Proceeding Book The 2nd Aviation National Symposium

Page 1

รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 ณ สถาบันการบินพลเรือน กรุงเทพมหานคร ISBN 978-616-7754-78
B THE 2ND AVIATION NATIONAL SYMPOSIUM – PROCEEDING BOOK การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 Proceeding Book The 2nd Aviation National Symposium รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 พิมพ์ครั้งแรก ธันวาคม พ.ศ. 2565 ลิขสิทธิ์ของสถาบันการบินพลเรือน รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม ISBN (e-book) 978-616-7754-78-9 คณะผู้จัดทา กองวิชาบริหารการบิน สถาบันการบินพลเรือน จัดพิมพ์โดย สถาบันการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม
C THE 2ND AVIATION NATIONAL SYMPOSIUM – PROCEEDING BOOK การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
D THE 2ND AVIATION NATIONAL SYMPOSIUM – PROCEEDING BOOK การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
E THE 2ND AVIATION NATIONAL SYMPOSIUM – PROCEEDING BOOK การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
F THE 2ND AVIATION NATIONAL SYMPOSIUM – PROCEEDING BOOK การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
G THE 2ND AVIATION NATIONAL SYMPOSIUM – PROCEEDING BOOK การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 SCHEDULE กิจกรรมนาเสนอผลงานวิชาการ การประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2565 เวลา 13.00-16.00 น. ณ อาคารศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านการบิน สถาบันการบินพลเรือน และ ผ่านระบบ Zoom Meeting กาหนดการ รายละเอียดกิจกรรม 12.30 –13.00 น. ลงทะเบียนเข้าร่วมงานนาเสนอผลงานวิชาการตามห้องการนาเสนอ 13.00 –15 00 น. นาเสนอผลงานวิชาการ ห้องที่ 1 ห้อง Charlie Room (ห้อง A226) ชั้น 2 หรือ https://zoom.us/j/5390302488?pwd=b3M4cFJxUHFnZnpuU3kyWW8vNzg0QT09 Meeting ID: 539 030 2488 Passcode: 1 คณะกรรมการประจาห้องการนาเสนอ  ผู้วิจารณ์คนที่ 1 : เรืออากาศโท ดร.ประพนธ์ จิตตะปุตตะ  ผู้วิจารณ์คนที่ 2 : ดร. วราภรณ์ เต็มแก้ว  เลขานุการ : นางสาวจรียากรณ์ หวังศุภกิจโกศล 13.00-13.15 น. 13.15-13.20 น. AVM 01 การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการของหลักสูตร การควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง 13.20-13.35 น. 13.35-13.40 น. AVM 20 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากร ท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง 13.40-13 55 น. 13 55-14.00 น. AVM 03 มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบิน ประเทศไทย เกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง 14.00-14.15 น. 14.15-14.20 น. AVM 06 Airspace Design within Terminal Control Area between Chiang Mai International Airport and the New Second Chiang Mai Airport รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง 14.20-14.35 น. 14.35-14.40 น. AVM 15 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็น ทีมของสายการบิน รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง 15.15 น. ประธานประจาห้อง กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมนาเสนอผลงานและกล่าวปิด

13.20-13.35 น. 13.35-13.40 น. AVM 13 การบินกับสิ่งแวดล้อม รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง

13.40-13 55 น.

13 55-14.00 น. AVM 14 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตราย รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง

14.00-14.15 น.

AVM 18 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทย เจเนอร์เรชั่นวาย รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง

14.55-15.00 น. AVM 21

H THE 2ND AVIATION NATIONAL SYMPOSIUM – PROCEEDING BOOK การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 SCHEDULE กาหนดการ รายละเอียดกิจกรรม 13.00 –15 00 น. ห้องที่ 2 ห้อง Bravo Room (ห้อง A225) ชั้น 2 หรือ https://zoom.us/j/4204779598?pwd=SHAzL1kwTmcyYm1PdkdzNVNLNUZ6dz09 Meeting ID: 420 477 9598 Passcode: 2 คณะกรรมการประจาห้องการนาเสนอ  ผู้วิจารณ์คนที่ 1 : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฏฐ์พงษ์ จันทชโลบล  ผู้วิจารณ์คนที่ 2 : ดร. จารัส เลาสัตย์  เลขานุการ : นายปิยวิทย์ มั่งมูล 13.00-13.
น.
กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19
15
13.15-13.20 น. AVM 07
รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง
14.20-14.35 น. 14.35-14.40 น. AVM 19 Pollution in Aviation Industry รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง 14.40-14.55 น.
14.15-14.20 น. ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กรสาหรับผู้ ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง 15.15 น. ประธานประจาห้อง กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมนาเสนอผลงานและกล่าวปิด
I THE 2ND AVIATION NATIONAL SYMPOSIUM – PROCEEDING BOOK การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 SCHEDULE กาหนดการ รายละเอียดกิจกรรม 13.00 –15 00 น. ห้องที่ 3 ห้อง Alfa Room (ห้อง A224) ชั้น 2 หรือ https://zoom.us/j/7887034148?pwd=dHhvWE92c0VIQ1hobVJpRS8zQVdlQT09 Meeting ID: 788 703 4148 Passcode: 3 คณะกรรมการประจาห้องการนาเสนอ  ผู้วิจารณ์คนที่ 1 : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุภาพร คูพิมาย  ผู้วิจารณ์คนที่ 2 : ดร. อภิรดา นามแสง  เลขานุการ : นางสาววรางคณา ไกรเพ็ชร์ 13.00-13.15 น. 13.15-13.20 น. AVM 10 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับองค์กรรับรองฯ
มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง 13.20-13.35 น. 13.35-13.40 น. AVM 12 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้าม
ตะวันออกกลาง รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง
รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง 14.20-14.
น. 14.35-
AVM
การพัฒนาโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยานพื้นฐานสาหรับ การพัฒนาสื่อการเรียนการสอน รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง 15.15 น. ประธานประจาห้อง กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมนาเสนอผลงานและกล่าวปิด
มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การ มหาชน) กรณีศึกษา สถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน
วัฒนธรรม: กรณีศึกษาพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินใน
13.40-13 55 น. 13 55-14.00 น. AVM 09 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง 14.00-14.15 น. 14.15-14.20 น. AVM 16 การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานต่อต้านก่อการร้าย
35
14.40 น.
17

13.20-13.35 น. 13.35-13.40 น. AVM 04 การพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง

13.40-13 55 น.

13 55-14.00 น.

AVM 05 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง

14.00-14.15 น.

AVM 11

AVM 08 Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง 14.20-14.35 น. 14.35-14.40 น. ด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์ รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง 15.15 น. ประธานประจาห้อง กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมนาเสนอผลงานและกล่าวปิด

ระบบตรวจรู้และแสดงผลการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็ก

J THE 2ND AVIATION NATIONAL SYMPOSIUM – PROCEEDING BOOK การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 SCHEDULE กาหนดการ รายละเอียดกิจกรรม 13.00 –15 00 น. ห้องที่ 4 ห้อง Delta Room (ห้อง A227) ชั้น 2 หรือ https://zoom.us/j/2665501938?pwd=VE5vMVRUc0gwL25ocGU5L2dkR3FVZz09 Meeting ID: 266 550 1938 Passcode: 4 คณะกรรมการประจาห้องการนาเสนอ  ผู้วิจารณ์คนที่ 1 : ดร. รัชดา รื่นรวย  ผู้วิจารณ์คนที่ 2 : ดร. คงศักดิ์ ชมชุม  เลขานุการ : นายณัฐพงศ์ ประกอบการดี 13.00-13.
น. 13.15-13.20 น. AVM
รับฟังคาวิจารณ์จากคณะกรรมการประจาห้อง
15
02 The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception
14.15-14.20 น.
K THE 2ND AVIATION NATIONAL SYMPOSIUM – PROCEEDING BOOK การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 TABLE OF CONTENTS PAGE NO. 1 A Study of the Hull Loss Accident of Boeing 737 Somchanok Tiamtiabrat and Nontlachatara Viranuvatti 8 Airspace Design within Terminal Control Area between Chiang Mai International Airport and the New Second Chiang Mai Airport Pansak Nernsai and Nakorn Indra-Payoong 18 Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving Amaraporn Sirivichitvorakarn and Supakarn Pohpoach 29 The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception Manasak Pamornmalirat 40 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 ณัฏฐลิศา คงประโยชน์ และธนิดา ศุภรังสรรค์ 53 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน อภิสิทธิ์ ศรีวรรณ์ พนิดา เศรษฐานันท์ และธัชพงศ์ ทองโอฬาร 65 การบินกับสิ่งแวดล้อม สุธาสินี เบญจโรจน์นิธิ และ ภูรัก รักวิทยาศาสตร์ 75 การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุม จราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน สุนัฐทร หมอนทอง จุฑามาศ แสงงาม และ ดารุณี ทิพยกุลไพโรจน์ 86 การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานต่อต้านก่อการร้าย ธีรภัทร วนิชย์ถนอม และวสุ วสุกุลธรเดชา 95 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสายการบิน มีนรา นรสุภา และ พัชรินทร์ บุญเจริญ 106 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน ปอนด์ ทฤษฎิคุณ
L THE 2ND AVIATION NATIONAL SYMPOSIUM – PROCEEDING BOOK การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 TABLE OF CONTENTS PAGE NO. 117 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC17024 กับองค์กร รับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบันพัฒนาบุคลากi การบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต สุภัชฎา ตุลวรรธนะ 134 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย ชนัญชิดา จิตต์ชอบธรรม และสุวพัชร วุฒิพงศ์ชัยกิจ 146 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ พิชญาพร กลวุฑฒิไกร และ ธนาภรณ์ ทิพยศ 158 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงาน ต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง ธรรมรัตน์ จังศิริวัฒนา 172 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทย เจเนอร์เรชั่น Y สุมัยญา นะมิ ชญานี พูลศิริ พนิดา นิจสุข มนัสนันท์ ก้อนคาตัน มนัสวรรณ โพธิศิริ และ นิศา นุ่มวงษ์ 183 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย ภูษิต ภูปภัสศิริ เกียรติชัย วีระญาณนนท์ และ ชัยวุฒิ จันมา 195 ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กรสาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือน ในประเทศ กฤชมน มีลังค์ และ ณัฐนนท์ แก้วมณี 206 มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยาน ซึ่งไม่มีนักบิน ชาติชาย เจริญสุข และ วิลาสินี รัตนบุตรชัย 216 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน ถวัลย์ เทียนทอง ไพฑูรย์ รักเหลือ และ นิพนธ์ ทางทอง 228 ระบบสาธิตการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กด้วยหน่วยสมองกลสมัยใหม่ พนิดา เศรษฐานันท์ จิรวรรธ เดชเจริญ ชัยวัฒน์ นฤภัย อนุสรณ์ มีทรัพย์ ศุภเศรษฐ จันทร์อ่อน ธนาพร เพชรกูล และ ภูเบต แสงมะฮะหมัด

A Study of the Hull Loss Accident of Boeing 737

1Somchanok Tiamtiabrat and 2Nontlachatara Viranuvatti

1Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport, Airports of Thailand Plc., Thailand

2School of management Mae Fah Luang University, Thainald E-mail: 1somchanok.t@airportthai.co.th, 2nontlachatara.vir@mfu.ac.th

Abstract

The accident concerning the most used commercial aircrafts, the Boeing 737 family, was statistically evaluated Modes of aircraft movement indicators that I was developed. I found to have high relationship with aircraft accident, and therefore could be considered a good accident risk indicator with R2 higher than 0.94.

Keywords: Commercial Aircraft, Aircraft Accident, Boeing 737 Family, Risk Indicator

1. Introduction

Aircraft accident is costly and producing disastrous effect on the stakeholders in aviation industries. Rules and regulations have been issued for safety. Aircraft manufacturing companies have dedicated an enormous number of resources in research and development for aircraft safety. Most airlines currently having a good pilot recruitment and training program. However, the aircraft accident still happening and the research papers about aircraft accident appears minimal. This paper is a result of a statistical analysis of global aircraft accident based mainly on the Aviation Safety Network database (Aviation Safety Network, 2007) as well as other sources.

The accident process and the importance of human factors was explained by Reason (Reason, 1990). The Human Factors Analysis and Classification System (HFACS) was used (Wiegmann & Shappell, 2003). It seemed, however, that further study and more continually development are still needed. While the accident process and HFACS are useful the “back to the fundamental approach” is still necessary. In this study, however, in the beginning we will not yet accept that human factors are the dominating effect on aircraft accident, but we will use the fundamental statistical approach, where trends are analyzed carefully with appropriate statistical techniques, and hopefully some interesting information can be drawn. Whenever appropriate, comparison with the HFACS will be made.

1 A Study of the Hull Loss Accident of Boeing 737 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

Due to their popularity and long recorded history, Boeing 737 family aircraft appear to be the case that should be studied in more details. In this paper the commercial jet aircrafts in Boeing 737 family were brought into consideration.

2. Literature Review

2.1 Time-series Analysis of Accident Concerning Boeing 737 Family Aircraft

The frequency of accident may vary with time. There could be many variables involved including aircraft aging, outdated technology, lacking pilot judgement and decision making, adverse weather, deficiency in communication and maintenance system and so on. If the number of aircraft used and aircraft aging were the dominating factors of the accident causes, one would expect the annual frequency of aircraft accident to increase with the number of aircraft used and hence the time. However, if the improvement of technology, pilot and supporting personnel training and other factors were the dominating factors, the frequency rate of aircraft accident could decrease with time.

The frequency of accident (Aviation Safety Network, 2007) involving the 737-family aircraft, is illustrated in Figure 2. The frequency of accident appeared to increase with time between the year 1970-2007. From curve fitting, the equation representing the relationship between frequency of accident and time is as follows

f = – 7.5312 + 0.1271t where f = accident frequency case per year, and the coefficient of determination, or R2, of equation was 0.3471 which was rather low but not surprising since an accident is a complicate process and involves many more variables besides time (Reason, 1990). It may be appropriate also to consider the ratio of accident case per thousand of the cumulative total number of this family of aircraft f/(1000N). The trend of f/(1000N) against time is illustrated in Figure 3. The relationship could be represented by the equation i.e. f/(1000N) = 7.00x1021 t -11.101 R2 of equation was 0.826 which indicated a good fit with the data. Figure 3 shows that the accident ratio f/(1000N) decreases appreciably as time increases, which seemed to suggest that newer technology, and better personnel training could lead to lower accident rate. f/(1000N) is approaching zero which indicated the continuing improvement of safety in air transport (Wiegmann & Shappell, 2003)

2 A Study of the Hull Loss Accident of Boeing 737 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

Figure 1: Number of Annual Accident Case Against Time

y=7E+21x-11101 R2=08265

0 10

Figure 2: Ratio of Number of Annual Accident Case per 1000 units of Boeing 737 Family Aircraft Delivered

3. Results

3.1 Mode of Aircraft Movement Indicators

3 A Study of the Hull Loss Accident of Boeing 737 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
20 30 40 50 60 70 80
It is now generally accepted that many factors are involved and cause an accident, and the relationship between these causes is complicate. From a study by Boeing on many types of commercial aircraft, flight phase or mode of aircraft movement seemed to be related to percentage of accident (Aviation Safety Boeing Commercial Airplane, 2007). We will try to gain better understanding of the relationship between number of accident and various factors by using some fundamental statistical analysis. Later an empirical equation relating some important relationships will be proposed. At this stage, the effect of mode of aircraft movement on Boeing 737 family would be investigated. The mode of aircraft movement was classified as pushing back, standing, taxiing, taking off, climbing or ascending, en route, approaching, descending, and landing. N
65 70 75 80 85 90 95 100 105 110 (Year-1900) f / 1000
10
y=01271x-75312 R2=03471 0 2 4 6 8
65 70 75 80 85 90 95 100 105 110 (Year-1900) f

For Boeing 737 family aircrafts, the relationship between frequency of accident and mode of aircraft movement was represented by a diagram as shown in Figure 3

Figure 3: Percent of Accident Cases Associated with Modes of Aircraft Movement

From the 125 accident cases with known modes of movement, most accident was found to occur at landing mode (40.0%), followed by approaching (24.0%), taking off (15.2%), and En Route (12.8%).

To develop a mathematical model, the modes of movement were regrouped according to the aircraft movement and the associated risk factors, i.e., the media, altitude change, axial speed, and acceleration. The associated risk indicator for each risk factor were I1, I2, I3 and I4 respectively.

A Likert scale was assigned to each movement characteristics as shown in Table 1. The higher the assigned number should relate to the higher the accident risk. A systematic number assignment was employed for each mode of aircraft movement in the development of I1, I2, I3, and I4 as shown n Table 1. The definition of flight phase or mode of air craft movement by International Civil Aviation Organization was observed (Commercial Aviation Safety Team, 2006).

Table 1: Interpretation of Mode of Aircraft Movement

Factors that caused risk Indicators Remark Movement Mode

Media and environment I1 = 1

On ground Pushing Back, Standing, Taxiing I1 = 2 Air En Route I1 = 3 Terrain/air interphase Climbing, Approaching

4 A Study of the Hull Loss Accident of Boeing 737 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
152 400 32 128 240
0.0 5.0 10.0 15.0 20.0 25.0 30.0 35.0 40.0 45.0
ofAircraftMovement Percent of Accident Cases
16 24 08
TakingOff Landing Climbing EnRouteApproachingPushingBack Standing Taxiing Mode

Factors that caused risk Indicators

I1 = 5

Altitude Change

I2 = 1

I2 = 2

Axial Speed

Remark

Ground / terrain / air interphase

Movement Mode

Taking Off, Landing

No change Standing, Taxiing, Pushing Back, en route

Up (in air /terrain interphase) Climbing

I2 = 3 Up (in ground/ terrain/air Interphase) Taking Off

I2 = 4 Down (in air/terrain interphase) Approaching

I2 = 5 Down (in ground/terrain/air Interphase)

I3 = 1

I3 = 2

I3= 3

Landing

Near zero speed (on ground) Pushing Back, Standing, Taxiing

Low speed (in ground / terrain / air interphase).

Taking Off, Landing

Low speed Flight (in air/terrain) Climbing,

I3 = 4 Medium speed flight (in air /terrain interphase)

Axial Acceleration

Approaching

I3 = 5 High speed flight (in air) En Route

I4 = 1

Steady speed

Standing, Taxiing, Pushing Back, en route

I4 = 2 Acceleration Taking Off, Climbing

I4 = 3 Deceleration Approaching

I4 = 5 High deceleration Landing

Boeing Company (2007) said a risk indicators Im based on the multiplication of I1, I2, I3, and I4 was then proposed. As an example, the value of Im for landing (Im_ld) was calculated from:Im_ld = (I1_ld)(I2_ld)(I3_ld)(I4_ld) = 5 x 5 x 2 x 5 = 250

5 A Study of the Hull Loss Accident of Boeing 737 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

Table 2 illustrates the aircraft movement modes and their risk indicators (Im). The percent of accident case (Pa), which represented accident risk, was plotted against Is and Im as shown in Figure 3.and 4. Fitting the curves to these relations, empirical equation was derived as follows:

Pa = 1.1978 + 0.1408 Im R2 for equation was 0.9411 which suggested a very good fit. It seemed that equation (65) which was linear, simpler and fitted well to the data was a satisfactory representation of the risk of accident based on mode of aircraft movement.

At this stage we were able to estimate the risk of an accident occurrence by using equation. In the next step of investigation, the severity of accident concerning Boeing 737 family of aircraft will be brought into consideration (Aviation Safety Network, 2007)

Table 2: Indicators for Various Mode of Aircraft Movement

Movement Mode I1 I2 I3 I4 Im Pushing Back 1 1 1 1 1 Standing 1 1 1 1 1 Taxiing 1 1 1 1 1 Taking Off 4 3 2 2 48 Climbing 3 2 3 2 36 En Route 2 1 5 1 10 Approaching 3 4 4 3 144 Landing 4 5 2 4 160

Percent of Accident

40.0

30.0

20.0

10.0

y = 0 1408x + 1 1978 R2 = 0 9411 0.0

50.0 0 50 100 150 200 250 Im

Figure 4: Relationship Between Pa and Imfor Boeing737 Family

6 A Study of the Hull Loss Accident of Boeing 737 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

4. Conclusion

It appeared that that with newer technology reflecting in their newer models, less accident case per thousand of aircraft delivered could be expected from Boeing 737 family aircraft. Pilot and machine error almost equally dominated the causes of accident. Mode of aircraft movement indicator Imwas highly related to the percentage of accident such that it was a very good accident risk indicator.

5. References

Aviation Safety Boeing Commercial Airplane. (2007). Statistics Summary of Commercial Jet Airplane Accident Worldwide Operation 1959 – 2006. Boeing. Washington. USA. Aviation Safety Network. (2007). ASN Aviation Safety Database. Web page. July. Available at http://www. aviation–safety.net/database/. Boeing Company. (2007). Boeing 737 Fact. Web page. July. Available at http://www.boeing com/ commercial/737family/pf/pf_fact.html

Commercial Aviation Safety Team. (2006). Phase of Flight Definitions and Usage Notes. International Civil Aviation Organization. Canada. Available at http://www.intlaviationstandard.org.

Reason, J. (1990). Human Error, Cambridge University Press, United Kingdom. Wiegmann, D. A., & Shappell, S. A (2003). A Human Error Approach to Aviation Accident Analysis: The Human Factors Analysis and Classification System. Ashgate Publishing Company. United Kingdom.

7 A Study of the Hull Loss Accident of Boeing 737 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

Airspace Design within Terminal Control Area between Chiang Mai International Airport and the New Second Chiang Mai Airport

1Pansak Nernsai and 2Nakorn Indra-Payoong 1,2Faculty of Logistics, Burapha University, Thailand E-mail: 1pansak@catc.or.th, 2nakorn@buu.ac.th

Abstract

According to a study of the flight capacity and passenger volume of Chiang Mai Airport, to comply with the country's tourism promotion policy. To increase the ability to accommodate flight volume and future passengers (Air Transport Research and Academic Services Center Kasetsart University, 2018). The statistics of commercial flights are analyzed. It was found that Chiang Mai Airport tends to increase the number of flights in the hours of increased traffic congestion.

Therefore, Chiang Mai Airport needs to develop the airport more efficiently, currently limited by Chiang Mai Airport. The approach is to build a second airport to accommodate flights and increased passenger traffic in the future. This causes the management of the airspace to change as well. To accommodate increased air traffic, it must be based on safety in accordance with international standards of the International Civil Aviation Organization. So, the researcher designed the airspace using Standard Instrument Departure: SID and Standard Instrument Arrival: STAR between Chiang Mai Airport and the New Second Chiang Mai Airport under the conceptual framework and principles used for the design of airspace and flight operations (ICAO Annex 4, 2016).

The result of this research was able to design SID/STAR charts between VTCC and VTCB for four runways connecting to reporting point or transition point, and the test influenced by the air traffic control radar environment found that the capacity of air traffic control for both airports at the same time was an average of 40 flights/hour, increasing from the indicator of 16 flights or 66.67 percent.

Keywords: Standard Instrument Departure; Standard Instrument Arrival; Chiang Mai International Airport; Chiang Mai – Banthi Airport

8
การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
Airspace Design within Terminal Control Area between Chiang Mai International Airport and the New Second Chiang Mai Airport

1. Introduction

Under the National Strategy (2018-2047), the government has assigned all ministries to develop a 20-year strategy for the Ministry of Transport. The Office of Transport and Traffic Policy and Planning has drafted a 20-year plan to establish Thailand's transportation system (2017-2036). It was found that: Strategy 1 Integration of transportation systems. (Air Transport Research and Academic Services Center Kasetsart University, 2018). Strategy 2 competitiveness strategy. Investment in Transportation Infrastructure development. It is consistent with the study of the master plan for the establishment of Chiang Mai Airport's commercial airport and strategy 5 Applying technology and innovation to the development of Chiang Mai Airport Transportation System. Chiang Mai Airport has an area of over 1,600 rai covering Chiang Mai and Lamphun provinces. Currently, there are two terminals: The original terminal was a domestic terminal, and the new one is an international terminal, which can accommodate up to 11 million passengers per year and a record number of flights and passengers. The details are as follows:

Table 1: Chiang Mai Airport Statistics (2008-2018)

Calendar year passengers changes Flights 2008 3,062,909 N/A N/A 2009 3,081,645 0.61% N/A 2010 3,178,941 3.15% 27,485 2011 3,880,037 22.05% 32,445 2012 4,491,331 15.75% 36,981 2513 5,172,753 15.17% 43,366 2014 6,630,624 28.18% 52,642 2015 8,069,918 27.71% 62,626 2016 9,208,256 14.11% 67,134 2017 9,973,449 8.31% 72,041 2018 10,808,866 8.39% 75,593

Current conditions at Chiang Mai airport can accommodate 24 flights per hour. There is a parking lot of 11 aircraft stands, and the terminal can accommodate over 10 million passengers per year. Which has a master plan for Chiang Mai Airport, which are 3 phases as follows: Short

9 Airspace Design
Control Area
การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
within Terminal
between Chiang Mai International Airport and the New Second Chiang Mai Airport

and medium-term. The project will be implemented in 2016-2025. The main project is the construction and improvement of the taxiway. Expand the aircraft stand renovation of the original terminal and the building of the new terminal. The overall budget was 9.72 billion baht. This brings the capacity to 34 flights per hour and accommodates 18 million passengers a year. In the long term, the project will be implemented in 2026-2030.

The main projects are: Build aircraft stands and renovate terminals. The total budget was 945 million baht. It has the capacity to accommodate 20 million passengers per year. According to the studies, the analysis was conducted to the proposal for the creation of the second Chiang Mai Airport, where the selection of a new airport location must consider important factors.

- Suitability and physical limitations of the appropriate area in the construction of the airport

- The potential for access to the site includes linking transport routes with passenger transportation.

- Compliance with laws and regulations, requirements.

It is also important to consider the factors in the design of the aircraft's inbound and outbound of airport operations (ICAO Annex 4, 2016). Consider the obstacles, airspace, and local winds in on the following important points are:

1) Obstacles in the beginning and the end of the runway and the area around the airport, as well as the mountainous terrain surrounding it, hinder the design of the airspace.

2) Chiang Mai's local winds are in the direction of 02/20 (Azimuth 20/200 degrees). Meanwhile, the current direction of the runway of Chiang Mai Airport is 18/36 (north - south).

3) Terminal Control Area (TMA) must consider the types of airspace, including danger area, restricted area, and prohibited area, as well as air defense identification zone (ADIZ).

The results were based on a study by the Center for Research and Academic Services in Air Transport. Kasetsart University has proposed chiang mai airport (Air Transport Research and Academic Services Center Kasetsart University, 2018). Consider the importance of developing airports more efficiently. The point of focus on the current development of Chiang Mai Airport is a limited area. Therefore, the proposal for the approach is to build a second airport to accommodate the increase in passenger traffic in the future. The location is suitable in Ban Thi area, Lamphun province.

Based on the issues studied above, the researcher was interested because the researcher is a lecturer in the air traffic management program. Therefore, to develop a model

10
การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
Airspace
Design within Terminal Control Area between Chiang Mai International Airport and the New Second Chiang Mai Airport

of practice for alternatives to practitioners and related agencies used for consideration after a feasibility study on the construction of a new airport. The results of this study can also be used to develop additional training ATC Simulator laboratory at Civil Aviation Training Centre in the future.

1.1 Research Objective

1) To design the airspace within terminal control area using the Standard Instrument Departure; SID and Standard Instrument Arrival; STAR between Chiang Mai International Airport and the new second Chiang Mai Airport

2) To analyze the capacity to support the quantity of air traffics within the terminal control area between Chiang Mai International Airport and the new second Chiang Mai Airport Ban Thi District, Lamphun Province

2. Methodology

In the conduct of this research, researcher designed the research method by following these steps:

1) Studying the basics, the importance of what is learned - Including policy level, strategic level to Chiang Mai Airport authorities, information on air navigation services, air navigation aids, air navigation services, geography information and obstacles affect air navigation.

2) Education and Collecting Ideas Principles, theories, literature, and research related to the design of practices for aircraft inbound and outbound between airports.

3) The design of airspace practices for aircraft is based on the International Civil Aviation Organization. Under consultation by experts to design flight operations and air traffic control.

4) Inspection of design standards and experimentation of design with virtual reality devices (Air Traffic Control Radar Simulator). It is required to accommodate maximum traffic not less than 24 flights/hour under experts' supervision

5) Summary and report of the research – The researcher prepared a summary of the result and discussed the results of the research and showed the results of the research to develop the research further.

This study's objectives are air space design using Standard Instrument Departure: SID and Standard Instrument Arrival: STAR between Chiang Mai International Airport and the new second Chiang Mai Airport.

11
การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
Airspace Design within Terminal Control Area between Chiang Mai International Airport and the New Second Chiang Mai Airport

The researcher designed the procedure to operate flights outbound and inbound from Chiang Mai Airport runway (VTCC runway 18/36). And the new second Chiang Mai Airport (VTCB runway 18/36) has four runways. The following procedures are designed:

Group 1 Procedure design for outbound traffic (Standard Instrument Departure: SID) consists of SID RWY 18/36 one Chart, SID RWY 18 one Chart, SID RWY 36 one Chart. And it can be designed according to the routing path. (Path Descriptor/Waypoint Path). This is as follows: BANTI, DOILO, WEERA, FRANG, PHRAO, and YONOK, six Charts. Include design in group 1, nine Charts.

Climb Gradient 1 NM/300 ft or 0.049 / 4.94% is defined, and vertical separation of longer distances above 1,000 ft. (ICAO Doc.8168/OPS/611 Vol. I, 2014)

1) The Procedure Design Gradient (PDG) is based on a) An obstacle identification surface (OIS) having a 2.5 percent gradient or a Gradient determined by the most critical obstacle penetrating the surface, whichever is the higher and b) An additional margin of 0.8 per cent. Thus, published gradients are specified to an altitude/height, after which the minimum gradient of 3.3 per cent (2.5+0.8) is considered to prevail (ICAO Doc.8168/OPS/611 Vol. II, 2014).

Figure 1: Tangent Function for climb gradient

2) Aircraft performance determination for design is 1 NM. The aircraft can climb at an average altitude of 300 ft. Finding a climb gradient based on the basic principles of a trigonometric function is to find the relationship between the length and angle of the right triangle. This relies on a process based on such principles.

Tangent Function = Opposite/Adjacent Tangent Function for climb gradient According to the average aircraft performance, a distance of 1 NM Aircraft can climb 300 ft or 91.44 m. When applying the principle of Tangent Function can find Climb Gradient as follows.

Climb Gradient = Height/Distance = (300 ft)/ (1 NM) or (91.44 m)/ (1 NM) = (300 ft)/ (6076 ft) or (91.44 m)/(1852 m); 1NM = 6076 ft, 1852 m = 0.049375 = 0.049375×100 = 4.9375%

12
การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
Airspace
Design within Terminal Control Area between Chiang Mai International Airport and the New Second Chiang Mai Airport

Figure 2: Fundamental Model of Climb gradient

Fundamental Model of Climb gradient, and by defining Climb Gradient, the calculation format can be determined for height (ICAO Doc.8168/OPS/611 Vol. I, 2014). Here is the next step in designing the procedure:

1 NM = 300 ft

Vertical Distance or Height = Distance (NM) × 300 (ft)

Therefore, Vertical Distance or Height = X×300 (ft); X = Distance (NM)

Figure 3: Model Application of climb gradient in profile view

Figure 4: Model Application of climb gradient in both plan and profile views

Group 2 Procedure design for inbound traffic (Standard Instrument Arrival; STAR) It consists of: STAR RWY 18/36 one Chart, STAR RWY 18 one Chart, STAR RWY 36 one Chart and it can be designed according to the routing path (ICAO Doc.8697, 2016). (Path

13 Airspace Design within Terminal Control Area between Chiang
Airport การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
Mai International Airport and the New Second Chiang Mai

Descriptor/Waypoint Path) This is as follows: PARNU, PASAK, SAKET, SUTEP, PINUM, SAIAU, TAPAE, WORAI eight Charts. Include design in group 2 eleven charts by specified descent gradient according to the performance of the aircraft. Instead, determine the final approach segment distance, where the optimum descent gradient is 0.052/5.2% or 3°, and determine the vertical distance by a longer distance above 1,000 ft, with the speed of the aircraft not exceeding 250 knots. Descent Gradient can be determined based on the Trigonometric Function principle when considering optimum descent Gradient 5.2 Percent/3.0° (52 m/km (318 ft/NM)).

Descent Gradient = Height / Distance

Find from descent gradient 52m/km; = (52 m) / km = (52 m) / (1000 m) Descent Gradient = 0.052 = 5.2 %

Figure 5: Fundamental Model of Descent gradient

In which if the value Gradient = 0.052 Replaced in the reverse part of Tangent Function or Arctan will get the following values

Tan (angle) = Gradient = Gradient/Tan = Tan-1 or arctan (gradient) Therefore, Angle in Degrees = 1/tan-1 (gradient) or tan-1 or arctan (gradient) = arctan (0.052) = 2.977° or ≈ 3°

Figure 6: Conversion of descent gradient to degree

When the design results were tested with the ATC Radar Simulator virtualization program, it was found that it was able to handle traffic between airports with the following results:

Model 1 The aircraft take-off simultaneously from 2 airports. (VTCC & VTCB) Researchers have established conditions in the air traffic control environment with a radar

14
การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
Airspace Design within Terminal Control Area between Chiang Mai International Airport and the New Second Chiang Mai Airport

system (ICAO Doc.4444, 2016). (ATC Surveillance System Environment) complies with the following ICAO standards.

1) Require aircraft to take off at both airports.

2) Determining the distance between aircraft (Separation) at least 5 NM.

3) Aircraft Speed at the Final Segment (up to 4 NM) from the Threshold of Runway at 180 knots or 180 NM/hr. under an altitude of 11,000 ft. Obtained average distance 180 nm /60min = 3 nm/min

4) Longitudinal separation minima based on time for aircraft maintaining at the same level and same track in 3 minutes allows one takeoff aircraft, so consider two airports (VTCC & VTCB), allowing two aircraft to take off.

Model 2 The aircraft approaches land simultaneously at two airports (VTCC & VTCB). The researcher established the conditions for air traffic control under ICAO standards, the same conditions as those set out in the Test of Model 1.

Model 3 Aircraft inbound and outbound between 2 airports (VTCC & VTCB) simultaneously. The researcher defined the same conditions as that model1, and the requirements for the aircraft to take off when the aircraft entering the runway must have a distance of at least 5 NM from the threshold of the runway. The three conditions resulted in the following tests:

3. Results

In 1 hour, the aircraft could take-off and land at both airports simultaneously (VTCC & VTCB) for an average of 20 flights/airports. Or 40 flights / two airports compare with indicators 24 flights/hour. By designing new practices Capable of supporting an average flight volume of 40 flights/hour.

3.1 Discussion

The research results show that the results of the air traffic service condition survey by the Chiang Mai Air Traffic Control Center. It can accommodate 24 flights per hour, which, if calculated based on that rate, is found to be one-year support. Amount 365 x 24 x 24 = 210,240 Flights per year.

The difference between 75,593 actual flights in 2018 and air traffic capacity at the rate of 24 flights per hour is equivalent to 210,240 flights per year. However, in practice, there are

15 Airspace
การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
Design within Terminal Control Area between Chiang Mai International Airport and the New Second Chiang Mai Airport

other factors that affect the mobility of air traffic services, as well as the following important factors:

1) Airspace restrictions include Restricted Area and Danger Area. This is in addition to the geographical barriers of mountainous areas.

2) The limitation factors of the area within the airport include restrictions on taxiways, apron areas and aircraft stands.

3) The density of the community area around the airport hindered the expansion of the area, which resulted in noise and traffic congestion around the airport. Therefore, it is necessary to build the second Chiang Mai Airport to accommodate the increase in passenger traffic in the future, so the design of new local flight operations is needed in connection with the original area. To serve as information on investment decisions to build new airports in the future.

4. Conclusion

According to the results of this study, the researcher determined that flights in and out of the airport met the conditions prescribed by the researcher to fly in and out according to the profile in the flight operation method.

Under the Air Traffic Control Radar Environment, according to air traffic conditions. There is 3 model:

Model 1 the aircraft take off simultaneously from two airports.

Model 2 the aircraft approaches land simultaneously at two airports.

Model 3 aircraft inbound and outbound between two airports

It was found that an hour was able to handle an average of 40 flights per hour of air traffic. This is more than the volume of air traffic currently supported by the average 24 flights per hour of 16 flights, representing 66.67%.

Recommendations for applying the findings of the results of this research are only tested under the conditions set out in the profile of charts practices (ICAO Doc.4444, 2016). Pilots are required to control the aircraft in accordance with the procedures strictly. However, in real-world operations, there are other factors that affect the increase and decrease in air traffic. As shown in the following important considerations:

1) Requirements specified in the flight operation method (Profile of SID/STAR charts)

2) Traffic conditions at that time. (Current Traffic)

3) Communication between air traffic controllers and pilots.

16
การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
Airspace Design within Terminal Control Area between Chiang Mai International Airport and the New Second Chiang Mai Airport

4) Pilot interactions (Pilot Reaction) As permitted (ATC Clearance) 5) Aircraft performance in the type of aircraft, speed, rate of climb and rate of descend. 6) Direction of the aircraft flying. 7) Separation of aircraft. 8) The capabilities of air traffic controllers (ATC Competency) 9) Coordination between Air Traffic Control in each area (Aerodrome Control TowerApproach Control Unit และ Approach Control Unit-Area Control Center)

5. References

Air Transport Research and Academic Services Center Kasetsart University. (2018). Draft Final Report: Preparation of master plan establishment of the countries Commercial airports

International Civil Aviation Organization (ICAO). (2010). Annex 5 Units of Measurement to be Used in Air and Ground Operations. Sixth Edition, Attachment C. International Civil Aviation Organization (ICAO). (2014). Doc.8168/OPS/611 Aircraft Operations Vol.I. Section 3 and Section 4. Amendments 6, I-3-(i)-I-4-(i).

International Civil Aviation Organization (ICAO). (2014). Doc.8168/OPS/611 Aircraft Operations Vol.II. Section 3 and Section 4. Amendments 6, I-3-(i)-I-4-(i).

International Civil Aviation Organization (ICAO). (2016). Annex 4 Aeronautical Charts.Chapter 910, Amendments 59, 9-1–10-2.

International Civil Aviation Organization (ICAO). (2016). Doc.4444 Air Traffic Management. Chapter 5, Sixteenth Edition, 5-2-5-4.

International Civil Aviation Organization (ICAO). (2016). Doc.8697 Aeronautical Chart Manual. Chapter 7. Third Edition, 7-9-1-7-10-1.

The Civil Aviation Authority of Thailand (The CAAT). (2018). AIP Thailand Part 2 En-route & Part 3 Aerodrome.

17 Airspace
การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
Design within Terminal Control Area between Chiang Mai International Airport and the New Second Chiang Mai Airport

Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving

1Amaraporn Sirivichitvorakarn and 2Supakarn Pohpoach 1,2Civil Aviation Training Center, Thailand

E-mail: 1amarapornsirivichit@gmail.com, 2supakarn.pp1611@gmail.com

Abstract

Transportation is an essential contributor to the health and well-being of the nation’s economy. Within the transportation sector, commercial aviation has evolved into the fastest, safest, and most far-reaching transportation mode in little more than a century. Unfortunately, everything comes with cost, aviation industry also comes with the issues of environment impact in many way; people living near airports are exposed to noise from aircraft; streams, rivers, and wetlands may be exposed to pollutants discharged in storm water runoff from airports; and aircraft engines emit pollutants to the atmosphere.

Water pollution in aviation industry become very vital because it is such a big and widely use in all over the world for transported people and goods the average number of flight worldwide in a day is approximately 100,000 flight. Leads to a lot of dangers from the outside pollution with numerous of toxic chemicals. More precisely, the environment is being threatened by increasing levels of pollution of air, water, land, noise. These not only impact the environment but also human health and world economy. Likewise, this article will explain an overview of the pollution produced by airport and go deeper to the topic of water pollution and the cause, problem and the process how they handle in several ways.

Keywords: Water Pollution; Aviation Industry

1. Introduction

Aviation is a critical part of our national economy, providing for the movement of people and goods throughout the world, enabling our economic growth. Because of strong growth in demand, emissions of some pollutants from aviation are increasing against a background of emissions reductions from many other sources. In addition, progress on noise reduction has slowed. Millions of people are adversely affected by these side effects of aviation (Oxford Economics Aviation, 2008). Airport expansion plans have been delayed or canceled due to

18 Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

concerns over local air quality, water quality and community noise impacts. Military readiness is challenged by restrictions on operations. These effects are anticipated to grow as the economy and demand for air transportation grow. If not addressed, environmental impacts may well be the fundamental constraint on air transportation growth in the 21st century.

It is true that humanity's entire life support system depends on the well-being of all the species living on earth. This is commonly referred to as the biosphere to one global ecological system in which all living things are interdependent. Within the overall ecosystem like the rainforests, oceans, the desert and the tundra. Firstly, environment is important to ecosystem all the communities of living organisms found in a specific place, their habitats and their interactions in which we live provides natural services for humans and all other species that are essential to our health, quality of life and survival. For example, forests remove carbon dioxide and other pollutants from the air we breathe and also cool our air temperatures, reducing the formation of ground-level ozone. Secondly, a pollutant that can cause heart and lung problems to worsen. Thirdly, our wetlands store storm water, filter and make harmless storm water pollutants. Lastly, recharge our aquifers where most of us get our drinking water with these filtered waters and the dune systems on our beaches form natural barriers to storm waves and provide important habitat and travel ways for wildlife (Andrejszki, T., Torok, A., Molnar, E., 2014)

This paper aims to provide the ecological destruction of the pollution and the causes. The focus will be on the water pollution, factors, and process which brought about the water pollution problems

2. Literature Review

2.1 Aviation Environmental Impacts

Airport operation is an important factor in an economy for tourism, business, imports and exports. However these benefits must compensate for the air travel impacts on the quality of life of increasing numbers of people and on the local and global environment. Noise and air pollution both from aircraft and from airport ground operations became a shocking problem for those who live, work and study around airports. A robust scientific understanding of the environmental impacts from aviation is an essential basis for informed policy discussions, and for the development of effective mitigation measures that achieve the desired outcome in a cost-effective way

19 Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

The major human being is an environmental issue which is truly reduced day by day due to the cause of damaged environmental is the disintegration of the earth of the environment through the consumption of assets. For example, air, water and soil, the destruction of environments and the eradication of wildlife. It is characterized as any change or aggravation to nature’s turf seen to be pernicious (Freestone R., Baker D., Stevens N., 2011). Deforestation contributes to global warming as decreased forest size puts carbon back into the environment. Deforestation contributes to global warming as decreased forest size puts carbon back into the environment. Pollution in whatever form air, water, land or noise is harmful to the environment. Overpopulation more population simply means more demand for food, clothes and shelter. Which results in the degradation of our environment. Natural Causes avalanches, quakes, tidal waves, storms, and wildfires can totally crush nearby animal and plant groups to the point where they can no longer survive in those areas result of a specific disaster or by the long term degradation.

However, humans should not blame for this whole thing. Earth causes ecological issues, as well. While environmental degradation is most normally connected with the things that people do truth of the matter is that the environment is always changing which may the effect of human activities.

2.2 Type of Environmental Impacts

The innovation constantly evolving the one is the mostly used is air transportation which is cause of air pollution, water pollution and land pollution. Especially in aviation industry it is such a big and widely use in all over the world for transport people and goods the average number of flight worldwide in a day is approximately 100,000 flight which is cased a lot of pollution (Freestone R., Baker D., Stevens N., 2011).

A) Air Pollution

It is assumed that aviation industry contributes lots of dangerous chemical to the air. It is true. However, compared to other industries, these dangerous chemicals are only 3.5% of the world’s scale. Unlike car industries that have much new technological advancement to limit their emissions, in the aviation industry, such technology is still hard to find. For instance, it has been taking years for the industry to come up with Bio-solar jet fuel. However, the implementation of this technology is still minimum, as costs are the biggest concern in this matter.

20 Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

B) De-icing Chemical Pollution

The substance used to de-ice aircraft normally includes ethylene as well as propylene glycol. These substances are dangerous to the environment. As most airports do not have the facilities to recycle these substances, the surrounding environment is at risk. These chemicals are also potential to kill animals, such as fish.

C) Airport Pollution

Not only does air pollution come from the moving aircraft, but it also comes from the traffic on the ground. It is predicted that the ground traffic that coming in and out to airports (buses, taxis, trains, cars) are actually producing more pollution than the aircraft.

D) Noise Pollution

The reason why airports should be located far from the residential areas is to minimize the noise problems. However, there are still many airports located close to residential areas. Most of the noise pollution comes during takeoff and landing. The continuous noise pollution from airports could lead to the residents’ hearing problems, sleep disturbance and decreased performance. As the passenger number goes up, so does the noise pollution.

E) Water Pollution

Water is highly vulnerable at airports where maintenance is not being carried out properly. For instance, when there is a leak on their fuel pipe, this could affect the water for the surrounding environment. During airport expansions, many tend to discharge pollutants to passable water source. This is illegal, however, there only a few legal processes that ever been taken to tackle this issues.

According to water pollution is most founded in aviation industry so it is become one of the most important issues. For example, water pollution caused by the airport runoff water occurs when the rain transports atmospheric deposits and applied chemicals from the deicing and cleaning pads, taxiways, runways, apron areas, transfer stations, repair shops and fuel stores to the. This can cause serious problems if we don’t concern about this problem those chemicals are also potential to kill aquatic animals around the airport. Lavatory waste is considered as a special type of waste and contains chemicals and potential enteric pathogens and can present risks to the environment and human health if not handled properly. Caution must be taken to ensure that releases of lavatory waste do not occur (Lee, D.S., 2004). There is some innovation in aviation industry objective is to promote environmental best practices to minimize aviation’s impacts on the environment and assured that can reduce water

21 Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

pollution in aviation industry such as waste water treatment and water recycling. In each airport members who have outstanding accomplishments in their environmental projects which is called Green Airport.

2.3 Green Airport Definition

At International Civil Aviation Organization (ICAO)’s seminar on Green Airports that took place from 2017 at ICAO Headquarters (de Haan, A.R.C., 2008), key discussions centered on smart buildings, renewable energy, green mobility, climate change resilience, community engagement and sustainability reporting. ICAO told participants at the event which was designed to encourage forward-looking thinking on innovative environmental projects at airports, that there are presently close to 400 airports worldwide which are either under construction, undergoing major expansions, or are at advanced planning stages for related objectives noted that this represents a 25 percent increase when compared to the previous year. This underscores why it is so important today that future increases in air transport capacity are managed by airports which have been built or modernized on the basis of the most effective environmental policies and capabilities available. Each new airport infrastructure project is in and of itself a new opportunity to surpass compliance with the latest sustainability standards, minimize the impact of airport activities on the environment, and reduce the effect of climate change on related infrastructure and operations. Among the topics discussed effective management of environmental impacts at airports, certification schemes for operators, clean energy solutions from wind, solar, biomass, and tidal energy sources, sustainable mobility initiatives, climate adaptation and resilience, community engagement, the financing of environmental projects (de Haan, A.R.C., 2008).

Understanding that different airports have a variety of environmental priorities, a specific environmental the theme is water management to showcase projects that aim to foster water conservation and prevention of water pollution. The Airports Council International’s (ACI) Policy Handbook provides directions on how airports should protect the scarce water resources by minimizing usage and reducing the negative impacts from wastewater. The handbook states that airports should work to minimize the use of portable water, to process wastewater (de-icing and sewage) in the most efficient way possible, reuse of treated water and to manage the quantity and quality of storm water run-off. Below are some of the example of the airport which have different process to managed water pollution

22 Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

Case Study 1: Kuala Lumpur International Airport

Figure 1: the process of KLIA’s Waste Water Treatment

Waste Water Treatment in Kuala Lumpur International Airport (KLIA) effluent water quality standard at sewerage treatment plant (ACI Asia-Pacific., 2020) This plant is designed as under utilities & environmental unit, Malaysia airports. The scope of civil and structural airside facilities within the purview of the utilities & environmental unit covering area of KLIA 10x10km perimeter are water reticulation, sewerage, solid waste management and pest control management. The aim of this plant of KLIA is to monitoring yield with improvement possibility and in line with recommended range of environmental quality requirement and improve the quality of discharge water, aquatic life and flora fauna. It also can contribute carbon emission reduction as using recycle tube diffuser, logistic and electricity reduction.

23 Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

Case Study 2: Sharjah Airport

Figure 2: the sewage treatment tank of Sharjah Airport

The new Sewage Treatment Plant (STP) at Sharjah Airport with an average the project was initiated with an objective to meet the future demand for an STP with increased capacity due to Airport expansion and adapt more environment friendly and efficient technology in sewage treatment. (ACI Asia-Pacific, 2020) STP is designed with two separate streams, each with an average capacity of 1,500 m3/hour. The treatment plant is designed to achieve standard for well-defined irrigation as per Sharjah Municipality regulations. The plant technology is based on Membrane Bio-Reactor Below are the treatment stages:

• Pretreatment Stage: This is primary stage, which includes screening and grit removal from the raw sewer that is fed into the STP.

• Biological stage: This is the second major stage, which consists of Biological treatment for removal of pollutant.

24 Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

• Sludge handling and dewatering stage: As a final stage, the surplus sludge is removed and dewatered as per Sharjah Municipality standards. • Design Flow / Capacity of Plant STP is designed for average flow of 3000 m3/d.

Case Study 3: Brisbane International Airport

Figure 3: the Water Recycling System in Brisbane International Airport New Recycled Water Pipeline

Water Recycling at Brisbane International Airport: New Recycled Water Pipeline (ACI Asia-Pacific., 2020) The Recycled Water Pipeline project provides recycled water needed for the construction including, 160,000m3 of concrete, 500,000m3 of fine crushed rock production and 360ha of airfield landscaping irrigation. The pipeline, travelling 4.5km from the local wastewater treatment plant to the airport runway site, provides an estimated 4.5ML of recycled water daily. The installation of the pipeline, in collaboration with Queensland Urban Utilities (QUU) the wastewater treatment provider, reduces the need to use local drinking water for construction purposes by 1.25 billion liters by the end of the project. The pipeline route included a large 800m under bore beneath runway 14/32 and a smaller under bore. Recycled water is delivered from the QUU wastewater facility where wastewater is treated through microfiltration and reverse osmosis prior to being pumped through a 350mm diameter main to the NPR Airfield Site. The 800m under bore was a challenge for the project as this

25 Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

was a significant distance from the wastewater facility, as well as traversing an operational runway. Three key defined benefits. Cost Savings Nine options were provided during the planning phase which saw this pipeline option as the preferred option with an almost AUD$1 million in electricity reduction savings compared to the next cheapest option. Environmental Benefit by using recycled water.

3. Results

Figure 4: The key to success water pollution in aviation industry

In the following, this is shown the key to success water pollution in aviation industry can many cases, is a formulation for wastewater management or supported by effective control and monitoring systems for discharge of wastewater into the environment or sewage systems in the project which is called green airport. The result is obviously that;

Waste water management is designed as under utilities & environmental the result is environment friendly, electricity reduction and reduced cost.

The new sewage treatment plant designed with two separate streams the result is environment friendly, efficient technology and reduced cost.

26 Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

Water Recycling recycled water by Water Pipeline the result is electricity reduction, efficient technology and reduced cost.

Therefore, water pollution in aviation industry have a several solution because of the environment in each airport are different and the result will be different.

4. Conclusion

Environment plays an important role in healthy living and the existence of life on planet earth. Earth is a home for different living species and we all are dependent on the environment for food, air, water, and other needs. Therefore, it is important for every individual to save and protect our environment. And As we have known for a while that aviation industry is also one of the main reason for environment problem, every field are trying hard to fix this accusation, so do the airport, mainly on the water pollution produced according with the operation. At the present time, according to Green Airport concept, there are tons of projects designed for solving the problem of environment or the pollution occurred by the operation in airport which result in environment friendly, electricity reduction, efficient technology usage, and reduce cost.

4.1 Benefits of the study

1) The benefits of study water pollution in aviation industry catch the point and solve the problems.

2) The major things of study about water pollution is to reduce the waste, eliminated the toxic substance because toxic chemicals

3) To change the status of water which has a bad impact on life in water nearby the aviation industry.

4) To study water pollution in aviation will be a basic knowledge of other people who reads this article.

5) Expanding knowledge and understanding of water pollution in aviation industry outside of the classroom.

5. References

ACI Asia-Pacific. (2020). [Online]. Green Airport Recognition 2020. Water Management. [Retrieved on 18 November 2020]. From: http://www.aci-asiapac.aero/upload/service/ 53/docs/GAR_2020_Publication.pdf

27 Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

Andrejszki, T., Torok, A., Molnar, E., (2014). The Long-Term Forecast of Land Passenger Transport Related CO2 Emission and Energy Use in Hungary. International Journal for Traffic and Transport Engineering 4(4), 386-396.

De Haan, A.R.C. (2008), “Limited possibilities to reduce CO2 emissions from aviation due to the growth in aviation demand”, Airlines, 40, 1-3.

Freestone R., Baker D., Stevens N. (2011). Managing airport land development under regulatory uncertainty. Research in Transportation Business & Management Vol. 1, Is. 1, Airport Management, Elsevier, pp. 101– 108.

Lee, D.S. (2004). The impacts of aviation on climate, Issues in Environmental Science and Technology, 20, 1-23.

Oxford Economics Aviation. (2008). The Real World Wide Web. Report, Oxford. Expansion, Doc. No. SSE/8/a, Case ref. 2032278.

28 Pollution Produced by Airport and Green Airport for Water Pollution Solving การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception

Manasak Pamornmalirat

Hospitality Technology Innovation, School of Management Technology, Suranaree University of Technology, Thailand

E-mail: pm.manasak@gmail.com

Abstract

The Low Cost Carrier has been initially introduced after the US deregulation in 1970s. Consequently, various Low Cost Carrier (LCC) business models have been shaped to adjust with the context suitability of an airline’s strategies around the globe The LCCs existing business model may respond appropriately to fulfill the market’s needs for the certain period of time. Nonetheless, with the significant shifting market competition environment and consumer behavior, a great deal of LCCs are inevitably bankrupt. This article aims to investigate the characteristics of newly designed LCCs business model. The modernized and redesigned perception of business model are proposed.

Keywords: Low cost carrier; LCCs business model and strategies; Hybrid; Hybridization

1. Introduction

Due to deregulation of the U.S. airline industry in 1978, a significant number of new air carriers appeared; especially those following a low cost strategy. Given those carriers’ rapid growth and market success the U.S. Department of Transportation (DOT) already recognized a so called ‘low cost carrier’ (LCC) service revolution. Furthermore, the notable Deregulation Act 1978 results in ‘open skies’ agreement; Southwest Airlines is perceived as pioneer and most successful LCC (Mueller & Hüschelrath, 2011; Taumoepeau et al., 2017).

For decades, the U.S. airline industry has been unquestionably shaped by the growth of LCCs. Consequently, the Open Skies Treaty between the European Union (EU), and the Single Skies of the EU that allowed competition to grow. It drove down prices and allowed (new) airlines to operate the routes they want (Sabaitytė et al., 2020).

The general business operation of LCCs configures resources and practices that enable the airline to operate with lower costs than traditional full service carriers (FSCs). The LCC business

29 The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

model is mostly seen to be based on the following characteristics; point-to-point traffic, single aircraft fleet, predominant use of secondary airports, direct sales of tickets, especially over airline’s own website, only one one-way fare per flight available at each point in time, single class cabin and no in-flight services or frequent flyer programs (Klophaus et al., 2012).

Nonetheless, most of research has pointed on the socio-economic benefits and ‘success stories’ essential to the exposure of a new type of airline that took advantage of the more liberalized performing environment to initiate new business models and operating practices that avoided the expense related to traditional full-service airline offerings, kept their cost base and allowed them to pass the savings on to customers in the form of lower fares (Budd et al., 2014).

This paper begins the functional operations, strategies and business model of LCCs. Later, a review of literature is explained Eventually, this article concludes with a conclusion of potential LCCs business model in the future perception.

2. Literature Review

The literature review is classified into three sections. First, the functional operations which contribute to design business model for LCCs are characterized. Later, the LCC business model and strategies development are described At the end, study on LCCs business models and strategies of the Future Perception are summarized

2.1 The factors which contribute to characterize Low Cost Carrier Business Model and Strategies

Low-cost carriers typically provide no-frill services at much lower airfares than traditional full service carriers, which generally allows them to considerably expand traffic volume after entering a market (Zuidberg, 2017). In addition, Kierzkowski (2008) concluded that LCCs are characterized by maximum utilization ratio of airplanes and simultaneously by minimization of the time between flights goal

The features of an airline’s business model refer to fleet composition, airport and route choice including the carrier’s service and pricing policy. Some criteria like in-flight service, checked baggage, frequent flyer program and code sharing are self-explaining. Point-to-point service means that a carrier does not offer connecting flights including transfer of passengers and baggage (Klophaus et al., 2012).

30 The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

On the other hand, the essential characteristic of LCCs is the focus on the operation at secondary airport or regional airports. The LCCs manipulate the direct flights via major hubs. With the mentioned strategy, the low cost carriers are able to reduce the costs, maximize the operation ability, and avoid the congestion at major hubs. In reality, the LCCs can also promote to network deconcentrating and drive route expansion (Dobruszkes et al., 2017). Additionally, Lu and Mao (2015) also agreed that elements which attract LCCs on airport choice are airport’s tariff, operational efficiency of ramp services and the airport authority’s support attitude.

The LCCs can be characterized as offering no-frills service, operating with a point-topoint network, serving secondary airports, and employing a variety of techniques to cost service (including achieving very high load factors). These carriers tend to charge lower fares, but often enhance those revenues by selling a variety of ancillary services (Bitzan & Peoples, 2016).

According to Štimac et al., (2012) the main characteristic of LCCs business model is usage of aircraft with one passenger class and handling with only one type of aircraft so called single fleet. Moreover, keeping away from expensive computer reservation systems (CRS) by utilizing an internet based direct distribution. The LCCs can sell tickets through online and offline channels, and the online channel can be divided into official website and online travel agencies (OTA). Nonetheless, LCCs do not consider the difference between official website and OTAs, but take the difference between FSC and LCC into account (Cui, 2019).

The concept of LCCs is to offer the flight services with the attractive prices that are much lower than the conventional FSCs and even comparable to land public transport. By augmenting the number of passengers, LCCs can get sufficient profits even though the unit profit per passenger tends to be less than that of FSCs. Moreover, LCCs have attempted to reduce all kinds of cost-related elements to secure their operating profits. From all reasons above, even though they cannot provide sophisticated services as compared with FSCs, the demand for LCCs has increased steadily by passengers who want only a basic transportation function (Ko, 2016).

In fact, the lower airfares make LCCs different from legacy airlines. By utilizing dynamic pricing strategies develop an econometric model of dynamic price dispersion and corroboration of an augmentation in the ‘high low’ pricing strategy to respond to the LCCs and thus an increase in airfare variable in the market from FSCs (Varella et al , 2017). Similarly, LCCs attempt to adapt their product through cost cutting and price leadership, whereas FSCs

31 The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

continue to emphasize flight frequency, the number of destinations, rewards programs, and alliance networks (Azadian & Vasigh, 2019).

In term of strategic routing, regional carriers serve as feeders to legacy airlines, providing services to small communities and transporting passengers to FSC hub airports. These carriers generally operate very small jets or turbo-prop airplanes, and typically offer single class of service. Furthermore, LCCs contract their capacity to the FSCs and do not sell their own tickets (Leick & Wensveen, 2014).

The LCCs business model depends on small aircraft catering to point-to-point demand, which allows flexible and quick adaptation of the route network according to changes in demand (Soyke et al., 2021). The sale of no service fares that allow passengers to purchase services in addition of the original fare is a key differentiation between the Long Haul Low Cost Carrier and other business models in long-haul air travel (Soyk et al., 2017).

2.2 The Development of Low Cost Carrier Business Model and Strategies

The key element of LCCs aims to minimize their costs through the operation of a homogenous aircraft fleet (Baxter & Sriseang, 2022) Furthermore, in order to optimize the revenue, the LCCs have distinctively designed their aircraft with high-density, single economy class seating arrangement (Bowen, 2019).

The LCC business model performs a strategic innovation which has had a crucial impact on the dynamics of the commercial aviation industry worldwide. The initial conception of the LCC model was developed in the USA by Southwest Airlines in 1971. As the consequence, one of the most influential outcomes of the deregulation act of 1978 was the rise of new establishment airlines that formed the Low-Cost Carriers. The LCCs business model eventually encircles around cutting costs and providing no-frills service. The LCCs provision their product toward more price-sensitive travelers who are typically willing to trade off services for low prices (Azadian & Vasigh, 2019).

The new business model provided a pleasing choice to price conscious passengers who were unwilling or unable to pay the high prices demanded by the traditional Full Service Carriers. Due to the high competition in air transport industry, the implementation of a successful business model which best meets customer needs became crucial for airlines (Wehner et al., 2018).

The LCCs have been growing by 11.4% in revenue passenger kilometers over 2017 and reformed the airline industry radically. The LCCs direct down prices in the industry. Southwest

32 The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

Airlines (USA) designed the LCC blueprint model, and Ryanair copied it within Europe, followed by other airlines (Sabaitytė et al., 2020).

In the same way, the LCCs have made several strategy adaptations with regard to pricing in the recent past: One significant development in pricing of low-cost airlines is the reduction of the expansive charges for additional services, which was indispensable due to the increasing frustration among passengers. The uncommonly high baggage fees resulted in high dissatisfaction of clients (Wehner et al., 2018).

Many researchers have been hypothesized about the operational future of LCCs and how they compete with major carriers in recent literature. For example, Abda et al. (2012) forecasted the unlimited growth of LCCs in the top 200 US airports was reaching an end by commencing, the known-common practice of LCCs strategies are to lower average fares and higher passenger volumes Likewise, de Wit et al. (2012) predicted a drop-off to LCC growth in the upcoming years in encounter of route density problems and continental market saturation. They hypothesized that for future growth, LCCs shall need to adopt new business strategies such as changing operations to regional airports and forming new alliances which found that LCCs are increasingly competing from major airports while continually growing and expanding (Dobruszkes et al., 2017).

In general, LCC business model analyses focus on cost reductions and cost structure; nonetheless, there is one LCC characteristic that obviously reveals itself in the revenue structure: ancillary revenues. To differentiate the LCC from the traditional FSC product and offering unbundled low air fares, airlines may appeal price-sensitive passengers to their secondary airports from even further distances away, and they can also more effectively compete against the network carriers for higher yield passengers at the main airports (de Wit et al., 2012).

Similar way with LCCs’ cost savings can arise from the greater productivity of capital and labor in part due to the incapacitated function of unions facilitating high utilization of aircraft and crew, the operation of a single-type fleet, the lower costs of secondary airports, and the relatively simple point-to-point network strategy (Fageda et al., 2017). Although, it is very difficult for network airlines to compete with lower-cost fellow, with competitive responses, or vital strategies, typically involving in-house cost reduction and efficiency improvement, nonetheless, cost-removing has often been temporary rather than representing a significant and extended mind-set change which is shifting only very recently as a result of the high and unstable fuel price.

33 The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

The Business Model and Strategies for LCCs have been designed in accordance with the suitability of the airline nature. As the matter of the fact, over the last years the boundary that sundered the business strategies of LCCs and FSCs becomes impaired. At the present, the original low-cost model is applied by several LCCs around the globe. Blending of business strategies is present in the preponderance of airlines who were identified as LCC in the past and should now be properly classified as hybrid airlines. Therefore, LCCs were also forced to change their basic low cost models (Vidović et al., 2013)

3. Results

Atallah et al. (2018) investigated an analysis of low-cost carrier competition strategies for Continental US (CONUS) domestic markets. Results reveal that LCCs are increasing the number of operating market to / from large airports and are entering highly-competitive markets. The results also suggest that LCCs and major carrier strategies developed differently during the survey period, where LCCs outpaced major carriers in terms of markets entered while major carriers have gained a greater flight frequency share in the markets they already serve.

Klophaus et al. (2012) confirmed that the survey of the findings of a survey on European airlines often designated as low-cost carriers to see to which scope they have changed their business model towards a hybrid strategy, adopting features of full service network air carriers. The survey concludes that short-haul airline business models in Europe converge. A great percentage of low-cost carriers has transformed into hybrid carriers which merge low-cost traits with those of full service network carriers.

Taplin (2021) analyzed correlation between Ultra Low Cost Carrier (ULCC) operations and airports choice factors Results of the research methods confirm certain theories regarding ULCC airport choice, but left others unanswered. Tourism employment was only significantly related to enplanements. Other factors including distance and competition variables were significantly associated to ULCC service.

The investigation of the degree of importance and performance of 11 attributes of short- and long-haul low-cost carriers in Asia has been conducted by Yeung et al. (2012). Results explain that air ticket price and perception of safety are considered as the most valued attribute for short-haul LCCs and long-haul LCCs, respectively. The importance-performance analysis also shows that LCCs should ‘keep up the good work’ in working scope such as timetable schedules, perception of safety, ticket price, and on-time performance. It is also

34 The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

reported that more efforts should be devoted in revising the misconception of low-cost, low quality and improving an image of low-cost, high quality.

Štimac et al. (2012) stated that applying imbalance between prices of air tickets of full service carrier and average paying power of passengers in times of economic crisis, the LCCs attempted to change market conditions and proposed the passengers a product adjusted to their needs at much lower prices. In order to dominant the market, LCCs presented additional benefits to their business model: business-class, seat reservations, passenger and baggage check-in for transfer flights and acceptance of goods for transport. The economic crisis impacted the business models of traditional and low-cost carriers, they became completely new hybrid model of business which is most often applied to regional routes.

Albers et al. (2020) researched a disruptive innovation perspective on the long-haul low-cost airline business model. The analysis concludes that the performance direction of the LHLC business model points towards the mass market of long-haul air travel, so far occupied by network carriers, and that network carriers are well advised to prepare their responses. The LHLC business model innovation is suggested to design a market-winning, hybrid business model.

In addition, Fageda et al. (2015) described the key elements of LCCs as uncomplicated fare and point-to-point operations. Results demonstrate that, from a network perspective, the distance between the prototypical low-cost carrier business model and the adapted low-cost carrier business model with a hybrid approach is widening. The results are also indispensable from an airport policy perspective, since secondary airports and legacy airports in transition could be able to reduce the gap between them and the main hub airports.

Vidović et al. (2013) discussed the development of business models of Low-Cost Airlines. Due to the high operating costs, both FSC and LCC become similar in many perspectives. The hybrid model has been commonly accepted and it combines cost savings methodology which is a characteristic of the LCC base model, with service, flexibility, and enroute structure of full network service airline business model. Due to the modification to new market conditions, it is unquestionable that in future there will be more air carriers which will base its development strategy on the features of the hybrid business model. LCC will still remain the dominant carrier in a point-to-point network model for the routings up to three hours of flight Stoenescu and Gheorghe (2017) found that low cost carriers and traditional airlines became less obvious and the characteristics of both business models started to combine at

35 The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

all levels. Hence, this new competition became the base of the development of a new ‘hybrid’ carrier, between the low-cost and the traditional models. The results revealed that both traditional airlines and low-cost carriers started adapting their strategies, by interacting with the passenger on the online environment and through self-service instruments.

4. Conclusion

The study of this article enhances the low-cost carriers to understand the trending business model including the future evolution. Nevertheless, since the high operating costs become more increasing, several LCCs have gone bankrupt. From this reason, the LCCs attempt to adapt to survive in the new shifted environment competitive market. The hybridization has been introduced into the air transport lately. The new business model has been widely accepted and modified to shape with the business nature, context and business environmental market of individual airline.

The Hybridization Model focuses on the essential pillars which enable LCCs remain on budget airline concept. The essential key elements for strategic business model of hybridization contribute to uncomplicated airfare, flexibility on date change ticket, high frequency, high aircraft rotation and utilization, low maintenance cost, single aircraft fleet, alternative airports, strategic routing and destinations, flexibility offered in flight, baggage allowance tolerant, and variability of passenger service request.

Low Cost Carrier business model in the outside air carriers’ other traditional business models in market share in the coming periods pursuant to occur airline will decrease should take various policies and development strategies and actions. In fact, the FSCs strategies are mostly adopted to fit into LCCs model namely royalty program for frequent flyer, various classes in cabin, flight frequency to serve business or leisure travelers, long haul flight, and interline baggage agreement with certain FSCs Hence, the airline industry became a complex system, but in lack of any standards related to the constantly shifting strategy models embraced by LCCs or FSCs. At the present, ‘hybridization’ may be appropriate either LCCs with traditional characteristics or FSCs with low-cost characteristics, however there is no perceptible line determining the moment an airline becomes ‘hybrid’

In addition, according to the current trend of LCC business model and its adaptation, the implications reveal that from this time forth more and beyond Low Cost Carriers will select and utilize hybrid business model strategy which may assure the sustainably financial success of the air carriers.

36 The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

5. References

Abda, M. B., Belobaba, P. P., & Swelbar, W. S. (2012). Impacts of LCC growth on domestic traffic and fares at largest US airports. Journal of Air Transport Management, 18(1), 21-25.

Albers, S., Daft, J., Stabenow, S., & Rundshagen, V. (2020). The long-haul low-cost airline business model: a disruptive innovation perspective. Journal of Air Transport Management, 89, 101878.

Atallah, S., Hotle, S. L., & Mumbower, S. (2018). The evolution of low-cost Carrier operational strategies pre-and post-recession. Journal of Air Transport Management, 73, 87-94. https://doi.org/10.101 6/j.jairtraman.2018.08.01.

Azadian, F., & Vasigh, B. (2019). The blurring lines between full-service network carriers and low-cost carriers: A financial perspective on business model convergence. Transport Policy, 75, 19-26.

Baxter, G., & Srisaeng, P. (2022). The Development of the Low-Cost Carriers in the Australia Indonesia Air Travel Market. วารสาร เพื่อ การ พัฒนาการ ท่องเที่ยว สู่

ยั่งยืน, 4(1).

Baye, M. R., Morgan, J., & Scholten, P. (2004). Price dispersion in the small and in the large: Evidence from an internet price comparison site. The Journal of Industrial Economics, 52(4), 463-496.

Bitzan, J., & Peoples, J. (2016). A comparative analysis of cost change for low-cost, full-service, and other carriers in the US airline industry. Research in Transportation Economics, 56, 25-41.

Bowen, J. (2019). Low-cost carriers in emerging countries. Elsevier.

Budd, L., Francis, G., Humphreys, I., & Ison, S. (2014). Grounded: Characterising the market exit of European low cost airlines. Journal of Air Transport Management, 34, 78-85. http://dx.doi.org/ 10.1016/j.jairtraman.2013.08.002.

Cui, Q. (2019). The online pricing strategy of low-cost carriers when carbon tax and competition are considered. Transportation Research. Part A, Policy and Practice, 121, 420-432. de Wit, J. G., & Zuidberg, J. (2012). The growth limits of the low cost carrier model. Journal of Air Transport Management, 21, 17-23.

Dobruszkes, F., Givoni, M., & Vowles, T. (2017). Hello major airports, goodbye regional airports? Recent changes in European and US low-cost airline airport choice. Journal of Air Transport Management, 59, 50-62.

37 The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
ความ

Fageda, X., Jiménez, J. L., Perdiguero, J., & Marrero, K. (2017). Does market exit of a network airline affect airline prices and frequencies on tourist routes? Tourism Management, 61, 465-471.

Fageda, X., Suau-Sanchez, P., & Mason, K. J. (2015). The evolving low-cost business model: Network implications of fare bundling and connecting flights in Europe. Journal of Air Transport Management, 42, 289-296. http://dx.doi.org/10.1016/j.jairtraman. 2014.12 002.

Kierzkowski, A. (2008). Problems of identification of operation processes for low cost carriers. Journal of Konbin, 6(3), 281.

Klophaus, R., Conrady, R., & Fichert, F. (2012). Low cost carriers going hybrid: Evidence from Europe. Journal of Air Transport Management, 23, 54-58 http://dx.doi.org/10.1016/ j.jairtraman. 2012.01.015

Ko, Y. (2016). An airline's management strategies in a competitive air transport market. Journal of Air Transport Management, 50, 53-61.

Leick, R., & Wensveen, J. (2014). The airline business. The business of transportation, 65e99. Lu, H. A., & Mao, Y. R. (2015). Evaluation of airport conditions to attract foreign low cost carriers: A case study of Taiwan. Journal of Air Transport Management, 42, 297-305.

Mueller, K., & Hüschelrath, K. (2011). Low cost carriers and the evolution of the US airline industry. ZEW-Centre for European Economic Research Discussion Paper, (11-051). https://ftp.zew.de/pub/zew-docs/dp/dp11051.pdf.

Sabaitytė, J., Davidavičienė, V., & Van Kleef, G. (2020). The Peculiarities of Low-Cost Carrier Development in Europe. Energies (Basel), 13(3), 639.

Soyk, S., Lemmon, Z. H., Oved, M., Fisher, J., Liberatore, K. L., Park, S. J., ... & Lippman, Z. B. (2017). Bypassing negative epistasis on yield in tomato imposed by a domestication gene. Cell, 169(6), 1142-1155.

Soyk, C., Ringbeck, J., & Spinler, S. (2021). Effect of long-haul low-cost carriers on North Atlantic air fares. Transportation Research. Part E, Logistics and Transportation Review, 152, 102415.

Štimac, I., Vince, D., & Vidović, A. (2012). Effect of Economic Crisis on the changes of low-cost carriers business models. In 15th International Conference on Transport Science ICTS Stoenescu, C., & Gheorghe, C. M. (2017, July). Hybrid” airlines–Generating value between lowcost and traditional. In Proceedings of the International Conference on Business Excellence (Vol. 11, No. 1, pp. 577-587).

38 The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

Taplin, D. (2021) Analysis of Ultra Low-cost Carriers and Airport Choice (Doctoral dissertation, Arizona State University).

Taumoepeau, S., Towner, N., & Losekoot, E. (2017). Low-Cost Carriers in Oceania, Pacific: Challenges and opportunities. Journal of Air Transport Management, 65, 40-42.

Varella, R. R., Frazão, J., & Oliveira, A. V. (2017). Dynamic pricing and market segmentation responses to low-cost carrier entry. Transportation Research Part E: Logistics and Transportation Review, 98, 151-170.

Vidovic, A., Štimac, I., & Vince, D. (2013). Development of business models of low-cost airlines. International Journal for Traffic & Transport Engineering, 3(1).

Wehner, C., López-Bonilla, J. M., López-Bonilla, L. M., & Santos, J. A. C. (2018). State of the art of pricing policy in air transportation: network carriers vs. low-cost airlines. Tourism and Management Studies, 14(3), 32-40.

Yeung, S., Tsang, N., & Lee, Z. (2012). An importance–performance analysis of low cost carriers in asia. International journal of hospitality & tourism administration, 13(3), 173-194.

Zuidberg, J. (2017). Exploring the determinants for airport profitability: Traffic characteristics, low-cost carriers, seasonality and cost efficiency. Transportation Research Part A: Policy and Practice, 101, 61-72.

39 The Low Cost Carrier Business Model and Strategies of the Future Perception การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

Abstract

The COVID-19 pandemic has huge impacts on the global economy. This makes many industries, especially aviation industry, must be adaptive to survive in this situation. Therefore, this academic article was prepared to present a study on the adjustment of airline business during COVID-19 crisis using retrenchment strategy, along with examples of the applications of airlines inside and outside Thailand as the guideline for dealing with the current uncertain situation.

Keywords: Airline Business; COVID-19 Crisis; Retrenchment Strategy

40 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 Retrenchment Strategy in Airline Business during COVID-19 Crisis 1ณัฏฐลิศา คงประโยชน์ และ 2ธนิดา ศุภรังสรรค์ 1Nuttalisah Kongprayot and 2Tanida Suppharangsan 1,2สถาบันการบินพลเรือน 1,2Civil Aviation Training Center, Thailand Email: 1nuttalisah.k@gmail.com บทคัดย่อ การแพร่ระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโควิด19 มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างมาก ทาให้หลาย ๆ อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการบิน จะต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดในสถานการณ์เช่นนี้ บทความวิชาการฉบับนี้ จึงจัดทาขึ้นเพื่อนาเสนอการศึกษาการปรับตัวของธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด 19 โดยใช้กลยุทธ์การหดตัว พร้อมทั้งตัวอย่างการประยุกต์ใช้ของสายการบิน ทั้งในประเทศไทย และ ต่างประเทศ เพื่อเป็นแนวทางในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในปัจจุบันนี้ คาสาคัญ: ธุรกิจสายการบิน; วิกฤตโควิด19;
กลยุทธ์การหดตัว
1. บทนา เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด19 (COVID-19) มีต้นกาเนิดมาจาก นครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ สาธารณรัฐประชาชนจีน พบการรายงานการติดเชื้อครั้งแรกตั้งแต่ เดือนธันวาคม ปี 2562 (World Health Organization, 2563) และยังมีการแพร่ระบาดมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุดถึง 246,542,559 คน รักษาตัวหายแล้ว 223,350,029 คน และมียอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 5,000,228 คน จาก ข้อมูลสถิติการระบาดของเชื้อไวรัสโค วิด19 (COVID-19) ทั่วโลก ณ วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2565 เวลา 16.23

(Pandemic) (World Health Organization, 2563) และใน ประเทศไทยได้ถูก

41 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 GMT
เป็นการระบาดใหญ่ทั่วโลก
จัดว่าเป็นหนึ่งในโรคติดต่ออันตรายภายใต้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.
ของเชื้อสามารถกระจายผ่านละอองน้าลาย หรือน้ามูกของผู้ป่วย (World
จึง ทาให้เชื้อกระจายตัวได้อย่าง รวดเร็ว การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 (COVID-19) นอกจากมีผลกระทบ ต่อสุขภาพ และทาให้การ ดาเนินชีวิตของคนอยู่ในรูปแบบปกติใหม่แล้ว (New Normal) ยังส่งผลกระทบใน ด้านเศรษฐกิจของทั่วโลกอีก ด้วย ในหลาย ๆ อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการบิน (Aviation Industry) การท่องเที่ยว และการ บริการ ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ทาให้ธุรกิจสายการบิน (Airline Business) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ อุตสาหกรรมการบิน (Aviation Industry) (ณัฐพงษ์, 2564) ถือเป็นหนึ่งใน ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งเป็นผลมา จากการปิดประเทศ (Lockdown) และมาตราการการควบคุม การแพร่ระบาดของโรค ทั้งนี้เป็นผลให้จานวนผู้ โดยสารลดลงอย่างเป็นจานวนมาก และส่งผลกระทบโดยตรง ต่อรายได้ของสายการบินอย่างเห็นได้ชัดเจน โดย ในปี 2563 ที่ผ่านมา สายการบินทั่วโลกขาดทุนสุทธิ 1.377 แสนล้านดอลลาร์ (กรุงเทพธุรกิจ, 2564) แต่อย่างไรก็ตาม สมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association) คาดการณ์ว่า ในปี 2565 สายการบินทั่วโลกจะขาดทุนลดลง
การยกเลิกมาตราการจากัดการเดินทางในบางประเทศ (
, 2564) และ การปรับตัวของสาย การบินในหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านการสื่อสารในภาวะวิกฤต (Communication in Crisis Management) ด้าน การร่วมมือกับองค์กรภายนอก (Exceptional Collaboration) และด้านกลยุทธ์ระดับ องค์กร (Corporate Strategy) ซึ่งหลาย ๆสายการบินก็ได้นากลยุทธ์การหดตัว (Retrenchment Strategy) มาประยุกต์ใช้ เพื่อ รับมือให้สอดคล้องกับวิกฤตโควิด19 ในปัจจุบันให้มากขึ้น โดยปกติแล้วธุรกิจสายการบิน (Airline Business) เป็นธุรกิจที่ต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตามความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้โดยสารตลอด ช่วงเวลาอยู่แล้ว (ณัฐพงษ์, 2564) แต่ผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด19 (COVID-19 pandemic) ต่อ การเดินทางทางอากาศนี้ถือเป็น ผลกระทบครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมการบิน (Aviation Industry) ตั้งแต่ สงครามโลกครั้งที่ 2 (Airport Council International: ACI, 2564) สายการ บินทั่วโลกจึงต้องมีการปรับตัว หรือปรับโครงสร้างครั้งใหญ่มากกว่าวิกฤตเดิมที่ผ่าน ๆ มา โดยมีการปรับรูปแบบ ในการดาเนินธุรกิจ ในหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้อยู่รอดในสภาวะวิกฤตที่ไม่แน่นอนนี้ จึงทาให้ผู้เขียนสนใจที่จะจัดทาบทความวิชาการนี้ขึ้น เพื่อนาเสนอการศึกษาการประยุกต์ใช้กลยุทธ์การหด ตัว (Retrenchment Strategy) ของสายการบินในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 (COVID-19 pandemic) นี้ พร้อมทั้งตัวอย่างสายการบินทั้งในประเทศไทยและนอกประเทศไทย เพื่อเป็น แนวทางในการ รับมือและการปรับกลยุทธ์ระดับองค์กร (Corporate Strategy) ของธุรกิจสายการบิน ใน สถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากการปรับกลยุทธ์แล้ว สายการบินจะต้องติดตามข่าวสาร และความคืบหน้าที่เกี่ยว กับโรคโควิด19 อยู่ อย่างเสมอ เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน และคิดแผนใน การรองรับการกลับมาของจานวนผู้โดยสารที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ลดความเสี่ยง และไม่เสีย
(Worldometers, 2564). โรคโควิด19 นี้ถูกองค์การอนามัยโลก(World Health Organization) จัดให้
2558 (อนุทิน, 2563). การ ติดต่อ
Health Organization, 2564)
78% จากยอดขาดทุนของปีนี้ซึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก
กรุงเทพธุรกิจ
42 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 โอกาสในการดาเนินทางธุรกิจอีกด้วย 2. การทบทวนวรรณกรรม 2.1 ผลกระทบโควิด19 กับอุตสาหกรรมการบิน และสายการบิน เป็นที่เห็นได้ชัดว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์19 หรือโควิด19 ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเดินทาง ทางอากาศ เนื่องจากมาตราการการควบคุมการแพร่ระบาดของทุกประเทศทั่วโลก เช่น การจากัดการเดินทาง ระหว่างประเทศ การใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม การออกกฎบังคับในการทาความสะอาดฆ่าเชื้อ อากาศยานอย่างล้าลึก ทาให้ปริมาณการเดินทางทางอากาศน้อยลงอย่างเป็นจานวนมาก โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้น ของโรคโควิด19 ดังแสดงภาพที่ 1 แสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่ปีพ ศ 2547 นั้น ปริมาณผู้โดยสารได้มีจานวนมากขึ้น เรื่อย ๆ ซึ่งเป็นผลมาจาก การกาเนิดของสายการบินต้นทุนต่าที่มีมากขึ้น ปริมาณชนชั้นกลางของโลกมี จานวน สูงขึ้น และการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยาน (Mazareanu, 2564) ทั้งหมดนี้ล้วนทาให้ปริมาณ ผู้โดยสารมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่แล้วก็มาถูกหยุดชะงักลงในช่วงการระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโคโรนาสาย พันธุ์19 (COVID-19 Pandemic) ของโควิด19 ในปีพ ศ.2563 แต่อย่างไรก็ตาม จากรูปภาพที่ 1 ก็แสดงให้เห็น ถึงแนวโน้มการกลับมาของจานวนผู้โดยสารแล้ว ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ มีการแพร่ระบาดที่ลดลง ไม่รุนแรงเท่า ช่วงแรก แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ว่านี่จะเป็น สัญญาณขาขึ้นของอุตสาหกรรมการบิน เพราะอาจมีการกลายพันธุ์และ กลับมาแพร่ระบาดหนักอีกก็เป็นได้ ภาพที่ 1: จานวนผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินทั่วโลก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึง พ.ศ. 2565 (ล้านคน) การลดลงของปริมาณผู้โดยสารทั่วโลกนั้น ก็หมายความอีกอย่างหนึ่งว่า สายการบินก็มีรายได้ที่ลดลง เช่นกัน ดังแสดงภาพที่ 2 แสดงให้เห็นว่าวิกฤตโควิด19 นั้นได้ทาให้สายการบินสูญเสียรยาได้ไปราว 370 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 โดยปราศจากการช่วยเหลือจากรัฐบาล ทาให้หลาย ๆ สายการบินนั้นทนแรง ต้านไม่ไหว จนต้องขอความช่วยเหลือครั้งใหญ่จากการคลังของรัฐบาล เพื่อที่จะให้อยู่รอดพ้นภาวะวิกฤต
43 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 โควิด-19 ในเดือนกันยายน พ ศ. 2564 รัฐบาลต่าง ๆ ทั่วโลกได้จัดสรรเงินไปแล้วกว่า 243 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐให้กับสาย การบินเนื่องจากสถานการณ์โควิด19 (Mazareanu, 2564) ภาพที่ 2: รายได้ทั่วโลกจากผู้โดยสารตั่งแต่ปี 2548 ถึง 2565 (พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อสายการบินมีรายได้ที่ลดลงอย่างมหาศาลแบบนี้ ก็เป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สายการบินจะมีการตัด รายจ่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดปริมาณเที่ยวบิน การชะลอการลงทุน การชะลอการว่าจ้างบุคคล หรือ แม้กระทั่งการเลิกจ้าง แต่วิกฤตโควิด19 นี้ ไม่เพียงกระทบการจ้างงานในอุตสาหกรรมการบิน แต่ยังส่งผล กระทบ กับการจ้างงานของอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งทางอากาศอีกด้วย เช่น อุตสาหกรรม การท่องเที่ยวทั่วโลก จากภาพที่ 3 จะเห็นได้ว่า เมื่อธุรกิจสายการบินได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงในทาง การเงินนั้นก็ทาให้อัตราการจ้างงานของธุรกิจการบินโดยตรงและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ถูกสนับสนุนโดยการ ขนส่งทางอากาศนั้นถูกลดลงไปด้วย อันเนื่องมาจากมีการขาดทุนกระทบกันเป็นโดมิโนทางธุรกิจ โดยอัตราการ เลิกจ้างในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นสูงที่สุด อันเป็นเพราะว่ามีปริมาณและอัตราการเติบโตในการขนส่งทาง อากาศที่มากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา การเลิกจ้างนั้นถือเป็นฝันร้ายที่สุดของบุคลากรในอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดใน การดาเนินธุรกิจในช่วงวิกฤตโควิด19 การเลิกจ้าง การชะลอการจ้างงาน และการชะลอการลงทุน ถือเป็นเพียง ส่วนหนึ่งในการปรับกลยุทธ์ และปรับโครงสร้างขององค์กร เพื่อให้รอดพ้นในสภาวะวิกฤต แต่อย่างไรก็ตาม องค์กรต้องประเมินธุรกิจตัวเองก่อนว่าตอนนี้องค์กรได้รับผลกระทบ และสามารถหด หรือถอยธุรกิจของ ตนเองได้มากน้อยขนาดไหน
44 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 3: ผลกระทบการว่างงานของอุตสาหกรรมที่สนับสนุนโดยการขนส่งทางอากาศทั่วโลก ในปี 2020 ตามภูมิภาค (ล้านคน) 2.2 กลยุทธ์การหดตัว (Retrenchment Strategy) กลยุทธ์การหดตัว หรือกลยุทธ์การถดถอยของธุรกิจ (Retrenchment Strategy) ซึ่งเป็นหนึ่งใน กลยุทธ์ระดับองค์กร (Corporate Level) จะถูกนามาใช้เมื่อองค์กรกาลังเผชิญกับความท้าทายในด้านร้าย ๆ ของธุรกิจ เช่น สภาวะเศรษฐกิจตกต่า บริษัทไม่มีกาไร ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาต้นทุน หรือการขยายธุรกิจเร็วเกินไปจนทาให้เกิดปัญหาภายใน (Pair, 2561) กล่าวง่าย ๆ คือ บริษัทไม่อาจคงอยู่ ต่อไป หากยังคงดาเนินธุรกิจแบบเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงการปรับลด และการปรับลดในกลยุทธ์การหด ตัวนั้น มีด้วยกันทั้งหมด 3 ระดับหลัก ๆ ดังนี้ ก) กลยุทธ์การกลับตัว (Turnaround Strategy) โดยกลยุทธ์ระดับนี้จะถูกใช้เมื่อบริษัทนั้นได้ตัดสินใจในการทาบางอย่างผิดพลาดซึ่งมีผลกระทบ อย่าง มากในด้านการเงิน จึงจาเป็นต้นแก้ไขโดยการเลิกทาในสิ่งนั้น เช่น บริษัทเดล ได้ยกเลิกการขายแบบผ่าน ตัวกลาง (จาก Indirect sale เป็น Direct sale) ในปี 2559 แต่นั้นทาให้บริษัทขาดทุนมหาศาล ในปี ต่อมา บริษัทเดล จึงหันมาทาสัญญาขายการผ่านตัวกลางเช่นเดิม (Indirect sale) ทาให้ตอนนี้บริษัทเดล เป็น บริษัท ที่ใหญ่อันดับสองในการค้าปลีกทางด้านคอมพิวเตอร์ แต่กลยุทธ์นี้ไม่ได้เพียงแต่ใช้เมื่อองค์กรหันไปใน ทิศทางที่ ผิดพลาด แต่ยังคงถูกนามาใช้เมื่อ มีปัจจัยภายนอกที่เปลี่ยนไปเข้ามากระทบ เช่น นโยบาย กฎหมาย หรือกฎ ของรัฐบาลเปลี่ยน ส่วนแบ่งการตลาดลดลง เนื่องจากการอิ่มตัวของสินค้าและบริการของเรา มีสินค้า อื่นเข้า มาทดแทน หรือกลุ่มลูกค้ามีการเปลี่ยนความชอบหรือความต้องการ มีการขาดทุนสะสม อย่างเช่น สถาณ การณ์ปัจจุบันนี้หรือแม้กระทั่งการบริหารจัดการภายในองค์กรที่ไม่มีประสิทธิภาพในส่วนต่าง ๆ (Business Jargons, ม ป ป.) กล่าวง่าย ๆ คือ การปรับโครงสร้างธุรกิจเพียงบางส่วน เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการดาเนิน มากขึ้น การปรับ โครงสร้างนั้นทาได้หลายส่วน เช่น การปรับโครงสร้างทางการเงิน การปรับโครงสร้างด้าน บุคคลากร การปรับแผนการลงทุน (THE BRIEFCASE, 2020) แต่ล้วนแล้วแต่ให้ผลในทางเดียวกัน นั้นคือปรับ ลดรายจ่ายขององค์กรนั่นเอง
45 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ข) กลยุทธ์การถอนตัว (Divestment Strategy) กลยุทธ์การถอนตัวจะใช้หลังจากที่ใช้กลยุทธ์การกลับตัวแล้ว (Turnaround Strategy) แต่ยังไม่ ได้ผล เท่าที่ควร หรือกล่าวคือองค์กรก็ยังไม่สามารถรอดพ้นสภาวะที่ท้าทายไปได้ ตัวที่จะบ่งชี้สภาวะแบบนี้ก็ คือ มี การขาดทุนสะสมจากส่วนงานนั้น ๆ ตลอด ไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เช่น ไม่สามารถใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมได้ เนื่องจากไม่กาลังในการซื้อ ทาให้ส่วนแบ่งทางการตลาดน้อยมาก ๆ จนไม่สามารถดาเนินธุรกิจแบบเดิม ๆ ได้ หรือแม้กระทั่งมีแรงกฎดันทางกฎหมาย เช่น บริษัททาทา (Tata Communication) ได้ขายธุรกิจศูนย์กลางข้อมูล ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจลูกขององค์กร เพื่อนาเงินมาชดใช้หนี้ (Business Jargons, ม ป ป.) กล่าวง่าย ๆ คือ ล้มเลิกธุรกิจลูกอื่น ๆ ในส่วนที่ไม่ทากาไรให้กับบริษัท หรือถอน สินค้า หรือบริการบางตัวที่ไม่ทากาไรให้ธุรกิจอีกต่อไป และหันมาสนใจที่ธุรกิจหลักอย่างเดียว (Core Business) (Business Jargons, ม ป ป.) ค) กลยุทธ์การละทิ้ง (Liquidation Strategy) เมื่อบริษัทเดินทางมาถึงกลยุทธ์ระดับสุดท้ายนี้ ก็เรียกได้ว่า เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในการดาเนิน ธุรกิจเลยก็ว่าได้ เพราะกลยุทธ์การละทิ้งนี้จะถูกใช้เมื่อสองกลยุทธ์แรกนั้นไม่สามารถพยุงองค์กรให้คงยังดาเนิน ธุรกิจให้อยู่ได้อีกต่อไป อีกทั้งกลยุทธ์นี้ยังส่งผลเสียหายในวงกว้าง และหลายด้านอีกด้วย อาทิเช่น เสียภาพ ลักษณ์ใหญ่ขององค์กร ทาให้ลดโอกาสในการดาเนินธุรกิจในอนาคตส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งในตลาดของ ธุรกิจนั้น ๆ และในด้านคุณภาพชีวิตของบุคคลากรที่โดนเลิกจ้างอีกด้วย (Business Jargons, ม.ป.ป.) กล่าวง่าย ๆ คือ กลยุทธ์ที่ ธุรกิจปิดตัวลง เรียกได้ว่าเป็นทางตันของบริษัทเลยก็ว่าได้ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ กลยุทธ์ระดับนี้ เช่น การขายทรัพย์สินของบริษัททั้งหมด และการขายบริษัทลูก เพื่อนาเงินส่วนนั้นมาชดใช้หนี้ และปิดกิจการลง แต่อย่างไรก็ตาม การขายทรัพย์บริษัทนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่ได้มีผู้สนใจซื้อในลักษณะ กิจการนั้น ๆ มากนักและต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ หากเป็นทรัพย์ใหญ่ ๆ เช่น ตึก หรือที่ดิน และแม้บริษัท อาจขายทรัพย์ทั้งหมดได้แต่อาจยัง ไม่สามารถชดใช้ค่าเสียหายและภาระหนี้ทั้งได้หมดเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม โดยส่วนมากแล้วกลยุทธ์นี้จะถูกใช้โดยธุรกิจเล็ก ๆ (firm) ธุรกิจที่เป็นเจ้าของเองหรือหุ้นส่วน มากกว่าธุรกิจ ขนาดใหญ่ (company) (Business Jargons, ม ป ป.) แม้การล้มเลิกธุรกิจนั้นเป็นเรื่องที่ร้ายแรง แต่ก็จะ เกิดขึ้นจากการตัดสินใจอย่างถี่ถ้วน หรือถึงจุดที่ควรหยุด เนื่องจากการขาดทุนสะสมแล้ว ดีกว่ายังคงพยุง ดาเนินธุรกิจไปแบบขาดทุนสะสมหนักขึ้นเรื่อย ๆ จากที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นได้ชัดแล้วว่า การเลิกจ้างนั้นยังไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดใน การประกอบธุรกิจ แต่เป็นเพียงทางผ่านที่จะทาให้ธุรกิจรอดพ้นสภาวะวิกฤตไปได้ แต่การปิดตัวลงของธุรกิจ ต่างหากที่เป็นฝันร้ายที่สุดในการดาเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการเลิกจ้างนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อ บุคลากรเป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากยังอยากที่จะให้ธุรกิจนั้นยังดาเนินต่อไปในสภาวะวิกฤตได้ และเมื่อผ่านพ้นสภาวะวิกฤตก็อาจมีการว่าจ้างบุคลากรมากขึ้น หรือในตอนสภาวะที่บริษัทกาลังทาไร หรือมี การขยายธุรกิจ ก็จะมีการจ้างบุคคลาการเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อาทิเช่น สายการบิน United Airlines เคยปลด พนักงานกว่า 20,000 คน ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่า แต่หลังจากนั้นก็ได้เรียกพนักงานบางส่วนกลับมาทางาน เพื่อรองรับกับการเดินทางที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น (ถนัดกิจ, 2564) การประกอบธุรกิจนั้นมีการยืด - หดได้เป็น
46 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ธรรมดา หดเพื่อที่จะรักษา และขยายเวลาชีวิตของธุรกิจนั้นให้ได้นานที่สุดเมื่อเกิดวิกฤต กล่าวคือ ตัดแขน ตัด ขาเพื่อรักษา การยืดหรือขยายธุรกิจเพื่อที่จะเก็บ และกอบโกยโอกาสในการทากาไรให้ได้มากที่สุดหัวใจสาคัญ ของกลยุทธ์ การถดถอยนี้คือ การเข้าใจและยอมรับ กล่าวคือ เข้าใจในสถานการณ์ของบริษัท และยอมรับว่า เราจะดาเนิน ธุรกิจแบบเดิมไม่ได้ ต้องถอยลงมาเพื่อรักษาสถานะทางธุรกิจ หรือปิดตัวลง มันคงไม่ยากนัก สาหรับคนที่มี หลายธุรกิจที่ประสบความสาเร็จและมากประสบการณ์ แต่มันคงไม่ง่ายสาหรับคนที่พึ่งสร้าง หรือมีธุรกิจเดียว เพราะเมื่อประยุกต์ใช้กลยุทธ์จริง ๆ จะมีเรื่องของ จิตใจ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย (Sirichaiwatt, 2021) อย่างไรก็ตาม การเข้าใจ และยอมรับนี้ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ซับซ้อนอะไร แต่ถือเป็นสิ่งสาคัญ เมื่อเกิดวิกฤตเลยก็ว่าได้หากเราเข้าใจและยอมรับ มันได้เร็ว ก็อาจจะเสียหายน้อยกว่าคนที่เข้าใจและยอมรับ มันได้ช้า กล่าวคือ ตัดเนื้อร้ายได้เร็ว และหากเรา เข้าใจและยอมรับถึงสถานการณ์ของบริษัทก่อนคนอื่นเขา แล้ว ก็เป็นไปได้ว่าเราก็จะเห็นโอกาส หรือสัญญาณ การกลับมาของธุรกิจในอนาคตได้ก่อนคนอื่น ทาให้เรา เสียหายน้อย และได้ผลกาไรมากกว่าคนอื่นในตอน สุดท้ายนั่นเอง 3. ผลการศึกษา 3.1 การประยุกต์ใช้กลยุทธ์การถดถอย (Retrenchment Strategy) ของสายการบินในช่วงการแพร่ ระบาดของโควิด19 แม้ที่ผ่านมาธุรกิจสายการบินได้มีการเปลี่ยนแปลงในหลายรูปแบบ เพื่อรับมือกับอุปสรรคภายนอก เช่น วิกฤตเงินเฟ้อ ราคาน้าผันผวน สงครามการค้าโลก แต่โควิด19 ทาให้ธุรกิจสายการบินเกิดการปรับเปลี่ยน โครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปี โดยจาเป็นต้องประยุกต์ใช้กลยุทธ์การหดตัว (Retrenchment Strategy) เพื่อตัดรายจ่าย ให้สอดคล้องกับรายได้ที่น้อยลงนั่นเอง อย่างไรก็ตามกลยุทธ์นี้จะ ถูกใช้และเห็นผล ในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้ผ่านจุดวิกฤต กลยุทธ์การถดถอยในธุรกิจสายการบินนั้นเป็น ไปได้ทั้ง 3 ระดับ ดังนี้ ก) กลยุทธ์การกลับตัว (Turnaround Strategy) ถือเป็นระดับเริ่มต้นในการปรับตัวเพื่อลดรายจ่าย ซึ่งเป็นวิธีการที่ดาเนินการอย่างแพร่หลายใน หลายธุรกิจ โดยธุรกิจสายการบินสามารถทาได้ โดยมีรายละเอียดต่อไปนี้  การลดจานวนเที่ยวบิน เป็นที่ทราบกันดีว่า การทาการบินหนึ่งเที่ยวนั้นใช้ต้นทุนมหาศาล ไม่ว่าจะ เป็น ค่าน้ามัน ค่าลูกเรือ ค่าเครื่องช่วยในการเดินอากาศ ค่าลงจอดที่ท่าอากาศยาน (Landing fess) ทาให้ หลาย ๆ สายการบินได้ลดปริมาณเที่ยวบินลง เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณผู้โดยสารที่น้อยลง ตัวอย่างเช่น สาย การบิน Air Asia และ Thai Air Asia ได้มีการปรับลดปริมาณเที่ยวบิน และระงับเที่ยวบิน ระหว่างประเทศ ทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง ทาให้ค่าใช้จ่ายในการดาเนินธุรกิจลดลง 49% เมื่อเทียบกับปีก่อน หน้า แต่ก็ยังไม่สามารถทากาไรในปีนี้ได้อยู่ดี (MoneyGuru, 2563) แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณเที่ยวบินและ เวลาที่ถูกจัดสรรในการขึ้นบิน (Slot) แต่ละครั้งนั้น ถูกกาหนดด้วยข้อกาหนดและกฎของสานักงานการบินพล เรือนในประเทศนั้น ๆ ด้วย กล่าวคือ ปริมาณเที่ยวบินที่ถูกยกเลิกนั้นมีผลต่อการขอจัดสรร Slot ในฤดูกาลบิน
47 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ถัดไป แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ในแต่ละประเทศก็ได้มีการประกาศใช้กฎและข้อกาหนดชั่วคราวที่โอนอ่อนผ่อน ปรนในบางส่วน เพื่อให้สายการบินนั้นยังคงรักษาสิทธิการจัดสรร Slot ของตัวเองไว้ได้ เช่น กฎเดิมกาหนดว่า ห้ามยกเลิกปริมาณเที่ยวบินเกิน 20% ไม่งั้นอาจถูกจากัดสิทธิ Slot ในฤดูกาลบินถัดไป แต่ในช่วงสภาวะวิกฤต นี้ บางประเทศอาจผ่อนปรนเหลือแค่ 10% หรือบางประเทศก็ไม่นาปริมาณเที่ยวบินในช่วงโควิด19 มา พิจารณาในการขอจัดสรรสิทธิ Slot ในฤดูกาลถัดบินถัดไปเลย (วีรปรีย์, 2564)  การปรับลดอัตราเงินเดือนพนักงาน เรียกได้ว่าเป็นสิ่งแรก ๆ ที่สายการบินส่วนใหญ่ และ ธุรกิจอื่น ๆ เลือกที่จะทา เช่น สายการบินไทย (Thai Airways) ปรับลดเงินเดือนพนักงาน 53-57% ถึงสิ้นปีนี้ (isranews, 2564) และ Singapore Airlines ได้ปรับลดเงินเดือนพนักงาน 15%-25% ทาให้มีรายจ่ายโดยรวม ลดลงถึง 30% แม้ พนักงานส่วนมากได้ถูกลดเงินเดือนมามากกว่าหนึ่งปีครึ่งแล้ว นอกจากนี้ยังมีให้การหยุดพัก งานชั่วคราวโดยไม่ต้องชาระค่าจ้าง (Hiring freeze) (Dexter Tilo, 2564) และ Thai Air Asia ซึ่งได้รับ ผลกระทบจากคาสั่งจากสานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ให้สายการบินทุกสายหยุดทาการบิน เส้นทางบินในประเทศในพื้นที่สีแดงเข้ม ทาให้มีการเลื่อนจ่ายเงินเดือนพนักงานในเดือนกรกฎาคม ไปเป็น เดือนกันยายน และมีมาตรการไม่จ่ายเงินเดือน พนักงาน 100% ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพราะบริษัทมีการ หยุดกิจการชั่วคราว และให้พนักงานหยุดปฏิบัติ งาน 100% เพื่อให้เข้าเงื่อนไขการได้รับเงินช่วยเหลือในส่วน ของประกันสังคม (Thansettakij, 2564) อย่างไรก็ตามการปรับ ลดเงินเดือนพนักงานนั้นจะมีกฎหมายแรงงาน เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เมื่อมีการขอปรับลดเงินเดือน ลูกจ้างจะต้องเซ็นเอกสารยินยอมซึ่งจะมีรายละเอียดที่ สาคัญต่าง ๆ ที่ควรทราบ เช่น ปรับลดเท่าไหร่ มีผลถึงระยะเวลาไหน หรือแม้แต่หากกลับสู่สภาวะปกติจะมี การชดเชยรายได้ให้ไหม แต่หากลูกจ้างไม่ยินยอมเซ็นรับการปรับลด เงินเดือน ก็จะขึ้นอยู่กับนโยบายของทาง บริษัทว่าจะจัดการอย่างไร โดยทางบริษัทอาจจะแจ้งเลิกจ้างแทน แต่ทั้งนี้ต้องจ่ายค่าชดเชย และบอกกล่าว ล่วงหน้าตามกฎหมายกาหนด  การลดปริมาณการว่าจ้าง การเลิกจ้างนั้นอาจเกิดขึ้นเป็นอันดับแรก หากตาแหน่งงาน หรือ หน่วยงานของลูกจ้างนั้นไม่มีความจาเป็นมากนัก หรืออาจเกิดขึ้นหลังจากที่ถูกปรับลดเงินเดือนแล้วก็เป็นได้ เช่น Singapore Airlines ปลดพนักงานกว่า 4,300 ตาแหน่ง (Dexter Tilo, 2564) Thai Airways เลิกจ้าง พนักงาน 854 คน ใน เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา (isranews, 2564) และLufthansa ปลดพนักงานประจากว่า 22,000 คน (EWS WIRES, 2563) แต่อย่างไรก็ตาม การเลิกจ้างก็มีกฎหมายแรงงานมาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน โดยหลัก ๆ มี 2 ส่วน คือ 1) ค่าชดเชยกรณีเลิกจ้าง ซึ่ง ขึ้นอยู่กับระยะเวลางาน เช่น หากทางานกับทางบริษัท มาแล้ว 1 - 3 ปีนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง การทางาน 90 วัน ในอัตราสุดท้าย 2) ค่าเสียหายจาก การไม่บอกกล่าวล่วงหน้า โดยทางบริษัทจะต้องจ่ายค่า เสียหายในอัตราเงินเดือนสุดท้าย เสมือนหนึ่งว่ายังคง ทางานอยู่ ค่าเสียหายจะคานวน คิดเป็นระยะเวลาไม่เกินค่าจ้าง 90 วัน (กระทรวงยุติธรรม, 2564)  การชะลอการลงทุน และการลดปริมาณฝูงบิน ในส่วนที่จะช่วยทาให้สายการบินมีเงิน หมุนเวียน (Cash flow) ในธุรกิจมากขึ้นในภาวะวิกฤตเช่นนี้โดยเฉพาะการลดขนาดของฝูงบิน และการยกเลิก คาสั่งซื้อเครื่องบิน เนื่องจากเครื่องบินหนึ่งลานั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าที่จอด (parking fees) ค่า
48 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 บารุงรักษา (Maintainance fees) การอบรมพนักงาน (Training fees) การลดจานวนอากาศยาน นอกจาก จะทาให้ลดรายจ่ายแล้ว ยังสามารถนาเงินที่ได้จากการขายหรือการปล่อยเช่าอากาศยาน มาเพิ่มในกระแส เงินสดได้อีกด้วย เช่น EasyJet ยกเลิกคาสั่งซื้ออากาศยานลาใหม่ Lufthansa ที่นอกจากจะยกเลิกคาสั่งซื้อ อากาศยานลาใหม่แล้ว ยังได้มีการวางแผนจัดการฝูงบินใหม่ (Fleet) โดยคาดว่าจะยกเลิกการใช้เครื่องบิน ขนาดใหญ่นั่นก็คือ A380 ทั้งหมด และหันมาใช้เครื่องบินขนาดเล็กแทน และมีฝูงบินที่มีขนาดลดลง ถึง 20% เช่นเดียวกันกับ Austrain Airlines และ Brussels Airlines ที่มีขนาดฝูงบินลดลงถึง 25% และ 30% ตามลาดับ (Albers & Rundshagen, 2563) ข) กลยุทธ์การถอนตัว (Divestment Strategy) สายการบินที่ขนส่งผู้โดยสารเป็นหลัก (Passenger airlines) มีธุรกิจย่อย (Business unit) ที่ไม่ได้ หลากหลายมากนัก และบางสายการบินก็ไม่ได้ประกอบธุรกิจย่อย หรือหากมีธุรกิจย่อย รายได้หลักก็ไม่ได้มา จากการประกอบธุรกิจย่อยอยู่ดี ซึ่งธุรกิจย่อย อาทิเช่น ครัวการบิน(Catering) โรงซ่อมบารุงอากาศยาน (maintenance, repair and overhaul - MRO) การขนส่งสินค้า(Cargo service) โรงแรม(Hotel) การ ให้บริการเช่ารถ (Car rentals) การให้บริการอากาศภาคพื้น (Ground service) โรงเรียนฝึกอบรมทางด้าน การบิน (School training) และการบริการให้คาปรึกษาเฉพาะด้าน (Consulting) ทาให้เมื่อ สายการบิน จะประยุกต์ใช้กลยุทธ์การถอนตัวอาจเป็นไปได้ยาก แต่ละธุรกิจย่อยจากในตัวอย่างที่กล่าวมา ส่วนมากเป็นธุรกิจเฉพาะทาง เมื่อกลับสู่สภาวะการปกติ แต่ละธุรกิจก็ยังจะกลับมาทาเงินให้สายการบินอยู่ หรือต่อให้สายการบินอยากจะขาย หรือปิดธุรกิจย่อยใน สภาวะวิกฤตก็ทาได้ยากเช่นกัน เพราะลงทุนไปมหาศาล มีกฎหมายและข้อกาหนดต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง และ ล้วนเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความชานาญและความรู้ควบคู่กันไป กล่าวคือ ธุรกิจสายการบินที่ขนส่งผู้โดยสาร เป็นหลัก (Passenger airlines) ที่มีกิจการย่อยไม่ได้มีการยกเลิก หรือปิดกิจการย่อยลงเลย ในช่วงวิกฤติ โค วิด19 นี้ แต่กลับหันมาให้ความสนใจกับธุรกิจย่อยด้วยซ้า ซึ่งขัดกับหลักกลยุทธ์การถอนตัว (Divestment Strategy) ที่จะตัดธุรกิจย่อย และให้ความสนใจกับธุรกิจหลัก กล่าวคือ ในสายการบินที่ขนส่งผู้โดยสารเป็นหลัก (Passenger airlines) มีธุรกิจหลักคือ การ ขนส่งผู้โดยสารนั่นเอง แต่สายการบินกลับให้ความสนใจธุรกิจย่อยตัวหนึ่งอย่างมาก คือ การบริการขนส่งสินค้า ทางอากาศ (Air cargo service) แม้แต่บางสายการบินที่ไม่เคยรับขนส่งสินค้าก็หันมารับส่งสินค้าแทน ผู้โดยสารชั่วคราว และบางสายการบินได้เปลี่ยนจากการขนส่งผู้โดยสารเป็นหลักมาเป็นขนส่งสินค้าเป็นหลัก ชั่วคราว โดยใช้พื้นที่ในห้องโดยสาร (Cargo in cabin) เรียกได้ว่า เหมือนเป็นทางรอดทางเดียวที่จะทาให้มี กระแสเงินสดไหลเข้าบริษัทเรื่อย ๆ ท่ามกลางการจากัดการเดินเลยก็ว่าได้ ตัวอย่างเช่น Emirates ได้ขนส่ง สินค้าในห้องโดยสารกว่าหนึ่งปีเต็ม ซึ่งสินค้าส่วนมากเป็น PPE และเวช พันธ์ต่าง ๆ (Rungpisit, 2563) Air Canada ได้นาเก้าอี้ผู้โดยสารออก 422 ที่นั่ง และเปลี่ยนเป็นพื้นที่ขนส่งสินค้าชั่วคราว (Efin
อย่างไรก็ตาม การขนส่งสินค้าในพื้นที่ในห้องโดยสาร (Cargo in cabin) มีความเสี่ยงและมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามมา อาทิ ความเสี่ยงที่สินค้าจะทาให้ที่นั่ง และ In-flight entertainment เสียหายและไม่สามารถเบิกเคลม จากประกันได้ เพราะสาเหตุนั้นไม่ได้มาจากการใช้งานปกติ หรือถ้าสายการบินเลือกที่จะถอดเก้าอี้ผู้โดยสาร
Review, 2563)
49 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ออกชั่วคราวก็มีค่าใช้จ่ายในการถอดและใส่อย่างถูกวิธีเช่นเดียวกัน เพราะหากว่าเก้าอี้เหล่านั้นเสียหายก็จะ กลายเป็นภาระทางการเงินของสายการบินอีก หรือจะเป็นความเสี่ยงที่เที่ยวบินจะดีเลย์ เพราะการระวาง สินค้าบนห้องโดยสารนั้นใช้เวลานานกว่าระวางสินค้าใต้ท้องเครื่อง จากที่กล่าวมา สายการบินจะต้องพิจารณา ถึงข้อจากัดเหล่านี้แล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจในการจนสินค้าทางอากาศโดยใช้พื้นที่ในห้องโดยสาร (Cargo in cabin) ค) กลยุทธ์การละทิ้ง (Liquidation Strategy) ธุรกิจสายการบินเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนมหาศาล แต่ก็มีเงินหมุนเวียนสูงเช่นกัน (Cash flow) และ สายการบินก็ใช้เงินส่วนนี้เองในการชาระหนี้ และใช้จ่ายค่าใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ เมื่อเกิดวิกฤตโควิด19 ทา ให้ปริมาณผู้โดยสารลดลงเป็นจานวนมาก สายการบินจึงแทบจะไม่มีเงินหมุนเวียนเพียงพอในการใช้จ่ายภาระ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ บางสายการบินยังคงสู้ต่อพอไหว โดยการขนส่งสินค้าแทนผู้โดยสาร แต่บางสายการบินไม่ สามารถดาเนินธุรกิจได้ต่อไป ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เช่น มีการขาดทุนสะสมเป็นจานวนมาก ไม่มีทุนมาก พอในการพยุงธุรกิจ อาทิเช่น Thai Airways ได้มีการยื่นล้มละลาย เพื่อเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ ในปี พ ศ. 2563 มีหนี้สินรวมสูงถึง 354,494 ล้านบาท Avianca Airlines สายการบินที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในแถบ ละตินอเมริกาได้ยื่นล้มละลายจากพิษการเงินจากผลกระทบโควิด19 Virgin Australia Airlines สายการบิน ใหญ่อันดับ 2 ของออสเตรเลียประกาศล้มละลาย เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น สายการบินเหล่านั้นยังคงเปิดให้บริการอยู่ เนื่องจากขอยื่นแผนฟื้นฟู กิจการ แต่บางสายการบินก็ได้ปิดตัวลงทันที เช่น Flybe สายการบินสัญชาติอังกฤษ ประกาศล้มละลายและ ปิดกิจการในปี 2563 Trans States Airlines ได้ลงจอดเที่ยวบินสุดท้ายที่สนามบินนานาชาติเดนเวอร์ เมื่อ เมษายน 2563 หลังจากนั้นประกาศยุติกิจการและปิดตัวลงในที่สุด สายการบิน Trans
เป็นสายการบินแรกในสหรัฐที่ประสบปัญหาจากผลกระทบโควิด19
นั้นใช้ทุนและเวลามหาศาลในการสร้างชื่อเสียงและความเชื่อมั่นจากผู้โดยสาร จึงไม่ง่ายเลยที่จะใช้กลยุทธ์ ละทิ้งนี้ เพราะจะทาให้เสียความเชื่อมั่น และชื่อเสียงในการประกอบกิจการในภายภาคหน้า นอกจากนี้ยังจะทาให้บุคลากรทางด้านการบินตกงานเป็นจานวนมากในเวลาพร้อม ๆ กันอีกด้วย และบางสายการบินนั้นเป็นสายการบินแห่งชาติ จึงยากเข้าไปอีกที่จะล้มละลายในสายตามวลชน ทาให้หลาย สายการบินเลือกที่จะยื่นแผนฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้ยังมีโอกาสในการดาเนินธุรกิจและรอดพ้นสภาวะวิกฤตนี้ไปได้ ยกตัวอย่างเช่น Japan Airlines สายการบินที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ได้เข้ายื่นล้มละลายเมื่อปี พ ศ. 2563 และได้ใช้เวลาเพียง 2 ปีในการฟื้นฟูกิจการ และสามารถทากาไรได้อย่างปกติ (Efin Review, 2563) อย่างไร ก็ตาม การใช้แผนฟื้นฟูกิจการไม่ได้รับประกันว่าธุรกิจจะกลับมาทากาไรได้อย่างแน่นอน 4. สรุปผล ธุรกิจสายการบินได้รับผลกระทบเป็นอย่างหนักจากการแพร่ระบาดโควิด19 ทาให้สายการบินต้องนากล ยุทธ์การถดถอยทั้ง 3 ระดับมาประยุกต์ใช้ ซึ่งการใช้เพียงกลยุทธ์ถดถอยนั้นอาจไม่เพียงพอ โดยนอกจากลด
States Airlines นี้ถือ
(Efin Review, 2563) ธุรกิจสายการบิน

5. References

กระทรวงยุติธรรม. (2564). กฎหมายน่ารู้ตอนที่ 289: “ถูกให้ออกจากงาน ลูกจ้างต้องได้รับค่า ชดเชย”. สืบค้น พฤศจิกายน 6, 2564, จาก https://www.moj.go.th/view/56613 กรุงเทพธุรกิจ (2564). IATA คาดสายการบินทั่วโลก ขาดทุน 1.2 หมื่นล้านดอลล์ปี 65. สืบค้น ตุลาคม 29, 2564, จาก https://www.bangkokbiznews.com/news/964030 ณัฐพงษ์ ประกอบการดี (2564). Airline Business. สืบค้น ตุลาคม 29, 2564, จาก https:// drive.google.com/drive/u/0/folders/1Oirbi9Ex-boN1adtYnDFDnSbyhjpcqaj ถนัดกิจ จันกิเสน. (2564). ซื้อครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์! United Airlines ไม่แคร์โควิด สั่งซื้อ เครื่องบิน ใหม่ทีเดียว 270 ลา มูลค่ากว่า 1.1

50 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 รายจ่ายแล้ว ยังควรต้องมีกลยุทธ์ในการเพิ่มรายได้ควบคู่กันไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจยังคงดาเนิน อยู่ต่อไปได้บางสายการบินใช้เพียงระดับที่ 1 ก็เพียงพอ หรือบางสายการบินเดินทางมาถึงระดับที่ 3 ก็ต้องปิด ตัวลง หรือยื่นแผนฟื้นฟูกิจการ อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นั้นเป็นเพียงหลักการในการบริหาร ไม่ใช่กฎหรือข้อ กฎหมายตายตัวที่เราต้องยึดถือและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทาให้การประยุกต์ใช้กลยุทธ์ในธุรกิจบนโลกแห่ง ความจริง ต้องพิจารณาถึงปัจจัยหลาย ๆ ด้าน และนามาปรับใช้ให้เหมาะสมกับธรรมชาติของแต่ละธุรกิจ (Nature of Business) อย่างในกรณีกลยุทธ์การถดถอยระดับที่ 2 แม้ธุรกิจสายการบินจะไม่ได้ปฏิบัติตามหลักกลยุทธ์นั้น ๆ เพราะถูกพิจารณาแล้วว่า มีทางเลือกอื่นที่ตอบโจทย์มากกว่า ไม่คุ้มค่า และไม่เหมาะสมที่จะนาหลักการนั้น มาประยุกต์ใช้ก็ไม่ได้ผิดหลักเกณฑ์ข้อใด การไม่ทาตามหลักกลยุทธ์นั้นไม่ผิด แต่การไม่เข้าใจและไม่ยอมรับถึง ปัญหาของธุรกิจในตอนนั้น ๆ ต่างหากที่เป็นตัวอันตราย และอาจทาให้ต้องเสียธุรกิจนั้นไปในที่สุด 4.1 ประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อเป็นแนวทางของธุรกิจสายการบินในการตระหนักรู้และรับมือกับสภาวะวิฤตให้ได้มีประสิทธิภาพ มากที่สุด กล่าวคือ ขยายทักษะและขีดความสามารถการเรียนรู้ ลดสิ่งที่ฉุดรั้งองค์กรให้ไม่มีประสิทธิภาพ ลด ความเสี่ยงในการดาเนินธุรกิจ เพื่อให้มีความรวดเร็วและแน่ชัดว่าจะรับมือกับวิกฤตในทิศทางใด ให้มี ผลกระทบทั้งทางด้านเศรษฐกิจน้อยที่สุด (อัตราการจ้างงาน) และธุรกิจอยู่รอดในภาวะวิกฤตอย่างยั่งยืน
ศรีวัฒนากร. (2564). TIMESLOT. สืบค้น พฤศจิกายน 6,
จาก
สันติสุข คล่องใช้ยา.
สายการบินไทย แอร์เอเชีย ปรับเเผนไตรมาส
หยุดบินชั่วคราวตาม มาตรการ รัฐ สืบค้น พฤศจิกายน
ล้านล้านบาท. สืบค้น พฤศจิกายน 6, 2564, จาก https:// thestandard.co/united-airlines-ordered-270-planes/ วีรปรีย์
2564,
https:// drive. google. com/drive/u/0/folders/1_E92c3M38Iz8i1VXNRwnHzQ855rWsbGg
(2564).
3
6, 2564, จาก https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/ TCATG21081 5180207496

ชาญวรีกูล. (2563). ประกาศกระทรวงสาธารณสุข สืบค้น ตุลาคม 29, 2564, จาก http:// www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/048/T_0001.PDF

Airport Council International (ACI). (2564). The impact of COVID-19 on the airport business and the path to recovery. สืบค้น ตุลาคม 29, 2564, จาก https://aci.aero/2021/07/14/ the-impact-of-covid-19-on-the-airport-business-and-the-path-to-recovery-2/ Albers, S., Rundshagen, V. (2563). European airlines′ strategic responses to the COVID-19 pandemic (January-May, 2020). สืบค้น พฤศจิกายน 6, 2564, จาก https://www.ncbi.nlm nih.gov/pmc/articles/PMC7363596

Business Jargons. (ม ป ป.). Turnaround Strategy. สืบค้นพฤศจิกายน 6, 2564, จาก https://business jargons.com/turnaround-strategy.html

Business Jargons. (ม ป ป.). Divestment Strategy. สืบค้น พฤศจิกายน 6, 2564, จาก https:// businessjargons.com/divestment-strategy.html

Business Jargons. (ม.ป.ป.). Liquidation Strategy. สืบค้น พฤศจิกายน 6, 2564, จาก https:// businessjargons.com/liquidation-strategy.html

Dexter Tilo. (2564). Singapore Airlines ceases wage cuts for staff. สืบค้น พฤศจิกายน 6, 2564, จาก https://www.hcamag.com/asia/news/general/singapore-airlines-ceases-wage-cuts for-staff/302414

EWS WIRES. (2563). German airline Lufthansa to cut 22,000 jobs amid Covid-19 downturn. สืบค้น พฤศจิกายน 6, 2564, จาก https://www.france24.com/en/20200611-german airlinelufthansa-to-cut-22-000-jobs-amid-covid-19-downturn

Efin Review. (2563). 7 สายการบินโลกล้มละลาย เซ่นโควิด สืบค้น พฤศจิกายน 7, 2564, จาก https:// www.efinancethai.com/efinReview/efinReviewMain.aspx?release=y&name=er_202006 041506

Harry, R. (2564). A year of cargo-in-the-cabin flights at Emirates SkyCargo. สืบค้น พฤศจิกายน 7, 2564, จาก https://www.aircargonews.net/airlines/a-year-of-cargo-in-the-cabin flightsat-emirates-skycargo Isranews. (2564). ตัดรายจ่าย! ‘การบินไทย’ แจ้งลดเงินเดือนพนง. 53-57% ถึงสิ้นปี 64-เลิกจ้างอีก 860 คน สืบค้น พฤศจิกายน 6, 2564, จาก https://www.isranews.org/article/isranews-news /99888- TG-THAI-Rehabilitation-plan-lay-off-staff-salary-reduction-news.html Mazareanu, E. (2564). Global air traffic - scheduled passengers 2004-2022. สืบค้น พฤศจิกายน 5, 2564, จาก https://www.statista.com/statistics/564717/airline-industry-passenger traffic-globally/

51 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
อนุทิน

Mazareanu, E. (2564). Air traffic - worldwide revenue with passengers 2005-2022. สืบค้น พฤศจิกายน 5, 2564, จาก https://www.statista.com/statistics/263042/worldwiderevenuewith-passengers-in-air-traffic/ MoneyGuru. (2563). 8 ข้อต้องรู้นายจ้างมีสิทธิขอลดเงินเดือนหรือไม่ ในช่วงวิกฤตไวรัสโควิด-19 ระบาด. สืบค้น พฤศจิกายน 6, 2564, จาก https://www.moneyguru.co.th/lifestyle/articles/นายจ้างมี สิทธิขอลดเงินเดือนหรือไม่ Pair, K. (2561). Retrechment Strategy คืออะไร? (กลยุทธ์การหดตัว). สืบค้น พฤศจิกายน 6, 2564, จาก https://greedisgoods.com/retrenchment-strategy-คือ/ Rungpisit Vorakamnueng. (2563). Airlines Across the Globe Carry Cargo via Passenger Planes as They Navigate Through the COVID-19 Crisis. สืบค้น พฤศจิกายน 7, 2564, จาก https:// imanidevelopment.com/covid-19-how-is-the-air-cargo-industry-reacting-andresponding-by jarrod-patrick/ Sirichaiwatt. (2021). กลยุทธ์สาคัญวันกิจการถดถอย. สืบค้น พฤศจิกายน 6, 2564, จาก https:// sirichaiwatt.com/บทความธุรกิจ/การบริหาร-การจัดการ/กลยุทธ์ถดถอย

THE BRIEFCASE. (2020). รู้จัก “กลยุทธ์หดตัว” เทคนิครับมือวิกฤติสาหรับผู้บริหาร. สืบค้น พฤศจิกายน 6, 2564, จาก https://www.blockdit.com/posts/5fb1e2521913990cbbabeb90 Thansettakij. (2564). หมดหน้าตักแล้ว“ไทยแอร์เอเชีย”ประกาศไม่จ่ายเงินเดือน พนักงาน100%ส ค นี้ สืบค้น พฤศจิกายน 6, 2564, จาก https://www.thansettakij.com/business/ 489883

World Health Organization. (2563). COVID-19 - China สืบค้น ตุลาคม 29, 2564, จาก https://www who.int/emergencies/disease-outbreak-news/item/2020-DON233

Worldometers. (2564). COVID-19 CORONAVIRUS PANDEMIC. สืบค้น ตุลาคม 29, 2564, จากhttps: //www.worldometers.info/coronavirus/

World Health Organization. (2563). WHO Director-General's opening remarks at the media briefing on COVID-19 - 11 March 2020. สืบค้น ตุลาคม 29, 2564, จาก https://www. who.int/director-general/speeches/detail/who-director-general-s-opening remarks-atthe-media-briefing-on-covid-19 11-march-2020

World Health Organization. (2564). Coronavirus disease (COVID-19) questions and answers (general) สืบค้น ตุลาคม 29, 2564, จาก https://www.who.int/thailand/emergencies/ novel-coronavirus-2019/q-a-on-covid-19/q-a-on-covid-19/q-a-on covid-19-general

52 กลยุทธ์การหดตัวในธุรกิจสายการบินในช่วงวิกฤตโควิด-19 การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN
978-616-7754-78-9

University of Technology Thanyaburi, Thailand

Northern Aviation Services co., ltd., Thailand Email: 1apisit.s@en.rmutt.ac.th, 2phanida.sedthanan@gmail.com 3Aoftachapong190995@gmail.com

53 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน A Student Performance Testing Through an Aircraft Maintenance Simulation Program. 1อภิสิทธิ์ ศรีวรรณ์, 2พนิดา เศรษฐานันท์ และ 3ธัชพงศ์ ทองโอฬาร 1Apisit
2
3
1,2มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี, 3บริษัท นอร์ทเทิร์น เอวิเอชั่น เซอร์วิสเซส จากัด 1,2Rajamangala
บทคัดย่อ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาCOVID-19ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการศึกษาทุกระดับทั่วโลก ทา ให้สถาบันศึกษาเกือบทุกแห่งทั่วโลกต้องปิดการเรียนการสอน เป็นผลกระทบต่อเนื่องอย่างกว้างขวางจาก นักศึกษาที่ไม่สามารถมามหาวิทยาลัยฯได้ แต่การเรียนการสอนต้องดาเนินงานต่อ เพื่อคุณภาพทางการศึกษา นั่นคือคุณภาพของประชากรในอนาคต จึงทาให้สถาบันการศึกษาทุกระดับมีการปรับการเรียนการสอนใน หลายรูปแบบ เกิดนวัตกรรมทางความคิดรูปแบบใหม่ให้นักศึกษาสามารถเรียนได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม โดย ใช้แนวคิดทางการเรียนการสอนโดยใช้สี่อออนไลน์ รูปแบบโปรแกรมจาลอง เข้ามาเป็นส่วนช่วยแก้ปัญหา ทางการเรียนการสอน บทความทางวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยานพื้นฐาน สาหรับใช้ในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน เพื่อการทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อม บารุงอากาศยานเนื่องจากนักศึกษาที่เข้าเรียนระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หลักสูตรวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์อากาศยานที่ผ่านมา เป็นการเรียนในรูปแบบออนไลน์จึงมีการพัฒนาสื่อการ เรียนการสอนเพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาเกิดทักษะการเรียนรู้สื่อการสอนที่ช่วยให้นักศึกษาเกิดทักษะ เช่น การลง มือปฏิบัติผ่านโปรแกรมจาลองการตรวจสอบอากาศยาน(Aircraft inspection )และการซ่อมบารุงอากาศยาน (Aircraft Maintenance) รวมถึงการวางแผนหรือจดบันทึกประวัติการใช้งานและซ่อมบารุง( Aircraft Logbook) ทั้งนี้การจาลองการปฏิบัติงานด้วยโปรแกรมจาลอง ยังเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนลงมือปฏิบัติ กับเครื่องมือหรืออุปกรณ์จริง และช่วยลดการเกิดอันตรายเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ช่วยให้นักศึกษาเกิด การเรียนรู้ที่ชัดเจน เกิดประสบการณ์ และทักษะเฉพาะตน สามารถนาองค์ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ไปปรับใช้ และต่อยอดในการประกอบอาชีพในอนาคต คาสาคัญ: การทดสอบสมรรถนะ; โปรแกรมจาลอง; การตรวจสอบอากาศยาน; การซ่อมบารุงอากาศยาน
Sriwan,
Phanida Sedthanan and
Tatchapong Thong-o-lran
3

Abstract

Covid-19 virus outbreak It has a severe impact on education at all levels around the world. Almost every school in the world has to close teaching. It's a broad impact. from students who cannot come to the university But teaching must continue. For the quality of education, that's the quality of the future population. Therefore, educational institutions at all levels have to adjust teaching and learning in many ways, creating new ideas and let students learn no matter what teaching concept you use, use 4 online simulator formats as part of your teaching solution. This academic article aims to develop a basic aircraft maintenance simulation program for use in the development of teaching materials. To test students' performance through an aircraft maintenance simulator. Because students who enter a bachelor's degree Rajamangala University of Technology Thanyaburi in the past, Aircraft Electronics Engineering Program is an online course Therefore, teaching materials have been developed to encourage students to develop learning skills. Teaching materials that help students develop skills such as hands-on exercises through simulation programs. Aircraft inspection and aircraft maintenance, including planning or recording history of use and maintenance (Aircraft Logbook). It is also a preparation before starting to practice using the actual tool or equipment. And it reduces the incidence of damage to life and property, allowing students to have a clear learning experience and personal skills to apply the knowledge gained from Learn to implement and build your future career.

Keywords: Performance Testing; Simulation Program; Aircraft Inspection; Aircraft Maintenance

978-616-7754-78-9

54 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN
1. บทนา จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในปลายปี 2562 องค์การอนามัยโลก(World Health Organization:WHO)ได้ประกาศตั้งชื่ออย่างเป็นทางการสาหรับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า COVID-19 ซึ่งย่อมาจาก "coronavirus disease starting in 2019” ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการศึกษา ทุกระดับทั่วโลก ทาให้สถานศึกษาเกือบทุกแห่งทั่วโลกต้องปิดการเรียนการสอน ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่อง อย่างกว้างขวาง และเกิดความเปลี่ยนแปลงของโลกการศึกษาจากวิกฤติ COVID-19 คือ จากนักศึกษาที่ไม่ สามารถมาโรงเรียนได้ แต่การเรียนการสอนต้องดาเนินงานต่อไป เพื่อคุณภาพทางการศึกษาของนักศึกษา นั่น ก็คือคุณภาพของประชากรในอนาคต จึงทาให้สถาบันการศึกษาทุกระดับมีการปรับการเรียนสอนในหลาย รูปแบบ เกิดนวัตกรรมทางความคิดรูปแบบใหม่ทางการเรียนการสอน ให้นักเรียนสามารถเรียนได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ ไหนก็ตาม โดยใช้แนวคิดทางการเรียนการสอนทางไกลโดยใช้สื่อออนไลน์ เข้ามาเป็นส่วนช่วยแก้ ปัญหา ทางการเรียนการสอน การทางานก็เช่นเดียวกัน ทั้งบุคลากรทางการศึกษา ครู อาจารย์และพนักงานก็ทางานที่
55 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 บ้าน แต่ไม่สามารถดาเนินงานได้สมบูรณ์ เพราะข้อจากัดทางการสื่อสารและเทคโนโลยีที่เข้าไม่ถึงในบางพื้นที่ ผลกระทบต่อทางการศึกษาครั้งนี้ มีผลโดยตรงต่อนักศึกษาซึ่งเป็นกาลังของชาติ และส่งผลกระทบในระยะยาว ทาให้เกิดระบบการจัดการศึกษาในรูปแบบใหม่ สถาบันการศึกษาทุกระดับต้องปรับตัวในสถานการณ์ปัจจุบัน และต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เพื่ออนาคตทางการศึกษา หรือ ความปกติ ใหม่ของการศึกษาต่อไป โลกในยุคศตวรรษที่ 21 เป็นยุคที่ความรู้และข้อมูลข่าวสารมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาโดยเฉพาะทางด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ของทุกภูมิภาคของโลกเข้า ด้วยกัน ทาให้เกิดเครื่องมือที่หลากหลายในการเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ทั้งในเชิงวิชาการและในเชิงบันเทิง การพัฒนาเครื่องมือการเข้าถึงเนื้อหาดังกล่าว ส่งผลให้เยาวชนที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียนเปลี่ยนแปลงวิธีการ ดาเนินชีวิตและการเรียนในแต่ละวัน ซึ่งแตกต่างไปจากเยาวชนในยุคก่อนอย่างมาก ซึ่งการพัฒนาประเทศ สู่ความสมดุลและยั่งยืนจะต้องให้ความสาคัญกับการพัฒนาคนในประเทศ ให้เข็มแข็งพร้อมรับกับ การเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคศตวรรษที่ 21 การศึกษาจึงจาเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตาม การ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของตัวผู้เรียน หากการศึกษายังหลงติดอยู่กับสิ่งเดิมที่เคยใช้ได้ผลในยุคเก่า ย่อมจะ ส่งผลให้การเรียนรู้ของผู้เรียนไม่สอดคล้องกับโลกที่เป็นจริงทั้งในปัจจุบันและในอนาคตที่จะยิ่งเข้มข้นขึ้น (สุทธิ วรรณ ตันติรจนาวงศ์, 2560) ซึ่งการเรียนรู้ต้องไม่ใช่สถานการณ์สมมติในห้องเรียน แต่ต้องออกแบบการเรียนรู้ให้ได้เรียนในสภาพที่ ใกล้เคียงชีวิตจริงที่สุด หรือการลงมือปฏิบัติที่เสมือนจริง เกิดการสั่งสมประสบการณ์ใหม่เอามาโต้แย้งความเชื่อ หรือค่านิยมเดิม ทาให้ละจากความเชื่อเดิมหันมายึดถือความเชื่อ หรือค่านิยมใหม่ ที่เรียกว่ากระบวนทัศน์ใหม่ ทาให้เป็นคนที่มีความคิดเชิงกระบวนทัศน์ที่ชัดเจน และเกิดการเรียนรู้เชิงกระบวนทัศนใหม่ได้ ทั้งนี้จาเป็นต้อง มีความสามารถในการรับรู้ข้อมูลหลักฐานใหม่ และนามาสังเคราะห์เป็นความรู้เชิงกระบวนทัศน์ใหม่ ข้อสาคัญ สาหรับคนที่จะเรียนรู้ได้ต้องเกิดประเด็นคาถามอยากรู้ก่อนจึงจะอยากเรียน ไม่ใช่ครูอยากสอนเพียงฝ่ายเดียว แต่นักเรียนยังไม่มีประเด็นที่ไม่อยากรู้ ดังนั้นการออกแบบสถานการณ์การเรียนรู้จึงควรใช้บริบท สภาพแวดล้อมที่นักเรียนคุ้นเคยและรู้จัก สิ่งที่ได้จากคาถามอยากรู้ของนักเรียนจะทาให้ครูเห็นความแตกต่าง ของพื้นฐานความรู้และพื้นฐานประสบการณ์เดิมของนักเรียนได้เป็นรายบุคคล (สานักบริหารงานการ มัธยมศึกษาตอนปลาย สพฐ., 2560) กรอบแนวคิดเชิงมโนทัศน์สาหรับทักษะแห่งศตวรรษที่21 เป็นที่ยอมรับในการสร้างทักษะการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง เนื่องด้วยเป็นกรอบแนวคิดที่เน้นผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้เรียน ทั้ง ในด้านความรู้สาระวิชาหลัก (Core Subjects) และทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่จะช่วยผู้เรียนได้เตรียมความ พร้อมในหลากหลายด้าน รวมทั้งระบบสนับสนุนการเรียนรู้ ได้แก่มาตรฐานและการประเมินหลักสูตรการเรียน การสอน การพัฒนาครู สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเรียนในศตวรรษที่ 21 (วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง และ อธิป จิตตฤกษ์, 2554) ซึ่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต้อง “ก้าวข้ามสาระวิชา” ไปสู่การเรียนรู้ “ทักษะเพื่อ การดารงชีวิตในศตวรรษที่ 21” (21st Century Skills) ที่ครูต้องออกแบบการเรียนรู้และอานวยความสะดวก
56 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 (Facilitate) ในการเรียนรู้ ให้นักเรียนเรียนรู้จากการเรียนแบบลงมือทา แล้วการเรียนรู้ก็จะเกิดจากภายในใจ และสมองของตนเอง (วิจารณ์ พานิช, 2555) การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน เดิมใช้สาหรับการฝึกจาลอง การบินเท่านั้น ดังนั้นการพัฒนาในส่วนงานซ่อมบารุงอากาศยาน ก็สามารถจาลองสถานการณ์ การ ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาของอากาศยานได้ตามที่ต้องการอาจมีข้อจากัดบางประการ เช่นการใช้เครื่องมือ เฉพาะทางหรือการซ่อมอากาศยานเชิงพาณิชย์ ที่มีความหลากหลายทางวิศวกรรมที่ซับซ้อน รวมทั้งการ วิเคราะห์ประเมินผลวางแผนการซ่อมบารุงอากาศยานการบันทึกหรือการทาตามคู่มือที่ควรปฏิบัติ เป็นส่วน หนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพทักษะของผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ที่สามารถวัดผลจากการลงมือปฏิบัติงานจริงได้ ตามรายวิชาที่หลักสูตรกาหนดและตามมาตรฐานการซ่อมบารุงอากาศยาน เพื่อการพัฒนากาลังคนเพื่อ กาลังคนพัฒนาชาติ นี้คือจุดเล็ก ๆ ในการเริ่มต้นพัฒนาสื่อการเรียนการสอนสาหรับใช้เตรียมความพร้อมก่อน การลงมือปฏิบัติงานกับเครื่องมืออุปกรณ์อากาศยานของจริง และมีแผนการพัฒนานรูปแบบอื่น ๆ ต่อไปใน อนาคต 1.1 วัตถุประสงค์ 1) พัฒนาโปแกรมเพื่อใช้ทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านระบบจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน สาหรับการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ 2) เตรียมความพร้อมด้านงานอากาศยานผ่านโปรแกรมจาลองสาหรับงานซ่อมบารุงอากาศยาน 2 รูปแบบ คือ การตรวจสอบอากาศยาน และการจาลองพื้นฐานการซ่อมบารุงอากาศยาน 3) พัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้สามารถใช้งานกับงานซ่อมบารุงอากาศยานจริง โดยการทางานเป็น ในรูปแบบการเล่นเกมส์ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุและความเสียหายต่ออุปกรณ์และเครื่องมือ 4) เพื่อเพิ่มทักษะและความรู้ให้กับนักศึกษาก่อนลงปฏิบัติงานกับเครื่องบินจริง รวมทั้งเป็นการสร้าง ความคุ้นเคยกับงานทางด้านอากาศยานผ่านโปรแกรมจาลอง 1.2 กรอบแนวคิด การพัฒนาโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยานพื้นฐานสาหรับการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน แบ่งการใช้โปรแกรม เพื่อการจาลองอากาศยาน 3 แบบ คือ Cessna 172, Piper PA-28 Cherokee และ Boeing 737 โดยแบ่งเป็นการจาลองพื้นฐาน 2 ประเภทคือ ตรวจสอบอากาศยาน (Aircraft inspection )และ การซ่อมบารุงอากาศยาน (Aircraft Maintenance) ทุกขั้นตอนมีการทาเอกสารตามขั้นตอนเพื่อให้เกิดการ เรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติสาหรับเพิ่มทักษะความชานาญ ก่อนการลงปฏิบัติงานกับเครื่องบินทั้งสามแบบมี ขั้นตอนการเตรียมการดังนี้
57 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 1: แนวคิดการพัฒนาโปรแกรมจาลองสาหรับซ่อมบารุงอากาศยาน ขั้นตอนการปฏิบัติผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุง จาลองมาจากการทางานในภาคพื้นดินเป็น พื้นฐานสาหรับช่างอากาศยาน โดยเริ่มตั้งแต่การประชุมงานที่ได้รับมอบหมาย วางแผนงาน การให้ข้อคิดเห็น ในงานที่จะทา อาทิเช่น การสั่งงานตรวจสอบและซ่อมบารุงใบพัดอากาศยาน
ใบสั่งงาน ถึงจะไปทาขั้นตอนการตรวจสอบอากาศยานและการซ่อมบารุง มีการทารายงานผล รวมถึง แบบทดสอบตามใบงาน กรณี จาลองสถานการณ์ที่ต้องวิเคราะห์และแก้ไขตามใบงาน สุดท้ายนักศึกษาต้อง สรุปผลการทางานและปัญหาพร้อมทั้งสามารถส่งต่องานที่ทาให้ผู้อื่นได้ทางานต่อไปได้ 1.3 เครื่องมือที่ใช้ศึกษา การใช้ต้นแบบโปรแกรมจาก Flight Simulator Prepar3D V4 Lockheed Martin สาหรับการจัดทา รูปแบบการเตรียมความพร้อมเดินอากาศของเครื่องบิน 3 รุ่น ที่สามารถจาลองเพื่อให้เกิดกิจกรรมการใช้งานที่ สมจริง โดยรูปแบบจะเป็นการใช้งานร่วมกันระหว่างอาจารย์และนักเรียน ระบบโปรแกรมมีการเปลี่ยนคาสั่ง เพื่อให้สามารถเข้าถึงฟังก์ชันพื้นฐานได้ และนาการเล่นเกมส์มาช่วยในการออกแบบสื่อการเรียนการสอน
นักศึกษาจะต้องค้นหาคู่มือ ประจาอากาศยานประเภทนั้น ๆ เพื่อวางแผนการใช้เครื่องมือรวมถึงการเบิกเครื่องมือ สาหรับการทางานตาม
58 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 2: โปรแกรมFlight Simulator Prepar 3D V4 Lockheed Martin หลักการพัฒนาโปรแกรมสร้างรูปแบบการเรียนการสอนจากโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ในรูปแบบการ จาลองการบินนามาทาใบงานเพิ่มในส่วนของงานซ่อมบารุงหรือการเรียนรู้สาหรับช่างอากาศยานและที่สาคัญ คือการลดต้นทุนจาการซื้อ License ทาให้สามารถเพิ่มจานวนการทดสอบรวมถึงส่งต่อโปรแกรมขนาดเล็กกว่า ต้นฉบับให้นักศึกษาได้ทดสองใช้งานในรูปแบบการทดสอบพื้นฐานเท่านั้นทั้งนี้ยังสามารถทาการปรับแต่ง โปรแกรมหรือที่เรียกว่า Microcontroller Code ให้เหมาะสมกับงานที่จะทาสื่อในการเรียนการสอนประเภท ออนไลน์หรือการเตรียมความพร้อมก่อนจะปฏิบัติงานจริง ถือเป็นการทดสอบ รูปแบบเสมือนเกมส์ เป็นการกระตุ้นการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาพที่ 3: ติดตั้งโปรแกรม IVAOและการแก้ MTL องค์การการบินเสมือนจริงระหว่างประเทศ(Iinternational Virtual Aviation Organisation) IVAO เป็น องค์การไม่แสวงหาผลกาไรซึ่งดาเนินการเครือข่ายโปรแกรมจาลองการบินออนไลน์เครือข่ายแบบไม่คิด ค่าบริการ (free-of-charge) โดยผู้ใช้งานที่สมัครสมาชิกสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่าย IVAO ได้ไม่ว่าจะใน สถานะผู้ควบคุมจราจรทางอากาศเสมือนจริงหรือนักบินเสมือนจริง และสามารถมีส่วนร่วมรวมถึงมีปฏิสัมพันธ์ กับผู้อื่นในสภาพแวดล้อมแบบหลายผู้เล่น (multiplayer) ซึ่งมีการใช้ประโยชน์จากวลีศาสตร์และเทคนิคการ เดินอากาศลักษณะเดียวกันกับในโลกความเป็นจริง MTL เป็นไฟล์วัสดุ OBJไฟล์การตั้งค่าวัสดุที่ใช้โดยแอป
59 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 พลิเคชันการแก้ไขวัตถุ 3 มิติ จัดเก็บด้วยไฟล์. OOBJ และอธิบายวิธีนาพื้นผิวมาใช้กับวัตถุ เช่นเดียวกับการวาง ตาแหน่ง 3D ของพื้นผิว วิธีแก้ปัญหาไฟล์ MTLเชื่อมโยงส่วนขยายไฟล์ MTL กับแอปพลิเคชันที่ถูกต้อง บน Windowsคลิกขวาที่ไฟล์ MTL ใด ๆ จากนั้นคลิก "Open with" > "Choose another app" ตอนนี้เลือก โปรแกรมอื่นและทาเครื่องหมายที่ช่อง "Always use this app to open *.MTL files"Mac:คลิกขวา (หรือ Ctrl-click) ไฟล์ MTL จากนั้นคลิก "Open with" > "Other..." จากนั้นเลือกโปรแกรมอื่นและทาเครื่องหมาย ที่ช่อง "Always Open With"Linux:คลิกขวาที่ไฟล์และเลือก "Open with" แล้วเลือกโปรแกรมอื่นที่ควรเปิด MTL เป็นไฟล์วัสดุ OBJ เพราะเฉพาะรุ่นปัจจุบันรองรับรูปแบบไฟล์ MTL ล่าสุดเพื่อให้แน่ใจว่าไฟล์ MTL ของ คุณไม่เสียหายหรือติดไวรัสให้รับไฟล์อีกครั้งและสแกนด้วยซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส 2. วิธีดาเนินการวิจัย 2.1 การออกแบบและพัฒนาโปรแกรม งานด้านตรวจสอบอากาศยาน (Aircraft Inspection) 1) การออกแบบการตรวจสอบอากาศยาน Cessna 172, Piper PA-28 Cherokeeและ Boeing 737 ด้วยโปรแกรมจาลองการ Preflight Walk Aroundเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจชิ้นส่วนอากาศยานและเป็นขั้น ตรวจสอบความพร้อมก่อนเดินอากาศ มีรูปแบบการทางานตั้งแต่เริ่มตรวจสอบตามคู่มืออากาศยาน แต่จะทา ในโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน รวมถึงการเปิดใช้งานระบบช่วยในการเดินอากาศเพื่อทดสอบ ก่อนการบิน 2) การจาลองปัญหาสาหรับการตรวจสอบอากาศยาน สาเหตุการชารุดของอุปกรณ์ โดยกาหนดการ ทางานที่ผิดปกติของอุปกรณ์เพื่อให้นักศึกษาได้วิเคราะห์และหาข้อมูลสาหรับการซ่อมบารุงชิ้นส่วนต่าง ๆ รวมถึงรายงานปัญหาที่ตรวจพบพร้อมทั้งวางแผนการซ่อมได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ 3) เตรียมความพร้อมในส่วนการกาหนดน้าหนัก การเติมเชื้อเพลิง และการวิเคราะห์ ประสิทธิภาพ การเดินอากาศผ่านโปรแกรมจาลอง 4) เมื่อทาการทดลองในระบบโปรแกรมจนเกิดความชานาญจึงนาใบงานมาใช้ปฏิบัติงานกับเครื่องบิน จริง เพื่อทดสอบทักษะ สาหรับการประเมินผลผู้เรียน ตามหัวข้อการตรวจสอบอากาศยาน เพื่อเตรียมความ พร้อมเดินอากาศ
60 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 4: Pre-Flight Inspection 2.2 การออกแบบและพัฒนาโปรแกรม งานด้านการซ่อมบารุงอากาศยาน (Aircraft Maintenance) 1) การจาลองการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และอะไหล่ของอากาศยาน เช่น Tire, Battery, Oil, Spark plugs, Wing root, Nose Wheel, เป็นต้น เพื่อให้นักศึกษารู้จักชิ้นส่วนอากาศยาน และข้อจากัดของ อากาศยานแต่ละประเภท โดยทาตามคู่มือ 2) เทคนิคการซ่อมบารุง โดยการจาลองของโปรแกรม จะจาลองเครื่องยนต์ทั้งแบบปกติและเกิด ปัญหาต่อการทางานของระบบ ดังนั้นการแก้ไขปัญหานักศึกษาต้องมีความรู้ในงานอากาศยาน ทั้งนี้เพื่อป้องกัน การเสียหายอุปกรณ์จริง จึงจาเป็นอย่างยิ่งในการใช้โปรแกรมสาหรับการจาลอง 3) เมื่อทาการซ่อมบารุงตามใบงาน แล้ว นักศึกษาสามารถทดสอบอากาศยานผ่านโปรแกรมจาลองได้ หรือที่เรียกว่าการทดสอบอากาศยานก่อนเดินอากาศ ทั้งนี้ข้อดีของการใช้โปรแกรมจาลอง คือการได้ทดสอบ อากาศยาน ติดเครื่องยนต์ หรือปรับเปลี่ยนอุกรณ์ได้หลากหลายรวมถึงอันตรายที่จะเกิดกับชีวิตและทรัพย์สิน 4) งานด้านเอกสารการซ่อมบารุง จะต้องทาตามงานที่ได้รับมอบหมายและฝึกเขียนรายงานตามแบบ มาตรฐาน เพื่อให้เกิดความชานาญในงานซ่อมบารุงอากาศยาน
61 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 5: Maintenance Hangar ภาพที่ 6: Aircraft Maintenance Technician’s Logbook 3. ผลการศึกษา การทดสอบระบบโปรแกรมการจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน เป็นการยกหัวข้อใหญ่ ๆ ให้นักศึกษา ทดสอบปฏิบัติ มีการวัดผลออกเป็น 2 แบบ ทดสอบในโปรแกรมการจาลองตามเงื่อนไขใบงาน และ ทดสอบ กับเครื่องบินจริง เป็นการวัดการเรียนรู้เสริมทักษะเชิงปฏิบัติการ โดยกลุ่มเป้าหมายคือ นักศึกษา ปีที่1 จานวน 30 คน จบการศึกษาจากระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และนักศึกษาเทียบโอน จานวน 30 คน ที่จบ การศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ทางด้านอากาศยานที่เคยผ่านการฝึกทักษะมาบ้างแล้ว ในการทาการทดสอบ ใช้ระยะเวลาในการทดสอบกับโปรแกรมจาลอง 4 สัปดาห์ และทดสอบวัดผลการทางาน จริง 3 สัปดาห์ โดยการวัดผลประเมินตามหัวข้อสรุปดังนี้ นักศึกษา ปีที่ 1 ทั้งสองห้อง สามารถทาตาม Aircraft Maintenance Technician’s Logbook
62 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ข้อกาหนดใบงานและทดสอบกับอากาศยานจริง ได้90 % และสามารถเขียนเอกสารงานตามแบบฟอร์มสาหรับ งานซ่อมบารุงอากาศยานได้ ประเมินผลได้คือการเรียนรู้ผ่านระบบโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยานช่วยให้นักศึกษามีทักษะ พื้นฐานด้านอากาศยานเพิ่มมากขึ้น เห็นความแตกต่างของพื้นฐานความรู้และพื้นฐานประสบการณ์เดิมของ นักเรียนได้เป็นรายบุคคล เนื่องจากการใช้งานของโปรแกรมจาลองนั้น ใกล้เคียงกับการเล่นเกมส์ แต่เนื้อหา และวัตถุประสงค์คือการศึกษาเรียนรู้ชิ้นส่วนอากาศยานและทาความเข้าใจหน้าที่การทางานในแต่ละส่วน โดย มีการทางานแบบเป็นขั้นตอนผ่านโปรแกรมจาลอง เน้นการใช้งานตรวจสอบและวิเคราะห์วางแผนการ ดาเนินการซ่อมบารุงอย่างเป็นระบบ ประสิทธิภาพของการใช้รูปแบบการเรียนการสอนประเภทการเรียนรู้เชิง เล่นเกมส์จะทาให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและพัฒนาตนเองได้เร็วและพร้อมทางานสถานการณ์จริงได้อย่าง ปลอดภัย ภาพที่ 7: ประยุกต์ใช้ระหว่างโปรแกรมจาลองกับอากาศยานจริง
63 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 8: ผลการทดสอบการใช้โปรแกรมจาลองและใช้กับอากาศยานจริง 4. สรุปผล สรุปทดสอบวัดผลเปรียบเทียบกับนักศึกษาจานวน 60 คน จากพื้นฐานด้านอากาศยานแตกต่างกัน ผลการ ทดสอบ 90% ผ่านการทดสอบอีก 10 % เกิดจากทดสอบอากาศยานประเภทBoeing 737 ซึ่งด้านเทคนิคมี ความซับซ้อนและการทดสอบมีอุปกรณ์เครื่องมือที่หลากหลาย จึงส่งผลให้การทดสอบมีนักศึกษาทาคะแนนไม่ ผ่านตามเกณฑ์ คิดเฉลี่ย 6 คน โดยรวมจากการวัดผลเป็นที่น่าพอใจสาหรับการเรียนรู้อากาศยานทั้ง 3 แบบ อาจต้องมีการเพิ่มเนื้อหาหรือแรงจูงใจในการเรียนรู้ เช่นการใช้เสียงเครื่องยนต์และบรรยากาศห้องเรียน รวมถึงสิ่งแวดล้อมในการกระตุ้นให้เกิดความสนใจและกิจกรรมที่สามารถทาเป็นกลุ่มเพื่อให้รู้จักการ แลกเปลี่ยนช่วยเหลือ รวมทั้งเป็นการเปิดหัวข้อสรุปอภิปรายภายในกลุ่มย่อยเพื่อเป็นการทบทวนเนื้อหาใน หัวข้อนั้น ๆ 4.1 ข้อเสนอแนะ การพัฒนาโปรแกรมการจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน มีความสาคัญในการใช้ประกอบสื่อการเรียน การสอนเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบการบิน หรือการเตรียมความพร้อมก่อนการบิน ล้วนเป็นหน้าที่ หลักด้านความปลอดภัย ทั้งนี้การประยุกต์ใช้โปรแกรมจาลอง ใช้ในการเรียนการสอนจะช่วยลดการซื้ออุปกรณ์ รวมถึงเครื่องบิน หรือช่วยในการลดปัญหาการชารุดของอุปกรณ์และการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการปฏิบัติงาน ด้านอากาศยาน ทั้งยังเป็นการฝึกแบบไม่มีข้อจากัดและเพิ่มทักษะตามเทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนไป ดังนั้นทางผู้จัดทามีแนวทางการพัฒนาโปรแกรมการซ่อมบารุงอากาศยาน ให้เกิดการใช้งานอย่าง หลากหลายและมีประสิทธิภาพ โดยจะตั้งเป้าหมายพัฒนาในรูปแบบการซ่อมบารุงเสมือนจริง หรือที่เรียกว่า Virtual Reality (VR) นามาพัฒนาเป็นสื่อสาหรับการเรียนการสอนเพื่อให้ เข้าถึง และกระตุ้นการเรียนรู้ การ พัฒนาทักษะ ตามแผนนโยบาย พัฒนากาลังคน พัฒนาชาติ โดยเฉพาะการเพิ่มและพัฒนาทักษะต่าง ๆ (Re skills, Up skills, New skills) ให้พร้อมรับมือวิถีชีวิตแบบปกติใหม่ (New normal) การเปลี่ยนแปลง

5. References

กิดานันท์ มะลิทอง. (2563). คุณค่าของสื่อการสอน. สืบค้น 1 พฤศจิกายน 2563, จาก https://www.baanjomyut.com/library_2/extension4/introduction_to_teachi ng/01.html. ธานี จันทร์นางม. (2564). ส่ือการสอนเตรียมพร้อมครูสู่การสอนในศตวรรษที่ 21. สืบค้น 1 พฤศจิกายน 2563, จาก https://www.komchadluek.net/news/edu- health/214241. นฤมล บุญส่ง. (2561). สื่อสังคมกับการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21. Veridian E-Journal, Silpakorn University. 11(1), 2875-2876 ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์. (2562). ทักษะแห่งอนาคตใหม่ : การศึกษาเพื่อศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ : Open Worlds. วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสดศรี – สฤษดิ์วงศ์. สุทธิวรรณ ตันติรจนาวงศ์. (2560). ทิศทางการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21. Veridian E-Journal, Silpakorn University. 10(2), 2843 สานักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สพฐ. (2560). แนวทางจัดการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน อัจฉรา วาทวัฒนศักดิ์. (2563). สื่อกับการจัดการเรียนการสอน. สืบค้น 1 25 มกราคม 2564 , จาก https://www.nectec.or.th/schoolnet/library/createweb/10000/ generality/1000013225.html.

Dale, E. (1969). Audio Visual Method in Teaching. 4th ed. New York : Holt Rinehart and Winston Inc.

Ely, D. P. (1972). Visual Materials of Instruction. Chicago: University of Chicago. Schoolbright. (2564). นักเรียนยุคใหม่ กับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21. สืบค้น 1 25 มกราคม 2564, จาก shorturl.at/xGH36.

64 การทดสอบสมรรถนะนักศึกษาผ่านโปรแกรมจาลองการซ่อมบารุงอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 เหล่านี้ส่งผลให้การผลิตกาลังคน เพื่อให้ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ สร้างความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อก้าวข้ามกับดัก รายได้ปานกลางของประเทศ
65 การบินกับสิ่งแวดล้อม การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 การบินกับสิ่งแวดล้อม Aviation and Environment 1สุธาสินี เบญจโรจน์นิธิ และ 2ภูรัก รักวิทยาศาสตร์ 1Suthasinee Benjarotnithi and 2Pooluck Rakvidhyasatra 1,2สถาบันการบินพลเรือน 1,2Civil Aviation Training Center, Thailand E-mail: 1
2
บทคัดย่อ บทความวิชาการฉบับนี้มุ่งศึกษาในเรื่องของผลกระทบของอุตสาหกรรมการบินที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทาให้โลกนั้นเกิดภาวะโลกร้อนและปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากปริมาณของก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ที่อากาศยานมีการปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศที่มากขึ้น ทาให้เกิดมลพิษทางอากาศ โดยรวมไปถึงวิธีการแก้ปัญหาของการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของอากาศยาน และกระตุ้นให้ อุตสาหกรรมการบินนั้นให้ความสาคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จากการศึกษาพบว่าเครื่องยนต์ของอากาศยานนั้นมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทาให้โลกนั้นเกิดภาวะโลกร้อนและ ปรากฏการณ์ ก๊าซเรือนกระจก กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบินยังมีส่วนในการปล่อยมลพิษออกมาสู่ อากาศ ซึ่ง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโดยการสันดาปของเครื่องยนต์อากาศยาน และกิจกรรมทางการบินนั้นมีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นจนเกินจุดสมดุลของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้น บรรยากาศ ทาให้เกิดปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจกเกิดขึ้น ก๊าซเรือนกระจกที่สะสมตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศที่มี ปริมาณมากนั้น จะทาหน้าที่กักเก็บและสะสมความร้อนของรังสีจากดวงอาทิตย์ ทาให้เกิดภาวะที่โลกนั้นร้อน ขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและโลกอุตสาหกรรม การบินควรตระหนักถึงความสาคัญของสิ่งแวดล้อม และศึกษาค้นคว้าและพัฒนาเครื่องยนต์ของอากาศยานที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกหรือเชื้อเพลิงชีวภาพแทนการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล และมีการ ชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อ สนับสนุนกิจกรรมทางด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อลดปริมาณ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง คาสาคัญ: ภาวะโลกร้อน; อุตสาหกรรมการบิน; เชื้อเพลิงชีวภาพ; สิ่งแวดล้อม Abstract This academic paper focuses on the aviation industry’s impact on the environment. The amount of carbon dioxide emitted by aircraft into the atmosphere is a greater cause of e air pollution and is distributed to the situation of the greenhouse effect. This report also
suthaben@gmail.com,
pooluck.rak@gmail.com

includes a solution to the problem of aircraft's carbon dioxide emissions leading to global warming and greenhouse gas phenomena. Hope to encourage the aviation industry to pay more attention to the environment.

The former studies have shown that aircraft engines emitก greenhouse gases which consist of a lot of carbon dioxide which is another cause of global warming and greenhouse gas phenomena Aviation-related activities also contribute to the emission of pollutants into the air. The amount of carbon dioxide emitted into the atmosphere by the combustion of aircraft engines and aeronautical activity exceeds the atmospheric carbon dioxide equilibrium causing the greenhouse gas phenomenon to occur. Greenhouse gases that accumulate in the atmosphere are large. It acts to store and accumulate heat from the sun's rays, causing global warming and resulting in climate change which has a serious impact on the environment and the world. The aviation industry should be aware of the importance of the environment and encourage more study, research, and develop environmentally friendly aircraft engines. Using alternative fuels or biofuels instead of fossil fuels and offset carbon emissions to support environmental protection activities and reduce carbon dioxide emissions.

Keywords: Global warming; Aviation industry; Biofuel; Environment

66 การบินกับสิ่งแวดล้อม การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
1. บทนา ปัญหาภาวะโลกร้อนในปัจจุบันยังคงเป็นปัญหาที่สาคัญอย่างมากและเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมอันดับหนึ่ง ของโลก สาเหตุหลักของการเกิดภาวะโลกร้อนมาจากปรากฎการณ์เรือนกระจกที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ก๊าซ เรือนกระจกชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถูกปล่อยออกมาเป็นปริมาณที่สูงและมีการ แพร่กระจายอยู่ภายในชั้นบรรยากาศจนเกินความสมดุลของธรรมชาติ ทาให้เกิดการกักเก็บความร้อนเอาไว้ ไม่ให้ สะท้อนออกนอกผิวโลก โดยการดูดกลืนรังสีความร้อนที่พื้นผิวโลกแผ่ออกมา ความร้อนนั้นถูกเก็บ สะสมไว้ที่ พื้นผิวโลกและในชั้นบรรยากาศเป็นปริมาณที่มากกว่าปกติ จนทาให้อุณหภูมินั้นเพิ่มสูงขึ้นแล้วเกิด เป็นภาวะโลก ร้อน (มนนภา เทพสุด, 2562 ) ก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่นั้นประกอบด้วย ไอน้า คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทนและไนตรัสออกไซด์ (Kweku et al., 2018) ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทาให้เกิดภาวะโลกร้อนและเชื้อเพลิงที่ได้มาจากฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ามันและ ก๊าซธรรมชาติ ก็เป็น อีกหนึ่งปัจจัยสาคัญที่ทาให้มีปริมาณการสั่งสมตัวของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มี ปริมาณสูงภายในชั้นบรรยากาศ ของโลก สืบเนื่องมาจากอุตสาหกรรมมีการพัฒนาและเข้ามามีบทบาทสาคัญ กับนานาประเทศทั่วโลกเป็นอย่างมาก ทาให้มีการมุ่งที่จะเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อผลิตพลังงานและ นาไปใช้ในภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่ง การผลิตไฟฟ้า และอื่น ๆ มีการผลิตก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ไม่หยุดนิ่ง จนทาให้ค่าความเข้มข้นเพิ่ม
67 การบินกับสิ่งแวดล้อม การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 สูงขึ้น ส่งผลให้ความสมดุลระหว่างการกักเก็บและปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ตามกระบวนการ ธรรมชาติเกิดความเสียหาย (มนนภา เทพสุด, 2562) อุตสาหกรรมการบินเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่มีการเจริญเติบโตเร็วที่สุด สาเหตุหลักมาจากความผันผวนที่ เกิดจากการพัฒนาเศรษฐกิจและการเติบโตของอุตสาหกรรมแรงงาน โดยเหตุนี้จึงทาให้เกิดความต้องการการ เดินทางทางอากาศเป็นอย่างสูง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการบินได้เพิ่มขึ้นอันเป็น ผลมา จากการเติบโตของจราจรทางอากาศ เครื่องยนต์ของเครื่องบินมีการสันดาปและปล่อยไอเสียที่ประกอบ ไปด้วยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ออกมา โดยจะมีการปล่อยมลพิษจากเครื่องยนต์ สันดาปหรือการ เผาไหม้ของเชื้อเพลิง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการขึ้นและลงจอด อีกทั้งการ ดาเนินการกิจกรรมต่าง ๆ ภายในพื้นที่สนามบินก็มีการปล่อยไอเสียออกมา จนทาให้เกิดมลพิษทางอากาศ (Vajdová et al., 2019) อากาศยานและอุตสาหกรรมการบินเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทาให้เกิดปัญหาภาวะโลกร้อน มลพิษทางอากาศ และปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและ เกิด ความต้องการทางด้านการบินที่สูงขึ้น ในปัจจุบันมีการให้ความสาคัญทางด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแนวทางในการแก้ไขปัญหาคือ พัฒนาและมีการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกหรือเชื้อเพลิงชีวภาพจากชีว มวลประเภทต่าง ๆ แทนการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล (Boichenko et al., 2018) พัฒนาเครื่องยนต์ของอากาศ ยานที่มีการปล่อยมลพิษ ออกมาเป็นศูนย์ (Airbus, 2020) และมีโครงการการชดเชยการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อป้องกันการปล่อยคาร์บอน จากการบินไม่ให้เกินระดับที่กาหนดไว้ (Chao et
2019) เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน 2. การทบทวนวรรณกรรม 2.1 ภาวะโลกร้อน ภาวะโลกร้อน คือ ภาวะที่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกนั้นมีการเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาวะโลก ร้อนใน ปัจจุบันเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากมีการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลแล้วได้ทา การปล่อย ก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเกิดการกักเก็บความร้อนจากดวงอาทิตย์และผลักดันอุณหภูมิ พื้นผิวโลกและ อุณหภูมิของอากาศให้เพิ่มสูงขึ้น ภาวะโลกร้อนนั้นเป็นคาพ้องความหมายกับการเปลี่ยนแปลง ของสภาพภูมิอากาศ (Stephanie, 2022) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ การเปลี่ยนแปลงระยะยาวของรูปแบบสภาพภูมิอากาศ โดยมี สาเหตุหลายประการที่ทาให้เกิด ซึ่งหนึ่งในนั้นมีสาเหตุมาจาก ภาวะโลกร้อน จากการเพิ่มขึ้นของความเข้มข้น ของ ก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิด จากความ เข้มข้นที่เพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศของโลก ดวงอาทิตย์มีการแผ่รังสีซึ่งเป็นรังสี แบบคลื่นสั้น เช่น รังสีอัลตร้าไวโอเลตและแสง พื้นผิวของโลกมีการดูดซับรังสีของดวงอาทิตย์บางส่วนแล้วมีการสะท้อนรังสีส่วนที่เหลือที่เป็นแบบ รังสี คลื่นยาว รังสีสะท้อนบางส่วนมีการถูกปล่อยออกจากพื้นผิวโลก และมีรังสีบางส่วนที่ถูกดูดซับไว้โดยก๊าซ
al.,
68 การบินกับสิ่งแวดล้อม การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 เช่น คาร์บอนไดออกไซด์และมีเทน ก๊าซเหล่านี้ทาหน้าที่คล้ายกับเรือนกระจกที่ดูดซับรังสีความร้อนเอาไว้และ ด้วยเหตุนี้ จึงเรียกว่าก๊าซเรือนกระจก (Green, 2021) ซึ่งภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทั้งสิ่งแวดล้อม และมนุษย์ เช่น การเปลี่ยนแปลงของระดับน้าฝนทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงของการไหลของกระแสน้าใน มหาสมุทรการละลายของ น้าแข็งที่ทาให้ระดับทะเลนั้นเพิ่มสูงขึ้น และยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม อีกด้วย 2.2 ปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก ภาวะเรือนกระจกนั้นทาให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกนั้นอบอุ่น ช่วยให้สิ่งมีชีวิตบนโลกสามารถดารงชีวิต อยู่ได้ หากปราศจากภาวะเรือนกระจก โลกก็จะมีอุณหภูมิที่เยือกแข็งคล้ายกับดาวอังคาร มนุษย์มีการเผา ผลาญเชื้อเพลิง ฟอสซิลให้เป็นพลังงานอย่างต่อเนื่องและเผาผลาญเชื้อเพลิงเป็นปริมาณที่สูง ทาให้เกิดเป็น ปรากฏการณ์เรือนกระจกซึ่งมีผลลัพธ์ทาให้เกิดภาวะโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นและกาลังเปลี่ยนแปลงระบบภูมิอากาศ ของโลกในลักษณะต่าง ๆ มากมาย ปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจกคือ การทาให้อุณหภูมิของโลกนั้นเพิ่มสูงขึ้น ก๊าซในบรรยากาศมีการกักเก็บความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่จะมีต้องการสะท้อนออกนอกชั้นบรรยากาศของโลก พลังงานแสงอาทิตย์ประมาณร้อยละ 30 ที่แผ่มายังโลกจะต้องมีการถูกสะท้อนกลับไปยังอวกาศ และ พลังงานแสงอาทิตย์ประมาณร้อยละ 70 จะผ่านชั้นบรรยากาศไปยังพื้นผิวโลก ซึ่งจะถูกดูดซับโดยพื้นดิน มหาสมุทร และชั้นบรรยากาศของโลก ทาให้โลกมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น ความร้อนจะถูกแผ่กลับขึ้นไปในรูปแบบ ของ แสงอินฟราเรดที่มองไม่เห็น ขณะที่แสงอินฟราเรดบางส่วนถูกสะท้อนกลับสู่อวกาศ แต่ส่วนใหญ่ประมาณ ร้อยละ 90 นั้นถูกกักเก็บเอาไว้โดยก๊าซภายในชั้นบรรยากาศของโลกหรือที่เรียกว่า ก๊าซเรือนกระจก และ ปล่อยออกมายัง พื้นผิวโลก ทาให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้น ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศของ โลกเพิ่มขึ้น ซึ่ง ขับเคลื่อนโดยกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ตัดไม้ทาลายป่า การเพิ่มขึ้น ของคาร์บอนไดออกไซด์ทาให้เกิดความร้อนส่วนเกินและอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น (Melissa,
ก๊าซเรือนกระจก เป็นก๊าซที่มีคุณสมบัติในการดูดซับและกักเก็บคลื่นรังสีของความร้อนหรือรังสี อินฟราเรด ได้เป็นอย่างดี ประกอบด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ ก๊าซไฮโดรฟลูออโร คาร์บอน ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์และก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ เป็นต้น เมื่อก๊าซที่กล่าวมาข้างต้นมี การลอยขึ้นสู่ชั้น บรรยากาศจะทาหน้าที่ดูดซับและกักเก็บความร้อนเอาไว้ หากมีปริมาณที่เหมาะสมจะ สามารถรักษาอุณหภูมิของโลกให้เหมาะสมได้ แต่เมื่อก๊าซเหล่านี้มีปริมาณที่มากเกินไป จะส่งผลให้ชั้น บรรยากาศมีการดูดซับและกักเก็บรังสี ความร้อนไว้เป็นปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้น ทาให้อุณหภูมิเฉลี่ยของชั้น บรรยากาศเพิ่มสูงขึ้น ทาให้โลกร้อนขึ้น ซึ่งก๊าซเรือนกระจกเกิดจากปรากฏการณ์หรือกระบวนการทาง ธรรมชาติและกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยเฉพาะกิจกรรม ของมนุษย์ที่มีการทาการเผาไหม้เชื้อเพลิงจึงทา ให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีการสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศ เป็นปริมาณที่สูง นอกจากก๊าซเรือนกระจก จะสามารถดูดซับความร้อนไว้ในชั้นบรรยากาศของโลกได้แล้ว ยัง สามารถทาลายชั้นโอโซนของโลกให้บางลง ซึ่งในชั้นโอโซนนั้นมีหน้าที่ในการกรองรังสีอันตราย (ศรายุทธ เรืองผล, 2021)
2019)
69 การบินกับสิ่งแวดล้อม การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 2.3 มลพิษทางอากาศ มลพิษทางอากาศ หมายถึงการปล่อยมลพิษสู่อากาศ ซึ่งเป็นมลพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของ มนุษย์ และเป็นอันตรายต่อโลก สาเหตุของมลพิษทางอากาศส่วนใหญ่มาจากการใช้พลังงานและการผลิต การ เผาไหม้ เชื้อเพลิงฟอสซิลจะปล่อยก๊าซและสารเคมีขึ้นสู่อากาศ มลภาวะในอากาศไม่เพียงแต่มีส่วนทาให้เกิด การ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเท่านั้น แต่ยังทาให้เกิดความรุนแรงของสภาพภูมิอากาศขึ้นด้วย มลพิษทาง อากาศใน รูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทนทาให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น (Jillian & Jeff, 2021) 2.4 อุตสาหกรรมการบิน อุตสาหกรรมการบินหรือการขนส่งทางอากาศเป็นหนึ่งในภาคส่วนของอุตสาหกรรมที่เจริญเติบโต อย่าง รวดเร็วที่สุด โดยมีสาเหตุหลักมาจากความผันผวนที่เกิดจากการพัฒนาของเศรษฐกิจโลกและการเติบโต ของการ จ้างงานหรือตลาดแรงงาน ทุกวันนี้ผู้คนเดินทางเป็นระยะทางมหาศาลในเวลาอันสั้น มีการส่งเสริม การเดินทาง ระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ และด้วยเหตุนี้จึงมีความต้องการในการเดินทางทางอาก าศ จานวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้น และยังคงมีการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับการขนส่งทุกรูปแบบ อุตสาหกรรมการบิน นั้นมีส่วนรับผิดชอบต่อ ผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสาคัญ ความเสี่ยงที่มากับรูปแบบการขนส่ง นี้คือ มลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียงของเครื่องบินที่มากเกินไปที่สนามบินและบริเวณรอบสนามบิน มลพิษ ในดินและ น้า มีการผลิตและปล่อยของเสียที่มีสัดส่วนของเสียที่เป็นอันตรายสูง และอื่น ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน มา ผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมจากการบินได้มีการเพิ่มสูงขึ้นอันเป็นผลมาจากการเติบโตของการจราจรทาง อากาศ การขนส่งทางอากาศมีข้อดีหลายประการ เช่น ความเร็วของการขนส่งและความปลอดภัย เหนือการ ขนส่ง รูปแบบอื่น แต่การขนส่งทางอากาศ มีผลกระทบต่อคุณภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ตั้ง สนามบิน เนื่องจากการปล่อยมลพิษจากเครื่องยนต์สันดาปส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการขึ้นและลงจอด ของอากาศ ยาน มีการปล่อยก๊าซไอเสียออกมาเป็นส่วนใหญ่ อุตสาหกรรมการบินไม่เพียงส่งผลกระทบโดยตรง ต่อสิ่งแวดล้อม เพียงเท่านั้น แต่ยังมีการส่งผลกระทบทางอ้อมอีกด้วย (Vajdová et al., 2019) จึงได้มีการ แก้ไขปัญหาโดย 3. ผลการศึกษา 3.1 แนวทางในการแก้ไขปัญหา ก) ต้นแบบอากาศยานที่ไร้มลพิษ บริษัทแอร์บัสมีแผนที่จะมีการพัฒนาเครื่องบินพาณิชย์ไร้มลพิษลา แรกของโลกภายในปีพ.ศ. 2578 การขับเคลื่อนด้วย ไฮโดรเจนจะช่วยให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเครื่องบิน แนวคิด ZEROe จะช่วยให้สามารถสารวจการกาหนดค่าและ เทคโนโลยีไฮโดรเจนที่หลากหลาย ซึ่งจะกาหนด รูปแบบการพัฒนาเครื่องบินปลอดมลภาวะในอนาคต เป็นเครื่องบินแบบไฮบริดไฮโดรเจน ขับเคลื่อนด้วยการ เผาไหม้ไฮโดรเจนผ่านเครื่องยนต์กังหันก๊าซดัดแปลงไฮโดรเจนเหลว ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ด้วย
70 การบินกับสิ่งแวดล้อม การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ออกซิเจน นอกจากนี้ เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนยังสร้างพลังงานไฟฟ้าที่เสริม กังหันก๊าซ ส่งผลให้ระบบ ขับเคลื่อนไฟฟ้าไฮบริดมีประสิทธิภาพสูง (Airbus, 2022) ข) การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในอุตสาหกรรมการบิน อุตสาหกรรมการบินจะกลายเป็นตลาดที่สาคัญ สาหรับเชื้อเพลิงชีวภาพขั้นสูงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าและการเพิ่มขึ้นของการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพสามารถนาไปสู่ • อุตสาหกรรมขนส่งทางอากาศมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาประมาณร้อยละ 2 ของทั่วโลก • ค่าใช้จ่ายในการดาเนินงานของสายการบินขึ้นอยู่กับต้นทุนเชื้อเพลิงเป็นอย่างมาก ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว จะคิดเป็น ประมาณร้อยละ 30 ของต้นทุนทั้งหมด • สายการบินจะต้องดาเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในมุมมองของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก • ความยั่งยืนจะเป็นปัจจัยสาคัญในการได้รับการยอมรับจากสาธารณชนในเรื่องเชื้อเพลิงทางเลือก ความต้องการในการพัฒนาทางเลือกเชิงพาณิชย์แทนเชื้อเพลิงเหลวจากฟอสซิลแบบดั้งเดิมสาหรับ เครื่องบินพาณิชย์กาลังทวีความรุนแรงมากขึ้น หนึ่งในการพัฒนาที่มีแนวโน้มในด้านเชื้อเพลิงการบินคือ การพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพหรือเชื้อเพลิงทางเลือก โดยมีการผลิตและพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพจากวัตถุดิบและ ชีวมวลที่หลากหลาย เช่น สบู่ดา มะพร้าว สาหร่าย ขยะในบ้าน เศษไม้ และดอกคามิลินา เป็นต้น เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิล เชื้อเพลิงชีวภาพสาหรับการบินที่ผลิตออกมาอย่างยั่งยืนจะส่งผลให้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง นอกจากนี้ ในขณะที่กาลังส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพด้านการบินเพื่อเป็น “ทางเลือกสีเขียว” แทนการใช้น้ามันเครื่องบินแบบธรรมดา ก็มีอุปสรรคหลายประการต่อการใช้งานอย่าง แพร่หลาย หนึ่งใน อุปสรรคคือ อุตสาหกรรมไม่สามารถผลิตชีวมวลได้เพียงพอที่จะแทนที่เชื้อเพลิงแบบ ธรรมดา ส่งผลให้เกิดความ กังวลว่าจะใช้ที่ดินนั้นสาหรับพืชเชื้อเพลิงชีวภาพมากกว่าที่จะใช้สาหรับการปลูก เพื่อการผลิตอาหาร ซึ่งจะส่งผลต่อ ราคาอาหารโลก และข้อกังวลอื่น ๆ ได้แก่ ต้นทุนการวิจัยและพัฒนา เชื้อเพลิงชีวภาพที่สูง เชื้อเพลิงทางเลือกสาหรับการบินสามารถผลิตได้จากสาหร่าย ดอกคามิลินา ฮาโลไฟต์ สบู่ดา และ ของเสีย เช่น ของเสียจากพืชและจากสัตว์ คุณสมบัติของเชื้อเพลิงชีวภาพสาหรับการบินทางเลือกคือ: 1) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2) ทรัพยากรหมุนเวียน 3) ความเข้ากันได้กับเชื้อเพลิงเจ็ทธรรมดา 4) ความยั่งยืนและการเผาไหม้ที่สะอาด ประเภทของเชื้อเพลิงชีวภาพการบินทางเลือก ได้แก่ เชื้อเพลิงเจ็ทแบบหมุนเวียนด้วยพลังน้าที่แปรรูป ด้วยพลังน้า ถูกผลิตขึ้นโดยผ่านกระบวนการไฮโดรดีออกซิเจเนชันของน้ามันพืช ไขมันสัตว์ไขมันเสีย น้ามัน สาหร่าย และน้ามันชีวภาพ เชื้อเพลิง Fischer Tropsch (F-T) เชื้อเพลิงนี้ผลิตขึ้นจากการแปลงตัวเร่งปฏิกิริยา ของก๊าซสังเคราะห์ (Synthesis Gas) ซึ่งเป็นส่วนผสมของคาร์บอนมอนอกไซด์และไฮโดรเจน มีการเผาไหม้ สะอาด เป็นเชื้อเพลิงที่มีมูลค่าสูง และมี ลักษณะเฉพาะคือไม่เป็นพิษ มีการปล่อยไนโตรเจนออกไซด์เป็นศูนย์ และมีค่าซีเทนที่สูง ให้ค่ามาตรฐานของฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพต่า นอกจากนี้การเผาไหม้ ของเชื้อเพลิงยัง ปราศจากคาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรคาร์บอน เชื้อเพลิงไบโอดีเซล ถูกผลิตขึ้นโดยผ่าน
71 การบินกับสิ่งแวดล้อม การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 กระบวนการ ทรานส์เอสเทอริฟิเคชั่นโดยใช้ไขมันสัตว์หรือน้ามันพืช มีค่าในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต่า อีก ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดมลพิษ เชื้อเพลิงไบโอไฮโดรเจนเหลวและไบโอมีเทน ถูกสร้างเป็นเชื้อเพลิงทางเลือก ผลิตจากทรัพยากรชีว มวลที่หลากหลายโดยปฏิบัติตามวิธีทางความร้อนและทางชีวเคมี และเชื้อเพลิงไบโอ แอลกอฮอล์โดยทั่วไปจะ ใช้เอทานอลและบิวทานอลเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ไบโอเอธานอลไม่เหมาะกับอุตสาหกรรมการบิน เนื่องจากมีความผันผวนสูง ข้อดีหลักประการหนึ่งของเชื้อเพลิงเครื่องบินทดแทนที่นากลับมา ใช้ใหม่ได้คือ การลดลงในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ (Baxter, 2020) ค) ภาษีคาร์บอน และระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) กลไกราคานั้น เป็นหนึ่งในเครื่องมือสาคัญที่ใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มี 2 แนวทางหลัก ได้แก่ การใช้ภาษี คาร์บอน และระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) ซึ่งเพื่อให้เกิดการซื้อ ขายปริมาณก๊าซ เรือนกระจกลดลงได้ กลไกราคาโดยเฉพาะที่ใช้กับตลาดคาร์บอนสามารถสร้างความยืดหยุ่นในการ ลดก๊าซ เรือนกระจกโดยรวมได้ ทาให้การลดก๊าซเรือนกระจกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดผลประโยชน์ กับสิ่งแวดล้อม กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดเทคโนโลยีที่สะอาดมาก ขึ้น (พงษ์วิภา หล่อสมบูรณ์, 2019)
72 การบินกับสิ่งแวดล้อม การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 4. สรุปผล อุตสาหกรรมการบินมีส่วนในการทาให้เกิดภาวะโลกร้อน ปรากฏการณ์เรือนกระจกที่เกิดจากการดาเนิน กิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ และมีส่วนทาให้เกิดมลพิษทางอากาศ ผู้เขียนได้เสนอทฤษฎีที่ช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษทาง อากาศ ดังต่อไปนี้ ภาพที่ 1: ตัวอย่างทฤษฎีที่ช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากภาพที่ 1 อธิบายได้ว่า : 1) ภาวะโลกร้อน สามารถแก้ไขได้โดยการเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงชีวมวลที่เป็นพลังงานสะอาดและ สามารถนากลับมา ใช้ใหม่ได้ซึ่งช่วยในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ อากาศยาน 2) มลพิษทางอากาศ สามารถแก้ไขได้โดยการนาเอาอากาศยานที่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจน ที่ไม่มีการ ปล่อยมลพิษ ออกมาสู่อากาศ ซึ่งทาให้ปลอดมลพิษทางอากาศและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 3) ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสูงขึ้น สามารถแก้ไขได้โดยการเก็บภาษีคาร์บอน ซึ่งทาให้ก๊าซเรือน กระจกที่มีก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ลดลงอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดผลประโยชน์กับ สิ่งแวดล้อม 3 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง ภาวะโลกร้อน มลพิษทางอากาศ ภาษีคาร์บอน 1 2 ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง
73 การบินกับสิ่งแวดล้อม การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 4.1 ข้อเสนอแนะ ก) ข้อเสนอแนะทั่วไป อุตสาหกรรมการบินควรมีการให้ความสาคัญต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างสูง ควรมีการเปลี่ยนมาใช้ อากาศยาน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการเปลี่ยนประเภทของเชื้อเพลิงของอากาศยานเป็นการใช้เชื้อเพลิง ทางเลือกหรือ เชื้อเพลิงชีวภาพแทนการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล และมีการซื้อสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือน กระจกเพื่อชดเชยการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับสิ่งแวดล้อม ข) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย องค์กรต่าง ๆ ควรร่วมกันสนับสนุนและพัฒนาเทคโนโลยี และ ความเป็นไปได้ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการ พัฒนาอย่างรวดเร็ว มีปริมาณกาลังผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการ และมีราคาที่เหมาะสม ผู้ประกอบการ สามารถจับต้องได้ ค) ข้อเสนอแนะเชิงปฎิบัติการ เมื่อผลการทดสอบเป็นไปได้ด้วยดี ควรมีการบังคับให้นามาใช้โดยสายการบิน และในท่าอากาศยาน ต่าง ๆ ให้รวดเร็วที่สุด ทางท่าอากาศยานก็ควรที่จะมีการพัฒนาให้มีการรองรับกับพลังงานรูปแบบใหม่ที่อาจมี การนามาใช้ในเวลาต่อไป ง) ข้อเสนอแนะครั้งต่อไป การพัฒนาและวิจัยเชื้อเพลิงชีวภาพนั้นยังไม่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากนักภายในอุตสาหกรรม การบินโดยเฉพาะในแถบประเทศที่กาบังพัฒนา และ การพัฒนาอากาศยานต้นแบบนั้นยังอยู่ในขั้นตอนของ การทดลองยังไม่สามารถนามาใช้อย่างแพร่หลายและยังต้องใช้ระยะ เวลานานกว่าจะนามาใช้ได้จริงจึง จาเป็นต้องมีการหาวิธีการแก้ไขปัญหาใหม่ ๆ ที่สามารถนามาใช้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด 5. References พงษ์วิภา หล่อสมบูรณ์. (2019). “ลดโลกร้อนด้วยกลไกราคา”. วารสารรัฏฐาภิรักษ์ วิทยาลัยป้องกัน ราชอาณาจักร. 61(1), 87-92 มนนภา เทพสุด. (2562). ภาวะโลกร้อน : ปัญหาที่ท้าทายในศตวรรษที่ 21. ใน การประชุมวิชาการ ระดับชาติ และนานาชาติ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ครั้งที่ 13 ประจาปี 2561. (น.2558-2567). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีปทุม. ศรายุทธ เรืองผล. (2021). “ก๊าซเรือนกระจก
Greenhouse Gases” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://actionforclimate.deqp.go.th/knowledge/2537/. สืบค้น 26 กุมภาพันธ์ 2565. Airbus. (2020). “Airbus reveals new zero-emission concept aircraft” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้ จาก: https://www.airbus.com/en/newsroom/press-releases/2020-09-airbus-reveals-newzeroemission-concept-aircraft. สืบค้น 26 กุมภาพันธ์ 2565.

Airbus. (2022). “Hydrogen propulsion to power future aircraft” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://www.airbus.com/en/innovation/zero-emission/hydrogen/zeroe. สืบค้น 26 กุมภาพันธ์ 2565.

Baxter, G. (2020). The use of aviation biofuels as an airport environmental sustainability measure: The case of Oslo Gardermoen Airport. MAD-Magazine of Aviation Development, 8(1), 6- 17.

Boichenko, S. V., Yakovlieva, A. V., Gryshchenko, O. V., & Zinchuk, A. M. (2018). Prospects of using different generations of biofuels for minimizing impact of modern aviation on environment. Energy Technologies & Resource Saving, (1), 10-20.

Chao, H., Agusdinata, D. B., DeLaurentis, D., & Stechel, E. B. (2019). Carbon offsetting and reduction scheme with sustainable aviation fuel options: Fleet-level carbon emissions impacts for US airlines. Transportation Research Part D: Transport and Environment, 75, 42-56.

Green Network. (2021). “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภาวะโลกร้อน (Global Warming) ความหมาย สาเหตุ

[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ชื่อ น.ส.สุธาสินี

APMc (ต่อเนื่อง) รหัส 6312200050 https://www.greennetwork thailand.com/climatechange%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-global-warming%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0% B8%A3/. สืบค้น 26 กุมภาพันธ์ 2565.

Jillian, M. & Jeff, T. (2021). “Air Pollution: Everything You Need to Know” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้ จาก: https://www.nrdc.org/stories/air-pollution-everything-you-needknow. สืบค้น 26 กุมภาพันธ์ 2565.

Kweku, D. W., Bismark, O., Maxwell, A., Desmond, K. A., Danso, K. B., Oti-Mensah, E. A., ... & Adormaa, B. (2018). Greenhouse effect: greenhouse gases and their impact on global warming. Journal of Scientific research and reports, 17(6), 1-9.

Melissa, D. (2019). “Greenhouse Effect 101” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://www.nrdc.org/ stories/greenhouse-effect-101. สืบค้น 26 กุมภาพันธ์ 2565.

Stephanie, P. (2022). “What is global warming?” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://www Live science.com/37003-global-warming.html. สืบค้น 26 กุมภาพันธ์ 2565

Vajdová, I., Jenčová, E., Szabo, S., Melníková, L., Galanda, J., Dobrowolska, M., & Ploch, J. (2019). Environmental Impact of Burning Composite Materials Used in Aircraft Construction on the Air. International journal of environmental research and public health, 16(20), 4008.

74 การบินกับสิ่งแวดล้อม การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN
978-616-7754-78-9
และผลกระทบ”
เบญจโรจน์นิธิ ชื่อเล่น นุ่น สาขา
75 การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของ หลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน A Needs Assessment to Solve Teaching and Learning Problems for Air Traffic Control Theoretical Course During the Covid-19 Situation in Civil Aviation Training Center 1สุนัฐทร หมอนทอง, 2จุฑามาศ แสงงาม และ 3ดารุณี ทิพยกุลไพโรจน์ 1Sunutthorn Monthong, 2Juthamas Saengngam and 3Darunee Tippayakulpairoj 1,2,3ภาควิชาการประเมินและการวิจัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง 1,2,3Evaluation and Research Department, Faculty of Education, Ramkhamhaeng University, Thailand E-mail: 16412681004@rumail.ru.ac.th บทคัดย่อ บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจาเป็นในการจัดการเรียนการสอนของ หลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 สถาบันการบินพลเรือน และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วง สถานการณ์โควิด 19 สถาบันการบินพลเรือน จาแนกตามเพศ ประสบการณ์ทางาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ วิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูสถาบันการบินพลเรือนหลักสูตรการควบคุมการจราจรทางอากาศ 12 คน เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยคือแบบประเมินปัญหาของการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศ ภาคทฤษฎี สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการ ควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน เรียงตามลาดับ ความสาคัญด้วยดัชนี PNI modified พบว่า การงดการจัดกิจกรรมกับหน่วยงานภายนอกในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 เป็นประเด็นสูงสุด (PNI modified =0.3741) รองลงมา การงดกิจกรรมเนื่องในวันสาคัญต่าง ๆ ในช่วง สถานการณ์โควิด-19 (PNI modified =0.3333) และ การงดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ทาให้เด็กขาดทักษะทางด้าน กระบวนการใช้ชีวิต (PNI modified =0.2857) 2) แนวทางการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุม จราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 สถาบันการบินพลเรือน ได้แก่ งดการจัดกิจกรรมกับ หน่วยงานภายนอก กิจกรรมเนื่องในวันสาคัญต่าง ๆ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่ซึ่งทาให้เด็กขาดทักษะด้าน กระบวนการใช้ชีวิต คาสาคัญ: การควบคุมจราจรทางอากาศ: การประเมินความต้องการจาเป็น

The objectives of this research were 1) to study the needs and necessities of teaching and learning management of the Air Traffic Control Theoretical Course during the COVID-19 situation, Civil Aviation Training Center, and 2) to study how to teach and learn for the Air Traffic Control Theoretical Course during the Covid-19 situation, Civil Aviation Training Center The population used in this research were instructors at Civil Aviation Training Center in Air Traffic Services Division. There was a total of 12 instructors. The research instrument was the online questionnaire. The statistics used in the data analysis were frequency, percentage, mean, standard deviation.

The research reveals that 1) the needs and necessities of teaching and learning management of the Air Traffic Control Theoretical Course during the COVID-19 situation, Civil Aviation Training Center were sort in sequence of important index by PNI modified ,it shown that increasing rest time, decrease assessment, retrain activities are the needs and necessities of teaching and learning management of the Air Traffic Control Theoretical Course maximum (PNI modified =0.3741), second preparing system for on-line learning system online (PNI modified =0.1136) and supporting need for on-line learning system (PNI modified =-0.1396) 2) how to teach and learn for the Air Traffic Control Theoretical Course during the Covid-19 situation, Civil Aviation Training Center is to increase rest time, decrease assessment, retrain activities are the needs and necessities of teaching and learning management of the Air Traffic Control Theoretical Course

Keywords: Air traffic control, Need assessment

76 การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN
978-616-7754-78-9 Abstract
1. บทนา จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 มีผลต่อโรงเรียนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นที่มีผู้คนจานวน มาก และมีการสัมผัสกัน จึงมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ง่าย ซึ่งหากมีการจัดการ เรียนการสอนและจัดการกับสถานการณ์ไม่ดีจะส่งผลที่ลุกลามออกไปได้ จากผลกระทบดังกล่าว ทาให้การ เรียนรู้ของนักเรียน และผู้เข้าฝึกอบรม มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังนั้นจึงมี การนาเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารหรือ ICT เข้ามามีส่วนร่วมกับการจัดระบบการจัดการเรียนรู้ ออนไลน์ (จักรกฤษณ์ โพดาพล, 2563) แต่อย่างไรก็ตามประเด็นปัญหาและข้อจากัดในการเรียนการสอนยังมีอยู่หลายอย่าง อาทิ เครื่องมือ อุปกรณ์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะขาดอุปกรณ์ทางการศึกษา (วิทัศน์ ฝักเจริญผล และคณะ, 2563) รวมถึงทักษะในการ สอนและการเรียนรู้และกฏหมายที่เกี่ยวกับการฝึกอบรมหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศ จากเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษา “การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการ เรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบัน
77 การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 การบินพลเรือน” เพื่อศึกษาปัญหาและประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาของการจัดการเรียนการ สอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 สถาบันการบินพลเรือน เพื่อนาไปแก้ปัญหาของการจัดการเรียนการสอนในอนาคตต่อไป 1.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษาความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุม จราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน 2) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 สถาบันการบินพลเรือน 1.2 ระเบียบการวิจัย การดาเนินการศึกษาวิจัย ผู้วิจัยได้เลือกวิธีวิจัยแบบเชิงปริมาณ (Quantitative research) เป็นการ ประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทาง อากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือนโดยใช้แบบสอบถามที่มี การตอบสนองแบบคู่ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบอันดับความสาคัญของ “ช่วงห่าง” ระหว่างผลของ ความต้องการจาเป็นในการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วง สถานการณ์โควิด 19 สถาบันการบินพลเรือน 1.3 กรอบแนวคิดในการวิจัย ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีและองค์ประกอบของการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตร การควบคุมจราจรทางอากาศ โดยใช้วิธีการศึกษาจากเอกสาร ตารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และใช้แนวคิด ทฤษฎีการศึกษาความต้องการจาเป็น (Needs) (Wikin & Altschuld, 1995; สุวิมล ว่องวาณิช, 2558) จาก แนวคิดทฤษฎีข้างต้นนามาเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย ดังภาพที่ 1 ภาพที่ 1: กรอบแนวคิดการประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของ หลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน การประเมินความต้องการจาเป็นในการจัดการเรียน การสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศ ขั้นตอน 1. การระบุความต้องการจาเป็น 2. การจัดลาดับความต้องการจาเป็น การจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศ ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 สถาบันการบินพลเรือน - ด้านด้านการเพิ่มเวลาพัก ลดการประเมิน งด กิจกรรมต่าง ๆ - ด้านการเตรียมความพร้อมด้านระบบการ เรียนรู้ทางไกลและ ระบบออนไลน์ - ด้านการสนับสนุนการเรียนการสอนทางไกล
78 การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 2. วิธีดาเนินการวิจัย 2.1 ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ครูสถาบันการบินพลเรือนหลักสูตรการควบคุมการจราจรทาง อากาศจานวน 12 คน 2.2 เครื่องมือที่ใช้วิจัย แบบประเมินปัญหาของการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 สถาบันการบินพลเรือน ข้อคาถามมีลักษณะเป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ แบบตอบสนองคู่ (Dual-response formal) แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการเพิ่มเวลา พัก ลดการประเมิน งด กิจกรรมต่าง ๆ จานวนข้อคาถาม 6 ข้อ ด้านการเตรียมความพร้อมด้านระบบการ เรียนรู้ทางไกลและระบบออนไลน์ จานวนข้อคาถาม 6 ข้อ และด้านการสนับสนุนการเรียนการสอนทางไกลโดย กาหนดจานวนข้อคาถามด้านละ จานวนข้อคาถาม 1 ข้อ รวมทั้งหมดเป็น 13 ข้อ ตรวจสอบคุณภาพโดย ผู้เชี่ยวชาญหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) พบว่า ข้อคาถาม แต่ละข้อมีค่า IOC (Index of Item Objective Congruence) อยู่ระหว่าง 0.60-1.00 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กาหนดคือ 0.50 ขึ้นไป โดยแบบสอบถาม ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยแบบสอบถาม 1 ฉบับ แบบออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลพื้นฐานทั่วไป ลักษณะเป็นแบบเลือกตอบ (Check List) ได้แก่ อายุ เพศ ประสบการณ์ทางาน ตอนที่ 2 แบบประเมินปัญหาของการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศ ภาคทฤษฎีมีทั้งสิ้น 13 ข้อ โดยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนการประมาณค่า (Rating Scale) ตามแนวคิด ของลิเคอร์ท (Likert) 5 ระดับ ได้แก่ 5 หมายถึง สภาพจริงที่เป็นอยู่และสภาพที่ควรจะเป็น อยู่ในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง สภาพจริงที่เป็นอยู่และสภาพที่ควรจะเป็น อยู่ในระดับมาก 3 หมายถึง สภาพจริงที่เป็นอยู่และสภาพที่ควรจะเป็น อยู่ในระดับปานกลาง 2 หมายถึง สภาพจริงที่เป็นอยู่และสภาพที่ควรจะเป็น อยู่ในระดับน้อย 1 หมายถึง สภาพจริงที่เป็นอยู่และสภาพที่ควรจะเป็น อยู่ในระดับน้อยที่สุด ในการประเมินประเมินปัญหาของการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศ ภาคทฤษฎีกาหนดเกณฑ์การแปลความหมายของค่าคะแนนตามวิธีของเบสท์ (Best, 1984) มี 5 ระดับ คือ ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง สภาพจริงที่เป็นอยู่และสภาพที่ควรจะเป็นอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง สภาพจริงที่เป็นอยู่และสภาพที่ควรจะเป็นอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง สภาพจริงที่เป็นอยู่และสภาพที่ควรจะเป็นอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง สภาพจริงที่เป็นอยู่และสภาพที่ควรจะเป็นอยู่ในระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง สภาพจริงที่เป็นอยู่และสภาพที่ควรจะเป็นอยู่ในระดับน้อยที่สุด
79 การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ผู้วิจัยนาแบบสอบถามประเมินปัญหาของการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจร ทางอากาศภาคทฤษฎีออนไลน์ให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านที่มีประสบการณ์ด้านการสอนตรวจสอบความตรงเชิง เนื้อหา (Content Validity) และได้ปรับแก้ตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญ โดยกาหนดค่าความสอดคล้อง (IOC) ตั้งแต่ .05 ขึ้นไป (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2556) หลังจากนั้นจึงนาแบบสอบถามที่ได้ปรับแก้แล้วไปทดลอง ใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จานวน 35 คน และหาค่าความเที่ยงโดยใช้สัมประสิทธิ์ Cronbach's Alpha ของแบบสอบถามทั้งฉบับได้เท่ากับ .95 ซึ่งมีค่าความเที่ยงอยู่ในระดับสูงผ่านเกณฑ์ที่กาหนด 2.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1) ผู้วิจัยทาการจัดทาหนังสือขออนุญาตในการแจกแบบสอบถามจากผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน 2) ผู้วิจัยได้นาหนังสือขออนุญาตนาเสนอต่อครูสถาบันการบินพลเรือนหลักสูตรการควบคุม การจราจรทางอากาศ 3) ผู้วิจัยทาการแจกแบบสอบถามในลักษณะ Google form จานวน 12 ฉบับ โดยการแจกจ่ายและเก็บ คืนแบบสอบถามจาก ประชากร ได้แก่ ครูสถาบันการบินพลเรือนหลักสูตรการควบคุมการจราจรทางอากาศจานวน 12 คน 4) ผู้วิจัยตรวจความถูกต้อง ความครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วไปวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป 2.4 การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพผู้ตอบแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์ประเมินความต้องการจาเป็น ในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วง สถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือนสถิติที่ใช้ในการจัดลาดับความต้องการจาเป็น การวิเคราะห์ Modified Priority Needs Index (PNI modified) มีสูตรดังนี้ (PNI modified) = (I – D) / D โดย I (Importance) หมายถึง ระดับความคาดหวังที่ต้องการให้เกิด D (Degree of Success) หมายถึง ระดับสภาพที่เป็นจริงในปัจจุบัน การจัดลาดับความสาคัญของความต้องการจาเป็นใช้การเรียงดัชนีจากมากไปหาน้อย ดัชนีที่มีค่ามาก แปลว่า มีความต้องการจาเป็นสูง ที่ต้องได้รับการพัฒนามากกว่าดัชนีที่มีค่าน้อยกว่า 3. ผลการศึกษา ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง จานวน 12 คน พบว่า เป็นเพศชายคิด เป็นร้อยล่ะ 58.3 พบว่า เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยล่ะ 41.7 ส่วนใหญ่มีประสบการณ์ทางานอยู่ระหว่าง 610 ปี คิดเป็นร้อยล่ะ 41.7 รองลงมาเป็นผู้มีประสบการณ์ทางานระหว่าง 1-5 ปี, 11-15 ปี และ 21-25 ปี
80 การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ผลการประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุม จราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน เรียงตามลาดับ ความสาคัญด้วยดัชนี PNI modified พบว่า ด้านการเพิ่มเวลาพัก ลดการประเมิน งด กิจกรรมต่าง ๆ มีความ จาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนสูงสุด (PNI modified
รองลงมา ด้านการเตรียมความ พร้อมด้านระบบการ เรียนรู้ทางไกลและระบบออนไลน์ (PNI
และ ด้านการสนับสนุนการ เรียนการสอนทางไกล (PNI modified =-0.1396) ตารางที่ 1: ผลการประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตร การควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน ด้านการเพิ่ม เวลาพัก ลดการประเมิน งดกิจกรรมต่าง ๆ ด้านการเพิ่มเวลาพัก ลด การประเมิน งด กิจกรรม ต่าง ๆ การประเมินความต้องการจาเป็น อันดับ สภาพที่เป็นอยู่ (I) สภาพที่ควรจะเป็น (D) PNI modified M S แปลผล M S แปล ผล 1.1 การเพิ่มเวลาพักให้นักเรียน มีผลกระทบต่อเวลาในการ จัดการ เรียนการสอนในแต่ละ รายชั่วโมง 3 4167 66856 ปาน กลาง 2 9167 2 9167 ปาน กลาง 0.1714 5 1.2 การปรับลดการประเมิน วัดผลนักเรียนลงมีผลกระทบ ต่อการ ตัดสินผลการเรียนใน ภาคเรียน 3 8333 83485 มาก 3 0000 3 0000 ปาน กลาง 0.2778 4 1.3 การปรับลดการประเมิน วัดผลนักเรียนมีผลต่อการวัด ความเข้าใจ ในเนื้อหาการ เรียน 3 4167 1 08362 ปาน กลาง 3 0833 3 0833 ปาน กลาง 0.1081 6 1.4 การงดกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน ทาให้เด็กขาดทักษะ ทางด้าน กระบวนการใช้ชีวิต 3 7500 1 28806 มาก 2 9167 2 9167 ปาน กลาง 0.2857 3 1.5 การงดกิจกรรมเนื่องใน วันสาคัญต่าง ๆ ในช่วง สถานการณ์โควิด-19 4 3333 77850 มาก 3 2500 3 2500 ปาน กลาง 0.3333 2
=0.3741)
modified =-0.1136)
81 การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ด้านการเพิ่มเวลาพัก ลด การประเมิน งด กิจกรรม ต่าง ๆ การประเมินความต้องการจาเป็น อันดับ สภาพที่เป็นอยู่ (I) สภาพที่ควรจะเป็น (D) PNI modified M S แปลผล M S แปล ผล 1.6 การงดการจัดกิจกรรม กับหน่วยงานภายนอกในช่วง สถานการณ์ โควิด-19 4.0000 1.12815 มาก 2.9167 2.9167 ปาน กลาง 0.3741 1 เมื่อพิจารณาผลการประเมินผลการประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการ สอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบิน พลเรือน ด้านการเพิ่มเวลาพัก ลดการประเมิน งดกิจกรรมต่าง ๆ พบว่า การงดการจัดกิจกรรมกับหน่วยงาน ภายนอกในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 เป็นประเด็นที่มีความต้องการจาเป็นสูงสุด (PNI
รองลงมาคือ การงดกิจกรรมเนื่องในวันสาคัญต่าง ๆ ในช่วงสถานการณ์โควิด
และ การงดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ทาให้เด็กขาดทักษะทางด้าน กระบวนการใช้ชีวิต
ตารางที่ 2: ผลการประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการ ควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน ด้านการเตรียม ความพร้อมด้านระบบการเรียนรู้ทางไกลและระบบออนไลน์ ด้านการเตรียมความ พร้อมด้านระบบการ เรียนรู้ทางไกลและระบบ ออนไลน์ การประเมินความต้องการจาเป็น อัน ดับ สภาพที่เป็นอยู่ สภาพที่ควรจะเป็น PNI modified M S แปล ผล M S แปล ผล 2.1 การเตรียมความ พร้อมทางด้านอุปกรณ์สื่อ มีความ เหมาะสม 3 4167 1 16450 ปาน กลาง 3 9167 1 50504 มาก -0.1277 8 2.2 การเตรียมความ พร้อมเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจของครู 3 5000 79772 มาก 4 1667 1 02986 มาก -0.1600 12 2.3 การเตรียมความ พร้อมด้านเนื้อหาและสื่อ การสอนทางไกล 3 3333 1 07309 ปาน กลาง 3 8333 1 33712 มาก -0.1304 10 2.4 การเตรียมความ พร้อมทางด้านอุปกรณ์สื่อ 3 2500 62158 ปาน กลาง 3 6667 1 30268 มาก -0.1136 7
modified =0.3741)
-19 (PNI modified =0.3333)
(PNI modified =0.2857)
82 การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ด้านการเตรียมความ พร้อมด้านระบบการ เรียนรู้ทางไกลและระบบ ออนไลน์ การประเมินความต้องการจาเป็น อัน ดับ สภาพที่เป็นอยู่ สภาพที่ควรจะเป็น PNI modified M S แปล ผล M S แปล ผล ต่าง ๆ ที่ใช้ในการ เรียนรู้ ออนไลน์ เช่น คอมพิวเตอร์ แทปเล็ต อย่างเหมาะสม 2.5การเตรียมความ พร้อมเกี่ยวกับสัญญาณ อินเทอร์เน็ตของ โรงเรียน 3 4167 51493 ปาน กลาง 3 9167 1 37895 มาก -0.1278 9 2.6การเตรียมความ พร้อมเกี่ยวกับระบบ เครือข่ายการส่งสัญญาณ รองรับผู้เข้าชมในปริมาณ มาก 3 0833 99620 ปาน กลาง 3 5833 1 50504 มาก -0.1396 11 เมื่อพิจารณาผลการประเมินผลการประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการ สอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบิน พลเรือน ด้านการเตรียมความพร้อมด้านระบบการเรียนรู้ทางไกลและระบบออนไลน์ พบว่า การเตรียมความ พร้อมทางด้านอุปกรณ์สื่อต่าง ๆ ที่ใช้ในการเรียนรู้ออนไลน์ เช่น คอมพิวเตอร์ แทปเล็ต อย่างเหมาะสมเป็น ประเด็นที่มีความต้องการจาเป็นสูงสุด (PNI modified =-0.1136) รองลงมาคือ การเตรียมความพร้อมทางด้าน อุปกรณ์สื่อมีความ เหมาะสม (PNI modified =-0.1277) และ การเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับสัญญาณ อินเทอร์เน็ตของ โรงเรียน (PNI modified =-0.1278)
83 การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ตารางที่ 3: ผลการประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตร การควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน ด้านการ เตรียมความพร้อมด้านการสนับสนุนการเรียนการสอนทางไกล ด้านการสนับสนุนการ เรียนการสอนทางไกล การประเมินความต้องการจาเป็น อันดับ สภาพที่เป็นอยู่ สภาพที่ควรจะเป็น PNI modified M S แปล ผล M S แปล ผล การได้รับการสนับสนุน เครื่องมือและอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์จาก กระทรวงศึกษาฯ ตาม ความเหมาะสมของ โรงเรียน 2 7500 1 05529 ปาน กลาง 4 0000 1 27920 มาก -0.3125 12 เมื่อพิจารณาผลการประเมินผลการประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการ สอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบิน พลเรือน ด้านการสนับสนุนการเรียนการสอนทางไกล พบว่า การได้รับการสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์จาก กระทรวงศึกษาฯ ตามความเหมาะสมของโรงเรียนมีความต้องการจาเป็นเท่ากับ (PNI modified =-0.1136) 4. สรุปผล จากผลการประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุม จราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน เรียงตามลาดับ ความสาคัญด้วยดัชนี PNI modified พบว่า การงดการจัดกิจกรรมกับหน่วยงานภายนอกในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 เป็นประเด็นสูงสุด (PNI modified =0.3741) รองลงมา การงดกิจกรรมเนื่องในวันสาคัญต่าง ๆ ในช่วง สถานการณ์โควิด-19 (PNI modified =0.3333) และ การงดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ทาให้เด็กขาดทักษะทางด้าน กระบวนการใช้ชีวิต (PNI modified =0.2857) เมื่อพิจารณาผลการประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตร การควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎี ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน พบว่า 1) ด้านการเพิ่มเวลาพัก ลดการประเมิน งดกิจกรรมต่าง ๆ การงดการจัดกิจกรรมกับหน่วยงานภายนอก ในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 เป็นประเด็นที่มีความต้องการจาเป็นต้องมีการหารือเพิ่มเติมเพื่อปรับให้เข้ากับ สถานการณ์ อาจจะเนื่องจากช่วงการเกิดโรคระบาดอาจเป็นช่วงที่ยังไม่ได้มีการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า จากการที่ได้มีการประเมินจากคณะอาจารย์จากสถาบันการบินพลเรือนทาให้ทราบว่า การลดการประเมิน งด
84 การประเมินความต้องการจาเป็นในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรการควบคุมจราจรทางอากาศภาคทฤษฎีในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ของสถาบันการบินพลเรือน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 กิจกรรมต่าง ๆ การงดการจัดกิจกรรมกับหน่วยงานภายนอกในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 จะทาให้การจัดการ เรียนการสอนในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 ทาให้ผู้เข้าฝึกอบรมลดความเครียดจากสถานการณ์ โควิด-19 2) ด้านการเพิ่มเวลาพัก ลดการประเมิน งดกิจกรรมต่าง ๆ การงดการจัดกิจกรรมกับหน่วยงานภายนอก ในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 การงดกิจกรรมเนื่องในวันสาคัญต่าง ๆ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เป็นประเด็น ที่ทางคณะอาจารย์ได้ทาการหารือและเป็นประเด็นรองลงมาที่ต้องการการหารือในการจัดการ จากการสังเกต การงดกิจกรรมต่าง ๆ เป็นประเด็นที่ควรจะคานึงเนื่องจากผู้เข้าฝึกอบรมจะได้มีการพักผ่อนที่เพียงพอและลด ความเครียด 3) ด้านการเพิ่มเวลาพัก ลดการประเมิน งดกิจกรรมต่าง ๆ การงดการจัดกิจกรรมกับหน่วยงานภายนอก ในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 หัวข้อการงดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ทาให้เด็กขาดทักษะทางด้าน กระบวนการใช้ ชีวิต จากการสังเกตทาให้ทราบว่า การลดเวลาการประเมิน การงดกิจกรรม ในช่วงสถานการณ์โควิด -19 เป็น เรื่องสาคัญที่ต้องมีการคานึงถึง 4.1 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1) ควรมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับข้องกับการจัดหลักสูตรการควบคุมการจราจร ทางอากาศ ภาคทฤษฎีเพิ่ม อาทิ เช่นเรื่องของความพร้อมของหลักสูตร ผู้เข้าฝึกอบรม เพื่อศึกษาเพิ่มเติม เกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม 2) ควรมีการวิเคราะห์แนวทางที่จะพัฒนาในอนาคตข้างหน้าหากเกิดปัญหาที่ไม่ได้รับการคาดหมาย อย่างเช่น สถานการณ์ COVIT-19 ที่ส่งผลต่อสังคม เพื่อเป็นการป้องกันเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 5. References จักรกฤษณ์ โพดาพล. ( 2563). การจัดการเรียนรู้ออนไลน์ : วีถีที่เป็นไปทางการศึกษา. เลย: มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย. จิรากานต์ อ่อนซาผิว และ สุชาดา นันทะไทย (2564) ปัญหาและความต้องการของการจัดการเรียนรู้ในช่วง สถานการณ์โควิด 19 โรงเรียนวัดด่านสาโรง สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรปราการเขต 1 จุฑามาศ เตชะภัททวรกุล (2563). แนวทางการเตรียมความพร้อมเพื่อส่งเสริมทักษะการทางานที่หลากหลาย ของนักศึกษาครูในยุคดิจิทัล [วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัญฑิต].จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิทัศน์ ฝักเจริญผล, กนิษฐา เชาว์วัฒนกุล, พินดา วราสุนันท์ (2563). ความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน ออนไลนภายใต้สถานการณ์ระบาดไวรัส วิทยานิพนธปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัญฑิต สุวิมล ว่องวาณิช. (2558). การวิจัยประเมินความต้องการจาเป็น. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: วี.พริ้นท์. Witkin, B.R.,
Altschuld,
Planning
and
J.W. (1995).
and Conducting needs assessments. ThounsandOsk,CA: Sage Publication. Inc.

This academic paper focuses on Airport Security Enhancements for against Terrorism A little vulnerability in security can lead to disasters that are not only devastating to the aviation industry. But it also causes widespread damage in many sectors and involves a large amount of property and life This academic paper is written in purpose to at prevent the terrorism

85 การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานต่อต้านก่อการร้าย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานต่อต้านก่อการร้าย Airport Security Enhancements for Against Terrorism 1ธีรภัทร วนิชย์ถนอม และ 2วสุ วสุกุลธรเดชา 1Teerapat Wanichtanom and 2Wasu Wasukultrondaecha สถาบันการบินพลเรือน 1,2Civil Aviation Training Center, Thailand Email: 1fewteerapat@hotmail com, 2wasu.wasukultron@gmail.com บทคัดย่อ บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาในเรื่องการยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานต่อต้านก่อการ ร้าย เนื่องจากการรักษาความปลอดภัยที่หละหลวมเพียงเล็กน้อยนั้นสามารถนาไปสู่หายนะที่ไม่ได้แค่สร้าง ความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมการบินเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในหลาย ๆ ภาคส่วนและ มีเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินและชีวิตเป็นจานวนมาก บทความวิชาการนี้จึงถูกเขียนขึ้นมาเพื่อที่อย่างน้อยจะ สามารถป้องกันการก่อการร้ายขึ้นมาได้ จากการศึกษาพบว่าสาเหตุของการเกิดการก่อการร้ายส่วนหนึ่งมาจากการรักษาความปลอดภัยที่ไม่ รัดกุมมากพอที่จะทาการสอดส่องให้ทั่วถึงซึ่งเป็นปัจจัยสาคัญที่ทาให้เกิดช่องโหว่ในการก่อการร้ายขึ้นมาได้ ซึ่ง วิธีป้องกันการก่อการร้ายที่ดีที่สุดคือการยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานจนผู้ก่อการร้ายมองไม่ เห็นแม้แต่โอกาสที่จะก่อการก่อการร้ายขึ้นมาได้ ซึ่งแนวทางการยกระดับการรักษาความปลอดภัย ท่าอากาศยานสามารถทาได้โดยการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น การจ้างบริษัท ผู้เชี่ยวชาญ และการนาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้งาน โดยที่ขั้นตอนเหล่านี้ต้องเป็นไปอย่างมาตรฐานเพื่อให้การ ดาเนินงานเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาสาคัญ: การรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยาน; การก่อการร้าย; การยกระดับการรักษาความปลอดภัย ท่าอากาศยาน
Abstract

From the research, it is found that the cause of this threat is due to inadequate security surveillance, which is a key factor in the vulnerability of terrorism The best way to prevent the terrorism is to enhance airport security so that terrorists can't even see the potential for harm. To improving airport security can be achieved by implementing more stringent security measures. Hiring an expert company and the application of technology. These procedures must be standardized in order to operate efficiently

Keywords: Airport security; Terrorism; Airport security enhancements

86 การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานต่อต้านก่อการร้าย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
1. บทนา Airport security หรือ การรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยาน มีความเกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องการก่อการ ร้ายที่เกิดขึ้นกับท่าอากาศยานจากผู้ไม่ประสงค์ดี ในอดีตการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานเป็นเพียง แนวคิดที่มุ่งเน้นการป้องกันโดยตารวจพลเรือนจากเหตุการณ์การก่ออาชญากรรมทั่วไปอย่างการโจรกร รม หรือ การบุกรุกเข้าท่าอากาศยานนั้นเพียงพอแล้ว แต่ต่อมามีการตระหนักว่าแค่ตารวจพลเรือนนั้นไม่เพียงพอ ต่อการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานที่เป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย จึงต้องมีการเพิ่มมาตรการรักษา ความปลอดภัยให้มีความรัดกุมที่มากยิ่งขึ้น (Ashford, ม.ป.ป.) การรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานที่บกพร่องก่อให้เกิดปัญหาการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นกับท่าอากาศยาน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ เหตุการณ์ เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว ทางท่าอากาศยานนั้นไม่สามารถที่จะแก้ไขเฉพาะ หน้าได้ทันการณ์ ทาให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล ทั้งในเรื่องของทรัพย์สินและความไว้วางใจ จึงต้อง มุ่งเน้นในการสร้างความเข้มแข็งในเรื่องของการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร และการยกระดับของความ ปลอดภัยในองค์กร โดยจะต้องมีการลงทุนและใช้เวลาในการจัดการกับปัญหานี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด พร้อมทั้งการสนับสนุนทางด้านระบบรักษาความปลอดภัยและอุปกรณ์ด้านการรักษาความปลอดภัยที่ต้องมี การบารุงรักษาอย่างสม่าเสมอ และมีการอบรบมอบความรู้, ฝึกซ้อมปฏิบัติการ และปลูกฝังจิตสานึกการทางาน ที่ดีให้กับบุคลากร เป็นประจาทุกปี ทางผู้จัดทาคาดหวังว่าบทความวิชาการฉบับนี้จะเป็นแนวทางในการจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นกับท่าอากาศยาน เพื่อระบุสาเหตุของการก่อการร้ายที่เกิดจากผู้ไม่ประสงค์ดีและหา แนวทางการป้องกันก่อนที่จะเกิดการสูญเสีย เพื่อรักษาผลประโยชน์ขององค์กรที่อาจเสียหายจากการก่อการ ร้ายนี้ทั้งทางด้านทรัพย์สิน และ ความไว้วางใจ ผู้จัดทาจึงเห็นว่าเรื่องการยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่า อากาศยานนั้นมีส่วนสาคัญที่ว่าหากองค์กรสามารถหาสาเหตุและป้องกันการก่อการร้ายได้ องค์กรจะสามารถ ป้องกันความเสียหายของอุตสาหกรรมการบินก่อนที่จะเกิดเหตุได้
87 การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานต่อต้านก่อการร้าย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 2. การทบทวนวรรณกรรม 2.1 การก่อการร้าย การก่อการร้ายในที่นี้หมายถึงเหตุที่เกิดจากผู้ไม่ประสงค์ดีที่มีเจตนาในการก่ออาชญากรรม หรือ ก่อการร้าย ที่ก่อให้เกิดความไม่สงบก่อและเกิดความวุ่นวายโดยมีเจตนาที่ไม่ดี บุคคลเหล่านี้คือผู้ก่อการร้าย ซึ่ง การก่อการร้ายเหล่านี้สามารถก่อได้หลายรูปแบบโดยมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไปด้วยการกระทาที่ผิด กฎหมายต่อบุคคลและทรัพย์สิน การกระทาเหล่านี้ทาให้ผู้ก่อการร้ายมีอานาจในการเรียกร้องความต้องการ ของตน หรืออาจมีจุดประสงค์เพื่อก่อวินาศกรรมทาให้ประเทศนั้นอ่อนอานาจลง สาเหตุที่อุตสาหกรรม กรรมการบินเป็นเป้าหมายการโจมตีของผู้ก่อการร้ายนั้นเนื่องมาจากอุตสาหกรรมการบินเป็นอุตสาหกรรมที่มี มูลค่าสูง ทั้งส่วนธุรกิจสายการบิน ธุรกิจท่าอากาศยาน และส่วนที่สนับสนุนธุรกิจการบิน อีกทั้งปริมาณ การขนส่งทางอากาศเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งหากอุตสาหกรรมการบินเกิดความเสียหายจะส่งผลกระทบต่อระบบ เศรษฐกิจเป็นความเสียหายในวงกว้าง (ณัฐพงศ์ ประกอบการดี, 2018) ตัวอย่างการก่อการร้าย เช่น การวางระเบิดสายการบินแพนแอม (Pan Am) เที่ยวบิน 103 ค.ศ. 1988 ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1988 สายการบินแพนแอมเที่ยวบินที่103 ซึ่งเป็นอากาศยานสัญชาติอเมริกาออก เดินทาง จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา อากาศยาน เกิดการระเบิดขึ้น ณ เมืองล็อคเคอร์บี้ ประเทศสก๊อตแลนด์ ขณะทาการบินไปยังจุดหมายปลายทาง เหตุการณ์ ในครั้งนี้ทาให้ผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตทั้งสิ้น 259 ราย และชาวเมืองที่อาศัยใน เขตอากาศยานประสบ อุบัติเหตุอีก 11 ราย โดยมีสาเหตุมาจากการลักลอบนาสัมภาระขึ้นไปบนอากาศยานโดยที่เจ้าของสัมภาระ ไม่ได้ขึ้นไปด้วย (Augustyn, ม.ป.ป.) และอีกเหตุการณ์หนึ่งคือการก่อวินาศกรรม 9/11 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2001 กลุ่มผู้ก่อการร้ายจานวน 19 รายเข้ายึดอากาศยานสัญชาติอเมริกาจานวน 4 ลา เข้าโจมตีเป้าหมาย สาคัญของประเทศสหรัฐอเมริกา โดย2ใน4ลาแรก พุ่งเข้าโจมตีอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นอาคารแฝด และเป็นอาคารสาคัญที่อยู่ในย่านการค้าของสหรัฐอเมริกาส่วนลาที่ 3 พุ่งเข้าชนอาคารเพนตากอนซึ่งเป็นศูนย์ บัญชาการกองทัพ และ ลาสุดท้ายตกระหว่างทางไปยังทาเนียบรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้มี ผู้เสียชีวิตมากกว่า 3,000 ราย (Bergen, ม.ป.ป.) 2.2 ภัยคุกคามทางทางไซเบอร์ ในยุคสมัยใหม่นี้ที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดเป็นปัจจัยสาคัญอย่างมากในการพัฒนา อุตสาหกรรมการบินในปัจจุบัน และอนาคต จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า อุตสาหกรรมการบินต้องพึ่งพา ระบบดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงกลายเป็นองค์ประกอบสาคัญของระบบ การบิน การเชื่อมโยงกันของระบบการบินทั่วโลก ทาให้เกิดความเสี่ยงต่อการคุกคามทางไซเบอร์ที่เป็นการก่อ การร้ายอีกรูปแบบหนึ่งมากยิ่งขึ้น (CADT Blog, 2021) ตัวอย่างภัยคุกคามทางทางไซเบอร์ เช่น ท่าอากาศยานฮีทโธรว์ ต้องเสียค่าปรับเป็นจานวน 120,000 ปอนด์ จากการที่ไม่สามารถปกป้องข้อมูลที่เป็นความลับเอาไว้ได้ โดยการโจรกรรมเกิดขึ้นได้จากการที่ระบบ รักษาความปลอดภัยนั้นมีช่องโหว่และการเข้าถึงข้อมูลไม่ได้ถูกป้องกันด้วยรหัสการเข้าถึง (Saraogi, 2020)
88 การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานต่อต้านก่อการร้าย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 เพราะฉะนั้นการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) จึงเป็นปัญหาเร่งด่วนสาหรับทุก ฝ่ายในอุตสาหกรรมการบิน ทั้งสาหรับอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ และการทหาร ส่งผลให้องค์การการบิน พลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้พัฒนาแผนปฏิบัติการความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Action Plan: CyAP) การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) จึงเป็นหนึ่งในส่วนสาคัญที่จะสามารถ ป้องกันภัยอันตรายจากผู้ก่อการร้ายและป้องความเสียหายจากการโจรกรรมข้อมูลและการก่อวินาศกรรมที่ทา ให้ระบบต่าง ๆ เสียหายไปได้ 2.3 ผลกระทบจากการก่อการร้าย จากตัวอย่างเหตุการณ์ที่กล่าวมาจะเห็นได้ชัดว่าผลกระทบที่เกิดจากการปล่อยปละละเลย การรักษา ความปลอดภัยท่าอากาศยานที่เป็นจุดคัดกรองที่สาคัญที่ช่วยป้องกันไม่ให้บุคคลหรือวัตถุอันตรายเล็ดลอดเข้า ไปได้ และการที่ระบบรักษาความปลอดภัยของตนมีช่องโหว่ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง จากการ ก่อการร้ายนี้ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมการบินเท่านั้นที่เสียหายแต่ยังส่งผลต่อพื้นที่ อาคาร และ ชีวิตของประชากร ในละแวกนั้นเป็นความเสียหายในวงกว้าง ต้องใช้เวลาและทรัพย์สินเพื่อฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ส่งผลต่อ การ ดาเนินชีวิตของประชากรในพื้นที่ เพราะฉะนั้นการหาวิธีป้องกันที่รัดกุมเพื่อไม่ให้มีช่องโหว่ให้เกิด การก่อ อาชญากรรมได้จึงเป็นส่วนสาคัญที่รักษาชีวิต ทรัพย์สิน และ ความไว้วางใจไปได้ 3. ผลการศึกษา 3.1 การรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยาน การรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานเกิดขึ้นจากการที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization) นั้นตระหนักได้ถึงความสาคัญจากการที่อุตสาหกรรมการบิน ได้ถูกตั้งเป้าหมายการโจมตีของผู้ก่อการร้าย จึงได้ก่อตั้งอนุสัญญาที่คุ้มครองจาก การกระทาที่ผิดกฎหมายต่อ การบินพลเรือน เพื่อต่อต้านกับกับภัยคุกคาม และ การก่ออาชญากรมต่าง ๆ โดยการสร้างมาตรการการรักษา ความปลอดภัยที่ต้องมีการทบทวนมาตรฐานและข้อแนะนาพึงปฏิบัติที่ระบุไว้ในภาคผนวกที่ 17 ว่าด้วยเรื่อง ของมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างสม่าเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงต่อความเสียหายและสูญเสียจากภัย คุกคามรูปแบบใหม่ ๆ (Ashford, ม.ป.ป.) 3.2 ภาคผนวกที่ 17 มาตรการรักษาความปลอดภัย หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับมาตรการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือน มีระบุไว้ในภาคผนวกที่ 17 ที่กาหนดให้แต่ละประเทศที่ร่วมลงนามในอนุสัญญาชิคาโก จัดทาแผนรักษาความปลอดภัยในการบินพลเรือน แห่งชาติและให้หน่วยงานหรือองค์กรการบินในประเทศนั้นนา ไปปฏิบัติใช้ตามแผนแม่บทผ่านการบังคับใช้ทาง กฎหมายของแต่ละประเทศ (ภาพที่ 1) (International Air Transport Association, 2019)
89 การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานต่อต้านก่อการร้าย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 1: แผนผังแสดงโครงสร้างการจัดการรักษาความปลอดภัยสาหรับการบินพลเรือน ในภาคผนวกที่ 17 กล่าวไว้ว่า มาตรการรักษาความปลอดภัยและนาส่งแผนที่จัดทาให้หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติและบังคับใช้ ให้เกิดประสิทธิผลในการดาเนินงานด้านมาตรการรักษา ความ ปลอดภัยภายในประเทศซึ่งหน่วยงานที่นาไปใช้ต้องจัดทาแผนรักษาความปลอดภัย (Airport Security Programme: ASP) ของหน่วยงานให้สอดคล้องกับแผนแม่บท ที่สร้างโดยสานักงานการบินพลเรือนแห่ง ประเทศไทย ในส่วนของแผนรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่สาคัญ ดังต่อไปนี้ ข้อที่หนึ่งคือมาตรการควบคุมพื้นที่หวงห้าม ผู้ประกอบธุรกิจท่าอากาศยาน ต้องมีการประเมิน พื้นที่ ที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยภายในเขตพื้นที่ท่าอากาศยาน และกาหนดเป็นเขตพื้นที่ควบคุมการรักษาความ ปลอดภัย และปลอดอาวุธ รวมถึงกาหนดจุดตรวจค้นผู้โดยสาร สัมภาระ สินค้า และยานพาหนะก่อนเข้าพื้นที่ หวงห้าม โดยจุดตรวจต่าง ๆ จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ผ่านการฝึกอบรมตามแผนฝึกอบรมการ รักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนแห่งชาติ (National Civil Aviation Security Training Programme: NCASTP) และข้อที่สองคือมาตรการรักษาความปลอดภัยทางกายภาพท่าอากาศยานต้องมีการกาหนดแนวเขต ป้องกันท่าอากาศยาน โดยให้มีสิ่งกีดขวางทางธรรมชาติและสิ่งกีดขวางทางกายภาพให้เพียงพอ เช่น การติดตั้ง สิ่งกีดขวางประเภทรั้ว เพื่อล้อมรอบพื้นที่ท่าอากาศยานซึ่งจัดเป็นสิ่งกีดขวางทางกายภาพที่ท่าอากาศยานนิยม ใช้ เพื่อป้องกันบุคคลภายนอกเข้ามาในเขตพื้นที่หวงห้ามทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจโดยทั่วไป และนอกเหนือจาก สองข้อที่กล่าวมานี้ท่าอากาศยานยังต้องจัดเตรียมแผนฉุกเฉินท่าอากาศยาน และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน เพื่อให้ สามารถรับมือและตอบสนองกับการกระทาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแทรกแซงโดยมิชอบด้วยกฎหมายที่ เกิดขึ้นภายใน ท่าอากาศยาน ได้อย่างถูกขั้นตอนและปลอดภัย (สานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย, 2020/ International Air Transport Association, 2019)
90 การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานต่อต้านก่อการร้าย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 3.3 การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยาน การรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานนั้นเพื่อให้มีความรัดกุมและปลอดภัยมากที่สุดทาให้ต้องมี ขั้นตอนการตรวจค้นที่เกินเวลาทาให้เกิดปัญหาการไหลเวียนของผู้โดยสาร เพราะฉะนั้นการยกระดับการรักษา ความปลอดภัยท่าอากาศยานไม่ใช่แค่การหาวิธีป้องกันอาชญากรรม หรือ การก่อการร้ายเพียงเท่านั้น แต่ต้อง หาวิธีการที่ช่วยส่งเสริมในเรื่องของการอานวยความสะดวกในการดาเนินงานของท่าอากาศยาน เพื่อไม่ให้มี การดาเนินงานที่ขัดข้องได้อีกด้วย (ณัฐพงศ์ ประกอบการดี, 2018) การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานนั้นสามารถทาได้หลายรูปแบบ เช่น การนา เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยเข้ามาใช้ในการตรวจค้นควบคุมการเข้าออกใน ท่าอากาศยาน เพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่เปราะบางและทาการปรับปรุงพื้นที่นั้นให้ดีที่สุด เช่น การเพิ่ม ความสว่างในพื้นพื้นโดยการติดตั้งไฟเพิ่ม การติดตั้งกล้องวงจรปิด การลาดตระเวน มีการตรวจสอบความ ถูกต้องอย่างสม่าเสมอในเรื่องจานวนของผู้โดยสารกับสัมภาระที่สามารถระบุเจ้าของได้ และ การจัดเก็บสินค้า ที่ปลอดภัย รวมถึงการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์ (A.S.P. Security Services, 2019; Gerace, 2021) 4. สรุปผล การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยาน มีผลประโยชน์เป็นวงกว้างไม่ใช่เพียงแค่ใน อุตสาหกรรมการบินเท่านั้นแต่ยังช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายไปยังภาค ส่วนอื่น ๆ ได้ ซึ่งการยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานเกิดขึ้นมาได้จากการตระหนักถึงผลลัพธ์ ของการก่อการร้ายที่ก่อเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิต ทรัพย์สิน และความไว้วางใจ ซึ่งเป็นความ เสียหายที่ใหญ่มากจนเกินกว่าที่จะยอมรับได้ จึงก่อให้เกิดการตระหนักถึงความสาคัญของการรักษาความ ปลอดภัยท่าอากาศยานขึ้นมา เพื่ออุดช่องโหว่ที่เป็นโอกาสให้ผู้ก่อการร้ายสามารถก่อวินาศกรรมขึ้นมาได้ การ ยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานจึงเป็นการป้องกันเชิงรุกที่ช่วยให้อุตสาหกรรมการบินสามารถ ดาเนินงานด้วยความปลอดภัยที่สูงที่สุด เพื่อป้องกันการก่อการร้ายต่าง ๆ จากผู้ก่อการร้าย และสามารถทาให้ การดาเนินงานเป็นไปอย่างลื่นไหลและมีประสิทธิภาพ
91 การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานต่อต้านก่อการร้าย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 2: แนวทางการแก้ปัญหาการรักษาความปลอดภัยที่มีช่องโหว่ให้เกิดการก่อการร้าย จากภาพนี้สามารถอธิบายการแก้ปัญหาของเหตุการณ์การวางระเบิดสายการบินแพนแอมด้วยทฤษฎี สวิสชึสโมเดลซึ่งมีใจความที่ว่าทุกปัจจัยที่ใช้ในการป้องกันการก่อการร้ายล้วนมีช่องโหว่ เพราะฉะนั้นต้องมีการ วางแผนรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมนามาปรับใช้กับปัจจัยต่าง ๆ ที่ใช้ในการป้องกันการก่อการร้ายมาใช้ ร่วมกันเพื่อสร้างเป็นเกราะป้องกันหลาย ๆ ชั้นเพื่อกลบจุดอ่อนให้กันและลดโอกาสเล็ดลอดของการก่อการร้าย ในส่วนของเหตุการณ์การโจรกรรมข้อมูลของท่าอากาศยานฮีทโธรว์แก้ปัญหาด้วยทฤษฎีโดมิโนซึ่งมี ใจความที่ว่าในแต่ละโดมิโนเป็นปัจจัยที่เป็นผลต่อเนื่องกันเหมือนที่หากโดมิโนล้มหนึ่งตัว โดมิโนตัวอื่น ๆ จะล้มกันไปทั้งหมด เพราะฉะนั้นต้องแก้ปัญหาที่โดมิโนที่เราสามารถแก้ได้ นั่นคือจะต้องสร้างระบบรักษาความ ปลอดภัยให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้นจนผู้ก่อการร้ายไม่อาจลงมือก่ออาชญากรรมได้ ก่อการร้าย

[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://www caat or th/wp-content/ สืบค้น 27 กุมภาพันธ์ 2565 Ashford, N. (ม.ป.ป.).

Airport security” [ออนไลน์].

technology

airport/Airport-security

britannica

A. (ม.ป.ป.).

Pan Am flight 103” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:https://www.britannica.com /event/Pan-Am-flight-103. สืบค้น 27 กุมภาพันธ์ 2565

A.S.P. Security Services. (2019). “7 TIPS FOR IMPROVING AIRPORT SECURITY” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้ จาก: https://www security-asp com/2019/09/7-tips-for-improving-airport-security/ สืบค้น 16 มีนาคม 2565

Bergen, P. (ม.ป.ป.).

92 การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานต่อต้านก่อการร้าย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 4.1 ข้อเสนอแนะการยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยาน 1) การวางรั้วกั้นรอบนอกเขตท่าอากาศยานเพื่อป้องการบุกรุกจากบุคคลภายนอก 2) การนาเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มที่จุดตรวจค้นเพื่อช่วยในการค้นหาวัตถุอันตรายให้ได้แม่นยาและรวดเร็ว ยิ่งขึ้น ไม่กระทบต่อการไหลเวียนของผู้โดยสาร 3) ทาการฝึกอบรบให้กับบุคลากรในขั้นตอนการตรวจค้นผู้โดยสารและสัมภาระอย่างถูกต้อง 4) ปรับให้มีพื้นที่เปราะบางในท่าอากาศยานให้น้อยที่สุด โดยการลาดตระเวน เพิ่มแสงสว่าง และ ติดตั้งกล้องวงจรปิด 5) นาสุนัขลาดตระเวนมาใช้หาวัตถุอันตรายในท่าอากาศยาน 6) จ้างบริษัทที่เชี่ยวชาญการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ 4.2 ประโยชน์ที่คาดว่าได้รับจากการศึกษา 1) ยกระดับความปลอดภัยในองค์กร 2) ป้องกันการสูญเสียทางชีวิต ทรัพย์สิน และความไว้วางใจ 3) การดาเนินงานขององค์กรเป็นไปอย่างลื่นไหล ไม่ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ 5. References ณัฐพงศ์ ประกอบการดี. (2018). “ความท้าทายในการจัดการด้านมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยภายใน บริเวณท่าอากาศยานและการให้บริการอานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการของธุรกิจท่าอากาศยาน ” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จากfile:///D:/Downloads/cheewin_ p,+%23%23default groups name manager% 23%23,+4.+103229_Nutthapong pdf. สืบค้น 27 กุมภาพันธ์ 2565 สานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย. (2020). “แผนรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนแห่งชาติ”
เข้าถึงได้จาก: https://www
com/
/
. สืบค้น 27 กุมภาพันธ์ 2565 Augustyn,
“September 11 attacks” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:https://www britannica com/ event/September-11-attacks/The-attacks. สืบค้น 27 กุมภาพันธ์ 2565 CADT Blog. (2021). “ความปลอดภัยทางไซเบอร์ในอุตสาหกรรมการบิน” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https: //blog.dpu.ac.th/ajo/index.php/2021/12/16/. สืบค้น 28 กุมภาพันธ์ 2565

Gerace, D. (2021) “A LOOK AT HOW AIRPORT SECURITY HAS EVOLVED POST 9-11” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://www airport-technology com/features/five-times-airports-wereinvolved-in-cyberattacks-and-data-breaches/. สืบค้น 16 มีนาคม 2565

International Air Transport Association. (2019). “Annual Review 2019” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้ จาก: https://www.iata.org/contentassets/c81222d96c9a4e0bb4ff6ced0126f0bb/iataannual-review-2019 pdf สืบค้น 27 กุมภาพันธ์ 2565

Saraogi, V. (202 0) “ Five times airports were involved in cyberattacks and data breaches” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://www airport-technology com/features/five-timesairports-were-involved-in-cyberattacks-and-data-breaches/. สืบค้น 16 มีนาคม 2565

93 การยกระดับการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานต่อต้านก่อการร้าย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9

There have been many delays in air travel. Due to various reasons, there are both external and internal factors, both of which affect the flight delay. A delay of just one flight can have a chain effect on many areas of future work. It also creates costs that airlines have to compensate for many people involved especially for passengers. For this reason, airlines

94 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสายการบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสายการบิน Flight Delays caused by Airline Teamwork Efficiency 1มีนรา นรสุภา และ 2พัชรินทร์ บุญเจริญ 1Menara Narasupa and 2Patcharin Boonjaroen 1,2สถาบันการบินพลเรือน 1,2Civil Aviation Training Center, Thailand Email: 6212101950@students.catc.or.th บทคัดย่อ การเดินทางทางอากาศเกิดความล่าช้ามากมายหลายครั้งเนื่องมาจากสาเหตุที่หลากหลายมีทั้งปัจจัย ภายนอกและภายในทั้งสองล้วนส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินให้เกิดความล่าช้าขึ้น การล่าช้าของเที่ยวบินเพียงหนึ่ง เที่ยวบินสามารถส่งผลกระทบลูกโซ่ไปในหลายส่วนของการทางานในภายภาคหน้าอีกทั้งยังสร้างค่าใช้จ่ายที่สาย การบินต้องชดเชยให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องมากมายอีกด้วยโดยเฉพาะแก่ผู้โดยสารด้วยเหตุนี้สายการบินจึงให้ ความสาคัญต่อการตรงเวลาของเที่ยวเป็นอย่างมาก ปัจจัยความล่าช้าอันได้แก่ สภาพอากาศ การจัดการ การจราจรทางอากาศปัญหาด้านผู้โดยสารและกระเป๋าโดยสารและอีกหลายปัจจัยแต่ปัญหาหลักที่มีผลทาให้ เที่ยวบินตรงต่อเวลาได้น้อยที่สุดส่งผลให้เกิดการล่าช้าของเที่ยวบินคือ ประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสาย การบิน (Teamwork) บทความวิชาการฉบับนี้จึงมุ่งเน้นศึกษาในการปรับใช้โมเดลทางด้านการทางานเป็นทีมอย่าง LaFasto and Larson Model ที่กล่าวถึงเรื่อง 5 พลวัตของความร่วมมือและการทางานเป็นทีม (Five Dynamicsof Team Work and Collaboration) ที่สามารถนามาประยุกต์เข้ากับอุตสาหกรรมการบิน อย่างสายการบิน ที่มี องค์ประกอบของ องค์กรและการทางานทสอดคล้องกับโมเดลไดเป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น สมาชิกภายในทีมที่ เปรียบเสมือนพนักงาน ของสายการบิน การแก้ไขปัญหาของทีมที่เปรียบเสมือนการเผชิญหน้ากับการแก้ไข ปัญหาในการทางานของสายการบิน รวมทั้งสภาพแวดล้อมการทางานที่เป็นดังปัจจัยที่จะสร้างการทางานเป็น ทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพของสายการบิน โมเดลข้างต้นจึงเป็นโมเดลที่เหมาะสมต่อการแก้ไขปัญหาด้าน การทางานเป็นทีมของสายการบินและสามารถลดการล่าช้าของเที่ยวบินที่เกิดขึ้น คาสาคัญ: การล่าช้าของเที่ยวบิน; การทางานเป็นทีม
Abstract

take great importance tothe punctualityof theirflights.Delay factors include weather conditions,air traffic management, passenger and luggage problems and many other factors but the main problem that affects the flight punctuality is a poor teamwork efficiency that will provide delays.

Therefore, this academic article focuses on the application of the LaFasto and Larson Model, which explains the Five Dynamics of Team Work and Collaboration that can lead to be applied to the aviation industry, like an airline with organizational and functional elements that fit the model very well. For example, a Team Member who is like an airline employee. Team Problem Solving is like facing problems in airline operations. Together with the Organizational Environment as a factor that creates effective teamwork for the airline. This particular model is therefore a suitable model for solving the problem of airline teamwork. And can reduce the resulting flight delays.

Keyword: Flight delay; Teamwork

978-616-7754-78-9

95 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสายการบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN
1. บทนา ณ ปัจจุบันสังคมและเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนด้วยการขนส่งและเพื่อการขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นั้น การขนส่งจึงมีหลากหลายรูปแบบเราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าการขนส่งและการเดินทางทางอากาศนั้น เป็นอีก หนึ่งตัวเลือกของการเดินทางที่เข้ามาเป็นตัวแปรอย่างชัดเจนและยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานทาง คมนาคมที่สาคัญในทุก ๆ ประเทศเนื่องจากความรวดเร็วและความปลอดภัยมาเป็นอันดับต้น ๆ ของการ เดินทางแต่หลายครั้งที่การเดินทางทางอากาศเกิดความล่าช้าส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารอีกทั้งสายการบินเอง ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมซึ่ง เป็นการเพิ่มต้นทุนการดาเนินธุรกิจแล้วยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสายการบินด้วยนั่นเองดังนั้นเมื่อ การล่าช้าของเที่ยวบินส่งผลต่อสายการบินแล้วสายการบินจึงจาเป็นที่จะต้องทาการบินอย่างตรงเวลามากที่สุด เท่าที่สายการบินจะทาได้การล่าช้านั้นเป็นการเสียโอกาสต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นและมีโอกาส ที่ ผู้โดยสารจะไม่เดินทางกับสายการบินนั้น ๆ ในภายหลัง (สุดารัตน์ ว่องกิตติกรสกุล และชนะเยี่ยง กมลสิงห์, 2563) จากการศึกษาพบว่า สถิติของสายการบินแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียที่แสดงถึงสาเหตุที่ทาให้เที่ยวบินล่าช้า นั้นมาจาก อันดับที่ 1 คือความไม่มีประสิทธิภาพของการทางานเป็นทีมในสายการบิน (Teamwork) อันดับ รองลงมาคือ ปัญหาการจัดการจราจรทางอากาศ (Air Traffic Control) และอันดับที่สามคือ สภาพอากาศ (Weather) โดยหลัก ๆ วิธีที่จัดการกับปัญหาของการทางานเป็นทีม (Teamwork) ของสายการบินได้แก่ 1) การอบรมเพื่อสร้างการทางานเป็นทีม 2) การเตรียมแผนฉุกเฉินเพื่อให้พนักงานสามารถรับมือกับการทางาน ทีม ผู้เกี่ยวข้องเยอะ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) วางมาตรฐานในการทางานใหแก่พนักงานเพื่อที่พนักงานจะ
96 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสายการบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ได้ทางาน ไปในทิศทางเดียวกัน 4) วางตารางเวลาแก่พนักงานอย่างชัดเจน และ 5) รวมไปถึงการปลูกฝังหรือ สร้างแรงบันดาล ใจให้แก่พนักงานให้รักกันเหมือนครอบครัว (วัลลี พุทโสม และจิระภา จันทร์บัว,2564) จากที่กล่าวมาข้างต้น ผู้ศึกษาจึงต้องการศึกษาสาเหตุหลักที่ทาใหเที่ยวบินล่าช้า ซึ่งก็คือความไม่มี ประสิทธิภาพในการทางานเป็นทีมของสายการบิน ผู้เขียนจึงต้องการเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยใช้ The LaFasto and Larson Model หรือ 5 พลวัตของความร่วมมือและการทางานเป็นทีม (Five Dynamics of Team Work and Collaboration) เพื่อเป็นแนวทางให้สายการบินได้ยกระดบการทางานเป็นทีมอย่างมี ประสิทธิภาพ มากขึ้นและให้เกิดการล่าช้าอย่างน้อยที่สุด 2. การทบทวนวรรณกรรม 2.1 การล่าช้าของเที่ยวบินต่อสายการบิน การล่าช้าแท้จริงแล้วจะถูกนาไปอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้นช้าจากกรอบเวลาที่จาเป็นต้องเกิดขึ้นหรือ คาดว่าจะเกิดขึ้นและการล่าช้าก็ถูกนาไปใช้กับหลาย ๆ อย่าง และหลายวาระที่ต่างออกไปจากหลาย ๆ บุคคล เช่นกัน เช่นเดียวกันกับสายการบิน สายการบินนั้นมองการล่าช้าของตัวสายการบินเองไปในแง่ของจานวน ความล่าช้าที่ เกิดขึ้นต่อเที่ยวบิน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สายการบินมองไปถึงการเปรียบเทียบระหว่าง 2 สิ่งที่เกิดขึ้น นั้นก็คือ กาหนดการเวลาออกเดินทาง
จริง
ตรงต่อเวลา
ต่อเที่ยวบินขาเข้าและขาออก สายการบินให้ความสาคัญมากกับการประเมินการล่าช้าในเที่ยวบินขาออกเพราะเมื่อเที่ยวบนขาออก นั้นเกิดการล่าช้าผลกระทบจะถูกส่งตรงในส่วนของปลายทางของเที่ยวบินนั้น ๆ ไปโดยปริยาย การล่าช้าเพียง เล็กน้อย ใช่ว่าจะไม่ส่งผลกระทบเพราะเมื่อการล่าช้าเกิดขึ้นผลกระทบทตามมาจะถูกส่งต่อกันเป็นลูกโซ่นั่นเอง (บุญญวัฒน์ และคณะฯ, 2563) จากที่กล่าวมาข้างต้นจากสิ่งที่สายการบินใช้ในการประเมินประสิทธิภาพการตรงต่อเวลา (On-time performance)เพื่อที่จะสร้างประสิทธิภาพการตรงต่อเวลาต่อสายการบินจากสาเหตุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ประสิทธิภาพของการทางานเป็นทีมหรือสาเหตุอื่น ๆ ก็ตามสายการบินที่มีอัตราการตรงต่อเวลาที่มากกว่าร้อย ละ 80 จะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับในอุสาหกรรมการบินว่ามีประสิทธิภาพการตรงต่อเวลาที่ดีมาก (บุญญวัฒน์ และคณะฯ, 2563) นอกจากนั้น On-time performance ไม่เพียงบ่งบอกคุณภาพของสายการบินแล้วยังสามารถชี้วัด คุณภาพ ในการจัดการการตรงต่อเวลาที่เกิดขึ้นต่อสนามบินเช่นกัน สนามบินได้มีการใช้การเปรียบเทียบที่คล้ายคลึงกับสายการบินเช่นกัน ระหว่างกาหนดการเดินทาง (Time Slot) และ เวลาออกจากหลุมจอดจริง (Actual Off-block Time) และเมื่อตัวเลขมากเท่าไหร่ นั้นก็ หมายความว่าสนามบินมีความแออดเกิดขึ้นส่งผลทาใหเที่ยวบินเกิดความล่าช้าขึ้นนั่นเองสายการบินและ สนามบินจึงมีสิ่งที่เชื่อมโยงกันเสมอ
(Scheduled time of arrival or departure) กับ เวลาออกเดินทาง
(Actual time of arrival or departure) และเมื่อเปรียบเทียบแล้ว สายการบินจะสามารถรับรู้ได้ถึง ประสิทธิภาพของการ
(On-time performance)
97 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสายการบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 กราฟแสดงสถิติความล่าช้าสะสมที่เกิดขึ้น ณ สนามบินสุวรรณภูมิระหวางปี พ ศ 2560 และ พ ศ 2561 โดย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จากัด (มหาชน) จากกราฟแสดงสถิติจากสายการบินที่ได้ทาการบิน ก่อนเวลากาหนด 30 นาที และได้ทาการแบ่งช่วงเที่ยวบินล่าช้าเป็นช่วงเวลา 0-5 นาที, 6-10 นาที, 11-15 นาที, 16-20 นาที, 21-25 นาที ตลอดจนช่วงเวลาล่าช้าที่ 116-120 นาที ตัวอย่างเช่น ณ 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ช่วงเวลา 16-20 นาที, 11-15 นาทีและ 21-25 นาทีเป็นช่วงเวลาที่มีจานวนเที่ยวบินล่าช้ามากที่สุดโดย เรียงลาดับจากจานวนเที่ยวบินตามลาดับ ที่ 29,000 เที่ยวบิน, 27,000 เที่ยวบินและ 23,000 เที่ยวบิน ซึ่งเป็น ตัวเลขที่มากกว่าในปี พ ศ 2560 ทั้ง 3 ช่วงเวลา (สุดารัตน์ ว่องกิตติกรสกุล และ ชนะเยี่ยง กมลสิงห์, 2563) ภาพที่ 1: กราฟแสดง Accumulate Flight Delay in Minutes จากที่ได้กล่าวมาถึงปัจจัยความล่าช้าของเที่ยวบิน อันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีม (Teamwork) ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยส่งผลต่อ On-time performance ดังแสดงภาพที่ 1 เพื่อให้ทราบถึง การทางานจริงของสายการบินแล้วนั้น จึงได้ยกตัวอย่างดังต่อไปนี้ เที่ยวบินหนึ่งเที่ยวบินต้องมีการเตรียมพร้อม ก่อนการเดินทางเสมอ จึงมีหลากหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายต้อนรับผู้โดยสาร ฝ่ายปฏิบัติการ เขตการบิน ฝ่ายช่าง ฝ่ายครัว และอื่น ๆ อีกมากมาย หากทุกฝ่ายไม่ได้มีการวางแผนในการทางาน ไม่มี เป้าหมายของงาน ในแต่ละงาน พนักงานทุกคนไม่ได้มองถึงความสาคัญในการทางาน การร่วมมือกันใน การทางานก็มิอาจเกิดขึ้น การสร้างการทางานเป็นทีม (Teamwork) จึงมีส่วนสาคัญอย่างมากที่จะสามารถทา ให้พนักงานทุก ๆ ฝ่ายสามารถ ทางานได้อย่างตรงตามหน้าที่และมุมมองในการทางานไปในทิศทางเดียวกัน มีทักษะในการทางานร่วมกันได้ 2.2 ผลกระทบจากการล่าช้าของเที่ยวบิน สายการบินนั้นทราบดีว่าปัจจัยหลายอย่างที่สามารถนาไปสู่ความล่าช้าของเที่ยวบินได้ โดยเฉพาะใน ส่วนของ การทางานเป็นทีมที่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรส่งผลทาให้เกิดการล่าช้าของเที่ยวบิน นอกจากนี้
98 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสายการบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 สาเหตุอาจเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ (Internal factor) ก็ดีหรือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ (External factor) ก็ดี แต่ไม่ว่าอย่าง ใดสายการบินจึงมีหน้าที่ทาให้เกิดการล่าช้าน้อยที่สุด เพราะการล่าช้าส่งผลกระทบต่อหลากหลายด้าน ได้แก่ 1) ผลกระทบด้านต้นทุน สายการบินจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นหากเที่ยวบินล่าช้าไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ ตาม หากทาการบินขึ้นไม่ได้ ค่าใช้จ่ายที่จะตามมาก็คือค่าน้ามัน ค่าสะพานเทียบผู้โดยสาร ค่าหลุมจอด และ อื่น ๆ ที่ทาให้ เสียโอกาสในการทากาไร 2) ผลกระทบต่อผู้โดยสาร แน่นอนว่าถ้าหากเราทุกคนต้องเดินทางไปทาธุระแต่ต้องไปช้าเพราะสาเหตุ จาก เที่ยวบินล่าช้า เราคงไม่สบายใจและไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะในเมื่อสายการบินมีเวลาที่ชัดเจนก็ควรที่ ทาการบินให้ได้ตามที่แจ้งแก่ผู้โดยสาร นอกจากจะเป็นการเพิ่มเวลาเดินทางของผู้โดยสารมากขึ้นแล้วยังเป็น การเสีย โอกาสและความต้องการของลูกค้าต่อสายการบินในอนาคตอีกด้วย 3) ภาพลักษณขององค์กร การที่สายการบินเกิดความล่าช้าบ่อยมากขึ้นส่งผลให้ผู้โดยสารเกิด ภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อสายการบิน สายการบินจะค่อย ๆ หมดความน่าเชือถือและขาดความเชื่อใจจากผู้ใช้บริการ ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมได้ออกประกาศเรื่องการคุ้มครองสิทธิของผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินของ ไทย พ.ศ. 2553 ดังต่อไปนี้ กรณีเที่ยวบินล่าช้าของเส้นทางภายในประเทศ หากอยู่ในช่วง 2-3 ชั่วโมง สายการบินจะต้องจัดหาอาหารและเครื่องดื่มและโทรศัพท์รวมไปถึงโทรสารและอีเมลล์ ตลอดจนเงินค่าโดยสาร กรณีผู้โดยสารไม่ประสงค์จะเดินทางต่อ หากอยู่ในช่วง 3-5 ชั่วโมง สายการบินจะต้องจัดหาอาหารและ เครื่องดื่มและโทรศัพท์รวม ไปถึงโทรสารและอีเมลล์ ตลอดจนเงินค่าโดยสารคน กรณีไม่ประสงค์จะเดินทางต่อ หรือ เปลี่ยนแปลงเที่ยวบิน หรือเดินทางโดยการขนส่งทางอื่น หากอยู่ในช่วง 5-6 ชั่วโมง สายการบินจะต้อง จัดหาอาหารและเครื่องดื่มและ โทรศัพท์รวมไปถึงโทรสารและอีเมลล์ ตลอดจนเงินค่าโดยสารคน กรณีไม่ ประสงค์จะเดินทางต่อ หรือ เปลี่ยนแปลง เที่ยวบิน หรือ เดินทางโดยการขนส่งทางอื่น และค่าชดเชยเป็นเงิน สดจานวน 600 บาท หรือชาระเป็น Travel Voucher โดยได้ความยินยอมจากผู้โดยสาร เว้นแต่ สายการบิน พิสูจน์ได้ว่าเที่ยวบินล่าช้าเกิดจากเหตุสุดวิสัย และ หากล่าช้าเกิน 6 ชั่วโมง สายการบินจะต้องปฏิบัติต่อ ผู้โดยสารเช่นเดียวกับมาตรการในเรื่องการยกเลิกเที่ยวบิน ดังนี้ 1) เงินค่าโดยสารคน กรณีไม่ประสงค์จะ เดินทางต่อ หรือ เปลี่ยนแปลงเที่ยวบิน หรือ เดินทางโดยการขนส่ง ทางอื่น 2) ได้รับการดูแลจากสายการบิน ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องมือสื่อสาร ตลอดจนที่พักพร้อมการขนส่ง ระหว่างสนามบินกับที่พัก (ถ้าต้องค้างคืน) และ 3) ได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 1200 บาท หรือชาระเป็น Travel Voucher โดยได้ความยินยอมจากผู้โดยสาร เว้นแต่ สายการบินพิสูจน์ได้ว่าการยกเลิกเที่ยวบินที่เกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัยหรือสายการบินได้แจ้งการยกเลิก เที่ยวบินก่อนวันเวลาเดินทางไม่น้อยกว่า 3 วัน หรือสายการบิน เปลี่ยนแปลงเที่ยวบินให้แก่ผู้โดยสารไปยัง จดหมายที่ระบุในบัตรโดยสารได้ภายในไม่เกิน 3 ชั่วโมง จากเวลาเดิม กรณีเที่ยวบินล่าช้าของสายการบิน เส้นทางระหว่างประเทศตามกฎหมายเดิมของประกาศกระทรวงคมนาคมเรื่อง การคมครองสิทธิของผู้โดยสารที่ ใช้บริการสายการบินของไทยในเส้นทางบินประจาภายในประเทศ พ ศ. 2553 บังคับเฉพาะสายการบินที่ จดทะเบียนไทยให้จ่ายค่าชดเชย หากแต่ไม่ได้ใช้บังคับกับสายการบินระหว่างประเทศ (นิษฐเนตร์ ขจรเทวาวงศ์ และคณะฯ, 2563)
99 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสายการบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 กรณีศึกษาของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ (Singapore Airlines) ที่มีการทางานเป็นทีมเป็นหนึ่งใน ค่านิยมขององค์กรสายการบินนั้น เชื่อว่าความสาเร็จในการให้บริการขึ้นอยู่กับคุณภาพของบุคคลและ การ ทางานเป็นทีมเป็นหลัก สายการบินจึงมีการตั้งโปรแกรมที่มีชื่อว่า ฟิวชั่น (FUS3ION) ขึ้นมา ซึ่งเป็นโปรแกรม ริเริ่มที่สร้างมาเพื่อ ฝึกฝนการทางานเป็นทีม เพื่อที่จะยกระดับในงานด้านนิรภัย ความปลอดภัยและความเป็น เลิศในการให้บริการ ให้แก่ นักบิน (Flight crew) ลูกเรือ (Cabin crew) วิศวกร รวมไปถึง เจ้าหน้าที่บริการ ภาคพื้น ของสายการบิน ฟิวชั่น (FUS3ION) เล็งที่จะพัฒนาผู้ฝึกให้เป็นผู้ที่มีประสิทธิภาพในการทางานร่วมกัน ในต่างแผนกการทางาน ซึ่งมี เป้าหมายเดียวกันในการยกระดับการให้บริการที่ดีกว่า โดยมีจุดประสงค์หลักของ โปรแกรมที่จะให้พนักงานของ สายการบินออกจากจุดลงตัวหรือจุดที่สบายของตนเอง (Comfort zone) เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ของแต่ละบุคคลที่เคยเผชิญแก่กันและกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว ความสาเร็จที่ผ่านมาก็ดี รวมทั้งกิจกรรมละลาย พฤติกรรม (Ice Breaking) เพื่อที่จะสร้างการสื่อสารและความ เข้าใจซึ่งกันและกันที่ดียิ่งขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมนี้ทาให้พนักงานของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์มีความเข้าใจถึงบทบาทและ หน้าที่ความรับผิดชอบและความท้าทายที่ได้แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันจากมุมมองของอีกฝ่ายในการทางาน ยิ่งไปกว่านั้น ผลลัพธ์ของโปรแกรมนี้ยังช่วยทาให้พนักงานของสายการบินสามารถทางานเป็นทีมได้อย่างมี ประสิทธิภาพในทุก ๆ สถานการณ์ (รพีพร ตันจ้อย และอรปวีณ์ กุลพรเพ็ญ, 2563) จากกรณีศึกษาข้างต้นนี้ของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีการกล่าวถึงการช่วย แก้ปัญหาลด การล่าช้าของเที่ยวบินโดยตรง แต่ได้มีการเล็งเห็นถึงความสาคัญในการทางานเป็นทีมให้มี ประสิทธิภาพ โดยหลัก ๆ เป็นเรื่องของการสื่อสาร การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของการทางานเป็นทีม รวมทั้งยัง สามารถสร้างความเข้าใจใน การแก้ไขปัญหาอันนาไปสู่ความสาเร็จ ซึ่งเป็นจัดสาคัญในการแก้ไขปัญหาของทีม องค์ประกอบต่าง ๆ ที่เป็นผลลัพธ์ ของโปรแกรมนี้ทาให้พนักงานสามารถทางานเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจัดการกับสถานการณ์ในเบื้องหน้า ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้โดยสาร สัมภาระ หรือ แม้กระทั่งการทาภายในหลุมจอด และอื่น ๆ ซึ่งมีผลต่อการล่าช้าของเที่ยวบินทั้งสิ้น 2.3 แนวคิดโมเดล 5 พลวัตของความร่วมมือและการทางานเป็นทีม (LaFasto and Larson Model) โมเดลนี้ถูกคิดค้นจากนักเขียนชื่อดัง 2 คนได้แก่ Frank LaFasto และ Carl Larson ในปี พ ศ.2544 ซึ่งเป็น การพัฒนาโมเดลที่กล่าวถึงเรื่องของประสิทธิภาพของการทางานเป็นทีม โดยมีหลักแนวคิดพลวัตอยู่ 5 อย่าง ซึ่ง การศึกษาของทั้งคู่ (LaFasto and Larson) ได้ดาเนินการเก็บข้อมูลและสารวจจากหลากหลาย อุตสาหกรรมที่มี การทางานเป็นทีมเป็นจานวนมากกว่า 6000 กลุ่ม และได้คิดค้นออกมาเป็นทฤษฐีพื้นฐานทั้ง 5 อย่างที่สามารถ นาไปเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทางานได้ ได้แก่ 1) สมาชิกทีม (Team member) 2) ความสัมพันธ์ของทีม (Team relationships) 3) การแก้ไขปัญหาของทีม (Team problem solving) 4) ภาวะผู้นาของทีม(Team leadership) 5) สภาพแวดล้อมองค์กร (Organization environment) รูปภาพแสดงโมเดลของ LaFasto และ Larson (Five Dynamics of Team Work and Collaboration) ที่ ได้กาหนดความหมายและความเข้าใจขององค์ประกอบต่าง ๆ ของโมเดลทั้ง 5 ส่วนไว้
100 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสายการบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ตัวอย่างเช่น ในส่วนแรกของ โมเดลที่กล่าวถึง สมาชิกทีม (Team Member) อย่างคาพดที่ว่า “คนคือบริษัท” การมีคนที่ใช้สาหรบองค์กรนับได้ ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความสาเร็จ บุคลิกและอุปนิสัยของทีมที่สมาชิกทีมต้องมี ด้วยกัน 4 อย่างได้แก่ 1) การเปิดใจ และสนใจ (Openness) สมาชิกจะต้องเป็นผู้ที่เปิดใจและรับฟังสิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอจากสมาชิกภายในทีม สามารถนา ปัญหาหรือข้อคิดเข้ามาสนทนาภายในทีมได้ เพื่อที่จะสร้าง บรรยากาศที่ดีในการสนทนาร่วมกันภายในทีม 2) แรงสนับสนุน (Supportiveness) เป็นปัจจัยที่สองที่จะทาให้ การทางานเป็นทีมที่สาเร็จได้ด้วยแรงสนับสนุนของสมาชิก ภายในทีมที่มีต่อกันที่ช่วยกันผลักดันซึ่งกันและกัน 3) การกระทาที่มุ่งเน้นเป้าหมาย (Action Orientation) สมาชิก ภายในทีมแต่ละคนสามารถทางานและ ใช้เป้าหมายเป็นตัวกาหนดได้อย่างอิสระ ซึ่งเน้นไปที่การกระทาของแต่ละ บุคคลเป็นหลัก และ 4) การมี อุปนิสัยในทางบวก (A Positive Personal Style) ไม่ว่าจะเป็นการช่วยสร้างแรงบันดาลใจแก่สมาชิกภายในทีม สร้างแรงบวก ร่วมไปถึงการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี (รณกร สุวรรณกลาง, 2557) ภาพที่ 2: Five Dynamics of Team Work and Collaboration นอกจากนี้ยังได้อธิบายถึง ความสัมพันธ์ภายในทีม (Team Relationships) การที่ทีมจะประสบ ความสาเร็จ ได้นั้นทุก ๆ คนภายในทีมต้องสื่อสารซึ่งกันและกัน รวมทั้งการมีวัฒนธรรมภายในองค์กรที่จะช่วย เสริมความสัมพันธ์ ที่ดีและจาเป็นที่จะต้องเคารพซึ่งกันและกัน ถัดมาคือการแก้ไขปัญหาของทีม (Team problem solving) การมี เป้าหมายหรือความต้องการที่ชัดเจนของทีมที่สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร จะสามารถช่วยให้ทีมสามารถ ประสบความสาเร็จได้ ยิ่งมีความชัดเจนมากเท่าไหร่ก็ยังดี แต่ในบางครั้งมันเป็น เรื่องที่ไม่ง่าย เพราะทุก ๆ คนภายใน ทีมจะต้องสื่อสารออกมาด้วยความจรงใจ และยอมรับในสภาพแวดล้อม ที่สามารถทาให้ทุกคนภายในทีมสื่อสารถึง ปัญหาได้อย่างสบายใจ ถัดมาคือภาวะผู้นาภายในทีม (Team leadership) การเป็นผู้นาไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพาทีม ประสบความสาเร็จ แต่ผู้นาเป็นคนที่สามารถมองเห็นและ จัดการกับเหตุการณ์ภายในทีมได้ดี ผู้นาที่มองถึงเป้าหมายเป็นหลัก เป็นคนที่สามารถสร้างแรงจูงใจให้กับ สมาชิกภายในทีมได้ สร้างบรรยากาศที่ดีภายในทีมได้ รวมทั้ง จัดลาดับความสาคัญของงานและหน้าที่ได้ดี และการเป็นผู้นาที่ดีจะสามารถพัฒนาความสามารถในแต่ละบุคคล ภายในทีมโดยใช้จุดที่ดีแล้วหรือบกพร่อง มาเป็นตัวชี้วัด (feedback) ลาดับสุดท้าย สภาพแวดล้อมขององค์กร (Organization environment) สภาพแวดล้อมขององค์กรที่ดีจะช่วยเสริมสร้างความสามารถและอุปนิสัยที่ดีของ ผู้คนภายในองค์กร และยัง
101 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสายการบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 เป็นการผนวกวัฒนธรรมขององค์กรเข้าด้วยที่จะช่วยหล่อหลอม พถติกรรม และค่านิยม ต่าง ๆ เข้าไปในการ ทางาน (ลัดดาวรรณ ศรีหาบุตร และคณะฯ, 2563) 3. ผลการศึกษา 3.1 การประยุกต์โมเดล 5 พลวัตของความร่วมมือและการทางานเป็นทีม ( Five Dynamics of Team Work and Collaboration) เพื่อแก้ไขปัญหาการล่าช้าของเที่ยวบิน จากการค้นคว้าที่กล่าวไว้ก่อนหน้าในด้านของสาเหตุที่ทาให้เที่ยวบินล่าช้า ปัจจัยที่มีส่วนทาให้ เที่ยวบิน สามารถทาการบินได้อย่างตรงเวลา พบว่าสาเหตุหลักที่ทาให้เที่ยวบินล่าช้าเกิดจากปัญหาการทางาน เป็นทีม (Teamwork) ซึ่งหากที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ โมเดลของ LaFasto and Larson ที่กล่าวถึง การทางานเป็นทีม โดยอิงไปที่บุคคลหรือสมาชิกภายในทีมเป็นหลักที่เปรียบเสมือนพนักงานของสายการบิน โมเดลนี้จึงเป็นอีกหนึ่ง โมเดลที่สามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในด้านการทางานเป็นทีมได้ดังนี้ ก) สมาชิกทีม (Team Member) สมาชิกทีมที่เป็นหัวใจหลักที่จะขับเคลื่อนโมเดลนี้ไปข้างหน้า แน่นอนว่าธุรกิจสายการบินเป็น ธุรกิจทีมขนาด หลายหลายตามรูปแบบของโมเดลธุรกิจของแต่ละสายการบิน ตัวอย่างเช่น สายการบินประจา ชาติ สายการบิน ต้นทุนต่า สายการบินเช่าเหมาลา ล้วนมีขนาดขององค์กรที่ต่างกันออกไป และเป็นอีกหนึ่ง ธุรกิจที่มีผู้เกี่ยวข้องใน การทางานมากมายหลายฝ่าย พนักงานจึงเป็นส่วนสาคัญอย่างยิ่ง สายการบิน จาเป็นต้องจัดหาบุคลากรที่มีคุณภาพ เข้ามาทาหน้าที่ภายในองค์กร การเลือกพนักงานให้ถูกต้องตาม ความสามารถจะเป็นปัจจัยสาคัญต่อความสาเร็จใน การทาเป็นทีม และจาเป็นต้องมอบหมายหน้าที่ให้ สอดคล้องกับความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคล สมาชิกทีม นั่นก็คือพนักงานของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นในส่วน ของงานบริการ ที่เป็นส่วนสาคัญต่องานสายการบินเป็นอย่างมาก การมีพนักงานบริการที่มีคุณภาพนั่น หมายถึง การมีพนักงานที่มีความพร้อมที่จะสามารถดูแลผู้โดยสารอยู่ ตลอดเวลา เพราะปัญหาด้านงาน ผู้โดยสารหรืองานด้าน เช็คอิน (check-in) ก็มีผลต่อการล่าช้าของเที่ยวบิน เช่นกัน สมาชิกทีมจึงเป็นหนึ่งใน องค์ประกอบที่สาคญของโมเดลนี้ ข) ความสัมพันธ์ของทีม (Team Relationships) ต่อเนื่องจากบุคคลากรทีมคุณภาพ สายการบินจาเป็นต้องคานึงถึงบุคคลที่มีทัศนคติที่ดีควบคู่กัน ไปด้วย การ เคารพซึ่งกันและกัน การสื่อสารเมื่อพนักงานมีทัศนคติในการทางานที่ดีแล้วย่อมส่งผลถึงคุณภาพ ของ ความสัมพนธ์ที่มีต่อเพื่อนร่วมงานทาให้เกิดประสิทธิภาพในการทางานที่ดีมากขึ้น หลายครั้งองค์กรคัดแค่ การมีบุคลากรที่เก่งและหลายหลายครั้งเอง บุคลากรเหล่านั้นไม่สามารถทางานร่วมกับผู้อื่นได้เพื่อที่จะสร้าง ความสัมพันธ์ของทีมในสายการบินเพื่อที่จะลดการล่าช้าของเที่ยวบินที่เกิดขึ้นนั้น การสื่อสารซึ่งกันและกัน การบอกจุดที่ดีและจุดดอยในการปฏิบัติงานไม่ว่าจะเป็นในส่วนช่างซ่อมบารุงพนักงานทาความสะอาด และ อื่น ๆ ให้แก่เพื่อนร่วมงานต่อกันจะทาให้พนักงานที่ทางานร่วมกันสามารถสร้างความเข้าใจกันที่สามารถนาไป พัฒนาเพื่อการทางานให้ได้ตามเป้าหมายที่ดียิ่งขึ้นเพื่อลดปัญหาที่สามารถนาไปสู่ความล่าช้าของเที่ยวบินได้ยิ่ง ไปกว่านั้นหากสายการบินมีวัฒนธรรมภายในองค์กรที่ดีจะช่วยสร้างบรรยากาศในการทางานร่วมกันและ
102 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสายการบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ความสัมพันธ์ภายในทีมที่ดี ค) การแก้ไขปัญหาของทีม (Team Problem Solving) ในเมื่อพนักงานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแล้ว การทางานร่วมกันก็จะง่ายและมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้น เมื่อมีปัญหาเข้ามา การจัดการภายในทีมจะดาเนินได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สร้างปัญหาหรือความ ขัดแย้งขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น การที่สายการบินมอบความชัดเจนในด้านหน้าที่การทางานของแต่ละฝ่ายชัดเจน มากเท่าไหร่ ก็จะสามารถช่วยให้พนักงานสามารถรับรู้หน้าที่ของตนเองและปฏิบัติงานออกมาได้อย่างราบรื่น ตามแต่ละสถานการณ์ การแก้ไขปัญหาของทีมเป็นอีกหนึ่งจัดสาคัญของโมเดลนี้เป็นอย่างมาก สิ่งที่สายการบิน สามารถนาไปปรับให้แก่ พนักงานสามารถทาได้ดังต่อไปนี้ 1) เมื่อมีปัญหาเข้ามา พนักงานจาเป็นที่จะต้องรับรู้ ถึงระดับของปัญหาที่เกิดขึ้น และพนักงานจาเป็นต้องรู้ได้ว่าต้องทาอะไรก่อนและหลังอย่างไรบ้าง ให้เหมาะสม ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น 2) พนักงาน สามารถสื่อสารกันได้ ณ เวลาที่ทราบถึงปัญหา แน่นอนว่าการทาเป็นทีมต้อง สื่อสาร 2 คนย่อมดีกว่า 1 เสมอ ในทีมที่ไร้ประสิทธิภาพในการสื่อสารนั้น สมาชิกภายในทีมไม่สื่อสารซึ่งกัน และกัน ต่างคนต่างทางานของตน นั้นหมายความว่าการแก้ไขปัญหาทาได้เป็น 0 และส่งผลกระทบต่อการ ล่าช้าของเที่ยวบินอย่างแน่นอน ง) ภาวะผู้นาของทีม (Team Leadership) อีกหนึ่งปัจจัยสาคัญของทีมหรือแต่ละฝ่ายการทางานของสายการบิน ผู้นาไม่จาเป็นที่จะต้องเป็น ผู้จัดการ หัวหน้าฝ่าย หัวหน้าสาขา แต่เพียงเท่านั้น ภาวะผู้นาสามารถเกิดได้กับพนักงานทุกคน ผู้นาเป็นส่วน สาคัญของการ ทางานของสายการบินเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยเป็นผู้ที่สามารถสร้างแรงบรรดาลใจในการ ทางานรวมถึงการสร้าง แรงจูงใจในการทางานแก่สมาชิกหรือเพื่อนร่วมงานได้ ความสาเร็จของการทางานจะ เกิดได้ยากหากไม่มีผู้นาที่ดีที่ สามารถแบกรับแรงกดดันและสามารถพาทีมไปถึงเป้าหมายได้ ตัวอย่างเช่น ใน การปฏิบัติงานในระยะเวลา ครอบครองหลุมจอด (Turnaround Time) นั้นเป็นอีกหนึ่งจุดที่ทาใหสายการบิน เสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเมื่อเครื่องบินเทียบชานชะลาแล้ว เวลาที่กาหนดสาหรับ ระยะเวลา ครอบครองหลุมจอด (Turnaround Time) จะเดินทันที ผู้นาที่ดีจะต้องวางเป้าหมายให้แก่การทางานภายใน หลุมจอดไม่เกินกว่าที่กาหนด การล่าช้าของเที่ยวก็จะไม่เกิดขึ้น มีการจัดวางความสาคัญในการทางานว่า สิ่งไหนควรทาก่อนและหลัง เพราะงานในหลุมจอดมีบางงานไม่สามารถทาพร้อมกันได้เพราะต้องรอให้งาน ก่อนหน้าลุล่วงก่อน จึงจะสามารถทาได้ เช่น การขนสินค้าเข้าและออก ขาเข้าจะเข้าไม่ได้หากสินค้าด้านในที่ ต้องขนออกยังอยู่ เป็นต้น อีกทั้งผู้นายิ่งต้องสร้างความมั่นใจให้แก่ทีม และคอยสร้างความท้าทายต่อเป้าหมาย ที่กาหนด เผื่อกรณีฉุกเฉินที่สามารถเกิดขึ้นได้ในการปฏิบัติงานจริง จ) สภาพแวดล้อมองค์กร (Organizational Environment) ทุกอย่าง ๆ ที่กล่าวมาอาจไม่สามารถเกิดขึ้นหากไม่มีสภาพแวดล้อมของสายการบินมากาหนด สภาพแวดล้อม อาจหมายถึงสถานที่ บรรยากาศ และ วัฒนธรรมภายในองค์กรที่จะเป็นจุดชี้นาแก่พนักงาน ของสายการบิน ตัวอย่างเช่น ไม่ใช่ว่าทุกสายการบินจะมีแนวทางปฏิบัติที่เหมือนกัน แต่ละสายการบินก็มี ขนบธรรมเนียมที่ต่างกันออกไป รูปแบบการทางานแบบนี้ของสายการบินนี้อาจไม่สามารถนาไปใช้กับสายการ บินอื่นได้ ความถูกต้องและความเหมาะสมของวัฒนธรรมขององค์กรจะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของการ

ISSN 2286-6922.

Journal of Behavioral Science. 21(2).1-19. ISSN 1686-1442.

103 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสายการบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ทางานของพนักงาน สายการบิน จะต้องมีวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการทางาน ไม่ใช่เป็นการขัดขวางในการทางาน ระบบและระเบียบของสายการบิน จาเป็นที่จะต้องเชื่อถือและสามารถปฏิบัติตามได้ พร้อมทั้งยังเป็น แรงผลักดันแก่ทุกคนในองค์กรในการทางานสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ 4. สรุปผล จากการศึกษาโมเดล 5 พลวัตของความร่วมมือและการทางานเป็นทีมและการนามาประยุกต์เข้ากับปัญหา ทางด้านการทางานเป็นทีมที่เป็นปัจจัยต่อความตรงต่อเวลาของสายการบิน และเป็นสาเหตุทาให้เกิดการล่าช้า ของ เที่ยวบิน โมเดลของ LaFasto และ Larson สามารถสรุปได้ว่า สามารถเป็นคาตอบให้แก่ สายการบิน ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสายการบินเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ต้องมีการทางานเป็นทีมและมีผู้ทางานร่วมกันที่ หลากหลาย เพราะมีส่วนงานด้านปฏิบัติการที่ซับซ้อน การนาองค์ประกอบทั้ง 5 อย่างนี้ไปพิจารณาและ พัฒนาต่อจะทาให้สายการบิน สามารถลดปัจจัยทางด้านประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมไม่มากก็น้อย และทา ให้เที่ยวบินเกิดการล่าช้าของเที่ยวบินน้อยที่สุด จากการนาคุณสมบัติขององค์ประกอบทั้ง 5 พลวัตของความ ร่วมมือและการทางานเป็นที่มี ได้แก่ การมีสมาชิกที่มีทักษะในการทางานที่ดี มีความสัมพันธ์อันเป็นเลิศของ ทีม สมาชิกทีมสามารถแก้ไขปัญหาได้ อย่างเหมาะสม มีภาวะผู้นาภายในทีม และมีสภาพแวดล้อมขององค์กร ที่เอื้อประโยชน์ต่อพนักงานในการทางานเป็นทีมได้เป็นอย่างดี 4.1 ประโยชน์ที่ได้รับ การศึกษาครั้งนี้สามารถนาไปเป็นประโยชน์แก่สายการบินหรอในองค์กรที่มีหน้าที่จากหลายฝ่ายที่ ทางานร่วมกัน แนวคิดจากการศึกษาในโมเดลนี้สามารถนาไปสร้างรูปแบบของการทางานเป็นทีมให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการยกระดับการทางานเป็นทีมแก่องค์กรนั้น ๆ เป็นอย่างดี อีกทั้งผู้ศึกษาได้ ศึกษาถึง ปัจจัยการตรงต่อเวลาของสายการบินที่นาไปสู่การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพ การทางาน เป็นทีม (Teamwork) ที่สามารถนาโมเดล 5 พลวัตของความร่วมมือและการทางานเป็นทีม มาประยุกต์เข้ากับการทางานของสายการบินได้อย่างเหมาะสม 5. References นิษฐเนตร์ ขจรเทวาวงศ์ นวพร วิริยะปรีดา ชลนที ปทุมอรทัย และ กมล บุษบา. (2020). การวิเคราะห์การแจก แจงความล่าช้าของเที่ยวบินขาออก. Thai Science and Technology Journal, 957-968. บุญญวัฒน์ อักษรกิตต์,วรรษมนต์ สันติศิริ และ อัศวิน วงศ์วิวัฒน์. (
การวิเคราะห์และเปรียบเทียบปัจจัย การล่าช้าและการตรงต่อเวลาของสายการบินแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเซีย. วารสารสังคมศาสตร์ 9(1), 70-77.
รณกร สุวรรณกลาง.
การพัฒนาโมเดลทีมที่มีประสิทธิผลจากองค์การที่ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ.
2563).
(2014).

ชลบุรี Interdisciplinary Sripatum Chonburi Journal (ISCJ), 6(2), 1-13. ลัดดาวรรณ ศรีหาบุตร พชรวิทย์ จันทร์ศิริสิร

กับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3. Journal of Educational Measurement Mahasarakham University, 23(พิเศษ), 118-131. วัลลี พุทโสม และ จิระภา จันทร์บัว. (2021). อิทธิพลของบทบาทการทางานกระบวนการทางานและแรงจูงใจ

Conference: RGRC , 15,(2563), 1365-1374

Graduate

104 การล่าช้าของเที่ยวบินอันมีสาเหตุมาจากประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของสายการบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 รพีพร ตันจ้อย และ อรปวีณ์ กุลพรเพ็ญ.
ข้อควรรู้เกี่ยวกับเที่ยวบินล่าช้า.
และ สุบรรณ เอี่ยมวิจารณ์.
ทางานเป็นทีม
ในการ ทางานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของนักศึกษาในสถาบันการศึกษาสาม แห่ง. APHEIT JOURNAL, 27(1), 94-112. สุดารัตน์ ว่องกิตติกรสกุล และชนะเยี่ยง กมลสิงห์,
การศึกษาสาเหตุความล่าช้าของสายการบินและแนว ทางการ แก้ไขปัญหากรณีศึกษาบริษัทสายการบินเช่าเหมาลาไทย–จีน In
(2020).
วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม
(2017). ความสัมพันธ์ระหว่างการ
(2020).
Rangsit
Research
105 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน A Study of Desirable Competency in the Operation of Airport Personnel, Department of Airports ปอนด์ ทฤษฎิคุณ Paul Trisdikoon สถาบันการบินพลเรือน Civil Aviation Training
Thailand Email:
บทคัดย่อ การวิจัยเรื่อง การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่า อากาศยาน เป็นการวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะการปฏิบัติงานจริงของบุคลากร ท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน 2) เพื่อศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่า อากาศยาน 3) เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน โดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรที่ ปฏิบัติงานประจาท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน โดยกลุ่มตัวอย่างสาหรับการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคลากรท่า อากาศยาน กรมท่าอากาศยาน จานวน 169 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย โดยการใช้แบบสอบถามในการ เก็บรวบรวมข้อมูล แบ่งคาถามเป็น 2 ตอนได้แก่ ตอนที่ 1 ข้อมูลปัจจัยบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับสมรรถนะผู้ปฏิบัติท่าอากาศยาน ในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยประมวลผลด้วยการใช้โปรแกรม สาเร็จรูป โดยการใช้ค่าสถิติเชิงพรรณณาประกอบการบรรยายคุณลักษณะของข้อมูลที่ได้จากการรวบรวม ข้อมูลจากแบบสอบถาม ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) ผลการศึกษาพบว่าสมรรถนะในการปฏิบัติงานที่เป็นจริงของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน อยู่ในระดับมาก และสมรรถณะในการปฏิบัติงานที่พึงประสงค์ อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบสมรรถนะ การปฏิบัติงานที่เป็นจริงของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน พบว่า โดยภาพรวมและรายข้อ ด้าน ทักษะและด้านพฤติกรรม ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ แต่ในสมรรถนะด้านความรู้มีความ แตกต่างกัน มีความต้องการให้พนักงานมีสมรรถนะการปฏิบัติงานในอนาคตสูงกว่าปัจจุบัน โดยให้อยู่ในระดับ มาก และค่าเฉลี่ยจากการวิเคราะห์มีค่าใกล้เคียงกัน เห็นควรให้พนักงานพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานของ ตนเองให้ดีเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง คาสาคัญ: สมรรถนะที่พึงประสงค์; สมรรถนะที่เป็นจริง; บุคลากรท่าอากาศยาน
Center,
paul@catc.or.th

Abstract

A study of desirable competency in the operations of airport personnel, Department of Airports. It is a research that aims to 1) to study the actual operational competency of airport personnel, Department of Airports. 2) to study the desirable competency of airport personnel, Department of Airports. 3) to compare the operational competency of airport personnel, Department of Airports. By using descriptive statistics to analyze the data from the sample group, the sample group for this research was airport personnel, Department of Airports total 169 samples. The tools used in the research consisted of 2 types: 1) Study and research from documents, related research to be used as the basis for defining the conceptual framework of preliminary research and create research tools; 2) the use of questionnaires to collect data; The questionnaire was divided into 2 parts: Part 1 Personal Information; Part 2 Information on airport operator competency. The researcher analyzed the data from 2 parts: 1) documents, research papers, journals, and related articles, and 2) processed by using descriptive statistics to describe the characteristics of the data obtained from the data collection from the questionnaire such as frequency, percentage, mean, and standard deviation.

The results of the study revealed that the actual competency of airport personnel Department of Airports, is high and the desirable competency is at the highest level when comparing the actual operational competency of the airport personnel, Department of Airports found that Skill and Attitude competences were no statistically significant differences. But there are differences in knowledge competence. There is a need for employees to have higher performance in the future than the present. It is advisable for employees to continuously develop their own performance.

Keywords: Desirable Competency; Actual Competency; Airport Operation Personnel

978-616-7754-78-9

106 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN
1. บทนา กรมท่าอากาศยาน เป็นหน่วยงานราชการในสังกัดกระทรวงคมนาคม ทาหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนา โครงข่าย และส่งเสริมกิจการท่าอากาศยาน ให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์ ความจาเป็นและความเป็นไปได้ในการมีท่าอากาศยานแห่งใหม่ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและการ อานวยความสะดวกแก่ประชาชน ดาเนินกิจการท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบให้เป็นไปโดยถูกต้อง ตามกฎหมาย ถูกหลักเศรษฐกิจ และเพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้บริการและให้ได้มาตรฐานสากล การพัฒนาทรัพยากรบุคคลถือเป็นส่วนสาคัญในการสนับสนุนการขับเคลื่อนการดาเนินการของ ท่า อากาศยาน เพราะเป็นแม่แบบสาหรับการบริหารงานที่เกี่ยวกับบุคคลากรในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งการพัฒนา

กรมท่าอากาศยาน

2) เพื่อศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานขิงบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน

3) เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน

107 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 กาลังคนให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด เพื่อให้บรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของ องค์กร การศึกษาสมรรถนะในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน จึงมีส่วนสาคัญในการพัฒนา ทรัพยากรบุคคลขององค์กร เพื่อให้บุคลากรมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารงานในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะงานในด้านการให้บริการซึ่งต้องอาศัยสมรรถนะในการปฏิบัติงานของพนักงาน ทั้งด้านความรู้ ด้าน ทักษะ ด้านพฤติกรรมของบุคคลากร ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวเอง และด้านแรงจูงใจในการทางาน การที่จะ บริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพจาเป็นที่จะต้องอาศัยบุคคลากรในการขับเคลื่อน เพื่อให้องค์กรสามารถบรรลุ ความสาเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้นจึงจาเป็นที่ผู้บริหารจะต้องทราบถึงประสิทธิภาพและศักยภาพในการ ปฏิบัติงานของบุคคลากรในองค์กร เพื่อที่จะนาองค์กรไปสู่ความสาเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ ผู้วิจัยเห็นว่า การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยานเพื่อให้ทราบถึง สมรรถนะของบุคคลากรในด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้านเจตคติ ในการปฏิบัติงาน และนาผลการศึกษาไป ใช้เป็นแนวทางในการวางแผนและเป็นข้อมูลให้กับหน่วยงาน เพื่อใช้ในการพัฒนาบุคคลากรในองค์กรให้เกิด ประสิทธิผลอันเป็นปัจจัยที่ทาให้องค์กรประสบความสาเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้จากประเด็นข้างต้น 1.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะที่เป็นจริงในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน
กรมท่าอากาศ ยาน มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสมรรถนะในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่า อากาศยาน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน ส่งเสริม ให้เกิดการสร้างจัดทาหลักสูตรฝึกอบรมบุคลากรท่าอากาศยาน ให้ตรงตามความต้องการของ ท่าอากาศ ยาน และมีคุณสมบัติสอดคล้องเหมาะสมเป็นไปตามมาตรฐานสากล ผู้วิจัยดาเนินการเก็บข้อมูลจาก แบบสอบถาม (Questionnaire) ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้ตอบแบบสอบถามได้แสดงระดับความคิดเห็นต่อกลุ่มคาถามใน ด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้านเจตคติ แล้วนาข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยวิธีทางสถิติเพื่อหาข้อสรุปที่มีสอดคล้อง กับวัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรทั้งหมดของการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน ประกอบด้วย ข้าราชการ และพนักงานราชการ จานวน 300 คน ผู้วิจัยกาหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางกาหนดขนาดของ กลุ่มตัวอย่างของ Krejcie และ Morgan (1970) จานวนประชากร 300 คน จะได้จานวนกลุ่มตัวอย่าง 169 คน
กรมท่าอากาศยาน 2. วิธีดาเนินการวิจัย การวิจัยเรื่องการศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน
108 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 2.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้เลือกใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) แบบสอบถามตอนที่ 1 ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคล เป็นข้อมูลส่วนบุคคลด้านสถานภาพของผู้ตอบ แบบสอบถาม มีทั้งสิ้น 5 ข้อ ได้แก่ เพศ อายุ ตาแหน่งงานปัจจุบัน ประสบการณ์การทางาน และหลักสูตร การศึกษาที่สาเร็จ ก่อนเข้ามาทางานในท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน 2) แบบสอบถามตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกอบรมฐานสมรรถนะบุคลากรท่าอากาศยาน เป็น แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบการฝึกอบรมบุคลากรท่าอากาศยานในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย ด้านความรู้ด้านทักษะ และด้านเจตคติ ได้แก่ - แบบสอบถามด้านความรู้ (Knowledge) ซึ่งเป็นหัวข้อตามแผนฝึกอบรมตามแผนพัฒนาบุคลากร กรมท่าอากาศยาน เปรียบเทียบกับ มาตรฐานฝึกอบรม ICAO - แบบสอบถามด้านทักษะ (Skill) โดยแบ่งออกเป็นทักษะในการติดต่อสื่อสาร (Communication) ทักษะในการตัดสินใจ (Decision making) ทักษะในการแก้ไขปัญหา
ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (
และผลต่าง นาเสนอผลการวิจัยในรูปของตาราง 2.3 การรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการแจกแบบสอบถามให้กับกลุ่มตัวอย่างที่กาหนด โดยการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างโดยตรงผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) และแบบสอบถาม ออนไลน์ 3. ผลการศึกษา ก) ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ เพศหญิง อายุระหว่าง 31-40 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือเทียบเท่า และส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการทางานระหว่าง 10-14 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ต้องการความ มั่นคงในหน้าที่การงาน มีความมุ่งมั่นและกระตือรือร้นในการทางานให้มีประสิทธิภาพ มีความรู้ความสามารถ นามาปรับใช้ในการปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี และมีประสิทธิภาพ
(Problem solving) - แบบสอบถามด้านเจตคติ (Attitude) แบ่งเป็น การใช้วิจารณญาณ (Judgment) การคิดเชิง วิเคราะห์ (Critical thinking) การตระหนักรู้ในสถานการณ์ (Situation awareness) การพัฒนาตนเองอย่าง ต่อเนื่อง (Self-development) และทักษะในการทางานเป็นทีม (Teamwork) โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา
Standard deviation)
109 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ข) สมรรถนะด้านความรู้ รายการ สมรรถนะ ที่เป็นจริง สมรรถนะ ที่พึง ประสงค์ ผลต่าง ลาดับ สมรรถนะด้านความรู้ 3.34 4.43
1. ท่านมีความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการเดินอากาศ และ ระเบียบที่ เกี่ยวข้อง 3.52
5 2. ท่านมีความรู้เกี่ยวกับข้อกาหนดด้านมาตรฐานสนามบิน และการรับรองสนามบิน 3.55 4.79
3 3. ท่านมีความรู้เกี่ยวกับระบบความปลอดภัยท่าอากาศยาน (Safety Management System : SMS) 3.10 4.71
1 4. ท่านมีความรู้เกี่ยวกับ มาตรฐานความปลอดภัยพื้นที่เขต การบิน (Airside Safety) 3.59 5.00
2 5. ท่านมีความรู้เกี่ยวกับ ความตระหนักรู้ด้านการรักษาความ ปลอดภัย
และการสร้างรายได้ท่า อากาศยานเชิงพานิชย์
7 7. ท่านมีความรู้เกี่ยวกับ การรายงานข้อมูลการบิน การบริการ ข่าวสารการบิน และการขอออกประกาศ NOTAM
8. ท่านมีความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้าง และ การบริหารพัสดุภาครัฐ
เปรียบเทียบสมรรถนะด้านความรู้ในการปฏิบัติงานบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน พบว่า ความรู้ที่บุคลากรท่าอากาศยาน สมรรถนะที่มีความแตกต่างเรียงจากมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ท่านมี ความรู้เกี่ยวกับระบบความปลอดภัยท่าอากาศยาน (Safety Management System : SMS) 2) ท่านมีความรู้ เกี่ยวกับ มาตรฐานความปลอดภัยพื้นที่เขตการบิน (Airside Safety) 3) ท่านมีความรู้เกี่ยวกับข้อกาหนดด้าน มาตรฐานสนามบิน และการรับรองสนามบิน ทางด้านสมรรถนะที่มีความแตกต่างน้อยที่สุดคือ ท่านมีความรู้ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ
1.09
4.50 0.98
1.24
1.61
1.41
(Security Awareness) 4.03 4.86 0.83 6 6. ท่านมีความรู้เกี่ยวกับการจัดการ
2.83 3.71 0.88
3.08 4.14 1.06 4
3.03 3.71 0.68 8

4.03 4.43 0.40 8

110 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ค) สมรรถนะด้านทักษะ รายการ สมรรถนะ ที่เป็นจริง สมรรถนะ ที่พึง ประสงค์ ผลต่าง ลาดับ สมรรถนะด้านทักษะ 3.93 4.55 0.62 1. ท่านมีทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษ ในการสื่อสาร ได้อย่าง ถูกต้อง เหมาะสม 3.17 4.50 1.33 1 2. ท่านมีทักษะในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานได้อย่าง เหมาะสม 4.07 4.64
3 3. ท่านมีทักษะในการเข้าใจ จับประเด็น วิเคราะห์ข้อมูล ปัญหา อย่าง เป็นระบบเพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง 3.97 4.43 0.46 7 4. ท่านมีทักษะในการทาความเข้าใจและยอมรับในปัญหาที่ เกิดขึ้น มีสติโดยไมใช้อารมณ์หรือมีอคติ
5. ท่านมีทักษะในการคิด และเลือกประเด็นลาดับของปัญหาที่ สาคัญ มาแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม
6. ท่านมีทักษะในการนาความรู้และประสบการณ์มา ประยุกต์ใช้การ แก้ปัญหา ได้อย่างเหมาะสม
7. ท่านมีทักษะในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ให้กับ เพื่อนร่วมงาน ได้อย่างเหมาะสม
4 8. ท่านมีทักษะในการใช้เทคโนโลยี ในการสื่อสาร เช่น LINE email, facebook มาช่วยในการปฏิบัติงาน ได้อย่างเหมาะสม
เปรียบเทียบสมรรถนะด้านทักษะในการปฏิบัติงานบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน พบว่า ทักษะ ที่บุคลากรท่าอากาศยาน สมรรถนะที่มีความแตกต่างเรียงจากมากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ 1) ท่านมีทักษะใน การใช้ภาษาอังกฤษ ในการสื่อสาร ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 2) ท่านมีทักษะในการนาความรู้และประสบการณ์ มาประยุกต์ใช้การแก้ปัญหา ได้อย่างเหมาะสม 3) ท่านมีทักษะในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานได้อย่าง เหมาะสม ตามลาดับส่วนสมรรถนะที่มีความแตกต่างน้อยที่สุด ได้แก่ ท่านมีทักษะในการใช้ เทคโนโลยี ในการ สื่อสาร เช่น LINE ,email, facebook มาช่วยในการปฏิบัติงาน ได้อย่างเหมาะสม
0.57
4.10 4.57 0.47 6
4.10 4.64 0.54 5
4.03 4.64 0.61 2
4.00 4.57 0.57
111 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ง) สมรรถนะด้านเจตคติ รายการ สมรรถนะ ที่เป็นจริง สมรรถนะ ที่พึง ประสงค์ ผลต่าง ลาดับ สมรรถนะด้านเจตคติ 4.08 4.54 0.46 1. ท่านมีความสามารถในการนาข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ทันสมัย อ้างอิงได้ นามาใช้ในการประกอบการพิจารณา อย่างเป็น ระบบ 3.97
3 2. ท่านมีความสามารถในการสรุปและตัดสินใจประกอบ หลักฐาน ในการตัดสินใจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.83 4.57 0.74 2 3. ท่านมีความสามารถในการนาข้อมูลมาคิดวิเคราะห์ความ น่าจะเป็น หรือความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ
4. ท่านเป็นคนช่างสังเกต สามารถค้นพบความผิดปกติของ ปัจจัยที่ เกิดขึ้นได้
5. ท่านมีความสานึก รับรู้ ในหน้าที่ต่อการเป็นพนักงาน และ ความสาคัญขององค์กรของตนเอง
6. ท่านมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย ด้วยความกระตือรือร้น
7. ท่านมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมงาน ให้ ความช่วยเหลือและสนับสนุนเพื่อนร่วมงานในการปฏิบัติงาน
8. ท่านมีความสามารถในการสร้างวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์ใน การทางานร่วมกันเพื่อความสาเร็จ
7 9. ท่านมีความสามารถในการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ จาก แหล่ง ความรู้ที่เกี่ยวกับวิชาชีพที่หลากหลายเพื่อพัฒนาตนเอง 4.1 4.57 0.47 5 10. ท่านมีความกระตือรือร้น เพียรพยายาม ในการพัฒนา ตนเอง ด้วย การเข้ารับการอบรม สัมมนา ศึกษาดูงาน 4.17 4.64 0.47 6 เปรียบเทียบสมรรถนะด้านเจตคติในการปฏิบัติงานบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน พบว่า สมรรถนะที่มีความแตกต่างเรียงจากมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ท่านเป็นคนช่างสังเกต สามารถค้นพบ
4.64 0.67
3.79 4.43 0.64 4
3.76 4.57 0.81 1
4.41 4.43 0.02 10
4.38 4.57 0.19 9
4.24 4.50 0.26 8
4.10 4.50 0.40
112 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ความผิดปกติของปัจจัยที่เกิดขึ้นได้ 2) ท่านมีความสามารถในการสรุปและตัดสินใจประกอบหลักฐาน ในการ ตัดสินใจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) ท่านมีความสามารถในการนาข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ทันสมัย อ้างอิงได้ นามาใช้ในการประกอบการพิจารณา อย่างเป็นระบบ ตามลาดับ ทางด้านสมรรถนะที่มีความแตกต่างน้อยที่สุด ได้แก่ ท่านมีความสานึก รับรู้ ในหน้าที่ ต่อการเป็นพนักงาน และความสาคัญขององค์กรของตนเอง 4. สรุปผลและอภิปรายผล บุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน มีสมรรถนะที่เป็นจริงในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับปานกลาง และมาก โดยค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ สมรรถนะด้านเจตคติ ( X = 4.08 ระดับมาก ) ด้านทักษะ ( X = 3.93 ระดับ มาก ) ด้านความรู้ ( X = 3.34 ระดับปานกลาง ) ตามลาดับ สมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานอยู่ใน ระดับสูงและสูงที่สุด โดยค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านด้านทักษะ ( X = 4.55 ระดับมากที่สุด ) เจตคติ ( X = 4.54 ระดับมากที่สุด ) และด้านความรู้ ( X = 4.43 ระดับมาก ) ตามลาดับ ทั้งนี้ ผู้ทาแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็น กลุ่มข้าราชการ มีระยะเวลาในการทางาน 10 – 14 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ความพึงพอใจในการทางาน ทั้งทาง รายได้ สวัสดิการ และสภาพแวดล้อม ที่ทาให้พนักงานนั้นสามารถปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับ การศึกษาของ ญานกร ธรรมวิเศษ (2555) ศึกษาเรื่อง การศึกษาสมรรถนะการปฏิบัติงานของพนักงานส่วน ตาบล องค์การบริหารส่วนตาบล ในเขตอาเภอคลองลาน จังหวัดกาแพงเพชร พบว่าสมรรถนะการปฏิบัติงาน ตามความเป็นจริงของพนักงานส่วนตาบล องค์การบริหารส่วนตาบลในเขตอาเภอคลองลาน จังหวัด กาแพงเพชร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เนื่องจากพนักงานมีทักษะความรู้ความสามารถและความชานาญใน การปฏิบัติหน้าที่ตามได้รับผิดชอบและบรรลุตามเป้าหมาย ด้านความรู้ โดยภาพรวมและรายข้อ มีความต้องการให้พนักงานมีสมรรถนะด้านความรู้ในการปฏิบัติงาน สูงขึ้น ด้านความรู้ของผู้ปฏิบัติงาน หน่วยงานควรจัดการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากรอยู่สม่าเสมอ โดยหัวข้อ เรียงลาดับจากมากไปน้อยเป็นดังนี้ 1) ความรู้เกี่ยวกับระบบความปลอดภัยท่าอากาศยาน (Safety Management System : SMS) 2) ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยพื้นที่เขตการบิน (Airside Safety) 3) ความรู้เกี่ยวกับข้อกาหนดด้านมาตรฐานสนามบิน และการรับรองสนามบิน สาหรับผู้ปฏิบัติงานท่าอากาศ ยาน จะต้องดาเนินการให้เกิดความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล การพัฒนาความรู้ด้านความปลอดภัยอย่าง สม่าเสมอจึงมีความจาเป็น เพื่อให้เกิดการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้เป็นไปตาม มาตรฐานสากล ค่าเฉลี่ยในด้านความรู้แตกต่างกันคือ สมรรถนะที่พึงประสงค์ มีระดับที่สูงกว่าสมรรถนะที่เป็น จริง แสดงถึงความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาให้ตนเองของบุคลากรท่าอากาศยานให้มีความรู้มากขึ้น เพื่อสร้าง ความสาเร็จเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงานหัวหน้างาน และต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ดังนั้น ผู้บริหารควรใช้ผลการศึกษานี้ไปเป็นแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะของพนักงานให้ตรงกับความต้องการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนสมรรถนะที่มีความแตกต่างน้อยสุด ได้แก่ ท่านมีความรู้เกี่ยวกับพระราช บัญญัติการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ กลุ่มตัวอย่างเป็นข้าราชการและพนักงานราชการ ปฏิบัติ หน้าที่โดยใช้ระเบียบราชการและได้รับการอบรมอยู่สม่าเสมอ ทาให้สมรรถนะที่พึงประสงค์อยู่ในระดับที่ไม่สูง มาก ทาให้ผลความแตกต่างด้านความรู้ไม่มาก ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของ พรพิมล พิทักษ์ธรรม (2559)
113 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ได้ศึกษาสมรรถนะในการปฏิบัติงานของพนักงาน:กรณีศึกษา โรงแรม คอลัมน์ แบงค็อก กรุงเทพมหานคร พบว่า สมรรถนะด้านความรู้ อยู่ในระดับมาก และจากผลการศึกษา ของ Vic Gilgeous and Kaussar Parveen (2010) ที่ทาการศึกษาเรื่อง สมรรถนะหลักที่ต้องการสาหรับกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ พบว่าสมรรถนะหลักที่ผู้บริหารกระบวนการผลิตต้องการ คือ ความรู้ ด้านทักษะ บุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน ให้ความสาคัญกับการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร เป็น โดยเรียงลาดับจากมากไปน้อยดังนี้ 1) ทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษ ในการสื่อสาร ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม การใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเป็นทักษะที่บุคลากรท่าอากาศยานให้ความสาคัญมากที่สุด หน่วยงานต้องมีแผนในการยกระดับทักษะด้านภาษาอังกฤษของบุคลากร อาจเป็นรูปแบบการฝึกอบรม หรือ จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดความต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อพัฒนาให้ต่อเนื่อง ทักษะด้านอื่น ๆ มีระดับที่ ใกล้เคียงกัน 2) ทักษะในการนาความรุ้และประสบการณ์มาประยุกต์ใช้การแก้ปัญหา ได้อย่างเหมาะสม 3) ทักษะในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานได้อย่างเหมาะสม หน่วยงานอาจต้องมีการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Management) เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ปฏิบัติงาน เสริมสร้างทักษะในการ ทางานเป็นทีม เพื่อยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพในการทางานให้สูงขึ้น ส่วนสมรรถนะด้านทักษะที่มีความ แตกต่างน้อยที่สุด ได้แก่ ท่านมีทักษะในการใช้ เทคโนโลยี ในการสื่อสาร เช่น LINE, email, facebook มา ช่วยในการปฏิบัติงาน ได้อย่างเหมาะสม บุคลากรท่าอากาศยานส่วนมาก มีการนาเทคโนโลยีมาใช้ในการ ปฏิบัติหน้าที่มากขึ้น จากข้อจากัดในการปฏิบัติงานในสถานการณ์โรคระบาด ทาให้เทคโนโลยีต่าง ๆ ถูก นามาใช้ในการปฏิบัติงานมากขึ้น ทาให้มีความแตกต่างทางทักษะน้อยที่สุด ตามนิยามที่ นพพงษ์ บุญจิตราดุล (2549) ได้ให้ไว้เกี่ยวกับ การปฏิบัติงาน ว่าจาเป็นต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์คือ การศึกษาหาความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ทักษะ เทคนิควิธีการทางานต่าง ๆ ศิลป์ คือ การที่จะนาเอาความรู้ หลักการและ ทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับคน สถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม ด้านเจตคติ บุคลากรท่าอากาศยานให้ความสาคัญในการประยุกต์ข้อมูลเพื่อนามาใช้ในการทางาน เรียงลาดับจากมากไปน้อยดังนี้ 1) ท่านเป็นคนช่างสังเกต สามารถค้นพบความผิดปกติของปัจจัยที่เกิดขึ้นได้ บุคลากรท่าอากาศยานสามารถสังเกตเห็นความไม่ปกติในการปฏิบัติงานน้าง ๆ จะช่วยให้ความผิดพลาดและ ความเสียหายจากการปฏิบัติลดลงได้ และยังทาให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาให้มีความยั่งยืนโดยเฉพาะงานด้าน การรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยาน สมรรถนะด้านเจตคติอื่น ๆ มีความใกล้เคียงกัน 2) ท่านมีความสามารถ ในการสรุปและตัดสินใจประกอบหลักฐาน ในการตัดสินใจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) ท่านมีความสามารถใน การนาข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ทันสมัย อ้างอิงได้ นามาใช้ในการประกอบการพิจารณา อย่างเป็นระบบ กรมท่า อากาศยานต้องมีการส่งเสริมให้เกิดการดาเนินการเชิงบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อให้เกิดการ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และสร้างความเข้าใจในการทางานร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพ ด้านสมรรถนะด้านเจตคติที่ มีความแตกต่างน้อยที่สุด ได้แก่ ท่านมีความสานึก รับรู้ ในหน้าที่ ต่อการเป็นพนักงาน และความสาคัญของ องค์กรของตนเอง สามารถอธิบายได้จากกลุ่มตัวอย่างส่วนมากเป็นกลุ่มข้าราชการ และมีอายุระหว่าง 31-40 ปี และมีประสบการณ์ในการทางานรหว่าง 10-14 ปี มีความรู้สึกมั่นคงในองค์กรและตาแหน่งงานสูง จึงแสดง ความพึงพอใจในการทางาน และภูมิใจในองค์กรตนเอง ทาให้เป็นสมรรถนะด้านเจตคติที่มีความแตกต่างน้อย
114 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ที่สุด สอดคล้องกับแนวคิดของ McClelland (1973) อธิบายสมรรถนะว่าเป็นบุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายใน ตัวบุคคล ซึ่งสามารถผลักดันให้บุคคลนั้นมีผลการปฏิบัติงานในส่วนที่ตนรับผิดชอบให้ดีตามเกณฑ์หรือสูงกว่า เกณฑ์ที่กาหนดไว้ ในการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยานต้องดาเนินการส่งเสริมให้มีการพัฒนา บุคลากรให้สอดคล้องกับมาตรฐานและการเปลี่ยนแปลง เพื่อยกระดับสมรรถนะในการปฏิบัติงานให้สูงขึ้น สอดคล้องกับแนวคิดของณรงค์วิทย์ แสนทอง (2547) ซึ่งกล่าวว่า สมรรถนะมีประโยชน์โดยการใช้เป็น เครื่องมือในการบริหารงานด้านทรัพยากรมนุษย์ เพื่อการพัฒนาและฝึกอบรม ใช้ในการจัดทาแผนพัฒนา ความสามารถส่วนบุคคลจากการศึกษาช่องว่างความสามารถที่ต้องการกับความสามารถปัจจุบัน สอดคล้องกับ การศึกษาของ นภัสวรรณ เกียรตวิวุฒิกาญจน์ (2554) ศึกษาเรื่อง สมรรถนะที่พึงประสงค์ของเลขานุการ ผู้บริหารระดับสูง มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยเขตกาญจนบุรี พบว่า สมรรถนะที่พึงประสงค์ของเลขานุการ ผู้บริหารระดับสูง มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยเขตกาญจนบุรี อยู่ในระดับมาก เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงให้ ความสาคัญของทรัพยากรบุคคลว่าเป็นทรัพยากรที่สาคัญและมีบทบาทต่อความอยู่รอดขององค์กร ซึ่งการ นาพาองค์กรไปสู่วิสัยทัศน์สนองเป้าหมายพันธกิจ จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีทรัพยากรบุคคลที่ทรงคุณค่าทั้ง ใน แง่ความรู้ ความสามารถ ทักษะ ตลอดจนการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในปัจจุบันพนักงาน มีความรู้ ความสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตรงตามการประเมินของระดับบริหารและความ ต้องการขององค์กร คือมีความรู้ความเข้าใจในงานที่ปฏิบัติ มีทักษะจาเป็นที่ใช้ในการทางาน 4.1 ข้อเสนอแนะ 1) ควรนาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาไปใช้ในการพัฒนาสมรรถนะในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่า อากาศยาน กรมท่าอากาศยานให้ตรงกับความต้องการ สอดคล้องกับความรู้ ทักษะ และพฤติกรรมของ บุคลากร ดังนี้ - ด้านความรู้ พนักงานส่วนใหญ่มีความเข้าใจในภารกิจและขั้นตอนการปฏิบัติงานเป็นอย่างดี แต่ ยังต้องเพิ่มเติมความรู้ในเรื่อง ความปลอดภัยด้านการบิน พื้นฐานด้านการบิน และธุรกิจของ ทย. เป็นต้น - ด้านทักษะ พนักงานควรได้รับการส่งเสริมพัฒนาทักษะการสื่อสารในการในด้านใช้ ภาษาต่างประเทศ ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในเรื่องของระบบที่ใช้เกี่ยวข้องกับการทางาน และทักษะการ บริหารการเปลี่ยนแปลง ในเรื่องของการตอบสนองของนโยบายการบริหารที่เปลี่ยนแปลง เป็นต้น - ด้านพฤติกรรม พนักงานส่วนใหญ่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ มีความซื่อสัตย์ และปฏิบัติตามกฎ ขององค์กร แต่ยังคงต้องปรับปรุงในเรื่องของการตรงต่อเวลา และการขวนขวายศึกษาหาความรู้ เป็นต้น 2) ควรติดตามประเมินผลการพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่า อากาศยาน ให้เป็นไปตามที่องค์กรกาหนด 3) ควรมีการสารวจสมรรถนะการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน อยู่เสมอ และจัดให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อทาให้พนักงานมีศักยภาพในการทางาน พัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างมี ประสิทธิภาพและยั่งยืน

ตุลาคม 2563 เข้าถึงได้จากhttp://mis.krirk.ac.th/librarytext/MOA/2559/ F_Pornpimon _%20 %20%20Phithakthum.pdf

McClelland, D.C. (1973). Testing for Competence Rather than for Intelligence. American Psychologist. 1973 (Vol.28): 1-14.

Spencer, L. and Spencer, S. (1993). Competence at Work: Models for Superior Performance. John Wiley & Sons, Inc., New York Vic Gilgeous and Kaussar Parveen. (2010). Core competency requirement for manufacturing effectiveness.” Integrated Manufacturing Systems. [online]. Retrieved October 12, 2010. from https://www.emerald.com/insight/content/doi/10.1108/ JMD-06 - 20140056/full/html

115 การศึกษาสมรรถนะที่พึงประสงค์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 4.2 แผนวิจัยในอนาคต 1) ควรวิจัยสมรรถนะการปฏิบัติงานที่เป็นจริงและที่พึงประสงค์ของบุคลากรทั้งองค์กร กรมท่าอากาศ ยาน และนามาเปรียบเทียบ 2) ควรวิจัยสมรรถนะการปฏิบัติงานที่เป็นจริงและที่พึงประสงค์ของพนักงานท่าอากาศยานอื่น ๆ ใน ประเทศไทย และนามาเปรียบเทียบ 3) ควรดาเนินการวิจัยเปรียบเทียบสมรรถนะการปฏิบัติงานที่เป็นจริงและที่พึงประสงค์ของท่าอากาศยาน นานาชาติ และท่าอากาศยานภายในประเทศ 4) ควรวิจัยปัจจัยที่มีผลต่อสมรรถนะการปฏิบัติงานของบุคลากรท่าอากาศยาน กรมท่าอากาศยาน 5. References ญานกร ธรรมวิเศษ (2555) การศึกษาสมรรถนะการปฏิบัติงานของพนักงานส่วนตาบล องค์การบริหารส่วน ตาบลในเขตอาเภอคลองลาน จังหวัดกาแพงเพชร วิทยานิพนธ์ สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ณรงค์วิทย์ แสนทอง (2547) มารู้จัก COMPETENCY กันเถอะ กรุงเทพฯ : เอช อาร์ เซ็นเตอร์ นพพงษ์ บุณจิตราดุลย์.
. หลักการบริหารการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : ศูนย์การพิมพ์. นภัสวรรณ เกียรติวุฒิกาญจน์. (2554). สมรรถนะที่พึงประสงค์ของเลขานุการผู้บริหารระดับสูง
มหาวิทยาลัยมหิดลวิทยาเขตกาญจนบุรี. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. กาญจนบุรี : มหาวิทยาลัยศิลปากร พรพิมล พิทักษธรรม. (2559).สมรรถนะในการปฏิบัติงานของพนักงาน : กรณีศึกษา โรงแรม คอลัมน์ แบงค็อก. ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารจัดการองค์การคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัย
(2529)
.
เกริกสืบค้นเมื่อ 10
116 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับองค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต The Comparative Study of Certified Body in Developmental to The International Standards Institute ISO/IEC 17024 and Certified Body accredit by Thailand Professional Qualification Institute (Public Organization): A Case Study of Aviation Personnel Development Institute, Kasem Bundit University สุภัชฎา ตุลวรรธนะ Supachada Tulwatana สถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลยเกษมบัณฑิต Aviation Personnel Development Institute, Kasem Budit University, Thailand E-mail:
บทคัดย่อ บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบในด้านโครงสร้างและลักษณะการดาเนินงาน ระหว่างองคกรทมหนาทรบรองสมรรถนะของบคคลตามมาตรฐานอาชีพทีพฒนาสูมาตรฐานสากลISO/IEC17024 กบองคกรรับรองฯที่ได้รับการแต่งตั้งจากสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องคการมหาชน): กรณศกษา สถาบนพฒนา บคลากรการบน มหาวทยาลยเกษมบณฑิต สาขาวชาชพการบน สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เป็น หน่วยงานทมีหน้าที่จัดทามาตรฐานอาชีพสาขาวิชาชีพต่าง ๆ และทาหน้าทแต่งตั้งหน่วยงานภาครัฐหรือ หน่วยงานภาคเอกชนที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกาหนดฯ ทาหน้าที่เป็นองค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะของ บุคคลตามมาตรฐานอาชีพ การแต่งตงนนจะพิจารณาสถานศึกษาหรือสถานประกอบการภาครัฐหรือเอกชน ที่มีความพร้อมทงด้านสถานที่และผเชยวชาญในสาขาวิชาชีพที่จะให้การรับรอง และพิจารณาองค์กร รับรองฯ ที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาเข้าสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC17024 มาตรฐานสากลนี้ถูกนามาใช้ในการ พัฒนาองค์กรรับรองฯ ผู้ผ่านการสอบประเมินสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพจากองค์กรรับรองฯ ท ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 นอกจากจะได้รับหนังสือรับรองฯ หรือประกาศนียบัตรจาก สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพแล้ว ในฐานะทองค์กรรับรองฯ น นได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 จะปรากฏตราสัญลักษณ์ของ ISO/IEC 17024 ใน ประกาศนียบัตรของผผ่านการสอบประเมินด้วย อันแสดงถึงการยอมรับในวงกว้างมากขนทงในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ งานวจยนใชวธีทบทวน
supachada.tul@kbu.ac.th

Abstract

The purpose of this study is to compare certified body details between Certified Body or CB in developmental to The International Standards Institute ISO/IEC 17024 and CB accredit by Thailand Professional Qualification Institute (Public Organization) or TPQI. The study was conducted in literature review using descriptive analysis and comparison chart. Aviation Personnel Development Institute, Kasem Bundit University was a case study as it was approved by TPQI in Aviation Industry.

The Certified Body which qualify fordeveloping to theinternational Standards: ISO/IEC17024 will be selected by TPQI. The certified person will receive certification which issued by TPQI and CB. However, the appearance of logo of ISO/IEC17024 will be locatedon the certification as the CB which certified by ISO/IEC17024 It means that your certification extend to reginal level and international standards.

The study showed significant difference in structure, process, document, and responsibility. CB was proven in developing system under the International Standards Institute ISO/IEC 17024. It needs to comply rule and regulation according to ISO/IEC17024 and the Aviation Personnel Development Institute, Kasem Bundit University was shown in developing system under the International Standards Institute ISO/IEC17024 especially neutrality, finance, approval in appearance

117 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 วรรณกรรมและวเคราะหเปรยบเทยบองค์กรรบรอง ฯ ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้ใช้การวิเคราะห์เชิง พรรณนาและนาเสนอตารางเปรียบเทียบ กรณีศึกษา สถาบันพัฒนาบุคลากรการ บิน มหาวิทยาลัยเกษม บัณฑิต ในฐานะองค์กรทมีหน้าทรับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ สาขา วิชาชีพการบิน และ อยู่ระหว่างพัฒนาองค์กรรับรองฯ สู่มาตรฐานสากล ISO/IEC17024 ผลการวิจัยพบว่าทั้ง 2 องค์กรรับรองฯ มีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญในด้านโครงสร้าง กระบวนการดาเนินงาน เอกสารและความรับผิดชอบขององค์กรที่มีหน้าทรับรองสมรรถนะของบุคคลตาม มาตรฐานอาชีพและองค์กรรับรองฯ ทพัฒนาสมาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตที่อยู่ระหว่างการพัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ต้องดาเนินการให้สอดคล้อง ในทุกข้อกาหนดของ ISO/IEC 17024 (MASCI, 2556) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อกาหนดในเรื่องการจัดการ ความเป็นกลาง การเงินและความรับผิด การตัดสินการรับรอง การใช้ใบรับรอง สัญลักษณ์และเครื่องหมาย รับรองเอกสารระบบการจัดการ (Management System Documentation) เป็นการดาเนินการทแตกต่าง จากองค์กรรับรองฯ มาตรฐานของ สคช. คาสาคัญ: มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024; สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน); สานักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑอุตสาหกรรม; มาตรฐานอาชีพ; องคกรทีมีหน้าทีรับรองสมรรถนะของบุคคล
118 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
1. บทนา ประเทศไทยมีมหาวิทยาลัยทเปิดการเรียนการสอนในสาขาธุรกิจการบินหลายแห่ง โดยชอหลักสูตรจะแตกต่าง กันไป สถาบันการศึกษามุ่งผลิตบัณฑิตเพื่อป้อนเข้าสู่ธุรกิจการบิน โดยมจดมงหมายคลายคลงกนในการเตรียม ความพร้อมให้กับนักศึกษาในสาขาธุรกิจการบินให้มีความรู้ ทักษะขนพนฐานในการปฏิบัติงาน พร้อมเข้า ทางานในธุรกิจการบินได้ทันที อย่างไรก็ตาม อีกบทบาทหนงของสถาบันการศึกษาบางแห่ง คือ การได้รับ การแต่งตั้งให้เป็นหน่วยรับรองบุคคลในฐานะองค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพและ คุณวุฒิวิชาชีพ (องค์กรรับรองฯ/หน่วยรับรอง) จากสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เพอทาหน้าที่ สอบประเมินสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ กรณีศึกษา คือ สถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ในฐานะองค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ สาขาวิชาชีพ การบิน (Rawat, Supachada & Varapattra, 2018) แม้ว่ามหาวิทยาลัยได้จัดการเรียนการสอนแก่ผเรียนใน เรองความรและทักษะเพื่อเตรียมความพร้อมเพื่อ เข้าสู่การทางานจริงแล้ว การสอบประเมินสมรรถนะของ บุคคลตามมาตรฐานอาชีพ (การสอบประเมินฯ) ถอไดวาเป็นส่วนส่งเสริมให้ผู้สอบผ่านมีความมั่นใจในความรู้ ทักษะ ความสามารถในการประยุกต์ใช้ที่นักศึกษาจะนาไปใช้ในอาชีพของตน (สุภัชฎา ตุลวรรธนะ, 2563) สถาบนคณวฒวชาชพ (องคการมหาชน) (สคช.) มความมงมนทจะสรางมาตรฐานอาชีพและคุณวฒวชาชพ ใหเปนมาตรฐานสากล โดยในป พ.ศ. 2562 จดทาโครงการทบทวนมาตรฐานอาชพและคณวฒวชาชพ สาขา วชาชพการบิน จาก 7 ระดับ สคุณวุฒิวิชาชีพ 8 ระดับ (สุภัชฎา ตุลวรรธนะ, 2562) เพื่อให้ประเทศไทยมีคุณวุฒิ วิชาชีพเทยบเทากบคุณวฒวชาชพของกลมประเทศอาเซียนหรอ AEC และเพื่อพฒนาองค์กรรบรองฯ สู มาตรฐานสากล จึงผลักดันองค์กรรับรองฯ ทมีศักยภาพในการดาเนินการระบบงานคุณภาพตามมาตรฐาน ISO/IEC 17024 เข้าสู่กระบวนการยนคาขอเป็นองค์กรรับรองฯ ตามมาตรฐานสากลดังกล่าว โดยมาตรฐาน ISO/IEC 17024 ถือเป็นมาตรฐานสากลทีเกยวข้องกบการรบรองระบบงานของหนวยรบรองบคลากรทไดรบการ ยอมรบในระดบสากล หากองคกรใดไดรบการรบรองมาตรฐานสากลน จะแสดงใหเหนถงศกยภาพในระดบ มาตรฐานนานาชาตอกดวย (สถาบนคุณวุฒิวชาชีพ (องค์การมหาชน), 2564) สถาบันพฒนาบุคลากรการบน มหาวิทยาลัยเกษมบณฑต ในฐานะที่เปนองคกรรบรองฯ สาขาวิชาชพการบน อยระหวางการพฒนาองคกรรบรองฯ มาตรฐานของ สคช. เขาสองคกรรบรองฯ ตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ไดดาเนนการพฒนาระบบเอกสารงานคุณภาพ กระบวนการสอบประเมิน การจดทาคมอการปฏบติงาน ทาใหผวจยต้องการศึกษาความแตกต่างระหว่างองค์กรรับรองฯ ตามมาตรฐานสคช.กับองค์กรรับรองฯ ท พัฒนาเข้าสู่มาตรฐานสากล โดยใช้กรณีศึกษา สถาบันพฒนาบุคลากรการบน ซึ่งสามารถแสดงใหเห็นความ แตกต่างไดอย่างชดเจน ทั้งนี้ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการศกษา คือ
of logo, and management system documentation which are different from CB accredit by Thailand Professional Qualification Institute (Public Organization). Keyword: ISO/IEC 17024; Thailand Professional Qualification Institute (Public Organization); Thai Industrial Standards Institute; Professional Standards; Certified Body
119 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 1) เป็นแนวทางให้กับองค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ ที่ได้รับการ แต่งตั้ง จากสถาบันคุณวิชาชีพแล้ว มุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรฯ สู่มาตรฐานสากล ISO/IEC17024 เพอแสดง ถึงการพัฒนา องค์กรรับรองฯ สู่ระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ 2) สถาบันการศึกษา หรือผู้ประกอบการที่ทาหน้าที่ในฐานะองค์กรรับรองฯ มีส่วนร่วมในการผลิต บุคลากรที่มีคุณสมบัติและคุณลักษณะสอดคล้องกับมาตรฐานอาชีพ มีความรู้ ความสามารถเฉพาะอาชีพ และ สาหรับผู้ผ่านการสอบประเมินสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพจากองค์กรรับรองฯทได้รับการรับรอง มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ถือเป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ 1.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพอศกษาเปรยบเทยบในดานโครงสรางและลกษณะการดาเนนงานระหวางองค์กรทีพฒนาสูมาตรฐานสากล ISO/IEC17024กับองค์กรทมีหน้าทรับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพของสถาบันคุณวุฒิ วิชาชีพ (องค์การมหาชน): กรณีศกษา สถาบันพฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบณฑต สาขาวิชาชีพ การบิน 1.2 ขอบเขตของการวิจัย ขอบเขตทางด้านเนื้อหา: เป็นการศึกษาเฉพาะองค์กรรับรองฯ ที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับองค์กรรับรองฯ สคช. แต่งตั้งในที่นี้ใช้กรณีศึกษา สถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษม บัณฑิต ในฐานะองค์กรรับรองฯ สาขาวิชาชีพการบิน ขอบเขตทางด้านระยะเวลา: ศึกษาระหว่างกระบวนการพัฒนาของสถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน ซึ่ง เป็นองค์กรรับรองฯ สู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ปี สิงหาคม พ.ศ. 2562 - สิงหาคมพ.ศ. 2565 1.3 การทบทวนวรรณกรรม ก) การศึกษาด้านเนื้อหาเอกสารและการรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยต้องการศึกษาโครงสร้างและลักษณะการดาเนินงานขององค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะของ บุคคล ตามมาตรฐานอาชีพ จากการแต่งตั้งโดยสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เปรียบเทียบกับองค์กร ที่มีหนาที่รับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพที่พัฒนาองค์กรฯ สู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กรณีศึกษา สถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงนาเสนอ มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ข้อกาหนดของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงอนไข ในการออกหนังสือรับรองแก่องค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ พ.ศ. 2561 และ ขั้นตอนในการพัฒนาระบบงานองค์กรรับรองฯ เข้าสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 (ในทนจะนาแสดงเฉพาะหัวข้อสาคัญที่องค์กรรับรองฯ ต้องดาเนินการจัดทาเพอพัฒนาเข้าสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024) (MASCI, 2556) โครงสร้างของมาตรฐาน ประกอบด้วย
120 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 1) ขอบข่าย ในที่นี้หมายถึง มาตรฐานสากล ISO/IEC17024 2) เอกสารอ้างอิงบังคับ 3) คาศพท์และนิยาม 4) ข้อกาหนดทั่วไป 4.1) ประเด็นด้านกฎหมาย หน่วยรับรองต้องมีสถานภาพทางกฎหมาย (Legal Entity) หรือเป็น ส่วน หนึ่งของสถานภาพทางกฎหมาย ซึ่งสามารถรับผิดชอบทางกฎหมายในทุกกิจกรรมการรับรองของตน 4.2) ความรับผิดชอบสาหรับการตัดสินการรับรอง หน่วยรับรองต้องรับผิดชอบต่อการตัดสิน การ รับรอง ซึ่งรวมถึง การให้ การคงไว้ การต่ออายุ การขยายและลดขอบข่ายการรับรอง การพักใช้ การเพิก ถอนการรับรอง โดยคงอานาจไว้และไม่มอบอานาจการตัดสินให้แก่ผู้อื่น 4.3) การจัดการความเป็นกลาง หน่วยรับรองต้องจัดทาโครงสร้าง นโยบายและขนตอน การปฏิบัติงาน เป็นเอกสารเพื่อจัดการความเป็นกลางและเพื่อมั่นใจได้ว่า กิจกรรมการรับรองดาเนินการด้วย ความเป็น กลาง หน่วยรับรองต้องมีเอกสารแสดงความมุ่งมั่นของผู้บริหารสูงสุดต่อความเป็นกลางในกิจกรรม การรับรอง และ ต้องเปิดเผยข้อความดังกล่าวให้เข้าถึงได้โดยสาธารณะโดยไม่ต้องร้องขอ เพื่อให้เข้าใจถึง ความสาคัญของความเป็นกลางในการดาเนินกิจกรรมการรับรอง การบริหารส่วนได้ส่วนเสียและมนใจใน ความเป็นธรรมของกิจกรรมการรับรองหน่วยรับรองต้องชี้บ่งความเสี่ยงต่อความเป็นกลางของตนอย่าง ต่อเนื่อง นามาวิเคราะห์ จัดทาเป็นเอกสารและกาจัดหรือลดความมีส่วนได้ส่วนเสียที่อาจเกิดขึ้นจากกิจกรรม การรับรอง 4.4) การเงินและการรบผิด หน่วยรับรองตองมทรพยากรทางการเงนที่จาเป็นในการดาเนน กระบวนการรับรองและมีการจัดการที่เพยงพอ (เช่น การทาประกันหรอการสารองเงิน) เพอครอบคลุมความรับผด ที่เกี่ยวข้อง 5) ข้อกาหนดด้านโครงสร้าง 5.1) การบริหารจัดการและโครงสร้างองค์กร หน่วยรับรองต้องจัดทาเอกสารโครงสร้างองค์กร ที่อธิบายหน้าทความรับผิดชอบและอานาจของฝ่ายบริหาร บุคลากรด้านการรับรองและคณะกรรมการ ต่าง ๆ โครงสรางองค์กรตองรวมถึงสายบงคับบญชาและความสมพันธของหนวยรบรองกับหนวยงานอน ทอยภายในสถานภาพทางกฎหมายเดียวกัน ต้องชบ่งกลมหรือบุคคลที่รับผิดชอบในแต่ละประเด็น ดังต่อไปนี้ ก) กาหนดนโยบายและขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับการดาเนินงานของหน่วยรับรอง ข) การนา นโยบายและขนตอนการปฏิบัติงานไปปฏิบัติ ค) การเงินของหน่วยรับรอง ง) ทรัพยากรสาหรับกิจกรรมการ รับรอง จ) การพัฒนาและคงไว้ซงรูปแบบการรับรอง ฉ) กิจกรรมการประเมิน ช) การตัดสินการรับรอง รวมถึง การให้ การคงไว้ การต่ออายุ การขยาย การลด การพักใช้และการเพิกถอนการรับรอง ซ) การเตรียมการ เกี่ยวกับสัญญา 5.2) โครงสร้างของหน่วยรับรองที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรม หน่วยรับรองต้องให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง กับ การศึกษาและการฝึกอบรม ซงใช้เพอเป็นเกณฑ์คุณสมบัติเฉพาะเบองต้นก่อนมีสิทธิ์เข้ารับการรับรอง โดยการสาเร็จการฝึกอบรมอาจเป็นข้อกาหนดเฉพาะของรูปแบบการรับรอง การใหการยอมรบ/อนุมัต การ
121 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ฝกอบรมโดยหน่วยรับรองต้องไม่เป็นการประนีประนอมต่อความเป็นกลางหรือลดข้อกาหนดการประเมินและ การรับรอง 6) ข้อกาหนดด้านทรัพยากร 6.1) ข้อกาหนดสาหรับบุคลากรทั่วไป หน่วยรับรองต้องบริหารและรับผิดชอบต่อผล การ ปฏิบัติงานของบุคลากรทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในกระบวนการรับรอง ต้องมีบุคลากรเพียงพอและมีความสามารถ ในการดาเนิน หน้าที่การรับรอง ต้องระบุข้อกาหนดด้านความสามารถของบุคลากรที่เกี่ยวข้องในกระบวนการ รับรอง รวมถึงต้องจัดทาเอกสารวิธีปฏิบัติงานที่อธิบายหน้าที่และความรับผิดชอบแก่บุคลากร โดยวิธี ปฏิบัติงานต้องเป็นปัจจุบัน อกทั้งหน่วยรับรองต้องเก็บบันทึกประวัติบุคลากรที่เป็นปัจจุบัน บุคลากรต้องลง นามในเอกสารที่สัญญาว่าจะปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กาหนดโดยหน่วยรับรอง ซึ่งรวมถึงการรักษาความลับ และ ปฏิบัติงานเพื่อรักษาความเป็นกลาง 6.2) บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการรับรอง หน่วยรับรองต้องกาหนดให้บุคลากรของตน ประกาศ ความมีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ ทมีต่อผู้ผ่านคุณสมบัติเบองต้นแต่ละท่าน ผสอบหรือเจ้าหน้าที่สอบ ต้องสอดคล้องตามข้อกาหนดของหน่วยรับรอง กระบวนการคัดเลือกและอนุมัติต้องทาให้มนใจว่า เจ้าหน้าท สอบเข้าใจรูปแบบการรับรองที่เกี่ยวข้อง สามารถประยุกต์ใช้ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการสอบ ประเมินและเอกสารการสอบประเมิน มีความสามารถในขอบข่ายที่สอบประเมิน ไดชบงความมสวนไดสวนเสีย เพื่อมนใจวามการประเมนอยางเป็นกลาง ส่วนข้อกาหนดสาหรับบุคลากรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประเมิน หน่วยรับรองต้องมีเอกสารอธิบายความรับผิดชอบและคุณสมบัติของบุคลากรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการ ประเมิน เช่น ผู้คุมสอบ ต้องดาเนินการให้มั่นใจว่าจะไม่มีการประนีประนอมในเรืองความลับและความเป็นกลาง และต้องบันทึกมาตรฐานดังกล่าวไว้ 6.3) การรับเหมาช่วง หน่วยรับรองต้องมีข้อตกลงทมีผลบังคับทางกฎหมาย ซงครอบคลุมถึง การจัดการ การรักษาความลับ และการแสดงความไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย สาหรับแต่ละหน่วยงานทรับจ้างช่วง งานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรับรอง 6 4) ทรัพยากรอน ๆ หน่วยรับรองต้องใช้สถานททเพียงพอ รวมทงสถานทสอบ เครองมือและ ทรัพยากรสาหรับดาเนินกิจกรรมการรับรองของตน 7) ข้อกาหนดด้านบันทึกและข้อมูล 7.1) บันทึกของผู้ยื่นคาขอ ผู้ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้น และผได้รับการรับรอง หน่วยรับรองต้องรักษา บันทึก บันทึกต้องรวมถึง วิธีการที่จะยืนยันสถานะของผู้ได้รับการรับรอง บันทึกที่แสดงว่ากระบวนการรับรอง หรือการต่ออายุการรับรองดาเนินการอย่างมีประสิทธิผล รวมถึงบันทึกการสอบประเมิน หน่วยรับรองต้องมี การชี้บ่งการบริหารจัดการ และกาจัดบันทึกในรูปแบบทมนใจได้ในความสมบูรณ์ของกระบวนการและ การ รักษาความลับของข้อมูล ต้องจัดเก็บในระยะเวลาที่เหมาะสมขั้นต่าอย่างน้อย 1 รอบการรับรอง และหน่วย รับรองต้องมีข้อตกลงทมีผลบังคับเพอร้องขอให้ผได้รับการรับรองแจ้งหน่วยรับรองโดยไม่รอช้า หา กม ประเดนทอาจกระทบตอความสามารถของผู้ได้รับการรับรองในการคงความสอดคล้องตามข้อกาหนดการ รับรองอย่างตอเนื่อง
122 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 7.2) ข้อมูลสาธารณะ หน่วยรับรองต้องเปิดเผยข้อมูลเกยวกับขอบข่ายของรูปแบบการรับรอง และคาอธิบายทั่วไปเกี่ยวกับกระบวนการรับรองเกณฑ์คุณสมบัติเฉพาะเบื้องต้นตอสาธารณะโดยไม่ตองมีการรองขอ 7.3) การรักษาความลับ หน่วยรับรองต้องจัดทานโยบายและขั้นตอนการปฏิบัติที่เป็นเอกสาร สาหรับ การรักษาและการให้ข้อมูล โดยต้องรักษาความลับของข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับระหว่างกระบวนการ รับรองผ่านทางข้อตกลงที่มีผลบังคับทางกฎหมาย ข้อตกลงดังกล่าวต้องครอบคลุมบุคลากรทั้งหมด รวมถึง กิจกรรมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีการประนีประนอมในการรกษาความลับ 7.4)ความปลอดภัย หน่วยรับรองต้องจัดทานโยบายและขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นเอกสารที่ จาเป็น เพอให้มนใจในความปลอดภัยตลอดกระบวนการรับรองทงหมด และต้องมีมาตรการเพื่อปฏิบัติการ แก้ไข เมื่อพบการละเมิดมาตรการความปลอดภัย นโยบายและขนตอนดังกล่าว ต้องรวมถึง การรักษาความ ปลอดภัยของชุดข้อสอบ โดยพิจารณาถึงการจัดเก็บชุดข้อสอบ รูปแบบของชุดข้อสอบ (รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ กระดาษ อุปกรณ์ทดสอบ) ขนตอนในกระบวนการสอบ ความเสยงที่เกิดจากการใช้ชุดข้อสอบซ้า อีกทง หน่วยรับรองต้องมีการ ดาเนินการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการโกงการสอบ 8) รูปแบบการรับรอง ต้องมีรูปแบบการรับรองสาหรับแต่ละประเภทการรับรอง ซงประกอบด้วย ขอบข่ายการ รับรอง (Scope) คาอธิบายงาน (Job) และงานย่อย (Task) ความสามารถที่ต้องการ (Competence) สมรรถนะ (Ability) (หากประยุกต์ใช้ได้) เกณฑ์คุณสมบัติเฉพาะเบองต้น (Prerequisites) (หากประยุกต์ ใช้ได้) และจรรยาบรรณ (Code of Conduct) (หากประยุกต์ใช้ได้) อีกทั้งหน่วยรับรองต้องมีเอกสารเพื่อแสดง ว่าในการ พัฒนาและทบทวนรูปแบบการรับรอง รวมถึงในประเด็นต่อไปนี้ ก) การมีส่วนร่วมของผเชยวชาญ ที่เหมาะสม ข) การใช้โครงสร้างทเหมาะสม เพอแสดงให้เห็นการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สาคัญ อย่างเท่าเทียมกัน ค) การชบ่งและทาเกณฑ์คุณสมบัติเฉพาะเบื้องต้นให้สอดคล้องกับข้อกาหนดด้าน ความสามารถ ง) การชบ่งและทากลไกการประเมินให้สอดคล้องกับข้อกาหนดด้านความสามารถ จ) การ วิเคราะห์งาน (job) หรือการปฏิบัติ (practice) ที่ดาเนินการและปรับให้เป็นปัจจุบัน และต้องมั่นใจว่ารูปแบบ การรับรองได้รับการทบทวนและรับรองความถูกต้องอย่างต่อเนื่องตามระบบที่กาหนด เมอหน่วยรับรองมิได้ เป็นเจ้าของรูปแบบการรับรองที่นามาใช้หน่วยรับรองต้องมั่นใจว่าข้อกาหนดนั้นสอดคล้องตามข้อกาหนดที่ 8 ของมาตรฐานนี้ 9) ข้อกาหนดด้านกระบวนการรับรอง 9.1) กระบวนการรับคาขอ ในการรับคาขอ หน่วยรับรองต้องจัดให้มีภาพรวมของกระบวนการ รับรอง ทสอดคล้องรูปแบบการรับรอง ภาพรวมขนต่าต้องรวมถึงข้อกาหนดด้านการรับรองและขอบข่าย การรับรองคาอธิบายกระบวนการประเมิน สิทธิของผู้ยื่นคาขอ หน้าที่ของผู้ได้รับการรับรองและค่าธรรมเนียม 9.2) กระบวนการประเมิน หน่วยรับรองต้องใช้วิธีการประเมินเฉพาะ และกลไกที่กาหนดไว้ใน รูปแบบ การรับรองไปปฏิบัติ ต้องมั่นใจว่า ข้อกาหนดของรูปแบบการรับรองได้รับการทวนสอบอย่างเป็นธรรม และเป็นระบบโดยมีหลักฐานเอกสารเพื่อยืนยันความสามารถของผู้ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้น 9.3) กระบวนการสอบ การสอบเพื่อประเมินความสามารถต้องได้รับการออกแบบโดยอยู่บน
123 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 พื้นฐาน และสอดคล้องกับสาขา โดยการสอบข้อเขียน การสอบปากเปล่า การปฏิบัติ การสังเกตการณ์หรือ วิธีการอื่นที่เป็นกลางและเชื่อถือได้ การออกแบบข้อกาหนดการสอบต้องมั่นใจได้ว่า สามารถเปรียบเทียบผล การสอบแต่ละครั้งได้ทั้งในแง่เนื้อหา และความยาก รวมทงความเทยงตรงของการตัดสนผ่าน หรือไมผาน ต้องกาหนดวิธีการและขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เหมาะสมเป็นเอกสารและนาไปปฏิบัติ มีการบริหารจัดการสอบ ที่สม่าเสมอ กาหนดเกณฑ์สาหรับการบริหารจัดการสภาพแวดลอมในการสอบเป็นลายลักษณ์อกษรและมี การติดตามผล 9.4) การตัดสินการรับรอง ข้อมูลที่รวบรวมในระหว่างกระบวนการรับรองต้องเพียงพอสาหรับ หน่วยรับรองเพอตัดสินการรับรอง และสาหรับการสอบย้อนกลับในกรณีเกิดข้ออทธรณ์หรือข้อรองเรียน บุคลากรผู้ตัดสินให้การรับรองต้องไม่มีส่วนร่วมในการสอบหรือการฝึกอบรมของผู้ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้น ใบรบรองตองมข้อมลขั้นต่าที่ครอบคลุมถึง ชื่อผู้ได้รับการรับรอง รหัสชี้บ่งเฉพาะ ชื่อหน่วยรับรอง การอ้างถึง รูปแบบการรับรอง มาตรฐานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง วันที่ออกใบรบรอง ขอบข่ายการรับรอง วันที่การรับรองมี ผลและวันสิ้นอายุใบรับรองต้องได้รับการออกแบบเพื่อลดความเสี่ยงจากการปลอมแปลง 9 5) การพักใช้ ยกเลิก หรือลดขอบข่ายการรับรอง หน่วยรับรองต้องมีนโยบายและขนตอน การปฏิบัติงานเป็นเอกสารสาหรับการพักใช้เพิกถอนหรือลดขอบข่ายการรับรอง 9.6) การต่ออายุการรับรอง หน่วยรับรองต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นเอกสารสาหรับ การดาเนินกระบวนการต่ออายุการรับรองที่สอดคลองตามข้อกาหนดของรูปแบบการรับรอง 9.7) การใช้ใบรับรอง เครองหมายและเครื่องหมายการรับรอง หน่วยรับรองซึ่งให้ใช้ เครื่องหมาย รับรอง (Certification mark) หรือสัญลักษณ์ (Certification logo) ต้องจัดทาเงื่อนไขการใช้ สัญลักษณ์และเครื่องหมายรับรองเป็นเอกสาร ต้องมีการควบคุมเรื่องสิทธิในการใช้และการอ้างถึงการรบรอง และต้องกาหนดให้ผู้ได้รับการรับรองลงนามยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อกาหนดของรูปแบบการรับรอง 9.8) การอุทธรณ์การตัดสินการรับรอง หน่วยรับรองต้องมีกระบวนการที่เป็นเอกสารใน การรับประเมิน และตัดสินการอุทธรณ์ นโยบายและขนตอนการปฏิบัติงานต้องมนใจได้ว่าทุกข้ออุทธรณ์ที่ ได้รับมีการจัดการอย่างสร้างสรรค์ เป็นกลาง และดาเนินการภายในระยะเวลาที่เหมาะสม รวมถึงต้องมี คาอธิบายกระบวนการจัดการข้ออุทธรณ์ต่อสาธารณะที่เข้าถึงได้โดยไม่ต้องร้องขอ 9.9) การร้องเรียน หน่วยรับรองต้องมีกระบวนการทเป็นเอกสารในการรับ ประเมิน และตัดสิน ข้อ ร้องเรียน ต้องมีคาอธิบายกระบวนการจัดการข้อร้องเรียนต่อสาธารณะที่เข้าถึงได้โดยไม่ต้องร้องขอและ ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ดาเนินการกับทุกกลุ่มด้วยความเป็นธรรมและเท่าเทียม 10) ข้อกาหนดด้านระบบการจัดการ 10.1) ทั่วไป หน่วยรับรองต้องจัดทาระบบการจัดการทสามารถสนับสนุนและแสดงให้เห็นถึง ความ สอดคล้องกับขอกาหนดมาตรฐานสากลฉบบนี้ โดยจัดทาเปนเอกสาร นาไปปฏิบัติ และรักษาไว้ โดย เพอใหเปนไปตามข้อกาหนด 4-9 หน่วยรับรองต้องดาเนินระบบการจัดการตามทางเลอก A หรือ ทางเลือก B อย่าง ใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ ทางเลือก A ระบบการจัดการทั่วไปตามขอ 10.2 หรือ
124 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ทางเลือก B จัดทาและรักษาระบบการจัดการทสอดคล้องกับข้อกาหนด ISO9001 และ ISO/IEC17024 10.2) ขอกาหนดระบบการจดการทวไป หนวยรบรองตองจดทาระบบการจดการทสามารถแสดงใหเห็น ถึงความสอดคล้องกับข้อกาหนดมาตรฐานสากล นาไปปฏิบัติและรักษาไว้ ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยรับรองต้อง จัดทา นโยบายและวัตถุประสงค์ของกิจกรรมการรับรองไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ต้องแสดงหลักฐานความ มุ่งมั่นของตนในการ พัฒนาและนาระบบการจัดการที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลไปปฏิบัติ และต้องมั่นใจได้ ว่า ทุกระดับขององค์กรเข้าใจ นโยบาย มีการนานโยบายไปปฏิบัติและรักษาไว้ ด้านเอกสารระบบการจัดการ ข้อกาหนดทั้งหมดของมาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ ต้องจัดทาเป็นเอกสาร หน่วย รับรองต้องมั่นใจว่าได้จัดเตรียมเอกสารระบบ การจัดการให้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกท่าน อีกทั้งต้องมีการ จัดทาขั้นตอนการปฏิบัติงานเพื่อควบคุมเอกสารทั้ง ภายในและภายนอก จัดทาขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ระบุ การควบคุมบันทึกที่จาเป็นสาหรับการชี้บ่ง การจัดเก็บ การ ป้องกัน การเรียกใช้ การกาหนดอายุการจัดเก็บ และการทาลายบันทึกที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้บริหารสูงสุดต้องจัดทา ขั้นตอนการปฏิบัติงานเพื่อทบทวนระบบการ จัดการตามช่วงเวลาที่วางแผนไว้ เพื่อให้มั่นใจในความเหมาะสม ความ เพียงพอและประสิทธิผลของระบบการ จัดการอย่างต่อเนื่อง โดยการทบทวนต้องทาอย่างน้อยทุก 12 เดือน และจัดทา เป็นลายลักษณ์อักษร หน่วย รับรองต้องจัดทาขั้นตอนการปฏิบัติงานสาหรับการตรวจประเมินภายในเพื่อทวนสอบ ความสอดคล้องตาม ข้อกาหนด และประสิทธิผลของการนาระบบการจัดการไปปฏิบัติและรักษาไว้ จากการศึกษาข้อกาหนดของมาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ผู้วิจัยนาข้อกาหนดในด้านโครงสร้าง นโยบาย วัตถุประสงค์คุณภาพ ลักษณะการดาเนินการ กระบวนการจัดทาคู่มือการปฏิบัติงาน การจัดทา เอกสารต่าง ๆ เพื่อใช้เปรียบเทียบความแตกต่างกับองค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ข) ข้อบังคับของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการออกหนังสือ รับรองแก่องค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ พ.ศ. 2561 (ในที่นี้กล่าวโดยสรุป ข้อบังคับของ สคช. สาหรับใช้ในงานวิจัยฉบับนี้เท่านั้น) (สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การ มหาชน), 2565) ข้อ 5 สคช. อาจดาเนินการรับรององค์กร ดังต่อไปนี้ ให้เป็นองค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะได้ คือ สถานศึกษาของรัฐหรือเอกชน รวมถึงสถานศึกษาภายใต้การกากับของรัฐ ห้างหุ้นส่วนจากัด บริษัทจากัด หรือ บริษัทมหาชนจากัด องค์กรวิชาชีพหรือสภาวิชาชีพที่มีกฎหมายรับรอง องค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันการเงิน มูลนิธิหรือสมาคมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ จัดตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ของกลุ่มอาชีพ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การมหาชน และหน่วยงานภาครัฐ ข้อ 6 ให้ สคช. ดาเนินการประสานกับองค์กรตามข้อ 5 เพื่อประเมินความพร้อมขององค์กรที่จะเป็น องค์กร ที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ โดยประเมิน สาขาวิชาที่จะให้การรับรอง แผนการ ประเมินสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ ความสามารถด้านเนื้อหาและระดับชั้นของ
125 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 การประเมินสมรรถนะ ความสามารถของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ความพร้อมของสถานที่ ความพร้อมทางด้าน เครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ผลการตรวจประเมินของผู้ตรวจประเมินฝึกหัด ผู้ตรวจประเมิน หัวหน้าคณะผู้ตรวจ ประเมินและผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของสคช. แล้วแต่กรณี ในกรณีที่เป็นสถานศึกษา จะต้องได้รับการรับรอง หลักสูตรหรือหลักสูตรที่เกี่ยวข้องของแต่ละสาขาวิชาชีพจากส่วนราชการ หรือ หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ รับผิดชอบหรือกากับดูแลหลักสูตรหลัก หรือหลักสูตรที่เกี่ยวข้องนั้นด้วย ข้อ 7 เมื่อ สคช. ได้ดาเนินการตรวจสอบคุณสมบัติและประเมินความพร้อมขององค์กรที่มีหน้าที่ รับรอง สมรรถนะแล้ว เห็นว่าองค์กรนั้นมีคุณสมบัติและความพร้อมในการทาหน้าที่เป็นองค์กรที่มีหน้าที่ รับรองสมรรถนะ ให้สถาบันฯ ออกหนังสือรับรองให้แก่องค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะในสาขาวิชาชีพนั้น โดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการ ข้อ 8 เมื่อสคช. ได้ออกหนังสือรับรองตามข้อ 7 แล้ว ให้องค์กรรับรองฯ จัดให้มีเจ้าหน้าที่สอบเพื่อ ดาเนินการประเมินสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพและระดับคุณวุฒิในสาขาวิชาชีพที่ สคช. ได้ ประกาศ กาหนดไว้แล้ว เมื่อได้รายชื่อเจ้าหน้าที่สอบแล้ว ให้องค์กรรับรองฯ แจ้งรายชื่อให้ สคช. ทราบเพื่อ รวบรวมเป็น ข้อมูลเกี่ยวกับการให้บริการคุณวุฒิวิชาชีพ ข้อ 9 องค์กรรับรองฯ ต้องเสนอโครงการการรับรองสมรรถนะของบุคคลต่อ สคช. และให้ สคช. สนับสนุน การดาเนินงานขององค์กรตามความเหมาะสม ข้อ 10 องค์กรรับรองฯ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ประกาศ คาสั่ง รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ สคช. กาหนด และรักษาไว้ซึ่งความสามารถในการดาเนินงานเป็นองค์กร ประเมินสมรรถนะของ บุคคลในสาขาวิชาชีพและระดับชั้นที่ได้รับการรับรองตามแผนการประเมินฯ ข้อ 11 สคช. จะติดตามและตรวจสอบ กากับการดาเนินงานองค์กรรับรองฯ อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง หรือ ตามที่เห็นสมควร ข้อ 12 บุคลากรขององค์กรรับรองฯ ต้องรักษาจรรยาบรรณและชื่อเสียงของตน ด้วยการปฏิบัติงาน อย่างมืออาชีพ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ มีระบบการจัดการการมีส่วนได้ส่วนเสีย และระบบรักษาความลับของ ข้อมูล รวมถึงเอกสารที่ได้รับในกระบวนการตรวจประเมินและรับรองสมรรถนะของบุคคล ข้อ 13 สคช. จะดาเนินการลดขอบข่ายที่ได้รับการรับรองเมื่อสคช. พบว่าองค์กรรับรองฯ ไม่สามารถ รักษาความสามารถในการดาเนินการตามขอบข่ายที่ได้รับการรับรอง หรือองค์กรรับรองฯ ขอลดขอบข่ายที่ ได้รับการ รับรองจาก สคช. หรือ สคช. ประกาศยกเลิกมาตรฐานอาชีพในสาขาวิชาชีพนั้น ๆ ข้อ 14 สคช. จะดาเนินการพักใช้หนังสือรับรองการเป็นองค์กรรับรองฯ เมื่อมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ ตาม ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กาหนด หรือองค์กรรับรองฯ ไม่สามารถดาเนินการประเมิน สมรรถนะ ของบุคคลภายใน 360 วันนับจากวันที่ได้รับการรับรอง ข้อ 15 สคช. จะดาเนินการเพิกถอนหนังสือรับรองการเป็นองค์กรรับรองฯ เมื่อองค์กรรับรองฯ ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กาหนด อันส่งผลกระทบร้ายแรงต่องการเป็น องค์กรรับรอง หรือไม่สามารถแก้ไขข้อบกพร่องจากการพักใช้หนังสือรับรอง ข้อ 16 ในกรณีองค์กรรับรองฯ ประสงค์จะเปลี่ยนแปลงสาขาวิชชีพหรือชั้นของการรับรองสมรรถนะ
126 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ของ บุคคลตามมาตรฐานอาชีพ ให้แจ้ง สคช. ดาเนินการ ข้อ 17 สคช. จะดาเนินการยกเลิกองค์กรรับรอง ในกรณีที่ เลิกประกอบกิจการ เป็นบุคคลล้มละลาย องค์กรรับรองฯ ขอยกเลิกการเป็นองค์กรรับรองฯ หรือ สคช. ประกาศยกเลิกมาตรฐานอาชีพในสาขาวิชาชีพ นั้น ข้อ 18 ในกรณีองค์กรรับรองฯ ประสงค์จะต่ออายุการรับรองให้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรต่อ สคช. ล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันก่อนวันที่หนังสือรับรองสิ้นอายุ ข้อ 19 กรณีองค์กรรับรองฯ ไม่ยื่นคาขอต่ออายุการรับรองตามระยะเวลาที่กาหนด ให้ถือว่าองค์กร รับรอง ไม่ประสงค์ต่ออายุการรับรอง ข้อ 20 การต่ออายุองค์กรรับรองฯ ให้สคช. พิจารณาตามข้อ 6 ข้อ 21 – 23 เกี่ยวข้องกับการต่ออายุ องค์กรรับรองฯ ข้อ 24 สคช. จะเผยแพร่รายชื่อองค์กรรับรองฯ สาขาวิชาชีพ อาชีพ และระดับชั้นที่ได้รับรองต่อ สาธารณชน ข้อ 25–26 องค์กรรับรองฯ สามารถร้องเรียน หรืออุทธรณ์การดาเนินงาน การประเมินและการให้การ รับรองที่เกี่ยวข้องของสคช. ได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามที่ สคช. กาหนด ข้อ 27 องค์กรรับรองฯ ต้องรักษาข้อมูลของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 ปี ต้อง กาหนดสถานที่จัดเก็บ ผู้รับผิดชอบ และวิธีการทาลายเอกสารที่ครบกาหนด ส่วนข้อมูลที่มีการจัดเก็บในสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ ให้องค์กรรับรองฯ เก็บรักษาข้อมูล กาหนดวิธีการเข้าถึง การส่งข้อมูลให้ สคช. และเก็บสารอง ข้อมูล ไว้เพื่อกันการสูญหาย ข้อ 28–29 รูปแบบของหนังสือรับรองและการใช้หนังสือรับรอง จากการศึกษาข้อบังคับของ สคช. แล้วนั้น ทาให้เห็นข้อแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญในด้านการจัดทา เอกสารระบบงานคุณภาพที่ผู้วิจัยจะนาการทบทวนข้อบังคับดังกล่าวไปสู่ผลการวิจัยในการเปรียบเทียบความ แตกต่าง ระหว่างองค์กรรับรองฯ ที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับองค์กรรับรองฯ มาตรฐานของ สคช. ค) ขั้นตอนในการพัฒนาระบบงานองค์กรรับรองฯ เข้าสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 (สถาบัน คุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน), 2561) สคช. ดาเนินงานโครงการพัฒนาองค์กรรับรองฯ เข้าสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 โดยแจ้ง หลักเกณฑ์ การคัดเลือกองค์กรรับรองฯ ให้แก่ผู้บริหาร คณะทางาน และผู้เกี่ยวข้องขององค์กรรับรองฯ ให้มี ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับข้อกาหนดสาหรับองค์กรตามมาตรฐาน ISO/IEC 17024 ทั้งนี้ทางสคช. จะดาเนินการ ในการให้คาแนะนาแก่ องค์กรรับรองฯ ในการพัฒนาเข้าสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ผ่านกิจกรรมหลัก ดังนี้
127 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ตารางที่ 1: กิจกรรมหลักในการดาเนินการพัฒนาองค์กรรับรองฯ เข้าสู่มาตรฐาน ISO/IEC 17024 กิจกรรมที่ รายละเอียด กิจกรรมที่ 1 การพัฒนาบุคลากรขององค์กรรับรองฯ และบุคลากรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อการพัฒนาระบบการ รับรองฯ โดย รับสมัครองค์กรที่จะเข้าร่วมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการร่วมกับผู้แทนสคช. จัด ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตรความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานข้อกาหนดทั่วไปสาหรับหน่วยรับรอง บุคลากรตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 หลักสูตรการจัดทาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการ รับรองสมรรถนะของบุคคลตาม มาตรฐานอาชีพ และหลักสูตรการตรวจประเมินภายใน (Internal Audit) กิจกรรมที่ 2 ประเมินความพร้อมและศักยภาพ (Gap Analysis) ให้แก่องค์กรรับรองฯ กิจกรรมที่ 3 พัฒนาเอกสารระบบงานตามมาตรฐาน ISO/IEC 17024 ในของข่ายการรับรองสมรรถนะของ บุคคลตาม มาตรฐานอาชีพ กิจกรรมที่ื 4 นาระบบการรับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพไปปฏิบัติ โดยให้คาปรึกษาในการ ประกาศใช้ เอกสารระบบงานและการนาเอกสารระบบงานไปปฏิบัติใช้ ปรับปรุงแก้ไขระบบ คุณภาพหรือข้อบกพร่อง ที่พบที่เกิดจากการนาไปปฏิบัติให้แก่องค์กรรับรองฯ กิจกรรมที่ 5 การให้คาปรึกษาการดาเนินการตรวจประเมินภายใน (Internal Audit) การทบทวนระบบ คุณภาพโดย ฝ่ายบริหาร (Management Review) และการให้คาปรึกษาในการเตรียมเอกสาร ยื่นคาขอรับรอง ระบบงานตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กิจกรรมที่ 6 การจัดประชุม/สัมมนา และจัดทาสื่อเผยแพร่โครงการให้ผู้เกี่ยวข้องกับระบบการรับรองบุคลากร ทั้ง ภาครัฐและเอกสาร กิจกรรมที่ 7 การเตรียมความพร้อมด้านเทคนิคของกระบวนการทดสอบและรับรองคุณวุฒิวิชาชีพแก่องค์กร รับรองฯ ที่ได้ยื่นคาขอรับรองระบบงานจากหน่วยรับรองระบบงาน (สานักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) จากการศึกษากิจกรรมหลักและขั้นตอนในการพัฒนาองค์กรรับรองฯ สู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 จาเป็นต้องมีบุคลากรในการดาเนินงานดังกล่าว รวมถึงความพร้อมขององค์กรรับรองฯ ทั้งในเรื่องเวลา วัสดุ อุปกรณ์ ทรัพยากรในด้านต่าง ๆ และสถานที่ เพื่อนาพาองค์กรรับรองฯ สู่ระบบงานคุณภาพตาม มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งการศึกษาดังกล่าวนี้จะนาไปสู่ผลก ารวิจัยในลาดับ ต่อไป 2. วิธีดาเนินการวิจัย ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาด้านเนื้อหาเอกสาร
128 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ก) เอกสารที่ใช้ในการศึกษาเป็นเอกสารเผยแพร่สาธารณะ โดยมีฐานข้อมูลจากสถาบันรับรอง มาตรฐานไอเอสโอ และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ข) เอกสารและบันทึกที่องค์กรรับรองฯ สถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตใช้ ในการดาเนินการจัดสอบประเมินสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ ขั้นตอนที่ 2 เครื่องมือและวิธีการที่ใช้ในการศึกษา การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง และนาเอกสารทางวิชาการเปรียบเทียบกับเอกสารและบันทึกที่ องค์กรรับรองฯ ใช้ในการดาเนินงาน แสดงผลการวิจัยด้วยวิธีการพรรณนาและตารางวิเคราะห์เปรียบเทียบ ขั้นตอนที่ 3 การรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยนาข้อมูลที่ศึกษาเก็บรวบรวม เปรียบเทียบระหว่างข้อกาหนดของมาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ข้อบังคับของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการออกหนังสือรับรองแก่ องค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ พ.ศ. 2561 กับโครงสร้าง เอกสาร บันทึก ที่ องค์กรรับรองฯ ใช้ในการดาเนินการทาหน้าที่ประเมินสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ ขั้นตอนที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูล และนาเสนอในรูปแบบตารางเปรียบเทียบการดาเนินงานขององค์กรรับรองฯ ที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับการดาเนินงานขององค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิ วิชาชีพ (องค์การมหาชน) ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันในด้านใด โดยมีข้อกาหนดของมาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 เป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบ ขั้นตอนที่ 5 สรุปผลการศึกษาวิจัย และการนาเสนอผลการศึกษาวิจัย 3. ผลการศึกษา การศึกษาเปรียบเทียบโครงสร้างและลักษณะการดาเนินงานระหว่างองค์กรที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับองค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) : กรณีศึกษา สถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ผลการวิจัยนาเสนอ ใน รูปแบบตารางเปรียบเทียบการดาเนินงานขององค์กรรับรองฯ ที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับการ ดาเนินงานขององค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ตารางที่ 2: เปรียบเทียบการดาเนินงานขององค์กรรับรองฯ ที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ การ ดาเนินงานขององค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) รูปแบบการดาเนินการ องค์กรรับรองฯ มาตรฐาน ของ สคช. องค์กรรับรองฯ ที่พัฒนาสู่ มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 สถานภาพทางกฎหมาย และความรับผิดชอบต่อการ ตัดสินการรับรองฯ ✓ ✓
129 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 รูปแบบการดาเนินการ องค์กรรับรองฯ มาตรฐาน ของ สคช. องค์กรรับรองฯ ที่พัฒนาสู่ มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 การจัดการความเป็นกลาง - ✓ การเงินและความรับผิด - ✓ เอกสารโครงสร้างองค์กร ที่อธิบายหน้าที่ความ รับผิดชอบ และอานาจของฝ่ายบริหาร บุคลากรด้าน การรับรองและ คณะกรรมการต่าง ๆ ดาเนินการเฉพาะการกาหนด โครงสร้างองค์กรฯ ✓ โครงสร้างองค์กรรับรองฯ ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรม ✓ ✓ ข้อกาหนดสาหรับบุคลากรทั่วไป ดาเนินการเฉพาะเรื่อง บุคลากร ภายในองค์กร รับรองฯ แต่ไม่ รวมถึงเอกสาร ที่ต้องจัดทา รวมถึง บันทึก ประวัติบุคลากร ✓ บุคลากรที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมการรับรอง (เจ้าหน้าที่สอบ) ✓ ✓ การจ้างช่วง (ถ้ามี) ✓ ✓ ทรัพยากรอื่น ๆ เช่น สถานที่ สถานที่สอบ เครื่องมือ และ ทรัพยากรสาหรับดาเนินกิจกรรมการรับรอง ✓ ✓ ด้านบันทึกและข้อมูล - การรักษาบันทึกที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ สอบประเมิน ✓ ✓ - ข้อมูลสาธารณะ - ✓ - การรักษาความลับ ✓ ✓ - ความปลอดภัย ✓ ✓ รูปแบบการรับรอง หน่วยรับรองมิได้เป็นเจ้าของ รูปแบบการรับรองที่นามาใช้ มีการพัฒนา และทบทวน รูปแบบการรับรอง กระบวนการรับคาขอ ✓ ✓ กระบวนการประเมิน ✓ ✓ กระบวนการสอบ ✓ ✓ การตัดสินการรับรอง ไม่ดาเนินในส่วนการออก ใบรับรองจากองค์กรรับรองฯ ✓ การพักใช้ เพิกถอน หรือลดขอบข่ายการรับรอง ✓ ✓ กระบวนการต่ออายุการรับรอง ✓ ✓ การใช้ใบรับรอง สัญลักษณ์และเครื่องหมายรับรอง - ✓ การอุทธรณ์ผลการตัดสินการรับรอง/การร้องเรียน ✓ ✓ ระบบการจัดการ
130 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 รูปแบบการดาเนินการ องค์กรรับรองฯ มาตรฐาน ของ สคช. องค์กรรับรองฯ ที่พัฒนาสู่ มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 - นโยบายและวัตถุประสงค์ของกิจกรรมการ รับรอง - ✓ - เอกสารระบบการจัดการ (Management System Documentation) - ✓ - การควบคุมเอกสาร - ✓ - การควบคุมบันทึก ✓ ✓ - การทบทวนโดยฝ่ายบริหาร - ✓ - การตรวจประเมินภายใน/การปฏิบัติการแก้ไข/ การ ปฏิบัติการป้องกัน - ✓ หมายเหตุ: เครื่องหมาย ✓ หมายถึง องค์กรรับรองฯ ได้ดาเนินการ ผลการวิจัยพบว่าองค์กรรับรองฯ ที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ต้องดาเนินการให้ สอดคล้อง ในทุกข้อกาหนดของ ISO/IEC 17024 (MASCI, 2556) 4. สรุปผล จากการศึกษาเปรียบเทียบพบว่าองค์กรรับรองฯ ซึ่งในที่นี้ คือ สถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ต้องดาเนินการให้สอดคล้องในทุก ข้อกาหนดของ ISO/IEC 17024 (MASCI, 2556) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อกาหนดในเรื่องการจัดกลางความเป็น กลาง การเงินและความรับผิดการตัดสินการรับรอง การใช้ใบรับรอง สัญลักษณ์และเครื่องหมายรับรองเอกสาร ระบบการจัดการ (Management System Documentation) เป็นการดาเนินการที่แตกต่างจากองค์กร รับรองฯ มาตรฐานของสคช. 4.1 อภิปรายผลการวิจัย ผลจากการศึกษาเปรียบเทียบตามวัตถุประสงค์ของงานวิจัยพบว่าองค์กรรับรองฯ ซึ่งในที่นี้ คือ สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตซึ่งเป็นองค์กรรับรองฯ มาตรฐานของ สคช. ที่อยู่ ระหว่างการพัฒนาสู่ มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 จาเป็นต้องดาเนินการทั้งทางด้านทรัพยากร (วัสดุ อุปกรณ์) ทรัพยากรทางด้านบุคคล สถานที่ และการดาเนินงานในกระบวนการต่าง ๆ ให้สอดคล้องในทุก ข้อกาหนดของ ISO/IEC 17024 (MASCI, 2556) จึงจะสามารถเป็นองค์กรรับรองฯ ที่มีระบบงานคุณภาพตาม มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 4.2 องค์ความรู้ใหม่ การศึกษาเปรียบเทียบดังกล่าวแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างการดาเนินงานขององค์กรรับรองฯ
131 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ที่ พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับการดาเนินงานขององค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสคช. ซึ่ง ผลการวิจัย นี้จะสร้างความรู้ ความเข้าใจสาหรับสถานศึกษา สถานประกอบการ รวมถึงบุคคลที่สนใจในการ เข้ารับการสอบ ประเมินสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ ถึงความแตกต่างขององค์กรรับรองฯ 2 ลักษณะ ดังกล่าว แสดงให้เห็นถึง ระบบงานที่แตกต่างกัน ความเป็นมาตรฐานสากล รวมถึงหนังสือรับ รอง/ใบ ประกาศนียบัตรที่ได้รับจากการสอบผ่าน การสอบประเมินฯ ผู้สอบผ่านการสอบประเมินฯ จากองค์กรรับรองฯ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 จะปรากฏเครื่องหมายรับรอง (Certification mark) หรือ สัญลักษณ์ (Certification logo) บนหนังสือรับรอง หรือใบประกาศนียบัตร ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์กับผู้ผ่าน การประเมินในการใช้หนังสือรับรองดังกล่าว 4.3) ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัย ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ก) ข้อเสนอแนะจากการวิจัย จากการศึกษา สถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ในฐานะที่เป็นองค์กร รับรองฯ สาขาวิชาชีพการบิน ที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ผู้วิจัยพบว่าสถาบันพัฒนาบุคลากร การบิน ได้ ดาเนินการครบถ้วนตามข้อกาหนดของ ISO/IEC 17024 ทั้งนี้ควรดาเนินการให้บุคลากรภายใน องค์กร แม้ว่าจะ ไม่ได้เป็นบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับองค์กรรับรองฯโดยตรงมีความรู้และเข้าใจในเรื่องการพัฒนา ระบบคุณภาพดังกล่าว เพื่อเป็นการสนับสนุนการดาเนินการอีกทางหนึ่งให้กับองค์กรรับรองฯ ในการยื่นขอรับ รองระบบคุณภาพตาม มาตรฐาน ISO/IEC 17024 ข) ข้อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งต่อไป สาหรับประเด็นในการวิจัยครั้งต่อไป คือ ประเด็นเกี่ยวกับการศึกษาเปรียบเทียบองค์กรรับรองฯ ที่ได้รับ การรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 แล้วกับองค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสคช. โดยเลือก ตัวอย่างองค์กร รับรองฯ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 ศึกษาเปรียบเทียบกับตัวอย่าง องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสคช. ในสาขาวิชาชีพการบินโดยเฉพาะ 5. References สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน). (2561). โครงการจัดจ้างที่ปรึกษา: โครงการพัฒนาองค์กรที่มีหน้าที่ รับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพเข้าสู่มาตรฐานสากล (ISO/IEC 17024) ปีงบประมาณ 2561. ค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2565, จาก www.tpqi.go.th สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน). (2564). วัตถุประสงค์การจัดตั้ง. ค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2565, จาก www.tpqi.go.th สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน). (2565). เอกสารการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตรการตรวจ ประเมิน ภายใน (Internal Audit) สาหรับองค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะฯ ตามข้อบังคับสคช. และ ISO/IEC 17024. ใน การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ ภายใต้โครงการพัฒนาองค์กรที่มีหน้าที่รับรอง

สาขาวิชาชีพการบิน.

Events. MASCI. (2556).

ISO/IEC 17024:2012 (ฉบับที่ 4 (20/06/56)). กรุงเทพฯ: สถาบันรับรอง มาตรฐานไอเอสโอ. Rawat G., Supachada., & Varapattra N. (2018). Thailand Professional Qualification Framework: Are necessarily good policy practice, especially for aviation personnel?. Kasem Bundit Journal, 19 (special edition), 410-421.

132 การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างองค์กรรับรองฯที่พัฒนาสู่มาตรฐานสากล ISO/IEC 17024 กับ องค์กรรับรองฯ มาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กรณีศึกษา สถาบัน พัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 สมรรถนะของ บุคคลตามมาตรฐานอาชีพเข้าสู่มาตรฐานสากล
(รายงานการวิจัย). ใน การสัมมนาและกิจกรรมให้ความรู้ ด้านการ บิน “CAAT 1st Aviation Forum”. สุภัชฎา ตุลวรรธนะ. (2563). การศึกษา ผลการสอบประเมินสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิ วิชาชีพ สาขาวิชาชีพการบิน อาชีพพนักงานต้อนรับผู้โดยสารภาคพื้น ระดับ 3 กรณีศึกษา: นักศึกษา สาขาวิชาธุรกิจการบิน สถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. (รายงานการวิจัย). ใน การประชุมวิชาการและนาเสนอผลงานทางวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 5 การประชุมออนไลน์ผ่าน โปรแกรม Cisco
(ISO/IEC 17024) ประจาปี งบประมาณ 2565. กรุงเทพฯ: สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ. สุภัชฎา ตุลวรรธนะ. (2562). การศึกษาเปรียบเทียบ การปรับเลื่อนคุณวุฒิวิชาชีพ 7 ระดับ สู่คุณวุฒิวิชาชีพ 8 ระดับ กรณีศึกษา:
Webex
มาตรฐานสากล

Abstract

This paper focuses on the Public Service Obligations (PSO) Air Services Routes in Thailand, in order to present the importance and explain how the government can support problems. Due to the social structural problems including the public services that are caused by remote areas which are inaccessible by normal surface transport mode. Therefore, supporting in air transportation services is a reasonable option. However, with the restrictions on private investment sector such as airlines as a result, seeking cooperation or a decision to open routes to remote areas is difficult and not worth for investment.

133 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย Public Service Obligations (PSO) Air Services Routes in Thailand 1ชนัญชิดา จิตต์ชอบธรรม และ 2สุวพัชร วุฒิพงศ์ชัยกิจ 1Chananchida Chitchobtham and 2Suwapat Vuttipongchaikit 1,2สถาบันการบินพลเรือน 1,2Civil Aviation Training Center, Thailand E-mail: 1mint9-9@hotmail.com, 2yong.suwapat@gmail.com บทคัดย่อ บทความวิชาการฉบับนี้ศึกษาเรื่องการอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย เพื่อนาเสนอ ความสาคัญและอธิบายถึงวิธีการสนับสนุนจากทางภาครัฐ เนื่องจากความต้องการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ของทางภาครัฐอย่างบริการการสาธารณะที่มีสาเหตุมาจากพื้นที่ห่างไกลซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการเดินทาง โดยพื้นผิวทางปกติ การสนับสนุนการให้มีการบริการขนส่งทางอากาศในเส้นทางไปยังพื้นที่ดังกล่าวจึงเป็น ตัวเลือกที่สมเหตุสมผล แต่ด้วยข้อจากัดในเรื่องการลงทุนของภาคเอกชนอย่างสายการบิน ส่งผลให้การ ขอความร่วมมือหรือการตัดสินใจเปิดเส้นทางบินไปยังพื้นที่ห่างไกลนั้นถือเป็นเรื่องยากและไม่คุ้มค่าต่อการ ลงทุน ดังนั้นการเข้าช่วยเหลือโดยวิธีการอุดหนุนบริการสาธารณะด้านเส้นทางบินจากภาครัฐจึงถือเป็น การตอบสนองความต้องการได้อย่างชัดเจนและตรงตามวัตถุประสงค์ของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้สาย การบินสามารถดาเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องคานึงถึงความเสี่ยงจากผลประกอบการ และประชากรในพื้นที่ ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะจากภาครัฐ รวมทั้งมีการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวให้ความเจริญเข้าถึงได้ดี ยิ่งขึ้น คาสาคัญ: การอุดหนุนบริการสาธารณะ; เส้นทางบิน

Accordingly, the government or state intervention in the Public Service Obligations (PSO) Air Services Routes in Thailand is an explicit response to the needs and objectives of both the public and private sectors. Consequently, the airlines can continue to operate in remote route without taking risk of operating results into the account costs. And public services from the government sector are accessed by people in remote areas. Moreover, the development of remote areas are brought for better prosperity and accessibility.

Keywords: Public Service Obligations; Air Services Routes

978-616-7754-78-9

134 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN
1. บทนา บริการสาธารณะเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับนิติบุคคลในกฎหมายมหาชน อันได้แก่ รัฐ องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือ องค์การมหาชนเป็นผู้ดาเนินการ โดยรวมถึงกรณีนิติบุคคลใน กฎหมาย มหาชนเป็นผู้ดาเนินกิจกรรมในบางประเภท ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าวต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อ ประโยชน์สาธารณะ และตอบสนองความต้องการของประชาชน (นันทวัฒน์ บรมานันท์, 2560) จากความหมายของการบริการ สาธารณะจะพบว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ได้รับตามกฎหมายเพื่อ ตอบสนองความต้องการของตน และทางภาครัฐมีบทบาทสาคัญในการดาเนินการจัดการให้เกิดขึ้น แต่การ กระจายบริการสาธารณะสู่ประชาชนบางพื้นที่นั้นเป็นไปได้ยาก เนื่องจากระยะทางที่ห่างไกลหรือแม้แต่การ เข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการเดินทางพื้นผิวปกติ เมื่อบริการสาธารณะไม่สามารถเข้าถึง ประชาชนบริเวณห่างไกลได้อย่างทั่วถึง หรือการมีอยู่ของบริการสาธารณะแต่ไม่ครอบคลุมได้ทั่วทั้งพื้นที่ รวมถึงการได้รับบริการแต่ไม่ได้มาตรฐานต่อกลุ่มประชากรในพื้นที่ดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการให้บริการด้าน การศึกษา เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย การให้บริการด้านสาธารณสุข เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา เป็นต้น อีกทั้ง เรื่องของความแตกต่างระหว่างบริการสาธารณะในพื้นที่ชนบทกับในเมือง ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองมักได้รับการ บริการสาธารณะที่ดีกว่าพื้นที่ชนบทจากผลประโยชน์ด้านความหนาแน่นของประชากร (The Organization for Economic Cooperation and Development [OECD] & European Commission, 2020) กล่าวได้ ว่า ความแตกต่างของบริการสาธารณะนามาสู่การโยกย้ายถิ่นฐานของประชากรในพื้นที่ห่างไกลให้ก้าวเข้ามาสู่ พื้นที่ที่ความเจริญเข้าถึงได้ ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของประชากรในพื้นที่ห่างไกลทั้งในเรื่องของจานวนที่ ลดลงและการกระจายตัวไปยังพื้นที่ที่เจริญแล้วมากขึ้น จนส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นเนื่องจาก ความไม่มั่นคงในการเติบโตของประชากรพื้นที่ห่างไกล อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบริการสาธารณะ ของคนในพื้นที่ให้สูงขึ้น เมื่อภาครัฐเล็งเห็นถึงปัญหาเหล่านี้จึงจาเป็นต้องมีการดาเนินการจัดการการบริการ สาธารณะให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างครอบคลุมและมีมาตรฐาน บริการขนส่งทางอากาศเป็นปัจจัยสาคัญในการช่วยให้ระบบขนส่งในพื้นที่ชนบทเป็นไปในทิศทางที่ดี ขึ้นการขนส่งทางอากาศมีความสาคัญอย่างมากสาหรับการเดินทางระยะไกลและการเชื่อมต่อพื้นที่ห่างไกลเข้า กับส่วนที่เหลือของโลก (Parjiono & Rahman, 2019) เมื่อนามาผนวกเข้ากับข้อมูลข้างต้นจากกรณีที่ไม่ สามารถเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลได้ด้วยการเดินทางผ่านพื้นผิวถนน ดังนั้นการเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลด้วยการขนส่งทาง
135 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 อากาศจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในการเชื่อมต่อพื้นที่ห่างไกลเข้ากับตัวเมือง รวมถึงเป็นการลด ระยะห่างระหว่างบริการสาธารณะกับประชากรในพื้นที่ แต่เนื่องจากการขนส่งทางอากาศมีข้อจากัดในเรื่อง ของการลงทุนจึงทาให้หน่วยงานภาคเอกชน (สายการบิน) ไม่สามารถลงทุนเพียงฝ่ายเดียวในด้านนี้ได้ เนื่อง ด้วยการตัดสินใจเปิดเส้นทางบินจาเป็นต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบต่าง ๆ สาหรับความเป็นไปได้ในการลงทุน และผลประกอบการตอบแทนในอนาคต หากคานวณแล้วผลประกอบการไม่แสดงผลในรูปของผลกาไร การตัดสินใจลงทุนเปิดเส้นทางดังกล่าวจึงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นการอุดหนุนบริการสาธารณะด้านเส้นทาง การบินของรัฐถือเป็นการช่วยแก้ปัญหาในข้อจากัดนี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุข้างต้น บทความนี้จึงมุ่งศึกษาความรู้ในเรื่องของการอุดหนุนบริการสาธารณะด้านเส้นทางบิน ว่าภาครัฐมีการตอบสนองต่อข้อจากัดหรือความต้องการจากสายการบินได้อย่างไร รวมถึงจะใช้วิธีการใดในการ ดาเนินการสนับสนุนสายการบินเพื่อให้สามารถทาการบินในเส้นทางบินดังกล่าว โดยที่สามารถคงไว้ซึ่ง ประโยชน์ของสายการบินเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ ความเข้าใจในหลักการการอุดหนุนบริการสาธารณะด้าน เส้นทางบินมากขึ้น 2. การทบทวนวรรณกรรม 2.1 การขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางอากาศเป็นการให้บริการขนส่งผู้โดยสาร สัมภาระสินค้า หรือไปรษณียภัณฑ์รูปแบบหนึ่ง ที่ใช้อากาศยานเป็นพาหนะสารับการเดินทางจากต้นทางไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งสมาคมขนส่งทางอากาศ ระหว่างประเทศ หรือ International Air Transport Association (IATA) ได้กล่าวถึงการขนส่งทางอากาศใน ปัจจุบันว่ามีความสาคัญต่อเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ผ่านการเชื่อมต่อระหว่างเมืองด้วยการทาหน้าที่เสมือน สะพานรองรับกระแสกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สาคัญระหว่างตลาด เนื่องจากการขนส่งทางอากาศเป็นเครือข่าย การขนส่งทั่วโลกที่รวดเร็วที่สุดจึงทาให้เกิดข้อได้เปรียบการขนส่งในรูปแบบอื่น ๆ จากข้อได้เปรียบในเรื่อง ความรวดเร็วทาให้การขนส่งทางอากาศมีบทบาทสาคัญเพื่ออานวยความสะดวกในการเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจ รัฐบาล และประชาชน ส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อการดาเนินการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการเดินทาง ระหว่างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สาคัญระดับโลก (International Air Transport Association [IATA], n.d.) ทั้งนี้ข้อได้เปรียบและประโยชน์จากการขนส่งทางอากาศ ได้แก่ • รวดเร็วและเชื่อถือได้: เนื่องจากอากาศยานสามารถทาความเร็วได้สูงกว่าการขนส่งในรูปแบบอื่น จึง ถือเป็นข้อได้เปรียบในเรื่องของการร่นระยะเวลาการเดินทางให้สั้นลง อีกทั้งยังมีตารางเวลาบินจากต้นทางถึง ปลายทางที่สม่าเสมอ ชัดเจน และตรงต่อเวลา ทาให้สามารถวางแผนการเดินทางได้สะดวก รวมถึงมี ข้อกาหนดและมาตรฐานการดูแลรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ส่งผลให้มั่นใจได้ว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการ ขนส่งด้วยอากาศยานนั้นจะมีมาตรฐาน สะดวก ปลอดภัย รวมถึงเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ • ไร้สิ่งกีดขวางทางกายภาพ: อากาศยานใช้เส้นทางบิน (Airways) หรือถนนที่ถูกสมมติขึ้นกลาง อากาศสาหรับการเดินทางจึงแทบจะไม่มีอุปสรรคของสิ่งกีดขวางทางกายภาพหรือระยะทางเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ทะเล แม่น้า ภูเขา จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล
136 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 • การเชื่อมต่อ: การเข้าถึงที่ไร้ขีดจากัดของการขนส่งทางอากาศ ดังนั้นการเชื่อมต่อแต่ละพื้นที่เข้า ด้วยกันจึงเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อผู้คนที่อยู่ห่างไกลให้สามารถเดินทางมาพบเจอกันได้ใน ระยะเวลาที่สั้นลง การขนส่งสินค้า และไปรษณียภัณฑ์เพื่อให้ได้รับสิ่งของ ข้อมูลข่าวสาร หรือบริการที่ทันสมัย และเท่าเทียมกันอยู่เสมอไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก • การลงทุนและการท่องเที่ยว: การเดินทางอย่างเสรีซึ่งเป็นผลมาจากข้อตกลงระหว่างประเทศอย่าง การตรวจลงตรา (VISA) ทาให้ผู้คนจากทั่วโลกสามารถเดินทางเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ จากการเดินทางไป ยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งที่เคยไปและไม่เคยไปได้สะดวกมากขึ้น ทั้งนี้เมื่อมีการไหลของผู้คนเข้าสู่พื้นที่หนึ่งจะมีการ กระตุ้นให้เกิดการการลงทุน การเข้าถึงของผู้ผลิตสินค้าและลูกค้า การท่องเที่ยว ส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจ ในพื้นที่นั้น ๆ เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย • การเติบโตของประชากร: เมื่อหนึ่งในรูปแบบการคมนาคมอย่างการขนส่งทางอากาศมีความ สะดวกสบายและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ย่อมส่งผลให้เกิดการลงทุนและการเข้าถึงของสิ่งอานวยความสะดวกมากขึ้น เช่นกัน ซึ่งการพัฒนาในส่วนของสาธารณูปโภคพื้นฐานเหล่านี้จะเป็นจุดดึงดูดให้เกิดการโยกย้ายถิ่นฐานของ ประชากรไปยังพื้นที่ที่มีความเจริญ อาจเนื่องด้วยเหตุผลจากบริการสาธารณะที่ครอบคลุมอัตราเงินเดือนต่า โอกาสในการทางาน และการเข้าถึงสาธารณูปโภคพื้นฐานที่มากกว่าทาให้ในพื้นที่ดังกล่าวเกิดการเติบโตของ เศรษฐกิจเพื่อให้สามารถรองรับความหนาแน่นของประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นกันได้ • การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม: จากข้อได้เปรียบด้านความรวดเร็วและการเดินทางอย่างเสรีแ ล้ว การขนส่งทางอากาศยังมีบทบาทสาคัญในด้านการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ประสบภัยในพื้นที่ที่มี ข้อจากัดในการเข้าถึงมากกว่าปกติ เช่น แผ่นดินไหว น้าท่วม อุบัติเหตุ ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการ ขนส่งบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การขนอุปกรณ์การช่วยเหลือ การขนย้ายเวชภัณฑ์ การ เคลื่อนย้ายผู้ป่วย หรืออวัยวะสาหรับการปลูกถ่าย เป็นต้น จากข้อมูลข้างต้นสังเกตได้ว่าการขนส่งทางอากาศมีประโยชน์และความสาคัญต่อทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างทางสังคมและการกระตุ้นเศรษฐกิจ สะพานเสมือนที่รองรับกระแสกิจกรรมทางเศรษฐกิจนี้เป็นหนึ่งในบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมที่ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิต การไหลเวียนของผู้คน สินค้า การลงทุน และแนวคิดที่เป็นตัวขับเคลื่อน พื้นฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจตลอดจนความมั่นคงของประเทศ 2.2 ความต้องการของภาครัฐ เนื่องจากการขาดโอกาสในเข้าถึงบริการสาธารณะจากภาครัฐของประชากรบริเวณพื้นที่ห่างไกลหรือ การมีอยู่ของบริการสาธารณะแต่ไม่ครอบคลุมพื้นที่ รวมถึงการได้รับบริการแต่ไม่ได้มาตรฐานสามารถนามาสู่ ปัญหาการโยกย้ายถิ่นฐานของประชากรในพื้นที่ห่างไกลเข้าสู่พื้นที่ความเจริญได้ เมื่อความมั่นคงในการเติบโต ของประชากรในพื้นที่นั้นลดลงจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้าทาง สังคมของประชากรในประเทศอีกด้วย ซึ่งความเหลื่อมล้าด้านเศรษฐกิจเป็นความเหลื่อมล้าที่ชัดเจนที่สุดใน บรรดาความเหลื่อมล้าทั้งหมด ความเหลื่อมล้าด้านเศรษฐกิจที่สาคัญ ได้แก่ ความเหลื่อมล้าด้านรายได้ ความ
137 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 เหลื่อมล้าด้านทรัพย์สิน ความเหลื่อมล้าด้านโครงสร้างภาษี และความไม่เท่าเทียมในการแข่งขัน (สฤณี อา ชวานันทกุล, 2554) โดยปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ภาครัฐไม่ต้องการให้เกิดขึ้น อีกทั้งยังพยายามลดการเกิดผล กระทบดังกล่าวอยู่เสมอ สังเกตสิ่งที่ภาครัฐต้องการได้จากตัวอย่างดังต่อไปนี้ • ลดการกระจุกตัวของความเจริญ: เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการโยกย้ายถิ่นฐานจากพื้นที่ห่างไกลเข้าสู่ตัว เมืองจากการได้รับโอกาสซึ่งอาจนาไปสู่สภาวะโครงสร้างทางประชากรศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากอัตรา การย้ายถิ่นฐานไม่สามารถกาหนดกลุ่มอายุ เพศ การศึกษา และอาชีพได้ อีกทั้งภาวะสมองไหล (Brain drain) ที่ทาให้สูญเสียบุคลากรที่เปี่ยมด้วยองค์ความรู้ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและประเทศ (เคส, เอส, 2561) • กระตุ้นเศรษฐกิจ: เพื่อให้เกิดความมั่นคงและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งทาให้ได้โดยการกระตุ้น เศรษฐกิจ ส่งเสริม และดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนให้มีการลงทุนในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงการติดตั้ง สาธารณูปโภคพื้นฐาน การนาเทคโนโลยีเข้าช่วยพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อเพิ่มการไหลเวียน ของผู้คน เม็ดเงิน สินค้า และแนวคิดที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ • การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด: ถึงแม้จะเป็นพื้นที่ห่างไกลแต่การมีอยู่ของทรัพยากรมนุษย์ นั้นไม่สามารถละเลยได้ รัฐจึงจาเป็นต้องดาเนินการกระจายบริการสาธารณะซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ให้ประชากรทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง รวมถึงการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ดังกล่าว หากมีการนามาใช้ เพื่อการพัฒนาจะต้องนามาใช้ให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ความต้องการจากภาครัฐสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้โดยวิธีการดาเนินงานพัฒนาเมืองรองให้ ประสบความสาเร็จ รัฐจึงจาเป็นต้องจัดเตรียมบริบทในพื้นที่ที่เอื้อต่อการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตทุนและ แรงงานจากเมืองหลักสู่เมืองรองให้พร้อมก่อน รวมถึงต้องมีบริการสาธารณะ ได้แก่ สาธารณูปโภคสาธารณสุข และการศึกษาที่ครอบคลุมเพื่อรองรับการย้ายถิ่นของประชากรเข้ามา (อริสา จันทรบุญทา และ จิรัฐ เจนพึ่งพร, 2561) ซึ่งในการลดปัญหาการเข้าถึงของหนึ่งในบริการสาธารณะหรือที่เรียกว่าสาธารณูปโภคพื้นฐานทางสังคม ที่สาคัญคือ การคมนาคม เนื่องจากข้อจากัดของลักษณะพื้นที่ที่ไม่สามารถเดินทางได้ด้วยพื้นผิวปกติ รวมกับ ความสาคัญของการคมนาคมทางอากาศจากบทความที่กล่าวข้างต้น ทาให้การขนส่งทางอากาศเป็นรูปแบบที่ เหมาะสมที่สุดสาหรับการอานวยความสะดวกในการเดินทางเข้า – ออกให้แก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล 2.3 ความต้องการจากภาคเอกชน (สายการบิน) เนื่องจากการทาโครงสร้างพื้นฐานของบริการสาธารณะด้านคมนาคมให้ดีในพื้นที่ห่างไกลไร้ การ เดินทางแบบพื้นผิวปกติจาเป็นต้องใช้การใบริการทางอากาศแต่เนื่องด้วยข้อจากัดของการให้บริการขนส่งทาง อากาศคือ การลงทุนของภาคเอกชนอย่างสายการบินนั้นคานึงถึงผลประกอบการในรูปแบบกาไรเป็นสาคัญ การให้บริการเชิงพาณิชย์ส่งผลให้การเปิดเส้นทางบินไปยังพื้นที่ห่างไกลนั้นไม่คุ้มค่าต่อการดาเนินการหรือ แม้แต่การประคับประคองให้เส้นทางบินดังกล่าวนั้นสามารถเปิดให้บริการต่อไปได้จึงถือเป็นเรื่องยาก เมื่อ เส้นทางบินดังกล่าวไม่ทากาไรจึงไม่สามารถทาการบินได้และต้องปิดเส้นทางบินลงในที่สุด โดยตัวอย่างความ ต้องการจากสายการบินมีดังนี้
138 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 • อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Passenger Load Factor): แสดงถึงอัตราส่วนการใช้งานของ จานวนที่นั่งคูณด้วยระยะทางที่บินส่วนด้วยความจุของจานวนผู้โดยสารที่รองรับได้ทั้งหมดคูณด้วยระยะทางที่ บิน ซึ่งค่าที่ได้จะแสดงอัตราการใช้งานภาพรวมของสายการบินยิ่งตัวเลขที่ได้มีค่าสูงเท่าไหร่หมายถึงปริมาณ การเติบโตของสายการบินในเส้นทางบินนั้น (บริษัท การบินไทย จากัด (มหาชน), ม.ป.ป.) • ต้นทุน (Cost): สายการบินคาดหวังต้นทุนทางการบินที่ต่า เช่น ค่าน้ามันเชื้อเพลิง ค่าบารุงรักษา หรือซ่อมแซมอากาศยาน ค่าบริการผู้โดยสาร เป็นต้น เนื่องจากหากต้นทุนทางการบินสูงขึ้นสายการบินอาจมี ความจาเป็นต้องปรับขึ้นราคาค่าโดยสารซึ่งส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้บริการของผู้โดยสารให้ลดลง • ความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการ (Customer Loyalty): ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงของสายการบินใน ปัจจุบันนี้ สายการบินทั้งหลายจึงต้องการเป็นที่รู้จักและจดจาได้จากผู้ใช้บริการ โดยอาจนาเสนอผ่านการทา การตลาดเพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับ ไว้วางใจ และเชื่อมั่นในสายการบินว่าสามารถตอบสนองความต้องการ ให้แก่ผู้โดยสารได้ นอกเหนือจากที่ผู้โดยสารจะเลือกใช้บริการอย่างต่อเนื่องแล้วทางสายการบินยังคาดหวังให้ ผู้โดยสารพร้อมที่จะปกป้องในกรณีที่ถูกโจมตีหรือถูกพูดถึงในแง่ลบอีกด้วย ความต้องการของสายการบินจากข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสายการบินกับ ผู้โดยสาร เมื่อสายการบินคาดหวังต้นทุนทางการบินที่ต่าลงเพื่อหวังผลกาไรจากการบริการการบินมากขึ้น แต่ จานวนผู้ใช้บริการกลับมีไม่มากพอที่จะทาให้สายการบินบริหารเส้นทางบินดังกล่าวให้คุ้มทุนได้นั้น ภาระ ค่าใช้จ่ายจึงถูกเพิ่มสูงขึ้นผ่านอัตราค่าโดยสาร เมื่อเป็นเช่นนั้นความต้องการที่จะเดินทางด้วยอากาศยานจึง ลดน้อยลง ดังนั้นความเป็นไปได้ของการเปิดให้บริการเส้นทางบินไปยังพื้นที่ห่างไกลหรือแม้แต่ การ ประคับประคองให้เส้นทางบินดังกล่าวนั้นสามารถเปิดให้บริการต่อไปได้จึงแทบจะเป็นศูนย์ 2.4 วิธีการช่วยเหลือสนับสนุนบริการสาธารณะด้านเส้นทางบินจากภาครัฐ เมื่อนาความต้องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสาหรับเส้นทางในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่สามารถเข้าถึงแบบ พื้นผิวทั่วไป โดยอาศัยการบริการทางอากาศกับข้อจากัดของผู้ให้บริการทางอากาศที่ไม่สามารถทาการบินได้ หากเส้นทางบินดังกล่าวมีความเสี่ยงจากผลประกอบการสูง เนื่องจากไม่ทากาไรในเชิงพาณิชย์หรือที่เรียกว่า ขาดทุนมาพิจารณาประกอบเข้าด้วยกันจึงพบว่า วิธีการสนับสนุนบริการสาธารณะด้านเส้นทางบินถือเป็น การตอบสนองความต้องการได้อย่างชัดเจนและตรงตามวัตถุประสงค์ของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้ ลักษณะในการช่วยเหลือบริการสาธารณะด้านเส้นทางบินสามารถทาได้หลายรูปแบบด้วยกันโดยขึ้นอยู่กับการ พิจารณาตามความเหมาะสมของบริบทสังคมการเมืองและเศรษฐกิจแต่ละประเทศ จากการศึกษาและรวบรวม ข้อมูลผู้เขียนพบว่าการสนับสนุนบริการสาธารณะด้านเส้นการบิน ประกอบด้วย 3 วิธีหลัก คือ การให้บริการ ทางอากาศโดยตรงจากสายการบินของภาครัฐ (Direct Operation Of Air Service by State-Owned airline) งบอุดหนุนบัตรโดยสาร (Air Fare Discount Schemes) และการอุดหนุนบริการสาธารณะด้าน เส้นทางบิน (Public Service Obligations (PSO) Air Services Routes) (ณัฐพล คนซื่อ, 2564) 1) การให้บริการทางอากาศโดยตรงจากสายการบินของภาครัฐ (Direct Operation Of Air Service by State-Owned Airline) เป็นวิธีการสนับสนุนให้บริการด้านเส้นทางบินที่ภาครัฐเป็นเจ้าของมาดาเนินการ
139 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 บินในเส้นทางสาคัญสู่พื้นที่ห่างไกลที่ได้พิจารณาไว้ หากภาครัฐมีสายการบินอยู่ในครอบครองก่อนแล้ว แนวโน้มที่จะประสบความสาเร็จจากการบินในเส้นทางดังกล่าวย่อมมากกว่าการที่ภาครัฐจะเร่งดาเนินการ สร้างสายการบิน ในนามภาครัฐขึ้นใหม่ เนื่องจากการกระทาการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบินนั้นมีขั้นตอนใน การดาเนินการที่ยุ่งยากซับซ้อน และมีค่าใช้จ่ายสูง รวมถึงข้อกาหนดด้านมาตรฐานและความปลอดภัยที่ทาง หน่วยงานด้านการบินอย่าง องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือInternational Civil Aviation Organization (ICAO) และสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือInternational Air Transport Association (IATA) ใช้พิจารณาความพร้อมในการให้บริการทางการบิน เช่น เอกสารใบสาคัญสมควร เดินอากาศ การจดทะเบียนและเครื่องหมายอากาศยาน ประกันภัยอากาศยาน และการขอเปิดเส้นทางบิน เป็นต้น 2) งบอุดหนุนบัตรโดยสาร (Air Fare Discount Schemes) สาหรับการสนับสนุนบริการสาธารณะ ด้านเส้นการบินวิธีนี้ออกแบบมาเพื่อส่งมอบอัตราค่าโดยสารเครื่องบินที่ต่ากว่าปกติสาหรับผู้มีถิ่นที่อยู่อาศัยใน พื้นที่ห่างไกลโดยอาจให้สิทธิพิเศษสาหรับนักเรียน และนักศึกษาที่ต้องเดินทางไปเรียนยังนอกพื้นที่ที่มีสิทธิ์ ซึ่ง วิธีการนี้มักใช้สาหรับพื้นที่ห่างไกลที่มีการเปิดให้บริการสายการบินอยู่ก่อนแล้วแต่อัตราค่าโดยสารที่มีราคาสูง เนื่องด้วยความต้องการบินกับการให้บริการทางการบินไม่ตรงกันทางภาครัฐจึงสนับสนุนการให้บริการด้าน เส้นทางบินด้วยการส่งมอบส่วนลดให้กับผู้โดยสารที่มีที่อยู่อาศัยถาวรในพื้นที่ห่างไกลและต้องการบินใน เที่ยวบินดังกล่าว ประเทศตัวอย่างที่มีการนาวิธีนี้มาใช้ เช่น ประเทศสเปน ประเทศสก็อตแลนด์ เป็นต้น 3) การอุดหนุนบริการสาธารณะด้านเส้นทางการบิน (Public Service Obligations (PSO) Air Services Routes) เป็นวิธีการให้งบอุดหนุนจากภาครัฐเพื่อชดเชยการขาดทุนเนื่องด้วยการให้บริการใน เส้นทางบินที่ไม่ทากาไรซึ่งภาครัฐเล็งเห็นความสาคัญของเส้นทางบินดังกล่าวจึงมีการกาหนดกฎเกณฑ์สาหรับ วิธีการให้บริการด้านเส้นทางบินนั้นและดาเนินการคัดเลือกสายการบินที่สามารถตอบสนองความต้องการของ ภาครัฐได้เพื่อรับหน้าที่ดาเนินการบินในเส้นทางบินที่ไม่สามารถดาเนินการในเชิงพาณิชย์ได้โดยยกตัวอย่าง ประเทศที่มีวิธีการนามาใช้ เช่น ประเทศฝรั่งเศส ประเทศอิตาลี ประเทศกรีซ เป็นต้น 3. ผลการศึกษา การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบิน (Public Service Obligations (PSO) Air Services Routes) วิเคราะห์การอุดหนุนบริการสาธารณะด้านเส้นทางการบินในมุมมองของภาครัฐ วิธีการอุดหนุนบริการ สาธารณะด้านเส้นทางการบินเป็นการช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านรูปแบบของการทาข้อตกลงเพื่อพิจารณา จ่ายเงินชดเชยผลขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะด้านเส้นทางบิน หรือ Public Service Obligations (PSO) Air Services Routes ซึ่งทาง European Regions Airline Association ได้ให้ความหมายไว้ว่า PSOs เป็นข้อจากัดนอกเหนือจากบทบัญญัติตามปกติของการบริการขนส่งทางอากาศในตลาดภายในสหภาพยุโรป ซึ่งข้อยกเว้นนั้นจะถูกปรับเปลี่ยนตามความสาคัญของการส่งเสริมการเชื่อมต่อและการสร้างความมั่นใจการ ทางานร่วมกันของดินแดนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ห่างไกลและเกาะ ต่าง ๆ บนเส้นทางการบิน
140 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 (European Regions Airline Association, 2016) ซึ่งมีความสอดคล้องกับความหมายจาก European Commission ที่ว่า PSO ถูกกาหนดแก่ผู้ให้บริการโดยการมอบหมายและตั้งอยู่บนพื้นฐานตามเกณฑ์ ผลประโยชน์ของสาธารณชน ซึ่งทาให้มั่นใจได้ว่าบริการนั้นได้รับการจัดเตรียมภายใต้เงื่อนไขที่อนุญาตให้ ปฏิบัติตามสิ่งที่ได้รับมอบหมายได้ (European Commission, 2011) จึงกล่าวได้ว่า PSO Air Services Routes เป็นเงื่อนไขกฎข้อบังคับพิเศษนอกเหนือจากบทบัญญัติการให้บริการขนส่งทางอากาศ ซึ่งข้อกาหนด ดังกล่าวจะถูกปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะความสาคัญของนโยบายส่งเสริมการเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ห่างไกล และพื้นที่อื่น ๆ เข้าด้วยกัน โดยเกณฑ์การให้บริการนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานความต้องการและผลประโยชน์ของ สาธารณชนเป็นหลัก ซึ่งทาให้มั่นใจได้ว่าการบริการนั้นได้รับการจัดเตรียมภายใต้เงื่อนไขที่กาหนดและสามารถ เอื้ออานวยผลประโยชน์ต่อสาธารณชนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Public Service Obligations (PSO) Air Services Routes เป็นวิธีการให้งบอุดหนุนสายการบินผ่าน รูปแบบของการชดเชยค่าใช้จ่ายส่วนขาดทุนที่เกิดการการให้บริการสาธารณะด้านเส้นทางบิน ซึ่งสายการบินที่ ได้รับมอบหมายให้ทาการบินในเส้นทางดังกล่าวจะต้องผ่านเกณฑ์การให้บริการจากภาครัฐซึ่งกาหนดไว้ใน หัวข้อต่าง ๆ โดยตัวอย่างข้อกาหนดจาก European Union มีดังนี้ 1) Frequency, Flight Times and Slots โดยเป็นการพูดถึงรูปแบบและการจัดสรรเวลาบินของ เที่ยวบินที่ให้บริการทางอากาศว่าต้องบินไป – กลับเส้นทางดังกล่าวจานวนกี่เที่ยวต่อวัน ลักษณะการให้บริการ เป็นแบบใด ซึ่งส่วนมากจะเป็นการให้บริการแบบเที่ยวบินประจาที่มีการกาหนดวัน เวลาของเที่ยวบินอย่าง ชัดเจน และมีการบังคับใช้ตลอดปี 2) Aircraft Capacity ความจุของอากาศยาน โดยการกาหนดที่นั่งสาหรับรองรับจานวนผู้โดยสารต่อ หนึ่งเที่ยวบินสาหรับการบินในเส้นทางที่กาหนด 3) Aircraft Types ประเภทของอากาศยานที่ใช้ควรเป็นแบบใด เช่น เครื่องยนต์ใช้แบบใบพัดหรือ แบบไอพ่น ระดับความดันอากาศที่เหมาะสม และการใช้กฎการบินสาหรับการบินในเที่ยวบินที่กาหนด 4) Fares อัตราค่าโดยสารสูงสุดในหนึ่งเที่ยวบินจะต้องไม่เกินกี่ภาครัฐกาหนดไว้ 5) Reservations การจาหน่ายบัตรโดยสารจะต้องให้บริการอย่างไร ช่องทางในการจาหน่ายบัตร โดยสารต้องดาเนินการผ่านช่องทางใดได้บ้าง โดยที่ช่องทางและจานวนขั้นต่าสาหรับการให้บริการดังกล่าวจะ ถูกกาหนดโดยภาครัฐ 6) Continuity of Air Services กล่าวถึงความต่อเนื่องในการให้บริการทางอากาศซึ่งภาครัฐจะ กาหนดจานวนเที่ยวบินที่สามารถยกเลิกเนื่องจากสาเหตุที่มาจากสายการบินโดยตรงว่าต้องไม่เกินร้อยละ เท่าไหร่ของจานวนเที่ยวบินต่อปีที่วางแผนไว้ เพื่อการให้บริการทางอากาศมีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ สูงสุด วิเคราะห์การอุดหนุนบริการสาธารณะด้านเส้นทางการบินในมุมมองของภาคเอกชน (สายการบิน ) เมื่อสายการบินพบว่าสามารถให้บริการได้ครบตามข้อกาหนดจากภาครัฐ ขั้นตอนต่อมาจะนาไปสู่การคัดเลือก สายการบินเพื่อรับหน้าที่ทาการบินในเส้นทางสู่พื้นที่ห่างไกล ประกอบด้วย 2 วิธี คือ
141 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 1) การเจรจาต่อรอง (Negotiation) วิธีนี้จะใช้ต่อเมื่อไม่มีสายการบินใด หรือมีเพียงสายการบิน จานวนหนึ่งที่สนใจทาการบินให้สอดคล้องกับข้อกาหนดจากภาครัฐ ซึ่งภาครัฐจะดาเนินการคัดเลือกสายการ บินที่มีความเหมาะสม เพื่อเข้าเจรจาต่อรองปรับเปลี่ยนข้อตกลงเพื่อหาข้อยุติที่พึงพอใจและยอมรับร่วมกันจน สามารถดาเนินการให้บริการสาธารณะต่อไปได้ 2) การประมูลแบบแข่งขันราคา (Competitive Tender) ใช้เมื่อมีสายการบินที่สนใจและผ่านเกณฑ์ ข้อกาหนดจากภาครัฐเป็นจานวนมากด้วยกัน เนื่องด้วยเป็นการให้งบอุดหนุนสายการบินผ่านรูปแบบของการ ชดเชยค่าใช้จ่ายส่วนขาดทุนที่เกิดจากการให้บริการสาธารณะด้านเส้นทางบินและถือเป็นการผูกขาดมอบสิทธิ การบินในเส้นทางบินดังกล่าวจึงต้องมีการเลือกผู้ให้บริการเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น โดยหากสายการบินรายใด สามารถให้ประโยชน์ เช่น การเป็นผู้ขอวงเงินอุดหนุนการบริการสาธารณะด้านเส้นทางบินต่าที่สุด ประสบการณ์ในการบินสู่พื้นที่ที่มีข้อจากัดของสภาพภูมิประเทศ หรือเป็นผู้ให้บริการเที่ยวบินได้มากจะเป็น ผู้ให้ได้รับหน้าที่ทาการบินเส้นทางพื้นที่ห่างไกลไปในที่สุด จากข้อมูลข้างต้นหากภาครัฐนาวิธีการอุดหนุนบริการสาธารณะด้านเส้นทางบินมาใช้เท่ากับว่าวิธี ดังกล่าวได้ผ่านกระบวนการพิจารณาจากภาครัฐมาอย่างดีแล้ว เนื่องจากเป็นวิธีการที่มีขั้นตอนดาเนินการ ข้อจากัดและค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ซึ่งภาครัฐจาเป็นต้องมั่นใจว่าการให้บริการขนส่งทางอากาศเป็นวิธีเดียว สาหรับการเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลและเส้นทางบินนั้นมีความสาคัญต่อสังคม เศรษฐกิจ รวมถึงสามารถช่วยพัฒนา และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในพื้นที่ห่างไกลได้จริง แต่ในอีกแง่มุมของการมีอยู่ของกฎเกณฑ์ หรือ ข้อบังคับที่กาหนดไว้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการให้บริการจากสายการบิน บทลงโทษในกรณีที่ไม่สามารถ ดาเนินการตามข้อกาหนดที่ตกลงไว้ได้ หรือการชดเชยจากภาครัฐก็ตาม ข้อกาหนดที่ไม่สามารถกระทา การใด ๆ นอกเหนือหรือน้อยกว่าที่กาหนดไว้ไม่ได้ ข้อบังคับเหล่านี้ (European Commission & Directorate-General for Mobility and Transport, 2017) แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจต่อการมีอยู่ของ เส้นทางบินดังกล่าวว่าประชากรในพื้นที่ห่างไกลจะสามารถได้รับผลประโยชน์และการตอบสนองความต้องการ ได้อย่างแน่นอน อีกทั้งกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการบินนั้นมีความปลอดภัยสูงสุดดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าไม่ส่งผล กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ 4. สรุปผล ด้วยเหตุนี้จึงสามารถสรุปได้ว่าการเข้าช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างบริการสาธารณะใน พื้นที่ห่างไกลซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการเดินทางโดยพื้นผิวปกติ ด้วยวิธีการอุดหนุนบริการสาธารณะด้าน เส้นทางบินจากภาครัฐถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมและสมเหตุสมผลซึ่งวิธีการสนับสนุนบริการสาธารณะด้าน เส้นทางบินอาจทาได้ด้วยการให้บริการทางอากาศโดยตรงจากสายการบินของภาครัฐ (Direction Operation Of Air Service by State-Owned Airline) การจัดงบอุดหนุนบัตรโดยสาร (Air Fare Discount Schemes) หรือการอุดหนุนบริการสาธารณะด้านเส้นทางบิน (Public Service Obligations (PSO) Air Services Routes in Thailand
142 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 1: วิธีการอุดหนุนบริการสาธารณะด้านเส้นทางบิน ซึ่งวิธีการอุดหนุนบริการสาธารณะด้านเส้นทางบิน ( Public Service Obligations (PSO) Air Services Routes in Thailand) ที่ได้ทาการศึกษานั้นสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชนได้ดังนี้ 1) ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะดียิ่งขึ้นจากการได้รับการให้บริการ เที่ยวบินจากสายการบินอย่างเหมาะสม การเดินทางที่สะดวกส่งผลให้มีการเดินทางเข้า – ออกในพื้นที่ห่างไกล มากขึ้น มีการลงทุนและก่อให้เกิดการเติบโตของจานวนประชากรควบคู่ไปกับเศรษฐกิจ รวมทั้งมีการพัฒนา พื้นที่ดังกล่าวให้มีความเจริญและผู้คนท้องถิ่นมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น 2) สายการบินสามารถดาเนินการในเส้นทางบินสู่พื้นที่ห่างไกลต่อไปได้โดยไม่ต้องคานึงถึงความเสี่ยง จากผลประกอบการ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนเงินอุดหนุนจากบริการสาธารณะด้านเส้นทางบินจากภาครัฐ อีกทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์สายการบินให้เป็นที่รู้จักจนเกิดความเชื่อมั่นและไว้วางใจในการบริการของสาย การบินได้ไปในคราวเดียวกัน 3) ภาครัฐสามารถกระจายบริการสาธารณสุขพื้นที่ห่างไกลได้มากขึ้น เพื่อนาทรัพยากรธรรมชาติ และ มนุษย์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยการสนับสนุนการคมนาคมพื้นฐานผ่านการอุดหนุนบริการสาธารณะ เส้นทางการบินจนก่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิต สังคม และเศรษฐกิจของประชากรบริเวณพื้นที่ห่างไกล ยิ่ง ไปกว่านั้นเมื่อประชากรในประเทศมีคุณภาพที่ดีขึ้น ภาพรวมของสังคมและเศรษฐกิจของประเทศชาติจึงมี คุณภาพที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พัฒนาเศรษฐกิจ สามารถทากาไรได้ ในอนาคต บริการสาธารณะ เที่ยวบิน PSOs Air Services Route ภาครัฐ
143 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 นอกจากจะเป็นการดาเนินการเพื่อให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลในระยะสั้นแล้ว ยังเป็นการส่งเสริม และกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกด้วยสามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างชัดเจนและตรงตามวัตถุประสงค์ของ ทั้งประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชน 4.1 ข้อเสนอแนะจากการศึกษา 1) ระดับนโยบาย เนื่องจากเล็งเห็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ประชากรที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลไม่สามารถ เข้าถึงการเดินทางโดยพื้นผิวได้อย่างสะดวก ภาครัฐหรือองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรเข้ามาช่วยเหลือ สนับสนุน โดยวิธีการการอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย (Public Service Obligations (PSO) Air Services Routes in Thailand) เพื่อพัฒนาให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 2) ระดับบริหาร สายการบินควรศึกษาและให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการเปิดเส้นทางการบินสู่พื้นที่ ห่างไกล โดยไม่คานึงความเสี่ยงจากผลประกอบการเนื่องจากได้รับการสนับสนุนเงินอุดหนุนจากทางภาครัฐ 3) ระดับปฏิบัติการ ภาครัฐและสายการบินควรพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการการอุดหนุน สาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย (Public Service Obligations (PSO) Air Services Routes in Thailand) ในทางปฏิบัติ รวมถึงวิเคราะห์ความสามารถในการทากาไรและคานวณระยะเวลาคืนทุนของ เที่ยวบินที่ได้รับการอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย
4.2 ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้นควรใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ เช่น การ สัมภาษณ์ผู้ที่ได้รับปัญหาหรือผลกระทบ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อได้ข้อเท็จจริง ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อ งานวิจัย 5. References เคส, เอส. (2561). The third wave [คลื่นลูกที่สามแห่งยุคอินเตอร์เน็ต] เนชั่นบุ๊คส์. ณัฐพล คนซื่อ. (2564). Policy, Regulation & Procurement of Essential Air Services [เอกสารที่ไม่ได้ ตีพิมพ์]. หลักสูตรการจัดการเทคโนโลยีการบิน, สถาบันการบินพลเรือน. นันทวัฒน์ บรมานันท์. (2560). หลักกฎหมายปกครองเกี่ยวกับบริการสาธารณะ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: วิญญูชน. บริษัท การบินไทย จากัด (มหาชน). (ม.ป.ป.). ความหมายของคาย่อที่ใช้. ค้นเมื่อ 7 มีนาคม 2565, จากhttp: / /capital.sec.or.th/webapp/corp_fin/datafile/69/024500018901022010-08- 7T16.PDF?ts =1282333938 สฤณี อาชวานันทกุล. (2554). ความเหลื่อมล้าฉบับพกพา. กรุงเทพฯ: สานักงานปฏิรูป
(Public Service Obligations (PSO) Air Services Routes in Thailand) เพื่อคานึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

561

(urbanization) และนัยเชิงนโยบายของ ไทย FAQ (Focused and Quick), 11(128) , 1-15.https://content.botlc.or.th /mminfo/ BOTCollection/BOTFAQ/FAQ128.pdf

European Commission. (2011). A Quality Framework for Services of General Interest in Europe. Retrieved February 26, 2022, from https://data.consilium.europa.eu/doc/document/ ST- 5279-2012-INIT/nl/pdf

European Commission, & Directorate-General for Mobility and Transport. (2017). Commission Notice - Interpretative guidelines on regulation (EC) No.1008/2008 of the European Parliament and of the Council - Public Service Obligations (PSO). Official Journal of the European Union, OJC(194), Article 52017XC0617(02). https://eur-lex.europa.eu/legalcontent/EN/TXT/PDF/?uri=CELEX:52017XC0617(01)&from=EN

European Regions Airline Association. (2016). Public Service Obligation (PSO) Routes in Europe. Retrieved February 28, 2022, from https://www.eraa.org/system/files/170105_pb_pso_ brochure_2016.pdf

International Air Transport Association (IATA). (n.d.). Air Connectivity: Measuring the connections that drive economic growth. Retrieved February 26, 2022, from https://www.eraa.org/system/files/170105_pb_pso_brochure_2016.pdf

Parjiono, M. S, & Rahman, A. B. (2019). Urbanization, Human Capital, and Regional Development The Indonesian Experiences. Indonesia: Gramedia Pustaka Utama. The Organization for Economic Cooperation and Development (OECD), & European Commission. (2020). Cities in the World: A New Perspective on Urbanisation. OECD iLibrary. https://doi.org/10.1787/d0efcbda-en

144 การอุดหนุนสาธารณะด้านเส้นทางบินในประเทศไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 อริสา จันทรบุญทา และ จิรัฐ เจนพึ่งพร.
(2
). ความเป็นเมือง

study aimed at learning about errors in dangerous goods logistic processes in the aviation industry and was carried out by analyzing the impact on aviation logistic industry, especially in Thailand. The study focused on problems and solutions and adaptation to

145 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ Errors in the Processes of Transporting Dangerous Goods by Air 1พิชญาพร กลวุฑฒิไกร และ 2ธนาภรณ์ ทิพยศ 1Phichyaporn Kolwuttikra and 2Tanaporn Thippayot 1,2สถาบันการบินพลเรือน 1,2Civil Aviation Training Center, Thailand Email: 6212101430@students.catc.or.th บทคัดย่อ บทความฉบับนี้ มุ่งศึกษาเรื่องความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายในอุตสาหกรรม การบินเป็นการวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าทางอากาศโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ประเทศไทย มุ่งเน้นศึกษาถึงปัญหาที่เกิดและแนวทางการแก้ไข การปรับตัวต่อสถานการณ์ทั้งในช่วงเวลาของ การแพร่ระบาด และในอนาคตที่ความปกติใหม่ที่จะส่งผลระบบการขนส่งและโลจิสติกส์แตกต่างไปจากอดีต บทความนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการทางานของการขนส่งสินค้า อันตราย และได้ศึกษาถึงวิธีการแก้ไขปัญหา การป้องกันไม่ให้เกิดการผิดพลาดในกระบวนการทางาน และ การจัดการกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายในอุตสาหกรรมการบิน พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากพนักงาน ไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมจากสายงานโดยตรง จึงมีผลกระทบที่ส่งผลอย่างรุนแรงต่อสินค้า ทรัพย์สินจนไปถึงชีวิต มนุษย์จึงทาให้เกิดมาตรฐานใหม่ เป็นเหตุให้เปลี่ยนพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าไปอย่างมาก ตลอดจนทาให้สายการบินต่าง ๆ ได้มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผิดพลาดในการขนส่งสินค้า อันตราย โดยการเปลี่ยนแปลงจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าในทุกกระบวนการ การขนส่งนั้นจะต้อง เป็นไปตามมาตราฐานสากล บุคลากรจะต้องได้รับการฝึกอบรมในทุกกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายตั้งแต่ ต้นจนจบ และได้นาเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพื่อลดข้อผิดพลาดในกระบวนการขนส่ง การปรับกลยุทธ์ กระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นที่น่าเชื่อถือต่อสากล และป้องกันไม่ให้เกิด ความเสียหายที่รุนแรงจนไม่สามารถประเมินค่าได้ คาสาคัญ: กระบวนการขนส่ง; ความผิดพลาด; การขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ Abstract This

situations both in pandemic time and in the future where new normal trend would differently affect the transportation and logistics systems, compared to the past. The objective was to analyze problems occurring during dangerous goods logistic processes and to study solutions, prevention of errors in the process, and management of the dangerous goods logistics in the aviation industry. The study found that the problems caused by staff who did not undergo their direct job training, which adversely affects the goods, property, and human lives. Therefore, the new standard was set and this led to the significant change in behaviors and needs of the customers. As a result, several airlines had changed accordingly so as to prevent the errors in dangerous goods logistics. In this, the change made had to build customers’ trust and assure that every step of the process must comply with the international standard. Also, the staff had to undergo the training in every step of dangerous goods logistics, from the start to the final end of the process and the new technology must be applied in order to reduce the errors in the logistic process. In addition, the dangerous goods logistic strategy must be effectively adjusted to be internationally reliable and prevent the damage which may be incomparably serious.

Keywords: Processes; Errors; Transporting dangerous goods by air

146 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN
978-616-7754-78-9
1. บทนา การขนส่งสินค้าทางอากาศมีบทบาทสาคัญ และมีความจาเป็นเป็นอย่างยิ่งสาหรับการขนส่งสินค้าที่ ต้องการแข่งกับเวลา และลดความเสียหายที่มีสาเหตุจากการขนส่งน้อยที่สุด การขนส่งทางอากาศเป็น การขนส่งที่มีลักษณะเฉพาะตัวคือ ความรวดเร็วในการขนส่ง เมื่อเปรียบเทียบกับการขนส่งในรูปแบบอื่น ๆ เป็นการขนส่งที่สามารถใช้สาหรับระยะทางที่ไกลกว่าทางถนน สามารถส่งสินค้าไปได้ทั่วทุกมุมโลก หลากหลาย ประเภท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของภาชนะที่ใช้บรรจุเป็นหลัก (อมรา ดอกไม้ และศุภลักษณ์ ศรีวิไลย์, 2020) ขั้นตอนการขนส่งสินค้าให้ไปถึงปลายทางอย่างปลอดภัย ตรงตามวันและเวลาที่ลูกค้าต้องการโดยสาย การบินที่ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี ตัวแทนที่น่าเชื่อถือเกือบทั่วโลกที่มีความพร้อมที่จะดาเนินการขนส่ง สินค้าจากประเทศต้นทางไปถึงปลายทางเป็นอย่างดี ประกอบไปด้วยขั้นตอนดังนี้ (ณัฐวุฒิ รัตนวงศ์, 2559) - การจัดเก็บและขนส่ง (Logistics Consultation) - การจัดการรับและส่งสินค้าภาคพื้นดิน (Domestic and International Airfreight Cargo Handling) - การรวบรวมสินค้าขึ้นเครื่องบิน (Freight/Cargo Consolidations) - การจัดการขนส่งวัตถุอันตราย สินค้ามูลค่าสูง สัตว์เลี้ยง และของใช้ส่วนตัว (Dangerous (DGR) Cargo, Valuable Cargo & Live Animals Handling) - การจัดการรับส่งสินค้าตั้งแต่หน้าประตูบ้านผู้ส่งจนถึงหน้าประตูบ้านผู้รับ (Door-to-Door Services)
147 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ปัญหาของการขนส่งสินค้าอันตรายนั้นมักเกิดจากความผิดพลาดจากมนุษย์ อันเนื่องมากจากความ ผิดพลาดที่ไม่ตั้งใจ เกิดจากการกระทาโดยมิได้มีการคิดไว้ล่วงหน้า เช่น การลืมอ่านค่าที่ได้จากการวัด การหยิบ ชิ้นส่วนมาประกอบผิด รวมถึงกรณีที่เราเรียกว่าเป็นอุบัติเหตุ หรือความผิดพลาดที่ตั้งใจให้เกิด เป็นความ ผิดพลาดที่เกิดจากการทาจากพนักงานเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เช่น การบรรจุสินค้าหลายประเภทมา รวมกันที่หีบห่อเดียวกัน หรือ การนาชิ้นส่วนหลายชนิดมาไว้ในกล่องเดียวกันจะช่วยลดพื้นที่และความยุ่งยาก ในการทางาน เป็นต้น (ธนัธิดา แก้วหวังสกูล และจิตรา รู้กิจการพานิช, 2557) จากปัญหาที่กล่าวไว้ข้างต้นทาให้ผู้ศึกษาสนใจแนวทางในการป้องกันไม่ให้เกิดการผิดพลาดในการ ขนส่งสินค้าอันตรายนั้นจะต้องมีมาตราการในการป้องกันการก่อให้เกิดความเสียหายของสินค้า ทั้งนี้การที่ เริ่มต้นจากองค์กรเป็นอันดับแรกจะถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หากองค์กรได้ตระหนักถึงความถูกต้องในการขนส่ง กระบวนการขนส่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์และเป็นไปตามมาตราฐานที่ถูกต้อง ก็จะสามารถลดความเสี่ยงที่จะ ผิดพลาดในการขนส่งได้ 2. การทบทวนวรรณกรรม 2.1 ความหมายของสินค้าอันตราย ในการดาเนินงานการขนส่งสินค้าอันตรายนั้นจาเป็นที่จะต้องมีกระบวนการ และ ขั้นตอนดาเนินงาน อย่างชัดเจน เนื่องจากการขนส่งสินค้าอันตรายเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน และเป็นขั้นตอนที่ต้อง ระมัดระวังมากที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อตัวบุคคล องค์กร และ สินค้าที่เป็น อันตรายทุกชนิด รวมถึง วัตถุระเบิด สารกัมมันตรังสี และสารติดเชื้อ เป็นต้น (ธนะ เศรษฐวิไล, 2010) ความหมายสินค้าอันตราย (Dangerous Goods) หมายถึง สิ่งของ หรือวัตถุที่มีคุณสมบัติทางเคมีหรือ ทางกายภาพโดยตัวของมันเอง หรือเมื่อสัมผัสกับสารอื่น (อากาศ หรือ น้า ฯลฯ) ทาให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ ทรัพย์สิน หรือต่อสภาพแวดล้อม ทั้งนี้สหประชาชาติ (United Nations) ได้จัดทาข้อแนะนาในการขนส่งสินค้า อันตราย ( Recommendations on the Transport of Dangerous Goods) มีรายละเอียดเกี่ยวกับ การจาแนกประเภทสินค้าอันตราย (Classification) การบรรจุหีบห่อ (Packaging) การติดป้ายฉลาก (Labelling) การขนส่งสินค้าอันตรายที่บรรจุในถัง (Tank Transport) (อนันต์ เพียรวัฒนะกุลชัย, 2562) สินค้าอันตรายนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 9 ประเภท ซึ่งในบางประเภทนั้นจะแบ่งออกมาเป็นประเภท ย่อย ๆ อีก ซึ่งการแบ่งออกเป็นประเภทย่อย ๆ นั้น จะบ่งบอกถึงความอันตรายของตัวสินค้าจะอธิบายดังนี้ (ธนพงษ์ ยิ้มสุขไพฑูรย์, 2562) ประเภทที่ 1 วัตถุระเบิด เช่น ดอกไม้ไฟ หรือ พลุ ประเภทที่ 2 ก๊าซไวไฟ เช่น ก๊าซกระป๋อง นอกจากนี้จะมีการแบ่งเป็นประเภทย่อยอีก 2 ประเภทย่อย คือ 1) ก๊าซไม่ไวไฟมีพิษ 2) ก๊าซไม่ไวไฟไม่มีพิษ ประเภทที่ 3 ของเหลวไวไฟ ประเภทที่ 4 ของแข็งไวไฟ โดยจะมีการแบ่งออกเป็นประเภทย่อยได้อีก 3 ประเภทย่อย คือ
148 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 1) ของแข็งที่ติดไฟได้ เช่น ไม้ขีดไฟ 2) ของแข็งที่ลุกไหม้เองได้ เช่น วัตถุที่มีส่วนผลสของฟอสฟอรัส 3) ของแข็งเมื่อสัมผัสกับน้าแล้วทาให้เกิดก๊าซไวไฟ เช่น วัตถุที่มีสวนผสมของ แคลเซียมคาร์ไบด์ ประเภทที่ 5 วัตถุออกซิไดซ์และวัตถุอินทรีย์เปอร์ออกไซด์ ถูกแบ่งเป็น 2 ประเภทย่อย คือ 1) สารออกซิไดซ์ เช่น ปุ๋ย 2) สารอินทรีย์เปอร์ออกไซด์ เช่น สารประกอบไอโอด๊อกซ์ ประเภทที่ 6 วัตถุมีพิษ และ วัตถุติดเชื้อ ประเภทที่ 7 ไอคอนวัสดุกัมมันตรังสี เช่น เครื่องตรวจจับควัน ประเภทที่ 8 สารกัดกร่อน เช่น น้ายาฟอกสีหรือน้ายาทาความสะอาดท่อ ประเภทที่ 9 สินค้า สาร และวัตถุอันตรายเบ็ดเตล็ด เช่น ถุงลมนิรภัย แม่เหล็ก แบตเตอรี่ลิเธียม หรือ น้าแข็งแห้ง ทุกวงการของอุตสาหกรรมในประเทศไทย นี้ล้วนใช้เคมีภัณฑ์ หรือวัตถุอันตรายเป็นสารตั้งต้นใน กระบวนการการผลิต ซึ่งส่วนใหญ่ต้องนาเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเพื่อนามาผลิต ผสม ประกอบ กับวัตถุดิบ หรือสารตั้งต้นในประเทศเพื่อที่จะผลิตเป็นสินค้าประเภทต่าง ๆ โดยอุตสาหกรรมที่ต้องใช้สารเคมีใน กระบวนการผลิตนี้มีความหลากหลายมาก ได้แก่ อุตสาหกรรมสี เครื่องสาอาง ยาฆ่าแมลงและยาปราบศัตรูพืช ผงชูรส เป็นต้น (ณัฏฐกานต์ เกตุคุ้ม, 2019) 2.2 การดาเนินงานสินค้าอันตราย ในการดาเนินงานการขนส่งสินค้าอันตรายนั้น จาเป็นที่จะต้องมีงานบริการ และขั้นตอนดาเนินงาน อย่างชัดเจน เนื่องจากการขนส่งสินค้าอันตรายเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน และเป็นขั้นตอนที่ต้อง ระมัดระวังมากที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อตัวบุคคล องค์กร และ สินค้าที่เป็น อันตรายทุกชนิด รวมถึง วัตถุระเบิด สารกัมมันตรังสี และสารติดเชื้อ เป็นต้น (ธนัธิดา แก้วหวังสกูล และ จิตรา รู้กิจการพานิช, 2557) การป้องกันอันตรายจากวัตถุอันตราย สิ่งแรกคือระบบเอกสารผู้ที่ทางานเกี่ยวข้องจะต้องได้รับข้อมูล เกี่ยวกับ วัตถุอันตรายอย่างถูกต้อง และ เข้าใจถึงข้อมูลนั้นด้วย โดยเอกสารที่เกี่ยวกับวัตถุอันตราย ที่นิยมใช้ กัน คือ Safety Data Sheet (SDS) ซึ่งเป็นเอกสารที่อธิบายถึงผลิตภัณฑ์ในแต่ละชนิด โดยระบุคุณสมบัติทาง กายภาพ เคมี และชีวภาคของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าข้อมูลที่สาคัญ ๆ ในเอกสารดังกล่าว ถูกแจกจ่ายให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่างทั่วถึง ในเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้การปิดฉลาก และเครื่องหมายวัตถุ อันตรายนั้นมีมาตรการบังคับ ให้ปิดฉลาก หรือเครื่องหมาย บนหีบห่อภาชนะบรรจุ และพื้นที่จัดเก็บให้ชัดเจน เพื่อเป็นการสื่อสารให้แก่พนักงานที่ทาการเคลื่อนย้ายสินค้าว่าสินค้าในหีบห่อนั้นคืออะไร และ ต้องดูแลจัดการ อย่างไร (ชิณโสณ์ วิสิฐนิธิกิจา, 2563) ทั้งนี้การป้องกันอันตรายจากด้านอื่น ๆ ยังเป็นสิ่งที่จาเป็นเพื่อเป็น การป้องกันไม่ให้เกิดการผิดพลาดในการขนส่งทางอากาศนั้น บุคลากร และพนักงานที่เกี่ยวข้องจาเป็นที่
149 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 จะต้องได้รับการตรวจสุขภาพเนื่องจากการปฏิบัติงานกับสารเคมีหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายนั้นจะส่งผลให้ สุขภาพนั้นเสื่อมลงได้ ผู้ปฏิบัติงานควรได้รับการตรวจสุขภาพ โดยการตรวจสุขภาพควรทาก่อนเริ่มทางาน และมีการตรวจติดตามเป็นระยะ ๆ เพื่อการเฝ้าระวัง หากพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นทาให้สามารถจัดการได้ อย่างรวดเร็วทันท่วงที ทั้งนี้ของเสียที่เกิดจากการปฏิบัติงานนั้นรวมถึงภาชนะบรรจุแผ่นรองที่ชารุด ต้องได้รับ การทาลายอย่างถูกวิธีและปลอดภัยโดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้จะต้องดาเนินงานตามข้อมูลในเอกสาร Material Safety Data Sheet ด้วย นอกจากนี้การตรวจสอบสภาพทั่วไปของพื้นที่ปฏิบัติงาน การจัดเก็บ สภาพความเรียบร้อยของสินค้าภายในคลัง ตลอดจนการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานเป็นสิ่งสาคัญเพื่อให้มั่นใจ ว่าผู้เกี่ยวข้องได้มีการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กาหนดขึ้นอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ง่ายต่อการปฏิบัติงานใน การสารวจตรวจสอบนิยมใช้แบบตรวจสอบ (Check list) และสามารถนาข้อมูลจากแบบตรวจสอบนี้มากาหนด มาตรการเสริมตามความจาเป็นได้ ข้อมูลบางอย่างที่ได้จากการสารวจอาจนามาใช้ประกอบการพิจารณาความ เหมาะสมในการสร้างคลังจัดเก็บวัตถุอันตรายได้ด้วย หรืออาจใช้ในการพิจารณาปรับปรุงระบบการจัดการวัตถุ อันตรายที่มีอยู่ให้เหมาะสมและปลอดภัยยิ่งขึ้น การสารวจตรวจสอบนั้นผู้ทาการสารวจตรวจสอบต้องพยายาม ให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องมากที่สุด แบบตรวจสอบควรได้รับการออกแบบ ให้เหมาะสมกับสภาพอาคารและลักษณะ การทางาน โดยยึดหลักให้สามารถตรวจสอบการทางานให้ครอบคลุมทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง (Greenberg &
2.3 ปัญหาในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตราย ปัญหาในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศโดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นจากมนุษย์ (
Error) อันเนื่องมากจากความผิดพลาดที่ไม่ตั้งใจ หรือมิได้มีการคิดไว้ล่วงหน้า รวมถึงอุบัติเหตุ หรือความ ผิดพลาดที่เกิดจากการตั้งใจ ซึ่งอาจเกิดจากการเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น การนาสินค้า หลายชนิดมาไว้ในกล่องเดียวกันจะช่วยลดพื้นที่และความยุ่งยากในการทางานโดยไม่ศึกษาข้อมูลหรือ รายละเอียดในคู่มือ เป็นต้น (ธนัธิดา แก้วหวังสกูล และ จิตรา รู้กิจการพานิช, 2557) ปัญหาเหล่านี้จะถูกอธิบายอย่างละเอียดดังนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดของมนุษย์นั้นคือ ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความสามารถในการทางานและส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าอันตรายได้ ซึ่งอาจ ส่งผลกระทบต่อสินค้า บุคคลที่เกี่ยวข้องในงาน และ อาจส่งผลให้เกิดความสูญเสียงถึงชีวิตได้ โดยปัจจัยเหล่านี้ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยได้แก่ ก) ปัจจัยภายใน ข) ปัจจัยภายนอก ค) ปัจจัยที่เกิดจากความกดดัน ก) ปัจจัยภายใน คือปัจจัยที่เกิดขึ้นภายในตัวของพนักงาน ซึ่งจะส่งผลต่อการทางานของพนักงาน ได้แก่ การเข้ารับการฝึกอบรม ทักษะในการทางาน ประสบการณ์จากการทางาน ทัศนคติในองค์กร สภาวะ ทางอารมณ์ และ วัฒนธรรมขององค์กร ชั่วโมงการทางาน ชั่วโมงในการพักการทางาน การจัดโครงสร้างของ องค์กร อานาจหน้าที่ความรับผิดชอบ และการสื่อสาร นโยบายการบริหารงาน ความพร้อมใช้ของเครื่องมือ พิเศษ อุปกรณ์ นโยบายการบริหารงาน การหมุนเวียนกะในการทางาน
Roberts, 1996)
Human
150 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ข) ปัจจัยภายนอก คือปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ส่งผลกระทบต่อการทางานของพนักงาน เกิดจาก ลักษณะของปัจจัยแวดล้อม เช่น สภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น คุณภาพอากาศ แสงสว่าง เสียง ความ สั่นสะเทือน ความสะอาด นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ส่งผลต่อระบบการทางานขององค์กร กฎหมายและ เงื่อนไขของประเทศ ค) ปัจจัยจากความกดดัน คือปัจจัยที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในการทางาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อ การทางานของพนักงานก่อให้เกิดความผิดพลาดในกระบวนการทางานการขนส่งสินค้าอันตราย โดยปัจจัยนี้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ สภาวะความกดดันที่มีผลต่อจิตใจ และ สภาวะความกดดันที่มีผลต่อ ร่างกาย ลักษณะที่ 1: ความกดดันต่อจิตใจ ได้แก่ สภาพการทางานที่เสี่ยงอันตราย ความเร่งรีบในการทางาน ความผิดพลาดในการทางานซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวสินค้าและบุคคลที่เกี่ยวข้อง หรือ ก่อให้เกิดควา ม สูญเสียถึงชีวิต การถูกลดตาแหน่งหรือลดความสาคัญในงานที่รับผิดชอบอยู่ การได้รับการสนับสนุนที่ไม่ถูกต้อง การได้รับผลประโยชน์ที่ไม่คุ้มกับหน้าที่ภาระของงาน ลักษณะที่ 2: ความกดดันต่อสรีระร่างกาย ได้แก่ การเคลื่อนไหวในพื้นที่จากัด การเคลื่อนไหวใน ลักษณะท่าเดิมซ้า ๆ สุขภาพที่ไม่แข็งแรง ความเมื่อยล้าจากการทางาน รวมไปถึงความเครียดที่สะสมเป็นระยะ เวลานาน 2.4 สาเหตุที่ก่อให้เกิดความผิดพลาดในการขนส่งสินค้าอันตราย ซึ่งสาเหตุที่ก่อให้เกิดความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายนั้นมักเกิดจากมนุษย์ โดยอิง ตามทฤษฎีของ H.W. Heinrich (1941) ซึ่งผลจากการศึกษาวิจัย สรุปออกมาได้ดังนี้ 1) สาเหตุที่เกิดจากคน (Human Causes) มีจานวนสูงที่สุด คือประมาณ 88% ของการเกิดอุบัติเหตุ ทุกครั้ง 2) สาเหตุที่เกิดจากความผิดพลาดของเครื่องจักร (Mechanical Failure) มีประมาณ 10% ของ การเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง 3) สาเหตุที่นอกเหนือการควบคุม (Acts of God) มีประมาณ 2% เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ นอกเหนือการควบคุมได้ เช่น พายุ น้าท่วม ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว เป็นต้น แน่นอนว่าความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) ถือเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ก่อให้เกิดความ ผิดพลาดในกระบวนการทางานมากที่สุด หรือที่เรียกว่า “อุบัติเหตุที่มาจากคน (Human Causes)” โดย สาเหตุของการผิดพลาดนั้นอาจเกิดจากการกระทาที่ตั้งใจให้เกิดขึ้น (Intended actions) และการกระทาที่ไม่ ตั้งใจให้เกิดขึ้น (Unintended actions) โดยจะอธิบายออกมาดังนี้
151 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 2.5 สาเหตุของความผิดพลาดของมนุษย์ และการฝ่าฝืน (Causes of human errors and violation) ความผิดพลาดของมนุษย์นั้นสามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ ซึ่งอาจเกิดจากความพลั้งเผลอของมนุษย์ (Causes of slips) ที่เกี่ยวข้องกับข้อจากัดของสมาธิ (Attention limitations) การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์/ สภาพแวดล้อมแต่ยังเคยชินกับพฤติกรรมเดิมอยู่ (Habit Pattern) การกดดัน เร่งรีบให้เสร็จทันเวลา (Time pressure) ความชะล่าใจ (Complacency) และความเหนื่อยล้า (Fatigue) สาเหตุที่เกิดจากความหลงลืม (Causes of lapse) ที่เกิดจากข้อจากัดของหน่วยความจา (Memory Limitation) ข้อมูลที่ต้องจามีมากเกินไป (Information Overload) การจาสิ่งที่คล้ายกัน (Similarity Inference) และความเครียด (Stress) สาเหตุที่ เกิดจากการทาผิด (Causes of mistakes) เกิดจากการขาดความรู้ ขาดการฝึกอบรม (Lack of knowledge) ขาดประสบการณ์ (Lack of experience) ขาดข้อมูล ข้อมูลไม่ถูกต้อง ข้อมูลไม่ชัดเจน ( Lack of information) เวลามีจากัด (Time pressure) หรือการตั้งสมมุติฐานผิด (Fault assumption) และสาเหตุของ การฝ่าฝืน (Causes of violation) มักเกิดจากการกดดันเรื่องเวลา เร่งรีบ ลัดขั้นตอนให้งานเสร็จทัน (Time pressure) ขาดการกากับดูแลจากหัวหน้างาน (Lack of supervision) ขาดขวัญและกาลังใจ (Lack of morale) กลุ่มผู้ปฏิบัติงานยินยอมให้มีการฝ่าฝืนกฎระเบียบ (Norm) ความขัดแย้งในหน่วยงาน (
กฎเกณฑ์ที่ไม่ชัดเจนคลุมเครือ (Unclear rules) (วาทศิลป์ วาสะสิริ และกิติศักดิ์ พลอยพานิชเจริญ
ถึงแม้ว่าสภาวะการกดกันจะส่งผลกระทบในทางลบ แต่ในบางกรณีความกดดันก็เป็นสิ่งจาเป็นสาหรับ การทางานให้ได้ตามเป้าหมาย เป็นการกระตุ้น หรือปลุกเร้าให้เกิดความต้องการในความสาเร็จของงาน ดังนั้น ในการบริหารงาน สามารถสร้างสมดุลระหว่างปัจจัยที่มีผลกระทบภายใน ภายนอก และสภาพความกดดัน จะช่วยให้การทางานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยฝ่ายบริหารขององค์กรสามารถมีบทบาทในการออกแบบ วิธีการทางานใหม่ ให้เหมาะสมกับความสามารถและข้อจากัดของพนักงาน การส่งเสริมขวัญและกาลังใจใน การทางาน และการสร้างสภาพแวดล้อมในการทางานใหม่ ที่สนับสนุนต่อการทางานของพนักงาน 2.6 แนวทางการป้องกัน และแนวทางการแก้ไขเพื่อลดความผิดพลาดของมนุษย์ การป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดในมนุษย์นั้นจาเป็นต้องป้องกันในส่วนของตัวบุคคล และ ระดับ องค์กร เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดในกระบวนการทางาน ดังนั้นการป้องกันในส่ว นของตัว บุคคลนั้นจะต้องได้รับการตรวจร่างกาย และ ได้รับคาปรึกษาจากแพทย์โดยตรง จัดทาโครงการผ่อนคลาย จิตใจด้วยการหางานอดิเรก เช่น ฟังเพลง เล่นดนตรี ออกกาลังกายเป็นต้น ทั้งนี้ในส่วนของระดับองค์กรนั้น จาเป็นจะต้องสารวจพนักงานงานในองค์กร สร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมในการทางาน กาหนดเวลา การทางานที่เหมาะสม จัดระบบหน้าที่ความรับผิดชอบให้ชัดเจน มีการกระจายงานอย่างทั่วถึง และมีจานวน พนักงานที่เพียงพอ นอกจากนี้ต้องมีการจัดการอบรมและพัฒนาด้านการบริหารการจัดการจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทางานของคนในองค์กร และยังสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดใน การทางานอีกด้วย (ลลิตลักษณ์ ธารีเกษ, 2020)
Conflict)
, 2017).
152 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 นอกจากนี้การป้องกันการผิดพลาดในการทางานอันดับแรก คือการหลีกเลี่ยงการทางานกะดึก หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงกะอย่างรวดเร็ว เพราะการเปลี่ยนแปลงกะอย่างรวดเร็วนั้นอาจส่งผลให้ร่างกาย ปรับตัวไม่ทัน ทาให้สุขภาพร่างกายอ่อนล้าลงได้ง่าย, หลีกเลี่ยงการทางานกะ แบบ 2 กะซ้อน หรือควรทางาน กะดึกเพื่อเป็นทางเลือกภายใต้สภาพที่กาหนดได้ (ชมพูนุท บุญนาค, 2552) และจัดการกับความผิดพลาดใน การทางานและความเครียดนั้นสามารถจัดการได้จากการประเมินความเครียดจากการทางานได้ด้วย คือ การเขียนรายงานด้วยตัวเองโดยใช้แบบสอบถาม หรือ การสัมภาษณ์ ซึ่งเป็นวิธีที่ยุ่งยากและซับซ้อน ที่เป็นที่ นิยมที่ใช้กัน โดยให้ผู้ประกอบอาชีพนั้นได้ทาการเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจาวัน ความถี่ที่ เกิดขึ้น พูดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่กระตุ้นสิ่งที่ก่อให้เกิดความผิดพลาดในการทางาน เช่น ความต้องการของผู้ประกอบ อาชีพ, ความวิตกกังวลต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งนี้การสังเกตพฤติกรรมนั้นยังเป็นการวัดเพื่อประเมินพฤติกรรมที่ มีผลต่อร่างกายและจิตใจ จนทาให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม เช่น ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ซึมเศร้า (ศราวุฒิ โนเลี่ยม ภาวิน ชินะโชติ และปุริมปรัชญ์ คณิณพศุตย์, 2021) การแก้ไขไม่ให้เกิดการผิดพลาดใน การทางานนั้นจะต้องมีการอบรมที่จาเป็นต่อพนักงานดังนั้นการได้รับการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องกับสินค้า อันตรายโดยตรงนั้นจะสามารถช่วยแก้ไขความผิดพลาดที่ก่อให้เกิดการอันตรายขึ้นได้ การได้รับการฝึกอบรม นั้นจะต้องได้รับการอบรมในหัวข้อต่าง ๆ อาทิ คุณสมบัติของวัตถุอันตราย การจาแนกประเภทของวัตถุ อันตราย, อุปกรณ์ป้องกันภัยชนิดต่าง ๆ, การใช้งาน การใช้คู่มือการปฏิบัติงาน, การกู้ภัยเบื้องต้นรวมทั้งการใช้ เครื่องมือดับเพลิงมือถือ, ข้อมูลที่สาคัญในกรณีฉุกเฉิน ซึงโดยทั่วไปควรอบรมปีละ 1 ครั้ง ทั้งนี้นี้ยังต้องอบรม ในเรื่องของวิธีการจัดการเมื่อมีการหกหรือรั่วไหล, การใช้เครื่องมือดับเพลิงมือถือ การอพยพ, การใช้อุปกรณ์ ป้องกันภัยส่วนบุคคล, การใช้เครื่องมือทุ่นแรง โดยมีกาหนดให้อบรมปีละ 1 ครั้ง และการฝึกอบรมการป้องกัน และระงับอุบัติภัยเบื้องต้น ต้องมีการมอบภาระหน้าที่ ไว้อย่างชัดเจนต้องกาหนดให้มี การฝึกซ้อมร่วมกับ หน่วยกู้ภัยของท้องถิ่น เป็นการซ้อมการประสานแผน ระหว่างองค์กร และหน่วยกู้ภัยของท้องถิ่น หากพบ ข้อบกพร่อง สามารถทาการแก้ไขได้ (พงศ์นรินทร์ เพชรชู วิชิต อู่อ้น และ พีรญา ชื่นวงศ์2022).
153 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 3. ผลการศึกษา ภาพที่ 1: SHELL Model (Brown & Wildenthal, 1988) แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในการทางาน ระหว่างคนกับองค์ประกอบอื่น ๆ เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับ มนุษย์ โดยแนวคิดแบบจาลองเชลล์ (SHELL model) โดยการนาแนวความคิดเรื่องคน เครื่องจักรและ สิ่งแวดล้อมในการทางานเข้ามาประยุกต์ใช้ โดยในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับและได้กาหนดเป็นข้อแนะนาจาก ICAO ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 ให้ใช้ เป็นกรอบในการวิเคราะห์มนุษย์การทางานของมนุษย์ ในอุตสาหกรรมการบิน ตัวย่ออักษร SHELL โดยแต่ละตัวอักษรย่อมาจาก S = Software, H = Hardware, E = Environment, และ L = Liveware บางครั้งอาจเขียนเป็น SHELL ก็ได้ องค์ประกอบของ SHELL Model ประกอบด้วยกัน 5 ส่วน เมื่อนามาใช้ในทางการบินแล้วจะมีความ หมายดังนี้ 1) Liveware (L) คือ มนุษย์ที่ปฏิบัติงานอยู่ ในอุตสาหกรรมการบิน เช่นนักบิน พนักงาน ควบคุม การ จราจรทางอากาศ ช่างซ่อมบารุงและเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน เป็นต้น 2) Hardware (H) คือเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ เช่น อากาศยาน รถลากจูงอากาศยาน รถขนส่งสินค้า และ สะพานเทียบอากาศยานเป็นต้น 3) Software (S) คือคู่มือระเบียบ กฎเกณฑ์ในการทางาน และสัญลักษณ์รวมถึง ซอฟแวร์ ของ คอมพิวเตอร์เป็นต้น 4) Environment (E) คือ สิ่งแวดล้อมที่อยูรอบ ๆ L-H-S เช่น อุณหภูมิสภาพ อากาศ และแสงสว่าง เป็นต้น นอกจากนี้ยังหมายถึงผลกระทบจากนโยบายการบริหารจัดการขององค์กรอีกด้วย 5) Liveware (L) เป็นส่วนที่อยูตรงกลางของแบบจาลอง หมายถึงมนุษย์ที่ปฏิบัติงานอยูหน้างานใน ความเป็นจริงแล้วมนุษย์สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งต่าง ๆ ได้ดีแต่ก็มีข้อจากัดในเรื่องของ ประสิทธิภาพการทางการทางานของตัวเอง ซึ่งปัญหาอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือการมีมาตรฐาน ในการทางานที่ไม่คงที่ จากภาพที่ 1 จะเห็นว่าขอบของบล็อคตัว L จะไม่เป็นเส้นตรงเป็นการสะท้อนให้ เห็นข้อจากัด ดังกล่าวข้างต้นการศึกษาทาความเข้าใจว่าองค์ประกอบรอบ ๆ ของ บล็อค Liveware มี ปัจจัยอะไรบ้างที่เป็น
154 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 สาเหตุ ของการเชื่อมต่ออย่างไม่สมบูรณ์ (mismatch) ซึ่งนามาสู่การทางานที่ผิดพลาดของมนุษย์จึงก่อให้เกิด อุบัติเหตุซึ่งมีความจาเป็นอย่างยิ่ง 4. สรุปผล ภาพที่ 2: แนวทางการแก้ไขปัญหาการผิดพลาดในการขนส่งสินค้าอันตราย ก) รู้กฎระเบียบการปฏิบัติตามกฎระเบียบในการจัดส่งสินค้าอันตรายนั้นเป็นเรื่องสาคัญ เพราะ กฎระเบียบประกอบด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทของการบรรจุภัณฑ์ การเตรียม เอกสาร และการติดป้ายกากับตามที่กาหนด กฎอาจแตกต่างกันไปตามรูปแบบของการขนส่ง ข) ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้รับการฝึกอบรม กระบวนการในการทางานกับสินค้าอันตราย จาเป็นต้องได้รับการอบรมต่าง ๆ ที่กาหนดและเข้าใจกฎระเบียบต่าง ๆ ที่มีผลบังคับใช้ ที่เหมาะสมเพื่อ เตรียมการจัดส่งได้ในนามของบุคคลที่ดาเนินการ ค) จาแนกประเภทและสาแดงการจัดส่งของคุณอย่างถูกต้อง การตรวจสอบว่ามีการระบุ การ จาแนกประเภท การสาแดงข้อมูล การบรรจุหีบห่อ และการติดฉลากสินค้าอันตรายด้วยเอกสารที่ถูกต้อง สาหรับประเทศ/เขตปกครองซึ่งเป็นต้นทาง ทางผ่าน และปลายทางของสินค้า ง) บรรจุหีบห่อและจัดทาเอกสารที่ถูกต้อง ต้องมีข้อกาหนดว่าต้องใช้บรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง รวมถึงมีการทาเครื่องหมายเฉพาะของสหประชาชาติ (UN) ที่เห็นได้ชัดเจน การทาเครื่องหมายเหล่านี้แสดงให้ เห็นว่าการบรรจุภัณฑ์ได้ผ่านการทดสอบความสามารถบางอย่างที่จาเป็นสาหรับการขนส่งสินค้าอันตราย นอกจากนี้การจัดส่งสินค้าอันตรายส่วนใหญ่จาเป็นต้องมีฉลากที่เห็นเด่นชัดเพื่อระบุประเภทความอันตราย หลักและความอันตรายรอง นอกจากนี้ จะต้องมีเอกสารที่ถูกต้อง อาทิ ใบตราส่งสินค้าทางอากาศหรือ Air Waybill, ใบสาแดง ของผู้จัดส่งหรือ Shipper’s Declaration ซึ่งเป็นเอกสารที่ใช้ในการสาแดงของตัวสินค้าจากต้นทาง เพื่อ รู้ ก ตรวจสอบการเข้ารับการ จาแนกประเภทของสินค้าและสาแดง บรรจุหีบห่อ และ จัดทาเอกสารที่

สุวรรณภูมิ. Journal of Kanchanaburi Rajbhat University, 9(1), 57-67. ชมพูนุท บุญนาค. (2552). การศึกษาความเครียดจากการทางาน

155 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 รับรองว่าสินค้าผ่านการบรรจุหีบห่อ ติดป้ายกากับ และสาแดงตามกฎระเบียบข้อบังคับของสินค้าอันตราย , เอกสารศุลกากรหรือ Customs Documentation เอกสารศุลกากรในการจัดส่งใด ๆ ก็ตามที่ประเทศ ปลายทางหรือประเทศต้นทางอยู่นอกทวีปยุโรป ทั้งนี้ ถ้าหากได้ทาตามทฤษฎี และได้มีการปรับปรุงให้อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ตามแนวทางการ แก้ไขที่เสนอไว้ข้างต้นนั้นจะส่งผลให้การผิดพลาดในการขนส่งสินค้าอันตรายนั้นลดน้อยลงได้ การที่ไม่มีการ ผิดพลาดในการขนส่งสินค้าอันตรายนั้นจะสามารถที่จะลดความเสียหาย และความสูญเสียที่ เป็นอัน เนื่องมาจากการผิดพลาดในกระบวนการ หรือ ระหว่างกระบวนการของการขนส่งสินค้าอันตรายได้อีกด้วย 4.1 ข้อเสนอแนะ 1) สามารถนาทฤษฎีนี้มาปรับใช้ในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายได้มีประสิทธิภาพมากน้อยแค ไหน 2) ถ้าสามารถนาทฤษฎีนี้มาปรับใช้ในกระบวนการทางานการขนส่งสินค้าอันตราย จะสามารถสร้าง ความมั่นใจให้กับลูกค้า และ สามารถสร้างกาไรให้กับองค์กรมากน้อยเท่าไหร่ 3) สามารถนาทฤษฎีเหล่านี้ไปใช้จริงแล้วลดการเกิดความผิดพลาดได้มากน้อยแค่ไหน 4) สายการบินสามารถนาทฤษฎีเหล่านี้ไปปรับปรุงมาตรฐานได้หรือไม่ 4.2 ประโยชน์ที่ได้รับในการศึกษา 1) ทราบถึงจุดบกพร่องของกระบวนการขนส่งสินค้าอันตราย 2) รับรู้ถึงปัญหา และ แนวทางแก้ไข 3) ทราบถึงหลักการ การคัดเลือกบุคลากรที่เข้ามาทางานสายนี้ 5. References ณัฏฐกานต์ เกตุคุ้ม (2019). Developing guidelines for informing safe laboratory management practices for the chemical industry in Thailand การสร้างแนวปฏิบัติการจัดการสารเคมีใน ห้องปฏิบัติการอย่าง ปลอดภัยสาหรับอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ในประเทศไทย.
ชิณโสณ์ วิสิฐนิธิกิจา.
คุณภาพการให้บริการของธุรกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศ ท่าอากาศยาน
และวิธีการจัดการความเครียดของพนักงาน แผนกขนส่ง และจัดจาหน่ายสินค้า บริษัท ดี ส โตน จากัด จังหวัดสมุทรสาคร (Doctoral dissertation, มหาวิทยาลัยศิลปากร). ณัฐวุฒิ รัตนวงศ์.
). การวิจัยคุณภาพการหุ้มห่อพัสดุไปรษณีย์เพื่อลดการเกิดความเสียหายในการ ขนส่ง.
Logistics
Bulletin of Applied Sciences, 8(8), 78-87.
(2563).
(2559
Journal of
and Supply Chain Management Ramhkamhaeng, 3(1).

อากาศ. Journal of Management Science Review, 22(1), 233-240. ธนัธิดา แก้วหวังสกูล และ จิตรา รู้กิจการพานิช. (2557). การประเมินความเสี่ยงสาหรับการขนส่งวัตถุอันตราย

ทางถนน. Engineering Journal of Research and Development, 25(2), 61-68. ธนพงษ์ ยิ้มสุขไพฑูรย์. (2562). การบริหารความเสี่ยงธุรกิจนาเข้าวัตถุอันตราย: กรณีศึกษาบริษัท T จากัด Risk Management in import of hazardous goods business: Case study of T CO., LTD.

(2022). ตัวแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุปัจจัยความเป็น มือ อาชีพในการปฏิบัติงานและประสิทธิผลองค์กร ของบริษัท ขนส่ง สินค้า อันตราย. The Journal of Pacific Institute of Management Science (Humanities and Social Science), 8(1), 238250. วาทศิลป์

ความผิด พลาดจากมนุษย์ในกระบวนการประกอบสปินเดิลมอเตอร์ สาหรับฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ. Thai Industrial Engineering Network Journal, 3(1), 34-44. อนันต์ เพียรวัฒนะกุลชัย. (2562). การพัฒนากฎหมายเพื่อการขนส่งของทางทะเล. วารสารวิจัยราไพ พรรณี , 13(1), 207-215.

Brown, B. A., & Wildenthal, B. H. (1988). Status of the nuclear shell model. Annual Review of Nuclear and Particle Science, 38(1), 29-66.

Greenberg, M. I., Cone, D. C., & Roberts, J. R. (1996). Material safety data sheet: A useful resource for the emergency physician. Annals of emergency medicine, 27(3), 347-352.

Heinrich, H. W. (1941). Industrial Accident Prevention. A Scientific Approach. Industrial Accident Prevention. A Scientific Approach., (Second Edition).

156 ความผิดพลาดในกระบวนการขนส่งสินค้าอันตรายทางอากาศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 อมรา ดอกไม้ และศุภลักษณ์ ศรีวิไลย์
(2020). แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการส่งออกสินค้าทาง
บริษัท กรณีศึกษา: บริษัท สิงโต จากัด (Doctoral
ลลิตลักษณ์ ธารีเกษ. (2020). บทบาทของการบริหารทรัพยากรบุคคลด้านการบินต่อการป้องกันอากาศยาน
ศราวุฒิ โนเลี่ยม ภาวิน ชินะโชติ และปุริมปรัชญ์ คณิณพศุตย์
การพัฒนารูปแบบการจัดการ ความเครียด บริษัทท่าอากาศยานไทยจากัด
พงศ์นรินทร์ เพชรชู วิชิต อู่อ้น และ
วาสะสิริ และ กิติศักดิ์ พลอยพานิชเจริญ
การลดความไม่ตรงตามข้อกาหนดที่มีสาเหตุจาก
ธนะ เศรษฐวิไล. (2010). ผลกระทบของกฎหมายการจัดเก็บสินค้าอันตรายต่อการจัดเก็บสินค้าอันตรายของ
dissertation, University of the Thai Chamber of Commerce).
อุบัติเหตุ. วารสาร วิชาการ ศรีปทุม ชลบุรี Sripatum Chonburi Journal, 16(4), 142-151.
(2021).
(มหาชน)(ทอท.). Panyapiwat Journal, 13(3), 149162.
พีรญา ชื่นวงศ์.
(2017).
157 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติ ของสายการบินในตะวันออกกลาง The
SelfAdjustment: A Case Study of an Expatriate Flight Attendant in the Middle East Airlines ธรรมรัตน์ จังศิริวัฒนา Thamarat Jangsiriwattana สถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต Aviation Personnel Development Institute, Kasem Bundit University, Thailand Email:
บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวของ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติ เก็บข้อมูลโดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายจากกลุ่มพนักงานต้อนรับบน เครื่องบินของสองสายการบินในตะวันออกกลางจานวน 349 คน วิเคราะห์ข้อมูลแบบเส้นทางกาลังสองน้อย ที่สุดบางส่วน (Partial Least Square: PLS-SEM) ด้วยโปรแกรมสาเร็จรูป SmartPLS 3.0 ในการทดสอบ สมมติฐาน ผลการศึกษาพบว่าอภิปัญญาทางวัฒนธรรม ความรู้ทางวัฒนธรรม และ แรงจูงใจในการเรียนรู้ วัฒนธรรม มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสาคัญกับการปรับตัวทั่วไป และการปรับตัวในการมีปฏิสัมพันธ์กับคน ท้องถิ่นที่ระดับนัยสาคัญที่ 0.5 อย่างไรก็ตามผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมกับ วัฒนธรรมที่แตกต่างไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสาคัญกับการปรับตัวทุกรูปแบบของพนักงานต้อนรับ ชาวต่างชาติ ผลการศึกษาสามารถนาไปใช้เพื่อการสรรหาและคัดเลือก รวมถึงการอบรมและพัฒนาในการ บริหารทรัพยากรมนุษย์ที่เกี่ยวกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะพนักงานต้อนรับบน เครื่องบิน ซึ่งองค์การสายการบินที่มีพนักงานต้อนรับชาวต่างชาติควรให้ความใส่ใจในเรื่องของความฉลาดทาง วัฒนธรรมของพนักงานกลุ่มนี้ คาสาคัญ: ความแตกต่างทางวัฒนธรรม; ความฉลาดทางวัฒนธรรม; การบริหารทรัพยากรมนุษย์; การปรับตัว ข้ามวัฒนธรรม Abstract The research aims to investigate the relationship between cultural intelligence and self-adjustment of an expatriate flight attendants. Data was collected by a convenience
Relationship between Cultural Intelligence and Cross-Cultural
thamarat.jan@kbu.ac.th

sampling method of 349 flight attendants of the two Middle Eastern airlines. Partial Least Square (PLS-SEM) with SmartPLS 3.0 package was used to test the hypothesis. The study reveals that cognitive cultural intelligence cognitive cultural intelligence and motivation for cultural intelligence were significantly related to general self-adjustment, interaction with local people and work adjustment at a significance level of 0.5. However, the results showed that behaviors in cultural intelligence were not significantly correlated with all dimensions of selfadjustment of the expatriates. The results of the study can be implemented for recruiting and selection purposes including training and development of human resource management related to cultural differences of the expatriates, especially for the aviation organizations with international flight attendants should pay attention to the cultural intelligence of this group of employees.

Keywords: Cultural diversity; Cultural intelligence; Human resource management; Self-adjustment

978-616-7754-78-9

158 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN
1. บทนา ประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางอันประกอบด้วยประเทศอิหร่าน อิรัก คูเวต ซาอุดิอาระเบีย บาห์เรน กาตาร์ อาหรับเอมิเรตส์ โอมาน และ เยเมน สร้างทางเลือกการลงทุนในการประกอบธุรกิจอื่นที่นอกเหนือจาก การดาเนินธุรกิจน้ามัน โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกาตาร์ มีการลงทุนมหาศาลกับการ ดาเนินธุรกิจการบิน ซึ่งรวมถึงโครงการการลงทุนเกี่ยวกับสนามบินและการตั้งสายการบินระดับพรีเมี่ยม (Vespermann et al, 2008) สายการบินของประเทศในประเทศตะวันออกกลางซึ่งได้แก่ สายการบินเอ มิเรตส์ (Emirates) สายการบินเอธิฮัด (Etihad Airways) และ สายการบินกาตาร์ (Qatar Airways) เริ่มก่อตั้ง มามากกว่าสิบปีและมีการพัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็ว จากรายงานพบว่าในปี 2013 สายการบินเหล่านี้มีสัดส่วน การผลิตรวมกันมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของกาลังการผลิตรวมที่มีอยู่ของสายการบินในตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกาเหนือ และแอฟริกา (Al-Sayeh, 2014) รายงานการเติบโตระหว่างปี 2007-2018 จากจานวน ผู้โดยสารและปริมาณของเครื่องบินของทั้งสามสายการบิน การขยายตัวของสายการบินในประเทศในภูมิภาค ตะวันออกกลางเหล่านี้ส่งผลต่อการจ้างงานพนักงานจานวนมากในประเทศต่าง ๆ ทั้งในประเทศในแถบนี้ รวม ถีงประเทศในเอเชีย ยุโรป เป็นต้น แรงงานต่างชาติ (Expatriates) หมายถึง บุคลากรที่ต้องไปทางานในสาขาในต่างประเทศ พนักงานชาว พื้นเมืองที่บริษัทรับเข้ามาร่วมงานในสาชาที่เปิดในต่างประเทศ หรือ บุคลากรชาติต่าง ๆ ที่ได้รับการว่าจ้างเข้า มาร่วมงานในบริษัท รวมถึง พนักงานต่างชาติที่ทางานที่บริษัท ที่ไม่ได้อยู่ในประเทศของตน (Aycan & Kanungo, 1997; McNulty & Brewster, 2017) โดยใช้คาเรียกว่าสั้น ๆ ว่า Expat ซึ่งบริษัทที่มีแรงงาน ต่างชาติ (Expat) ทางานอยู่ จาเป็นต้องให้ความสาคัญกับการบริหารจัดการกับแรงงานต่างชาติ (Expat) เหล่านั้น อันเป็นประเด็นสาคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ (Evan et al, 2006) ในยุค
159 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 โลกาภิวัฒน์ที่มีการเปลี่ยนแปลงการดาเนินธุรกิจเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่มีความ หลากหลาย ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับสายการบินเอมิเรตส์ สายการบินเอธิฮัด และสายการบินกาตาร์ ที่มีการ จ้างงานแรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจากประเทศต่าง ๆ ทั้งจากประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี จีน เวียดนาม ไต้หวัน ไทย อินเดีย ศรีลังกา เป็นต้น และประเทศจากทวีปอื่น เช่น ยุโรป โดยพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินเหล่านี้ต้องพานักในที่พักในเมืองที่สายการบินนั้นมีสานักงาน ใหญ่ตั้งอยู่โดยสายการบินเป็นผู้จัดหาที่พักและบริหารจัดการให้กับพนักงาน อันได้แก่ ดูไบ (สายการบิน เอมิเรตส์) อาบูดาบี (สายการบินเอธิฮัด) และ โดฮา (สายการบินกาตาร์) พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเหล่านั้น ก็คือ แรงงานต่างชาติ (Expatriates) ในรูปแบบหนึ่ง Wang & Varma (2019) รายงานว่า มีประเด็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการแรงงานต่างขาติในองค์การ โดยเฉพาะความแตกต่างทางวัฒนธรรม แรงงานต่างชาติเผชิญกับความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมระหว่าง ประเทศที่ตนทางานกับประเทศกาเนิดของตน ก่อให้เกิดปัญหาด้านการปรับตัวเพื่อการดารงชีพในต่างแดน อัน ส่งผลต่อการปรับตัวกับภาระงาน Sri Ramalu & Subramaniam (2019) พบว่า ความฉลาดทางวัฒนธรรม (Cultural intelligence) ของแรงงานต่างชาติส่งผลบวกต่อภาวะทางจิตวิทยาของพนักงานในการดารงชีพ ภายใต้ความแตกต่างของสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมในต่างแดน ซึ่งส่งผลต่อการปรับตัวและผลการปฏิบัติงาน ในทางตรงข้าม หากว่าพนักงานไม่สามารถปรับตัวกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้ จะเกิดความคิดที่จะ ลาออก หรือ ลาออกจากงาน ซึ่งส่งผลต่อการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในองค์การของบริษัททั้งในด้าน การสรรหา คัดเลือก การฝึกอบรม และต้นทุนในการบริหารจัดการ ดังนั้นการศึกษาเรื่องความฉลาดทาง วัฒนธรรมซึ่งส่งผลต่อการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม จะเพิ่มองค์ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการศึกษาของความ แตกต่างทางวัฒนธรรมกับการปรับตัว 1.1 .วัตถุประสงค์ของการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทั้งสี่ด้านของความฉลาด ทางวัฒนธรรมกับองค์ประกอบทั้งสามด้านของความสามารถในการปรับตัวของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ชาวต่างชาติ 1.2 .แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้และการปรับตัวข้ามวัฒนธรรมความฉลาดทางวัฒนธรรม (Cultural Intelligence - CQ) ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Bandura, 1971) อธิบายว่า ความฉลาดทางวัฒนธรรม (Cultural intelligence) คือความสามารถของแต่ละบุคคลที่จะบริหารจัดการกับลักษณะบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่าง (Ang et al, 2007; Ott & Michailova, 2018) โดยความฉลาดทางวัฒนธรรมจะมุ่งไปที่ความสามารถที่บุคคล นั้นให้เหตุผลและกาหนดพฤติกรรมของตนให้เหมาะสมกับลักษณะทางวัฒนธรรมที่แตกต่างอย่างมี ประสิทธิภาพ แนวความคิดเรื่องความฉลาดทางวัฒนธรรมถูกนาเสนอโดย 2 กลุ่มความคิดคือ (1) Earley & Ang (2003) เสนอ ความฉลาดทางวัฒนธรรมประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ (ก) อภิปัญญาด้านความ

Black & Stephens (1989) แนวคิดของ Diener et al (1985) และ แนวคิดของ Fischer & Lueck (1972) ซึ่ง Genkova & Kaune (2018) ได้สรุปแนวคิดการปรับตัวข้ามวัฒนธรรมออกเป็นสองแนวคิดคือ (1) การปรับตัวด้านกายภาพ

160 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 แตกต่างทางวัฒนธรรม (Metacognitive) (ข) ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมนั้น (Cognitive) (ค) พฤติกรรมของ บุคคลนั้นต่อวัฒนธรรมใหม่ (Behavioral) และ (ง) แรงจูงใจที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อบุคคลในวัฒนธรรมที่ แตกต่าง (Motivational) (2) Thomas et al (2008) เสนอ ความฉลาดทางวัฒนธรรมประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ (ก) ความรู้ในวัฒนธรรมนั้น (Cultural knowledge) (ข) กระบวนการทางความคิดเพื่อบรรลุ วัตถุประสงค์ของตนในบริบทของวัฒนธรรมใหม่ (Cultural metacognitive) และ (ค) ทักษะ ความสามารถ และพฤติกรรมที่จะแสดงออกอย่างเหมาะสมในบริบทวัฒนธรรมใหม่ (Cross-cultural skills) มีงานวิจัยสนับสนุนว่าความฉลาดทางวัฒนธรรมส่งผลต่อผลงานของพนักงาน (Schlaegel
2021) นอกเหนือจากนั้นยังส่งผลต่อการปรับตัวข้ามวัฒนธรรมและความตั้งใจในการลาออกของพนักงาน (Akhal & Liu, 2019) ส่งผลต่อความสาเร็จในหน้าที่การงานของพนักงานชาวต่างชาติ (Camargo et al, 2020) แสดงให้เห็นว่าความฉลาดทางวัฒนธรรมของพนักงานนั้นมีผลทั้งในระดับองค์การและในระดับบุคคล อย่างไรก็ตามยังมีข้อจากัดในการศึกษาเรื่องความฉลาดทางวัฒนธรรมในบริบทขององค์การการบินซี่งเป็น วัตถุประสงค์ของการศึกษาในครั้งนี้ 1.3 .การปรับตัวข้ามวัฒนธรรม (Cross-Cultural Self-Adjustment) พื้นฐานแนวคิดเกี่ยวกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรมถูกพัฒนาจากแนวคิดของ
เป็นการนาแนวคิดของ Black
มาประยุกต์ การปรับตัวด้านภายภาพ แบ่งออกเป็นสาม ลักษณะ คือ (ก) การปรับตัวด้านความเป็นอยู่ทั่ว ๆ ไป (ข) การปรับตัวด้านการปฏิสัมพันธ์ และ (ค) การ ปรับตัวด้านการทางาน และ (2) การปรับตัวด้านจิตใจ เป็นการนาแนวคิดของ Diener et al
และ แนวคิดของ Fischer & Lueck (1972) มาประยุกต์รวมกัน โดยแนวความคิดนี้นาเสนอว่า การปรับตัวด้าน จิตใจประกอบด้วย (ก) การปรับตัวเพื่อสร้างความพึงพอใจในการใช้ชีวิต และ (ข) การปรับตัวเพื่อสร้างความ พึงพอใจในการทางาน การศึกษาของ Change et al (2013) Folke et al (2010) เสนอแนวความคิดที่ สอดคล้องกัน และให้ความหมายว่า การปรับตัวข้ามวัฒนธรรม คือ ความสามารถส่วนบุคคลที่จะปรับตัวตาม สถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างไปจากค่านิยมและความเชื่อของตนได้เมื่ออยู่ในบริบทที่แตกต่างกัน ทา ให้สามารถที่จะดาเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถปรับพฤติกรรมของตนให้เหมาะสมสอดคล้อง กับรูปแบบของวัฒนธรรมใหม่ได้ จากงานวิจัยพบว่า ความฉลาดทางวัฒนธรรมส่งผลต่อการปรับตัวข้ามวัฒนธรรมของบุคคล (e.g., Ang et al., 2007; Lee & Sukoco, 2010; MacNab, 2012; Huff, 2013; Bucker et al, 2014) ความฉลาด ทางวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์ในทางบวกต่อการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังช่วยในการสร้าง บรรยากาศที่ดีในสถานที่ทางานด้วย จากการศึกษาของกลุ่มตัวอย่างของผู้จัดการชาวจีนที่ทางานในองค์การ ต่างประเทศ พบว่าความฉลาดทางวัฒนธรรมของกลุ่มตัวอย่างช่วยลดความเครียดและเสริมประสิทธิภาพใน การสื่อสาร และส่งความสัมพันธ์ในทางบวกต่อความพึงพอใจในงานด้วย (Bucker et al., 2014). ซึ่งหากว่า
et al,
& Stephens (1989)
(1985)
161 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 บุคคลนั้นสามารถเข้าใจและมีความรู้ในความแตกต่างทางวัฒนธรรม รวมถึงความแตกต่างทางภาษาอันเป็น ส่วนหนึ่งของความแตกต่างทางวัฒนธรรมแล้ว จะทาให้บุคคลนั้นประสบความสาเร็จในการใช้ชีวิตในองค์การที่ มีความแตกต่างจากวัฒนธรรมเดิมของตน (Huff, 2013) จากหลักฐานงานวิจัยที่มีการศึกษามายังขาดหลักฐาน ที่สนับสนุนให้เห็นว่าในแต่ละองค์ประกอบของความฉลาดทางวัฒนธรรมมี ความสัมพันธ์อย่างไรกับ องค์ประกอบทั้งสามด้านของความสามารถในการปรับตัวของพนักงานข้ามชาติ (Expat) ดังนั้นวัตถุประสงค์ และสมมุติฐานงานวิจัยนี้มีดังต่อไปนี้ 1.4 .สมมติฐานงานวิจัย สมมติฐานที่ 1: อภิปัญญาด้านความแตกต่างทางวัฒนธรรมส่งผลต่อการปรับตัวโดยทั่วไป การมี ปฏิสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น และ การปรับตัวในที่ทางานของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติ สมมติฐานที่ 2: ความรู้ด้านความแตกต่างทางวัฒนธรรมส่งผลต่อการปรับตัวโดยทั่วไป การมี ปฏิสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น และ การปรับตัวในที่ทางานของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติ สมมติฐานที่ 3: แรงจูงใจที่จะเรียนรู้ความแตกต่างทางวัฒนธรรมส่งผลต่อการปรับตัวโดยทั่วไป การมี ปฏิสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น และ การปรับตัวในที่ทางานของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติ สมมติฐานที่ 4 การแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมที่แตกต่างส่งผลต่อการปรับตัวโดยทั่วไป การมีปฏิสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น และ การปรับตัวในที่ทางานของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติ 2. วิธีดาเนินการวิจัย 2.1 .กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหลากหลายเชื้อชาติ ที่ทางานกับ สายการบินที่ประจาในประเทศในเอเชียตะวันออกกลาง ผู้วิจัยทาการเก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างแบบ ง่าย จากสองสายการบินในประเทศในทวีปเอเชียตะวันออกกลาง ซึ่ง Hair Jr et al (2019) แนะนาว่าจานวน กลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมสาหรับการวิเคราะห์ด้วยสถิติอนุมานวิเคราะห์สมการโครงสร้างด้วยวิธีกาลังสองน้อย ที่สุดบางส่วน (Partial Least Squares: PLS) อยู่ระหว่าง 150 – 500 2.2 .เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ความฉลาดทางวัฒนธรรม ใช้แบบวัด CQS (Cultural Intelligence Scale) ที่พัฒนาจาก Ang et al (2007) ประกอบด้วยสี่องค์ประกอบได้แก่ อภิปัญญาด้านความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความรู้ด้านความ แตกต่างทางวัฒนธรรม แรงจูงใจที่จะเรียนรู้ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม กับวัฒนธรรมที่แตกต่างโดยมีข้อคาถามทั้งหมด 20 ข้อ การปรับตัวข้ามวัฒนธรรม ใช้แบบวัด EAS (Expatriate Adjustment Scale) ที่พัฒนาจาก Black & Stephens (1989) ประกอบด้วยสามองค์ประกอบได้แก่ การปรับตัวโดยทั่วไป การมีปฎิสัมพันธ์กับคนใน ท้องถิ่น และ การปรับตัวในที่ทางาน โดยมีข้อคาถามทั้งหมด 14 ข้อ รายละเอียดของข้อคาถามและคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยนาเสนอในตารางที่ 2
162 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 2.3 .การวิเคราะห์ข้อมูล งานวิจัยนี้ใช้กลุ่มประชากรที่เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติในสายการบินที่มีลักษณะ ดังนี้ (ก) เป็นสายการบินที่ให้บริการในระดับนานาชาติ (ข) เป็นสายการบินที่ว่าจ้างพนักงานต้อนรับบน เครื่องบินชาวต่างชาติเท่านั้น(ค) เป็นสายการบินที่มีฐานปฏิบัติการบินอยู่ในประเทศตะวันออกกลาง โดยใช้ การสุ่มตัวอย่างแบบตามสะดวก (Convenience sampling) การเก็บข้อมูลระหว่างเดือน มีนาคม 2019มิถุนายน 2019 โดยผู้วิจัยส่งแบบสอบถามจานวน 500 ตัวอย่าง โดยใช้การใช้แบบสอบถามทั้งในรูปแบบแจก รายบุคคลโดยผ่านตัวแทนของแต่ละสายการบินในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในองค์การจากการเก็บรวบรวม แบบสอบถามพบว่ามีแบบสอบถามตอบกลับจานวน 360 ชุด เมื่อตรวจสอบคุณภาพการตอบแบบสอบถามทา ให้มีแบบสอบถาม 349 ชุด ที่สามารถใช้เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลได้ โดยมีลักษณะทางประชากรศาสตร์ของ กลุ่มตัวอย่าง ดังแสดงในตารางที่ 1 ตารางที่ 1: แสดงข้อมูลทางประชากรศาสตร์ของกลุ่มประชากรที่ศึกษา กลุ่ม ความถี่ ร้อยละ เพศ ชาย
หญิง
อายุ 22
ประสบการณ์ในการทางาน <
>
สาหรับการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติอนุมานวิเคราะห์สมการโครงสร้างด้วยวิธีกาลังสองน้อยที่สุด บางส่วน (Partial Least Squares: PLS) เป็นวิธีเชิงสถิติที่ใช้สาหรับการวิเคราะห์หลายตัวแปรเพื่อสร้างตัว แบบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มของ ตัวแปรทานาย (predictor variable) โดยอาศัยตัวแปรแฝง (Latent Variable) ด้วยโปรแกรม SmartPLS 3.0 (Trail Version) โดยจากการวิเคราะห์ค่าน้าหนักของข้อคาถามแต่ ละข้อพบว่าค่าน้าหนักขององค์ประกอบ (Loading) อยู่ในเกณฑ์ (ดังแสดงในตารางที่ 2) สาหรับการตรวจสอบ
7 2
342 98
-27 151 43.3 > 27-33 141 40 3 > 33-39 47 13 5 > 39-45 9 2 6 > 45 1 3
1 67 19 2
1-5 195 55 9 > 5-10 63 18 > 10-15 17 4 9 > 15 7 2

1. I am conscious of the cultural knowledge I use when interacting with local people. 0.83 1.97 0.83 0.65

2. I adjust my cultural knowledge as I interact with local people that is unfamiliar to me. 0.82 1.82

3. I am conscious of the cultural knowledge I apply to cross-cultural interactions 0.76 1.69

4. I check the accuracy of my cultural knowledge as I interact with local people. 0.82 1.75

Cognitive CQ (ความรู้ทางวัฒนธรรม)

5. I know the legal and economic systems of local cultures. 0.72 1.55 0.86 0.59

6. I know the rules (e.g., vocabulary, grammar) of local languages. 0.74 1.59

7. I know the cultural values and religious beliefs of local cultures 0.80 1.99

8. I know the marriage systems of local cultures. 0.78 2.08

9. I know the arts and crafts of local cultures. 0.81 2.19

10. I know the rules for expressing non-verbal behaviors in local cultures. 0.75 1.67

Motivational CQ (แรงจูงใจที่จะเรียนรู้ทางวัฒนธรรม)

11. I enjoy interacting with people from different cultures. 0.76 1.77 0.84 0.61

163 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 คุณภาพเครื่องมือเชิงปริมาณด้วยความเที่ยงตรงเชิงเหมือน (Convergent Validity) โดยตัวชี้วัดทุกตัวมีค่า น้าหนัก (Loading) ระหว่าง 0.71 – 0.92 และมีนัยสาคัญทางสถิติระดับ 0.05 สาหรับความน่าเชื่อถือของแบบ วัดนั้น Dijkstra & Henseler (2015a) แนะนาว่าการแสดงค่าความน่าเชื่อถือแบบ
มีความถูกต้องกว่าการแสดงด้วยค่า CR
โดยค่า rho_A ควรต้องสูงกว่า 0.70 โดยผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลของงานวิจัยนี้แสดงด้วยค่า rho_A
อยู่ระหว่าง 0.83 – 0.91 และมีค่าความผันแปร (Average
ระหว่าง 0.53 – 0.65 แสดงให้เห็นว่า ตัวชี้วัดแต่ละตัวสามารถชี้วัดตัว แปรแฝงในแต่ละตัวของตนได้ดี มีความเที่ยงตรงสูง นอกจากนี้ค่าสภาวะร่วมเส้นตรงคือ Variance Inflation Factor (VIF) มีค่าเท่ากับหรือต่ากว่า 5 แสดงให้เห็นว่าตัวชี้วัดเหล่านี้ไม่มีความสัมพันธ์กันเอง (Hair Jr. et al, 2019) ตารางที่ 2: แสดงผลการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ข้อความ Loadings VIF rho_A AVE Metacognitive
อภิปัญญาทางวัฒนธรรม)
Dijkstra-Henseler’s rho (rho_A)
(Composite reliability) หรือ CA (Cronbach’s alpha)
(the Dijkstra-Henseler’s rho) (Dijkstra & Henseler, 2015a)
Variance Extract, AVE)
CQ (

I am confident that I can socialize with locals in a culture that is unfamiliar to me. 0.82 2.11

13. I am sure I can deal with the stresses of adjusting to a culture that is new to me. 0.81 1.96

14. I enjoy living in cultures that are unfamiliar to me. 0.75 1.67

15. I am confident that I can get accustomed to the shopping conditions in a different culture 0.77 1.70 Behavioral CQ (การแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมกับ วัฒนธรรมที่แตกต่าง)

16. I change my verbal behavior (e.g., accent, tone) when a cross-cultural interaction requires it. 0.79 1.82 0.87 0.66

17. I use pause and silence differently to suit different cross-cultural situations. 0.82 2.17

18. I vary the rate of my speaking when a cross-cultural situation requires it. 0.84 2.51 19. I change my non-verbal behavior when a cross-cultural situation requires it. 0.87 2.81 20. I alter my facial expressions when a cross-cultural interaction requires it 0.72 1.66 Cross-cultural Self-Adjustment (การปรับตัวข้ามวัฒนธรรม) How adjusted or unadjusted you are to the following conditions? General Adjustment

2.39 0.86 0.53

0.66 1.49

Socializing with local people 0.88 2.66 0.91 0.78

Interacting with local people on a day-to-day basis 0.90 3.11

164 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN
ข้อความ
AVE
978-616-7754-78-9
Loadings VIF rho_A
12.
22.
23. Food
24. Shopping
25. Cost
26. Entertainment/recreation
27. Health
28.
29.
21. Living conditions in general 0.81
Housing conditions 0.77 2.25
0.73 1.74
of living 0.71 1.69
facilities and opportunities 0.75 1.87
care facilities 0.61 1.36 Interaction with local people
30. Interacting with local people outside of work 0.88 2.77

ความรู้ด้านความแตกต่างทางวัฒนธรรมมีอิทธิพลอย่างมีนัยสาคัญกับการมีปฏิสัมพันธ์กับคนท้

H1a metacognitive -> general 0.232 0.064 0.235 3.533 0.000 ยอมรับ

H1b metacognitive -> interaction 0.095 0.058 0.096 1.525 0.100 ปฏิเสธ H1c metacognitive ->

0.223 0.058 0.223 3.581 0.000 ยอมรับ

H2a cognitive -> general 0.152 0.055 0.147 2.639 0.008 ยอมรับ

H2b cognitive -> interaction 0.247 0.058 0.246 4.317 0.000 ยอมรับ

H2c cognitive -> workadjustment 0.063 0.057 0.063 1.051 0.272 ปฏิเสธ

H3a motivation -> general 0.209 0.064 0.213 3.358 0.001 ยอมรับ

H3b motivation -> interaction 0.172 0.061 0.177 2.901 0.004 ยอมรับ

165 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ข้อความ Loadings VIF rho_A AVE 31. Speaking with local people 0.87 2.36 Work Adjustment 32. Specific job responsibilities 0.89 2.47 0.85 0.76 33. Performance standards and expectations 0.92 2.90 34. Supervisory responsibilities. 0.79 1.62 3. ผลการศึกษา 3.1 .การทดสอบสมมติฐาน ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า สมมติฐานที่ 1a อภิปัญญาด้านความแตกต่างทางวัฒนธรรม มี อิทธิพลอย่างมีนัยสาคัญต่อการปฏิบัติตัวทั่วไปของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติ สมมติฐานที่ 1b อภิปัญญาด้านความแตกต่างทางวัฒนธรรมไม่มีอิทธิพลต่อการมีปฏิสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น สมมติฐานที่ 1c อภิปัญญาด้านความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมมีอิทธิพลอย่างมีนัยสาคัญต่อการปรับตัวในที่ทางาน สมมติฐาน ที่
องถิ่น สมมติฐานที่ 2c ความรู้ด้านความแตกต่างทางวัฒนธรรมไม่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมกับ วัฒนธรรมที่แตกต่าง สมมติฐาน 3a แรงจูงใจในการเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างมีอิทธิพลอย่างมีนัยสาคัญกับ การปฏิบัติตัวทั่วไป สมมติฐานที่ 3b แรงจูงใจในการเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างมีอิทธิพลต่อการมีปฏิสัมพันธ์ กับคนท้องถิ่น สมมติฐานที่ 3c แรงจูงใจในการเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างมีอิทธิพลต่อการปรับตัวในที่ทางาน สมมติฐานที่ 4a พฤติกรรมในการปรับเปลี่ยนข้ามวัฒนธรรมไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อการปฏิบัติตัวทั่วไป ต่อการมี ปฏิสัมพันธ์และ ต่อการปรับตัวในที่ทางานของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติ ดังนั้นจึงยอมรับใน สมมติฐาน 1a 1c 2a 2b 3a 3b และ 3c ดังสรุปในตารางที่ 3 และในภาพที่ 1 ตารางที่ 3: สรุปผลทดสอบสมมติฐาน สมมติฐาน Path Mean STDEV β T-Statistics P- Values ผลการ ทดสอบ
2a ความรู้ด้านความแตกต่างทางวัฒนธรรมมีอิทธิพลอย่างมีนัยสาคัญกับการปฏิบัติตัวทั่วไป สมมติฐานที่ 2b
workadjustment

H3c

H4a behaviors -> general 0.081 0.057 0.076 1.274 0.186 ปฏิเสธ

H4b behaviors -> interaction 0.076 0.055 0.073 1.313 0.182 ปฏิเสธ

H4c behaviors -> workadjustment 0.038 0.060 0.039 0.651 0.515 ปฏิเสธ

166 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 สมมติฐาน Path Mean STDEV β T-Statistics P- Values ผลการ ทดสอบ
ยอมรับ
motivation -> workadjustment 0.278 0.061 0.275 4.240 0.000
ภาพที่ 1: โมเดลสมการโครงสร้างกาลังสองน้อยที่สุดบางส่วนแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาด ทางวัฒนธรรมและการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม
167 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 4. สรุปผลและอภิปรายผล ผลการวิจัยสนับสนุนแนวความคิดเรื่องความฉลาดทางวัฒนธรรมมีผลต่อการปรับตัวของพนักงาน ชาวต่างชาติที่ทางานในประเทศที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมจากประเทศของตน (Kour &
Stoermer
) อย่างไรก็ตามในแต่ละองค์ประกอบของความฉลาดทางวัฒนธรรมมีอิทธิพลที่ แตกต่างกันออกไปกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม ซึ่งผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าแรงจูงใจในการปรับตัวข้าม วัฒนธรรมมีผลต่อการปรับตัวในทุกด้านอย่างมีนัยสาคัญของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติที่ ทางานในประเทศตะวันออกกลาง โดยแรงจูงในการปรับตัวข้ามวัฒนธรรมสามารถอธิบายการปรับตัวทั่วไปได้ ร้อยละ 21.3 (β = 0.213; p < 0.05) สามารถอธิบายการสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนท้องถิ่นได้ร้อยละ 17.7 (β = 0.177; p < 0.05) และสามารถอธิบายการปรับตัวในการใช้ชีวิตในที่ทางาน (องค์การ) ได้ร้อยละ 27.5 (β = 0.275; p < 0.05) แสดงให้เห็นว่าแรงจูงใจของพนักงานเป็นปัจจัยสาคัญของพนักงานต้อนรับชาวต่างชาติ ซี่ง แรงจูงใจเป็นพลังผลักดันให้พนักงานเหล่านั้นสามารถปรับตัวและใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่มีความแตกต่างทั้ง วัฒนธรรมและกายภาพจากประเทศบ้านเกิดของตน ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าอภิปัญญาด้านวัฒนธรรม ความรู้ด้านวัฒนธรรม และแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ด้านความแตกต่างทางวัฒนธรรมมีอานาจในการทานายการ ปรับตัวโดยการปรับตัวทั่วไปร้อยละ
ข้ามผลจากงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติไม่ได้เห็นความสาคัญของการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้เหมาะสมกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมในท้องที่ที่ตนเองพานักอยู่เนื่องจาก พฤติกรรมในการปรับตัวให้เข้ากับความแตกต่างทางวัฒนธรรมไม่มีอิทธิพลต่อการปรับตัวในทุกองค์ประกอบ อย่างมีนัยสาคัญ ทั้งนี้อาจจะเนื่องจากลักษณะเฉพาะของอาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่มีเวลาพักที่ฐาน พักน้อยกว่าใช้เวลาในสถานีต่างประเทศ ความฉลาดทางวัฒนธรรมส่งผลต่อการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากประเทศต้นกาเนิด ของพนักงานชาวต่างชาติ ซึ่งการปรับตัวให้เข้าวัฒนธรรมที่แตกต่างช่วยทาให้มีคุณภาพชีวิตที่ส่งผลต่อคุณภาพ ต่อการทางานของพนักงาน องค์การการบินที่มีพนักงานหลากหลายเชื้อชาติควรต้องให้ความสนใจในเรื่องของ การปรับตัว ดังนั้นหากองค์การสามารถสรรหาและคัดเลือกพนักงานที่มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของความ แตกต่างทางวัฒนธรรมจะทาให้พนักงานต่างชาติสามารถปรับตัวเข้ากับความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้ดี 4.1 .องค์ความรู้ใหม่ จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า การแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมที่แตกต่างไม่ มีอิทธิพลอย่างมีนัยสาคัญกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรมทั้งสามองค์ประกอบได้แก่การปรับตัวทั่วไป การมี ปฏิสัมพันธ์และการใช้ชีวิตในที่ทางาน ผลของการศึกษาในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ชาวต่างชาติที่ทางานในประเทศในเอเชียตะวันออกกลางไม่ได้ให้ความสาคัญกับการแสดงพฤติกรรมที่ เหมาะสมกับวัฒนธรรมที่แตกต่างในด้านการปรับตัวทั่วไป ในด้านการมีปฏิสัมพันธ์ และในด้านการใช้ชีวิตในที่ ทางาน
Jyoti, 2021;
et al, 2020
28.1 (R2 = 0.281; p < 0.05) การมีปฏิสัมพันธ์กับคนท้องถิ่นร้อยละ 21.4 (R2 = 0.214; p < 0.05) และ การใช้ชีวิตในที่ทางานร้อยละ 24.5 (R2 = 0.245; p < 0.05) ในทางตรง

5. References

Ang, S., Dyne, L. V., Koh, C., Ng, K. Y., Templer, K. J., Tay, C., & Chandrasekar, N. A. (2007). Cultural intelligence: Its measurement and effects of cultural judgement and decision making, cultural adaptation and task performance. Management and Organization Review, 3(3), 335-371. doi: .1111/j.1740-8784.2007.00082.x

Aycan Z, Kanungo RN. (1997). Current issues and future challenges in expatriate management. In Saunders DM, Aycan Z (Eds.), New approaches to employee management vol. 4, pp. 245-260). Greenwich, CT: JAI Press

Black, J. S. & Stephens, G. K. (1989). The Influence of the Spouse on American Expatriate Adjustment and Intent to Stay in Pacific Rim Overseas Assignments. Journal of Management, 15(4), 529-544.

Bucker, J. J. L. E., Furrer, O., Poutsma, E., & Buyens, D. (2014). The impact of cultural intelligence on communication effectiveness, job satisfaction and anxiety for Chinese host country managers working for foreign multinationals. The International Journal of Human Resource Management, 25(14), 2068-2087. doi: 10.1080/09585192.2013.870293

168 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 4.2 .ข้อเสนอแนะ 1) ข้อเสนอแนะเพื่อการนาไปใช้ประโยชน์ หน่วยงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์การสายการบินที่มีการจ้างงานพนักงานต้อนรับบน เครื่องบินชาวต่างชาติสามารถนาแนวทางในการวิจัยหรือผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยนี้ไปวิเคราะห์การบริหาร จัดการแรงงานต่างชาติองค์การของตน ทั้งนี้อาจจะนาผลการวิจัยนี้ไปเชื่อมโยงกับอัตราการลาออก (Turnover Rate) หรือ แนวโน้มในการลาออก (Turnover Intention) ของพนักงานชาวต่างชาติในองค์การของตนเพื่อให้ การศึกษา ความเข้าใจในเรื่องของความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศที่จะส่งผลต่ออัตราการคงอยู่ ของพนักงานในองค์การ และคุณภาพชีวิตในการทางานของพนักงานในต่างประเทศ 2) ข้อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งต่อไป การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของความฉลาดทางวัฒนธรรมในด้านต่าง ๆ ต่อการปรับตัวของชาวต่างชาติ ซึ่งกลุ่มทึ่ศึกษาในครั้งนี้คือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสองสายการบินใน ประเทศเอเชียตะวันออกกลาง ซึ่งในการศึกษาครั้งต่อไปสามารถนาองค์ความรู้ในด้านความฉลาดทาง วัฒนธรรมไปเชื่อมโยงกับความตั้งใจในการลาออกจากงาน (Turnover Intention) ของพนักงานกลุ่มนี้เพื่อ ทดสอบว่าปัจจัยของความฉลาดทางวัฒนธรรมส่งผลต่อความตั้งใจในการลาออกจากงานของพนักงานต้อนรับ บนเครื่องบินชาวต่างชาติที่ทางานในประเทศเอเชียตะวันออกกลางหรือไม่

Camargo, A., Storme, M., & Çelik, P. (2020). Further investigation of the relationship between cultural intelligence and expatriate career intentions. International Journal for Educational and Vocational Guidance, 20, 101–122.

Diener, E., Emmons, R. A., Larsen, R. J. & Griffin, S. (1985). The Satisfaction with life scale. Journal of Personality Assessment, 49(1), 71-75. doi: 10.1207/s15327752jpa4901_13

Dijkstra, T. K., & Henseler, J. (2015a). Consistent and asymptotically normal PLS estimators for linear structural equations. Computational Statistics & Data Analysis, 81, 10-23. Doi: 10.1016/j.csda.2014.07.008

Earley, P. C. , & Ang, S. (2003). Cultural intelligence: Individual interactions across cultures Palo Alto, Calif: Stanford University Press.

Evans, P., Pucik, V., & Barsoux, J. L. (2006). The global challenge: frameworks for international human resource management. New York: McGraw-Hill Irwin.

Fischer, L., and Lück, H. E. (1972). Entwicklung einer skala zur messung von arbeitszufriedenheit [Development of a scale for the measurement of job satisfaction]. Psychol. Praxis 16, 64–76.

Folke, C., Carpenter, S. R., Walker, B., Scheffer, M., Chapin, T., & Rockström, J. (2010). Resilience thinking: Integrating resilience, adaptability and transformability. Ecology and Society, 15(4), 1-9. Retrieved from www.ecologyandsociety.org /vol15/iss4/art20/ Genkova, P., & Kaune, K. (2018). Success as an Expatriate: A Question of Personality. Journal of Cultural Diversity, 25(4), 132-135. Retrieved from https://www.questia.com/library/ journal/1P4-2190960139

Hair Jr. J. F., Black, W. C., Babin, B. J., & Anderson, R. E. (2019). Multivariate data analysis (8th ed.). UK: Cengage

Huff, K. C. (2013). Language, cultural intelligence and expatriate success. Management Research Review, 36(6), 596-612. doi: 10.1108/01409171311325750

Kour, S., & Jyoti, J. (2021). Cross-cultural training and adjustment through the lens of cultural intelligence and type of expatriates. Employee Relations: The International Journal, 44(1), 1-36. Doi: 10.1108/ER-07-2020-0355

Lee, L., & Sukoco, B. M. (2010). The effects of cultural intelligence on expatriate performance: The moderating effects of international experience. The International Journal of Human Resource Management, 21(7), 963-981. doi: 10.1080/09585191003783397

MacNab, B. R. (2012). An experimential approach to cultural intelligence education. Journal of Management Education, 36(1), 66-94. doi: 10.1177/1052562911412587

978-616-7754-78-9

169 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN

McNulty, Y., & Brewster, C. (2017). Theorizing the meaning(s) of ‘expatriate’: Establishing boundary conditions for business expatriates. The International Journal of Human Resource Management, 28(1), 27-61. doi: 10.1080/09585192.2016.1243567

Ott, D. L., Michailova, S. (2018). Cultural intelligence: A review and new research avenues. International Journal of Management Reviews, 20(1), 99-119. doi: 10.1111/ijmr.12118 Relations, 37(2), 268-273.

Schlaegel, C., Richter, N. F., & Taras, V. (2021). Cultural intelligence and work-related outcomes: A meta-analytic examination of join effects and incremental predictive validity. Journal of World Business, 56, 101209. Doi: 10.1016/j.jwb.2021.101209

Sri Ramalu, S., & Subramaniam, C. (2019). Cultural intelligence and work engagement of expatriate academics: The role of psychological needs satisfaction. International Journal of Cross Cultural Management, 19(1), 7-26. doi: 10.1177/1470595819827992

Stoermer, S., Davies, S., & Froese, F. J. (2020). The influence of expatriate cultural intelligence on organizational embeddedness and knowledge sharing: The moderating effects of host country context. Journal of International Business Studies, 52, 432-453. Doi: 10.1057/s41267-020-00349-3

Vespermann, J., Wald, A., & Cleich, R. (2008). Aviation growth in the middle east – impact on incumbent players and potential strategic. Journal of Transport Geography, 16(6), 388394. Doi: 10.1016/j.jtrangeo.2008.04.009

Wang, C., & Varma, A. (2019). Cultural distance and expatriate failure rates: The moderating role of expatriate management practices. The International Journal of Human Resource Management, 30(5), 2211-2230. doi: 10.1080/09585192.2017.1315443

978-616-7754-78-9

170 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางวัฒนธรรมกับการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม กรณีศึกษา: พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวต่างชาติของสายการบินในตะวันออกกลาง การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN

Abstract

This quantitative research aimed 1) to explore personal data, service quality of lowcost airlines and purchasing decision of Thai Generation Y passengers and 2) to find the relationship between service quality of low-cost airlines and purchasing decision of Thai Generation Y passengers. The research was an online survey with non - probability sampling. Data were statistically analyzed with statistic program to find means (��), standard deviation (S.D.), and Pearson’s Correlation. Results found that Thai generation Y passengers consider the

171 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์เรชั่น Y การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการ ของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์เรชั่น Y The Effect of Service Quality of Low-cost Airlines on Purchase Decision by Thai Generation Y Passengers นิศา นุ่มวงษ์, ชญานี พูลศิริ, พนิดา นิจสุข, มนัสนันท์ ก้อนคาตัน, มนัสวรรณ โพธิศิริ และ สุมัยญา นะมิ Nisa Numwong, Chayanee Poolsiri, Panida Nijsuk, Manassanan Kornkumton,
and
Nami สถาบันพัฒนาบุคลากรการบิน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต Aviation Personnel Development Institute, Kasem Budit University, Thailand E-mail: nisa.num@kbu.ac.th บทคัดย่อ งานวิจัยเชิงปริมาณนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อสารวจข้อมูลส่วนบุคคล คุณภาพการให้บริการของ สายการบินต้นทุนต่า และการตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทยเจนเนอร์เรชั่น Y 2) เพื่อหาความสัมพันธ์ คุณภาพการให้บริการกับการตัดสินใจใช้บริการสายการบินต้นทุนต่าของผู้โดยสารชาวไทยเจนเนอเรชั่น Y โดย การเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามแบบออนไลน์วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Non Probability Sampling) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ เพื่อหาค่าเฉลี่ย (��) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ Pearson’s Correlation ในการหาความสัมพันธ์ ผลการวิจัย พบว่า ผู้โดยสารเจนเนอร์เรชั่นวาย ให้ความสาคัญกับคุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนในภาพรวมอยู่ในระดับมากโดยมีค่าเฉลี่ยเป็น 3.69 ส่วนการตัดสินใจใช้บริการสายการบินต้นทุนต่าของผู้โดยสารเจเนอเรชั่น Y พบว่าภาพรวมอยู่ในระดับมากโดย มีค่าเฉลี่ยเป็น 4.01 และคุณภาพการให้บริการมีความสัมพันธ์กับการเลือกใช้สายการบินต้นทุนต่าของชาวไทย เจเนอเรชั่น Y มีความสัมพันธ์กันโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง คาสาคัญ: คุณภาพการให้บริการ; สายการบินต้นทุนต่า; การตัดสินใจใช้บริการ; ชาวไทยเจนเนอเรชั่น Y
Manatsawan Photisiri
Sumaiya

service quality of low-cost airlines at 3.69 (high level). The purchase decision of Thai generation Y passengers on low-cost airlines were at 4.01. And the Service Quality of Low-Cost Airlines was related to Purchase Decision of Thai Generation Y passenger overall correlation was moderate.

Keywords: Service quality; Low-cost Airlines; Purchase Decision; Thai Generation Y

172 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์เรชั่น Y การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9
1. บทนา รูปแบบของสายการบินต้นทุนต่าจะแตกต่างจากรูปแบบสายการบินอื่น ๆ คือในขณะที่ สายการบินทั่วไป มุ่งเน้นการให้บริการแบบหรูหรา สะดวกสบายแล้วเรียกเก็บค่าโดยสารสูง แต่สายการบินต้นทุนต่าจะมุ่งเน้น การทางานที่มีประสิทธิภาพ ลดการบริการหรือสิ่งอานวยความสะดวกที่ไม่จาเป็นออกไป รวมทั้งเน้นการทาให้ ต้นทุนการให้บริการของสายการบินต่าที่สุดเพื่อให้สามารถกาหนดอัตราค่าโดยสารต่ามาก ๆ ได้จึงเป็นปัจจัย สาคัญที่กระตุ้นให้มีผู้โดยสารเข้ามาใช้ บริการเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้สายการบินต้นทุนต่าไม่เพียงแต่ประสบ ความสาเร็จอย่างมาก และกลุ่มเจนเนอเรชั่นวาย (Generation Y) เป็นกลุ่มคนที่โตมาพร้อมกับ คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี เป็นวัยที่เริ่มก้าวหน้า และมั่นคงในหน้าที่ด้านการงาน มีกาลังทรัพย์ในการบริโภคสินค้าอย่าง เต็มตัว พฤติกรรมการบริโภคของเจนเนอเรชั่น Y ค่อนข้างแตกต่างอย่างชัดเจนจากคนยุคก่อน กลุ่มเจนเนอ เรชั่น Y เป็นผู้บริโภคที่ใจร้อนต้องการเห็นผลสาเร็จอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเชื่อในศักยภาพของตนเอง เหตุผล ในการซื้อสินค้าของคนเจนเนอเรชั่น Y ส่วนใหญ่ใช้เหตุผล ทางอารมณ์ผสมกับเหตุผลเชิงตรรกะที่ตั้งอยู่บน ฐานข้อมูล มีการหาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนจะ ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการแต่ละชิ้น ในฐานะนักท่องเที่ยว กลุ่ม เจนเนอเรชั่น Y มีอัตราการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ และต่างประเทศในระดับสูง มีการวางแผน การ เดินทางอย่างละเอียด รอบครอบ สายการบินควรให้ความสนใจกับกลุ่มเจนเนอเรชั่น Y ด้วยเป็นพิเศษ หลาย สายการบินมีการวางแผนกลยุทธ์ เพื่อรองรับแต่ละเจนเนอเรชั่นที่มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมการบินในอันดับ ต้น ๆ ของปัจจุบัน (Home Buyers Team, 2017) ถึงแม้ว่าสายการบินต้นทุนต่าจะสามารถใช้กลยุทธ์ “ตั๋วราคาถูก” เพื่อแบ่งส่วนแบ่งการตลาดจาก สายการ บินทั่วไปที่ให้บริการแบบเต็มรูปแบบ แต่ในประเทศไทยนั้น มีสายการบินต้นทุนต่า ที่ให้บริการหลายสายการ บิน อีกทั้งสายการบินทั่วไปบางครั้งก็สามารถจัดการส่งเสริมการขายโดยลดราคาค่าตั๋วให้อยู่ในราคาที่ใกล้เคียง กับราคาของสายการบินต้นทุนต่า ขณะที่ยังให้บริการแบบเต็มรูปแบบ ยิ่งปัจจุบัน ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบ ราคาตั๋วได้อย่างง่ายดายผ่านแอพพลิเคชั่นของสมาร์ทโฟน สายการบินต้นทุนต่า จึงอาจต้องกลับมาใช้กลยุทธ์ การตลาดที่เน้นความได้เปรียบด้านคุณภาพการบริการ Parasuraman Zeithaml และ Berry (1988) ได้ ปรับปรุงและพัฒนาการประเมินคุณภาพการ บริการให้ลูกค้าเพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด โดยการสร้าง เครื่องมือ การวัดคุณภาพการบริการโดยมีการจาแนกเป็น 5 ด้าน มีดังนี้ 1) สิ่งที่สัมผัสได้ (Tangibles) งาน บริการต้องสามารถจับต้องและสัมผัสได้ มีความ เป็นรูปธรรม เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัด โดยมีลักษณะ กายภาพที่สามารถแจ้งเห็นได้อย่าง ชัดเจน อย่างเช่น เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ สถานที่ วัสดุ และบุคคลที่ใช้ใน การติดต่อสื่อสารกับ ลูกค้านั้น ช่วยให้กลุ่มลูกค้ามีการรับรู้ถึงพนักงานในการตั้งใจให้บริการอย่างเห็นภาพได้
173 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์เรชั่น Y การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ชัดเจน 2) ความน่าเชื่อถือ (Reliability) การให้บริการต้องตรงตามการสื่อสารที่นาเสนอให้แก่ กลุ่มลูกค้าหรือ ผู้บริโภค งานบริการที่มอบให้แก่กลุ่มลูกค้าในทุกครั้งต้องมีความถูกต้อง มีความ เหมาะสม และ มีความ สม่าเสมอในการให้บริการ และสามารถสร้างความเชื่อถือ เชื่อใจไว้วางใน จากกลุ่มลูกค้าได้ 3) การตอบสนอง (Responsive) พนักงานมีหน้าที่ให้บริการกลุ่มลูกค้าด้วยความเต็มอกเต็มใจ มีความพร้อมที่จะ ช่วยเหลือหรือให้บริการลูกค้าในเวลาที่กาหนด โดยกลุ่มลูกค้าจะได้รับ การบริการได้อย่างรวดเร็ว และมีความ สะดวกสบาย 4) การให้ความมั่นใจ (Assurance) พนักงานที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของความรู้ และ ความสามารถ ทักษะในการทางานต่าง ๆ การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า และความ มีมนุษย์สัมพันธ์ ที่ดี จะสามารถทาให้ลูกค้าเกิดความเชื่อถือ ความพึงพอใจรวมไปถึงสร้าง ความมั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับการ บริการเป็นอย่างดี 5) ความเอาใจใส่ (Empathy) พนักงานที่ให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าแต่ละบุคคลด้วย การ เอาใจใส่และให้ความสนใจ แก่ผู้ที่มาใช้บริการ ผู้วิจัยเห็นความสาคัญของกลุ่มผู้บริโภคเจนเนอเรชั่น Y ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมธุรกิจ สายการบินมากกลุ่มหนึ่ง จึงได้ทาการศึกษาวิจัยเรื่องคุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการ ตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารเจเนอเรชั่น Y เพื่อหาคาตอบว่าคุณภาพการให้บริการด้านใดบ้างที่จะผลต่อ การตัดสินใจใช้บริการของกลุ่มเจนเนอเรชั่น Y 1.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อสารวจข้อมูลส่วนบุคคล คุณภาพการให้บริการของสายการบินต้นทุนต่า และการตัดสินใจใช้บริการ สายการบินต้นทุนต่าของชาวไทยเจนเนอเรชั่น Y 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการให้บริการของสายการบินต้นทุนต่ากับการตัดสินใจใช้ บริการสายการบินต้นทุนต่าของผู้โดยสารชาวไทยเจนเนอเรชั่น Y 1.2 ขอบเขตการวิจัย ขอบเขตด้านประชากร ประชากรที่ศึกษา กลุ่มผู้โดยสารเจเนอเรชั่น Y ชาวไทยที่ใช้บริการสายการบิน ต้นทุนต่าขอบเขตด้านพื้นที่บนออนไลน์ กลุ่มสมาชิกสายการบินต้นทุนต่า เช่น สายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินไทยสมายล์ สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยเวียดเจท และสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ ขอบเขตด้าน เนื้อหาตัวแปรต้น ได้แก่ คุณภาพการให้บริการ 5 ด้าน ประกอบด้วย ความไว้วางใจ ความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ การเข้าบริการ และการเข้าใจลูกค้า แปรตามการตัดสินใจใช้บริการสายการบินต้นทุนต่าของผู้โดยสาร เจเนอเรชั่น Y ขอบเขตด้านระยะเวลา เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 - เดือนมกราคม พ.ศ. 2565 1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1) บุคลากรการบินผู้ให้บริการสามารถนาผลการวิจัยไปปรับปรุง หรือพัฒนาคุณภาพการให้บริการเพื่อ ตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารเจนเนอเรชั่น Y
174 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์เรชั่น Y การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 2) นักศึกษา อาจารย์ นักวิจัย และผู้สนใจ ได้ประโยชน์จากผลการวิจัยและสามารถนาไปต่อยอดการ ศึกษาวิจัย 3) สายการบินต้นทุนต่า สามารถนาผลการวิจัยประกอบการวางแผนพัฒนาเพื่อการให้บริการกลุ่ม ผู้โดยสารเจนเนอเรชั่น Y 1.4 การทบทวนวรรณกรรม ก) แนวคิด และทฤษฎีประชากรศาสตร์ ผู้บริโภคแต่ละคนมีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ ซึ่งมีผลมาจากความแตกต่างกันของลักษณะ ทางกายภาพ และสภาพแวดล้อมของแต่ละบุคคล ทาให้การตัดสินใจ เลือกรับบริการ แต่ละบุคคลมีความ แตกต่างกัน โดยปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลต่อการพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคการศึกษา ด้านลักษณะประชากรศาสตร์เป็นสิ่งสาคัญ เนื่องจากความแตกต่างของประชากรในแต่ละด้านจะทาให้มี การ เลือกซื้อสินค้า และใช้บริการที่แตกต่างกันโดยแนวคิดเกี่ยวกับเจเนอเรชั่นเชื่อว่าบุคคลที่เกิดในช่วงเวลา เดียวกันนั้นมีประสบการณ์ร่วมกันทางสังคม และพบเจอปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน ทา ให้คนที่เกิดในเจเนอเรชั่นเดียวกันมีค่านิยมร่วมกัน นอกจากนี้ทฤษฎีเจเนอเรชั่นยังศึกษาทั้งในด้านพฤติกรรม สังคมการใช้ชีวิตและความคิดต่าง ๆ สาเหตุที่คนแต่ละช่วงวัยมีความคิดและพฤติกรรมต่างกันนั้น เป็นเพราะว่า สภาพสังคมในช่วงนั้น ๆ เป็นปัจจัยที่หล่อหลอมความคิดและทาให้เกิดพฤติกรรมเหล่านั้นขึ้นมา เมื่อเรา สามารถเข้าใจความแตกต่างของประชากรแต่ละกลุ่มได้ดี เราก็จะสามารถเข้าถึงหรือบริหารงานต่าง ๆ ให้ สอดคล้องกับคุณลักษณะพฤติกรรมและความต้องการในด้านต่าง ๆ ต่อไป ข) แนวคิด และทฤษฎีเกี่ยวกับการบริการ Parasuraman, Zeithaml and Berry (1990) ได้อธิบายว่า คุณภาพการบริการ หมายถึง การ ให้บริการที่เป็นไปตามหรือสูงกว่าความคาดหวังของลูกค้า และกาหนดองค์ประกอบของ คุณภาพการบริการ โดยมีองค์ประกอบหลัก 10 มิติที่ใช้วัดคุณภาพการบริการดังต่อไปนี้ มิติที่ 1 สิ่งที่สัมผัสได้ (Tangibility) มิติที่ 2 ความไว้วางใจ (Reliability) มิติที่ 3 ความกระตือรือร้น (Responsiveness) มิติที่ 4 สมรรถนะ (Competence) หมายถึง ความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานบริการที่ รับผิดชอบอย่างมีประสิทธิภาพ มิติ ที่ 5 ความมีไมตรีจิต (Courtesy) มิติที่ 6 ความน่าเชื่อถือ (Creditability) มิติที่ 7 ความปลอดภัย (Security) มิติที่ 8 การเข้าถึงบริการ (Access) มิติที่ 9 การติดต่อสื่อสาร (Communication) มิติที่ 10 การเข้าใจลูกค้า หรือผู้รับบริการ (Understanding of Customer) การบริการทั้ง 10 มิติ ได้มีการปรับปรุงใหม่จะเป็นการยุบ รวมบางมิติ จากเดิมให้รวมกันภายใต้ชื่อมิติใหม่ที่เรียกว่า SERVQUAL ประกอบด้วย 5 มิติ ดังนี้ มิติที่ 1 ความ เป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) หมายถึง การมองเห็นได้ถึงลักษณะสิ่งอานวยความ สะดวกทางกายภาพ ด้านอุปกรณ์และลักษณะของบุคลากร ได้แก่สถานที่ อุปกรณ์เครื่องมือที่ ทันสมัย บุคลากรมีความเป็นมืออาชีพ เอกสารที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร และสัญลักษณ์ต่าง ๆ รวมถึง สภาพแวดล้อมที่ให้ผู้รับบริการรู้สึกว่าได้รับ ความสะดวกสบาย และมีการดูแลเอาใจใส่ด้วยความตั้งใจ จากผู้ให้บริการ ซึ่งจากสิ่งที่รับรู้ได้ดังกล่าวนี้จะทา ให้ผู้รับบริการรับรู้ถึงการให้บริการนั้น ๆ ได้อย่างจัดเจนเพิ่มขึ้น มิติที่ 2 ความเชื่อถือได้ (Reliability) หมายถึง
175 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์เรชั่น Y การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ความสามารถในการให้บริการที่เชื่อถือได้และ ความสามารถในการให้บริการตรงตามสัญญาที่ให้ไว้กับลูกค้า โดยสามารถตอบสนองความต้องการ ของลูกค้าที่รับบริการได้อย่างทันท่วงที มิติที่ 3 การตอบสนองต่อลูกค้า (Responsiveness) หมายถึง การมีความพร้อมที่จะ ให้บริการ มีความมุ่งมั่น และมีความเต็มใจที่จะช่วยเหลือ ลูกค้ารวมถึงให้บริการที่รวดเร็วตามที่ลูกค้าต้องการ มิติที่ 4 การให้ ความเชื่อมั่นต่อลูกค้า(Assurance) หมายถึง ความสามารถที่ผู้ให้บริการแสดงออกถึงทักษะ ความรู้ ความอนุเคราะห์จากพนัก งาน และ ความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจให้มีความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับผู้รับบริการ มิติที่ 5 ความเอาใจใส่ลูกค้า (Empathy) หมายถึง ความสามารถในการเอาใจใส่ผู้รับบริการ อย่างต่อเนื่อง และได้รับ ความสนใจจากผู้ให้บริการเป็นอย่างดี ค) แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจซื้อ Kotler and Armstrong (2012) ได้อธิบายความหมายของการตัดสินใจว่า คือระยะที่ผู้บริโภคซื้อ สินค้าอย่างแท้จริง ในการประเมินการตัดสินใจซื้อ การตัดสินใจซื้อประกอบไปด้วย 5 ระยะ ได้แก่ การรับรู้ ปัญหา (Introduction Needs) การค้นหาข้อมูล (Information Search) การประเมินทางเลือก (Evaluation of Alternatives) การตัดสินใจซื้อ (Purchase Decision) และพฤติกรรมหลังการซื้อ (Behavior After Purchase) โดยมีปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อลักษณะของผู้บริโภค กล่าวคือ ปัจจัยด้านวัฒนธรรม ปัจจัยทางสังคม ปัจจัยสวนบุคคล และปัจจัยด้านจิตวิทยา เหล่านี้ ก่อให้เกิดค่านิยม และความคิดส่วนบุคคลที่ใช้ในการตัดสินใจ ซื้อของผู้บริโภค กล่าวโดยสรุป หากผู้โดยสารชาวไทยเจนเนอเรชั่น Y พิจารณาว่าคุณภาพการบริการของสาย การบินต้นทุนต่าเป็นความจาเป็นเบื้องต้น อาจตัดสินใจซื้อ หรือมีการเริ่มค้นหาข้อมูล ประเมินทางเลือก ก่อน ตัดสินใจซื้อ รวมถึงพฤติกที่หลังการซื้อที่อาจส่งผลต่อการซื้อในอนาคต ง) งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จาตุรงค์ สืบสาราญ (2563) ศึกษาเรื่อง ปัจจัยด้านคุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อการตั้งใจซื้อซ้า สายการบินต้นทุนต่า พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสาคัญกับคุณภาพการให้บริการในระดับมาก คุณภาพ บริการได้แก่ ด้านรูปลักษณ์กายภาพ ด้านความน่าเชื่อถือ ด้านการตอบสนอง ความต้องการของผู้ใช้บริการ ด้านการประกันความมั่นใจ และด้านความเอาใจใส่ มีผลต่อความตั้งใจซื้อบริการซ้าอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.01 สุภิสดา เป้งคา และเสกสรร สุทธิสงค์ (2559) ศึกษาปัจจัยการเลือกใช้สายการบินต้นทุนต่าของ ผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานอุดรธานี พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลในการเลือกใช้บริการมากที่สุดคือ ปัจจัยด้านช่อง ทางการจัดจาหน่าย รองลงมาคือ ปัจจัยด้านบุคลากร ปัจจัยด้านราคา ปัจจัยด้านภาพลักษณ์ ปัจจัยด้าน การตลาด ตางลาดับ และปัจจัยด้านการยริการเป็นปัจจัยลาดับสุดท้าย ด้านประชากรศาสตร์พบว่า เพศ อายุ อาชีพ รายได้เฉลี่ย/เดือน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ .05 ปฐมพงค์ กุกแก้ว และทิพากร ทรัพย์ส่งเสริม (2564) ศึกษาเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ เลือกใช้บริการธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าบริษัท ไปรษณีย์ไทย จากัด กรณีศึกษา ที่ทาการไปรษณีย์ดอน เจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี พบว่า ระดับความคิดเห็นปัจจัยคุณภาพการให้บริการ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ ระดับความคิดเห็นต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการธุรกรรมทางการเงิน ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนปัจจัย
176 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์เรชั่น Y การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ทัศนคติที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการธุรกรรมทางการเงินได้แก่ ด้านความรู้และความเข้าใจ และด้าน ความเชื่อใจ และปัจจัยคุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการธุรกรรมทางการเงิน ได้แก่ ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ และด้านการให้ความเชื่อมั่น อย่างมีระดับนัยสาคัญทางสถิติ .05 ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพที่ 1: กรอบแนวคิดการวิจัย 2. วิธีดาเนินการวิจัย ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาด้านเนื้อหาเอกสาร จากแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมูล ขั้นตอนที่ 4 สรุปผลการศึกษาวิจัย และการนาเสนอผลการศึกษาวิจัย งานวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) วิธีการศึกษาเชิงสารวจ (Survey Research) ประชากรที่ศึกษา คือ ผู้โดยสารชาวไทยเจเนอเรชั่น Y ที่ใช้บริการสายการบินต้นทุนต่า กลุ่มตัวอย่าง เป็นคน ไทยกลุ่ม gen Y ในช่วงอายุ 29-41 ปี ใช้สูตรการคานวณไม่ทราบจานวนประชากรได้จานวนตัวอย่าง 385 คน ผู้วิจัยเก็บจริงได้ 419 คน จึงใช้ทุกฉบับวิเคราะห์ข้อมูล 2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา แบบสอบถามผ่านการตรวจคุณภาพเครื่องมือโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ทางตรวจความตรงของข้อคาถาม (IOC) พบว่าทุกข้อคาถามได้ค่า 0.67-1.00 จากนั้นนาแบบสอบถามที่ได้ปรับแก้ตามคาแนะนาแล้วไปทดสอบ กับกลุ่มตัวอย่างที่มีความใกล้เคียงกัน (Try Out) จานวน 30 ชุด ได้ค่าความเชื่อมั่นที่ 0.951 การตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์ เรชั่น Y - ด้านการรับรู้ปัญหา - ด้านการหาข้อมูล - ด้านการประเมินทางเลือก - ด้านการตัดสินใจซื้อ - พฤติกรรมหลังการซื้อ ข้อมูลส่วนบุคคล - เพศ - อายุ คุณภาพการให้บริการ - ความเป็นรูปธรรมขอบริการ - ความเชื่อถือได้ - การตอบสนองต่อลูกค้า - การให้ ความเชื่อมั่นต่อลูกค้า - ความเอาใจใส่ลูกค้า
177 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์เรชั่น Y การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 2.2 การเก็บรวบรวมข้อมูล นาแบบสอบถามไปเก็บรวมรวบข้อมูลใช้วิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) กับ ผู้โดยสารชาวไทยเจนเนอเรชั่น Y ณ สนามบินสุวรรณภูมิ และเก็บด้วยแบบสอบถามที่แปลงเป็น Goggle Form โดยระบุข้อแรกว่าท่านมีอายุระหว่าง 29-41 ปีหรือไม่ ถ้าผู้ตอบตอบใช่ก็จะเข้าไปทาแบบสอบถามทุก ข้อต่อไป ส่งแบบสอบถามไปยังเพจเฟสบุ๊ค ไลน์ อินสตราแกรม กลุ่มสมาชิกสายการบินต้นทุนต่าต่าง ๆ เช่น ไทยแอร์เอเชีย ไทยสมายล์ นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ ไทยเวียดเจ็ท 2.3 การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้โปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถาม 419 ชุดที่เก็บมาได้ 2.4 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ 1) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลได้แก่ เพศ อาชีพ อายุ และคุณภาพการให้บริการ ได้แก่ ความเป็นรูปธรรม ของบริการ ความเชื่อถือได้ การตอบสนองต่อลูกค้า การให้ ความเชื่อมั่นต่อลูกค้า และความเอาใจใส่ลูกค้า 2) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) ใช้วิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มตัวอย่างที่เป็น ตัวแทนของประชากรซึ่งสามารถนาผลการวิเคราะห์นั้นไปสรุปอ้างถึงประชากรได้โดยใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็น สถิติเชิงอนุมานประกอบด้วย การประมาณค่า และการทดสอบสมมติฐาน 3. ผลการศึกษา ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ข้อมูลส่วนบุคคล จานวน ร้อยละ ชาย 200 43.5 หญิง 219 56.5 รวม 419 100 เจเนอเรชั่น Y 29-35 ปี 193 48.3 เจเนอเรชั่น Y 36-41 ปี 226 51.7 รวม 419 100 (n=419)
178 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์เรชั่น Y การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ส่วนที่ 2 คุณภาพการให้บริการของสายการบินต้นทุนต่า (n=419) คุณภาพการให้บริการของสายการบินต้นทุนต่า �� S.D. แปลผล 1. ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ 4.00 .538 มาก 2. ด้านความเชื่อถือได้ 3.83 .584 มาก 3. ด้านการตอบสนองต่อลูกค้า 3.75 .537 มาก 4. ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อลูกค้า 4.24 .607 มาก 5. ด้านความเอาใจใส่ลูกค้า 4.15 .532 มาก ภาพรวม 3.96 .866 มาก ส่วนที่ 3 การตัดสินใจใช้บริการสายการบินต้นทุนต่าของผู้โดยสาร เจเนอร์เรชั่นวาย การตัดสินใจใช้บริการสายการบินต้นทุนต่า �� S.D. แปลผล 1. ด้านการรับรู้ปัญหา 4.07
มาก 2. ด้านการหาข้อมูล 3.81
มาก 3. ด้านการประเมินทางเลือก 3.88
มาก 4. ด้านการตัดสินใจซื้อ 4.36
มากที่สุด 5. พฤติกรรมหลังการซื้อ 4.01
ภาพรวม
.514
.764
.703
.523
.696 มาก
4.01 .296 มาก (n=419)

(r = .122, Sig. = ..013)

ปานกลาง (r = .031 ,Sig. = .522) ด้านด้านการตอบสนองต่อลูกค้ามีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง (r = .020, Sig. =.685) ด้านด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อลูกค้ามีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง (r = .166, Sig. = .001)

(r = .122, Sig. = .013)

179 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์เรชั่น Y การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ส่วนที่ 4 ผลการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการให้บริการกับการตัดสินใจใช้บริการสายการ บินต้นทุนต่า พบว่า คุณภาพการให้บริการของสายการบินต้นทุนต่ามีความสัมพันธ์ต่อการเลือกใช้สายการบินต้นทุน ต่าโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (r = .122, Sig. = .013) ถ้ามองรายด้านพบว่าด้านความเป็นรูปธรรมของ บริการมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง
และด้านความเอาใจใส่ลูกค้ามีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง
4. สรุปผลและอภิปรายผล จากผลการวิจัยข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถจานวน 419 คน พบว่าเป็นเพศชาย 43.5% และเป็นเพศ หญิง 56.5% ในเจเนอเรชั่น Y ช่วงอายุ 29-35 ปี 48.3% เจเนอเรชั่น Y ในช่วงอายุ 36-41 ปี 58.7% ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลส่วนบุคคลต่อการตัดสินใจใช้บริการสายการบินต้นทุนต่าของผู้โดยสารชาวไทยเจ เนอเรชั่น Y อยู่ในระดับต่า และความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการให้บริการของสายการบินต้นทุนต่าต่อการ ตัดสินใจซื้อมีความสัมพันธ์กันในระดับปานกลาง ผลการวิจัยวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นหญิงร้อยละ 56.5 และอยู่ในช่วง เจเนอ เรชั่น Y 36-41 ปี คุณภาพการให้บริการของสายการบินต้นทุนต่า พบว่าผู้โดยสารชาวไทยเจนเนอเรชั่น Y ให้ ความสาคัญกับคุณภาพการให้บริการในภาพรวมระดับมากที่ 3.96 โดยมากที่สุดในด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อ ลูกค้าที่ 4.24 การตัดสินใจใช้บริการสายการบินต้นทุนต่าของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์เรชั่นวายภาพรวมอยู่ใน คุณภาพการให้บริการของสายการ บินต้นทุนต่า การตัดสินใจใช้บริการสายการบินต้นทุนต่า ของผู้โดยสารเจเนอเรชั่น Y Pearson’s Correlation Sig (2 - tailed) ทิศทาง ระดับ ความสัมพันธ์ 1. ด้านความเป็นรูปธรรมของ บริการ -.122** .013 เดียวกัน ปานกลาง 2. ด้านความเชื่อถือได้ -.031 .522 เดียวกัน ปานกลาง 3. ด้านการตอบสนองต่อลูกค้า 020 .685 เดียวกัน ปานกลาง 4. ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อลูกค้า.166** .001 เดียวกัน ปานกลาง 5. ด้านความเอาใจใส่ลูกค้า - 155** .001 เดียวกัน ปานกลาง ภาพรวม.122** .013 เดียวกัน ปานกลาง (n=419)
ด้านความเชื่อถือได้มีความสัมพันธ์ในระดับ
180 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์เรชั่น Y การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ระดับมากที่ 4.01 โดยมากที่สุดในด้านการตัดสินใจซื้อที่ 4.36 ซึ่งสอดคล้องกับ จาตุรงค์ สืบสาราญ (2563) ที่ พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสาคัญกับคุณภาพการให้บริการในระดับมาก และยังเป็นไปตามทฤษฎีของ Parasuraman et al., (1990) ผลการวิจัยวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 คุณภาพการให้บริการของสายการบินต้นทุนต่ามีความสัมพันธ์ต่อการ เลือกใช้สายการบินต้นทุนต่าโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (r = .122, Sig. = .013) ซึ่งสอดคล้องกับ งานวิจัย สุภิสดา เป้งคา และเสกสรร สุทธิสงค์ (2559) พบว่าปัจจัยด้านการบริการมีผลต่อระดับการ ตัดสินใจเลือกใช้บริการสายการบินต้นทุนต่าเป็นอันดับสุดท้าย เมื่อเทียบกับปัจจัยด้านการตลาด ด้านราคา ด้านบุคคล ด้านช่องทางการจัดจาหน่าย และด้านภาพลักษณ์ แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้โดยสารให้ความสาคัญ โดยมีคะแนนอยู่ในระดับมาก ที่ 4.18 และก็ยังเป็นปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามเพราะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อซ้าของ ผู้โดยสาร 4.1 ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัย ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ก) ข้อเสนอแนะจากการวิจัย จากผลการวิจัยพบว่าผู้โดยสารชาวไทยเจเนอเรชั่น Y ให้ความสาคัญในเรื่องคุณภาพการให้บริการของ สายการบินในระดับปานกลาง นั่นอาจเป็นเพราะคนในวัยนี้อาจให้ความสาคัญในด้านอื่น ๆ ที่มากกว่า เช่น ปัจจัยด้านการตลาด ด้านราคา ด้านบุคคล ด้านช่องทางการจัดจาหน่าย และด้านภาพลักษณ์ อาจเป็นเรื่อง สาคัญมากกว่าในการเปรียบเทียบเพื่อตัดสินใจ ข) ข้อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งต่อไป ในการศึกษาวิจัยครั้งต่อไป ศึกษาตัวแปรอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ภาพลักษณ์ขององค์การภาพลักษณ์ ของพนักงาน การรักษาความสัมพันธ์ของสายการบินกับผู้โดยสาร หรือศึกษาเพิ่มในการให้บริการขนส่งสินค้า ทางอากาศ หรือต่างอุตสาหกรรมบริการ 5. References จาตุรงค์ สืบสาราญ (2563) ปัจจัยด้านคุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อการตั้งใจซื้อซ้าสายการบินต้นทุนต่า (การค้นคว้าอิสระปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยรามคาแหง, กรุงเทพฯ. ปฐมพงค์ กุกแก้ว และทิพากร ทรัพย์ส่งเสริม. (2564). ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการธุรกรรม ทางการเงินของลูกค้าบริษัท ไปรษณีย์ไทย จากัด กรณีศึกษา ที่ทาการไปรษณีย์ดอนเจดีย์ จังหวัด สุพรรณบุรี. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์, 7(3), 210-224 สุภิสดา เป้งคา และเสกสรร สุทธิสงค์ (2559) ปัจจัยการเลือกใช้สายการบินต้นทุนต่าของผู้โดยสาร ณ ท่า อากาศยานนานาชาติอุดรธานี วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอิสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี, 10 (3), 164-176

(2565). กบร. มีมติขยายมาตรการบรรเทาผลกระทบ สายการบิน

จาก COVID-19 ไตรมาสที่ 1/2565. ค้นเมื่อ 1 มีนาคม 2565. จาก

https://www.caat.or.th/th/archives/62548

สานักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง. (2557). ประกาศจานวนประชากร. ค้นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2564. จาก https://stat.bora.dopa.go.th/stat/sumyear.html

Home Buyers Team. (2017). 7 ลักษณะคน Gen Y. ค้นเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2564. จาก https://www.home.co.th/living/topic-52631

Kotler, P. & Armstrong, G. (2012). Principles of Marketing. (14th ed.). NJ: Pearson Education.

Parasuraman, A., Zeithaml, V. & Berry, L. (1988). SERVQUAL: A multiple- Item Scale for measuring consumer perceptions of service quality. Journal of Retailing, 64(1), 12-40.

Parasuraman, A., Zeithaml, V. & Berry, L. (1990). Delivering Quality Service: Balancing Customer Perceptions and Expectations New York: The free press.

181 คุณภาพการให้บริการสายการบินต้นทุนต่าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้โดยสารชาวไทยเจเนอร์เรชั่น Y การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 สานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
182 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย Guidelines for Development of Skilled Craftsmaen of Thai Jewelry Industry 1ภูษิต ภูปภัสศิริ, 2เกียรติชัย วีระญาณนนท์ และ 3ชัยวุฒิ จันมา 1Pusit Pupapassiri, 2Kietchai Veerayannon and 3Chaiwut Chanma 1, 2, 3 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต 1, 2, 3 Faculty of Political Science, North Bangkok University, Rangsit Campus, Prathumthani, Thailand E-mail: 1pusit.pup@northbkk.ac.th บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะขององค์กรที่ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงาน ช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย 2) เพื่อศึกษาการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงาน ช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย 3) เพื่อศึกษาปัจจัยการพัฒนาช่างฝีมือที่ส่งผลต่อผลการพัฒนา แรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย 4) เพื่อนาเสนอแนวทางการพัฒนาแรงงานข่างฝีมือของ อุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการผลิต เครื่องประดับโดยใช้เพชร พลอย ไข่มุก และทองคาเป็นส่วนวัตถุดิบในการผลิตจานวน 297 สถานประกอบการ การวิจัยในเรื่องนี้เป็นแบบผสานวิธี (Mixed Method) สาหรับเชิงปริมาณเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สิถิติ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การ วิเคราะห์ความแปรปรวน One-way ANOVA และวิเคราะห์ความถดถอย Multiple Regression analysis เชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์ แบบกึ่งมีโครงสร้างผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยจานวน 17 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะขององค์กรส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรม เครื่องประดับไทยทุกด้าน 2) การจัดการความรู้ในด้านการบ่งชี้ความรู้และการถ่ายทอดความรู้ส่งผลต่อผลการ พัฒนาแรงงานช่างฝีมืออย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ปัจจัยการพัฒนาช่างฝีมือส่งผลต่อผลการ พัฒนาแรงงานช่างฝีมืออย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือ พบว่า ประกอบด้วย 8 แนวทางดังนี้ แนวทาง 1 ฝึกอบรมแรงงานให้มีทักษะการผลิตตามมาตรฐานระดับสากล แนวทาง 2 สร้างแรงจูงใจในการพัฒนาฝีมือด้วยการแข่งขันภายในองค์กรสู่การแข่งขันระดับประเทศ แนวทาง 3 จัดระบบสอนงานให้แรงงานในองค์กรโดยผู้ชานาญการที่มีประสบการณ์สูง แนวทาง 4 ส่งเสริมและกระตุ้น ให้เกิดการสร้างนวัตกรรมการออกแบบและการผลิตที่ทันสมัย แนวทาง 5 เสริมสร้างค่านิยมร่วมในการคิด แบบผู้ประกอบการและความสัมพันธ์ที่ดีในทุกระดับชั้นภายในองค์กร แนวทาง 6 สนับสนุนการจัดการความรู้ ด้านอัญมณีและเครื่องประดับด้วยระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีที่ทันสมัย แนวทาง 7 ให้ความสาคัญกับการ ประเมินความรู้ ทักษะและความสามารถการผลิตของแรงงานเพื่อนาไปสู่การพัฒนาอย่างจริงจัง และแนวทาง

Abstract

This research aimed to examine how organizational characteristics influence the result of skilled labor development in the Thai jewelry industry; how knowledge management influences the result of skilled labor development in the Thai jewelry industry; how the factors of skilled labor development influence the result of the development of skilled labor in the Thai jewelry industry; and how guidelines can be developed for the development of skilled labor in the Thai jewelry industry. The sample consists of 297 jewelry manufacturers registered to use diamonds, gemstones, pearls, and gold as raw materials. Using questionnaires, this research utilized a mixed methodology to collect quantitative data. In the data analysis, percentage, mean, standard deviation, one-way ANOVA, and multiple regression statistics were employed. Seventeen experts in the Thai jewelry industry were interviewed qualitatively in a semi-structured format.

Knowledge management in the fields of knowledge identification and knowledge transfer influences labor development outcomes. Craftsmanship was statistically significant at the.05 level, skills development factors influence skilled labor development outcomes at the.05 level, and guidelines for developing skilled labor are statistically significant at the.05 level. It was discovered that there are eight distinct strategies: educating workers in accordance with global production standards. Creating incentives for skill development through internal competition that leads to national competition is Approach 2. Approach three: highly experienced professionals. Approach 4 encourages cutting-edge design and production. Approach 5: Promote shared entrepreneurial values and positive relationships at all levels of the organization. Approach 6 utilizes modern information systems and technologies to facilitate organizational learning in the gem and jewelry industry. Approach 7 places a premium on the evaluation of workers' experience and comprehension, skills, and production capacity in order to promote substantial expansion. Approach 8: Create a knowledge base regarding gems and jewelry by transforming senior workers with expertise in gem and jewelry manufacturing into effective trainers.

Keywords: Craftsmanship Labor; Development; Jewelry Sector

183 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 8 สร้างคลังสมองของความรู้ด้านอัญมณีและเครื่องประดับด้วยการพัฒนาแรงงานอาวุโสผู้มีความเชี่ยวชาญ ด้านการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับให้เป็นผู้ฝึกสอนที่มีประสิทธิภาพ คาสาคัญ: แรงงานช่างฝีมือ; การพัฒนา; อุตสาหกรรมเครื่องประดับ
184 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 1. บทนา อุตสาหกรรมเครื่องประดับเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในด้านความเป็นผู้นาในธุรกิจเครื่องประดับระดับ นานาชาติ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้ความชานาญ ความประณีต ความมีเอกลักษณ์ในด้านการ ออกแบบและการผลิตของแรงงานช่างฝีมือที่มุ่งเน้นให้เกิดความสวยงามของเครื่องประดับทั้งในด้านรูปแบบ และการผลิตเพื่อให้ได้เครื่องประดับที่มีความสวยงามมีอัตลักษณ์และคุณภาพได้มาตรฐานในระดับสากล โดยมี โรงงานที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการผลิตเครื่องประดับโดยใช้เพชร พลอย ไข่มุก และทองคาเป็นส่วน วัตถุดิบในการผลิตจานวน 621 ราย มีแรงงานจานวน 89,486 คน (กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวง อุตสาหกรรม, 2561) ทาให้สินค้าเครื่องประดับมียอดการส่งออกสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ ซึ่งมียอด การส่งออกสูงถึง 383,976.7 ล้านบาท (กองสถิติการค้าไทย กระทรวงพาณิชย์, 2562) อย่างไรก็ตามแรงงานทักษะฝีมือสูงของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยในปัจจุบันเริ่มมีลดน้อยลงอัน เนื่องจากการที่แรงงานเริ่มมีอายุมากขึ้นทาให้สภาพสายตาเสื่อมถอยลง และแรงงานทยอยเกษียณอายุทาให้ แรงงานช่างฝีมือเริ่มขาดแคลน อีกทั้งการเข้าสู่อุตสาหกรรมของแรงงานรุ่นใหม่เริ่มมีจานวนลดน้อยลง อีกทั้ง การเป็นช่างฝีมือเครื่องประดับอัญมณีต้องมีคุณลักษณะที่มีความอดทนสูงต้องอาศัยความประณีตและทักษะ ฝีมือสูง จึงมีความจาเป็นที่แรงงานรุ่นใหม่จะต้องได้รับการพัฒนาฝีมือในการผลิตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งภาครัฐได้ ตระหนักถึงความสาคัญและความจาเป็นในการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรม จึงได้ออกมาตรการ สนับสนุนเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ด้วยการเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมภาคเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้าอย่างมีเสถียรภาพที่ มั่นคง งานวิจัยในครั้งนี้เพื่อมุ่งเน้นในด้านการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือในอุตสาหกรรมเครื่องประดับของไทยเพื่อให้ สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมในการเพิ่มความรู้ ทักษะและทัศนคติที่ดีต่ออุตสาหกรรม อีกทั้ง เพื่อเป็นการรักษาอัตลักษณ์ของเครื่องประดับไทย รวมถึงการรักษาแรงงานให้คงอยู่ในอุตสาหกรรม และเพื่อ นาประเทศไทยมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก อันจะเป็นการสร้างความมั่งคั่ง มั่นคง อย่างยั่งยืนให้แก่เศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง และแนวคิดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของ จาเนียร จวงตระกูล (2553) มาเป็นแนวทางในการวิจัยเพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาแรงงาน ช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย 1.1 วัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะขององค์กรที่ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย 2) เพื่อศึกษาการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย 3) เพื่อศึกษาปัจจัยการพัฒนาช่างฝีมือที่ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรม เครื่องประดับไทย 4) เพื่อนาเสนอแนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย
185 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 1: กรอบแนวคิดการวิจัย 1.2 สมมติฐานงานวิจัย ผลการพัฒนาช่างฝีมือแรงงานเครื่องประดับมีความแตกต่างกันเมื่อจาแนกตามคุณลักษณะขององค์กร การจัดการความรู้ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย ปัจจัยสนับสนุน การพัฒนาช่างฝีมือส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย 2. วิธีดาเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มีลักษณะเป็นงานวิจัยเชิงผสานวิธี (Mixed Method) ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดย มีขั้นตอนและวิธีการดาเนินการวิจัย ดังนี้ 2.1 กลุ่มตัวอย่างและประชากรที่ใช้ในการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มสาหรับการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิง คุณภาพ โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ประชากร คือ ผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการผลิตเครื่องประดับ โดยใช้ เพชร พลอย ไข่มุก และทองคาเป็นส่วนวัตถุดิบในการผลิตจานวน 621 ราย (กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม, 2561) กลุ่มตัวอย่าง ได้จากตารางสาเร็จรูปของเครซี่ แอนด์ มอร์แกน (Krejcie & Morgan, 1970) ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ได้จานวนตัวอย่าง 242 ราย โดยสุ่มตัวอย่างจากประชากรด้วย วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ประชากร คือ ผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเครื่องประดับอัญมณีของไทย ได้แก่ ผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนเป็น ผู้ประกอบการผลิตเครื่องประดับโดยใช้เพชร พลอย ไข่มุก และทองคาเป็นส่วนวัตถุดิบในการผลิต สมาคม ผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับไทย และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเครื่องประดับไทย จานวน 17 ท่าน
186 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 2.2 เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 2 แบบ ได้แก่ 1) แบบสอบถาม เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง 2) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างใช้ในการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวการพัฒนา แรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย 2.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล มีรายละเอียด ดังนี้ 1) การสัมภาษณ์เชิงลึก ดาเนินการสัมภาษณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ จานวน 17 ท่าน 2) แบบสอบถาม ดาเนินการจัดสร้างแบบฟอร์มแบบสอบถามออนไลน์ผ่านระบบกูเกิ้ลฟอร์ม 2.4 การวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยแบบปริมาณใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ค่าความถี่ (Frequency) และค่า ร้อยละ (Percentage) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) โดยใช้สถิติ F-test, ttest และวิธีการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis: MRA) การเก็บข้อมูลการ วิจัยคุณภาพใช้หลักการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) 3. ผลการศึกษา ผลการศึกษาคุณลักษณะขององค์กรที่ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรม เครื่องประดับไทย พบว่าคุณลักษณะขององค์กรด้านระยะเวลาในการดาเนินกิจการจนถึงปัจจุบัน ส่งผลต่อผล การพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยด้านการพัฒนาความรู้ ด้านทักษะและ ความสามารถในการผลิต และด้านเจตคติต่อวิชาชีพ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ในขณะที่ด้าน เงินทุนจดทะเบียน และ ด้านจานวนแรงงานที่องค์กรมีอยู่ในสายการผลิต ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงาน ช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย อย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ ผลการศึกษาการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรม เครื่องประดับไทย พบว่าปัจจัยด้านการบ่งชี้ความรู้ ด้านการถ่ายทอดความรู้ ด้านการสร้างและการพัฒนา ความรู้ และด้านการเข้าถึงความรู้ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย ด้านเจตคติต่อวิชาชีพอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01, .05, .05 และ .05 ตามลาดับ โดยมีสัมประสิทธิ์ = .234, .196, .151, และ .136 ตามลาดับ ในขณะที่ด้านการจัดเก็บความส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือ ของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยด้านเจตคติต่อวิชาชีพอย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ ผลการศึกษาปัจจัยการพัฒนาช่างฝีมือที่ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรม เครื่องประดับไทย พบว่าปัจจัยคุณลักษณะของผู้ฝึกสอน ด้านอุปกรณ์และเครื่องมือ ด้านการสร้างแรงจูงใจ ด้านเวลาในการฝึกสอน และด้านวิธีการประเมินการสอน ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของ อุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยโดยรวม อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01, .01, .01, .01และ .05 ตามลาดับ โดยมีสัมประสิทธิ์ = .274, .200, .117, .111 และ .083 ตามลาดับ
187 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย ประกอบด้วย 8 แนวทางดังนี้ แนวทาง 1) ฝึกอบรมแรงงานให้มีทักษะการผลิตตามมาตรฐานระดับสากล แนวทาง 2) สร้างแรงจูงใจใน การพัฒนาฝีมือด้วยการแข่งขันภายในองค์กรสู่การแข่งขันระดับประเทศ แนวทาง 3) จัดระบบสอนงานให้ แรงงานในองค์กรโดยผู้ชานาญการที่มีประสบการณ์สูง แนวทาง 4) ส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการสร้าง นวัตกรรมการออกแบบและการผลิตที่ทันสมัย แนวทาง 5) เสริมสร้างค่านิยมร่วมในการคิดแบบผู้ประกอบการ และความสัมพันธ์ที่ดีในทุกระดับชั้นภายในองค์กร แนวทาง 6) สนับสนุนการจัดการความรู้ด้านอัญมณีและ เครื่องประดับด้วยระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีที่ทันสมัย แนวทาง 7) ให้ความสาคัญกับการประเมินความรู้ ทักษะและความสามารถการผลิตของแรงงานเพื่อนาไปสู่การพัฒนาอย่างจริงจัง และแนวทาง 8) สร้างคลัง สมองของความรู้ด้านอัญมณีและเครื่องประดับด้วยการพัฒนาแรงงานอาวุโสผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการ ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับให้เป็นผู้ฝึกสอนที่มีประสิทธิภาพ 4. สรุปผล จากการศึกษาแนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย สามารถสรุป ผลการวิจัยดังนี้ การศึกษาคุณลักษณะขององค์กรที่ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรม เครื่องประดับไทย สามารถสรุปได้ว่าผู้ประกอบการที่มีการประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมเครื่องประดับจนถึง ปัจจุบันมากกว่า 15 ปี แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการทาให้ได้รับ ความเชื่อมั่นจากแรงงานที่มีประสบการณ์ในการคงอยู่ของแรงงานอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดทาให้มีความรู้ ความเข้าใจและทักษะความสามารถในด้านการผลิต และมีการแลกเปลี่ยนความรู้ในระหว่างแรงงานด้วยกัน สอดคล้องกับเจษฎา นกน้อย (2559) ผลการศึกษาการพัฒนาฝีมือแรงงานที่ต้องการเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พบว่า ผู้ประกอบการที่ดาเนินกิจการมา น้อยกว่า 1 ปีมีความต้องการพัฒนาฝีมือ แรงงานน้อยกว่า กลุ่มอื่น ๆ ขณะที่ผู้ประกอบการที่ดาเนินกิจการมาแล้ว 16-20 ปีมีความต้องการพัฒนาฝีมือ แรงงานมากกว่า ผู้ประกอบการที่ดาเนินกิจการมาแล้ว 6-10 ปีและ 11-15 ปี ส่วนผู้ประกอบการที่ดาเนิน กิจการมาแล้ว 1-5 ปี มีความต้องการพัฒนาฝีมือแรงงานมากกว่าผู้ประกอบการ ที่ดาเนินกิจการมาแล้ว 6-10 ปี การศึกษาการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับ ไทย พบว่าการรวบรวมความรู้ที่จาเป็นเกี่ยวกับการผลิตเครื่องประดับเพื่อการจัดเก็บควรมีการทาการบันทึก ข้อมูลที่มีอยู่ในตัวแรงงานในภาคการปฏิบัติให้อยู่ในรูปแบบของวีดีทัศน์เพื่อให้แรงงานได้มีโอกาสศึกษาและได้ เห็นถึงการปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน รวมถึงการจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเครื่องประดับจากภายนอกมาให้ ความรู้แก่แรงงานช่างฝีมือทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเพิ่มเติมเพื่อให้แรงงานได้รับการพัฒนาทั้งที่ได้รับ จากการถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านวีดีทัศน์สอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาระบบราชการของ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (2548) การจัดการความรู้ในองค์กรโดยการรวบรวมความรู้ใน องค์กรที่อยู่ในตัวบุคคล หรือเอกสารมาพัฒนาให้เป็นระบบเพื่อที่จะให้บุคลากรในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้
188 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 และจะช่วยให้สามารถพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีความรู้ ซึ่งจะสามารถนาไปปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะมีผลให้องค์กร มีความสามารถในเชิงของการแข่งขันสูงสุด การศึกษาปัจจัยการพัฒนาช่างฝีมือที่ส่งผลต่อผลการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรม เครื่องประดับไทย พบว่าผู้ประกอบการควรเพิ่มความรู้ในด้านการเป็นผู้ฝึกสอนให้แก่แรงงานอาวุโสของสถาน ประกอบการเพื่อให้เป็นผู้ฝึกสอนของสถานประกอบการในการถ่ายทอดความรู้ในกระบวนการผลิต เครื่องประดับและด้านเจตคติที่ดีต่ออาชีพแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมาเครื่องประดับ และให้ความสาคัญ ต่อการประเมินผลการฝึกสอนของแรงงานผู้เข้ารับการฝึกสอนเพื่อให้ประสิทธิผลตามวัตถุประสงค์ของ การฝึกสอนอันจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการผลิตเครื่องประดับที่สูงขึ้นและลดความสูญเสียในระหว่าง การผลิต อีกทั้งยังส่งผลระยะเวลาในการผลิตให้เป็นไปตามระยะเวลาที่ผู้ประกอบการในต่างประเทศต้องการ ภายใต้คุณภาพของชิ้นงานที่ดีเป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภค สอดคล้องกับทฤษฎีและการปฏิบัติการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ของ จาเนียร จวงตระกูล (จาเนียร จวงตระกูล, 2553) การพัฒนาพนักงานตลอดจนองค์กร โดยรวมจึงมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของพนักงานและเน้นที่การสร้างแรงจูงใจให้ผู้คนโดยสนองความต้องการ ที่สูงขึ้นเพื่อส่งผลให้องค์กรมีพลวัตและมุ่งเน้นการเติบโตหรือประสบความสาเร็จในสภาพแวดล้อมที่ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วองค์กรสามารถเป็นพลวัตและเติบโตได้ แนวทางการพัฒนาแรงงานข่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย พบว่าควรประกอบด้วย 8 แนวทาง ดังนี้ แนวทาง 1 ฝึกอบรมแรงงานให้มีทักษะการผลิตตามมาตรฐานระดับสากล ผู้ประกอบการใน ต่างประเทศและผู้บริโภคในปัจจุบันต่างให้ความสาคัญต่อความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม สิทธิมนุษยชนของแรงงาน และความโปร่งในการบริหารธุรกิจของผู้ประกอบการ เพื่อตอบสนองต่อความ ต้องการของผู้ประกอบการในต่างประเทศและผู้บริโภค แนวทาง 2 สร้างแรงจูงใจในการพัฒนาฝีมือด้วยการแข่งขันภายในองค์กรสู่การแข่งขันระดับประเทศ การวัดผลสัมฤทธิ์ในการพัฒนาฝีมือของแรงงานผู้ประกอบการควรส่งเสริมการจัดให้มีการแข่งขันแรงงาน ช่างฝีมือทั้งภายในสถานประกอบการและภายนอกสถานประกอบการทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาฝีมือของแรงงานให้มีศักยภาพในด้านการผลิตเครื่องประดับก่อให้เกิดความ ภาคภูมิใจในอาชีพให้แก่แรงงานยังเป็นการสร้างแรงจูงใจเป็นการเพิ่มศักยภาพในด้านการผลิตให้แก่สถาน ประกอบการสอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ แนวทาง 3 จัดระบบสอนงานให้แรงงานในองค์กรโดยผู้ชานาญการที่มีประสบการณ์สูง ผู้ประกอบการ ควรส่งเสริมให้มีการสอนงานทั้งในด้านทฤษฎีและด้านการปฏิบัติเพื่อให้แรงงานได้มีความรู้ในด้านการผลิต เครื่องประดับและทักษะในการผลิตที่ดีเป็นการลดปัญหาด้านการขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือขององค์กรด้วย การถ่ายโอนความรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านการผลิตเครื่องประดับที่อยู่ในสถาน ประกอบการเดียวกัน แนวทาง 4 ส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการสร้างนวัตกรรมการออกแบบและการผลิตที่ทันสมัย ผู้ประกอบการควรส่งเสริมให้แรงงานมีแนวคิดในการสร้างชิ้นงานเครื่องประดับในรูปแบบใหม่ โดยการนา
189 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภูมิปัญญาอันเป็นอัตลักษณ์ของไทยเป็นแนวทางร่วมกับแนวคิดด้านอัตลักษณ์ของต่างประเทศในการพัฒนา รูปแบบชิ้นงานเครื่องประดับให้มีความแปลกใหม่ที่มีความทันสมัยและได้มาตรฐานการผลิตที่สอดคล้องต่อ ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แนวทาง 5 เสริมสร้างค่านิยมร่วมในการคิดแบบผู้ประกอบการและความสัมพันธ์ที่ดีในทุกระดับชั้น ภายในองค์กร ผู้ประกอบการควรจัดให้มีการแจ้งและทาความเข้าให้แรงงานได้ทราบถึง วัตถุประสงค์ เป้าหมายความต้องการของผู้ประกอบการและความสาคัญของแรงงานในการดาเนินธุรกิจให้บรรลุ วัตถุประสงค์ในแต่ละช่วงเวลาเพื่อให้แรงงานเกิดความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมในการนาพาองค์กรของ ผู้ประกอบการให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร แนวทาง 6 สนับสนุนการจัดการความรู้ด้านอัญมณีและเครื่องประดับด้วยระบบสารสนเทศและ เทคโนโลยีที่ทันสมัย ผู้ประกอบการควรสนับสนุนให้แรงงานใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการพัฒนาตนเอง ในการหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตเครื่องประดับทั้งที่เป็นความรู้ที่ได้จากการรวบรวมความรู้จาก ประสบการณ์ของแรงงานผู้มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ร่วมกับความรู้ที่ได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิ ภายนอกองค์กร ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นให้เกิดความต้องการพัฒนาตนเองของแรงงานซึ่งจะส่งผลในทางบวก ต่อศักยภาพในด้านการผลิตของผู้ประกอบการ แนวทาง 7 ให้ความสาคัญกับการประเมินความรู้ ทักษะและความสามารถการผลิตของแรงงานเพื่อ นาไปสู่การพัฒนาอย่างจริงจัง ผู้ประกอบการควรจัดให้มีการประเมินความรู้ ทักษะและความสามารถในการ ผลิตของแรงงานเป็นรายบุคคลเพื่อให้แรงงานได้ทราบถึงระดับความรู้ ทักษะและความสามารถของตนเองเป็น การสร้างแรงจูงใจให้แรงงานได้เกิดการพัฒนาความรู้ ทักษะความสนามารถให้เพิ่มมากขึ้นในการตอบสนองต่อ ความต้องการของผู้ประกอบการ แนวทาง 8 สร้างคลังสมองของความรู้ด้านอัญมณีและเครื่องประดับด้วยการพัฒนาแรงงานอาวุโสผู้มี ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับให้เป็นผู้ฝึกสอนที่มีประสิทธิภาพ ผู้ประกอบการควรจัด ให้มีการจัดเก็บความรู้ทั้งในรูปแบบเอกสารและวีดีทัศน์ของชิ้นงาน วิธีการผลิตชิ้นงาน ปัญหาที่เกิดขึ้นและ แนวทางในการแก้ไขปัญหาในแต่ละช่วงเวลาเพื่อเป็นคลังสมองในการนาความรู้ที่ได้จัดเก็บมาเป็นแนวทางใน การพัฒนาแรงงาน 4.1 ข้อจากัดในการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มีข้อจากัดในด้านการสัมภาษณ์เชิงลึกจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา แรงงานทั้งในส่วนของกระทรวงแรงงานและมหาวิทยาลัย ทั้งนี้เนื่องจากการประกาศของรัฐบาลให้หน่วยงาน ราชการลดการให้บริการในหน่วยงานราชการอันเป็นมาจากสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโควิด-19 ทาให้ผู้วิจัย ได้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้องกับ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องประดับไทยเท่านั้น
190 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 4.2 ข้อเสนอแนะ จากผลการศึกษาแนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย พบว่า การพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยยังขาดการสนับสนุนและส่งเสริมอย่างเพียงพอ ข้อเสนอแนะในการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย เพื่อให้แรงงานได้รับการพัฒนา ความรู้ ทักษะความสามารถในด้านการผลิต และเจตคติที่ดีต่ออาชีพ อีกทั้งยังส่งผลต่อการเพิ่มศักยภาพในด้าน การแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องประดับดังนี้ ก) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ภาครัฐควรจัดให้มีนโนบายในการกาหนดให้หน่วยงานของภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องในด้านการพัฒนา แรงงาน ด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรม ด้านการส่งเสริมการส่งออก บูรณาการร่วมกันในการสนับสนุนส่งเสริม การพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับให้เกิดการวางแผน การปฏิบัติ การตรวจสอบ และ การปรับปรุงเป็นไปตามวงจรการควบคุมคุณภาพของเดมิง ดับเบิลยู เอ็ดเวิร์ดส์ (Deming, 2558) เพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้ สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการฝึกอบรมแรงงานให้มีทักษะในการผลิตเครื่องประดับให้ สอดคล้องมาตรฐานระดับสากล โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือ ได้ แก่ กระทรวงแรงงานในการจัดให้มีสถานที่และเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาแรงงานในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ อย่างเพียงพอ สนับสนุนส่งเสริมให้มีการประกวดแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยทั้งในระดับ ภูมิภาคและระดับประเทศ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในต่างประเทศได้รับทราบถึงการให้ ความสาคัญต่อทักษะความสามารถในด้านการรผลิตเครื่องประดับและการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของ อุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย สนับสนุนส่งเสริมแรงงานที่ผ่านการประเมินตามมาตรฐานแรงงานช่างฝีมือ สาขาเครื่องประดับได้รับ การพัฒนาให้เป็นผู้ฝึกสอนแรงงานที่ต้องการเข้าสู่อุตสาหกรรมเพื่อลดปัญหาด้านการขาดแคลนแรงงานของ อุตสาหกรรมและลดปัญหาด้านการขาดแคลนผู้ฝึกสอน สนับสนุนส่งเสริมให้อุตสาหกรรมสร้างนวัตกรรมในการออกแบบชิ้นงานและการผลิตที่ทันสมัย เพื่อให้ เกิดความเชื่อมั่นต่อผู้ประกอบการในต่างประเทศส่งผลให้เกิดความมั่งคั่ง มั่นคง อย่างยั่งยืนให้แก่รายได้จาก การส่งออกของประเทศด้วยการพัฒนาและเผยแผ่ชุดข้อมูลความรู้เพื่อส่งเสริมให้แรงงานในอุตสาหกรรมเกิด แนวคิดในการประยุกต์อัตลักษณ์ทั้งของไทยและต่างประเทศกับการออกแบบชิ้นงาน สนับสนุนส่งเสริมให้แรงงานและผู้ประกอบการได้รับการฝึกอบรมความรู้ในการเป็นผู้ประกอบการ โดยกรมสวัสดิการแรงงานให้แรงงานได้มีความรู้ความเข้าใจในความต้องการของแรงงานและผู้ประกอบการ เป็นการส่งเสริมให้เกิดค่านิยมร่วม สร้างให้ให้แรงงานเกิดความรู้สึกถึงคุณค่าของตนและความภูมิใจที่มีต่อ ความสาเร็จขององค์กรร่วมกัน สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการจัดการความรู้ภายในองค์กรด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยสาหรับ ระบบสารสนเทศ เพื่อก่อให้เกิดการรวบรวม จัดเก็บและการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่อุตสาหกรรมและเป็น
191 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 แนวทางในการรวบรวมและจัดเก็บเป็นความรู้ของอุตสาหกรรมในระดับประเทศ ส่งผลให้ความรู้ที่มีอยู่ไม่เกิด การสูญหายและสามารถนามาพัฒนาสร้างเป็นความรู้ใหม่ สนับสนุนส่งเสริมให้มีการจัดการประเมินระดับทักษะความสามารถในด้านการผลิตของอุตสาหกรรม เครื่องประดับไทยตามมาตรฐานแรงงานช่างฝีมือ สาขาเครื่องประดับเพื่อให้ได้ทราบถึงจานวนแรงงานที่ผ่าน การประเมินในทุกระดับความสามารถและจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลเพื่อนามาปรับปรุงและพัฒนาทักษะ ความสามารถในด้านการผลิต สนับสนุนส่งเสริมให้กรมอาชีวะศึกษา กระทรวงศึกษาธิการนาข้อมูลความรู้ทั้งในภาคทฤษฎีและ ภาคปฏิบัติของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยมาจัดสร้างและบูรณาการให้เป็นคลังสมองของความรู้ด้าน อัญมณีและเครื่องประดับของประเทศไทย เพื่อใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยให้เหมาะสมและ สอดคล้องต่อนโยบายการพัฒนาแรงงาน ดาเนินการตรวจสอบและประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดาเนินการจากผู้ประกอบการ ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับเพื่อนามาปรับปรุงให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องซึ่งจะส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ตาม นโยบายการกาหนดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับโลกต่อไป ข) ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติการ ผู้ประกอบการควรให้ความสาคัญในการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยซึ่ง ส่งผลให้เกิดความพึงพอใจต่อผู้ประกอบการในต่างประเทศ และเกิดความภาคภูมิใจแก่แรงงานในการเป็น แรงงานของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยเพื่อลดปัญหาด้านการขาดแคลนแรงงานช่างฝีมือของอุตสหกรรม เครื่องประดับ ดังนั้นการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของผู้ประกอบการจึงควรมีการดาเนินการวางแผน การปฏิบัติ การตรวจสอบ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงให้การพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของผู้ประกอบการเกิดประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลของผู้ประกอบการอย่างเป็นรูปธรรม เป็นไปตามวงจรการควบคุมคุณภาพของเดมิง ดับเบิลยู เอ็ด เวิร์ดส์ (Deming, 2558) ประกอบด้วย จัดให้มีการฝึกอบรมด้านทักษะความสามารถการผลิตให้แก่แรงงานตามมาตรฐานระดับสากลในสถาน ประกอบการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานการผลิตเครื่องประดับระดับสากลเพื่อให้แรงงานได้รับการพัฒนา ความรู้ ทักษะความสามารถในด้านการผลิตเพื่อลดปัญหาด้านการสูญเสียระหว่างการผลิตและสร้างเจตคติที่ดี ต่อการเป็นแรงงานช่างฝีมือของสถานประกอบการ สนับสนุนส่งเสริมให้จัดการประกวดฝีมือในด้านการออกแบบและการผลิตเครื่องประดับของแรงงาน ในสถานประกอบการเพื่อให้แรงงานได้แสดงออกถึงศักยภาพและแนวคิดในการออกแบบและการผลิต เครื่องประดับส่งผลให้เกิดนวัตกรรมด้านการออกแบบและการผลิตเครื่องประดับเพื่อผู้ประกอบการจะได้ นาไปใช้ในการนาเสนอชิ้นงานใหม่ให้แก่ผู้ประกอบ การในต่างประเทศและยังเป็นการนาแนวทางที่ได้เพื่อ การปรับปรุง แก้ไขและพัฒนากระบวนการผลิตในสถานประกอบการ สนับสนุนให้มีการจัดให้มีการสอนการผลิตเครื่องประดับให้แก่แรงงานในองค์กรเพื่อเป็นการเพิ่มพูน ความรู้ให้แก่แรงงานที่ยังมีประสบการณ์ในด้านการผลิตที่ยังไม่เพียงพอ เพื่อช่วยลดปัญหาด้านการขาดแคลน แรงงานช่างฝีมือและพัฒนาแรงงานช่างฝีมือที่มีอยู่ให้ได้รับทักษะความสามารถในด้านการผลิตที่เพิ่มขึ้น
192 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 สนับสนุนส่งเสริมให้แรงงานมีแนวคิดในการสร้างชิ้นงานเครื่องประดับในรูปแบบใหม่ โดยการนา ภูมิปัญญาอันเป็นอัตลักษณ์ของไทยเป็นแนวทางร่วมกับแนวคิดด้านอัตลักษณ์ของต่างประเทศในการพัฒนา รูปแบบชิ้นงานเครื่องประดับให้มีความแปลกใหม่ที่มีความทันสมัย เสริมสร้างให้เกิดค่านิยมร่วมให้แก่แรงงานในองค์กรโดยให้มีการแจ้งและทาความเข้าให้แรงงานได้ ทราบถึง วัตถุประสงค์ เป้าหมายความต้องการของผู้ประกอบการและความสาคัญของแรงงานในการดาเนิน ธุรกิจให้บรรลุวัตถุประสงค์ในแต่ละช่วงเวลาเพื่อให้แรงงานเกิดความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมในการนาพา องค์กรของผู้ประกอบการให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร สนับสนุนส่งเสริมให้แรงงงานได้มีการพัฒนาตนเองด้วยการจัดหาความรู้ด้านอัญมณีและเครื่องประดับ โดยจัดให้มีสถานที่และเทคโนโลยีด้านสารสนเทศที่ทันสมัยเพื่อให้แรงงานได้มีโอกาสเข้าค้นหาความรู้ได้ด้วย ตนเอง ภายใต้คาแนะนาและช่วยเหลือของบุคลากรที่มีหน้าที่ในการดูแลระบบสารสนเทศ จัดให้มีการประเมินความรู้ ทักษะและความสามารถในการผลิตของแรงงานเป็นรายบุคคลเพื่อให้ แรงงานได้ทราบถึงระดับความรู้ ทักษะและความสามารถของตนเองเป็นการสร้างแรงจูงใจให้แรงงานได้เกิด การพัฒนาความรู้ ทักษะความสนามารถให้เพิ่มมากขึ้น ดาเนินการจัดเก็บความรู้ทั้งในรูปแบบเอกสารและวีดีทัศน์ของชิ้นงาน วิธีการผลิตชิ้นงาน ปัญหาที่ เกิดขึ้นและแนวทางในการแก้ไขปัญหาในแต่ละช่วงเวลาเพื่อเป็นคลังสมองในการนาความรู้ที่ได้จัดเก็บมาเป็น แนวทางในการพัฒนาแรงงาน และแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการผลิตในอนาคต การตรวจสอบผลสัมฤทธิ์จากการดาเนินการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิด การปรับปรุงและพัฒนาแผนการดาเนินการในอนาคตที่ดียิ่งขึ้น ค) ข้อเสนอแนะในการวิจัยในครั้งต่อไป - ควรศึกษาด้านสุขภาวะของแรงงานสถานประกอบการของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยเพื่อ เป็นข้อมูลในด้านพัฒนาองค์กรให้มีความสุขจากการมาทางานและนาไปสู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของคนใน องค์กร - ควรศึกษาเชิงลึกด้านมาตรฐานการผลิตเครื่องประดับระดับสากล เพื่อปรับปรุงและพัฒนา มาตรฐานการผลิตเครื่องประดับไทยให้เข้าสู่ระดับสากล 5. References กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม. (2561). จานวนโรงงานอุตสาหกรรมอัญมณีและ เครื่องประดับ (สะสม) เดือนมกราคม-มีนาคม 2561. กรุงเทพ: ศูนย์ข้อมูลและดิจิทัลอุตสาหกรรม สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ. Retrieved from THTI: https://thaitextile.org/th/insign/ detail.253.1.0.html กองสถิติการค้าไทย กระทรวงพาณิชย์. (2562). สรุปสถิติมูลค่าส่งออกของไทย. กรุงเทพมหานคร: ศูนย์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ .

อาเซียน. ความหลากหลายทางประชากรและสังคมในประเทศไทย, 129-147. จาเนียร จวงตระกูล. (2553). การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ : ทฤษฎีและการปฏิบัติ. กรุงเทพมหานคร: SE-ED. ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ. (2563). สถานการณ์การนาเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยปี 2562. กรุงเทพมหานคร: สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน).

Deming, W. E. (2558). PDCA central to continuous improvement. Retrieved on June 15, 2022, from National Productivity Institute. https://www.ftpi.or.th/2015/2125

John W. Best & James V. Kahn. (1998). Research In Education. A Viacom Company: United State of America.

Krejcie R. V., & Morgan D.W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. In Educational And Psychological Measurement (pp. 607-610). Texas.

Nonaka I. (2007). The Knowledge Creating Company. Howard Business Review 85, pp. 162-171.

193 แนวทางการพัฒนาแรงงานช่างฝีมือของอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทย การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 จงจิตต์ ฤทธิรงค์. (2558). ข้อท้าทายในการผลิตแรงงานฝีมือไทยเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานประชาคมเศรษฐกิจ
194 ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการ ด้านการบินพลเรือนในประเทศ An Exploratory Factor Analysis of Aviation Safety Communication within Organizations for Service Provider to the National Authority 1กฤชมน มีลังค์ และ 2ณัฐนนท์ แก้วมณี 1Kritchamon Meelang and 2Nattanon Kaewmanee 1,2สถาบันการบินพลเรือน 1,2Civil Aviation Training Center, Thailand Email: 1Kritchamon.m@gmail.com, 2Nattanon.funggo@hotmail.com บทคัดย่อ งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับ ผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ โดยทาการเก็บข้อมูลจากผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือน 5 กลุ่ม ได้แก่ สถาบันฝึกอบรมด้านการบิน ผู้ให้บริการการเดินอากาศ ผู้ดาเนินงานสนามบิน ผู้ดาเนินการเดินอากาศ และ ผู้ดาเนินการหน่วยซ่อมด้วยวิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพจากการวิจัยเชิงเอกสาร ร่วมกับการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสาคัญจานวน 10 คน และการวิจัยเชิงปริมาณด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิง สารวจ ศึกษาความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างจานวน 385 คน ด้วยแบบสอบถามจานวน 46 ข้อ ซึ่งแบบสอบถาม ดังกล่าวมีค่าค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคอยู่ที่ .968 ซึ่งในบทความนี้ผู้วิจัยขอนาเสนอในส่วนของการวิจัย เชิงปริมาณ คือ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจเป็นหลัก ผลการวิจัยสามารถสรุปได้ว่าปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ สามารถอธิบายความแปรปรวนของการ สื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กรได้ร้อยละ 62.72 ได้แก่ 1) บทบาทขององค์กรและเทคโนโลยีกับการสื่อสาร 2) ทักษะการสื่อสารกับการประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการสื่อสารภายในองค์กร 3) องค์ความรู้และการพัฒนาบุคลากรที่ เกี่ยวข้อง 4) ลักษณะของการสื่อสารและการเข้าถึงข้อมูล 5) ความน่าเชื่อถือและวัฒนธรรมภายในองค์กร และ 6) กระบวนการติดต่อสื่อสารภายในองค์กร ตามลาดับ คาสาคัญ: ปัจจัยเชิงสารวจ; การสื่อสารด้านนิรภัยการบิน; การสื่อสารภายในองค์กร; นิรภัยการบิน; การสื่อสาร Abstract The purpose of this research is to study an Exploratory Factor
of safety communication within organizations for service provider
collecting
5 groups of service provider as follows: Approved Training Organizations, Air Navigation
Analysis
to the National Authority by
data from the

Service Providers, Airport Operators, Air Operators and Maintenance Repair Organizations by mixed method including qualitative method based on documentary research collaborate with 10 key informant interviews and quantitative research to explore factor analysis from conducting 385 surveys through 46 questionnaires. However, the questionnaire has the coefficient of the Cochran alpha is 0.968 in which this article, researcher illustrates in part of quantitative method focus on exploratory factor analysis

The findings showed that an exploratory factor analysis of safety communication within organizations for service provider to National Authority consists of six components that 62.72% of the variance in aviation safety communication within organizations can be explained as follows: 1) The role of organization and technology with communication 2) The skill of communication with applied for improve communication within organizations 3) Personnel knowledge and involvement 4) Feature of communication and data access 5) Reliable and culture within organizations 6) Communication procedure within organizations respectively.

Keywords: Exploratory Factor Analysis; Aviation Safety Communication; Communication within Organizations; Aviation Safety; Communication

ISBN 978-616-7754-78-9

195 ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 |
1. บทนา ระบบการจัดการด้านนิรภัยการบิน (Safety Management System) หรือระบบการจัดการด้านความปลอดภัย คือ แนวทางเชิงระบบในการบริหารจัดการด้านนิรภัยการบิน ซึ่งแนวทางดังกล่าวหมายรวมถึงด้านโครงสร้างองค์กร การแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ รวมถึงนโยบาย และกระบวนการดาเนินงาน (DOC 9859 Safety Management Manual, Fourth Edition, 2018) ซึ่งระบบดังกล่าวจะช่วยสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติงานด้านการบินด้วยการ บริหารงานเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ โดยมีกรอบในการดาเนินงานหลักทั้งสิ้น 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 นโยบาย และเป้าประสงค์ด้านความปลอดภัย (Safety Policy and Objective) ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่ การกาหนดนโยบาย ตัวบุคคล ตลอดจนหน้าที่รับผิดชอบเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดาเนินงานที่เกี่ยวข้องกับด้านนิรภัยการบิน, ส่วน ที่ 2 การบริหารความเสี่ยง (Safety Risk Management) จะมุ่งเน้นในการค้นหา และระบุความเสี่ยงเพื่อที่จะหา มาตราการในการลด หรือควบคุมความเสี่ยงที่เกิดขึ้นให้อยู่ในระดับที่สามารถยอมรับได้เพื่อให้เกิดความปลอดภัย สูงสุด, ส่วนที่ 3 การประกันคุณภาพด้านความปลอดภัย (Safety Assurance) เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการ ดาเนินงาน รวมไปถึงการบริหารจัดการความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ และส่วนที่ 4 การส่งเสริม ด้านความปลอดภัย (Safety Promotion) ซึ่งถือเป็นสิ่งที่มีความจาเป็น และมีความสาคัญในการสร้าง สภาพแวดล้อมเพื่อให้วัตถุประสงค์ด้านความปลอดภัยบรรลุผล (FAA, 2010) นอกจากนี้ยังเป็น การ สนับสนุน และส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความตระหนักในเรื่องความปลอดภัย (Safety Awareness) และถือเป็น แนวทางในการดาเนินงานเชิงรุก (Proactive Method) ตามระบบการจัดการด้านนิรภัยการบินซึ่งจะต้องอาศัย ความร่วมมือกันจากทุกภาคส่วนขององค์กรเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่มีความปลอดภัย ถึงแม้ว่าองค์กรนั้นจะมี
196 ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 การออกแบบด้านความปลอดภัยเป็นอย่างดี ผู้ปฏิบัติงานได้รับการฝึกอบรมอย่างทั่วถึง หรือขั้นตอนปฏิบัติงาน (Task Procedure) ถูกบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง การส่งเสริมด้านความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพยังคงมีความสาคัญ อย่างยิ่ง เพราะการป้องกันเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยขึ้นอยู่กับการจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานทางานด้วยความตระหนัก เกี่ยวกับปลอดภัย และการมีส่วนร่วมมากกว่าพฤติกรรมที่เกิดจากความบกพร่อง และการฝ่าฝืนของบุคคลที่ เกี่ยวข้อง (สิทธิปัฐพ์ มงคลอภิบาลกุล, 2559) ที่จะส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยเชิงบวก (Positive Safety Culture) ทั่วทั้งองค์กร โดยประกอบไปด้วย 2 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ การศึกษาด้านความปลอดภัย (Training and Education) และการสื่อสารด้านนิรภัยการบิน (Safety Communication) การสื่อสารด้านนิรภัยการบิน คือ การที่ผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือน (Service Provider) จะต้องสื่อสาร เกี่ยวกับประเด็นปัญหา วัตถุประสงค์ และขั้นตอนการปฏิบัติงานขององค์กรให้กับบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องรับรู้ รับทราบ และเกิดความเข้าใจทั่วทั้งองค์กร (DOC 9859 Safety Management Manual, Fourth Edition, 2018) ซึ่งรูปแบบการสื่อสารที่พบในปัจจุบันได้แก่ การจัดทาจดหมายข่าว (Safety Newsletter), การจัดทาประกาศ (Notices), สรุปประเด็นสาคัญ (Briefings) หรือการฝึกอบรม (Training Course) เป็นต้น ซึ่งผู้ที่ทาหน้าที่ในการส่ง สาร ตลอดจนออกแบบ หรือจัดทาสื่อเพื่อใช้ในการสื่อสารดังกล่าว คือ ผู้จัดการด้านความปลอดภัย (Safety Manager) หรือเจ้าหน้าที่นิรภัยการบิน (Safety Officer) ซึ่งจะมีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ที่แตกต่าง กันไปตามบริบทการดาเนินงานของแต่ละองค์กร นอกจากนี้ในเรื่องของการสื่อสารด้านนิรภัยการบินยังถูกกาหนดให้เป็นกิจกรรมที่ควรดาเนินการในระยะที่ 1 ของการนาระบบการจัดการด้านนิรภัยการบินเข้ามาปรับใช้ในองค์กร ตามคาแนะนาขององค์การการบินพลเรือน ระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกิดความ ตระหนักรู้ของบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องจนเกิดเป็นวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยเชิงบวกทั่วทั้งองค์กร (DOC 9859 Safety Management Manual, Third Edition, 2013) แต่ในปัจจุบันการสื่อสารด้านนิรภัยการบินมักเกิดอุปสรรคต่าง ๆ ที่ทาให้การสื่อสารไม่ประสบความสาเร็จ เนื่องจากเป็นการสื่อสารแบบไร้ทิศทาง ไม่สามารถเข้าถึงบุคลากรในองค์กรได้ทุกระดับ เกิดความไม่เข้าใจกับ ประเด็นที่หน่วยงานด้านนิรภัยการบินต้องการนาเสนอ ตลอดจนบุคลากรที่เกี่ยวข้องมีความเมินเฉยต่อข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งส่งผลให้ไม่เกิดความตระหนักรู้ หรือวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยเชิงบวกทั่วทั้งองค์กร ตลอดจนไม่สามารถ ป้องกัน หรือลดอุบัติเหตุ อุบัติการณ์รุนแรง หรืออุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากมีคนจานวนมากที่เกี่ยวข้องกับ ด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติงานด้านการบิน จึงต้องหาเทคนิคในการสื่อสารและประสานงานที่มี ประสิทธิภาพในการทาความเข้าใจให้บุคลากรในองค์กรยอมรับและปฏิบัติตาม ประกอบกับในส่วนของประเทศไทย ก็ยังไม่ได้มีการกาหนดแนวทางที่ชัดเจนว่าจะต้องดาเนินการสื่อสารด้านนิรภัยการบินอย่างไร หรือข้อมูลแต่ละ ประเภทควรนาเสนอออกมาในรูปแบบใดมีเพียงแค่การกาหนดว่าผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนควรจะต้องมี กลยุทธ์ในการสื่อสารด้านนิรภัยการบินออกไปด้วยวิธีการที่เหมาะสม (DOC 9859 Safety Management Manual, Fourth Edition, 2018) จากปัญหาการสื่อสารด้านนิรภัยการบินที่กล่าวมาข้างต้น คณะผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะศึกษาและวิเคราะห์ปัจจัย เชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศว่ามีปัจจัย
197 ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ใดบ้างที่จะทาให้เกิดการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนาผลวิเคราะห์ที่ได้มา พัฒนารูปแบบการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กรให้มีแบบแผนมากยิ่งขึ้น โดยจะทาการศึกษาจาก ผู้ปฏิบัติงานภายในอุตสาหกรรมการบินของหน่วยงานผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศทั้ง 7 กลุ่ม ตาม แผนนิรภัยการบินพลเรือนแห่งชาติ และนาผลที่ได้สรุปเป็นปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายใน องค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ ซึ่งคณะผู้วิจัยคาดหวังว่าผลการวิจัยจะทาให้ทราบถึง ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และสามารถเป็นต้นแบบในการวางแนวทางในการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับ ผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศไทย เพื่อก่อให้เกิดความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัย จนสามารถพัฒนา ให้เกิดวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยเชิงบวกทั้งในระดับองค์กร และระดับประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้การดาเนินงาน ด้านนิรภัยการบินในประเทศไทยเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ มีมาตรฐานตามหลักสากล 1.1 วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนใน ประเทศ 1.2 การทบทวนวรรณกรรม การสื่อสาร (communication) หมายถึง กระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็น ความต้องการจากผู้ส่งสารโดยผ่านสื่อต่าง ๆ ที่อาจเป็น(Sender) สาร (Message) สื่อ (Channel) และผู้รับสาร (Receiver) ซึ่งในบางกรณีอาจมีเรื่องของปฏิกิริยาตอบสนองหรือปฏิกิริยาโต้ตอบ (Feedback) จากผู้รับสารด้วย การสื่อสารแต่ละครั้งก็ต้องคานึงถึงด้วยว่า ประสบความสาเร็จหรือไม่ มีผล สัมฤทธิผลมากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ เบอร์โลได้อธิบายถึงลักษณะของสื่อในแบบจาลองว่าต้องเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับแหล่งสาร ข่าวสารและผู้รับสารอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การสื่อสารจะประสบผลสาเร็จมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่ กับองค์ประกอบทั้ง 4 ประการ (อรุณรัตน์ ชินวรณ์, 2553) วัฒนธรรมองค์กร คือ ระบบของสิ่งที่ก่อให้เกิดความเข้าใจกันในแนวทางการประพฤติ และแนวทางในการ ทางานและความสัมพันธ์ (Glue) ในองค์กรนั้น ๆ ซึ่งสามารถชี้ได้ว่าวัฒนธรรมองค์กรตามความหมายที่มีการศึกษา ผลในการวางแผนการบริหาร (Management) องค์กรโดยตรง เป็นสิ่งที่กาหนดทิศทางในการวางกลยุทธ์ (Strategy) และรวมไปถึงเป็นแนวโน้มในการสร้างวิสัยทัศน์ (Vision) ขององค์กรนั้น ๆ เป็นแนวทางที่องค์กรใช้เป็นหลักในการ สร้างองค์กรให้ประสบความสาเร็จ (วรวุฒิ กิจสิริศาล, 2553) ระบบการจัดการด้านนิรภัยการบิน หมายถึง วิธีการจัดการด้านนิรภัยการบิน และด้านนิรภัยภาคพื้น เพื่อ ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงการกาหนดนโยบาย การวางแผน การจัดโครงสร้างองค์กร ระบบความ รับผิดชอบ และวิธีการที่จาเป็นเพื่อความปลอดภัย (กรมการบินพลเรือน, 2497)
198 ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 2. วิธีดาเนินการวิจัย 1) การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน โดยแบ่งออกเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพในระยะแรก และการวิจัยเชิง ปริมาณในระยะที่สอง ซึ่งในบทความนี้ผู้วิจัยจะขอเสนอในส่วนของการวิจัยในระยะที่สองเป็นหลัก โดยมีประชากร คือ ผู้ปฏิบัติงานด้านการบินในอุตสาหกรรมทั้ง 5 กลุ่ม ตามแผนนิรภัยการบินพลเรือนแห่งชาติ ทั้งนี้ เนื่องจาก ผู้วิจัยไม่ทราบจานวนประชากรที่แน่นอนจึงกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยการใช้การคานวณตามสูตรของคอแค รน (Cochran, 1977) ระดับความเชื่อมั่น 95% ความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ 5% และสัดส่วนของลักษณะ ประชากรที่สนใจเท่ากับ 0.05 ของประชากรที่ต้องการได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 385 คน ใช้วิธีการเลือกสุ่มตัวอย่าง แบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ผลตั้งแต่เดือน พฤษภาคม – กันยายน 2565 2) การวิจัยเชิงคุณภาพระยะที่ 1 ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง จานวน 12 ทฤษฎี พบตัวแปรทั้งสิ้น 43 ตัวแปร ศึกษาจากงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ จานวน 10 งานวิจัย พบตัวแปรทั้งสิ้น 55 ตัวแปร และศึกษาจาก การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสาคัญด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) จานวน 10 ท่าน พบตัวแปร ทั้งสิ้น 49 ตัวแปร จากนั้นนาข้อมูลที่ได้มาทาการวิเคราะห์เนื้อหา จัดทาตารางสังเคราะห์ พิจารณาหาความซ้าซ้อน บูรณาการตัวแปรที่มีความสอดคล้องกันออกมาเป็นตัวแปรการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กรฯ จานวน 46 ตัวแปร 3) นาตัวแปรที่ได้มาสร้างแบบสอบถามจานวน 46 ข้อ จัดทาในรูปแบบชนิดมาตราส่วน 5 ระดับของ ลิเคิร์ท และนามาตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 ท่าน เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้อง โดยเลือกข้อคาถามที่มีค่าคอมสอดคล้องไม่ต่ากว่า 0.5 และปรับปรุงแบบบสอบถามตามข้อเสนอแนะของ ผู้เชี่ยวชาญได้แบบสอบถามทั้งสิ้น จานวน 46 ข้อ 4) นาแบบสอบถามที่ได้ไปทดลองใช้กับประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน เพื่อหาค่าความเชื่อมั่นของ แบบสอบถาม โดยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.968 ซึ่งมากกว่า 0.7 แสดงว่า แบบสอบถามมีความเชื่อมั่นในระดับที่ยอมรับได้ และสามารถนาไปใช้เป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล 5) นาแบบสอบถามไปใช้เก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง จานวน 385 คน และได้แบบสอบถามกลับมาทั้งสิ้น 384 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 99.74 จากนั้นใช้การวิเคราะห์ค่าระดับความคิดเห็นโดยพิจารณาจากค่าเฉลี่ย (�� ̅ ) ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของตัวแปรทั้ง 46 ตัวตามแนวคิดของเบสท์ 6) นาผลการเก็บข้อมูลวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการ ด้านการบินพลเรือนในประเทศ (Exploratory Factor Analysis) ด้วยวิธีสกัดปัจจัย (Principle Component Analysis; PCA) และหมุนแกนแบบตั้งฉาก (Orthogonal rotation) ด้วยวิธีแวริแมกซ์ (Varimax rotation) และ กาหนดเกณฑ์ปัจจัย โดยพิจารณาจากค่าความแปรปรวนของตัวแปร (Eigenvalue) ที่มากกว่า 1 และถือเอาค่า น้าหนักปัจจัย (Factor Loading) ของตัวแปรแต่ละตัวที่มีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไปที่บรรยายด้วยตัวแปรตั้งแต่ 3 ตัว แปรขึ้นไปตามวิธีของไกเซอร์ (Kaiser) และสรุปออกมาเป็นการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ
199 ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 3. ผลการศึกษา 1) ผลการวิเคราะห์ค่าระดับความคิดเห็นโดยพิจารณาจากค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวแปรทั้ง 46 ตัวแปร ตามแนวคิดของเบสท์เรียงลาดับจากมากไปน้อยผลการศึกษา พบว่า ในภาพรวมตัวแปรทั้ง 46 ตัว แปรมีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 3.69 – 4.67 แสดงว่ากลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวแปรโดยเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมาก โดยตัวแปรที่มีค่าเฉลี่ย (�� ) มากที่สุด 3 ลาดับแรก ได้แก่ ตัวแปรที่ 1 เจ้าหน้าที่นิรภัยการบินมี ความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการสื่อสารนั้น และมีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวสารที่ส่งออกไป มีค่าเฉลี่ย (�� ) 4.67 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 0.60 รองลงมาตัวแปรที่ 38 รูปแบบการสื่อสารในองค์กรมีลักษณะ เป็นการสื่อสารสองทาง (Two way communication) และพนักงานภายในองค์กรมีส่วนร่วม มีค่าเฉลี่ย (�� ) 4.66 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 0.50 และลาดับที่ 3 ตัวแปรที่ 18 สารที่สื่อออกไปมีความน่าสนใจ เนื้อหา สั้นกระชับสามารถเข้าใจได้ง่าย และเลือกใช้ภาษาที่ไม่กากวม มีค่าเฉลี่ย (�� ) 4.61 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 0.65 2) ผลการตรวจสอบความเหมาะสมของข้อมูลเบื้องต้นในการวิเคราะห์องประกอบ (Kaiser-Mayer-Olkin Measure of Sampling Adequacy: KMO) พบว่า KMO มีค่าเท่ากับ .854 ซึ่งมีค่ามากกว่า 0.5 แสดงให้เห็น ว่าสารสนเทศของข้อมูลที่วิเคราะห์มีความเหมาะสมในระดับดีและมีข้อมูลที่เพียงพอสามารถวิเคราะห์ปัจจัยได้ และเมื่อทดสอบสมมติฐานด้วย Bartlett’s test of Sphericity พบว่าค่าไคสแควร์เท่ากับ 15,165.06 มีค่า ความน่าจะเป็นในการปฏิเสธสมมติฐานว่าง (Null Hypothesis) เท่ากับ
ริกซ์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของตัวแปรไม่เป็นเมทริกซ์เอกลักษณ์ (
นั่นคือตัวแปรต่าง ๆ มี ความสัมพันธ์กัน ดังนั้น ข้อมูลจะมีความเหมาะสมสามารถนาไปวิเคราะห์องค์ประกอบต่อไปได้ 3) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจเพื่อสกัดตัวแปรให้เหลือตัวแปรที่เป็น องค์ประกอบสาคัญ ผู้วิจัยใช้วิธีการสกัดองค์ประกอบโดยกาหนดจานวนองค์ประกอบอยู่ที่ 2 – 8 องค์ประกอบ และใช้วิธีการพิจารณาค่าความแปรปรวนของตัวแปร (Eigenvalues) ประกอบกัน จากการพิจารณาของผู้วิจัย พบว่า การกาหนดจานวน 6 ปัจจัย มีความเหมาะสมที่สุดในการอธิบายการวิเคราะห์ปัจจัยในครั้งนี้ นอกจากนี้ เมื่อใช้เกณฑ์ในการพิจารณาว่าความแปรปรวนของปัจจัยที่อธิบายได้ด้วยข้อคาถามย่อย (Eigenvalues) ควรมี ค่ามากกว่า 1 โดยผลสนับสนุนว่าปัจจัยที่วิเคราะห์ได้ทั้ง 6 ปัจจัยย่อยนี้มีเงื่อนไขเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ทั้ง 6 องค์ประกอบมีค่าความแปรปรวนของตัวแปร (Eigenvalues) อยู่ ระหว่าง 2.30 ถึง 7.16 และมีร้อยละความแปรปรวน (Percent of Variance) อยู่ระหว่าง 4.99 ถึง 15.57 โดยข้อคาถามทั้ง 46 ข้อสามารถอธิบายความแปรปรวนของปัจจัยทั้งหมดได้ร้อยละ 62.72 จากการพิจารณา ค่าน้าหนักปัจจัย (Factor Loading) ของตัวแปรแต่ละตัวของปัจจัยนั้น โดยถือเกณฑ์ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป และ แต่ละปัจจัยต้องมีตัวแปรที่ใช้อธิบายตั้งแต่ 3 ตัวแปรขึ้นไป พบว่าทุกปัจจัยประกอบด้วยการอธิบายจากตัวแปร หรือคาถามย่อยทั้งหมด 43 ตัวแปร โดยมีตัวแปรหรือคาถามที่ตัดออกทั้งหมด 3 ตัวแปร ที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ ของค่าน้าหนักปัจจัย
0.000 ซึ่งน้อยกว่า 0.05 แสดงว่าเมท
Identity Matrix)
200 ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ตารางที่ 1: ค่าความแปรปรวน ค่าร้อยละของความแปรปรวน และค่าร้อยละสะสมของความแปรปรวนของ องค์ประกอบจากการสกัดปัจจัย และหมุนแกนปัจจัย ปัจจัย (Facto r ) Extraction Sums of Squared Loadings Rotation Sums of Squared Loadings ค่าความแปรปรวน (Eigenvalue) ค่าร้อยละของความ แปรปร วน (% of Varian ce) ค่าร้อยละสะสมของ ความ แปรปรวน (Cumulat ive % of Variance) ค่าความแปรปรวน (Eigenvalue) ค่าร้อยละของความ แปรปร วน (% of Varian ce) ค่าร้อยละสะสมของ ความ แปรปรวน (Cumulat ive % of Variance) 1 17.48 37.99 37.99 7.16 15.57 15.57 2 4.07
3
4
5
6
โดยแต่ละองค์ประกอบมีตัวแปรต่าง ๆ โดยจัดเรียงลาดับความสาคัญตามค่าน้าหนักปัจจัย ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 ประกอบไปด้วยตัวแปรบรรยาย จานวน 13 ตัวแปร (ได้แก่ตัวแปรที่ 45, 35, 42, 37, 33, 23, 46, 44, 20, 34, 21, 22 และ 29) มีค่าน้าหนักอยู่ระหว่าง 0.542 – 0.747 โดยตัวแปรสาคัญ 3 ลาดับแรก ได้แก่ ตัวแปรที่ 45 กระบวนการตรวจสอบความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร (0.747) ตัวแปรที่ 35 พนักงานในองค์กรมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน (0.723) และตัวแปรที่ 42 มีการอบรมด้านนิรภัยการบิน เป็นประจาสม่าเสมอ (0.707) โดยผู้วิจัยตั้งชื่อองค์ประกอบนี้ว่า “องค์ประกอบที่ 1 บทบาทขององค์กรและ เทคโนโลยีการสื่อสาร” องค์ประกอบที่ 2 ประกอบไปด้วยตัวแปรบรรยาย จานวน 10 ตัวแปร (ได้แก่ตัวแปรที่ 4, 3, 2, 12, 11, 7, 5, 8, 9 และ 14) มีค่าน้าหนักอยู่ระหว่าง 0.504 – 0.776 โดยตัวแปรสาคัญ 3 ลาดับแรก ได้แก่ ตัวแปรที่ 4 เจ้าหน้าที่นิรภัยการบินมีการส่งข้อมูลเป็นประจา สม่าเสมอ และมีความเหมาะสม (0.776) ตัวแปรที่ 3 เจ้าหน้าที่นิรภัยการบินมีการติดตามผลหลังจากที่ส่งสารออกไป (0.759) และตัวแปรที่ 2 เจ้าหน้าที่นิรภัย การบินมีความตั้งใจที่จะสื่อสาร และสามารถสื่อสารได้อย่างเป็นกลางโดยไม่ต้องเกรงกลัวผลที่จะตามมา (0.721) โดยผู้วิจัยตั้งชื่อองค์ประกอบนี้ว่า “องค์ประกอบที่ 2 ทักษะการสื่อสารกับการประยุกต์ใช้เพื่อ พัฒนาการสื่อสารภายในองค์กร” องค์ประกอบที่ 3 ประกอบไปด้วยตัวแปรบรรยาย จานวน 8 ตัวแปร (ได้แก่ตัวแปรที่ 26, 25, 27, 24, 28, 30, 1 และ 10) มีค่าน้าหนักอยู่ระหว่าง 0.507 – 0.738 โดยตัวแปรสาคัญ 3 ลาดับแรก ได้แก่ ตัวแปรที่ 26 พนักงานในองค์กรมีประสบการณ์ หรือภูมิหลังด้านนิรภัยการบินที่ดี (0.738) ตัวแปรที่ 25 พนักงานในองค์กร มีความรู้พื้นฐานด้านนิรภัยการบิน และปฏิบัติตามคาแนะนาของเจ้าหน้าที่นิรภัยการบินในองค์กรอย่าง
8.85 46.84 6.40 13.91 29.48
2.13 4.63 51.46 5.88 12.79 42.26
1.89 4.11 55.58 3.99 8.67 50.94
1.79 3.88 59.46 3.12 6.79 57.72
1.50 3.26 62.72 2.30 4.99 62.72
201 ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 สม่าเสมอ (0.696) และตัวแปรที่ 27 พนักงานในองค์กรมีความใส่ใจต่อข่าวสารรอบตัว และเล็ง เห็นถึง ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดในกรณีที่ได้รับสารไม่ถูกต้อง (0.684) โดยผู้วิจัยตั้งชื่อองค์ประกอบนี้ว่า “องค์ประกอบ ที่ 3 องค์ความรู้ และการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องภายในองค์กร” องค์ประกอบที่ 4 ประกอบไปด้วยตัวแปรบรรยาย จานวน 5 ตัวแปร (ได้แก่ตัวแปรที่ 18, 38, 19, 41 และ 13) มีค่าน้าหนักอยู่ระหว่าง 0.504 – 0.698 โดยตัวแปรสาคัญ 3 ลาดับแรก ได้แก่ ตัวแปรที่ 18 สารที่สื่อ ออกไปมีความน่าสนใจ เนื้อหาสั้นกระชับสามารถเข้าใจได้ง่าย และเลือกใช้ภาษาที่ไม่กากวม (0.698) ตัวแปรที่ 38 รูปแบบการสื่อสารในองค์กรมีลักษณะเป็นการสื่อสารสองทาง (Two way communication) และ พนักงานภายในองค์กรมีส่วนร่วม (0.609) และตัวแปรที่ 19 สารที่สื่อออกไปสามารถเปิดเผยได้ (0.582) โดย ผู้วิจัยตั้งชื่อองค์ประกอบนี้ว่า “องค์ประกอบที่ 4 ลักษณะของการสื่อสารและการเข้าถึงข้อมูล” องค์ประกอบที่ 5 ประกอบไปด้วยตัวแปรบรรยาย จานวน 4 ตัวแปร (ได้แก่ตัวแปรที่ 40, 6, 36 และ 32) มี ค่าน้าหนักอยู่ระหว่าง 0.541 – 0.571 โดยตัวแปรสาคัญ 3 ลาดับแรก ได้แก่ ตัวแปรที่ 40 มีการจัดระดับ ความสาคัญของข้อมูลที่สื่อสาร เช่น ความเร่งด่วนของข้อมูล (0.571) ตัวแปรที่ 6 เจ้าหน้าที่นิรภัยการบินมี ความน่าเชื่อถือ และมีกระบวนการการกลั่นกรองสาร (0.569) และตัวแปรที่ 36 องค์กรมีวัฒนธรรมในการให้ ความสาคัญกับการสื่อสารภายในองค์กร (0.542) โดยผู้วิจัยตั้งชื่อองค์ประกอบนี้ว่า “องค์ประกอบที่ 5 ความ น่าเชื่อถือและวัฒนธรรมภายในองค์กร” องค์ประกอบที่ 6 ประกอบไปด้วยตัวแปรบรรยาย จานวน 3 ตัวแปร (ได้แก่ตัวแปรที่ 16, 43 และ 15) มีค่า น้าหนักอยู่ระหว่าง 0.568 – 0.751 โดยตัวแปรสาคัญ 3 ลาดับแรก ได้แก่ ตัวแปรที่ 16 องค์กรเลือกใช้ช่องทาง หรือวิธีการการสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ เช่น การสื่อสารแบบปากต่อปาก เป็นต้น (0.751) ตัวแปรที่ 43 องค์กรมีความแตกต่างด้านตาแหน่งหน้าที่ในการปฏิบัติงาน และระดับความรู้ด้านนิรภัยการบินไม่มาก (0.648) และตัวแปรที่ 15 องค์กรเลือกใช้ช่องทาง หรือวิธีการการสื่อสารแบบเป็นทางการ (0.568) โดยผู้วิจัยตั้งชื่อ องค์ประกอบนี้ว่า “องค์ประกอบที่ 6 กระบวนการติดต่อสื่อสารภายในองค์กร” 3.1 องค์ความรู้ใหม่ การวิจัยเรื่องปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบิน สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือน ตาม แนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ โดยผู้วิจัยสามารถสรุปผลการวิจัยซึ่งถือเป็นองค์ความรู้ที่ได้ จากการทาการวิจัยดังแผนภาพต่อไปนี้
202 ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 1: ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบิน สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือน ตามแนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ 4. สรุปผล จากผลจากการวิจัยสามารถสรุปได้ว่าปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบิน สาหรับผู้ให้บริการด้านการ บินพลเรือน ตามแนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ประกอบไปด้วย 6 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยที่ 1 บทบาทขององค์กรและเทคโนโลยีกับการสื่อสาร ปัจจัยที่ 2 ทักษะการสื่อสารกับการประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการ สื่อสารภายในองค์กร ปัจจัยที่ 3 องค์ความรู้และการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ปัจจัยที่ 4 ลักษณะของการสื่อสาร และการเข้าถึงข้อมูล ปัจจัยที่ 5 ความน่าเชื่อถือและวัฒนธรรมภายในองค์กร และปัจจัยที่ 6 กระบวนการ ติดต่อสื่อสารภายในองค์กร 4.1 อภิปรายผลการวิจัย จากผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ พบว่า ปัจจัยการสื่อสารด้านนิรภัยการบิน สาหรับผู้ให้บริการด้านการบิน พลเรือน ตามแนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศประกอบไปด้วย 6 ปัจจัย ซึ่งมีความสอดคล้องกับ การศึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การสื่อสารข้อมูลข่าวสารผ่านเฟซบุ๊กเพจในจังหวัดพิษณุโลกของกนกนาถ ลิขิตไพรวัลย์ (2563) ที่ได้กล่าวไว้ว่า ปัจจัยที่เกี่ยวกับการสื่อสารกลยุทธ์มีทั้งสิ้น 7 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านสาร 2) ด้านผู้ส่งสาร คุณสมบัติของผู้ส่งสาร และบทบาทหน้าที่ในการคัดกรองข่าวสาร 3) ด้านผู้รับสาร พฤติกรรมเลือกเปิดรับสารของ ผู้รับสาร 4) ด้านช่องทางการสื่อสาร 5) ด้านอารมณ์และความรู้สึกของทั้งผู้รับสาร สาร และผู้ส่งสาร 6) ด้าน ผลประโยชน์ และ 7) ด้านบริบทจังหวัดพิษณุโลก และผลการศึกษาของจิราวรรณ ยิ้มปลื้ม (2561) ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับ ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการสื่อสารในองค์กรของสานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ได้กล่าวไว้ว่า ปัจจัยที่อยูในระดับมากลาดับแรก คือ ปัจจัยทักษะในการสื่อสารของผู้ส่งสารที่ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการสื่อสารและปัจจัยทักษะในการสื่อสารของผู้รับสารที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการสื่อสาร ถัด ปัจจัยการสื่อสารด้านนิรภัยการบิน สาหรับผู้ ให้บริการด้านการบินพลเรือน ตาม แนวทางขององค์การการบินพลเรือน ระหว่างประเทศ ปัจจัยที่ 1 บทบาทขององค์กร และเทคโนโลยีกับ การสื่อสาร ปัจจัยที่ 3 องค์ความรู้และการ พัฒนาบุคลากรที่ เกี่ยวข้อง ปัจจัยที่ 2 ทักษะการสื่อสารกับการ ประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาการ สื่อสารภายในองค์กร ปัจจัยที่ 4 ลักษณะของการ สื่อสารและการ เข้าถึงข้อมูล ปัจจัยที่ 6 กระบวนการ ติดต่อสื่อสารภายใน องค์กร ปัจจัยที่ 5 ความน่าเชื่อถือ และวัฒนธรรมภายใน องค์กร
203 ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 มาได้แก่ ปัจจัยการรับรู้และเข้าใจข่าวสารจากช่องทางต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนปัจจัยที่อยู่ในระดับมาก ลาดับสุดท้าย คือ ปัจจัยการรับรู้และเข้าใจประเภทของข่าวสารต่อไปนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.2 ข้อเสนอแนะ ก) ข้อเสนอแนะจากการวิจัย 1) ผลการศึกษาปัจจัยในการสื่อสารด้านนิรภัยการบินของผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในครั้งนี้เหมาะ สาหรับการใช้งานในบริบทของอุตสาหกรรมการบิน หากต้องการนาไปใช้งานในบริบทอื่น ๆ จาเป็นต้องปรับปรุง แก้ไขตัวแปร และปัจจัยให้เหมาะสมกับบริบทของอุตสาหกรรมนั้น ๆ 2) การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ได้ทาการศึกษาจากประชากรผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือน (Service Provider) เพียง 5 กลุ่มเท่านั้น เนื่องจากในขณะทาการศึกษายังไม่มีหน่วยงานผู้ดาเนินการบินทั่วไป (General Aviation) และผู้ออกแบบและผลิตผลิตภัณฑ์ (Aircraft/Product Design and Manufacturers) ที่จดทะเบียนใน ประเทศไทย ดังนั้น หากมีการจดทะเบียนหน่วยงานทั้ง 2 ประเภทอย่างเป็นทางการแล้วอาจจะต้องทาการศึกษาใหม่ อีกครั้ง ข) ข้อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งต่อไป 1) ควรนาผลการศึกษาปัจจัยในการสื่อสารด้านนิรภัยการบินของผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนไป วิเคราะห์ปัจจัยเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis; CFA) เพื่อยืนยันโครงสร้างของปัจจัย 2) การศึกษาปัจจัยในการสื่อสารด้านนิรภัยการบินของผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในครั้งนี้เป็น การศึกษาในบริบทของการสื่อสารภายในหน่วยงานเท่านั้น ดังนั้น ในการศึกษาครั้งต่อไปควรจะนาผลการศึกษาที่ได้ ในครั้งนี้ไปศึกษาเปรียบเทียบกับผลการศึกษาปัจจัยการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านนิรภัยการบินระหว่างหน่วยงานเพื่อหา ว่าการสื่อสารภายในหน่วยงาน และการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานมีปัจจัยที่มีความแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร 5. References กนกนาถ ลิขิตไพรวัลย์. (2563). กลยุทธ์การสื่อสารข้อมูลข่าวสารผ่านเฟซบุ๊กเพจในจังหวัดพิษณุโลก. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, สาขาวิชาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยนเรศวร. จิราวรรณ ยิ้มปลื้ม (2561). ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการสื่อสารในองค์กรของสานักงานคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะ นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ชิดชนก เชิงเชาว์. (2539). วิธีวิจัยทางการศึกษา. ปัตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2540) วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.
วรวุฒิ กิจสิริศาล.
รฟม. โครงการรถไฟฟ้า ลัดดาวัลย์ เพชรโรจน์ และอัจฉรา ชานิประศาสน์.
(พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ: ศูนย์ หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
(2553). วัฒนธรรมองค์การที่ปรึกษาออกแบบรถไฟฟ้าของ
(2547). ระบียบวิธีการวิจัย. กรุงเทพฯ: พิมพ์ดีการพิมพ์.

อรุณรัตน์ ชินวรณ์ (2533). สื่อประชาสัมพันธ์. กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Best, John W. (1977). Research in Education. 3 rd ed. Englewood Cliffs. New Jersey : Prentice Hall, Inc.

Cochran, W.G. (1977). Sampling Techniques. 3rd ed. New York : John Wiley and Sons Inc.

ICAO. (2016). Annex 19 Safety Management: Second Edition. International Civil Aviation Organization

ICAO. (2013). Doc 9859 Safety Management Manual –SMM: Third Edition. International Civil Aviation Organization

ICAO. (2018). Doc 9859 Safety Management Manual –SMM: Forth Edition. International Civil Aviation Organization

204 ปัจจัยเชิงสารวจการสื่อสารด้านนิรภัยการบินภายในองค์กร สาหรับผู้ให้บริการด้านการบินพลเรือนในประเทศ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN
978-616-7754-78-9
205 มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน Promotion Measures the Public Perception of Thai Aviation Laws and Regulations towards UAV. 1 ชาติชาย เจริญสุข และ 2 วิลาสินี รัตรนบุตรชัย 1 Chartchai Charoensook and 2 Vilasinee Rattanabutchai 1, 2สถาบันการบินพลเรือน 1, 2Civil Aviation Training Center, Thailand. Email: 1pigstone01@gmail.com บทคัดย่อ งานวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงสารวจ แบบผสมผสาน มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาระดับการรับรู้ กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย ของผู้ที่ครอบครองอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน 2) เพื่อระบุ มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับการใช้อากาศยานซึ่งไม่มี นักบิน และ 3) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับ การบินประเทศไทย เกี่ยวกับการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน โดยนาบทสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูล สาคัญ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการบิน ผู้ทรงคุณวุฒิ และเจ้าหน้าที่สานักงานการบินพลเรือนแห่ง ประเทศไทย เกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับมาสังเคราะห์และพัฒนาเป็นคาถาม เพื่อรวบรวมความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่างผู้ที่จดทะเบียนครอบครองอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน จานวน 100 คน ทาการศึกษาความคิดเห็นต่อการรับรู้และความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบ ข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน จาแนกตามข้อมูลทั่วไปส่วนบุคคล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีทางสถิติหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ t-test, F-test, และ Chi-square test การวิจัยปรากฏผลดังนี้ 1. กลุ่มตัวย่างการวิจัยไม่มีการรับรู้ ต่อกฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับ อากาศยานซึ่งไม่มีนักบินไม่แตกต่างกัน และมีระดับความคิดเห็นโดยรวมในระดับ ปานกลาง 2. มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับอากาศยาน ซึ่งไม่มีนักบิน ประกอบด้วย 1) มาตรการส่งเสริมด้านการเผยแพร่กฎหมาย ได้แก่ เผยแพร่ทางสื่อกระแสหลัก จัดทาคู่มือกฎหมายภาคประชาชน เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ เผยแพร่โดยหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง และจัด โครงการ กิจกรรม นิทรรศการ เกี่ยวกับกฎหมาย 2) มาตรการส่งเสริมด้านการเข้าถึงกฎหมาย ได้แก่ จัดทา โปสเตอร์-แผ่นพับ-ใบปลิวแจกจ่าย จัดทาสรุปเนื้อหากฎหมายให้กระชับและเข้าใจได้ง่าย จัดทาสรุปกฎหมาย เป็นแบบคลิปวีดีทัศน์ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รู้ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบ 3) มาตรการ

Abstract

This research is a mixed survey research with the aim of 1) Study the UAV owner’s perception of Thai aviation laws and regulations., 2) Identify the measures to promote perception of Thai aviation laws and regulations towards UAV., and 3) Study the opinions level according to measures to promote perception of Thai aviation laws and regulations towards UAV. This study uses in-depth-interviews from aviation legal experts, specialist and officials of the Civil Aviation Authority of Thailand were synthesized and developed into questions to gather opinions from 100 samples registered UAV to study perceptions and opinions on measures to promote perception of Thai aviation laws and regulations towards UAV classified by general personal information and analyzed by Frequency, Percentage, Mean, Standard Deviation, t-test, F-test, and Chi-square test. The results were as follows:

1. The samples weren’t perceived and didn’t differ opinions and overall opinions level was at moderate level to Thai aviation laws and regulations toward UAV.

2. Measures to promote perception of the Thai aviation laws and regulations toward UAV, they are: 1) Measures to promote the dissemination of laws including communication via the main media, public handbook, communication via the online media, issued by relevant government departments and exhibition activities. 2) Measures to promote access to the law including making posters-leaflets-flyers distributed, provide a concise and easy-to-understand summary of content, prepare a summary of the law as a video clip and promote it to the public about the relevant authorities and take responsibility. 3) Measures for education and training include building a network between educational institutions and people, arrange a course of study and training, organize academic seminars and integrate cooperation between relevant authorities.

3. The samples opinions on measures to promote perception of Thai aviation laws and regulation towards UAV (overall) at the highest level, not difference with statistical significance at the .05 level.

206 มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ด้านการศึกษาอบรม ได้แก่ สร้างเครือข่ายระหว่างสถาบันการศึกษากับประชาชน จัดหลักสูตรการศึกษา ฝึกอบรมให้แก่ประชาชน จัดสัมมนาทางวิชาการ และบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3. กลุ่มตัวอย่างมีระดับความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบ ข้อบังคับ การบินประเทศไทย (โดยรวม) เกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ในระดับมากที่สุด ไม่แตกต่างกันอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คาสาคัญ: มาตรการส่งเสริม; การรับรู้กฎหมาย; กฎหมายระเบียบข้อบังคับการบิน; อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน
207 มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 Keywords: Promotion Measures; Law Perception; Aviation Laws and Regulations; Unmanned Aerial Vehicle. 1. บทนา สังคมในปัจจุบันมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการพัฒนาทางเทคโนโลยี มีการ นาองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจในการดาเนินธุรกิจ เพื่อตอบสนอง ความต้องการของมนุษย์ โดยเฉพาะกับอุตสาหกรรมด้านการบิน จากเดิมที่มีการประดิษฐ์ อากาศยานที่ ต้องมีนักบินทาหน้าที่บังคับประจาการบนเครื่อง ต่อมาได้นาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาพัฒนาประดิษฐ์อากาศยาน แบบไร้นักบินบังคับหรือประจาการอยู่บนเครื่อง หรือ (UAVs; Unmanned Aerial Vehicles) ซึ่งเป็นอากาศ ยานที่ไม่มีนักบินประจาการอยู่บนเครื่อง มีรูปร่าง ขนาด รูปแบบ เอกลักษณ์ และวัตถุประสงค์เพื่อการใช้งานที่ แตกต่างกันออกไป ในอดีตนั้นจะใช้ระบบควบคุมจากระยะไกล แต่ในระยะต่อมาได้มีการพัฒนาใช้ระบบการ บินแบบอัตโนมัติ ควบคุมบังคับการทางานของอากาศยานแทนระบบการควบคุมแบบเดิม (กิตติคุณ แย้มนิยม, 2559) การใช้ประโยชน์ส่วนใหญ่ในยุคต้น ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านการทหารในการทาสงครามหรือเพื่อ ความมั่นคงของประเทศ ต่อมามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและนามาใช้ในกิจการพลเรือนในเชิงพาณิชย์อื่น ๆ (ปวีณา แจ้งสกุล, 2563). เพื่ออานวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจาวันของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ เช่น เพื่อความบันเทิง เกมส์กีฬา การสื่อสาร การถ่ายทอดสด การเกษตร อุตุนิยมวิทยาและ การสารวจต่าง ๆ ปัจจุบันมีการพัฒนาเพื่อนาไปสู่ภาคธุรกิจทางด้านโลจิสติกส์ในการขนส่งสินค้า และกาลังพัฒนาไปสู่ภาคการ ขนส่งมวลชนในอนาคต ด้วยปริมาณการจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากผลของการเติบโตด้านอุตสาหกรรม การบิน หน่วยงานของรัฐจึงมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในการบินอย่างเคร่งครัดเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ในการบิน การป้องกันเหตุดังกล่าว จึงต้องมีการบัญญัติกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ การศึกษาอบรม เพื่อที่จะ นาองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้และเผยแพร่สู่สาธารณะ (Charoensook, 2018) ประเทศไทย ในฐานะสมาชิก องค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ( International Civil Aviation Organization; ICAO) ได้นา สนธิสัญญา The Chicago Convention of 1944 มาบัญญัติเป็นกฎหมายการเดินอากาศของประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497 (สานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย, 2564) และได้มีการแก้ไขปรับปรุงให้กฎหมาย มีความทันสมัยและครอบคลุมตลอดมา โดยกาหนดให้สานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ทาหน้าที่ดูแลกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการการบินพลเรือน มีอานาจหน้าที่ ตรวจสอบระบบการจัดการด้านนิรภัยการบิน รวมทั้งมาตรการเกี่ยวกับความปลอดภัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (Charoensook, 2021) จากการที่ประชาชนโดยทั่วไปสามารถเข้าถึงและใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบินได้อย่างแพร่หลายมากขึ้น แต่ กฎหมายการเดินอากาศของประเทศไทย (พ.ร.บ. พ.ศ. 2497) ที่บัญญัติออกมาเพื่อบังคับใช้ยังไม่ครอบคลุม อย่างชัดเจน มีเพียงประกาศกระทรวงคมนาคม ปีพ.ศ. 2558 ที่ประกาศบังคับใช้ และยังขาดการเผยแพร่ ความรู้ในด้านนี้ อาจส่งผลให้เกิดการฝ่าฝืน ละเมิด ซึ่งอาจนามาสู่การเกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุทาง การ
208 มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 เดินอากาศในอนาคต การศึกษาเรื่องมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายจึงเป็นการค้นหาว่า ผู้ที่ครอบครอง อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน มีความรู้ในเรื่องกฎหมายและระเบียบข้อบังคับดังกล่าวหรือไม่ และจะมีมาตรการใด ที่จะช่วยมาส่งเสริมเพื่อให้เกิดการรับรู้ในเรื่องดังกล่าว ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเห็นว่ามีความจาเป็น ที่จะทาการค้นคว้า ศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจะมีนักวิจัยหลายท่านได้ทาการศึกษามาก่อนหน้า แต่การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ มาตรการส่งเสริมการรับรู้ของประชาชนผู้ใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบินนี้ มีนักวิชาการ นักวิจัยเพียงไม่กี่ท่านที่ ทาการศึกษา ผลที่ได้จากการศึกษางานวิจัยนี้ จะนามาสนับสนุนและเป็นข้อมูลสาคัญในการผลิตและ ดาเนินการหลักสูตรของสถาบันการบินพลเรือน เพื่อเผยแพร่ความรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับด้านการบิน ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ให้ประชาชนโดยทั่วไปได้รับทราบ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง และเป็นข้อมูลอันเป็นประโยชน์สาหรับ สถานศึกษาอื่นใช้สาหรับประกอบการสอน และเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องนาไปพัฒนา มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับด้านการบินประเทศไทยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 1.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อทาการศึกษาระดับการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย ของผู้ที่จด ทะเบียนครอบครองอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน 2) เพื่อระบุมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับการ ใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน 3) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการ บินประเทศไทย เกี่ยวกับการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน 2. วิธีดาเนินการวิจัย การศึกษาวิจัยเรื่องนี้เป็นการวิจัยเชิงสารวจ (Survey research) แบบผสมผสาน (Mixed research) ทาการศึกษาเชิงคุณภาพ (Qualitative data research) ใช้การสัมภาษณ์แบบเชิงลึก (In-depth Interview Research) จากกลุ่มตัวอย่างผู้ให้ข้อมูลสาคัญแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการบิน 2 ท่าน ผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่านและเจ้าหน้าที่สานักงานการบินพลเรือนแห่ง ประเทศไทย 1 ท่าน จากนั้นสังเคราะห์บทสัมภาษณ์เพื่อระบุมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบ ข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน และนามาพัฒนาเป็นข้อคาถามใน แบบสอบถาม (Questionnaire) ศึกษาเชิงปริมาณ (Quantitative data research) จากกลุ่มประชากรได้แก่ ประชาชนชาวไทยผู้ที่จดทะเบียนครอบครองอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน จานวน 53,500 คน ระบุเลือก กลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) คานวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างประชากรตาม หลักของ Taro Yamane ได้กลุ่มตัวอย่างการวิจัยจานวน 100 คน เพื่อรวบรวมข้อมูลด้านการรับรู้และ ความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับ อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน โดยใช้ระเบียบวิธีการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นจากเอกสาร ตารา วารสารวิชาการ แนวคิด
209 มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 และทฤษฎี บทความ งานค้นคว้าวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง สังเคราะห์บทสัมภาษณ์และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีทางสถิติหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน ค่าสถิติ t-test, F-test, และ Chi-square test นาผลวิเคราะห์ที่ได้เขียนสรุปและนาเสนอ ผลการวิจัยแบบเชิงพรรณนา (Descriptive Research) (Charoensook, 2021) 3. ผลการศึกษา วัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ 1 เพื่อทาการศึกษาระดับการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบิน ประเทศไทย ของผู้ที่จดทะเบียนครอบครองอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างจานวน 100 คน ไม่มีการรับรู้ และมีระดับความคิดเห็น (โดยรวม) ในระดับปานกลาง ต่อการรับรู้กฎหมายและระเบียบ ข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน แสดงผลดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1: การรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (โดยรวม) จาแนกตามข้อมูลทั่วไปส่วนบุคคล ข้อมูลทั่วไปส่วนบุคคล การรับรู้กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับการบิน ประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (โดยรวม) ระดับความคิดเห็นต่อการรับรู้กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ การบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (โดยรวม) รู้ ไม่รู้ เพศ - √ ปานกลาง อายุ - √ ปานกลาง ระดับการศึกษา - √ ปานกลาง อาชีพ - √ ปานกลาง วัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ 2 เพื่อระบุมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบิน ประเทศไทย เกี่ยวกับการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ผลการสังเคราะห์แบบสัมภาษณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเชิง ลึกจากผู้ให้ข้อมูลสาคัญ สรุปมาตรการส่งเสริมดังกล่าว ประกอบด้วย 1) มาตรการส่งเสริมด้านการเผยแพร่กฎหมาย ได้แก่ เผยแพร่ทางสื่อกระแสหลัก จัดทาคู่มือกฎหมายภาค ประชาชน เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ เผยแพร่โดยหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง และจัดโครงการ กิจกรรม นิทรรศการ เกี่ยวกับกฎหมาย 2) มาตรการส่งเสริมด้านการเข้าถึงกฎหมาย ได้แก่ จัดทาโปสเตอร์-แผ่นพับ-ใบปลิวแจกจ่าย จัดทาสรุป เนื้อหากฎหมายให้กระชับและเข้าใจได้ง่าย จัดทาสรุปกฎหมายเป็นแบบคลิปวีดีทัศน์ และประชาสัมพันธ์ ให้ ประชาชนได้รู้ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบ 3) มาตรการด้านการศึกษาอบรม ได้แก่ สร้างเครือข่ายระหว่างสถาบันการศึกษากับประชาชน จัดหลักสูตร การศึกษาฝึกอบรมให้แก่ประชาชน จัดสัมมนาทางวิชาการ และบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง

f / .281 .893

มากที่สุด f / .128 986

210 มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 วัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ 3 เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและ ระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่าง จานวน 100 คน มีระดับความคิดเห็นต่อมาตรการส่งเสริมในระดับมากที่สุด ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงผลวิเคราะห์ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2: ความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (โดยรวม) จาแนกตามข้อมูลทั่วไปส่วนบุคคล แสดงดังนี่ ข้อมูลทั่วไป ส่วนบุคคล ความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบ ข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (โดยรวม) ระดับความ คิดเห็น ค่าสถิติ แตกต่างกัน ไม่แตกต่างกัน t sig เพศ √
อายุ √
ระดับการศึกษา √
อาชีพ √
3.1 องค์ความรู้ใหม่ 1) ทราบระดับการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย ของผู้ที่จดทะเบียน ครอบครองอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน 2) ทราบมาตรการส่งเสริมและระดับความคิดเห็นต่อมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบ ข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน เป็นข้อมูลในการพัฒนาและประกอบการเรียน การสอนในหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถาบันการบินพลเรือนและ สถาบันการศึกษาอื่น รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการบัญญัติกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย สามารถ ใช้เป็นข้อมูลสาคัญสาหรับการดาเนินงานเพื่อส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศ ไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน 4. สรุปผลและอภิปรายผล การศึกษาวิจัยเรื่อง มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับ อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน สามารถอภิปรายผลการวิจัย ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ 1 เพื่อทาการศึกษาระดับการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบิน ประเทศไทย ของผู้ที่จดทะเบียนครอบครองอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างจานวน 100 คน ไม่มีการรับรู้ เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มี นักบิน อย่างไม่แตกต่างกัน และมีระดับความคิดเห็น (โดยรวม) ในระดับปานกลาง อภิปรายผลได้ว่า เนื่องจาก
มากที่สุด t / 2.149 .319
มากที่สุด f / .725 .607
มากที่สุด

(Brousse, 2021). A cross-disciplinary subject, the legal protection of adults affects solidarity and autonomy in the daily life of vulnerable people. It encompasses major social issues.

(John R. Stout, 2020). ศึกษาเรื่อง Study unmanned aerial vehicles: Law enforcement, security, and community impact.

211 มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน เป็นเรื่องใหม่และยังไม่มี การบัญญัติกฎหมายโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาบังคับใช้และเผยแพร่สู่สาธารณะ (Charoensook, 2018) มีเพียงประกาศของกระทรวงคมนาคม (ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่องหลักเกณฑ์การขออนุญาตและเงื่อนไข ในการบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอก พ.ศ. 2558. 2564, 25 ธันวาคม). ราชกิจจานุเบกษา หน้า 6 เล่ม 132 ตอนที่ 86 ง. และประกาศของสานักงานการ บินพลเรือนแห่งประเทศไทยประกาศบังคับใช้ แต่ยังขาดการเผยแพร่ความรู้ใน ด้านนี้ อาจส่งผลให้เกิดการฝ่า ฝืน ละเมิด ไม่ปฏิบัติไปในทางที่ไม่ถูกต้องซึ่งอาจนามาสู่การเกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุทางการเดินอากาศใน อนาคต กระบวนการรับรู้ มีผลมาจากกระบวนการตีความหรือแปลความหมายจากข้อมูลที่ได้รับจากแหล่ง ต่าง ๆ แสดงถึงวุฒิภาวะ ประสบการณ์และความพร้อมของบุคคลที่จะรับรู้หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ รวมถึงกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ เพิ่มเติม สอดคล้องกับความหมายของการรับรู้ (Perception) เป็นพื้นฐานการเรียนรู้ ที่สาคัญของบุคคล หมายถึง ขั้นตอนหรือกระบวนการทางด้านจิตวิทยาพื้นฐานเบื้องต้นของบุคคล การรับรู้ของ บุคคลสามารถส่งผลให้บุคลนั้นมีพฤติกรรมและการแสดงออกที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับการรับรู้จาก สภาพแวดล้อมของตนเองและความสามารถในการแปลความหมายของสภาพนั้น ๆ สอดคล้องกับงานวิจัยของ (Charoensook, 2021). ให้ความหมายของการรับรู้ หมายถึง ขั้นตอนหรือกระบวนการที่สมองตีความหรือ แปลความหมายของสิ่งเร้าหรือข้อมูลที่ได้รับจากการสัมผัสของประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกายที่มีต่อ สิ่งแวดล้อมหรือที่เรียกว่า สิ่งเร้า ว่าการสัมผัสที่รู้สึกได้นั้นเป็นอย่างไร สอดคล้องกับงานวิจัยของ (ชมพูนุช สราวุเดชา, 2559). กล่าวว่า ปัจจัยที่มีต่อการรับรู้ ได้แก่ประสบการณ์เดิม สภาพภาวะแวดล้อม ความต้องการ และภาระหน้าที่ของบุคคล สามารถจาแนกปัจจัยดังกล่าวออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) ปัจจัยภายใน หมายถึง คุณสมบัติแฝงที่อยู่ในตัวของบุคคล หรือลักษณะด้านส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา ความสนใจ ประสบการณ์ และ 2) ปัจจัยภายนอก หมายถึง คุณสมบัติภายนอกของแต่ละบุคคล ได้แก่ การสัมผัส คาแนะนาชี้แจง และการให้บริการ สอดคล้องกับงานวิจัยของ
วัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ 2 เพื่อระบุและศึกษาระดับความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการส่งเสริมการรับรู้ กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ผลการวิจัยจาก การสังเคราะห์บทสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสาคัญ นามาพัฒนาเป็นแบบสอบถามเพื่อรวบรวมระดับความ คิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง โดยสรุปจาแนกมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบิน ประเทศไทย เกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ประกอบด้วย 1) มาตรการส่งเสริมด้านการเผยแพร่กฎหมาย ได้แก่ เผยแพร่ทางสื่อกระแสหลัก จัดทาคู่มือกฎหมายภาคประชาชน เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ เผยแพร่โดย หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง และจัดโครงการ กิจกรรม นิทรรศการ เกี่ยวกับกฎหมาย 2) มาตรการส่งเสริมด้านการ
สอดคล้องกับงานวิจัยของ
212 มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 เข้าถึงกฎหมาย ได้แก่ จัดทาโปสเตอร์-แผ่นพับ-ใบปลิวแจกจ่าย จัดทาสรุปเนื้อหากฎหมายให้กระชับและเข้าใจ ได้ง่าย จัดทาสรุปกฎหมายเป็นแบบคลิปวีดีทัศน์ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รู้ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรับผิดชอบ 3) มาตรการด้านการศึกษาอบรม ได้แก่ สร้างเครือข่ายระหว่างสถาบันการศึกษากับประชาชน จัดหลักสูตรการศึกษาฝึกอบรมให้แก่ประชาชน จัดสัมมนาทางวิชาการ และบูรณาการความร่วมมือระหว่าง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับความหมายของคาว่า “มาตรการ” หมายถึง วิธีการที่ตั้งเป็นกฎ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือกฎหมาย และคาว่า “ส่งเสริม” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2554) หมายถึง แผนการดาเนินงาน เทคนิค วิธีการและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อช่วยสนับสนุนและพัฒนางานที่ทาให้ดีขึ้น รวมความหมาย “มาตรการ ส่งเสริม” หมายถึง เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ ทิศทาง ขั้นตอน กระบวนการ รวมถึงวิธีการทางานนั้น ๆ ซึ่ง เป็นตัวกาหนดการดาเนินงานนั้น ๆ ประสบผลสาเร็จ ลุล่วงตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลสูงสุด วัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ 3 เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและ ระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ผลการศึกษาระดับความคิดเห็น ที่มีต่อมาตรการส่งเสริมฯ จาแนกตามข้อมูลทั่วไปส่วนบุคคล พบว่า ข้อมูลทั่วไปส่วนบุคคลด้าน เพศ อายุ ระดับการศึกษา และ อาชีพ มีระดับความคิดเห็น ไม่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างมีความเห็นด้วย ต่อมาตรการส่งเสริมที่ได้จากการสังเคราะห์บทสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ ว่าสามารถช่วยส่งเสริมการรับรู้ กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับการบินดังกล่าวของภาคประชาชนได้เป็นอย่างดี ทั้งมาตรการด้านการเผยแพร่ กฎหมาย การเข้าถึงกฎหมาย และการศึกษาอบรม เพื่อประชาชนโดยทั่วไปจะได้รับรู้กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ปฏิบัติตามและปฏิบัติการบิน อากาศยานซึ่งไม่ มีนักบินได้อย่างถูกต้องต่อไปในอนาคต เพื่อความปลอดภัยทางการบินทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลที่ เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับงานวิจัยของ (บุญธิภา ฉิมพาลี, 2562) ศึกษาวิจัยเรื่อง มาตรการส่งเสริมและคุ้มครอง สิทธิมนุษยชน: ศึกษาการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาหรือจาเลยของอาเซียน ผลจากการศึกษา พบว่า ประชาคม อาเซียนและประเทศสมาชิกทุก ประเทศควรมีดาเนินการทบทวนกฎหมายภายในของตน และสร้างหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่เป็น หลักเกณฑ์กลางหนึ่งเดียวกันและเหมือน ๆ กันในทุกประเทศ เพื่อที่จะได้มีมาตรฐานและ ได้รับการ ยอมรับในระดับสากล และสอดคล้องกับงานวิจัยของ (Secretariat
Measures to promote employment of mature persons in selected places. 4.1 ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัย ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ก) ข้อเสนอแนะจากการวิจัย จากผลการวิจัย พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่จดทะเบียนครอบครองโดรน ไม่มีการรับรู้กฎหมายและ ระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน จากการสังเคราะห์บทสัมภาษณ์เชิงลึก จากกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง ได้มาตรการที่จะนามาใช้ในการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบิน ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนาไปใช้ดาเนินการดังนี้
, 2018).
213 มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 1) ผลจากการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 พบว่า กลุ่มตัวอย่างจานวน 100 คน ไม่มีการรับรู้ เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน - หน่วยงานที่กากับดูแลด้านการบัญญัติกฎหมาย ด้านการบังคับใช้กฎหมาย จัดเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์กฎหมายและระเบียบข้อบังคับดังกล่าว ให้ผู้ที่จดทะเบียนครอบครองอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ผู้ที่สนใจรวมถึงประชาชนโดยทั่วไปให้รับรู้ - สถาบันทางการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหลักสูตรการศึกษา อบรมให้ผู้ที่จด ทะเบียนครอบครองอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ผู้ที่สนใจรวมถึงประชาชนโดยทั่วไป - ผู้ผลิตและผู้จัดจาหน่ายอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ควรแนบหรือแนะนากฎหมายและ ระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเบื้องต้นให้ผู้ซื้อได้รับทราบ 2) ผลจากการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 พบว่า มาตรการส่งเสริมการรับรู้ที่ระบุในการวิจัย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการบัญญัติกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย และสถาบันการศึกษา สามารถใช้เป็น ข้อมูลสาคัญสาหรับการดาเนินงานเพื่อส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทย เกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน 3) ผลจากการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 พบว่า ระดับความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการส่งเสริมการ รับรู้ที่ระบุในการวิจัย สามารถช่วยส่งเสริมการรับรู้กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับการบินดังกล่าวของภาค ประชาชนได้เป็นอย่างดี ทั้งมาตรการด้านการเผยแพร่กฎหมาย การเข้าถึงกฎหมาย และการศึกษาอบรม เป็น ประโยชน์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นาไปประกอบการพิจารณาในการดาเนินการจัดการส่งเสริมต่อไปในอนาคต ข) ข้อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งต่อไป 1) ศึกษาเปรียบเทียบมาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินของประเทศ ไทยและต่างประเทศ เกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน 2) ศึกษาเรื่องมาตรการทางกฎหมายที่มีผลต่อการส่งเสริมการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน 5. References. กิตติคุณ แย้มนิยม. (2559). ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการใช้อากาศยานไร้นักบิน (วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพฯ ชมพูนุช สราวุเดชา. (2559). การใช้เทคโนโลยีการคานวณแบบคลาวด์ในการปฏิบัติงานของห้องสมุดคณะ แพทยศาสตร์ (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เชียงใหม่. บุญธิภา ฉิมพาลี. (2562). มาตรการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน: ศึกษาการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหา หรือจาเลยของเอเซียน (รายงานการวิจัย). เชียงราย: ศูนย์บรรณสารการศึกษามหาวิทยาลัย แม่ฟ้าหลวง ปวีณา แจ้งสกุล. (2563). การกาหนดความผิดและโทษที่เหมาะสม: ศึกษากรณีการใช้อากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพฯ

(2554). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554. กรุงเทพฯ: นามมีบุ๊คพับลิเคชั่น

Brousse, A. (2021). Legal protection of adults: How to promote the autonomy of a vulnerable person within the framework of a compulsory measure Vie Social, (1).

Charoensook, C. (2018). Sky Lanterns and Aviation Safety: A Study at the Mae Fah Luang Chiangrai Airport. International Journal of Engineering &Technology, 7(2 13), 18-23 Charoensook, C. (2021). People's attitudes and perception towards Thai aviation laws and regulations concerning the Firing of the Bamboo Rocket (Bang fai), Journal of Politics Administration and Law, 12(2), 559-577

John R Scout. (2020). Unmanned aerial vehicles: Law enforcement, security, and community impact, Wisconsin.edu.

Secretariat, L. C. (2018). Measures to promote employment of mature persons in selected places. Research Office Legislative Council Secretariat, IN13/17/18

214 มาตรการส่งเสริมการรับรู้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับการบินประเทศไทยเกี่ยวกับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่องหลักเกณฑ์การขออนุญาตและเงื่อนไขในการบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่ง ไม่มีนักบิน ประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอก พ.ศ.
ราช กิจจานุเบกษา
เล่ม 132 ตอนที่
2558 (2564, 25 ธันวาคม)
หน้า 6
86 ง. ราชบัณฑิตยสถาน.

Abstract

This article aims to develop a nose landing gear simulation For use in teaching students in aircraft maintenance and related fields By application of the nose landing gear model MD 80, Operate by hydraulic system and control by Electrical System (Electric Control, Hydraulic Operate) pass to PLC model FX3U-14MR-6AD2DA and the touch screen model SK102HE is assembled as a nose landing gear simulation The test results showed that a nose landing gear simulation, shows the performance on the EFIS screen, able to extension and retraction nose landing gear, shows a diagram of the hydraulic system, parameters of system and used in disassembly operations and can be used in aircraft wheel disassembly operations Keywords: Nose landing gear; EFIS display; Aviation

215 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน Nose Landing Gear Simulation 1ถวัลย์ เทียนทอง, 2ไพฑูรย์ รักเหลือ และ 3นิพนธ์ ทางทอง 1Tawan Thianthong, 2Paitoon Rukluea and 3Nipont Tangthong 1สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ สนามบินดอนเมือง กรุงเทพมหานคร 2,3คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโลโลยีราชมงคลธัญบุรี ปทุมธานี 1Thai Lion Air, Don Mueang Airport, Bangkok, Thailand 2,3Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi,
Thailand Email: 1
2paitoon r@en rmutt ac th, 3nipont t@en rmutt ac th บทคัดย่อ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน เพื่อใช้ใน การเรียนการสอนนักศึกษาด้านการซ่อมบารุงอากาศยานและสาขาที่เกี่ยวข้อง การดาเนินงานเป็น การ ประยุกต์ใช้ฐานล้อหน้าอากาศยาน รุ่น MD 80 โดยทางานด้วยระบบไฮดรอลิค สั่งการควบคุมระบบไฟฟ้าด้วย เครื่อง PLC รุ่น FX3U-14MR-6AD2DA และจอแสดงผลแบบสัมผัส รุ่น SK-102HE มาประกอบเป็นระบบ จาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน ผลการทดสอบพบว่าระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้า อากาศยาน แสดงผลการทางานแบบหน้าจอ EFIS สามารถทาการพับเก็บและการกางฐานล้อได้ แสดง ไดอะแกรมของระบบไฮดรอลิค ค่าพารามิเตอร์ของระบบ และนามาใช้ในการปฏิบัติงานด้านการถอดประกอบ ล้อของอากาศยานได้
Pathum Thani,
tawan_absg@hotmail com,
คาสาคัญ: ฐานล้อหน้าอากาศยาน; หน้าจอ EFIS; อากาศยาน
216 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 1. บทนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้กาหนดยุทธศาสตร์และนโยบายในการจัดการเรียนการสอน (กอง นโยบายและแผน, 2559) ที่ตอบสนองนโยบายของรัฐบาล จึงมุ่งเน้นการจัดการศึกษาที่รองรับกับกลุ่มอุตสาหกรรม อนาคต (New S-curve) (สานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ, 2562) โดยได้ดาเนินการออกแบบและสร้างหลักสูตรใหม่ เพื่อจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นการยกระดับฐานสมรรถนะของ ผู้เรียนให้มีความรู้ และและมีทักษะการปฏิบัติการที่สูงขึ้น สอดคล้องกับการจัดการศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 (กรวิก พรนิมิต, 2560) และตามแนวทางของโครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ดังนั้นภาควิชาอิเล็กโทรนิกส์และโทรคมนาคม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จึงได้ดาเนินการเปิดการเรียนการสอนในหลักสู ตรวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรม อิเล็กทรอนิกส์อากาศยาน ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ มีทักษะการปฏิบัติการและการสร้างนวัตกรรม ทางด้านการซ่อมบารุงอากาศยานที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล ซึ่งผู้เรียนที่สาเร็จการศึกษาจะต้องมีทักษะและ สมรรถนะตามมาตรฐานวิชาชีพของ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) องค์การความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป (European Aviation Safety Agency: EASA) มาตรฐานวิชาชีพของสานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ( Civil Aviation Authority of Thailand: CAAT) สามารถนาความรู้ที่ได้ไปบูรณาการและประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานจริงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนาไป ประยุกต์ใช้งานทางด้านการซ่อมบารุงอากาศยาน สามารถทางานในกลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยตรงตามนโยบายรัฐบาล การจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์อากาศยาน เป็นการจัด การศึกษาวิชาชีพระดับอุดมศึกษาบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณภาพ และรองรับกับการสร้าง งานวิจัยและนวัตกรรม รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และ ทาให้บัณฑิตมีสมรรถนะทางวิชาชีพตรงตามมาตรฐานด้านการซ่อมบารุงอากาศยาน ดังนั้นในการจัดการเรียนการ สอนจึงได้ทาความร่วมมือกับสายการบิน ไทย ไลอ้อน แอร์ เพื่อทาให้นักศึกษามีสมรรถนะทางด้านการซ่อมบารุง อากาศยานเป็นไปตามวัตุประสงค์ของหลักสูตร แต่อย่างไรก็ตาม การจัดหาครุภัณฑ์ เครื่องมือ อุปกรณ์ในการจัด การเรียนการสอนทั้งด้านทฤษฎีและการทดลองปฏิบัติการจะมีราคาสูงมาก เป็นเหตุที่ทาให้การจัดการเรียนการสอน ในบางรายวิชามีข้อจากัดด้านการจัดหาชุดทดลองหรือครุภัณฑ์สาหรับการปฏิบัติการฝึกทักษะ ทาให้ผู้เรียนขาด ทักษะการปฏิบัติการขั้นสูง นอกจากนี้งานวิจัยด้านระบบฐานล้อของอากาศยานจะเน้นในเรื่องการจาลองการทางาน ผ่านโปรแกรมจาลอง (Li Bo and Jiao Zongxia, 2007; Li Ming, Hao Xiangyu, Han Xuefeng, Jia Hongguang, 2012; Liu Hailiang, Wang Lixin, 2014; Milad Zarchi and Beherooz Attaran, 2019; Prashant, 2006) จึงไม่ เหมาะที่จะนามาใช้กับการเรียนการสอนด้านการฝึกปฏิบัติการในระบบฐานล้ออากาศยานตาม ATA-32 ดังนั้นคณะผู้วิจัย จึงมีแนวความคิดที่จะสร้างและพัฒนา ครุภัณฑ์ อุปกรณ์ ชุดทดลองต่าง ๆ ที่ทดแทนการ นาเข้าจากต่างประเทศ โดยสามารถทางานได้จริงเหมือนสื่อของจริงที่ทางานในอากาศยานหรือเครื่องบิน สามารถนา ใช้ในการจัดการเรียนการสอนด้านการซ่อมบารุงอากาศยาน สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตร ตอบสนองกับ การจัดการศึกษาในยุคการศึกษา 4.0 ตรงตามยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมลธัญบุรี ดังนั้นบทความนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการทางานของฐานล้ออากาศยาน และนาเสนอแนวทางการพัฒนาและสร้างชุดฝึก
217 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ปฏิบัติการระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน สามารถทาการพับเก็บและการกางฐานล้อได้เสมือน จริง การแสดงผลการทางานของระบบสามารถแสดงค่าแบบจอ EFIS ที่อยู่ในห้องนักบินของอากาศยานหรือเครื่องบิน จริง ฐานล้อมีการเคลื่อนไหวด้วยระบบไฮดรอลิคที่ควบคุมการสั่งงานผ่านโปรแกรมของเครื่อง PLC และระบบจาลอง การทางานของฐานล้อหน้าอากาศยานสามารถนามาใช้ในการฝึกทักษะปฏิบัติการด้านการถอด ประกอบล้อ ตลอดจน การซ่อมบารุงระบบฐานล้ออากาศยาน ซึ่งระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยานสามารถใช้ทดแทน การซื้อครุภัณฑ์ ชุดทดลองจากต่างประเทศที่มีราคาแพง และเป็นการสร้างนวัตกรรม สื่อการสอนด้านการซ่อมบารุง อากาศยาน เป็นต้นแบบของผลิตภัณฑ์ชุดฝึกปฏิบัติการและผลิตขายในเชิงพานิชย์ได้ 2. วิธีการดาเนินการวิจัย 2.1 ระบบจาลองฐานล้อหน้าอากาศยาน การสร้างชุดปฏิบัติการระบบจาลองการทางของฐานล้อหน้าอากาศยาน มีกรอบแนวคิดและขอบเขต ดังนี้ นาเอาฐานล้อหน้าอากาศยาน รุ่น MD 80 มาต่อร่วมกับระบบไฮดรอลิคที่มีแรงดัน 3,000 PSI ควบคุม การทางานของระบบด้วย PLC รุ่น FX3U-14MR-6AD2DA และจอแสดงผลแบบสัมผัส รุ่น SK-102HE ที่ สามารถรับข้อมูลอินพุทสั่งการทางานของระบบ พร้อมทั้งแสดงผลการทางานของระบบเป็นแบบจอ EFIS (Electronics Flight Instrument System) ที่ติดตั้งในห้องนักบินของเครื่องบินพาณิชย์สมัยใหม่ สามารถ แสดงไดอะแกรมของระบบไฮดรอลิคและค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ของระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้า นอกจากนี้สามารถชุดปฏิบัติการระบบจาลองการทางของฐานล้อหน้าอากาศยานที่สร้างขึ้น มาใช้ในการฝึก ทักษะด้านการถอด ประกอบล้ออากาศยานและการบารุงรักษาระบฐานล้ออากาศยานได้ การสร้างชุด ปฏิบัติการระบบจาลองการทางของฐานล้อหน้าอากาศยาน แสดงบล็อคไดอะแกรมของระบบได้ดังภาพที่ 1 ภาพที่ 1: บล็อคไดอะแกรมของระบบจาลองการทางของฐานล้อหน้าอากาศยาน
218 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 2.2 ฐานล้ออากาศยาน ระบบฐานล้ออากาศยาน (Landing Gear) ทาการรองรับน้าหนักทั้งหมดของอากาศยานขณะร่อน ลงจอด และช่วยรองรับอากาศยานในขณะที่อากาศยานอยู่บนพื้นดิน ติดอยู่กับส่วนประกอบโครงสร้างหลัก ของอากาศยาน ประเภทของฐานล้อขึ้นอยู่กับการออกแบบของอากาศยานและการใช้งานตามวัตถุประสงค์ ระบบฐานล้ออากาศยานจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1) ฐานล้อหลัก (Main Landing Gear) ทาหน้าที่ รองรับน้าหนักส่วนใหญ่ของอากาศ ติดตั้งอยู่บริเวณจุดกึ่งกลางหรือตาแหน่งโคนปีกของอากาศยาน 2) ฐานล้อ รอง (Auxiliary Landing Gear) ทาหน้าที่รับน้าหนักบางส่วนของอากาศยาน ทาให้ลาตัวของอากาศยาน ขณะที่อยูบนพื้นดินมีความสมดุลหรือมีเสถียรภาพ ตาแหน่งการติดตั้งจะขึ้นอยู่กับประเภทของอากาศยาน เช่น ติดตั้งบริเวณส่วนหัวของอากาศยานจะเรียกว่า ฐานล้อหน้า (Nose Landing Gear) ถ้าติดตั้งบริเวณส่วนหาง ของอากาศยานรียกว่า ฐานล้อหาง (Tail Landing Gear) ในปัจจุบันเครื่องบินพาณิชย์สมัยใหม่จะไม่ติดตั้งฐาน ล้อประเภทนี้แล้ว ดังนั้นเครื่องบินพาณิชย์สมัยใหม่จึงมีฐานล้อแบบ ฐานล้อหลัก และฐานล้อหน้าเท่านั้น ฐาน ล้ออากาศยานจะแสดงดังภาพที่ 2 ภาพที่ 2: ฐานล้ออากาศยาน ชุดต้นแบบของระบบจาลองการทางานฐานล้อหน้าอากาศยาน จะใช้รุ่น MD -80 มาใช้จาลองการ ทางาน ฐานล้อหน้าอากาศยานรุ่นนี้มีน้าหนักไม่มาก ขนาดพอเหมาะ จึงเหมาะที่จะนามาใช้เป็นชุดจาลองการ ทางานของระบบฐานล้ออากาศยาน ฐานล้อหน้าอากาศยาน รุ่น MD 80 แสดงในภาพที่ 3 ก)ฐานล้อหน้าที่ติดตั้งในอากาศยาน ข) โครงสร้างของฐานล้อหน้า ภาพที่ 3: ฐานล้อหน้าอากาศยาน รุ่น MD 80
219 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 2.3 ระบบไฮดรอลิค ระบบไฮดรอลิคเป็นส่วนหนึ่งของกลศาสตร์ของไหล ซึ่งเป็นระบบถ่ายทอดพลังงาน โดยการเปลี่ยน พลังงานความดันมาเป็นพลังงานกล ระบบไฮโดรลิคจะใช้ตัวกลางในการส่งถ่ายพลังงานเป็นของเหลว ดังนั้นจึง ใช้ปริมาณของเหลวที่ไม่มากในการนามาอัดตัวให้เป็นพลังงานความดัน โดยใช้กระบวนการส่งถ่ายไฮดรอลิคที่มี ความดันไปตามท่อทางแล้วแปลงความดันนั้นให้ออกมาเป็นงานกล ส่วนประกอบพื้นฐานของระบบไฮดรอลิค แสดงดังภาพที่ 3 จะมี 6 อย่างคือ 1) อ่างหรือถังน้ามันไฮดรอลิค (Reservoir) 2) ปั๊มสาหรับอัดน้ามัน ไฮดรอลิคให้มีแรงดันสูงขึ้น 3) วาล์วหรืออุปกรณ์สาหรับควบคุมแรงดัน ใช้ควบคุมทิศทางและปริมาณการไหล ของน้ามันไฮดรอลิค 4) อุปกรณ์สาหรับเปลี่ยนแรงดันของน้ามันไฮดรอลิค ให้เป็นพลังงานกล เช่น ไฮดรอลิค มอเตอร์ ชุดลูกสูบ 5) ท่อไฮดรอลิค เพื่อส่งผ่านน้ามันไฮดรอลิคไปยังจุดต่าง ๆ 6) น้ามันไฮดรอลิค สาหรับ ระบบไฮดรอลิคอากาศยานนั้น มีพื้นฐานของกระบวนการส่งถ่ายความดันแล้วแปลงเป็นงานกลเช่นเดียวกับ เครื่องไฮดรอลิคทั่วไป แต่จะมีอุปกรณ์เพิ่มเติมขึ้นมาหลายชนิดหลายแบบด้วยกัน เพื่อเสริมให้ระบบทางานได้ อย่างถูกต้องแม่นยา ปลอดภัยและสะดวกในการใช้งาน ชุดต้นแบบของระบบจาลองการทางานฐานล้อหน้า อากาศยาน จึงมีการออกแบบระบบไฮดรอลิคที่เหมาะสมกับการใช้งานในระบบ โดยระบบไฮดรอลิคที่ออก แบบแสดงดังภาพที่ 4 ภาพที่ 4: ระบบไฮดรอลิคที่ออกแบบ 2.4 โปรแกรมเมเบิลคอนโทรลเลอร์ โปรแกรมเมเบิลลอจิกคอลโทรลเลอร์ (Programmable logic Control : PLC) เป็นอุปกรณ์ควบคุม การทางานของเครื่องจักรหรือกระบวนการทางานต่าง ๆ โดยภายในมี Microprocessor เป็นมันสมองสั่งการที่ สาคัญ PLC จะมีส่วนที่เป็นอินพุตและเอาต์พุตที่สามารถต่อออกไปใช้งานได้ทันที ตัวตรวจวัดหรือสวิทช์ต่าง ๆ จะต่อเข้ากับอินพุต ส่วนเอาต์พุตจะใช้ต่อออกไปควบคุมการทางานของอุปกรณ์หรือโหลดที่ต้องการควบคุม การทางาน ชุดต้นแบบของระบบจาลองการทางานฐานล้อหน้าอากาศยาน จะใช้รุ่น FX3U-14MR-6AD2DA ดังแสดงในภาพที่ 5 PLC รุ่นนี้ตัวเครื่องเล็ก การทางานมีประสิทธิภาพสูง สามารถรองรับการเชื่อมต่อหน้าจอ ข้อความและการเชื่อมต่อหน้าจอสัมผัส ประสิทธิภาพการทางานมีเสถียรภาพและเชื่อถือได้ และสามารถใช้ได้ กับแอพพลิเคชั่นควบคุมระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
220 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 5: PLC รุ่น FX3U-14MR-6AD2DA 2.5 จอแสดงผลแบบสัมผัส จอแสดงผลแบบสัมผัส (touchscreen) เป็นรูปแบบหนึ่งของอุปกรณ์แสดงผลและนาเข้าข้อมูลที่ผสม ร่วมกัน เพื่อลดขนาดพื้นที่การใช้งาน โดยโปรแกรมจะแสดงผลภาพกราฟิกบนจอภาพ และผู้ใช้สามารถใช้ นิ้วมือสัมผัสบนจอภาพ เพื่อเลือกรายการต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ในลักษณะของรูปภาพ หรือข้อความก็ได้ เพื่อสั่งงาน จอสัมผัส นิยมนามาใช้ในลักษณะของงานที่ช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาการใช้อุปกรณ์นาเข้าแบบจับต้อง เช่น แป้นพิมพ์เมาส์ เป็นต้น ชุดต้นแบบของระบบจาลองการทางานฐานล้อหน้าอากาศยาน จะใช้รุ่น SK-102HE แสดง ใน ภาพที่ 6 ภาพที่ 6: จอแสดงผลแบบสัมผัส รุ่น SK-102HE 2.6 การออกแบบและสร้างชุดต้นแบบของงานวิจัย งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงประยุกต์ โดยเริ่มจากดาเนินการศึกษาข้อมูลกี่ยวกับระบบฐานล้อ การ ออกแบบระบบ การสร้างชุดต้นแบบ การทดลองเพื่อหาประสิทธิภาพ และสรุปผล ชุดต้นแบบระบบจาลองการ ทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน จะประกอบไปด้วยฐานล้อหน้าอากาศยาน รุ่น MD 80 นามายึดตึดกับฐาน สาหรับรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาวะการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยานเพื่อทาให้ล้อหน้าของอากาศยาน กางฐานล้อและพับเก็บฐานล้อได้ การออกแบบฐานสาหรับรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาวะการทางานของฐาน ล้อหน้าอากาศยาน แสดงดังภาพที่ 7
221 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ก) แบบร่างโครงสร้างของฐานยึดฐานล้อ ข) การสร้างโครงสร้างฐานยึดฐานล้อ ภาพที่ 7: การออกแบบและสร้างฐานยึดฐานล้อหน้าอากาศยาน ฐานล้อหน้าของอากาศยานจะต่อร่วมกับระบบไฮดรอลิคที่มีแรงดัน 3,000 PSI. ควบคุมการทางาน ของระบบด้วย PLC รุ่น FX3U-14MR-6AD2DA และแสดงผลการทางานของระบบผ่านจอสัมผัสรุ่น SK-102HE และแสดงผลเป็นแบบหน้าจอ EFIS ในห้องนักบินของเครื่องบินโดยสารพาณิชย์ ซึ่งสามารถเขียน เป็นบล็อคไดอะแกรมการออกแบบของระบบได้ดังภาพที่ 8 InputParameter (Touch Screen) Lever control Nose Landing Gear PLC model FX3U-14MR6AD2DA Landing Gear Light Output Parameter (Touch Screen) EFIS display Nose Landing Gear MD-80 Hydraulic system Buzzer Emergency switch Beacon Light ภาพที่ 8: บล็อคไดอะแกรมของระบบ หลักการทางานของระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยานเริ่มจากการสวิตซ์ให้ระบบ พร้อมทางาน หลอดไฟบีคอน (Beacon light) จะสว่างและกระพริบตลอดเวลาเพื่อเตือนให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณ การทางานของระบบให้ระมัดระวังตนเอง พร้อมทั้งอยู่ห่างระบบเพื่อความปลอดภัย จากนั้นทาการป้อน ค่าพารามิเตอร์เกี่ยวกับการควบคุมการการงานของระบบไฮดรอลิค ด้วยการจ่ายระบบกระแสไฟฟ้าและระบบ ความดันของไฮดรอลิค เมื่อระบบไฮดรอลิคพร้อมทางานจะทาการโยก Lever เพื่อควบคุมการทางานงานของ ฐานล้อหน้าอากาศยาน (Nose Landing Gear) เพื่อจาลองการทางานในสถานะกางฐานล้อ (Extension) และ จาลองในสถานะพับเก็บฐานล้อ (Retraction) ในขณะที่ฐานล้อหน้าทางานในสภาวะต่าง ๆ จะมีหลอดไฟ
222 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 แสดงผลบอกสภาวะการทางานของฐานล้อหน้า 3 สภาวะ คือ 1) สภาวะส่งผ่าน (Transition) หลอดไฟสีแดง จะสว่าง 2) สภาวะการพับเก็บฐานล้อหน้าอย่างสมบูรณ์ (Completed Retraction) หลอดไฟสีแดงและสีเขียว จะดับ 3) สภาวะการกางฐานล้อหน้าอย่างสมบูรณ์ (Fully Extension) หลอดไฟสีเขียวจะสว่างตลอดเวลา ขณะที่ฐานล้อทางานจะมีเสียงเตือนจากบัสเซอร์เพื่อให้แจ้งเตือนให้ผู้ทดสอบระบบคานึงถึงความปลอดภัย ไม่ เข้าไปอยู่ในบริเวณที่ฐานล้อหน้าทางาน ในขณะเดียวกันที่จอแสดงผลแบบสัมผัสจะแสดงผลเป็นแบบหน้าจอ EFIS โดยแสดงผลค่าพารามิเตอร์ต่างของระบบไฮดรอลิค ภาพกราฟิกแสดงสถานะการทางานของฐานล้อหน้า แสดงไฟสถานะการทางานฐานล้อหน้า และนอกจากนี้ยังมีเมนูย่อยที่สามารถเลือกแสดงระบบไดอะแกรม ของไฮดรอลิค ค่าแรงดันของไฮดรอลิคในสภาวะการพับเก็บและการกางฐานล้อหน้า การเปลี่ยนแปลงการตั้ง ค่าต่าง ๆ ของระบบ หน้าจอแสดงผลแสดงดังภาพที่ 9 ระบบการจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน ที่ออกแบบและสร้างเรียบร้อยแล้วแสดงดังภาพที่ 10 ภาพที่ 9: หน้าจอแสดงผลของระบบ ก) ภาพด้านข้าง ข) ภาพด้านหน้า ภาพที่ 10: ชุดต้นแบบระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้า 3. ผลการศึกษา 3.1 การทดสอบการทางาน การทดสอบการทางานของชุดต้นแบบระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน เพื่อใช้ สาหรับการเรียนการสอนและฝึกทักษะการปฏิบัติการด้านการซ่อมบารุง และดูแลรักษาระบบฐานล้อหน้าของ
223 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 อากาศยาน โดยจะทาการทดสอบการทางานต่าง ๆ ของระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน เพื่อให้ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.2 การทดสอบสภาวะการทางานของระบบฐานล้อหน้าอากาศยาน ทาการทดสอบการจาลองการทางานของฐานล้อหน้า ด้วยการเปลี่ยนตาแหน่งของ Lever Control ที่ ใช้ควบคุมการทางานงานของฐานล้อหน้าอากาศยาน เพื่อจาลองการทางานในสถานะกางฐานล้อ และจาลอง ในสถานะพับเก็บฐานล้อ เริ่มต้นการทางานฐานล้อจะอยู่ในสภาวะกางฐานล้อเสมือนเครื่องบินจอดอยู่ในหลุม จอดของสนามบิน เมื่อต้องการจาลองการทางานของฐานล้อหน้าในสภาวะที่เครื่องบิน take off แล้วและ ต้องการพับเก็บฐานล้อหน้า จะโยก Lever Control ไปตาแหน่ง Up ฐานล้อหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลง ตาแหน่ง โดยฐานล้อจะค่อย ๆ ยกตัวเองจากแนวตั้ง (ฐานล้ออยู่ตาแหน่งแนวตั้งเมื่อเทียบกับพื้นดินไปสู่ แนวนอนหรือไปสู่สภาะพับเก็บฐานล้อ) เป็นการทางานในสภาวะส่งผ่าน โดยฐานล้อจะเคลื่อนที่ไปจนกระทั่ง ไปถึงตาแหน่งพับเก็บฐานล้อ จากนั้นจะหยุดการทางาน ฐานล้อจะคงสภาพในสภาวะพับเก็บฐานล้ออย่าง สมบูรณ์ ในขณะที่ฐานล้อหน้าทางานในสภาวะส่งผ่านจะมีเสียงบัซเซอร์ดังตลอดเวลา เพื่อเตือนให้ผู้ที่อยู่ใน บริเวณการทางานของฐานล้อหน้าระมัดระวังตนเองไม่ให้เข้าใกล้จนอาจทาให้เกิดอุบัติเหตุ และเมื่อจะโยก Lever Control ไปตาแหน่ง Down ฐานล้อหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงตาแหน่ง โดยฐานล้อจะค่อย ๆ ลดตัวเอง จากแนวนอนที่อยู่ในสภาวะพับเก็บ (ฐานล้ออยู่ตาแหน่งแนวนอนเมื่อเทียบกับพื้นดินไปสู่แนวตั้งหรือไปสู่สภาะ กางฐานล้อ) เป็นการทางานในสภาวะส่งผ่าน จะมีเสียงบัซเซอร์ดังตลอดเวลา เพื่อเตือนให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณการ ทางานของฐานล้อหน้าระมัดระวังตนเองไม่ให้เข้าใกล้จนอาจทาให้เกิดอุบัติเหตุ โดยฐานล้อหน้าจะเคลื่อนที่ไป จนกระทั่งไปถึงตาแหน่งกางฐานล้อ จากนั้นจะหยุดการทางาน ฐานล้อหน้าจะคงสภาพในสภาวะกางฐานล้อ อย่างสมบูรณ์ ค่าการแสดงผลต่างแสดงดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1: แสดงค่าการทางานของฐานล้อหน้าในสภาวะการกางและพับเก็บฐานล้อ สภาวะการทางาน ของฐานล้อ สถานะการแสดงค่าของเอาท์พุทของระบบ หลอดไฟสีแดง หลอดไฟสีเขียว ความดันไฮดรอลิก เสียงบัซเซอร์ เวลาการเคลื่อนที่ของฐานล้อ การส่งผ่าน (Transition) สว่าง ดับ 2,800 PSI ดัง 1 นาที การพับเก็บฐานล้อ (Retraction) ดับ ดับ 3,000 PSI เงียบ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกว่า จะเปลี่ยนสภาวะการทางาน การกางฐานล้อ (Extension) ดับ สว่าง 2,500 PSI เงียบ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกว่า จะเปลี่ยนสภาวะการทางาน จากตารางที่ 1 พบว่า ระยะเวลาในการพับเก็บฐานล้ออย่างสมบูรณ์จะใช้เวลา 1 นาที และใช้แรงดัน ระบบไฮดรอลิค เฉลี่ยประมาณ 2,800 PSI ขณะที่ฐานล้อมีการเปลี่ยนแปลงตาแหน่งจะเรียกสภาวะการทางาน นี้ว่า Transition ที่หน้าจอแสดงผลและหลอดไฟมอนิเตอร์จะแสดงค่าหลอดไฟสีแดงสว่าง และบัซเซอร์จะส่ง เสียงเตือนตลอดเวลา เมื่อฐานล้อหน้าอากาศยานพับเก็บอย่างสมบูรณ์ หลอดไฟสีแดงจะดับ หลอดไฟสีเขียว
224 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 จะดับ บัซเซอร์จะหยุดส่งเสียงเตือน ฐานล้อหน้าจะถูกล็อคไว้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตาแหน่งได้ เมื่อทาการ เปลี่ยนตาแหน่ง Lever Control ไปตาแหน่ง Down ขณะที่ฐานล้อมีการเปลี่ยนแปลงตาแหน่งจะเรียกสภาวะ การทางานนี้ว่า Transition ที่หน้าจอแสดงผลและหลอดไฟมอนิเตอร์จะแสดงค่าหลอดไฟสีแดงสว่าง และบัซ เซอร์จะส่งเสียงเตือนตลอดเวลา เมื่อฐานล้อหน้าอากาศยานกางออกอย่างสมบูรณ์ หลอดไฟสีแดงจะดับ หลอดไฟสีเขียวจะสว่างตลอดเวลา บัซเซอร์จะหยุดส่งเสียงเตือน ฐานล้อหน้าจะถูกล็อคไว้ไม่สามารถ เปลี่ยนแปลงตาแหน่งได้ จนกว่าจะมีการปรับตาแหน่งของ Lever Control 3.3 การทดสอบประสิทธิภาพของการทางานระบบ การทดสอบประสิทธิภาพการทางานของระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้า แสดงดังตารางที่ 2 รายละเอียดดังนี้ ตารางที่ 2: การทดสอบประสิทธิภาพการทางานของระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้า สภาวะการทางานของฐานล้อ จานวนครั้งในการทดสอบ การทางานของระบบ จานวนครั้งของความถูกต้องในการ ทางานของระบบ เปอร์เซ็นของความถูกต้อง ในการทางานของระบบ การพับเก็บฐานล้อ (Retraction) 20
Transition
จากตารางที่ 2 พบว่าระบบจาลองการทางานของระบบฐานล้อหน้าอากาศยาน
ในแต่ละสภาวะ จานวน 20 ครั้งพบว่า มีการทางานในสภาวะ การพับเก็บฐานล้อ การส่งผ่าน และการกางฐาน ล้อ ถูกต้อง 100% ซึ่งแสดงว่าระบบการทางานมีประสิทธิภาพสูง สามารถนาไปใช้ในการเรียนการสอนได้ 3.4 การทดสอบระบบจอสัมผัสเพื่อเปลี่ยนแปลงค่าพารามิเตอร์ในระบบไฮดรอลิค การทดสอบระบบจอสัมผัสเพื่อเปลี่ยนแปลงค่าพารามิเตอร์ในระบบไฮดรอลิค ของระบบจาลองการ ทางานของฐานล้อหน้า แสดงดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3: ค่าพารามิเตอร์ในระบบไฮดรอลิค การตั้งค่าพารามิเตอร์ในระบบไฮดรอลิค การทางานของฐานล้อหน้า การตั้งค่าไฟฟ้าในระบบ การตั้งค่าแรงดันไฮดรอลิคในระบบ ไม่มีไฟฟ้าในระบบ ความดันในระบบต่า ไม่ทางาน ไม่มีไฟฟ้าในระบบ ความดันในระบบปกติ ไม่ทางาน มีไฟฟ้าในระบบ ความดันในระบบต่า ไม่ทางาน มีไฟฟ้าในระบบ ความดันในระบบปกติ ทางาน จากตารางที่ 3 พบว่า ถ้ามีการจ่ายไฟฟ้าในระบบไฮดรอลิค และความดันของระบบไฮดรอลิคปกติ ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าจะทางานปกติ แต่ถ้าระบบฟ้าหรือค่าแรงดันของระบบไฮดรอลิต ไม่อยู่ ในสภาวะดังกล่าว ฐานล้อหน้าอากาศยานจะไม่ทางาน
20 100 % การส่งผ่าน (
) 20 20 100 % การกางฐานล้อ (Extension) 20 20 100 % การส่งผ่าน (Transition) 20 20 100 %
โดยทาการสอดสอบ
225 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 3.5 การทดสอบเกี่ยวกับการถอด ประกอบล้ออากาศยานและการบารุงรักษาระบบฐานล้อหน้า เมื่อนาชุดต้นแบบของระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าไปใช้ฝึกทักษะด้านการปฏิบัติการ เกี่ยวกับการถอด ประกอบล้ออากาศยาน และการบารุงรักษาระบบฐานล้อหน้าอากาศยาน พบว่าสามารถให้ นักศึกษาฝึกปฏิบัติการถอดประกอบล้อได้ โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติงานเหมือนกับการถอดประกอบล้อใน เครื่องบินจริงที่ใช้ฐานล้อรุ่น MD 80 และสามารถนามาฝึกปฏิบัติในการดูแลรักษาระบบฐานล้ออากาศยานใน เรืองการฝึกอัดจารบีในระบบฐานล้อตามมาตรฐานการซ่อมบารุงอากาศยานได้ ดังแสดงในภาพที่ 11 ภาพที่ 11: การฝึกทักษะปฏิบัติการเกี่ยวกับระบบฐานล้ออากาศยาน 4. สรุปผล งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการนาเสนอชุดต้นแบบระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ระบบฐานล้ออากาศยานที่อยู่ใน ATA chapter 32 และเนื้อหาในบทเรียน EASA module 11 และ 13 โดยใช้แนวคิด หลักการ วิเคราะห์ และสังเคราะห์จากทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีระบบ มีการบูรณาการเครื่องมือและ อุปกรณ์ที่มีอยู่ในประเทศไทย เพื่อใช้ในการพัฒนาเป็นชุดต้นแบบระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยานที่สร้างขึ้น สามารถทาการพับเก็บและการกางฐานล้อได้เสมือน จริง และสามารถแสดงให้ผู้เรียนเห็นถึงการทางานของระบบฐานล้อหน้าอากาศยานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การ แสดงผลค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ของระบบจะเหมือนกับการแสดงผลในจอ EFIS ของเครื่องบินพาณิชย์ และสามารถ นามาใช้ในการฝึกทักษะปฏิบัติการเกี่ยวกับระบบฐานล้ออากาศยานได้จริง เสมือนกับการฝึกทักษะปฏิบัติการใน ระบบฐานล้อของอากาศยานจริง นอกจากนี้ราคาในการสร้างชุดต้นแบบนี้มีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบราคากับชุดฝึกที่ นาเข้ามาจากต่างประเทศ ดังนั้นชุดต้นแบบระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยานที่พัฒนาขึ้นนี้ มีความ เหมาะสมที่สามารถนาไปใช้จัดการศึกษาในหลักสูตรด้านการซ่อมบารุง อากาศยานและหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนนาไปใช้ในการฝึกทักษะเพื่อพัฒนาทักษะด้านการ Up Skill/Re Skill ของบุคลากรในกลุ่มอุตสาหกรรม การบินและโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิจัยและนวัตกรรม.

Li, B. & Jiao, Z. (2007). Aircraftlandinggear systemdynamic modelingand simulation Journalof Beijing University of Aeronautics and Astronautics, 2007, 33(01): 46-49

Li, M., Hao, X, Han, X., & Jia, H. (2012). Aircraft Flight Simulation with Landing Gear Based on MultiDomain Modeling Technology The 2nd International Conference on Computer Application and System Modeling.

Liu, H., & Wang, L (2014). Assessment of Landing Gear Design based on the Virtual Testing and Evaluation Methodology 2014 Asia- Pacific International Symposium on Aerospace Technology, APISAT2014. pp. 898-904. Milad, Z., & Beherooz, A. ( 2019). Improved design of an active landing gear for a passenger aircraft using multi- objective optimization technique Structural and Multidisciplinary Optimization

Prashant, K (2006). Simulation of Landing Gear Dynamics Using Flexible Multi-Body Methods ICAS 2006 - 25th International Congress of the Aeronautical Sciences 1-10

226 ระบบจาลองการทางานของฐานล้อหน้าอากาศยาน การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 4.1 ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัย ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ก) ข้อเสนอแนะจากการวิจัย - ระบบจาลองฐานล้อหน้าอากาศยาน ควรนาไปผลิตเป็นสื่อการสอนเชิงพาณิชย์ - ระบบจาลองฐานล้อหน้าอากาศยาน ควรนาไปใช้สอนหรืออบรมนักศึกษาและผู้สนใจด้านการซ่อม บารุงอากาศยาน ข) ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป ควรสร้างระบบจาลองการทางานของฐานล้ออากาศยานแบบครบทุกฐานล้อ ซึ่งจะสามารถจาลองการ ทางานของระบบฐานล้อหน้าและระบบฐานล้อหลักของอากาศยานได้อย่างครบถ้วน 5. References กรวิก พรนิมิต. (2560). ความรู้ความเข้าใจนโยบาย Thailand 4 0 ในจังหวัดเชียงใหม่และลาปาง มหาวิทยาลัยพระ จอมเกล้าพระนครเหนือ. กองนโยบายและแผน. (2559). ยุทธศาสตร์และแผนการพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 20 ปี พ.ศ. 2560-2579. พัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. สานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ.
แนวโน้มความต้องการ บุคลากรในอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต
(2562).
New S-Curve และทิศทางพัฒนากาลังคนของประเทศ พ.ศ. 2563-2567. กระทรวงการอุดมศึกษา

Abstract

This research is presented the sensing and monitoring system for small gas turbine engine based on microcontrollers and sensors. To detect and display the performance of a small gas turbine engine such as thrust, fuel flow, fuel on board, air inlet temperature, and exhaust gas temperature (EGT) which were displayed by Electronic Centralized Aircraft Monitor

227 ระบบสาธิตการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กด้วยหน่วยสมองกลสมัยใหม่ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ระบบสาธิตการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็ก ด้วยหน่วยสมองกลสมัยใหม่ Microcontroller-based of Monitoring System for Small Gas Turbine Engine พนิดา เศรษฐานันท์, จิรวรรธ เดชเจริญ, ชัยวัฒน์ นฤภัย, อนุสรณ์ มีทรัพย์, ศุภเศรษฐ จันทร์อ่อน, ธนาพร เพชรกูล และ ภูเบต แสงมะฮะหมัด Phanida Sedthanan, Jirawat Dechcharoen, Chaiwat Narupai, Anusorn Meesap, Supaset Junon, Tanaporn Pechrkool and Pubet Sangmahamad สาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์อากาศยาน ภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม คณะวิศวกรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี Avionics Engineering, Department of Electronics and Telecommunication Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi, Thailand E-mail:
บทคัดย่อ งานวิจัยนี้นาเสนอระบบตรวจรู้และแสดงผลการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็ก โดย การประยุกต์ไมโครคอนโทรลเลอร์ร่วมกับเซ็นเซอร์เพื่อวัดค่าและแสดงผล เช่น แรงขับของเครื่องยนต์ ปริมาณ เชื้อเพลิง อัตราการไหลของเชื้อเพลิง อุณหภูมิอากาศขาเข้า และอุณหภูมิไอเสียเครื่องยนต์ แสดงผลผ่าน แบบจาลองจอภาพเครื่องบินส่วนกลางแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบบที่นาเสนอประกอบด้วยโครงสร้าง อลูมิเนียมลักษณะเป็นตู้กึ่งปิด ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ชนิดกังหันก๊าซขนาดเล็ก รุ่น Kingtech K85G4+ ไว้ภายใน จากส่วนของระบบตรวจรู้และแสดงผลด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์อาร์ดูโน่ร่วมกับพีแอลซีได้ทาการทดสอบ ประสิทธิภาพการทางานของระบบ โดยใช้เชื้อเพลิง 2 ชนิด ได้แก่ เชื้อเพลิง Kerosene และ Jet A1 เพื่อ วิเคราะห์และเปรียบเทียบ จากผลการทดสอบพบว่า ระบบสามารถตรวจรู้และแสดงผลข้อมูลสาคัญต่าง ๆ ของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กที่ออกแบบไว้ได้ โดยการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและแรงขับของ Jet A1 มากกว่า Kerosene ที่ความเร็วรอบเครื่องสูงกว่า 10,000 RPM คาสาคัญ: เครื่องยนต์กังหันก๊าซ; เซ็นเซอร์; ไมโครคอนโทรลเลอร์; อาร์ดูโน่; พีแอลซี
pubet_s@rmutt.ac.th

(ECAM) demo. The proposed system was composed of the semi-closed cabinet, the small gas turbine engine Kingtech K85G4+ was installed inside. An Arduino boards and a PLC were used for sensing and monitoring section. The system was tested by using two types of fuels: Kerosene and Jet A1 for analyzing and comparing. The result shown that the system was able to detect and display important information of designed small gas turbine engines. The fuel consumption and thrust of Jet A1 is more than Kerosene at the engine RPM more than 10,000 RPM.

Keywords: Gas Turbine Engine; Sensor; Microcontroller; Arduino; PLC

978-616-7754-78-9

228 ระบบสาธิตการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กด้วยหน่วยสมองกลสมัยใหม่ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN
1. บทนา เครื่องยนต์กังหันก๊าซ (Gas Turbine Engine) อาจถูกกล่าวได้ว่าเป็นหัวใจหลักของอากาศยาน เนื่องจากทา หน้าที่เป็นแหล่งพลังงานหลักในการขับหรือส่งกาลังชนิดหนึ่งที่เปลี่ยนพลังงานในรูปแบบของก๊าซเชื้อเพลิงหรือ น้ามันมาเป็นพลังงานกลที่เพลาขับ (Boyce, 2002) ซึ่งเครื่องยนต์ดังกล่าวนี้สามารถนามาประยุกต์ใช้ในงาน อุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น นาไปขับพลังงานไฟฟ้าในโรงไฟฟ้า (Power Generator) โดยเผาไหม้ก๊าซธรรมชาติ ในการผลิตก๊าซเสียที่มีอุณหภูมิสูงและความดันสูงเพื่อใช้กาลังงานบางส่วนในการเดินเครื่องกังหันก๊าซและ เครื่องกาเนิดไฟฟ้า และส่วนกาลังงานที่เหลือจึงนามาใช้ผลิตไฟฟ้า โดยก๊าซเสียที่ไหลออกจากกังหันก๊าซจะถูก ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม ลักษณะการใช้งานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ โดยทั่วไป สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภทหลัก คือ ประเภท เครื่องยนต์กังหันก๊าซสาหรับงานอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เป็นเครื่องต้นกาลังขับของเครื่องกาเนิดไฟฟ้า และประเภทเครื่องยนต์กังหันก๊าซสาหรับงานยานยนต์และอากาศยาน โดยสาหรับยานยนต์นั้นไม่พบว่ามีใช้ อย่างแพร่หลายมากนัก แต่สาหรับอากาศยานในปัจจุบันจะใช้เป็นเครื่องยนต์กังหันก๊าซทั้งหมด ยกเว้นอากาศ ยานขนาดเล็กสาหรับฝึกบิน หรืออากาศยานส่วนตัวขนาดเล็กที่ยังคงมีการใช้เครื่องยนต์ลูกสูบ ซึ่งเครื่องยนต์ กังหันก๊าซสาหรับอากาศยานสามารถแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่ เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ท ( Turbo Jet) เครื่องยนต์เทอร์โบแฟน (Turbo Fan) เครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์ (Turbo Shaft) และเครื่องยนต์เทอร์โบพรอพ (Turbo Prop) (Mattingly, 2013) เครื่องยนต์กังหันก๊าซประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ แสดงดังภาพที่ 1 อันได้แก่ ช่องนาอากาศเข้า (Air Inlet) ทา หน้าที่รับกระแสอากาศเข้าไปสู่เครื่องยนต์ ชุดอัดอากาศ (Compressor) เพื่ออัดอากาศให้ได้ปริมาณ และ ความดันเพียงพอตามความต้องการเพื่อส่งต่อเข้าไปยังห้องเผาไหม้ (Combustion Chamber) เพื่อผสม เชื้อเพลิงกับอากาศให้ได้อัตราส่วนที่พอเหมาะ จากนั้นเปลี่ยนพลังงานความร้อนและพลังงานจลน์ของก๊าซร้อน
229 ระบบสาธิตการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กด้วยหน่วยสมองกลสมัยใหม่ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 1: ส่วนประกอบเครื่องยนต์กังหันก๊าซ ให้เป็นพลังงานกลที่ชุดเทอร์ไบน์ (Turbine) และส่งก๊าซร้อนจากชุดเทอร์ไบน์ออกสู่บรรยากาศภายนอก ผ่าน ทางชุดท่อท้าย (Exhaust) (นายทหารนักเรียน หลักสูตรนายทหารช่างอากาศชั้นเรืออากาศ รุ่นที่ 17, 2016) วัฏจักรเบรย์ตัน (Brayton Cycle) เป็นวัฏจักรทางอุดมคติของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ ซึ่งถูกนาเสนอโดย George Brayton ในราวปีคศ.1800 เพื่อใช้ในเครื่องยนต์ลูกสูบ แต่ปัจจุบันเป็นวัฏจักรที่ใช้สาหรับเครื่องยนต์ กังหันก๊าซเท่านั้น โดยขบวนการอัดและการขยายตัวถูกนามาใส่ระหว่างเครื่องอัดและกังหันของเครื่องยนต์ กังหันก๊าซ (Noordermeer, 2016) ซึ่งวัฏจักรดังกล่าวนี้มีกระบวนการทางานดังต่อไปนี้ กระบวนการที่ 1 ถึง 2 อากาศจะถูกดูดจากภายนอกที่ความดันบรรยากาศ แล้วอัดให้มีความดันและ อุณหภูมิสูงขึ้นด้วยคอมเพรสเซอร์จากระบบ ซึ่งการอัดดังกล่าวเป็นกระบวนการอัดแบบแอเดียบาติก (Adiabatic Process) คือ ไม่มีความร้อนสูญเสียจากระบบเอนโทรปีคงที่ (Constant
กระบวนการที่ 2 ถึง 3 เมื่ออากาศถูกอัด จะทาให้เกิดความร้อนและความดัน จากนั้นจะถูกส่งเข้าไปยังห้อง เผาไหม้และสันดาปกับเชื้อเพลิงที่ถูกส่งเข้ามา กระบวนการดังกล่าวถือว่าเป็นการให้ความร้อนแบบความดัน คงที่ กระบวนการที่ 3 ถึง 4 ภายหลังการสันดาป จะได้ก๊าซไอเสียที่มีความร้อนและความดันสูง ซึ่งก๊าซดังกล่าว จะถูกส่งเข้าชุดกังหันทาให้เกิดการขยายตัว กระบวนการที่ 4 ถึง 1 เป็นกระบวนการส่งความร้อนออกแบบความดันคงที่ กระบวนการนี้ก๊าซเสียที่ผ่าน การขยายตัวจะถูกขับออกสู่บรรยากาศ หลักการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซจะเริ่มเมื่อเครื่องยนต์เกิดการหมุน ส่งผลให้เพลาของเครื่องยนต์ หมุนตาม และชุดอัดอากาศเกิดการหมุนดูดอากาศเข้ามาเพื่ออัดอากาศ โดยอากาศที่ถูกอัดผ่านชุดอัดอากาศ จะมีความดันและความเร็วที่สูงขึ้น จากนั้นจะเคลื่อนผ่านชุดเปลี่ยนความเร็วเป็นความดัน (Diffuser) เพื่อให้ ความเร็วลดลงและมีความดันสูงเพียงพอสาหรับการจุดระเบิดเพื่อให้เกิดการเผาไหม้ในห้องเผาไหม้ใน ขณะเดียวกันน้ามันเชื้อเพลิงจะถูกฉีดเข้ามาผสมกับอากาศ จากนั้นจะมีการจุดประกายไฟทาให้เกิดการเผาไหม้ ขึ้น ส่วนผสมที่มีความดันสูงจะเกิดการเผาไหม้ และขยายตัวอย่างรุนแรงพุ่งไปทางท้ายของเครื่องยนต์ผ่านชุด เพิ่มความเร็วก๊าซ และถูกบังคับให้เข้าปะทะกับปีกของกังหันจนเกิดการหมุน ซึ่งทาให้ชุดอัดอากาศบนเพลา เดียวกันถูกขับให้หมุนตามไปด้วย และเมื่อเครื่องยนต์มีการเดินเครื่องสม่าเสมอแล้ว ชุดอัดอากาศจะสามารถ ดูดและอัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่จาเป็นต้องอาศัยชุดสตาร์ท รวมทั้งตัวจุดประกายไฟจะ
Entropy)
230 ระบบสาธิตการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กด้วยหน่วยสมองกลสมัยใหม่ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 หยุดทางานเนื่องจากภายในห้องเผาไหม้เกิดการเผาไหม้ตลอดเวลา ส่วนก๊าซร้อนเมื่อออกจากห้องเผาไหม้แล้ว จะผ่านชุดบังคับทิศทางเข้าไปผลักกังหันให้หมุนไปแล้วพุ่งออกทางท่อท้ายของเครื่องยนต์เพื่อใช้เป็นแหล่ง ขับเคลื่อนโดยตรง โดยแรงขับนี้คือแรงปฏิกิริยาที่เกิดการพุ่งออกมาของกระแสไอพ่นและกระทาไปในทิศทาง ตรงกันข้ามกับการพุ่งของกระแสไอพ่น (El-Sayed, 2008) จากเทคโนโลยีที่ก้าวล้าของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ จึงได้มีงานวิจัยและพัฒนากันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น การตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กที่มีโรเตอร์แบบคลื่น โดยมุ่งเน้นไปที่การ การศึกษาข้อได้เปรียบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโรเตอร์แบบคลื่นที่มี 4 ช่องในเครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ท ขนาดเล็ก (Akbari, & Müller, 2003) นอกจากนี้ยังมีการวิจัยเชิงทดลองและเชิงตัวเลขของห้องเผาไหม้ใหม่ สาหรับเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็ก (Tuma et al., 2013) รวมถึงการประเมินประสิทธิภาพของกังหันก๊าซ ขนาดเล็ก โดยจะทาการวิเคราะห์ประสิทธิภาพและวิเคราะห์เชิงตัวเลขเพื่อตรวจสอบวัฏจักรอุณหพลศาสตร์ ของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็ก (Oppong et al., 2016) ในปัจจุบันสาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์อากาศยาน (Avionics Engineering) ภาควิชาวิศวกรรม อิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ดาเนินการ จัดการเรียนการสอนและผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรี ในสาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์อากาศยาน นักศึกษาในหลักสูตรนี้จาเป็นต้องมีความรู้และทักษะสอดคล้องตามมาตรฐานสากล ซึ่งการศึกษาและทาความ เข้าใจการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ มีความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง จากที่มาและงานวิจัยที่เกี่ยวเนื่องข้างต้น งานวิจัยนี้จึงได้นาเสนอการออกแบบและสร้างชุดสาธิตระบบเครื่องยนต์กังหันก๊าซ ที่ประกอบด้วยระบบตรวจ รู้และแสดงผลการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็ก รุ่น Kingtech K85G4+ ด้วยไมโคร คอนโทรลเลอร์ Arduino ร่วมกับเซ็นเซอร์ และ PLC เพื่อวัดปริมาณค่าต่าง ๆ ที่สาคัญของเครื่องยนต์ พร้อม แสดงผลข้อมูลผ่านแบบจาลองจอภาพเครื่องบินส่วนกลางแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Centralized Aircraft Monitor : ECAM) และส่วนของชุดควบคุมที่ถูกติดตั้งบริเวณด้านข้างของชุด ในหัวข้อถัดไปจะ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการวิจัย การออกแบบระบบตรวจรู้และแสดงผลการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ ขนาดเล็กด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์ทั้งโครงสร้างและระบบตรวจรู้และแสดงผล การทดสอบและผลการทดสอบ สรุปผล และข้อเสนอแนะ ตามลาดับ 1.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อประยุกต์ใช้ความรู้ด้านไมโครคอนโทรลเลอร์และเซนเซอร์ในการตรวจรู้และแสดงผลการ ทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็ก 2) เพื่อนาระบบที่นาเสนอร่วมกับการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทางานของเครื่องยนต์ขนาดเล็ก สาหรับการเรียนรู้ของนักศึกษาในสาขาด้านวิศวกรรมอากาศยาน หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง 3) เพื่อเป็นแนวทางในการวิจัย พัฒนาความรู้ พัฒนาชุดสาธิต ที่เป็นประโยชน์ต่อสาขาด้านวิศวกรรม อากาศยาน และสาขาที่เกี่ยวข้อง
231 ระบบสาธิตการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กด้วยหน่วยสมองกลสมัยใหม่ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 2: การออกแบบโครงสร้างภายนอก ภาพที่ 3: ชุดสาธิตระบบเครื่องยนต์กังหันก๊าซ 1 2 3 4 5 6 7 8 1 2 3 4 5 6 7 8 Block Diagram Display Temperature and Humidity Sensor Emergency Switch Fire Extinguisher Start/Stop & Throttle Gas Turbine Engine Ear Protection Device
232 ระบบสาธิตการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กด้วยหน่วยสมองกลสมัยใหม่ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ภาพที่ 4: บล็อกไดอะแกรมการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซรุ่น Kingtech K85G4+ ภาพที่ 5: ระบบตรวจรู้และแสดงผลการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ 2. วิธีดาเนินการวิจัย 2.1 การออกแบบระบบตรวจรู้และแสดงผลการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กด้วย ไมโครคอนโทรลเลอร์ ในการออกแบบระบบที่นาเสนอนั้น เป็นการนาเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กรุ่น Kingtech K85G4+ มาใช้งานร่วมกับเซ็นเซอร์เพื่อตรวจสอบค่าต่าง ๆ ณ ตาแหน่งที่ต้องการทดสอบและนาค่าที่ได้ไปแสดงผ่าน หน้าจอแสดงผลเพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในขณะเครื่องยนต์ทางาน โดยการออกแบบจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การออกแบบโครงสร้าง และการออกแบบระบบตรวจรู้และแสดงผลการทางาน ก) การออกแบบโครงสร้าง ในการออกแบบโครงสร้างภายนอก เป็นโครงสร้างสาหรับติดตั้งส่วนต่าง ๆ ของระบบที่นาเสนอ เช่น ติดตั้งเครื่องยนต์ อุปกรณ์ควบคุม และเซนเซอร์ต่าง ๆ โดยขนาดของโครงสร้าง มีความกว้าง 1,200 มิลลิเมตร ความสูง 1,730 มิลลิเมตร และความลึก 700 มิลลิเมตร แสดงดังภาพที่ 2 โดยวัสดุด้านล่างและแท่น วางใช้สแตนเลสสตีล ด้านบนใช้อลูมิเนียมโปรไฟล์ ส่วนด้านข้างและด้านหลังของโครงสร้างเป็นแผ่นอะคริลิคที่
233 ระบบสาธิตการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กด้วยหน่วยสมองกลสมัยใหม่ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 สามารถเปิดปิดได้ นอกจากนี้ยังมีช่องเก็บอุปกรณ์ด้านล่างเพื่อใช้สาหรับเก็บถังเชื้อเพลิงและอุปกรณ์อื่น ๆ โดย ส่วนประกอบของชุดสาธิตระบบเครื่องยนต์กังหันก๊าซแสดงดังภาพที่ 3 ข) การออกแบบระบบตรวจรู้และแสดงผลการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ ระบบการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซรุ่น Kingtech K85G4+ แสดงดังภาพที่ 4 โดยการ ทางาน เริ่มจากการควบคุม Start/Stop และ Throttle ไปที่ตาแหน่งสตาร์ทเพื่อเปิดการทางานของ DRM (Data Relay Module) ซึ่งจะมี ECU (Engine Control Unit ) หรือเรียกว่า GSU (Ground Support Unit) ที่แสดงค่าการทางานของเครื่องยนต์แบบทันที (Real Time) รวมถึงควบคุมการทางานทั้งหมดของเครื่องยนต์ เช่น การสตาร์ทเครื่องยนต์ การดับเครื่องยนต์ หรือการจ่ายปริมาณเชื้อเพลิง โดยจะสั่งงานผ่าน DRM ที่จะใช้ แบตเตอรี่ 9.9V เป็นแหล่งจ่ายไฟให้แก่มอเตอร์สตาร์ทภายในเครื่องยนต์ การทาการสตาร์ท DRM ระบบจะสั่ง ให้มอเตอร์ภายในเครื่องยนต์หมุน เมื่ออากาศไหลผ่านเข้ามาจนถึงปริมาณที่ระบบต้องการ DRM จะสั่งให้ปั๊ม (Fuel Pump) ทาการปั๊มเชื้อเพลิงเข้าห้องเผาไหม้ และทาการจุดระเบิด เพื่อให้เครื่องยนต์ทางาน ในส่วนของระบบตรวจรู้และแสดงผลการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ แสดงในภาพที่ 5 จะ ประกอบด้วยบอร์ด Arduino Mega 2560+ W5100 Ethernet Shield Lan Board ทาหน้าที่รับค่าจาก เซ็นเซอร์ทั้งหมด อันได้แก่ เซ็นเซอร์โหลดเซลล์ 10 kg เซ็นเซอร์วัดการไหลเชื้อเพลิง YF-401 และเซ็นเซอร์วัด อุณหภูมิ Thermo Couple Type K จากนั้นส่งข้อมูลไปยัง PLC Siemens LOGO! 8 Logic Module เพื่อนา ค่าที่วัดได้แสดงผลผ่านหน้าจอ Omron NB Series Touch Screen HMI ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งเป็นจอสี TFT LCD ระบบสัมผัส ในส่วนของวิธีการส่งผ่านข้อมูลจะใช้การเชื่อมต่อผ่านสาย LAN เพื่อเชื่อมการทางานของบอร์ด Arduino ไปยัง PLC และจอแสดงผล เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิจะถูกติดตั้งบริเวณที่กาหนด ได้แก่ บริเวณอากาศขาเข้าเพื่อวัดอุณหภูมิของ อากาศที่เข้ามา (Air Inlet Temperature) บริเวณท่อไอเสียเพื่อวัดอุณหภูมิของอากาศหลังจากเกิดการเผา ไหม้ของเครื่องยนต์ (Exhaust Gas Temperature) และบริเวณตู้ควบคุมเพื่อวัดอุณหภูมิภายในของชุดควบคุม (Ambient Air Temperature) เซ็นเซอร์วัดอัตราการไหลจะถูกติดตั้งบริเวณระหว่างสายส่งเชื้อเพลิงเพื่อวัด อัตราการไหลของเชื้อเพลิง (Fuel Flow) เซ็นเซอร์โหลดเซลล์จะถูกติดตั้งบริเวณรางสไลด์เดียวกับเครื่องยนต์ เพื่อวัดแรงขับขณะเครื่องยนต์ทางาน (Thrust) และลูกลอยวัดระดับปริมาณเชื้อเพลิงจะถูกติดตั้งภายในถัง เชื้อเพลิงเพื่อวัดปริมาณเชื้อเพลิงคงเหลือ (Fuel On Board) โดยในภาพที่ 6 แสดงการติดตั้งอุปกรณ์ภายใน ตู้ควบคุมของระบบตรวจรู้และแสดงผลการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ 3. ผลการศึกษา 3.1 การทดสอบและผลการทดสอบ เพื่อเป็นการศึกษาถึงประสิทธิภาพของระบบตรวจรู้และแสดงผลการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ งานวิจัยนี้ได้ทาการทดสอบประสิทธิภาพของระบบภายในและเซ็นเซอร์ในการวัดค่าปริมาณต่าง ๆ เพื่อนาไป แสดงผลผ่านแบบจาลองจอภาพเครื่องบินส่วนกลางแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ECAM) ได้แก่ แรงขับของเครื่องยนต์ (Thrust) อัตราการไหลของเชื้อเพลิง (Fuel Flow) ปริมาณเชื้อเพลิง (Fuel On Board) อุณหภูมิอากาศขาเข้า
234 ระบบสาธิตการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กด้วยหน่วยสมองกลสมัยใหม่ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 (Air Inlet Temperature) อุณหภูมิตู้ควบคุม (Air Temperature) และอุณหภูมิไอเสีย (Exhaust Gas Temperature) แสดงดังภาพที่ 7 ที่ ภายในตู้ของระบบตรวจรู้และแสดงผลการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ ภาพที่ 7: จอแสดงผลข้อมูล หลักการทางานของระบบเริ่มจากปั๊มเชื้อเพลิง (Fuel Pump) ทาการดูดเชื้อเพลิงผ่านตัวกรอง (Fuel Filter) ไปยังหัวฉีดของเครื่องยนต์เข้าไปยังห้องเผาไหม้และจุดระเบิดเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ สาหรับการสังเกต และบันทึกผลจะถูกแบ่งออกเป็น 5 ช่วง คือ รอบเครื่อง 20,000 50,000 57,600 (รอบเดินเบา หรือรอบ Idle) 100,000 และรอบเครื่องสูงสุด 163,700 รอบต่อนาที (Revolution per Minute : RPM) ตามลาดับ โดยแต่ ละช่วงทาการทดสอบช่วงละ 5 ครั้ง แล้วหาค่าเฉลี่ย ทั้งการใช้เชื้อเพลิงประเภท Kerosene และ Jet A1 1. Circuit Breaker 10A 2. Circuit Breaker 3A 3. DC power supply 24V 6.5 A 4. DC power supply 5V 4.5 A 5. Relay 220V 6. Arduino Mega 2560 + w5100 Ethernet 7. PLC SIEMENS LOGO!8 8. Switch Network 9. Terminal 1 2 3 อุณหภูมิอากาศขาเข้า อุณหภูมิไอเสีย อุณหภูมิตู้ควบคุม แรงขับของเครื่องยนต์ อัตราการไหลของเชื้อเพลิง ปริมาณเชื้อเพลิงคงเหลือ 4 5 6 7 8 9
235 ระบบสาธิตการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กด้วยหน่วยสมองกลสมัยใหม่ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 จากการทดสอบการตรวจรู้ด้วยเซ็นเซอร์ และนามาวิเคราะห์ปรากฏว่าความแตกต่างของปริมาณ อุณหภูมิไอเสียที่วัดได้นั้น โดยเชื้อเพลิง Kerosene และ Jet A1 จะมีอุณหภูมิไอเสียใกล้เคียงกันที่ความเร็ว รอบเครื่องยนต์เท่ากัน ส่วนแรงขับของเชื้อเพลิงทั้งสองจะมีค่าใกล้เคียงกันในช่วงรอบเครื่องที่ 20,000 RPM ถึง 100,000 RPM จากนั้นค่าแรงขับของเชื้อเพลิง Jet A1 จะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นจนมีค่าถึง 6.68 กิโลกรัมที่รอบ เครื่องสูงสุด ในขณะที่เชื้อเพลิง Kerosene อยู่ที่ 5.57 กิโลกรัม และอัตราการสิ้นเปลืองของเชื้อเพลิงที่วัดจาก เซ็นเซอร์วัดการไหลเชื้อเพลิง YF-401 (อัตราการไหล) ของทั้ง 2 เชื้อเพลิงมีค่าใกล้เคียงกันที่ความเร็วรอบ เครื่องยนต์ต่า เมื่อความเร็วรอบเครื่องยนต์มีค่ามากกว่า 150,000 RPM Jet A1 จะมีอัตราการสูญเสียเชื้อเพลิง สูงกว่า Kerosene โดยที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์สูงสุด เชื้อเพลิง Jet A1 มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 2.24 ลิตรต่อนาที ในขณะที่ Kerosene มีค่าเพียง 2.19 ลิตรต่อนาที แสดงดังภาพที่ 8 ภาพที่ 8: กราฟแสดงความสัมพันธ์ของอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและแรงขับของเครื่องยนต์ ต่อความเร็วรอบเครื่องยนต์ 4. สรุปผล งานวิจัยนี้นาเสนอการศึกษาออกแบบและสร้างระบบตรวจรู้และแสดงผลการทางานของเครื่องยนต์กังหัน ก๊าซ (Gas Turbine Engine) ขนาดเล็กด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์ เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาหลักการ ทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ โดยงานวิจัยนี้มุ่งเน้นในการออกแบบและสร้างระบบตรวจรู้และแสดงผลเพื่อ การวิเคราะห์ประสิทธิภาพในการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ เช่น การใช้เชื้อเพลิง แรงขับเคลื่อนที่ได้ รวมถึงอุณหภูมิ ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าระบบตรวจรู้และแสดงผลการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ Fuel Flow L/min

Akbari, P. and Müller, N. (2003). Performance Investigation of Small Gas Turbine Engines Topped with Wave Rotors (Research Report). Huntsville, Alabama: Joint Propulsion Conference and Exhibit.

Boyce, M.P. (2002). Gas Turbine Engineering Handbook. Houston, Texas: Gulf Publishing Company.

El-Sayed, A.F. (2008). Aircraft Propulsion and Gas Turbine Engines. New York: CRC Press. Oppong, F., Spuy, S.J., Backström, T.W. and Diaby, A.L. (2016). Micro Gas Turbine Performance Evaluation (Research Report). Tarkwa, Ghana: 4th UMaT Biennial International Mining and Mineral Conference

Mattingly, J.D. (2013). Elements of Gas Turbine Propulsion. Patel Nagar, New Delhi: Tata McGraw Hill Education Private Limited

Noordermeer, J. (2016). Gas Turbine Basics. Montréal, Québec: 2016 Industrial Application of Gas Turbines (IAGT) Workshop.

Tuma, J., Kubata, J., Betak, V. and Hybl, R. (2013). Experimental and Numerical Research of a Novel Combustion Chamber for Small Gas Turbine Engines (Research Report) Prague: EDP Sciences

236 ระบบสาธิตการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซขนาดเล็กด้วยหน่วยสมองกลสมัยใหม่ การ รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการด้านการบินระดับชาติ ครั้งที่ 2 | ISBN 978-616-7754-78-9 ที่นาเสนอนั้น สามารถแสดงการทางาน ของทุกระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ผลที่วัดได้ยังสามารถนาไป วิเคราะห์และสรุปได้ว่า อุณหภูมิของ เชื้อเพลิง Kerosene และ Jet A1 มีค่าใกล้เคียงกัน แต่เชื้อเพลิง Jet A1 จะมีประสิทธิภาพในการสร้างแรงขับของเครื่องยนต์และมีอัตราการใช้เชื้อเพลิงมากกว่าเชื้อเพลิง Kerosene เนื่องจากมีการเผาไหม้ที่สมบูรณ์กว่า นอกจากนี้ระบบที่นาเสนอยังมีการใช้งานที่ง่ายและไม่ซับซ้อน 4.1 ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัย ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1) พัฒนาระบบแสดงผลและบันทึกข้อมูลการทางานของเครื่องยนต์เพื่อการวิเคราะห์ ด้วยโปรแกรม ทางอุตสาหกรรม เช่น โปรแกรม LABVIEW 2) ติดตั้งอุปกรณ์เซ็นเซอร์ เพื่อวัดความเร็วรอบของเครื่องยนต์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์ ประสิทธิภาพการทางานของเครื่องยนต์กังหันก๊าซ 3) พัฒนาระบบที่นาเสนอร่วมกับเครื่องยนต์ชนิดอื่น รวมถึงเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น 5. References นายทหารนักเรียน หลักสูตรนายทหารช่างอากาศชั้นเรืออากาศ รุ่นที่ 17. (2016). เทคนิคการฝึกปฏิบัติงาน สถานีที่ 9 ฝึกปฏิบัติงานเครื่องยนต์ Turbofan. เอกสารประกอบการศึกษา หลักสูตรทักษะพื้นฐาน
สายช่างอากาศ, กรุงเทพฯ: โรงเรียนเหล่าทหารช่างอากาศ.

Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.