Ranong ramsar site guideline

Page 1


คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชน ในพื้นทีช่ ุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง เรียบเรียงเนื้อหา/ออกแบบปก/รูปเลม นายประทีป มีคติธรรม

สนับสนุนงบประมาณโดย

จัดพิมพโดย

โครงการ “Supporting Community-Based Coastal Biodiversity And Environmental Conservation at the Kaper Estuary And Laem Son National Park, Ranong Province, The Wetlands of International Importance (Ramsar Site): Stakeholder Involvement in coastal wetland Biodiversity and shore birds conservation” องคการพื้นที่ชุมน้ํานานาชาติ-ประจําประเทศไทย ตู ปณ.95 ปณฝ.คอหงส อ.หาดใหญ จ.สงขลา 90112 โทรศัพท/โทรสาร : 074-429307 เวปไซต : http://thailand.wetlands.org อีเมลล : wetlandsinter_th@yahoo.com


สารบัญเรื่อง เรื่อง บทนํา 1. นโยบายประเทศไทยดานการจัดการพื้นที่ชุมน้ํา 2. การขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร -ปากแมน้ํากระบุรี เปนพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระหวางประเทศ (Ramsar Site) 3. การบริหารจัดการพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร -ปากแมน้ํากระบุรี 4. สภาพปญหา 5. แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยาน แหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี เอกสารอางอิง

หนา 1 2-6 7-20

21-24 25-26 27-36 37


แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชน ในพื้นทีช่ ุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง บทนํา ประเทศไทยเข า ร ว มเป น ภาคี อ นุ สั ญ ญาว า ด ว ยพื้ น ที่ ชุ ม น้ํ า (อนุ สั ญ ญาแรมซาร ) เป น ลํ า ดั บ ที่ 110 ซึ่งพันธอนุสัญญามีผลบังคับ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2541 ภายใตอนุสัญญาระหวางประเทศดังกลาวมีพันธกิจเพื่อ “การอนุรักษและการใชประโยชนในพื้นที่ชุมน้ําอยางชาญฉลาดในระดับชาติและความรวมมือในระดับนานาชาติซึ่ง จะกอใหเกิดการพัฒนาอยางยั่งยืนทั่วโลก”โดยพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี ได รั บ การขึ้ น ทะเบี ย นเป น พื้ น ที่ ชุ ม น้ํ า ที่ มี ค วามสํ า คั ญ ระหว า งประเทศ หรื อ แรมซาร ไ ซต เป น ลํ า ดั บ ที่ 1183 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2545 มีพื้นที่ประมาณ 677,625 ไร ครอบคลุมตั้งแตอุทยานแหงชาติแหลมสน ปากแมน้ํา กระเปอร พื้นที่ชายฝงในทอ งที่ตําบลราชกรูด และตําบลปากน้ํา อําเภอเมือ ง และแมน้ํากระบุรี อําเภอละอุน อําเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ทั้งนี้องคการพื้นที่ชุมน้ํานานาชาติ ประจําประเทศไทย ซึ่งเปนองคกรระหวางประเทศดําเนินงานดานการ สงเสริมและสนับสนุนการจัดการพื้นที่ชุมน้ําอยางยั่งยืน โดยใหความสําคัญกับการบูรณาการการอนุรักษพื้นที่ชุมน้ํา กับการจัดการน้ํา การใชประโยชนจากระบบนิเวศที่อยูในภาวะวิกฤตอยางชาญฉลาด รวมทั้งแสวงหาพันธมิตรและ ความร วมมือจากภาคีตางๆ เพื่อการอนุรักษแ ละส งเสริมการจั ดการพื้นที่ชุมน้ําอยางยั่งยืน ไดดําเนินโครงการ “Supporting Community-Based Coastal Biodiversity And Environmental Conservation at the Kaper Estuary And Laem Son National Park, Ranong Province, The Wetlands of International Importance (Ramsar Site): Stakeholder Involvement in coastal wetland Biodiversity and shorebird conservation” โดยไดรับการสนับสนุนจากโครงการ BMZ ในการดําเนินงานเพื่อเสริมสรางความรูความเขาใจเกี่ยวกับคุณคา ความสําคัญและแสวงหาแนวทางในการจัดการพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนองแกภาคสวนตางๆ

1 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


ในชวงที่ผานมา (ป พ.ศ.2552) องคการพื้นที่ชุมน้ํา ประจําประเทศไทย ไดดําเนินการจัดประชุมเรื่อง “อนุสัญญาแรมซาร : เครื่องมือเพื่อการอนุรักษทรัพยากรชายฝงและนกชายเลน” เมื่อวันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2552 และ “การประชุมเพื่อจัดทําแนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาอาชีพในพื้นที่ชุมน้ําอุทยาน แหงชาติแหลมสนอาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง” เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2552 ผนวกกับขอมูล ที่ไดจากลงพื้นที่และมีโอกาสแลกเปลี่ยนกับหนวยงานและองคกรตางๆ พบขอมูลและประเด็นขอเสนอแนะที่ นาสนใจอันจะเปนประโยชนตอการบริหารจัดการพื้นที่และการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชน จึงนํามารวบรวมจัดทํา เปน “คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนอาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง” เพื่อเปนขอมูลและขอเสนอแนะในการจัดการและฟนฟูพื้นที่ชายฝง รวมทั้งการสงเสริมพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตของชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอรปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง สําหรับผูที่สนใจ

1. นโยบายประเทศไทยดานการจัดการพื้นที่ชุมน้ํา ในป พ.ศ.2536 คณะกรรมการสิ่งแวดลอมแหงชาติไดแตงตั้งคณะอนุกรรมการการจัดการพื้นที่ชุมน้ํา โดย มีรองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยีสิ่งแวดลอม เปนประธาน มีผูแทนจากหนวยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู ท รงคุ ณ วุ ฒิ เ ป น อนุ ก รรมการ และสํ า นั ก งานนโยบายและแผน (ในขณะนั้ น ) เป น ฝ า ยเลขานุ ก าร ซึ่ ง คณะอนุกรรมการชุดดังกลาวนี้ไดดําเนินงานเกี่ยวกับการจัดการพื้นที่ชุมน้ํา จัดทํานโยบาย มาตรการและแผนปฏิบัติ การการจัดการพื้นที่ชุมน้ําของประเทศไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีไดเห็นชอบเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2540 นอกจากนั้นยังไดเสนอใหประเทศไทยเขารวมเปนภาคีอนุสัญญาวาดวยพื้นที่ชุมน้ํา (แรมซารไซต) ซึ่ง ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดลอมแหงชาติและคณะรัฐมนตรี ตอมาประเทศไทยจึงไดเขารวมภาคี อนุสัญญาวาดวยพื้นที่ชุมน้ําในป พ.ศ.2541 และพันธกรณีของอนุสัญญา มีผลบังคับใชกับประเทศไทยเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2541 โดยประเทศไทยไดปฏิบัติภารกิจตามหลักขอตกลง คือเสนอพื้นที่ชุมน้ําสําคัญของประเทศไทย เปนพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระหวางประเทศ (แรมซารไซต) รวมทั้งจัดวางกรอบนโยบายในการอนุรักษและ จัดการพื้นที่ชุมน้ํา ในป พ.ศ.2538 ระหวางการดําเนินการเขาเปนอนุสัญญาภาคีอนุสัญญาแรมซารไซต คณะอนุกรรมการการ จัดการพื้นที่ชุมน้ําไดมีมติเห็นชอบรวมกันจัดทําโครงการสํารวจ จัดทําบัญชีรายชื่อ สถานภาพ และฐานขอมูลพื้นที่ ชุมน้ํ าของประเทศไทย โดยจํ าแนกเปนพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับ นานาชาติ 61 แหง พื้นที่ชุมน้ํ าที่มี ความสําคัญระดับชาติ 48 แหง พื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับทองถิ่น 19,295 แหง พรอมกันนั้นไดจัดทํา มาตรการอนุ รั ก ษ พื้ น ที่ ชุ ม น้ํ า ที่ มี ค วามสํ า คั ญ ระดั บ นานาชาติ แ ละระดั บ ชาติ ซึ่ ง ได รั บ ความเห็ น ชอบจาก คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ตอมาคณะรัฐมนตรีไดมีมติเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2552 เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 1 สิงหาคม 2543 เรื่อง ทะเบียนรายชื่อพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับนานาชาติและระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการอนุรักษพื้นที่ชุมน้ํา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมเสนอ โดยมีสาระสําคัญคือ การเพิ่มเติมรายชื่อพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับตางๆ รวมทั้งปรับปรุงมาตรการอนุรักษพื้นที่ชุมน้ําเพิ่มเติม มีรายละเอียดดังตารางที่ 1

2 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


หนวยงานที่รับผิดชอบหลัก

12. ติดตามตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศในพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับ นานาชาติและระดับชาติอยางตอเนื่อง โดยมีการกําหนดปจจัยหรือดัชนีชี้วัดที่ชัดเจน 13. ใหมีการสํารวจพื้นที่ชุมน้ําและความหลากหลายทางชีวภาพอยางตอเนื่อง เพื่อ ปรับปรุงและแกไขเพิ่มเติมทะเบียนพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับนานาชาติและ ระดับชาติตามเกณฑ 14. ใหมีการควบคุมและปองกันมลพิษจากแหลงกําเนิดประเภทตางๆ ไดแก ชุมชน อุตสาหกรรม เกษตรกรรมและกิจกรรมอื่นๆ 15. ใหมีการควบคุมและปองกันไฟปาในพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับนานาชาติ และระดับชาติที่อาจเกิดจากชุมชน หรือเกิดจากกิจกรรมอื่นๆ โดยมีมาตรการดังนี้ 1) มาตรการปองกันไฟปา (1) ใหดําเนินการควบคุมระดับน้ําของปาชุมน้ําใหคงที่ (2) ทําแนวกันไฟเปยก (wet-linefirebreak) ตามแนวพระราชดําริ

กรมโยธาธิการและผังเมือง สถาบันการศึกษา สถาบันการศึกษา

องคกรปกครองสวนทองถิ่น องคกรปกครองสวนทองถิ่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม

สถาบันการศึกษา

กรมสงเสริมคุณภาพสิ่งแวดลอม สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอม สถาบันการศึกษา

หนวยงานสนับสนุน สถาบันการศึกษา กรมพัฒนาที่ดิน องคกรปกครองสวนทองถิ่น กรมทรัพยากรน้ํา

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม

10. ใหมีการจัดทํารายงานวิเคราะหผลกระทบดานสิ่งแวดลอม (EIA) สําหรับโครงการ หนวยงานเจาของโครงการ พั ฒ นาใดๆ ที่ มี แ นวโน ม จะก อ ให เ กิ ด การเปลี่ ย นแปลงระบบนิ เ วศพื้ น ที่ ชุ ม น้ํ า ที่ มี ความสําคัญระดับนานาชาติและระดับชาติ 11. ใหมีการศึกษาวิจัยระบบนิเวศพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับนานาชาติและ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ระดับชาติ และเผยแพรขอมูลแกสาธารณะชนอยางตอเนื่อง

มาตรการอนุรักษพื้นที่ชุมน้ํา การใชประโยชนพื้นที่ที่เปนเขตอนุรักษและเขตพัฒนา พรอมทั้งกําหนดแนวเขตกันชน พื้นที่ ตลอดจนกําหนดกิจกรรมที่สามารถกระทําไดและหามกระทําในพื้นที่


2. ใหมีการสํารวจและตรวจสอบแนวเขตพื้นที่ชุมน้ําตามทะเบียนรายนามพื้นที่ชุมน้ําที่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม มีความสําคัญระดับทองถิ่นที่ ค.ร.ม. มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2543 เพื่อ เปนแหลงรับน้ําตามธรรมชาติโดยเปนพื้นที่กักเก็บน้ําและชะลอการไหลของน้ําเพื่อ ปองกันน้ําทวมและภัยแลง 3. ใหมีการติดตาม ตรวจสอบและดํารงรักษาพื้นที่ชุมน้ําตามทะเบียนรายชื่อพื้นที่ชุมน้ํา กระทรวงมหาดไทย ที่มีความสําคัญระดับทองถิ่น เพื่อสงวนไวเปนแหลงรองรับน้ําตามธรรมชาติโดยเฉพาะ อยางยิ่งพื้นที่ชุมน้ําที่ไดรับการขึ้นทะเบียนเปนแหลงน้ําสาธารณะประโยชน ตลอดจน ควบคุมและปองกันการบุกรุกเขาใชประโยชนที่จะสงผลกระทบตอพื้นที่ชุมน้ําที่เปนที่ สาธารณะประโยชน 4. ใหสรางจิตสํานึกและปลูกฝงความรูความเขาใจในคุณคาและความสําคัญ และการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ประโยชนพื้นที่ชุมน้ําอยางยั่งยืนแกทุกภาคสวน และประชาชนทุกระดับและใหชุมชน มีสวนรวมในการวางแผนการจัดการพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับนานาชาติและ ระดับชาติดวย

ตารางที่ 1 มาตรการอนุรักษพื้นที่ชุมน้ําที่ผานความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 หนวยงานที่รับผิดชอบหลัก มาตรการอนุรักษพื้นที่ชุมน้ํา 1. ประกาศกําหนดใหพื้นที่ชุมน้ําที่เปนที่สาธารณะทุกแหงทั่วประเทศโดยเฉพาะพื้นที่ กระทรวงมหาดไทย ชุมน้ําแหลงน้ําจืดเปนพื้นที่สีเขียวและมิใหสวนราชการเขาไปใชประโยชน เพื่อสงวน ไวเปนแหลงรองรับน้ําและกักเก็บน้ําตอไป

กรมขนสงทางน้ําและพาณิชยนาวี กรมที่ดิน กรมทรัพยากรน้ํา สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอม สถาบันการศึกษา กรมประชาสัมพันธ กรมสงเสริมการปกครองสวนทองถิ่น กระทรวงศึกษาธิการ

หนวยงานสนับสนุน องคกรปกครองสวนทองถิ่น กรมประมง กรมที่ดิน กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ํา กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝง สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอม สถาบันการศึกษา/กรมการปกครอง กรมสงเสริมการปกครองสวนทองถิ่น องคการปกครองสวนทองถิ่น


หนวยงานที่รับผิดชอบหลัก

9. ใหมีการจัดทําแผนการจัดการพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับนานาชาติและ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ระดับชาติทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อคุมครอง ฟนฟูพื้นที่ชุมน้ํา โดยมีการแบงเขต

7. เรงรัดใหออกหนังสือสําคัญสําหรับที่หลวงในกรณีที่พื้นที่ชุมน้ํามีความสําคัญระดับ กระทรงมหาดไทย นานาชาติและระดับชาติเปนที่สาธารณะประโยชน และเรงใหดําเนินการจัดทําแนวเขต ที่ชัดเจนเพื่อปองกันปญหาการบุกรุกโดยไมใหเกิดผลกระทบตอระบบนิเวศของพื้นที่ ชุมน้ํา 8. ใหมีการฟนฟูระบบนิเวศพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับนานาชาติและระดับชาติที่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม เสื่อมโทรม และตองการการปรับปรุงโดยด วนเพื่ อใหพื้นที่ชุมน้ํ านั้ นสามารถดํ ารง บทบาทหนาที่ทางนิเวศวิทยาและอุทกวิทยาไดตามธรรมชาติ

6. ประกาศใหพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับนานาชาติแระดับชาติ เปนเขตหามลา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม สัตวปาหรือพื้นที่คุมครองสิ่งแวดลอม หรือพื้นที่อนุรักษในลักษณะอื่น

5. ใหนําเสนอพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับนานาชาติและระดับชาติเปนพื้นที่ชุมน้ํา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ระหวางประเทศ ภายใตอนุสัญญาวาดวยพื้นที่ชุมน้ํา (Ramsar Site)

มาตรการอนุรักษพื้นที่ชุมน้ํา

กรมพัฒนาที่ดิน สถาบันการศึกษา กองทําเรือ กรมทรัพยากรน้ํา กรมประมง กรมขนสงทางน้ําและพาณิชยนาวี

หนวยงานสนับสนุน องคกรปกครองสวนทองถิ่น กรมทรัพยากรน้ํา กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปาและพันธุพืช กรมประมง กรมสงเสริมการปกครองสวนทองถิ่น กรมการปกครอง องคกรปกครองสวนทองถิ่น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝง กรมประมง กรมสงเสริมการปกครองสวนทองถิ่น กรมการปกครอง องคกรปกครองสวนทองถิ่น องคกรปกครองสวนทองถิ่น


17. ใหจัดทํารายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรี ขอ 1-16 โดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ติดตามตรวจสอบจากหนวยงานหลักเสนอตอคณะอนุกรรมการจัดการพื้นที่ชุมน้ําเปน ประจํา

หนวยงานที่รับผิดชอบหลัก มาตรการอนุรักษพื้นที่ชุมน้ํา (3) ดําเนินการประชาสัมพันธเชิงรุกทุกรูปแบบเพื่อสรางจิตสํานึกและความเขาใจ ใหกับชุมชนถึงอันตรายที่เกิดจากไฟปา เปนผลใหชุมชนยุติการจุดไฟเผาปา 2) มาตรการดับไฟปา (1) จัดตั้งสถานีควบคุมไฟปาพื้นที่เพื่อทําหนาที่กํากับ ดูแลและดําเนินการควบคุม ไฟปาในพื้นที่ชุมน้ําที่สําคัญ (2) ฝกอบรมเจาหนาที่ปาไมใหปฏิบัติงานดับไฟปาในพื้นที่ชุมน้ํา (3) ใชเครื่องมือ อุปกรณดับไฟปาใหทันสมัยและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่เปน พื้นที่ชุมน้ํา 16. ใหมีการศึกษาและจัดทําแผนกายภาพออกแบบภูมิทัศนบริเวณโดยรอบและใน กระทรวงมหาดไทย บริเวณใกลเคียงพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระดับนานาชาติและระดับชาติทั้งในระยะ สั้นและระยะยาว เพื่ออนุรักษและฟนฟูพื้นที่ดังกลาวทั้งระบบ

กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปาและพันธุพืช องคกรปกครองสวนทองถิ่น กรมประมง กรมที่ดิน กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ํา กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝง สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอม

หนวยงานสนับสนุน


2. การขึ้นทะเบียนพื้นที่อทุ ยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง เปนพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญ ระหวางประเทศ (Ramsar Site) พื้นที่อุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง รวมเนื้อที่ประมาณ 677,625 ไร ไดรับการขึ้นทะเบียนเปนพื้นที่ชุมน้ําที่มีความสําคัญระหวางประเทศ หรือ แรมซารไซด (Ramsar Site) ในลําดับที่ 1183 เมื่อ วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2545 โดยมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ชายฝงทะเลตั้งแตอําเภอสุขสําราญ อําเภอกะเปอร อําเภอเมือง อําเภอละอุน อําเภอกระบุรี จังหวัดระนอง

ก. ลักษณะทางกายภาพและสภาพภูมิศาสตร พื้นที่ชายฝงทะเลอันดามันตอนบนมีลักษณะชายฝงแบบจมตัว (submerged coast) ชายฝงมีลักษณะแคบ มีความ ลาดเอียงคอนขางชันและมีลักษณะเวาแหวง ประกอบดวยอาวและเกาะจํานวนมาก เกาะที่สําคัญไดแต เกาะชาง เกาะพยาม เกาะกําเล็ก เกาะกําใหญ เกาะคางคาว เปนตน นอกจากนั้นลักษณะชายฝงแบบจมตัวยังทําใหเกิดลักษณะของชายฝงที่เวาเปน ชองเขาไปยังปากแมน้ํา (estuary หรือ valley mouth) ไดแก ปากแมน้ํากระบุรี และปากคลองกะเปอร นอกจากนั้นดานตะวันออกของชายฝงยังมีลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขาสูงชันเปนสวนหนึ่งของเทือกเขาตะนาวศรี เรียกวา “เทือกเขาภูเก็ต” ซึ่งตั้งวางตัวขนานและเปนสันปนน้ําระหวางชายฝงทะเลอันดามันและอาวไทย จากลักษณะภูมิ ประเทศดังกลาวทําใหเกิดที่ราบแคบๆ และมีความชันระหวางแนวชายฝงทะเลและเทือกเขาภูเก็ตดังกลาว นอกจากนั้นยัง ปรากฏแมน้ําสายสั้นๆ จํานวนมาก ที่ไหลจากเทือกเขาสูงดานตะวันออกลงสูชายฝงทะเลอันดามันและพัดพาตะกอนไปสะสม บริเวณชายฝงกลายเปนสันดอนโคลนปากแมน้ํา

7 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


คลองที่สําคัญไดแก แมน้ํากระบุรี เปนแมน้ําสายสําคัญกั้นพรมแดนระหวางประเทศไทย และประเทศสหภาพเมียนมาร ตนน้ําเกิดจาก เขาตุน และเขาจอมแหทางทิศเหนือ ไหลลงสูทะเลอันดามันที่บริเวณตําบลปากน้ํา จังหวัดระนอง ความยาวประมาณ 95 กิโลเมตร คลองลําเลียง ตนน้ําเกิดจากเทือกเขาบางใหญ และเขาแดนทางทิศเหนือ ไหลลงสูแมน้ํา กระบุรีที่บานลําเลียง ความยาวประมาณ 20 กิโลเมตร คลองปากจั่น ตนน้ําเกิดจากเขาปลายคลองบางนาทางทิศเหนือ ไหลลงสูแมน้ํากระบุรี ที่บานนานอย ความยาว ประมาณ 20 กิโลเมตร คลองวัน ตนน้ําเกิดจากเขาหินลุทางทิศเหนือของจังหวัด ไหลลงสูแมน้ํากระบุรี ที่บานทับหลี ความยาวประมาณ 20 กิโลเมตร คลองกระบุรี ตนน้ําเกิดจากเขาผักแวนเขตจังหวัดชุมพร - จังหวัดระนอง ไหลผานอําเภอกระบุรีลงสูแมน้ํากระบุรีที่ บานน้ําจืด อําเภอกระบุรี ความยาวประมาณ 20 กิโลเมตร คลองละอุน ตนน้ําเกิดจากเขาหวยเสียด และเขาหินดางทางทิศตะวันออก ไหลลงสูแมน้ํากระบุรีที่บานเขาฝาชี ความยาวประมาณ 50 กิโลเมตร คลองหาดสมแปน ตนน้ําเกิดจากเทือกเขาจอมแหลม และเขานมสาว ไหลลงสูแมน้ํากระบุรีที่บานเกาะกลาง ความ ยาวประมาณ 19 กิโลเมตร คลองกะเปอร ต น น้ํ า เกิ ด จากเขายายหม อ น ไหลลงสู ท ะเลอั น ดามั น ที่ บ า นบางลํ า พู ความยาวประมาณ 32 กิโลเมตร คลองนาคา ตนน้ําเกิดจากเขานาคา และเขาพระหมี ไหลลงสูทะเลอันดามันที่บานนาพรุ ความยาวประมาณ 30 กิโลเมตร คลองกําพวน ตนน้ําเกิดจากเขาพระหมี ไหลลงสูทะเลอันดามันที่บานกําพวน ความยาวประมาณ 19 กิโลเมตร คลองบางริ้น ตนน้ําเกิดจากเขานมสาว และเขาพอตาเขาสูง ไหลลงสูแมน้ํากระบุรี ที่บานบางริ้นความยาว ประมาณ 25 กิโลเมตร คลองละออง ตนน้ําเกิดจากเขานมสาว ไหลลงสูทะเลอันดามันที่บานละออง ความยาวประมาณ 12 กิโลเมตร คลองราชกรูด ตนน้ําเกิดจากเขาพอตาโชงโดง ไหลลงสูทะเลอันดามันที่บานราชกรูด ความยาวประมาณ 12 กิโลเมตร

8 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


แผนที่แสดงความสูงของสภาพพื้นที่จังหวัดระนองและบริเวณพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง

9 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


ข. ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพมีความสัมพันธโดยตรงกับลักษณะทางภูมิศาสตรและลักษณะทางกายภาพที่เอื้ออํานวย ทํ า ให เ กิ ด ระบบนิ เ วศที่ ห ลากหลายและเหมาะสมต อ การดํ า รงชี วิ ต และแพร ก ระจายพั น ธุ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต ชนิ ด ต า งๆ ทั้ ง แนวปะการั ง หญ า ทะเล โขดหิ น ป า พรุ ป า ชายหาด คลองน้ํ า จื ด เป น ต น พื้ น ที่ ชุ ม น้ํ า อุ ท ยานแห ง ชาติ แ หลมสนอาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี เปนบริเวณที่น้ําจืดและน้ําทะเลมาพบกัน ทําใหความเร็วของน้ําจืดชะลอความเร็วลง พรอมกับ มวลน้ําจืดและน้ําทะเลมาผสมกันทําใหตะกอนตางๆ ที่ถูกน้ําจืดพัดพามาตกตะกอนและทับถมบริเวณนี้ เกิดเปนหาดเลนและ ปาชายเลน บางบริเวณปรากฏแนวหญาทะเล และอุดมสมบูรณไปดวยแรธาตุและสารอาหารสําหรับสิ่งมีชีวิต จึงเปนแหลง อนุบาลสัตวน้ําวัยออน และแหลงหลบภัยของสัตวน้ําที่สําคัญ นอกจากสัตวน้ําตางๆ ที่อาศัยอยูในน้ํากรอยแลว สัตวน้ําจืดและสัตวทะเลหลายชนิดยังเขามาอาศัยหากินตลอดจน วางไขและอนุบาลวัยออน กอนที่จะกลับไปสูแหลงน้ําจืด หรือทะเลในชวงโตเต็มวัย เชน กุงขาวและกุงกุลาดํา เมื่อโตขึ้นจะ กลับไปอาศัยและผสมพันธุในทะเล และสัตวน้ําจืดเชน กุงกามกราม จะตองมาวางไขในบริเวณน้ํากรอย และเมื่อโตขึ้นจะวาย กลับไปอยูในแหลงน้ําจืดตอไป บริเวณปาชายเลน หาดเลน และหาดทราย เปนแหลงหากินและถิ่นอาศัยของนกชายเลนทั้งที่เปนนกประจําถิ่นและ นกอพยพที่สําคัญ ทั้งนี้ปจจัยสําคัญที่ทําใหอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี ไดรับการขึ้นทะเบียนเปนพื้นที่ ชุมน้ําระหวางประเทศ เนื่องจากเปนพื้นที่ที่ประกอบไปดวยระบบนิเวศพื้นที่ชุมน้ําหลายแบบผสมผสานกันเปนพื้นที่ชุมน้ํา ผืนใหญ ไดแก หาดเลน หาดทราย แหลงปะการัง แหลงหญาทะเล และปาชายเลนดึกดําบรรพที่สุด และมีความอุดมสมบูรณ มากแหงหนึ่งของประเทศ สามารถพบตนโกงกางขนาดใหญที่มีอายุมากกวา 300 ป เปนแหลงที่อยูอาศัยของชนิดพันธุที่อยูใน สถานภาพใกลสูญพันธุอยางยิ่ง คือ นกยางจีน (Egretta eulophotes) สถานภาพใกลถูกคุกคาม คือ เหยี่ยวแดง (Haliatur indus) เหยี่ยวหนาเทา (Butastur indicus) และสถานภาพมีแนวโนมใกลสูญพันธุ คือ นกกระเต็นใหญปกสีน้ําตาล (Halcyon amauroptera) เปนแหลงที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมากเปนแหลงที่อยูอาศัย หลบภัย และอนุบาลสัตวน้ําวัยออนที่ สําคัญทางเศรษฐกิจ เชน กุง ปลา ปาชายเลนจังหวัดระนองเปนแหลงที่มีความหลากหลายและความชุกชุมของปลาคอนขางสูง

10 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


จากขอมูลการศึกษาและเก็บขอมูลที่เกี่ยวของพบ ความหลากหลายทางชีวภาพที่สําคัญไดแก  สัตวเลี้ยงลูกดวยนม สัตวเลี้ยงลูกดวยนมอื่นๆ ไดแก กระแตธรรมดา (Tupaia glis) บาง (Cynocephalus variegatus) ลิงลม (Nycticebus coucang) เปนตน และสัตวเลี้ยงลูกดวยนมที่อยู ในสถานภาพใกลสูญพันธุอยางยิ่ง ไดแก พะยูน (Dugong dugong) และชนิดพันธุที่อยูในสถานภาพมีแนวโนมสูญพันธุ ไดแก คางแวนถิ่นใต (Semonpithecus bocurus) และชะนีมือ ขาว (Hylobates lar)  สัตวเลื้อยคลาน พบอยางนอย 23 ชนิด ไดแก เตามะเฟอง เตาหญา เตากระ เตาตนุ เตาเหลือง จิ้งจกหางเรียบ ตุกแกบาน กิ้งกาแกว จิ้งเหลนหลากหลาย จิ้งจกนิ้วยาวมาลายู ตะกวด งูสิงบาน เปนตน  สัตวสะเทินน้ําสะเทินบก พบอยางนอย 7 ชนิด ไดแก คางคกบาน กบบัว กบหนอง กบทูด กบเขาสูง เขียดตะปาด เขียดงูสวน เปนตน  นก พบนกอยางนอย 175 ชนิด เปนนกประจําถิ่น อยางนอย 122 ชนิด ไดแก นกยางทะเล (Egretta sacra) เหยี่ยวแดง (Haliastur indus) นกอพยพแตมิใชเพื่อการผสมพันธุอยางนอย 60 ชนิด เชน นกปากแอนหางลาย (Limosa lapponica) นก นางนวลแกลบธรรมดา (Sterna hirundo) นกอพยพผานในฤดูกาลไมนอยกวา 12 ชนิด ไดแก เหยี่ยวนกเขาพันธุจีน (Accipiter soloensis) เหยี่ยวนกเขาพันธุญี่ปุน (A. gularis) ชนิดที่อยูในสถานภาพถูกคุกคามของโลก ไดแก นกหัวโตมลายู (Charadrius peronii) นกนางนวลแกลบหงอนใหญ (Sterna bergii) ชนิดที่อยูในสถานภาพมีแนวโนมใกลสูญพันธุ ไดแก นกกระเต็นปก ใหญสีน้ําตาล (Halcyon amauroptera) ชนิดที่อยูในสถานภาพใกลถูกคุกคาม ไดแก นกออก (Haliaeetus leucogaster) นกเงือก กรามชาง (Rhyticeros undulatus) ผลจากการศึกษาประเมินสถานภาพประชากรนกน้ําในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน โดยเจาหนาที่องคการพื้นที่ชุมน้ํา ประจําประเทศไทยพบวา บริเวณพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปาก แมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง เปนแหลงรองรับนกน้ําและนกชายเลนที่สําคัญแหงหนึ่งของภูมิภาค มีจํานวนถึงประมาณ 12,000 ตัว/ป โดยมีพื้นที่ที่สําคัญไดแก พื้นที่บริเวณปากคลองกะเปอร และพื้นที่บริเวณทิศเหนือของอาวกะเปอร (อาวลัดโนด อาว อาง อาวอาง และอาวยายกิม)  ปลา พบปลาอยางนอย 119 ชนิด จากขอมูลปลาทะเลที่พบในจังหวัดระนองทั้งสิ้น 225 ชนิด เปนปลาเศรษฐกิจ เชน ปลา กะพงขาว (Lates calcarifer) ปลากะพงแดง (Lutijanus spp.) ปลาหลังเขียว (Clupea dispilonotus) เปนตน ชนิดที่อยูใน สถานภาพใกลสูญพันธุไดแก ปลากระทุงเหวทะเล (Zennarchopterus dunckeri) ที่บานบางจาก ตําบลหงาว

11 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


 ปู กุง หอย พื้นที่ชายฝงจังหวัดระนองมีรายงานการพบปู 81 ชนิด กุง 32 ชนิด และหอยอยางนอย 31 ชนิด  เอคไคโนเดิรม พื้นที่ชายฝงจังหวัดระนองมีรายงานพบเอคไคโน เดิรม กลุมดาวทะเล ดาวเปราะ เมนทะเล ปลิงทะเลและดาว ขนนก รวมทั้งสิ้น 36 ชนิด  หญาทะเล พบหญาทะเลทั้งหมด 8 ชนิด คือ หญาชะเงาใบยาว (Enhalus arcororides) หญาเงาแคระ (Halodule beccarii) หญา ชะเงาใบสั้น (Cymodocea surrulata) หญาใบมะกรูด (Halophilia ovalis) หญาเงาใส (Halophilia decpiens) และหญาผมนาง (Halodule uninervis) โดยมีพื้นที่รวม 948.55 ไร และมีรายงานการพบแหลงหญาบริเวณเกาะชาง เกาะพยาม บานบางจาก เกาะ ลาน เกาะกําใหญ (กรมควบคุมมลพิษ, 2542) และหลังจากเกิดเหตุการณสึนามิเมื่อเดินธันวาคม พ.ศ.2547 มีการสํารวจโดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝง พบหญาทะเลบริเวณอาวบางเบนและปากคลองบางเบนดานขวา 125 ไร พบหญาทะเล 2 ชนิด (Halaphila beccarii, Halaphila ovalis) ซึ่งแหลงหญาทะเลของจังหวัดระนองไมไดรับผลกระทบหรือกระทบนอย ประมาณรอยละ 30 สภาพโดยทั่วไปยังมีความอุดมสมบูรณดี (กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝง, 2528)  ปะการัง พบแนวปะการังตามเกาะชายฝง กระจายอยูในระยะทาง 5-10 กิโลเมตรจากชายฝง ตั้งแต เกาะสน เกาะสินไห เกาะ ตาครุฑ เกาะชาง เกาะพยาม หมูเกาะกํา เกาะลาน และเกาะคางคาว และเนื่องจากพื้นที่ทะเลบริเวณนี้ไดรับอิทธิพลจากตะกอน ที่ไหลลงมาตามแมน้ําหลายสาย น้ําทะเลจึงคอนขางขุน ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตอยูในระดับปานกลาง ปะการังมักมี แนวพื้นที่ไมกวางนัก โดยมีพ้ืนที่ปะการังรวมทั้งสิ้นประมาณ 2.57 ตารางกิเมตร (1,542 ไร) โดยบริเวณที่มีปะการังกอตัวจะ ไลลงมาตั้งแตเกาะพยาม หมูเกาะกํา จนถึงเกาะคางคาว โดยมีลักษณะเปนแนวปะการังน้ําตื้นที่กอตัวอยูทางดานทิศตะวันออก ของเกาะเปนสวนใหญ ความหลากหลายของชนิดปะการังไมมีมากนัก โดยมีปะการังเดนในพื้นที่ไดแก ปะการังโขด (Porites lutea) ปะการังชองเหลี่ยม (Favites spp.) ปะการังวงแหวน (Favia spp.) ปะการังสมองรองสั้น (Platygyra spp.) และปะการัง ดอกไมทะเล (Goniopora spp.) ทั้งนี้โดยภาพรวมพบวามีเพียงแนวปะการังบริเวณเกาะคางคาวที่ยังอยูในสภาพที่สมบูรณ บริเวณที่เสื่อมโทรมมากไดแกบริเวณเกาะกําออกและเกาะกํานุย สวนในบริเวณอื่นๆ มีความสมบูรณในระดับปานกลาง  ปาดิบ พบตั้งแตในพื้นที่บนเกาะตางๆ เชน เกาะยิว เกาะชาง เกาะทรายดํา เกาะพยาม รวมทั้งพื้นที่ปาดิบชื้นซึ่งอยูบน แผนดินใหญ พันธุไมที่พบโดยสวนใหญ เชน กระทอนปา ตําเสา ขนุนปา ขุนไม ไขเขียว เฉียงพรานางแอ ตะเคียนทอง ตะเคียนทราย ตีนเปด เทพทาโร ทุงฟา ยมหิน สะตอ เลือดควาย มะมวงปา กันเกรา หลาวชะโอน เปนตน พืชพื้นลางไดแก หวายกําพวน หวายแดง ระกํา มอส เฟน เปนตน

12 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


 ปาชายเลน ในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง มีพื้นที่ปาชายเลนรวมพื้นที่ ทั้งสิ้นประมาณ 120,675 ไร (ธงชัย และสุวิทย, 2538) มีความหลากหลายของชนิดพันธุพืชที่อยูในปาชายเลน มีทั้งหมด 17 วงศ (family) 35 ชนิด (species) และเปนไมพื้นลางอีก 20 ชนิด (Aksornkoae และ Saraya, 1986) โดยมีพันธุไมชายเลนที่เปน ชนิดเดนไดแก โกงกางใบใหญ โกงกางใบเล็ก พังกาหัวสุม โปรง ถั่ว แสม ตะบูน ฝาด ลําพู ลําแพน เปนตน ปาชายเลน บริเวณที่สําคัญไดแก บริเวณปากแมน้ํากระบุรีลงมาทางดานทิศใตบริเวณเขตสงวนชีวมณฑลจังหวัดระนอง จนกระทั่งถึงแนว ปาชายเลนบริเวณอาวกะเปอร  ปาชายหาด มีพื้นที่ไมมากนักและเปนแนวแคบๆ ติดกับชายฝงทะเล พบไดตามแนวชายหาดตั้งแตบานปากเตรียม หาดประพาส แหลมสน บางเบน บางสวนของพื้นที่เกาะพยาม เกาะชาง และเกาะทรายดํา พันธุไมที่พบไดแก สนทะเล หยีทะเล จิกเล กระทิง หงอนไกทะเล ปอทะเล เมา มะหวด มะพลับ ลําบิดทะเล ทองหลางปา โพบาย สมพง นน หูกวาง หมูหมัน ตะแบกนา พืชพื้นลางไดแก ผักบุงทะเล หญาปริก พังแหรใบใหญ

13 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


แผนที่แสดงความหลากหลายทางระบบนิเวศพื้นที่จังหวัดระนอง และบริเวณพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง

14 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


ค. สภาพเศรษฐกิจ สังคมชุมชนและวัฒนธรรม ในพื้ น ที่ ชุ ม น้ํ า อุ ท ยานแห ง ชาติ แ หลมสน-อ า ว กะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี มีจํานวนชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยูใน พื้นที่ 5 อําเภอ ชุมชนสวนใหญนับถือศาสนาอิสลามและ พุท ธ ประกอบอาชีพประมงชายฝงและทําสวน (ยางพารา ปาล ม น้ํ า มั น สวนผลไม ) ซึ่ ง อาชี พ หลั ก ทั้ ง 2 ด า น เป น รากฐานทางดานเศรษฐกิจหลักของชุมชน ทั้งนี้ขอมูลของ สํานักงานพาณิชยจังหวัดระนอง ระบุวา ผลิตภัณฑมวลรวม จังหวัดระนอง (GPP) ป 2550 มีมูลคา 17,309 ลานบาท โดย สาขาเกษตรมีมูลคา 5,220 ลานบาท (คิดเปน 31.16%) และ สาขาประมงมีมูลคา 3,252 ลานบาท (คิดเปน 18.79%) ประชากรของจังหวัดมีรายไดเฉลี่ยตอหัว 94,640 บาท (ที่มา : สํานักงานพาณิชยจังหวัดระนอง) ในดานการประประมง พบวา จากขอมูลสํานักงานสถิติ จังหวัดระนอง ป 2547 ระบุวา ในพื้นที่จังหวัดระนองมี ชุมชนตั้งถิ่นฐานประประกอบอาชีพประมงทะเลสิ้นจํานวน 59 ชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ 5 อําเภอ ไดแก อําเภอเมืองระนอง อําเภอละอุน อําเภอ กะเปอร อําเภอกระบุรี และอําเภอสุขสําราญ โดยมีจํานวนครัวเรือนที่ทําประมงเพื่อขาย จํานวน 2,267 ครัวเรือน และทําประมงชายฝงเพื่อบริโภค 585 ครัวเรือน นอกจากนั้นยังพบการเพาะเลี้ยงชายฝงใน 29 ชุมชน จําแนกเปนการ เพาะเลี้ยงชายฝงเพื่อขาย 360 ครัวเรือน และเพื่อบริโภค 16 ครัว โดยอําเภอที่มีการทําประมงทะเลและเพาะเลี้ยงสัตวน้ํา ชายฝงมากที่สุดไดแก อําเภอเมืองระนอง อําเภอสุขสําราญ อําเภอกะเปอร อําเภอกระบุรี และอําเภอละอุนตามลําดับ (ที่มา : สํานักงานสถิติจังหวัดระนอง) โดยผลผลิตทางการประมงเฉพาะสินคาสัตวน้ํา ประมาณปละ 36,100 ตัน คิดเปนมูลคา 2,265 ลานบาท ซึ่งถารวมกิจกรรมที่ตอเนื่องเกี่ยวของกับการประมงเขาไปดวย จะมีมูลคาประมาณ 4,000 ลานบาท (ที่มา :

http://www.ranong.go.th/economy.htm) นอกจากนั้ น ในบางชุม ชน เชน บา นม ว งกลวง บ า นเกาะช า ง บ า นบางเบน บา นบางลํ า พู ยั ง ประกอบอาชี พ ที่ เกี่ยวเนื่องกับทรัพยากรในพื้นที่ชุมน้ําชายฝงทะเลทะเล เชน อาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับการทองเที่ยว เชน โฮมสเตย ขับเรือให นักทองเที่ยว นํานักทองเที่ยวชมธรรมชาติ การเย็บตับจากซึ่งไดจากตนจากในพื้นที่ปาชายเลน การรับจางปลูกปาชายเลน เปนตน

15 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


• กลุมมอแกน มอแกน เปนชาวเลกลุมหนึ่ง สืบเชื้อสายมาจากโป โตมาเลซึ่งรอนเรอยูในทะเลอันดามัน มากวา 100 ป อาศัยอยู ตามหมูเกาะ และชายฝงทะเลตั้งแตหมูเกาะมะริดในเมียรมา ลงไปทางใตและทางตะวันออกในหมูเกาะของทะเลซูลู ใน ประเทศฟลิปนส รวมถึงชายฝงของประเทศมาเลเซีย และ อินโดนีเซียดวย ในหมูเกาะมะริดในเมียนมารยังมีประชากร มอแกนอีกนับพัน พมาเรียกมอแกนวา ซลัง เซลัง หรือ ซาเลา (Selon) สันนิษฐานวาคํานี้คงจะมาจากคําวาฉลางหรือถลาง ซึ่งเปนชื่อโบราณของภูเก็ต (Junk Selon) ซึ่งเปนบริเวณที่มี ชาวเลมาชุมนุมกันอยูมากในสมัยกอน มอแกนนับถือสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ และวิญญาณตางๆ ในธรรมชาติ รวมทั้งวิญญาณบรรพบุรุษที่มี “หลอโบง” หรือเสาวิญญาณบรรพบุรุษ ทั้งชาย (แอบาบ) และหญิง (เอบูม) เปนสัญลักษณ ซึ่งมอแกนมีพิธีฉลองที่สําคัญประจําปคือพิธี “เหนียะเอ็นหลอโบง” หรือการ ฉลองเสาวิญญาณบรรพบุรุษ ซึ่งบางทีในพิธีนี้ก็มีการลอยเรือสะเดาะเคราะห ชาวเลมอแกนเรียกเรือนี้วา “หลาจัง” การลอยเรือ มีวัตถุประสงคเพื่อนําเอาเคราะหราย โรคภัยไขเจ็บ ความทุกขโศกตางๆ ออกไปจากชุมชน สวนพิธีฉลองเสาวิญญาณ บรรพบุรุษของมอแกนนั้น จัดขึ้นในวันขางขึ้น เดือนหาทางจันทรคติ มอแกนจะไมออกไปทํามาหากินเปนเวลา 3 วัน 3 คืน ในชวงนั้น จะมีงานฉลอง ที่มีการดื่มกิน การเลนดนตรีรายรํา การเขาทรงทํานายโชคชะตาของหมูบาน และมีญาติพี่นองจาก เกาะตางๆ มาพบปะสังสรรคกัน (ที่มา : โครงการนํารองอันดามัน) อยางไรก็ตามปจจุบันมอแกนแถบเกาะเหลา เกาะชาง เกาะ พยาม ไดปรับเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสตแทนความเชื่อดั้งเดิม ทําใหวัฒนธรรม ความเชื่อและประเพณีบางอยางของกลุม เริ่มเลือนหายไป ปจจุบันกลุมมอแกนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง มีการตั้ง ถิ่นฐานอยูในพื้นที่สําคัญไดแก เกาะเหลา (39 ครัวเรือน 201 คน) เกาะพยาม (21 ครัวเรือน 88 คน) และเกาะชาง (95 ครัวเรือน) รวม 429 คน (ที่มา : หนังสือพิมพคมชัดลึก ฉบับวันที่ 4 มิถุนายน 2552) โดยประชากรมอแกนในกลุมนี้ยังคงมีการ อพยพโยกยายไปยังพื้นที่ใกลเคียงเชนหมูเกาะสุรินทร และหมูเกาะในประเทศพมา มอแกนสวนใหญประกอบอาชีพประมง ชายฝง เชน หาหอย ดําปลิง วางอวน ฯลฯ นอกจากนั้นยังรับจางนายทุนออกหาปลาและดําปลิงในทะเลลึก สภาพปญ หาสําคัญ ก็คื อ มอแกนกลุม นี้มีสภาพการดํารงชีวิตมีความเปนอยู คอ นขางยากลํ าบาก ทั้งในดานการ ประกอบอาชีพ ดา นสาธารณสุ ข และด า นการศึ ก ษา เนื่อ งจากมอแกนจํ า นวนมากที่ ยัง ไม ได รั บ สัญ ชาติ ไ ทยและบั ต ร ประชาชน ทําใหคนกลุมนี้เขาไมถึงบริการขั้นพื้นฐานของรัฐ เชน สิทธิในการไดรับการรักษาพยาบาล 30 บาท สิทธิในการ กูยืมเงินกองทุนการศึกษา เปนตน นอกจากนั้นยังมีปญหาถูกกดคาแรงเนื่องจากไมมีบัตรประชาชน รวมทั้งบัตรตางดาว ทํา ใหไมไดรับการคุมครองตามกฎหมายแรงงาน ปญหาที่นายทุนยึดที่ดินที่อยูอาศัย รวมทั้งพื้นที่ประกอบอาชีพประมงและตั้ง ถิ่นฐานถูกจํากัดใหเหลือแคบขึ้นจากการประกาศเขตอุทยานแหงชาติ

16 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


• กลุมคนไทยผลัดถิ่น กลุมคนไทยพลัดถิ่น เปนกลุมคนไทยที่เคยตั้งถิ่นฐานอยูในแถบเกาะสอง มะลิวัลย ปกเปยน มะรัง ตอมาเมื่ออังกฤษ ไดแบงเขตแดนระหวางประเทศไทยและประเทศพมา ในป พ.ศ.2411 ทําใหคนไทยกลุมนี้ตกอยูในเขตแดนประเทศพมา โดย ยังดํารงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเชนเดียวกันกับคนไทย จนกระทั่งมีการสูรบกันในประเทศพมา ทําใหชาวไทยพลัดถิ่นอพยพ กลับมาในฝงไทย และไดรองขอสัญชาติไทยจากรัฐบาลไทยและรัฐบาลไทยไดออกบัตรประจําตัวผูพลัดถิ่นใหถือระหวางที่ รอขอสถานะการเปนคนไทย อยางไรก็ตามยังมีคนไทยพลัดถิ่นจํานวนไมนอยที่ตกสํารวจทําใหไมมีบัตรประจําตัวผูพลัดถิ่น ดังกลาว ปจจุบันตั้งถิ่นฐานอยูในพื้นที่บานปากเตรียม อําเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา บานทะเลนอก บานบางกลวยนอก บาน บางเบน อําเภอสุขสําราญ บานบางลําพู บานทายาง อําเภอกะเปอร บานปากจั่น อําเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ขอมูลการ สํารวจในป พ.ศ. 2545 พบคนไทยพลัดถิ่นในเขตอําเภอสุขสําราญจํานวน 370 คน และอําเภอกะเปอร จํานวน 590 คน (ที่มา : เครือขายไทยพลัดถิ่นสํารวจไทยพลัดถิ่นในเขตจังหวัดระนองและอําเภอทาแซะจังหวัดชุมพร) มีทั้งคนนับถือศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม โดยปจจุบันสวนใหญจะประกอบอาชีพประมงและรับจางทั่วไป ทั้งนี้การไมไดรับสัญชาติไทยและบัตรประจําตัวประชาชนของกลุมคนไทยพลัดถิ่น ทําใหประชาชนกลุมนี้ไม สามารถเขาถึงบริการของรัฐและการคุมครองทางดานกฎหมายบางประการ เชนเดียวกับปญหาการไรสัญชาติของกลุมมอแกน

17 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


แผนที่แสดงการแบงเขตทางการปกครองของจังหวัดระนอง และบริเวณพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง

18 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


แผนที่ตําแหนงชุมชนบริเวณพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน – อาวกะเปอร ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง

19 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


ตารางที่ 2 จํานวนหมูบาน และจํานวนครัวเรือนที่มีการทําประมง / การเพาะเลี้ยงสัตวน้ํา จําแนกตามวัตถุประสงคหลัก และ อําเภอ / กิ่งอําเภอ จังหวัดระนอง การทําประมงและการเพาะเลี้ยงสัตวน้ํา ลําดับที่

อําเภอ /กิ่ง อําเภอ

จํานวน หมูบาน ทั้งสิ้น

การทําประมงทะเล จํานวน หมูบาน

การเพาะเลี้ยงสัตวน้ําชายฝง

จํานวนครัวเรือนที่มี วัตถุประสงคหลัก เพื่อขาย

เพื่อบริโภค

จํานวน หมูบาน

จํานวนครัวเรือนที่มี วัตถุประสงคหลัก เพื่อขาย

เพื่อบริโภค

1

เมืองระนอง

37

27

1,334

467

16

165

10

2

ละอุน

30

3

44

62

1

5

5

3

กะเปอร

34

12

267

26

6

75

1

4

กระบุรี

60

8

53

10

2

12

0

5

อ.สุขสําราญ

13

9

569

20

4

103

0

รวม

174

59

2,267

585

29

360

16

ที่มา : รายงานผลการจัดทําขอมูลสถิติเพื่อการพัฒนา อบต. พ.ศ. 2547 ภายใตโครงการจัดทําระบบขอมูลสถิติระดับทองถิ่น จังหวัดระนอง สํานักงานสถิติ แหงชาติ,กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

ตารางที่ 3 แสดงการเพาะเลี้ยงสัตวน้ําชายฝง (ป 2547) ประเภท ผูเพาะเลี้ยง (ราย) 122 1. กุงทะเล 207 2. หอย 472 3. ปลาในกระชัง 976 4. ปลาน้ําจืด 42 5. ปูนิ่ม รวม 5 ประเภท 1,819

เนื้อที่ (ไร) 3,447.70 42 577 1,559 193.80 5,299.50

ปริมาณผลิต (ตัน) 2,850 4,010 187 116.44 840 8,003.44

มูลคา (บาท) 456,000,000 22,375,000 23,375,000 3,767,000 159,600,000 664,797,000 ที่มา : สํานักงานประมงจังหวัดระนอง

ตารางที่ 4 แสดงขอมูลผลผลิตทางการประมงของจังหวัดระนอง (ป 2547) รายการ ปริมาณ ( กก. ) ราคา ( บาท / กก. ) 226.19 1,683,757 1. กุง 73.70 25,708,818 2. ปลา 57.777 6,715,870 3. อื่น ๆ

มูลคาผลผลติ ( บาท ) 380,860,400 1,894,911,725 387,995,400

ที่มา : สํานักงานประมงจังหวัดระนอง หมาเหตุ : ปริมาณและมูลคาของผลผลิตที่ไดมีการแปรรูปแลว

20 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


3. การบริหารจัดการพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง ในปจจุบัน 3.1 การจัดการโดยภาครัฐ พื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง ครอบคลุมพื้นที่บก พื้นที่ชายฝง ทะเล หมูเกาะตางๆ ทั้งหมดของจังหวัดระนอง รวมพื้นที่ประมาณ 677,625 ไร โดยพื้นที่ชุมน้ําอยูในการดูแลของหนวยงาน ตางๆ ที่เกี่ยวของ ไดแก ก. อุทยานแหงชาติแหลมสน : ไดจัดตั้งเปนอุทยานแหงชาติเมื่อป พ.ศ.2524 ครอบคลุมพื้นที่ชายฝงและพื้นที่ทะเล ประมาณ 196,875 ไร โดยพื้นที่สวนใหญเปนทะเลมีเนื้อที่ประมาณ 267 ตารางกิโลเมตร หรือรอยละ 85 ของ พื้นที่อุทยานแหงชาติทั้งหมด ครอบคลุมพื้นที่มีความหลากหลายทางระบบนิเวศ ทั้งปาชายเลน หญาทะเล ปะการัง คลอง โดยมีชายฝงทะเลยาวประมาณ 60 กิโลเมตร ข. อุทยานแหงชาติปากแมน้ํากระบุรี : ตั้งอยูทางดานฝงทะเลอันดามัน ในทองที่อําเภอกระบุรี อําเภอละอุน อําเภอ เมือง จังหวัดระนอง ไดรับการประกาศจัดตั้งเปนอุทยานแหงชาติเมื่อป 2542 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เลม 116 ตอนที่ 29 ก ลงวันที่ 21 เมษายน 2542 ครอบคลุมพื้นที่ 160 ตารางกิโลเมตร มีพรมแดนติดกับประเทศ สหภาพพมาทางดานทิศตะวันตก โดยมีแมน้ํากระบุรีเปนเสนแบงกั้นของประเทศทั้งสอง พื้นที่ประมาณ 64 ตารางกิโลเมตร หรือรอยละ 40 ของพื้นที่ ในแมน้ํามีเกาะจํานวน 6 เกาะ ไดแก เกาะเสียด เกาะขวาง เกาะโชน เกาะยาว เกาะปลิง และเกาะนกเปลา ค. พื้นที่เตรียมประกาศอุทยานแหงชาติเกาะพยาม : กรมปาไม (ขณะนั้น) ไดดําเนินการสํารวจพื้นที่เพื่อจัดตั้งเปน อุทยานแหงชาติเมื่อป 2532 ซึ่งจากการสํารวจพบวาพื้นที่บริเวณครอบคลุมพื้นที่ในเขตปาสงวนแหงชาติปา เกาะพยาม ปาสงวนแหงชาติปาเกาะชาง ปาสงวนแหงชาติปาคลองหินกลอง - ปาคลองมวงกลวง และปาสงวน แหงชาติปาคลองหัวเขียว - ปาคลองเกาะสุย ประกอบไปดวยทรัพยากรธรรมชาติที่สําคัญ และมีความ

21 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


หลากหลายทางระบบนิเวศ เปนพื้นที่ที่มีศักยภาพ มีความเหมาะสมที่จะกําหนดเปนอุทยานแหงชาติ ซึ่งขณะนี้ ไดรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการอุทยานแหงชาติเมื่อคราวการประชุมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2543 และได ทําการปรับปรุงแนวเขตอุทยานแหงชาติ เพื่องายตอการควบคุมและตอบสนองความตองการของชุมชนใน ทองถิ่น เหลือเนื้อที่ประมาณ 347 ตารางกิโลเมตร อยางไรก็ตามการประการเขตอุทยานแหงชาติหมูเกาะพยาม ไดรับการคัดคานจากชุมชนอยางตอเนื่อง แตลาสุดคณะรัฐมนตรีไดมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 เห็นชอบรางพระราชกฤษฎีกาประกาศพื้นที่อุทยานแหงชาติหมูเกาะพยาม กอนที่จะนําทูลเกลาเพื่อลง พระปรมาภิไธยตอไป ง. พื้นที่เตรียมการประกาศเขตหามลาสัตวปาปาชายเลนมวงกลวง : ปจจุบันอยูระหวางการดําเนินการสํารวจเพื่อ เตรียมจัดตั้งเปนเขตหามลาสัตวปาปาชายเลนมวงกลวง มีพื้นที่ประมาณ 81,900 ไร จ. พื้นที่สงวนชีวมณฑลจังหวัดระนอง : ตั้งอยูในเขตทองที่ตําบลหงาว อําเภอเมือง จังหวัดระนองระบบนิเวศ แบบปาชายเลน ขนาดเนื้อที่ 303 ตร.กม.หรือ 189,431 ไร ไดรับการประกาศจาก UNESCO/MAB ในป พ.ศ. 2540 ครอบคลุมพื้นที่จากทางดานทิศใตของเมืองระนองไปถึงทิศเหนือของอําเภอกะเปอร ทิศตะวันตกจด อุทยานแหงชาติน้ําตกหงาว และทิศตะวันตกจดทะเลอันดามัน โดยมีหนวยงานที่รับผิดชอบหลักคือ สถานีวิจัย และพัฒนาทรัพยากรปาชายเลนที่ 1 จังหวัดระนอง โดยมีการแบงเขตการจัดการดังนี้ • พื้นที่แกนกลางรวมทั้งสิ้นประมาณ ๔๖ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๒๙,๐๐๐ ไร • พื้นที่กันชน เปนพื้นที่ที่สามารถใหมีการฟนฟูและใชประโยชนจากทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบ ตาง ๆ อยางยั่งยืน ตลอดจนเปนแหลงทองเที่ยวและใหความรูแกประชาชนในรูปแบบตาง ๆ โดยได กําหนดพื้นที่กันชนไว ๑๙๔ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๑๒๑,๐๐๐ ไร พื้นที่กันชนที่เปน น้ํา ทะเล คลอง ๑๒๑ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๗๘,๐๐๐ ไร พื้นที่เกาะและภูเขาประมาณ ๑๑ ตาราง กิโลเมตร หรือประมาณ ๗,๐๐๐ ไร • พื้นที่รอบนอก เปนพื้นที่ที่มีการดําเนินกิจกรรมตาง ๆ รวมกันเชน การเกษตร แหลงชุมชน และ อุตสาหกรรมตาง ๆ อยูนอกเขตพื้นที่ปาชายเลน ซึ่งจําเปนตองมีการจัดการ และควบคุมการขยายตัว ของชุมชน และคงไวซึ่งคุณภาพของสภาพแวดลอมที่ดี เพื่อใหมีผลกระทบตอระบบนิเวศนปาชาย เลน ในพื้นที่เขตสงวนชีวมณฑลใหนอยที่สุด เขตพื้นที่รอบนอกนี้มีพื้นที่ประมาณ ๖๓ ตาราง กิโลเมตร หรือประมาณ ๔๐,๐๐๐ ไร ฉ. สถานีพัฒนาทรัพยากรปาชายเลนที่ 9 และ 10 : มีอํานาจหนาที่ในการอนุรักษ ฟนฟู สงเสริม บริหารจัดการและ การพัฒนาปาชายเลนในทองที่

22 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


3.2 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชน ปจ จุบันชุมชนหลายแหงในพื้นที่ชุม น้ํ าอุท ยานแหงชาติแ หลมสน-อ าวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี และบริเ วณ โดยรอบไดริเริ่มจัดการทรัพยากรธรรมชาติและดําเนินกิจกรรมดานการอนุรักษในทองถิ่นของตนเอง ยกตัวอยางเชน

3.2.1 กลุมฟนฟูปาชายเลนตําบลกะเปอร กลุมฟนฟูปาชายเลนตําบลกะเปอร อําเภอกะเปอร จังหวัดระนอง มีจํานวนสมาชิกกวา 70 คน เกิดจากการรวมตัว ของสมาชิกชุมชนหมูที่ 1 บานดาน และหมูที่ 8 บานชีมี ที่มุงแสวงหาแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน บทเรียนจากกณี การเปดธรณีพิบัติภัยสึนามิทําใหกลุมไดคนพบวา การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวตําบลกะเปอรใหเกิดความยั่งยืนไดนั้น มี องคประกอบที่สําคัญคือ การมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณและชุมชนมีองคความรูในการใชประโยชนอยางชาญฉลาด และยั่งยืน โดยมีกิจกรรมดังนี้ 1. แปลงเพาะพันธกลาไมชายเลนที่หลากหลาย : เปนแปลงเพาะพันธุกลาไมชายเลนของกลุมฟนฟูปาชายเลนตําบล กะเปอร โดยใหความสําคัญกับการเพาะขยายพันธุกลาไมปาชายเลนที่หลากหลายถึง 16 ชนิด เชน จาก โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ แสม พังกาหัวสุมดอกแดง ถัวขาว โปรงแดง โปรงขาว ตะบูนดํา เล็บมือนาง ฝาดดอกแดง ตีนเปด เปนตน โดยในป พ.ศ.2552 ไดดําเนินการเพาะพันธุกลาไมไดถึง 40,000 ตน สําหรับใชในการฟนฟูพื้นที่อาวกะเปอร รวมทั้ง สนับสนุนพันธุไมใหแกชุมชนอื่นๆ ที่สนใจ 2. การปลูกปาฟนฟูปาชายเลน : ปจจุบันกลุมฟนฟูปาชายเลนตําบลกะเปอร ไดดําเนินการปลูกปาชายเลนฟนฟู รวมทั้งติดตามซอมแซมไปแลวกวา 300 ไร 3. ศูนยเรียนรูลอยน้ํา : เปนศูนยเรียนรูลอยน้ําสําหรับใหความรูดานระบบนิเวศปาชายเลนและกลุมเยาวชน และ ประชาชนทั่วไปที่สนจ 4. เขตอนุรักษปูดําและปูแสม : เปนการกําหนดเขตและหามจับปูดําในพื้นที่ดังกลาว เพื่อเปนแหลงที่อยูอาศัยและ แหลงอนุบาลปูดํา 5. เขตอนุรักษหอยหวานและหอยขาว : เปนแหลงอนุบาลและแหลงกระจายพันธุของหอยหวานและหอยขาว ซึ่ง เปนสัตวน้ําที่สําคัญชนิดหนึ่งที่สรางรายไดใหกับชุมชน

23 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


3.2.2 กลุมธนาคารปูบานทายาง เกิดจากการรวมตัวกันของสมาชิกชุมชนบานทายาง ตําบลกะเปอร อําเภอกะเปอร จังหวัดระนอง จัดทําธนาคารปูมา เพื่อใหปูมาที่จับไดสลัดไขกอนจับขาย นอกจากนั้นยังมีการวางแนวเขตอนุรักษลูกปูมา เพื่อใหลูกปูมาเกิดใหมมีที่หากิน ที่อยู ที่อาศัย กอนตัวโตไดขนาดพอจับขาย นอกจากนั้นบานทายางยังดําเนินการจัดการปาชายเลนในรูปแบบปาชุมชนโดยมีการ กําหนดกฎระเบียบการใชประโยชนจากปาชุมชน รวมทั้งมีกิจกรรมฟนฟูปาชายเลนเชน การปลูกปาชายเลน

3.2.3 กลุมอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติบานบางลําพู บานบางลําพูหมูที่ 3 ตําบลกะเปอร อยูทางทิศใตของอําเภอกะเปอร ระยะหางจากอําเภอประมาณ 1,500 เมตร มี เสนทางหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม เปนเสนทางหลัก มีที่ทําการบริหารสวนตําบลกะเปอร ซึ่งไดประกาศการยกฐานะเมื่อ ป พ.ศ. 2539 การตั้งชื่อของหมูบาน ไดตั้งตามชื่อตนไมชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยูตามริมคลองจํานวนมาก มีดอกสีขาวและมีกลิ่น หอม ซึ่งมีชื่อวา “ตนลําพู” ตอมาไดมีชาวบานเขามาอาศัยกันจํานวนมาก โดยยึดอาชีพหลัก คือ การทําไร ทํานา ตัดหวาย เผาถาน สานแง ทําการประมง และเย็บจาก กิจกรรมของชุมชนดานการอนุรักษและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน ที่สําคัญ ไดแก ดําเนินการอนุรักษและจัดการพื้นที่ปาบกในรูปแบบปาชุมชน การอนุรักษหอยหวานและหอยขาวรวมกับชุมชน ขางเคียงไดแก กลุมฟนฟูปาชายเลนตําบลกะเปอร และชุมชนบานบางหิน การสนับสนุนและสงเสริมการปลูกพืชผักสวน ครัวเพื่อลดรายจายในครัวเรือน การสงเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑของกลุมแมบานเชน ผลิตภัณฑจากตนจาก ขนมตางๆ รวม ทั้งการตั้งกองทุนเพื่อจัดสวัสดิการใหแกกลุมคนไทยพลัดถิ่น เปนตน

3.2.4 กลุมจัดการทรัพยากรธรรมชาติบานสํานัก บานสํานัก ตําบลมวงกลวง อําเภอกะเปอร จังหวัดระนอง ไดดําเนินการจัดทําศูนยอนุรักษบานสํานัก และจัดทํา เสนทางศึกษาธรรมชาติ และปายสื่อความหมายธรรมชาติ เพื่อเปนแหลงเรียนรูของคนในชุมชนและประชาชนทั่วไป รวมทั้ง เชื่อมโยงกับกิจกรรมการจัดการทองเที่ยวโดยชุมชน นอกจากนั้นยังไดดําเนินการจัดทําปะการังเทียมเพื่อเปนแหลงที่อยูอาศัย ของสัตวน้ําอีกดวย

3.2.5 กลุมมุสลิมโฮมสเตยมวงกลวง ประกอบดวยชุมชนมุสลิม 4 หมูบาน อยูหางจากอําเภอกะเปอรประมาณ 6 กิโลเมตร ประชาชนสวนใหญประกอบ อาชีพทําสวน และทําประมงเปนอาชีพหลัก ปจจุบันมีการจัดการทองเที่ยวโดยชุมชนโดยเนนการเปนศูนยกลางทองเที่ยวเชิง วัฒนธรรม และระบบนิเวศ ที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตประมงพื้นบาน กลุมมีเปาหมายหลัก คือ การสรางการมีสวนรวมของชุมชนและเปนตนแบบการแกไขปญหายาเสพติดโดยใช กิจกรรมการทองเที่ยวเชิงนิเวศเปนตัวนํา นอกจากนี้ยังมีแหลงทองเที่ยวใกลเคียงที่นาไปเยี่ยมเยือน อาทิ หาดบางเบนในเขต อุทยานแหงชาติแหลมสน ซึ่งมีหาดทรายขาวเนียนรมรื้นไปดวยปาสนธรรมชาติสามารถมองเห็นเกาะนอยใหญในทองทะเล ไดอยางชัดเจน กิจกรรมการทองเที่ยวเนนใหนักทองเที่ยวไดรูจักและสัมผัสกับวัฒนธรรมทองถิ่น และวิถีชีวิตที่จําเปนตองอยู รวมกับธรรมชาติอยางกลมกลืน มีกิจกรรมเชิงสรางสรรคหลายอยาง เชน การเก็บขยะ การปลูกปาโกงกาง การสอนหนังสือ เด็กในชุมชน การนั่งเรือชมและศึกษาระบบนิเวศปาชายเลน ดําน้ําดูปะการังที่เกาะคางคาว ขึ้นเขาชมศิลาลอยดอยรอยวิว ทั้งนี้ มีแหลงทองเที่ยวสําคัญที่อยูใกลเคียงและเปนพื้นที่ในการทํากิจกรรมคือ อุทยานแหงชาติแหลมสนบางเบน มีชายหาดและหมู เกาะตางๆ ที่เหมาะแกการเชาพักชมธรรมชาติและทองเที่ยว

24 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


4. สภาพปญหา ผลการประชุมเพื่อจัดทําแนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาอาชีพในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติ แหลมสนอาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง” เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2552 ณ หองประชุมทาเรือ อุทยาน แหงชาติแหลมสน พบวามีสภาพปญหาดานการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยาน แหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง ที่สําคัญดังนี้ ตารางที่ 5 แสดงสภาพปญหาและแนวทางการแกไขปญหา สภาพปญหา แนวทางการแกไขปญหา 1. ดานการจัดการทรัพยากร 1.1 ขาดความรูความเขาใจเรื่องพื้นที่ 1. จัดกิจกรรมประชุม อบรม และการศึกษาดูงานการจัดการพื้นที่ชุมน้ํา ชุมน้ํา 2. สรางหลักสูตรทองถิ่นโดยบรรจุเรื่องพื้นที่ชุมน้ําและภูมิปญญาทองถิ่นเพื่อ การเรียนรูของเยาวชน 1.2 หนวยงานที่รับผิดชอบไมชัดเจน 1. กระตุนใหทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมจังหวัดแสดงบทบาทในการ จัดการพื้นที่ชุมน้ํามากยิ่งขึ้น 1.3 การทิ้งขยะ ปลอยน้ําเสียลงพื้นที่ 1. ตั้งกฎระเบียบชุมชนเรื่องการจัดการขยะ ชุมน้ํา 2. กระตุนใหองคการบริหารสวนตําบลรวมแกไขปญหา 3. ศึกษาวิธีการจัดการขยะอยางถูกตอง 1.4 บอเลี้ยงกุงทิ้งน้ําเสียลงทะเล 1. มีการตรวจสอบอยางจริงจัง มีมาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตวน้ํา 1.4 คนภายนอกลักลอบจับสัตวน้ํา 1. มีการออกกฎระเบียบการจัดการสัตวน้ําโดยชุมชน โดยวิธีที่ผิด เชน การใชยาเบื่อ ระเบิด 1.5 การจับสัตวน้ําไมมีกฎระเบียบ 1.6 การใชประโยชนไมคุมคา 1. คิดคนเสาะหาวิธีการใชทรัพยากรใหครอบคลุม รอบดาน 1.7 ขอบเขตของพื้นที่ชุมน้ําขาด 1. การเผยแพรประชาสัมพันธขอบเขตพื้นที่ชุมน้ําใหเปนที่รับทราบทั่วไป ความชัดเจน 2. การแบงเขตการจัดการ (Zoning) 1.8 การบุกรุกพื้นที่ชุมน้ํา 1. มีการกําหนดเขตทํามาหากินรวมกับชุมชน 2. กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝงจุดคูคลองเพื่อเปนแนวเขตที่ชัดเจน 1.9 กิจกรรมดานฟนฟู 1. กิจกรรมปลูกปาจากฟนฟูในพื้นที่บานบางลําพู 2. จัดทําบานปลา 3. กิจกรรมการฟนฟูปาบก 4. สงเสริมการฟนฟูปาชายเลนและสนับสนุนการจัดการปาชุมชน การปลูกปาชายเลย (ทายาง)

25 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


สภาพปญหา 1.10 ดานการติดตามคุณภาพ สิ่งแวดลอมและการศึกษาวิจัย

แนวทางการแกไขปญหา 1. ศึกษาวิจัยปูมาโดยชาวบานและนักเรียน (ทายาง) 2. การตรวจสอบคุณภาพน้ําโดยสนับสนุนใหฟารมกุงรวมกับชุมชน ดําเนินการ (ทายาง) 3. รวบรวมและขยายองคความรูของชุมชน

2. ดานการพัฒนาชีพและคุณภาพชีวิต 1. การสงเสริมดานสวัสดิการชุมชน (บานทายาง) 2.1 ไมสามารถประกอบอาชีพ ประมงไดในชวงฤดูมรสุม ทําใหขาด 2. สงเสริมการปลูกพืชผักสวนครัวระยะสั้น 3. สงเสริมการปลูกไผของบานชีมิ รายไดจุนเจือครอบครัว 4. สงเสริมการเลี้ยงปูขนาดเล็กใหมีขนาดใหญกอนที่จะสงขาย (ทายาง) 2.2 คาครองชีพสูง ขาดทักษะในการ 1. ออกแบบผลิตภัณฑใหเปนเอกลักษณะเฉพาะถิ่น ทําธุรกิจชุมชน 2. สงเสริมดานการตลาด/วัตถุดิบในชุมชน 2.3 การสื่อสารภาษาตางชาติกับ 1. เพิ่มทักษะการสื่อสารใหนาสนใจ นักทองเที่ยว 2.4 ขาดการประชาสัมพันธใหรูจัก 2. ประชาสัมพันธจุดเดนของพื้นที่ ในวงกวาง 2.5 ขาดแคลนที่ดินสําหรับประกอบ 1. จัดหาที่ดินรกรางวางเปลา/ที่ดินสาธารณะใหผูไรที่ดินทํากิน อาชีพ 2. ควรสงเสริมใหชุมชนมีสวนรวมในการจัดการปาสงวน จัดใหเปนปา ชุมชน สวนสมุนไพร 2.6 การสํารวจและพัฒนาจุดเดนของ 1. จัดทําบานนกบริเวณเกาะนก อาวกะเปอร พื้นที่เพื่อสงเสริมการทองเที่ยว 2. พัฒนาเสนทางเดินปาเขาพระนาราย

26 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


5. แนวทางดานการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและอาชีพชุมชนในพื้นที่ ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง องคการพื้นที่ชุมน้ํา ประจําประเทศไทย ไดดําเนินการจัดประชุมเรื่อง “อนุสัญญาแรมซาร : เครื่องมือเพื่อการ อนุรักษทรัพยากรชายฝงและนกชายเลน” เมื่อวันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2552 และ “การประชุมเพื่อจัดทําแนวทางการ จัดการทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาอาชีพในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนอาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัด ระนอง” เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2552 ผนวกกับขอมูลที่ไดจากลงพื้นที่และมีโอกาสแลกเปลี่ยนกับหนวยงานและองคกร ตางๆ จึงไดจัดทําขอ เสนอแนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาว กะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง เพื่อเปนขอมูลและขอเสนอแนะในการจัดการและฟนฟูพื้นที่ชายฝงรวมทั้งการ สงเสริมพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตของชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง ดังนี้

5.1 ดานการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมในพื้นที่ชุมน้ํา  การเสริมสรางความรูความเขาใจเกี่ยวกับพื้นที่ชุมน้ํา แมวาพื้นที่อุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง จะไดขึ้นทะเบียนเปนพื้นที่ชุม น้ําระหวางประเทศ หรือ แรมซารไซต ตั้งแตป 2545 แตผลจากการประชุมและการประเมินจากแบบสอบถามปรากฏวา หนวยงานตางๆที่เกี่ยวของ และประชาชนในพื้นที่ยังมีความรูความเขาใจเกี่ยวกับพื้นที่ชุมน้ําไมมากนัก ทั้งในแงการบริหาร จัดการพื้นที่ใหสอดคลองกับอนุสัญญา รวมทั้งการบูรณาการและประยุกตใชแนวทางการจัดการพื้นที่ชุมน้ําทั้งในดานการ จัดการระบบนิเวศ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนที่อยูในพื้นที่ชุมน้ํา ทั้งนี้การเผยแพรและประชาสัมพันธ ในการ เสริมสรางความรูความเขาใจเกี่ยวกับพื้นที่ชุมน้ํา ขั้นตอนที่สําคัญและมีจําเปนอยางยิ่ง ไดแก การวิเคราะหกลุมเปาหมายที่ ตองการจะสรางความรูความเขาใจใหชัดเจนวาเปนกลุมเปาหมายใด เชน กลุมหนวยงานราชการ องคกรเอกชน นักเรียน

27 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


นักศึกษา หรือประชาชนทั่วไปในกลุมของชาวประมงหรือชาวสวน เนื่องจากกลุมเปาหมายที่แตกตางกันจะมีความรูความ เขาใจพื้นฐาน ความสนใจ รวมทั้งความสะดวกในการเขาถึงสื่อประเภทตางๆ ที่แตกตางกันไป ดังนั้นหลักการสําคัญในการสรางความรูความเขาใจใหแกกลุมตางๆ ที่มีพื้นฐานที่แตกตางและหลากหลายจึงจําเปน อยางยิ่งที่จะตองใชวิธีการที่หลากหลายในการสรางความรูความเขาใจเรื่องพื้นที่ชุมน้ําใหเขาสูกลุมเปาหมายอยางกวางขวาง และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตัวอยางกิจกรรม ก. การใชสื่อในรูปแบบตางๆ เผยแพรสรางความรูความเขาใจ ข. การจัดประชุม สัมมนาแลกเปลี่ยนเพื่อสรางความรูความเขาใจเรื่องพื้นที่ชุมน้ําอยางตอเนื่อง : ค. การศึกษาดูงาน ง. การจัดกิจกรรมสรางการเรียนรูใหกับกลุมเยาวชน จ. การบูรณาการผสมผสานกับกิจกรรมอื่นๆ ของชุมชน เชน การทองเที่ยวเชิงอนุรักษ ฉ. การชี้แจงทําความเขาใจในเวทีประชุมประจําเดือนของหมูบาน รวมทั้งการใชการพูดคุยอยางไมเปนทางการ (เชน ตามสภากาแฟ ตางๆ)

 การสนับสนุนใหเกิดหนวยงานรับชอบในการจัดการพื้นที่ชุมน้ําที่ชัดเจน แมวาในทางนโยบายจะมีหลักการในการบริหารจัดการพื้นที่ชุมน้ําไวกวาง อยางไรก็ตามในทางปฏิบัติดูเหมือนวา ความทับซอนของหนวยงานที่กอใหเกิดความไมชัดเจนของหนวยงานที่รับผิดชอบทําใหภารกิจที่เกี่ยวของกับพื้นที่ชุมน้ําไม เปนรูปธรรมมากนัก อยางไรก็ตามภายใตเงื่อนไขของการเปนพื้นที่ชุมน้ํา จังหวัดสามารถดําเนินการจัดตั้งคณะกรรมการพื้นที่ชุมน้ํา ระดับจังหวัดขึ้นไดเพื่อประสานการดําเนินงานสงเสริมและจัดการพื้นที่ชุมน้ําของหนวยงานตางๆ ใหเปนเอกภาพ อยางไรก็ ตามแมพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสน-อาวกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี ซึ่งพื้นที่เกือบทั้งหมดอยูในเขตการปกครองของ จังหวัดระนอง จะไดขึ้นทะเบียนเปนแรมซารไซตตั้งแตป 2545 แลว ปรากฏวาจังหวัดระนองยังไมไดดําเนินการแตงตั้ง คณะกรรมการพื้นที่ชุมน้ําระดับจังหวัดแตอยางใด ในขณะที่ความไมชัดเจนของเจาภาพก็ยังคงเปนชองวางมาจนกระทั่งถึง ปจจุบัน ในทางหลักการกลไกคณะกรรมการพื้นที่ชุมน้ําจะสามารถเปนชองทางหนึ่งในการประสานความรวมมือระหวาง องคกรภาคีและภาคสวนตางๆ ใหเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรูและสนับสนุนใหเกิดการประสานความรวมมือในการบริหาร จัดการพื้นที่ชุมน้ําใหมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได อยางไรก็ตามกลไกคณะกรรมการพื้นที่ชุมน้ําจะสามารถดําเนินงานให เปนไปตามวัตถุประสงค และเกิดการดําเนินงานอยางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลไดนั้น จําเปนอยางยิ่งที่จะตองให ความสําคัญตอกระบวนการมีสวนรวมของภาคสวนตางๆ โดยเฉพาะชุมชนซึ่งเปนผูมีสวนไดสวนเสียโดยตรงจากการจัดการ พื้นที่ชุมน้ํา รวมไปถึงความกระตือรือรนและความจริงใจในการดําเนินงานรวมกันของภาคีและภาคสวนตางๆ อยางตอเนื่อง

28 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


 สงเสริมกิจกรรมดานการฟนฟู ทรัพยากรธรรมชาติ ปจจุบันในพื้นที่หลายชุมชนไดมีกิจกรรมดานการ ฟนฟูทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบที่หลากหลายตามความ สนใจของแตละชุมชน เชน การเพาะพันธุกลาไม การปลูก ปา การจั ดทํ า เขตอนุ รั กษ พั นธุ สั ต ว น้ํ า การปล อ ยสั ตว น้ํ า ฟนฟู การจัดทําปะการังเทียมโดยชุมชน การจัดทําธนาคาร ปู เปนตน กิจกรรมเหลานี้นอกจากจะชวยฟนฟูทรัพยากรใน ทอ งถิ่นแลว ยังเปน เครื่ องมื อ ที่สํ าคัญ ในการกระตุนความ สนใจและสรางการเรียนรูเรื่องการจัดการทรัพยากรธรรมชาติใหแกคนในชุมชนอีกดวย อยางไรก็ตามนอกจากกิจกรรมดังกลาวขางตน สิ่งที่ควรตองดําเนินการควบคูกันไปคือ การเสริมสรางความรูความ เขาใจของแกนนําและประชาชนทั่วไปในชุมชน ภาคสวนราชการ หนวยงานตางๆ ใหมีความรูความเขาใจในกรอบขอบัญญัติ ตามกฎหมาย เชน ความรูเรื่องสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรในทองถิ่น การกระจายอํานาจจากสวนกลางลงสูสวน ภูมิภาคโดยเฉพาะการมีบทบาทขององคการปกครองสวนทองถิ่นในการจัดการ ฟนฟู ทรัพยากรธรรมชาติ เปนตน เพื่อให สอดคลองกับการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะทางสังคมและการเมืองในปจจุบัน

 การติดตามคุณภาพสิ่งแวดลอมและสนับสนุนงานวิจัยทองถิ่น สงเสริมใหชุมชนไดมีสวนรวมในการติดตามคุณภาพสิ่งแวดลอม โดยใชกระบวนการวิจัยเพื่อทองถิ่นผสมผสาน กับการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดลอมดวยกระบวนการทางวิทยาศาสตร หรือใหนักวิจัยเปนพี่เลี้ยงใหกับชุมชนในการ ติ ด ตามตรวจสอบคุ ณ ภาพสิ่ ง แวดล อ ม โดยกิ จ กรรมติ ด ตามคุ ณ ภาพสิ่ ง แวดล อ มดั ง กล า วจํ า เป น ที่ จ ะต อ งพิ จ ารณาให ความสําคัญเชื่อมโยงกับเยาวชนกลุมตางๆ ในชุมชน ที่ดําเนินกิจกรรม นอกจากนั้ น การสนั บ สนุ น ให ชุ ม ชนได ศึ ก ษา รวบรวมองค ค วามรู แ ละภู มิ ป ญ ญาท อ งถิ่ น ร ว มไปถึ ง การใช กระบวนการเก็บขอมูลจะชวยใหชุมชนมีขอมูลใชในกระบวนการคิดและตัดสินใจในดานการจัดการทรัพยากรธรรมชาติมาก ยิ่งขึ้น

 สนับสนุนกระบวนการปรึกษาหารือสรางกฎระเบียบชุมชนเพื่อจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติในทองถิ่น การปรึกษาหารือ และสร างฉันทามติ รวมกัน ของชุมชนเพื่อ กํ าหนดข อ ตกลงหรือ ระเบีย บชุมชนในการจัด การ ทรัพยากรในทองถิ่นเปนแนวทางปฏิบัติ มีตัวอยางการดําเนินงานในหลายชุมชน นอกจากนั้นในบางชุมชนสามารถผลักดัน ขอตกลงดังกลาวไปสูระเบียบขอบังคับขององคการบริหารสวนทองถิ่น เชน องคการบริหารสวนตําบล เพื่อใหมีผลบังคับใช ในเชิงกฎหมาย

29 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


อยางไรก็ตามการดําเนินการสรางขอตกลงหรือระเบียบชุมชนดังกลาวจําเปนที่จะตองยึดหลัก “ฉันทามติ” โดยทั้ง หนวยงานสนับสนุนและชุมชนจําเปนที่จะตองตระหนักและใหความสําคัญตอประเด็นความขัดแยงภายในชุมชนจาการทํา ขอตกลงดังกลาวเพื่อปองกันความแตกแยกที่อาจเกิดขึ้นไดภายในชุมชน เนื่องจากในกระบวนการสรางขอตกลงหรือระเบียบ ชุมชนหลีกเลี่ยงไมไดที่จะตองมีผูที่มีสวนได สวนเสีย ดังนั้นภาระหนาที่หลักและมีความสําคัญอยางยิ่งยวดก็คือ การยึดหลัก ฉันทามติ มีการพูดคุยปรึกษาหารือและพยายามสรางการมีสวนรวมจากผูมีสวนได สวนเสียทุกๆ ฝายใหไดมีโอกาสในการ พูดคุยและหาแนวทางในการแกไ ขปญหารวมกัน อยางสรางสรรคเกิด ความเปน ธรรมแกทุกฝาย กอ นที่จะมีการบัญ ญัติ ขอตกลงอยางเปนทางการ นอกจากนั้นการใชกระบวนการศึกษา เก็บรวบรวมขอมูลและการใชองคความรู ภูมิปญญาทองถิ่น มาใชเป นขอ มูลประกอบการชี้แจงทํ าความเขาใจ จะชวยใหการพูดคุยเพื่อวางกฎระเบีย บชุ มชนอยูบ นหลักการเหตุผ ล ขอเท็จจริงตางๆ อยางไรก็ตามในบางกรณีในระหวางกระบวนการพูดคุยปรึกษาหารือ อาจสามารถหามาตรการในการแกไข ปญหา โดยไมจําเปนตองมีการกําหนดขอตกลงหรือระเบียบชุมชนขึ้นใหมเลยก็ได ในกรณีของการนําเสนอขอตกลงหรือระเบียบชุมชนใหเปนบัญญัติองคการบริหารสวนตําบลๆ จะอาศัยอํานาจตาม พระราชบัญญัติตางๆ ที่เกี่ยวของไดแก พระราชบัญญัติกําหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอํานาจใหแกองคการปกครอง สวนทองถิ่น พ.ศ.2552 มาตรา (24) การจัดการบํารุงรักษาและการใชประโยชนจากปาไม ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอม พระราชบัญญัติสภาตําบลและองคการบริหารสวนตําบล ฉบับที่ 5 พ.ศ.2546 มาตรา 96/1 บัญญัติให การปฎิบัติงาน ตามอํานาจหนาที่ขององคการบริหารสวนตําบลตองเปนไปเพื่อประโยชนสุขของประชาชน โดยใชวิธีการบริหารกิจการ บานเมืองที่ดีและการมีสวนรวมของประชาชน มาตรา ๗๑ องคการบริหารสวนตําบลอาจออกขอบัญญัติเพื่อใชในเขตองคกร บริหารสวนตําบลเพื่อปฎิบัติการใหเปนไปตามอํานาจหนาที่ขององคการบริหารสวนตําบล ทั้งนี้องคการบริหารสวนตําบลและชุมชนจะตองดําเนินการรับฟงความคิดเห็นและทําประชาพิจารณขอบัญญัติให เสร็จสิ้น กอนที่จะสงรางขอบัญญัติใหสภาองคการบริหารสวนตําบลพิจารณาเห็นชอบและตราเปนบัญญัติองคการบริหาร สวนตําบลตอไป

 การประสานความรวมมือระหวางผู มีสวนไดสวนเสียที่เกี่ยวของ ในที่ประชุมซึ่งจัดโดยองคการพื้นที่ชุมน้ํา ประจํา ประเทศไทย และสหภาพสากลวาดวยการอนุรักษนานาชาติ (ไอยูซีเอ็น) หลายครั้ง ไดมีขอเสนอจากผูเขารวมประชุม ให เชิญทุกฝายที่เกี่ยวของเขารวมปรึกษาหารือพรอมกันดวย เชน เจาของฟารมกุงซึ่งมักถูกกลาวหาอยูเสมอวาปลอยน้ําเสียลงสู ปาชายเลน รวมทั้งหนวยงานราชการที่รับผิดชอบกรณีการ ขุดลอกคลอง ซึ่งสงผลใหเกิดผลกระทบตอพืชพันธุหายาก โดยเฉพาะอยางยิ่งพลับพลึงธาร นอกจากนั้นยังสงผลทําใหเกิดการสูญเสียที่ดินและพื้นที่เกษตรกรรมจากการพังทลายของ ตลิ่งแมน้ําลําคลอง และอาจสงผลกระทบตอพื้นที่ชายฝงในพื้นที่ชุมน้ําไดในอนาคตเนื่องจากอัตราการทับถมของตะกอนที่ สูงขึ้น เพื่อใหทุกฝายไดรับทราบขอเท็จจริงรวมทั้งหาแนวทางในการแกไขปญหาตอไป

30 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


 การแกไขปญหาการบุกรุกพื้นที่ชุมน้ํา ดวยการประชาสัมพันธเผยแพรและทําความเขาใจแนวเขตพื้นที่ชุมน้ําที่ไดขึ้นทะเบียนเปนพื้นที่ชุมน้ําระหวาง ประเทศวามีขอบเขตครอบคลุมพื้นที่บริเวณใดบางแกประชาชนและหนวยงานที่เกี่ยวของ และเนื่องจากขอบเขตของแรมซาร ไซตมิไดกําหนดขึ้นตามขอบเขตของพื้นที่อนุรักษ (เชน เขตอุทยานแหงชาติ เขตหามลาสัตวปา) เทานั้น แตครอบคลุมพื้นที่ทั้ง ที่เปนชุมชนเมือง พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่ใชประโยชนของชุมชนดวย ดังนั้นจึงจําเปนที่จะตองมีการปรึกษาหารือโดย กระบวนการมีสวนรวมของทุกฝาย เพื่อกําหนดแบงเขตการจัดการพื้นที่ (Zoning) และมาตรการการใชประโยชนจากพื้นที่ชุม น้ําอยางยั่งยืนและสอดคลองกับสภาพพื้นที่และความตองการของชุมชน

 การแกไขปญหาขยะและน้ําเนาเสีย อันเนื่องมาจากบอขยะที่ยังไมไดมาตรฐานในพื้นที่บานบางลําพู อําเภอกะเปอร จังหวัดระนอง ซึ่งนอกจากจะสง กลิ่นเหม็นรบกวนชุมชนและสถานศึกษาแลว เมื่อเกิดฝนตกน้ําเนาเสียจากบอขยะยังไหลลงสูลําคลองและพื้นที่ชายฝงทะเล สําหรับมาตรการแกไขปญหาอาจจําเปนที่จะตองพิจารณาหาพื้นที่บอขยะใหมโดยกําหนดใหอยูหางไกลชุมชน และมีสภาพ ภูมิศาสตรที่เหมาะสมเพื่อปองกันน้ําเนาเสียจากบอขยะไมใหไหลซึมลงสูน้ําใตดินและพื้นที่ลําคลองธรรมชาติ รวมไปถึงการ ปรับปรุงบอขยะใหไดมาตรฐาน เชน การปูแผนยางพลาสติกรองพื้นบอขยะเพื่อปองกันการไหลซึมของน้ําเนาเสียจากบอขยะ ลงสูน้ําใตดิน การจัดทําระบบบําบัดน้ําเนาเสียจากบอขยะกอนที่จะปลอยลงสูลําคลองธรรมชาติ เปนตน ขณะเดียวกันควรสงเสริมการจัดการขยะในระดับชุมชน เชน การคัดแยกขยะ สงเสริมใหนําเศษอาหาร เศษพืชผัก เหลือใช มาใชในการทําปุยหมักหรือปุยชีวภาพเพื่อใชในระดับครัวเรือน

 การบูรณาการการจัดการพื้นที่ตนน้ําและพื้นชายฝง ก. โครงการพัฒนาทรัพยากรน้ํา จําเปนตองศึกษาผลกระทบอยางละเอียด โครงการพั ฒ นาทรั พ ยากรน้ํ า โดยทั่ ว ไปมี จุ ด มุ ง หมายเพื่ อ ปรั บ การไหลของน้ํ า ตามธรรมชาติ ใ นลุ ม น้ํ า เพื่ อ วัตถุประสงคตางๆ เชน การเก็บน้ําไวใชในชวงฤดูแ ลง การป องกันและแกไขปญ หาน้ําทวม การถายเทน้ําไปยังบริเวณ ชลประทานเพื่อการเกษตร ฯลฯ และโดยสวนใหญจะใชวิธีการกอสรางโครงสรางทางวิศวกรรม เชน การขุดลอกคลองเพื่อ เรงการระบายของน้ํา การสรางฝายเพื่อปองกันน้ําทวม การกอสรางเขื่อนริมตลิ่งเพื่อปองกันการกัดเซาะ การขุดลอกคลองเพื่อแกไขปญหาน้ําทวมในพื้นที่อําเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา และอําเภอสุขสําราญ และอําเภอ กะเปอร จังหวัดระนอง ในชวงป พ.ศ.2547-2552 สงผลกระทบทําใหระบบนิเวศและการไหลเวียนของน้ําในลําคลอง เปลี่ยนแปลง • การขุดลําคลองใหตรงทําใหกระแสน้ําไหลเร็วและรุนแรงกวาปกติ เนื่องจากวังน้ํา และแนวโขดหินที่เคย เปนปราการชะลอความแรงของน้ําไดถูกทําลายไปจากการขุดลอก • จากลั ก ษณะภู มิ ป ระเทศที่ ลํ า คลองมี ค วามลาดชั น และเป น แม น้ํ า สายสั่ น ๆ ทํ า ให ม วลดิ น และหิ น ถู ก กระแสน้ําพัดพาใหเคลื่อนที่ไดงาย • การสูญเสียตนไมและพรรณไมที่ปกคลุมริมตลิ่งอันเปนผลจากการขุดลอกคลอง และการเปลี่ยนสภาพ จากการใชประโยชนที่ดินบริเวณริมคลอง

31 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


ผลจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและการไหลเวียนของกระแสน้ําดังกลาวทําใหเกิดการกัดเซาะและพังทลาย ของตลิ่งลําคลองรุนแรงกวาปกติ สงผลกระทบทําใหชาวบานจํานวนไมนอยตองสูญเสียที่ดินและบานเรือน รวมถึงความ เสียหายจากกรณีสะพานขาด ถนนขาด อันเปนผลจากการกัดเซาะดังกลาว ในดานระบบนิเวศลําคลอง ผลจากการขุดลอกคลองไดทําลาย “วังน้ํา” และแหลงโขดหิน ซึ่งนอกจากจะเปน ปราการลดความแรงของกระแสน้ําในฤดูน้ําหลากและชวยกักเก็บน้ําในฤดูแลงแลว ยังเปนแหลงอาศัยของสัตวน้ําตางๆ ซึ่ง เปนแหลงอาหารของชุมชน นอกจากนั้นในกรณีของการขุดลอกคลองในพื้นที่อําเภอคุระบุรี อําเภอสุขสําราญ และอําเภอ กะเปอร ผลจากการขุดลอกไดทําลายพืชถิ่นเดียวอยาง พลึบพลึงธาร ซึ่งมีสถานภาพเปนพืชหายากและใกลสูญพันธุของโลก อีกดวย การเปลี่ยนแปลงดังกลาวไดสงผลกระทบไปถึงระบบนิเวศชายฝงทะเล เนื่องจากทําใหพื้นที่ชายฝงซึ่งเปนแหลง หญาทะเลเกิดการทับถมของตะกอนอันเปนผลจากการขุดลอกและการพังทลายของตลิ่งสูงขึ้นกวาปกติ หรือสงผลกระทบตอ การเปลี่ยนแปลงทางไหลของน้ําและกอใหเกิดการกัดเซาะของแนวหญาทะเลจนเสียหาย เชน กรณีพื้นที่แหลงหญาทะเล บริเวณอาวกะเปอร จังหวัดระนอง และบานปาคลอก จังหวัดภูเก็ต นอกจากนั้นยังพบวาในฤดูแลง น้ําทะเลจะหนุนสูงเขาไปในพื้นที่ลําคลองมากกวาปกติเนื่องจากขาดแคลนน้ําจืดที่ จะชวยผลักดันน้ําทะเล ซึ่งผลกระทบในกรณีนี้ยังไมเปนที่แนชัดวาสงผลกระทบกอใหเกิดผลกระทบอยางไร และจําเปนอยาง ยิ่งที่จะตองมีการติดตามประเมินผลกระทบอยางตอเนื่อง ในกรณีของการกอสรางฝายปดกันลําน้ํา แมจะมีประโยชนตอชุมชนในดานเปนแหลงกักเก็บน้ําสําหรับอุปโภค บริโภค แตในการประชุมปรึกษาหารือหลายครั้ง ตัวแทนบางชุมชนไดมีการตั้งขอสังเกตเกี่ยวกับโครงสรางของฝายกั้นน้ํา ที่ ขัดวางการอพยพเคลื่อนยายในฤดูวางไขของปลาบางชนิด และมีการเสนอใหปรับปรุงโครงสรางฝายใหเอื้อตอพฤติกรรมการ อพยพวางไขของปลาและสัตวน้ําบางชนิด ซึ่งมีพฤติกรรมตองขึ้นไปในพื้นที่ตนน้ําของฝายกั้นน้ํา ซึ่งจะชวยฟนฟูสัตวน้ํา และระบบนิเวศลําคลองใหดียิ่งขึ้น

ข. การลดการใชสารเคมีในพื้นที่เกษตรกรรมและการลดการชะลางของหนาดินในพื้นที่ตนน้ํา ปจจุบันการเปลี่ยนแปลงลักษณะการใชประโยชนในที่ดินจากเดิมที่เคยมีสภาพเปนปา สวนสมรม หรือเกษตร ผสมผสานไปเปนพืชเชิงเดียวเชนสวนยางและสวนปาลมน้ํามันเกิดขึ้นแทบจะทุกพื้นที่ในแถบภาคใต ผลที่ตามมาจากการ เปลี่ยนแปลงระบบการผลิตภาคการเกษตรอยางกวางขวางดังกลาว ก็คือการใชสารเคมีนานาชนิดและปุยมีสําหรับเรงการ เจริญเติบโตและเพิ่มผลผลิตที่เพิ่มสูงตามไปดวย และดวยสภาพพื้นที่ที่เปนพื้นที่ตนน้ําและแมน้ําลําคลองในฝงอันดามัน ตอนบนเปนแมน้ําสายสั้นๆ ผนวกกับลักษณะภูมิประเทศที่มีความลาดชัน ดังนั้นหากมีการปนเปอนของสารเคมีในแมน้ําลํา คลอง สารเคมีเหลานั้นก็มีโอกาสไหลลงสูพื้นที่ปากอาวและชายฝงทะเลไดไมยากนัก และหากเกิดการสะสมในระบบหวงโซ อาหารก็จะสงผลกระทบตอระบบนิเวศชายฝงไดเชนกัน นอกจากนั้นการปลูกพืชเชิงเดี่ยวอยางกวางขวาง ยังมีผลกระทบตอปริมาณการชะลางพังทลายของหนาดินในแปลง สวนยางและสวนปาลม และเมื่อกระแสน้ําพัดพาดินตะกอนเหลานั้นลงสูแมน้ําลําคลอง ทําใหเกิดการตื้นเขินและกลายเปน ผลกระทบแบบลูกโซจนกระทั่งถึงพื้นที่ชายฝงทะเลอยางหลีกเลี่ยงไมได

32 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


แนวทางการบูรณาการเพื่อการแกไขปญหา 1. การสรางความรูความเขาใจวิธีการมองระบบนิเวศและธรรมชาติอยางเชื่อมโยงทั้งระบบ ตั้งแตตนน้ําไปสูปลาย น้ําและระบบนิเวศชายฝงทะเล เพื่อใหเห็นความสัมพันธของการเปลี่ยนแปลงสิ่งหนึ่งที่จะนําไปสูการเปลี่ยนแปลงอีกสิ่งหนึ่ง 2. บทเรียนการขุดลอกคลองในพื้นที่อําเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา และอําเภอสุขสําราญ อําเภอกะเปอร จังหวัด ระนอง บงชี้ใหเห็นถึงความออนไหวและความสลับซับชอนของระบบนิเวศลําคลองที่เชื่อมโยงไปจนถึงระบบนิเวศชายฝง ทะเล ดังนั้นกอนที่จะดําเนินการขุดลอกจําเปนอยางยิ่งยวดที่จะตองมีการศึกษาผลกระทบอยางรอบคอบทั้งในดานระบบนิเวศ และการประเมินความคุมคาในทางเศรษฐศาสตร ที่สําคัญตองเปดใหชุมชนและผูมีสวนไดสวนเสียมีสวนรวม นับตั้งแตการ คิดคนและหาทางเลือกในการแกไขปญหาจนกระทั่งถึงการติดตามประเมินผลการดําเนินการ 3. ในการแกไขปญหาการใชสารเคมีในพื้นที่เกษตรบริเวณพื้นที่ตนน้ํา มีแนวทางที่สามารถประยุกตใหสอดคลอง กับปญหาแตละพื้นที่ได ดังเชน • การสรางเครือขายการเรียนรูระหวางชุมชนปลายน้ําและชุมชนตนน้ํา เพื่อใหไดมีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรูถึง ผลกระทบซึ่งกันและกัน อันจะนําไปสูการพูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อปองกันและแกไขปญหาตอไป ดังตัวอยางกรณี การดําเนินงานของสหภาพสากลวาดวยการอนุรักษนานาชาติ (IUCN) ที่จัดใหมีเวทีแลกเปลี่ยนระหวางชุมชนตนน้ํา และปลายน้ําในพื้นที่อาวกะเปอร จังหวัดระนอง เปนตน • การสนับสนุนใหชุมชนผลิตใชปุยหมัก ปุยชีวภาพ เพื่อลดการใชสารเคมี เนื่องจากปจจุบันหลายชุมชนหันมา ใหความสนใจตอการใชปุยหมักและชีวภาพมากยิ่งขึ้นและปจจุบันราคาปุยเคมีมีราคาสูงมาก • การพัฒนาระบบการปลูกยางพาราและสวนปาลมใหมีประสิทธิภาพในการลดการชะลางพังทลายของหนาดิน เชนการปลูกหญาแฝกคั่นระหวางรองสวนยางในพื้นที่ลาดชัน เพื่อชะลอการชะลางพังทลายของหนาดิน หรือการ สรางบอกักตะกอนไมใหตะกอนลงสูแมน้ําลําคลอง • การพัฒนาและสงเสริมการปลูกพืชผสมผสานในแปลงสวนยางและปาลมน้ํามัน ดังเชนตัวอยาง แนวคิดเกษตร 4 ชั้นของพื้นที่ตนน้ําพะโตะ จังหวัดชุมพร เปนตน

33 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


5.2 แนวทางดานการพัฒนาอาชีพ อาชีพหลักของชุมชนในพื้นชุมน้ําอุทยานแหงชาติ แหลมสน-อ า วกะเปอร -ปากแม น้ํ า กระบุ รี จั ง หวั ด ระนอง ประกอบดวยอาชีพประมง อาชีพทําสวนยาง สวนยางพารา สวนผลไม และอาชีพรับจาง เปนหลัก นอกจากนั้นในบาง ชุมชนจะมีอาชีพเสริมดานการทองเที่ยวโดยเฉพาะในชวงใน ฤดูแลง ดังนั้นจะเห็นไดวาการประกอบอาชีพและเศรษฐกิจ ของชุมชน มีความสัมพันธกับสภาพภูมิอากาศวาเอื้ออํานวย ตอการประกอบอาชีพมากนอยเพียงใด ดังตัวอยางเชนในป พ.ศ.2552 เกิดฝนตกชุกและมีมรสุมเกือบตลอดทั้งป ทําใหประชาชนที่ประกอบอาชีพประมงชายฝงไมสามารถออกเรือหาปลา หมึก หรือกุงได ขณะเดียวกันประชาชนที่ทําสวนยางก็ไมสามารถกรีดยางและเก็บผลผลิตไดเชนกัน สภาพภูมิอากาศจึงเปน ปจจัยที่มีความสําคัญที่สงผลกระทบตอรายไดในระดับครัวเรือนและระดับชุมชน ขณะเดียวกันตนทุนในการผลิตทั้งในภาคการเกษตรและภาคการประมงก็สูงขึ้นในปจจุบัน โดยเฉพาะราคาปุย สารเคมีที่ใชในภาคการเกษตร และราคาน้ํามันและอุปกรณการประมงที่จําเปนตองใชในภาคการประมงชายฝง ขณะเดียวกัน ราคาผลผลิต เชน ผลไมชนิดตางๆ กลับมีราคาถูก สภาวะการเปลี่ยนแปลงทางดานเศรษฐกิจดังที่กลาวมิเพียงตอสงผลกระทบตอเศรษฐกิจของครัวเรือนและเศรษฐกิจ ชุมชนเทานั้น แตกลับขยายวงกวางสงผลกระทบในเชิงระบบนิเวศดวย เชน กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการเกษตรอยาง กวางขวาง โดยเฉพาะการเปลี่ยนพื้นที่สวนเกษตรแบบผสมผสาน สวนโบราณ หรือสวนผลไมไปเปนการปลูกปาลมน้ํามัน มากยิ่งขึ้น ในขณะที่ในกลุมชาวประมงพื้นบานการไมสามารถออกทําการประมงชายฝงบริเวณทะเลดานนอกไดเนื่องจากมี คลื่นสูง และน้ํามันเรือมีราคาแพงขึ้น ทําใหชาวประมงพื้นบานจํานวนไมนอยตองหันมาทําการประมงในพื้นที่ปาชายเลน หรืออาวดานในเพิ่มมากขึ้นกวาปกติ เปนตน ประเด็นสําคัญคือในการดําเนินงานดานการพัฒนา อาชีพและคุณภาพชีวิต จําเปนที่จะตองมีการบูรณาการจัดการ พื้นที่ชุมน้ําเพื่อแกไขปญหาความยากจนในชุมชนมอแกน คนไทยพลัดถิ่น ซึ่งยังประสบปญหาความยากจนและเขาไม ถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน ใหไดมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

34 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


 การลดรายจายในครัวเรือน การลดรายจายอาจเริ่มตั้งแตระดับครัวเรือน เชน การผลิตน้ํายาลางจาน แชมพูเพื่อทดแทนการซื้อผลิตภัณฑเหลานี้ ในทองตลาด รวมถึงการปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อลดรายจายจากการจายตลาดในแตละวัน เปนตน ไปจนกระทั่งถึงการ จัดระบบสวัสดิการชุมชนในรูปแบบตางๆ ตัวอยางเชน • การจัดตั้งสหกรณรานคาชุมชน : โดยนําสินคาที่จําเปนสําหรับชุมชนเชน น้ํามัน อุปกรณการประมง อวน ฯลฯ จําหนายในราคาที่เปนธรรมแกสมาชิกสหกรณ และนําผลกําไรจากการจําหนายสินคามาปนผล ใหกับสมาชิกตามจํานวนหุนที่ลงไวกับทางสหกรณ • การรวมกลุมเพื่อผลิตปุยหมัก ปุยชีวภาพในชุมชน : เพื่อลดคาใชจายจากการซื้อปุยเคมีจากทองตลาดซึ่งมี ราคาสูง ขณะเดียวกันปุยหมัก ปุยชีวภาพก็เปนมิตรตอสิ่งแวดลอมมากกวาปุยเคมีที่ใชกันโดยทั่วไป

 การเพิ่มรายไดในครัวเรือน • การสรางอาชีพเสริม : ปจจุบันมีหนวยงานและองคกรตางๆ เขาไปสนับสนุนและสงเสริมใหชุมชนทํา ผลิตภัณฑชุมชนเพื่อจําหนายเปนอาชีพเสริม เชน ดอกไมประดิษฐ ยาหมอง พิมเสนน้ํา ผาทอ ขนม อบ อยางไรก็ตามอุปสรรคสําคัญก็คือ ความไมชัดเจนของตลาดรองรับผลิตภัณฑดังกลาว หรือสราง ผลิตภัณฑออกมาแลวไมรูจะขายใหใคร ดังนั้นนอกจากการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑใหไดมาตรฐานและเปนที่สนใจของกลุมลูกคา แลว สิ่งสํ าคั ญ และจําเป น อย างยิ่ งคือ การประเมินช องทางและความต อ งการสิน คาของตลาดอย า ง สม่ําเสมอ รวมไปถึงการสงเสริมใหสินคาเปนที่นิยมและตองการของตลาดมากขึ้น แนนอนวาการสงเสริมดานการตลาดยังคงเปนเรื่องยากสําหรับชุมชน แมกระทั่งตลาดในชุมชน ของตนเองก็ตาม ดังนั้นจึงจําเปนอยางยิ่งที่จะตองไดรับการหนุนเสริมและพัฒนาการสรางอาชีพเสริม อยางตอเนื่อง อยางไรก็ดีจําเปนที่จะตองประสานงานกับหนวยงานตางๆ ที่เกี่ยวของ เชน กรมการ พัฒนาชุมชน สํานักงานพัฒนาชุมชนที่อาจชวยพิจารณาผลักดันสินคาที่ไดมาตรฐานของชุมชนเปน ผลิ ต ภั ณ ฑ สิ น ค า โอทอปในระดั บ จั ง หวั ด หรื อ ระดั บ ประเทศได จะเป น ช อ งทางในการช ว ย ประชาสัมพันธสนิ คาของทองถิ่นใหเปนที่รูจักแพรหลายมากยิ่งขึ้น • การแปรรูปผลิตภัณฑสัตวน้ําเพื่อเพิ่มมูลคา : เชน การแปลรูปผลิตภัณฑจากปลาหลังเขียว แมงกะพรุน ฯลฯ เพื่อเพิ่มมูลคาของสัตวน้ํา • สงเสริมและพัฒนาศักยภาพชุมชนดานการทองเที่ยว : ในชวง 10 ปที่ผานมา การเจริญเติบดานธุรกิจ ทองเที่ยวเพิ่มขึ้นอยางตอเนื่อง ในขณะเดียวกันมีความพยายามของหลายชุมชนในการเขาไปมีสวนรวม ในกิจกรรมดานการทองเที่ยวเพื่อสรางรายไดใหกับชุมชน เชน กลุมทองเที่ยวเชิงอนุรักษบานทะเล นอก กลุมมุสลิมโฮมเสตย กลุมเพลินไพรศรีนาคา กลุมโฮมสเตยเกาะชาง กลุมภูสูเลตําบลบานนา เปนตน โดยกิจกรรมทองเที่ยวสวนใหญของชุมชนจะมุงเนนไปที่การทองเที่ยวเชิงนิเวศ เชน การดําน้ํา ดูปะการัง การลองเรือชมปาชายเลน และการชมวิถีชีวิตความเปนชุมชน

35 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


อยางไรก็ตามยังจําเปนที่จะตองมีการพัฒนาชุมชนดานการทองเที่ยวอีกหลายดาน เชน การ พัฒนาศักยภาพบุคลากรของกลุม ชมรมตางๆ ใหมีความรูความเขาใจเรื่องการทองเที่ยวโดยชุมชน การ ใชภาษาอังกฤษสําหรับการสื่อสารกับนักทองเที่ยว รวมไปถึงการอบรมเรื่องการดูนกเพื่อนํา นักทองเที่ย วไปดูนกในพื้นที่ชุมน้ํา และการปองกันไมให เกิ ดผลกระทบทางดานสิ่งแวดล อมจาก กิจกรรมดานการทองเที่ยว เปนตน ในดานสถานที่ควรมีการพัฒนาพื้นที่เพื่อเปนจุดเห็นดานสําหรับดึงดูดนักทองเที่ยว เชน การทํา บานนก (พื้นที่อนุรักษนกน้ําและนกชายเลนบริเวณเกาะนกในอาวกะเปอร) เพื่อใหเปนถิ่นที่อยูอาศัยที่ ปลอดภัยของนกน้ําและนกชายเลนซึ่งจะสามารถเปนดึงดูดนักทองเที่ยวใหเขามาชม การเชื่อมโยง กิจกรรมนํานักทองเที่ยวไปเยี่ยมชมพื้นที่ที่มีกิจกรรมดานการอนุรักษเชน แปลงเพาะพันธุกลาไมชาย เลน ศูนยเรียนรูลอยน้ํา เสนทางศึกษาปาชายเลนบานสํานัก เปนตน สําหรับเสนทางศึกษาปาชายเลนบานสํานักหากมีการพัฒนาระบบปายสื่อความหมายใหมีความ นาสนใจ ก็สามารถพัฒนาไปเปนเสนทางศึกษาธรรมชาติ เชน การศึกษาพันธุไมชายเลน การดูนก สําหรับนักทองเที่ยวที่สนใจ รวมทั้งสามารถรองรับกิจกรรมคายเยาวชนได

 การแกไขปญหาที่ดินและสรางความมั่นคงในที่อยูอาศัย ปญหาการขาดแคลนที่ดินทํากินของชุมชนประมงชายฝงเปนประเด็นปญหาที่ยืดเยื้อมายาวนาน ในหลายชุมชนตอง ตั้งชุมชนและบานเรือนอยูในพื้นที่ปาชายเลน เชน กรณีบานทายาง ตําบลกะเปอร อําเภอกะเปอร จังหวัดระนอง ในขณะที่ บางชุมชนไมมีที่ดินเพื่อตั้งถิ่นและอยูอาศัยเปนของตนเองและเสี่ยงตอการถูกไลที่ เชน กรณีกลุมมอแกนบานเกาะเหลา ตําบลปากน้ํา อําเภอเมือง จังหวัดระนอง สําหรับแนวทางการแกไขปญหามีขอเสนอให รัฐนําที่ดินปาเสื่อมโทรมนํามาจัดสรร ใหราษฎรที่ไรที่ดินไดทํากินและตั้งถิ่นที่อยูอาศัย โดยอาจใชวิธีการเชาที่ปาสงวนเสื่อมโทรมจากกรมปาไม ในขณะที่กลุมมอ แกนซึ่งเปนกลุมชาติพันธุรัฐจําเปนที่จะใหความชวยเหลือทั้งในดานการจัดหาที่ที่ดินเพื่อตั้งถิ่นฐาน หรือกําหนดใหเปนเขต วัฒนธรรมพิเศษ เพื่อใหสภาวะแวดลอมทั้งในดานระบบนิเวศและสังคมเอื้ออํานวยตอการดํารงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอันเปน เอกลักษณของชนเผามอแกน ในขณะเดียวกันควรสงเสริมใหชุมชนไดมีสวนรวมในการจัดการและใชประโยชนจากพื้นที่ปาสงวนแหงชาติเสื่อม โทรมอยางเหมาะสม เชน การสงเสริมใหจัดการในรูปแบบปาชุมชน หรือจัดทําเปนสวนสมุนไพรในระดับชุมชน เปนตน

**************************

36 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ


เอกสารอางอิง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. 2549. สิ่งแวดลอมชายฝงทะเลอันดามัน. กทมฯ.

รายงานฉบั บสมบูรณโครงการสนับสนุ นการจัดทําแผนยุท ธศาสตร

ซิมบา ชาน และคณะ. 2548. คูมือการจัดการพื้นที่ชุมน้ําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต. กระทรวงสิ่งแวดลอม ประเทศญี่ปุน. 64 หนา. สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม. 2549. ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุมน้ําอุทยาน แหงชาติแหลมสน-ปากคลองกะเปอร-ปากแมน้ํากระบุรี จังหวัดระนอง. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสงแวดลอม. กรุงเทพฯ. 126 หนา สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม. 2549. ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุมน้ําอุทยาน แหงชาติหาดเจาไหม-เขตหามลาสัตวหมูเกาะลิบง-ปากแมน้ําตรัง จังหวัดตรัง. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสงแวดลอม. กรุงเทพฯ. 126 หนา อาแซ สะยาคะ, พอลล อัฟเตอรเยอร. 2540. รายงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง แนวทางการจัดการปาชายเลนในภาคใตของ ประเทศไทย. องคการพื้นที่ชุมน้ํานานาชาติ-ประจําประเทศไทย. 41 หนา.

37 คูมือเบื้องตน : แนวทางการจัดการและการพัฒนาอาชีพชุมชนในพื้นที่ชุมน้ําอุทยานแหงชาติแหลมสนฯ



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.