คูมืออิอฺติกาฟ
1. นิยามดานภาษา อิอฺติกาฟ ผันมาจากคําวา “อะกะฟะ” แปลวา “อยูประจํากับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง หรือกักขังตัวเองอยูกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไมวาสิ่งนั้นจะดีหรือเลวก็ ตาม”1 ดังคําตรัสของอัลลอฮฺที่วา z KJIHGFE{ “แลวพวกเขาก็มายังกลุมชนหนึ่ง ซึ่งกําลังประจําอยูที่บรรดาเจว็ดของพวก เขา” (อัลอะอฺรอฟ, อายะฮฺที่ 138) และคํากลาวของอิบรอฮีมที่วา z £ ¢ ¡ ~ } | {{ “นี่มันรูปปนอะไรหรือ พวกทานจึงไดกักตัวบูชามัน (อยางไมลดละ)” (อัลอันบิ ยาอ อายะฮฺที่ 52) อิบนุตัยมียะฮฺกลาววา “ตาอฺ” ใน “อิอฺติกาฟ” สื่อความหมายถึงความ เพียรพยายามประเภทหนึ่ง เพราะในการอิอฺติกาฟจะมีความยากลําบาก (ที่ จําเปนตองใชความเพียรพยายาม)”2 อิอฺติกาฟยังมีชื่อเรียกอีกอยางหนึ่งวา “ญิวาร” แปลวา “ใกลชิด” ดัง มีระบุในหลายๆหะดีษดวยกัน3 เพราะผูที่ทํ าอิอฺติ กาฟจะปลีกตั วอยูอยาง 1
เขียนโดย อุษมาน อิดรีส ปาวัง 1
อิบนุฟาริส, มะกอยีส อัลลุเฆาะฮฺ, เลม 4 หนา 108, อิบนุ มันซูร, ลิสาน อัลอะร็อบ, เลม 9 หนา 255, อัลฟยยูมีย, มิศบาหฺ อัลมุนีร, เลม 2 หนา 424 2 ชัรหฺอุมดะตุลอะหฺกาม, เลม 2 หนา 707 3 ดูหะดีษอาอิชะฮฺในเศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 2028, 2029, หะดีษอบีสะอีด ในเศาะ หีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 2018, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 1167, คําพูดของอิบนุอุมัรและอิบนุอับ บาสใน มุศ็อนนัฟอับดุรร็อซซาก, เลม 4 หนา 353, สุนันอัลบัยฮะกีย, เลม 4 หนา 318 2
สันโดษและหางไกลจากสังคม ดวยการอยูใกลชิดกับมัสยิดตลอดเวลา เพื่อทํา การอิบาดะฮฺตออัลลอฮฺและใกลชิดพระองค4 ดังนั้น อิบนุหะญัรจึงกลาววา “ญิวารและอิอฺติกาฟเปนสิ่งเดียวกัน”5 1.2 นิยามดานนิติศาสตร บรรดาฟุเกาะฮาอฺตางมีมติเปนเอกฉันทวา นิยามของอิอฺติกาฟดาน นิติบัญญัตินั้น หมายถึง “การกักตัวอยูในมัสยิดเพื่อการภักดีตออัลลอฮฺ” ถึงแมวาจะมีความแตกตางและเหลื่อมล้ํากันบางในดานสาระปลีกยอยสวน อื่นๆระหวางคํานิยามของแตละฝาย ดังนี้ - หะนะฟย นิยามวา “คือการพักอยูในมัสยิดพรอมกับถือศิลอดและ นิยัตอิอฺติกาฟ”6 - มาลิกีย นิยามวา “คือการที่มุสลิมผูบรรลุศาสนภาวะบังคับตัวเองอยู ในมั สยิ ดที่ อนุ มั ติ ด วยการถื อศิ ลอด พร อมกั บยั บ ยั้ งจากการมี เพศสัมพันธกับภรรยาและบทเริ่มตนของการมีเพศสัมพันธเปนเวลา หนึ่ งวั นกั บหนึ่ งคื นหรื อมากกว านั้ นเพื่ อทํ าการภั กดี ด วยการตั้ ง เจตนา (นิยัต)”7 - ชาฟอีย นิยามวา “คือการพักอยูในมัสยิดของเฉพาะบุคคลดวยการ ตั้งเจตนา”8
4
อัตฏ็อนฏอวีย, อัลอิอฺติกาฟ อะหฺกามุฮุ วะฟะฎออิลุฮุ วะอาดาบุฮุ, หนา 9 ฟตหุลบารีย, เลม 4 หนา 273 6 อัลฮิดายะฮฺ, เลม 2 หนา 390 (พิมพคูกับฟตหุลเกาะดีร) 7 อัชชัรหุลกะบีร ของอัดดัรดีร พรอมเชิงอรรถ, เลม 1 หนา 541 8 มุฆนิลมุหฺตาจญ, เลม 1 หนา 449 3
- หันบะลีย นิยามวา “คือการบังคับตัวเองของมุสลิมผูมีสติสัมปชัญญะ ถึงแมวาจะเปนผูที่บรรลุศาสนภาวะก็ตาม อยูในมัสยิด ถึงแมวาจะ เปนเพียงชวงเวลาหนึ่ง เพื่อการภักดีตออัลลอฮฺดวยลักษณะวิธีที่เปน การเฉพาะ”9 - อิบนุหัซมิน นิยามวา “คือการอยูในมัสยิดดวยเจตนาเพื่อสรางความ ใกลชิดตออัลลอฮฺในชวงเวลาหนึ่งหรือมากกวานั้น ไมวาจะเปนเวลา กลางวันหรือกลางคืนก็ตาม”10 2. หลักฐานดานศาสนบัญญัติ 2.1 หลักฐานจากอัลกุรอาน อัลลอฮฺตรัสวา ÂÁÀ¿¾ ½ ¼»{
zÆ Å ÄÃ “และเราไดสั่งเสียแกอิบรอฮีม และ อิสมาอีลวา เจาทั้งสองจงทําความสะอาด บานของขา เพื่อบรรดาผูทําการเฏาะวาป และบรรดาผูทําอิอฺติกาฟ และบรรดา ผูที่ทํารุกัวะและสุูด” (อัลบะเกาะเราะฮฺ, อายะฮฺที่ 187) z |{ z y x w v { “ละพวกเจาจงอยารวมหลับนอนกับพวกนางขณะที่พวกเจากําลังพํานักกักตัว (อิอฺติกาฟ) อยูในมัสยิด” (อัลบะเกาะเราะฮฺ, อายะฮฺที่ 187)
5
9
มุนตะฮาอัลอิรอดาต, เลม 1 หนา 167 อัลมุหัลลา, เลม 5 หนา 175
10
4
อัลสิร็อคสียืกลาววา “ที่มาแหงบัญญัติอิอฺตาฟคือการที่อัลลอฮฺทรง พาดพิงการอิอฺติกาฟยังมัสยิดอันเปนสถานที่เฉพาะสําหรับการอิบาดะฮฺ และ ทรงสั่งใหละทิ้งจากการรวมหลับนอนกับภรรยาเพื่อการนั้น นี่คือหลักฐานที่ แสดงใหเห็นวาอิอฺติกาฟเปนอิบาดะฮฺและการภักดีตออัลลอฮฺอยางหนึ่ง”11 2.2 หลักฐานจากสุนนะฮฺ สวนหลักฐานจากสุนนะฮฺคือการปฏิบัติอยางตอเนื่องของทานนบี โดยไมเคยละทิ้งเลยตลอดชวงชีวิตของทาน อิบนุอะมัรเลาวา اﻟﻌﴩ اﻷﹶ ﹺ ﹺ ﻛﺎﻥ ﹶ ﹸ ﹸ ﻣﻦ ﹶ ﹶ ﹶ ﹶ )) ﹶ ﹶ ((رﻣﻀﺎﻥ ﹶ ﹾ ﹶ ﹺ ﹸ رﺳﻮﻝ اﷲﱠﹺ ﻭاﺧﺮ ﹾ ﻳﻌﺘﻜﻒ ﹾ ﹶ ﹾ ﹶ ﹶ ﹶ
“ทานรสูลุลลอฮฺ จะทําการอิอฺติกาฟในสิบวันสุดทายของเดือนรอมฎอน”12 อาอิชะฮฺเลาวา اﻟﻌﴩ ﹶ ﹺ ﹺ )) ﹶ ﱠ ﻣﻦ ﹶ ﹶ ﹶ ﹶ ﹶ ﹶ اﻟﻨﺒﻲ ﺣﺘﻰ ﻛﺎﻥ ﹶ ﹾ ﹶ ﹺ ﹸ رﻣﻀﺎﻥ ﹶ ﱠ اﻷﻭاﺧﺮ ﹾ أﻥ ﱠ ﹺ ﱠ ﻳﻌﺘﻜﻒ ﹾ ﹶ ﹾ ﹶ ﹶ ﹶ اﻋﺘﻜﻒ ﹶ ﹾأزﻭاﺟﻪ ﹺﻣﻦ ﹺ ﹺ ((ﺑﻌﺪﻩ ﺛﻢ ﹾ ﹶ ﹶ ﹶ ﹶ ﹸ ﹸ ﹾ ﹶ ﹾ ﹶﹶﱠ ﹸ ﺗﻮﻓﺎﻩ اﷲﹸ ﹸ ﱠ
“ท านรสู ลุ ลลอฮฺ จะทํ าอิ อฺ ติ กาฟในสิ บวั นสุ ดท ายของเดื อนรอมฎอน จนกระทั่งทานเสียชีวิต หลังจากที่ทานไดจากไปแลว บรรดาภรรยาของทาน ยังคงดํารงการอิอฺติกาฟตอไป”13 อบูสะอีดเลาวา اﻟﻌﴩ ﹾ ﹶ ﹶ ﹺ إﻥ ﹶ ﹸ ﹶ ﻣﻦ ﹶ ﹶ ﹶ ﹶ )) ﹺ ﱠ ((...رﻣﻀﺎﻥ ﹾ ﹶ ﹶ ﹶ رﺳﻮﻝ اﷲﱠﹺ اﻷﻭﻝ ﹾ اﻋﺘﻜﻒ ﹾ ﹶ ﹾ ﹶ ﱠ 11
อัลสิร็อคสีย, อัลมับสูฏ, เลม 3 หนา 114 เศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 2025, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 1171 13 เศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 2026, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 2018 5 12
“แทจริงทานรสูลุลลอฮฺ จะทําอิอฺติกาฟในสิบวันแรกของเดือนรอมฎอน...”14 กอฎี ยอิยาฎกล าววา “หะดี ษตางๆเหลานี้แสดงถึงการอนุญาตให ทําอิอฺติกาฟในเดือนรอมฎอน และเชาวาล และสามารถอุปมาน (กิยาส) กับ เดือนอื่นๆ และอนุญาตทั้งชวงแรกของเดือน ชวงกลาง และชวงสุดทาย เพราะ มีแบบอยางการปฏิบัติของทานนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมดังกลาว”15 อิบนุอับดิลบัรกลาววา “หะดีษเศาะหีหฺบทนี้เปนหลักฐานวาอิอฺติกาฟ ในเดือนรอมฏอนเปนสุนนะฮฺที่มีแบบอยาง เพราะทารสูลุลลอฮฺ ไดทําอิอฺติ กาฟในเดือนรอมฎอน และไดกระทํามันเปนประจํา และสิ่งใดที่ทานกระทําเปน เปนประจํายอมเปนสุนนะฮฺสําหรับประชาชาติของทานดวย”16 อิบนุลมุลักกินกลาววา “หะดีษนี้บงบอกวาสงเสริม (อิสติหฺบาบ) ใหมี การอิอฺติกาฟ และเนนหนัก (ตะอฺกีด) เพราะนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได ปฏิบัติอยางตอเนื่องจนกระทั่งทานเสียชีวิต”17 2.3 อิจญมาอฺอุละมาอฺ บรรดาอุ ละมาอฺ มี มติ เป นเอกฉั นท ว าการอิ อฺ ติ กาฟเป นสุ นนะฮฺ ที่ สงเสริมใหปฏิบัติ และไมเปนวาญิบบนผูใด นอกจากเขาผูนั้นจะนําตัวเองไป อยูในขายของผูที่วาญิบตองปฏิบัติ เชนการใหปฏิญาณบนบานตออัลลอฮฺ (นะซัร) เปนตน ดังนั้น การอิอฺติกาฟจึงเปนวาญิบบนตัวเขา18 14
เศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 2018, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 1167 อิกมาล อัลมุอฺลิม, เลม 4 หนา 151 16 อัลตัมฮีด, เลม 23 หนา 52 17 อัลอิอฺลาม บิฟะวาอิด อุมดะตุลอะหฺกาม, เลม 5 หนา 428 18 อัลอิจญมาอฺ ของอิบนุลมุนซิร, หนา 53, มะรอติบอัลอิจญมาอฺ ของอิบนุหัซมิน, หนา 41, อัลมัจญมูอฺ ของอันนะวะวีย, เลม 6 หนา 407, อัลตัมฮีด ของอิบนุอับดิลบัร เลม 23 6 15
3. เปาหมายและประโยชนของการอิอฺติกาฟ อิอฺติกาฟเปนอิบาดะฮฺที่ทรงคุณคาและประเสริฐสุดประเภทหนึ่ง ที่อัลลอฮฺไดบัญญัติไว และไดรับการปฏิบัติเปนแบบอยางโดยทารสูลุลลอฮฺ อยางตอเนื่องจวบจนวาระสุดทายของชีวิต การอิอฺติกาฟเปนการมอบหมายตัวเองตออัลลอฮฺ และทําจิตใจให วางเปลาและปลอดโปรงจากเรื่องทางโลก โดยการกักตัวเองอยูแตในมัสยิด และปลีกตัวออกจากความตรากตรําทางกายและจิตใจดวยการประกอบอิบา ดะฮฺตางๆอยางเต็มรูปแบบและจริงจังเพื่อขัดเกลาจิตใจและขออัภัยโทษตอ พระองค อะฏออ บิน มุสลิม อัลคุรอสานีย (ต.135 ฮ.ศ.) ไดเปรียบเทียบ เปาหมายของการอิอฺติกาฟวา “อุปมาของผูทําอิอฺติกาฟอุปมัยดังผูที่นําพา ตัวเองไปอยูตอหนาอัลลอฮฺ หรืออุมัยดังชายผูหนึ่งที่จําเปนตองพึ่งพาผูมี บารมี แลวเขาก็ไปนั่งลงหนาประตูบานของผูมีบารมีทานนั้น และกลาววา “ฉันจะไมจากไปจนกวาทานจะจัดการใหลุลวงในสิ่งที่ฉันปรารถนา” ผูทําอิอฺ ติกาฟก็เชนเดียวกัน เขาจะนั่งลงในบานของอัลลอฮฺ แลวกลาววา “ฉันจะไม จากไปจนกวาฉันจะไดรับการอภัยโทษจากพระองค”19 อิ บนุ เราะญั บกล าววา “แท จริ ง เหตุ ที่ ทานนบี ศ็ อลลั ลลอฮุ อะลั ยฮิ วะสัลลัม ทําอิอฺติกาฟในสิบวัน (สุดท ายของเดือนรอมฎอน) นี้ ซึ่งเปนคื น ต างๆที่ ท านพยายามเสาะหาคื นอั ลก็ อดรฺ ก็ เพื่ อตั ดขาดจากการงานและ ภารกิจตางๆ เพื่อทําจิตใจใหวางเปลาและปลอดโปรง (จากความเหนื่อยลา
หนา 52, อัลมุฆนีย ของอิบนุกุดามะฮฺ, เลม 4 หนา 456, อัลอิฟศอหฺ ของอิบนุหุบัยเราะฮฺ, เลม 1 หนา 255, บิดายะฮฺ อัลมุจญตะฮิด ของอิบนุรุชดิ, เลม 1 หนา 312 19 ดู อัลมับสูฏ, เลม 3หนา 115, อัลบะดาอิอฺ, เลม 1หนา 163 7
และวุนวายทั้งหลาย) และเพื่อปลีกตัวสูการพักพิงและใกลชิดอัลลอฮฺ กลาว รําลึกถึงพระองค และออนวอนรองขอ (ความคุมครอง) ตอพระองค”20 อิบนุก็อยยิม กลาววา “เนื่องจากวาความมีสุขภาพดีอยางตอเนื่อง ของจิตใจในแนวทางสูอัลลอฮฺนั้น ขึ้นอยูกับการเขาสมาคมกับอัลลอฮฺ และ รวบรวม (สมาธิและความฟุงซานตางๆ) ที่กระจัดกระจายใหเปนหนึ่งเดียวเพื่อ จะไดหันหนาเขาหาอัลลอฮฺอยางเต็มรูปแบบ เพราะความฟุงซานและกระจัด กระจายของจิตใจไมสามารถรวบรวมใหเปนหนึ่งไดนอกจากดวยการมุงหนา เขาหาอัลลอฮฺเทานั้น การหมกมุนอยูกับอาหารและเครื่องดื่ม การคลุกคลีกับ ผูคนมากเกินไป การพูดจาที่มากมายและการนอนอยางเต็มอิ่ม เปนสวนหนึ่ง ที่จะทําใหเกิดการสับสนและฟุงซานของจิตใจ ทําใหมันกระจัดกระจายไปทั่ว ทุกหนแหง และทําใหเขาตัดขาดจาก (การภักดีตอ) อัลลอฮฺ หรือทําใหออนแอ ลง หรือมาสกัดกั้น หรือสรางความยุงยากในการทําการภักดี ดังนั้นดวยความ เมตตากรุณาของพระผูทรงอํานาจที่มีตอปวงบาวของพระองค จึงไดบัญญัติ ใหมีการถือศีลอดแกพวกเขา ทําใหความเลยเถิดของการกินดื่มไดอันตระทาน หายไป...และไดบัญญัติใหพวกเขามีทําการอิอฺติกาฟ ซึ่งเปาหมายและจิต วิญญาณของมันคือ การทําใหจิตใจหมกมุนและสมาคมอยูกับอัลลอฮฺ ตลอดเวลา และตัดขาดจากกิจกรรมตางๆดานสังคมโดยสิ้นเชิง ขณะเดียวกัน ก็นึกคิดวาจะทําออยางไรใหไดมาซึ่งความโปรดปราน ความผูกพัน และความ ใกลชิดตอพระองค แทนความสนิทสนุมที่มีตอเพื่อนมนุษย นี่คือเปาหมาย และจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญของการอิอฺติกาฟ”21
20 21
ละฏออิฟ อัลมะอาริฟ, หนา 288 ซาดุลมะอาด, เลม 2 หนา 86-87 8
4. ความประเสริฐของการอิอฺติกาฟ การกลาวถึงของอัลกุรอาน การปฏิบัติอยางตอเนื่องของทานนบี และการสงเสริมของทานใหบรรดาเศาะหาบะฮฺรวมกันทําอิอฺติกาฟพรอมกับ ทาน เปนการตอกย้ําถึงความประเสริฐและความมีสถานะที่สูงสงของกิจกรรม อิอฺติกาฟอยางปฏิเสธไมได แตอาจจะมีคนถามวา “มีหะดีษหรือหลักฐานใดบางที่บงบอกอยางชัดเจนถึงความประเสริฐ และผลบุญของการทําอิอฺติกาฟ?” คําตอบคือ ถึงแมวาจะมีหะดีษมากมายที่กลาวถึงการอิอฺติกาฟ แต กลับไมมีหะดีษบทใดเลยที่พอจะใชเปนบรรทัดฐานสําหรับอางอิงถึงความ ประเสริฐของการอิอฺติกาฟ อบูดาวูดไดถามอิหมามอะหมัดวา “ทานรูจักหะดีษเกี่ยวกับความ ประเสริฐของการอิอฺติกาฟบางไหม?” อิหมามอะหมัดตอบวา “ไมเลย นอกจาก นิดหนอยที่มีแตหะดีษออน”22 สวนหนึ่งของหะดีษที่ระบุถึงความประเสริฐของการทําอิอฺติกาฟคือ 1. อิบนุอับบาสเลาวา ทานนบี กลาวแกผูอิอฺติกาฟวา ﻛﻌﺎﻣﻞ ﹾ ﹶ ﹺ ﹺ ﻭﳚﺮ ﹶﻟﻪ ﹺﻣﻦ ﹾ ﹶ ﹺ ((ﻛﻠﻬﺎ ﻫﻮ ﹶ ﹾ ﹺ ﹸ اﳊﺴﻨﺎت ﹸ ﱢ ﹶ ﻳﻌﻜﻒ ﱡ ﹸ ﹶ )) ﹸ ﹶ اﳊﺴﻨﺎت ﹶ ﹶ ﹺ ﹶ ﹶ ﹶ ﹸ ﹾ ﹶ ﹸ ﹾ ﹶ ﹶ,اﻟﺬﻧﻮب
“ผูอิอฺติกาฟกําลังยับยั้งบาปตางๆ และความดีตางๆไดถูกดําเนินการสําหรับ เขา เสมือนกับผูที่ปฏิบัติความดีตางๆทั้งหมด”23
ﲔ اﻟﻨﱠﹺﺎر اﻋﹶﺘﹶﻜ ﹶ ﻒ ﹶﻳﹾﻮﹰﻣﺎ ﹾاﺑﺘﹺﹶﻐﹶﺎء ﹶﻭﹾﺟﹺﻪ اﷲﹺ ﹶﺟﹶﻌﹶﻞ اﷲﹸ ﹶﺑﹾﻴﻨﹶﹸﻪ ﹶﻭﹶﺑ ﹾ ﹶ ))ﹶﻣﹾﻦ ﹾ ث ﹶﺧﻨﹶ ﹺ اﳋﺎﻓﹺﹶﻘ ﹾ ﹺ ﻼ ﹶ ﹶﺛ ﹶ ((ﲔ ﺎدﹶﻕ ﹶأﹾﺑﹶﻌﹸﺪ ﹺﳑ ﱠﺎ ﹶﺑ ﹾ ﹶ ﲔ ﹾﹶ
“ผูใดทําอิอฺติกาฟหนึ่งวันเพื่อหวังความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ อัลลอฮฺจะทรง กั้น (กําแพง) ระหวางเขากับไฟนรกสามสนามเพลาะซึ่งมีระยะหางยิ่งกวา ระหวางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก”24 3. อาอิชะฮฺเลาวา นบี กลาววา ((اﺣﺘﹺﹶﺴﹰﺎﺑﺎ ﹸﻏﹺﻔﹶﺮ ﹶﻟﹸﻪ ﹶﻣﺎ ﹶﺗﹶﻘﱠﺪﹶﻡ ﹺﻣﹾﻦ ﹶذﹾﻧﺒﹺﹺﻪ اﻋﹶﺘﹶﻜ ﹶ ))ﹶﻣﹾﻦ ﹾ ﻒ إﹺﹾﻳﹶﲈﹰﻧﺎ ﹶﻭ ﹾ
“ผูใดอิอฺติกาฟ (ในสิบวันสุดทายของเดือนรอมฎอน) ดวยเปยมศรัทธาและหวัง ในผลบุญ เขาจะไดรับการอภัยโทษจากความผิดบาปที่ผานมา25” 4. หุเสน บิน อะลีเลาวา นบี กลาววา ﲔ ﹶﻭﹸﻋﹾﻤﹶﺮﹶﺗ ﹾ ﹺ ﺎﻥ ﹶﻛﹶﺤﱠﺠﹶﺘ ﹾ ﹺ ﺎﻥ ﹶﻛ ﹶ ﴩا ﹺﰲ ﹶرﹶﻣﹶﻀ ﹶ ((ﲔ اﻋﹶﺘﹶﻜ ﹶ ))ﹶﻣﹾﻦ ﹾ ﻒ ﹶﻋ ﹾ ﹰ
“ผูใดทําอิอฺติกาฟสิบวันในเดือนรอมฎอน เขาจะไดรับผลบุญเทากับทําหัจญ สองครั้งละอุมเราะฮฺอีกสองครั้ง”26
5. อบูอัดดัรดะฮฺเลาววา นบี กลาววา
2. อิบนุอับบาสเลาวา นบีศ็อลลัลลออุอะลัยฮิวะสัลลัม กลาววา 24 22
มะสาอิล อบีดาวูด, หนา 96 เฎาะอีฟ, สุนันอิบนุมาญะฮฺ, เลขที่ 1781, ชุอะบุลอีมานของอัลบัยฮะกีย, เลม 3 หนา 523 (ดู มิชกาตอัซซุญาญะฮฺของอัลบูศีรีย, เลม 2 หนา 45) 9
23
เฎาะอีฟ, อัตเฏาะบะรอนีย, อัลหากิม, อัลบัยฮะกีย (อัลสัลสะละฮฺ อัดเฎาะอีฟะ, เลขที่ 5345) 25 เฎาะอีฟ, อัดดัยละมีย, (อัลสิลสิละฮฺ อัดเฎาะอีฟะฮฺ, เลขที่ 5442) 26 เมาฎอฺ, อัลบัยฮะกียในชุอะบุลอีมาน, (อัลสัลสะละฮฺ อัดเฎาะอีฟะ, เลขที่ 518) 10
ﻒ ﹶﻟﹾﻴﹶﻠﹶﺘ ﹾ ﹺ ﻒ ﹶﻟﹾﻴﹶﻠﹰﺔ ﹶﻛ ﹶ ﲔ اﻋﹶﺘﹶﻜ ﹶ اﻋﹶﺘﹶﻜ ﹶ ﹶﻭﹶﻣﹾﻦ ﹾ,ﺎﻥ ﹶﻟﹸﻪ ﹶﻛﹶﺄﹾﺟﹺﺮ ﹸﻋﹾﻤﹶﺮﹴة ))ﹶﻣﹾﻦ ﹾ ﹶﻛﺎﹶﻥ ﹶﻟﹸﻪ ﹶﻛﹶﺄﹾﺟﹺﺮ ﹸﻋﹾﻤﹶﺮﹶﺗ ﹾ ﹺ ((...ﲔ “ผูใดทําอิอฺติกาฟหนึ่งคืน เขาจะไดรับผลบุญเทากับทําอุมเราะฮฺหนึ่งครั้ง และ ผูใดทําอิอฺติกาฟสองคืน เขาจะไดรับผลบุญเทากับทําอุมเราะฮฺสองครั้ง...”27 5. บัญญัติ (หุกม) การอิอฺติกาฟ 5.1 หุกมการอิอฺติกาฟสําหรับผูชาย อุละมาอฺมีมติเห็นพองกันวา “ อิอฺติกาฟ ” เปนอิบาดะฮฺที่สุนัตไมใช วาญิบ นอกจากในกรณีที่มีการนะซัร (บนบาน) ไววาจะทําการอิอฺติกาฟ จึงจะ กลายเปนวาญิบบนผูบนบานคนนั้นที่จะตองปฏิบัต28ิ อาอิชะฮฺเลาจากทานนบี กลาววา ))ﹶﻣﹾﻦ ﹶﻧﹶﺬﹶر ﹶأﹾﻥ ﹸﻳﻄﹺﹾﻴﹶﻊ اﷲﹶ ﹶﻓﹾﻠﹸﻴﻄﹺﹾﻌﹸﻪ ﹶﻭﹶﻣﹾﻦ ﹶﻧﹶﺬﹶر ﹶأﹾﻥ ﹶﻳﹾﻌﹺﺼﹶﻴﹸﻪ ﹶﻓ ﹶ ((ﻼ ﹶﻳﹾﻌﹺﺼﹺﻪ
“ผูใดบนบานวาจะภักดีตออัลลอฮฺ เขาจงทําการภักดีนั้นเสีย และผูใดบนบาน วาจะฝาฝนตอพระองค ก็จงอยาฝาฝน”29 และสงเสริมพรอมทั้งเนนหนัก (สุนัตมุอักกะดะฮฺ) ในสิบวันสุดทาย ของเดือนรอมฎอนเพื่อแสวงหาคืนอัลก็อดรฺ30
อิหมามอะหมัดกลาววา “ฉันไมทราบวามีอุละมาอฺทานใดไมเห็นดวย วาการอิอฺติกาฟเปนสิ่งสุนัต”31 5.2 หุกมการอิอฺติกาฟสําหรับสตรี อุ ละมาอฺ ส วนใหญ มี ทั ศนะว าการอิ อฺ ติ กาฟเป นสุ นั ตสํ าหรั บสตรี เชนเดียวกับผูชาย32 เพราะหลักฐานที่สงเสริมใหมีการอิอฺติกาฟครอบคลุมทั้ง ชายและหญิง33 ผนวกกั บหะดี ษ อาอิ ชะฮฺ ที่ ระบุ ว าท านนบี ศ็ อลลั ลลอฮุ อะลั ยฮิ วะสัลลัมไดอนุญาตใหนางและหัฟเศาะฮฺรวมอิอฺติกาฟ34 6. เงื่อนไขของการอิอฺติกาฟ ดังที่ไดกลาวมาแลวในความหมายดานนิติศาสตรของอิอฺติกาฟวา อุ ละมาอฺมีความขัดแยงเนื่องจากมุมมองที่แตกตางกันในดานเงื่อนไขปลีกยอย ขององคประกอบการอิอฺติกาฟ ดังรายละเอียดตอไปนี้ 6.1 เปนมุสลิม ผูทําอิอฺติกาฟตองอยูในสภาพของความเปนมุสลิมเทานั้นจึงจะถือ วาการอิอฺติกาฟของเขาใชได เพราะอัลลอฮฺจะไมทรงรับการอิบาดะฮฺของผู ปฏิเสธศรัทธา (กาฟร) หรือผูที่ตกศาสนา (มุรตัด) 31
27
เฎาะอีฟ, อิบนุตัยมิยะฮฺระบุในชัรหฺกิตาบอัสศิยามมินอุมดะตุลอะฮฺกาม, เลม 2 หนา 712 28 อัลอิจญมาอฺ ของอิบนุลมุนซิร, หนา 47 29 เศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 6696 30 อัลมัจญมูอฺ, เลม 6 หนา 501 11
มะสาอิลอิหมามอะหมัด, หนา 97 อัลมับสูฏ, เลม 3 หนา 119, อัลมุเดาวะนะฮฺอัลกุบรอว, เลม 1 หนา 200 พิมพคูกับมุก็ อดดิมาตอิบนุรุชดิ, มุฆนีอัลมุหฺตาจญ, เลม 1 หนา 451, อัลมุบดิอฺ, เลม 3 หนา 65, อัลมุ หัลลา, เลม 5 หนา 175 33 กลับไปดูหลักฐานจากสุนนะฮฺ หนา 34 เศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 2041, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 1173 12 32
พระองคตรัสวา zº¹¸¶µ´³²±°¯{ “ไมมีสิ่งใดขัดขวางพวกเขา ไมใหสิ่งบริจาคตางๆของพวกเขาถูกรับ นอกเสีย จากวา พวกเขาปฏิเสธศรัทธาตออัลลอฮฺ และตอรสูลของพระองคเทานั้น” (อัต เตาบะฮฺ, อายะฮฺที่ 54) 6.2 มีสติสัมปชัญญะที่ครบสมบูรณ 6.3 มีอายุในวัยที่รูสึกรับผิดชอบ (มุมัยยิซ) ผูทําอิอฺติกาฟตองอยูในสภาพที่มีสติสัมปชัญญะที่ครบสมบูรณ จึงจะ ถือวาอิบาดะฮฺการอิอฺติกาฟของเขาใชได ไมใชผูที่อยูในสภาพที่วิกลจริต ไม รูสึกตัว มึนเมา หรือขาดสติ และถาเปนเด็กตองอยูในวัยที่รูสึกรับผิดชอบแลว ดังนั้นการอิอฺติ กาฟของเด็กที่ยั งไมสามารถแยกแยะและรูสึกรับผิดชอบจึงถือวาใช ไมได เพราะพวกเขาเหลานี้ไมอยูในสภาพของผูที่สามารถตั้งเจตนา (เนียต) สําหรับ การประกอบอิบาดะฮฺ ทานนบี กลาววา ﻼ ﹴ ))ﹸرﻓﹺﹶﻊ ﹾاﻟﹶﻘﹶﻠﹸﻢ ﹶﻋﹾﻦ ﹶﺛ ﹶ ﹶﻭﹶﻋﹺﻦ, ﹶﻋﹺﻦ اﻟﻨﱠﹺﺎﺋﹺﻢ ﹶﺣﱠﺘﻰ ﹶﻳﹾﺴﹶﺘﹾﻴﹺﻘﹶﻆ:ث (( ﹶﻭﹶﻋﹺﻦ ﹾﹶاﳌﹾﺠﻨﹸﹾﻮﹺﻥ ﹶﺣﱠﺘﻰ ﹶﻳﹾﻌﹺﻘﹶﻞ,ﳛﹶﺘﹺﻠﹶﻢ ﱠ اﻟﺼﺒﹺﱢﻲ ﹶﺣﱠﺘﻰ ﹶ ﹾ
“ปากกาจะถูกยก (จะไมมีการบันทึกความดีและความชั่ว) จาก (การกระทําของ) คนสามประเภท คื อ ผู ที่ นอนหลั บจนกว าเขาจะตื่ น เด็ กน อยจนกว าเขาจะ บรรลุศาสนภาวะ และผูที่วิกลจริตจนกวาสติสมัปชัญญะของเขาจะกลับคืนมา”35
35
มุสนัดอะหมัด, เลม 6 หนา 101, สุนันอบูดาวูด, เลขที่ 4398, สุนันอันนะสาอีย, เลขที่ 3432 13
อนึ่ งการกํ าหนดว าเด็ กต องมี อายุ เ ท าไหร จึ งจะเข าข ายวั ยที่ มี ความรู สึ กรั บผิดชอบนั้ น อิ หมามอันนะวะวีย กล าวว า “ที่ ถู กต องเกี่ยวกั บ สภาพที่แทจริงของเด็กที่ (อยูในวัยที่) สามารถรับผิดชอบ (มุมัยยิซ) คือ เด็ก ที่ฟงเขาใจ และสามารถตอบคําถามไดดี และเขาใจเปาหมายของคําพูด โดย ไมมีการกําหนดอายุแบบตายตัว (วาตองมีอายุตั้งแต 7 ขวบขึ้นไป หรืออื่นๆ) แตจะมีความแตกตางตามความแตกตางของความเขาใจ (สมอง)”36 อัลอะดะวียกลาวเพิ่มเติมวา “หมายความวา ถามีใครพูดคุยเกี่ยวกับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ผูมีสติปญญาทั่วไปสามารถเขาใจ เขาก็จะเขาใจและสามารถ โตตอบไดเปนอยางดี ไมใช (เพียงแค) วา เมื่อมีคนเรียกเขาก็ตอบรับ”37 เงื่อนไขทั้งสามขอขางตนเปนเงื่อนไขที่อุละมาอฺมีมติเห็นพองอยาง เป นเอกฉั นท ว า การอิ อฺ ติ กาฟจะไม ถู กรั บและใช ไม ได ถ าหากปราศจาก เงื่อนไขขอใดขอหนึ่งที่กลาวขางตน38 6.4 ปลอดจากหะดัษใหญ อุละมาอฺสวนใหญมีทัศนะวาไมอนุญาต (หะรอม) ใหผูที่อยูในหะดัษใหญ (มีญะนาบะฮฺ มีประจําเดือน และนิฟาส) ทําอิอฺติกาฟในมัสยิด และถือวาการอิอฺติ
36
อัลมัจญมูอฺ เลม 7 หนา 23 หาชิยะฮฺ อัลอะดะวีย เลม 1 หนา 584 38 บะดาอิอฺอัสเศาะนาอิอฺ, เลม 2 หนา 108, ตับยีนอัลหะกออิก, เลม 1 หนา 348, ญะวาฮิร อัลอิกลีล, เลม 1 หนา 156, อัลมัจญมูอฺ, เลม 6 หนา 501, เราเฎาะฮฺอัตฏอลิบีน, เลม 2 หนา 396, มุฆนีอัลมุหฺตาจญ, เลม 2 หนา 454, อัลมุบดิอฺ, เลม 3 หนา 63, ฆอยะฮฺอัลมุน ตะฮา, ลเม 1 หนา 364, มานะรุสสะบีล, เลม 1 หนา 232 14 37
กาฟของเขาใชไมได39 นอกจากมัซฮับซอฮิรียเทานั้นที่มีทัศนะวาอนุญาตใหผทู มี่ ี หะดัษใหญทําอิอฺติกาฟในมัสยิด และการอิอฺติกาฟของเขาใชได40 อุละมาอฺสวนใหญอางหลักฐานจากคําตรัสของอัลลอฮฺที่วา {zy xwvuts{
z¦¥¤£¢¡ ~}|
“โอผูศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจาจงอยาเขาใกลการละหมาด ขณะที่พวกเจา กําลังมันเมาอยู จนกวาพวกเจาจะรูสึกตัวในสิ่งที่พวกเจาพูดออกมา และจง อยาเขาใกล (สถานที่ละหมาด) ขณะที่อยูในญะนาบะฮฺ นอกจากผูที่ผานทาง ไปเทานั้น จนกวาพวกเจาจะอาบน้ํา” (อันนิสาอฺ, อายะฮฺที่ 43) อิหมามอัชชาฟอียกลาววา “อุละมาอฺดานอัลกุรอานบางทานกลาววา ความหมายของมันคือ พวกเจาจงอยาเขาใกลสถานที่ละหมาด... เพราะในการ ละหมาดจะไมมีการเดินผานทาง แทจริงเสนทางนั้นอยูในสถานที่ของมันอยู แลว นั่นคือมัสยิด”41 สวนมัซฮับซอฮิรียไดอางหลักฐานจากหะดีษอาอิชะฮฺที่เลาวา “สาว ใชของเสาดะฮฺเปนทาสีของหมูบานชาวอาหรับแหงหนึ่ง ตอมาพวกเขาได ปลอยนางใหเปนอิสระ แลวนางก็เดินทางมาพบทานรสูลุลลอฮฺ และเขารับ อิสลาม นางจะมีเต็นทเล็กๆหรือหองเล็กๆอยูในมัสยิด”42
อิบนุหัซมินกลาววา “ผูหญิงทานนี้ไดอาศัยอยูในมัสยิดของทานนบี และเปนที่รูกันวาสตรีนั้นยอมมีประจําเดือน ถึงกระนั้นนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสัลลัมก็ไมไดกีดกันและหามนางอาศัยอยูในมัสยิด ดังนั้นทุกๆสิ่งที่ทาน ไมไดหามยอมเปนสิ่งที่อนุมัติ (ในศาสนา)”43 สวนหะดัษเล็กนั้น อิบนุตัยมิยะฮฺระบุวา “ไมวาญิบตองอยูในสภาพที่ ปลอดจากหะดัษเล็กสําหรับผูทําอิอฺติกาฟอยางเปนเอกฉันทในหมูชาวมุสลิ มีน”44 วัลลอฮุอะอฺลัม 6.5 สตรีตองไดรับอนุญาตจากสามี อุละมาอฺมีมติเห็นพองกันวาการอิอฺติกาฟของสตรีใชได45 โดยยึด หลั กฐานจากหะดี ษอาอิ ชะฮฺ ที่ วา “นางได ขออนุ ญาตทํ าการอิอฺ ติ กาฟจาก ทานนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ดังนั้นทานนบีอนุญาตใหแกนาง...”46 และความหมายโดยรวมจากหลักฐานอื่นๆดังที่ไดกลาวมาแลว เพียงแตวา ไม อนุญาตใหภรรยาทําการอิอฺติกาฟ นอกจากดวยการยินยอมของสามีเทานั้น อิบนุลมุนซิรกลาววา “หะดีษอาอิชะฮฺขางตนเปนหลักฐานที่บงบอกวา 1. อนุญาตใหสตรีทําอิอฺติกาฟ เพราะนบี ไดอนุ ญาตใหอาอิชะฮฺ และหัฟเศาะฮฺทําอิอตฺ ิกาฟ 2. เมื่อสตรีประสงคจะทําอิอฺติกาฟ นางไมควรทําอิอฺติกาฟจนกวาจะ ไดรับอนุญาตจากสามีเสียกอน
39
หะชิยะฮฺอิบนุอาบิดีน, เลม 2 หนา 442, อัชชัรหฺอัสเศาะฆีร, เลม 2 หนา 290, อัลมัจญ มูอฺ, เลม 6 หนา 519, อัชชัรหฺอัลกะบีร, เลม 7 หนา 605 พิมพคูกับอัลอินศอฟ, มัจญ มูอฺอัลฟะตาวียของอิบนุตัยมิยะฮฺ, เลม 26 หนา 123, 215 40 อัลมุหัลลา, เลม 2 หนา 250, เลม 5 หนา 286 41 อัลอุมม, เลม 1 หนา 54 42 เศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เรื่องการนอนของสตรีในมัสยิด, เลขที่ 439 15
43
อัลมุหัลลา, เลม 2 หนา 253 มัจญมูอฺอัลฟาตาวีย, เลม 26 หนา 126 45 อัลมับสูฏ, เลม 3 หนา 119, มุก็อดดิมาตอิบนุรุชดิ, เลม 1 หนา 200, อัลอุมม, เลม 2 หนา 108, อัลมุฆนีย, เลม 4 หนา 485 46 เศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 2041, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 1173 16 44
3. การปฏิบัติที่ประเสริฐกวาและสูงสงกวาสําหรับสตรีคือการพํานักอยู ในบานของนาง และละทิ้งการอิอฺติกาฟ ถึงแมวาจะเปนสิ่งที่อนุมัติ สําหรับนาง เพราะการที่นบีไลพวกนางและหามพวกนางไมใหทําอิอฺ ติกาฟ บงบอกวาการพํานักอยูในบานของพวกนางยอมประเสริฐกวา การทําอิอฺติกาฟ”47 อุละมาอฺไดยกอางหะดีษอบูหุร็อยเราะฮฺเปนหลักฐานประกอบ ซึ่ง ทานไดเลาวา ทานรสูลุลลอฮฺ กลาววา ﺷﺎﻫﺪ ﹺ ﱠإﻻ ﹺ ﹺ ﹾ ﹺ ﹺ ﳛ ﱡﻞ ﹺ ﹾ ﹶ ﹺ )) ﹶﻻ ﹶ ﹺ ﻟﻠﻤﺮأة ﹶ ﹾ ((ﺑﺈذﻧﻪ ﻭزﻭﺟﻬﺎ ﹶ ﹺ ﹲ ﺗﺼﻮﻡ ﹶ ﹶ ﹾ ﹸ ﹶ أﻥ ﹶ ﹸ ﹶ ﹶﹾ
“ไมอนุญาตใหสตรีถือศีลอดในขณะที่สามีของนางอยูดวย นอกจากดวยการ อนุญาตของสามี”48 กอฎีอิยาฎกลาววา “นี่เปนกรณีของอิบาดะฮฺสุนัต เพราะสิทธิของ สามีบนตัวนางนั้นเปนสิ่งที่วาญิบ ดังนั้นจึงไมอนุญาตใหละทิ้งสิ่งที่เปนวาญิบ เพื่อไปปฏิบัติในสิ่งที่เปนสุนัต”49 อิหมามอันนะวะวียกลาววา “คําสั่งหามดังกลาวใหความหมายหะรอม เหตุผลเพราะเปนสิทธิของสามีที่จะมีความสุขกับนางในทุกๆเวลาที่ประสงค และสิทธิของสามีเปนสิ่งที่วาญิบทันทีทันใด ดังนั้นจึงไมอนุญาตใหละเลยดวย สิ่งที่เปนสุนัต”50 เชนเดียวกับการอิอฺติกาฟ
ทานยังกลาวอีกวา “ไมอนุญาต (หะรอม) ใหสตรีทําอิอฺติกาฟโดย ไมไดรับอนุญาตของสามีกอน แตถานางไปทําอิอฺติกาฟโดยไมไดรับอนุญาต การอิอฺติกาฟของนางถือวาใชไดพรอมกับมีบาปติดตัว”51 6.6 ตั้งเจตนา (เนียต) บรรดาอุละมาอฺมีมติเปนเอกฉันทวา การตั้งเจตนาหรือเนียตเปน เงื่อนไขหลักอยางหนึ่งที่จะทําใหการอิอฺติกาฟถูกรับและไมเปนโมฆะ52 เพราะ ทุกๆอิบาดะฮฺจําเปนตองเริ่มตนดวยการตั้งเจตนาเสมอ และการงานใดที่ไมมี การการตั้งเจตนาเพื่อการอิบาดะฮฺ การงานนั้นก็ไมถูกรับ และถือวาเปนโมฆะ ดังที่มีระบุในหะดีษของอุมัรที่วา ))إﹺﱠﻧﲈ ﹾاﻷﹶﹾﻋﲈﹸﻝ ﺑﹺﺎﻟﻨﻴﱢ ﹺ ((ﺎت ﱠ ﹶ ﹶ
“แนแทวา ทุกๆการงานนั้นตองขึ้นอยูกับการตั้งเจตนา”53 อิหมามอันนะวะวียกลาววา “ในหะดีษนี้เปนหลักฐานที่แสดงวา การ ทําความสะอาด นั่นคือ การอาบน้ําละหมาด การอาบน้ํา และการตะยัมมุมจะ ไมเศาะหฺ (ถูกรับ) นอกจากดวยการตั้งเจตนา เชนเดียวกับการละหมาด การ จายซะกาต การอิอฺติกาฟ และการปฏิบัติอิบาดะฮฺอื่นๆ”54 เนื่องจากวา การพํานักอยูในมัสยิด อาจจะมีเปาหมายเพื่อการอิอฺติ กาฟ หรือเปาหมายอื่นจากนั้น ดังนั้นจึงจําเปนที่จะตองมีการตั้งเจตนาเพื่อ 51
อัลมัจญมูอฺ, เลม 6 หนา 501 บะดาอิอฺอัสเศาะนาอิอฺ, เลม 2 หนา 108, สิรอุลมะสาลิก, เลม 1 หนา 203, บิดายะ ตุลมุจญตะฮิด, เลม 1 หนา 315, เราเฎาะฮฺอัตฎอลิบีน, เลม 2 หนา 396, มะฏอลิบอุลินนุ ฮา, เลม 2 หนา 227, อัลอิฟศอหฺ, เลม 1 หนา 255 53 เศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 1689, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 1907 54 ชัรหฺเศาะหีหฺมุสลิม, เลม 13 หนา 54 18 52
47
ชัรหฺอิบนุบัตฏอลอะลาเศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลม 4 หนา 170 เศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 5195 ละสํานวนเปนของทาน, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 1026 49 อิกมาลอัลมุอฺลิม, เลม 3 หนา 553 50 ชัรหฺเศาะหีหฺมุสลิม, เลม 7 หนา 115 17 48
แยกแยะระหว างเป าหมายดั งกล าว”55 นั่ นคื อ การตั้ งเจตนาเมื่ อเริ่ มเข าสู ชวงเวลาของการอิอฺติกาฟ เชนกลาวในใจวา “ฉันตั้งใจจะทําอิอฺติกาฟในสิบวันสุดทายของเดือนรอมฎอนดวยความ บริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮฺ” เพียงแตวา มัซฮับมาลิกีย56 ชาฟอีย57 และอิบนุตัยมิยะฮฺ58 ถือวา การตั้งเจตนาหรือเนียตสําหรับการอิอฺติกาฟจะอยูในสวนขององคประกอบ (รุ กน) ของอิอฺติกาฟ ไมใชเงื่อนไข วัลลอฮุอะอฺลัม 6.7 ถือศิลอด อุละมาอฺมีทัศนะที่แตกตางกันในเรื่องเงื่อนไขของการทําอิอฺติกาฟที่ ถูกรับวา จําเปนตองอยูในสภาพที่ ถือศิ ลอดดวยหรือไม สาเหตุของความ ขั ดแย งเพราะการทํ าอิ อฺ ติ กาฟของท านนบี เกิ ดขึ้ นในเดื อนรอมฎอน ดังนั้นผูที่มองวา การถือศิลอดของทานที่ควบคูกับการอิอฺติกาฟ คือเงื่อนไข ของการทําอิอฺติกาฟ ถึงแมวาการถือศิลอดไมไดเปนสิ่งเดียวกันกับการทํา อิอฺติกาฟก็ตาม ดังนั้น อุละมาอกลุมนี้จึงกลาววา “จําเปนตองมีการถือศิลอด ควบคูกับการอิอฺติกาฟไปดวย จึงจะถือวาการทําอิอฺติกาฟของเขาใชได” สวนอุละมาอผูที่มองวา การถือศิลอดที่ควบคูไปกับการอิอฺติกาฟของ ทานนบี เปนเพียงความสอดคลองที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันเทานั้นเอง ทาน ไมไดมีเปาหมายที่จะเจาะจงวา จําเปนตองมีการถือศิลอดควบคูไปกับการอิอฺ
55
ฟกฮุลอิอฺติกาฟ ของคอลิด อัลมุชัยกิหฺ, หนา 70 อัลคุลาเศาะฮฺอัลฟกฮิยะฮฺ ของอัลเกาะเราะวีย, หนา 257, 57 เราเฎาะฮฺอัตฏอลิบีน, เลม 2 หนา 395 58 ชัรหฺอุมดะตุลอะหฺกาม, เลม 2 หนา 751 19 56
ติกาฟดวย ดังนั้นอุละมาอฺกลุมนี้จึงกลาววา “การถือศิลอดไมไดอยูในเงื่อนไข ของการทําอิอฺติกาฟ ประเด็นตอมาคือ การตีความหมายของอายะฮฺอัลกุรอาน ซึ่งจะพบวา อั ลลอฮฺ ได กล าวเกี่ ยวกั บการอิ อฺ ติ กาฟควบคู กั บการถื อศิ ลอดในอายะฮฺ เดียวกัน59 จากจุดนี้ อุละมาอฺจึงมีทัศนะที่แตกตางกันออกเปนสามทัศนะ คือ ทัศนะที่ 1 การถือศิลอดไมใชเงื่อนไขของการอิอฺติกาฟ ผูที่มีทัศนะเชนนี้ไดแก อาลี, อิบนุมัสอูด, สะอีด บิน อัลมุ สัยยิ บ, อุมัร บิน อับดุลอะซีซ, อัลหะสัน, อะฏออฺ, และฏอวูส60, ทัศนะของอุละมาอฺ สวนหนึ่งในมัซฮับมาลิกีย61, มัซฮับชาฟอีย62, ฮันบาลีย63 และอิบนุหัซมิน64, อัชเชากานีย65 และอิบนุอุษัยมีน66 สวนหนึ่งของหลักฐานที่กลุมนี้ใชพาดพิงคือ หะดีษที่เลาโดยอิบนุ อุมัร วา "อุมัรไดถามทานรสูลุลลอฮฺ วา "ฉันเคยบนบานในสมัยญาฮิลิยะฮฺ (กอนอิสลาม) วาฉันจะทําอิอฺติกาฟหนึ่งคืนในมัสยิดหะรอม" ทานนบีตอบเขา วา " เจาจงปฏิบัติตามที่เจาไดบนบานไว"67
59
ดู บิดายะฮฺ อัลมุจญตะฮิด, เลม 1 หนา 317 อัลมุหัลลา, เลม 5 หนา 181, อัลมุฆนีย, เลม 4 หนา 459 61 อัลญามิอฺลิอะหฺกามอัลกุรอาน, เลม 2 หนา 334 62 อัลอุมม, เลม 2 หนา 107 63 อัลมุสเตาอับ, เลม 3 หนา 478, อัลมุฆนีย, เลม 4 หนา 459 64 อัลมุหัลลา, เลม 5 หนา 268 65 อัสสัยลุลญัรรอรฺ, เลม 2 หนา 134 66 อัชชัรหฺอัลมุมมติอฺ, เลม 6 หนา 509 67 เศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 2032, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 1656 20 60
อิ หม ามอั นนะวะวี ย กล าวว า "นั ยยะของหะดี ษ นี้ เ ป นหลั กฐาน สําหรับมัซฮับชาฟอียและบรรดาผูที่เห็นดวยวา การอิอฺติกาฟสามารถกระทํา โดยไมจําเปนตองถือศิลอด"68 อิบนุหะญัรกลาววา "ไดมีการนําหะดีษนี้มาเปนหลักฐานวา อนุญาตให มีการอิอฺติกาฟโดยไมจําเปนตองถือศิลอด เพราะกลางคืนไมใชชวงเวลาสําหรับ การถือศิ ลอด ดังนั้นหากแมนวาการถื อศิลอดเปนเงื่อนไขของการอิอฺติกาฟ แนนอนวา ทานนบี ยอมตองสั่งใหอุมัรถือศิลอดควบคูตามไปดวย"69 และเนื่องจากวาทั้งสองประเภทเปนอิบาดะฮฺที่เปนเอกเทศตอกันและ ไม มีความเกี่ ยวพั นกั น ดั งนั้ นจึ งไม สามารถสร างเงื่อนไขสํ าหรับอิบาดะฮฺ ประเภทหนึ่งวาตองมีอิบาดะฮฺอีกประเภทหนึ่งควบคูตามไปดวย"70 ทัศนะที่ 2 การถือศิลอดเปนเงื่อนไขของอิอฺติกาฟที่เปนวาญิบ นี่เปนทัศนะของมัซฮับหะนะฟย71 ทัศนะที่ 3 การถือศิลอดเปนเงื่อนไขของการอิอฺติกาฟ ทั้งที่เปน วาญิบ และสุนัต นี่เป นทั ศนะของมั ซฮั บมาลิ กีย 72 ส วนหนึ่ งของอุ ละมาอฺชาฟอี ย73 รายงานหนึ่งจากอิหมามอะหมัด74 และเปนทัศนะที่อิบนุตัยมิยะฮฺ และอิบนุ ก็อยยิมเห็นดวย75
สวนหนึ่งจากหลักฐานที่กลุมนี้ใชพาดพิงคือ คําตรัสของอัลลอฮฺที่วา z{zyxwvuts rq p{ "แลวพวกเจาจงถือศีลอดใหครบสมบูรณจนถึงพลบค่ํา และพวกเจาจงอยาสม สูกับพวกนาง ขณะที่พวกเจากําลังออิอฺติกาฟอยูในมัสยิด" (อัลบะเกาะเราะฮฺ, อายะฮฺ 187) พวกเขากล าววา "อายะฮฺ นี้บงชี้วา การถือศิลอดเป นเงื่อนไขของ การอิอฺติกาฟ เพราะอัลลอฮฺไดกลาวถึงมันหลังจากที่พระองคกลาวถึงการ ถือศิลอด ดังนั้น จึงสรุปไดวา การอิอฺติกาฟสามารถกระทําในทุกเวลา ยกเวน วันเวลาที่หามไมใหถือศิลอด"76 คําวิพากษ 1. ไมจําเปนเสมอไปวาทุกครั้งที่มีการกลาวถึงหุกมหนึ่งหลังจากอีก หุกมหนึ่ง จะทําใหหุกมใดหุกมหนึ่งตองผูกพันกับอีกหุกมหนึ่ง เพราะถาเปน เชนนั้น จําเปนตองกลาววา "การถือศิลอดจะไมถูกรับนอกจากตองมีการอิอฺติ กาฟควบคูกันไปดวย" ซึ่งแนนอนวาไมมีอุละมาอฺทานใดกลาวเชนนี77้ 2. ทัศนะนี้ยังอางอิงหลักฐานจากหะดีษที่เลาโดยอาอิชะฮฺวา ทาน นบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกลาววา ((ﺎﻑ إﹺﻻﱠ ﺑﹺﹶﺼﹾﻮﹴﻡ اﻋﺘﹺﹶﻜ ﹶ ))ﻻﹶ ﹾ
68
ชัรหฺเศาะหีหฺมุสลิม, เลม 11 หนา 124 ฟตหุลบารีย, เลม 4 หนา 322 70 อัชชัรหฺอัลมุมมติอฺ, เลม 6 หนา 509 71 อัลมับสูฏ, เลม 3 หนา 115, บะดาอิอฺ อัสเศาะนาอิอฺ, เลม 2 หนา 109 72 อัลมุวัตเฏาะอฺ, เลม 1 หนา 27, อัลมุเดาวะนะฮฺ, เลม 1 หนา 195 พิมพคูกับมุก็อดดิมา ตอิบนุรุชดิ 21 69
73
อัลมัจญมูอฺ, เลม 6 หนา 485 อัลอินศอฟ, เลม 3 หนา 360 75 ซาดุลมะอาด, เลม 2 หนา 88 76 อัลมุวัตเฏาะอฺ, เลม 1 หนา 315 77 อัลมุหัลลา, เลม 5 หนา 182 74
22
"ไมมีการอิอฺติกาฟนอกจากดวยการถือศิลอด"78 แตหะดีษนี้เปนหะดีษที่เฎาะอีฟไมสามารถใชเปนหลักฐานพาดพิง 3. ถาหากว าการถือศิลอดเปนสิ่งที่จําเปนสําหรับการอิ อฺติกาฟ ก็ เทากับวา การอิอฺติกาฟในชวงกลางคืนใชไมไดและเปนโมฆะ เพราะไมมีการ ถือศิลอดควบคูไปดวย ผลของความขัดแยง สําหรับทัศนะที่เห็นวาการถือศิลอดเปนเงื่อนไขสําหรับการอิอฺติกาฟ จะมีผลที่ตามมาดังนี้ คือ 1. ไมอนุญาตใหทําอิอฺติกาฟในวันตางๆที่หามไมใหถือศิลอด อาทิ วันอีด และวันตัชรัก (วันที่ 11,122,13 ของเดือนซุลหิจญะฮฺ) 79 2. ไมอนุญาตใหทําอิอฺติกาฟเฉพาะเวลากลางคืนเทานั้น เพราะไมมี การถือศิลอดในเวลาดังกลาว80 3. การอิอฺติกาฟไมสามารถกระทําในเวลาที่นอยกวาหนึ่งวัน81 6.8 ตองอิอฺติกาฟในมัสยิด 6.8.1 หลักฐานจากอัลกุรอาน อัลลอฮฺตรัสวา
"และพวกเจาจงอยาสมสูกับพวกนาง ขณะที่พวกเจากําลังออิอฺติกาฟอยูใน มัสยิด" (อัลบะเกาะเราะฮฺ, อายะฮฺ 187) อัลกุรฏบียกลาววา "บรรดาอุละมาอฺมีมติเปนเอกฉันทวา การอิอฺติ กาฟตองกระทําในมัสยิดเทานั้น"82 อิบนุหะญั รกลาวว า "ดั งนั้ นจึ งไดทราบจากการกลาวถึ งมั สยิ ดว า แทจริงการอิอฺติกาฟไมสามารถกระทํานอกจากในมัสยิด"83 อัชเชากานียกลาววา "ผูประสาทชะริอะฮฺ ไดนําบัญญัติการ อิอฺติ กาฟมาประกาศโดยที่ทานเองไมเคยปฏิบัตินอกจากในมัสยิด และไมเคยมี บัญญัติอิอฺติกาฟสําหรับประชาชาติของทานนอกจากในมัสยิด..."84 6.8.2 หลักฐานจากสุนนะฮฺ อาอิชะฮฺเลาวา رأﺳﻪ ﻭﻫﻮ ﹺﰲ ﹾﹶاﳌﺴ ﹺ ﹺ ﻛﺎﻥ ﹶ ﹸ ﹸ ﹶ ﹸ ﹾ ﹺ ﹸﷲ ﻭإﻥ ﹶ ﹶ )) ﹶ ﹺ ﹾ رﺳﻮﻝ ا ﱠﹺ ﺠﺪ ﻋﲇ ﹶ ﹾ ﹶ ﹸ ﹶ ﹸ ﹶ ﹾ ﻟﻴﺪﺧﻞ ﹶ ﹶ ﱠ اﻟﺒﻴﺖ ﹺ ﱠإﻻ ﹺ ﹴ ﻭﻛﺎﻥ ﹶﻻ ﹶ ﹾ ﹸ ﹸ ﻛﺎﻥ ﹸ ﹾ ﹶ ﹺ ﹰ ﳊﺎﺟﺔ ﹺ ﹶإذا ﹶ ﹶ ﻓﺄرﺟﻠﻪ ﹶ ﹶ ﹶ ((ﻣﻌﺘﻜﻔﺎ ﻳﺪﺧﻞ ﹾ ﹶ ﹾ ﹶ ﹶ ﹶ ﹶﹸﹶ ﱢ ﹸﹸ "“และทานรสูลุลลอฮฺ เมื่อยามที่ทานทําอิอฺติกาฟอยูในมัสยิด ทานไดเอาศีรษะ ของทานเขามาในหองของฉัน แลวฉันก็จะชวยหวีผมใหแกทาน และทานจะ ไมเขาไปในบาน เวนแตเมื่อมีความจําเปน”85 และหะดีษอื่นๆ
z{zyxwv{ 78
สุนันอัดดาเราะกุฏนีย, เลม 2 หนา 199, สุนันอัลบัยอะกีย, เลม 4 หนา 317 ในสาย รายงานมีนักรายงานชื่อ สุวายด เปนนักรายงานที่ออนมาก 79 มุก็อดดิมาตอิบนุรุชดิ, เลม 1 หนา 200 80 ฟกฮุลอิอฺติกาฟ, หนา 109 81 อางแลว 23
82
อัลญามิอฺ ลิอะหฺกาม อัลกุรอาน, เลม 2 หนา 333 ฟตหุลบารีย, เลม 4 หนา 272 84 อัสสัยลุลญัรรอร, เลม 2 หนา 136 85 เศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 2029, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 297 24 83
6.8.3 หลักฐานจากอิจญมาอฺ อิบนุบัตฏอลกลาววา "บรรดาอุละมาอฺมีมติเปนเอกฉันทวา อิอฺติกาฟ และดู คํ าพู ดของอิ บ ไม สามารถกระทํ านอกจากในมั สยิ ดเท านั้ น"86 87 88 89 นุอิ บดิ ลบั รร อั ลกรุ ฏ บี ย อิ บนุ ตั ยมิ ยะฮฺ อิ บนุ รุชดิ90 อิ บนุ หะญั ร91 และอัซซุรกอนีย92 ในความหมายเดียวกันนี้ • เงื่อนไขที่วาตองอิอฺติกาฟในมัสยิดทั้งสามเทานั้น ไมมีอุละมาอฺ ท านใดที่ สร างเงื่อนไขวาการอิอฺติกาฟตองกระทําใน มั สยิ ดทั้งสามเทานั้ น นอกจากสะอี ด บิน มุ สัยยิบ93 และเชคอั ลบานีย94 อุ ละมาอฺสมัยปจจุบัน โดยอางหลักฐานจากหะดีษหุซัยฟะฮฺที่กลาวแกอับดุลลอฮฺ บิน มัสอูดวา "ประชาชนที่พากันอิอฺติกาฟระหวางบานของทานและบานของอ บีมูซา ไมมีปญหาหรือ?" เพราะทานก็ทราบวา แทจริงทานรสูลุลลอฮฺ ได กลาวไววา ﺎﻑ إﹺﻻﱠ ﹺﰲ ﹾﹶاﳌﺴ ﹺ ﺎﺟﹺﺪ ﱠ اﻟﺜ ﹶ ((ﻼﹶﺛﹺﺔ اﻋﺘﹺﹶﻜ ﹶ ))ﻻﹶ ﹾ ﹶ "ไม มี การอิ อฺ ติ กาฟ นอกจากในมั สยิ ดทั้ งสามเท านั้ น" (หะรอม, นะบะวี ย และอัลอักศอว)
86
ชัรหฺอิบนุบัตฏอลอะลาเศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลม 4 หนา 161 อัตตัมฮีด, เลม 8 หนา 235 88 อัลญามอิอฺลิอะหิกาม อัลกุรอาน, เลม 2 หนา 333 89 มัจญมูอฺ อัลฟะตาวีย, เลม 26 หนา 123 90 บิดายะฮฺ อัลมุจญตะฮิด, เลม 1 หนา 312 91 ฟตหุลบารีย, เลม 4 หนา 372 92 ชัรหฺอัซซุรกอนีย ลิลมุวัตเฏาะอฺ, เลม 2 หนา 206 93 มุศ็อนนัฟอิบนุอบีชัยบะฮฺ, เลม 3 หนา 91, อัลมุหัลลา, เลม 5 หนา 194 94 กิยามรอมฎอน, หนา 37 25
ดังนั้นอับดุลลอฮฺจึงกลาวแกเขาวา "บางทีทานอาจจะหลงลืมไป และ พวกเขาจดจํา หรือ ทานผิดพลาดไป และพวกเขาถูกตอง"95 แตทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺทั้งหลาย และตาบิอีน คืออนุญาตให ทําอิอฺติกาฟในทุกๆมัสยิดที่มีการละหมาดญะมาอะฮฺ ตามความหมายรวมของ อายะฮฺอัลกุรอาน และตอบหะดีษหซัยฟะฮฺขางตนวา ที่ถูกตองคือหะดีษเมา กูฟ พรอมกับคําตอบอื่นๆที่เต็มอิ่ม96 อิบนุตัยมิยะฮฺกลาววา "นี่เปนทัศนะของบรรดาตาบิอีนทั้งหลาย และ ไม มี รายงานจากเศาะหาบะฮฺ ที่ ค านจากนี้ นอกจากทั ศนะของผู ที่ เจาะจง สถานที่อิอฺติกาฟวาตองเปนมัสยิดทั้งสามเทานั้น หรือมัสยิดนบี97 • มัสยิดที่ประเสริฐที่สุดสําหรับการอิอฺติกาฟ เป นที่ แน นอนว ามั สยิ ดที่ ประเสริ ฐที่ สุ ดสํ าหรั บการอิ อฺ ติ กาฟคื อ มัสยิดหะรอม มัสยิดนะบะวีย และมัสยิดอัลอักศอว ตามลําดับ98 เพราะเปน มัสยิดที่ประเสริฐกวามัสยิดใดๆ อบูฮุร็อยเราะฮฺเลาวา นบี กลาววา ﻣﺴﺎﺟﺪ ﹾﹶ ﹺ ﹺ اﻟﺮﺣﺎﻝ ﹺ ﱠإﻻ ﹺ ﹶإﱃ ﹶ ﹶ ﹶ ﹺ ﹺ ﺗﺸﺪ ﱢ ﹶ ﹸ اﳌﺴﺠﺪ ﹾ ﹶ ﹶ ﹺ اﳊﺮاﻡ )) ﹶﻻ ﹸ ﹶ ﱡ ﺛﻼﺛﺔ ﹶ ﹶ ﹶ ﹾ ﹺﹺ ﹺﹺ ﹺ ((اﻷﻗﴡ ﻭﻣﺴﺠﺪ ﹾ ﹶ ﹾ ﹶ ﹶ ﹶ ﹾ اﻟﺮﺳﻮﻝ ﻭﻣﺴﺠﺪ ﱠ ﹸ ﹶﹶﹾ
87
95
มุชกิล อัลอาษาร, เลม 7 หนา 201, สุนันอัลบัยฮะกีย, เลม 4 หนา 316, อัลมุหัลลา, เลม 5 หนา 192 96 ดูใน ชัรหฺอัลอุมดะฮฺของอิบนุตัยมิยะฮฺ, เลม 2 หนา 724-726, อัชชัรหฺอัลมุมติอฺของอิบ นุอุษัยมีน, เลม 6 หนา 504-505, ฟกฮฺ อัลอิอฺติกาฟของ อัลมุชัยกิหฺ, หนา 122 97 ชัรหฺอัลอุมดะฮฺของอิบนุตัยมิยะฮฺ, เลม 2 หนา 734 98 อัลมับสูฏ, เลม 3 หนา 115, หาชิยะฮฺ อัลอะดะวีย, เลม 1 หนา 410, อัลอุมม,เลม 1 หนา 107, อัลมุสเตาอิบ, เลม 3 หนา 480 26
"จะไมมีการจัดเตรียมการเดินทาง นอกจากการเดินทางไปยัง 3 มัสยิดเทานั้น นั่นคือ มัสยิดหะรอม มัสยิดของฉันแหงนี้ และมัสยิดอัลอักศอว"99 ﺻﻼة ﹺ ﹺ ﹴ ﹺ ﻫﺬا ﹶ ﹺ ﺻﻼة ﹺﰲ ﹺ ﹺ ((اﳊﺮاﻡ ﺳﻮاﻩ ﹺ ﱠإﻻ ﹾﹶ ﹾ ﹺ ﹶ ﻓﻴﲈ ﹶ ﹸ ﺧﲑ ﹾ اﳌﺴﺠﺪ ﹾ ﹶ ﹶ ﹶ ﻣﻦ ﹶ ﹾأﻟﻒ ﹶ ﹶ ﹶ )) ﹶ ﹶ ﹲ ﹶ ﹾ ﻣﺴﺠﺪﻱ ﹶ ﹶ ﹾ ﹲ
“การละหมาดในมัสยิดของฉันนี้ยอมประเสริฐกวาการละหมาดในมัสยิดอื่น 1000 ครั้ง นอกจากมัสยิดหะรอม”100 ส วนอื่ นจากมั สยิ ดทั้งสามข างตน ตามทั ศนะของหะนะฟยระบุว า "สงเสริมใหทําอิอฺติกาฟในมัสยิดญามิอฺ ตอมาก็เปนมัสยิดใหญที่มีสัปบุรุษ มาก"101 สวนมัซฮับชาฟอียและหันบาลียระบุวา "ที่ประเสริฐที่สุดคือ การอิอฺติ กาฟที่มัสยิดญามิอฺสําหรับผูที่วาญิบตองละหมาดวันศุกร เมื่อจําเปนตองทํา ละหมาดวันศุกรในชวงที่กําลังการอิอฺติกาฟอยู เพื่อที่จะไดไมตองออกจาก มัสยิดเพื่อเดินทางไปละหมาดวันศุกร"102 7. มารยาทในการอิอฺติกาฟ อาลีกลาววา “ผูใดก็ตามที่ทําการอิอฺติกาฟ เขาก็จงอยาบริภาษดาทอ อยาพูดจาหยาบคาย และสั่งครอบครัวของเขาใหนําสิ่งของจําเปนมาให และจง อยานั่งกับพวกเขา”103 อิหมามอะหมัดกลาววา “ผูทําอิอฺติกาฟจําเปน (วาญิบ) ตองรักษา (มารยาท) การพูดจา ไมนอนพักสํารับอิอฺติกาฟนอกจากบนหลังคา (ดาดฟา) 99
เสาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 1189, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 1397 100 เสาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 1190, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 1394 101 บะดาอิอฺ อัสเศาะนาอิอฺ, เลม 3 หนา 113 102 อัลมัจญมูอฺ, เลม 6 หนา 481, ชัรหฺอัลอุมดะฮฺของอิบนุตัยมิยะฮฺ, เลม 2 หนา 749-750 103 มุศ็อนนัฟอับดุรร็อซซาก, เลม 4 หนา 356, มุศ็อนนัฟอิบนุอบีชัยบะฮฺ, เลม 2 หนา 334 27
มัสยิด ละไมเปนการสมควรสําหรับเขาที่จะทําการเย็บปก หรือทํางานใดๆ ขณะที่กําลังทําอิอฺติกาฟอยู”104 อิบนุตัยมิยะฮฺกลาววา “สิ่งที่ผูทําอิอฺติกาฟสมควรที่จะปฏิบัติในชวง การอิอฺติกาฟคือหมกมุนอยูกับการอิบาดะฮฺที่อยูระหวางเขากับอัลลอฮฺเทานั้น เชน อานอัลกุรอาน กลาวซิกรุลลอฮฺ วิงวอนขอดุอาอฺ กลาวขออภัยโทษ (อิส ติฆฟาร) และใครครวญ และอื่นๆ” 105 อิบนุก็อยยิมไดกลาวหลังจากที่ไดสาธยายถึงแบบอยางการอิอฺติกาฟ ของทานนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม วา “...อิบาดะฮฺประเภทตางๆเหลานั้น ลวนนํามาซึ่งเปาหมายของการอิอฺติกาฟและจิตวิญญาณของมัน ซึ่งตรงขามกับสิง่ ที่ผูไมประสาหลายๆคนที่มักจะนําเอาสถานที่อิอฺติกาฟเปนแหลงจับกลุมสนทนา กัน เปนแหลงชุมนุมของแขกที่มาเยี่ยมเยียน และพูดคุยกันในหมูพวกเขา การ ปฏิบัติแบบนี้เปนสีสันอยางหนึ่ง สวนการอิอฺติกาฟของทาน นบีศ็อลลัลลอฮุอะ ลัยฮิวะสัลลัมเปนสีสันอีกอยางหนึ่ง (ที่แตกตางกันอยางสิ้นเชิง)”106 8. เวลาเขาสถานที่อิอฺติกาฟและเวลาออก 8.1 เวลาเขาสถานที่อิอฺติกาฟ เริ่ มเข าสถานที่ อิ อฺ ติ กาฟก อนตะวั นลั บขอบฟ าของบ ายวั นที่ 20 รอมฎอนตามทัศนะของอุละมาอฺสวนใหญ107ตามหะดีษที่เลาโดยอบูสะอีดที่วา ))ﹶﻓﹾﻠﻴﻌﹶﺘﹺﻜ ﹺ ﻒ ﹾاﻟﻌ ﹾﴩ ﹾاﻷﹶﻭ ﹺ ((اﺧﹺﺮ ﹶﹾ ﹶ ﹶ ﹶ 104
ชัรหฺอัลอุมดะฮฺของอิบนุตัยมิยะฮฺ, เลม 2 หนา 792 ชัรหฺอัลอุมดะฮฺของอิบนุตัยมิยะฮฺ, เลม 2 หนา 787 106 ซาดุลมะอาด, เลม 2 หนา 90 107 หาชิยะฮฺอิบนุอาบิดีน, เลม 2 หนา 452, อัลมุเดาวะนะฮฺ, เลม 2 หนา 238, ชัรหฺเศาะ หีหฺมุสลิม, เลม 8 หนา 68, อัลฟุรูอฺ, เลม 3 หนา 170 28 105
“ดังนั้นเขาจงอิอฺติกาฟในสิบคืนสุดทาย”108 หะดีษนี้บงชี้วา “เวลาสําหรับเขาอิอฺติกาฟคือเวลากอนตะวันลับขอบ ฟาของคืนวันที่ 21 รอมฎอน (เย็นวันที่ 20) เพราะคําวา ((اﻟﻌﴩ ( )) ﹾ ﹶ ﹾ ﹶไมมีฮาอฺ ขางหลัง) เปนจํานวนนับของกลางคืน และคืนแรกของสิบวันสุดทายก็คือ คืน ที่ 21”109 และเนื่องเพราะในค่ําคืนที่ 21 นี้เปนหนึ่งในค่ําคืนคี่ของสิบวันสุดทาย ของเดือนรอมฎอนที่เปนที่คาดหวังวาจะเปนค่ําคืนอัลก็อดรฺ ดังนั้นผูทําอิอฺติ กาฟจึงควรเริ่มเขาสถานที่อิอฺติกาฟของเขาหลังจากที่ตะวันลับขอบฟาของ วันที่ 20 และยางเขาค่ําคืนวันที่ 21110 8.2 เวลาออกจากสถานที่อิอฺติกาฟ มี อุละมาอฺ จํานวนมากที่ ส งเสริ มใหออกจากสถานที่อิอฺติ กาฟหรื อ มัสยิดในชวงเชาของวันอีด พรอมๆกับการเดินทางสูสนามละหมาดอีด111 และ หากผูใดจะออกจากสถานที่อิอฺติกาฟกอนหนานั้นก็ถือวาเปนที่อนุญาต112 อิหมามมาลิกเลาวา “มีรายงานมาถึงฉันจากผูรูบางทานในอดีต เมื่อ พวกเขาทํ าอิ อฺ ติ กาฟในสิ บวั นสุ ดท ายของเดื อนรอมฎอน พวกเขาจะไม
108
อางแลว อัชชัรหุ อัลกะบีร, เลม 2 หนา 67 110 อัลฟุรูอฺ, เลม 3 หนา 170 111 อัลอิสติซการ, เลม 10 หนา 296, อัลมุจญมูอฺ, เลม 6 หนา 491, อัชชัรหฺอัลกะบีร ของอิบนุกุดามะฮฺ, เลม 2 หนา 67 112 อัลมุวัตเฏาะอฺ, เลม 1 หนา 351, มุศ็อนนัฟอิบนุอบีรชัยบะฮฺ, เลม 3 หนา 92, อัล มุฆนีย, เลม 4 หนา 490 29 109
เดินทางกลับไปยังครอบครัวของพวกเขาจนกวาพวกเขาจะรวมเปนสักขีพยาน ในวันอีดพรอมๆกับชุมชน”113 อิหมามอิบรอฮิม อันนะเคาะอียกลาววา “พวกเขา (หมายถึงบรรดา ตาบิ อี น) ชอบที่ จะให บรรดาผู ทํ าอิ อฺ ติ กาฟนอนพั กในมั สยิ ดในคื นวั นอี ด จนกวาเขาจะเดินทางออกจากสถานที่อิอฺติกาฟมุงสูการละหมาดอีด (ที่มุศ็อล ลา)” 114 สวนอิหมามอัลเอาซาอียกลาววา “ใหผูทําอิอฺติกาฟออกจากสถานที่ อิ อฺ ติ กาฟเมื่ อพบว าตะวั นได ลั บขอบฟ าไปแล วในวั นสุ ดท ายของสิ บวั น สุดทาย” 115 และเนื่องเพราะสิบวันสุดทายจะสิ้นสุดลงดวยการสิ้นสุดของเดือน และเดือนจะสิ้นสุดลงดวยการลับขอบฟาของตะวันในค่ําคืนของวันอีด” 116 9. อิอฺติกาฟไมเต็ม 10 วัน สําหรับผูที่มีภารกิจรัดตัวจริงๆ หรือบานอยูไกลจนไมสามารถปลีก ตั วเพื่ อทํ าอิ อฺ ติ กาฟอย างต อเนื่ องจนครบสิ บวั น หรื อเป นข าราชการที่ ไม อนุญาตใหลาพักจากงานในชวงสิบวันสุดทาย อนุญาตใหพวกเขาทําอิอฺติกาฟ ไมครบสิบวัน หรืออิอฺติกาฟแบบไมตอเนื่องเชนการอิอฺติกาฟเพียงหนึ่งหรือ สองวัน หรืออิอฺติกาฟวันเวนวัน หรืออิอฺติกาฟเฉพาะในเวลากลางคืนเทานั้น อับดุลลอฮฺ บิน อุนัยส อัลุฮะนียเล าว า “ฉันไดกลาวแกทานรสู ลุลลอฮฺ วา “โอทานรสูลุลลอฮฺ แทจริงฉันเปนคนที่อาศัยอยูที่หมูบานแถว ชนบท และฉันไดดํารงละหมาดที่นั่น - อัลหัมดุลิลลาฮฺ - ดังนั้นทานจงสั่งแก 113
อัลมุวัตเฏาะอฺ, เลม 1 หนา 315, อัลมุเดาวะนะฮฺ เลม 2 หนา 85 มุศ็อนนัฟอิบนุอบีชัยบะฮฺ, เลม 2 หนา 338 115 อัลอิสติซการ, เลม 10 หนา 297 116 อัลญามิอฺลิอะหฺกาม อัลกุรอาน, เลม 2 หนา 337 30 114
ฉันดวยคืนใดคืนหนึ่งเพื่อที่ฉันจะไดเดินทางออกจากหมูบานเพื่อลงมา (อิอฺติ กาฟและละหมาด) ยังมัสยิดแหงนี้?” ดังนั้นทานจึงสั่งวา ﻼ ﹴ ث ﹶﻭﹺﻋ ﹾ ﹺ ))اﹺﹾﻧﹺﺰﹾﻝ ﹶﻟﹾﻴﹶﻠﹶﺔ ﹶﺛ ﹶ ((ﴩﹾﻳﹶﻦ
“เจาจงลงมา (อิอฺติกาฟและประกอบอิบาดะฮฺ) ในค่ําคืนที่ยี่สิบสาม (ของเดือนรอมฎอน)” ฉัน (ผูรายงานหะดีษ) จึงถามบุตรชายของอับดุลลอฮฺวา “บิดาของทาน ทําเชนไรละ?” เขาตอบวา “ทานจะเขามัสยิดเมื่อมีการละหมาดอัศริ แลวทานก็ จะไมออกจากมัสยิดเพื่อความเปนใดๆอีกเลย จนกวาจะเสร็จจากการละหมาด ศุบหิ หลังจากที่ทานละหมาดศุบหิเรียบรอยแลว ทานก็จะไปหาพาหนะของทาน ที่หนาประตูมัสยิดแลวทานก็จะขึ้นนั่งแลวก็เดินทางกลับไปยังหมูบาน”117 10. สิ่งที่ทําใหเสียการอิอฺติกาฟ 10.1 การรวมประเวณี อัลลอฮฺทรงตรัสวา z |{ z y x w v { "และพวกเจาจงอยาสมสูกับพวกนาง ขณะที่พวกเจากําลังออิอฺติกาฟอยูใน มัสยิด" (อัลบะเกาะเราะฮฺ, อายะฮฺ 187) อั ลกรุ ฏ บี ย กล าวว า “อั ลลอฮฺ ทรงชี้ แจงว าการร วมประเวณี ทํ าให เสียอิอฺติกาฟ และบรรดาอุละมาอฺตางมีมติเปนเอกฉันทวาผูใดรวมประเวณี
117
สุนันอบูดาวูด, เลขที่ 1380 31
กับภรรยาขณะที่เขากําลังทําอิอฺติกาฟอยู โดยมีเจตนาที่จะทําเชนนั้น ดังนั้น การอิอฺติกาฟของเขาเสื่อมเสียทันที” 118 อิ บนุ ฮุ บั ยเราะฮฺ กล าวว า “อุ ละมาอฺ มี มติ เป นเอกฉั นท ว าผู ใดร วม ประเวณีกับภรรยาของเขาโดยเจตนา การอิอฺติกาฟของเขาจะเปนโมฆะทันที ทั้งการอิอฺติกาฟที่บนบาน (วาญิบ) และอิอฺติกาฟที่เปนสุนัต”119 10.2 ออกจากมัสยิดโดยปราศจากความจําเปน อิบนุลมุนซิรกลาววา “อุละมอมีมติเปนเอกฉันทวอนุญาตใหผูทําอิอฺ ติกาฟออกจากสถานที่อิอฺติกาฟ (มัสยิด) เพื่อทําธุระเบา (ปสสาวะ) และหนัก (อุจจาระ) เพราะมันเปนสิ่งที่จําเปน และไมสามารถกระทําในมัสยิด ดังนั้น ถา หากการออกไปปฏิบัติภารกิจดังกลาวทําใหการอิอฺติกาฟเปนโมฆะ แนนอน วาไมมีผูใดทําอิอฺติกาฟไดถูกตอง”120 เช นเดี ย วกั บ ที่ อุ ละมาอฺ มี มติ เ ห็ นพ องว า ผู ใดออกจากสถานที่ อิอฺติกาฟหรือมัสยิดโดยเจตนาดวยทุกสวนของรางกาย การอิอฺติกาฟของเขา จะเสียและเปนโมฆะทันที ถึงแมวาจะเปนเวลาเพียงชวงสั้นๆก็ตาม เพราะจะ ทําใหขาดความตอเนื่องของการเก็บตัว อันเปนเงื่อนไขหลักอยางหนึ่งของ การอิอฺติกาฟ121
118
อัลญามิอฺลิอะหฺกาม อัลกุรอาน, เลม 2 หนา 332, ดูคําพูดของอิบนุลมุนซิร ในอัลอิจญ มาอฺ, หนา 54, อิบนุหัซมิน ในมะรอติบ อัลอิจญมาอฺ, หนา 41 119 อัลอิฟศอหฺ, เลม 1 หนา 358 120 อัลอิจญมาอ หนา 48 121 ฟตหุลเกาะดีร, เลม 2 หนา 396, อัชชัรหฺ อัลกะบีร ของอัดดัรดีร, เลม 1 หนา 543, อัล อุมม, เลม 2 หนา 108, กัชชาฟ อัลเกาะนาอฺ, เลม 3 หนา 362, อัลมุหัลลา, เลม 5 หนา 188 32
อาอิชะฮฺเลาวา اﻟﺒﻴﺖ ﹺ ﱠإﻻ ﹺ ﹴ ﹶﻻ ﹶﻳ ﹾ ﹸ ﹸ ﻭﻛﺎﻥ ﻛﺎﻥ ﹸ ﹾ ﹶ ﹺ ﹰ ﳊﺎﺟﺔ ﹺ ﹶإذا ﹶ ﹶ ﹶ ﹶ ﹶ...)) ((ﻣﻌﺘﻜﻔﺎ ﺪﺧﻞ ﹾ ﹶ ﹾ ﹶ ﹶ ﹶ
"และทานรสูลุลลอฮฺ จะไมเขาไปในบานเมื่อยามที่ทานทําอิอฺติกาฟ เวนแตเมื่อ มีความจําเปน”122 อัลค็อตฏอบียกลาววา “ในหะดีษนี้ไดชี้แจงวา ผูทําอิอฺติกาฟจะไม เขาไปยังบานของเขานอกจากเพื่อการขับถาย ถาหากเขาเขาไปในบานเพื่อ การอื่นจากทั้งสอง เชนทานอาหาร หรือดื่มน้ํา การอิอฺติกาฟของเขาก็จะเสียที นที”123 อิบนุหัซมิ นกล าววา “อุ ละมาอฺมีมติเปนเอกฉันทวา ผูใดออกจาก สถานที่อิอฺติกาฟ (มัสยิด) โดยปราศจากความจําเปน หรืออันตราย หรือการ ทํ าความดี ที่ ถู กสั่ งหรื อส งเสริ มให ปฏิ บั ติ การอิ อฺ ติ กาฟของเขาก็ จะเป น โมฆะ”124 เชคอิบนุอุษัยมีนไดแบงประเภทของการออกจากสถานที่อิอฺติกาฟ เปนสามกรณี คือ - กรณีที่หนึ่ง ออกจากสถานที่อิอฺติกาฟเนื่องเพราะมีธุระจําเปนทั้ง ทางธรรมชาติและทางศาสนบัญญัติ เชนออกเพื่อไปถายทุกขและ ปสสาวะ อาบน้ําละหมาดที่วาญิบ อาบน้ํายกหะดัษใหญ หรือออก เพื่ อไปกิ นดื่ ม การออกจากสถานที่ อิ อฺ ติ กาฟในกรณี เช นนี้ เป นที่ อนุญาตเมื่อไมสามารถกระทําในมัสยิด แตถาหากวาสามารถกระทํา ในมัสยิด สิ่งตางๆดังกลาวก็ไมเปนที่อนุมัติ เชน ในกรณีที่มีหองน้ํา
อยูขางในมัสยิด ซึ่งเขาสามารถที่จะใชบริการหองน้ําดังกลาวในการ ทําธุระสวนตัวและอาบน้ํา หรือมีคนนําอาหารและเครื่องดื่มมาบริการ ให ดังนั้นจึงไมควรออกไป เนื่องจากไมมีความจําเปนที่จะตองออก - กรณีที่สอง ออกจากสถานที่อิอฺติกาฟเพื่อทําการภักดีอยางใดอยาง หนึ่ง เชนออกไปเยี่ยมคนปวย ออกไปสงญะนาซะฮฺ ถึงกุโบร ฯลฯ ดังนั้นเขาจงอยากระทํา นอกเสียจากวาเขาไดทําขอแมใหกับตัวเอง ไวเมื่อครั้งที่เริ่มเขาอิอฺติกาฟ - กรณีที่ สาม ออกจากสถานที่ อิอฺ ติ กาฟเพื่อกิจการใดๆที่ ออกจาก ความหมายเดิมของอฺติกาฟ เชน ออกเพื่อทําการคาขาย รวมหลับ นอนกับภรรยา ดังนั้นในกรณีนี้ หามเขากระทําเปนอันขาด ไมวาเขา จะทําขอแมแลวตั้งแตตนหรือไมทําก็ตาม เพราะเปนการกระทําที่ทํา ใหเสียการอิอฺติกาฟและคานกับเปาหมายหลักของมัน”125 11. การจัดกิจกรรมการอิอฺติกาฟ ดั งที่ ได ทราบมาแล วว า เป าหมายหลั กของการอิ อฺ ติ กาฟ คื อการ พํานักอยูในมัสยิดเพื่อปลีกตัวจากสังคมสูการภักดีตออัลลอฮฺอยางตอเนื่อง ดวยอิบาดะฮฺตาง เชน การละหมาดสุนัต อานอัลกุรอาน ซิกิร การขออภัยโทษ และการวิงวอนขอดุอาอฺ แตเนื่องจากวาความหมาย “การภักดีตออัลลอฮฺ” มี ความหมายที่กวางขวางครอบคลุมทุกๆกิจกรรมการภักดีตางๆ เชนการศึกษา ทบทวนบทเรียน การเรียนอานอัลกุรอาน การนั่งฟงการบรรยายศาสนา ฯลฯ ดังนั้ นอุ ละมาอฺจึงมีทัศนะที่ขัดแย งกั นวา สงเสริ มใหมีการกิจกรรมในช วง
122
เศาะหีหฺอัลบุคอรีย, เลขที่ 2029, เศาะหีหฺมุสลิม, เลขที่ 297 มะอาลิม อัสสุนัน, เลม 3 หนา 341 124 มะรอติบอัลอิจญมาอฺ, หนา 41 33 123
125
มะญาลิส ชะฮฺรุรอมฎอน, หนา 245-246 34
การอิอฺติกาฟอื่นจากการอิบาดะฮฺเฉพาะ เชน ละหมาดสุนัต อานอัลกุรอาน ซิ กิร การขออภัยโทษ และการวิงวอนขอดุอาอฺดวยหรือเปลา - ทัศนะที่หนึ่ง ไมสงเสริมใหมีกิจกรรมอื่นจากอิบาดะฮฺเฉพาะ เชน การอ านอั ลกุ รอานให ผู อื่ นฟ ง การสอนและศึ กษาความรู การถก ปญหาและการสนทนาดานนิติศาสตร การเขียนหะดีษ และอื่นที่เปน ประโยชนตอผูอื่น ถึงแมจะเปนการภักดีอยางหนึ่งก็ตาม เพราะไม เคยมีรายงานจากทานนบีศ็ อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมวาท านเคย ปฏิบัติในสิ่งดังกลาว นอกจากกิจกรรมที่เปนอิบาดะฮฺเฉพาะเทานั้น และจะทําใหเวลาทําการอิบาดะฮฺเฉพาะซึ่งเปนเปาหมายหลักและ หัวใจของการอิอฺติกาฟลดนอยลง126 - ทัศนะที่ สอง อนุ ญาตให มีกิ จกรรมการอ านอัลกุ รอานให ผูอื่ นฟ ง ศึกษาหาความรูและสั่งสอนผูอื่น และไมเปนการมักรูหฺ (นารังเกียจ) แตอยางใด เนื่องจากวากิจกรรมดังกลาวมีความประเสริฐกวาการ ละหมาดสุนัต เพราะการใชเวลาใหหมดไปกับกิจกรรมการศึกษาหา ความรูเปนฟรฎกิฟายะฮฺ ซึ่งเปนสิ่งที่ประเสริฐกวาการละหมาดสุนัต และเนื่องเพราะผูอื่นจะไดรับประโยชนจากมันดวย127 อิบนุอุษัยมีนกลาววา “ไมเปนที่สงสัยวาการศึกษาหาความรูนั้นเปน การภักดีตออัลลอฮฺอยางหนึ่ง เพียงแตวาการอิอฺติกาฟเปนประเภทของการ ภักดีที่มีรูปแบบเฉพาะ เชนการละหมาด การซิกิร การอานอัลกุรอาน และ อื่นๆ แตถาจะมีการสอนหนังสือบางเพียงหนึ่งหรือสองเวลาตอวันหรือตอคืน
ก็ไมเปนไรถึงแมวาทานจะเปนผูที่กําลังทําอิอฺติกาฟอยู เพราะการกระทํา ดังกลาวไมทําใหอิอฺติกาฟเสื่อมเสีย แตถาหากวามีมัจลิสสอนหนังสือจํานวน มากและบอยครั้งจนทําใหเวลาสําหรับทําอิบาดะฮฺเฉพาะลดนอยลงหรือขาด หายไป ย อมทํ าให (เป าหมายของ) การทํ าอิ อฺ ติ กาฟไม สมบู รณ และขาด หายไป แตไมไดทําใหเสียอิอฺติกาฟ”128 วัลลอฮุอะอฺลัม
126
ดู อัลฟุรูอฺของอิบนุมิฟละหฺ, เลม 3 หนา 196-197, อัลมุฆนียของอิบนุกุดามะฮฺ, เลม 3 หนา 76 127 ดู อัลมัจญมูอฺ, เลม 6 หนา 559-560, ฏ็อรหฺอัตตัษรีบ ของอัลอิรอกีย, เลม 4 หนา 175 และอางอิงที่ผานมา 35
128
อัชชัรหฺ อัลมุมติอฺ เลม 6 หนา 507 36