ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้
ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้ เอกอนันต์ โพธิ์สุยะ ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้ 1
น่านคือจังหวัดเล็กๆ จังหวัดหนึ่งในจำ�นวน 8 จังหวัด ภาคเหนือ ตอนบนของ ประเทศไทยซ่งึ เป็นทีร่ จู้ กั กันดีนามของดินแดน “ล้านนา” ดินแดนทีง่ ดงามด้วยศิลปวัฒนธรรมอันสั่งสมมาแต่อดีตอันยาวนาน มีอาณาเขตทิศเหนือและทิศตะวันออก ติดต่อกับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทิศตะวันตกติดต่อกับ จังหวัดพะเยา ทิศใต้ตดิ ต่อกับจังหวัดแพร่ และ อุตรดิตถ์ สภาพภูมปิ ระเทศส่วนใหญ่ เป็นภูเขา มีดอยภูคาเป็นภูเขาสูงสุด ที่ราบมีเพียง 1 ใน 3 ส่วนของพื้นที่ทั้งหมด จะเป็นทีแ่ ถบราบลุม่ แม่น�ำ้ น่าน นำ�ป้ วั และนำ�แ้ หง นำ�ส้ า นำ�ส้ มุน นำ�ล้ ี และห้วยนำ�้ ลำ�ธารใหญ่น้อยอีกหลายสาย ตลอดจนที่ราบระหว่างหุบเขาอีกด้วยปัจจุบัน จังหวัดน่านแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 15 อำ�เภอ
2 ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้
ได้แก่ อ.เมืองน่าน อ.เฉลิมพระเกียรติ อ.เชียงกลาง อ.ท่าวังผา อ.ทุ่งช้าง อ.นาน้อย อ.นาหมื่น อ.บ่อเกลือ อ.บ้านหลวง อ.ปัว อ.แม่จริม อ.เวียงสา อ.สันติสุข อ.สองแคว และ อ.ภูเพียง อาณาเขตเมืองน่านในอดีตนั้นกว้างขวางกว่าปัจจุบัน แต่เดิม อ.เชียงคำ� อ.เชียงม่วน และ อ.เชียงของ (ซี่งปัจจุบันเป็นเขตการปกครอง ของจังหวัดพะเยาและเชียงราย) เคยเป็นเขตจังหวัดน่านมาก่อน นอกจากนี้บริเวณ หัวเมืองฝัง่ ขวาของแม่น�ำ โ้ ขง ซึง่ ปัจจุบนั คือเขตในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว ได้แก่เมืองเงิน (หรือเมืองกุสาวดี) เมืองเชียงลม เมืองเชียงฮ่อน และ เมืองคอบ เมืองเหล่านี้ก็เคยเป็นหัวเมืองที่ขึ้นกับเมืองน่านแต่ต้องสูญเสียให้แก่ ฝรั่งเศสไปในปี พ.ศ. 2466 (ร.ศ. 122) สิ่งที่น่าสนใจคือ บริเวณดังกล่าวเหล่านี้ล้วน แต่เป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวไทลื้อ ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้ 3
ภาพบน วัดหัวข่วงในสมัย เจ้ามหาพรมสุรธาดา ภาพล่าง เหล่านักเรียนโรงเรียนรังษีเกษม ภาพจาก หอจดหมายเหตุ ม.พายัพ
4 ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้
แม้ว่าในปัจจุบันชาวเมืองน่าน จะเรียกตนเองว่า “คนเมือง” และ “อู้คำ�เมือง” เฉกเช่นเดียวกันกับชาวไทยวนล้านนาอื่นๆ แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรม เมืองน่านก็คือการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมของชาวไทยวนและชาวไทลื้อ จนแทบจะแยกกันไม่ออกกลุ่มชาวไทลื้อที่อาศัยอยู่ในเมืองน่านในปัจจุบันจะอาศัย อยู่มากในแถบ อ.ท่าวังผา อ.ปัว อ.เชียงกลาง อ.ทุ่งช้าง ชาวไทลื้อ เหล่านี้ได้อพยพ จากสิบสองปันนาเข้ามาอยู่ในเมืองน่าน เมื่อประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา ดังตัวอย่าง หลักฐานที่กล่าวถึงในพงศาวดารเมืองน่านว่ามีการกวาดต้อนผู้คนชาวไทลื้อเข้ามา ในสมัย พ.ศ. 2355 สมัยพญาสุมนเทวราชครองเมืองน่าน และใน พ.ศ. 2399 สมัย เจ้าอนันตววรฤทธิเดช เป็นต้น ความเป็นไทลื้อเมืองน่าน มิได้จำ�กัดอยู่แต่แวดวง 4 อำ�เภอดังกล่าวเท่านั้น น่า เชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมของชาวไทยวนและไทลื้อใน เมืองน่านได้ดำ�เนินมายาวนานกว่า 200 ปีแล้ว และได้หล่อหลอมจนเป็นลักษณะ เฉพาะที่ปรากฏเป็นรูปแบบของศิลปวัฒนธรรมเมืองน่าน
ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้ 5
6 ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้
ฝ้ายแก้ว ไหมคำ� วัฒนธรรมการทอผ้าและการใช้สอยผ้าที่ปรากฏในเมืองน่านมาแต่ อดีตบ่งบอกถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างไทลื้อและไทยวนซึ่ง ทำ�ให้ผ้าทอเมืองน่านมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจศึกษาไม่น้อยแม้ว่าการทอผ้า และการใช้สอยผ้าโดยเฉพาะด้านการแต่งกายจะแปรเปล่ี่ยนได้ด้วยผลกระ ทบทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรมอื่นๆ แต่ผ้าทอที่เป็นร่องรอย จากอดีตก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมและความแปรเปลี่ยน ทางด้านวัฒนธรรมของกลุ่มชนชั้นนั้นๆได้ นอกจากนี้ผ้าทอพื้นเมืองก็เป็นผล งานหัตถกรรมที่มีคุณค่าในเชิงศิลปะ มีความงดงามประณีต ด้วยวิธีการทอที่ ละเอียดซับซ้อน และเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านจากอดีตที่ควรได้รับการศึกษา อนุรักษ์ และฟื้นฟูต่อไป ชาวไทยวนและชาวไทลื้อไม่นิยมเลี้ยงไหม ผ้าทอ เมืองน่านจึงล้วนแต่เป็นผ้าฝ้ายแต่ก็ได้มีการนำ�ไหมมาทอปนฝ้ายโดยเรียกกัน ว่า “ไหมลาว” ซึ่งมีแหล่งผลิตในอดีตอยู่ในหมู่บ้านชาวไทลาว เช่นที่ ตำ�บลน้ำ� ปั้ว อ.เวียงสา กลุ่มชาวไทลาวเหล่านี้ยังไม่มีผู้ใดได้ทำ�การศึกษาอย่างจริงจัง สันนิษฐานว่าอาจเป็นชาวลาวอพยพมาจากหลวงพระบาง และนี่เป็นตัวอย่าง หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมลาวที่ปรากฏในเมืองน่านด้วย
ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้ 7
ผ้าซิ่นเมืองน่านมีโครงสร้างของผ้าซิ่นโดยทั่วไป จะประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนเอว ส่วนกลางตัวซิ่น และส่วนตีน ซึ่งวิธีการเย็บเป็นถุงจะมี 2 วิธี คือ เย็บ ตะเข็บข้างเดียว กับเย็บตะเข็บ 2 ข้างชาวไทยวนในจังหวัดอื่นๆ ในล้านนาทั่วไป จะเย็บด้วยวิธีแรก ดังนั้นลายขวางตรงส่วนส่วนกลางของตัวซิ่นจึงเกิดจากด้าย เส้นยืน แต่ชาวไทลื้อจะใช้วิธีเย็บแบบที่ 2 ซึ่งปรากฏว่าผ้าซิ่นในเมืองน่านล้วนแต่ เย็บด้วยวิธีที่ 2 นี้ไม่ว่าจะเป็นซิ่นแบบใด อันแสดงให้เห็นว่าเป็นอิทธิพลแบบไทลื้อ ทั้งสิ้น ผ้าซิ่นน่านในอดีตนิยมทอด้วยวิธีการ เก็บมุก สลับสีพื้นเป็นช่วงๆโดยมักใช้ ดิ้นเงินดิ้นทอง (เรียกกันว่า ไหมเงินไหมคา) เป็นเส้นพุ่ง ลักษณะโครงสร้างของซิ่น ที่ทอด้วยลวดลายเก็บมุกนี้มี 2 แบบคือ
การทอผ้าของสตรีชาวน่าน
8 ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้
1.ซิ่นป้อง ชื่อซิ่นพื้นบ้านของเมืองน่านแบบหนึ่ง เป็นผ้าซิ่นเย็บ 2 ตะเข็บทอด้วย เทคนิคขิดเป็นลายขวางสลับริ้วสีพื้น มีช่วงขนาดของลายที่เท่ากันโดยตลอด คาว่า “ป้อง” อาจมากจากการจัดโครงสร้างลายขวางเป็นปล้องๆ บางทีก็เรียกว่า “ซิ่นตาเหล้ม” ซึ่งหมายถึงการจัดลายขวางที่มีลักษณะเป็น “ตาๆ” เข้าเป็นกลุ่มลาย สลับสีด้วยช่วงระยะห่างเท่าๆ กันทั้งผืน ลายขวางนี้อาจใช้หลายเทคนิคผสมกัน เช่น มีทั้งทอด้วไยเทคนิคขิด จก ล้วง ปั่นไก มักก่าน โดยมีลายขิดเป็นหลัก วัสดุด้าย เส้นยืนเป็นฝ้าย เส้นพุ่งเป็นฝ้าย ไหม ดิ้นเงิน ดิ้นทอง สลับกัน โดยนิยมดิ้นเป็น ลักษณะเด่น สีที่นิยมเป็นพื้นคือ สีน้าเงิน หรือ สีม่วง ซิ่นป้องนี้ถ้าใช้วัสดุดิ้นเงินดิ้น ทองเป็นเส้นพุ่งพิเศษมากก็จะทาให้มีความแวววาว ในภาษาล้านนา มักเรียกดิ้น ทองว่า “ไหมคำ�” ลักษณะซิ่นป้องที่ทอตกแต่งด้วยดิ้นเงินดิ้นทองมากนี้จึงนิยมเรียก กันว่า “ซิ่นไหมคำ�”
ซิ่นป้อง
ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้ 9
2.ซิ่นม่าน คำ�ว่าม่านในภาษาล้านนาทั่วไปหมายถึง พม่า แต่ชื่อเรียกซิ่นชนิดนี้ไม่ เกี่ ย วกั บ พม่ า แต่ อ ย่ า งใดเป็ น ชื่ อ เรี ย กที่ มี ก ารจั ด ช่ ว งของลายมุ ก สลั บ สี พื้ น เป็ น โครงสร้างที่แน่นอน 4 ระดับด้วยกัน กล่าวคือ ระดับที่ 1 เป็นลายมุกแถวบนสุดกับ ช่วงสีพื้น ซึ่งมีช่วงขนาดใหญ่กว่าช่วงอื่นๆ ระดับที่ 2 และระดับที่ 3 เป็นลายมุกสลับ สีพื้นเป็นช่วงเล็กลงมาขนาดเท่าๆ กัน ช่วงสีพื้นทั้ง 3 ระดับนี้นิยมสลับสีเช่น สีคราม สีแดง และสีเขียว เป็นต้น ช่วงสุดท้ายคือ ระดับที่ 4 เป็นกลุ่มของช่วงลายมุกหลายๆ แถวแล้วจึงถึงตีนซิ่น ซึ่งเป็นสีพื้น (นิยมสีครามและสีแดงต่อกันไป) เป็น กลุ่มของช่วงลายมุกหลายๆ แถวแล้วจึงถึงตีนซิ่น ซึ่งเป็นสีพื้นนิยมสีครามและ สีแดงต่อกันไปโครงสร้างและชื่อเรียกซิ่นทั้ง 2 แบบนี้น่าสนใจมาก เข้าใจว่า ซิ่นป้อง จะเป็นแบบของชาวไทยวน ส่วนซิ่นม่าน จะเป็นแบบของชาวไทลื้อ ซิ่นทั้งสองแบบ ใช้นุ่งกันทั่วไปในเมืองน่านมาแต่อดีตลักษณะโครงสร้างแบบซิ่นป้องคือมีลายขวาง เท่าๆกันนั้น ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ซิ่นตาเหล้ม ซึ่งน่าจะหมายถึงการจัด โครงสร้างลายขวางเท่าๆ กันเป็นแถวๆ ชาวบ้านบางแห่งอธิบายว่า ซิ่นป้อง กับ ซิ่น ตาเหล้ม ต่างกันตรงขนาดของลายมุก แต่ส่วนใหญ่จะบอกว่าเหมือนกัน นอกจากนี้ แล้ว ซิ่นเมืองน่าน ยังมีการเรียกชื่อตามลักษณะพิเศษอีก2แบบคือ 10 ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้
1.ซิ่นคำ�เคิบ หมายถึงซิ่นที่ทอด้วยดิ้นทอง (ไหมคำ�) ตลอดทั้งตัวซิ่นโดยอาจมีริ้วสีพื้น สลับ (แบบเดียวกับซิ่นป้อง) แต่เป็นช่วงเล็กๆ เมื่อดูรวมๆ จะเป็นสีทองทั้งผืน ตรง ตีนซิ่นอาจทอเป็นผ้าสีพื้นธรรมดาต่อจนสุดผืน หรืออาจต่อด้วยตีนจกก็ได้ซึ่งถ้าต่อ ด้วยตีนจก ก็จะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าซิ่นตีนจก ลักษณะตีนจกของเมืองน่านมีลวดลาย จกเป็นลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเหมือนตีนจกของชาวไทยวนเชียงใหม่ นิยมใช้ผ้า ฝ้ายสีดาเป็นผ้าพื้นและจกด้วยดิ้นทองลวดลายจกจะอยู่ช่วงบนของตีนซิ่น ส่วน ช่วงล่างของตีนซิ่นจะเป็นผ้าพื้นสีแดง ซิ่นตีนจกหรือ คาเคิบ นี้จะใช้นุ่งเฉพาะโอกาส พิเศษเช่นเวลาไปทาบุญที่วัดเป็นต้น
ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้ 11
2.ซิ่นเชียงแสน เป็นซิ่นลายขวางเป็นริ้วๆ ทอด้วยเทคนิคลายขัดธรรมดาตลอดทั้งผืนไม่มีการ จกหรือขิด การจัดโครงสร้างของริ้วลายขวางเป็นระยะที่แน่นอน นิยมทอสีแดงเป็น พื้น ส่วนริ้วลายขวางจะใช้สีต่างๆ กันไป บางผืนอาจมีเส้นพุ่งเป็นลายมัดหมี่เป็น จุดเล็กๆ สลับเรียกว่า ก่านข้อ และนิยมใช้ฝ้าย 2 สีปั่นเข้าด้วยกันเป็นเส้นพุ่งในช่วง แถวสุดท้าย (ช่วงบนของตีนซิ่น) เรียกว่า ปั่นไกซิ่นเชียงแสนนี้เป็นซิ่นพื้นเมืองของ ชาวเมืองน่านที่ใช้นุ่งในเวลาปกติทั่วไป ชื่อเรียกของซิ่นชนิดนี้ บ่งบอกถึงกาเนิดว่า เป็นซิ่นแบบเก่าแก่ของชาวไทยวน
ซิ่นเชียงแสน
12 ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้
มาแต่อดีตสำ�หรับซิ่นในเมืองน่าน แม้จะมีโครงสร้างเป็น ซิ่นป้อง และ ซิ่นม่าน แบบเดี ย วกั บ ซิ่ น ของชาวไทยวนทั่ ว ไปแต่ ก็ มี ลั ก ษณะเด่ น อั น แสดงให้ เ ห็ น ถึ ง เอกลักษณ์ของกลุ่มชนและความสามารถในการทอเป็นพิเศษ กล่าวคือ ลวดลาย มุกบนตัวซิ่นนั้นโดยทั่วไปในเมืองน่านจะนิยมทอลายพื้นฐานเล็กๆ ลายกาบ ลาย ขอ เป็นต้น และตรงเชิงก็จะนิยมทอลายสายย้อย (คล้ายกับลายตีนจก) นอกจากนี้ ก็จะมีการทอลายเก็บมุกสลับมัดก่าน (มัดหมี่) ทาให้มีลักษณะเด่นเฉพาะกลุ่มต่าง จากซิ่นไทยวนทั่วไป
ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้ 13
ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้ จัดทำ�โดย นายเอกอนันต์ โพธิ์สุยะ ระหัสประจำ�ตัว 530310150 ภาษาไทย ฉ 2556 ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สงวนลิขสิทธิ์ พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2556 จัดพิมพ์โดย ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกแบบโดย นายเอกอนันต์ โพธิ์สุยะ 2556 14 ต่ำ�หูกงานศิลป์ ถิ่นน่านใต้