อ การเกิ ด ขึ้ น แหง ทุก ข, หรือ การตั ้ง อยู แ หง โรค (คือ ความตอ งทนทรมาน), หรือ การ ปรากฏออกมาแหง ชาติ ชรา มรณะ คือ ความทุก ขทั ้ง ปวง. ถา เราไมศ ึก ษา อย างนี้ เราก็ ไม เข าใจคํ าที่ พระพุ ทธเจ าท านตรั สไว ดั งคํ าที่ พระสงฆ เอามาสวดเป นข อแรก ตั้งแตการบรรยายชุดนี้ไดเริ่มแรกมาคือเรื่องธาตุ.∗ พิ จ ารณาดู จ ะเห็ น ว า จากธาตุ ทั้ ง ปวงที่ มี อ ยู ไม ว า ธาตุ ไหนหมด ตั้ งต น ที่ นั่ น แล ว มาจบลงที่ ค วามทุ ก ข ไ ด ทุ ก ธาตุ เลย; จากที่ รูป ก็ ได ที่ เสี ย งก็ ได ที่ ก ลิ่ น ที่รสก็ได ที่ตา หู จมูก ลิ้น ที่กายอันไหนก็ได.

www.buddhadasa.info พิจารณาจากผลที่เกิดขึ้นมา

บางที ก็ ไ ม ร ะบุ ไ ปยั ง ตั ว ธาตุ ที่ เป น ฝ า ยกระทํ า หรื อ ฝ า ยถู ก ระทํ า ; แต ไ ป ระบุ เ อาธาตุ ที่ เ ป น ผล ที่ เกิ ด มาจากการกระทํ า หรื อ การถู ก กระทํ า ก็ มี ; ถ า อย า งนี้ ก็ใช คํ าเรียกไปอี กอย างหนึ่ ง เรียกวา กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ นี่ หมายถึ งความรู สึกที่เกิดเปนสุขขึ้นมาในใจ หรือวาจะเปนทุกขก็แลวแต.

(ดูคําสวดเรื่องธาตุทายเลม)


๑๗๖

ปรมัตถสภาวธรรม

ที่ เป นกามธาตุ ก็ คื อ ว า ให เกิ ค วามใคร ในทางกาม ทางสามั ญ สั ตว ที่ มี ความรูสึ กทางกาม; หรื อถ าเป นรู ป ธาตุ ก็ เป นความสุ ข ที่ ไม เกี่ ยวกั บกาม แต มี รู ปเป น ที่ตั้งแหงความเปนสุข. ที นี้ ถ าละเอี ยดไปกว านั้ นก็ มี เป นอรู ปธาตุ ไม ต องมี รู ป แต เป นที่ ตั้ งความ รู สึ ก คิ ด นึ ก ก็ ทํ า ให เ กิ ด ความรู สึ ก เป น สุ ข ยึ ด มั่ น ในอรู ป ธาตุ นั้ น ได เหมื อ นกั น . ฉะนั้ น กามธาตุ ก็ เป นที่ ตั้ งแห งความยึ ดมั่ นถื อมั่ น, รู ปธาตุ ก็ เป นที่ ตั้ งแห งความยึ ดมั่ น ถือมั่น, อรูปธาตุ ก็เปนที่ตั้งแหงความยึดมั่นถือมั่น, ทั้งหมดมันมีไดเทานี้เพียง ๓ ธาตุ. ถาพ นจากนี้ ก็ จะเป นนิ พพานธาตุ ซึ่งไม เป นที่ ตั้งแห งความยึดมั่ นถือมั่ นได แต ว า ใครห า มใครไม ได . ใครจะไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ก็ ได ; แต ที่ แ ท เป น สิ่ ง ที่ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ไม ไ ด เพราะว า ถ า ไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ก็ ไ ม มี นิ พ พ าน ไม มี นิ พ พ านธาตุ ไม เ ป น นิ พพานธาตุ . ฉะนั้ น ธาตุ เหล านี้ ก็ เป นที่ ตั้ งแห งความยึ ดมั่ นถื อมั่ น จะเป นกามหรื อเป นรู ป เป น อรู ป แล ว ก็ เป น ทุ ก ข ในที่ สุ ด . นิ พ พานไม เป น ที่ ตั้ งแห ง ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ; ใครขื น ไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เข า ก็ เป น ความทุ ก ข อี ก แบบหนึ่ ง ไม มี ป ระโยชน อ ะไร ก็ แ ปลว า ธาตุ ทุกธาตุ ไมควรยึดมั่นถือมั่น.

www.buddhadasa.info พึงศึกษาใหเขาใจวาธาตุทุกธาตุ ไมควรยึดมั่นถือมั่น แม จะแยกเป นสั งขตธาตุ -ธาตุ มี ป จจั ยปรงุ แต งทั้ งหมดทั้ งสิ้ ง มี มากมายนั บ ไม ไ หว นี่ ก็ ไ ม ค วรยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ; แม เป น อสั ง ขตธาตุ ไม มี อ ะไรเป น ป จ จั ย ปรุ ง แต ง และมี เพี ยงอย างเดี ยว นี่ ก็ ไม ควรยึ ดมั่ นถื อมั่ นอยู นั่ นแหละ. พึ งถื อว า ธรรมทั้ งปวงไม ควร ยึดมั่นถือมั่น วาเราก็ตาม วาของเราก็ตาม ไมวาจะเปนสังขตธาตุ หรืออสังขตธาตุ. ทั้ งหมดนี้ เป น การสรุ ป ใจความให สั้ น ๆ ย อ ๆ เข ามาอี ก ครั้ งหนึ่ ง จากการ บรรยายหลาย ๆ ครั้ง วา ธาตุทั้งปวงนี้ ไมเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่นถือมั่นตาม


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๗๗

ธรรมชาติ ; แตคนเราก็ไปยึดมั่ นถือมั่ นเอาจนได เพราะอํ านาจของความไม รูวานี้ ไม ควรยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น . ลั กษณะหรื อภาวะที่ ไม ค วรยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น นั้ น ลึ กเกิ น ไป, คื อ เป น ปรมั ต ถสภาวะ ซึ่ งลึ ก เกิ น ไป มองไม เห็ น จึ งได ไปหลงรั ก หลงยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น . หรื อ ว า โกรธด วยยึ ดมั่ นถื อมั่ น, หรือไปสงสั ย ไปพั วพั นด วยความยึ ดมั่ นถื อมั่ น. พู ดกลั บกั นอี ก ที่หนึ่ งวาไปยึดมั่ นถือมั่ น สําหรับจะรักก็ มี, ยึดมั่นถือมั่ นสําหรับจะเกลียดก็มี , สําหรับจะ กลัวก็มี สําหรับจะพะวงสงสัยลังเลก็มี; เปนเรื่องความยึดมั่นถือมั่นแลวก็จะตองเปน ทุกขทั้งนั้น. ถ าเรามารู ว า เราไม ต องยึ ดมั่ นถื อมั่ น เพื่ อจะเป นทุ กข อย างนั้ น ๆ; เราต อง การอะไรก็ ทํ าไป ตามที่ ควรจะต องการ ให สํ าเร็จประโยชน ที่ จํ าเป นที่ จะต องการ; เช น จะกิน จะอยู  จะนุ ง จะหม อะไรก็ทํ า ไป โดยที ่วา ทุก สิ ่ง เปน ธาตุธ รรมชาติ อยา ไปยึ ดมั่ นถื อมั่ น. นี่ เริ่มแสดงให เห็ นวา การปฏิ บั ติ ธรรมนี้ จํ าเป นอย างไร ที่ เราจะต อง ไมยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง จึงจะไมมีความทุกข. ทีนี ้เ รามองดูต อ ไปวา เราตอ งอ ยู ด ว ยเห ตุ ปจ จัย แวดลอ ม ปรุงแตง ตามที่จําเปนอยางไร.

www.buddhadasa.info ข อ นี้ รั บ รู กั น ทั่ วไปแล ว ว า ถ า สํ า หรั บ ชี วิ ต ล ว น ๆ เราจะต อ งมี อ าหารกิ น เราจะต องมี เครื่ องนุ งห ม เราต องมี ที่ อยู ที่ อาศั ย เราจะต องมี หยู กยา หรื อการบํ าบั ด โรคภั ยไข เจ็ บ นี่ อย างน อยก็ ๔ อย างแล ว. สี่ อย างดั งกล างนั้ น ถ าดู ให ดี ก็ เป น ธาตุ ทั้ ง นั้ น แหละ : อาหาร ก็ เป น ธาตุ ใดธาตุ ห นึ่ ง ประกอบกั น ขึ้ น เป น อาหาร, เสื้ อ ผ า เครื่อ งนุ งห ม ชนิ ด ไหนก็ ต ามใจ ชนิ ด ไหนก็ ล วนแต เป นธาตุ ช นิ ด หนึ่ ง , ที่ อ ยู ที่ อ าศั ย บ านเรือน เครื่ องใช ไม สอยรอบตั วเราก็ เป นธาตุ เป นธาตุ ใดธาตุ หนึ่ งซึ่ งประกอบกั นอยู สักวาธาตุเทานั้น, ยาสําหรับแกโรคภัยไขเจ็บ ก็ยิ่งเปนธาตุที่เห็นไดชัด ๆ วาประกอบ ขึ้นดวยธาตุนั้นธาตุนี้; ทุกสิ่งลวนเปนธาตุ.


๑๗๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ปจจัยสี่อยางนี้ประกอบอยูดวยธาตุ เปนธาตุ; แตเราก็ไมเคยคิดอยางนั้น เราไปยึ ดมั่ นถื อมั่ น ขนาดที่ ว าจะต องเกิ ดความรั กขึ้ นมา ความโกรธขึ้ นมา อะไรขึ้ นมา จนเปนทุกขไดดวยกัน ทั้งนั้นแหละ. ฉะนั้น ถาใครจะทําไดดวยตนเอง อยาใหเกิด ความทุ กข ยาก ลํ าบากใจขึ้ นมา เพราะการกิน การนุ ง การห ม การอยู การเจ็บไข แลว; คนนั้นก็เรียกวา มีธรรมะในพระพุทธศาสนา หรือปฏิบัติตามคําสอนของ พระพุทธเจาไดถูกตองในเรื่องธาตุ. นี่ เป นการแสดงให เห็ นแล วขึ้ นมารูปหนึ่ งว า การปฏิ บั ติ ที่ เกี่ ยวกั บสิ่ งที่ เรียกว า ธาตุนั้น จะตองมีอะไรบาง. การปฏิบัติที่เราพุทธบริษัท จะพึงปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวาธาตุนี้ มีได หลายแบบ หรือหลายสิบแบบ; แตรวมความแลว ตองเล็งถึงความไมยึดมั่นถือมั่นใน ธาตุ นั้ น ทั้ ง นั้ น . หลั ก เกี่ ย วกั บ การปฏิ บั ติ ที่ มี ชื่ อ ต า ง ๆ กั น ก็ เช น คํ า ว า : ธาตุ ป จ จเวกขณ - พิจ ารณาที ่เ กี ่ย วกับ ธาตุ, ธาตุว วัต ถานะ – การกํ า หนดกับ สิ ่ง ที่ เรีย กวา ธาตุ, เหลา นี ้เ ปน ชื ่อ ของกัม มฐานวิป ส สนา หรือ การปฏิบ ัต ิท างจิต ใจ. ปจ จเวกขณ กํ า หนดเกี ่ย วกับ ธาตุ เปน คํ า ที ่ใ ชอ ยู ทั ่ว ไปในหมู ผู ป ฏิบ ัต ิ; ดัง นั ้น จึงถือเอาอันนี้เปนขอปฏิบัติหมวดแรก ที่จะเอามาอธิบาย.

www.buddhadasa.info หลักปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวาธาตุ

การปฏิ บั ติ เกี่ ยวกั บธาตุ หรื อเกี่ ยวกั บอายตนะอื่ นใดก็ ดี ในที่ นี้ เราจะพู ดกั น เฉพาะเรื่องธาตุกอนวามันเหมือนกัน จะแบงออกไปเปน ๒ ระยะ : ระยะทีแรกนั้น ก็ใหเห็นความจริงหรือปรมัตถธรรมของธาตุนั้นกอน; ระยะที่สอง จะเกิดความคลี่คลายจากการยึดมั่นถือมั่น : ตองทําใหเห็นความจริง


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๗๙

พิ จารณาให เห็ นความจริง ให รูจั กความจริงก อน แล วจึ งจะเกิ ดเป นความคล ายจากความ ยึดมั่นถือมั่น; เปน ๒ ระยะอยางนี้. ถ าเราไม มี ความเข าใจเห็ นแจ งเกี่ ยวกั บความจริงของสิ่ งนั้ น ๆ แล ว เราไม อาจจะปล อยวางสิ่ งเหล านั้ นได , คื อไม อาจจะคลายจากความยึ ดมั่ นถื อมั่ นในสิ่ งเหล านั้ นได . การที่ บ อกว า ไม ค วรยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น แล ว คนก็ รั บ ปากว า “ไม ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ” อย า งนี้ มัน เปน ไปไมไ ด; ดัง นั้น ตอ งมองลงไปใหชัด วา มัน เปน อยา งไร เราจึง ยึด มั่น ถื อ มั่ น ไม ได , หรื อ ขื น ไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เข าจะเป น ทุ ก ข ขึ้ น มาโดยแน น อน. ธาตุ ป จ จเวกขณ คื อพิ จารณา หรือธาตุ ววั ตถานะ คื อกํ าหนดรูก็ ตาม ก็ มุ งหมายอย างนี้ มุ งหมาย ใหรูวาธาตุนั้นเปนอยางไร, แลวจิตก็คลายถอยออกมาจากความยึดมั่นถือมั่น.

ตอนที่ ๑ เรียกวาธาตุปจจเวกขณ เรื่ องธาตุ ป จจเวกขณ นี้ คุ นเคยกั บเรามาก เพราะเราได ยิ น ได ฟ ง ได สวด อะไรกั น อยู : ยถาปจฺ จ ยํ ปวตฺ ต มานํ อย า งนี้ เ ป น ต น . พระเณรก็ ต อ งสวดได พิ จารณาได , ชาวบ านก็ ได ยิ น ได ฟ ง. มาอยู วั ด วั นแรกเขาให เรี ยนบทนี้ ก อ น ในฐานะ ที่ เป นหั วใจของพระพุ ทธศาสนา แล วจึ งจะเรียนบทอื่ น สํ าหรับจะบวชเป นพระ เป นเณร อีก ตอ ไป. หมวดธาตุป จ จเวกขณ : ยถาปจฺจ ยํ ปวตฺต มานํ ธาตุม ตฺต เมเวตํ ยทิท ํ ตทุป ภุฺช โก จ ปุค คโล ธาตุม ตฺต โก นิส ฺส ตฺโ ต นิช ฺช ีโ ว สุ ฺโ  เทานี้แหละ เปนบทธาตุปจจเวกขณสําหรับจีวร หรือเครื่องนุงหม.

www.buddhadasa.info ในตอนแรก ยถาปจฺ จ ยํ ปวตฺ ต มานํ นี้ ก็ คื อ บอกให รู ค รึ่ ง หนึ่ ง ก อ นว า สิ่งเหลานี้มัน เปน แตสัก วาธาตุที่เปน ไปตามเหตุ ตามปจจย ตามธรรมชาติที่ ปรุง แต ง กั น อยู เนื อ งนิ จ ; ยกเอาอาหารขึ้ น มาก อ นก็ ได : ว า ตั ว อาหารนั้ น คื อ สิ่ ง ที่ เปนธาตุ เปนไปตามปจจัยอยูเนืองนิจ; คนที่กินอาหารนั้น ก็คือสักวาธาตุ; คน ๆ หนึ่ง


๑๘๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ประกอบด ว ยธาตุ และสั ก ว า ธาตุ แล ว เป น ไปตามเหตุ ตามป จ จั ย อยู เนื อ งนิ จ . อาหารก็ ดี คนกิ นอาหารก็ ดี สั กว าธาตุ เท านั้ นเป นไปตามเหตุ ตามป จจั ย อยู เนื องนิ จ; นี่บอกครึ่งหนึ่งกอนอยางนี้. อีกครึ่งหนึ่งบอกวา เพราะฉะนั้นมันจึงเปนนิสสัตโต-ไมใชสัตวบุคคล ตัว ตน, ไมใ ชช ีโ ว - ไมใ ชช ีว ะ เจตภูต วิญ ญาณตัว ตน, สุญ โญ ก็ค ือ วา ง จากตัวตน วางจากสิ่งที่ควรถือวาเปนตัวตน. นี้เปนหลักใหญเกี่ยวกับการปฏิบัติ ซึ่งเนื่องกันอยูกับสิ่งที่เรียกวาธาตุ; เราเอาสิ่ งที่ จําเป น ที่ มนุ ษย จะต องเกี่ยวของเป นประจําวันนั้ นมาเป นวัตถุ สํ าหรับพิ จารณา: เอาอาหาร เอาเครื่ องนุ งห ม เอาที่ อยู อาศั ย เอายาแก โรค เหล านี้ มาเป นหลั กสํ าหรั บ พิ จารณา ว าสิ่ งนั้ น ก็ ดี คนที่ บ ริ โภคใช ส อยสิ่ งนั้ น ก็ ดี เป น สั ก ว าธาตุ . สํ าหรั บ บุ ค คล คนหนึ่ ง ก็ ได พู ดมาแล วหยก ๆ นี้ ว า ประกอบอยู ด วยธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม อากาส วิ ญ ญาณ นี่ สั ก ว าธาตุ ; ที นี้ ตั วสิ่ งต าง ๆ เหล านั้ น คื ออาหาร เครื่อ งนุ งห ม บานที่อยูอาศัย หยูกยา ก็ยิ่งเปนสักวาธาตุ ไมมีชีวิตดวย ไมมีวิญญาณธาตุดวย.

ตอนที่ ๒ พิจารณาเห็นความจริงจะปลอยวางได www.buddhadasa.info ขอให อุต ส าห พิ จ ารณา จนมองเห็ น รอบด านวา เป น สั ก แต วาธาตุ เปน ธาตุ – ธาตุ – ธาตุ ไปหมด, เหลีย วไปทางไหนก็เ ห็น แตส ัก วา ธาตุ. เมื ่อ เป นดั งนี้ ก็ ได ผลคื อวา ความยึ ดมั่ นถื อมั่ น หมายมั่ นจะเอาเป นเรา เป นตั วเรา เป น ของเรา จะค อ ย ๆ สลายไปเอง; ถ า ไม เห็ น อั น นี้ มั น ก็ จ ะหมายมั่ น ป น มื อ เป น เรา เป นของเรา เป นทรัพ ย สมบั ติ ของเรา เป นสิ่ งที่ จะช วยให เรามี ความสุ ขสบาย; หลงรั ก หลงพอใจกั นอย างยิ่ ง จนเกิ ดวิ ตกกั งวล จนเกิ ดเป นทุ กข แล วเป นทุ กข ชนิ ดล วงหน า ดวย; เปนทุกขลวงหนา ในสวนที่อยากจะไดมา, เมื่อเปนที่พอใจอยากจะไดมา ก็เปน


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๘๑

ทุ กข ล วงหน า กระทั่ งว าเป นทุ กข ล วงหน าว า สิ่ งนั้ นจะตายไป จะวิ บั ติ พลั ดพรากตาย จากไป ก็ เป น ทุ ก ข ล วงหน า, หรื อ บางที จะเป น ทุ ก ข ล วงหน าว า สิ่ งนั้ น จะสู ญ หายไป ก็เปนทุกขลวงหนา. อาการทุ กข ทั้ งหมดล วนแต มาจากความยึ ดมั่ นถื อมั่ นทั้ งนั้ น ว าธาตุ ว าสิ่ งนั้ น เป นของเรา; เราไม ไดเรียกวาธาตุ แล ว ถ าเรารักขึ้ นมาเราไม เรียกวาธาตุ แล ว; เรา จะเรี ยกว านั่ น นี่ โน นเป นของกู ๆ. ถ าเรี ยกว าธาตุ แล ว ก็ หมายความว าเรารู จั กขึ้ นมาแล ว มั นก็ เป นของกู ไม ได . ถ าที นี้ ไม รูจั กว าเป นธาตุ ตามธรรมชาติ ก็ ยึ ดถื อว าของกู เนื้ อหนั ง ของกู อะไรของกู ผ านุ งของกู ผ าห ม ของกู อาหารของกู บ านเรื อ นของกู ทุ ก อย าง ที่ จํ าเป นแก ชี วิ ตก็ ล วนแต ของกู ๆ; ที่ เกิ นกว าความจํ าเป นก็ ของกู ยิ่ งขึ้ นไปอี ก เพราะว า มันมาใหความถูกอก ถูกใจ. นี่ คื อ การปฏิ บั ติ ที่ เกี่ ยวกั บ คํ าว า “ธาตุ ” เป น หลั กใหญ ในเบื้ อ งต น . เมื่ อ บุคคลเขาไปยึด ถือในธาตุใดแลว ก็เทากับ ธาตุนั้น ไดเกิดขึ้น แลว ไดตั้งอยูแลว ได ปรากฏออกมาแล วสํ าหรับบุ คคลนั้ น ก็ เป นความทุ กข สํ าหรับบุ คคลนั้ น; ถ าบุ คคลนั้ น มิไดยึดถือ ธาตุก็มิไดเกิดขึ้น สําหรับที่จะเปนที่ยึดถือสําหรับบุคคลนั้นเพื่อที่จะเปนทุกข. เห็นความจริงขอนี้แลว ก็จะละวางเสียได.

www.buddhadasa.info ตอนที่ ๓ ในการปลอยวางจะเจาถึงนิโรธธาตุได

ที นี้ ก็ ไม มี อะไรที่ จะเป นหลั กแปลกออกไป ก็ เหลื อแต ข อปลี กย อย ที่ จะ ชวยใหเห็นมากขึ้นวา เราจะตองปฏิบัติกันอยางไร. เพราะยึดมั่น ในธาตุโดยความ เป นตั วเราแล ว ความยึ ดมั่ นนั้ นจะทํ าให ไม สิ้ นสุ ด จะมี การยึ ดต อ ต อ ต อ ต อกั นไปยั ง ธาตุ อื่ น ๆ ที่ เกี่ ยวข องกั นอยู อี ก โดยเฉพาะอย างยิ่ งก็ เรื่ องกามธาตุ รู ปธาตุ อรู ปธาตุ . เพราะไมรูเรื่องกามธาตุ ก็ไปยึดมั่นในกามธาตุ; ถารูกามธาตุเขา ก็ไปยึดที่รูปธาตุ,


ปรมัตถสภาวธรรม

๑๘๒

รูรูปธาตุเขาอีกก็ไปยึดที่ อรูปธาตุ, จนกวาจะรูห มดแล วก็ ไม ยึ ด ในสิ่ งใด; นี่เรียกวา ไปถึงเขากับ นิโรธธาตุ. ฉะนั้น การปฏิบัติก็มุงเพื่อใหลุถึงนิโรธธาตุ คือธาตุที่ จะเปนที่ดับความยึดมั่นถือมั่น ทั้งปวงเสีย. เรื่อ งแรก จะตอ งรูจัก กามธาตุ วาเปน เครื่อ งเผาลนอยางไร; แลว ก็รูจั กรูปธาตุ ที่ สู งขึ้นมา กวากามธาตุ วาก็ ยังผู กพั นให หลงใหลอย างไร; กระทั่ ง ในอรู ปธาตุ ซึ่ งมี ความพอใจละเอี ยด ประณี ตสู งสุ ดขึ้ นไปอี ก ก็ รูวามั นผู กพั นอย างไร ยึ ดถื ออย างไร. พอเห็ นอย างนี้ แล ว ส วนที่ เรียกว านิ โรธธาตุ นั้ นก็ จะแสดงตั วออกมาเป น ความดับความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งเหลานั้นเสีย. การปฏิบัติประจําวันของคนเราก็คือ ดูวา ธาตุอะไรมันกําลังกระทํา หรือวาครอบงํา หรือวาติดอยูในจิตใจของเรา.

ปญหาแรก คือการละกามธาตุ เรื่องกามธาตุ สํ าหรับผู ที่ ยั งมี วั ย มี อายุ น อย ที่ ยั งเป นที่ ตั้ งแห งกามธาตุ มาก กามธาตุรบกวนมาก; ก็พิจารณาเห็น โดยที่วามัน เปน สัก วาธาตุ; พอธาตุนี้เกิด มาแล ว ก็ ทํ าให เกิ ด อาการอย างนั้ น ความรู สึ ก อย างนั้ น , รู สึ กอย างนั้ น เหมื อ นที่ เรา กํ าลั งหลงใหลพอใจอยู หรื อเดื อดร อนอยู หรื อน้ํ าตาไหลอยู เพราะเหตุ อั นนั้ นแหละ. การปฏิ บั ติ ก็ มี อย างนั้ นเอง จนกระทั่ งรูจั กเห็ นว าสิ่ งนั้ นมั นเป นอย างนั้ น; เราไม เคยรู จั ก ไม เคยทราบว า เขาเรี ย กกั น ว า กามธาตุ เราก็ ไ ปหลงใหลบู ช าเป น ของดิ บ ของดี ของวิเศษ ของทิพย ของสวรรคอะไรไป.

www.buddhadasa.info เหมื อนกั บที่ ว าในโลกนี้ ในเวลานี้ เขากํ าลั งทํ าให หลงอย างนี้ กั นมาก แม แต การศึ ก ษานั้ น ก็ ยั ง ทํ า ให ค นหลงในเรื่ อ งของกามธาตุ นี้ เป น อย า งมาก; แล ว สิ่ ง ประเล าประโลมใจทั้ งหลาย เรื่ องบทเพลง เรื่ องอะไรต าง ๆ เต็ ม ไปทั้ งโลกนี้ ที่ ส งออก ทางวิทยุทั้งโลก นี่ก็ลวนแตสงเสริมกามธาตุใหไดโอกาสที่จะแสดงออกมา เปนไฟเผา


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๘๓

จิ ตใจของคนทั้ งโลกอยู . เมื่ อทั้ งโลกเขานิ ยมกั นไปอย างนั้ นแล ว โดยระบบก็ เอาคนทั้ ง โลกเป นส วนใหญ แล วก็ เลยจมลงไปในกามธาตุ ได มี ความลุ มหลงเดื อนดร อน แล วก็ เปนทุกขหลายซับหลายซอนทีเดียว. โลกนี้กําลังลําบากเดือดรอนอยูเพราะอํานาจของ สิ่งที่เรียกวา กามธาตุ. ที นี้ ก็ น าสงสารน าเห็ นใจคนหนุ มคนสาวทั้ งหลาย; ไม มี ใครจะมาสอนเรื่องนี้ . เขามั วแต จะหลอกจะลวงให หลงใหลในกามธาตุ หรื อวั ตถุ ป จจั ยเป นที่ ตั้ งแห งกามธาตุ ยิ่ ง ๆ ขึ้ น ไป; ก็ น า เห็ น ใจ น า สงสารเด็ ก ๆ วั น รุ น . ขอให คิ ด ดู เ ถิ ด ว า จะต อ งทํ า อยางไร; จะไปโทษใครก็ไมได.

ละกามธาตุไดตองพิจารณาละรูปธาตุ ครั้นวั ยล วงกาลมาตามลํ าดั บจนในเรื่องกามธาตุ ไม ค อยมี โอกาส หรือว าไม เปนที่ตั้งแหงโอกาสแลว ก็มาปะทะกับสิ่งที่สอง คือรูปธาตุ คือความพอใจในสิ่งอัน เป นที่ ตั้ งแห งความพอใจ แต มิ ใช เป นกามารมณ . เมื่ อก อนนี้ เราพอใจในเงิ น เพราะว า เงิ นซื้ อกามารมณ ได ; แต พอต อมาเมื่ อไม ต องการในกามารมณ แล วก็ ยั งพอใจในเงิ นเพราะ วาเงินนี้ อาจจะให ความสนุ กความสบายอย างอื่น ซื้ อทรัพยสมบั ติ สะสมทรัพย สมบั ติ หรือ อะไรก็ ได ซึ่ งไม ใช กามารมณ แต เอาไว เลี้ ยงลู ก เลี้ ยงหลานก็ ได อะไรก็ ได แม ไม ใช กามารมณ โดยตรง; ก็ เป นป ญ หาเป นที่ ตั้ งแห งความทุ กข อยู ด วยรู ปธรรมล วน ๆ เช น ทรัพยสมบัติลวน ๆ เปนตน ไมเกี่ยวกับกามารมณ.

www.buddhadasa.info ละรูปธาตุแลวพิจารณาละอรูปธาตุ ถารอดไปไดในสวนรูปธาตุ ก็ไปติดสวนที่เปนอรูปธาตุ ไมใชรูป คือ ไมมีรูป จะเปนความละเมอเพอฝนก็ได จะเปนบุญเปนกุศล เปนเกียรติยศ เปนชื่อเสียง


๑๘๔

ปรมัตถสภาวธรรม

อะไรก็ได ซึ่งไม มี รูป ก็ แลวกัน ฝ งแน น อยู ที่ นั่ น ก็ มี ป ญ หา มี ค วามทุ ก ข ได ; แต เป น ดานสุดทาย. ถาออกไปจากดานนี้ได ก็จะตองไปหาความดับสนิท คือนิโรธธาตุ.

ถาวาอยาใหมีอะไรเขามาแทรกแซง ยั่วยุมากนัก มนุ ษย เราก็ จะเป นไปเองตามลํ าดั บนี้ : เกิ ดมาเป นเด็ กวั ยรุ นขึ้ นแล วก็ มี ป ญหา เฉพาะหนา คือตอสูกันกับกามธาตุที่มันจะมาลากคอไป. พนวัยรุนขึ้นมา เปนพอบาน แมเรือนก็ตอสูกับเรื่องรูปธาตุ จะตองมีทรัพยสมบัติ มีนั่น มีนี่ ตอมาก็พนไปเปลาะหนึ่ง. ในวาระสุดท ายเป นเรื่องหวังในสิ่งที่ ไม มีรูป ก็เปนความหวังจะยึดนั่น ยึดนี่ ยึดโนน ต อไปอี กแม แต ความดี ล วน ๆ อะไรก็ ตาม แม แต ความไม มี อะไรก็ ตามเถอะ มั นก็ เป นที่ ตั้ ง แห ง ความยึ ด ถื อ ได . ถ า ว า ยั ง มี ชี วิ ต ต อ ไปอี ก ก็ เอื อ มระอาเหมื อ นกั น ที่ จ ะยึ ด ถื อ สิ่ ง เหล านั้ นเป นอั นสุ ดท ายแล วจึ งจะปล อยวาง ว าเราจะไม ต องการอะไร. ถ าสั งเกตจะเห็ น พระบาลี ที่ พระพุ ทธเจ าทรงสั่ งสอน หรื อแนะนํ าสาวกสั่ งสอน, คนที่ จะตาย คนแก ที่ กํ าลั ง จะตายนี่ ท านจะสอนอย างนี้ ทั้ งนั้ น ว า อย างนี้ ละแล วหรื อยั ง, กามธาตุ ละแล วหรื อยั ง? ละแลว , รูป ธาตุล ะแลว หรือ ยัง ? ละแลว ; อรูป ธาตุล ะหรือ ยัง ? ก็สั ่น หัว . ถา สั่นหัวเรื่อย ๆ ไปก็นอมไปสูนิโรธธาตุ คือดับไมเหลือได.

www.buddhadasa.info ถ าว ามนุ ษ ย เราไม มี อ ะไรมาแทรกแซงมากนั ก ก็ อ าจจะเป น ไปได อ ย างนี้ : เดี๋ ยวนี้ เป นบาปกรรม หรือว าอะไร ก็ แล วแต จะเรียก ของมนุ ษย สมั ยนี้ มั นมี อั นนี้ อั นโน น มาแทรกแซงเรื่อย จนคนแกแลวก็ยังพนดานของกามธาตุไปไมไดสําหรับชนสมัยนี้; แตครั้งคนสมัยนี้พนกามธาตุไปได ยิ่งไปติดรูปธาตุ อรูปธาตุ หนักอยูที่นั่น; ออกไป ไม ได จนวาระสุ ดท ายก็ สลั ดทิ้ งอะไรไม ได มี ยุ งเรื่ องนุ งนั งอยู ด วยเหตุ อย างใดอย างหนึ่ ง จึ งดั บ ไม เหลื อ ไม ได เป น นิ โรธธาตุ ไม ได . เกี่ ยวกั บ เรื่ อ งนี้ ก็ มี คํ าสอนว า ฝ ายที่ ไปไม รอด นั่นก็เพราะวา ไปของอยูกับกาม; พอออกจากกามไดแลวก็ไปของ


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๘๕

อ ยู ก ับ รูป , อ อ ก จ า ก รูป ไดแ ลว ก็ไ ป ติด อ ยู ที ่อ รูป แ ลว ก็ไ ม เ ค ย รู เ รื ่อ ง นิโ ร ธ เสี ยเลย. นี่ แหละสั ตวทั้ งหลาย สั ตวชนิ ดนี้ ย อมเวี ยนมาหาการเกิ ด ใหม - เกิ ด ใหม - เกิด ใหม อยู ใ นสิ ่ง ที ่ต ัว กํ า ลัง ยึด มั ่น ถือ มั ่น อยู นั ่น แหละ. บางคนก็ต าย หรือ ยึ ด มั่ น จนตายในกามธาตุ , บางคนก็ ยึ ด มั่ น จนตายในรู ป ธาตุ เป น ปู โสมเฝ า ทรั พ ย ไป, บางคนมั นก็ ยึ ดมั่ นในอรู ปธาตุ เรื่ องดี เรื่ องเกี ยรติ เรื่ องอะไรไป ก็ ดั บไม ได ก็ มาเกิ ดอย างนี้ อี ก เรื่ อ ยไป; จะเป น การเกิ ด หลั ง จากเข า โลงแล ว หรื อ ว า เกิ ด ที่ นี่ เดี๋ ย วนี้ ซ้ํ า ซากก็ ต าม ลวนมีหลักเกณฑอยางนี้ทั้งนั้น.

ฝายที่ตรงกันขาม ฝ ายที่ ต รงกั น ข ามก็ คื อ สั ต ว ที่ รู ว า กามธาตุ เป น อย างไร, รอบรู ก ามธาตุ ว า เป น อย า งไร, ว า รู ป ธรรม ที่ ไ ม เกี่ ย วกั บ กามเป น อย า งไร; แม ใ นอรู ป ธรรมที่ ล ะเอี ย ด ประณี ต ก็ ไม เข า ไปติ ด ไม เข า ไปหมายมั่ น ก็ เลยออกมาได ด ว ยอํ า นาจของนิ โรธธาตุ . เพราะถากามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ ไมมาขวางอยูแลว นิโรธธาตุก็แสดงตัวไดเอง; เมื่ อมี อะไรมาขวาง คื อความยึ ดมั่ น ถื อ มั่ น ป ดบั ง ก็ ไม มี โอกาสที่ ความปล อยวางนั้ น จะ แสดงออกมา.

www.buddhadasa.info นี่ เห็ น ได ว า ไม ใช เรื่ อ งของใครที่ ไหน เป น เรื่ อ งของคนทุ ก คนทั้ ง ที่ นั่ ง อยู ที่ นี่ และไม ได ม านั่ งอยู ที่ นี่ ; พอมาติ ด อยู ในบ วงเหล านี้ ของกามธาตุ ของรู ป ธาตุ ของอรู ป ธาตุ เวีย นวนอยู ใ นวัฏ ฏสงสารนี ้ มีภ พใหมเรื่อ ยในธาตุเหลา นี ้แ ลว เมื ่อ ไรจะ ออกไปได . ธรรมชาติ ก็ จํ า กั ด เวลาให เอ า , ให มี อ ายุ ป ระมาณ ๑๐๐ ป ก็ เดิ น มาซิ , เดิ น จากกามธาตุ มาหารู ป ธาตุ อรู ป ธาตุ แล ว ก็ พ อเหมาะที่ ว า วั ย สุ ด ท า ยของชี วิ ต นี้ จะพบกับความสลัดทิ้งออกไปหมด ไมเหลือสักธาตุเดียว; นี่ก็เปนนิโรธธาตุ.

อย า งนี้ เรี ย กว า เป น พุ ท ธบริ ษั ท คื อ เป น ผู รู , พุ ท ธ แปลว า รู ๆ คื อ ลื ม ตา; ลืมตาคือเห็นวาอะไรเปนอยางไร ตามที่เปนจริง. อยางนี้จึงจะเรียกวา พุทธ-


๑๘๖

ปรมัตถสภาวธรรม

บริษั ท; ถาไมอยางนั้นก็ตองตาย หรือจมอยูที่นั่น : สัตวน้ําก็ตายจมอยูในน้ํา สัตวบก ก็ ตายจมอยู ในแผ นดิ น สั ตวบนต นไม ก็ ตายค างอยู บนต นไม ; ล วนแต ตายจมอยู ที่ นั่ น ทั้งนั้นแหละ จะไมตายก็เพราะวาออกไปเสียจากที่ตั้งแหงความยึดมั่นถือมั่นเหลา นั้น.

การถอนจิตออกมาเสียจากธาตุที่ปรุงแตง ขอปฏิบัติที่พระพุทธเจาไดตรัสไว ใหพระสาวกนํามาสั่งสอน หรืออะไร ก็ตาม ก็มีตรงกันอยูที่วา ใหถอนจิตออกมาเสียจากบรรดาธาตุที่เปนของปรุงแตง, สพฺพ สงฺข ารธาตุ-ธาตุที ่เ ปน ของปรุง แตง ทั ้ง ปวง เราตอ งถอนจิต ใหถ อยออกมา เสีย จากธาตุเหลา นั ้น แลว ก็น อ มจิต ไปยัง อมตธาตุ-ธาตุที ่ไ มต าย คือ นิพ พาน ซึ่ง บางทีก็เรีย กวา วิสังขาร, บางทีก็เรีย กวา อสังขตธาตุ. วิสังขารก็คือ ไมมี การปรุง แตง , อสัง ขตธาตุก ็ค ือ ไมถ ูก ปรุง แตง อมตธาตุก ็ค ือ ไมต ายอีก ตอ ไป เพราะมั นไม มี การเกิ ด ไม มี การเปลี่ ยน; อย างนี้ ก็ เรียกวา อมตธาตุ ก็ ได นิ พพานธาตุ ก็ได.

www.buddhadasa.info ครึ่งแรกของแรกปฏิบัติก็วา “ถอนจิตออกมาเสียจากธาตุที่ปรุงแตง ทั้งหลาย; นอมจิตไปสูธาตุที่ไมปรุงแตงเลย” มีสองประโยคเทานี้. ถาทําไดอยาง นี้ ก็ จะรู ว า “เข าถึ งแล ว ถึ งนิ โรธธาตุ แล ว ถึ งนิ พพานธาตุ ถึ งอสั งขตธาตุ แล ว”; นี่ ก็ จะ บอกออกมาเอง พูดออกมาเอง รูเอง วานี่แหละสงบระงับ นี่แหละประณีต; เปนบาลี ที ่ส วดกัน อยู บ อ ย ๆ เอตํ สนฺต ํ เอตํ ปณีต ํ. นี ่แ หละ สัน ตะ สงบระงับ แลว , นี่ แหละประณี ต คื อละเอี ยดประณี ตที่ สุ ด . ความสงบระงับ นี่ ประณี ต ละเอี ยดที่ สุ ด ; ยทิท ํ ส พฺพ ส งฺข ารส ม โถ - นี ่ก ็ค ือ ธรรม เปน ที ่ด ับ แหง สัง ขารทั ้ง ป วง, นี ่ค ือ ธาตุห รือ ธรรมเปน ที ่ด ับ แหง สัง ขารทั ้ง ปวง. สพฺพ ูป ธิป ฏิน ิส ฺส คฺโ ค - นี ่ค ือ การสลัด ทิ้งออกไปได ซึ่งอุปธิทั้งปวง.


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๘๗

พึงรูจักคําวาออกไปไดซึ่งอุปธิทั้งปวง อุปธินี้เคยอธิบายใหฟ งกันมาแลววา อุ ปธินี้ คื อของหนั ก, “อุปธิ” คํานี้ แปลวา เขา ไปทรงไว -แบกไว -ทูน ไว หรือ อะไรก็ต ามเถอะ คือ วา เราเขา ไป อยู ข า งใต สิ่ ง นั้ น เพื่ อ จะชู ยก แบกดั น สิ่ ง นั้ น ไว สิ่ ง นั้ น แหละคื อ อุ ป ธิ . ตอนนี้ เรา ไมยอมปล อยอุปธิ เรายอมใหอุปธิอยูบนเรา เราแบกไว ดันไว ทู นไว เรียกวา อุ ปธิ คือของหนัก มี ๔ ประการ :๑. การบริ ห ารชี วิ ตร างกายนี้ ก็ เป น ของหนั ก เรี ยกว า ขนฺ ธู ป ธิ ๒. กิ เ ล ส ที่มันบีบคั้นเราอยู บังคับเราอยูก็เปนของหนัก เรียกวา กิเลสูปธิ. ๓.ผลกรรมที่ เราจะตองรับ ไมมีทางหลีกเลี่ยงนี่ก็เรียกวากมฺมูปธิ; มีหลาย ๆ อุปธิ. ๔. ในที่สุด ที่นาหวัวที่ สุด ที่แมพระพุ ทธเจาก็ตรัสไวเองวา โอปธิกํ ปุ ฺํ - แม บุ ญ ก็เปนอุปธิ, เป น บุ ญ ชนิ ด ที่ ค นเขาแบกไว . มี ค นเป น สองพวกอยู : บางคนมี กิ เลส ยึ ด มั่ น มาก ก็ยึดมั่นบุญเปนของกู; บุญก็เลยกลายเปนอุปธิ สุมหัวคนนั้น เปนของหนัก.

www.buddhadasa.info แตถาคนมีปญญา ไมตองยึดมั่นวาบุญของกูก็ได ทําบุญไป เพื่อชําระบาปไป; ทําบุญไปเพื่อชําระบาปไป บุญอยางนี้ก็ไมเปนอุปธิ ไมเปนของหนัก; หรือจะพูด ให งายกวานี้ ก็ วาความดี ที่ เรียกวาความดี ที่ รักกั นนั ก ที่ ชอบกั นนั กวาดี -ดี -ดี นี้ บางที มั นก็ กลายเป นอุ ปธิ เป นของหนั กกดทั บจิ ตใจคนนั้ น. คนนั้ นต องรอนไห เพราะความดี ตองฆาตัวตายเพราะความดี นี้ก็มีอยูมาก; ความดีเปนอุปธิ เปนกอนหิน หนักอยูบน หัวคนนั้น; อยางนี้ไมใชดีตามแบบของพระพุทธเจา.

ถาเป นกุ ศลจริง ดี จริง ตามแบบของพระพุ ทธเจาก็คื อ จะชวยลดความชั่ ว แลวก็ไมต องแบกกันอยางนั้ น. ถาเรามีไวสําหรับยึดมั่นถือมั่น สําหรับแบก แลวก็ เปนอุปธิ เปนของหนัก เปนความทุกขเสียเองหมดไมวาอะไร. ถามีไวใชตามหนาที่


๑๘๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ก็ ทํ าหน าที่ นั้ นก็ ได รั บผลจากการทํ าหน าที่ นั้ น ก็ ไม มี ใครเป นทุ กข ; ฉะนั้ น จะมี บุ ญ จะมี ความดีกับเขาบาง ก็จงรูจักมีในลักษณะที่อยาใหมันกลายเปนอุปธิขึ้นมา, อยาใหมัน กลายเป น ของหนั ก ขึ้ น มา; แต ให ก ลายเป น ของเบา หรื อ ของที่ จ ะช ว ยให เบา ต อ งให มั น เป นของที่ จะช วยให ของหนั กกลายเป น ของเบา; เช นว ากิ เลส หรื อความทุ กข นี้ เป น ของหนั ก เราสร างบุ ญ สร างกุ ศล สร างความดี ขึ้ นมา อย าให มั นกลายเป นของหนั กอั นที่ สอง; ใหมันกลายเปนเครื่องชวย ใหของหนักอยูนั้นมันเบาขึ้น ๆ. ดังนั้น ความดี ก็รูจักชวยไมใหยึดถือ, บุญจะชวยชะลางความยึดถือ, กุศลจะมาทําใหฉลาดในการที่จะไมยึดถือ; การมีบุญ มีกุศล มีความดีอยางนี้ มันชวย มาแก ไ ข ความยึ ด ถื อ ในของหนั ก นั้ น ให เบาเข า . ถ า ไม ทํ า อย า งนี้ เพราะเข า ใจผิ ด เพราะมี นิ สั ยเข ายึ ดถื อละโมบโลภมาก ถื อว าบุ ญของกู ดี ของกู บุ ญก็ มาเป นของหนั กเพิ่ ม ให เป นสิ่ งที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔. โดยมากก็ มั กจะเป นอย างนี้ เพราะว าคนจะต องยึ ดมั่ นถื อมั่ น ในสิ่ ง ที่ ตั ว ชอบใจ บุ ญ ก็ เ ลยเป น อุ ป ธิ ไ ด ; โอปธิ กํ ปุ ฺํ : โอปธิ กํ คื อ เป น อุ ป ธิ , ปุฺํ ก็คือบุญ.

www.buddhadasa.info นี่ คื อหลั กว า “ถอนจิ ต ออกมาเสี ย จากธาตุ ป รุ งแต งทั้ งปวง”. บุ ญ ก็ เป น ธาตุ ปรุ งแต ง เพราะว ามาจากการปรุ งแต งจึ งเกิ ดบุ ญ , และบุ ญ นี้ ก็ จะปรุ งแต งอะไรต อไป ขา งหนา ; ฉะนั ้น เราตอ งใชใ หถ ูก วิธ ี ถา จะปรุง แตง อะไรตอ ไปขา งหนา ก็ใ หม ัน ล างบาป; หรื อว ามั นเป นของปรุ งแต งมาแล ว เราก็ อย ายึ ดมั่ นถื อมั่ นในฐานะเป นตั วกู ของกู , อย า เป น ตั ว เป น ตน. ให บุ ญ นี่ ช ว ยล า งบาป ช ว ยเป น หนทาง ช ว ยเป น บั นได ที่ จะไปหาฝ ายที่ ตรงกั นข าม คื อฝ ายอมตะ หรือฝ ายนิ พพาน; อย างนี้ เรียกว า สลัดออกไปซึ่งอุปธิทั้งปวง.

ต อไปนี้ ก็ มี คํ างาย ๆ ว า ตณฺ หกฺ ขโย - สิ้ นตั ณหา คื อสิ้ นความอยากอย างนั้ น ความอยากอยางนี้ ความอยากอยางโนน; ทุกความอยากมันจะหมดไป เพราะรูวา


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๘๙

ธาตุ นั้ น ๆ ไม ควรยึ ดถื อ; ถอยออกมาเสี ย แล วหั นไปหาธาตุ ที่ เป นที่ ดั บแห งความยึ ดถือ. เมื่อ ไมยึด มั่นถือมั่น ไมมีอุป าทาน เพราะไมม ีอ วิช ชา มัน ก็ไมอ ยาก ในทุกแง ทุ ก มุ ม : อยากได ก็ ไ ม มี อยากเป น ก็ ไ ม มี อยากไม เป น ก็ ไ ม มี ; นี่ ต ามแบบของ ตัณหามันเปนอยางนี้ : นี่คือสิ้นไปแหงตัณหา. ถัดจากสิ้นตัณหา ก็คือวิราคะ. วิราคะ แปลวา คลายออกจนหมดสิ้น คือคลายความยึดถือจนหมดสิ้น เรี ย กว า วิ ร าคะ; วิ ราคะนี้ เป น พวกนิ โรธธาตุ คื อ เป น วิ ร าคะแล ว เป น นิ โรธ. นิ โรธ เองคือดับสนิทของการปรุงแตงของตัวกู-ของกู, คือเปนนิพพาน คือจบหรือเย็น หรื อ สิ้ น สุ ด ; อย า ที่ เคยอธิ บ ายมาแล ว มากแห ง ว า นิ พ พานนี้ แ ปลได ห ลายอย า ง : แปลวาไม ไปอีกต อ ไป; นิ แปลวา ไม , วน แปลวา ไป, นิ พ พาน แปลวาไม ไป อีกตอไป; แตยังมีความหมายมากกวานั้น คือไมอยูที่ไหนดวย. หรือจะแปลนิพพานวา ไมเ สีย บแทง, นิพ พานนี ้แ ปลวา ไมเ สีย บแทง คือ ไมเ ปน ทุก ข; หรือ แปลวา ดับหมด ดับรอนหมด มันก็เย็น. แม นิ พพานนั้ นเองก็ เป น สั กว าธาตุ จะเรียกวา อมตธาตุ , จะเรียกว า อสั งขตธาตุ ; เรียกให เพราะอย างไรก็ สั กแต วาธาตุ . ฉะนั้ น ออกมาเสี ย จากธาตุ ปรุงแตง มาสูธาตุที่ไมมีการปรุงแตง พูดสองคําก็จบ; แตแลวก็ทํากันไมงาย นัก.

www.buddhadasa.info การพิจารณาธาตุในฐานะแหงอานาปานสติ ที นี้ จะให ละเอี ยดปลี กยอยออกไป เกี่ ยวกับการปฏิ บั ติ นี้ เราก็ต องศึ กษามา ถึงคําที่ พ ระพุ ทธเจาทานสอนพระราหุล. ตรงนี้ เดี๋ยวใครจะคิดวา พระพุทธเจา คงจะรักพระราหุ ลมาก; นี่ ก็ ป องกั นไวเสี ยก อนวา พระพุ ทธเจ าท านไม ได รักพระราหุ ล มากเกิ นกวา พระเทวทั ต หรือช างนาฬาคี รี หรือใครก็ ตามใจ ดั งที่ อรรถกถากล าวไว . พระเทวทัตนั้นเปนศัตรูของพระพุทธเจา, ชางนาฬาคีรีนั้นคือ ชางที่เขาปลอยมา


๑๙๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ทํ า ร า ยพระพุ ท ธเจ า ; พวกพระอรรถกถาจารย ก็ ใ ห น้ํ า หนั ก ไว ดี ว า พระพุ ท ธเจ า มี น้ํ าพระทั ยเสมอกั นในระหว างพระราหุ ล ซึ่ งเป นพระโอรสของท านกั บบรรดาข าศึ ก ศั ตรู ทั้ ง หลาย; พระพุ ท ธเจ า ก็ ต อ งสอน ต อ งเห็ น แก พ ระราหุ ล ก็ ต อ งสอนพระราหุ ล ใน ฐานะที่ควรจะสอน. พระพุ ทธเจ าทรงสอนพระราหุ ลว า “ให ทํ าอานาปานสติ ”. อานาปานสติ นี้ มีค วามหมายกวา ง คือ กํา หนดธรรมะหรือ ความจริง ขอ ใดขอ หนึ่ง ไวท ุก ครั้ง ที่ หายใจออกและหายใจเข า; อยางนี้ เรียกวา ทํ าอานาปานสติ ทั้ งนั้ น. พระพุ ทธเจา ท านสอนพระราหุ ลให ทํ าอานาปานสติ โดยไปกํ าหนดธาตุ ปฐวี ธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ ที ละธาตุ ที ละธาตุ ไป; เช นว าปฐวี ธาตุ นี้ ก็ ต อง ให เห็ นทั้ งข างในและข างนอก วาที่ เป นอยุ ในกายนี้ ก็ ดี เป นอยู นอกกายก็ ดี ให เห็ นตามที่ เปนจริง วามันเปนธาตุ เปนไปตามธรรมชาติ เปนธาตุอยูตามธรรมชาติ. ขอให จํ า คํ า นี้ ไว ด วยว า “เป น ธาตุ อ ยู ต ามธรรมชาติ ” ตามเหตุ ตาม ปจ จัย ของมัน เอง มัน จึง เห็น ชัด วา เนตํ มม - นั ่น มิใ ชข องเรา, เนโสหมสฺม ิ นั่ น ไม ใ ช เ ป น เรา, น เมโส อตฺ ต า - นั่ น มิ ใ ช อั ต ตาของเรา. ในธาตุ ห นึ่ ง ๆ ก็ เ ห็ น อยางนี้ทั้งนั้น ทุกธาตุไป : นั่น มิใชข องเรา นั่น มิใชเปน เรา นั่น มิใชเปน อัตตา ของเรา ทุกครั้งที่หายใจออก หายใจเขา; หมายความวาไมใชใหทองตามตัวหนังสือ แต ให รูสึ กด วยจิ ตสใจอย างชั ดเจนละเอี ยดลออ ถู กต อง อยู ทุ กครั้ง ที่ หายใจออก และ หายใจเขา.

www.buddhadasa.info การเจริญอานาปานสติ เกี่ยวกับธาตุ เปนอยางนี้; มีอุบายอยางไร มีวิธี อยางไร : พิจารณาใหเกิดความเห็นชัดอยูรูสึกอยูวา โอย, มันเปนธาตุตามธรรมชาติ จริงเวย ไมมีทางที่จะเปนตัวเรา หรือเปนของเรา หายใจออกหายใจเขาอยูดวยความ จริงอันนี้.


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๙๑

ที นี้ ก็ ทรงสอน เพื่ อจะประกอบการกระทํ าอย างนี้ ให งายขึ้น คื อให ทํ าพรอม กัน ไป : เมื่ อทํ าอานาปานสติ ก็ให ทํ าอยางนั้ น ; เมื่ อ อยู ต ามธรรมดา ก็ทํ าความ รูสึกวา ใหทําจิตใจนี่เหมือนปฐวีธาตุ, ใหทําจิตใจของเราเหมือนปฐวิธาตุเหมือน อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ. ที่วาทําจิตใจใหเหมือนปฐวีธาตุ นี่ก็หมายถึงธาตุขางนอก คือดิน แผนดิน นี่ แ หละปฐวี ธาตุ ; ธาตุ ข างนอกแผ น ดิ น นี้ ถื อ เอาตามความรู สึ ก สามั ญ สํ านึ ก ก็ ว า ใครจะทําอะไรลงไป ดินมันก็ไมวาอะไร ใครจะถายปสสวะ อุจจาระรดก็ไมวาอะไร ใครจะเอาน้ํ าหอมมารดมั นก็ ไม ว าอะไร, ใครจะเอาไฟมาเผา เอาน้ํ ามารดมั นก็ ไม วาอะไร; นี่เปนปกติอยางนี้ เรียกวาลักษณะของปฐวีธาตุ. เราจงทําจิตใจใหเหมือนดิน. โดยทํ านองเดี ยวกั น ทํ าจิ ตใจเหมื อนน้ํ าตามธรรมชาติ ใครจะทํ าอะไร ลงไปก็ ไม ว าอะไร. ทํ าจิ ต ใจเหมื อ นไฟตามธรรมชาติ ใครจะเอาอะไรใส ล งไป ไฟก็ ไม ว าอะไร ก็ ทํ าไปตามธรรมดา ไปตามเรื่อง ไม วาอะไร. แม กระทั่ งลมอั นสุ ดท ายก็ เหมือนกัน ลมนี่ ใครจะใสอะไรลงไป ก็ไมวาอะไร.

www.buddhadasa.info ทีนี้ทํ าจิตใจเหมื อนอากาสธาตุ. อากาสธาตุนี้ใชคําแปลกอยูวา อากาโส น กตฺ ถ จิ ปติ ฏ ิโต; อากาโส คื อ อากาสไม ได ตั้ งอยู ที่ ไหน, คื อ ความว า ง แล วมั น ก็ไมไดมี อะไรตั้งอยูที่ไหน. นี่ก็คื อ ทํ าจิ ต ให วางเหมื อ นอยางอากาศ ที่ไมไดตั้งอยู ที่ ไหน ไม ไปติ ดอยู ที่ ไหน ไม ไปตั้ งอยู ที่ ไหน ไม มี การตั้ งอยู ที่ ไหน จึ งจะเรียกว าอากาศ หรือความวางได. อันนี้ลึกหรือสูงกวาสี่อยางขางตน. ทํ าจิ ตใจเหมื อนดิ น น้ํ า ไฟ ลม นี่ ก็ เห็ นง าย ๆ, ทํ าจิ ตใจเหมื อนอากาศ นี่ คื อ ไม ให มั น ตั้ งอยู ที่ ไหน ทํ าไม ให มั น ไปตั้ ง ไปเกาะเกี่ ย วอะไรอยู ที่ ไหน จึ งจะเป น อากาศ. นี่ คื อ คํ าตรั ส ของพระพุ ท ธเจ าแก พ ระราหุ ล ว า “เธอจงทํ าจิ ต ใจเหมื อ นปฐวี ธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ”.


ปรมัตถสภาวธรรม

๑๙๒

ที นี้ เราก็ ถื อ ตามหลั ก นี้ ได : ทํ า จิ ต ใจให เหมื อ นธาตุ ; นี่ ฟ ง ให ดี เดี๋ ย ว จะเข า ใจว า พู ด กลั บ ไปกลั บ มา. ที่ ว า อย า ยึ ด มั่ น ธาตุ ว า เป น เรา เป น ของเรา นั่ น เป น ความหมายหนึ่ ง คื อ อย า ไปเอาธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า มาเป น ตั ว กู -ของกู ; แต เมื่ อ ปฏิบัติทางจิตใจนี้ กลับ พูด วา ทําจิต ใจปกติ มั่น คงเหมือ นกับ ดิน น้ํา ไฟ ลม ไม หวั่ นไหวทางดี ทางร ายอะไรหมด แล วก็ ให เหมื อนกั บอากาสธาตุ คื ออย าไปตั้ งอยู ที่ไหน อยาไปติดอยูที่ไหน อยาไปเกาะอยูทีไหน.

การเห็นความไมมีสาระของธาตุ ในที่สุดนี้ก็มาถึงคําสอน ที่พระพุทธเจาทานไดตรัสไว สําหรับผูที่มีจิต พ นจากธาตุ ว าเขาปฏิ บั ติ กั นอย างไร. พระพุ ทธเจ าได ตรัสในสู ตรหนึ่ งเรียกวา ฉวิ โสธนสูต ร; ตรัส ไปในทํ า นองวา คนที ่ป ฏิบ ัต ิถ ูก ตอ งนั ้น เขาปฏิบ ัต ิอ ยา งไร; นับ แต เขาครองเหย า ครองเรือน มี บุ ตร ภรรยา สามี .เขามองเห็ น ความไม เป น สาระอะไร แห งความเป นฆราวาส ล วนแต เป นความคั บแคบ เป นการกระทบกระทั่ ง เป นทางมา แหงธุลี คือกิเลส แลวก็ออกบวช.

www.buddhadasa.info ที นี้ ผู ออกบวชแล ว ก็ ปฏิ บั ติ มาตามลํ าดั บ นั บตั้ งแต เรื่ องง าย ๆ : เรื่ องศี ล เรื่ อ งธุ ด งค จนมาถึ ง เรื่ อ งปฏิ บั ติ เกี่ ย วกั บ ธาตุ ก็ มี คํ า ตรั ส ว า กุ ล บุ ต รนั้ น บวชแล ว ปฏิบัติแลว เขายืนยันการปฏิบัติของเขาเปนลําดับมาวา ไดความถูกตองมาอยางไร :-

ประโยคที ่ ๑. วา “ขา พเจาเขา ถึงปฐวีธ าตุโดยความเปน อนัต ตา”. นี่ หมายความว า ผู บวชคนนี้ เขาเอาจริง เข ามาถึ งจุ ด ๆ หนึ่ ง จนยื นยั นว า “ข าพเจ าเข าถึ ง ปฐวีธาตุ โดยความเปนอนัตตา”. ปฐวี ฐาตุ ก็ เป น ส วนหนึ่ ง ที่ ประกอบอยู แห งร างกายนี้ แหละ เข าถึ งตั วมั น รูความจริงตลอดปรุโปรงไปในตัวปฐวีธาตุนี้โดยความเปนอนัตตา ก็คือไมมีอัตตา ไมเปนอัตตาอยูที่ไหนเลย แลวก็มิไดเขาถึงซึ่งอัตตาอันอาศัยปฐวีธาตุ.


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๙๓

นี่ หมายความว า อาจารย บางพวกที่ เคยสอนกั นมา แม เขาเองเมื่ อยั งไม เคยบวช เขาก็ เชื่ อตามคํ าสอนของอาจารย แต ก อน ๆ ศาสดาก อน ๆ โน น ว ามี อั ตตา คื อตั วตนซึ่ ง อาศั ยอยู ที่ ปฐวี ธาตุ . เขาอาจจะเคยโง เคยหลง เคยเชื่ ออย างนั้ นมาก อนแล วก็ ได ; ครั้ น เขาบวชแล ว เขาพิ จารณาตามทางของพระพุ ทธเจ าแล ว เขาเห็ นปฐวี ธาตุ โดยความ เปน อนัต ตาแลว ก็ม ิไ ดเ ห็น วา มีอ ัต ตา ที ่อ าศัย อยู ที ่ป ฐวีธ าตุ. ในอาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ. เขาเห็นอยางเดียวกันทั้ง ๖ ธาตุเลยกระทั่งวิญญาณธาตุ. ประโยคที่ ๒ “ขาพเจารูชัดวาจิตของขาพเจาหลุดพนแลว”, ที่วาเมื่อ เห็ น อยู ทั้ ง ๖ ธาตุ ในลั ก ษณะอย างนั้ น “ข าพเจ าก็ รู ว าจิ ต ของข าพเจ าหลุ ด พ น แล ว” ก็ คื อหลุ ดพ นจากความเข าไปยึ ดมั่ นในธาตุ นั้ น ๆ โดยความเป นเรา เป นของเรา หรื อเป น อั ตตาของเรา เพราะว าเดี๋ ยวนี้ มั นได สิ้ นคลาย ดั บ สละ และสลั ดคื น; นี้ เป นวิ ธี พู ดใน ภาษาบาลี : วา เดี ๋ย วนี ้ เราสิ ้น ; แปลวา ขยะ เรีย กวา สิ ้น , ทีนี ้เ ราคลายออก จนหมด เรียกวา วิราคะ, เดี๋ ยวนี้ เราดั บ หมด นี่ เรียกวา นิ โรธ, เดี๋ ยวนี้ เราสละแล ว เรีย กวา จาคะ, เดี๋ ยวนี้ เราสลั ด คื น แล ว เรียกวา ปฏิ นิ ส สั ค คะ; ๕ คํ านี่ แทนกั น ได มี ความหมายประกอบกั นเข าให สมบู รณ ไม มี ทางที่ จะหลี กเลี่ ยงได ว าเดี๋ ยวนี้ สิ้ นแล ว เดี๋ยวนี้คลายออกหมดแลว.

www.buddhadasa.info สิ้นในที่นี้ก็คือ สิ้นความยึดมั่นถือมั่น เพราะถูกทําลายดวยปญญา ดวยวิชชา ไมเห็นอะไรที่จะยึดมั่นได ก็สิ้นความยึดมั่นถือมั่น.

ในกิริยาอาการที่เรียกวาสิ้นนั้น มองดูอีกเหลี่ยมหนึ่งมันคลายออกทันที; เพราะเมื่ อ ก อ นมั น ไปกอดรั ด ไว ไม ย อมปล อ ย จั บ ฉวยไว ไม ย อมปล อ ย. ที นี้ พ อความ ยึดมั่นนั้นสิ้นไป ก็มีอาการเหมือนกับคลายมือ คลายออกหมด.


๑๙๔

ปรมัตถสภาวธรรม

คําวาดั บแลว ก็คือดั บแห งอุ ปาทานวาตั วกู-วาชอบกู ในสิ่ งนั้ น เชนวา ปฐวี ธ าตุ เ ป น ตั ว กู ห รื อ ว า ปฐวี ธ าตุ เ ป น ของกู หรื อ ว า เป น อั ต ตาของกู นี่ ดั บ หมด. ดับ ตัว กู-ของกูนั ้น เสีย ในปฐวีธ าตุนั ้น ; ที ่ว า เปน อัน สละแลว ก็ห มายความวา ไมมีความถือเอาไว วาเปนเราเปนของเรา; เรียกวา สละ คือปลอยใหมันหลุดลวงไป. ที่ มี คํ า ว า “สลั ด คื น ” ความหมายนี้ เข า ใจยากหน อ ย; แต อ ยากจะให เขาใจกั นสั กอย างหนึ่ งวา คํ าวา “สลั ดคื น” นี่ คื อคื น “เจ าของเดิ ม”. หมายความวา ธาตุ ทั้ งหลายเป นสั กว าธาตุ ตามธรรมชาติ , ธรรมทั้ งหลายสั กว าธาตุ ตามธรรมชาติ เป นไป ตามป จ จั ย อยู เนื อ งนิ จ ตามธรรมชาติ ; ธรรมชาติ นั่ น แหละคื อ เจ า ของเดิ ม . ที นี้ สลั ดคื นก็ สลั ดคื นให เป นของธรรมชาติ : คื นธาตุ ดิ นไปให ธรรมชาติ ธาตุ น้ํ า ธาตุ อะไร ก็คืนไปใหธรรมชาติ เปนธรรมชาติ เปนสักวาตามธรรมชาติ. “เดี๋ ย วนี้ ข า พเจ า นี้ มี จิ ต หลุ ด พ น แล ว เพราะว า ได สิ้ น แล ว คลายแล ว ดั บ แล ว สละแล ว สลั ด คื น แล ว” ก็ ได ค วามว าสิ้ น จากความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น อย างหนึ่ ง, แล วก็ สิ้ นจากความเคยชิ นในความยึ ดมั่ นถื อมั่ นด วย. คํ าที่ เรี ยกว า เจตโสอธิ ฏฐานาภิ นิ เวสานุ สยา : สิ้ นจากความเคยชิ นในการถึ งทั บและการฝ งเข าไปแห งจิ ต. นั้ นแยก ใหเห็นไดดังนี้ : เจตโส - ทางจิตใจ, อธิฏฐาน - คือการถึงทับ ตั้งทับ, อภินิเวส แปลวา เชา ไป, อนุส ย แปลวา นอนตาม. นอนตาม นี ่ค ือ ความเคยชิน เปน สัน ดานไปเลย; อภิน ิเ วส - ในการที ่จ ะเขา ไป; อธิฏ ฐาน - การตั ้ง ทับ , เจตโส - ทางจิตใจ บนธรรมที่เปนที่ตั้งแหงความยึดมั่นถือมั่น.

www.buddhadasa.info ทีนี้ “ขาพเจาหมดแลว สิ้นแลว คืนแลว จากสิ่งชนิดนั้น” นี้เพราะวา อุ ปาทาน เดี๋ ยวนี้ ก็ หมดแล ว, และความเคยชิ นที่ จะมี อุ ปาทานนั้ นก็ หมดแล ว; แปลว า สิ้นแลวจากอุปาทาน และจากความเคยชินแหงอุปาทาน ซึ่งแตกอนนี้มันเคยอาศัย อยูที่ปฐวีธาตุ. หมายความวา แตกอนนี้ความโงความหลง ความยึดมั่นอะไรของเรา


หลักปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวา “ธาตุ”

๑๙๕

มั นเคยอาศั ยอยู ที่ ปฐวี ธาตุ ก็ เลยเลิ กกั นสํ าหรับปฐวี ธาตุ . อาโปธาตุ ก็ เป นอย างเดี ยวกั น, เตโชธาตุ ก็ เป นอย างเดี ยวกั น วาโยธาตุ ก็ อย างเดี ยวกั น อากาสธาตุ ก็ อย างเดี ยวกั น; แม ที่ สุ ดแต วิ ญญาณธาตุ นั้ น ซึ่ งเป นที่ ตั้ งแห งความยึ ดมั่ นมากกว าสิ่ งใดก็ เป นอย างเดี ยวกั น. เดี๋ ยวนี้ รู ว าวิ ญ ญาณธาตุ นี่ เกิ ดมา ก็ เพราะมี การสั มผั สระหว างอายตนะภายนอกภายใน; ดังเชนจักขุวิญญาณเปนตน เกิดวิญญาณธาตุ เกิดวิญญาณขึ้นมา. ประโยคที่ ๓ ว า “ข า พเจ า เมื่ อ เห็ น อยู รู อ ยู อ ย า งนี้ จิ ต ก็ พ น แล ว จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไมย ึด มั่น ในธาตุทั้งหลาย ๖ อยางนั้น ”. นี่ป ระโยค ที่ ๓ เขาว า “ข าพเจ าเมื่ อเห็ นอยู รู อยู อย างนี้ จิ ตก็ พ นจากอาสาวะทั้ งหลายเพราะไม ยึ ดมั่ น ในปฐวี ธาตุ ในอาโปธาตุ ในเตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ ๖ อย าง เหลานั้น”. นี่ เป นเรื่องสรุ ปผลของผู ปฏิ บั ติ ที่ ปฏิ บั ติ อย างถู กต องในการปฏิ บั ติ เกี่ ยวกั บ สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ . สรุ ป ขึ้ น มาได เป น ข อ ความของกุ ล บุ ต รคนหนึ่ ง ผู ป ฏิ บั ติ ถู ก ต อ ง. จะกลาวทวนซ้ําดังนี้ :-

www.buddhadasa.info ประโยคที่ ๑ “ข าพเจ าเข าถึ งปฐวี ธาตุ โดยความเป นอนั ตตา มิ ได เข าถึ ง ซึ่งอัตตา อันอาศัยปฐวีธาตุนั้น” นี่ประโยคหนึ่ง.

ประโยคที่ ๒ “อนึ่ งข าพเจ าย อมรู ชั ด ว าจิ ตของข าพเจ าหลุ ดพ นแล ว เพราะ ความสิ้ น ความคลาย ความดั บ ความสละ และความสลั ด คื น จากเจตโส อธิ ฏ ฐาน อภิ นิ เ วสานุ ส ยา”; อุ ป าทานนี้ จ ะอยู ไ ด ก็ เ พราะมี เ จตโสอธิ ฏ ฐานาภิ นิ เ วสานุ ส ยาฯ คื น อั น หนึ่ งเป น เหมื อ นเชื้ อ ของความเคยชิ น ; อี กอั น หนึ่ งเป น ตั วการกระทํ าที่ อ อกมา ๆ จากความเคยชิน. ประโยคที่ ๓ “ข า พเจ า เมื่ อ รู อ ยู เห็ น อยู อ ย า งนี้ จิ ต พ น แล ว จากอาสวะ ทั้งหลาย เพราะไมยึดมั่นในธาตุทั้งหลายหกอยาง เหลานี้แล”.


ปรมัตถสภาวธรรม

๑๙๖

นี่ คื อคํ าที่ พ ระพุ ทธเจ าท านตรั สเล า ถึ งการที่ กุ ลบุ ตรคนหนึ่ ง ออกบวชจน บรรลุพระอรหันตเปนอยางนี้. ที นี้ แม ส าวกของพระพุ ท ธเจ า เชน พระกั จ จายนะเป น ต น ก็ ก ล าวข อ ความอย างเดี ยวกั น แตก็พบมานี้ เป นเรื่องที่พู ดในขันธ ๕. พระกัจจายนะก็แนะสอน ใหปฏิบัติวา เพราะวาสิ้น หรือวาคลาย หรือวาดับ หรือสละ หรือสลัด คืนเสียได ซึ่งราคะ ซึ่งนันทิ ตลอดถึง เจตโส อธิฏฐานาภินิเวสานุสยา. อยางที่วาเมื่อตะกี้นั้น ซึ่ งมี อยู ในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสั ญญาธาตุ ในสั งขารธาตุ ในวิ ญญาณธาตุ ตั้ ง ๕ นี้ . จิตนี้ก็เปนจิตที่กลาวไดวา หลุดพนดีแลว เพราะสิ้น เพราะคลาย เพราะดับ เพราะสละ เพราะสลั ด คื น ซึ่ ง ความกํ า หนั ด และความเพลิ ด เพลิ น หรื อ อนุ สั ย ที่ เข า ไปตั้ ง ทั บ ด วยจิ ต ใจในธาตุ ตั้ ง ๕ นั้ น แหละ; จึ งเกิ ด ภาวะอั น ใหม แ ก จิ ต จนกล าวได ว า จิ ต นี้ เปนสวิมุตฺตํ -พนวิเศษแลวดวยดี ดังนี้. นี่ ก็ คื อข อที่ เราจะต องทราบในตอนท าย ๆ ของเรื่ องเกี่ ยวกั บธาตุ หรือปรมั ตถธรรม เกี่ ย วกั บ ธาตุ ว า จะต อ งปฏิ บั ติ อ ย า งไร ซึ่ ง ได อ ธิ บ ายมาในวั น นี้ ; สรุ ป ได เปนใจความวา หลักขอแรกที่สุดก็ดูโดยความเปนธาตุ เปนไปตามปจจัย ไมใช สัตวบุคคล เปนตน.

www.buddhadasa.info เมื่อเห็นความเปนธาตุแลว จิตก็ถอนออกมาจากสังขารธาตุทั้งหลาย มาอยู คือนอ มมาทางอมตธาตุ. จะใหเปนอยางนั้นอยูไดเสมอไป ก็เปนเรื่องที่จะตอง ทํ า จิ ต ใจเหมื อ น ปฐวี ธ าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ; แล ว วางเฉยในธาตุ ทั้งปวงไดในที่สุด เรียกวา หลุดพนดีแลว. นี่คือแนวการปฏิบัติเกี่ยวกับธาตุ ซึ่งไดอธิบายมาก็พอสมควรแกเวลาในวันนี้แลว. ขอยุติเพียงนี้.


ปรมัตถสภาวธรรม

-๗๑๗ กุมภาพันธ ๒๕๑๖

พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ-อายตนะ-ขันธ

ทานสาธุชนผูสนใจสนธรรมทั้งหลาย,

การบรรยายประจํ า วัน เสาร ในชุด ที ่เ รีย กวา “ปรมัต ถสภาวธรรม” ได ดํ า เนิ น ม า เป น ค รั ้ ง ที ่ ๗; ใ น วั น นี ้ ก ็ เ ผ อิ ญ ม า พ  อ ง กั น กั บ วั น ม า ฆ บู ช า ; การบรรยายเรื่อ งปรมัต ถสภาวธรรมในวัน นี ้ จึง ถือ โอกาสกลา วถึง เรื ่อ งที ่เ นื ่อ ง กับวันมาฆบูชาพรอมกันไปในตัว.

www.buddhadasa.info ขอทบทวนว า การบรรยายชุ ด นี้ ๖ ครั้ งมาแล ว ได กล าวถึ งแต เรื่ อ งธาตุ อย า งเดี ย ว โดยปริ ย ายนั้ น โดยปริ ย ายนี้ ก็ เพื่ อ ให เข า ใจสิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ โดย แจมแจง, และสามารถปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวาธาตุนั้น ใหลุลวยไปจนถึงที่สุด.

๑๙๗


๑๙๘

ปรมัตถสภาวธรรม

การบรรยาย เรื่องธาตุ มุงหมายเพื่อความไมมีทุกข ท านทั้ งหลายจะต องทบทวนให ดี ระลึ กให ได ถึ งการบรรยายแนะนํ าสั่ งสอน ที่ นี่ หรื อ ที่ อื่ น ก็ ต าม อั น แสนจะมากมายนั้ น ก็ มี ค วามมุ ง หมายเพี ย งอย า งเดี ย ว คือวาอยาใหเกิดการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดขึ้นมาสําหรับจะเปนทุกข. สิ่งที่เรียกวา ความทุ กขนั่น เกิดมาจากความยึกมั่นถือมั่ นอยางเดียวเท านั้น; เมื่ อไม มี ความยึดมั่ นถือมั่นใน สิ่งใดโดยที่ ไม มี หมายมั่ นวาเป นตั วเราหรือของเราดั งนี้ แล ว ความทุ กขไม อาจจะเกิ ดขึ้น ไม วา ในอะไรหมด. คนเราเกิดมาไม รูเรื่องนี้ คือไมรูเรื่องความปลอยวาง, รูจักแต ยึดมั่นถือมั่ นนั่ นนี่ : ยึ ดมั่ นของภายในสั งขารร างกายนี้ ว าเป นตั วตน กระทั่ งชี วิ ตนี้ ว าเป นของตน อย างนี้ เปน ตน ; ยึด มั ่น สิ ่ง ของ สัต ว สัง ขาร ในภายนอกอื ่น ๆ วา เปน ของตน; ยึด มั ่น เทาไร ก็เปนทุกขเทานั้น ยึดมั่นเมื่อใด ก็เปนทุกขเมื่อนั้น. ขอใหสังเกตุดูใหดีวา เราไมไดยึดมั่นสิ่งใด ๆ อยูตลอดเวลา ทุก ๆ ครั้งที่ หายใจเขาออก หรือวาตลอดเวลา; เรายึดมั่นถือมั่นเฉพาะตอเมื่อเราโงไปบางครั้ง บางคราวเท านั้ น; บางที ก็ เมื่ อตาเห็ นรู ป บางที ก็ เมื่ อหู ฟ งเสี ยง บางที ก็ เมื่ อจมู กได กลิ่ น ลิ้ น สั ม ผั ส รส กายได สั ม ผั ส ของที่ ม าถู ก กาย หรื อ ว าจิ ต สั ม ผั ส สิ่ งที่ รู สึ ก คิ ด นึ ก ขึ้ น มา; แตไมใชวาจะตองมีความยึดมั่นถือมั่นทุกคราวไป สวนมากก็ไมไดยึดมั่นถือมั่น.

www.buddhadasa.info ตาเราก็ เห็ น อยู เ สมอ หู ก็ ไ ด ฟ ง อยู เ สมอ อย า งเดี๋ ย วนี้ ก็ ไ ด เ ห็ น ได ยิ น ทางตา ทางหู ไดกลิ่นทางจมูก เปนตน แตไมเกิดความยึดมั่น เราจึงไม เป นทุ กข; น อยครั้งที่ จะเกิ ดความยึ ดมั่ นและเป นทุ กข . จะเป นทุ กข ต องประสบเหมาะ คื อว ามี สิ่ ง ที่ มาสั มผั ส ในลั กษณะที่ ยั่ วเย าให เกิ ดอารมณ ที่ จะพอใจก็ มี ที่ จะให เกลี ยดชั งหรื อไม พอใจก็มี; ถาวาอารมณืนั้นมีอํานาจมากพอ แลวเราก็กําลังโง คือเผลอสติ ก็จะตอง


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๑๙๙

เกิ ด มี ก ารยึ ด มั่ น ไม ท างใดก็ ท างหนึ่ ง คื อ ทางรั ก หรื อ ว า ทางชั ง ซึ่ ง ต อ งเกิ ด เป น ความโลภ ความโกรธ ความหลง อยางใดอยางหนึ่งขึ้นมา แลวก็เปนทุกข. แต ถึ งอย างไรก็ ดี แม ว าเราจะไม ได มี ความยึ ดมั่ นกั นตลอดวัน ตลอดเวลา; แตถายึดมั่นขึ้นมาทีไรก็เปนทุกข เหมือนกับตกนรกทั้งเปน, แลวยังมียึดมั่นใตสํานึก เช นวิตกกั งวลต าง ๆ กระทั่ งแม แต ฝ น ก็ ฝ นไปในทางที่ เกิ ดความยึ ดมั่ นถื อมั่ น ที่ เป น ทุกขไดเหมือนกัน. เปนอันยุติไดชั้นหนึ่งกอนวา ความทุกขตองเกิดมาจากการยึดมั่นถือมั่น; ถาไม ยึดมั่ นถือมั่ นแล ว ก็หามี ความทุ กขอะไรโดยแท จริงไม ; แม วาจะมี ความเจ็บปวด เมื่ อไม เขลาไปยึดเอาความเจ็บปวดนั้ นเป นของเรา คื อไม ยึดมั่ นถือมั่นแลว มั นก็ เจ็บแต น อย หรือเจ็ บแต ตามธรรมดา. ถ ายึ ดมั่ นถื อมั่ น ก็ เจ็ บมาก และจะเจ็ บก อนแต ที่ จะมี ความเจ็ บมากระทบด วยซ้ํ าไป : ยึ ดมั่ นไวล วงหน า เกิ ดความกลั ว เกิ ดความวิ ตกกั งวล อย างที่ เรากั งวลเรื่องความเจ็บความไข ความตาย อั นจะมาขางหน า, อย างนี้ เรียกวา ยึดมั่นถือมั่นดวยเหมือนกัน.

www.buddhadasa.info บางครั้งสิ่ งที่ ล วงแล วไปในอดี ต จะเอามาคิ ดใหม ให เกิ ดความยึ ดมั่ นถื อมั่ น จนเป นทุ กข เชนเสี ยอกเสี ยใจก็ ได , สิ่ งที่ กํ าลั งประสบอยู ในป จจุ บั น ยึ ดมั่ นแล วก็ เป น ทุก ข เหมือ นกับ ตกนรก, สิ ่ง ที ่ย ัง ไมม าถึง อัน เปน เรื ่อ งอนาคต ก็ห ว งไว สํ า หรับ ที่ จ ะทรมานตั ว ทรมานใจของตนให เป น ทุ ก ข ด ว ยความยึ ด มั่ น นั่ น เอง ก็ มี ไ ด . เพราะฉะนั้นพระพุทธเจาทานจึงไดตรัสไวเปนใจความสั้น ๆ วา สงขิตฺเตน ปฺ จุปาทานกฺ​ฺขนฺ ธา ทุ กฺข า- เมื่ อ กล าวโดยสรุป แลว เบญจขัน ธ (คื อ ขัน ธทั้ ง ๕ ซึ่ งประกอบกั น เปนชิ้นเปนคนนี่) ที่มีอุปาทานยึดมั่น ยึดมั่นนั่นแหละเปนตัวทุกข.


๒๐๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ทุกสิ่ง ถาไมยึดมั่นก็ไมมีความทุกข สรุป ว า อะไรก็ ต าม ถ า ไม ได ยึ ด มั่ น แล ว ก็ ไม มี ค วามทุ ก ข ; แต พ อเรา มี ความยึ ดมั่ น ชนิ ดที่ ถอนไม ออก สลั ดออกไปไม ได เราจึ งเป นทุ กข ; เช นความเจ็ บปวด เกิด ขึ ้น เราสลัด ออกไปไมไ ด เราเจ็บ ปวดอยู ส ว นหนึ ่ง , ไปยึด มั ่น ถือ มั ่น เขา อีก ก็เจ็บปวดมากขึ้นในทางจิ ตใจ อี กหลายเท า. ถาเจ็ บปวดแต ทางกายล วน ๆ ก็ เป น สวนนอยสวนหนึ่ง; แตถาเกิดยึดมั่นทางจิตใจ คือมีความกลัวมาก มีความหวั่นวิตก มาก เสียอกเสียใจมาก หรือขัดแคนขึ้นมาโดยวิธีใดก็ตาม ก็กลายเป นเจ็บที่ ใจเพิ่ มขึ้ น อีกสวนหนึ่ง ซึ่งเปนความทุกขมากในที่นี้. รวมความแล วก็ ว า ความทุ ก ข ที่ เกิ ด จากความเจ็ บ ปวดทางร างกายล วน ๆหรือความหิ วกระหายที่ เป นเรื่องทางร างกายล วน ๆ เหล านี้ ไม เป นทุ กข มากมายอะไร, และจะไม เรียกว าความทุ กข ในกรณี ของธรรมะด วยซ้ํ าไป. ต อเมื่ อใดมี ความยึ ดมั่ น ถื อ มั่ น ในความเจ็ บ ปวด ในความหิ วกระหาย หรือ ทุ ก อย างที่ มั น เกิ ด ขึ้ น แก ต นแล ว ก็เรียกวา มีความทุกขจากความยึดมั่นถือมั่นนั้น.

www.buddhadasa.info เมื่อใดวางจากความยึดมั่นถือมั่น ก็ไมมีความทุกขเลย มีจิตใจผิดแปลก ไปอย า งตรงกั น ข า ม; เหมื อ นอย า งว า เวลานี้ ถ า ท า นผู ใ ดไม ไ ด ยึ ด มั่ น อะไร ก็ ไ ม มี ความทุ ก ข . ผิ ด กั น กั บ เมื่ อ อยู ที่ บ าน ที่ เรื อ น หรื อ ที่ อ ยู กั บ สิ่ งที่ ทํ าให ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ซึ่ ง ทํ าให เป น ทุ ก ข ; หรื อ ว านั่ งอยู ที่ นี่ กํ าลั งไม เป น ทุ ก ข อ ย างนี้ ลองนึ ก ไปถึ งเรื่ อ งที่ บ าน ที่ เรือน ซึ่ งเป นที่ ตั้ งของความยึ ดมั่ น เหตุ ใด อย างใดก็ ตาม จะเกิ ดเป นทุ กข ขึ้ นมาทั นที ทั้งที่นั่งอยูที่นี่.

ลั ก ษณะดั ง ที่ ก ล า วมานี้ เป น สิ่ ง ที่ เรี ย กได ว า เป น ของธรรมดา เป น ไป ตามกฎของธรรมดา เปนขอเท็จจริงที่มีอยูแกทุกคน; ผิดกันแตวา บางคนไมสนใจ


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๐๑

ก็ ไ ม ท ราบ; แม ว า เป น ทุ ก ข เหมื อ นกั บ ตกนรกทั้ ง เป น อยู ก็ ไ ม ส นใจ ว า มั น เนื่ อ ง จากเหตุอะไร. บางทีก็อยากจะสนใจ แตก็สนใจผิดทาง : ไปมองเห็นวา ความทุกข ของเรานี่ มาจากเหตุ อั นอื่ น ไม ใช ความยึ ดมั่ นถื อมั่ น; เช นหลงไปว ามาจากโชคชะตาราศี ผี สาง เทวดา อะไรต าง ๆ นานา ก็ ไปจั ดการกั บความทุ กข ผิ ดเรื่ อง ผิ ดวิ ธี ไป ก็ กลาย เปนดับทุกขไมได หรือวาไดก็อยางหลอกลวงตัวเองชั่วครูชั่วยาม. เมื่ อจะถื อเป นหลั กที่ ถู กต องกั นจริง ๆ แล ว ก็ มี อยู อย างเดี ยวตามที่ พระพุ ทธเจ า ท านได ตรัสไวถึ งความทุ กข อั นแท จริงที่ มาจากความยึ ดมั่ นถื อมั่ น; ถ าว าจิ ตของเราถู ก อบรมมาดี ไมมีการยึดมั่นถือมั่น เราก็ไมมีความทุกข ในสิ่งใด. เราก็ทําสิ่งตาง ๆ หน าที่ ก ารงานอะไรได ทุ กอย างโดยที่ ไม ต อ งยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ; แต ว าทํ าด วยสติ ป ญ ญา ที่ มี ความเข าใจถู กต อง รูจั กหน าที่ ที่ ควรทํ า รูจั กความเหมาะสม ในการที่ จะต องทํ าเท าไร อย างไร เพี ย งไร เมื่ อ ใด อย างนี้ ก็ เป น มนุ ษ ย พิ เศษขึ้ น มาทั น ที คื อ เป น มนุ ษ ย ที่ ไม มี ความทุกข. สรุปความว า เราต องการจะมี ชี วิ ตอยู โดยที่ ไม ต องยึ ดมั่ นถื อมั่ นจนตลอดชี วิ ต และหวัง วา จะไมม ีค วามทุก ขเลย เราจึง ตอ งศึก ษาใหรู ; รู แ ลว ตอ งปฏิบ ัต ิใ หไ ด ในขอเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องความยึดมั่นถือมั่นนั้นเปนทุกข สวนความไมยึดมั่นถือมั่น ก็ไมเปนทุกข.

www.buddhadasa.info สิ่งทั้งปวง เปนสักวา ธาตุ ยึดมั่นไมได ที นี้ ก็ ม าถึ งเรื่ อ งสิ่ งที่ เรี ย กว า “ธาตุ ”; สิ่ งทุ ก สิ่ งนั้ น คื อ ธาตุ ประกอบอยู ด วยธาตุ เดี ย วบ างหลายธาตุ บ าง. ธาตุ นั้ น คื อ สิ่ งที่ เป น อยู มี อ ยู ห รือ เป น ไปตาม ธรรมชาติ; สิ ่ง ที ่เ ปน อยู ต ามธรรมชาตินี ้ ไมใ ชต ัว ตนหรือ สัต ว บุค คล, เปน สัก แตธาตุอยูตามธรรมชาติ; แตแลวจิตใจไมรูสึกอยางนั้นเพราะโง ตั้งแตเกิดมาคน


๒๐๒

ปรมัตถสภาวธรรม

ถู กทํ าให โง มากขึ้ น, ถู กอบรมสั่ งสอนแวดล อมให เข าใจเป นสั ตว บุ คคล เป นตั ว เป นตน เปน ของเรา เปน ตัว กู - เปน ของกู ในที ่ส ุด เรื ่อ ย ๆ มาจนบัด นี ้; เราจึง ชิน กัน แต ที่ จะยึ ดมั่ นถื อมั่ น. ยิ่ งมาถึ งสมั ยที่ มี อะไรยั่ วยวนให ยึ ดมั่ นถื อมั่ นมากขึ้ นไปอี ก ความ ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ก็ ยิ่ งมากขึ้ น ไป จนยากที่ จ ะควบคุ ม ได หรื อ แก ไขได . มนุ ษ ย ช นิ ด นี้ ใน สมัยนี้จึงมีความทุกขมาก ยิ่งกวามนุษยในสมัยที่ไมหลงใหลกันมากถึงขนาดนี้. แต ถึ งอย างไรก็ ดี ถ าจะมี อะไรมาทํ าให เขาเกิ ดความรูความเข าใจอย างแจ มแจ ง วาสิ่ งทั้ งหลายทั้ งปวง เป น สั ก วาธาตุ เท านั้ น เป นไปตามธรรมชาติของธาตุนั้น ๆ, ไม มี ส วนที่ จะเป นตั วตน เป นบุ คคล เป นเรา เป นเขาได ; แต ค วามโงของคนเรากลั บ ทํ าให มั น เป น ตั วตนขึ้ น มาจนได คื อ ไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เอาว า เป น เรา เป น ของเรา เป น นั่ น เป น นี่ . ดั งนั้ น สิ่ งที่ ไม ใช ตั วตน ไม ใช สั ต ว ไม ใช บุ ค คล จึ งถู กยึ ดมั่ น สํ าคั ญ มั่ น หมาย ให เป น ตั วเป น ตน เป น สั ต ว เป น บุ ค คลขึ้ น มาได สํ าหรั บ บุ ค คลนั้ น จะได มี ความทุกข. สิ่งที่ เรียกวา “จิ ต” นั้ น คิ ดนึ กได โดยธรรมชาติ ของจิ ตเอง เพราะวา มั น เป นธาตุ จิ ตเป นธาตุ วิ ญ ญาณ ซึ่ งจะต อ งทํ าหน าที่ คิ ดนึ กได ; ถ าธาตุ นี้ คิ ดนึ กอะไร ไม ได ปรุ ง แต งอะไรไม ได มั น ก็ ไม ใช จิ ต และจะไม เรี ย กมั น ว า จิ ต . เดี๋ ย วนี้ เพราะว า ธาตุ นั้ น คิ ด ได สร างสรร ปรุ งแต งในทางความคิ ด นึ กได เขาจึ งเรี ยกว าจิ ต . ถึ งแม จิ ต ก็ เป น สั กแต ว าธาตุ ไม ใช สั ต ว บุ ค คล ตั วตน โดยแท จ ริ ง ถ าเราอยากจะโง ก็ ต ามใจ ก็ ไปคิ ด ไปยึ ด มั่ น เอาว า เป น สั ต ว บุ ค คล ตั ว ตน ที่ แ ท ก็ เป น จิ ต นั่ น เอง; คื อ จิ ต ที่ โง แลวก็ยึดมั่นตัวเองวา เปนตัวเปนตน เปนสัตว เปนบุคคล.

www.buddhadasa.info ถายึดมั่นในธาตุ ก็เปนนรก-สวรรคไปได ถาเกิดความรูสึกขึ้นมา ชนิดที่ทําใหจิตรอน ใหกายรอน ก็เหมือนกับตกนรก ทั้งเปน ดังที่พระพุทธเจาทานไดตรัสวา ผัสสายตนิกนรก เรารูจัก; หมายความวา


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๐๓

การปรุงแต ง ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย และทางใจ อย างใดอย างหนึ่ ง ใน ๖ อยางนี้ เมื่อทําไปผิด ประกอบไปดวยความยึดมั่นถือมั่นแลวก็เปนนรก ขึ้น ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางจิ ต; นี่ เป นพระพุ ทธภาษิ ตที่ พระสงฆ ไดสวดสาธยายเสร็จไปเมื่อตะกี้นี้. ที่ เป นสวรรค ก็ ตรัสไว เหมื อนกั นว า ผั สสายตนิ กสวรรค (สวรรค เป นไปทาง อายตนะ ๖) เรารู จั ก ; หมายความว า ประพฤติ ป ฏิ บั ติ ให ถู ก ต อ ง ต อ อายตนะนั้ น ๆไมเกิดความยึดมั่นในอายตนะนั้น ๆ ก็ไมเกิดความหนัก ไมเกิดความรอน ไมเกิด ความทุ กข ใด ๆ ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจนั้ น ; ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจนั่ นก็ เป น สวรรค ขึ้นมาที่นั่ นและเดี๋ ยวนั้ น. อะไรจะเขามาทางตาก็เป นที่สบายพออกพอใจไปหมด, อะไรจะเข ามาทางหู ก็ เป นที่ สบายพออกพอใจ, ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางใจอี ก ก็เหมื อนกันไม เกิ ดเป นความทุ กขทรมานขึ้นมา, สงบหรือสบายหรือสะดวกเป นที่ พอใจ; ควรที่จะเรียกวาสวรรคอยูที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้น. นี่ แหละคื อข อที่ ว าถ าเราทํ าผิ ด คื อ จิ ตนี่ โง ไป ด วยเพราะอะไรก็ ตาม ใน บางครั้งบางคราว, ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็กลายเป นนรก; แตถาทําถูกอยู ไดแก ไมยึดมั่นถือมั่นอยูตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ใหความพอใจ เปนสวรรคได ไมมีความ ทุ ก ข . เราจึ งควรจะมองเห็ น ว า การเข า ใจสิ่ งเหล านี้ ถู ก ต อ งตามที่ เป น จริง อย าไป ยึด มั ่น ถือ มั ่น นั ้น เปน เรื ่อ งสํ า คัญ มาก, และเปน เรื ่อ งลึก ซึ ้ง ถึง กับ ตอ งเรีย ก วาปรมัตถสภาวธรรมอยางที่เคยบรรยายมาแลว.

www.buddhadasa.info ปรมั ต ถะ แปลว า มี ป ระโยชน หรื อ มี อ รรถ หรื อ มี เนื้ อ ความอั น ลึ ก ซึ้ ง หรือ อยา งยิ ่ง , สภาวธรรม คือ ธรรมที ่เ ปน อยู ต ามธรรมชาติ. สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุ ทั้งหลายนั่นเอง คือสภาวธรรมที่มีอรรถอันลึกซึ้ง ที่เปนอยูตามธรรมชาติ; เราก็ ไดหยิบเอาหมวดที่เรียกวาธาตุนี้ มาบรรยายเปนลําดับมา.


๒๐๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ในการบรรยายชุ ดนี้ ครั้ งแรกที่ สุ ดก็ ได กล าวให ทราบถึ งข อที่ ควรทราบก อน โดยคร าว ๆ ทั่ ว ๆ ไป เกี่ ยวกั บสิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ . ต อมาก็ ได บรรยายถึ งเรื่ องความเนื่ อง กั นระหวางธาตุ หรือระหวางกลุ มของธาตุนานาชนิ ด, และต อมาก็ได บรรยายให เห็ นวา สิ่งที่เรียกวาธาตุนั้นทําใหเกิดสิ่งทั้งหลายทั้งปวงขึ้นมาไดอยางไร. เมื่อมาในครั้งที่ แลวมานี้ ก็ไดกลาวถึงวิธีป ฏิ บั ติ ซึ่งเราจะตองปฏิบัติเกี่ยวกับ สิ่งที่ เราเรียกวาธาตุ ตามสมควร.

พิจารณาดูธาตุ เกี่ยวกับพระอรหันต ในวันนี้ จะได กล าวโดยหั วข อว า “สิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ เป นต นนั้ นกั บพระอรหั น ต ” ; เพราะเหตุ วาวัน นี้ เป น วั น ที่ ร ะลึ ก แก พ ระอรหั น ต ดั งที่ ได ก ล าวแล ว คื อ เป นวั น มาฆบู ชา ที่ เราจะได ประกอบพิ ธี นี้ ในเวลาเย็ นวันนี้ ในลํ าดั บต อไป. แต บั ดนี้ เราจะได พู ดกั นถึ ง พระอรหั นต ที่ เป นใจความสํ าคั ญของวันมาฆบู ชานี้ ว าท านมี อะไรบ าง ที่เราควรจะทราบ.

www.buddhadasa.info หั วข อบรรยายมี ว า “สิ่ งที่ เรี ยกว า ธาตุ เป นต น กั บพระอรหั นต ” นี้ จะต อง ทํ า ความเข า ใจให ก ว า งไปถึ ง ว า ไม มี อ ะไรเลย นอกจากสิ่ ง ที่ เรี ย กว า ธาตุ ; แต ว า สิ่ งที่ เรียกวาธาตุ นั้ นมี มาก มากมายหลายอย างหลายสิ บอย าง ถ าจะแจกกั นแล วก็ เป นตั้ ง หลายรอยอยางก็ได ซึ่งก็ไดบรรยายแจกแจงกันมาแลว หลายครั้งหลายคราว.

ผู ที่ ไม เคยฟ ง ก็ อาจจะเข าใจผิ ด ว ามี ธาตุ เพี ยง ๔ ธาตุ : ดิ น น้ํ า ลม ไฟ อย างนี้ เป นต น; อย างมากก็ ๖ ธาตุ คื อเพิ่ มธาตุ อากาส ธาตุ วิ ญ ญาณ. อาจไม เคยได ยินไดฟ งในทํ านองที่วา ไมมีอะไรที่ไม ใชธาตุ ทุ กอยางเป นธาตุ ในความหมายอยางใด อยางหนึ่ง; จะแยกไดเปน ๒ พวก คือพวกสังขตธาตุ : ธาตุที่มีเหตุปจจัยปรุงแตง หรือว าตั วธาตุ เองก็ เป นเหตุ เป นป จจั ยสํ าหรั บแต งสิ่ งอื่ นต อไป ธาตุ นี้ ก็ มี อยู พวกหนึ่ ง มี จํานวนมากมาย, อีกพวกหนึ่งก็เรียกวา อสังขตธาตุ : ธาตุที่ไมตองมีเหตุปจจัย


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๐๕

อะไรปรุ ง แต ง และตั ว เองก็ ไม ป รุง แต งอะไรด ว ย; นี้ เรีย กว า อสั ง ขตธาตุ เช น กฎ ของธรรมชาติ , ความจริงของธรรมชาติ อย างนี้ , ไม ต อ งมี อ ะไรปรุ งแต งให เกิ ดขึ้ น มา มั นก็ ตั้ งอยู ในฐานะเป นความจริง เป นธาตุ แห งความจริ ง, เป นธาตุ ที่ ตั้ งอยู ในลั กษณะ ที่ เป น อิ ส ระ, เป น ธาตุ ที่ ต รงกั น ข า ม, เหนื อ เป น ธาตุ ที่ ห ลอกลวง คื อ ตั้ ง อยู ชั่ ว ขณะ เปลี่ ยนแปลงไปตามเหตุ ตามป จจั ย; แต เพราะเหตุ ที่ ว ามี อยู จริ งก็ ต องเรี ยกว าธาตุ ด วย เหมือนกัน. ธาตุ ต าง ๆ เหลานี้ มี อยู ในที่ ทั่ วไปอยางนี้ เกี่ ยวข องกั บบุ คคลประเภทที่ เรียกกันวา พระอรหันตอยางไร.

พระอรหันต กับ สังขตธาตุ เมื่อพูดถึงสังขตธาตุ คือ ธาตุที่มีเหตุปจจัย เราก็มองดูไปยังกลุมแรกที่สุด ที ่ว า ธาตุทั ้ง หลายที ่ย ัง เปน ธาตุห นึ ่ง ๆ เชน ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุไ ฟ ธาตุล ม อากาสธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ , หรื อ ว าธาตุ : จั ก ขุ ธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิ วหาธาตุ กายธาตุ เป นต น คื อธาตุ ทางตา ธาตุ ทางหู ธาตุ ทางจมู ก ฯลฯ แล วก็ ยั งมี ธาตุ ทางรู ป ทางเสี ย ง ทางกลิ่ น ทางรส ฯลฯ; จะมี ชื่ อ ธาตุ ต า ง ๆ กั น ล ว นแต เรี ย กว า เป น ธาตุ ทั้งหลายที่ยังเปนสักวาธาตุหนึ่ง ๆ; ธาตุทั้งหลายอยางนี้ พระอรหันตทั้งหลายทาน รอบรู.

www.buddhadasa.info ขอใหฟ ง ใหด ีก วา ๑. ธาตุทั ้ง หลายเหลา นี ้ พระอรหัน ตท า นรอบรู คือท านรูอยางทั่ วถึ งวามั นเป นแต เพี ยงธาตุ โดยความเป นสักวาธาตุ. พระอรหันต จะต องรู จั กสิ่ งทั้ งหลายทั้ งปวง ที่ เป นธาตุ เหล านี้ ว ามั นเป นสั กว าธาตุ ; ดั งนั้ นท านจึ ง ไมยึดถือธาตุใดธาตุหนึ่ง โดยการเปนตัวมันหรือวาเปนตัวเรา หรือวาเปนของเรา. คนธรรมดาทั่ วไปไม รอบรูซึ่ งธาตุ ทั้ งหลายเหล านี้ จึ งได ยึ ดเอาว าเป นตั วเรา : โง เกิ นไป ก็ยึดเอารางกายนี้วาเปนตัวเรา, ฉลาดหนอยก็ยึดเอาจิตใจที่คิดนึกรูสึกไดวาเปนตัวเรา,


๒๐๖

ปรมัตถสภาวธรรม

ก็ เอาธาตุ ห นึ่ ง ว า เป น ตั ว เรา : เอารู ป ธาตุ เป น ตั ว เราก็ มี เอาเวทนาธาตุ เป น ตั ว เรา ก็ มี เอาสั ญญาธาตุ เป นตั วเราก็ มี เอาสั งขารธาตุ เป นตั วเราก็ มี หรือเอาวิญ ญาณธาตุ คื อจิ ตที่ คิ ดนึ กรูสึ กอะไรได นี้ เป นตั วเราก็ มี . นี้ เพราะเป นคนชาวบ าน ไม รอบรูเรื่องธาตุ จึ งยึ ดธาตุ ใดธาตุ หนึ่ งโดยความเป นตั วเรา; ส วนพระอรหั นต ท านรอบรูสิ่ งที่ เรียกว าธาตุ ทั้งหลายเหลานี้โดยความเปนสักวาธาตุ ไมใชตัวเรา. นี ่ล องเปรีย บเทีย บกัน ดูว า “เรา” กับ “พระอรหัน ต” นี ้จ ะมีค วาม รูสึกในใจตางกันอยางไร. ในเมื่อ “เรา” นี้ พรอมที่จะเอาอะไรเปนตัวเรา ไมอยางใด ก็ อ ย า งหนึ่ ง อยู เรื่ อ ยไป; ส ว น “พระอรหั น ต ” ไม มี ท างที่ จ ะเอาสิ่ ง ใดสิ่ ง หนึ่ ง หรื อ ธาตุ ใดธาตุ หนึ่ งมาเป นตั วเรา; เพราะวา ท านรอบรูซึ่ งธาตุ ทั้ งหลายว า เป นสั กว าธาตุ ดั งกล าวแล ว. นี่ ห มายถึ งธาตุ ในอั น ดั บแรก คื อธาตุ ที่ เป น สั กว าธาตุ ห นึ่ ง ๆ เป นธาตุ หนึ่ง ๆ ลวน ๆ. ๒. ธาตุอันดับตอมาคือธาตุที่ปรุงกันเขาเปนนั่นเปนนี่ เชนวาธาตุดิน น้ํา ลม ไฟ อากาส วิ ญ ญาณ, หรื อธาตุ ใด กี่ ธาตุ ก็ ตาม ปรุ งขึ้ นเป นจั กขุ ธาตุ คื อธาตุ ตา สําหรับเห็ น, เป นโสตธาตุ-ธาตุหู สําหรับไดยิน, ฯลฯ จนกระทั่งเกิดตา หู จมู ก ลิ้น กาย ใจขึ้ นมา เรี ยกว าอายาตนะ. เราเคยได ยิ นกั นแต อายตนะ ๖ : ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ หรื อ จั ก ขุ โสต ฆานะ ชิ ว หา กาย มโน; เราไม เคยได ยิ น ว า จั ก ขุ ธ าตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิ ว หาธาตุ กายธาตุ มโนธาตุ ไม ค อ ยได ยิ น ; แต ว า ในพระบาลี ก็ มี อ ยู อย างเดี ยวกั นนี้ . นี่ หมายความว า ธาตุ หนึ่ ง ๆ นี้ มั นถู กกระทํ า หรือว ามั นปรุงกั นเข ามา จนมาเปนธาตุในลําดับที่เรียกวา อายตนะ. อายตนะก็คือ ธาตุกลุมหนึ่ง ที่ปรุงกัน ขึ้ น มา ที่ จ ะได พิ จ ารณากั น ละเอี ย ดเรื่ อ ยไปในส ว นนี้ จนกว า จะไม มี ก ารยึ ด มั่ น . พระอรหันตทานมีสติตลอดกาลตอธาตุ ในระดับที่เปนอายตนะนี้.

www.buddhadasa.info


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๐๗

๓. ธาตุในระดับถัดขึ้นไปอีก ก็คือเปนธาตุที่มาอยูในรูปรางของสิ่งที่ เราไดยินไดฟ งกันวาขันธ, ขันธทั้ง ๕ ; เคยไดยินวา รูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สั งขารขั นธ วิ ญ ญาณขั นธ ทั้ งหมดเป น ๕ ขั นธ ; แต ในพระบาลี ทั่ วไปก็ มี ว า รู ปธาตุ เวทนาธาตุ สั ญญาธาตุ สังขารธาตุ วิญญาณธาตุ เป นธาตุ ๕ ดวยกัน. ขั นธ ทั้ งหลาย นั้นก็คือ ธาตุที่ประชุมคุมกันเขา อยูในลักษณะที่เรียกวา ขันธ. ในบรรดาธาตุ ที่มาเปนขันธ ในรูปรางอยางนี้ พระอรหันตทานไมมีความยึดมั่นในขันธเหลานั้น เพราะทานเห็นอนัตตา หรือสุญญตาในสิ่งที่เรียกวาขันธเหลานั้น. ๔. ธาตุ ทั้ งหลายในระดั บหนึ่ ง หรื อว าในสถานการณ อั นหนึ่ ง ๆ ที่ ปรุ งแต ง ซึ่งกันและกัน ; อาการที่ธาตุป รุงแตงซึ่งกัน และกัน นี้ เรีย กวา ปฏิจ จสมุป บาท มีอ วิชชาธาตุเปน ตนเหตุ. พระอรหัน ตทานไมมีอ วิช ชา ดังนั้น ปฏิจจสมุป บาท จึงไมเกิดขึ้นแกพระอรหันตทั้งหลายได. ที นี้ ธาตุ ทั้ งหลายที่ เป นสั งขตธาตุ ที่ ปรุ งแต งกั นด วยอวิ ชชาแล ว ย อมเกิ ดเป น ความทุกขขึ้นมา; พระอรหันตไมมีอวิชชา ทานจึงไมมีความสุขที่เกิดมาจากอวิชชา. ถ าท านจะมี ความทุ กข ก็ เป นความทุ กข ที่ เกิ ดขึ้ นทางกายล วน ๆ แม วาจะเกิ ดขึ้ นทางตา ทางหู อาศั ยตา หู จมู ก ลิ้ น กาย นี้ ก็ ไม มี อวิ ชชาที่ เข าไปผสม ที่ จะปรุงแต งให เป นความทุ กข ที่เปนทุกขกันจริง ๆ คือเปนทุกขดวยการยึดมั่นถือมั่น.

www.buddhadasa.info ๕. พระอรหันตมีแตความทุกขตามธรรมชาติทางกาย เชน สมมติวา รางกายบาดเจ็ บ ก็ มี ความทุ กข แต ที่ เกี่ ยวกั บเรื่องบาดเจ็ บทางกาย; ส วนคนธรรมดานั้ น มี ความยึ ดถื อ เพราะมี ความทุ กข เกิ ดจากความกลั วเพราะบาดเจ็ บนั้ น, มี ความกระวน กระวายเพราะความบาดเจ็ บ นั้ น; กระทั่ งมี ความกลั วตาย พอเห็ น เลื อดออกมา ก็ จะ เปนลมแลว; มีความยึดมั่นสวนนั้นมาก จึงเกิดความทุกขขึ้นอีกประเภทหนึ่ง คือความ


๒๐๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ทุก ขท างใจ, ที ่ใ จสรา งขึ ้น มาโดยใจ, เปน ความทุก ขเ พราะความยึด ถือ ; นี ้ค ือ ทุกขจริง. สวนทุกขที่รางกายบาดเจ็บนั้น เปนเพียงความทุกขกายที่ผิว ๆ; ถาบังคับ จิตใจไมใหยึดมั่นถือมั่นได ก็เกือบจะไมมีความทุกขเลย. เชนวาผูที่บาดเจ็บ แลว สามารถจะรํางับจิตเสียดวยฌาน สมาธิอยางใดอยางหนึ่ง จนกระทั่งไมรูจักความเจ็บ ก็ยิ่ง ไมมีความเจ็บปรากฏ. เดี๋ ยวนี้ คนเรามี ความยึ ดมั่ นถื อมั่ นอย างรุนแรงอยู เสมอ เจ็ บนิ ดหนึ่ งก็ ยึ ดมั่ น ถื อมั่ น ถึ งกั บทํ าให กลั วตายได . ขอให ได สั งเกตดู ให ดี ๆ ทุ กคน ว าความทุ กข ที่ เกิ ดขึ้ น แม แต ทางรางกาย ที่ รางกายบาดเจ็บ อยางนี้ เป นทุ กขกั นเพราะยึ ดมั่ นถือมั่ นมากเกิ นไป. เกี่ ยวกั บข อนี้ ควรจะจํ าอุ ปมาที่ พระพุ ทธเจ าท านได ตรัสไว เอง วาคนธรรมดานี่ ต างกั บ บุ คคลที่ สิ้ นอาสวะแลว คื อเป นพระอรหั นต ; ต างกันตรงที่ วา คนธรรมดา ถ าเจ็บปวด หรือเปนทุกข มักเจ็บปวดสองชั้น ; สวนผูที่สิ้นอาสาวะแลวจะเจ็บปวด เพียง ชั้นเดียว. อุ ปมาเหมื อนกั บคน ๆ หนึ่ ง ถู กลู กศรธรรมดาเล็ ก ๆ ไม มี ยาพิ ษอะไรยิ งเอา ก็ เจ็ บ ปวด; ส ว นอี ก คนหนึ่ ง นั่ น ถู ก ลู ก ศรธรรมดายิ ง ดอกหนึ่ ง แล ว ยั ง ถู ก ลู ก ศรที่ อาบด วยยาพิ ษยิ งอี กดอกหนึ่ งด วยเป นสองดอกด วยกั น คนไหนจะเจ็ บกวา? คนถู ก ลูกศรธรรมดาไม มี ยาพิ ษ ก็เจ็บกายธรรมดา; สวนคนที่ ถูกลูกศรอีกดอกหนึ่ ง ที่ อาบดวย ยาพิษนั้นอาจถึงตายได.

www.buddhadasa.info ถ าเราเจ็ บแต ร างกาย รางกายเป นแผล มั นก็ เจ็ บแต ที่ แผลทางรางกาย; แต ถามีอวิชชา อุปาทานเขาไปยึดถือ ความเจ็บนั้นก็จะกลายเปนความเจ็บทางจิต ทางวิญญาณขึ้นมา ซึ่งทําใหเปนทุกข เกือบเหมือนกับถึงตาย. ปุถุชนคนธรรมดา แตกต า งจากพระอรหั น ต อ ย า งนี้ : คนหนึ่ ง เจ็ บ ชั้ น เดี ย วผิ ว ๆ เผิ น ๆ เท า นั้ น แหละ, อีกคนหนึ่งเจ็บถึงสองชั้น และชั้นหนึ่งก็หนักมากจนถึงตาย.


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๐๙

พระอรหันตทั้งหลายทานมีแตทุกขกาย. ที่ไปพูดวาพระอรหันตจะไมมี ความทุกขเลยนั้นไมได พูดไมได ขืนพูดก็ผิด จึงพูดไดวา มีความทุ กขห าย หรือ ความทุกขลวน ๆ ที่ไมมีความยึดมั่นถือมั่นในความทุกขนั้น. ที่วาสําหรับสังขตธาตุ ทั้ งหลาย ไม ทํ าอั นตรายจิ ตใจของบุ คคลที่ เป นพระอรหั นต สิ้ นอาสวะแล ว ย อมมี ด วย อาการอยางนี้. จะทบทวนอีก ทีห นึ ่ง ก็ไ ด วา ๑. ธาตุด ิน ธาตุน้ํ า ธาตุล ม ธาตุ อะไรเหลานี้ ทําอะไรพระอรหันตไมได เพราะทานไมยึดมั่นถือมั่น โดยความ เปนของตน เรียกวาทานรอบรูในธาตุทั้งหลายเหลานั้น. ๒. ธาตุทั้งหลายนั้นที่มาปรุงกันขึ้นมาเปนอายตนะนี้ ก็ทําอะไรทาน ไม ได เพราะวาท านมี ส ติสั ม ปชัญ ญะอยูต ลอดกาล เป น อัต โนมั ติ ; เพราะวา ความเป น พระอรหั น ต นั้ น ก็ คื อ ความมี ส ติ ส มบู รณ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะสมบู รณ ไม เผลอไปหลงยึ ดมั่ นถื อมั่ นสิ่ งใดอี ก; อย างนี้ เรียกวาท านมี สติ หรือมี สั มปชั ญ ญะด วย ตลอดกาลและโดยอั ตโนมั ติ . ฉะนั้ น ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ก็ ทํ าอะไรท านไม ได ; คือไมทําใหทานเปนทุกขได เพราะวาทานมีสติอยูตลอดกาล.

www.buddhadasa.info ๓. ธาตุ ทั้ งหลายที่ ปรุงกั นขึ้นเป นรูปขันธ เวทนาขั นธ สั ญญาขันธ สั งขารขั น ธ วิ ญ ญาณขั น ธ , หรือ จะเรีย กว า ธาตุ ก็ ได ; ขั น ธ เหล า นี้ ก็ ทํ า อะไรท า นไม ไ ด เพราะทานไมมีการยึดมั่น ถือมั่นในขันธเหลานั้น, ไมมีอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น ในขั นธ เหล านั้ น. พู ดหยาบ ๆ ก็ ว า “กู ไม เอาอะไรกั บมึ ง” มั นก็ ไม มี ตั ณ หา เพราะว า มองเห็นเปนอนัตตา เปนสุญญตา ในขันธทั้งหลายเหลานั้น.

๔. เมื่อพูดเล็งไปถึงธาตุทั้งหลายที่กําลังปรุงแตงกันอยู เปนกระแส แหงปฏิจจสมุปบาท กระแสแหงปฏิจจสมุปบาทนี้ก็ทําอะไรทานไมได; เพราะวาทาน


๒๑๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ไม มี อ วิ ช ชา ที่ จ ะเป น ต น กระแสแห งปฏิ จ จสมุ ป บาท ที่ จ ะทํ า ให เกิ ด ทุ ก ข . ถ า จะเป น ปฏิ จจสมุ ปบาท ก็ เป นฝ ายดั บทุ กข เสี ยเรื่ อย เพราะท านมี วิ ชชา; ฉะนั้ น สิ่ งต าง ๆ มั นก็ จะไม ป รุ งไปในทางที่ จะเกิ ดทุ กข แต ป รุ งไปในทางที่ ดั บ ทุ กข จึ งไม มี ค วามทุ กข ขึ้ น เป น ปฏิจจสมุปบาท. ๕. ถ าพู ดถึ งความทุ กข พระอรหั นต ก็ เหลื ออยู แต เพี ยงความทุ กข ทางกาย ล วน ๆ ไม มี ค วามทุ ก ข ท างจิ ต , แม ว าร างกายจะเจ็ บ ปวด น้ํ าตาไหลเหลื อ ทน ก็ ยั งคง เป นความทุ กข ทางกายอยู นั่ นแหละ; ความทุ กข ส วนที่ จะยึ ดมั่ นถื อมั่ น ว าเป นความทุ กข ของกู ทุกขไดทั้งอดีต ปจจุบัน อนาคตนั้นมันไมมี. นี่ เรี ย กว า ธาตุ ทั้ ง หลายทั้ ง ปวง จะมี กี่ อ ย า , หรื อ ว า จะปรุ ง แต ง กั น ขึ้ น มาเป น ธรรม เป น สั ง ขารธรรม หรื อ เป น ธรรมทั้ ง ปวง อย า งไร กี่ อ ย า ง กี่ ร อ ยอย า ง ก็ทํา อะไรพระอรหัน ตไมได; เพราะวา ทา นรอบรูในธาตุทั ้งหลายทั ้งปวง, มีส ติ อยู ต ลอดเวลา ไม ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เพราะไม มี อ วิ ช ชา. นี่ แ หละเรี ย กว า อรหั ต ตธาตุ . ธาตุ ประเภทสั งขตธาตุ นั่ น มี ภาวะเกี่ ยวข องกั บพระอรหั นต อย างนี้ คื อไม ทํ าให พระอรหั นต เปนทุกขได.

www.buddhadasa.info พระอรหันต กับอสังขตธาตุ ที นี้ ก็ จ ะกล า วต อ ไป ถึ ง ธาตุ อี ก พวกหนึ่ ง คื อ พวกอสั ง ขตะ คื อ ว า เป น ธาตุ ที่ ไม มี เหตุ ป จจั ยปรุงแต ง นี่ ก็เชื่อวาทานทั้ งหลาย สวนมากก็ ไม เคยได ยิน แม จะ เคยได ยิ นคํ าว า อสั งขตะ ก็ ไม เคยคิ ด หรื อเคยได รั บคํ าอธิ บายในลั กษณะที่ ว าเป นธาตุ ก็ จะเห็ นเพี ยงแต เป นธรรมะอั นหนึ่ ง เป นอสั งขตธรรม; น อยครั้ งที่ จะรู ว า นี่ คื อธรรมธาตุ หรือธาตุประเภทสังขตะ. ธาตุ ประเภทอสั งขตะทั้ งหลาย จะมี ชื่อเรียกอย างไรก็ตามใจ พระอรหั นต ก็ ไ ม ไ ด ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในธาตุ เหล า นั้ น ว า เป น ตั ว ตน. อสั ง ขตธาตุ มี ชื่ อ มาก และ ก็เปนชื่อธาตุเดียวกันนั่นเอง, ธาตุเดียวกันนั่นเองมีชื่อแปลกมากหลาย ๆ อยาง.


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๑๑

ถาพูดถึงจิตของพระอรหันต ที่กําลังมีความรูสึกตออสังขตธาตุเหลานี้อยูอยาง ครบถวนแลว; ดังนั้นเราอาจจะเรียกอสังขตธาตุ ที่ปรากฏอยูในจิตใจของบุคคล ที่เรียกกันวาพระอรหันตนั้น วานี่แหละเปนธาตุพระอรหันต, เปนธาตุพระอรหันต เสียเลย. ธาตุของความเปนพระอรหันตนั้น เปนอยางนั้น มีชื่อเรียกอยูเปนอันมาก ในพระบาลี โดยตรงก็ มี และโดยอ อมที่ ท านเปรียบเที ยบจั ดให เป นคู ๆ กั นอย างตรงกั น ขามก็ มี ; เช นคํ าวา อสั งขตธาตุ นั้ นมี มาก จั ดไวโดยตรง เป นธาตุ ที่ ปราศจากป จจั ย ปรุ ง แต ง อยู เหนื อ สิ่ ง ใด; บางที ก็ เรี ย กธาตุ นี้ ว า นิ พ พานธาตุ , บางที ก็ เรี ย กว า สุญญตาธาตุ นิโรธธาตุ อมตธาตุ, มากมายหลายชื่อ ลวนแตหมายถึง อสังขตธาตุ. ในที่ นี้ อยากจะเรียกเป นกลุ มแรกว า อรหั ตตธาตุ ก อน คื อธาตุ แห งความเป นอรหั ตต มีในผูใดผูนั้นก็เปนพระอรหันต.

พึงรูจักธาตุของพระอรหันต นัยที่ ๑

www.buddhadasa.info อรหั ต ตธาตุ - ธาตุ ที่ ทํ าความเป น พระอรหั น ต ก็ ได แ กธาตุที่ ไม มี เ ห ตุ ปจจัยปรุงแตง อยางที่วามาแลว, แลวก็เรียกไดวาปริสุทธิธาตุ คือธาตุที่บริสุทธิ์ เพราะไมมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป จะมีไดแตเพียงปรากฏแกจิตใจของคนบางคน ที่ ปฏิ บั ติ จนถึงธาตุ อันนั้ น อันนั้ นก็เป นธาตุ ที่ บริสุ ทธิ์อยู ในตั วเอง เรียกวาปริสุ ทธิธาตุ ก็ ได . เมื่ อถึ งธาตุ นี้ จิ ตก็ บริ สุ ทธิ์ ก็ หมายความว าหลุ ดพ นจากสิ่ งเศร าหมอง. หรื อจะ เรียกวา วิมุ ตติ ธาตุ ก็ได : ธาตุที่ทําใหเกิดวิมุตติขึ้นมา; และเมื่ อมี วิมุ ต ติ อยางนี้ ก็หมายความวาออกไปไดจากกองทุกข ออกไปไดจากวัฏฏสงสาร. ดังนั้น จึงเรียก ได อี ก วา นิ ส สรณธาตุ : นิ ส สรณะ แปลวาออกไปได , นิ ส สรณธาตุ นี่ คื อ ธาตุ ที่ เปนเหตุใหออกไปได เปนเครื่องใหออกไปได; มันเปนสิ่งที่มีอยูจริง กวาสิ่งใด


ปรมัตถสภาวธรรม

๒๑๒

จึ ง เรี ย กว า สั จ จธาตุ ; ธาตุ อื่ น นอกจากนี้ ไ ม จ ริ ง หลอก, ธาตุ นี้ ไ ม ห ลอกและจริ ง จึงเรียกวา สัจจธาตุ.

อรหัตตธาตุ นัยที่ ๒ เราจะดูกันไดอีกนัยหนึ่งวา อสังขตธาตุ นี้ เมื่ อไมมี อะไรปรุงแตง สําหรับ จะเกิด ขึ ้น หรือ สํ า หรับ จะดับ ไป จึง เปน สิ ่ง ที ่ม ีอ ยู เ ปน นิจ ; ฉะนั ้น จึง เรีย กวา นิ จ จธาตุ ก็ ไ ด คื อ ธาตุ ที่ มี อ ยู เป น นิ จ . ธาตุ อื่ น ไม มี อ ยู เป น นิ จ เว น แต อ สั ง ขตธาตุ ส วนเดี ยว; ที นี้ เพราะเหตุ ที่ วามั นอาจจะอยู ได เป นนิ จ ไม มี ใครทํ าอะไรให มั นยุ บลงไปได ให ส ลายไปได ให เปลี่ ย นแปลงไปได . เราก็ เรี ย กได ว า เป น อิ ส ระธาตุ ; อิ ส สระธาตุ -ธาตุ ที่ เป น อิ สระอย างยิ่ ง, เป น อิ สระในตั วมั นเองอย างยิ่ ง. มองอี กทางหนึ่ งก็ อ าจจะ เรีย กวา วิส ัง ขารธาตุ -ธาตุที ่ไ มม ีเหตุ ปจ จัย ปรุง แตง และไมป รุง แตง ใคร, หรือ จะเรียกอีกทีหนึ่งก็วา อมุสาธาตุ. คํ าอมุ สานี้ บางคนก็ ไม เคยได ยิ น, คํ าวา อมุ สา นี่ เป น ชื่ อของอสั งขตะ เปน ชื ่อ ของนิพ พาน. อมุส า แปลวา ไมม ุส า คือ ไมโ กหก เปน ชื ่อ ของนิพ พาน เป นชื่ อของอสั งขตะ, แล วก็ มี ชื่ อสํ าหรับ ธาตุ ว า อมุ สาธาตุ ธาตุ นี้ เป น ธาตุ ที่ ไม หลอก ไมโกหก หมายถึงอสังขตะ หรือนิพพาน.

www.buddhadasa.info อรหัตตธาตุ นัยที่ ๓ ที นี้ จ ะมองดู อี ก นั ย หนึ่ งที่ เรีย กวา ๑. นิ พ พานธาตุ นิ พ พานธาตุ เป น ที่ ดั บแห งกิ เลสและทุ กข ; ถ ามองกั นเผิ น ๆ ก็ คื อไม เสี ยบแทง ไม เผาลน. นิ พ พานนี้ ตามธรรมดาที่ เป นภาษาชาวบ าน ก็ แปลว า เย็ น; ถ าพู ดกั นตามชาวบ าน ในบ านใน เรือนคํ าว านิ พพานนี้ แปลว าเย็ น ของเย็ น. ถ านไฟร อน ถ านไฟไม นิ พพานอย างนี้ เป นต น; นิพพานแปลวาเย็น เย็นก็คือไมรอน ไมเสียบแทง ไมเผาลน.


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๑๓

๒. อสังขตธาตุนี้ไมเสียบแทง ไมเผาลน ชื่อวานิพพานธาตุได; ธาตุนี้ เป น ที่ ดั บ ของสิ่ ง ทั้ ง ปวง ก็ เลยเรี ย กว า นิ โรธธาตุ ไ ด . คํ า นี้ มี ใ ช ม ากที่ สุ ด ในพระบาลี คื อ คํ าว า นิ โรธธาตุ -ธาตุ เป น ที่ ดั บ เมื่ อ ดั บ แล วก็ ต อ งมี ค วามสงบระงั บ จะเรี ย กว า สัน ติธ าตุ หรือ เรีย กวา สัน ตธาตุก ็ไ ด. ๓.เมื ่อ สงบแลว ก็ม ีค วามเกษม ก็เ รีย ก ว าเขมธาตุ ก็ ได . เขมะ แปลว า เกษม เป นชื่ อของพระนิ พ พาน ตามธรรมดา เช น ว า เกษมจากโยคะ นี่ คื อ เกษมจากความทุ ก ข จากกิ เลส. ธาตุ ที่ เกษมจากโยคะ ก็ มี แตอสังขตธาตุ หรือนิพพานธาตุ. ๔. ธาตุ นี้เปนสิ่งที่รุงเรือง หรือเปนที่ พึ่ งอยูได ก็เรียกวาที ปธาตุ -ธาตุที่ เป น ที่ พึ่ ง หรื อ ทิ ว ธาตุ -ธาตุ ที่ รุ ง เรื อ ง ธาตุ อ ย า งอื่ น รุ ง เรื อ งอยู ไ ม ไ ด เพราะมี ป จ จั ย ปรุ งแต ง แล วก็ วอบ ๆ แวม ๆ ไปตามป จจั ยที่ ป รุ งแต ง. ส วนอสั งขตธาตุ นี้ รุ งเรื อ งอยู ได โดยไมมีการเปลี่ยนแปลง ก็เปนที่พึ่งไดเพราะเหตุนั้น.

อรหัตตธาตุ นัยที่ ๔

www.buddhadasa.info ที นี้ เราจะมองกั น ดู อี ก สั ก แนวหนึ่ ง : อสั ง ขตธาตุ นี้ ควรจะเรี ย กว า สุ ญ ญตาธาตุ หรื อ สุ ญ ญธาตุ -ธาตุ ที่ ว าง หรื อ ธาตุ แ ห งความว าง. ธาตุ อื่ น มั น ไม ว า ง มั น รกรุ งรั งไปด ว ยเหตุ ป จ จั ย หรื อ ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ที่ เข า ไปยึ ด ถื อ ในเหตุ ในป จ จั ย . ส ว นธาตุ นี้ ว าง ว างอย างยิ่ ง; เหมื อ นกั บ ที่ มี ห ลั ก กล าวไว ว า นิ พ พานเป น ความว า ง อยางยิ่ง; นั่นคือนิพพานธาตุนั้น เปนสุญญตาธาตุ.

ถ าดู ถึ งอาการอั น หนึ่ ง เป น ธาตุ ที่ ไม รูจั ก ตาย ก็ เลยเรี ย กว าอมตธาตุ . ดู อี ก มุ ม หนึ่ ง เป น ธาตุ ที่ ไม มี สิ้ งสุ ด จึ งเป น อนั น ตธาตุ . ดู อี ก แงห นึ่ ง มั น เหนื อ โลก เหนื อ วิ สั ย โลก เหนื อ ความหมายแห ง โลก คื อ เหนื อ โลกิ ย วิ สั ย ของคน ของมนุ ษ ย ก็เลยเรียกไดวา โลกุตตรธาตุ - ธาตุที่อยูเหนือโลก.ทีนี้ธาตุนี้ไมปรุงแตงอะไร


๒๑๔

ปรมัตถสภาวธรรม

คื อไม ยอมรับอะไร เมื่ อจิ ตใจบรรลุ ถึ งธาตุ นี้ แล ว ย อมจะสลั ดสิ่ งทั้ งปวงออกไปจากความ ยึดมั่นถือมั่น เพราะฉะนั้น ธาตุนี้เรียกชื่อใหมไดอีกอยางหนึ่งวา ปฏิ นิสสัคคธาตุ คื อ ธาตุที่จะสลัด หรือกันสิ่งอื่นออกไปเสียจากตน ไมยอมรับเขามา, มันเปนอิสระ. ในที่สุด สรุปความก็เรียกกันวา อนุ ตตรธาตุ ดีกวา คือธาตุ ที่ สูงสุด ไมมี อะไรจะยิ่ง ไปกวานี่แลว เรียกวาอนุตตรธาตุ. เท าที่ อาตมายกเอามาพู ดให ฟ งเป นตั วอย าง นี่ อสั งขตธาตุ ก็ ตั้ ง ๒๑ ชื่ อแล ว, ๒๑ ชื่อพอดี :อรหัตตธาตุ ปริสุทธิธาตุ วิมุตติธาตุ นิสสรณธาตุ สัจจธาตุ นี้สายหนึ่ง. อสังขตธาตุ นิจจธาตุ อิสสรธาตุ วิสังขารธาตุ อมุสาธาตุ นี้ก็สายหนึ่ง. นิพพานธาตุ นิโรธธาตุ สันติธาตุ เขมธาตุ ทีปธาตุ นี้ก็สายหนึ่ง. สุ ญญตาธาตุ อมตธาตุ อนั นตธาตุ โลกุ ตตรธาตุ ปฏิ นิ สสั คคธาตุ อนุ ตตรธาตุ นี้ก็อีกสายหนึ่ง. ธาตุ ฝ ายที่ ตรงกั นข ามกั บ ธาตุ ธรรมดา ซึ่ งเรี ยกว า สั งขตธาตุ เป นฝ ายนี้ ; ฝ ายโน น ที่ ตรงกั นข ามเรียกว าอสั งขตธาตุ ซึ่ งอยากจะเรียกเสี ยใหม ให น าตกใจว า ธาตุ พระอรหั น ต การบรรลุ ถึ ง ธาตุ ช นิ ด นั้ น คื อ การเป น พระอรหั น ต ; เรี ย กได ว า ธาตุ พระอรหันต ธาตุแทของพระอรหันตเปนอยางนั้น.

www.buddhadasa.info พระอรหันตไมยึดมั่นทั้งสังขตะและอสังขตธาตุ เป นอั นว าพระอรหั นต ไม ได ยึ ดมั่ นสั งขตธาตุ และอสั งขตธาตุ ว าเป นตั วตน เป น สั ต ว เป น บุ ค คล เป น เรา เป น เขา; ถ า มี ค วามยึ ด มั่ น อย างใดเหลื อ อยู ก็ ไม เป น พระอรหันต. เปนพระอรหันตก็คือ ไมมีความยึดมั่นในธาตุใด ๆ โดยความ


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๑๕

เป นตั วเป นตน; แม แต วา จะเป นตั วของธาตุ นั้ นเองก็ ยั งไม ยึ ดมั่ น; เห็ นเป นสั กวาธาตุ ตามธรรมชาติ เท านั้ น : ปราศจากควาาสํ าคั ญ ว าเป น ของเรา, หรื อ ปราศจากความ สําคัญวามันควรจะถือวาเปนของเรา. การถือวาเปนของเรานี้มันเต็มที่; ถือวา “มัน ควรจะเป น ของเรา” หรื อ “น า จะเป น ของเรา” นี่ มั น ครึ่ ง เดี ย ว; แต มั น ก็ ยั ง ผิ ด อยู นั่นแหละคือเปนที่ตั้งแตงความทุกข.

พระอรหันตไมมีอุปทาน ไมมีอาสวะในบุญบาป, สุขทุกข ในที่ สุ ดเมื่ อมองดู ถึ งผลสุ ดท าย พระอรหั นต นั้ นไม มี ความยึ ดมั่ นถื อมั่ น ในบุ ญ ในบาป ในกุ ศ ล ในอกุ ศ ล หรื อ แม ใ นอพยากฤต, และไม ยึ ด มั่ น ในความสุ ข หรื อ ความทุ กข หรื ออทุ กขมสุ ข โดยความเป น ตั วเรา หรื อ เป น ของเรา. นี่ เมื่ อ เป น อย างนี้ สิ่ งทั้ ง หลายทั้ งปวงเหล านี้ ก็ ไม เป น อุ ป ทานนิ ย ะแก พ ระอรหั น ต ; ไม เป น อุ ป าทานิ ย ะ คื อ ไม เ ป น ที่ ตั้ ง แห ง อุ ป าทาน. ส ว นเรา คนธรรดานี้ สิ่ ง เหล า นี้ เ ป น ที่ ตั้ ง แห ง อุ ป าทานของปุ ถุ ช น; บุ ญ บาป สุ ข ทุ ก ข นี่ เป น ที่ ตั้ ง แห ง อุ ป าทาน ของคนธรรมดา แตไมเปนที่ตั้งแหงอุปาทานแกพระอรหันต เพราะพระอรหันตไมมีอุปาทาน. สิ่งเหลานี้ ก็ ไ ม เป น ที่ ตั้ ง แห ง อาสวะ เพราะพระอรหั น ต ไ ม มี อ าสวะ หรื อ สิ้ น อาสวะ; แต สิ่ ง เหลานี้เปนที่ตั้งแหงอาสวะของคนธรรมดาเชนพวกเรา.

www.buddhadasa.info พอเรารูสึ กเป นสุ ข ก็ เพิ่ มอาสวะชนิ ดที่ หลงใน ความสุ ข, ถ าเป นความ ทุกขก็เปนอาสวะชนิดที่หลงในความทุกข, ถาประสบที่วาไมสุขไมทุกข กลาง ๆ ก็โงไปตามเดิม. นี่เรียกวา มีราคานุสัยเพิ่มขึ้น เมื่อมีความรูสึกเปนสุข, มีปฏิฆานุสัย เพิ ่ม ขึ ้น เมื ่อ รู ส ึก วา เปน ทุก ข, มีอ วิช ชานุส ัย โงไ ปตามเดิม เมื ่อ มีค วามรู ส ึก ไมส ุข - ไมท ุก ข : นี ่เ ปน แกป ุถ ุช น; ไมเ ปน แกพ ระอรหัน ตไ มม ีแ กพ ระอรหัน ต เพราะทานไมมีอุปทาน หรือไมมีอาสวะ.


๒๑๖

ปรมัตถสภาวธรรม

นี่ เป นข อเปรี ยบเที ยบ ซึ่ งอาจจะเปรี ยบเที ยบกั นได อย างดี ระหว างปุ ถุ ชน กั บ บุ ค คลที่ สิ้ น อาสวะ เป น พระอรหั น ต . สํ า หรั บ คนธรรดานี่ บุ ญ ก็ ดี บาป ก็ ดี แมแตไมบุญไมบาปก็ดี ลวนเปนที่ตั้งความยึดมั่นถือมั่นอยางใดอยางหนึ่ง, สุข ก็ดี ทุ กข ก็ ดี อทุ กขมสุ ข ก็ ดี ก็เป นที่ ตั้ งแห งความยึ ดมั่ นถือมั่ นอย างใดอย างหนึ่ ง ไม อยางใด ก็อยางหนึ่ง; แตวาสิ่งเหลานี้ไมเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่นแกพระอรหันต. พู ดกั นอีกที หนึ่ งก็วา สิ่งเหลานี้ ซึ่งเป นสั กแต วาธาตุ ตามธรรมชาติ นั้ น เป น ที่ตั้งแหงความยึดมั่นถือมั่ นแกคนธรรมดา; ไม เป นที่ ตั้ งแห งความยึดมั่ นถื อมั่ น แก พระอรหันต. คําวา “สุข” นี้ ก็มี เรียกชื่อเป นธาตุ ; มีพระพุ ทธภาษุ ตเรียกชื่อวา สุขธาตุ ทุก ขธาตุ; โสมนัส สธาตุ โสมนัส สธาตุ; อุเ บกขาธาตุ หรือ อทุก ขมสุข ธาตุ และอวิชชาธาตุ . นี่เปนสิ่งที่นาสนใจอยางยิ่ง วาเมื่อพระพุ ทธเจาไดตรัสถึงธาตุ ๖ อยาง อี กหมวดหนึ่ ง ท านได ตรั สไว ในลั กษณะ ที่ แสดงให เห็ นว า อวิ ชชาซึ่ งมาจากความรูสึ ก ว าสุ ขว าทุ กข ว าโทมนั ส ว าโสมนั ส หรือว าอทุ กขมสุ ขนี้ ; ท านเอามาจั ดไว หมวดเดี ยวกั น เป น ๖ ธาตุ : สุ ขธาตุ ทุ กขธาตุ นี่ คู หนึ่ ง, และโสมนั สสธาตุ โทมนั สสธาตุ นี้ คู หนึ่ ง, และก็มีอุเบกขาธาตุ และอวิชชาธาตุ, นี้อีกคูหนึ่ง.

www.buddhadasa.info ถ าไม มี การรูสึ กวาสุ ข วาทุ กข วาโสมนั สและโทมนั สแลว ดูเป นวาเราจะ ไม มี ท างที่ จะเกิ ด อวิ ชชา; เพราะมั นมี ความรูสึ กแยกกั นอยู เป น คู ตรงกั นข าม วาสุ ข ว า ทุ ก ข ว า โสมนั ส ว า โทมนั ส เราจึ ง ไปโง เข า ในฐานะที่ เห็ น เป น สุ ข น า ปรารถนา น าพอใจ ก็ มี เห็ น ว าเป น ทุ กข น าเกลี ยด น าชั ง ไม น าปรารถนา ไม พ อใจก็ มี . ฉะนั้ น ขอใหสังเกตดุใหดีเถอะวา การที่เราไปรูสึกวาเปนสุขในอะไร ๆ นั้นก็คือความโงของ เรา คืออวิชชาของเรา. หรือวาการที่เราไปรูสึกวา เปนทุกขเขาในกรณีใดกรณีหนึ่ง


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๑๗

นั่ น ก็ คื อความโง ของเรา อวิ ชชาของเรา. ถ าเราไม มี สองอย างนี้ อวิ ชชา ก็ ไม รู จะเกิ ด ไดอ ยา งไร เพราะในโลกนี ้ม ัน ก็ม ีส องเรื ่อ งนี ่แ หละ ที ่ว า สุข หรือ ทุก ข. โสมนัส หรื อโทมนั ส. ส วนอุ เบกขานั่ นก็ มี หลายความหมาย : ถ าอุ เบกขา เพราะไม รู สึ กอะไร ก็ ยั งเป นความโง อยู นั่ นแหละ; แต ถ าอุ เบกขา เพราะวางเฉยได โดยที่ รู ว าอะไรเป นอะไร มันก็เปนความฉลาด. นี่ ขอให ถื อเอาเป นหลั กก็ ได ว า อวิ ชชา ความไม รู ความโง ความเขลาอะไรนี่ มีรากฐานอยูบนความสุข หรือความทุกข; ที่ มนุ ษยกําลังเป นป ญ หากันที่ สุด ก็คื อ เรื่องสุข เรื่องทุกข; เรื่องสุขเรื่องทุกขนี่ ทุกวัน ๆ นี้ เปนที่ตั้งแหงอวิชชา. พระอรหันตมีความหมายที่สําคัญอยูตรงที่ไมมีอวิชชา จึงอยูเหนือสุข เหนือทุกข. ต อ ไปนี้ เราก็ จ ะดู ถึ ง ภาวะที่ ลึ ก ซึ้ ง ของพระอรหั น ต ว า มี อ ะไรบ า งที่ ควรจะสนใจ สําหรับมาเป นแนวคิดนึ ก, เปนจุด จุดแรก หรือเปนชนวนอันดับแรก สําหรับคิดนึกใหเขาใจ.

www.buddhadasa.info ความลึ กซึ้ งของความเป นพระอรหั นต นี้ ต องแยกออกเป น ๒ ประเภท : ประเภทที่สมมติอยางหนึ่ง, ที่ไมสมมติ คือเปนปรมัตถโดยตรง นี้อีกอยางหนึ่ง.

สภาวธรรมของพระอรหันตอยางสมมติ คนธรรดาปุ ถุ ชนนี้ ติ ดอยู ข างสิ่ งที่ เป นที่ ตั้ งแห งความยึ ดมั่ น ถื อ มั่ น ; นี่ คื อ ติ ด อยู ฝ า ยข า งดี ข า งได ข า งชนะ ข า งอะไรเรื่ อ ย ๆ. อย า งนี้ เรี ย กว า สมมติ ทั้ ง นั้ น เช นสมมติ ว าเลิ ศ ว าดี ว าดี ที่ สุ ดก็ คื อเลิ ศ; เราก็ ไปติ ดป ายให พระอรหั นต ว า เลิ ศที่ สุ ด เปนบุคคลที่เลิศที่สุด ที่ประเสริฐที่สุด.


๒๑๘

ปรมัตถสภาวธรรม

คํ าพู ด ที่ ส มมติ นั้ นเป น คํ าพู ดจริงเหมื อนกั น แต จริ งอย างสมมติ บางที พระพุ ทธเจ าท านก็ มี ค วามจํ าเป น ที่ จะต อ งใช คํ าสมมติ อ ย างนี้ ที่ เรี ยกพระอรหั น ต ว าเลิ ศ ที่ สุ ด ที่ อะไรที่ สุ ด สู งที่ สุ ดไม มี อะไรสู งเท า เลิ ศที่ สุ ดไม มี อ ะไรเลิ ศเท า. บางที ก็ใชคําวา ยิ่งใหญ เปนผูยิ่งใหญ, แมที่สุดแตวาจะใชคําวา เต็มเปยมแลว ไมพรองแลว นี ่ก ็ส มมติ, เปน ที ่ห ยุด แลว ไมวิ ่ง อีก ตอ ไปแลว นี ่ก ็ส มมติ, เปน ผู ป ลงไดแ ลว ก็สมมติ, เปนผูปลอยไดแลว ก็สมมติ, เปนผูเย็น ก็สมมติ, เปนผูอยูนิรันดร นี่ก็ สมมติ . คํ า อย า งนี้ ส มมติ ทั้ ง นั้ น ควรจะใช ส มมติ ใ ห กั บ บุ ค คลที่ ห ลุ ด พ น แล ว เป น พระอรหั น ต แล ว ว าท านเป น ผู ป ระเสริ ฐ ที่ สุ ด เลิ ศ ที่ สุ ด ยิ่ งใหญ ที่ สุ ด เต็ ม เป ย มแห ง ความเปนมนุษยที่สุด หยุดเวียนวายในวัฏฏสงสารแลว. “ปลงภาระ” คื อปลงความยึ ดมั่ นถื อมั่ นได แล ว ปล อยสิ่ งที่ ผู กมั ดรัดรึงแล ว, เย็ น สนิ ท แล ว , มี ชี วิ ต อยู เป น นิ รั น ดร ฯลฯ; ทั้ งหมดนี่ เป น คํ า สมมติ แต เราไม เคย คิ ด ว าเป น สมมติ ถื อว าเป นจริงที่ สุ ด แล วก็ ต องการอย างนี้ . ขอให รูจั กคํ าพู ดที่ เป น ภาษาสมมติ สํ าหรั บใช กั บบุ คคล เช นพระอรหั นต ว ามี อยู อย างนี้ ; ดั งนั้ น จะเรี ยกว า ปรมั ต ถสภาวะของพระอรหั น ต ก็ ไม ถู ก นั ก ; มั น ถู ก ที่ สุ ด สํ าหรั บ คนที่ ใช ภ าษาสมมติ เปนหลัก; แตไมถูกเลยสําหรับคนที่อยูเหนือสมมติ.

www.buddhadasa.info ปรมัตถสภาวธรรม ของพระอรหันต ถาจะพู ดกันอยางเป นปรมั ตถ คื อไม สมมติ กันแล ว สถาวะของพระอรหั นต จะไมเ ปน อยา งที ่ว า นั ้น เลย; แตจ ะพูด ไดคํ า เดีย ววา “วา ง”. คํ า วา “วา ง” นี้ มีความหมายมาก พรรณนากันไมหวาดไหว; วางจากอะไรก็ลองไปคิดดู. ว างเริ่ ม แรก ก็ ต องว างจากตั วตนนั่ นแหละ, ต องว างจากตั วตน คื อไม มี ตัวตน เรียกวาวางจริง ๆ ไมมีความรูสึกวาเปนตัวตน; ถึงจะมีเนื้อมีหนัง มีเลือด มีกาย


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๑๙

มี ใจ มี จิ ต มี วิญ ญาณ ก็ ไม ใชตั วตน. นี่ คื อวางจากตั วตน. ฉะนั้ น ปรมั ต ถสภาวะ ของพระอรหันตก็คือ ภาวะวาง. ที่ พู ดว า เป นผู เลิ ศ เป นผู ยิ่ งใหญ เป นผู เย็ น เป นผู หยุ ดเวี ยนว าย เป นผู อะไรทุ ก ๆ อย างนั้ นเป นภาษาสมมติ ; เพราะวานั่ นยั งไม วาง ไม วางจากความหมาย ซึ่งเป นที่ ตั้ งแห งความยึดถือ; เพราะวาคนที่ มี ความยึ ดถือเป นผู พู ด ไม ใชพระอรหั นต ท านพู ด เรานี่ แหละไปพู ดให ท าน ไปตั้ งให ท าน ไปว าท านเป นอย างนั้ นอย างนี้ . คน ธรรมดาพู ด ก็ ต องพู ดภาษาสมมติ ; ดั งนั้ น ถึ งจะลึ กซึ้ งจะประเสริฐที่ สุ ดเท าไร ก็ ยั ง เปนสมมติ. ที่ถูก ถาจะพูดถึงภาวะอันแทจริง ของพระอรหันตตองพูดวา วาง; ถา ไม พู ดวาวาง ก็ ต องพู ดให หนั กไปกว านั้ นอี ก ก็ คื อพู ดวา พู ดวาอะไรไม ได , ภาวะของ พระอรหันตเปนอยางไร ก็ตองตอบวา วาอยางไรไมได, จะบรรยายวาอยางไรไมได; นั่นแหละจึงจะลึกซึ้งถึงที่สุด ถึงความจริงของภาวะแหงความเปนพระอรหันต. ถาพู ดให ชัดเป นภาพพจน ให เห็ นงายขึ้ นมาอี กก็ วา ภาวะแห งความเป น พระอรหันตนี่ ก็คือภาวะแหงการหุบปากของผูบรรยายอยางนี้; จะมานั่งบรรยายจอ อยู บ นธรรมาสน อย างอาตมานี้ ไม ได มั น ไม ใช ภ าวะอั นแท จริงของพระอรหั น ต . แต เดี๋ ยวนี้ เราพู ดกั นเพื่ อจะให เข าใจ เราจึ งต องพู ดมาก; แต เราก็ เอาภาวะของพระอรหั นต มาบรรยายให ถู ก ให เต็ ม ให ถึ งที่ สุ ดไม ได ได แต พู ดเลี ยบเคี ยงข างนั้ น ข างนี้ ชั กจู ง โยงกั น มา จากทางนั้ น ทางนี้ ให ค อ ย ๆ เข า ใจขึ้ น ไป; แต พู ด กั น โดยจริ ง ก็ ต อ ง ใช คํ าว า “หุ บปาก” ; ภาวะแห งการหุ บปากของผู บรรยายนั่ นแหละคื อลั กษณะ หรือ ภาวะอันลึกซึ่งของพระอรหันต. มันมีความตางกันอยูตรงกันขามอยางนี้.

www.buddhadasa.info การพูดแบบที่พูดกันอยูนี้ตองเปนสมมติทั้งนั้น จึงพูดได; ถาไมสมมติ พูดไมได เพราะพูดถึงความจริงขึ้นมาจริง ๆ ก็ตอง “หุบปาก” คือพูดลักษณะอยางนั้น


๒๒๐

ปรมัตถสภาวธรรม

อยา งนี ้ไ มไ ด; อยา งจะพูด ไดที ่ส ุด ก็พ ูด ไดว า “วา ง” หรือ พูด วา อัพ ยากฤต. อัพยากฤต ก็แปลวาพูดไมไดชัด วาเปนอยางไร. คํ าว า “อั พ ยากฤต” นั่ นเขามั กจะเข าใจไปว า หมายถึ งลั ก ษณะกลาง ๆ, แต แท จริ งคํ าว า อั พ ยากฤต นี้ แปลว า สิ่ งที่ พู ดให ชั ด ลงไปได ว ามั น เป นอย างไร คื อ มั น ไม เป น อะไรเสี ย หมด ในบรรดาภาษาที่ ม นุ ษ ย รู จั ก กั น นี้ . ใครจะนึ ก ถึ งความว าง. ใครจะบรรยายลั ก ษณะของความว า งได ; ถ า ไปบรรยายให มี อ ะไรเข า มั น ก็ ไม ว า ง ฉะนั้ น คํ าว า “ความว าง” ก็ เป น ลั ก ษณะของอั พ ยากฤต; เห็ น ได ไร ๆ อยู แล ว ว า มั นบรรยายไม ได เดี๋ ยวนี้ พู ดให ชั ดเสี ยเลยก็ เรียกว าอั พยากฤต คื อบรรยายไม ได พู ดให ชัดลงไปวาอะไรไมได แมจะเห็นอยู รูอยู ก็ยังตองหุบปาก. การที ่ จ ะสอนเรื่ อ งนิ พ พาน หรื อ เรื่ อ งความเป น พระอรหั น ต นี้ ก็ ได แ ต บ อกวิ ธี ก ารประพฤติ ป ฏิ บั ติ ว า จงปฏิ บั ติ อ ย า งนั้ น ๆ ๆ แล ว อะไรเกิ ด ขึ้ น นั่นแหละคือภาวะอยางนั้น ซึ่งเอามาพูดเปนคําพูดไมได.

www.buddhadasa.info ต องรูจักด วยใจเอง รูสึกดวยใจเอง เรียกวา ปจฺจตฺตํ เวทิ ตพฺ โพ วิฺ ู หิ ; ต อให เป นวิญู ชนฉลาดแล ว ก็ ยั งจะต องรูด วยเฉพาะใจเองเท านั้ น รูสึ กด วยใจเองเท านั้ น รู แ ทนกั น ไม ได ; นั่ น แหละเป น ปรมั ต ถสภาวะที่ แ ท จ ริ ง เลยต อ งเรี ย กว า ภาวะแห ง การหุ บปากของบุ คคลผู ตั้ งใจจะพู ด อยากจะพู ด พยายามจะพู ด แล วก็ พู ดไม ออก ก็ ต อง หุ บปาก. แต อย าลื มว า การหุ บปากนี่ กลั บพู ด พู ดมากที่ สุ ด แต ไม ได ยิ นเสี ยง. มั นพู ด เปนความรูสึก; ใครอยากมีก็ไปปฏิบัติ ปฏิบัติใหรูสึกขึ้นมาในใจ แลวก็พูดไมไดอีกตามเคย.

อุปมาการสอนเรื่องนิพพาน เหมือนเสียงตบมือบางเดียว ที่ เรี ย กว า “คํ า พู ด ชนิ ด ที่ พู ด ไม ได ” นี่ ฟ งดู ; คํ า พู ด ที่ พู ด ด ว ยปากไม ได นี้ มี ประโยคอยู ประโยคหนึ่ ง ซึ่ งใช เพื่ อให เข าใจเรื่ องที่ เข าใจยากอย างนี้ เช นคํ าพู ดที่ ว า เสียงของมือที่ตบขางเดียว.


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๒๑

เสี ย งของมื อ ที่ ต บข า งเดี ย ว, มื อ ข า งเดี ย วตบนี่ มั น มี เสี ย งอย า งไร? คนธรรมดาก็ วาไม มี เสี ยงซิ ; แต คนที่ รูความจริงอะไรมากกวานั้ นก็ วา มี เสี ยงอี กชนิ ด หนึ่ง ซึ่งดังกวาเสียงธรรมดา เพราะเปนเสียงของความสงบ เปนเสียงแหงความ ไม มี เสี ยง เป นเสี ยงแห งนิ พพาน เป นเสี ยงแห งการที่ ไม ปรุ งแต ง เป นเสี ยงแห งอสั งขตะ เป นต น. ในตึ กแสดงภาพทั้ งหลาย ก็ มี ภาพเสี ยงแห งการตบมื อข างเดี ยว อยู ภาพหนึ่ ง เหมือนกัน. “มือขางเดียว” หมายความวา จิตที่ไมยึดมั่นอะไร; ถาจิตไปยึดมั่น ถือ มั ่น อะไร เรีย กวา มือ สองขา งกระทบกัน ; เชน ตากระทบรูป หูก ระทบเสีย ง จมู กกระทบกลิ่ นฯลฯ อย างนี้ คื อมื อสองข างมั นตบกั น ก็ มี ปฏิ กิ ริยาเกิ ดขึ้ นมา เป นอย างนั้ น อย า งนี้ เป น ทุ ก ข ทั้ ง นั้ น , แล ว ก็ ห ลอก ไม จ ริ ง เป น มายา : ทุ ก ข แ ล ว ก็ ห มดไป, ทุ กข แล วหมดไป หมดไปแล วก็ ทุ กข อี ก ทุ กข แล วก็ หมดไปอี กนั่ นแหละ; อย างนี้ เรียกว า เปนของหลอกไมจริง. ทีนี้เมื่อเปนอยูเรื่อยมาจนอบรมจิตดีขึ้น ดีขึ้น จนจิตนี่ไมยึดถือสิ่งใด ที่จะ เอามาเป นตั วตนของตน : ตาเห็ นรู ป ก็ สั กว าเห็ น, หู ได ยิ นเสี ยง ก็ สั กว าได ฟ ง, จมู ก ได กลิ่ น ก็ สั กว าได กลิ่ น ฯลฯ; นี่ เรียกว าไม ได รับเอาเข ามาปรุง เป นเวทนาเป นความรูสึ ก ที่ จ ะยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น มั น ก็ เลยเกิ ด เป น ความสงบขึ้ น มา; ดั ง นั้ น เสี ย งแห ง ความเงี ย บ เสียงแหงความสงบ นี่วิเศษที่สุด ประเสริฐที่สุด มันกองไปทั้งจักรวาลเลย.

www.buddhadasa.info อุ ป มา หรื อ คํ า เปรี ย บเที ย บ ภาพพจน ทํ า นองนี้ ก็ เพื่ อ ให ค นคิ ด ได ง า ย ๆหรือพอจะมองเห็ นพอจะคิ ดได ; ถ าไม มี เสียงเลย ก็ไม มี อะไรเป นเงื่อนสําหรับคิ ด สํ าหรับ ที่ จะขยายความคิ ดให ลึ กลงไปถึงสิ่ งที่ ตรงกั นขามกับสิ่ งธรรดาสามั ญ. เรารูจั กแต สิ่ งที่ มีปจจัยปรุงแตง คือ สังขตธาตุทั้งหลาย เราคิดอะไรปวนเปยนอยูแตในขอบเขตอันนี้


๒๒๒

ปรมัตถสภาวธรรม

เราออกไปนอกขอบวงอันนี้ไมได; ฉะนั้นเขาจึงบอกวา “รีบออกไปเสียทีหนึ่ง ไปถึง เขตที่มั นพู ดไม ได บรรยายไมได มันเป นความสงบที่มี เสียงดั งที่สุด”. คนนั้นก็สนใจอยาก จะรู  อยากจะเขา ใจ และพยายามจะคิด คอ ย ๆ คลํ า ไป ก็รูว า อา ว, สิ ่ง ที ่ต รง กั น ข า มมั น เป น อย า งนี้ แล ว จึ ง รู ได ชั ด ที เดี ย ว เรื่ อ งสมมติ นี้ เป น เรื่ อ งเด็ ก เล น ; แม จะพูดวาดี. วิเศษประเสริฐสูงสุด มันก็เรื่องเด็กเลนทั้งนั้นแหละ เด็กอมมือดวยซ้ําไป. นี่ คื อเรื่องสมมติ วาดี มาก สนุ กมาก อรอยมาก เลิ ศมาก เย็ นมาก อะไรก็ ตาม ใจ; แต ถ าเป นความจริงถึ งที่ สุ ดแล ว จะหุ บปากเพราะไม อาจจะพู ดวาอะไร อย างนี้ ; อยา งดี ก็จ ะรูสึก วา มัน วา ง ไมมีอ ะไรที่จ ะไปดึง เอามาเปน ตัว เรา หรือ เปน ของเรา. นี่ คื อภาวะ หรือสภาวะอั นลึ กซึ้ งของพระอรหั นต , ของความเป นพระอรหั นต . ถาเราอยากจะหยั่ งทราบถึ งภาวะอั นลึ กซึ้งของพระอรหั นต เราต องหั ดคิ ดทํ านองนี้ : ทํานองที่เราจะเห็น หรือยอมรับ หรือเขาใจทันทีวา เสียงของมือที่ตบขางเดียวนั้น ดังกองไปทั้งจักรวาล; เสียงที่มือตบสองขางนี้ดังเปาะแปะ ๆ อยูที่ตรงนี้ ดังไมกี่วา.

www.buddhadasa.info นี่ลองคิดดูวา ความคิดมันคืบไกลออกไปไดเทาไร, ไกลออกไปไดกี่มาก น อย กี่ รอยเท า พั นเท า หมื่ นเท า แสนเท า, ออกไปเสี ยจากสมมติ ทั้ งหลาย ไปอยู ที่ ความจริง ปรากฏออกมาเปน วาง ไมมีตัวตน หรือของตน ซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือ บรรยายด วยปาก ด วยคํ าพู ด หรือด วยตั วหนั งสื อหรือด วยอะไรก็ ไม ได . นี่ ก็ เลยชี้ มาที่ ภาวะของการหุ บปากเสี ยนั่ นแหละ. ไปคิ ดดู เถอะว า นิ พพานมี ลั กษณะอย างไร? ก็ ตอบ โดยหุ บ ปากใส ห น า. ไปนิ พ พานทางไหน ก็ หุ บ ปากใส ห น า. ถามอย างไรก็ หุ บ ปาก ใส หน า; นั่ นแหละคื อความจริง แต แล วเดี๋ ยวก็ จะถู กเขาด า. มั นเป นเรื่องคนละประเภท คนละชั้นคนละระดับอยูอยางนี้.


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๒๓

ใหรูเรื่องปรมัตถสภาวธรรม เพื่อมองเห็นสิ่งที่เห็นยาก เดี๋ ยวนี้ เราก็ ได พู ดกั นมามากแล ว สํ าหรับอาตมาเองก็ พู ดมาไม รูกี่ รอยครั้ง กี่ พั น ครั้ งแล ว ที่ พู ด ๆ เทศน ๆ มานี้ ; ดั งนั้ น จึ งได ค อย ๆ ดึ งออกไป ดึ งท านทั้ งหลายผู ฟ ง ออกไป ๆ ที ละนิ ด ๆ อย างนี้ ; ดึ งออกไปให พั น เรื่ อ งของสมมติ , ออกไปให พ นจาก ขอบเขตวงของการสมมติ จึงไดพู ดอยางนี้; และก็เลือกเอาเรื่องนี้ คือเรื่อง “ปรมั ตถสภาวธรรม” มาพู ด พู ด เพื่ อ ให ม องเห็ น สิ่ ง ที่ ลึ ก จนเห็ น ได ย าก; เห็ น ได ย ากนั้ น คือเรื่องที่ ไม อยูในขอบเขตจํากั ดของสิ่ งใด; จึงไดเอาเรื่องพระอรหั ตมาพู ด วาท าน มี สภาวะอั นลึ กซึ้ งอย างไร. ในการพู ดนั้ นจํ าเป นที่ จะต องพู ด ในลั กษณะที่ เกี่ ยวข องกั บ สิ่ งใดที่ เราเห็ น ๆ กั น อยู ; ถ าไม อ ย างนั้ นก็ พู ด ไม ได ก็ เลยต องพู ดให เห็ น ว า เกี่ ยวข อ ง หรือวาไมเกี่ยวของกันอยู กับสิ่งที่เรียกวาธาตุทั้งหลายนั้นอยางไร. เป นอั นว า ทั้ งหมดนี้ ก็ พอแล ว หรื อสมควรแล ว ที่ ได ช วยให ท านทั้ งหลาย ได ยิ น ได ฟ งเรื่ องธาตุ คื อ อย างไร มี อ ยู กี่ ธาตุ กี่ สิ บ ธาตุ , กี่ ร อ ยธาตุ . และพระอรหั น ต ท านเกี่ ย วข อ งกั น กั บ ธาตุ เหล า นี้ หรื อ ว าท า นไม ได เกี่ ย วข อ งกั น กั บ ธาตุ เหล านี้ เลยใน ลักษณะอยางไร.

www.buddhadasa.info คําวาธาตุ หรือสิ่งที่เรียกวา ธาตุ นี้เปนสิ่งที่มีความสําคัญมาก มีความ จําเปนมากที่เราจะตองรู ตองเขาใจ; เพราะวาเรากําลังเปนทุกข เพราะสิ่งที่เรียกวาธาตุ นั่นเอง. อยาไปทําเลนกับธาตุ.

ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาส ธาตุ วิ ญ ญาณ ธาตุ ต า ธาตุ หู ธาตุ จ มู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ ก าย ธาตุ ใจ ธาตุ รูป ธาตุ เสี ย ง ธาตุ ก ลิ่ น ธาตุ ร ส ธาตุ รูป ธาตุ เวทนา ธาตุ สั ญ ญา ธาตุ สั งขาร ธาตุ วิ ญญาณ เหล านี้ ธาตุ ทั้ งนั้ นแหละ; อยาไปทําเลนกับมัน แมแตดิน น้ํา ลม ไฟ นี่อยาไปทําเลนกับมัน จะทําใหเกิดความ


๒๒๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ทุกขไดทันที ที่ไปทําเลนกับมัน. ตองไปทําจริงกับมัน โดยวิธีที่เรารูตามที่เปนจริง วามั นคื ออะไร จนไม มั่ นหมายเอาธาตุ ใดธาตุ หนึ่ ง โดยความเป นตั วตน หรือเป นของตน; อยางนี้เรียกวาอยาทําเลน ไมทําเลนกับมัน. นี่จึงตองเอาเรื่องธาตุมาพูด. ธาตุนั้น ๆ อยูที่ไหน? ก็อยูที่ตัวคนนั่นเอง ถาเปนผูพูดก็คือตัวผูพูดนั่นเอง; แม แ ต เสี ย งที่ พู ด ออกมา ก็ คื อ ธาตุ , แม แ ต เสี ย งที่ เข า ไปในหู ข องคนฟ ง ก็ คื อ ธาตุ . หู ข องคนฟ งก็ คื อ ธาตุ ความรู สึ ก เกิ ด ขึ้ น จากการฟ งเสี ยงนั้ น ก็ คื อ ธาตุ ; เดี๋ ยวก็ เป น เวทนาธาตุขึ้นมา เดี๋ยวก็เปนสัญญาธาตุขึ้นมา เดี๋ยวก็เปนอุปทาน ที่เปนทุกขธาตุขึ้นมา. ความทุ ก ข ก็ คื อ ธาตุ เป น เวทนาธาตุ หรื อ สั ง ขารธาตุ หรื อ สั ง ขตธาตุ ; ไม มี อ ะไรที่ ไม ใช ธ าตุ ทั้ งเนื้ อ ทั้ งตั ว ผม ขน เล็ บ ฟ น หนั ง , หรือ วา ส ว นที่ เป น เลื อดหนอง โลหิ ต อะไรทั้ งเนื้ อทั้ งตั วของรางกาย ทุ ก ๆ ส วนก็ เป นธาตุ ; แม จิ ตใจนั้ น ก็ เป นธาตุ ที่ วางที่ วามี อยู ในระหวาง หรือวาสํ าหรับให ธาตุ เหล านี้ ตั้ งอยู นั้ นก็ เป นธาตุ ไม มี อะไรที่ ไม ใช ธาตุ . ความรูก็ เป นธาตุ , ถ าเป นของจริง ก็ เป นสั จจธาตุ , ถ าไม จริง ก็เปนอวิชชาธาตุ.

www.buddhadasa.info ที นี้ ก็ จงนั่ งหลั บตา อย างสงบลึ กซึ้ ง แล วพิ จารณาดู ว า “เราเป นธาตุ หรือ ว า เรากํ า ลั ง อยู ในท า มกลางสิ่ ง แวดล อ มของธาตุ น านาชนิ ด อย า งไร”; แม แ ต กั บ จิ ต ที่ กํ า ลั ง คิ ด ว า เราเป น เรา, เราคื อ เรา, นั้ น ก็ เป น สั ก ว า ธาตุ ; และเป น ธาตุ ที่ กํ า ลั ง ประกอบดวยอวิชชา มีอวิชชาอยูเต็มตัว จึงเกิดความคิดปรุงไปวา เปนเราเปน ของเรา. นี่ ตรงนี้ จะยากหน อย คล าย ๆ กั บว า เราจะเขี่ ยหนามที่ ในตาตั วเอง เพราะ อวิ ชชามั นเป น ตั วเราอยู แล วเราจะกํ าจั ดอวิ ชชา ด วยตั วเรา; อย างนี้ มั นเหมื อนกั บ เขี่ยหนามที่ในตาของเราเอง.


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๒๕

ตองทําใหถูกวิธี คือมองเห็นโดยความเปนธาตุเขาไปตามลําดับ ๆ : เอา อั น นี้ แ หละเป น หลั ก ประกั น ไปศึ ก ษาความเป น ธาตุ ให จ ริ ง ให ยิ่ งขึ้ น ไปตามลํ า ดั บ ; แล ว ก็ จ ะค อ ยรู เองว า อ า ว, ตั ว ที่ คิ ด นึ ก นั่ น ก็ ธ าตุ , สิ่ งที่ ถู ก คิ ด ถู ก นึ ก นั่ น ก็ ธ าตุ , ผล ที่ เกิ ดออกมาก็ คื อธาตุ , ก็ กลายเป นว า ธาตุ ไปเสี ยทั้ งหมดในบรรดาธาตุ ทั้ งหลายที่ มี อยู หลายสิบชื่อ หรือหลายรอยชื่อ ถาจะจําแนกออกมา. “อย าสํ าคั ญ มั่ นหมายโดยความเป นธาตุ ” ที่ เป นตั วเป นตนของมั นเองก็ ตาม หรือเป นของเราที่ โง ๆ หรือของจิ ตที่ ประกอบอยู ด วยอวิชชาก็ ตาม อย าได มี ตั วตนเกิ ดขึ้ น ทั้ ง ที่ เป น ภายนอก ทั้ ง ที่ เป น ภายใน ทั้ ง ที่ เป น อดี ต อนาคต ป จ จุ บั น แล ว ก็ เลยว า ง. วางนั้ น ก็ยั งคงเป น ธาตุ แตป ระเสริฐที่ สุด ที่ วาไม เป น ทุ กข ; พอไมวางก็เป นทุกข; พอวางไมเปนทุกข ก็ใหรูจักธาตุที่ไมเปนทุกข ซึ่งเปนธาตุของพระอรหันต. ทําความ เป นพระอรหั นต ก็ เพราะมี ธาตุ อย างนั้ น ปรากฏอยู ในสั งขารที่ ปราศจากอวิ ชชาแล ว มี แต วิชชาธาตุสองแสงสวาง เปนความวางอยูตลอดไป.

คําบรรยายนี้ มุงหมายใหปฏิบัติตามรอยพระอรหันต

www.buddhadasa.info การบรรยายในวัน นี้ โดยหั ว ข อ ว า “สิ่ งที่ เรี ย กว า ธาตุ กั บ พระอรหั น ต ” เพื่ อให เห็ นว าพระอรหั นต ท านทํ าอะไร ท านเป นอะไร หรื อท านไม ทํ าอะไร หรื อท านไม เป นอะไรกั บสิ่ งที่ เรียกว าธาตุ . รวมความแล ว พระอรหั นต นั้ นไม ได มี ตั วมี ตนของตน ที่ เป นองค ตั วพระอรหั นต มี แต ภาวะอั นหนึ่ งของธาตุ ชนิ ดนี้ ปรากฏอยู กั บรางกาย และจิ ต ใจที่ ไม มี อวิ ชชา ที่ ไม มี กิ เลส ตั ณ หา ก็ เลยสมมติ อี ก เรียกว ากลุ ม นี้ แหละคื อ พระอรหันต.

บุคคลนี้เปนพระอรหันต นี่เปนคําพูดสมมติ เพราะวาโลกนี้เปนโลกของ การสมมติ ภาษาพูดก็ตองพูดอยางสมมติ; พูดอยางไมสมมติ ไมมีใครฟงถูก นอกจาก


๒๒๖

ปรมัตถสภาวธรรม

ไม ฟ งถู กแล วก็ ยั งจะหาว าบ า แล วก็ จะตี เอา, ก็ เลยต องพู ดด วยเรื่ องสมมติ ; ค อย ๆ พู ดไป ค อย ๆ พู ดไป จนกว าเขาจะเห็ นเอง แล วก็ ไม ต องพู ด พู ดไม ได แล วก็ ไม ต องพู ดด วย. ที่จริง “พูดก็ไมได” นั่นแหละคือตามรอยพระอรหันต จะทําตามพระอรหันตกันทั้งที ก็ตองทําอยางนี้ทั้งนั้น. สรุปความแลว ก็คือ เขาใจรอบรูในสิ่งที่เรีย กวาธาตุทั้งหลายทั้งปวง มี ส ติ ต ลอดกาลเกี่ ย วกั บ ธาตุ นั้ น ๆ; ไม มี ค วามยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในธาตุ ใ ด ๆ ไม มี อวิ ช ชา สํ าหรั บ ปรุ งแต งธาตุ ที่ จ ะนํ ามาซึ่ งความทุ ก ข . ส วนความทุ ก ข ที่ เกิ ด อยู ต าม ธรรมชาติ เช น เจ็ บ ตาย เป น ต น นี้ ก็ เป น เรื่ อ งนิ ด เดี ย ว เป น เรื่ อ งของความเจ็ บ ทางกาย; ไม ใช ความทุ กข เพราะไม มี ความยึ ดมั่ นถื อ มั่ น เลยเป น บุ คคลที่ เรียกได ว า ไมมีทุกข. พระอรหันตอยูในทามหลางธาตุทั้งหลายนี้ ไดโดยไมตองเปนทุกข; เพราะท านก็ ไม ใช เป น ใคร ไม ได เป น ตั วเป น ตนอะไร เป น ความว างด ว ยกั น ทั้ งนั้ น . แต แ ล ว เราก็ ต อ งพู ด ว า ท า นเป น พระอรหั น ต , ท า นเกื อ บเป น พระอรหั น ต แ ล ว หรื อ เป นอนาคามี เป นสกิ ทาคามี เป นโสดาบั น. เรื่องเช นนี้ กํ าลั งต องการกั นนั ก ที่ จะเป นตั ว เป นตน อย างนั้ น อย างนี้ ; ว าที่ จริ งก็ ยั งดี กว า ที่ จะไม ต องการความเป นพระอรหั น ต เสี ย เลย; แต ว า เมื่ อ ต อ งการแล ว ก็ ข อให เดิ น ให ถู ก ทาง โดยการที่ จ ะไม ไปข อ งแวะ ไปยึดมั่นสิ่งที่เรียกวาธาตุนี้โดยความเปนตัวตน.

www.buddhadasa.info ผู ที่ เคยบวชเรี ย นแล ว หรื อ ไม เคยบวชเรี ย น ก็ เ คยท อ งว า ยถาปจฺ จ ยํ ปวตฺ ต มานํ ธาตุ ม ตฺ ต เมเวตํ ; นั่ น แหละเข า ใจให ดี ๆ เถอะ จะเป น พระอรหั น ต ไ ด ดวยขอความเพียงเทานั้นแหละ วานั่นสักวาธาตุเทานั้น เปนไปตามเหตุตามปจจัยอยู เนืองนิจ; คือตัวกู, กับสิ่งตาง ๆ ที่เขามาเกี่ยวของกับตัวกูนั่นแหละ, เปนสักวา


พระอรหันต กับสิ่งที่เรียกวา ธาตุ – อายตนะ - ขันธ

๒๒๗

ธรรมชาติเทานั้น กําลังเปนไปตามเหตุ ตามป จจัยอยูเนื่องนิจ. ขอนี้อยาไดลืม ไม ยาก เกินไป; แตก็คงจะไมงายเกินไป แลวก็ไมมีอะไรที่จะอยูนอกเหนือความสามารถของ บุ ค คลผู ที่ ตั้ งใจจริง ๆ. ธรรมะหมวดหนึ่ งประเภทหนึ่ ง มี อ ยู สํ าหรับ ทํ าให ค นเรามี สมรรถภาพ มี ความตั้ งใจจริง ๆ; แล วสิ่ งเหล านี้ ความหลุ ด พ น หรือ นิ พ พานนี่ ก็ ไม เหลือวิสัย. นี่ พู ดถึ งสิ่ งที่ เรียกวาธาตุ กั บพระอรหั นต มาก็ พอสมควรแก เวลาแล ว ขอ โอกาสให พ ระคุ ณ เจ าทั้ งหลาย สวดคณะสาธยาย เพื่ อ จะส งเสริม กํ าลั งศรัท ธาใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆใหมีการปฏิบัติใหยิ่งขึ้นสืบตอไป.

www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


ปรมัตถสภาวธรรม

- ๘ ๒๔ กุมภาพันธ ๒๕๑๖

ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย,

การบรรยายประจํ า วั น เสาร ในชุ ด ปรมั ต สภาวธรรม สํ า หรั บ ภาค มาฆบูช าไดล ว งมาถึง ครั ้ง ที ่ ๘ แลว ในวัน นี ้จ ะไดก ลา วโดยหัว ขอ วา ธาตุที่ มาอยูในรูปของอายตนะ. ธาตุ ที่ มาอยู ในรู ปของอายนะ หมายความว า เมื่ อก อนนี้ เราเรี ยก หรื อพู ดกั น ว าธาตุ นั้ น ธาตุ นี้ มากมายหลายสิ บธาตุ ; บั ดนี้ สิ่ งที่ เรียกว าธาตุ นั้ นเปลี่ ยนชื่ อมาเป น อายตนะ เปลี่ยนรูปลักษณะมาเปนอายตนะ.

www.buddhadasa.info

๒๒๙


๒๓๐

ปรมัตถสภาวธรรม

เหมือนอยางวา ตา ก็เรียกวา จักขุธาตุ เปนธาตุสําหรับทําหนาที่เห็น เป น ธาตุ หนึ่ ง; ต อมาตานั้ นมาเปลี่ ยนชื่ อเป นอายตนะ, อายตนะคื อตา. นี่ หมายความว า เมื่ อ ตาทํ า หน า ที่ เห็ น คื อ กระทบกั น เข า กั บ รูป จึ งได เรีย กตาว า อายตนะไป; ภาษา ธรรมดาเราเรียกวา “ตา”, ภาษาธรรมะที่ ลึ กลงไปก็ เรียกวาธาตุ . ตานี้ เป นสั กวาธาตุ รูปขางนอกก็ เป นธาตุ เรียกวารูปธาตุ พอได อาศั ยกันเขาแลว ตาทํ าหน าที่ เห็ นรูป ตาที่ เคยเรียกวาจักขุธาตุ ก็กลายเปนจักขุอายตนะไป; รูปธาตุ ก็กลายเปนรูปายตะขึ้นมา. นี่คือตัวอยางหนึ่งที่แสดงวา สิ่งที่เรียกวาธาตุนั้น เดี๋ยวนี้ไดเปลี่ยนชื่อ หรือเปลี่ยน รูปลักษณะ มาเป นอายตนะ. ในวันนี้ เราจะไดกลาวถึงสิ่งที่เรียกวา อายตนะ แลวก็ อย าลื มว า ที่ แท ก็ ได แก สิ่ งที่ เรี ยกว า “ธาตุ ” มาแล วแต หนแล ว ในการบรรยายตั้ งหลาย ครั้งนั่นเอง. ในที่นี้อยากจะขอทบทวนความเขาใจ กระทั่งซักซอมความเขาใจของทาน ทั้งหลายอยูเสมอ คือใหระลึกนึกถึงขอความที่แสดงมาแลว ที่ทานไดฟงแลวไดเขาใจแลว อยูบอย ๆ มิฉะนั้นจะลําบากในการที่จะเขาใจตอไป.

www.buddhadasa.info อยากจะทบทวนถึ งคํ าวา “ปรมั ตถสภาวธรรม” วา ความเป นปรมั ตถสภาวธรรมนั้นคือความเปนอยางไร? และเรารูกันเทาไร?

ขอนี้ ต องยกตั วอย าง อย างที่ กล าวมาแล วนั่ นอี กก็ ได วา เราพู ดวา เรามี ตา มี ลู ก ตา; เราไม เคยรู ว าตานั้ น เป น เพี ย งสั ก ว าธาตุ ช นิ ด หนึ่ ง มี คุ ณ สมบั ติ หรือ สมรรถภาพของมั น ก็ เห็ น ได . นั่ น เป น เพี ยงธาตุ ช นิ ด หนึ่ ง แต เราไม รู ; เรารู แ ต ว าตา ฉั นมี ตา ตาของฉั น ถนอมมั นดุ จกั บแก วตาอย างนี้ เรียกว าถนอมตามาก กระทั่ งเป น ความยึดมั่นถือมั่นในดวงตา. ถาตาจะเปนอะไรเขาสักหนอย ก็กลัววา ตาจะบอด เปน


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๓๑

ทุ ก ข เดื อ นดร อ น ระส่ํ า ระสายไปที เดี ย ว; นี่ เรี ย กว า ไม เห็ น ปรมั ต ถสภาวธรรมแม แ ต สั ก นิ ด หนึ่ ง . ถ า เห็ น ก็ จ ะรู สึ ก ว า ตาเป น ธาตุ ซึ่ ง ต อ งเป น ไปตามเหตุ ต ามป จ จั ย ; อยากลัว ถาเหตุปจจัยยังดีอยูก็จะรักษาตาที่เจ็บใหหายได, ถาเหตุปจจัยหมดแลว ก็ รั ก ษาไม ได ; จะต อ งไปกลั วมั น ทํ าไม. อย างนี้ เรี ยกว าเห็ น โดยความเป น ธาตุ ไปแล ว ไมเห็นเปน “ลูกตาของกู” แลว.

พุทธบริษัทตองรูถึงขั้นปรมัตถสภาวธรรม ที่ รูสึ ก วานั่ น นี่ เป น ตั ว กู -เป น ของกู นั่ น แหละคื อ ไม มี ค วามเห็ น ในชั้ น ที่ เป นปรมั ตถสภาวธรรมเสี ยเลย. สภาวธรรม แปลวา ธรรมชาติที่ เป นอยู เอง หรือ ธรรมดาก็ ได , ความเป น ธรรมดา นั่ น คื อ ธรรมชาติ ที่ เป น อยู เอง. ปรมั ต ถะ แปลว า มีอ ัต ถะอัน ลึก ซึ ้ง , มีค วามหมายที ่ล ึก ซึ ้ง . อยา งเราเห็น ก็ม ัก จะเห็น เปน คน เปน ตั ว ฉั น เป น ตั ว กู หรื อ เป น ของกู ; เห็ น กั น เท า นี้ อย า งนี้ ไม มี ป รมั ต ถสภาวธรรมที่ เห็นเลย.

www.buddhadasa.info เมื่ อเห็ นลึ กลงไป ๆ ว า ที่ ว าตั วกู นี่ คื อรู ป เวทนา สั ญญา สั งขาร วิ ญญาณ ประชุมกันอยู หรือ ธาตุทั้ งหลายประชุ มกันอยู โดยชื่อเรียกอยางนั้นอยางนี้ ลวนแต เป น ธาตุ ทั้ งนั้ น ; นี่ ก็ เรียกว าเริ่ ม เห็ น แล ว , เห็ น ปรมั ต ถสภาวธรรมบ างแล ว. แล วก็ มี หน า ที่ ที่ จ ะต อ งเห็ น ต อ ไปอี ก ให ล ะเอี ย ดลออที่ สุ ด และลึ ก ซึ้ ง ที่ สุ ด ; นี่ เป น เหตุ ที่ ทํ าให อ าตมาต อ งพู ด ถึ งเรื่ องนี้ อย างซ้ํ า ๆ ซาก ๆ จนท านทั้ งหลายรํ าคาญ. ครั้ งที่ ๑ ก็ พู ด เรื่ อ งธาตุ , ที่ ๒ ก็ พู ด เรื่ อ งธาตุ , ที่ ๓ ก็ พู ด เรื่ อ งธาตุ , มาถึ ง ครั้ ง ที่ ๘ นี้ ก็ ยังพูดเรื่องธาตุ. ขอให สั งเกตดู ดี ๆ ว า มิ ได พู ดซ้ํ ากั นไป อย างที่ เรี ยกว าไม มี อะไรแปลกออก ไปเสียเลย; จะมีแปลกออกไป แปลกออกไปโดยรายละเอียด. จากคําวาธาตุ


๒๓๒

ปรมัตถสภาวธรรม

ตั วเดี ยวเท านั้ น แยกแตกออกไปโดยรายละเอี ยด โดยประเภทก็ มี โดยลั กษณะก็ มี โดยความลึ กลั บซั บซ อนอะไรต าง ๆ ก็ มี เราจึ งเข าใจคํ าว าปรมั ตถสภาวธรรมได มากขึ้ น; เพราะมองลึ กขึ้ นไปทุ กที จนไม ใช สั ตว บุ คคล ตั วตน เป นสั กว าธาตุ , เป นสั กว าอายตนะ เป นสั กวาขั นธ , เป นสั กว าเหตุ ป จจั ยซึ่ งปรุงแต งกั นขึ้ นมาเป นความทุ กข . ถ าผู ใดเห็ นอยู อย างนี้ ตลอดเวลา ก็ เรียกว าเห็ นความจริง ของจริ ง ที่ เห็ นยาก หรื อลึ กซึ้ งอยู ตลอดเวลา; นี่ ก็ ทํ าให ไม เที่ ยวยึ ดมั่ นถื อมั่ นนั่ นนี่ จนเกิ ดความรั ก ความโกรธ ความเกลี ยด ความกลั ว ประโยชนเปนอยางนี้, ลักษณะของปรมัตถก็คือ ใหเห็นจริงยิ่งขึ้นไปทุกที. อย างเราเอาโอ งมาลู กหนึ่ ง ก็ ดู ว ามั นเป นโอ ง อย างนี้ ก็ เรี ยกว า เห็ นเท าที่ ตาเห็ น . แต ถ าเอามาดู จ นถึ งรู ว า โอ งนี่ ป ระกอบขึ้ น ด วยดิ น ซึ่ งเมื่ อ ก อ นเป น ดิ น ที่ ใน ทุ งนา เขาเอามาทํ าอย างนั้ นอย างนี้ ตบแต งจนป นเป นรู ปโอ งได แล วไปเผาไฟ ก็ ทํ า มาในลั ก ษณะที่ เห็ น อยู ที่ เราเรี ย กว าโอ ง. ถ า เห็ น โอ ง ก็ เห็ น ของผิ ว เผิ น ธรรมดา; ถ า เห็นธาตุดินเห็นเหตุปจจัยที่ทําการเปลี่ยนแปลงดินนั้น จนมาเปนรูปโองอยูที่ตรงนี้; นี ่ค ือ เห็น ในแงข องปรมัต ถสภาวธรรม, เห็น ในแงป มัต ถนี ่ฉ ลาดกวา , ทํ า อะไร ได เกี่ ยวกั บโอ งลู กนั้ นดี กว าก็ ได . แม แต จะแก ไข จะซ อมแซม จะทํ าอะไรก็ ทํ าได ดี กว า; และจะไมดีใจ ไมเสียแมวาโองจะตองแตกออกไปอยางนี้.

www.buddhadasa.info การเห็น สภาวธรรมในชั้น ปรมัต ถนั ้น ก็คือ เห็น ความจริง ที ่จ ะทํ า ให เราไม ยึดมั่ นถือมั่ น; ถาไมเห็นปรมัตถสภาวธรรมแลว ก็พรอมจะยึดมั่นไปเสียทุกสิ่ง ทุกอยาง นี่วากันโดยประโยชน เปนอยางนี้. นี่ เราลองคิ ด ดู เองว า เราเดี๋ ย วนี้ น ะ เห็ น ปรมั ต ถสภาธรรมหรื อ ไม ? หรือวาเห็นสักเทาไร? โดยเฉพาะอยางยิ่งที่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกวาตัวกู - ของกู; เรารู ปรมัตถสภาวธรรมของตัวกูหรือของกูนี้กันสักเทาไร? ถาเรามีความรูสึกคิดนึกวาเปน


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๓๓

ตั ว เรา - เป น ของเรา, พอหยิ บ จั บ ขึ้ น มา ก็ เป น ตั ว กู เป น ของกู ทุ ก อย า ง ก็ เรี ย กว า ยั ง ไม เห็ น เพราะเห็ น ไม ไ ด ด ว ยตา; ต อ งเห็ น ด ว ยสติ ป ญ ญา, หรื อ ว า ถ า ตา ก็ ต อ ง เปนตาของปญญาเรียกวาปญญาจักษุ เปนธาตุพิเศษยิ่งไปกวาจักขุธาตุธรรมดา. ถ ารูอย างเห็ นปรมั ตถ ก็ หมายความวา รูด วยเห็ นแล ว, ประจั กษ ด วยใจแล ว, จึ งจะเรี ยกวารู . เดี๋ ยวนี้ เรารูบ างก็ เพี ยงแต วาภายนอก ที่ ได ยิ นได ฟ งการบรรยายชี้แจง ก็ เรี ยกว ารู บ าง แล วเดี๋ ยวก็ ลื ม บ าง; เรี ยกว ารู อ ย างแบบที่ ไม เห็ น ปรมั ต ถสภาวธรรมรู หรื อ จํ าได แล วก็ ลื ม . รู อ ย างนี้ ยั งไม สํ าเร็ จ ประโยชน , จํ าได พู ด ได เข าใจได อย างนี้ ยั งไม สํ าเร็จประโยชน เต็ มที่ คื อยั งไม มี การเห็ นแจ งในปรมั ตถสภาวธรรม. ต องพยายาม ที่จะใหเราเห็นแจงจนวางเฉยไดในสิ่งที่เขามากระทบ ซึ่งจะทําใหเกิดอภิชฌา หรือ วาเกิดโทมนัส ที่จะพอใจ หรือจะไมพอใจ. ความรูสึ ก ที่ จ ะเกิ ด มี ส องอย างเท านั้ น คื อพอใจกั บ ไม พ อใจ; และทั้ ง สองอยางนั้นเป นเรื่องรบกวน ทํ าให ไม สงบสุ ข เปนเรื่องของคนโง ไม ใชพุ ทธบริษั ท ที่ ฉลาด. ถ าเป นพุ ท ธบริษั ทที่ ฉลาด เขาจะไม มั วเสี ยเวลาเที่ ยวพอใจ เที่ ยวไม พอใจ นั่ น นี่ อ ยู เหวี่ ย งไปเหวี่ ย งมาอยู อ ย า งนั้ น ; ต อ งปกติ ไ ด ต อ งเฉยได . นี่ เรี ย กว า ผู รู อยางที่เปนพุทธบริษัท วาเขารูสิ่งทั้งปวงลึกลงไปถึงขั้นที่เรียกวา รูปรมัตถสภาวธรรม.

www.buddhadasa.info พิจารณาดูความลึกของความรูอยางภาษาคน, ภาษาธรรม, และภาษาปรมัตถ.

ความรู ของเราก็ ลองเปรียบเที ยบกั นดู ก็ แล วกั น : รูอย างที่ เรี ยกในภาษาคน, รู อ ยางที่ เรี ยกในภาษาธรรม นี่ ก็ ต างกั นแล ว, ใช คํ าพู ดก็ ต างกั นแล ว. ที่ พู ดว า “ทาง” พู ดว า “หนทาง” ในภาษาคน ก็ หมายถึ ง ถนนหนทาง, ภาษาธรรม ก็ หมายถึ ง กระแส ของการปฏิ บั ติ ในทางจิ ต ใจ นี่ ก็ เรีย กว า รูในภาษาธรรม. ถ า ภาษาปรมั ต ถธรรมนี้ รูละเอียดมากไปกวานั้นอีก คือลึกกวากัน.


๒๓๔

ปรมัตถสภาวธรรม

เปนอันวาขอใหทุกคนพยายามที่จะรูทั้งภาษาคน ทั้งภาษาธรรม และ ทั้งภาษาปรมัตถสภาวธรรม ซึ่งเปนภาษาธรรมที่ลึกซึ้งถึงที่สุดอีกชั้นหนึ่ง คือเปน ๓ ชั้ นอยู อย างนี้ . เช นพู ดวาคน นาย ก. นาย ข. นาย ค. นี่ เรียกว าภาษาคน. แต ถ า พู ด ว าขั นธ ว าธาตุ ว าอายตนะ นี่ เรียกว าภาษาธรรม. ถ าเรารูละเอี ยดในส วนกลุ ม ของขั น ธ ของธาตุ ของอายตนะ ว าเป น อย างไร สั ม พั น ธ กั น อย างไร, ปรุ งแต งกั น อย างไร. เป นไปอย างไรโดยละเอี ยด; อย างนี้ จึ งจะเรียกว าปรมั ตถสภาวธรรม, คื อว า เปนภาษาธรรมในชั้นที่มันละเอียด ลึกเขาไปตามลําดับ. ข อนี้ จะต องยอมรับว า เราเกิ ดมาในโลกนี้ อยู ในโลกนี้ มาหลายสิ บป แล ว ถ ารูเท าเดิ มมั นจะเป นอย างไร? จะเรียกตั วเองว าอย างไร ถ ายั งรูอะไรเท าเดิ มอย างนี้ ? มั นต องรูมากขึ้ น ต องเลื่ อนชั้ นขึ้ นไปตามลํ าดั บ จนกวาจะพอ หรือถู กต อง. ทั้ งพอ ทั้งถูกตอง วัดไดโดยที่วา ไมมีความทุกขรอนในใจอีกตอไป; นั่นแหละความรู นั้นถูกตองและเพี ยงพอ. ถาใหรูทวมตัว แตถายังไม ดับความทุ กขรอนในใจได ก็เท ากับ ไมรูนั่นแหละ; รูจนทวมหัวเหมือนบาหอบฟางอยางนั้น ก็คือไมรูอยูนั่นแหละ.

www.buddhadasa.info คนสมัยนี้ เขารูอยางนั้นกันโดยมาก คือมีรูอยางชนิดบาหอบฟาง รูมาก พู ดได มาก สอนคนอื่ นได มาก แต ไม มี อะไรเลย จึงคอยติ งไวเสมอวา ระวังให ดี ; เป น ผู รูธรรมะ แล วพู ดธรรมะด วย แต ไม มี ธรรมะเลย ในตั วคนนั้ นไม มี ธรรมเลย ก็ คล ายกั บ เล น ตลก หรื อพู ด เล นตลกไป. คน ๆ นี้ รู ธรรมะพู ดธรรมะเก ง แต แล วในคน ๆ นี้ ไม มี ธรรมะเลย อย างนี้ ค ล าย ๆ เล น ตลก : เมื่ อ ฟ งมากเข า คิ ด มากเข า มั น ก็ มี ค วามรู มี ความเข าใจมาก เลยพู ดได ตามนั้ น ก็ พู ดมาก; แต ในตั วคน ๆ นั้ นไม มี ธรรมะเลย, ไม มี ธรรมะจริงพอที่ จะดั บทุ กข ได เขาไม เคยดั บทุ กข ได . ยิ่ งรูมากก็ ยิ่ งขึ้ นโมโหมาก; เพราะ คนรู นั่ น รู เพื่ อ จะได ดิ ด ได ดี ใ ห มี เกี ย รติ ได ล าภ ได สั ก การะ. พอคนนั บ ถื อ มากเข า ก็ ถื อ ตั ว มากเข า , แล ว ก็ ขี้ โมโหเมื่ อ มี อ ะไรมากระทบเพี ย งนิ ด หน อ ย. นี่ ย กตั ว อย า ง ที่วา “รูได พูดเปน พูดได แตไมมีธรรมะเลย”.


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๓๕

การรูธรรมะจริงตองมีผลเปนความหลุดพน ในเรื่องของปรมั ตถสภาวธรรมนี้ ถ ายั งรู มากและพู ดได เท านั้ น ก็ ยั งเรี ยกว า ไม รู ป รมั ต ถสภาวธรรม ถึ ง รู ก็ รู อ ย า งบ า หอบฟาง. ถ า รู จ ริ ง ต อ งมี ผ ล เป น ความ หลุ ด พ น จากความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ; รู จ ริ งอาจจะมี ป ริม าณน อ ย ก็ ได ไม กี่ คํ าพู ด ก็ ได แตหลุดพนจากความยึดมั่นถือมั่น. ถาจะถามวา จําเป นอยางไรที่จะต องรูถึงปรมัตถสภาวธรรม? ก็ตอบวา จํา เปน ที ่จ ะหลุด พน จากความทุก ข. ถา ไมรูถึงปรมัต ถสภาวธรรมโดยแทจ ริง แลว ก็ ไม หลุ ดพ นจากความทุ กข ; โดยรายละเอี ยด หรื อความรู นั้ นอาจจะมี มาก ก็ ได มี น อย หรือพูดคําเดียว ก็ได. เรา “กํ าลั งไม ห ลุ ด พ น ”; พอให ดู ดี ๆ ว า เรานี่ กํ าลั งไม ห ลุ ด พ น คื อ ว า อยู ในวนของความวนเวี ย น วนไปเวี ย นมา เวี ย นไปวนมาอยู ในวงเวี ย นนี้ , วงเวี ย น ของความทุกข เพราะมันโง มันมีอวิชชา มันไมรูอะไร.

www.buddhadasa.info เรา “ไมหลุดพ น” คือไปวนเวียนยึดมั่ นถือมั่นในสิ่งต าง ๆ ที่เขามาทางตา หู จมู ก ลิ้ นกาย ใจ ที่ เรียกว าอายตนะนั้ น, ไม ออกไปจากวงเวี ยนนี้ ได ก็ เรี ยกว ายั งไม หลุ ดพ น. รูปรมั ตสภาวธรรมก็ มุ งหมายว าจะให หลุ ดพ นออกไป; ฉะนั้ นจึ งต องขอรอง ให ดู ให ม อง ให เห็ น ป ญ หากั น เสี ยก อ น. ตั วเรื่ อ งทุ ก ข รอ นนั้ น มองให เห็ น กั น เสี ยก อ น วาเรายังไมหลุดพนไปจากความวนเวียนนั้นไดแก :-

๑. ไม หลุ ดพ นจากความมื ด ที่ ว า “ไม หลุ ดพ นจากความมื ด” เพราะยั งโง ยั งไม พ น จากอํ า นาจของความโง ยั งไม ห ลุ ด พ น ไปจากบ ว งของความโง ; ความไม รู อยางนี้เรียกวามืด ถาไมรูก็คือมืด. เรายังถูกขังอยูในความมืด แลวเรายังจะเดิน


๒๓๖

ปรมัตถสภาวธรรม

ถู กหรือ? ลองคิ ดดู ถ าความมื ดยั งหุ มห ออยู รอบด าน เราจะเดิ นไปถู กหรือ? หรือว า “มื ด” ในภาษาคน มั นมื ดไปหมดเหมื อนเวลากลางคื น, มื ดที่ สุ ดเหมื อนกั บตาบอด เราก็ เดิ นไปถูก. ที่ มื ดในภาษาธรรม คื อมื ดด วยอวิชชา เต็ มไปหมดอย างนี้ เดิ นถู ก ที่ ไหน; ต องออกจากมื ดนี้ กั นเสี ยก อน ออกจากมื ดคื ออวิชชา เรียกวาหลุ ดพ นมาจาก ขอบวงของความมืดก็ได. ๒. พูดวาไมหลุดพนออกจากขอบวง หรืออํานาจของการปรุงแตง คือ จิ ตของคนเราถู กปรุงแต งเรื่ อย หลี กไม พ น เพราะว ามี อวิ ชชา หรือเพราะว ามี ความมื ด นั่ นแหละ จิตก็ ถู กปรุงแต งเรื่อยไป. อะไรเข ามาทางตา ทางหู ทางจมู ก คื อทางอายตนะ ทั้ งหกนี่ จะมี อาการปรุงแต งเรื่องไป ทํ าอย างอื่ นไม เป น ทํ าไม ได ทํ าไม ถู ก; มี แต วน อยู ในการปรุงแต งตามแนวแห งปฏิ จจสมุ ปบาท เรียกวาการปรุงแต ง. เราติ ดอยู ในตาข าย หรื อ ในวงเวี ย นของการปรุ ง แต ง นี้ , ออกไปไม ได . พู ด แต ป ากนี้ ไม สํ า เร็ จ ประโยชน ได ยิ นได ฟ งคํ าพู ดล วน ๆ นี้ ยั งไม สํ าเร็จประโยชน . ต องเอาไปคิ ดไปนึ กให เห็ นว าเรา ตกอยูในอํานาจ อิทธิพลของการปรุงแตงอยางไร; คือการที่เราตองคิด ก็ตอง รูสึ กไปตามอํ านาจของสิ่ งที่ เข ามาปรุงแต ง จนได โลภ ได โกรธ ได หลง. นี่ เรียกว าเรา ถู ก ปรุ ง แต ง ถู ก กั ก ไว ด ว ยการปรุ ง แต ง , ให ป รุ ง แต ง ไปตามนั้ น ; ต อ งทํ า ให มั น พ น ออกไปใหได.

www.buddhadasa.info ๓. จะดูอีกทีหนึ่ง ใหเขาใจไดรอบดาน ก็คือ คนไมหลุดพนออกไปจาก ความผู กพั น; ถ าพู ดภาษาคนก็ ว า ถู กล ามไว ด วยโซ ด วยตรวน ด วยเครื่ องผู กต าง ๆ เรียกว าเครื่องผู กพั น , พู ดด วยภาษาธรรมก็ แปลว า กิ เลส ตั ณ หา อุ ป าทานของเรา ผูกจิตอยูทั้ งนั้ น มีกิเลส ตั ณหา อุปาทานอยู ก็ผูกพั นจิตไมให พ นไปจากความทุกขได . ทํ าไมจึ งถู กผู กพั น? ก็ เพราะโงอย างที่ ว ามาแล ว จิ ตตกอยู ใต กระแสของการปรุงแต ง, แลวถูกผูกพัน ก็ตองมีความทุกข.


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๓๗

การจะหลุดออกไปได จากการผู กพั น ก็ตองเปนเรื่องที่ รูแจงในปรมั ตถสภาวธรรม หายโง เกิ ดสว างขึ้ นมา ไม ยอมให ถู กปรุ งแต ง จึ งจะไม ถู กผู กพั น. ฉะนั้ น สรุ ปความเสี ยที ว า ให หลุ ดพ นไปจากความทุ กข ก็ แล วกั น; รูธรรมในชั้ นไหน ระดั บไหน ก็ เพื่ อจะหลุ ดพ นออกไปจากความทุ กข . ถ าถึ งขั้ นลึ กซึ้ งสู งสุ ด ชั้ นปรมั ตถสภาวธรรมละก็ ยอมพนไปไดจากความทุกขโดยประการทั้งปวง. นี่ คื อจะต องรู ว า เรามี ความรู ในส วนปรมั ตถสภาวธรรมเพี ยงไร? อย างไร? เทา ไร? และเพื ่อ ประโยชนอ ะไร? นี ้เ ปน เรื ่อ งทบทวน, และก็อ ยากจะทบทวน ยอนหลังไปถึงเมื่อ ๒ - ๓ ปมาแลววา เราไดเริ่มคําบรรยายวันเสาร นี้โดยเหตุที่วา พุทธบริษัท ยังไมมีความเปนพุทธบริษัทที่ถูกตองเพียงพอ. เราเริ่มการบรรยาย จั ดการบรรยายนี้ ขึ้ นมา เพื่ อให เกิ ดความก าวหน าแก ความเป นพุ ทธบริษั ท ให สมกั บการ เป นพุ ทธบริษั ท เป นต น. นี้ ก็ ต องทบทวนเอามา เพื่ อว าจะได มี กํ าลั ง ความอดกลั้ น อดทน สนใจที่ จะศึ กษาเรื่ องที่ จะต องบรรยายต อไป ให ละเอี ยดลึ กซึ้ งยิ่ งขึ้ นทุ กที สมกั บที่ เป น พุทธบริษัท.

www.buddhadasa.info ตองจํามั่นวา “ไมมีอะไรที่ไมใชธาตุ”

ที นี้ เท าที่ แ ล วมา ในการบรรยาย ๖-๗ ครั้ งนั้ น ล วนแต แ สดงให เห็ น ว า ธาตุ เป น อย า งนั้ น ธาตุ เป น อย า งนี้ แล ว ก็ ไ ม มี อ ะไรที่ ไ ม ใ ช ธ าตุ ; นี่ แ หละเป น สิ่ ง ที่ ต องทบทวนยิ่ งกว าสิ่ งใด, และในที่ สุ ดก็ ทบทวนไปยั งประโยคนั้ นอี ก ประโยคเดี ยวนั้ น อีกวา ไมมีอะไรที่ไมใชธาตุ.

อาตมาคิ ดว า เมื่ อบรรยายถึ งเรื่ องนี้ คงจะเข าใจกั นไม น อยอยู เหมื อนกั น; แต บั ดนี้ อาจจะเลื อนไปเสี ยแล วก็ ได ความเห็ นแจ งรูสึ กนั้ น, ยั งไม ถึ งที่ สุ ด, ยั งไม ตายตั ว, ยอมเลือนได. ฉะนั้น ขอใหฟนขึ้นมาใหมวา ไมมีอะไรที่จะไมใชธาตุ.


๒๓๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ในตั วเรา ทุ กอณู ทุ กปรมาณู ที่ เป นเนื้ อหนั งรางกาย ก็ ไม มี อะไรที่ ไม ใช ธาตุ . ที่ เป นส วนจิ ต คิ ดนึ ก รูสึ ก เห็ นแจ งอะไรได ก็ ไม มี อะไรที่ ไม ใช ธาตุ : เป นเวทนาธาตุ สั ญ ญาธาตุ สั งขารธาตุ วิ ญ ญาณธาตุ ; นี้ ถ าเกิ ดเป น กิ เลสขึ้ น มา มั น ก็ เป น อวิ ชชา ธาตุเกิดเปนความทุกขขึ้นมา ก็เปนเวทนาธาตุ ไมมีอะไรที่ไมใชธาตุ. ทุ ก ๆ อณู ทุ ก ๆ ปรมาณู ในทางวั ตถุ ก็ ตาม หรื อในทางนามธรรมก็ ตาม ให ไปสํารวจจิตพินิจพิจารณากันในขอนี้ใหเห็นวา ไมมีอะไรก็ไมใชธาตุอยางนี้อยูเสมอไป; ควรจะรูสึ กไดเพี ยงสั กวาเห็ นแวบหนึ่ งแลวก็ หายไป. และเพราะวานี้ คื อปรมั ตถสภาวธรรม อยางยิ่ง; ถาผูใดมานั่งพิจารณาเห็นแจมแจงอยูโดยความเปนธาตุถึงที่สุดอยางนี้ มีความ สลดสังเวชในความโงของตนที่เคยหลงยึดมั่นถือมั่นแลว มีความจางคลายออกมา จากการยึดมั่นถือมั่น; นี่เรียกวาเขาไดเห็นปรมัตถสภาวธรรม. นี้เปนการทบทวน. จําไวอยาไดเลอะเลือนไปวา ไมมีอะไรที่จะไมใชธาตุ แลวนั่นแหละเปนปรมัตถสภาวธรรมอยางยิ่ง.

www.buddhadasa.info เอาละ ที นี้ ก็ มาถึ งหั วข อเรื่อง ที่ เราจะพู ดกั นในวันนี้ ต อไป. หั วข อในวั นนี้ ว า สิ่งที่เรียกวา ธาตุ ที่มาอยูในรูป ในลักษณะ หรือในชื่อก็ตาม ของอายตนะ, สิ่งนั้นเดิมเรียกวาธาตุ เดี๋ยวนี้มาเรียกเสียใหมวาอายตนะ; สิ่งนั้นเดิมทําหนาที่อยาง เปนธาตุชนิดหนึ่ง เดี๋ยวนี้มาทําหนาที่อยางอายตนะ. เช น ตา เป นธาตุ เฉย ๆ สํ าหรั บ เห็ น ก็ เรี ยกว าจั ก ขุ ธาตุ , มาทํ าหน าที่ รั บ อารมณ โดยตรง ก็ เรียกวาอายตนะ. ฉะนั้ นพอจะมองเห็ นได ทั นที วา คํ าวา “อายตนะ” นี่ มั นเป นชื่ อใหม อี กชื่ อหนึ่ งของสิ่ งที่ เรียกวา ธาตุ ก็ แล วกั น; เคยเรียกวาธาตุ มาเรียก เสียใหมวาอายตนะ. อายตนะ ก็คือ ชื่อ ใหม ของสิ่งที่ เรีย กวาธาตุ ; ฉะนั้น เราก็ ศึกษาคําวาอายตนะกันใหเปนที่เขาใจ ก็จะเขาใจไดเองวา ทําไมธาตุจึงมาไดชื่อใหม วาอายตนะ.


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๓๙

ความหมายของ “อายตนะ” ข อ ๑. เราจะได พิ จารณากั นถึ งคํ าว า “อายตนะ” ต อไป อั นแรกเอาตาม ภาษาคน. คํ า ว าอายตนะในภาษาคนนี้ ไม ได ระบุ ไปยั ง ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, รูป เสี ยง กลิ่น รส สัมผัส . คําวาอายตนะ หมายถึงที่ ม า, ทางมา หรือ บ อ เกิด , บ อที่ ให เกิ ดอะไรขึ้ นมา, ทางที่ จะให อะไรมาสู แล วมี อั นนั้ นขึ้ นมา, หรือที่ ๆ มี อะไรมาสู แลวมีอะไรอันนั้นขึ้นมา นั่นแหละเรียกวาอายตนะ. คํ าพู ดชาวบ านตามธรรมดาพู ดอยู ตามบ านเรื อน คํ าว า “อายตนะ” หมาย ถึ งบ อ เกิ ด หรื อ ที่ ม า หรื อ ทางมา เช น คํ าว า โรคานํ อายตนํ นี่ แ ปลว า บ อ เกิ ด แห ง โรคภั ยไข เจ็ บ หรือทางมาแห งโรค เชื้ อโรค ก็ เรี ยกอายตนะได , ความเป นอยู ที่ ไม ถู กวิ ธี ก็ เป นอายตนะของโรคได . ความบกพร องใด ๆ ก็ ตามที่ ทํ าให โรคเกิ ดขึ้ นแล ว ก็ เรี ยกว า นั่ น คื อ อายตนะของโรค เป น ที่ ม าถึ ง ของโรค. ถ า เป น เรื่ อ งทางนามธรรม ก็ แ ปลว า เปนบอเกิด, เปนที่เกิด สําหรับเกิดเรื่อง. นั่นคือ อายตนะ ซึ่งใชไดทั้งทางวัตถุธรรม และทั้งนามธรรม.

www.buddhadasa.info ข อ ๒. พิ จารณาดู สั กนิ ดหนึ่ ง จะเห็ นลึ กลงไปอี กสั กหน อยหนึ่ งว า อายตนะ หมายถึง ที ่ หรือ สิ ่ง หรือ อะไรก็ต าม ที ่จ ะทํ า ความรูส ึก ได, ทํ า ใหเกิด ความรูส ึก ขึ้ นมาได , เป นบ อเกิ ดของความรูสึ กทางตา ทางหู เป นต น; จึ งเอามาใช เป นภาษาธรรม. คํ าว าอายตนะ ถู กเอามาใช เป นภาษาธรรม จํ ากั ดความชั ดลงไปว า ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี้ กลุ มหนึ่ ง, แล วรูป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ ธั มมารมณ นี้ อี กกลุ มหนึ่ ง. อย างแรก เปนอายตนะภายใน, อยางหลังเปนอายตนะภายนอก; นี่เปนทางมา เปนที่มา, เปนบอเกิด, ของ “เรื่อง”.


๒๔๐

ปรมัตถสภาวธรรม

“เรื่อง” นี้คื ออะไร? คือการปรุงแต งทางจิ ต ที่จะเกิดกิเลสและความทุ กข นั่ น แหละคื อ ตั ว “เรื่ อ ง”, นั่ น แหละคื อ ป ญ หา; หรื อ จะพู ด ว า “ความสุ ข ” ก็ ได พู ด อยางหลอกเด็กก็วาความสุข. พูดอยางไมหลอกใคร ก็พูดวาความทุกขนั้นคือตัวเรื่อง, นั้ น คื อ ป ญ หา. ทางมา ที่ ม า หรื อ บ อ เกิ ด ของมั น นั่ น คื อ อายตนะ ๖ ที่ ก ล าวอย าง ภาษาธรรม. เราได มาเป นอายตนะ คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ อยู ข างใน, อายตนะ คื อ รูป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ ธัมมารมณ อยู ข างนอก; เป นสองกลุ มของอายตนะ. ที่นี้ ก็จะเลยพูดไปเสียเลยวา อายตนะทั้ง ๒ กลุมนั่นแหละคือสิ่งที่พระพุทธเจาทานแสดง ว า สิ่ ง ทั้ ง ปวง; ทานตรั ส ว า ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย, เราจะแสดงสิ่ ง ทั้ ง ปวงแก เธอ อย า งนี้ : สพฺ พํ โว ภิ กฺ ข เว เทสิ สฺ ส ามิ แล ว ก็ ท รงแสดง ตากั บ รู ป หู กั บ เสี ย ง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับสัมผัสทางผิวกาย ใจกับความรูสึกที่ รูสึกแกใจ อยางนี้ ; ๖ คู ๑๒ อยาง นี้คือสิ่งทั้งปวง. เราตั้งหลักกันเสียใหมวา อายตนะนี่ คือสิ่งทั้งปวง ไมมีอะไรที่ไมใชอายตนะ; ถาไมเกี่ยวกับอายตนะ สิ่งนั้นมีก็จะเหมือนกับไมมี.

www.buddhadasa.info ตรงนี้ตองคิด ตองสังเกตใหดี เดี๋ยวจะไมเขาใจ. ถาไมเปนสิ่งที่เขามาสูตา หู จมู กลิ้ น กาย ใจได แล ว ก็ เหมื อนกั บไม มี จริงไหม? อะไรล ะ ที่ ว ามั นจะมี อยู ได โดยที่ไมตองเขามาสูทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ? หรือวาถาเราไมมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เสียอยางเดียว เทานั้น สิ่งทั้งหลายก็เหมือนกับไมมี, มีคาเทากับไมมี. นี่ อยางเรไรรองอยูเดี๋ยวนี้ ถาเราไมมีหู จะมีเสียงไดอยางไร? นี่ก็เหมือนกับวา เรไรมิไดมี และมิ ได รอง. นี้ จึงเรียกวา สิ่ งทั้ งปวงนั้ นมั นอยู ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ กั บรูป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั มมารมณ ; เราเรียกสั้ น ๆ ว า อายตนะสิ่ งทั้ งปวงคื ออายตนะ มีเทานั้นเอง.


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๔๑

ขอ ๓. ดูตอไปอีกหนอย อยางที่พระพุทธเจาทานตรัสถึงคําวา สมุทร. ภาษาคน คํ าว าสมุ ทร หรือทะเล อยู ที่ ทะเลโน น; นั่ นภาษาคน. แต พอถึ งภาษาธรรม ภาษาศาสนา สมุ ทรนั้นคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. ตัวอยางในบทสวดสฬายตนสังยุตต พระพุ ทธเจาตรัสวา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่ นชื่อวาสมุ ทร เพราะวา เป นที่ ตกจมของสั ตว. เราทุกคนที่ นั่งอยูที่ นี่; ลองฟ งดู ให ดีวา เรานี่ กําลังตกจมอยู ในสมุ ท ร เหมื อ นกั บ ตกทะเล ว า ยอยู ใ นน้ํ า ในมหาสมุ ท ร, คื อ ว า เราไม ห ลุ ด พ น ออกไปจากความรูสึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ หกอยางนี้ได. เราเหมือนกับวาตกอยูในสมุทร นี่คือสมุทรจริง ๆ เพราะคําวา “สมุทร” แปลว า ที่ ต กที่ จ ม, จมน้ํ า นั่ น . คํ า ว า สมุ ท รนี่ แปลว า ที่ ต ก ที่ จ ม; ที่ เรานั่ ง อยู ที่ นี่ เราจมทะเล มหาสมุทรนั่นเมื่อไรละ. แตเดี๋ยวนี้เรากําลังจมอยูในมหาสมุทร ในทะเล คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราเอง; เพราะมีอะไร ๆ เขามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล วท วมทั บจิตใจอยู. พระพุ ทธเจ าจึ งตรัสวา สมุ ทรที่ แท จริงก็ คื อ ตา หู จมู ก ลิ้น กาย ใจ.

www.buddhadasa.info ส วนที่ ทะเล นั้ น เป น แหล งน้ํ าใหญ ๆ เป น ที่ รวมน้ํ ามาก ๆ เท านั้ น แหละ ไม ใช ที่ ต ก ที่ จ มอะไรของใคร. เว น ไว แ ต เป น เรื่อ งทางวั ต ถุ เรื อ จม คนตกทะเลจม นั้ น มั น ก็ เรื่ อ งเล็ ก น อ ย; เดี๋ ยวนี้ เราไม ได จมทะเลอย างนั้ น , แต เราก็ จ มทะเลนี่ : จม ทะเล ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ; ไม มี ทางที่ จะพ นออกไปจากขอบเขต หรืออิ ทธิ พ ล ของสิ่ งที่ เรียกวา ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ. ฉะนั้ น จงรูจั กสิ่ งที่ เรียกวา อายตนะ ที่ ว า มันเปนสมุทร เปนที่ตกจมของสัตว. พระพุทธองคยังทรงระบุชัดไวดวยวา เปนสมุทรของมนุษยโลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก, หมูสัตวพรอมทั้งสมณพราหมณ พรอมทั้งเทวดาและมนุษย


๒๔๒

ปรมัตถสภาวธรรม

พระบาลี วาอยางนั้ น : อยาวาแตคนอย างเรา ๆ ธรรมดา, มนุ ษยธรรมดา; แม แต เทวดา ก็ จมอยู ในสมุ ทรนี้ , เทวดาที่ เรี ยกว ามารโลก ก็ จมอยู ในสมุ ทรนี้ , พวกพรหมทั้ งหลาย จะเปนรูปพรหม หรืออรูปพรหมก็จมอยูในสมุทรนี้. พระพุ ทธเจาท านตรัสไว อี กทางหนึ่ ง วา ทั้ งเทวดาและมนุ ษย จมอยู ใน สมุ ทรนี้ , แล วยั งแถมว าทั้ งสมณะและพราหมณ ; สมณะก็ หมายถึ งพวกครูบาอาจารย ที่เป นสมณะอยูป า เปนพราหมณ ก็อยูบ าน. อาจารยป า หรืออาจารยบ านก็ตาม ยังตก จมอยูในสมุทรนี้ ไมยกเวนอยางนี้; ลูกศิษยก็จม อาจารยก็จม ลวนแตจมอยูในสมุทรนี้. นี่ มี ป รากฏชั ด อยู ในบาลี ที่ พ ระก็ ส วดแล ว และแจกไปแล ว. นี้ เรี ย กว า อายตนะ คือสมุทร และก็เปนมากที่สุด ก็คือที่มันใหความรูสึกพอใจ, อิฏา - นา ปรารถนา, กนฺต า - นา รัก , มนาปา - นา พอใจ : ปย รูป า - มีล ัก ษณะนา รัก , กามู ป สฺ หิ ต า - เป น ที่ ตั้ ง แห ง กาม, รชนิ ย า-เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความกํ า หนั ด ; นี่ โ ดย เฉพาะก็ คื ออายตนะภายนอก แต ถ าพู ดถึ งอายตนะแล ว ต องเป นคู กั นไปทั้ งนั้ น; ถ า มี แต อายตนะภายนอก ก็ เหมื อนกั บไม มี , ถ ามี แต อายตนะภายใน ก็เหมื อนกั บไม มี . อายตนะภายนอกได อายตนะภายในเป นที่ กระทบและปรุงแต งได ; นั่ นจึ งจะเป นอายตนะ ภายนอก หรืออายตนะภายในก็ตาม ที่ทําหนาที่ได ก็เปนสมุทรขึ้นมา.

www.buddhadasa.info นี่ มารู จั กสิ่ งที่ เรียกว าอายตนะ ๆ ในฐานะที่ เป นสมุ ทรกั นอย างนี้ . เห็ นไหม ว าเดี๋ ยว นี้ ไม สั กว าธาตุ เฉย ๆ? ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ไม ใช สั กว าธาตุ : จั กขุ ธาตุ โสตธาตุ ฯลฯ เสียแลว, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็เหมือนกัน ไมใชสักวาธาตุแลว กลายเปนสมุทร เปนอายตนะ เปนที่ตกที่จม ในเมื่อไปสัมพันธกันเขากับคูของมัน. ขอ ๔. ดูตอไปอีก พระพุทธเจาไดตรัสไววา กามคุณ ๕ อยางนั้นแหละ คือโลก ในภาษาอริยวินัย. กามคุณ ๕ อยางก็คือ อายตนะ ๕ อยางไดแกรูป เสียง


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๔๓

กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ๕ อย า ง; เว น ใจไว เว น ธั ม มารมณ ไ ว เสี ย คู ห นึ่ ง . รู ป เสี ย ง กลิ่ น รสโผฏฐั พ พะอยู ข างนอก สั ม ผั ส ทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย; พระพุ ท ธเจ าท าน ตรั ส หรื อ ชี้ ห รื อ แนะให เห็ น ว านั่ น แหละคื อ โลก เพราะสิ่ งใด ๆ ที่ มั น มี อ ยู ในโลก ไม รู กี่ หมื่ นอย างแสนอย างล านอย าง จะมารวมอยู ในความหมายอั นนี้ : มารวมที่ ความหมายว า เห็ นได ด วยตา ได ยิ นด วยหู ดมได ด วยจมู ก ลิ้ มได ด วยลิ้ น สั มผั สได ด วยกาย แต วามั น ตองมี “คุณ” คํ าว า “คุ ณ ” ในที่ นี้ หมายความว า ค า. คํ าว า “ค า” ในที่ นี้ ก็ หมายความ วาเป นที่ ต องการของมนุ ษย. สิ่งใดที่ จะมี คุณขึ้นมาได สิ่งนั้นตองมีค า, สิ่งใดจะมี ค า ขึ้ นมาได สิ่ งนั้ นต องเป นที่ ต องการของมนุ ษ ย ; ถ าไม เช นนั้ นก็ ไม มี ค า แล วก็ ไม มี คุ ณ . สิ่ งใดจะเป นที่ ตั้ งแห งความรั กความพอใจ ทํ าให เขารู สึ กเป นสุ ขแบบนั้ น แบบกิ เลสนั้ น ก็เรียกวามี “คุณ” ทีนี้ กามคุณเปนสิ่งที่มีคุณสําหรับของความใครของมนุษย คือ รูป เสียง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ; นี่ ก็ เรี ยกว าโลก ก็ เลยได แก อ ายตนะ ๕ อย างข างต น เก็ บ เอา ใจไวสํ า หรับ เปน ผู ทํ า ความรู ส ึก หรือ เสวย. คํ า วา “โลก” หมายถึง โลกขา งนอก จึงเอาเพียง ๕ อยาง คือ รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ เอาใจไวขางในเปนโลกขางใน.

www.buddhadasa.info โลกคื อกามคุ ณ ๕, กามคุ ณ ๕ คื อ รู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ ลํ าพั ง รูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ทําอะไรไมได ตองเอาตา หู จมูก ลิ้น กาย เขามา ด วยได เป น คู กั น ก็ เกิ ดเป น “กามคุ ณ ” ขึ้ นมา สํ าหรับกิ เลสก็ ตาม. จะเป นอายตนะ เพี ยง ๕ หรื ออายตนะครบทั้ ง ๖ ก็ ล วนแต มี ความหมายเหมื อนกั น : เป นทางมา เป น ที่เกิด เปนบอเกิดแหงเรื่องราวทั้งหลายที่เกี่ยวกับมนุษย.


๒๔๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ขอ ๕. ถามองความหมายที่แคบเขามา ก็คือสิ่งที่คนจะรูสึกไดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย กระทั่งทางใจดวย; ถาไมมีสิ่งที่ เรียกวาอายตนะแลว ความรู ส ึก อะไรไมไ ดเกิด ขึ ้น . แตนี ่เพราะมีอ ายตนะ ก็จ ะเกิด ความรูส ึก ในทาง จิ ต ใจขึ้ น ในเมื่ อ กระทบกั น ทางอายตนะ. เพราะฉะนั้ น พระพุ ท ธเจ า ท า นจึ ง ตรั ส ว า เพราะมี อ ายตนะ จึ ง มี ก ารสั ม ผั ส ทางอายตนะ; นี่ พู ด ก็ เหมื อ นกั บ กํ า ป น ทุ บ ดิ น แตวาจริงที่สุด เพราะมี อายตนะจึงไดมี การสัมผัสทางอายตนะ, เพราะมี ตา หู จมู ก ลิ้น กาย ใจ จึงมีการสัมผัสทางตา ทางหู ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ. เหมื อ นบทสวดที่ ว า เพราะมี มื อ จึ งมี ก ารจั บ หรื อ การวาง, เพราะมี เท า จึ ง มี ก ารเดิ น ไปหรื อ ถอยกลั บ , หรื อ ว า เพราะมี ท อ ง มี ไ ส จึ ง เกิ ด ความหิ ว ความ กระหาย อย างนี้ เป นต น; เพราะตรง ๆ กั นอย างนี้ , เพราะเหตุ และป จจั ยที่ มั นตรง ๆ กั น อย างนี้ มั น จึ งมี อ ย างนี้ . เดี๋ ยวนี้ เพราะมี อ ายตนะ จึ งมี การสั ม ผั ส ทางอายตนะ; คือตาสัมผัสรูป หูสัมผัสเสียง เปนตน นี้เรียกวาสัมผัสทางอายตนะ. ขอ ๖ ตอไปอีกชั้นหนึ่งก็วา เพราะมีการสัมผัสทางอายตนะ จึงเกิด เวทนาคตํ สฺ าคตํ สงฺขารคตํ วิฺ าณคตํ คื อนามธรรม ๔ อยางที่ เหลื อ. ขันธ ๕ สี่ อย างตอนท ายนั้ นเป นนามธรรม คื อเวทนา สั ญญา สั งขาร วิญญาณ นี่ ; แต เดี๋ ยวนี้ เรียกวา “คตํ” เติมเขามา คือวาเกิดขึ้น, หรือวามันถึงเขา.

www.buddhadasa.info สรุปความอีกทีหนึ่งก็วา เพราะมีการสัมผัสทางอายตนะ จึงเกิดการถึง ซึ่ ง เวทนา เกิ ด การถึ ง ซึ่ ง สั ญ ญา เกิ ด การถึ ง ซึ่ ง สั ง ขาร เกิ ด การถึ ง ซึ่ ง วิ ญ ญาณ; หมายความวาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เรียกวานามสี่อยางนี้ มีขึ้นมาแลว เพราะ การสั มผั สทางอายตนะ. ถ าไม มี การสั มผั สทางอายตนะ เวทนาเกิ ดไม ได สั ญ ญาเกิ ด ไมได สังขารเกิดขึ้นไมได วิญญาณเกิดขึ้นไมได. สําหรับวิญญาณนี้เขามาตนบทเลย :


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๔๕

อาศั ยตากั บรูป จึ งเกิ ดจั กขุ วิญญาณ; มี คํ าบาลี วา จกฺ ขุ ฺ จ ปฏิ จฺ จ รูเป จ อุ ปฺ ป ชฺ ช ติ จกฺ ขุ วิ ฺ าณํ ก็ แ ปลว า อาศั ย ตากั บ รู ป จึ ง เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณ; ไม มี อายตนะก็ ไม มี วิ ญ ญาณ. ที่ ว า ไม มี อ ายตนะแล ว ก็ ไม เกิ ด เวทนาได นี้ เห็ น ชั ด ; เมื่ อ ไม มี วิ ญญาณก็ ไม มี เวทนา ไม มี ผั สสะไม มี เวทนา, ไม มี เวทนก็ ไม เกิ ดสั ญญาที่ จะสํ าคั ญ มั่ นหมายว า เวทนานี้ เป นสุ ข, เวทนานี้ เป นทุ กข ; หรือจะเกิ ดสํ าคั ญ มั่ นหมายว าตั วเรา ของเราอะไรก็ ตาม. แล วก็ ไม เกิ ดสั งขาร คื อไม เกิ ดความคิ ดนึ กปรุงแต งขึ้ นว าอย างไรหมด; ถาไมมีการสัมผัสอายตนะ. ทีนี้ เพราะมี การสัมผั สทางอายตนะ อยางที่ ได กลาวแลว จึ งเกิ ด เวทนา เกิ ดสั ญญา เกิ ดสั งขาร เกิ ดวิ ญญาณ คื อสี่ อย างของขั นธ ทั้ ง ๕ ตอนท าย ที่ เรียกว าจิ ต เจตสิ ก หรื อนามนี้ . นี่ เป นการยกตั วอย างที่ พอแล ว สํ าหรั บที่ จะให ท านผู ฟ งทั้ งหลาย ทราบไดวา สิ่งที่เรียกวอายตนะนั้นคืออะไร. ทบทวนโดยใจความอี กที หนึ่ งก็ ยั งได ว า คํ าว า “อายตนะ” โดยคํ าพู ด โดย ตั ว หนั ง สื อ นี้ . คํ า ว า “อายตนะ” นี้ ก็ ต อ งแปลว า ทางมา, ที่ ม า หรื อ บ อ เกิ ด ของ เรื่ องราว, นี่ ภาษาคนทั่ วไป. พอมาเป นภาษาธรรม, ทางมาหรื อบ อเกิ ดของเรื่ องราวนั้ น มั นมาอยู ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจนี่ คื อเป นสิ่ งที่ ทั้ งหมดในโลกนี้ ตองผานที่นี่ ตองรวมที่นี่.

www.buddhadasa.info จิ ตใจของสั ตว ตกอยู ในมหาสมุ ทร คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ถ าเป นส วน ที่ ยั่ วยวนต อกิ เลส มั นก็ เรียกวากามคุ ณ จึ งได เกิ ดเรื่อง, เป นกิ เลส, เป นทุ กข . อายตนะ เปนที่เกิดแหงกิเลสและทุกข หรือเรื่องตาง ๆ. ทีนี้ แยกใหเห็ นวา เพราะมี อายตนะ จึ งมี การสั มผั สได ถ าไม มี อายตนะ มันไมมีสัมผัสได เพราะมีการสัมผัสจึงเกิดเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เปนขันธขึ้น


๒๔๖

ปรมัตถสภาวธรรม

มาบริบู รณ ก็ ได , หรือเกิ ดอย างอื่ น ๆ ที่ เป นความทุ กข ก็ ได ทั้ งนั้ น เพราะจบลงด วยความ ทุ กข. ความทุ กข เป นตั วป ญหา เป นตั วเรื่อง; ส วนสิ่ งที่ เรียกวาอายตนะนั้ นเป นทางมา, เปนที่เกิด, เปนบอเกิดของเรื่อง; ใหเขาใจไวอยางนี้. ทั้ งหมดนี้ เป นอายตนะประเภทสั งขตะทั้ งนั้ น เป นพุ ทธบริษั ทถึ งขนาดนี้ แลวก็ยั งต องรู จําตองจํา ขอให รู ไมรูก็เรียกวาไม สมกัน. ตองรูวาอายตนะนั้ น มี ทั้ ง อยางที่เปนสังขตะ และอสังขตะ. ขอ ๗. ที่เราพูดมาเปนวรรคเปนเวรนี้ หมายถึงอายตนะพวกสั งขตะ หรือสั งขาร ซึ่ งมี ป จจั ยปรุงแต งทั้ งนั้ น; มี ยกเวนให คํ าหนึ่ งที่ เป นอายตนะแต วาเป น อสังขตะนั้น ไดแกพ ระนิ พ พาน ซึ่งพระพุทธเจาทานไดตรัสไววา :- อตฺถิ ภิ กฺขเว ตทายตนํ น ปฐวี น อาโป น เตโช น วาโย ฯลฯ ยืด ยาวไปเลย; แต สรุป ท าย ไววา อายตนะนั่นเปนนิพ พาน. นิพ พานเปน อายตนะนี้ไมเกี่ยวกับ เหตุ ปจจัย จึงเรียกวา อสังขตะ; แตถึงอยางนั้นก็ยังเรียกวาอายตนะ เพราะวาเปนสิ่งที่จิตจะรูสึกได.

www.buddhadasa.info อสังขตธรรมทั้งหลายเปนสิ่งที่จิตรูสึกได; ถาจิตรูสึกไดก็เรียกวาอายตนะ หมด. ฉะนั้ นพระนิ พพานก็ เป นอายตนะ อย างที่ พระพุ ทธเจ าท านได ตรัสไว เอง; แต ว า เปนอายตนะประเภทอสังขตะ นี่จึงมีคําวาอายตนะใช ทั้งฝายสังขตะและอสังขตะ.

ที นี้ คนอาจจะถามว าถ าอย างนั้ น คํ าว าอายตนะนี่ จะแปลว าอะไรดี ให ใช ได ทั้ งสั งขตะและอสั งขตะ? อย างนี้ แล วอาตมาเห็ นวา คํ าวาอายตนะนี้ ไม ต องแปลวา อะไรกั น มากมาย; แปลว า “สิ่ ง” เฉย ๆ เท านั้ น แหละ, แปลวา “สิ่ ง” ก็ แล วกั น , ถ าจะพู ดเป นบาลี ก็ แปลว า “ธรรม”. คํ าว า “ธรรม” กลาง ๆ แปลว า “สิ่ ง”; หมายถึ ง อะไรก็ได คําวา อายตนะก็แปลวาสิ่ง. ถา “สิ่ง” นั้นเปนสังขตะ มีเหตุปจจัยปรุงแตง


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๔๗

ก็ เป นไปอย างที่ วา : ปรุงแต งกั นจนเป นความทุ กข. ถ าสิ่ งนั้ นมั นมิ ได เป นเหตุ ป จจั ยที่ ปรุงแต งใคร และไม ถู กอะไรปรุงแต ง มั นก็ เป นสิ่ งสิ่ งหนึ่ งซึ่ งเป นอสั งขตะ, เป นอมตะ, เปนนิพพาน นั่นแหละ. นิ พพานก็ เลยพู ดได วาเป นสิ่ งสิ่ งหนึ่ ง และสิ่ งทั้ งหลายที่ ไม ใช นิ พพาน เราก็ พู ด ได ว า เป น สิ่ ง สิ่ ง , สิ่ ง แต ล ะสิ่ งละสิ่ ง . คํ า ว า “สิ่ ง ” นั้ น เป น กลาง ๆ ดี ; คํ า ว า อายตนะ แปลวา สิ่ง ก็แลวกัน, เมื่อพูดวาสิ่ง ก็หมายความวาเปนสิ่งที่ทําความรูสึก ไดอยางนอยก็ดวยใจ. ถามันเปนสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาแลว ก็หมายความวาตองทําความ รู สึ ก ได ด ว ยใจ; ฉะนั้ น พระนิ พ พานก็ เป น สิ่ ง ที่ ป รากฏแก จิ ต ได ; ความดั บ ไปแห ง การปรุงแตงทั้งหลายเปนสิ่งที่ปรากฏแกจิตได. ทีนี้ ลองทบทวนกันอีกครั้งหนึ่ง เดี๋ยวก็จะลืมเลือนกันไปหมดวานิพพานก็ เป นธาตุ เรียกอสังขตธาตุก็มี เรียกวานิ พพานธาตุก็มี และเรียกไดหลายสิ บชื่อ. พระนิ พพานนี้ เป นธาตุ ได พู ดกั นมาแล วครั้งก อนว า เป นนิ โรธธาตุ เป นวิ มุ ตติ ธาตุ เป น โลกุ ตตรธาตุ นิ สสรณธาตุ ฯลฯ นั้ นแหละเป นธาตุ นิ พพาน ธาตุ อสั งขตะ. สิ่ งนอกนั้ น ที่ไมใชนิพพาน, เปนพวกสังขาร พวกสังขตะทั้งหลาย ก็เปนธาตุอยูแลว, อธิบายกันอยู แล ว ตลอดเวลา. ตา หู จมู ก กาย ใจ คื อ ธาตุ , รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธัมมารมณ คื อธาตุ ; ปรุงแต งออกมาเป น เวทนา สั ญญา สังขาร วิญญาณ ก็ คื อธาตุ , สรุปแลวเปนความทุกข สุข โสมนัส โทมนัส อทุกขมสุขก็เปนธาตุ เปนสักวาธาตุ.

www.buddhadasa.info บางประเภทก็เปนรูปธาตุลวน ๆ, บางประเภทก็เปนนามธาตุลวน ๆ, บางประเภทเอามาผสมกันอยู ปนกันอยู อาศัยกันอยูก็มี. นี้เรียกวาธาตุ ถูกเรียกเสีย ใหม วา อายตนะ, ให ชื่ อเสี ยใหม ว า อายตนะ, เปลี่ ยนลั กษณะกิ ริยาอาการเสี ยใหม ว า อายตนะ. แต ก อนนี้ มี คล าย ๆ กั บวาเป นธาตุ อยู เฉย ๆ เดี๋ ยวนี้ มี การทํ าหน าที่ มาเป นสิ่ ง ที่ทําหนาที่สัมผัส แลวปรุงแตงนั่นนี่ขึ้นมา นี่เรียกวาอายตนะ คือเปนทางมาแหงเรื่อง


๒๔๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ทั้ งหลาย. ธาตุ ที่ มาอยู ในรูปของอายตนะนี้ จะต องมองให เห็ นเสี ยก อน; แม ว าจะเป น อสั งขตธาตุ เป นนิ พพานธาตุ ก็ ยั งต องอาศั ย หรื อว าต องเป นไปฝ ายทางอายตนะนั่ น แหละจึ งจะทํ า ให นิ พ พานปรากฏได ; แม ว าสร างขึ้ น มาไม ได แต ก็ ทํ า ให ป รากฏได แลวก็จะคอยพูดกันทีหลัง.

ธาตุเดิมตางกันกับเมื่อเปนอายตนะ ที นี้ ก็ อยากจะชี้ให เห็ นวา ธาตุ ได กลายมาเป นอายตนะได อย างนี้ , แล วเพื่ อ ให เขาใจชัดลงไปวา เมื่ อเป นธาตุ กั บเมื่ อเป นอายตนะนั้ นต างกันอยางไร ให เขาใจกั นให ดีเสียกอน. ธาตุ ลู กตา หรื อ ประสาทตา หรื อสมรรถภาพ คุ ณ สมบั ติ ทางตา ของตา อยางนี้ เรียกวาธาตุ ในเมื่อมันทรงตัวอยูในฐานะเปนสิ่ง ๆ หนึ่ง สวน ๆ หนึ่ง ที่ประกอบกันขึ้นอยูเปนสิ่งใดสิ่งหนึ่ งอีกที หนึ่ง. นี่สวนยอยตั้งอยูในฐานะสวนประกอบนี้ เรีย กวาธาตุ ; ถ ามั น มาอาศั ย กั น กั บ สิ่ งที่ คู กั น แล วมั น ปรุงแต ง แล วมั น กระทํ านั่ น กระทํานี่ หรือวามันถูกเขากระทํานั่นกระทํานี่ อยางนี้ก็เลยเปลี่ยนชื่อเปนอายตนะไป; ลู กตา ประสาทตา คุ ณสมบั ติ ทางตา ก็ถู กเรียกวาอายตนะไป เรียกวาจักขุ ธาตุ อยู หยก ๆ มาเปลี่ยนเปนวาจักขุอายตนะไป.

www.buddhadasa.info แต ถึ งอย างไรก็ ดี ท านทั้ งหลายต องไม ลื มว าเรื่องราวนั้ นมี มาก; ในบางสู ตร บางเรื่องก็ เอามาเป นของแทนกันเสี ยก็ มี จึงต างกันก็แต วาเรียกชื่อแทนกันเท านั้ นก็ มี เหมือนกัน. แตตามปกติตองหมายความวา ธาตุก็คือสวนประกอบสวนหนึ่ง, สวนหนึ่ง ๆ ที่ ประกอบกั นอยู เป นส วนอื่ น ๆ เป นส วนใหญ ส วนหนึ่ งนั้ น. ความหมายหรือหน าที่ โดย ตรงของสิ่งที่เรียกวาธาตุ : เปนที่ตั้ง, เปนที่รองรับ. แตพอมาเรียกเสียใหมวา อายตนะ ก็เลยหมายความถึง การที่มันจะทําหนาที่รับการเกี่ยวพันกัน รับการกระทบ หรือวา


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๔๙

มี การกระทบกั นและมี ปฏิ กิ ริยา ตามแบบของธรรมชาติ นั้ น ๆ เกิ ดขึ้ นตามลั กษณะแห ง การกระทบ นี่คืออายตนะ.

นรก, สวรรค เปนไปทางอายตนะได เอาละที นี้ ก็ อยากจะพู ดต อไปเสี ยเลย ให เข าใจอายตนะมากขึ้ นด วย และเป น เรื่องที่ควรสนใจอยางยิ่งดวยอีกเรื่องหนึ่ง คือขอที่พระพุทธเจาทานตรัสไววา ฉ ผสฺสา ยตนิ กา นิ รยา - นรกที่ เป น ไปตามทางอายตนะ ๖ นี่ เราเห็ น แล ว; พระพุ ทธเจ าท าน ตรั ส ว าอย างนั้ น . และยั งตรั ส ชื่ อ สวรรค , ฉ ผสฺ ส ายตนิ ก า สคฺ ค า-สวรรค เป น ไปทาง อายตนะ ๖ นี่ เราเห็ นแล ว. นี่ หมายความว าสวรรค ก็ ตาม นรกก็ ตาม มั นเป นอยู หรื อ เปนไป หรือประกอบอยูกับสิ่งที่เรียกวาอายตนะนั่นเอง. เอาละ, ยอมให เป นคนเชื่ ออย างที่ เขาเชื่ อว า สวรรค ต อตายแล วมี ลั กษณะ เหมื อนที่ เขี ยนไวที่ ฝาผนั งโบสถ ก็ ตาม, ตายแล วจึ งได : ได วิ มาน ได นางฟ า ได เทพบุ ตร อะไรก็ ตาม, นรกสวรรค อย างนั้ นก็ ขึ้ นอยู ที่ อายตนะนั่ นเหมื อนกั นนั่ นแหละ ถ าไม อย างนั้ น จะรูสึกอยางไรได. แตที่พระพุทธเจาทานตรัสวา เปนไปทางอานตนะ นี่ หมายถึงที่นี่ ก็ได.

www.buddhadasa.info ถ ามี อายตนะ มี การงานของอายตนะ, มี หน าที่ ของอายตนะที่ ไหน เมื่ อไร; เมื่ อ นั้ น ก็ มี ได ทั้ งนรกและสวรรค ; นี้ ห มายความว า เมื่ อ อายตนะสด ๆ ของคนเป น ๆ พบกั นเขากับอารมณ เกิ ดความรูสึ กที่ เป นที่ สบาย เป นที่ พอใจ หรือ อิฏ า กนฺ ตา มนาปา ป ยรูปา กามู ปสฺ หิ ตา รชนิ ยา คื อน ารัก น าพอใจ ฯลฯ เป นที่ ตั้ งความกํ าหนั ดแล ว, เดี๋ยวนี้แหละคือขณะแหงสวรรค ที่กําลังเปนไปทางอายตนะ.

ถ าต องเผ็ ดร อนเป นไฟไปหมดที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, รู ป เสี ยง กลิ่ น รส สัมผัสที่รับมาจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นแหละคือนรกที่แทจริง. นรกที่แทจริง


๒๕๐

ปรมัตถสภาวธรรม

นี่หมายความวา กําลังรูสึก รูสึกอยูดวยตนเองเป นปจจัตตัง; รูสึกอยูดวยตัวเอง นี่เป น ความจริง . ที่ ยั ง ไม รู สึ ก อยู ด ว ยตนเอง, ไม รูสึ ก อย า งนี้ ยั ง ไม จ ริง มั น จะหลอกก็ ได ; มั นจะจริงก็ต อเมื่ อรูสึ กอยู ที่ จิ ตใจจริง ๆ. ถ าเราทํ าผิ ดเกี่ ยวกั บอายตนะ ที่ เขามาทางตา หรือทางหู ก็ สุ ดแท ซึ่งถารอนเป นไฟอยู แล วเราต อนรับไม เป น อวิชชาเขาต อนรับ ปรุง ให รอนเป นไฟอยู ทางตาก็ ได ทางหู ก็ ได อย างนี้ คื อนรกที่ เป นไปทางอายตนะ ประกอบ อยูกับอายตนะ. ขอนี้ อยาลื มเสีย เราจะต องทบทวนความรูที่ เราได ยิ นได ฟ งมาวาการเกิ ด ในนรกก็ดี การเกิดในสวรรคก็ดี เปนไปในลักษณะอุปปาติกะ คือไมตองเขาใน ท อ งพ อ ท อ งแม อาศั ย พ อ แม แ ล ว จึ ง เกิ ด ได ; นี่ ไม ต อ ง, ไม ต อ งเป น อุ ป ปาติ ก ะแล ว ผลุ งขึ้ นมาเลย. เราจึงมี การเกิ ดในนรกทางอายตนะนี่ ผลุ งขึ้นมาเลย รอนเป นไฟติ ด อยู ในอกเลย; ถ าเป นสวรรค ก็ ถู กต องไปหมด เยื อกเย็ นหมด ก็ ผลุ งขึ้นมาเป นเทวดาเลย ไม ต อ งอาศั ย พ อ แม เกิ ด . นี่ ก็ เข า เรื่อ งเข า ราวกั น กั บ ที่ พระพุ ท ธเจ า ท า นตรัส ว านรก สวรรคอยูที่อายตนะ และเขาเรื่องเขาราวกันกับที่เราไดยินไดฟงมาวา มันเกิดผลุงขึ้นมา ไดเลย ไมตองอาศัยพอแม.

www.buddhadasa.info ที นี้ พู ด ถึ งในเรื่ อ งของมนุ ษ ย มั น ก็ ไม มี อะไร นอกจากนรกกั บ สวรรค จะเปนนรกสวรรคที่นี่ หรือนรกสวรรคตอตายแลว ก็เหมือนกันทั้งนั้น มีสองเรื่อง เท านั้ นแหละ : ถ าเป นทุ กข เดื อนรอนก็ เป นนรก; ถ าเป นสุ ขสนุ กสนานก็ เป นสวรรค , สวรรค นี่อาศัยกามก็ได ไมอาศัยกาม คื อเป นพรหมชั้นพรหมก็ได แต ก็ไม พ นไปจากความ รูสึกทางอายตนะ. สรุปเอาวา ทั้งนรกทั้งสวรรคเปนไปทางอายตนะ ประกอบอยูที่อายตนะ ก็ไมมีอะไรอีก, ใครอยากไดนรกก็เอาซิ ก็ทําใหเกิดไดทันที, ใครอยากไดสวรรค


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๕๑

ก็ ทํ าให เกิ ด ได ทั นที ไม ต องรอต อตายแล ว. แม แต ชั้ น พรหม ก็ ทํ าให ถู กต องในทางตา หู จมู ก ลิ้ น กายใจ ไม เกี่ ยวข อ งกั บ กาม; เอาอารมณ ที่ ไม เป น ที่ ตั้ งแห งกามมาเป น อารมณ ของจิ ต ทํ าสมาธิ อยู กั บ อารมณ นั้ ฯ; ก็ เป น ภาวะของสวรรค ชั้ น พรหมขึ้ น มา ที่ นั่ น ก็ ท างอายตนะอี กอยู นั่ น เอง. นี้ เป น อั น ว า เรื่ อ งต าง ๆ ของมนุ ษ ย ที่ จะสํ าเร็ จ เป น ผลขึ้ น มา : เป น นรกหรื อ เป น สวรรค ก็ ต าม ต อ งเป น ไปทางอายตนะ; อายตนะ เปนทางมา เปนที่เกิด เปนบอเกิดแหงเรื่องอยางนี้.

การบรรลุนิพพาน ก็อาศัยทางอายตนะ ที นี้ ก็ จะพู ดเรื่องที่ พู ดค างไว เมื่ อตะกี้ ว า แม แต การบรรลุ มรรค ผล นิ พพาน ก็ ยั งต อ งอาศั ย ความเป น ไปทางอายตนะ. เพราะว าความทุ ก ข เกิ ด ขึ้ น ทางอายตนะนี่ แล วการดั บ ทุ กข จะดั บ ทางไหนเล า? มี คํ าพู ด ปริศ นาธรรมอยู คํ าหนึ่ ง เป น ภาษิ ต ของ พระร วงหรื อของใครก็ ลื มไปแล ว อย าเอาเป นประมาณดี กว า; แต ว าข อความนั้ นมั นถู ก ตองที่สุดวา “ขึ้นทางไหน ตองลงทางนั้น”.

www.buddhadasa.info “ขึ ้น ทางไหน ก็ล งทางนั ้น ” นี ่ไ มต อ งอธิบ ายก็ไ ด; ลองขึ ้น ตน ไม ต น นี้ ดู ซิ และถ า ไม ล งทางนั้ น ก็ ต อ งกระโดดลงมา. นี่ ก็ แ สดงให เห็ น ชั ด แล ว : ขึ้ น ทางไหนลงทางนั ้น นั ่น แหละคือ เรื่อ งปฏิจ จสมุป บาท. นี่ก็คือ ขึ้น ไปทางอวิช ชา ขึ้ น ไปยั งสั งขาร วิ ญ ญาณ นามรู ป อายตนะ ผั ส สะ เวทนา ตั ณ หา อุ ป าทาน ภพ ชาติ เป นทุ กข ; ถ าถอยกลั บก็ ต องกลั บจากทุ กข ลงมาหาภพ – มาหาอุ ปาทาน - มาหา ตั ณ หา – มาหาเวทนา – มาหาผั สสะ – อายตนะ – นามรู ป – วิ ญ ญาณ – สั งขาร - อวิ ชชา นี่ ก็ “ขึ้ นทางไหน ลงทางนั้ น”. ถ าทํ าผิ ดทางอายตนะไหน ก็ ต องถอยกลั บทางอายตนะ นั ้น ; ความทุก ขเ กิด ขึ ้น ทางอายตนะก็ต อ งควบคุม แกไ ข จัด การ ที ่อ ายตนะ. ถ าไฟลุ กที่ อายตนะ ต องดั บไฟที่ อายตนะ; เช นเดี ยวกั บว าไฟลุ กที่ ตรงไหน ก็ ต องดั บไฟ ที ่ต รงนั ้น จึง จะมีก ารดับ ไฟขึ ้น มาได. ทุก ขเ กิด ที ่ไ หนตอ งดับ ทุก ขที ่นั ่น ; ทุก ข เกิดที่บาน มาดับที่วัด เหมือนที่เขาทํากันอยูโดยมาก นี่มันนาหวัว.


๒๕๒

ปรมัตถสภาวธรรม

พิจารณาดูอีกที ถึงขอที่วาความทุ กขเกิดขึ้นเพราะอายตนะสัมผัส เปน ความทุ กข เกิ ด ขึ้ น มา สั ม ผั ส นั้ น สั ม ผั ส ด ว ยอวิ ช ชา จึ งเกิ ดความทุ กข ขึ้ น มา; ถ าไม สัม ผัส ดว ยอวิช ชา ก็ไ มเ กิด ทุก ข; แตนี ่เ ราสัม ผัส ดว ยอวิช ชา จึง เกิด ทุก ข. เมื ่อ ไมตองการทุกข ก็ทําสัมผัสที่ไมเจือดวยอวิชชา คือทําลายอวิชชาเสีย คือวามีสติปองกัน เสี ย . สํ า หรั บ การปฏิ บั ติ นั้ น เราจะแยกออกได เป น สองอย า ง : ควบคุ ม อายตนะ นี่อยางหนึ่ง และก็ดับอายตนะนั้นเสียอยางหนึ่ง. ๑. การปฏิ บั ติ ที่ จ ะควบคุ ม อายตนะ นี้ ก็ ส อนกั น อยู ทุ กวั น ๆ อย างต่ํ า ที่ สุ ด ก็ เรี ย กว า อิ น ทรี ย สั งวร : ควบคุ ม ระวั งรั ก ษา ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ โดย ประการที่ อภิ ชฌา และโทมนั สจะไม เกิ ด ขึ้ น มาได ; นี่ เรียกว าอิ น ทรี ย สั งวร. อาศั ยสติ มีสติมีสัมปชัญญะควบคุมอยู ไมเผลอใหการปรุงแตงทางอายตนะนี้เกิดเปนอวิชชา เกิ ดเป นทุ กข ขึ้ งมาได . นี่ อาศั ยการควบคุ มด วยสติ ควบคุ มอายตนะให ดี ด วยสติ แล ว ก็ไมมีเรื่อง. ๒. การปฏิ บั ติ ที่ ดั บ อายตนะนั้ น เสี ย ดั บ อายตนะนี่ มี ค วามหมายลึ ก เราจะไปทํ า ตาให บ อด ทํ า หู ให ห นวก ทํ า จมู ก ให เน า นี่ มั น ไม มี ป ระโยชน อ ะไร; ดั บ อายตนะ หมายความว า ให ดั บความหมายที่ เป นไปตามอวิ ชชา : ความหมายที่ เป นอํ านาจ ของอวิ ชชาที่ อายตนะนั้ น ๆ เสี ย; เช นตาเห็ น รู ป ด วยอวิ ชชา, หู ได ยิ นเสี ยด วยอวิ ชชา, จมู กได กลิ่ นด วยอวิ ชชา. นี่ ความหมายของตา หู จมู ก ลิ้ น กาย เกิ ดขึ้ นมาด วยอํ านาจ ของอวิชชา รูผิด รับผิด สํานึกผิด.

www.buddhadasa.info ดั งอายตนะ ก็ คื อดั บความหมายของอายตนะ ที่ สั มผั สกั นอยู ด วยอวิ ชชาเสี ย; อยางนี้มีผลเทากับอายตนะมิไดเกิด. แมพระพุ ทธเจาทานก็ทรงใชสํานวนพูดวา “ดับ” เหมือนกัน; เหมือนที่พระสวด เมื่อตะกี้นี้ก็มีสวดวา :


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๕๓

เตสํ ฉนฺ นํ อายตนานํ นิ โรโธ วูปสโม อตฺถงฺคโม ความดั บ. ความเข า ไปรํางับ, ความตั้งอยูไมไดแหงอายตนะทั้งหลาย ๖ (มีจักขุอายตนะเปนตน) เหลานั้น :

ทุกฺขสฺเสโส นิโรโธ-นั่นแหละคือความดับไมเหลือแหงทุกข. โรคานํ วูปสโม-ความเขาไประงับแหงโรคทั้งหลาย, ชรามรณสฺส อตฺถงฺคโม-ความถึงซึ่งความตั้งอยูไมไดแหงชราและมรณะ.

ทานใชคําวา นิโรโธ กับ อายตนะ คือ ดับอายตนะเสียได. วูปสโม-ความ เขาไปรํางับเสียซึ่งอายตนะ, อตฺถงฺคโม-ความตั้งอยูไมไดแหงอายตนะ. ดั บอย างนี้ คนก็ ไม ต องตาย เพราะตาก็ ไม ต องถู กทํ าให บอด หู ก็ ไม ถู กทํ าให หนวก. จมู กก็ ไม ถู กทํ าให เน า ให อะไรไป; แต เรียกว าดั บแล ว : ดั บตา ดั บหู ดั บจมู ก ดับลิ้น ดับกายแลว, กระทั่งถึงดับมโนดวย.

www.buddhadasa.info เปนอันวา “ความดั บ” ในที่ นี้ มีความหมายพิ เศษเฉพาะคือ ดั บความหมาย หรือหน าที่ การงานของอายตนะที่ ทํ าไปด วยอํ านาจอวิชชา ตามธรรมชาติ ธรรมดาของ สามั ญ มนุ ษ ย นั้ นเสี ย; เอาวิชชา เอาป ญ ญา เอาความรูที่ ถู กต องเห็ นแจ งในปรมั ตถ สภาวธรรมนี่ เข ามาแทน, เห็ น ชั ด ประจั ก ษ อ ยู ก็ ไม เกิ ด ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในสิ่ งใด. อยางนี้เรียกวา ดับอายตนะเสียได นี่เปนชั้นสูงชั้นสุด. ถาทําไมได ก็ทําไปทีแรก ๆ เพียงแตควบคุมอายตนะนั้นไวดวยสติ. อยางนอยที่สุด ทุกคนจะตองควบคุมอายตนะอยูตลอดเวลา พูดวาทั้งตื่น และหลับดีกวา คือวาเมื่อเราตื่นอยู เรามีสติควบคุม. เมื่อเวลาหลับนั้น เราควบคุม


ปรมัตถสภาวธรรม

๒๕๔

ทางการทํ าให ดี ขณะเมื่ อเรายั งตื่ นอยู แล วเรามั่ นหมายอธิ ษฐานจิ ตว าจะหลั บลงด วยอาการ อย างนี้ ๆ ประมาณเวลาเท านั้ นเราจะตื่ นขึ้ นมาด วยอาการอย างนี้ อี ก นั้ นแหละ; อย างนี้ เรี ยกว าอายตนะนั้ น ถู กควบคุ มทั้ งหลั บและตื่ น. ผู ที่ ทํ าได จริ ง จะมี กํ าลั งจิ ตสู งพอ ใน ระหว างที่ หลั บนั้ น ก็ ไม ทํ าผิ ดทางอายตนะ, แม จะไม ฝ นไปในทางที่ เป นเรื่องกิ เลส ตั ณหา อะไรได หรือว าไม ฝ นเสี ยเลย. นี่ เรียกว าควบคุ มอายตนะได ทั้ งหลั บและตื่ น นี่ คนธรรมดา สามัญทุกคนทั่วไปควรตองรับเอาไปเปนบทเรียน.

ยังมีอายตนะประเภทอสังขตะ ทีนี้ใครจะทําใหดีกวานั้น ก็ตองรูจักทําการดับอายตนะเสีย ตามวิธีที่พระพุ ทธเจา ท านสอนไว อย าให มั นเป นบ อเกิ ด หรือเป นทางมา หรื อเป นที่ ปรุ งขึ้ นมา แห งกิ เลสและ ความทุ กข อี กต อไป. นี่ เราทํ าลายอายตนะ ดั บอายตนะได อย างนี้ เรียกว าอายตนะส วน สั งขตะถู กควบคุ มและดั บและกํ าจั ดไปหมดแล ว; ที นี้ โผล ขึ้ นมาใหม ก็ เป นอายตนะชนิ ด อสั งขตะ คื อพระนิ พ พาน โดยบทที่ ว า อตฺ ถิ ภิ กฺ ขเว ตทายตนํ ฯลฯ เป น พระพุ ท ธอุ ท าน, ตรั ส ขึ้ น มาเมื่ อ ทรงพิ จารณาเห็ น แจ ม แจ งในสิ่ งนี้ ; เพราะอายตนะชนิ ด นั้ น ยั ง มี อยู คื ออายตนะที่ ไม ใช สั งขตะนี่ ; พระพุ ทธองค จึ งตรั สว า อายตนะนั้ นมี อยู : อายตนะ นั้ นไม ใช ปฐวี ธาตุ เตโชธาตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุ ไม ใช อากาสานั ญ จายตนะ วิ ญ ญานั ญ จายตนะธาตุ กระทั่ งเนวสั ญ ญา ฯ ไม ใช การมา ไม ใช การไป ไม ใช การอยู ไม ใช อารมณ ไมใชที่ตั้งแหงอารมณ นี่; วานั่นแหละคือที่ สุดแห งความทุ กข คือนิ พพาน; ดังนั้นนิพพานนั้นก็เปนอายตนะดวยเหมือนกัน.

www.buddhadasa.info เมื่อฆาอายตนะพวกสังขตะใหตายเสีย อายตนะที่เปนอสังขตะก็จะปรากฏ ออกมา หรื อได รั บก็ ตามใจแล วแต จะเรี ยก. เรา “ฆ าชี วิ ตชนิ ดโลก ๆ นั้ นเสี ย ก็ จะได ชี วิ ต ชนิ ด ที่ เหนื อ โลก”; นี่ พู ด สมมติ ให เป น โฆษณาชวนเชื่ อ ให ค นยิ น ดี ห น อ ย : สละของ ไมจริงเสีย แลวก็จะไดของจริงมา; แปลวากําจัดอายตนะมายา หลอกลวง เหลวไหล


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๕๕

ประเภทสั งขตะเสี ย แล วอายตนะประเภทแท จริง ไม หลอกลวง ไม ทํ าความทุ กข ให แก ผู ใด ก็จะปรากฏแกจิต คือพระนิพพาน.

หลักปฏิบัติ พิจารณา อายตนะ เหมือนมหาสมุทร ที นี้ การปฏิ บั ติ มี หลั กหน อยหนึ่ งที่ ว า อายตนะนี้ มั นเหมื อนกั บมหาสมุ ทร; อยางที่ไดพูดมาแลว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหมือนกับมหาสมุทร เหมือนกับทะเล สําหรับมหาสมุทรนั้น ทรงแสดงอาการที่นากลัวไวอยางนี้ : มหาสมุ ท รย อ มมี ค ลื่ น สอุ มฺ มึ -แปลว า มั น มี ค ลื่ น ; ก็ ล องไปลอยคอ เลน ในมหาสมุท รดู มีค ลื ่น นั ้น สนุก อยา งไร, แลว ก็ม ีเ กลีย ว สาวฏฏ ํ -มีเ กลีย ว มั นไม ใช มี แต คลื่ นเฉย ๆ ยั งมี เกลี ยวที่ ไหลไปอย างเชี่ ยว, ลอยอยู ในมหาสมุ ทร จะทน ไดกี่มากนอย เดี๋ยวมันก็จมเทานั้น สูเกลียวไมไหว. และแถมมี เครื่ องจั บยึ ด หรื อผู จั บยึ ด; นี่ ตามความเชื่ อของคนแต โบราณนี้ ก็ ว า มี ยั ก ษ มี ภู ต ป ศ าจอะไร มี ผู จั บ . เดี๋ ย วนี้ ก็ เห็ น ชั ด ; ปลาฉลามมั น จะงั บ เอา. นี่เรียกวาผูจับ สคาหํ -มีผูจับ.

www.buddhadasa.info แล วก็ ยั งเป น สรกฺ ขสํ - มี รากษส, รากษส แปลว าผี ที่ อยู ในน้ํ า; ก็ ตามใจ. นี้ เรี ยกว าเป นของที่ ไม เห็ น ตั วกั น หน อ ย แล วก็ จะจั บ เอาคนนั้ น ไป, จะทํ าอั น ตรายแก คนนั้น อยางนั้นอยางนี้. ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ รวมกั น เป น สมุ ท รนี่ ในนั้ น มี อ ย างที่ วา มี ค ลื่ น มี เกลี ย ว มี ผู จั บ มี ผี เสื้ อ น้ํ า มี ยักษน้ํา ที่มันมาอยูที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรา.

ที นี้ ที่ สํ าคั ญอย างยิ่ งเรียกว า เวคะ นี่ แปลว า กํ าลั ง, กํ าลั งไหล; กํ าลั งไหล ก็คือกําลังของการปรุงแตง; สิ่งนี้เรียกวา อายตนเวคะ อายตนเวคะ คือ ตา หู จมูก


๒๕๖

ปรมัตถสภาวธรรม

ลิ้น กาย ใจ, ในเมื่อได รูป เสี ยง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ ขึ้นมาเขาคูแลว จะเกิ ด อายตนเวค หรืออายตนเวคะ มี กํ าลั งที่ ตามธรรมดาด านทานไม ไหว ที่ มั นจะพุ งไป. แมกระนั้นเราก็ตองหยุดเสีย; พระพุทธเจาทานตรัสไวอยางนี้. อายตนะขางในคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มี เวคะ คือมีกําลังพุง; อายตนะภายนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ ก็มีเวคะ คือกําลังพุง; รวมกันแลวก็ยิ่งเปนกําลังพุง เพราะวาลําพังอยางเดียวมีกําลังพุงโดยสมบูรณไมได. ถ าผู ใดหยุ ดเสี ยได ซึ่ งอายตนเวคะ, ดั บเสี ยได หยุ ดเสี ยได ซึ่ งอายตนเวคะ จึ ง จะหยุ ด กํ าลั งพุ งได . คํ านี้ ใช คํ าว า สหติ -หยุ ด เสี ย ได , ทํ า ลายให ห ยุ ด ไปเสี ย ได ไม ให มั นไหลได อีกต อไป. โดยที่ แท มั นก็เหมื อนกับเกลี ยวน้ํ าหรือกํ าลังพุ งของสิ่งที่ วิ่งไป เร็ ว ๆ นั่ น แหละ; เช น รถวิ่ งไปเร็ ว ๆ เรื อ วิ่ งไปเร็ ว ๆ หรื อ น้ํ ามั น ไหลไปเร็ ว ๆ; เราหยุ ด กําลังพุงนั้นเสียได เรียกวาหยุดเวคะเสียได. ในที่นี้ตองการใหหยุดเวคะของสิ่งที่เรียกวาอายตนะ : เวคะนี้สําเร็จมา ทางรูปที่เห็นดวยจักษุ , เวคะนี้สําเร็จมาทางเสียงที่ไดยินดวยหู, เวคะนี้สําเร็จมาแตทาง กลิ่นที่ไดกลิ่นดวยจมูก, เวคะนี้มาจากรสที่รูสึกไดดวยลิ้น, เวคะนี้มาจากสัมผัสที่ผิวหนัง เพราะการสัมผั สทางกาย, กระทั่ งที่ มาจากธัมมารมณ ภายในใจที่ รูได ด วยใจ; นี้ เรียกวา เวคะทั้งนั้น; ลวนแตมีคลื่น มีเกลียว มีผูจับ มียักษน้ําทั้งนั้นแหละทุกอายตนะ.

www.buddhadasa.info การปฏิบัติอยางที่วามาเมื่อตะกี้นี้ ก็คือควบคุมอยูดวยสติเรื่อยไป ๆ จน กระทั่งมีการรูแจงในปรมัตถสภาวธรรมอันเพียงพอ กําจัดอวิชชาได; แลวก็ดับ ผั สสายตนะ คื อดั บเวคะของอายตนะเสี ย กลายเป นไม มี การปรุงแต ง ไม มี การปรุงแต ง ชนิดไหนอีกตอไป.


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๕๗

พระพุทธเจาทานตรัสวา ผูนั้น เวทคู - เปนผูถึงเวท หรือถึงฝงแหงเวท, วุสิตพรฺหฺมจริโย - ผูนั้นประพฟติพรหมจรรยจบแลว, โลกนฺตคู - ผูนั้นถึงที่สุดของโลกแลว, ปารคโต - ผูนั้นถึงฝงนอกโนนแลว. เดี๋ยวนี้อยูกันแตฝงใน เลาะกันอยูแตฝงใน ไมออกไปถึงฝงนอก เพราะวาติดอยูที่ อายตนะ. เมื่ อดั บอายตนะได แล ว ก็ ออกไปฝ งออก ออกไปถึ งฝ งนอกแล ว; ผู ที่ รูจั ก อายตนะในชั้นลึก ควบคุมไดกระทั่งกําจัดได จนกระทั่งหยุดกระแสอายตนเวคะนี้เสียได จะเปนอยางนี้ จะไดผลอยางที่กลาวมานี้.

ประโยชนอันไดจากการรูปรมัตถสภาวธรรม ขอให ท านทั้ งหลายพิ จารณาดู ให ดี วา ความรูในปรมั ตถสภาวธรรมนี่ มี ประโยชน เท าไร? มี ประโยชน กี่ มากน อย? และจะถื อว าเป นประโยชน สู งสุ ดหรือไม ? เราอาศั ย ความรู ชนิ ด ปรมั ต ถสภาวธรรม หรือ ธรรมที่ เป น อยู เอง ในสภาพที่ เป น เอง เป นจริง ในอรรถอั นลึ กซึ้ งถึ งที่ สุ ดอย างยิ่ งแล ว; เราออกจากสั งขตธาตุ ไปสู อสั งขตธาตุ . เราก็ จะออกจากสั งขตอายตนะได , แล วไปสู อสั งขตอายตนะได เลยแยกกั นเป นสองคู ; คื อ ว าเราใช คํ าว าธาตุ ออกมาเสี ย จากสั งขตธาตุ , แล วเข าไปสู อ สั งขตธาตุ . ต อ มา เปลี่ ยนเป นเพ งเล็ งไปที่ อายตนะ; ก็ ออกมาเสี ยจากสั งขตอายตนะไปสู อสั งขตอายตนะ. นี่ ได ผลสู งสุ ดหรือไม ก็ ลองคิ ดดู วา ความรูเรื่องปรมั ตถสภาวธรรมนี่ เรารูเท าไร? เรารู หรือไม? ลองเทียบเคียงดู.

www.buddhadasa.info สรุปเรื่องที่เกี่ยวกับอายตนะที่เราจะตองรูกันในชั้นลึกนี่วามันจําเปนแกเรา หรือไม ? หรือเป นของใหม ของเกา แกเราเท าไร? เราไม เคยทราบวา สิ่ งทั้ งปวงนั้ น อยู ที่ ตาหู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ. นี่ เป นป ญหาข อแรก ทบทวนกั นอี กที ที่ แล วมาแต หนหลั ง จนกระทั่งบัดนี้ เรายังไมรูปรมัตถสภาวธรรมดังนี้ :


๒๕๘

ปรมัตถสภาวธรรม

๑. เรายั ง ไม รู เคยเห็ น เคยทราบ ไม เ คยเห็ น จริ ง เห็ น แจ ง ว า อะไร ๆ อะไรคือ สพฺพ ํ ? สิ ่ง ทั ้ง ปวงอยู ที ่ต า หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ. เราจึง ไปแกป ญ หา กัน ขา งนอก ไมแ กป ญ หากัน ขา งใน; ไปโทษคนนั ้น ไปโทษคนนี ้ ยกความผิด ของตั วออกไปใส ผู อื่ น ๆ ไปโทษผี ส างเทวดาอะไร ก็ คิ ด ดู เอง; นี่ เพราะว ามี อ วิ ช ชา ในเรื่ อ งนี้ ไม รู ว า อะไร ๆ นี่ อ ยู ที่ อ ายตนะ. ต อ ไปนี้ ต อ งตั้ ง ต น กั น เสี ย ใหม ให อ ะไร ๆ มั นอยู ที่ นี่ และแก ป ญ หากั นที่ นี่ ดั บสั งขตอายตนะเสี ยได เข าไปสู อสั งขตอายตนะกั นที่ นี่ ; อยาไปรอที่อื่น อยาไปรอตอเวลาอื่น เชนตอตายแลวไปเปนตน มันนาหวัว. ๒. ข อ ต อ ไปนี้ ก็ คิ ด ดู ว า เรานี่ เ คยหวั ง นรกสวรรค กั น ที่ อื่ น , เวลาอื่ น ที่ โลกอื่ นต อตายแล วอย างนี้ ; ทั้ งที่ เรากํ าลั งมี นรกสวรรค อยู ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจแล ว เราก็ไ มส นใจ. เราไมทํ า ใหห ม ดนรก ใหม ีแ ตส วรรค, หรือ วา ทํ า ใหพ น สวรรค ขึ้นไปอีก ก็จะถึงอสังขตอายตนะ คือนิพพาน. ต อ ไปนี้ เชื่ อ ว า ทุ ก คนที่ ไ ด ฟ ง ข อ ความนี้ แ ล ว คงจะมามองดู น รกสวรรค ที่ อายตนะกั นเสี ยที อย าฝากไว ที่ โลกอื่ น หรื อเวลาอื่ นสมั ยอื่ นเลย นรกสวรรค กํ าลั งเป น อยูที่นี่แลว.

www.buddhadasa.info “คนฉลาดค า ใกล ๆ คนบ า ใบ ค า ไกล ๆ” ใครว า ก็ ไ ม ท ราบ. เมื่ อ อาตมา ยั งเด็ ก ๆ อยู ได ยิ น คํ า นี้ แ ล ว โยมเคยพู ด ให ฟ ง และเคยตวาดเอาบ อ ย ๆ “คนดี ๆ ค า ใกล ๆ คนบ า ใบ ค า ไกล ๆ”. นี่ ทํ า ไมไม ดู ว า นรกสวรรค มั น อยู ที่ นี่ : ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ; ทํ า ไมไม จั ด ให เ ป น เรื่ อ งเป น ราว ให ลุ ล ว งไปด ว ยดี พ น นรก พ น สวรรค แลวก็นิพพาน. ๓. ที นี้ ดู ข อต อ ไปอี กที่ สํ าคั ญ มากกว า ที่ เราไม ป ระสี ป ระสาเสี ยที เดี ยวว า มั น ไม มี อ ะไรนอกจากธาตุ ทุ ก อย า งไม มี อ ะไรนอกจากธาตุ ; นี่ ทํ า ไมไม รู . ไม มี อะไรนอกจากธาตุ และเปนไปตามธรรมชาติ, เปนธาตุแลวตองเปนไปตามธรรมชาติ


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๕๙

ของธาตุ ; อย า เอามาเป น เราเป น ของเรา หรื อ เป น ตั ว กู ห รื อ เป น ของกู . เมื่ อ พู ด อยางนี้แลว บทพิจารณาที่วา :ยถาปจฺ จ ยํ ปวตฺ ต มานํ ธาตุ ม ตฺ ต เมเวตํ ยทิ ทํ จี ว รํ , ตทุ ป ภุ ฺ ช โก จ ปุค ฺค โล ธาตุม ตฺต โก นิส ฺส ตฺโ ต นิช ฺช ีโ ว สุ ฺโ - มัน ก็ก ลับ มาอีก แลว ; เปน บท หัวใจของพุทธศาสนา วามันเปนสักวาธาตุตามธรรมชาติ มิใชสัตว บุคคลชีวะ อาตมั นอะไร. นี่ เราไม ประสี ประสาเสี ยเรื่อย; เราก็ เคยบวชเณรแล ว เราก็ ท องได แล ว เราก็ ยั งไม ประสี ประสาอยู นั่ นเอง. นี่ ก็ ต องเอามาพู ดกั นใหม พู ดกั นเรื่ อยไปจนหนวกหู ; แมจะรําคาญ ก็ตองพูดกันเรื่อยไปวา “ไมมีอะไรนอกไปจากสิ่งที่เรียกวาธาตุ”. ๔. จะใหใกลชิดเขามาอีก ก็อยากจะพูดอีกขอหนึ่งวา ที่เรารูสึกยินดี รักใคร พอใจ หลงใหล เอร็ดอรอยเหลือประมาณในอัสสาทะ คือรสอรอยหรือเสนหที่เกิด จากอายตนะ โดยหลงใหลถึ งกั บว าเป นทาสของมั นที เดี ยว; นี่ มั นคนละคํ า เมื่ อตะกี้ นี้ วาเปนธาตุ นั้นมัน ธา - ตุ ที่วาเปนทาสนี้ หมายถึงทาสขี้ขา.

www.buddhadasa.info เรากําลังเปนทาสของอายตนะ, เราไมรูจักอายตนะหรือธาตุโดยความเป น ธาตุ เราก็ โง ก็ ข นาดไปเป น ทาสขี้ ข า เป น ทาสี ท าสาของอายตนะนั่ น เอง คื อ เราไป เอร็ ดอร อยเหลื อประมาณ ยิ น ดี พอใจ หลงใหล ในอั สสาทะ คื อเสน ห ที่ ออกมาจาก การปรุงแตงของอายตนะนั้น ๆ เพราะอํานาจของอวิชชา.

เรามี อวิชชา ไม ทราบวาเราไม มี ปรมั ตถสภาวธรรม ที่ รูแจงอยู เราก็ไม รู; เราไม รูก็ คื อ เรามี อวิ ชชา; ฉะนั้ นอวิชชาก็ ช วยทํ าให อายตนะปรุงแต งออกมาเป นอั สสาทะ. อั สสาทะ นี่ แปลว า รสอร อย ยั่ วยวน; เราก็ หลงใหลในรสอร อยนั้ น ก็ เลยได เป นทาส ทาสี ท าสา อะไรก็ ต ามนี้ ของอายตนะนั้ น นี้ ห มดความเป น ไป หมดอิ ส รภาพ เพราะ ไมรูธรรมะในขั้นนี้.


ปรมัตถสภาวธรรม

๒๖๐ ที นี้

อย าว าแต เราคนเดี ยว ต อให คนทั้ งโลกกี่ โลกก็ ตามใจ เทวดา มนุ ษ ย ด วยก็ ได เทวดา มาร พรหม อะไรด วยก็ ได , มนุ ษ ย ในโลกทั้ งโลกด วยก็ ได ล วนแต กําลังเปนทาสทางอายตนะ. ๕. โลกกําลังมี วิกฤตกาลถาวรนานาชนิ ด; หมายความวามี เวลาที่ ยุงยาก ระส่ํ า ระสายโกลาหลวุ น วายอั น ถาวร ไม รู จั ก สงบลงได ไม มี ที่ สิ้ น สุ ด . นี่ โลกทั้ งโลก กํ าลั งเป น กั น อย างนี้ ; ก็ เพราะว าเขาไม มี ค วามรู เรื่ อ งอายตนะ เป น ผู โง ต อ อายตนะ, รวมทั้ งโงต อสิ่งที่ เรียกวาธาตุ นั้ นด วย. เพราะวาเดี๋ ยวนี้ ธาตุ มั นเปลี่ ยนรูปมาอยู ในลักษณะ ของอายตนะ มั นจึ งเล นงานตรได ถนั ด รุ นแรงยิ่ งขึ้ นไปอี ก, เพราะมั นทํ าให เกิ ดอั สสาทะ โดยตรงได แปลก ๆ ไม มี ที่ สิ้ น สุ ด . เมื่ อ คนเราในโลกนี้ เป น บ าว เป น ทาส เป น ทาสี ทาสาของอายตนะแล ว ก็ ห านั่ น หานี่ ม าบํ ารุง บํ าเรออายตนะ; กระทั่ งคิ ด นั่ น คิ ด นี่ ขึ้ นมา ปรุ งแต งให เกิ ดความรู สึ กทางอายตนะเรื่ อยไป นี่ เราก็ ต องไปซื้ อไปหาสิ่ งปรุ งนั้ น เรื่อยไปเพื่อมาปรับปรุงแตงอายตนะ. ได เห็ นภาพแค ตตาล็ อกอั นหนึ่ งบอกขายห อง ห องน้ํ าห องส วม ห องน้ํ าประกอบ ทั้ งห องทั้ งชุ ด นั่ นแหละ เหมื อนกั บ วิ ม านอย างนั้ น แหละ จนดู ไม รู ว าห อ งน้ํ าห องส วม; แล วก็ ข ายกั น ได แล วก็ ซื้ อ กั น ไป. นี่ คิ ด ดู เครื่ อ งประกอบทั้ งหมด มั น ประกอบกั น เข า เป นห องน้ํ าห องหนึ่ ง นี่ เห็ นจะเป นหลายแสนบาท มั นเต็ มไปด วยสิ่ งประดิ ษฐ ดู คล ายกั บ ปาที่สวย ๆ มีอะไรสวย ๆ เขาทําขายเปนชุด ๆ.

www.buddhadasa.info นี่ ทํ าไมโลกจึ งได เจริ งก าวหน าแต ในทางที่ จะเป นทาสของอายตนะ; มั นช าง ไม ตลบหลั งขึ้ นมาเป นเรื่องที่ เป นนายเป นเจ าเหนื ออายตนะบ างเลยหรือ? โลกกํ าลั งเป นไป อย างนี้ ที่ จ ะไปเป น ทาสของอายตนะยิ่ งขึ้ น ; เพราะวาเขาขาดความรูในแงข อง ปรมัตถสภาวธรรม. อาตมาเชื่อวาการที่เราลงทุนมาพูดกันถึงเรื่องนี้อยางซ้ํา ๆ ซาก นี่


ธาตุที่อยูในรูปอายตนะ

๒๖๑

คงจะไม เปล าประโยชน หรื อไม น ารํ าคาญล วน ๆ คงจะมี ป ระโยชน บ าง ขอให ไปช วย พินิจพิจารณาดู. ในการบรรยายเรื่ องปรมั ตสภาวธรรมในคํ ารบที่ ๘ นี้ ได เขยิ บขึ้ นมาถึ งขั้ น ที่เรียกวา เดี๋ยวนี้ธาตุ นั้ นไดเปลี่ ยนรูปมาเป นอายตนะแลว มั นจะทํ าพิ ษเอาพวกเรา หรือวาจะบดขยี้พวกเรามากยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก; นี่ขอใหระวังใหดี. นี้ ก็ เป น การบรรยายที่ ส มควรแก เวลาแล ว ขอให พ ระสงฆ ทั้ ง หลายสวด คณ ะส าธยาย เพื ่อ เพิ ่ม พูน ศ รัท ธาความ เลื ่อ ม ใส ใน การที ่จ ะป ฏิบ ัต ิธ รรม ของพระพุทธองคสืบตอไป.

www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


ปรมัตถสภาวธรรม

-๙๓ มีนาคม ๒๕๑๖

ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย, การบรรยายประจํ า วัน เสารภ าคนี ้ เปน การบรรยายครั ้ง ที ่ ๙ และ ก็จ ะไดก ลา วโดยหัว ขอ วา ปรมัต ถสภาวธรรม ไปตามเดิม ทา นทั ้ง หลายอาจจะ รู ส ึก วา ซ้ํ า ซากและไมช วนฟง ; นี ่ก ็เ คยพูด กัน มาแลว แตค ราวกอ น ๆ วา มัน เปน อยา งนั ้น เอง ก็จํ า เปน ที ่จ ะตอ งขอใหท นฟง , และอาตมาก็จ ะตอ งกลา ว ไปใหจบเรื่อง เพราะมันเปนเรื่องที่สมบูรณเฉพาะเรื่องเรื่องหนึ่ง.

www.buddhadasa.info จะขอทบทวนความหมายของคํ า ว า “ปรมั ต ถสภาวธรรม” นี้ อ ยู เสมอ. ที่แลว ๆ มาแตหนหลังจนกระทั่งบัดนี้นั้น เราสนใจกันอยางผิวเผิน; ไมสนใจถึงขนาด

๒๖๓


๒๖๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ที่ เรี ยกว า ปรมั ตถะ หรื อปรมั ตถสภาวะได เลย จึ งจํ าเป นจะต องชั กชวนกั นใหม ขอร อง กั นใหม . ให ขยั บขยายการศึ กษาหรื อความสนใจให ลึ กซึ้ งยิ่ งขึ้ นไป ถึ งขนาดที่ จะเรี ยกว า ปรมั ตถะ คื อมี อรรถอั นยิ่ งนี้ ได ; แต ก็ ไม จํ าเป นจะต องเหมื อนกั บความหมายของคํ าว า ปรมัตถะ ที่พูดถึงกันอยูในที่อื่น ๆ. ยกตั วอย างเช น เมื่ อพู ดถึ งนรกใต ดิ นอย างที่ เขี ยนไว ตามฝาผนั งโบสถ , หรื อ สวรรค บ นฟ า อย างที่ เขี ยนไว ตามผนั งโบสถ รู ป ภาพเทวโลก พรหมโลก อย างฝาผนั ง โบสถ ; พวกอื่ น หรื อ พวกหนึ่ ง เขาก็ ถื อ ว า เป น เรื่ อ งอภิ ธ รรม เป น เรื่ อ งปรมั ต ถ แจก ออกไปเป นอย างนั้ น ด วยจิ ตดวงนั้ นจึ งจะไปสู ที่ นั้ นได . คํ าอธิ บายอย างนั้ นเราไม ถื อว า เปนปรมัตถ หรือวาเปนปรมัตถสภาวะในที่นี้. เราจะถื อ เอาอย า งที่ พ ระพุ ท ธเจ าท า นได ต รั ส ไว เหมื อ นกั บ ที่ พ ระสงฆ ทั้ งหลายท านได สวดแล วเมื่ อตะกี้ นี้ ว า นรกชื่ อฉผั สสายาตนิ กนรก เราเห็ นแล ว อย างนี้ เป น ต น ; หมายความว า นรกที่ มี อ ยู ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ของคนนั่ น เอง. นี่ พระพุ ทธเจ าท านว าท านเห็ นแล ว และทรงแสดงลั กษณะว า ความเป นนรกที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจนั้ น มั นอยู ที่ ว า เมื่ อตาได พ บแต สิ่ งที่ ทํ าให เกิ ดความรู สึ กเป นทุ กข ไม เป น ที่ น าพอใจ เผาลนกระวนกระวาย, หรื อจะเรี ย กว านรกอยู ที่ ต า หรื อ ว าเมื่ อ หู ได สั ม ผั ส เสี ยงที่ ทํ าให เกิ ดร อนใจ นี่ ก็ เรี ยกว านรกมั นอยู ที่ หู . เรื่ องสวรรค ก็ เหมื อนกั น ท านตรั สว า ฉผสฺ ส ายตนิ ก า สคฺ ค า - สวรรค ที่ อ ายตนะทั้ ง ๖ เราก็ ได เห็ น แล ว นี้ มั น ตรงกั น ข า ม กั บ นรก มี อ ยู ที่ ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ; เมื่ อ ใดได รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธัมมารมณ มาเปนของถูกใจ พอใจ ไมมีความทุกข ก็เรียกวาสวรรค.

www.buddhadasa.info ทีนี้ยังมีตรัสไวตอไปอีกวา สวรรคและนรกนั่นมันเปนที่ตกที่จมของคน ของ สัตวทั้งหลาย; แตคนธรรมดาไมมองเห็นวา นรก สวรรค ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั้น


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๖๕

เป นนรกเป นสวรรค เป นที่ ตกที่ จมของคน. เขาจะพู ดกั นว า ที่ ทะเลโน น ที่ มหาสมุ ทร ที่ ทะเลโน น; พระองค จึ งตรัสว า ที่ คนธรรมดาสามั ญเรียกกั นว าสมุ ทร สมุ ทร มหาสมุ ทร ที่ตกที่จมนั้น ไมใชมหาสมุทรในอริยวินัย คือในความหมายของพระอริยเจา. มหาสมุทรที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ ที่คูกันอยูกับรูป เสียง กลิ่ น รส โผฏฐัพพะ ธั มมารมณ เดี๋ ยวมี สภาพเป นนรก เดี๋ ยวมี สภาพเป นสวรรค ; นั่ นแหละดู ให ดี เถิ ด นั่ นแหละคื อสมุ ทร มหาสมุ ทร; เพราะคํ าวาสมุ ทรนี้ แปลวาเป น ที่ตกที่จม. มหาสมุ ทรใหญ ๆ นั่ นไม ใช มหาสมุ ทร ไม ใช ที่ ตกที่ จม; เป นแต น้ํ ามาก ๆ น้ํ ายื ดยาวเท านั้ นเอง ไม ใช เป นที่ ตกที่ จมของคน. ส วนตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เกี่ ยว กั น อยู กั บ รู ป เสี ย งกลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ นี่ แ หละ คื อ ตั ว สมุ ท รที่ แ ท จ ริ ง ; คือคนตกลงไปแลวมันก็มีจิตใจยุงเหยิงเหมือนปมดายยุง, มีปมมาก ๆ มาคลุกมาเคลากัน สางไม ออก. เพราะวามั นพ นกั นซั บซ อนเหมื อนเชิ งหญ ามุ ญชะและหญ าป พพชะ สางไม ออกอยางนี้ เรียกวาสมุทรเปนที่ตกที่จม.

www.buddhadasa.info เพี ยงเท านี้ ก็ ขอให ท านทั้ งหลายพิ จารณาดู เถิ ดวา มั นมี ความเป นปรมั ตถสภาวะ อยูที่ไหน? ชาวบานก็ชี้ที่ต กที่จ มไปที่ท ะเล; แตพ ระพุท ธเจาทา นทรงชี้ที ่ต กที ่จ ม มาที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. มันมีความเปนปรมัตถสภาวะอยูที่ตรงไหน? ถาทาน ทั้ งหลายรู เรื่ องนี้ ดี เข าใจเรื่ องนี้ ดี มั น ก็ จะฉลาดขึ้ น หรื อ ว าจะโง ล ง; ถ าท านมี ค วาม ฉลาดลึ กซึ้ งลงไปก็ เรียกว ามี ความรูทางปรมั ตถสภาวะเพิ่ มขึ้ น. เรื่องชนิ ดนี้ มั นมี มากมาย เหลื อเกิ น จึ งต องเอามาบรรยายกั น บ างตามสมควร มั น ก็ เป น ความซ้ํ า ๆ ซาก ๆ บ าง ขอใหทนเอาหนอย.


๒๖๖

ปรมัตถสภาวธรรม

ความเปนปรมัตถสภาวะนั้นมันก็ไมมีอะไรมากไปกวา ที่วาลึกซึ้งจนตาม ธรรมดาเรามองไม เห็ น และไม ได มอง และยิ่ งไม ชอบมองเพราะมั นรําคาญ หรือมั น ลํ าบาก หรื อ มั น ยุ งหั ว; นี่ พู ด ภาษาธรรมดาสามั ญ เราก็ ป ล อ ยไปตามสบาย ก็ เลยไม ต องรู อะไรที่ ลึ กซึ้ ง. เดี๋ ยวนี้ เราจะพยายามเข าใจความหมายนี้ ในลั กษณะอย างนี้ กั นให เพียงพอ จึงตองทนบรรยายสําหรับผูบรรยาย และก็ทนฟงสําหรับผูที่จะตองฟง. ในครั้ งที่ แ ล วมาหลายครั้ ง ก็ ล วนแต พู ด ถึ งเรื่ อ งธาตุ , ธาตุ ทั้ งหลายที่ ชี้ ให เห็ นว ามั นไม มี อะไรนอกจากธาตุ . เมื่ อเรามามองดู สิ่ งต าง ๆ รอบตั วเรา เราเห็ นต นไม เห็ นก อนหิ น เห็ น สั ตว มด แมลง เห็ นนก คน อยู ทั่ ว ๆ ไป เราไม รู สึ กว านั่ น เป นสั กว า ธาตุ ต ามธรรมชาติ ; เราไปเห็ น เป น สั ต ว เป น คน เป น นั่ น เป น นี่ ไ ปเสี ย เรารู สึ ก เพี ย งเท า นั้ น ; อย า งนี้ ก็ คื อ ว า ไม ไ ด เห็ น ความเป น ปรมั ต ถสภาวะ. ต อ เมื่ อ เหลี ย วไป ทางไหน รูสึ กชั ดเจนแจ มแจ งอยู ในใจว า เป นเพี ยงสั กว าธาตุ ที่ กํ าลั งหมุ นเวี ยนเปลี่ ยน แปลงไปตามธรรมชาติ; นี่จึงจะเรียกวารูสึกตอปรมัตถสภาวะ. ที นี้ เราก็ ได ยิ น กั น แต เพี ย งว า ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ล ม ธาตุ ไฟ สี่ ธ าตุ เท า นั้ น เป น อย า งมาก; นี่ ก็ เรี ย กว า รู นิ ด เดี ย ว คื อ รู เพี ย งส ว นน อ ย ส ว นหนึ่ ง ของธาตุ ประเภทที ่เปน วัต ถุ. สว นธาตุที ่เปน ประเภทนามธรรม ไมใ ชว ัต ถุนั ้น ไมค อ ยจะ ได รู กั น ; แต ถ า ได รู ไ ปถึ ง ธาตุ ที่ เป น นามธรรม เช น วิ ญ ญาณธาตุ เป น ต น ก็ รู แ ต ฝ ายสั งขตธาตุ คื อธาตุ ที่ มี ธาตุ ป จจั ยปรุ งแต ง เปลี่ ยนแปลงไปตามเหตุ ตามป จจั ยเท านั้ น. และเราก็ ไม ได รู ถึ งธาตุ ที่ เป นอสั งขตธาตุ คื อไม มี เหตุ ป จจั ยปรุงแต ง และไม เปลี่ ยนแปลง เลย เชนนิพพานธาตุ เปนตน.

www.buddhadasa.info พู ดถึ งสิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ แล ว เรารู จั กมั นน อยเหลื อเกิ น : โดยปริ มาณก็ รู น อย, โดยคุ ณ ลั กษณะเราก็ รูน อย; ฉะนั้ นเราจึ งต อ งทนศึ กษาสิ่ งที่ เรียกวาธาตุ ให เข าใจไว ในฐานะที่เปนรากฐานสําหรับศึกษาเรื่องทั้งปวงตอไป.


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๖๗

ถาพู ดถึงเรื่องธาตุก็จะต องนึ กถึงธาตุ สองประเภท : ธาตุที่ มี เหตุ ป จจั ย ปรุงแตง กับธาตุที่ไมมีเหตุปจจัยปรุงแตง ซึ่งไดแกนิพพานหรือนิโรธธาตุ เปนตน; สวนธาตุที่มีปจจัยปรุงแตงนี้มันมีมาก นับตั้งแตวาเราจะตองรูจักธาตุตา ธาตุหู ธาตุจมูก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ ก าย ธาตุ ใจ. นี้ ก็ เป น คํ า แปลกสํ า หรับ คนธรรมดาเสี ย แล ว บางที ถ า ได ยิ นจากคนอื่ น ท านทั้ งหลายอาจจะนึ กแช งอยู ในใจวาเอาที่ ไหนมาพู ด แต นี่ อาตมาเอา มาจากพระบาลี ของพระพุ ทธเจ า : ธาตุ ตา ธาตุ หู ธาตุ จมู ก ธาตุ ลิ้ น ธาตุ กาย ธาตุ ใจ, แล วก็ ยังมี ธาตุ รูป ธาตุ เสียง ธาตุ กลิ่ น ธาตุ รส ธาตุโผฏฐัพพะ ธาตุ ธัมมารมณ หรือธรรมธาตุ เปนตน; นี้ก็เปนธาตุที่ไมเคยสนใจกัน. ธาตุเหลานี้ก็ปรุงแตงกันขึ้นมาเปนวิญญาณธาตุ คือเปนวิญญาณธาตุทางตา วิญญาณธาตุ ทางหู วิญญาณธาตุ ทางจมู ก วิญญาณธาตุ ทางลิ้ น วิญญาณธาตุ ทางกาย และวิญญาณธาตุทางใจเอง; แลวก็เกิดเวทนาธาตุสืบตอจากการสัมผัสดวยวิญญาณธาตุนั้น เป นเวทนาธาตุ ที่ มาจากการสั มผั สทางตา เวทนาธาตุ ที่ มาจากาการสั มผั สทางหู เวทนาธาตุ ที่มาจากาการสัมผัสทางจมู ก เป นต น นี่ จนถึ งครบหก.แลวเกิ ดสั ญญาธาต คื อธาตุ แหงความสําคัญมั่นหมายวาเปนนั่นเปนนี่ ตามที่มันเปนรูป เสียง กลิ่น รสก็มี ตามที่มัน เปนตัวตน เปนอัตตสัญญาวาตัวตนก็มี, เปนนิจสัญญาวาเที่ยงก็มี, กระทั่งเปนสัญญา วาหญิ งวาชาย วาอะไรตาง ๆ ไปตามความรูสึกของตน นี้ก็มี, สัญญานี้ก็เปนสักวาธาตุ. แลวเกิดสังขารธาตุ คือธาตุความคิด คิดอยางนั้น คิดอยางนี้ คิดดี คิดชั่ว อยางนี้ ก็เรียกวาสังขารธาตุ เนื่องอยูกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธัมมารมณ ดวยเหมือนกัน; คิดดูซิ มันไมมีอะไรที่ไมใชธาตุ.

www.buddhadasa.info ที่นี้ การที่มั นจะเป นจักขุธาตุ และรูปธาตุ ขึ้นมา และเป นวิญญาณธาตุ ทางตานี้ มันยังตองอาศัยธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุลม สี่อยางแรกชวยใหเกิดจักษุประสาท คือชวยใหเกิดสิ่งที่มีรูปรางมากระทบ นี่มันยังตองอาศัยมหาภูตรูป ที่เรียกวามหาภูตธาตุนี้ อีกสวนหนึ่งดวย.


๒๖๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ขอสรุ ป ความว า รู ป ที่ อ ยู ข างนอก เป น ของแข็ ง สั ม ผั ส ได นี้ ก็ ดี , ธาตุ ที่ เป น นามธรรม เป น จิ ต เป น ความรู สึ ก ของจิ ต ใจภายในก็ ดี , มั น ล ว นแต เป น ธาตุ ทั้ งนั้ น . ถ า แจกโดยชื่ อ แล ว มี จํ านวนตั้ งหลายสิ บ ธาตุ ล ว นแต เป น ธาตุ ที่ มี เหตุ ป จ จั ย ปรุ งแต ง หมุ น เวี ย นเปลี่ ย นแปลงไปตามเหตุ ป จ จั ย นั้ น ๆ; นี่ เรี ย กว าธาตุ . ถ ามองเห็ น ถึ งขนาดนี้ ก็ พ อจะกล าวได ว ามี ค วามรู เรื่ อ งปรมั ต ถสภาวธรรม ของสิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ จบไปตอนหนึ่ง. ที นี้ ต อไปอี กก็ มี ว า ธาตุ ที่ เคยเรี ยกว าธาตุ นั้ น ต อมามั นเปลี่ ยนความหมาย หรือเปลี่ ย นหน าที่ ก ารงาน หรือ เปลี่ ยนชื่ อ สํ าหรับ เรียก มาเรีย กเป น อายตนะ; เช น ธาตุ ตาหรื อจั กษุ ธาตุ นี่ , มั นมาเปลี่ ยนเป นจั กษุ อายตนะ รู ปธาตุ มาเป นรูปายาตนะ เป นต น. เดี๋ ยวนี้ คํ าว าธาตุ มั น เปลี่ ยนชื่ อ มาเป น อายตนะ; เมื่ อ เป น ธาตุ นั้ น คล าย ๆ กั บ ว ามั น เป น ส ว นประกอบส ว นหนึ่ ง สํ า หรั บ ประกอบเป น ส ว นอื่ น และเป น ส ว นย อ ย และมี ลั ก ษณะเป น รากฐานหรื อ พื้ น ฐาน. พอเปลี่ ย นมาเรี ย กว า อายตนะนี่ กลายเป น การ สัมผัส เปนที่ตั้งแหงการสัมผัส มันเคลื่อนไหว มันปรุงแตงมากขึ้น.

www.buddhadasa.info คํ าว า “ธาตุ ” นั้ นแหละ เมื่ อเรี ยกว าธาตุ เป นสั กว าธาตุ เป นรากฐาน เป น พื้ น ฐาน เป น ส วนประกอบน อ ย ๆ; พอธาตุ ทํ างาน การปรุ งแต งสั ม พั น ธ กั น สร างนั่ น สร า งนี่ ขึ้ น มา ก็ เ รี ย กชื่ อ ว า อายตนะไป อย า งนี้ เ ป น ต น . นี้ ก็ ต อ งรู ใ นฐานะที่ เ ป น ความหมายที่ลึกซึ้งอยางหนึ่งดวยเหมือนกัน.

พอธาตุ ส วนหน าที่ ของธาตุ คื อการปรุงตั วอยู นั่ นมาเป นอายตนะ คื อการ กระทบแล ว มั นก็ เกิ ดเรื่ อง : เกิ ดการลุ กลาม, เกิ ดธรรมทั้ งหลายทั้ งปวงขึ้ นมา เป นนั่ น เป น นี่ เป น โน น เพราะการปรุ ง แต ง นั่ น . ข อ สํ า คั ญ ที่ สุ ด ก็ เ พราะมี ก ารกระทบทาง อายตนะนี ่ ระหวา งตากับ รูป หูก ับ เสีย ง จมูก กับ กลิ ่น ลิ ้น กับ รส สัม ผัส กับ กาย ธัมมารมณกับใจ ทั้งหกคูนี่ จึงจะเรียกวาเกิดเรื่องที่สําคัญขึ้นมา และลุกลาม. เพียง


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๖๙

แต วาธาตุ มั นจะปรุงแต งกันเป นเนื้ อหนั งเฉย ๆ หรือวาเป นก อนหิ น ก อนดิ น เป นต นไม เฉย ๆ นี้ มั น ยั ง ไม มี ค วามสํ า คั ญ อะไร เพราะมั น ยั ง ไม ใ ช เรื่ อ งโดยตรงของมนุ ษ ย และไม มีป ญหาแกมนุษย; ตอเมื่ อธาตุทํ าหนาที่เป นอายตนะขางในขางนอก มันก็ปรุงแต ง เป นการกระทบ เป นสั มผั ส, เป นเวทนา สั ญญา สั งขาร วิ ญญาณขึ้ นมา นี้ เรียกว ามั น เปนการลุมลาม แหงการเกิดขึ้นของสิ่งทั้งปวงที่เราเรียกรวม ๆ กันวา “โลก”. คิดดูใหดี ใหลึกลงไปอีก จะพบวา มันตองมีการสัมผัส คือการเกี่ยวของ กั นแล วเกิ ดสิ่ งอื่ นขึ้ นมา อย างนี้ เรียกวาการสั มผั ส. ถ าตาอยู แต ตา รูปอยู แต รูป ไม มี ความหมายอะไรนั ก ไม มี เรื่องเกิ ดขึ้ น; พอตาสั ม ผั สกั บ รูป เกี่ ยวข องแตะต องกั บ รูป ก็เกิดจักษุวิญญาณธาตุ สําหรับเห็นรูปนั้นขึ้นมา ก็ไดเปน ๓ เรื่องขึ้นมา. ความเกี่ยวกันกระทบกันระหวางสิ่งนั้งสาม นี้เรียกวาสัมผัส. เพราะ สั มผั สตั วนี้ เท านั้ นแหละจึ งจะมี เรื่อง; ถ าอย ามี สั มผั สตั วนี้ ตั วเดี ยว เรื่องก็ ไม มี . ตาก็ อยูแตตา รูปก็อยูแตรูป อยามาเกี่ยวของกันแลว จักษุ วิญญาณก็มิไดมี; เหมือนกับวา หยุ ดเฉย ในการที่ จะปรุงแต งให เป นเรื่องเป นราว. แต พอมั นมากระทบกั น ตากระทบรูป แลวเกิดความรูแจงทางตา เป นจักษุ วิญญาณขึ้น นี่ คื อเรื่องตั้ งตน ฉะนั้น วิญญาณนี้ จะเรียกวาปฏิสนธิวิญญาณ ก็ได เพราะตอไปมันจะทําใหเกิดการปรุงแตงไปตามลําดับ, ตามลําดับ จนเกิดความรูสึกวาตัวกู-วาของกู.

www.buddhadasa.info ปฏิ สนธิวิญญาณที่ เขาวา ในเมื่ อคนตายแล วมั นก็ จุติ ลงไปปฏิ สนธิ ไปเกิ ด ใหม นั้ น นั่ น เขาว ากั น อี ก พวกหนึ่ ง; ในที่ นี้ เราไม ว าอย างนั้ น เราไม คั ด ค าน หรือ จะ ไมทําอะไรหมดแกคํากลาวอยางนั้น. แตเราจะชี้วา ปฏิสนธิวิญญาณที่เกิดขึ้นนั่นนะ คือวิญญาณที่เกิดขึ้น เมื่อตากระทบรูปแลวเกิดจักขุวิญญาณ; นี่คือปฏิสนธิวิญญาณ อาศัยทางตาปรุงเปนเรื่องเปนราว. ถามันประจวบเพมาะ มันไมตายเสีย หมายความวา


๒๗๐

ปรมัตถสภาวธรรม

มั นไม กระทบเฉย ๆ แต มี อวิ ชชาเกิ ดขึ้ นผสมโรงด วยแล ว ก็ ต องเจริ ญ เติ บโต เป นเวทนา ตั ณ หา อุ ป าทาน เป น ความรู สึ ก ว า เป น ตั ว กู -ของกู เกิ ด ขึ้ น มาครั้ ง หนึ่ ง เป น แน น อน นี่ขอใหเขาใจคําวา “วิญญาณ” ไวในลักษณะอยางนี้. สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ผั ส สะ หรื อ สั ม ผั ส แปลว า การกระทบ; การกระทบในที่ นี้ หมายถึ งตา ข างหนึ่ ง, รู ป ที่ เป น อารมณ ของตานั้ น ข างหนึ่ ง, แล วก็ จั ก ษุ วิ ญ ญาณ ที่ เ กิ ด ขึ้ น เพราะของสองอย า งนี้ ก ระทบกั น อี ก ฝ า ยหนึ่ ง , รวมเป น ๓ ฝ า ย : เมื่ อ กระทบกั น , มาอยู พ ร อ มกั น , มาประจวบกั น , หรื ออะไรก็ แล วแต จะเรี ย ก ย อ มจะเกิ ด สิ่ งที่ เรี ยกว าสั มผั สขึ้ นมา. สั มผั สนี้ ถ าเราเรี ยกสั้ น ๆ เราเรี ยกว าผั สสะเฉย ๆ; เรี ยกเต็ มที่ ก็วา สัมผัสสะ, เรียกสั้น ๆ ก็วา ผัสสะ เฉย ๆ. ในวันนี้จะพูดถึงเรื่องผัสสะนี้อยางเดียว ในฐานะที่ เปนปรมัตถสภาวธรรม อย า งยิ่ ง . ที่ ว า อย า งยิ่ ง นี้ หมายความว า ยิ่ ง ทั้ ง ในทางที่ มั น ลึ ก ซึ้ ง ยิ่ ง ในทางที่ มั น กว างขวาง และยิ่ งที่ สุ ดในทางที่ มั นร ายกาจ มั นร ายกาจยิ่ งกว าสิ่ งใดบรรดาที่ เราจะถื อว า ร ายกาจ. คนเรากลั วนั่ นกลั วนี่ กลั วอะไรในฐานะเป น สิ่ งที่ ร ายกาจกั น อย างอื่ น นั้ น ยั ง ไม ฉลาด นั้ นยั งไม ใช ปรมั ตถสภาวะ; ผู ที่ มองเห็ นว าผั สสะนี้ เป นสิ่ งที่ ยิ่ งร ายกาจกว าสิ่ ง ทั้ งปวง คนนั้ นแหละคื อคนที่ มองเห็ นปรมั ตถสภาวะ. ฉะนั้ นขอให ฟ งให ดี ว า ไม มี อะไร ไมมีเรื่องอะไร ที่มากหรือสําคัญ หรือรายกาจยิ่งไปกวาเรื่องผัสสะ.

www.buddhadasa.info นี้ เป นการกล าวทบทวนการบรรยายครั้ งที่ แล วมา ที่ กล าวมาเรื่ อย ๆ ๆ เพื่ อจะ ชี้ใหเห็นชัดยิ่งขึ้นทุกทีวา มันมีสิ่งที่รายกาจอยูสิ่งหนึ่ง คือสิ่งที่เรียกวาผัสสะ. ที นี้ การลองทบทวนความจํ า ความรู อะไรของตั วเองว า ผั สสะมาจากไหน? เดี๋ยวนี้ก็พูดไปหยก ๆ วาผัสสะมาจากการกระทบระหวางอายตนะ : อายตนะขางใน


๒๗๐

ปรมัตถสภาวธรรม

คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ อย างใดอย างหนึ่ ง, อายตนะข างนอกคื อ รู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ อย า งใดอย า งหนึ่ ง ; มาเนื่ อ งกั น แล ว ก็ เรี ย กว า อายตนะ สองฝ ายตามคู ของมั น นี้ มากระทบกั น มี ปฏิ กิ ริ ยาเกิ ดขึ้ น เป นวิ ญ ญาณที่ อายตนะนั้ น ๆ เช นกระทบทางตา ก็ เกิ ดวิ ญญาณทางตา; ความประจวบกั นของ ๓ อย างนี้ เรี ยกว า ผัสสะ นี่ตองจําใหแมน. อย าถื อเอาแต เพี ยงว าตากั บรู ป กระทบกั น จึ งจะเป นผั สสะที่ สมบู รณ เพราะ พระพุ ทธเจ าท านไม ได ตรัสอย างนั้ น ท านตรัสว าอาศั ยตากั บรูปย อม อุ ปฺ ปชฺ ชติ คื อเกิ ดขึ้ น แห งจั กขุ วิ ญ ญาณ คื อการเห็ นของตา ติ ณฺ ณํ ธมฺ มานํ สงฺ คติ ผสฺ โส-การมาพร อมกั น หรือมาถึงกันเขาของสิ่งทั้ง ๓ นี้เราเรียกวาผัสสะ. คํ าว า ผั สสะ คื อการกระทบแล วต องมี ๓ ส วน ตาส วนหนึ่ ง, รู ปส วนหนึ่ ง, การเห็ น รู ป ทางตานั้ น อี ก ส ว นหนึ่ ง , เป น ๓ ส ว น เรี ย กว า ผั ส สะ. ให จํ า ความข อ นี้ ไว ตลอดชี วิ ตดี กว า ถ ายั งอยากจะศึ กษาเรื่ องธรรมะต อไป; เรื่ องของตากั บรู ปเป นอย างไร เรื่ อ งของหู กั บ เสี ย ง จมู ก กั บ กลิ่ น ฯลฯ ก็ เป น อย า งนั้ น ; นี่ ไ ปพิ จ ารณาเอาเองได . การแสดงธรรมะ จะยกตั ว อย า งแต เพี ย งคู แ รกเท า นั้ น คื อ ตากั บ รู ป เท า นั้ น ใช คํ า ว า ตากับรูปเปนตน แลวเหลืออีก ๕ คู ก็ไปคิดเอาเองได มันเหมือนกัน.

www.buddhadasa.info ในที่ นี้ สรุ ปไว เป นกลาง ๆ ว า ผั สสะ, จะคู ไหนก็ ได เรี ยกว า ผั สสะ ทั้ งนั้ น; แล วผั สสะนั่ นแหละเป นตั วสํ าคั ญ เป นตั วอะไรไปทั้ งหมด ที่ เป นป ญหาสํ าหรั บมนุ ษย เดี๋ ยวก็ จะมองเห็ น เพราะว าจะพู ดเรื่ องนี้ โดยละเอี ยดในวั นนี้ . แม กระทั่ ง ท านทั้ งหลาย ต องมานั่ งจั บกลุ มกั นอยู ที่ นี่ ก็ มี เหตุ มี ป จจั ย มี มู ลรากแท จริ งมาจากสิ่ งที่ เรี ยกว าผั สสะ จะคิดไปพลางก็ได เดี๋ยวก็จะพูดใหเห็น เพราะจะตองพูดไปตามลําดับ :-


ปรมัตถสภาวธรรม

๒๗๒

สิ่งทั้งปวงเกิดมาจาก ผัสสะ สิ่ งทั้ งปวงเกิ ด มาจากผั ส สะ นี่ เป น บทตั้ ง, แล วสิ่ งทั้ งปวงคื อ อะไร? ก็ จะ แจกให เห็ น ตามลํ าดั บ ว า มี อะไรบ าง, แล วก็ จะชี้ ให เห็ น ว า ทุ กสิ่ งนั้ น มั น มาจากผั ส สะ ทั้งนั้น; แลวผัสสะนั้นก็มาจากอายตนะ ในการกระทบกันระหวางอายตนะ. คํ าวา ผั สสะ แปลว า การกระทบ มั นมี อยู ๓ ประเภทด วยกั น. ขอให ฟ ง ให ดี การกระทบทางตา เช น ตากระทบรู ป เป น ต น อย างนี้ จะมี อ ยู ๓ ประเภท หรื อ ๓ ชนิดดวยกันอยู :ประเภทที่ ๑ การกระทบตามธรรมชาติ อยางที่ เรียกวาปกติ สั มผั ส หรือวา ธรรมชาติ สั ม ผั ส ก็ ได คื อ ตากระทบกั บ รู ป อยู ต ามธรรมชาติ ไม มี อ ะไรมากกว านั้ น ; อย างเช นเดี๋ ยวนี้ ทุ กคนก็ ไม ได ตาบอด และตาก็ ลื มอยู ตาก็ เห็ นรู ปอยู มองไปทางไหน ก็ เห็ น รู ป อย างใดอย างหนึ่ งอยู นี่ เรี ย กว า สั ม ผั ส ตามปกติ ต ามธรรมชาติ . นี่ อ ย างหนึ่ ง ซึ่งโดยมากก็จะเปนอยางนี้.

www.buddhadasa.info ส วนประเภทที่ ๒. นั้ น จะเรี ยกว า อวิ ชชาสั มผั ส คื อตาเห็ นรู ป เป นต น; แล ว ไม มี ค วามรู มี แ ต ค วามโง , แล ว ไม มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะควบคุ ม จิ ต ใจ, ถู ก อวิ ช ชา ความโง เข า มาผสมเข า ไปในสั ม ผั ส นั้ น ; สั ม ผั ส นี้ จ ะต อ งเรี ย กชื่ อ ใหม แ ล ว ว า อวิ ช ชา สัม ผัส . อยา งที ่ห นึ ่ง เมื ่อ ตะกี ้นี ้ พูด วา ปกติส ัม ผัส ยัง ไมพ ูด ถึง อวิช ชา อวิช ชา ก็ ยั ง ไม เกิ ด . พวกอื่ น เขาสอนว า อวิ ช ชาเกิ ด อยู ต ลอดเวลา ; แต อ าตมาไม ส อน อยา งนั ้น เชื ่อ คํ า พระพุท ธเจา ; เพราะพระพุท ธเจา ทา นตรัส วา “แมอ วิช ชาก็ เพิ่ งเกิ ด”. เกิ ดเมื่ อไร? เกิ ดเป นคราว ๆ ไป เมื่ อมี การกระทบทางอายตนะแล วเผลอสติ . เมื่ อใดตาเราเหลื อบไปเห็ นรู ป รู ป ใดรู ป หนึ่ ง เกิ ดการเห็ นทางตาขึ้ นมาแล ว, แล วรู ปนั้ น มีความหมายมากที่สุดสําหรับผูนั้น. เชน เห็นรูปที่นารักสําหรับผูนั้น หรือรูปที่นาเกลียด


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๗๓

สํ า หรั บ ผู นั้ น หรื อ รู ป ที่ ยั่ ว ยวนเฉพาะผู นั้ น ; ผู นั้ น มั น ก็ ไม เพี ย งแต เห็ น เฉย ๆ เขาถู ก อวิ ชชา ความที่ ไม รู ตามที่ เป นจริ งครอบงํ าแล ว เขาก็ เกิ ดความรั ก พอใจในรู ปนั้ นบ าง, หรื อว าเขาเกิ ดความเกลี ยดในรู ปนั้ นบ าง, เกิ ดความโกรธในรู ปนั้ นบ าง, เกิ ดความกลั ว ในรู ปนั้ นบ าง; สั มผั สอย างนี้ เรียกว า อวิ ชชาสั มผั ส คื อสั มผั สลงไปด วยอํ านาจอวิ ชชา นี่เรียกวาสัมผัสประเภทสี่สอง หรือชนิดที่สอง. ประเภทที่ ๓. ก็ตรงกันขาม คือมี สติ สั มปชั ญญะอยู มี ความรูอยู แลวมี การสั ม ผั ส สิ่ งนั้ น ด วยวิ ช ชา คื อ ด ว ยความรู แ ละรู สึ ก ตั ว. อย างนี้ สั ม ผั ส แล วไม รู สึ ก รั ก ไม รู สึ กโกรธ, เกลี ยด, หรื อกลั วอะไร; กลั บ รู แจ งไปในทางว า นี้ คื ออะไร, นี้ เกี่ ยวข อ ง กั บ เราอย า งไร, นี่ เราจะต อ งทํ า อย า งไร, หรื อ ว า เราจะไม ต อ งทํ า อะไรเลยกั บ สิ่ ง นี้ ; รูดีอยางนี้. สัมผัสอยางนี้จะเรียกวา วิชชาสัมผัส. ขอให จํ าไว ว า ที่ เรี ยกว าสั ม ผั ส -สั ม ผั ส นี้ ตามปกติ เราสั ม ผั ส กั น อยู เรื่ อ ย ไม เกิ ด อะไร อย างนี้ มั น ก็ ต ายด า น เพี ย งแต ว าสั ม ผั ส แล วก็ แ ล ว กั น อวิ ช ชาไม เข า มาช ว ยผสม. ทางหู ก็ เหมื อ นกั น เราได ยิ น เสี ย งนก เสี ย งอะไรอยู ไม มี ค วามรู สึ ก มากไปกว า ได ยิ น , ทางจมู ก ก็ เหมื อ นกั น จะได ก ลิ่ น อะไรอยู ก็ แ ล ว กั น ไป; อย า งนี้ ก็เ รีย กวา ปกติส ัม ผัส ไมเ กิด เรื ่อ งอะไร และในชีว ิต ธรรมดาสามัญ ทั ้ง วัน ทั ้ง คืน ก็มักจะเปนอยางนี้.

www.buddhadasa.info ในบางครั้ ง เป นพิ เศษ การเห็ นทางตาเป นต นนั้ น ได โอกาสประจวบเหมาะ คืออารมณ นั้นมันมีความหมายแกผูนั้นขึ้นมา ซึ่งอารมณ เปนที่ตั้งแหงความรัก, อารมณ เป น ที่ ตั้ งแห งความโกรธ, อารมณ เป น ที่ ตั้ งแห งความกลั ว, หรื อ อะไรก็ ได . แล วเขาก็ เผลอสติ, เขาก็ไมมีความรูทันสิ่งเหลานี้.


๒๗๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ความโง หรื อ อวิ ช ชา ก็ ไ ด โอกาสเกิ ด ขึ้ น ในขณะนั้ น ทํ า ให สั ม ผั ส นั้ น สั มผั สลงไปด วยอํ านาจอวิ ชชาอี กครั้ งหนึ่ ง ไม ใช สั มผั สเฉย ๆ; นี้ ก็ นั บว ามี มากเหมื อนกั น แต ไม ใช มากเหมื อนกั บอย างที่ แรก; แต ก็ ยั งมากกว าอย างที่ สามที่ เรี ยกว า วิ ชชาสั มผั ส คื อน อยครั้ งละที่ เราจะมี สติ สั มปชั ญ ญะพอ ที่ จะไม หลงรั ก หลงเกลี ยด หลงกลั ว หลงทึ่ ง หลงสงสัย หลงวิตกกังวลในสิ่งใด ๆ อยางนี้. การมี สติ สั มปชั ญ ญะรู สึ กตั ว นี้ เป นวิ ชชาสั มผั สของพระอริ ยเจ ามากกว าของ ปุ ถุ ชนคนธรรมดา ปุ ถุ ชนคนธรรมดาจะสั มผั สด วยอวิชชาเสียเรื่อย; สวนพระอริยเจ า หรื อผู ที่ เสร็ จกิ จแล ว คื อเป นพระอรหั นต แล วนั้ น จะมี การสั มผั สด วยวิ ชชาทั้ งนั้ น เพราะ ท า นมี วิ ช ชาอยู เป น ปกติ มี ส ติ อ ยู เป น ปกติ ; แม พ ระอริ ย เจ า ขั้ น ต น ๆ ท า นก็ เริ่ ม เป น อย างนั้ น แม จะไม สมบู รณ เรี ยกว ามั นเป นเรื่ องของพระอริ ยเจ า ที่ จะมี วิ ชชาสั มผั สใน สิ่งทั้งปวง. นี่ คนเราอย างดี ที่ สุ ดก็ จะเป นสาวกของพระอริ ยเจ า คื อพยายามทํ าตามพระอริ ย เจ า เราจึ งหั ด ที่ จ ะมี วิ ช ชาสั ม ผั ส ทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางผิ วหนั ง แม จะนอนคิ ด นอนนึ ก ก็ ให มั นคิ ดนึ กไปด วยสติ สั มปชั ญ ญะ เป นวิ ชชาสั มผั สทางมโน; แล ว ก็ จ ะรู ว า ไม ต อ งคิ ด ไม มี เรื่ อ งที่ จ ะต อ งคิ ด มากมายอะไร, ไปคิ ด ให มั น เป น โรค เสนประสามเปลา ๆ. แตวาคนไมรูความจริงขอนี้ มันทนไมได ก็ทําไปจนเกิดเปนผลราย.

www.buddhadasa.info นี้ เป นเรื่องของสั มผั สช วยจํ าไวให ดี ๆ ว าต องมี อยู ถึ ง ๓ ชนิ ด คื อชนิ ดที่ หนึ่ ง สั มผั สตามปกติ ธรรมดาไม มี เรื่ องราวอะไร เรี ยกว า ปกติ สั มผั ส ก็ ได ; คํ านี้ ไม มี ในพระ บาลี แต มี เรื่ องราวที่ กล าวไว พอให จํ ากั ด ความได ว า สั ม ผั สตามธรรมดา ไม ป รุ งแต ง เป น กิ เลสตั ณ หาอะไร. สั ม ผั ส ชนิ ด ที่ ส อง คื อ สั ม ผั ส ด ว ยความโง จํ า ง า ย ๆ อย า งนี้ . สั ม ผั ส ชนิ ด ที่ ส ามก็ คื อ สั ม ผั ส ด วยความฉลาด และอย างรู สึ ก ตั ว มั น ก็ ไม เหมื อ นกั น ไมมีทางที่จะเหมือนกัน.


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๗๕

อาตมาจึ งเรี ยกชื่ อบั ญญั ติ ให จํ ากั นง าย ๆ ว า ปกติ สั มผั ส อย างหนึ่ ง อวิ ชชา สั ม ผั ส นี่ อย างหนึ่ ง, และวิ ช ชาสั ม ผั ส นี่ อ ย างหนึ่ ง. แล วก็ อ ย าให มั น อยู ที่ อ าตมาว า หรื อ ในหนั ง สื อ ; ต อ งไปหาให พ บที่ ตั ว เอง ที่ มี อ ยู ทุ ก วั น ทุ ก วั น ทั้ ง หลายวั น และ กลางคืน แตละคนจะตองมีสัมผัสสามอยางนี้. ที นี้ เราก็ ดู เฉพาะอย างที่ สอง ซึ่ งเป นตั วร าย เป นป ญ หา เป นอะไรขึ้ นมา หรื อ เป น ทุ ก ข ใ นที่ สุ ด . สั ม ผั ส ปกติ นั้ น มั น ก็ ไ ม ทํ า อะไรแล ว , คื อ ว า ถ า มั น เป น วิ ช ชา สัม ผัส เสีย มัน ก็ไ มม ีโ ทษ มีท ุก ข มีอ ัน ตรายอะไร. ที ่ว า นา กลัว หรือ อัน ตราย รายกาจที่ สุ ดนั้ นมั นคื ออวิ ชชาสั มผั ส เหลี ยวไปเห็ นทางตานั้ น เดี๋ ยวไปรักก็ มี เกลี ยดก็ มี , กลัวก็มี อะไรก็มี นี่เปนสัมผัสที่ตองสนใจ. ที นี้ สิ่ งทั้ ง ปวงเกิ ด มาจากผั ส สะ เกิ ด มาจากสั ม ผั ส คํ า ว า “เกิ ด -เกิ ด ” นี้ หลายความหมาย : เกิ ด หรื อคลอด ออกมาโดยตรงอย างนี้ ก็ มี , มี เกิ ดทางความหมาย ทํ า ให , มี ค า หรื อ มี ค วามหมายขึ้ น มา อย า งนี้ ก็ มี . เช น ว า ความหนาว ความร อ น อย า งนี้ มั น มี อ ยู ต ามธรรมชาติ มั น ไม มี อ ะไรเรา; แต พ อเราไปสั ม ผั ส มั น เข า มั น กลายเป น ของมี ค า มี ค า ว า มั น เป น ของเย็ น หรื อ เป น ของร อ นขึ้ น มาทั น ที . อย า งนี้ เรียกวาคุณคาแหงสิ่งนั้นเกิดขึ้นมาทันที เพราะเหตุที่มีการสัมผัส อยางนี้ก็เรียกวา โดยออม.

www.buddhadasa.info ถ าโดยตรง ก็ เช นว า สั มผั สแล วก็ เกิ ดรู สึ กเป นเวทนา เวทนาแล วก็ เกิ ด ตัณหา อุปาทาน; นี้เรียกวาสัมผัสคลอดออกมาโดยตรงเปนสิ่งนั้น สิ่งนี้.

ที่ วาโดยอ อ มนั้ น มั น หมายความวา สั ม ผั ส นั่ น ทํ า ให มี ค า ขึ้ น แก สิ่ งนั้ น สิ่ งนี้ , หรื อทํ าให เกิ ดความหมายขึ้ นมาแก สิ่ งนั้ นสิ่ งนี้ โดยเฉพาะอย างยิ่ ง คื อโลกทั้ งหลายนี้ ทั้ งโลก กี่ โลกก็ ต ามใจ; ถ าเรา มนุ ษ ย ไม มี การสั ม ผั สโลกนี้ ได โลกนี้ ก็ ไม มี ความหมาย มันก็เทากับไมมี.


๒๗๖

ปรมัตถสภาวธรรม

นี่ ข ออย า ให เป น เรื่ อ งพู ด เปล า ๆ ไปศึ ก ษาสั ง เกตจนเข า ใจว า อ า ว, โลก ทั้ งหลาย สิ่ งทั้ งหลายในโลกนี้ มั นกลับมี ความหมาย มี ค าขึ้ นมาก็ เพราะวามนุ ษย ไป สั มผั ส, หรื อมนุ ษย อาจจะสั มผั ส คื อมี การสั มผั สโดยมนุ ษย . ถ าขาดสิ่ งที่ เรียกว าสั มผั ส อย างเดี ยวเท านั้ น โลกไม มี ความหมาย ฉะนั้ น จึ งมองดู ไปยั งโลกทุ กโลก แล วพิ จารณา ดู ว า มั นมี ขึ้ นมาเพราะการสั มผั ส, มี ค าขึ้ นมาเพราะการสั มผั ส, มี ป ญ หายุ งยากขึ้ นมา เพราะการสัมผัส อยางไรกัน.

พิจารณา “โลก” ตามคัมภีรวิสุทธิมรรค ถ า พู ด ถึ ง คํ า ว า “โลก” ก็ อ ยากจะยื ม คํ า ในหนั ง สื อ ชั้ น หลั ง เช น คั ม ภี ร วิ สุ ท ธิ ม รรค เป น ต น เอาคํ า ในหนั ง สื อ นั้ น มาใช แต อ ธิ บ ายใหม เ สี ย บ า งในบาง กรณี หรื อ ทั้ ง หมดในบางกรณี ; เขามี คํ า เรี ย กว า โอกาสโลก สั ต วโลก, สั ง ขารโลก, ๓ คํา. โลกที่ ๑. โอกาสโลกในที่ นี้ อยากจะอธิ บ ายว า โลกที่ มั น กิ นเนื้ อที่ คํ าว า โอกาสะ แปลว า เนื้ อที่ หรื อเนื้ อที่ ว าง สํ าหรั บ ให มี อะไรมากิ น เนื้ อ ที่ นั้ น ตรงกั บ คํ าว า space มั น ต อ งมี ; แล ว สิ่ ง ต า ง ๆ มั น จึ ง จะกิ น เนื้ อ ที่ หรื อ รุ ก ล้ํ า space อั น นี้ . สิ่ ง ใด ที่ มั นเป นของกิ นเนื้ อที่ รุ กล้ํ า space นี้ แล ว อั นนั้ นเรี ยกว าโอกาสโลก ลั กษณะอย างนี้ คื อแผ นดิ นนี่ แหละ แผ นดิ นที่ ประกอบไปด วยนั่ นนี่ ทั้ งหลาย เป นตั วโลกกลม ๆ The globe นี่ , ไม ใช The world; The globe เฉย ๆ นี่ ละ The earth เฉย ๆ นี่ คื อ โอกาสโลก. มั น เป น เพี ย งของแข็ งอั น หนึ่ ง ที่ กิ น เนื้ อ ที่ อ อกไปเท า นั้ น . โลกอย า งนี้ คื อ วั ต ถุ ล ว น ๆ, ไม เล็ ง ถึ ง จิ ต ใจเลยก็ ได เรี ย กว า โอกาสโลก-โลกแต ง การกิ น เนื้ อ ที่ คื อ โอกาสก็ เป น วั ต ถุ ล ว น ๆ. โลกวั ต ถุ ล ว น ๆ นี้ มี ค า ก็ เพราะว า มนุ ษ ย ไ ปสั ม ผั ส มั น ได ; ถ า มนุ ษ ย สัมผัสไมไดก็ไมมีคาอะไร เดี๋ยวนี้โลกนี้มีคาเพราะมนุษยไปเกี่ยวของไดดวยการสัมผัส

www.buddhadasa.info


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๗๗

ทาง ตก หู จมู ก ลิ้ น กาย อะไรก็ ตาม, ก อนโลกล วน ๆ นี่ เกิ ดเป นของมี ค าขึ้ นมาได เพราะการที่มนุษยสัมผัสได และตองสัมผัสอยูดวย. โลกที่ ๒. ที่ เรียกว า สั ตว โลก โลกคื อ หมู สั ตวนี่ เขาอธิ บายกั นอย างอื่ น ก็ ต ามใจเขา; อาตมาวา สั ต ว โลก นี่ คื อ วา โลกกิ เลส คื อ โลกแห งความรูสึ ก ใน จิตใจที่ เข าไปเกี่ ยวของกั บสิ่ งนั้ น ๆ. ก็ อยากจะเอาตามตั วหนั งสื อ คํ าวา สั ตต หรือ สั ตว แปลว า เกี่ ย วข อ ง สั ต ว โลก คื อ โลกแห ง การเกี่ ย วข อ ง, สิ่ ง เกี่ ย วข อ งนั้ น คื อ กิ เลส ฉะนั้ น สั ตวโลก คื อโลกของสิ่ งที่ มี กิ เลส : มนุ ษย ก็ มี กิ เลส เทวดาก็ มี กิ เลส พรหมก็ มี กิ เลส แล วก็ ยั งเป นโลกอยู ด วยกั นทั้ งนั้ น. นี่ เรียกวาสั ตวโลก; ไม ได หมายถึ ง ก อนดิ น, กอ นหิน , ตัว โลกแลว . แตห มายถึง หมู ส ัต ว, และก็ห มายโดยเฉพาะถึง สัต ว ที่ มี กิ เลส กิ เลสที่ มี อ ยู ในจิ ต ใจของสั ต ว . กลุ ม นี้ เรีย กว า สั ต วโลก มั น เป น สั ต วโลก ขึ้นมาได โลกคื อหมู สั ตวขึ้นมาได คื อมี การเกี่ยวของด วยกิเลสได ก็ เพราะมี การสัมผัส; ถาไมมีการสัมผัสทางใดทางหนึ่งแลว กิเลสไมมีทางจะเกิด. กิเลสนี้เปนของใหมหยก ๆ เพิ่ ง เกิ ดมาเมื่ อมี การสั มผั สในทางอายตนะ; ฉะนั้ น เราจึ งเป นสั ตว โลก ต อเมื่ อเรามี เนื้ อมี การสัมผัสทางอายตนะ.

www.buddhadasa.info บางที เราก็ เป นมนุ ษย มี ใจคอปกติ อย างมนุ ษย ทํ าอะไรไปตามมนุ ษย เรีย กวา เกิด เปน สัต วโลกอยา งมนุษ ย. บางทีเ ราหิว , เรากระหาย เพราะกิเลส มี ความหิ ว มี ตั ณ หา เราก็ เป นเปรตอยูในสั ตวโลกนี้ อย างเปรต. บางที เราก็ โง ไม มี ปญญาเสียเลย โงอยางไมมีเหตุผล เวลานั้น เราก็เปนสัตวเดียรัจฉาน เปนสัตวโลกอยู ในโลกนี้. บางทีเราจะรอนใจเหมือนสัตวนรก เปนสัตวนรกอยูในสัตวโลกนี้. บางทีก็ เป นอสุรกาย คือขี้ขลาด ไมมีเหตุผล ก็เปนอสุรกาย เปนสัตวโลกแบบอสุรกายอยูใน โลกนี้ . บางที โชคดี ประจวบเหมาะ ไม มี ทุ ก ข ร อ นเล น หั ว ราเริงกั น ได เต็ ม ที่ ก็ เป น เทวดา อยางนี้อยูในโลกนี้. ก็เปนสัตวโลกนี้.


๒๗๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ทั้ งหมดนี้ กี่ อ ย า งก็ ต ามเถอะ ยั งแจกออกได อี ก มาก นี้ รวมเรี ย กกั น สั้ น ๆ ว า “สั ตว โลก” คํ าเดี ยว คื อโลกแห งการเกี่ ยวข องด วยกิ เลส เกาะเกี่ ยวด วยกิ เลส. โลกชนิ ดนี้ ก็ ม าจากการสั ม ผั ส เพราะว าถ าไม มี การสั ม ผั ส ก็ ไม มี ท างจะเกิ ด กิ เลส เป น อั น ว าโลก ที่สองก็มีขึ้นมา เกิดขึ้นมา หรือ มีคาขึ้นมาก็เพราะวามันมีการสัมผัส. โลกที่ ๓. ก็ เรี ย กกั น ว า สั ง ขารโลก เขาจะอธิ บ ายกั น อย า งอื่ น ก็ ต ามใจ ; อาตมาจะระบุ ไปยั งว า อาการที่ มั น ปรุ งแต งไม รู ห ยุ ด . คํ าว า “สั งขาร” นี่ แปลว า ปรุ ง แต ง เรื่ อ ย; สั ง ขารโลก คื อ โลกแห ง การปรุ ง แต ง เรื่ อ ย. ปรุ ง แต ง เรื่ อ ย นี่ ห มายความ ว า จากสิ่ ง นี้ ให เ กิ ด สิ่ ง นั้ น , จากสิ่ ง นั้ น ให เ กิ ด สิ่ ง นู น , จากสิ่ ง นู น ให เ กิ ด สิ่ ง โน น ตอไปอีก; มันไมไดเกิดไดตามลําพัง มันจะเปนไปอยางนี้เรื่อยไป. การปรุ งแต งนี้ เราหมายเฉพาะกิ ริ ย าอาการที่ มั น ปรุ งแต งกั น ในลั ก ษณะ ของกรรม, หรื อว า ไม เกี่ ย วกั บ กิ เลส ก็ เรี ยกว ามั น เป น ปฏิ กิ ริ ยาที่ เกิ ด ขึ้ น ทะยอยกั น ไป ก็ เรี ย กว า สั ง ขารได ทั้ ง นั้ น เป น โลกแห ง การปรุ ง แต ง ได ทั้ ง นั้ น . แล ว มั น ก็ มี อ ยู ที่ ในโลกนี้ ในพื้นโลกนี้ หรือวาในตัวคน หรือในตัวสัตว หรือในทุกสิ่ง.

www.buddhadasa.info เช นว า โลกจะต องมี อะไรอย างหนึ่ งอยู ก อน ซึ่ งเราก็ ยั งไม รู ว าอะไรในแผ นดิ นนี้ มี น้ํ า แล ว ก็ มี แ สงอาทิ ต ย เป น ป จ จั ย ให น้ํ า ระเหยขึ้ น ไปเป น ไอ. นี่ ก็ เรี ย กว า ปรุ ง แต ง ให น้ํ า เกิ ด ไอน้ํ า ไอน้ํ า ก็ ล อยขึ้ น ไปจนไปเกิ ด เมฆ; อย า งนี้ ก็ เรี ย กว า ปรุ ง แต ง ให เกิ ด เมฆ โดยไอน้ํ า ; แล ว เมฆนั้ น รวมตั ว หนั ก เข า ๆ ก็ ถึ ง โอกาสอั น หนึ่ ง มั น ก็ จ ะกลายเป น น้ํ า ฝน เรี ย กว า ปรุ ง แต ง ให เ กิ ด น้ํ า ฝนโดยเมฆ . น้ํ า ฝนตกลงมา แผ น ดิ น เป ย ก. นี้ ก็ คื อ การปรุ ง แต ง ให แ ผ น ดิ น เป ย ก เมื่ อ แผ น ดิ น เป ย ก แล ว แผ น ดิ น ก็ ป รุ ง แต ให เกิ ด พื ช , เกิ ดชี วิ ตและอะไรตามเรื่ อง แล วหล อเลี้ ยงสิ่ งเหล านี้ หมุ นเวี ยนเปลี่ ยนแปลงไปไม รู จั กจบ นี่แหละสังขารโลกฝายขางนอก คือทางวัตถุ.


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๗๙

ทีนี้ สั งขารโลกข างใน ฝายจิตใจ คือความรูสึ ก แม แตตั วชีวิตมันก็ไดรับ การปรุงแต งอย างนี้ ไม มี หยุ ด; คื อความรูสึ กของสิ่ งมี ชี วิ ต นั่ นแหละสํ าคั ญ . สิ่ งที่ มี ชีวิตมันมีความรูสึก ความรูสึกเกิดเมื่อมีการกระทบ; พอมี การกระทบก็ป รุงแตง. โดยเฉพาะอย างยิ่ ง เหมื อ นกั บ ที่ เราพู ดเสร็ จไปหยก ๆ นี้ ว า พอมี การกระทบทางตา ก็ เกิ ดจั กษุ วิญ ญาณ คื อการเห็ นทางตา, แล วเป นไปในกรณี ของอวิชชาสั มผั ส เพราะ ไมมีความรูแลปราศจากสติ ก็เกิดการปรุงใหเกิดสัมผัสชนิดอวิชชาสัมผัส คือสัมผัสดวย อวิ ชชา. นี้ พอสั มผั สด วยอวิชชาแล วไม ต องสงสั ย มั นจะไปสุ ดโต งที่ ความทุ กข ; เมื่ อ สั มผั สด วยอวิชชา ก็ เกิ ดเวทนาชนิ ดที่ มาจากสั มผั สด วยอวิ ชชา. เวทนาที่ มาจากสั มผั ส ดวยอวิชชา คือความโง ก็ยอมสงใหเกิดตัณหาเทานั้นแหละ. ตัณหานี่คือความอยากชนิดที่เปนกิเลส ความอยากที่เปนกิเลส ตองมา จากความโง; ความอยากที่ไมได มาจากกิเลสนั้นไม เรียกวา ตัณหา ไม เรียกวา กิเลส เปนความอยากตามธรรมดา ไมเรียกวาความโลภดวย. แตที่อื่นเขาอาจจะสอนวา ถาขึ้นชื่อวาความอยากแลว เรียกวาความโลภทั้งนั้นแหละ, ถาขึ้นชื่อวาความอยากเรียก วากิเลส วาตัณหา ทั้งนั้นเลย. อาตมาไมแนะอยางนั้น เพราะตามหลักของพระพุทธเจา ความอยากที่จะเรียกวา ความโลภ หรือตัณหาไดนั้น ตองมาจากอวิชชา เพราะมัน แน ลงไปว ามั นอยากเพราะความโง มั นจึ งจะเป นความโลภ หรือตั ณหา; ถ าอยากด วย สติป ญญา รูสึกผิดชอบชั่วดี ในหนาที่อยางนี้ ความอยากนั้นไม ใชตัณหา ไมใชความโลภ เปนความตองการที่ถูกตอง แลวควรจะกระทําตอไปถึงที่สุด.

www.buddhadasa.info เดี๋ยวนี้ ในกรณีนี้ เนื่องจากเวทนานั้นมาจากการสัมผัสดวยอวิชชา คือ ความโง แลวมันก็จะเกิด ตัณ หา คือความอยากและความโง; นี่ตั ณ หาก็ป รุงเป น อุปาทาน : อยากในสิ่งใดก็หมายมั่นในสิ่งนั้น ยึดมั่นในสิ่งนั้น, เกิดความรูสึกอยากแลว จะเกิ ดความรูสึ กวากู อยาก และมี สิ่ งที่ กู อยาก; สิ่ งที่ อยากนั้ นเป นตั วกู สิ่ งที่ กู อยากนั้ น เปนของกู.


๒๘๐

ปรมัตถสภาวธรรม

นี่ ก็ เกิ ดอุ ปาทานเป นตั วกู -ของกู ก็ เกิ ดความพร อมที่ จะเป นทุ กข มั น ก็ มี ความทุ ก ข เรี ย กว า สั ง ขารโลก คื อ โลกแห ง การปรุ ง แต ง ประเภทที่ เป น ชี วิ ต จิ ต ใจ; ปรุ งแต งด วย อํ านาจของการสั มผั สอวิ ชชา คื อความโง เรียกอี กที ว า การปรุ งแต งด วย กิเลส อยางนี้จะเรียกวาสังขารโลก, แลวจะไมเหมือนกันกับโลก ๒ โลกที่วามาแลว. โอกาสโลก นี่ โลกแผ น ดิ น ล วน ๆ, สั ต ว โลกนี่ โลกจิ ตใจที่ ป ระกอบไปด วย กิ เลส ความข อง คื อจิ ตใจที่ ประกอบอยู ด วยกิ เลสนี่ รวมกั นเรี ยกว าโลก, ที นี้ การปรุงแต ง ของสิ่ ง ที่ เป น เหตุ ป จ จั ย เหล า นี้ รวมทั้ ง จิ ต หรื อ ความคิ ด ของจิ ต ด ว ยนี้ เราจะเรี ย กว า สั ง ขารโลก. สั ง ขารโลกคื อ ส ว นที่ มั น เป น การปรุ ง แต ง , ภาวะที่ มั น เป น การปรุ ง แต ง , กระแสอะไรที่ มั น เป นการปรุ งแต งนี้ , เราเรี ยกว าสั งขารโลก ซึ่ งก็ ม าจากผั สสะ ถ าไม มี ผั ส สะก็ ไม มี ก ารปรุ งแต ง เพราะผั ส สะนี้ เองนั้ น ก็ เป น การปรุ งแต ง ก็ เป น อั น ว า ไม ว า โลกไหน ทั้ง ๓ โลกนี้ตองมาจากการปรุงแตง. บรรดาโลกทั้ ง หลาย จะมี กี่ ร อ ยโลก พั น โลก หมื่ น แสนโลกก็ ต าม มั น มี อยู เพี ยง ๓ ชนิ ดนี้ เท านั้ น หรื อว าอย างเดี ยว เป นได ทั้ ง ๓ ชนิ ดนี้ ก็ ได จึ งกล าวได เลยว า ไมวาโลกไหมหมด เมื่อมีความหมายขึ้นมา หรือคลอดออกมาก็ดวยอํานาจของผัสสะ ถ า เรี ย กอย า งปรมั ต ถ เราจึ งเรี ย กว า โอกาสโลก สั ต วโลก สั ง ขารโลก ; ถ า เราเรี ย ก อย า งคนธรรมดาเขาเรี ย กกั น เราก็ เรี ย กว า โลกมนุ ษ ย โลกเทวดา โลกนรก โลก มารโลก อะไรโลกมากมาเหลื อ เกิ น ; แต ลั ก ษณะแท จ ริ ง มั น จะมี อ ยู ส ามประการนี้ . ส วนที่ เป นวั ตถุ ก็ เป นโอกาสโลก ส วนที่ เป นจิ ตใจก็ เป นส วนสั ตวโลก และส วนที่ เป น อาการแหงการปรุงแตงก็เรียกวา สังขารโลก; ทุกโลกมาจากผัสสะ.

www.buddhadasa.info ฉะนั้ น ถ าว าโลกธาตุ นี้ ก็ มี ถึ งหมื่ นโลกธาตุ ทสฺ สหสฺ สสี โลกธาตุ พู ดในบาลี มี โลกธาตุ ถึ งหมื่ น หมื่ นหน วย หมื่ นโลกธาตุ มั นก็ ไม พ นจากนี้ , ก็ ไม พ นจากการเกิ ดมา จากผัสสะ โดยตรงบาง โดยออมบาง.


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๘๑

เทวโลก สมมติ ว ามี อ ยู บ นฟ า ไปทางบนโน น ; ถ าสมมติ ว ามี ก็ ม าจาก ผั สสะ เพราะที่ นั่ น มั น มี ค าขึ้ นมาเป น เทวโลก ก็ เพราะมั น มี ผั สสะ : มี ผั ส สะที่ น ารั ก น า พอใจ; คนที่ อ ยากจะไปเกิ ด ในเทวโลกชนิ ด นั้ น ก็ เพราะอยากในผั ส สะชนิ ด นั้ น ; หรือว าจะเกิ ดความอยากอะไรอย างนั้ น ก็ เพราะเคยเกิ ดสั มผั สอะไรขึ้ นมาในโลกนี้ ก อน หน านั้ น จึ งเกิ ดอยากจะไปสวรรค ขึ้ นมา ก็ เรียกวามั นมี เหตุ ป จจั ยอยู ที่ ผั สสะนั้ น. นี้ เรา พู ดที เดี ยว คลุ ม ๆ กั นทั้ งโลก ก็ ว า โลกทุ ก ๆ ชนิ ดของโลกเกิ ดมาจากผั สสะ มี ผั สสะ เปนปจจัย.

พิจารณา “โลก” ตามภาษาอริยวินัย ที นี้ เราจะแยกให มั นละเอี ยดออกไป ให เห็ นงายขึ้นไปอี ก ก็ ถื อตามสู ตรเช น นิพเพธิกสูตร เปนตน ที่พระพุทธเจาทานไดตรัสไว ทานทรงมุงหมายจะใหเห็นชัดลง ไปอีกวาแตละอยาง แตละอยางนั่นมันมาจากผัสสะ. เรื ่อ งที ่ห นึ ่ง สิ ่ง ที ่เ รีย กวา กาม กา - มะ หรือ กามนี ่, ซึ ่ง เปน ปญหาหนักในหมูมนุษยนี่. ถาหมายถึงความรูสึกที่อยูในใจคน เขาเรียกวากิเลสกาม, ความรูสึ กที่ ทํ าให กระสันหรือใครไปในทางกาม นั่ นแหละ เขาเรียกวากิ เลสกาม, กามกิ เลส คื อ กิ เลสในฐานะที่ เป น ตั ว กาม; นี่ ถ า มั น เป น วั ต ถุ ที่ จ ะเป น เหยื่ อ ของกิ เลสนั้ น เขา เรี ยกว า วั ต ถุ กาม หรื อกามคุ ณ มั น ก็ อ ยู ข างนอก เช น รูป เสี ยง กลิ่ น รส สั ม ผั ส นี่มันเปนกามคุณ กามขางในก็คือตัวกาม ตัวราคะโดยตรง.

www.buddhadasa.info กา - มะ โดยตรงอยางนี้ มีอยูเปน ๒ กาม : คือกิเลสกาม กับวัตถุกาม คื อวั ตถุ แห งกาม. กิ เลสกามก็ มาจากผั สสะ; ไม มี ผั สสะ ไม มี เรื่ องของผั สสะมาก อน แล ว กิ เลสเกิ ด ไม ได จะเกิ ด ความใคร ในสิ่ งใดขึ้ น มาไม ได ; เคยรูรส รูอั ส สาทะของ อารมณกอน ๆ แลวมันก็มีความหวัง มีความอยากที่จะไดตอไปอีก. อันนี้ก็เรียกวา


๒๘๒

ปรมัตถสภาวธรรม

กิ เลสกามนั้ นเกิ ดขึ้ นและถู กหล อเลี้ ยงไว เพราะว าเคยมี ผั สสะในสิ่ งนั้ น, ก็ แปลว ากิ เลสกามก็ ม าจากผั ส สะ มี รากฐานอยู บ นผั ส สะ แล วก็ จะเจริญ จะมี อ ยู ต อ ไปข างหน า ก็ตองอาศัยผัสสะ. ที นี้ กามคุ ณ ๕ คื อ รู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ ห าอย างนี้ พระพุ ทธเจ า ท า นตรั ส เรี ย กว า “โลกในอริ ย วิ นั ย ”, คื อ ว า เมื่ อ พระอริ ย เจ า พู ด กั น ว า โลก, โลก, โลก นี่ ละก็ หมายถึ งกามคุ ณ ๕ มิ ได หมายถึ งแผ นดิ น. ที่ เรี ยกว ากามคุ ณ บ าง เรี ยกว า วัตถุกามบาง นี้ก็มาจากผัสสะ มีความหมายขึ้นมาไดเพราะมีผัสสะ. คนที่มีผัสสะตอสิ่งนั้นมันครั้งแรก แลวก็ทําความหมายใหเกิดขึ้นตอสิ่งนั้น และตั วเองก็ มี ความยึ ดมั่ นเพราะผั สสะนั้ น อยากได ผั สสะชนิ ดนั้ น หรื ออยากได กามนั้ น ก็ เพราะมั นมี ผั สสะชนิ ดนั้ น; เพราะว าสิ่ งนั้ นมั นมี อั สสาทะ แปลว าเสน ห ที่ ยึ ดเหนี่ ยว ดึงดูดจิตใจ นี่บาลีเรียกวาอัสสาทะ. ทุกอยางจะมีอัสสาทะตามแบบของตัวไมมากก็นอย. ในกามคุ ณ ทั้ งหลายก็ มี อั สสาทะที่ เป นที่ ตั้ งแห งผั สสะ; แปลวากามคุ ณ ทั้ งหลายก็ ต องอาศั ยผั สสะ, ก็ ต องออกมาจากผั สสะ, เกิ ดความหมายขึ้ นมาด วยอํ านาจ ของผั ส สะ. พระพุ ท ธเจ า ท า นจึ ง ตรั ส ว า นิ ท านสั ม ภวะของมั น คื อ ผั ส สะ มู ล เหตุ เป น ที่ เกิ ด ขึ้ น มาของกามนั้ น คื อ ผั ส สะ; กามทั้ งหลายเป น อย า งนี้ . นี่ เราจะลองเอาไป คิ ด นึ ก ศึ ก ษา ว า ตั ว เราก็ ดี ไม ย กเว น , เพื่ อ มนุ ษ ย ทั้ งหลายในโลกนี้ ก็ ดี , มี ป ญ หาใน เรื่องนี้ มีสิ่งที่มารบกวน เปนสวนตัวเหมือนกับตกนรกอยูตลอดเวลา.

www.buddhadasa.info ที นี้ ส วนสั งคม ก็ มี การยื้ อแย งกามคุ ณ ; พู ดไม รั กษามรรยาทหน อย ก็ พู ดว า คอมมู นิ สต ก็ ต องการกามคุ ณ ประชาธิ ปไตยก็ ต องการกามคุ ณ มั นจะต างอะไรกั นในส วน นี้ เล า; ก็ แ ปลว าสั ต ว ทั้ ง หลายทั้ งปวงที่ กํ าลั งทํ าเรื่ อ งลํ าบาก ยุ งยากอยู ในโลกนี้ ล ว น มีมูลมาจากกาม ตองการกามเพื่อประโยชนแกตัวอยางใดอยางหนึ่งอยูดวยกันทุกฝาย.


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๘๓

การรบกั น นั้ น รบกั นเพื่ อฆ ากั นให ตาย รบกั นนี่ มั นรบเพื่ อฆ ากั นให ตาย การฆ ากั นให ตายนั่นนะ มั นเพื่ ออะไรตอไป? มั นก็เพื่ อสิ่ งที่ ตั วต องการ : ตองการเงิน ต องการอํ านาจ ต องการอะไร ก็ เรี ยกว าต องการ. แต ว าในที่ สุ ดก็ ต องการในสิ่ งที่ ตั วรั ก ตั วใคร เพราะเงินมั นกิ นได เมื่ อไร ต องเอาเงิ นไปหาซื้ อของที่ กิ นได หรือว าไปหาสิ่ งที่ ทํ า ให เกิ ดสั มผั สทาง ตา หู จมู ก กาย ใจ ได . ความต องการไปรวมอยู ที่ สิ่ งที่ เรี ยกว ากาม ที่ทําใหมนุษยรบกันทั้งโลกนี่, แลวรบกันมากกวาสัตวเดียรัจฉานเสียอีก. สั ตว เดี ยรั จฉานมั นไม ได รบกั นตลอดป ตลอดชาติ เหมื อนมนุ ษย เพราะมั นมี ความต องการส วนนั้ นมั นน อย และต องการจํ ากั ด; ส วนมนุ ษย ไม จํ ากั ด อาจนึ กได เรื่อย ปรารถนาไดเรื่อย สะสมไวไดไมมีที่สิ้นสุดก็ได ก็เลยไดรบกันเพราะสิ่งที่เรียกวา กาม. จะมองเห็นไดหรือยัง วาผัสสะนี้ เปนเหตุใหเกิดสิ่งที่เรียกวากาม โดยตรง ก็ได โดยออม ก็ ได, เกิดโดยคา โดยความหมายอะไร ก็ได. เรื่องที่สอง พระพุทธเจาทานตรัสวา สิ่งที่เรียกวา กรรม นี้ ก็เกิดมาจาก ผั ส สะ .คํ า ว า “กรรม” แปลว า การกระทํ า ด ว ยเจตนา; ถ า ไม ก ระทํ า ด ว ยเจตนา เรี ย กเสี ย ใหม ว า “กิ ริ ย า” ไม เรี ย กว า กรรม. ต อ เมื่ อ ทํ า ไปด ว ยเจตนา : เจตนาดี หรื อ เจตนาชั่ ว ก็ สุ ด แท ก็ เรี ย กว า กรรม เป น กุ ศ ลกรรม อกุ ศ ลกรรม หรื อ เป น อะไร ที่ พู ด ไม ไ ด ว า กุ ศ ลหรื อ อกุ ศ ล. ถึ ง แม ว า จะจั ด ว า กรรม ให ผ ลชาติ นี้ กรรมให ผ ล ชาติ หน า กรรมให ผลชาติ ถั ดไปก็ เถอะ, แล วแต กรรมชนิ ดไหน แจกไปอย างไร ๆ ก็ ตาม; กรรมนี้ตองมาจากผัสสะ ระบุใหชัดวาเจตนานั่นแหละ เปนตัวกรรม.

www.buddhadasa.info ที นี้ เจตนามาจากสิ่ งอื่ นไม ได จะต องมาจากการที่ เคยสั มผั ส หรือผั สสะ อะไรลงไปแลว; แลวที่จะเปนเหตุใหทํากรรมนี้ทําดวยความโง คือไมรูถึงที่สุดวา


๒๘๔

ปรมัตถสภาวธรรม

เราเวี ย นว า ยไปในวั ฏ ฏสงสารนั้ น เพราะอวิ ช ชา, หรื อ ความโง , หรื อ ไม รู ว า “ไม ค วร เลยที่ จ ะไปเที่ ย วเวี ย นว า ยในวั ฏ ฏะสงสาร”. ถ า รู เ สี ย แล ว ว า “ไม ค วรเลยที่ จ ะไป เวี ย นว ายในวั ฏ ฏสงสาร” ก็ จ ะไม อ ยาก ไม อ ยากจะทํ าอะไร, ไม อ ยากจะทํ าอะไรที่ มั น เปนกรรม; จะหยุด จะสงบ จะอยูเหนือกรรมนี่. แต เดี๋ ยวนี้ ยั งต อ งการ ยั งเจตนาที่ จ ะทํ ากรรม จะเสวยผลของกรรมตามที่ ตั ว อยาก; ถ า เผลอไปทํ า กรรมชั่ ว นั่ น ก็ เพราะว า มั น เข า ใจผิ ด สองชั้ น : ต อ งการใน สิ่ งที่ ตั วรั ก เมื่ อไม ได ตามที่ ตนต องการ จึ งไปทํ าชั่ ว ด วยหวั งว าจะได สิ่ งที่ ต องรั กอย างนี้ ; นี่ แ สวงหาสิ่ งที่ เขาต อ งการโดยผิ ด วิ ธี ซึ่ งเป น ชั้ น ที่ ส อง ก็ เรี ย กว าผั ส สะทั้ งนั้ น เป น เหตุ ใหเขาหลงรัก. การกระทํ ากรรม ต อ งทํ าด วยเจตนา เจตนานี้ อย างน อ ยก็ ต อ งมี ผั ส สะ ทางมโนกรรม คื อทางในใจเสี ยก อน มี ม โนกรรมในใจเสี ย ก อ น แล วจึ งมี เจตนาอะไรได , ก็ รู สึ ก นึ ก คิ ด ด ว ยสั ญ ญา ด ว ยความจํ า ด ว ยอะไรก็ ต าม เป น เรื่ อ งทางมโน อายตนะ ในทางข างในนี่ ก อน, สํ าเร็ จรู ปเป นสิ่ งที่ ตั วต องการอะไรแล วก็ มี เจตนาที่ จะทํ า อย างนั้ น; ฉะนั ้น กรรมทั ้ง หลายไมว า ชนิด ไหน ตอ งมาจากผัส สะ ไมม ีผ ัส สก็ไ มม ีเ จตนา ไมมีเจตนาก็ไมมีกรรม.

www.buddhadasa.info เรื่ อ งที่ ส าม พระพุ ท ธเจ าท านทรงแสดงให ชั ด ขึ้ น ไปอี กว า เวทนาล วนแต มาจากผั ส สะ; อย างนี้ เกื อ บไม ต องอธิ บ าย เพราะเราได ยิ น ได ฟ งกั น อยู เสมอแล วว า มี ผั ส สะแล ว ก็ มี เ วทนา. ถ า ผั ส สะนั้ น มั น เป น ปกติ ผั ส สะ ไม เกี่ ย วกั บ อวิ ช ชา มั น ก็ มี เวทนาชนิ ด ที่ ไ ม ค อ ยมี ค วามหมาย. เช น คนเราเหลื อ บตาไปเห็ น ต น ไม เห็ น อะไร อย างนี้ มั น ไม มี ค วามหมายอะไร ไม รํ าคาญตา หรื อ ไม ส บายตา หรื อ ไม อ ะไรมากมาย อะไร; เวนไวแตเมื่อมันมีอวิชชา มันจึงมีความหมายมาก. ทีนี้ เวทนาทั้งหลาย


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๘๕

ก็ ต อ งมาจากผั ส สะทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย ทางใจเองเสี ย ก อ น ไม มี ผั ส สะ เวทนามี ไ ม ได ; เป น อั น ว า ไม ต อ งอธิ บ าย ทุ ก ขเวทนาก็ ต าม สุ ข เวทนา ก็ตาม อทุกขมสุขเวทนาก็ตาม ตองมาจากผัสสะ. เรื่องที่สี่ คือสิ่งที่เรียกวาสัญญา เมื่อตะกี้ก็ไดพูดถึงหนอยหนึ่งแลวสําหรับ คํ า ว า สั ญ ญา แต ไม ไ ด พู ด ให ชั ด เจน; เดี๋ ย วนี้ จ ะพู ด แต หั ว ข อ ว า แม แ ต สิ่ ง ที่ เรี ย กว า สั ญ ญา ก็ ต องมี มู ลมาจากผั สสะ. คํ าวา “สัญ ญา” ในที่ นี้ เป นภาษาบาลี หมายถึ ง ความสําคัญมั่นหมาย แมสิ่งที่เรียกวา ความจําหมาย ก็รวมอยุในคําคํานี้. ส วนในภาษาไทยนั้ น คํ าว า “สั ญ ญา” เอาเป นประมาณไม ค อยได เพราะ มี ความหมายเปลี่ ยนแปลงไป เชน สัญญา กลายเป นหนั งสือสัญญา, หรือวาสั ญญา เป นการนั ดหมายตกลงกั นอย างนั้ นอย างนี้ ว า เราจะทํ าอะไรกั นระหว างเรา; อย างนี้ ก็ เรียกวาสัญญา แตในบาลีไมเรียกวาสัญญา. สัญญาในบาลีก็หมายความวา ความมั่นหมายดวยจิตใจวาอะไรเปนอะไร ลงไปด ว ยความโง คื อ ไม สํ า คั ญ มั่ น หมายว า มั น เป น ตามธรรมชาติ ; เพราะว า มั น เป น ไปตามธรรมชาติ จะไม เกิ ด เป น สั ญ ญาอะไรขึ้ น มาได ; มั น เฉยไปได มั น ไม เกิ ด ความมั่ น หมาย. ถ า เกิ ด ความมั่ น หมายแล ว ก็ เกิ ด เป น สั ญ ญาขึ้ น มา; เช น ของ เหล า นี้ เป น ของธรรมชาติ เรามี สั ญ ญาว า ไม ใ ช ธ าตุ ต ามธรรมชาติ ; แต เป น ต น ไม เป นสั ตว แล วก็ เป นของกิ นได เป นของขายได กระทั่ งเป นของกู ขึ้ นมา อย างนี้ เรี ยกว า สัญญา.

www.buddhadasa.info ถายังมีสัญญาวาตัวกู นี่เรียกวา อัตตสัญญา - สําคัญมั่นหมายวามีตัวมีตน, ไม มี ใ ครเกิ ด ความมั่ น หมายว า ไม มี ตั ว มี ต น หรื อ ไม มี อ ะไร. ถ า เป น สั ญ ญาแล ว มันลวนแตจะมั่นหมายวามีอะไรอยางใดอยางหนึ่ง ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง; เพราะ


๒๘๖

ปรมัตถสภาวธรรม

สั ญ ญานี้ แปลว า “สํ าคั ญ มั่ นหมายเอาด วยอวิ ชชา” : สํ าคั ญ ว าผู หญิ ง สํ าคั ญ ว าผู ชาย สํ าคั ญ ว าเป นผั ว สํ าคั ญ ว าเป นเมี ย; นี้ ล วนแต เป นสิ่ งที่ เรี ยกว า สั ญ ญาในความหมายของ ภาษาบาลี . มั่ นหมายอย างไรก็ ยึ ดถื ออย างนั้ น แล วก็ ต องการจะประพฤติ กระทํ าไปตาม ความหมายอั นนั้ น, แล วก็ เกิ ดความทุ กข เพราะความมั่ นหมายนั้ นไม อย างใดก็ อย างหนึ่ ง ถายังมีสัญญาอยางนี้ เรียกวายังมีความเขาใจผิด. ถ าเห็ นว าเป นธาตุ ไปตามธรรมชาติ เป นไปตามเหตุ ตามป จจั ยโดยถู กต อง อย างนี้ ก็ ไม เกิ ด สั ญ ญาอะไรขึ้ น . ที นี้ สั ญ ญานี้ มั นมาตามอารมณ คื อรู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ ; ต อ งมี รู ป สั ญ ญา-สั ญ ญาในรู ป , สั ท ทสั ญ ญา-สั ญ ญา ในเสี ย ง คั น ธสั ญ ญ า-สั ญ ญ าในกลิ่ น เป น ต น อย า งนี้ ก อ น; แล ว เกิ ด ความหมาย ในรู ป ในกลิ่ น ในเสี ย ง ในนั้ น ขึ้ น มาอย า งนั้ น อย า งนี้ . ตามกิ เลสของคนนั้ น . แล ว รู ปสั ญญา เป นต นนี้ ก็ ให เกิ ดเป นความสํ าคั ญมั่ นหมายว า สั ญญาว าชาย สั ญญาว าหญิ ง อิ ตถี สั ญญา ปุ ริ สสั ญญา สุ ขสั ญญา ทุ กขสั ญญา กระทั่ งเป นสิ่ งที่ เป นที่ ตั้ งแห งความยึ ดถื อ ที่ สุ ด ; ฉะนั้ น สิ่ งที่ เรี ย กว า สั ญ ญานี้ จะมี กี่ ร อ ยอย า งพั น อย า ง ก็ ม าจากผั ส สะทั้ งนั้ น เกิ ด ผั ส สะแล วเกิ ด เวทนาขึ้ น มาอย างไร แล ว สั ญ ญาจะเกิ ด ขึ้ น ในเวทนานั้ น ว าเป น อยางนั้น อยางนั้น; นี่สัญญาทุกอยางจะมาจากผัสสะอยางนี้.

www.buddhadasa.info อย าลื ม ว าอาตมาได พู ดแต ที แรกแล วว า วั น นี้ ไม พู ด เรื่ องอะไรนอกจากเรื่ อ ง ผัสสะคําเดียว เพราะวาทุกเรื่องทุกสิ่ง มันมาจากผัสสะเพียงสิ่งเดียว.

เรื ่อ งที ่ห า ตอ ไปก็พ ูด ถึง สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ทิฏ ฐิ; ทิฏ ฐิ ในที ่นี ้แ ปลวา “ความเห็ น ” คนเราทุ ก คนมี ค วามเห็ น ไม ไ ด ห มายถึ ง ทิ ฏ ฐิ ม านะ โดยตรง; ทิ ฏ ฐิ มานะก็ คื อ ความเห็ น ชนิ ด หนึ่ ง . แต คํ า ว า “ทิ ฏ ฐิ ” หมายกว า งออกไปหมด : ความคิ ด ความเห็ น ความเชื่ อ ความเข าใจอะไรของตั วที่ มี อ ยู เป นของตั วนั้ น อั น นั้ น เขาเรี ยกว า ทิฏฐิของบุคคลนั้น; เชื่ออยางไร เห็นอยางไร หลงไปอยางไร ก็เรียกวาทิฏฐิ


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๘๗

ของคนนั้ น . แยกได เป น พวก มิ จ ฉาทิ ฏ ฐิ คื อ มั น ผิ ด ความเห็ น ผิ ด , และสั ม มาทิ ฏ ฐิ ความเห็นถูก. มิจฉาทิฏฐินั้น แนชัดวามาจากผัสสะที่ประกอบดวยอวิชชา; เราสัมผัส สิ่ งใดในโลกนี้ ด วยอวิ ชชา แล วมั นก็ เกิ ดมิ ฉาทิ ฏฐิ ขึ้ นในใจเรา เราก็ เชื่ ออย างนั้ น ถื อ เป นหลักอย างนั้ น เป นมิ จฉาทิ ฏฐิประจําตั ว. นี่ เรียกวามิ จฉาทิ ฏฐินั้ น เกิ ดมาจากผัสสะ ดวยอวิชชา. ทีนี้ ถาเป นสั มมาทิ ฏฐิ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ ความเขาใจที่ถูกต อง นี้ก็มาจากผัสสะ แตตองมาจากผัสสะที่ประกอบดวยวิชชา. เชนวา เราไปสัมผัสสิ่งนั้น มันเป นอยูดวยวิชชา หรือความรูที่ ถูกต อง มันจึงเกิดเป นความรูที่ ถูกตอง แลวก็ถือเป น หลั ก แล วก็ เป น สั ม มาทิ ฏ ฐิ ขึ้ นมา. นี่ สั ม มาทิ ฏ ฐิ ก็ ต องมาจากผั สสะ ผั สสะนี่ เป น อี ก ชนิ ดหนึ่ ง มั นตรงกั นข ามกั บผั สสะด วยความโง เป นผั สสะด วยความฉลาด, ความรู . ทิฏฐิมิวาชนิดไหนก็ตามตองมาจากผัสสะ, ทิฏฐิธรรมดาสามัญ ซึ่งพอจะถอนได งาย ๆ นี้ ก็ มาจากผั สสะ, ทิ ฏฐิ ประเภทดิ่ งลึ ก เรียกว า อั นตคาหิ กทิ ฏฐิ ยากที่ จะถอน ที่จะคลายออกจากตัวนี้ ก็ตองมาจากผัสสะอยูนั่นเอง.

www.buddhadasa.info สรุปความวา ขึ้ นชื่ อวาทิ ฏฐิ แลว จะถู กหรือผิ ดก็ ตาม จะเปลี่ ยนได งาย ๆ หรื อ จะเปลี่ ย นไม ได จนตายก็ ตาม อย างนี้ มั น ก็ ม าจากผั ส สะทั้ งนั้ น . ไปมองดู สิ่ งที่ เรียกว าผั สสะ ที่ มั นทํ าให เราเป นคนโง หรือเป นคนฉลาดอยู หรืออะไรอยู จนทุ กวั นนี้ อย างน อยที่ สุ ด มั น ก็ ม าจากมโนสั ม ผั ส ; อาศั ยความรู ความจํ า แต เก าก อนนั่ นมา ปรุงใหม เกิ ด เป น ทิ ฏ ฐิ ขึ้ น มาก็ ได โดยไม ต อ งอาศั ย รูป ข างนอกเดี๋ ยวนี้ ก็ ยั งได . แต ว า สัญญาเกานั้น มันก็อาศัยรูปขางนอกคราวใดคราวหนึ่ง มาสรางขึ้นไวกอนแลวเหมือนกัน.


๒๘๘

ปรมัตถสภาวธรรม

เรื่ อ งที่ ห ก ดู ต อ ไป ถึ งสิ่ งที่ เรี ย กว ากิ เลส นี่ มั น ใกล ตั วข าศึ ก เข ามาทุ ก ที , กิ เลสนี่ คื อ ข า ศึ ก ของคน. เราคิ ด ว า พวกคอมมู นิ ส ต เป น ข า ศึ ก , ไม ถู ก ; แต กิ เลสของ คนคนนั้ น ซึ่ ง มี ค วามคิ ด อย า งนั้ น มี ค วามเชื่ อ อย า งนั้ น นั่ น แหละเป น ข า ศึ ก . เราดู แ ต ที่ ค น เราไม ดู ที่ ใ จคน; เพราะฉะนั้ น การที่ เราจะไปว า เขาชั่ ว นี่ อ ย า เพ อ ก อ น; กิ เลส ของเขาตางหากที่ชั่ว, เราไปดูที่กิเลสเขาซิ ก็จะพบกันแตความชั่ว. ในตึ ก นี้ เรามี รู ป ภ าพ ที่ เ ขี ย นว า “น้ํ า ไม ได ค ด ลํ า น้ํ า ต า งหามั น คด “ แม น้ํ าน ะ มั น คด; ถ าเราดู ที่ น้ํ า เราจะไม พ บความคด, แต ถ าเราดู ที่ ลํ าน้ํ าเราจึ งจะพบ ความคด. นี่ เ ราไม ค อ ยดู ที่ กิ เ ลสของคน; เราไปเหมาเอาคน. เปลื อ กคน เนื้ อ หนั ง คนนี้มันดี หรือ ชั่วไมได. กิ เลสนั่ น คื อตั วการ กิ เลสนี่ ก็ มาจากผั สสะ ไม มี มาจากทางอื่ นได ; โลภะ โทสะ โมหะ อะไรก็ ดี ล วนแต ม าจากผั สสะ : เพราะผั สสะอย างนี้ จึ งเกิ ด โลภะ, เพราะ ผั ส สะอย า งนี้ จึ ง เกิ ด โทสะ และเกิ ด โมหะ เป น ต น . แล ว ก็ ต อ งเป น อวิ ช ชาสั ม ผั ส คื อ สั ม ผั ส ด ว ยความโง ; มาททางตา มี ค วามโง สั ม ผั ส ออกไปแล ว เกิ ด เวทนา ชอบใจ, สั ญ ญา มั่ นหมายจะเอาให ได มั นก็ เกิ ดความโลภ; เห็ นได ว าความโลภมั นมาจากผั สสะ คือตั้งตนมันอยูที่ผัสสะ.

www.buddhadasa.info ที นี้ เมื่ อ ไม ได อ ย า งที่ คิ ด โลภก็ เกิ ด โทสะ นี่ มั น เป น สองชั้ น ขึ้ น มา. อย า เข า ใจว า โทสะมั น จะเกิ ด เองได ต ามลํ า พั ง ; โทสะต อ งมาจากความโลภ หรื อ ความ อยาก หรื อความต องการอั นใดอั นหนึ่ งอยู ก อ น ที่ เรารู สึ กตั วก็ ได ไม รู สึ กตั งก็ ได . ความ อยากนั้ น มั น มี อ ยู ก อ นแล ว , เมื่ อ ไม ได อ ย า งใจ มั น ก็ เกิ ด โทสะ; เช น เราเห็ น หน า คนที่ เราเกลี ย ดมา, เราเห็ น พอสั ก แต ว าเห็ น หน า เราก็ รู สึ ก เกลี ย ดหรื อ โกรธเสี ย แล ว. นี่ มั น ไมใชจะเกิดเองไดลําพังอยางนั้น; เรามีความอยากอยางใดอยางหนึ่งอยูกอน, แลวคนนี้


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๘๙

ไม อํ านวยให เราได ต ามความอยากนั้ น , มั น เป น อุ ป สรรค หรือ มั น เป นขบถ หรือ มั น ทรยศอะไรเรา เราไมม ีท างจะไดสิ ่ง ที ่เ ราตอ งการ เราจึง โกรธเกลีย ดคนนั ้น หรือ สิ่ งนั้ น โทสะต องมาจากความอยาก ซึ่ งความอยากนั้ นต องการจากผั สสะที่ แรกโน น อีกทีหนึ่ง. ถ าเราจะพู ดกั นโดยสรุป โดยรวบหั วรวบหาง ก็ จะพู ดวา โทสะนี้ มาจาก ผัสสะทางตา เพราะเราเห็นคนที่เรากเกลียด อยางนี้ก็ไดเหมือนกัน มันก็มาจากผัสสะอยู นั่ น แหละ, หรือ เราได ฟ งเสี ย งที่ ไม ไพเราะหู ก็ เรีย กได ว า เพราะผั ส สะเสี ย งชนิ ด นั้ น เราจึ งเกิ ดความโกรธหรือโทสะ นี่ มั น ก็ ถู กเต็ ม ที่ อ ยู แล ว. แต ก็ ถู กกว านั้ น ยั งมี คื อ ว า ทําไมเราจึงไมชอบคนนั้น ไมชอบเสียงนั้น? เพราะเราอยากอยางใดอยางหนึ่งอยู แล วมั นไม ได ตามนั้ น, เพราะเรามีความสําคัญมั่นหมายอยูในใจ. พอเห็นหนาคนนี้ ก็ จํ าได ว า ไอ ห มอนี่ เอง, เห็ น หน าสิ่ งนี้ ก็ จํ าได ว า สิ่ งนี้ เอง; เพราะฉะนั้ น เราจึ งโกรธ เราจึงปรุงเปนความโกรธขึ้นมา. ทีนี้ สําหรับโลภะ โทสะนี้มันเปนของที่เนื่องกันอยางนี้; เราเอาเขามา ก็เรียกวา โลภะ, จะตีใหตาย จะผลักออกไป ก็เรียกวา โทสะ, ทีนี้ โมหะนั้ น ก็เป น กิเลสประเภทอยูบนความสงสัย ลังเล คือมีอวิชชาเต็มตัว ยังกลัว ยังสงสัย ยังลังเล ยังไม แน ใจ ยั งวิตกกั งวล ไม รูวาจะเอาหรือจะไม เอา, แล วยั งไม รูจะโกรธดี หรือ รักดี อย างนี้ พ วกหนึ่ ง เรี ย กว า โมหะ ก็ ต อ งมาจากผั ส สะนั่ น แหละ; เพราะว าผั ส สะนั้ น มั นไม กระจ างแก บุ คคลนั้ น วาจะเอาอย างไรดี ; หรือวาทางมโนสั มผั ส มั นไม ชั ดเจน คื อมั นเป นอวิ ชชาอยู เรื่อย มั นก็ ไม รูจะเอาอะไรดี จนกว าจะมี ผั สสะที่ ถู กต องมาแก ไข เปนวิชชาสัมผัส มันจึงจะคอย ๆ จางไปจากสิ่งเหลานี้. นี่เรียกวา กิเลสธรรมดาสามั ญ มาจากผัสสะ.

www.buddhadasa.info


๒๙๐

ปรมัตถสภาวธรรม

เรื่ อ งที่ เจ็ ด ก็ มี กิ เลสอี กชนิ ดหนึ่ ง เขาเรี ยกว า อาสวะ หรื อ อนุ สั ย นี้ คื อ ความเคยชิน ของกิเ ลส, พวกอื ่น ที ่อื ่น เขาจะสอบวา อาสวะหรือ อนุส ัย นี ่ค ือ ตั ว กิ เลสที่ น อนนิ่ ง รอคอยอยู ใ นสั น ดานตลอดกาล. อาตมาก็ เคยเข า ใจผิ ด และสอน ผิ ด ๆ อย างนี้ กั บ เขาด วยเหมื อนกั น แต เดี๋ ยวนี้ ไม พู ดอย างนั้ นแล ว. ถ าจะพู ดว าอาสวะ หรือ อนุ สั ย จะได ไม เล็ งถึ งตั ว กิ เลส แต เล็ ง ถึ ง พฤติ ก รรมอั น หนึ่ ง คื อ ความเคยชิ น พร อ มอยู เสมอที่ จ ะเกิ ด กิ เลส เร็ ว ยิ่ ง กว า สายฟ า แลบ. นี่ ค วามเคยชิ น ส ว นนี้ เรี ย กว า อาสวะบ า ง เรี ย กว า อนุ สั ย บ า ง. เหมื อ นกั บ ว า เรารั ก ที ห นึ่ งมั น ก็ ส ร า งความเคยชิ น ที่ จ ะรั ก ที่ ห นึ่ ง , รั ก ครั้ ง ที่ ส อง ที่ ส าม ก็ ส ร า งความเคยชิ น เพิ่ ม กํ า ลั ง แห ง ความเคยชิ น ที่ จ ะเกิ ด ความรั ก นี่ เ ร็ ว ขึ้ น เร็ ว ขึ้ น เร็ ว ขึ้ น ส ว นนี้ เ รี ย กว า อนุ สั ย . หรื อ ว า เราโกรธก็ เหมื อนกั น ถ าเราโกรธซ้ํ า ๆ ๆ เข าบ อย ๆ กว าจะตายนี้ มั นหลายร อยครั้ ง พั นครั้ งหมื่ นครั้ ง มันกลายเปนวามีความเคยชินที่จะโกรธไดเร็วเหมือนสายฟาแลบ. ความเคยชิ น อั น นี้ เรี ยกว าอนุ สั ย เรี ย กว าอาสวะ, ความเคยชิ น ที่ เราสะสม หมัก ดองไวใ นความเคยชิน ไมใ ชต ัว ตนที ่น อนนิ ่ง อยู ใ นสัน ดาน. ถา อยา งนั ้น มั น ผิ ด หลั ก หมด มั น กลายเป น ว าของเที่ ย ง เป น ของไม ต อ งอาศั ย เหตุ ป จ จั ย ; แต นี่ เป น แต เพี ยงความเคยชิ น มาจากเหตุ ป จจั ย คื อเรามี กิ เลสอย างนั้ นบ อย ๆ มั นเป นคุ ณ สมบั ติ อั นหนึ่ งของความเคยชิ น นี้ ก็ มาจากผั สสะ เพราะว ามั นมาจากกิ เลส กิ เลสมั นมาจาก ผัสสะ ผัสสะใหเกิดกิเลสนี่แนนอนแลว พูดแลว.

www.buddhadasa.info การมี กิ เลสบ อย ๆ นี่ ทํ าให เกิ ดอนุ สั ย หรื ออาสวะ คื อความเคยชิ นแห ง การเกิ ดกิ เลสนั้ น ทํ าไมเราจึ งเกิ ดโกรธได เร็ วแบบสายฟ าแลบ? ทํ าไมเราจึ งรั กได วู บเดี ยว แบบสายฟ า แลบ? ก็ เพราะว า มี สิ่ ง นี้ ม าก คื อ มี อ าสวะ มี อ นุ สั ย นี้ ม าก; เราสะสมไว ทุ ก ๆ ครั้ ง ที่ มี ผั ส สะชนิ ด ที่ ทํ า ให รั ก หรื อ ให โกรธ, หรื อ ให เกลี ย ด หรื อ ทํ า ให ก ลั ว หรื อ อะไรตาง ๆ ทุก ๆ อยางไป, นี่เรียกวา กิเลสก็ดี ความเคยชินแหงกิเลสก็ดี มาจาก


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๙๑

ผั ส สะ; ในที่ สุ ด ก็ ส รุ ป รวมยอดว า ทุ ก ข ทั้ ง ปวงนี่ น ะ มาจากผั ส สะ. เมื่ อ พู ด ว า ทุ ก ข ทั้ ง ปวงมาจากผั ส สะก็ ข อให จํ า กั ด ความลงไปว า ผั ส สะด ว ยอวิ ช ชา; นี่ พู ด กั น ถึ งส วนลึ กนะ, ทุ กข ในความหมายที่ ลึ กนะ, ไม ใช ว าเอามี ด มาเลื อ ดเนื้ อ แล วเจ็ บ ปวด นี่ เรียกว ามาจากผั สสะ; อย างนี้ ไม ใช มั น งายเกิ นไป แม เป นอย างนั้ น ก็ มาจากผั สสะ เชนเรารูสึกเจ็บปวดรอนที่ผิวหนัง อยางนี้ก็เพราะสัมผัสอันนั้น. เรื่อ งที ่แ ปด คํ า วา “ทุก ข” หมายถึง วา ความเปน ทุก ขใ นจิต ใจ : ยึ ดมั่ น ถื อมั่ น ในความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย ว าความเกิ ด แก เจ็ บ ตาย ของเรา อะไรก็ ของเรา อะไร ๆ ก็ ข องเรา นี่ มั น จึ งเป น ทุ ก ข ; นี้ คื อ ทุ ก ข ที่ แ ท จ ริ ง ความเกิ ด เป น ทุ ก ข ความแก เป นทุ กข จนกระทั่ งว าความไม ได อย างใจเป นทุ กข แล วสรุ ป ดั งที่ พระพุ ทธเจ า ท า นตรั ส ว า เบญ จขั น ธ ที่ ป ระกอบอยู ด ว ยความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น นั้ น เป น ตั ว ทุ ก ข เบญจขันธ ที่ ประกอบอยู ด วยความยึ ดมั่ นถื อมั่ นนั่ นน ะ มาจากผั สสะโดยตรง : ความยึ ดมั่ น ถื อมั่ นนั้ น คื ออุ ปาทาน อุ ปาทานมาจากตั ณหา ตั ณหามาจากเวทนา เวทนามาจากผั สสะ คืออวิชชาสัมผัส; ทุกขทั้งหลายโดยแทจริง ไมวาชนิดไหน มาจากผัสสะอยางนี้.

www.buddhadasa.info นี่ จะเป นทุ กข ชนิ ดไหน กี่ ประเภทก็ ตามเถอะ จะต องมาอย างนี้ ทั้ งนั้ น. ทุ กข น อย ทุ กข มี ปริมาณน อยเหลื อเกิ น ก็ มาจากผั สสะ, ทุ กข ใหญ หลวง ก็ มาจากผั สสะ ทุ กข ที่ จางเร็วก็ มาจากผั สสะ ทุ กข ที่ จางช าก็ มาจากผั สสะ; เขาจํ าแนกทุ กข ไว มากมาย ไม ต อง พู ดละ เพราะว าจะเป นทุ กข ชนิ ดไหนก็ ต องมาจากผั สสะ. ตั้ งต นที่ ผั สสะเป นต นเงื่ อน, ตั้ งต นที่ ผั สสะแล วปรุ ง ๆ ปรุ งกั นมาจนเป นตั วความทุ กข ร อนเร า ๆ อยู ทางใจ หรื อว า ทางกาย หรือวาทางความรูสึกละเอียดสุขุมยิ่งไปกวานั้น.

ความเปนปรมัตถสภาวธรรมของ “ผัสสะ” มีทั้งดีและราย นี่ พู ดมา ๑ ชั่ วโมงนี้ หรือจะพู ดคํ าเดี ยวว า ทุ กอย างขึ้ นอยู ที่ ผั สสะ สํ าเร็จ อยูที่ผัสสะ, มีตนตออยูที่ผัสสะ. นี้เรียกวาเปนปรมัตถสภาวะที่เราตองสูเสียเวลา


๒๙๒

ปรมัตถสภาวธรรม

๑ ชั่วโมงกวานี้ ก็เพื่ อให รู คํ า ๆ เดี ยววา ผั สสะนั้ น เป นเพี ยงสิ่ งเดี ยวที่ ทํ าให เกิ ดสิ่ ง ทั้งปวง หรือมีความหมายใหแกสิ่งทั้งปวงขึ้นมา นั่นคือปรมัตถสภาวธรรม. เราไปหวั ง ที่ นั่ น ที่ นี่ ไปหวั ง ที่ จ ะเป น ป ญ หาที่ นั่ น ที่ นี่ ที่ ที่ ห วั ง , ที่ มี เงิ น หรื อ ไม มี เ งิ น , ที่ เ ทวดา หรื อ ว า ที่ ผี ส าง หรื อ โชคลาง มั น เป น เรื่ อ งที่ น า หั ว เราะ; เพราะไม รู ป รมั ต สภาวธรรม จึ ง ไปหวั ง ภายนอก มองไปภายนอก ไม ม องไปภายใน. แม จ ะมองไปภายใน มั น ก็ ม องไม เ ป น มั น ก็ ไ ม เ ห็ น ; ถ า มองเป น จะเห็ น อย า งที่ พระพุ ทธเจาท านตรัสไว วาทุ กอย างมั น ไปรวมจุ ดอยู ที่ เรียกวาผั สสะ. ส วนที่ จะเป น เรื่องประยุกตกับคนในโลกเวลานี้ไดบางก็จะแนะใหดูขอนี้ :ที ่เ ปน ปญ หาที ่ไ มพ ึง ปรารถนา ที ่เ รีย กวา เลวรา ยนี ้; เชน วา โลกมัน มี วิ กฤตกาลอั นถาวร หรื อว าโลกนี้ กํ าลั งจะฉิ บ หาย จะเป น มิ คสั ญ ญี นี่ เพราะผั ส สะ. คนที่ จ ะไปพู ด ว า เพราะคอมมู นิ ส ต เพราะอะไรนั่ น เพราะมองแคบ ๆ มองกั น สั้ น ๆ ต นตอแท จริ ง มั นอยู ที่ ผั สสะของมนุ ษย ; จะเป นเรื่องดี หรือเรื่องราย มั นก็ มี ต นตออยู ที่ ผัสสะ ถาไมมีสิ่งนี้ ก็ไมมีความรูสึกที่จะทําใหเกิดแยงชิง หรือเกิดทําลายลางอะไรกัน.

www.buddhadasa.info เราจะต องรู จั กตั วเรา แล วเราจึ งจะรูจั กผู อื่ น รูจั กสั ตว อื่ น แล วก็ แก ป ญหา ให ถู ก เรื่ อ ง มั น ก็ จ ะแก ได สํ าเร็ จ ; ไม เช น นั้ น มั น ก็ เป น เพี ย งการทํ าลายซึ่ งกั น และกั น เท านั้ น แหละ ไม เป นการแก ป ญ หาแต อ ย างใด, เป นแต เพี ยงการทํ าลายซึ่ งกั นและกั น ทั้งสองฝ าย. โลกกํ าลั งมี วิก ฤตกาลถาวร เพราะมนุ ษ ย แ ต ล ะคนไปเป น ทาสทาง อายตนะมากขึ้ น; เป นทาส นั่ นคื อเป นบ าว เป นขี้ ข าแก อายตนะคื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มากขึ้น ๆ ๆ. การศึกษาทําไปผิด แทนที่จะใหลูกเด็ก ๆ รูจักควบคุมอายตนะ กลับไป เปดโอกาสใหเด็ก ๆ เปนทาสของอายตนะ หลงใหลในอายตนะมากขึ้น; เด็กวัยรุน


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๙๓

จึ งเป น อั น ธพาลกั น ทั้ งหนุ ม ทั้ งสาว เต็ ม ไปหมด. นั กศึ กษาเรี ยนแล วก็ ชอบยาเสพติ ด เรี ยนแล วก็ ชอบบ าหลั งในทางกามารมณ ซึ่ งไม จํ าเป นจะต องทํ าเลยก็ มี ; แล วมี อะไร ๆ อี กมากที่ เป นต นเหตุ แห งวิ กฤตกาล แล วก็ บานปลาย เป นเรื่องของคนทั้ งชาติ ทั้ งประเทศ แลวก็ออกไปเปนเรื่องของคนทั้งโลก มีวิกฤตกาลที่ไมรูจักสิ้นสุด. นี่ เรี ย กว าโลกกํ าลั งมี วิ ก ฤตกาลอั น ถาวร อยู เป น ประจํ า เรี ย กว าโลกนี้ กํ า ลั ง ใกล ค วามฉิ บ หาย คื อ แตกสลายของมนุ ษ ย ยิ่ ง ขึ้ น ทุ ก ที ; เพราะสิ่ ง นิ ด เดี ย ว คือผัสสะ ในจิตใจของแตละคน. ที นี้ มองในแง ดี กั นบ าง เดี๋ ยวจะหาว ามองแต ในแง ราย. ในแง ร ายนั้ นว า โลกมี ผั ส สะคื อ อวิ ชชาสั ม ผั ส ไปสั ม ผั ส สิ่ งของต าง ๆ ผิ ด ด วยอํ านาจของอวิ ชชา; นี่ อั นธพาลเกิ ดขึ้ นเต็ มโลก ในกรุงเทพฯ พิ สู จน ได ชั ดวาอั นธพาลมั นมากขึ้ นกว าแต ก อนมาก ปราบกั นไม ได ; อั นธพาลเหล านี้ ยอมตาย จะฆ าเท าไรก็ ได ขายอมตาย เพราะส วนหนึ่ ง มีกําลังสําคัญกวา คือความสําคัญผิด หรือมิจฉาทิฏฐิ ที่มาจากผัสสะ. การที่อันธพาล เกิ ดมากขึ้ น ปราบไม ได ก็ เพราะว าเขายอมตายด วยผ สสะ; เช น มั นไปทํ าอาชญากรรมใน ทางเพศ น าเกลี ยดน าชั งอะไรสั กอย างหนึ่ ง เพราะบั งคั บผั สสะไม ได และตั วเขาก็ รู ว า ถ าถู กเขาจั บได จะต องตาย ก็ ยั งยอมอยู นั่ นแหละ เพราะผั สสะมี อํ านาจเหนื อกว า. นี่ ถ า เราไมใหการศึกษาที่เพียงพอมันก็แกไมได; นี่มองในแงราย.

www.buddhadasa.info ทีนี้ ในแงดีก็ตรงกันขาม ทําใหเกิดมีการสัมผัสสิ่งตาง ๆ ดวยวิชชา ดวย ป ญ ญา หรือความถู กตอง; ความคิ ดก็ เป นไปถู กทาง เป นสั มมาทิ ฏฐิ มั นก็กลาย เป น หมดอั น ธพาล หมดนรก เป น สวรรค ขึ้ น มาแทน, สวรรค ก็ มี มู ล มาจากผั ส สะ เหมื อ นที่ ก ล า วมาตะกี้ นี้ แ ล ว ; ในสวรรค มี สุ ข สั ม ผั ส คนอยากไปสวรรค และคน ประพฤติ ดี อยากไปสวรรค ก็ ตั้ งต นด วยผั สสะที่ ถู กต องคื อ วิ ชชาสั มผั ส ให เข าใจถู กต อง ทางจิตใจเปนสัมมทิฏฐิ เปนตน.


๒๙๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ในที่สุดก็พู ดไดเป นคําสุดท ายวา “นิ พพาน” แม วาจะไม เกี่ ยวกั บผัสสะเลย แต ก็ มี ค าขึ้ น มาได ด วยผั ส สะ นิ พพานนั่ น จิ ตรูสึ กต อ พระนิ พพานได ด วยจิ ต; ฉะนั้ น ก็ มี ก ารสั ม ผั ส พระนิ พ พานได . มี คํ า ๆ หนึ่ ง ซึ่ ง เชื่ อ ว า น อ ยคนจะได ยิ น คื อ คํ า ว า “สุ ญญตาสั มผั ส” การสั มผั สต อสุ ญญตา สุ ญญตานั้ นเป นชื่ อของนิ พพาน. จิ ตนี้ สั มผั ส ได ต อ ความว างจากกิ เลส และความทุ กข ก็ เรียกว า สุ ญ ญตาสั มผั ส; ถ าไม มี สั มผั ส ทําไมจะรูความหมาย หรือรสชาติของสุญญตาได ก็ตองสัมผัสอีกนั่นแหละ. นิ พพานมี ค าเป นสิ่ งสู งสุ ดขึ้ นมาก็ เพราะว า เป นสิ่ งที่ สั มผั สได ดั งนั้ น พระพุ ทธเจาท านจึงใช คํ าวาอายตนะ แก สิ่ งที่ เรียกว านิ พพาน. ในครั้งหนึ่ ง พระพุ ทธองค ตรั ส ว า อตฺ ถิ ภิ กฺ ข เว ตทายตนํ -ดู ก อ น ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย อายตนะนั่ น มี อ ยู น ปฐวี น อาโป น เตโช น วาโย ท า นก็ ว า ของท า นเรื่ อ ยไป ไม ใ ช นั้ น ไม ใ ช นั้ น . นั่ น คื อ ที่สุดของความทุกขก็คือนิพพาน นั่นเปนอายตนะ. ถาเปนอายตนะ ก็หมายความวา มันเปนสิ่งที่มนุษยรูสึกได สัมผัสได โดยวิ ธี ใ ดวิ ธี ห นึ่ ง โดยแง ใ ดแง ห นึ่ ง ปริ ย ายใดปริ ย ายหนึ่ ง ; โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง ก็ เหมือนที่พูดมาแลววา จิตนี้สัมผัสตอภาวะที่วางจากกิเลส และวางจากความทุกขได จึ งรู สึ กว าไม มี ทุ กข เลย. มั นเป นที่ สุ ดแห งความทุ กข จริง ๆ ถ าพู ดอย างสมมติ ก็ เป นยอด สุข; ถาพูดอยางความจริง ก็พูดวาสิ้นสุดแหงความทุกข นี่ก็มาจากผัสสะ.

www.buddhadasa.info เป น อั น วา สิ่ งทั้ งปวงเกิ ด ขึ้ น มาโดยตรง หรือ ว าเกิ ด มี ค าขึ้ น มาก็ ต าม นี้ มั นเพราะสิ่ งที่ เรี ยกว าผั สสะ; ไม มี ผั สสะเสี ยอย างเดี ยว ก็ เท ากั บไม มี อะไรในสากล จั ก รวาล หรื อ ในอะไร ๆ ทั้ ง หมดเลย. แล ว แต จ ะเอาคํ า พู ด ไหนมาใช ; ในที่ ทั้ ง หมด ทุ ก สากลจั กรวาล มั น ก็ ไม มี ค า ไม มี ค วามหมาย, หรื อ ไม มี ส ากลจั กรวาล; ถ าไม มี สิ่ ง สิ่งเดียวที่เรียกวาผัสสะ. และผัสสะจะมีขึ้นมาได ก็ตองเพราะวามนุษยมีอายตนะ


ความสําคัญของการสัมผัสทางอายตนะ

๒๙๕

สําหรับทํ าการสัมผัส และวัตถุขางนอกก็มี คือสิ่งเหลานั้น แลวมาพบกันเขากับอวัยวะ สํ าหรับสั มผั สของมนุ ษย เกิ ดความรูสึ กขึ้ นมาได . นี้ เรียกวาสั มผั ส สิ่ งต าง ๆ เกิ ดขึ้ นและ มีคา. นี่ สรุปวา ถาไมมีสัมผัสเสียอยางเดียว ก็เทา ๆ กับวาไมมีอะไรในสากล จั กรวาล หรือสากลจั กรวาลก็ มิ ได มี ทั้ งทางรูปธรรมทั้ งทางนามธรรม คื อทั้ งทางวัตถุ และ ทั้งทางจิตใจ. นี่ แหละ คื อใจความสํ าคั ญ ของการบรรยายในวั นนี้ เป นเรื่ องปรมั ตถสภาวธรรมครั้ งที่ ๙ เป นการอธิ บายให ชั ดเจนยิ่ งขึ้ นไปทุ กที แล วมั นก็ ซ้ํ ากั บ เรื่ องที่ บรรยาย มาแล วแต ครั้ งก อน ๆ โดยที่ ช วยไม ได ; จํ าเป นต องซ้ํ า เพี ยงแต ว าจะอธิ บายให ละเอี ยด ให ชั ดแจ งยิ่ งขึ้ นไปเท านั้ น. ขอให ทนฟ งไปด วยความรํ าคาญนี้ ไปเรื่ อย ๆ จนกว าจะจบ คําบรรยายชุดนี้. สํ าหรั บ วั น นี้ ก็ พ อกั น ที พระสงฆ ทั้ งหลาย จะได ส วดคณะสาธยายเป น ที่ ตั้งแหงความเลื่อมใสในธรรมตอไปอีกตามสมควรแกเวลา.

www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


ปรมัตถสภาวธรรม

-๑๐๑๐ มีนาคม ๒๕๑๖

อายตนสัมผัส ใหเกิดสิ่งที่เรียกวา ขันธ ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย, การบรรยายในชุ ด ปรมั ต ถสภาวธรรมเป น ครั้ ง ที่ ๑๐ นี้ จั ก ได ก ล า ว โดยหั ว ข อ ว า อายตน สั ม ผั ส ให เ กิ ด สิ ่ ง ที ่ เ รี ย กว า ขั น ธ ดั ง ที ่ ไ ด ก ล า วมา, และกลา วแลว กลา วอีก แกท า นทั ้ง หลาย วา การบรรยายในชุด ปรมัต ถสภาวธรรมนี้ ไ ม มี อ ะไร นอกไปจากคํ า เพี ย งสอง-สามคํ า คื อ คํ า ว า ธาตุ คํ า ว า อ าย ต น ะ แล ะคํ า วา ขัน ธ; พูด วน ไป วน ม าจน ทา น ทั ้ง ห ล าย รู ส ึก รํ า ค าญ . บางคนถึง กับ พูด วา ไมเ ปน เรื ่อ งเปน ราวเสีย เลยก็ม ี; นี ้ข อใหเ ขา ใจวา มัน ชว ย ไมได คือมันหลีกไมพน ที่จะตองเปนอยางนี้.ที่อาตมาทําความรําคาญ

www.buddhadasa.info

๒๙๗


๒๙๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ใหท า นทั ้ง หลาย ก็เ พราะเหตุว า ทา นทั ้ง หลายเปน ผู ที ่ทํ า ใหต อ งเปน เชน นั ้น ; หมายความวา เราทุก คนนี ้ย ัง ไมรู เ รื ่อ งที ่สํ า คัญ ๒-๓ คํ า นี ้โ ดยละเอีย ด หรือ ถูกตองนั่นเอง. ขอให ท บทวนดู ว า ในการบรรยายที่ แล ว ๆ มา ตั้ ง ๙ ครั้ งนั้ น ได พู ดถึ ง สิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ โดยตรง ตั้ ง ๕-๖ ครั้ ง, และพู ดระคนกั นเกี่ ยวกั บสิ่ งที่ เรี ยกว าธาตุ ว า อายตนะบ างก็ ๒-๓ครั้ ง ไม พ น ไปจากคํ า ๒-๓ คํ านี้ . แต เชื่ อ ว าเดี๋ ยวนี้ ท านทั้ งหลาย ก็ ค งจะพอจั บ เค าเงื่อ นได วาสิ่ งที่ เรี ย กว าธาตุ นั่ น หมายถึ งสิ่ งที่ ตั้ งอยู ในฐานะเป น พื้นฐานทั่ว ๆ ไป แลวก็คอยปรุงใหเกิดสิ่งอื่น ๆ ขึ้นมาเปนลําดับ. ถ าจะกล าวว า ธาตุ ปรุ งให เกิ ดอายตนะ อายตนะปรุ งให เกิ ดขั นธ อย างนี้ ก็ไม มีทางจะผิด. แตมั นมีอะไรบางอยางมากไปกวานั้น เพราะวา สิ่ งที่ เรียกวาอายตนะ นั้นมองในอีกแงหนึ่ง มั นก็เป นธาตุ ดวยเหมื อนกัน เชน จักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ เป น ต น ; แม ที่ สุ ด แต เมื่ อ มาเป น ขั น ธ คื อ รู ป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ ๕ ขั นธ นี่ แล ว. ถ าเพ งเล็ งให ลึ กไปกว านั้ น ก็ มี ลั กษณะของความเป นธาตุ อย างหนึ่ งด วย คือเรียกวา รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ วิญญาณธาตุ อยางนี้ก็ยังมี.

www.buddhadasa.info เพื่ อกั นความสั บสน ก็ ขอให ถื อเอาความหมายว าที่ เรี ยกว า “ธาตุ ” นั้ น เล็ ง ไปในทางที่ เป น สิ่ งที่ ตั้ งอยู เป น พื้ นฐาน, เป นรากฐาน, เป นชั้ นล างสุ ด เช น ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อากาส ธาตุ วิ ญญาณ; ๖ ธาตุ นี้ เห็ นได ชั ดว าเป นธาตุ ระดั บ ต่ํ าสุ ด ซึ่ งจะปรุ งขึ้ นมาให เป นอายตนะ คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ. แต ส วนที่ จะมาเป น ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มั นก็ มี กํ าเนิ ดความเป นอย างนั้ นของมั นมาด วย ส วนหนึ่ งเหมื อนกั น เช น ว า ตา หรื อ จั กษุ ป ระสาทนี้ ก็ เรี ยกว าอายตนะก็ ได คื อ จั กขุ อายตนะ; แต แล ว ที่เรียกวาธาตุก็มี คือจักขุธาตุ ธาตุที่มันจะทํางานทางตาฉะนั้น คําวาจักษุ นี้เปนชื่อ


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๒๙๙

ของธาตุ ก็ ห มายความอย างหนึ่ ง, เป น ชื่ อ ของอายตนะ ก็ ห มายความอี ก อย างหนึ่ ง; แม วา ชื่ อมั นจะเหมื อนกั น. เราจะต องศึ กษาความหมายของคํ าที่ สํ าคั ญ ๆ เช นคํ าวา “ธาตุ ” มีอยูตามธรรมชาติ. คําวา “อายตนะ” นั้น หมายถึงสิ่งชนิดนั้นทําหนาที่สําหรับติดตอกับสิ่งอื่น จึงถูกเรียกวาอายตนะขึ้นมา. เมื่อเปนจักขุธาตุ มันก็เปนธาตุสําหรับที่จะเห็นทางตา; แตพอมันมีการเห็น ทําหนาที่เปนการเห็น ก็เรียกวาจักขุอายตนะ -อายตนะที่ทําหนาที่ สํ า หรับ การเห็น อยู . แมสิ ่ง ที ่เ รีย กวา รูป ขา งนอก ก็เ ปน รูป ธาตุ เปน ธาตุที ่ม ีร ูป ตั้ งรู ปตามธรรมชาติ สํ าหรั บที่ จะแตกดั บไป ก็ เรี ยกว ารู ปธาตุ ; แต พอสิ่ งนี้ มาทํ าหน าที่ ติดตอกับตา สิ่งนี้ก็ไดชื่อเสียใหมวา รูปายตนะ -อายตนะคือรูป อยางนี้เปนตน. ขอให เข าใจคํ าว า “ธาตุ ” ที่ มั นสั บสนกั นอยู ในคํ า ๆ นี้ บางที มั นมี ชื่ ออย าง เดียวกัน ทั้งธาตุ ทั้ งอายตนะ และทั้งขันธก็มี; เชนวา รูปธาตุ แลวก็รูปายตนะ แล ว ก็ รู ป ขั น ธ . ดู ใ ห ดี ว า คํ า ว า รู ป อย า งเดี ย วนี้ เป น ธาตุ ก็ ไ ด เป น อายตนะก็ ไ ด เป นขันธก็ได . เมื่ อเป นธาตุ ก็หมายความวา ตั้ งอยูในฐานะเป นสิ่ งที่ มี รูปและมี อาการ แตกทําลายอยูเสมอ เมื่อมามีชื่อวา อายตนะ ก็เพราะวามาสัมผัสกันเขากับคูของมันคือ ตา. เมื่ อจะเรียกว ารูปขั นธ ก็ หมายความว า ทํ าหน าที่ ปรุงกั นขึ้ นมาเป นส วนสํ าคั ญส วน หนึ่ งหรื ออย างหนึ่ ง ในขณะหนึ่ ง ๆ เท านั้ น ที่ จะทํ าให คนเราเกิ ดไปหลงเอามาเป น ตั ว เปนตน ยิ่งขึ้นไปกวาธรรมดา, คือยิ่งไปกวาที่จะเปนเพียงธาตุ หรือเปนเพียงอายตนะ.

www.buddhadasa.info นี่ เราก็ พอจะจั บใจความได คร าว ๆ ชั้ นหนึ่ งว า ถ าเรี ยกว า ธาตุ หมายความว า ยั ง เป น ธรรมชาติ เกิ น ไป; ถ า พอมาเป น อายตนะ มั น คล า ย ๆ กั บ ว า จะกระดุ ก กระดิ กได แล ว คื อจะติ ด ต อ กั บ สิ่ งอื่ น ได โดยทํ าการสัม ผัส . พอมาเรีย กวา ขั น ธ เชนรูปขันธอยางนี้ ก็มีอะไรที่นาดูมากแลว จนทําใหหลงไปวา นี่เปนตัวตน หรือ เปนของตน.


๓๐๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ที นี้ ป ญ หาก็ มี อ ยู ต รงที่ ว า ถ า ยั งมี ค วามรู สึ ก ว า ตั ว ตนอยู เพี ย งไร ก็ มี ความทุกขอยูเพียงนั้น; ฉะนั้น เราจึงตองศึกษาใหรูจริง จนไมอาจจะเกิดความรูสึกวา ตั วตนหรือของตนขึ้ นมาในขั นธ หรือในอายตนะ หรือในธาตุ ก็ ตาม, นี่ แหละคื อความ สํ า คั ญ มั น อยู ที่ ต รงนี้ ; เพราะถ า เราไม รู เราก็ จ ะต อ งโง เพราะความโงก็ ทํ า ให เรา ตองมีกิเลส และมีความทุกข. ในการบรรยายครั้ งที่ ๙ ที่ แล วมานี้ ก็ ได พยายามแสดงให เห็ นอย างละเอี ยด ชัดเจนที่สุด วาอะไร ๆ มันตั้งต นเป นป ญ หายุงยากขึ้นมา ก็อยูตรงที่ เรียกวาผั สสะ นั่ นเอง; คื อการกระทบกั นระหว างอายตนะข างในกั บอายตนะข างนอก : ข องในคื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ, ข างนอกก็ คื อ รูปเสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ ธั มมารมณ . เมื่ อสิ่ งที่ เคยเป นแต เพี ยงธาตุมากลายเป นอายตนะทั้ งขางนอกขางในขึ้นมาอยางนี้ ก็มี การพบกั น. กระทบกั น, อาศั ยกั น, ซึ่ งเรียกว าสั มผั ส โดยที่ มี ธาตุ อี กธาตุ หนึ่ งกระเด็ นออกมา คื อ วิ ญ ญาณธาตุ ; อย างที่ พ ระพุ ทธภาษิ ต ตรัสว า จกฺ ขุ ฺ จ ปฏิ จฺ จ รูเป จ อุ ปฺ ป ชฺ ชติ จกฺ ขุ วิ ฺ ญ าณํ -อาศั ยตากั บรูป ย อมบั งเกิ ดจั กขุ วิ ญ ญาณอย างนี้ ; ติ ณ ณํ ธมฺ มานํ สงฺ ค ติ ผสฺ โ ส -ความที่ มั น มามี พ ร อ มกั น มี ด ว ยกั น ทั้ ง สามอย า งนี้ , นี่ เรี ย กว า “ผัสสะ” .

www.buddhadasa.info ผั สสะ นี่คื อใจความสําคั ญที่ สุดของธรรมะทั้ งหมด หรือวาเรื่องราวต าง ๆ ในโลกนี้ มั นจะตั้ งต น ที่ ตรงนี้ ไม มี ที่ อื่ น และไม มี เรื่องอื่ น จึ งขอรองแล วขอรองอี ก พูดแลวพูดอีก ไมกลัววาผูฟงจะรําคาญ วาใหรูเรื่อง อายตนะขางในและขางนอก พบกัน ให เกิ ดจั กขุ วิ ญ ญาณ แล วรวมสามประการนั้ น เรี ยกว า ผั สสะ; แล วผั สสะคํ าเดี ยว เทานั้น ไมมีมากกวานั้น ที่เปนตนตอใหเกิดสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในสากลจักรวาล ทั้ง ฝ ายนามธรรมและฝ ายรู ปธรรม; จะเป นเรื่องโลก ทั้ งทุ ก ๆ โลกมั นก็ เกิ ดขึ้ นมาได เพราะ ผัสสะ มีคาเปนโลกขึ้นมาได เพราะมันมีผัสสะ


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๐๑

สิ่งที่เรียกวา กาม มีขึ้นมาก็เพราะผัสสะ แลวมันมีคาเปนที่นาปรารถนาของ คนทั้ งหลาย ก็ เพราะว ามั นมี ผั สสะ. ถ าจะเรียกว ากรรม กรรมดี : กรรมชั่ ว ผลกรรม อะไรเหล านี้ มั นก็มี ขึ้นมาเพราะสิ่งที่เรียกวาผั สสะ. ไมมี ผัสสะกอนแลวจะเกิดเจตนาที่ จะ เปนตัวกรรมไมได ตอเมื่อมีเจตนา จึงจะเรียกวากรรม. เจตนานั้นตองมาจากผัสสะ อยางใดอยางหนึ่งกอนเสมอ จึงวากรรมทั้งหลายก็มาจากผัสสะ. ผัสสะนั้นสใหเกิดเวทนา เวทนาจึงมาจากผัสสะ. ลําพังผัสสะก็ยังไมมีอัสสาทะ หรื อ รสอร อ ย เสน ห ดึ ง ดู ด อะไร; แต พ อเป น เวทนาขึ้ น มาเท า นั้ น ก็ มี สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อั สสาทะ คื อเครื่องดึ งดู ดใจ เป นที่ ตั้ งแห งกิ เลส ตั ณ หา อุ ปาทาน จนเกิ ดสิ่ งทุ กสิ่ งที่ มีปญหาขึ้นแกมนุษยเรา ที่เกี่ยวกันกับเวทนา ซึ่งทุกคนในโลกนี้เปนทาสของเวทนา. สิ่งที่ เรียกวาสั ญญา ก็มาจากผั สสะ สั ญญาที่ จํ าอะไรได หมายอะไรได ก็เรียกวา สัญญา นี้ก็มาจากผัสสะ ตองผัสสะกอนจึงจะใหเกิดโอกาสที่จะใหรูวา นี่นะมัน คืออะไร; เชนผัสสะทางตา ก็รูวา นี่รูปอะไร, ผัสสะทางหู ก็รูวา นี่เสียงอะไร.

www.buddhadasa.info สั ญ ญาที่ วา สํ าคั ญ มั่ นหมายว า เป นนั่ นเป นนี่ เป นโน น เป นที่ รัก ที่ ไม นารัก เป นตัวตนอยางนี้ ก็มาจากผัสสะชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ งมากอนแลวทั้ งนั้ น ซึ่งเป นเหตุ ใหเกิดความสําคัญมั่นหมายขึ้นมาในสิ่งนั้น ๆ ; นี่ก็เรียกวาตัวสัญญาทั้งหลายก็ตองอาศัย ผัสสะจึงจะเกิดขึ้นมาได.

พวกทิ ฏฐิ , มิ จฉาทิ ฏฐิ , สั มมาทิ ฏฐิ อะไรก็ ตาม ต องมาจากมโนสั มผั ส. เมื่อสัมผัสดวยอวิชชา มันก็เกิดมิจฉาทิฏฐิ, เมื่อสัมผัสดวยวิชชา ก็เกิดสัมมาทิฏฐิ อยาง ธรรมดาก็ มี อย างจมดิ่ งเรีย กว า อั น ตคาหิ ก ะ ไปสุ ด โต ง ยากที่ จ ะถอนอย างนี้ ก็ มี . แตไมวาอยางไหนทั้งหมด ลวนตั้งตนมาจากผัสสะ อยูไดดวยผัสสะ ที่ทําใหเกิดความหมาย หรือประโยชนอะไรขึ้นมา ที่จะยึดถือเอาทิฏฐินั้น ๆ ไวตลอดไป.


ปรมัตถสภาวธรรม

๓๐๒

กิ เลสมาจากผั สสะ นี้ เห็ นได งาย จะเกิ ดความโลภ ความโกรธ ความหลง นี้จะเกิดขึ้น ก็หลังจากที่มี ผัสสะโดยอายตนะใดอายตนะหนึ่ ง ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากอนแลว ทั้ งนั้ น ความเคยชิ นของกิ เลส เช น อนุ สั ย มั นก็ ต องมาจากผั สสะอยู ดี เพราะมั นมาจาก กิเลสที่เคยชิน. ในที่สุดความทุกขทั้งหลาย ไมวาชนิดไหนหมดมันตองตั้งตนที่ผัสสะ. พูดมาตั้งยืดยาวนี้ ก็เพื่อใหทบทวนความจําในครั้งที่แลวมาวา ทุกอยางมั น ขึ้นอยูกับสิ่งที่เรียกวาผัสสะเพียงคําเดียว จนกระทั่งเกิดทุกขในที่สุด. ทีนี้ในวันนี้จะพูดกันในขอที่ผัสสะนี่ทําใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธทั้งหลาย ขึ้ น มาก อ นอย า งไร; แล ว พอไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในขั น ธ เหล า นั้ น เข า ขั น ธ ก็ ก ลายเป น ป ญ จุปาทานขันธ, ก็ เป นตัวทุ กขขึ้นมา. ที นี้ เราจะพู ดให ชั ดในขอที่ วา ผั สสะ ให เกิ ด สิ่งที่เรียกวาขันธนี่ขึ้นมาไดในลักษณะอยางไร; จึงตองการเวลาที่มากพอสําหรับบรรยาย หลักเกณฑขอนี้โดยเฉพาะ.

ความหมายสําคัญของผัสสะ

www.buddhadasa.info ผั สสะนั้ น คื อการสั มผั ส หรือการกระทบกั นของอายตนะ ถ าเรียกเป นบาลี ใหสั้น ๆ ใหเพราะ ๆ ก็เรียกวา อายตนสัมผัส เปนคําที่ตองจําไววา มันมีคําวา อายตนสัมผัส คือการสัมผัสดวยอายตนะ เพราะอายตนะสัมผัสนี่ใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ.

ความสําคัญของสิ่งที่เรียกวา “ขันธ” ขันธนี้ แปลวา กลุ ม หรือ กอง ของอะไรอันหนึ่ งซึ่งทํ าหน าที่รวมกัน, รวม กั น, เหมื อนกั น; นี่ เรียกว าขั นธ . เกิ ดเป นกลุ มขึ้ นมาจากหลาย ๆ สิ่ ง เป นกลุ มหนึ่ งก็ เรียกวาขันธเหมือนกัน; ใจความสําคัญตองการจะใหมองใหเห็นวา สิ่งที่เรียกวาขันธนี้


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๐๓

มั นเป นของลม ๆ แล ง ๆ. เดี๋ ยวนี้ เรามี ความรูสึ กกั นไปในทํ านองที่ วา ขันธนี้ เป นชิ้ น เป นก อน เป นอั น, เป นของที่ เรียกวา อย างน อยก็ ไม แพ ก อนหิ น แต ที่ จริงมั นเป นของ ลม ๆ แล ง ๆ ไม มี ส ว นที่ จ ะเป น ตั ว ตนอะไรได , เห็ น ได ง า ย ๆ ตรงที่ สิ่ ง ที่ เรี ย กว า สัมผัสนั่นแหละ ก็เปนของลม ๆ แลง ๆ. ยกตั วอย างเหมื อนวา เราเอาหินมาตี เขาที่เหล็ก หรือเอาเหล็กมาตีเขาที่ หิ น จะเกิ ดประกายไฟออกมา; ประกายไฟนั้ นจะเป นตั วตนอั นแท จริงได อย างไร เพราะวา มันเพิ่งเกิดออกมาจากการเอาเหล็กฟาดเขาที่หิน. แลวกิริยาอาการที่เอาเหล็กฟาดเขากับที่หินนี่ ไมใชเปนของจริงจังอะไร, เปนของชั่วขณะแวบเดียว ซึ่งก็เปนของลม ๆ แลง ๆ อยูแลว. ดั ง นั้ น สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ผั ส สะนั่ น มั น ก็ เป น ของลม ๆ แล ง ๆ ที่ เอาเป น ตั ว เปนตนอะไรไมได เพราะวาเป นเพี ยงกิริยาอาการ ที่กระทบกันเขาในระหวางของ สองสิ่ ง ; เมื่ อ ตั ว ของสิ่ ง นั้ น ก็ ล ม ๆ แล ง ๆ ทั้ ง สองสิ่ ง และกิ ริ ย าอาการที่ ก ระทบกั น ก็ลม ๆ แลง ๆ อีก แลวสิ่งใดที่เกิดมาจากการกระทบกันนั้นมันจะไมยิ่งเปนของลม ๆ แล ง ๆ ไปได อย างไร. ถ าเขาใจขอนี้ ก็ จะเข าใจได ทั นที วา อายตนะสั มผั ส คื อการ สัมผัสทางอายตนะ นั่นก็เปนของ ลม ๆ แลง ๆ ชั่วขณะแวบเดียว แตแลวมันใหเกิดสิ่งที่เรียก วาขันธขึ้นมา : รูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ อะไรก็ตาม.

www.buddhadasa.info ดังนั้น สิ่งที่เรียกวาขันธนั้น จะตองเปนของลม ๆ แลง ๆ ยิ่งไปกวาอายตนสั ม ผั ส , หรื อ ยิ่ ง ไปกว า อายตนะ, หรือ ยิ่ ง ไปกว า สั ม ผั ส . ขั น ธ ยิ่ ง เป น ของที่ เรี ย กว า ลม ๆ แลง ๆ ยิ ่ง ขึ ้น ไปทุก ที; แตใ นความรู ส ึก ในจิต ของคน ไมเ ปน อยา งนั ้น ; จะรู สึ ก ว า เป น ตั ว เป น ตน เป น ก อ น เป น อะไร, เป น ตั ว กู - ของกู ขึ้ น มาในที่ สุ ด . นี่ มั นทวนกลั บ กั นเสี ยอย างนี้ แทนที่ จะเห็ น เป นของลม ๆ แล ง ๆ ยิ่ งขึ้ นไป - ยิ่ งขึ้ น ไป กลั บเห็ นเป นของที่ เป นตั วเป นตน เป นชิ้ นเป นก อนมากขึ้ น ๆ. นี่ คื อตั วป ญ หาในทาง วิชาความรู ที่เราจะตองศึกษาใหเห็นชัด.


๓๐๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ทุกอยางมาจากอายตนสัมผัส ในกรณีนี้ เราจะระบุไปยังสิ่งที่เรียกวาขันธ. เพราะเหตุไร จึงระบุไปยังสิ่งที่เรียกวาขันธ? เพราะสิ่งที่เรียกวาขันธนั่นแหละมันเปน สิ่งที่ หลอกเรามากที่ สุด ทําปญหาใหเกิดแกเรามากที่สุด กระทั่งเปนตัวทุกขขึ้นมา; เพราะวา เราไปยึดเอาขันธนั้นโดยความเปนตัวเปนตน. คํ า วา “เรา” ในที ่นี ้ค ือ อะไร? “เรา” ในที ่นี ้ ก็ค ือ จิต ที ่แ สนจะโง มั นโงจนพู ดไม ถู กแล ว; จิ ตที่ มั นประกอบอยู ด วยความโง นั้ นแหละ คื อตั วเรา. เพราะ ฉะนั้ น เราก็ ได , จิ ตที่ ป ระกอบอยู ด วยความโงก็ ได , ที่ ไปเข าใจไปสํ าคั ญ ไปมั่ น หมาย เอาขั นธ นั้ นว าเป นตั วเป นตน ก็ เกิ ดความทุ กข ; เพราะว าต องหอบหิ้ วตั วตน นี่ ก็ เป น ทุกขอยูแล ว, ทีนี้ พอสิ่งที่ หอบหิ้ วไวนั้ นเปลี่ยนแปลงเป นอยางอื่นไป ก็ยิ่งมีความทุ กข มากขึ้นอี ก; หรือแม มั นยั งไม ทั นจะเปลี่ ยน พอคิ ดวามั นจะเปลี่ ยน ก็ เป นทุ กขล วงหน า. นี่จะไมใหเรียกวาเปนอวิชชา หรือเปนความโง แลวจะใหเรียกวาอะไร. ขอใหด ูก ัน ใหด ีส ัง นิด หนึ ่ง วา ผัส สะนั ่น นะ มัน ใหเ กิด ขัน ธขึ ้น มา อย างไร? นี่ ก็ เคยพู ดแล ว ไม ใช ไม เคยพู ด แต ก็ ต องพู ดอี ก เพราะวาท านก็ ลื ม หรือ วาไมเขาใจเต็มที่; ถาไมเขาใจชัดเจนอยูเต็มที่ มันก็ฟงเรื่องตอไปไมถูก.

www.buddhadasa.info เพื่ อความเขาใจ จึงขอทบทวนความจํา ขอให ไล ไปตามความรูที่ มี อยู แลวก็ได : ผู เคยฟ งมาหลายหนแล วก็ พอจะฟ งถู กวา ผั สสะ คื อการกระทบของอายตนะนี้ ย อมจะ เกิ ด เวทนา ขึ้ น มา เป น สุ ข เป น ทุ ก ข เป น อทุ ก ขมสุ ขก็ ได ; พอเกิ ดเวทนาแล วก็ ย อ ม จะสําคัญมั่ นหมายในเวทนานั้ น เป นสัญญา วาสุขสัญญา วาทุ กขสัญญา อัตตสัญญา นิ จจสั ญ ญา กระทั่ ง มมสั ญ ญา - สั ญ ญาว าของเราขึ้ นมา เพราะเวทนานั้ นมั นจั บใจ จับใจนี้ จั บด วยอวิ ชชา คื อความโง; แล วก็ ปรุงความคิ ดที่ จะมั่ นหมายสิ่ งนั้ นแหละว า มี ความหมายอย างใดอย างหนึ่ ง เช นมี ความหมายวา ของฉั น หรือว าเอาเป นตั วฉั นไป เสียเลยก็มี แลวแตกรณีที่มันจะเกิดขึ้น.


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๐๕

นี่ แหละ คื อผั สสะให เกิ ด เวทนา, เวทนาให เกิ ดสั ญ ญา, พอมั่ นหมาย เป นสั ญญาอย างนี้ แล ว ก็ มี สั งขารคื อความคิ ด อย างนั้ นอย างนี้ . ตอนที่ เรียกว าสั งขาร คื อ ความคิ ด นี่ เราจะแยกออกไปได ห ลายตอน คื อ เป น สั ญ เจตนา มุ งมั่ น ขึ้ น มาก อ น แล วก็ เป นตั ณหาคื อความอยาก เป นวิ ตก ครุนคิ ด วิ จาร วิ จารณา ทั้ งหมดนี้ ก็ เรียกได ว า เปนสังขารคําเดียวคือ สังขารขันธ. ขอให ย อนไปคิ ด สั งเกต เห็ นให ชั ดวา พอผั สสะให เกิ ดเวทนาแล ว เวทนานี่ ก็ เป น ขั น ธ อั น หนึ่ ง , เวทนาให เกิ ด สั ญ ญา-มั่ น หมาย สั ญ ญานี้ ก็ เป น ขั น ธ อั น หนึ่ ง , สั ญ ญาให เกิ ด สั งขาร นี้ ก็ เป นสั งขารขั นธ เป นขั นธอั นหนึ่ ง; สิ่ งที่ เรียกวาสั งขารหรือ สั งขารขั น ธ นี้ มี ม ากอย างมากชนิ ด แล วก็ ยั งหลายซั บหลายซ อ น จะแจกออกไปเป น สั ญ เจตนา ตั ณ หา วิ ต ก วิ จ าร อะไรก็ ไ ด . แต แ ล ว สั ง ขารนั้ น ก็ ก ลั บ เป น อารมณ คื อเป น ธั ม มารมณ ซึ่ งเป น อารมณ ข องมโนวิ ญ ญาณอี ก ที ห นึ่ ง; นี่ ก็ เกิ ด มี วิ ญ ญาณ ได อี ก แม วาวิญญาณจะมี ขางต นให เกิ ดผั สสะแล ว ในสุ ดท ายก็ มี สั งขารเป นอารมณ ของ มโนวิญญาณ, นี่ ก็ คล าย ๆ กั บว ามั นจบลงที่ มโนวิญญาณ สํ าหรับกรณี หนึ่ ง คื อมั นเป น การรู ส ึก สรุป ในตอนทา ยวา นี ้อ ะไร, นี ่อ ยา งไร, นี ่เ ทา ไร; เพราะมโนนั ่น มัน ไปสั ม ผั ส ในสั งขารขั น ธ อั น สุ ด ท ายนั้ น . นี่ คํ าว า “วิ ญ ญาณขั น ธ ” นี้ มี อ ยู ทั้ งข างหน า มีอยูทั้งขางหลัง มันเกิดสลับอยูตลอดไป.

www.buddhadasa.info บั ดนี้ เราก็ ได เป น ๕ ขั นธ คื อรูปขันธ ได แก อายตนะทั้ งหลายทั้ งภายใน และภายนอก แลว ก็ไ ดเ วทนาขัน ธ ไดส ัญ ญาขัน ธ สัง ขารขัน ธ วิญ ญาณขัน ธ พัวพันกัน ยุงกันไปหมด.

ลักษณะอาการที่เกิดเปนขันธ ๕ ถาตามหลักที่เขาเรียงไว เปน ตัวหนั งสือ เรียกวาขัน ธ ๕; นี่คอยฟ ง ใหดี เรียกไววา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จนทุกคนก็ทองไดขึ้นใจอยูแลว


๓๐๖

ปรมัตถสภาวธรรม

หมายเลข ๑. คือรูปขันธ นี้ก็หมายความวา อายตนะทั้งสองฝาย; ฝายใน คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย, ฝ ายนอก คื อ รู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ; ทั้ งสองสายนี้ เรียกวารูป ทําหนาที่กันไดเมื่อไรก็เรียกวา รูปขันธเกิดขึ้นแลว. หมายเลข ๒. อายตนะสองผ ายนี้ พบกั น เรี ยกว า ผั สสะ นี้ ทํ าให เกิ ดจั กขุ วิญญาณขึ้ นมา; นี้ วิญญาณขั นธ ส วนนี้ ก็ เกิ ดที หนึ่ งก อน แล วก็ เกิ ดผั สสะเต็ มที่ ผั สสะ ก็ใหเกิดเวทนา คือรูสึกเปนสุข ทุกข อทุกขมสุข. นี้ก็คือเวทนาขันธ หมายเลขสอง. หมายเลข ๓. สั ญ ญา สํ า คั ญ มั่ น หมาย อย า งนั้ น อย า งนี้ ลงไปบน เวทนานั้นอีกที่หนึ่ง ก็เรียกวาเวทนาขันธใหเกิดสัญญาขันธ. หมายเลข ๔. ก็คือ สังขารขันธ เปนความคิดนึกไปตามอํานาจของ สั ญญาขั นธ มั่ นหมายวาอย างไรก็ จะคิ ดนึ กไปให มั นเข ารูปเข ารอยกั นกั บสั ญญานั้ น ๆ; นี่ เรียกว าจะเป น จิ ตจริงจั งขึ้ น มาที่ ต อนนี้ . นี่ ก็ เรี ยกว าสั งขารขั น ธ เกิ ด ขึ้ น เป น ความคิ ด สมบู รณ แ บบเต็ ม ที่ เป น กุ ศ ล เป น อกุ ศ ล เป น อพยากฤต หรื อ จะเรี ย กว า เป น กรรม สําหรับจะเกิดผลกรรมแลว.

www.buddhadasa.info หมายเลข ๕. สั งขารขั น ธ นี้ จะอยู ในรู ป ของสั ญ ญา หรือ ตั ณ หา หรื อ วิ ต ก หรื อ วิ จ าร ก็ อ าจจะเป น อารมณ ข องความรู ท างมโนอี ก ที ห นึ่ ง ; แปลว า มโนนี้ สัมผัสความรูสึกที่ เป นสังขารขันธนั่ นอีกทีหนึ่ง; ก็ถึงหมายเลข ๕ คื อวิญ ญาณขันธ ที่ สมบู รณ เป นมโนวิญญาณที่ เป นไปโดยมากก็ คื อวิญญาณทางตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ้ น ทางกาย นี่ มี อ ยู ด านนอกเป น ส วนมาก พอถึ งมโนวิ ญ ญาณที่ ๖ นี้ ก็ เป น ด านข างใน เปนสวนลึก.

การที่ เรี ยกลํ าดั บขั นธ ทั้ ง ๕ ไว ในลั กษณะที่ เราท องกั นอยู นี้ ก็ นั บว าถู กต อง แล ว คื อรู ปขั นธ มาก อน เป นที่ ตั้ งแห งผั สสะ ให เกิ ดเวทนาขั นธ เกิ ดสั ญ ญาขั นธ เกิ ด สังขารขันธ เกิดวิญญาณขันธ อันดับสุดทายก็นับวาถูกตองแลว.


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๐๗

ที่ พู ดว า “ถู กต องแล ว” นี้ ไม ใช วาเราจะลบหลู พระพุ ทธเจ า วาพระพุ ทธเจ า ท า นได ต รั ส ไว ; แล ว เราทํ า มาเป น ผู เก ง กว า พระพุ ท ธเจ า ว า ถู ก ต อ งแล ว อี ก ที ห นึ่ ง อยางนี้ก็หามิได. ขอ นี ้ เปน เพ รา ะ วา เรื ่อ ง ขัน ธทั ้ง ๕ นี ้ เข า พ ูด กัน อ ยู แ ลว กอนพระพู ทธเจา. ถาไม เขาใจ เดี๋ ยวก็จะพู ดกันเฉพาะขอนี้ วาขันธทั้ ง ๕ นี้ เขารูจัก หรื อเขาพู ดถึ งกั นมาแล วก อนพระพุ ทธเจ า. พระพุ ทธเจ าไม ต องมาทรงอธิ บายว า อะไร เป นอย างไร; มาถึ งก็ ตรั สบอกแก เบญจวั คคี ย เลยว ารู ปเป นอนั ตตา เวทนาเป นอนั ตตา สั ญ ญาเป นอนั ตตา, ไม ต องบอกว ารู ปคื ออะไร เวทนาคื ออะไร บอกแต ว าเป นอนั ตตา ไปไดเลย เพราะวาพวกเบญจวัคคียเขารูกันอยูแลว วาขันธทั้ง ๕ นั้นคืออะไร.

เหตุไรจึงลําดับขันธ ๕ ไว ดังที่กลาวมาแลว บั ดนี้ เราจะมองกั นในแง ที่ ว า ทํ าไมคนครั้ งก อนพระพุ ทธเจ าด วยซ้ํ าไปนั้ น จึ งได เรี ยกลํ าดั บขั นธ ๕ ขั นธ ไว ในลั กษณะอย างนี้ ว า รู ป แล วก็ เวทนา แล วก็ สั ญ ญา แลวก็สังขาร แลวก็วิญญาณ.

www.buddhadasa.info เมื่ อ อาตมาเรี ย กนั ก ธรรมก็ งง; ถามครู ก็ ต อบไม ได อู อี้ ๆ. ทํ าไมถึ งเรี ย ง อยางนี้? ทํ าไมจึงเอากอนมาไวหลัง เอาหลังมาไวกอน? ครูก็ไมบอก. พออาตมา เป น ครู เข า เอง มั น ก็ อู อี้ ๆ ไม บ อก หรื อ บอกไม ได อี ก , จนกระทั่ ง มาศึ ก ษาต อ มาใน โอกาสหลั ง ๆ นี้ จึ งมองเห็ นคํ าอธิ บายเหล านี้ อย างชั ดแจ งว า ทํ าไม จึ งต องเรียงลั กษณะ ของขันธทั้ง ๕ ในลักษณะอยางนี้. ที นี้ ก็ ขอให กลั บไปหาตั วเรื่ อง หรื อประเด็ นที่ ว าเรื่ องขั นธ นี้ เท าที่ เรารู กั น อยูเวลานี้นับวาถูกตองหรืยัง? ที่นั่งอยูที่นี่ ถาถามวาขันธ ๕ คืออะไร? ก็ตอบได


๓๐๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ก็ท อ งได. แลค ุณ เปน อะไร? เพราะวา ไมม ีอ ะไรนอกจากขัน ธ ๕; นี ่ก ็ต อบได แต จะตอบไปด วยความจํ า หรื อความเข าใจ ความมั่ นหมาย ความสํ าคั ญ ผิ ดวิ ปลาส. บางคนจนถึ งกั บตอบว า ผมมี ขั นธ ๕ ของผมอยู ตลอดเวลา, เดี๋ ยวนี้ ทุ กคนลองคิ ดดู ว า จะจริงไหม ถาใครสักคนหนึ่งมาพูดวา ขาพเจามีขันธ ๕ อยูตลอดเวลา? ถาเรารูจริง เราก็ เห็ น ได ว า เขาพู ด ละเมอไป; มี ขั น ธ ๕ ตลอดเวลา จะมี อ ย า งไรได ; เพราะว า ถ าเขามี เวทนา มั นก็ ยั งไม มี สั ญญา, พอเขามี สั ญญาเกิ ดขึ้ น เวทนามั นก็ ดั บไปเสี ยแล ว, พอว ามี สั งขารขึ้ นมา สั ญญามั นก็ ดั บไปแล ว, จนกว ามั นจะมาเป นวิ ญญาณอั นสุ ดท าย แตละขันธมันมีพรอมกันไมได สิ่งที่เรียกวาขันธ ๕ นี้. นี่ ก็ แปลว าเท าที่ เรารูกั นอยู สอนกั นอยู ในวั ดนี้ มั นยั งไม ถู ก; เพราะว า ทํ าให คนเข าใจไปว า “ข าพเจ ามี ขั นธ ทั้ ง ๕ อยู ตลอดวเลา” ซึ่ งอาตมาเอง เมื่ อเป นผู สอน นั ก ธรรมอยู ก็ ไม รู , แล วก็ ไม รู ว าขั น ธ ๕ นี้ มั น เพิ่ งเกิ ด อย าง ลม ๆ แล ง ๆ สลั บ กั น ไป ตลอดเวลา คิ ดว ามั น มี อยู ตลอดเวลาเป น ขั น ธ ๕ เช น เดี ยวกั บ ธาตุ ; เราเข าใจผิ ดกั น อย างนี้ แม วาเขาจะแจกขั นธ ๕ ไวเป นอย างนั้ น ๆ คื อ รูปแจกเป นมหาภู ตรูป อุ ปาทายรูป เวทนาแจกเป น ๓๖ แจกกั นเหมื อนอย างกั บแจกเม็ ดมะขามที่ มั นกองอยู แล วอย างนี้ ก็ ไม ทําใหรูได วาขันธแตละขันธนี่มันเพิ่งจะเกิดขึ้นอยางทะยอยกันไป ปรุงแตงกันไป ไม มี ท างที่ จะเกิ ด ขึ้ น พร อ มกั น ได ; เพราะว าการที่ จะเกิ ดขั น ธ แต ล ะขั น ธ ห นึ่ ง ๆ นั้ น ตองมีกรณีเฉพาะและตองมาตามลําดับ.

www.buddhadasa.info นี้ เราจะต องถื อว า สิ่ งที่ เรี ยกว าขั น ธ นี้ จะเรี ยกว ามี ขั น ธ อ ะไรขึ้ น มาได ก็ เพราะขั น ธ นั้ น ๆ กํ าลั งทํ าหน าที่ อ ย างนั้ น อยู ; เชน วา รูป ธรรมนี่ ถ าไม ทํ าหน าที่ ของรูป ขั นธ มั นก็ ยั งไม เป น รูป ขั นธ ขึ้ นมา, เวทนาธาตุ ก็ เหมื อนกั น ถ าไม ทํ าหน าที่ ของ เวทนา ก็ยั งไม เป นเวทนาขันธขึ้นมา, เมื่ อสัญญาธาตุ ยั งไม ทํ าหน าที่ ของมั น มั นก็ ยั งเป น เพี ยงสั ญญาธาตุ ไม เป นสั ญญาขันธขึ้นมา, สั งขารขันธ วิญญาณขันธก็ เหมื อนกั น เช น วิญญาณธาตุมีอยูแลว แตถาไมทําหนาที่ของมันก็ยังไมเปนวิญญาณขันธเลย.


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๐๙

ขันธ ๕ มิไดมีอยูตลอดเวลา เพิ่งเกิดเมื่อมีผัสสะ เราจึงสรุปใจความไดสั้นที่สุดและถูกที่สุดวา ขันธนั้นจะเปนขันธขึ้นมาได ก็ตอเมื่อมันทําหนาที่ของขันธนั้น ๆ. เราจะกันลืมขอนี้ไดโดยเราจะพูดวา แมวมัน เป นแมวต อเมื่ อมั นทํ าหน าที่ ของแมว; แต คนโง ๆ จะพู ดว าแมวเป นแมวอยู ตลอดเวลา. ถามวาใครกําลังโงอยางนี้? คงจะยกมือกันสลอนไปทีเดียววา แมวมันเป นแมวกันอยูตลอด เวลา. ที่ จ ริง แมวมั น จะเป น แมวก็ ต อ เมื่ อ มั น ทํ า หน า ที่ ข องแมว ซึ่ งมั น ทํ าอะไรบ า ง, ก็ เช นว าจั บหนู โดยเฉพาะ; นอกจากนั้ น มั นเป นอะไรก็ ไม รู มั นเป นเพี ยงธาตุ ธรรมดา ประกอบกันอยู ยังไมเปนแมวตามความหมายของคําวา “แมว”. คําวา รูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ วิญญาณขันธ, ๕ ขันธนี้ ก็เหมือนกัน จะไดชื่ออยางนั้น ตอเมื่อมันทําหนาที่ของขันธนั้น ๆ มิฉะนั้นจะลดลง ไปเป นเพี ยงอายตนะบ าง เป นเพี ยงธาตุ , ธาตุ ตามธรรมชาติ ธาตุ ใดธาตุ หนึ่ งบ าง. ที นี้ เมื่ อขั นธ มั นทํ าหน าที่ ตามหน าที่ ของขั นธ นั้ น ๆ แล ว ไม ใช มั นจะคงอยู อย างนั้ น; พอ เสร็จหน าที่ แล วก็ ดั บไป ให โอกาสแก ขันธอื่ นเกิ ดขึ้ น; มั นจึ งไม มี ทางที่ ใครจะมาพู ดว า เรามีขันธทั้ง ๕ อยูตลอดเวลาได.

www.buddhadasa.info เพี ยงแต ขั นธทํ าหน าที่ แล วดั บไปแต ละขั นธ ๆ นี่ ก็ ยั งไม สํ าคั ญเท ากั บข อที่ จะ ขอรองใหมองใหวามันเปนเรื่องลม ๆ แลง ๆ : มันเปนเวทนาขันธวาบเดียวแลว ก็ ดั บไป, เป นสั ญญาขั นธ วาบเดี ยวแล วก็ ดั บไป. เป นสั งขารขันธวาบเดี ยวแล วก็ ดั บไป, มันเหมือนกับวาตีเหล็กไฟดวยหินกับเหล็กวาบ ๆ อยูอยางนี้ มันไม เปนจริงเป นจังที่ตรง ไหนได มั นเป นของลม ๆ แล ง ๆ. แต แล วมั นน าตกใจ น าอั ศจรรย ที่ ว า มั นไม แสดง ใหเห็นวาเปนของลม ๆ แลง ๆ เราไมรูสึกวาเปนของลม ๆ แลง ๆ เราเลยรูสึกเปนดุน เปนกอนเปนตัวเปนตน รูสึกเปนอยางนั้นเสียเรื่อย แลวเปน “ฉัน” อยูเรื่อย; เมื่อ


๓๑๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ไปกํ าหนดเข าที่ ขั น ธ ไหน เอาขั น ธ นั้ น เป น ตนขณะหนึ่ งชั่ วคราว คื อ อย างน อ ยก็ เป น ของตน. ที นี้ ป ญ หามั น ก็ มี อ ยู ว า เราเข าใจขั น ธ เข าใจเรื่อ งราว หรื อ ข อ เท็ จจริ ง ทั้งหลายของสิ่งที่เรียกวาขันธนี้ถูกตองหรือไม. ถาเขาใจผิด มันก็เปนทุกข, ถาเขาใจถูกมันก็ไมเปนทุกข. ฉะนั้น เราจะสุ ขหรือทุ กข จะเป นทุ กข หรือจะไม เป นทุ กข มั นก็ เพราะวาเรามองขันธนี่ ถูกต อง ตามที่ เป น จริ งหรื อ ไม ; พอเราไปมองขั น ธ เข าใจขั น ธ ผิ ด จากที่ เป น จริ ง ก็ ไปยึ ด มั่ น ถื อมั่ น เกิ ดเป นทุ กข , พอมองถู ก ก็ ไม ยึ ดมั่ นถื อมั่ น เพราะรูตามที่ เป นจริง ไม ยึ ดมั่ น ถือมั่น ก็ไมเปนทุกข. ที นี้ เรายั งมี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย, แล วก็ มี รูป เสี ยง กลุ น รส มากระทบ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย อยู เรื่ อ ย; คื อ สิ่ ง ที่ จ ะให เกิ ด ขั น ธ นั้ น มั น มี อ ยู เรื่ อ ย มี อ ยู เรื่ อ ยไป วั นหนึ่ งมี โอกาสไม รู จั กกี่ สิ บครั้ง กี่ รอยครั้ง ที่ จะเป นขั นธ หนึ่ ง ๆ ขึ้ นมา; ถ าไปยึ ดมั่ น เขาก็เปนทุกข ไมยึดมั่นเขาก็ไมทุกข. ที่จะหามไมใหมันเปนขันธนั้นไมได เพราะ ว า ตามันยังดีอยู มันยังไมบอด ตาก็เห็นรูป รูปก็ยังมีอยูในโลก แลวก็ตองเกิดจักขุวิญญาณ; เมื่อตากระทบรูป อะไรอยางนี้มันก็เกิดขันธเรื่อย มันเหลืออยูแตวาจะยึดมั่นหรือไมยึดมั่น เพราะความสําคั ญผิดหรือความสําคัญถู ก หรือเพราะความรูถูกต อง; ถาสําคัญละก็ผิ ด ถารูละก็ถูก.

www.buddhadasa.info นี่ แหละ ขอให พิ จารณาดู กั นในส วนนี้ อย าได คิ ดว ากระทบกระเที ยบหรื อ อะไร; มาพิ จ ารณากั น ว า ความรูเรื่อ งขั น ธ ๕ ของพวกเราในเวลานี้ เป น อย างไร? เอาเวลานี้ เดี๋ยวนี้ ที่นี่ เปนหลักก็ได วาความรูเรื่องขันธ ๕ ของเรา มันเปนอยางไร;


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๑๑

www.buddhadasa.info


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๑๑

ผิ ดหรื อถู ก. ถ าถู กก็ ถู กเท าไร? เราถู กสอนว าขั น ธ ๕ มี อ ยู ตลอดเวลา เพราะว าเรานี่ ประกอบอยู ด วยขั นธ ๕ เราเลยเข าใจเสี ยเองว าประกอบอยู ด วยขั นธ ๕ ตลอดเวลา แล ว เราก็ สอนเพื่ อน หรือสอนลู กศิ ษย ของเราว าอย างนั้ นอี ก เราก็ รูอย างนี้ สอนเขาก็ อย างนี้ ก็เลยวาตาม ๆ กันไปหมดวาเรามีขันธ ๕ อยูตลอดเวลา,

บางขณะขันธ ๕ ยังมิไดเกิดขึ้น ในบางกรณี ถ าขันธไม ได ทํ าหน าที่ เลย ก็เรียกวาเราไม มี ขันธเสียดีกวา; เช นว าเรากํ าลั งสลบอย างนี้ ปราศจากความรูสึ กทั้ งทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ เลย. เมื่ อคน กํ าลั งสลบ ร างกายมั นก็ ทํ าหน าที่ ของร างกายไม ได คื อไม เป นรู ปขั นธ ไม เป นอายตนะ ในหรือว านอกขึ้ นมาได อย างนี้ . เวทนา สั ญญา สั งขาร วิ ญญาณ ไม ปรากฏเลยอย างนี้ มั นก็ เหลื อแต ธาตุ ล วน ๆ เป นธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม หรื อธาตุ อากาส ธาตุ วิ ญ ญาณล วน ๆ ยั งไม เป นขั นธ ขึ้ นมาได . อย าเข าใจว าเมื่ อกํ าลั งสลบอยู นั้ น เราก็ ยั งมี ขั น ธ ๕ อยู นั่ น เอง อย างนี้ ; เมื่ อ ยั งไม ส ลบ เป น ๆ อยู เราจะยั งมี ขั น ธ ๕ พร อ มกั น ในคราวเดี ยวกั น ทั้ ง ๕ ไม ได ; แล วนั บ ประสาอะไรกั บ เวลาที่ เรากํ าลั งสลบ ซึ่ งมั น จะ ไมมีแมแตสักขันธเดียว.

www.buddhadasa.info หรือวาในกรณี ที่เรานอนหลับอยางนี้ ถาเราหลับสนิท ไมทําหนาที่ของขันธ อะไรได ; เว น ไว แ ต ว า มั น จะฝ น เมื่ อ ฝ น ก็ เป น ครึ่ ง สํ า นึ ก ครึ่ ง ขั น ธ ซึ่ ง ก็ ยั ง ไม ใ ช ขั น ธ ไม ค วรจะเรี ย กว า ขั น ธ . ในเวลาอย า งนี้ ก็ ไม ก ล า วได ว า มี วิ ช ชา หรื อ ว า มี อ วิ ช ชา; แม มั น จะเป น ขั น ธ ขึ้ น มา มั น ก็ เป น ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ไม ไ ด แต แ ล ว มั น ก็ ไม เป น ขั น ธ อะไรเลย.

นี่ขอใหนึกถึงวาเมื่อเราหลับหรือเราสลบ หรือหยุดอยูในฌานชนิดที่เป น สมาบัติ ไมคิดไมนึก ไมรูสึกอยางนี้ มันก็ไมมีขันธอะไรเลยได; การปรุงหยุดไป


๓๑๒

ปรมัตถสภาวธรรม

เหลืออยูเปนธาตุ เปนเชื้อ สักวาธาตุเหมือนอยู สําหรับจะปรุงเปนขันธขึ้นมาเมื่อออกจาก สมาบัติแลวอยางนี้. นี่ ขอให ยุติ กันได สักที หรือยังวา เรามิ ได มี ขันธ ๕ อยู ตลอดเวลา; เรารูสึ ก เต็ ม ที่ อ ย างนี้ เราก็ มี อ ยู ได แ ต เพี ย งขั น ธ ใดขั น ธ ห นึ่ ง. ถ าเราหมดความรูสึ ก ด วย ประการทั้งปวง เราก็มิ ไดมีขันธใดเลยที่เหลืออยูในความหมายของคําวาขันธ หรืออายตนะ ก็ ตาม; แต อาจจะเหลื ออยู ในความหมายของคํ าว า ธาตุ : ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ก็ยังอยูที่รางกายนี้, และวิญญาณธาตุ คือจิตที่ไม ได ทําหน าที่ อะไร ก็ยังเหลื อ อยูในกลุมนี้, อากาสธาตุก็เหลืออยูในกลุมนี้. การที่ จะพู ดว า เราประกอบอยู ด วยธาตุ ๖ ตลอดเวลานั่ นแหละถู ก ถ าเรา พูดวาเราประกอบอยูดวยธาตุ ๖ ตลอดเวลานี้ก็ถูก; แตถาจะพู ดวาเราประกอบดวย ขันธ ๕ ตลอดเวลานี้มันไมมีเหตุมีผล มันไมีมีทางที่จะเปนไปได. มันอาจจะประกอบ อยู ด วยขั นธ ใดขั นธ หนึ่ ง เป นอย างมาก,หรือบางที ก็ ไม มี ขั นธเลย ถ าไม มี ความรูสึ ก สั ม ผั ส ทางอายตนะ. ที นี้ “เราคื อ ขั น ธ ๕, เราอยู กั บ ขั น ธ ๕, ข า พเจ า มี ขั น ธ ๕ อยู ตลอดเวลา” เป นความโง เท าไร เป นความบ าเท าไร เป นความหลงเท าไร; คิ ดดู พระพุทธเจาทานก็พยายามในขอนี้ พยายามสุดความสามารถของทานที่จะใหพวกเรา สาวกทั้งหลายนี้รูวา ไมมีขันธ ๕ ที่เปนตัวตนที่ไหน.

www.buddhadasa.info คนทั้งหลายมักไมสนใจจะศึกษาความจริงเรื่องขันธ ฝายของเราก็ไมสนใจที่จะรูขอเท็จจริงขอนี้ คือเรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่องขั นธ นี้ ไม สนใจจะรูให มั นจริง ๆ จัง ๆ. พออาตมามาพู ดซ้ํ า ๆ ซ้ํา ๆ กั นหลายหนเข า ก็บ น วา เบื ่อ แลว ; ไมรู ว า จะพูด ไปทํ า ไม. เมื ่อ ยัง ไมรู ก ็ย ัง ตอ งพูด เพราะวา ทา น ทั้งหลายไมสนใจที่จะรูเรื่องนี้ใหมันจริง ๆ จัง ๆ. ดูแตพระเฌรในวัดนี้นะมากันกี่องค


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๑๓

ที่ ม าฟ งเรื่ อ งนี้ ; ต างก็ ไม ส นใจกั น เหมื อ นกั น ก็ เลยไม ต อ งรู ว า ขั น ธ นี่ มั น คื อ อย างไร, อย า งไรกั น แน แม แ ต พ วกที่ เป น พระเป น เฌร. ที นี้ ช าวบ า นก็ ม ากั น กี่ ค น ชาวบ า น บางคนก็ รู แต ชื่ อ ท องได เพราะทํ าวั ตรเช าได เขาก็ ท องเรื่ องขั นธ ทั้ ง ๕ ได แต ก็ ไม รู ว า มันคืออะไร, อยูที่ไหน, เมื่อไร, ขอเท็จจริงมันเปนอยางไร. ขณะนี้ ก็ จ ะพอรู ว า ถ า เรี ย กว า ธาตุ มั น ก็ อ ย างหนึ่ ง; เราก็ พ อจะดู ธ าตุ ทั้ ง ๖ ได . แต พ อเรี ย กสู งขึ้ น มา เป น อายตนะ : ธาตุ ทํ าหน าที่ เป น อายตนะ เป น รูปธาตุ ทํ าหน าที่ เป นอายตนะภายในภายนอก ก็ เริ่มจะไม เข าใจ. พอเป นอายตนะแล ว มั นไม อาจจะทํ าที เดี ยวทั้ งหมดได ; คื อใคร ๆ ก็ ไม ทํ าหน าที่ รูอะไรพรอมกั นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง ๕ หรือทั้ง ๖ อยางได; มันตองทีละอยาง. แตถาวาเรามีอายตนะ คือพรอมที่จะรูอารมณ ทั้ง ๖ นี้ เรามีได : มี อายตนะที่ ยั งไม ได ทํ างาน คื อธาตุ จั กขุ ธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิ วหาธาตุ กายธาตุ , พู ดเป นไทย ๆ ว า ธาตุ ทางตา ธาตุ ทางหู ธาตุ ทางจมู ก ธาตุ ทางลิ้ น ธาตุ ทางกาย ที่ จะ ทํ าหน าที่ อย างนั้ น เรามี อยู ตลอดเวลาได . และประสาทอั นนั้ นก็ มี พรอมอยู ตลอดเวลาได , แลวแตวาเราจะใชในทางไหน ในอายตนะอันไหน.

www.buddhadasa.info เรามีสัมผัสทีเดียวพรอมกันทั้ง ๖ อยางไมได เราตองมีทีละสัมผัส ทาง ตาบ าง ทางหู บ าง แล วแต โอกาส; แต ว าอายตนะนั้ น ในฐานะที่ เป น อายตนะรอรั บ อารมณ นั้ น อาจจะมี อยู ได พรอมอยู ได เพราะวาเป นเพี ยงวาธาตุ เท านั้ นเอง : จั กขุ ธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิ วหาธาตุ กายธาตุ มโนธาตุ รู ปธาตุ สั ททธาตุ คั นธธาตุ รสธาตุ โผฏฐั พพธาตุ มโนธาตุ ธัมมธาตุ ; ธาตุ เหล านี้ พรอมอยู ได ตลอดเวลาที่ จะเป นจั กขุ ปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท มโนปสาท.


๓๑๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ศึกษาใหรูความตางของธาตุ อายตนะ ขันธ เท าที่ พู ดมานี้ ก็ อยากให เห็ นชั ดจนแยกกั นได วา เมื่ อเป นธาตุ , เป นธาตุ อยูนะคืออยางไร, เมื่อเปนอายตนะขึ้นมามันเปนอยางไร, แลวพอเปนขันธขึ้นมาแลว มันเปนอยางไร. ทีนี้เปนขันธแลว ยังมีอีกชั้นหนึ่งคือวา จะเปนอุปาทานขันธขึ้นมาไดอยางไร; ถาไมถูกยึดถือมันก็เปนขันธแลวเฉย ๆ พอถูกยึดถือมันก็เปนอุปาทานขันธ. โดยทั่วไปเรา พู ดถึ งขั นธ ๕ แล วเราเหมา ๆ ไปหมดทั้ งขั นธ ๕ และอุ ปาทานขั นธ คื อขั นธ ๕ ที่ ถู ก ยึ ด ถื อ ก็ ต าม ไม ถู ก ยึ ด ถื อ ก็ ต าม เราเรี ย กว า ขั น ธ ๕ ไปเสี ย หมด; อย า งนี้ แ สดงว า ไมเอาใจใสและไมรูจริง. ขั นธ ๕ เฉย ๆ หมายถึ งขั นธ ๕ ที่ เกิ ดขึ้ นตามปกติ ธรรมดา ไม มี อ วิ ช ช า หรือวิชชาไปเกี่ยวของ อยางนี้เรียกวาขันธ ๕ ได; แตถามันเกิดขึ้นพรอมกับอวิชชา ที่ ทํ า ไปเกิ ด กิ เลสได เพราะการได สั ม ผั ส กั บ สิ่ ง นั้ น ๆ อย า งนี้ มั น จะมาอยู ใ นรู ป ของ อุ ป าทานขั น ธ ถ าเรีย กกั น ทั้ ง ๕ พรอ มกั น ก็ เรี ย กว า ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ; ป ญ จขั น ธ ขั นธ ล วน ๆ ขั นธ ไม มี อะไรเจื อ, ป ญ จุ ปาทานขั นธ หมายความว า ขั นธทั้ ง ๕ นั่ นแหละ มี อุ ปาทานเข าไปเจื ออยู ซึ่ งหมายความวาย อมจะมี อวิชชาด วย; และขั นธ ที่ กํ าลั งเป น ขั น ธ ทั้ ง ๕ ชนิ ด นั้ น ก็ เรี ย กว า ขั น ธ ๕. แต ถ า มี ม าพร อ มกั บ ที เรก เพราะอวิ ช ชา เข าไปเกี่ ยวข อ ง ในเมื่ อ มี ก ารสั ม ผั ส อารมณ แล วละก็ มั น ก็ จ ะมาอยู ในรู ป ที่ เรีย กว า ปญจุปาทานขันธ.

www.buddhadasa.info ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจา พระพุทธเจาทานตรัสวา ปญจุปาทานขันธนั้น เปน ตัว ทุก ข; ไมไ ดต รัส วา ขัน ธ ๕ ลว น ๆ เปน ตัว ทุก ข. แตใ นบางกรณี ในคัม ภีร ใชคําวา ขันธ ๕ หรือปญจขันธ แตมีความหมายเปนปญจุปาทานขันธอยางนี้ก็มี;


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๑๕

พระพุ ท ธเจ า อาจจะตรัส ไม ผิ ด . แต ค นที่ ม าเขี ย นเป น ตั ว หนั งสื อ มาคั ด ลอกเป น ตั ว หนั งสื ออาจจะทํ าผิ ด เพราะมั นมากนั ก, แล วเวลาก็ ล วงมาตั้ งสองพั นกว าป ม าแล ว อาตมาเชื่อวาพระพุ ทธเจาทานจะไมมีทางตรัสผิด ไมมีทางที่พระพุทธเจาจะตรัสผิด เพราะ ท า นตรัส ยื น ยั น อยู แ ล วว า ปฺ จุ ป าทานกฺ ข นฺ ธ า ทุ กฺ ข า -อุ ป าทานขั น ธ ทั้ ง ๕ เป น ตัวทุกข ถาขันธ ๕ เฉย ๆ ไม ทุกข แตการที่พระไตรปฎกบางบรรทัด จะใชคําวา ป ญ จขั นธาเฉย ๆ เป นทุ กข นี่ อาจจะเขี ยนผิ ด, หรือว าเขาให หมายความว าเป นป ญ จุ ปาทานขั นธ แต เขาไม ได เขี ยนให เต็ มก็ ได , หรือว าข อความรอบ ๆ นั้ นมั นจะแสดงให เห็นชัดไดวา ขันธ ๕ ในที่นี้หมายถึงปญจุปาทานขัธอยางนี้ก็ได. นี่ เรากํ าลั งมี ความรู เรื่ องขั นธ ๕ กั นในเวลานี้ ในลั กษณะอย างนี้ ; แล วก็ อย าลื มวา สงฺขิ ตฺ เตน ปฺ จุ ปาทานกฺ ขนฺ ธา ทุ กฺ ขา ที่ ท องกั นทุ กเข าเวลาทํ าวัตรเช า. อย าลื มหลั กข อนี้ เสี ยซิ แล วก็ ไม มี ทางที่ จะฟ นเฟ อน. ต องป ญ จุ ปาทานขั นธา จึ งจะ เปนทุกข; ถาปญจขันธาแลวอยาไปพูดวาทุกข หรือสุขเลย มันไมมีทางจะพูด.

อยาเอาคําวา “ขันธ” กับ “อุปาทานขันธ” มาปนกัน

www.buddhadasa.info เพราะฉะนั้ น ขอให ทํ าความตกลงกั นอี กครั้ งว า เราจะอดทน อดทนเพื่ อจะ ศึกษาเรื่องนี้อยางเพอเบื่อ; สนใจแลวก็ศึกษา ทําความเขาใจกันเสียใหมใหถูกตอง อย ามาคิ ดว า เรียน ก. ข. กั นใหม อี กละโว ย. นี่ มั นไม ใช เป น ก. ข. ชนิ ดที่ คุ ณเรี ยนกั น มาผิ ด ๆ, แล วจึ งต องเรียนกั นใหม ให มั นถู กเสี ยที เรื่ องธาตุ เรื่ องอายตนะ เรื่ องขั นธ เรื่องป ญจุ ปาทานขั นธ และเรื่องทุ กข . ให นั บไปเถอะ จะต องมี ๕ อย าง หรือ ๕ เรื่อง : ตั้งตนขึ้นมาดวยเรื่องธาตุ แลวก็ปรุงขึ้นมาเปนอายตนะ, อายตนะก็ปรุงขึ้นมาเปนขันธ, ขันธก็ป รุงขึ้นมาเปน อุป าทานขัน ธ, แลวอุปาทานขันธก็ตอ งปรุงขึ้นมาเปน ทุกข; ๕ อยางเทานี้ เปนหลักที่เฝอไมได ถาเฝอแลวไมมีทางจะเขาใจธรรมะ. ฉะนั้น จึงวา


๓๑๖

ปรมัตถสภาวธรรม

อดทนเรี ย น ก. ข. กั น ใหม เสี ย ให ถู ก ต อ ง เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ ง อุปาทานขันธ และเรื่องทุกข; ทีนี้ พอกลับตรงกันขามก็เปนเรื่องดับทุกข. ควรสรุ ป ให ชั ด อยู ในใจเสมอว า โดยแท จ ริ ง แล ว เราไม อ าจจะมี ขั น ธ พรอมกันทั้ง ๕ขันธในคราวเดียวกัน ในกลุมรางกายและจิตใจนี้ เพราะวาขันธนั้น ยอมเกิดทะยอย ๆ กันทีละขันธ และตางเปนปจจัยแกกันและกัน เปนลําดับไป. ถ า เราจะถื อ ว า ขั น ธ เกิ ด เมื่ อ ไร? ขั น ธ ไหนเกิ ด เมื่ อ ไร? ก็ ให รู ว า ขั น ธ นั้ น เกิดเมื่อนั้นมันทําหนาที่ของขันธนั้น ๆ. เมื่อรูปธาตุมันทําหนาที่ของรูปไดสมบูรณ ก็เรียกวารูปขั นธเกิ ดขึ้นแล ว, เวทนาธาตุ ทํ าหน าที่ ของมั นได สมบู รณ ก็ เรียกวาเวทนา ขั นธ เกิ ดขึ้ นแล ว, สั ญ ญาธาตุ ทํ าหน าที่ ของมั นได สมบู รณ เรียกว า สั ญ ญาขั นธ เกิ ด ขึ้ น แล ว , สั ง ขารธาตุ ทํ า หน า ที่ ข องมั น สมบู ร ณ เรี ย กว า สั ง ขารขั น ธ เกิ ด ขึ้ น แล ว , วิญ ญาณธาตุ ทํ าหน าที่ ของมั นสมบู รณ เรียกวา วิญ ญาณขั นธเกิ ดขึ้นแล ว; อย างนี้ ไมมีทางสับสน.

www.buddhadasa.info คิดดูใหดี แมแตขันธลวน ๆ ก็ยังเกิดพรอมกันไมได แลวอุปาทานขันธ ทั้ ง ๕ จะเกิ ดพรอมกั นขึ้ นได อย างไร; มั นต องเกิ ดขึ้ นที ละอย าง ตามเรื่อง ตามเหตุ ตามป จจั ย ตามกรณี ในโอกาสนั้ น ๆ. มั นเหมื อนกั บวาเราจะโงพรอมกั นที เดี ยว ๕ เรื่อง ได ห รื อ ? เราก็ ต อ งโง ไ ด ที ล ะเรื่ อ ง; ฉะนั้ น อวิ ช ชาที่ ไ ปยึ ด รู ป เวทนา สั ญ ญา สังขาร วิญญาณ มันตองคนละทีอยางนี้.

อย าลื มวาพระพุ ท ธเจ าตรัสวา ฉ ธาตุ โย ภิ กฺขเว อยํ ปุ ริโส-คนเรานี้ ประกอบอยู ด วยธาตุ ๖; แต ไม เคยตรัสว า คนเรานี้ ประกอบอยู ด วยขั นธ ๕ ไม เคย ตรั ส; เพราะขั นธ ๕ มั นจะเกิ ดมาคนละที ๆ คนละที ; แต ว าธาตุ ๖ นี้ กํ าลั งประกอบ กันอยูเปนคน ๆ หนึ่งไดในคราวเดียวกัน ฉะนั้น รูใหดีวา ธาตุทั้งหลายที่ปรุงกันเปน


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๑๗

อายตนะ เป นขั นธ แล วก็ มี ธาตุ ทั้ งหลายกํ าลั งอยู เป นธาตุ เป นสภาพของธาตุ ยั งมิ ได ปรุงเปนอายตนะ เปนขันธก็มี. เพื่ อให เข าใจเรื่ องนี้ เราถามตั วเองไว บ อย ๆ ว า เมื่ อไรเรี ยกว าเป นเพี ยง ธาตุ เท านั้ น? เมื่ อไรเรียกวาเป นเพี ยงธาตุ คื อพรอมที่ จะประกอบเป นธาตุ อื่ นขึ้ นมาอี ก เป น ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ล ม ธาตุ อ ากาส ธาตุ วิ ญ ญาณ เป น ธาตุ ห นึ่ ง ๆ ลวน ๆ? เมื่อไรมันเป นเพี ยงสั กวาธาตุเทานั้น? แลวเมื่ อไรธาตุ นี้ มั นไปทํ าหน าที่ เป น อายตนะ เกิ ดเป นอายตนะขึ้ นมาอยางนี้ เช นจั กขุ ธาตุ เป น จั กขุ อายตนะ เป น ต น ? แล ว ก็ เมื่ อ ไรอายตนะนั้ น ปรุ งให เกิ ด ขั น ธ ขึ้ น มา? แล ว เมื่ อ ไรขั น ธ นั้ น กลายเป น อุปาทานขันธขึ้น? แลวเมื่อไรอุปาทานขันธนี่ทําใหเกิดความทุกข เชน เกิด แก เจ็ บ ตายของเราอย างนี้ ? เมื่ อไรเป นสั กว าธาตุ ? เมื่ อไรเป นสั กว าอายตนะ? เมื่ อไรเป น สักวาเปนขันธ? เมื่อไรเปนอุปาทานขันธ? และเมื่อไรเปนทุกข? ฉะนั้ น ถ า ผู ใ ดมองเห็ น ชั ด จะตอบคํ า ถามข า งต น ได ทั น ที ถู ก ต อ ง คล อ งแคล ว ก็ เรี ย กว า ผู นั้ น รู เรื่ อ งนี้ : รู เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ ง อุปาทานขันธ และเรื่องทุกข เปนหัวขอใหญ ๆ ๕ หัวขอดวยกัน.

www.buddhadasa.info ตองรูจัก อุปาทานขันธ เพื่อดับทุกขได ที นี้ ก็ จะพู ดถึ งใจความสํ าคั ญของคํ าว า ขั นธ คื ออุ ปาทานขั นธ . เมื่ อรู เรื่ อง ขั น ธ ทั่ ว ๆ ไปแล ว ก็ ต อ งรู เฉพาะเป น พิ เศษ เรื่ อ งอุ ป าทานขั น ธ คื อ ขั น ธ ที่ ถู ก ยึ ด มั่ น ดว ยอุป าทาน; เพราะถา ไมม ีข อ นี ้พ ระพุท ธศาสนาก็ไ มต อ งเกิด . นี ่ฟ ง ดูใ หดี พระพุทธเจาก็ไมตองเกิด ถาไมมีปญหาขอที่วา ขันธนี้มันถูกยึดมั่นดวยอุปาทาน ในจิ ตใจของสั ตว , แล ว มั น ก็ ไม มี ค วามทุ ก ข ซิ ; เมื่ อ ไม มี ค วามทุ ก ข แ ล ว จะต อ งเกิ ด พระพุทธเจา หรือเกิดพระพุทธศาสนา เกิดธรรมะทําไมกัน.


๓๑๘

ปรมัตถสภาวธรรม

โดยเหตุที่มันมีปญหาตายตัวลงไป วามีความทุกข ก็ตองเกิดผูดับทุกข, หรื อ ผู มี ค วามรู สํ า หรั บ จะดั บ ทุ ก ข . ฉะนั้ น ป ญ หาจึ ง มาอยู ที่ ป ญ จุ ป าทานขั น ธ อยางที่พระพุทธเจาทานตรัสอยูเสมอวา ทุกขนั้นคือตัวปญจุปาทานขันธ. เมื่ อ ไรเกิ ด ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ? จะต อ งรบเร า เซ า ซี้ ไม ก ลั ว โกรธ ว า ต อ ง ไล มาตั้ งแต ธาตุ เมื่ อไรเป นธาตุ , เมื่ อไรเป นอายตนะ, เมื่ อไรเป นขั นธ แล วเมื่ อไรเป น อุ ป าทานขั น ธ แล วเมื่ อไรเป น ทุ กข . เมื่ อ ไรเป น อุ ป าทานขั น ธ ? เราก็ ต อ งรู จั กลั กษณะ ของอุ ปาทานขั นธ ที่ มั นต างจากขั นธ ตามธรรมดา. ข อนี้ มี ตรัสไว มากที่ สุ ด แต คนไม สนใจ เราลองพยายามจะเก็บมาดู ก็มีไดมาก. ที่พระพุ ทธเจาทานไดตรัส ไวที่แสดงใหเห็นวา มั น ต างกัน ระหวางขั น ธ กั บ อุ ป าทานขั น ธ เชน เมื่ อยกเอารูป ขัน ธขึ้น มาเป น หลั ก : ยํ กิ ฺ จิ รูป อตี ต านาคตปจฺ จุ ปฺ ป นฺ นํ อชฺ ฌ ตฺ ตํ วา พหิ ทฺ ธํ วา โอฬาริกํ วา ฯลฯ เรื่อยไปอยางนี้ คือรูปขันธ. แตถาจะเปนรูปูปาทานขันธแลว มีทางสังเกตไดดังตอไปนี้ :๑. มี คํ าเติ มว า สาสวํ อุ ปาทานนิ ยํ เข าไป คื อว ารู ปอดี ต อนาคต ป จจุ บั น ใกล ไกล หยาบ ละเอีย ด. ผลสุด ทา ยแลว ก็ค ือ รูป ขัน ธ; แตถ า มัน เปน สาสวํ อุปาทานิยํ คือเปนไปกับดวยอาสวะกิเลสแลว ก็นั่นแหละ เปนที่ตั้งแหงอุปาทาน แลวนี่ก็เปน รูปูปาทานขันธ.

www.buddhadasa.info เวทนา ก็ เหมื อนกั นอี กนั่ นแหละจะแจกเป นจั กขุ สั มผั สสชาเวทนา โสตสั มผั สสชาเวทนา ฆานสั มผั สสชาเวทนา ชิ วหาสั มผั สสชาเวทนา กายสั มผั สสชาเวทนา มโนสั ม ผั ส สชาเวทนา ๖ อย าง; อย างนี้ มั น เป น เวทนาขั น ธ ทั้ งนั้ น แต พ อไปเติ ม คํ า ขางทายวา สาสวา อุปาทานิยา นั่นคือ ปญจุปาทานขันธ.

ในเรื่องสัญ ญาขัน ธ สั งขารขัน ธ วิญ ญาณขัน ธ ก็เหมื อ นกัน ; นี้คือ พระบาลีที่เขียนไวชัด ในตัวหนังสือ ในพระไตรปฎก. ถาเปนอุปาทานขันธ ก็จะ


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๑๙

ต องเติ ม เข าไปอี กสองคํ าวา สาสวา คื อเป นไปด วยอาสวะ และอุ ป าทานิ ยา เป นที่ ตั้งแหงอุปาทานขันธ หรือประกอบอยูดวยอุปาทาน นี้คืออุปาทานขันธ. เพราะฉะนั้ น พระพุ ทธเจ าท านก็ ตรั สไว ขั ด ว า “เอ า, เราจะบอกเธอถึ งเรื่ อง ป ญ จขั น ธ และเรื่ องป ญ จุ ป าทานขั น ธ ” : บอกป ญ จขั น ธ ก็ บ อกล วน ๆ อย างนี้ ; พอ บอกป ญ จุ ป าทานขั น ธ ก็ เติ ม เข าไปอี ก สองคํ าว า สาสวา อุ ป าทานิ ย า นี้ อ ย างหนึ่ ง. จําไววาถามันมี สาสวา อุปาทานิยา เติมเขาไปแลว ก็หมายถึงอุปาทานขันธ. ทีนี้ ขันธที่มีลักษณะของการมั่นหมายดวยสักกายทิฏฐิ ๒๐ อยาง, ทั้ง ๕ ขั น ธ ก็ มี ๒๐อย า ง; นั่ น แหละคื อ ป ญ จุ ป าทานขั น ธ . ขั น ธ มี อ ยู ๕ ขั น ธ แต ล ะ ขั นธ นั่ นถู กกํ าหนดด วยสั กกายทิ ฏฐิ ๔ อย าง : ๔ อย างเช น เห็ นขั นธ โดยความเป นตน เห็น ตนมีข ัน ธ เห็น ขัน ธใ นตน เห็น ตนในขัน ธ ๔ อยา ง; นี ่ก ็ท อ งกัน อยู ไ ด แต ก็ดูจะทองกันอยางนกแกว. เห็ นขันธโดยความ เป นตน นี่ ขอแรก แล วเห็ นตนมี ขั นธ แล วเห็ นขั นธใน ตน เห็ น ตนในขั น ธ ; ๔ อย างนี้ อุ ต ส าห จํ า ไว ด วย มั น มี อ ยู ๔ ความหมาย ที่ จ ะ เป นสั กกายทิ ฏฐิ ขึ้ นมาได . เห็ นขั นธ โดยความเป นตน ข อแรก, เห็ นตนมี ขั นธ ข อสอง เห็นขันธในตน ขอสาม, เห็นตนในขันธ ขอนี่; ในขันธหนึ่งมีไดสี่ หาขันธก็เปนยี่สิบ.

www.buddhadasa.info ถ าขั นธใด มี ลั กษณะแสดงวา ประกอบอยู ด วยความหมายของสั กกายทิ ฏฐิ ๒๐ อยางนี ้ อยางใดอยางหนึ่งก็ต าม นี้ขัน ธนั้น ก็เปน อุป าทานขัน ธแ ลว ; ไมได พู ดสั กวารูป สั กวาเวทนาแล ว แต ได พู ดถึ งรูป ถึ งเวทนา ในลั กษณะที่ ถู กสํ าคั ญมั่ นหมาย ด ว ยสั ก กายทิ ฏ ฐิ โดยความเป น ตน, โดยที่ ต นมี , มี ในตน, ตนมี ในขั น ธ . นี่ ก็ ข อให กํ าหนดไว อย างหนึ่ ง ว า มั นเป นลั กษณะที่ จะแสดงให เรารูได ว า ขั นธ นี้ เป นอุ ปาทานขั นธ , หรือเมื่อจะแสดงลักษณะของอุปาทานขันธ ตองแสดงอยางนี้.


๓๒๐

ปรมัตถสภาวธรรม

๒. ในบาลี มั ชฌิ มนิ กาย บางแห งก็ มี กล าวว า อิ เม โช ภิ กฺ ขเว ปฺ จุ ปาทานกฺ ขนฺ ธา ฉนฺ ทมู ลกา; เติ มคํ าวา ฉนฺ ทมู ลกา เข ามา; หมายความวา มี ฉั นทะเป น มูล ขันธใดเกิดขึ้นมาโดยมีฉันทะเปนมูล แลวก็ขันธนั้นจะเปนอุป าทานขัน ธ เสมอไป ท านจึ งได ตรัสไวเสี ยเลยวา ปฺ จุ ปาทานกฺ ขนฺ ธา ฉนฺ ทมู ลกา -ป ญ จุ ปาทาน ขันธทั้งหลาย ก็มีฉันทะเปนมูล. ข อนี้ ต องย อนไปพิ จารณา เมื่ อมี การสั มผั ส ระหว างอายตนะภายใน ภาย นอกนี่ เป น สั ม ผั ส ขึ้ น มาแล ว มี อ วิ ช ชาเข า ไปเกี่ ย วข อ งด ว ย; มี ฉั น ทะ คื อ ความ พอใจอย างใดอย างหนึ่ ง เข าไปเป นมู ลที่ นั่ น แล วก็ จะเดิ นมา จนถึ งกั บวา เป นเวทนา ที่ มี ฉั นทะเป นมู ล มี สั ญญา สั งขาร วิ ญญาณ มี ฉั นทะเป นมู ล ก็ เลยมี ป ญจุ ปาทานขั นธ ที่ มี ฉั นทะเป นมู ลขึ้ นมา จะเป นรูปขั นธ ก็ ได เวทนาขั นธ ก็ ได สั ญญาขั นธ ก็ ได ในขั นธ ใด ขันธหนึ่ง ๆ ก็ได ซึ่งก็มีฉันทะเปนมูล. เรื่องฉั นทะนี้ ตองรูไววา หมายถึ งกิ เลสประเภทตั ณ หา ทําไมจึงพู ดถึง แต ฉั นทะ ไม พู ดถึ งโทสะ หรื อถึ งโมหะ อะไรด วย? เพราะว าทุ กอย างขึ้ นอยู กั บฉั นทะ หมด คื อ ว าโทสะ หรื อ ว าความโกรธ, หรื อ ว าประทุ ษ ร ายอะไรก็ ต าม มี มู บ รากอยู ที่ ฉัน ทะอีก ทีห นึ่ง . ถา เราไมรัก อะไร ไมพ อใจอะไรอยูอ ยา งหนึ่ง เราโกรธไมไ ด นี่ ไปศึกษากันอยางนี้เสียกอนดวย.

www.buddhadasa.info การที่เรากจะไปโกรธอะไรเปนฟ นเปน ไฟนั้น ก็เพราะมีรักอะไรอยู อย างหนึ่ ง ซึ่ งเป น ฉั น ทะ; ไม ใช วาความโกรธมั น จะเกิ ด ขึ้ น มาได ต ามลํ าพั งโดยไม อาศัย ฉัน ทมูล กา. นี ่ไ มต อ งฟง แลว เชื ่อ ไปตามคํ า พูด ; ตอ งไปดู ใหเ ห็น ตัว จริง ที่ มั นอยู ในใจของเรา. เช นเราโกรธแล ว ไล ตี แมว เพราะทํ าถ วยแก วแตก นี่ เป นโทสะ. แตโทสะนี่เกิดลอย ๆ ไมได มันตองมีฉันทะอะไรอยูที่ใดที่หนึ่งกอน; ก็จะพบวาเรารัก


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๒๑

ถ วยแก ว นั่ น แหละคื อฉั นทะเป น มู ล อยู ที่ ถ วยแก ว. แล วพอแมวมาทํ าถ วยแก วแตก เราก็ โกรธแมว และตี แมว โดยไม ได นึ กถึ งฉั นทมู ลกา; คล าย ๆ กั บว าไม ได เนื่ องด วย ฉันทะ. แท จริงกิ เลสทั้ งหลาย แม จะเป น ความโกรธ ความเกลี ย ด ความกลั ว ความอะไรก็ตาม ตองมี ฉันทมู ลกา คือมีฉันทะอยูที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งกอน มันจึงจะเกิดนั้น ๆ ขึ้ นมา. อย างว าเราจะกลั วผี ก็ เพราะเรารักตั วเรา; กลั วผี ทํ าอั นตรายเราให ตายอย างนี้ เป นต น. มั นมี ฉั นทมู ลกาอยู เรื่อยไป; ป ญ จุ ปาทานขั นธ ทั้ งหลาย จึ งได ถู กตรัสไว ว า เปนฉันทมูลกา. ๓. ทีนี้ ดูขอตอไปอีก นี่เป นภาษิ ตของพระสารีบุ ตร ละเอียดลออนาฟ งวาขันธ ใดที่ มั น เกิ ด ร วมกั น กั บ สมั น นาหารจิ ต โดยสมควรแก อ ายตนะนั้ น ๆ แล ว เหล านั้ น จะเป น ป ญ จุป าทานขัน ธทั้ งหมด.สมั น นาหารจิ ต เป นคํ าในบาลี ที่ไม คอ ยมาผานหู ผานตานัก; ก็หมายความวา สัมผัสดวยอวิชชานั่นแหละ เรียกวาสมันนาหารจิต ที่ตั้งตนขึ้นมา คือมันไดที่, ครบถวน, พรอมเพรียง, ไดที่, เรียกวาสมันนาหารจิต. เชนวาเมื่ อตากระทบรูป เกิดจั กขุวิญญาณเป นผั สสะนี่ ถาอวิชชาไม เขามาแทรกแซงด วย ก็ยังไมครบเครื่อง; เหมือนกับแกงไมครบเครื่องอยางนั้นแหละ.

www.buddhadasa.info ที่จะเปนเรื่องเปนราวขึ้นมา มันตองมีอวิชชาเขามาชวยดวย ใหเปน อวิชชาสัมผัสใหจนได. จิตในขณะนั้น เรียกวาสมันนาหารจิต เพราะมีอารมณ รูป เสียง กลิ่น รส อันใดอันหนึ่งเปนอารมณ.

ที นี้ สมั นนาหารจิ ตนั้ นต องอนุ รู ปแก อายตนะนั้ น ๆ คื อต องโง ขนาดที่ จะชอบ อารมณ นั้ น ๆ จึ งจะเป นสมั นนาหารจิ ตเต็ มตั ว; เพราะฉะนั้ น ขั นธ ที่ มั นเกิ ดตั้ งต นกั น ขึ้ น มาด ว ยสหารจิ ต คื อ จิ ต ที่ ป ระกอบอยู ด ว ยอวิ ช ชา หลงใหลอยู ในอารมณ นั้ น ๆ; นั่นแหละ มันจะเปนปญจุปาทานขันธมาตั้งแตเดิมทีเดียว, แตแรกตั้งตนทีเดียว.


๓๒๒

ปรมัตถสภาวธรรม

จะเห็ นได ง าย ตั วอย าง เช นว า พอเราเห็ นคนที่ เรารั กหลงอยู อย างยิ่ ง เดิ นมา ตาก็ เห็ น รู ป นั้ น เกิ ด จั ก ขุ วิ ญ ญาณสํ า หรั บ เห็ น แล ว สั ม ผั ส คื อ ว า เห็ น รู ป นั้ น ; นี่ เห็ น ด ว ยความรั ก คื อ มี ฉั น ทมู ล กา เป น อวิ ช ชามาเสร็ จ เลย มั น ก็ เห็ น คนที่ รั ก แล ว ก็ รั ก แล วก็ เป นห วง แล วก็ วิ ตกกั งวล หรื ออะไรแล วแต จะเป นไปเถอะ. นี่ เรี ยกว าป ญ จุ ปาทานขั น ธ ได ตั้ งต น ขึ้ น มา ตั้ งแต การเกิ ด ขึ้ นแห งสมั น นาหารจิ ต ที่ อ นุ วั ต ต ต ามอารมณ หรื อ ตามอายตนะนั้ น ๆ; นี่ คื อป ญ จุ ป าทานขั น ธ หรื อ อุ ป าทานขั น ธ อั น ใดอั น หนึ่ ง ที่ ตั้ งต น ขึ้นมา รวดเดียวตลอดไปเปนปญจุปาทานขันธ. ที นี้ ถ าไม อย างนั้ น ที แรกก็ ตาเห็ นเฉย ๆ เห็ นรู ปที่ สวย มั นก็ สวยเฉย ๆ ก อน แต ว าเกิ ด มี อ ะไรเข ามาช วยให เปลี่ ย นความคิ ด ครั้ งที่ ส อง โดยที่ ว า เช น เห็ น รู ป นี้ ส วย ยั ง เฉยอยู ; แต แ ล ว อวิ ช ชาเพิ่ ง มา เพิ่ ง นึ ก ได เพิ่ ง คิ ด เห็ น หรื อ เพิ่ ง นึ ก ได มาหลง ในความสวยนั้ น มั นจึงตั้ งต นใหม โดยมโนวิญญาณ ไม ใชจั กขุวิญญาณ. จักขุวิญญาณ เห็ น ที แรกก็ ยั งไม มี เรื่ อง; พอว าสวยแล ว มโนวิ ญ ญาณรั บเอาอารมณ สวยมาอี กที หนึ่ ง แล วมาก ออวิ ชชาก็ ได . อย างนี้ เรี ยกว าไม ได ตั้ งต นมาด วยกั นตั้ งแต ที แรก เพิ่ งมาเห็ นว า สวยหรื อ ไม ส วยที ห ลั งอี ก ระยะหนึ่ ง; แต แ ล วมั น ก็ เกิ ด อุ ป าทานขั น ธ เหมื อ นกั น แม จ ะ ไม ได เกิ ดขึ้ นมาแต ในที แรก มั นก็ มาเกิ ดในระยะที่ สองที่ สามได . แล วก็ เป นอุ ปาทานขั นธ แล วก็ เป น ทุ ก ข เหมื อ นกั น ; จะต อ งมี ค วามทุ ก ข เหมื อ นกั น คื อ จะไปรั ก หรื อ ว าไปหลง หรือวาไปอะไรเหมือนกัน.

www.buddhadasa.info ๔. ขั น ธ ๕ ที่ เขี ย นเป น ตั ว หนั งสื อ นี่ เห็ น งา ย ที นี้ พู ด กั น ถึ งตั ว หนั งสื อ ดี กว า : ถ าเขี ยนว า รู ป กขั นโธ เวทนากขั นโธ สั ญ ญากขั นโธ สั งขารั กขั นโธ วิ ญ ญาณั กขั น โธ; นี้ ยั ง ไม แ น คื อ ว า ไม ไ ด เ ป น อุ ป าทานขั น ธ ยั ง ไม เ กี่ ย วกั บ อุ ป าทาน. ถ า ว า ขึ้ น มาถึ งรู ปู ป าทานขั น โธ เวทนู ป ทานขั น โท สั ญ ู ป าทานขั น โธ สั งขารู ป าทานขั น โธ วิ ญญาณู ปาทานขั นโธ อย างนี้ แล ว ไม ต องถามใครให เสี ยเวลา คื อมั นหมายถึ งขั นธ ที่ ถู กยึ ด อยูดวยอุปาทาน; ชื่อมันก็ผิดกันเสียแลว.


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๒๓

ที่ เขาสวดอภิ ธ รรมในงานศพ เขาจะสวดกั น เป น กลาง ๆ คื อ ขั น ธ ๕ มี อย างนั้ น , อย า งนี้ , อย างนั้ น ; แล วก็ ไม ได มุ งหมายจะให แ ยกเป น ขั น ธ ๕ ล ว น ๆ; หรื อว าจะให เป นป ญจุ ปาทานขั นธ คื อพู ดไว เป นกลาง ๆ ตามธรรมดา ก็ หมายถึ งขั นธ ๕ ลวน ๆ ไมมีคําวา สาสวา อุปาทานิยัง ตอทาย. นี่ถ าเราเอาตั วหนั งสือเป นหลัก หนั งสือเขาก็เขียนถูกแลว มั นงายนิดเดียว : รูป ขั น ธ เวทนาขั น ธ สั ญ ญาขั น ธ สั งขารขั น ธ วิ ญ ญาณขั น ธ นี่ พ วกหนึ่ ง ยั งไม มี อุปาทาน. พอมีอุปาทาน ก็ไดชื่อเต็มยศวา รูปูปาทานขันธ เวทนูปาทานขันธ สัญู ปาทานขั นธ สั งขารูปาทานขั นธ วิ ญ ญาณู ปาทานขั นธ อย างที่ เราสวดทํ าวัตรเช านั่ น นั้นหมายถึงขันธที่มีอุปาทานยึดครองแลวเปนทุกขแนนอน. ๕. จะให สั งเกตงาย ๆ อี กหน อยหนึ่ ง แล วค อนข างจะขบขั นคื อวา ถ าขั นธ ไหนรูส ึก วา มัน หนัก นั ่น แหละคือ ปญ จุป าทานขัน ธ; ถา ขัน ธไหนมัน ไมห นัก หรือวามันไมไดเอามาแบกไว คือมันไมหนัก นั่นไมใชปญจุปาทานขันธ.

www.buddhadasa.info ทีนี้ พระพุทธเจาทานก็ไดตรัสไวชัด แตวา ถอยคําก็เปลี่ยนเปนคําโคลง คํ า กลอน แล ว มั น อาจจะไม ชั ด เช น ที่ เราสวดว า ภารา หเว ปฺ จ กฺ ข นฺ ธ า-ขั น ธ ทั้ ง ๕ เป น ของหนั ก เน อ , ภารหาโร จ ปุ คฺ ค โล-บุ ค คลนั่ น แหละ เป น ผู แ บกของ หนั ก พาไป ในบาลี ช นิ ด นี้ มั น เป น คํ า กลอน เมื่ อ เป น คํ า กลอนต อ งได รั บ การยกเว น บางที ก็ ไม ต องใส เต็ มรูปเต็ มตั ว; และข อความที่ ติ ดเนื่ องกั นอยู นั่ น มั นบอกให เองว า ปญจขันธา ในที่นี้มิไดหมายถึงขันธลวน ๆ แตหมายถึงขันธที่มีอุปาทาน, เพราะ มั นแสดงวามั นเป นของหนั ก และบุ คคลนั่ นแหละเป นผู แบกของหนั ก เมื่ อมี บุ คคลมั น ก็คืออุปาทานแลว.


๓๒๔

ปรมัตถสภาวธรรม

พระบาลี อย างนี้ ถ าเอาตามตั วหนั งสื อ ก็ ต องดู ให ดี ต องดู ตั วหนั งสื อให มั นตลอดไปทุ กบรรทั ด. เราจะพบได เองวา แม แต พู ดวา “ป ญจขันธา” ก็ มี ความหมาย เท ากั บ “ป ญจุ ปาทานขันธา” คื อป ญจขันธ ที่ ประกอบด วยอุ ปาทาน ๕ อย าง เป นของ หนัก. ฉะนั้น จึงใหสังเกต หรือจําไวงาย ๆ อยางขบขันวา ถาขัน ธไหนหนั ก ขัน ธ นั้นเปนปญจุปาทานขันธ; ถาขันธไหนไมหนักเลย ขันธนั้นก็เปนขันธเฉย ๆ เมื่อใดรูปเกิดหนักขึ้นมา ใหรูไวเถิดวา มันเปนรูปูปาทานขันธแลว; เมื่ อ ใดเกิ ด เวทนา เกิ ด ทํ าป ญ หาหนั ก ขึ้ น มา เป น เวทนู ป าทานขั น ธ แ ล ว . เช น ว าตา ไปเห็ นรูปสวย สบายตาขึ้ นมา แต ถ ามั นไม หนั กอกหนั กใจอะไร มั นก็ เป นขั นธ เฉย ๆ; ถ ามั นเป นป ญ หา เกิ ดหนั กอกหนั กใจขึ้ นมา : รักหรือว าโกรธ หรือเกลี ยด หรือกลั ว หรือวิตกกั งวล เพราะความสวยของสิ่ งที่ เห็ นนั่ นน ะ นี่ มั นเป นป ญ จะปาทานขั นธ แล ว, มันหนักแลว นี่ตัวอยางหนึ่ง. อี กตั วอย างหนึ่ ง อยางวาคนแก ๆ เหลือบตาไปเห็ นลู กหลานเล็ก ๆ น าสงสาร น าเอ็ นดู อย างนี้ บางที ใจก็ เฉย ๆ; ถ ามั นเฉยอย างนี้ รูปนั้ นไม เป นป ญจุ ปาทานขั นธ . บางที เหลื อบไปเห็ นลู กหลานสวย ๆ ก็ เกิ ดรัก เกิ ดเป นห วง วิ ตกกั งวลว ามั นจะเจ็ บไข มั นจะไม ได เล าได เรียน มั นจะเป นทุ กข มั นจะไม ได อย างอกอย างใจ. อย างนี้ เป น ปญจุปาทานขันธแลว เพราะมันหนักแลว ถายังไมหนักก็ยังเปนขันธเฉย ๆ พอมัน หนักแกจิตใจเรา มันก็เปนปญจุปาทานขันธแลวอยางนี้.

www.buddhadasa.info ในขอนี้ ใหถือหลักวา ขันธไหนหนักแลว ขันธนั้นเปนปญจุปาทานขันธ; แล วสิ่ งเดี ยวกันนั่ นแหละ ลู กหลานคนเดี ยวกันนั่ นแหละ บางมื้ อบางเวลา เห็ นแล วก็ มิ ได วิ ต กกั ง วลอะไร; แต บ างเวลาแล ว วิ ต กกั ง วลเกื อ บจะตายไป. นี่ ก็ ไ ม ต อ งอั น อื่ น อันนั้นก็เปลี่ยนเปนขันธเฉย ๆ ได เปนอุปาทานขันธได แลวแตการปรุงแตงในขณะแหง


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๒๕

จิ ตสั มผั สนั้ น สั มผั สด วยวิ ชชา หรือด วยอวิชชา; คื อว าด วยมี สติ สั มผชั ญ ญะ หรือว า ปราศจากสติสัมปชัญญะ, นี่ขันธหนักคือปญจุปาทานขันธ ขันธไมหนักคือขันธ เฉย ๆ. จะพูดตอไปอีกหนอยก็วา มันหนักใคร? มันหนักบุคคล ภารหาโร จ ปุคฺคโล บุ คคลนั่ นแหละเป นผู แบกของหนั กพาไป เพราะว าไปโง ไปคิ ดว าเป นตั วฉั น มี บุ ค คล เป น ฉั น ขึ้ น มา; ก็ ต อ งมี ก ารหิ้ ว หิ้ วมั น ก็ ห นั ก . การหิ้ วนั้ น คื อ อะไร? ก็คื อ อาทาน ซึ่งแปลวาการหิ้ ว หมายถึ ง ตั ณ หา อุ ป าทาน นั่ น เอง. ความหิ้ ว หรือ วาเครื่อ ง มั ดผู กให ติ ด ให หิ้ ว นั้ น คื อ ตั ณ หา และอุ ป าทานนั่ น เอง; เมื่ อ ตั ด ตั ณ หา อุ ป าทาน ออกไปไดก็เหมือนกับวางหรือหลุดลงไป มันก็ไมหนัก. ๖. ที นี้ ที่ จะสั งเกตดู ให ละเอี ยดอี กนิ ดหนึ่ ง ในกรณี ที่ เรียกวาสมั นนาหารจิ ต คื อจิ ต ที่ ป ระกอบด วยอวิ ชชามาตั้ งแต ที แรกนั้ น ก็ มี ส มุ ทั ยแห งขั น ธ . สมุ ทั ย แปลว า ก อ ขึ้ น , ตั้ ง ขึ้ น ; อย า แปลว า ความเกิ ด ง า ย ๆ จะเข า ใจผิ ด ได . ชาติ แปลว า เกิ ด หรือคําอื่น แปลวาเกิด; แตคําวา สมุทัย อยาแปลวาเกิด แปลวา ตั้งขึ้น, ตั้งขึ้น, ตั้งขึ้น, สํ=พรอม อุ=ขึ้น ยะ แปลวา ไป : สมุทัย ตั้งขึ้นพรอม อยางนี้.

www.buddhadasa.info ถาขันธนั้นตั้งขึ้นพรอมในลักษณะที่มี อภินนฺทติ มี อภิวทตํ มีอชฺโฌสายติฏ ฐติ แล ว นั่ นแหละคือป ญจุปาทานขันธ. อภิ นั นทติ หรืออภิ นั นทิ หรือ อภิ นั นทนะ แล วแต จะเป นกิริยา หรือเป นนาม; อภิ นั นทติ คื อ จิตใจมั นพอใจอยางยิ่ ง, อภิ วทติ นี่มั นจะทํ าให พู ดออกมา พร่ําสรรเสริญ หรือสู ดปากที เดี ยววา แหม, มั นถูกใจอยางยิ่ง; นี ่อ ภิว ทติ แลว . อชฺโ ฌ สายติฏ ติ ก็ค ือ วา มัว เมา สยบอยู  ในสิ ่ง นั ้น , จิต มันไปสยบ มัวเมา ฝงจมดิ่งลงไปในนั้น ก็เรียกวา อชฺโฌสาย ติฏติ. คํ า สามคํ า นี้ ในบทสวดก็ มี ไปดู ใ ห ดี เถอะ : เพลิ น อย า งยิ่ ง แล ว ก็ ออกปากอยางยิ่ง แลวก็มัวเมาหมกอยูอยางยิ่ง. ถากรณีใดตั้งตนขึ้นมาดวยจิตใน


๓๒๖

ปรมัตถสภาวธรรม

ลั กษณะอย างนี้ , อารมณ นั้ น ๆ นี่ ต องปรุงเป น ป ญ จุ ปาทานขั นธ เป น อุ ปาทานขั นธ โดยไมตองสงสัย. ตั วอย างที่ ยกมาจะพอแล ว ที่ ว า จะสั งเกตุ อย างไร จึ งจะรูจั กอุ ปาทานขั นธ หนึ่ ง ๆ, หรือว า ป ญ จุ ปาทานขั นธ คื อ อุ ปาทานขั นธ ทั้ ง ๕ ก็ สั งเกตอย างนี้ , อย างที่ ว ามาแล วเป นลํ าดั บ ๆ มา จะได รูจั กว าขั นธ ไหนเป นทุ กข ขั น ธ ไหนยั งไม เกี่ ยวกั บ ความทุกข. ขันธเฉย ๆ ยังไมเกี่ยวกับความทุกข; พอเปลี่ยนเปนปญจุปาทานขันธก็ เปนตัวทุกขเสียเอง. ๗. ทุ ก ข ทั้ งมวลเกิ ด ขึ้ น เพราะขั น ธ ใด ขั น ธ นั้ น ต อ งเรี ย กวาป ญ จุ ปาทานขันธ คือสิ่งใด อารมณ ใด มีการปรุงแต งทางอายตนสัมผัสแลวเกิดเป นความ ทุ ก ข ขึ้ น มาแล ว นี้ ม องถอยหลั ง พู ด ได เลยว า นั่ น เป น ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ; เพราะ มันใหเกิดทุกข. เมื่อเปนขันธ ยังไมมีทุกข; พอมีอุปาทานเขาไปยึด จึงเปนทุกข. พู ดตามสํ านวนพระบาลี พระพุ ทธภาษิ ต ก็ อยากจะพู ดว า ถู กลู กศรดอกที่ สอง; เพี ยงแต ว า ถู ก ยิ งด วยลู กศรดอกที่ ห นึ่ งนี่ มี เรื่อ งนิ ด หน อ ย บางที ก็ มี เพี ยงแต เกะกะรํา คาญ. พอถู ก ยิ งด ว ยลู ก ศรดอกที่ ส อง แล ว ก็ จิ ต ใจเป น อื่ น ไปเลย, เป น ไฟ เป น ทุ ก ข มื ด มนไปเลย. เพราะว า ลู ก ศรดอกที่ ส องนี้ เขาอาบด ว ยยาพิ ษ ; ลู ก ศร ดอกที่หนึ่งนั่นมันเปนลูกศรเฉย ๆ ไมไดอาบดวยยาพิษ.

www.buddhadasa.info ตัวอยาง เชนวา เรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราจะตองพบกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ อยูเรื่อย ๆ นี้, ยังไมยึดมั่นถือมั่น; อยางนี้เหมือน กั บ ว า ถู ก ลู ก ศรล ว น ๆ ไม ได อ าบยาพิ ษ ก็ ไม เป น ไร มั น ก็ จ ะขู ด ขี ด รูสึ ก เจ็ บ บ า ง เท านั้ นเอง. แต ถ าวาถู กลู กศรซ้ํ าเข ามาอี กดอก ซึ่ งอาบด วยยาพิ ษ นี่ ก็ จะต องตาย คื อ มีทุกขแน มีทุกขจนถึงที่สุด.


อายตนสัมผัสใหเกิดสิ่งที่เรียกวาขันธ

๓๒๗

ในวันหนึ่ง ๆ เราจะอยูในลักษณะที่เรียกวาถูกลูกศรดอกที่หนึ่งกันอยูเรื่อย เพราะหลี ก ไม พ น หรอก แต ไม ต อ งถึ ง กั บ เป น ทุ ก ข ถ า ไม มี อุ ป าทาน. เพราะว า เรามี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ที่ จะสั มผั ส รู ป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ อยู มี กระจุ กกระจิ กนิ ด ๆ หน อย ๆ เท านั้ น ; ไม ถึ งกั บ ว าเป นหนั กเหมื อนภู เขา, หรื อว าไม ร อนอย างไฟ, หรื อว า ไมมืดมนเหมือนอยางที่วาเอาไปครอบไวในที่มืด. นี่คือลูกศรดอกที่หนึ่ง. เป นธรรมดาของสั งขารที่ มี ในโลกนี้ มั นก็เปลี่ยนแปลงบาง อะไรบ าง; แตอยาไปอุปาทานกับมัน. พอไปมีอุปาทานมันเขาเมื่อไร จะมีลูกศรอีกดอกหนึ่ง คือมีดอกที่สองที่อาบยาพิษแลนมาเสียบเขาไป แลวก็ตายเลย; นี่คือ เราเปนทุกข. ฉะนั้ น เราไม ต องถึ งเกิ ดความโลภ ความโกรธ ความหลง ในสิ่ งต าง ๆ ที่ เราเกี่ ยวข องอยู ในบานในเรือน. เรื่องสุ นั ข เรื่องแมว เรื่องข าว เรื่องของ เรื่ องอะไรต าง ๆ แลเห็ นก็ ทํ าไป ปฏิ บั ติไป โดยไมต องเป นทุ กข แตวาก็ยังไมใชความสงบลวน ๆ มันก็มีลําบากบาง นิ ดหน อย อย างนี้ ยั งไม เกี่ ยวกั บอุ ปาทาน; เหมื อนเช นว าบางที เรารู สึ กว า “ถ าไม ต อง กิน ขา วถา จะดี เราไมต อ งลุก ขึ ้น ไปกิน ขา วใหม ัน ลํ า บาก เสีย เวลา”; อยา งนี้ มั นก็ ไม ถึ งกั บวาเป นทุ กข. หรือวาเราขี้ เกี ยจอาบน้ํ าอย างนี้ เพราะวาอาบน้ํ านี่ มั นไม สนุ ก เราก็ อยู นิ่ ง ๆ ดี ก ว า อย างนี้ ; แต เราก็ ต อ งอาบน้ํ า อย างนี้ ก็ ทํ าไปโดยที่ เหมื อ นกั บ ว า ไมตองมั่นถือมั่นดวยอุปาทาน.

www.buddhadasa.info ถ าจะลํ าบากบ าง ก็ เหมื อนกั บถู กลู กศรล วน ๆ ดอกเดี ยว ไม มี ยาพิ ษ; แต พอไปเกิดหนักอกหนักใจมากกวานั้น ทําอะไรที่ถึงกับวาจิตมันเกิดโทสะขึ้นมา หรือว าเกิ ดอะไรขึ้ นมาอย างนี้ เรียกว าถู กลู กศรชนิ ดยาพิ ษ เป น อุ ป าทานขั น ธ แ ล ว, เปนเรื่องขางนอกบาง เปนเรื่องขางในบาง, เปนเรื่องเล็กบาง เปนเรื่องใหญบาง เปน


๓๒๘

ปรมัตถสภาวธรรม

เรื่ องเร็ว ๆ ชั่ วเวลานิ ดเดี ยวบ าง เป นเรื่ องยื ดยาวเป นเวลานานบ าง มั นหลาย ๆ อย าง; ฉะนั้ น จึ งต องแยกว า ยํ กิ ฺ จิ รูป อตี ตานาคตปจฺ จุ ปฺ ป นฺ นํ อชฺ ฌ ตฺ ตํ วา พหิ ทฺ ธํ วา โอฬาริกา วา สุขุมํ วา หีนํ วา ปณี ตํ วา ฯลฯ วากันไป มั นก็ตาง ๆ กันอยางนี้ ; แต ทั้ งหมดนั้ นก็ ยั งไม ทั นจะยึ ดถื อ จนเป นอุ ปาทาน. ที่ อั นแน นอนที่ สุ ดก็ คื อวา ขั นธ ไหนเปนทุกข ขันธอันนั้นคือปญจุปาทานขันธ. เอาละ เป นอั นว าเราพู ดเรื่องซ้ํ า ๆ ซาก ๆ กั นอยู นี่ ๙ ครั้ง ๑๐ ครั้งทั้ งครั้ งนี้ ไมไดพูดเรื่องอื่น เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่องขันธ และเรื่องปญจุปาทานขันธ. วันนี้ เขยิ บออกมาได ถึ งคํ าวา ป ญจุ ปาทานขั นธ. สามสี่ ครั้งแรกพู ดแต เรื่อง ธาตุ , แลวต อมาเขยิบออกมาเป นธาตุ บ าง อายตนะบ าง, ครั้งตอมาพู ดออกมาถึ งขันธ. สวนวันนี้พูดออกมาถึง ปญจุปาทานขันธ โดยชัดแจงวาที่เกี่ยวกับความทุกข, แล วเรายังต องมี พู ดให เขาใจชัดยิ่ งไปกวานี้ อีก ในเรื่องที่ เกี่ยวกั บป ญ จุปาทานขันธใน โอกาสตอไป. บอกไวใหรําคาญลวงหนา เพื่อจะวัดดูวามีปญจุปาทานขันธ หรือไม.

www.buddhadasa.info วั นนี้ พอกั นเท านี้ ให โอกาสพระสงฆ ท านจะได สวดบทสาธยายที่ เป นที่ ตั้ ง แหงความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยตอไป ตามสมควร.


ปรมัตถสภาวธรรม

-๑๑๑๗ มีนาคม ๒๕๑๖

อาการที่เกิดไดและเกิดไมได แหงปญจุปาทานขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย, การบรรยายในชุ ด ปรมั ต ถสภาวธรรมครั้ ง ที่ ๑๑ นี้ จะได บ รรยาย เกี ่ย วกับ สิ ่ง ที ่เ รีย กวา ธาตุ วา อายตนะ วา ขัน ธ วา อุป าทานขัน ธ กระทั ่ง ถึง ความทุก ขต อ ไปอีก ตามเคย. แตว า จะไดอ ธิบ ายใหเ ห็น โดยละเอีย ดชัด เจน ยิ่ ง ขึ้ น ๆ ไปในตอนใดตอนหนึ่ ง โดยเฉพาะ ซึ่ ง ในวั น นี้ ก็ จ ะได พู ด โดยหั ว ข อ ว า อาการที ่ เ กิ ด ได และเกิ ด ไม ไ ด แ ห ง ป ญ จุ ป าทานนั ก ขั น ธ โดยวิ ธี แ ห ง ปฏิจจสมุปบาท.

www.buddhadasa.info

๓๒๙


ปรมัตถสภาวธรรม

๓๓๐

ขอให ทบทวนดู เรื่อย ๆ มาตั้ งแต ตน ได พู ดถึงกันแต เรื่องขั นธ กับอุ ปาทานขันธเปนสวนใหญ และก็ยังพูดกันมาทุกครั้ง ตั้ง ๑๐ กวาครั้งทั้งครั้งนี้แลว ก็ยังคงเปน เรื่องขันธหรืออุปาทานขันธอยูนั่ นเอง. นี่ เรียกวาจะพู ดกั นจนคําสองคํ านี้ มั นคลองอยู ที่ ป าก, หรื อ อี ก อย า งหนึ่ ง ที่ เขาเรี ย กกั น ในบั ด นี้ ว า ขึ้ น สมอง. เดี๋ ย วนี้ ค วามเข า ใจ เรื่องขั นธ กั บเรื่องป ญจุ ปาทานขั นธ นี่ มั นยั งไม ขึ้นสมองของท านทั้ งหลาย; ดั งนั้ น ก็ จะ ตองพูดกันตอไปโดยไมกลัววาใครจะรําคาญ. คําบรรยายชุดนี้ จะพูดแตสิ่งที่เรียกวา ธาตุ วา อายตนะ วา ขันธ วา อุ ป าทานขั นธ จนตลอดไปทั้ งชุด. การที่ คนไม มี ความรูความเขาใจแตกฉานใน คํ า ว า ขั น ธ และอุ ป าทานขั น ธ นั้ น จะเป น คนโง โงต รงที่ ว า มั น ไม รูจั ก ตั ว เอง และ นาสงสาร ที่ ไม รูจักตัวเอง ไม รูวาสิ่งที่ เรียกวาขันธกั บป ญจุปาทานขันธนั้ น คื อตั วเอง. เมื่ อไม รูจั กตั วเองแล วจะไม ให เรียกว าคนโงนี่ อย างไรได . ฉะนั้ น ขอให ทนฟ งเรื่องขั นธ และอุปาทานขันธกันตอไป และตองเปนเรื่องทบทวนกันอยูที่นี่ เกี่ยวกับเรื่องนี้.

ตองรูจักตัวเองเพื่อรูจักทุกข

www.buddhadasa.info ที่ วารูจัก ตั ว เอง ทําไมตองรูจักตั วเอง นี่เป น ที่ สํ าคั ญ ที่ สุ ด ถาไม รูจัก ตั วเองจะไม รูวาความทุ กข นั้ นคื ออะไร, แล วตั วเองกั บสิ่ งที่ เรียกวาความทุ กข นั้ น มั น ตางกันอยางไร, หรือวาตัวเองชนิดไหนที่จะเรียกวาไมมีความทุกข.

ข อนี้ ขอให นึ กอยู เสมอ ถึ งข อที่ เคยชี้ แจงอยู เรื่อย ๆ ว า เรื่ องธรรมะ เรื่อง ปรัชญา เรื่องอะไรเหล านี้ มั นลํ าบากอยู ที่ คํ าพู ด นั้ นเอง; เพราะวาคํ าพู ดมั นไม พ อ ใช บ าง, คํ าพู ดมั นกํ ากวมกั นเสี ยบ าง, คํ า ๆ เดี ยวหมายความอย างนั้ นที หมายความ อย างนี้ ที หมายความอย างโน นที ; ดั งนั้ น มั นจึ งลํ าบากที่ จะศึ กษา ที่ จะเข าใจ. และ ถ าเอาไปปนกั นในระหว างฝ ายต าง ๆ แล ว ก็ ยิ่ งลํ าบากมากขึ้ นไปอี ก, กระทั่ งว า เอาไป ปนกันในระหวางศาสนาโนนกับศาสนานี้ มันก็ยิ่งลําบากยิ่งไปกวานั้นอีก.


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๓๑

ตัว อยา งเชน เกี ่ย วกับ “มีต ัว ตน” ศาสนาพราหมณเ ขาก็ต อ งมีต น มี ตั ว-ตน ศาสนาพุ ทธไม มี ตั วตน; ถ าศาสนาพุ ทธมี ตั วตนขึ้ นมา ก็ เป นตั วตนที่ ไม จริง คื อเป นมายา. แต ที นี้ ก็ ยั งมี ถึ งกั บวา ถ าพู ดถึ งศี ลธรรมชั้ นต่ํ า ๆ สํ าหรับเด็ ก ๆ แล ว เราก็ยังตองพูดวามีตัวมีตน; เพราะเรื่องมันตั้งตนไปจากคําวามีตัวมีตน. ป ญ หายุงยากลําบากนี้มันตั้งตนขึ้นมาจากคํ าวา “ตั วตน” ทั้งนั้ น; แม พระพุทธเจาเอง เมื่อทานจะสอนในระดับศีลธรรม ทานก็ตองกลาวไปในทางที่มี ตั ว ตน : ทํ า ดี ได ดี ทํ า ชั่ ว ได ชั่ ว ตายแล ว ก็ ยั งจะได ดี ได ชั่ ว ไปตามที่ ทํ า นั้ น . นี้ ก็ แสดงวา พระพุทธเจาทานก็ตรัสวา มีตัวมีตน แตเปนเรื่องของศีลธรรม. พอจะพูดถึงปรมัตถธรรม ซึ่งแสดงดวยปรมัตถสภาวะดังที่กําลังพูดอยูนี่แลว ก็ทรงปฏิเสธวา สิ่งเหลานั้นทั้งหมดนั้นไมควรจะเรียกวาตน มันจะมีอะไร มันจะ เปนอยางไร มันจะใหเปนเหตุเปนผลแกกันอยางไร ก็ลวนแตไมควรจะเรียกวาตน. ทีนี้ ถาเราเกิดไปเอามาปนกันเขา ทั้งเรื่องของศีลธรรม ทั้งเรื่องของ ปรมั ต ถธรรม ก็ ฟ ง ไม รู เรื่ อ งเท า นั้ น เอง; พู ด มากไปมั น ก็ ยิ่ ง ฟ งไม รูเรื่อ ง กระทั่ ง เวียนหั ว แล วก็ ต องเลิ กกั น. นี่ ความยากลํ าบากมั นอยู ที่ คํ ามี ไม พอ หรือวา คํ ามั นมี ความหมายกํ ากวมบ าง, มี ความหมายเฉพาะในกรณี หนึ่ ง ๆ แล วเอามาปนกั นอย างนี้ ก็เขาใจไมได.

www.buddhadasa.info ที นี้ เราจะตั้ งต นศึ กษาตั้ งแต เบื้ องต่ํ าที่ สุ ด โดยตั้ งต นจากคนโง แล วต อง เกณฑ ให เป นคนโงที่ สุ ดด วย คื อคนโงที่ อะไร ๆ ก็ เป นตั วเป นตนไปเสี ยหมด. แต ก็ คิ ดดู ใหดี วาคนที่โงจนมีตัวตนไปหมดนั้นก็ไมไดมีตัวตนทุกเวลา ไมไดมีทุกนาทีทุกชั่วโมง; อยาวาแตวามีทุกลมหายใจเขาออกเลย. คนโงจะมีตัวตนก็แตบางเวลาเทานั้น ถาใครจะไป


๓๓๒

ปรมัตถสภาวธรรม

เข าใจว าคนโง แล วจะมี ตั วตนทุ กเวลานาที ที่ หายใจเข าออก คนนั้ นก็ ยิ่ งโงต อไปอี ก โงมาก กว า คนโง ที แ รกเสี ย อี ก ; เพราะไม ดู ใ ห ดี ว า สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ตั ว ตนแม ข องคนที่ โ ง ที่ สุ ด ก็มี แ ต บ างครั้งบางคราว คื อเฉพาะแต เวลาที่ เขาคิด วาเป น ตัวตน, หรือ มี ค วามคิ ด ประเภทตัวตน กลัดกลุมอยูในใจของเขาเทานั้น เขาจึงจะมีตัวตน. เพราะเวลาที่เขา ไมรูสึกวามีตัวตน มันก็ยังมีอยูมาก. คนเรายังไมรูจักตัว เอง วาเมื่อ ไรมีตัว ตน วาเมื่อ ไรเราไมมีตัวตน; นี่ เพราะว าเขาขี้ เกี ยจจะศึ กษา ขี้ เกี ยจจะสั งเกต มั นก็ มี ความไม รูจั กความจริงของสิ่ งเหล านี้ , มี ความทุ กข มั นก็ รองไห ไป ไม มี ความทุ กข ก็ หั วเราะไป ก็ เลยไม ได ศึ กษาในเรื่องตั วตน วามันเปนอยางไรกันแน. ทีนี้ ภาษาพูดมันก็ตองพูดวามีตัวตน; ไมพูดวามีตัวตน ก็ไมรูวาจะพูด ว าอะไร; เช นเดี๋ ยวนี้ ก็ ต องพู ดว า ตั วเราที่ มี ความทุ กข ตั วเราที่ ไม มี ความทุ กข . จะพู ด ให ดี กว านั้ น ก็ ต องพู ด ว าจิ ต ที่ มี ค วามทุ กข หรื อ จิ ตที่ ไม มี ค วามทุ กข แต ไม ค อยมี ใคร พู ด กั น ; เขาจะพู ด กั น ว าตั วฉั น ตั วเรา กั น ทั้ งนั้ น ที่ เป น ทุ ก ข ห รื อ ไม เป น ทุ ก ข . คนไม รู จั ก “ตั ว เรา” ที่ กํ า ลั ง เป น ทุ ก ข แ ละตั ว เราที่ ไ ม เป น ทุ ก ข : ตั ว เราเป น ทุ ก ข ก็ ไ ม รู จั ก ตัวเราที่ไมเปนทุกขก็ไมรูจัก ก็เลยไมรูจักแมแตสิ่งที่เรียกวา ความทุกข.

www.buddhadasa.info จะขอทบทวนเฉพาะคํ าวา “ความทุ กข ” กอน ซึ่งเป นคํ าที่ กํ ากวม เชนเดี ยว กั นกั บคํ าอื่ น ๆ; อย าลื มว าศึ กษาธรรมะลํ าบากเพราะคํ ามั นกํ ากวม. แม คํ าว าความทุ กข หรื อทุ กข เฉย ๆ นี่ ก็ กํ ากวม ทุ กข แปลว า เจ็ บ ปวด, รวดราว, ทนทรมาน, เหลื อทน, อย า งนี้ ก็ ได , นี่ เรีย กว า เป น ทุ ก ข อ ย า งหนึ่ ง ; ที นี้ ไม เจ็ บ ปวดรวดรา ว ไม ท นทรมาน อะไร แต ก็ เรี ย กว า เป น ทุ ก ข เหมื อ นกั น ; มั น มี อ ยู สอง ทุ ก ข เพราะเหตุ ว า คํ า นี้ มันกํากวม.


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๓๓

คํ าว า “ความทุ กข ” ตามธรรมดาในกรณี ทั่ วไป จะต องแปลว า น าเกลี ยด คือ ทุ แปลวา น าเกลี ยด อิกขะ อั กขะ นี่ แปลวา ดู หรือเห็ น, ทุ กขดูแล วน าเกลี ยด. ที นี้ ความหมายของคํ า ๆ นี้ มี อี กอย างหนึ่ งว า ทุ แปลว า ยาก, ขะแปลว า ทน, ทุ กข แปลว า ทนยาก คื อเจ็ บปวดทนได แสนยาก. นี้ ไม ใช ความหมายเดี ยวกั น แต ถึ งอย างนั้ น ก็ จะพอเห็ นได วา มั นรวมกั นอยู อย างหนึ่ ง คื อความน าเกลี ยด. ตั วเราที่ กํ าลั งเป นทุ กข ทนทรมานนี่ มันก็ทุกขทรมานดวย และความทรมานนั้นก็นาเกลียดดวย. ที นี้ ตั วเราบางเวลาไม ได ท นทุ ก ข ท รมาน กํ าลั งสนุ ก สนาน; แต แล ว มันก็มีอาการแหงความเปลี่ยนแปลง : ความโง ความหลง รวมอยูที่ความเปลี่ยน แปลง; ตัวเองก็ไมรูสึก ; อาการที่เปลี่ย นแปลงนั่น แหละ คือ ความนาเกลีย ด. คนก็ หั วเราะอยู ในเมื่ อสนุ กสนาน; แต สรรพสั งขารเหล านั้ นก็ ยั งคงมี ความไม เที่ ยง คื อ เปลี่ ยนแปลง. ไปดู ที่ อาการเปลี่ ยนแปลง หรือไม เที่ ยง แม ของคนที่ กํ าลั งหั วเราะอยู ก็นาเกลียด นี่ ความหมายของความทุกขที่กวางขวางที่สุดก็คือนาเกลียด : ทุกขเวทนาก็ น าเกลี ยด, สุ ขเวทนาก็ น าเกลี ยด; จึ งพู ดได วาทั้ งสุ ขเวทนาก็ เป นทุ กข ทุ กขเวทนาก็เปนทุกข.

www.buddhadasa.info ที นี้ เราดู ที่ สิ่ งที่ เรียกวา “ตั วเรา” เอง หรือตั วเอง; บางเวลามั นเป นทุ กข เหลื อทนอย างนี้ ทั้ งทางกาย ทางจิ ต เป นทุ กข อย างนี้ ตั วเองที่ เป น ทุ กข ทุ กข ห นั ก ทุกขทรมาน แลวอาการนั้นก็นาเกลียด; บางเวลาไมไดเปนทุกข ไมหนัก ไมทรมาน อะไร แต มั นก็ เป นของที่ เปลี่ ยนแปลงไป อย างกั บเป นมายาชนิ ดหนึ่ ง นี่ ก็ น าเกลี ยด. ความหมายวา นาเกลียด จึงเปน ความหมายทั่วไป ทั้งหมดทั้งสิ้น ของคําวาเปนทุกข; ส วนความหมายวา ทนทรมาน เจ็บปวดนั้ น มั นมี เฉพาะในกรณี ที่ เป นความทุ กขชนิ ดนั้ น เทานั้น.


๓๓๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ทีนี้ สําหรับคําวา “อุปาทานขันธเปนทุกข” นั่น ยอมหมายถึงตองทน ทรมานอย างใดอย า งหนึ่ งเสมอ คื อ มั น ละเอี ย ดไปกว า นั้ น ว า แม หั ว เราะอยู ก็ เป น การทนทรมาน ไม ต อ งนั่ งรองไห อ ยู . แม ว าเขาจะหั วเราอยู มั น ก็ มี อาการที่ เรี ยกว า ทนทรมาน; เพราะว าเขายึ ดมั่ นขั นธ นั้ น ๆ วาเป นตั วเราวาเป นของเรา. ดี ใจราเริงอยู ก็ คือทรมานใหเขาตองนั่งหัวเราะอยู ก็มีความนาเกลียดมีความไมจริง มีการที่เปลี่ยน แปลง; แล ว ก็ ต อ งถู ก รั บ โทษให ท นทรมาน คื อ ต อ งหั ว เราะอยู . นี่ ใ ครรู จั ก ตั ว เอง กั นอย างนี้ บ าง; ถ ารูจั กตั วเองอย างนี้ ก็ นั บ ว าไม ใช คนโงแล ว คื อรูจั กความทุ กข นั้ น พอสมควรแลว ก็จะงายเขาที่จะรูวา ทุกขนี้มาจากอะไรกันแน ไดยิ่ง ๆ ขึ้นไป. ทีนี้ ก็ยังมีคําที่จะตองดูตอไปอีกคือคําวา อนิจจัง ที่แปลวา ไมเที่ยง; ถา ขึ้นชื่อวาไมเที่ยงแลว มันก็ตองนาเกลียด คือเปนทุกข ในความหมายวานาเกลียด. สิ่ งใดไม เที่ ยงเปลี่ ยนแปลงเป นธรรมดา สิ่ งนั้ นต องเป นทุ กข คื อน าเกลี ยด. ที นี้ อนิ จจั งนี้ เมื่ อยึ ดถื อให มาเป นของเที่ ยง ให มาตรงตามความประสงค ของเรา มั นก็ ยิ่ งหนั กมากขึ้ น ไปอีก คือเปนทุกขดวย ก็เลยนาเกลียดสองเทาตัว.

www.buddhadasa.info ความที่ไมเที่ยงก็เปนทุกขอยูแลว นาเกลียดอยูแลว, แลวไปเอามายึดถือ จะใหมันเที่ยง เกิดความทุกขทรมานใจขึ้นมา จึงเปนสองนาเกลียด. สวนอนิจจัง ซึ่ ง เป น ไปตามธรรมชาติ ที่ ใ ครมิ ไ ด ยึ ด ถื อ ยั ง ไม ทํ า ความทุ ก ข ท รมานแก ใ คร มั น ก็ น า เกลี ย ดเดี ย ว, น า เกลี ย ดแต เพี ย งว า มั น อนิ จ จั ง คื อ ไม เที่ ย ง. นี้ ก็ คื อ ให ดู ที่ ตั ว เอง ว าตั วเองจะเป น รางกายหรือจิ ตใจก็ ต าม มั น ไม เที่ ยง, เมื่ อ ไม ไปยึ ด ถื อ เข า ก็ ไม เกิ ด ความทุกขชนิดที่ทรมาน; แตความไมเที่ยงของมันนั้น นาเกลียด, นี่เรียกวานาเกลียด หนึ่ง คือวา นาเกลียดอยู ๑ นาเกลียด.

ถาใครไปยึดถือของไมเที่ยงนี้จะใหเปนอยางนั้นอยางนี้ขึ้นมา มันก็เกิดหนัก ขึ้นมาอีก ทรมานขึ้นมาอีก มันจึงเปน ๒ นาเกลียด; นี่ก็เรียกวาไมรูจักตัวเองเหมือนกัน.


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๓๕

ขั น ธ เฉย ๆ มั น ไม เที่ ย ง มั น ไม เที่ ย งอยู แ ต ต ามขั น ธ ไม บี บ คั้ น ใคร; เรียกวามันนาเกลียด ๑ น าเกลี ยดเทานั้น, นาเกลียดเดียว; แตพอขันธนี้ กลายเป น อุ ป าทานขั น ธ ขึ้ น มา ถู กยึ ดมั่ นเป น ตั วกู -เป นของกู ขึ้ นมา มั นก็ เพิ่ มความทนทรมาน ใหอีกสวนหนึ่ง ก็เลยเปนสองนาเกลียด. บางเวลาคนโง มี ความน าเกลี ยดเพี ยงอย างเดี ยว, บางเวลาคนโง มี ความ นาเกลียดเพิ่มขึ้นสองอยางคือ สองนาเกลียด. เมื่อไมไดยึดถือขันธก็เปนไปตามเรื่อง ของอนิจจัง ก็เปนทุกขังชนิดที่นาเกลียดเทานั้น; พอยึดถือก็มีทุกขังชนิดทรมาน เพิ่ ม ขึ้ น มาอี ก มั น จึ ง เป น สองน า เกลี ย ด. ฉะนั้ น วั น หนึ่ ง คื น หนึ่ ง ก็ ค วรจะทดสอบ ตั วเองเรื่ องนี้ กั นบ าง ว าเป นขั นธ เฉย ๆ เมื่ อไร, หรือมั นเป นอุ ปาทานขั นธ เมื่ อไร, มั น น าเกลี ยดสองเท าตั วเมื่ อไร, หรือวาน าเกลี ยดเพี ยงเท าตั วหนึ่ งเมื่ อไร หรือวาไม น าเกลี ยด เลยเมื่อไร.

พึงเขาใจวา ขันธ ไมใชอยางเดียวกัน

www.buddhadasa.info ที่ไดพูดมาแลววา บางเวลาเราก็ ไม ได นึกถึ งขั นธ ไมไดยึดมั่นในขันธใด และก็ ไม นึ กถึ งขั นธ ไม ได ปรุงกั นขึ้ นเป นขั นธ มี รางกายจิ ตใจ ที่ ไม มี การสั มผั สโดยทาง ทวารไหน ไม ป รุ ง เป น ขั น ธ ไ หน; อย า งนี้ มั น ก็ ไ ม ต อ งเป น ทุ ก ข แล ว ก็ เรี ย กว า ไม มี ตั วเองด วย. แต คนก็ ไม เคยคิ ดวาเวลาอย างนี้ เราไม มี ตั วเอง เราก็ จ ะเหมาหมดว า เรามีตัวเองอยูจนตลอดชาติ ตลอดชีวิตทุกเวลานาที.

นี่ คื อข อที่ ว า ไม มี ความรู เรื่ องว าเมื่ อไรมั นเป นเหมื อนกั บว าถู กทรมาน ถู ก จํ า ขั ง , เมื่ อ ไรมั น ไม ถู ก ทรมาน ไม ถู ก จํ า ขั ง ; เพราะมั น ไปมั ว ฟุ ง เฟ อ แต เรื่ อ งต า ง ๆ. ทั้ งที่ ถู กจํ าขั งนั่ นแหละ ก็ เอาเรื่องที่ จํ าขังนั้ นแหละมาโอ อวดกั น นี้ เรียกวาไม รูจั กตั วเอง ทั้งในแงที่วาเปนขันธลวน ๆ หรือวาเปนอุปาทานขันธแลว ก็มีความนาเกลียด หรือ


๓๓๖

ปรมัตถสภาวธรรม

มี ความโงจนกว าเกลี ยด; นี่ หลายซั บหลายซ อน. ดั งนั้ นจึ งถื อวาเป นเหตุ ผลที่ เพี ยงพอที่ เรา จะตองทนศึกษาเรื่องขันธและเรื่องอุปาทานขันธ. พู ดอี กที หนึ่ งก็ วา เรื่องยึ ดถื อกั บเรื่องที่ ไม ได ยึ ดถื อ ถ ามั นเป นเพี ยงขั นธ เฉย ๆ ก็ ไม ได ยึ ดถื อ, พอยึ ดถื อเข ามั นก็ กลายเป นอุ ปาทานขั นธ ; เรื่ องยึ ดถื อไม ยึ ดถื อ มั นก็ สลั บกั นอยู อย างนี้ ในวั นหนึ่ ง ๆ. เนื้ อตั วรางกายของเราประกอบอยู ด วยขั นธ บางเวลา ไม ได ยึดถื อ เดี๋ยวเป นขันธนั้ น เดี๋ ยวเป นขันธนี้ ก็ เป นได เรื่อย ๆ ไปโดยไม ได ยึดถื อ ก็ไม มี ความทุกข; แตพอยึดถือก็กลายเปนอุปาทานขันธ ก็เลยเปนทุกข. เดี๋ ยวนี้ เราพู ดปนเปกั นไปหมด พู ดขั นธเป นอุ ปาทานขั นธ พู ดอุ ปาทานขันธ เป นขั นธ ปนกั นไปหมด; แม ว าตามธรรมชาติ มั นก็ พู ดปน ๆ กั นอย างนั้ นด วยเหมื อนกั น; แม พ ระพุ ทธเจ าเองท านก็ ต รั ส ปน ๆ กั น ไป. ถ ายิ่ งคํ าที่ เอามาแต งเป น คาถา คื อ โคลง กลอน กาพย ด วยแล ว ยิ่ งปนกั นใหญ เพราะคาถาบั งคั บให ต องการจํ านวนพยางค หรื อ หนักเบา อยางนั้นอยางนี้ : ใชคําวาขันธเฉย ๆ แตหมายถึงอุปาทานขันธก็มี.

www.buddhadasa.info ตั วอย างเช น ภาราหเว ปฺ จกฺ ขนฺ ธา -ขั นธ ทั้ งหลาย ๕ เป นของหนั กเน อ อย างนี้ . คํ าวาขั นธ ในที่ นี้ หมายถึ งอุ ปาทานขั นธ เพราะตรงนี้ มั นเป นคํ ากลอน ก็ ต องการ จะพู ดจํ ากั ดตามมาตราของคํ ากลอน ก็ เลยพู ดได แต คํ าว าขั นธ ; แต ถ าโดยหลั กธรรมะ แล ว ขั น ธ ที่ ไม ถู ก ยึ ด ถื อ มั่ น ด ว ยอุ ป าทาน ไม มี อุ ป าทานนั้ น มั น ไม เป น ทุ ก ข . อย า ง พระองค ก็ ต รั ส เองอี ก แหละว า สงฺ ขิ ตฺ เตน ปฺ จุ ป าทานกฺ ข นฺ ธ า ทุ กฺ ข า -เมื่ อ กล า ว โดยสรุปแลว ขันธทั้ง ๕ ที่ประกอบอยูดวยอุปาทาน เปนตัวทุกข.

เป นอันวา แม ในบางคราวที่ พ ระพุ ท ธเจ าท านตรัสวาขั นธ เฉย ๆ ท าน หมายถึ งป ญจุปาทานขั นธ ก็ มี . แต วาการที่ อาตมาพู ดอย างนี้ อาจจะกลายเป นคนโง ไปเองก็ได; เพราะคาถาคํากลอนที่วา ภารา หเว ปฺจกฺขนฺธา นั่นจะเปนพระพุทธเจา


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๓๗

ท านตรั สเองจริ งหรื อไม ก็ ไม ทราบเหมื อนกั น; แต มั นมี อยู ในพระบาลี อย างนั้ น. แล วมี มากเหลื อเกิ นที่ วา พระพุ ทธเจ าตรัสเป นคํ ากลอน ในบางครั้งภี ร แล วก็ ทั้ ง ๆ คั มภี รเลยก็ มี ; พระพุทธเจาดูจะเปนนักกาพยกลอนยิ่งกวาผูใดในโลกเสียอีก. เอาละ, เป น อั น ว า ถ า เราจะศึ ก ษากั น ในแง ข องธรรมะแล ว ต อ งให รู ไ ว เปนหลักที่ตายตัววา คําวาขันธ กับคําวาอุปาทานขันธนั้น มิใชสิ่งเดียวกัน แตก็มิ ได อื่ น จากกั น . ข อ นี้ ก็ มี อ ยู ใ นพระบาลี มั ช ฌิ ม นิ ก าย อุ ป ริ ป ณ ณาสก ชั ด อยู แ ล ว ว า ขัน ธห รือ อุป าทาน, หรือ อุป าทานขัน ธนี ้ ไมใ ชสิ ่ง เดีย วกัน ; แตม ัน ก็ม ิใ ชอื ่น จาก กั น เพราะถ ามั นจะเป นอุ ปาทานขั นธ ขึ้ นมา มั นก็ เป นที่ ขั นธ นั่ นแหละ และอุ ปาทานนั้ น ก็ไมใชสิ่งเดียวกับอุปาทานขันธ. อุ ป าทาน แปลว า ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น อุ ป าทานขั น ธ แปลว า ขั น ธ ที่ มี ค วามยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ; ฉะนั้ น คํ า ว า ขั น ธ ก็ ดี คํ า ว า อุ ป าทานก็ ดี คํ า ว า อุ ป าทานขั น ธ ก็ ดี มั น ไม เป น สิ่ ง เดี ย วกั น ได , มั น มี ค วามต า งกั น อยู ; แต มั น ก็ มิ ไ ด อื่ น จากกั น คื อมั นต องอยู ด วยกั น มั นจึ งจะเป นนั่ นเป นนี่ ขึ้ นมาได : ต องมี ขั นธ และมี อุ ปาทานเข า ไปยึ ดมั่ นในขั นธ จึ งจะเกิ ดเป นอุ ปาทานขั นธ ขึ้ นมา. ในนั้ นจึ งมี ทั้ งขั นธ มี ทั้ งอุ ปาทาน และรวมกั นเป นป ญจุ ปาทานขันธ; ถ าเราไม ดู ให ดี มั นก็ สั บสนปนเปกั นไปหมด เกี่ ยวกั บ คําพูดอยางที่กลาวมาแลว.

www.buddhadasa.info นี่ มั นก็ เป นเหตุ ผลที่ เพี ยงพอแล ว ว า เรายั งมี ความเข าใจน อยอยู มาก ในเรื่ อง ที่ เกี่ ยวกั บคํ าว า ธาตุ , ว าอายตนะ, ว าขั นธ , ว าอุ ปาทานขั นธ . แม แต คํ าว าความทุ กข พอเอามาพู ดเข า ทุ กคนก็ มองเป นเรื่ อง ก. ข. ก. กา ไปหมด ไม อยากจะสนใจ เพราะคิ ด เสี ยว าเดี๋ ยวนี้ เก งแล ว มั นเป นคนที่ เรี ยนมาก มี ปริ ญ ญาแล ว จะให มาเรี ยน ก. ข. ก. กา กันอีกก็กระฟดกระเฟยด ไมยินดีที่จะศึกษา.


๓๓๘

ปรมัตถสภาวธรรม

แต แ ล ว อาตมาก็ เห็ น ว า มั น หลี ก ไม พ น มั น ต อ งทน หรื อ ว า ต อ งบั ง คั บ ให ท นที่ จะศึ ก ษาเรื่อ งที่ เรีย กวา ก. ข. ก. กา นี้ ใหเขาใจชัดเจนแจม แจงให จนได อย างที่ จะเรียกว าขึ้ นสมองคล องแคล วกั นนั่ นเอง; แล วก็ ไม ให ศึ กษาจากหนั งสื อหนั งหา จากอะไรอื่นดวย แตใหศึกษาจากรางกายที่ ยังมี จิตใจนี่ คือรางกายที่ยังเป น ๆ นี่ หรือ ที่จะเรียกวาจากชีวิตนี้เองก็ได อยางที่เราก็มีชีวิตยังไมตาย ก็นั่งอยูที่ตรงนี้ก็มีอยู. ลองสอบสวนตั ว เองดู ว า เมื่ อ ไรเราเป น อะไร, เมื่ อ ไรเราเป น อย า งไร, เมื่ อไรเราเป นเพี ยงสั กว ากลุ มแห งธาตุ , เวลาไหนนาที ไหนเราเป นเพี ยงสั กว ากลุ มแห ง ธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ าธาตุ ไฟ ธาตุ ลม อากาส หรื อวิ ญ ญาณ, เมื่ อไรนาที ไหนเรามั นเกิ ดเป น อายตนะ คื อ ว า เกิ ด ธาตุ ที่ ป รุ ง กั น เป น ธาตุ ท างตา ทางหู เป น ต น ; แล ว ก็ เป น ธาตุ ขางนอกมาแตะตอง แลวปรุงเปนขันธขึ้นมา เปนวิญญาณขันธ. ดู ตั วอย างเช นตากระทบรู ป ก็ เกิ ดวิ ญญาณทางตาขึ้ นมา เวลานั้ นเรียกว า ไม ใช สั กว ากลุ มธาตุ เฉย ๆ แล ว มั นเป นกลุ มธาตุ ที่ ลุ กขึ้ นปรุงแต งกั นชุ ลมุ นแล ว; อย างนี้ ก็ เ รี ย กว า เป น ขั น ธ ขึ้ น มาได . แล ว เมื่ อ ใดมั น เป น ขั น ธ ขั น ธ ไ หน คื อ เป น รู ป ขั น ธ เวทนาขั น ธ สั ญ ญาขั น ธ สั งขารขั น ธ วิ ญ ญาณขั น ธ ก็ ต อ งเข าใจ; ไม ใช ว าจํ าแต ชื่ อ ได แ ลวก็ พู ด ไม ถู ก นี่ เป น ขั น ธแล ว เมื่ อ ไรมั น เลยเตลิ ด ไปเป น อุ ป าทานขั น ธ คื อ ถู ก ยึดมั่น แลวก็เปนตัวทุกข, แลวก็กําลังทุกขอยู.

www.buddhadasa.info ทบทวนอี กที ห นึ่ งก็ ได ว าเมื่ อ ใดเป น เพี ย งกลุ ม ธาตุ ? หมายความว ามั น แทบจะไม มี ค วามรู สึ ก คิ ด นึ ก อะไร; โดยเฉพาะอย า งยิ่ ง เช น เวลาหลั บ หรื อ เวลาที่ ใจเหม อลอยไปไม ได คิ ดอะไร ก็ เรี ยกว าเวลานั้ นมั นเป นเพี ยงกลุ มหรื อกองของธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม กระทั่ งวิ ญญาณธาตุ ก็ ยั งแทรกแซงอยู . อากาสธาตุ ความว าง ที่วาง เนื้อที่วางก็แทรกแซงอยู เปนกลุมธาตุเทานั้นเอง โดยเฉพาะอยางยิ่งก็เมื่อหลับสนิท.


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๓๙

ทีนี้ เมื่อไรจะเปนอายตนะ? ก็เมื่อมีสิ่งที่ทําใหเกิดการกระทบ เชนวา ตา ธรรมดมันก็ไม ได เป นอายตนะอยูตลอดเวลา มั นเปนเพี ยงธาตุอะไรที่ ประกอบกันขึ้น เป นตา แม จะมี สิ่ งที่ เรียกวาเส นประสาทตา มั นก็ ยั งเป นพวกที่ เรียกวารูปธาตุ ; แต ถ าตานี้ มันไปเกิดพบอาศัยกันเขากับรูปขางนอก ตาเฉย ๆ ก็กลายเปนอายตนะขึ้นมา. ธาตุตาหรือจักษุธาตุกลายเปนจักษุอายตนะขึ้นมา รูปขางนอกมันก็กลาย ไปเป นรูปอารมณ หรือรูปารมณ ขึ้ นมา; เมื่ อตะกี้ มั นไม ได เป นอารมณ อะไร เดี๋ ยวนี้ มั น กลายเปนรูปารมณขึ้นมา. พอจั กษุ อายตนะกั บรู ปารมณ พบกั นเข า หรื อว าเนื่ องกั นเข า มั นก็ มี อะไร กระเด็ น ออกมาอย างหนึ่ ง คื อ จั กษุ วิ ญ ญาณเกิ ด ขึ้ น ; เพราะตากระทบรูป นี่ ก็ เกิ ด จักษุ วิญญาณขึ้นมา. เหมื อนกั บวาคนเขาเอาเหล็ กฟาดลงไปที่ หิ น เกิดประกายไฟขึ้นมา; อยางนี้มันไมเปนเพียงธาตุเฉย ๆ ไมเปนเพียงอายตนะเฉย ๆ ละ มันเกิดเปนขันธขึ้นมาแลว. เชนตาหรือรูปนี้ก็เปนรูปขันธขึ้นมาแลว เกิดวิญญาณขันธขึ้นมาสวนหนึ่ง แล ว. ที นี้ พอเกิ ดเป นวิญญาณขั นธ แล ว กระทบตา กระทบรูปพรอมกั นแล วก็ เรียกว า ผัสสะ, การกระทบนี้สมบูรณ ก็เรียกผัสสะนี้วาขันธหนึ่งเหมือนกัน สงเคราะห เขาไป ในสังขารขันธ คือการปรุง.

www.buddhadasa.info ที นี้ สั งขารขั น ธ การปรุงนี้ คื อ ผั ส สะนี้ มั น ก็ ต องเกิ ด เวทนาขั น ธ ขึ้ น มา รูสึก, ถาทางตา รูสึกสบายตา เป นสุ ขตา ถาไม สบายตาก็เป นทุกขตา, นี่ ก็เป นเวทนาขันธ เกิดขึ้นมาหยก ๆ. เวทนาขันธเกิดอยางนี้แลว, ก็ทําใหเกิดขันธถัดไปอีก, คือสัญญาขันธ. มีจิตใจสําคัญมั่นหมายในเวทนานั้น วาอยางไร, เพื่ออยางไร, อะไรอยางไรก็เรียกวา


๓๔๐

ปรมัตถสภาวธรรม

สัญญาขันธ; เชนสัญญาในเวทนานี้วา เวทนาสุข ก็เป นสั ญญาวาสุข, ถารูสึ กเปนทุ กข ในเวทนานี้ ก็มีสัญญาวาทุ กข คือทุกขสัญญา, กระทั่งจําไดหมายรูวาของอะไรของเพศ หญิง, อะไรของเพศชาย, ลวนแตเปนสัญญาขันธทั้งนั้น. มีสัญญาขันธเต็มที่อยางนี้แลว ก็ปรุงตอไปใหเปนสังขารขันธ คือคิดนึก ลงไปอย างยิ่ ง ที่ เรียกวาตั ณหา วิตก วิจาร เต็ มที่ มากมายหลายชื่ อ. รวมความแล วก็ คื อ ความคิ ด ที่ จะคิ ดดี คิ ดชั่ ว. หรือ คิ ด ไม ดี ไม ชั่ ว หรือ เป นมโนกรรมออกมาแล ว. บางที ก็ เลยออกมาเป น วจี ก รรม พู ด ออกมา, บางที ก็ เลยออกมาเป น กายกรรม ประพฤติ กระทํ าแก สั ตวบุ คคลใดขึ้ นมา ก็ เรียกวาสั งขารทั้ งนั้ น เป นความคิ ด เป นสั งขารขั นธ ทั้งนั้น. ที นี้ ถ าวาสั งขารขั นธ มี ความคิ ดอย างนั้ น ในที่ สุ ดกลายเป นอารมณ สํ าหรับ จิตจะรูสึกอีกทีหนึ่ง ก็มีมโนวิญญาณอันสุดทายที่จะรูวาเราคิด ตัวจิตนั้นคิดอยางไร, มีกรรมอยางไรเปนตน อีกทีหนึ่ง, ก็เปนวิญญาณขันธอีก.

www.buddhadasa.info แตอยางไรก็ดีขันธทั้ง ๕ นี้มีพรอมกันไมได; ฉะนั้น ขอใหทบทวนไวเสมอ อย างที่ พู ดมาแล วในครั้งที่ แล ว ๆ มาว า พวกเรานี่ ยั งพู ดผิ ด ๆ กั นอยู ว าเราประกอบอยู ด วย ขั นธ ทั้ ง ๕. บางคนกล ายื นยั นไปว าเขามี ขั นธ ทั้ ง ๕ พรอมกั นอยู ในตั วเขา ในเวลานั้ น อยางนี้ มั นก็เรียกวาหลั บตาพู ด คื อจํ าเขามาพู ด มั นก็ผิ ดหมด; เพราะคนเราจะมี ขันธ ทั้ง ๕ พรอมกันในคราวเดียวกันมันไมได. ขันธตองมีคนละที อันหนึ่งดับไปแลว อันหนึ่งจึงเกิดขึ้น, อันหนึ่ง ดั บ ไปแล ว อั น หนึ่ งจึ งเกิ ด ขึ้ น . รู ป ธรรมสองฝ ายให เกิ ด วิ ญ ญาณขั น ธ น อ ย ๆ ขึ้ น มา เกิดเปนผัสสะแลวมันจึงเกิดเวทนาขันธ; เวทนาขันธก็ทําใหเกิดสัญญาขันธ เกิดสัญญา ขันธแลวเวทนาขันธมันก็ดับไป. สัญญาขันธทําใหเกิดสังขารขันธ; เมื่อไปมัวคิดอยู


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๔๑

เป น สั งขารขั น ธ แล ว สั ญ ญาขั น ธ มั น ก็ ดั บ ไปอย างนี้ . มั น มี พ ร อ มกั น ไม ได ทั้ ง ๕ ขั น ธ , นี้เราเรียกวาเวลานี้กําลังมีขันธเฉย ๆ ยังไมใชอุปาทานขันธ. เมื่ อ ไรเรามี ขั น ธ เฉย ๆ ก็ ค วรจะรู ; เช น อย างนี้ เวลานี้ เป น ต น นี้ ท าน ทั้ งหลายทุ กคนอาจจมี เพี ยงขั น ธ เฉย ๆ ไม มี ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ; แม ว ากํ าลั งฟ งอาตมา พู ดอยู มี ความคิ ดนึ กไปตามอยู พู ดเพราะ พู ดไม เพราะ อะไรก็ ตามใจ ก็ เป นเวทนาขั นธ สั ญญาขั นธ สั งขารขั นธ วิ ญญาณขั นธ อยู ได ; โดยที่ ไม ต องมี อุ ปาทาน จึ งเป นขั นธ เฉย ๆ ยั งไม เป น ทุ ก ข ; จนกว า มั น จะเผอิ ญ ประจวบเหมาะอะไร เกิ ด อุ ป าทานนั่ น นี่ ขึ้ น มาจน ในใจรําคาญเปนทุกข มันจะเปนอุปาทานขันธและเปนทุกข. หรื อ ว าให มั น ง ายไปกว านั้ น ก็ เราก็ นั่ งอยู ที่ นี่ ตาของเราก็ ยั งไม บ อด เรา เหลื อ บไปทางไหนก็ เ ห็ น ต น ไม เห็ น ก อ นดิ น ฯลฯ; นี่ มั น ก็ ต อ งเกิ ด วิ ญ ญ าณขั น ธ เพราะตากระทบภาพนั้ นแล วมั นก็ เกิ ดผั สสะเต็ มที่ ก็ เกิ ดเวทนา คื อสบายตาหรือไม สบายตา. แต ว าความสบายตาหรื อไม สบายตานี้ มั น ไม ม ากพอที่ จะไห เกิ ด ฉั น ทราคะ หรื อนั นทิ ; ฉะนั้น ตาของเราจึงยังไมเปนนรก หรือยังไมเปนสวรรคขึ้นมา.

www.buddhadasa.info บางที ก็ จะคิ ดเล น ๆ ไปได เหมื อนกั น ว าเกี่ ยวกั บต นไม ต นนี้ มั นจะเป นอย างไร; แตถาไมพาดพิ งมาถึงความหมายที่เปนตัวเราเปนของเรา เปนราคะ เปนนันทิแลว มั น ก็ ไม ใช อุ ป าทานขั น ธ . ฉะนั้ น ลองส ายตาไปรอบ ๆ นี้ มั น ก็ จ ะมี ขั น ธ ล วน ๆ เกิ ด ขึ้ น ทั้ ง ๕ ขั น ธ ไ ด ; เรี ย กว า เวลานี้ เรากํ า ลั ง มี ขั น ธ เท า นั้ น และเกิ ด อยู ต ามลํ า ดั บ ทั้ง ๕ ขันธ. หรื อ ว า หู เราได ยิ น เสี ย งลมพั ด ได ยิ น เสี ยงเราไรร อ ง ได ยิ น นกร อ งอย างนี้ เสร็จแลวมันก็เลิกกันอยูนั่นแหละ มันเปนขันธลวน ๆ เปนทางทวารหู ไดยินเสียง


๓๔๒

ปรมัตถสภาวธรรม

เรไรร อ ง; แล ว บางที มั น จะร อ งแรงถึ งกั บ แสบหู มั น ก็ ไม เกิ ด อุ ป าทาน หรื อ เกิ ด กิ เลส อะไรได ก็ มี ; แม จ ะคิ ด นึ ก ว า มั น ร อ งเพราะดี ก็ รู สึ ก แล ว ก็ แ ล ว กั น ไปเท า นั้ น . นี่ เกิ ด ขันธเฉย ๆ อยางนี้อยู กลาวไดวามีอยูแทบจะตลอดเวลา และทางจมูกที่จะเหม็นหรือ หอมอะไรขึ้ นมา มั นก็ เหมื อนกั น; ส วนทางลิ้ นนั้ นมั นต องเฉพาะต อเมื่ อได ไปดื่ ม ไปกิ น ถึ งจะเกิ ดขั นธ ; ส วนผิ วหนั งนี่ ก็ เหมื อนกั น ต อมั นมี การกระทบสิ่ งที่ มากระทบผิ วหนั ง, จึ งจะเกิ ด ขั น ธ เช น ถู กแดด ถู กลม จนกระทั่ งสั ม ผั สระหว างเพศ ซึ่ งนั่ นจะรุ น แรงถึ ง ขนาดที่ จะเกิ ดอุ ปาทานขั นธ . รวมความว าขั นธ เฉย ๆ นี่ มี ได บ อย แต ไม ใช ทุ กเวลานาที และจะมีไดบอยมากที่สุด.

เมื่อใดมีฉันทราคะ เมื่อนั้นมีอุปาทานขันธ ที นี้ เขยิ บออกไปว า เมื่ อ ใดจะมี อุ ป าทานขั น ธ ? นี้ มี ไม บ อ ย มี น อยลง ไปอี ก เพราะว าอุ ปาทานขั นธ หมายความว าไม ใช ขั นธ ล วน ๆ ไม ใช ขั นธ เฉย ๆ มั นเป น ขันธที่ อุปาทานเขาไปยึ ดครองแล ว. พู ดถึงคํ าวาอุปาทานกั นเสี ยหน อย คํ าวา อุ ปาทานนี้ บางทีพระพุ ทธเจา, ทานก็ตรัสเรียกวา นั นทิ ก็มี คือความเพลิน, บางทีก็เรียกวา ฉั น ทราคะ ก็ มี . ในหลาย ๆ สู ตรตรัสว า ยา นนฺ ทิ ตทุ ปาทานํ -สิ่ งใดเรียกว า นั นทิ สิ่ งนั้ นคื ออุ ปาทาน อย างนี้ ก็ มี เชนในตั ณหาสั งขยสู ตร เป นต น ที่ เป นสู ตรที่ สํ าคั ญ อย าง ในมหาปุ ณณมสู ตรมั ชฌิ มนิ กายก็ ว า ฉั นทราคะ ที่ มี อยู แล วในขั นธ นั้ นเรี ยกว าอุ ปาทาน; ถาเรียกวาอุ ปาทานขั นธ ก็ หมายวามี ขั นธด วย มี อุปาทานด วย. ฉั นทราคะนั้ นเรียกว า อุปาทาน; ฉันทราคะมีอยูในขันธนั้น เพราะฉะนั้น ขันธนั้นเรียกวาอุปาทานขันธ, ก็คือขันธที่ มีอุปาทานเขาไปสําคัญมั่นหมาย คือยึดครองอยู, ถาอยางนี้แลวก็หมายความวา เปนตัวทุกขที่ตองทนละ ไมใชนาเกลียดเฉย ๆ นาเกลียดชนิดที่ตองทนดวย.

www.buddhadasa.info ควรจะศึกษาใหเขาใจยิ่งขึ้นไปอีก วาเวลาใดเรามีปญ จุป าทานขันธ. ถาเวลานี้ทุกคนมีแตความรูสึกธรรมดาสามัญ เปนแตเพียงขันธลวน ๆ ทางตา ทางหู


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๔๓

ก็ กํ า ลั ง ไม มี ป ญ จุ ป าทานขั น ธ ฉะนั้ น จึ ง หาไม พ บ. เดี๋ ย วนี้ เราหาขั น ธ ที่ กํ า ลั ง เป น อุ ปาทานขั นธ ในตั วเรายั งไม พบ แล วเราก็ ยั งไม รูสึ กเป นทุ กข ด วย; จะต องไปหาหรือไปดู ใหพบ ใหเห็นและรูจัก ในเมื่อมันมีอุปาทานเขาไปยึดครองในขันธนั้น ๆ. จะบอกไว ให เป น ตั ว อย า ง เหมื อ นอย า งว า พอตาเหลื อ บไป พบสิ่ ง ที่ มี ความหมายมาก สํ าหรับความรัก หรือสํ าหรับความเกลี ยดก็ ตาม; พอตาเหลื อบไปเห็ น สิ่ งนั้ นแล ว มั นไม ใช อย างเดี ยวกั นกั บที่ เรานั่ งที่ นี่ แล ว เห็ นต นไม ต นไล แล ว; เพราะว า สิ่งที่เปนที่ตั้งแหงอาสวะแหงอุปาทานนั่น มันไดมาปรากฏเฉพาะหนาแลว. ยกตั วอย างที่ ดื่ นที่ สุ ดก็ คื อว า เห็ นเพศตรงกั นข าม ก็ คื อตาเห็ นเพศตรงกั น ขามในฐานะเปนรูป นี้เกิดจักขุวิญญาณขึ้นมาทางตา ขณะที่แลเห็นเพศตรงกันขาม.

อวิชชาพรอมอยูเสมอ ที่จะเขาผสม ทีนี้ อวิชชานี่พรอมอยูเสมอ ถึงกับพระพุทธเจาทานตรัสวา มันมีอยูทุกหน ทุ ก แห ง สิ่ งที่ เรี ย กว า สพฺ เพสุ ธมฺ เมสุ อนุ ป ติ ต า มั น พร อ มที่ จ ะลงมาในที่ ทุ ก แห ง . อวิ ชชานี้ เข ามาผสมเข าไปในสั ม ผั สนั้ น คื อ สั ม ผั ส ทางตานั้ นถู กอวิ ชชาผสม มั นจึ งไม สั ม ผั สเฉย ๆ เหมื อนอย างเมื่ อเราเหลื อบเห็ น ต น ไม นี้ ; เพราะมั นไม เกี่ ยวกั บ วิ ชชาหรื อ อวิ ชชา. แต ถ าเราเห็ น ภาพเพศตรงกั น ข ามของคนมี กิ เลสนี่ มั นมี สิ่ งที่ เรียกว า อวิ ชชา ซึ่ ง พร อ มอยู เสมอในที่ ทุ ก หนทุ ก แห ง ที่ จ ะเข า ผสมโรง; พออวิ ช ชาผสมโรงเข า ไปใน ผัสสะนั้น ก็เปนอวิชชาสัมผัส. เมื่อเปนอยางนี้สัมผัสนั้นก็ผิดจากสัมผัสธรรมดาเสียแลว คื อสั มผั สด วยอวิชชาเสี ยแล ว. ตรงนี้ อยากจะแทรกข อที่ ว าทํ าไมจึ งพู ดว า หรือถื อว า อวิชชามีอยูในที่ทุกหนทุกแหง? ทั้งนี้ก็เพราะวา เราไมรู คือเรามีแตความไมรู วาอะไร เป นทุ กข , อะไรเป นเหตุ ให เกิ ดทุ กข , อะไรเป นความไม มี ทุ กข , อะไรเป นทางแห งความ ดับทุกขเราไมรู, เราก็ไมรูมาแตในทอง. ความรูนี้ก็ยังขาดอยู ซึ่งเปนความไมรู แตวามันยัง

www.buddhadasa.info


๓๔๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ไม มี โอกาส ทํ าหน าที่ ที่ จะได แสดงบทบาทของมั น; พอตาของเราเห็ นรูปที่ เป นที่ ตั้ งแห ง อาสวะแห งกิ เลสนี่ อวิ ชชาก็ มี โอกาสทั นที ที่ จะแสดงบทบาทของมั น : ความไม รูหรื อ ความปราศจากความไมรูนั่นแหละ เขามาผสมในการสัมผัสนั้น ก็เลยเรียกวาอวิชชาสัมผัส. เหมื อนกั บในสู ตรที่ กล าวว า เด็ กกุ มารน อย ๆ เติ บโตขึ้ นมา มี ความรู สึ ก ทางอายตนะ ไดบริโภคอารมณแลวเกิดนันทิอยางนี้ ก็เกิดอุปาทาน; นี่ก็เพราะ เหตุ วาป ญญาในเรื่อง เจโตวิมุ ตติ หรือป ญญาวิมุ ตติ มิ ได มี แก เด็ กนั้ น, คื อความรูเรื่อง เจโตวิมุ ตติ หรือป ญ ญาวิมุ ตติ มิ ได มี แก เด็ กนั้ น แก กุ มารนั้ น. ดั งนั้ น กุ มารนั้ นก็ เป น ธรรมดาอยูเองที่จะเกิดนันทิ, เกิดอุปาทานในสิ่งที่เด็กนั้นไดกระทบ ในวันนั้นในวันนี้. นี้คืออาการที่เรียกวา อวิชชา ยิ่งกวามีอยูในที่ทุกหนทุกแหงเสียอีก คือมัน พรอมอยูเสมอ; เพราะวาไมรูมาแตในทอง แตวาความไมรูนั้นมันยังไมไดโอกาสที่จะ แสดงบทบาท หรือทํ าพิ ษขึ้ นมา. พอถึ งวันหนึ่ ง คื นหนึ่ งมั นก็ มี โอกาสที่ มี นจะทํ าพิ ษ ขึ้ นมา และก็ เมื่ อเด็ กนั้ นเขาไปได รับอารมณ อั นนี้ เข า; อวิ ชชานี้ ก็ ผสมโรงลงไปในการ ไดเห็นอารมณนั้น ก็เกิดการสัมผัสทางตาที่ประกอบไปดวยอวิชชา.

www.buddhadasa.info ที นี้ ไม ใช แต เด็ กคนนั้ น คนโต ๆ แล วก็ เป น อย างนั้ น และก็ เป น มากขึ้ น ทุ กที , เป นมากขึ้ นทุ กที ที่ เมื่ อโอกาสถึ งเข าแล ว ก็ จะมี อวิชชาสั มผั สในอารมณ อั นเป น ที่ตั้งแหงอุปาทาน. ธรรมดาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็มีอยู, แตวามันไมมีเหตุไมมีปจจัย ไมมี โอกาสที่ จะเป นที่ตั้ งแห งอาสวะ หรืออุปาทาน; ถามั นมีโอกาสที่ จะเป นที่ ตั้งแห ง อาสวะ อุปาทาน ก็จะเกิดอวิชชาสัมผัสขึ้นมาทันที.

ตั วอย าง เช นวา คนหนุ มเห็ นผู หญิ งสาว ก็ เป นโอกาสที่ จะเกิ ดอาสวะ หรือ เกิ ดอุ ปาทาน. แต ถ าสุ นั ขตั วหนึ่ งเห็ นหญิ งสาวคนนั้ น มั นก็ ไม ใช โอกาสที่ จะเกิ ดอาสวะ และอุปาทาน, ฉะนั้น ขอใหเขาใจเอาเอง วามันตองมีความเหมาะสม ที่ขันธนั้น ๆ


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๔๕

มันจะกลายเปนที่ตั้งแหงอาสวะและอุปาทาน. และตองเขารูปเขารอย ถูกฝาถูกตัว ถูกโอกาสถูกเรื่องของเหตุและปจจัยอยางนี้.

ใหพิจารณาดู การเกิด แหงขันธหา ที่พูดนี้ใหไวเปนตัวอยางสําหรับเอาไปเทียบเคียงเอาเองวา เมื่อไรมันจะ กลายเป นขั นธ ที่ เป นที่ ตั้ งแห งอาสวะและอุ ปาทาน เป นต น; นั่ นแหละ มั นจะเป น อุ ปาทานขั นธ ขึ้ นมาทางตาก็ ได ทางหู ก็ ได ทางจมู กก็ ได . แม แต ทางใจล วน ๆ คิ ดนึ ก ขึ้ น มาก็ ได ; เช น ว า ในที่ มื ด หรือ ว า หลั บ ตาอยู เราก็ คิ ด ถึ งคนที่ เราเกลี ย ด, ภาวะ หรือความหมาย หรือคุ ณค าของคนที่ เราเกลี ยด ก็ เป นธัมมารมณ แก จิตของเรา. จิ ตนั้ น ก็ สั มผั สธั มมารมณ นั้ น อย างนี้ แล วก็ เป นอวิชชาสั มผั สเต็ มที่ ก็ เกิ ดโกรธ เกิ ดเกลี ยด เกิ ดอะไรอยู ในเวลานั้ นได ; ฉะนั้ น ความรูสึ กที่ นึ กได หรือความสั มผั ส หรือเวทนาที่ เกิ ด ขึ้ น สั ญ ญา สั ง ขารที่ เกิ ด ขึ้ น ในเวลานั้ น ในกรณี นั้ น กลายเป น อุ ป าทานขั น ธ ไป หมด. ก็ น อนเป น ทุ ก ข อ ยู มื ด ๆ คนเดี ย วนั้ น ได . อย า งนี้ เรี ย กว า ขั น ธ นั้ น ได ก ลาย เปนอุปาทานขันธแลว.

www.buddhadasa.info เดี๋ยวนี้มันยากที่จะกลายเปนอุปาทานขันธ เพราะวายังไมมีอะไรมายั่ว; ตนไม กอนหิน กอนดินเหลานี้ ลวนแตหยุดนิ่งเปนปกติ ก็เปนอุปาทานขันธเกิดขึ้นไมได ในความรูสึกหรือในจิตของผูเห็น. แตลองไปเห็ นในสิ่งที่ ตั วรัก, ตัวชอบ, ตัวปรารถนา, ตัวตองการ, ตัวโกรธ, ตัวเกลียด, ตัวกลัว, อะไรขึ้นมา มั นก็จะเป นอุ ปาทานขั นธ ขึ้ น มาทั น ที . โดยการเห็ นก็ ได , การได ยิ น ก็ ได , โดยการดมก็ ได , การชิ ม ก็ ได , การ สัมผัสก็ได, การคิดนึกก็ได, อยางนี้เรียกวา อุปาทานขันธ.

ขณะนี้เรามีอุป าทานขันธหรือ เปลา? ก็ตอบวาเปลา; เพราะอาตมา กําลังพูดอยู ทานทั้งหลายกําลังฟงอยู แลวอุปาทานขันธจะเกิดขึ้นไดอยางไร; จนกวา


๓๔๖

ปรมัตถสภาวธรรม

จะไม ฟ ง หรื อ ฟ ง แล ว ไม ไ ด ยิ น แล ว ใจเลื่ อ นลอย คิ ด นึ ก ไปในทางความวิ ต ก กั ง วล อย า งใดอย า งหนึ่ ง จนกระทั่ ง เกิ ด ความกลั ว ความทุ ก ข ขึ้ น มา นั่ น ละจึ งจะเรี ย กว า มี อุ ป าทานขั น ธ เกิ ด ขึ้ น แล ว แก ท า นบางคน, แม ที่ นั่ ง ฟ ง อยู ที่ นี่ เดี๋ ย วนี้ . แต เดี๋ ย วนี้ อุปาทานขั นธเกิ ดไม ได เพราะเสี ยงที่ ได ยิ นนี่ มั นคอยจูงความรูสึ กไปตามคํ าพู ด, ก็ คิ ดนึ ก ไปตามคําพูด, มันไมไดใหโอกาสที่จะเอาไปยึดมั่นถือมั่นดวยอุปาทาน หรือดวยนันทิอะไร. ความต อ งการจะฟ ง ต องการจะเข าใจ มั น ก็ เป น สั งขาร เป น อะไรได ; แต ไม เป น อุ ป าทานขั น ธ ได , เป น ขั น ธ เฉย ๆ ไปได เรื่อ ย แต ไม เป น อุ ป าทานขั น ธ ได . การคิดตามไปที่พูดนี้ ก็เปนสังขารขันธได แตไมเปนสังขารูปาทานขันธได; หรือ แม ที่ สุ ดแต ว า บางประโยคพู ดแล วชอบใจ นี่ ก็ เป นเวทนาที่ เป นสุ ขได มั นก็ เป นเวทนา เฉย ๆ ไมถึงกับมีโอกาสจะเปนเวทนูปาทานขันธได. สมมติ วา อาตมาจะด าท านทั้ งหลายสั งคํ าหนึ่ ง มั นก็ เลยเป นคํ าที่ ไม มี ความหมาย เป นคํ าด าไปเสี ยก็ ได , แล วก็ ไม เกิ ดป ญ จุ ปาทานขั นธ ได มั นก็ คงเป นขั นธ เฉย ๆ อยู นั่ น. ฉะนั ้น คํ า ดา หรือ ไมด า นี ้ มัน ไมไ ดอ ยู ที ่คํ า ที ่พ ูด ออกไป มัน อยู ที ่ค วามหมาย; ถ าโอกาสมั นมี ป จจั ยมั นมี มั นเป นที่ ตั้ งแห งอุ ปาทานแล ว มั นก็ โกรธได ก็ เกิ ดอุ ปาทานขั นธ ขึ้ น, แล วก็ รอนเราอยู . นี่ บางที คํ าด าชนิ ดเดี ยวกั นนั่ นกลายเป นของขบขั นเสี ยก็ มี , แล วถ าท านทั้ งหลายรูว าอาตมาแกล งว า แกล งด าด วยแล วก็ ยิ่ งไม มี ความหมายเลย และก็ ไม เกิ ดป ญ จุ ปาทานขั น ธ ; เมื่ อไม เกิ ดป ญ จะปาทานขั นธ ก็ หมายความว าไม เป นทุ กข เทานั้นแหละ.

www.buddhadasa.info ที นี้ ก็ ลองทบทวนดู อี กที ว า เมื่ อไรเป นสั กว าธาตุ ? กลุ มธาตุ น ะ กอง ๆ กั นอยู นี่ เมื่ อไรธาตุ ลุ กขึ้ นมาเป นอายตนะ? เมื่ อไรอายตนะปรุงกั นขึ้ นเป นขั นธ ? เมื่ อไร ขันธนั้นไดโอกาสใหอุปาทานยึดครองกลายเปนอุปาทานขันธ? แลวเมื่อไรเปนทุกข?


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๔๗

นี้ ไม ต องพู ดแล ว เพราะว าถ าเป นอุ ปาทานขั นธ แล ว เป นทุ กข อยู ในตั วแล ว แล วเมื่ อไร มั นจะสิ้ นกํ าลั ง ถอยกํ าลั ง แล วดั บไปอย างนี้ ? แล วเมื่ อไรมั นจะเกิ ดขึ้ นมาอี ก? ถ าดั บไป มั นก็ ไปอยู เป นกองธาตุ ตามเดิ ม เป นกลุ มธาตุ กลุ มหนึ่ งอยู ตามเดิ ม จนกว ามั นจะปรุงกั น ขึ้ นมาเป นอายตนะ, แล วปรุ งมาเป นขั นธ , ปรุ งเป นป ญ จุ ปาทานขั นธ แล วก็ เป นทุ กข แล วก็ ดั บไป, เหลื ออยู เป นกองธาตุ อยู ตามเดิ ม. นี่ อาตมาเซ าซี้ มาก เพื่ อให เกิ ดความ เข าใจจริงและโดยตรงจากสิ่งที่ มี อยูจริง ไม ใชจากหนั งสือ; เซาซี้ก็เพื่ อวาให ไปสั งเกต ดู ทุ ก คนว าเมื่ อ ไร, เวลาไร, ที่ ไหน, อย างไร, เรามี อ ะไร, เรามี สั ก ว าธาตุ หรื อ ว าเรา มี เป นอายตนะสั มผั สอยู ก็ เกิ ดขั นธ นั่ นนี่ ขึ้ นมาแล ว, พอเผลอไปเป นอุ ปาทานขั นธ แล ว มีความทุกขแลว. พู ดอีกทีหนึ่งวาถาเราเกิดเป นป ญ หามี ความทุ กข ขึ้นมา ก็รีบค น ทีเดียว วามันเปนปญจุปาทานขันธอยางไร, ดวยเรื่องไร, ดวยในสิ่งใด. นี่เรียกวา การศึกษาที่ดีที่สุด หรือวาการทําวิปสสนาที่ดีที่สุด. พอความทุ กข เกิ ดขึ้ นมาอย างหนึ่ งแล วเพราะความรัก ความโกรธ ความเกลี ยด ความกลั ว ความวิ ต ก กั ง วล สารพั ด อย า ง ที่ มั น ทํ า ให จิ ต ใจเป น ทุ ก ข ได ; พอมั น มี ขึ้นในใจแลว ใหพยายามตะครุบเอาโอกาสนั้น ศึกษาใหรูจักตัวสิ่งที่เรียกวา อุปาทานขัน ธ เมื ่อ รวมกัน เขา ทั ้ง ๕ ชนิด แลว ก็เ รีย กวา ปญ จุป าทานขัน ธ, หรือ วา เมื่ อแยกออกไปเป นอย าง ๆ นั้ น เรียกว า รูปู ปาทานขั นธ เวทนู ปาทานขั นธ สั ญู ปทานขันธ สังขารูปาทานขันธ วิญญาณูปาทานขันธ อยางที่สวดอยูทุกวัน อยางนี้.

www.buddhadasa.info นี้คือเวลาที่เห็นแจงในลักษณะของวิปสสนา เขาใจธรรมะดีกวาอานหนังสือ เป นหอบ ๆ หรื อเป นตู ๆ ซึ่ งมั นจะช วยอะไรไม ได , จนกว าจะได เอาความรู นี้ มาใช เพื่ อจะ ศึ กษาให ถู กตั วธรรมทั้ งปวงที่ มี อยู จริง คื อป ญจุปาทานขันธ. นี่ ตั วการ ตั วราย ตั วสํ าคั ญ คื อเป นตั วทุ กข แล วก็ ลดลงมาก็ คื อขั นธ ล วน ๆ ไม มี อุ ปาทาน, ถ าลดลงมาก็ เป นเพี ยง อายตนะที่จะกระทบกัน ทําใหเกิดขันธขึ้นมา และเมื่อมันไมเปนอายตนะ มันก็เหลือ


๓๔๘

ปรมัตถสภาวธรรม

แต ธาตุ กองธาตุ หรือกลุ มธาตุ ที่ ประกอบกั นขึ้นอยู เป นในสิ่ งที่ สมมติ เรียกวาคน วาสัตวนี้ แลวก็เรียกวา ธาตุ ๖ ดิน น้ํา ไฟ ลม อากาส วิญญาณ. ธาตุ ๖ กองนี่ กองอยู ไม ลุกขึ้นมาทํ าอะไร; เมื่ อไรมันเป นอยางนั้ นจะ เห็นงาย ๆ ตอเมื่อเวลาหลับสนิท หรือวาเมื่อไมคิดนึกอะไร ธรรมทั้งหลายก็มีอยู จิต ก็ มี อ ยู มโนหรือ จิ ต นี่ ก็ มี อ ยู แล วอวิชชาธาตุ ก็ มี อ ยู . อยู ที่ ไหน? นี่ พ ระพุ ท ธเจ า ทานตรัสไวชัดมาก : อตฺถิ ภิกฺขเว มโน-มโนธาตุหรือธาตุจิต ธาตุวิญญาณนี้ก็มีอยู; อตฺ ถิ ธมฺ ม า - ธรรมทั้ ง หลายทั้ ง ปวง คื อ ธั ม มารมณ ก็ มี อ ยู ; อตฺ ถิ อ วิ ชฺ ช าธาตุ อวิ ชชาธาตุ ก็ มี อยู . เหล านี้ อยู ที่ ไหน? เราเพี ยงแต ฟ งเฉย ๆ เราก็ ไม รูว ามั นอยู ที่ ไหน; แลวมันจะทํากันอะไร, คือจะปรุงแตงกันอยางไร? ที่วาธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีอยู คือวาในโลกสากลจักรวาลทั้งหมดนี้ จะมี อะไร กี่ ชิ้ น กี่ อย างก็ ตาม ที่ เป นรูปธรรมหรือเป นนามธรรม เป นรูปธาตุ หรือเป นนามธาตุ มั น ก็ เรีย กว าธรรมทั้ งนั้ น แหละ และก็ มี อ ยู จ ริง; แต มั น ยั งมี อี ก สิ่ งหนึ่ งที่ เรี ย กว ามโน คื อมโนธาตุ ที่ จะรูอะไรได ที่ จะได เป นอายตนะ ที่ เป นที่ ตั้ งของมั น สํ าหรับจะคิ ดนึ กได อยางนี้มันก็มีอยู; แตที่รายก็คืออวิชชาธาตุ คือความปราศจากความรู ภาวะที่ปราศจาก ความรูนี้ ก็มีอยูดวย.

www.buddhadasa.info ธาตุตาง ๆ ถูกอวิชชาผสมแลวจะเปนอุปาทานขันธ

เพราะฉะนั้น สิ่งตาง ๆ ก็เปนไปตามอํานาจของสิ่งทั้งสามนี้ คือจิตถูก อวิชชาครอบงําเสียแลว ก็สัมผัส หรือรูสึกตอสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในลักษณะที่มันเปน อวิชชาสั มผั ส; แล วก็ เกิ ดขั นธนั่ นขันธนี่ ทุ กขันธตามลํ าดั บ ที่ ถู กยึดถื อด วยอุ ปาทาน : รูปขันธก็ถูกยึดถือ, เวทนาขันธถูกยึดถือ, สัญญาขันธถูกยึดถือ, สังขารขันธถูกยึดถือ, วิญ ญาณขันธถูกยึดถือ, นี่ผลมันมาจบลงอยางนี้ สําหรับที่ วาสิ่งทั้ งปวงมี อยู มโน คือใจมีอยู อวิชชาธาตุก็มีอยู; นี่ละคือโลก ก็คือตัวเราในฐานะที่เปนโลกนี้.


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๔๙

ถ าเราไม สนใจเรื่องนี้ ก็ จะไม รูธรรมะหรือความจริงเหลานี้ ; ที่ รายมาก ที่ สุ ดก็ คื อเราไม รูจั กตั วเรา อย างที่ ว ามาแล ว เป นคนโงเท าไรที่ ไม รูจั กตั วเรา. ฉะนั้ นเรื่อง มันจึงไมมีอะไรมากไปกวาที่จะพยายามมองขางใน ศึกษาจากขางใน ศึกษาจากตัวจริง จนให รู จั ก , เข า ใจ, และรู สึ ก , รู แ จ ง แทงตลอดในสิ่ ง นั้ น ๆ. เดี๋ ย วนี้ ดู เหมื อ นว า อ า น หนั งสื อ ก็ ม ากเกิ น ไป, ฟ งพู ด ฟ งบรรยายนี้ ก็ ม ากเกิ น ไป; เมื่ อ เที ย บกั น กั บ ความรู จั ก ความเข าใจ ความแทงตลอดนี้ ยั งมี น อยมาก; จนกระทั่ งพอถามเข าจริ งก็ ไม รู ว า ขั นธ คื อ อะไร อุ ป าทานขั น ธ คื อ อะไร, หรื อ ถามตั ว เองว า เวลานี้ กํ า ลั ง มี อ ะไรก็ ต อบไม ไ ด เช นว า เวลานี้ กํ าลั งมี เพี ยงสั กว าธาตุ เดี๋ ยวนี้ กํ าลั งมี เพี ยงสั กว าอายตนะ เวลานี้ กํ าลั งมี เพี ยงสั กว าขั นธ และเวลานี้ มี ถึ งอุ ปาทานขั นธ เสี ยแล ว อย างนี้ เป นต น คื อมี ความทุ กข . นี่เรียกวาไมรูจักตัวเรา. ทีนี้ก็ดูวาอาการที่เกิดได หรือเกิดไมไดแหงปญจุปาทานขันธนี่ มันก็อยู ที่ เรื่องที่ พู ดมาแล วทั้ งหมด; โดยสรุปวา ถ าเราปราศจากความรู เมื่ อไรที่ มี การสั มผั สแล ว อวิชชาธาตุก็เขามาผสมโรงอยางนี้; เมื่อนั้นแหละปญจุปาทานขันธก็เกิดได.

www.buddhadasa.info ขออยาลืมที่พูดมาแลววา พระพุทธเจาทานตรัสวามโน จิต มีอยู ธรรม ทั ้ง ปวงมีอ ยู  อวิช ชาธาตุม ีอ ยู , คือ มีอ ยู ใ นที ่ทั ่ว ไป อยา งนี ้. ทีนี ้ค นมัน ยัง โงอ ยู ก็ ไม มี วิ ชชา อวิ ชชามั นก็ เข ามาเป นเจ ากี้ เจ าการ ในการที่ ตาเห็ นรู ป หู ฟ งเสี ยง จมู กได กลิ่ น ทั้ งหกอย างนี้ นั่ น แหละคื อ การเกิ ด ขึ้ น ได โดยสะดวก โดยง า ยดายแห งป ญ จุ ปาทานขันธ.

อริยสาวกมีวิชชาจะรูจักเรื่องทุกข ที นี้ ถ าว าเราได ยิ นได ฟ งคํ าของพระพุ ทธเจ า ได รั บการศึ กษา ฝ กฝนอบรม ในธรรมของพระอริยเจา; อยางนี้ก็เรียกวา เปนสัตบุรุษ เปนอริยสาวกอยางนี้ มันก็


๓๕๐

ปรมัตถสภาวธรรม

เปลี่ยนเปนวาวิชชาค อย ๆ เกิ ดขึ้น ๆ; ที่ไมเคยมีวิชชาแตกาลกอนนั้น เดี๋ยวนี้ก็มีวิชชา. ถ ายั งเป นปุ ถุ ชนคนพาลคนเขลา ไม ได ยิ น ไม ได ฟ ง ไม ได อบรมในธรรมของพระอริยเจ า มัน ก็ม ีอ วิช ชา; ก็เลยตา งกัน เปน สองพวก พวกหนึ ่ง เปน ปุถ ุช น, พวกหนึ ่ง เปน อริยสาวก. สั ต บุ รุ ษ กั บ ปุ ถุ ช น มี ค วามต า งกั น ตรงที่ ว า พวกหนึ่ งเต็ ม ไปด ว ยอวิ ช ชา ตามธรรมชาติไ ปตามเดิม , พวกหนึ ่ง ก็ม ีอ วิช ชาที ่เ บาบางลงไป. มีว ิช ชาเกิด ขึ้ นแทน จนกระทั่ งมี วิ ชชาพอตั ว คื อความรู ว าอะไรเป นทุ กข อะไรเป นเหตุ ให เกิ ดทุ กข พอตั ว . แต ยั งไม ใช ป ระโยชน อ ะไรได จนกว า จะมี ส ติ เอาความรู นั้ น มาใช ทั น ท ว งที ในขณะที่ ตาเห็ นรู ป หู ฟ งเสี ยง จมู กดมกลิ่ น ลิ้ นได รส กายได สั มผั สทางผั วหนั ง จิ ตได ความรูสึกคิดนึก. วิชชาถูกนํามาดวยสติสัมปชัญญะทันทวงที ก็จะปองกันไมใหเกิดอวิชชาสัมผัสขึ้นมาในจิตนั้น แลวจะไมเกิดอุปาทานขันธ นี่แหละคือกรณี ที่อุปาทานขันธเกิด ไม ได , ถ าจะพู ดให ชัดตามกรรมวิธีของปฏิ จจสมุ ปบาท นี่ ก็ ไม มี ป ายที่ จะเขี ยนกระดานดํ า จะฟงถูกแตคนที่จําสูตรของปฏิจจสมุปบาทไดเทานั้น.

www.buddhadasa.info ขอให ทบทวนอี กที หนึ่ งว า สู ตรปฏิ จจสมุ ปบาทในทางปฏิ บั ติ นั้ น พระพุ ทธเจ า ท า นได ต รั ส ว า จกฺ ขุ ฺจ ปฏิ จฺ จ รู เป จ อุ ปฺ ป ชฺ ช ติ จกฺ ขุ วิ ฺ ญ าณํ -เพราะอาศั ย ตา และรู ป ทั้ ง หลายด ว ย ย อ มเกิ ด จั ก ษุ วิ ญ ญาณ; นี่ ข อ หนึ่ ง จํ า ไว ซิ . ติ ณฺ ณํ ธมฺ ม านํ สงฺค ติ ผสฺโ ส-ความประจวบกัน แหง ธรรมสามประการนี ้ เรีย กวา ผัส สะ; คือ ตาด วย รู ปด วย และจั กษุ วิ ญ ญาณนั้ นด วย ประจวบกั นสามอย างนี้ เรี ยกว า ผั สสะ; ตรงนี้ สํ าคั ญ มาก. แล ว ผสฺ ส ปจฺ จยา เวทนา -เพราะผั สสะเป นป จจั ยจึ งเกิ ดเวทนา นี่ชั้นหนึ่ง. เวทนาปจฺจยา ตณฺหา -เพราะเวทนาเปนปจจัยใหเกิดตัณหา คือกลุม


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๕๑

ความคิ ดนึ กรูสึ กทั้ งปวง. ตณฺ หาปจฺ จยา อุ ปาทานํ - ตั ณ หาเป นป จจั ยก็ เกิ ดอุ ปาทาน อุ ปาทานปจฺ จยา ภโว -เพราะมี อุ ปาทานเป นป จจั ยจึ งมี ภพ นี่ เป นคนใหม เป นเรื่ องใหม คื อ เกิ ด อุ ป าทานขั น ธ เต็ ม ที่ . ภวปจฺ จ ยา ชาติ -เพราะมี ภ พเป น ป จ จั ย จึ ง เกิ ด ชาติ เกิ ด ตั ว กู แ บบนี้ ขึ้ น มา ชาติ ป จฺ จ ยา ชรามรณโสกปริ เทว.....เรื่ อ ยไปจนเอาชาติ ชรา มรณะตาง ๆ มาเปนตัวกูมาเปนของกูมาเปนปญหาสําหรับเกิดทุกขนี่เรียกวาปฏิจจสมุปบาท. นี่มันสําคัญอยูตรงที่วา อายตนะขางในกับอายตนะขางนอก อาศัยกันแลว เกิ ดวิ ญญาณขึ้ น :ถ าทางตาก็ เรียกจั กขุ วิญญาณ ทางหู ก็ เรียกโสตวิญญาณ. ทางจมู ก ก็เรียกฆานวิญญาณ, อยางนี้เปนตน. ทีนี้สามประการนี้ มาพรอมกันเรียกวาผัสสะ; ตรงนี้ แ หละสํ า คั ญ เป น จุ ด ตั้ ง ต น หรื อ ว า จุ ด หั ว เลี้ ย วหั ว ต อ . อายตนะข า งใน, อายตนะขางนอก, วิญ ญาณ, พบกันแลวเกิดผัสสะ แลวแตจะเปนอวิชชาสัมผัส หรือ เป น วิ ช ชาสั ม ผั ส . ถ า เป น อวิ ช ชาสั ม ผั ส คื อ มั น ไม มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะขณะนั้ น อวิชชาตามธรรมชาติ เดิ มที่ มี อยู คื อความไม รูอะไรนั้ น มั นก็ ได โอกาส ก็ เป นอวิชชาสั มผั ส -สั ม ผั ส ด ว ยอวิ ช ชา; ออกมาเป น เวทนา ก็ เป น เวทนาที่ ม าจากอวิ ช ชาสั ม ผั ส , ก็ เป น ที่ตั้งแหงกิเลส ตัณหา โดยไมมีปญหาอะไร เพราะมันเปนอวิชชาสัมผัส.

www.buddhadasa.info แตวาถาเราเปนอริยสาวก มีวิชชาอยู มีสติสัมปชัญญะอยู, พอสิ่งทั้งสามนี้ สั ม ผั ส กั น แทนที่ จ ะมี อ วิ ช ชา ความมื ด นั้ น เป น เจ าเรื อ นอยู มั น ก็ มี วิ ช ชาความรู ว า อะไรเป นอะไรตามที่ เป นจริ งมาทั น มาเป นผู กํ ากั บการในการสั มผั สนั้ น. ดั งนั้ น สั มผั ส นั้ น ก็ เป น วิ ช ชาสั ม ผั ส : สั ม ผั ส ด วยวิ ช ชา สั ม ผั ส ด ว ยความฉลาด สั ม ผั ส ด ว ยสติ สัมปชัญญะ.

ถาออกเป นเวทนามา เกิดเป นเวทนาออกมามันก็เป นเวทนาชนิ ดที่ ไม ใช มาจากอวิชชาสัมผัส แตเปนเวทนาที่จะเปนที่ตั้งของการศึกษา ของสติสัมปชัญญะ,


๓๕๒

ปรมัตถสภาวธรรม

ของความรู . ความเข า ใจไปเสี ย ; ดั งนั้ น เวทนาชนิ ด นี้ จึ งไม ให เกิ ด ตั ณ หาได แต ให เกิดสติปญญา มันไปตามเรื่องของวิชชาไป เรื่อยไป. เวทนา แทนที่จะใหเกิดตัณหา มันกลายเปนใหเกิดวิชชา ความรูที่วานี้ คื ออะไร, คื ออะไร, เป นอย างไร, จะต องทํ าอย างไร, แล วก็ มี ความคิ ด, มี ความเข าใจ, มี อ ะไรถู ก ต อ ง มั น ก็ เ ป น เรื่ อ งถู ก ต อ งไปเสี ย ,เป น มรรคมี อ งค แ ปดที่ ถู ก ต อ งไปเสี ย เพราะการไดสัมผัสอารมณนั้น. นี่ คื อ การที่ ไม อาจจะเกิ ดอุ ปาทานขั นธ ป ญจุ ปาทานขั นธ ไม อาจจะเกิ ดเพราะ เหตุนี้; เราตอ งศึ ก ษาจนเขาใจ และควบคุม การกระทบอยูจ นรูจักทีเดียววา เรา ทํ าผิ ด ทํ าถู ก เราชนะหรื อเราพ ายแพ ในการที่ อารมณ มากระทบในกรณี นี้ ๆ นี้ ๆ ซึ่ ง วั นหนึ่ งก็ มี หลาย ๆ กรณี ทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ อย างนี้ ; หรือบางที อาจจะมาก ที่สุดสําหรับกรณีที่เกี่ยวกับใจ เพราะวาเราจะไปนอนรําพึงอยูก็ได; แลวมันก็เปนโอกาส ทางคู สุ ด ท าย ก็ คื อ ใจกั บ ธั ม มารมณ . นี้ ถ าเราเผลอไป มั น ก็ จะรํ าพึ งไปแต ในทางที่ เป น ทุ ก ข ทั้ ง นั้ น ; อุ ป าทานขั น ธ มั น ก็ เกิ ด ได ม าก เกิ ด ได จ นนอนไม ห ลั บ จนเป น โรค เสนประสาท จนเปนบา.

www.buddhadasa.info เราจะถื อว า ความรู เรื่ อ งอุ ป าทานขั น ธ ไม ใช เรื่ อ งที่ ไม เกี่ ยวกั บ ความเป น ความตายยั งไม ถู ก; ที่ ถู กเป นเรื่ องสํ าคั ญ ขนาดเป นความเป นความตายที่ เดี ยว; เพราะ ฉะนั้ น ขอให สั งเกตจนแยกกั น ได เด็ ด ขาดเลยว า เรื่ อ งสั ม ผั ส ตามธรรมดา ไม ให เกิ ด อุปาทานขันธก็มีอยู, และเกิดอุปาทานขันธก็มีอยู.

ในขณะแหงผัสสะ ตองใชสติสัมปชัญญะควบคุมใหมาก ถาวามันมีสติสัมปชัญญะ มีวิชชาอยู สัมผัสนั้นก็ไมอาจจะเกิดอุปาทานขันธ, อยางมากจะเกิดแตขันธเฉย ๆ แลวก็เปนที่ตั้งแหงการศึกษา แหงการเขาใจยิ่ง ๆ


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๕๓

ขึ้ น ไป ถ า มี ค วามเผลอสติ ด วย ไม มี ค วามรู ด วย ก็ เกิ ด โอกาสของอวิ ช ชา ทํ าให เกิ ด อุปาทานขันธ ก็เปนกิเลส เปนทุกขไป. นี่ จะต องสั งเกตดู ให ดี ว า บางที เรามี ความรูได เล าได เรียน ได อ านมามากแล ว แต ทํ าไมมั น ยั งเกิ ด ได ; เพราะวาเรายั งไม มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะพอ. ฉะนั้ น ต อ งให มี สติ สั มปชั ญญะด วย; ฉะนั้ นคนที่ เรี ยนธรรมะมาก ๆ แต ไม มี ธรรมะเลย เรี ยกธรรมะมาก ศึ กษาธรรมะมาก อ านธรรมะมาก พู ด ธรรมะได เป น ข าวตอกแตก แต เขาไม มี ธรรมะ เลยก็ มี , บางคนก็ เรี ย นเซ็ น สอนเซ็ น พู ด เซ็ น เป น อาจารย เซ็ น แต ไ ม มี เซ็ น เลย. อยางนี้ ก็ลองคิดดูเถอะ; เพราะวาเขาไมมีสติสัมปชัญญะที่จะดึงเอาความรูนั้นมา ทันทวงที ในโอกาสอันสําคัญที่สุด คือผัสสะ. ในขณะแหงผัส สะนี้ ถาวิช ชาความรู วิ่งมาไมท ัน ทว งทีแ ลว ถึง มี ก็ มี เสี ย เปล า ; มี ไว พู ด มี ไว เถี ย ง มี ไว ในหนั ง สื อ หนั ง หา หรื อ แม ว า มี จ ริ ง ๆ เข า ใจ จริ ง ๆ แต เผอิ ญ มั นเผลอสติ สติ สั มปชั ญ ญะไม ได เกิ ด แล วไม เอาความรู นั้ นมาช วยทั น ท วงที ผั ส สะนั้ น มั น ก็ ต กเป น เหยื่ อ ของอวิ ช ชา กลายเป น อวิ ช ชาสั ม ผั ส ไปตามเดิ ม . นักปราชญ ที่ แตกฉานในทางธรรมะก็ยังพลาดได เพราะเหตุที่ วาไมมี สติ ไมมี สติสัมปชัญญะ พอ; ฉะนั้น ความรู หรือวิชชานี้ ยังตองอาศัยสติอีกทีหนึ่ง.

www.buddhadasa.info อย าประมาท อย าเลิ นเล อ อย าวดดี ไปว ามี วิ ชชาแล วมั นจะรั บประกั นได ; มันตองมีสติสัมปชัญญะเปนยานพาหนะ ขนเอาวิชชามาใหทันทวงทีดวย สติอยางนี้ เขาจัดไวในพวกสมาธิ, วิชชาความรูนั้น เขาจัดไวในพวกปญญา; ไมใชพวกเดียวกัน.

มีปญญาขันธ สมาธิขันธ ตองมีสีลขันธดวย สติ นี้ มั นก็ต องประกอบอยู ด วยป ญญา มั นขนเอาป ญญา แต ตั วสติ เอง เปนลักษณะของสมาธิ : เปนจิตที่แนวแน แลวก็มีความวองไว มีความคลองแคลว


๓๕๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ในหน า ที่ ข องตั ว อย า งนี้ . คุ ณ สมบั ติ อั น นี้ ข องจิ ต เขาเรี ย กว า สติ มั น สงเคราะห อ ยู ในกลุ มของสมาธิ สิ กขา หรือสมาธิ ขั นธ ; ส วนป ญญารูนั่ นรูนี่ นั้ น มั นเป นกลุ ม ป ญญา สิกขา, ปญญาขันธ. เอาละ, ที นี้ อยากจะพู ดเสี ยเลยว า เมื่ อมี สติ มี ป ญ ญาแล ว แต ถ าร างกาย มั น ไม ดี ร า งกายกํ า ลั ง ไม ส บาย หรื อ ว า ร า งกายกํ า ลั ง ไปทํ า ผิ ด ทํ า เลวอะไรอยู นี้ มั น ก็ จ ะเป น หมั น ได เหมื อ นกั น ; สติ ป ญ ญานั่ น ก็ เลยไม ไ ด ทํ า หน า ที่ . ฉะนั้ น การที่ ทํ าให ร างกาย วาจา อะไรนี่ ให ดี อยู เสมอนี่ ก็ เรี ยกว ามี ศี ล เรี ยกว าสี ลขั นธ คื อความ ปกติแหงกาย วาจา นี่เรียกวาศีล, สีลขันธ ก็ตองมีอยูเปนพื้นฐาน เพื่อวามันจะงาย แก การที่ จะมี สมาธิ ขั น ธ และป ญ ญาขั น ธ . เดี๋ ยวนี้ มี แต ค วามรู เพ อ เจ อ ฟุ งซ าน ก็ ไม ใช ป ญญาแท ; เพราะคนชนิ ดนี้ ไม อาจจะมี สติ และคนชนิ ดนี้ อาจจะมี ความผิ ดพลาดทางกาย ทางวาจา คื อไม มี ศี ลเลยก็ ได . เรื่ องมั นก็ เลิ กกั นเท านั้ นเอง มี แต จะเป นเรื่ องที่ จะเกิ ด ๆ เกิดกันพรูไปหมดของปญจุปาทานขันธ และมีความทุกขอยูตลอดเวลา. ขอให สั ง เกตดู ให ดี และแยกกั น ให ได ว าทํ าไมมั น จึ งเกิ ด ได , ทํ า ไมมั น จึ งเกิ ด ไม ได สํ าหรั บ อุ ป าทานขั น ธ ในชี วิ ต ประจํ าวั น ของเราคนหนึ่ ง คนหนึ่ ง. นี่ ข อ ให สนใจในข อนี้ นี่ แหละคื อการศึ กษาจริ ง รู ธรรมะก็ รู จริ ง มี ธรรมะก็ มี จริ ง จะได ช วย ตัวใหรอดได.

www.buddhadasa.info พิจารณาใหเห็นความตางของขันธ กับอุปาทานขันธอยูเสมอ เอาละ, ที่ ยั งเหลื ออี กนิ ดหนึ่ งสํ าหรั บเวลานี้ ก็ อยากจะย้ํ าถึ งข อที่ ว าขั นธ กั บ อุ ปาทานขั นธ มั นต างกั นอยู ดั งที่ กล าวมา เพราะว ามี ต นตอที่ มา คื อโอกาสหรื อที่ เหตุ ป จจั ยของมั นต าง ๆ กั นเช นว ารู ปขั นธ จะเป นรู ปภายนอก รูปภายในก็ ตาม, รู ปภายนอก เชนจักขุธาตุ รูปภายใน เชนรูปธาตุขางนอก รูปขันธ ก็ไดอาศัยดิน น้ํา ลม ไฟ


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๕๕

ที่ เรียกว าธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม นี่ เรียกว า มหาภู ตรูป เป นเหตุ เป นป จจั ย เปนพื้นฐาน เปนเหมือนกับแผนดิน สําหรับเปนที่ตั้งอยูของรูปขันธ. เมื่ อมั นยั งเป นดิ น น้ํ า ลม ไฟอยู เป นสั กว าธาตุ แต พอเกิ ดเป นรูปนอก รูปในขึ้นมาไดแลว เรียกวาเกิดเปน รูป ขันธ; ทีนี้เมื่อมันเปนรูปขันธอยางนี้มันก็ทํา ให เกิ ดพวกวิ ญญาณขั นธ นามขั นธ ได โดยพระบาลี ที่ วา อาศั ยตากั บรูปย อมเกิ ดจั กขุ วิญญาณ นั่นคือนามขันธ ก็เพราะอาศัยการกระทบกันที่ เกรียกวาผัสสะ ระหวางตากับรูป เกิดจักษุวิญญาณนี้ ก็เกิดเวทนาขันธขึ้นมา; ฉะนั้น จึงถือวาเวทนาขันธมันตั้งอยูบน ผัสสะ มีผัสสะเปนปจจัย. พอมาถึงเรื่องของนามขันธแลวก็จะมีเรื่องผัสสะเปนตัวสําคัญ; ถาเปนเรื่องของรูปขันธ ก็ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุลม เปนตัวสําคัญ. เวทนาขันธก็มาจากผัสสะ สัญญาขันธมาจากผัสสะ สังขารขันธก็มา จากผัสสะ. นี้ เกือบจะไมตองอธิบายอะไรมากนัก : เวทนาถาไมมีผัสสะแลวมันจะมีได อยางไร, ตองมีผัสสะกอน แลวก็เวทนา. ผัสสะนั่น แหละทําใหเกิด เวทนา แลว ก็ เลยไปเกิ ดสั ญ ญา, สั ญ ญามั น เกิ ดจากผั ส สะโดยผ านทางเวทนา; ไม มี ผั ส สะแล ว สั ญ ญาก็ เกิ ดไม ได . มั นต องมี การกระทบที่ ทํ าให รูสึ กวาอะไรมั น เป นอะไร จึ งจะเกิ ด ความรูสึกวาอะไรมันเปนอะไร.

www.buddhadasa.info สั ญ ญานี้ แ ยกเป น สองคํ าอยู เสมอ; เขาใจให ดี มิ ฉ ะนั้ น จะสั บ สนจน ลําบากแกการศึกษาธรรมะ. สัญ ญาตามปกติก็คือจําอะไรได สวนสัญ ญาที่เปน กิเลสนั่น คือสําคัญมั่นหมายวามันเปนอะไร. เชนเราเห็นกอนหิน รูวาเปนกอนหิน เห็ น ต น ไม รูว าเป น ต น ไม ; อย า งนี้ ก็ ไม มี ค วามสํ า คั ญ อะไรมากไปกว า นั้ น ; อย างนี้ เรียกวา สั ญญาจํ าหมาย. ส วนสั ญญาที่ เลยนั้ นไปอี กก็ คื อ ความมั่ นหมายวาก อนหิ น นี้สวย กอนหินนี้ของกู อยางนี้ก็เลยไปจากที่จําไดวากอนหินแลว.


๓๕๖

ปรมัตถสภาวธรรม

พอเกิ ดเป น ก อ นหิ น ของกู เป นก อนหิ นที่ สวยงาม เป นก อนหิ นที่ มี ราคา ตั้ งแสนตั้ งล าน สั ญ ญาเป นของมี ค า, สั ญ ญาเป น ของไม มี ค า, สั ญ ญาเป นของสวย, เป น ของไม ส วย, เป น ของน า รัก น า พอใจ; นี่ สั ญ ญาตอนนี้ จ ะทํ า เรื่ อ ง จะทํ า พิ ษ จะทําใหเปนทุกข. สั ญ ญาเพี ย งแต จํ า ได ว า อะไรเป น อะไรนั้ น ยั ง ไม เ ท า ไร ยั ง ไม มี เรื่ อ ง แต สัญญาจะเกิดขึ้นก็ต องมี ผัสสะ เชนตากระทบกอนหินก อนนี้ ก็เกิ ดสัญญาวา นี่ กอนหิ น โว ย! แต ถ ามากกว านั้ น มั น มั่ น หมายว าเป น ของแพง ของรั ก ของดี ใครจะมาขโมย ไปเสี ย, หรือแม ที่ สุ ดแต มั นจะตกแตก อย างนี้ ก็เป นสั ญญาที่ จะเกิ ดความทุ กข แล ว; คื อวา สัญญนี้มันถูกมั่นหมาย, ถูกยึดมั่นแลว. สั งขารคื อ ความคิ ด ก็ เหมื อนกั น ต องมาจากผั สสะ กระทบนั่ นกระทบนี่ แล วมั นจึ งจะคิ ดเรื่องใดเรื่องหนึ่ งออกไป; ดั งนั้ นพระพุ ทธเจ าท านจึ งตรัสว า เวทนาก็ ดี สัญญาก็ดี สังขารก็ดี มีผัสสะเปนเหตุเปนปจจัยแหงการเกิดขึ้น ปรากฏขึ้น.

www.buddhadasa.info ทีนี้เหลืออันดับสุดทาย เรียกวา วิญญาณขันธ อันนี้มีนามรูปเปนเหตุเปน ป จจั ย. สิ่ งที่ เรี ยกว านามรูปนี้ อธิ บายยาก เข าใจยาก ก็ ต องขอร องให ค อย ๆ ศึ กษา ต อ ไป. คํ า ว า นามรู ป ก็ คื อ ตั ว ก. ข. ตั ว แรกที่ สุ ด ; แต แ ล ว ก็ เข า ใจยากที่ สุ ด เช น ที่ พู ดว า นามรู ปเป นเหตุ ป จจั ยแห งการปรากฏของวิ ญ ญาณขั นธ นี้ ใครอธิ บายได กี่ คน. หรื อว าประโยคแรกของปฏิ จจสมุ ปบาทแบบปฏิ บั ติ จริ ง ๆ อาศั ยตากั บรู ปย อมเกิ ดจั กษุ วิญญาณ อย างนี้ ใครอธิ บายได กี่ คน? เป นบาลี ว า จกฺ ขุ ฺ จ ปฏิ จฺ จ รูเป จ อุ ปฺ ปชฺ ชติ จกฺ ขุ วิ ฺ าณํ -เพราะอาศั ยจั กษุ ด วย รู ปด วย ย อมบั งเกิ ดจั กขุ วิ ญญาณ, เพราะอาศั ย ตาดวย อาศัยรูปดวย จึงเกิดจักขุวิญญาณ.


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๕๗

ตามั นก็ รูป แต มั นไม ใช รูปล วน ๆ ยั งมี อะไรอยู ในนั้ น ยั งมี ประสาทมี อะไร ที่ เป นครึ่งจิตอยู ในนั้ น; และรูปทั้ งหลายขางนอกนี้ ยั งต องมี อะไรที่ เป นสิ่ งที่ เราเข าใจ ไมไดอยูดวย; ดังนั้น สองรูปนี้พออาศัยกันแลวจึงเกิดนามธรรมคือวิญญาณ. อาศัย ตาดวย รูปดวย ยอมเกิดจักขุวิญญาณ. หรือแมในสูตรนี้ที่พระพุทธเจาทานตรัสวา “นามรูป” คือนามและรูปเปนเหตุปจจัยแหงการปรากฏของวิญญาณขันธ. ที่พูดมาแลววาที่ตาเห็นรูปแลวเกิดวิญญาณขันธนั้น คือวิญญาณขันธออกมา เพราะนามรูปเปนปจจัย; ฉะนั้น วิญญาณขันธมีนามรูปเปนปจจัย เปนเหตุแหง การปรากฏออกมา. นี่ เข า ใจให ดี ; ถ าเข า ใจข อ นี้ ก็ จ ะไม เกิ ด อุ ป าทานขั น ธ จะไม เกิ ด ความหมายเป น ตั วตน เป น ของตน เป น อหั งการ มมั งการ ได . เข าใจให ดี ว า วิ ญ ญาณขั น ธ นี่ ไม ใช จ ะเป น วิ ญ ญาณที ไม รูจั ก ดั บ เข า รา งนี้ ออกรา งนั้ น ; บางที คนนอนหลั บ ก็ อ อกไป คนตื่ น ก็ ก ลั บ เข ามา คนตายแล วมั น ก็ ไปเกิ ด ใหม ; อย างนั้ น ไมใชวิญญาณนี้ ไมใชวิญญาณที่พระพุทธเจากําลังตรัสนี้. วิญญาณนี้จะตองอาศัยเหตุปจจัยของการกระทบของอายตนะเปนคู ๆไป แลวก็เกิดวิญญาณนี้ขึ้นมา; นี่ก็คลาย ๆ กันมาก คือ วิญญาณนี้ ก็ออกมาจากรูป, นามรู ป นี้ ทํ า นามรู ป ใหม ชุ ด ใหม ชุ ด หลั งขึ้ น มา วั น หนึ่ ง หลาย ๆ ชุ ด . หรื อ ทํ า ให เกิ ดความรูสึ กเป นมาทางตาบ าง ทางหู บ าง ทางจมู กบ าง อย างนี้ จะเรียกวา วิญญาณ ทองเที่ยวอยูในสิ่งเหลานี้ก็ไดเหมือนกัน.

www.buddhadasa.info แต คนพวกหนึ่ งเขาไม อธิ บายอย างนี้ , เขาอธิ บายวา เกิ ดมานี้ เรามี วิญญาณ ที่ เป นอั ตตาสิ งอยู ในนี้ เข า ๆ ออก ๆ ตายแล วมั นก็ ไปหาที่ เกิ ดใหม ไปล องลอยใหม เข าโลงแล วมั น ยั งไปได ; อย างนี้ มั น ก็ เรื่อ งหนึ่ ง คนละเรื่อ ง. เรื่อ งนั้ น เราไม พู ดว าผิ ด หรือถูก มีประโยชนหรือไมมีประโยชนเราไมอยากพูด.


๓๕๘

ปรมัตถสภาวธรรม

เราจะพู ดแต เรื่องนี้ คื อเรื่องที่ มี ประโยชน ที่ สุ ด เพราะถ าเรารู อย างนี้ แล ว เราควบคุมได ไมใหมันปฏิสนธิเปนอุปาทานขันธ เปนตัวกู-ของกูขึ้นมา แลวจะ ได ไม เป นทุ กข . ฉะนั้ น ระวั งให ดี เมื่ อมี การสั มผั สทางตา เป นต น กั บของข างนอกมี รูป เป น ต น ; เมื่ อ เกิ ด วิ ญ ญาณขึ้ น มาอย า งนั้ น แล ว มั น จะเกิ ด เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร. ระวังใหดี อยาใหเกิดความยึดมั่น, อยาใหเผลอสติจนเกิดความยึดมั่น. เอาละ สรุปความกันเสียทีวา สิ่งที่เรียกวาผัสสะ ผัสสะ นี่เปนตัวราย จะเกิด หรือจะเป นจะตาย จะได จะเสี ย จะมี ทุ กข หรือจะดั บทุ กข มั นอยู ที่ ตรงผั สสะนั้ น; หรือ จะพู ดสําหรับชาวบานทั้งหลายทั่วไปก็พู ดโดยบทที่พระทานสวดเมื่อตะกี้นี้ ที่พระพุทธเจา ท านตรัสวา ทิ ฏ า มยา ภิ กฺ ขเว ฉผสฺ สายตนิ กา นาม นิ รยา ฉผสฺ สายตนิ กา สคฺ คา - มี นรกหรือสวรรค ฉั นเห็ นแล ว, มั นอยู ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กายนั่ น นั้ นมั นนรกก็ อยู ที่ ผัสสะ สวรรคก็อยูที่ผัสสะ. ถ าผั สสะผิ ดวิ ธี เกิ ดกิ เลสมั นก็ เป นนรก เรียกวา ผั สสายตนิ กนรก, ถ า ผัสสะทํ าไปถูกวิธี เกิดความสบายพอใจสนุกสนานไป มันก็เรียกวา ผัสสายตนิกสัคค คือ สวรรค. ผัส สายตนิก นรก นี ่คู ก ัน กับ ผัส สายตนิก สวรรค; แลว ก็อ ยา ลืม วา ทั้งสองอยางนั้ มันเกิดมาจากผัสสะ.

www.buddhadasa.info ทั้งสองผัสสะนี้มันเปนเรื่องอวิชชาสัมผัส ตองมีอุปาทานขันธ แลวมัน ก็ ต องได มี ความทุ กข โดยสรุป มั นยั งไม ใช วิชชาสั มผั ส นี่ ต องเรียนให รูพอ ต องมี สติ สัมปชัญญะพอ รูพอ แลวก็ไมเกิดทั้งนรกและไมเกิดทั้งสวรรค; แลวจึงจะเกิด สิ่งที่เรียกวา นิโรธ หรือสุญญตา หรืออมตะ ที่แปลวา นิพพาน.

นิพพานจะเกิดก็ตองอาศัยผัสสะนั่นอีกแหละ ไมมีอะไรอื่นอีกแหละเปน ปจจัย. เมื่อมีการกระทบกันทางผัสสะแลว วิชชามาแลว ก็ไมเกิดตัวกู - ของกูได


อาการที่เกิดไดและเกิดไมไดแหงปญจุปาทานักขันธโดยวิธีแหงปฏิจจสมุปบาท

๓๕๙

ก็เป นนิ พพานไปตามเดิ ม หรือวาในรูปไหนก็ตามเถอะ จะเกิดขึ้น จะเรียกวาเกิ ดใหม ก็ ได คือความไมมีทุกข นาปรากฏออกมาอีก.

ผัสสะที่ประกอบดวยวิชชา ไมทําใหเกิดอุปาทานขันธ นี่คื อวิชชาสั มผั สกั บอวิชชาสั มผั ส อั นเป นที่ เกิ ดได หรือไม เกิ ดได แ ห ง อุ ป าทานขั น ธ ; ส ว นผั ส สะอี ก ชนิ ด หนึ่ ง นั่ น ไม มี ค วามหมายอะไร, เราจะเรีย กว า เป นโมฆะ หรือเป นโมฆี ยะ ก็ ได คื อผั สสะที่ ตาเราทอดไป หู เราได ยิ นไปอยู อย างไร; เชนลื มตาอยู ตามั นไม บอดมั นก็เห็ นอยูอย างนี้ ผั สสะอย างนี้ ไม เกี่ ยวกับวิชชาสัมผั ส ไม เกี่ยวกั บอวิชชาสัมผั ส; เกี่ยวกับแตวา สัตวมั นมี ตาลื มอยู มั นก็ต องเห็ น เมื่ อหู ยั ง ไมหนวกก็ตองไดยิน เมื่อจมูกยังดีอยูกตองไดกลิ่น อยางนี้ เราจะเรียกวาปกติสัมผัสก็ได. คือ สัมผัสอยูตามปกติ ของบุคคลที่ตายังไมบอด หูยังไมหนวก ก็ยังทํางานอยูเสมอ ไม เกี่ ย วกั บ วิ ช ชาและไม เกี่ ย วกั บ อวิ ช ชา; เพราะฉะนั้ น ไม ใ ช เรื่ อ ง ไม ใ ช ป ญ หา เรียกวาเป นโมฆะ คื อมั นไม ทํ าเรื่องอะไรเกิ ดขึ้ นมา, หรือเรียกวา เป นโมฆี ยะ คื อว า มันเกือบจะ หรืออาจจะ ไมสามารถจะ ทําเรื่องอะไรเกิดขึ้นมา.

www.buddhadasa.info แตอวิชชาสัมผัสกับวิชชาสัมผัสนี้ ไมเปนอยางนั้น ตองทําใหเกิดเรื่อง ขึ้ น มาคื อทุ กข เกิ ด ทุ กข เพราะเกิ ดอุ ป าทานขั น ธ , หรือ ว า ทํ าให ไม เกิ ด ทุ กข คื อ ไม เกิดอุ ปาทานขั นธ ฉะนั้ น ขอให ถื อวาวันนี้ เราได พู ดกันโดยละเอี ยดยิ่งขึ้นไปกวาทุ กที ในขอที่ วา อุ ปาทานขันธจะเกิดขึ้นไดหรือจะไม อาจจะเกิดขึ้นได นั้ น ในลักษณะอยางไร; เมื่อแยกดูตามกรรมวิธีโดยละเอียดของเรื่องปฏิจจสมุปบาท แลวมันก็จะเห็นไดอยางนี้. สรุ ปความว า ในขณะแห งการกระทบของอายตนะนั้ น ถ ามั นกระทบชนิ ดที่ ไม มี ความหมายมั นก็เลิ กกัน ไม มี อะไรเกิดขึ้น. แตถ ามั นมี ความหมาย เป นอวิชชา มั นก็ ตองเกิดอุปาทานขันธ ก็ตองเปนทุกข; ถามันเปนไปในทางวิชชา ก็ไมเกิดอุปาทานขันธ


๓๖๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ผั สสะก็ มี ประโยชน ในทางเกิ ดสติ ป ญญา เป นการศึ กษา; ฉะนั้ นขอให ทุ ก ๆ คน เมื่ อได กระทบทางอายตนะ ตา หู หรืออะไรก็ดี ขอใหมีสติสัมปชัญญะ เปนวิชชาสัมผัส แลวเป นผู เจริญด วยความรู ความเขาใจ คื อการศึกษาเกี่ยวกั บธรรมะนั้ น ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป; นี้คือวิปสสนาที่ควรกระทําอยูตลอดเวลา. เอาละ พอกั น ที สํ าหรั บ พระท านจะได ส วนธรรมปริ ย าย เพื่ อ ส งเสริ ม ศรัทธาในพระผูมีพระภาคเจา และในการปฏิบัติธรรม ตอไป.

www.buddhadasa.info


ปรมัตถสภาวธรรม

-๑๒๒๔ มีนาคม ๒๕๑๖

ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย,

การบรรยายในภาคมาฆบู ช า ว า ด ว ยปรมั ต ถสภาวธรรม ดํ า เนิ น มา เปน ค รั ้ง ที ่ ๑๒ ใน วัน นี ้. เนื ่อ งจ าก สัง เก ต เห็น วา ใน วัน นี ้ มีผู ม าให มเ ปน อัน มาก ถา การบรรยายดํ า เนิน ติด ตอ กัน ไปโดยตรงจากครั ้ง ที ่แ ลว ๆ มาแลว บางทา นอาจะฟง ไมเ ขา ใจ. ดัง นั ้น จึง ตอ งทบทวนบา งเพื ่อ ผู ม าใหมใ นครั ้ง นี้ จะฟงออกไดตามสมควร.

www.buddhadasa.info ทบทวนเหตุที่บรรยายปรมัตถสภาวธรรม

การบรรยายในชุ ดปรมั ตถสภาวธรรม ก็ คื อการบรรยายที่ มี ความมุ งหมายให พุทธบริษัทมองเห็นสิ่งตาง ๆ ตามธรรมชาติธรรมดานี้ ลึกซึ้งไปกวาที่เห็นอยูตาม

๓๖๑


๓๖๒

ปรมัตถสภาวธรรม

ปกติ ของบุ คคลผูมิ ได ศึกษา, มิ ไดสดับ, มิไดคิด, มิไดนึ ก. เมื่อคนมี ความคิดอยางไร คนนั้ นก็ จะถื อว าเขาเป นผู รูความจริงในสิ่ งนั้ น, หรือความจริงของสิ่ งนั้ นมี เพี ยงเท านั้ น; คนไหนรูอยางไร เขาก็ถือวาความจริงมีอยางนั้น. ที นี้ คนไม เท ากั น : มี สติ ป ญญาในเท ากั น ย อมมองเห็ นสิ่ งต าง ๆ ตื้ นหรือลึ ก กว า กั น ; ดั ง นั้ น ในพระพุ ท ธศาสนา จึ ง มี เรื่ อ งราวอั น เกี่ ย วกั บ ปรมั ต ถสภาวธรรม คือสภาวธรรมในสวนที่ลึกซึ้ง; จะมีอยูอยางไร ก็กล าวไวให เป นที่ ตั้งของการศึ กษา และสั งเกตเพื่ อเขาจะได รูความจริงชั้นลึ ก หรืออย างน อยก็ ลึ กพอสมควร. พอสมควร แกอะไร? ก็พอสมควรที่จะดับความทุกขได. เดี๋ยวนี้ เราไมรูพอสมควรที่จะดับความทุกขได จึงดับควาทุกขไมได นั่ง รองไห อยู ก็ มี ฆ าตั วตายอยู ก็ มี ; เราจะเห็ นว าการรองไห การฆ าตั วตาย ฆ าซึ่ งกั นและกั น ตาย นี้ มั น มี ม ากขึ้ น ๆ เพราะคนเหล านั้ น ไม รู สิ่ งที่ ค วรจะรู ให พ อสมควรกั น . ทํ าไมจะ ต อ งร องไห ? ทํ าไมจะต องโง ไปฆ าตั วตาย หรือ ไปฆ าคนอื่ นตาย? ก็ เพราะว าโง . พู ด อย างนี้ ไม มี ทางจะผิ ด; โงก็ เพราะว ารูอะไรตื้ นเกิ นไป, ไม รูให ลึ กซึ้ งพอที่ จะขจั ดป ญ หา นั้น ๆ ออกไปได โดยที่ไมตองทําอะไรใหตัวเองเปนทุกข หรือใหคนอื่นเปนทุกข.

www.buddhadasa.info นี้ เรียกว าไม รู ในส วนที่ ลึ ก ไปกว าที่ คนโงรู จึ งรูแต ชนิ ด ที่ จะทํ าไปอย างที่ คนโงเขาทํา จึงเบียดเบียนตนบาง เบียดเบียนผูอื่นบาง. ดังนั้น ปรมัตถสภาวธรรม มี อยู ก็ เพื่ อจะช วยแก ป ญ หานี้ ; ถ าความทุ กข เกิ ดขึ้ น ก็ จะช วยแก ป ญ หานั้ นให หมดไป; ถ าความเสี ยใจมั นเกิ ดเนื่ องจากผู อื่ น ก็ จะรูจั กแยกออกจากกั น ทํ าให ไม ต องมี ความทุ กข เพราะเหตุนั้น. ที นี้ สํ าหรั บ คํ าว า ปรมั ตถะ นี้ ก็ แปลว า มี ความหมายอั นลึ กซึ้ งอย างยิ่ ง. นี้ก็เหมือนกัน มันมีอยูหลาย ๆ ชั้น. ถาลึกถึงที่สุดก็เรียกวารูความจริงถึงที่สุด, ถารู


ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

๓๖๓

ในทางฝ ายรู ปธรรม มั นก็ แก ป ญ หาแต ฝ ายรู ปธรรม, ถ ารู ในทางนามธรรม ก็ แก ป ญ หา ไดในฝายนามธรรม. อยาไดเขาใจวา ฝายรูปธรรมนี่มันกมีเรื่องตื้น ๆ; ที่ลึก ๆ ไม มี ; ที่ เ ป น ปรมั ต ถ มั น ก็ มี เหมื อ นกั น ในฝ า ยรู ป ธรรม; แม คํ า ว า รู ป ธรรม ก็ ยั ง ตองแยกออกเปนสองชั้น สามชั้น. รู ปธรรมอย างที่ เป นวั ตถุ เป นเนื้ อวั ตถุ ล วน ๆ เป นปรมาณู เป นอณู เป น อะไร ลวนแตเปนวัตถุลวน ๆ นี้มันก็ยังมีสวนที่เปนปรมัตถธรรม คือเห็นยากเขาใจยาก; และสวนที่เปนรูปธรรม ที่เล็งถึงแตสักวาคุณสมบัติของสิ่งนั้น ในธานะที่เปนของกิน เนื้ อที่ , อย างนี้ ก็ ยั งมี ปรมั ตถ ยิ่ งขึ้ นไปกว า. ที่ นี้ ในส วนจิ ตใจก็ ยิ่ งมี ความเป นปรมั ตถ ที่ ลึ ก ยิ่ ง ขึ้ น ไปกว า นั้ น ; ขอให พ ยายามทํ า ความเข า ใจไปตั้ ง แต ต น ว า การรู ส ว นที่ เป น ปรมัตถนั้นมีประโยชนอยางไร. ในส ว นวั ต ถุ ล ว น ๆ เมื่ อ คนรู แ ล ว ก็ ส ามารถที่ จ ะใช วั ต ถุ ใ ห เกิ ด ผล ใหญ หลวงยิ่ งขึ้ นไปทุ กที เช นเมื่ อไม นานมานี้ ก็ ไม มี ใครรูจั กใช แรงของปรมาณู จึ งไม สามารถจะผลิ ตกํ าลั งงานจากปรมาณู ไม สามารถทํ าลู กระเบิ ดปรมาณู เป นต น; เพราะ เวลานั้ น ยั งไม รู ในส วนที่ เป นปรมั ตถ ของวั ตถุ ล วน ๆ คื อปรมาณู นั้ น. เดี๋ ยวนี้ ก็ รู ขึ้ นมา จนเอามาใชได อยางนี้ มั นก็ ไม ใชเล็ กน อยเลย. นี้ เรียกวาส วนยอย ส วนเล็ กที่ สุ ดของวัตถุ ก็มีสวนที่เปนปรมัตถ มันเล็กจนดูดวยตาไมเห็นแลว ก็ยังมีสวนที่เป นปรมัตถ คือละเอียด ลึ ก ซึ้ ง ยิ่ ง ไปกว า นั้ น อี ก ; แต เมื่ อ รู ก็ เอามาใช ป ระโยชน ไ ด . นี่ เรี ย กว า รู ป รมั ต ถ ข อง ตัววัตถุนั้น ๆ ก็เรียกวารูในเรื่องของรูป คือวัตถุ, วัตถุที่มีรูป.

www.buddhadasa.info คําวา รูป นี้ ในความหมายทางธรรม ก็หมายถึงการที่มันกินเนื้อที่ แล วมั น เกี่ ย วข อ งโยงกั น ไป; เช น ความรู ท าง mechanism ทั้ งหลาย ก็ รู เรื่ อ งเกี่ ย วกั บ วัตถุในสวนที่วา มันกินเนื้อที่ มันเปนรูปที่หยาบ ๆ เปนรูปที่เห็นไดดวยตา แตคนเรา


๓๖๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ก็ ไม อ าจจะรู เมื่ อ ค อ ย ๆ มี ค วามรู เพิ่ ม ขึ้ น ๆ เราจึ งมี ก ารประดิ ษ ฐ นั่ น นี่ ขึ้ น มาในโลก เป นความเจริ ญ ประดิ ษฐ รถยนต ประดิ ษฐ เรื อ ประดิ ษฐ ยานต าง ๆ กระทั่ งไปนอกโลก ก็ ได นี้ . อย างนี้ พิ จารณาดู เถิ ดว า มั นมี ความเป นปรมั ตถ คื อ อั ตถะ หรือความหมาย หรือประโยชนอันลึกซึ่งที่สุดนั้นสักเพียงไร; นี้คือความมุงหมายที่จะใหคนรูเรื่องปรมัตถ. ทีนี้ จะดูกันในสวนรางกายของเราแท ๆ ก็ยังมีสวนทีเปนปรมัตถ ที่ยังไมรู อยู อี กมาก. ในยุ คโบราณอาจจะรูน อยที่ สุ ด ต อมาก็ รูมากขึ้ น; แต ถึ งอย างนั้ น ก็ ไม ใช รู ห มด พอรู ห มดมั น ก็ จ ะแก ป ญ หาได อี ก มาก; หรื อ อาจจะถึ งกั บ ว าสร างร า งกายคน ขึ้ นมาได ใหม ก็ ได . แต ที่ น าสงสาร หรือน าสั งเวช ก็ คื อว า เท าที่ มั นเกี่ ยวกั นกั บเรื่ องราว ในวั น หนึ่ ง ๆ เราก็ ยั งไม ค อ ยรู ; ไม ถ ามชาวบ านธรรมดาดู เถอะว า ทํ าไมจึ ง ปวดท อ ง เขาก็ ไม รู. แต ถ าไปถามหมอหรื อนั กวิ ทยาศาสตร ผู เชี่ ยวชาญเกี่ ยวกั บเรื่องนี้ ก็ ต องรู ว า ทําไมจึงปวดทอง มีเหตุตรงไหน มีอยางไร. นี่ เ ป น ปรมั ต ถะของคนโง ; คนโง ไ ม รู แต ค นที่ ไ ด ศึ ก ษ าก็ รู . แต ถึ ง อย างนั้ นก็ ยังมี ส วนที่ หมอเองก็ ยังไม รูอยูอี กมาก ไม สามารถจะขจัดป ญหาเกี่ยวกั บเนื้ อหนั ง รางกายนี้ใหหมดไปโดยสิ้นเชิงได; ก็แปลวา แมแตเรื่องวัตถุรางกายนี้ ก็ยังมีเหลือ อยู อี ก มาก ซึ่ งเป น ปรมั ต ถสภาวธรรม; จะต อ งรูไปตามฝ า ย ตามแบบของวั ต ถุ หรื อ ของรู ป ธรรม หรื อ ของร า งกาย. ท า นทั้ ง หลายจะพอมองเห็ น ว า ถ า เรารู ลึ ก ซึ้ ง ลงไปในสวนที่ควรรูใหลึกซึ้ง มันก็ยิ่งมีประโยชน.

www.buddhadasa.info แตในทางพุทธศาสนา มุงหมายจะแกปญหาในสวนจิตใจ ก็เลยมีกลาว ไว ในส วนที่ เป นจิ ตใจ หรื อเกี่ ยวกั บจิ ตใจเป นส วนใหญ , กล าวเรื่ องจิ ตใจเป นส วนใหญ ; แมจะกลาวเรื่องรูปเรื่องกาย ก็จะกลาวในสวนที่เกี่ยวเนื่องกันอยูกับจิตใจ. เชนตา หู จมูก ลิ้น กาย อยางนี้ เปนสวนรูปสวนกายก็จริง; แตมันเกี่ยวกับจิตใจอยางที่ไม


ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

๓๖๕

อาจจะแยกกั นได ; ฉะนั้ นจึงได กล าวถึ งรางกายในส วนที่ มั นเกี่ ยวกับจิตใจ ไม ได กล าว ถึงรางกายลวน ๆ เหมือนกับในวิชารางกาย หรือวิชาการแพทยของหมอ เปนตน. เพราะฉะนั้น ขอใหทราบวา ปรมัตถสภาวธรรมในคัมภีรของพระพุทธ ศาสนานั้น เปนเรื่องมุงหมายเกี่ยวของกับจิตใจ, จะแกปญหาเกี่ยวกับทางจิตใจ ซึ่ งเป นตั วความทุ กข เพื่ อให คนเรารูกั นเสี ยที ว า ความทุ กข นี้ คื ออะไร? มาจากอะไร? จะแกไขใหหายไปไดจากจิตใจอยางไร? ก็เลยเกิดมีระบบคนควาเฉพาะในทางนี้ขึ้นมา. การแกปญหาทางจิตใจไดคนพบนับตั้งแตวา รูจักทําจิตใจใหหยุด ใหสงบ โดยวิธีการพิเศษซึ่งเรียกวาประเภทสมาธิอยางนี้ก็มี, พอคนควาใหรูแจงออกไปถึง ความลับตาง ๆ เกี่ยวกับสิ่งนั้น ๆ อยางที่เรียกวาปญญาก็มี. ที่เกี่ยวกับจิตใจลวน ๆ เชนการทําสมาธิ สามารถจะหยุดความรูสึก เหมือนกับวาตายแลวอยางนี้ก็ได; สวนที่เป นป ญญา ก็รูถึงขนาดที่วา จิตใจจะไม มี ความทุ กข อี กต อไป เห็ นทุ กอย างเป นธรรมดา อย างนั้ น อย างนั้ น อย างนั้ น แล วก็ ไม ได เกี่ยวของหรือยึดถือชนิ ดที่ ทํ าใหจิตใจเป นทุ กข; แปลวาที่ เป นป ญญา ก็รูถึงขนาดที่ จะเปลื้องความทุกขออกไปได.

www.buddhadasa.info อยางนี้ก็เรียกวาปรมัตถสภาวธรรมสวนจิตใจ มีผลเปนสมาธิก็มี มีผล เปนปญญาก็มี. ถาเปนสมาธิ ก็หยุดความทุกข หยุดความทุกขไดตามแบบของสมาธิไป ชั่วขณะ, ถาเปนเรื่องของปญญา ก็ขุดรากเงาของความทุกขไดมากกวานั้น; และอาจจะ หยุ ดได สิ้ นเชิง คื อไม เป นทุ กขอี กต อไป. คนที่ ดั บทุ กขได สิ้ นเชิ ง ไม มี เหลื ออี กต อไปก็ เรี ย กว า เป น พระอรหั น ต ; ไม ถึ ง นั้ น ก็ เรี ย กว า พระอริ ย เจ า ที่ ร อง ๆ ลงมา; มั น เกี่ ย ว กันอยูอยางนี้.


๓๖๖

ปรมัตถสภาวธรรม

คนที่เปนพระอริยบุคคล ก็คือคนที่เขาถึงปรมัตถสภาวธรรม จนดับ ความทุ ก ข ได ใ นระดั บ หนึ่ ง ๆ จนถึ ง ที่ สุ ด ; พวกที่ เป น พุ ท ธบริ ษั ท ทั้ ง หลายก็ ต อ งการ อยางนั้ น คื อต องการจะดั บทุ กข, ตองการจะมี ความรูที่ เรียกวา “ตื่นจากความหลับ”, และแก ป ญ หาต า ง ๆ ที่ เกี่ ย วกั บ ความทุ ก ข ไ ด ; ก็ ล ว นแต ต อ งรู สิ่ ง ที่ เรี ย กว า ปรมั ต ถ สภาวธรรม.

ปรมัตถสภาวธรรมมีมาก รูเพียงดับทุกขไดก็พอ สิ่งที่เรียกวา ปรมัตถสภาวธรรมนั้นมีมาก จนคํานวณไมไหว, แลว ก็มากจนไมตองรูใหหมดนั่น : รูแตเทาที่จําเปนที่จะตองรู คือรูเทาไรแลวดับทุกขได สิ้ น เชิ ง เท านั้ น ก็ เรียกว าพอ; นอกนั้ น ไม ต อ งรู ก็ ได . เพราะว าเดี๋ ยวนี้ เราต องการเพี ย ง แต ที่ จะดั บ ทุ กข เราจะไปรู ทั้ งหมดก็ ทํ าไม ได , หรื อ ทํ าให ได มั น ก็ ต องตายแล วตายอี ก ตั้ งหลายหน มั นก็ ยั งไม พอ เวลามั นยั งไม พอ; แต ถ าจะรู เท าที่ จะดั บทุ กข ได แล ว เวลา มีพอ, และยังมีเวลาเหลือยูสําหรับมีชีวิตอยูโดยไมตองเปนทุกข.

www.buddhadasa.info เฉพาะฉะนั้ น พระพุ ทธเจ าท านจึ งตรัสวา เราสอนในปริมาณเท ากับใบไม กํ ามื อ เดี ย ว ในเมื่ อ เปรี ย บเที ย บกั น กั บ ใบไม ทั้ ง ป า ทั้ ง ดง ทั้ ง โลก; ก็ คิ ด ดู เถอะว า ใบไม ทั้ งโลกมั นมี สั กเท าไร แล วใบไม กํ ามื อเดี ยว นั่ นจะน อยกวากั นเท าไร. ปรมั ตถธรรม ที่ ท รงนํ ามาสอน ก็ เท า กั บ กํ ามื อ เดี ย ว ก็ พ อที่ จ ะดั บ ทุ ก ข ได ; แล ว มั น ก็ น าสั ง เวชที่ ว า ใบไม กํ ามื อเดี ยวนั้ น เราก็ ยั งไม มี , ยั งไม เข าถึ ง, ยั งไม ได รับใบไม กํ ามื อเดี ยว, ยั งมี ความ ทุ กข อยู ; เพราะไม รู ในสิ่ งที่ เรี ยกว าปรมั ตถสภาวธรรม จึ งต องเอามาพู ดกั นจนกว าจะ เพียงพอ.

สั งเกตดู ให ดี แม ข องง า ย ๆ ตื้ น ๆ แล ว ก็ ยั งต อ งทํ าซ้ํ า ๆ ซาก ๆ; แต ถ า มันเปนประโยชนอยู เราก็ทนได เชนเรียน ก. ข. ก กา ก็ตองเรียกซ้ํา ๆ ซาก ๆ กวาจะ


ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

๓๖๗

รู ห นั ง สื อ อย า งนี้ ก็ ท นได . หรื อ ว า ถ า ไม ท นมั น ก็ ไม รู ห นั ง สื อ ก็ ยั ง มี ผู ใ หญ ค อยเฆี่ ย น คอยตี ไมใหเหลวไหล, ใหเรียนซ้ํา ๆ ซาก ๆ จนใหรู; คนก็รู ก. ข. ก. กา ได. ที นี้ มาถึ งเรื่องของปรมั ตถสภาวธรรม ก็ เหมื อนกับ ก. ข. ก. กา : เมื่ อไม ทนศึ ก ษาโดยซ้ํ า ซาก ก็ ไ ม อ าจจะรู ไ ด . สั ง เกตดู ไม มี ใครจะทนศึ ก ษา มั ก หาเรื่ อ ง บิ ด พริ้ ว ; ก็ เพราะรํ า คาญ ที่ พู ด ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ พู ด แล ว พู ด อี ก อยู แ ต เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ ง อายตนะ เรื่องขันธ เรื่องทุกขอยูนี่เอง. ขอให คิ ดดู เถอะว า แม จะมี การซ้ํ าซากอย างนั้ น ก็ ยั งน อยกว าความซ้ํ าซากที่ เราเรี ย นหนั งสื อ หรื อว าทํ าการฝ กฝนวิ ชาชี พ อะไรบางอย าง เรายั งต อ งทํ าซ้ํ าซากมาก กว านั้ น . แต ว านั่ น มั น ได ส ตางค เราก็ ท นความซ้ํ าซากได ส วนความดั บ ทุ ก ข นี้ แม จ ะ หวั ง มรรค ผล นิ พ พานได เราก็ ไม เห็ น , และบางคนก็ ไม ต อ งการด ว ยซ้ํ า ไป คื อ ไม รูวา สิ่ งที่ เรียกวามรรค ผล นิ พพาน นั้ น จะมาชวยกํ าจั ดความทุ กข ที่ทํ าใหนั่ ง ร องไห ทํ าให กิ นยาตาย หรื อฆ าคนอื่ นตายนี้ ได . เมื่ อไม มองเห็ นก็ ไม ต องการ จึ งสมั คร จะนั่งรองไห, หรือฆาตัวตายอยูเรื่อยไป.

www.buddhadasa.info ตองพยายามทนศึกษา เรื่องธาตุ, ขันธ, เพื่อกําจัดทุกข

แม ในหมู พุ ทธบริษั ทที่ อยู กับวัดกั บวา ก็ยั งไม ค อยชอบที่ จะศึ กษาเรื่องธาตุ เรื่ อ งอายตนะ เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งอุ ป าทานขั น ธ อย า งซ้ํ า ๆ ซาก ๆ ด ว ยเหมื อ นกั น ; จะเป น เพราะเหตุ ไรก็ พู ด ยาก. บางที ก็ จ ะต อ งพู ด เป น ข อ แรกว า เพราะโง ไม รู ว า อะไร เป นของดี ที่ จะมี ประโยชน , หรื อบางที ก็ เพราะว า ไม เข าใจตั้ งแต ที แรก เพราะโง เหมื อนกั น จึ ง ศึ ก ษาต อ ไปไม ได . บางที ก็ ไม ได คิ ด ว า เรื่ อ งนี้ เป น เรื่ อ งเดี ย วเท า นั้ น ที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด ที่ พุ ท ธบริ ษั ทเราจะเอาตั วรอดได ; เมื่ อต อ งศึ กษาเรื่ อ งเดี ยวซ้ํ า ๆ ซาก ๆ นานเข าก็ เบื่ อ หนาย ก็บิดพลิ้วไปเสีย.


๓๖๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ถากล าวให ชั ดก็เรียกวาไม รูจักตั วเองแล วก็ ไม พยายามที่ จะรูจักตั วเอง. สั นดาน ของคนโงเปนอยางนี้ : ไมรูจักตัวเอง แลวไมพยายามที่จะรูจักตัวเอง. เพราะวา เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ เรื่ อ งขั น ธ เรื่ อ งอุ ป าทานขั น ธ นั้ น คื อ เรื่ อ งตั ว เอง; แต ก็ ไมรูจักเลย วา นี้มันเรื่องตัวเอง ไมพยายามที่จะรูจัก. เพราะไม รูจั กในชั้ นแรก ว านี้ มั นเป นเรื่องตั วเอง ก็ เลยไม รูว าความทุ กข นี่ มันเกิดมาจากการที่ไมรูจักตัวเองในขอนี้; จึงไปโทษผีสางเทวดา โปรดน้ํามนตบาง ไปทํ าอะไรบ าง ก็ ไม แก ป ญ หาที่ เกี่ ยวกั บขั นธ ธาตุ อายตนะ เหล านี้ เลย. พากั นไปถื อ ป จจัยภายนอก หรือบางที ก็ คิ ดวา จะแก ได ด วยเงิน จะดั บความทุ กขได ด วยเงิน นี้ เป นสิ่ ง ที่นาหัวเราะ. ถาจะคิดวาดับทุกขไดดวยความรูเรื่องปรมัตถสภาวธรรม ก็คงจะสนใจ กั นบ าง. ไปสนใจแต หาเงินกั นอย างเดี ยว ส วนมากไม มี ที่ เก็ บแล วก็ ยั งจะหา เพราะคิ ดว า อะไรมั น ก็ จะสํ าเร็ จได เพราะสิ่ งนั้ น ; ปรมั ต ถสภาวธรรมจึ งไม ได รั บ การสนใจ ทั้ งที่ ว า ความรู เรื่องนี้ จะแก ป ญ หาที่ เงิ นช วยแก ให ไม ได จะดั บความทุ กข ที่ เงิ นช วยดั บให ไม ได ก็ไมมีใครสนใจ.

www.buddhadasa.info นี้ ขอให ท านทั้ งหลายเข าใจคํ าว าปรมั ตถสภาวธรรม ในลั กษณะอย างนี้ แล ว ก็ พยายามศึ กษาเรื่อยไปจนตลอดชี วิ ต; ไม ใช เฉพาะที่ นี่ หรื อที่ สั่ งสอนอยู ที่ นี่ : ที่ ไหน ก็ ได ทั่ วไปทุ กหนทุ ก แห งแล วก็ จะสอนเรื่องเดี ยวกั น เหมื อน ๆ กั น คื อให รู จั กตั วเอง แลวแกปญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับตัวเองใหได และโดยเฉพาะอยางยิ่งในเรื่องจิตใจ.

ทํ าไมต องรู จั กตั วเองอย างนี้ ? ก็ เพราะว าเรื่ องของร างกายนั้ น หมอช วยได ; คื อ คนอื่ น ช ว ยได . แต เรื่ อ งของจิ ต ใจแล ว เป น การยากที่ ค นอื่ น จะช ว ย; แม ว า จะมี ผู แนะนําวิธีใหทํา ก็ยังตองชวยตัวเองอยูทั้งนั้น. พระพุทธเจาทานตรัสวา ทานเปน


ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

๓๖๙

แตผู ชี ้ท าง, คนตอ งเดิน เอง; นี ่ม ัน เรื ่อ งจิต ใจ จะเอาใสร ถ ใสอ ะไรหามไป มั นทํ าไม ได สํ าหรับเรื่องจิ ตใจ. เราจึ งต องสนใจที่ จะศึ กษาด วยตนเอง, กํ าจั ดความทุ กข ดวยตนเอง; คูกันไปกับเรื่องรางกาย ที่วาอาจจะชวยเหลือกันไดโดยบุคคลอื่น. เรื่ อ งจิ ต ใจแล ว เป น เรื่ อ งภายใน เป น เรื่ อ งเฉพาะคน ต อ งสนใจเฉพาะ ตั ว เอง; แม แ ต ว า จะเกิ ด เป น ทุ ก ข เป น โรคขึ้ น มาในจิ ต ใจ มั น ก็ ไ ม มี ใ ครจะรู สึ ก ได นอกจากคนที่ เจ็ บ ป วยในทางจิ ตใจนั้ นเอง จึ งได วางตํ าหรั บ ตํ ารา หรื อความจริ งอะไร ต า ง ๆ ไว สํ า หรั บ คนจะได ศึ ก ษาและได ช ว ยตั ว เอง นี่ คื อ สิ่ ง ที่ เ รี ย กว า ปรมั ต ถ สภาวธรรม. ธาตุในตัวคนปรุงแตงขึ้นทําอาการตาง ๆ ขอที่ กลาววาเป นเรื่องของตั วเอง เป นเรื่องของคน ๆ นั้ นเอง นี้ ก็เป นสิ่ ง ที่ จ ะต อ งศึ ก ษากั น อย างละเอี ย ดลออ เพื่ อ ให รูจั ก สิ่ งที่ เรีย กว าคน, หรือ ตั ว เราเอง ซึ่ ง รู จั ก ยาก; ยั ง จะต อ งแบ ง ออกเป น ชนิ ด ๆ, ตามเวลาหรื อ ตามกิ ริ ย าอาการที่ มั น เนื่องกันอยูกับสิ่งแวดลอม. เมื่อพูดออกมาเปนภาษาวัด ๆ วา ๆ ทานทั้งหลายก็ฟงไมถูก.

www.buddhadasa.info จะยกตั วอย างเช นว า อาตมาจะพู ดว า สิ่ งที่ เรี ยกว าคน คนนี้ รวมทั้ งท าน ทั้ง หลายคนหนึ่ง ๆ ดวยนี้ สิ่งที่เรีย กวา “คน” นี ้ ในบางเวลามัน เปน เพีย งธาตุ ทั้ ง หลายกอง ๆ กั น อยู ไม ได ทํ า อะไรในบางเวลา. ในบางเวลาคนนี่ อ ยู ในลั ก ษณะ ที่ ลุ กขึ้ นมาเป นอายตนะ คือ ตา หู จมู ก ลิ้น กาย อยางใดอยางหนึ่ ง นี้ มั นเริ่มมี อาการ ที่ จะทํ าหน าที่ ของมั น; อย างนี้ ไม ได เรี ยกว าธาตุ นั้ น ๆ ที่ มั นกอง ๆ กั นอยู อย างกั บของ วางเก็ บไว . ในบางเวลา คน นี้ มั นเกิ ดจั บ กลุ มกั นขึ้ นมามากกว านั้ นเป นกลุ ม ๆ เช น เปนกลุมรูปขันธก็มี บางเวลาเปนเวทนาขันธ บางเวลาเปนสัญญาขันธ. ที่ เขาเรีย กวาเป น ขั น ธ คื อ ธาตุ นั้ น ๆ มั น จั บ กลุ ม กั น เข า มากกวา ที่ จะเปนเพียงอายตนะสําหรับรูสึก, แตมันมาเปนขันธ ทําหนาที่เปนอยาง ๆ ไป เชน


๓๗๐

ปรมัตถสภาวธรรม

รู ป ขั น ธ ก็ เป น ที่ ตั้ งของจิ ต ที่ จะรู อ ารมณ , เวทนาขั น ธ ก็ รู สึ ก ต อ อารมณ , สั ญ ญาขั น ธ ก็ มั่ นหมายในอารมณ นั้ น ๆ, สั งขารขั นธ ก็ คิ ดนึ ก, วิ ญ ญาณขั นธ ก็ รู แจ งทางอายตนะ เปนตน. บางเวลา “คน” เปนอยางนี้. อยางนี้มันไมใชธาตุหลาย ๆ ธาตุนอนกอง กั น อยู แล ว; บางเวลามากกวานั้ น ก็ คื อว า เป นเวลาที่ สั งขารขั นธ ชนิ ดที่ มั นโงมาก ๆ เกิ ดขึ้ นครอบงํ าหมดเป นอวิ ชชา เป นตั ณ หา เป นอุ ปาทาน มั นเลยมี ความทุ กข เหมื อน กั บ ไฟเข าไปติ ดอยู ข างในก็ มี . นี่ คนเป นอย างนี้ . อย าเข าใจว าสิ่ งที่ เรียกว าคนแล วมั น เหมื อ นกั น หมด แล ว เหมื อ นกั น อยู ทุ ก เวลา; ดั ง นั้ น จึ ง ต อ งศึ ก ษาโดยวิ ธี ที่ เรี ย กว า ปรมัตถสภาวธรรม. อยางแรกที่พูดวา สิ่งที่เรียกวาคน ในบางเวลาเหมือนกับวาเปนธาตุหลาย ๆ ธาตุ มาวางกองกั นอยู เฉย ๆ อย างนี้ ก็ มี , นั่ นคื อเวลาที่ ไม มี การปรุ งแต งคิ ดนึ กอะไร; เช นเวลานอนหลั บสนิ ท ก็ เป นอย างที่ เรียกว า บุ รุษนี้ ประกอบอยู ด วยธาตุ ๖ : คื อธาตุ ดิ น ธาตุ น้ํ า ธาตุ ไฟ ธาตุ ลม ธาตุ อากาส ธาตุ วิ ยญาณ ทั้ ง ๖ ธาตุ ยั งคงมี อยู ในร างกาย ก อนนี้ , แต อยู กั นเฉย ๆ ไม ได ทํ าอะไร จะมี อะไรหล อเลี้ ยงควบคุ ม ก็ เพี ยงว าไม ให มั น เน า ไปเท านั้ น ; ฉะนั้ น ก็ เป น ส วนของสิ่ งที่ ป ระกอบกั น ขึ้ น เป น ธาตุ นั้ น ๆ แล ว ก็ ไม ได ทําอะไร, นี่คือบางเวลาเปนเพียงวาธาตุหลาย ๆ ธาตุกองกันอยู.

www.buddhadasa.info บางเวลาเปนอายตนะ; นั่นคือมีอะไรมาแวดลอมมากระทบ ทําใหเกิด เป นอายตนะขึ้นมาทางตาบาง ทางหูบาง; อยางนี้คนกลายเป นอายตนะ. ที่พระพุ ทธเจา ท านตรัสวา “สิ่งที่ปวง”. สิ่งทั้งปวงนี้ คือตา หู จมู ก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ . บางเวลามันก็ทําหนาที่นั้นอยู จนเกิดความรูสึกคิดนึ ก ก็เปนขันธใดขันธหนึ่ง, บางเวลามีกิเลสยึดมั่นถือมั่น ก็เปนทุกข เพราะเหตุที่ขันธใด


ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

๓๗๑

ขันธหนึ่ งนั้นมันถูกยึดถือ. ฉะนั้ นจะพู ดอีกที หนึ่ งก็วา คนบางเวลานั้ นก็ คื อความทุ กข นั่นเอง.

สรุปความวาคนเราบางเวลาเปนเพียงสักวาธาตุกอง ๆ กันอยู; แตบางเวลาเปนสิ่งที่ปรุงแตงกันหมุนจี๋ไปเลย และมีความทุกขดวย. ยกตั วอย างเหมื อนว า รถยนต นี้ มั นคื ออะไร? รถยนต บางเวลาเป นเพี ยง ชิ้ นโลหะทั พพสั มภาระ ถู กแยกออกมาเป นชิ้ น ๆ ชิ้ น ๆ วางกั นอยู เต็ มไปหมด กี่ พั นชิ้ น ในโรงงานที่ เขาผลิ ต ชิ้ น ส ว นของมั น . รถยนต คั น หนึ่ ง ก็ อ ยู น สภาพอย า งนั้ น ; เขาจะ ไม เรี ยกว ารถยนต ก็ ได แต ว าคนที่ รู เรื่ องดี ก็ ว า นี่ น ะ รถยนต มั นอยู ในสภาพที่ เป นชิ้ น ๆ ชิ้น ๆ อยางนี้ทุก ๆ คัน. ที นี้ ต อมารถยนต นี่ คื ออะไร? มั นก็ คื อเขาเอาระบบเล็ ก ๆ มาประกอบ กั นเข า คื อหลาย ๆ ชิ้ นมาประกอบกั นเข าเป นระบบหนึ่ ง ๆ ระบบเล็ ก ๆ ที่ จะเอาไปทํ า นั่ น ทํ า นี่ เป น ระบบใหญ . แล ว ต อ มา มั น ประกอบกั น เข า เป น ระบบ ระบบใหญ ๆ : ระบบไฟ ระบบเผาไหม ระบบหล อ ลื่ น ระบบอะไรต าง ๆ หลาย ๆ ระบบ น อยระบบ เขาแล ว ที นี้ เขาก็ จะเอามาประชุ มคุ มกั นเข าจนเป นคั นรถ แต มั นยั งไม ได วิ่ง เพราะ รถยนต บ างเวลายั งไม ได วิ่ งก็ เรี ย กว า รถยนต คื อ มั น วิ่ งไม ได แม จ ะมี อ ะไรครบแล ว ; แต ถ าไม มี เหตุ ป จจั ยให สั มพั นธ กั น มั นก็ ไม วิ่ง. แต ในบางเวลาเราจะเห็ นว าสิ่ งที่ เรียกว า รถยนต นั้ น วิ่ งฉิ ว ; และบางเวลาเราก็ เห็ น ว ารถยนต ล งไปนอนอยู ในคู ; มั น ก็ รถยนต นั่ น เอง; บางเวลามั น เป น ชิ้ น เล็ ก ๆ ก็ คื อ รถยนต ; บางเวลาอยู ใ นสภาพอย า งอื่ น ก็ เรียกวารถยนต. นี้ไมใชเรื่องตลก แตวาเปนเรื่องที่ขอใหคิดดูอยางนั้น.

www.buddhadasa.info สํ า หรั บ คนเราคนหนึ่ ง ๆ พิ จ ารณาดู ในบางเวลาเป น อะไร? ในบางเวลา เปนอะไร?บางเวลามันเปนอะไร? สิ่งที่เรียกวาคนนี่ มีอยูไดในหลายแง หลาย


๓๗๒

ปรมัตถสภาวธรรม

ความหมายอยา งนี ้; แลว ก็ส มมติทั ้ง นั ้น . ที ่จ ริง มัน ก็ ไมใ ชค น เชน เดีย วกับ เรา จะหาเรื่ อ งว า รถยนต มั น ไม ใช รถยนต มั น คื อ ชิ้ น ส ว นของพั ส ดุ อ ะไรต าง ๆ มั น ไม ใช รถยนต เปรี ยบอย างนั้ นก็ ได ; เมื่ อเอาส วนต าง ๆ มาประชุ มกั นให ถู กต อง มั นก็ วิ่ งได แตก็ยังไมใชรถยนต. คน นี้ ก็ เหมื อนกั น ถ าเรี ยกว าคน ก็ หมายความว า เราสมมติ ให เรี ยกว าคน; ที่แทมันก็คือสวนตาง ๆ ที่เปนธาตุหลาย ๆ ธาตุ ที่ประชุมกันอยู หรือวากําลังหยุด เฉยกั น อยู กํ า ลั ง สั ม พั น ธ กั น อยู ; ทํ า หน า ที่ อ ะไรอยู ก็ ล ว นแต ค นทั้ ง นั้ น . นี่ เรี ย กว า เป นความรูในส วนที่ เรียกว าปรมั ตถ ที่ ธรรมดาเราไม สนใจ; เพราะเรามี เรื่องที่ ยั่ วให สนใจ อย างอื่ น . เราไม สนใจเรื่ องอย างนี้ ; เราไปสนใจเรื่ องที่ จะทํ าให เกิ ดความทุ กข , เราไม สนใจเรื่องที่จะหยุดซึ่งความทุกข.

ไมสนใจรูจักตัวเอง ไปสนใจแตเรื่องใหเกิดทุกข ขอให ทุ กคนคิ ดดู ตั วเองนั่ นแหละ ไม ต องเอาคนอื่ น; ตลอดวันตลอดคื น สนใจเรื่อ งอะไร. เราสนใจเรื่อ งที่จ ะใหเ กิด ความทุก ขทั้ง นั้น แหละ แตก็คิด วา นี่ เป นเรื่องที่ ดี หรือว าเป นเรื่องที่ จะดั บทุ กข ด วยซ้ํ าไป; แต ที่ แท มั นเป นเรื่องที่ ไม ต องไป ทํ าก็ ได ไม ต องไปยุ งก็ ได . ส วนที่ จะดั บทุ กข ได จริ ง ๆ นั้ น เรายั งไม รู จั ก และก็ ไม ค อย ได สนใจ. อย างว าส วนมากที่ สุ ดก็ สนใจที่ จะหาเงิ น แล วก็ ไม มี ทางที่ จะพอได ก็ ยั งไม เคยคิ ด ว ามั น จะพอได อย างไร แม จะมี ม าอี ก เท าไรมั น ก็ ยั งไม พ อ ก็ ส นใจแต เรื่ อ งนั้ น . หาเงิน มาทํ า อะไร? ก็จ นกระทั ่ง ไมรูว า จะทํ า อะไร. จะดับ ความทุก ขไดอ ยา งไร? ก็ไมรูวาเงินนี้จะชวยดับความทุกขไดอยางไร? กระทั่งวามันเปนเหตุใหเกิดความทุกข หรือเปล า? ก็ ไม ได สนใจว ายึ ดถื อแล วก็ เป นทุ กข ไม ยึ ดถื อ แล วก็ ไม เป นทุ กข . อย างนี้ ก็แปลวาเราจะสนใจอะไรก็สนใจแตในแงที่มันจะเกิดความทุกข ในแงที่จะดับทุกขไมรู.

www.buddhadasa.info


ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

๓๗๓

ฉะนั้ นวั นหนึ่ ง ๆ จึ งวิ่ งไปวิ่ งมากั นแต เรื่องความทุ กข . เรื่องดั บทุ กข นั้ นยั งไม รู, แม เขา บอกก็ไมเชื่อ. โดยทั่ ว ไปเป น อย า งนี้ ม าแล ว ตั้ ง แต ค รั้ ง โบราณ; ครั้ ง พุ ท ธกาลก็ เป น อยางนี้. คนถูกอวิชชาหุมหอ ถูกตัณหากระชากลากถูไป ถูกอุปาทานผูกมัด รัดรึง. เปนอยูแตอยางนี้; เวลาที่วาง ที่ไมเปนอยางนั้น แทบจะนับวาไมมี; ถามีก็หลับ ไปเลย คื อมั น นอนหลั บ ไปเลย หรือ ว าเวลาที่ ไม รูสึ กอะไร. ถ าเกิ ด ความรูสึ กอะไรที่ เป นเรื่องขึ้ นมา มั นก็ มี แต เรื่องกิ เลส ตั ณหา อุ ปาทานทั้ งนั้ น; แม ขอเท็ จจริงอั นนี้ ก็ เป น ปรมั ตถสภาวธรรม. การที่ คนโงกั นอย างนี้ ก็ เป นปรมั ตถสภาวธรรม ให รูวาคนโงกั น อยางนี้; แตวาปรมัตถสภาวธรรมจริงนั้น คือวิชชาที่จะชวยแกความโง ชนิดนี้ ใหหมดไปเสีย นี่คือปรมัตถสภาวธรรมแท. เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจาทานจึงตรัส ให ชั ด ลงไปว า ให รูเรื่อ งความทุ ก ข เรื่องเหตุ ให เกิ ด ทุ กข เรื่องความดั บ ทุ กข และก็ เรื่องวิธีที่จะใหถึงความดับทุกขนั้นมี ๔ เรื่องเทานั้น. ทํ าไมจะต องตรัสเรื่องทุ กขขึ้นมาอี ก ทั้ งที่ คนเป นทุ กขอยูเต็ มที่ ก็ ไม รูวามั น เปนทุกข? เพราะเปน ทุกขอ ยูก็ไมรูวาเปน ทุกข จึงตอ งบอกแมแตเรื่อ งความ ทุ กข ; บอกวาเป นทุ ก ข ก็ ยั งไม เชื่ อ วาเป น ทุ ก ข เหมื อ นบอกคนบ าวาบ า, เขาก็ ไม เชื่ อ วาตั วเองบ า; เขาจะเถี ยงวาไม บ า เชนเดี ยวกั บคนเราแม จะได รับคํ าบอกวานี่ เป นทุ กข ก็ ไม เชื่ อ ก็ เถี ย ง, หรื อ ว า เห็ น เป น สุ ข ไปเสี ย อี ก ; ก็ เลยต อ งพยายามกั น มากที เดี ย ว กวาที่ จะใหคน ๆ หนึ่งรูปรมัตถสภาวธรรม ในสวนที่เกี่ยวกับความทุกข วาความทุกขเป น อยางนี้ ๆ.

www.buddhadasa.info สวนเรื่องเหตุที่ใหเกิดทุกข และความดับทุกขนั้นยังมีอีกสวนหนึ่งตางหาก; ยังอีกไกล; เพราะที่เกี่ยวกับความทุกขนี่ยังไมรู กลับจะเห็นเปนสิ่งที่นาปรารถนา


ปรมัตถสภาวธรรม

๓๗๔

ไปเสี ย เลย ในแบบที่ เรี ย กว า เห็ น กงจั ก รเป น ดอกบั ว ; คํ า กล า วที่ แ สดงให เห็ น อะไร มากไปกว านั้ นก็ อย างบทบาลี ที่ พระท านสวดเมื่ อตะกี้ ให รูอะไรลึ กไปกว าธรรมดาสามั ญ จึ งจะเรี ยกว ารู ปรมั ตถสภาวธรรม; อย างบทสวดเมื่ อตะกี้ นี้ เป นตั วอย าง วั นนี้ จะแจงให ฟงอีก สําหรับบทที่สวดเกี่ยวกับ “สิ่งทั้งปวง”.

สิ่งทั้งปวง เปนที่ตกจมที่นากลัว พระพุ ทธเจาทานยกเรื่องนี้มาแสดงวา “เราจะแสดงให เธอรูจักสิ่งทั้ งปวง ที่ชาวบ านเขาพู ดกันวา สิ่งทั้ งปวง คืออยางนั้น อยางนี้, อยางนั้นอยางนี้ เต็มไปทั้ง จักรวาลนี่ อยางนี้ฉันไมเรียกวาสิ่งทั้งปวง : ฉันเรียกตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, พรอม ทั้ งรู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธั ม มารมณ นี้ ว า สิ่ งทั้ ง ปวง”. เรื่ อ งก็ เลยเหลื อ เพียง ๖ อยาง หรือ ๖ คู : ตาคูกับรูป หูคูกับเสียง จมูกคูกับกลิ่น ฯลฯ เปนตน. หกคูนี้คือสิ่งทั้งปวง แลวมันอยูที่ไหน? มันก็อยูในรางกาย เนื่องกัน อยู กั บรางกาย ที่ ยาวประมาณสั กวาหนึ่ งนี้ . นี่ คื อสิ่ งทั้ งปวง. บางคนจะไม เชื่ อพระพุ ทธเจ า ถ าไม เข าใจว า นี่ คื อสิ่ งทั้ งปวง; แต บางคนมองเห็ นว า อ าว, ทั้ งหมดมาอยู ที่ นี่ มั นเนื่ อง อยูกับหกคูนี้, ถาไมมีอันนี้ สิ่งทั้งปวงก็ไมมี.

www.buddhadasa.info ถ าพู ดในฐานะ เป นที่ ออกมา มั นก็ ออกมาจากตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี่ ; ถาจะพูดในฐานะที่ มันเป นที่ รวมเขาไป กลับเขาไป หรือเปนที่เสวยผลของมัน ก็อยู ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจนี่ ; หรือแม วามั นกํ าลั งรูสึ กอยู สิ่ งที่ กํ าลั งรูสึ กอยู ในเวลานี้ ก็ อยู ที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ. ฉะนั้ น สิ่ งทั้ งปวง จะเกิ ดขึ้ นก็ ตาม จะตั้ งอยู ก็ ตาม จะปรากฏเปนผลประโยชนก็ตาม หรือจะดับไปก็ตาม มันก็อยูที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, จึงเรียก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วาเปนสิ่งทั้งปวง. อยางนี้ก็แสดงใหเห็นสวนที่เปน


ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

๓๗๕

ปรมัตถธรรม, หรือเปนปรมัตถสภาวธรรม วาสิ่งที่เปนอยูเองเรียกวาสภาวธรรม และ เปนปรมัตถคือมีความหมายอันลึกซึ้ง. ฉะนั้น ถาใครไมเคยคิดวาสิ่งทั้งปวงอยูที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไปคิดดูเถิด. ยั งมี เรื่องที่ พ ระพุ ท ธเจ าทรงแสดงว า สมุ ทร, สมุ ทร; คื อ มหาสมุ ท ร ใน ความหมายที่วา ตกลงไปแลวมันก็จม; คือตกทะเล ตกสมุทรแลวก็ตองจม. ไมเชื่อ ก็ ไปลองดู แล วมั นก็ จะต องตาย, เพราะเต็ มไปด วยอั นตราย เช นปลาร าย หรื อว าสั ตว ร า ยเป น ต น ; คนก็ ก ลั ว การตกลงไปในสมุ ท ร. แต พ ระพุ ท ธเจ า ท า นว า “ฉั น ไม ว า อย า งนั้ น นั่ น มั น ไม ใช ส มุ ท ร มั น เป น เพี ย งน้ํ า มาก ๆ มั น จะไม ทํ า อะไรได ยิ่ ง ไปกว า สิ่ งที่ เรียกว าสมุ ทรในอริยวิ นั ยนี้ , คื อในระเบี ยบการพู ดจากของพระอริยเจ านี่ . ในภาษา พระอริยเจาไมเรียกอยางนั้นวา สมุทร; แตเรียกรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ ที่นารักนาปรารถนานั่นวาสมุทร; ถือวาเปนสมุทรจริง” . ทํ าไมจึ ง เป น สมุ ท รจริ ง? เพราะว า มั น ตกจริ ง ๆ แล วน า กลั ว จริง ๆ; แล วมั นตกอยู ตลอดเวลาก็ ว าได : ตกทั้ งมนุ ษย ตกทั้ งเทวดา ตกทั้ งมารทั้ งพรหม ทั้ ง ทุ กคนตก และกํ าลั งตกอยู จริ ง ๆ, เต็ มอยู ในสมุ ทร ยั้ วเยี้ ย ๆ อยู ในสมุ ทร, เป นสมุ ทร ที่ มี อยู จริ ง และมี สั ต ว ตกอยู จริง และก็ น ากลั วจริ ง; นี่ คื อ สมุ ท ร. ส วนสมุ ทรทะเลนั้ น ไปดู ซิ ลิ บลั บสุ ดหู สุ ดตา จะหาคนตกสั กคนหนึ่ งไม ใคร มี นี่ จะเรียกว าสมุ ทรอะไร. ส วน สมุทรรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นี่ตกกันอยูจริง; แมนั่งอยูที่นี่ก็ตก, ถาจิต คิ ดเผลอไปนิ ดเดี ยวเท านั้ นก็ ตก; ถ าไม ตกทางตา ทางหู ก็ ไปตกในทางจิ ตใจ อย างนี้ เรียกวาเปนสมุทรจริง แลวตกอยูจริงตลอดเวลา.

www.buddhadasa.info นี ้ก ็อ ยา งเดีย วกัน อีก คือ เปน การแสดงปรมัต ถสภาวธรรม ใหเ ห็น วารูป เสียง กลิ่นรสนี้ มันเปนสภาวธรรมที่มีอยูเอง, แลวมีอัตถอันลึกซึ้งอยางยิ่ง;


๓๗๖

ปรมัตถสภาวธรรม

คื อวามั นเป นที่ ตกของสั ตว ทุ กสั ตว จึ งใชคํ าวา “สั ตวโลก” พรอมทั้ งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู สั ต ว พ ร อ มทั้ ง เทวดา สมณพราหมณ พร อ มทั้ ง เทวดาและมนุ ษ ย นี่ ได ต กอยู จ ริ ง . ฉะนั้ น เมื่ อ เราไม รู จั ก สิ่ ง เหล า นี้ ก็ ไ ด ต กอยู ใ นสมุ ท รนี้ ; จิ ต ที่ ไ ม รู แจมแจงในสิ่งเหลานี้มืดมนไปหมด. นี่คือตกอยูในสมุทรนี้. นี้ คื อสมุ ทรที่ แท จริ ง; ไม ใช ทะเลที่ เป นสั กว าน้ํ าไปรวมกั นอยู มาก ๆ ในที่ ลุ ม. นั่ น มิ ใ ช ส มุ ท ร; เพราะคํ า ว า สมุ ท ร แปลว า ที่ จ ม ที่ ต ก; เยภุ ยฺ เยน สมุ นฺ น า ตนฺ ต า -สิ่งที่เรียกวาสมุทร คือสิ่งที่สัตวเปนอันมาก ไปตกอยู ไปจมอยู นั้นคือสมุทร. ยกตั วอย างอย างนี้ ก็ เพราะเห็ นความจํ าเป นว า ถ าเรี ยกว ารู ปรมั ตถสภาวธรรมแลวตองรูยิ่งขึ้นไปอยางไร, ควรจะแกปญหาไดอยางไร.

สุขทุกขมี เพราะความยึดถือในสิ่งที่เปนแตธาตุ ตั ว อย างอี ก อั น หนึ่ งตรั ส ว า “เมื่ อ มี การจั บ การวางก็ มี ; เมื่ อ เท ามี การ ก า วไปข า งหน า หรื อ การถอยหลั ง กลั บ ก็ มี ; เมื่ อ ข อ มื อ ข อ เท า มี ก็ มี ก ารเหยี ย ดออก หรือ คู เ ขา ; เมื ่อ ทอ งไสม ี ความหิว ความกระหายก็ป รากฏ”; นี ่ไ มต อ งพูด แลว ทุ ก คนรู ไ ด . แต ข อ นี้ ท รงแสดงให เ ป น เพี ย งว า เป น อุ ป มานั้ น อย า งหนึ่ ง ; แล ว มั น เปน สัก วา อยา งนั ้น เทา นั ้น , นั ้น อยา งหนึ ่ง ; อยา ใหม ีต ัว คน ตัว ตนอะไรกัน นัก . ถ า มี มื อ มี เท า แล ว มั น ก็ เดิ น ได หยิ บ ได วางได อย า งนั้ น . ไม ต อ งมี ตั ว ตนอะไรนั ก มีแตความรูสึกไปตามธาตุ วิญญาณธาตุ หรือหนาที่ของธาตุ.

www.buddhadasa.info แต ที่ รู ว า มี แล วน าอั นตรายนั้ น คื อมี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นั่ น; ถ ามี แล วมั น ไม ใช เพี ย งแต ว า จะหยิ บ จะวาง จะคู จะเหยี ย ด จะเดิ น จะถอย. แต ค นไป ยึดเปนตัวตนจึงมีความทุกข; หรือวาถาจะไมมีความทุกข, แตจะมีสิ่งที่เรียกวาความสุข


ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

๓๗๗

ก็ เพราะอั นนั้ นอี กนั่ นแหละ, ก็ เพราะตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นั่ นแหละ. ถ าตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจมี ก็ ต องมี การสั มผั สด วยตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ; แล วจากการสั มผั ส นั้นก็ตองมีเวทนา. พอมีเวทนาแลวจะรูสึกเปนสุข หรือจะรูสึกเปนทุกข ก็แลวแตเวทนา; แล วจะทุ กข มากขึ้ นไปอี กกว านั้ น ก็ เพราะการยึ ดถื อซึ่ งเวทนานั้ นโดยความเป นของตน : ยึ ด ถื อ ในทุ ก ขเวทนาก็ เป น ทุ ก ข แ บบหนึ่ ง , ยึ ด ถื อ ในสุ ข เวทนาก็ เป น ทุ ก ข อี ก แบบหนึ่ ง. ฉะนั้ น สุ ขเวทนาก็ มี มาสํ าหรั บให เป นทุ กข ในเมื่ อมี การยึ ดถื อ; ที นี้ เมื่ อคนยั งโง ก็ ต อง ยึดถือหมดทั้งสุขและทั้งทุกข ก็เลยไดมีความทุกขเพระความยึดถือ. นี้เปนหลักที่เรียกวาปรมัตถสภาวธรรมอันหนึ่ง เพราะมีตา มีหู มีจมูก มี ลิ้ น มี กาย มี ใจ จึ งเกิ ดสิ่ งที่ เรียกว าสุ ขและทุ กข ขึ้ น พอยึ ดถื อแล วก็ เป นทุ กข ทั้ งนั้ น : ยึ ดถื อที่ ตาก็ เป นทุ กข เพราะตา, ยึ ดถื อที่ รู ปก็ เป นทุ กข เพราะรูป ยึ ดถื อที่ สั มผั สก็ เป นทุ กข เพราะสั ม ผั ส, ยึ ดถื อที่ เวทนาก็ เป นทุ กข ที่ เวทนา, ยึ ดถื อ ที่ สั ญ ญาก็ เป น ทุ กข ที่ สั ญ ญา, ก็เรียกวาจักตองเปนทุกขเพราะความยึดถือ.

www.buddhadasa.info เช น เดี ย วกั บ ว า เมื่ อ มี มื อ ก็ มี ก ารจั บ การวาง, อย า งนี้ เพื่ อ จะให เห็ น ตั ว อย า งง า ย ๆ เมื่ อ มี มื อ ก็ มี ก ารจั บ การวาง; เมื่ อ มี ต า ก็ มี ก ารยึ ด ถื อ ทางตา แล ว ก็ จะต องเป น ทุ กข . ถามี การปล อยวางทางตาก็ ไม เป นทุ กข จะเป นรูปอะไร ชนิ ดไหน ก็ ไ ม เ ป น ทุ ก ข ; ซึ่ ง เดี๋ ย วจะดู ไ ด ด ว ยเรื่ อ งที่ ว า ด ว ยนรกและสวรรค . เดี๋ ย วนี้ เ รามี ต า แล วเรามั น โง แสนที่ จะโง โดยที่ ไม รู ว าตานี้ คื ออะไร ก็ เลยใช ตาสํ าหรั บ สร างความทุ ก ข อย างเดี ยว : เห็ นรู ปสวยก็ เป นทุ กข เพราะสวย, เห็ นรู ปไม สวยก็ เป นทุ กข เพราะไม สวย; อยางนี้เปนตน.


๓๗๘

ปรมัตถสภาวธรรม

จะตกนรกขึ้นสวรรคก็อยูที่อายตนะ ๖ นั่นเอง เมื่ อชี้ ให เห็ นความสุ ขหรื อทุ กข ที่ เกิ ดขึ้ น เพราะความยึ ดถื อแล ว ก็ ต องพู ดถึ ง นรกหรือสวรรค ดังที่พระพุทธเจาตรัส : “ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย, นรกชื่ อ ว าผั ส สายตนิ ก ะนั้ น เป น สิ่ งที่ เราเห็ น แล ว”. แล วที่ ตรงกั นข าม ก็ ว า “สวรรค ที่ ชื่ อว า ผั สสายตนิ กะนั้ นก็ เป นสิ่ งที่ เราเห็ นแล ว”. ทํ าไม จึ งว าเป น “สิ่ งที่ เราเห็ นแล ว”? คล าย ๆ กั บว า เป นสิ่ งที่ ยั งไม เคยเห็ น แต เดี๋ ยวนี้ บอกว า เห็นแลว, หรือบอกวาเราเห็นเอง โดยเราไมตองเห็นเพราะคนอื่นชี้ใหดู. เพราะว าคนอื่ น เขาชี้ ให ดู กั น อย างอื่ น คื อ เป น เรื่ อ งตื้ น ๆ เรื่อ งผิ วเผิ น ไม ใช ปรมั ตถ : ที่ เขาพู ดกั นอยู ว านรกอยู ข างใต ดิ น ใต บาดาลลงไปอี กก็ ถึ งนรก นรกชื่ อนั้ น เปน อยา งนั ้น , นรกชื ่อ นั ้น เปน อยา งนั ้น , ลึก ที ่ส ุด ชื ่อ อเวจีม หานรก หรือ ชื ่อ อะไร ก็จํ า ไมค อ ยไดแ ลว เพราะวา ไมไ ดส นใจ; แตก ็ไ ปหาอื ่น ไดจ ากหนัง สือ ชนิด นั ้น หรื อภาพเขี ยนฝาผนั กโบสถ ระบุ ไว ชั ด เป นอย างนั้ นเพราะเหตุ นั้ น ๆ. เขาว าเป นความรู อภิธรรมอยางยิ่งแลว; ที่จริงเปนความรูตื้นแคขอนิ้วมือก็ไมได.

www.buddhadasa.info ความรู ที่ จ ริ งแล ว นรกอยู ที่ ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี่ . นรกทุ ก ขุ ม ทุ ก อะไรทุ ก ชนิ ด ที่ แ ท จ ริ ง มี อ รรถอั น แท จ ริ ง มั น อยู ที่ ต า หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ อย างที่ พระพุ ทธเจ าท านว า. เมื่ อมั นเป นนรกแล ว มั นก็ เป นที่ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ แล วเวลา นั้นจะเปนนรกไปหมด. ตั ว อย า งว า ตาเป น นรกนี้ เห็ น รู ป สวยก็ เป น นรก, เห็ น รู ป ไม ส วยก็ เป น นรก; เพราะวาจิตมันกําลังผิดไปแลว. เมื่อจิตมันผิดไปแลว มีกิเลสเกิดครอบงําแลว


ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

๓๗๙

ด วยความยึ ดถื อ อย างใดอย างหนึ่ งแล ว ภรรยา สามี ที่ ว าสวยว าดี นั่ น เป นเรื่องบ าไป หมด : ไมอยากเขาใกล มันเปนนรกไปอยางนี้. แตวาจะกลับตรงกันขาม ถ ามี ใจคอปกติ แลว อะไร ๆ มั นก็ดี ไปหมด แม ค นไม ดี ก็ ดี ไปหมด; อาจจะเห็ น คนที่ เป น ศั ต รู เป น คนดี ไ ปหมดก็ ได . ถ า จิ ต เป น นรกแล ว ดอกไม ก็ ไ ม ห อม; นี่ เพราะจิ ต มั น เป น นรกแล ว ทางตาก็ ไ ด ทางหู ก็ ไ ด . ถ า จิ ต มั น เป น นรกแล ว เสี ย งของใครก็ ไม ไพเราะหมด, เสี ย งดนตรี ก็ ไม ไพเราะ เป น เสียงชนิดที่ไมมีรสที่จะทําใหเกิดความสุขได. ถาวาจิ ต ทํ าไวดี ถู ก วิธีดี อะไร ๆ ก็ จ ะเป น ของที่ ถู ก ใจไปได ; เช น วา รู ป ไม ส วยมั น ก็ ส วยไปได หรื อ มั น ดี ได มั น พอใจไปได ไม อึ ด อั ด ไม เร า ร อ น. เสี ย ง อะไรก็ ได กลิ่ น อะไรก็ ได ของไม อ ร อ ยก็ ยั งอร อ ยได ; ก็ แ ปลว า แล วแต ว าจั ด การผิ ด หรือจัดการถูกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้น. ถาจัดการผิดก็เปนนรกทันควันที่นั่น และรอนจริง ๆ ดวย; ถาจัดการถูกก็ไมรอน พอที่จะเปนไปดวยกันได เปนที่พอใจได.

www.buddhadasa.info แตอยาลืมวา : ทั้งนรกและทั้งสวรรคนี้ ไมใชสิ่งสุดทาย ไมใชสิ่งสูงสุด หรือเด็ดขาด :ทั้งนรกทั้งสวรรคนี้จะตองเททิ้งไป ใหเปนความหลุดพน อยูเหนือ สิ่งทั้งสองนี้.

นี่ พู ดสํ าหรั บคนธรรมดาสามั ญ ที่ ชอบสวรรค แล วก็ เกลี ยดนรก กลั วนรก; ก็ระวังใหดี นรกสวรรคก็อยูที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย แลวไปมัวเกลียดมัวกลัวอยูที่อื่น มองไปที่ อื่ น คิ ด ไปที่ อื่ น ก็ เป น ปุ ถุ ช นมากเกิ น ไป, คื อ โง นั่ น แหละ. เมื่ อ คนอื่ น เขา ดู ส วรรค กั น ที่ บ นฟ า อย า งนั้ น ๆ, ดู น รกกั น ที่ ใ ต ดิ น อย า งนี้ ๆ; แต พุ ท ธบริ ษั ท ควรจะ ดูนรกและสวรรคที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, แลวก็ที่นี่และเดี๋ยวนี้. นี่คือความเปน ปรมัตถสภาวธรรม เปนธรรมอันลึก หรือเปนอภิธรรม ธรรมที่ยิ่งกวาธรรมดา.


ปรมัตถสภาวธรรม

๓๘๐

ทั้งนรกสวรรคตองขามเสียใหได ควรจะข ามมั นเสี ยงให ได สิ่ งที่ เรียกว าสมุ ทร สมุ ทรนั้ น ตกลงไปแล วขึ้ นไม ได ขามไมไดแลวก็ตายในสมุทร ในสมุทรนั้นมีทั้งนรกมีทั้งสวรรค. เพราะวาตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ นี้ เป น ได ทั้ งนรก ทั้ งสวรรค ; ทั้ งนรกและทั้ งสวรรค จึ งเป น สมุ ท ร เป นที่ ตก : ตกนรก ก็ คื อตกลงไปในที่ มั นรอน, ตกสวรรค ก็ ตกลงไปในที่ ที่ ยั่ วยวน สนุ ก สนาน เอร็ ด อร อ ย; แต ก็ เรี ย กว า ตกทั้ ง นั้ น มั น จม ตก ผู ก มั ด รั ด รึ ง ทั้ ง นั้ น จึ ง เรียกวาสมุทรเสมอกัน. ขึ้นชื่อวา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณแลว จะชื่อวา สมุทรเสมอกัน; คือฝายอิฏฐารมณ ก็ดี ฝายอนิฏฐารมณ ก็ดี เรียกวา เปนสมุทรเสมอกัน. หน าที่ ของเราก็ คื อไม ตก; ฉะนั้ นจึ งต องมี ความรูเรื่องที่ จะไม ตกเป นเรื่องสุ ดท าย เรียกว า “ขามสมุทร” เสียได, ขามความทุกขเสียได. ทํ าอย างไรจึ งจะไม ตกลงไปในสมุ ทร คื อรูป เสียง กลิ่ น รส โผฏฐัพพะ? ก็คือ รูตามที่เปนจริงวา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นี่คืออยางนั้น ๆ ๆ : เกิดมา จากอายตนะสองฝาย เปนผัสสะ เปนเวทนา แลวก็เปนสุขหรือเปนทุกข; ก็มีอยู เท านั้ น; พอไปยึ ดถื อเข า มั นก็ ติ ดอยู ที่ นั่ น จมอยู ที่ นั่ น. ออกมาไม ได ก็ เป นทุ กข อยู ที่ นั่ น; พอรู เท า มั น ก็ ไ ม ติ ด คื อ หลุ ด ออกมาได ก็ ไ ม มี ทุ ก ข . เรื่ อ งมี นิ ด เดี ย วเท า นั้ น แต มั น ลึ กมาก; ทํ าอย างไร อย าให ตกลงไปในตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ก็ เป นอั นว าหมดเรื่ อง หมดปญหาของคนเรา.

www.buddhadasa.info “คน” ก็คือปริวรรตน ของธาตุ ๖ กอง ที นี้ คนเราก็ อย างที่ ว ามาแล ว บางเวลามั นก็ น าสงสาร สิ่ งที่ เรี ยกว า “คนเรา”, บางเวลาก็เปนเพียงวาธาตุทั้ง ๖ กอง ๆ กันอยู, บางเวลาก็ขยับกระดุกกระดิกขึ้นมา


ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

๓๘๑

เป น อายตนะ, บางเวลาก็ ป รุ งกั น ขึ้ น เป น ก อ น ๆ กลุ ม ๆ คื อ เป น ขั น ธ ขั น ธ นั่ น ขั น ธ นี่ ขึ้ นมา, บางเวลาก็ เกิ ดเป นอุ ปาทานขั นธ บ ากั นใหญ ยึ ดมั่ นเป นตั วกู ยึ ดมั่ นเป นของกู ตามเรื่องของการปรุงแตงนั้น ๆ : นี่คือคน คือสิ่งที่เรียกวา “คน”. เมื่ อยึ ดมั่ นในเบญจขั นธ นั่ นแหละ ก็ เป นอุ ปาทานขั นธ ขึ้นมาทั นที ; คน ก็ คื อ อุ ป าทานขั น ธ นั่ น เอง. เวลานั้ น กําลังเป น นรกกัน เต็ ม ที่ , เป นสวรรคกั น เต็ ม ที่ ในขณะที่ ค นกํ า ลั งเป น อุ ป าทานขั น ธ . ในเวลาอื่ น เป น สั ก ว าธาตุ ล ว น ๆ กอง ๆ กั น อยู ไมไดเปนนรก ไมไดเปนสวรรค; แตก็พรอมอยูเสมอที่จะเปนนรกเปนสวรรค. นี่ เรี ย กว า คนยั ง ไม ไ ด อิ ส ระแก ตั ว ; ต อ งได รั บ การอบรมเป น พิ เ ศษ, เจริญภาวนา ตามแบบของพระพุ ทธเจ า ตามหลั กของพระพุ ทธศาสนา; จนจิ ตนี่ จะฉลาด รุงเรื่องมีความรู ไมเกิดอาการ ที่เรียกวาตกลงไปในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อีกตอไป คือไมตกสมุทร ทั้งที่เปนนรกและสวรรค; มันก็จบกันเทานี้เอง.

คอยดูใหดีวา ตัวเองกําลังเปนอยางไร

www.buddhadasa.info พู ดแล วก็ เหมื อนกั บว าพู ดเล น หรือว าพู ดเพ อเจ อ แต ถ าใครไปคิ ดดู ให ดี ก็ จ ะรู จั ก ตั ว เอง รู จั ก ตั ว เองว า กํ า ลั ง เป น อย า งไร, กํ า ลั ง ตกอยู ในนรกไหน, หรื อ ว า กํ าลั งอยู ในสวรรค ชั้ นไหน; หรื อว ากํ าลั งเป นคนที่ เหมื อนกั บว าตายแล วอย างนั้ น ไม มี ความรู สึ กอะไร; โดยเฉพาะอย างยิ่ งเวลาที่ เราหลั บ หรือเวลาที่ ใจลอยเหม อ ๆ อยู ไม ได รูสึกอะไร นี้ก็เหมือนกับวาตายแลว เหมือนกับวาธาตุกอง ๆ อยูเทานั้น.

นี้ เรียกวาพื้ นฐาน โดยพื้ นฐานเรามี ธาตุ ๖ อย างอยู จนกวาจะได สิ่ ง แวดล อ มเข ามาผลั ก ดั น คื อ ปรุ งแต ง; มั น ก็ ป รุ งแต งกั น ขึ้ น ธาตุ นั้ น ธาตุ นี้ ธาตุ โน น ปรุงแต งกั นขึ้ น เป นจั กขุ ธาตุ บ างเป นโสตธาตุ บ าง เป นฆานธาตุ บ าง คื อ ธาตุ ตา ธาตุ หู ธาตุจมูก ธาตุลิ้น ฯลฯ; นี่ธาตุเหลานี้ถูกปรุงแตงขึ้นมา เปนคราว ๆ เปนขณะ ๆ.


๓๘๒

ปรมัตถสภาวธรรม

ถ าใครเข าใจว าเรามี ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ อยู ตามปกติ เป นธรรมดาแล ว; ขอให เลิ กเข าใจอย างนั้ นเสี ยเถิ ด; เพราะเราถู กสอนมาผิ ด ๆ หรือเดาเอาเองผิ ด ๆ. ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มิไดเกิดอยูตลอดเวลา; จะเกิดตอเมื่อมีสิ่งมาแวดลอมใหทํา หนาที่ จึงจะเรียกวา เกิดอายตนะนั้น ๆ ขึ้นมา แลวทําหนาที่. ขั นธ ก็ เหมื อนกั น : รู ปขั นธ เวทนาขั นธ สั ญ ญาขั นธ ฯลฯ อย าไปเข าใจ วาเรามี ขันธเกิดอยูตลอดเวลา; โดยเฉพาะอยางยิ่งทั้ง ๕ ขันธ มันเกิดไม ได ตองมี อะไรมาทํ า ให ทํ า หน า ที่ ก อ น มั น จึ งจะเกิ ด รู ป ขั น ธ ขึ้ น มาได . เวทนาขั น ธ ก็ เหมื อ นกั น มั นยั งไม เกิ ดจนกวาจะมี อะไรมาทํ าให เกิ ดความรูสึ กสุ ข ทุ กข นี่ จึ งจะเกิ ดเวทนาขั นธ ฯลฯ; ฉะนั้น ขันธก็มิไดมีอยูตลอดเวลา และโดยเฉพาะอยางยิ่งทั้ง ๕ ขันธ. ถาจิตใจไมไดรูสึกตออะไร ก็เทากับวาไมมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ; ถ าตาไปเกิ ด รู สึ กอะไรเข า ก็ มี ต าขึ้ น มา และก็ ชั่ วขณะหนึ่ ง. ถ าไปหลงในเรื่ องของตา ในกิ จ การของตา ในรสอร อ ยที่ ต านํ ามาให ; อย างนี้ ก็ เรี ย กว าไปหลงในอุ ป าทานขั น ธ ที่เกี่ยวกับตา คือรูป เปนตน.

www.buddhadasa.info ที่ พู ดเสี ยยื ดยาวมากมายอย างนี้ ก็เพื่ อจะให รูจั กตั วเอง; รูจั กตั วเราเองวา ในเวลาไรเป น อย า งไร, ในเวลาไรเป น อย า งไร; แล ว ก็ จ ะรู ไ ด ว า เราอาจจะเป น ได ทุ กอย าง คื อเป น สั ตว นรกก็ ได เป นเทวดาในสวรรค ก็ ได เป น มนุ ษ ย ต ามธรรมดาก็ ได เป น พระอริ ย เจ า ก็ ได . เป น อะไรมากก็ สุ ด ก็ ให ถื อ ว า กํ า ลั ง อยู ในพวกนั้ น ก็ แ ล ว กั น ; คือวา จิตนี้ยังอยูในระดับที่เปนอะไรมากที่สุด ก็ถือวามันเปนอยางนั้น เปนพวกนั้น. แตถาวาโดยที่แท แลว จิตนี้ เป นอะไรได ทุ กอย าง; ในป จจุบั นนี้ ก็เป น อะไรไดท ุก อยา ง; แตเ ปน ไดแ วบเดีย ว แวบเดีย วเสีย เปน สว นใหญ. สว นที่ เปนมากเปนประจํานั่นแหละ คือวาเปนภาวะที่แทจริงของคนนั้น เชนวาเปนปุถุชน


ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

๓๘๓

อย า งนี้ ก็ เ ป น มาก; เพราะโง โง ม ากที่ สุ ด เลย. ที่ จ ะฉลาดหน อ ยก็ น าน ๆ ครั้ ง , และที่ วาจิ ตจะว าง โดยไม ยึ ดถื ออะไรเลยสั กนิ ดหนึ่ งนั้ น หายากเต็ มที่ . ฉะนั้ น เราไม เป นพระอรหั นต, หรือวาเราจะเหมื อนพระอรหั นต โดยบั งเอิ ญชั่วขณะก็ เป นสักนิ ดหนึ่ ง แล วก็ แวบหายไป; แต ที่ ม าหลงใหลอยู ในรู ป เสี ย กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะนี้ มั น มี ม าก มากกว าอย างใด ก็ เลยเรียกวาเป นปุ ถุ ชน หลงใหลในกามเป นปกติ ซึ่ งเรียกวาพวก กามาวจร นี้มากที่สุดเลย มากที่สุดกวาพวกไหนหมดเลย. นี้หมายความวา พวกที่ตกอยูในสมุทร คือนรกหรือสวรรคนี่มากที่สุด; แลวก็ไปจับใหไดวา นี่คือเรา ในชั่วสภาวะที่เรียกวา คนนี่ มันเปนอยางนี้. เวลาที่จิตจะ ถอนออกมาไดจากสิ่งเหลานี้ มาอยูในความปกติเฉย ๆ แมที่เรียกวาเปนรูปาวจรนั้นมีนอย. เชนไดไปเพง ไปดู ไปคิดนึกอยูแตสิ่งที่ไมใชกามารมณนั้น แลวพอใจ อยูได ซึ่งในเวลาอยางนั้ น มี น อ ย เวลาอยางนั้ น เป น รูป าวจร. หรือ ถ าวาไปนึ ก ถึ ง แตเรื่องที่ไมมีรูปราง, แลวพอใจอยูไดอะไรอยางนั้น เรียกวาเปนอรูปาวจร. ถาวา จิ ต ว า ง ออกไปได จ ากการยึ ด ถื อ ว า ตั ว ตนได อย า งนั้ น ก็ เป น โลกุ ต ตระ ระดั บ ใด ระดั บหนึ่ ง : ระดั บโสดาฯ สกิ ทาคาฯ อนาคาฯ อรหั ตต ระดั บใดระดั บหนึ่ ง ที่ เป น โลกุ ตตระ; คื อจิ ตว างจากการที่ จะไปมี อะไรเป นตั วเป นตน หรือเป นของตน หรือเป น ที่ตั้งแหงความยึดถือของตน.

www.buddhadasa.info โดยทั่วไป สัตวโลกตกอยูในกามาวจร คนทั่ ว ไป สั ต ว ทั้ งหลายที่ มี ชี วิ ต ทั้ งมนุ ษ ย ทั้ งเดี ย รั จ ฉาน ทั้ งเทวดานี้ สวนมากทั้งหมดนั้น เป นกามาวจร, คือมีจิตที่เคยชินแตที่จะเปนกาม ตกไปในอารมณ ที่ เป น กาม ก็ เรี ย กว า กามาวจร; น อ ยเวลาที่ จ ะไปมี จิ ต ยิ น ดี ในสิ่ งที่ เรี ย กว า รู ป อั น บริสุทธิ์ ไมเกี่ยวกับกาม. พระพุทธเจาทานเคยตรัสไววา นั่นคือทางออกของสัตว


๓๘๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ที่ จ มกาม; คื อ ว า สั ต ว ทั้ งหลายจมอยู ในกาม เรี ย กว า พวก กามาวจร. ถ า บั งเอิ ญ มีจิตยินดีในสิ่งที่ เรียกวา รูป, รูปธรรมอะไรก็ไดที่บริสุทธิ์; แมกําหนดลมหายใจอยู แล วพอใจอย างนี้ เป นสุ ขอยู ด วยการกํ าหนดลมหายใจอย างนี้ ก็ เรียกว าจิ ตกระโดดออก ไปอยู ในพวก รูปาวจร, เรียกวารูปเฉย ๆ คือทางออกของสั ตวที่ มี จิตเป นกาม ก็ เลย เรียกวา รูปนั้นเปนทางออกของสิ่งที่เรียกวากาม. ถาวารูปยังไมใหความสุข เปนที่พอใจ ก็ออกไปหาอรูป คือสิ่งที่ไมมีรูป; เช น อากาศ ก็ เรี ย กว า ไม มี รู ป , เช น วิ ญ ญาณธาตุ ก็ เรี ย กว าไม มี รู ป หรื อ ความไม มี อะไรนี่ ก็ เรี ย กว า ไม มี รู ป . จิ ต ไปพอใจ เป น สุ ข อยู กั บ สิ่ งชนิ ด นั้ น นั่ น ก็ เรี ย กว า อรู ป หรืออรูปาวจร; อรูปก็เปนทางออกของสัตวที่จมอยูในรูป. บทเหล านี้ พระสงฆ ได สวดสาธยายแล ว; ได อธิ บายแล วตั้ งแต การบรรยาย เรื่ อ งปรมั ต ถสภาวธรรมครั้ ง ที่ ๑ ครั้ ง ที่ ๒ ครั้ ง ที่ ๓ โน น . ท า นทั้ ง หลายที่ เพิ่ ง มา วั น นี้ ยั งไม ได ยิ น จึ งเอามาเล าให ฟ งว า ความเป น ปรมั ต ถ ของคนนี่ เป น อย างนี้ . เรา พยายามที่ จะให รูปรมั ตถ ที่ จํ าเป นที่ จะต องรูแล วก็ จะได ถอนตนออกมาเสี ยได จากวั ฏฏะ, พ นจากการวนเวี ยนอยู ในสิ่ งที่ มั นทํ าให วนเวี ยน ให จมคื อสมุ ทร แล วก็ ขึ้ นบก, ขึ้ นบก เรียกวาเปนโลกุตตระ ไปทีละขั้น จนกวาจะถึงที่สุด.

www.buddhadasa.info ปรมัตถสภาวธรรม เปนอุบายออกเสียไดจากทุกข

ความรูขอเท็จจริงของสิ่งเหลานี้ ก็เรียกวาปรมัตถสภาวธรรม; ตัวขอ เท็ จจริงก็ เรียกวา ปรมั ตถสภาวธรรม; แล วความรูเรื่องนี้ ก็ เรียกวาปรมั ตถสภาวธรรม, แล ว อุ บายหรือวิ ธี ที่ จะออกเสี ยจากสิ่ งเหล านี้ ก็ เรี ยกว าปรมั ตถสภาวธรรม; ออกมาได ได ผล เป นความพ นทุ กข นี้ ก็ เรียกว าปรมั ตถสภาวธรรม. แต ว าสิ่ งนี้ ต องรู กั นจริ ง ๆ ลงมื อเรี ยน เหมื อ นอย า งเรี ย น ก.ข. ก.กา นั้ น แหละ คื อ เรื่ อ งธาตุ เรื่ อ งอายตนะ เรื่ อ งขั น ธ เรื่องอุปาทานขันธ สี่เรื่องนี้สําคัญที่สุด เหมือนกับ ก.ข. ก.กา. ถาใครไมเรียน


ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

๓๘๕

แล ว ก็ จ ะเรี ย นหนั ง สื อ ได อ ย า งไร; จึ ง ขอวิ ง วอนแล ว วิ ง วอนอี ก ว า อย า ได เบื่ อ หน า ย ที่จะศึกษาเรื่องธาตุ. พึงรูวาบุรุษนี้ประกอบดวยธาตุ ๖, เรื่องอายตนะ หรือสิ่งทั้งปวงคือตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ รูป เสี ยง กลิ่ น รส โผฏฐั พพะ ธั มมารมณ , เรื่ องขั นธ ก็ คื ออายตนะ นั้ น จะปรุ งให เกิ ด รู ป ขั น ธ เวทนาขั น ธ สั ญ ญาขั น ธ สั ง ขารขั น ธ วิ ญ ญาณขั น ธ ; ขั น ธ ทั้ง ๕ นี้ เผลอเมื่อไรก็จะกลายเปนอุปาทานขันธ เปนรูปูปาทานขันธ เวทนูปาทานขั นธ สั ญู ปาทานขั นธ สั งขารูปาทานขั นธ วิ ญญาณู ปาทานขั นธ นี่ คื อตั วทุ กข เป นตั ว ความทุกขแลว. ทีนี้ ถาทําให ไมปรุงเปนความยึดมั่นเปนอุปาทานขันธ นั้นก็คือดับทุกข คื อ หยุ ด เสี ย ซึ่ งความทุ ก ข มี เท านี้ เอง. ขอให รูเรื่อ งธาตุ ทั้ งหลายนี่ อ ย างหนึ่ ง, ให รู เรื่องอายตนะที่ปรุงขึ้นมาจากธาตุนี้อยางหนึ่ง, ใหรูจักขันธที่ปรุงออกมาจากอายตนะนั้น อี ก อย า งหนึ่ ง ; ให รู อุ ป ทานขั น ธ ที่ เผลอไปยึ ด มั่ น ขั น ธ เข า แล ว เกิ ด อุ ป าทานขั น ธ ขึ้ น มานี้ อ ย า งหนึ่ ง ; นี่ เป น ทุ ก ข ทั้ ง นั้ น แล ว รู เรื่ อ งตรงกั น ข า ม คื อ อย า ยึ ด ถื อ ก็ เป น เรื่องดับทุกข นี่เปนเรื่องอริยสัจจ ๔ ครบถวน.

www.buddhadasa.info รูเรื่องธาตุปรุงจนเปนทุกขแลวจะรูอริยสัจจงาย ที นี้ ในเมื่ อ เรื่ อ งทุ ก ข เรื่ อ งแรกที เดี ย ว ก็ ยั งไม เข า ใจ ไม ส นใจ แล ว ก็ ไม อยากจะสนใจ ก็ ย อ มเป น ไปไม ไ ด ที่ จ ะมารู เรื่ อ งครบถ ว นทั้ ง ๔ เรื่ อ ง ที่ เรี ย กว า อริยสัจจ. เราควรรู ว า สิ่ ง เหล า นี้ เมื่ อ อยู กั น ตามธรรมชาติ ก็ ไม เป น อะไร; แต พ อ ไปยึดถือเขาก็เปนทุกข; อวิชชาทําใหยึดถือ; ยึดถือก็เปนอุปาทาน; อยาก


ปรมัตถสภาวธรรม

๓๘๖

ก็ เป น ตั ณ หา; ยึ ด ถื อ ก็ เป น อุ ป าทาน; นี้ เป น เครื่ อ งทํ า ให สิ่ ง ที่ ไ ม เป น ทุ ก ข นั่ น กลาย เปนทุกขขึ้นมา. ที่ไมมีทุกขดับทุกขสนิท ก็คือทําลายสิ่งนี้เสีย : ทําลายสิ่งที่ทําให เปนทุกข ทําใหเกิดยึดถือเปนทุกขเสีย คือทําลายอวิชชา ตัณหา อุปาทานเสีย. ทําอยางไรจึงจะทําลายสิ่งที่ทําใหทุกขได? ก็คืออยูใหถูกตอง ตาม หลั กแห งอริยมรรคมี องค ๘ ประการ รวมความแลวคืออยูโดยมีวิชชา, มีป ญญา, แล วจะทํ าถู กหมด; คื อมี สั มมาทิ ฏฐิ ให ถู กต องแล ว ความปรารถนา การพู ดจา การงาน การหาเลี้ ยงชี พ การพยายาม ความมี สติ มี สมาธิ ถู กหมด; เมื่ ออยู อย างถู กหมดอยู ตลอด เวลา มันก็ไมโงที่จะเกิดความปรุงแตงเปนอุปาทาน ก็เลยไมเปนทุกข : มีเทานี้เอง. พู ด สองสามคํ า ก็ จ บหมดเหมื อ นกั น ; แต ว า โดยรายละเอี ย ดยั ง มี ม าก. แล วการปฏิ บั ติ ให ได ก็ ยิ่ งยากขึ้ นไปกว านั้ นอี ก จึ งขอโอกาสพู ด ซ้ํ า ซาก ๆ ไม กลั วใคร เบื่ อหน ายรําคาญ เพราะเหตุ นี้ แหละ จึ งได พู ดถึ งหั วข อที่ เรียกวา ปรมั ตถสภาวธรรมอย าง ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ ในวัน นี้ ก็ พู ด กั น แต ที่ จะให เข าใจสิ่ งที่ เรี ย กว าคน : คนคื อ อะไร? คน คืออะไร? ในโอกาส ในเวลาไหน? ในสถานการณเชนไร คนคืออะไร?

www.buddhadasa.info สรุปภาวะของ “คน” ตามโอกาส

ขอรวบรั ดอี กที ห นึ่ งว า คนในโอกาสหนึ่ ง ในสถานการณ อ ย างหนึ่ ง เป น เพี ยงธาตุ หลาย ๆ ธาตุ กองรวม ๆ กั นอยู ; เหมื อนอย างชิ้ นส วนของรถยนต ที่ ยั งไม ได ประกอบอะไรเลย. และคนในบางโอกาสนั้ น เป น ตั ว อายตนะ มี ก ารปรุง ของธาตุ บางธาตุ เกิ ดเป นอายตนะ คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย เป นต น อย างใดอย างหนึ่ ง ที่ พรอม เพื่ อการสั มผั ส และมี การสั มผั สอยู ; อย างนี้ ก็ เรี ยกว ามี อายตนะ. และคนในบางโอกาส เป น ขั น ธ คื อ รู ป ขั น ธ ห รื อ เวทนาขั น ธ ก็ ต าม อย า งใดอย า งหนึ่ ง อยู ; ถึ ง ขั น ธ ทั้ ง ๕ ขันธ เกิดพรอมกันไมไดก็จริง แตมันก็เกิดเนื่องทยอยกันเปนขันธ ๆ ครบทั้ง ๕ ขันธ.


ภาวะพื้นฐาน ของสิ่งที่เรียกวา “คน”

๓๘๗

ฉะนั้ น คนในบางสถานการณ คื อ ขั น ธ ๕ ที่ กํ าลั งเกิ ดทยอยกั น ขึ้ น มา แล วคนในบาง โอกาสนั้น คือสัตวที่มี ความทุกขอยู เพราะความยึดมั่นถือมั่นในขันธทั้ง ๕; นี่ แหละคน, จบกันเทานี้. พอรู เรื่ องนี้ รู ค วามจริ งเรื่ อ งนี้ เข าแล ว ก็ ไม เป น คนแล ว; เป น พระอริ ยเจ า ไปแลว; ถาจะเรียกวาคน ก็ขอใหเรียกเมื่อขณะที่โงดวยอวิชชา ถูกผูกมัดดวยตัณหา อุ ป าทาน แล ว เป น ทุ ก ข ; นั่ น แหละคื อ คน. พอสู ง กว า นั้ น ดี ก ว า นั้ น ไม ใ ช ค นแล ว ก็เปนมนุษย หรือเปนพระอริยเจา เปนอะไรไปเลย. นี่เรียกวาใหรูจักกันเสียที ใหรูวาพื้นฐานตามปกติของสิ่งที่เรียกวาคนนั้น คื ออะไร? คื อธาตุ อย างพระบาลี ที่ ได ตรัสไวหลายแห ง เช นในสามั ญ ผลสู ตร เป นต น วาให ภิ กษุ ปรับปรุงกายวาจาให ดี ให มี อะไรดี , และทํ าจิ ตให เป นสมาธิ ให ดี ที่ สุ ด; แล ว พยายามมองดูวา มีอะไร? จนเกิดญาณทัสสนะเห็นวา : อยํ โข เม กาโย - รางกายนี้ แหงเรา รูป - มีรูป, จาตุมฺมหาภติโก - ประกอบอยูดวยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ํา ไฟ ลม มาตาเปตฺติกสมฺภโว - มีมารดา บิดาเปนแดนเกิด โอทนกุมฺมาสุปจฺจโย - สะสมขึ้นมาได งอกงามขึ้นมาไดดวยขาวสุก ขนมสด, อนิจฺจุจฺฉาทนปริมทฺทนเภทนวิทฺธํสนธมฺโม - มีความเปลี่ยนแปลง, มีความแตก ทําลาย มีการสลาย ตองมีการชวยบริหารอยูเปนธรรมดา.

www.buddhadasa.info นี่คืออยางนี้ คนคืออยางนี้หมายถึงรางกาย. แลวสวนจิตใจ อิทฺจ ปน เม วิฺาณํ เอตฺถ นิสฺสิตํ เอตฺถ ปฏิพทฺธนฺติ -ก็ยังมีวิญญาณธาตุอันหนึ่งรวมอยูในกลุมนั้นดวย อาศัยอยูในกลุมนั้น เนื่องอยูในกลุมนั้นดวย.


๓๘๘

ปรมัตถสภาวธรรม

นี้ ก็ แปลว าธาตุ ๔ เป นกาย; วิ ญญาณธาตุ อาศั ยอยู ที่ ธาตุ ๔ กลุ มนั้ นด วย, อากาสธาตุนั้นคือ ที่วางสําหรับใหสิ่งเหลานี้ตั้งอยู; ก็รวมเปน ๖ ธาตุ. นี่ คื อคนตามปกติ โดยพื้ นฐาน แล วบางเวลา บางโอกาส ธาตุ ทั้ ง ๖ นี้ มั นประชุ มกั นเข าทํ าหน าที่ เป นอายตนะรูสึ กได ทางตา ทางหู เป นต น อย างที่ กล าวแล ว; และที่ มากไปกว านั้ นก็ คื อ รวมกลุ มกั นเข าเป นกอง ๆ ที่ ทํ าหน าที่ อย างใดอย างหนึ่ ง เช น รู ป ขั น ธ เวทนาขั น ธ สั ญ ญาขั น ธ สั ง ขารขั น ธ . ถ า เกิ ด ไปยึ ด มั่ น ในส ว นใดส ว นหนึ่ ง เปนตัวเรา ของเรา ก็เกิดเปนอุปาทานขันธ; นั้นเปนตัวทุกข. อย างที่ เปรี ยบเที ยบว า : ให สั งเกตดู รถยนต คั นหนึ่ ง เมื่ อยั งเป นชิ้ นส วนจน คนธรรมดาดู ไมออกวา นี่เรียกวารถยนต; นี่ก็มีเปรียบไดกันคนที่ยังเปนสักวาธาตุ. ต อมาชิ้ นส วนเหล านั้ นถู กประกอบเข าเป นระบบหรือ system เล็ ก ๆ นั่ นก็ คื ออายตนะที่ จะ ทํ าหน าที่ อย างใดอย างหนึ่ ง; ต อมาประกอบหลาย ๆ system เล็ ก ให เป น system ใหญ ไม กี่ system แล ว นั่ นก็ คื อเป น ขั น ธ แล ว. นี่ มาเนื่ อ งกั นหมดแล ว ก็ เป นรถยนต คื อ วิ ่ง ได อยา งนี ้; มีป ระกายไฟ มีค วามรอ น มีก ารเผาไหม, มีอ ะไรวิ ่ง ไปได; นี่คือวัฏฏะสงสาร คือคนที่เปนทุกข, เหมือนรถยนตที่มันกําลังวิ่งไป.

www.buddhadasa.info ขอให รู จั กสิ่ งที่ เรี ยกว า “คน” ในต างวาระ ต างสถานะอย างนี้ ก็ จะเข าใจ สิ่ งที่ เรี ยกว า ปรมั ตถสภาวธรรมดี ขึ้ น. ขอให สนใจเพิ่ มขึ้ นไป ที ละแง ที ละมุ มของสิ่ งที่ เรียกวาปรมัตถสภาวธรรม. ในวัน นี ้ ขอหยุด การบรรยายไวเ พีย งเทา นี ้ เปน โอกาสใหพ ระสงฆ ทั้ ง หลายท า นจะได ส วดบทพระธรรม เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความเลื่ อ มใสในพระพุ ท ธองค และคําสอนของพระพุทธองคสืบตอไป.


ปรมัตถสภาวธรรม

-๑๓๓๑ มีนาคม ๒๕๑๖

ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

ทานสาธุชนผูสนใจในธรรมทั้งหลาย,

www.buddhadasa.info การบรรยายเรื ่อ งปรมัต ถสภ าวธรรมในครั ้ง นี ้เ ปน ครั ้ง ที ่ ๑๓ และ เป น ครั้ ง สุ ด ท า ยของการบรรยายภาคมาฆบู ช าแห ง ป ๒๕๑๖ นี้ นั บ ว า เป น การ บรรยายที่กําลังจะสิ้นสุดลงไปอีกภาคหนึ่ง.

สําหรับการบรรยายเรื่องปรมั ตถสภาวธรรมนี้ มี ความตั้ งใจเป นพิ เศษอยูตรง ที่ ว า จะให หยิ บสิ่ งที่ เคยละเลยทอดทิ้ งอยู ตลอดเวลานั้ น ขึ้ นมาพิ จารณาศึ กษากั นให สํ าเร็จ ประโยชน, อยาเพียงแตสักวาทองไดก็แลวกัน; การบรรยายนั้นจึงมีลักษณะ

๓๘๙


๓๙๐

ปรมัตถสภาวธรรม

เหมื อนกั บ การยั ดเยี ยด ให รับเอาสิ่ งที่ ผู รับไม ค อยจะสนใจ ไม รูสึ กว าเป นสิ่ งสํ าคั ญ นั่ นเอง; ซึ่ งมี อั นตรายอย างยิ่ งก็ ตรงที่ ว า ทํ าให พุ ทธบริ ษั ทเราไม เป นพุ ทธบริษั ทสมชื่ อ คือเปนผูที่ไมรู; เพราะคําวา พุทธบริษัท ตองแปลวาบริษัทของผูรู. เดี๋ยวนี้พากันไมรู. ไมรูสิ่งที่เรียกวาปรมัตถสภาวธรรม วาเปนสิ่งที่มีอยู ในรางกายนี้ ที่ยังมีจิตมีใจ คือยังเปน ๆ อยู; หรือจะเรียกอยางภาษาธรรมดาสามัญก็วา ที่ มี อยู ในตั วเองอยู ตลอดเวลา. ถ าดั งนี้ แล ว ก็ เท ากั บไม รู จั กตั วเอง; นั บวาน าละอาย แต ก็ ไม รูจะละอาย แล วยั งแถมประมาทหรืออวดดี ไปเสี ยอี ก เป นดั งนี้ กั นทุ กคนทั้ งฆราวาส ทั้ ง บรรพชิ ต . แม ที่ สุ ด แต ผู ที่ เทศน หรื อ สอนอยู เป น ประจํ า ก็ ไ ม รู สิ่ ง เหล า นี้ นี่ ถ า จะวาเป นสิ่ งที่ น าขบขั นก็ น าขบขั น น าละอายก็ น าละอาย; แต ว าที่ แท จริงนั้ นน าสลดสั งเวช ในความเปนพุทธบริษัทของตน. เมื่ อทนอยู ไม ได จึ งได เอามายั ดเยี ยด พู ดแล วพู ดอี ก ตั้ ง ๑๒ ครั้ งมาแล ว ในเรื่ อ งเดี ย วกั น อย า งซ้ํ า ๆ ซาก ๆ และครั้ งนี้ ก็ เป น ครั้ ง สุ ด ท า ย คื อ ครั้ งที่ ๑๓. ที่ ว า นาหวัวก็ตรงที่วา ปรมัตถสภาวธรรมนี้เปนสิ่งที่ดีที่สุด, สําคัญ ที่สุด, จําเปนที่สุด, มีประโยชน ที่สุด แตแลวตองเอามายัดเยียดให ยัดเยียดใหคนรับรับเอาไป; มัน จึงนาหวัวในขอนี้. แตถึงอยางนั้นก็ยังมีความยากลําบาก ไมคอยสําเร็จประโยชน.

www.buddhadasa.info ถ าจะเปรี ย บก็ เหมื อนกั บ ว า จะพยายามสอนให แมวรู จั กสานลอบไปดั ก ปลามากิ น. ลองคิ ดดู ว า แมวมั นจะทํ าหรือจะไม ทํ า ทั้ งที่ แมวก็ เป นสั ตว ที่ กิ นปลา มั นก็ เที่ ยวกิ นปลาที่ เขาทิ้ งให ไม มี ป ญญาสามารถ ไม คิ ด ไม นึ ก ที่ ว าจะไปสรางลอบดั กเอา ปลามากิ นเอง. ถ าว าคนจะไปยั ดเยี ยดให แมวสานลอบดั กปลามากิ นเอง มั นก็ น าหวั ว; ในโลกนี้ ก็ กํ าลั งเป นอย างนี้ ในการที่ ต องยั ดเยี ยดให ศึ กษาเรื่องปรมั ตถสภาวธรรม แล วก็ ยังไมสําเร็จประโยชน มันไขวกันอยู เหมือนในตัวอยางที่วาดวยแมว.


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๓๙๑

โลกนี้ กํ าลั งจะฉิ บหาย ก็ เพราะว าไม สนใจในสิ่ งที่ เรี ยกว า ปรมั ตถสภาวธรรม นี้ เป นข อเท็ จจริงที่ พอพู ดขึ้นก็พอจะมองเห็ น; แต แล วก็ จะได กล าวโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ ง. ดั ง นั้ น ในการบรรยายครั้ง นี้ จะได ก ล า วโดยหั ว ข อ ที่ ว า “ประโยชน แ ห ง การเข า ถึ ง ปรมั ตถสภาวธรรมโดยเฉพาะ” คื อจะกล าวถึ งประโยชน แห งการเข าถึ งปรมั ตถธรรม เปนครั้งสุดทายของการบรรยายเรื่องนี้. ถ าท านลองทบทวนดู ก็ จะเห็ นว า เราได พู ดกั นมาตามลํ าดั บถึ งเรื่องที่ ควรทราบ เปนเรื่องแรกที่สุดคือเรื่องธาตุทั้งหลาย ยังจําไดหรือเปลา? ถาจําไมไดก็ แปลวายังไม สนใจอยูตามเดิมนั่นเอง. เรื่องธาตุ ที่ สํ าคั ญ ที่ จะต องจํ าได เข าใจ และรูสึ กชั ดเจนอยู โดยประจั กษ ก็คือธาตุมี ๖ คู กล าวคื อ ธาตุ ตา และธาตุ รูปคู หนึ่ ง, ธาตุ หู และธาตุ เสี ยงคู หนึ่ง, ธาตุจมู ก และธาตุ กลิ่ นคู หนึ่ ง, ธาตุ ลิ้ นและธาตุ รสคู หนึ่ ง, ธาตุ กายและธาตุ โผฏฐั พพะคู หนึ่ ง, ธาตุ มโนและธาตุ ธั มมารมณ คู หนึ่ ง; ซึ่ งมี พระบาลี กล าวไว ชั ดว า จกฺ ขุ ธาตุ รู ปธาตุ , โสตธาตุ สทฺท ธาตุ, ฆานธาตุ คนฺธ ธาตุ, ชิว ฺห าธาตุ รสธาตุ, กายธาตุ โผฏพฺพ ธาตุ, มโนธาตุ ธมฺ มธาตุ . ธาตุ เหล านี้ ก็ ป รุ งขึ้ นมาจากธาตุ พื้ นฐาน กล าวคื อธาตุ ๖ อั น ได แกธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาส และธาตุวิญญาณ.

www.buddhadasa.info ธาตุทั้ง ๖ คูโนนเมื่อตั้งอยูโดยพื้นฐาน มันก็อยูในรูปลักษณะของธาตุ ทั้ ง ๖ คื อธาตุ ดิ นน้ํ า ลม ไฟ อากาส วิ ญญาณ; แต พอจะทํ าหน าที่ การงานมั นต องถู ก ปรุ งขึ้ นมาในขั้ นที่ สอง คื อปรุ งขึ้ นเป นธาตุ ตา ธาตุ รู ป ธาตุ หู ธาตุ เสี ยง ธาตุ จมู ก ธาตุ กลิ่น เปนตน เพื่อวาจะมีรูปลักษณะเปนอายตนะ สําหรับการสัมผัสขึ้นมา. จักขุธาตุ ก็ทําหนาที่เปนจักขุอายตนะ; รูปธาตุ ก็ทําหนาที่เปนรูปอายตนะ; โสตธาตุ ก็ทําหนาที่เปนโสตายตนะ สัททธาตุ ก็ทําหนาที่เปนสัททายตนะ;


๓๙๒

ปรมัตถสภาวธรรม

ฆานธาตุ ก็ทําหนาที่เปนฆานายตนะ คันธธาตุ ก็ทําหนาที่เปนคันธายตนะ; ชิวหาธาตุ ก็ทําหนาที่เปนชิวหายตนะ รสธาตุ ก็ทําหนาที่เปนรสายตนะ; กายธาตุ ก็ทําหนาที่เปนกายายตนะ โผฏฐัพพธาตุ ก็ทําหนาที่เปนโผฏฐัพพายตนะ; มโนธาตุ ก็ ทํ า หน า ที่ เป น มนายตนะ ธั ม มธาตุ ทํ า หน า ที่ เป น ธั ม มายตนะ : ทั้ ง ๖ คู นี้ ก็ คื ออายตนะสํ าหรับทํ าความรูสึ กทางตา และอารมณ สํ าหรับถู กรูสึ กทางตา คู หนึ่ ง; อายตนะสํ าหรั บทํ าความรูสึ กทางหู และอารมณ สํ าหรับถู กรูสึ กทางหู คู หนึ่ ง; …ฯลฯ... กระทั่ งถึ งอายตนะสํ าหรั บ ทํ าความรู สึ กทางใจ และอารมณ สํ าหรั บ ถู ก รู สึ ก ทางใจ เปนคูสุดทาย; ทั้งหมดนี้เพื่อใหสําเร็จประโยชนแกการเกิดขึ้นแหงสัมผัส. ถ าธาตุ ต าง ๆ เหล านี้ ที่ เป นภายนอกก็ อยู เสี ยแต ภายนอก ที่ เป นภายในก็ อยู เสี ยแต ภายใน ดั งนี้ แล ว ก็ ยั งไม สํ าเร็ จประโยชน อะไร. ต อเมื่ อใดมั นมาเนื่ องกั น จึ งจะ สํ า เร็ จ ประโยชน ตามกรณี นั้ น ๆ; ดั งอย า งเช น รู ป ซึ่ งเป น อายตนะภายนอก ก็ ต อ ง มาเนื่ องกั บตาซึ่ งเป นอายตนะภายใน ...ฯลฯ... เป นคู ๆ ไป จนถึ งคู สุ ดท าย คื อธั มมารมณ กั บ มโน. นี้ เป น อั น เห็ น ได ว า ต อ งต อ เมื่ อ มี ก ารทํ า หน า ที่ ถู ก ตามคู อ ย างนี้ แ ล ว จึ งจะ เรี ยกว าธาตุ เกิ ดขึ้ น หรื ออายตนะเกิ ดขึ้ น แล วก็ เรี ยกได ว า มี การทํ าหน าที่ ทางอายตนะ เชนการสัมผัสเปนตน.

www.buddhadasa.info เดี๋ ยวนี้ จั กขุ ธาตุ ก็ เป นจั กขุ อายตนะ, รู ปธาตุ ก็ เป นรู ปายตนะ, โสตธาตุ ก็ เป น โสตายตนะ สั ททาธาตุ ก็ เป นสั ททายตนะ ฯลฯ อย างนี้ เป นต น ครบทั้ ง ๖ คู . เมื่ อมี ลั กษณะ เป นอายตนะแล ว นั่ นก็ คื อมี การสั มผั สแล ว. เมื่ อมี การสั มผั สแล วก็ ย อมจะเกิ ดเป นเวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร ในขั น ธ ทั้ ง ๕; หรื อ เป น เวทนา ตั ณ หา อุ ป าทาน ภพ ชาติ ทุ ก ข ในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท.

ทั้ งหมดนี้ ก็ เป นเรื่ องประจํ าวั น เกิ ดอยู แก คนทุ กคนเป นประจํ าวั น ทั้ งเนื้ อ ทั้งตัวของเราก็มีแตเกี่ยวของกับสิ่งเหลานี้ แลวเราก็ไมสนใจ. ความไมสนใจและ


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๓๙๓

ความไมเ ขา ใจนี ้เปน ความเสีย หายที ่ส ุด ; ถา จะวา โงก ็โ งที ่ส ุด ก็ค ือ ไมไ ดเขา ใจ ในสิ่ งที่ พระพุ ทธเจ าท านได พยายามสั่ งสอนให เข าใจ เพื่ อจะดั บทุ กข เสี ยได . ไปสนใจแต เรื่ องคํ าพู ดข างนอก เรื่ องอะไรก็ ไม รู ทั้ งวั นทั้ งคื น จนเรี ยกว าเฟ อหรื อเกิ น หรื อหนวกหู ; แต เรื่ อ งที่ เป น อยู จ ริ ง และจะต อ งทํ า ให ไ ด จ ริ ง ๆ นี้ ก ลั บ ไม ส นใจ. นี่ คื อ ความเป น ปรมั ต ถธรรม หรื อ ปรมั ต ถสภาวธรรมที่ มี ค วามลึ ก มี อ รรถที่ ลึ ก ที่ ค นไม ห ยั่ งถึ งบ า ง ไมอยากจะหยั่งถึงหรือไมสนใจบาง. คนไมรูจักคําวาธาตุอยูเปนพื้นธาน, และไมรูจักคําวาธาตุนี้ประกอบกัน ขึ้ น ปรุงกั นขึ้ นเป นอายตนะ, แล วก็ ไม รูว าอายตนะนี้ มี ความสั มผั สเกิ ดเป นผั สสะ เป น เวทนา คื อ เกิ ด เป น ขั น ธ ขั น ธ ใดขั น ธ ห นึ่ งขึ้ น มาในขั น ธ ทั้ ง ๕. และถ าว ามั น มี อ วิ ชชา เข ามาเกี่ ยวข องด วยในการสั มผั สนี้ แล ว ก็ จะปรุงเป นอุ ปาทานขั นธ ทั้ ง ๕ ขึ้ นมา ซึ่ งจะต อง เปนทุกขโดยไมตองสงสัย เพราะวาเกิดเปนอุปาทานขันธเมื่อไร ก็ยอมมีความทุกขเมื่อนั้น. ทั้ งที่ มี ความเป นอย างนี้ อยู จริง ในชี วิตประจํ าวันของคนแต ละคน เขาก็ ไม สนใจ; เขาอยากจะทํ าอย างอื่ น มากกว าจะมานั่ งสนใจกั บเรื่องข อเท็ จจริงของสิ่ งที่ เรียกวา ปรมัตถสภาวธรรม; เพราะวาไมรูวา เกิดมาเพื่อดับทุกข, และทุกขตอง ดับกันที่นี่ ตรงนี้ โดยวิธีนี้, ก็ไปคุยกันเรื่องอื่น ในฐานะที่จะเปนเรื่องดับทุกข.

www.buddhadasa.info นี้ คื อ ข อ ที่ ว า น า สงสาร; เมื่ อ ทั้ งน า หวั ว และน า สงสารอย า งนี้ มั น ก็ น า สลดใจ. เพราะเหตุ ฉะนั้ นแหละจึ งได พยายามแล วพยายามอี ก ในการบรรยาย ๑๒ ครั้ ง ใหรูจักเรื่องธาตุอยางละเอียดลออเสียหลายครั้งดวยกัน, และความที่ธาตุเกี่ยวเนื่องกันมา ปรุ ง แต งกั น เป น อายตนะ เป น ขั น ธ เป น อุ ป าทานขั น ธ และกระทั่ งเป น ทุ ก ข ในที่ สุ ด , ปรุ งแต งให เกิ ด แต ธรรมทั้ งปวงขึ้ น มาได ในลั ก ษณะอย างไร. ได ชี้ ให เห็ น ความสํ าคั ญ ของการที่เรามีการสัมผัสอยูตลอดเวลาอยางหลีกเลี่ยงไมได, แลวเราจะควบคุมอยางไร


๓๙๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ที่ จะไม ให เกิ ดเป นอาการของอวิ ชชาสั มผั สขึ้ นมา ซึ่ งมั นจะเกิ ดขึ้ นมาเป นอุ ปาทานขั น ธ แลวมีทุกข คือเกิดเปนของมีพิษรายและกัดเอา. อาการที่จะเกิดไดหรือเกิดไมไดแหงอุปาทานขันธนี้ เปนเรื่องสําคัญ ที่ พ ระพุ ท ธองค ท รงมุ ง หมายอย า งยิ่ ง กว า เรื่ อ งใด; เพราะได ต รั ส ไว ว า “แต ก อ นก็ ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี เราตถาคตบัญญัติเฉพาะเรื่องทุกขและความดับไมเหลือแหงทุกขเทานั้น” พระพุ ท ธเจ าท านอุ ต ส าห บ อกแล วบอกอี กว า ไม พู ด เรื่ องอะไร บอกแต เรื่ อ งความทุ ก ข กั บ ความดั บ ทุ ก ข เท านั้ น; ในที่ นี้ ก็ คื ออาการที่ มั นเกิ ดขึ้ นมาได และ อาการที่ มั นไม เกิ ดขึ้ นมาได แห งอุ ปาทานขั นธ โดยนั ยดั งที่ กล าวมาแล วอย างละเอี ยดใน การบรรยายในครั้ ง นั้ น ๆ. อุ ป าทานขั น ธ เกิ ด ได ก็ คื อ ทุ ก ข เกิ ด ขึ้ น มา; อุ ป าทานขั น ธ เกิดไมได ก็คือความดับแหงทุกข ความไมเกิดแหงทุกข. ดู ใ ห ดี ว า ปกติ ภ าวะของคนเรา ที่ ไ ม เ ป น ทุ ก ข นั้ น เป น อย า งไร, และ เมื่ อเกิ ดเป นทุ กข ขึ้ นมาได นั้ น เป นอย างไร. ตามปกติ เกิ ดเป นความทุ กข ขึ้ นมาไม ได ก็ เพราะว าไม มี การปรุ งแต งเป นอุ ปาทานขั นธ ; อย างมากที่ สุ ด มั นก็ เป นขั นธ เฉย ๆ. ต อเมื่ อ เป น อุ ป าทานขั น ธ ยึ ด ถื อ มั่ น ด ว ยอุ ป าทาน เป น ต น แล ว ก็ จ ะมี ค วามทุ ก ข ขึ้ น มา. ปกติ ภาวะมั นก็ มี อยู อย างที่ เรี ยกว า เป นขั นธ ; หรื อเป นธาตุ ล วน ๆ ยั งไม ประกอบกั นเป น ขั น ธ โดยตรงในบางเวลา. ในบางเวลาก็ ป รุ งขึ้ น เป น ขั น ธ แล วก็ เกิ ด วิ ชชาหรื อ ป ญ ญารู เท าทั นทํ าให เป นเรื่องที่ ไม เป นทุ กข , หรือว าให มั นดั บไปเสี ยโดยไม ต องเป นทุ กข ; อย างนี้ ก็ เรียกวา ไมมีความทุกข. แตถาพอเผลอ ก็มีอวิชชาผสมโรง ก็เกิดขึ้นมา เปนความทุกข.

www.buddhadasa.info ตรงนี้ ก็ อยากจะเตื อนอี กครั้งว า คํ าว า ความทุ กข นี้ มี อยู สองความหมาย อยาเอาไปปนกันใหมันยุง แลวก็เถียงกันอยางนาสงสาร ความทุกขชนิดหนึ่งเปนแตเพียงวา


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๓๙๕

ดูแลวมั นน าเกลี ยดหรือน ารําคาญ เท านั้ น; แต ความทุ กขอีกชนิ ดหนึ่ งนั้ น หมายถึ ง ทนทรมานเปนทุกข เจ็บปวดทางจิตใจจริง ๆ. ในกรณี ที่ พู ด ว า สิ่ ง ใดไม เที่ ย ง สิ่ ง นั้ น เป น ทุ ก ข ; นี่ ห มายความว า เป น ทุ กข ในความหมายที แรก ที่ ว าดู แล วน าเกลี ยด น าชั ง น าระอา. เช นรู ปธาตุ ทั้ งหลาย แม ที่ สุ ด แต ก อ นหิ น ก อ นดิ น ต น ไม ต น ไล นี้ มั น ก็ ไ ม เที่ ย ง; เมื่ อ ไม เที่ ย งก็ ถื อ ตาม หลั กวาเป นทุ กข , ทุ กข อย างนี้ หมายความวา ดู แล วน าเกลี ยด คื อมั นว างจากสาระอย าง นาเกลียด. แต ถ าข อใดที่ พระพุ ทธองค ตรั สว า ความเกิ ดเป นทุ กข ความแก เป นทุ กข ก็ ดี หรื อ ทรงสรุ ป ว า สงฺ ขิ ตฺ เ ตน ปฺ จุ ป าทานกฺ ข นฺ ธ า ทุ กฺ ข า ก็ ดี ; คํ า ว า ความทุ ก ข อยางนี้ มันไมใชทุกข เพียงแตสักวาดูแลวนาเกลียดอยางเดียว. มันทุกขตรงที่เจ็บปวด ทนทรมานในทางจิตใจ เพราะความยึ ดมั่ นถื อมั่ นนั่ นเอง; ชาติเป นทุ กข ก็เพราะไป ยึ ด มั่ น ว าชาติ นี้ ของเรา, ชราเป น ทุ ก ข ก็ เพราะยึ ด มั่ น ว าชรานี้ ข องเรา, ความตายเป น ทุกขก็เพราะยึดมั่นวาความตายนี้ของเรา. ความยึดมั่นนี้เป นไปเองตามธรรมดา; ฉะนั้น จึ งไม ต องพู ดว า มี ความยึ ดมั่ น ที่ ชาติ , ที่ ชรา; ก็ เข าใจกั น ได ว า คนหรือสั ตว ทั้ งปวงนี้ ไปยึ ด มั่ น ว า ความเกิ ด ของเรา ความแก ข องเรา ความตายของเรา ทุ ก ข โทมนั ส อุปายาสอะไรของเราทั้งนั้น.

www.buddhadasa.info สรุปโดยยอแลว อุปาทานขันธทั้ง ๕ เปนตัวทุกข นี่คือทุกขเพราะยึดมั่น ยึ ด มั่ น ก็ ต อ งทุ ก ข ; เพราะว า ไปยึ ด เข า ก็ เกิ ด กิ เลส กิ เลสก็ ทํ า ให ร อ น ให เป น ทุ ก ข . ทุกขเฉย ๆ นั่นเปนแตมีอาการ มีลักษณะแหงความทุกข เรียกวา “ทุกขลักษณะ” พิ จารณาก็ ม องเห็ น ทุ กขลั กษณะ โดยที่ ว าจิ ต ใจของคนนั้ น ไม ได เป น ทุ กข ; แต เมื่ อ ไป ยึดมั่นอะไรเขา คนนั้นจะรูสึกเปนทุกข.


๓๙๖

ปรมัตถสภาวธรรม

เมื่ อ เราไปแบกของหนั ก เข า ก็ รู สึ ก หนั ก ; ของหนั ก นี่ ก็ คื อ ขั น ธ ทั้ ง ๕ ไปแบกเข าจึ งเป นทุ กข ไม ไปแบกก็ ไม มาเป นทุ กข อย างนี้ ; มั นมี แต ว าเป นทุ กข เพราะว า ดู น าเกลี ย ดเท านั้ น เอง. แต คํ าว า ความทุ ก ข ในการยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น นี้ ทํ าให เกิ ด ราคะบ าง โทสะบ า ง โมหะบ า ง อย า งใดอย า งหนึ่ ง อยู ใ นตั ว ; ฉะนั้ น จึ ง มี ก ารแผดเผาบ า ง ทิ่ ม แทงบาง รอยรัดหุมหอบาง แลวแตจะเปน; ทําใหเกิดอาการที่เปนทุกขขึ้นมา. นี้เรียกวา ความทุ กขที่เกิดขึ้นทันที ขณะที่ มีการยึดมั่ นถือมั่นสิ่งใดโดยความ เป น ตั ว ตน ของตน; ยึ ด มั่ น อะไรก็ ต ามใจ จะต อ งเป น ทุ ก ข ทั้ ง นั้ น ; พระพุ ท ธเจ า ท านจึ งตรั ส เรี ยกว า ความทุ ก ข ; และจะมี เกิ ด และมี ดั บ เป น เรื่ อ ง ๆ ไป เป น กรณี ๆ ไป ทางอายตนะนั้ น ทางอายตนะนี้ . ส ว นความทุ ก ข ที่ ว า “สิ่ งใดไม เที่ ย ง สิ่ งนั้ น เป น ทุ ก ข ” นั้ น มั น เป น ทุ ก ข ต ลอดเวลา; แต ว ามั น เป น ทุ ก ข อ ย างที่ เรี ย กว า “ทุ ก ขลั ก ษณะ” คื อ เป น ทุกขเพียงสักวาลักษณะ. เช น ว า ก อ นหิ น ก อ นนี้ ก็ ไ ม เ ที่ ย ง และมี ลั ก ษณ ะแห ง ความทุ ก ข อ ยู ตลอดเวลา; ความทุ ก ข นั้ น ไม ไ ด เกิ ด ดั บ : ไม เหมื อ นกั บ ความทุ ก ข ที่ ตั้ ง ขึ้ น ในจิ ต ของคนที่ ยึ ดมั่ นถื อมั่ น เกิ ดขึ้ นแล วก็ ดั บไป, เกิ ดขึ้ นแล วก็ ดั บไป; เปลี่ ยนเป นทางตาบ าง หูบาง จมูกบาง ลิ้นบาง เปนเรื่อง ๆ ไป เปนกรณี ๆ ไป; นี่คือตัวทุกขแท.

www.buddhadasa.info พระพุ ท ธองค จ ะไม ท รงสอนเรื่ อ งนั้ น นอกจากเรื่ อ งทุ ก ข กั บ ความดั บ ทุ ก ข เท านั้ น เพราะตรั สไว อย างนี้ : ปุ พฺ เพ จาหํ ภิ กฺ ขเว เอตรหิ จ ทุ กฺ ขฺ เจว ปฺ าเปมิ ทุ กฺ ขสฺ ส จ นิ โรธํ นี่ พระพุ ทธภาษิ ตที่ เป นบาลี ว าอย างนี้ ก็ เหมื อนกั บที่ แปลให ฟ งแล วว า “แต ก อ นก็ ดี เดี๋ ย วนี้ ก็ ดี เราบั ญ ญั ติ เ ฉพาะเรื่ อ งทุ ก ข และเรื่ อ งความดั บ ไม เ หลื อ แห ง ทุ ก ข เท า นั้ น ” เรื่ อ งอื่ น นั้ น ไม มี ส าระอะไร; คื อ ว า ไม จํ า เป น ที่ ทุ ก คนจะต อ งเข า ไป เกี่ยวของ.


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๓๙๗

เรื่ อ งนี้ ป ญ ญั ติ ไว ที่ ไหน? มี พ ระพุ ท ธภาษิ ต ที่ ก ล า วไว ชั ด ว า : “โลกก็ ดี ที่ เกิ ด แห งโลกก็ ดี ความดั บ แห งโลกก็ ดี ทางให ถึ งความดั บ แห งโลกก็ ดี เราตถาคต บั ญ ญั ติ ไว ในร า งกายที่ ย าวประมาณวาหนึ่ งนี้ ที่ มี พ ร อ มทั้ งสั ญ ญาและใจ”; หมาย ความว า ในร า งกายของคนที่ ยั งเป น ๆ ยั งมี ใจ, มี ค วามรู สึ ก สมปฤดี อ ย างนี้ ; ในนั้ น ไปดู จะหาพบเรื่ องโลก, เรื่ องเหตุ ให เกิ ดโลก, ความดั บสนิ ทของโลก. ทางให ถึ งความ ดับสนิทของโลก : นี่คือตัวปรมัตถธรรม. ปรมั ต ถธรรมทั้ ง หลาย จะต อ งค น ดู ใ นภายใน คื อ ในรา งกายที่ ย าว ประมาณวาหนึ่ งของบุ คคลที่ มี ทั้ งสั ญ ญาและใจ คื อคนเป น ๆ; ในเรื่ องของคนตายแล ว ไม มี แม ที่ สุ ด ว าจะหารู ป ขั น ธ ในร างกายของคนที่ ต ายแล วนี้ ก็ ไม ได . เว น ไว แ ต ค นจะ ศึ กษามาอย างโง เขลา ว าร างกายเนื้ อตั วนั้ นมั นเป นรู ปขั นธ ; นี่ ว าเอาเองบ าง หรื อสอน กันมาผิด ๆ บาง. ถาเปนรูปขันธในความหมายของพระพุทธเจาแลว จะเกิดเฉพาะ ต อ เมื่ อ มี ก ารสั ม ผั ส ทางอายตนะอย า งใดอย า งหนึ่ ง ในขณะนั้ น เท า นั้ น ; จึ ง จะ บัญญัติสวนนั้นสวนนี้วาเปนรูปขันธเปนตน.

www.buddhadasa.info สําหรับคนที่ตายแลวไมมีทั้งรูป ไมมีทั้งเวทนา ไมมีทั้งสัญญา ทั้งสังขาร ทั้ งวิ ญญาณอย างนี้ จึ งได ตรัสไววา ปรมั ตถธรรมต องมี อยู ในรางกายของคนที่ ยั งเป น ๆ คื อ มี ทั้ งสั ญ ญาและใจ. เรื่องรูป ขั นธ เป น อย างไร อธิ บายกั น แล วโดยละเอี ยด ในการ บรรยายตั้ งหลายครั้งที่ แล วมา : ไม ใชจะหยิ บขึ้นมาได เป นเป นเนื้ อเป นหนั ง แล วก็ จะเรียกวา เป นรูปขันธ; ตองตอเมื่อทําหนาที่ทางอายตนะ มีความรูสึกอยูด วย จึงจะเป นรูปขันธในสวน ที่ เป นรู ป ขั น ธ อย างนี้ เป น ต น. นี่ เราควรจะรู เรื่ องที่ มี อ ยู ในตั วเราจริ ง ๆ และรู ถึ งความ หมายอันลึกในขอที่วาเปนทุกขอยางไร, และไมเปนทุกขอยางไร.


ปรมัตถสภาวธรรม

๓๙๘

ทั้ งหมดนี้ คื อเรื่ องที่ ได บรรยายมาแล วถึ ง ๑๒ ครั้ ง; วั นนี้ ก็ จะได พู ดกั นถึ ง ขอ ที ่วา ประโยชนอ ะไร ที ่จ ะพูด กัน ตั ้ง มากมายอยา งนี ้. เรื่อ งนี ้ม ีป ระโยชนม าก ถาวาเขาใจ ฟงถูก และเอาไปใชปฏิบัติใหได.

เรื่องที่สําคัญตองฟงใหไดศัพท เรื่องพุ ทธศาสนานี้ ยั งมี ป ญหาใหญ อยู อย างหนึ่ ง คื อว า “ฟ งไม ศั พท จั บไป กระเดี ยด”; นี้ เรี ยกว า พู ดตามภาษาชาวบ านแล ว มั กจะเป นเรื่ องที่ ฟ งไม ได ศั พท คื อ ไมทันไดความหมายอันแทจริง แลวก็จับไปกระเดียด คือพูดเพอเจอไปเลย. จะยกตั วอย างเรื่องน าหวั วขึ้ นเปรียบเที ยบสั กเรื่องหนึ่ ง อย างว าอาตมาคราว หนึ่ ง ได พู ด ว า การกุ ศ ลอั น สู ง นั่ น คื อ ทํ า ให ค นมี แ สงสว า ง บํ า บั ด ความทุ ก ข ข อง ตนได ; ใครทํ าอย างนั้ น คนนั้ น ชื่ อ ว าได ทํ าการกุ ศ ลอั น สู งสุ ด . การสร างโบสถ ก็ ไม ใช กุ ศ ลอั น สู ง สุ ด , การสร า งโรงเรี ย นก็ ยั ง มิ ใ ช กุ ศ ลสู ง สุ ด , สร า งโรงพยาบาลก็ ยั ง ไม ใ ช กุ ศลสู งสุ ด, อย างนี้ เป นต น วายั งไม ใช กุ ศลสุ งสุ ด. กุ ศลสู งสุ ดนั้ น คื อการให แสงสว าง ที่ชวยใหคนนั้น ๆ ดับทุกขไดในทางจิตใจ ตามหลักของพระพุทธศาสนานั่นเอง.

www.buddhadasa.info ที นี้ คราวหนึ่ งอาตมาไปนอนป วยและรอการพั กให หาย อยู ที่ โรงพยาบาล ที่ เชี ยงใหม ได ยิ นคนที่ เขามาเยี่ ยมและรออยู ข างนอก เขาพู ดกั นว า “นั่ นไหมล ะ สร าง โรงพยาบาลไม ได บุ ญ ทํ าไมมานอนอยู ที่ นี่ ”. เขาวาอาตมาวาสรางโรงพยาบาลไม ได บุ ญ แลวทํ าไมมานอนอยูที่ นี่ . ฟ งดู ซิ มัน เรื่องเดี ยวกันหรือ เปลา? เราเพี ยงแต บอกวา สรางโรงพยาบาลยั งไม ใช กุ ล ศลอั น สู งสุ ด ; แต มิ ได ห มายความวาไม ใช กุ ศลเลย. นี่ เขาก็ ได ยิ นกั นว าอาตมาว า สรางโรงพยาบาลนี้ ไม ได บุ ญ แล วทํ าไมมานอน อยู ในโรงพยาบาลนี้ , มาให เขารั ก ษาอยู ที่ นี่ : อย า งนี้ ก็ เรี ย กว า ฟ งกั น ไม ค อ ยรู เรื่ อ ง ฟงกันไมตรงจุดหมาย.


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๓๙๙

เรื่ องในพระพุ ทธศาสนามั กจะเป นเสี ยอย างนี้ ; แล วที่ ใกล ชิ ดขึ้ นมาอี ก ที่ พู ด กันเตลิดเปดเปงไป ก็คือวา เรื่องกรรม. เรื่องกรรมนั้นมีวาทําลงไปแลวก็ใหผลทันที ในขณะจิ ตที่ ต อมา; คื อเมื่ อทํ ากรรมลงไปในขณะจิ ตใด ขณะจิ ตต อมาก็ เป นการได รั บ ผลกรรมทันที ไมตองรอ. นี้ก็โดยหลักที่วา กรรมและการใหผลกรรมนี้เปนอกาลิโก ไมจํากัดเวลา ไมตองรอเวลา เชนเดียวกับธรรมะทั้งหลาย เปนอกาลิโกอยางนี้. ทีนี้ก็มาสอนกันเสียใหมวา กรรมนี้ทําแลวใหผลทันทีในวันนี้ เดือนนี้ หรื อในชาติ นี้ , กรรมนี้ จะให ผลในชาติ หน า, กรรมนี้ จะให ผลต อหลาย ๆ ชาติ ตายไป หลาย ๆ หน; อยางนี้ไมรูวาเอาแตไหนมาพูด. ถาพูดตามหลักของพระอริยเจา หรือของพระพุทธเจา : สิ่งที่เรียกวากรรม ก็คือสิ่งที่ เรียกวาสังขารขันธ ที่มีการคิด การนึ ก กระทํา แลวปฏิ กิริยาก็เกิดขึ้นเป น ความทุ กข ; เช นมี อุ ปาทานยึ ดมั่ นในรูปนี้ หรือในเวทนานี้ ก็ ตาม; นี้ เป นกรรม. ขณะจิ ต ต อ มาก็ เป น วิ บ ากคื อ เป น ทุ ก ข ; ในขณะจิ ต นั้ น เอง ก็ ให ผ ลแล ว เสร็ จ แล ว ก็ เรี ย กว า ให ผ ลทั น ที และทั น ควั น และติ ด ต อ กั น ไป; ไม ต อ งรอต อ ชาติ นี้ ชาติ โ น น เหมื อ น อยางที่เขาสอนกันโดยมากเดี๋ยวนี้.

www.buddhadasa.info การใหผลตอบอยางนั้นมันจะเปน “เศษ” หรือเปน “ขี้ผงของกรรม” มากกวา เขนวาทํ าดี ก็ ดี แล ว ทํ าชั่วก็ ชั่ วแล ว ติ ดกั นกับที่ การกระทํ านั้ น. แต เศษขี้ผงที่ วา จะได ลาภเมื่ อทํ าดี หรือวาถู กใส ตะรางเมื่ อทํ าชั่ วนี้ นี้ มั นเป นเศษหรือเป นขึ้ผง หรือเป น. “สิ่ งสะท อน” ปฏิ กิ ริยาอะไรของกรรมนั้ น จึ งได พู ดวา ต อเมื่ อนั้ น ต อเมื่ อนี้ . บางที ก็ ยกเอา ไปไว ให ห ลายชาติ หลายสิ บ ชาติ ก็ มี ; กรรมอย างนี้ เป น คํ าอธิ บ ายในหนั งสื อ ชั้ น หลั ง ทั้ ง นั้ น เลย. ต น ตอของเรื่ อ งเช น นี้ ก็ เช น หนั ง สื อ วิ สุ ท ธิ ม รรค เป น ต น ; เดี๋ ย วนี้ เราก็ ม า เนนกันมากแตเรื่องอยางนี้.


๔๐๐

ปรมัตถสภาวธรรม

เรื่องที่เปนปรมัตถธรรมแท ๆ ที่วาขณะจิตนี้ กระทํากรรม, ขณะจิต ถัดมาก็จะเปนการรับผลของกรรม คือดีหรือชั่วไปตามนั้น : นี้เราไมสอนกัน เราไม บอกกั น ; ทํ าให เกิ ด ความลั งเล. หรือ ถึ งกั บ ไม เชื่ อ ว า เอ ะ ทํ าไมทํ าดี ไม ได ดี ทํ าชั่ ว ไม ได ชั่ ว, มี อ ะไรมาตั ด รอน มี อ ะไรมาส งเสริม ทํ าให มั น ยุ งกั น ไปหมด. นี้ เป น เรื่อ ง ของคนชั้ น หลั งว า; แล ว เป น เรื่ อ งเศษ เรื่ อ งขี้ ผ งของกรรม. ถ าเรื่ อ งกรรมแท ๆ ทํ า ดี มันก็ตองดีเสร็จทั นที; เพราะวาบัญญั ติไวเสร็จแลววา ทํ าอยางนี้ เรียกวาดี ทําอยางนี้ เรียกวาชั่ว. โดยเฉพาะ ในกระแสแห งปฏิจจสมุปบาท วาเมื่อเกิดเห็นรูป ฟ งเสียง ดมกลิ่ น เป น ต น, แล วเกิ ดผั สสะ เกิ ดเวทนา แล วเกิ ดตั ณ หา คื อความอยาก, เกิ ด อุปาทาน เกิ ดภพ คื อกรรม ที่ มี ความคิ ดนึ กที่ จะทํ าอย างนั้ นอย างนี้ อย างโน น, หรือมี การกระทํ าลงไปแล วในทางจิ ตทางใจ อย างนี้ อย างนั้ น; จากภพก็ เกิ ดเป นทุ กข เกิ ดผล เป นทุ กข คื อชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ : คื อมี ตั ณหา แล วยึ ดมั่ นอะไรเข าก็ เป น ทุ กข เพราะสิ่ งนั้ น. นี้ เรียกวาเมื่ อทํ าสํ าหรับเป นทุ กข ก็ เป นทุ กข เลย; ทํ ากรรมลงไปใน ขณะจิตนี้ ขณะจิตถัดมาก็เปนวิบากของกรรมอยางแนนอน.

www.buddhadasa.info นี้ก็เปนเรื่องที่วา เราไมพยายามจะเขาใจขอเท็จจริงที่เรียกวา ปรมัตถสภาธรรมของสิ่ งนี้ ; จะเพราะเหตุ ใดก็ พู ดยาก. น าจะเพราะวาเขาใจยากก็ ได , หรือ ว า ไม ส นุ ก เหมื อ นอย า งเรื่ อ งได เงิ น ได ข อง ได ไปสวรรค วิ ม าน ได ล งนรก ได อ ะไร เหลานี้, ซึ่งเปนเรื่องถูกใจ หรือมันฟงงายเขาใจงาย. แตวาอยาลืมเสียวา ขณะจิตหลัง จากที่ทํากรรมแลว ก็มีวิบาก มีผลกรรมเปนสวรรคเปนนรกได และจริงยิง่ กวานรก ที่ยังวาไม รูอยูที่ไหนนั่น; อยางบทสวดเมื่ อตะกี้ที่ พระสวด ฉ ผสฺสายตนิ กา นาม นิ รยา -นรกที่ เป นอยูทางอายตนะหก, นั้ นมี แน มี ทั นที มี ทั นควัน ที่ ทํ าผิ ด; ฉ ผสฺ สายตนิ กา นาม สคฺคา -สวรรคที่เปนไปทางอายตนะหก, นั้นก็มีแน ๆ


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๐๑

ในขณะที่ ทํ าผิ ดทางอายตนะใดอายตนะหนึ่ ง คื อทางตาก็ ตาม ทางหู ก็ ตาม ก็ เกิ ด เป น นรกขึ้ น มา; ก็ คื อ ในกระแสแห งปฏิ จ จสมุ ป บาทนั้ น เอง : เกิด ผั ส สะ เกิ ด เวทนา เกิ ดตั ณหา แล วก็ ต องเกิ ดเป นนรกขึ้ นมาทางอายตนะนั้ น ชื่ อว า นรกรู ปายตนิ กา คือนรกทางรูปไปเลย, หรือทางเสียง ทางกลิ่น ฯลฯ อะไรก็ได. ถาเป นสวรรค ก็ คื อทํ าถู ก ประกอบถู ก ในลั กษณะที่ ได เป นสวรรค ก็ เกิ ด ความพอใจ เกิ ดความสบายใจ เกิ ดความอิ่ มใจ ยิ นดี ปรีดา โสมนั สขึ้ นมา; ก็ เป นสวรรค ทันควันขึ้นมาไมตองรอ, ไมตองรอแมแตชั่วโมงเดียว, หรือแมแตนาทีเดียว. ทํ าไมจะต องไปพู ดถึ งนรกสวรรค ซึ่ งยั งอยู ไกลมาก คื อว าอย างน อยก็ ต อง เข าโลงไปแล ว จึ งจะไปหานรกสวรรค พ บ; ส วนที่ มี อยู ที่ นี่ จริ ง ๆ แน นอนด วย นี้ ทํ าไม ไมหา, ทําไมไมมองเห็น? เพราะวาไม เขาใจเรื่องปรมัต ถสภาวธรรม จึงฟ งไมได ศัพทแลวก็จับไปกระเดียด คือพระพุทธเจาทานตรัสไวอยางนี้ แลวฟงไปเสียเปนอยางโนน. แมแตเรื่องผั ส สายตนิ ก นรก ผั ส สายตนิ ก สวรรค นี้ ก็เหมื อนกัน; พระอาจารย เช นพระพุ ทธโฆษาจารย ผู แต งหนั งสื อวิสุ ทธิมรรคนั้ น ก็ ยั งเยาะไววามั นจะมี อะไร ได ก็ ห มายถึ งอเวจี โลหกุ ม ภี อ ะไรตามแบบที่ เขากล าวไว นั่ น เอง. มั น น าหวั ว แม แต บุ คคลเช นพระพุ ทธโฆษาจารย ผู แต งคั มภี ร วิ สุ ทธ มรรคก็ ยั งเข าใจอย างนี้ : เอาผั สสา ยตนิกนรก นี้ไปไวใตดินในชื่อของอเวจี โลหกุมภีโนน.

www.buddhadasa.info อาตมาถื อ ว า เป น เรื่ อ งฟ งไม ศั พ ท จั บ ไปกระเดี ย ด แล วไปว าเอาเองตาม ที่ ตนเคยเล าเรียนมาอย างไร ฟ งมาอย างไรแต กาลก อน. แต นี้ มั นมี อยู ชั ดที่ พระพุ ทธเจ าท าน ตรั ส ว า “ฉั น เห็ น แล ว ฉั น เห็ น แล ว, นรกที่ เป น ไปทางอายตนะหก” นี้ ก็ แ ปลว ามี น รก อยางอื่น ที่เขาพูดกันอยูอยางอื่น ไมใชอยางนี้ เขาพูดกันอยูกอน เขาถือกันอยูกอน.


๔๐๒

ปรมัตถสภาวธรรม

เดี๋ยวนี้พระพุทธเจาทานแยกตรัสวา “ฉันเห็นแลว ๆ นรกที่นี่ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, แลวก็สวรรคฉันก็เห็นแลวที่นี่ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ” ทานวาอยางนี้. ถ าคนที่ ฟ งไม ได ศั พท จั บไปกระเดี ยด ก็ เอาไปไว ใต ดิ นอี กตามเคยสํ าหรับนรก, เอาไว บนฟ าตามเคยสํ าหรับสวรรค , แล วต อเข าโลงไปแล วโน น จึ งจะค อยไปพู ดถึ ง หรือ ไปเรี ยกร อ งทวงถามกั น . ส วนที่ นี่ ก็ ไหม วอดวายไปแล ว เป น รก, หรื อ ว าที่ เป น สวรรค มั น ก็ ห ลงใหล เคลิ บ เคลิ้ ม งมงายอยู โดยไม รู สึ ก ตั ว อยู แ ล ว . นี่ แ หละประโยชน ที่ ว า ถาเราเขาใจสิ่งที่เรียกวา ปรมัตถสภาวธรรม. มี เรื่ องน าหวั วอี กเรื่ องหนึ่ ง ไหน ๆ พู ดแล วก็ พู ดให หมด ที่ ผู สั่ งสอนเดี๋ ยวนี้ เขาก็ สอนเรื่องนรก, นรกใต ดิ นต อตายแล ว สวรรค วิ มานบนฟ าต อตายแล วนี่ . เขาพู ด กับเด็กสมัยนี้วา “เรื่องนรกสวรรคนั้น เปนเรื่องนอกเหนือจากวิทยาศาสตร; พวก คุ ณ เรี ย นแต วิ ท ยาศาสตร พวกคุ ณ จะรู เรื่ อ งนรกสวรรค อ ย างที่ ก ล าวไว ไม ได ”. นี่ เขา กลั บย อนเอากั บพวกเด็ กสมั ยนี้ ที่ อยากรู จริ ง ๆ ว าเรื่ องนรกสวรรค เป นอย างไร, ทํ าไมถึ ง กลาวอยางนั้น มันไมสมเหตุสมผล.

www.buddhadasa.info เด็ ก ๆ ที่ ตั้ งข อสงสั ยอย างนี้ กลายเป นคนที่ โง ไป เพราะรู แต วิ ทยาศาสตร ที่ ไม สามารถทํ าให รู จั กนรกและสวรรค ได ; แต หารู ไม ว าวิ ทยาศาสตร ที่ ผู สอนเหล าโน นอ าง เอามาประณามเด็ กนั้น ก็ยังเป นวิทยาศาสตรของคนโงอยูนั่ นเอง. ถ าเป นวิทยาศาสตร ของผู รู ดี ต อ งทํ า ให ค นรู จั ก นรกสวรรค โดยถู ก ต อ งว า คื อ อะไร อยู ที่ ไหน เป น อย างไร; แล ว รูจั ก ได ที่ นี่ แ ละเดี๋ ย วนี้ ; นั่ น จึ ง จะเป น วิ ท ยาศาสตรที่ แ ท . นั่ น ต อ งเป น วิทยาศาสตรตามแบบของพระพุ ทธเจา แลวก็จะเห็นวานรกจริง ๆ อยูที่ไหนอยางไร; สวรรคจริง ๆ อยูที่ไหน อยางไร. แลวตองเอานรกและสวรรคมาดูใหไดโดยไมขัดกับ


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๐๓

หลั กวิ ท ยาศาสตร ของคนโง และไม อ ยู น อกเหนื อ วิ สั ย ของวิ ทยาศาสตร ชนิ ด ไหนหมด ถาเราจะอธิบายนรกสวรรคกันตามแบบวิทยาศาสตรที่แทจริงของพระพุทธเจา.๑ เดี๋ ยวนี้ มี แต วิ ทยาศาสตร ของพวกคนโง ที่ มั วแต เถี ยงและประณามกั นว า “แก มองไม เห็ น นี่ ” หรื อ ว า “สิ่ ง นี้ มั น อยู น อกเหนื อ วิ ท ยาศาสตร นี้ ”; กระทั่ ง เลยไปถึ ง ว า “เรื่องปาฏิ หาริ ย เรื่ องอะไรต าง ๆ นั้ นอยู นอกเหนื อวิ ทยาศาสตร พวกแกไม อาจจะเข าใจ ไดด อก”; ดัง นี ้เ ปน ตน . นั ่น เปน วิท ยาศาสตรข องคนโง และคนโงเ ปน คนพูด . ถาเปนวิทยาศาสตรจริงของพระพุทธเจา ทุกเรื่องจะชี้ใหเห็นได พิสูจนใหเห็นได โดยวิ ทยาศาสตร ตามแบบของพระพุ ทธเจ า. ไม มี อะไร ไม มี ปาฏิ หาริ ย ไหนที่ นอกเหนื อ ไปจากวิ ท ยาศาสตร ; แต ต อ งเป น วิ ท ยาศาสตร ของพระพุ ท ธเจ า. อิ ท ธิ ป าฏิ ห าริ ย ก็ ดี อาเทศนาปาฏิ ห าริ ย ก็ ดี อนุ ศ าสนี ป าฏิ ห าริ ย ก็ ดี ไม ไ ด อ ยู น อกเหนื อ วิ ท ยาศาสตร ; แตตองเปนวิทยาศาสตรของพระพุทธเจาเทานั้น ที่จะพิสูจนได แสดงไดทั้งนั้น. นี่ คื อตั วอย างข อขั ดข องที่ ว า ทํ าไมเราจึ งไม เข าถึ งปรมั ตถสภาวธรรมของ พระพุ ทธองค ; เพราะว าเราทํ าอะไรไขว กั น อยู . และที่ เป น มากที่ สุ ดก็ คื อ “ฟ งไม ศั พ ท แล วก็ จั บไปกระเดี ยด” ไม ทั นจะเข าใจหรื อยั งไม เข าใจจริ ง ก็ ไปพู ดเสี ยอย างนั้ นอย างนี้ อย างโน น ตามที่ ตั วเข าใจ เรื่ องก็ เลอะเทอะหมด. ส วนเรื่ อ งที่ เป นจริ งโดยแท จริ งก็ ไม ไดพูดกันอยางนี้; แลวทีนี้ที่วาเราอาจจะสรางอะไร มีอะไร ทําอะไรได ดวยอํานาจ

www.buddhadasa.info ๑

ผู ทํ าต นฉบั บเห็ นว า ผู อ า นอาจจะไม เข า ใจเรื่ อ งนี้ จึ ง ขออธิ บ ายเพิ่ มเติ มว า พระพุ ทธเจ า ตรัส วา ทา นไดเ ห็น นรกที ่ต า หู จมูก ลิ ้น กาย ใจ, เห็น สวรรคที ่ต า หู จมูก กาย ใจ; ดัง มี ข อ ความละเอี ย ดอยู ในสู ต รที่ ๒ เทวทหวรรค สฬา.สํ . ๑๘/๑๕๘-๙/๒๑๔-๕; ซึ่ งได ย กเอาใจความข อ นี้ มากล าวไว บ างแล วในหนั งสื อเล มนี้ เช นในการบรรยายครั้งที่ ๔ เป นต น; และได นํ าบทบาลี แห งพระสู ตรนี้ พรอมทั้งคําแปลมาพิมพผนวกไวที่ทายหนังสือเลมนี้แลว; ขอใหผูสนใจเปดดูเอาเอง. -ผูทําตนฉบับ.


๔๐๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ของความรู ในเรื่ อ งปรมั ต ถสภาวธรรมนี่ แ หละ จะเรี ย กว า ประโยชน ข องการเข า ถึ ง ปรมั ต ถสภาวธรรม ซึ่ งจะได ชี้ ให เห็ น ยิ่ ง ขึ้ น ไปอี ก และเป น ระบบที่ ชั ด เจนและรั ด กุ ม ยิ่งขึ้นไปอีก.

ประโยชนในการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรมมี ๓ ประโยชน ของการเข าถึ งปรมั ตถสภาวธรรมนี้ ก็ พอจะแบ งแยกออกได เป น พวก ๆ ไป ตามหลักเกณฑที่เรามีไวสําหรับแบง : ๑. ประโยชน ของการเข าถึ งปรมั ตถสภาวธรรม ในส วนที่ เป นปริ ยั ติ คื อ ความรู ความรอบรู . ปริ แปลว า รอบ, ยั ติ แปลว า รู , ปริ ยั ติ แปลว า รู ร อบ , รอบรู. ประโยชน ข องปรมั ต ถสภาวธรรมในส วนปริยั ติ ก็ คื อ ให รอบรู ต ามที่ ถู ก ต อ ง ตามที่ เป น จริ ง , ตามที่ ค รบถ ว นสมบู ร ณ ว า อะไรเป น อะไร; หรื อ ยิ่ ง ไปกว า นั้ น ก็ ว า อะไรเป น แต สั ก ว า อะไร. นี่ เดี๋ ย วจะ “ฟ ง ไม ศั พ ท จั บ ไปกระเดี ย ด” อี ก ; ระวั ง ให ดี ๆ วาอะไรเปนแตสักวาอะไร.

www.buddhadasa.info เช น ว า “คน” เป น แต สั ก ว า “ธาตุ ” “อายตนะ” หรื อ “ขั น ธ ” เป น ต น ; ยิ่ งไปเอา ไปให มี คน มี สมบั ติ ของคน มี อะไรหอบหิ้ วไปสวรรค ไปนรกอย างนี้ ก็ ยิ่ งไม ใช ; ยิ ่ง ไมใ ชป รมัต ถสภาวธรรม. ใหเล็ง เห็น “คน” วา เปน สัก แตว า ธาตุ เปน ไปตาม ธรรมชาติ, นรกหรือสวรรค ก็เปนเพียงแตปฏิจจสมุปนนธรรมที่ปรุงแตงกันขึ้นมาใน ความรูสึ ก เกิ ดขึ้ นในความรูสึ กเป นอย างนั้ นเป นอย างนี้ : สมมติ เรียกว าสวรรค ก็ พวกหนึ่ ง, สมมติวานรกก็พวกหนึ่ง, สมมติวาเหนือสิ่งทั้งปวงไปก็มีอีกพวกหนึ่ง. นี่ ถ าเรารู ว าอะไรเป นอย างไร และรูเลยไปถึ งว า ที่ เราเคยรูนั่ นมั นผิ ด มั น ไมถูก : เพราะมันเปนแตสักวา “นี่” เทานั้น ไมไดเปนอะไรมากเหมือนที่เราเคยนึก


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๐๕

เคยรู ; เช นว าคนนี่ ก็ ไม ใช คน เป นสั กว าธาตุ ในบางเวลา, สั กว าอายตนะในบางเวลา, สั กว าขั นธ ในบางเวลา, และสั กว าอุ ปาทานขั นธ ในบางเวลา; หรือว าเลยไปเป นตั วความ ทุ กข ; เท านั้ นแหละ คื อ “คน” ในบางเวลา. นี้ จึ งจะเรียกว าเป นปรมั ตถสภาวธรรมใน แงของปริยัติ; ประโยชนก็คือใหเรารูอยางถูกตองแทจริงวาอะไรเปนอะไร. ๒. เขยิ บ ออกไปถึ ง ประโยชน ใ นส ว นของการปฏิ บั ติ หรื อ การกระทํ า แม แต การปฏิ บั ติ งานตามบ านตามเรือนของชาวบ าน, หรือการปฏิ บั ติ งานในพระศาสนา เพื่ อ บรรลุ ม รรคผลนิ พ พาน ก็ ต ามอสั ย สิ่ งที่ เรี ยกว าปรมั ต ถสภาวธรรม. ในการมี ชี วิ ต อยู นี้ เราจะต อ งทํ า อะไร, เราจะต อ งทํ า อย า งไร, และทํ า เท า ไร; ถ า เราไม มี ค วามรู เรื่ องปรมั ตถสภาวธรรม เราก็ ทํ าอย างนั้ นไม ได การที่ มี ชี วิ ตอยู ของเราก็ เลยผิ ด ๆ ไปหมด ไมไดผลดี. ๓. ในส วนปฏิ เวธ คื อการเสวยผลของการกระทํ า, ปรมั ต ถสภาวธรรม นี่หมายถึงการเสวยผลสูงสุด ลึกซึ้งสูงสุดที่มนุษยไมเคยรูจัก คือการบรรลุมรรค ผล นิพ พาน เปน ปรมัต ถสภาวธรรมในแงข องปฏิเวธ; คือ ไมตอ งมีค วามทุก ขเลย ในทุกขกรณีไมวาในกรณีไหน ไมตองมีความทุกขเลย.

www.buddhadasa.info นี้เรียกวาจะมองกันในแงของปริยัติก็ได, มองกันในแงปฏิบั ติก็ได, มอง กั น ในแงป ฏิ เวธก็ ได .การถึ งปรมั ต ถสภาวธรรม ย อ มมี ป ระโยชน อ ย างยิ่ ง แม ว าเรา จะดู กั น ให ละเอี ยดเป น พวก ๆ ไป ก็ มี ท างที่ จะดู ได อ ย างนี้ ; จะเล าให ฟ งเป น ตั วอย าง สําหรับรู แลวก็ไปเปรียบเทียบเอาเองไดทั้งหมด :-

ในส ว นปริ ยั ติ ซึ่ งแปลว าความรอบรู ถ า รู ป รมั ต ถธรรมว า อะไรเป น อะไร อย างเรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่ องขั นธ เรื่องอุ ปาทานขั นธ ตามที่ เป นจริง ตามธรรมชาติ อยางไรแลว; ความรูนี้ก็ถือวาเปนการไดรูสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษยควรจะรู ที่พระพุทธเจา


๔๐๖

ปรมัตถสภาวธรรม

ทานไดตรัสไว อีกรูปหนึ่งวา ถารูวาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไมควรยึดมั่นถือมั่น นั้นคือรู หมดในสิ่งที่ควรรู คือรูวา สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย -ธรรมทั้งหลายทั้งปวง อันบุคคลไมควรยึดมั่นถือมั่นวาเราวาของเรา ใครรูอยางนี้เทานั้นแหละ รูเพียงเทานี้ ก็คือรูหมดในทุกสิ่งที่ควรรู. ทีนี้ ทําไมไมควรยึดมั่นถือมั่น ? นี้ก็ไดอธิบายกันอยางละเอียดพิสดารแลว โดยเรื่องปรมั ตถสภาวธรรมที่ กล าวมาแล ว; ฉะนั้ น ใครรูก็ เรียกวาได รูทุ กสิ่ งที่ มนุ ษ ย ควรจะรู ไม มี อะไรนอกไปจากนี้ . ถามี อะไรที่ ไม ได พู ดด วยคํ านี้ ก็ ยั งไม แปลกไปจากนี้ คือรวมอยูไดในสิ่งนี้ และไดรูสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษยควรจะรู. บรรดาเรื่องที่มนุษยควรจะรู หรือมีประโยชน แกมนุษยที่สุดนั้น ไมมีเรื่อง อะไรดีกวาเรื่องนี้, คือรูวาอะไรเปนอะไร แลวก็ไมยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด; ก็คือรูวา ไม มี สิ่งอะไรที่ ควรยึดมั่ นถือมั่ น. ตามปกติ ทั่ วไปความรูที่ถู กตองอยางนี้ ย อมทํ าให คน หายโง; พูด กัน ตรง ๆ ก็ห ายตื ่น หายหลง หายงง หายเคอะ. คนกํ า ลัง ตื ่น นั ่น ตื่นนี่ตื่นโนน, เดี๋ยวอะไรแปลกเขามาก็ตื่น ตื่นเตน แลวก็หลงไปพักหนึ่ง.

www.buddhadasa.info อย างสมั ยหนึ่ งไม มี น้ํ าอั ดลม กิ น พอมี น้ํ าอั ดลมกิ น ก็ ตื่ นกั นไปพั กหนึ่ ง; นี้ มั นโง เพราะเป นเรื่องที่ ไม ต องตื่ น ไม จํ าเป นจะต องตื่ น. รูว าอย างนี้ เป นธรรมชาติ เป นธาตุ ตามธรรมชาติ ; เอาธาตุ มาปฏิ บั ติ ต อกั นอย างนี้ แล วก็ มี ผลอย างนี้ , กิ นเข าไป ก็ทํ าให เกิดผั สสะ เกิดเวทนาทางลิ้นแลวก็ เป นอยางนั้ น. ทํ าไม จะต องตื่ น จะต องหลง จะต องเห็ น เป น เรื่องแปลกประหลาด. ยกตั วอย างเรื่อ งน้ํ าอั ด ลม นี้ ก็ คล าย ๆ กั บ ว า โงเต็มทีแลว

ยั งมี เรื่ องอะไรมาก เรื่อ งที่ จะมี ของประหลาด เช น เรื่ อ งวิ ท ยุ เรื่ อ งตู เย็ น เรื่องโทรทัศน กระทั่งรื่องเรือบิน เรื่องไปโลกพระจันทรไดนี้ ก็ตื่นกันเปนการใหญ.


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๐๗

คื น แรกที่ เข า ไปโลกพระจั น ทร เอาโทรทั ศ น ม าส ง นี้ นั่ ง เฝ า จอโทรทั ศ น กั น จนสว า ง; เพราะตื่ น ว า มั น เป น ที่ ป ระหลาด; นี่ เขาเรี ย กว า ตื่ น . ถ า รู เรื่ อ งนี้ แ ล ว ที่ ตื่ น ก็ ห ายตื่ น ที่ หลงก็ หายหลง ที่ งงก็ หายงง คื อหายเซอะหายเซ อ หายตื่ น หายหลง ในปรากฏการณ หรื อในผลิ ต ผลอั น สมมติ เรี ยกกั นว าประหลาด น าอั ศ จรรย ; จะไม มี อ ะไรที่ ป ระหลาด หรือนาอัศจรรย หรือเหนือวิสัยธรรมดาอะไรก็ไมมี. ถาผูใดรูปรมัตถสภาวธรรมแลว จะไมมีอะไรมาทําใหเกิดความรูสึกวา แสน จะป ระห ลาด แสนจะนา อัศ จรรย; นั ่น มัน เรื ่อ งของคนโง ที ่ไ มรู เ รื ่อ ง ปรมั ต ถสภาวธรรม. แม แ ต เรื่ อ งว า ไปโลกพระจั น ทร นี้ เขาก็ ว า เป น เรื่ อ งประหลาด น าอั ศจรรย เป นปาฏิ หาริย กั นอยู มากแล ว. อยากจะบอกว าแม จะยิ่ งกวานั้ นสั กรอยเท า พั นเท า ก็ ไม น าประหลาด ไม น าอั ศจรรย ; เพราะว าเป นไปตามกฎเกณฑ ของปรมั ตถ สภาวธรรม แต เป น ส วนที่ ละเอี ยด ที่ คนส วนมากยั งไม รูจั ก, แล วก็ เป น ของง าย ของ ธรรมดาสําหรับคนที่รูจักแลว. เรื่ องการคิ ดประดิ ษฐ อะไรนี้ เป นสิ่ งเสมอกั นโดยที่ ว า เรื่ องบ า ๆ บอ ๆ ด วยกั น ทั้ งนั้ นแหละ คื อดั บความทุ กข อะไรไม ได เลย; และบางที จะเพิ่ มความทุ กข เพราะว า ไปทํ าให ตื่ น ให หลง ให งงยิ่ งขึ้ นไปอี ก. อย างนี้ ก็ เรียกว า ความรูปรมั ตถ นี้ ทํ าให หายตื่ น หายหลง หายงง หายคิ ด หายนึ ก หายมี ความเห็ นว าน าอั ศจรรย เป นปาฏิ หาริ ย อย างนี้ เป น ต น ; ก็ เลยเรี ย กว าสิ่ งที่ ห ยุ ด หยุ ด ความบ าหลั งนั้ น เสี ย ได จึ งมี ป ระโยชน . การรู ปรมัตถสภาวธรรม มีประโยชนอยางนี้.

www.buddhadasa.info ในแงปฏิบัติตองเกี่ยวกันอยูกับ กาย, จิต, วิญญาณ ในแง ของการปฏิ บั ติ หรื อในฐานะที่ เป นการปฏิ บั ติ หรื อเกี่ ยวกั บการปฏิ บั ติ ก็ดี ถาเรารูสิ่งที่เรียกวา ปรมัตถสภาวธรรม แลวก็มีประโยชน มากเหมือนกัน ;


๔๐๘

ปรมัตถสภาวธรรม

คือวาเราจะปฏิ บั ติ ได ถู กต อง สําเร็จประโยชนตามที่ ตองการ หรือตามที่ ควรจะตองการ. ในเรื่ อ งทางกาย ทางวั ต ถุ นี้ ก็ ดี , ในเรื่ อ งทางจิ ต ก็ ดี ในเรื่ อ งทางวิ ญ ญาณก็ ดี , เรา จะทํ าถู กต องตามที่ ควรจะทํ า แล วที่ ดั บทุ กข ได ในที่ สุ ด. เรื่องสามเรื่องนั้ นเคยพู ดมาแล ว จนซ้ําซากเต็มที แลว ก็ยังจะต องพู ดอี ก วามนุ ษย เรามี สิ่ งที่ จะต องเกี่ ยวของอยู ดวย ๓ เรื่อง ด วยกั น : เรื่ องวั ตถุ หรื อเรื่ องทางกายนี้ เรื่ องหนึ่ ง, แล วเรื่ องทางจิ ตล วน ๆ, แล วเรื่ อง ทางวิญญาณคือสติปญญาลวน ๆ. ๑. เรื่ องทางร างกาย หมายถึ งร างกายที่ ประกอบอยู ด วยวั ตถุ แม แต สิ่ งที่ เรียกวาชีวิตนี้ ก็เอาไวกับเรื่องวัตถุกาย, กายวัตถุ. ๒. เรื่ อ งทางจิ ต คื อ อะไร ทํ าอย างไรจิ ต จึ งจะมี ส มรรถภาพ จะคิ ด เก ง จะจํ าเก ง จะแสดงฝ ไม ลายมื อได ถึ งที่ สุ ดของกํ าลั ง ของความสามารถที่ จิ ตมี . เดี๋ ยวนี้ ได ยิ น เขาพู ด กั น ว า “กํ า ลั ง ภายใน” กํ า ลั ง ภายใน นี่ เฟ อ กั น ไปหมด เป น ที่ รู จั ก กั น ดี แ ล ว ; แสดงวาเขารูจั กจิ ตขึ้ นมาในแงหนึ่ งแล ว คื อรูเรื่องจิ ตมากขึ้ นกวาเดิ ม. เรื่องนี้ ก็ เหมื อนกั น ถ า มี ค วามรู ท างปรมั ต ถสภาวธรรมดี จริ ง พอ; ก็ จ ะรู จั ก เรื่ อ งจิ ต , แล ว ปฏิ บั ติ เกี่ ย ว กั บจิ ต ให จิ ตเกิ ดเป นจิ ตที่ มี สมรรถภาพอย างไม น าเชื่ อ อย างที่ เป นปาฏิ หาริย ได ; แต ก็ ไม ใช ปาฏิ หาริ ย เพราะเป นธรรมดาของจิ ตอย างนั้ นเอง. เช นจิ ตจะเป นสมาธิ เป นฌาน เป น สมาบั ติ หรื อ จะมี อิ ท ธิ ฤ ทธิ อ ภิ ญ ญาแสดงอะไรได ก็ เ ป น เรื่ อ งธรรดาสํ า หรั บ ปรมั ตถสภาวธรรม ซึ่ งเป นอย างนั้ นเอง เมื่ อทํ าแล วก็ เป นอย างนั้ นเอง คนธรรมดาไม รู จึงเห็นเปนเรื่องปาฏิหาริย.

www.buddhadasa.info ๓. เรื่ องทางวิ ญญาณ หมายถึ งความรู หรื อสติ ป ญญาของจิ ต เราแม จะมี จิ ต เป น สมาธิ มี จิ ต ดี ; แต ยั งไม รู ก็ ได ยั งเป น จิ ต ที่ ไม รู เรื่ องนิ พ พานก็ ได . ต อ งมี ความ รูเรื่องนิพพาน เรื่องความดับทุกข คือเห็นแจงในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา, แลวก็รู


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๐๙

วาไม มีอะไรที่ควรยึดมั่น ถือมั่น เป นตัวตน; เรื่องความรูอยางนี้ ก็เรียกวาเปนเรื่อง ทางวิญญาณไวทีกอน เพราะไมรูจะเรียกวาอะไร. รวมกั นแล วก็ เป น ๓ เรื่ อง : เรื่ องร างกาย เรื่ องจิ ต แล วก็ เรื่ องวิ ญ ญาณ คื อ ความรูของจิต. ทั้งหมดนี้ขึ้นอยูกับสิ่งที่เรียกวา ปรมัตถสภาวธรรม เพราะมันอยูมา หรื อเป น มา หรื อ เป น ไปก็ ต าม ในลั กษณะที่ เป น ปรมั ต ถสภาวธรรม คื อ มี อั ต ถ อั น ลึ ก มี ค วามหมายอั น ลึ ก มี ความลั บ อั น ลึ ก; แต แล วมั น ก็ เป นธรรมชาติ ธรรมดา คื อ เป น สภาวะอยางนั้นเอง. ถาเรามีความรูเรื่องปรมัตถสภาวธรรมตามหลักที่อธิบายมาแลว เราก็จะทําได หรือปฏิ บั ติ ได ดี ที่ สุ ด และสมบู รณ ที่ สุ ด. ดี นี้ ต องสมบู รณ ด วย; ดี ครึ่ง ๆ กลาง ๆ โดย ไมสมบูรณใชไมได ตองดีดวยและสมบูรณดวยในเรื่องของความดับทุกข. ฉะนั้น ขอให ศึ กษาเรื่องความจริงของสิ่ งทั้ งปวงคื อสภาวธรรม แล วก็ จะปฏิ บั ติ สิ่ งทุ กสิ่ งที่ เป น หน าที่ ที่ เกี่ ยวข องทั้ งทางกาย ทางจิ ต ทางวิ ญ ญาณได ดี ที่ สุ ด สมบู รณ ที่ สุ ด, แล วที่ วิ เศษยิ่ งไปกว านั้ นก็ คื อว า จะง ายที่ สุ ด สะดวกที่ สุ ด ลํ าบากน อยที่ สุ ด. เดี๋ ยวนี้ เราจะ ทํ าอะไรก็ ตามเถอะ ถ าเราไม รู เรื่ องนั้ นจริ ง จะทํ าลํ าบากที่ สุ ด; พอรู จริ ง ทํ าง ายที่ สุ ด แมแตจะทําขนมกินสักอยางหนึ่งนี้ ถารูจริงก็ทํางายที่สุด.

www.buddhadasa.info ในเรื่องบรรลุ มรรค ผล นิ พพาน ก็ เหมื อนกั น ถ าไม รูจริงก็ ทํ ายากที่ สุ ด; เมื่อรูถึงขนาด รูปรมัตถสภาวธรรมแลวการปฏิบัตินั้นไมยากเลย คือทําใหการปฏิบัติ นั้ นง ายขึ้ นอี ก ง ายกว าที่ จะปล อยไปในลั กษณะที่ ว า คลํ าไปพลาง ทํ าไปพลาง ทดลอง ไปพลาง. อยางที่รูปรมัตถธรรมเสียกอนนี้มันจะทําไดงายที่สุด สะดวกที่สุด. เหมื อนอย างเมื่ อตะกี้ นี้ ก็ พู ด แล วว า จะสร างนรกขึ้ น ทั น ที เดี๋ ยวนี้ ก็ ได มั น งายหรือสะดวกอยางนั้น; ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่เรียกวา


๔๑๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ผั ส สายตนิ ก นรก นี่ ส ร างนรกจริ ง ๆ กั น เดี๋ ย วนี้ ก็ ได . และตรงกั น ข ามจะสร างสวรรค กันจริง ๆ ทางอายตนะ๖ เดี๋ยวนี้ก็ได; นี่ดีอยางนี้ งายอยางนี้. หรื อว าเราจะข ามความทุ กข ไปนิ พพานก็ ได ; เพราะว าเป นการข ามมหาสมุ ทร คื อ ตา หู จมู กลิ้ น กาย ใจนี้ . ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ มี อ ยู ที่ ไหน เป น สมุ ท รที่ นั่ น . รูปรมั ตถสภาวธรรมแล ว จะอยู เหนื ออํ านาจของความหลอกลวงของตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ; ข ามมหาสมุ ทรไปนิ พพานกั นที่ นี่ เดี๋ ยวนี้ ก็ ได . นี่ เรียกว าข ามวั ฏฏสงสารอย างโดยตรง อย างแท จริ ง อย างสะดวกได เพราะความรู ทางปรมั ตถสภาวธรรม; นี่ มั นเป นการทํ า ใหดีที่สุดดวย แลวการทํานั้นไมลําบาก ไมยากเกินไปดวย. อีกอยางหนึ่งที่อยากจะกลาวก็คือวา ความรูปรมั ตถนี้ ตรงตามจุดหมาย ที่ แท จริงของสิ่งที่ มี ชี วิต ตามจุดหมายที่แทจริง และสูงสุดของสิ่งที่มีชีวิต. ในบรรดา สิ่ งที่ มี ชี วิ ต ย อมมี ความรู สึ ก; ถ ามี ชี วิ ตสู งขนาดคนเรา ก็ มี ความรู สึ กสู ง เพราะรูสึ กสุ ข รูจั กทุ กข รู จั กดิ้ นรนเพื่ อจะดั บทุ กข เสี ย. ความรูปรมั ตถสภาวธรรมนี้ เป นความรูตรง, มุงไปยังจุดหมายโดยตรงแทจริง และสูงสุดของสิ่งที่เรียกวาชีวิต

รูจักความหมายของสิ่งที่เรียกวาชีวิต www.buddhadasa.info ชีวิตนี้มีอยู ๒ ชีวิต ชีวิตหนึ่ งเป น ความตาย, อี กชีวิต หนึ่ งเป น ความ ไม รู จั ก ตาย. ชี วิ ต ที่ จ ะยึ ด มั่ น นี่ โดยความเป น ตั ว กู -ของกู เอาตั ว กู -ของกู เป น ชี วิ ต ชี วิ ตนั้ นคื อตาย, ตายอยู ที่ นั่ นแล ว, เป นความทุ กข โดยสมบู รณ อยู ที่ นั่ นแล ว: นี่ เรี ยกว า ชี วิ ต ตาย; ฟ ง ดู ก็ น า หั ว เราะ หรื อ ไม น า เชื่ อ หรื อ ว า เล น ลิ้ น ตลบแตลง. ชี วิ ต ตาย คื อชี วิตที่ กํ าลั งยึ ดมั่ น : ติ ดอยูในสิ่งใด ทางตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ โดยความเป น ตัวกู-ของกู; นี้คือชีวิตตาย.


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๑๑

ทีนี้ ชีวิตที่เปนชีวิตนิรันดร ก็คือ ชีวิตที่ไมไดติดอยูกับสิ่งใดโดยความ เป น ตั ว กู -ของกู ; จุ ด หมายปลายทางของชี วิ ต นั้ น คื อ ชี วิ ต จริ ง คื อ ชี วิ ต เป น ไม รู จั กตาย; นั่ นแหละเข าใจไว เถิ ดว า คื อเรื่ องปรมั ตถสภาวธรรม ที่ มี อยู ในชี วิ ตจริ ง และ ชี วิ ตตาย. ถ าไม เข าใจ ไม มองเห็ นปรมั ตถสภาวธรรม จะไม มองเห็ นชี วิ ตตายของตั วเอง ที่ตายอยูทุกเวลานาที; ตัวเองนั่นแหละ ตัวกูนั่นแหละ ตายอยูทุกเวลานาที. พอรู เรื่ องปรมั ตถสภาวธรรม อย างที่ บรรยายกั นมาตั้ ง ๑๐ กว าครั้ งแล วนี่ ก็ จะเห็ นว า อ าว, นี่ ไม ใช ชี วิ ตนี่ ไม ควรจะเรี ยกว าชี วิ ต : มั นเป นความเข าใจผิ ดอย าง หนึ่ งเท านั้ น ที่ เข าใจว าชี วิ ต เข าใจว าตั วเรา เข าใจว าของเรา; ผู นั้ นก็ เลยไปเอาสิ่ งที่ จริ ง นอกเหนือ ไปจากสิ่งที่ห ลอกลวงนี้ คือ ไมเกิด เปน ตัว กู-ของกูขึ้น มา; ปลอ ยให เป น สภาวธรรมแท อยู เป น สิ่ งที่ ไม รู จั กตาย. เขามองเห็ น หรือ เข าถึ ง, หรื อ จิ ตนี้ เข าถึ ง ความเป นอั นเดี ยวกั นกั บสิ่ งที่ ไม รู จั กตาย คื อพวกอสั งขตะที่ ไม รู จั กตาย. นี่ เราเรี ยกว า ประโยชนจากการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม ในฐานะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติ.

มนุษยเสียเวลาไปทําสิ่งที่ไมตองทํา

www.buddhadasa.info เดี๋ ย วนี้ มนุ ษ ย เรากํ า ลั ง ฉลาดแต ใ นสิ่ ง ที่ มิ ใ ช จุ ด หมายของมนุ ษ ย ; มนุ ษ ย ส วนมากเขาไม เชื่ อ เขาจะไม ย อมฟ ง; หรื อ เขาว าอาตมาพู ด นี้ พู ด บ า ๆ บอ ๆ ไปตามเคย ว าเดี๋ ยวนี้ มนุ ษย เราฉลาดแต ในสิ่ งที่ มิ ใช เป นจุ ดมุ งหมายของมนุ ษย . ถ าเป น มนุ ษย หมายความวาใจสูง และสูงไปในทางที่ จะดับทุ กข จะหมดทุกข จะสิ้นทุกข จะทําความดับทุกขใหได คือนิพพาน นี่เปนจุดหมายปลายทางของมนุษย.

ทีนี้ คนในโลกเวลานี้ ฉลาดแต ในทางที่ จะทํ าให ต รงกัน ขาม ใหไป เสี ยอี กทางหนึ่ ง ไม ตรงไปยั งจุ ดหมายปลายทางของมนุ ษ ย . การศึ กษาเล าเรี ยน การ คนควา การประดิษฐ การผลิตที่เปนความเจริญของมนุษย ในยุคปจจุบันนี้ ในโลกนี้


๔๑๒

ปรมัตถสภาวธรรม

เป นไปแต ในทางที่ ตรงกั นข าม, คื อไม ไปตามความมุ งหมายของมนุ ษย ที่ แท จริง. ฉะนั้ น เราจึ งไม เรี ยกคนในโลกเวลานี้ ว ามนุ ษ ย เราเรี ยกว า “คน” ดี กว า; เพราะคํ าว ามนุ ษ ย แปลวาใจสู ง หรือว า แปลว า ลู กหลานแห งมนู ผู มี จิ ตใจสู ง มนุ ษย มี จิ ตใจสู ง แต เดี๋ ยวนี้ จิตใจของมนุษยไมสูง มุงลงไปหาความทุกขยากลําบาก ความเดือดรอนยิ่งขึ้นทุกที. มนุ ษย ทํ าแต สิ่ งที่ ให สู ญ เสี ยความเป นมนุ ษย ; จะเรียกวาด าอย างยิ่ งก็ ตามใจ ก็ ต องพู ดไปตรง ๆว า เดี๋ ยวนี้ มนุ ษย นี่ ดี แต ทํ าสิ่ งที่ ให สู ญ เสี ยความเป นมนุ ษย คื อ ไม ทํ า อย า งมนุ ษ ย ; เพราะว า ไปทํ า ความหลงใหล ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เป น ตั ว กู -ของกู . มนุ ษย ไปทํ าในสิ่ งที่ ถ าไม ทํ าเสี ยจะยั งดี กว า : จะไปผลิ ตนั่ นผลิ ตนี่ ขึ้ นมาให ยุ ง ให เสี ย เวลามาก แล วไม มี สั ติ ภ าพเกิ ดขึ้ น อย างนี้ เรียกว าไม ทํ าเสี ยดี กว า เพราะไปทํ าให ยุ ง มากขึ้น มีปญหามากขึ้น ไมทําเสียดีกวา; อยูนิ่ง ๆ เสียดีกวา. พู ดแล วก็ จะเป นเรื่องกระทบกระเทื อน วาเดี๋ ยวนี้ เรากํ าลั งกิ นอะไรที่ ไม ตองกินอยูก็มาก, ไมตองนุงไปตองหมอะไรบางอยางก็มาก, ไมตองมีที่อยูที่อาศัยเกินกวา ที่ จํ าเป น จะต องมี นี้ ก็ ม าก; แล วส วนของเล น ของบํ ารุ งกามารมณ บํ ารุ งบํ าเรออะไร ต า ง ๆ แล ว ก็ ยิ่ ง มาก. เราเสี ย เวลาไปในสิ่ ง ที่ เราไม ค วรทํ า ถ า ไม ทํ า เสี ย จะดี ก ว า . เช นบางคนไม มี รถยนต เสี ยเลยจะดี กวา ก็ ไปบ ามี รถยนต กั บเขาจนได แล วก็ มี ป ญหาเกิ ดขึ้ น เพราะการมี รถยนต นี้ ; อย างนี้ ก็ เรียกว าเสี ยเวลาไปทํ าในสิ่ งที่ ไม ทํ าเสี ยยั งดี กว า. บางสิ่ ง ยิ่ งไม ทํ ายิ่ งดี แต ก็ ไปทํ าสิ่ งนั้ น. แต นี่ ก็ ไม ได หมายความว า ทุ กคนจะต องเหมื อนกั นหมด; เพราะมีบางรายที่ไปทําใหยุงมากขึ้นใหมีปญหามากขึ้น ไมทําเสียดีกวา.

www.buddhadasa.info มนุ ษ ย กํ าลั งทํ าให มี ป ญ หามากขึ้ น , ไปทํ าให มี ป ญ หามากขึ้ น จนแก ไมไ หว; ความแกไ มไ หวนี ่ มัน ยิ ่ง มากขึ ้น ทุก ที. ขอใหค ิด ดูเ ถอะ เดี ๋ย วนี ้ม นุษ ย ขึ้นเรือบิน บินวอนกันวันละหมื่นเที่ยวแสนเที่ยว ปญหาก็ไมหมด ยังแกไมตก ยังแก


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๑๓

ไม ได ; เพราะมนุ ษย สร างป ญ หาขึ้ นมากกว าความจํ าเป นเสมอ. ถ าอยู กั นอย างง าย ๆ ในสั งคมแคบ ๆ ก็ ไม มี เรื่ องยุ งมาก ก็ ไม ลํ าบากมาก; เรื่ องที่ จะต องตกเรื อบิ นตายก็ ไม ต อ งมี หรื อมี น อยที่ สุ ด. แต นี่ เราไปทํ าให เรื่ องมั นมาก มากขึ้ น ๆ ๆ จนว ามนุ ษ ย ต อ ง ขึ้นเรือบิ นไปธุระวันหนึ่ งหลายแสนหลายล านราย; เป นเรื่องยุ งเพิ่ มขึ้น แล วก็ มี ความทุ กข มากขึ้ นเพราะสิ่ งที่ ไม ต องทํ าก็ ได . นี่ เราฉลาดแต ในสิ่ งที่ ไม ต องทํ า เราฉลาดแต ในทาง ที ่ไ มต อ งทํ า ; มนุษ ยเ ดี ๋ย วนี ้เ ปน อยา งนี ้; เพราะฉะนั ้น จึง ไมเ รีย กวา “มนุษ ย” จะเรียกวา “คน”. ถาเขารูสิ่งที่เรียกวาปรมัตถสภาวธรรม มนุษยทุกคนจะสามารถจัดการ ภายในตั วเอง ให มี ความต องการน อย หรือวาแต พอดี ๆ ไม มี ส วนเกิ น; ก็ สามารถ จะแก ป ญ หาต าง ๆ ได อยู กั นผาสุ ก โดยไม ต องเกี่ ยวกั บคนข างนอก หรื อสิ่ งแวดล อม รอบด า น ไม ม ากมายยุ ง ยากเหมื อ นเดี๋ ย วนี้ . อย า งนี้ ก็ เรี ย กว า ช ว ยโลกนี้ ให ส งบกว า มี สั น ติ ก ว า เยื อ กเย็ น เป น สุ ข กว า ; แต ทํ าไม ได เพราะไม รู ป รมั ต ถสภาวธรรมว า เป น อย า งไร, ว า มนุ ษ ย ค วรจะทํ า อย า งไร, ไม รู ว า มนุ ษ ย นี่ ไ ม ค วรจะไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ขยายใหบานปลายออกไปทุกทีอยางนี้.

www.buddhadasa.info เพราะไม รูอยางนี้ ก็ต องเป นมนุษยที่น อยลง นอยลงจนหมดความเป นมนุ ษย , มี ความเป นมนุ ษยน อยลง นอยลง เหลือแตความเปนสัตวชนิ ดหนึ่งที่เต็มไปดวยความ ทุ ก ข จนสุ นั ข หรื อ ไก หรื อ แมว มั น หั วเราะเยาะได ว า มนุ ษ ย นี่ มั น ช างมี ค วามทุ ก ข มากมายหลายหมื่นหลายแสนเทา. นี้เรียกวา ถามองกันในแงของการปฏิบัติ ความรูเรื่องปรมัตถสภาวธรรม จะทําใหเราปฏิบัติไดดีที่สุด สมบูรณที่สุด ในทุกหนาที่ของเรา แลวตรงจุดที่สุด ที่จะ


๔๑๔

ปรมัตถสภาวธรรม

เป นมนุ ษย ผู อยู ด วยความสงบ, แล วจะเป นของงาย พอสะดวกสบาย ไม ยากลํ าบากอะไร เกินไป จะใกลตอพระนิพพานได. เดี๋ยวนี้ มีแตหลอกกันวา นิพพานนี้ยากแสนยาก อยาไปปรารถนาเลย; หรือว าถ าปรารถนา ก็ ตั้ งปรารถนาไว ร อยชาติ พั นชาติ หมื่ นชาติ แสนชาติ นี้ เป นการ นั บ ชาติ ของคนโง ๆ. ถ าคนฉลาดแล ว เขารู ว าพระพุ ท ธเจ าได ต รั ส ไว ว า ความคิ ด ว า ตัว กู-ของกูเ กิด ทีห นึ ่ง นี ้ เรีย กวา ชาติห นึ ่ง , ความคิด วา ตัว กู-ของกู หรือ เปน ไป ในทางตั วกู -ของกู เกิ ดที ห นึ่ ง ก็ ชาติ ห นึ่ ง; วั น หนึ่ งมั น มี หลายสิ บชาติ หลายร อยชาติ . ถ าชาติ อย างนี้ ละก็ จริงเหมื อนกั น หลายรอยชาติ หลายสิ บชาติ หลายพั นชาติ แล วก็ เบื่ อ ก็ เข็ ด ก็ เปลี่ ยนกลั บไปในทางถู ก; ไม ทั นจะเข าโลกก็ ถึ งนิ พพานได เพราะการนั บชาติ อย างนี้ . ถ านั บ ชาติ เข าโลงที ห นึ่ งเรี ย กว าชาติ ห นึ่ ง นี่ เป น การนั บ ชาติ ข องคนโง ที่ ยั ง ต อ งพู ด กั น ไปอย างนั้ น ก อ น นิ พ พานจึ งอยู ไกลเหลื อ ประมาณ; แล วก็ ว า ปฏิ บั ติ ย าก เหลือประมาณ. นี่ฟงไมศัพทจับไปกระเดียดในเรื่องนี้แลว เสียหายมาก. ขอใหพุทธบริษัททุกคนฟงใหถนัด คือฟงใหไดศัพท แลวจะไดปฏิบัติให ถู กต องตามที่ พระพุ ทธเจ าท านตรัสสอนไว ; ถู กแล วเราอาจจะเวียนว ายอยู ในวั ฏฏสงสาร หมื่ นชาติ แสนชาติ . แต อย าลื มว าในวั นหนึ่ งก็ เข าไปหลายสิ บชาติ หรื อตั้ งร อยชาติ แล ว ไม กี่ เดื อ น ไม กี่ ป ก็ ถึ งหมื่ น ชาติ แสนชาติ ; จึ ง ควรจะฉลาดขึ้ น พอทั น แก เวลา เพื่ อ ทําลายอวิชชาไดทัน กอนแตที่จะเขาโลง.

www.buddhadasa.info สมมติวาอายุ ๘๐ ปอยางนี้ ใหเวียนวายตายเกิดอยูเพียงสัก ๕๐ ป นี้ก็ หลายหมื่ น หลายแสนชาติ เต็ ม ที แ ล ว , หรื อ หลายอสงไขยชาติ ก็ ไ ด เหลื อ นั้ น ให มันถึ งจุดที่ วาหายโงหายหลง เขาถึงความจริงกันเสียที ; หยุดเกิ ดแห งอุปาทานขันธกั นเสียที ก็เปนนิพพานได. นี่แหละ ความรูของปรมัตถสภาวธรรม ทําใหมีการปฏิบัติที่ปฏิบัติได


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๑๕

ให ธรรมะนี้ เป นธรรมะที่ ปฏิ บั ติ ได อย างที่ เรี ยกว า สฺ วากฺ ขาโต ภควตา ธมฺ โม สนฺ ทิ ฏ โก อกาลิ โก, ล ว นแต เป น เรื่ อ งที่ ป ฏิ บั ติ ได แ ล ว ทั น ที ที่ นี่ แ ละเดี๋ ย วนี้ สํ า หรั บ คนธรรมดา สามั ญ ไม ใช คนบ า. ถ าคนที่ บ าหรื อโง เกิ นไปก็ ต องยกเว น ไม เอามาอยู ในคํ า ๆ นี้ ที่ ว า ธรรมะนี้ เ ป น สนฺ ทิ ฏ โ ก อกาลิ โ ก เอหิ ป สฺ สิ โ ก โอปนยิ โ ก ปจฺ จ ตฺ ตํ เวทิ ต พฺ โ พ วิูหิ.

ดูประโยชนของปรมัตถ ในแงปฏิเวธ ดู กั น ต อ ไปถึ งประโยชน ของปรมั ต ถสภาวธรรมในแง ของปฏิ เวธ : ปฏิ เวธะ แปลว า แทงเฉพาะ ถึ งเฉพาะ หรื อประจั กษ แก ใจ; นี่ มั นก็ เกี่ ยวเนื่ องกั นกั บคํ าว าปฏิ บั ติ . ถ าปฏิ บั ติ ถู ก ต อ ง ปฏิ เวธก็ มี เป น แน น อน; แต เราแยกออกมากล าวอี ก ที ห นึ่ ง ก็ เพื่ อ ให เห็นผลชัดขึ้นในแงของปฏิเวธ. ปรมัตถสภาวธรรมนี้ เมื่อรูแลวจะชวยใหไมตองมี ความทุ กข เลย ในทุ กกรณี และทุ กชนิ ดของสิ่ งที่ เป นคู ข อนี้ ต องนึ กถึ งพระพุ ทธภาษิ ต อันหนึ่ง ที่ตรัสตอบแกพราหมณคนหนึ่ง :-

www.buddhadasa.info พราหมณ คนหนึ่ งเขาพู ดว า ตามบทบั ญ ญั ติ ของพระเวท ของพระคั มภี ร อั น ศั กดิ์ สิ ทธิ์ ของผู รู พระเวทนั้ น : เขาบั ญ ญั ติ ทรั พย สมบั ติ เฉพาะวรรณะ เช นวรรณ กษั ตริ ย บั ญญั ติ อาวุ ธว า เป นทรัพย สํ าหรับกษั ตริ ย . สํ าหรับวรรณะพราหมณ ก็ บั ญญั ติ ภิ กขาจาร ว า เป นสิ ทธิ ที่ พ วกบรรพชิ ตพวกพราหมณ จะพึ งใช , แล วก็ บั ญ ญั ติ คั นไถไถนานี้ ว าเป น ทรั พ ย ส มบั ติ ข องวรรณะแพศย ไวศยะ คื อ คนทั่ วไป, บั ญ ญั ติ ไม ค านกั บ เคี ย ว เคี ย ว เกี่ ย วหญ า ไม ค านหาบของนี้ ว า เป น ทรั พ ย ส มบั ติ ข องวรรณ ศู ท ร คื อ พวกกรรมกร. พราหมณคนนั้นก็เลยถามวา ฝายพระพุทธเจานี้บัญญัติทรัพยวาอยางไร? พระพุทธเจาทานตรัสวา เราบัญญัติโลกุตตรธรรม วาเปนทรัพยสําหรับ ทุกคน ไมวาวรรณะไหน. นี่ฟงดูเถอะ เรารูจักพระพุทธเจาเสียบางวา ทานทรงหวัง


๔๑๖

ปรมัตถสภาวธรรม

อย างไรกั บพวกเรา; วรรณะโดยกํ าเนิ ดนั่ นท านเลิ กเสี ยแล ว พระพุ ทธเจ าท านเลิ กเสี ยแล ว. มาบั ญ ญั ติ วรรณะกั นโดยหน าที่ การงาน; วรรณะนี้ ยั งมี เลิ กไม ได แต บั ญญั ติ โดยกํ าเนิ ด นั้ น ไม ถู ก ต อ ง. ถ า บั ญ ญั ติ โดยถู ก ต อ ง ก็ ต อ งบั ญ ญั ติ โดยหน า ที่ ก ารงาน คื อ กรรมที่ เขากระทํ า. เขากระทํ า อยู อ ย างไรก็ เป น อย างนั้ น ; จะเป น กษั ต ริ ย ,พราหมณ , แพศย , สู ท ร ก็ เพราะกรรมที่ เขากระทํ า. เมื่ อ เขาเปลี่ ย นการกระทํ า เขาก็ เปลี่ ย นวรรณะ; เช น วรรณะชาวบ าน เปลี่ ยสมาเป นวรรณะนั กบวช อย างนี้ ก็ เปลี่ ยนไปตามการกระทํ า. และ ตรั สว า โลกุ ตตรธรรม, โลกุ ตตรทรั พย นี่ เราบั ญ ญั ติ ไว สํ าหรั บทุ กคน ไม เลื อกว าวรรณะ ไหน. นี้ ก็ เพื่ อจะเป นเครื่องยื นยั นว า พระพุ ท ธเจ าท านทรงหวั งจะให โลกุ ตตรธรรม, โลกุ ต ตรทรั พ ย นี้ แ ก ทุ ก คน, คื อ มรรค ผลนิ พ พานสํ า หรั บ ทุ ก คน; ทรงบั ญ ญั ติ สําหรับวรรณะทุกวรรณะโดยหนาที่. ที นี้ การที่ จะถึ งโลกุ ตตระ คื ออยู เหนื ออํ านาจบี บคั้ นของโลกนี้ มี ได แต โดย อาศั ย ความรู ป รมั ต ถสภาวธรรม แล ว ปฏิ บั ติ ต ามนั้ น ให ป ระจั ก ษ ขึ้ น มา; เรี ย กว า เขาได รั บ ได มี ค วามรู นี้ จริ ง; คื อ รู เรื่ อ งว า สภาวธรรมคื อ ธรรมตามธรรมชาติ : ธรรม ที่เปน อยูต ามธรรมชาติ จะเปน ตัว เรา เปน ของเราหรือ เปน ตัว ใคร หรือ เปน ของใครไม ไ ด ; ไม ให จิ ต ยึ ด ถื อ เขลา ๆ ไป โดยมั่ น หมายเอาเป น ตั ว เรา เป น ของเรา ใหปลอยไปใหถูกตองตามธรรมชาติ.

www.buddhadasa.info ควรเกี่ ยวข อ งอย างไรก็ เกี่ ยวข องอย างนั้ น , ควรเกี่ ยวข องเท าไร ก็ เกี่ ยว ข อ งแต เท า นั้ น , ควรเกี่ ย วข อ งเมื่ อ ไร ก็ ค วรเกี่ ย วข อ งแต เมื่ อ เวลานั้ น ; อย า ให เ ฟ อ อย าให เกิ นไปเท านั้ น. อย างนี้ จึ งจะเรี ยกว า ช วยไม ให มี ทุ กข ป องกั นไม ให มี ทุ กข หรื อ ว าดั บ ความทุ ก ข เสี ย ในทุ ก กรณี ทุ ก ขนิ ด ชนะได ห มด. ที่ เราอยู ใต โลก จมอยู ในโลก หรื อ จมอยู ก น โลก ก็ เพราะว า เราไปหลงยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในสิ่ งที่ เป น คู ๆ; อั น นี้ ก็ เป น การ เขาใจยากที่วาเราไปหลงในของที่เปนคู ๆ; แตความหลุดพน นั้นอยูเหนือของที่เปนคู.


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๑๗

สําหรับของที่ เป นคู นี้ มี มากมายหลายสิ บคู , หรือวาอาจจะหลายรอยคู ; เช นวา ดี กั บชั่ วนี้ ก็ คู หนึ่ ง, บุ ญ กั บบาปนี่ คู หนึ่ ง, สุ ขกั บทุ กข นี้ ก็ คู หนึ่ ง, ได กั บเสี ยนี่ ก็ คู หนึ่ ง, แพ กั บชนะ นี ้ก ็คู ห นึ ่ง , มั ่ง มีก ับ ยากจนนี ้ก ็คู ห นึ ่ง , สว ยกับ ไมส วยนี ้ก ็คู ห นึ ่ง ; ลว นแตเ ปน คู  ๆ คู เหล านี้ มากมายหลายสิ บคู หลายรอยคู เราไปมองเห็ นเป นคู อยางนี้ วามั นมี เป นคู อย างนี้ เพราะเรายังโง. โดยแท จ ริ ง ที่ เหนื อ ไปกว า นั้ น มั น มิ ไ ด เ ป น คู ; มั น เป น ธรรมดา เป น สามั ญตามธรรมดา ตามธรรมชาติ ของสิ่ งที่ เรียกวาธรรมแท . ที นี้ มนุ ษย ไปบั ญญั ติ ให เอง เพราะมนุ ษย ไม ชอบความทุ กข ก็ เลยไปเกลี ยดความทุ กข ไปหวั งความสุ ข จึ งเกิ ดเป นคู ขึ้ น มาว า สุ ข กั บ ทุ ก ข ; บุ ญ กั บ บาป คู นี้ ก็ เหมื อ นกั น พอสอนให รู ว า มี ค วามหมาย อย างไร แล วก็ กลั วบาปรักบุ ญ ; ดี กั บชั่ วก็ เหมื อนกั น ให เกลี ยดชั่ วรั กดี มั นก็ มี ป ญ หา แล วก็ เลยมี ความทุ กข เพราะไปรั กข างหนึ่ ง ไปเกลี ยดข างหนึ่ ง จนเกิ ดความหนั กอก หนักใจ. ถาอยาใหเปนทั้งสองขาง ใหอยูตรงกลาง ๆ นี้เปนความฉลาด : มีแตวา ทํ า อย างไรเป น ทุ ก ข ก็ อ ย า ไปทํ า ทํ า แต ในทางที่ ไม เป น ทุ ก ข ให เหลื อ แต ว ามี ทุ ก ข กั บ ไม มี ทุ กข เท านั้ น ของจริ งก็ มี เท านั้ น; มี แต ทุ กข และทุ กข น อยลง ๆ ๆ จนเป นทุ กข ศู นย อย างนี้ ดี กว า. อย าพู ดถึ งความสุ ขดี กว า; พอพู ดถึ งความสุ ข ก็ โงขึ้ นมาทั นที เกิ ดความ หวังความอยาก ความยึดถือขึ้นมาทันที.

www.buddhadasa.info มองดูวา เดี๋ยวนี้เรามีปญหา คือความทุกข เพราะวาเราไปโงไปยึดมั่น อะไรเขา . เราทํ า ใหย ึด ถือ นอ ยลง ใหท ุก ขน อ ยลง ทุก ขน อ ยลงจนเปน ทุก ขศ ุน ย ก็ พ อแล ว ; ให ทุ ก ข ว า งไป ทุ ก ข สู ญ ไป นี่ ก็ พ อแล ว เป น โลกุ ต ตระ : ไม ไ ปติ ด ดี , ติดชั่ว, ติดบุญ, ติดบาป, ติดสุข, ติดทุกข; อยาใหเหมือนที่เขาสอนกันอยูวา ให


๔๑๘

ปรมัตถสภาวธรรม

แบกเอากุ ศ ลไปเข าโลงไปด วย ไปเกิ ด ใหม เต็ ม ไปด วยกุ ศ ล; อย างนี้ มั น ไม ถู กกั บ เรื่อ ง เพราะมั นเป นของคู . อย าเอาไปทั้ งกุ ศล อย าเอาไปทั้ งอกุ ศล และก็ อย าให เกิ ดขึ้ นมา ไดทั้งกุศลทั้งอกุศล ที่นี่แหละเดี๋ยวนี้; นี่จึงจะตรงตามจุดหมาย. ต อ งมี ป ฏิ เวธะ คื อ แทงทะลุ ล งไปที่ ต รงนั้ น ให ท ะลุ ผ านของเป น คู ๆ คู ๆ หมด ก็ เหลื อแต ที่ ไม รูจะเรียกว าอะไร; แล วเป นธรรมดาของสิ่ งที่ เรียกว านิ พพาน หรื อ อสั งขตะ นี่ มั น ไม มี ชื่ อ เรี ย ก; เรี ย กให ถู ก ที่ สุ ด ตามที่ พ ระพุ ท ธเจ าท า นจะสมมติ เรี ย กได ท า นเรี ย กว า “ที่ สุ ด แห ง ความทุ ก ข ” เรี ย กว า อนฺ โต ทุ กฺ ข สฺ ส -ที่ สุ ด แห ง ความทุ ก ข . เมื่ อ ท า นชวนผู ใดมาบวช ท า นวา มาประพฤติ พ รหมจรรย เพื่ อ ที่ สุ ด แห ง ทุ ก ข ; ท า นยั ง ไม ไ ด พู ด ว า นิ พ พาน หรื อ สวรรค วิ ม านอะไร; แต ท า นว า มา ประพฤติ พ รหมจรรย เพื่ อที่ สุ ด แห งทุ ก ข แล วจะได สู ญ หรื อ ว างไป ไม เกิ ด ไปโผล เป น สุขขึ้นมาอีก. ส ว นที่ พู ด ว า “นิ พ พานเป น สุ ข อย า งยิ่ ง ” นั้ น เป น เรื่ อ งโฆษณาชวนเชื่ อ เหมื อ นอย างขายน้ํ าหวาน ขายน้ํ าอั ด ลมนั่ น แหละ; ที่ พู ด ว า “สุ ขอย างยิ่ ง” นั้ น เป น เรื่องของการโฆษณาเพื่ อศี ลธรรมอั นดี สํ าหรับผู ที่ จะมี ศี ลธรรมต อไป. ถ าสํ าหรับผู ที่ จะ มี ป รมั ต ถธรรมแล ว จะไม พู ด อย างนี้ เป น อั น ขาด จะไม พู ด ว า “สุ ข อย างยิ่ ง”, มาทํ า เพื่ อสุ ขอย างยิ่ ง; จะไม พู ดอย างนั้ น, จะพู ดว า “ทํ าให ทุ กข สิ้ นสุ ดลง” ก็ พอ; เพราะว า ป ญหาของเรามี ตรงที่ ว ามี ความทุ กข : ไม มี ความทุ กข ก็ เรียกว าหมดป ญหา ก็ ควรจะพอใจ และเปนจริงดวย.

www.buddhadasa.info อย าไปเพิ่ มความสุ ขขึ้ นมาอี กป ญหาหนึ่ ง ซึ่ งจะทํ าให ต องแบกอยู อี ก ก็ ไม รู จั กสิ้ น สุ ด กั น . เหมื อนคนคนหนึ่ งไปป า ไปพบไม ฟ นดี ๆ เขาก็ แบกไม ฟ นมาจนนั ก; พอพบผลไมที่แพงกวา ก็โยนไมฟน แบกผลไมมาจนหนัก. สมมติวามาพบทองคํา


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๑๙

เข า กองหนึ่ ง ก็ โ ยนผลไม แล ว ก็ แ บกทองคํ า หนั ก มากว า ผลไม ก็ ไ ด ; เพราะเขารั ก นี่ รัก ทองคํ ามากกว า ก็ แบกมากกว าเดิ ม . ถ าเกิ ด ไปพบเพชรพลอยเข าอี ก ก็ คงจะโยน ทองคํ า แล วก็ แบกเพชรพลอยที่ หนั กกว านั้ น แล วก็ ขาดใจตายอยู ที่ ตรงนั้ น เพราะมั น หนักเกินกวาที่จะเอาไปได. ขึ้ น ชื่ อว า “แบก” หรื อ ว า “ยึ ด ถื อ ” แล ว มั นจะมี ลั กษณะอย างนี้ ทั้ งนั้ น ; ฉะนั้ น ควรจะโยน ๆ โยนไป. ถ าจะมี ก็ มี อยู ข างฝ าเท า, ถ าจะมี อะไรก็ มี ไวกั นที่ พื้ น ที ่ฝ า เทา ; อยา เอามาแบกไวบ นศรีษ ะ บนบา บนหัว . นี ่ก ็เ รีย กวา ไมย ึด มั ่น ถื อ มั่ น อยู ใ นโลกนี้ ก็ มี ไ ด ; มี บุ ต ร ภรรยา สามี มี ห น า ที่ ก ารงาน มี เงิ น มี ท รั พ ย มี เกียรติ มี อ ะไรก็ ได แต พ อไปยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น เข าแล วมั น จะกั ด เอาทั น ที คื อ เป น ทุ ก ข .ตั วอุ ปาทานขั นธ มั นเกิ ดขึ้ นแล วมั นก็ เป นทุ กข ไม ว าอะไรไปยึ ดมั่ นเข าแล ว จะมี ความทุกขนิดหนึ่งก็มีความทุกข.

รูปรมัตถธรรมแลวจะเห็นความจริงสูงสุด

www.buddhadasa.info ถามีปฏิเวธะ แทงตลอดความจริงขอนี้แลว มันไมยอมที่จะไปยึดอะไร, ไม ถู ห ลอกด ว ยของเป น คู อี ก ต อ ไป; กุ ศ ลก็ ไม เอา อกุ ศ ลก็ ไม เอา สุ ขก็ ไม เอา ทุ ก ข ก็ ไม เอา โงก็ ไม เอา ฉลาดก็ ไม เอา แพ ก็ ไม เอา ชนะก็ ไม เอา คื อจะไม เอาอะไรในความหมาย ที่ ตรงกั นข าม ที่ เป นคู ๆ. มั นมี ทุ กข แล ว ก็ มี แต เพี ยงทํ าให ทุ กข ละลายไป ๆ จางไป ๆ จน หมดทุ ก ข มี เท า นั้ น ; จะเรี ย กว า ชนะก็ ได แต เป น เพี ย งสมมติ อี ก ที ห นึ่ ง จะเรี ย กว า ความสุขก็ได ตามเรื่องสมมติที่เปนคําชาวบานโฆษณาชวนเชื่อ.

พระพุ ทธเจ าท านจะไม เรี ยกว าอะไร ถ าท านพู ดเป นภาษาตรง ๆ จริ ง ๆ ท านใช คํ าว าไม ๆ ไม ๆ; เรี ยกนิ พ พานว าไม อย างนั้ น ไม อย างนั้ น ๆ ไม อย างนี้ ไม กระทั่ ง หยุดอยู; นั่นแหละที่สุดของความทุกขละ. นิพพานไมใชดิน ไมใชน้ํา ไมใชไฟ ไมใชลม


๔๒๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ไม ใช อากาสานั ญจายตนะ ไม ใช วิ ญญาณั ญจายตนะ, กระทั่ งไม ใช อากิ ญจั ญญายตนะ และไม ใชเนวสัญญานาสัญญายตนะ. (เนวสั ญญานาสัญญายตนะ คือที่ สุดที่ มนุษยรูจักกัน ในสมัย นั ้น วา ดีที ่ส ุด ); และวา ไมใ ชอ ารมณ ไมใ ชที ่ตั ้ง ไมใ ชก ารเสวยอารมณ ไม ใช ก ารไปไม ใ ช ก ารมา ไม ใช ก ารหยุ ด ไม ใช ทุ ก อย า ง. นี่ แ หละ “ที่ สุ ด แห ง ความ ทุ กข ” แล ว. ที่ ใช คํ าอย างนี้ เพราะว าไม ควรจะเรียกโดยคํ าที่ เป นคู ๆ ๆ เหมื อนที่ ชาวบ าน เขาพูดกันอยู. รูปรมัตถสภาวธรรมแลวชวยใหมีปฏิเวธะในสิ่งสูงสุดอยางนี้. ที่วาเจริญสมาธิภาวนาเพื่อทําลายอาสวะใหสิ้น นั่นคือตัวรูปรมัตถสภาวธรรมอย างยิ่ ง : รู เรื่ องรูป เวทนา สั ญญา สั งขาร วิ ญญาณ ที่ เป นขั นธ ๕; แล วรูเรื่อง รูป เวทนา สั ญ ญา สั งขาร วิ ญ ญาณ ที่ ยึ ดมั่ นด วยอุ ปาทาน ที่ เป นป ญ จุ ปาทานขั นธ ; ว า เกิ ด ขึ้ น อย า งไร, เมื่ อ ไร, อย างไร, แล ว ตั้ ง อยู อ ย า งไร, แล ว ดั บ ไปอย า งไร. ที่ จ ริ ง ขั น ธ เกิ ด บ อ ยอยู ต ลอดเวลากั บ คนทุ ก คน; เรานั่ งอยู นี่ แล วตาเห็ น นี่ ก็ เกิ ด ความเห็ น เสร็ จแล ว พอได ยิ น เรไรร อ ง หู ก็ ได ยิ น ก็ ทํ าหน าที่ ในทางเสี ย ง หรื อ จะเกิ ด อะไรหอม เหม็ นขึ้ นมา จมู กก็ ทํ าหน าที่ อย างนี้ อยู ตลอดเวลา; แต ว าส วนมากไม ได เลยไปถึ งกั บ ยึ ดมั่ นถื อมั่ น. อย างเรไรร อง เราไม รู สึ กหนวกหู ก็ ไม เกิ ดเป นอุ ปาทานขั นธ ยึ ดมั่ นเป น เกลี ยดขึ้ นมา, หรือว าเราไม รูสึ กว าเพราะน ารัก น าพอใจ ไม เกิ ดอุ ปาทานขั นธ ในเสี ยง ขึ้ น มา ก็ แ ล ว กั น ไป. แต สํ า หรั บ บางคนมั น ไม ไ ด , หรื อ บางกรณี หรื อ เรื่ อ งอื่ น มั น ไม ได : ก็ เกิ ด ขั น ธ ใดขั น ธ ห นึ่ งอยู เรื่ อ ยจนครบทั้ ง ๕ ขั น ธ ในที่ สุ ด ; บางกรณี เกิ ด เลย ไปถึงอุปาทานขันธ ยึดมั่นแลวก็เปนทุกข.

www.buddhadasa.info สิ่ งที่ มี อยู จริ งอย างนี้ คื อความทุ กข ทํ าไมไม สนใจ, ทํ าไมไม สลั ด ความ ทุกขออกไปใหได? ก็เพราะวาไมรูปรมัตถสภาวธรรม. ฉะนั้นอาตมาจึงทนอธิบาย ไม ก ลั วคนฟ งโกรธ ไม ก ลั วคนฟ งแช ง ว าพู ด ซ้ํ า ซาก ๆ อยู นี่ แ หละ : พู ด ให รู ว า รู ป อยางนี้ เวทนาอยางนี้ สัญญาอยางนี้ สังขารอยางนี้ วิญญาณอยางนี้ เรื่องธาตุ เรื่องขันธ


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๒๑

เรื่ องอายตนะ; ทั้ งหมดนี้ ก็ ได พู ดกั นตั้ ง ๑๐ กว าครั้ งนี่ ไม กลั วโกรธ จนกระทั่ งหลาย ๆ คนอาจจะเริ่ ม มี ค วามรู ร าง ๆ ขึ้ น มา ว า ขั น ธ ๕ คื อ อะไร, อุ ป าทาน ๕ คื อ อะไร, มี เ มื่ อ ไร, มี แ ก เ ราอย า งไร, เมื่ อ ไร; นี่ เขาเริ่ ม จะรู จั ก สิ่ ง เหล า นี้ ขึ้ น มา, จึ ง เรี ย กว า ประโยชน. ตอ ไปจะไดป อ งกัน การเกิด ขึ ้น แหงอุป าทานขัน ธได แลว ทุก ขก็เกิด ขึ้ นไม ได ; นั่ นแหละชื่อวาเป นการทํ าตามคํ าสอนของพระพุ ทธเจ าอย างยิ่ ง เป นการทํ า ให ถู กอกถู กใจของพระพุ ทธเจ าอย างยิ่ ง สํ าหรับพุ ทธบริษั ทคนนั้ น คื อพุ ทธบริษั ทคนที่ รู เรื่ อ งนี้ แล ว สามารถป อ งกั น ไม ให เกิ ด อุ ป าทานขั น ธ ใดขั น ธ ห นึ่ งมาในวั น หนึ่ ง ๆ ไม มี อะไรมากกวานี้.

สติสัมปชัญญะ ชวยใหรอดได ที นี้ สํ าหรับเรื่องที่ วา เป นการปฏิ บั ติ ลึ กลงไปอี กหน อยหนึ่ ง ก็ คื อ มี สติ สั มปชั ญญะ. คนเรานี่ รอดตั วอยู ได เพราะมี สติ สัมปชั ญญะ. มี สติ สั มปชัญญะในอะไร? มีสติสัมปชัญญะในการเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป ของสิ่งที่เรียกวาเวทนา สัญญา และ วิตก. เดี๋ยวนี้คนทั้ งหลายโดยมากไมรูจักเวทนา สัญญา และวิตก แล วจะทําสติสัมปชัญญะ ได อย างไร; ในเมื่ อพระพุ ทธเจ าท านตรัสวา สติ สั มปชั ญ ญะโดยแท จริงนั้ น คื อรูสึ ก อยู เสมอในเมื่ อมี การเกิ ดขึ้ นแห งเวทนา หรือสั ญ ญา หรือวิ ตก, และการตั้ งอยู ชั่ วขณะ แห งเวทนา สั ญ ญา และวิ ตก, และมี การดั บ ไปแห งเวทนา สั ญ ญา และวิ ตก, เดี๋ ยว ก็ มากรณี อื่ นอี ก เกิ ดเวทนา สั ญญา และวิ ตก, เดี๋ ยวก็ มากรณี อื่ นอี ก เกิ ดเวทนา สั ญญา และวิตก.

www.buddhadasa.info จะชี้ ให เห็ นเป นตั วอย าง อย างที่ ได อธิ บายแล ว หลายวั นมาแล ว หลายครั้ ง มาแล วนั้ น ว าเวทนา คื อความรู สึ ก ; หลั งจากการกระทบทางตาเป นต น รูสึ กพอใจ หรือไมพอใจ ยินดีหรือยินราย รูสึกสบายหรือไมสบาย นี้เรียกวาเวทนา. ความรูสึก


๔๒๒

ปรมัตถสภาวธรรม

อั น นี้ เกิ ด ขึ้ น แล วตั้ งอยู ชั่ วขณะ แล วดั บ ไป; แล วสั ญ ญา คื อ ความมั่ น หมายต อ สิ่ งที่ รูสึ กนั้ น ว าสุ ขบ าง ว าน ารักบ าง และที่ ร ายกาจก็ คื อว า ของเราหรือของเขา นี่ มั นหนั ก ขึ้นไปทุกที เปนตัวตนขึ้นมา. ทีนี้สัญญาทําหนาที่เสร็จแลว ก็ใหเกิดวิตก คือความคิดนึก ตริตรึก ว าจะเล นงานหมอนี่ อย างไร,จะทํ าอย างไร, จะประกอบกรรมอะไร : กายกรรม วจี กรรม มโนกรรม เกี่ยวกับเรื่องนี้อยางไร; นี่เรียกวาวิตก. ทั้งเวทนา ทั้งสัญญา และวิตกนี่จะทํางานเนื่องกันไป ในชีวิตประจําวันของ คนทุกคน. ถาใครไมรูจักสิ่งนี้ได และไมควบคุมสิ่งนี้ได ก็คือคนนั้นไมมีสติสัมปชัญญะ เปนคนไรสติสัมปชัญญะอยางยิ่ง; แลวก็ไมมี ทางที่ จะดับทุกขได. จะตองมี สติสัมปชัญญะ ที่ แท จริ งและอย างยิ่ ง คื อรู สึ กตั วทุ กที ที่ เวทนาเกิ ดขึ้ น และตั้ งอยู ชั่ วขณะ และดั บไป; กลายรูปเป นสั ญ ญาเกิ ดขึ้ น ตั้ งอยู ชั่ วขณะ แล วดั บไป; แล วกลายรู ปเป นสั งขาร หรื อ วิตกเกิดขึ้นเปนกรรม เปนมโนกรรม นี้เกิดขึ้น ตั้งอยูชั่วขณะ แลวดับไป.

www.buddhadasa.info ต องมี สติ สั มปชั ญญะคอยเผ าเจ าโจร เจ าขโมยสามตั ว คื อ เวทนา สั ญญา วิ ตกนี้ ที่ จะจู โจมเข ามาในใจของเราอยู ตลอดเวลา. คนชนิ ดนี้ เขาเรี ยกว า คนที่ สมบู รณ ด วย สติ สั มปชั ญญะ; มี วิ ธี ปฏิ บั ติ โดยรายละเอี ยดต าง ๆ กั นหลาย ๆ อย างก็ ได แต โดยเนื้ อแท โดยหัวใจแลว ตองเปนผูที่รูสึกตัวทั่วถึงดีในการเกิดขึ้น ตั้งอยู ดับ ไป แหงสิ่ง ทั้งสามคือเวทนา สัญญา และวิตก. นี่คือคําสอนของพระพุทธเจา.

เราไม รู เรื่ อ งปรมั ต ถสภาวธรรม จะปฏิ บั ติ ได อ ย า งไร; นี่ เรี ย กว า ในส ว น ปฏิเวธแลว เราก็ตองมีความรูในปรมัตถสภาวธรรม พอที่จะปฏิบัติตนใหเปนคน มีสติสัมปชัญญะจริง ๆ จึงจะทําลายอาสวะใหกรอนไป ๆ จนหมดสิ้นได สิ้นอาสวะ ได. นี่คือ ประโยชนจากปรมัตถสภาวธรรม ที่เรารู, และเราปฏิบัติ, และเราหยั่งถึง


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๒๓

ตั วของปรมั ตถสภาวธรรมนั้ น คื อเป นความวางจากความยึ ดมั่ นถื อมั่ น. นี่ เรียกว ามนุ ษย คนหนึ่ ง ๆ จะไปได ดี ที่ สุ ด ไกลที่ สุ ด เต็ ม ความหมายของคํ าว า มนุ ษ ย ก็ อ ยู ที่ ต รงนี้ ที่เรียกวาสวนปจเจกบุคคล ก็มีใจความสรุปไดเพียงเทานี้.

พิจารณาถึงคนทั้งโลกกับปรมัตถธรรมดูบาง ที นี้ ขอเวลาที่ เหลื ออี กเล็ กน อ ย ทนเอาหน อ ย เพื่ อ ฟ งเรื่ อ งเพื่ อ คนอื่ น บ าง ถ าเห็ นแก ตั วเองข างเดี ยวตะพึ ดแล ว ก็ เรียกว าคนใจแคบ. เดี๋ ยวนี้ เราจะลองนึ กถึ งคนอื่ น บ าง คื อคนทั้ งโลกดู บ าง แล วก็ จะเห็ นความสั มพั นธ กั น ระหว างปรมั ตถสภาวธรรมของ ป จ เจกชนคนหนึ่ ง ๆ กั บ คนทั้ งโลก; คื อ ความสั ม พั น ธ กั น ระหว า ง “ศี ล ธรรม” กั บ “ปรมัตถสภาวธรรม” นั่นเอง. เรื่อ งของศีล ธรรมเปน เรื่อ งจํ า เปน สํ า หรับ คนทั ้งโลก; แตเรื่อ งของ ปรมัตถสภาวธรรมเปนเรื่องที่คนคนหนึ่งจะไปไดไกลที่สุด เทาที่เขาจะไปได ในเมื่อ คนทั้ งโลกเขาไม ไป และโดยมากคนในโลกนี้ เขาไม ต องการจะไป; คื อ เขาจะอยู อ ย าง ที่ อยู ในโลกนี้ ไม ต องการที่ จะอยู เหนื อโลกหรื อว าจะชนะโลก; แต ถึ งอย างนั้ นก็ ต องมี ศี ลธรรมถึ งจะอยู กั นเป นผาสุ ก เพราะศี ลธรรมที่ แท จริง ก็ ต องตั้ งรากฐานอยู บนปรมั ตถสภาวธรรม; นี่ เรี ย กว า หลั ง ฉากนั้ น มั น เนื่ อ งกั น อยู ในระหว า งศี ล ธรรมกั บ ปรมั ต ถสภาวธรรม.

www.buddhadasa.info ศีลธรรมไมมีอํานาจพอที่จะแกปญหาอันลึกซึ้งสูงสุด ทางจิตทางวิญญาณ ของมนุษยได ตองอาศัยปรมัตถสภาวธรรม แตวาคนจะอยูโดยไมมีศีลธรรมก็ไมได; ฉะนั้ น ถ า มี ป รมั ต ถธรรมที่ ถู ก ต อ ง เป น พื้ น ฐาน เป น รากฐาน ศี ล ธรรมก็ จ ะดี . ถ า ศีลธรรมถูกหนุนไวดวยปรมัตถสภาวธรรมที่ถูกตอง แลวก็ดีขึ้นไดทุกทาง. ถาเปน ไดวา คนทุกคนเขาถึงปรมัตถสภาวธรรมกันแลว ความยุงยากเรื่องศีลธรรมจะหมดไป.


๔๒๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ขอให พิ จารณากั นสั กหน อย เพราะเป นป ญหาเฉพาะหน าของสั งคม ซึ่ งมี เรารวมอยู ด วย. เราจะตั้ งสมมติ ฐานขึ้ นมาว า โลกนี้ น าอยู เพราะว ามี ศี ลธรรมดี ข อนี้ คิ ดดู เสี ยก อนว า ยอมรั บไหม? จริ งไหม? ที่ พู ดอย างนี้ ว าถ าโลกนี้ น าอยู ก็ เพราะว า โลกนี้ มี ศี ลธรรมดี ; ถ าโลกนี้ ไม มี ศี ลธรรม ก็ เป นโลกที่ ไม น าอยู น าขยะแขยง น าเกลี ยดน า กลัวอยางยิ่ง โลกนี้นาอยูก็เพราะวามีศีลธรรมดี. ทีนี้มาดูตัวโลกเวลานี้จริง ๆ มนุ ษยในโลกเวลานี้มี ศีลธรรมหรือไม? อาจ จะสั่ นหั ว เพราะมี แต การรบราฆ าฟ น การเบี ยดเบี ยน การทํ าอนาจาร การอะไรต าง ๆ เป นประจํ าวั น เต็ ม ไปหมด จนหน าหนั งสื อพิ ม พ ทุ ก ๆ ฉบั บ ก็ ลงกั นแต เรื่ องนี้ แล ว ทั้ ง เมื องนอกเมื องใน. โลกกลายเป นโลกที่ ไม น าอยู เพราะแสดงว าศี ลธรรมไม ดี ยิ่ งขึ้ นทุ กที ; ถาวาจะมีศีลธรรมดี จะตองมีศรัทธา, หรือมีเจตนาดี. ถาเขามีศรัทธาดี คือมีศรัทธา ถู ก ต อ ง ศรั ท ธาแท จ ริ ง ในพระพุ ท ธ พระธรรม พระสงฆ ศรั ท ธาในศาสนา หรื อ ศรัทธาในบุญกุศลก็ตามใจ, ถาเขามีศรัทธาแลวศีลธรรมนี้ก็จะดี. คนอั นธพาลที่ ระบาดไปทั่ วทั้ งบ านทั้ งเมื องนี้ คนเหล านี้ มี ศรั ทธาหรื อเปล า? เพราะวาไม มี ศรัทธาที่ ดี จึงไม มี ศี ลธรรม. เมื่ อไม มีศรัทธาแลว ก็ไม มีเจตนาที่จะดี ไป ได ; ไม มี ศรั ทธาในความดี ในความถู กต องแล วก็ ไม มี เจตนาดี มี แต เจตนาร าย เจตนา เห็ น แก ตั ว. ดู ป ญ หาคนวั ย รุ น ที่ กํ าลั งเป น ป ญ หาไปทั้ งโลก;ความเสื่ อ มทางศี ล ธรรม ตกไปเป น ป ญ หาสํ าหรั บ คนวั ยรุ น มากยิ่ งขึ้ น ทุ ก ที ทั่ วโลก; คนที่ อ านหนั งสื อ พิ ม พ อ ยู ทุกวันก็จะรู และรูดีกวาอาตมาเสียอีก.

www.buddhadasa.info ทําอยางไรจึงจะมีศรัทธาดี มีเจตนาดี? ก็ตองมีทิฏฐิหรือปญ ญาดี. ทิ ฏ ฐิ คํ า นี้ คื อ ความคิ ด เห็ น ไม ใ ช ม านะทิ ฏ ฐิ ; ทิ ฏ ฐิ คื อ ความรู ความเข า ใจ ความ คิดเห็น หรือปญญาที่ดี; ตองมีปญญาดี มีสัมมาทิฏฐิ แลวจึงจะมีศรัทธาดี เจตนาดี.


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๒๕

ทําอยางไรจึงจะมีปญญาดี? ก็ตองมีความรูเรื่องปรมัตถสภาวธรรมที่ถูกตองเทานั้น เอง ต องมี ความรู ปรมั ตถสภาวธรรมอย างที่ ว ามาแล วนั้ นถู กต อง แล วก็ เพี ยงพอ แล วก็ เหมาะสมแกบุคคล แกวัยแกเวลา แกอะไรทุกอยาง อยางพอดี ๆ. ทีนี้เราก็มีปญหาวา ทําอยางไรจึงจะใหคนเหลานี้ มีความรูเรื่องปรมัตถสภาวธรรม? เพื่ อคนมี ป ญญหาดี แล วจะได มี ศรัทธาดี มี ศี ลธรรมดี แล วโลกนี้ ก็ จะน าอยู . เมื่ อ มองกั น ไปอี ก ทางหนึ่ ง แม ตั ว โลก แผ น ดิ น โลก วั ต ถุ ในโลก วั ต ถุ ธ รรมในโลกนี้ มีส ภาพดี ผลิต กัน มาก เจริญ มาก กา วหนา มาก; แตว า จิต ใจของคนยัง เลว. นี่ คิ ดดู ! คนเดี๋ ยวนี้ อยู ในบ านในเรื อน ในตึ ก ที่ เหมื อน ๆ กั บ วิ ม านอยู แล ว มี การบํ ารุ ง บํ าเรอทางเนื้ อทางหนั ง ราวกั บอยู ในสวรรค อยู แล ว; เรี ยกว าในฝ ายวั ตถุ นี่ มั นดี แต จิ ต ของคนยังเลว. โลกนี้ น าดู ในส วนตั วโลก แต วาจิ ตของคนยั งไม น าดู ยั งมี ป ญหาทางวิญญาณ คื อ อวิ ช ชา กิ เลส ตั ณ หา ยั ง รกรุ ง รั ง อยู . ต อ เมื่ อ คนในโลกมี จิ ต ใจดี ด ว ย จึ ง จะ เรี ยกว าโลกนี้ น าดู ทั้ งส วนตั วโลกและทั้ งส วนบุ คคลที่ อยู ในโลก; ทุ กคนต องไม มี ป ญ หา ทางวิ ญ ญาณแล ว เพราะว าเข าถึ งปรมั ตถสภาวธรรมแล ว. แต เดี๋ ยวนี้ โลกไม เป นอย างนี้ กําลังเปนไปในทางที่ตรงกันขาม. โลกกําลังเปนอยางไร? ก็คือเห็นแกตัวจัดยิ่งขึ้น.

www.buddhadasa.info ขอให แยงในขอนี้ วา เดี๋ ยวนี้ คนเห็ นแก ตั วจั ด ยิ่ งกวาคนที่ แล ว ๆ มาแต ก อ น ๆ หรื อ ไม . อาตมามองเห็ น แต ในทางว า คนในโลกเราเวลานี้ ยิ่ งเห็ น แก ตั วจั ด , เห็ น แก ตั ว จั ด ยิ่ ง ขึ้ น . เพราะอะไร? เพราะยิ่ ง หลงในวั ต ถุ หรื อ เนื้ อ หนั ง ยิ่ ง ขึ้ น . วั ต ถุ เนื้ อหนั งนี่ หมายความว า สิ่ งที่ มั นให ความสนุ กสนาน เอร็ ดอร อยทางเนื้ อทางหนั ง; สิ่ ง เหล านี้ เจริ ญ มากขึ้ น เพราะคนฉลาดกั นแต ในทางนี้ แล วมี เจตนาที่ จะควั กเอาประโยชน ของผูอื่นมา โดยการใชสิ่งนี้เปนของลอ; ฉะนั้น เรื่องกามารมณ เรื่องโสเภณี เรื่อง


ปรมัตถสภาวธรรม

๔๒๖

วัตถุ สงเสริมกามารมณ อะไรตาง ๆ ตางก็มี ความมุ งหมายอยางนี้ทั้ งนั้ น. คนมี ความเห็ น แก ตั วจั ด แล วก็ ใช สิ่ งนี้ เป นเครื่องหลอกลวงกั น; เพราะว าคนยิ่ งหลงใหลในเรื่องวั ตถุ เรื่องเนื้อหนัง. ถาถามวา ทําไมคนจึงไปหลงไหลในเรื่องเนื้อหนัง ? ก็เพราะวาคนโง ไม รูจั กสิ่ งที่ เรียกว าเนื้ อหนั ง, ไม รูว า สิ่ งที่ เรียกว าเนื้ อหนั ง ความสุ ข สนุ กสนานเอร็ด อรอ ยทางเนื ้อ ทางหนัง นั ้น คือ อะไร; ไมรู เ พราะโง. ทํ า ไมจึง โง? เพราะไมรู ปรมั ต ถสภาวธรรม; ว าโดยแท จ ริง แล ว สิ่ งนั้ น คื อ อะไร : ผั ส สะ เวทนา ตั ณ หา นั้ นคื ออะไร. อะไร ๆ ที่ ได มาจากเนื้ อหนั ง ก็ เรียกวาผั สสะ เวทนา ตั ณหา นั้ นคื ออะไรก็ ไม รู. นี่ เรีย กวาไม รูป รมั ต ถสภาวธรรม เพราะไม ส นใจ. ทํ าไมไม ส นใจ ? เพราะ ประมาทในสิ่งนี้มานาน จนเปนทาสของสิ่งนี้ ถูกสิ่งนี้ลากคอเอาไปแลว เขาคิดวา เขากําลังดีที่สุด ร่ํารวยที่สุด มีความสุขที่สุด ไมเคยคิดวา เรากําลังเปนทาสของเนื้อหนัง; นี่คิดดูวาโลกเวลานี้ มีปญหาเหลือประมาณ เพราะเหตุที่ไมรูปรมัตถสภาวธรรมอยางเดียว.

โลก กําลังไรเมตตาธรรม

www.buddhadasa.info ทีนี้ตอไปอีก ที่เปนปญหาของมนุษยเปนสวนรวม คือไมเมตตากรุณากัน; ไมมี ใครถืออยางพระพุทธเจาสอน หรือพระเยซูสอนวา ใหเมตตา กรุณา ใหอด โทษ ให ใ ห อ ภั ย ให ป ระกอบเมตตาในศั ต รู ให ตั้ ง เมตตาแม ใ นบุ ค คลที่ เป น ศั ต รู . พระเยซู ส อน วาถ าเขาตบแก ม ซ าย ก็ อ ย าโกรธ ให เขาตบแก ม ขวาด วย; เดี๋ ย วนี้ ฝรั่งที่ เป นลู กศิ ษ ย พระเยซู นั้ นไม ถื อแล ว ลองไปตบแก มซ ายซิ โดนถู กตบหั วขาดเลย อย า งนี้ เอาป น ยิ ง เลย. ที่ ว า เขาขโมยเสื้ อ แล ว ให เอาผ า ห ม ตามไปให ด ว ย อย า ง พระเยซูสอนนั้ นยิ่งไม ได ; มี แต จะถื อวาเขาชกเราฟ นหั กซี่หนี่ ง จะต องชกเขาให ฟ นหั ก สิบซี่. ตองคิดกันอยางนั้น สําหรับคนอยางเดี๋ยวนี้.


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๒๗

พระพุ ท ธเจาท านสอน วาถาโจรจับเอาไปเลื่อ ย เอาเลื่อยเลื่อย แลว อยา โกรธ ถา โกรธแลว ชื ่อ วา ไมทํ า ตามคํ า สอนของเรา; ก็ย ากที ่พ ุท ธบริษ ัท คนไหนจะทํ าได อย างนั้ น นี่ พู ดเผื่ อ ๆ ไว พุ ทธบริษั ทคนไหนจะทํ าได อย างนั้ น : โจรจั บ เอาไปมั ดแล วเอาเลื่ อยเลื่ อย อย ามี จิ ตใจโกรธประทุ ษรายต อโจรนั้ น ถ าโกรธไม ชื่ อว า เปนผูทําตามคําสอนของเรา; นี่พระพุทธเจาทานตรัสอยางนี้. การที่ทําไมได ในตัวอยางเหลานี้ ก็เพราะวาเขาไมรูสิ่งที่เรียกวา ปรมัตถสภาวธรรม; ถาเขารูจริง อบรมบ มนิสั ยอยูจริง เขาจะทํ าไดอยางนั้ น, ตบแกมซาย แล วก็ ให ตบแก มขวาด วยก็ ได เพื่ อให เขาหายโกรธเราสนิ ทเลย. นี่ เรียกว าโลกนี้ กํ าลั งไร ความเมตตาต อ กั น และกั น , ไร เมตตาเพราะเห็ น แก ตั ว ; เห็ น แก ตั ว เพราะไม รู จั ก ตั วเองนั่ นแหละจึ งเห็ นแก ตั ว. ถ ารูจั กสิ่ งที่ เรียกวาตั วแล วก็ จะไม เห็ นแก ตั ว; นี่ เรียกว า เขาไม รูจั กปรมั ตถสภาวธรรม. ถ าเขารูจั กปรมั ตถสภาวธรรม เขาจะรูจักสิ่ งที่ เรียกวาตั ว, รูจั กตั วของเขาเองว าเป นอย างไร แล วเขาจะไม มี ความเห็ นแก ตั วเป นอั นขาด. เดี๋ ยว นี้ ไ ม รู จั ก ปรมั ต ถสภาวธรรม จึ ง ได มี ตั ว ; แล ว ก็ เห็ น แก ตั ว ไปมั ว หลงในสิ่ ง ที่ เป น มายาที่ไมใชปรมัตถสภาวธรรม.

www.buddhadasa.info อาตมาอยากจะพูดวา ถาเห็นปรมัตถสภาวธรรมอยูแลว จะโกรธไมได แลวก็มีเมตตาอยูโดยอัตโนมัติในตัวเอง; เพราะปรมัตถสภาวธรรม ทําใหจิตเปน อิส ระ ไมม ีต ัว ไมเห็น แกต ัว แลว ก็โ กรธไมไ ด. เมื ่อ โกรธไมไ ด ก็เ ปน เมตตาอยู ในตั ว เป น อั ต โนมั ติ ; ยิ่ ง เป น สุ ญ ญตาเท าไร ยิ่ งเป น เมตตาที่ แ ท จ ริง มากขึ้ น เท า นั้ น . แต นี่ เมตตาแต ปาก, เมตตาวาเอาเอง, เมตตาที่ จะแลกเอาอะไรในชาติ หน าโน น ไปเกิ ด เป น พรหมบ า ง เป น อะไรบ า งจึ ง เมตตา; อย า งนี้ ไม ใช เมตตาที่ แ ท จ ริง . คนขี้ ข ลาด แผ เมตตา อย างนี้ ก็ เรียกวา ไม ใช เมตตาที่ แท จริง เป นเมตตาจํ าเป น; ฉะนั้ นเมตตา ที่ทํา ๆ กันอยูนั้น ดูใหดียังเปนเมตตาเลนตลกอยู. ถาเมตตาที่แทจริง จะตองมาจาก


๔๒๘

ปรมัตถสภาวธรรม

ความไม ประทุ ษรายที่ แท จริง คื อความไม มี ตั วมึ ง ตั งกู ที่ จะประทุ ษรายแก กั น; นั่ นก็เลย เปน เมตตาแบบสังขตะ แบบอมตะไปเลย. เดี๋ยวนี้ โลกนี้กําลังตงอการเมตตาสามัคคีธรรมอยางยิ่ง แตก็เมตตากัน ไม ไ ด ฆ า ฟ น กั น มากยิ่ ง ขึ้ น ทุ ก ที , เมตตากั น ไม ไ ด ให อ ภั ย กั น ไม ไ ด ; นี่ เ พราะมี ปรมั ตถ แต ในทางวั ตถุ ธรรม. พู ดแล วก็ จะน าหวั ว ที่ มี ๆ กั นนั้ น ไม ใช ปรมั ตถสภาวธรรม ที่ แท จริง มี ปรมั ตถ แต ในทางวั ตถุ ธรรมสร างอาวุ ธขึ้ นมาฆ าคนที ละแสน ที ละล านก็ ได , มี ความรูปรมั ตถ แต ในทางวั ตถุ ธรรม สรางของขึ้ นมาอย างนั้ นอย างนี้ ล อคนให หลงใหล อะไรก็ ไ ด . ถ า สร า งอาวุ ธ ขึ้ น มาก็ ทํ า ให ค นตายที ล ะแสนละล า นก็ ไ ด ; เป น ปรมั ต ถ เหมื อ นกั น คื อมั น ลึ กซึ้ งเหมื อ นกั น แต ไปในทางวั ต ถุ ธรรม; มั นแยกดิ น กั นคนละทาง อย างหนึ่ งไปทางวั ตถุ ธรรม. ปรมั ตถ ที่ แท จริงต องเป นในทางปรมั ตถธรรม ทางวิ ญญาณ ทางสติปญญา ทางความรู ซึ่งไมใชวัตถุธรรมก็แลวกัน.

การถือศาสนาในโลก ตางก็ไมเขาใจกันและกัน

www.buddhadasa.info เอ า, ไหน ๆ ก็ พู ดแล ว ขอให ทนหน อย เพราะวั นนี้ เป นวั นจบ วั นสุ ดท าย ของเรื ่อ งนี ้ จะไมม ีโ อกาสพูด อีก ขอพูด อีก หนึ ่ง วา ศาสนาทั ้ง หลายในโลกนี้ ก็ กํ าลั งไม เข าใจซึ่ งกั นและกั น , คุ ณ อย าไปเห็ นวาไม ใชเรื่องของคุ ณ โลกนี้ มั นอยู ได คุ ณ ก็ อ ยู ได ถ า โลกนี้ อ ยู ไม ได เราทั้ ง หลายก็ อ ยู ไม ได . เดี๋ ย วนี้ โลกกํ า ลั ง จะฉิ บ หาย อยู ไม ได เพราะวาศาสนาทั้ งหลายก็ กํ าลั งไม เข าใจซึ่ งกั นและกั น ศาสนาพุ ทธ ศาสนาคริสต ศาสนาอิ สลาม ที่ เรี ยกว ามี คนรู จั กมากนี้ ก็ ยั งไม เข าใจซึ่ งกั นและกั น มองกั นในสายตา ที่ ระแวงกั น หรื อบางที ก็ ทํ าสงครามใต ดิ นแก กั น. ศาสนาปลี กย อยอื่ น ๆ ก็ ยั งมี อี กมาก ล วนแต ไม เข าใจซึ่ งกั นและกั น มองกั น เป น ศั ต รู ต อ กั น เป น เวรี ต อ กั น เป น ภั ยรี ต อ กั น ; ยังมุงหมายจะทําลายฝายตรงกันขามอยูเสมอ.


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๒๙

ฝ ายพุ ทธ พุ ทธบริ ษั ทจํ านวนใหญ จํ านวนหนึ่ ง ก็ ยั งปากจั ด ด าว าศาสนา คริ สเตี ยน เรี ยกมึ ง เรี ยกกู เรี ยกเราเรี ยกเขา คิ ดจะโค นกั นอยู แล วก็ จะไม ให ศาสนา คริ สเตี ยนเขามองพุ ทธในฐานะเป นศั ตรู อย างไรได . ศาสนาอื่ นก็ เหมื อนกั นแหละ เพราะ ยังไมรูปรมัตถสภาวธรรมแหงศาสนาของตน ๆ จึงเกิดความเขาใจผิด อยางนี้ตางคน ต างหลั บตาต อปรมั ตถสภาวธรรมแห งศาสนาของตน ๆ ยิ่ งขึ้ น ๆ. นี่ คื อต นเหตุ ที่ ทํ าให ศาสนาในโลกนี้ ไมมองดูกันดวยสายตาที่นารัก. ทุ กศาสนายิ่ งโลเล ยิ่ งเลอะเทอะมากขึ้ น เพราะไปเอาสมมติ ธรรมมาเป นตั ว ศาสนามากขึ้ น; ในศาสนาทุ ก ๆ ศาสนา บริ ษั ทแห งศาสนานั้ น ๆ ไปเอาตั วสมมติ ธรรม มาแทนตั วปรมั ตถธรรม ก็ ห มายความว า ไปเอาสมมติ ธรรมมาเป น ตั วศาสนายิ่ งขึ้ น ; เนื้ อแท ของศาสนา ไม รู ว าไปอยู ที่ ไหนเสี ยแล ว. ปรมั ตถธรรมที่ แท จริ งในศาสนาของตน แต ล ะศาสนา ถูกป ด บั งเหยี ยบย่ํ าหมดไปแล ว, คื อ ความไม เห็ น แก ตั ว ไม ยึ ด มั่ น ถือมั่นจนเกิดความทุกข นั่นคือปรมัตถธรรมของทุกศาสนา. เรื่ องนี้ ยื ดยาวมาก รอไว พู ดกั นคราวอื่ นดี กว า; คิ ดว าบางที ในภาคต อไป คือภาควิสาขบูชา เราจะไดพูดกันถึงเรื่องนี้ เกี่ยวกับความเขาใจตอสิ่งที่เรียกวาศาสนานี้.

www.buddhadasa.info เดี๋ ยวนี้ ขอบอกกัน ไวก อ นวา แต ล ะศาสนากํ าลั งเหยี ย บย่ํ าหั ว ใจแห ง ศาสนาของตน ๆ ในสวนที่เปนปรมัตถสภาวธรรม; ไปเทิดทูนเอาสมมติธรรมมาเปน ตั ว ศาสนา; ยึ ด ถื อ เป น มึ ง เป น กู เป น เขาเป น เรา เป น ได เป น เสี ย เป น แพ เป น ชนะ เป นรุกรานไม รุกรานกั นในระหว างศาสนา, นี่ คื อยิ่ งมี เนื้ องอกเป นเปลื อกมาหุ มห อหั วใจ ของศาสนามากขึ้นจนมิดไปเลย.

ในที่สุด ศาสนานั้น ๆ ก็หมดความเปนศาสนา คือกลายเปนเครื่องมือ ของชาวโลก, ศาสนาตกไปเปนเครื่องมือของชาวโลก สําหรับชาวโลกจะใชเปนเครื่อง


๔๓๐

ปรมัตถสภาวธรรม

มื อแสวงหาสิ่ งต าง ๆ ตามความต องการของชาวโลก อย างโลก ๆ; เพราะว าไม รู ปรมั ตถสภาวธรรมที่เปนหัวใจของศาสนา. ถาศาสนาเปนศาสนากันขึ้นมาจริง ๆ ทุกศาสนา ศาสนาทุกศาสนารวมมือ กันได เพราะตางก็เปนศาสนาจริง เพื่อวาศาสนานี้จะชวยกําจัดความทุกขในโลกนี้ได อย างนี้ แล ว ศาสนิ กบริ ษั ทแห งศาสนานั้ น ๆ ต องเข าถึ งปรมั ตถธรรมในศาสนาของตน ๆ เทานั้น อยางอื่นไมมี. อยากจะพูดย้ําอีกทีหนึ่งวา ทุกศาสนามีปรมัตถสภาวธรรมตรง เปนอยางเดียวกัน คือไมเห็นแกตัว ไมมีอะไรที่ควรจะถือวาเปนตัวหรือเปนของตัว ถ าเขาเป นผู ถื อศาสนาที่ แท จริ ง ไม ใช คดโกง ไม เป น โจรปล นศาสนา ไม เป นโจรปล น พระเจา เขาก็จะถือวาไมมีอะไรเปนของเรา. พวกที่ถือศาสนาที่มีพระเจา ทุกอยางเปน ของพระเจา ไมใชของเรา; พอเกิ ด คิ ดว าเป นของเรา เราก็ โกงพระเจ า เราก็ ป ล น พระเจ า. นี่ ก็ ขาดจากความเป น ศาสนิ กที่ ดี ในศาสนานั้ น. พุ ทธบริษั ทก็ เหมื อนกั น พระพุ ทธเจาท านสอนถึ งขอที่ วา มีแตธาตุตามธรรมชาติ ไมใชเรา ไมใชของเรา; ถาเราไปเอามาเปนเราเปนของ เรา เราก็ โกงธรรมชาติ ปล น ธรรมชาติ คื อ ดื้ อ ดึ งต อ คํ าสั่ งสอนของพระพุ ท ธเจ าด วย เปนอยางนี้.

www.buddhadasa.info ทุ กศาสนาจะมี ปรมั ตถสภาวธรรม ตรงเป นอั นเดี ยวกั นหมด คื อไม มี อะไร ที่ ควรจะเอามามั่ นหมายเป นตั วตน เป นของตน; ให เป นของธรรมชาติ หรื อของพระธรรม หรื อของพระเจ า แล วแต จะเรี ยก. เดี๋ ยวนี้ คนมาถื อเอาประโยชน ของตั วเป นศาสนา ให ได แก ตนนั่ นแหละเป นศาสนา ให ได ที่ ดี แก ตน ส วนคนอื่ นไม รั บรู นั่ นแหละเป นศาสนา คื อ ว าถื อ ประโยชน ของตนเป น ศาสนา; อย างนี้ ไม ใช ป รมั ต ถสภาวธรรม เป น ศาสนา สมมติ.


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๓๑

จงแทงทะลุออกไปใหพบธรรมแทเถิด ขอใหแทงใหทะลุศาสนาชนิดนี้ ออกไปเสีย, ออกไปขางนอก แลวก็ จะไดพบธรรมะที่เปนปรมัตถสภาวธรรม อยามาติดอยูในกรงขัง กรอบใหม ๆ ที่หุมหอ ไว มิ ดชิ ด ติ ดอยู ในศาสนาที่ เป นสมมติ . ขอให พั งทะลายศาสนาชนิ ดนี้ ออกไปข างนอก ให ถึ งตั วปรมั ต ถธรรม รู แจ งสว างไสวว าอะไรเป น อะไร จึ งจะเรี ย กว าถึ งปรมั ต ถธรรม ในลั กษณะที่ จะช วยให ศาสนาเป นศาสนาพร อม ๆ กั นทุ กศาสนา ; แล วศาสนาทุ กศาสนา ก็จะปองกันความทุกข จะกําจัดเสนียดจัญไรในโลกนี้ออกไปไดหมดสิ้น. ดู ต อไป มั นก็ เนื่ องมาถึ งประเทศประเทศหนึ่ ง ๆ หรื อบุ คคลคนหนึ่ ง ๆ กํ าลั ง มี ป ญ หาเหลื อ ประมาณ; เดี๋ ย วนี้ ในประเทศไทยนี้ ป ญ หาอะไรที่ ห นั ก อกหนั ก ใจ ข าวสารแพง คิ ดดู ซิ ว าเนื่ องกั นกั บอะไรบ าง, มั นมาจากอะไรที่ ข าวสารแพง. แล วสิ่ งนั้ น มั นมาจากอะไร? มั น ก็ม าจากการที่ วาไม ตั้ งอยู ในธรรม, ทํ า ตนประพฤติ ผิ ด ธรรม ไม รูปรมั ตถสภาวธรรม เห็ นแก ตั ว ผลที่ ออกมาเป นป ญหาต าง ๆ นั่ น นี่ โน น จนกระทั่ ง ขาวสารแพงอยางนี้ เปนตน.

www.buddhadasa.info ป ญหาเหล านี้ ที่ จริงมั นก็ ไม ใช ป ญหารายกาจอะไร; แต ถ าเขาไม รู จั กอะไร ที่ สู งไปกว านี้ เขาก็ จะเห็ นว านี้ คื อป ญหามาก ป ญหาใหญ ก็ เลยทะลุ กลางปล อง ไม เห็ น แก ดี แก ชั่ ว แก บุ ญ แก บาป แก ผิ ดแก ถู ก จะแก ป ญ หาเอาโดยพละกํ าลั ง มั นก็ เลยเกิ ด ปญหามากขึ้นอีก. นี่เพราะวาบุคคบนั้นไมรูปรมัตถสภาวธรรมวา แทจริงอะไรเปน อย างไร, ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย เป น อย างไร, รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ เป น อย างไร, กระทบกั น แล วเป น ผั ส สะ เป น เวทนาอย างไร จะเกิ ด ตั ณ หา อุ ป าทาน ภพ ชาติ ที่เปนตัวทุกขอยางไร, ไมรูทั้งนั้น.


๔๓๒

ปรมัตถสภาวธรรม

แตคนไปรูขนาดที่เรียกวาหลับตารู คือรูไปแตในของหลอก ๆ รูจักของ หลอก ๆ ของอายตนะ คือความสุขสนุกสนานเอร็ดอรอยทางเนื้อทางหนัง; เรียกวา รูจั กของหลอก ๆ ของอายตนะ ถ าอย างนี้ เขารูสึ กเสี ยจริง ๆ. อายตนะชนิ ดนี้ กํ าลั งเป น ทาสของอารมณ ตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ ที่กําลังเป นนรกเหมื อนที่พระสวดเมื่ อตะกี้นี้ : อายตนะนี้เปนทาสของอารมณ . นี่รูจักกันแตเรื่องนี้ แลวก็หลงวาดี ก็ไดรสอรอยที่กิเลส มอบให ; คื ออรอยชนิ ดที่ ต องเอากิ เลสมาเป นผู กิ น แล วก็ อรอย : รูจั กแต ความอรอย ที่ กิ เลสมอบให ; ไม รูจั กสุ ขหรื อความอร อยที่ แท จริ ง ที่ ธรรมะมอบให . ถ าเป นรสของ พระธรรมก็ไมรูสึกอรอยสําหรับคนพวกนี้, แตถาเปนรสของกิเลสกลับรูสึกอรอย. นี่คนกําลังเปนอยางนี้ เพราะไมรูปรมัตถสภาวธรรม; ไปหลงแตของที่ เป นเหยื่อ ที่กิเลสหรือพญามาร หรือกิเลสมารใชเปนเหยื่อหลอกคน เอามาเกี่ยวเบ็ ด ให คนติ ดเบ็ ด ให สั ตวทั้ งหลายติ ดเบ็ ด แล วจู งไปตามอํ านาจชองมาร คื อมี ความทุ กข . เขาใช เยื่ อนี้ หุ ม ปรมั ตถธรรมเสี ยหมด คนเลยไม รู ก็ ไปรู จั กแต ของที่ ตรงกั น ข ามจาก ปรมั ต ถสภาวธรรมทั้ งปวง เป น เหตุ ให ป ระเทศหนึ่ ง ๆ ในโลกนี้ ก็ ดี บุ ค คลหนึ่ ง ๆ ใน ประเทศนั้ น ๆ ก็ ดี มึ นเมาอยู แต ด วยความเห็ นแก ตั ว และก็ มุ งมั่ นแต ที่ จะทํ าลายผู อื่ น เพื่อเอาประโยชนมาใสตัว เห็นการทําลายผูอื่นเปนของดีและมีเกียรติ.

www.buddhadasa.info คิ ดดู แล วในที่ สุ ด ว าเขาทํ าอย างนั้ นแล ว เราก็ ไม เห็ นว ามั นมี อะไรดี ขึ้ นเลย นอกจากเขาสนุ กสนานเอร็ดอรอยไปพั กหนึ่ ง แล วก็ ตายไปอย างไม มี ความหมาย, คนอื่ นก็ จะปลงอนิ จจั ง สงสารและสั งเวช. แต ถ าเป นกั นเสี ยทุ กคน ก็ ไม รูว าใครจะปลงอนิ จจั ง ใครกันแน มันก็เปนบาป เปนกรรม เปนโชครายของคนทั้งโลกก็แลวกัน. นี้คือความที่ปรมัตถสภาวธรรมนี้ ไมแจมแจงแกสัตวโลกตามที่พระพุทธองคไดทรงมุงหมายไว วาใหสัตวโลกทั้งหลาย จงเปนผูตื่นจากหลับคือกิเลส


ประโยชนแหงการเขาถึงปรมัตถสภาวธรรม

๔๓๓

ตื่ นจากหลั บคื ออวิ ชชาเถิ ด; ให รูสึ กทั้ งหลายทั้ งปวงตามที่ เป นจริง ไม ยึ ดมั่ นถื อมั่ นสิ่ งใด โดยความเป น ตน หรื อ ว า เป น ของของตน. นี่ คื อ ประโยชน ข องการมี ห รื อ ถึ งปรมั ต ถสภาวธรรม และแสดงตรงกันขางคือโทษของการที่ไมมี ไมถึงซึ่งปรมัตถสภาวธรรม. การบรรยายถึ งสิ่ งนี้ ซ้ํ า ๆ ซาก ๆ ถึ ง ๑๓ ครั้ งนี้ ; อาตมาคงจะได อ อกชื่ อ คํ าว า “ปรมั ต ถสภาวธรรม” นี้ มาเป น พั น ๆ ครั้ งแล วก็ ได ในการพู ด ครั้ งหนึ่ ง ๆ ก็ ดู ออกชื่ อ สิ่ งนี้ ไม รู กี่ ค รั้ ง . เอาเป น อั น ว าได พู ด กั น สุ ด ความสามารถแล ว ที่ จ ะยั ด เยี ย ด ให ท านทั้ งหลายสนใจเรื่ องนี้ . อาตมาได ทํ าสุ ดความสามารถของตนแล ว จะไม สํ าเร็ จ หรือจะสําเร็จ ก็ขึ้นอยูกับทานทั้งหลายทั้งปวง. เป นอั นว ายุ ติ การบรรยายครั้ งที่ ๑๓ แห งชุ ดปรมั ตถสภาวธรรม ซึ่ งเป นครั้ ง สุ ดท ายของการบรรยายภาคมาฆบู ชา ประจํ า พ.ศ. ๒๕๑๖ ไว แต เพี ยงนี้ . ขอโอกาส ให พ ระสงฆ ทั้ งหลายสวดคณะสาธยายสรรเสริ ญ พระธรรม หรื อ คุ ณ อั น เป น ที่ ตั้ งแห ง ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยสืบตอไปในกาลบัดนี้.

www.buddhadasa.info


www.buddhadasa.info


พระบาลี ปรมัตถสภาวธรรม (ที่อางถึงในหนังสือนี้ หนา ๔๐๓)

(๑. หมวดวาดวยธาตุ) ฉธาตุ โ ร อยํ ภิ กฺ ขุ ปุ ริ โ ส, ดู ก อ นภิ ก ษุ ! บุ รุ ษ (คื อ คนเรา) นี้ , ประกอบอยู ด ว ยธาตุ ๖ อยา ง, ...ฯลฯ... กิ ฺเ จตํ ปฏิจ ฺจ วุต ฺต ํ? คํ า นี ้, เราอาศัย เนื ้อ ความอะไรกลา วเลา ? ฉยิม า ภิก ฺข ุ ธาตุโ ย : ดูก อ นภิก ษุ! ธาตุทั ้ง หลาย ๖ อยา ง เหลา นี ้, มีอ ยู  : ปฐวีธ าตุ, คือ ปฐวีธ าตุ, อาโปธาตุ, คืออาโปธาตุ, เตโชธาตุ, คือเตโชธาตุ, วาโยธาตุ, คือวาโยธาตุ, อากาสธาตุ, คืออากาสธาตุ, วิฺญาณธาตุ. คือวิญญาณธาตุ. ดังนี้ -(ธาตุวิภังคสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๔๓๖/๖๗๘-๙.)

โย ภิก ฺข เว (เตสํ ฉนฺน ํ ธาตูน ํ),๑ อุป ฺป าโท ต ิ อภิน ิพ ฺพ ตฺติ ปาตุ ภ าโว; ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ภาวะอั น ใด, เป น ความเกิ ด ขึ้ น ความตั้ ง อยู ความบัง เกิด ขึ้น มา ความปรากฏออก, (แหง ธาตุทั ้ง หลาย ๖ อยา ง เหลา นั ้น ); ทุก ฺข สฺเ สโส อุป ฺป าโท, นั ่น แหละ คือ ความเกิด ขึ้น แหง ทุก ข, โรคานํ ต ิ, ความตั้งอยูแหงธรรมชาติเปนเครื่องเสียบแทงทั้งหลาย, ชรามรณสฺส ปาตุภาโว. เปน ความปรากฏออกแหง ชราและมรณะ. โย จ โข ภิก ฺข เว (เตสํ ฉนฺนํ ธาตูน ํ), นิโ รโธ วูป สโม อตฺถ งฺค โม; ดูกอ นภิก ษุทั ้ง หลาย! สว นภาวะอัน ใด, เปนความดับไมเหลือ ความเขาไปสงบรํางับ ความถึงซึ่งอันตั้งอยูไมได (แหง

www.buddhadasa.info

๑.

ขอความนี้ เป นขอความที่ กลาวรวบธาตุทั้ ง ๖ ในคราวเดียวกัน, ไม แยกกล าวที ละอย าง ๆ ตามบาลี แหงสูตรนั้น. ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการสวด. ๔๓๕


๔๓๖

ปรมัตถสภาวธรรม

ธาตุทั ้งหลาย ๖ อยา ง เหลา นั้น ) ; ทุก ฺข สฺเสโส นิโรโธ, นั่น แหละคือ ความดับ ไม เหลื อ แห ง ทุ ก ข , โรคานํ วู ป สโม, ความเข า ไปสงบรํ า งั บ แห ง ธรรมชาติ เป น เครื่อ งเสีย บแทงทั ้ง หลาย, ชรามรณสฺส อตฺถ งฺค โม. ความถึง ซี ่ง อัน ตั ้ง อยู ไมไ ด แหงชราและมรณะ. ดังนี้, -(สูตรที่ ๙ อุปฺปาทสํ. ขนฺธวาร, สํ. ๑๗/๒๘๖/๔๙๕-๖)

ฉนฺ นํ ภิ กฺ ข เว ธาตู นํ อุ ป าทาย, ดูก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! เพราะอาศั ย ธาตุ ๖ อยา ง เหลา นี ้, คพฺภ สฺส าวกฺก นฺต ิ โหติ; ยอ มมีก ารหยั ่ง ลงสู ค รรภ; โอกฺก นฺต ิย า สติ นามรูป ; เมื ่อ การหยั ่ง ลงสู ค รรภม ีอ ยู , นามรูป ยอ มมี; นามรู ป ปจฺ จ ยา สฬายตนํ ; เพราะมี น ามรู ป เป น ป จ จั ย , สฬายตนะย อ มมี ; สฬ ายตนปจฺจ ยา ผสฺโ ส, เพราะมีส ฬายตนะเปน ปจ จัย , ผัส สะ ยอ มมี; ผสฺส ปจฺจ ยา เวทนา. เพราะมีผ ัส สะเปน ปจ จัย , เวทนา ยอ มมี. เวทิย มานสฺส โข ปนาหํ ภิ กฺ ข เว, ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! สํ า หรับ บุ ค คลผู มี ค วามรูสึ ก ต อ เวทนา อยู  นั ่น แล, อิท ํ ทุก ฺข นฺต ิ ปฺาเปมิ, เรายอ มบัญ ญัต ิใ หรู ว า ทุก ข เปน อยา งนี ้ๆ , อยํ ทุก ฺข สมุท โยติ ปฺาเปมิ, ยอ มบัญ ญัต ิใ หรู ว า เหตุใ หเ กิด ขึ้น แหง ทุก ข เปน อยา งนี ้ ๆ, อยํ ทุก ฺข นิโ รโธติ ปฺาเปมิ, ยอ มบัญ ญัต ิใ หรู วา ความดั บ ไม เหลื อ แห งทุ ก ข เป น อย า งนี้ ๆ, อยํ ทุ กฺ ข นิ โรธคามิ นี ปฏิ ป ทาติ ปฺ าเปมิ . ย อ มบั ญ ญั ติ ให รูวา ข อ ปฏิ บั ติ เครื่อ งทํ าสั ต วให ลุ ถึ งความดั บ ไม เหลื อ แหงทุกข เปนอยางนี้ ๆ. ดังนี้

www.buddhadasa.info -(สูตรที่ ๑ มหาวรรค ติก. อํ. ๒๐/๒๒๗/๕๐๑)

อปราป (อาวุ โ ส) ติ สฺ โ ส ธาตุ โ ย : (ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย!) ธาตุ ทั้ ง หลาย แม เหล า อื่ น ๓อย า ง ยั งมี อี ก : กามธาตุ , กล า วคื อ ธาตุ เป น ที่ ตั้ ง แหงกาม, เปนไปเพื่อกามทั้งหลาย, อยางหนึ่ง; รูปธาตุ, กลาวคือ ธาตุเปนที่ตั้ง


พระบาลี ปรมัตถสภาวธรรม

๔๓๗

แหง รูป , เปน ไปเพื ่อ รูป ธรรมทั ้ง หลาย, อยา งหนึ ่ง ; อรูป ธาตุ. กลา วคือ ธาตุ เปนที่ตั้งแหงอรูป, เปนไปเพื่ออรูปธรรมทั้งหลาย, อยางหนึ่ง. ดังนี้. -(ขอความตอนนี้ เปนสารีปุตตเถรภาษิต ในสังคีติสูตร ปา. ที. ๑๑/๒๒๘/๒๒๘.)

อปราป (อาวุ โ ส) ติ สฺ โ ส ธาตุ โ ย : (ดู ก อ นท า นผู มี อ ายุ ทั้ ง หลาย!) ธาตุ ทั้ งหลาย แม เหล าอื่ น ๓ อย าง ยั งมี อี ก : รู ปธาตุ , กล าวคื อ ธาตุ เป นที่ ตั้ งแห ง รูป , เป น ไปเพื่ อ รูป ธรรมทั้ งหลาย, อย า งหนึ่ ง ; อรู ป ธาตุ , กล า วคื อ ธาตุ เป น ที่ ตั้ ง แห ง อรู ป , เป น ไปเพื่ อ อรู ป ธรรมทั้ ง หลาย, อย า งหนึ่ ง ; นิ โ รธธาตุ . กล า วคื อ ธาตุ เปนที่ดับแหงรูปธาตุและอรูปธาตุทั้งหลาย, เปนไปเพื่อนิพพาน,อยางหนึ่ง. ดังนี้. -(ขอความตอนนี้ เปนสารีปุตตเถรภาษิต ในสังคีติสูตร ปา. ที. ๑๑/๒๒๘/๒๒๘.)

ติ สฺ โส (อาวุ โส) นิ สฺ สารณี ยา ธาตุ โย : (ดู ก อนท านผู มี อายุ ทั้ งหลาย!) ธาตุ อัน เปน ธรรมชาติเ ครื ่อ งสลัด ออก ซึ ่ง สิ ่ง ควรสลัด ออก, มีอ ยู  ๓ อยา ง : กามานเมตํ นิส ฺส รณํ, ยทิท ํ เนกฺข มฺม ํ, กลา วคือ เนกขัม มธาตุ อัน เปน เครื่อ ง สลัด ออกซึ ่ง กามธาตุ นั ้น , อยา งหนึ ่ง ; รูป านเมตํ นิส ฺส รณํ, ยทิท ํ อรูป , กล า วคื อ อรูป ธาตุ อั น เป น เครื่อ งสลั ด ออกซึ่ งรู ป ธาตุ นั้ น , อย า งหนึ่ ง ; ยํ โข ปน กิ  ฺ จิ ภู ตํ สงฺ ข ตํ ปฏิ จฺ จ สมุ ปฺ ป นฺ นํ , นิ โ รโธ ตสฺ ส นิ สฺ ส รณํ . กล า วคื อ นิ โรธธาตุ อั น เป น เครื่ อ งสลั ด ออกซึ่ งสั งขารธาตุ อั น เกิ ด แล ว, ปรุ งแต งแล วอาศั ย กั น เกิดขึ้นแลว ใด ๆ ก็ตาม นั้น, อยางหนึ่ง. ดังนี้.

www.buddhadasa.info -(ขอความตอนนี้ เปนสารีปุตตเถรภาษิต ในสังคีติสูตร ปา. ที. ๑๑/๒๙๒/๓๙๕.)

เย จ รูปู ปคา สตฺ ตา, สั ตวทั้ งหลายเหล าใด ผู เขาไปถื อเอาซึ่งรูปธาตุ ดวย, เย จ อรูปฏ ฐายิ โน, สัตวทั้ งหลายเหลาใด ผูเขาไปตั้ งอยูในอรูปธาตุ ด วย, นิโ รธํ อปฺป ชานนฺต า, ลว นแตเ ปน ผู ไ มรูทั ่ว ถึง อยู  ซึ ่ง นิโ รธธาตุ, อาคนฺต าโร เต ปุนพฺภวํ. สัตวทั้งหลายเหลานั้น, ยอมเปนผูมาสูภพใหมอีก. เย จ รูเป


ปรมัตถสภาวธรรม

๔๓๘

ปริ ฺ าย, ส ว นสั ต ว ทั้ ง หลายเหล า ใด, รอบรู แ ล ว ซึ่ ง รู ป ธาตุ ทั้ ง หลาย, อรู เปสุ อสณฺิต า, ไมติด อยูแ ลว ในอรูป ธาตุทั้ง หลาย นิโ รเธ เยว มุจ ฺจ นฺต ิ; ยอ ม หลุ ดพ น ไปในนิโรธธาตุ นั่ น เที ยว; เต ชนา มจฺ จุห ายิโน. สัต วทั้งหลายเหล านั้ น , ชื่อวาผูละซึ่งมุจจุ. ดังนี.้ -(ทวยตานุปสสนาสูตร มหาวรรค สุ. ขุ. ๒๕/๔๘๐/๔๐๔.)

อถวา : อี ก อย า งหนึ่ ง : สพฺ พ สงฺ ข ารธาตุ ย า จิ ตฺ ตํ ปฏิ ว าเปตฺ ว า, นรชน, ถอนแลวซึ่งจิตจากสังขารธาตุทั้งปวง, อมตาย ธาตุยา จิตฺตํ อุปสํหรติ; ย อ มน อ มนํ า จิ ต เข า ไปในอมตธาตุ ; เอตํ ส นฺ ต ํ เอ ตํ ป ณี ต ํ , นั ่ น แหละ คือ ธรรมชาติอ ัน รํ า งับ , นั ่น แหละ คือ ธรรมชาติอ ัน ประณีต , ยทิท ํ, ไดแ กสิ ่ง เหลา นี ้ คือ :-สพฺพ สงฺข ารสมโถ, คือ ความสงบรํ า งับ แหง สัง ขารทั ้ง ปวง, สพฺพ ูป ธิป ฏิน ิส ฺส คฺโค, คือ ความสลัด คืน ซึ่ง อุป ธิทั้ง ปวง, ตณฺห กฺข โย, คือ ความ สิ ้น ไปแหง ตัณ หา, วิร าโค, คือ ความจางไปหมดสิ ้น , นิโ รโธ, คือ ความดับ ไมเหลือ นิพฺพานํ. คือความดับเย็นสนิท. ดังนี้. -(มหานิ. ขุ ๒๙/๕๑๖/๘๒๕.)

(๒. หมวดวาดวยอายตนะ)

www.buddhadasa.info อถาปรํ โภนฺ โต อายตนานํ สํ วณฺ ณ นา อมฺ เหหิ สชฺ ฌ ายิ ต พฺ พ า. ดู ก อ นท า นผู เจริ ญ ทั้ ง หลาย! ลํ า ดั บ นี้ , เรื่ อ งอั น เกี่ ย วกั บ อายตนะทั้ ง หลาย, เป น เรื่องที่ขาพเจาทั้งหลาย จะนํามาสาธยาย :สพฺพ ํ โว ภิก ฺข เว เทสิส ฺส ามิ. ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! เราจัก แสดง ซึ ่ง “สิ ่ง ทั ้ง ปวง” แกเธอทั ้ง หลาย. ตํ สุณ าถ. เธอทั ้ง หลาย จะฟง ซึ ่ง ธรรมนั ้น . กิ ฺจ ภิก ฺข เว สพฺพ ํ? ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! อะไรเลา ชื ่อ วา “สิ ่ง ทั ้ง ปวง” ? จกฺขุฺเจว รูปา จ; อายตนะ คือจักษุและรูปทั้งหลายดวย นั่นเอง; โสตฺจ


พระบาลี ปรมัตถสภาวธรรม

๔๓๙

ส ท ฺท า จ ; อายตน ะ คือ หูแ ล ะเสีย งทั ้ง ห ลาย ดว ย; ฆ าน  ฺจ ค น ฺธ า จ ; อายตนะ คือ จมูก และกลิ ่น ทั ้ง หลาย ดว ย; ชิว ฺห า จ รสา จ; อายตนะ คือ ลิ้ น และรสทั้ ง หลาย ด ว ย; กาโย จ โผฏ พฺ พ า จ; อายตนะ คื อ กายและ โผฏฐั พ พะทั้ ง หลาย ด ว ย; มโน จ ธมฺ ม า จ; อายตนะ คื อ มโนและธรรมารมณ ทั ้ง หลาย ดว ย; อิท ํ วุจ ฺจ ติ ภิก ฺข เว สพฺพ ํ. ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! อายตนะ ทั้งหลายเหลานี้ นี่เราเรียกวา “สิ่งทั้งปวง”. ดังนี้. -(สูตรที่ ๑ สัพพวรรค สฬายตนสํ. สฬา. สํ. ๑๘/๑๙/๒๔.)

กตมฺ จ ภิ กฺ ข เว สฬายตนํ ? ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! ก็ สิ่ ง ที่ เรี ย กว า อ าย ต น ะ ๖ อ ยา ง นั ้น คือ อ ะไรเลา ? จ กฺข ฺว าย ต นํ, คือ จัก ขุ - อ าย ต น ะ , กล า วคื อ ตาเป น ทวารที่ ก ระทบแห ง อารมณ ท างตก, โสตายตนํ ,คื อ โสตะ-อายตนะ, กล าวคื อ หู เป น ทวารที่ ก ระทบแห งอารมณ ท างหู , ฆานายตนํ , คื อ ฆานะ-อายตนะ, กล า วคื อ จมู ก เป น ทวารที่ ก ระทบแห ง อารมณ ท างจมู ก , ชิ วฺ ต ายตนํ , คื อ ชิ ว หาอายตนะ, กลา วคือ ลิ ้น เปน ทวารที ่ก ระทบแหง อารมณท างลิ ้น , กายายตนํ, คื อ กายะ-อายตนะ, กล า วคื อ เนื้ อ หนั ง เป น ทวารที่ ก ระทบแห ง อารมณ ท างกาย, มนายตนํ ; คื อ มนะ-อายตนะ, กล า วคื อ ใจเป น ทวารที่ ก ระทบแห ง อารมณ ท างใจ; อิท ํ วุจ ฺจ ติ ภิก ฺข เว สฬายตนํ. ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! นี ้ เราเรีย กวา อายตนะ -(สูตรที่ ๒ พุทธวรรค นิทานสํ. นิทาน. สํ. ๑๖/๔/๑๓) ๖ อยาง. ดังนี้.

www.buddhadasa.info สมุท ฺโ ท สมุท ฺโ ทติ ภิก ฺข เว อสฺส ุต ฺว า ปุถ ุช ฺช นโน ภาสติ. ดูก อ น ภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ปุ ถุ ช น ผู มี ก ารสดั บ อย างธรรมดาสามั ญ , กล าวกั น อยู ว า สมุ ท ร ๆ ดัง นี ้. เนโส ภิก ฺข เว อริย สฺส วิน เย สมุท ฺโ ท. ดูกอ นภิก ษุทั ้ง หลาย! สมุท ร ดั ง ที่ ก ล า วนั้ น หาใช ส มุ ท ร ในอริ ย วิ นั ย กล า วคื อ ระเบี ย บแห ง การพู ด จาของพระอริยเจาไม. มหา เอโส ภิกฺขเว อุทกราสิ มหา อุทกณฺณโว. ดูกอนภิกษุ


๔๔๐

ปรมัตถสภาวธรรม

ทั ้ง หลาย! นั ่น เปน เพีย งนา นน้ํ า ใหญ ๆ หว งน้ํ า ใหญ ๆ. สนฺต ิ ภิก ฺข เว จกฺข ุ วิ ฺ เ ยฺ ย า รู ป า, ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! สมุ ท ร ในระเบี ย บแห ง การพู ด จาของ พระอริย เจา มีอ ยู , คือ รูป ทั ้ง หลาย อัน จะพึง รู ส ึก ไดด ว ยจัก ษุ, อิฏ า กนฺต า มนาปา, เปน ที ่น า ปรารถนา นา ใคร นา พอใจ, ปย รูป า กามูป สฺห ิต า รชนิย า; มีร ูป นา รัก เปน ที ่ตั ้ง แหง ความใคร เปน ที ่ตั ้ง แหง ความกํ า หนัด ; อยํ วุจ ฺจ ติ ภิก ฺข เว อริย สฺส วิน เย สมุท ฺโ ท. ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! นี ้แ ล, คือ สิ ่ง ที ่เ รีย กวา สมุท ร ๆ ในระเบีย บแหง การพูด จาของพระอริย เจา . เอตฺถ ายํ สเทวโก โลโก สมารโก สพฺ ร หฺ ม โก, ในสมุ ท รนั ้ น แล, สั ต ว โ ลกพร อ มทั ้ ง เทวโลก มารโลก พรหมโลก, สสฺ ส มณ พฺ ร าหฺ ม ณี ปชา สเทวมนุ ส ฺ ส า, หมู สั ต ว พร อ มทั้ งสมณพราหมณ พร อ มทั้ งเทวดาและมนุ ษ ย . เยภุ ยฺ เยน สมุ นฺ น า ตนฺต า, โดยมากพากัน ตกอยู  จมอยู , กุล กชาตา กุล คุณ ฺฑ ิก ชาต มุ ฺช ปพฺ พ ชภู ต า, มี จิ ต เหมื อ นกลุ ม ด า ยยุ ง , ยุ ง เหยิ ง เหมื อ นความยุ ง ของกลุ ม ด า ยที่ หนาแน น ไปด วยปม, พั ว พั น กั น ยุ งเหมื อ นเซิ งหญ ามุ ญ ชุ แ ละหญ าป พ พชะ, อปายํ ทุค ฺค ตึ วิน ิป าตํ สํส ารํ นาติว ตฺต นฺต ิ. ยอ มไมล ว งพน ซึ ่ง สัง สารวัฏ ฏ คือ อบาย ทุคติ วินิบาต. ดังนี้.

www.buddhadasa.info (ในกรณี แ ห ง เสี ย งเป น สมุ ท รก็ ดี กลิ่ น เป น สมุ ท รก็ ดี รสเป น สมุ ท รก็ ดี โผฏฐัพ พะเปน สมุท รก็ด ี ธรรมารมณเ ปน สมุท รก็ด ี, พระผู ม ีพ ระภาคเจา ได ตรัสไว, มีนัย (ะ) อยางเดียวกันกับในกรณีแหงรูปเปนสมุทร.) -(สูตรที่ ๒ สมุททวรรค สฬายตนสํ สฬา. สํ. ๑๘/๑๙๖/๒๘๗.)

หตฺเ ถสุ ภิก ฺข เว สติ, อาทานนิก ฺเ ขปนํ ปฺายติ; ดูก อ นภิก ษุ ทั้ งหลาย ! เมื่ อมื อทั้ งหลายมี อยู , การจั บหรือการวาง ย อมปรากฏให เห็ น; ปาเทสุ สติ, อภิกฺกมปฏิกฺกโม ปฺายติ; เมื่อเทาทั้งหลาย มีอยู, การกาวไปหรือ


พระบาลี ปรมัตถสภาวธรรม

๔๔๑

การถอยกลับ ยอ มปรากฏใหเ ห็น ; ปพฺเ พสุ สติ, สมฺม ิ ฺช นปสารณฺ ปฺญายติ ; เมื่ อ ข อ ศอกข อ เท า ทั้ ง หลาย มี อ ยู , การคู เข า หรื อ การเหยี ย ดออก ย อ ม ปรากฏให เ ห็ น ; กุ จ ฺ ฉ ิ ส ฺ ม ึ สติ , ชิ ฆ จฺ ฉ าป ป าสา ปฺ  ายติ ; เมื ่ อ ท อ งไส มีอ ยู , ความหิว หรือ ความระหาย ยอ มปรากฏใหเ ห็น ; นี ้ฉ ัน ใด; เอวเมว โข ภิก ฺข เว : ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! ขอ นี ้ ก็ฉ ัน นั ้น : จกฺข ุส ฺม ึป  สติ, กลา วคือ เมื่อ จัก ษุมีอ ยู, จกฺขุส มฺผ สฺส ปจฺจ ยา อุปฺป ชฺช ติ อชฺฌ ตฺตํ สุข ทุกฺขํ; เพราะ จัก ษุส ัม ผัส นั ้น เปน ปจ จัย , ยอ มเกิด ความสุข และทุก ขขึ ้น ในตน; โสตสฺม ึ สติ, เมื ่อ หูม ีอ ยู , โสตสมฺผ สฺส ปจฺจ ยา อุป ฺป ชฺช ติ อชฺฌ ตฺต ํ สุข ทุก ฺข ํ; เพราะ โสตสัม ผัส นั ้น เปน ปจ จัย , ยอ มเกิด ความสุข และทุก ขขึ ้น ในตน; ฆานสฺม ึ สติ เมื ่ อ จ มู ก มี อ ยู  , ฆ า น ส มฺ ผ สฺ ส ป จฺ ย า อุ ป ฺ ป ชฺ ช ติ อ ชฺ ฌ ตฺ ต ํ สุ ข ทุ ก ฺ ข ํ ; เพราะฆานสัม ผัส นั ้น เปน ปจ จัย , ยอ มเกิด ความสุข และทุก ขขึ ้น ในตน; ชิว ฺห าย สติ , เมื ่ อ ลิ ้ น อยู  , ชิ ว ฺ ห าสมุ ผ สฺ ส ปจฺ จ ยา อุ ป ฺ ป ชฺ ช ติ อชฺ ฌ ตฺ ต ํ สุ ข ทุ ก ฺ ข ํ ; เพราะชิ ว หาสั ม ผั ส นั้ น เป น ป จ จั ย , ย อ มเกิ ด ความสุ ข และทุ ก ข ขึ้ น ในตน; กายสฺ มึ สติ, เมื ่อ กายมีอ ยู , กายสมฺผ สฺส ปจฺจ ยา อุป ฺป ชฺช ติ อชฺฌ ตฺต ํ สุข ทุก ฺข ํ; เพราะกายสัม ผัสนั้ น เป นป จจัย, ย อมเกิดความสุ ขและทุ กขขึ้นในตน; มนสฺ มึ สติ , เมื ่อ ใจมีอ ยู , มโนสมฺผ สฺส ปจฺจ ยา อุป ฺป ชฺช ติ อชฺฌ ตฺต ํ สุข ทุก ฺข ํ. เพราะ มโนสัมผัสนั้นเปนปจจัย, ยอมเกิดความสุขและทุกขขึ้นในตน. ดังนี้.

www.buddhadasa.info -(สูตรที่ ๙ สมุททวรรค สฬายตนสํ. สฬา. สํ. ๑๘/๒๑๔/๓๐๕.)

ทิฏา มยา ภิกฺข เว ฉ ผสฺส ายตนิก า นาม นิร ยา. ดูกอ นภิก ษุ ทั้ งหลาย ! นรก ชื่ อ ฉผั ส สายตนิ ก า, (คื อ นรกอั น เป น ไปในการสั ม ผั ส ทางอายตนะ ทั ้ง ๖), เราไดเ ห็น แลว . ตตฺถ ยงฺก ิจิ จกฺข ุน า รูป  ปสฺส ติ, ในนรกนั ้น , บุคคลเห็นรูปใด ๆ ดวยจักษุ, อนิฏรูปฺเญว...อกนฺตรูปฺเว.. อมนาป-


๔๔๒

ปรมัตถสภาวธรรม

รูป ฺเ ว ปสฺส ติ, ยอ มเห็น แตรูป อัน มีล ัก ษณะไมพ ึง ปรารถนา...ไมน า ใคร… ไมน า พอใจ ทั ้ง นั ้น , โนอิฏ รูป ...กนฺต รูป ...มนาปรูป ; ไมไ ดเ ห็น รูป อัน มี ลัก ษณะพึง ปรารถนา...นา ใคร...นา พอใจเลย; ยงฺก ิ ฺจ ิ โสเตน สทฺท ํ สุณ าติ, ในนรกนั้น , บุค คลฟงเสีย งใด ๆ ดวยหู, อนิฏรูป ฺเว...อกนฺต รูป ฺเว...อม น าป รู ป ฺ เ ว สุ ณ าติ , ย อ ม ฟ ง แต เ สี ย ง อั น มี ล ั ก ษ ณ ะไม พ ึ ง ป รารถน า ไมน า ใคร...ไมน า พอใจ ทั ้ง นั ้น , โน อิฏ รูป ...กนฺต รูป …มนาปรูป  ; ไมไ ด ฟง เสีย ง อัน มีล ัก ษณะพึง ปรารถนา...นา ใคร...นา พอใจ เลย; ยงฺก ิ ฺจ ิฆ าเนน คนฺธ ํ ฆายติ, ในนรกนั ้น , บุค คลดมกลิ ่น ใด ๆ ดว ยจมูก , อนิฏ รูป ฺเ ว... อกนฺต รูป ฺเ ว...อมนาปรูป ฺเ ว ฆายติ, ยอ มดมแตก ลิ ่น อัน มีล ัก ษณะ ไมพ ึง ปรารถนา...ไมน า ใคร...ไมน า พอใจ ทั ้ง นั ้น , โน อิฏ รูป ...กนฺต รูป ... มนาปรูป ; ไมไ ดด มกลิ ่น อัน มีล ัก ษณะพึง ปรารถนา...นา ใคร...นา พอใจ เลย; ย งฺ ก ิ  ฺ จ ิ ชิ ว ฺ ห าย รสํ ส าย ติ , ในนรกนั ้ น , บุ ค ค ลลิ ้ น รสใด ๆ ด ว ยลิ ้ น , อนิฏ รูป ฺเ ว...อกนฺต รูป ฺเ ว...อมนาปรูป ฺเว สายติ, ยอ มลิ้น แตร ส อัน มีล ัก ษณะไมพ ึง ปรารถนา...ไมน า ใคร...ไมน า พอใจ ทั ้ง นั ้น , โน อิฏ รูป ... กนฺ ต รู ป ...มนาปรู ป ; ไม ได ลิ้ น รส อั น มี ลั ก ษณะพึ ง ปรารถนา...น า ใคร ...น า พอใจ เล ย ; ย งฺก ิ ฺจ ิ ก า เย น โผ ฏ พ ฺพ ํ ผ ุส ต ิ, ใน น ร ก นั ้น , บ ุค ค ล สัม ผัส โผฏฐัพ พะใด ๆ ดว ยผิว กาย, อนิฏ รูป ฺเ ว...อกนฺต รูป ฺเ ว...อมนาป รู ป ฺ เว ผุ ส ติ , ย อ มสั ม ผั ส แต โผฏฐั พ พะ อั น มี ลั ก ษณะไม พึ ง ปรารถนา...ไม น า ใคร ...ไม น า พอใจ ทั้ ง นั้ น , โน อิ ฏ รู ป ...กนฺ ต รู ปฺ ...มน าปรู ป ; ไม ไ ด สั ม ผั ส โผฏฐัพ พะ อัน มีล ัก ษณะพึง ปรารถนา...นา ใครน า พอใจ เลย; ยงฺก ิ ฺจ ิ มนสา ธมฺม ํ วิช านาติ, ในนรกนั ้น , บุค คลรูส ึก ธรรมารมณใ ด ๆ ดว ยใจ, อนิฏ ฐ -รูป  ฺเ ญ ว ...อ ก น ฺต รูป  ฺเ ว...อ ม น าป รูป  ฺเ ว วิช าน าติ, ยอ ม รู ส ึก แต ธรรมารมณ อันมีลักษณะไมพึงปรารถนา...ไมนาใคร...ไมนาพอใจ ทั้งนั้น, โน

www.buddhadasa.info


พระบาลี ปรมัตถสภาวธรรม

๔๔๓

อิ ฏ รู ป ...กนฺ ต รู ป ...มนาปรู ป . ไม ไ ด รู สึ ก ธรรมารมณ อั น มี ลั ก ษณะพึ ง ปรารถนา ...นาใคร...นาพอใจ เลย. ดังนี้. -(สูตรที่ ๒ เทวทหวรรค สฬายตนสํ. สฬา. สํ. ๑๘/๑๕๘/๒๑๔.)

ทิฏ า มยา ภิก ฺข เว ฉ ผสฺส ายตนิก า นาม สคฺค า. ดูก อ นภิก ษุ ทั้ งหลาย! สวรรค ชื่ อฉผั สสายตนิ กา, (คื อสวรรค อั นเป นไปในการสั มผั สทางอายตนะ ทั้ ง ๖), เราได เ ห็ น แล ว . ตตฺ ถ ยงฺ ภิ ฺ จิ จ กฺ ขุ น า รู ป ปสฺ ส ติ , ในสวรรค นั้ น , บุค คลเห็น รูป ใด ๆ ดว ยจัก ษุ, อิฏ รูป  เยว...กนฺต รูป  เยว...มนาปรูป  เยว ปสฺส ติ, ยอ มเห็น แตร ูป อัน มีล ัก ษณะพึง ปรารถนา...นา ใคร...นา พอใจ ทั ้ง นั ้น , โน อ นิ ฏ รู ป ...อ ก นฺ ต รู ป ...อ ม น าป รู ป ; ไม ไ ด เ ห็ น รู ป อั น มี ลั ก ษ ณ ะไม พึ ง ปรารถนา...ไมน า ใคร...ไมน า พอใจ เลย; ยงฺก ิ ฺจ ิ โสเตน สทฺท ํ สุณ าติ, ในสวรรคนั ้น , บุค คลฟง เสีย งใด ๆ ดว ยหู, อิฏ รูป  เยว...กนฺต รูป  เยว… มนาปรูป  เยว สุณ าติ, ยอ มฟง แตเสีย ง อัน มีล ัก ษณะพึง ปรารถนา…นา ใคร… นา พอใจ ทั ้ง นั ้น , โน อนิฏ รูป ...อกนฺต รูป ...อม นาป รูป ; ไมไ ดฟ ง เสีย ง อัน มีล ัก ษณะไมพ ึง ปรารถนา..ไมน า ใคร...ไมน า พอใจ เลย; ยงฺก ิ ฺจ ิ ฆาเนน คนฺธ ํ ฆายติ, ในสวรรคนั ้น , บุค คลดมกลิ ่น ใด ๆ ดว ยจมูก , อิฏ รูป  เยว … กนฺ ตรู ป เยว...มนาปรู ป เยว ฆายติ , ย อมดมแต กลิ่ น อั นมี ลั กษณะพึ งปรารถนา ...น า ใคร . ..น า พอใจ ทั ้ ง นั ้ , โน อนิ ฏ   รู ป  . ..อกนฺ ต รู ป  . ..อมนาปรู ป ; ไม ไ ด ดมกลิ ่น อัน มีล ัก ษณะไมพ ึง ปรารถนา...ไมน า ใคร...ไมน า พอใจ เลย; ยงฺก ิ ฺจิ ชิว ฺห าย รสํ ส าย ติ, ในส วรรคนั ้น , บุค คลลิ ้ม รสใด ๆ ดว ยลิ ้น , อิฏ รูป เยว...กนฺ ต รู ป เยว...มนาปรู ป เยว สายติ , ย อ มลิ้ ม แต ร ส อั น มี ลั ก ษณ ะพึ ง ปรารถนา...นา ใคร...นา พอใจ ทั ้ง นั ้น , โน อนิฏ ฐ รูป ...อกนฺต รูป ...อมนาปรูป ; ไมไ ดลิ ้ม รส อัน มีล ัก ษณะไมพ ึง ปรารถนา...ไมน า ใคร...ไมน า พอใจ เลย; ยงฺกิฺจิ กาเยน โผฏพฺพํ ผุสติ, ในสวรรคนั้น, บุคคลสัมผัสโผฏฐัพพะใด ๆ

www.buddhadasa.info


๔๔๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ดว ยผิว กาย, อิฏรูป  เยว...กนฺต รูป  เยว...มนาปรูป เยว ผุส ติ, ยอ มสัม ผัส แตโ ผฏ ฐัพ พ ะ อัน มีล ัก ษ ณ ะพึง ปรารถนา...นา ใคร...นา พอใจ ทั ้ง นั ้น , โน อนิ ฏ รู ป ...อกนฺ ต รู ป ...อมนาปรู ป ; ไม ไ ด สั ม ผั ส โผฏฐั พ พะอั น มี ลั ก ษณะไม พึ ง ปรารถนา...ไมน า ใคร...ไมน า พอใจ เลย; ยงฺก ิ ฺจ ิ มนสา ธมฺม ํ วิช านาติ, ในสวรรคนั ้น , บุค คลรู ส ึก ธรรมารมณใ ด ๆ ดว ยใจ, อิฏ รูป  เยว...กนฺต รูป เยว...มนาปรู ป เยว วิ ช าน าติ , ย อ มรู สึ ก แต ธ รรมารมณ อั น มี ลั ก ษณ ะพึ ง ป ร า ร ถ น า ...น า ใ ค ร . ..น า พ อ ใ จ ทั ้ ง นั ้ น , โ น อ นิ ฏ   รู ป  . ..อ ก นฺ ต รู ป  . .. อมนาปรูป . ไมไ ดรูส ึก ธรรมารมณ อัน มีล ัก ษณะไมพ ึง ปรารถนา…ไมน า ใคร... ไมนาพอใจ เลย. ดังนี้. -(สูตรที่ ๒ เทวทหวรรค สฬายตนสํ. สฬา. สฺ. ๘/๑๕๙/๒๑๕.)

กิส ฺม ึ โลโก สมุป ฺป นฺโ น? โลกคือ หมู ส ัต ว, เกิด ขึ ้น แลว ในอะไร? ฉสุ โลโก สมุป ฺป นฺโ น; โลกคือ หมู ส ัต ว, เกิด ขึ ้น แลว ในสภาวธรรม คือ คู แหง อายตนะทั ้ง หลาย หก; กิส ฺม ึ กุพ ฺพ ติ สนฺถ วํ? โลกคือ หมู ส ัต ว, ยอ ม กระทํ า ซึ ่ง ความชิด ชม ในอะไร? ฉสุ กุพ ฺพ ติ สนฺถ วํ; โลกคือ หมู ส ัต ว, ยอ ม กระทํ าซึ่ งความชิดชม ในสภาวธรรม คื อคู แห งอายตนะทั้ งหลาย หก; กิ สฺ มึ โลโก อุป าทาย? โลกคือ หมู ส ัต ว, เขา ไปยึด ถือ แลว ซึ่งอัส สาทะแหง อะไร? ฉนฺน เมว, อุ ป าทาย; โลกคื อ หมู สั ต ว , เข า ไปยึ ด ถื อ แล ว ซึ่ ง อั ส สาทะแห ง สภาวธรรม คื อ คู แห ง อายตนะทั้ ง หลาย หก นั่ น เที ย ว; กิ สฺ มึ โลโก วิ ห ฺ ติ ? โลกคื อ หมู สั ต ว ยอ มลํ า บากเดือ ดรอ น เพราะเหตุแ หง อะไร? ฉสุ โลโก วิห ฺติ. โลกคือ หมู ส ัต ว, ยอ มลํ า บากเดือ ดรอ น เพราะเหตุแ หง สภาวธรรม คือ คู แ หง อายตนะ ทั้งหลายหก. ดังนี้.

www.buddhadasa.info -(เหมวตสูตร อุรควรรค สุ. ขุ. ๒๕/๓๕๗/๓๑๙.)

ห ตุ เ ถ สุ ภิ ก ุ ข เว อ ส ติ , อ าท าน นิ ก ฺ เ ข ป นํ น ป ฺ  าย ติ ; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อมือทั้งหลายไมมี, การจับหรือการวาง ยอมไมปรากฏ


พระบาลี ปรมัตถสภาวธรรม

๔๔๕

ให เห็ น ; ปาเทสุ อสติ , อภิ กฺ ก มปฏิ กฺ ก โม น ปฺ ายติ ; มื อ เท า ทั้ งหลายไม มี , การก าวไปหรือ การถอยกลั บ ย อ มไม ป รากฏให เห็ น ; ปพฺ เพสุ อสติ , สมฺ มิ ฺ ช นปสารณํ น ปฺ ายติ ; เมื่ อ ข อ ศอกข อ เท า ทั้ ง หลาย ไม มี , การคู เ ข า หรื อ การ เหยีย ดออก ยอ มไมป รากฏใหเ ห็น ; กุจ ฺฉ ิส ฺม ึ อ ส ติ, ชิฆ จฺฉ าปป าส า น ปฺ ายติ ; เมื่ อ ท อ งไส ไม มี , ความหิ ว หรื อ ความระหาย ย อ มไม ป รากฏให เห็ น ; นี ้ ฉ ั น ใด; เอ วเม ว โข ภิ ก ฺ ข เว : ดู ก  อ นภิ ก ษุ ทั ้ ง หลาย! ข อ นี ้ ก็ ฉ ั น นั ้ น : จกฺข ุส ฺม ึ อสติ, กลา วคือ เมื ่อ จัก ษุไ มม ี, จกฺข ุส มฺผ สฺส ปจฺจ ยา นุป ฺป ชฺช ติ อชฺ ฌ ตฺ ตํ สุ ข ทุ กฺ ขํ ; ก็ ไม เกิ ด ความสุ ขและทุ ก ข ที่ มี จั ก ษุ สั ม ผั ส เป น ป จ จั ย ขึ้ น ในตน; โสตสฺ ม ึ อสติ , เมื ่ อ หู ไ ม ม ี , โสตสมฺ ผ สสปจฺ จ ยา นุ ป ฺ ป ชชติ อชฺ ฌ ชฺ ช ตํ สุข ทุก ฺข ํ; ก็ไ มเ กิด ค วาม สุข แล ะทุก ข ที ่ม ีโ ส ต สัม ผัส เปน ปจ จัย ขึ ้น ใน ต น ; ฆานสฺม ึ อสติ, เมื ่อ จมูก ไมม ี, ฆานสมฺผ สฺส ปจฺจ ยา นุป ฺป ชฺช ติ อชฺฌ ตฺตํ สุข ทุก ฺข ํ; ก็ไ มเ กิด ความสุข และทุก ข ที ่ม ีฆ านสัม ผัส เปน ปจ จัย ขึ ้น ในตน ; ชิว ฺห าย อสติ, เมื ่อ ลิ ้น ไมม ี, ชิว ฺห าสมฺผ สฺส ปจฺจ ยา นุป ฺป ชฺช ติ อชฺฌ ตฺต ํส สุข ทุก ฺข ํ; ก็ไ มเ กิด ความสุก ขและทุก ข ที ่ม ีช ิว หาสัม ผัส เปน ปจ จัย ขึ ้น ในตน; กายสฺ ม ึ อสติ , เมื ่ อ กายไม ม ี , กายสมฺ ผ สฺ ส ปจฺ จ ยา นุ ป ฺ ป ชฺ ช ติ อชฺ ฌ ตฺ ตํ สุ ข ทุ ก ฺ ข ํ ; ก็ ไ ม เ กิ ด ความ สุ ข และทุ ก ข ที ่ ม ี ก ายสั ม ผั ส เป น ป จ จั ย ขึ ้ น ในตน ; ม น สฺ ม ึ อ ส ติ , เมื ่ อ ใจไม ม ี , ม โน ส มฺ ผ สฺ ส ป จฺ จ ยา นุ ป ฺ ป ชฺ ช ติ อ ชฺ ฌ ตฺ ตํ สุขทุกฺขํ. ก็ไมเกิดความสุขและทุกข ที่มีมโนสัมผัสเปนปจจัย ขึ้นในตน. ดังนี้.

www.buddhadasa.info -(สูตรที่ ๙ สมุททวรรค สฬายตนสํ. สฬา. สํ. ๑๘/๒๑๔/๓๐๖.)

โย ภ ิก ฺข เว (เต ส ํ ฉ น ฺน ํ ฉ น ฺน ํ อ า ย ต น า น ํ), ๑ อ ุป ฺป า โ ท ิติ อภินิพฺพตฺติ ปาตุภาโว; ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! ภาวะอันใด, เปนความเกิดขึ้น .

ข อ ความนี้ เป น ข อ ความที่ ก ล า วรวบอายตนะทั้ ง ๖ ทั้ ง สองหมวด ในคราวเดี ย วกั น , ไม แ ยกกล า ว ทีละอยางๆ ตามบาลีแหงสูตรนั้น ๆ, ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการสวดขอความนี้


๔๔๖

ปรมัตถสภาวธรรม

ความตั้ งอยู ความบั งเกิ ดขึ้ นมา ความปรากฏออก, (แห งอายตนะทั้ งหลาย หกและ หก เหลา นั ้น ); ทุก ฺข สฺเ สโส อุป ฺป าโท, นั ่น แหละ คือ ความเกิด ขึ ้น แหง ทุก ข. โรคานํ ิติ , ความตั้ งอยูแห งธรรมชาติ เป นเครื่องเสี ยบแทงทั้ งหลาย, ชรามรณสฺ ส ปาตุ ภ าโว. เป น ความปรากฏออกแห ง ชราและมรณะ. โย จ โข ภิ ก ฺ ข เว (เตสํ ฉนฺน ํ ฉนฺน ํ อายตนานํ), นิโ รโธ วูป สโม อตฺถ งฺค โม; ดูก อ นภิก ษุ ทั้ ง หลาย! ส ว นภาวะอั น ใด, เป น ความดั บ ไม เหลื อ ความเข า ไปสงบรํ า งั บ ความ ถึ ง ซึ่ งอั น ตั้ ง อยู ไม ได , (แห ง อายตนะทั้ งหลาย หกและหก เหล า นั้ น ); ทุ กฺ ข สฺ เสโส นิโ รโธ, นั ่น แหละ คือ ความดับ ไมเ หลือ แหง ทุก ข. โรคานํ วูป สโม, ความ เขา ไปสงบรํ า งับ แหง ธรรมชาติเ ปน เครื ่อ งเสีย บแทงทั ้ง หลาย, ชรามรณ สฺส อตฺถงฺคโม. ความถึงซึ่งอันตั้งอยูไมไดแหงชรรและมรณะ. ดังนี้. -(สูตรที่ ๑ อุปฺปาทสํ. ขนฺธวาร. สํ. ๑๗/๒๘๓/๔๗๙, ๔๘๐.)

จกฺข ุส ฺม ึ โข สติ, อรหนฺโ ต สุข ทุก ฺข ํ ปฺเปนฺต ิ; เมื ่อ จัก ษุ (ของสั ต ว ) นั่ น แลมี อ ยู , พระอรหั น ต ก็ มี ท างที่ จ ะบั ญ ญั ติ ซึ่ งสุ ข และทุ ก ข ; จกฺ ขุ สฺ มึ อสติ, อรหนฺโ ต สุข ทุก ฺข ํ น ปฺเปนฺต ิ; เมื ่อ จัก ษุ (ของสัต ว) ไมม ี, พระอรหัน ต ก็ไ มม ีท างที ่จ ะบัญ ญัต ิซึ ่ง สุข และทุก ข; โสตสฺม ึ สติ, อรหนฺโ ต สุข ทุก ฺข ํ ปฺเปนฺต ิ; เมื ่อ หู (ของสัต ว) มีอ ยู , พระอรหัน ต ก็ม ีท างที ่จ ะ บัญ ญัต ิซึ ่ง สุข และทุก ข; โสตสฺม ึ อสติ, อรหนฺโ ต สุข ทุก ฺข ํ นปฺเปนฺต ิ; เมื ่อ หู (ของสัต ว) ไมม ี, พระอรหัน ต ก็ไ มม ีท างที ่จ ะบัญ ญัต ิซึ ่ง สุข และทุก ข; ฆานสฺม ึ สติ, อรหนฺโ ต สุข ทุก ฺข ํ ปฺเปนฺต ิ; เมื ่อ จมูก (ของสัต ว) มีอ ยู , พระอรหัน ต ก็ม ีท างที ่จ ะบัญ ญัต ิซึ ่ง สุข และทุก ข; ฆานสฺม ึ อสติ, อรหนฺโ ต สุข ทุก ฺข ํ น ปฺเปนฺต ิ; เมื ่อ จมูก (ของสัต ว) ไมม ี, พระอรหัน ต ก็ไ มม ีท าง ที่จ ะบัญ ญัติซึ่ง สุข และทุก ข; ชิว ฺห าย สติ, อรหนฺโ ต สุข ทุก ฺข ํ ปฺเปนฺต ิ; เมื่อลิ้น (ของสัตว) มีอยู, พระอรหันต ก็มีทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข;

www.buddhadasa.info


พระบาลี ปรมัตถสภาวธรรม

๔๔๗

ชิ วฺ ห าย อสติ , อรหนฺ โ ต สุ ข ทุ ก ฺ ข ํ น ปฺ  เปนฺ ต ิ ; เมื ่ อ ลิ ้ น (ของสั ต ว ) ไมม ี, พ ระอรหัน ต ก็ไ มม ีท างที ่จ ะบัญ ญัต ิซึ ่ง สุข และทุก ข; กายสฺม ึ ส ติ, อรหนฺโ ต สุข ทุก ฺข ํ ปฺเปนฺต ิ; เมื ่อ กาย (ของสัต ว) มีอ ยู , พระอรหัน ต ก็ม ีท างที ่จ ะบัญ ญัต ิซึ ่ง สุข และทุก ข; กายสฺม ึ อสติ, อรหนฺโ ต สุข ทุก ฺข ํ น ปฺ เปนฺ ติ ; เมื่ อ กาย (ของสั ต ว ) ไม มี , พระอรหั น ต ก็ ไม มี ท างที่ จ ะบั ญ ญั ติ ซึ่ ง สุ ข และทุ ก ข ; ม น สฺ ม ึ ส ติ , อ รห นฺ โ ต สุ ข ทุ ก ฺ ข ํ ป ฺ  เป นฺ ต ิ ; เมื ่ อ ใจ (ของสั ต ว) มี อ ยู . พระอรหั น ต ก็ มี ท างที่ จ ะบั ญ ญั ติ ซึ่ งสุ ขและทุ ก ข ; มนสฺ มึ อสติ , อรหนฺโ ต สุข ทุก ฺข ํ น ปฺเปนฺต ิ. เมื ่อ ใจ (ของสัต ว) ไมม ี. พระอรหัน ต ก็ไมมีทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข. ดังนี้. -(ขอความตอนนี้ เปนอุทายิเถรภาษิต สูตรที่ ๑๐ คหปติวรรค สฬายตนสํ. สฬา. สํ. ๑๘/๑๕๕/๒๑๒.)

สมุท ฺโ ท สมุท ฺโ ทติ ภิก ฺข เว อสฺส ุต วา ปุถ ุช ฺช โน ภาสติ. ดูก อ น ภิ ก ษุ ทั้ งหลาย! ปุ ถุ ชน ผู มี การสดั บ อย างธรรมดาสามั ญ , กล าวกั น อยู ว า สมุ ท ร ๆ ดัง นี ้. เนโส ภิก ฺข เว อริย สฺส วิน เย สมุท ฺโ ท ดูกอ นภิก ษุทั ้ง หลาย! สมุท ร ดัง ที ่ก ลา วนั ้น หาใชส มุท ร ในอริย วิน ัย กลา วคือ ระเบีย บแหง การพูด จาของ พระอริย เจา ไม. มหา เอโส ภิก ฺข เว อุท กราสิ มหา อุท กณฺณ โว. ดูกอ น ภิก ษุทั ้ง หลาย! นั ่น เปน เพีย งนา นน้ํ า ใหญ ๆ หว งน้ํ า ใหญ ๆ. จกขุ  ภิก ฺข เว ปุ ร ิ ส สฺ ส ส มิ ท ฺ โ ท ; ดู ก  อ น ภิ ก ษุ ทั ้ ง ห ล าย ! จั ก ษุ เป น ส มุ ท รข อ งค น เรา ; ตสฺส รูป มโย เวโค. กํา ลัง ของจัก ษุส มุท รนั้น สํา เร็จ มาแตรูป . โย ตํ รูป มยํ เวคํ สหติ; บุค คลใดหยุด เสีย ไดซึ ่ง กํ า ลัง แหง สมุท รอัน สํ า เร็จ มาแตรูป นั ้น ; อยํ วุ จฺ จ ติ ภิ กฺ ข เว อตริ จกฺ ขุ ส มุ ทฺ ทํ , ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คลนี้ , เรากล า วว า ข า มได แ ล ว ซึ ่ ง จั ก ษุ ส มุ ท ร, สอุ ม ฺ ม ึ สาวฏ ฏ ํ สคาหํ สรกฺ ข สํ , อั น มี ค ลื ่ น มีเ กลีย ววน, มีส ัต วรา ย มีร ากษส, ติณ ฺโ ณ, เปน ผู ข า มแลว , ปารคโต, เปน ผู ถึงฝงแลว, ถเล ติฏติ พฺราหฺมโณ. เปนพราหมณ ยืนอยูบนบก. ดังนี้.

www.buddhadasa.info


๔๔๘

ปรมัตถสภาวธรรม

(ในกรณี แห ง หู เ ป น สมุ ท รก็ ดี จมู ก เป น สมุ ท รก็ ดี ลิ้ น เป น สมุ ท รก็ ดี กายเป น สมุ ท รก็ ดี ใจเป น สมุ ท รก็ ดี , พระผู มี พ ระภาคเจ า ได ต รั ส ไว , มี นั ย (ะ) อยางเดียวกันกับในกรณีแหงจักษุเปนสมุทร.) -(สูตรที่ ๑ สมุททวรรค สฬายตนสํ. สฬา. สํ. ๑๘/๑๙๖/๒๘๕.)

โย อิม ํ สมุท ฺท ํ สคาหํ สรกฺข สํ, สอุม ฺม ิภ ยํ ทุต ฺต รํ อจฺจ ตริ; บุ ค คลใด, ข ามล วงพ น แล วซึ่ งสมุ ท รนี้ , อั น มี สั ต ว ร าย มี รากษส, มี ภั ย เกิ ด แต ค ลื่ น ขา มไดโ ดยยาก; สเวทคู วุส ิต พฺร หฺม จริโ ย, โลกนฺต คู ปารคโตติ วุจ ฺจ ติ. บุค คลนั ้น , เรากลา ววา เปน ผู จ บเวท จบพรหมจรรย, ถึง ที ่ส ุด แหง โลก ถึง ฝ ง นอกแลว. ดังนี้. -(สูตรที่ ๑ สมุททวรรค สฬายตนสํ. สฬา. สํ. ๑๘/๑๙๖/๒๘๖.)

ยสฺส ราโค จ โทโส จ อวิช ฺช า จ วิร าชิต า; ราคะ โทสะ และอวิ ช ชา ของบุ ค คลใด,จางไปหมดสิ ้ น แล ว ; โส อิ ม ํ สมุ ท ฺ ท ํ สคาหํ สรกฺข สํ, สอุม ฺม ิภ ยํ สุท ุต ฺต รํ อจฺจ ตริ. บุค คลนั ้น , ขา มลว งพน แลว ซึ ่ง สมุท รนี ้, อัน มีส ัต วร า ย มีร ากษส, มีภ ัย เกิด แตค ลื ่น ขา มไดแ สนยาก. อิต ิ, ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info -(สูตรที่ ๒ สมุททวรรค สฬายตนสํ. สฬา. สํ. ๑๘/๑๙๗/๒๘๘.)


ปจจเวกขณปาฐะ (แปล)

ธาตุปจจเวกขณปาธะ๑ (หนฺท มยํ ธาตุปจฺจเวกฺขณปา ํ ภณาม เส)

(ขอ วา ดว ย จีว ร), ย ถ าป จฺจ ยํ ป วตฺต ม านํ ธ าตุม ตฺต เม เวตํ, สิ ่ง เหล า นี้ นี่ เป น สั ก ว า ธาตุ ต ามธรรมขาติ เ ท า นั้ น , กํ า ลั ง เป น ไปตามเหตุ ต ามป จ จั ย อยู เ นือ งนิจ , ยทิท ํ จีว รํ, ตทุป ภุ ฺช โก จ ปุค ฺค โล, สิ ่ง เหลา นี ้ คือ จีว ร, และคนผู ใ ชส อยจีว รนั ้น , ธาตุม ตฺต โก, เปน สัก วา ธาตุต ามธรรมชาติ, นิส ฺส ตฺโ ต, มิไ ดเ ปน สัต วะอัน ยั ่ง ยืน , นิช ฺช ีโ ว, มิไ ดเ ปน ชีว ะอัน เปน บุร ุษ บุค คล, สุ ฺโ , วา งเปลา จากความหมายแหง ความเปน ตัว ตน, สพฺพ านิ ปน อิม านิ จีว รานิ อชิค ุจ ฺฉ นิย านิ, ก็จ ีว รทั ้ง หมดนี ้ ไมเ ปน ของนา เกลีย ดมาแตเ ดิม , อิม ํ ปูต ิก ายํ ปตฺว า, ครั ้น มาถูก เขา กับ กาย อัน เนา อยู เ ปน นิจ นี ้แ ลว , อติว ิย ชิค ุจ ฺฉ นิย านิ ชายนฺติ, ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน. (ขอ วา ดว ยบิณ ฑบาต), ยถาปจฺจ ยํ ปวตฺต มานํ ธาตุม ตฺต เมเวตํ, สิ่ ง เหล า นี้ นี่ เป น สั ก ว า ธาตุ ต ามธรรมชาติ เท า นั้ น , กํ า ลั ง เป น ไปตามเหตุ ต ามป จ จั ย อยู  เ นื อ งนิ จ , ยทิ ท ํ ป ณ ฺ ฑ ป าโต, ตทุ ป ภุ  ฺ ช โก จ ปุ ค ฺ ค โล , สิ ่ ง เหล า นี้ คือ บิณ ฑบาต, และคนผู บ ริโ ภคบัณ ฑบาตนั ้น , ธาตุม ตฺต โก, เปน สัก วา ธาตุ ต าม ธ รรม ช าติ, นิส ฺส ตฺโ ต , มิไ ดเ ปน สัต วะ อัน ยั ่ง ยืน , นิช ฺช ีโ ว , มิไ ดเ ปน ชี ว ะอั น เป น บุ รุ ษ บุ ค คล, สุ ฺ โ , ว า งเปล า จากความหมายแห ง ความเป น ตั ว ตน, สพฺโ พ ปนายํ ปณ ฺฑ ปาโต อชิค ุจ ฺฉ นิโ ย, ก็บ ิณ ฑบาตทั ้ง หมดนี ้ ไมเ ปน ของนาเกลียดมาแตเดิม, อิมํ ปูติกายํ ปตฺวา, ครั้นมาถูกเขากับกาย

www.buddhadasa.info

(บทสวดมนตแปล สําหรับพิจารณาตามที่อางถึงในหนังสือเลมนี้ หนา ๕๑ เปนตน) ๔๔๙


๔๕๐

ปรมัตถสภาวธรรม

อั น เน าอยู เป น นิ จนี้ แล ว, อติ วิ ย ชิ คุ จฺ ฉ นิ โย ชายติ . ย อ มกลายเป น ของ นาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน. (ขอ วา ดว ยเสนาสนะ), ยถาปจฺจ ยํ ปวตฺต มานํ ธาตุม ตฺต เมเวตํ, สิ่ ง เหล า นี้ นี่ เป น สั ก ว า ธาตุ ต ามธรรมชาติ เท า นั้ น , กํ า ลั ง เป น ไปตามเหตุ ต ามป จ จั ย อยู เ นือ งนิจ , ย ท ิท ํ เส น าส น ํ, ต ท ุป ภ ุ ฺช โก จ ป ุค ฺค โล , สิ ่ง เห ลา นี ้ คือ เสนาสนะ, และคนผู ใ ชส อยเสนาสนะนั ้น , ธาตุม ตฺต โก, เปน สัก วา ธาตุต าม ธรรมชาติ, นิส ฺส ตฺโ ต , มิไ ดเ ปน สัต วะอัน ยั ่ง ยืน , นิช ฺช ีโ ว, มิไ ดเ ปน ชีว ะอัน เป น บุ รุ ษ บุ ค คล, สุ ญ โญ, ว า งเปล า จากความหมายแห ง ความเป น ตั ว ตน, สพฺ พ านิ ป น อิม านิ เส น าส น านิ อ ชิค ุจ ฺฉ นิย านิ, ก็เ ส น าสน ะทั ้ง หม ดนี ้, ไมเ ปน ข อ ง น า เก ลี ย ด ม า แ ต เ ดิ ม , อิ ม ํ ปู ต ิ ก า ยํ ป ตฺ ว า , ค รั ้ น ม า ถู ก เข า กั บ ก า ย อัน เนา อยู เ ปน นิจ นี ้แ ลว , อติว ิย ชิค ุจ ฺฉ นิย านิ ชายนฺต ิ. ยอ มกลายเปน ของ นาเกลียดอยางยิ่งไปดวยกัน. (ขอ วา ดว ยคิล านเภ สัช ), ยถาปจฺจ ยํ ป วตฺต มานํ ธาตุม ตฺต เมเวตํ, สิ่ ง เหล า นี้ นี่ เป น สั ก ว า ธาตุ ต ามธรรมชาติ เท า นั้ น , กํ า ลั ง เป น ไปตามเหตุ ต ามป จ จั ย อ ยู  เ นื อ ง นิ จ , ย ทิ ท ํ คิ ล า น ป จฺ จ ย เภ ส ชฺ ช ป ริ ก ฺ ข า โ ร , ต ทุ ป ภุ  ฺ ช โ ก จ ปุค ฺค โล, สิ ่ง เหลา นี ้ คือ เภสัช บริข ารอัน เกื ้อ กูล แกก ารคนไข และคนผู บ ริโ ภค เภ สั ช บ ริ ข ารนั ้ น , ธ าตุ ม ตฺ ต โก , เป น สั ก ว า ธาตุ ต าม ธรรม ชาติ , นิ ส ฺ ส ตฺ โ ต , มิไ ดเ ปน สัต วะอัน ยั ่ง ยืน , นิช ฺช ีโ ว, มิไ ดเ ปน ชีว ะอัน เปน บุร ุษ บุค คล, สุ ฺโ , วา งเปลา จากความหมายแหง ความเปน ตัว ตน, สพฺโ พ ปนายํ คิล านปจฺจ ยเภสชฺช ปริก ฺข าโร อชิค ุจ ฺฉ นิโ ย, ก็ค ิล านเภสัช บริข ารทั ้ง หมดนี ้ ไมเ ปน ของ นา เกลีย ดม าแตเ ดิม , อิม ฺ ปูต ิก ายํ ป ตฺว า, ครั ้ง ถูก เขา กับ กาย อัน เนา อยู เปน นิจ นี ้แ ลว , อ ติว ิย ชิค ุจ ฺฉ นิโ ย ช าย ติ. ยอ ม ก ล าย เปน ขอ งนา เก ลีย ด อยางยิ่งไปดวยกัน.

www.buddhadasa.info


ตังขณิกปจจเวกขณปาฐะ (หตฺท มยํ ตงฺขณิกปจฺจเวกฺขณปาํ ภณาม เส) (ขอวาดวยจีวร), ปฏิสงฺขา โยนิโส จีวรํ ปฏิเสวามิ, เรายอม พิ จ ารณาโดยแยบคายแล ว นุ ง ห ม จี ว ร, ยาวเทว สี ต สฺ ส ปฏิ ฆ าตาย, เพียงเพื่อบําบัดความหนาว, อุณฺหสฺส ปฏิฆาตาย, เพื่อ บําบัดความรอ น, ฑํสมกสวาตาตปสิรึสปสมฺผสฺสานํ ปฏิฆาตาย, เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจาก เหลื อ บ ยุ ง ลม แดดและสั ต ว เ ลื้ อ ยคลานทั้ ง หลาย, ยาวเทว หิ ริ โ กป น ปฏิจฺฉาทนตฺถํ. และเพียงเพื่อปกปดอวัยวะ อันใหเกิดความละอาย. (ขอวาดวยบิณฑบาต), ปฏิสงฺขา โยนิโส ปณฺฆปาตํ ปฏิเสวามิ, เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลวฉันบิณฑบาต, เนว ทวาย, ไมใหเปนไปเพื่อ ความเพลิดเพลินสนุกสนาน, น มทาย, ไมใหเปนไปเพื่อความเมามัน เกิดกําลัง พลั ง ทางกาย, น มณฺ ฑ นาย, ไม ใ ห เ ป น ไปเพื่ อ ประดั บ , น วิ ภู ส นาย, ไมใหเปนไปเพื่อตกแตง , ยาวเทว อิมสฺส กายสฺส ิติยา, แตใหเปนไป เพียงเพื่อความตั้งอยูไดแหงกายนี้, ยาปนาย, เพื่อความเปนไปไดของอัตตภาพ, วิหึสุปรติยา, เพื่อความสิ้นไปแหงความลําบากทางกาย, พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย, เพื่ออนุเคราะหแกการประพฤติพรหมจรรย, อิติ ปุราณฺจ เวทนํ ปฏิหงฺขามิ, ดวยการทําอยางนี้, เรายอมระงับเสียได ซึ่งทุกขเวทนาเกา คือความหิว, นวฺจ เวทนํ น อุ ปฺ ป าเทสฺ ส ามิ , และไม ทํา ทุ ก ขเวทนาใหม ให เ กิ ด ขึ้ น , ยาตฺ ร า จ เม ภวิ สฺ ส ติ อนวชฺ ช ตา จ ผาสุ วิ ห าโร จาติ . อนึ่ ง , ความ เปนไปโดยสะดวกแหงอัตตภาพนี้ดวย, ความเปนผูหาโทษมิไดดวย, และความ เปนอยูโดยผาสุกดวย, จักมีแกเรา, ดังนี้.

www.buddhadasa.info


๔๕๒

ปรมัตถสภาวธรรม

(ขอ วา ดว ยเสนาสนะ), ปฏิส งฺข า โยนิโ ส เสนาสนํ ปฏิเ สวานิ, เราย อมพิ จารณาโดยแยบคายแล วใช สอยเสนาสนาะ, ยาวเทว สี ต สฺ ส ปฏิ ฆ าตาย, เพีย งเพื ่อ บํ า บัด ความหนาว, อุณ ฺห สฺส ป ฏิฆ าตาย, เพื ่อ บํ า บัด ความรอ น, ฑํ ส มกสวาตาตปสิ รึ ส ปสมฺ ผ สฺ ส านํ ปฏิ ฆ าตาย, เพื่ อ บํ า บั ด สั ม ผั ส อั น เกิ ด จาก เหลือ บ ยุง ลม แดด และสัต วเ ลื ้อ ยคลานทั ้ง หลาย, ยาวเทว อุต ุป ริส ฺส ยวิ โ นทนํ ปฏิ ส ลฺ ล านารามตฺ ถํ . เพี ย งเพื่ อ บรรเท า อั น ตรายอั น จะพึ ง มี จ ากดิ น ฟ า อากาศ, และเพื่อความเปนผูยินดีอยูได ในที่หลีกเรนสําหรับภาวนา. (ขอ วา ดว ยคิล านเภสัช ), ปฏิส งฺข า โยนิโ ส คิล านปจฺจ ยเภสชฺช ปริก ฺข ารํ ปฏิเ สวามิ, เรายอ มพิจ ารณาโดยแยบคายแลว บริโ ภคเภสัช บริก ขาร อั น เกื ้ อ กู ล แ ก ค น ไข , ย าว เท ว อุ ป ฺ ป นฺ น านํ เว ยฺ ย าพ า นิ ก า นํ เว ท น า นํ ปฏิ ฆ าตาย, เพี ย งเพื่ อ บํ า บั ด ทุ ก เวทนาอั น บั ง เกิ ด ขึ้ น แล ว มี อ าพาธต า ง ๆ เป น มู ล , อพฺยาปชฺฌปรมตายาติ. เพื่อความเปนผูไมมีโรคเบียดเบียน เปนอยางยิ่ง, ดังนี้.

www.buddhadasa.info


ดีตปจจเวกขณปาฐะ (หนฺท มยํ อดีตปจฺจเวกฺขณปาํ ภณาม เส)

(ขอ วา ดว ยจีว ร), อชฺช มยา อปจฺจ เวกฺข ิต ฺว า ยํ จีว รํ ปริภ ุต ฺต ํ, จี ว รใด อั น เรานุ  ง ห ม แล ว ไม ท ั น พิ จ ารณ า ในวั น นี ้ , ตํ ยาวเท ว สี ต สฺ ส ปฏิฆ าตาย, จีว รนั ้น เรานุ ง หม แลว เพีย งเพื ่อ บํ า บัด ความหนาว, อุณ ฺห สฺส ปฏิ ฆ าตาย, เพื ่ อ บํ า บั ด ความร อ น, ฑํ ส มกสวาตาตปสิ ร ึ ส ปสมฺ ผ สฺ ส านํ ปฏิฆ าตาย, เพื ่อ บํ า บัด สัม ผัส อัน เกิด จากเหลือ บ ยุง ลม แดด และสัต ว เลื ้ อ ยคลานทั ้ ง หลาย, ยาวเทว หิ ร ิ โ กป น ปฏิ จ ฺ ฉ าทนตฺ ถ ํ . และเพี ย งเพื ่ อ ปกปดอวัยวะ อันใหเกิดความละอาย. (ขอวาดวยบิณฑบาต), อชฺช มยา อปจฺจเวกฺขิตฺวา โย ปณฺฑปาโต ป ริ ภ ุ ต ฺ โ ต , บิ ณ ฑ บ าต ใด อั น เราฉั น แ ล ว ไม ท ั น พิ จ า รณ า ใน วั น นี ้ ; โส เนว ทวาย, บิณ ฑบาตนั ้น เราฉัน แลว ไมใ ชเ ปน ไปเพื ่อ ความเพลิด เพลิน สนุก สนาน, น มทาย, ไมใ ชเ ปน ไปเพื ่อ ความเมามัน เกิด กํ า ลัง พลัง ทางกาย, น มณฺฑ นาย, ไมใ ชเ ปน ไปเพื ่อ ประดับ , น วิภ ูส นาย, ไมใ ชเ ปน ไปเพื ่อ ตกแต ง , ยาวเทว อิ ม สฺ ส กายสฺ ส  ต ิ ย า, แต ใ ห เ ป น ไปเพี ย งเพื ่ อ ความ ตั ้ง อยู ไ ดแ หง กายนี ้, ยาปนาย, เพื ่อ ความเปน ไปไดข องอัต ตภาพ , วิห ึส ุปรติย า, เพื ่อ ความสิ ้น ไปแหง ความลํ า บากทางกาย, พฺร หฺม จริย านุค ฺค หาย, เพื ่อ อนุเ คราะหแ กก ารประพฤติพ รหมจรรจ, อิต ิ ปุร าณฺจ เวทนํ ปฏิห งฺขามิ, ดว ยการทํ า อยา งนี ้, เรายอ มระงับ เสีย ไดซึ ่ง ทุก ขเวทนาเกา คือ ความหิว , นวฺจ เวทนํ น อุปฺปาเทสฺสามิ, และไมทําทุกขเวทนาใหมใหเกิดขึ้น,

www.buddhadasa.info

๔๕๓


๔๕๔

ปรมัตถสภาวธรรม

ยาตฺร า จ เม ภวิส ฺส ติ อนวชฺช ตา จ ผาสุว ิห าโร จาติ. อนึ ่ง , ความเปน ไป โดยสะดวกแห ง อั ต ตภาพนี้ ด ว ย, ความเป น ผู ห าโทษมิ ไ ด ด ว ย, และความเป น อยู โดยผาสุกดวย, จักมีแกเรา, ดังนี้. (ขอ วา ดว ยเสนาสนะ), อชฺช มยา อปจฺจ เวกฺข ิต ฺว า ยํ เสนาสนํ ป ริ ภ ุ ต ฺ ต ํ , เส น า ส น ะ ใด อั น เรา ใช ส อ ย แ ล ว ไม ท ั น พิ จ า รณ า ใน วั น นี ้ , ตํ ย า ว เท ว สีต สฺส ป ฏิฆ า ต า ย , เส น า ส น ะ นั ้น เรา ใชส อ ย แ ลว เพีย ง เพือ บํ า บัด ความหนาว, อุณ ฺห สฺส ป ฏิฆ าต าย, เพื ่อ บํ า บัด ความรอ น, ฑํส ม กสวาตาตปสิร ึส ปสมฺผ สฺส านํ ปฏิฆ าตาย, เพื ่อ บํ า บัด สัม ผัส อัน เกิด จาก เหลือ บ ยุง ลม แดด และสัต วเ ลื ้อ ยคลานทั ้ง หลาย, ยาวเท ว อุต ุป ริส ฺส ยวิโ น ท นํ ปฏิส ลฺล านารามตฺถ ํ. เพีย งเพื ่อ บรรเทาอัน ตรายอัน จะพึง มีจ ากดิน ฟา อากาศ, และเพื่อความเปนผูยินดีอยูได ในที่หลีกเรนสําหรับภาวนา. (ข อ ว า ด ว ยคิ ล านเภสั ช ), อชฺ ช มยา อปจฺ จ เวกฺ ขิ ตฺ ว า โย คิ ล านป จฺ จ ย เภ ส ชฺ ช ป ริ ก ฺ ข าโร ป ริ ภ ุ ต ฺ โ ต , คิ ล าน เภ สั ช บ ริ ข ารใด อั น เราบริ โ ภ ค แลว ไมท ัน พิจ ารณ า ในวัน นี ้, โส ยาวเทว อุป ฺป นฺน านํ เวยฺย าพาธิก านํ เว ท น าน ํ ป ฏิฆ าต าย . คิล าน เภ สัช บ ริข ารนั ้น เราบ ริโ ภ ค แ ลว เพีย งเพื ่อ บํ า บัด ทุก ขเวทนาอัน บัง เกิด ขึ ้น แลว มีอ าพาธตา ง ๆ เปน มูล , อพฺย าป ชฺฌ ปรมตายาติ. เพื่อความเปนผูไมมีโรคเบียดเบียน เปนอยางยิ่ง, ดังนี้.

www.buddhadasa.info


บทสวดมนตแปล ธัมมปหังสนปาฐะ (ตามที่ไดบอกไวในหนังสือเลมนี้ หนา ๑๖๒) (หนฺท มยํ ธมฺมปหํสนสมาทปนาทิวจนปาํ ภณาม เส).

เอวํ สฺว ากฺข าโต ภิก ฺข เว มยา ธมฺโ ม, ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! ธ รรม , เป น ธ รรม อั น เราก ล า วดี แ ล ว อ ย า งนี ้ , อุ ต ฺ ต าโน , เป น ธ รรม อั น ทํ า ใหเ ปน ดุจ ของคว่ํ า ที ่ห งายแลว , วิว โฏ, เปน ธรรมอัน ทํ า ใหเ ปน ดุจ ของปด ที ่ เ ป ด แ ล ว , ป ก า สิ โ ต , เป น ธ ร ร ม อั น เ ร า ต ถ า ค ต ป ร ะ ก า ศ ก อ ง แ ล ว , ฉิน ฺน ปโ ลติโ ก, เปน ธรรมมีส ว นขี ้ริ ้ว อัน เราตถาคตเฉือ นออกหมดสิ ้น แลว , เอวํ สฺว ากฺข าเต โข ภิก ฺข เว มยา ธมฺเ ม, ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! เมื ่อ ธรรมนี ้, เปน ธรรมอัน เรากลา วดีแ ลว อยา งนี ้, ฯลฯ อลํ เอว, ยอ มเปน การสมควรแล ว นั่ น เที ย ว, สทฺ ธ าปพฺ พ ชิ เ ตน กุ ล ปุ ตฺ เ ตน วิ ริ ยํ อารภิ ตุ  , ที ่ก ุล บุต รผู บ วชแลว ดว ยสัท ธา, จึง พึง ปรารภการกระทํ า ความเพีย ร, กามํ ตโจ จ นหารุ จ อฏิ จ อวสิส ฺส ตุ, ดว ยการอธิษ ฐานจิต วา , แมห นัง เ อ็ น ก ร ะ ดู ก เ ท า นั ้ น , จั ก เ ห ลื อ อ ยู  , ส รี เ ร อุ ป สุ ส ฺ ส ตุ มํ ส โ ล หิ ต ํ , เนื ้อ และเลือ ดในสรีระนี ้ จัก เหือ ดแหงไป, ก็ต ามที, ยนฺต ํ ปุริส ถาเมน ปุริส วิริเยน ปุ ริ ส ปรกฺ ก เมน ปตฺ ต พฺ พํ , ประโยชน ใด, อั น บุ ค คลจะพึ งลุ ถึ งได ด วยกํ า ลั ง ด ว ยความเพี ย ร ความบากบั ่ น ของบุ รุ ษ , น ตํ อปาปุ ณ ิ ต ฺ ว า ปุ ร ิ ส สฺ ส วิ ร ิ ย สฺ ส ส ณฺ  า นํ ภ วิ ส ฺ ส ตี - ติ , ถ า ยั ง ไ ม บ ร ร ลุ ป ร ะ โ ย ช น นั ้ น แ ล ว , จักหยุดความเพียรของบุรุษเสีย, เปนไมมี, ดังนี้.

www.buddhadasa.info ทุ ก ฺ ข ํ ภิ ก ฺ ข เว กุ ส ี โ ต วิ ห ร ติ , ดู ก  อ น ภิ ก ษุ ทั ้ ง ห ล า ย ! ค น ผู เกียจคราน ยอมอยูเปนทุกข, โวกิณฺโณ ปาปเกหิ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ,

๔๕๕


๔๕๖

ปรมัตถสภาวธรรม

ระคนอยู ด วยอกุ ศ ลธรรมอั น ลามกทั้ งหลาย ด วย, มหนฺ ต ฺ จ สทตฺ ถํ ปริห าเปติ , ยอ มทํ า ประโยชนอ ัน ใหญห ลวงของตนใหเ สื ่อ ม ดว ย, อารทฺธ วิร ิโ ย จ โข ภิกฺ ข เว สุ ขํ วิ ห รติ , ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! บุ ค คลผู มี ค วามเพี ย รอั น ปรารภแล ว ย อ ม อยู  เ ป น สุ ข , ป วิ ว ิ ต ฺ โ ต ป าป เก หิ อ กุ ส เล หิ ธมฺ เ ม หิ , ส งั ด แล ว จาก อกุ ศ ลธรรมอั น ลามกทั้ ง หลายด ว ย, มหนฺ ต ฺ จ สทตฺ ถํ ปริ ปู เ รติ , ย อ มทํ า ประโยชนอ ัน ใหญห ลวงของตนใหบ ริบ ูร ณ ดว ย, น ภิก ฺข เว หีเ นน อคฺค สฺส ปตฺต ิ โหติ, ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! การบ รรลุธ รรมอัน เลิศ ดว ยการกระทํ า อั น เลว ย อ มมี ไ ม ไ ด เ ลย; อ คฺ เ คน จ โข อ คฺ ค สฺ ส ป ตฺ ต ิ โห ติ , แต ก าร บรรลุธรรมอันเลิศ, ยอมมีได แล. ม ณฺ ฑ เป ยฺ ย มิ ทํ ภิ กฺ ข เว พฺ รหฺ ม จ ริ ยํ , ดู ก อ น ภิ ก ษุ ทั้ งห ล าย ! พรหมจรรยนี ้, นา ดื ่ม , เหมือ นมัน ฑะยอดโอชาแหง โค รส; สตฺถ า สมฺม ุข ีภ ูโ ต, ทั้ ง พระศาสดา ก็ อ ยู ณ ที่ เฉพาะหน า นี้ แ ล ว . ตสฺ ม าติ ห ภิ กฺ ข เว วิ ริ ยํ อารภถ, ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! เพราะฉะนั ้น , เธอทั ้ง หลาย จงปรารภความเพีย รเถิด , อปฺ ป ตฺ ต สฺ ส ปตฺ ติ ย า, เพื่ อ การบรรลุ ถึ ง ซึ่ ง ธรรม อั น ยั ง ไม บ รรลุ , อนธิ ค ตสฺ ส อธิค มาย, เพื ่อ การถึง ทับ ซึ ่ง ธรรม อัน ยัง ไมถ ึง ทับ , อสจฺฉ ิก ตสฺส สจฺฉ ิก ิร ิย าย, เพื ่อ การทํ า ใหแ จง ซึ ่ง ธรรม อัน ยัง ไมไ ดทํ า ใหแ จง , เอ วํ โน อ ยํ อ มฺห ากํ ปพฺพ ชฺช า, เมื ่อ เปน อยา งนี ้, บรรพชานี ้ข องเราทั ้ง หลาย, อวํก ตา อวฺฌ า ภ วิ ส ฺ ส ติ , แ ต จ ั ก เป น บ รรพ ช าไม ต่ํ า ท ราม , จั ก ไม เ ป น ห มั น เป ล า , ส ผ ล า ส อุ ท ฺ ร ย า , แ ต จ ั ก เป น บ รรพ ช าที ่ ม ี ผ ล , เป น บ รรพ ช า ที ่ ม ี กํ า ไร, เย สํ ม ยํ ปริภ ุญ ชาม, จีว รปณ ฺฑ ปาตเสนาสนคิล านปจฺจ ยเภสชฺช ปริก ฺข ารํ, พวกเรา ทั ้ง หลาย, บริโ ภ คจีว ร บิณ ฑ บาต เสนาสนะ และเภสัช , ของชนทั ้ง หลาย เห ล า ใด ; เต สํ เต ก าร า อ มฺ เ ห สุ , ก า รก ระ ทํ า นั ้ น ๆ ข อ งช น ทั ้ ง ห ล า ย

www.buddhadasa.info


๔๕๗

เหลา นั ้น ในเราทั ้ง หลาย, มหปฺผ ลา ภวิส ฺส นฺต ิ มหานิส ํส า-ติ. จัก เปน การกระทํ า มี ผ ลใหญ , มี อ านิ ส งส ใหญ , ดั ง นี้ . เอวํ หิ โว ภิ กฺ ข เว สิ กฺ ขิ ต พฺ พํ , ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เธอทั้งหลาย พึงทําความสําเหนียก อยางนี้แล. อตฺต ตฺถ ํ วา หิ ภิก ฺข เว สมฺป สฺส มาเนน, ดูก อ นภิก ษุทั ้ง หลาย! เมื ่อ บุค คลมองเห็น อยู  ซึ ่ง ประโยชนแ หง ตน ก็ต าม, อลเมว อปฺป มาเทน สมฺป าเทตุ , ก็ค วรแลว นั ่น เทีย ว, เพื ่อ ยัง ประโยชนแ หง ตนใหถ ึง พรอ ม, ดว ย ความไม ป ระมาท, ปรตฺ ถ ํ วา หิ ภิ ก ฺ ข เว สมฺ ป สฺ ส มาเนน, ดู ก  อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! เมื่ อ บุ ค คลมองเห็ น อยู ซึ่ ง ประโยชน แ ห ง ชนเหล า อื่ น ก็ ต าม, อลเมว อปฺป มาเทน สมฺป าเทตุ , ก็ค วรแลว นั ่น เทีย ว, เพื ่อ ยัง ประโยชนแ หง ชนเหลา อื่น ให ถึ งพรอ ม, ด วยความไม ป ระมาท, อุ ภ ยตฺ ถํ วา หิ ภิ กฺ ข เว สมฺ ป สฺ ส มาเนน, ดู ก อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย! หรือ ว า , เมื่ อ บุ ค คลมองเห็ น อยู ซึ่ ง ประโยชน ข องทั้ งสองฝ า ย ก็ต าม , อ ล เม ว อ ปฺป ม าเท น ส มฺป าเท ตุ , ก็ค วรแลว นั ่น เทีย ว, เพื ่อ ยัง ประโยชนของทั้งสองฝายนั้นใหถึงพรอม, ดวยความไมประมาท, อิติ. ดังนี้แล.

www.buddhadasa.info -(บาลี ทุติยสูตร ทสพลวรรค นิทานสํ ทาน. สํ. ๑๖/๓๔/๖๖.


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.