ชีวประวัติ ของนบีมุฮัมมัด صلى الله عليه و سلم
กับ บทเรียนและข้ อคิด
โดย ًالدكتىر هصطفى السثاع ดร. มุศฏอฟา อัส – สิ บาอีย์
อนัส แสงอารี أًس عثدالىهاب الٌدوي แปลและเรียบเรียง
เกี่ยวกับผูเ้ ขียน ดร.มุศเฏาะฟา หุสนีย ์ อัสสิบาอีย ์ o เป็ นชาวซีเรีย เกิดเมื่อปี 1915 เสียชีวิตเมื่อปี 1964 o เป็ นสมาชิกและผูน้ าของอัลอิควานุลมุสลิมนู ร่วมสมัยกับอิมาม ชะฮีด หะซัน อัลบันนา เป็ นอุละมาอ์ เป็ นมุญาฮิด เป็ นนักเขียนที่มีพรสวรรค์ที่หาผูเ้ ทียบเคียงได้ยาก งานเขียนของท่านแฝงไป ด้วยพลังแห่งความศรัทธา และจิตวิญญาณของนักต่อสู ้ผทู ้ ี่หวงแหนอิสลาม ท่านเคยถูกทหารอังกฤษ จับจาคุกนานนับปี ด้วยข้อหาร่ วมขบวนการต่อต้านอังกฤษ เขียนหนังสื อไว้มากกว่า 20 เล่ม o จบการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขากฎหมายอิสลามจากมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร กับวิทยานิพนธ์ เรื่ อง “ ฐานะของอัซซุ นนะฮฺในนิติบัญญัติอสิ ลาม” )(السنة ومكانتها يف التشريع االسالمي o อดีตผูก้ อ่ ตัง้ และประธานองค์การอัลอิควานุลมุสลิมนู แห่งประเทศซีเรีย(1945) o อดีตอาจารย์ประจามหาวิทยาลัยซีเรีย และอดีตรองประธานสภาผูแ้ ทนราษฎรประเทศซีเรีย o ปี 1948 เป็ นผูน้ าทัพอิควานจานวนหนึ่งหมื่นนาย ร่ วมกับสมาชิกอิควานจากอียปิ ต์และอิรัก เข้าไปให้ การสนับสนุนและช่วยเหลือพี่นอ้ งชาวปาเลสไตน์ที่ต่อสู ้กบั ยิวไซออนิสต์ จนสามารถบุกเข้าไปถึง เยรู ซาเล็ม และได้สร้างบทเรี ยนอันเจ็บปวดให้กบั ยิวไซออนิสต์มาแล้ว มาตรว่าเหล่าผูน้ าอาหรับใน ขณะนั้นไม่ทรยศ โดยเฉพาะอย่างยิง่ สมาชิกอิควานจากอียปิ ต์ที่ถูกทางการอียปิ ต์ร่วมกับพวกอังกฤษจับ เข้าคุกหมด ยกเว้นหะซัน อัลบันนา อันเป็ นแผนการชัว่ ในการลอบสังหารหะซัน อัลบันนา ด้วยหวังว่า จะขุดรากถอนโคนอิควานให้สิ้นซาก ! ท่านได้เขียนเกี่ยวกับการญิฮาดในครั้งนั้นไว้ในหนังสื อ “ การญิฮาดของเราในปาเลสไตน์ ” ) (جهادنا يف فلسطنيท่านเคยถูกไล่ออกจากการเป็ นอาจารย์สอน ในมหาวิทยาลัย และถูกเนรเทศไปเลบนอนฐานขอออกนอกประเทศเพื่อไปต่อสู ้กบั ทหารอังกฤษใน สงครามครองสุ เอซ َوو
“ขออัลลอฮฺ ทรงตอบแทนความดีแก่ท่าน และให้ท่านได้รบั รางวัลตอบแทน ในสวนสวรรค์อันสถาพรของพระองค์ อามีน ยาร็อบบัลอาละมีน ” 3
คานาจากผูแ้ ปล อิสลามคือวิถีแห่งการดาเนินชีวิตอันเปี่ ยมล้นไปด้วยคุณค่าของความเป็ นมนุษย์ คุณค่าที่ได้ ถ่ายทอดความหมายที่แท้จริงของความเป็ นบ่าวผูศ้ รัทธาในพระผูเ้ ป็ นเจ้าและจงรักภักดีตอ่ พระองค์ ชีวประวัตขิ องท่านนบีมฮุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมคือกระจกเงาที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความจริงข้อ นี้ เนือ่ งจากชีวประวัตขิ องท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮฺ วะซัมคือภาคปฏิบตั ขิ องคาสอนอิสลาม ท่านได้แสดง แบบอย่างให้เห็นจริง แบบอย่างอันดีงาม ชัดเจน และแฝงไว้ดว้ ยวิทยปั ญญาที่ครอบคลุมถึงทุก ๆ ด้านที่ มนุษย์จาเป็ นต้องนาไปใช้เพื่อให้การดาเนินชีวิตให้ประสบความสาเร็จทัง้ ในโลกนีแ้ ละปรโลก ทัง้ ในด้านที่ เกี่ยวกับความเชื่อ การปฏิบตั ศิ าสนกิจ ครอบครัว สังคม การประกอบอาชีพ เศรษฐกิจ การเมือง การ ปกครอง และการทหาร ชีวประวัตขิ องท่านจะทาให้เรามองเห็นภาพที่แท้จริงของอิสลามได้อย่างชัดเจน อิสลามที่เคยปรากฏให้เห็นจริงและได้ประสบความสาเร็จมาแล้วในหน้าประวัตศิ าสตร์ของมนุษยชาติภายใต้ การนาของมุฮมั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เป็ นสิ่งที่ยืนยันว่า คาสอนของอิสลามเป็ นสิ่งที่เป็ นจริง ได้ในทุกยุคสมัย เพราะมนุษย์ก็คือมนุษย์ที่มีสญ ั าตญาณและธรรมชาติเดียวกันแม้วันเวลาจะเปลี่ยนไป และ อิสลามเป็ นระบบแห่งการดาเนินชีวิตเดียวที่สามารถสนองตอบธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ เพราะอิสลาม เป็นวิถีชีวิตแห่งธรรมชาติ )(االسالم دٌي الفطزج
“ ดังนัน้ จงผินหน้าของเจ้าอย่างเที่ยงตรงสูอ่ ิสลาม( อันเป็น )ธรรมชาติแห่งการสร้างของอัลลอฮฺ ที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ข้ ึนตามนัน้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการสร้างของอัลลอฮฺ นัน่ คือศาสนา ที่เที่ยงธรรม ทว่าส่วนมากของมนษุ ย์ไม่ร ”้ ู 1 เนือ้ หาของหนังสือเล่มนี้ เป็ นการศึกษาวิเคราะห์ ตีความชีวประวัตแิ ละประวัตศิ าสตร์แนวใหม่ โดย กลัน่ กรองเอาบทเรียนมาประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิตบนหลักความเชื่อที่ว่า วิถีชีวิตของท่านนบีมฮุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เป็ นเรียนเล่มใหญ่ที่มสุ ลิมผูศ้ รัทธาจะต้องศึกษาเรียนรูใ้ ห้เกีดความเข้าใจ อย่างถ่องแท้ เพื่อการดาเนินชีวิตให้เป็ นไปตามนัน้ ในทุก ๆ ย่างก้าว หนังสือเล่มนีจ้ ึงเหมาะสาหรับ ปั ญญาชนมุสลิมผูศ้ รัทธามากกว่าผูอ้ ่านที่ตอ้ งการแต่เพียงการนาเอาความรูแ้ ละข้อมูลไว้ประดับสมอง ส่วนผูเ้ ขียนหนังสือเล่มนีน้ นั้ เล่า ก็กล่าวได้แต่เพียงว่าเขาเป็ นผูท้ ี่อยู่ในระดับแนวหน้าของนักวิชาการ อิสลามแห่งศตวรรษที่ 20 ผูอ้ ยู่เหนือคาแนะนา เพราะเขาเป็ นคนที่อยู่ในแถวเดียวกับ อิมามชะฮีดหะซัน อัล บันนา , ชะฮีดซัยยิดกุฏบ , ชะฮีดอับดุลกอดิรฺ เอาดะฮฺ และอีกหลาย ๆ คน ( ขออัลลอฮฺ ทรงเมตตาแก่พวก เขา ) เขาเป็ นทุก ๆ อย่างที่มสุ ลิมผูศ้ รัทธาควรจะเป็ น จึงทาให้ผแู้ ปลเชื่อมัน่ ว่า หนังสือเล่มนีจ้ ะเป็ นหนังสือ อีกเล่มหนึง่ ที่เต็มเปี่ ยมด้วยคุณค่า อันจะช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพนักดะอฺ วะฮฺ และนักต่อสูเ้ พื่อ อิสลาม แต่หากมีขอ้ บกพร่องใดในฉบับแปลนี้ ก็คงเป็ นเพราะความอ่อนแอของผูแ้ ปลที่ไม่สามารถถ่ายทอด สิ่งที่ผเู้ ขียนได้นาเสนอไว้นนั ่ เอง หากอัลลอฮฺ ทรงประสงค์ หวังว่าคงได้แก้ไขปรับปรุงในโอกาสต่อไป ขอดุอาอ์ตอ่ อัลลอฮฺ ให้ทรงตอบแทนความดีแก่ผเู้ ขียนและให้งานเขียนของเขาเป็ นสิ่งที่ชว่ ยสร้างพลัง ขับเคลื่อนประชาชาติอิสลามให้สามารถก้าวไปสูห่ ลักชัยด้วยเทอญ อามีน ผูแ้ ปล 1
ซูเราะฮฺอรั รูม อายะฮฺที่ 30
4
สารบัญ เรือ่ ง
หน้า
o ลักษณะเด่นของชีวประวัตทิ ่านนบีมฮุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะ ซัลลัม o แหล่งอ้างอิงชีวประวัตทิ ่าน นบีมฮุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม o ชีวประวัตขิ องมุฮมั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมก่อน การเป็ นนบี o ชีวประวัตทิ ่าน นบีมฮุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ตัง้ แต่เริ่มเป็ นนบี จนถึงการอพยพไปหะบะชะฮฺ o ชีวประวัตทิ ่าน นบีมฮุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ตัง้ แต่การอพยพของท่านจนถึงการตัง้ มัน่ ที่นครมดีนะฮฺ o สงครามสาคัญที่เกิดขึน้ ในสมัยของท่าน นบีมฮุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม สงครามบะดัรฺ สงครามอุฮดุ สงครามบนีอลั -นะฎีรฺ สงครามอัล-อะหฺ ซาบ สงครามบนี กุร็อยเซาะฮฺ สงครามอัล-ฮุดยั บียะฮฺ สงครามค็อยบัร สงครามมุอต์ ะฮฺ สงครามอัล-ฟัตห์ สงครามฮุนยั น์ สงครามตะบูก o เหตุการณ์สาคัญที่เกิดขึน้ หลังการยึดครองนครมักกะฮฺ สงครามฮุนยั น์ การทาลายเจว็ด สงครามตะบูก ฮัจญ์อาลา การส่งทัพอุซามะฮฺ การเสียชีวิตของท่านนบี มุฮมั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม 5
บทนา 1. ลักษณะเด่นของชีวประวัติ ท่านนบี ศ็อล ลัลลอฮ ุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม 2 กับเหต ุการณ์ ต่าง ๆ ที่เกีย่ วข้อง ชีวประวัตขิ องท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮฺ วะ ซัลลัม มีลกั ษณะเด่นบางประการ ที่ทาให้ผทู้ ี่ได้ศึกษา ชีวประวัตขิ องท่าน มีความประทับใจ อิ่มเอิบทางจิตวิญญาณ และสติปัญญา ตลอดจนได้รบั ข้อมูลทาง ประวัตศิ าสตร์อย่างมากมาย ในด้านของ การดะอฺ วะฮฺ 3 การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็ นสิ่ง ที่มีความ จาเป็ นสาหรับบรรดา อาลิม4 ด ุอาต5 บรรดาผูท้ ี่สนใจและเห็นความสาคัญของการปฏิรปู ทางสังคม เพื่อเป็ นหลักประกันว่า หลัก คาสอนของอิสลาม ได้ถกู เผยแผ่ออกไปสูผ่ คู้ นด้วยวิธีการ ที่ถกู ต้อง สอดคล้องกับวิธีการของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เพื่อการมองเห็นภาพที่ชดั เจนว่าผูท้ ี่มีการยึดมัน่ ในหลักคาสอนของอิสลามที่ แท้จริงนัน้ เป็ นอย่างไร เพื่อที่จะได้นามาเป็ นข้อชี้ขาดยามที่เกิด ความสับสนในการเดินบนเส้นทางของการ ทางาน เผยแผ่ อิสลาม ในยามที่พายุแห่งปั ญหาอุปสรรคโหม กระหนา่ รุนแรง ตลอดจน เพื่อให้ จิต ใจและ ความรูส้ ึกนึกคิดของผูค้ นเปิ ดกว้างเบื้องหน้าบรรดาผูเ้ รียกร้องเชิญชวน อันจะทาให้การปฏิรปู ที่บรรดา นักปฏิรปู คาดหวัง มีโอกาสที่จะประสบความสาเร็จและความเที่ยงตรงมากที่สดุ ต่อไปนีค้ ือ ลักษณะเด่นที่สาคัญ ๆ บางประการของชีวประวัติ ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮ ุ อะ ลัยฮฺ วะ ซัลลัม 1.1 เป็นชีวประวัติที่ถ ูกต้องมากที่ส ุด ในบรรดาบนีหรือ นักปฏิร ูปผูย้ งิ่ ใหญ่ กระบวนการและวิธีการ ได้มาของชีวประวัตขิ องท่าน จนได้รบั การถ่ายทอดมาถึงเรานัน้ เป็ นกระบวนการที่ ถูกต้อง สอดคล้องกับหลักวิชาการและเชื่อถือได้มากที่สดุ เป็ นต้นว่า การกล่าวถึงแหล่งที่มาของชีวประวัติ ทาให้ไม่มีขอ้ สงสัยใดๆ เกี่ยวกับเรื่องราวที่เด่นๆ และเหตุการณ์สาคัญ ๆ ที่เกิดขึน้ สะดวกต่อการที่เรา จะรับรูแ้ ละแยกแยะเกี่ยวกับเรื่องราว อภินหิ าร หรือเหตุการณ์ที่ถกู เพิ่มเติมเข้าไปในยุคหลัง ๆ จากพวก เบาปั ญญาที่ตอ้ งการเพิ่มเติมคุณลักษณะอันน่าทึ่งให้กบั ท่าน เกินกว่า ฐานะอันเกรียงไกรที่อลั ลอฮฺ ได้ทรงให้ แก่เราะซูลของพระองค์เป็ นผูน้ าสาส์นอันบริสทุ ธิ์ และมีชีวประวัตอิ นั ยิ่งใหญ่ ชีวประวัตขิ องท่าน เราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมมี ลักษณะเด่น บางประการ ที่ยืนยัน ถึงความถูกต้องของอย่างไม่มีขอ้ สงสัยใด ๆ เช่นข้อสงสัยที่มีกบั ชีวประวัติ บรรดาเราะซูลคนก่อน ๆ อย่าง นบี มูซา 6 อะลัยอ ฮิ สสลาม นบีอีซา 7 อะลัยฮิสสลาม และนบีคนอื่น ๆ ก่อนหน้านัน้ เนือ่ งจาก เหตุการณ์ 2 3 4 5 6 7
คาขอพรให้แก่ท่านที่ผเู้ ป็ นมุสลิมจะกล่าวทุก ๆ ครั้งที่เอ่ยนามของท่าน หรือได้ยินการเอ่ยถึงนามของท่าน กระบวนการเรียกร้องเชิญชวนผูค้ นสู่อิสลาม มีความรูค้ วามเข้าใจเกีย่ วกับคาสอนของอิสลาม หรือนักวิชาการอิสลาม บรรดาผูเ้ รียกร้องเชิญชวนผูค้ นสู ่การศรัทธาในอัลลอฮฺ โมเสสแห่งศาสนายูดาย เยซูแห่งศาสนาคริสต์
6
ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับชีวประวัตทิ ี่ถกู ต้องของนบีทงั้ สองได้ถกู นาไปปะปนเข้ากับสิ่งแปลกปลอมและ ข้อบิดเบื อน ที่มาจากชาวยิว และชาวคริสต์ ทาให้เราเกิดความไม่มนั ่ ใจในความบริสทุ ธิ์ของคัมภีรเ์ ตารอฮ ( ไบบิล ฉบับ พันธสัญญาเก่า – The Old Testament) คัมภีร์อินญีล(ไบเบิลฉบับพันธสัญญาใหม่ – The New Testament)จนยาก ที่จะนาเอาชีวประวัตขิ องมูซา อะลัยอิสสลาม และอีซา อะลัยฮิสสลาม ที่แท้จริงออกมา ได้ ดังที่ มี นกั วิพากษ์วิจารณ์ตะวันตกจานวนมาก ได้เริ่มสงสัยในบางบทบาทของคัมภีร์ ซึ่งบางคนยืนยันว่าบางบทของ คัมภีรไ์ ม่ได้ถกู เขียนขัน้ ใน ช่วงที่มซู า อะลัยฮิส – สลาม ยังมีชีวิตอยู่ หรือแม้กระทัง่ สมัยใกล้ ๆ กับ สมัยที่ ท่านมีชีวิตอยู่และได้เสียชีวิตไป หากแต่ได้ถกู เขียนขึน้ ภายหลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไป นานมากแล้ว โดยไม่ เป็ นที่รวู้ ่าผูใ้ ดเป็ นผูเ้ ขียนขึน้ ความจริง ข้อ นีก้ ็ เป็ นการ เพียงพอแล้วที่จ ะตัง้ ข้อสงสัยในความถูกต้องของ ชีวประวัตขิ องมูซา อะลัยฮิส – สลาม ตามที่ปรากฏอยู่ในคัมภีรไ์ บเบิล พันธสัญญาเก่า ด้วยเหตุนจี้ ึงไม่มี เหตุผลใดที่จะให้มสุ ลิมเชื่อในความถูกต้องใด ๆ เกี่ยวกับชีวประวัตขิ องท่าน ทัง้ สอง นอกจาก เท่า ที่ อัล – กุรอาน และซุนนะฮฺ ของท่านนบีมฮุ มั มัดศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่เชื่อถือได้ได้ระบุไว้เท่านัน้ ชีวประวัตขิ องอีซา – อะลัยฮิส – สลามก็เป็ นไปในทานองเดียวกัน เพราะประการแรกคัมภีรไ์ บเบิล – ฉบับพันธสัญญาใหม่ที่เป็ นยอมรับกันอย่างเป็ นทางการของคริสต์ จกั รนัน้ ที่จริงแล้วได้ถกู ประกาศขึน้ ใน สมัยหลังจากท่านนบีอีซา อะลัยฮิส – สลาม ( พระเยซู ) นานนับร้อยปี ได้ถกู คัดเลือกโดยไม่ได้เป็ นไปตาม กระบวนการทางวิชาการมาจากคัมภีรไ์ บเบิลเป็ นร้อยๆ เล่มที่แพร่หลายอยู่ในหมูช่ าวคริสต์เตียนในสมัยนัน้ ประการ ที่สอง การอ้างชื่อผูบ้ นั ทึกคัมภีรบ์ ทต่างๆ นัน้ ก็ไม่ได้เป็ นไปตามหลักวิชาการที่พอจ ะมัน่ ใจใน ความถูกต้องได้ โดยการรายงานที่ไม่มีสายสืบที่ตอ่ เนือ่ งติดต่อกันไปถึงผูบ้ นั ทึก และ ไม่มีการระบุ ชื่อของ บรรดาผูบ้ นั ทึกคัมภีรว์ ่าเป็ นใคร ? และมีชีวิตอยู่ในสมัยใด ? ถ้าหากสิ่งที่ได้กล่าวมาเป็ น ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ชีวประวัตขิ องบรรดา เราะซูล และบุคคลสาคัญทาง ศาสนาของศาสนาต่าง ๆ ที่แพร่หลายอยู่ในโลก ก็อาจทาให้มีขอ้ สงสัย เกิด ขึน้ ในชีวประวัตขิ องบุคคล สาคัญ ๆ ของศาสนา และสานึกคิดทางปรัชญาอื่นๆ ที่มีผนู้ บั ถือและปฏิบตั ติ าม อยู่ทวั ่ โลกนับร้อย ๆ ล้าน คน เพราะสายรายงานที่ผปู้ ฏิบตั ติ ามได้รบั มาจากชีวประวัตขิ อง ศาสดาเหล่า นัน้ ไม่มีที่มาที่ ชัดเจน หรือ สามารถเชื่อถือได้ตามหลัก ทฤษฎีทางวิชาการ มักจะเป็ นเพียงแต่สิ่งที่พวกนักบวชเข้าใจกันเองและ สิ่งที่คน รุ่น ต่อ ๆ มา ได้เพิ่มเติมเข้าไป จนมีสภาพ คล้าย ๆ กับนิทานปรั มปรา เป็ น เรื่องงมงายที่ ยากที่ ปั ญ ญา บริสทุ ธิ์ และเป็ นอิสระจากการยึดติดในศาสนาเหล่านัน้ จะรับได้ว่านัน่ คือความจริง ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ เราพบ ใน ชีวประวัตขิ องมุฮมั มัด ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่ เป็ น ชีวประวัตทิ ี่ถกู ต้อง ด้วยมีสายรายงานต่อเนือ่ งกันเป็ นจานวนมากที่สดุ เมื่อเปรียบเทียบกับนบีและศาสดาคน อื่น ๆ จนสามารถสร้างความมัน่ ใจได้มากที่สดุ 1.2 ชีวิตของเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม นัน้ เป็ นชีวิตที่ชดั เจนแจ่มแจ้งที่สดุ ในทุก ๆ ช่วงวัยและทุก ๆ ขัน้ ตอน เริ่ม ตัง้ แต่ ที่บิดาของท่านคือ อับดุลลอฮฺ ได้แต่งงานกับมารดาของท่าน คือ อะมีนะฮฺ ไปจนถึงการเสียชีวิตของท่าน ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เราได้รรู้ ายละเอียดมากมายเกี่ยว กาเนิดของท่าน วัยเด็ก วัยหนุม่ การประกอบอาชีพและการเดินทางออกนอกนครมักกะฮฺ ของท่านก่อนที่จะ ได้รบั การแต่งตัง้ ให้เป็ นนบี จนกระทัง่ อัลลอฮฺ ได้ทรงแต่งตัง้ ให้ท่านเป็ นเราะซูลผูท้ รงเกียรติ แล้วเราก็ได้ร ู้ รายละเอียดอย่างชัดเจนและสมบูรณ์ที่สดุ เกี่ยวกับการ ดาเนินชีวิตของท่านหลังจากนัน้ ทุก ๆ ระยะ ทุก ๆ ขัน้ ตอน ปี ต่อปี จึงทาให้ชีวประวัตขิ องท่าน เป็ นชีวประวัตทิ ี่ชดั เจนดุจความชัดแจ้งของดวงอาทิตย์ ดังที่นกั วิจารณ์ชาวตะวันตกบางคนกล่าวว่า : “มุฮมั มัด คือ บ ุร ุษเดียวที่กาเนิดขึ้นในแสงสว่างของ ดวงอาทิตย์” 7
นีค่ ือสิ่งที่จะพบ ได้ไม่งา่ ยเลย ไม่ เหมือนกับท่านหรือแม้แต่ใกล้เคียง กับเราะซูลคนอื่น ใดจากบรรดา เราะซูลก่อนหน้าท่าน เป็ นต้นว่า นบีมซู า ( โมเสส ) ที่เราไม่รอู้ ะไรเลยเกี่ยวกับวัยเด็กและวัยห นุม่ ของท่าน รวมทัง้ วิถีการดาเนินชีวิต การคลองชีพของท่าน จนถึง การได้เป็ นนบี เรา รูเ้ กี่ยวกับชีวิตของท่านหลังจาก การได้เป็ นนบีเพียงเล็กน้อย ทาให้เราไม่สามารถมองเห็นภาพที่สมบูรณ์เกี่ยวกับตัวท่าน ทานองเดียวกัน กับนบีอีซา ( เยซู ) อะลัยฮิส – สลาม ที่เราไม่ได้ทราบอะไร เลยเกี่ยวกับ ชีวิตในวัยเด็กของท่าน เว้นแต่ที่ คัมภีรไ์ บเบิลในปั จจุบนั ได้ระบุว่า ท่านได้เข้าไปในโบสถ์ของชาวยิว และถกปั ญหากับนักบวชของ ชาวยิว ซึ่ง นีค่ ือเหตุการณ์เดียวที่ถกู กล่าวถึงในวัยเด็กของท่าน แล้วเราก็ไม่ได้ทราบอะไร เลยเกี่ยวกับสภาพการดาเนิน ชีวิตของท่านภายหลังจากการเป็ นนบีแล้ว เว้นแต่ที่เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องเชิญชวน (ดะอฺ วะฮฺ ) ของท่าน และเกี่ยวกับวิถีการเลี้ยงชีพของท่าน อีกเพียงเล็กน้อย ส่วนอื่นจากนัน้ ดูเหมือนว่า จะถูกเมฆหมอกหนาทึบ ปกคลุมอยู่ ! นีค่ ือเรื่องที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ กับ ชีวประวัตอิ นั มี แหล่งที่มา ที่ ถกู ต้อง และละเอียดยิบ อย่าง ชีวประวัติ ของท่านเราะซูลของเรา เกี่ยวกับการกิน การยืน การนัง่ การนอน การแต่งกาย เสื้อผ้า ที่สวม ใส่ รูปร่างลักษณะ ท่าทาง การพูด การปฏิบตั ิ ตัวต่อครอบครัว การ แสดงความเคารพภักดีตอ่ อัลลอฮฺ การนมาซ และการมีปฏิสมั พันธ์กบั บรรดาสาวกของท่าน จนถึงขนาดว่า บรรดาผูร้ ายงานชีวประวัตขิ อง ท่านได้บอกละเอียดถี่ถว้ นแม้กระทัง่ จานวนเส้นผมหงอกบนศีรษะและที่เคราของท่านไว้ดว้ ย 1.3 ชีวประวัติของท่านเราะซ ูล ุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮ ุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม บอกถึงชีวประวัติของ สามัญ ชนคนหนึ่ง ที่อลั ลอฮฺ ได้ให้เกียรติเขาด้วยการ เลือกให้เป็ นเราะซูล โดยที่ ไม่ได้ให้ท่าน ออกจากความ เป็ นมนุษย์ ไม่ได้มีชีวิตอยู่กบั นิทานปรัมปรา ไม่ได้มีความเป็ นพระเจ้าอยู่ในตัวเขา เลยแม้แต่ น้อย เมื่อ นาเอาความจริงข้อนีไ้ ปเปรียบเทียบกับสิ่งที่ชาวคริส ต์รายงานเกี่ยวกับนบีอีซา อะลัยฮิส – สลาม หรือที่ ศาสนิกของศาสนาหรือลัทธิอื่น ๆ ได้รายงานเกี่ยวกับ ศาสดาของพวกเขา หรือที่บรรดาผูเ้ คารพบูชาเจว็ด ได้รายงานเกี่ยวกับ เทพเจ้า ทัง้ หลายที่พวกเขาเคารพบูชา เราจะเห็นได้ชดั เจน ถึงความแตกต่าง ระหว่าง ชีวประวัตขิ องท่านนบีมฮุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม กับชีวประวัตขิ องพวกเขาเหล่านั้ น ดังนัน้ เราจึงพบว่า อิทธิพล ที่ มี ตอ่ ประพฤติ กรรม ของปั จเจกบุคคลและสังคม ในหมู่ บรรดาผูป้ ฏิบตั ติ ามนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม กับนบีหรือศาสดาคนอื่น ๆ นัน้ แตกต่างกัน อย่างมาก การสร้างความเป็ น พระเจ้าให้กบั ท่านนบีอีซา อะลัยฮิส – สลาม และหรือศาสดาคนอื่นใด นัน้ ทาให้ศาสดานัน้ ๆ ไม่อยู่ในฐานะ ของผู้ ที่จะเป็ นแบบอย่างแก่มนุษย์ได้ ไม่ว่าจะ ในชีวิตส่วนตัว หรือใน ชีวิตทางสังคม ในขณะที่มฮุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เป็ นแบบอย่างที่สมบูรณ์แก่มนุษย์ทกุ ๆ คนที่ตอ้ งการมีชีวิตที่ สงบสุขและ มีเกียรติสาหรับ ตนเอง ครอบครัวและสังคม และจะยังคงเป็ นแบบอย่างเช่นนีอ้ ยู่ตอ่ ไป ตราบเท่าวันฟื้ นคืน ชีพ ด้วยเหตุนอี้ ลั ลอฮฺ ตะอาลา จึงได้ตรัสไว้ในอัล – กุรอานว่า :
ความว่า : แน่แท้ได้มีสาหรับสูเจ้าแล้วในชีวิตของ เราะซ ูล ุลลอฮฺ ซึ่งแบบอย่างที่ดีงาม สาหรับผูท้ ี่หวังพบกับอัลลอฮฺ และวันส ุดท้าย และราลึกถึงอัลลอฮฺ มาก ๆ ( อัล – อะหฺ ซาบ : 21 ) 1.4 ชีวประวัติของท่าน เราะซ ูล ุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮ ุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม มีครอบคล ุมถึง ท ุก ๆ ด้านของความเป็นมนษุ ย์ ชีวประวัตขิ องท่านได้บอกเราถึงมุฮมั มัดที่เป็ นเด็กหนุม่ ผูซ้ ื่อสัตย์ มี ความประพฤติเรียบร้อย ก่อนที่อลั ลอฮฺ จะ ทรงให้เกียรติแก่ ท่านด้วยการให้เป็ น เราะซูล ชีวประวัตขิ อ ง 8
เราะซูลลุ ลอฮฺ ผ ู้ทาหน้าที่ประกาศอิสลาม เรียกร้องผูค้ นสู่ ศาสนาของอัลลอฮฺ ผู้ที่พยายามใช้สื่อ ต่าง ๆ ที่ดี และเหมาะสมที่สดุ เพื่อ จูงใจ ให้ผคู้ น เข้าใจและตอบ รับการเรียกร้องเชิญชวนของท่าน ผู้ ที่ได้ ท่มุ เทกาลัง ความสามารถอย่างเต็มที่ในการเผยแผ่สาส์นของท่าน ชีวประวัตขิ องประมุขของรัฐที่ได้วางระบบอันเที่ยง ธรรมและถูกต้องที่สดุ ให้กบั รัฐ ปกป้องรัฐด้วยจิตสานึกที่ตนื่ และตระหนัก อยู่เสมอ พรัง่ พร้อมด้วยความ บริสทุ ธิ์ใจและจริงใจอันเป็ นหลักประกันที่สาคัญ ที่สดุ ที่ได้นาพาให้รฐั นาวาให้ประสบความสาเร็จ ชีวประวัติ ของเราะซูลผูท้ ี่เป็ นทัง้ สามีและพ่อที่เต็มเปี่ ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา และการปฏิบตั ทิ ี่ดีตอ่ ครอบครัว สามารถ แยกแยะอย่างชัดเจนระหว่างสิทธิและหน้าที่ตา่ ง ๆ ของผูท้ ี่เป็ นสามี ภรรยาและลูก ๆ ชีวประวัตขิ อง เราะ ซูลผูเ้ ป็ นครูผใู้ ห้การอบรมบ่มนิสยั สัง่ สอน ให้คาชี้แนะ และคอย ดูแล เอาใจใส่ เหล่า สาวก -เศาะฮาบะฮฺ ของท่าน อย่างใกล้ชิด ด้วยการเป็ นแบบอย่าง ที่ดี กลัน่ กรองออกมาจากจิตวิญญาณ ของท่านสูจ่ ิตวิญญาณของพวกเขา และจากจิตใจของท่านสูจ่ ิตใจของพวกเขา ทาให้พวกเขา มีความ กระตือรือล้นและปรารถนาอันแรงกล้า ที่จะปฏิบตั ติ ามแบบอย่างของท่าน ในทุก ๆ เรื่อง ทุก ๆ ย่างก้าว อย่างละเอียดถี่ถว้ น ทัง้ เรื่องเล็ก ๆ และเรื่องใหญ่ ๆ ชีวประวัตขิ อง เราะซูลผูม้ ีสจั จะ ผูท้ าหน้าที่ของ ความเป็ นเพื่อน ผู้ ที่ยึดมัน่ ในหน้าที่และจ รรยาบรรณ ทาให้เหล่าสาวกของท่านรักท่านเหมือนรักตัวเอง ชีวประวัตขิ องนักรบผูก้ ล้าหาญ แม่ทั พผูเ้ ข้มแข็ง นักการเมืองผูป้ ระสบความสาเร็จ เพื่อนบ้านผูไ้ ว้วางใจ ได้ และคูส่ ญ ั ญาผูซ้ ื่อสัตย์... โดยสรุปก็คือ ชีวประวัตขิ อง เราะ ซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เป็ นชีวประวัตทิ ี่ ครอบคลุมถึงทุก ๆ ด้านของ ความ เป็ นมนุษย์ ทัง้ ในด้านที่เป็ นปั จเจกบุคคล และ สังคม ทาให้ท่านเป็ น แบบอย่างที่ดีสาหรับ ผูท้ างานประกาศสัจธรรมอิสลาม ผู้ เรียกร้องเชิญชวน ผูค้ นสูอ่ ิสลาม ผูน้ า พ่อ สามี เพื่อน ครู นักการเมือง และผูน้ าของประเทศทุก ๆ คน เราจะไม่พบความครอบคลุมเช่นนีใ้ นบรรดา เราะซูลคนอื่น ๆ ก่อนหน้าท่าน และ จะไม่พบว่ามีใน บรรดาศาสดาคนใด ไม่มีในสานักคิดทางปรัชญาทัง้ ยุคก่อน ๆ และยุคหลัง ๆ เช่นท่านนบีมซู า ( โมเสส ) ก็เป็ นผูน้ าเฉพาะกาลให้กบั ประชาคมของท่านในสมัยนัน้ เท่านัน้ หลักการต่าง ๆ ที่ท่านนามาประกาศและสัง่ สอนก็เหมาะสมกับ หมูช่ นของท่านในยุคนัน้ เท่านัน้ ในขณะที่ เราจะไม่พบ ว่ามี แบบอย่างที่จะเป็ นแบบอย่าง ให้กบั บรรดานักรบ ครู นักการเมือง ผูน้ าประเทศ พ่อ หรือสามี ปรากฏอยู่ ในชีวประวัตขิ องท่าน ในขณะที่ท่านนบีอีซา ( เยซู ) ก็เป็ นตัวอย่างของนักเผยแผ่ผ ู้ ครองสันโดษ หันหลังให้กบั โลก ท่านไม่ได้ ครอบครองทรัพย์สินใด ๆ ไม่มีบา้ น ไม่มีสมั ภาระ ตามชีวประวัตทิ ี่มีอยู่เบื้องหน้าชาวคริส ต์นนั้ ท่านไม่ได้ เป็ นตัวอย่างของแม่ทพั ผูเ้ ป็ นนักรบ หรือผูน้ าประเทศ หรือพ่อ หรือสามี ( เพราะท่านไม่ได้แต่งงาน ) หรือ ผูร้ ่างกฎหมาย ฯลฯ เหมือนเช่นที่ชีวประวัตขิ องมุฮมั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ในทานองเดียวกัน กับคนอื่นจากทัง้ สองคน ที่ได้กล่าวมา ทัง้ ในบรรดาศาสดา นักปรัชญา หรือบุคคลสาคัญใน ประวัตศิ าสตร์ อย่าง อริส โตเติล นโปเลียนและบุคคลอื่นๆ พวกเขาเหล่านัน้ ไม่สามารถเป็ นแบบอย่างที่สมบูรณ์ได้ เพราะพวกเขาเป็ นแบบอย่างได้เพียงด้าน ใดด้านหนึง่ ของชีวิตเท่านัน้ เป็ นแบบอย่าง ในด้านที่ทาให้พวกเขา เป็ นที่รจู้ กั ทว่า มีมนุษย์เพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถที่ จะเป็นแบบอย่างได้สาหรับคน ท ุกคน ท ุกกลมุ่ และท ุกย ุคสมัย ก็คือ มุฮมั มัด ศ็อลลัลลอฮ ุอะลัยฮิ วะ ซัลลัม 1.5 ชีวประวัติของนบี มฮุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮ ุอะลัยฮิ วะ ซัลลัม เป็นชีวประวัติหนึ่งเดียว หลักฐานบอกเราอย่างไม่มีขอ้ สงสัยคลางแคลงใด ๆ ถึงสัจจะแห่งสาส์นและการเป็นนบีของท่าน ชีวประวัตขิ องท่านเป็ นชีวประวัตขิ องมนุษย์ที่สมบูรณ์ มนุษย์ผทู้ ี่ประสบความสาเร็จและ ได้รบั ชัย ชนะครัง้ แล้วครัง้ เล่าในการดะอวะฮฺ และการต่อสูก้ บั เหล่าผูข้ ดั ขวาง การประกอบภารกิจของท่านไม่ได้ เป็ นไปโดยวิธีเหนือธรรมชาติหรืออภินหิ ารย์เลย หากแต่ การทาหน้าที่ของท่านได้ดาเนินไปตามครรลองอัน 9
เป็ นปกติธรรมดา ดังจะพบว่า บนเส้นทางนีท้ ่านทาหน้าที่เรียกร้องเชิญชวน นี้ บางครัง้ ท่านเอง ก็ตอ้ งถูก รังแก ท่านได้เพียรพยายามเผยแผ่จนมีผชู้ ว่ ยเหลือสนับสนุนเพิ่มมากขึน้ เรื่อย ๆ บางครัง้ ท่านก็ ตอ้ งตกอยู่ ในภาวะที่ทาให้ท่านต้องตัดสินใจเลือกใช้วิธีทาสงคราม ท่านเป็ นคนฉลาดปราดเปรื่อง ประสบความสาเร็จ ในการนา จนในที่สดุ ท่านได้ทาให้ชว่ งเวลาก่อน ที่ท่านจะสิ้นลมหายใจ กลายเป็ นช่วง เวลาที่ ถือได้ว่า การ เรียกร้องเชิญชวนของท่านได้แผ่ขยายปกคลุมไปทัว่ ดินแดนของคาบสมุทรอาหรับ การยอมรับศรัทธาจาก ประชาชนเป็ นไปตามวิถีปกติ พวกเรายอมรับและศรัทธาไม่ใช่เพราะการใช้อานาจบีบบังคับ ท่านสามารถ เปลี่ยนขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อดัง้ เดิม อันไม่ถกู ต้องและเปรอะเปื้ อนด้วยเรื่องงมงายต่าง ๆ ของชาวอาหรับ ผ่านการเผชิญหน้ากับการต่อต้านการเรียกร้องเชิญชวนของท่านด้วยวิธีการหลากหลาย จนถึง ความ พยายาม ในการลอบ สังหารท่าน พัฒนา จากสภาพที่ไม่มีความ สมดุล กันของ กาลังทหาร กล่าวคือ ด้วยทหารที่มีจานวนน้อยกว่าข้าศึกแต่ก็ได้รบั ชัยชนะใน เกือบทุก ๆ สมรภูมิ 8 ภายในระยะเวลา สัน้ ๆ ที่ทาให้สาส์นของท่านฝังรากลึกลงในคาบสมุทรอาหรับ กล่าวคือ เพียงประมาณ 23 ปี เท่านัน้ ทา ให้เราเชื่อมัน่ ได้ว่า มุฮมั มัดเป็ นศาสนทูตของอัลลอฮฺ จริง ๆ ด้วยการยืนหยัดที่มนั ่ คง พละกาลังความ เข้มแข็ง อิทธิพล บารมี และชัยชนะที่อลั ลอฮฺ ได้ทรงให้ท่านได้รบั นัน้ ไม่ใช่อื่นใด นอกจากสิ่งที่ยืนยันว่า ท่าน เป็ นนบีของอัลลอฮฺ จริง ๆ เพราะอัลลอฮฺ จะมิทรงช่วยเหลือผูท้ ี่โกหกด้วยการแอบอ้างพระองค์ อย่างกับ การ ช่วยเหลืออันมีลกั ษณะโดดเด่นและเป็ นหนึง่ เดียวในประวัตศิ าสตร์เช่น ที่เกิดขึน้ กับมุฮมั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมดังที่กล่าวมานี้ ดังนัน้ ชีวประวัตขิ องท่านร่อซูลลุลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงยืนยันแก่เราถึงสัจจะแห่ง สาส์นของท่านด้วยวิถีทางปั ญญาอย่างเห็นได้ชดั ส่วนอภินหิ ารบางอย่างที่เกิดขึน้ ในชีวิตของท่านนัน้ ไม่ได้ เป็ นรากฐานสาคัญที่ทาให้ชาวอาหรับ ยอมรับ ศรัทธาในการเรีย กร้องเชิญชวนของท่าน ยิ่งไปกว่านัน้ เรา ยังไม่พบว่ามีปาฏิหาริยใ์ ดของท่านที่ทาให้บรรดาผูป้ ฏิเสธ ผูด้ ื้อรัน้ ได้หนั มาศรัทธาในการเรียกร้องเชิญชวน ของท่าน ทัง้ ๆ ที่ปาฏิหาริยท์ างวัตถุทงั้ หลาย ที่อลั ลอฮฺ ทรงดลบันดาลให้มีขนึ้ นัน้ ถือเป็ นหลักฐานผูกมัดผู้ ปฏิเสธ นัน่ ทาให้แน่ใจได้ว่า บรรดามุสลิมที่ไม่ได้มีโอกาสเห็นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และ ไม่ได้เห็นปาฏิหาริยท์ งั้ หลายของท่านนัน้ เป็ นผูท้ ี่ยอมรับ ศรัทธาในสัจจะแห่งสาส์นของท่าน ด้วยหลักฐาน ทางปั ญญาที่ยืนยันอย่างแน่วแน่ถึงสัจจะแห่งการเรียกร้องเชิญชวนของท่าน ซึ่ง หนึง่ ในหลักฐานทาง ปั ญญานัน้ คือ คัมภีรอ์ ลั - กุรอาน เพราะอภินหิ ารทางปั ญญา นัน้ คือการ ที่ผมู้ ีปัญญาและมีจิตใจที่เป็ น ธรรมทุกคน ยอมรับและเชื่อในสัจจะและสารัตถะแห่งสาส์นขของมุฮมั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เรื่องดังกล่าวนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิง กับ ชีวประวัตขิ องบรรดานบีคนก่อน ๆ ที่บรรดา สาวกของ พวกเขาได้เก็บรวบรวมไว้ เป็ นสิ่งที่บอกให้เราได้ทราบว่า เหตุผลที่ทาให้ผคู้ นได้ยอมรับ ศรัทธาในพวกเขา เหล่า นัน้ คืออิทธิฤทธ์ ปาฏิหาริยต์ า่ ง ๆ ที่เกิดขึน้ จากฝี มือของบรรดาศาสดา และ นบีเหล่านัน้ โดย ที่ สติปัญญาของพวกเขาไม่ได้ มีสว่ นในการคิด พิจารณาตัดสินจากหลักการต่าง ๆ ที่มีอยู่ในคาสอน ของ บรรดาศาสดาและนบีเหล่านัน้ แต่ประการใด ตัวอย่างที่ชดั เจนที่สดุ ในเรื่องนีไ้ ด้แก่ท่านนบีอีซา อะลัยฮิส – สลาม ที่อลั ลอฮฺ ได้ทรงบอกเราในอัล – กุรอานว่า สิ่งแรกที่ชว่ ยสนับสนุนให้ชาวยิวพอใจในสัจจะของสาส์น ที่ท่านนามาคือ การ ที่ท่านสามารถรักษาคนตาบอด และคนป่ วยเป็ นโรคเรื้อน ให้หายขาดได้ สามารถชุบ ชีวิตคนที่ตายแล้วให้ฟื้นคืนชีพใหม่ได้ สามารถบอกถึงสิ่งที่พวกเขากินและเก็บสะสมไว้ที่บา้ นได้โดยไม่ตอ้ งไป ดู ทัง้ หมดนัน้ เป็ นไปโดยอนุมตั ขิ องอัลลอฮฺ ผทู้ รงเกรียงไกร ในขณะทีคมั ภีรไ์ บเบิลบทต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน ปั จจุบนั ก็บอกเราว่า ปาฏิหาริย์ ข้างต้น คือ สาเหตุ ที่ทาให้ ผคู้ นจานวนมาก ยอมรับ ศรัทธาในท่านนบีอีซา อะลัย ฮิส – สลาม ไม่ใช่มาจากการที่ พวกเขาเชื่อมัน่ ในการ เป็ นเราะซูลของท่าน พวกเขาเชื่อว่าท่านเป็ น 8
ชัยชนะและความพ่ายแพ้ ไม่อาจวัดได้ เพียงแต่ในสมรภูมิเท่านัน้ หากแต่ต้องดูที่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ ้นภายหลังจากนันต่ ้ างหาก - ผู้แปล
10
พระเจ้าผูเ้ ป็ นบุตรของพระเจ้า ขออัลลอฮฺ ทรงคุม้ ครองเราจาก ความเชื่ อที่ มดเท็จนี้ ในขณะที่ศาสนาคริสต์ ในสมัย หลังจากท่านนบีอีซานัน้ ได้แพร่กระจายออกไปด้วย วิถีของการแสดง ปาฏิหาริยแ์ ละอภินหิ ารต่าง ๆ ดังที่มีบนั ทึกใน บทภารกิจ ของคัมภีรไ์ บเบิล ทาให้เราสามารถเรียกศาสนาคริสต์ ได้ว่า เป็ นศาสนาที่ดารง อยู่บนอภินหิ าร และปาฏิหาริย์ ต่าง ๆ ไม่ได้ยืนอยู่บนความพอใจทางปั ญญา ตรงนีเ้ อง ที่ เราจะเห็น ได้ถึง ลักษณะเด่นที่ชดั เจนในชีวประวัตขิ องท่าน เราะ ซูล ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ว่า ไม่มีใครสักคนที่ ศรัทธาใน คาสอนและ การเรียกร้องเชิญชวนของท่านผ่านทางปาฏิหาริยแ์ ละอภินหิ าร ที่เกิดขึน้ จากท่าน ตรงกันข้าม การศรัทธาของผูค้ นในตัวท่านนัน้ เนือ่ งมาจากการยอมรับทางปั ญญาและความรูส้ ึกนึกคิด ที่ได้ ไตร่ตรองแล้วอย่างรอบคอบถี่ถว้ น แม้ว่าอัลลอฮฺ จะได้ทรงให้เกียรติท่านให้มีปาฏิหาริยแ์ ละอภินหิ าร อยู่บา้ ง นัน่ ก็เป็ นเพียงเพื่อให้เกียรติแก่ท่านนบี ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และเพื่อเป็ นหยุดยัง้ การดื้อรัน้ ของ พวกอหังการเท่านัน้ ผูท้ ี่ได้ ศึกษาอัล – กุรอานจะพบว่า หลักการที่ อลั – กุรอานใช้ในการนาเสนอและ ถ่ายทอดสัจธรรมคือ หลักการ ของการ ให้เกิด ความมัน่ ใจด้วย เหตุผล ทางสติ ปัญญา พร้อมด้วยการ นาเสนอประจักษ์พยานที่ชี้ให้เห็นถึง การมีอยู่จริงของอัลลอฮฺ ความยิ่งไหญ่ในการสร้างสรรค์ของ พระองค์ เป็ นสาคัญ ผนวกกับการที่เราได้รวู้ ่าท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เป็ นคนไม่รหู้ นังสือ ด้วย แล้ว ทาให้เชื่อ มัน่ ได้ว่า อัล – กุรอานที่ท่านนามาประกาศ เป็ นสิ่งที่ยืนยันถึงสัจจะ แห่ง สาส์นของท่าน ดังที่อลั ลอฮฺ ได้ตรัสไว้ในซูเราะฮฺ อัล – อังกะบูตว่า :
ความว่า : และพวกเขากล่าวว่า ไฉน(อัลก ุรฺ อาน)จึงไม่ได้ถ ูกประทานลงมายังเขา(มุฮมั มัด) ซึ่งโองการทัง้ หลาย (ทัง้ หมดทีเดียว) จากพระผูอ้ ภิบาลของเขาเล่า จงกล่าวเถิด แท้จริงโองการ ทัง้ หลายนัน้ มีอยู่ ณ อัลลอฮฺ และฉันเป็นเพียงผูเ้ ตือนสา ทับ ที่ชดั แจ้งเท่านัน้ ยังไม่เพียงพอ สาหรับพวกเขาอีกกระนัน้ หรือ ที่เราได้ประทานลงมายังแก่พวกเขาซึ่งคัมภีรท์ ี่ถ ูกสาธยายแก่ พวกเขา แท้จริง ในนัน้ เป็นความเมตตาและข้อเตือนราลึกสาหรับหมู่ชนที่ศรัทธา ( อัลอันกะบูต : 50 - 51 ) เมื่อ ครัง้ ที่ พวกปฏิเสธได้ขอให้ท่าน เราะ ซูลลุลลอฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม แสดง ปาฏิหาริยเ์ หมือน ดังที่บรรดาหมูช่ นก่อนหน้านีไ้ ด้ ขอต่อนบีของพวกเขา อัลลอฮฺ ก็ได้ทรงสัง่ ให้ท่านตอบแก่ พวกเขาไปว่า : …………………….
ความว่า : จงกล่าวเถิด มหาบริส ุทธิ์ยงั แด่อลั ลอฮฺ ฉัน เป็นใครอื่น นอกจากมนุษย์ผเ้ ู ป็นผู้ สื่อสาสน์ของอัลลอฮฺ กระนัน้ หรือ ? ( อัล – อิสรออ์ : 93 )
11
ท่านผูอ้ ่านลองพิจารณาดูพระดารัสของอัลลอฮฺ ในอีกอายะฮฺ หนึง่ ของซูเราะฮฺ อิสรออ์ที่ว่า :
ความว่า : และพวกเขา(ผูป้ ฏิเสธ)กล่าวว่า เราจะไม่ศรัทธาในท่านจนกว่าท่านจะ สามารถ ทาให้ตาน้าจากแผ่นดินพุ่งขึ้นมาให้เรา หรือจนกว่าท่านจะมีสวนอินทผลัมและองุ่น และมีลาธาร หลายสายไหลออกมาระหว่างสวนนัน้ หรือจนกว่าท่านจะ สามารถทาให้ทอ้ งฟ้าพัง ถล่มลงมาเป็น ชิ้น ๆ ใส่ พวกเรา ดังที่ท่านอ้าง หรือจนกว่าท่านจะทาให้อลั ลอฮฺ และบรรดามลาอิกะฮฺ มาอยูต่ ่อ หน้าพวกเรา ( 17 : 90 – 92 ) โดยนัยนีเ้ อง ที่อลั ลอฮฺ ได้ประกาศอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจนในอัลกุรฺอานว่ามุฮมั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม นัน้ เป็ นมนุษย์ ธรรมดาคนหนึง่ ที่ ทาหน้า เป็ นผูส้ ื่อสาส์น (เราะซูล)ของอัลลอฮฺ โดยที่ ในการ เรียกร้องเชิญชวน ผูค้ นสูค่ าสอนแห่ง สาส์นนัน้ เขาไม่ได้พึ่งพาสิ่งมหัศจรรย์ หรือ ปาฏิหาริย์ ใด ๆ แต่สิ่งที่ เขาทาก็คือ สนธนากับสติปัญญาและจิตใจของมนุษย์ ....
“ดังนัน้ ผูใ้ ดที่อลั ลอฮฺ ประสงค์ จะทรงนาทางเขา พระองค์จะ ทรงเปิดหัว ใจของเขาเพื่อ รับ อิสลาม” ( อัล – อันอาม : 125 )
12
2. แหล่งอ้างอิงชีวประวัติของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮ ุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม แหล่งที่มาที่ใช้อา้ งอิงเกี่ยวกับ ชีวประวัตขิ องท่านนบี ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่สาคัญ ๆ มี 4 แหล่งสาคัญ คือ
2.1 คัมภีรอ์ ลั – ก ุรอานุล – กะรีม อัล - กุรอาน คือ แหล่ง ที่มาหลักของชีวประวัติของท่านนบี ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เช่น ที่อลั – กุรอานได้กล่าวถึงการเจริ ญวัยของท่านว่า :
ความว่า : พระองค์มิได้ทรงพบเจ้าเป็นเด็กกาพร้า แล้วได้ทรงให้ที่พกั พิงดอกหรือ ? และพระองค์มิทรงพบเจ้าหลงทาง แล้วได้ทรงนาทางดอกหรือ ? ( อัฎ – ฎฮา ุ : 6 -7 ) เกี่ยวกับจรรยามารยาทอันประเสริฐและสูงส่งของท่านนัน้ อัล – กุรอาน ได้ระบุว่า :
ความว่า : และแท้จริงเจ้าเป็นผูด้ ารงอยูบ่ นจริยธรรมอันสงู ส่ง ( อัล – ก่อลัม : 4 ) อัล - กุรอานได้บอกถึงความเจ็บปวดและความยากลาบาก ที่บรรดาผูป้ ฏิเสธ ทากับท่าน เราะซูลของอัลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เพื่อให้ท่านและผูค้ นหันห่างจากศาสนาของอัลลอฮฺ เช่น การใส่รา้ ย ว่าท่านเป็ นผูใ้ ช้ไสยศาสตร์ เป็ นกวี เป็ นหมอดู และ เป็ นคนบ้า และอัล – กุรฺอานยัง ได้กล่าวถึง เรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับชีวประวัตขิ องท่านด้วย เช่น เรื่องการฮิจฺญเราะฮ์ ( การอพยพ ) การทาสงคราม ครัง้ สาคัญ ๆ ที่ท่านเป็ นผูน้ าทัพ หลังจากการอพยพ เช่น สงครามบัดร์ สงครามหุนยั น์ สง ครามอุฮดุ สงคราม อัลอะหฺ ซาบ การทาสนธิสญ ั ญาสงบศึกฮุดยั บียะฮฺ การยึดครองนครมักกะฮฺ นอกจากนีย้ งั ได้ กล่าวถึงปาฏิหาริยบ์ างอย่างของท่าน เช่น อิสรออ์ และเมียะอรอจญ์ สรุปก็คือ อัลกุรอานได้กล่าวถึงหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึน้ ใน ชีวิตของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และโดยที่ผเู้ ป็ มุสลิมมีความเชื่อมัน่ ว่า อัล – กุรอานเป็ นคัมภีรท์ ี่เชื่อถือได้มาก ที่สดุ บนหน้าแผ่นดิน ด้วย กระบวนการรายงานและการถ่ายทอด ที่มีมาอย่างต่อเนือ่ งติดต่อกัน การ รายงานเกิดขึน้ โดยคนจานวนมาก ที่เรียกในทางวิชาการรายงานอัลหะดีษว่า อัตตะวาต ุรฺ 9โดยถือว่าไม่มี ใครสามารถตัง้ ข้อสงสัยคลางแคลงในตัวบทและความถูกต้องทางประวัตศิ าสตร์ของ หะดีษ เหล่านัน้ ได้ ดังนัน้ เหตุการณ์ตา่ ง ๆ เกี่ยวกับชีวประวัตขิ องท่านนบี ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมที่มีระบุไว้ใน อัลกุรฺอาน จึงถือได้ว่าเป็ นข้อมูลที่ถกู ต้องที่สดุ อย่างไม่มีขอ้ โต้แย้ง มีขอ้ เท็จจริงประการ หนึง่ ที่ จะต้องถือเป็ นข้อ สังเกตในการศึกษาเกี่ยวกับเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ทางประวัตศิ าสตร์หรือชีวประวัตขิ องท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมที่อลั กุรฺอานได้กล่าวถึง คือ อัล กุรอานจะไม่นาเสนอถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ แต่ จะนาเสนอแต่เพียงส่วนที่เป็ นข้อ สรุปที่สาคัญ ๆ เท่านัน้ เช่น เมื่อ อัล – กุรอานกล่าวถึงสมรภูมิหนึง่ สมรภูมิใด ที่เกิดขึน้ ก็ จะไม่กล่าวถึงสาเหตุ ไม่บอก 9
วจนะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมที่มกี ารรายงานผ่านกลุม่ คนหลาย ๆ คนติดต่อกันมาจนถึงผูบ้ นั ทึกหะดีษ 13
จานวนทหารของฝ่ ายมุสลิมและ ของฝ่ ายข้าศึก ว่ามีเท่าไร ไม่บอกจานวนผูเ้ สียชีวิตและเชลยศึกของ แต่ละ ฝ่ าย จะบอกก็แต่เพียงส่วนที่เป็ นบทเรียนและข้อเตือนสติตา่ ง ๆ ที่บคุ คลพึง ได้รบั จากสิ่งที่เกิดขึน้ ในสมรภูมิ นัน้ ๆ ซึ่ง อาจจะกล่าวได้ว่า นี่ คือลักษณะ อันเป็นธรรมชาติ ของ อัล ก ุรอานใน การนาเสนอ ท ุก ๆ เรื่องราว เกี่ยวกับ บรรดานบีและหมูช่ น ในอดีต ดังนัน้ ลาพังหลักฐาน ในอัลกุรฺอาน เกี่ยวกับชีวประวัตขิ อง ท่านนบี ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงยังไม่เพียงพอ ที่จะให้ฉายเห็นภาพที่ ชดั เจนและ สมบูรณ์เกี่ยวกับ ชีวิตของท่าน แต่จะต้องมีหลักฐานจากแหล่งอื่น ๆ ที่จะกล่าวต่อไปมาประกอบด้วย
2.2 ซ ุนนะฮฺ ที่ถกู ต้องและเชื่อถือได้ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮ ุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ซุนนะฮฺ ที่ได้รบั การคัดกรองและตรวจสอบจากนักวิชาการหะดีษว่า ถูกต้องและเชื่อถือได้ของ ท่านนบี ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ดัง ที่มี ปรากฏ อยู่ในหนังสือ บันทึก หะดีษที่ได้ ถูก รวบรวม ไว้โ ดย นักวิชาการผูร้ ายงานหะดีษที่เป็ นที่ยอมรับในความถูกต้องและความ น่าเชื่อถื อในโลกมุสลิม นัน้ ถือเป็ นแหล่ง อ้างอิงที่สองรองจาก อัลกุรฺอาน ประกอบด้วย : อัล – ก ุต ุบ ุ อัส – สิตตะฮฺ ซึ่งหมายถึง หนังสือที่รวบรวมหะดีษหกเล่ม ของนักวิชาการผู้ รวบรวมและรายงานหะดีษหกคน ประกอบด้วย ( 1 ) อัล – บ ุคอรีย ์ ( 2 ) มุสลิม ( 3 ) อบู ดาวูด ( 4 ) อัน – นะซาอีย ์ ( 5 ) อัต – ติรมิซีย ์ และ ( 6 ) อิบน ุ มาญะฮ ผนวกเข้ากับ ( 7 ) มุวฏั เฏ๊าะของอิมาม มาลิก ( 8 ) มุสนัดของอิมามอะหฺ หมัด ซึ่งหนังสือหะดีษเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัล – บุคอรีย์ และ มุสลิมนัน้ ถือว่า เป็ นหนังสือที่ถกู ต้องและเชื่อถือได้มากที่สดุ ส่วนหนังสือเล่มอื่นๆ อาจจะ ยังมีหะดีษทัง้ ที่ อยู่ในระดับ เศาะฮี้หฺฺ หะซัน และเฎาะอีฟปะปนกันอยู่บา้ งได้10 หนังสือ บันทึกหะดีษเหล่านี้ ได้รวบรวมเอารายละเอียดส่วนใหญ่ของชีวิตท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ไว้ ทัง้ ที่เป็ นเหตุการณ์สาคัญ ต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิต ครอบครัว สงคราม และการปฏิบตั ติ นของท่าน เป็ นต้น ชีวประวัตขิ องท่านเราะซูลลุ ลอฮุ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ ถูกถ่ายทอดโดยเหล่าสาวก ซึ่งเป็ นบรรดาผูท้ ี่มีชีวิตร่วมสมัยและได้ตดิ ตามท่านอย่างใกล้ชิด ในทุก ๆ ที่และ ทุก ๆ สถานการณ์ พวกเขาเป็ นบรรดาผูท้ ี่อลั ลอฮฺ ได้ทรงเลือกให้มีสว่ นร่วมกับท่านในการทาให้อิสลามของ พระองค์ได้รบั ชัยชนะเหนือปฏิปักษ์ พวกเขาคือบรรดาผูท้ ี่ท่านได้ให้การอบรมสัง่ สอนด้วยตัวเอง เป็ นกลุม่ ชนเดียวในประวัตศิ าสตร์ อิสลาม ที่มีความสมบูรณ์เพียบพร้อม ในบุคคลิกภาพมากที่สดุ ยืนหยัด อย่าง มัน่ คง มีจรรยามารยาทที่งดงาม มีพลังความศรัทธาที่เข้มแข็ง มีสจั จะวาจา มีจิตวิญ ญาณที่สงู ส่ง และมี สติปัญญาเฉียบแหลม ทุก ๆ เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับ ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงได้ถกู บรรจงถ่ายทอดมาถึงเราผ่านทางสายสืบที่เชื่อถือได้มาเป็ นช่วง ๆ และต่อเนือ่ งกัน มาโดยไม่ขาดช่วง ฉะนัน้ จึงถือว่า เป็ นหน้าที่ที่เราจะต้องยอมรับว่าเป็ นความจริงทางประวัตศิ าสตร์โดยไม่มีขอ้ กังขาใด ๆ พวกนักบูรพคดีชาวตะวันตก ( Orientalist )ผูม้ ีจดุ ประสงค์ แอบแฝงที่ชวั ่ ร้าย โดยที่มีพวก มุสลิม ที่หลงเป็ นสมัคร พรรคพวก ได้ พยายามขายศาสนาของตัวเอง เนือ่ งจาก ได้ถกู ชาวตะวันตกและ นักวิชาการตะวันตกหลอกให้เกิดความสงสัยในความถูกต้องของหนังสือซุนนะฮฺ ที่เป็ นที่ยอมรับในโลก มุสลิม และเกิดความสงสัยในเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ที่เกิดขึน้ ในชีวิต ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม แต่อลั ลอฮฺ ก็ได้ทรงทาให้ความมดเท็จและแผนการร้ายของพวกเขา ให้พ่งุ เป้ากลับไปยังลูกกระเดือกของวก เขาเอง ซึ่งผูเ้ ขียนได้กล่าวถึง เรื่องนีไ้ ว้แล้ว ในหนังสือ " " السٌح وهكاًتها فً الشزٌعحความเพียร 10
การตรวจสอบฐานะของหะดีษเพื่อแยกแยะให้รวู้ ่า ปั จจุบนั มีนกั วิชาการหะดีษที่ได้ทาหน้าที่ดา้ นนีห้ ลาย ๆ ท่าน ทาให้สามารถทราบฐานะของ ดีษที่แพร่หลายและถูกบันทึกอยู่ตามหนังสือเล่มต่าง ๆ โดยไม่ยากนัก-ผูแ้ ปล
14
พยายามของบรรดาอุละมาอ์ในการกลัน่ กรองซุนนะฮฺ ของท่านนบี และขจัดความเข้าใจผิดที่พวกนักบูรพ คดีและสมัครพรรคพวกได้สร้างขึน้ ผูเ้ ขียนได้นาประเด็นต่างๆ เหล่านัน้ มาวิเคราะห์ ในเชิงของวิชาการจริง ๆ ซึ่งผูเ้ ขียนหวังในรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮฺ ในงาน ชิ้นนัน้ และหวังว่าพระองค์จะได้ทรงบันทึกมันไ ว้บน แผ่นบันทึกความดีของผูเ้ ขียนในวันแห่งการนาเสนอการงานต่อพระองค์
2.3
บทกวีนิพนธ์ภาษาอาหรับร่วมสมัยกับ ท่านเราะ ซ ูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ
ซัลลัม
พวกมุชริกีน 11พยายาม โจมตีท่าน เราะ ซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม กับ สิ่งที่ท่าน เรียกร้องเชิญชวน โดยใช้กวีนพิ นธ์ของพวกเขา จนทาให้มสุ ลิมจาเป็ นที่จะต้องตอบโต้พวกเขาด้วยบทกวี นิพนธ์เช่นกัน ดังตัวอย่างที่เห็นได้จาก บทกวินพิ นธ์ของ ฮัสซาน บิน ษาบิต , อับด ุลลอฮฺ บิน เราะ วาหะฮ และเศาะฮาบะฮฺ คนอื่น ๆ ที่มีอยู่ในหนังสือวรรณกรรม อาหรับ หนังสือชีวประวัตทิ ี่ถกู แต่งขึน้ ใน ภายหลังก็มีบทกวีมากมายที่สามารถนามาเป็ นข้อมูล เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะ ซัลลัม มีชีวิตอยู่และ สภาพด้านต่าง ๆ ทางความเชื่อ เศษฐกิจ การปกครอง และศีลธรรม จริยธรรมที่การเรียกร้องเชิญชวนของอิสลามได้ขยายตัวออกไปในระยะเริ่มแรก
2.4 หนังสือบันทึกชีวประวัติ บรรดาเศาะฮาบะฮฺ ได้รายงานเหตุการณ์ตา่ ง ๆ เกี่ยวกับชีวประวัตขิ องท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม มาสูค่ นรุ่น หลัง โดยที่ บางคนจากหมูพ่ วกเขา มีความสามารถพิเศษในการติดตาม และ เก็บรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวประวัตขิ องท่านแล้วถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านัน้ สูบ่ รรดาตาบีอีน แล้วก็ได้ มีการบันทึกรวบรวมและเก็บรักษาไว้ บางคนมีความเชี่ยวชาญพิเศษ สามารถทาหน้าที่เฉพาะในเรื่องนีอ้ ย่าง ดียิ่ง เช่น อะบาน บิน อ ุษมาน อิบนุ อัฟฟาน เราะฎิยลั ลอฮุ อันฮุมา ( ฮ.ศ. 32 – 105 ) อ ุรฺ วะฮฺ บิน อัซ – ซ ุบัยร์ บิน อัล – อะวาม ( ฮ.ศ. 23 – 93 ) ทัง้ สองคนนีจ้ ดั อยู่ในกลุม่ ตาบิอีนรุ่นอาวุโส ส่วนจากหมูต่ าบีอีน รุ่นเยาว์ก็มี อับด ุลลอฮฺ บิน อบีบกั ร์ อัล – อันศอรีย ์ ( เสียชีวิต ฮ.ศ. 135 ) มุฮมั มัด บิน มุสลิม บิน ชิฮาบ อัซ – ซ ุฮฺ รยี ์ หรือ อิบน ุ ชิฮาบ ( ฮ.ศ.50 – 124) ซึ่งเป็ นผูท้ ี่รวบรวมซุนนะฮฺ ในสมัยของอุมรั บิน อับดุลอะซีซ ตามคาสัง่ ของท่าน และ อาศิม บิน อ ุมัร บิน เกาะ ตาดะฮฺ อัล – อันศอรีย ์ ( เสียชีวิต ฮ.ศ. 129 ) ความสนใจในชีวประวัติ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้มีสืบต่อกัน มาสูช่ นยุคหลั ง ได้ มีการเขียนตาราขึน้ หนึง่ ในบรรดาผูเ้ ขียนตาราทางชีวประวัติ ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม รุ่นแรก ๆ ที่มีชื่อเสียงที่สดุ คนหนึง่ คือ มุฮมั มัด บิน อิสฮาก บิน ยะซาร ( เสียชีวิตเมื่อปี ฮ .ศ. 152 ) เป็ นที่รจู้ กั ดีกนั ในนาม อิบน ุ อิสฮาก เขาเป็ นผูท้ ี่ นกั วิชาการและนักหะดีษส่วนใหญ่ ต่างให้ความเชื่อถือ นอกจากสายรายงานที่มาจากมาลิก และ ฮิชาม บิน อุรฺวะฮฺ บิน อัซ – ซุบยั ร์
11
พวกที่เอาสิง่ อื่นจากอัลลอฮฺ ขนึ้ มาเป็ นพระเจ้า ที่พวกเขากราบไหว้บชู า 15
อิบนุ อิสฮาก ได้เขียนหนังสือเล่มชื่อ “อัล – มะฆอซีย ”์ ด้วยการรวบรามข้อมูลมาจากหะ ดีษและรายงานต่าง ๆ ที่เขาได้ รับฟัง มาด้วยตนเองจากเมืองมดีนะฮฺ และอิยิปต์ แต่ก็เป็ นที่นา่ เสีย ดายว่า หนังสือเล่มนีไ้ ด้สญ ู หายไปเสียก่อนที่จะมาถึงเรา และยังมี ตาราทางวิชาการอีก หลาย ๆ เล่ม ที่สญ ู หายไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าต้นฉบับของหนังสือเล่มนีจ้ ะสูญหายไป แต่เนือ้ หาสาระของหนังสือเล่มนัน้ ก็ยงั ถูกเก็บ รักษาไว้ โดยมี ท่านอิบน ุ ฮิชาม เป็ นผูร้ บั รายงานจากเขาเกี่ยวกับชีวประวัตขิ องท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะ ซัลลัม ผ่านการถ่ายทอดจากครูของเขาคือ อัล – บ ุกาอีย ์ ศิษย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึง่ ของอิบนุอิส ฮาก (ขออัลลอฮฺ ทรงเมตตาแก่พวกเขาด้วยเทอญ)
2.5
หนังสือชีวประวัติที่รวบรามโดยอิบนุฮิชาม ( ) سيرة ابه هشام
ชื่อเต็มของ อิบนุ ฮิชาม คือ อบู มุฮมั มัด อับด ุล – มาลิก บิน อัยยูบ อัล – ห ุมัยรีย ์ เกิดและเจริญเติบโตที่เมือง บัศเราะฮฺ (บัศรา – อยู่ในประเทศอิรกั ปั จจุบนั ) และเสียชีวิต เมื่อประมาณปี ฮ.ศ. 213 หรือ 218 ตามสายรายงานที่แตกต่างกันออกไป อิบน ุ ฮิชามได้เขียนหนังสือ “อัซ – ซีเราะต ุน – นะบะวียะฮฺ ” ( ชีวประวัตขิ องนบี – ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ) ตามรายงานที่รบั มาจากครูของเขาคือ อัล – บ ุการีย ์ ที่รายงานมาจาก อิบน ุ อิสฮาก ที่ได้รายงานต่อมาจากคณาจารย์ของเขาอีกทอดหนึง่ แต่อิบนุ อิสฮากก็ไม่ได้ระบุชื่อ คณาจารย์ของเขาไว้ในหนังสือซีเราะฮฺ ที่เขาเขียนขึน้ อิบนุฮิชามได้ตดั ทอนบางส่วนที่อิบนุอิสฮากได้รายงาน ไว้ออกไปบ้าง กล่าวคือในส่วนที่ไม่สอดคล้องกับ สายรายงานที่ถกู ต้อง หนังสือจึงออกมาในรูปที่ สามารถ อ้างอิงที่มาของชีวประวัตอิ ย่างครบถ้วนถูกต้องและละเอียดที่สดุ เล่มหนึง่ ได้รบั การตอบรับจากผูค้ น จานวน มาก จนทาให้ผคู้ นเรียก หนังสือเล่มนี้ ว่าเป็ นซีเราะฮฺ ของเขา : ซีเราะต ุ อิบนิ ฮิชาม /سٍزج اتي هشام ต่อมาได้มี นกั วิชาการมุสลิมชาวสเปนสองคนคือ อัซ – ซัยลีย ์ ( ฮ.ศ. 508 – 581 ) กับ อัล – เคาะชะนีย ์ ( ฮ.ศ. 535 – 604 )เขียนหนังสืออธิบายหนังสือเล่มนีข้ นึ้
2.6 เฏาะบะกอต อิบนุ ซะอฺ ดิ ) ( طبقاث ابه سعد ชื่อเต็มของ อิบนุ ชะอฺ ด ์ คือ มุฮมั มัด บิน ซะอฺ ดิ บิน มะ เนี ยะอฺ อัซ – ซ ุฮรีย ์ เกิดที่เมือง บัศเราะฮฺ เมื่อปี ฮ.ศ. 168 เสียชีวิตที่กรุงแบกแดดเมื่อปี ฮ .ศ. 230 เขาเป็ นเลขาของ มุฮมั มัด บิน อ ุมัร อัล – วากิดีย ์ นักประวัตศิ าสตร์ผมู้ ีชื่อเสียงด้านสงครามและชีวประวัติ ( ฮ.ศ. 130 – 207 ) ในหนังสือของเขาชื่อ “อัฏ – เฏาะบะกอต” นัน้ อิบนุ ซะอฺ ดิ ได้กล่าวถึงชื่อของบรรดา เศาะฮาบะฮฺ และตาบิอีน ไว้หลังจากที่ได้กล่าวถึงชีวประวัตขิ องท่าน เราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ตามระดับฐานะ ตระกูล หรือเผ่าพันธุ์ และสถานที่อยู่ หนังสือ “อัฏ-ฏ่อ บะกอต” ถือเป็น อ้างอิงแรกและบันทึกที่ดีที่ส ุดของชีวประวัติ ที่ได้ระบ ุชื่อของบรรดาเศาะฮาบะฮฺ และตาบิอีนไว้
16
2.7 ตารีค อัฏ-เฏาะบะรีย ์ ( ) تاريخ الطبري อัฏ-เฏาะบะรีย ์ มี ชื่อเต็ม ว่า อบู ญะฟัรฺ มุฮมั มัด บิน ญะรีร อัฏ – เฏาะ บะรีย ์ ( ฮ.ศ. 224 – 310 ) เขามีตาแหน่ง เป็ นอิมาม , นักนิตศิ าสตร์อิสลาม( ฟะกีฮฺ ) , นักการหะดีษ(มุหษั ดีษ )และ เจ้าของสานักคิดทางฟิ กฮ์แต่ ก็ไม่แพร่หลายมากนัก เขาได้แต่งตาราประวัตศิ าสตร์ที่มีความยาว มากเล่ม หนึง่ ทัง้ ชีวประวัตขิ องท่าน เราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ประวัตศิ าสตร์ของ กลุม่ ชนหลาย กลุม่ ชนก่อนหน้านัน้ โดยได้ แยกชีวประวัตขิ องท่านนบี ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ไว้ ตา่ งหาก ตาม ด้วยประวัตศิ าสตร์ของเมืองต่าง ๆ ของมุสลิมที่ปรากฏอยู่ขณะนัน้ จนถึงก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต กล่าว ได้ว่า หนังสือตารีค อัฏ – เฏาะ บะรียเ์ ป็ นหลักฐานที่เชื่อถือได้ อีกเล่มหนึง่ แต่ก็มี รายงานจานวนไม่นอ้ ยที่มีสถานภาพด้อยการเชื่อถือ ( เฏาะอี๊ฟ ) บ้างก็เป็ นเท็จ ( บาฏิล ) เนือ่ งจากใน การรายงานนัน้ เขายึดหลักเพียงแค่ว่า การอ้างสายรายงานกลับไปยังบรรดาผูร้ ายงานที่ชื่อเสียง ในสัมย นัน้ ๆ ก็เพียงพอแล้ว โดยไม่จาเป็ นต้องลงลึกไปถึงการตรวจสอบประวัตขิ องผูร้ ายงานและตัว รายงานนัน้ อีก เช่นรายงาน จานวนมาก ที่เขาได้รบั จาก อะบี มุคนิฟ ซึ่งเป็ น ชีอีย ์ มุตะอั ศศิ ฟ (หัว อนรุ กั ษ์ความเชื่อชีอะฮฺ ) ประหนึง่ ว่า เขาเองในฐานะผูร้ บั รายงานจากบุคคลผูน้ ี้ ไม่มีสว่ น รับผิดชอบใน สถานภาพของบุคคลที่เป็ นต้นสายรายงานและในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงของรายงานนัน้ ประหนึง่ ว่า ผูร้ บั ผิดชอบในรายงานนัน้ ก็คืออะบี มุคนิฟ ส่วนเขาเป็ นเพียงผูร้ ายงานต่อเท่านัน้ !
3. พัฒนาการของการเขียนตาราเกีย่ วชีวประวัติของท่ านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ในสมัย ต่อ ๆ มาการแต่งตาราชีวประวัตไิ ด้มีการพัฒนา ขึน้ มีการเขียนที่มีลกั ษณะเฉพาะทาง มาก ขึน้ เช่น หนังสือ “ดะลาอิล ุน – นุบวู ะฮฺ ” ของอัล – อัศบะฮฺ านีย ์ หนังสือ “อัช – ชะมาอิล ุล – มุฮมั มะดียะฮฺ ” ของอัต – ติรฺมีซีย ์ หนังสือ “ซาด ุล – มะอาด” ของอับน ุ ก็อยยิม อัล – เญาซียะฮฺ หนังสือ “อัช – ชิฟาอ์” ของอัล – กอฎีย ์ อิยาฎ หนังฺสือ “มะวาฮิบ ุล-ละด ุนนียะฮฺ ” ของอัล-กิสเฏาะ ลานีย ์ ซึ่งต่อมา อัล-ซัรฺ กอนีย ์ ( เสียชีวิต ฮ.ศ. 1122 )ได้เขียนหนังสืออธิบายหนังสือเล่มนีไ้ ว้มีความยาว ถึง 8 เล่มด้วยกัน ทัง้ หมดที่ได้กล่าวมานีค้ ือ ความพยายามของอุละมาอ์ (บรรดานักวิชาการอิสลาม) ในการเขียน ตารับตาราเกี่ยวกับชีวประวัตขิ องท่าน เราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และ คาดว่า จะยังคงมี ความพยายามเช่นนีอ้ ยู่ตลอดไป โดยที่การเขียนในแต่ยคุ แต่ละสมัยนัน้ จะลักษณะที่แตกต่างกันออก ไปตาม แนวที่ยคุ สมัยนัน้ ๆ นิยม แพร่หลาย เช่น หนังสือชีวประวัตขิ องท่าน เราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่มีชื่อเสียงเล่มหนึง่ ในสมัยของเราได้แก่ หนังสือ “นูร ุล - ยะกีน ฟี ซีเราะติซยั ยิดิล – มุรซะ ลีน” ของอัช-ชัยค์ มุฮมั มัด อัล – ค ุเฎาะรีย ์ ( ขออัลลอฮฺ ทรงเมตตา แก่เขา ) ซึ่งเป็ นหนังสือที่ได้รบั การ ตอบรับอย่างแพร่หลาย และได้ถกู นาไปใช้เป็ นแบบเรียนในสถานศึกษาหลาย ๆ แห่งทัว่ โลกมุสลิม
17
หมวดที่ 1 ชีวิตของมุฮมั มัด ศ็อลลัลลอฮ ุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ก่อนการเป็นนบี) ( الىبوة 1.1 เหต ุการณ์สาคัญทางประวัติศาสตร์ ข้อมูลทางประวัตศิ าสตร์ที่เชื่อถือได้ ยืนยันให้เราทราบถึงสิ่งต่อไปนี้ 1.1.1 มุฮมั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เกิดในครอบครัวที่มีเกียรตที่สดุ ของชาวอาหรับจาก ก๊กก ุร็อยช์) ( قريشที่ถือว่ากลุม่ ที่ได้รบั เกียรติมากที่สดุ ใน บนู(ตระก ูล)ฮาชิม)(تٌىهاشن ที่ถือเป็ น ตระกูลที่ดีที่สดุ และ มีฐานะสูงสุด มีหะดีษรายงานจาก อิบนุ อับบ๊าสว่า ท่าน เราะซูลลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ กล่าวว่า “ แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงสร้างมนุษย์ ดังนัน้ พระองค์ได้ทรงทาให้ฉนั เป็นคนดีที่ส ุดจากกลมุ่ ชนที่ดีที่ส ุด ดีที่ส ุดของสองกลมุ่ ชน แล้วได้ ทรงคัดเลือกชนเผ่าต่าง ๆ แล้ว พระองค์ได้ทรงให้ ฉันอยู่ในชนเผ่าที่ดีส ุด แล้วได้ทรงเลือกครอบครัว พระองค์ ก็ได้ให้ฉนั อยูใ่ นครอบครัวที่ดีที่ส ุด ดังนัน้ ฉันจึงเป็นคนที่มีจิตใจดีที่ส ุด และมีครอบครัวที่ดีที่ส ุด ” (รายงานโดยอัต – ติรมิซีย์ ด้วยสาย รายงานที่ถกู ต้องและเชื่อถือได้-เศาะฮี้หฺ ) ด้วยตระกูลที่มีเกียรติของเผ่ากุร็อยช์นเี้ อง ทาให้เราไม่พบข้อตาหนิใด ๆ ใน ตัวท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ตระกูลของท่านเป็ นที่รจู้ กั กันดีในหมู่ ชนชาวอาหรับ แม้ว่าท่านจะถูกใส่ คล้ายด้วยเรื่องต่าง ๆ ที่ถกู กุขนึ้ ครัง้ แล้วครัง้ เล่า แต่เราจะไม่พบว่าท่านถูกตาหนิในเรื่อง ที่เกี่ยวกับ วงศ์ตระกูลนีเ้ ลยแม้แต่นอ้ ย 1.1.2 มุฮมั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เจริญเติบโตขึน้ มาในฐานะของเด็กกาพร้า อับด ุลเลาะฮ ผูเ้ ป็นบิดาของท่านเสียชีวิตไปตัง้ แต่ ที่อามินะฮฺ ผูเ้ ป็นมารดาของท่านเพิ่งตัง้ ครรภ์ ได้เพียง สองเดือนเท่านัน้ เมื่อท่านอายุได้ 6 ขวบอามีนะฮฺ ผเู้ ป็ นมารดาของท่านก็เสียชีวิตจากไปอีกคน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงต้องลิ้มรสอันขมขืน่ ของการขาดบิดามารดา ตัง้ แต่ตน้ ไม่ได้สมั ผัสกับ ความรักความอบอุ่นจากท่านทัง้ สองมาตัง้ แต่เยาว์ ภายหลังจากที่มารดาท่านเสียชีวิตไป อับด ุล – มุฏ เฏาะลิบ ผูเ้ ป็นปู่ของท่านก็ได้ให้การอุปการะท่าน ต่อมาปู่ ของท่านก็เสียชีวิตไป อีกเมื่อท่านอายุได้ 8 ขวบ หลังจากนัน้ อบูฏอลิบ ผูเ้ ป็นล ุงของท่านก็ได้ให้การอุปการะท่านจนเติบโตเป็ นผูใ้ หญ่ เกี่ยวกับการเป็ นเด็กกาพร้าของท่านนัน้ อัลลอฮฺ ได้ตรัสไว้ในอัล – กุรอานว่า :
ความว่า : พระองค์มิได้ทรงพบเจ้าเป็นเด็กกาพร้า แล้วพระองค์ทรงให้ที่พกั พิงดอกหรือ ? ( อัฎ – ฎฮา ุ : 6) 1.1.3 ท่านเราะซ ูล ุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮ ุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ใช้เวลาในช่วงสี่ขวบแรก ของ วัยเด็กอยู่ท่ามกลางทะเลทรายกับ ก๊กบนีซะอฺ ด ์ ทาให้ท่านเจริญเติบโต ขึน้ พร้อม ๆ กับการ มีร่างกายที่ เข้มแข็ง มีสขุ ภาพพลานามัยดี พูดจาฉะฉาน จิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เชี่ยวชาญในการขีม่ า้ ตัง้ แต่เยาว์ มี
18
พรสวรรค์หลาย ๆ อย่างปรากฏออกมาให้เห็นท่ามกลางความบริสทุ ธิ์ ความเงียบ สงบ ความสว่างไสว ของดวงอาทิตย์ และความบริสทุ ธิ์ของอากาศและบรรยากาศแห่งทุ่งทะเลทราย 1.1.4 บ ุคลิกภาพที่ดีของท่านเป็นที่รจ้ ู กั ตัง้ แต่เยาว์วยั ความเหนียมอาย และความเฉลียว ฉลาดในตัวท่านทาให้ทกุ ๆ คนที่พบเห็นท่านรักท่าน ตอนที่ปู่ของท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังเป็ นเด็ก เวลา ที่ ท่านมาหาปู่ ของท่านนัน้ ท่านจะนัง่ กับปู่ บนเตียง เมื่อท่านนัง่ ลงบนเตียงนัน้ แล้วก็จะไม่มีใครจากลูก ๆ ของ ลุงของท่านกล้าขึน้ มานัง่ ร่วมกับท่านอีก มีบางครัง้ ที่ลงุ ของท่านพยายามจะให้ท่านลงจากเตียงของปู่ แต่ อับดุล – มุฏเฏาะลิบจะคอยห้ามไว้แล้วบอกว่า “ปล่อยล ูกของฉัน เถอะ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ว่า เขา จะเป็นบ ุคคลสาคัญในอนาคตอย่างแน่นอน” 1.1.5 ในช่วงวัยหนุ่มตอนต้น ท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنรับจ้างเลี้ยงแกะให้กบั ชาว มักกะฮฺ ท่านรับกะรัตเป็ นค่าจ้าง มีหะดีษรายงานหนึง่ จากท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنว่า ท่าน กล่าวว่า : “ไม่มีนบีคนใดที่ไม่ได้เลี้ยงแกะ ” พวกสาวกถามว่า แม้แต่ท่าน ด้วยกระนัน้ หรือท่านร่อซ ู ล ุลลอฮฺ ? ท่านตอบว่า ใช่ ตัวฉันเองก็เหมือนกัน” ในอีกสายรายงานหนึง่ บอกว่า ท่านได้กล่าวว่า : “อัลลอฮฺ ไม่ได้สง่ นบีคนใดมาเว้นเสียแต่ว่า เขาเป็นคนเลี้ยงแกะ” บรรดาสาวกถามท่านว่า แม้แต่ท่าน เองหรือ โอ้ท่านร่อซ ูล ุลลอฮฺ ? ท่าน ตอบว่า “ฉันรับจ้างเลี้ยงแกะให้ชาวเมืองมักกะฮฺ ได้ค่าตอบแทนเป็นกะรัต” ต่อมาเมื่อท่านอายุได้ยี่สิบห้าปี ท่านได้รบั จ้างทาการค้าขายให้กบั นางค่อดีญะฮ บินต ุ ค ุวัยลิด 1.1.6 ท่านเราะซ ูล ุลลอฮฺ صلى هللا عليه وسلنไม่เคยร่วมสนกุ สนานกับเพื่อนวัย เดียวกันในเรือ่ งบันเทิงและการละเล่นที่ไร้สาระ ประหนึง่ อัลลอฮฺ ได้ทรงปกป้องท่านจากสิ่ง ไร้สาระ ใน หนังสือชีวประวัตหิ ลายเล่มระบุตรงกันว่า ตอนที่ท่านอยู่ในวัยหนุม่ นัน้ ครัง้ หนึง่ ท่านได้ยิน เสียงดนตรีจาก งานแต่งงาน ของบ้านหลัง หนึง่ ในนครมักกะฮฺ ท่านต้องการที่จะไปดู แต่ แล้ว อัลลอฮฺ ก็ ทรงทาให้ท่านง่วง นอนและหลับไป เสียก่อน ไม่มีใครปลุกท่านนอกจากความร้อนของแสงแดด ท่านไม่เคยเข้าร่วมกับหมูช่ น ของท่านในพิธีเคารพบูชา เจว็ด ท่านไม่เคยกินเนือ้ สัตว์ที่ถกู เชือดพลีเพื่อ เจว็ด เหล่านัน้ ท่านไม่เคยดื่ม สุรา ท่านไม่เคยเล่นการพนัน ไม่เคยมีใครได้ทราบหรือได้ยินว่าท่านเคยพูดคาหยาบคายหรือคาพูดที่นา่ รังเกียจ 1.1.7 ตัง้ แต่เริม่ บรรล ุศาสนภาวะแล้ว ท่านเป็นที่รจ้ ู กั ในฐานะของเด็กหนุ่ มที่มีความคิดดี และเที่ยงตรง ซึ่ง เหตุการณ์เกี่ยวกับการยกหินดาไปวางไว้ ณ ตาแหน่งเดิมในจตุรสั กะอฺ บะฮฺ นับว่าเป็ น หลักฐานที่ชดั เจนในเรื่องนี้ ความเป็ นมาของเรื่องนีม้ ีอยู่ว่า ได้เกิดเหตุการณ์นา้ ท่วมกะอฺ บะฮฺ ขึน้ จนทาให้ผนังของกะอบะฮฺ ชารุด เสียหาย ชาวมักกะฮฺ จึงลงความเห็นร่วมกันว่า ให้รื้อกะบะฮฺ และสร้างขึน้ ใหม่ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็เกิด ปั ญหาสาคัญตามมาใครจะเป็ นผูท้ ี่สมควรได้รบั เกียรติให้นาหินดากลับไปวางไว้ตรง ตาแหน่ง เดิม เพราะถือ ว่านัน่ เป็ นงานที่มีเกียรติที่สดุ พวกเขาขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ตกลงกันไม่ได้ ว่า จะให้ใครเป็ นผูร้ บั เกียรติ นี้ แต่ละเผ่าก็ตอ้ งการให้เผ่าของตัวเองได้รบั เกียรตินี้ ความขัดแย้งได้บานปลายจน ถึงขัน้ มีทา้ รบกัน แต่ใน ที่สดุ พวกเขา ลง ความเห็น ร่วมกัน ได้ ว่า จะให้คน ๆ แรกที่เดินเข้ามา สูบ่ ริเวณ กะอบะฮฺ ทาง ประต ูบะนียช์ ยั บะ ฮฺ เป็ นผูต้ ดั สินชี้ขาดปั ญหาที่เกิดขึน้ ในระหว่างพวกเขา และแล้วค นแรกที่ เดิน เข้ามาทาง ประตูบะนียช์ ยั บะฮฺ คือ ท่าน เราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنพอพวกเขาเห็นท่าน พวกเขาก็กล่าว เป็ นเสียงเดียวกันว่า เด็กหนุ่มคนนี้ไว้วางใจได้ พวกเรายินดีให้เขาเป็นผูต้ ดั สิน เมื่อท่านได้รบั การ บอกกล่าว เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึน้ แล้ว ได้รบั มอบให้ เป็ นผูต้ ดั สิน ปั ญหา ท่านได้แก้ไขปั ญหาด้วยวิธีที่เป็ นที่ 19
พอใจและยอมรับ ของทุก ๆฝ่ ายที่ขดั แย้งกัน โดยท่านได้ปูผา้ คลุมกายของท่านลง แล้วยกเอาหินดามาไว้ ตรงกลางผ้า แล้วบอกให้ทกุ ๆ เผ่าให้มาร่วมกัน ถือริมชายผ้ายกไปวางใกล้ ๆ บริเวณที่เป็ นตาแหน่งเดิม ของหินดา แล้ว ท่านก็จบั ก้อนหินดา ขึน้ ไปวางไว้ตรงตาแหน่งเดิม ทุก ๆ คน ต่างก็พอใจตามนัน้ ด้วย สติปัญญาอัน เฉลียวฉลาดของท่านนีเ่ อง ที่อลั ลอฮฺ ทรงปกป้องชาวอาหรับมิให้รบราฆ่าฟันกัน ซึ่งถ้าหาก เกิดเหตุการณ์ เช่น นัน้ ขึน้ ก็ไม่มีใครรู้ ได้ว่ามันจะยาวนาน และเลวร้าย สักเท่า ขนาดไหน นอกจากอัลลอฮฺ เท่านัน้ ที่ทรงรูด้ ี 1.1.8 ท่านเราะซ ูล ุลลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنเป็นที่รจ้ ู กั กันดีในหมู่ชนของท่านตัง้ แต่วยั หนุ่มของท่านว่า ท่านเป็นผูท้ ี่ซื่อสัตย์ ไว้วางใจได้ มีมนุษย์สมั พันธ์ที่ดี ปฏิบตั ิตามสัญญา มี ความประพฤติ ส ุภาพเรียบร้อย ได้รบั การกล่าวขานในทางที่ดี จนเป็ นเหตุให้ เคาะดีญะฮเสนอ ว่า จ้างให้ ท่านเป็ นผูน้ ากองคาราวานสินค้าของนางไป ค้าขายยังเมืองบัศรอทุก ๆ ปี โดยที่นางจะจ่ายค่าจ้างแก่ท่าน เป็ นสองเท่าของค่าจ้างที่นางให้แก่คนที่นางว่าจ้างจากหมูช่ นของนางเอง เมื่อท่านเดินทางกลับมาถึงมักกะฮฺ มัยสะเราะฮฺ ซึ่งเป็ นเด็กรับใช้ของนางที่ร่วมเดินทางไปกับท่านได้เล่าให้นางฟังเกี่ยวกับความซื่อสัตย์และ ความจริงใจของท่าน กอปรกับผลกาไรมากมายที่นางได้รบั จากการเดินทางไปทาการค้าของท่าน ในครัง้ นัน้ นางจึงได้ทบค่าตอบแทนให้กบั ท่านจากที่เพิ่มให้อยู่แล้ว ขึน้ อีกเท่าตัว ทัง้ ยังเป็ นเหตุให้นางเกิดความสนใจที่ จะแต่งงานกับท่าน ซึ่งในที่สดุ ท่านก็รบั แต่งงานกับนาง แม้ว่าในขณะนัน้ ท่านมีอายุอ่อนกว่านางถึงสิบห้าปี สิ่งหนึง่ ที่ถือว่าเป็ นหลักฐานดีที่สดุ ที่ยืนยันถึงจรรยามารยาท อันดีงามของท่านก่อนการเป็ นนบีก็ คือ คาพูดของค่อดีญะฮ ที่นางได้พดู กับท่านหลังจากที่ท่าน เดินทางกลับจากการ รับวะหฺ ย ู ณ ถา้ หิรออ์ มาถึงบ้านในสภาพที่เต็มไปด้วยความหวัน่ วิตกจนตัวสัน่ สะท้าน ซึ่งนางได้กล่าวปลอบใจท่านว่า “ไม่หรอก ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ว่า อัลลอฮฺ จะไม่ทรงทาให้ท่านอัปยศอดสูอย่างแน่นอน เพราะท่านเป็นคนที่ เชื่อมสายใยสัมพันธ์กบั เครือญาติ ช่วยเหลือผูอ้ ่อนแอ ให้เกียรติกบั แขกที่มาเยือน และช่วยเหลือ ผูถ้ ูกอธรรมให้ได้รบั สิทธิที่ถ ูกริรอนไปกลับคืน” 1.1.9 ท่านเดินทางไปออกจากเมืองมักกะฮฺ ไปต่างแดนสองครัง้ ครัง้ แรกไปกับอบูฏอลิบ ผูเ้ ป็ นลุงของท่าน ตอนนัน้ ท่านมีอายุได้ 12 ปี ครัง้ ที่สองเมื่อท่านมีอายุได้ 25 ปี โดยเดินทางไปในฐานะผู้ รับจ้างทาการค้าขายให้กบั ค่อดีญะฮ โดยเป็ นผูน้ า กองคาราวาน สินค้าของนางไป การเดินทางทัง้ สอง ครัง้ นไปที่เมืองบัศรอในประเทศซิเรีย ทาให้ท่านได้ เรียนรูเ้ กี่ยวกับเรื่องการค้าขายจากปากของพวกพ่อค้า มากมาย ได้เห็นร่องรอยและซากปรักหักพังของ โบราณสถานของเมืองที่ท่านเดินทางผ่าน ไปมา และยังได้ เห็นขนบธรรมเนียมประเพณีและชีวิตความเป็ นอยู่ของชาวเมืองนัน้ ด้วย 1.1.10 ก่อนการเป็ นนบีเพียงไม่กี่ปี อัลลอฮฺ ทรงทาให้ท่านนบบี صلى هللا علٍه وسلنรักการ ปลีกตัว วิเวก ไปอยู่ตามลาพังที่ถา้ หิรออ์ บนภูเขาที่ตงั้ อยู่ ห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของนคร มักกะฮฺ ไม่ไกลนัก ทุก ๆ ครัง้ ที่ท่าน ไปออกเก็บตัวอย่างสงบ อยู่ที่นนั ่ ท่านจะใช้เวลา ในแต่ลครัง้ นาน ประมาณหนึง่ เดือน และมักจะเลือกเวลาในเดือนเราะมะฎอน นักวิชาการต่างระบุตรงกันว่า สิ่งที่ท่านปฏิบตั ิ ขณะเก็บตัวอยู่ที่นนั ่ คือ การคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับความโปรดปรานต่าง ๆ ของอัลลอฮฺ และพลานภาพอัน ยิ่งใหญ่ของพระองค์ ท่านได้ใช้เวลาอยู่เช่นนัน้ หลายครัง้ จนในที่สดุ อัลลอฮฺ ก็ได้ทรงประทานวะหฺ ยแู ละอัล – กุรอานลงมาให้แก่ในท่าน
20
1.2 บทเรียนและข้อคิด บทเรียนและ ประโยชน์ ตา่ ง ๆ ที่ได้รบั จากการศึกษา เกี่ยวกับเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ข้างต้น ที่ ผศู้ ึกษา ค้นคว้าได้รบั มีดงั นี้ : 1.2.1 สาหรับผูท้ าหน้าที่เรียกร้องเชิญชวนผูค้ นสอ่ ู ลั ลอฮ – الداعيتหรือนักพัฒนาสังคม นัน้ ยิง่ เป็นผูท้ ี่มีเกียรติในท่ามกลางมวลชนของเขามากเท่า ใด ก็จะยิง่ ช่วยให้ผค้ ู นสดับฟังเขามาก ขึ้นเท่านัน้ เพราะโดยปกติผคู้ นมักจะไม่คอ่ ยสนใจนักปฏิรปู หรือคนทางานดะอวะฮฺ ที่มาจากครอบครัวที่ไม่ เป็ นที่ รูจ้ กั หรือตระกูลที่ไม่มีชื่อเสียง แต่เมื่อใดก็ตามที่มีคนที่พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธ ในเกียรติของ ตระกูล ของคน ๆ นัน้ ได้ ด้วยสถานภาพทางครอบครัวและ ฐานะทาง สังคมที่เป็ นที่รจู้ กั และยอมรับในหมู่ พวกเขาแล้วละก็ พวกเขาจะไม่ใส่รา้ ย ป้ายสี คน ๆ นัน้ นอกจากเรื่อง ที่ถกู อุปโลกหรือกุขนึ้ หลังจากการ ได้รบั ฟังคาเรียกร้องเชิญชวนและคาพูดของบุคคล นัน้ ในสิ่งที่พวกเขาไม่ยอมรับ ด้วยเหตุนี้ เราจึงพบว่า สิ่งแรกที่ เฮอร์เกิล ถามอบู ซ ุฟยาน หลังจากที่ท่าน เราะซูล صلى هللا علٍه وسلنได้สง่ สาส์นเชิญชวนเขา และประชาชนของเขาให้เข้ารับอิสลาม คือ เรื่องวงศ์ ตระกูลของท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنว่ามีฐานะ เช่นใดในหมูพ่ วกท่าน ? อบู ซุฟยาน ซึ่งในขณะนัน้ ยังไม่ได้เข้ารับนับถืออิสลาม ได้ตอบว่า : “เขามาจาก ตระก ูลที่ถือว่ามีเกียรติที่ส ุดในหมู่พวกเรา ” เมื่อเฮอร์ เกิล เสร็จสิ้นจาก การสอบถามอบู ซุฟยาน และ ได้ยิน ได้ฟังคาตอบจากอบู ซุฟยานแล้ว เขาได้ ก็ได้อธิบาย ถึงสาเหตุ ของเรื่อง ที่เขาถาม เกี่ ยวกับมุฮมั มัด صلى هللا علٍه وسلنว่า “ฉันได้ถามท่านว่า ตระก ูลของเขามีฐานะเช่นใดในหมู่พวกท่าน ? แล้วท่านตอบว่า เขามา จากตระก ูลที่มีเกียรติที่ส ุด จากหมู่พวกท่าน ซึ่ง นัน่ แหละคือเหต ุผลที่อลั ลอฮฺ จะมิทรงเลือกผูเ้ ป็น นบี นอกจากจากหมู่ผท้ ู ี่มีเกียรติที่ส ุดในหมู่ชนนัน้ ๆ และจากตระก ูลที่ดีที่ส ุดด้วย” จริงอยู่ ที่อิสลามไม่ได้ให้ ความสาคัญกับ คนที่มีตระกุลที่มีเกียรติ มากกว่า การกระทา ของคน ๆ นัน้ แต่นนั ่ ก็ไม่ได้เป็ นปั ญหา ที่จะผนวกเกียรติของวงศ์ตระกุลเข้ากับเกียรติของการกระทา ซึ่งนัน่ แหละคือ คนที่มีเกียรติสงู ส่งยิ่ง และนัน่ คือหัวใจของความสาเร็จที่มากกว่า ดังปรากฏในวจนะของท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنที่เศาะฮี้หว์ ่า : “คนที่ประเสริฐที่ส ุดของพวกท่านใน สมัยที่เขาอยูใ่ นญาฮิลียะฮ์ คือ คนที่ จะประเสริฐที่ส ุด เมื่อเขาเข้ารับนับถืออิสลาม เมื่อพวกเขาเข้าใจอิสลามอย่างถ่องแท้” 1.2.2 การที่นกั ดะอฺ วะฮฺ ตอ้ งแบกรับความเจ็บปวดจากฐานะของการเป็นเด็กกาพร้า หรือความแร้นแค้น ที่ได้ประสบ ในวัยเด็กนัน้ จะ เป็น ส่วนช่วยให้เขาได้ตระหนักและเข้าถึง ความหมายของมนษุ ย์ธรรมอันประเสริฐ ได้มากกว่าคน ปกติทวั ่ ไปที่ไม่ได้ผ่ านสภาพเช่นนัน้ มา เลย เขา จะเป็ นผูท้ ี่มีจิตใจเปี่ ยมล้นไปด้วยความเอ็นดูเมตตาต่อเด็กกาพร้า คนยากจน และบรรดาผูท้ ี่ได้รบั ความ ทุกข์ทรมาน อีกทัง้ ยังช่วยให้เขาไดปฏิบตั ิตนอย่างเป็ นธรรมในการทาดีตอ่ กลุม่ คนเหล่านัน้ รวมทัง้ การให้ ความเอ็นดูเมตตาต่อพวกเขา ดาอิยะฮฺ 12ทุก ๆ คนควรจะต้องมีทนุ เดิมแห่งความมีมนุษยธรรมอันประเสริฐอยู่ในจิตใจ ที่จะทาให้ เขาเข้าถึงความเจ็บปวดของบรรดาคนอ่อนแอ และเหล่าผูส้ ิ้นหวัง แต่เขาจะมีตน้ ทุนแห่งความรูส้ ึกนี้ ไม่ได้
12
ผู้ทาหน้ าที่เรี ยนร้ องเชิญชวนผู้คนสู่อิสลาม
21
นอกจาก เขาเองจะได้ประสบกับสภาพการมีชีวิตแบบเดียวหรือคล้ายคลึงกับที่บรรดาผูอ้ ่อนแอ เช่น เด็ก กาพร้า และคนยากจนอนาถาได้ประสบด้วย 1.2.3 ผูเ้ ป็นนักดะอฺ วะฮฺ นนั้ ยิง่ เขาได้มีชีวิตอยูใ่ นบรรยากาศที่บริส ุทธิ์แห่งธรรมชาติที่ อัลลอฮฺ ทรงสร้างและ มีโอกาส ห่างไกลจากชีวิตที่ ยง่ ุ ยาก ซับซ้อนได้มากเท่าใด ก็ จะยิง่ ช่วยให้ ความคิดของเขาใสสะอาด มีสติ ปัญญาที่เฉียบแหลม มีรา่ งกายที่ มีส ุขภาพ แข็งแรง จิตใจที่ เข้มแข็ง มัน่ คง มีคาพูด ฉะฉาน และมี กระบวนการคิดดีมากขึ้นเท่านัน้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงเชื่อมัน่ ว่า อัลลอฮฺ ไม่ ได้ทรงเลือกบุรษุ ที่เป็ นคน อาหรับ คนหนึง่ ขึน้ มา เพื่อให้ทาหน้าที่เผยแผ่สาส์นอิสลามโดยบังเอิญ หรือไร้สารัตถะอย่างแน่นอน ทว่า ย่อมมีเหตุผลที่สาคัญที่แฝงอยู่เบื้องหลัง ประการหนึ่ง ก็คือ เมื่อเทียบ กับประชาชาติอื่น ๆ ที่เป็ นเพื่อนบ้าน ที่มีอารยธรรมแล้วในขณะนัน้ จะพบว่า ชาวอาหรับ มีจิตใจที่ผอ่ ง แผ้วกว่า มีกระบวนการคิด ใสสะอาดกว่า มี คณ ุ ธรรม จริยธรรมเที่ยงธรรมกว่า มีความอด ทนต่อ ความ ยากลาบากใ นภาวะที่ตอ้ งเผชิญหน้ากับการสูร้ บกับเหล่าผูล้ ว่ งละเมิดต่อความพยายาม เรียกร้องเชิญชวน ผูค้ นสูอ่ ิสลาม และการเผยแผ่สาส์นของอิสลามให้แผ่ขยายไปทัว่ โลกมากกว่า 1.2.4 ไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นศนู ย์รวมการดะอฺ วะฮฺ และการนาการดะอวะฮฺ มากยิง่ ไป กว่า คนที่ฉลาดปราดเปรือ่ ง ตื่นตัวอยูเ่ สมอ ส่วนคนโง่และสติปัญญาระดับปกติธรรมดา นัน้ ควรที่จะ เลี่ยงจากการเป็ นผูน้ าทางอุดมการณ์ทงั้ ในด้านการฟื้ นฟู การปฏิรปู และทางด้านจิตวิญญาณ ที่สาคัญ กว่านั้ น ยัง ถือเป็ นบรรทัดฐาน ประการหนึง่ ของการดาเนินชีวิต และการทางานที่ดีงามและถูกต้องว่า ไม่ ควรที่จะให้สิทธิกบั คนโง่เขลาหรือคนที่สบั สนทางความคิดในการเข้ามาสูก่ ระบวนการนา ไม่ว่าจะเป็ นในด้าน ใดก็ตาม เพราะบรรดาผูท้ ี่มีลกั ษณะที่แปลกแยกทางความคิดนัน้ ถ้าบังเอิญว่าพวกเขามีโอกาสก้าวขึน้ สูจ่ ดุ ศูนย์กลางหรือจุดสูงสุด ของการนาแล้วละก็ ในไม่ชา้ เขาจะพา ผูค้ นไปสูค่ วามล่มจม และ ผูค้ นที่ เขานาอยู่จะ พากัน ถอนตัวออกไป จนไม่เหลือ นัน่ เป็ นผลมาจากการ ที่เขาได้แสดงความโง่ เขลา ความแปลกแยก หรือ ความสับสนทางด้านความคิดออกมาให้ปรากฏนัน่ เอง 1.2.5 นักดะฮฺ วะฮฺ ควรจะต้องพยายามพึ่งพาตนเองในเรือ่ งปัจจัยครองชีพ หรือไม่ก็ จะต้องเป็น รายได้ที่มีเกียรติ ไม่ใช่มาจากการงอมืองอเท้า ของตน หรือแบมือขอ จากผูอ้ ื่น และ จะต้องไม่ใช่ได้มาจากงานที่ต่าต้อยและด้อยค่า นักดะอฺ วะฮฺ ที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรี และสัจจะนัน้ เขาจะไม่ ทามาหาเลี้ยงชีพตนจากทานที่ได้รบั จากผูค้ น ก็แล้วพวกเขาจะได้รบั เกียรติ อะไรจากผูค้ นเล่า ก็ในเมื่อ พวกเขาได้ลดตัวเองไห้ต่าต้อย ลงด้วยการคานับ ขอและงอมืองอเท้า แม้จะไม่ได้แสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมาหรือเปิดเผยก็ ตาม ดังนัน้ หากพวกเราพบผูใ้ ดที่แอบอ้างการดะอวะฮฺ และการชี้นาทางให้แก่ผค้ ู น พยายามที่ จะสะสมเงินทอง และผลประโยชน์ จากผูค้ นให้มาก ๆ ด้วยวิธีการ ที่หลากหลาย เรา ก็สามารถ ยืนยันได้ทนั ทีว่า เขาได้เหยียบ ยา่ ตัวเอง ยิง่ ไปกว่านัน้ เขากาลังลดสถานภาพของ เขาเองใน สายตาของผูค้ นรอบข้างและเพื่อนบ้าน พอใจให้ความต่า ต้อยเกิดขึ้นกับตัวเอง แล้วด้วย เขาจะทา หน้าที่ เรียกร้องเชิญชวนสู่ จริธรรมอัน ดีงา มได้อย่างไร ? จะยืนขัดขวางบรรดาผูล้ ะเมิดทัง้ หลายได้ อย่างไร? จะประกาศสงครามกับความชัว่ ผูก้ อ่ ความเสียหายและสร้างความเสื่อมทรามได้อย่างไร ? หรือ ว่าจะฟื้ นฟูจิตวิญญาณแห่งเกียรติยศและการดารงมัน่ บนหนทางอันเที่ยงตรงได้อย่างไรกัน ? 1.2.6 ความประพฤติที่เที่ยงธรรมของนักดะฮฺ วะฮฺ ในวัยหนุ่ม และประวัติที่ไม่ด่างพล้อย จะยิง่ ช่วยให้การ ทางาน ดะอฺ วะฮฺ การปฏิร ูป ค ุณธรรม จริยธรรม และ การต่อสูก่ บั ความชัว่ ประสบความสาเร็จมากยิง่ ขึ้น เพราะจะมีใครคอยใส่ ไคล้ป้ายสี ในความประพฤติของเขาก่อนการ 22
ทาหน้าที่ในการทาดะอวะฮฺ เพราะบ่อยครัง้ ที่เรา พบเห็น ว่าคนที่ทาหน้าที่ในการเรียกร้องสก่ ู าร ปฏิร ูปค ุณธรรม จริยธรรม ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเช่นนัน้ เพราะ สาเหต ุประการหนึ่งที่ทาให้ ผูค้ นเมินหน้าหนีจากพวกเขาก็คือ อดีตอันสกปรกเปรอะเป้ ื อนด้วยมลฑิน และความประพฤติอนั ไม่เที่ยงตรงของพวกเขาที่ถ ูกกล่าวขานนัน่ เอง ยิง่ ไปกว่านัน้ อดีตที่ เสื่อมเสีย ของพวกเขาจะทา ให้เกิดความคลางแคลงและระแวงขึ้นต่อความซื่อสัตย์ของพวกเขา โดยที่พวกเขาจะถ ูกกล่าวหา ว่า มีแผนร้ายแอบแฝงหรือซ่อนเร้น อยูเ่ บื้องหลังการเรียกร้องเชิญชวนผูค้ นไปสูก่ ารปฏิร ูป หรือ อาจจะถ ูกกล่าวหาว่า พวกเขาเองเพิ่งจะมาเริม่ ทาหน้าที่ในการดะอวะฮฺ ไปสูก่ ารปฏิร ูป ภายหลัง จากที่ได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกลับการเสพส ุข และการสนองความต้องการใฝ่ต่าของตัวเอง เสียจน อิ่มแล้ว เกือบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก อายกุ ็เหลืออีกไม่มาก ความหวัง ริบหรีจ่ ากการมีชีวิตอยู่ และจากการทางานของพวกเขา ส่วนนักดะอฺ วะฮฺ ที่เคยมีชีวิต อย่างเที่ยงธรรมในวัยหนุม่ ย่อมสามารถดารงอยู่ในการทางานอย่าง สง่างาม อกผายไหล่ ผึ่ง เชิดหน้า ชูตาได้ โดยที่ไม่มี ช่องทางให้ ศัตรูของการปฏิรปู พบ เห็นและใช้เป็ นอาวุธ ทาลายเขาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประวัตใิ นอดีตอันใกล้หรือไกล หมดหนทางที่จะนาเอาอดีตอันเบี่ยงเบน ของ พวกเขามาทาลายชื่อเสียง พวกเขาจะไม่ป่าวประกาศให้ ผูค้ นพากันให้เหยียบยา่ ฐานะของพวกเขา จริงอยูว่ ่า อัลลอฮฺ ทรงรับการเตาบะฮฺ ของผูท้ ี่ทาการเตาบะฮฺ ที่ม่งุ มัน่ ยังพระองค์ดว้ ยความ จริงใจและบริส ุทธิ์ใจ ใช้ความดีต่าง ๆ ของเขาที่ทาอยูใ่ นปัจจุบนั ไปลบล้างความผิด คิด ชัว่ ต่าง ๆ ของเขาที่ผา่ นมา ในอดีต แต่ นัน่ ไม่ใช่สาหรับ ผูท้ ี่จะทาหน้าที่เป็นนักดะอฺ วะฮฺ ผ ้ ู มุ่งหวัง ความสาเร็จในการดะอวะฮฺ ของเขา ที่จะต้องมี ประวัติ ที่ดี เที่ยงธรรม และได้รบั การกล่าวขาน ในทางที่ดีอยูเ่ สมอมา 1.2.7 ประสบการณ์จากการเดินทางของนักดะอฺ วะฮฺ การคบค้าสมาคมกับผูค้ นที หลากหลาย ความรเ้ ู กี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี สภาพความเป็นอยู่ ของผูค้ น และปัญหา ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่นนั้ ๆ นับว่าเป็นสิ่งที่มีค่า และเป็นปัจจัยสาคัญ อย่างยิง่ ต่อความสาเร็จใน การดะอวะฮฺ เพราะผูท้ ี่ได้แต่เพียงแค่การทาความรูจ้ กั กับ ผูค้ นทางหนังสือและบทความทัง้ หลาย โดยที่ ไม่ได้สมั ผัสกับการ ใช้ชีวิต จริงร่วมกับพวกเขาในสภาพที่แตกต่างกัน ออกไปนัน้ เป็ นผูท้ ี่ได้รบั ข้อมูลอัน น้อย นิดในการดะอฺ วะฮฺ ไปสูก่ ารปฏิรปู เมื่อถึงเวลาที่เขาลงมือเรียกร้องเชิญชวนจริง ๆ ผูค้ นก็จะไม่รบั ฟังสิ่งที่เขา พูด คน ที่ฉลาด ๆ จะไม่ตอบรับการดะอวะฮฺ ของเขา เนือ่ ง จากว่า ผูค้ นได้ รูไ้ ด้ยินถึง ความไม่รขู้ องเขา เกี่ยวกับสภาพและปั ญหา ที่แท้จริง ของผูค้ น จากปากของเขา ดังนัน้ จึงเป็ นบทเรียนสาคัญสาหรับ ผูท้ ี่ ประสงค์จะปฏิรปู อิสลามว่า จะต้อง สร้างสมประสบการณ์โดยการ ใช้ชีวิตร่วมกับ ผูค้ นในสังคมใน บรรยากาศ และสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย เช่น ที่ มัสยิด ตามที่นงั ่ ชุมนุม และในชุมชน เป็ นต้น กล่าวคือ ผูใ้ ดประสงค์ที่จะปฏิรปู กรรมกรและชาวนา ก็จะต้องมีประสบการณ์การ ใช้ชีวิตร่วมกับ ชาวนา ตามชนบท กรรมกรตาม โรงงาน และมีโอกาสได้ กินอาหารร่วมกับพวกเขา ผูใ้ ดประสงค์จะปฏิรปู การสังคม ใดที่เขามี ชีวิตร่วมอยู่กบั ผูค้ น ก็ จะต้องเข้าไปคลุกคลีกบั พวกเขาตามตลาด บ้าง แหล่งธุรกิจ บ้าง โรงงาน บ้าง สโมสร และแหล่ง ชุมนุมต่างๆ ของพวกเขา บ้าง ผูใ้ ดประสงค์จะปฏิรปู การเมือง ก็จะต้องคบค้าสมาคม กับบรรดานักการเมือง เข้าไปทาความรูจ้ กั กับระบบการเมือง ติดตามกระบวนการทางานของ พวกเขาบ้าง รับ ฟังคาปร าศรัยของพวกเขา บ้าง ศึกษาเกี่ยวกับกิจกรรม ทางการเมือง และพรรคการเมือง รวมทัง้ การศึกษาเกี่ยวกับสถานการณ์แวดล้อมที่เป็ นอยู่ในสังคมในขณะนัน้ ทาการศึกษาให้ลึกลงไปถึงวัฒนธรรม ที่มาของการเมือง ทิศทางแนวความคิดทาง และค่านิยมของนักการเมือง เพื่อที่จะได้รวู้ ่า จะพูดจากับพวก เขาอย่างไรจึงจะทาให้พวกเขายอมรับและไม่ปฏิเสธ อีกทัง้ เพื่อที่จะได้ รูถ้ ึงช่องทางที่ จะเข้าไปสูก่ ารปเขาฏิ รูปการเมืองและนักการเมืองด้วยว่า อย่างไรจึงจะไม่ เป็ นการเปิ ดศึกกับ นักการเมืองหรือสร้างป้อมปราการ 23
แห่งความเกลียดชังระหว่างนักการเมืองกับเขา และทาอย่างไรที่จะไม่ให้นกั การเมืองเกิดความรูส้ ึกอคติและ ต่อต้านเขา เช่นนีแ้ หละที่ผเู้ ป็ นนักดะอฺ วะฮฺ จะต้องเป็ นผูม้ ีประสบการณ์ในชีวิต เป็ นผูท้ ี่เข้าใจและรูจ้ กั เรื่องราวของ ผูค้ นรอบข้างและสังคม อันจะช่วย ให้เขาสามารถ สนอง พระบัญชาของอัลลอฮฺ ที่ ทรงเรียกร้องให้เขาทา หน้าที่ในการประกาศอิสลามว่า
“จงเรียกร้องเชิญชวน ผูค้ นสูว่ ิถีของพระผูอ้ ภิบาลของเจ้า ด้วยวิทยปัญญา และการ ให้ เตือนใจที่ดี” ( อัล-นะฮฺ ล ุ : 125 ) ให้เป็ นจริงขึน้ มาได้ ดังคาพูดอันแหลมคมและทรงวิทยปั ญญา ที่ว่า : “หากพวกท่านไม่ตอ้ งการที่จะให้ผค้ ู นว่าอัลลอฮฺ และร่อซ ูลของพระองค์มสุ า ก็จงพยายาม สนทนากับผูค้ นตามระดับสติปัญญาของพวกเขา(แต่ละคน หรือแต่ละกลลมุ่ )” ( ในหะดีษอัล – บุคอรีย์ 1 / 199 ว่าด้วยวิชาความรู้ ในบาบุ มัน ค็อศเศาะ บิล – อิลมิ เกามัน ดูนะ เกามิน กะรอฮียะตัน อัน ลา ยัฟฮะมะ ระบุว่าท่าน อะลี ร่อฎิยลั ลอฮุ อันฮุ กล่าวว่า : “ หากพวกท่าน มิ ชอบที่จะให้ ผูค้ นว่าอัลลอฮฺ และร่อซ ูลของพระองค์มสุ า ก็ จงพูดค ุยกับผูค้ นด้วยสิ่งพวกเขา เข้าใจ” 1.2.8 ผูเ้ ป็นนักดะอฺ วะฮฺ จะต้องหาช่วงเวลาสาหรับการปลีกตัวอยูค่ นเดียวตามลาพังเป็น ระยะๆ เพื่อ การเชื่อมโยง จิตวิญญาณกับอัลลอฮฺ ผูท้ รงเกรียงไกร และการแสวงหาความใกล้ชิดกับ พระองค์ อันจะทาไห้จิตใจของเขาผ่องแผ้ว ออกจากความขุน่ มัวของความรูส้ ึกนึกคิด กิริยาวาจาที่ไม่ดีงาม และความสบสนวุ่นวายในชีวิตรอบด้าน การที่คนเราได้มีโอกาสอยูค่ นเดียวตามลาพังบ้างนัน้ จะช่วยให้ เขาได้มีโอกาสได้ทบทวน ตัวเอง เพื่อค้นหาความบกพร่อง ความเบี่ยงเบน ออกจากทิศทางที่ถ ูกต้อง ความคลาดเคลื่อน ออกจากครรลองแห่งวิทยปัญญา ความผิดพลาดในแนวทางหรือวิธีการ การถลาลึกลงไปในการ โต้แย้งกับผูค้ นจนกระทัง่ ทาให้ตนเองลืมการราลึกถึงอัลลอฮฺ สูญเสียโอกาสในการแสวงหาความ ใกล้ชิดกับพระอ งค์ ละเลยจาก การราลึกถึง อนาคตของตนใน อาคิเราะฮฺ ลืมสวนสวรรค์ อนั ส ุข ล้นและไฟนรกอันแสนทนท ุกข์ทรมาน ความตายและความอึดอัดคับแคบของความตายที่กาลังจะ มาถึง และความเจ็บปวดอันส ุดพรรณนาก่อนความตาย เช่น นี้ แหละที่ การ นมาซต ะฮัจญุด และกียามุล – ลัยล์ ได้กลาย เป็ นฟั รฎสู าหรับท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنและเป็ นสิ่งที่ควรกระทาสาหรับผูศ้ รัทธาคน ทุก ๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดา นักดะอฺ วะฮฺ ผูท้ าหน้าที่เรียกร้องเชิญชวน ผูค้ นสู่การเป็ นบ่าวและการภักดีตอ่ อัลลอฮฺ การยึดมัน่ ในชะรีอะฮฺ การแสวงหาความสุขอันจีรงั ใน สวรรค์ และการเตรียมพร้อมเพื่อ การยืนขึน้ รับการไต่สวนเบื้องหน้าพระ พักตร์ของพระองค์ในวันแห่งการพิพากษาตอบแทน การอยู่คนเดียวตามลาพังในช่วงสุดท้ายของกลางคืน การนมาซตะฮัจญุด กิยามุลลัยล์ การยืน ขึน้ ทาอิบาดะอต่ออัลลอฮฺ ในยามสายของกลางคืนนัน้ สร้างความอิ่มเอิบ และความโอชะที่ไม่มีผใู้ ดสัมผัสได้ นอกจากผูท้ ี่ ได้รบั เกียรติจาก อัลลอฮฺ ให้ได้มีโอกาสปฏิบตั ิ จริง ดังที่นกั ปราชญ์เรืองนามอย่าง อิบรอฮีม บิน อัดฮัม ( ขออัลลอฮฺ ทรงเมตตาแก่เขา ) ได้กล่าวไว้ภายหลังจากที่เขาได้ นมาซตะฮัจํดุ และได้
24
ทาอิบาดะฮฺ ว่า : “ เราได้ล้ ม ิ รสชาติอนั โอชะ – ของการงาน - ที่หากเหล่าราชารถ้ ู ึงความโอชะนี้ พวกเขาจะประกาศสงครามกับเราเพื่อแย่งชิงมันไปจากเราเป็นแน่แท้” ดูเหมือนว่าจะ เป็ นการ เพียงพอ แล้ว ที่ เราได้อ่านหรือสดับฟัง พระดารัสของอัลลอฮฺ ที่มี กบั ท่าน เราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنที่ว่า
ความว่า : โอ้ผท้ ู ี่ห่มกายอยูเ่ อ๋ย จงตื่นขึ้นในยามกลางคืน เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านัน้ (ที่เจ้าใช้ นอนหลับ) ครึง่ หนึ่งของกลางคืน หรือน้อยกว่าครึง่ หนึ่งเล็กน้อย หรือมากกว่า ครึง่ หนึ่ง และจง อ่านอัล – ก ุรอานให้ถ ูกต้อง ไพเราะ และชัดถ้อยชัดคา แท้จริง เราจะมอบถ้อยคาที่หนัก อึ้งแก่เจ้า แท้จริงการตื่นขึ้นในยามค่าคืนนัน้ มีผล ( ต่อจิตใจ ) ยิง่ และเป็นถ้อยคาที่เที่ยงตรงยิง่ ” ( อัล – มุซซัมมิล 1-7 )
25
หมวดที่ 2 ชีวประวัติของท่านนบี صلى هللا عليه وسلنตัง้ แต่ได้รบั การแต่งตัง้ เป็นนบี ( )الوبوةไปจนถึงการอพยพไปยัง อัล – หะบะชะฮฺ ( เอธิโอเปีย ) 2.1 เหต ุการณ์สาคัญต่าง ๆ ในช่วงนีม้ ีเหตุการณ์สาคัญ ๆ เกิดขึน้ ดังนี้ 2.1.1 ท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنได้รบั วะหฺ ย ู เมื่อท่านอายุได้ 40 ปี บริบรู ณ์ โดยมะลัก13 ญิบรีลได้นาวะหฺ ย(ู ในรูปของโองการอัลกุรฺอาน)ลงมาให้ท่าน ตรงกับวันจันทร์ที่ 17 เดือนเราะมะฎอน เกี่ยวกับเรื่องนีท้ ่านอิหม่าม อัล – บุคอรีย์ เราะฎิยลั ลอฮุ อันฮุ ได้รายงานหะดีษในเศาะฮี้หฺของ ท่าน ที่มีสายสืบไปถึงอาอีชะฮฺ ( อุมมุล – มุอมินนี ) เราะฎิยลั ลฮุ อันฮา ซึ่งอธิบายถึงวิธีการและขัน้ ตอน ของประทานวะหฺ ยแู ก่ท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنว่า : “สิ่งแรกที่ เริ่มเกิดขึ้นกับท่านเราะซู ลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنก่อนที่ จะได้รับวะหฺ ยู คือ ความฝั น ที่ เป็ นจริง โดยทุกครั้งที่ ท่านฝั น ท่านจะ มองเห็น คล้ายกับ แสงยามรุ่งอรุณ ต่อมาท่านจะชอบอยู ่ตาม ลาพัง ปลีกตัวออกไปแสวงหาความ วิเวก โดยท่านจะปลีกตัวไป เก็บตัวอย่างสงบเพื่ อ ทาการเคารพภักดี ต่ออัลลอฮฺ อยู ่ ณ ถา้ ฮิรออ์เป็ นเวลาหล ายคืนติดต่อกัน ก่อนที่ จะกลับมา ยังบ้านเพื่ อเตรียมเสบี ยงสาหรับ การออกไปอีกครั้ง โดยท่านจะกลับมายังค่อดียะฮฺ ผู เ้ ป็ นภริยา แล้วนางก็จะจัด เตรียมเสบียงให้ท่านอีก จน ในที่ สุดท่านก็ได้รับสัจธรรมในขณะที่ ท่านอยู ่ ณ ถา้ อิรออ์น่ ันเอง โดยมีมะลักญิบรีล ลงมาหาท่าน เขากล่าว กับท่านว่า : จงอ่าน ท่านพูดว่า : ฉันไม่ใช่ผอ้ ู ่าน ( อ่านไม่เป็น ) ท่านเล่าว่า เขา ( มะลัก ) ได้จบั ฉันกอดไว้แน่น จนฉันรอ้ ู ึดอัดมาก แล้วเขาก็ปล่อยฉัน เขากล่าวอีกว่า จงอ่าน ฉันก็พดู กล่าวอีก ว่า : ฉันอ่านไม่เป็น เขา จึงจับฉันกอดไว้แน่น เป็นครัง้ ที่สอง จนฉันอึดอัด มาก แล้วเขาก็ปล่อย ฉัน แล้วกล่าวว่า : จงอ่าน ฉัน ก็พดู ว่า ฉันอ่านไม่เป็น เขาจึงจับฉันกอด ไว้แน่น เป็นครัง้ ที่สาม แล้วเขาก็ปล่อยฉัน พร้อมกับกล่าวว่า “ เจ้า จงอ่านด้วยพระนามของพระผูอ้ ภิบาลของเจ้าผูท้ รงสร้าง ผูท้ รงสร้างมนุษย์จาก ก้อนเลือด จงอ่าน และพระผูอ้ ภิบาลของเจ้า คือผูท้ รงเผื่อแผ่ยงิ่ ผูท้ รงสอนด้วยปากกา ทรง สอนมนุษย์ซึ่งสิ่งที่เขาไม่ร”้ ู ( ซ ูเราะฮฺ อัล – อะลัก : 1-5 ) ท่านเราะ ซูล صلى هللا علٍه وسلنได้นา เอาอัลกุรฺอาน ห้าอายะฮฺ นกี้ ลับไปหาค่อดียะฮฺ บุตรีของ คุวัยลิดผูเ้ ป็ นภรรยาที่บา้ น ด้วยภาวะที่หวั ใจตืน่ ตระหนก ท่านรีบบอกกับนางว่า ช่วยห่มผ้าให้ฉนั ที ห่ม ผ้าช่วยให้ฉนั ที นางจึงได้ห่มผ้าให้ท่าน จนกระทัง่ ความกลัว ของท่านได้หมดไป ท่านจึงได้เริ่ม เล่าเรื่องที่ เกิดขึน้ ให้นางฟังแล้วกล่าวกับว่า “ฉันกลัวว่าเรือ่ งเลวร้ายจะเกิดขึ้นแก่ฉนั ” แต่นางก็ได้ปลอบใจท่านว่า ไม่หรอก ไม่มีทางที่อลั ลอฮฺ จะทรงทาให้ท่านอดสู เพราะท่านเป็นผูท้ ี่เชื่อมความสัมพันธ์กบั เครือ ญาติ ท่านแบกรับภาระของคนอ่อนแอ ท่านด แู ลเอาใจใส่ คนอนาถา ท่านให้เกียรติ และต้อนรับ แขก และท่านช่วยเหลือคนตกท ุกข์ได้ยาก” หลังจากนัน้ นางได้ พาท่านพบ วะเราะเกาะฮ บิน เนาฟัล 13
เอกพจน์ของคาว่า “มลาอิกะฮฺ ”
26
บิน อะซัด บิน อับด ุลอ ุซซา ซึ่งเป็ นลูก ผูพ้ ี่ ของเคาะ ดีญะฮฺ ในสมัยนัน้ เขาเป็ นผูท้ ี่ นับถือศาสนาคริสต์ สามารถเขียนหนังสือภาษาฮิ บรู สามารถคัดล อกคัมภีรไ์ บเบิลเป็ นภาษาฮิ บรูได้ เขาเป็ นคนที่มี อายุมาก แล้ว และตาก็บอด ค่อดีญะฮได้เล่าให้ เรื่องที่เกิดขึน้ กับสามีของนางให้ เขาฟังเพื่อขอคาปรึกษาแนะนา นาง กล่าวว่า : โอ้พี่ ของฉัน จงฟังจากน้องของท่าน วะ เราะเกาะฮฺ ถามท่านนบี صلى هللا عليه وسلن ว่า : เจ้าเห็นอะไรมาหรือ ? ท่านร่อซ ูล ุลลอฮฺ صلى هللا عليه وسلنจึงเล่าถึงสิ่งที่ท่านได้ พบเห็น ทัง้ หมดให้เขาฟัง วะเราะเกาะฮพูดว่า : นัน่ คือ มะลัก - ผูน้ าวะหฺ ยลู งมาซึ่ง เขาก็คือ ญิบรีล ผูท้ ี่ เคยนาวะหฺ ยลู งมายังมูซานัน่ เอง โอ้ เสียดายเหลือเกิน นี่ถา้ ตอนนี้ฉนั เป็นเด็กหนุ่มที่ ยังแข็งแรงอยู่ ก็จะดี โอ้ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน นี่ถา้ ฉันมีชีวิต ยืนยาวต่อไปอีกจนถึงตอนที่ หมู่ชนของเจ้าขับไล่ เจ้าก็จะดี เมื่อได้ฟังเช่นนัน้ ท่านร่อซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنจึงกล่า วถามเขาว่า พวกเขาจะขับ ไล่ฉนั ด้วยกระนัน้ หรือ ? เขาตอบว่า ใช่แล้ว ไม่มีผใ้ ู ดที่นาสิ่งที่คล้ายกับสิ่งที่เจ้านามา ประกาศ เว้นแต่ว่า เขาจะถ ูกถือเป็นศัตร ู มาตรว่าฉันมีชีวิตยืนไปถึงวันเวลานัน้ ของเจ้า ฉันจะช่วย เหลือ เจ้าอย่างเข้มแข็ง” ต่อมาหลังจากนัน้ ไม่นานนัก วะเราะเกาะฮก็เสียชีวิตลง และวะหฺ ยกู ็ทิ้งช่วงไป ตามสายรายงานหนึง่ ของอิบนุ ฮิชาม จาก อิบนุ อิสฮากระบุว่า ญิบรีล ได้มาหาท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنในขณะที่ท่านกาลังนอนหลับอยู่ในถา้ หิรออ์ พร้อมนา เอาภาชนะที่ทาจากผ้าไหม ถักเงิน ถักทอง บรรจุแผ่นบันทึก แล้วเขาได้กล่าวแก่ท่านว่า จงอ่าน …… ท่านกล่าวว่า แล้วฉันก็ได้อ่านมันจนจบ แล้วเขาก็จากฉันไป เมื่อฉันตื่นขึ้นจากการนอนหลับ ฉันรส้ ู ึก ประหนึ่งว่าหนังสือได้ถ ูกบันทึก อยู่ใน หัวใจของฉัน ท่านเล่าต่อไปว่า แล้วฉันก็ออกมาจากถ้า จนกระทัง่ เมื่อมาถึงกลางเทือกเขา ฉันได้ ยินเสียงหนึ่งดังมาจากฟากฟ้าว่า : โอ้มฮุ มั มัด เจ้าเป็นผูส้ ื่อสาสน์ของอัลลอฮฺ แล้ว และฉันคือ ญิบรีล ท่านบอกว่า : ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองยังท้องฟ้า ทันใดนัน้ ฉันก็ได้เห็นญิบรีลในร ูปของผ ้ ุ ชายคนหนึ่งที่มีฝ่าเท้าทัง้ สองข้างสะอาดบริส ุทธิ์อยูบ่ นชัน้ ฟ้า ท่านกล่าวว่า : ฉันหย ุดนิ่งจ้องมองด ู เขาอยูก่ บั ที่ไม่กา้ วไปข้างหน้าและไม่ถอยหลัง และฉัน ก็เริม่ หันหน้าไปจากเขา มองไปบนท้องฟ้า ด้านอื่น แต่ไม่ว่าฉันจะมองไปทางทิศใด ฉันก็มองเห็นแต่เขาในสภาพเช่นนัน้ ซึ่งฉันยังคงยืนนิ่ง อยูก่ บั ที่ไม่กา้ วไปข้างหน้าและไม่ถอยหลัง จนกระทัง่ ค่อดีญะฮได้สง่ คนของนางมาตามฉัน … 2.1.2 บุคคลแรกที่ยอมรับศรัทธาในท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنและเข้ารับนับถืออิสลาม คือ เคาะดีญะฮ เราะฎิยลั ลอฮ ุ อันฮา คนต่อมา คือ ลูกของลุงของท่าน นบี صلى هللا علٍه وسلنคือ อะลีย ์ บิน อะบี ฏอลิบ เราะฎิยลั ลอฮุ อันฮุ ซึ่งในขณะเข้ารับอิสลามนัน้ เขามีอายุเพียง 10 - 11 ปี คนต่อมา คือ เด็กรับใช้ของท่าน นบี صلى هللا علٍه وسلنคือ ซัยด์ บิน ฮาริษะฮ คนต่อมา คือ อบูบกั ร อัศศิดดี๊ก เราะ ฎิยลั ลอฮ ุ อันฮ ุ ส่วนทาสคนแรกที่เข้ารับอิสลามนัน้ คือ บิลาล บิน อบี เราะบาหฺ อัล – หะบะชีย ์ ดังนัน้ นางเคาะดีญะฮ จึงถือเป็ นบุคคลแรกที่เข้ารับอิสลาม จากบรรดาผูท้ ี่เข้ารับอิสลามทัง้ หมด และท่าน เราะ ซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنก็ได้ ปฏิบตั ิ นมาซพร้อมกับนาง ในบ่ายวันจันทร์ ซึ่งเป็ นการนมาซ ครัง้ แรกของของท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنการนมาซ ครัง้ นัน้ เป็ นการนมาซ บ่ายและการนมาซตอน กลางคืนอย่างละสองร็อกอะฮฺ 2.1.3 หลังจากนัน้ วะหฺ ยกู ็หยุดไปช่วงไประยะเวลาหนึง่ มีสายรายงานที่แตกต่างกันออกที่ระบุ เรื่องระยะเวลาที่วะหฺ ย ู หยุด ไป สายรายงานที่ระบ ุ ระยะเวลาที่มากที่ส ุด คือ สามปี และ ที่ระบ นุ อ้ ย ที่ส ุด คือหกเดือน ซึ่ง น่าจะเป็ นระยะเวลาที่ถกู ต้อง มากกว่า การเว้น ระยะออก ไปของวะหยูนี้ ได้สร้าง 27
ความกังวลใจให้กบั ท่านร่อซูล صلى هللا علٍه وسلنเป็ นอย่างมาก ทาให้ท่านตกอยู่ในความซึมเศร้า จน เกือบจะทาให้ท่านกระโดดลงมาจากหน้าผา 14 ด้วยคิดว่า อัลลอฮฺ ทรงโกรธเคืองท่าน แต่ตอ่ มาวะหฺ ยกู ็ได้ลง มาให้ท่านอีก ตามปกติ ดังที่ท่านอิมาม อัล – บุคอรีย์ ได้รายงานในเศาะฮี้หฺของท่านว่า ญาบิรฺ บิน อับ ดุลลอฮฺ อัล – อันศอรีย์ ได้เล่าจากท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنว่า “ในขณะที่ ฉันกาลังเดินอยู ่นั้น ทันใด นั้นฉันก็ได้ยินเสียงหนึ่ งจากท้องฟ้ า เมื่ อฉันแหงนหน้าขึ้นมอง ก็ได้เห็นมะลักญิบรีล ผู เ้ ดียวกับที่ ได้มาหา ฉัน ครั้งแรกถา้ ที่ หิรออ์ น่ ันเอง เขานั่งอยู ่บนเก้าอี้ ที่ วางอยู ่ ระหว่างท้องฟ้ ากับแผ่นดิน ฉันรู ส้ ึกกลัวจึง รีบ กลับบ้านบอกค่อดีญะฮฺ ว่า “ช่วยห่มผ้าให้ฉันที ”.......แล้วอัลลอฮฺ ก็ทรงประทานอายะฮฺ ลงมาว่า “โอ้ผท้ ู ี่ห่ม ผ้าอยูเ่ อ๋ย จงล ุกขึ้นแล้ว จงเตือนสาทับ ” ไปจนถึง อายะฮฺ ที่ว่า “และการทาบาปนัน้ จงละทิ้ง เสีย” หลังจากนัน้ วะหฺ ยกู ็มีมาเรื่อย ๆ เป็ นระยะ ๆ 2.1.4 ต่อมา ท่านเราะซูลลุลลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنได้เริ่มทาหน้าที่เรียกร้องเชิญชวนผูท้ ี่มี ความใกล้ชิด และ เชื่อถือในตัวท่านสูอ่ ิสลาม การทาหน้าที่ในลักษณะเช่นนีด้ าเนินไป อย่างเงียบ ๆ เป็น ระยะเวลา 3 ปีเต็ม จนกระทัง่ มีผเู้ ข้ารับอิสลาม ทัง้ ผูช้ ายและผูห้ ญิงจานวนหนึง่ เป็ นกลุม่ แรก ซึ่งพวกเขา เหล่านีเ้ ป็ นที่รจู้ กั ของสังคมในเวลานัน้ ว่า เป็ นกลุม่ ผูท้ ี่มีสติปัญญาดีและมีจิตใจผ่องแผ้ว 2.1.5 หลังจากที่ได้มีผเ้ ู ข้ารับอิสลามประมาณสามสิบคนแรก อัลลอฮฺ ได้ทรงกาชับให้ท่าน เราะซูล صلى هللا علٍه وسلن เรียกร้องเชิญชวนผูค้ นอย่างเปิดเผย ดังปรากฏในพระดารัสว่า : “ ดังนัน้ เจ้าจงประกาศออกไปตามที่เจ้าได้รบั บัญชา และจงหันห่างจากพวกตัง้ ภาคี ” ( อัล – หิจญ์ร ุ : 94 ) 2.1.6 นัน่ คือ การเข้าสูช่ ว่ งที่บรรดาผูศ้ รัทธาใหม่ รวมทัง้ ตัวท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلن เอง เริ่มถูกรังแก ด้วยพวกตัง้ ภาคีกลัวว่าท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلن จะทาลายความคาดหวัง ของพวกเขา ตาหนิ เทพเจ้า ทัง้ หลายที่พวกเขาสักการบูชา ประกาศ ศาสนาใหม่ที่เรียกร้องไปสู่ การเคารพ พระเจ้าองค์เดียว ผู้ ที่ ไม่มีใครสามารถ มองเห็นพระองค์ ด้วยตา ในขณะที่พระองค์ทรงรอบรูถ้ ึง ทุก ๆ สายตา ผูท้ รงประณีต ผูท้ รงตระหนักยิ่งมาให้พวกเขายึดมัน่ ศรัทธา 2.1.7 ในช่วงเวลานี้ ท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلنได้ใช้โอกาสพบปะกับบรรดาผูศ้ รัทธาอย่าง เงียบ ๆ ณ บ้านของ อัล – อัรฺก็อม บิน อบี อัลอัรฺก็อม ซึ่งเป็ นคนหนึง่ ที่ได้เข้ารับอิสลามในช่วงแรก ๆ ซึ่ง ณ ที่นนั ่ ท่านเราะ ซูล صلى هللا علٍه وسلنได้สาธยายโองการต่าง ๆ ของอัลกุรอานที่อลั ลอฮฺ ได้ทรง ประทานลงมา ยังท่าน สอนให้พวกเขาเข้าใจเกี่ยวกับบทบัญญัตแิ ละ คาสอนต่าง ๆ ของอิสลาม ทยอยลง มาแล้วในช่างนัน้ 2.1.8 ท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلن
ได้รบั บัญชาให้เตือนสาทับคนในครอบครัวและญาติที่
14
ข้อความที่วา่ “หลังจากที่วะหยูได้ขาดช่วงไป ท่านเกือบที่จะกระโดดลงมาจากยอดเขาอันเนื่องด้วยความโศกเศร้า” นั้น ถูก บันทึกอยูใ่ นเศาะฮี้หฺของ อัล – บุคอรี ย ์ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า น่าจะเป็ นสานวนที่เกินเลยของอัซ – ซุฮฺรียเ์ สี ยมากกว่า ไม่ใช่ ข้อความที่มีสายรายงานมาแต่ตน้ - ดูใน ฟั ตหุล บารี ย์ เล่ ม 12 หน้ า 316 28
ใกล้ชิด ท่านได้ไปยืนบนเนินเศาะฟา และ ป่ าวประกาศให้ ชาวกุร็อยช์มาพบทีละกลุม่ ๆ เรียกร้องเชิญชวน ให้พวกเขาเข้ารับนับถืออิสลาม ให้ละทิ้งการเคารพบูชาเจว็ด ทัง้ หลาย ปลุกเร้าพวกเขาให้มีความปรารถนา ในความสุขแห่ง สวนสวรรค์ เตือนสาทับพวกเขาให้ กลัวความทุกข์ทรมาน ไฟนรก ทาให้ อบู ละฮับ โกรธ เคือง ถึงกับร้องตะโกนใส่ท่านว่า : “ความพินาศจงมีแก่เจ้า (มุฮมั มัด) ที่เจ้าเรียกพวกเรามาช ุมนุม ก็เพียงเพื่อสิ่งนี้เองดอก หรือ ?” 2.1.9 พวกกุร็อยช์ตอ้ งการที่จะเล่นงานท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلنแต่ลงุ ท่านคือ อบู ฏอลิบ ก็คอยปกป้องท่าน เขาปฏิเสธ ที่จะส่งตัวท่านให้กบั พวกกุร็อยช์ ต่อมาพวกกุร็อยช์ได้ พยายามเข้า พบเจรจากับ อบู ฎอลิบ ขอให้ปรามท่านให้ลดการเรียกร้องเชิญชวนผูค้ นสูอ่ ิสลาม ลง ทาให้ท่า นคิดว่าลุง ของท่านคงจะทิ้งท่านแล้ว ท่าจึงพูดกับลุงด้วยถ้อยคาที่เป็ นที่ทราบกันดีว่า : “ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ มาตรว่าพวกเขาสามารถเอาดวงอาทิตย์มาวางไว้บนมือขวาของ ฉัน และ สามารถ เอาดวงจันทร์มาวาง ไว้บนมือซ้ายของฉัน ด้วยเงื่อนไขว่า ให้ฉนั เลิก ภารกิจ นี้ ฉันจะไม่ ละทิ้งภารกิจ นี้อย่างเด็ดขาด จนกว่าอัลลอฮฺ จะ ทรงทาให้งานนี้ เป็นที่ประจักษ์ หรือ ทรง ให้ฉนั มลายไปเพื่อปกป้องภารกิจนี้ ” 2.1.10 ความพยายามของพวกตัง้ ภาคีกบั อัลลอฮฺ ในการให้รา้ ยท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلن และ เหล่า สาวกของท่านได้ ทวีความรุนแรง ขึน้ เรื่อย ๆ จนกระทัง่ ทาให้สาวกบางคน สังเวย ชีวิตไปอัน เนือ่ งจากการถูกทรมาน และบางคนต้องถูกทาร้ายจนทาให้ตาบอด 2.1.11 เมื่อท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلنเห็นว่าพวกกุร็อยช์ได้รงั แกและกระทาทารุณกับ บรรดาสาวกของท่านอย่างต่อเนือ่ ง ท่านได้บอกพวกเขาว่า “พวกท่านน่าที่จะอพยพไปยัง ดินแดนหะบะชะฮฺ ( เอธิโอเปีย ) เพราะที่นนั่ มีกษัตริยท์ ี่ไม่ อธรรมกับผูใ้ ด จนกว่าอัลลอฮฺ จะให้ โอกาสและทางออกแก่พวกท่าน ให้พน้ จากสภาพที่เป็นอยู่ ใน ขณะนี้เถอะ” เหล่าสาวกจึงได้อพยพ ไปยังหะบะชะฮฺ เป็ นครัง้ แรก จานวน 16 คน เป็ นผูช้ าย 12 คน และหญิง อีก 4 คน ต่อมาพวกเขาได้เดินทางกลับ มายัง มักกะฮฺ ด้วยได้ทราบข่าวการเข้ารับอิสลามของอ ุมัร บิน อัลค็อฏฏอบ และการประกาศการเข้ารับอิสลามอย่างเปิดเผยของเขา แต่พวกเขากลับมาอยู่ได้ ไม่นานนัก ก็ตอ้ งอพยพไปอีก ในครัง้ ที่สองนีจ้ านวนผูอ้ พยพได้เพิ่มขึน้ เป็ น 94 คน เป็ นผูช้ าย 83 คน และ หญิงอีก 11 คน 2.1.12 พวกตัง้ ภาคีได้ทาการควา่ บาตรท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنบนีฮาชิม และบนี อัล – มุฏเฏาะลิบ โดยห้ามไม่มีการติดต่อค้าขายกับพวกเขา ไม่ ให้มีการแต่งงานกับพวกเขา ไม่ ให้คบค้า สมาคมกับพวกเขา และไม่ให้มีการเจรจาสงบศึกกับพวกเขา การควา่ บาตรนีไ้ ด้ดาเนินไปเป็ นเวลา 2 - 3 ปี ท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلنและบรรดาผู้ สนับสนุน ท่านได้รบั ความ เดือดร้อน อย่างมากจากการควา่ บาตรครัง้ นี้ ในที่สดุ การควา่ บาตรได้ยตุ สิ ิ้นสุดลงด้วยความพยายามของ กลุม่ แกนนาที่เป็ นปั ญญาชนของ ชาวกุร็อยช์
29
2.2 บทเรียนและข้อคิด 2.2.1 เมื่อใดก็ตามที่อลั ลอฮฺ ทรงประสงค์ที่จะชี้ทางนาแก่บ่าวคนใดของพระองค์ยงั การเรียกร้อง เชิญชวนสูส่ จั ธรรมและการปฏิรปู ใด ๆ พระองค์จะทรงให้เขามีความรูส้ ึกรังเกียจความชัว่ การหลงผิด และ ความเสื่อมเสียที่เกิดขึน้ ในสังคม 2.1.1 จริง ๆ แล้วมุฮมั มัดไม่เคยได้รบั รูถ้ ึงการเป็ นนบี และไม่เคยฝันเห็นมาก่อนเลย เพียงแต่ว่า อัลลอฮฺ ทรงดลใจให้ท่านชอบที่จะปลีกตัวออกไปอยู่ตามลาพังเพื่อการเคารพภักดีพระองค์ ชาระขัดเกลาจิตใจตน อันเป็ น การที่พระองค์ทรง เตรียมการทางด้านจิตวิญญาณ ให้ท่าน เพื่อการแบกรับภาระแห่งสาสน์ หรือ การเป็ นผูส้ อื่ สาสน์ของ พระองค์ เพราะถ้าหากว่าท่าน นบี صلى هللا علٍه وسلنเคยรับรูเ้ กี่ยวกับการเป็ นนบีมาก่อนแล้วไซร้ ท่านก็คงจะไม่เกิด ความตระหนกตกใจกับการลงมาของวะหฺ ย ู และท่านคงจะไม่กลับไปหาค่อดีญะฮฺ และขอคาอธิบายจากนางเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึน้ กับท่าน ณ ถา้ หิรออ์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ท่านเองยังไม่ได้แน่ใจว่าท่าน ได้รับการแต่งตัง้ ให้ เป็ นร่อซูล นอกจากภายหลังจากที่ท่านได้เห็นญิบรีลและญิบรีลได้แจ้งแก่ท่านว่า “ โอ้มฮุ มั มัด ท่านคือ ผูส้ อื่ สาสน์ของอัลลอฮฺ ( ร่อซู ลุลลอฮฺ ) และฉันคือญิบรีล ” หรือภายหลังจากที่วะรอเกาะฮฺ บิน เนาฟั ล ได้ยา้ กับท่านและกับค่อดีญะฮว่า สิง่ ที่ท่านเห็น ณ ถา้ หิรออ์นนั้ คือ วะหฺ ยทู ี่เคยถูกนาลงมายังท่านนบีมซู า อะลัยฮิสลาม
2.1.2 หากว่าการเรียกร้องเชิญชวนไปสูก่ ารปฏิรปู ชีวิตและสังคมเป็ นสิ่งที่ผิดแผกแตกต่างไปจาก ความเชื่อของคนส่ วน ใหญ่และภูมิปัญญาของพ วกเขา ผูท้ ี่ทาหน้าที่เรี ยกร้องเชิญชวน และปฏิรูป จะต้องไม่ รีบเร่ งที่ จะเรี ยกร้องเชิญชวนผูค้ นไปสู่ สิ่งนั้นอย่างเปิ ดเผยไปจนกว่าผูค้ นจานวนหนึ่งจะได้ยอมรับศรัทธาแล้ว โดยที่คนกลุ่ม นั้นพร้อมที่จะพลี ทุก ๆ สิ่ ง ไปในหนทางของ การประกอบ ภารกิจนั้น ทั้งนี้ก็เผือ่ ว่า ในยามที่ ผูน้ าการดะอวะฮฺถูก รังแก หรื อมีอนั ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ทาให้ ไม่สามารถทาหน้าที่ได้ต่อไป ได้ บรรดาผูศ้ รัทธา เหล่านั้น จะได้ ทาหน้าที่ สื บต่อใน การดะอวะฮฺต่อไป ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ งนัน่ คือ หลักประกัน ที่สาคัญของ ความต่อเนื่อง ในการ ดะอวะฮฺ 2.1.3 เนือ่ งจากท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنได้ทาให้ชาวอาหรับสะดุง้ ตืน่ กับสิ่งที่พวก เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนหน้านี้ ทาให้เกิดการปฏิเสธอย่างรุนแรงต่อการดะอวะฮฺ ของท่าน สิ่งเดียวที่พวก เขาต้องการในเวลานัน้ คือ การกาจัดท่าน เราะซูล صلى هللا علٍه وسلنกับเหล่าสาวกของท่าน เสีย สิ่ง ดังกล่าว นับว่าเป็ นข้อโต้แย้ง ที่ชดั เจนทางประวัตศิ าสตร์ กับพวกที่เรียกร้องสูล่ ทั ธิชาตินยิ มที่คิดว่าสาสน์ ของท่านนบีมฮุ มั มัด صلى هللا علٍه وسلنนัน้ เป็ นเพียงแค่สิ่งที่แสดงออก ที่สอดคล้องกับ ความหวังและ ความต้องการของชาวอาหรับในเวลานัน้ ซึ่งนัน่ นับว่าเป็ นความคิดที่นา่ ตลกขบขันอย่างยิ่ง เป็ นความคิด ที่ขดั กับข้อเท็จจริง และเหตุการณ์ทางประวัตศิ าสตร์ ที่ได้ประจักษ์กบั การขัดแย้งที่เกิดขึน้ ข้ออ้างดังกล่าว เป็ นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อของ พวกที่คลัง่ ไคล้ในลัทธิชาตินยิ ม ที่ตอ้ งการทาให้เห็นว่า อิสลามเป็ นสิ่งที่นา ออกมาจากชาวอาหรับและแนวการคิดของพวกเขา กลุม่ เดียวเท่านัน้ ซึ่งถือเป็ นการปฏิเสธอย่างชัดเจนต่อ การเป็ นนบีของท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلنและถือเป็ นการหมิ่นประมาทที่รา้ ยแรงต่อสาสน์อิสลาม 2.1.4 การยืนหยัดอย่างมัน่ คงและไม่สนั ่ คลอนของบรรดาผูศ้ รัทธา ภายหลังจากที่พวกคนชัว่ และ หลงผิดได้กระทาทารุณกรรมและกดขีข่ ม่ เหงพวกเขาด้วยวิธีการต่าง ๆ มากมายสารพัดนัน้ เป็ นหลักฐาน ที่บ่งบอกอย่างชัดแจ้งถึงความสัจจริงแห่งความศรัทธา ความบริสทุ ธิ์ของความเชื่อมัน่ ที่อยู่ในจิตใจ และ ชี้ให้เห็นถึงความสูงส่งแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาด้วย แม้ว่าพวกเขาจะถูกรังแกและอธรรมอย่างแสน สาหัส เรายังพบ ว่าพวกเขามีความรูส้ ึกสบายใจ มีความสงบทางจิตใจ ใช้สติ ปั ญญาและเหตุผลในการ แก้ไขและเผชิญหน้ากับปั ญหา พวกเขามุง่ หวัง ที่จะได้รบั ความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ ซึ่งพวกเขาถือว่า ยิ่งใหญ่กว่า ความเจ็บปวดที่ได้รบั จาก การถูกกระทาทารุณ ความสูญเสีย ความเลวร้ายต่าง ๆ ที่ตอ้ ง เผชิญ ไม่ว่าจะเป็ นการกักขัง หรือการกดขีข่ ม่ เหงทางร่างกายและจิตใจในรูปแบบใด ๆ ก็ตาม 30
ความเข้มแข็งของบรรดาผูศ้ รัทธา ผูส้ ั จจริงและเหล่าดุอาต ผูม้ ีความบริสทุ ธิ์ใจนัน้ เกิด ขึน้ จากจิต วิญญาณของพวกเขาเสมอ หาใช่มาจากร่างกายของพวกเขาไม่ พวกเขาไวต่อการตอบรับ เสียงเรียกร้อง ของวิญญาณแม้ว่าจะฝื นเสียง เรียกร้องของร่างกายอันได้แก่ ความ สะดวกสบาย ความอิ่มหนา สาราญ และความโอชะทัง้ ปวง จึงทาให้การเรียกร้องเชิญชวน สูอ่ ดุ มการอิสลาม ได้รบั ชัยชนะ ด้วยหลักนีเ้ องที่ ทา มวลชนได้รบั การปลดปล่อยให้พน้ จากความมืดมนและความงมงายทัง้ หลายในที่สดุ 2.1.5 คาพูดของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنกับอบูฏอลิบ ผูเ้ ป็ นลุงของท่าน โดย ได้ปฏิเสธข้อเสนอของพวกกุร็อยช์ที่จะ หยิบยื่น ทรัพย์ สิน และอานาจในการปกครองให้แก่ท่านนัน้ เป็ น หลักฐานที่ ยืนยันถึง สัจจะแห่งการประกาศตัวเป็ นร่อซูลของท่าน ความปรารถนา อันแน่วแน่และแรงกล้า ของท่านที่จะนาทางผูค้ นสูส่ จั ธรรมอิสลาม ซึ่งนัน่ คือสิ่งที่ผเู้ ป็ นดาอีย(์ นักดะอฺ วะฮฺ )จะต้องตระหนักและมุง่ มัน่ ในการทาหน้าที่ดะอวะฮฺ อยู่เป็ นนิตย์ แม้ว่า เขาจะต้องเผชิญหน้ากับ พวกที่ยอมจานนต่อความมดเท็จ ที่จะ รวมตัวกันเล่นงานเขา หรือยื่นข้อเสนอที่ ดึงดูด เขามากสักเพียงใด ไม่ว่าจะเป็ น ตาแหน่ง หรือ ฐานะเงินทอง เพราะสาหรับบรรดาผูศ้ รัทธาแล้วความเหน็ดเหนือ่ ยบนหนทาง แห่งสัจธรรมนัน้ เป็ น ความสุข ใจที่แท้จริง ของพวกเขา ความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ ที่มีในตัวเขา และสวนสวรรค์ที่พระองค์จะทรงประทานให้เป็ น รางวัลสาหรับพวกเขานัน้ มีเกียรติยิ่งกว่า มีคา่ สูงกว่าทุก ๆ ตาแหน่งฐานะ และ ผลประโยชน์ที่เป็ น ทรัพย์สินทัง้ หลายบนโลกนี้ 2.1.6 นักดะอฺ วะฮฺ จะต้องหาโอกาสพบปะกับบรรดาผูท้ ี่สามารถให้กาลังใจและให้คาแนะนาเขาอยู่ อย่างสมา่ เสมอ ซึ่งอาจจะ เป็ นระยะ ๆ เช่นเป็ นราย สัปดาห์ หรือรายเดือน เพื่อ เสริมสร้าง ความเชื่อมัน่ ใน ภารกิจของการเรียกร้องเชิญชวนของเขา แสวงหาคาชี้แนะเกี่ยวกับแนวทาง วิธีการ และข้อควรปฏิบตั ิ ตา่ ง ๆ ในการดะอวะฮฺ ในสถานการณ์ที่ เกรงว่าอาจจะมีอนั ตรายเกิดขึน้ กับตัว เอง หรือกับ เพื่อนร่วมงาน อันเนือ่ งมาจาก การพบปะชุมนุมกันอย่างเปิ ดเผย ก็จะต้องจัดให้มีการพบปะกั นโดยไม่เปิ ดเผยอย่าง เงียบ ๆ เพื่อมิให้ บรรดาไพร่พลของ ความมดเท็จรับทราบข่าวคราวและความเคลื่อนไหว อันจะนาไปสู่ ความยุ่งยาก ภัย คุกคาม การกดขีข่ ม่ เหง และกระทาทารุณกรรมต่อพวกเขาได้ 2.1.7 ผูเ้ ป็ นนักดะอฺ วะฮฺ จะต้องให้ความสนใจและดูแลเอาใจใส่ญาติพี่นอ้ งให้มากเป็ นพิเศษ หมัน่ เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาสูก่ ารปฏิรปู ตนเองและสังคม แต่หากพวกเขาไม่สนใจและ เมินเฉย ก็ถือว่า เขาได้ ทาหน้าที่แล้ว ได้มีขอ้ แก้ตวั เบื้องหน้าพระพักตร์ของอัลลอฮฺ ในวันกิยามะฮฺ และจะได้มีขอ้ แก้ตวั เบื้องหน้า ผูค้ นทัง้ หลายว่า ญาติพี่นอ้ งของเขาเป็ นคนดื้อดึง ดันทุรงั ที่จะดารงอยู่บนความเสื่อมเสีย และการหลงผิด ! 2.1.8 เมื่อใดก็ตามที่ผเู้ ป็ นดาอียพ์ บว่า เพื่อนพี่นอ้ งผูร้ ่วมงานของตนตกอยู่ภาวะเสี่ยงต่ออันตราย ที่อาจจะเกิดขึน้ กับชีวิต หรือ กับความเชื่อของพวกเขา เขาจะต้องเตรียมสถานที่ หรือแหล่งพักพิง ที่จะให้ พวกเขาได้รบั ความปลอดภัยจากภัยคุกคามของไพร่พลของ ความมดเท็จ การกระทาเช่นนี้ ไม่ได้ขดั แย้งกับ หน้าที่ในการเสียสละของเหล่าดุอาต เพราะในยามที่พวกเขามีจานวนน้อย บรรดาผูย้ อมจานนต่อกับความ เท็จที่มีจานวนมากกว่า ก็อาจจะทาลายล้างพวกเขาให้หมดไปอย่างราบคาบได้ แล้วก็จะเป็ นเหตุให้ งานดะอฺ วะฮฺ ของพวกเขาต้องหยุดชะงัก ลง การที่พวกเขาได้พานักในสถานที่สงบมัน่ คงและปลอดภัย นัน้ เป็ น หลักประกันได้ว่าการดะอวะฮฺ จะสามารถดาเนินไปและ ขยายตัวได้อย่างต่อเนือ่ ง 2.1.9 เกี่ยวกับการที่ท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلنได้สงั ่ ให้บรรดาสาวกของท่านอพยพไปยัง หะบะชะฮฺ ครัง้ แรกและครัง้ ที่สองนัน้ ชี้ให้เห็นว่า สายสัมพันธ์ ทางศาสนาระหว่างผูท้ ี่ยึดมัน่ ในศาสนา ที่เชื่อ ในพระเจ้าองค์เดียว อย่างแท้จริง – แม้ว่าจะมีศาสนาที่แตกต่างกัน – นัน้ มัน่ คงและแน่นแฟ้ น กว่าสาย สัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับพวกบูชา เจว็ดและ ผูป้ ฏิเสธพระเจ้า เพราะ จริง ๆ แล้ว ศาสนาแห่งฟากฟ้ า
31
ทัง้ หมด ( ศาสนาที่มาจากพระเจ้า ) นัน้ ต่างมีแหล่งที่มา และรากฐานแห่งคาสอนจากแหล่งเ ดียวกัน มีจดุ ร่วมกันในเรื่องสังคม การศรัทธาในอัลลอฮฺ บรรดาร่อซูลของพระองค์ และวันสุดท้าย 2.1.10 บรรดาผูท้ ี่ยอมจานนต่อความมดเท็จจะไม่ยอมจานนต่อบรรดาผูย้ ึดมัน่ ในสัจธรรมอย่าง ง่าย ๆ ดังนัน้ ทุก ๆ ครัง้ ที่พวกเขาไม่สามารถที่จะใช้สื่อ อย่างหนึง่ หรือเครื่องมือ ใดเพื่อ ทาสงครามต่อต้าน และทาลายล้างการเรียกร้องเชิญชวนแห่งสัจธรรม พวกเขาจะ คิดหาเครื่องไม้เครื่องมืออื่น ๆ มาเพื่อ ดาเนินการต่อไป อย่างไม่หยุดยัง้ เหตุการณ์เช่นนีจ้ ะดาเนินไปจนกว่า ฝ่ าย สัจธรรมจะได้รบั ชัยชนะ หรือ จนกว่าความมดเท็จจะสิ้นลมหายใจเฮือกสุดท้าย
32
หมวดที่ 3 ชีวประวัติท่านนบี صلى هللا علٍه وسلن ภายหลังจากการอพยพไปยังหะบะชะฮฺ จนถึง การอพยพไปสูน่ ครมะดีนะฮฺ 3.1
เหต ุการณ์สาคัญทางประวัติศาสตร์ในช่วงนี้
3.1.1 อบู ฏอลิบผูเ้ ป็ นลุงของท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلنได้เสียชีวิตลงในปี ที่๑๐ของการ เป็ นนบีของท่าน อบูฏอลิบเขาได้ ช่วยปกป้องท่าน ผูเ้ ป็ นลูกของพี่ชายของเขาเป็ นอย่างมาก ตลอด ระยะเวลา ที่เขามีชีวิตอยู่นนั้ พวกกุร็อยช์ไม่สามารถทาอันตรายใด ๆ ท่านได้ ด้วยว่า พวกเขา เคารพและ เกรงขาม ในอบูฏอลิบ แต่ครัน้ เมื่ออบูฏอลิบได้เสียชีวิตลง พวกกุร็อยช์ก็กล้าที่จะรังแกท่านมากขึน้ ดังนัน้ การเสียชีวิตของ อบูฏอลิบ จึงนามาซึ่งความเสียใจอย่างสุดซึ้งของท่าน ก่อนหน้านัน้ ท่าน เคย มีความ ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้อบูฏอลิบ ได้กล่าวถ้อยคาปฏิญาณตนเข้ารับอิสลามใน ช่วงที่ อบูฏอลิบ นอนป่ วย หนักอยู่บนเตียง แต่อบูฏอลิบก็ได้ปฏิเสธด้วยกลัวจะถูกประณามจากหมูช่ นของเขา 3.1.2 ในปี เดียวกันนีค้ อ่ ดียะฮฺ رضً هللا عٌهاภริยาคนแรกของท่านก็ ได้เสียชีวิตลงด้วยอีกคนหนึง่ ซึ่ง ตลอดระยะเวลา ที่นาง มีชีวิตอยู่นนั้ นางได้ชว่ ยแบ่งเบา ภาระ ความทุกข์และความ โศกเศร้า เสียใจของท่าน จากการเผชิญหน้ากับ การตัง้ ตัว เป็ นศัตรูและการล่วงละเมิด ของพวกกุร็อยช์ ดังนัน้ เมื่อนางได้เสียชีวิต ลง ทาให้ ท่านรูส้ ึกโศกเศร้า เสียใจกับการจากไปของนางเป็ นอย่างมาก จนทาให้ปีที่สิบ ของการประกาศ อิสลามของท่าน อัน เป็ นปี ของการจากไปของอบูฏอลิบผูเ้ ป็ นลุง กับ เคาะดีญะฮฺ ผเู้ ป็ นภริยาของท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنได้ชื่อว่าเป็ น “ปีแห่งความโศกเศร้า” )(عام الحزى 3.1.2 เมื่อแผนการร้ายและการรังแกของพวกกุร็อยช์ ตอ่ ท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلنทวี ความรุนแรง มากขึน้ ภายหลังจากการเสียชีวิตของลุงและภริยา ท่า น จึงตัดสินใจ เดินทางมุง่ หน้าไปยัง เมืองฏออิฟ เพื่อไปพบกับก๊กษะกีฟ ด้วยหวังว่าพวกเขาจะตอบรับและ สนับสนุน การดะอวะฮฺ ของท่านให้ ประสบความสาเร็จ ทว่า การคาดการณ์ของท่านผิดถนัด เมื่อ พวกเขาได้ตอ้ นรับท่านด้วยการต้อนรับที่ไม่ บังควรยิ่ง พวกเขาได้ใช้ให้ เด็ก ๆ ตะโกนโห่รอ้ งขับไล่ท่าน ขว้างปาก้อนหิน เข้าใส่ท่าน จนทาให้เลือดไหล ออกจากสองเท้าอันบริสทุ ธิ์ของท่านصلى هللا علٍه وسلن ทาให้ท่านจาต้องดัน้ ด้นเดินทางกลับอย่าง ไม่มีทางเลือก ระหว่างทาง ท่านได้หลบเข้าไปในสวนแห่งหนึง่ ของเมืองฏออิฟ ณ ที่นนั ่ ท่านได้วิงวอนขอพร ต่ออัลลอฮฺ ดว้ ยคาวิงวอนที่เต็มไปด้วยสมาธิว่า : “ข้าแต่ อลั ลอฮฺ ต่อพระองค์ที่ฉนั ร้องท ุกข์ในกาลัง อันอ่อนแอของฉัน ความด้อยก ุศโลบาย ของฉัน ความต่าต้อยของฉันในสายตาของผูค้ น โอ้พระผูท้ รงเมตตายิง่ พระองค์คือพระผู้ อภิบาลของบรรดาผูถ้ ูกกดขี่ พระองค์คือพระผูอ้ ภิบาลของฉัน ยังผูใ้ ด อีกเล่า หรือที่พระองค์จะ ทรงมอบตัวฉันให้ แก่เขา ? แก่ ผห้ ู ่างไกลที่เขา จะทาหน้าบึ้งใส่ฉนั กระนัน้ หรือ ? หรือ แก่ ศตั ร ูที่ พระองค์ให้เขามีอานาจครอบครองการงานของฉัน กระนัน้ หรือ ? ดังนัน้ มาตรว่าพระองค์มิได้ ทรงกริ้วฉัน ฉันจะไม่ สนใจต่ออะไรทัง้ สิ้น ทว่า การคม้ ุ ครอง ปกป้องของพระองค์นนั้ กว้าง ใหญ่ ไพศาลสาหรับฉันเสมอ ฉันขอความคม้ ุ ครองด้วยแสงสว่างแห่งพระพักตร์ของพระองค์ที่ทาให้ 33
ความมื ดทัง้ หลายสว่างไสว และทาให้ กิจการของ โลกและปรโลก ประเสริฐ ว่า ขออย่าให้ความ กริ้วหรือ ความโกรธของพระองค์ประสบกับฉัน ฉันจะบ่นกับพระองค์ไปจนกว่าพระองค์จะทรง พึงพอพระทัย ไม่มีพลังอานาจอื่นใดนอกจากด้วยอนมุ ตั ิของอัลลอฮฺ ” √ 3.1.3 ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنได้เดินทางกลับจากเมืองฏออิฟ โดยที่พวกษะกีฟ ไม่ได้ตอบรับการเรียกร้องเชิญชวนของท่าน นอกจากการเข้ารับอิสลามของ เด็กหนุม่ คนหนึง่ ที่มีนามว่า “อัดด๊าส” เขาเป็ นเด็กรับใช้ของ สองพี่นอ้ งอุตบะฮฺ และชัยบะฮฺ บตุ รของ ร่อบีอะฮฺ อัดด๊าสเป็ นเด็กที่ เคยนับถือศาสนาคริสต์มาก่อน สาเหตุที่เขาเข้ารับอิสลามนัน้ มีอยู่ว่า นายทัง้ สองของเขาได้สงั ่ ให้เขานาเอา องุน่ ช่อหนึง่ ไปให้ท่านขณะที่ท่านอยู่ในสวนของเขาทัง้ สอง ในขณะที่ท่านอยู่ในสภาพที่เหน็ดเหนือ่ ย และอิดโรย เนือ่ งถูกพวกษะกีฟรุมทาร้าย เมื่ออัดด๊าสได้ยื่นองุน่ ให้ท่าน เราะซูล صلى هللا علٍه وسلن นัน้ ท่าน ได้รบั และเริ่มรับประทานด้วยการกล่าวว่า : ( تاسن هللاด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ) อัดด๊าสจ้อง มองดูท่านด้วยความสนใจ เพราะโดยปกติผคู้ นที่นนั ่ ไม่มีใครกล่าวอย่างนัน้ แล้วเขาได้สนทนากับท่านและ ซักถามท่าน จนในที่สดุ อัดด๊าสก็ได้ศรัทธาและเข้ารับอิสลามต่อหน้าท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنในครัง้ นัน้ เอง 3.1.4 เกิดปาฏิหาริยแ์ ห่งอิสรออ์และเมียะอฺ รอจญ์ขนึ้ ซึ่งในเรื่องนี้ มีความเห็นที่แตกต่างกัน ออกไป เกี่ยวกับ รูปแบบที่แท้จริงของ เหตุการณ์ ทางประวัตศิ าสตร์ นี้ แต่ที่ ชดั เจน ก็คือ เหตุการณ์นเี้ กิดขึน้ ก่อน การฮิจญ์เราะฮฺ ไปสูน่ ครมดีนะฮฺ คือประมาณปี ที่สิบของการเป็ นนบี ส่วนที่เกี่ยวกับรูปแบบนัน้ ทัศนะที่นา่ จะ มีนา้ หนักมากที่สดุ นัน้ น่าจะเป็ นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่) (الجوهىرที่ว่า ทัง้ สองเหตุการณ์นเี้ กิดขึน้ ด้วยร่างกายและจิตวิญญาณจริง ๆ ของท่านนบีصلى هللا علٍه وسلن อัล – อักศอ แล้วถูกนาตัวขึน้ สูฟ่ ากฟ้ าชัน้ สูง สุด แล้วถูกนากลับมายังบ้านของท่านที่มกั กะฮฺ ภายในคืนเดียวกัน เมื่อ ท่านได้บอกพวก กุร็อยช์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ พวกเขาได้เยาะเย้ย ท่าน และว่าท่านมุสา มีแต่เพียง อบูบกั ร กับบรรดา ผู้ ศรัทธาที่มีความศรัทธาจริง ๆ เท่านัน้ ที่เชื่อในสิ่งที่ท่านบอก 3.1.5 ในคืนอิสรออ์และ เมียะอฺ รอจญ์นเี้ อง ที่การนมาซห้าเวลาได้ถกู กาหนด เป็ นบทบัญญัติ ให้ มุสลิมที่มีสติสมั ปชัญญะครบถ้วน ที่มีอายุบรรลุนติ ภิ าวะตามบทบัญญัตขิ องอิสลามได้ปฏิบตั ิ 3.1.6 ในช่วงเทศกาลการประกอบพิธี ฮัจญ์ของทุกๆ ปี ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنจะเดิน ไปพบปะกับ ชาวอาหรับ กลุม่ ต่าง ๆ เพื่อเรียกร้องเชิญชวนพวกเขาสูอ่ ิสลาม เลิก การ สักการบูชาเจว็ด ครัง้ หนึง่ ในขณะที่ท่านกาลัง อยู่ที่บริเวณเนินที่ขว้างก้อนกรวดนัน้ (ณ ทุ่งมินา) ท่านได้มี โอกาสพบกับพวกอัล – เอาว์สและอัล – ค็อซร็อจญ์ กลุม่ หนึง่ ท่านได้เชิญชวนให้พวกเขาเข้ารับอิสลาม ซึ่ง พวกเขาก็ได้ตอบรับ คาเรียกร้องของท่าน และได้เข้ารับอิสลามจานวน 7 คน ต่อมา พวกเขาได้เดินทาง กลับไปเมืองมดีนะฮฺ และได้เล่าให้หมูช่ นของพวกเขาฟังถึงการพบปะของพวกเขากับท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنและการเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามของพวกเขาด้วย 3.1.7 ในปี ต่อมา คือถัดจากปี ที่สิบสองของการได้รบั การแต่งตัง้ ให้เป็ นนบี ซึ่งตรงกับเทศกาล ฮัจญ์ ท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنได้ใช้โอกาส พบปะหารือ กับ กลุม่ ชายชาวอันศอร์ จานวน 10 คน พวกเขาได้ให้สตั ย์ปฏิญาณกับท่าน เมื่อพวกเขาเดินทางกลับไปยังมดีนะฮฺ ท่านนบี صلى هللا علٍه وسلن ได้สง่ มุศอัฟ บิน อุมยั ร์ ร่วมเดินทางไปด้วย เพื่อ ไปทาหน้าที่สอนอัลกุรฺอานและความรูเ้ กี่ยวกับอิสลามแก่ ชาวอันศอรฺ ที่ได้เข้ารับอิสลาม ทาให้อิสลามได้แพร่กระจายออกไปในเมืองมดีนะฮฺ อย่างกว้างขวาง
34
3.1.8 ในเทศกาลฮัจญ์ของปี ต่อมา ชาวอันศอร์กลุม่ หนึง่ ก็ได้เดินทางมานครมักกะฮฺ อีก พวกเขา ได้พบปะกับท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنได้ประชุมร่วมกับท่านอย่างลับ ๆ ชาวอันศอรฺ กลุม่ นี้ มีจานวน 72 คน ผูช้ าย 70 คน ผูห้ ญิง 2 คน พวกเขาได้ให้สตั ย์ปฏิญาณที่ จะให้การช่วยเหลือ สนับสนุน และ ปกป้องท่านอย่างเต็มที่เหมือนกับที่พวกเขาปกป้องภรรยาและลูก ๆ ของตนเอง พวกเขาได้เดินทางกลับไป ยังมดีนะฮฺ ภายหลังจากที่ได้เลือกนะกี บ(ครูพี่เลี้ยง หรือหัวหน้ากลุม่ ย่อย) จานวน 12 คน เพื่อ แบ่งกัน ทา หน้าที่ในการดะอวะฮฺ ในหมูช่ นชาวมดีนะฮฺ
3.2
บทเรียนและข้อคิด
3.2.1 เป็ นไปได้ว่า อาจจะมีใครสักคนในหมูญ ่ าติพี่นอ้ งของผูเ้ ป็ นดาอีย์ เป็ นผูท้ ี่ให้การสนับสนุนเขา ทัง้ ๆ ที่เขาผูน้ นั้ ไม่ใช่ผทู้ ี่ตอบรับการดะอวะฮฺ นนั้ ซึ่งนัน่ ถือเป็ นประโยชน์ตอ่ การดะอวะฮฺ ในช่วงที่ งานดะอวะฮฺ ยังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ เพราะบุคคลนัน้ จะช่วยคุม้ ครองดาอีย์ รอดพ้น จากการปองร้ายและการรังแกของ คนชัว่ จากบรรดาผูท้ ี่ตงั้ ตัวเป็ นศัตรู ดังนัน้ ความรักใน วงศ์ตระกูล และครอบครัว ของตน หรืออาจจะ เรียก ความรูส้ ึกเช่นนี้ ว่า กลมุ่ นิยม หรือ ตระก ูลนิยม นัน้ เป็ นสิ่งที่ผเู้ ป็ นดาอียส์ ามารถที่นามาใช้ ประโยชน์ในการดะอวะฮฺ ของเขาได้ เพื่อปกป้องตัวเขาและการดะอวะฮฺ ของเขา หากว่าสิ่งนัน้ ไม่ดาเนินไปบน แนวทางที่ไม่กอ่ ให้เกิดความเสียหาย หรือความชัว่ 3.2.2 ภรรยาที่เป็ นคนดี ผูม้ ีความศรัทธาในอัลลอฮฺ ผูต้ ระหนักในความสาคัญ และเห็นคุณค่าของ งานดะอวะฮฺ แห่งสัจธรรมนัน้ จะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระที่หนักอึ้งของสามีที่เป็ นนักดะอฺ วะฮฺ และลดความ ยุ่งยากต่าง ๆ ของผูเ้ ป็ นดาอีย์ ลงได้เป็ นอย่างมาก กล่าวคือ ถ้าหากหล่อนมีสว่ นร่วมใน ความรูส้ ึก วิตก กังวล และความเจ็บปวด ของสามี หล่อนก็จะเป็ นผูท้ ี่ชว่ ย ปั ดเป่ าความวิตกกังวลของเขา ช่วย ทาให้เขามี จิตใจที่เข้มแข็ง ขึน้ พร้อมที่จะยืนหยัดและก้าวต่อไป โดยไม่ตอ้ งหยุดชะงัก ดังนัน้ ภรรยาจึงเป็ นผูท้ ี่มีอิทธิพล ต่อความสาเร็จ และ ชัยชนะของการดะอวะฮฺ เป็ นอย่างยิ่ง จุดยืนของท่านหญิง เคาะดีญะฮ رضً هللا عٌها ต่อท่าน เราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنคือ แบบอย่าง ที่ดียิ่งของภรรยาผูศ้ รัทธาในการดะอวะฮฺ สู่ ความดี เป็ นกุลสตรี ผมู้ ีบทบาทใหญ่หลวงต่อความสาเร็จของสามีผเู้ ป็ น สามี เป็ นผูท้ ี่ชว่ ยให้ เขายืนหยัด อย่างมัน่ คง และสามารถดาเนินไปบนเส้นทางของการดะอวะฮฺ ได้อย่างต่อเนือ่ ง ในขณะที่ การไม่มีภรรยาที่ มีคณ ุ สมบัตเิ ช่นนี้ เป็ นผูค้ อยช่วยเหลือสามี ในการกระโจนเข้าไป สู่สมรภูมิของงานปฏิรปู นัน้ จะ ก่อให้เกิด ความขาดทุนที่ยิ่งใหญ่ และจะทาให้สามีผเู้ ป็ นดาอียพ์ บกับความโศกเศร้า เสียใจ 3.2.3 ความโศกเศร้าเสียใจต่อการจากไปของญาติ ผูใ้ กล้ชิด ผู้ที่เคยให้การปกป้องงาน ดะอฺ วะฮฺ แห่งสัจธรรม แม้ว่าญาติคนนัน้ จะไม่ได้เป็ นผูท้ ี่ศรัทธาในการดะอวะฮฺ ความรูส้ ึกโศกเศร้าเสียใจ ต่อการ สูญเสียภรรยาผูศ้ รัทธา ผูม้ ีความบริสทุ ธิ์ใจ เป็ นเรื่องปกติที่เป็ นธรรมชาติของผูท้ ี่มีความบริสทุ ธิ์ใจต่อ งาน ดะอวะฮฺ เป็ นความรูส้ ึกที่สามีพึงมีตอ่ ภรรยาผูเ้ ป็ นแบบอย่างที่ดีในความเสียสละและการสนับสนุนงานดะอ วะฮฺ ด้วยเหตุนี้ เราจึงพบว่า ท่านเราะ ซูล صلى هللا علٍه وسلنได้กล่าวภายหลังจากการเสียชีวิต ของอบูฏอลิบว่า : “ขออัลลอฮฺ ทรงเอ็นด ูเมตตา และให้อภัยโทษแก่ท่าน ฉันได้ขอให้อลั ลอฮฺ ให้อภัย โทษแก่ท่านจนกระทัง่ พระองค์ทรงห้ามฉัน ” ซึ่งต่อมาบรรดามุสลิมก็ได้ปฏิบตั ติ ามท่าน เราะซูล صلى هللا علٍه وسلنในการขออภัยโทษจากอัลลอฮฺ ให้แก่ ญาติพี่นอ้ งที่เป็ นพวกตัง้ ภาคีที่เสียชีวิต ลงในหมูพ่ วก เขา จนกระทัง่ อัลลอฮฺ ได้ทรงประทานอายะฮฺ ที่ว่า
35
“นบีและผูศ้ รัทธาไม่มีสิทธิที่จะขออภัยโทษให้แก่บรรดาผูต้ งั้ ภาคี แม้ว่าพวกเขาจะเป็นญาติ ใกล้ชิด ก็ตาม ภายหลังจากที่ได้เป็นที่ชดั เจนแก่พวกเขาแล้วว่า พวกเขาคือชาวนรก ” ( อัต – เตาบะฮฺ : 113 ) ท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنจึงได้หยุดจากการขออภัยโทษให้แก่อบูฏอลิบ เช่นเดียวกัน กับ บรรดามุสลิมที่ได้หยุดจากการขออภัยโทษให้แก่ผตู้ งั้ ภาคีที่เสียชีวิตในหมูพ่ วกเขาด้วย ตลอดชีวิตของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنหลังจากที่คอ่ ดีญะฮฺ ได้จากไปนัน้ ท่าน ยังคงนึกถึงความดีของ นาง แสดง ให้เห็นถึง ความรักที่ท่านมี ต่อนาง ท่านทาดี ตอ่ เพื่อนๆ ของนาง อยู่ เสมอ จนขนาดว่าการแสดงออกของท่านทาให้อาอิชะฮฺ รสู้ ึกหึงหวง ทัง้ ๆ ที่ นางจะได้เสียชีวิต ไปแล้ว ทัง้ นี้ เนือ่ งจากการที่อาอิชะฮฺ มกั จะได้ยินท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلن เอ่ยถึงนางอยู่บ่อยครัง้ มาก ดัง หะดีษที่รายงานโดยอัล – บุคคอรียท์ ี่เล่าโดยอาอิชะฮฺ เองว่า นางได้กล่าวว่า : ไม่มีภรรยาคนไหนของท่านนบี صلى هللا علٍه وسلن ที่ฉนั หึงมากเท่ากับที่ฉนั หึงค่อดีญะฮ ทัง้ ๆ ที่ฉนั ไม่เคยเห็นหน้านาง เพราะว่า ท่านนบี صلى هللا علٍه وسلن พูดถึงนางบ่อยครัง้ มาก บา งครัง้ เมื่อท่านเชือดแพะ และชาแหละ ชิ้นส่วนของมันแล้ว ท่านก็จะจัดแบ่งและส่งมันไปให้กบั เพื่อน ๆ ของค่อดีญะฮฺ มีบาง ครัง้ ที่ ฉนั ถึงกับ พูด ว่า : “เหมือนกับว่าในโลกนี้ไม่มีผห้ ู ญิงอื่นอีกแล้วนอกจากค่อดีญะฮกระนัน้ แหละ ท่านจึงกล่าวว่า ก็เพราะนางได้ทาและเคย ( หมายถึง ความดีงามที่นางเคยทาขณะที่มีชีวิตอยู่ ) และฉันกับ นางมีล ูกด้วยกัน” 3.2.4 ในการเดินทางของท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلنมุง่ หน้าไปยังเมืองฏออิฟ ภายหลัง จากที่ชาวเมืองมักกะฮฺ เมินหน้าจากท่านนัน้ เป็ นหลักฐานที่บ่งบอกถึงความตัง้ ใจ อัน แน่วแน่ของท่าน ใน การที่จะดาเนินงานดะอวะฮฺ ตอ่ ไปอย่างไม่หยุดยัง้ ไม่หมดหวังจากการตอบรับการดะอวะฮฺ ของผูค้ น ความ พยายามในการแสวงหาสนามใหม่ ๆให้กบั งานดะอวะฮฺ หลังจากที่ประสบปั ญหาและอุปสรรคในสนามแรก ๆ ในขณะที่การโห่รอ้ งขับไล่ไสส่งท่านของเด็ก ๆ และคนเบาปั ญญาของพวกษะกีฟนัน้ เป็ นสิ่งที่บ่งบอกถึง สันดานที่เหมือน ๆ กัน ของคนชัว่ ทุกแห่งหน นัน่ คือ การ ใช้พวกเบาปั ญญา หรือขาดการศึกษา เป็ น เครื่องมือในการประทุษร้ายต่อบรรดาผูเ้ รียกร้องเชิญชวนไปสู่คณ ุ ธรรมความดี สาหรับการที่ท่าน เราะซูล صلى هللا علٍه وسلنถึงขนาดที่ ตอ้ งได้รบั บาดเจ็บจนมีเลือดไหลออก จากเท้าทัง้ สองของท่านนัน้ นับว่าเป็ นแบบอย่างที่ยิ่งใหญ่ให้กบั นักดะวะฮฺ ผูท้ ี่จะต้องแบกรับ ภาระหน้าที่ และ ต้องเผชิญหน้ากับการรังแกข่มเหงของเหล่าทรชนบนเส้นทางของการดะอวะฮฺ สูอ่ ลั ลอฮฺ สาหรับดุอาอ์ หรือ คาวิงวอนของท่านนบี บุคคลสาคัญ ๆ อีกทัง้ ไม่ใช่ เป็ นการแสวงหาความพอใจ ของคนทัว่ ไปและพวกเบาปั ญญา ดังปรากฏในข้อความที่ว่า “มาตรว่าพระองค์มิทรงกกริ้ว ฉันก็จะไม่ ใส่ใจต่อสิ่งใด ๆ ทัง้ สิ้น ” ในดุอาอ์นนั้ ยังแสดงให้เห็นถึงการนา ดึงเอาพลังความเข้มแข็งมาจากอัลลอฮฺ ด้วยการยึดเอาพระองค์เป็ นที่พึ่ง และขอความช่วยเหลือจากพระองค์ นอกจากนัน้ ดุอาอ์นี้ ยงั ได้ชี้ให้เห็น ถึงว่า สิ่งที่ผเู้ ป็ นดาอียจ์ ะต้องกลัวมากที่สดุ คือ ความกริ้วโกรธของอัลลอฮฺ หาใช่ความโกรธเคืองของผูใ้ ด อื่น หรือสิ่งอื่นใดจากพระองค์ 36
3.2.5 ในปาฏิหาริยแ์ ละความมหัศจรรย์ แห่งการอิสรออ์และเมียะอฺ รอจญ์ นัน้ มีวิทยปั ญญาแฝงอยู่ หลายประการ แต่ในที่นจี้ ะนามากล่าวไว้เพียง 3 ประการ ดังนี้ : 3.2.6 เป็ นการเชื่อมโยงกรณีของมัสญิดอัล – อักศอ และแผ่นดินปาเลสไตน์ เข้ากับกรณีของโลก มุสลิม หลังจากที่นครมักกะฮฺ ได้กลายเป็ นศูนย์รวมของโลกมุสลิมภายหลังจากการได้รบั การแต่งตัง้ ของ ท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلنทาให้การปกป้องปาเลสไตน์ และอัล-อักศอ เท่ากับการปกป้องอิสลาม มุสลิมทุกคนทัว่ ทุกมุมโลกจะต้องทาหน้าที่นี้ การละเลย ต่อการทาหน้าที่ปกป้องและปลดปล่อยปาเลสไตน์ เท่ากับ เป็ นการละเลย ต่อ การปกป้องอิสลาม เป็ นความผิดที่อลั ลอฮฺ จะ ทรงลงโทษทุก ๆ คนที่ศรัทธา ในอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ 3.2.7 เหตุการณ์นนั้ เป็ นรหัสแห่งความสูงส่งของมุสลิม ที่จะต้องอยู่เหนืออารมณ์ใฝ่ ตา่ และความ อยากทัง้ หลายแห่งโลกนี้ และจะต้องอยู่ในอุดมคติที่สงู ส่งตลอดไป 3.2.8 ในเหตุการณ์นนั้ ชี้ให้เห็นถึงความเป็ นไปได้ของการ เดินทางไปในอวกาศและการออกไปนอก กรอบของแรงดึงดูด ของโลก ในเหตุการณ์อิสรออฮและมิรอจญ์นนั้ ท่าน เราะซูล صلى هللا علٍه وسلن ของเรา ได้กลาย เป็ นนัก เดินทางใน อวกาศคนแรกในประวัตศิ าสตร์ โลก การเดินทางไปและกลับใน ห้วง อวกาศของท่านได้รบั ความปล อดภัย นัน่ เป็ นเรื่องที่เกิดขึน้ กับ เราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنโดย เป็ นอภินหิ าริยใ์ นสมัยของท่าน صلى هللا علٍه وسلنซึ่งก็นา่ ที่จะเป็ นเรื่องที่เกิดขึน้ ได้ หรือเป็ นไปได้สาหรับ มนุษย์ทวั ่ ไปผ่านการใช้สติปัญญา วิทยาการและการคิดค้น 3.2.9 การบัญญัตเิ รื่องการนมาซในคืนอิสรออ์และเมียะอรอจญ์นนั้ เป็ นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงวิทยปั ญญา ของการบัญญัตเิ รื่องการนมาซ ประหนึง่ ว่าอัลลอฮฺ ทรง ประสงค์ที่จะ กล่าวแก่ปวงบ่าวผูศ้ รัทธาของ พระองค์ว่า : หากการเมียะอรอจญ์ของร่อซูลของพวกท่านเป็ นไปด้วยร่างกายและจิตวิญญาณสูช่ นั้ ฟ้ านัน้ เป็ นอภินหิ าริย์ ดังนัน้ พวกท่านก็ จงให้การนมาซวันละห้าเวลาของพวกท่านเป็ นเมียะอฺ รอจญ์ที่พวกท่าน เดินทางขึน้ ไปหาฉันด้วยจิตวิญญาณและหัวใจเถิด จงทาให้การเดินทาง ทางจิตวิญญาณเป็ นสิ่งที่ชว่ ยให้ พวกท่านรอดพ้นจากอารมณ์ใฝ่ ตา่ และความอยากต่าง ๆ ให้มนั ยืนยันถึง ความยิ่งใหญ่ พลานุภาพ และ เอกภาพของฉัน อันจะนาไปสูก่ ารเป็ นผูน้ าของพวกท่านบนหน้าแผ่นดิน ไม่ใช่ ได้มาด้วยการเอาผูอ้ ื่น มาเป็ น ทาส การใช้อานาจบังคับขูเ่ ข็ญและการครอบครอง ทว่า จงใช้คณ ุ ธรรมและ และจริยธรรมอัน สูงส่ง จง ก้าวไปสูก่ ารเป็ นผูน้ าบนเส้นทาง ที่สะอาดบริสทุ ธิ์ และสูงส่ง ผ่าน เส้นทางของการนมาซ และแสวงหาความ ใกล้ชิดกับฉันเถิด 3.2.10 ในการที่ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنเสนอตัวเองต่อชาวอาหรับกลุม่ ต่างๆ ใน เทศกาลฮัจญ์ นัน้ เป็ นสิ่งที่บ่งบอกว่า บุคคล (ดาอิยะฮฺ ) ที่ทาหน้าที่เรียกร้องเชิญชวนผูค้ น สูก่ ารศรัทธา อัลลอฮฺ และการเคารพภักดีตอ่ พระองค์ นัน้ ไม่ควรที่จะจากัดการเรียกร้องเชิญชวนของตัวเองผ่านการ ชุมนุมพบปะในบางวาระและโอกาสเท่านัน้ ทว่าเขาจะต้องเข้าไปยังทุก ๆ ที่ที่มีการรวมตัวกันของผูค้ นหรือที่ ที่อาจจะมีการรวมตัวกันของผูค้ น ไม่ควรจะ รูส้ ึกสิ้นหวังเมื่อพบว่าผูค้ นที่เขาเรียกร้องไม่ได้ให้ ความสนใจ ครัง้ แล้วครัง้ เล่า เพราะบางที่อลั ลอฮฺ อาจจะทรงเตรียมให้เขาได้พบกับ เหล่าผูท้ ี่จะช่วยเหลือและสนับสนุนเขา ที่เป็ นผูท้ ี่ศรัทธาในการเรียกร้องเชิญชวนของเขา ที่เป็ นบรรดาผูท้ ี่เป็ นคนที่ประเสริฐที่สดุ แล้ว โดยที่เขาไม่ คาดคิดก็เป็ นได้ บางทีดว้ ยกลุม่ คนที่มีจานวนน้อยที่ปฏิบตั ติ ามแนวทางที่เขาเรียกร้องเชิญชวน อาจจะเป็ น กลุม่ คนที่มีบทบาทสาคัญในการแผ่ขยายของการดะอวะฮฺ และความดี การมีชยั ของการดะอวะฮฺ อันเป็ นชัย ชนะครัง้ ภายหลัง ที่ชี้ขาดเหนือความชัว่ และไพร่พลของ อธรรมก็ได้ ดังจะเห็นได้จากการที่ชาวอันศอรฺ เจ็ด คนแรกได้ศรัทธา ผ่านการพบปะกับท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنจนเป็ นเหตุให้อิสลามแผ่รศั มี กว้างไกลในนครมดีนะฮฺ แล้วการแผ่รศั มีของอิสลามครัง้ นัน้ ก็มีอิทธิพลทา ให้อิสลามแผ่ขยายและมีอานาจ 37
เหนือนครมดีนะฮฺ ทงั้ หมดในที่สดุ เป็ นการเตรียมสถานที่ ที่เป็ นเป้าหมายของ อพยพและศูนย์กลาง อิสลามที่ ปลอดภัยและมัน่ คงให้กบั บรรดาผูศ้ รัทธาผูถ้ กู กดขีท่ ี่นครมักกะฮฺ พร้อมทัง้ เป็ น การเตรียมที่พกั พิงให้กบั ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنและรัฐ ภายใต้การปกครอง ของท่าน ทาให้การเรียกร้องเชิญ ชวนของท่านมีความมัน่ คง จากนครมดีนะฮฺ นนั ่ เองที่บรรดาสาวกของท่านได้ทยอย แยกย้ายกันเดินทาง ออกไปต่อสูก้ บั ลัทธิการตัง้ ภาคี (ชิรก์ ) และบรรดาผูต้ งั้ ภาคีหลายต่อหลายครัง้ จนนามาซึ่งชัยชนะ อัน ถาวรของการศรัทธาและความปราชัย ตลอดกาลของลัทธิการตัง้ ภาคีบนคาบสมุทรอาหรับ ทาให้อลั ลอฮฺ ทรงพอพระทัย ในชาวอันศอร์ ซึ่ง มาจากการรวมตัวของ คนสองกลุม่ คือ เอาส์ กับ ค็อซรอจญ์ ตัง้ มาก น้อยเท่าไรที่พวกเขาได้ทาดีตอ่ อิสลาม ปวงมุสลิม และโลกทัง้ ผอง มันเป็ นความดีที่ไม่สิ้นสุดในความดี และอัลลอฮฺ ก็ทรงพึงพอพระทัยต่อพี่นอ้ งของพวกเขาที่เป็ นชาวมุฮาญีรีน - ผูอ้ พยพ - จากนครมักกะฮฺ ที่ได้ เข้ารับอิสลามด้วยความศรัทธาก่อนหน้าพวกเขา พร้อมกับได้พลีสิ่งที่มีคา่ ไม่ว่าจะเป็ นทรัพย์สินหรือ มาตุภมู ิในหนทางของอิสลาม หวังว่าอัลลอฮฺ จะทรงโปรดให้เราได้พบกับพวกเขาเหล่านัน้ ในสวนสวรรค์แห่ง ความปราโมทย์
38
หมวดที่ 4 ชีวประวัติของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮ ุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมตัง้ แต่การอพยพ จนถึงการพานักอันมัน่ คง ณ นครมดีนะฮฺ 4.1 เหต ุการณ์สาคัญ 4.1.1 พวกกุร็อยช์ได้ทราบข่าวว่ามีชาวเมืองยัษริบ ( ชื่อเดิมของเมืองมดีนะฮฺ ) จานวนหนึง่ ได้เข้า รับนับถือศาสนาอิสลาม พวกเขาจึงรังแกบรรดาผูศ้ รัทธาที่นครมักกะฮฺ หนักมากยิ่งขึน้ ท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنจึงได้สงั ่ ให้บรรดาผูศ้ รัทธาที่ อยู่ที่ มกั กะฮฺ อพยพไปยังมดีนะฮฺ พวก เขาจึงได้อพยพไป กัน อย่างลับ ๆ ยกเว้นอุมรั อิบนุล – ค็อฏฏอบคนเดียวเท่านัน้ ที่อพยพไปอย่างเปิ ดเผย โดยที่เขาได้ป่าวประกาศ ให้บรรดาผูต้ งั้ ภาคี ชาวกุร็อยช์ทราบถึงการอพยพของเขา เขา ประกาศกับพวกเขาว่า “ผูใ้ ดที่ปรารถนา จะให้มารดาของเขาร้องไห้ดว้ ยความโศกเศร้าเสียใจ ดังนัน้ ขอให้เขามาพบกับฉัน ในวัน พรงุ่ นี้ที่ กลางห ุบเขานี้” แต่ก็ไม่มีใครกล้าออกมาพบเขา 4.1.2 เมื่อพวกกุร็อยช์แน่ใจว่า บรรดาผูศ้ รัทธาได้ไป พานัก อยู่ที่นครมดีนะฮฺ อย่างมีเกียรติและ มี ความมัน่ คงแล้ว พวกเขาได้จดั ให้มีการประชุมขึน้ ที่ ดาร ุลนัดวะฮฺ เพื่อ ระดมความคิดหาวิธีการที่จะกาจัด ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنที่ยงั คงอยู่ในมักะฮฺ ในเวลานัน้ ในที่สดุ พวกเขา ก็ได้มีมติ ร่วมกัน ว่าให้เลือกชายหนุม่ แข็งแรงมาจากแต่ละเผ่า ให้ร่วมเป็ นมือสังหาร แล้วให้ลงมือลอบสังหารท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنโดยใช้ดาบฟันลงไป พร้อม ๆ กัน ซึ่งจะ เท่ากับว่าคนจาก ทุก ๆ เผ่า มีสว่ นร่วมกันในการ ลอบสังหารมุฮมั มัดซึ่งอยู่ในเผ่า พวกบนู มะนาฟ อันจะทาให้พวกบนู มะนาฟ ไม่ มีกาลัง ที่จะทาสงคราม แก้แค้นกับพวกเขาทัา้ หมดได้ ในที่สดุ ก็จะจาต้องยอมรับค่าชดเชย ( สินไหม )อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแล้ว เหล่าคนหนุม่ ที่ได้ถกู คัดเลือก มาก็ได้รวมตัวกันเพื่อการ ลอบสังหารท่าน เราะซูลลุลลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنในคืนที่ท่านเตรียมที่จะมีการอพยพ โดยมาซุ่มรออยู่ที่หน้าประตูบา้ นของท่าน เพื่อรอโอกาสลงมือ จัดการสังหารท่านในตอนที่ท่านจะออกมา 4.1.3 ในคืนนัน้ ท่าน เราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنไม่ได้นอนบนที่นอนของท่าน ตามปกติ แต่ท่านได้ให้อะลีย์ บิน อบี ฏอลิบ เราะฎิยลั ลอฮุ อันฮุ มานอนแทน และ ได้สงั ่ เสีย เขานาเอาข้าวของที่ บรรดาผูป้ ฏิเสธได้นามาฝากไว้กบั ท่านไปคืนใ ห้เจ้าของในวันรุ่งขึน้ ด้วย ท่านเราะซูล صلى هللا علٍه وسلن ได้ออกจากบ้านไป ในคืนนัน้ เอง โดยที่กลุม่ คนหนุม่ ที่มาดักซุ่มรอเพื่อสังหารท่านไม่มีโอกาสได้เห็นท่าน เลย แม้แต่คนเดียว ท่านได้ออกจากบ้านโดยมุง่ ไปที่บา้ นของ อบูบกั ร รอฎิยลั ลอฮุ อันฮุ ที่ได้เตรียมอูฐ ที่จะใช้ เป็ นยานพาหนะไว้สองตัว ก่อนหน้านีแ้ ล้วเมื่อตอนที่ได้ตดั สินใจที่จะออกเดินทางอพยพ อบูบกั รได้ว่าจ้างให้ อับดุลลอฮฺ บิน อุรยั กิฏ อัด -ดีลีย์ ซึ่งเป็ นมุชริก เป็ นคนนาทางไปยังมดีนะฮฺ โดยมีเงือ่ นไขว่า ให้ เขาพาทัง้ สอง เลี่ยงจากการใช้เส้นทาง ปกติ ที่ผคู้ นทั ่วไปใช้สญ ั จรไปมา กันอยู่เป็ นประจา แต่ให้ไปใช้เส้นทางอื่นที่บรรดาผูป้ ฏิเสธชาวมักกะฮฺ ไม่ร ู้ 4.1.4 ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنได้ออกเดินทางพร้อมกับอบูบกั ร ในวันพฤหัสบดี ที่ 1 เราะบีอลุ – เอาวัล เมื่อท่านมีอายุได้ 53 ปี ไม่มีผใู้ ดทราบ เกี่ยวกับ การอพยพของท่านนอกจากอะลีย์ 39
บิน อบีฏอลิบ และครอบครัวของอบูบกั ร คือ อาอีชะฮฺ กับ อัสมาอ์ บุตรี ทงั้ สองของอบูบกั ร และทัง้ สองก็ เป็ นผู้ ที่ทาหน้าที่ เตรียมเสบียง เดินทาง ให้ทงั้ สอง โดยอัสมาอ์ได้ ฉีก เอาผ้า คาดซึ่งใช้แทนเข็มขัดของนาง ครึ่ง หนึง่ เพื่อใช้ ทาเป็ นเชือกผูกห่อเสบียงอาหาร นางจึงได้ฉายาว่า “นางผูเ้ ป็นเจ้าของผ้า คาดสะเอว สองชิ้น” ( ซาต ุน – นิฏอกัยนิ ) ท่านนบี صلى هللا علٍه وسلنกับอบูบกั รได้ ออกเดินทางโดยใช้เส้นทาง ไปเยเมนจนไปถึง “ถ้า เษาร์” ทัง้ สองจึงได้เข้าไปพักหลบซ่อนอยู่ที่นนั ่ เป็ นเวลาสามคืน โดยมี อบั ด ุลลอฮฺ บ ุตรชายของ อบูบกั ร เด็กหนุม่ ผูไ้ ด้รบั ฉายาว่า “เด็กหนุ่มผูม้ ีไหวพริบ” ร่วมพักค้างคืนกับทัง้ สองด้วย โดยเขาจะออกจากถา้ ไป ในตอนยา่ รุ่ง พอเช้าเขาก็จะ ไปปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางพวกกุร็อยช์ เพื่อ ให้ดปู ระหนึง่ ว่า เมื่อคืน เขานอน อยู่ที่มกั กะฮฺ และไม่ได้ไปไหนมา ทัง้ นีก้ ็เพื่อทาหน้าที่หาข่าว คราวความเคลื่อนไหวทุก ๆ อย่างของพวก กุร็อยช์ไปแจ้งให้ท่านนบีกบั อบูบกั รทราบในตอนคา่ ลง 4.1.5 เมื่อพวกกุร็อยช์ ได้รบั ทราบว่าท่านร่อซูล صلى هللا علٍه و سلنสามารถรอดพ้นจากการ ลอบสังหาร พวกเขามีความเดือดดาลเป็ นอย่างมาก จึงได้ออกติดตามไล่ลา่ ท่านตามเส้นทางที่ผคู้ นใช้ใน การเดินทางของนครมักกะฮฺ แต่ก็ไม่พบท่าน พวกเขาจึงได้มงุ่ ตรงไปตามเส้น ไปเยเมน และได้ไปหยุดอยู่ที่ ปากถา้ เษาร์ มีบางคนจากพวกเขาพูดขึน้ ว่า บางทีมฮุ มั มัดกับสหายของเขาอาจจ ะหลบอยู่ในถา้ นีก้ ็ได้ ในขณะที่คนอื่น ๆ บอกว่า ท่านไม่ได้เห็นดอกหรือว่า ที่ปากถา้ นัน้ มีใยแมงมุมชักปิ ดอยู่ แถมยังมีนกมาทา รังอยู่ดว้ ย นัน่ แสดงให้เห็นว่า ไม่มี ใครเข้าไปในถา้ นี้ เป็ นเวลา นานแล้ว ขณะเดียว กับ อบูบกั ร رضً هللا عٌهซึ่งหลบอยู่ในถา้ กับท่านนบี صلى هللا علٍه و سلنมองเห็นเท้าของพวกนั้ นขณะที่ยืนอยู่ตรงปากถา้ จึง ทาให้เกิดอาการหวัน่ กลัวว่าจะเกิดอันตรายขึน้ กับนบี صلى هللا علٍه و سلنเขาจึงกล่าวขึน้ กับท่านว่า “ขอ สาบานด้วยอัลลอฮฺ โอ้ท่านร่อซูลลุ ลอฮฺ หากว่ามีใครคนใดคนหนึง่ จากหนุม่ พวกเขามองลงมาตรงที่วางเท้า ของตัวเอง เขาจะเห็นเรา สองคนอย่างแน่นอน แต่ท่านก็ได้ปลอบใจเขาว่า : “ ท่านคิดอย่างไรกับคน สองคนที่มีอลั ลอฮฺ เป็นคนที่สาม ” 4.1.6 พวกกุร็อยช์ได้จดั ส่งคนออกไปยังชาวอาหรับก๊กต่าง ๆ เพื่อหาคนออกตามล่าท่าน เราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه و سلنและอบูบกั ร رضً هللا عٌهไม่ว่าจะด้วยการจับเป็ นหรือจับตาย โดยเสนอให้ รางวัลที่มากมายเพื่อดึงดูดความสนใจของ พวกโลภมากทัง้ หลาย ในที่สดุ ก็ได้ ผูท้ ี่เสนอตัวเข้ามา นัน่ คือ ซ ุ รอเกาะฮ บ ุตรของญะอฺ ซมั เขาได้ตงั้ ใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะตาม หาทัง้ สองให้พบ เพื่อที่จะ คว้าเอารางวัล เพียงคนเดียว 4.1.7 เมื่อการติดตามตัวท่าน เราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه و سلنและอบูบกั ร رضً هللا عٌهของ พวกกุร็อยช์ได้สิ้นสุดลงที่ถา้ เษาวฺ ร์ และพวกเขาได้ถอยกลับไป ทัง้ สองได้พากันออกเดินทางต่อพร้อมกับคน นาทาง โดยยึดเอาแนวชายฝัง่ ทะเลแดงเป็ นเส้นทางเดิน ทัง้ สองได้เดินทางไปเป็ นระยะทางที่ไกล แต่ในที่สดุ ซุรอเกาะฮได้ตามมาทัน แต่ครัน้ เมื่อเขาใกล้จะประชิดตัวทัง้ สอง ม้าของเขาติดตกหล่มทรายไม่สามารถที่จะ เดินต่อไปได้ เขาได้พยายามที่จะให้มา้ ขึน้ มาจากหล่มถึงสามครัง้ เพื่อตามให้ท่านเราะซูล صلى هللا علٍه و سلنให้ทนั แต่มา้ ก็ กลับ ไม่ยอมเดิน เขาจึง เริ่มแน่ใจว่า เบื้องหน้าเขาคือท่าน เราะซูลผูท้ รงเกียรติ เขาจึง ขอให้ท่าน เราะซูล صلى هللا علٍه و سلنขอให้ท่านได้ สญ ั ญากับ เขาว่า หากท่านได้รบั ชัยชนะ ท่านจะให้อะไรสัก อย่างแก่เขา ท่านเราะซูล صلى هللا علٍه و سلنจึงได้สญ ั ญากับเขาว่า ท่านจะนาเอากาไลข้อมือ ทัง้ สองของราชากิสรอมาให้เขาได้สวมใส่ หลังจากนัน้ ซุรอเกาะฮก็ได้เดินทางกลับมักกะฮฺ และได้ รายงานต่อ พวกกุร็อยช์ว่าเขาไม่พบใครเลย 40
4.1.8 ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلى هللا علٍه و سلن กับอบูบกั ร رضً هللا عٌهได้เดินทางไปถึงเมือง มดีนะฮฺ ในวันที่ ๒ เดือนรอบีอ ุล – เอาวัล ภายหลังจากบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ของท่านที่ เมืองมดีนะฮฺ รอคอย การมาถึงของท่านอยู่เป็ นเวลา นาน ทุก ๆ เช้าพวกเขา ต่างพากัน ออกมาตามชานเมืองมดีนะฮฺ เพื่อคอยดู การเดินทางมาถึงของท่าน จะคอยอยู่จนสายและแดดร้อนจึงจะกลับเข้าเมือง เมื่อพวกเขาเห็นท่าน ในวันที่ ท่านเดินทางมาถึง พวกเขาต่างก็แสดงความดีใจเป็ นอย่างมาก เด็ก ๆ ชาวเมืองมดีนะฮฺ พากัน ตีดบุ และส่ง เสียงขับร้องโคลงกลอนว่า “จันทร์เพ็ญได้ปรากฏขึ้นเหนือพวกเรา จากหุบภูเขาอัล – วะดาอ์ เรามีหน้าที่ขอบคุณต่ออัลลอฮฺ ตราบเท่าที่ยงั มีผูข้ อพรต่อพระองค์ โอ้ท่านผูถ้ ูกแต่งตัง้ ขึ้นในหมู่พวกเรา ท่านได้นามาซึ่งคาสั่งที่ควรได้รบั การเชื่อฟัง” 4.1.9 ก่อนหน้า ที่ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلً هللا علٍه و سلنจะเข้าสูต่ วั เมือง มดีนะฮฺ นัน้ ท่านได้ไปถึง ตาบล “ก ุบาอ์” ก่อน กุบาอ์เป็ นหมูบ่ า้ นหนึง่ ที่ ตัง้ อยู่ห่างจากตัว เมืองมดีนะฮฺ ออกไปทางทิศใต้ประมาณ 2 ไมล์ ที่นนั ่ ท่านได้สร้างมัสญิดหลังหนึง่ ขึน้ ซึ่งถือ ได้ว่า เป็ นมัสญิดหลังแรก ท่านพัก แรมอยู่ที่นนั ่ เป็ นเวลา สี่วัน แล้ว ออกเดินทางเข้าสูเ่ มืองมดีนะฮฺ ในตอนเช้าของวันศุกร์ พอ ไปถึงช ุมชนบนี ซาลิม บิน เอาวฟ์ ท่านได้รบั บัญญัติ จากอัลลอฮฺ เรื่อง การนมาซวันศ ุกร์ ท่านจึงสร้างมัสญิด ณ ที่นนั่ ขึ้นอีกหลังหนึ่ง และได้มี การอ่านค ุฏบะฮฺ และนมาซวันศ ุกร์ครัง้ แรกในอิสลาม หลังจากนัน้ ท่านจึง ได้เดินทางเข้าสู่ เมือง มดีนะฮฺ งานแรก่ที่ท่านทาเมื่อท่านไปถึงเมืองมดีนะฮฺ คือ การเลือกสถานที่ซึ่งอูฐของท่านหยุดเดิน พร้อมทัง้ ย่อตัวลงนอนเป็ นสถานที่สาหรับสร้างมัสญิด ซึ่งปรากฎว่า สถานที่ดงั กล่าวเป็ น กรรมสิทธิ์ ของ เด็กกาพร้าชาวอันศอรฺ สองคน ท่านได้เจรจาขอซื้อที่ดินแปลงนัน้ โดยได้สอบ ถามเขาทัง้ สอง ถึง ราคา แต่ เด็กกาพร้าทัง้ สองกลับปฏิเสธการขาย และ บอกกับท่านว่า เขาทัง้ สองจะขออุทิศที่ดินให้ท่านเปล่า ๆ แต่ ท่านก็ปฏิเสธที่จะเอาที่ดินแปลงนัน้ เปล่า ๆ ในที่สดุ ท่านก็ได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวด้วยเงินของอบูบกั รฺ ใน ราคา 10 ดีนารฺ แล้วท่านก็ได้เชิญชวน ชาวมุสลิมให้มาร่วมกันสร้างมัสญิด ซึ่งก็ได้รบั การตอบรับ โดยฉับพลัน พวกเขาก็ได้ชว่ ยกันสร้างมัสญิด โดยท่าน เราะซูล صلً هللا علٍه و سلنเองก็ มีสว่ นร่วมใน การก่อสร้างด้วยการ ช่วยขนก้อนอิฐร่วมกับพวกเขาจนการสร้าง มัสยิด เสร็ฐสิ้น มี ฝาผนัง เป็ นอิฐ ใช้ตน้ อินทผลัมเป็ นเสาและใช้กา้ นใบอินผลัมทาเป็ นหลังคา 4.1.10 หลังจากนัน้ ท่านเราะซูล صلً هللا علٍه و سلنได้สร้างความเป็ นพี่นอ้ ง ให้เกิดเป็ นรูปธรรม ขึน้ ระหว่างชาวเมืองมักกะฮฺ ผูอ้ พยพกับชาวเมืองมดีนะฮฺ ในฐานะผูใ้ ห้ความช่วยเหลือ( อันศอร์) โดยการจัด ให้ชาวอันศอร์แต่ละคนร่วมสัญญาเป็ นพี่นอ้ งกับมุฮาญิร – ผูอ้ พยพหนึง่ คน ชาวอันศอร์ ที่ได้ให้สญ ั ญาเป็ นพี่ น้องกับ มุฮาญิร ได้พาพี่นอ้ ง ของเขาไป พักที่ บ้าน ของตน พร้อมกับ ให้ความช่วยเหลือตามกาลัง ความสามารถ และความจาเป็ นที่พี่นอ้ งชาวมุฮาญิรมี บางคนถึงกับ เสนอที่จะแบ่งส่วน ของทรัพย์สินทุก อย่างที่บา้ นให้กบั พี่นอ้ งชาวมุฮาญิรของเขากึ่งหนึง่ 4.1.11 หลังจากนัน้ ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلً هللا علٍه و سلنได้ทาสัญญาระหว่างชาวมุฮกญิรีนกับ อัน ซอรฺ ขนึ้ ส่วนชาวยิวนัน้ ท่าน ก็ ได้ให้ พวกเขา มีเสรีภาพใน การนับถือ ศาสนา การแสวงหา และ การ ครอบครองทรัพย์สิน สัญญาดังกล่าวนี้ ท่านอิบนุ ฮิชาม ได้นามากล่าวไว้โดยละเอียดในหนังสือซีเราะฮฺ ซึ่ง 41
นับว่า เป็นรากฐานที่สาคัญของรัฐอิสลาม แห่ง แรกในประวัติศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นถึงความมี มนุษยธรรม ความย ุติธรรมทางสังคม เสรีภาพในการนับถือศาสนา และความร่วมมือกัน เพื่อ ประโยชน์ ส ุขของสังคม ส่วนรวม อันเป็ นสิ่งที่ ควรแก่การศึกษาและทาความเข้าใจสาหรับนิสิต นักศึกษา ทุก ๆ คน ในที่นเี้ ราจะกล่าวถึงแต่เพียงหลักสาคัญทัว่ ไป ที่ถกู ระบุในสัญญาแห่งประวัตศิ าสตร์อนั อมตะฉบับนี้ ดังนี้ 1 - เอกภาพของประชาคมมุสลิมโดยไม่มีการแบ่งแยก 2 - ความเสมอภาคของสมาชิกของประชาคมในด้านสิทธิและเกียรติยศ 3 – การร่วมมือเป็ นนา้ หนึง่ ใจเดียวกันและช่วยเหลือกันในเรื่องที่ไม่ใช่ความอธรรม บาป และ การเป็ นศัตรูกนั 4 - การร่วมกันของประชาคมในการกาหนดท่าทีและความสัมพันธ์กบั ศัตรูของรัฐ 5 - วางรากฐานของสังคมด้วยการจัดระบบที่ดีอยู่บนทางนาที่เที่ยงตรง 6 - ต่อสูก้ บั บรรดาผูท้ ี่เป็ นกบฏต่อรัฐและเป็ นปฏิปักษ์กบั ระบบของรัฐ และงดความ ช่วยเหลือพวกเขา 7 - พิทกั ษ์คมุ้ ครองบุคคลผูป้ รารถนที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับประชาชนมุสลิมโดยสันติและ ร่วมมือกันยับยัง้ การอธรรมและการละเมิดสิทธิของพวกเขา 8 - ชนต่างศาสนิกมีสิทธิในการนับถือศาสนาของตน และมีเสรีภาพในทรัพย์สินของตน ไม่ มีการบังคับให้นบั ถือศาสนาอิสลามตามประชนมุสลิม ไม่มีการยึดเอาทรัพย์สินของพวกเขาโดยมิชอบ 9 - ชนต่างศาสนิกต้องมีสว่ นร่วมในค่าใช้จ่ายที่รฐั กาหนดให้กบั ประชาชนเช่นเดียวกับชาว มุสลิม 10 - ชนต่างศาสนิกจะต้องร่วมกับมุสลิมในการผลักไสและขจัดภัยที่เกิดขึน้ ต่อรัฐ 11 - ชนต่างศาสนิกจะต้องมีสว่ นร่วมรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายในการทาสงครามตราบเท่าที่ รัฐยังอยู่ในภาวะสงคราม 12 - รัฐจะต้องให้ความช่วยเหลือแก่ตา่ งชนศาสนิกผูถ้ กู อธรรม เช่นเดียวกับการช่วยเหลือ ชาวมุสลิมที่ถกู ละเมิดสิทธิเสรีภาพ 13 - ประชาชนมุสลิมและต่างศาสนิกจะต้องไม่ให้การปกป้องคุม้ และช่วยเหลือบรรดาผูท้ ี่ เป็ นปฏิปักษ์ตอ่ รัฐ 14 - หากการสงบศึกเกิดประโยชน์ตอ่ ประชาคมโดยรวม ประชาชนทุกคนจะต้องยอมรับ การสงบศึก ( ทัง้ มุสลิมและต่างศาสนิก ) 15 - บุคคลจะไม่ถกู ลงโทษเนือ่ งจากความผิดของผูอ้ ื่น และผูก้ ระทาความผิดหรือครอบครัว ของเขาเท่านัน้ ที่จะรับโทษ 16 - บุคคลมีเสรีภาพในการย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย ภายในอาณาเขตรัฐหรือนอกอาณาเขตของ รัฐโดยได้รบั การคุม้ ครองจากรัฐ 17 - ไม่มีการปกป้องคุม้ ครองผูก้ ระทาความผิดและผูอ้ ธรรม 18 - สังคมวางอยู่บนพื้นฐานของการร่วมมือกันในคุณธรรมและการสารวมตน มิใช่บน 42
พื้นฐานของการบาป และการเป็ นศัตรูกนั 19 - หลักการเหล่านีไ้ ด้รบั การปกป้องโดยอานาจสองอย่าง อานาจแรกคือ อานาจที่เป็ น นามธรรม อันได้แก่ การศรัทธาที่ประชาชนมีในอัลลอฮฺ ตระหนัก ถึงการเฝ้ ามองดูอยู่ของพระองค์ และ การคุม้ ครองดูแลของพระองค์ ต่อผูท้ ี่ทาดีและปฏิบตั ติ นตามหน้าที่ ส่วนอานาจที่สอง นัน้ คือ อานาจที่เป็ น รูปธรรม อัน ได้แก่ ผูน้ าของรัฐ คือ ตัวท่านนบี มุฮมั มัด صلً هللا علٍه و سلن
4.2 บทเรียนและข้อคิด 4.2.1 ผูศ้ รัทธาที่เชื่อมัน่ ในความเข้มแข็งของตัวเอง อาจจะเลือกท่าที ในการทางาน ดะอฺ วะฮฺ แบบ เปิ ดเผยและตรงไปตรงมา โดยไม่สนว่าปฏิปักษ์ ของงานดะอวะฮฺ จะมีท่าทีเช่น ใดต่อเขา ด้วยเขาเชื่อมัน่ ในชัย ชนะเหนือปฏิปักษ์ เช่นการกระทาของอุมรั เมื่อคราวที่เขาอพยพ และจากเหตุการณ์นนั้ ยังชี้ให้เห็นอีกว่า พลังความเข้มแข็งนัน้ สามารถข่มขวัญศัตรูของอัลลอฮฺ และทาให้จิตใจสูญสิ้นซึ่งความอดทน จริงๆ แล้ว หากพวกเขาปรารถนา พวกเขาย่อมที่จะสามารถร่วมกันฆ่าอุมรั ได้ แต่จดุ ยืนอันกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของ อุมรั رضً هللا عٌهที่ทาให้พวกปฏิเสธเกิดความหวาดกลัว ไม่กล้าที่จะออกไปเผชิญหน้ากับ เขา ทาให้เรา ได้ทราบถึงความจริงอย่างหนึง่ ว่า คนชัว่ นัน้ เสียดายและหวงแหนชีวิตของตนยิ่งนัก 4.2.2 คราใดพวกมดเท็จหมดหวังที่จะหยุดยัง้ การเรียกร้องไปสูส่ จั ธรรมและการปฏิรปู มิให้ดาเนิน ไปได้ เมื่อใดก็ตามที่บรรดาผูศ้ รัทธาในอิสลามรอดพ้นจากอุง้ มือของพวกเขา หรือรอดพ้นจากการละเมิด ของพวกเขาไปได้ หนทางสุดท้ายที่พวกเขานามาใช้ก็คือ การสังหารนักดะอวะฮฺ และนักปฏิรปู ทัง้ โดยลับ และโดยเปิ ดเผย ด้วยเหตุผลที่ว่า การฆ่านักดะฮฺ วะฮฺ จะสามารถยุตเิ รื่องทัง้ หมด ที่พวกเขาไม่ตอ้ งการ และ จะทาให้บทบาทใน การดะอวะฮฺ ของเขา ยุตลิ งด้วย นีค่ ือความคิดของเหล่าคนชัว่ ผูเ้ ป็ นปฏิปักษ์ ของการ ปฏิรปู สังคมในทุกยุคทุกสมัย ดังที่เราได้ประจักษ์และพบเห็นในชีวิตของเราในปั จจุบนั 4.2.3 ทหารผูท้ ี่มีสจั จะและบริสทุ ธิ์ใจต่อการเรียกร้องเชิญชวนไปสูก่ ารปฏิรปู สังคม ย่อมยอมพลี ชีพเพื่อปกป้องแม่ทพั หรือผูน้ าของเขา ด้วยถือว่า ความปลอดภัยของผูน้ าคือ ความปลอดภัยของการดะอ วะฮฺ การสูญเสียแม่ทพั ของเขาคือความ พ่ายแพ้ และนามาซึ่ง ความอ่อนแอของกองทัพ ดังนัน้ สิ่งที่อะ ลีย์ رضً هللا عٌهได้ทาในคืนของการอพยพด้วยการ นอนแทนที่ท่านเราะซูล صلً هللا علٍه و سلنบนที่ นอนของท่านนัน้ จึงถือว่าเป็ นการเสียสละครัง้ สาคัญ เพื่อเป็ นการรักษาชีวิตของท่านเราะซูล صلً هللا علٍه و سلنไว้ ในขณะที่ การกระทาเช่นนัน้ มีความเป็ นไปได้ที่อะลีย์ هللا عٌه ً رضจะ ถูกรุม สังหารด้วยคมดาบของกลุม่ ชายหนุม่ กุร็อยช์ ทัง้ ที่ไม่ใช่ท่านเราะซูล صلً هللا علٍه و سلن เนือ่ งจากความ โกรธแค้นที่โดนหลอกให้หลงกล และปล่อยให้เราะซูล صلً هللا علٍه و سلنรอดไปได้ แต่กระนัน้ อะลีย์ هللا رضً عٌهก็ไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึน ้ สิ่งเดียวที่เขาคิดก็คือ ให้นบีผเู้ ป็ น ที่รกั ของประชาชาติและผูน้ าของ การดะอวะฮฺ ได้รบั ความปลอดภัยเท่านัน้ 4.2.4 การที่พวกตัง้ ภาคี และ ปฏิเสธได้เอาสิ่งของบางอย่างของพวกเขามาฝาก ให้ ท่าน เราะซูลลุลลอฮฺ صلً هللا علٍه و سلن ดูแลรักษา ในขณะที่อีกด้านหนึง่ พวกเขาทาสงครามกับท่าน และ ต้องการที่จะสังหารท่านนัน้ เป็ นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปฏิบกั ษ์ของการปฏิรปู มีความเชื่อมัน่ ใน ความซื่อ สัตย์ ความรับผิดชอบ และความ สุจริต ของนักดะอวะฮฺ และเชื่อว่า นักดะอฺ วะฮฺ มีประวัตดิ ีกว่าพวก 43
เขา มีจิตใจที่ผอ่ งแผ้วกว่า พวกเขา ในขณะที่พวกเขาเองตกอยู่ใน ความมื ดบอด และการยึดติดอยู่กบั ขนบธรรมเนียมประเพณี และความเชื่อ ผิด ๆ ทาให้พวกเขา ต้องทาสงครามกับ นักดะอฺ วะฮฺ คอยวางแผน การชัว่ ๆ เพื่อเล่นงานและสังหารนักดะอฺ วะฮฺ ในที่สดุ ถ้าหากมีโอกาส 4.2.5 การที่ผนู้ าการดะอฺ วะฮฺ หรือผูน้ าของรัฐ หรือผูน้ าขบวนการปฏิรปู คิด วางแผนในเรื่องความ ปลอดภัยจากแผนการร้ายของเหล่าทรชน และการปฏิบตั ิ ตามแผนของความปลอดภัยนัน้ จะ ทาให้เขา สามารถนาขบวนการเคลื่อนไหวไปสู่อีกสมรภูมิหนึง่ ได้ นัน่ ไม่ถือว่าเป็ นความขลาดและไม่ใช่เป็ นการหนีเอา ตัวรอดจากความตาย อีกทัง้ ไม่ใช่เป็ นความกลัวที่จะพลีชีวิตและจิตวิญญาณบนเส้นทางของการดะอฺ วะฮฺ 4.2.6 บทบาทของ อับดุลลอฮฺ บุตรของอบูบกั รนัน้ ยืนยันถึง การมี ส่วนร่วมของคนหนุม่ ใน ความสาเร็จของการดะอวะฮฺ เราถือว่าเหล่าคนหนุม่ คือ เสาหลักของการดะวะฮฺ เชิงปฏิรปู ด้วยการ ที่พวก เขายอมพลีและทาหน้าที่ในการปกป้อง ทาให้การดะอวะฮฺ กา้ วหน้าไปสูก่ ารได้รบั ความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ และชัยชนะอย่างรวดเร็ว ดังที่เราได้ประจักษ์ในบรรดาผูศ้ รัทธาในอิสลามรุ่นแรก ๆ ว่า พวกเขาทัง้ หมด ล้วนแต่เป็ นคนหนุม่ ทัง้ สิ้น ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلً هللا علٍه و سلن ในขณะที่ได้รบั การแต่งตัง้ ให้เป็ นร่อซูลนัน้ ท่านมี อายุ 40 ปี อบูบกั ร رضى هللا عٌهอายุนอ้ ยกว่าท่านร่อซูล 3 ปี อุมรั رضً هللا عٌهอายุนอ้ ยกว่าท่านร่อซูลและอบูบกั ร อะลีย์ رضً هللا عٌهมีอายุนอ้ ยที่สดุ อุษมาน رضً هللا عٌهมีอายุนอ้ ยกว่าร่อซูล เช่นเดียวกับอับดุลลอฮฺ บินมัสอูด, อับดุลเราะฮฺ มาน บิน เอาวฺ ฟ์, อัล-อัรก็อม บิน อบี อัล – อัรฺกอม, สะอีด บินซัยด์, บิลาล บิน เราะบาห์, อัมมาร บิน ยาซิร رضً هللا عٌهنรวมทัง้ คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ตา่ งก็ เป็ นคนหนุม่ ทัง้ สิ้น พวกเขา คือบรรดาผูท้ ี่ แบกรับภารกิจของการดะอวะฮฺ มานะบากบัน่ และเสียสละ ยอมเหนือ่ ยยากเพื่ออิสลาม แม้จะเป็ นการถูก ทรมาน ความเจ็บปวดและความตายก็ตาม ด้วยการมีอยู่ของพวกเขาเหล่านี้ ทาให้ อิสลามได้รบั ชัยชนะ ด้วยความเพียรพยายามของพวกเขาและพี่นอ้ งของพวกเขาทาให้รฐั อิสลาม ภายใต้การนาของ เราะซูล ًصل هللا علٍه و سلن และบรรดาคุละฟาอ์ อัรฺรอชิดีนได้อบุ ตั ขิ นึ้ พร้อมทัง้ ได้บกุ เบิกแว่นแคว้นทัว่ ทิศ ด้วย ความประเสริฐ และคุณธรรมของ พวกเขา เหล่านัน้ ทาให้อิสลามได้มาถึงพวกเรา ทาให้เราได้ รับนับถือ อิสลาม ทาให้เราได้ปลดแอกจากความโง่เขลา ความหลง ผิด ลัทธิบชู าเจว็ด การปฏิเสธ อัลลอฮฺ และการ ฝ่ าฝื นพระองค์ 4.2.7 จุดยืน และการแสดงออก ของสองพี่นอ้ งสตรี อาอีชะฮฺ กับ อัสมาอ์ บุตรีของอบูบกั รฺ رضً هللا عٌهنในระหว่างการอพยพของท่าน เราะซูล صلً هللا علٍه و سلن ยืนยันอย่าง ชัดเจนและหนักแน่น ว่า การเผยแผ่เชิงการปฏิรปู นัน้ จาเป็ นที่จะต้องอาศัย การมีสว่ นร่วมของ เหล่าสตรีดว้ ยเช่นกัน เพราะสตรีมี จิตใจที่มี ความรูส้ ึก และธรรมชาติที่ละเอียดอ่อน มีความเมตตาเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี เปี่ ยมไปด้วย ความรูส้ ึกห่วงใย และความคิด ปกป้อง หากผูห้ ญิง นัน้ เมื่อหล่อนเป็ นผู้ ศรัทธาต่อสิ่งใดแล้ว หล่อนจะไม่ สนใจใยดีตอ่ ความลาบากใด ๆ ที่จะเกิดขึน้ ในการทาเพื่อสิ่งนัน้ ดัง เช่น ที่หล่อนได้ทาเพื่อให้สามี พี่นอ้ ง และ ลูก ๆ สบายใจ และโดยที่การญิฮาดในหนทางของอัลลอฮฺ ในสมัยของท่าน เราะ ซูล صلً هللا علٍه و سلن ได้ถกู บันทึกไว้บนหน้าประวัตศิ าสตร์อนั เจิดจารัส ได้ตอกยา้ แก่เราทัง้ หลายในปั จจุบนั ว่า กระบวนปฏิรปู แห่งอิสลามจะยังคงก้าวไปในสังคมอย่างเชื่องช้า จนกว่าสตรี จะเข้า มามี ร่วม และได้สร้างเยาวหญิง รุ่นใหม่ 44
ขึน้ บนรากฐานของการศรัทธาในอัลลอฮฺ จริยธรรมอันประเสริฐ ห่างไกลจา มลทิน และมีความบริสทุ ธิ์ ผ่องแผ้ว พวกหล่อนเหล่านีแ้ หละที่มากด้วยศักยภาพและความสามารถที่จะตีแผ่คณ ุ ค่าต่าง ๆ ที่สงั คมเรา ในปั จจุบนั ขาด หายไป ทัง้ ในหมูส่ ตรีเองและ ในเหล่าบุรษุ ควบคูก่ บั การ ทาหน้าที่ ของการเป็ นภรรยาและ มารดา หากจะถือว่า ความดีอนั ยิ่งใหญ่มาจากบทบาทของท่านนบี صلً هللا علٍه و سلنในการอบรมบ่มนิสยั เหล่าสาวก ถัดจากนัน้ คือบทบ าทของเหล่าสาวกของท่านที่ได้ให้การอบรมบ่มนิสยั เหล่าตาบีอีน และ ชนรุ่นหลังจากนัน้ แล้วไซร้ ก็ตอ้ งถือว่า เหล่าสตรีผศู้ รัทธาในอิสลาม คือผูท้ ี่มีบทบาทเคียงข้างกับท่านนบี صلً هللا علٍه و سلنและบรรพชนเหล่านัน ้ ในการหล่อหลอม ชนรุ่นต่อมาบน พื้นฐานของคุณธรรมและ จริยธรรมอันประเสริฐของอิสลาม ชนผูม้ ีความรักในอิสลามและ ในร่อซูล ของอิสลาม ชนรุ่นดังกล่าวเป็ น ผู้ ที่มีความเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ที่สดุ ในหน้าประวัตศิ าสตร์พวกเขาได้แสดงออกถึงความทะเยอทะยานอัน ประเสริฐ มากมาย มีความมัน่ คงและเที่ยงธรรมในความประพฤติ ทัง้ ในเรื่องศาสนาและเรื่องโลก ปั จจุบนั เราจะต้องตระหนักถึงความจริงข้อนี้ และจะต้องต่อสูผ้ ลักดันให้เหล่าเด็กสาวและเหล่าสตรีผ ู้ เป็ นภรรยาได้เป็ นผูน้ าธงชัยของการดะอวะฮฺ เชิง ปฏิรปู ตามแนวทางของอิสลามในหมูส่ ตรี ด้วยกัน เพราะ สตรีมีจานวนมากอย่างน้อยก็เท่ากับครึ่งหนึง่ ของประชาชาติอิสลาม ดังนัน้ เราจึงจาเป็ นที่จะต้องกระตุน้ และ ส่งเสริมให้ลกู สาวของ พวกเรา พี่นอ้ งสตรีของเรา ให้ได้มีโอกาส ศึกษา อิสลาม ในสถาบัน การศึกษา ที่ มี ชื่อเสียงในระบบการเรียนการสอนที่ดี และเชื่อถือได้ ยิ่งเด็กสาว ๆ ได้มีความรูเ้ กี่ยวกับอิสลาม มีความ เข้าใจในชะรีอะฮฺ รูป้ ระวัตศิ าสตร์อิสลาม มีความรักใน เราะซูล صلً هللا علٍه و سلنและ ได้ประดับ ตนด้วย บุคลิกภาพและจริยธรรมของเหล่ามาดาของศรัทธา มากเท่าไร เราก็จะยิ่งสามารถ ขับเคลื่อนกงล้อของ การปฏิรปู วิถีอิสลามให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็งมัน่ คง และจะยิ่งทาให้วันเวลาผ่านไปพร้อม ๆ กับ การที่ สงั คมมุสลิมยอมนอบน้อมต่อระบบอิสลามและชะรีอะออิสลามมากขึน้ เรื่อย ๆ จนกลายเป็ นสังคมใน อุดมคติของอิสลามอย่างสมบูรณ์ในที่สดุ อินชาอัลลอฮฺ
4.2.8 ในการที่พวกตัง้ ภาคีกบั อัลลอฮฺ ไม่สามารถมองเห็นท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلً هللا علٍه و سلنกับ อบูบกั ร สหายผูร้ ่วมเดินทางกับท่านในถา้ เษาร์ทงั้ ๆ ที่พวกเขาอยู่ใกล้กบั ท่าน กอรปกับ ที่มีรายงานเล่าว่า มีแมงมุมชักใยอยู่ตรงปากถา้ และมีนกมาทารังอยู่บนปากกถา้ นัน้ นับว่าเป็ นตัวอย่างที่ทาหัวใจของผูศ้ รัทธา ทัง้ หลายเกิดความสงบ ด้วยตระหนักในการให้การคุ้มครองดูแลของอัลลอฮฺ ที่มีตอ่ บรรดาร่อซูล ต่อเหล่า ผูท้ าหน้าที่เรียกร้องเชิญชวนผูค้ นสูว่ ิถีของ อัลลอฮฺ และต่อ เหล่าผูท้ ี่พระองค์ทรงรัก ดังนัน้ ด้วยความ เมตตาของอัลลอฮฺ ที่มีตอ่ ปวงบ่าวของพระองค์ พระองค์จะมิทรงยินยอมให้ท่าน เราะซูล صلً هللا علٍه و سلن ตกไปอยู่ในอุง้ มือของบรรดาผูต้ งั้ ภาคีกบั พระองค์ และจะมิ ทรงยอมให้พวกเขากาจัดท่าน หรือทาลายการ เรียกร้องเชิญชวนของท่าน เพราะว่าพระองค์ได้ทรงส่งท่านมาเป็ นความเมตตาแก่มวลมนุษยชาติ เช่นเดียวกันกับที่พระองค์จะทรงให้ความเอ็นดูเมตตาแก่ปวงบ่าวผูท้ ี่ทาหน้าที่ในการเรียกร้องเชิญชวนผูค้ น สูอ่ ิสลามด้วยความบริสทุ ธิ์ใจในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องประสบกับความยุ่งยาก โดยที่พระองค์จะทรงช่วยให้ เขารอดพ้นจากภา วะคับขัน และบ่อยครัง้ ที่พระองค์ทรงดลบันดาลมิให้สายตาทัง้ หลายของพวกที่คอยมุง่ ปองร้าย และทร ชนมองไม่เห็นพวกเขา สวัสดิภาพ ของท่านร่อซูล และสหายของท่านภายหลังจากที่ทงั้ สองต้องตกอยู่ภายในวงล้อมของพวกตัง้ ภาคีกบั อัลลอฮฺ ณ ถา้ เษาร์นนั้ ยืนยันให้เห็นถึงสัจธรรมแห่ง พระดารัสของอัลลอฮฺ ที่ว่า
45
ความว่า : “แท้จริงเราจะช่วยเหลือบรรดาร่อซ ูลของเรา และบรรดาผูศ้ รัทธาในชีวิตโลกนี้ และในวันที่พยานทัง้ หลายจะยืนขึ้นเป็นพยานอย่างแน่นอน ( ซ ูราะฮฆอฟิร อายะฮฺ ที่ 51 ) และพระดารัสของอัลลอฮฺ ที่ว่า ...
ความว่า : แท้จริงอัลลอฮฺ จะทรงพิทกั ษ์บรรดาผูศ้ รัทธาทัง้ หลาย ( ซ ูเราะฮฺ อัล – ฮัจญ์ อายะฮฺ ที่ 38 ) 4.2.9 ความกลัวที่เกิดขึน้ กับอบูบกั รในขณะที่ท่านอยู่ในถา้ ( คือกลัว ว่าพวกมุชริก จะเห็นทัง้ สอง)นัน้ ถือเป็ นแบบอย่างที่ชี้ให้เห็น ถึงความรูส้ ึกของ ทหารผูซ้ ื่อ สัตย์คนหนึง่ ของการดะอวะฮฺ ที่พึงมี ตอ่ ผูน้ าของเขา ยามที่ตกอยู่ในภาวะที่ถกู รายล้อมด้วยอันตรายรอบด้าน กล่าวคือ เขา ควรที่ จะต้องมีความห่วงใยต่อชีวิต ของผูน้ า ซึ่งความจริงแล้ว ณ นาทีนนั้ อบูบกั รฺ หาได้มีความกลัวว่ า อันตรายจะเกิดขึน้ กับตนเอง เพราะ หากเขากลัวความตาย เขาก็คงไม่ร่วมเดินทางอพยพร่วมกับท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلً هللا علٍه و سلنที่เต็ม ไปด้วยอันตรายครัง้ นี้ มาตัง้ แต่ตน้ แล้ว เขาย่อมรูด้ ีว่าผลลัพธ์ขนึ้ ตา่ หากว่าเขาถูกพวก มุชริก จับตัว เขาได้ พร้อมกับท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلً هللا علٍه و سلن ก็คือ การถูกสังหาร แต่สิ่งที่เขากลัว คือ อันตรายที่จะ เกิดขึน้ กับชีวิตท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلً هللا علٍه و سلن กับอนาคตของอิสลาม หากว่าท่านเราะซูล صلً هللا علٍه و سلنต้องตกไปอยู่ในกามือของพวกนัน ้ ต่างหาก 4.2.10 คาพูดที่ท่านเราะซูล صلً هللا علٍه و سلنกับอบู บักร เพื่อทาให้เขาสบายใจและหายจาก ความวิตกกังวลที่ว่า “นี่อบูบกั ร , เจ้าคิดว่ามีเพียงเราสองคนกระนัน้ หรือ พึงรูเ้ ถิดว่า เรามี อัลลอ ฮฺ เป็ นที่สาม ” นัน้ ถือว่าเป็ น แบบอย่างที่ยืนยันถึงความเชื่อมัน่ อันบริสทุ ธิ ที่ท่านนบี صلً هللا علٍه و سلن มีในอัลลอฮฺ การช่วยเหลือ และการมอบความไว้วางใจในพระองค์ในยามที่ ต้องตกอยู่ภาวะคับขัน สิ่งนี้ถือ เป็ นหลักฐานอันชัดเจนที่บ่งบอกถึงความสงบแน่วแน่แห่งจิตใจ ด้วยตระหนักและเชื่อมัน่ ว่าอัลลอฮฺ ได้ทรง ส่งท่านมาเพื่อนาทางและเป็ นความเมตตาแก่มนุษยชาติ ดังนัน้ พระองค์จะมิทรงทอดทิ้งท่านไว้ตามลาพังใน ช่วงเวลาเช่นนัน้ อย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าท่านผูอ้ ่านเคยเห็นหรือเคยได้ทราบว่าความสงบแน่วแน่แห่งจิตใจ เช่นนี้ในบุคคลอื่นที่แอบอ้าง การเป็ น นบีผนู้ าสาส์นจากพระผูเ้ ป็ นเจ้า บ้างไหม ? นี่แหละคือสภาพที่แตกต่าง กันอย่างชัดเจนระหว่างนักปฏิรปู ผูส้ จั จริง กับบรรดาผูท้ ี่แอบอ้าง การปฏิรปู บังหน้าและนักปฏิรปู จอมปลอม นักปฏิรปู ที่แท้จริงนัน้ หัวใจของพวกเขาเปลี่ยมล้นไปด้วยความพึงพอใจในพระผูเ้ ป็ นเจ้าอยู่ ตลอดเวลา เขามีความเชื่อมัน่ ในความช่วยเหลือของพระองค์ ส่วนนักปฏิรปู จอมปลอมนัน้ จะรูส้ ึกตา่ ต้อย และสิ้นหวังในยามที่ตกอยู่ท่ามกลางความกลัว จิตใจล่มสลายยามตกอยู่ในความยุ่งยากและคับขัน แล ะใน ที่สดุ ก็จะไม่มีการช่วยเหลือและมิตรภาพใด ๆ จากอัลลอฮฺ สาหรับเขาเลย 4.2.11 ท่าทีของสุรอเกาะฮที่ได้แสดงออกเมื่อเขาตามไปทัน เราะซูล صلً هللا علٍه و سلنโดยที่เขาไม่ สามารถ เข้าประชิดตัวของท่านได้นนั้ เป็ นหลักฐานที่แสดงถึง ฐานะการ เป็ นนบีของ มุฮมั มัด صلً هللا علٍه و سلن ดังที่ปรากฏว่า เท้าของม้าของเขาจมและติดหล่มทรายขณะที่มนั หันหน้าไปทางท่าน รอซูลลุ ลอฮฺ صلً هللا علٍه و سلن ครัน้ เมื่อเขาลงจากหลัง ของมันและพยายามดึงให้มนั หันหน้า กลับไป ทางเมืองมักกะฮฺ ปรากฏว่ามัน สามารถลุก ขึน้ ได้อย่างกระฉับกระเฉง แต่พอเขาให้มนั หันหน้าไปทางท่าน เราะ ซูล صلً هللا علٍه و سلنอีก ครัง้ มันก็กลับติดหล่มทรายและมีอาการ หมด เรี่ยวแรงอีก นีค่ ือ ปาฏิหาริยท์ ี่จะไม่เกิดขึน้ เว้นแต่กบั ท่านนบีผทู้ ี่พระผูเ้ ป็ นเจ้าได้ทรงแต่งตัง้ และได้รบั การช่วยเหลือจากพระองค์ เท่านัน้ สุรอเกาะฮเองเมื่อได้ประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ไม่สามารถทาอะไรได้นอกจากร้องบอกท่านรอซูล ว่าขอให้ท่านได้รบั ความปลอดภัย ด้วย ได้ประจักษ์แจ้ง ว่าท่านเราะซูล صلً هللا علٍه و سلنเป็ นผูท้ ี่ ได้รบั 46
การดูแลและคุม้ ครองจากพระผูเ้ ป็ นเจ้า ทาให้พลังปองร้ายของมนุษย์มิอาจล่วงเกินท่านได้ ดังนั้ นสุเกาะฮ จึงพอใจที่จะต้อง ยอมพลาดจาก ของรางวัล ค่าหัว เปลี่ยนมาเป็ น การรอคอยที่จะได้รบั ของ ขวัญ ที่รอซูล สัญญาจะนามาให้เขา 4.2.12 ในคาสัญญาที่ท่านเราะซูล صلً هللا علٍه و سلنได้ให้ไว้กบั สุรอเกาะฮฺ ว่าจะมอบกาไลของราชากิ สรอแห่งเปอร์เซีย ให้แก่เขานัน้ นับเป็ น ความมหัศจรรย์อีกประการหนึง่ เพราะ โดยปกติแล้ว คนที่ตกอยู่ใน ฐานะของผู้ ที่ ตอ้ งหลบหนีออกจากหมูช่ นของตนนัน้ ย่อมไม่มีความหวังที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดว่าจะแผ่ขยาย อาณาจักรไปถึงเปอร์เซีย และครอบครองกองคลังของกษัตริยก์ ิสรอเป็ นแน่ เว้นเสียแต่ว่าเขาผูน้ นั้ จะ ตระหนักในฐานะของตนเองว่าเป็ นนบีและเป็ นผูท้ ี่พระผูเ้ ป็ นเจ้าส่งมา ดังที่ได้ปรากฏในเวลาต่อมาถึงความ จริงของสิ่งที่ท่านได้ให้สญ ั ญาไว้กบั สุรอกอฮ สุรอกอฮได้ของให้อมุ รั บิน อัล – ค็อฏฏอบ ปฎิบตั ติ ามสัญญา ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยฮิ วะซัลลัมได้ให้ไว้กบั เขาเมื่อเขาได้มีโอกาสเห็นกาไลข้อมือของกษัตริยก์ ิสรอ อยู่ ในคลังทรัพย์สินที่รบั ได้จากสงคราม ซึ่งอุมรั ก็ได้ทาตามด้วยการสวมกาไลข้อมือทัง้ สองข้างให้กบั สุรอกอฮ ท่ามกลางเหล่าเศาะฮาบะฮฺ จานวนมาก และอุมรั ได้กล่าวว่า “บรรดาการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ผูท้ รงถอดกาไลทัง้ สองของกิสรอ และสวมใส่มนั ทัง้ สองให้กบั ส ุรอกอฮบ ุตรของญะอฺ ชมั อาหรับเบด ูอิน ” เช่นนีแ้ หละที่ได้ปรากฎสิ่งมหัศจรรย์ขนึ้ ครัง้ แล้วครัง้ เล่าอย่างต่อเนือ่ งติดต่อกันในการฮิ จญเราะฮฺ นี้ แฝง ไว้ดว้ ยเป้าหมายสาคัญคือ เพิ่มความศรัทธาและจานวนผูศ้ รัทธา และให้ชาวคัมภีรท์ ี่มี ความลังเลและปฏิเสธได้เชื่อมัน่ ว่า ท่านคือผูส้ ื่อสาสน์จากพระผูอ้ ภิบาลแห่งสากลโลก 4.2.13 ความปี ติของบรรดาผูศ้ รัทธาชาวเมืองยัษริบทัง้ กลุม่ อันศอรฺ และ กลุม่ มุฮาญิ รีนกับการ เดินทางมาสูพ่ วกเขาอย่างสวัสดิภาพนัน้ ได้ทาให้เหล่าสตรีและเด็ก ๆ พากันออกจากบ้าน เหล่าบุรษุ ยอม ละ ทิ้งงาน ส่วนชาวยิวเมืองมดีนะฮฺ นนั้ เล่า ก็ได้ร่วมแสดงออกซึ่งท่าที แห่งความปี ติยินดีกบั ชาวเมือง แม้ว่าใน ส่วนลึกของจิตใจจะ เก็บเอาความรูส้ ึกเจ็บปวด เอาไว้ กับ ความตระหนักใน ภาระ ของการ แข่งขัน และการ เผชิญหน้ากับ การนาใหม่ที่ กาลัง จะตามมา ความปี ติยนั ดีของบรรดาผูศ้ รัทธาทัง้ หลายต่อการที่ได้พบกับ ท่านร่อซูลของพวกเขานัน้ ถือว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใด เพราะท่านคือผูท้ ี่ได้ชว่ ยปลดปล่อยพวกเขา ออกจากความมื ดมนสูแ่ สงสว่า ง ทาให้พวกเขา มาอยู่ในทางนาอันเที่ยงตรงของอัลลอฮฺ ผทู้ รงอานาจ ผูท้ รง คูค่ วรการสรรเสริญยิ่ง ในขณะเดียวกัน ท่าที ดงั กล่าวของชาวยิว ก็ ถือว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกัน เพราะเป็ นที่รจู้ กั กันดี ว่า พวกเขาเป็ นพวกที่กลับกลอก เนือ่ งจากที่พวกเขาต้องสูญเสียอานาจ ทางสังคมไป ในจิตใจของพวกเขามีแต่ ความโกรธ อาฆาต เคียดแค้นต่อผูท้ ี่แย่งชิงการนามวลชนไปจากพวกเขา ผูท้ ี่คอยขัดขวางมิให้พวกเขาปล้น ทรัพย์ สิน ของผูค้ น ด้วยการปล่อยกูก้ บั การขูดรีดด้วยระบบดอกเบี้ย ยับยัง้ การหลัง่ เลือดของประชาชน ภายใต้ชื่อของการตักเตือนและการปรึกษาหารือ ชาวยิวที่ยงั คงมีความเกลียดชังได้เปลี่ยนความเกลียดชัง ไป เป็ นแผนการร้ายที่มง่ ุ ทาลายล้าง ตามมาด้วยการลอบสังหาร และทาร้ายบุคคลสาคัญ หากว่าพวกเขา มี โอกาสที่จะกระทาเช่นนัน้ ได้ นัน่ แหละคือศาสนาของพวกเขา นัน่ แหละคือสันดานของพวกเขา ดังที่พวกเขา ได้พยายาม กระทาสิ่งดังกล่าวกับท่านร่อซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ภายหลังจากที่ ท่าน สามารถสร้าง เสถียรภาพ ให้เกิดขึน้ ได้ ที่นครมดีนะฮฺ แม้ว่า ท่านจะได้มีการทาสนธิสญ ั ญา กับพวกเขาแล้ว ก็ ตาม พวกเขาก็ยงั เป็ นผูท้ ี่ชอบจุดไฟสงครามให้เกิดขึน้ อยู่ตลอดกาลเวลาดังที่อลั ลอฮฺ ตรัสว่า : ...
“ท ุก ๆ ครัง้ ที่พวกเขาได้จดุ ไฟของสงคราม ขึ้น อัลลอฮฺ ก็ได้ทรงดับมัน ” ( ซูเราะฮฺ อลั – มาอิ ดะฮฺ อายะฮฺ ที่64 )
47
4.2.14 จากเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ที่ เกิดขึน้ เกี่ยวกับการฮิจญ์เราะฮฺ ของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมนัน้ เป็ นที่ประจักษ์แก่เราว่า สิ่งแรกที่ท่าน จะทาเมื่อได้ไปถึงและหยุดพัก ณ ตาบลตาบลใด ก็ตาม คือการสร้างมัสญิด ไว้เป็ นสถานที่รวมตัวกันของบรรดาผูศ้ รัทธา ดังที่ท่านได้ดาเนิน การก่อสร้างมัสญิด ขึน้ ที่ตาบล กุบาอ์ แม้ว่าท่านจะ ใช้เวลา พักค้างแรม อยู่ที่นนั ่ เพียงแค่สี่วัน ก็ตาม หลังจากนัน้ ท่านก็ได้สร้าง มัสยิดขึน้ เป็ น แห่ง ที่สองระหว่างตาบลกุบาอ์กบั เมืองมะดีนะฮฺ เนือ่ งจากมีบทบัญญัตวิ ่าด้วยการนมาซวัน ศุกร์ถกู ประทานลงมา ณ ชุมชนนบี ซาลิม บิน เอาวฺ ฟ์ ตรงบริเวณหุบเขา “รอนูนาอ์” เมื่อเดินทางถึงตัวเมืองมดีนะฮฺ งานแรกที่ท่านดาเนินการก็คือการสร้างมัสญิดขึน้ ที่นนั ่ เรื่องนีแ้ สดง ให้เราได้เห็นถึงความสาคัญของมัสญิดในทัศนะของอิสลาม ในขณะที่การปฎิบตั ศิ าสนกิจต่าง ๆ ในอิสลาม นัน้ เป็ นไปเพื่อการขัดเกลาจิตใจ หล่อหลอมจริยธรรมที่ดีงาม เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กบั สายสัมพันธ์ แห่งความร่วมมือกันในระหว่างมุสลิม การนมาซญะมาอะฮฺ การนมาซวันศุกร์ และการนมาซวันอีดทัง้ สอง นัน้ ได้ฉายให้เห็น ภาพของความเข้มแข็งในการรวมตัวกันของบรรดามุสลิม เอกภาพ เป้าหมายอันเป็ นหนึง่ เดียวกัน การร่วมมือกันบนพื้นฐานของคุณธรรมและการสารวมตน ของพวกเขา ในขณะเดียวกัน มัสญิด ก็ จาเป็ นที่จะต้องมี ภารกิจ ทางสังคม และ ด้านการพัฒนา จิตวิญญาณอัน มีความสาคัญอย่างยิ่งยวดในชีวิต ของประชาคม มัสญิดมีหน้าที่ในการสร้างความสามัคคีให้เกิดขึน้ ในระหว่างพวกเขา ขัดเกลาจิตใจ ปลุก หัวใจและสติปัญญาของพวกเขาให้ตนื่ อยู่เสมอ แก้ไขปั ญหา แสดงให้เห็นถึงพลังความเข้มแข็ง และการยึด มัน่ ของพวกเขา ประวัตศิ าสตร์ของมัสญิดในอิสลามได้ยืนยันว่า ไพร่พลของอิสลามได้เคลื่อนออกจากมัสญิด เพื่อ นาเอาทางนาของอัลลอฮฺ ออกไปแผ่คลุมแผ่นดิน จากมัสญิดนีเ่ อง ที่แสงสว่างและทางนาได้สอ่ งประกาย สว่าง ไสว ออกไป ทัว่ โลก เพื่อประชาคมมุสลิมและมนุษยชาติ ในมัสญิดนี่เองที่เมล็ดพันธแ์ ุ ห่งอารยธรรม อิสลามได้งอกและเติบโตขึ้น ก็ท่านลองพิจารณาดูซิว่า บุคคลสาคัญ ๆ อย่างอบูบกั ร อุมรั ฺ อุษมาน อะ ลีย์ คอลิด ซะอฺ ด อบู อุบยั ดะฮฺ และคนอื่น ๆ เยี่ยงพวกเขานัน้ เป็ นสิทธิของสถาบันใดนอกเหนือจากสถาบัน ที่มฮุ มั มัด صلً هللا علٍه و سلنได้ตงั้ ขึน้ ที่เมืองมะดีนะฮฺ ณ มัสญิดที่มีชื่อว่ามัสญิดนะบะวีย์ ลักษณะเด่นอีกประการหนึง่ ของมัสญิดในอิสลามก็คือว่า ในทุกๆ สัปดาห์จะมีถอ้ ยคาแห่งสัจธรรม ออกไปจากปากของ ผูเ้ ทศนาหรือ ค่อฎี๊บ ประจามัสญิด เสียงนัน้ เป็ นเสียงที่ปฏิเสธความชัว่ และเสียงของการ กาชับ ในเรื่อง ความดี หรือ เป็ นเรียกร้องเชิญชวน ผูค้ นสูส่ ิ่งที่ดีงาม หรือปลุก เร้า ให้ตนื่ ขึน้ จากความเผอเรอ หรือเสียงเรียกร้องเชิญชวนสูก่ ารรวมตัว กัน หรือ ประกาศ หลักฐานที่เล่นงานคนอธรรม หรือคาเตือน สาหรับคนที่ละเมิด ดังที่เราได้ พบเห็นในสมัยเด็ก ๆ ว่ามัสญิดกลายเป็ นศูนย์กลางของกระบวนการกูช้ าติ ต่อต้านพวกล่าอาณานิคมชาวฝรัง่ เศส เหล่าผูน้ าการญิฮาดต่อต้านการล่าอาณานิคมไซออนิ สต์ที่ได้ ใช้มสั ญิดเป็ นที่พกั พิง ดังนัน้ หากเราได้เห็นความบกพร่องในการประกอบภารกิจอันยิ่งใหญ่ของมัสญิดดังที่ ได้กล่าวมาแล้ว ก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงความผิดของผูน้ ามัสญิดบางคนที่ทาหน้าที่เป็ นค่อฎีบในฐานะเจ้าหน้าที่ ที่ได้รบั ค่าตอบแทน หรือเหล่าคนที่ไม่มีความรูผ้ เู้ พิกเฉยละเลยนัน้ เอง แต่ในวันที่ผทู้ ี่กา้ วขึน้ มิมบัรของมัสญิด และผูท้ ี่ทาหน้าที่นาผูค้ นนมาซเป็ นนักเรียกร้องเชิญชวน (ดะอฺ วะฮฺ ) ที่เข้มแข็งในสัจธรรม เป็ นผู้ ที่มีความรูใ้ น เรื่องชะรีอะฮฺ เป็ นผูบ้ ริสทุ ธิ์ใจเพื่ออัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์และเป็ นผูใ้ ห้คาตักเตือนเหล่าผูน้ ามุสลิมและ ประชาชนมุสลิมทัว่ ไป มัสญิด ก็ จะกลับมาเป็ นสถาบันทางสังคมที่อยู่ในระดับแนวหน้าของสังคมมุสลิม และมัสญิดจะกลับมาทาหน้าที่ในการสร้างและหล่อหลอมคนทางาน ผลิตวีรชน แก้ไขความเสื่อมทราม เสียหาย ทาสงครามกับความชัว่ และสร้างสังคมขึน้ บนพื้นฐานของการสารวมตนของอัลลอฮฺ และการ แสวงหาความพึงพอพระทัยจากพระองค์ เราหวังเช่นนัน้ อินชาอัลลอฮฺ เมื่อกลุม่ คนหนุม่ สาว ผูศ้ รัทธาที่มีความบริสทุ ธิ์ ใจ และเป็ นปั ญญาชน ผูม้ ีความรูอ้ ิสลาม มีจริยธรรม ตามจริย วัตรของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ صلً هللا علٍه و سلنได้กา้ วขึน้ มิมบัร และก้าวขึน้ สูบ่ ริเวณของมัสญิด 48
4.2.15 การที่ท่านร่อซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้จดั การให้ชาวอันศอรกับชาว มุ ฮาญิรีนเป็ นพี่นอ้ งกันของนัน้ ถือเป็ นภาพที่ชดั เจนยิ่งที่แสดงออกถึงความยุตธิ รรมของอิสลาม มนุษยธรรม และจริยธรรมที่สร้างสรรค์ ทัง้ นีเ้ พราะชาวมุฮาญิรีน เป็ นกลุม่ ชนที่ได้ละ ทิ้ง ทรัพย์สินและแผ่นดิน มาตุภมู ิ ของตน ยอมเสียสละ อพยพมาสูเ่ มืองมะดีนะฮฺ โดยที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรติดตัวมาเลย ส่วนชาวอันศอรฺ ( ผูช้ ว่ ยเหลือ ) ซึ่งเป็ นหมูช่ นที่มีฐานะ มัน่ คงด้วยเรือกสวนไร่นา ทรัพย์สินและ ผลผลิตจากอาชีพ เมื่อความ เป็ นพี่นอ้ งได้ถกู สร้างขึน้ นัน้ แต่ละคนก็ได้เป็ นผูท้ ี่รบั ผิดชอบอุปการะพี่นอ้ งของเขา แบ่งปั นกันทัง้ ในยามกินดี อยู่ดีและในยามยากลาบาก แบ่งให้สว่ นหนึง่ ของบ้านตนเป็ น ที่พกั พิงแก่พี่นอ้ ง แบ่งปั นทรัพย์สินครึ่งหนึง่ ให้กบั พี่นอ้ งตราบที่พี่นอ้ งคนนัน้ ยังมีฐานะไม่ดี แล้ว จะมีความยุตธิ รรมทางสังคมอันใดในโลกนี้ อีกเล่าที่จะ เทียบเท่ากับความเป็ นพี่นอ้ งดังกล่าวนี้ ? บรรดาผูป้ ฏิเสธว่า ความยุตธิ รรมทางสังคมไม่มีอยู่ในคาสอนของอิสลาม เป็ นพวกที่ไม่ปรารถนา ที่จะให้แสงสว่างของอิสลามปรากฏแก่สายตาของผูค้ น ไม่ปรารถนาที่จะให้อิสลามมีอานาจเหนือจิตใจของ ผูค้ น หรือไม่ก็เป็ นพวกที่ตายด้านทางความคิดที่ปฏิเสธคาใหม่ๆ ทุกๆ คา แม้ว่าคานัน้ จะเป็ นที่ชื่นชอบของ ผูค้ นและมีที่มาจากคาสอนของอิสลามก็ตาม ถ้าไม่ใช่เช่นนัน้ แล้วพวกเขาจะปฏิเสธความยุตธิ รรมทางสังคม แห่งอิสลามและในประวัตศาสตร์ของการสร้างความเป็ นพี่นอ้ งอันโดดเด่นหนึง่ เดียวใน หน้าประวัตศิ าสตร์นนั้ ได้ มันเป็ นความเป็ นพี่นอ้ งที่มฮุ มั มัด صلً هللا علٍه و سلن ในฐานะของผูน้ าแห่งชะรีอะฮฺ มาเป็ นผูท้ ี่จดั ให้มีขนึ้ ด้วยตนเอง นามาสูก่ ารปฏิบตั ภิ ายใต้การกากับดูแลของท่านเอง เป็ นรากฐานของสังคมที่เกิดขึน้ ในครัง้ แรก อีกทัง้ ยังเป็ นรากฐานของรัฐที่เขาได้สร้างขึน้ อีกด้วย ? มหาบริสทุ ธิ์ยิ่งแด่พระองค์ โอ้อลั ลอฮฺ นนั ่ คือบาปอัน ยิ่งใหญ่เนือ่ งจากพวกเขาได้ปฏิเสธสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ 4.2.16 ในบันทึ กข้อ สัญญาแห่ง การเป็ นพี่นอ้ งที่ท่านเราะซูล صلً هللا علٍه و سلنได้ให้มีขนึ้ ระหว่าง บรรดาผูอ้ พยพกับชาวอันศอรฺ แห่งเมืองมดีนะฮฺ และ สัญญาว่าด้วย ความร่วมมือระหว่างประชาชนมุสลิม กับต่างศาสนิกนัน้ ถือเป็ นหลักฐานสาคัญ ชิ้น หนึง่ ที่ชี้ให้เห็นว่ารากฐานประการ แรกของรัฐอิสลามคือ ความยุตธิ รรมทางสังคม ประการที่สองคือ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชนมุสลิม มุสลิมกับ ประชาชน ต่างศาสนิก ซึ่งได้แก่ การอยู่ร่วมกันโดยสันติ และประการ ที่สาม คือ หลักการแห่งสัจธรรม ความ ยุตธิ รรม การร่วมมือกันบนพื้นฐานแห่งคุณธรรมจริยธรรม และการสารวมตนจากความชัว่ การทางาน เพื่อความดีและประโยชน์สขุ ของปวงชน การขจัดปั ดเป่ าความชัว่ ทัง้ หลายออกไปจากสังคม เหล่านีค้ ือ สโลแกนอันเด่นชัดที่รฐั อิสลามประกาศก้อง ดังนัน้ ไม่ว่ารัฐอิสลามจะ ก่อเกิดขึน้ ณ ที่ใด หรือในยุคสมัยใด ต่างก็ ตอ้ งดารงอยู่บนหลักการที่เที่ยงธรรมและยุตธิ รรมที่สดุ ซึ่งหากจะเปรียบเทียบกับ โลกยุคปั จจุบนั หลักการดังกล่าวนัน้ ถือว่าสอดคล้องกับหลักการที่สาคัญของประเทศต่าง ๆ และเป็ นหลักการที่มนุษยชาติ ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงาของมัน ความพยายาม ในยุค ปั จจุบนั เพื่อสร้างรัฐ ตามอุดมคติอิสลาม ขึน้ ในสั งคมมุสลิมนัน้ นอกเหนือจาก การสร้างสังคมที่สมบูรณ์ เข้มแข็ง มีความสุข และก้าวหน้าที่สดุ แล้ว การพัฒนาทางความคิดของมนุษย์ใน ความหมายของคาว่ารัฐยังจะต้องเป็ นไปอย่างสอดคล้องกับหลักการอิสลามอันเป็ นแกนกลางอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สาคัญยิ่งสาหรับเราคือ การที่เราดิ้นรนต่อสูเ้ พื่อสร้างรัฐขึน้ บนพื้นฐานแห่งคา สอนของอิสลาม นัน้ ก็ เพื่อให้เราได้รอดพ้นจากความเสียหายและความหายนะ ที่จะเกิดขึน้ ขณะเดียวกัน อิสลามก็ไม่ได้ให้ลงโทษหรือทาให้ศาสนิกอื่น ที่เป็ นพลเมืองในรับอิสลามเดือดร้อน โดยจะต้องดูถ ู กหลักความ เชื่อของพวกเขา และก็ จะต้องไม่ละเมิด สิทธิตา่ ง ๆ ของพวกเขาแต่ประการใด แล้วประเทศมุสลิมทัง้ หลาย จะต้องกลัวอะไรกับการใช้กฎหมาายอิสลาม ทัง้ ๆ ที่กฎหมายอิสลามทัง้ หมดเป็ นสัจธรรม ความยุตธิ รรม ความเข้มแข็ง ความเป็ นพี่นอ้ งและการประกันสังคมที่คลอบคลุมถึงความเป็ นพี่นอ้ ง ความรัก และความ 49
ร่วมมือกัน ? เราจะไม่มีวันหลุดพ้นจากการล่าอาณานิคม เว้นแต่ดว้ ยการประกาศใช้อิสลาม ดังนัน้ บรรดาคนทางานทัง้ หลายจะต้องทางานเพื่อการนัน้ ดังที่อลั ลอฮฺ ตรัสว่า : ความว่า : และมาตรว่าชาวเมืองศรัทธาและสารวมตน แน่แท้เราจะเปิดให้สาหรับพวกเขาซึ่ง ความจาเริญมากมายจากฟากฟ้าและแผ่นดิน ( ซูเราะฮฺ อลั – อายะฮฺ ท่ี 96 )
ความว่า : และนี่คือทางของฉันอันเที่ยงตรง ดังนัน้ พวกท่านจงปฏิบตั ิตามทางนี้ และจงอย่า ปฏิบตั ิตามทางอื่นหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทาให้พวกท่านหลงออกไปจากทางของพระองค์ ( ซ ูเราะฮฺ อลั – อันอาม อายะฮฺ ที่ 153 ) ...
ความว่า : และผูใ้ ดสารวมตนต่ออัลลอฮฺ พระองค์จะทรงให้ทางออกแก่เขา และพระองค์จะทรง ประทานปัจจัยยังชีพแก่เขา โดยที่เขาไม่คาดคิด “และผูใ้ ดมอบความไว้วางใจในอัลลอฮฺ พระองค์ทรงเพียงพอสาหรับเขา แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงดาเนินการตามกิจการของพระองค์ แท้ จริงอัลลอฮฺ ได้ทรงมีการกาหนดสาหรับท ุก ๆ สิ่ง” ( ซูเราะฮฺ อฏั – ฏ่อลาก อายะฮฺ ที่ 2 -3 ) .......
ความว่า : และผูใ้ ดสารวมตนต่ออัลลอฮฺ พระองค์จะทรงประทางความง่ายดายแก่ กิจการของเขา ( อัฏ –เฏาะลาก อายะฮฺ ที่ 4 ) ....
ความว่า : และผูใ้ ดสารวมตนต่ออัลลอฮฺ พระองค์จะทรงให้อภัยโทษแก่พวกเขาในความ ชัว่ ทัง้ หลายของเขา และจะทรงเพิ่มรางวัลตอบแทนแก่เขาเป็นทวีคณ ู ( อัฏ – เฏาะลากฺ อายะฮฺ ที่ 5)
50
หมวดที่ 5 สมรภ ูมิของท่านเราะซ ูล صلً هللا علٍه و سلن
5.1 เหต ุการณ์สาคัญ ยังไม่ทนั ที่ท่านนบี صلً هللا علٍه و سلنจะสร้างเสถียรภาพให้เกิดขึน ้ ในนครมดีนะฮฺ สงครามก็ เริ่ม เกิดขึน้ สงครามระหว่าง ฝ่ ายมุสลิม กับพวกกุร็อยช์และชาวอาหรับก๊ก อื่น ๆ ที่เป็ นพันธมิตร และสมคบกับ กุร็อยช์ นักประวัตศิ าสตร์อิสลามเรียกสงครามทุก ๆ ครัง้ ทีเ่ กิดขึน้ ระหว่างชาวมุสลิมที่ท่านนบี صلً هللا علٍه و سلنเข้าร่วมด้วย กับ ฝ่ ายพวกมุชริกีนว่า “ฆ็อซวะฮฺ ” และการสูร้ บกันระหว่างทัง้ สองฝ่ ายที่ไม่มีท่าน นบี صلً هللا علٍه و سلنเข้าร่วมว่า “สะรียะฮฺ ” จานวนการสูร้ บที่เป็ นฆ็อซวะฮฺ นนั้ มีทงั้ สิ้น 26 ครัง้ ส่วนสะรียะฮฺ นนั้ มีทงั้ สิ้นถึง 38 ครัง้ ณ ที่นจี้ ะนามากล่าวแต่ฆ็อซวะฮฺ ครัง้ สาคัญๆ เพียง 11 ครัง้ เท่านัน้ :
5.1.1 ฆ็อซวะฮฺ บะดัร อัล – ก ุบรอ เกิดขึน้ เมื่อวันที่ 17 เราะมะฎอน ปี ฮ.ศ. 2 สาเหต ุของสงคราม ท่านนบี صلً هللا علٍه و سلنได้ให้เหล่าเศาะฮาบะฮฺ ของท่านอาสา ออกไปสืบความเคลื่อนไหวของกอง คาราวานของพวกกุร็อยช์ที่เดินทางกลับมาจาก เมืองชามสูน่ ครมักกะฮฺ โดยไม่ประสงค์ที่จะทาสงครามแต่ ประการใด ทว่ากองคาราวานของพวกกุร็อยช์ที่นาโดย อบู ซุฟยานได้ขอ ให้พวกกุร็อยช์ที่มกั กะฮฺ สง่ กอง กาลังมาคุม้ ครองกองคาราวานของตน โดยคนแบ่งเป็ นนักรบเดินเท้าสวมเสื้อเกราะ 600 คน ทหารม้า สวมเกราะ 100 คน อูฐเจ็ดร้อยตัว พร้อมด้วยเหล่าสตรีที่ทาหน้าที่เล่นดนตรีและขับร้องเพลง กล่อม ปลุกขวัญและกาลังใจให้กบั เหล่านักรบของตน ฝ่ ายมุสลิมมีกาลังรบเพียง 313 – 314 คนเท่านัน้ นักรบส่วนใหญ่เป็ นชาวอันศอร – มดีนะฮฺ มีอฐู 70 ตัว ทหารม้า 3 คน นอกจากนัน้ ก่อนที่จะมีการรบก็มีกองกาลังที่ใช้อฐู เป็ นยานพาหนะมา สมทบบ้างอีกเล็กน้อย ก่อนที่ จะเริ่มทาการ สูร้ บท่านนบี صلً هللا علٍه و سلنได้ทาการ หารือกับเหล่าสหายของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอันศอร ในประเด็นที่ว่า จะยกกาลังเข้าประจัญบานหรือว่าจะตัง้ รับดี ? เหล่ามุ ฮาญิรีนให้ความเห็นว่า ควรที่จะยกกองกาลังเข้าประจัญบานนอกเมือง ต่อมาเมื่อชาวอันศอรได้รบั ทราบ ว่าท่านต้องการที่จะหารือกับพวกเขา ซะอ์ด บิน มุอาซ ในฐานะที่เป็ นหัวหน้าของชาวอันศอรใน ขณะนัน้ จึงได้ เสนอกับท่านฮฺ ว่า “โอ้ท่านร่อซ ูล ุลลอ ฮฺ แน่แท้เราได้ศรัทธาในท่าน เชื่อ มัน่ ในท่าน และเราปฏิญาณว่าสิ่งที่ท่านได้ทามานัน้ เป็นสัจธรรม เราได้ให้คามัน่ สัญญาและปฏิญาณ ตนต่อ หน้า ท่านว่าจะเชื่อฟังและปฏิบตั ิตาม ดังนัน้ ขอเคียงบ่าเคียงไหล่ ไปกับท่าน ท่านจ งดาเนินการ ตามที่ท่านประสงค์เกิด พวกเราจะอยูร่ ว่ มกับท่าน ขอสาบานด้วยพระผูท้ ี่ ทรงประทานสัจธรรม มากับท่านว่า มาตรว่าท่ านนาพวกเราข้ามมหาสมุทรนี้เรา ก็จะข้ามไปพร้อมกับท่าน จะไม่มีใคร 51
จากหมู่พวกเราแม้แต่สกั คนเดียวที่ไม่ ต่อสู้ เราจะไม่รงั เกียจที่ท่านจะนาเราไปพบศัตร ูของเราใน วันพรงุ่ นี้ เราจะอดทนในการรบ และจะมีสจั จะในการประจัญบาน เผื่อว่า อัลลอฮฺ จะให้ท่านเห็น เราเป็นที่เย็นตาเย็นใจของท่าน ดังนัน้ โปรดนาพวกเราไปรับความจาเริญจากอัลลอฮฺ เถิด ” ชาวอัน ศอรคนอื่น ๆ ก็กล่าวเช่นเดียวกับเขา และแล้วท่านรซูลลุ ลอฮฺ صلً هللا علٍه و سلن ก็เริ่มออกเดินทาง พร้อมทัง้ กล่าวว่า “พวกท่านทัง้ หลายจงออกเดินทางบนความจาเริญของอัลลอฮฺ เถิด และจงรอ รับข่าวดีเถิด เพราะแท้จริงอัลลอฮฺ ทรงให้สญ ั ญากับฉันว่าจะทรงประทา นหนึ่งในสองอย่าง จาก สงครามครัง้ นี้ ไม่กองคาราวานสินค้า (ยึดเสบียงสินค้าได้) ก็กองทัพของพวกก ุร็อยช์ (ชัยชนะจาก การสูร้ บ) แล้วท่านรซูลลุ ลอฮฺ صلً هللا علٍه و سلنก็ออกเดินทางจนกระทัง่ ไปถึงบริเวณใกล้ กับแอ่งนา้ ที่มี ชื่อว่า บะดัร จึงได้สงั ่ ให้หยุดตัง้ ทัพที่นนั ่ อัล – หิบาบ บิน อัล – มุนซิร ได้กล่าวว่า : โอ้ท่านรซ ูล ุลลอฮฺ ที่นี่คือที่ซึ่งอัลลอฮฺ ทรงให้ท่านตัง้ มัน่ ใช่หรือไม่ ? ไม่ใช่ ที่ขา้ งหน้าหรือข้างหลังใช่ไหม ? หรือว่ามัน เป็นความเห็น ของท่าน เอง เพราะ ฉันเห็น ว่าเรือ่ งของสงครามเป็นเรือ่ งที่ตอ้ งใช้กลย ุทธ์ ? ท่าน ตอบว่า “มันเป็นความเห็นของฉันเอง และถ ูกต้องแล้วที่ท่านบอกว่า เรือ่ งสงครามนัน้ เป็นเรือ่ งของ กลย ุทธ์ ” อัล – หิบาบ จึงได้เสนอให้ท่านเคลื่อนกาลังไปอีกที่หนึง่ ที่เหมาะกว่า และ มีโอกาสที่จะให้กอง กาลังของมุสลิมสามารถตัดเส้นทางการใช้ บ่อนา้ บะดัรของพวกมุชริกได้มากกว่า ท่านรซูล صلً هللا علٍه و سلن จึงนากองกาลังเดินทางลงไปจนถึงบริเวณที่อลั – หิบาบเสนอ แล้วตัง้ มันอยู่ ณ บริเวณนัน้ ส่วน ซะอ์ด บิน มุอา๊ ซก็ได้เสนอให้สร้างที่พกั ให้ท่านรซูล صلً هللا علٍه و سلنไว้ทางด้านหลังของที่ตงั้ ทัพของ ฝ่ ายมุสลิม เพราะถ้าหากอัลลอฮฺ ทรงให้เกียรติกบั พวกเขาให้ได้รบั ชัยชนะก็ไม่ มีปัญหา แต่ถา้ หากว่า ฝ่ าย มุสลิม ต้องพ่ายแพ้ ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلنก็จะได้ ลา่ ถอยกลับไปยังมดีนะฮฺ ได้ทนั โดยที่ไม่ได้รบั อันตราย ซึ่งซะอฺ ด ได้กล่าวกับท่านว่า โอ้ท่านรซ ูล ุลลอฮฺ ยงั มีคนที่ไม่ได้เดินทางร่วมมากับเราในครัง้ นี้ยงั อีกมาก ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้รกั ท่านมากไปกว่าพวกเขา และมารตว่าพวกเขาทราบว่าท่านต้อง มาทาสงคราม แน่นอนพวกเขาจะไม่ละทิ้งท่าน แล้วท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن ก็ได้ขอดุอาอ์ ให้กบั เขา และได้สงั ่ ให้สร้างที่พกั ให้ท่านตา มที่เขาเสนอ เมื่อกองกาลังของทัง้ สองฝ่ ายได้ประจัญบานกัน ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلنได้จดั กาลังของมุสลิม ปลุกเร้าพวกเขา ให้เข้มแข็ง กล้าหาญ และมีกาลังใจ ในการทาสงคราม กระตุน้ พวกเขาให้แหวงหาความพึงพอระทัยของอัลลอฮฺ ในการพลีในหนทางของพระองค์ โดยท่านได้กล่าว ว่า “ขอสาบานด้วยผูท้ ี่ชีวิตของฉันอยูใ่ นพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ไม่มีผใ้ ู ดที่ทาสงครามกับ พวกเขาในวันนี้ โดยเขาได้ถ ูกสังหารใน สภาพ ที่เขามีความอดทนและหวังในผลตอบแทนจาก อัลลอฮฺ เดินหน้าโดยไม่หนั หลังถอยหนี นอกจากว่าอัลลอฮฺ จะทรงให้เข้าสวนสวรรค์ ” แล้วท่านก็ ได้กลับไป พัก ณ ที่พกั หลังฐานทัพพร้อมกับอบูบกั รได ยมี ซะอิด บิน มุอา๊ ซ ถือดาบคอยให้การคุม้ กัน ท่านรซ ูล ศ็อลฯ ก็ได้วิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า : “โอ้อลั ลอฮฺ ฉันเชื่อในพันธสัญญาของพระองค์ โอ้อลั ลอฮฺ มาตรว่าคนกลมุ่ นี้ ( เหล่านักรบผู้ ศรัทธา ) ต้องประสบกับความตาย พระองค์จะไม่ได้รบั การเคารพภักดีบนหน้าแผ่นดินอีก” ท่านได้ส ุํูด – กราบเป็นเวลานาน ถึงขนาด ว่า อบูบกั ร ถึงกับ กล่าวว่า พอแล้วเถิดท่าน อัลลอฮฺ จะทรงทาตามสัญญาที่พระองค์ทรงให้ไว้กบั ท่าน และแล้วสงครามก็ได้เกิดขึน้ และสิ้นสุดลง ด้วยรับชัยชนะของฝ่ ายมุสลิม ฝ่ ายมุชริกีนเสียชีวิตประมาณเจ็ดสิบคน ในจานวนนัน้ มีระดับแกนนาคน 52
สาคัญๆ ของพวกเขาอยู่ดว้ ย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อบู ญะฮัล เป็ นเชลยศึกของมุสลิมอีกประมาณ 70 คน ท่านนบี صلً هللا علٍه و سلن ได้สงั ่ ให้ฝังศพทัง้ หมดแล้วเดินทางกลับเมืองมดีนะฮฺ ท่านปรึกษาหารือกับ เหล่าเศาะฮาบะฮฺ ของท่านเกี่ยวกับเรื่องเชลยศึก อุมรั เสนอว่า ควรสังหารพวกเขา เสียให้หมด ส่วนอ บูบกั รได้เสนอให้รบั ค่าไถ่ตวั ซึ่งท่านรซูล صلً هللا علٍه و سلن ได้ถือปฏิบตั ติ ามข้อเสนอของอบูบกั ร พวกมุชริกีนได้ใช้ทรัพย์สินไถ่ตวั เชลยศึกของพวกเขากลับไป ในสมรภูมิบะดัร อัลลอฮฺ ได้ทรงประทา นโองการอัลกุรฺอานบางโองการลงมา ดังเช่นที่ปรากฏอยู่ ในซูเราะฮฺ อาลิอิมรอนอายะฮฺ ที่ 123 ว่า
ความว่า : และแน่แท้ อัลลอฮฺ ได้ทรงช่วยเหลือสูเจ้า ณ สมรภ ูมิบะดัร ในขณะที่สเู จ้าเป็น พวกที่ดอ้ ยกว่า ดังนัน้ พวกเจ้าพึงยาเกรงอัลลอฮฺ เถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจักขอบค ุณ” … .
“จงราลึกถึงขณะที่เจ้า ( มุฮมั มัด ) กล่าวแก่บรรดาผูศ้ รัทธาว่า ไม่เพียงพอแก่พวกเจ้า ดอกหรือ ต่อการที่พระเจ้าของพวกเจ้าจะหนุนกาลังแก่พวกเจ้า ด้วยมลาอิกะฮฺ จานวนสามพันที่ ถ ูกส่งลงมา เพียงพอแน่นอน หากพวกเจ้าอดทนและยาเกรง และพวกเขาจะมายังพวกเจ้า ทันทีทนั ใดขณะนี้ แล้วพระเจ้าของพวกเจ้าก็จะหนุนกาลังแก่พวกเจ้าอีก ด้วยจานวนมลาอิกะฮฺ ห้าพัน โดยมีเครือ่ งหมาย และอัลลอฮฺ มิได้ทรงให้กาลังหนุนนัน้ มีข้ ึน นอกจากเพื่อเป็นข่าวดีแก่ พวกเจ้า และเพื่อที่หวั ใจของพวกเจ้าจะได้สงบด้วยกาลังหนุนนัน้ และความช่วยเหลือทัง้ หลาย นัน้ ไม่มี ( จากที่อื่นใด ) นอกจากที่อลั ลอฮฺ ผูท้ รงเดชานุภาพ ผูท้ รงปรีชาญาณเท่านัน้ ” ( อาลิอิมรอน : 124 – 125 ) เช่นเดียวกับที่ อัลลอฮฺ ได้ทรงตาหนิท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن ในการที่ท่านได้รบั ค่าไถ่ตวั เชลยศึกว่า
ความว่า : ไม่บงั ควรแก่นบีคนใดที่จะมีเชลยศึกไว้ ด้วยพวกเจ้าต้องการสิ่งเล็กน้อยแห่ง โลกนี้ เว้นเสียแต่ว่า จะมีการประหัตประหาร กันอย่างมากมาย ขึ้น บนหน้าแผ่นดิน ทว่า อัลลอฮฺ ทรงประสงค์เรือ่ ง ปรโลก และอัลลอฮฺ เป็นผูท้ รงเดชานุภาพผูท้ รงปรีชาญาณ ” ( อัล – อัมฟาล : 67 )
53
“หากไม่มีพระกาหนดจากอัลอฮฺ ลว่ งหน้าอยูก่ ่อน แน่นอนการลงโทษอันมหันต์ก็จะประสบ แก่พวกเจ้าแล้ว เนื่องในสิ่ง(ผลประโยชน์ทางโลก)ที่พวกเจ้ารับ” ( อัล – อัมฟาล : 68 )
“ดังนัน้ พวกเจ้าจงบริโภคสิ่งที่ดีจากสิ่งที่พวกเจ้าได้มาจากการทาศึก และพึงยา เกรงอัลลอฮฺ เถิด แท้จริงอลลอฮฺ นนั้ คือผูท้ รงอภัยโทษผูท้ รงเอ็นด ูเมตตา” ( อัล – อัมฟาล : 69 )
5.1.2 สงครามอ ุฮ ุด สงครามอุฮดุ เกิดขึน้ เมื่อวันเสาร์ที่ 15 เดือนเชาวาล ปี ฮ.ศ. 3 สาเหต ุของสงคราม ฝ่ ายกุร็อยช์ตอ้ งการแก้แค้นฝ่ ายมุสลิมจากความพ่ายแพ้ของพวกเขาต่อฝ่ ายมุสลิมใน สมรภูมิ บะดัร พวกมุชริกีน กุร็อยช์ได้ทาการเตรียมทัพเพื่อทาศึกกับท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن ที่เมือง มดีนะฮฺ โดยได้ยกทัพพร้อมทหารจานวน 3,000 คน ไม่รวมชาวหุบยั ช์ ซึ่งเป็ นพันธมิตรของพวกเขาที่สง่ กองกาลังเขาสมทบด้วย ในจานวน 3,000 นัน้ แบ่งเป็ นนักรบสวมชุดเกราะ 700 คน ทหารม้า 200 คน มีสตรีร่วม เดินทางมาด้วย 17 คน นาโดยฮินด์ซึ่งเป็ นบุตรีของอุตบะฮฺ ภรรยาของอบูซฟุ ยานรวมอยู่ดว้ ย นางได้ ร่วมออกสงครามในครัง้ นีด้ ว้ ยความอาฆาตแค้นที่บิดาของหล่อนถูกสังหารในสงครามบะดัร พวกเขาเดินทางมาจนกระทัง่ ถึง ณ บริเวณ กลางหุบเขาก่อนถึงภูเขาอุฮดุ ( อุฮดุ เป็ นภูเขาสูง ตัง้ อยู่ทางเหนือของนครมดีนะฮฺ ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 2 ไมล์ ) ซึ่ง เป็ นบริเวณที่อยู่ตรงกันข้าม กับเมืองมดีนะฮฺ ฝ่ ายมุสลิม ตามความเห็นของท่านร่ อซูลและเศาะะฮาบะฮฺ จานวนหนึง่ นัน้ เห็นว่า ไม่ควรยกทัพออก ออกไปสูร้ บนอกเมือง แตควรจะตัง้ รับอยู่ในเมืองมดีนะฮฺ เพราะหากว่าบรรดามุชริกีน บุกเข้าโจมตี ก็เชื่อว่า ฝ่ ายมุสลิมจะ สามารถ ขับไล่พวกขาออกมา ได้ แต่กลุม่ คนหนุม่ กับ ชาว มุฮาญิรีนและอันศอรบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผูท้ ี่ไม่ได้ออกร่วม รบใน สงครามบะดัร มีความ ฮึกเหิมที่จะออกจากเมืองเพื่อเข้า ประจัญบานกับฝ่ ายตรงกันข้ามถึงที่ตงั้ ฐานทัพของพวกเขา ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن ยอม ถือเอาตามความเห็นของ กลุม่ หลังนี้ ท่านเข้าไปในบ้าน สวม ชุดเกราะ ผูกโล่ตดิ หลัง สะพายดาบ แล้วก็ ออกมายังไพร่พลมุสลิม กลุม่ ของบรรดาผูท้ ี่ มีความเห็นว่า ฝ่ ายมุสลิมควรออกไปประจัญบานนอกเมืองมดีนะฮฺ รสู้ ึกเสียใจ ที่ พวกเขาเป็ นเหตุให้ท่าน ร่อซูล صلً هللا علٍه و سلنต้องยอมรับความเห็นที่ ไม่ตรงกับความเห็นของท่านเอง พวกเขาจึงกล่าวกับท่านว่า : “พวกเราไม่ มีเจตนาที่จะฝ่าฝืนท่าน ขอให้ท่านทาตามที่ท่าน ประสงค์ เถิด ท่านจะไม่ออกไปก็ได้” ท่านนบี صلً هللا علٍه و سلنตอบพวกเขาว่า ( อายะฮฺ )
54
“ไม่เป็นการบังควร สาหรับ นบีคนใด ที่จะถอดเสื้อเกราะ เมื่อได้สวมเสื้อ มัน แล้ว จน กว่าอัลลอฮฺ จะทรงตัดสินระหว่างเขากับศัตร ูของเขา” ท่านได้ออกเดินทางพร้อมกับกองกาลังของมุสลิมซึ่งมีประมาณ 1,000 คน ในจานวนนัน้ มีทหาร ม้าและทหารที่สวมชุดเกราะประมาณ 100 คน ตอนที่มสุ ลิม ได้รวมพลกันเพื่ อออกทาศึก นัน้ ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلنเห็น ชาว ยิวกลุม่ หนึง่ ต้องการที่จะออกไปด้วยพร้อมกับอับดุลลอฮฺ บิน อุบยั บิน สะลูน หัวโจกของพวกสับปลับ ท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلن จึงกล่าวว่า “พวกนัน้ เข้ารับอิสลามแล้วกระนัน้ หรือ ? พวกเขาตอบว่า ยังเลย ครับท่านร่ อซ ูล ุลลอฮฺ ท่านจึงกล่าวว่า “จงบอกให้พวกเขากลับไป เสียเถิด เพราะเราจะไม่ขอ ความช่วยเหลือจากพวกมุชริกีนเพื่อให้ช่วยรบกับมุชริกีน” พอมาถึงกลางทางอับดุลลอฮฺ บิน อุบยั บิน สลูน ได้ ชักชวนและ พาสมัครพรรคพวก ซึ่งเป็ นมุ นาฟิ กีนประมาณ 300 คน แยกตัวออกจากกองทัพมุสลิม ทาให้กาลังของมุสลิมเหลืออยู่เพียง 700 คนเท่านัน้ ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن ได้นากองกาลังเดินหน้าจนไปถึงสมรภูมิอฮุ ดุ แล้ว ตัง้ ทัพโดยหัน หลังไปทางภูเขาอุฮดุ และหันหน้าไปทางกองกาลังของมุชริกีน ท่านได้จดั แบ่งกองกาลัง ทหารออกเป็ นกลุม่ ๆ ให้แต่ละกลุม่ มีหวั หน้า รับผิดชอบ และที่สาคัญท่านได้เลือกพลแม่นธนูจานวน 50 คน โดยให้ อับด ุลลอ ฮฺ บิน ํบุ ยั ร์ เป็ นหัวหน้า โดยได้กาชับกับพวกเขาว่า “ พวกท่านมีหน้าที่ป้องกัน มิให้พวกข้าศึก เข้า โจมตีฝ่ายเราจากทางด้านหลัง หากพวก เขาเข้ามาทางด้านหลัง ฝ่ายเรา ก็จงยิงพวกเขาด้วยธนู เพราะม้าจะไม่สามารถต้านธนูได้ เรา จะยังคงอยูใ่ นชัยชนะตราบเท่าที่พวกท่านยืนหยัดประจาตาแหน่งของพวกท่าน โอ้อลั ลอฮฺ โอ้พระ ผูเ้ จ้าของฉัน แท้จริงฉันขอเป็นพยานต่อพระองค์เกี่ยวกับพวกเขา” อีกรายงานหนึง่ ระบุว่าท่านกล่าวว่า : “ หากแม้พวกท่านเห็นนกโฉบเฉี่ยวพวกเรา พวกท่านก็จงอย่าได้ละทิ้งตาแหน่งที่พวกท่าน ประจาอยู่อย่างเด็ดขาด จนกว่าจะมีคนที่ฉนั ส่งมาบอกพวกท่าน ให้ละทิ้งตาแหน่งได้ ไม่ว่า พวก ท่านจะเห็นว่าเราพ่ายแพ้ต่อข้าศึกหรือมีชยั ชนะเหนือข้าศึกหรือแม้ว่าพวกท่านจะเห็น พวกเขาตาย กลาดเกลื่อนก็จงอย่าได้ละทิ้งตาแหน่งของพวกท่านจนกว่าฉันจะได้สง่ คนมาบอกพวกท่าน” และแล้วการสูร้ บ ก็ได้เริ่มขึน้ อับด ุลลอฮฺ บิน ํบุ ยั ร์ ได้ทรงช่วยเหลือฝ่ ายบรรดามุสลิมให้มีชยั ชนะ สามารถสังหารข้าศึกในช่วงแรกได้เป็ นจานวนมาก ส่วนพวกที่เหลือก็หนั หลังถอยหนี เมื่อฝ่ ายมุสลิม เห็นว่าข้าศึกปราชัยก็พากันบุกเข้าไป เพื่อเก็บ เอาทรัพย์สินของข้าศึกมุ ชริกีน เหล่าทหารแม่นธนูที่อยู่ ด้านหลัง สมรภูมิ เห็นเช่นนัน้ ก็พากันพูดว่า : พวกเราจะเอาอย่างไรกันดี ในเมื่อ ในขณะนี้ อัลลอฮฺ ได้ ช่วยเหลือร่อซ ูลของพระองค์แล้วให้มีชยั แล้ว ? พวกเขาส่วนใหญ่ คิดที่จะละทิ้งตาแหน่งที่ ท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلن ได้กาชับให้ประจาการ เพื่อจะได้มีสว่ น ได้ทรัพย์สินในสงคราม อับด ุลลอฮฺ บิน ํบุ ยั ร์ ในฐานะของผูท้ ี่ เป็ นหัวหน้าก็กล่าว เตือนสติพวกเขาให้นกึ ถึงคาสัง่ กาชับ ของท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن พวกเขาโต้แย้ง ว่า สงครามได้ สิ้นสุดลงแล้ว ไม่ มีความจาเป็ นที่จะอยู่ประจาตาแหน่งอีกต่อไปแล้ว แต่อบั ดุลลอฮฺ ก็ปฏิเสธที่จะอนุญาตให้ พวกเขากระทาเช่นนัน้ ซึ่งเขาก็ ไม่สามารถทัดทาน ลูกน้อง ส่วนใหญ่ไว้ได้ เหลือ แต่ เพียงผูท้ ี่เชื่อฟัง เขา ประมาณ 10 คนเท่านัน้
55
ฝ่ ายมุชริกีนโดย คอลิด อิบนุล – วะลีด ซึ่ง ในขณะนัน้ รับทาหน้าที่ เป็ นแม่ทพั ของฝ่ าย เมื่อ ประสบโอกาส เห็นช่องว่างด้านหลัง อันเป็ นจุดอ่อน ของกอง กาลังฝ่ าย มุสลิม จากการที่ พลแม่นธนูละ ตาแหน่งหน้าที่ ก็รีบตีโอบล้อมเข้ามาทางด้านหลัง โดยที่ทหารมุสลิมไม่ทนั ได้ตงั้ ตัวและระวังตัว มารูต้ วั อีก ทีก็ตอ่ เมื่อคมดาบของฝ่ ายมุชริกีน ภายใต้การนาของคอลิด ได้ฟาดฟัน สังหารพวกเขาจนล้มตายกลาด เกลื่อนเต็มไปหมด กองทัพมุสลิม ตกอยู่ในความระสา่ ระสาย พร้อมกับมีขา่ ว ออกว่า ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن ถูกสังหารเสียชีวิตแล้ว ข่าวดังกล่าวทาให้ทหารมุสลิมบางส่วน ล่าถอยหนีกลับ เข้าเมืองมดี นะฮฺ ฝ่ ายมุชริกีนก็สามารถบุกเข้าถึงตัวของท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلن จนทาให้ท่านได้รบั บาดเจ็บที่ ใบหน้า หัวเข่าทัง้ สองข้างและริมฝี ปากล่าง หมวกเหล็กที่ท่านสวมใส่แตก พวกมุชริกเข้ารุมล้อมหมายที่จะ สังหารท่าน แต่ท่านก็ยืนหยัดต่อสูเ้ คียงบ่าเคียงไหล่กบั เหล่าเศาะฮาบะฮฺ บางคนที่ยืนหยัดร่วมกับท่าน อาทิ อบู ด ุญานะฮฺ ซึ่งเอาตัวเอง เข้า เป็ นเกราะ และโล่หก์ าบัง ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن มิให้ ถกู พวกมุช ริกีนทาร้าย ทาให้ดอกเกาทัณฑ์ที่พวกมุชริกยิงเข้าใส่ปักเข้าที่แผ่นหลังของเขา ซะอัด บิน อบี วักก๊อศ ที่ ต้องยิงธนูตอ่ สูก้ บั ข้าศึกถึง 1,000 ดอกในวันนัน้ นะสีบะฮ์มารดาของอิมาเราะฮฺ อัล – อันศอรียะฮฺ สตรีผทู้ ี่ตอ้ งละทิ้งการปฐมพยาบาลผูไ้ ด้รบั บาดเจ็บ แล้วหัน มาจับดาบฟาดฟันกับข้าศึกและยิงธนูเพื่อ คุม้ กัน ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن จนทาให้นางต้องได้รบั บาดเจ็บที่คอเป็ นแผลลึก ยิ่งไปกว่านัน้ สามีและ ลูกชายสองคนของนางต่างก็ ยืนหยัดต่อสูเ้ คียงบ่าเคียงไหล่กนั จากเหตุการณ์ครัง้ นี้ ท่าน ร่อซูล صلً هللا علٍه و سلن ได้กล่าวกับครอบครัวของนางว่า “หวังว่าอัลลอฮฺ จะทรงประทานความจาเริญแก่พวกท่านทัง้ ครอบครัว ” นะสีบะฮ์ได้กล่าวกับ ท่านว่า “ ขอให้ท่านช่วยด ุอาอ์ต่ออัลลอฮฺ ให้พวกเราได้อยูร่ ว่ มกับท่านในสวนสวรรค์ดว้ ยเถิด ” ท่านจึงกล่าววิงวอนต่อพระองค์ว่า “โอ้อลั ลอฮฺ ขอพระองค์ทรงโปรดให้พวกเขาได้อยูร่ ว่ มกับฉันในสวนสวรรค์ดว้ ยเถิด” เมื่อได้ฟังท่านกล่าวเช่นนัน้ นางกล่าวขึน้ ทันทีว่า “ต่อไปนี้ฉนั ไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับฉัน ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว” ท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلن ได้กล่าวถึงนางไว้ว่า “ไม่ว่าฉันจะหันไปขวาหรือทางซ้ายในวันอ ุฮ ุด ฉันก็เห็นนางต่อสูเ้ พื่อปกป้องฉัน” ในวันนัน้ นางได้รบั บาดเจ็บถึง 12 แผล จากการถูกแทงทัง้ ด้วยคมหอกและถูกฟันด้วยคมดาบ ในช่วงเวลาที่กาลังมีการประจัญบานกันอยู่นนั้ อ ุบัยย์ บิน เคาะลัฟ ได้พยายามที่จะเข้า ประชิด ตัว ท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلن เพื่อสังหารท่าน เขาได้สาบานตนว่าจะไม่ถอยหลัง ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن ได้เอาหอกจากสหายผู้ ที่ร่วมรบอยู่กบั ท่านแทง เข้าที่ลาคอของเขาทาให้เขาถึงแก่ความตาย ซึ่งถือได้ว่าเขาเป็ นคนเพียงคนเดียวที่ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن ได้สงั หารด้วยมือ อันทรงเกียรติ ของท่านในสงครามทัง้ หลายที่เกิดขึน้ ท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلن ได้ขนึ้ ไปยืนบนบ่าของฏ็อลหะฮ บิน อ ุบัยด ุลลอฮฺ เพื่อสังเกตดู การเคลื่อนไหวของ ข้าศึก ท่านได้เห็นพวกมุชริกีนกลุม่ หนึง่ อยู่บนเนินเขา ท่านจึงได้สง่ เศาะฮาบะฮฺ จานวน หนึง่ ออกไปกดดันให้พวกเขาลงมาข้างล่าง โดยท่านกล่าวว่า “ไม่ควรที่พวกเขาจะอยู่ ในตาแหน่งที่ สูงกว่าพวกเรา โอ้อลั ลอฮฺ เราไม่มีพลัง อานาจใด ๆ นอกจากด้วยความช่วยเหลือของพระองค์” เมื่อ สงครามได้ยตุ ลิ ง อบู ซ ุฟยาน ได้ประกาศว่า “วันนี้(อ ุฮ ุดที่เรามีชย ั ชนะ)ชดเชยกับ วันบะดัรฺ (ที่เราพ่ายแพ้) ” บุคคลสาคัญ ที่สดุ ของฝ่ ายมุสลิ มที่ได้เสียชีวิตในสงครามครัง้ นีค้ ือ ท่านฮัมซะฮฺ บิน อบีฏอลิบ ลุงของท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن โดยที่นางฮินด์ ภรรยาของอบู 56
ซ ุฟยาน ได้ผา่ ศพของท่านแล้วควักเอาหัวใจของท่านออกมากัดเคี้ยวเมื่อพบว่าขม นางจึงได้คายทิ้ง เหตุการณ์ ที่ได้เกิดขึน้ กับ ฮัมซะฮฺ ทาให้ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن รูส้ ึก เสียใจเป็ นที่สดุ ท่านถึงกับ กล่าวว่า : “หากว่าอัลลอฮฺ ให้ฉนั ได้รบั ชัยชนะเหนือพวกก ุร็อยช์ ณ สมรภ ูมิใดสักครัง้ หนึ่ง ฉันจะต้อง ผ่าท้องของพวกเขาสักสามสิบคน” แต่ตอ่ มาอัลลอฮฺ ได้ทรงห้ามการผ่าท้องศพ หรือทาลายศพ จากสงคราม จากสงครามครัง้ นี้ ฝ่ าย มุสลิมต้องเสียชีวิตไปเป็ นจานวน 70 คน ในขณะฝ่ ายมุชริกีนเสียชีวิต 23 คน ในสงครามครัง้ นีอ้ ลั ลอฮฺ ทรงประทา นโองการอัล – กุรอานที่ถือได้ว่า ลงมาเยียวยาบาดแผล และ ความเจ็บปวดของบรรดาผูศ้ รัทธา พร้อมกับได้ทรงเปิ ดเผยถึงสาเหตุ แห่งความปราชัยของพวกเขา ในซู เราะฮฺ อาลิ อิมรอน ว่า :
“และพวกเจ้าจงอย่า อ่อนแอ(ต่อข้าศึก) และจงอย่าเสียใจ และพวกเจ้า จะเป็นที่เหนือกว่า หากว่าพวกเจ้าเป็นผูศ้ รัทธา(ที่แท้จริง) หากบาดแผลหนึ่งบาดแผลใด(หรือการการฆ่า) ประสบแก่ พวกเจ้า แน่นอนย่อมประสบแก่พวกเขา ซึ่งบาดแผล(และการฆ่า)เยีย่ งนัน้ และเราได้ให้วนั เวลา (ที่ดีและที่ไม่ดี) เหล่านัน้ ห มุนเวียน สับเปลี่ยน ไประหว่างมนุษย์ เพื่อ ที่เราจะได้ท ดสอบบรรดาผูท้ ี่ ศรัทธา และเพื่อเอาบรรดา พลีชีพ(ในหนทางของอัลลอฮฺ ) จากหมู่ส เู จ้า และอัลลอฮฺ นนั้ ไม่ทรงรัก ใคร่ผอ้ ู ธรรมทัง้ หลาย เพื่อที่อลั ลอฮฺ จะทรงขัดเกลาบรรดาผูศ้ รัทธาให้บริส ุทธิ์ และทรง ทาลาย บรรดาผูป้ ฏิเสธศรัทธาให้หมดไป หรือ สูเจ้าคิด กระนัน้ หรือ ว่า สูเจ้าจะได้เข้าสวรรค์ ทัง้ ๆ ที่อลั ลอฮฺ ยงั มิได้ทรงทดสอบ บรรดาผูท้ ี่ต่อสูด้ ้ ินรน ( ญิฮาด ) ในหมู่สเู จ้า พร้อมกันนัน้ พระองค์ ก็จะทรงทดสอบบรรดาผูท้ ี่อดทนด้วย” ( อาลิอิมรอน : 139 - 142 )
57
“ และแน่นอน อัลลอฮฺ ได้ทรงให้สญ ั ญาของพระองค์ เป็นจริงแก่ สเู จ้าแล้ว ขณะ เมื่อสูเจ้า เข่นฆ่าพวกเขาด้วยอนุมตั ิของอัลลอฮฺ จนกระทัง่ สูเจ้าขลาดที่จะต่อสู้ และขัดแย้งกันในคาสัง่ และสูเจ้าได้ฝ่าฝืน หลังจากที่พระองค์ได้ทรงให้สเู จ้าเห็นสิ่งที่ สเู จ้าชอบแล้ว ในหมู่ส เู จ้านัน้ มีผท้ ู ี่ ต้องการโลกนี้ และ ในหมู่เจ้าก็ มีผท้ ู ี่ตอ้ งการปรโลก แล้วพระองค์ก็ทรงให้ สูเจ้าหันหลังจากพวก เขาเสีย เพื่อที่พระองค์จะทรงทดสอบ สูเจ้า และแน่นอนพระองค์ได้ทรงอภัยแก่ สูเจ้าแล้ว และ พระองค์นนั้ เป็นผูม้ ีพระค ุณแก่ผศ้ ู รัทธาทัง้ หลาย” “ จงราลึกถึงขณะที่สเู จ้าพากันหนีเอาตัวรอด และไม่เหลียวมองคนหนึ่งคนใด ทัง้ ๆ ที่ร่ อ ซ ูลกาลังเรียกสูเจ้าอยูท่ างเบื้องหลังของ สูเจ้า แล้วพระองค์ก็ได้ทรงตอบแทน สูเจ้าซึ่งความเศร้า โศกอย่างหนึ่ง เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ไม่เสียใจในสิ่งที่ สเู จ้าสูญเสีย ไป และไม่เสียใจต่อสิ่งที่ ในสิ่งที่ส ู เจ้า ได้รบั และอัลลลอฮฺ นนั้ ทรงรอบรอ้ ู ย่างละเอียด ในสิ่งที่ ส เู จ้ากระทา ” ( ซ ูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺ ที่ 152 – 153 )
5.1.3 สงครามบนู อัล – นะฎีร บนู อัล – นะฎีร เป็ นชื่อชาวยิว กลุม่ หนึง่ ที่อาศัยอยู่ในเมืองมดีนะฮฺ เป็ นพันธมิตรกับชาวอันศอร เผ่าอัล – ค็อซร็อจญ์ มีพนั ธสัญญา ร่วมกันว่าจะ ไม่รบพุ่งกัน และ จะร่วมมือกับฝ่ ายมุสลิม ดัง เช่น ที่ได้ กล่าวไปแล้วในตอนต้น ทว่าด้วยสันดา นชัว่ และชอบหักหลังที่มีอยู่ในจิตใจของชาวยิวได้นาพาให้พวกเขา ละเมิดพันธสัญญา วันหนึง่ ในขณะที่ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلنและเศาะฮาบะฮฺ บางท่านนัง่ พิงกาแพงบ้านอยู่ใน ชุมชนบนูอลั - นะฎีร พวกเขาได้วางแผนที่จะสังหารท่าน ด้วยการขว้างก้อนหินใส่ท่านจากทางหลังบ้าน แต่ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلنรูต้ วั เสียก่อน ท่านจึงได้ลกุ จากที่นนั ่ ไปโดยเร็วประหนึง่ ว่าต้องรีบไปทา ธุระ ท่านมุง่ หน้ากลับ เข้ามดีนะฮฺ ได้พบกับเหล่าเศาะฮาบะฮฺ และได้สง่ ให้มฮุ มั มัด บิน มัสละมะฮฺ ไปแจ้ง แก่พวกนบีอลั – นะฎีรว่า “ ให้ออกไปจากเมืองของฉัน จงอย่าได้อยูร่ ว่ มกับฉันในเมืองนี้ เพราะพวก ท่านคิดคด” ท่านได้ให้เวลากับพวกเขา ให้ออกไปจากเมืองมดีนะฮฺ ภายใน 10 วัน พวกบนู อัล – นะฎีร ได้เตรียมตัวที่จะออกจากเมืองมดีนะฮฺ ตามคา สัง่ ของท่านรซูล صلً هللا علٍه و سلنทว่าอับดุลลอฮฺ บิน อุบยั ย์ บิน สลูล หัวหน้าของพวกมุนาฟิ กูนได้สง่ คนมายับยัง้ พวกเขาไว้ โดยสัญญาว่าจะส่ง สมัครพรรค พวกของเขาจานวน 2,000 คนมาให้การคุม้ ครอง พวกบนู อัล – นะฎีรจึงได้สร้างป้อมปราการของ ตนเองขึน้ พร้อมทัง้ ได้สง่ คนไปแจ้งแก่ท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلنว่า พวกเราจะไม่ออกจากบ้านเรือน ของพวกเรา ท่านจะทาอะไรก็ส ุดแล้วแต่ท่าน ท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلنจึงนาเศาะฮาบะฮฺ จานวน หนึง่ ออกไปยังชุมชนบนูนฎีรฺโดยมีอะลีย์ บิน อบีฏอลิบถือธง เมื่อพวกยิวบนู อัล – นะฎีรเห็นกองกาลังของ ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلنพวกเขาก็ได้ระดมยิงใส่ดว้ ยธนูและขว้างด้วยก้อนหิน ในขณะที่ กองกาลัง ของหัวหน้าพวกมุนาฟิ กูนที่สญ ั ญาว่าจะส่งกาลังมาคุมครองก็ไม่ได้มาช่วยคุม้ ครองพวกเขาตามที่ได้สญ ั ญา ไว้ ท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلنจึงได้ปิดล้อมพวกเขาไว้ดว้ ยความอดทน และ ใช้มาตรการเด็ดขาดด้วย 58
การโค่นสวนอินทผาลัมของพวกเขา พวกเขาจึงยอมที่จะออกจากเมือง มดีนะฮฺ ท่านร่ อซูล صلً هللا علٍه و سلن ได้กาหนดเงือ่ นไขว่า พวกเขาจะต้องไม่นาอาวุธใด ๆ ติดตัว ออกไปด้วย ส่วนทรัพย์สินอย่าง อื่นก็ให้ขนไปได้โดยใช้อฐู เป็ นยานพาหนะ บรรทุก พวกเขาจะไม่ถกู เข่นฆ่าหรือ ถูกทาร้าย พวกเขาจึงออกไป โดยได้เอาทรัพย์สิน ทุกอย่างที่ สามารถนาติดตัวไปได้ พร้อมทัง้ ได้ทบุ ทาลายบ้านเรือนของพวกเขาเองจน หมด เพื่อมิให้ฝ่ายมุสลิมได้ใช้ประโยชน์ ใด ๆ พวกเขาได้เดินทางออกไป โดยบางส่วนได้ไปตัง้ บ้านเรือน อาศัยอยู่ที่ “ค็อยบัร” ซึ่งอยู่ห่างจากนครมดีนะฮฺ ออกไปประมาณ 100 ไมล์ บางส่วนก็ไปตัง้ บ้านเรือน อาศัยอยู่ชานเมือง “ญัรช” ทางตอนใต้ของอัช – ชาม จากหมูพ่ วกเขา มีเพียงสองคนเท่านัน้ ที่เข้ารับ อิสลาม ในสงครามนีอ้ ลั ลอฮฺ ได้ทรงประทานอัล – กุรอานซูเราะฮฺ อลั หัชฺรล์ งมาดังมีสาระบางส่วนดังนี้ ( อายะฮฺ )
ความว่า : “พระองค์เป็นผูท้ รงให้บรรดาผูป้ ฏิเสธจากชาวคัมภีร ์ (ชาวยิวบนีนะฎีรฺ) ออก จากบ้านเรือนของพวกเขาเป็นครัง้ แรกของการถ ูกขับไล่ออกเป็นกลมุ่ ๆ พวกเจ้ามิได้คาดคิดกัน เลยว่า พวกเขาจะออกไป ( ในสภาพเช่นนัน้ ) และพวกเขาคิดว่า แท้จริงป้อมปราการของพวก เขานัน้ จะป้องกันพวกเขาให้รอดพ้นจากการลงโทษ ของพระอัลลอฮฺ ได้ แต่การลงโทษของอัลลอฮฺ ได้มีมายังพวกเขาโดยมิได้คาดคิดมาก่อนเลย และพระองค์ทรงทาให้ความหวาดกลัวเกิดขึ้นใน จิตใจของพวกเขา โดยพวกเขาได้ทาลายบ้านเรือนของพวกเขาด้วยน้ามือของพวกเขาเอง และ ด้วยน้ามือของบรรดาผูศ้ รัทธา ดังนัน้ พวกเจ้าจงยึดถือเป็นบทเรียนเถิด โอ้ผม้ ู ีสติปัญญา ทัง้ หลาย และหากมิใช่เพราะอัลลอฮฺ ได้ทรงกาหนดการเนรเทศแก่พวกเขาแล้ว แน่นอนพระองค์ จะทรงลงโทษพวกเขาในโลกนี้ และสาหรับพวกเขาในปรโลก นัน้ คือการลงโทษด้วยไฟนรก ทัง้ นี้ ก็เพราะว่า พวกเขาต่อต้านอัลลอฮฺ และรอซ ูลของพระองค์ และผูใ้ ดต่อต้านอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺ เป็นผูท้ รงเข้มงวดในการลงโทษ” (อัล – หัชร์ / 2-4)
5.1.4 ฆ๊อซวะฮฺ อัล-อะห์ซาบ สงคราม อัลเชาวาล ปี ฮ.ศ. 5 สาเหต ุ :
อะหฺ ซาบ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึง่ ว่า สงคราม อัล-ค็อนดัก (สนามเพลาะ) เกิดขึน้ ในเดือน
59
หลังจากที่พวกบนู อัล-นะฎีร ได้ ถกู เนรเทศ แกนนากลุม่ หนึง่ ของพวกเขาได้เดินทางไปยังนครมัก กะฮฺ และได้เรียกร้องเชิญชวนและยุยงให้พวกกุร็อยช์ทาสงครามกับท่านร่อซูลصلً هللا علٍه و سلن ซึ่งพวก เขาก็ได้รบั การตอบรับจากพวกกุร็อยช์เป็ นอย่างดี แล้วพวกยิวกลุม่ นี้ก็เดินทางไปยัง “ฆ๊อฏฟาน” เพื่อ เชิญ ชวนให้ผคู้ นที่นนั ่ เข้าร่วมสงครามครัง้ นี้ ซึ่งก็ได้รบั การตอบรับ เป็ นอย่างดีทงั้ จาก “บนู ฟุซาเราะฮฺ ” “บนู มูรฺเราะฮฺ ” และอัชญะอฺ แล้วพวกเขาทัง้ หมดก็ได้ยกทัพมุง่ หน้าสูน่ ครมดีนะฮฺ ครั้ นเมื่อ ความได้ทราบถึงท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلنท่านก็ ได้ปรึกษาหารือกับบรรดาเศาะ ฮาบะฮฺ เพื่อหาวิธีการรับมือ ซัลมาน อัลฟาริซียไ์ ด้เสนอว่าให้ฝ่ายมุสลิมตัง้ รับอยู่ภายในเมือง มดีนะฮฺ โดยให้ มีการขุดสนามเพลาะรอบ ๆ เมือง ท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلنเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ จึงได้สงั ่ ให้ทาการ ขุดสนามเพละรอบ ๆ เมืองมดีนะฮฺ โดยที่ท่านเองก็ลงมือขุดด้วยตนเองด้วย ครัน้ เมื่อพวกกุร็อยช์และพันธมิตรกลุม่ ต่าง ๆ มาถึงรอบ ๆ เมืองมดีนะฮฺ และได้เห็น สนามเพลาะซึ่ง เป็ นเรื่องที่ชาวอาหรับไม่คนุ้ เคยมาก่อน พวกเขาต่างก็รสู้ ึกตกใจ กาลังของพวก กุร็อยช์กบั กลุม่ พันธมิตร มีถึง 10,000 คน ส่วนกาลังของมุสลิมมี นนัน้ มีเพียง 3,000 คนเท่านัน้ หุยยั ย์ บิน อั คฎ๊อบ ชาวยิวคนหนึง่ มีบทบาท สาคัญ ในการยุงยงให้พวกกุร็อยช์และชาวอาหรับก๊ก ต่าง ๆ ทาสงครามต่อต้านฝ่ ายมุสลิม ได้เดินทางไปพบ กะอับ บิน อะซัด หัวหน้าก๊ก บนี กุร็อยเซาะฮฺ เพื่อ ขอให้ยกเลิกสัญญาสงบศึกษา ที่ได้ทาไว้กบั ฝ่ ายมุสลิม ในที่สดุ ความพยายามของเขาก็บรรลุผล ทาให้ สัญญาที่พวกเขาทากับมุสลิมตลอดระยะเวลาที่ผา่ นมามีอนั ต้องยุตลิ ง พวกเขายอมเข้าร่วมเป็ นพันธมิตร กับพวกบนีนฎีรฺเพื่อทาสงครามกับท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلن ในขณะนัน้ ท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلن เกรงว่าฝ่ ายมุสลิมจะไม่สามารถรับมือกับข้าศึกที่มี จานวนเพิ่มมากขึน้ เรื่อย ๆ ได้ จึงได้คิดหาทางเจรจากับพวกบนูกรุ ็อยเซาะฮฺ ให้พวกเขาล้มเลิกการเข้าร่วม เป็ นพันธมิตรกับพวกบนีนะฎีรฺเสีย โดยท่านได้ยื่นข้อเสนอว่า จะมอบหนึง่ ในสามของรายได้จากผลไม้ของ เมืองมดีนะฮฺ ให้ แต่ปรากฏว่าชาวอันศอรฺ ไม่เห็นด้วย พวกเขาเห็นว่า การที่ปกป้องเกียรติยศและศักดิ์ศรีของ อิสลามนัน้ ไม่จาเป็ นที่จะต้องยอมอ่อนข้อให้กบั ฝ่ ายที่ละเมิดสัญญา ในที่สดุ สงครามก็ได้เริ่มขึน้ โดยที่ฝ่ายข้าศึกได้ยกกองทัพม้าข้ามสนามเพลาะส่วนที่แคบเข้ามาโจมตี ฝ่ ายมุสลิม ฝ่ ายมุสลิมก็ได้ตอบโต้กลับไปเช่นกัน การประจัญบานกันของทัง้ สองฝ่ ายก็ปะทุขนึ้ อย่างหนัก ในขณะที่ทงั้ สองฝ่ ายกาลังต่อสูก้ นั อยู่นนั้ ได้มีชายคนหนึง่ ชื่อ นะอีม บิน มัสอดู๊ บิน อามิรฺ เข้าพบ ท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلنเขาได้แจ้งแก่ท่านว่า เขาได้เข้ารับอิสลามแล้วโดยที่หมูช่ นของเขาไม่ทราบ เกี่ยวกับความปลอดภัยของเขา และเขาเองก็มีความสนิทสนมเป็ นพิเศษกับพวกบนีกรุ ็อยเซาะฮฺ เขาได้ขอให้ ท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلنส่งเขาไปเจรจากับพวกบนีกรุ ็อยเซาะฮฺ โดยเขากล่าวว่า “ขอท่านได้โปรด สัง่ ให้ฉนั ไปทาหน้าที่ตามที่ท่านประสงค์เถอะ” ท่านร่อซูล صلً هللا علٍه و سلنจึงกล่าวกับเขาว่า “ท่านตัวคนเดียวเท่านัน้ (อ่อนแอและไม่สามารถที่จะช่วยพวกเราได้) แต่ก็จงออกไปทาตามที่ท่านมี ความสามารถที่จะทาเถิดเถิด เพราะแท้จริงสงครามนัน้ เป็นเรือ่ งของการใช้เล่หก์ ล” กลุม่ อันศอรฺ ไม่เห็นด้วยกับ แนวทางดังกล่าว เพราะถือว่า ฝ่ ายมุสลิมมีเกียรติสงู กว่าที่จะมอบ ผลผลิตดังกล่าวให้กบั พวกทรชนผูล้ ะเมิดสนธิสญ ั ญาพวกนัน้ และแล้ว สงคราม ก็ได้ปะทุขนึ้ ด้วยการที่เหล่าทหารม้ากลุม่ หนึง่ ของฝ่ ายมุชริกีนได้พยายามข้าม สนามเพลาะจากทางที่แคบ ๆ ฝ่ ายมุสลิมก็ได้ทาการต้านไว้และมีการ รบพุ่งประจัญบานกัน ต่อมา นุอยั ม์ บิน มัสอูด บิน อามิร ได้เข้าพบท่านเราะซูล ศ็อลฯ โดยเขาได้แจ้งแก่ท่านว่า เขาได้เข้ารับอิสลามแล้ว โดยที่หมู่ ชนของเขาไม่มีใครรูเ้ รื่องการเข้ารับอิสลามของเขา และเขาคือมิตรที่สนิทชิดเชื้อกับพวกบนีกรุ ็อยเซาะฮฺ ที่ พวกเขาให้ความเชื่อถือไว้วางใจ แล้วเขาก็ได้ขอให้ท่านเราะซูล ศ็อลฯ ว่า สัง่ ให้เขาทาในสิ่งที่ท่านประสงค์ 60
ท่าน เราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงกล่าวกับเขาว่า “เจ้าเป็นคนเดียวในหมู่พวกเราที่ จะทางานสาคัญได้ ดังนัน้ เจ้าจงไป หาวิธีการ อย่างไรก็ได้เท่าที่เจ้าสามารถ เพื่อ ทาให้พวกเขา แตกทัพไปจากเรา เพราะสงครามคือการใช้กลลวงฝ่ายข้าศึก” นุอยั ม์ได้ใช้ กลลวงของเขาทาให้พวกกุร็อยช์แตกคอกับอาหรับ ที่เป็ นพันธมิตรก๊กอื่น ๆ และแตกคอ กับพวกนบีกรุ ็อยเซาะฮฺ ดว้ ย ทาให้แต่ละกลุม่ เกิดความค ลางแคลงใจ และระแวง กัน และอัลลอฮฺ ได้ทรงให้ บังเกิดพายุพดั แรงถูกกองทัพพวกอาหรับกลุม่ ต่าง ๆ เหล่า นัน้ ในคืนที่ห นาวจัด ทาให้ไฟที่ใช้หงุ ต้มอาหาร เสบียงดับและเต็นท์คา่ ยพักล้มระเนระนาด จนพวกเขาเกิดความกลัว จนต้องถอยทัพไปในคืนนัน้ เอง ครัน้ พอรุ่งสางฝ่ ายมุสลิมก็พบว่าไม่มีใครจากฝ่ ายข้าศึกหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว สืบเนือ่ งในสงครามครัง้ นี้ อัลลอฮฺ ได้ทรงประทานโองการที่ว่า
ความว่า “บรรดาผูศ้ รัทธาเอ๋ย ! จงราลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ที่มีต่อพวกเจ้า เมื่อ กองทัพของข้าศึกเข้ามาร ุกรานพวกเจ้า แล้วเราได้สง่ ลมพาย ุพัดใส่พวกเขา กับกาลัง ไพร่พลที่ พวกเจ้ามองไม่เห็น และอัลลอฮฺ ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทา “เมื่อพวกเขายกทัพมายังพวกเจ้าจากทางข้างบนของสเู จ้า และจากทางข้างล่างของสเู จ้า และเมื่อนัยน์ตาได้เหลือกลานและหัวใจได้มาจุกอยูท่ ี่ลาคอ และ สูเจ้านึกคิดกันต่าง ๆ นานา เกี่ยว กับอัลลอฮฺ ณ ที่นนั้ ขณะนัน้ บรรดาผูศ้ รัทธาได้ถ ูก ทดสอบ และพวกเขาได้ถ ูกทาให้สนั่ คลอน ซึ่งการ สัน่ คลอนที่ร ุนแรง” (อัล-อะห์ซาบ 9-11) นอกจากนัน้ พระองค์ ยงั ได้ทรงบรรยายให้เห็นภาพของการแตกถอยทัพของพวกมุนาฟิ กูนในอา ยะฮฺ 12 และอีกบางอายะฮฺ หลังจากนัน้ พร้อมทัง้ ได้บรรยายถึงคุณลักษณะของบรรดาผูศ้ รัทธาว่า
61
“และเมื่อบรรดาผูศ้ รัทธาได้เห็นพรรคต่าง ๆ เหล่านัน้ พวกเขาได้กล่าว่า : นี่คือสิ่ง ที่อลั ลอฮฺ และรอซ ูลของพระองค์ได้สญ ั ญาไว้แก่เรา และอัลลอฮฺ และรอซ ูลของพระองค์ตรัสไว้จริง แล้ว และมันมิได้เพิ่มสิ่งใดให้แก่พวกเขานอกจากการศรัทธา และการนอบน้อม” “ในหมู่ผศ้ ู รัทธามีบ ุร ุษผูม้ ีสจั จะต่อสิ่งที่พวกเขาได้สญ ั ญาต่ออัลลอฮฺ เอาไว้ ดังนัน้ ในหมู่ พวกเขามีผป้ ู ฏิบตั ิตามสัญญาของเขา และในหมู่พวกเขามีผท้ ู ี่ยงั คอย (การตายชะฮีด) และพวก เขามิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด” “เพื่ออัลลอฮฺ จะได้ทรงตอบแทนบรรดาผูม้ ีสจั จะในความสัจจริงของพวกเขา และจะทรง ลงโทษพวกมุนาฟิกีน หากพระองค์ทรงประสงค์ หรือจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา แท้ จริงอัลลอฮฺ นนั้ เป็นผูท้ รงอภัย ผูท้ รงเมตตาเสมอ” และอัลลอฮฺ ทรงให้พวกปฏิเสธถอยทัพกลับไปด้วยความเคียดแค้นของพวกเขา โดยที่พวก เขามิได้ประสบความดีแต่อย่างใด และอัลลอฮฺ ทรงเพียงพอแล้วแก่บรรดาผูศ้ รัทธาในการสูร้ บ และอัลลอฮฺ เป็นผูท้ รงพลังผูท้ รงอานาจอย่างเหลือหลาย” (อัล-อะห์ซาบ / 22-25)
5.1.5 สงครามบนีก ุร็อยเซาะฮฺ เกิดขึน้ ในปี ฮ.ศ. 5 หลังจากสงคราม อัล-อะห์ซาบ สาเหต ุ : ภายหลังจากที่ท่านรอซูล ศ็อลฯ ได้เห็นความตา่ ช้า การหักหลัง และการเข้าเป็ นสมัครพรรคพวก ของกุร็อยช์ และพันธมิตร รวมทัง้ การประกาศสงครามครัง้ รุนแรงที่พวกนบีกรุ ็อยเซาะฮฺ กระทาในสงคราม อัล-อะห์ซาบ ที่ชี้ให้เห็นถึงการละเมิดสนธิสญ ั ญา ยิวก๊กบนีกรุ ็อยเซาะฮฺ เคยอยู่ร่วมกับท่านรอซูล ศ็อลฯ ใน มดีนะฮฺ ในฐานะเพื่อนบ้าน หากผลของสงครามอัล-อะห์ซาบไม่ได้ลงเอยด้วยการล่าถอยของฝ่ ายข้าศึก อย่างที่เป็ น อันตรายที่ใหญ่หลวงอาจเกิดขึน้ กับมุสลิม ซึ่งบางทีอาจจะหมายถึงความหายนะของชาวมุสลิม ในนครมดีนะฮฺ เสียด้วยซา้ ไป ท่านรอซูล ศ็อลฯ มองเห็นว่าจะต้องสัง่ สอนทรชนผูห้ กั หลังเหล่านี้ จะต้อง กวาดล้างพวกนีจ้ ากนครมดีนะฮฺ เพื่อให้การญิฮาดและการดะอวะฮฺ ในโอกาสต่อ ๆ ไป จะได้ไม่ตอ้ งพบกับ สถานการร์อนั เลวร้ายอย่างที่เคย เพราะหากปล่อยให้พวกที่มีสนั ดานคดโกงและหักหลังอย่างชาวยิวเหล่านี้ ไว้ พวกเขามีแต่บ่อนทาลายชาวมุสลิม อัล-บุคอรียไ์ ด้รายงานหะดีษจากอาอิชะฮฺ รอฎิยลั ลอฮุอนั ฮาว่า ท่านรอซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลฯ เมื่อกลับ มาถึงเมืองมดีนะฮฺ หลังสงคราม ค็อนดัก ท่านวางอาวุธลง แล้วก็อาบนา้ ชาระล้างร่างกาย ญิบรัลได้มาหา ท่านในสภาพที่ศีรษะเต็มไปด้วยฝุ่ น เขากล่าว ท่านวางอาวุะแล้วหรือ ? ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ฉันไม่ได้วาง อาวุธ ท่านรอซูล ศ็อลฯ ถามว่า แล้วท่านจะไปล่ะ ? เขาตอบว่า ที่นนั ่ แล้วเขาได้ชี้ไปยังถิ่นของนบี กุร็อย เซาะฮฺ อาอิชะฮฺ กล่าว แล้วท่านก็ได้ออกไปยังพวกเขา ท่านรอซูล ศ็อลฯ ได้สงั ่ ให้ประกาศว่า “อย่าให้ผใู้ ดนมาซอัศร์ นอกจากที่ชมุ ชนนบีกรุ ็อยเซาะฮฺ ” แล้วท่านก็ออกมายังบรรดาบนีกรุ ร็อยเซาะฮฺ
62
เศาะฮาบะฮฺ ที่กาลังรอการเดินทาง โดยที่ท่านอลี บิน อบี ฏอลิบ เป็ นผูถ้ ือธงรบ ในครัง้ นัน้ กาลัง ของฝ่ ายมุสลิมมี 3,500 คน ทหารมา 36 คน เมื่อเดินทางไปถึงใกล้ป้อมปราการของบนีกรุ ็อยเซาะฮฺ นนั้ ท่านอาลี ท่านได้ยินการพูดจาที่ไม่ดี เกี่ยวกับท่านรอซูล ศ็อลฯ และเหล่าภรรยาของท่าน อลีได้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้ท่านรอซูล ศ็อลฯ ทราบ อลี ได้ขอร้องไม่ให้ท่านรอซูล ศ็อลฯ เข้าใกล้พวกคนถ่อยเหล่านัน้ ด้วยเกรงว่าท่านจะได้ยินถ้อยคาที่เลวทราม เหล่านัน้ แต่ท่านรอซูล ศ็อลฯ ก็ตอบอาลีว่า หากพวกเขาเห็นท่าน พวกเขาจะไม่พดู อะไร ทัง้ นีเ้ พราะท่านรู้ ถึงสันดานแห่งความกลับกลอกตลบตะแลงของพวกเขาดี ซึ่งก็เป็ นเช่นนัน้ จริง ๆ เมื่อพวกเขาเห็นทาง พวก เขาก็ได้แสดงท่าทีที่อ่อนโยนกับท่าน ต่อมาฝ่ ายมุสลิมได้ปิดล้อมชุมชนบนีกรุ ็อยเซาะฮฺ อยู่นานถึง 25 วัน เมื่อตกอยู่ในภาวะคับขัน พวก เขาก็ยอมทาตามข้อเสนอเบื้องต้นของท่านรอซูล ศ็อลฯ ซึ่งท่านรอซู ศ็อลฯ ได้ตงั้ ให้ ซะอัด บิน มุอาซ หัวหน้าของ อัล-เอาส์ ซึ่งเป็ นกลุม่ ที่เคยเป็ นพันธมิตรกับบนีกรุ ็อยเซาะฮฺ เป็ นผูต้ ดั สินชะกรรมของพวกบนี กุร็อยเซาะฮฺ ซะอัดบิน มุอา๊ ซ ได้ตดั สินให้สงั หารเหล่าชายฉกรรจ์ของพวกเขา เอาลูกหลานของพวกเขาเป็ น เชลย และจัดการยึดทรัพย์สินทัง้ หมดของพวกเขามาแบ่งตามหลักการ ท่านรอซูล ศ็อลฯ ได้สงั ่ ให้ปฏิบตั ิ ตามคาตัดสินของ ซะอัด บิน มุอาซ ทาให้แผนการชัว่ ร้ายต่าง ๆ ของพวกยิวที่เคยมีตอ่ ท่านรอซูล ศ็อลฯ และการเผยแผ่อิสลามของท่านได้จบสิ้นลง และหมดไปจากนครมดีนะฮฺ ในยุคนัน้ ในสงครามครัง้ นี้ อัลลอฮฺ ได้ทรงประทานโองการ อัล- กุรอาน ลงมาเปิ ดเผยถึงสันดานทรยศหัก หลังและการละเมิดพันธสัญญาของพวกยิว และการละทิ้งฝ่ ายมุสลิมในสงครามอัล-อะห์ซาบ
“และจงราลึกถึง เมื่อกลมุ่ หนึ่งจากพวกเขา (มุนาฟิกีน) กล่าวว่า โอ้ชาวยิษริบเอ๋ย ไม่มี ที่ตงั้ มัน่ สาหรับพวกท่านแล้ว (เพื่อต่อสูก้ บั ข้าศึก) จงกลับไปเสียเถิด และกลมุ่ หนึ่งจากพวกเขาจะ ขออนญ ุ าตกับท่านนบีว่า บ้านของพวกเราไม่มีอะไรปกปิด ไม่มนั่ คง และมันมิได้เป็นเช่นนัน้ พวก เขามิได้ประสงค์สิ่งใดนอกจากการหนี (จากการทาสงคราม) “และถ้ามีการร ุกรานมายังพวกเขาจากภายนอกเมืองของมัน แล้วพวกเขาได้ถ ูกปล ุกปั่น ให้เกิดความไม่สงบ แน่นอน พวกเขาจะกระทาทันที และพวกเขาจะไม่ลงั เลแม้แต่นอ้ ย” “และโดยแน่นอน พวกเขาได้ให้สญ ั ญาต่ออัลลอฮฺ มาก่อนแล้วว่า พวกเขาจะไม่หนั หลัง กลับ และสัญญาของอัลลอฮฺ นนั้ จะถ ูกสอบถาม” “จงกล่าวเถิดมุฮมั มัดว่า การหนีนนั้ จะไม่อานวยประโยชน์อนั ใดแก่พวกท่าน หากพวก ท่าน (ต้องการ) จหนีจากความตายหรือการรบราฆ่าฟันกัน และเมื่อนัน้ พวกท่านจะไม่ได้รนื่ เริง กัน นอกจากในเวลาอันเล็กน้อย” (อัล-อะห์ซาบ : 13-16) 63
“และพระองค์ทรงให้พวกอะฮฺ ล ุล กิตาบ (ยิวก๊กบนีก ุร็อยเซาะฮฺ ) ที่ได้ช่วยเหลือพวกเขา (พวกมุชริกีน) ลงมาจากป้อมที่มนั่ ของพวกเขา และทรงบรรจุความหวาดกลัวไว้ในจิตใจของพวก เขา ส่วนหนึ่งพวกเจ้าประหารชีวิต (พวกเขา) และอีกส่วนหนึ่งพวกเจ้าจับเป็นเชลย” “และพระองค์ได้ทรงให้พวกเจ้าได้สืบทอดการปกครองแผ่นดินของพวกเขาและที่อยูอ่ าศัย ของพวกเขา และทรัพย์สินของพวกเขา และแผ่นดินที่พวกเจ้ายังมิเคยได้เหยียบย่างเข้าไป และอัลลอฮฺ เป็นผูท้ รงอานุภาพเหนือท ุกสิ่ง” (อัล-อะห์ซาบ : 26-27)
5.1.6 สงคราม อัล-ห ุดัยบียะฮฺ เกิดขึน้ ในเดือน ซุลเกาะอฺ ดะฮฺ ปี ฮ.ศ. 6 สาเหต ุ : จากที่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ฝันว่า ท่านได้เดินทางเข้าสูบ่ ยั ตุลลอฮฺ พร้อมด้วย เหล่าเศาะฮาบะฮฺ ของท่านอย่างสงบ ในสภาพที่บางคนโกนผม และบางคนตัดผม ไม่มีความหวาดกลัวต่อสิ่ง ใด ๆ 15 ท่านจึงได้สงั ่ ให้มีการเตรียมตัวเดินทางสูน่ ครมักกะฮฺ เพื่อประกอบพิธี อุมเราะฮฺ โดย สันติ ไม่ ประสงค์ที่จะทาสงครามกับพวกกุร็อยช์ เหล่ามุฮาญิรีนและอันศอรฺ ที่ตา่ งมีความปรารถนาที่จะเห็นบัยตุลล อฮฺ หลังจากที่ไม่ได้ มีโอกาสเห็นมานานถึง 6 ปี นอกจากชาวมุฮาญิรียนและอันศอรฺ แล้ว ยังมีชาวอาหรับ กลุม่ อื่น ๆ ที่มีความประสงค์ร่วมเดินทางไปด้วย ในการเดินทางครัง้ นี้ ได้มีการต้อนอูฐไปด้วยจานวนหนึง่ ด้วย เพื่อ เป็ นการเทิดเกียรติของบัยตุลลอ ฮฺ การครองผ้าอิหรอมเพื่อการประกอบพิธีอมุ เราะฮฺ ได้เริ่มขึน้ จากสถานที่ที่เรียกว่า “ซุล-หุลยั ฟะฮ” ทัง้ นี้ เพื่อให้พวกกุร็อยช์และผูค้ นทัว่ ไปได้ทราบว่า ท่านไม่ได้ประสงค์ที่จะทาสงคราม จานวนผูร้ ่วมเดินทางในครัง้ นีม้ ีทงั้ สิ้น 1,800 คน ไม่มีการนาอาวุธใด ๆ ติดตัวไปเป็ นพิเศษ นอกจากอาวุธตามปกติวิสยั ของผูเ้ ดินทาง ในสมัยนัน้ อันได้แก่ดาบ เมื่อการเดินทางไปถึง “อัสฟาน” ได้มีคนมาแจ้งข่าว แก่ท่านว่า พวกกุร็อยช์ได้ ทราบข่าวถึงการเดินทางมาของท่าน ซึ่งพวกเขาได้ พากัน ออกมาพร้อมกับสวมใส่ ชุดนักรบ และสาบานว่า จะไม่ให้ท่านเดินทางเข้ามักกะฮฺ โดยเด็ดขาด ท่านรอซูล ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงกล่าวว่า “ความ พินาศจงมีแก่พวกกุร็อยช์ สงครามได้ ทาลายพวกเขา จะเสียหายอะไรสาหรับพวกเขา ถ้าหากว่าพวกเขา ปล่อยฉันกับชาวอาหรับทัง้ หมด (ที่ร่วมเดินทางมา- ผูแ้ ปล) หากพวกเขาทาร้ายฉัน นัน่ คือสิ่งที่ พวกเขา ต้องการ แต่หากอัลลอฮฺ ชว่ ยให้ฉนั มีชยั ชนะเหนือพวกเขา (ในอนาคต) พวกเขาก็จะเข้ารับอิสลามอย่าง 15
ดูในซูเราะฮฺ อลั ฟั ตหุ อายะฮฺที่ /๒๗
64
มากมาย และหากพวกเขาไม่เข้ารับอิสลาม พวกเขาก็จะทาสงคราม ซึ่งพวกเขาก็มีกาลังความเข้มแข็งที่จะ ทาเช่นนัน้ ได้ แล้วพวกกุร็อยช์คิดอะไร ? ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ฉันจะยังคงต่อสูบ้ นพื้นฐานของสิ่งที่อลั ลอ ฮฺ ได้สงั ่ ฉันมาไปจนกว่าอัลลอฮฺ จะได้รบั ชัยชนะ หรือตายไปเพื่อการปกป้องสิ่งนัน้ ” ครัน้ เมื่อเดินทางมาถึง ตาบล อัล-หุดยั บียะฮฺ ซึ่งเป็ นตาบลที่ตงั้ อยู่ใกล้กบั เมืองมักกะฮฺ ปั จจุบนั อยู่ ระหว่าง เส้นทางจาก มักกะฮฺ สู่ญิดดะฮฺ ก็ มีชายฉกรรจ์กลุม่ หนึง่ จากคุซาอะฮฺ ถามท่านถึงเหตุผลในการ เดินทางมา ครัง้ นี้ ท่านได้ตอบพวกเขาไปว่า จุดประสงค์ของ ท่านและคณะใน การเดินทาง ไม่ใช่เพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อเยี่ยมเยียนบัยตุลลอฮฺ และประกอบพิธีอมุ เราะฮฺ เท่านัน้ พวกเขาจึงกลับไปบอกกับ พวกเขาได้ กล่าวกับพวกกุร็อยช์ว่า พวกท่านด่วนที่จะตัดสิน เกี่ยวกับการเดินทางมาของ มุฮมั มัด ที่จริงเขาไม่ได้มา เพื่อทาสงคราม เขามาในฐานะของผูเ้ ยือน บัยตุลลอฮฺ เท่านัน้ พวกเขาตอบว่า ไม่ เราจะไม่ให้เขาเข้า มา แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้ามายังเราด้วยความรุนแรง และชาวอาหรับจะไม่ได้พดู ถึงเราในทางที่ไม่ดีก็ตาม ต่อมาพวก กุร็อยช์ได้สง่ อุรฺวะฮฺ บิน มัสอูด๊ อัษ-ษะเกาะฟี ย์ เพื่อมาเจรจากับท่านรอซูล ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ภายหลังจากการเจรจา มีบางเรื่องที่ทงั้ สองฝ่ ายตกลงกันได้และมีบาง เรื่องที่ตกลงกันไม่ได้ (ระหว่างอุรวะฮฺ กับ เศาะฮาบะฮฺ บางท่าน) เขากลับไปยังพวกกุร็อยช์ เล่าให้ ฟังถึงสิ่ง ที่เขาได้พบเห็น ถึงความรักที่เหล่าเศาะฮาบะฮฺ มีตอ่ ท่านรอซูล ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ความเกรง ขามที่พวกเขามีตอ่ ท่าน และความปรารถนาและเห็นพ้องต้องกันระหว่างพวกเขากับท่านในเรื่องสันติวิธี แต่ พวกกุร็อยช์ ก็ปฏิเสธ ท่านรอซูล ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮฺ วะ ซัลลัม ไม่ได้ละความพยายาม ท่านได้สงั ่ ให้อ ุ ษมาน บิน อัฟฟาน ไปพบชาวมักะฮฺ เพื่ อยา้ ถึง จุดประสงค์ ของการเดินทางมาของท่านและเหล่าเศาะฮาบะฮฺ แต่เนือ่ งจากผลการเจรจาของอุษมานล่าช้า ก็เกิดมีขา่ วลือในหมูม่ สุ ลิมว่า อุษมานถูก สังหารแล้ว ท่านรอ ซูล ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนัน้ เราไม่ เดินทาง กลับจนกว่าจะได้รบกับพวกนัน้ ท่านได้เชิญชวนบรรดามุสลิมสูก่ ารญิฮาด และการพลีชีพในหนทางของอัลลอฮฺ พวกเขาก็ได้ร่วมให้สตั ยาบัน กับท่านใต้ตน้ ไม้ว่า จะไม่มีการ ถอยหนี และ ว่า มีทางเลือก อยู่แค่สองทาง นัน่ คือ การสงบศึก กับ การพลีน หนทางของอัลลอฮฺ ครัน้ เมื่อฝ่ ายกุร็อยช์ได้รบั ทราบเกี่ยวกับการทาสัตยาบันกันของฝ่ ายมุสลิม พวกเขาก็ รูส้ ึกกลัว และเห็นว่าน่าที่จะมีการทาสัญญาสงบศึก โดยมีเงือ่ นไขว่า ในปี นีฝ้ ่ ายมุสลิมจะต้องเดินทาง กลับไปก่อน และเดินทางมาใหม่ในปี ถัดไป ให้ พักแรมอยู่ได้เพียงแค่ 3 วัน และอาวุธที่จะถือเข้ามาได้ คือ หอกกับดาบที่อยู่ในฝัก เท่านัน้ ฝ่ ายกุร็อยช์ ได้สงั ่ สุฮยั ล์ บิน อัมร์ ให้เป็ นผู้ ทาสัญญาสงบศึกษากับฝ่ าย มุสลิม ในที่สดุ ก็ได้มีการทาสัญญาสงบศึกกั นตามความต้องการของฝ่ ายกุร็อยช์ และว่าจะ ไม่มีทาสงคราม ระหว่างกันเป็ นเวลา 10 ปี หากมีใครจากชาวมักกะฮฺ อพยพมายังมุฮมั มัด จะต้องถูกส่งตัวกลับไปยังมัก กะฮฺ ซึ่งข้อนีเ้ ป็ นสิ่งที่หนัก ใจสาหรับฝ่ ายมุสลิมที่จะรับ จนทาให้มีบางคนโต้แย้งกับท่านนบี ศ็อล ลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะ ซัลลัม ในเงือ่ นไขข้อนี้ คนที่ร ้สู ึกรับไม่ได้ที่สดุ เห็นจะได้แก่ท่านอุมรั อิบนุล ค็อฏฏอบ จนท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมถึงกับต้องกล่าวว่า “ฉันเป็ นบ่าวของอัลลอฮฺ พระองค์จะปล่อยปละละเลยฉัน อย่างแน่นอน” หลังจากนัน้ ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้สงั ่ ให้บรรดาเศาะฮาบะฮฺ เปลื้องชุด อิ หรอมของอุมเราะฮฺ แต่แรก ๆ พวกเขาไม่ได้ปฏิบตั เิ นือ่ งจากความเจ็บปวดที่ได้รบั จากการถูกห้ามมิให้เข้าสู่ นครมักกะฮฺ กับความรูส้ ึกยากที่จะรับเงือ่ นไขต่าง ๆ ของสนธิสญ ั ญา ครัง้ นี้ ได้ ดังนัน้ ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงเริ่มลงมือปฏิบตั เิ องก่อน เมื่อบรรดามุสลิม เห็นท่านทาเช่นนัน้ พวกเขาก็ พากันปฏิบตั ติ ามท่าน ในเวลาต่อมา ได้เป็ นที่ประจักษ์ชดั ว่า เงือ่ นไขอันเป็ นที่ลาบากใจแก่ฝ่ายมุสลิมที่จะรับ นัน้ เกิดประโยชน์ตอ่ ฝ่ ายมุสลิม เนือ่ งจากการมองการไกลของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และ สติปัญญาอันแหลมคมของท่าน อีกทัง้ การได้รบั การสนับสนุนจากวะหยูที่ทาให้ท่านดารงอยู่ในความคิดและ การปฏิบตั ทิ ี่เที่ยงตรงเสมอ ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺ จึงทรงเรียกสงครามครัง้ นีว้ ่า “ฟัตหัน มุบีนา” ชัยชนะอันชัดแจ้ง 65
“แท้จริงเราได้ประทานชัยชนะแก่เจ้าซึ่งชัยชนะที่ชดั แจ้ง เพื่อที่อลั ลอฮฺ จะทรงให้อภัยโทษ แก่เจ้าในบาปที่ผา่ นมา และที่จะตามมา และเพื่อทรงให้พร้อมแก่เจ้าซึ่งความโปรดปรานของ พระองค์ ซึ่งการช่วยเหลืออันเข้มแข็ง” (อัล – ฟัตห์ / 1-3)
“แท้จริงบรรดาผูท้ ี่ให้สตั ยาบันกับเจ้านัน้ ที่จริงแล้ว พวกเขาให้สตั ยาบันกับอัลลอฮฺ พระหัตถ์ ของอัลลอฮฺ อยู่เหนือมือของพวกเขา ดังนัน้ ผูใ้ ดละเมิด เขาก็ละเมิดต่อตัวเขาเอง และผูใ้ ดปฏิบตั ติ ามอย่าง ครบถ้วน ตามที่เขาได้ให้สญ ั ญาไว้กบั อัลลอฮฺ ดังนัน้ พระองค์จะทรงประทานแก่เขา ซึ่งรางวัลที่ยิ่งใหญ่ ” (ฟัตห์ : 10) ในบรรดาเศาะอาบะฮฺ ในการให้สตั ยาบันที่ได้ชื่อว่า บัยอะดุล-ริฎวาล ที่ทากันขึน้ ใต้ร่วมเงาของต้นไม้
“แน่แท้อลั ลอฮฺ ทรงพึงพระทัยในบรรดาผูศ้ รัทธา เมื่อพวกเขาให้สตั ยาบันกับเจ้า – มุฮมั มัด – ใต้ ต้นไม้ ดังนัน้ พระองค์ทรงรูส้ ิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเขา ดังนัน้ พระองค์ทรงประทานความสงบแก่พวกเขา และทรงตอบแทนพวกเขาด้วยชัยชนะอันใกล้ (อัล – ฟัตห์ : 18) พระองค์ทรงตรัสถึงความฝันของท่านรอซูล ศ็อลฯ อันเป็ นต้นเหตของฆ็อซวะฮฺ อัล-หุดยั บียะฮฺ ว่า
“แน่แท้ อัลลอฮฺ ได้ทรงให้ความฝันของรอซูลของพระองค์เป็ นจริง แน่นอน เจ้าจะได้เข้าสูม่ สั ญิดหะร อม หากว่าอัลลอฮฺ ทรงประสงค์ในสภาพที่ปลอดภัย โกนผมและตัดผมบ้าง และไมกลัว ดังนัน้ พระองค์ทรงรู้ ใสิ่งที่สเู จ้าไม่ร ู้ และทรงประทานอื่นจากนัน้ คือ ชัยชนะอันใกล้ (อัล-ฟัตห : 27) ชัยชนะอันใกล้นนี้ า่ จะหมายถึงชัยชนะ เหนือ นครมักกะฮฺ ซึ่งถือเป็ นผลลัพธ์ประการหนึง่ ของ สนธิสญ ั ญา อัล-หุดยั บียะฮฺ นนั ่ เอง ดังที่เราจะได้กล่าวถึงในส่วนที่ว่าด้วยข้อเตือนใจ อินชาอัลลอฮฺ และ ต่อมา พระองค์ได้ทรงยา้ ถึงชัยชนะของศาสนานีว้ ่า :
66
“พระองค์คือผูท้ รงส่งรอซูลของพระองค์มาพร้อมกับทางนาและศาสนาแห่งสัจธรรม เพื่อให้ศาสนา นีป้ รากฏเหนือศาสดาทัง้ หลาย และอัลลอฮฺ ทรงเพียงพอแล้วที่จะเป็ นพยาน “(อัล-ฟัตห์ : 28)
5.1.7 สงครามค็อยบัร เกิดขึน้ เมื่อปลายเดือน อัล-มุหรั รอม ฮ.ศ. 7 คัยบัรเป็ นพื้นที่กว้างที่ชาวยิวอยู่อาศัย อยู่ห่างจากนครมีนะฮ์ไปทางตอนเหนือประมาณ 100 ไมล์ (ทางทิศที่ตดั ต่อกับประเทศซีเรีย) สาเหต ุของสงคราม เมื่อท่านนบี ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม สามารถสร้างความปลอดภัยให้กบั ฝ่ ายมุสลิมจาก การ ละเมิดของฝ่ ายกุร็อยช์ ผ่านสนธิสญ ั ญา อัล-หุดยั บียะฮฺ ที่ได้ตกลงกัน หลังจากที่ได้ขจัดกลุม่ ชาวยิวในเมือง มดีนะออกไปแล้ว ท่านได้ตดั สินใจที่จะขจัดปั ญหา ที่เกิดขึน้ จาก กลุม่ ชาวยิวที่อาศัยอยู่ รอบ ๆ นครมดีนะฮฺ สาหรับชาวยิวที่ตงั้ บ้านเรือนอยู่ที่ศัยบั รนัน้ พวกเขามีป้อมปราการที่แข็งแรง มีกอง กาลังเป็ นหมื่นคน มี อาวุธยุทโธปกรณ์และการเตรียมพร้อมที่มากมายครบครัน ยิ่งไปกว่านัน้ พวกเขายังเป็ นพวกที่เก่งอาจใน เรื่องกลลวงและการวางแผนที่ชวั ่ ร้าย ทาให้มีความจาเป็ นที่ตอ้ งขจัดปั ญหาการมีอยู่ของพวกเขา ก่อนที่ พวกเขาจะเป็ นต้นตอที่จะนาไปสูค่ วามไม่สงบและวุ่นวายของชาวมุสลิมในนครมดีนะฮฺ ท่านรอซูล ศ็อลฯ จึง ตัดสินใจนากองกาลังออกไปยังศัยบัรในปลายเดือน อัล-มุหรั รอม ซึ่งกองกาลังของท่าน มี 1,600 คน โดยมีทหารม้า 250 นาย ส่วนหนึง่ ของผูท้ ี่ร่วมเดินทางไปกับท่านครัง้ นี้ มีผทู้ ี่ร่วมเดินทางไปกับท่านใน เหตุการณ์ที่ อัล-หุดยั บียะฮฺ ดว้ ย เมื่อเดินทางเข้าใกล้เมืองศัยบัร ท่านรอซูล ศ็อลฯ ได้กล่าวกับบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ของท่านว่า พวก ท่านทัง้ หลายหยุดก่อน แล้วก็ขอพรต่ออัลลอฮฺ ว่า : ความว่า “ โอ้อลั ลอฮฺ พะรผูอ้ ภิบาลแห่งชัน้ ฟ้าทัง้ หลาย และที่มีอยูใ่ ต้มนั และพระผู้ อภิบาลแห่งแผ่นดินและที่มีอยูบ่ นมัน และพระผูอ้ ภิบาลแห่งเหล่ามาร ร้า ย และที่มนั ได้ทาให้หลง ทาง และพระผูอ้ ภิบาลแห่งสมและที่มนั พัด พา แท้จริงเราขอต่อพระองค์ซึ่งความดีของเมืองนี้ ความดีของ ชาวเมืองนี้ และความดีของท ุก ๆ สิ่งที่มีอยูใ่ นเมืองนี้ และเราขอความคม้ ุ ครองต่อ พระองค์ให้พน้ จากความชัว่ ร้ายของเมืองนี้ และความชัว่ ร้ายของชาวเมืองนี้ และความชัว่ ร้ายของ ท ุกสิ่งที่มีอยูใ่ นเมืองนี้ จงก้าวไปด้วยนามของอัลลอฮฺ เถิด” เมื่อกองกาลังของท่านรอซูล ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เดินทางมาถึง คัยบัรฺ ท่านได้ให้ตงั้ กอง กาลังใกล้กบั ป้อมปราการเหนือของยิว คัยบัรที่มีชื่อเรียกว่า ห ุสนนุ – นุฏอ๊ ต ซึ่งพวกยิวได้รวมไพร่พล ของพวกเขาไว้ที่นี่ อัล- ฮิบา๊ บ บิน อัล-มุนซิร ได้ เสนอแนะให้ท่านย้ายสถานที่ตงั้ มัน่ ทัง้ นีเ้ นือ่ งจาก อัลฮิบา๊ บรูถ้ ึงความเก่งอาจของเหล่านักรบแห่งอัล-นุฏอ๊ ต ดี โดยเฉพาะ เรื่องฝี มือและความแม่นยาในการยิง ธนูแล้ว ไม่มีใครเกินพวกเขา ในด้านตาแหน่งที่ตงั้ กองกาลัง พวกเขาก็อยู่ในตาแหน่งที่สงู กว่าฝ่ ายมุสลิม ซึ่งยิ่งทาให้งา่ ยที่พวกเขาได้เปรียบและจะสามารยิงดอกเกาทัณฑ์ลงใส่มสุ ลิม ได้อย่างรวดเร็ว หรือเป็ นไปได้ ว่าพวกเขาอาจบุกจู่โจมฝ่ ายมุสลิมในเวลากลางคืน โดยใช้ป่าอินทผาลัม เป็ นที่กาบังและซ่อนตัวก็ได้ ท่านรอ ซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงได้ยา้ ยกองกาลังไป หาที่ตงั้ ใหม่ แล้วการสูร้ บก็ได้อบุ ตั ขิ นึ้ ฝ่ ายมุสลิม สามารถทะลวงป้อมปราการเข้าไปได้ทีละป้อม ๆ เหลือเพียงสองป้อมปราการสุดท้ายที่ทหารประจาป้อมทัง้ 67
สองต้องการที่สงบศึกมากกว่า صلى هللا علٍه وسلنการทาสงครามหลัง่ เลือดกัน โดยยอมที่จะสละคัยบัรฺ และนาลูกหลานเดินทางออกจากคัยบัรฺ โดยจะไม่นาอะไรติดตัวไปนอกจากเสื้อผ้าติดตัวชุดเดียว ซึ่งท่านรอ ซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ยอมทาสัญญาตามนัน้ โดยเตือนสาทับพวกเขาว่า อัลลอฮฺ และรอซูล ของพระองค์ จะไม่ ทรงคุม้ ครองพวกเขา หากว่าพวกเขาปิ ดบังสิ่งใด แล้วพวกเขาก็ได้สละป้อมปราการทัง้ สอง ฝ่ ายมุสลิมสามารถยึดอาวุธได้เป็ นจานวนมาก รวมทัง้ คัมภีรเ์ ตารอตหลา ยฉบับ ต่อมาทางฝ่ ายยิว ได้มาขอคืน ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงได้สงั ่ ให้คืนให้พวกเขาไป ฝ่ ายยิวเสียชีวิตในสงครามครัง้ นี้ ราว 97 คน ส่วนฝ่ ายมุสลิมต้องพลีชีพไป 15 คน
5.1.8 สงครามมุอต์ ะฮฺ เกิดขึน้ ในเดือน ญุมาดิล-อูลา ฮ.ศ. 8 มุตะฮฺ เป็ นตาบลหนึง่ ใกล้อั ช-ชาม ปั จจุบนั มีชื่อเรียกว่า “อัล-กัรถ์” อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของทะเลตาย(Dead Sea) สาเหต ุของสงคราม เนือ่ งจาการที่ท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنได้สง่ อัล-ฮาริษ บิน อุมยั ร์ อัล – อัซดีย์ ให้นาสาส์น ไปถึง อะมีรบัศรีย์ ข้าราชบริภารของ กษัตริย์ เฮอร์เกล ซึ่งมีนามว่า อัล-ฮาริษ บิน อบี ชัมร์ อัล-ฆิซานีย์ เพื่อชักชวน ให้เขาเข้ารับอิสลาม ซึ่งถือเป็ นหนึง่ ในสาส์นของท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنที่ได้สง่ ไป ยัง ผูป้ กครองนครต่าง ๆ ทัง้ ที่เป็ นชาวอาหรับและที่ไม่ใช่อาหรับ หลังสนธิสญ ั ญา อัล-หุดยั บียะฮฺ ครั้ นเมื่อไป ถึงตาบลมุตะฮฺ เขาได้ถกู จับสังหาร เมื่อท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنได้ทราบข่าว ท่านรูส้ ึกโกรธมาก เพราะยังไม่มีทตู คนใดของท่านถูกฆ่า ท่านจึงได้เตรียมทัพมุสลิมจานวน 3,500 คน โดยแต่งตัง้ ให้ซัยด์ บิน ฮาริษะฮ เป็ นแม่ทพั และได้สงั ่ เสียพวกเขาว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึน้ กับซัยด์ ให้ตงั้ ญะอฺ ฟัร บิน อบี ฏอลิบ เป็ นแม่ทพั แทน และถ้าเกิดอะไรขึน้ กับ ญะอฺ ฟัร ก็ให้แต่งตัง้ อับดุลอฮฺ อิบนุ รอวาหะฮ เป็ นแม่ทพั แทน ท่าน ได้ขอให้ซัยด์ ไปที่สถานที่ที่ อัส-หาริษ ถูกฆ่า และที่นนั ่ ให้เขาเรียกร้องเชิญชวนผูค้ นเข้ารับอิสลาม หาก พวกเขาตอบรับ ก็ให้ละเว้นการทาสงคราม แต่ถา้ หากพวกเขาปฏิเสธ ก็จงขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮฺ แล้วจงทาสงครามกับพวกเขา และท่านได้สงั ่ เสียพวกเขาว่า “ฉันขอสัง่ เสียพวกท่าน ให้พวกท่านยาเกรงอัลลอฮฺ และให้ด ูแลปฏิบตั ิต่อมุลิมที่รว่ ม เดินทางกับพวกท่านให้ดี จงทาสงครามด้วยนามของอัลลอฮฺ และในหนทางของอัลลอฮฺ กับผูท้ ี่ ปฏิเสธอัลลอฮฺ จงอย่าทรยศ จงอย่าลักขโมย อย่า ยักยอกทรัพย์สินสงคราม จงอย่าฆ่าเด็ก ๆ ผูห้ ญิง คนชรา และนักบวช จงหลีกห่างจากสวนอินทผาลัม จงอย่าตัดต้นไม้ และอย่าทาลาย บ้านเรือน” แล้วกองทัพก็เริ่มออกเดินทางด้วยความจาเริญจากอัลลอฮฺ ท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنได้ ปลุกเร้าพวกเขาด้วยตัวท่านเอง พวกเขาเดินทางไป จนถึงมะอาล พวกเขาได้ทราบข่าวว่า เฮอร์เกิล ได้ รวบรวมไพร่พลจานวนมากมายไว้รบั มือ กับพวกเขา และได้ตงั้ ทัพ ที่เมืองเล็ก ๆ บนดินแดนของ อัล-บัล กออ์ กองทัพของโรมัน ประกอบด้วยพวกทหารอาหรับ และไม่ใช่อาหรับที่นบั ถือศาสนาคริ สต์ บรรดา มุสลิมได้ปรึกษาหาเรือและลงความเห็นกันว่า ให้ขอกาลังสนับสนุนจากท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلن หรือให้ท่านเปลี่ยนแผนการรบ แต่อบั ดุลลอฮฺ อิบนุ รอฮาหะฮ ได้กล่าวว่า ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ แท้จริง สิ่งที่พวกท่านรังเกียจคือ เป้าหมายในการทาสงคราม นัน่ คือการแสวงหา วีรกรรมในหนทางของอัลลอฮฺ เราไม่ได้ทาสงครามกับผูค้ นด้วยการสนับสนุน หรือด้วยจานวนที่มาก หรือด้วยกาลังความเข้มแข็ง แต่ว่า 68
เราทาสงครามกับพวกเขาด้วย ศาสนา – อิสลาม – นีท้ ี่อลั ลอฮฺ ได้ทาให้พวกเขามีเกียติแก่เขา สิ่งที่เราจะต้อง ได้รบั คือ หนึง่ ในสองประการ นัน่ คือ ชัยชนะ หรือไม่ก็การพลีในหนทางของอัลลอฮฺ เหล่าทหารมุสลิมต่าง ก็เห็นด้วยได้กระโจนเข้าสูส่ มรภูมิ แล้วสงครามก็ได้เริ่มขึน้ ซัยด์ ได้ทาการรบจนเสียชีวิต โดยที่เขาได้มอบ ธงรบให้กบั ญะอฺ ฟัร บิน อบี ฏอลิบ ญะอฺ ฟัร ก็ได้ทาการต่อสูบ้ นหลังม้าของเขา แต่สถานการณ์ก็บงั คับให้ เขาต้องลงจากหลังม้ามารบแบบเดินเท้า แขน ขวาของเขาถูก ฟันขาด เขาจึงได้ ใช้แขนซ้ายถือธงรบไว้แทน แต่แขนซ้ายของเขาก็ถกู ฟันขาดอีก แต่กระนัน้ เขาก็ได้หนีบธงไว้ดว้ ยแขน ส่วนที่เหลือกับรักแร้จนกระทัง่ เขา ถูกฆ่าตาย ศพของเขามีบาดแผลที่ถกู ฟันด้วยดาบและถูกแทงด้วยหอกจานวน 70 แผล หลังจากนัน้ อับ ดุลลอฮฺ อิบนุ รอราหะฮฺ ได้รบั ธง และถือธง เข้านาทัพสู้ รบต่อ เขาก็ได้ตอ่ สูจ้ นกระทัง่ เสียชีวิตในสนามรบ ต่อมาฝ่ ายมุสลิมเห็นพ้องกันให้แต่งตัง้ ให้ คอลิด อิบนุล-อะลีด เป็ นแม่ทพั แทน ซึ่งสาหรับคอลิดแล้ว นีถ่ ือ เป็ นสงครามแรกที่เขาออกรบหลังจากที่เขาได้เข้ารับอิสลาม เขาได้ใช้ประสบการณ์และทักษะของเขาในการ รบจนสามารถทาให้กองทัพมุสลิมได้รบั ชัยชนะ แล้วก็นากองทัพเดินทางกลับเมืองมดีนะฮฺ สงครามครัง้ นี้ ถือเป็ นสงครามแรกที่ฝ่ายมุสลมเดินทางออกมาทาสงครามนอกอาณาเขต คาบสมุทรอาหรับ เป็ นสงครามกับพวกโรมัน สงครามครัง้ นีถ้ กู เรียกว่า เป็ น ฆ็ อซวะฮฺ แม้ว่าท่าน นบี صلى هللا علٍه وسلنจะไม่ได้ออกรบด้วย ทัง้ นีก้ ็เนือ่ งจากจานวนทหารที่มากถึงสามพันคน ซึ่งผิดกับ จานวนทหารไพร่พลของสงครามที่เรียกว่าเป็ น สะรอยา (พหูพจน์ของสะรียะฮฺ ) จากสงครามครัง้ นี้ ท่านรอซูล ได้ขนานนาม คอลิด บิน อัล-วะลีด ว่า “ซัยฟุลลอฮฺ ” – แปลว่า ดาบของอัลลอฮฺ
5.1.9 ฆ็อซวะต ุล-ฟัตห์ เปิ ดนครมักกะฮฺ อัลฟัตหุ คือการเปิ ด หรือยึดครอง นครมักกะฮฺ เกิดขึน้ เมื่อเดือนเราะมะฏอน ปี ฮ.ศ. 8 สาเหตุก็ เนือ่ งมาจากว่า ในสนธิสญ ั ญาฮุดยั บียะนัน้ ได้เปิ ดโอกาสให้ชาวอาหรับก๊กต่าง ๆ มีสิทธิ เลือกที่จะหันมาอยู่ ฝ่ ายของท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنหรือพวกกุร็อยช์ ก็ได้ ซึ่งพวกบนู บักร์ ได้เลือกอยู่ฝ่าย กุร็อยช์ ส่วนก๊ก คุซาอะฮฺ เลือกอยู่ฝ่ายนบี صلى هللا علٍه وسلن ในปี นีเ้ อง พวกบนูบกั ร์ ได้รกุ รานพวก คุซาอะฮฺ และได้สงั หารฝ่ าย คุซาอะฮฺ ไปเป็ นจานวน 20 คน โดยที่ พวกกุร็อยช์ได้ให้การสนับสนุนพวก บนู บักรฺ ทัง้ ด้วยเงินทองและอาวุธ เมื่อท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنได้ทราบเช่นนัน้ ท่านรูส้ ึกโกรธมาก ท่านจึงได้เตรียมทัพเพื่อทาสงครามกับพวกกุร็อยช์ แต่ ท่านไม่ได้บอกให้ผคู้ นให้ทราบถึงเป้าหมายในการทาสงคราม ทัง้ นีก้ ็เพื่อมิให้พวกกุร็อยช์รตู้ วั และ ได้เตรียม ตัวรับมือท่าน เพราะถ้าหากปล่อยให้พวกกุร็อยช์ได้เตรียมตัว การเ ข่นฆ่าที่มากมายจะเกิดขึน้ บนแผ่นดิน ต้องห้าม แต่ปรากฏว่า ฮาฎิบ บิน บัลตะอะฮฺ อัล-บัดรีย์ ได้แอบส่งจดหมายลับไปยังมักะฮฺ หมายแจ้งให้พวกกุร็อย ช์ทราบเรื่องการยกทัพมาของท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنทว่าอัลลอฮฺ ได้ทรงให้ท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنทราบเรื่องนี้ กอ่ น ท่านจึงได้สงั ่ คน 16 ไปติดตามผูห้ ญิงที่เป็ นคนนาจดหมายดังกล่าวยึดกลับมาได้ พร้อมกับได้เรียกฮาฎิบมาพบ ท่านได้ถามเขา ว่า เจ้าทาเช่นนีท้ าไม? เขาตอบว่า โอ้ท่านรอซลุ ลลอฮฺ ขอสาบานด้วย อัลลอฮฺ แท้จริงเป็ นผูศ้ รัทธา ในอัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ ฉันไม่ได้นอกรีดฉัน ไม่ ได้แปรเปลี่ยน ฉันไม่ได้มีความเกี่ยวดองกับพวก กุร็อยช์ทางสายเลือด เพียงแต่ว่าฉันเคยอยู่ในหมูพ่ วกเขามีภรรยา ครอบครัว และลูกอยู่ในหมูพ่ วกเขา ฉัน 16
อะลี กับอัลมิกด๊ าด
69
ไม่มีญาติในหมูพ่ วกกุร็อยช์ที่จะช่วยปกป้องพวกเขา ในขณะที่บรรดาผูท้ ี่อยู่ร่วมกับท่านมีคนปกป้อง ฉันจึง ใคร่ที่จะให้พวกเขาปกป้องญาติพี่นอ้ งของฉันในยามที่ฉนั ไม่อยู่เท่านัน้ เอง” อุมรั จึงกล่าวขึน้ ว่า “ปล่อยให้ฉนั ตัดหัว เขาเถิด ท่านรอซูลลุ ลอฮฺ เพราะผูช้ ายคนนีเ้ ป็ นคน ทรยศ ต่ออัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ เขา เป็ นคนมุนาฟิ ก” ท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنกล่าวว่า “เขาเคย เข้าร่วมสงครามบะดัร อะไรที่ทาให้เจ้ารูว้ ่า เผื่อว่าอัลลอฮฺ จะทรงรูด้ ีถึงผูผ้ า่ นบะดัร แล้วท่านก็กล่าวว่า “ จง ทาตามที่พวกท่านประสงค์เถิด แน่แท้ฉนั ได้ยกโทษให้พวกท่านแล้ว” อุมรั ถึงกับร้องไห้หลัง่ นา้ ตา แล้วกล่าว ว่า “อัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ทรงรูด้ ี” หลังจากนัน้ ท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنได้เดินทัพออกจากนครมดีนะฮฺ มงุ่ สูม่ กั ะฮฺ ในวันที่ 10 เราะมะฏอน และได้มอบหมายให้อบู รุฮม์ อัลฆิฟารียเ์ ป็ นผูด้ แู ลเมืองมดีนะฮฺ แทน ได้ละศีลอดระหว่างทาง บรรดาผูร้ ่วมทัพได้ละศีลอดพร้อมกับท่านเนือ่ งจากความเหน็ดเหนือ่ ยและความยากลาบากในการเดินทาง จานวนของพวกเขาตอนที่ออกจากมดีนะฮฺ ในครัง้ นี้ มีจานวน 10,000 คน หรือมากกว่านัน้ พอมาถึงญุ ฮฺ ฟะฮฺ ก็ได้พบอัลอับบ๊าส บิน อับดุลมุฏอลิบผูเ้ ป็ นลุงของท่านซึ่งได้เข้ารับอิสลามและกาลังอพยพไปยังมดีนะฮฺ ต่อมาในระหว่างทางได้มีอาหรับก๊กต่าง ๆ เข้าสมทบอีกจานวนหนึง่ และ ณ อัลอับวาอ์ท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنได้พบกับอบู ซุฟยาน บิน อัลฮาริษกับผูร้ ่วมเดินทางกับเขาอีกสองคน แรกทีเดียวท่านได้ เมินหน้าจากพวกเขาทัง้ สอง เนือ่ งจากการที่ท่านต้องพบการรังแกและให้รา้ ยอย่างรุนแรงจากพวกเขาใน ช่วงเวลาที่ท่านอยู่ที่มกั กะฮฺ แต่ในที่สดุ อบูซฟุ ยาน ก็ได้เข้ารับอิสลาม ท่านอัลอับบาสซึ่งเป็ นผูท้ ี่ได้ไปพบท่าน รอซูล ระหว่างทางและได้เข้ารับอิสลามแล้วกาลังอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ เขากล่าวว่า “แท้จริงอบูซ ุฟ ยานเป็นคนชอบที่จะแสดงออกซึ่งความภาคภ ูมิใจ ดังนัน้ จงให้เขาได้แสดงออกซึ่งความภาคภ ูมิใจ ในอะไรสักอย่าง” ท่านจึงกล่าวว่า “ใครที่เข้าไปในบ้านของอบูซฟุ ยาน เขาผูน้ นั้ จะได้รบั ความปลอดภัย ต่อมากองทัพได้ไปถึงมักกะฮฺ ผูป้ ระกาศของท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنก็ได้ป่าวประกาศว่า “ผูใ้ ดเข้าไปอยูใ่ นบ้านของตัวเองแล้วปิดประต ู เขาจะปลอดภัย ผูใ้ ดเข้าไปในมัสญิดเขาจะปลอดภัย ผูใ้ ดเข้าไปอยูใ่ นบ้านของอบูซ ุฟยาน เขาจะปลอดภัย” ในการนีท้ ่านได้ยกเว้นการอภัยโทษคน 15 คน ที่ได้เคยกระทาความผิดอย่างใหญ่หลวงต่ ออิสลาม และรอซูลของพระองค์ แล้วท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنก็ได้เข้าสูม่ กั กะฮฺ โดยนัง่ บนหลังอูฐ ก้ม ศีรษะแนบบนสัมภาระจนเกือบจะชิดหลังอูฐด้วยรูส้ ึกขอบคุณในอัลลอฮฺ ตอ่ ชัยชนะอันยิ่งใหญ่นี้ หลังจากย่างก้าวเข้าสูม่ กั กะฮฺ ท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنได้เฏาะว๊าฟรอบ บัยตุลลอ ฮฺ และเอาเจว็ดซึ่ง ถูกวางอยู่บริเวณรอบ ๆ บัยตุลลอฮฺ จานวนสามร้อยหกสิบ องค์ออก แล้วท่านก็ ได้เข้า ไปทาการนมาซจานวน สิบร๊อกอะฮฺ ในกะอบะฮฺ เสร็จแล้วท่านได้ออกมายืนตรงประตูกะอบะฮฺ ในขณะที่พวก กุร็อยช์ตา่ งก็เฝ้ าคอยดูท่าทีของท่านว่าท่านจะทาอะไรกับพวกเขา ในที่สดุ ท่านก็พดู ขึน้ ว่า “โอ้ชาวก ุร็อยช์ พวกท่านกาลัง คิดว่า ฉันจะทาอะไรกับพวกท่าน หรือ ? พวกเขากล่าวว่า “ท่านจะต้องทาในสิ่งที่ดี ท่านเป็นพี่นอ้ งผูม้ ีเกียรติ และท่านก็เป็นล ูกของพี่นอ้ งของ พวกเราผูท้ ี่ มีเกียรติ ” ท่านรอซูล صلى هللا علٍه وسلنจึงกล่าวว่า “วันนี้ฉนั ขอกล่าวกับพวกท่าน เช่นเดียวกับ ท่านนบี ยูซ ุฟพี่ชายของฉันก่อนหน้านี้ว่า ไม่มี การประณามพวกท่าน อัลลอฮฺ ทรง ประทานอภัยโทษแก่พวกท่าน และพระองค์ เป็นผูท ้ รงเมตตา ยิง่ ในบรรดาผูเ้ มตตา” (ยูซ ุฟ :)... จงไปเถิด พวกท่านทัง้ หลายเป็นอิสระแล้ว ” 70
ต่อมาผูค้ นได้รวมตัวกันที่เนิน อัศ-ศอฟา เพื่อให้สตั ยาบันกับท่านรอซูลลุอฮ ศ็อลฯ ว่าจะยึดมัน่ ศรัทธาในอิสลาม ท่านได้นงั ่ ลงท่ามกลามพวกเขาตรงเนินศอฟนัน้ รับการให้สตั ยาบันของพวกเขา ในการ เชื่อฟังและปฏิบตั ติ ามเพื่ออัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ในสิ่งที่พวกเขามีความสามารถ เริ่มด้วยการให้ สัตยาบันของพวกผูช้ าย ตามด้วยการให้สตั ยาบันของพวกผูห้ ญิง โดยที่ท่านไม่ได้จบั มือกับใครเลยจากหมู่ พวกนาง หนึง่ ในสตรีที่ให้สตั ยาบันกับท่านในวันนัน้ คือ นางฮินด์ ภรรยาของ อบู ซุฟยาน ที่ท่านได้อนุญาต ให้สงั หารได้ในวันแห่งการเปิ ดมักกะฮฺ แต่เมื่อท่านได้ งการให้สตั ยาบันของนาง ท่านก็ได้ให้อภัยโทษแก่นาง ในวันเปิ ดมักกะฮฺ ท่านรอซูล ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้สงั ่ ให้บิลาล อะซาน เพื่อการนมาซซุฮ์ ริ โดยให้บิลาลขึน้ ไปอะซานบนหลังคาของกะอบะฮฺ บรรดาพวกุร็อยช์ที่ยงั ไม่ได้เข้ารับอิสลามต่างรูส้ ึกรับ ไม่ได้ แต่ท่านรอซูลทราบถึศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จงใจที่จะทาเช่นนัน้ ด้วยมีเหตุผล และด้วย วิทย ปั ญญาอันยิ่งใหญ่
5.1.10 ฆ็อซวะฮฺ ฮ ุนัยน์ สงครามนีเ้ กิดขึน้ เมื่อวันที่ 10 เชาวาล ฮ.ศ. 8 สาเหตุสืบเนือ่ งจากว่าหลังจากการยึดครองนครมักกะฮฺ ทาให้บรรดาผูน้ าของพวกฮะวาซิน และษะ กีบคาดคิดว่า ท่านรอซูลลุ อฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จะต้องโจมตีพวกตนเป็ นลาดับต่อไปเป็ นแน่ ดังนัน้ ทางที่ดีพวกเขาจะต้องเป็ นฝ่ ายโจมตีฝ่ายมุสลิมเสียก่อน แทนที่จะเป็ นฝ่ ายถูกโจมตี กองทัพข้ศึกมี มาลิก บิน เอาวฟ์ ซึ่งในขณะนัน้ มีอายุเพียง 30 ปี เป็ นแม่ทพั เขาต้องการให้ทหาร ของเขาแต่ละคนนาเอาเสบียงที่เป็ นทรัพย์สินทัง้ หมด ภรรยาและลูก ๆ และปศุสตั ว์ ลงไปยังสมรภูมิรบด้วย เพราะจะทาให้จิตใจมีความแน่วแน่มนั ่ คงในการเผชิญหน้ากับฝ่ ายข้าศึก และจะทาให้พวกเขามีความเข้มแข็ง ที่สดุ กองทัพของพวกเขาในครัง้ นีม้ ีกาลังทัง้ สิน 20,000 – 30,000 คน ฝ่ ายท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม นัน้ ได้ปร ะกาศความ ตัง้ ใจอันแน่วแน่ของท่านที่จะ ออกสงคราม ทุก ๆ คนที่มกั กะฮฺ ต่างพากันออกสงคราม ครัง้ นี้ ทัง้ บรรดาเศาะฮาบะฮฺ ที่เคยเข้าร่วม สงครามกับท่านในคราวก่อน ๆ และผูท้ ี่ยงั ไม่เคยได้ออกสงครามมาก่อนหน้านี้ หรือแม้กระทัง่ บรรดาผูท้ ี่ พึ่งเข้ารับอิสลาม กองทัพของท่านรอซูลศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้เริ่มออกเดินทางจนมาถึ ง ห ุบเขาห ุนัยน์ ไพร่พลของพวกฮะวาซิน กับพันธมิตรของพวกเขาก็ออกมา ฝ่ ายมุสลิมได้ทาการต่อสูต้ า้ นการรบของพวก เขาจนสามารถเอาชนะพวกฮะวาซินได้ ฝ่ ายมุสลิมเมื่อได้รบั ชัยชนะ ก็พากันออกมาเก็บเสบียงและข้าวของ ของฝ่ ายข้าศึก ในขณะที่ฝ่ายมุสลิมกาลังง่วนอยู่กบั การเก็บทรัพย์สินสงครามของฝ่ ายข้าศึกอยู่นนั้ ข้าศึกได้หวน กลับมาโจมตีฝ่ายมุสลิมอีกครัง้ ด้วยการยิงธนูเข้าใส่ ทาให้ฝ่ายมุสลิมตกอยู่ในสภาพระสา่ ระสาย บรรดา มุสลิมที่เพิ่งเข้ารับอิสลามและขาวมักกะฮฺ พากันหนีเอาตัวรอด ทว่าท่านรอซูลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ยืนหยัดอย่างมัน่ คงอยู่บนล่อพาหนะของท่าน พร้อมกับประกาศว่า “ฉัน คือ นบี ไม่มดเท็จ ฉันคือ ล ูกของอับด ุล มุฎฎอลิบ” ในช่วงที่มีการประจัญบานอยู่นนั้ มีขา่ วแพร่ออกไปในหมูม่ สุ ลิมว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เสียชีวิตแล้ว ทาให้ทหารฝ่ ายมุสลิมจานวนมากวางอาวุธด้วยความสิ้นหวัง แต่กลุม่ หนึง่ ซึ่ง ประกอบไปด้วยชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอร ยังคงยืนหยัด เคียงบ่าเคียงไหล่กบั ท่าน โดย อัล-อับบาส ซึ่ง เป็ นคนเสียงดัง ได้ปราก าศในหมูม่ สุ ลิม ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมยังมีชีวิตอยู่ ทาให้จานวน
71
ฝ่ ายมุสลิม กลับมาสมทบ เพิ่มมากขึน้ จนสามารถต่อสูช้ นะอีกครัง้ และจับตัว ข้าศึก เป็ นเฉลยได้เป็ นจานวน มาก รวมทัง้ สามารถยึดทรัพย์สินของฝ่ ายข้าศึกได้เป็ นจานวนมากด้วย ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้จดั การแบ่งทรัพย์สินที่ยึดได้นนั้ โดยจัดแบ่งให้กบั บรรดา ผูท้ ี่พึ่งเข้ารับอิสลามเท่านัน้ อีกส่วนแบ่งให้กบั ชาวอันศอร ด้วยเชื่อในความศรัทธาที่เข้มแข็งและความจริงใจ ในการเข้ารับอิสลามของพวกเขา อัลลอฮฺ ได้ทรงประทานอายะฮฺ อัล-กุรอานลงมาเกี่ยวกับสงครามนีว้ ่า
ความว่า : แท้จริงอัลลอฮฺ ได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าแล้วในหลายสนามรบ และในวันแห่ง สงครามฮ ุนัยน์ดว้ ย ขณะที่การมีจานวนมากของพวกเจ้าทาให้พวกเจ้าพึงใจ แล้ว มัน ก็มิได้ อานวยประโยชน์แก่พวกเจ้าแต่อย่างใด และแผ่นดินที่กว้างอยูแ่ ล้ว ก็กลับคับแคบแก่พวกเจ้า แล้ว พวกเจ้าก็หนั หลังหนี” (อัต-เตาบะฮฺ / 25)
ความว่า : “แล้วพระองค์ก็ได้ทรงประทานลงมาซึ่งความสงบในจิตใจแก่รอ่ ซ ูลของพระองค์ และ แก่บรรดาผูศ้ รัทธา และได้ทรงส่งไพร่พลที่สเู จ้ามองไม่เห็นพวกเขาลงมา และได้รงลงโทษบรรดา ผูป้ ฏิเสธ และนัน่ คือการตอบแทนของบรรดาผูป้ ฏิเสธ” (อัต-เตาบะฮฺ / 26)
5.1.11 สงครามตะบูก สงครามนีเ้ รียกอีกชื่อหนึง่ ว่า “ สงครามแห่งความยากลาบาก ” เกิดขึน้ ในเดือ นเราะญับ ฮ.ศ. 9 ตะบูก เป็ นตาบลหนึง่ ที่ตงั้ อยู่บนเส้นทางระหว่างฮิญาซกับเมืองชาม (ซีเรีย) สาเหตุของสงครามครัง้ นีไ้ ด้เริ่มขึน้ เมื่อฝ่ ายโรมันได้ระดม ไพร่ พลจานวนมากจาก พวกอาหรับกลุ่ม ก๊กต่าง ๆ ที่นบั ถือศาสนาคริสต์ เพื่อมาโจมตีนครมดีนะฮฺ และเพื่อ กาจัด รัฐอิสลามใหม่ที่พึ่งก่อเกิดขึน้ บน คาบสมุทรอาหรับ ด้วยพวกเขารูสึกหวัน่ วิตกต่อชัยชนะและความสาเร็จที่รฐั อิสลามได้รบั ในเวลานัน้ ฝ่ ายของท่าน เราะซูลลุ อฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ก็ได้มีการเตรียมกาลังเพื่อเผชิญหน้ากับ กองทัพโรมันเช่นกัน ทัง้ ๆ ที่ ในช่วงดังกล่าวฝ่ายมุสลิมต้องเผชิญหน้ากับความยากลาบากและ แร้นแค้นจากสภาพทางธรรมชาติที่รอ้ นระอ ุและแห้งแล้ง แต่อย่างไรก็ตาม ขวัญและกาลังใจของฝ่ าย มุสลิมก็ไม่ได้ถดถอยแม้แต่นอ้ ย บรรดาผูศ้ รัทธาทัง้ หลายต่างก็ได้ พากัน อาสาออกรบด้วยความต็มใจ ใน จานวนนัน้ มีศออาบะฮฺ สามคนที่ตามไปทีหลัง ซึ่งพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็ นผูท้ ี่มีความศรัทธาจริง ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ขอให้บรรดาคหบดีได้ชว่ ยกันจัดเตรียมทัพแห่งความ ยากลาบาก ซึ่งพวกเขาก็ได้นาเอาทรัพย์สินมากมายมามอบให้ ท่าน โดย อบูบกั ร ได้นาทรัพย์สินทัง้ หมด ของเขามามีจานวนทัง้ สิ้น 40,000 ดิรฮัม อุมรั ก็นาเอาทรัพย์สินครึ่งหนึง่ ของเขามามอบให้ อุษมานก็ได้ 72
บริจาคทรัพย์สินจานวนมากมาย ทรัพย์สินอันมากมายที่อษุ มานได้บริจาคให้ในครัง้ นี้ ทาให้ท่าน เราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ถึงกับขอพรให้เขาว่า “สิ่งที่อ ุษมานทาหลังจากวันนี้จะไม่มีสิ่งใด้เป็นโทษ แก่เขาได้อีกต่อไป” บรรดาคนยากจนจากเหล่าศอฮาบะฮฺ จานวนหนึง่ ไม่มีพาหนะที่จะใช้ขี่ ท่าน เราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงกล่าวกับพวกเขาว่า “ฉันไม่มียานพาหนะที่จะพาพวกท่านออกสงคราม” ทาให้พวก เขาต้องหันหลังเดินกลับไปในสภาพที่นา้ ตาคลอเบ้าด้วยความเสียใจที่ไม่ทรัพย์จะบริจาค ในครัง้ นีม้ ีพวกสับปลับที่ออกสงคราม ทีหลัง ประมาณ 80 กว่า คน และมี ชาวอาหรับ เบดูอินอีก จานวนหนึง่ ขออนุญาตไม่ออกสงคราม ด้วยเหตุผลที่เป็ นเท็จ ซึ่งท่านรอซูลศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ก็ไม่ได้ขดั ข้องแต่ประการใด ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้นาทัพจานวน 30,000 คน ออกเดินทาง ในจานวน นีม้ ีทหารม้าอยู่ดว้ ย จานวน 10,000 คน ซึ่งถือได้ว่าเป็ นกองทัพที่ใหญ่ที่สดุ เท่าที่ชาวอาหรับได้เห็นในเวลา นัน้ เมื่อไปถึงที่ดะบูก ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ให้หยุดทัพและพักอยู่ที่นนั ่ เป็ นเวลา 20 คืน โดยที่ไม่พบว่ามีแผนการจากฝ่ ายข้าศึก และไม่มีการสูร้ บใด ๆ เกิดขึน้ นีเ่ ป็ นสงครามครัง้ สุดท้ายของท่านรอซูลลุ อฮฺ ศ็อลฯ และในสงครามครัง้ นี้ อัลลอฮฺ ได้ทรงประธาน โองการ ว่า
“ความว่า และอัลลอฮฺ ทรงอภัยโทษให้แก่ชายสามคน (คือ กะอบ อิบนมุ าลิก มุรอเราะฮฺ อิบน ุ อัร-รอบีอ และฮิลาล อิบน ุ อ ุมัยยะฮฺ ) ที่ไม่ได้ออกไปสงคราม จนกระทัง่ แผ่นดินได้คบั แคบแก่ พวกเขา ทัง้ ๆ ที่มนั กว้างใหญ่ไพศาล และตัวของพวกเขาก็รส้ ู ึกอึดอัดไปด้วย แล้วพวกเขาก็ คาดคิดกันว่า ไม่มีพี่พึ่งอื่นใดให้พน้ จากอัลลอฮฺ ไปได้ นอกจากกลับไปหาพระองค์ แล้วพระองค์ ก็ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้กลับเนื้อกลับตัวสานึกผิดต่อพระองค์ แท้ จริงอัลลอฮฺ นนั้ คือผูท้ รงอภัยโทษ ผูท้ รงเอ็นด ูเมตตาเสมอ” (อัต-เตาบะฮฺ / 118)
5.2 บทเรียนและข้อคิด แรกสุดที่เราจะกล่าวถึง ณ ที่นคี้ ือ บัญญัตวิ ่าด้วยสงครามในอิสลาม สาเหตุและหลักการทัว่ ไปของ สงคราม ดังที่เราได้ทราบแล้ วว่า ท่านเราะซูลลุ อฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้เริ่มการเรียกร้องเชิญ ชวน(การดะอฺ วะ ฮฺ )ของท่าน ด้วยการแสดงแบบอย่างที่ดีงาม และการอบรมสัง่ สอนที่มีสารประโยชน์ มากมาย ท่านอ่านถ่ายทอดคัมภีรข์ องอัลลอฮฺ ที่ได้ถกู ทยอยประทานลงมาให้ท่านแก่หมูช่ นของท่าน ท่าน พูดกับพวกเขาจากใจและส ติปัญญาของท่านในสิ่งที่ทาให้พวกเขา ได้มองเห็นสภาพที่เลวร้ายของลัท ธิบชู า เจว็ด ความเชื่องมงาย การหลงผิด และความไม่รทู้ ี่พวกเขาเป็ นอยู่ในขณะนัน้ แม้กระนัน้ หมูช่ นของท่านกลับต่อต้านท่าน เมินหน้าหนีและเยาะเย้ยถากถางท่าน ตามด้วยกุเรื่อง มุสาป้ายสีท่าน และให้ภยั ต่อท่าน สุดท้ายด้วยการวางแผนร้าย เพื่อสังหารท่าน จนกระทัง่ วอัลลอฮฺ ได้ทรง เตรียมดินแดน ใหม่ อนั สงบมัน่ คง และปลอดภัยให้สาหรับการดะอวะฮฺ ของท่าน อย่างไรก็ตาม ณ ที่ใหม่นี้ ท่านยังต้องเผชิญหน้ากับสองขัว้ อานาจที่ขนาบท่านอยู่ นัน่ คือ 73
ขัว้ อานาจของพวกก ุร็อยช์ที่นอนไม่หลับ กับการอพยพของท่ านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และเหล่าศอฮาบะฮฺ ที่ศรัทธาในการดะอวะฮฺ ของท่าน การอพยพที่นาไปสูค่ วามเข้มแข็งกลับมาบดขยี้พวก กุร็อยช์ ในที่สดุ ขัว้ อานาจที่สองคือ พวกยิว ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้พยายามสร้างสาย สัมพันธ์เชิงสันติภาพ ตัง้ แต่ที่ท่านไปตัง้ มัน่ ที่เมืองมดีนะฮฺ แล้ว แต่เนือ่ งจากสันดานของพวกยิว เป็ น สันดานที่เต็มไปด้วยความอาฆาต พยาบาท เจ้าเล่หเ์ พทุบาย ยังไม่ทนั ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จะสร้างเสถียรภาพให้เกิดขึน้ ณ เมืองมดีนะฮฺ หลังจากการก้าวขึน้ เป็ นผูน้ าของชาว มุฮาญิ รีนและอันศอรฺ อย่างสมบูรณ์ แกนนาของพวกยิวก็เริ่มมีความอิจฉาริษยาและโกรธเคืองต่อการนาของท่าน ที่พวกเขาคิดว่า จะบัน่ ทองอานาจของพวกเขาและจะควบคุมนครมดีนะฮฺ แบบเบ็ดเสร็จ ในช่วงเวลาที่ท่าน เราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ยัง พานักอยู่ที่นครมักกะฮฺ นนั้ อัลลอฮฺ ได้ทรงประทานโองการการอัลกุรอานลงมากาชับให้ท่านมีความอดทนว่า
“และจงอดทนต่อสิ่งที่พวกเขากล่าวร้าย และจงแยกตัวออกจากพวกเขา ด้วยการแยกตัว อย่างส ุภาพ” ด้านพวกมุชริกนู นัน่ เล่า ทุก ๆ ครัง้ ที่มีโองการจากอัลกุรอานลงมากาชับให้มสุ ลิมมีความอดทน และให้ภยั ของพวกเขา พวกเขาก็กลับยิ่งเพิ่มความรุนแรงในการรังแกคนมุสลิมมากยิ่งขึน้ รวมทัง้ การวาง แผนการร้ายและการเป็ นศัตรู ซึ่งสาหรับฝ่ ายมุสลิมในขณะนัน้ ไม่มีศักยภาพพอที่จะต้าน ทานหรือเผชิญหน้า กับการรังแกนัน้ ได้ ด้วยจานวนที่มีอยู่นอ้ ยและยังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอในทุก ๆ ด้าน แต่ ครัน้ เมื่อท่านรอซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้เริ่มมาตัง้ มัน่ ที่ นครมดี นะฮฺ ฝ่ ายมุสลิมก็เริ่มมีความเข้มแข็งและมีอานาจ มากขึน้ กระนัน้ พวกเขาก็ยงั คงต้องเผชิญหน้ากับอานาจ และการปฏิปักษ์ของพวกกุร็อยช์ อยู่อีกเช่น เดิม ผนวกเข้ากับแผนการชัว่ ของพวกยิวที่ยงั คงเป็ นศัตรูกบั อิสลามอยู่ตลอดเวลา อิสลามเป็นศาสนาที่อยูก่ บั ความเป็นจริง ยอมรับและเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ บนพื้นฐาน ของความเป็นจริง อิสลามไม่เคยปิดตาตัวเองจากความเป็นจริง ด้วยเหตุนจี้ ึงมีความจาเป็ นที่ตอ้ งมี กาลังและความเข้มแข็งไว้ปกป้องกันตนเอง ผลักใสการเป็ นศัตรูและการล่วงละเมิด ขจัดพลัง ความเข้มแข็ง ของฝ่ ายมดเท็จให้หมดไป เพื่อเปิดสนามให้กบั การดะอวะฮฺ อนั ประเสริฐและเต็มเปี่ยมด้วยอิสรภาพที่ แท้จริง การดะอวะฮฺ ที่เปิดประต ูทางปัญญา ขัดเกลาจิต ใจ แก้ไขความเสียหายและเสื่อมทราม ทาให้ค ุณธรรมปรากฏเด่นชัด อันสามารถยึดเป็นแนวทางนาชีวิตเป็นประภาคารที่สอ่ งแสงสว่าง ให้สาหรับผูแ้ สวงหาทางนา ความดี และความเที่ยงธรรม ด้วยเหตุดงั กล่าวมานีแ้ หละ ที่สงครามได้ถกู บัญญัตใิ ห้กบั บรรดามุสลิมใน ปีที่ 2 แห่งฮิจญเราะฮฺ ศักราช ตามอายะฮฺ นี้
74
ความว่า “ สาหรับบรรดาผู้ (ที่ถ ูกโจมตีนนั้ ) ได้รบั อนญ ุ าตให้ต่อสูไ้ ด้ เพราะพวกเขาถ ูกข่มเหง และ แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้ยา่ งแน่นอน” บรรดาผูท้ ี่ถ ูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนของพวกเขา โดยปราศจากความย ุติธรรม นอกจาก พวกเขากล่าวว่า อัลลอฮฺ คือพระเจ้าของเราเท่านัน้ และหากอัลลอฮฺ มิทรงขัดขวางมิให้มนุษย์ ต่อสูซ้ ึ่งกันและกันแล้วไซร้ บรรดาหอสวดและโบสถ์ (ของชาวคริสต์) และสถานที่สวดของชาวยิว และมัสญิด ทัง้ หลายที่พระนามของอัลลอฮฺ ถ ูกกล่าวราลึกอย่างมากมาย ต้องถ ูกทาลายอย่าง แน่นอน และแน่นอนอัลลอฮฺ จะทรงช่วยเหลือท้ ู ี่ช่วยเหลือศาสนาของพระองค์ แท้จริงอัลลออ เป็นผูท้ รงพลัง ผูท้ รงเดชานุภาพอย่างแท้จริง บรรดาผูท้ ี่เราให้พวกเขามีอานาจในแผ่นดิน คือ บรรดาผูท้ ี่ดารงการนมาซ และบริจาคซะกาต และใช้กนั ให้กระทาความดี และห้ามปรามกันให้ละ เว้นความชัว่ และบัน้ ปลายของกิจการทัง้ หลาย ย่อมกลับไปหาอัลลอฮฺ ”( ซ ูเราะฮฺ อลั ฮัจญ์ อายะฮฺ ที่ 39 – 41) เหล่านีค้ ืออายะฮฺ แรก ๆ ที่ถกู ประทานลงมาเกี่ยวกับเรื่องสงคราม และการอนุญาตให้ทาสงครามได้ ซึ่งในที่นสี้ มควรที่เราจะหยุดพิจารณาสักนิด เพื่อให้ทราบถึงวิทยปั ญญา ประโยชน์ และเป้ าหมายางประการ ของการอนุญาตให้ทาสงคราม 1. ในต้นอายะฮฺ อัลลอฮฺ ทรงแจ้งให้ทราบว่า ที่พระองค์ทรงอนุญาตให้บรรดาผูศ้ รัทธาทาสงคราม นัน้ เป็ นที่นา่ สังเกตว่า คาที่ถกู ใช้ในความหม ายของบรรดาผูศ้ รัทธา คือ الذٌي ٌقاتلىىบรรดาผูท้ ี่ ถ ูกทาสงครามหรือบรรดาผูท้ ี่ถกู รุกราน ในทางหลักภาษา การเอาบทบัญญัตไิ ปเกี่ยวข้องกับคาซึ่งเป็ นคา ที่เกิดขึน้ มาจากคาอื่น ٌقاتلىىนัน้ แสดงถึงการให้ความหมายที่สงู มากกว่าคาซึ่งเป็ นต้นที่มาของคานัน้ ในที่นคี้ าว่า ٌقاتلىىอ่านว่า ยุกอตะลูนะ มาจากคาว่า ٌقاتلىىอ่านว่า ยุกอติลนู ะ หมายความว่า บรรดาผูศ้ รัทธาที่ได้รบั อนุญาตให้ทาสงครามนัน้ คือ ผูท้ ี่ถกู ทาสงคราม คือ ถูกกดขีข่ ม่ เหง ถูกทรมาน ถูก กระทาการทารุน และถูกผูอ้ ื่นประกาศสงครามด้วย ซึ่งนีเ่ ป็ นการบอกถึงสาเหตุที่แท้จริงของการอนุญาตให้ ทาสงครามว่า คือ การที่พวกเขาต้องตกอยู่ในภาวะของการถูกดขีข่ ม่ เหงก่อน ดังนัน้ สงครามจึงเป็ นการ ป้องกันตนเองจากการถูกล่วงละเมิด และการตอบโต้ที่เสมอเหมือน ดังโองการที่ว่า ... ความว่า : ผูใ้ ดละเมิดต่อพวกเจ้า ก็จงตอบโต้ตอ่ เขา เยี่ยงที่เขาละเมิดต่อพวกเจ้า ” (อัล-บะกอ เราะฮฺ / 194) ...
ความว่า : และผลตอบแทนของความชัว่ ใด ๆ คือ ความชัว่ เยี่ยงนัน้ (อัช-ชูรอ / 40) 2. ในอายะฮฺ เดียวกัน มีความชัดเจนว่า สงครามที่พวกมุชริกนู กระทาต่อฝ่ ายมุสลิมนัน้ แท้ที่จริง 75
แล้วมันเป็ นความอธรรมและท่าทีที่เป็ นศัตรู นั ่ นคือในข้อความที่ว่า تأًهن ظلوىاอ่านว่า บิอันนะฮุมซุลิมู แปลว่า “เพราะว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาได้ถ ูกอธรรม ” เนือ่ งจากว่า นับตัง้ แต่อยู่ที่มกั กะฮฺ แล้ว บรรดาผูศ้ รัทธาไม่เคยก่อการอธรรมใด พวกเขาเพียงแต่ทาหน้าที่ปกป้องความเชื่อของตนเอง เรียกร้องหมู่ ชนของพวกเขาให้ปลดปล่อยตนเองให้พน้ จากสิ่ง มดเท็จ ความสงสัยคลางแคลง การคาดคะเน ความเชื่อ งมงาย และมารยาทที่ไม่ดีงามทัง้ หลาย 3. ในอายะฮฺ ที่ 2 ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความจริงทางประวัตศิ าสตร์ว่า ได้เกิดการกดขี่ข่มเหง ขึ้น บรรดาผูศ้ รัทธาที่ได้รบั การอนุญาตให้ทาสงครามได้นนั้ พวกเขาเป็นผูท้ ี่ถ ูกขับไล่ออกจาก บ้านเรือนบนมาต ุภ ูมิของตนเอง การขับไล่ผคู้ นออกจากมาตรภูมิของตนเอง ซึ่งถือเป็ นความอธรรมอีก ประการหนึง่ 4. ในอายะฮฺ เดียวกัน ได้อธิบายถึงสาเหตที่บรรดาผูศ้ รัทธาต้องถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนของ ตนเองว่า เนือ่ งจากว่าพวกเขากระทาในสิ่งที่คา้ นกับหมูช่ นของพวกเขา ที่จมอยู่ในลัทธิบชู าเจว็ด และเคารพ ภักดีตอ่ พระเจ้าหลาย ๆ องค์ที่มดเท็จ โดยที่พวกเขาหันมายอมรับศรัทธาและเคารพภักดีอลั ลอฮฺ เพียงองค์ เดียว พวกเขาจึงถูกอธรรมอันเนือ่ งจากความเชื่อที่พวกเขายึดมัน่ นี้ พวกกุร็อยช์ไม่ประสงค์จะให้พวกเขา มีเสรีภาพในเรื่องความเชื่อดังกล่าว 5. ตราบใดที่บรรดาผูศ้ รัทธา ไม่มีเสรีภาพทางความเชื่อ ตราบนัน้ การทาสงครามถูกกาหนดให้ เป็ นสิทธิและหน้าที่ของพวกเขา ทัง้ นีก้ ็เพื่อเป็ นหลักประกันถึงเสรีภาพในเรื่องนี้ ซึ่งถือว่าเป็ น เสรี ภาพที่มี คา่ ควรแก่ความภาคภูมิใจ และถือเป็ นสิ่งคุณค่าของชีวิตมนุษย์ 6. ต่อจากนัน้ อัลลอฮฺ ได้ทรงแจกแจงว่า การทาสงครามที่ได้ถกู บัญตั ใิ ห้บรรดาผูศ้ รัทธาทัง้ หลาย นี้ ใช่ว่าจะมีประโยชน์แต่เฉพาะในการเป็ นที่จะเป็ นหลักประกันเสรีภาพของการนับถือศาสนาของชาวมุสลิม เท่านัน้ ทว่า เหล่าศาสนิกอื่นที่นบั ถือศาสนาจากฟากฟ้ า ต่างก็จะได้รบั ประโยชน์ดว้ ย นัน่ คือ ศาสนายูดาย และศาสนาคริสต์ เพราะในเวลานัน้ ฝ่ ายมุสลิมทาสงครามกับพวกมุชริกนู ที่ไม่มีศาสนาเป็ นตัวเป็ นตน หาก ว่ามุสลิมมีความเข้มแข็งขึน้ ย่อมสามารถที่จะปกป้องสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชาวยิวและ ชาวคริสต์ไปพร้อม ๆ กับการดูแลรักษา มัสญิดของมุสลิมเอง มิให้พวกบูชาเจว็ดและปฏิเสธพระเจ้าเข้า รุกราน ทาลายและยึดครอง อันจะนาไปสูก่ ารทาสงครามต่อต้านศาสนาที่นบั ถือพระเจ้า ปิ ดสถานที่ที่ใช้ ประกอบศาสนากิจ ซึ่งนัน่ ปรากฏชัดเจนในโองการของอัลลอฮฺ ที่ว่า
“และหากอัลลอฮฺ มิทรงขัดข้องมิให้มนุษย์ต่อสูซ้ ึ่งกันและกันแล้วไซร้ บรรดาหอสวดและโบสถ์ (ของชาวคริสต์) และสถานที่สวดของชาวยิว และมัสญิดทัง้ หลายที่พระนามของอัลลอฮฺ ถ ูกกล่าว ราลึกอย่างมากายต้องถ ูกทาลายอย่างแน่นอน” คาว่า الصىاهعคือสถานที่ทาสมาธิ เก็บตัวเพื่อแสวงหาความวิเวกของพวกนักบวช ซึ่งบางที เรียกว่า االدٌزجคาว่า : الثٍعคือโบสถ์ของชาวคริสต์ ส่วนคาว่า الصلىاخคือโบสถ์ของชาวยิว ด้วย เหตุนี้ จึงเป็ นที่ชดั เจนว่า การทาสงครามในอิสลามนัน้ ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อกาจัดศาสนาอื่น หรือ เพื่อ ทาลายสถานที่ปปฏิบตั ศิ าสนกิจของศาสนาเหล่านัน้ ทว่าเพื่อปกป้องศาสนาทัง้ หลายเหล่านัน้ ให้พน้ จาก การยึดครองของพวกปฏิเสธพระเจ้าและพวกบูชาเจว็ด และเพื่อขัดขวางพวกเขามิให้พวกเขาใช้อานาจใน การทาลายสถานที่สาคัญ ๆ ดังกล่าว 76
7. ในอายะฮฺ ที่ 3 นัน้ บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงผลเชิงบวกบางประการที่มาจากชัยชนะของบรรดาผู้ ศรัทธาในสงครามที่ พวกเขาได้รบั การ อนุมตั ิ ให้กระทา กล่าวคือ ชัยชนะของบรรดาผูศ้ รัทธา นัน้ ไม่นาไปสู่ การครอบงาผูค้ น ไม่มีจดุ ประสงค์เพื่อปล้นความดีตา่ ง ๆ ของผูค้ น ไม่ใช่เพื่อริบเอาทรัพยากรของพวกเขา และไม่ใช่เพื่อเหยียบยา่ เกียรติยศของหมูช่ นหนึง่ หมูช่ นใด แต่ที่จริงแล้วคือ ทางที่ จะนามาซึ่งผลประโยชน์ของ มนุษย์และสังคมมนุษย์ ในด้านต่าง ๆ เช่น 7.1 ด้านค ุณธรรมและการจิตใจ ด้วยการเผยแผ่เรื่องคุณค่าอันสูงส่งของจิตวิญญาณ และการพัฒนาจิตใจผ่านทางการประกอบอิบาดะฮฺ (การปฏิบตั ศิ าสนกิจ ) وأقاهىا الصالج 7.2 ด้านความย ุติธรรม ด้วยการตีเผยแผ่เรื่องความยุตธิ รรมทางสังคมออกไป ประชาชาติทงั้ หลายผ่านทางระบบซะกาต وآتىا الزكاج 7.3 ด้านความร่วมมือกันของคนในสังคม ด้วยการเรียกร้องและพยายามให้เกิดความ ร่วมมือและการช่วยเหลื่อซึ่งกันและกันบนพื้นฐานแห่งความดีของสังคม เกียรติยศและความสูงส่ง وأهزوا تا لوعزوف 7.4 ด้านการต่อต้านความชัว่ ด้วยการเรียกร้องและพยายามให้เกิดความร่วมมือกันใน การต่อสูก้ บั ความชัว่ อาชญากรรม และ สิ่งที่กอ่ ให้เกิด ความเสียหายต่าง ๆ ต่อคนและสังคม وًهىا عي الوٌكزดังกล่าว นัน้ คือ ผลที่ ตามมา จากชัยชนะ ของบรรดาผูศ้ รัทธาในการทาสงคร ามกับ ฝ่ ายปฏิเสธ ที่ นาไปสูก่ ารสถาปนารัฐอิสลามที่ ได้ทางานด้านการพัฒนาจิ ตใจ การสร้างหลัก ประกันสังคม การพัฒนา มนุษย์ดว้ ยความดี การยับยัง้ ความตกตา่ ของมนุษย์ที่เกิดขึน้ จากการทาความชัว่ ถ้าเช่นนัน้ จะมีเป้าหมายอันใดแห่งมนุษย์ อีกเล่า ที่จะประเสริฐยิ่งไปกว่าเป้าหมายที่อิสลามได้บญ ั ญัติ ให้ทาสงครามดังที่ได้กล่าวมาแล้วนีบ้ า้ ง ? มีสงครามไหนบ้างที่ประชาช นทั้งหลายได้รจู้ กั ทัง้ ในอดีต ที่ผา่ น มาและกาลังเกิดขึน้ ใน ปั จจุบนั ที่จะมีเป้าหมายเท่ากับเป้าหมายนี้ ? เป้าหมายที่ให้ประโยชน์ครอบคลุมถึง มวลมนุษยชาติ การสร้างสังคมที่จะนาไปสูก่ ารพัฒนาความ เป็ นมนุษย์ ให้เจริญ ก้าวหน้า ไม่ ใช่เป็ นการ นาพามนุษย์ให้ ถอยหลังกลับไปสูส่ มัย บรรพกาลที่มนุษย์ตกอยู่ในห้วงเหวของความ งมงาย อันไม่ได้ สร้างสรรค์ ช่วงกาลเวลาที่ เต็มไปด้วยความเบี่ยงเบน ทางความเชื่อและพฤติกรรม เสรีภาพที่ไร้ขอบเขต และไม่มีขอื่ ไม่มีแป เต็มไปด้วยการทา สงครามนองเลือด การต่อต้านศาสนาและ การต่อต้านการศรัทธาใน พระเจ้า เฉกเช่นความเจริญก้าวหน้าที่นามาโดยวัฒนธรรมวัตถุนยิ มตะวันตกทุกวันนี้ เมื่อเราได้ทราบถึงจุดประสงค์และเป้าหมายต่าง ๆ ของการอนุญาตให้ทาสงครามในอิสลามแล้ว เราก็จะทราบนัยของคาว่า “ในหนทางของอัลลอฮฺ ” ดังนัน้ การญิฮาดในหนทางของอัลลอฮฺ คือ ญิฮาดเพื่อให้บรรล ุถึงความดี สวัสดิภาพ คณ ุ ธรรมอัน สูงส่ง และความย ุติธรรมในสังคมทัง้ หลาย หนทางของอัลลอฮฺ คือเส้นทางของ พระองค์ เส้นทางไปสู่พระองค์ ไม่มีทางอื่นนอกจากจะต้องผ่านทางความดี ความรัก ความร่วมมือ บนพื้นฐานแห่งค ุณธรรมและการสารวมตนจากความชัว่ ไม่ใช่บนพื้นฐานของความชัว่ และการ เป็นศัตร ูกัน ทัง้ หมดนี้ คือข้อสรุปเกี่ยวกับจุดประสงค์ตา่ ง ๆ ของอิสลามในการบัญญัตเิ รื่องสงคราม และ สาเหตุตา่ ง ๆ ทางประวัตศิ าสตร์ที่ทาให้การทาสงครามเป็ นที่อนุมตั ิ ต่อไปเราจะพูดถึงบทเรียน และข้อเตือนใจบางประการที่เราได้รบั จากสมรภูมิแรก ๆ กล่าวคือ ใน สมัยของท่านรอซูลลุ ลอฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ความจริงที่ผเู้ ขียนอยากที่จะพูดถึงบทเรียนที่ ได้รบั จากทุก ๆ สมรภูมิโดยแยกออกมาวิเคราะห์เป็ น สมรภูมิ ๆ ไป แต่เนือ่ งจากมีเวลาจากัด เพราะถ้าทา 77
เช่นนัน้ ก็จะต้องใช้กระดาษเป็ นหลายสิบหน้า จึงจาเป็ นต้องรวบรัดเอาบทเรียนโดยรวมจากสมรภูมิทงั้ หมด ซึ่งถ้าจะจัดแบ่ง ออกเป็ นแต่ละสมรภูมิ ก็นา่ จะไม่ตา่ กว่าสมรภูมิละ 1 บทเรียน อ ย่างไรก็ตาม ฉันหวังว่าฉัน จะได้กล่าวถึงบทเรียนจากแต่ละสมรภูมิในปี หน้า อินชาอัลลอฮฺ ขออัลลอฮฺ ทรงให้อายุฉนั ยืนยาวออกไป ให้ สามารถทาในสิ่งที่ตงั้ ใจนี้ และขอพระองค์ทรงให้ความเจ็บป่ วยของฉันบรรเทาลง สงครามบัดรฺ เป็ นสงครามรัง้ แรก ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ออกสงครามครัง้ นีเ้ พื่อ ขวางทางกองคาราวานสินค้าของพวกกุร็อยช์จากประเทศชาม (ซีเรีย) ที่เดินทางกลับ มุง่ หน้าสูม่ กั กะฮฺ แต่ กองคาราวานนัน้ ได้รบั ความปลอดภัยในฐานะที่พวกมุชริกนู ตัง้ หน้าที่จะทาสงคราม รายละเอียดบางส่วน ของสงครามก็เป็ นไปดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว การขัดขวางกองคาราวานสินค้าของพวกกุร็อยช์จากฝ่ าย มุสลิม ไม่ใช่บ่งบอกว่ามุสลิมต้องการ ปล้นสะดมภ์ หรือเพื่อ ชิงเอาทรัพย์สินโดยไม่มีเหตุผลที่มาที่ไป เหมือนกับที่นกั บูรณคดี ชาวตะวันตก (Orientalist) บางคนได้ใส่รา้ ย ทว่า จุดประสงค์คือการเอาทรัพย์สิน ของพวกกุร็อยช์เพื่อนาไปชดใช้คืนให้กบั บรรดามุสลิมชาวมุฮาญิรีน ที่ถกู พวกกุร็อยช์ยึดทรัพย์สินเมื่อพวก เขาเข้ารับอิสลาม และอพยพตามท่านรอซูลลุ อฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ไปยังมดีนะฮฺ ส่วนใหญ่ของ พวกเขาเหล่านัน้ จาต้องละทิ้งบ้านเรือน ที่ดิน และทรัพย์สินอื่น ๆ ไป เมื่อใดก็ตามที่พวกกุร็อยช์ได้ทราบว่า มีใครอพยพ พวกเขาจึงจะทาการขายบ้านของผูอ้ พยพคนนัน้ พร้อมทัง้ จัดการยึดทรัพย์สินของเขาเสีย ดังนัน้ ตามกฎหมายว่าด้วยการตอบโต้เยี่ยงเดียวกันในหมวดกฎหมายระหว่างประเทศอันเป็ นที่ ยอมรับกันในปั จจุบนั นี้ อนุญาตให้ผถู้ กู กระทาปฏิบตั กิ ารตอบโต้ในลักษณะดังกล่าวนีไ้ ด้ เช่นเดียวกับ ฐานะของเรากับอิสราเอลในปั จจุบนั นี้ ที่สาคัญเป็ นที่นา่ สังเกตว่า ก่อนที่สงครามบัดรฺ จะเกิดขึน้ นัน้ ได้มี ความพยายามที่จะขวางเส้นทางคาราวานสินค้าของพวกกุร็อยช์แล้วถึง 7 ครัง้ โดยกลุม่ ผูท้ ี่ออกไป ปฏิบตั กิ าร คือ กลุม่ มุฮาญิรีนเท่านัน้ ไม่ได้มีชาวอันศอรแม้แต่คนเดียว นัน่ เป็ นเพราะว่า บรรดามุฮาญิรียน ที่ออกไปดักกองคาราวานสินค้าของพวกกุร็อยช์ ถ้าหากพวกเขาประสบความสาเร็จในการยึดกอง คาราวาน การกระทาของพวกเขา ก็เป็ นไปตาม สิทธิอนั ชอบธรรมอีกทัง้ ยังเป็ นไปตามกฎหมายแห่งศาสนา ของอัลลอฮฺ และกฎหมายที่มนุษย์ตงั้ ขึน้ ในที่นเี้ ราจะกล่าวถึงความพยายามทัง้ เจ็ดครัง้ ที่ว่านัน้ โดยสังเขป ดังนี้ o ครัง้ ที่หนึ่ง ในต้นเดือนที่เจ็ดหลังจากการอพยพฮัมซะฮฺ ได้ถกู ส่งออกไป o ครัง้ ที่สองในต้นเดือนที่แปดหลังจากการอพยพกองกาลังภายใต้การนาของอุบยั ดะฮฺ บิน อัล-หาริษ ให้ถกู ส่งไป o ครัง้ ที่สาม ในต้น เดือนที่เก้าหลังจากการอพยพกองกาลังภายใต้การนาของ สะอด์ บิน อบี วักกอศ ได้ถกู ส่งออกไป o ครัง้ ที่สี่ ในต้นเดือนที่สิบสอง เกิด (อายะฮฺ ) o ครัง้ ที่หา้ และหก ในต้นเดือนที่สิบสาม เกิด (อายะฮฺ ) และในช่วงเดียวกันนีเ้ กิด (อายะฮฺ ) o ครัง้ ที่เจ็ด ในเดือนที่สิบหกเกิด (อายะฮฺ ) o ความสาเร็จและชัยชนะของมุสลิมในสมรภูมิตา่ ง ๆ นัน้ ไม่ได้สืบเนือ่ งมาจากจานวนที่ มากมายของไพร่พล และความพร้อมของอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่จริง ๆ แล้วเป็ นเพราะความเข้มแข็งของจิต วิญญาณของเหล่าไพล่พลต่างหาก พวกเขามีความเชื่ออันบริสทุ ธิ์ มีความศรัทธาที่มนั ่ คง มีความปิ ติยินดี ที่จะพลีชีพในหนทางของอัลลอฮฺ ปรารถนาในรางวัลตอบแทนของอัลลอฮฺ และสวนสวรรค์ของพระองค์ พวกเขารูส้ ึกยินดีเมื่อได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากโซ่ตรวนของความหลงผิด ความแตกแยก การเป็ นศัตรู กัน และความเสื่อมทรามต่าง ๆ
78
ในขณะที่ไพร่พลของพวกมุชิกีนมีความเชื่อที่ไม่ถกู ต้อง มีจริยธรรมที่เสื่อมทราม สายสัมพันธ์ทาง สังคมแตกสลาย จมอยู่ในกิเลสตัณหา การยึดติดขนบธรรมเนียมประเพณีของเก่าแก่บรรพบุรษุ และ ความเชื่อเรื่องพระเจ้าจอมปลอมทัง้ หลายอย่างหลับหูหลับตา เราลองพิจารณาดูสิ่งที่ไพร่พลของทัง้ สองฝ่ ายกระทาก่อนที่จะเริ่มทาสงครามกัน สาหรับฝ่ ายมุชริ กูนก่อนที่จะเริ่มทาสงคราม พวกเขา เริ่มต้นด้วยการเฉลิมฉลองเป็ นเวลา 3 วัน ด้วยก ารดื่มเหล้า มี นักร้องผูห้ ญิงมาขับกล่อมเพลงให้ฟัง พร้อมด้วยเครื่องดนตรี และ การจุดไฟให้สว่างไสวเพื่อประกาศให้ ชาวอาหรับได้ยินและรับทราบกันอย่างทัว่ ถึงในสิ่งที่พวกเขากาลังจะกระทา โดยคาดหวังให้เกิดความ หวาดกลัวพวกเขา พวกเขาเชื่อว่ามันคือวิธีที่จะทาให้ได้รบั ชัยชนะ ในขณะที่ฝ่ายมุสลิม ก่อนที่จะเริ่มทาสงครามนัน้ พวกเขาจะหั นหน้าเข้าหาอัลลอฮฺ ดว้ ยหัวใจที่เชื่อมัน่ ในพระองค์ วิงวอนขอต่อพระองค์ให้ทรงประทานชัยชนะ มุง่ หวังในการได้ เสียสละพลีชีพในหนทาง ของอัลลอฮฺ ประหนึง่ ได้ดมกลิ่นไอของสวนสวรรค์ ท่านรซูล ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ก้มกราบสุญดู ขอต่อพระองค์ให้ทรงประทานชัยชนะให้กบั ปวงบ่าวผูศ้ รัทธา ของพระองค์ แ ล้วในที่สดุ ผลที่ออกมา คือชัยชนะเป็ นของฝ่ ายผูส้ ารวมตนต่ออัลลอฮฺ มีสมาธิและจิตใจที่แน่วแน่มนั ่ คง และความพ่ายแพ้ก็เป็ นของ บรรดาผูท้ ี่หวั ใจของพวกเขาเผอเรอและหลงระเริงอยู่กบั ตัณหาอารมณ์และความสุขชัว่ แล่น ผูท้ ี่ได้ทาการเปรียบเทียบจานวนนักรบของฝ่ ายมุสลิมกับจานวนของฝ่ ายมุชริกีนในทุก ๆ สมรภูมิ จะพบความจริงว่าฝ่ ายมุชริกีนมีจานวนมากกว่าฝ่ ายมุสลิมหลายเท่า แต่ กระนัน้ ชัยชนะก็มกั จะตกเป็ นของ ฝ่ ายมุสลิมอยู่เสมอ แม้กระทัง่ ในสงครามสองครัง้ คือ อุฮดุ กับหุนยั น์ ที่ดเู หมือนว่าฝ่ ายมุสลิมจะเป็ นฝ่ าย แพ้นนั้ ก็ ยังกล่าวได้ว่าฝ่ ายมุสลิมประสบกับชัยชนะ หากไม่เกิดความผิดพลาดและการฝ่ าฝื นคาสัง่ ของ ท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ของฝ่ ายมุสลิม ขึน้ ฝ่ ายมุสลิมจะไม่พบกับความพ่ายแพ้เลย เจตนารมณ์ที่แน่วแน่และเข้มแข็ง ความฮึกเหิมที่จะเข้าไปสูส่ มรภูมิ ความปิ ติยินดีที่จะได้พบกับข้าศึก ของเหล่าไพร่พลนัน้ เป็ นสิ่งที่เสริมแรงกระตุน้ ให้แม่ทพั ดาเนินการตามแผนรบของเขาและจะยิ่งมีความเชื่อมัน่ ในความสาเร็จ และชัยชนะ ดังที่ได้เกิดขึน้ ในสงครามบะดัรฺ ผูเ้ ป็ นแม่ทพั จะต้องไม่บงั คับให้ทหารของเขาออกสงครามหรือกระโจนเข้าสูส่ มรภูมิ หากเขาพบว่า พวกเขาไม่มีความสมัครใจ ไม่มีขวัญและกาลังใจที่เต็มเปี่ ยม จนกว่าเขาจะพบว่าพวกเขาพึงพอใจที่จะออก สงคราม เหมือนกับกรณีที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ปรึกษาหารือกับเหล่าเศาะ ฮาบะฮฺ เกี่ยวกับสงครามบะดัรฺกอ่ นที่จะเข้าสูส่ มรภูมิ การที่เหล่าไพร่พลคอยให้การคุม้ ครองและป้องกันผูน้ า แม่ทพั ของพวกเขาให้ได้รบั ความปลอดภัย นัน้ ถือเป็ นเรื่องที่สาคัญมากในการให้ได้มาซึ่งชัยชนะในสงคราม และ ความสาเร็จในการดะอฺ วะฮฺ ผูน้ า จะต้องยอมรับในเรื่องนี้ เพราะชีวิตของเขาคือชีวิตของการดะอฺ วะฮฺ ในทางตรงกันข้าม การไม่มีอยู่ของเขา ก็คือความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของการต่อสูใ้ นสมรภูมิ และสนามของการดะอฺ วะฮฺ ดังเช่นที่เราได้เห็นในสงครามบะดัรฺ ที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ยินยอมให้ บรรดาเศาะฮาบะฮฺ ของท่านสร้างที่เฉพาะให้สาหรับท่านที่จะช่วยป้องกันท่านจากการได้รบั อันตราย เช่นเดียวกับอีกในหลาย ๆ สงคราม เช่น สงครามอุฮดุ และสงครามฮุนยั น์ ที่เราได้เห็นเหล่าศรัทธาชนผู้ สัจจริงที่ตา่ งยืนเรียงแถวเอาตัวเองเป็ นโล่หค์ อยให้การคุม้ กันท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จากลูกเกาฑัณฑ์ของข้าศึก ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่าท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม แสดงการ ปฏิเสธที่จะให้พวกเขากระทาเช่นนัน้ แม้ตวั ท่านเองจะเต็มเปี่ ยมไปด้วยความกล้าหาญ และยังได้รบั การ ช่วยเหลือคุม้ ครองจากอัลลอฮฺ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านัน้ ท่านยังได้ให้การยกย่องเหล่าผูท้ ี่คอยให้การคุม้ กันท่าน ด้วย ดังที่เราได้เห็น คายกย่องของท่านที่มีต่อนะสีบะฮฺ อ ุมมุ อิมาเราะฮฺ พร้อมทัง้ คาขอพร ต่ออัลลอฮฺ ให้หล่อน สามี และล ูก ๆ ของหล่อนได้อยูร่ ว่ มกับท่านในสวนสวรรค์ 79
อัลลอฮฺ ทรงให้การคม้ ุ ครองปวงบ่าวผูศ้ รัทธาของพระองค์ในทุก ๆ สมรภูมิดว้ ยไพร่พล – มลาอิกะฮฺ - ของพระองค์เอง ดังที่พระองค์ได้ทรงส่งบรรดามลาอิกะฮฺ ลงมาในสงครามบะดัรฺ และทรง บันดาลให้เกิดลมพายุในสงครามอะหฺ ซาบ ซึ่งพวกเขาจะยังคงได้รบั การช่วยเหลือเช่นนีต้ ราบใดที่พวกเขาทา สงครามในหนทางของพระองค์ ก็พระองค์จะละทิ้งพวกเขาได้อย่างไรล่ะในเมื่อพระองค์ได้ตรัสว่า :
“และมันเป็นภาระของเราที่จะช่วยเหลือบรรดาผูศ้ รัทธา” (อัร-ร ูม : 47)
“แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงปกป้องบรรดาผูศ้ รัทธา” (อัล-ฮัจญ์ : 38) ค ุณลักษณะข้อหนึ่งของนักดะอฺ วะฮฺ ที่แท้จริง คือ การที่เขาจะต้องมีความปรารถนาที่จะให้ศัตรู ของเขาได้รบั ทางนาจากอัลลอฮฺ และพยายามเปิ ดโอกาสที่จะให้พวกเขารับทางนาของพระองค์ดว้ ยหัวใจที่ บริสทุ ธิ์ จากความจริงข้อนีท้ าให้เราได้เข้าใจถึงเหตุผลที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ยอมรับค่าไถ่ตวั เชลยศึกในสงครามบะดัรฺ เพราะท่านมีความหวังที่จะให้อลั ลอฮฺ ทรงนาทางพวกเขา เหล่านัน้ และหรืออย่างน้อยก็ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีลกู หลานที่เคารพภักดีในอัลลอฮฺ และทาหน้าที่เรียกร้องเชิญชวน ผูค้ นสู่ อิสลาม ของพระองค์ ในขณะที่ใน อัล-กุรอาน อัลลอฮฺ ได้ทรงตาหนิท่านต่อท่าทีดงั กล่าว ด้วย เหตุผลที่ว่าในขณะนัน้ ยังมีผลประโยชน์อื่น ๆ ของอิสลามอยู่ อีก นัน่ คือการข่มขูศ่ ัตรูของอัลลอฮฺ และขจัด หัวโจกที่คอยก่อสร้างปั ญหาและนาการหลงผิด ซึ่งถ้าหากได้มีการประหารเชลยศึกจากสงครามบะดัรฺก็จะ ทาให้แรงต้านจากฝ่ ายกุรยั ช์อ่อนลง เพราะว่าแกนนาของพวกเขาและบรรดาผูจ้ ดุ ไฟแห่งความวุ่นวายต่าง ๆ เพื่อต่อต้านบรรดาผูศ้ รัทธาได้ถกู กาจัดไป มีอีก เหตุ ผลหนึง่ ที่ ผูเ้ ขียนเห็นว่า เป็ นสิ่ง ที่ ทาให้ ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ยอมรับค่าไถ่เชลยศึกจากสงครามบะดัรฺ คือการที่มีอลั -อับบาส ซึ่งเป็ นลุงของท่านเองเป็ นหนึง่ ในเชลยศึก ชาวกุร็อยช์ อัล-อับบาสเองเคยมีท่าทีหลาย ๆ อย่างในการให้ความช่วยเหลือท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ก่อนที่เขาจะเข้ารับอิสลามใน เวลาต่อมา เขาเคยร่วมกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ในบัยอะฮฺ อะกอบะฮฺ ครัง้ ที่สอง อย่างลับ ๆ และเขาเป็ นคน ที่คอยให้ขอ้ มูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของ พวกกุร็อยช์ ซึ่งเหตุผลเหล่านีท้ าให้ผเู้ ขียนเชื่อว่าเขาเป็ นมุสลิมที่อาพรางการเป็ นมุสลิม ของเขาไว้ ในเมื่อ เป็ นเช่นนีแ้ ล้ว ท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จะฆ่าเขาได้อย่างไร ? หรือถ้าหากเขาเป็ นมุชริกและ ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จะละเว้นการฆ่าเขาเพียงคนเดียวเพราะเป็ นญาติใกล้ชิด ก็ เท่ากับเป็ นการฝ่ าฝื นชะรีอะฮฺ ที่ไม่ได้แบ่งแยกระหว่างคนที่เป็ นญาติกบั ที่ไม่ใช่ญาติพี่นอ้ งใกล้ชิดในการปฏิบตั ิ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความถูกต้องเป็ นธรรมต่อผูท้ ี่เป็ นปฏิปักษ์และประกาศสงครามกับอัลลอฮฺ และรซูลของ พระองค์ หากว่าท่านทาเช่นนี้ เหล่ามุชริกีนและมุนาฟิ กีน ก็จะต้องฉกฉวยโอกาสเอาเรื่องดังกล่าวออกไปตี แผ่ ซึ่งจะทาให้คนส่วนใหญ่ลดความเชื่อมัน่ ในความยุตธิ รรมของท่านรซูลลุ ลอฮฺ ฮ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และการไม่คล้อยตามอารมณ์ของท่าน ซึ่งนัน่ ไม่เป็ นประโยชน์ใด ๆ ต่องานดะอฺ วะฮฺ เลย การฝ่าฝืนคาสัง่ ของผูน้ าหรือแม่ทพ ั ที่มีความละเอียดอ่อนหลักแหลมในเรื่องการจัดการทัพ จะ เป็ นสิ่งที่นามาซึ่งความสูญเสีย และความปราชัยในสมรภูมิ อย่างเช่นที่เกิดขึน้ ในสงคราม อุฮดุ หากว่า กองกาลังแม่นธนูที่ท่านรซูลลุ อฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ สงั ่ ให้พวกเขาประจาตาแหน่งอยู่ ทางด้านหลังของกองทัพ ไม่ละตาแหน่งหน้าที่ที่ท่านได้ กาชับ ไว้ พวกมุชริกนู ก็จะไม่สามารถปิ ดล้อมฝ่ าย มุสลิม ได้ การ ฝ่ าฝื นคาสัง่ ของผูน้ า นามาซึ่งการสูญเสียโอกาสและทาให้ศัตรูได้รบั ชัยชนะ ซึ่งในอัล -กุ รอาน อัลลอฮฺ ได้ทรงเตือนสาหรับบรรดาผูศ้ รัทธา ให้ระวังการลงโทษจากการฝ่ าฝื นคาสัง่ ของรซูลว่า 80
...
“ดังนัน้ บรรดาผูท้ ี่ฝ่าฝืนคาสัง่ ของเขา จงระวังตัวเถิดว่า เคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวก เขา หรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นกับพวกเขาเช่นกัน” (อัน-นูร : 63) ความโลภในวัตถ ุ ทัง้ ในทรัพย์สินที่รบั ได้จากข้าศึกในสงครามและในเรื่องอื่น ๆ จะนาไปสูค่ วาม ล้มเหลวและความปราชัยในสมรภูมิ เช่นที่เกิดขึน้ กับฝ่ ายมุสลิมในสงครามอุฮดุ ขณะเมื่อบรรดาพลแม่นธนู ได้ละตาแหน่งหน้าที่ของพวกเขา ด้วยต้องการเก็บทรัพย์สินที่รบั ได้จากฝ่ ายข้าศึก หรือเช่นที่เกิดขึน้ กับฝ่ าย มุสลิมในสงครามฮุนยั น์ เมื่อมุสลิมได้รบั ชัยชนะในช่วงแรก แล้ว ไพร่พลส่วนหนึง่ เกิดความโลภในทรัพย์สิน ที่รบั ได้จากฝ่ ายข้าศึก ละทิ้งการขับไล่ศัตรู อันเป็ นเหตุให้ฝ่ายข้าศึกหวนกลับมาโจมตีฝ่ายมุสลิมใหม่อีกครัง้ จนทาให้ฝ่ายมุสลิมประสบกับความปราชัย หากว่าท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และ บรรดาผูศ้ รัทธา ผูส้ จั จริงไม่ยืนหยัดให้การคุม้ กันท่านแล้วไซร้ ความปราชัยในตอนนัน้ จะไม่พลิกกลับไปเป็ น ชัยชนะที่ชดั แจ้งได้เลย การดะอฺ วะฮฺ และผลของการดะอฺ วะฮฺ ก็เช่นเดียวกัน มัน จะถูกทาให้เสียหาย ได้ดว้ ยความโลภของนัก ดะอฺ วะฮฺ ในทรัพย์ และ ผลประโยชน์ทางโลก เช่น การสะสมเงินทอง อสังหาริมทรัพย์และที่ดิน เพราะสิ่ง เหล่านัน้ จะทาให้ผคู้ นเกิดความกังขาในความสัจจริงของนักดะอฺ วะฮฺ ว่า เขาจะมีความจริงใจหรือไม่ในสิ่งที่เขา เรียกร้องเชิญชวน หรือว่าเขาต้องการแสวงหาผลประโยชน์ กันแน่ ? จนอาจจะถึงขัน้ ที่เขาจะถูกกล่าวหาว่า การดะอฺ วะฮฺ ของเขามิได้เป็ นไปด้วยความบริสทุ ธิ์ใจเพื่อ อัลลอฮฺ หากแต่เป็ นไปเพื่อ สะสมทรัพย์สินชัว่ แล่น แห่งโลกนี้ โดยการแอบอ้างศาสนาและการ ฟื้ นฟูสงั คมบังหน้า ซึ่งการที่ผคู้ นมีความเชื่อเช่นนีเ้ องที่ทาให้พวก เขาไม่สนใจศาสนาของอัลลอฮฺ และมีความรูส้ ึกที่ไม่ดีตอ่ คนทางานเรียกร้องเชิญชวนผูค้ นสูอ่ ิสลามและฟื้ นฟู อิสลามด้วยความจริงใจและบริสทุ ธิ์ใจทุก ๆ คนด้วย การยืนหยัดของผูห้ ญิงที่ชื่อว่า นะสีบะฮฺ อุมมุ อิมาเราะฮฺ ในการยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ของนาง สามีของนาง และลูก ๆ ของนางกับท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และการต่อสูค้ มุ้ กัน ท่านในสถานการณ์ที่ฝ่ายมุสลิมเพลี่ยงพลา้ ในสงครามอุฮดุ นัน้ เป็ นหลักฐานสาคัญประการหนึง่ ที่ยืนยันถึง การมีสว่ นร่วมอย่างมากของสตรีในการต่อสูบ้ นหนทางของการดะอฺ วะฮฺ ซึ่งมันก็คือหลักฐานที่แสดงให้เห็น ถึงความจาเป็ นว่า สตรีจะต้องกลับมาสูก่ ารแบกรับภารกิจของการเรียกร้องเชิญชวนสูอ่ ลั ลอฮฺ ใหม่อีกครัง้ เพื่อที่จะได้เรียกร้องเชิญชวนเหล่าเยาวชนสตรี เหล่าภรรยา และเหล่ามารดามาสูห่ นทางของอัลลอฮฺ เพื่อที่ พวกนางจะได้ชว่ ยเลี้ยงดูและอบรมสัง่ สอนลูก ๆ ให้เติบโตขึน้ ด้วยความรักในอัลลอฮฺ รักรซูลของพระองค์ เป็ นผูย้ ึดมัน่ ในอิสลามและคาสอนของอิสลาม และเป็ นผูป้ ฏิบตั เิ พื่อให้ได้มาซึ่งความดีของสังคม ตราบใดที่สนามของการดะอฺ วะฮฺ ยงั ขาดสตรีมสุ ลิมะฮฺ ผเู้ ป็ นนักดะอฺ วะฮฺ หรือมีนกั ดะอฺ วะฮฺ สตรีที่มี จานวนไม่เพียงพอ ตราบนัน้ การดะอฺ วะฮฺ ก็จะยังไม่ประสบความสาเร็จที่เต็มเปี่ ยม – องค์กรพัฒนาและ องค์กรดะอฺ วะฮฺ ก็จะยังคงอยู่ในสภาพตาบอดข้างเดียวไปจนกว่าสตรีซึ่งเป็ นคนอีกครึ่งหนึง่ ของประชาชาติ อิสลามจะรับฟังการดะอฺ วะฮฺ ไปสูค่ วามดี – และหัวใจของพวกนางได้ตนื่ ขึน้ ด้วยความรักในความดี ก้าว ออกมาต่อสูเ้ พื่อศาสนาอิสลาม และยึดมัน่ ในสายเชือกอันมัน่ คง แข็งแกร่ง อย่างแท้จริง บาดแผลที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้รบั ในสงครามอุฮดุ เป็ นสิ่งที่เตือนนัก ดะอฺ วะฮฺ ทงั้ หลายให้ได้ตระหนักว่า เส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินจะหลีกหนีไม่พน้ จากอุปสรรค ซึ่งอาจจะเป็ น บาดเจ็บ บาดแผลบนร่างกาย การปิ ดกัน้ สิทธิเสรีภาพด้วยการจองจา การจับกุม หรือการสังหารการเอา ชีวิตด้วยการประหารชีวิต หรือการลอบสังหารไก้เป็ นได้ ดังที่อลั ลอฮฺ ได้ตรัสในอัล-กุรอานว่า 81
ความว่า : “อะลีฟ ลาม มีม มนุษย์คิดกระนัน้ หรือว่า พวกเขาจะถ ูก ปล่อยเพียงแต่พวกเขากล่าว ว่าเราได้ศรัทธาแล้ว โดยที่ พวกเขาจะไม่ถ ูกทดสอบ และโดยแน่นอน เราได้ทดสอบบรรดาก่อน หน้าพวกเขาแล้ว ดังนัน้ อัลลอฮฺ จะทรงจาแนกให้รแ้ ู จ้งถึงบรรดาผูส้ ตั ย์จริง และจะทรงจาแนกให้ รแ้ ู จ้งถึงบรรดาผูก้ ล่าวเท็จ” (อัล-อังกะบูต : 2,3) การกระทาของพวกมุชริกนู ในสงครามอุฮดุ ด้วยการหัน่ ศพของนักรบฝ่ ายมุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับฮัมซะฮฺ ลุงของท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม นัน้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ศัตรูของ อิสลามไม่ได้มีมนุษยธรรมอยู่ในจิตใจ เพราะการหัน่ ศพนัน้ ไม่ได้ทาให้ศพเจ็บปวด เหมือนกับแพะที่ถกู เชือด คอแล้ว จะไม่รสู้ ึกเจ็บปวดจากการถูกถลกหนัง อีก แต่การกระทาเช่นนัน้ ต่อศพมันแสดงถึงความอาฆาต พยาบาทอันรุนแรง ที่ดามืดอยู่ในจิตใจของพวกเขาเหล่านัน้ ที่ได้เปิ ดเผยตัวของมัน เองออกมาให้ทกุ คนที่มี ชีวิตจิตใจและความรูส้ ึกนึกคิดได้เห็น เช่นที่เราได้เห็นพวกมุชริกนู กระทากับศพของนักรบมุสลิมในสงครามอุฮดุ เราก็ได้เห็นพวกยิวกระ ทากับศพของนักรบของเราในสงครามปาเลสไตน์ ซึ่งทัง้ สองการกระทาแม้จะออกมาจากต่างกลุม่ ต่างเวลา และต่างสถานที่กนั แต่มนั ก็ตา่ งออกมาจากแหล่งเดียวกัน เพราะทัง้ สองกลุม่ ต่างไม่ศรัทธาในอัลลอฮฺ และ วันแห่งการฟื้ นคืนชีพ – มันคือความอาฆาตพยาบาทต่อบรรดาผูศ้ รัทธาที่แท้จริงในอัลลอฮฺ รซูลของ พระองค์และวันสุดท้าย ผูด้ ารงตนอย่างเที่ยงธรรมในชีวิตนี้ การที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม รับคาแนะนาของอัล-ฮิบาน บิน อัล-มุนซิร ให้เปลี่ยนสถานที่ตงั้ ทัพที่ท่านเองได้เลือกในสงครามบะดัรฺ และการที่ท่านรับการให้คาปรึกษาหารือของ เหล่าเศาะฮาบะฮฺ ในสงครามค็ อยบัรฺนนั้ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่ไกลลิบระหว่างท่าทีของท่านกับท่าที ของบรรดาผูน้ าเผด็จการทัง้ หลายในโลกปั จจุบนั ที่มกั จะครอบงาประชาชนด้วยความแข็งกร้าว และ ไม่ คานึงถึง ตามความต้องการและความพึงพอใจของ ผูอ้ ื่น โดยที่พวกผูน้ าเหล่านัน้ หลงคิดว่าพวกเขามี สติปัญญาที่หลักแหลม มีวิสยั ทัศน์ที่ยาวไกลกว่าคนอื่น ๆ ดูถกู และมองข้ามความต้องการของประชาชน ไม่เห็นความจาเป็ นของการปรึกษาหารือหรือคาแนะนาใด ๆ จากบรรดาปั ญญาชน นักวิชาการ หรือเหล่า นักคิดที่มีอยู่ ดังนัน้ หากว่าท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เป็ นผูท้ ี่อลั ลอฮฺ ได้ทรงโปรด ปรานให้เต็มเปี่ ยมไปด้วยคุณลักษณะและจริยธรรมอันประเสริฐ เพื่อแบกรับภารกิจแห่งสาส์นสุดท้ายอัน สมบูรณ์ที่สดุ แล้ว ยังจะต้องรับฟังความคิดเห็นของเหล่าเศาะฮาบะฮฺ ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องสงคราม และเรื่องสภาพของ ภูมิประเทศที่จะต้องรับรูใ้ น การทาสงครามโดยที่ท่านไม่เคยพูด เลยว่า “แท้จริงฉันเป็น รซ ูลของอัลลอฮฺ เพียงพอแล้วที่พวกท่านจะทาตามคาสัง่ ของฉัน ตามที่ฉนั สัง่ ใช้และห้าม ” ตรงกัน ข้ามท่านกลับยอมรับการให้คาปรึกษาหารือและความคิดเห็นของพวกเขาในส่วนที่ไม่ได้มีวะหฺ ยลู งมายังท่าน แล้วไซร้ ก็ยิ่งเป็ นสิ่งที่ยืนยันอย่างหนักแน่นชัดเจนว่า บรรดาผูม้ ีอานาจที่มีอยู่ในโลกปั จจุบนั ที่ไม่ได้ เป็ นผูท้ ี่ วิเศษไปกว่าคนส่วนใหญ่เท่าใดนัก ทัง้ ในด้านของความคิดเห็น ความรู้ หรือประสบการณ์ พวกเขาได้ ขึน้ มาเป็ นผูป้ กครอง ผูม้ ีอานาจได้ก็เพราะโอกาสเอื้อ อานวยให้เท่านัน้ กับ ผูม้ ีอานาจ และ ผูป้ กครองอีกส่วน หนึง่ ที่ ดอ้ ยการศึกษา ด้อยคุณธรรม จริยธรรม และ มีประสบการณ์ตา่ กว่าผูท้ ี่ถกู ปกครองจานวนมาก
82
จาเป็ นอย่างยิ่งที่พวกเขาจะต้องรับคาปรึกษาหารือจากผูท้ ี่มีความรู้ มีความคิด และประสบการณ์ ในกิจการ ต่าง ๆ เหตุการณ์ตา่ ง ๆ ทางประวัตศิ าสตร์ทงั้ ก่อนและหลัง ชี้ให้เราเห็น ว่าการหลงตัวลืมตนและ ความ หยิ่งยะโสของพวกเผด็จการ ส่ง ผลเสีย ต่อตัวของพวกเขา เองและต่อประชาชนของพวกเขา เป็ นสิ่งที่ นาพา ประชาชาติให้จมดิ่งลงสู่ ความตกตา่ จนยากที่จะทาให้ฟื้นและก้าวขึน้ มาใหม่อีก เว้นเสียแต่ว่าจะต้องใช้ เวลานานนับสิบ ๆ ปี หรือเป็ นร้อย ๆ ปี การที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม รับคาแนะนาของอัล-ฮิบาน อิบนุล-มุนซิร ในสงครามบะดัรฺและสงครามค็ อยบัรฺ นัน้ นับเป็ นแบบอย่างสาหรับผูป้ กครองที่มีความบริสทุ ธิ์ใจ ผูน้ าที่ ฉลาดปราดเปรื่อง และนักดะอฺ วะฮฺ ผสู้ จั จริงทุก ๆ คน ดังนัน้ เอกลักษณ์ที่เด่นชัดของอิสลามประการหนึง่ ในเรื่องการปกครองคือ “อัช-ชูรอ”หรือ การ ปรึกษาหารือ
“และกิจการของพวกเขาคือการปรึกษาหารือกันระหว่างพวกเขา” คุณลักษณะที่เด่น ที่ชดั เจนชัดประการหนึง่ ของผูป้ กครองมุสลิมที่ได้ถกู จารึกในหน้าประวัตศิ าสตร์ ก็คือ การปรึกษาหารือ ไม่ถือความคิดเห็นของตนเองเป็นใหญ่ รูจ้ กั แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผูท้ ี่มี ความเชี่ยวชาญเฉพาะในแต่ละเรื่องแต่ละด้านอย่างเหมาะสม ... ...
“และจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในกิจการ” (อาลิอิมรอน : 159) ...
“ดังนัน้ จงถามผูร้ ห้ ู ากสูเจ้าไม่ร”้ ู (อัล-นะหฺ ล ุ : 43 และอัล-อัมบิยาอ์ : 7) การนาทัพอยูใ่ นแถวหน้า ในทุก ๆ สมรภูมิของท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และการ กระโจน เข้าไปในสนามรบพร้อม ๆ กับบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ยกเว้น ในกรณี ที่ท่านถูกขอร้องจาก บรรดาเศาะฮาบะฮฺ ให้คอยบัญชาการอยู่ขา้ งหลัง ชี้ให้เห็นว่าตาแหน่งผูน้ าหรือแม่ทพั นัน้ เป็ นสิ่งที่ ควรคู่กบั ผูท้ ี่ กล้าหาญเด็ดเดี่ยวในการยืนหยัดเท่านัน้ ส่วนผูท้ ี่ขขี้ ลาดและอ่อนแอนัน้ ไม่คค่ ู วรอย่างยิ่งที่จะเป็ นผูน้ า ของ ประชาชน กองทัพและองค์กรอื่น ๆ ที่ทางานด้านพัฒนาและการ ดะอฺ วะฮฺ ความกล้าหาญของผูน้ า และนัก ดะอฺ วะฮฺ ในการกระทาและการงาน มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างขวัญและกาลังใจ ให้แก่ เหล่าทหาร และเหล่าผูช้ ว่ ยเหลือสนับสนุนเขา มัน เป็ นสิ่งที่สาคัญ มากกว่าการพูดปลุกระดมนับพันครัง้ มันเป็ นเรื่อง ปกติที่ไพร่พลมีความเข้มแข็ง พร้อม ๆ กับความเข้มแข็งของ แม่ทพั และผูน้ าของพวกเขา ดังนัน้ ถ้าหากว่า ผูน้ าเป็ นคนขีข้ ลาดในยามเผชิญหน้ากับข้าศึก หรือมีความอ่อนแอในภาวะที่เกิดวิกฤต ก็ย่อมส่งผลเสียอย่าง มากต่อภารกิจสาคัญที่ตอ้ งการทาให้บรรลุ บรรดาไพร่พลและเหล่าผูช้ ว่ ยเหลือสนับสนุนงานดะอฺ วะฮฺ จะต้องไม่ฝ่าฝื นคาสัง่ ของผูน้ าที่ฉลาด ปราดเปรื่อง ในเรื่องที่เขาได้ตงั้ ใจและตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว เพราะผูน้ าที่กระทาเช่นนัน้ ถือว่าเป็ นผูท้ ี่แบก รับภารกิจอันยิ่งใหญ่ ควรที่จะได้รบั การ ให้ความเชื่อมัน่ อย่างเต็มเปี่ ยม เพราะโดยปกติ ก่อนที่จะตัดสินใจ เช่นนัน้ ย่อมได้ผา่ นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน อย่างกว้างขวางแล้ว และเขาย่อมได้รบั ข้อเสนอต่าง ๆ เพื่อเป็ นทางเลือกและข้อมูลสาหรับการตัดสินใจเสร็จสิ้นแล้ว การตัดสินใจและเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ภายหลัง จากนัน้ เป็ นเรื่องที่ ตอ้ งได้รบั การเชื่อฟัง อย่างจริงจัง ดัง เรื่องที่ เกิดขึน้ กับท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะ 83
ลัยฮิ วะ ซัลลัม ในสนธิสญ ั ญาฮุดยั บียะฮฺ ที่ท่านยอมที่จะรับเงือ่ นไขของสนธิสญ ั ญาที่ดเู หมือนว่าฝ่ ายมุสลิม เป็ นเสียเปรียบ ท่านเห็นว่ามันจะนามาซึ่งผลประโยชน์ ต่องานดะอฺ วะฮฺ และสนธิสญ ั ญาฉบับนัน้ จะ ถือเป็ นชัย ชนะทางการเมืองของท่าน จานวนของบรรดาผูศ้ รัทธาก็จะเพิ่มขึน้ เรื่อย ๆ ดังปรากฏว่า หลังจากการทา สนธิสญ ั ญาฉบับนัน้ เพียงสองปี จานวนผูศ้ รัทธามีจานวนเพิ่มขึน้ มากกว่าจานวนผูท้ ี่เข้ารับอิสลามก่อนหน้า นัน้ ทัง้ ๆ ที่บรรดาเศาะฮาบะฮฺ รสู้ ึกลาบากใจที่จะยอมรับเงือ่ นไขบางข้อของสนธิสญ ั ญา จนทาให้มีบางคน แสดงมารยาทที่ไม่ เหมาะสมต่อท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เช่นเดียวกันกับเรื่อง ที่เกิดขึน้ กับอ บูบกั รในตอนต้นของเหตุการณ์ ปราบปรามพวก นอกรีต เพราะบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ทงั้ หมดต่างเห็นว่าไม่ ควรที่ทาสงครามปราบปรามพวกนอกรีต มี เพียงอบู บักรคนเดียวเท่านัน้ ที่เห็นว่าต้องออกไป และเขาก็ยืน หยัดเด็ดเดี่ยวตามนัน้ ทาให้คนอื่น ๆ ต้องปฏิบตั ติ ามในที่สดุ แล้วสงครามก็ได้เกิดขึน้ ซึ่งก็เป็ นที่ปรากฏว่า สิ่งที่อบูบกั รตัดสินใจนัน้ ถูกต้อง นามาซึ่งเสถียรภาพของอิสลามบนคาบสมุทรอาหรับ ทาให้บรรดาผู้ ศรัทธาสามารถก้าวออกไปบุกเบิกดินแดนต่าง ๆ ทัว่ โลกผ่านการเรียกร้องเชิญชวนสูอ่ ลั -อิสลามในเวลาต่อ ๆ มา การที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ขอให้นอุ ยั ม์ บิน มัสอูด๊ ช่วยวางแผนให้ฝ่าย ข้าศึกเกิดความแตกแยก และละทิ้งกองทัพในสงครามอะหฺ ซาบ นัน้ เป็ นหลักฐาน สาคัญ ที่แสดงว่า การใช้กล ลวงในการทาสงครามกับข้าศึกนัน้ เป็ นที่อนุมตั ิ หากว่ากล ลวงนัน้ นาไปสูช่ ยั ชนะ และว่าทุก ๆ วิธีที่นาไปสู่ ชัยชนะ และการตัดกาลังของฝ่ ายข้าศึกในสงคราม เช่นการสังหารนัน้ เป็ นที่อนุญาตในอิสลาม ยกเว้นการ ทรยศและหักหลังเท่านัน้ สิ่งนีถ้ ือเป็ นกลยุทธ์ทางการเมืองและการทหารของท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ไม่ใช่สิ่งที่สวนทางกับหลักจริยธรรมแห่งอิสลาม เพราะผลประโยชน์ ที่ได้รบั จากการลด จานวนการสูญเสียในสงครามถือว่าเป็ นผลประโยชน์ดา้ นมนุษยธรรม ในขณะที่ผลประโยชน์ที่ได้รบั จากความปราชัยของฝ่ า ยความชัว่ การปฏิเสธและการก่อความเสื่อม ทรามนัน้ ก็ถือเป็ นผลประโยชน์ทางมนุษยธรรมและจริยธรรม ดังนัน้ การหันไปใช้ กลลวงในสมรภูมิจึง เป็ นสิ่งที่สอดคล้องกับ หลัก จริยธรรมแห่งความเป็ นมนุษย์ ที่ เรามักจะเห็นว่ามีความชัว่ มากมายเกิดขึน้ ใน สงครามทัง้ หลาย แต่หาก มีเหตุที่จาเป็ น ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยง สงคราม ได้ ก็ จาเป็ น ต้องทาให้มนั ยุตลิ ง โดยเร็ว ไม่ดว้ ยวิธีใดก็วิธีหนึง่ ด้วยหลัก นิตบิ ญ ั ญัตอิ ิสลาม ที่ว่า “ ความจาเป็นจะถ ูกใช้ ในกรอบ ของความจาเป็นนัน้ เท่านัน้ ” )" ("الضررة تقدر يقدرهاอัลลอฮฺ มิได้ทรงกาหนดการทาสงครามเว้นแต่ เพื่อปกป้องศาสนา ประชาชาติ หรือแผ่นดินเท่านัน้ การใช้ กลลวงกับฝ่ ายปฏิปักษ์ดว้ ยสิ่งที่จะทาให้พวก เขาปราชัย จะช่วยให้ฝ่ายสัจธรรมมีชยั ชนะเหนือฝ่ ายมดเท็จภายในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยเหตุนจี้ ึงมีวจนะ จากท่าน รซูล ุ ลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่ท่านได้พดู กับอุรฺวะฮฺ อิบนุ มัสอูด๊ ในสงคราม อะหฺ ซาบว่า : " "احلرب ُخدْعةการสงครามคือ เรือ่ งของการใช้ กลลวง ซึ่งนีก่ ็คือหลักที่ถกู ยอมรับ ตาม กฎหมายทัง้ หลาย ในการที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม รับคาข้อเสนอแนะจากซัลมานอัลฟาริซีย์ ให้ขดุ สนามเพลาะซึ่งเป็ นเรื่องที่ชาวอาหรับไม่เคยมีความรูม้ าก่อนนัน้ เป็ นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า อิสลามไม่ได้ ใจแคบที่จะรับเอาประสบการณ์ที่เป็ นประโยชน์ตอ่ ประชาชาติและสังคมจากประชาชาติอื่น ๆ เป็ นที่ชดั เจนว่า การขุดสนามเพ ลาะครัง้ นัน้ มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงในการป้องกันนครมดีนะฮฺ ให้พน้ จากภัยรุกรานของ ข้าศึกกลุม่ ต่าง ๆ ที่รวมตัวกันในสงคราม อัล-อะหฺ ซาบ การ ที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม รับคาแนะนาในครัง้ นัน้ แสดงให้เห็นถึงความมีใจกว้าง และความพร้อมของท่านที่จะรับสิ่งดี ๆ จากประชาชาติอื่น ๆ ซึ่งท่าน รซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมก็ไม่ ได้แสดงท่าทีเช่นนี้ ใน ครัง้ นีเ้ พียงครัง้ เดียวแต่ยงั มีครัง้ อื่น ๆ ด้วย เช่นเมื่อคราวที่ท่านต้องการที่จะส่งสาส์นไปยังบรรดากษัตริย์ และผูป้ กครองเมืองต่าง ๆ นัน้ ได้มีคนบอกท่านว่า ตามธรรมเนียมของกษัตริยท์ งั้ หลายนัน้ พวกเขาจะไม่ 84
รับสาส์นที่ถกู ส่งไปให้ นอกจากว่าจะมีตราประทับของผูส้ ง่ ท่านจึงได้สงั ่ ให้แกะสลักตราประทับของท่าน ทันที โดยมีขอ้ ความปรากฏบนตราประทับนัน้ ว่า : “ حممد رسىل اهللมุฮมั มัดผูเ้ ป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ ” แล้วท่านก็ได้ใช้ ตราประทับ นี้บนสาส์นที่ออกจากท่านทุก ๆ ครัง้ นับแต่บดั นัน้ เป็ นต้นมา และเมื่อครัง้ ที่มี ผูแ้ ทนจากชาวอาหรับกลุม่ ต่าง ๆ เดินทาง มาเข้าพบท่านเพื่อประ กาศตนเข้ารับอิสลามหลังจากปี ยึดครอง นครมักกะฮฺ แล้วนัน้ มีผแู้ จ้งแก่ท่านว่า : ตามธรรมเนียมของเหล่ากษัตริยแ์ ละผูป้ กครองเมือง เวลาพวกเขา ให้การต้อนรับผูแ้ ทนที่เดินทางมาขอเข้าพบนัน้ พวกเขาจะสวมใส่เสื้อผ้าที่สวยงามและมีคา่ สูง ท่านจึงสัง่ ให้ จัดซื้อเสื้อผ้าพิเศษสาหรับการต้อนรับแขกให้กบั ท่าน ว่ากันว่าชุดที่ได้มีการจัดซื้อให้ท่านนัน้ มีราคาถึง 400 ดิรฺฮมั และบ้างว่ามีราคาเท่ากับอูฐ 450 ตัว ในเวลานัน้ ซึ่งท่านก็ได้สวมใส่ชดุ ดังกล่าว ใน โอกาสของการ ให้การต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองดังกล่าว นัน่ แหละคือสิ่งที่ ท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ผูน้ าศาสนาสุดท้าย ของอัลลอฮฺ ได้ ปฏิบตั ิ ศาสนาที่จะยังคงอยู่ ต่อไป ตลอดกาล ด้วยเหตุนที้ ่านจึงเป็ นผูท้ ี่ให้ความสาคัญอย่างยิ่งกับ ผลประโยชน์ของเหล่าผูป้ ฏิบตั ติ ามท่านในทุกยุคทุกสมัย และในทุก ๆ สถานการณ์ อะไรก็ตามที่เป็ นสิ่งที่ดี แม้ว่าสิ่งนัน้ จะเป็ นสิ่งที่มาจากต่างชาติ ท่านยอมรับและใช้มนั ให้เกิดประโยชน์ตอ่ ประชาชาติ ของท่าน ตราบใด ที่สิ่งนัน้ ไม่ขดั กับกฎระเบียบ และหลักทัว่ ไปของชะรีอะฮฺ ท่าทีที่ปิดกัน้ หรือปิ ด หูปิดตาไม่ยอมรับสิ่งที่เป็ น ประโยชน์ ถือว่าเป็ นลักษณะตายด้านและหยุดนิง่ ที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติอนั บริสทุ ธิ์ของอิสลาม ดัง ที่อลั ลอฮฺ ได้ตรัสไว้ในอัล-กุรอานว่า : .... ...
“ดังนัน้ จงแจ้งข่าวดีแก่ปวงบ่า วของฉัน บรรดาผูท้ ี่ได้....รับฟังถ้อยคา และพวกเขาปฏิบตั ิ ตามที่ดียงิ่ ของมัน” ท่าทีที่ตายด้าน ปิ ดตัวเอง ไม่ใช่ท่าทีของรซูลของพระองค์ที่เราได้เห็นตัวอย่างที่ท่านรับเอา สิ่งดี ๆ จากชาติอื่น ๆ และท่านก็ได้ยืนยันเช่นกันว่า : ""احلكمة ضالة املؤمن يتلمسها أىن وجدنا “วิทยปัญญานัน้ คือสิทธิผศ้ ู รัทธาที่สญ ู หายไป เขาจะเอามันคืนไม่ว่าเขาจะพบมัน ณ ที่ใดก็ ตาม” (ดูหนังสือ " "كشف اخلفاءโดย العجلىىنเกี่ยวกับสายรายงานของหะดีษนี้) ในวันที่บรรดามุสลิมในยุคหลัง ๆ –โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสมัยการตืน่ ตัวของยุโรป - ได้พา กันเพิกเฉยละเลยต่อหลักการอิสลามที่สาคัญข้อนี้ พวกเขาลุกขึน้ ต่อต้านความก้าวหน้าทุก ๆ อย่างที่มาจาก ชาติอื่น ๆ ทัง้ ๆ ที่หลาย ๆ อย่างมีความจาเป็ นมากสาหรับพวกเขา จึงทาให้ประชาชาติอิสลามต้องประสบ กับความล่มจม และล้าหลังในขณะที่ชาติอื่น ๆ มีความก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยัง้ ...
“และบัน้ ปลายของกิจการ ทัง้ หลายเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ” จากคาสัง่ เสียของท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม แก่ไพร่พลของอิสลามใน สงครามมุอต์ ะฮฺ นนั้ เป็ นภาพที่ชดั เจนถึงความมีเมตตาธรรม และมนุษยธรรมในคาสอนของอิสลามว่าด้วย เรื่องสงคราม อิสลามได้สอนว่ามิให้ฆา่ คนที่ไม่ ได้ตอ่ สูแ้ ละไม่ได้ทาการรบ ไม่อนุญาตให้ทาความเสียหายใด ๆ บนเส้นทางเดิน เว้นเสียแต่ว่ามีความจาเป็ นจริง ๆ เท่านัน้ 85
หลักการดังกล่าว ได้ถกู ยึดถือปฏิบตั ติ ามต่อกันมาโดยเหล่าสาวกและประชาคมมุสลิมใน ยุคหลัง ๆ นานหลายยุคหลายสมัย ทาให้การทาสงครามของพวกเขาเป็ นการทาสงครามที่เปี่ ยมล้นด้วยเมตตาธรรม มากที่สดุ เท่าที่ประวัตศิ าสตร์ได้จารึก พวกเขาเป็ นไพร่พลที่มีจริยธรรมอันดีงาม มากด้วยเมตตาธรรมต่อ ผูอ้ ื่น ประวัตศิ าสตร์ได้จารึกเกี่ยวกับมุสลิมในเรื่องนีบ้ นแผ่นกระดาษสีขาวบริสทุ ธิ์ ในขณะที่ได้จารึก เกี่ยวกับชนชาติ อื่นบนแผ่นกระดาษสีดา และยังคง ถูกบันทึก ต่อมาเช่นนัน้ จวบจนปั จจุบนั มีใครบ้างไหมใน หมูพ่ วกเราที่ได้รถู้ ึงความโหดร้ายป่ าเถื่อนของพวกครูเสดในการทาสงครามเข้ายึดครองบัยตุล -มักดิส และเกี่ยวกับความมีมนุษยธรรมที่เศาะลาฮุดดีนได้ปฏิบตั ติ อ่ พวกฝรัง่ เมื่อคราวที่เขาได้ขบั ไล่พวก นัน้ ออกไป ใครบ้างในหมูพ่ วกเราที่ได้รบั ทราบถึงความโหดร้ายป่ าเถื่อนของพวกครูเสดที่เข้ายึดครองเมืองหลวงบาง เมืองของโลกมุสลิมในเวลานัน้ เช่นที่ทริโปลี อัล-มะอัรเราะฮฺ และที่อื่น ๆ เกี่ยวกับ ความมีเมตตาของ เหล่าไพร่พลมุสลิมเมื่อคราวที่พวกเขาได้ขบั ไล่ขา้ ศึกผูร้ กุ รานและผูย้ ึดครองออกไปจากแผ่นดินของพวกเขา ปั จจุบนั เรามีชีวิตอยู่ในยุคของความกลับกลอกของยุโรปที่แอบอ้างและโฆษณาชวนเชื่อในความมี อารยธรรม เมตตาธรรม มนุษยธรรม และความรักที่หยิบยื่นความดีให้กบั ประชาชาติทงั้ หลาย ในขณะที่พวกเขาทาลาย ประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศมุสลิม หลัง่ เลือดพลเรือนทัง้ คนชรา ผูห้ ญิง และเด็ก ๆ อย่างโหดร้าย ทารุณ จนยากที่จะบรรยาย ช่างน่าเศร้าใจ ที่สดุ ที่เราทัง้ หลายมีชีวิต ในยุคที่ยิวได้ตงั้ รัฐขึน้ บนแผ่นดิน ปาเลสไตน์ โลกได้รถู้ ึงความโหดร้ายป่ าเถื่อนของพวกยิวที่บกุ โจมตีดีรฺ-ยาซีน เกาะบียะฮฺ ไฮฟา ยาฟา อะกา เศาะฟัดและที่เมืองใหญ่และเล็กอื่น ๆ กระนัน้ พวกเขาก็ยงั มีหน้ามาแอบอ้างถึงมนุษยธรรมอย่างไร้ ยางอาย ในขณะที่พวกเขาปฏิบตั ใิ นสิ่งที่ตรงกันข้าม ตรงกันข้ามกับ เรา ฝ่ ายมุสลิม ผูป้ ฏิบตั ิ อย่างมี มนุษยธรรม แต่เรามิได้ปริปากพูด ทัง้ นีเ้ พราะว่าเราเป็ นประชาชาติที่มีสจั ธรรมประจาใจ สัจธรรมอันเป็ น หลักการที่เป็ นจริยธรรมอันงดงาม ทัง้ ในยามสงครามและยามสงบ เรานามันออกมาปฏิบตั ิ ด้วยความเต็ม ใจและด้วยความรูส้ ึกสงบสุข ในขณะที่พวกไม่มีหลักการเหล่านีอ้ ยู่ในจิตใจ จะมีก็เพียงแต่เพียงสิ่งแอบอ้างที่ กลับกลอกและไร้ตวั ตน เราเป็ น ปวงประชาชาติ มสุ ลิม ศรัทธาในอัลลอฮฺ ผทู้ รงเข้มแข็งผูท้ รงเมตตา ความ เข้มแข็ง ของพวกเราจึง เป็ นความเมตตาเท่านัน้ ในขณะที่ พวกพยายามที่จะบอกว่าอัลลอฮฺ ในความเชื่อ ของ พวกเรามีคณ ุ ลักษณะของความเข้มแข็งและการลงโทษที่รนุ แรง และคิดว่าพวกเขาเท่านัน้ ที่ บอกว่าพระองค์ มีคณ ุ ลักษณะแห่งความรักและความเมตตา ... แต่ในความเป็ นจริง ลองดูซิว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขากับ ประชาชาติอื่น ๆ เป็ นอย่างไร และดูซิว่า สงครามที่พวกเขาทากับมุสลิม และกับศัตรูของพวกเข า ที่ อยู่บน แนวทางเดียวกับพวกเขาแท้ ๆ ว่าอยู่ภายใต้ร่มเงาของความรัก และความเมตตานีห้ รือไม่? ส่วนเรา มุสลิม เป็ นประชาชาติที่ไม่ทาสงครามเว้นแต่เพื่อนามาซึ่งความดีแก่มนุษยชาติ เราเป็ นผูท้ ี่มีคณ ุ ธรรมมากที่สดุ ต่อ มนุษย์ ในขณะที่ พวกเขาไม่ได้ทาสงครามนอกจากเพื่อการโจมตี การปล้น การยึดครอง และขยายอาณา นิคม พวกเขาจึงเป็ นศัตรูที่รา้ ยที่สดุ ของมนุษยชาติ ทัง้ ๆ ที่ความจริงเป็ นเช่นนัน้ สาหรับเรา ที่ทาสงสงครามกับพวกเขาในปั จจุบนั นี้ ก็เป็ นไปเพียง เพื่อ ปกป้องแผ่นดิน สิทธิ และเกียรติยศเท่านัน้ มัน ไม่มีความหมายอะไรที่เราจะร้องเพลงบอกถึงหลักการต่าง ๆ ของเรากับหมูช่ นที่ไม่เข้าใจหลักแห่งความเมตตา เกียรติยศ และมนุษยธรรม ... ทว่าหน้าที่พวกเราคือยืน หยัดต่อสูก้ บั พวกเขาต่อไป โดยที่เราจะต้องยึดมัน่ ในหลักการที่มีมา จากท่านรซูลและชะรีอะฮฺ ของเรา ไปจนกว่าอัลลอฮฺ จะทรงชี้ขาดระหว่างพวกเรากับพวกเขา เพราะพระองค์ทรงเป็ นผูท้ ี่ตดั สินที่ดีที่สดุ การไม่มีความสมดุลกันระหว่างกาลังใจ ความศรัทธา และความบริสทุ ธิ์ใจในเหล่าไพร่พล ยิ่งถ้า หากในหมูไ่ พร่พลยังมีพวกที่ขาดกาลังใจ คนฉวยโอกาสเพื่อแสวงหาปั จจัยทางโลก และมีคนที่ทาอะไรเล่น ๆ ไม่มีความจริงจัง ย่อมไม่สามารถ ทาให้ไพร่พล บรรลุถึงชัยชนะในการเผชิญหน้ากับศัตรูได้ ดังเช่นที่ได้ เกิดขึน้ ในสงครามอุฮดุ และสงครามฮุนยั น์ เช่นเดียวกับการเรียกร้องเชิญชวน – ดะอฺ วะฮฺ – ที่ไม่อาจที่อาศัย เพียง จานวนที่มากมายของ ผูค้ นที่ปรบมือสนับสนุน หากแต่ จะต้องอาศัยจานวนของผูท้ ี่ศรัทธาใน งาน เรียกร้องเชิญชวน และผูท้ ี่ยอมพลีทรัพย์สินและชีวิตบนหนทางนี้ 86
บทเรียนอีกประการหนึง่ ที่เราได้รบั จากชีวประวัตขิ องท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เกี่ยวกับเรื่องสงครามก็คือ ท่าทีของท่านต่อพวกยิว และท่าทีของพวกยิวต่อท่านและอิสลาม ครัง้ แรกที่ท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ไปตัง้ มัน่ ที่นครมะดีนะฮฺ นนั้ ท่านปรารถนาที่ สถาปนาความสัมพันธ์ที่ดีกบั พวกเขา อยู่ร่วมกัน โดยสันติ ให้พวกเขามีความมัน่ ใจในความสงบปลอดภัย ทัง้ ในเรื่องศาสนาและทรัพย์สิน โดยท่านได้ทาสัญญากับพวกเขาเป็ นลายลักษณ์อกั ษร แต่เหตุการณ์กลับ ไม่ได้เป็ นไปตามความคาดหวัง เพราะ พวกเขาเป็ นพวกที่ชอบบิดพลิ้ว สัญญา เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน นัก พวกเขาก็คิดวางแผนการชัว่ เพื่อสังหารท่าน จนได้กลายมาเป็ นสาเหตุของสงคราม “บนี อัล-นะฏีร ” ตามด้วยการละเมิดสัญญาที่ได้ทาไว้กบั ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่ถือ ว่าเป็ นท่าที่ที่เลวร้าย ที่สดุ นัน่ คือ ในสงครามอัล-อะหฺ ซาบ ซึ่งเป็ นสาเหตุของสงคราม “บนี ก ุร็อยเซาะฮฺ ” ยิ่งไปกว่า นัน้ พวก เขายัง ได้สะสมกาลังคนและอาวุธยุทโ ธปกรณ์ พร้อมทัง้ เตรียมแผนการชัว่ เพื่อโจมตีเมืองมดีนะฮฺ และ บรรดาผูศ้ รัทธาอันเป็ นสาเหตุที่นาไปสูส่ งคราม “ค็อยบัร” ที่ได้กล่าวมา ถือเป็ นเหตุผลบางส่วนที่ทาให้ฝ่ายมุสลิมมาถึงข้อสรุปว่า การทาดี และการปฏิบตั ดิ ีกบั พวกยิวไม่คอ่ ยจะมีประโยชน์ พวกเขาไม่รกั ษาสัญญา และไว้วางใจไม่ได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ ได้โอกาสพวก เขาจะรีบฉกฉวยเอาโอกาสนัน้ เพื่อตัวเองทันที ในเมื่อเป็ นเช่นนีแ้ ล้ว เราจะถือว่าสิ่งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้กระทากับพวกเขา ยังจะเป็ นความผิดอีกกระนัน้ หรือ? หรือว่าจะให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะ ซัลลัม ยอมอดทน อดกลัน้ ต่อแผนการชัว่ ๆ การทรยศหักหลัง และการละเมิดสัญญาทุก ๆ ครัง้ ของพวกเขา ต่อไป ซึ่งท่านและเหล่าสาวกของท่าน จะต้องมีชีวิตอยู่ในบรรยากาศของความวิตกกังวล หวาดระแวง ระวังตัว และรอคอยความเสียหายและแผนการ ร้ายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึน้ จากนา้ มือของพวกเขา กระนัน้ หรือ? ด้วยท่าทีที่เด็ดขาดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ต่อ พวกเขา ทาให้ท่านสามารถ ให้ หลัก ประกันอาณาเขตของรัฐใหม่ที่ท่านได้ตงั้ ขึน้ ได้ สามารถเผยแผ่อิสลามออกไปทัว่ คาบสมุทรอาหรับ แล้ว แผ่กระจายออกไปทัว่ ทุกมุมโลก ในเวลาต่อ ๆ มา ความจริงแล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ไม่ได้แสดงท่าทีเช่นนัน้ กับหมูช่ นอื่นนอกจากกับพวกยิว นัน่ แหละคือวิถีของพวกยิวในประวัตศิ าสตร์ และยุค หลังจากนัน้ แล้ว ทัง้ หมดไม่ใช่แผนการชัว่ การ ทรยศคดโกง และการก่อความเสียหาดอกหรือ? และแล้วมันก็ได้กลายมาเป็ นวิถีของพวกเขาในยุคของเรา ปั จจุบนั ด้วย หรือว่ามีไม่จริงเช่นนัน้ ? ก่อนสงครามปาเลสไตน์ และการตัง้ ประเทศอิสราเอลขึน้ บนแผ่นดินปาเลสไตน์ มีคนที่ถกู หลอกด้วย คาพูดของพวกเขา ทาการเรียกร้องเชิญชวนสู่ การร่วมมือกับพวกเขา ยิ่งไปกว่านัน้ เสียงเรียกร้องเชิญ ชวนที่ให้พวกเราร่วมมือกับพวกเขานัน้ ออกมาจากชาติใหญ่ ๆ หรือชาติมหาอานาจทัง้ หลาย ผลที่ตามมา ก็คือ สิ่งที่ได้ประจักษ์บนแผ่นดินปาเลสไตน์ในเวลานี้ ซึ่ง ปั ญหาปาเลสไตน์ก็ยงั ไม่ได้รบั การแก้ไขมาจนถึง ปั จจุบนั นี้ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีทางที่เราจะรอดพ้นจากความเลวร้ายของพวกเขาได้ นอกจากท่าทีที่เด็ดขาดเช่น ความเด็ดขาดของท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่ได้ปฏิบตั กิ บั พวกเข า เพื่อความสงบสุข ของประเทศของเราและเพื่อที่เราจะได้ท่มุ เ ทให้กบั บทบาทอื่น ๆ ของเราต่อไปในการนาพาสาส์นอิสลามและ สันติภาพมาสูช่ าวโลกทัง้ ปวง นัน่ แหละ คือหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะต้องได้รบั การปฏิบตั ดิ ว้ ยความจริงจัง และด้วยความ ศรัทธามัน่ เพื่อชนรุ่นใหม่ตอ่ ไป เผื่อว่าพวกเขาจะสามารถทาในสิ่งที่ชนรุ่นเราที่ตกตา่ ไม่สามารถทาได้ ในสงครามมุอต์ ะฮฺ ซึ่งเป็ นการเผชิญหน้ากันครัง้ แรกระหว่างฝ่ ายมุสลิมกับพวกโรมัน(ตะวันออก)
87
โดยที่ ถา้ หากว่าพวกอาหรับฆ็อซซาน ไม่ได้ฆา่ ทูตของท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่ถกู ส่งไปยังอะมีรของบัศเราะฮฺ ก็คงจะไม่เกิดการสูร้ บครัง้ นัน้ ขึน้ แต่การฆ่าทูตของท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่ท่านได้สง่ ไปยังผูน้ าแห่งบัศเราะฮฺ นนั้ ถือได้ว่าเป็ นการแสดงการเป็ นศัตรูที่ เป็ นการละเมิด ต่อกฎหมายระหว่างประเทศในเวลานัน้ ทุก ๆ หมูช่ น ต่างก็ไม่เห็นด้วย เป็ นการแสดงให้เห็นถึงการไม่เป็ น เพื่อนบ้านที่ดี และยังแสดงถึงมารยาทและการกระทาที่เลวทรามของพวกบริวาร ของอณาจักรโรมันต่อฝ่ าย มุสลิม เราจึงได้เห็น ว่าท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้สง่ กองทัพมุ อต์ ะฮฺ ไปเพื่อเตือน สาทับพวกเขาและ เหล่า ผูน้ าของพวกเขาด้วย กองกาลัง ที่แสดงให้เห็นถึง ความพร้อมของรัฐใหม่ในการที่จะ ปกป้องตนเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่กล้ารุกราน แต่เมื่อฝ่ ายมุสลิมไปถึงมุ อ์ตะฮฺ พวกเขาได้ เผชิญหน้ากับ ไพร่พลที่มากมายของ ฝ่ ายโรมันทัง้ พวกโรมันเอง และพวกอาหรับคริสเตียนที่อยู่ใต้การปกครองของโรมัน โดยนักประวัตศิ าสตร์ได้คาดการณ์เกี่ยวกับจานวนทหารของฝ่ ายโรมันตอนนัน้ ว่ามีประมาณ 200,000 คน โดยมีนอ้ งชายของกษัตริยเ์ ฮอร์เกิ้ลเป็ นแม่ทพั ตัง้ ทัพอยู่ที่ “มะอ๊าบ” ซึ่งปั จจุบนั ตัง้ อยู่ใกล้กบั กรุงอัม มาน เมืองหลวงของประเทศจอร์แดน ซึ่งการคาดการณ์ดงั กล่าว เป็ นสิ่งที่ยืนยันถึงการคาดการณ์ของท่าน รซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่ว่าพวกเขามุง่ ที่จะโจมตีรฐั ใหม่ที่พึ่งก่อตัง้ ขึน้ และ ประสงค์จะขจัดให้ รัฐนีห้ มดไป ด้วยหวัน่ กลัวว่า จะเกิดรัฐอาหรับรัฐใหม่ขนึ้ ท่ามกลางรัฐอาหรับ (ที่เป็ นเมืองขึน้ ของพวกเขา) อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว อัน อาจจะนาไปสูก่ ารสิ้นสุดอานาจการปกครองแบบจักรวรรดินยิ มของพวกเขาต่อรัฐ อาหรับต่าง ๆ ในแถบนัน้ ซึ่งรวมถึงเมืองฮิญาซด้วย นัน่ แหละที่ การสูร้ บกันระหว่างฝ่ ายมุสลิมกับ พวก โรมันได้เริ่มขึน้ สงครามตะบูก หรือที่เรียกอีกชื่อหนึง่ ว่า “อัล-อ ุสเราะฮฺ ” มีหลักฐานที่ชดั เจนมากมายที่พิสจู น์ให้ เห็นว่า เมื่อ การศรัทธาที่แท้จริง ได้สถิตอยู่ในจิตใจของบรรดาผูศ้ รัทธา แล้ว สามารถที่จะปลุกขวัญและ กาลังใจให้พวกเขากระโจนออกไปสูส่ นามรบได้ โดยไม่ลงั เล ทาให้มือของพวกเขา ไม่รสู้ ึกยากลาบากที่ จะใช้ จ่ายทรัพย์สิน อีกทัง้ พร้อมที่จะแบกรับความทุกข์ ยากลาบากบนเส้นทางของการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็ นความ ร้อน ความเจ็บปวด หรือ ความเหน็ดเหนือ่ ยแสนสาหัสบนเส้นทางของอัลลอฮฺ เส้นทางของการแสวงหา ความพึงพอพระทัยของพระองค์ ดังนัน้ เมื่อเกิดกรณีที่ ผศู้ รัทธาสามคนที่สจั จริงได้แสดงพฤติกรรมประวิง เวลา ในการร่วมออกสงครามครัง้ นีโ้ ดยไม่มีเหตุจาเป็ นอันควร ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงได้สงั ่ ให้ทกุ คนลงโทษพวกเขาด้วยการตัดความสัมพันธ์กบั พวกเขา ซึ่งทุก ๆ คนได้ปฏิบตั ติ าม คาสัง่ ของท่าน ไม่เพียงแต่มสุ ลิมส่วนใหญ่เท่านัน้ ที่ปฏิบตั ติ าม แม้กระทัง่ ภรรยาและบิดามารดาของพวกเขา ก็ปฏิบตั ติ าม คาสัง่ ของท่าน เช่นกัน โดยที่ภรรยาและบิดามารดาของพวกเขาไม่ยอมพูดจากับพวกเขา เหตุการณ์นไี้ ด้ดาเนินไปจนทาให้พวกเขาเกิดความสานึกผิด จนบางคนถึงกับ ผูกตัวเองไว้กบั เสาของมัสญิด และบางคน ได้ขงั ตัวเองไว้ในบ้าน จน กระทัง่ ในที่สดุ อัลลอฮฺ ได้ทรงประทานโองการลงมาแจ้งให้ทราบว่า พระองค์ได้ทรงรับการสานึกและสารภาพผิดของพวกเขาทัง้ สามคน ภายหลังจากที่บรรดามุสลิมได้สอน บทเรียนที่เจ็บปวดให้กบั ผูท้ ี่หน่วงเหนีย่ วและประวิงเวลาที่จะประกอบภารกิจ สาคัญที่จาเป็ น โดยไม่มีเหตุ จาเป็ นอันควร แต่เพียงเพื่อหลบหลีกจากความเหน็ดเหนือ่ ยและหาที่ร่มกาบังตนจากแสงแดดและความร้อน เท่านัน้ การเปิ ดนครมักกะฮฺ ได้ฝากบทเรียนและข้อคิดไว้มากมายจนยากที่จะอธิบายได้ในพื้นที่อนั จากัด ของหนังสือเล่มนี้ แต่ ที่สาคัญยิ่ง เห็นจะ ได้แก่ บุคลิกภาพ และจริยธรรม อันประเสริฐ ของท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ผูท้ ี่อยู่ในฐานะผู้ นาประเทศและ ผูน้ าการ เผยแผ่อิสลามที่ไม่เคยเก็บความ เคียดแค้น ความอาฆาตพยาบาท และความเกลียดชังต่อบรรดาผูท้ ี่ เคยต่อต้านและเป็ นศัตรูกบั ท่าน มาเป็ น เวลายาวนานไม่นอ้ ยไปกว่า 21 ปี ตลอดระยะเวลาดังกล่าว พวกมุชริกีนไม่เคยหยุดยัง้ ความพยายาม ใน การต่อต้าน การมุง่ สังหารท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม บรรดาผูป้ ฏิบตั ติ ามท่าน และบรรดาผูข้ บวนการ การดะอฺ วะฮฺ ของท่านทุกวิถีทาง แต่ ภายหลังจากที่ฝ่ายมุสลิมได้รบั ชัยชนะ และ 88
สามารถเข้ายึดครองเมืองมักกะฮฺ ซึ่งเป็ นศูนย์กลางของลัทธิบชู าเจว็ดในขณะนัน้ ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอ ฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม กลับไม่ได้ทาอะไรนอกเหนือไป จากการให้อภัยแก่พวกเขา ปล่อยให้พวกเขามีอิสรภาพ ซึ่ง ไม่เคยมีใครในประวัตศิ าสตร์ ที่เราได้ร ู้ ปฏิบตั เิ ช่นนี้ มาก่อน สิ่งนีไ้ ด้รบั การปฏิบตั โิ ดยท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ผูเ้ ป็ นศาสนทูตของอัลลอฮฺ ผูม้ ีเกียรติและ มีจิตโอบอ้อมอารียิ่ง ผูท้ ี่ ได้ทา หน้าที่ในการประกาศอิสลาม (ดะอฺ วะฮฺ ) โดยไม่ได้ หวังใน อานาจและอณาจักรการปกครอง อัลลอฮฺ ทรง ประสงค์ให้ท่านเป็ นเพียงผูน้ าทาง ผูเ้ ปิ ดหัวใจและสติปัญญาของมนุษย์ ด้วยเหตุนเี้ ราจึงเห็นได้ว่าท่านได้เดิน ทางเข้าสูน่ ครมักกะฮฺ ดว้ ยจิตใจที่มีสมาธิสงบนิง่ สานึกและขอบคุณในความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ไม่แสดง ออกมาซึ่งความหยิ่งยะโสเหมือนกับผูย้ ึดครองคนอื่น ๆ การปฏิบตั ขิ องท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ต่อชาวมักกะฮฺ ในครัง้ นัน้ ยังแฝงไป ด้วย วิทยปั ญญาอื่น ๆ อีกหลายประการ โดยที่อลั ลอฮฺ ทรงรู้ ดี ว่าชาวอาหรับจะ เป็ นผู้ ที่ นาสาส์นของ พระองค์ ออกไปสูช่ าวโลก พระองค์จึงทรงให้พวกเขา รอดชีวิต เพราะพวกเขาเป็ นผูน้ าของชาวอาหรับ ทัง้ ผอง เพื่อ ให้พวกเขา มีโอกาสเข้ารับ ศาสนาของพระองค์ และก้าวออกไป เป็ นผู้นาสาส์นแห่งทางนา และแสง สว่างของอิสลามไปสู่ประชาติทงั้ หลาย ยอมพลีชีวิตและความสะ ดวกสบาย เพื่อช่วยให้มนุษยชาติรอดพ้น จากความมืดบอด และนาพวกเขาออกจากความมืดมาสูแ่ สงสว่าง ท้ายที่สดุ บทเรียนที่มีความสาคัญยิ่งของการสูร้ บและการทาสงครามของท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่เราควรกล่าวถึงในที่นี้ คือสิ่งที่ได้ทาให้การประกาศอิสลามของท่านประสบ ความสาเร็จ อย่างยัง่ ยืนยาวไกล อย่างคาดคิดไม่ถึง นีเ่ ป็ นหลักฐานสาคัญที่แสดงให้เห็นว่ามุฮมั มัดเป็ นรซูล ของอัลลอฮฺ และว่าอิสลามนัน้ เป็ นศาสนาของอัลลอฮฺ ที่พระองค์ทรงประกันชัยชนะ ให้ รวมไปถึงชัยชนะของ นักดะอฺ วะฮฺ บรรดาผูศ้ รัทธา และบรรดผูถ้ ือธงชัยของอิสลาม อัลลอฮฺ จะมิทรงปล่อยประละเลยศาสนาของ พระองค์ เพราะมันคือสัจธรรม ความเมตตาและแสงสว่าง พระองค์ คือ ผูท้ ี่ทรงประทาน สัจธรรม ผูท้ รง กรุณายิ่ง ผูท้ รงเมตตายิ่ง ความเมตตาของพระองค์นนั้ แผ่กว้าง ครอบคลุมถึง ทุก ๆ สิ่ง อัลลอฮฺ ทรงเป็ น แสงสว่างแห่งชัน้ ฟ้ าทัง้ หลายและแผ่นดิน ใครเล่าจะสามารถดับแสงสว่างของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรง ยินยอมให้ความมดเท็จประสบชัยชนะขัน้ สุดท้ายต่อสัจธรรมได้อย่างไร? ความรุนแรง และการก่อ ความ เสียหายจะมีชยั ชนะในรอบสุดท้ายเหนือความเมตตาและความดีได้อย่างไร? การที่ ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และฝ่ ายมุสลิมได้รบั บาดเจ็บในสงคราม อุ ฮุดและฮุนยั น์ นัน้ เป็ นสิ่งยืนยันว่าการดะอฺ วะฮฺ ย่อมจะต้องถูกทดสอบด้วยการบาดเจ็บ และการสูญเสียเสมอ ...
“และแน่นอนยิง่ อัลลอฮฺ จะทรงช่วยเหลือผูท้ ี่ช่วยเหลือพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงเข้มแข็ง ทรงอานาจ” (อัล-ฮัจญ์ : 40)
89
บทที่ 6 เหต ุการณ์สาคัญ หลังการยึดครองมักกะฮฺ ไปจนถึงการเสียชีวิตของ ท่านรซ ูล ุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮ ุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม 6.1 สงครามฮ ุนัยน์ ภายหลังจากที่อลั ลอฮฺ ได้ทรงโปรดปรานให้รซูลของพระองค์ และ ฝ่ ายมุสลิมสามารถยึดครองนคร มักกะฮฺ ได้แล้ว การต่อต้านของพวกกุร็อยช์ซึ่งได้ดาเนินมาเป็ นเวลานานถึง 21 ปี เริ่ม ตัง้ แต่ที่ท่านได้รบั การแต่งตัง้ ให้เป็ นรซูล ก็ได้สิ้นสุดลง พวกฮะวาซินก็ได้รวมตัวกันเพื่อทาสงครามกับท่านรซูล ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จนทาให้เกิดสงคราม ฮุนยั น์ขนึ้ ซึ่ง เกี่ยวกับ รายละเอียดของสงครามนี้ จะไม่นามากล่าวใน หนังสือเล่มนี้ ท่านสามารถหาอ่านได้ในหนังสือซีเราะฮฺ อิบนิ ฮิชาม แต่ในที่นเี้ ราจะกล่าวถึงบทเรียน ที่สาคัญ ๆ ที่ได้จากสงครามนีเ้ ท่านัน้ o การหลงตน การที่มาลิก บิน เอาว์ฟ หลงตน และไม่ยอมรับฟังคาแนะนาของดุรยั ด์ อิบนุศ-ศ็อมมะฮฺ เพราะหวัง ในตาแหน่งที่จะเป็ นผูน้ า หลงคิดว่าความคิดของตัวเองถูกต้อง หยิ่งยะโสเกรงว่า ว่าหมูช่ นของเขาจะพูดว่า ทาไมคนหนุม่ ที่เข้มแข็ง อย่างเขาจึงยอมรับ ฟังคาแนะนาของคนแก่ที่ ใกล้จะตาย ซึ่งความจริงถ้าหากว่าเชื่อ คาแนะนาของดุรยั ด์ หมูช่ นของเขาก็จะ รอดพ้นจาก ความสูญเสีย ทางทรัพย์สิน ที่มากมาย เหล่าสตรีก็จะ รอดพ้นจากสภาพอัน อัปยศของการที่ตอ้ งตกไปเป็ นเชลยศึก แต่การหลงตนเอง กับ ความหยิ่งยะโสของ ผูน้ า ก็ได้นาพาประชาชนของไปสูค่ วามหายนะ และความสูญเสีย การหลงในตนเองของเขาทาให้เขาปฏิเสธ ที่จะยอมจานนต่อ พลัง ของอิสลาม ที่ สยบพวกกุร็อยช์ที่ เคยยิ่งใหญ่ภายหลังจากการต่อต้านที่ยาวนาน และประสบการณ์อนั แสนขมขืน่ เขาคิดว่ากาลังคนและทรัพย์สินที่เขามีอยู่จะสามารถเอาชนะกาลังของ อิสลามที่เกิดขึน้ ใหม่ได้ ทัง้ ในด้านสารัตถะ เป้าหมาย และระบบที่เป็ นปฏิปักษ์กบั เขาและหมูช่ นของเขา เขาจึงได้กรีฑาทัพออกมาพร้อมกับเหล่าสตรีและทรัพย์สินเพื่อชัยชนะ เขาปฏิเสธและไม่ยอมรับคาตักเตือน ของดุร็อยด์ ที่ได้กล่าวเตือนเขาว่า “แท้จริงผูแ้ พ้จะไม่ได้อะไรกลับมา ” เขาลืมไปว่าฝ่ ายมุสลิมที่ เขาจะไปสู้ รบด้วยนัน้ ไม่เคยพึ่งพิงทรัพย์สิน จานวน และความพร้อมเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ แต่สิ่งที่พวกเขาพึ่งพิงและ พึ่งพาอย่างแท้จริงคือพลังอานาจของ อัลลอฮฺ ผทู้ รงอานาจ ผูท้ รงยิ่งใหญ่ ผูท้ ี่ได้ทรงสัญญากับพวกเขา ว่า จะทรงประทานชัยชนะและสวนสวรรค์ ให้ ที่พวกเขาพยายามมิให้เกิดความพ่ายแพ้ นัน้ ด้วยมิใช่เพื่อ ปกป้อง เหล่าสตรีและทรัพย์สิน เป็ นสาคัญ ทว่าด้วยความ ปรารถนาในรางวัลตอบแทนของ อัลลอฮฺ และด้วย ความกลัวในการลงโทษของพระองค์ ที่ได้ถกู เตือนสาทับไว้กบั บรรดาผูพ้ ่ายแพ้ในสมรภูมิของการญิฮาดว่า
ความว่า “ และผูใ้ ดผินหลังหนีพวกเขาในวันนัน้ นอกจากผูท้ ี่เปลี่ยนแผนเพื่อการสูร้ บ หรือ ผี่ไปร่วมกับอีกกลมุ่ หนึ่ง ดังนัน้ เขาย่อมนาความกริ้วโกรธของอัลลอฮฺ กลับไปและที่พานักของเขา คือนรกญะฮันนัม และมันเป็นที่กลับไปที่เลวร้ายยิง่ ”( ซูเราะฮฺ อลั อัมฟาล อายะฮฺ ที่ 16) ด้วยเหตุผลดังกล่าว ในที่สดุ มาลิกและก๊กฮะวาซินของเขาก็ตอ้ งประสบกับความปราชัย เนือ่ งจาก ความหยิ่งยะโสโอหังของผูท้ ี่เป็ นผูน้ า ที่ไม่เพียงแต่จะทาให้เกิดความเจ็บปวดขึน้ กับตัวเขาเอง แต่มนั ยังรวม ไปถึงหมูช่ นของเขาด้วย เนือ่ งจากการปฏิบตั ติ ามผูน้ าที่หลงตัวเอง เขาได้ขห่ ู มูช่ นของเขาว่า หากไม่ ยอมทา 90
ตามคาขอของเขา เขาจะผ่าท้อง ตัวเองด้วยดาบ พวกเขา จึงยอมเชื่อฟังเขา ทัง้ นี้ หากว่าพวกเขาปฏิบตั ิ ตามคาแนะนาตักเตือนของผูใ้ หญ่ผมู้ ากด้วยประสบการณ์ในหมูพ่ วกเขา แทนที่จะตามใจของผูน้ าหนุม่ ที่หยิ่ง ยะโสของพวกเขา พวกเขาก็คงจะไม่ประสบกับความเจ็บปวดอย่างเช่นที่ ปรากฏ แต่พวกเขากลับ กลัวผูน้ าที่ หลงตนโกรธ หากพวกเขาถามตัวเอง สักนิด ว่า : อะไรจะเกิดขึน้ ถ้าหากเราทาให้เขาโกรธ ? พวกเขาก็จะพบ คาตอบว่า : พวกเขาสูญเสียผูน้ าของพวกเขาไป! แล้วมันจะมีผลอะไรถ้าทาเช่นนัน้ ? จะเกิดอะไรขึน้ จากการ หมดอานาจของผูน้ าที่หลงตนและเห็นแก่ตวั และต้องการเพียงแต่การควบคุมกองทัพ โดยไม่คานึงถึงว่าใคร ที่เหมาะสม กว่า ใครมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ในการศึกมาก กว่าตน ? เราจะให้ชีวิตของคน ๆ เดียวมีคา่ เท่ากับชีวิตของประชาชนทัง้ ผองได้กระนัน้ หรือ ? ในอัลกุรอาน อัลลอฮฺ ได้ทรงเตือนเราให้ระวังผล จากการยอมจานนของคนจานวนมากต่ออารมณ์ความต้องการของผูม้ ีอานาจที่หยิ่งยะโส และหลงตนเองไว้ ในเรื่องราวของท่านนบีมซู ากับฟิ รฺ เอาว์นว่า :
“(ด้วยเหต ุดังกล่าวฟิรเอาว์น)ได้หลอกลวงหมู่ชนของเขา แล้วพวกเขาก็เชื่อฟังเขา แท้จริง พวกเขาเป็นหมู่ชนผูฝ้ ่ าฝืน เมื่อพวกเขาได้ทาให้เราโกรธ (ด้วยการที่พวกเขาหันห่างจากสัจธรรม และปฏิบตั ิตามผูน้ าที่ลว่ งละเมิดและหลงตน) เราได้ลงโทษพวกเขา แล้ว เราได้ให้พวกเขาจมน้า ตายทัง้ หมด และเราได้ทาให้พวกเขาเป็นอดีตที่ลว่ งเลยไปและอ ุทาหรณ์แก่ชนรนุ่ ต่อ ๆ ไป” (อัซ-ซ ุ คร ุฟ : 54-56) o ท่าทีของท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ในการยืมเสื้อเกราะจานวน 100 ตัว และ อาวุธอีกจานวนหนึง่ ที่ไม่ เพียงพอ จาก ศ็อฟวาน ซึ่งยังคงเป็ นคนมุชริกอยู่นนั้ ชี้ให้เห็นว่า นอกเหนือจาก ความจาเป็ นที่จะต้องเตรียมความพร้อมให้เพียงพอในการเผชิญหน้ากับข้าศึกแล้ว การซื้อหรือการหยิบยืม อาวุธจากผูป้ ฏิเสธเป็ นที่อนุญาต โดยมีเงือ่ นไขว่า จะต้องไม่ชว่ ย เพิ่มความเข้มแข็งหรืออานาจ ให้กบั พวกเขา และจะต้องไม่สง่ ผลให้คนมุสลิมต้องถูกกดดัน และถูกกดขีเ่ นือ่ งจากความช่วยเหลือที่พวกเขาได้หยิบยื่นให้ ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ขอยืมอาวุธจากศ็อฟวาน หลังจากการยึดครอง มักกะฮฺ ซึ่งศ็อฟวานเองตกอยู่ใน ภาวะที่อ่อนแอและตา่ ต้อย ไม่อยู่ในฐานะที่จะสามารถกาหนดเงือ่ นไขใด ๆ กับท่าน รซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม สิ่งนีม้ ีหลักฐานยืนยันอยู่ในคาพูดของเขาที่พดู กับท่านร ซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ในขณะที่ท่านได้ขอยืมจากเขาว่า : “มันเป็นการยึดโดยใช้อานาจ ใช่ไหมมุฮมั มัด? ท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ตอบว่า “ไม่หรอก ของพวกนี้เป็นของยืมที่ ประกัน ได้ว่า เราจะนากลับมาคืนให้กบั ท่านอย่างแน่นอน” เรื่องนี้ ยงั เป็ นหนึง่ ในแบบอย่างอันมีคา่ ใน เรื่องการปฏิบตั ขิ องฝ่ ายมุสลิมต่อปฏิปักษ์ ที่ได้ประสบกับความพ่ายแพ้แล้ว เพราะถ้าหากว่าท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จะยึดเอาของพวกนัน้ ไปเลยโดยใช้อานาจ ท่านก็ย่อมกระทาได้ ศ็อฟวานเอง ก็จะไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่นนั ่ คือแบบอย่าง การปฏิบตั ิ ของท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมว่าด้วย เรื่องชัยชนะและการปฏิบตั ติ อ่ ฝ่ ายผูป้ ราชัย ด้วยการไม่ทาความเสียหายให้เกิดขึน้ กับ ทรัพย์สินของพวกเขาภายหลังจากที่การสูร้ บได้สิ้นสุดลง และข้าศึก ได้วางอาวุธแล้ว ซึ่งเราไม่เคย ได้ เรียนรูว้ ่ามีผใู้ ดปฏิบตั เิ ช่นนี้ ทัง้ ก่อนและหลังจากมุฮมั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ในทางตรงกัน ข้าม สิ่งที่เราได้ประจักษ์ ก็คือ ท่าทีของเหล่าทหารผูเ้ ป็ นฝ่ ายได้รบั ชัยชนะต่อฝ่ ายข้าศึก ก็คือ การปล้นเอา ทรัพย์สิน ล่วงละเมิดต่อสิทธิและเกียรติยศ อีกทัง้ ก่อการอธรรมอีกนานัปการ... อัลลอฮฺ ตรัสว่า 91
...
“และอัลลอฮฺ ตรัสความจริง และพระองค์ทรงนาทาง (ที่เที่ยงตรง)” (อัล-อะหฺ ซาบ : 4) o ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ออกสงครามนีพ้ ร้อมกับไพร่พลจานวน 12,000 คน ใน จานวนนีม้ ี ผูท้ ี่เคยเข้าร่วมกับท่านในการยึดนครมักกะฮฺ อยู่ดว้ ย 10,000 คน ประกอบไปด้วย ชาวมุฮาญิรีน ชาวอันศอร์ และบาง กลุม่ ชนที่เป็ นเพื่อนบ้านของนครมดีนะฮฺ และกลุม่ ชนที่ อาศัยอยู่บนเส้นทางสูม่ ดีนะฮฺ ประมาน 2,000 คนนัน้ เป็ นผูท้ ี่พึ่งเข้ารับอิสลามหลังจากการยึดครอง มัก กะฮฺ แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ของ กลุม่ หลังนี้ อิสลามในหัวใจของพวกเขายังไม่มนั ่ คง นัก อีกส่วนหนึง่ คือบรรดาผูท้ ี่ เข้ารับอิสลามภายหลังจากหมดทางที่จะต่อต้านหรือเอาชนะฝ่ ายมุสลิม ดังนัน้ ในสงครามครัง้ นีจ้ ึงมีทงั้ ไพร่ พลที่เป็ นผูศ้ รัทธาจริง ๆ พร้อมที่จะยอมพลีชีพในหนทางของการเสริมสร้างความเข้มเข็งให้กบั อิสลาม และ ผูท้ ี่ยงั อ่อนศรัทธาในอิสลาม เพราะพึ่ง เข้ารับอิสลามด้วยเหตุผลจายอม ในขณะที่ จิตใจยังมีความเคียดแค้น ต่ออิสลามและต่อชัยชนะของอิสลาม เหล่าไพร่พลครัง้ นีจ้ ึงไม่ได้อยู่ในระดับมาตรฐานเดียวกันทางด้านความ ศรัทธาและความเชื่อมัน่ ในเป้าหมายของการทาศึกสงคราม แถม ยังมีพวกที่อยากได้ทรัพย์สินเป็ น ค่าตอบแทนจากชัยชนะ เพราะฉะนัน้ ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึน้ ในช่วงแรกจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เองเมื่อเห็นจานวนไพร่พลที่มากมาย ท่านได้พดู ขึน้ ว่า : لي ًغلة الٍىم هي قلح “วันนี้ เราจะไม่พ่ายแพ้ เนื่อง จากจานวนที่นอ้ ยนิดอีกแล้ว” หมายความว่า ไม่ใช่จานวนที่มากมายของไพร่พล ที่จะเหตุที่นาไปสู่ชยั ชนะ ทว่าสิ่งที่จะทาให้ได้รบั ชัย ชนะนัน้ คือ สิ่งที่เป็ นนามธรรมที่ ฝังลึก อยู่ในจิตใจของไพร่พล ชัยชนะขึน้ อยู่กบั ความศรัทธา พลังแห่งจิต วิญญาณ ความบริสทุ ธิ์ใจ และความเสียสละของพวกเขาต่างหาก จากถ้อยคาดังกล่าวเท่ากับว่า ท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้วางหลักที่สาคัญไว้ ให้กบั เรา นัน่ คือ ชัยชนะจะไม่ได้มาด้วยจานวนไพร่พลที่มากมาย แล ะจะไม่ได้มาจากอาวุธที่ดี แต่ชยั ชนะจะ ได้มาจากสิ่งที่เป็ นนามธรรมที่สถิตอยู่ในจิตใจของไพร่พล อันเป็ น แรงผลักดันพวกเขาไปสูก่ ารเสียสละแล การยืนหยัดเพื่อการปกป้อง ในเรื่องนีอ้ ลั -กุรอานได้ยืนยันไว้หลายหลายแห่งว่า :
“ตัง้ กี่มากน้อยแล้วที่คนกลมุ่ น้อยมีชยั ชนะเหนือคนกลมุ่ มากด้วยการอนมุ ตั ิของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺ ทรงอยูก่ บั บรรดาผูท้ ี่มีความอดทน” (อัล-บะกอเราะฮฺ : 249) ในบรรดาอายะฮฺ อลั -กุรอานที่ได้ถกู ประทานลงมาหลังจากการสูร้ บได้สิ้นสุดลงนัน้ ชี้ให้เห็นอย่าง ชัดเจนถึงความจริงข้างต้น
92
“ และในวันแห่ง สงครามฮ ุนัยน์ ด้วย ขณะที่การมีจานวนมากของพวกเจ้าทาให้พวกเจ้า พึงใจ แล้วมันก็มิได้อานวยประโยชน์แก่พวกเจ้าแต่ประการใด และแผ่นดินก็แคบสาหรับพวกเจ้า ทัง้ ๆ ที่มนั กว้างอยู่ แล้วพวกเจ้าก็หนั หลังหนี ” “ แล้วอัลลอฮฺ ก็ได้ทรงประทานลงมาซึ่งความสงบใจจากพระองค์แก่รซ ูลของพระองค์และ แก่บรรดาผูศ้ รัทธาเหล่านัน้ และได้ทรงให้ไพร่พลลงมา ซึ่งพวกเจ้าไม่เห็นพวกเขา และได้ทรง ลงโทษบรรดาผูป้ ฏิเสธศรัทธาเหล่านัน้ และนัน่ คือการตอบแทนแก่บรรดาผูป้ ฏิเสธศรัทธา ”( อัต เตาบะฮฺ อายะฮฺ 25 – 26 ) o มีมสุ ลิมบางคนพูดกับท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ระหว่างทางที่เคลื่อน ทัพสูส่ มรภูมิว่า : “โอ้ท่านรซ ูล ุลลอฮฺ โปรดให้มี เหรียญตราสัญลักษณ์ สาหรับพวกเรา เหมือนกับที่ พวกเขามีเถิด” ซึ่งท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ตอบพวกเขาว่า “ ขอสาบานด้วยผูท้ ี่ ชีวิตของฉันอยูใ่ นพระหัตถ์ของพระองค์ว่า พวกท่านพูดกับฉันเหมือนกับที่หมู่ชนของมูซาได้พดู กับเขาว่า
(โอ้มซู า) โปรดตัง้ พระเจ้าสักองค์หนึ่งให้ กับ พวกเรา เหมือนกับที่พวกเขามีพระเจ้าหลายองค์ เถิด เขา (มูซา) ได้กล่าว่า พวกท่านเป็นหมู่ชนที่โง่เขลา ” (อัล-อะอฺ รอ๊ ฟ อายะฮฺ ที่ 138) แท้จริง มันเป็นแนวทาง แน่แท้พวกท่านจะเดินตามแนวทางของหมู่ชนก่อนหน้าพวกท่าน” นัน้ คือสิ่งที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ต้องการชี้ให้เห็น ถึงสิ่งที่จะเกิดขึน้ กับ ประชาชาติอิสลามในการเดินตามรอยของประชาชาติกอ่ น ๆ มันเป็ นสิ่งที่ยา้ เตือนให้เราระมัดระวังที่จะตกอยู่ ในสภาพเยี่ยงนัน้ ผูท้ ี่ประพฤติเช่นนัน้ คือ ผูท้ ี่ถกู ความโง่เขลาครอบงา ส่วนประชาชาติ ทัง้ หลายที่รจู้ กั โฉม หน้าของความดีและความชัว่ รูจ้ กั สิ่งที่เป็ นโทษและสิ่งที่เป็ นประโยชน์นนั้ พวกเขาย่อมยึดมัน่ ในความดีและหัน ห่างจากความชัว่ พวกเขาจะปฏิเสธที่จะเดินบนเส้นทางที่จะนาไปสูส่ ิ่งอันเป็ นโทษ แม้ว่าประชาชาติทงั้ หลายจะ เดินไปบนทางนัน้ หากพวกเขาเดิน ตามอย่างหลับหูหลับตาใน การลอกเลียนแบบโดยที่ไม่คานึงถึงผลลัพธ์ที่ จะเกิดขึน้ ก็เท่ากับว่าพวกเขาได้วางของไม่ถกู ที่ นีแ่ หละคือความโง่เขลาเบาปั ญญาที่อลั ลอฮฺ ตรัสว่า " " إًكن قىم تجهلىى ความว่า “แท้จริงพวกท่านเป็นหมู่ชนที่โง่เขลา” ส่วนประชาชาติที่เชื่อมัน่ ในตนเอง ภูมิใจใน เอกลักษณ์อนั โดดเด่นของตน เชื่อมัน่ ในความจริงและ ความดีที่ตนเองมีอยู่ จะปฏิเสธการเดินตามผูอ้ ื่นในสิ่งที่จะเกิดโทษต่อตนเอง และแย้งกับหลักการของตน เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาหลับหูหลับตาลอกเลียนแบบ พวกเขาจะมีบคุ ลิกภาพที่อ่อนแอ เกิดความสับสนทาง ความคิด ยอมจานนต่ออารมณ์ใฝ่ ตา่ วกวนอยู่วัฏจักรแห่งความอ่อนแอและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม นัน่ แหละคือญาฮิลียะฮฺ ที่อลั ลอฮฺ ได้ทรงช่วยให้พวกเรารอดพ้นออกมาด้วยสาส์นคัมภีรแ์ ละชะรีอะฮฺ ของ พระองค์ ความรูแ้ ละอวิชาในทัศนะของ เสียงเรียกร้องสู่ พฒ ั นาไม่ใช่การอ่านกับความไม่รหู้ นังสือ ทว่า ทัง้ สองคือ ทางนากับการหลงทาง หรือการมีจิตสานึกกับจิตใจที่มืดบอด ดังนัน้ ประชาชาติที่มีจิตสานึกถึงสิ่งที่ เป็ นประโยชน์และสิ่งที่เป็ นโทษคือ ประชาชาติที่มีความรู้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็ นประชาชาติที่ไม่รหู้ นังสือ ในทาง ตรงกันข้ามประชาชาติที่ไม่ได้รบั ทางนาสูห่ นทางที่ดี พวกเขาคือประชาชาติที่โง่เขลา แม้ว่า พวกเขาจะมีความ รอบรูม้ ากมายในหลายแขนงสาขาก็ตาม
93
แท้จริง สิ่งที่นาพาและทาให้ประชาชาติทงั้ หลายตกตา่ นัน้ คือ การครอบงาของความไม่รเู้ หนือ ความรูส้ ึกนึกคิดและอารมณ์ของพวกเขา ลองถามประวัตศิ าสตร์ ดซู ิ ว่า : อะไรคือสาเหตุที่ทาให้อารยธรรม กรีกและโรมันต้องล่มสลาย ? นัน่ มิใช่เป็ นเพราะถูกญาฮิลียะฮฺ ครอบงาดอกหรือ ? บรรดาผูห้ ลับหูหลับตาลอกเลียนแบบผูอ้ ื่นนัน้ เป็ นคนโง่เขลาเบาปั ญญาอย่างแน่นอน แม้ว่าพวกเขา จะเป็ น ผูท้ ี่ได้ เรียนรู้ พวกเขาจะยัง เป็ นเหมือนกับ เด็ก ๆ แม้ว่าจะมีอายุมากเพียงใดก็ตาม และพวกเขาจะ ยังคงอยู่ในสภาพของเด็ก ๆ ที่โง่เขลาไปจนกว่าจะได้ ปลดปล่อยตนเองให้เป็ นอิสรภาพ o หลังจากฝ่ ายมุสลิมตกอยู่ในฐานะของผูป้ ราชัยในในสงครามครัง้ นี้ พวกเขาแตกหนีออกไป จากท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ชัยบะฮฺ บิน อุษมาน คิดว่าเขาจะได้ โอกาสแก้แค้นให้กบั บิดา ของเขาที่ถกู ฆ่าในสงครามอุฮดุ ด้วยการ สังหาร ท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เขาจึง พยายามบุกเข้าประชิดตัวท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เพื่อสังหารท่าน เขาเล่าว่า “เมื่อ ฉันพยายามเข้าใกล้ตวั ท่านเพื่อฆ่าท่าน จู่ ๆ ฉันก็รส้ ู ึกว่ามีอะไรมาขวางฉันไว้ แล้วฉันก็ไม่สามารถ ทาอะไรได้ ฉันจึงรว้ ู ่าท่านได้รบั การคม้ ุ ครองให้พน้ จากฉัน” เรื่องทานองเดียวกันนีเ้ กิดขึน้ ครัง้ แล้วครัง้ เล่าในชีวประวัตขิ องท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม มัน เป็ นสิ่งที่ เคยเกิดขึน้ กับอบู ญะฮัล และคนอื่น ๆ ที่มกั กะฮฺ และที่มดีนะฮฺ ซึ่งทัง้ หมดต่างเป็ น หลักฐานยืนยันตรงกันว่า อัลลอฮฺ ทรงให้การคุม้ ครองท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ด้วย การทาให้เกิดความกลัวขึน้ ในจิตใจของบรรดาผูท้ ี่พยายามวางแผนการจะสังหารท่าน ซึ่งก็ถือเป็ นหลักฐาน ยืนยันอีกข้อหนึง่ ว่าท่านเป็ นรซูลของอัลลอฮฺ จริง ๆ อัลลอฮฺ จึงทรงคอยปกป้องคุม้ ครองท่านให้รอดพ้น จากแผนการร้ายทุก ๆ อย่าง ให้ท่านได้มีชีวิตอยู่จนสามารถเผยแผ่สาส์นของพระองค์ ปฏิบตั ิ หน้าที่ที่ได้รบั มอบหมาย ช่วยให้คาบสมุทรอาหรับ รอดพ้นจากสภาพความเป็ นญาฮิลียะฮฺ ทาให้ชาวอาหรับ จากดินแดน นีแ้ ยกย้ายกระจายกระจายกันออกไปทัว่ โลก เพื่อทาหน้าที่เรียกร้องเชิญชวน อบรมสัง่ สอน และช่วยให้ผอู้ ื่น รอดพ้นจากความเลวร้ายต่าง ๆ มาตรว่าอัลลอฮฺ มิได้ทรงคุม้ ครองรซูลของพระองค์ แน่แท้พวกมุชริกีน จะสามารถกาจัดท่านได้ตงั้ แต่ตอนต้นของการประกาศอิสลามแล้ว ซึ่งถ้าเป็ นเช่นนัน้ ศาสนาอิสลามก็จะไม่ สมบูรณ์ ความโปรดปรานของอัลลอฮฺ จะไม่ครบถ้วนในทุก ๆ ด้าน สว่างแห่งสาส์นอิสลาม พร้อม กับทาง นาและความเมตตาที่มนุษยชาติจะได้รบั จากสาส์นนี้ ก็จะมาไม่ถึงเรา กงล้อ บนเส้นทางแห่งประวัตศิ าสตร์ก็ จะไม่เ คลื่อนมาสูก่ ารปลดปล่อยมนุษยชาติให้พน้ จากความมืดบอด และความทุกข์ ด้วยการแผ่ขยายของ อิสลาม ยุติ ยคุ ของการปกครองโดยเหล่าผูน้ าที่อธรรม เผด็จการ เหยียบยา่ ศักดิ์ศรีและเกียรติยศของ ประชาชนพลเมือง ทัง้ หมดนีไ้ ด้หมดไปด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ที่ได้ปกป้องรซูลของพระองค์จนสามารถ ประกอบภารกิจที่ได้รบั มอบหมายให้สาเร็จลุลว่ งได้จนสมบูรณ์ ไม่ตอ้ งสงสัยเลยว่า ความโปรดปราน ของอัลลอฮฺ ที่มีตอ่ รซูลของพระองค์นนั้ ยิ่งใหญ่นกั
“และความกร ุณาของอัลลอฮฺ ที่มีแก่เจ้านัน้ ใหญ่หลวงนัก” (อัน-นิซาอ์ : 113) เช่นเดียวกับที่ความกรุณาของรซูลที่มีตอ่ มนุษยชาตินนั้ ยิ่งใหญ่มาก
“และเรามิได้สง่ เจ้ามาเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่ประชาชาติทงั้ หลาย (อัล-อัมบิยาอ์ : 107)
94
”
ไม่ตอ้ งสงสัยเลยว่า ความปลอดภัยของบรรดานักดะอฺ วะฮฺ จากแผนการของเหล่าศัตรูและบรรดาผูท้ ี่ คอยจ้องจะเล่นงานพวกเขานัน้ คือความกรุณาอันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ ที่ตอ่ เนือ่ งมาจากความกรุณาที่ พระองค์ได้ทรงปกป้องคุม้ ครองรซูลของพระองค์ในอดีต เป็ นหน้าที่ของเหล่านักดะฮฺ วะฮฺ ที่พวกเขาจะต้องหันไปพึ่งพิงอัลลอฮฺ อยู่เสมอภายหลังจากที่เขาได้ทา หน้าที่อย่างรอบคอบและระมัดระวังแล้ว พวกเขาจะต้องขอต่อพระองค์ทรงคุม้ ครองเขาด้วยพลังอานาจของ พระองค์ มีความเชื่อมัน่ ว่าพระองค์ทรงอยู่กบั พวกเขา เป็ นผูค้ อยช่วยเหลือพวกเขา พวกเขามีพระองค์เป็ น ผูท้ รงคอยคุม้ ครอง และว่าผูใ้ ดที่อลั ลอฮฺ ทรงประสงค์ที่จะให้เขาได้รบั ความปลอดภัยจากแผนการร้ายของ ของเหล่าศัตรูของทางนา เขาจะได้รบั ความปลอดภัยอย่างแน่นอน ไม่ว่าพวกนัน้ จะมีอานาจและความเข้มแข็ง หรือมีแผนการที่ชวั ่ ช้าสักเพียงใดก็ตาม ดังนัน้ การคุม้ ครองที่แท้จริง คือการคุม้ ครองของอัลลอฮฺ ความช่วยเหลือและชัยชนะที่แท้จริงคือ ความช่วยเหลือและชัยชนะที่มาจากอัลลอฮฺ การทอดทิ้งที่แท้จริงคือการทอดทิ้งของพระองค์ และสิ่งที่ เกิดขึน้ และเป็ นไป คือการกาหนดและพระบัญชาของพระองค์ ..
ความว่า “หากอัลลอฮฺ ทรงช่วยเหลือสูเจ้า ดังนัน้ จะไม่มีผใ้ ู ดชนะสเู จ้า
ได้” (อาลิอิมรอน :
160) ไม่ว่าแผนการของมนุษย์ผอู้ ธรรมจะร้ายกาจและยิ่งใหญ่สกั ปานใด แต่ความช่วยเหลือของอัลลอฮฺ ผูท้ รงยุตธิ รรมก็เข้มแข็งและยิ่งใหญ่กว่าเสมอ นักดะอฺ วะฮฺ จึงไม่ ควรขลาด และนักพัฒนาฟื้ นฟูไม่ ควรกลัว เขาจะไม่ประวิงเวลาที่จะทาให้สจั ธรรมดาเนินไป ด้วยเขามีความศรัทธาในอัลลอฮฺ เชื่อมัน่ ในความ ช่วยเหลือและการสนับสนุนของพระองค์
ความว่า : และการช่วยเหลือบรรดาผูศ้ รัทธาเป็นหน้าที่ของเรา (อัร-ร ูม : 47)
ความว่า : แท้จริงบรรดาผูท้ ี่ฝ่าฝืนอัลลอฮฺ และรซ ูลของพระองค์ ชนเหล่านัน้ อยูใ่ นหมู่ผ ้ ู อัปยศอดสู อัลลอฮฺ ได้ทรงกาหนดว่า ข้าและรซ ูลของข้าจะมีชยั ชนะเหนือกว่า แท้จริงอัลลอฮฺ นนั้ เป็นผูท้ รงพลังผูท้ รงอานาจเหนือ” (อัล-มุญาดะละฮฺ : 20-21) การที่ศัตรูของอัลลอฮฺ ความสาเร็จในการเข้าไปถึงตัวของผูน้ าทางนาและนักดะอฺ วะฮฺ ผทู้ างานพัฒนา บางคน จนสามารถสังหารหรือสร้างความเจ็บปวดให้กบั พวกเขาเหล่านัน้ ได้นนั้ ไม่ได้คา้ นกับหลักที่ได้กล่าว มาข้างต้น เพราะความตายคือสัจธรรม มันเป็ นสิ่งที่มนุษย์ทกุ คนจะต้องพบอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ดังนัน้ ใครก็ตามที่อลั ลอฮฺ ได้ทรงกาหนดให้เขาพบกับความตายด้วยมือของบรรดาผูอ้ ธรรม ก็ถือเป็ นเกียรติและ ความกรุณาที่อลั ลอฮฺ ทรงให้กบั เขา เพราะถึงจะอย่างไรการตายในหนทางของอัลลอฮฺ ก็คือ ชะฮฺ าดะฮฺ (การ ตายชะฮีด) ความเจ็บปวดใด ๆ บนเส้นทางของการ ดะอฺ วะฮฺ คือเกียรติยศ และทุก ๆ การทดสอบที่ เกิดขึน้ เนือ่ งจากการทางานพัฒนาฟื้ นฟูนนั้ เป็ นอมตะนิรนั ดร
95
...
ความว่า : นัน่ เพราะว่า ความกระหายก็ดี ความท ุกข์ยากก็ดี และความหิวโหยก็ดี เพื่อ หนทางของอัลลอฮฺ นนั้ จะไม่ประสบกับพวกเขา และไม่ว่าพวกเขาจะเหยียบย่างไป ณ ที่ใด ที่ทาให้ พวกปฏิเสธศรัทธากริ้วโกรธก็ตาม และพวกเขาจะไม่ได้รบั อันตรายจากศัตร ูนอกจากการงานที่ดี ที่ถ ูกจารึกไว้แล้วสาหรับพวกเขา เพราะสิ่งนัน้ แท้จริงอัลลอฮฺ จะไม่ทรงให้รางวัลของผูก้ ระทา ความดีตอ้ งสญ ู เสียไปเป็นอันขาด (อัต-เตาบะฮฺ : 120) o ในช่วงแรกของสงครามฮุนยั น์ ฝ่ ายมุสลิมตืน่ ตระหนกกับการจู่โจมของฝ่ ายศัตรู ทาให้กองทัพ ของฝ่ ายมุสลิมตกอยู่ในสภาพระสา่ ระสายแตกตืน่ ออกไปจากท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เสียเป็ นส่วนใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่ยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กบั ท่าน แล้วท่าน รซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ก็ได้รอ้ งเรียกเหล่าทหารขึน้ ว่า “ทหารทัง้ หลาย จงรีบเร่งมายังฉัน ฉันคือรซ ูลของอัลลอฮฺ ฉัน คือมุฮมั มัด บ ุตรของอับด ุลลอฮฺ ” แต่ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงของท่าน ท่านจึงได้ขอให้อลั -อับบาส เป็ นผูเ้ รียก เพราะเขาเป็ นคนที่มีเสียงดัง อัล-อับบาสจึงได้รอ้ งเรียกขึน้ ว่า “โอ้ชาวอันศอร โอ้ชาวซะมุเราะฮฺ ”! แล้ว พวกเขาก็ตอบว่า : ครับ พวกเราพร้อมแล้วที่จะเชื่อฟังท่าน พวกเราพร้อมที่จะเชื่อฟังท่าน ” แล้วชาย คนหนึง่ ก็พยายามที่จะนาอูฐของเขาไปยังต้นเสียงเรียกนัน้ แต่เขาก็ไม่สามารถทาเช่นนัน้ ได้ เขาจึงต้องเอาเสื้อ เกราะขึน้ มาสวมใส่ พร้อมทัง้ คว้าเอาดาบและโล่หข์ นึ้ มา แล้วก็ทิ้งอูฐไว้ตรงนัน้ กระโจนบุก ฝ่ าออกไปด้านหน้า พร้อมส่งเสียงดังร้องตะโกนจนไปถึงตัวท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม แล้ว ทุก ๆ คนต่าง กระทาเช่นนัน้ จนในที่สดุ พวกเขาก็ได้ไปรวมตัวกัน ณ ตาแหน่งที่ท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ยืนอยู่ ได้ถึงประมาณ 100 คน แล้วการสูร้ บตะลุมบอนกันระหว่างพวกเขากับข้าศึกก็เกิดขึน้ จนกระทัง่ ฝ่ ายมุสลิมได้รบั ชัยชนะ ท่าที ขา้ งต้น มีบทเรียนและข้อเตือนใจหลายประการ อันควรค่าสาหรับ เหล่าผูป้ ระกาศสัจธรรม ของอัลอิสลาม ไพร่พลแห่งความจริง ที่จะได้นามาไตร่ตรอง ใคร่ครวญให้มาก ๆ และนาน ๆ ถ้าจะกล่าวไป แล้ว บางทีความพ่ายแพ้ในสมรภูมิ อาจจะ เป็ นผล มาจาก จิตใจที่ขาดความ เชื่อ มัน่ ความไม่บริสทุ ธิ์ใจ และความไม่พร้อมที่จะยอมพลีเพื่อสัจธรรมของไพร่พลบางส่วนนัน่ เอง ในขณะที่การยืนหยัดที่มนั ่ คงในภาวะวิกฤตของแม่ทพั ความกล้าหาญ ความเชื่อมัน่ ในอัลลอฮฺ และความ ช่วยเหลือของพระองค์นนั้ เป็ นสิ่งที่ จะส่งผลอย่างมากต่อการ ที่จะเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็ นชัยชนะ ทาให้ หัวใจของไพร่พลที่อ่อนแอและลังเลให้กลับมามีความเข้มแข็งขึน้ ใหม่ได้ การยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กบั ผูน้ า ที่กล้าหาญของเหล่าทหารกล้าแห่งสัจธรรมผูส้ จั จริง ความ บริสทุ ธิ์ใจของพวกเขา ก็ถือว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความพ่ายแพ้ให้เป็ นชัยชนะได้เช่นกัน แท้จริงบรรดา ผูท้ ี่ยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กบั ท่านรซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ภายหลังจากที่ฝ่ายมุสลิมเพลี้ยง พลา้ ในตอนแรก ซึ่งในช่วงเวลานัน้ บรรดาผูท้ ี่ ได้ตอบรับ คาเชิญชวนของท่าน รซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม มีจานวนไม่เกิน 100 คน นัน้ แหละที่เริ่มทาให้การสูร้ บ ผันเปลี่ยนไปจากเดิม นัน่ คือ บรรดาบ่าวผู้ ศรัทธาของอัลลอฮฺ ได้รบั ชัยชนะ ส่วนข้าศึกก็พบกับ ความพ่ายแพ้ อันเนือ่ งจาก ความอ่อนแอ ที่เกิด ขึน้ ใน จิตใจของกองกาลังของพวกเขา เพราะฉะนัน้ เราจึงได้บทเรียนว่า ทุก ๆ ครัง้ ที่ผนู้ าการดะอฺ วะฮฺ และ 96
ไพร่พลของการดะอฺ วะฮฺ คิดว่าพวกเขาดารงอยู่บนสัจธรรม และเชื่อว่าอัลลอฮฺ เข้าข้างบรรดาผูศ้ รัทธา ผูส้ จั จริง มันจะช่วยให้พวกเขามีความเข้มแข็งเพิ่มขึน้ เพิ่มกาลังใจให้พวกเขาก้าวออกไปข้างหน้า เพื่อการปกป้อง และเสียสละ ในวจนะของท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่ว่า “ ฉันคือรซ ูลของอัลลอฮฺ ”หรือ ตามในอีกรายงานหนึง่ จากอิบนุฮิชาม มีว่า : “ฉันคือนบีที่ไม่พดู เท็จ ฉันคือล ูกของอับด ุล-มุฎฏอลิบ” เป็ นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงสัจจะแห่งการ ประกาศตนเป็ นรซูลของอัลลอฮฺ และความเชื่อมัน่ ของท่านที่มีในความช่วยเหลือของพระผูเ้ ป็ นเจ้า เช่นนีแ้ หละ ที่ผนู้ าที่ตอ้ งตกอยู่ในภาวะวิกฤตที่จะต้องเชื่อมัน่ ในตนเอง หันไปพึ่งพิงพระผูอ้ ภิบาลของเขา เชื่อมัน่ อย่างแน่ว แน่ในความช่วยเหลือ คุม้ ครองของพระองค์ที่จะทรงมีตอ่ เขา เพราะว่าความเชื่อมัน่ ของผูน้ าในจุดประสงค์ และเป้าหมายแห่งสาส์นของเขา มีผลอย่างมากต่อความสาเร็จ และดึงผูค้ นให้หนั เข้ามาร่วมต่อสูเ้ คียงบ่า เคียงไหล่กบั เขา และมีผลอย่างมากต่อการช่วยแบ่งเบา/บรรเทาวิกฤต ความยุ่งยากต่าง ๆ ที่เกิดขึน้ กับเขา โดยที่พวกเขาจะร่วมแบกรับความเจ็บปวดและความยุ่งยากต่าง ๆ นัน้ กับผูน้ าของเขา ด้วยความเต็มใจและ จิตใจที่สงบ o ท่าทีกบั การแสดงออกของอุมมุ สุลยั ม์ บินตุ มิลฮาล ถือเป็ นหนึง่ ในความภาคภูมิใจของสตรี มุสลิมในยุคต้นของอิสลาม นางอยู่ในสมรภูมิพร้อมกับอบู ฏ็อลหะฮฺ สามีของนาง ซึ่งในขณะนัน้ นางกาลัง ตัง้ ครรภ์ โดยที่นางได้เอาผ้าคาดท้องไว้ เอามือจับเชือกที่ตอ่ มาจากห่วงที่ใส่ไว้ที่จมูกของอูฐ เพื่อมิให้ พลัดตก ลงมาจากหลังอูฐ เมื่อท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เห็นนางในสภาพเช่นนัน้ ท่านได้พดู กับ นางว่า : นัน่ อุมมุ สุลยั ม์ใช่ไหม? นางตอบว่า : “ใช่แล้วค่ะท่านรซ ูล ุลลอฮฺ ฉันจะ สังหารพวกศัตร ูที่หนี มาจากท่านเหมือน กับที่ท่านต่อสูก้ บั บรรดาผูท้ ี่ทาสงครามกับท่าน เพราะพวกเขาควรที่จะได้รบั ผลตอบแทนเช่นนัน้ ” ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงกล่าวว่า : “เพียงพอแล้ว เพียงพอแล้ว โอ้อ ุมมุ ส ุลัยม์” การออกสงครามในครัง้ นัน้ นางมี ดาบติดตัว ไปด้วย เมื่อสามีของนางถามนางถึงหตุผลที่นาง พก ดาบเล่มนัน้ นางได้ตอบเขาว่า “หากมีใครจากหมู่พวกมุชริกีนเข้าใกล้ฉนั ฉันจะผ่าท้องของเขาด้วย ดาบเล่มนี้ ” ซึ่งทาให้อบู ฏ็อลหะฮฺ พึงพอใจในคาตอบของนาง กระทัง่ ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมเอง ก็ถึงกับหันไปมองนางด้วยความสนใจในสิ่งที่นางได้พดู นัน่ แหละคือสตรีมสุ ลิมะฮฺ คนหนึง่ และนัน่ แหละคือสิ่ง ที่ควรจะเป็ น กล้าหาญ ที่จะกระโจน เข้าร่วมใน สมรภูมิพร้อมกับพวกผูช้ าย หากว่ามีศัตรูเข้าใกล้นางจะต่อสูแ้ ละขัดขวางด้วยตัวเอง เพื่อว่ามิให้ตวั เองต้อง ถูกจับเป็ นเชลยศึก ประวัตศิ าสตร์อิสลามตอนต้น ชี้ให้เห็นว่า สตรีได้สร้างเกียรติประวัตไิ ว้อย่าง งดงามในการปกป้อง อิสลาม มีความอดทนกับความทุกข์ยาก ลาบาก มีความเสียสละ และความกล้าหาญที่เหลือเชื่อ ซึ่งเรื่อง ดังกล่าวถือเรื่องที่ตบหน้าพวกนักบูรพคดีชาตินยิ ม และชาวตะวันตกมากมาย อย่างแรงที่พยายามทาให้หมู่ ชนของพวกเขาและผูค้ นเข้าใจว่า อิสลามดูถกู เหยีย ดหยาม สตรี และมิได้มอบฐานะอันคูค่ วรให้กบั นางใน สังคม ยิ่งไปกว่านัน้ พวกเขายังโกหกมดเท็จอย่างร้ายแรงต่อไปจนถึงขนาดบอกว่า อิสลามไม่มีที่ให้สาหรับ สตรีในสวนสวรรค์ นางจะไม่ได้เข้าสวรรค์ แม้นางจะทาดี ประกอบศาสนกิจ และมีความสารวมตนมากสัก เพียงใดก็ตาม นอกเหนือจากที่หลักฐานจากอัล-กุรอานและอัซ-ซุนนะฮฺ ที่ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา ต่อข้อกล่าวหาอันมดเท็จ ดังกล่าว นัน้ แล้ว ประวัตศิ าสตร์อิสลามเองได้จารึกถึงบทบาทอันสร้างสรรค์ มากมายของ เหล่า สตรีในการเผยแผ่อิสลาม ความเสียสละที่สตรีมี บนหนทางของการเรียกร้องเชิญชวนสู่ 97
อิสลาม จนกล่าวได้ว่า ไม่มีประวัตศิ าสตร์ของศาสนาไหนที่ได้บนั ทึกเกียรติประวัตขิ องสตรีไว้อย่างเช่นที่ ประวัตศิ าสตร์อิสลามได้บนั ทึกไว้เลย สิ่งที่เกิดขึน้ กับอุมมุ สุลยั ม์ในสมรภูมิฮนุ ยั น์เป็ นเพียงตัวอย่างหนึง่ ใน ร้อย ๆ ตัวอย่างที่พิสจู น์ ถึงความจริงข้างต้น ซึ่งความจริง สาหรับเราไม่มีความจาเป็ น มากนัก ที่จะตอบโต้ เหล่าปฏิปักษ์ของอิสลามในเรื่องนี้ แต่ที่เราต้องการคือนา เอาเรื่องของอุมมุ สุลยั ม์ มาเป็ นบทเรียนในการ ปลุกจิตรสานึกของเหล่าสตรีมสุ ลิมให้ลกุ ขึน้ มาทาหน้าที่และแสดงบทบาทอันเหมาะสมในการดิ้นรนต่อสูเ้ พื่อ อิสลาม พร้อม ๆ ไปกับการ ให้การอบรมเลี้ยงดูเยาวชนรุ่นใหม่ของเรา บนพื้นฐาน แห่งทางนาและหลัก ของอิสลาม สตรีมสุ ลิมะฮฺ ทกุ วันนี้ ตกอยู่ระหว่างสตรีสองกลุม่ กลุม่ หนึง่ เป็ น กุล สตรีที่มีความประพฤติเที่ยง ธรรม ดารงไว้ซึ่งการนมาซ อ่านอัล-กุรอาน และห่างไกลจากสิ่งต้องห้ามทัง้ หลาย กับอีกกลุม่ หนึง่ ที่ ได้รบั อิทธิพลจาก กระแสวัฒนธรรมตะวันตก ที่ตอ้ งเปลี่ยนวัฒนธรรมของ ตนเองจากการยึดมัน่ ในจริยธรรม อิสลามไปสูก่ ารยึดมัน่ ใน ค่านิยมแบบ ตะวันตก ที่นามาซึ่งความเสื่อมเสียและความทุกข์ของตนเอง ครอบครัว และสังคมของเราเอง หากว่ามีบางคนพยายามขจัดจริยธรรมและบุคลิกภาพแบบอิสลามอันเป็ นจริยธรรมที่สงู ส่งและ ประเสริฐ ที่บรรพชนผู้ประเสริฐที่สดุ ในประวัตศิ าสตร์ ได้อบรมบ่มเพาะไว้ ให้หมดไปจากสตรี -อรับ-มุสลิม แล้วไซร้ ดังนัน้ อิสลาม อันเจิดจารัสใน ประวัตศิ าสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชีว ประวัตขิ องท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เรียกร้องให้สตรีมสุ ลิม ในปั จจุบนั ก้าวออกมาใหม่ เพื่อรับใช้อิสลามและ สังคมภายในกรอบแห่งหน้าที่อนั เหมาะสมกับ ธรรมชาติที่แท้จริงของ สตรี ภารกิจ ต่าง ๆ ที่ไม่กระทบต่อ ภารกิจของหล่อนในฐานะของผูท้ าหน้าที่ใน การอบรมบ่มนิสยั ด้วยคุณลักษณะอันดีงามของหล่อน ไม่ว่าจะ เป็ นความอดทน ความเอื้อเฟื้ อ เผื่อแผ่ ความสงบเสงีย่ ม ความละอายต่อบาป หรือความเหนียมอาย ดูเถิดว่า มีเหล่าคนสาวมุสลิมะฮฺ ผยู้ ึดมัน่ ในอิสลามของเราที่จะนาเอาชีวประวัตขิ อง ท่านหญิง คอลีญะฮฺ อาอิชะฮฺ อัสมาอ์ คุนซาอ์ อุมมุ สุลยั ม์ และคนอื่น ๆ เยี่ยง ท่านเหล่านี้ กลับคืนมาบ้างหรือไม่ ? ดู เถิดว่า ประวัตศิ าสตร์นริ นั ดรของเหล่าสตรีผศู้ รัทธา และเหล่าดวงดาราอันสดใสกลับมา ส่องสว่างให้เราใน วันนีบ้ า้ งหรือไม่ ?เป็ นไปไม่ได้กระนัน้ หรือ ที่เราจะผลิตสตรีเยี่ยง คอดีญะฮฺ อาอิชะฮฺ อัสมาอ์ และอุมมุ ซุลยั ม์ ขึน้ มาใหม่ ในปั จจุบนั เป็ นสิบ ๆ คน ? ไม่หรอก ไม่ใช่อย่างแน่นอน เรายังสามารถทาเช่นนัน้ ได้ แต่ ต้องด้วยเงือ่ นไขว่า ต้องมีการชี้นาที่เหมาะสม การหล่อหลอมที่ถกู ต้องที่พร้อมด้วยความศรัทธาที่เต็มเปี่ ยม ในอัลลอฮฺ ด้วยจิตสานึกอันแจ่มแจ้ง ซึ่งจะเป็ นสิ่งที่เป็ นหลักประกัน ความสาเร็จความปรารถนาใน สร้างสตรี เยี่ยงนัน้ ขึน้ มา ให้ได้มากกว่าที่เคยด้วยซา้ ไป และจะมีใครเล่าที่จะเปิ ดบันทึกอมตะสาหรับสตรีมสุ ลิมะฮฺ ในยุค ของเราได้ นอกจากผูท้ ี่ไม่แยแสต่อการหลอกลวงของบรรดาผูท้ ี่ทาให้ผคู้ นหลงทาง ไมหวาดหวัน่ หรือย่อท้อ ต่อคาเยาะเย้ยของบรรดาผูเ้ ยาะเย้ยจากเหล่าศัตรูของคุณธรรม สัจธรรม คุณค่าอันประเสริฐและศาสนา o ในสงครามนีเ้ ช่นเดียวกัน ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ผา่ นไปพบคนกลุม่ หนึง่ กาลังยืนมุงดูศพผูห้ ญิงคนหนึง่ อยู่ ท่านได้ถามว่า เกิดอะไรขึน้ ? พวกเขาตอบว่า “ศพผูห้ ญิงที่ถกู คอลิด บินอัลวะลีดฆ่า ? ท่านจึงได้กล่าว่ าว่ากับบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ว่า “จงตามไปพบคอลิดแล้วบอกเขาว่า ท่าน รซ ูล ุลลอฮฺ สงั่ ไม่ให้ฆา่ เด็กๆ หรือสตรี หรือกรรมกร” การห้ามมิให้ฆา่ ผู้ ที่อ่อนแอ หรือผูท้ ี่มิได้เข้าร่วมในการทาสงคราม เช่นชาวนา และ กรรมกร เป็ น จุดเด่นของอิสลามในประวัตศิ าสตร์สงครามของโลกที่เราจะไม่พบบทบัญญัตใิ นกลุม่ ชนอื่น ใดทัง้ ในยุคก่อน อิสลามหรือในยุคหลัง ๆ ที่เต็มไปด้วยความเมตตาและความมีมนุษยธรรม เช่นที่มีอยู่ในอิสลาม ปั จจุบนั ทุก ๆ ชาติในโลกยอมรับว่าเป็ นที่อนุญาตให้ชาติที่ทาสงครามกัน ฆ่าฝ่ ายข้าศึกได้ทงั้ ผู้ อ่อนแอและบรรดาผูท้ ี่ไม่ได้เข้าร่วมสงครามที่เป็ นพลเรือนไม่ว่าจะเป็ นเด็กๆ สตรีหรือคนชรา เช่นเดียวกับที่ อนุญาตให้ฆา่ บรรดาผูท้ ี่ถกู เกณฑ์ให้ออกสงครามเช่น ชาวไร่ ชาวนา และกรรมกร นีค่ ือโลกในยุคที่ได้มี การประกาศเรื่องสิทธิมนุษยชน และมีองค์การสหประชาชาติที่คอยทาหน้าที่หา้ มปรามมิให้ลว่ งละเมิดสิทธิ 98
เสรีภาพ อธิปไตย ของกันและกัน และคอยให้การช่วยเหลือสนับสนุนชาติที่อ่อนแอดังเช่นที่กล่าวอ้างกัน แต่ เราก็พบว่า คุณธรรม และความเอื้อเฟื้ อที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ยงั ไปไม่ถึงระดับที่จะประกาศห้ามการฆ่า บรรดาผูอ้ ่อนแอ ในสงครามโลกทัง้ สองครัง้ เราได้ประจักษ์ถึงการทาลายล้างทัง้ บ้านเมืองและพลเมือง มีการสังหาร หมูอ่ ย่างไร้มนุษยธรรม เช่นเดียวกันกับที่ เราได้เห็นในสงครามล่าอาณานิคมทากับพลเมืองของชาติตา่ ง ๆ ที่ลกุ ขึน้ ปฏิวัตติ อ่ สูเ้ พื่อ เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ และเกียรติยศของการมีชีวิต แท้จริง พวกนักล่าอาณานิคมถือว่าวิธีการอะไร ก็ได้ หรือการทา อย่างไรก็ตามที่จะดับไฟของการ ปฏิวัตขิ า้ งต้นนัน้ เป็ นที่อนุมตั ิ แม้ว่าจะต้องทาลายบ้านเมือง ตาบล หมูบ่ า้ น หรือแม้จะต้องฆ่าพลเมืองเป็ นพัน ๆ หมื่น ๆ คน อย่างเช่นที่ฝรัง่ เศสได้กระทาครัง้ แล้วครัง้ เล่าในแอลจีเรีย จนทาให้มีคนตายเป็ นล้าน ๆ คน และที่กองทัพอังกฤษกระทากับประเทศต่าง ๆ ที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองก็ไม่ได้นอ้ ยไปกว่านัน้ เช่นเดียวกันกับโปรตุเกสที่ได้กระทาต่อประเทศที่เป็ นเมืองขึน้ ในแอฟริกา เราไม่เคยได้ประจักษ์ว่าประวัตศิ าสตร์ของชาติและประชาชาติทงั้ หลายในโลกทัง้ ในยุคเก่าและยุคใหม่ มีการห้ามการฆ่า กรรมกรและชาวนาที่ถกู เกณฑ์ให้ร่วมทาสงคราม ในขณะที่ อิสลามได้ กาหนดข้อห้ามที่ ชัดเจนในเรื่องนีม้ า นาน 14 ศตวรรษ แล้ว และอิสลามก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การห้าม ในบทบัญญัติ ภาคทฤษฎีเท่านัน้ แต่ มัน ยัง เป็ นภาคปฏิบตั ิ ที่เกิดขึน้ จริง ดังในสงครามฮุนยั น์ที่จะพบว่าท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ในฐานะที่ท่านเป็ นผูน้ าชะรีอะฮฺ จากอัลลอฮฺ และนามาประกาศแก่ผคู้ น รูส้ ึก โกรธเคืองเมื่อได้รบั ทราบว่ามีการฆ่าสตรี และในทันทีที่รบั ทราบท่าน ได้ให้รีบ ส่งข่าวไปยังเหล่าแม่ทพั นายก องของท่านถึงการห้ามฆ่าสตรี เด็ก ๆ และกรรมกร เมื่อครัง้ ที่ได้มีการเตรียมทัพภายใต้การนาของอุซามะฮฺ เพื่อทาสงครามกับพวกโรมัน (ก่อนที่ท่าน จะเสียชีวิตไม่กี่วัน) หนึง่ ในคาสัง่ เสียของท่านคือ : ให้ละเว้นการฆ่าสตรี เด็ก ๆ คนอ่อนแอ นักบวชที่ มิได้ทาสงครามหรือมิได้ ให้การสนับสนนุ การรบ เช่นเดียวกับคอลีฟะฮฺ อบูบกั ร อัศ-ศิดดีก เราะฏิยลั ลอฮุ อันฮุ เมื่อครัง้ ที่สงั ่ เคลื่อนกองทัพอุซามะฮฺ และเมื่อครัง้ ที่ท่านออกคาสัง่ ให้กองทัพในหนทาง ของอัลลอฮฺ ออกไป ต่อสูเ้ พื่อ สัจธรรม ความดี และความยุตธิ รรม ซึ่งก็เช่นเดียวกับ “ซัยฟุลลอฮฺ คอลิด อิบนลุ -วะลีด ” เราะฏิยลั ลอฮุ อันฮุ ที่ยกทัพมุง่ ไปยังอิรกั ท่านไม่เคยแสดงท่าทีที่เลวร้ายใด ๆ กับ ชาวนา และเกษตรกรที่ทางานอยู่ตามไร่นาของพวกเขา นัน่ แหละคือสิ่ง ที่หลักแห่งมนุษยธรรมอันประเสริฐนีไ้ ด้กลายเป็ น วัฒนธรรมประจากองทัพอิสลาม ในทุกยุคทุกสมัย และทุก ๆ ที่ มันเป็ นสิ่งที่ ไม่มีประวัตศิ าสตร์แห่งกองทัพใดบนโลกนีเ้ คยรูจ้ กั มาก่อน สิ่งที่ ชี้ให้เห็นถึงความมุง่ มัน่ ของกองทัพอิสลามในการที่จะธารงไว้ซึ่งประเพณีอนั ดีงามอันนี้ ดังตัวอย่างที่ ปรากฏ อยู่ในการปฏิบตั ขิ องเศาะลาฮ ุดดีน อัลอัยยูบีย ์ตอ่ พวก ครูเสดภายหลังจากที่ ท่านได้รบั ชัยชนะเหนือพวก เขา และได้เข้า ยึดบัย-มักดิสกลับคืนมาได้ ท่านได้ให้ความปลอดภัยแก่คนชรา นักการศาสนา สตรี และเด็กๆ หรือแม้กระทัง่ ไพร่พลของข้าศึก ท่านได้สง่ พวกเขาเหล่านัน้ กลับไปโดยที่ให้กองทัพ อิสลามคม้ ุ ครองด ูแลไม่ให้ได้รบั อันตรายใด ๆ ตลอดเส้นทางไปจนถึงจุดหมายปลายทาง ในขณะที่ท่าทีและพฤติกรรมของพวกไพร่พลครูเสด ต่อทหารมุสลิมเมื่อคราวที่พวกเขาเข้ายึด ครองบัยตุล-มักดิสนัน้ เป็ นไปในลักษณะที่ตรงกันข้ามกัน เต็มไปด้วยการโกหกหลอกลวง ตา่ ทราม หยาบ ช้า และโหดร้ายป่ าเถื่อน โดยพวกครูเสดทาทีว่าจะให้ความปลอดภัยกับชาวมุสลิมในเมืองเยรูซาเล็มทัง้ ชีวิต และทรัพย์สิน โดยให้มสุ ลิมไปรวมตัวกันที่มสั ญิดอัล-อักศอ และให้แสดงธงสีขาวไว้เหนือมัสญิด ซึ่งชาว มุสลิมก็หลงเชื่อตามคามัน่ สัญญานัน้ แต่เมื่อพวกทหารครูเสดได้เข้าไป ในมัสญิด พวกเขา กลับ ลงมือ สังหารหมูท่ กุ ๆ คนที่รวมตัวกันอยู่ในบริเวณมัสญิด ซึ่ง จานวนมุสลิมที่ถ ูกพวกคร ูเสด ได้สงั หารไปใน ครัง้ นัน้ มีถึง 70,000 คน ในจานวนนี้มีบรรดา อ ุละมาอ์ เหล่า ผูท้ รงค ุณธรรม สตรี และเด็ก ๆ จนถึงขนาดว่านักเขียนคนหนึง่ ประจากองทัพครูเสดได้สง่ ข่าวดีไปถึงพระสันตะปาปาของพวกเขาในขณะนัน้ 99
ด้วยความภาคภูมิใจว่า : โลหิตของพวกมุสลิมที่พวกเขาได้เข่นฆ่า ได้หลัง่ ไหลหนองบนถนนสายต่าง ๆ จนเหล่าอัศวินคร ูเสดจาต้องขี่มา้ ล ุยสายเลือดที่ท่วมเกือบจมข้อเท้าม้าของพวกเขา ที่จริง เราไม่ประสงค์จะกล่าวถึงสิ่งเหล่านีเ้ พื่อแสดงความภาคภูมิใจในประวัตศิ าสตร์แห่งชัยชนะของ เรา ความสาเร็จของเหล่าแม่ทพั และไพร่พลของเรา แม้ว่ามันจะเป็ นสิ่งที่ เลอบอน เคยยอมรับว่า “ประวัติศาสตร์ไม่เคยรจ้ ู กั กองทัพของผูย้ ดึ ครองใดที่มี ความรักความ เมตตาและความย ุติธรรม ต่อมนุษย์มากไปกว่า กองทัพของพวก อาหรับ (มุสลิม) ” ก็ตาม เพียงแต่เราต้องการเตือนให้รวู้ ่า ประวัติศาสตร์ยนื ยันอย่างชัดเจนว่า เราเป็นผูท้ ี่มี ความรักความ เมตตาและค ุณธรรมต่อมนุษย์ มากกว่าชาวตะวันตก ในขณะ ที่ พวกเขากาลัง มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 20 นี้ และ ต้องการเตือน พวก ตะวันตกที่พยายามพูดกับเราถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน วันเด็ก วันแม่ เพื่อแสดงออกถึงความสูงส่งแห่ง วัฒนธรรมของพวกเขา แต่จริง ๆ แล้วมันเป็ นไป เพียงแต่เพื่อ หลอกลวง ตบตา พวกที่ไม่ร ู้ คนไร้ ความสามารถ และคนที่สญ ู เสียความเชื่อมัน่ ในประวัตศิ าสตร์ของชาติตวั เอง อย่างเช่นบรรดาผูท้ ี่อา้ งว่า พวกเขาเป็ นลูกหลานของเรา และเป็ นปั ญญาชนของเรา เราต้องการที่จะให้คนรุ่นเราในปั จจุบนั ตระหนักถึง แผนการร้ายเหล่านี้ และมีความเชื่อมัน่ ในอิสลามและมรดกทางมนุษยธรรม และวัฒนธรรมอัน ทรงคุณ ค่า ผูท้ ี่ไม่ยอมก้มหัวให้กบั ชาวตะวันตกเสมือนคนยากไร้ผตู้ า่ ต้อยที่กม้ หัวให้กบั คนรา่ รวยที่เข้มแข็ง ผูไ้ ม่รมุ ตอม เสบียงทางความคิดของพวกเขา โดยไม่รจู้ กั จาแนกแยกแยะระหว่างที่ดีกบั ที่ไม่ดี เ สมือนกับแมลงเม่าที่รมุ ตอมไฟแล้วต้องถูกเผาไหม้จนสิ้นซากไปในที่สดุ วิทยาการได้ยืนยัน และพิสจู น์ แล้วว่า อิสลามเป็นศาสนาที่ดีที่ส ุด ใกล้เคียงกับธรรมชาติของ มนุษย์มากที่ส ุด เป็นหลักประกันความดีของมนษุ ย์ ประวัติศาสตร์ที่ได้ยนื ยันว่า สงครามในอิสลาม เป็นสงครามที่มีเมตตาธรรมมากที่ส ุด เกิดความเสียหายน้อยที่ส ุด ก่อเกิดความดีมากที่ส ุด และ มีเป้าหมายที่ประเสริฐที่ส ุด ทุก ๆ วันใหม่มีหลักฐานใหม่ ๆ ที่มายืนยันว่าอิสลามเป็ นศาสนาของอัลลอฮฺ มุฮมั มัดเป็ นศาสนทูตของพระองค์ และเหล่ามุสลิมผูส้ ตั ย์จริง เป็ นบ่าวของอัลลอฮฺ เป็ นผูไ้ ด้รบั เลือกสรรและ ประเสริฐที่สดุ
“ และเราจะทาให้พวกเขาเห็นสัญญาณทัง้ หลายของเราทัง้ ในชัน้ ฟ้าทัง้ หลายและในตัวของ พวกเขา เอง จนเป็นที่ประจักษ์ชดั แก่พวกเขาว่ามันคือสัจธรรม ไม่เป็นการเพียงพอดอกหรือที่ พระผูอ้ ภิบาลของเจ้าทรงเป็นพยานเหนือท ุกสิ่ง” (ซูเราะฟุศศิลตั :53) o ภายหลังจากที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และฝ่ ายมุสลิมได้ตดิ ตามพวก ฮาวาซินที่แตกพ่ายไปพึ่งพวกษะกีบที่เมืองฏออิฟ และได้ปิดล้อมพวกเขาอยู่นานหลายวัน แต่ พวกเขาไม่ ยอมออกมาสูร้ บด้วย ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงได้ยกทัพกลับเมืองมดีนะฮฺ โดยใน ระหว่างทางได้มีการแบ่งปั นทรัพย์สินที่ยึดได้จากสงครามฮุนยั น์ ซึ่งประกอบด้วยเด็ก ๆ และผูห้ ญิง จานวน 6,500 คน กับอูฐและแพะแกะอีกจานวนหนึง่ ที่ไม่ทราบจานวนแน่ชดั ซึ่งทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่ริบได้ดงั กล่าว ได้ถกู แบ่งปั นให้กบั ชาวอาหรับที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม ซึ่งก็ได้แก่กลุม่ กุร็อยช์ ชาวมักกะฮฺ ในขณะที่ท่านมิได้ แบ่งปั นอะไรให้กบั ชาวอันศอรฺ เลย ด้วยเหตุดงั กล่าว ทาให้เศาะฮาบะฮฺ จากกลุม่ อันศอรฺ บางส่วนรูส้ ึกไม่พอใจที่พวกเขาไม่ได้รบั ส่วนแบ่ง จนมีบางคนพูดว่า : “ท่านรซ ูล ุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮ ุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้พบกับหมู่ชนของท่านแล้ว 100
ท่านไม่คิดถึงพวกเรา แล้ว หลังจากที่สามารถยึดครองมักกะฮฺ ได้ และพวกก ุร็อยช์ มากมายได้เข้า รับอิสลาม” ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จึงได้เรียกพวกเขาประชุม ท่านได้สรรเสริญ อัลลอฮฺ แล้วกล่าวปราศรัยกับพวกเขาว่า “โอ้ชาวอันศอรฺ ฉันได้ยนิ เรือ่ งที่พวกท่านพูดจากัน และคาตาหนิที่พวกท่านมีต่อฉันแล้ว ก่อนนี้พวกท่านไม่ได้อยูใ่ นสภาพของการหลงทาง แล้วอัลลอฮฺ ได้นาทางพวกท่านดอกหรือ ? ก่อน หน้านี้พวกท่านมิได้อยูใ่ นสภาพที่ยากจน แล้วอัลลอฮฺ ได้ทรงทาให้พวกท่านมัง่ คัง่ ดอกหรือ ? ก่อน หน้านี้พวกท่านมิได้เป็นศัตร ูกัน แล้วอัลลอฮฺ ได้สมานหัวใจของพวกท่านดอกหรือ ? พวกเขาต่าง กล่าวเป็ นเสียงเดียวกันว่า อัลลอฮฺ และรซูลของพระองค์เป็ นผูม้ ีบญ ุ คุณและเผื่อแผ่ยิ่งนัก ท่าน รซู ลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม กล่าวต่อไปว่า “พวกท่านจะไม่ตอบรับ คาเรียกร้องฉันดอกหรือ โอ้ชาวอันศอร? พวกเขาถามว่า พวกเราจะตอบรับท่านด้วยอะไร? ในเมื่อสาหรับอัลลอฮฺ และรซูลคือ บุญคุณและความเผื่อแผ่ ท่านรซูลกล่าวว่า : “แท้จริง ฉัน ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ว่า หากพวกท่าน ต้องการที่จะพูดในสิ่งต่อไปนี้พวกท่านก็พดู ได้และ มัน ก็เป็นความจริง อย่างนัน้ พวกท่านพูดว่า : พวกเราพบท่านเมื่อก่อนในสภาพที่ท่านถ ูกกล่าวหาว่าพูดเท็จ แล้วพวกเราคือผูท้ ี่ยนื ยันว่าท่าน พูดจริง ก่อนนี้ท่านถ ูกผูค้ นทอดทิ้งไม่ให้ความช่วยเหลือ แล้วพวกเราคือผูท้ ี่ช่วยเหลือท่าน ก่อนนี้ ท่านถ ูกขับไล่ไสส่ง แล้วพวกเราคือผูท้ ี่ให้ที่พกั พิงแก่ท่าน ก่อนนี้ท่านอยูใ่ นสภาพที่ลาบาก แล้ว พวกเราได้ให้ความเห็นอกเห็นใจท่าน ” พวกท่านสามารถพูดอย่างนัน้ ได้ โอ้ชาวอันศอรฺ ทงั้ หลาย ในใจของพวกท่านมีความขนุ่ เคือง เพียงเพราะปัจจัยอันเล็กน้อยแห่งโลกนี้ที่ได้ถ ูกใช้ เพื่อโน้มน้าว คนกลมุ่ หนึ่งให้เข้ารับอิสลามกระนัน้ หรือ ? ในขณะที่ฉนั ได้ ปล่อยพวกท่านให้กบั อิสลามของพวก ท่าน โอ้ชาวอันศอร พวกท่านไม่พอใจดอกหรือที่จะให้ผค้ ู นพาเอาแพะแกะและอ ูฐไป ในขณะที่พวก ท่านได้กลับมาส่มู าต ุภ ูมิของพวกท่านพร้อมรซ ูลของอัลลอฮฺ ? ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ผูท้ ี่ชีวิตของ มุฮมั มัดอยูใ่ นพระหัตถ์ของพระองค์ว่า หากไม่มีการฮิจญเราะฮฺ แน่แท้ฉนั นี้จะเป็นคนหนึ่งจากชาว อันศอร มาตรว่าผูค้ นส่วนใหญ่เลือกเดินทางหนึ่ง และพวกท่านชาวอันศอรได้เลือกเดินทางอีก ทางหนึ่ง แน่แท้ฉนั จะเลือกเดินทางที่ชาวอันศอรเลือก เดิน โอ้อลั ลอฮฺ ! โปรดเมตตาแก่ชาวอันศอร และล ูกหลานของชาวอันศอรนี้ดว้ ยเทอญ” หลังจากที่ชาวอันศอรได้ยินดุอาอ์ของท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม พวกเขา ทัง้ หมดต่างพากันร้องไห้จนนา้ ตาไหลเปี ยกชุม่ เคราของพวกเขา และพวกเขาได้กล่าวว่า : โอ้ท่านรซ ูล ุลลอฮฺ พวกเราพอใจที่จะรับคาชี้ขาดของท่านแล้ว” ในที่นมี้ ีบางเรื่องที่จะต้องให้ความสนใจเป็ นพิเศษคือ : ประการแรก : เรื่องทรัพย์สินที่ริบได้จากการทาสงคราม ถือเป็ นส่วนหนึง่ ของระบบสงครามใน อิสลาม อันเป็ นเรื่อง ที่ปฏิปักษ์ของอิสลาม นาเอาไปเป็ นข้อกล่าวหา ใส่รา้ ยอิสลามว่า สงครามในอิสลามเป็ น แรงผลักดันมาจาก ความต้องการ เรื่องวัตถุ และเป็ นตัวกระตุน้ ให้ทหารมุสลิมออกไปสูก่ ารพลี ตน ดังนัน้ จึง เป็ นเหตุที่นามาซึ่งความไม่พึงพอใจ ภายหลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง โดยที่พวกเขาไม่ได้รบั ส่วนแบ่ง ดังกล่าว ดังเช่นที่ปรากฏในสงครามครัง้ นี้ ไม่ตอ้ งสงสัยเลยว่า ทุก ๆ คนที่มีจิตใจเป็ นธรรมปฏิเสธข้อครหา นี้ เพราะจริง ๆ แล้ว แรงผลักดันไปสูส่ งครามในอิสลามนัน้ เป็ นเรื่องนามธรรม เป็ นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิต วิญญาณ ไม่ใช่เรื่องวัตถุ มีเป้าหมายเพื่อการแผ่ขยายสัจธรรม ผลักไสความอยุตธิ รรมและการเป็ นศัตรู อัน เป็ นสิ่งที่ปรากฏชัดเจนในอายะฮฺ อลั -กุรอานและอัล-หะดีษมากมาย และดูเหมือนจะเป็ นเรื่องแปลกม ากที่ คนเราจะยอมสละชี พของตัวเอง และยอมปล่อยให้ครอบครัวต้องเผชิญหน้ากับอนาคตอันเวิ้งว้าง เดียวดาย 101
เพียงเพื่อแสวงหาทรัพย์สินที่จะได้มาจากการทาสงคราม จริง ๆ แล้วความอยากได้ในวัตถุ ทรัพย์สินที่ จะ ได้รบั จากสงครามไม่อาจที่จะทาให้คนสร้างวีรกรรมอันเหลือเชื่อต่าง ๆ ขึน้ ได้ เช่น ที่ปรากฏในเหล่านักรบ มุสลิมในยุคแรก ๆ ของอิสลาม และจะไม่สามารถนาไปสูผ่ ลลัพธ์อนั น่าประหลาดใจมากมายที่เกิดขึน้ ใน สมรภูมิระหว่างอิสลามกับชาวอาหรับ ตลอดชีวิตหาท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม สมรภูมิ ระหว่างอิสลามกับเปอร์เซียและโรมันในเวลาต่อมา ในขณะที่ศัตรูของอิสลามไม่เคยขัดขวางพวกเขาที่จะ ครอบครองทรัพย์สินดังกล่าวเลย เช่นเดียวกับทรัพย์สินของมุสลิมกที่จะต้องตกไปเป็ นกรรมสิทธิ์ของฝ่ ายศัตรู หากว่ามุสลิมเป็ นฝ่ าย พ่ายแพ้ ไม่ใช่เพียงเฉพาะคนมุสลิมเท่านัน้ ที่มีสิทธิ์ที่จะแบ่งปั นทรัพย์สินที่ยึดได้จากสงครามเมื่อพวกเขาได้รบั ชัยชนะ จริง ๆ แล้วนีค่ ือเรื่องปกติสาหรับระหว่างสองฝ่ ายที่ทาสงครามกัน เมื่อ ความจริง เป็ นเช่นนัน้ ทาไมความต้องการในเรื่องวัตถุจึงไม่พลักดันให้ศัตรูของอิสลามสามารถสร้างวีรกรรมอัน เหลือเชื่อ อย่างเช่นที่ไพร่พลของอิสลามได้ทาตลอดระยะเวลาที่เกิดสงครามทัง้ หลายขึน้ บ้าง ? จากเหตุการณ์ที่ เกิดขึน้ ในสงครามครัง้ ต่าง ๆ ของ ฝ่ ายมุสลิม เป็ นข้อ ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อข้อครหาที่ว่า เรื่องวัตถุ หรือ ผลประโยชน์ทางวัตถุเป็ นแรงผลักดันหลัก ของทหารมุสลิม ดังที่ปรากฏในสงครามบะดัรฺ อุฮดุ มุตะฮฺ และครัง้ อื่น ๆ ที่แสดงให้เห็น ว่า เหล่าวีรชนของฝ่ ายมุสลิมได้กา้ วออกไปสูส่ มรภูมิดว้ ยมุง่ หวังที่จะได้รบั เกียรติอนั สูงสุด คือการได้พลีชีพในหนทางของ อัลลอฮฺ (ชะฮฺ าดะฮฺ ) และสวนสวรรค์ของพระองค์ ถึงขนาด ว่ายอมคายผลอินทผลัมที่อยู่ในปากทิ้ง เมื่อได้ยินคามัน่ สัญญาของท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ว่า ผูท้ ี่เสียชีวิตในหนทางของอัลลอฮฺ จะได้รบั สวนสวรรค์ตอบแทน เขารีบกระโจนเข้าสูส่ มรภูมิ พร้อมกับกล่าวว่า : เยีย่ ม เยีย่ ม ไม่มีอะไรเป็นอ ุปสรรคที่จะให้ฉนั ได้เข้าสวรรค์ อีกแล้ว นอกจาก อินทผลัมนี้ - ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ มันช้าเกินไปที่จะต้องกินอินทผลัมเหล่านี้ให้หมดก่อน แล้ว เขาก็เข้าสูก่ ารรบจนกระทัง่ เสียชีวิตในสมรภ ูมิ – บางคนกระโจนเข้าสูส่ มรภ ูมิ ประจัญบาน พร้อม กับพูดว่า : สวรรค์ สวรรค์ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ว่า ฉันได้กลิ่นไอของสวรรค์จริง ๆ และมันอยู่ ใกล้ฉนั ยิง่ กว่าเขาอ ุฮ ุด (ในสงครามอุฮดุ ) เมื่อเขาได้เสนอผลประโยชน์ทางวัตถุให้กบั ฝ่ ายมุสลิม เพื่อให้ลม้ เลิกความตัง้ ใจที่จะทาสงครามและ เดินทางกลับบ้านเมืองของตนในสมรภูมิระหว่างมุสลิมกับ พวกโรมัน ริบอีย ์ บิน อามิรฺ ผูแ้ ทนฝ่ ายมุสลิมได้ ตอบข้อเสนอของรุสตุม ว่า : “ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ เราไม่ได้มาเพื่อสิ่งนี้ แต่สิ่งที่พวกเราต้องการ ก็คือ ช่วยพวกท่านให้พน้ ออกจากการเป็นทาสของมนษุ ย์ดว้ ยกันไปสูก่ ารเป็นบ่าวของพระผูเ้ ป็น เจ้าเพียงองค์เดียว ดังนัน้ ถ้าหากพวกท่านยอมเข้ารับนับถืออิสลาม พวกเราก็จะกลับไป ทรัพย์สินของพวกท่านก็จะยังคงอยูก่ บั พวกท่าน แผ่นดินก็เป็นแผ่นดินของพวกท่าน เราจะไม่ แย่งชิงมันไปจากพวกท่านแม้แต่นอ้ ย...” แล้วนีน่ ะหรือคือคาตอบของกลุม่ คนที่ออกมาทาสงครามด้วยมี ความอยากได้ทรัพย์สินที่จะได้จากการชนะสงคราม ส่วนการนาเอาสิ่งที่เกิดขึน้ ในการแบ่งทรัพย์สินหลังจากสงครามฮุนยั น์ที่ว่ามีทหารจานวนมากที่มี จิตใจอยากได้กบั การที่ชาวอันศอรฺ รสู้ ึกไม่พอใจที่พวกเขาไม่ได้รบั ส่วนแบ่งมาเป็ นข้อกล่าวหานัน้ ไม่เป็ นความ จริง เพราะบรรดาผูท้ ี่ได้รบั ส่วนแบ่งนัน้ เป็ นกลุม่ ที่เพิ่ งเข้ารับอิสลาม เป็ นกลุม่ ที่การศรัทธาของพวกเขายัง ไม่มนั ่ คงพอ เมื่อเทียบกับบรรดาผูท้ ี่เข้ารับอิสลามมา ยาวนานที่มีความศรัทธาที่มนั ่ คง และเข้มแข็ง ด้วย เหตุนี้ คนกลุม่ หลังนีจ้ ึงไม่ได้รบั ส่วนแบ่งใด ๆ เช่น อบูบกั ร, อุมรั ฺ , อุษมาน, อะลีย,์ อับดุรเราะหฺ มาน บิน เอาวฺ ฟ์, ฏ็อลหะฮฺ และอัซซุบยั ร์ เป็ นต้น พวกเขาเหล่านีเ้ ป็ นเศาะฮาบะฮฺ อาวุโสที่ได้เข้ารับอิสลามมาก่อนหน้า นีน้ านแล้วทัง้ สิ้น สิ่งที่เกิดขึน้ ในหมูช่ าวอันศอรฺ นนั้ จริง ๆ แล้วเป็ นคาพูดของบางคนที่เห็นว่า การแบ่ง ทรัพย์สินในครัง้ นัน้ มีความเหลื่อมลา้ กันอยู่ระหว่างกลุม่ หนึง่ กับอีกกลุม่ หนึง่ กลุม่ นีไ้ ม่ได้รบั ส่วนแบ่งรูส้ ึก เหมือนว่าพวกเขาไม่ได้มีสว่ นร่วมในการต่อสูจ้ นได้รบั ชัยชนะ ซึ่งเรื่องในทานองนีเ้ ป็ นเรื่องที่เกิดขึน้ ได้ในทุก 102
ยุคทุกสมัย และทุก ๆ สถานที่ และมันก็เป็ นเรื่องที่เกิดขึน้ ในจิตใจของคนทุก ๆ คนที่ตอ้ งตกอยู่ใน สถานการณ์เช่นนัน้ ทัง้ หมดนัน้ ไม่ได้ เป็ นสิ่งที่ แสดงว่า พวกเขาไม่ได้ใฝ่ หาความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ ความโปรด ปราน ผลบุญ และสวนสวรรค์ของพระองค์ ในความพยายามและการต่อสูท้ งั้ หมด และก็ไม่ได้หมายความ ว่า พวกเขามิได้เชื่อฟังท่านร อซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม แต่ประการใด ซึ่ง เรื่องดังกล่าว สามารถพิสจู น์ได้จากการที่พวกเขา ร้องไห้โฮออกมาเมื่อได้ยินคาพูดของท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่สะกิดใจของพวกเขาถึงความจริงบางอย่างที่พวกเขาอาจลืมคิดไป เช่นท่านพูดว่า : “หรือว่า พวกท่านไม่ตอ้ งการให้ผค้ ู นกลับไปพร้อมกับแพะ แกะ และอ ูฐ โดยที่พวกท่านได้กลับไปภ ูมิลาเนา ของพวกท่านพร้อมกับรอซ ูล ุลลอฮฺ ” ? ดังนัน้ ใครเล่าที่จะให้ความสาคัญกับการได้อยู่ร่วมกับท่านร อซู ลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และการได้ใกล้ชิดกับท่านมากกว่าทรัพย์สิน ? จะถูกต้องหรือที่จะ กล่าวว่า : จริง ๆ แล้วพวกเขาต่อสูเ้ พื่อทรัพย์สินและผลประโยชน์แห่งโลกนี้ ? ไม่อาจที่จะกล่าวได้เช่นกันว่า ทาไมอิสลามจึงได้กาหนดส่วนแบ่งทรัพย์สินที่ริบได้จากสงครามให้กบั เหล่านักรบ และไม่มอบให้เป็ นสิทธิของรัฐเหมือนกับยุคของเราในปั จจุบนั ? เพราะคาพูดเช่นนัน้ มันทาให้เรา ลืมนิสยั ของมนุษย์ และ ธรรมเนียมของสงครามในสมัยนัน้ เพราะไม่ใช่จะมีเพียงแต่เหล่าทหารของอิสลาม เท่านัน้ ที่แบ่ง สี่ในห้าส่วน ของทรัพย์สินที่ริบได้จากสงคราม แต่ทหารเปอร์เซีย และโรมันก็เช่นเดียวกันที่ ปฏิบตั เิ ช่นนัน้ เพราะว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึน้ กับทุก ๆ กองทัพที่ทาสงคราม หากจะมีนกั วินจิ ฉัยปั ญหาใน ปั จจุบนั สักคนหนึง่ ให้ทศั นะว่า ทรัพย์สินที่ริบมาได้จากสงครามจะต้องมอบให้กบั รัฐ ก็มิได้เป็ นสิ่งที่ไกล จากบัญญัตอิ ิสลามและวิทยปั ญญาในเรื่องนี้ ประการที่สอง : เกี่ยวกับ กรณี ที่ท่านรอซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้แบ่งปั น ให้กบั บรรดาผูท้ ี่พึ่งเข้ารับอิสลามนัน้ นับว่าเป็ นวิทยปั ญญาของท่าน ที่รจู้ กั นิสยั ของหมูช่ นของท่าน หลัง จากที่ ท่านได้พิจารณาดูรอบปั จยั แวดล้อมรอบด้านแล้ว เพราะพวก เขาเหล่า นี้ได้ทาการต่อต้านท่าน และไม่ยอมที่ จะตอบรับการเรียกร้องเชิญชวนของท่านเรื่อยมา จนถึงช่วงเวลาที่มกั กะฮฺ ถกู ยึดครอง กระนัน้ พวกเขาก็ ยังคงแสดงท่าทีและความไม่สบายใจต่อความพ่ายแพ้ตอ่ ฝ่ ายมุสลิมในระยะแรก ๆ ท่านจึงเล็งเห็นถึงความ จาเป็ นที่จะต้องให้ความสนใจต่อพวกเขาเพื่อให้มีจิตใจโอนอ่อนต่ออิสลาม และ จาเป็ นที่จะต้องผูกมัด พวกเขา ด้วยผลประโยชน์ทางด้านวัตถุจากการที่พวกเขาได้เข้ารับอิสลามในระยะแรก ๆ และมันเป็ นเป้าหมายที่พวก เขาทาสงครามในเวลานัน้ เพราะจริง ๆ แล้วพวกเขาซึ่งเป็ นผูน้ าของชาวมักกะฮฺ ที่เคยต่อสูข้ ดั ขวางท่านร อซู ลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม นัน้ ก็เพราะเพื่อปกป้องฐานะการนาของพวกเขาให้คงอยู่ และรักษา ไว้ซึ่งผลประโยชน์ทางวัตถุ เท่านัน้ ไม่มีอะไรมากไปกว่านัน้ แต่เมื่ออานาจของพวกเขาได้ถกู ทาลาย ลงใน เหตุการณ์ยึดครองมักกะฮฺ ของฝ่ ายมุสลิม อาจเป็ นไปได้ว่า ในจิตใจพวกเขาจะยังคงมีความรูส้ ึกอาฆาต พยาบาทต่อชัยชนะของฝ่ ายมุสลิม กริ้วโกรธในความพ่ายแพ้ของฝ่ ายตน กระบวนการในการชี้ทางนา และการฟ้ ื นฟูนนั้ ไม่เพียงพอแค่การบังคับและการใช้อานาจ ดังเช่น ที่ระบบเผด็จการมัก จะใช้อานาจและความแข็ง กร้าว เป็ นเครื่องมือในการรักษาไว้ซึ่งอานาจของตน โดยที่ ไม่ได้คานึงถึงการตอบรับทางด้านจิตใจและความรูส้ ึกของผูค้ น แต่จะต้องเปิ ดจิตใจของผูค้ นให้ยอมรับ จน ยินดีที่จะรับการชี้นา ตามคาสอนและหลักการของอิสลาม บางครัง้ การที่ มีบางคนให้สิ่งของบางอย่างแก่ พวกที่ยงั อ่อนแอในความศรัทธาจะเป็ นสิ่งที่ชว่ ยฟื้ นฟูจิตใจของพวกเขา และช่วยขจัดความรูส้ ึกเป็ นศัตรูของ พวกเขาให้หมดไป ได้ ซึ่ง ก็ถือว่าการให้ นัน้ เป็ นวิทยปั ญญาที่ดียิ่ง ประการหนึง่ ต่อบางกรณี ดังเช่นที่ท่าน รอซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ถือปฏิบตั ิขา้ งต้น
103
อัลลอฮฺ ทรงรูด้ ีว่า ในอนาคต ภารกิจ การดะอฺ วะฮฺ แห่ง พระองค์ที่เพิ่ งได้รบั ชัยชนะบนคาบสมุทร อาหรับจะต้องแผ่ขยายออกไปทัว่ โลก สูโ่ ลกตะวันออก และโลกตะวันตก ดังนัน้ เพื่อให้ภารกิจดังกล่าวสาเร็จ ลุลว่ ง จาเป็ นที่จะต้องเตรียมชาวอาหรับให้เป็ นผูแ้ บกรับภารกิจในการนาสาส์นนีอ้ อกไป ให้พวกเขาพร้อมที่ จะเสียสละบนเส้นทางของการประกอบภารกิจนี้ ซึ่ง ถ้าหากว่าจิตใจของเหล่าอดีตผูน้ าของพวกเขา ได้รบั การฟื้ นฟูและ ได้รบั การปลอบขวัญ ด้วยสิ่งของที่พวกเขาได้รบั จากการแบ่งปั นนีไ้ ด้ หวังว่า หัวใจของ พวกเขาก็จะเปิ ดรับแสงสว่างของการดะอฺ วะฮฺ และการประกอบภารกิจของการดะอฺ วะฮฺ ในที่สดุ นีค่ ือสิ่งที่ เกิดขึน้ จริง ๆ เพราะภายหลังจากที่ท่านรอซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้โน้มน้าวหัวใจของ บรรดาแกนนาของพวกกุร็อยช์ ปรากฏว่าความรูส้ ึกขุน่ เคือง และ ความอาฆาตต่ออิสลามและการดะอฺ วะฮฺ อิสลามได้หมดไป ดังนัน้ เมื่อกองทัพอิสลามได้เคลื่อนออกไปสูด่ ินแดนต่าง ๆ เพื่อประกาศข่าวดีเกี่ยวกับหลักคาสอน ของอิสลาม และนามนุษย์ออกจากความมื ดมาสูแ่ สงสว่างของอิสลามนัน้ ปรากฏว่าคาบสมุทรอาหรับอยู่ สภาพที่พร้อมต่อการประกอบภารกิจอันยิ่งใหญ่แห่งประวัตศิ าสตร์นี้ อดีตผูน้ าของชาวอาหรับที่พึ่งเข้ารับ อิสลามหลังการเข้ายึดครองมักกะฮฺ จดั อยู่ในกลุม่ คนแรก ๆ ที่พอใจและเห็นด้วยที่จะให้เคลื่อนกองทัพ ออกไป เพื่อการกอบกูอ้ ิสรภาพ ประวัตศิ าสตร์ในเวลาต่อมาได้บนั ทึกไว้ซึ่งผลงานอันมากมายของพวกเขาในการ บุกเบิกและขยายดินแดนใหม่ ๆ ของการเข้ารับอิสลาม มีจานวนไม่นอ้ ยจากหมูพ่ วกเขาที่ได้วางรากฐานที่ มัน่ คงให้กบั อิสลามนอกคาบสมุทรอาหรับ สนองตอบเจตนารมณ์ของอาณาจักรอิสลาม และมีบทบาท สาคัญในการนากองทัพที่เต็มไปด้วยพลังใจที่พวยพุ่ง ความจริงแล้ว ไม่ได้มีอปุ สรรคหรือปั ญหาใด ๆ สาหรับเหล่ามุญาฮิดีน ไม่ว่าจะเป็ นบรรดาผูท้ ี่พึ่ง เข้ารับอิสลามตอนมักกะฮฺ ถกู ยึดครอง หรือบรรดาผูท้ ี่เข้ารับอิสลามมาก่อน หน้านัน้ แล้ว เพราะมีผทู้ ี่เข้ารับ อิสลามในภายหลังจานวนมากที่สามารถตามผูเ้ ข้ารับอิสลามก่อนทัน คนอ่อนแอก็สามารถตามคนเข้มแข็ง ทันได้ คนที่ ในระยะแรก ๆ เคยทางานด้วยความไม่บริสทุ ธิ์ใจ ก็สามารถกลายเป็ นผูท้ ี่มีความบริสทุ ธิ์ใจได้ อัล-หะซัน เราะหิ มะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า : “แรก ๆ เราแสวงหาวิชาความรน้ ู ้ ีโดยที่ไม่ได้ตงั้ ใจ (หรือมี จุดมุ่งหมาย) แต่ภายหลังเราได้มีเจตนาที่ชดั เจน” คนรุ่นหลังก็มีความหวังว่า อัลลอฮฺ จะทรงประทานความดีให้ กับพวกเขา ตามที่พระองค์ได้ทรง สัญญาไว้ว่า :
“ในหมู่สเู จ้า นัน้ ไม่เสมอกัน ดอก ระหว่าง ผูท้ ี่บริจาคก่อนชัยชนะ (การยึดครองมักกะฮฺ ) และ ทาการต่อสู(้ กับบรรดาผูท้ ี่เข้ารับอิสลามภายหลังการยึดครองมักกะฮฺ ที่บริจาคและทาการต่อสู)้ พวกเขาเหล่านัน้ มีฐานะที่ยงิ่ ใหญ่กว่าบรรดาผูท้ ี่ได้บริจาคภายหลัง (จากนัน้ ) และได้ ทาการต่อสู้ และสาหรับแต่ละกลมุ่ อัลลอฮฺ ได้ทรงสัญญาไว้ซึ่งรางวัลตอบแทนที่ดี และอัลลอฮฺ ทรงตระหนักดีใน สิ่งที่สเู จ้ากระทา” (อัล-หะดีด : 10) ประการที่สาม : เกี่ยวกับการที่ท่านร อซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้เรียกชาวอัน ศอรฺ ที่ไม่ได้รบั ส่วนแบ่ง จากทรัพย์สินที่ริบได้ประชุม ขึน้ ในทันทีที่ท่านได้ยินข่าวความไม่พอใจของพวกเขาใน เรื่องการแบ่ง ทรัพย์สินสงคราม เพื่อ ทาความเข้าใจกับพวกเขา และให้พวกเขา พึงพอใจกับการแบ่งสรร ดังกล่าวนัน้ แสดงถึงวิทยปั ญญาและจริยธรรมอันสูงส่งของท่านในการดูแลปกครองและการจัดการ ท่าน เห็น ความสาคัญ ของการสร้างความเข้าใจและ สร้างความพึงพอใจให้เกิดขึน้ ในหมูพ่ วกเขา ท่านได้พดู กับ 104
พวกเขาด้วยถ้อยคาและข้อความที่เต็มไปด้วยวิทยปั ญญา ทัง้ ๆ ที่ท่านรูด้ ีว่า ถึงจะเกิดอะไรขึน้ พวกเขาก็ รักท่านและปฏิบตั ิ ตามท่าน โดยที่พวกเขาคือบรรดาผูท้ ี่ พร้อมพลีชีวิต และทรัพย์สินในหนทางของอัลลอฮฺ ท่านไม่กลัวว่าจะเป็ นสิ่งที่บนั ่ ทอนความศรัทธาของพวกเขา หรือทาให้พวกเขาต้องตกอยู่ในความกริ้วโกรธ ของอัลลอฮฺ และรอซูล ของพระองค์ ทว่า ท่านปรารถนาที่จะขจัดข้อกังขาเรื่องค้างคาใจบางอย่างที่พวกเขา มีอยู่ เกี่ยวกับ เรื่องนี้ นัน่ คือแบบอย่างอันประเสริฐ ยิ่ง ที่บรรดาผูน้ าจะต้องปฏิบตั ติ ามในการปฏิบตั ติ อ่ บรรดาผูร้ ่วมงานช่วยเหลือ สนับสนุน เขา บรรดาผูท้ ี่มีความรักความห่วงใจต่อเขา เพราะฝ่ ายปฏิปักษ์มกั คอยจ้องที่จะฉกฉวยโอกาสจากทุก ๆ เหตุการณ์และคาพูด เพื่อบ่อนทาลายความสัมพันธ์ระหว่างผูน้ าของ เรากับ บรรดาผูต้ าม และชัยฏอนที่ชวั ่ ร้ายก็ไวในการวางแผนชัว่ เพราะฉะนัน้ เหล่าผูน้ าจะต้องไม่ประวิง เวลาที่จะสร้างความพึงพอใจให้กบั บรรดาผูใ้ ห้การช่วยเหลือ สนับสนุนเขา แม้ว่าเหล่าผูส้ นับสนุนจะมีความ เชื่อมัน่ ในตัวเขามากอยู่แล้วสักเพียงใดก็ตาม ลองพิจารณาดูถึงวิธีการอันชาญฉลาด หลักแหลม และมี ประสิทธิผล อย่างยิ่งที่ท่าน รอซู ลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัล ได้เลือกใช้เพื่อ การสร้างความพึงพอใจ และ ความยินดี ให้เกิดขึน้ กับชาว อันศอรฺ ท่านได้เอ่ยถึงบทบาทและความประเสริฐของพวกเขาที่มีตอ่ การดะอฺ วะฮฺ อิสลาม ช่วยเหลือท่านร อ ซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ความเชื่อมัน่ ศรัทธาของพวกเขาที่มี ในตัวท่านในขณะที่หมูช่ นของท่าน แสดงการปฏิเสธท่านและขับไล่ไสส่งท่าน หลังจากที่ท่านเตือนสติพวกเขาให้ราลึกถึงความโปรดปราน ของอัลลอฮฺ ที่ได้ให้พวกเขารอดพ้นจากการหลงผิด การแตกแยกและการเป็ นศัตรูกนั ทัง้ นีเ้ พื่อให้ พวกเขา ตระหนักว่า การพลาดโอกาสจากการได้รบั ทรัพย์สินแห่งโลกนีเ้ ป็ นสิ่งที่ไม่ ใช่เรื่องยากหรือคอคาดบาดตาย สาหรับพวกเขาบนเส้นทางของการแสวงหาความสุขและทางนาจากอัลลอฮฺ ด้วยเหตุนที้ ่านจึงได้เน้นยา้ กับ พวกเขาซึ่ง 2 ประการ : ประการแรก ท่านจะไม่กลับไปสูห่ มูช่ นของท่านโดยลืมชาวอันศอรฺ เหมือนเช่นที่มี พวกเขาบางคนคิดเช่นนัน้ และ ประการที่ สอง การที่ท่านไม่ได้แบ่งสรรทรัพย์สินสงครามให้กบั พวกเขา เพราะเชื่อมัน่ ในพลังของความศรัทธาและความมัน่ คงของ อิสลามของพวกเขา พวกเขาก็เป็ นผูท้ ี่มีความรัก ในอัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์... นีค่ ือวิธีการที่ เยี่ยมยอด จะหาวิธีอื่นมาเทียบไม่ ได้ในการที่จะสร้างความ พึงพอใจให้กบั บรรดาผูท้ ี่มีบทบาทสาคัญในการดะอฺ วะฮฺ และเป็ นบรรดาผูท้ ี่ศรัทธาในอิสลามรุ่นแรกที่มีความ บริสทุ ธิ์ใจ และจริงใจ พวกเขามิได้หวังในผลประโยชน์ตอบแทน แห่งโลกนี้ หรือการขอบคุณใด ๆ จากผูค้ น ดังนัน้ ขออัลลอฮฺ ทรงประทานพรแก่ท่านนบีผทู้ ี่ได้รบั การยกย่องจากอัลลอฮฺ ว่า
ความว่า : “และแท้จริงเจ้าเป็นผูท้ ี่ดารงตนอยูบ่ นจริยธรรมอันยิง่ ใหญ่ ” (อัน-นูน : 5) ประการที่ สี่ ท่าทีของชาวอันศอรภายหลังจากที่ได้ยินคาพูดของท่านนบี ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ถือเป็ นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมที่แสดงถึงความศรัทธาอันสุจริต จิตใจที่อ่อนไหวกับการศรัทธา และการ ราลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ผทู้ รงประทานทางนาและการสารวมตน พวกเขาสานึก ได้ว่า ด้วย ความเมตตากรุณาของอัลลอฮฺ และการชี้ทางของ รอซูลของพระองค์ เท่านัน้ ที่ทา ให้พวกเขาได้ ทาหน้าที่อนั บริสทุ ธิ์นนั้ ในการช่วยเหลือสนับสนุนอิสลามและการญิฮาด หากว่าอัลลอฮฺ มิทรงนาทางพวกเขาก็จะมิได้อยู่ ในทางนา หากไม่มีร อซูลของพระองค์ หัวใจและสายตาของพวกเขาก็จะไม่ เปิ ดสว่างจนสามารถมองเห็น ความจริงของสิ่งต่าง ๆ ได้ และหากไม่มีอิสลามอัลลอฮฺ ก็คงจะไม่รวบรวมพวกเขาให้มีเอกภาพภายหลังจาก ที่พวกเขาได้แตกแยกกันมายาวนาน พระองค์จะมิทรงปกป้องเลือดของพวกเขาภายหลังจากที่ได้มีการเข่น ฆ่ากัน มากมาย และพระองค์ จะมิทรงช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากอานาจของพวกยิว และพวกเพื่อนบ้านที่ คอยฉกฉวยโอกาสมา ให้รอดพ้นมาสูพ่ ลังอานาจของอิสลาม หลังจากนัน้ พวกเขาได้ แสดงออกซึ่งความรัก และเห็นอกเห็นใจที่พวกเขามีตอ่ ท่านรอซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เหนือทรัพย์สิน และปั จจัย แห่งความสุขบนโลกนี้ ครั้นเมื่อท่านร อซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้วิวอนขอ ให้อลั ลอฮฺ มี 105
เมตตาต่อพวกเขาและลูกหลานของพวกเขา พวกเขาถึงกับร้องไห้ หลัง่ นา้ ตา ด้วยความ ปี ติยินดีดว้ ย ตระหนักในการ เอาใจใส่ ที่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ต่อพวกเขาและการอบรมสัง่ สอนของ ท่าน นีเ่ ป็ นสิ่งที่แสดงถึงความสุจริตของความศรัทธาของพวกเขามิใช่หรือ ? มีความรักอื่นใด อีกหรือที่ ประเสริฐและสูงส่งกว่าความรักนี้ ? ขออัลลอฮฺ ทรงพึงพอพระทัยในพวกเขา ประทานแก่พวกเขาซึ่งสิ่งที่พวก เขาพึงพอใจ ให้พระองค์ทรงประทานของขวัญอันลา้ ค่านีแ้ ก่โลกทัง้ ผองตลอดไป โปรดเมตตาให้พวกเราได้ พบกับพวกเขา ณ สวนสวรรค์อนั เปี่ ยมด้วยความสุข ได้อยู่ร่วมกับ ท่านรอซูลผูย้ ิ่งให้อนั เป็ นที่รกั และ บรรดาผูท้ ี่อลั ลอฮฺ ได้ทรงประทานความโปรดปรานแก่พวกเขา ทัง้ สี่กลุม่ อันได้แก่ : บรรดานบี บรรดาผูส้ จั จริง บรรดาผูพ้ ลีชีพในหนทางของอัลลอฮฺ และบรรดาคนดีผทู้ ี่ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ นัน่ แหละคือ ท่าที และเหตุการณ์ที่เกิดขึน้ ระหว่างท่านร อซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม กับชาวอันศอรฺ อันเป็ นเรื่องที่นกั ดะอฺ วะฮฺ ทกุ ๆ คนควรจะระลึกอยู่เป็ นเนืองนิตย์ และเป็ นสิ่งที่นกั ศึกษาทุก ๆ คนควรจะถือปฏิบตั ิ เพราะมันเป็ นสิ่งที่ชว่ ยเพิ่มพูนความศรัทธา ช่วย ปลุกเร้า ความรักและความเสน่หาใน ท่านรอซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และเหล่าสาวกของท่าน ริ ฎวานุลลอฮฺ อะลัยฮิม อัจญมะ อีน
6.2 การทาลายเจว็ด ท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม บิดาแห่งบรรดานบี ผูเ้ ป็ นนบีภายหลังจากท่านนบีนหู ฺ อะลัย ฮิสลาม เป็ นบุคคลที่ได้ประกาศสงครามลัทธิบชู าเจว็ด ซึ่งอุบตั ขิ นึ้ ในหมูช่ นของท่าน จนเป็ นเหตุให้หมูช่ นของท่าน พยายามสังหารท่านด้วยการเผาท่านทัง้ เป็ น ดังที่มีปรากฏอยู่ในอัล-กุรอาน เมื่อท่านได้เดินทางมายัง นครมักกะฮฺ ท่านได้ให้อิสมาอีล อะลัย ฮิสลาม บุตรชายของท่านอยู่กบั ผูเ้ ป็ นมารดา ครัน้ เมื่ออิสมาอีลโตขึน้ สองพ่อลูกได้ชว่ ยการสร้างวิหารกะอฺ บะฮฺ เพื่อให้เป็ นสถานที่สาหรับการเคารพภักดีอลั ลอฮฺ และเป็ นสถานที่ สาหรับการเดินทางมาประกอบพิธีฮจั ญ์ ของประชาชาติอิสลาม อิสมาอีลมีลกู หลานมากมาย ซึ่งในเวลา ต่อมาได้แก่ชาวอาหรับที่ไม่ใช่ชาวอาหรับเดิม ) (العزب الوستعزتحพวกเขาไม่เคยรูเ้ รื่องการบูชาเจว็ด แต่ ต่อมาไม่นานสถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไป โดยทุก ๆ คนที่เดินทางออกจากมักกะฮฺ จะต้องนาเอาหินก่อน หนึง่ ออกไปจากแผ่นดินหะรอม เพื่อเป็ นการเทิดเกียรติของแผ่นดินนี้ และแสดงถึงความรักความผูกพันกับ แผ่นดินนี้ แล้วเมื่อไปอยู่ที่ใดก็จะนาก้อนหินก้อนนัน้ ไปวางไว้ที่นนั ่ พร้อมทัง้ ทาพิธีเวียนรอ บ(ที่เรียกว่า เฏาะว๊าฟ)กะอฺ บะฮฺ เป็ นการขอความจาเริญ ความเป็ นศิริมงคล การแสดงออกซึ่งความรักและ ความคิดถึง แผ่นดินหะรอม เหตุการณ์เช่นนัน้ ได้ดาเนินไประยะหนึง่ จนกระทัง่ มีชายคนหนึง่ ชื่อ อัมร์ อิบน ุ ล ุ หัยย์ ได้นาเอาลัทธิเคารพบูชาเจว็ดเข้ามา สูน่ ครกะอฺ บะฮฺ ในช่วงเวลาประมาณก่อนที่ท่านนบีมฮุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จะได้รบั การแต่งตัง้ ประมาณ 8750 ปี ดังนัน้ เขาจึงได้ชื่อว่า เป็ นบุคคล แรกที่ได้เปลี่ยนแปลงศาสนาของอิสมาอีล อะลัยฮิสลามที่เคารพภักดีอลั ลอฮฺ เพียงองค์เดียว โดยมีสาเหตุมา จากการที่เขาได้เข้ามาเป็ นผูท้ าหน้าที่ดแู ลกะอฺ บะฮฺ หลังจากก๊ก ญัรฺฮมั ได้ถอนตัวออกไปจากนครมักกะฮฺ และ พื้นที่รอบ ๆ มักกะฮฺ ในช่วงเวลาที่เขาเป็ นผูร้ บั ผิดชอบดูแลกะอฺ บะฮฺ อยู่นนั้ เขาได้ลม้ ป่ วยลงด้วยอาการป่ วย ที่รนุ แรง แล้วได้มีคนบอกเขาไปรักษาตัวที่บ่อนา้ ร้อน ณ เมืองบัลกออ์ ในประเทศชามหรือซีเรีย (ปั จจุบนั มี ชื่อว่า อัล-หะมะฮฺ ) แล้วจะหายป่ วย เขา จึงเดินทางไปรักษาตัวที่นนั ่ ซึ่งปรากฏว่าเขาหายป่ วย จริง ๆ และ เขาได้พบว่าชาวเมืองนัน้ เคารพบูชาเจว็ด ? เขาจึงได้ถามชาวเมืองว่า เจว็ดเหล่านีม้ ีความสาคัญอย่างไร ? พวกเขาตอบว่า : พวกเราขอฝน และขอความช่วยเหลือให้มีชยั ชนะเหนือศัตรู เขาจึงได้ขอรูปเจว็ดจากพวก เขา ชาวเมืองได้มอบเจว็ดให้แก่เขาจานวนหนึง่ เขาก็ได้นามันกลับมายังมักกะฮฺ โดยวางไว้รอบ ๆ กะอฺ บะฮฺ 106
ลัทธิเคารพบูชาเจว็ด จึง แพร่ระบาดไปทัว่ คาบสมุทรอาหรับ จนถึงขนาดว่าชาวเมืองแต่ละคนจะมีรปู เจว็ด ของตัวเองไว้บชู าที่บา้ นของตน ยามใดที่ตอ้ งการเดินทางออกจากบ้านก็จะลูบไล้เจว็ดของตน เช่นเดียว กัน กับเวลากลับจากการเดินทางก็จะกระทาในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา มีชาวอาหรับ ที่ หลงใหลใน ลัทธิ บชู าเจว็ดเพิ่มมากขึน้ เรื่อย ๆ บ้างสร้างสถานที่ขนึ้ เฉพาะสาหรับเก็บเจว็ดเป็ นที่ ตนสักการะบูชา บ้างเพียงแต่สร้างรูปเจว็ด ส่วนผูท้ ี่ไม่สามารถสร้างสถานที่ เก็บรูปเจว็ด หรือสร้างรูปเจว็ดขึน้ มาก็จะเอาก้อนหินไปวางไว้หน้า มัสญิดหะรอม หรือหน้ารูปเจว็ด อื่นที่ตนคิดว่าดี แล้วก็ทาการเฏาะว๊าฟเหมือนกับการเฏาะว๊าฟ รอบ ๆ กะอฺ บะฮฺ กล่าวกันว่า เมื่อใครคนเดินทาง ไปยังที่ใด พอ ไปถึง เป้าหมายเขาจะหาก้อนหินมาจานวน 4 ก้อน แล้วเลือกเอา ก้อนที่เห็นว่าดีที่สดุ มาเป็ นพระเพื่อเคารพสักการะ ที่เหลืออีก 3 ก้อน จะนาไปใช้ เส้า ทาเตา สาหรับปรุงอาหาร ! เมื่อเดินทางโยกย้ายไปที่ ใหม่ก็จะทิ้ง ก้อนหิน ทัง้ หมดไป พอไปถึงที่ใหม่ก็นาก้อนหิน 4 ก้อนมาคัดเลือกเช่นเดิมอีก ชาวอาหรับเคยมีเจว็ดสาคัญที่พวกเขาเคารพ สักการะ และถือ เป็ นเป้าหมายของการเดินทางมา ประกอบพิธีฮจั ญ์ และการเชือดสัตว์เซ่นไหว้อยู่ 3 องค์ องค์แรก คือ มะนาต เคยถูกวางไว้ริมชายทะเลไปทาง الوشللที่มีชื่อว่า " "قدٌدซึ่งตัง้ อยู่ระหว่าง เมืองมักกะฮฺ กบั มดีนะฮฺ เป็ นเจว็ดที่ชาวอาหรับทัว่ ไปเคารพสักการะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๊ก เอาวส์ กับ ค็อ ซรอจญ์ เมื่อคราวที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ออกเดินทางมาเพื่อเข้ายึดครองมักกะฮฺ ใน ปี ฮิจญเราะฮฺ ที่ 8 ท่านได้สงั ่ ให้อะลีย์ บิน อบี ฏอลิบทาลายเจว็ดองค์นี้ และให้ยึดเอาสิ่งของที่ผคู้ นนามาเซ่น ไหว้เจว็ดตัวนีด้ ว้ ย อลียไ์ ด้นาสิ่งของทัง้ หมดมามอบให้กบั ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ในจานวน นัน้ มีดาบ 2 เล่ม ซึ่งเป็ นดาบที่อลั -ฮาริษ บิน อบี ชัมร์ อัล-ฆิซานีย์ กษัตรย์แห่ง ฆ็อซซานได้มอบให้ ซึ่งอัล-ฮาริษผูน้ กี้ ็คือผูท้ ี่ได้สงั หารทูตของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ชื่อ ชุญาอฺ บิน วะฮฺ บ์ อัลอะซะดีย์ เราะฏิยลั ลอฮุอนั ฮุ เมื่อครัง้ ที่เขาเดินทาง ไปเข้าพบและมอบจดหมายของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่มีขอ้ ความเรียกร้องเชิญชวนเขาเข้ารับอิสลาม ซึ่ง นอกจากเขาแล้ว ทูตคนอื่น ๆ ของท่าน ไม่มีใครถูกฆ่าเลย องค์ที่ 2 คือ อัลลาต ตัง้ อยู่ที่เมืองฏออิฟ เป็ นก้อนหินรูปสี่เหลี่ยมที่ชาวอาหรับและ ก๊กกุร็อยช์ นับถือ เมื่อคราวที่ผแู้ ทนของพวกษะกีฟได้เดินทางเข้าพบท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่เมืองมดี นะฮฺ หลังการยึดครองมักกะฮฺ พวกเขาได้รอ้ งขอต่อท่านให้ อนุโลมให้พวกเขาสามารถเก็บอัลลาตไว้ ต่อไปอีก 3 ปี โดยไม่มีการทาลาย แต่ท่านก็ได้ปฏิเสธ พวกเขาจึงต่อรองกับท่านว่าขอแค่ 1 ปี ท่านก็ไม่ยอม ใน ที่สดุ พวกเขาก็ขอต่อท่านว่าให้เอาอัลลาตไว้อีกสัก 1 เดือน ซึ่งท่านก็ไม่ยอมเช่นกัน เกี่ยวกับเรื่องนีท้ ่านอิบนุ ฮิชาม อธิบายว่า : เหตุผลของพวกเขาน่าจะอยู่ ที่ว่า พวกเขาต้องการที่จะ ให้บรรดาพวกที่ไม่มี การศึกษา ผูห้ ญิง และเด็ก ๆ ยอมละทิ้งอัลลาตในสภาพที่พวกเขาพึงพอใจ และสบาย ใจ โดยไม่ตอ้ งการให้พวกเขาเหล่านัน้ ตกใจกับการทาลายอัลลาต การที่ปล่อยให้พวกเขาละทิ้งอัลลาตด้วย ความเต็มใจนัน้ จะเป็ นสิ่งที่โน้มน้าวให้พวกเขาเข้ารับอิสลามได้โดยง่าย ทว่า ไม่ว่าพวกเขาจะขอร้องท่านร อ ซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม อย่างไร ก็ไม่เป็ นผล ในที่สดุ ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ ส่งอบูซฟุ ยาน บิน หัรบ์ กับ อัล-มุฆเี ราะฮฺ บิน ชุอฺบะฮฺ ไปทาลายเจว็ดอัลลาตเสีย ใน ขณะที่อลั -มุฆเี ราะฮฺ ทบุ อัลลาตนัน้ พวกผูห้ ญิงของเผ่าษะกีฟได้พากันออกมาส่งเสียงร้องไห้ดว้ ย ความโศกเศร้าเสียใจ พร้อมกับพรรณาว่า : “ช่างเป็ นความเจ็บปวดแสนสาหัสสาหรับผูท้ ี่คมุ้ ครองพวกเราให้พน้ จากทุกข์ภยั และศัตรู บัดนีค้ นชัว่ ทัง้ หลายได้มาทาลายเขาโดยที่ไม่มีใครชูดาบขึน้ ปกป้องเขาเลย”
107
องค์ที่ 3 คือ อัล-อ ุซซา ตัง้ อยู่ทางฝัง่ ขวาของเส้นทางจากมักกะฮฺ ไปอิรกั เป็ นเจว็ดที่พวกกุร็อยช์ เคารพนับถือเป็ นพิเศษ เมื่อคราวที่อลั กุรอานลงมาประณามเจว็ดอื่น ๆ และอัล-อุซซานัน้ พวกกุร็อยช์รสู้ ึก ว่าเป็ นเรื่องที่รา้ ยแรงมากสาหรับพวกเขา และเมื่อ อบู อุฮยั ฮะฮฺ ซึ่งได้แก่ สะอีด อิบนุล-อ๊าศ บิน อุมยั ยะฮฺ บิน อับดุ ชัมส์ บิน อับดุ มะน๊าฟ ล้มป่ วยก่อนเสียชีวิต อบูละฮับ ได้เข้าไปเยี่ยมเขา พบว่าเขากาลังร้องไห้ อบู ละฮับได้ถามเขาว่า ท่านร้องไห้ทาไม โอ้อบู อุฮยั ฮะฮฺ ? หรือว่าท่านร้องไห้เพราะความตายทัง้ ๆ ที่มนั จะต้องมีมาอย่างแน่นอนกระนัน้ หรือ ? เขาตอบว่า เปล่าเลย แต่ฉนั ร้องไห้เพราะกลัวว่าอัล-อุซซาจะไม่ถกู เคารพสักการะอีกหลังจากที่ฉนั ตายไป ! อบู ละฮับจึง กล่าวว่า ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ว่า การที่อลั -อุซซวา ถูกเคารพสักการะนัน้ ไม่ใช่เพราะท่านมีชีวิตอยู่ และที่มนั จะถูกละทิ้งก็ไม่ใช่เพราะว่าท่านตายหรอก อบู อุฮยั ฮะฮฺ จึงกล่าว ตอนนีฉ้ นั รูแ้ ล้วว่า ฉันมีตวั แทนแล้ว! ในปี ที่ท่านนบี صلى اهلل عليه وسلمเข้ายึดครองมักกะฮฺ ท่านได้เรียกคอลิด อิบนุล วะลีด เข้าพบและ สัง่ เขาให้ไปทาลายอัล-อุซซา เมื่อคอลิดไปถึง ณ ที่ที่อลั -อุซซาวางอยู่ ชายผูท้ าหน้าที่ดแู ลที่มีชื่อว่า ดีบะฮฺ บิน ดัรฺมีย์ อัชชัยบานีย์ ) )ديبت بن درمى الشيباينได้พดู กับมันว่า โอ้อซุ ซาจงมีความเข้มแข็ง อย่า ประมาทกับคอลิด จงสลัดทิ้งผ้าคลุมของเจ้า หากเจ้าไม่สงั หารคอลิดเสียวันนี้ ในไม่ชา้ เจ้าจะประสบกับความต่าต้อย ดังนัน้ จงรีบจัดการกับเขาเสีย เมื่อได้ยินเช่นนัน้ คอลิดจึงกล่าวตอบว่า โอ้อซุ ซา ข้าปฏิเสธเจ้า ข้าไม่ขออภัยโทษ ต่อเจ้า แท้จริงข้า ได้ประจักษ์ชดั แล้ว อัลลอฮฺ ได้ทรงให้เจ้าต่าต้อย แล ะพินาจ พวกเขาคิดว่า เจว็ดรูปนีน้ เี้ ดิมทีมีถิ่นฐานอยู่ที่อบิสิเนีย ลักษณะรูปร่างมีผมหยิก มือวางอยู่บนต้น คอ ถูกนามาวางอยู่ใต้ตน้ ไม้ตน้ หนึง่ ซึ่งคอลิดเป็ นผูต้ ดั ต้นไม้ตน้ นีแ้ ละไม่ได้ทาอะไรกับเจว็ดนี้ และแล้วเจว็ด ตนนีก้ ็ได้มาปรากฏอยู่ตอ่ หน้าคอลิดอีกครัง้ หนึง่ ในสภาพเดิม แต่ในครัง้ นีไ้ ด้เขาได้ทบุ และผ่าศีรษะของมัน มันมีสีดาเหมือนถ่านไฟ ภายหลังจากที่คอลิดได้รายงานให้ท่านนบี صلى اهلل عليه وسلمฟังถึงภารกิจที่ได้ปฏิบตั ิ ท่านนบี ศ็อล ฯ ได้กล่าวว่า : “นัน่ แหละคือ อัล-อุซซา จะไม่มีฮซุ ซาสาหรับชาวอาหรับอีกต่อไป พึงทราบเถิดว่า มันจะไม่ถกู กราบ ไหว้อีกหลังจากวันนี้” นัน่ คือเจว็ดที่มีชื่อเสียงมากที่สดุ ของชาวอาหรับสมัยญาฮิลียะฮฺ เป็ นเจว็ดที่อบั กุ รอานได้เอ่ยถึงว่า
“ควรหรือที่พวกท่านจะถือว่าอัลลาต และอัล-อุซซา และมะนาต ที่สาม ที่สดุ ท้าย (เป็ นบุตรี ของอัลลอฮฺ ) ?! (ซูเราะฮฺ อลั -นัจซ์ม ุ : 19-20) 108
เมื่อคราวที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลฯ เข้าไปในมัสญิดอัล-หะรอม ในวันเปิ ดมักกะฮฺ ท่านเห็นรูปภาพ ของบรรดามลาอิกะฮฺ และรูปภาพอื่น ๆ ท่านเห็นรูปภาพของท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม ในมือของ ท่านถือดอกลูกเกาทัณฑ์ ที่ใช้สาหรับการเสี่ยงติว้ ท่านจึงกล่าวว่า “ขออัลลอฮฺ ทรงให้ความวิบตั เิ กิดขึน้ กับพวกเขา ที่ได้ทาให้บรรพบุรษุ ของเราเสี่ยงติว้ อิบรอฮีม เกี่ยวข้องอะไรกับการเสี่ยงติว้ ?” “อิบรอฮีมมิได้เป็ นคนยิว และมิได้เป็ นคนคริสเตียน แต่เขาเป็ นผูห้ ่างไกลจากการตัง้ ภาคี เป็ นมุสลิมผูน้ อบน้อม และไม่ได้อยู่ในบรรดาพวกตัง้ ภาคีตอ่ อัลลอฮฺ ” (อาลิ อิมรอน : 68) แล้วท่านก็ได้สงั ่ ให้ลบรูปภาพ เหล่านัน้ ออกทัง้ หมด ท่านอิบนุ อับบ๊าส กล่าวว่า : ในวันที่ท่านรซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลฯ เดินทางเข้านครมักกะฮฺ ดว้ ยอูฐของท่าน ตอนเปิ ดเมือง แล้วได้เวียนรอบกะอฺ บะฮฺ นนั้ มีเจว็ดที่ถกู เชือดติดไว้ดว้ ยตะกัว่ ท่านจึงได้เอาดาบในมือของ ท่านชี้ไปที่เจว็ดต่าง ๆ เหล่านัน้ พลางอ่านอายะฮฺ ที่ว่า
“จงกล่าวเถิด สัจธรรมได้มีมา และความเท็จก็มลายไป แท้จริงความเท็จนัน้ จะต้องมลาย ไป” (อัล-อิสรออ์ : 81) ไม่มีเจว็ดรูปใดที่ท่านชี้ไปที่หน้าของมันเว้นเสียแต่ว่ามันจะล้มหงายหลังลง และไม่มีเจว็ดรูปใดที่ท่านชี้ ที่ทา้ ยทอยของมัน เว้นเสียแต่ว่ามันจะล้มควา่ ลง จนกระทัง่ ว่า ไม่มีเจว็ดรูปใดหลงเหลือยู่ในสภาพที่ยืน ระยะเวลาของการเปิ ดนครมักกะฮฺ ผา่ นไปไม่กี่เดือน ก็ไม่มีเจว็ดหลงยืนเหลืออยู่ในคาบสมุทรอาหรับ ผูค้ นต่างพากันเพียงปฏิเสธมัน ทัง้ ๆ ที่เมื่อวันวานพวกเขาเคยกราบไหว้บชู ามัน พวกเขารูส้ ึกกระดากอายที่ กราบไหว้บชู าเจว็ด ที่ไม่สามารถให้คณ ุ หรือให้โทษใด ๆ อีกยังไม่สามารถรอดพ้นจากเหตุการณ์ตา่ ง ๆ แห่งยุคที่เกิดขึน้ ได้ อิสลามเป็ นสา สน์แรกที่ได้ทกั ท้วงเจว็ดเหล่านี้ ตาหนิการกราบไหว้มนั พร้อม ๆ กับ การเรียกร้อง ไปสูศ่ าสนาอันบริสทุ ธิ์ นัน่ คือ การเคารพภักดีตอ่ พระผูเ้ ป็ นเจ้า-อัลลอฮฺ -ผูส้ ร้างโลกและพระผูอ้ ภิบาลแห่ง สากลจักรวาล ในระยะแรก คาบสมุทรอาหรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกกุร็อยช์ได้ตอ่ สู้ ต่อต้าน การเรียกร้อง เชิญชวนนี้ และพวกเขาถือว่า การเรียกร้องเชิญชวนของอิสลามเป็ นเรื่องแปลก
“เขาทาให้พระเจ้าหลายองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียวกระนัน้ หรือ นี่เป็นเรือ่ งแปลกแท้ ๆ ” (ศอด : 5) คาบสมุทรอาหรับต้องสัน่ สะเทือนกับศาสนาใหม่นี้ พวกเขาได้พ ยายามใช้ชื่อทุก ๆ อย่างที่จะกาจัด และฝังทูตของศาสนานีเ้ สีย แต่ในที่สดุ ชัยชนะก็กลับมาเป็ นของศาสนทูตของอัลลอฮฺ หลังจากการต่อสูท้ ี่ ยาวนานถึงยี่สิบเอ็ดปี แล้วเมืองหลวงของลัทธิบชู าพระเจ้าหลายองค์ก็ถกู เปิ ด เจว็ดทัง้ หลายถูกทาลาย ไพร่ พลของลัทธินนั้ ก็ตอ้ งปราชัย อิสลามได้มีชยั ชนะเหนือแผนการณ์รา้ ยต่าง ๆ ของเหล่าผู้ มีอานาจแห่ง มหา นครนี้ เชื่อหรือไม่ว่าทัง้ หมด นัน้ ได้จบสิ้นลงภายในระยะเวลาสัน้ ๆ เมื่อคราว เริ่มต้นการเรียกร้องเชิญ ชวนนี้ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ไม่ได้มีพวกแม้แต่คนเดียว หากไม่มีอลั ลอฮฺ ผูท้ ี่ทรงเตรียมไพร่พลและบัญชา ศึกอยู่ขา้ งหลัง
109
“และเจ้ามิได้ขว้างเมื่อเจ้าขว้าง แต่อลั ลอฮฺ ต่างหากที่ขว้าง” (อัล-อัมฟาล : 17) นายมุฮมั มัด บุตรของนายอับดุลลอฮฺ ได้ยตุ คิ วามคิด อันเลวร้าย ของชาวอาหรับที่มีตดิ ต่อกันมา ยาวนานถึงห้าร้อยปี หรือมากกว่านัน้ เขาได้ปลดปล่อยปั ญญาของชาวอาหรับออกจากโซ่ตรวนแห่งลัทธิ บูชาเจว็ด และความงมงายต่าง ๆ ช่วยให้เกียรติยศแห่งชนอาหรับรอดพ้นจากการถูกลัทธิบชู าเจว็ดดูถกู และเหยียบยา่ เปิ ดประตูทงั้ หลายที่จะเข้าไปสูค่ วามเป็ นอมตะให้ชาวอาหรับได้เข้าไปโดยไม่ออกมาอีก จริง แล้วที่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ صلى هللا علٍه وسلنได้พดู ว่า “จะไม่มีอ ุซซาสาหรับชาวอาหรับอีกต่อไปแล้ว มันจะไม่ถ ูกกราบไหว้อีกหลังจากวันนี้เป็น ต้นไป” คาบสมุทรอาหรับได้อาลาชีวิตบูชาเจว็ดไปชัว่ กาลนาน สติปัญญาของชนอาหรับได้พบแสงสว่าง แล้ว และความเป็ นผูใ้ หญ่ พวกเขาไม่พอใจที่หวนกลับคืนไปสูว่ ัยเด็กอีก วัยเด็กของลัทธิบชู าเจว็ดที่นาพาให้ผ ู้ นับถือของพวกเขา ถือกราบลงแทบเท้าของหินที่หหู นวกและเป็ นใบ้ หลังจากท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ได้ เสียชีวิตไป สงครามและความวุ่นวายต่าง ๆ ได้เกิดขึน้ และบ้างแอบอ้างการเป็ นนบี บ้างต่อต้านอัล -กุ รอาน แต่เราก็ไม่ได้ยินว่ามีชาวอาหรับคนไหนสักคนหนึง่ คิดที่หวนคืนไปสูล่ ทั ธิบชู าเจว็ด และเจว็ดทัง้ หลาย นัน่ คงเป็ นเพราะว่าผูใ้ หญ่จะไม่กลับไปเป็ นเด็กอีก ซึ่งทัง้ หมดนัน้ เกิดขึน้ ได้ดว้ ยความประเสริฐของมุฮมั มัด ศ็อลฯ และสารที่เขานามานัน่ เอง ชาวอาหรับทุกคนจึงเป็ นหนีบ้ ญ ุ คุณเขาไปจนกว่าโลกจะอวสาน บุญคุณที่ เขาช่วยให้รอดพ้นจากความเลวร้าย และปลดปล่อยให้เป็ นอิสระ ต่อจากนัน้ ก็เป็ นบุญคุณแห่งการที่เพิ่มพูน ทางนาแก่ชาวโลกที่ได้ปฏิบตั ติ ามทางนา และปฏิเสธทางนา
“พระองค์คือผูท้ รงตัง้ รซ ูลคนหนึ่งขึ้นในหมู่ผไ้ ู ม่รห้ ู นังสือจากพวกเขา ทาหน้าที่สาธยาย โองการทัง้ หลายของพระองค์แก่พวกเขา และขัดเกลาพวกเขา และสอนคัมภีรแ์ ละวิทยปัญญาแก่ พวกเขา แม้ว่าก่อนหน้านัน้ พวกเขาจะเคยอยูใ่ นการหลงผิดที่ชดั แจ้ง” (อัล-ํมุ อุ ะฮฺ : 2)
6.2 สงครามตะบูก )(تبوك o สาเหต ุของสงคราม ทหารโรมันจานวนมากได้รวม พลกันที่ประเทศชาม (ซีเรีย และบริเวณใกล้เคียงในปั จจุบนั ) กษัตริย์ ฮิรฺก์ได้ใช้เวลาในการจัดเตรียมความพร้อมของกองทัพอยู่หนึง่ ปี โดยมีพวกอาหรับหล่ายก๊กเข้าร่วมสบทบ ในกองทัพนีด้ ว้ ย ในจานวนนัน้ มี ลัคม์ , ญุซาม, ฆ็อซซาน และอามิละฮฺ กองทัพหน้าตัง้ ทัพที่ตาบล บัล กออ์ ซึ่งเป็ นตาบลเล็ก ๆ ตาบลหนึง่ ในเมือง ดิมชั ก์(ดามัสกัสปั จจุบนั ) ที่ตงั้ อยู่ระหว่างประเทศ ชาม(ซิเรีย) กับวาดิลกุรอ เมื่อได้ทราบข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้จดั ส่งกองทัพออกไป ยังตะบูกทันที พร้อมกับได้เรียกร้องเชิญชวนให้ประชาชนชาวมุสลิมมีการเตรียมพร้อม ให้บรรดาผูท้ ี่มีฐานะ ดีชว่ ยกันเสียสละทรัพย์สินเพื่อนามาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กบั ไพร่พลมุสลิม เรื่องดังกล่าว เป็ นข้อพิสจู น์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สงครามในทัศนะของอิสลามนัน้ มุสลิมจะไม่เป็ น ฝ่ ายที่เป็ นผูส้ ร้างความเป็ นศัตรู หรือเป็ นฝ่ ายรุกราน หากแต่ยืนอยู่บนหลักของการปกป้องอิสลาม ปกป้อง ประเทศ ขับไล่ และขัดขวางพวกละเมิดมิให้กอ่ ความเสียหาย เกี่ยวกับเรื่องนีม้ ีหลักฐานยืนยันมากมายจาก อัลกุรฺอานซึ่งได้กล่าวมาแล้วก่อนหน้านีถ้ ึงสาเหตุของการบัญญัตเิ รื่องสงคราม หลักการและเงือ่ นไขต่าง ๆ 110
เกี่ยวกับการที่มีชนอาหรับบางกลุม่ ได้เข้าร่วมเป็ นพันธมิตรกับกองทัพโรมันเพื่อต่อต้านอิสลามนัน้ ชี้ให้เห็นว่าพวกเขายังไม่เข้าใจอิสลามที่มีเป้าหมายสร้างอิสรภาพที่แท้จริงให้แก่มนุษยชาติ โดยเฉพาะชนชาว อาหรับ ซึ่งเชื่อว่า หากพวกเขาเข้าใจความจริงข้อนี้ พวกเขาคงจะไม่เข้าร่วมเป็ นพันธมิตรของกองทัพโรมันที่ ทาสงครามกับหมูช่ นของพวกเขาเอง o คาเรียกร้องเชิญชวนของท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ให้ประชาชนมุสลิม เตรียมพร้อมนัน้ มีขนึ้ ในช่วงเวลาที่ยากลาบาก อากาศร้อนจัดและอยู่ในฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลไม้ กระนัน้ บรรดาผูศ้ รัทธาต่างก็ตอบรับโดยไม่คานึงถึงความลาบาก ในขณะที่พวกสับปลับต่างพากันปฏิเสธด้งข้ออ้าง ต่าง ๆ บรรยากาศของความยากลาบากเช่นนัน้ เองที่เป็ นสิ่งที่สามารถจาแนกได้ระหว่างบรรดาผูท้ ี่ความ บริสทุ ธิ์ใจต่ออิสลามกับพวกเสแสร้งศรัทธา อัลลอฮฺ ตรัสว่า
ความว่า “อะลีฟ ลาม มีม มนุษย์คิดกระนัน้ หรือว่า พวกเขาจะถ ูกปล่อยไปเพียงแค่พวกเขากล่าวว่าพวกเราศรัทธา แล้ว โดยที่พวกเขาจะไม่ถ ูกทดสอบ แน่แท้ เราได้ทดสอบบรรดาก่อนหน้าพวกเขา ดังนัน้ แน่นอนอัลลอฮฺ จะทรงรถ้ ู ึงบรรดาผูส้ จั จริง และแน่นอนพระองค์จะทรงรถ้ ู ึงพวกมดเท็จ” (ซ ูเราะฮฺ อลั อันกะบูต อายะอฮฺ ที่ 1 – 3 ) o การดะอฺ วะฮฺ จะดารงอยู่และเจริญงอกงามขึน้ ได้ก็ตอ่ เมื่อบรรดาผูท้ าหน้าที่และผูใ้ ห้การสนับสนุน ไม่มีพวกสับปลับ พวกหลอกลวงเข้ามาปะปน เพราะผูท้ ี่มีความตัง้ ใจที่ตงั้ ใจอย่างเข้มแข็งและแน่วแน่ มี เจตนารมณ์ที่บริสทุ ธิ์ และมีวินยั ที่มนั ่ คงเท่านัน้ ที่สามารถจะเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากและบททดสอบต่าง ๆ ได้ บ่อยรัง้ ที่เราพบว่า บรรดาผูท้ ี่มีความศรัทธาที่อ่อนแอ และเหล่าผูท้ รยศกลายเป็ นอุปสรรคขัดขวาง ทาให้ชยั ชนะและความสาเร็จของการดะอฺ วะฮฺ และการต่อสูแ้ ห่งอิสลามต้องล่าช่าออกไป สงครามตะบูกได้พิสจู น์ให้ไพร่พลของอิสลามได้เห็นว่า ใครที่เป็ นผูม้ ีความศรัทธาและกาลังใจที่ อ่อนแอ ซึ่งพวกเขาเหล่านัน้ จะแยกตัวออกไปจากกองทัพและสมรภูมิตะบูกเองโดยไม่ตอ้ งมีใครไปทาอะไร พวกเขา เพราะไพร่พลที่มีวินยั เหนียวแน่นมัน่ คง มีความศรัทธาที่เข้มแข็ง และมีความเชื่อมัน่ ในสัญญา ของอัลลอฮฺ เท่านัน้ ที่จะเป็ นหลักประกันว่าจะได้รบั ชัยชนะเหนือไพร่พลของข้าศึกที่มีจานวนมากที่แตกสามัคคี และขาดความเชื่อมัน่ ได้ อัลลอฮฺ ตรัสว่า
“ ตัง้ กี่มากน้อยแล้วที่กลมุ่ คนที่มีจานวนน้อยมีชยั ชนะเหนือกลมุ่ คนที่มีจานวนมากโดย อนมุ ตั ิของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺ นนั้ ทรงอยูก่ บั บรรดาผูอ้ ดทนเสมอ”(ซ ูเราะฮฺ อลั บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺ ที่ 249) o การตอบรับที่รวดเร็วฉับพลันของเหล่าเศาะฮาบะฮฺ ที่มีทรัพย์สิน อาทิเช่น อบูบกั รฺ อุมรั ฺ 111
อุษมาน และคนอื่น ๆ ต่อคาเรียกร้องของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมที่ให้เสียสละ ทรัพย์สินนัน้ เป็ นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ความศรัทธาที่สถิตย์อยู่ในจิตใจของผูศ้ รัทธานัน้ จะจรรโลงบุคคลสูก่ ารทา ความดี และจะยับยัง้ จิตใจมิให้คล้อยตามความต้องการของอารมณ์ นัน่ แหละคือสิ่งที่จาเป็ นอย่างยิ่งสาหรับ ทุก ๆ ชาติและหมูช่ น เช่นเดียวกับทุก ๆ ขบวนการดะอฺ วะฮฺ และการต่อสู้ เพราะนัน่ คือหลักประกันชัยชนะและ การขับไล่ศัตรูให้แตกพ่ายไป ซึ่งนีค่ ือ สิ่งที่จาเป็ นอย่างยิ่งสาหรับประชาชาติของเราในปั จจุบนั เพราะฝ่ าย ปฏิปักษ์นนั้ เข้มแข็งมากและการประจัญบานก็นา่ กลัวมาก ไม่เพียงแต่ความเข้มแข็งด้านสรรพกาลังเท่านัน้ ที่ พวกเขามี หากแต่พวกเขามีแผนการร้ายที่แยบยนนัก พวกเราจะไม่มีทางเอาชนะพวกเขาได้นอกจากจะด้วย การทุ่เทเสียสละทัง้ ทรัพย์สิน ความมัง่ คัง่ ชีวิต เจตนารมณ์ และความรูส้ ึก ซึ่จะไปถึงจุดนัน้ ได้ก็ตอ้ งอาศัย ความเข้าใจที่ถ่องแท้ในสารัตถะของอิสลามในฐานะที่เป็ นวิถีแห่งสัจธรรมที่แท้จริง ระบบแห่งการหล่อหลอม ชีวิตจิตใจผูศ้ รัทธาให้มีความพร้อมที่เสียสละ กล้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากเพื่อผลประโยชน์ของ ประชาชาติ พร้อมที่จะดิ้นร้นต่อสูด้ ว้ ยทรัพย์สินด้วยหวังในรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮฺ เช่นเดียวกับเหล่านัก ต่อสูท้ ี่ได้รบั รางวัลตอบแทนจากอัลลอฮฺ ในสมรภูมิ สิ่งที่ผนู้ าการตืน่ ตัวจะต้องกระทาคือ การปลูกฝังอิสลามในจิตใจของประชาชาติให้ดี ที่สดุ ทุก ๆท่าทีตอ่ ต้านอิสลาม และการเรียกร้องเชิญชวนสูก่ ารปลดปล่อยตนเองให้พน้ จากคาสอนของ อิสลาม หรือการถือว่าอิสลามไม่ได้มีความสาคัญอะไรนัน้ ถือเป็ นความผิดพลาดและเป็ นบาปที่รา้ ยแรงที่จะ ส่งผลอันเลวร้ายและเป็ นอันตรายใหญ่หลวง นีค่ ือสิ่งที่อลั ลอฮฺ ได้ทรงสอนเรา ซึ่งได้รบั การพิสจู น์มาแล้วโดย ประวัตศิ าสตร์ และประสบการณ์ของประชาชาติในปั จจุบนั o เรื่องราวเกี่ยวกับเศาะฮบะฮฺ จานวนหนึง่ ที่ได้เข้าพบท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เพื่อขออาสาออกสนามรบร่วมกับคนอื่น ๆ แต่ไม่ได้รบั อนุญาตด้วยเหตุผลบางประการ ทาให้พวก เขาถึงกับ ร้องไห้หลัง่ นา้ ตาด้วยความเสียใจที่ไม่ได้รบั โอกาสร่วมต่อสูพ้ ร้อมกับท่านนัน้ เป็ นเรื่องที่อลั ลอฮฺ ทรงกล่าวถึงในอัลกุรฺอานเพื่อเป็ นตัวอย่างอันทรงคุณค่าที่แสดงถึงความศรัทธาที่แท้จริง เป็ นเรื่องปกติธรรมดาสาหรับคนทัว่ ไปที่ดีใจกับการได้หลุดพ้นจากภัยพิบตั แิ ละห่างไกลจากสงคราม ทว่าสาหรับบรรดาผูศ้ รัทธาที่แท้จริงกลับร้องไห้หลัง่ นา้ ตาที่ไม่มีโอกาสได้ออกศึก ด้วยพวกเขาถือว่าเป็ น การพลาดโอกาสครัง้ สาคัญที่พวกเขาจะได้รบั รางวัลตอบแทนจากอัลลอฮฺ และการพลีชีพบนหนทางของ พระองค์ เรื่องดังกล่าวได้สอนเราให้รวู้ ่า ไม่มีหลักการใดที่จะเป็ นแรงขับเคลื่อนในจิตใจของบุคคลได้อย่างมี พลังเท่ากับแรงขับเคลื่อนของความศรัทธา ดังนัน้ จึงช่างเป็ นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินสาหรับ ประชาชาติที่ไม่มีคนอย่างพวกเขาเหล่านัน้ o เรื่องราวของคนสามคนที่ลา่ ช้าในการออกสงครามร่วมกับไพร่พลส่วนใหญ่ ด้วยให้ ความสาคัญกับความสุขสบายมากกว่าความเหน็ดเหนือ่ ยในหนทางของอัลลอฮฺ พวกเขาชอบที่จะอยู่ใต่ร่ม เงามากกว่าแสงแดดที่แผดเผาร้อนแรง แม้ว่าพวกเขายังเป็ นส่วนหนึง่ ของบรรดาผูศ้ รัทธานัน้ ถือเป็ น บทเรียนที่สาคัญที่มีความหมายยิ่งสาหรับสังคมมุสลิม ไม่นานนัก พวกเขาได้สานึกว่าสิ่งที่พวกทาลงไปด้วยการไม่ออกศึกร่วมกับท่านเราะซูลลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมและไพร่พลมุสลิมนัน้ เป็ นความผิดร้ายแรงที่จะทาให้พวกเขาได้รบั การลงโทษ ที่เจ็บปวดและเลวร้ายจากอัลลอฮฺ พวกเขาได้ถกู ตัดขาดจากสังคม แม้กระทัง่ ภรรยาและคนในครอบครัว ของพวกเขาเองก็ถกู ห้ามมิให้พดู จากับพวกเขา ทาให้พวกเขาเสียใจ สานึกผิด และขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺ ด้วยจิตใจที่บริสทุ ธิ์ และอัลลอฮฺ ได้ทรงรับการขออภัยโทษพวกเขาด้วยการให้อภัยโทษ ทาให้พวกเขาซาบซึ้ง และดีใจเป็ นที่สดุ จนหาที่เปรียบมิได้ พวกเขาได้ขอบคุณในความเมตตาและความพึงพอพระทัยของพระองค์ ด้วยการเสียสละทรัพย์สินทุกอย่างอันเป็ นเหตุแห่งความผิดพลาดของพวกเขาไปในหนทางของอัลลอฮฺ o บทเรียนสาคัญจากเรื่องดังกล่าวก็คือว่า ความศรัทธาที่แท้จริงจะยับยัง้ บุคคลจากพฤติกรรม หลีกเลี่ยงจากการร่วมกับผูอ้ ื่นในการประกอบภารกิจและทาหน้าที่อนั พึงมี หรือทาให้เขาพึงพอใจอยู่ ความสุขสบายส่วนตน ในขณะที่คนอื่น ๆ ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ลาบากและความเหน็ดเหนือ่ ยใน 112
หนทางของอัลลอฮฺ นัน่ คือสัญชาตญาณของความศรัทธาที่แท้จริง ที่ทาให้บคุ คลสานึกอยู่เป็ นนิตย์ว่า คุณ คือสมาชิกคนหนึง่ ของญะมาอะฮฺ เป็ นส่วนหนึง่ ของประชาชาติทงั้ หมด สิ่งใดที่ประสบกับญะมาอะฮฺ ก็เท่ากับ ว่าสิ่งนัน้ กาลังประสบกับคุณเอง และผลประโยชน์ใด ๆ ที่ญะมาอะฮฺ ได้รบั ก็เท่ากับว่าคุณได้รบั สิ่งนัน้ ด้วย ดังนัน้ ความสุขสบายใด ๆ จึงไร้ความหมายสาหรับคุณในขณะที่สงั คมประชาชาติอิสลามกาลังตกอยู่ใน ความทุกข์ยาก แท้จริงแล้ว การวางมือจากการทาหน้าที่และความรับผิดชอบนัน้ มีสาเหตุจากความศรัทธา ที่อ่อนแอ และความเป็ นมุสลิมที่ไม่สมประกอบนัน่ เอง ยิ่งไปกว่านัน้ มันยังเป็ นความผิดอันมหันต์ที่บคุ คล จะต้องขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺ o บทเรียนสาคัญสาหรับเราอีกประการหนึง่ จากเรื่องดังกล่าวนีก้ ็คือ การยืนยันอย่างหนักแน่นว่า อะกีดะฮฺ นนั้ อยู่เหนือความสัมพันธ์ทางสายเลือดและเครือญาติหรือครอบครัว การปฏิบตั ติ ามระบบที่ อิสลามกาหนดให้จะต้องมาก่อนความต้องการทางอารมณ์และความรูส้ ึก จริง ๆ แล้วญาติพี่นอ้ งและคน ใกล้ชิดไม่สามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากความกริ้วโกรธและการลงโทษของอัลลอฮฺ ได้ อัลลอฮฺ ตรัสว่า
ความว่า “ ดังนัน้ จงให้บรรดาผูท้ ี่ฝ่าฝืนคาสัง่ ของเขา(เราะซ ูล ุลลอฮฺ )ระวังจากความเสียหายที่จะ ประสบกับพวกเขา หรือการลงโทษอันเจ็บปวดที่จะประกับพวกเขา”(ซูเราะฮฺ อนั นูรฺ อายะฮฺ ที่ 63)
6.3 ฮัจญ์อาลา17)(حجت الوداع ฮัจญ์อาลา เป็ นฮัจญ์ครัง้ แรกและครัง้ เดียวที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมได้ปฏิบตั ติ ลอด การเป็ นเราะซูลของท่าน เมื่อข่าวคราวเกี่ยวกับความประสงค์ของท่านในการเดินทางไปปะกอบพิธีฮจั ญ์ในปี นัน้ ได้กระจายออกไป ชาวมุสลิมจากทุก ๆ กลุม่ ทัว่ ดินแดนของมุสลิมในเวลานัน้ ต่างก็ได้สง่ ตัวแทนเข้าร่วม เดินทางไปประกอบพิธีฮจั ญ์กบั ท่าน ซึ่งนักประวัตศิ าสตร์บางท่านได้ระบุว่ามีจานวนถึง 140,000 คน ซึ่ง ผูเ้ ขียนมีความเห็นว่า จานวนนีอ้ าจเป็ นจานวนที่ประมาณการเอาเท่านัน้ เพราะไม่ปรากฏว่าจานวนที่ มากมายดังกล่าวมาด้วยการนับอย่างไร ? ในฮัจญ์ครัง้ นีท้ ่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้เทศนาด้วยคาเทศนาที่เป็ นที่ทราบกัน โดยทัว่ ไป เป็ นคาเทศนาที่นกั เรียน นักศึกษาควรท่องจา เพราะท่านได้ประกาศถึงรากฐานทัว่ ไปของอิสลาม และเป็ นคาเทศนาครัง้ สุดท้ายของท่านด้วย ดังจะยกมาพอสังเขปดังนี้ “โอ้มนุษยชาติ โปรดรับฟังคาของฉันให้ดี เพราะฉันไม่ทราบว่า บางทีหลังจากปีนี้ไปฉันอาจจะไม่มีโอกาส ได้พบกับพวกท่านทัง้ หลายณ สถานที่แห่งนี้อีกตลอดไปชัว่ กาลนาน” “ แท้จริงเลือด ทรัพย์สินและเกียรติยศของพวกท่านเป็นที่ตอ้ งห้ามสาหรับพวกท่าน(ที่จะ ละเมิด)ไปจนกว่าพวกท่านจะพบกับพระผูเ้ ป็นเจ้าของพวกท่าน เหมือนเกียรติยศของพวกท่านใน เดือนต้องห้ามนี้ ณ เมืองนี้ แท้จริงพวกท่านจะต้องกลับไปพบพระผูเ้ ป็นเจ้าของพวกท่าน
17
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เริ่มเตรียมตัวเดินทางประมาณวันที่ 26 – 27 ซุลกิอฺดะฮฺ ฮ.ศ. 10
113
พระองค์จะทรงถามพวกท่านเกี่ยวกับการงานทัง้ หมดของพวกท่าน และโดยแน่แท้ฉนั ได้บอกพวก ท่านหมดแล้ว ดังนัน้ ผูใ้ ดที่มีของฝากไว้ในความด ูแลรับผิดชอบ ก็จงคืนให้เจ้าของสิ่งนัน้ ไป ดอกเบี้ยท ุก ชนิดเป็นที่ตอ้ งห้ามและถูกยกเลิกแล้ว ทว่าพวกท่านมีสิทธิ์ในเงินต้นของพวกท่านโดยจะต้องไม่มี การอธรรมต่อกัน อัลลอฮฺ ทรงกาหนดว่าไม่มีดอกเบี้ยใด ๆ ดอกเบี้ยของอับบาส บิน อับด ุลมุฏ เฏาะลิบ ได้ถ ูกยกเลิกไปหมดแล้ว แท้จริงการฆ่าล้างแค้นแบบญาฮิลียะฮฺ นนั้ ได้ถ ูกยกเลิกไปแล้ว การฆ่าล้างแค้นครัง้ แรกนัน้ เกิดขึ้นกับอิบน ุ เราะบีอะฮฺ บ ุตรของอัลหาริษ (เขาได้รบั การเลียงด ูจน เติบใหญ่ที่ช ุมชนบนีซะอฺ ด ์ ต่อมาได้ถ ูกก๊กซ ุฮียล์สงั หาร ” “โอ้มนุษยชาติ แท้จริง มารร้ายได้หมดหวังไปตลอดกาลที่จะให้มนั ถ ูกเคารพภักดีบนแผ่นดินของพวก ท่านนี้ แต่มนั ก็ยงั คงพอใจหากว่ามันยังถ ูกเคารพภักดีในเรือ่ งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พวกท่านคิดว่ามัน เป็นเรือ่ งเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังนัน้ ขอให้พวกท่านระมัดระวังในเรือ่ งศาสนาของพวกท่าน” “โอ้มนุษยชาติ แท้จริง อันนะซีอ(์ การเลื่อนเดือนที่ตอ้ งห้ามให้ลา่ ช้าออกไป)นัน้ เป็นการทวีการปฏิเสธ ที่ทา ให้พวกปฏิเสธ หลงผิด พวกเขาอ ุตริข้ ึนเพื่อให้เป็นการอนมุ ตั ิหนึ่งปี และให้เป็นที่ตอ้ งห้ามอีกหนึ่ง ปีสลับกันไป แล้วพวกเขาก็ได้อนมุ ตั ิในสิ่งที่อลั ลอฮฺ ทรงห้าม และห้ามในสิ่งอัลลอฮฺ ได้ทรงอนมุ ตั ิ ” แท้จริง กาลเวลานัน้ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเหมือนกับวันที่อลั ลอฮฺ ทรงสร้างชัน้ ฟ้าและแผ่นดิน แท้จริง จานวนเดือนในรอบปี ณ อัลลอฮฺ คือ 12 เดือน มีสี่เดือนเป็นเดือนต้องห้าม ในนัน้ มีสาม เดือนติดต่อกันตามลาดับคือ ซ ุลกิอฺดะฮฺ ซ ุลฮิจญะฮฺ และมุหรั ร็อม ส่วนเดือนต้องห้ามที่สี่คือ เราะญับ ซึ่งอยูร่ ะหว่างเดือนํมุ าดิลเอาวัล กับํมุ ะดิลอาคิรฺและชะอฺ บาน” “โอ้มนุษยชาติ แท้จริงพวกท่านมีสิทธิเหนือภรรยาของพวกท่าน เช่นเดียวกัน ภรรยาของพวกท่านก็มี สิทธิเหนือพวกท่าน พวกท่านมีสิทธิหา้ มพวกนางมิให้อนญ ุ าตให้ผใ้ ู ดที่พวกไม่ชอบเข้าไปยังที่นอน ของพวกท่าน พวกนาง จะต้องไม่กระทาในสิ่งที่น่างรังเกียจที่ชดั แจ้งใด ๆ หากพวกนางไม่เชื่อ ฟัง อัลลอฮฺ ก็ทรงอนญ ุ าตให้พวกท่านแยกที่นอนกับพวกนาง และอนญ ุ าตให้พวกท่านเฆี่ยนตีพวก นางได้ดว้ ยการเฆี่ยนตีที่ไม่ร ุนแรงหรือไม่เกิดบาดบาดแผล หากพวกนางหย ุดจากการกระทา เช่นนัน้ พวกนางก็มีสิทธิที่จะได้รบั ปัจจัยยังชีพและเครือ่ งนงุ่ ห่มสาหรับนางจงในพวกนาง ด้วยดี จงสัง่ เสียและอบรมสัง่ สอนภรรยาของพวกท่านด้วยสิ่งที่ดีงาม เพราะพวกนางคือผูช้ ่วยเหลือ พวกท่าน พวกนางไม่มีสิทธิในตัวพวกนางเอง แท้จริงพวกท่านรับพวกนางมาในฐานะอมานะฮฺ ของอัลลอฮฺ และนางเป็นที่อนมุ ตั ิสาหรับพวกท่านที่จะร่วมหลับนอนกับพวกนางได้ดว้ ยพระดารัส ของอัลลอฮฺ จงใคร่ครวญคาพูดของฉันให้ดี โอ้มนุษยชาติทงั้ มวล แท้จริงฉันได้แจ้งแก่พวกท่าน หมดแล้ว และฉันได้ท้ ิงไว้ซึ่งสองสิ่งที่หากพวกท่านยึดมัน่ ในทัง้ สอง จะทาให้พวกท่านหลงทาง ตลอดไป นัน่ คือ คัมภีรข์ องอัลลอฮฺ และซ ุนนะฮฺ ของนบีของพระองค์ ” “โอ้มนุษยชาติ จงฟังและใคร่ครวญคาพูดของฉัน พวกท่านทัง้ หลายทราบดีว่า มุสลิมเป็นพี่นอ้ งกัน และ ว่าประชาคมมุสลิมเป็นพี่นอ้ งกัน จึงไม่เป็นที่อนมุ ตั ิที่สาหรับใครที่จะเอาทรัพย์สินของพี่นอ้ งของ 114
เขาเว้นแต่สิ่งมอบให้ดว้ ยเต็มใจ พวกท่านจงอย่าก่อการอธรรมต่อตัวพวกท่านเอง โอ้อลั ลอฮฺ ฉนั ได้ถ่ายทอดทัง้ หมดแล้ว” ประการแรก ที่นา่ สนใจในฮัจญ์อาลาครัง้ นัน้ คือ จานวนของผูเ้ ข้าร่วมกับท่านเราะซูลลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมที่มากมายและมาจากทัว่ ดินแดนอาหรับที่ได้เข้ารับอิสลามแล้วในเวลานัน้ พวก เขาเหล่านัน้ คือผูท้ ี่ศรัทธาในท่าน สาส์นที่ท่านนามา และเชื่อฟังคาสัง่ ทุกอย่างของท่าน ในขณะที่กอ่ นหน้านี้ ยี่สิบปี บางคนจากหมูพ่ วกเขาเคยกราบไว้บชู าเจว็ดและตัง้ ภาคีกบั อัลลอฮฺ เป็ นผูท้ ี่ปฏิเสธหลักคาสอนของ อิสลามและรูส้ ึกมึนงงกับเสียงเรียกร้องมาสูก่ ารยืนยันนับถือพระผูเ้ ป็ นเจ้าองค์เดียว ยิ่งไปกว่านัน้ มีบางส่วน ของพวกเขาที่เคยเป็ นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงกับคาเรียกร้องเชิญชวนสูอ่ ิสลามที่ท่านนามา มีวิธีการสารพัดที่ ถูกนามาใช้เพื่อขัดขวางการเคลื่อนไหวและเติบโตของอิสลาม หรือแม้กระทัง่ การสร้างความเจ็บปวดให้กบั ร่างกายของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และการระดมกลุม่ คนหนุม่ เพื่อลอบสังหารท่าน การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่นเี้ กิดขึน้ ได้อย่างไรในเวลาอันรวดเร็ว แล้วท่านทาอย่างไรถถึงสามารถ เปลี่ยนจากลัทธิบชู าเจว็ด ความไร้อารยธรรม และความแตกแยก มาเป็ นการเคารพภักดีอลั ลอฮฺ เพียงองค์ เดียว รูจ้ กั อาตมันและคุณลักษณะของพระองค์ ให้ความสาคัญกับความสามัคคี และมีเป้าหมายเดียวกัน ? จิตใจที่แข็งกร้าวนัน้ ถูกทาให้อ่อนโยนลงได้อย่างไร ความรูส้ ึกเป็ นศัตรูกนั ที่รอ้ นแรงได้ถกู ทาให้ดบั ลงด้วย ความรักอันบริสทุ ธิ์ตอ่ กันได้อย่างไร ? แท้จริงแล้ว สาหรับมนุษย์ธรรมดาสามัญทัว่ ไป แม้จะมีความฉลาด หลักแหลม และมีบคุ ลิกภาพที่ดึงดูดเพียงใดก็ไม่สามารถบรรลุถึงความสาเร็จเช่นที่ท่านประสบได้แม้จะใช้ เวลาเป็ นร้อย ๆ ปี ซึ่งเราก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคนที่มีความสามารถเช่นนัน้ ทัง้ จากในอดีตและในปั จจุบนั ทัง้ หมดเกิดขึน้ ได้ก็เนือ่ งจากสัจธรรมที่อยู่ในสาส์นที่ท่านนามา การได้รบั การสนับสนุนจากฟากฟ้ า และการช่วยเหลือของอัลลอฮฺ นัน่ คือความมหัศจรรย์แห่งอิสลามที่สมบูรณ์ครบถ้วน ที่อลั ลอฮฺ ทรงประทาน ให้เป็ นความโปรดปรานแก่ปวงบ่าวของพระองค์ เป็ นสาส์นสุดท้ายจากพระองค์สม่ ู นุษยชาติ นัน่ คือความ ประสงค์ของอัลลอฮฺ ที่ตอ้ งการยุตคิ วามทุกข์ยากของมนุษย์ที่ปราศจากธรรมนูญ ยอมตนต่ออารมณ์ใฝ่ ตา่ และความรูส้ ึกแบบกลุม่ นิยม อัลลอฮฺ ทรงประสงค์ให้พวกเขาได้รบั ทางนาที่แท้จริง เปิ ดตาพวกเขาให้เห็นแสง สว่าง บอกให้พวกเขายืนขึน้ เพื่อนาประชาชาติ เปลี่ยนวิถีของประวัตศิ าสตร์ ขจัดความตา่ ต้อยของมนุษย์ให้ หมดไป ตลอดจนสืบทอดมรดกแห่งวิทยปั ญญาความฉลาดรอบรู้ และคัมภีรอ์ ลั กุรฺอานอันเป็ นทางนา และ ข้อเตือนสติสาหรับบรรดาผูม้ ีปัญญา คนจานวน140,000 คนซึงก่อนหน้านีเ้ คยเป็ นผูต้ อ่ ต้านและปฏิเสธท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัล- ลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้เปลี่ยนมาเป็ นผูท้ ี่ศรัทธาในตัวท่านในเวลาต่อมา พวกเขาซึ่งก่อนหน้านีท้ าสงครามกับ ท่านได้กลายมาเป็ นผูย้ อมนอบน้อมต่อท่าน พวกเขาซึ่งก่อนหน้านีเ้ กลียดท่านได้กลายมาเป็ นผูท้ ี่รกั ท่านเป็ น ชีวิตจิตใจ ก่อนหน้านีพ้ วกเขาปฏิเสธ จู่ ๆ ก็กลับกลายเป็ นผูเ้ ชื่อฟังและซื่อสัตย์ตอ่ ท่าน ทัง้ หมดนัน้ เกิดขึน้ ภายในระยะเวลาประมาณ 23 ปี นัน่ แหละคือพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ผทู้ รงบริสทุ ธิ์เหนือสิ่งที่พวกเขา ตัง้ ขึน้ เป็ นภาคี เช่นเดียวกับท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่ได้รบั การปกป้องจากข้อ กล่าวหา และใส่รา้ ยป้ายสีตา่ ง ๆ จากเหล่าศัตรู ประการที่สอง ที่นา่ สนใจในเหตุการณ์ฮจั ญ์อาลาคือคาเทศนาของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมแก่มวลมนุษยชาติ เป็ นการประกาศถึงหลักพื้นฐานต่าง ๆ ที่ท่านได้ทาสาเร็จในการปฏิบตั ิ หน้าที่ของท่านในฐานะผูน้ าสาส์นและผูน้ าประชาชาติ ทัง้ นีเ้ พื่อเสริมความเข้มแข็งให้กบั หลักการต่าง ๆ ที่ ท่านได้เคยประกาศไปแล้วก่อนหน้านีใ้ นช่วงแรก ๆ ของการ ดะอฺ วะฮฺ ซึ่งขณะนัน้ ท่านยังอยู่ในสภาพที่โดด เดี่ยวและถูกกดขี่ เนือ่ งจากผูส้ นับสนุนตามที่มีจานวนน้อยและอ่อนแอ หลักการพื้นฐานยังคงเดิม ไม่มีการ เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะมีผสู้ นับสนุนมากหรือมีผสู้ นับสนุนน้อย ในยามสงครามหรือในยามสงบศึก ในยามแพ้ หรือในยามชนะ ในยามที่ขา้ ศึกเข้มแข็งหรือในยามที่ขา้ ศึกอ่อนแอ
115
ในขณะที่เราได้รบั ทราบว่า บรรดาผูน้ าในโลกมักจะเปลี่ยนความเชื่อและหลักการของตนอยู่เสมอ มี หลักการที่แตกต่างกันระหว่างช่วงเวลาที่เข้มแข็งกับช่วงเวลาที่อ่อนแอ วิธีการกับเป้าหมายไม่เหมือนกัน ข้างนอกกับข้างในเป็ นคนละเรื่องกัน ยามอ่อนแอเหมือน ยาจกยามเข้มแข็งเหมือนราชสีห์ ทัง้ หมดนัน้ เป็ น เพราะว่าพวกเขาเป็ นนักต่อสูเ้ พื่อผลประโยชน์ ในขณะที่ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมเป็ น ผูส้ ื่อสาส์นของอัลลอฮฺ มันช่างแตกต่างกันอย่างไกลลิบลับ ระหว่างคนที่วนเวียนอยู่เพียงแต่บนซากศพกับคนแหวกว่ายอยู่ ในมหาสมุทรแห่งแสงสว่าง มัน่ ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ระหว่างคนที่ทางานเพื่อตนเองกับคนที่ทางานเพื่อมนุษยชาติทงั้ ผอง มัน่ ช่างแตกต่างกันยิ่งนัก ระหว่างบรรดาผูท้ ี่เป็ นที่รกั ของชัยฏอนกับบรรดาผูเ้ ป็ นที่รกั ของ อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ ตรัสว่า ...
ความว่า “ อัลลอฮฺ ทรงเป็นที่รกั ของบรรดาผูศ้ รัทธา พระทรงนาพวกเขาออกจากความมืดไปสูแ่ สง สว่างส่วนบรรดาผูป้ ฏิเสธนัน้ ผูป้ ็ นที่รกั ของพวกเขาคือพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺ ที่นาพวกเขาออก จากแสงสว่างไปสูค่ วามมืด”(ซ ูเราะฮฺ อลั บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺ ที่ 257)
6.4 การส่งทัพอ ุซามะฮฺ ภารกิจสุดท้ายของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัมในการขยายตัวและเสริมสร้าง ความเข้มแข็งของการดะอฺ วะฮฺ พร้อมทัง้ ปกป้องรัฐอิสลามที่พึ่งตัง้ ขึน้ ใหม่จากการรุกรานของฝ่ ายศัตรู คือ การเตรียมกองทัพภายใต้การนาของอุซามะฮฺ บินซัยด์ เพื่อส่งไปยังแผ่นดินชาม(ซีเรีย) ท่านคาดหวังว่าให้ ทัพนีเ้ ดินทางไปถึงสถานที่ที่มีชื่อว่า “อัลบัลกออ์” และ “อัดดารูม” ณแผ่นดินปาเลสไตน์ ไพร่พลผูร้ ่วมเดินทางในกองทัพนีป้ ระกอบด้วยชาวมุฮาญิรีน อันศอรและชาวเมืองมดี นะฮฺ ในขณะที่ กองทัพนีอ้ ยู่นอกเมืองมดีนะฮฺ และกาลังเตรียมตัวที่จะออกเดินทางนัน้ ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะ ซัลลัม ก็ได้ลม้ ป่ วยลงพอดี กองทัพจึงถูกระงับการเดินทางเพื่อรอให้ท่านหายป่ วย ด้วยหวังจะได้ ยินคาสัง่ เสียและคาตักเตือนอันมีคา่ ของท่านแก่กองทัพ แต่ในที่สดุ หลังจากนัน้ เพียงไม่กี่วัน ท่านก็ได้เสียชีวิต ลง อัลลอฮฺ ได้ทรงเรียกท่านกลับสูค่ วามเมตตาของพระองค์ภายหลังจากที่ท่านได้ทาหน้าที่ ความ รับผิดชอบในการตีแผ่สาส์นของอัลลอฮฺ จนสามารถขยายกว้างออกไปทัว่ ดินแดนของคาบสมุทรอาหรับ และ ได้ขยายออกจากดินแดนนัน้ ไปทัว่ ทุกมุมโลกในเวลาต่อมา พร้อม ๆ กับการนาเอาคาสอนและอารยธรรม อิสลามออกไปด้วย ท่านประสบความสาเร็จในการจัดกองทัพ่เหล่าทหารที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว พร้อม ที่จะกระโจนเข้าสูส่ มรภูมิ ท่านสามารถผลิตผูน้ าเหล่าทัพที่พร้อมและสามารถที่จะนาทัพ ผลิตนักต่อสูแ้ ละ เหล่าผูน้ าที่เหมาะสมจะเป็ นผูป้ กครองประเทศและแว่นแคว้น ทัง้ หมดนัน้ เราของกล่าวเศาะละวาต และสลามแด่ท่านในความพยายามและบุญคุณของท่านที่มีตอ่ เราและมวลมนุษยชาติ เพราะมาตรว่าไม่มีท่านและกองทัพที่ประสบความสาเร็จในการประภารกิจดังกล่าว ของท่านแล้วไชร้ แน่นอนว่า พวกเราจะยังคงอยู่ในการลงทางอย่างแน่นอน
116
อัลลอฮฺ ได้ทรงให้เกียรติแก่ท่านมากด้วยการให้เกียรติที่ไม่เคยปรากฏแก่เราะซูลคนใดก่อนหน้านี้ นัน่ คือการทาให้อายุของท่านยืนยาวจนได้เห็นผลจากการใช้ความพยายามในการดะอฺ วะฮฺ และความสาเร็จใน การต่อสูข้ องท่านจนสามารถมีอิทธิพลเหนือคาบสมุทรอาหรับทัง้ หมด แล้วได้ประสบความสาเร็จในการทา ให้เจว็ด และลัทธิกราบไหว้บชู าเจว็ดทุกรูปแบบหมดไปจากดินแดนอาหรับ จนในที่สดุ ผูท้ ี่ทาลายเจว็ดก็ไม่ใช่ ใคร่อื่นนอกจากบรรดาผูท้ ี่เคยเคารพบูชาเจว็ดนัน่ เอง ด้วยพวกเขามีความยินดีและเปรมปี ติกบั ความโปรด ปรานของอัลลอฮฺ ที่ทรงให้พวกเขารอดพ้นจากการหลงผิด ยิ่งไปกว่านัน้ พวกเขายังยินดีและพร้อมที่จะ เดินทางออกไปทัว่ ทุกมุมโลกเพื่อนาสาส์นอิสลามและแสงสว่างแห่งทางนาใปสูเ่ พื่อนมนุษย์เช่นที่อลั ลอฮฺ ได้ ทรงกรุณาประทานให้แก่พวกเขา ดังกล่าวนัน้ คือ ชนรุ่นหนึง่ ที่เคยกราบไหว้บชู าเจว็ด และถือเอามันเป็ นพระเจ้า ใช้ชีวิตอย่างไร้สาระ และเสื่อมเสียในโลกญาฮิลียะฮฺ แต่แล้วพวกเขาก็ได้ทาลายเจว็ดจนหมดไป สามารถสถาปนารัฐอาหรับขึน้ ได้ เป็ นครัง้ แรกในหน้าประวัตศิ าสตร์ของชนชาติอาหรับ พวกเขาแหละคือผูไ้ ด้กลายเป็ นผูท้ าหน้าที่นาสาส์นไป ถึงเป้าหมาย เป็ นครูและผูช้ ว่ ยในมนุษยชาติหลุดพ้นจากความเลวร้าย นาแสงสว่างแห่งทางนาไปให้ นานาชาติที่ถกู ความมืด ความไม่ร ู้ และความผิดพลาดต่าง ๆ ครอบงาอยู่ นีแ่ หละคือเหตุการณ์ทางประวัตศิ าสตร์ที่สาคัญยิ่งในหน้าประวัตศิ าสตร์ของมนุษยชาติจนถึง ปั จจุบนั การส่งกองทัพภายใต้การนาของอุซามะฮฺ เป็ นตัวบ่งชี้สาคัญของความจริงข้อนี้ และถือเป็ นผลสาเร็จ แห่งสาส์นอิสลาม การที่ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ซึ่งเป็ นเด็กหนุม่ ผูม้ ีอายุเพียงยี่สิบปี เป็ นผูน้ า ทัพ ทัง้ ๆ ที่ในกองทัพนัน้ มีพวกผูใ้ หญ่ และบุคคลสาคัญทัง้ จากชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรฺ เช่น อบูบกั รฺ อุมรั ฺ อุษมาน และอะลีย์ และคนอื่น ๆ พวกเขาเหล่านัน้ คือผูท้ ี่เข้ารับอิสลามก่อน มีอายุมาก และมีฐานะสูง กว่าอุสามะฮฺ ทัง้ หมดนีเ้ ป็ นสิ่งที่ยืนยันว่าอิสลามไม่ได้ให้ความสาคัญกับความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้าน อายุ ตาแหน่ง และฐานะทางสังคมมากเท่ากับการให้ความสาคัญกับ ความสามารถและความเหมาะสม กับงาน อีกประการหนึง่ ที่ประวัตศิ าสตร์อิสลามได้พิสจู น์ให้เห็น คือ การที่บคุ คลที่เป็ นบุคคลสาคัญ ๆ และ มีอวุโสมีความยินดีที่จะอยู่ใต้การนาของอุซามะฮฺ ที่เป็ นคนหนุม่ นัน้ แสดงถึงความสาเร็จของท่านเราะซูลลุ ลอ ฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ในกระบวนการหล่อหลอมจิตวิญญาณ และสร้างคุณธรรมจริยธรรมแก่ เหล่าสาวก อีกทัง้ ยังชี้แนะว่า ควรเปิ ดโอกาสให้คนหนุม่ ที่มีความเหมาะสมและเฉลียวฉลาดให้ได้ทาหน้าที่ใน การนาและการบริหารเพื่อประสิทธิภาพและความสาเร็จของงาน นีถ่ ือเป็ นบทเรียนหนึง่ ที่มีความสาคัญยิ่ง ซึ่งถ้าหากประชาชาติอิสลามได้จดจาและได้นาไปประยุกต์ใช้ ก็คงจะช่วยให้ประวัตศิ าสตร์อิสลามไม่มีจดุ บอด อันเปรอะเปื้ อนด้วยความขัดแย้งในการเข่นฆ่ากันเหมือนเช่นที่ปรากฏในบางช่วงที่ผา่ นมา ท่าทีของท่านของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ถือเป็ นท่าทีที่ยอดเยี่ยม อันเนือ่ ง ด้วยการสนับสนุนจากวะหฺ ยขู องอัลลอฮฺ ฉัจริยภาพ จริยธรรมอันสูงส่ง วิสยั ทัศน์ที่ยาวไกล และแนวคิดเชิง การเมืองที่ลึกลา้ ไม่มีกรณีเปรียบเทียบที่จะหามาได้ทงั้ ในประวัตศิ าสตร์และปั จจุบนั ขออัลลอฮฺ ทรงโปรด ปรานแก่อซุ ามะฮฺ ที่ได้ตอ่ สูบ้ นพื้นฐานของความไว้วางใจที่ท่านของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ให้กบั เขา การนาที่โดดเด่น ความเข้มแข็ง และความสุจริตใจของเขาต่ออิสลาม หวังว่า การต่อสู้ ของเขาจะยังคงเป็ นแบบอย่างที่ดีสาหรับเหล่าคนหนุม่ ที่เป็ นนักต่อสูต้ ลอดไป
6.5 การเสียชีวิตของของท่านเราะซ ูล ุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮ ุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ก่อนเสียชีวิต ท่าน ของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้รบั ทราบผ่านวะหฺ ย ู ของอัลลอฮฺ ว่าวาระสุดท้ายของชีวิตท่านใกล้เข้ามามากแล้ว และท่านก็ได้กล่าวอาลาประชาชาติของท่านผ่าน 117
ฮัจญ์อาลา แน่นอนที่สดุ ว่าบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ตา่ งมีสภาพจิตใจที่ไม่เป็ นปกติ ว้าวุ่นด้วยเกรงว่าเวลาแห่งการ จากลานัน้ จะมาถึง แต่นนั ่ คือวาระกาหนดสาหรับชีวิตคนที่อลั ลอฮฺ ได้ขดี เส้นไว้ ไม่มีผใู้ ดเปลี่ยนแปลงให้เร็ว หรือช้าได้เลยแม้แต่เล็กน้อย เมื่อข่าวการเสียชีวิตของท่าน ของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้แพร่ ออกไป เมืองมดีนะฮฺ ทงั้ เมืองตกอยู่ในสภาพที่ว่นุ วายไปหมด ส่วนหนึง่ จากเหล่าเศาะฮาบะฮฺ อาวุโสต่างปิ ด ปากเงียบไม่ยอมพูดจา ในขณะที่สาวกระดับแนวหน้าอย่างท่านอุมรั ฺ บินอัลค็อฏฏอบ ไม่เชื่อว่าท่านเราะ ซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม จากไปแล้ว พร้อมได้ชดู าบขึน้ ประกาศไม่ให้ผคู้ นพูดว่า “ท่านเราะซู ลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เสียชีวิตแล้ว” เขาคิดว่า ท่านคงหมดสติไป สักพักหนึง่ ก็คงฟื้ นขึน้ มา มีแต่เพียง อบูบกั ร คนเดียวเท่านัน้ ที่สามารถสงบสติอารมณ์และมีจิตใจที่มนั ่ คง เขาได้เดินเข้าไปหาศพของ ท่านของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ที่นอนอยู่บนผ้าปูที่ถกู จัดเตรียมให้พลางกล่าวว่า “ โอ้ท่านเราะซ ูลของอัลลอฮฺ ที่ฉนั รัก `! ท่านช่างด ูดีเหลือเกินทัง้ เมื่อครัง้ ที่ท่านยังมีชีวิตอยูแ่ ละเมื่อท่านได้จากไปแล้ว ความ ตายที่อลั ลอฮฺ ทรงกาหนดให้แก่ท่านนัน้ ท่านได้ล้ ม ิ รสของมันแล้ว ต่อแต่น้ ีไปท่านจะไม่พบ กับความตายอีกแล้วชัว่ กาลนาน โอ้ท่านเราะซ ูลของอัลลอฮฺ โปรดเอ่ยถึงพวกเรา ณพระผู้ เป็นเจ้าของท่าน” หลังจากนัน้ อบูบกั ร ก็ได้เดินออกมายังผูค้ นจานวนมากและได้กล่าวคาปราศรัยว่า “ ผูค้ นทัง้ หลาย ! ผูใ้ ดที่เคารพบูชามุฮมั มัด ดังนัน้ มุฮมั มัดได้เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนผูใ้ ดที่เคารพภักดีตอ่ อัลลอฮฺ ดังนัน้ แท้จริงอัลลอฮฺ ยังคงทรงมีชีวิตอยู่ และไม่ทรงตาย (แล้วเขาได้อ่านอายะฮฺ ที่ว่า..
ความว่า “ มุฮมั มัดไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเป็นเราะซ ูลคนหนึ่ง (ซึ่ง) บรรดาเราะซ ูลก่อนหน้า เขาได้ตายไปแล้ว ดังนัน้ หากเขาตาย หรือเขาถ ูกสังหาร แล้วพวกท่านจะหันกลับ (สูก่ าร เป็นผูป้ ฏิเสธ)กระนัน้ หรือ ? และผูใ้ ดหันกลับ ดังนัน้ เขาจะไม่สามารถให้โทษใด ๆ กับ อัลลอฮฺ และอัลลอฮฺ จะทรงประทานรางวัลตอบแทนแก่บรรดาผูข้ อบค ุณ ”(ซ ูเราะฮฺ อาลิ อิ มรอน อายะฮฺ ที่ 144) หลังจากที่ได้รบั ฟังคาปราศรัยของอบูบกั รแล้ว คนส่วนใหญ่ก็เริ่มรูส้ ึกตัวหลังจากที่ตกอยู่ในสภาพ ที่มึนงงกับข่าวกระทันหันข้างต้น ประหนึง่ ว่าพวกเขาไม่เคยได้รบั รูอ้ ายะฮฺ อลั กุรฺอานที่อบูบกั รได้นามาอ่านแก่ พวกเขามาก่อนหน้านีเ้ ลย อบู ฮุร็อยเราะฮฺ ได้เล่าว่า หลังจากนัน้ อุมรั ฺ ได้กล่าวว่า “ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ หลังจากที่ฉนั ได้ยนิ อบูบกั รฺ อ่านอายะฮฺ นนั้ ทาให้ฉนั ตัวอ่อน จนเกือบทร ุดลง ประหนึ่งว่าสองเท้าของฉันไม่มี ฉันจึงรว้ ู ่าท่านของท่านเราะซ ูล ุลลอฮฺ ศ็อลลัล- ลอฮ ุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เสียชีวิตแล้วจริง ๆ”
118
บทเรียน จากเรื่องข้างต้น มีบทเรียนสาคัญสองประการ ดังนี้ ประการแรก การที่บรรดาเศาะฮาบะฮฺ ตกใจที่ได้ยินข่าวการตาย ของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม และไม่เชื่อว่าท่านตาย ทัง้ ๆ ที่พวกเขารูว้ ่าทุก ๆ สิ่งมีชีวิตจะต้องพบกับความตายนัน้ คงเป็ น เพราะว่า ความรักที่มากมายที่พวกเขามีตอ่ ท่านนัน่ เอง ความรักที่ได้ซึมซับอยู่ในเลือดเนือ้ ของพวกเขา การรูส้ ึกตกใจเนือ่ งจากข่าวการจากไปของคนรักนัน้ จะมีมากหรือมีนอ้ ยก็คงขึน้ อยู่กบั ว่าความรักที่ มีตอ่ คนคนนัน้ จะมากหรือน้อยเพียงใด บ่อยครัง้ ที่เราได้พบเห็นคนที่ตอ้ งสูญสียลูก หรือสูญเสียพ่อแม่ที่ได้ อยู่ร่วมกับพวกเขามาช่วงระเวลาหนึง่ ผูท้ ี่ตอ้ งสูญเสียแทบจะไม่เชื่อว่าพ่อแม่ หรือลูก ๆ ของพวกเขาได้ ตายจากไปแล้ว ดังนัน้ ที่ใดก็ตามแต่บนโลกนีท้ ี่มีความรัก ย่อมสามารถนาไปเปรียบเทียบกับความรักที่เหล่า เศาะฮาบะฮฺ มีตอ่ ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้เสมอ เพราะท่านได้เคยชี้ทางนาในการ ดาเนินชีวิตแก่พวกเขาเหล่านัน้ ท่านได้ชว่ ยให้พวกเขาออกมาจากความมืดของญาฮิลียะฮฺ มาสูแ่ สงสว่างของ อิสลามและความศรัทธา ชีวิตของพวกเขาได้เปลี่ยนไปสูส่ ิ่งที่ดีขนึ้ สติปัญญาของพวกเขาถูกเปิ ดกว้าง และ พวกเขาได้รบั การยกฐานะขึน้ สูก่ ารเป็ นผูน้ าที่ยิ่งใหญ่ ตลอดชีวิตของท่าน ท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ได้ทาหน้าที่เป็ นเสมือนครู ผูใ้ ห้การอบรมสัง่ สอน ปราชญ์ผชู้ ี้แนะพวกเขาให้หนั กลับไปสูก่ ารนอบน้อมถ่อมตนต่ออัลลอฮฺ อยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างในห้วงเวลาที่พวกเขาเผชิญหน้ากับอุปสรรค และทุกข์ภยั อันเลวร้าย ท่านได้ชว่ ยวิงวอนขอ ต่ออัลลอฮฺ ให้พระองค์ชี้ทางพวกเขา และช่วยเหลือพวกเขาในการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์และสถานการณ์ที่ น่ากลัวต่าง ๆ ตลอดมา เมื่อท่านจากไป หมายความว่าสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวได้ยตุ ลิ งอย่างสิ้นเชิง นัน่ ช่างเป็ น ความรูส้ ึกเจ็บปวดอันส่งผลลา้ ลึกลงไปในชีวิตของพวกเขา ประการที่สอง ท่าทีและการแสดงออกของอบูบกั รนัน้ แสดงให้เห็นถึงความมัน่ คงทางอารมณ์ความรูส้ ึกของท่าน เมื่อเปรียบเทียบกับเศาะฮาบะฮฺ คนอื่น ๆ ถือว่าท่านเป็ นผูท้ ี่สามารถควบคุมอารมณ์ได้มากกว่า ซึ่งนีค่ ือ เหตุผลประการหนึง่ ที่ทาให้ท่านเป็ นบุคคลที่มีความเหมาะสมในการทาหน้าแทนและสืบต่อจากท่านเราะซู ลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม เช่นที่เหตุผลประการนี้ ได้รบั การพิสจู น์ในหลาย ๆ เหตุการณ์ในช่วง ของการเป็ นเคาะลีฟะฮฺ ของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีของการออกนอกรีต ) (ردجที่ได้แพร่ระบาดขึน้ ทัว่ แผ่นดินอาหรับภายหลังจากการจากไปของท่านเราะซูลลุ ลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม وآخردعواوا أن الحمد هلل رب العالميه
119
120