สารวัดแม่พระกุหลาบทิพย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2014

Page 1

ฉบับที่ 519 วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2014

สั ปดาห์ ที่ 3 เทศกาลมหาพรต (ปี A)

ผูท้ ีน่ มัสการพระเจ้า จะต้องนมัสการเดชะพระจิ ตเจ้า และตามความจริง ยน 4:24

ฉบับที่ 519 วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2014

สั ปดาห์ ที่ 3 เทศกาลมหาพรต (ปี A)

ผูท้ ีน่ มัสการพระเจ้า จะต้องนมัสการเดชะพระจิ ตเจ้า และตามความจริง ยน 4:24


สั ปดาห์ ที่ 3 เทศกาลมหาพรต (ปี A)

ยน 4:5-42

เนื่ อ งจากเรื่อ งราวระหว่ า งพระเยซู เ จ้า กับ หญิง ชาวสะมาเรีย มีค วามยาวและ รายละเอียดมาก จึงขอยกบางตอนมาอธิบายดังนี้

1. ทรงขจัดอุปสรรคขวางกัน้ 5

พระองค์เสด็จมาถึงเมืองหนึง่ ในแคว้นสะมาเรียชือ่ สิคาร์ ใกล้ทดี ่ นิ ทีย่ าโคบยกให้ โยเซฟบุตรชาย 6ทีน่ นมี ั ่ บอ่ นํ้าของยาโคบ พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนือ่ ยจากการเดินทาง จึง ประทับทีข่ อบบ่อ ขณะนัน้ เป็ นเวลาประมาณเทีย่ งวัน 7หญิงชาวสะมาเรียคนหนึง่ มาตักนํ้ า พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า “ขอนํ้าดืม่ สักหน่ อยเถิด” 8บรรดาศิษย์ของพระองค์ไปซื้ออาหาร ในเมือง 9หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า “ท่านเป็ นชาวยิว ทําไมจึงขอนํ้ าดืม่ จากดิฉันซึง่ เป็ นชาวสะมาเรียเล่า” เพราะชาวยิวไม่ตดิ ต่อกับชาวสะมาเรียเลย “ท่านเป็ นชาวยิว ทําไมจึงขอนํ้ าดืม่ จากดิฉนั ซึง่ เป็ นชาวสะมาเรียเล่า” คําถามนี้บ่ง บอกถึงความสัมพันธ์อนั เลวร้ายระหว่างชาวยิวกับชาวสะมาเรียได้เป็ นอย่างดี แผ่นดินปาเลสไตน์ในสมัยพระเยซูเจ้า มีความยาวจากเหนือจรดใต้ประมาณ 190 ก.ม. แบ่งออกเป็ น 3 แคว้นใหญ่ เหนือสุดคือแคว้นกาลิลี ตอนกลางคือแคว้นสะมาเรีย และใต้สดุ คือแคว้นยูเดีย จากแคว้นยูเดียขึน้ ไปแคว้นกาลิลี เส้นทางสัน้ ทีส่ ุดก็คอื ผ่านแคว้นสะมาเรียซึ่งใช้ เวลาเดินทางเพียงสามวัน แต่ชาวยิวมักหลีกเลีย่ งเส้นทางผ่านสะมาเรียด้วยการข้ามแม่น้ํา 2

วัน เดือน ปี จ. 24 มี.ค. สุ ขสํ าราญ อ. 25 มี.ค. สุ ขสํ าราญ พ. 26 มี.ค. อุทศิ แด่ พฤ. 27 มี.ค. อุทศิ แด่ ศ. 28 มี.ค. อุทศิ แด่

08.30-09.00 น. 09.00-09.15 น. 09.15-10.00 น. 10.00-11.30 น. 11.30-12.00 น. 12.00-13.00 น. 13.00-14.30 น. 14.30-15.00 น. 15.00-15.30 น. 15.30-16.00 น. 16.00-17.00 น. 17.00-17.45 น. 17.45-18.00 น. 18.00 น.

รายการมิสซา คุณพ่อ เปโตร ประชาชาติ ปรี ชาวุฒิ วิญมารี อา ปนัดดา นิลกําแหง วิญญาณในไฟชําระ วิญญาณในไฟชําระ วิญญาณในไฟชําระ

ผู้ขอมิสซา มาลินี มาลินี -

ลงทะเบียน ตั้งศีลมหาสนิท เฝ้ าศีล เทเซ่ “ความรักไม่ มสี ิ้นสุ ด” และฝึ กจิตภาวนา เฝ้ าศีล อาหารเทีย่ ง (ถือเงียบ) “ความรักไม่ มสี ิ้นสุ ด” และฝึ กจิตภาวนา เฝ้ าศีล เดินรู ป จิตภาวนา พิจารณามโนธรรมและรับศีลอภัยบาป เฝ้ าศีล ทําวัตรเย็น อวยพรศีลมหาสนิท มิสซา 15


วัน เดือน ปี อา. 23 มี.ค. 08.00 น.

รายการมิสซา ผู้ขอมิสซา อุทศิ แด่ คุณอุย้ นิ้ว แซ่เซี้ ยว, คุณนวลจันทร์, ด.ช.ธงชัย ธนะสาร ยวง บัปติสตา เสมียน สาธรกิจ, มารี อา ฮุยเกียว แซ่โง้ว คุณโถ เพียรช่างคิด, คุณนงรัก ธนะสาร, คุณล้อสี บรรพบุรุษครอบครัวธนาพานิชย์ Maria Vanna, Marcellina Marasri Xavier โยเซฟฟิ น พวงผกา ภูริผล, คุณรุ่ งโรจน์ ไพรัชพินทุ์ กิตติพร เปโตร ยรรยง, ลูซีอา ละออ, มารี อา นิตยา อุชชิน คค.อุชชิน ยอแซฟ สมบัติ อุชชิน, มารี อา มยุรี ผลาวงศ์ มัทธิว เกียรติศกั ดิ์ สุ วรรณจิต, Thomas Adams วิญญาณในไฟชําระและวิญญาณที่ไม่มีผใู ้ ดนึกถึง ธนาพานิชย์ อา. 23 มี.ค. สุ ขสํ าราญ โมทนาคุณพระเจ้า และพระแม่มารี ย ์ สัตบุรุษวัดแม่พระกุหลาบทิพย์ทุกท่าน 10.00 น. ครอบครัวคุณพนิดา ประยุรจตุพร มารี อา มารยาท สุ นพิชยั มาลินี ดอมินิก ภูวนัย หงษ์แก้ว และครอบครัว อุทศิ แด่ คุณพ่อ ยอแซฟ วัลลภ จําหน่ายผล อดิสัย ยอห์น บัปติสต์ มณี กิจนิตย์ชีว์ มารี อา เทเรซา สุ มาลี กิจนิตย์ชีว์ คริ สโตเฟอร์ พันธกานต์ บุญเนตร สุ นทรี เปโตร บ้วนฮง เตียวเจริ ญ วิไลวรรณ เปโตร เหลี่ยน ฮว่าง, มารธา เฮียน ฮว่าง ถิ ธนกร เปโตร ยุน่ คอ แซ่โค้ว พนิดา เทเรซา ซาแวน, เทเรซา จีบ มารี อา กิมฮวย นงค์สวัสดิ์ สุ วารี มารี อา จิตรา ไพจิตรานนท์ ไพจิตรานนท์ อันตน เท่งแซ่ แซ่ซ้ื อ ไพจิตรานนท์ วิญญาณในไฟชําระและวิญญาณที่ไม่มีผใู ้ ดนึกถึง -

14

ั ่ นออกแล้วเดินขึน้ เหนือจนพ้นเขตแดนของสะมาเรีย จากนัน้ จึงข้ามแม่น้ํา จอร์แดนไปฝงตะวั ั ่ นตกเข้าสูก่ าลิลี ซึง่ ต้องใช้เวลาเพิม่ ขึน้ อีกเท่าตัว ทัง้ นี้เป็ นเพราะชาวยิวมีเรื่อง กลับมาฝงตะวั ขัดแย้งกับชาวสะมาเรียจนฝงั รากลึกมาเป็ นเวลายาวนาน สาเหตุของความขัดแย้งพอลําดับได้ดงั นี้ ปี 720 ก.ค.ศ. อาณาจักรทางเหนือคือสะมาเรียถูกรุกราน “กษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรียทรง ยกทัพมารุกรานแผ่นดินทัง้ หมด เสด็จมาถึงกรุงสะมาเรียและทรงล้อมเมืองเป็ นเวลาสามปี ปี ทีเ่ ก้าในรัชกาลกษัตริยโ์ ฮเชยา กษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรียทรงยึดกรุงสะมาเรียได้ ทรงกวาดต้อน ชาวอิสราเอลไปเป็ นเชลยทีอ่ สั ซีเรีย ให้ตงั ้ หลักแหล่ง บางส่วนอยูท่ เี ่ มืองฮาลาห์ บางส่วนอยู่ ทีแ่ ม่น้ ําฮาโบร์ในแคว้นโกซาน บางส่วนอยูต่ ามเมืองต่าง ๆ ของชาวมีเดีย” (2 พกษ 17:5-6) นอกจากกวาดต้อนชาวยิวออกไปแล้ว “กษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรียทรงนําผูค้ นจากกรุงบา บิโลน เมืองคูธาห์ อัฟวา ฮามัท และเสฟารวาอิม เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ในแคว้นสะ มาเรียแทนทีช่ าวอิสราเอล เขายึดครองแคว้นสะมาเรียและอาศัยอยูต่ ามเมืองต่างๆ” (2 พกษ 17:24) ชาวยิวที่รอดพ้นจากการถูกกวาดต้อนไปต่างแดน เริม่ แต่งงานกับคนต่างชาติท่ี อพยพเข้ามาใหม่จนสูญเสียความเป็ นยิวซึ่งถือเป็ นความผิดหนักและน่ าอดสูอย่างยิง่ ทุก วันนี้ ชาวยิวที่เ คร่งครัด ยังจัดงานศพให้บุตรหลานที่แต่ งงานกับคนต่างชาติต่างศาสนา เพราะถือว่าเขาตายจากความเป็ นยิวไปแล้ว ต่อมาอีกร้อยปี เศษ ประมาณ 600 ปี ก.ค.ศ. อาณาจักรทางใต้คอื ยูเดียก็ถูกชาวบา บิโลนตีแตกเช่นกัน ชาวยิวถูกกวาดต้อนไปกรุงบาบิโลนแต่พวกเขาสามารถรักษาความ เป็ น “ยิว” ไว้ได้อย่างเคร่งครัด ในสมัยของประกาศกเอสราและเนหะมีย์ กษัตริยเ์ ปอร์เซียได้ปล่อยชาวยิวในกรุง บาบิโลนกลับปาเลสไตน์ ภารกิจศักดิ์สิทธิ์และเร่งด่วนทีส่ ดุ ของพวกเขาคือ สร้างพระวิ หาร ใหม่ ชาวสะมาเรียเสนอตัวช่วยสร้างพระวิหารแต่ถูกปฏิเสธ ซํ้าร้ายยังถูกดูหมิน่ ว่าไม่ใช่ ยิวแท้จงึ หมดสิทธิในพระอาณาจักรของพระเจ้า และไม่มสี ทิ ธิร่วมสร้างพระวิหารถวายแด่ พระองค์ จุดเริม่ ต้นของความร้าวฉานนี้เกิดขึน้ ราว 450 ปีก่อนพระเยซูเจ้า 3


ต่อมามีชาวยิวผูล้ ะทิง้ ศาสนาคนหนึ่งชือ่ มนัสเสห์ เขาเป็ น “บุตรคนหนึง่ ของโยยาดา บุตรของเอลียาชีบมหาสมณะ เป็ นบุตรเขยของสันบาลลัทชาวโคโรน” (นหม 13:28) ได้ยา้ ย ไปอาศัยอยู่ในสะมาเรียและได้สร้างวิหารถวายแด่พระเจ้าบนภูเขาเกรีซมิ ซึ่งตัง้ อยู่ก่งึ กลาง แคว้นเพือ่ แข่งกับวิหารทีก่ รุงเยรูซาเล็ม ราวปี 129 ก.ค.ศ. ในสมัยของมัคคาบี แม่ทพั ชาวยิวชื่อ ยอห์น ฮีรก์ านุ ส ได้ยกทัพ ไปตีสะมาเรียและทําลายวิหารบนภูเขาเกรีซิมจนราบคาบ จากความร้าวฉานที่ก่อตัวในปี 450 ก.ค.ศ. ได้พฒ ั นาจนกลายเป็ น ความเกลียดชังฝงั กระดูก ในทีส่ ดุ นี่คอื เหตุผลว่าทําไมหญิงชาวสะมาเรียจึงถามพระเยซูเจ้าว่า “ท่านเป็ นชาวยิว ทําไม จึงขอนํ้าดืม่ จากดิฉนั ซึง่ เป็ นชาวสะมาเรียเล่า” (ยน 4:9) เหตุการณ์น้ีเกิดขึน้ เวลาเทีย่ งวันซึง่ อากาศร้อนทีส่ ดุ (ยน 4:6) “พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนือ่ ยจากการเดินทาง จึงประทับทีข่ อบบ่อ” (ยน 4:6) บ่อนํ้า ของยาโคบอยู่ห่างจากเมืองสิคาร์ประมาณหนึ่งกิโลเมตร ลึกประมาณ 30 เมตร ไม่ใช่บ่อ นํ้าพุ แต่เป็ นบ่อนํ้าทีซ่ มึ จากใต้ดนิ แล้วไหลมารวมกัน ความจริงในเมืองสิคาร์กม็ นี ้ํ าใช้อย่างอุดมสมบูรณ์ แต่หญิงคนนี้ตอ้ งเดินทางมาตัก นํ้าถึงบ่อของยาโคบคงเป็ นเพราะถูกชาวเมืองรังเกียจและขับไล่เนื่องจากนางมีสามีหลายคน เมือ่ พระองค์ตรัสกับหญิงชาวสะมาเรียว่า “ขอนํ้าดืม่ สักหน่ อยเถิด” (ยน 4:7) แสดง ว่าพระองค์ทรงเป็ น “มนุษย์แท้” ทีร่ ูจ้ กั เหน็ดเหนื่อย ร้อน หิว กระหาย และต้องต่อสูด้ น้ิ รน เหมือนเราทุกคน ทีส่ ําคัญ เมื่อพระองค์ ซึ่งเป็ นถึงรับบีผยู้ งิ่ ใหญ่ของชาวยิว ยังทรงขอนํ้ าดื่มจากชาว สะมาเรียผูถ้ ูกดูหมิน่ ดูแคลน ย่อมเท่ากับ “ทรงหยิบยืน่ ไมตรี” และ “ทรงขจัดอุปสรรคด้านเชือ้ ชาติ” ทีข่ วางกัน้ ชาวยิวและชาวสะมาเรียมิให้ตดิ ต่อคบหากันมานานหลายร้อยปีลง และทีน่ ่าสังเกตคือ ลําพังผูห้ ญิงธรรมดา ๆ เมือ่ พบปะกับคนสําคัญระดับรับบีคงต้อง รูส้ กึ อึดอัด กลัว และหลบหน้าหนีไปแล้ว ยิง่ เป็ นหญิงไม่ธรรมดาเพราะเคยผ่านสามีมาแล้ว ถึง 5 คนอย่างนาง ยิง่ น่ าจะต้องอึดอัดเป็ นร้อยเท่าเมื่อต้องพบและพูดคุยกับพระเยซูเจ้าซึ่ง ยิง่ ใหญ่กว่ารับบีเสียอีก แต่นางกลับเต็มใจคุยกับพระองค์จนกระทังบรรดาศิ ่ ษย์กลับมาจากซื้ออาหารใน เมือง ! 4

มิสซาสั ปดาห์ ที่ เทศกาลมหาพรต (ปี A) วันอาทิตย์ ที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2014 วัน เดือน ปี รายการมิสซา ส. 22 มี.ค. สุ ขสํ าราญ โมทนาคุณพระเจ้าและพระแม่มารี ย ์ มารี อา ประทุม, คุณสมนึก ใช้สมบุญ และครอบครัว 18.00 น. อันนา สวัสดิ์, เปาโล ศิริ แตงอ่อน และครอบครัว อุทศิ แด่ อันตน สําเริ ง โกญจนาท สตีเฟน จํารู ญ, มารี อา ละมุด เจริ ญพานิช ยอแซฟ เสถียร, มารี อา เสาวนีย ์ พงษ์เพิ่มมาศ หลุยส์ มารี ย ์ มนตรี ปรี ชาวนิช ยอแซฟ ประเสริ ฐ กุศลส่ ง ดอมินิก ไชยยันต์ ปิ ติปาละ บรรพบุรุษครอบครัวพงษ์เพิ่มมาศ ผูล้ ่วงลับครอบครัวเจริ ญพานิช วิญญาณในไฟชําระและวิญญาณที่ไม่มีผใู้ ดนึกถึง อา. 23 มี.ค. สุ ขสํ าราญ โมทนาคุณพระเจ้า และพระแม่มารี ย ์ 08.00 น. มารี อา เอื้อพันธ์ ศรี เจริ ญ, ครอบครัวศรี เจริ ญ อันโตนีโอ จํารู ญ พรสัจจา คุณประชิต, คุณประจิตร, มารี อา จินดา เส็งเจริ ญ ครอบครัวเขม้นงาน, ครอบครัวสุ ทธิโอภาส ครอบครัวลิ้มจิตรกร ครอบครัวรัตนบรรณสกุล, ครอบครัวต่ายแสง คอบครัวสุ ทธิโอภาส, ทุกครอบครัวในโลก ครอบครัวเตรี ยมวิชานนท์, ครอบครัวเพียรช่างคิด ครอบครัวธนะสาร, ครอบครัวสาธรกิจ อุทศิ แด่ ยวง บัปติสตา ก๊กเคี้ยง แซ่แพ้, มารี อา กิมฮวย แซ่ต้ งั ยอแซฟ ทิวากร รักคิดและบรรพบุรุษ

ผู้ขอมิสซา ธนพร ชุลีพร เริ งจิต วรัญญ์นิช บุตรหลาน รสมาลิน ธนพร บุญญรัตน์ คค.ศรี เจริ ญ 13


เคล็ดลับด้านสุขภาพรับหน้ าร้อน..

คงเข้าใจเป็ นอื่นไปไม่ไ ด้นอกจาก นางค้ นพบความอบอุ่นและความเมตตา อย่างเต็มเปี่ ยมในตัวพระองค์ ! พระองค์ทรงเป็ นเหมือนเพือ่ น ไม่ใช่คนทีจ่ อ้ งวิพากษ์วจิ ารณ์หรือประณามคนอื่น ! นอกจากนี้ พวกรับ บีย งั วางกฎไว้ว่า “ห้า มรับ บีพูด คุ ย กับ ผู้ห ญิง ในทีส่ าธารณะ แม้ว่าหญิงผูน้ ัน้ จะเป็ นภรรยา บุตรสาว หรือน้ องสาวของตนเองก็ตาม” บางคนเคร่งครัด ถึงกับปิ ดตาเมื่อเห็นผูห้ ญิงเดินมาตามถนน แล้วตัวเองก็เดินชนกําแพงบ้าง เข้าบ้านคนอื่น บ้าง จนหัวร้างข้างแตกหรือฟกชํ้าดําเขียวไปก็ม ี หากมีคนเห็นรับบีพดู คุยกับผูห้ ญิงในทีส่ าธารณะ ชือ่ เสียงของเขาทีส่ ะสมมานานจะ หมดสิน้ ทันที และความหวังทีจ่ ะเข้าพระอาณาจักรของพระเจ้าก็ดบั วูบลงด้วย แต่ พ ระเยซู เ จ้ า ทรงทํ า ลายอุ ป สรรคทางเพศที่ข วางกัน้ มนุ ษ ย์ ก ับ พระเจ้ า ลง พระองค์ทรงสนทนากับนางในทีส่ าธารณะอย่างเปิดเผย พระองค์ท รงทํา ลายอุป สรรคที ข่ วางกัน้ มนุ ษ ย์ก ับ มนุ ษ ย์ด้ ว ยกัน เองและ มนุษย์กบั พระเจ้าลง อาศัยความรัก ความอบอุ่น และความเมตตาอันยิ ง่ ใหญ่ของ พระองค์ !!

2. นํ้าที่ให้ชีวิต 10

พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า “หากท่านรูจ้ กั ของประทานของ พระเจ้า และรูจ้ กั ผูท้ บี ่ อกท่านว่า “ขอนํ้ าดืม่ สักหน่ อยเถิด” ท่านคงกลับเป็ นผูข้ อ และผูน้ ัน้ จะ ให้ “นํ้ าทีใ่ ห้ชวี ติ ” แก่ท่าน 11นางจึงทูลว่า “นายเจ้าข้า ท่านไม่มถี งั ตักนํ้ า และบ่อก็ลกึ มาก ท่านจะเอานํ้าทีใ่ ห้ชวี ติ มาจากไหน 12ท่านยิง่ ใหญ่กว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราหรือ ยาโคบ ให้บ่อนํ้านี้แก่เรา ยาโคบลูกหลานและฝูงสัตว์กไ็ ด้ดมื ่ นํ้าจากบ่อนี้” 13พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ทุกคนทีด่ มื ่ นํ้านี้จะกระหายอีก 14แต่ผทู้ ดี ่ มื ่ นํ้าซึง่ เราจะให้นนั ้ จะไม่กระหายอีก นํ้าทีเ่ ราจะ ให้เขาจะกลายเป็ นธารนํ้าในตัวเขา ไหลรินเพือ่ ชีวติ นิรนั ดร” 15หญิงนัน้ จึงทูลว่า “นายเจ้าขา โปรดให้น้ ํานัน้ แก่ดฉิ นั บ้าง เพือ่ ดิฉนั จะไม่ตอ้ งกระหายหรือต้องมาตักนํ้าทีน่ ีอ่ กี ” จากการสนทนากับนิโคเดมัสในบทที่ 3 (ยน 3:1-21) เราสามารถวิเคราะห์วธิ สี อน ของพระเยซูเจ้าซึง่ แบ่งออกเป็ น 5 ขัน้ ตอนดังนี้ ขัน้ แรก พระเยซูเจ้าทรงเกริน่ นํ า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มใี ครเห็นพระ อาณาจักรของพระเจ้าถ้าเขาไม่ได้เกิดใหม่” (ยน 3:3) 12

5


ขัน้ ทีส่ อง ผูฟ้ งั เข้าใจผิ ด จึงทูลถามพระองค์วา่ “คนชราแล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไร กัน เขาจะเข้าไปในครรภ์มารดาอีกครัง้ หนึง่ แล้วเกิดใหม่ได้หรือ” (ยน 3:4) ขัน้ ทีส่ าม พระเยซูเจ้าทรงพูดซํา้ พร้อมขยายความเพิ่ มเติ ม “เราบอกความจริง แก่ท่านว่าไม่มใี ครเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเขาไม่เกิดจากนํ้าและพระจิตเจ้า….” (ยน 3:5) ขัน้ ทีส่ ่ี ผูฟ้ งั ยังคงไม่เข้าใจ “เหตุการณ์เช่นนี้จะเป็ นไปได้อย่างไร” (ยน 3:9) ขัน้ สุดท้าย พระเยซูเจ้าทรงกระตุ้นให้ ผ้ฟ ู ั งค้ นพบความจริ งด้ วยตัวเขาเอง “ท่านเป็ นอาจารย์ของชาวอิสราเอล ท่านไม่รเู้ รือ่ งเหล่านี้หรือ” (ยน 3:10) พระองค์ทรงใช้วธิ สี อนดังได้กล่าวมานี้ กับหญิงชาวสะมาเรีย ! ขัน้ ที่ หนึ่ ง พระองค์ตรัสว่า “ผูน้ ัน้ จะให้น้ ํ าทีใ่ ห้ชวี ติ (living water) แก่ท่าน” (ยน 4:10) ขัน้ ที่ สอง หญิงชาวสะมาเรียเข้าใจคํา “living water” ตามตัวอักษรคือ “นํ้ าที ่ ไหลเวียน” ซึ่งดีกว่า “นํ้ านิง่ ” ในบ่อที่ยาโคบบรรพบุรุษของนางต้องขุดหามาด้วยความ เหนื่อยยาก นางจึงโกรธและต่อว่าพระองค์ “ท่านยิง่ ใหญ่กว่ายาโคบหรือ? ลําพังถังสําหรับ ตักนํ้ านิง่ ๆ จากบ่อนี้ยงั ไม่มเี ลย แล้วยังมีหน้ามาเสนอนํ้ าทีไ่ หลเวียนให้ดฉิ ันอีก” (เทียบ ยน 4:11-12) อันทีจ่ ริงพระองค์ตรัสถึงนํ้าฝา่ ยจิต ! “นํ้า” นอกจากมีความหมายตามตัวอักษรแล้ว ยังมีความหมายทางศาสนาอีกด้วย “นํ้าคือสิง่ ดับความกระหายของดวงวิญญาณทีห่ วิ กระหายหาพระเจ้า” ในอดีต พระเจ้าทรงสัญญากับชาวอิสราเอลซึง่ เป็ นประชากรทีท่ รงเลือกสรรว่า - “ท่านทัง้ หลายจะยินดีตกั นํ้าจากพุน้ ําทีน่ ําความรอดพ้น” (อสย 12:3) - “เราจะเทนํ้ าลงบนแผ่นดินทีก่ ระหาย จะทําให้ลําธารไหลบนพื้นดินที ่ แห้งแล้ง เราจะหลังจิ ่ ตของเราเหนือลูกหลานของท่าน หลังพรของเราเหนื ่ อเชื้อสายของ ท่าน” (อสย 44:3) - “วันนัน้ พุน้ ํ าจะเปิ ดสําหรับราชวงศ์ของกษัตริยด์ าวิดและผูอ้ าศัยในกรุง เยรูซาเล็ม เพือ่ ชําระล้างบาปและความสกปรก” (ศคย 13:1) และเมือ่ ชาวอิสราเอลละทิง้ พระเจ้า พระองค์กท็ รงเตือนผ่านทางประกาศกเยเรมีย์ ว่า “ประชากรของเราได้ทําความชัวสองประการ ่ เขาได้ละทิ้งเราซึง่ เป็ นพุน้ ํ าไหล แล้วไป ่ ง่ เก็บนํ้าไว้ไม่ได้” (ยรม 2:13) สกัดหินเป็ นทีข่ งั นํ้าสําหรับตน เป็ นทีข่ งั นํ้ารัวซึ 6

เป็ นเพราะไม่รเู้ ท่าทันอุบายของกิเลสหรืออัตตา ผูค้ นจึงใช้เหตุผลในการกล่าวหาและโจมตี กัน แม้บางครั้งจะไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเลย แต่เพียงแค่ตอ้ งการยืนยันว่าฉันถูก แก ผิด เท่า นี้ก็ ม ากพอที่ จ ะทํา ให้อี ก ฝ่ ายลุก ขึ้น มาตอบโต้เพื่ อ ยื นยัน ความถูกต้อ งของตน เช่ น เดี ย วกัน ผลก็ คื อ ต่า งฝ่ ายต่า งโกรธเคื อ งหนัก ขึ้น และสรรหาเหตุผ ลมาโจมตี ใ ห้ เจ็ บ ปวดยิ่ ง กว่า เดิม ทั้ง หมดนี้แ ม้จ ะทํา ในนามของความถูก ต้อ ง แต่แ ท้จริ งก็ คื อ สาด อารมณ์รอ้ นเข้าใส่กนั เพื่อเอาชนะอีกฝ่ าย ตราบใดที่ทกุ ฝ่ ายคิดแต่จะใช้เหตุผล มุง่ เอาถูก เอาผิด จนมองข้ามอารมณ์ทั้งของตนเองและของผูอ้ ื่น ก็ ยากที่จะลงเอยอย่างสันติได้ แม้กระทัง่ ในระหว่างคูร่ กั หรือมิตรสหาย ก็อาจวิวาทบาดหมางจนกลายเป็ นศัตรูกนั แทนที่จะมุ่งกล่าวโทษผูอ้ ื่น เราควรหันกลับมามองตนและรูเ้ ท่าทันอารมณ์ความรูส้ ึกที่ เกิดขึน้ ในใจตน หากปล่อยให้อัตตาครอบงํา มันก็สามารถสรรหาเหตุผลเพื่อทิ่มแทงคน อื่ น ได้ต ลอดเวลา หรื อ ไม่ก็ ผ ลัก ไสให้เ ราทํา ทุก อย่า งเพื่ อ สนองความยิ่ ง ใหญ่ ข องมัน เช่นเดียวกับกิเลสที่ชกั ใยให้เราทําอะไรก็ได้เพื่อปรนเปรอมัน การรูเ้ ท่าทันอัตตาและกิเลส ทําให้เราไม่หลงเชือ่ เหตุผลที่มนั เสกสรรปั้ นแต่งขึน้ มาจนกลายเป็ นเครื่องมือของมัน เคยสังเกตหรือไม่วา่ คําพูดประโยคเดียวกัน หากเอ่ยโดยคนที่เราศรัทธานับถือหรือสนิท สนมคุน้ เคย เราจะเปิ ดใจรับหรือคล้อยตามได้อย่างง่ายดาย แต่หากมาจากปากของคนที่ เราไม่ชอบหรือโกรธเกลียด เรากลับต่อต้าน เห็นแย้ง หรือหาเหตุผลโต้เถียงทันที อะไรทํา ให้เรามีปฏิกิริยาแตกต่างกัน คําตอบก็คือความรูส้ ึกของเราต่อสองคนนัน้ ไม่เหมือนกัน คนหนึ่งนัน้ เราชอบ อีกคนหนึ่งเราชัง พูดง่าย ๆ คือ มีอคตินนั ่ เอง ดังนัน้ ปั ญหาจึงไม่ได้ อยู่ที่ว่า คําพูดของเขามีเหตุผลมากน้อยเพียงใด แต่อยู่ที่อคติของเราต่อเขามากกว่า ไม่ ว่าจะเป็ นฉันทาคติ หรือโทสาคติก็ตาม นอกจากการรูเ้ ท่าทันอารมณ์และอคติของตัวเองแล้ว การเข้าใจอารมณ์และอคติของอีก ฝ่ ายก็สาํ คัญ เมือ่ มีความขัดแย้งกัน แทนที่จะใช้แต่เหตุผลอย่างเดียว การใส่ใจกับอารมณ์ ของอีกฝ่ าย ก็เป็ นสิ่งที่พึงกระทํา คนสองคนหากเป็ นปฏิปักษ์ตอ่ กัน ใช้เหตุผลเท่าใดก็ไม่ ช่วยให้เลิกทะเลาะกัน แต่หากหยิบยื่นนํา้ ใจไมตรีให้แก่กนั ก็งา่ ยที่จะหันหน้าเข้าหากัน คน ที่มีรั้วบ้านอยู่ติดกันนัน้ สามารถทะเลาะกันได้ทกุ เรื่อง ไม่เว้นแม้กระทัง่ เรื่องเล็ก ๆ เช่น หมาเห่าเสียงดัง หรือใบไม้ปลิวไปตกอีกบ้านหนึ่ง แต่พออีกฝ่ ายแสดงความเป็ นมิตร มี ของไปฝาก ไต่ถามทุกข์สขุ เรื่องใหญ่ก็กลายเป็ นเรื่องเล็ก

เหตุผลสําคัญก็จริง แต่บางครัง้ อารมณ์ความรูส้ กึ สําคัญกว่า จึ งอย่ามัวหาความถูกผิดจนลืมดูแลอารมณ์ของตนและใส่ใจอารมณ์ ของผูอ้ ่ื น 11


บทความจากนิตยสาร Image โดย ภาวัน

ลูกชายเป็ นห่วงแม่วัย 90 จึงพยายามควบคุมอาหารของแม่ แม่จึงบอกลูกด้วย เสียงอ่อย ๆ ว่า แม่ชอบข้าวขาหมู มันเชื่อมใส่กะทิแม่ก็ชอบ แม่อยู่ได้อีกไม่นาน ให้ แม่กินเถอะ ต่อมาลูกชวนแม่เข้าวัดปฏิ บัติธรรมเพื่อเตรี ยมตัวเตรี ยมใจในวาระ สุดท้าย แต่แม่ปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าเอาไว้วนั หลังเถอะ แม่ยงั อยู่ได้อีกหลายปี คนเราดูเหมือนมีเหตุผลในการทําหรือไม่ทาํ อะไรสักอย่าง แต่บ่อยครั้งเหตุผลนัน้ เป็ นเพียงแค่สิ่งที่อารมณ์หรือความรูส้ ึกเสกสรรค์ปั้นแต่งขึน้ มา จึงไม่นา่ แปลกใจที่ เหตุผลของคน ๆ หนึง่ แม้จะดูนา่ ฟั ง แต่บางทีก็ขดั กันเอง ดังเช่นเหตุผลของแม่วัย 90 ผูน้ ี้ แต่ถา้ พิจารณาให้ดีก็จะพบว่า เหตุผลทั้งสองประการนัน้ ล้วนมีเป้าหมาย เดียวกัน คือเพื่อตอบสนองความพึงพอใจ (หรือ"กิเลส")ของผูพ้ ดู คุณแม่วยั 90 อาจไม่ได้เชือ่ เหตุผลที่ตนยกขึน้ มา เพราะรูอ้ ยู่แก่ใจว่ามันเป็ นข้ออ้าง แต่คนจํานวนไม่นอ้ ยเชื่อเหตุผลที่ตนคิดขึ้นมาจริง ๆ โดยไม่ได้ตระหนักว่ามันเป็ น แค่สิ่งที่ถกู ปรุงแต่งขึน้ มาเพื่อสนองความต้องการของกิเลส หลายคนให้เหตุผลว่า จําเป็ นต้องคอร์รัปชัน่ เพื่อความอยู่รอด และที่สาํ คัญก็คือ"ถึงฉันไม่ทาํ คนอื่นก็ทาํ อยู่ดี" แต่เวลาเจอคนเป็ นลมอยู่ต่อหน้าท่ามกลางผูค้ นที่พลุกพล่าน กลับเดินผ่าน อย่ า งไม่ ไ ยดี เหตุผ ลที่ ไ ม่ช่ว ยเขาก็ คื อ "ถึ ง ฉัน ไม่ทํา คนอื่ น ก็ ทํา อยู่ดี " ประโยค เดียวกันสามารถเป็ นได้ทงั้ เหตุผลในการทําชัว่ และไม่ทาํ ความดีในเวลาไล่ ๆ กัน แม้ เหตุผลนัน้ จะดูดี แต่โดยเนื้อแท้มนั ก็เป็ นเพียงแค่อบุ ายที่ชกั จูงให้เราทําตามอํานาจ ของกิเลสอย่างไม่รตู้ วั เหตุผลยังเป็ นเครื่องมือในการกล่าวโทษผูอ้ ื่นและปกป้องตนเอง เวลาลูกเดินสะดุด หนังสือที่พ่อวางทิ้งไว้บนพื้น พ่อต่อว่าลูกทันทีว่า "ซุ่มซ่าม" แต่เวลาที่พ่อเดินสะดุด ของเล่นของลูก แทนที่พ่อจะยอมรับว่าตนซุ่มซ่าม กลับตําหนิลกู ว่าวางของเล่นไม่ เป็ นที่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พ่อมีเหตุผลที่จะยืนยันว่าฉันถูก คนอื่นต่างหากที่ผิด เหตุผลนัน้ ทําให้พ่อรูส้ ึกว่าตัวเองถูกอยู่เสมอ และนัน่ คือสิ่งที่อัตตาต้องการ วิสัย ของอัตตานัน้ ยอมรับได้ยากว่ามันทําผิด จึงต้องสรรหาเหตุผลเพื่อโยนความผิดให้ ผูอ้ ื่นอยู่เสมอ 10

คําสอนเรื่อง “นํ้าทีใ่ ห้ชวี ติ ” ดังทีย่ กตัวอย่างมานี้ เป็ นสิง่ ทีช่ าวยิวคุน้ เคยเป็ นอย่างดี แต่ชาวสะมาเรียไม่เข้าใจเลยเพราะพวกเขาไม่อ่านหนังสือประกาศก ขัน้ ที่ สาม พระองค์ทรงขยายความให้ชดั เจนขึ้น “ทุกคนทีด่ มื ่ นํ้ านี้จะกระหายอีก แต่ผทู้ ดี ่ มื ่ นํ้าซึง่ เราจะให้นนั ้ จะไม่กระหายอีก นํ้าทีเ่ ราจะให้เขา จะกลายเป็ นธารนํ้าในตัวเขา ไหลรินเพือ่ ชีวติ นิรนั ดร” (ยน 4:13-14) ประกาศกอิสยาห์ทํานายถึงยุคของพระเมสสิยาห์ไว้ว่า “เขาจะไม่หวิ หรือกระหาย อีก” (อสย 49:10) เพราะฉะนัน้ เมื่อตรัสถึง “นํ้ าทีด่ มื ่ แล้วไม่กระหายอีก” พระเยซูเจ้ากําลังเผยแสดง แก่นางว่าพระองค์เองทรงเป็ น “พระเมสสิ ยาห์” ผู้สามารถ “ดับกระหาย” ให้แก่ความ ต้องการลึก ๆ ในจิตใจของนางและของเราทุกคนได้ ขัน้ ที่ สี่ หญิงชาวสะมาเรียยังไม่เข้าใจ จึงพูดเชิงล้อเลียนพระองค์ว่า “นายเจ้าขา โปรดให้น้ ํ านัน้ แก่ดฉิ ันบ้าง เพือ่ ดิฉันจะไม่กระหายและไม่ตอ้ งเดินเมือ่ ยตุม้ มาตักนํ้ าทีน่ ีอ่ กี ” (ยน 4:15) พระองค์จงึ ต้องดําเนินการขึน้ ทีห่ า้ คือกระตุน้ ให้นางค้นพบความจริงด้วยการจี้ใจ ดํานางว่า “จงไปเรียกสามีของเธอ และกลับมาทีน่ ี”่ (ยน 4:16)

3. เผชิญหน้ ากับความจริง 16

พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า “จงไปเรียกสามีของเธอ และกลับมาทีน่ ี”่ 17หญิงผูน้ ัน้ ทูลตอบว่า “ดิฉันไม่มสี ามี” พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า “เธอพูดถูกแล้วทีว่ ่า “ดิฉันไม่มสี ามี” 18 เพราะเธอมีสามีมาแล้วถึงห้าคน และคนทีอ่ ยูก่ บั เธอเวลานี้ ก็ไม่ใช่สามีของเธอด้วย เธอพูด จริงทีเดียว” 19หญิงผูน้ นั ้ จึงทูลว่า “ดิฉนั เห็นแล้วว่าท่านเป็ นประกาศก 20บรรพบุรุษของเรา เคยนมัส การพระเจ้า บนภู เ ขานี้ แ ต่ ท่ า นพูด ว่ า สถานทีส่ ํา หรับ นมัส การพระเจ้า คือ กรุ ง เยรูซาเล็ม” 21พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า “นางเอ๋ย เชือ่ เราเถิด ถึงเวลาแล้วทีท่ ่านทัง้ หลายจะ นมัสการพระบิดาเจ้าไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือทีก่ รุงเยรูซาเล็ม ขัน้ ที่ ห้า ด้วยคําพูดที่เสียดแทง พระเยซูเจ้าทรงกระตุ้นความรู้สกึ ของหญิงชาว สะมาเรียให้หนั กลับมาดูตวั เอง พระองค์ตรัสแก่นางว่า “เธอพูดถูกแล้วทีว่ ่า ‘ดิฉนั ไม่มสี ามี’ เพราะเธอมีสามีมาแล้วถึงห้าคน และคนทีอ่ ยู่กบั เธอเวลานี้ ก็ไม่ใช่สามีของเธอด้วย เธอพูด จริงทีเดียว” (ยน 4:17-18) 7


จะเห็นว่า ไม่มใี ครรูจ้ กั ตัวเองจริงๆ จนกว่าจะอยูต่ ่อหน้าพระเยซูเจ้า ! เมื่อหญิงชาวสะมาเรียค้นพบตัวตนทีแ่ ท้จริง นางตระหนักทันทีว่า “ต้องการพระ เจ้า” และปรารถนาจะ “คืนดี” กับพระองค์ หนทางคืนดีกบั พระเจ้าคือ “ถวายเครื่องบูชาทีพ่ ระวิหาร” แต่ปญั หาคือพระวิหาร ใด ที่ภูเขาเกรีซมิ ในแคว้นสะมาเรียหรือที่กรุงเยรูซาเล็มในแคว้นยูเดีย ? นางจึงทูลถาม พระเยซูเจ้าว่า “บรรพบุรุษของเราเคยนมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่ท่านพูดว่าสถานที่ สําหรับนมัสการพระเจ้าคือกรุงเยรูซาเล็ม” (ยน 4:20) ความคิดของหญิงนางนี้คอื “ดิฉันเป็ นคนบาป ดิฉันต้องถวายเครื่องบูชาแด่พระ เจ้าเพือ่ คืนดีกบั พระองค์ แต่ดฉิ นั จะหาพระเจ้าได้ทไ่ี หน ?” คําตอบของพระเยซูเจ้าคือ “ถึงเวลาแล้วที่ท่านทัง้ หลายจะนมัสการพระบิดาเจ้า ไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือทีก่ รุงเยรูซาเล็ม” (ยน 4:21) ความหมายของพระองค์ชดั เจนคือ หมดยุคของการนมัสการพระเจ้าในสถานทีท่ ่ี นํ้ามือของมนุ ษย์แข่งขันกันสร้างขึน้ มาแล้ว สมดังคําทํานายของประกาศกทีว่ า่ มนุ ษย์ “จะกราบลงนมัสการพระองค์ แต่ละชาติ ตามถิน่ ของตน” (ศฟย 2:11) และ “ทุกหนทุกแห่งจะมีผถู้ วายกํายานและของถวายบริสุทธิ ์ แก่นามของพระองค์” (มลค 1:11) ถึงเวลาแล้วทีเ่ ราจะยกจิตใจขึน้ นมัสการพระเจ้าได้ทุกหนทุกแห่ง !!

4. พระผูไ้ ถ่ของโลก 39

ชาวสะมาเรียหลายคนจากเมืองนัน้ มีความเชือ่ ในพระองค์ เพราะคําของหญิงคน นัน้ ทีย่ นื ยันว่า “เขาได้บอกทุกสิง่ ทีด่ ฉิ ันเคยทํา” 40เมือ่ ชาวสะมาเรียมาเฝ้าพระองค์แล้ว ก็ วอนขอให้ประทับอยูก่ บั เขา พระองค์ประทับอยู่ทนี ่ นั ่ สองวัน 41คนทีม่ คี วามเชือ่ เพราะพระ วาจาของพระองค์มจี าํ นวนมากขึน้ 42เขากล่าวแก่หญิงผูน้ นั ้ ว่า “เรามีความเชือ่ ไม่ใช่เพราะ คําพูดของท่านอีกแล้ว เราเองได้ยนิ และรูว้ า่ พระองค์เป็ นพระผูไ้ ถ่ของโลกโดยแท้จริง”

นักบุญเปาโลกล่าวว่า “ชาวอิสราเอลจะเรียกขานพระองค์ได้อย่างไรถ้า พวกเขาไม่เชือ่ จะเชือ่ ได้อย่างไรถ้าไม่เคยได้ยนิ จะได้ยนิ ได้อย่างไรถ้าไม่มใี ครประกาศ สอน” (รม 10:14) สิง่ ที่หญิงชาวสะมาเรียแนะนํ าแก่ชาวเมือง ไม่ใช่ทฤษฎีความรู้เกี่ยวกับ พระเยซูเจ้า (Christology) แต่เป็ นประสบการณ์ทพ่ี ระองค์ทรงกระทํากับนางเอง เราต้องตระหนักอยูเ่ สมอว่า “เป็ นทัง้ เกียรติและความรับผิดชอบของเราแต่ ละคน ทีจ่ ะแนะนําผูอ้ นื ่ ให้รจู้ กั และพบพระเยซูเจ้า” 2. พวกเขาอยู่ “ใกล้ชิดและรู้จกั พระองค์” มากขึน้ “เมือ่ ชาวสะมาเรีย มาเฝ้ าพระองค์แ ล้ว ก็ว อนขอให้ป ระทับ อยู่ก ับ เขา พระองค์ประทับอยู่ทนี ่ ัน่ สองวัน” ที่สุดพวกเขากล่าวแก่หญิงผูน้ ัน้ ว่า “เรามีความเชือ่ ไม่ใช่ เพราะคําพูดของท่า นอีก แล้ว เราเองได้ย ิน และรู้ว่า พระองค์เ ป็ น พระผู้ไ ถ่ข องโลกโดย แท้จริง” (ยน 4:40,42) เป็ นความจริงว่าเราต้องการคนอื่นแนะนําให้รจู้ กั พระเยซูเจ้า แต่เป็ นตัวเรา เองที่ต้องสานต่อความสัมพันธ์กบั พระองค์ให้ลกึ ซึ้งยิง่ ขึน้ ดุจเดียวกับชาวสะมาเรียที่ร้อง ขอให้พระองค์ประทับอยู่กบั พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้ใกล้ชดิ และรูจ้ กั พระองค์ดว้ ยตัวของ พวกเขาเอง ไม่ใช่ผา่ นประสบการณ์ของคนอื่น เพราะไม่มผี ใู้ ดสามารถมีประสบการณ์แทน กันได้ 3. พวกเขา “ค้นพบและยอมรับพระเยซูเจ้า” ว่า “พระองค์เป็ นพระผูไ้ ถ่ ของโลกโดยแท้จริง” (ยน 4:42) ชาวกรีก เรีย กเทพเจ้ า ของตนว่ า “พระผู้ไ ถ่ ” และชาวโรมัน ก็ ย กย่ อ ง จักรพรรดิของตนเป็ น “พระผูไ้ ถ่ของโลก” มาก่อนแล้ว แต่ พระเยซูเจ้าผู้ทรงช่ วยหญิ งชาวสะมาเรียซึ ง่ ถูกตราหน้ าว่าชัวช้ ่ า และถูกขับไล่ออกจากสังคม ให้สามารถเอาชนะอดีตอันขมขืน่ และเปิ ดอนาคตใหม่ อันสดใสให้ แก่นางนี ส่ ิ ที ค่ ่คู วรและเหมาะสมกับการเป็ น “พระผู้ไถ่ของโลก” อย่าง แท้จริ ง หาใช่เป็ นเพียงสมญานามทีม่ อบให้เพือ่ เป็ นเกียรติเท่านัน้ !

พัฒนาการ “ความเชือ่ ” ของชาวสะมาเรียสามารถสรุปเป็ นขัน้ ตอนได้ดงั นี้ 1. พวกเขา “ได้รบั การแนะนํา” โดยหญิงชาวสะมาเรีย 8

9


จะเห็นว่า ไม่มใี ครรูจ้ กั ตัวเองจริงๆ จนกว่าจะอยูต่ ่อหน้าพระเยซูเจ้า ! เมื่อหญิงชาวสะมาเรียค้นพบตัวตนทีแ่ ท้จริง นางตระหนักทันทีว่า “ต้องการพระ เจ้า” และปรารถนาจะ “คืนดี” กับพระองค์ หนทางคืนดีกบั พระเจ้าคือ “ถวายเครื่องบูชาทีพ่ ระวิหาร” แต่ปญั หาคือพระวิหาร ใด ที่ภูเขาเกรีซมิ ในแคว้นสะมาเรียหรือที่กรุงเยรูซาเล็มในแคว้นยูเดีย ? นางจึงทูลถาม พระเยซูเจ้าว่า “บรรพบุรุษของเราเคยนมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่ท่านพูดว่าสถานที่ สําหรับนมัสการพระเจ้าคือกรุงเยรูซาเล็ม” (ยน 4:20) ความคิดของหญิงนางนี้คอื “ดิฉันเป็ นคนบาป ดิฉันต้องถวายเครื่องบูชาแด่พระ เจ้าเพือ่ คืนดีกบั พระองค์ แต่ดฉิ นั จะหาพระเจ้าได้ทไ่ี หน ?” คําตอบของพระเยซูเจ้าคือ “ถึงเวลาแล้วที่ท่านทัง้ หลายจะนมัสการพระบิดาเจ้า ไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือทีก่ รุงเยรูซาเล็ม” (ยน 4:21) ความหมายของพระองค์ชดั เจนคือ หมดยุคของการนมัสการพระเจ้าในสถานทีท่ ่ี นํ้ามือของมนุ ษย์แข่งขันกันสร้างขึน้ มาแล้ว สมดังคําทํานายของประกาศกทีว่ า่ มนุ ษย์ “จะกราบลงนมัสการพระองค์ แต่ละชาติ ตามถิน่ ของตน” (ศฟย 2:11) และ “ทุกหนทุกแห่งจะมีผถู้ วายกํายานและของถวายบริสุทธิ ์ แก่นามของพระองค์” (มลค 1:11) ถึงเวลาแล้วทีเ่ ราจะยกจิตใจขึน้ นมัสการพระเจ้าได้ทุกหนทุกแห่ง !!

4. พระผูไ้ ถ่ของโลก 39

ชาวสะมาเรียหลายคนจากเมืองนัน้ มีความเชือ่ ในพระองค์ เพราะคําของหญิงคน นัน้ ทีย่ นื ยันว่า “เขาได้บอกทุกสิง่ ทีด่ ฉิ ันเคยทํา” 40เมือ่ ชาวสะมาเรียมาเฝ้าพระองค์แล้ว ก็ วอนขอให้ประทับอยูก่ บั เขา พระองค์ประทับอยู่ทนี ่ นั ่ สองวัน 41คนทีม่ คี วามเชือ่ เพราะพระ วาจาของพระองค์มจี าํ นวนมากขึน้ 42เขากล่าวแก่หญิงผูน้ นั ้ ว่า “เรามีความเชือ่ ไม่ใช่เพราะ คําพูดของท่านอีกแล้ว เราเองได้ยนิ และรูว้ า่ พระองค์เป็ นพระผูไ้ ถ่ของโลกโดยแท้จริง”

นักบุญเปาโลกล่าวว่า “ชาวอิสราเอลจะเรียกขานพระองค์ได้อย่างไรถ้า พวกเขาไม่เชือ่ จะเชือ่ ได้อย่างไรถ้าไม่เคยได้ยนิ จะได้ยนิ ได้อย่างไรถ้าไม่มใี ครประกาศ สอน” (รม 10:14) สิง่ ที่หญิงชาวสะมาเรียแนะนํ าแก่ชาวเมือง ไม่ใช่ทฤษฎีความรู้เกี่ยวกับ พระเยซูเจ้า (Christology) แต่เป็ นประสบการณ์ทพ่ี ระองค์ทรงกระทํากับนางเอง เราต้องตระหนักอยูเ่ สมอว่า “เป็ นทัง้ เกียรติและความรับผิดชอบของเราแต่ ละคน ทีจ่ ะแนะนําผูอ้ นื ่ ให้รจู้ กั และพบพระเยซูเจ้า” 2. พวกเขาอยู่ “ใกล้ชิดและรู้จกั พระองค์” มากขึน้ “เมือ่ ชาวสะมาเรีย มาเฝ้ าพระองค์แ ล้ว ก็ว อนขอให้ป ระทับ อยู่ก ับ เขา พระองค์ประทับอยู่ทนี ่ ัน่ สองวัน” ที่สุดพวกเขากล่าวแก่หญิงผูน้ ัน้ ว่า “เรามีความเชือ่ ไม่ใช่ เพราะคําพูดของท่า นอีก แล้ว เราเองได้ย ิน และรู้ว่า พระองค์เ ป็ น พระผู้ไ ถ่ข องโลกโดย แท้จริง” (ยน 4:40,42) เป็ นความจริงว่าเราต้องการคนอื่นแนะนําให้รจู้ กั พระเยซูเจ้า แต่เป็ นตัวเรา เองที่ต้องสานต่อความสัมพันธ์กบั พระองค์ให้ลกึ ซึ้งยิง่ ขึน้ ดุจเดียวกับชาวสะมาเรียที่ร้อง ขอให้พระองค์ประทับอยู่กบั พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้ใกล้ชดิ และรูจ้ กั พระองค์ดว้ ยตัวของ พวกเขาเอง ไม่ใช่ผา่ นประสบการณ์ของคนอื่น เพราะไม่มผี ใู้ ดสามารถมีประสบการณ์แทน กันได้ 3. พวกเขา “ค้นพบและยอมรับพระเยซูเจ้า” ว่า “พระองค์เป็ นพระผูไ้ ถ่ ของโลกโดยแท้จริง” (ยน 4:42) ชาวกรีก เรีย กเทพเจ้ า ของตนว่ า “พระผู้ไ ถ่ ” และชาวโรมัน ก็ ย กย่ อ ง จักรพรรดิของตนเป็ น “พระผูไ้ ถ่ของโลก” มาก่อนแล้ว แต่ พระเยซูเจ้าผู้ทรงช่ วยหญิ งชาวสะมาเรียซึ ง่ ถูกตราหน้ าว่าชัวช้ ่ า และถูกขับไล่ออกจากสังคม ให้สามารถเอาชนะอดีตอันขมขืน่ และเปิ ดอนาคตใหม่ อันสดใสให้ แก่นางนี ส่ ิ ที ค่ ่คู วรและเหมาะสมกับการเป็ น “พระผู้ไถ่ของโลก” อย่าง แท้จริ ง หาใช่เป็ นเพียงสมญานามทีม่ อบให้เพือ่ เป็ นเกียรติเท่านัน้ !

พัฒนาการ “ความเชือ่ ” ของชาวสะมาเรียสามารถสรุปเป็ นขัน้ ตอนได้ดงั นี้ 1. พวกเขา “ได้รบั การแนะนํา” โดยหญิงชาวสะมาเรีย 8

9


บทความจากนิตยสาร Image โดย ภาวัน

ลูกชายเป็ นห่วงแม่วัย 90 จึงพยายามควบคุมอาหารของแม่ แม่จึงบอกลูกด้วย เสียงอ่อย ๆ ว่า แม่ชอบข้าวขาหมู มันเชื่อมใส่กะทิแม่ก็ชอบ แม่อยู่ได้อีกไม่นาน ให้ แม่กินเถอะ ต่อมาลูกชวนแม่เข้าวัดปฏิ บัติธรรมเพื่อเตรี ยมตัวเตรี ยมใจในวาระ สุดท้าย แต่แม่ปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าเอาไว้วนั หลังเถอะ แม่ยงั อยู่ได้อีกหลายปี คนเราดูเหมือนมีเหตุผลในการทําหรือไม่ทาํ อะไรสักอย่าง แต่บ่อยครั้งเหตุผลนัน้ เป็ นเพียงแค่สิ่งที่อารมณ์หรือความรูส้ ึกเสกสรรค์ปั้นแต่งขึน้ มา จึงไม่นา่ แปลกใจที่ เหตุผลของคน ๆ หนึง่ แม้จะดูนา่ ฟั ง แต่บางทีก็ขดั กันเอง ดังเช่นเหตุผลของแม่วัย 90 ผูน้ ี้ แต่ถา้ พิจารณาให้ดีก็จะพบว่า เหตุผลทั้งสองประการนัน้ ล้วนมีเป้าหมาย เดียวกัน คือเพื่อตอบสนองความพึงพอใจ (หรือ"กิเลส")ของผูพ้ ดู คุณแม่วยั 90 อาจไม่ได้เชือ่ เหตุผลที่ตนยกขึน้ มา เพราะรูอ้ ยู่แก่ใจว่ามันเป็ นข้ออ้าง แต่คนจํานวนไม่นอ้ ยเชื่อเหตุผลที่ตนคิดขึ้นมาจริง ๆ โดยไม่ได้ตระหนักว่ามันเป็ น แค่สิ่งที่ถกู ปรุงแต่งขึน้ มาเพื่อสนองความต้องการของกิเลส หลายคนให้เหตุผลว่า จําเป็ นต้องคอร์รัปชัน่ เพื่อความอยู่รอด และที่สาํ คัญก็คือ"ถึงฉันไม่ทาํ คนอื่นก็ทาํ อยู่ดี" แต่เวลาเจอคนเป็ นลมอยู่ต่อหน้าท่ามกลางผูค้ นที่พลุกพล่าน กลับเดินผ่าน อย่ า งไม่ ไ ยดี เหตุผ ลที่ ไ ม่ช่ว ยเขาก็ คื อ "ถึ ง ฉัน ไม่ทํา คนอื่ น ก็ ทํา อยู่ดี " ประโยค เดียวกันสามารถเป็ นได้ทงั้ เหตุผลในการทําชัว่ และไม่ทาํ ความดีในเวลาไล่ ๆ กัน แม้ เหตุผลนัน้ จะดูดี แต่โดยเนื้อแท้มนั ก็เป็ นเพียงแค่อบุ ายที่ชกั จูงให้เราทําตามอํานาจ ของกิเลสอย่างไม่รตู้ วั เหตุผลยังเป็ นเครื่องมือในการกล่าวโทษผูอ้ ื่นและปกป้องตนเอง เวลาลูกเดินสะดุด หนังสือที่พ่อวางทิ้งไว้บนพื้น พ่อต่อว่าลูกทันทีว่า "ซุ่มซ่าม" แต่เวลาที่พ่อเดินสะดุด ของเล่นของลูก แทนที่พ่อจะยอมรับว่าตนซุ่มซ่าม กลับตําหนิลกู ว่าวางของเล่นไม่ เป็ นที่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พ่อมีเหตุผลที่จะยืนยันว่าฉันถูก คนอื่นต่างหากที่ผิด เหตุผลนัน้ ทําให้พ่อรูส้ ึกว่าตัวเองถูกอยู่เสมอ และนัน่ คือสิ่งที่อัตตาต้องการ วิสัย ของอัตตานัน้ ยอมรับได้ยากว่ามันทําผิด จึงต้องสรรหาเหตุผลเพื่อโยนความผิดให้ ผูอ้ ื่นอยู่เสมอ 10

คําสอนเรื่อง “นํ้าทีใ่ ห้ชวี ติ ” ดังทีย่ กตัวอย่างมานี้ เป็ นสิง่ ทีช่ าวยิวคุน้ เคยเป็ นอย่างดี แต่ชาวสะมาเรียไม่เข้าใจเลยเพราะพวกเขาไม่อ่านหนังสือประกาศก ขัน้ ที่ สาม พระองค์ทรงขยายความให้ชดั เจนขึ้น “ทุกคนทีด่ มื ่ นํ้ านี้จะกระหายอีก แต่ผทู้ ดี ่ มื ่ นํ้าซึง่ เราจะให้นนั ้ จะไม่กระหายอีก นํ้าทีเ่ ราจะให้เขา จะกลายเป็ นธารนํ้าในตัวเขา ไหลรินเพือ่ ชีวติ นิรนั ดร” (ยน 4:13-14) ประกาศกอิสยาห์ทํานายถึงยุคของพระเมสสิยาห์ไว้ว่า “เขาจะไม่หวิ หรือกระหาย อีก” (อสย 49:10) เพราะฉะนัน้ เมื่อตรัสถึง “นํ้ าทีด่ มื ่ แล้วไม่กระหายอีก” พระเยซูเจ้ากําลังเผยแสดง แก่นางว่าพระองค์เองทรงเป็ น “พระเมสสิ ยาห์” ผู้สามารถ “ดับกระหาย” ให้แก่ความ ต้องการลึก ๆ ในจิตใจของนางและของเราทุกคนได้ ขัน้ ที่ สี่ หญิงชาวสะมาเรียยังไม่เข้าใจ จึงพูดเชิงล้อเลียนพระองค์ว่า “นายเจ้าขา โปรดให้น้ ํ านัน้ แก่ดฉิ ันบ้าง เพือ่ ดิฉันจะไม่กระหายและไม่ตอ้ งเดินเมือ่ ยตุม้ มาตักนํ้ าทีน่ ีอ่ กี ” (ยน 4:15) พระองค์จงึ ต้องดําเนินการขึน้ ทีห่ า้ คือกระตุน้ ให้นางค้นพบความจริงด้วยการจี้ใจ ดํานางว่า “จงไปเรียกสามีของเธอ และกลับมาทีน่ ี”่ (ยน 4:16)

3. เผชิญหน้ ากับความจริง 16

พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า “จงไปเรียกสามีของเธอ และกลับมาทีน่ ี”่ 17หญิงผูน้ ัน้ ทูลตอบว่า “ดิฉันไม่มสี ามี” พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า “เธอพูดถูกแล้วทีว่ ่า “ดิฉันไม่มสี ามี” 18 เพราะเธอมีสามีมาแล้วถึงห้าคน และคนทีอ่ ยูก่ บั เธอเวลานี้ ก็ไม่ใช่สามีของเธอด้วย เธอพูด จริงทีเดียว” 19หญิงผูน้ นั ้ จึงทูลว่า “ดิฉนั เห็นแล้วว่าท่านเป็ นประกาศก 20บรรพบุรุษของเรา เคยนมัส การพระเจ้า บนภู เ ขานี้ แ ต่ ท่ า นพูด ว่ า สถานทีส่ ํา หรับ นมัส การพระเจ้า คือ กรุ ง เยรูซาเล็ม” 21พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า “นางเอ๋ย เชือ่ เราเถิด ถึงเวลาแล้วทีท่ ่านทัง้ หลายจะ นมัสการพระบิดาเจ้าไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือทีก่ รุงเยรูซาเล็ม ขัน้ ที่ ห้า ด้วยคําพูดที่เสียดแทง พระเยซูเจ้าทรงกระตุ้นความรู้สกึ ของหญิงชาว สะมาเรียให้หนั กลับมาดูตวั เอง พระองค์ตรัสแก่นางว่า “เธอพูดถูกแล้วทีว่ ่า ‘ดิฉนั ไม่มสี ามี’ เพราะเธอมีสามีมาแล้วถึงห้าคน และคนทีอ่ ยู่กบั เธอเวลานี้ ก็ไม่ใช่สามีของเธอด้วย เธอพูด จริงทีเดียว” (ยน 4:17-18) 7


ขัน้ ทีส่ อง ผูฟ้ งั เข้าใจผิ ด จึงทูลถามพระองค์วา่ “คนชราแล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไร กัน เขาจะเข้าไปในครรภ์มารดาอีกครัง้ หนึง่ แล้วเกิดใหม่ได้หรือ” (ยน 3:4) ขัน้ ทีส่ าม พระเยซูเจ้าทรงพูดซํา้ พร้อมขยายความเพิ่ มเติ ม “เราบอกความจริง แก่ท่านว่าไม่มใี ครเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเขาไม่เกิดจากนํ้าและพระจิตเจ้า….” (ยน 3:5) ขัน้ ทีส่ ่ี ผูฟ้ งั ยังคงไม่เข้าใจ “เหตุการณ์เช่นนี้จะเป็ นไปได้อย่างไร” (ยน 3:9) ขัน้ สุดท้าย พระเยซูเจ้าทรงกระตุ้นให้ ผ้ฟ ู ั งค้ นพบความจริ งด้ วยตัวเขาเอง “ท่านเป็ นอาจารย์ของชาวอิสราเอล ท่านไม่รเู้ รือ่ งเหล่านี้หรือ” (ยน 3:10) พระองค์ทรงใช้วธิ สี อนดังได้กล่าวมานี้ กับหญิงชาวสะมาเรีย ! ขัน้ ที่ หนึ่ ง พระองค์ตรัสว่า “ผูน้ ัน้ จะให้น้ ํ าทีใ่ ห้ชวี ติ (living water) แก่ท่าน” (ยน 4:10) ขัน้ ที่ สอง หญิงชาวสะมาเรียเข้าใจคํา “living water” ตามตัวอักษรคือ “นํ้ าที ่ ไหลเวียน” ซึ่งดีกว่า “นํ้ านิง่ ” ในบ่อที่ยาโคบบรรพบุรุษของนางต้องขุดหามาด้วยความ เหนื่อยยาก นางจึงโกรธและต่อว่าพระองค์ “ท่านยิง่ ใหญ่กว่ายาโคบหรือ? ลําพังถังสําหรับ ตักนํ้ านิง่ ๆ จากบ่อนี้ยงั ไม่มเี ลย แล้วยังมีหน้ามาเสนอนํ้ าทีไ่ หลเวียนให้ดฉิ ันอีก” (เทียบ ยน 4:11-12) อันทีจ่ ริงพระองค์ตรัสถึงนํ้าฝา่ ยจิต ! “นํ้า” นอกจากมีความหมายตามตัวอักษรแล้ว ยังมีความหมายทางศาสนาอีกด้วย “นํ้าคือสิง่ ดับความกระหายของดวงวิญญาณทีห่ วิ กระหายหาพระเจ้า” ในอดีต พระเจ้าทรงสัญญากับชาวอิสราเอลซึง่ เป็ นประชากรทีท่ รงเลือกสรรว่า - “ท่านทัง้ หลายจะยินดีตกั นํ้าจากพุน้ ําทีน่ ําความรอดพ้น” (อสย 12:3) - “เราจะเทนํ้ าลงบนแผ่นดินทีก่ ระหาย จะทําให้ลําธารไหลบนพื้นดินที ่ แห้งแล้ง เราจะหลังจิ ่ ตของเราเหนือลูกหลานของท่าน หลังพรของเราเหนื ่ อเชื้อสายของ ท่าน” (อสย 44:3) - “วันนัน้ พุน้ ํ าจะเปิ ดสําหรับราชวงศ์ของกษัตริยด์ าวิดและผูอ้ าศัยในกรุง เยรูซาเล็ม เพือ่ ชําระล้างบาปและความสกปรก” (ศคย 13:1) และเมือ่ ชาวอิสราเอลละทิง้ พระเจ้า พระองค์กท็ รงเตือนผ่านทางประกาศกเยเรมีย์ ว่า “ประชากรของเราได้ทําความชัวสองประการ ่ เขาได้ละทิ้งเราซึง่ เป็ นพุน้ ํ าไหล แล้วไป ่ ง่ เก็บนํ้าไว้ไม่ได้” (ยรม 2:13) สกัดหินเป็ นทีข่ งั นํ้าสําหรับตน เป็ นทีข่ งั นํ้ารัวซึ 6

เป็ นเพราะไม่รเู้ ท่าทันอุบายของกิเลสหรืออัตตา ผูค้ นจึงใช้เหตุผลในการกล่าวหาและโจมตี กัน แม้บางครั้งจะไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเลย แต่เพียงแค่ตอ้ งการยืนยันว่าฉันถูก แก ผิด เท่า นี้ก็ ม ากพอที่ จ ะทํา ให้อี ก ฝ่ ายลุก ขึ้น มาตอบโต้เพื่ อ ยื นยัน ความถูกต้อ งของตน เช่ น เดี ย วกัน ผลก็ คื อ ต่า งฝ่ ายต่า งโกรธเคื อ งหนัก ขึ้น และสรรหาเหตุผ ลมาโจมตี ใ ห้ เจ็ บ ปวดยิ่ ง กว่า เดิม ทั้ง หมดนี้แ ม้จ ะทํา ในนามของความถูก ต้อ ง แต่แ ท้จริ งก็ คื อ สาด อารมณ์รอ้ นเข้าใส่กนั เพื่อเอาชนะอีกฝ่ าย ตราบใดที่ทกุ ฝ่ ายคิดแต่จะใช้เหตุผล มุง่ เอาถูก เอาผิด จนมองข้ามอารมณ์ทั้งของตนเองและของผูอ้ ื่น ก็ ยากที่จะลงเอยอย่างสันติได้ แม้กระทัง่ ในระหว่างคูร่ กั หรือมิตรสหาย ก็อาจวิวาทบาดหมางจนกลายเป็ นศัตรูกนั แทนที่จะมุ่งกล่าวโทษผูอ้ ื่น เราควรหันกลับมามองตนและรูเ้ ท่าทันอารมณ์ความรูส้ ึกที่ เกิดขึน้ ในใจตน หากปล่อยให้อัตตาครอบงํา มันก็สามารถสรรหาเหตุผลเพื่อทิ่มแทงคน อื่ น ได้ต ลอดเวลา หรื อ ไม่ก็ ผ ลัก ไสให้เ ราทํา ทุก อย่า งเพื่ อ สนองความยิ่ ง ใหญ่ ข องมัน เช่นเดียวกับกิเลสที่ชกั ใยให้เราทําอะไรก็ได้เพื่อปรนเปรอมัน การรูเ้ ท่าทันอัตตาและกิเลส ทําให้เราไม่หลงเชือ่ เหตุผลที่มนั เสกสรรปั้ นแต่งขึน้ มาจนกลายเป็ นเครื่องมือของมัน เคยสังเกตหรือไม่วา่ คําพูดประโยคเดียวกัน หากเอ่ยโดยคนที่เราศรัทธานับถือหรือสนิท สนมคุน้ เคย เราจะเปิ ดใจรับหรือคล้อยตามได้อย่างง่ายดาย แต่หากมาจากปากของคนที่ เราไม่ชอบหรือโกรธเกลียด เรากลับต่อต้าน เห็นแย้ง หรือหาเหตุผลโต้เถียงทันที อะไรทํา ให้เรามีปฏิกิริยาแตกต่างกัน คําตอบก็คือความรูส้ ึกของเราต่อสองคนนัน้ ไม่เหมือนกัน คนหนึ่งนัน้ เราชอบ อีกคนหนึ่งเราชัง พูดง่าย ๆ คือ มีอคตินนั ่ เอง ดังนัน้ ปั ญหาจึงไม่ได้ อยู่ที่ว่า คําพูดของเขามีเหตุผลมากน้อยเพียงใด แต่อยู่ที่อคติของเราต่อเขามากกว่า ไม่ ว่าจะเป็ นฉันทาคติ หรือโทสาคติก็ตาม นอกจากการรูเ้ ท่าทันอารมณ์และอคติของตัวเองแล้ว การเข้าใจอารมณ์และอคติของอีก ฝ่ ายก็สาํ คัญ เมือ่ มีความขัดแย้งกัน แทนที่จะใช้แต่เหตุผลอย่างเดียว การใส่ใจกับอารมณ์ ของอีกฝ่ าย ก็เป็ นสิ่งที่พึงกระทํา คนสองคนหากเป็ นปฏิปักษ์ตอ่ กัน ใช้เหตุผลเท่าใดก็ไม่ ช่วยให้เลิกทะเลาะกัน แต่หากหยิบยื่นนํา้ ใจไมตรีให้แก่กนั ก็งา่ ยที่จะหันหน้าเข้าหากัน คน ที่มีรั้วบ้านอยู่ติดกันนัน้ สามารถทะเลาะกันได้ทกุ เรื่อง ไม่เว้นแม้กระทัง่ เรื่องเล็ก ๆ เช่น หมาเห่าเสียงดัง หรือใบไม้ปลิวไปตกอีกบ้านหนึ่ง แต่พออีกฝ่ ายแสดงความเป็ นมิตร มี ของไปฝาก ไต่ถามทุกข์สขุ เรื่องใหญ่ก็กลายเป็ นเรื่องเล็ก

เหตุผลสําคัญก็จริง แต่บางครัง้ อารมณ์ความรูส้ กึ สําคัญกว่า จึ งอย่ามัวหาความถูกผิดจนลืมดูแลอารมณ์ของตนและใส่ใจอารมณ์ ของผูอ้ ่ื น 11


เคล็ดลับด้านสุขภาพรับหน้ าร้อน..

คงเข้าใจเป็ นอื่นไปไม่ไ ด้นอกจาก นางค้ นพบความอบอุ่นและความเมตตา อย่างเต็มเปี่ ยมในตัวพระองค์ ! พระองค์ทรงเป็ นเหมือนเพือ่ น ไม่ใช่คนทีจ่ อ้ งวิพากษ์วจิ ารณ์หรือประณามคนอื่น ! นอกจากนี้ พวกรับ บีย งั วางกฎไว้ว่า “ห้า มรับ บีพูด คุ ย กับ ผู้ห ญิง ในทีส่ าธารณะ แม้ว่าหญิงผูน้ ัน้ จะเป็ นภรรยา บุตรสาว หรือน้ องสาวของตนเองก็ตาม” บางคนเคร่งครัด ถึงกับปิ ดตาเมื่อเห็นผูห้ ญิงเดินมาตามถนน แล้วตัวเองก็เดินชนกําแพงบ้าง เข้าบ้านคนอื่น บ้าง จนหัวร้างข้างแตกหรือฟกชํ้าดําเขียวไปก็ม ี หากมีคนเห็นรับบีพดู คุยกับผูห้ ญิงในทีส่ าธารณะ ชือ่ เสียงของเขาทีส่ ะสมมานานจะ หมดสิน้ ทันที และความหวังทีจ่ ะเข้าพระอาณาจักรของพระเจ้าก็ดบั วูบลงด้วย แต่ พ ระเยซู เ จ้ า ทรงทํ า ลายอุ ป สรรคทางเพศที่ข วางกัน้ มนุ ษ ย์ ก ับ พระเจ้ า ลง พระองค์ทรงสนทนากับนางในทีส่ าธารณะอย่างเปิดเผย พระองค์ท รงทํา ลายอุป สรรคที ข่ วางกัน้ มนุ ษ ย์ก ับ มนุ ษ ย์ด้ ว ยกัน เองและ มนุษย์กบั พระเจ้าลง อาศัยความรัก ความอบอุ่น และความเมตตาอันยิ ง่ ใหญ่ของ พระองค์ !!

2. นํ้าที่ให้ชีวิต 10

พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า “หากท่านรูจ้ กั ของประทานของ พระเจ้า และรูจ้ กั ผูท้ บี ่ อกท่านว่า “ขอนํ้ าดืม่ สักหน่ อยเถิด” ท่านคงกลับเป็ นผูข้ อ และผูน้ ัน้ จะ ให้ “นํ้ าทีใ่ ห้ชวี ติ ” แก่ท่าน 11นางจึงทูลว่า “นายเจ้าข้า ท่านไม่มถี งั ตักนํ้ า และบ่อก็ลกึ มาก ท่านจะเอานํ้าทีใ่ ห้ชวี ติ มาจากไหน 12ท่านยิง่ ใหญ่กว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราหรือ ยาโคบ ให้บ่อนํ้านี้แก่เรา ยาโคบลูกหลานและฝูงสัตว์กไ็ ด้ดมื ่ นํ้าจากบ่อนี้” 13พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ทุกคนทีด่ มื ่ นํ้านี้จะกระหายอีก 14แต่ผทู้ ดี ่ มื ่ นํ้าซึง่ เราจะให้นนั ้ จะไม่กระหายอีก นํ้าทีเ่ ราจะ ให้เขาจะกลายเป็ นธารนํ้าในตัวเขา ไหลรินเพือ่ ชีวติ นิรนั ดร” 15หญิงนัน้ จึงทูลว่า “นายเจ้าขา โปรดให้น้ ํานัน้ แก่ดฉิ นั บ้าง เพือ่ ดิฉนั จะไม่ตอ้ งกระหายหรือต้องมาตักนํ้าทีน่ ีอ่ กี ” จากการสนทนากับนิโคเดมัสในบทที่ 3 (ยน 3:1-21) เราสามารถวิเคราะห์วธิ สี อน ของพระเยซูเจ้าซึง่ แบ่งออกเป็ น 5 ขัน้ ตอนดังนี้ ขัน้ แรก พระเยซูเจ้าทรงเกริน่ นํ า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มใี ครเห็นพระ อาณาจักรของพระเจ้าถ้าเขาไม่ได้เกิดใหม่” (ยน 3:3) 12

5


ต่อมามีชาวยิวผูล้ ะทิง้ ศาสนาคนหนึ่งชือ่ มนัสเสห์ เขาเป็ น “บุตรคนหนึง่ ของโยยาดา บุตรของเอลียาชีบมหาสมณะ เป็ นบุตรเขยของสันบาลลัทชาวโคโรน” (นหม 13:28) ได้ยา้ ย ไปอาศัยอยู่ในสะมาเรียและได้สร้างวิหารถวายแด่พระเจ้าบนภูเขาเกรีซมิ ซึ่งตัง้ อยู่ก่งึ กลาง แคว้นเพือ่ แข่งกับวิหารทีก่ รุงเยรูซาเล็ม ราวปี 129 ก.ค.ศ. ในสมัยของมัคคาบี แม่ทพั ชาวยิวชื่อ ยอห์น ฮีรก์ านุ ส ได้ยกทัพ ไปตีสะมาเรียและทําลายวิหารบนภูเขาเกรีซิมจนราบคาบ จากความร้าวฉานที่ก่อตัวในปี 450 ก.ค.ศ. ได้พฒ ั นาจนกลายเป็ น ความเกลียดชังฝงั กระดูก ในทีส่ ดุ นี่คอื เหตุผลว่าทําไมหญิงชาวสะมาเรียจึงถามพระเยซูเจ้าว่า “ท่านเป็ นชาวยิว ทําไม จึงขอนํ้าดืม่ จากดิฉนั ซึง่ เป็ นชาวสะมาเรียเล่า” (ยน 4:9) เหตุการณ์น้ีเกิดขึน้ เวลาเทีย่ งวันซึง่ อากาศร้อนทีส่ ดุ (ยน 4:6) “พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนือ่ ยจากการเดินทาง จึงประทับทีข่ อบบ่อ” (ยน 4:6) บ่อนํ้า ของยาโคบอยู่ห่างจากเมืองสิคาร์ประมาณหนึ่งกิโลเมตร ลึกประมาณ 30 เมตร ไม่ใช่บ่อ นํ้าพุ แต่เป็ นบ่อนํ้าทีซ่ มึ จากใต้ดนิ แล้วไหลมารวมกัน ความจริงในเมืองสิคาร์กม็ นี ้ํ าใช้อย่างอุดมสมบูรณ์ แต่หญิงคนนี้ตอ้ งเดินทางมาตัก นํ้าถึงบ่อของยาโคบคงเป็ นเพราะถูกชาวเมืองรังเกียจและขับไล่เนื่องจากนางมีสามีหลายคน เมือ่ พระองค์ตรัสกับหญิงชาวสะมาเรียว่า “ขอนํ้าดืม่ สักหน่ อยเถิด” (ยน 4:7) แสดง ว่าพระองค์ทรงเป็ น “มนุษย์แท้” ทีร่ ูจ้ กั เหน็ดเหนื่อย ร้อน หิว กระหาย และต้องต่อสูด้ น้ิ รน เหมือนเราทุกคน ทีส่ ําคัญ เมื่อพระองค์ ซึ่งเป็ นถึงรับบีผยู้ งิ่ ใหญ่ของชาวยิว ยังทรงขอนํ้ าดื่มจากชาว สะมาเรียผูถ้ ูกดูหมิน่ ดูแคลน ย่อมเท่ากับ “ทรงหยิบยืน่ ไมตรี” และ “ทรงขจัดอุปสรรคด้านเชือ้ ชาติ” ทีข่ วางกัน้ ชาวยิวและชาวสะมาเรียมิให้ตดิ ต่อคบหากันมานานหลายร้อยปีลง และทีน่ ่าสังเกตคือ ลําพังผูห้ ญิงธรรมดา ๆ เมือ่ พบปะกับคนสําคัญระดับรับบีคงต้อง รูส้ กึ อึดอัด กลัว และหลบหน้าหนีไปแล้ว ยิง่ เป็ นหญิงไม่ธรรมดาเพราะเคยผ่านสามีมาแล้ว ถึง 5 คนอย่างนาง ยิง่ น่ าจะต้องอึดอัดเป็ นร้อยเท่าเมื่อต้องพบและพูดคุยกับพระเยซูเจ้าซึ่ง ยิง่ ใหญ่กว่ารับบีเสียอีก แต่นางกลับเต็มใจคุยกับพระองค์จนกระทังบรรดาศิ ่ ษย์กลับมาจากซื้ออาหารใน เมือง ! 4

มิสซาสั ปดาห์ ที่ เทศกาลมหาพรต (ปี A) วันอาทิตย์ ที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2014 วัน เดือน ปี รายการมิสซา ส. 22 มี.ค. สุ ขสํ าราญ โมทนาคุณพระเจ้าและพระแม่มารี ย ์ มารี อา ประทุม, คุณสมนึก ใช้สมบุญ และครอบครัว 18.00 น. อันนา สวัสดิ์, เปาโล ศิริ แตงอ่อน และครอบครัว อุทศิ แด่ อันตน สําเริ ง โกญจนาท สตีเฟน จํารู ญ, มารี อา ละมุด เจริ ญพานิช ยอแซฟ เสถียร, มารี อา เสาวนีย ์ พงษ์เพิ่มมาศ หลุยส์ มารี ย ์ มนตรี ปรี ชาวนิช ยอแซฟ ประเสริ ฐ กุศลส่ ง ดอมินิก ไชยยันต์ ปิ ติปาละ บรรพบุรุษครอบครัวพงษ์เพิ่มมาศ ผูล้ ่วงลับครอบครัวเจริ ญพานิช วิญญาณในไฟชําระและวิญญาณที่ไม่มีผใู้ ดนึกถึง อา. 23 มี.ค. สุ ขสํ าราญ โมทนาคุณพระเจ้า และพระแม่มารี ย ์ 08.00 น. มารี อา เอื้อพันธ์ ศรี เจริ ญ, ครอบครัวศรี เจริ ญ อันโตนีโอ จํารู ญ พรสัจจา คุณประชิต, คุณประจิตร, มารี อา จินดา เส็งเจริ ญ ครอบครัวเขม้นงาน, ครอบครัวสุ ทธิโอภาส ครอบครัวลิ้มจิตรกร ครอบครัวรัตนบรรณสกุล, ครอบครัวต่ายแสง คอบครัวสุ ทธิโอภาส, ทุกครอบครัวในโลก ครอบครัวเตรี ยมวิชานนท์, ครอบครัวเพียรช่างคิด ครอบครัวธนะสาร, ครอบครัวสาธรกิจ อุทศิ แด่ ยวง บัปติสตา ก๊กเคี้ยง แซ่แพ้, มารี อา กิมฮวย แซ่ต้ งั ยอแซฟ ทิวากร รักคิดและบรรพบุรุษ

ผู้ขอมิสซา ธนพร ชุลีพร เริ งจิต วรัญญ์นิช บุตรหลาน รสมาลิน ธนพร บุญญรัตน์ คค.ศรี เจริ ญ 13


วัน เดือน ปี อา. 23 มี.ค. 08.00 น.

รายการมิสซา ผู้ขอมิสซา อุทศิ แด่ คุณอุย้ นิ้ว แซ่เซี้ ยว, คุณนวลจันทร์, ด.ช.ธงชัย ธนะสาร ยวง บัปติสตา เสมียน สาธรกิจ, มารี อา ฮุยเกียว แซ่โง้ว คุณโถ เพียรช่างคิด, คุณนงรัก ธนะสาร, คุณล้อสี บรรพบุรุษครอบครัวธนาพานิชย์ Maria Vanna, Marcellina Marasri Xavier โยเซฟฟิ น พวงผกา ภูริผล, คุณรุ่ งโรจน์ ไพรัชพินทุ์ กิตติพร เปโตร ยรรยง, ลูซีอา ละออ, มารี อา นิตยา อุชชิน คค.อุชชิน ยอแซฟ สมบัติ อุชชิน, มารี อา มยุรี ผลาวงศ์ มัทธิว เกียรติศกั ดิ์ สุ วรรณจิต, Thomas Adams วิญญาณในไฟชําระและวิญญาณที่ไม่มีผใู ้ ดนึกถึง ธนาพานิชย์ อา. 23 มี.ค. สุ ขสํ าราญ โมทนาคุณพระเจ้า และพระแม่มารี ย ์ สัตบุรุษวัดแม่พระกุหลาบทิพย์ทุกท่าน 10.00 น. ครอบครัวคุณพนิดา ประยุรจตุพร มารี อา มารยาท สุ นพิชยั มาลินี ดอมินิก ภูวนัย หงษ์แก้ว และครอบครัว อุทศิ แด่ คุณพ่อ ยอแซฟ วัลลภ จําหน่ายผล อดิสัย ยอห์น บัปติสต์ มณี กิจนิตย์ชีว์ มารี อา เทเรซา สุ มาลี กิจนิตย์ชีว์ คริ สโตเฟอร์ พันธกานต์ บุญเนตร สุ นทรี เปโตร บ้วนฮง เตียวเจริ ญ วิไลวรรณ เปโตร เหลี่ยน ฮว่าง, มารธา เฮียน ฮว่าง ถิ ธนกร เปโตร ยุน่ คอ แซ่โค้ว พนิดา เทเรซา ซาแวน, เทเรซา จีบ มารี อา กิมฮวย นงค์สวัสดิ์ สุ วารี มารี อา จิตรา ไพจิตรานนท์ ไพจิตรานนท์ อันตน เท่งแซ่ แซ่ซ้ื อ ไพจิตรานนท์ วิญญาณในไฟชําระและวิญญาณที่ไม่มีผใู ้ ดนึกถึง -

14

ั ่ นออกแล้วเดินขึน้ เหนือจนพ้นเขตแดนของสะมาเรีย จากนัน้ จึงข้ามแม่น้ํา จอร์แดนไปฝงตะวั ั ่ นตกเข้าสูก่ าลิลี ซึง่ ต้องใช้เวลาเพิม่ ขึน้ อีกเท่าตัว ทัง้ นี้เป็ นเพราะชาวยิวมีเรื่อง กลับมาฝงตะวั ขัดแย้งกับชาวสะมาเรียจนฝงั รากลึกมาเป็ นเวลายาวนาน สาเหตุของความขัดแย้งพอลําดับได้ดงั นี้ ปี 720 ก.ค.ศ. อาณาจักรทางเหนือคือสะมาเรียถูกรุกราน “กษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรียทรง ยกทัพมารุกรานแผ่นดินทัง้ หมด เสด็จมาถึงกรุงสะมาเรียและทรงล้อมเมืองเป็ นเวลาสามปี ปี ทีเ่ ก้าในรัชกาลกษัตริยโ์ ฮเชยา กษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรียทรงยึดกรุงสะมาเรียได้ ทรงกวาดต้อน ชาวอิสราเอลไปเป็ นเชลยทีอ่ สั ซีเรีย ให้ตงั ้ หลักแหล่ง บางส่วนอยูท่ เี ่ มืองฮาลาห์ บางส่วนอยู่ ทีแ่ ม่น้ ําฮาโบร์ในแคว้นโกซาน บางส่วนอยูต่ ามเมืองต่าง ๆ ของชาวมีเดีย” (2 พกษ 17:5-6) นอกจากกวาดต้อนชาวยิวออกไปแล้ว “กษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรียทรงนําผูค้ นจากกรุงบา บิโลน เมืองคูธาห์ อัฟวา ฮามัท และเสฟารวาอิม เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ในแคว้นสะ มาเรียแทนทีช่ าวอิสราเอล เขายึดครองแคว้นสะมาเรียและอาศัยอยูต่ ามเมืองต่างๆ” (2 พกษ 17:24) ชาวยิวที่รอดพ้นจากการถูกกวาดต้อนไปต่างแดน เริม่ แต่งงานกับคนต่างชาติท่ี อพยพเข้ามาใหม่จนสูญเสียความเป็ นยิวซึ่งถือเป็ นความผิดหนักและน่ าอดสูอย่างยิง่ ทุก วันนี้ ชาวยิวที่เ คร่งครัด ยังจัดงานศพให้บุตรหลานที่แต่ งงานกับคนต่างชาติต่างศาสนา เพราะถือว่าเขาตายจากความเป็ นยิวไปแล้ว ต่อมาอีกร้อยปี เศษ ประมาณ 600 ปี ก.ค.ศ. อาณาจักรทางใต้คอื ยูเดียก็ถูกชาวบา บิโลนตีแตกเช่นกัน ชาวยิวถูกกวาดต้อนไปกรุงบาบิโลนแต่พวกเขาสามารถรักษาความ เป็ น “ยิว” ไว้ได้อย่างเคร่งครัด ในสมัยของประกาศกเอสราและเนหะมีย์ กษัตริยเ์ ปอร์เซียได้ปล่อยชาวยิวในกรุง บาบิโลนกลับปาเลสไตน์ ภารกิจศักดิ์สิทธิ์และเร่งด่วนทีส่ ดุ ของพวกเขาคือ สร้างพระวิ หาร ใหม่ ชาวสะมาเรียเสนอตัวช่วยสร้างพระวิหารแต่ถูกปฏิเสธ ซํ้าร้ายยังถูกดูหมิน่ ว่าไม่ใช่ ยิวแท้จงึ หมดสิทธิในพระอาณาจักรของพระเจ้า และไม่มสี ทิ ธิร่วมสร้างพระวิหารถวายแด่ พระองค์ จุดเริม่ ต้นของความร้าวฉานนี้เกิดขึน้ ราว 450 ปีก่อนพระเยซูเจ้า 3


สั ปดาห์ ที่ 3 เทศกาลมหาพรต (ปี A)

ยน 4:5-42

เนื่ อ งจากเรื่อ งราวระหว่ า งพระเยซู เ จ้า กับ หญิง ชาวสะมาเรีย มีค วามยาวและ รายละเอียดมาก จึงขอยกบางตอนมาอธิบายดังนี้

1. ทรงขจัดอุปสรรคขวางกัน้ 5

พระองค์เสด็จมาถึงเมืองหนึง่ ในแคว้นสะมาเรียชือ่ สิคาร์ ใกล้ทดี ่ นิ ทีย่ าโคบยกให้ โยเซฟบุตรชาย 6ทีน่ นมี ั ่ บอ่ นํ้าของยาโคบ พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนือ่ ยจากการเดินทาง จึง ประทับทีข่ อบบ่อ ขณะนัน้ เป็ นเวลาประมาณเทีย่ งวัน 7หญิงชาวสะมาเรียคนหนึง่ มาตักนํ้ า พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า “ขอนํ้าดืม่ สักหน่ อยเถิด” 8บรรดาศิษย์ของพระองค์ไปซื้ออาหาร ในเมือง 9หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า “ท่านเป็ นชาวยิว ทําไมจึงขอนํ้ าดืม่ จากดิฉันซึง่ เป็ นชาวสะมาเรียเล่า” เพราะชาวยิวไม่ตดิ ต่อกับชาวสะมาเรียเลย “ท่านเป็ นชาวยิว ทําไมจึงขอนํ้ าดืม่ จากดิฉนั ซึง่ เป็ นชาวสะมาเรียเล่า” คําถามนี้บ่ง บอกถึงความสัมพันธ์อนั เลวร้ายระหว่างชาวยิวกับชาวสะมาเรียได้เป็ นอย่างดี แผ่นดินปาเลสไตน์ในสมัยพระเยซูเจ้า มีความยาวจากเหนือจรดใต้ประมาณ 190 ก.ม. แบ่งออกเป็ น 3 แคว้นใหญ่ เหนือสุดคือแคว้นกาลิลี ตอนกลางคือแคว้นสะมาเรีย และใต้สดุ คือแคว้นยูเดีย จากแคว้นยูเดียขึน้ ไปแคว้นกาลิลี เส้นทางสัน้ ทีส่ ุดก็คอื ผ่านแคว้นสะมาเรียซึ่งใช้ เวลาเดินทางเพียงสามวัน แต่ชาวยิวมักหลีกเลีย่ งเส้นทางผ่านสะมาเรียด้วยการข้ามแม่น้ํา 2

วัน เดือน ปี จ. 24 มี.ค. สุ ขสํ าราญ อ. 25 มี.ค. สุ ขสํ าราญ พ. 26 มี.ค. อุทศิ แด่ พฤ. 27 มี.ค. อุทศิ แด่ ศ. 28 มี.ค. อุทศิ แด่

08.30-09.00 น. 09.00-09.15 น. 09.15-10.00 น. 10.00-11.30 น. 11.30-12.00 น. 12.00-13.00 น. 13.00-14.30 น. 14.30-15.00 น. 15.00-15.30 น. 15.30-16.00 น. 16.00-17.00 น. 17.00-17.45 น. 17.45-18.00 น. 18.00 น.

รายการมิสซา คุณพ่อ เปโตร ประชาชาติ ปรี ชาวุฒิ วิญมารี อา ปนัดดา นิลกําแหง วิญญาณในไฟชําระ วิญญาณในไฟชําระ วิญญาณในไฟชําระ

ผู้ขอมิสซา มาลินี มาลินี -

ลงทะเบียน ตั้งศีลมหาสนิท เฝ้ าศีล เทเซ่ “ความรักไม่ มสี ิ้นสุ ด” และฝึ กจิตภาวนา เฝ้ าศีล อาหารเทีย่ ง (ถือเงียบ) “ความรักไม่ มสี ิ้นสุ ด” และฝึ กจิตภาวนา เฝ้ าศีล เดินรู ป จิตภาวนา พิจารณามโนธรรมและรับศีลอภัยบาป เฝ้ าศีล ทําวัตรเย็น อวยพรศีลมหาสนิท มิสซา 15


 วันอาทิตย์หน้า (30 มีนาคม ศกนี้) o คุณพ่อ ปรี ชา ยัง่ ยืน จากคณะคาร์ เมไลท์ นักบวชชาย จะมาถวายมิสซาที่ วัดของเรา เวลา 8.00 น. และ 10.00 น. เพื่อรณรงค์ดา้ นกระแสเรี ยกและ ระดมทุนเพื่อสร้างอารามคาร์เมไลท์ (นักบวชชาย) สามพราน o เวลา 12.30 น. หลังอาหารเที่ยงทิพย์ ขอเชิญพี่นอ้ งร่ วมแสวงบุญและเยีย่ ม เยี ย นเด็ ก ด้อ ยโอกาส ณ มู ล นิ ธิ เ ซนต์ม าร์ ติ น วัด พระแม่ ม หาการุณย์ นนทบุรี ผูส้ นใจ โปรดลงชื่ อ ที่ สํ า นัก งานวัด ภายในวัน อาทิ ต ย์น้ ี เพื่ อ วางแผนจัดรถสําหรับเดินทาง และพี่น้องท่านใดประสงค์จะบริ จาคเงิน เครื่ องอุปโภคบริ โภค และของใช้อื่น ๆ โปรดติดต่อสํานักงานวัด  วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน ศกนี้ เป็ นวันอาทิตย์ตน้ เดือน o พี่นอ้ งท่านใดประสงค์นาํ บุตรหลานเด็กเล็กอายุไม่ถึง 7 ปี บริ บูรณ์มารับ ศีลล้างบาป โปรดติดต่อสํานักงานวัด o พี่นอ้ งที่ร่วมโครงการ “จิตอาสาหาทุนช่วยผูส้ ู งวัย” และรับกระปุกไปเพื่อ ออมเงินช่วยเหลือผูส้ ู งอายุ โปรดนําส่ งเงินออมงวดแรกที่สาํ นักงานวัด  วันเสาร์ ที่ 12 เมษายน ศกนี้ ขอเชิ ญพี่น้องร่ วมฟื้ นฟูจิตใจ หัวข้อ “ความรั กไม่ มี สิ้ นสุ ด” (1 คร 13:8) และฝึกจิตภาวนา โดย คุณพ่อ อันดรู ว ์ ประเสริ ฐ โลหะวิริยะศิริ ตั้งแต่เวลา 8.30-19.00 น. ณ วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ ผูส้ นใจโปรดลงชื่ อที่สํานัก งานวัด เพื่อความสะดวกในการจัดเตรี ยมอาหารสําหรับทุกท่าน  วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน ศกนี้ เป็ นวันอาทิตย์ใบลาน และตรงกับวันสงกรานต์ o เวลา 9.30 น. ขอเชิญพี่นอ้ งทุกท่านรับใบลานและร่ วมแห่ ใบลานเพื่อระลึก ถึงการเสด็จเข้ากรุ งเยรู ซาเล็มอย่างสง่าของพระเยซูเจ้า ณ ศาลาปี ติการุ ณย์ o หลังมิสซาสาย ขอเชิญร่ วมรดนํ้าขอพรผูส้ ู งอายุ และร่ วมกิจกรรมเล่นนํ้า สงกรานต์ตามแบบประเพณี ไทย ณ ศาลาปี ติการุ ณย์ 16

ฉบับที่ 519 วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2014

สั ปดาห์ ที่ 3 เทศกาลมหาพรต (ปี A)

ผูท้ ีน่ มัสการพระเจ้า จะต้องนมัสการเดชะพระจิ ตเจ้า และตามความจริง ยน 4:24


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.