เอกสารวิชาการ
วัสดุชาง
กรมอูทหารเรือ (จัดพิมพเมื่อ ตุลาคม ๒๕๔๙)
สารบัญ หนา บทที่ 1 บทนํา 1.1 วัตถุประสงค 1.2 วัสดุชาง 1.3 การเลือกใชวสั ดุ
1 2 5
บทที่ 2 เคมีเบื้องตนและการกัดกรอน 2.1 ความสัมพันธระหวางฟสิกสกับเคมี 2.2 ธาตุประกอบและสารผสม 2.3 ธาตุและสารประกอบบางชนิด 2.4 กรด ดาง และเกลือ 2.5 อากาศ 2.6 น้ํา 2.7 น้ําเลี้ยงเขาหมอ 2.8 ลักษณะสําคัญของน้ําเลี้ยง 2.9 การกัดกรอน
7 7 14 22 25 27 28 28 30
บทที่ 3 กรรมวิธีการถลุง สกัด และการแปรรูป 3.1 การถลุงโลหะเหล็ก 3.2 การถลุงโลหะที่ไมใชเหล็ก
65 77
บทที่ 4 ระบบผลึกของโลหะ 4.1 ระบบผลึกของโลหะ 4.2 สเปสแลททิช 4.3 รูปแบบของสเปสแลททิช 4.4 ระบบผลึก 4.5 โครงสรางผลึก 4.6 ระบบผลึกของสารละลายของแข็ง
85 86 88 90 92 97
บทที่ 5 คุณสมบัติของวัสดุ 5.1 คุณสมบัติทางกลของวัสดุ 5.2 คุณสมบัติทางความรอนของวัสดุ
104 146
5.3 คุณสมบัติทางเคมีของวัสดุ
148
บทที่ 6 การเลือกใชพัสดุทางชาง 6.1 บทนํา 6.2 พัสดุทางชางประเภทโลหะและการนําไปใชงาน 6.3 การเบิกและการจัดหา
152 152 170
บทที่ 7 แผนภาพสมดุลยภาค 7.1 แผนภาพสมดุล (Phase Equilbrium Diagram) 7.2 เฟส (Phase) 7.3 เสนโคงการเย็นตัว (Cooling curve) 7.4 การเย็นตัวของโลหะบริสุทธิ์ 7.5 การเย็นตัวของโลหะผสม 7.6 เสนโคงการเย็นตัวของโลหะที่สวนผสมตาง ๆ มาประกอบกันเปนแผนภาพสมดุล 7.7 แผนภาพสมดุลของระบบสองธาตุ (Binary Alloy) 7.8 ปฏิกิริยา Eutectoid 7.9 ปฏิกิริยา Peritectoid 7.10 โครงสรางภายในของโลหะผสม 7.11 แผนภาพสมดุลของเหล็ก – คารบอน
172 176 177 178 178 180 172 187 189 192 206
บทที่ 8 กรรมวิธีทางความรอนของเหล็กกลา 8.1 Hardening 8.2 Tempering 8.3 Annealing 8.4 Normalizing 8.5 Spheroidizing 8.6 เหล็กกลาผสม (Alloy Steels) 8.7 ธาตุผสม (Alloying element)
212 217 221 221 222 224 224
บทที่ 9 เหล็กหลอ/เหล็กเครื่องมือ/มาตรฐานเหล็ก/เหล็กกลาคารบอน 9.1 เหล็กดิบและการผลิตเหล็กดิบ 9.1.1 สินแรเหล็ก 9.1.2 แหลงสินแรในประเทศไทย 9.1.3 การผลิตเหล็กดิบ 9.1.4 เตาสูง
226 226 226 226 227
9.1.5 วิธีการถลุง 9.1.6 ชนิดของเหล็กดิบ 9.1.7 บทบาทสําคัญของธาตุที่ผสมอยูในเหล็กดิบ 9.2 เหล็กหลอและการผลิตเหล็กหลอ 9.2.1 เตาคิวโปลา 9.2.2 วิธีการหลอหลอมเหล็กหลอ 9.2.3 ชนิดของเหล็กหลอ 9.3 เหล็กกลาและการผลิตเหล็กกลา 9.3.1 เหล็กออน 9.3.2 เหล็กกลาคารบอน 9.3.3 เหล็กกลาผสม 9.3.4 ธาตุผสมและอิทธิพลที่มีตอเหล็ก 9.3.5 การผลิตเหล็กกลา 9.3.6 อินกอท 9.3.7 เหล็กกึ่งสําเร็จรูป 9.3.8 เหล็กสําเร็จรูป 9.4 เหล็กทําเครื่องมือ 9.4.1 การแบงชั้น 9.4.2 เหล็กเครื่องมือชุบแข็งดวยน้ํา 9.4.3 เหล็กเครื่องมือตานทานแรงชอค 9.4.4 เหล็กเครื่องมือแปรรูปเย็น 9.4.5 เหล็กเครื่องมือสําหรับงานแปรรูปรอน 9.4.6 เหล็กกลาไฮสปด บทที่ 10 โลหะที่ไมใชเหล็ก (อลูมิเนียม, ทองแดง) 10.1 โลหะหนัก 10.1.1 ทองแดงและทองแดงประสม 10.1.2 นิคเกิลและโลหะประสมนิคเกิล 10.1.3 ตะกัว่ และตะกัว่ ประสม 10.1.4 ดีบุกและดีบกุ ประสม 10.1.5 สังกะสีและสังกะสีประสม 10.1.6 โลหะแบริ่ง 10.1.7 โลหะมีคา
228 228 229 229 230 231 232 234 234 235 237 237 240 246 247 249 250 250 252 252 253 254 256 258 258 261 262 263 263 264 264
10.1.8 ทานทาลั่ม 10.1.9 โมลิบดินั่ม 10.1.10 วานาเดี่ยม 10.1.11 โคบอลท 10.1.12 โครเมี่ยม 10.1.13 แคดเมี่ยม 10.1.14 ปรอท 10.2 โลหะเบา 10.2.1 อลูมิเนียมและโลหะประสมอลูมิเนียม 10.2.2 แมกนิเซียมและแมกนิเซียมประสม 10.2.3 ติตาเนียม 10.2.4 เซอรโคเนียม 10.2.5 เบอรริลเลี่ยม
265 265 265 265 265 265 265 266 266 269 271 271 271
บทที่ 11 พลาสติก และวัสดุชางอืน่ ๆ วัสดุหลอลื่น และหลอเย็น 11.1 พลาสติก 11.2 วัสดุหลอลื่น และหลอเย็น
272 295
บรรณานุกรม
301
1
บทที่ 1 บทนํา 1.1 วัตถุประสงค เอกสารฉบับนี้ไดรับการจัดทําขึ้นโดยการรวบรวมเอาเนื้อหาวิชาที่เกี่ยวของกับวัสดุทางชาง จากเอกสารอางอิงตาง ๆ หลาย ๆ เลม เพื่อประโยชนในการอางอิง ดังนี้ 1. เพื่อความสะดวกในการอางอิงในการปฏิบตั ิงาน 2. เพื่อใชอางอิงในการสอบเลื่อนฐานะของขาราชการทหารของกรมอูทหารเรือ 3. เพื่อใชอางอิงในการเรียนการสอนในหลักสูตรตาง ๆ ภายในกรมอูทหารเรือ
2
1.2 วัสดุชาง (Engineering Materials) วัสดุในงานวิศวกรรมที่ใชในดานงานชางอุตสาหกรรมหรืองานทั่ว ๆ ไป สวนใหญโลหะ เกือบทุกชนิดจะมีกําเนิดมาจากแร (Mineral) ซึ่งอยูในรูปของสารประกอบ (compound) มีโลหะ บางชนิดเหมือนกันที่เกิดในรูปของโลหะบริสุทธิ์ (Pure Metal) เชน ทอง และทองแดง ตลอดจน ในลูกอุกาบาท และดาวนพเคราะหบางดวงที่ตกมายังพื้นโลกเทานัน้ แตก็มีนอยมากโดยทั่วไปเรา อาจจะแบงวัสดุเหลานี้ออกเปนประเภทใหญ ๆ ได 2 กลุม คือ 1.2.1 ประเภทโลหะ (Metallic) ซึ่งยังแบงยอยออกเปน 2 ชนิด คือ 1.2.1.1 โลหะที่เปนเหล็ก (Ferrous metal) ไดแก เหล็กกลา (Steel) เหล็กหลอ (cast - iron) และพวกโลหะเหล็กอืน่ ๆ ที่มีธาตุเหล็ก (Iron) เปนองคประกอบ (Iron – base) เปน โลหะหลัก (Base metal) หรือโลหะแม (Parent metal) หรือที่เรียกกันอีกอยางหนึ่งวาโลหะมูล และมีธาตุคารบอนผสมอยูดว ย เปนธาตุผสม (Alloying element) เชน เหล็กกลาไรสนิม (Stainless steel) เหล็กกลาผสม (Alloy steel) เปนตน 1.2.1.2 โลหะที่ไมใชเหล็ก (Non – Ferrous metal) คือโลหะที่ไมมธี าตุเหล็ก (Iron) เปนองคประกอบหลัก เชน ทองแดง (Copper) สังกะสี (Zinc) ดีบุก (Tin) อลูมิเนียม (Aluminium) แมกนีเซียม (Magnisium) รวมถึงพวกโลหะผสมของโลหะเหลานีอ้ ีก เชน ทองเหลือง (Brass) บรอนซ (Bronze)
3
ตารางที่ 1 แสดงแผนภูมิของวัสดุประเภทโลหะ metallic material (วัสดุประเภทโลหะ)
Ferrous (โลหะเหล็ก) - เหล็กหลอ - เหล็กกลา - เหล็กไรสนิม - เหล็กกลาผสม - และพวกโลหะอื่นๆ ที่มีเหล็กเปนองประกอบหลัก
Non – Ferrous (โลหะที่ไมใชเหล็ก) - ทองแดง - สังกะสี - อลูมิเนียม - ดีบกุ - แมกนีเซียม และรวมถึงโลหะผสมของ โลหะที่ไมใชเหล็ก เชน บรอนซ ทองเหลือง เปนตน
จากตารางวัสดุประเภทโลหะที่ไมใชเหล็ก (Non – Ferrous metal) ยังแบงแยกออกไดอีกสอง ชนิด คือ โลหะหนัก (Heavy metal) หมายถึง โลหะที่มีความหนาแนนสูงกวา 4 กก / ดม3 (4 กรัม ตอ ซม3) เชน ทองแดง สังกะสี ตะกัว่ ดีบุก แมงกานีส ทองคําขาว ทังสะเตน เปนตน รวมทั้ง โลหะมีราคา เชน ทอง เงิน และทองคําขาว โลหะเบา (Light metal) หมายถึง โลหะที่มีความหนาแนนต่ํากวา 4 กก / ดม3 (4 กรัม ตอ ซม3) เชน อลูมิเนียม แมกนีเซียม และลิเธียม เปนตน หมายเหตุ แมกนีเซียม เปนโลหะที่เบาที่สุด ที่ใชในงานวิศวกรรม แตลิเธียม (Li) เปนโลหะ ที่เบาที่สุดในโลก 1.2.2 ประเภทอโลหะ (Non – Metallic) ซึ่งยังแบงยอยออกเปน 2 ชนิด คือ 1.2.2.1 อินทรียสาร (Organic) ซึ่งไดมาจากพวกสิง่ มีชีวิตทั้งหลาย เชน พวกพืชสัตว และตนไม เปนตน 1.2.2.2 อนินทรียสาร (Inorganic) ซึ่งไดมาจากพวกแรธาตุและสิ่งตาง ๆ ที่ไมมีชีวิต ดังแสดงในแผนภูมิตอไปนี้
4
ตารางที่ 2 แสดงแผนภูมิของวัสดุประเภทอโลหะ NON – METALLIC MATERIAL (วัสดุประเภทอโลหะ)
Organic (อินทรียสาร) Naturral (สารธรรมชาติ) - component of natural (สวนประกอบธรรมชาติ) - Wood (ไม) - Leather (หนัง) - Natural fibers (ใยธรรมชาติ) - Natural resin (ยางสนธรรมชาติ)
Syntetic (สารสังเคราะห) - Paper (กระดาษ) - Cellulose เยื่อไม ธาตุที่เปน สวนสําคัญของเนื้อไม และฝาย - Artificial Leather (หนังเทียม) - Artificial rubber (ยางเทียม) - Synthetic fibers (ใยสังเคราะห) - Plastic (พลาสติก)
Inorganic (อนินทรียสาร) Naturral (สารธรรมชาติ) - Stone (หิน) - Mineral & Ore - Clay (ดินเหนียว) - Gypsum (ยิบซั่ม) - etc. อื่น ๆ
Syntetic (สารสังเคราะห) - Cement (ซีเมนต) - Concrete (คอนกรีต) - Plaster (พลาสเตอร) - Glass (แกว) - Ceramics (เซรามิคส) - Brick (อิฐ) - Graphite (กราไฟท) - Carbides (คารไบด)
5
1.3 การเลือกใชวัสดุ (Selection of materials) การเลือกวัสดุ (Selection of Material) การเลือกวัสดุที่จะนํามาทําชิน้ สวนหรือสวนประกอบตาง ๆ ของเครื่องจักร หรือนํามาใชงาน ใด ๆ นั้น โดยทั่วไปมีหลักเกณฑในการพิจารณาดังนี้คือ 1. พิจารณาในดานการใชงานโดยตรง (Service requirement) คืองานนั้นตองการคุณสมบัติทางดานใดบาง ซึ่งคุณสมบัติตาง ๆ เหลานี้ ไดแก 1.1 ทนตอความรอน (Heat resistance) 1.2 ทนตอการกัดกรอน (Corrosion resistance) 1.3 ความแกรง (Toughness) 1.4 ความยืดหยุน (Elasticity) 1.5 ความแข็ง (Hardness) 1.6 ความแข็งแรง (Strength) 1.7 การขยายตัวเนือ่ งจากความรอน (Thermal expansion) 1.8 คุณสมบัติทางดานไฟฟา (Electrical properties) 1.9 คุณสมบัติทางดานแมเหล็ก (Magnetic properties) 1.10 การนําความรอน (Thermal conductivity) 1.11 ความลา (Fatique) 2. พิจารณาในดานกรรมวิธีการผลิต – การประกอบ (Fabrication requirement) คือตองการวัสดุที่ผลิตจากขบวนการใด และสามารถแปรรูปไดโดยขบวนการตาง ๆ ได กวางขวางเพียงใด ซึ่งจะพิจารณาถึงองคประกอบตาง ๆ ดังนี้ คือ 2.1 ออนสามารถจะดัดไดงาย (Malleability) 2.2 สามารถตกแตงดวยเครื่องจักรได (Machinability) 2.3 ความเหนียว (Ductility) 2.4 สามารถนําไปหลอหลอมได (Castability) 2.5 สามารถนํามาเชื่อมได (Weldability) 2.6 สามารถจะทําการอบชุบดวยความรอนได (Heat treatment) 3. พิจารณาเกีย่ วกับราคา (Economic requirement) ซึ่งจะคํานึงถึงสิ่งตาง ๆ เหลานี้คือ 3.1 ราคาวัสดุ (Cost of Material) 3.2 ราคาเครื่องจักร (Cost of Machining) 3.3 ราคาของการประกอบใหเปนรูปราง (Cost of Joining) 3.4 แรงงานทีใ่ ช (Cost of Working)
6 Chart 1 Selection of material
Heat Resistance Corrosion Resistance Toughness
Elasticity Hardness Strength
Thermal Expansion Electrical Properties SERVICE REQUIREMENT
Suitable Weight Magnetic Properties Fatique Resistance Greep Resistance Bearing Properties Thermal Conductivity
SELECTION
ECONOMIC REQUIREMENT FABRICATION REQUIREMENT
Malleability Machinability Ductility Castability Ease of Joining Respon of heat – treatment
Cost of Material Cost of Machining Cost of Joining Cost of Casting of Working
272
บทที่ 11 พลาสติก และวัสดุชางอื่น ๆ วัสดุหลอลื่น และหลอเย็น 11.1 พลาสติก “ความหมายของคําวา พลาสติก โดยทั่วไป หมายถึง วัสดุที่ประกอบดวยสารหลายอยาง ซึ่งเมื่อ ใหความรอนแลว สามารถที่จะฟอรมขึ้นเปนรูปรางตาง ๆ ได โดยโมลดการหลอหรือการอัดขึน้ รูป” องคประกอบที่สําคัญของพลาสติก คือ สารอินทรียหรือยาง และปกติจะประกอบดวยออกซิเจน คารบอน ไฮโดรเจน และบางครั้งก็มีวสั ดุอื่น ๆ ผสมอยูดวย ในทางเทคนิค ของผสมอินทรียชนิดนี้ เรียกวา โพลีเมอร (POLYMERS) 1. วัตถุดิบที่นํามาทําพลาสติกรวมถึงแกส ถานหิน ปโตรเลียม กํามะถัน หินปูนและซิลิกา ดังรูป วัสดุอื่น ๆ เชน สารละลาย สารหลอลื่น ผงสี วัสดุเจือ ลวนแตเปนสวนผสมเพิ่มเติมทางอุตสาหกรรม วัสดุเจือโดยทัว่ ไป คือ แปงสาลี ฝาย ขี้เลื่อย เศษไฟเบอร แอสเบสทอส แกว ดินเหนียวหรือโลหะผง สารเหลานี้จะชวยใหทนความรอน เพิ่มความแข็งแรงและลดการหดตัวของผลิตภัณฑพลาสติก
รูป 11.1 วัสดุดิบที่ใชเปนสวนผสมทําพลาสติก
273 11.1.1 ประวัติความเปนมา อุตสาหกรรมพลาสติกสมัยใหม ไดถูกพัฒนาอยางกวางขวาง ชารล กูดเยียร ไดคนพบ อิโนไนท (Elxalile) หรือยางแข็ง ในป ค.ศ.1839 ตอมาในป ค.ศ.1869 ชางพิมพชาวอเมริกันชื่อ เจ ดับบลิว ไฮแอท ไดคนพบพลาสติกชนิดแรกชื่อ เซลลูลอยด (Celluloid) โดยการนําเอาไพรอกซีลีน (Pyroxilin) ซึ่งทําจาก ฝายกับกรกไนตริก ผสมกับการบูร ทําเปนลูกบิลเลียด ประมาณป 1909 คลิกเตอรแอล เอช เมดีแลนดและผูรว มงานไดคนพบฟบอล ฟอรมาเดลไฮด (Phenol - formaldeiyde) พลาสติกชนิดนี้เรารูจักกันดีในชื่อของ เบเคอรไรท (Bakelile) นับตั้งแตนั้นมา วัสดุสังเคราะหมากมายที่ เกิดเพิ่มมากขึน้ จักใหอุตสาหกรรมพลาสติก เปนอุตสาหกรรมที่ใหญที่สุดในโลก 11.1.2 คุณสมบัติพลาสติก พลาสติกเปนวัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษกวาวัสดุอนื่ ๆ ดังนั้นในปจจุบัน พลาสติกจึงถูกนํามาใช แทนวัสดุอนื่ ๆ เกือบทั้งหมด คุณสมบัติเหลานี้ไดแก 1. เบา 8. ทบตอการสึกกรอน 2. ทนความรอน 9. ทนสารเคมี 3. แข็ง 10. ทําเปนสีตาง ๆ ได 4. ออนตัว 11. ใส 5. ยืดตัว 12. ทึบ 6. กันน้ํา 13. หลอลื่นในตัว 7. เปนฉนวนไฟฟา ฯลฯ เราจําแนกคุณสมบัติของพลาสติกตามลักษณะการใชงานไดดังนี้ คุณสมบัติทางเชิงกล (Mechanical) มีความแข็งแรง เหนียว ยืดหยุน ตัว คุณสมบัติทางไฟฟา เปนฉนวนไฟฟา คุณสมบัติทางเคมี ทนตอกรด ดาง และทนตอสารเคมีอื่น ๆ 11.1.3 ชนิดของพลาสติก พลาสติกแบงออกเปนชนิดใหญ ๆ ได 2 ชนิดคือ 1. เทอรโมเซตติ้ง (The rmosetting) 2. เทอรโมพลาสติก (Thermoplastic) เทอรโมเซตติ้งหรือพลาสติกแข็ง เปนพลาสติกที่สามารถขึ้นรูปไดดวยความรอนและจะใช แรงดันหรือไมใชแรงดันก็ได ความรอนที่ใหในเบื้องตน จะทําใหวสั ดุชนิดนี้ออนตัว แลวเติมสารเคมี พิเศษลงไปในพลาสติก มักจะเกิดการเปลีย่ นแปลงทางเคมีขึ้นทําใหพลาสติกแข็ง ตัวอยางถาวร เราเรียก การเปลี่ยนแปลงทางเคมีนี้วา โพลีเมอไรเซชั่น ( Polymeri Zation)
274 โพลีเมอไรเซชั่น หมายถึง ของผสมที่เปลี่ยนแปลงเปนของผสมอีกชนิดหนึง่ โดยที่ธาตุยังคง เปนธาตุเดิม แตโมเลกุลจะใหญขึ้น มีน้ําหนักมากขึ้นและคุณสมบัติทางฟสิคส เปลี่ยนไป พลาสติกชนิด นี้จะไมสามารถนําไปหลอมละลายไดอีก เทอรโมพลาสติกหรือพลาสติกออน จะไมมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในขณะใหความรอน ดังนั้นพลาสติกชนิดนี้ จึงไมแข็งตัวอยางถาวร เมื่อใหความรอนและแรงอัดกับมัน แตจะยังคงออนตัวที่ อุณหภูมิสูงและจะทําใหแข็งตัวไดโดยปลอยใหมนั เย็นตัวลงพลาสติกออนสามารถนํากลับมาหลอมละลาย ใหมไดอกี 11.1.3.1 เทอรโมเซตติ้งหรือพลาสติกแข็ง เทอรโมเซตติ้งมีอยูดวยกันหลายชนิดที่สาํ คัญ และใชอยูทั่ว ๆ ไป มีดังนี้ <1> อีพอกซี่ (Epoxy) <2> ฟโนลิค (Phenolic) <3> ฟูราน (Furane) <4> ชิลิโคน ( Silicones) <5> อมิโน (Amino) - ยูเรีย ฟอรมาเคลไฮด - เมลามีน ฟอรมาเดลไฮด < 6 > โพลีเอสเตอร ( Polyester) < 7 > ยูรีเทน (Urethane) 1. อีพอกซี่ เปนวัสดุทใี่ ชกันมากในอุตสาหกรรมเคลือบผิว และผลิตภัณฑไฟเบอรกลาส สารเคลือบที่ทํา จากวัสดุชนิดนี้จะมีคณ ุ สมบัติเหนียว ยืดหยุนไดดี เกาะยึดแนน และ ตานทานตอปฏิกิริยาเคมีไดสูง ซึ่ง คุณสมบัตินี้ยังไมเคยพบในวัสดุเคลือบผิวชนิดอื่นมากอน อีพอกซี่แผนสามารถนํามาใชในงานทีม่ ีแรง กดดันสูงและแรงกดดันต่ําไดดี ในงานอุตสาหกรรม อีพอกซี่ถูกนํามาใชสรางชิ้นสวนของเครื่องบินเจต กาวอีพอกซี่ เปนกาว ที่มีความเหนียวมาก ใชในงานอุตสาหกรรมเครื่องบิน รถยนต และถูกนํามาใชในบานเรือน คุณสมบัติของอีพอกซี่ 1. มีการหดตัวนอย 2. ทนตอการกัดกรอนทางเคมี 3. เปนฉนวนไฟฟาไดดี มีความถวงจําเพาะ ระหวาง 1.11 - 1.8
275 2. ฟโนลิค พลาสติกชนิดนี้รูจักกันในภาษาตลาดวา เบเคอรไรท เปนวัสดุทมี่ ีอายุการใชงานไดยาวนาน กวาพลาสติกสังเคราะหอื่น ๆ เมื่อถูกผลิตเพื่อใชงานเฉพาะ มันจะใหผลในดานความแข็ง ความแกรง ทนตอความรอน ทนตอการกัดกรอน และมีคุณสมบัติเปนฉนวนไฟฟา เบเคอรไรทขึ้นรูปไดทั้งในสภาพ แข็งและออนตัว ผงละเอียดของพลาสติกชนิดนี้ จะถูกนํามาใชกับอุตสาหกรรมทําแบบหลอโลหะ นอกจากนี้ยัง ใชผงฟโลลิคผสมกับแอสเบสทอสไฟเบอร อัดขึ้นรูปเปนแผนบาง ๆ แลวใหความรอนกอนทีแ่ ผนวัสดุ ชนิดนี้จะเย็นตัวลง จะถูกนําไปตัดขึ้นรูป เปนผาเบรค ดังรูป 11-.2 ฟโนลิคที่ขึ้นรูปดวยโมลดหรือที่เปน แผนบาง ๆ เปนวัตถุดิบที่มบี ทบาทสําคัญ ในการผลิตโครงของอาวุธเปนแบบใหม ๆ ทั้งนี้เพราะทน ความรอนไดสงู มาก มากกวา 15,000 ฟ ซึ่งภายใตสภาวะนี้โลหะจะกลายเปนไอและเซรามิคจะหลอม ละลาย แตฟโ นลิคจะเปนถาน เทานั้น ผลิตภัณฑที่ทําจากวัสดุชนิดนีไ้ ดแก อุปกรณไฟฟา โครงตูวิทยุ ดามมีด ฝาขวด หนาปทม หูโทรศัพท ฯลฯ คุณสมบัติของฟโนลิค 1. ทนความรอน 2. ทนตอการกัดกรอนไดสูง 3. เปนฉนวนไฟฟา 4. ทนตอกรดและดางชนิดออน มีความถวงจําเพาะ 1.25 - 1.55
รูปที่ 11.2 เบรคทําจากฟโนลิค
276
รูป 11.3 ชิ้นสวนที่สําคัญในโครงสราง ยานอพอลโล ทําจากฟโนลิค 3. ฟูราน พลาสติกชนิดนี้ผลิตขึ้นดวยกรรมวิธีทางเคมี จากกรดกับเมล็ดฝายและแกลบ เปนวัสดุที่ไม เหมือนกับพลาสติกแข็งชนิดอื่น เพราะจะยังคงสภาพเหลวจนกวา จะถูกนําไปใชงานวัสดุชนิดนี้ นําไปใชกับอุตสาหกรรมผลิตลอหินเจียระไนไดดี เพราะใหผลในดาน ทนตอการกัดกรอนของน้ํา ฟูราน ยังถูกนําไปทําไสแบบในงานหลอ และตัวประสานในทรายหลอ อีกทั้งยังเปนวัสดุที่ทําใหยิบซั่มแข็งตัว
277
รูป 11.4 หินเจียระไนใชฟูราน เปนตัวประสาน (กาว)
4. ชิลิโคน ชิลิโคนเปนพลาสติกที่ทนตอสภาวะความรอนและความเย็นไดสูงมาก คุณสมบัติเดนของพลาสติกชนิดนี้ก็คือ 1. ตานทานตอออกซิเคชั่น 2. มีคุณสมบัติทางไฟฟาดีเยี่ยม (ทนความรอนและเปนฉนวน) 3. ทนตอการกัดกรอนของน้ําไดดี มีความถวงจําเพาะ ระหวาง 1.6 - 2.0 วัสดุชนิดนี้มีประโยชนตออุตสาหกรรมผลิตอยางกวางขวาง ไดแก ไขจาระบี น้ํามัน กาว และ ยางผสม ซิลิโคนเหลวชนิดพิเศษ ยังถูกนํามาผสมทําเครื่องสําอาง ซึ่งไมมีกลิ่น และ ไมทําอันตรายตอผิว ของผูใชอีกดวย นอกจากนี้ซิลิโคนยังใชกับงานเฟอรนิเจอร รถยนต รองเทา ยางซิลิโคน มีลักษณะคลายกับยางธรรมชาติ ใชทําทอสายยาง ฉนวนหุมสายเคเบิ้ล ไฟฟา เปนตน 5. อมิโน แบงออกเปนชนิดใหญ ๆ ได 2 ชนิด คือ 5.1 ยูเรีย ฟอรมาเดลไฮด 5.2 เมลามีน ฟอรมาเดลไฮด พลาสติ ก ชนิ ด นี้ เ ป น ที่ ย อมรั บ ในคุ ณ สมบั ติ ที่ ท นต อ ความร อ น ทนต อ ปฏิ กิ ริ ย าทางเคมี แ ละ สารละลาย มี ผิ ว หน า ที่ แ ข็ ง ปราศจากสี แ ละยั ง คงความไม มี สี อ ยู ไ ด น าน พลาสติ ก ชนิ ด นี้ มี ค วาม ถวงจําเพาะ 1.47 - 1.55 จึงมีน้ําหนักมากกวาพลาสติกทั่ว ๆ ไป เล็กนอย
278 ยูเรีย – ฟอรมาเดลไฮดชนิดเหลวใชทํากาวไมอัดและซิบบอรด น้ํายาเคลือบผิว อุตสาหกรรม ทอผา อุปกรณไฟฟา ตูวิทยุ ดามเครื่องมือ ฯลฯ มาลามีน – ฟอรมาเดลไฮด มีคุณสมบัติหลายขอคลายกับยูเรีย เมลามีน ทนตออุณหภูมิไดสูง ทนตอแรงกระแทกไดดี มีผิวแข็งและทนตอสารละลาย ยอมไดทุกสี ผลิตภัณฑที่ไดจากพลาสติกชนิดนี้ ไดแก ถวยชามชนิดตกไมแตก ชิ้นสวนไฟฟา ชิ้นสวนจุดติดไฟ
รูป 11.5 ถวยชามเมลามีน ผลิตโดยศรีไทยซุปเปอรแวร 6. โพลีเอสเตอร เรารูจักโพลีเอสเตอรดีในรูปของผลิตภัณฑไฟเบอรกลาส โพลีเอสเตอรมีหลายชนิด มีทั้ง เทอรโมเซตติ้ง และเทอรโมพลาสติก แตเกือบทั้งหมดที่ใชเปนเทอรโมเซตติ้ง โพลี เ อสเตอร ชนิ ด เทอร โ มเซ็ต ติ้ ง นิ ย มใช ทําสี แ ลคเกอร น้ํา ยาเคลื อบผิ ว ชนิ ด เทอร โ ม พลาสติกนิยมใชทําเปนเสนใย ทอเปนเสื้อผา และทําฟลม
279 โพลีเอสเตอรมีความถวงจําเพาะ 1.3 หากเปนผลิตภัณฑไฟเบอรกลาส จะมีความถวงจําเพาะ 1.5 - 2.28 และโดยปกติโพลีเอสเตอรนิยมใชทําเปนผลิตภัณฑไฟเบอรกลาสมากที่สุด เชน ชิ้นสวน เครื่องบิน ถังบรรจุของเหลว เรือ โครงหลังคารถยนต เฟอรนิเจอร แผงกันแดด ฯลฯ คุณสมบัติ 1. รับแรงดึง แรงอัด แรงบิดงอไดดี 2. เปนฉนวนไฟฟาไดดี 3. มีความหดตัวนอย 4. ทนกรด ดางชนิดออนได แตไมทนตอสารละลายบางชนิด
รูป 11.6 เรือทําจากไฟเบอรกลาส 7. ยูรีเทน ยูรีเทนมีทั้งในรูปแข็งตัว ฟองน้ําและของเหลว ยูรีเทนในรูปแข็งตัว ทนตอการกัดกรอนไดดี เหนียวทนทาน ทนตอสารเคมี เปนฉนวนไฟฟาไดดี ทนความรอน และไมตดิ ไฟงาย ในรูปโฟม เก็บ เสียงและรับแรงสั่นสะเทือนไดดี ทนความรอนเย็นไดดี ในชวงอุณหภูมิ ในปจจุบนั ยูรีเทนถูกนํามาใชในรูปโฟมมาก เชน ใชทําเบาะรถยนต เบาะเฟอรนิเจอร ที่นอน โฟมชนิดแข็งใชฉดี เขาไปในปกเครื่องบิน ทองเรือ ผนังตูเย็น นอกจากนี้ยังใชทําน้ํายาเคลือบผิว วัสดุตาง ๆ เชน ไม โลหะ ยาง ผา คอนกรีต ฯลฯ
280
รูป 11.7 เบาะรถยนตทําจากโฟม ยูรีเทน 11.1.3.2 เทอรโมพลาสติก หรือพลาสติกออน ที่ใชกันอยูทั่วไป มีดังนี้ 1. ไนลอน (Nyron or Polymides) 2. โพลีเอททีลีน (Polyethylene) 3. โพลีสไทลีน (Polystyrone) 4. โพลีโพรไพลีน (Polypropyrene) 5. โพลีคารบอเนต (Polycarbonate) 6. อะคริลิค (Acrylic) 7. เซลลูโลส (Cellolose) 8. ไวนีล (Vinyi) 9. โพลีไอไมค (Polyimide) 1. ไนลอน พลาสติกชนิดนี้พัฒนาขึ้นโดย ดับบลิว เอช คาโรเธอร ออกเผยแพรสูตลาด เมื่อป ค.ศ.1938 ในรูปของสิ่งทอ เพื่อใชเปนวัสดุทดแทนเสนไหมในอุตสาหกรรมทําถุงเทา ไนลอนเปนวัสดุที่มี คุณสมบัติตามธรรมชาติ มีน้ําหนักเบา รับแรงดึงแรงอัดไดดี ทนการขีดขวน เปนฉนวนไฟฟาไดดี แต ไมเหมาะสมสําหรับไฟฟาแรงสูง ทนกรดชนิดออนและดางไดดี เนื้อของไนลอนมีความโปรงแสง ในรูป ของเสนใยจะโปรงใส สามารถยอมเปนสีตาง ๆ ได ผลิตภัณฑที่ทาํ จากไนลอน ไดแก รมชูชพี ถุงเทา เสื้อผา คอนพลาสติก วารว ทอ สงน้ํามัน แบริ่ง บูช ฯลฯ
281 2. โพลีเอททีลีน เปนพลาสติกทีถ่ ูกผลิตขึ้นใชมากกวาพลาสติกชนิดอืน่ ๆ โพลีเอททีลีน แบงออกเปน 4 ชนิด คือ 1. ชนิดความหนาแนนต่ํา (LDLPE) 2. ชนิดความหนาแนนปานกลาง (MDPE) 3. ชนิดความหนาแนนสูง (HDPE) 4. โคโพไลเมอร (Copolymer) โพลีเอททีลีนชนิดความหนาแนนต่ําถูกน้ํามาใชผลิตถังน้ํา ถังทิ้งขยะ ภาชนะบรรจุตาง ๆ ชนิด ความหนาแนนปานกลางใชผลิตเครื่องถวยชาม ชนิดความหนาแนนสูงใชผลิตชิ้นสวนในงาน อุตสาหกรรม และโดโพลีเมอรใชผลิตเครื่องใชในครัวเรือน ที่ตองการความแข็งแกรง นอกจากนี้ โพลีเอททีลีนยังถูกนํามาใชในรูปของฟลมเคลือบ เกินกวา 75 % ของฟลมเคลือบที่ผลิตจะนํามาใชในงาน หอหุมอาหาร สินคาที่มีความออน ของเลนและสารเคมี คุณสมบัติของโพลีเอททีลีน 1. เปนฉนวนไฟฟาไดดี 2. ทนตอปฏิกิริยาเคมี 3. ไมอมน้ํา 4. เหนียวและโคงงอไดดี ความถวงจําเพาะ 0.92
รูป 11.8 ผลิตภัณฑทที่ ําจากโพลีเอททีลีนชนิดความหนาแนนต่ํา
282 3. โพลีสไทลีน พลาสติกชนิดนี้ถูกนํามาใชครั้งแรก ในป ค.ศ.1935 เปนพลาสติกที่มีปริมาณการผลิตมากที่สุด อีกชนิดหนึ่ง โพลีสไทลีน มีน้ําหนักเบา มีความถวงจําเพาะ 0.89 - 1.1 หดตัวนอยมาก คุณสมบัติของ พลาสติกชนิดนี้ ก็คือ มีลักษณะใส ไมมสี ี สามารถยอมใหเปนสีตาง ๆ ไดมีคุณสมบัติทนตอกรด ดาง และเกลือไดดี แตไมทนตอน้ํามันเบนซินและสารละลาย อีกทั้งผิวยังเปนรอยขีดขวนไดงาย และใชไป นาน ๆ อาจดูขุน ตัวอยางผลิตภัณฑจากพลาสติกชนิดนี้ไดไมบรรทัดพลาสติก ขวดใสยาเม็ด หมวก กันนอค ถาดอาหาร 4. โพลีโพรไพลีน โพลีไพรไพลีนเปนพลาสติกที่มีน้ําหนักเบาที่สุด มีความถวงจําเพาะ 0.905 ขอดีของพลาสติก ชนิดนี้ก็คือ 1. มีน้ําหนักเบา ทําใหประหยัดราคามากกวาพลาสติกอื่น ๆ ที่มีราคาเดียวกัน 2. สะดวกสําหรับผูซื้อ เพราะมีน้ําหนักเบา พลาสติกชนิดนี้ถูกนํามาใชในงานผลิตมากมาย เชนชิ้นสวนของเครื่องซักผา เครื่องมือแพทย เข็มฉีดยาถวยใสยา ชั้นวางของ พวงมาลัยรถยนต เปนตน โพลีไพรไพลีน ทนตอความรอนไดดี ปลอดภัยในดานความแข็งแรงและมีน้ําหนักเบา 5. โพลีคารบอเนต โพลีคารบอเนตเปนพลาสติกใสที่มี ความแข็งแรงมากที่สุด ทนตอแรงกระแทก ไดสูง มีความเหนียว ใชทาํ อุปกรณสื่อสาร โคมไฟสาธารณะ ชองมองหนาหมวกนักบิน อวกาศ รูป 11.9 เครื่องมือแพทยทําจากโพลีโพรไพลีน พลาสติกชนิดนี้ทําเปนสีตาง ๆ ได มีความใสและสามารถทําใหผลิตภัณฑที่มคี ุณภาพตามทีต่ องการได ดวยเหตุผลเหลานี้ โพลีคารบอเนต จึงถูกนํามาใชในงานผลิตทางทหารมากมาย ซึ่งชิ้นสวนเหลานี้ถูกนํามาใชงานในชวงอุณหภูมิ 6๐ ถึง 180๐ ฟ
283 6 อะคริลิค เปนพลาสติกที่ใช ในงานสงกําลังเบา ๆ ไดดี งายตอการขึ้นรูปและทนความชื้นได อะคริลิคมีชื่อ เรียกในทองตลาดวา เพลกชิกลาส (Plexiglas) และ ลูไซท (Lucite) มีคุณสมบัตดิ ีมากในเรื่องโปรงแสง ใชทําฝาครอบเครื่องบิน หนาปทมเครื่องมือวัด หนาปทมนาฬิกา แวนตาพลาสติก ปายโฆษณา ปาย รานคา และดามเครื่องมือตาง ๆ นอกจากนี้ ยังใชใน งานผลิตชิ้นสวนรถยนตอกี ดวย รูปที่ 11.10 ชั้นวางของทําจาก โพลีโทรไพลีน
รูป 11.11 พวงมาลัยรถยนต ทําจากโพลีไพรลีน
รูป 11.12 ดามเครื่องมือทําจากเฟลกซิกลาส
รูป 11.13 ดามไขควงทําจากอะคริลิค
284 7. เซลลูโลส เซลลูโลสเปนพลาสติกที่ทํามาจากเยื่อไมและฝาย เปนพลาสติกพวกแรก ซึ่งถูกคิดคนนํามาใช งานดานอุตสาหกรรม ที่รูจกั กันดีในชื่อ เซลลูลอยด เซลลูลอยด แบงออกเปน 5 ชนิด คือ 7.1 เซลลูโลส ไนเตรต (Cellulose Nitrate) C/N เปนพลาสติกที่ไดจากปฏิกริ ิยาระหวางเซลลูโลส และกรดไนตริค แบงออกเปนหลายเกรด ทั้งนี้ขึ้นอยูกับไนโตรเจนที่ผสมอยู เซลลูโลสไนเตรตเปน พลาสติกที่เหนียวที่สดุ ในบรรดาพลาสติกดวยกัน มีเสถียรภาพดีมาก ยืดหยุนไดดีและดูดซึมน้ํานอย เซลลูโลสไนเตรตนี้ไวไฟมากเวลาใชตองระมัดระวังใหดที ี่สุด ประโยชนที่ใชมากมายแลกจากทําฟลม ภาพยนตแลว ก็คือใชทําดินระเบิด ทําแลคเคอรรถยนต 7.2 เซลลูโลส อะซีเคต (Cellulose Acetate) C/A ทนสารเคมีไดดี ไมควรวางใกลแอลกอฮอล และพวกดาง พลาสติกชนิดนี้ไมมีกลิ่น ไมมีรส ทนชื้น ใชผลิตชิ้นสวนทางไฟฟา ของเด็กเลน ดามมีด ฯลฯ เซลลูโลสอะซีเคตแผน ถูกนํามาใชหอหุม วัสดุ เปนฉนวนไฟฟา และฟลมถายรูป 7.3 เซลลูโลส อะซีเคต ยูไทเรต (Cellulose Acetatee Butyrate) CA พลาสติกชนิดนี้มีหลายชนิด ตั้งแตขาวใสจนถึงขุน และสามารถนํามายอมสีไดเกือบทุกสี และลําดับชั้นของสี เปนฉนวนไฟฟาที่ แข็งแรง และนําความรอนต่าํ ผลิตภัณฑทไี่ ดจากพลาสติกชนิดนี้คือ ดามเครื่องมือ สายพาน กรอบแวน หมวกอเมริกันฟุตบอล ฯลฯ 7.4 เซลลูโลส โพรฟโอเนล (Cellulose Propionate) C/P เปนพลาสติกที่มีความเหนียวและทนตอ แรงอัดกระแทกได ผลิตภัณฑจากพลาสติกชนิดนี้ไดแก ชิ้นสวนรถยนต ปากกา ดินสอ หูโทรศัพท ของเด็กเลน ชิน้ สวนวิทยุ โทรศัพท ฯลฯ 7.5 เอซีล เซลลูโลก (Ethyl Cellulose) E/C เปนพลาสติกที่แข็งที่สุดในกลุมเซลลูโลส ไมทนตอ กรด ดาง และควรวางไวใหหางจากน้ํามัน และสารละลายอื่น ๆ พลาสติกชนิดนี้ นิยมนํามาทําขอบโตะ อุปกรณไฟฟา และกระบอกไฟฉาย ฯลฯ 8. ไวนีล พลาสติกชนิดนี้ ถูกนํามาใชในงานอุตสาหกรรมประมาณหนึง่ รอยปมาแลวโดยนิยมนําไปใชเปน วัตถุเคลือบผิว กระปองดีบุกอยางกวางขวาง ไวนีลแบงออกเปน 7 ชนิด ดวยกัน แตที่นยิ มและใชกันแพรหลายที่สุด ก็คือโพลีไวนีลคลอไรด หรือ PVC PVC มีคุณสมบัติ ทนทานตอปฏิกิริยาเคมี ทําความสะอาดงายไมเกาะติดสิ่งสกปรก เหนียวและ ทนทาน ผลิตภัณฑทที่ ําจาก PVC ไดแก ทอน้ํา สายไฟฟา ถุงมือ กระเบื้องยาว ถวยและถาดบรรจุ อาหาร ถุงพลาสติก วงกบประตูและหนาตางๆ ฯลฯ
285
รูป 11.14 ทอพีวีซี 9. โพลีไอไมด โพลีไอไมดเปนพลาสติกชนิดไมหลอมละลาย แมวาจะอยูในประเภท เทอรโมพลาสติด แตก็มี คุณสมบัติคลายกับเทอรโมเซลติ้ง พลาสติกชนิดนี้ทนความรอน ไดถงึ 750๐ ฟ เปนฉนวนไฟฟาไดดี ทนทานและทนตอการสึกกรอน โพลีไอไมด ใชทาํ ชิ้นสวนยานอวกาศ ทอยาง น้ํายาเคลือบลวดไฟฟามิเตอร วัดน้าํ แหวน ลูกสูบ ฯลฯ
286 11.1.4 อุตสาหกรรมพลาสติกในประเทศไทย ในปจจุบนั อุตสาหกรรมผลิตภัณฑพลาสติกของไทย มีแนวโนมขยายตัวรวดเร็วมากในป พ.ศ.2514 มีโรงงานพลาสติกประมาณ 30 รายเทานั้น จากการสํารวจ ในป พ.ศ.2524 พบวามีผูผลิตเพิ่ม มากขึ้นเปน 1,325 ราย แตสวนใหญเปนอุตสาหกรรมขนาดเล็กหรือขนาดยอม และเปนโรงงานที่ผลิต ผลิตภัณฑประเภทเครื่องเรือน เครื่องใชและภาชนะบรรจุเสียเปนสวนใหญ การนําเขาพลาสติก ในป พ.ศ.2524 ประเทศไทยไดสั่งนําเขาพลาสติกเปนมูลคา 624 ลานบาท ผลิตภัณฑนําเขา ไดแก แผนกระเบื้องปูพื้น PVC หลอด ทอและกระเปาพลาสติก ซึ่งผลิตภัณฑที่นําเขาสวนใหญมาจาก ประเทศญี่ปุน สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐเกาหลี ไตหวัน อังกฤษ และ สิงคโปร การสงออก การสงออกผลิตภัณฑพลาสติกของไทย ในป พ.ศ.2524 ปรากฏวามีมลู คาทั้งสิ้น 702 ลานบาท ผลิตภัณฑที่ทาํ รายไดใหแกประเทศ ไดแก กระเปาพลาสติก เครื่องใชบนโตะอาหาร ของเด็กเลน เทปกาว และเสื้อฝน โดยสงออกไปจําหนายยังประเทศฮองกง สิงคโปร บริษัทศรีไทยพลาสติก เปนบริษัทหนึ่งที่มปี ริมาณการผลิตติดอันดับโลก ผลิตภัณฑที่มีชื่อเสียง สวนใหญคือเครื่องใชบนโตะอาหาร ที่เรียกวา ซุปเปอรแวร นอกจากนี้บริษัทไทยทอย (THAI TOY) ซึ่งเปนบริษัทที่ไดรับการสงเสริมการลงทุนจากภาครัฐบาล ไดผลิตของเด็กเลนสงออก มีมูลคาปละ 70 ลานบาท ของเด็กเลนสวนใหญสงไปขายในประเทศ แถบยุโรป และอเมริกา แตเปนที่นาเสียดายอยาง หนึ่งวา ผลิตภัณฑเหลานี้ไมอนุญาตใหขายในประเทศไทย
287 11.1.5 วิธีตรวจสอบพลาสติก เอาพลาสติกลนไฟ
ออนตัวละลายแลวหยด
จะไหมกลายเปนเถาหรือแตกไมออนตัว เปนพวกเทอรโมเซตติ้ง
เปนพวกเทอรโมพลาสติก ไฟจะดับลง PVC ไนลอน
ยังคงลุกติดไฟ อะคริลิค C.A C.N
ยึดและพับได
แข็งตัวยึดพับไมได
ดับไฟในตัว
ดับไฟในตัว
ซิลิโคน ยูรีเทน โพลีเอสเตอร
ชนิดพลาติก พี.วี.ซี ไนลอน อะคริลิค
ลักษณะเปลวไฟ เปลวสีเหลือง สีน้ําเงินและมีสีเหลืองที่ปลาย สีน้ําเงินกับสีเหลืองมีควันที่ ปลายเปลวเล็กนอย สีเหลืองและควันดํา สีเหลืองสด เปลวสีเหลืองและขาว เปลวสีเหลืองมีควัน
เซลลูโลส อซีเตต เซลลูโลส ไนเตรต ซิลิโคน ยูรีเทน โพลีเอ สเตอร อีพอกซี่ สีเหลืองและมีควัน ที่มา พิชิต เลี่ยมพิพัฒน พลาสติก 2521
อีพอกซี่
กลิ่น มีรสเปรี้ยว เหมือนผสมไหม เหมือนผลไม
คุณสมบัติในการเผาไหม หลอมและเปนหยด จะหลอมและกรอบ จะหลอมและมีฟอง
กลิ่นฉุนเหมือนน้ําสม กลิ่นเหมือนการบูร กลิ่นไหมเหมือนยาง
จะหลอมและเปนหยด ไหมอยางรวดเร็ว ไหมเหลือแตขี้เถา เปนของเหลวสีดําและ กลายเปนขี้เถา สีดําและออนลง
กลิ่นเหมือนคั่วแปง
288 11.1.6 วัสดุชางอืน่ ๆ 1. ยางธรรมชาติ ยางพาราเปนพืชเขตเมืองรอน มีตนกําเนิดในประเทศบราซิล ปจจุบันยางพาราปลูก มากในมาเลเซีย ศรีลังกา อินโดนีเซีย และประเทศไทย สําหรับประเทศไทยสามารถผลิตยางพาราได เปน อันดับ 3 ของโลก สวนใหญมีพนื้ ทีป่ ลูกในจังหวัดภาคใต และภาคตะวันออก เชน จันทบุรี ตราด ระยอง สุราษฎรธานี นครศรีธรรมราช ระนอง พัทลุง สงขลา ฯลฯ น้ํายางพาราไดมาจากการกรีดตนยางพารา ซึง่ ตนยางจะตองมีอายุอยางนอยที่สุด 4 ป แตโดยทัว่ ไปจะมีอายุระหวาง 6 - 7 ป จึงจะกรีดได และจะสามารถกรีดเรื่อย ๆ ไป จนกระทั่งตนยาง อายุประมาณ 30 ป น้ํายางที่กรีดได จะมีเนื้อยางอยูประมาณ 30 - 50 เปอรเซ็นต ในการกรีดยางจะตอง เติมกรดน้ําสมลงไปในน้ํายาง เพื่อใหน้ํายางมีความขนเหนียวมากขึน้ แลวจึงนําไปรีดเปนแผนบาง ๆ ตอจากนั้นจึงนําไปอบดวยความรอนประมาณ 45˚ซ ยางแผนที่ผานการอบแลว เรียกวา ยางรมควัน ยางรมควันที่ไดนี้ จะถูกสงไปขายยังตางประเทศ เชน ญี่ปุน สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ที่ นํามาใชประโยชนภายในประเทศนั้นมีนอยมาก ไมเกิน 5% จากผลผลิตที่ผลิตไดทั้งประเทศ ยางดิบที่ถูกนํามาผลิตเปนผลิตภัณฑยางสําเร็จรูปนั้น จําเปนตองผสมวัสดุตาง ๆ ลงไป เชน ผงคารบอน และกํามะถัน เปนตน เพื่อใหยางสําเร็จรูปทนความรอน ไดสูงมากขึ้น ทนตอการสึก หรอ มีความยืดหยุน ทนตอสภาพดินฟาอากาศ ทนตอสารเคมีตาง ๆ ไดดีขึ้น กรรมวิธีผสมวัสดุลงไป ในเนื้อยางนี้ เรียกวา วัลคาไนเซชั่น (Valcanization) ซึ่ง กรรมวิธีนี้คิดคนขึ้นโดย นายชาลส กูดเยียร เมื่อประมาณ 150 ป มาแลว วัสดุชางที่ทํามาจากยาง จะตองผานกรรมวิธีวลั ดาไนเซชั่น ทั้งสิ้น ยางเปนตัวนําไฟฟา และความรอนที่เลว ไมทนตอน้ํามันเบนซิน น้ํามันหลอลื่น และน้ํามันแร ดังนั้นเวลาใชงานจึงตอง ระมัดระวังเพราะสิ่งเหลานีจ้ ะทําใหยางเกิดการบวม ทําใหอายุการใชงานลดลง ยางรถยนต เปนยางสีดํา เนื่องมาจากผสมคารบอนและกํามะถันไวมาก จึงแข็งยึดตัว นอย ทนตอการสึกหรอ และเหนียวมากขึ้น ในปจจุบันไดมีการปรับปรุงคุณภาพของยางรถยนต โดย การเติมสารเคมีบางชนิดลงไป เชน สังกะสีออกไซด และเสริมเสนลวดเหล็กและเชือกเขาไป เพื่อใหมี ความแข็งแรงมากขึ้น ตัวอยางผลิตภัณฑอื่น ๆ ที่ทําจากยางธรรมชาติ คือ รองเทา ทอยาง สายพาน เสื้อคลุม ปะเก็นยาง กาวยาง ทีน่ อนยาง ถุงมือยาง เปนตน
289
รูป 11.15 ผลิตภัณฑที่ทําจากยางธรรมชาติ 2. ยางเทียม ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ยางธรรมชาติซึ่งถือวาเปนยุทธปจจัย เกิดการขาดแคลนและ เนื่องจากประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาไมมียางธรรมชาติ จึงทําใหมีการคิดคนผลิตยางเทียมขึ้นมาจาก ผลผลิตของการกลั่นน้ํามันโดยอาศัยปฏิกริยาเคมีชนิดที่ผลิตพลาสติก จากผลการคนควาดังกลาว จึงได ยางเทียมขึน้ มาซึ่งมีลักษณะใกลเคียงกับยางธรรมชาติหลายแบบหลายชนิดดวยกันคือ 2.1 ยางบูทิล (ButyI Robber) เปนผลิตภัณฑที่ไดมาจากปโตรเลียม เปนยางที่มีคุณสมบัติ หลายขอ คลายกับยางธรรมชาติ คุณสมบัติเดนก็คือ ซึมซับแรงกระแทกไดดี ยางบูทิลเปนยางที่มีเนื้อ
290 แนน แกสซึมผานไดยาก ใชทํายางในรถยนต ยางลอเครื่องบิน ฯลฯ ยางชนิดนี้ทนตอแรงดึง แรงเฉือน ไดดีมาก 2.2 ยางซิลิโคน (Sillicone Rubber) เปนยางเทียมทีผ่ ลิตขึ้นจากซิลิโคน ออกซิเจน ไฮโดรเจนและคารบอน ยางซิลิโคนชนิดนี้มีลักษณะ คลายคลึงกับยางธรรมชาติ ทนตอความรอน แสงแดด สารละลายกรดและทนตอน้ํามันเครื่องไดดี ใชทําทอยาง แผนประเก็น ฯลฯ 2.3 ยางบูนา(Buna Rubber) เปนยางที่มีคุณสมบัติดีกวายางธรรมชาติหลายประการ คือ เก็บไดนานกวา เนื้อแนน แกสซึมผานไดยาก ทนตอน้ํามันแร สารละลาย และสารเคมีบางชนิดไดดี แต มีขอเสียที่วา เนื้อไมเหนียวเทายางธรรมชาติ และฉีกขาดไดงายกวา ใชทําทอสายยางในเครื่องบิน สาย เคเบิล ทอสงน้ํามัน ถังน้ํามันเชื้อเพลิงในเครื่องบิน เปนตน 2.4 ยางจีอาร – เอส (GR – S) ผลิตขึ้นจากถานหิน หินปูน เกลือและน้ําเปนยางเทียม ที่ถูกนํามาใชผลิตยางรถยนตเปนปริมาณทีส่ ูงมาก 2.5 ยาง Thiokols เปนยางเทียมที่ไดจากสวนผสมของสารอินทรียโพลีซัลไฟดและสาร ที่ตานทานตอน้ํามันและสีชนิดตาง ๆ ยางเทียมชนิดนี้ใชทําทอยาง สนรองเทา วัสดุที่เปนฉนวนเคลือบ 2.6 ยางไนทริล (Nitrile Robber) เปนยางที่ทนตอการกัดกรอนของน้ํามัน ดังนั้นมันจึง ถูกนํามาใชทําทอยางน้ํามัน ประเก็น ไดอะแฟรมในหูโทรศัพท เปนตน ในปจจุบันยางเทียมที่มีตนกําเนิดมาจากปโตรเลียม มีราคาสูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากราคา น้ํามันดิบถีบตัวสูงขึ้นนั่นเอง จึงทําใหยางธรรมชาติมีแนวโนมในการใชมากขึ้นในอนาคต ถาหากรัฐบาล ไดมีการสนับสนุน ในการเพิ่มโรงงานอุตสาหกรรมยางสําเร็จรูป เชน โรงงานทํายางรถยนต โรงงานทํา รองเทา ฯลฯ และสนับสนุนใหมกี ารปลูกยางพารา ในภาคตาง ๆ ของประเทศ ใหมากขึน้ ก็จะทําให รายไดจากยางธรรมชาติเขาสูประเทศเพิ่มสูงขึ้น และยังชวยใหประชากรมีงานทําเพิม่ มากขึ้นอีกดวย 3. สี (Paint) สีเปนวัสดุชางที่มีความสําคัญ เราจะเห็นไดวารอบ ๆ ตัวเรา ไมวาจะเปนตึกรวมบานชอง รถยนต เฟอรนิเจอร เครื่องจักรกล อุปกรณตาง ๆ เครื่องใชไฟฟา ฯลฯ ลวนแตเคลือบผิวดวยสีทั้งสิ้น การเคลือบสีบนผิวผลิตภัณฑ นอกจากจะทําใหดูสวยงามแลว ยังใชปอ งกันเหล็กไมใหเกิดสนิม 3.1 ลักษณะของสี สีที่เราใชทาเคลือบผิวผลิตภัณฑตาง ๆ นั้น มีวัตถุประสงคเพื่อปกปด ผิวชิ้นงานมิใหกระทบแกบรรยากาศเพื่อปองกันการกัดกรอน และเพือ่ ใหผิวมีความสวยงาม สีที่ทาจะตอง แกะสนิมกับผิวงานหลุดออกใหขาว ในเนื้อของสีจะประกอบไปดวยองคประกอบ 4 ตัวดวยกัน คือ 3.1.1 ผงพื้นสี (Hase) เปนผงวัสดุที่ทําใหสีเกาะสีผิวงาน โดยทั่วไปจะใชผงตะกั่ว ผงสังกะสี และผงสี
291 3.1.2 ผงแมสี (Pigameist) เปนตัวทําใหเกิดฟลมเคลือบเกิดเปนสีตาง ๆ ตามที่ตองการ สวนใหญไดมาจากแร เชน สีแดง ไดจากตะกัว่ แดง และออกไซดของเหล็ก สีน้ําเงินไดจากโคบอลห สี ดําไดจากแกรไฟต 3.1.3 น้ํามันชักแหง (Drier) เปนน้ํายาที่ทําใหสีนั้นแหง โดยทั่วไปน้ํายาซักแหงทําจาก สารละลายผสมแมงกานีส โดยออกไซดหรือสังกะสีซัลเฟต 3.1.4 ตัวละลายสี เปนสารละลายที่เปนตัวชวยผสมผงสีและผงแมสีเขาดวยกัน ทั่วไป มักจะใชทินเนอร น้ํามันสน น้ํามันลีนสี เปนตน 3.2 ชนิดของสี ในปจจุบันชนิดของสีมีใหเลือกใชอยางมากมาย แลวแตประเภทของงาน ซึ่ง สามารถจําแนกประเภทของสี ดังนี้ 3.2.1 สีที่ใชสําหรับงานไม มีทั้งสีที่เปนสีรองพื้นและทาทับ ไดแก - สีอลูมิเนียมรองพื้นไม ( ALUMINIUM WOOD PRIMER) เปนสีรองพื้นไม ที่มีผงอลูมิเนียมเปนองคประกอบ โดยทัว่ ไปใชสําหรับรองพื้นครั้งแรก บนพื้นไมทกุ ชนิด ชวยปองกัน ยางไม หรือน้ํายารักษาเนื้อไมที่เคยทาไวกอ น ไมใหซึมออกมาผสมกับสีชั้นนอกได เนื้อสีจะมีความมัน เล็กนอย และทนตอการขัดถูพอใช - สีรองพื้นน้ํามัน หรือพวกสีน้ํามันที่ทําจากใยสังเคราะห เปนสีที่มีเนื้อสีมากมี ความลื่น แหงเร็ว เหมาะสําหรับทาทับบนสีรองพื้นชั้นแรกหรือทาทับผิวไม, โลหะ และผนังอิฐกอ ตาง ๆ ที่เคยทาสีมากอน สีชนิดนี้มักทําเปนสีขาว และมีความมันเล็กนอย สามารถทนตอการขูดถูไดดี ผสมใหเจือจางดวยทินเนอร - สีน้ํามัน สวนใหญทําจากใยสังเคราะห เนือ้ สีเมื่อทาแลวจะมีความมันเปนเงางาม และมีประสิทธิภาพสูงในการตอตานเชื้อรา มีใหเลือกหลายสี นอกจากนีย้ ังมีคุณสมบัติตอการขัดถูไดดี บางชนิดทนความรอนถึง 93 องศาเซลเซียส ทําใหเจือจางโดยผสมทินเนอร ทําความสะอาดดวยทินเนอร หรือน้ํามันสนอยางดี 3.2.2 สีที่ใชกับงานคอนกรีต ไดแก - สีรองพื้นที่ทําจากสวนผสมของอะคริลิค ซึ่งจะชวยในการปองกันเชื้อเราใช สําหรับทารองพื้นตาง ๆ เชน ผนังปูนอาบ ผนังอิฐ ซีเมนต หรือไมที่แหงแลวทนตอการขัดถูได พอสมควร สีประเภทนี้ผสมใหเจือจางดวยน้ํา - สีรองพื้นพื้นที่มสี วนผสมของดาง (ALKALI) จะชวยปองกันเชื้อรา และจะ ชวยปองกันไดดีกวาสีรองพื้นปูนประเภทอะคริลิค โดยทั่วไปจะใชทารองพื้นครั้งแรกบนผนังปูน หรือ ผลิตภัณฑรถยนตทุกชนิด เชน กําแพง ปูนฉาย กระเบือ้ ง กระดาษ วัสดุกุผนังตาง ๆ เปนตน
292
รูปที่ 11.16 ผลิตภัณฑสี - สีน้ําพลาสติก เปนสีที่ใชทาสีตึกหรืออาคารที่มีผนังเปนรูป มีองคประกองสําคัญ คือ พลาสติกชนิดโพลีไวนีล อะซีเตต (PVA) พลาสติกชนิดนี้มีคุณสมบัติคลายกาว ละลายน้ําได นอกจากนี้ ยังมีสวนผสมที่จะชวยแดนตอตานเชื้อรา และคงทนตอสภาพดินฟาอากาศเมืองรอน ใชสําหรับตกแตง ผนังทั้งภายนอก ภายใน มีสีใหเลือกมากมาย มีความเปนเงาเล็กนอย สามารถทําความสะอาดไดงาย ผสมใหเจือจางดวยน้ํา ตามอัตราสวนของแตละยีห่ อของสีที่กําหนดให 3.2.3 สีสําหรับใชทาผิวโลหะ ไดแก - สีรองพื้นโลหะ ประกอบดวยผงสี สังกะสี โคเมต ใชสําหรับทาผิวโลหะ ประเภท เหล็ก หรือโลหะอื่น ๆ ที่รบั งานชั่วคราว เชน ทาทิ้งไวไมเกิน 3 เดือน ผสมเจือจางดวยทินเนอร - สีรองพื้นประเภททีท่ ําจากอีพอกซี่ ใชทารองพื้นสําหรับงานโครงสรางทั่ว ๆ ไป เพื่อ ปองกันการกัดกรอน สีชนิดนี้ไมเหมาะสมกับผิวงานที่รอน ผิวอลูมิเนียมและโลหะทีไ่ มใชเหล็ก ผสมให เจือจางดวยทินเนอร และไมควรใชวิธีพน
293 นอกจากนี้ยังมีสีชนิดตาง ๆ ที่ผลิตขึ้นมาเปนพิเศษเพื่อใชงานที่แตกตางกันออกไป โดยคํานึงถึงคุณสมบัติในการปองกันการผุกรอน และความสวยงาม ซึ่งคุณสมบัติเหลานี้ขึ้นอยูก บั บริษัท ผูผลิตสีนั้น เชน - สีซิลิโคน ของ ICI ทําจากซิลิโคน เรซิน ผลิตขึ้นเพื่อใชปอ งกัน การซึมของน้ําบน ผนังทุกชนิด ใชทาผิวซึ่งอยูเหนือพื้นเพื่อปองกันไมใหน้ําซึมเขาไปในผิวนั้น ๆ เชน กําแพงกออิฐโชว แนวไมฉาบ คอนกรีตเปลือย วัสดุอื่น ๆ ที่ตองการโชวผิวของมันเอง และไมตองการทาสี สีชนิดนี้เนื้อสี จะใส มีความตึงผิวหนาต่ํา ทาดวยแปรงหรือพนก็ได - สีอลูมิเนียมทนความรอน ทําจากผงอลูมิเนียมและใยสังเคราะห ทนความรอนไดสูง 400 องศาเซลเซียส ใชสําหรับทาปลองไฟ ทอไอเสีย หรือพื้นผิวโลหะ ที่ตอ งการความคงทนตอ อุณหภูมิสูง ผสมใหเจือจางโดยใชทินเนอร - สีซิกมันโต ของซิกมา เปนสีพนลายที่มีความงามแกพื้นผิว ใชกับผนังภายในไมวาจะ เปนผนังปูนปลาสเตอร คอนกรีต ไม หรืออิฐ มีความทนทานพอสมควร เนื้อสีแนนและทนตอการขีด ขวน ทําความสะอาดไดงาย สีชนิดนี้ใชไดกับเครื่องพนสีเทานั้น 4. เซรามิค (Ceramics) เซรามิค เปนวัสดุที่มีความสําคัญตองานอุตสาหกรรมทางดานวิศวกรรมเปนอยางมากอีกชนิด หนึ่ง ในระยะเวลาไมกี่ปที่ผา นมา เซรามิคไดถูกพัฒนาและถูกนําไปใชงานอยางกวาง โดยเฉพาะอยางยิ่ง ในงานอุตสาหกรรมไฟฟา อิเลคโทรนิกส และในงานอุตสาหกรรมเคมี ตัวอยางงานไดแกชุดถวยจาน เซรามิคสําหรับบุผนังเตาหลอม กระเบื้อง มุงหลังคา วัสดุทนไฟ สารเชิงทรายสําหรับทําหินเจียระไน ถวยสําหรับงานเคมี กาตมน้าํ รอยเซรามิค ฟวสลูกถวยที่ใชตามบานเรือน ฯลฯ 4.1 การแบงชัน้ เซรามิค เซรามิคเปนวัสดุที่ผลิตขึ้นจากดินเหนียว และสารอนินทรีย โดย การเผาที่อุณหภูมิ ๆ สารอนินทรียที่ใชเปนวัสดุเซรามิคประกอบดวย วัสดุโลหะและวัสดุอโลหะ วัสดุ เหลานี้ถูกนํามาใชกันอยางกวางขวางที่สําคัญมากก็คือ วัสดุที่มีบนพืน้ โลก เชน อลูมินา (ออกไซดของ อลูมิเนียม) ควอทช ทัลช (แรที่นํามาใชทําแปง) แมกนีไซท เฟลสปาร เปนตน เมื่อวัสดุเหลานี้ถูก นํามาใชกับดินเหนียวก็จะไดเซรามิคแตกตางกันออกไป ดังนั้นเราจึงแบงเซรามิคออกไดเปน 3 ชนิด ดวยกันคือ 1. Insulator Porcelain ประกอบดวยดินเหนียว ควอทช เฟลสปาร 2. High Freguency Porcelain ประกอบดวยดินเหนียว ควอทช แบเรี่ยมคารบอเนต (Baco3 ) 3. Steatitic ประกอบดวย ดินเหนียว ทัลช แมกนิไซท
294 ชนิดของเซรามิคอื่น ๆ ที่ถูกนํามาใชในงานวิศวกรรม แบงชั้นออกไดดังนี้ 1. ชนิดทําถวยจาน 2. อิฐ 3. ออกไซด เซรามิค (ใชทําเครื่องมือตัด) 4. แกว 5. ถวยกระเบื้อง 6. สารเชิงทราย (Abrasive) 7. ฉนวนเซรามิค 8. เซรามิคกึ่งตัวนํา 9. แมเหล็กเซรามิค 10. เซรามิคสําหรับงานพิเศษ 4.2 ขอดีของเซรามิค 1. มีความแข็ง แข็งแรงและมีความหนาแนนสูง 2. เซรามิค ไมมีผลตอปฏิกิริยาเคมี ยกเวน กรดและดางที่มคี วามเข็มขน 3. มีเสถียรภาพทีอ่ ุณหภูมิสูง จึงถูกนํามาใชในงานวิศวกรรม 4. มีความแข็งแรงในดานทนตอแรงกดอัด 5. มีคุณสมบัติเปนฉนวนดีเลิศ 5. วัสดุชางไฟฟา วัสดุไฟฟา หมายถึง วัสดุทถี่ ูกนํามาใชประโยชนในงานอุตสาหกรรมไฟฟา ซึ่งมีมากมายหลาย ชนิดดวยกัน ที่สําคัญไดแก วัสดุสื่อไฟฟา วัสดุฉนวนไฟฟา วัสดุกึ่งตัวนํา วัสดุแมเหล็ก วัสดุตัว ตานทาน เปนตน วัสดุสื่อไฟฟา หมายถึง วัสดุที่ยอมใหไฟฟาไหลผานได โลหะสวนใหญมักจะเปนสื่อไฟฟา เชน ทองแดง เงิน อลูมิเนียม ฯลฯ เงินเปนตัวนําไฟฟาที่ดีที่สุด แตมีราคาแพงจึงไมนยิ มใชมากนัก ทองแดงเปนสือ่ ไฟฟาที่ดีอีกชนิดหนึง่ มีราคาไมแพงนัก เปนวัสดุที่ถูกนํามาใชงานทางดานไฟฟา มากที่สุด ใชทําสายไฟ ทําชิ้นสวนไฟฟา ฯลฯ อลูมิเนียม นิยมนํามาใชทําสายไฟฟาแรงสูง เพราะมีน้ําหนักเบาและมีราคาถูกกวาทองแดง แตมีคุณสมบัติในการนํา ไฟฟาไดเปน 2 ใน 3 ของทองแดงเหลานั้น วัสดุฉนวนไฟฟา หมายถึง วัสดุที่มีความตานทานมาก เปนตัวนําไฟฟาที่เลวหรืออาจจะเรียกวา เปนตัวกั้นไฟฟา วัสดุที่ถูกนํามาทําฉนวนไฟฟาสวนมาก ไดแก เซรามิค พลาสติกชนิดพีวีซี แลว ใยหิน แอสเบตอส ไมกา เปนตน ซึ่งแตละชนิดจะมีคุณสมบัติในการใชงานแตกตางกันออกไป รวมถึงราคา ของมันดวย ในปจจุบนั ฉนวนไฟฟาสวนใหญมกั จะทําจากพลาสติก เพราะมีราคาถูก ตัวอยางไดแก เปลือกสายไฟฟา ปลั๊ก สวิทชไฟฟาตาง ๆ
295 วัสดุกึ่งตัวนํา หรือที่เรียกวาเซมิคคอนดักเตอร (Seml Conductor) เปนวัสดุทใี่ ชในการทํา ทรานซิสเตอร ทรานซิสเตอรเปนอุปกรณที่มีคุณสมบัติในการขยายสัญญาณ หรือควบคุมการไหลของ กระแสไฟฟาในวงจร ทรานซิสเตอรเหลานี้ เมื่อนํามาประกอบตอเปนวงจรสําเร็จรูป เรียกวา วงจรอินทิเกรด ซึ่งเปนชิ้นสวนสําคัญที่ใชกบั อุปกรณอิเล็กทรอนิกสตาง ๆ เชน โทรทัศน วิทยุคอมพิวเตอรและเครื่องใช อิเล็กทรอนิกสอื่น ๆ วัสดุกึ่งตัวนําสวนใหญทาํ มาจากเยอรมันเนียมและซิลิโคนผสมกับธาตุบางชนิด เชน ฟอสฟอรัส พลวง โบรอน อลูมิเนียม ฯลฯ วัสดุแมเหล็ก หมายถึง โลหะที่สามารถทําเปนแมเหล็กได มีอยูดวยกัน 2 ชนิด คือแมเหล็ก ชั่วคราวและแมเหล็กถาวร แมเหล็กชัว่ คราว เกิดจากการนําเหล็กออนหรือเหล็กกลาคารบอนต่ํา มาเหนีย่ วนําทําให เปนแมเหล็ก อํานาจแมเหล็กที่เกิดขึน้ นี้จะหมดสะภาพไปทันทีเมื่อออกเมื่อถอนอํานาจเหนี่ยวนํานั่นออก แมเหล็กถาวร สวนใหญทําจากโลหะอัลนิโก (Alnico) เหล็กโครเมี่ยม โดบอลด และ แบเรี่ยมฟอรไรท แมเหล็กถาวรจะมีความเขมของสนามแมเหล็ก และจะคงสภาพความเปนแมเหล็กอยู ไดนาน 11.2 วัสดุหลอลื่นและหลอเย็น 11.2.1 วัสดุหลอลื่น เครื่องจักรกลที่มี การหมุนหรือการเคลื่อนตัว เชน เครื่องไส เครื่องกลึง เครื่องเจาะ เครื่องตัด และเครื่องยนต ฯลฯ ชิ้นสวนที่หมุนหรือเคลื่อนที่เหลานี้ ยอมจะตองมีการเสียดสีกันอยูเสมอ การเสียดสีจะทําใหเกิดความรอนและความรอนนั้น จะทําใหเกิดการขยายตัว ซึ่งเปนผลใหชิ้นสวนนั้น เกิดการพัดตัว ทําใหเคลื่อนตัวหรือหมุนไมสะดวก ทั้งยังเปนผลใหเกิดการสึกหรออีกดวย ถาเกิดความ รอนสูงอาจทําใหชิ้นสวนนัน้ เชื่อมตัวติดกัน วัสดุหลอลื่น สามารถชวยแกปญหาเหลานี้ได วัสดุหลอลื่น เปนวัสดุที่ใชหลอลื่นผิวโลหะ ชวยทําใหความฝดลดนอยลง ลดการสึกหรอ ลดความรอนที่เกิดจากการเสียดสี และยังชวยทําใหชิ้นสวนหมุนหรือเคลื่อนที่ไดคลอง ไมกินกําลัง ผิวของโลหะ ไมวาจะผานการแปรรูปบนเครื่องจักรชนิดใดก็ตามจะยังคงมีความขรุขระอยู แมวาจะดูดวยสายตาแลววาเรียบ ที่ชุดก็ตาม ถานําไปสองดูดวยกลอง ก็จะพบวา ยังมีความขรุขระอยู ซึ่ง ความขรุขระของผิวนี้เมื่อถูกเมื่อถูกนํามาชนกันหรือหมุนถูกันตลอดเวลา ก็จะทําใหเกิดความเสียดทาบ และความรอน หากผิวนั้นมีฟลมน้ํามันเคลือบอยู ก็จะชวยลดปญหาลงไดบาง
296
รูป 11.17 ภาพขยายผิวของวัสดุชิ้นงาน 2 ชิ้นที่วางทาบกัน 1. คุณสมบัตขิ องวัสดุหลอลื่น วัสดุหลอลื่นที่ดี ควรจะมีคุณสมบัติดงั ตอไปนี้ 1. จะตองมีความลื่น ติดผิวอยูไ ดนาน 2. จะตองไมจุดติดไฟไดงาย 3. จะตองมีความหนืดหรือความขนใส เหมาะสมกับอุณหภูมิใชงาน 4. ชวยลดการเสียดสีและการสึกหรอของชิ้นสวนไดดี ไมเกิดการสลายตัวหรือแปรสภาพ ไดงาย คุณสมบัติความลื่นของวัสดุยังไมมีมาตรฐานวัดทีแ่ นนอน แตเราก็สามารถจะทราบไดวาวัสดุ ชนิดใด หลอลื่นไดดี โดยการทดสอบหรือทดลอง ในหองปฏิบัติการ สําหรับความหนืดหรือความขน ใสนั้น สมาคมวิศวกรรมรถยนตแหงสหรัฐอเมริกา (SAE) ไดกําหนดนัมเบอรมาตรฐานไว โดยมัม เบอรนอย (SAE, 10) จะมีความหนืดนอยกวานัมเบอรมาก (SAE 50) เชน นัมเบอร SAE, 10 ใชหยอดจักรและทาเครื่องมือปองกันสนิม นัมเบอร SAE 20 – 40 ใชสําหรับรถยนตและเครื่องจักรทั่วไป ถาเปนเครื่องใหมใหใชนัมเบอรนอย นัมเบอร SAE 50 มีความขนมากใชกับเครื่องยนต เครื่องจักรเกาที่มีสภาพหลวม
297 2. ชนิดของวัสดุหลอลื่น วัสดุหลอลื่นแบงเปนประเภทใหญ ๆ ได 2 ประเภทคือ ก. วัสดุหลอลื่นประเภทของเหลว ไดแก น้ํามันเครื่อง น้ํามันพืช น้ํามันจารบี เปนตน ข. วัสดุหลอลื่นประเภทของแข็ง ไดแก ผงแกรไฟต ผงโมลิบดินั่ม ซัลไฟด ผงหินสบู เปนตน 2.1 น้ํามันหลอลื่น เปนวัสดุหลอลื่นไดจากการกลั่นน้ํามันปโตรเลียม วัสดุหลอลื่นชนิดนี้ นิยมใชกัน มากที่สุด เพราะมีคุณภาพสม่ําเสมอ ราคาไมแพง และมีใหเลือกหลายเกรด ตามความตองการของการ ใชงาน สวนใหญจะใชกับรถยนต และเครื่องจักรกล 2.2 น้ํามันแร เปนวัสดุที่นิยมใชกันแพรหลายอีกชนิดหนึง่ มีจุดเดือดและจุดวาบไฟสูง อีกทั้งยังมี ราคาถูก น้ํามันแรเกรดทีใ่ สสุดเรียกวา SPINDLE OIL ใชหลอลื่นจักรเย็บผา ชนิดความขนสูงใชหลอ ลื่นแบริ่งในเครื่องจักรกล ชุดเฟองทด หลอลื่นคอมเพรสเซอรในเครื่องทําความเย็น ฯลฯ 2.3 น้ํามันพืช เปนวัสดุหลอลื่นที่ไดจากละหุง มะพราว ปาลมน้ํามัน ฯลฯ น้ํามันพืชมีคณ ุ สมบัติใน การหลอหื่นไดดีมาก แตมีขอ เสียวา เมื่อใชไปนาน ๆ จะยิ่งขนมากขึ้น เหม็นหืนหรือกลัดโลหะ 2.4 น้ํามันสัตว วัสดุหลอลื่นที่ไดจากสัตวไดแก ไขปลาวาฬ น้ํามันหมู ไขวัวขี้ผึ้ง เปนตน น้ํามัน สัตวมีคุณสมบัติในการใชงานคลายกับน้ํามันพืช 2.5 แกรไฟด แกรไฟดเปนวัสดุหลอลืน่ ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเปนผง ลื่นเกราะติดผิวงานไดแนนและ ทนหาย โดยปกติมักจะใชปนอยูกับจารบี หรือน้ํามันเครื่อง ในการหลอลื่น แบริ่ง บุช และชุดเฟองที่ ขับกัน 2.6 จารบี เปนวัสดุหลอลื่นที่สําคัญมากชนิดหนึ่ง มีลักษณะเปนไขมัน ทําจากปโตรเลียมผสมสบู ซึ่ง มีอยูดวยกันหลายชนิดมีทั้งละลายน้ําและไมละลายน้ํา ที่นิยมใชคือ 2.6.1 จารบีผสมสบูแคลเซียม (Calcium-Base) มีลักษณะคลายเนย ทนน้ํา และอยูใ นที่เปยกชื้น ไดดี แตทนความรอนไดไมสูง ใชหลอลื่นทั่ว ๆ ไป ในโรงงาน 2.6.2 จารบีผสมสบูโซเดียม (Sodium-Base) จารบีชนิดนี้ละลายน้ําได ทนความรอนไดสูง ใช หลอลื่นแบริ่งที่ใชความเร็วรอบต่ํา 2.6.3 จารบีผสมสบูลิเทียม (Lithium Base) ทนน้ํา ทนความรอนสูง ใชอัดฉีดชิ้นสวนเครื่องบิน อุณหภูมิใชงานตั้งแต – 70° ถึง 150° ซ. 2.6.4 จารบีผสมสบูอลูมิเนียม (Aluminium Base) มีสีใส ทนน้ํา เหมาะสําหรับหลอลื่นใน ตําแหนงที่ตองรับแรงเหวีย่ ง เกาะผิวงานไดเหนียวมาก
298 11.2.2 วัสดุหลอเย็น 1. ความสําคัญของการหลอเย็น ในการแปรรูปชิ้นงาน ใหมีรูปรางตาง ๆ บนเครื่องจักร ไมวาจะเปนการตัด การเจาะ การกลึง ฯลฯ ก็ตาม ยอมจะเกิดความเสียดทานระหวางชิ้นงานกับเครื่องมือตัด และทําใหเกิดความรอน ขึ้น ซึ่งมีผลใหอายุการใชงานของเครื่องมือตัดลดลง ชิ้นงานเกิดการขยายตัว หรือผิดรูปไปและอาจเปน อันตรายตอผูปฏิบัติงานได การหลอเย็นจึงมีความสําคัญ และมีจุดมุงหมายดังตอไปนี้
รูป 11.18 แสดงการจายน้ําหลอเย็นบนเครื่องจักรชนิดตาง ๆ 1. ลดความรอน ซึ่งมีผลตอความเทียงขนาดของชิ้นงาน 2. ชวยหลอลื่นบริเวณผิวสัมพัสของชิ้นงานกีบเครื่องมือตัดและมีผลใหผิวงานเรียบกวา 3. ชวยซะลางเศษโลหะ และความคุมผงฝุนอันเกิดจากการแปรรูป 4. ชวยปองกันผิว ชิ้นงานไมใหเกิดสนิมไดงาย 5. ทําใหอายุการใชงานของเครื่องมือตัด ยาวนานขึน้ 6. เพิ่มอัตราการผลิต กลาวคือ การหลอเย็นจะชวยลดความรอน และความเสียดทาน จึง สามารถใชความเร็วไดสูงกวาปกติทําใหชนิ้ งานเสร็จเร็วกวา 2. ลักษณะของวัสดุหลอเย็นที่ดี 1. มีแรงดึงที่ผิวหนาต่ํา เพื่อใหสิ่งสกปรกแยกตัวออกและตกตะกอน
299 2. ควรมีความใสมากที่สุด 3. ชวยปองกันสนิมบนผิวงานและเครื่องจักรไดดี 4. ตองมีองคประกอบที่ไมทําใหเกิดการบูดเนาอันเปนตนเหตุใหเกิดเชื้อโรคและกลิ่น 5. ตองมีคุณสมบัติชวยใหผิวงานเรียบมากที่สดุ 6. ตองผสมเขากับน้ําไดงาย 3. ชนิดของวัสดุหลอเย็น 1. น้ํายาหลอเย็นโซลูเบิล (Soluble Oil) เปนน้ํามันแร ที่มีสวนผสมของสบู เมื่อนํามาผสม ลงในน้ํา จะอยูในสภาพสารละลาย มีสีขาว น้ํายาหลอเย็นชนิดนี้ มีคุณสมบัติในการหลอเย็นเปนเลิศ ใหการหลอลื่นและปองกันการเกิดสนิมไดดี 2. น้ํายาหลอเย็นสังเคราะห เปนน้ํายาหลอเย็นที่มีสวนผสมทางเคมี ซึ่งสารเคมีที่ใชจะให คุณสมบัติแตกตางกันออกไป เชน ฟอสฟอรัส คลอรีน กํามะถัน โซเดียมคารบอเนต ฯลฯ 3. น้ํา เปนตัวหลอเย็นที่ระบายความรอนไดดี แตมีขอเสียคือทําใหผิวงานเกิดสนิมไดงาย จะใชในกรณีที่จําเปนเทานัน้ 4. น้ําสบู น้ําสบูธรรมดามีแรงดึงที่ผิวหนาสูง ไมสามารถทําใหอนุภาคของเศษโลหะ ตกตะกอนหรือแยกตัวออกได และยังทําใหผิวงานเปนเมือกอีกดวย 5. ลม ใชเปนตัวระบายความรอนไดดีพอสมควร แตไมดีเทากับน้าํ หรือน้ํายาหลอเย็น อื่น ๆ สวนมากจะใชระบายความรอนในรถยนต นอกจากนี้ยังใชระบายความรอนกับโลหะบางชนิด เชน เหล็กหลอ 4. น้ํามันตัด (Cutting Oil) น้ํามันตัดเปนน้ํามันที่ชวยใหติดผิวโลหะไดเรียบ ชวยใหอายุการใชงานของเครื่องมือตัด เชน มีดกลึง มีดไส ดอกสวาน ฯลฯ ยาวนานขึ้น อีกทัง้ ยังชวยควบคุมอุณหภูมิอีกดวย น้ํามันตัดมีหลาย ชนิด ทําจากน้าํ มันพืช น้ํามันสัตว หรือน้ํามันแร น้ํามันตัดแตกตางกับน้ํายาหลอเย็นที่วา จะใชหยอดลงบนผิวงานโดยตรง ไมตองผสมกับ น้ําที่สําคัญคือ 1. น้ํามันแรซลั ฟูไรซ มีสวนผสมของกํามะถัน 0.5 – 0.8 % มีลักษณะใส หลอลื่นไดดี น้ํามันตัดชนิดนี้ ใชกับเหล็กกลา คารบอนต่ําและวัสดุเหนียว 2. น้ํามันแรซัลโฟ - โครลิเนท (Solfo – Chlorinated) มีสวนผสมของกํามะถัน 3 % และ คลอรีน 1 % ชวยรักษาคมติดของเครื่องมือตัดไดดี เหมาะกับเหล็กกลาคารบอนต่ํา และเหล็กกลาประสม โครเมี่ยม
7
บทที่ 2 เคมีเบื้องตนและการกัดกรอน 2.1 ความสัมพันธระหวางฟสิกสกับเคมี วิชาวิทยาศาสตร 2 แขนง ที่จําเปนตอนักเรียนชางทุก ๆ คน คือ ฟสิกส และเคมี วิชาฟสิกสนั้น กลาวถึงลักษณะใชงานของสารและวัสดุชา งตาง ๆ สวน วิชาเคมีกลาวถึงเนื้อของสาร เชน จากวิชา ฟสิกส เราทราบวา เหล็กหลอมีคุณสมบัติเปราะกวาเหล็กเหนียวแตหลอมใหละลายแลวเทลงแบบ เพื่อหลอชิ้นเปนรูปทรงตาง ๆ ได ณ อุณหภูมิที่ต่ํากวาเหล็กเหนียวมาก ที่เปนดังนั้น วิชาเคมีอธิบายวา เพราะในเนื้อเหล็กมีถานคารบอนผสมอยู และมีสารประกอบระหวางเหล็กและคารบอนปรากฏอยู สารประกอบนี้เองมีจุดหลอมเหลวต่ํากวาเหล็กจึงทําใหเหล็กหลอหลอมละลายไดงายกวาเหล็กเหนียว ฟสิกส เปนวิชาวิทยาศาสตรที่วาดวยคุณสมบัติทางกายภาพของสาร ไดแก จุดแข็ง จุดเดือด การ ขยายตัวของวัตถุเมื่อไดรับความรอน หรือการหดตัวเมือ่ เย็นลง ความเคนแรงดึง ความเคนแรงอัด ความเคนแรงเฉือน ตลอดจนความหนาแนนและความถวงจําเพาะ และคุณสมบัติทางกายภาพอืน่ ๆ อีก เคมี เปนวิชาวิทยาศาสตรที่วาดวยคุณสมบัติ องคประกอบของสารตาง ๆ วามีองคประกอบเปน ธาตุอะไรบาง และมีกรรมวิธีเปลี่ยนแปลงทางเคมีในลักษณะใดบาง วิชาเคมีชวยใหชางทุกคนมีความ เขาใจในวัสดุชางไดดยี ิ่งขึ้น ทําใหสามารถใชวัสดุนั้น ๆ ไดถูกตองตามลักษณะงานและมีความคงทน เชนเหล็กธรรมดาหากทิ้งไวในอากาศ จะปรากฏเปนสนิม นานเขาขุมสนิมจะลึกมากขึ้นทุกที ทีส่ ุดจะ ผุพังไปทั้งแทง ชางที่มีความเขาใจในวิชาเคมี จะสามารถหาวิธีปองกัน เชน อาจใชสีทา หรือใช น้ํามันชโลมไวก็ได จําเปนอยางยิ่งที่ชางทุกคนควรมีความรูความเขาใจในเรื่องเคมี และวัสดุชางดี พอสมควร 2.2 ธาตุประกอบและสารผสม สารตาง ๆ ที่ปรากฏอยูในโลกนี้ จําแนกโดยวิธีทางเคมีได 3 ชนิด คือ ธาตุ สารประกอบ และ สารผสม ทั้งนี้หมายความวา สารตาง ๆ เหลานั้น มีเกิดในธรรมชาติในลักษณะที่เปนธาตุก็มบี าง บางธาตุที่เกิดเปนสารประกอบก็มีอีกมาก และที่เกิดเปนสารผสมก็มีไมนอย 2.2.1 ธาตุ (Element) ธาตุ คือ สารที่มีเชิงเดียว และเปนสารที่ไมสามารถแบงแยกออก หรือสรางขึ้นใหมไดจาก สารอื่นดวยวิธเี คมีอีกแลว ธาตุที่ปรากฏในธรรมชาติ มีอยู 92 ธาตุ (ไมนับอีก 10 ธาตุ ที่เกิดจากการแบงแยกและ เปลี่ยนแปลงภายในโครงสรางของอะตอม กลายเปนธาตุใหม) ในวงการชางของเรา ธาตุตาง ๆ เหลานี้ จําแนกไดเปน 2 พวกใหญ ๆ คือธาตุที่เปนโลหะ พวกหนึ่ง และอโลหะ อีกพวกหนึ่ง
8
ธาตุทุกธาตุ หากจะแบงสวนออกใหไดสวนที่เล็กที่สุดดวยวิธีใดก็ตามจะแบงไดถึงอะตอม ของธาตุนั้น ๆ
รูป 2.1 อะตอมไฮโดรเจนและอะตอมคารบอน “อะตอม” ตามรูปศัพท แปลวา สวนเล็กที่สุดที่ไมสามารถแบงใหเล็กตอไปอีกได (อยางไรก็ตาม วิชาฟสิกสแผนใหม ไดพิสจู นแลววา ในอะตอมหนึ่ง ๆ นั้น จะตองมีองคประกอบเปน โปรตรอน อีเลคตรอน และนิวตรอน และทุกครั้งที่อะตอมแยกหรือแตกตัว จะปรากฏมีพลังงานนิวเคลียร จํานวนมหาศาล เกิดขึ้นดวยเสมอ) อะตอมตางกับ “โมเลกุล” โมเลกุล คืออนุภาคที่เล็กที่สุดยังคงมีคุณสมบัติของสารเดิมติดอยู โมเลกุลประกอบดวยอะตอมหลายอะตอม อะตอมอาจเปนอุตอมของธาตุเดียวกันหรือตางกันก็ได เชน แกสออกซิเจน (O2) หนึ่งโมเลกุลประกอบดวยอะตอมออกซิเจน 2 อะตอม แกสอะซิติลีน (C2H2) หนึ่งโมเลกุลประกอบดวยคารบอน 2 อะตอม และไฮโดรเจน 2 อะตอม ทั้งออกซิเจน คารบอน และไฮโดรเจนเหลานี้เปนธาตุในจํานวนธาตุทั้งหมด 92 ธาตุนี้ มีเพียงประมาณ 30 ธาตุ เทานั้น ที่นักเรียนชางจําเปนจะตองทราบและคุนเคยเปนอยางดี ธาตุเหลานี้อยูใ นตารางขางลาง ให นักเรียนจงสังเกตและจําสัญลักษณธาตุตาง ๆ ทั้งชื่อในภาษาไทยและภาษาอังกฤษไวใหดดี วย
9
ธาตุที่สําคัญที่เปนโลหะ ธาตุ (Elements) เหล็ก ทองแดง ดีบุก ตะกัว่ สังกะสี แอนติโมนี่ แมงกานีส นิคเกิล โครเมี่ยม วานาเดี้ยม โคบอลท แคดเมี่ยม
Iron Copper Tin lead Zince Antimony Manganese Nickel Cromium Vanadium Cobalt Cadmium
สัญลักษณ Symbol Fe Cu Sn Pb Zn Sb Mn Ni Cr V Co Cd
ธาตุ (Elements) ทังสะเตน โมลิบดีนั่ม โปแตสเซี่ยม โซเดียม ไทตาเนี่ยม ปรอท บิสมัท เงิน ทอง ทองคําขาว อลูมิเนียม แมกนีเซีย่ ม
Tungsten Molybdenum Potassium Sodium Titanium Mercury Bismuth Silver Gold Platinum Aluminium Magnesium
สัญลักษณ Symbol W Mo K Na Ti Hg Bi Ag Au Pt Al Mg
ธาตุที่สําคัญที่เปนอโลหะ ธาตุ (Elements) คารบอน ซิลิคอน ฟอสฟอรัส กํามะถัน คลอรีน ฟลูโอรีน
Carbon Silicon Phosphorus Sulfur Chlorine Fouorine
สัญลักษณ Symbol C Si P S Cl F
ธาตุ (Elements) ออกซิเจน ไนโตรเจน ไฮโดรเจน อารกอน นีออน ฮีเลี่ยม
Oxygen Nitrogen Hydrogen Argon Neon Helium
สัญลักษณ Symbol O N H Ar Ne He
2.2.2 สารประกอบ (Compound) สารประกอบคือสารที่เกิดจากการรวมตัวกันทางเคมีของธาตุตาง ๆ การรวมตัวนัน้ เปนไป โดยกฎเกณฑมีสัดสวนและพิสูจนได สารประกอบนี้เมือ่ แบงเปนอนุภาคที่เล็กที่สุด จะแบงลงไดถึง โมเลกุล สารประกอบ 1 โมเลกุลนี้ เขียนเปนสูตรทางเคมีได เชน น้ํา เขียนเปนสูตรทางเคมีได คือ
10
H2O ซึ่งหมายความวา น้ํา 1 โมเลกุล ประกอบตัวดวยธาตุไฮโดรเจน 2 อะตอม และธาตุออกซิเจน 1 อะตอม สูตรโมเลกุลของน้ําจะเปน H2O เสมอไป ไมวาน้ํานั้นจะเปนน้ําในแมน้ําเจาพระยา หรือ แมน้ํามิสซิสซิปป หรือจะเปนหยดน้ํา ไอน้ํา น้ําแข็ง หรือหิมะก็ตาม
รูป 2.2 ลักษณะโมเลกุลของน้ํา กรดกํามะถัน จัดวาเปนสารประกอบ ซึ่งเขียนเปนสูตรโมเลกุลไดคือ H2SO4 แสดงวากรด กํามะถัน 1 โมเลกุลนั้น ประกอบดวย ธาตุไฮโดรเจน 2 อะตอม ธาตุกํามะถัน 1 อะตอม และธาตุ ออกซิเจน 4 อะตอม สารประกอบทุกสาร สามารถเขียนเปนสูตรโมเลกุลไดทั้งสิ้น ตัวอยาง สูตรโมเลกุลสารประกอบ ที่นกั เรียนควรทราบคือ น้ํา H2O Water กรดกํามะถัน H2SO4 Sulfuric Acid กรดดินประสิว HNO3 Nitric Acid กรดเกลือ HCI Hydrochloric Acid Sodium carbonate โซดา Na2CO3 โซดาไฟ NaOH Sodium hydroxide Ammonia แอมโมเนีย NH3 แกสอะซิติลีน C2H2 Acetylene แกสคารบอนไดออกไซด CO2 Carbon dioxide เกลือแกง NaCl Sodium chloride หินปูน CaCO 3 Calcium carbonate Calcium carbide กอนแคลเซี่ยมคารไบด CaC2 2.2.3 การสังเคราะหและการวิเคราะหสารประกอบ การสังเคราะหสารประกอบ คือ การสรางสารประกอบขึ้น โดยใหสารสองสิ่ง หรือ มากกวาขึน้ ไป ทําปฏิกิริยาเคมีรวมตัวกัน เชน หากเราผสมผงเหล็ก (Fe) 56 หนวยน้ําหนัก เขากับ
11
ผงกํามะถัน (S) 32 หนวยน้ําหนัก คลุกเคลาใหเขากันดีแลวเผา จะลุกติดเปนไฟ เหล็กจะรวมกับ กํามะถัน ไดสารประกอบใหมขึ้นมาเปนเหล็กซัลไฟด (FeS) ซึ่งเปนสารสังเคราะห ผงเหล็กและกํามะถันกระทําปฏิกิริยา รวมตัวกันอยางรวดเร็ว Fe + S → Fe S
รูป 2.3 ปฏิกิริยาระหวางเหล็กกับกํามะถัน การสังเคราะหใหม ๆ ที่เปนผลิตภัณฑอุตสาหกรรมขนาดใหญ ๆ ในเวลานี้มอี ยูหลายสิ่ง เชน พลาสติกทุกชนิด ใยผาสังเคราะห ยางเทียม และอื่น ๆ อีกมากสารสังเคราะหเหลานี้ มี กรรมวิธีผลิตโดยอาศัยวิชาเคมีชั้นสูง เกินกวาที่จะอธิบายไดในหนังสือเลมนี้ การวิเคราะหสารประกอบ คือ การแยกสารประกอบนั้นออก วามีอะไรเปนองคประกอบบาง ตัวอยางเชน หากเราเผาผงโปแตสเซียมคลอเรตจํานวนหนึ่ง ผงนีจ้ ะคายแกสออกซิเจนออกมา ซึ่งกัก ไวไดโดยใชวธิ ีแทนที่น้ํา (ดูรูป 2.4) ที่ทราบวาเปนแกสออกซิเจน ทดสอบไดงาย ๆ โดยจุมสะเก็ด ไมที่ติดไฟลงไปในกระบอกเก็บแกสนั้น จะปรากฏชัดเจนทีเดียววา สะเก็ดไมจะลุกติดเปนไฟได มากขึ้น โชติชวงสวางกวาเดิมทีเดียว ผลการวิเคราะห แสดงวาโปแตสเซี่ยมคลอเรตนั้น มีออกซิเจน เปนองคประกอบคัวหนึ่ง
รูป 2.4 วิธีเตรียมออกซิเจนโดยการเผา KCIO3
12
การวิเคราะหสาร มีบทบาทมากในทางเทคนิค เชน ในการเตรียมน้าํ เลี้ยงหมอขนาดใหญ ๆ ที่มีความกดดันมาก ๆ จะตองใชน้ําเลี้ยงทีส่ ะอาด ปราศจากแกสละลายสารละลายและไอออนตาง ๆ น้ําธรรมดากอนที่จะถูกเปลี่ยนเปนน้ําเลีย้ ง จะตองไดรับการวิเคราะหเสียกอนวา มีอะไรละลายอยูใน น้ํานั้นบาง จะไดสะดวกตอการเปลี่ยนใหเปนน้ําเลี้ยงไดรวดเร็วและประหยัด การวิเคราะหน้ําดวยไฟฟา เปนตัวอยางงานวิเคราะหที่มีบทบาทมากงานหนึ่งกรรมวิธีแยก หรือวิเคราะหดวยไฟฟา เชนนี้เรียกวา อีเล็คโตรลิซิส (Electrolysis of water)
น้ํากับกรดกํามะถันเพียงเล็กนอย เพื่อชวยใหนําไฟฟาไดดีเทานั้น
รูป 2.5 วิธีวิเคราะหน้ําดวยไฟฟา น้ําโดยธรรมชาติ ไมเปนตัวนําไฟฟาที่ดีนัก เพือ่ ประโยชนแกการทดลองใหเติมกรด กํามะถันลงไปนิดหนึ่ง ทันทีที่จะปลอยกระแสไฟตรงเขาไปในน้ํา จะแลเห็นวา มีฟองแกสปรากฏ บนผิวแผนอีเลคโตรดทั้งขั้วบวกและขั้วลบ และเมื่อวิเคราะหตอไปนานเขา แกสเหลานี้จะลอยขึ้นไป เก็บตัวอยูบนหลอดแกวเบื้องบนโดยแทนที่น้ํา เมื่อสังเกตดูจะเห็นไดชัดเจนวา ปริมาณของแกสไฮโดรเจนที่มีอยูใ นหลอดแกวเหนือขั้วลบ จะมีเปนสองเทาของปริมาณแกสออกซิเจนเหนือขั้วบวก แสดงวาน้ํานั้นประกอบดวยไฮโดรเจน 2 สวน และออกซิเจน 1 สวน โดยปริมาตรนั่นเอง ของเหลวใดที่เปนตัวนําไฟฟา สารนั้นมีชอื่ เรียกอีกอยางหนึ่งวาเปนอีเลคโตรไลต น้ําเกลือ เปนอีเลคโตรไลตไดดีกวาน้าํ ธรรมดา เพราะมีเกลือละลายอยูใ นตัวอยางงานอีเลคโตรลิซิสขางบน น้ํายังเปนอีเลคโตรไลตที่ยังไมดีพอ เราจึงเติมกรดกํามะถันลงไปเล็กนอยทําใหนา้ํ มีคุณสมบัติเปน อีเลคโตรไลตดีขึ้นมาก 2.2.4 สารผสม (Mixer) สารผสมเกิดจากการที่นําสารตาง ๆ มาผสมกันและมิไดมีปฏิกิริยาเคมีเกิดเปนสารใหม แตอยางใด คุณสมบัติของสารผสมนี้อยูกับจํานวนและชนิดของสารตาง ๆ ที่นํามาผสมกันนั่นเอง
13
อากาศเปนสารผสมระหวาง แกสธาตุไนโตรเจนและออกซิเจน ในอัตราสวน 79.21 โดยปริมาตร แรตาง ๆ ที่พบในธรรมชาติ สวนมากเกิดในสภาพสารผสมทั้งสิ้น เชน สินแรเหล็กที่ เปนเหล็กออกไซดรอยละ 15 หมายความวาสินแรเหล็กนั้น เปนสินแรจริง ๆ 15 หนวยน้ําหนัก และเปนหินหรือดินเสีย 85 หนวยน้ําหนัก เปนตน น้ําทะเล ก็เปนสารผสม เพราะมีเกลือละลายอยูใ นน้ํา เกลือสวนใหญ คือเกลือแกง น้ําทะเลเมื่อแหงกลายเปนไอไปจะเหลือผงขาว ๆ ซึ่งเปนผงเกลือเหลืออยู วิธีที่จะแยกสวนผสมตาง ๆ ออกจากสารผสม มักจะทําไดงายและเปนกรรมวิธีทางฟสิกสทั้งสิ้น เชน แยกน้ําดวยวิธีตม กลั่น กรอง หรือเหวี่ยงออกใหแยกจากกัน เปนตน แอลกอฮอลผสมน้ําก็เปนสารผสม วิธีแยกแอลกอฮอลออกมา กระทําไดดว ยกรรมวิธี กลั่นแอลกอฮอลมีจุดเดือดต่าํ กวาน้ํา เมื่อใหความรอนแกสารผสมแอลกอฮอล – น้ํา แอลกอฮอลจะ ระเหยออกมาเปนไอกอนน้ํา หากรีบดักไอน้ําไว และรีบทําใหกลั่นตัวโดยเร็ว ก็จะไดแอลกอฮอล
รูป 2.6 วิธีกลั่นในหองทดลอง
รูป 2.7 หมอกรองน้ํา
14
แรกในการทําน้ําประปา ก็คือ กรรมวิธกี รองเพื่อแยกสารแขวนตะกอนเหลานี้ออกกอนนั่นเอง
รูป 2.8 ผังการทําน้ําประปา โลหะหลายชนิดที่ใชมากในงานชาง เชน ทองเหลือง นาก เหล็กไรสนิม และโลหะเจือ เปนสารผสมทั้งสิ้น กลาวคือ เปนโลหะที่เกิดจากโลหะและธาตุอื่น ๆ ผสมกัน เรื่องโลหะวัสดุชางนี้ นักเรียนจะตองทราบอยางละเอียดในอนาคตอันใกลนี้ 2.3 ธาตุและสารประกอบบางชนิด 2.3.1 ออกซิเจน (O2) ออกซิเจน (Oxygen) เปนแกส ไมมีสี ไมมีกลิ่น และไมมรี ส ธาตุออกซิเจนมีคุณสมบัติพิเศษ คือ ชวยใหเกิดการสันดาปทําใหเชื้อเพลิงลุกไหมติดไฟได การสันดาป คือ การที่เชื้อเพลิงกระทํา ปฏิกิริยาเคมีกบั ออกซิเจนในอากาศ โดยลุกไหมเปนไฟ การสันดาปทุกครั้งจะมีความรอนเกิดขึ้น ถามีการสันดาปในเตา เชน เตา หมอน้ํา ความรอนจากการสันดาปก็จะทําใหน้ําเลี้ยงกลายเปนไอน้าํ ใชหมุนกังหันไอน้ํา ขับเครื่องกําเนิดไฟฟา หรือจะใชไอน้าํ นั้นเปนตนความรอนในงานตมก็ได ถาการสันดาปนั้นเกิดขึ้นในที่จํากัด เชน ภายใน หองสูบ พลังงานความรอนจะทําใหแกสขยายตัว มีกําลังขับเครื่องยนตใหหมุนได เชน เครื่องยนต เบนซิน และเครื่องยนตดีเซล ดวยเหตุนี้เองออกซิเจนมีบทบาทมากมายในงานชาง ออกซิเจนยิ่งบริสุทธิ์ จะยิ่งทําใหเกิดการสันดาปเปนไปไดงาย และรวดเร็วขึน้ มาก แมวา ตัวเองนัน้ จะจุดไฟไมตดิ คุณสมบัติในการชวยใหไฟติดของออกซิเจนนี้สาธิตได วิธีเตรียมออกซิเจน ดวยวิธเี คมีงาย ๆ คือ เผาผงโปแตสเซี่ยมคลอเรต (ดูรูป) หรือจะใช ชอนตักไฮโตรเจนเปอรออกไซดลงบนจานแกวสัก 2 – 3 ชอน เสร็จแลวใชมีดตักเทผงดางทับทิม ลงไป ออกซิเจนจะเกิดขึ้นทันทีเปนฟองปุด ๆ คราวนีจ้ ากทดลองน้ําเอาเศษไมติดไฟแหยเขาไปดู ไฟ จะลุกสวางขึ้นโชติชวงมากกวาเดิมแลเห็นไดชัดเจน แมวา จะดึงเศษไมออกมาแลวเปาใหดับ เมื่อแหย ลงไปใหม ไฟจะกลับลุกติดใหมอีก
15
รูป 2.9 ออกซิเจนชวยใหไฟติด ออกซิเจนโดยธรรมชาติ สามารถรวมตัวไดกับธาตุอื่น ๆ ไดมากมายหลายธาตุ เชน รวม กับเหล็ก เปนเหล็กออกไซด หรือที่รูจักทัว่ ๆ ไป สนิมเหล็ก การที่เหล็กเปนสนิมไดนี้เรียกวา เหล็ก ถูกเติมออกซิเจน สนิมเหล็กเปนสารประกอบอันใหม ไมมีคุณสมบัตเิ หมือนเหล็กหรือออกซิเจนเลย แตอยางใด กลาวคือ เหล็กมีแววโลหะขาวเปนมัน เมื่อเคาะจะมีเสียงกังวาน สนิมเหล็กไมมีคุณสมบัติ ดังกลาวเหลืออยูเลย สวนออกซิเจนเปนแกสไมมีสี ไมมีกลิ่น ไมมรี ส แตสนิมเหล็กเปนของแข็ง มีสีและมีกลิ่น การรวมตัวของออกซิเจนกับสารอื่น มักใหความรอนจํานวนมากเสมอ แกสทีใ่ ชใน งานเชื่อม เชน แกสจากเหมืองน้ํามัน แกสไฮโดรเจน หรือ แกสอะซิติลีน เมื่อสันดาปกับออกซิเจน ใหความรอนสูงมากประมาณ 2000 ถึง 3200 °C ออกซิเจนใชไดทงั้ งานเชื่อมโลหะและตัดโลหะ ออกซิเจนเปนธาตุที่จําเปนตอชีวิตทั้งคนและสัตว หากปราศจากออกซิเจนหายใจเสียแลว มนุษยและสัตวจะดํารงชีวิตอยูไมไดเลย ออกซิเจนมีอยูม ากมายในโลก ทั้งที่เกิดเปนธาตุออกซิเจนแหง และเกิดรวมเปน สารประกอบกับธาตุตาง ๆ บนผิวโลกนี้ เชน เกิดอยูใ นน้ํา ในหิน สินแร ดิน สัตวและพืชตาง ๆ ที่ เกิดเปนแกสออกซิเจนแท ๆ คือ เกิดอยูใ นอากาศนี้เอง ซึ่งมีออกซิเจนอยู 21 % โดยปริมาตร ออกซิเจนบริสุทธิ์เตรียมไดจากการแยกน้าํ ดวยไฟฟา ดวยวิธีเคมี โดยเผาสารที่สามารถ คายแกสออกซิเจนออกมาได และเตรียมไดจากอากาศ โดยอัดอากาศใหเปนอากาศเหลวแลวกลั่น แกสออกซิเจนออกมา แกสออกซิเจนที่พบในตลาดการคานี้ ทุกวันนี้สวนมากใชในงานเชื่อมแกสและโรงพยาบาล ประเทศอุตสาหกรรมบางประเทศใชแกสออกซิเจนบริสุทธิ์แทนอากาศในการถลุงเหล็ก วิธีนที้ ําให ปริมาณการผลิตเหล็กดิบของเตาถลุงที่มีขนาดเทา ๆ กันสูงขึ้นอีกหลายเทา วิธีทําออกซิเจน เพื่อบรรจุลงในขวดเหล็กนั้น จะตองทําอากาศใหเปนอากาศเหลวเสียกอน เมื่ออากาศเหลวเริ่มรอนขึ้น ก็จะเริ่มกลายเปนไอ เมื่อรอนขึ้นมาถึง – 196°C แกสไนโตรเจน จะ ระเหยออกมากอน เพราะอุณหภูมินี้เปนจุดเดือดของแกสไนโตรเจน ตอมาเมื่ออากาศเหลว รอนขึ้น ถึง - 183°C ออกซิเจนจึงจะเริ่มระเหยออกมา หากจับแกสที่ระเหยออกมานี้ไว ณ ความกดดัน 150 เหนือบรรยากาศก็จะบรรจุลงขวดเหล็กได
16
ขวดออกซิเจนเปนขวดเหล็กสีน้ําเงิน ที่ลิ้นตัวขวดจะตองมีเกลียวทอวิตเวอตขนาด ¾ นิ้ว และเปนเกลียวขวาติดอยู ความกดดัน บรรจุแกส 150 บรรยากาศ
รูป 2.10 ขอควรจํา ทุกครั้งที่ทํางานกับขวดออกซิเจน ระวังอยาใหลิ้นหัวขวดและลิ้นลดความดันตองเปรอะ เลอะน้ํามันหรือไขใด ๆ โดยเด็ดขาด แมแตมือนักเรียนตองเปนมือสะอาดไมเปรอะน้ํามัน ขอนี้ตอ ง ระวังอยางมาก มิฉะนั้น อาจมีการระเบิดเกิดขึ้นได การเติมและลดออกซิเจน (Oxidation and Reduction) การเติมออกซิเจน คือการทีส่ ารทําปฏิกิริยาเคมีกับออกซิเจน แลวกลายเปนออกไซด เชน ถานเมื่อเผาไหม กลายเปน แกสคารบอนไดออกไซด ถาน ( C ) 1 โมเลกุล ทําปฏิกิริยากับ ออกซิเจน (0) 1 โมเลกุล หรือ 2 อะตอม ใหแกสคารบอนไดออกไซด 1 โมเลกุล ( CO2) การลดออกซิเจน คือการลดออกซิเจนออกจากโมเลกุล เชน ในการถลุงเหล็กแรเหล็ก คือ เหล็กออกไซด วิธีถลุง ตองเอาคารบอนเขาไปลอออกซิเจนในสินแร เหล็กจะเขามารวมตัวกับถาน คารบอน กลายเปน แกสคารบอนไดออกไซดหนีไปเหลือเหล็กดิบทิ้งไว 2.3.2 ไฮโดรเจน (H2) ไฮโดรเจน เปนแกสไมมีสี ไมมีกลิ่น และไมมีรส ไฮโดรเจนเปนธาตุที่เบาที่สุดในโลก (1 ลิตร หนักเพียง 0.09 กรัม) แกสไฮโดรเจนเปนแกสที่ติดไฟงาย ตรงกันขามกับออกซิเจน ซึ่ง ชวยใหไฟติด แกสไฮโดรเจนที่ฟุงไปในอากาศเปนอันตรายอยางยิ่ง เพราะระเบิดไดงายเพียงแตมี ประกายไฟนิดหนอยแกสไฮโดรเจนที่ฟุงอยูจะทําปฏิกิรยิ าเคมีกับออกซิเจนในอากาศทันที ปฏิกริ ิยาเคมีอันนี้รุนแรงมาก มีความรอน และพลังงานสูง ไฮโดรเจน ไมมีปรากฏเปนแกสเกิดในธรรมชาติ แตจะเกิดเปนสารประกอบรวมกับธาตุ อื่น โดยเฉพาะอยางยิ่ง เกิดอยูในน้ํา น้ํามีอยูทั่วไปทุกหนทุกแหงในโลก วิธีเตรียมไฮโดรเจนจากน้ํา กระทําไดโดยแยกน้ําดวยไฟฟา แกสไฮโดรเจน ทีใ่ ชกันในวงการอุตสาหกรรม เตรียมขึ้นไดหลายวิธี วิธีที่หนึ่งคือ แยกน้ํา ดวยไฟฟา วิธีนี้ตองใชพลังงานไฟฟามาก ถาราคาไฟฟาแพงวิธีนกี้ ็ไมประหยัด อีกวิธีหนึ่งเปน วิธี
17
เตรียม Water Gas ซึ่งเปนแกสที่ประกอบดวย ไฮโดรเจน และคารบอนมอนออกไซด วิธีเตรียม ใหผานไอน้ํา เขาไปทําปฏิกิริยากับถายโคก ที่กําลังรอนแดง แกสไฮโดรเจน ใชในงานเชื่อม ทําปุยแอมโมเนียและใชในกรรมวิธีอตุ สาหกรรมเคมีตาง ๆ อีกมากมาย ขวดไฮโดรเจนเปนขวดเหล็กทาสีแดง ที่ลิ้นหัวขวดจะตองมีเกลียววิตเวอตขนาด W 21.8 ม.ม. / ¼ และเปนเกลียวซายติดอยู ความกดดันบรรจุแกส 150 บรรยากาศ 2.3.3 ไนโตรเจน (N2) ไนโตรเจนเปนแกสไมมีสี ไมมีกลิ่น ไมชวยในการเผาไหม ใชดับไฟได ไนโตรเจนเกิด ในอากาศ สารประกอบของไนโตรเจนพบในสัตวและตนไม ไนโตรเจนเตรียมไดจากอากาศเหลว ในงานชาง ไนโตรเจนใชเปนแกสปกปด (Protective Gas) ในงานเชื่อมบรรจุหลอดไฟ บรรจุขอตอสารเคเบิลโทรคมนาคม และทําปุยแอโมเนีย 2.3.4 คารบอน (C) คารบอน เปนธาตุองคประกอบสําคัญในถานหิน ถานไม และพืชพันธุตนไมตาง ๆ เพชร และกราฟไฟต เปนคารบอนบริสุทธิ์ ที่เกิดเองเปนธรรมชาติ เพชร มีความแข็งมาก ใชสาํ หรับตัดกระจก ในงานโลหะของเรา เพชรใชเปนวัสดุคมมีด ชนิดหนึง่ ผงเพชรเปนผงสารเชิงทราย ที่ดที ี่สุดที่เรามี ใชแตงหนาหินเจียระไนไดราบเรียบมาก
รูป 2.11 วิธีแตงหนาหินเจียระไนดวยเพชร กราฟไฟต นัน้ ลอน แตมีแววมันระยับ มีคุณสมบัติพิเศษดีมากในดานการนําไฟฟา จึงนิยม ใชเปนวัสดุชางไฟฟาอยางแพรหลาย เชน ใชเปนแปรงถาน เปนตน กราฟไฟตไมหลอมละลายเมื่อ ไดรับความรอน เมื่อผสมกับดินแลวปน ขึน้ รูป จะใชเปนฉนวนกันความรอนไดดีมาก ผงกราฟไฟต ที่แขวนอยูในน้ํามัน จะใหน้ํามันหลอลื่นชนิดดีเยี่ยม เพราะกราฟไฟตเปนวัสดุหลอลื่นที่ดีทสี่ ุด อยางหนึ่ง ถานไม และถานโคก เปนถานที่ผลิตขึ้นดวยวิธีอุตสาหกรรม ดวยการกลั่นทําลายไมและ ถานหินตามลําดับ ในที่จํากัดโดยจํากัดอากาศ ทั้งถานไมและถานโคก เปนถานคารบอน
18
ถานคารบอน เปนตัวลดออกซิเจนใชในการถลุงแรไดดี เชน แรเหล็ก และแรตะกัว่ ซึ่งเปน เหล็กออกไซดและตะกั่วออกไซด ณ อุณหภูมิถลุงคารบอนจะดึงออกซิเจนออกจากแรเหล็ก และ แรตะกัว่ มาทําปฏิกิริยากับตนเองไดแกสคารบอนมอนนอกไซด และคารบอนไดออกไซดหนีออกไป ทิ้งเหล็กดิบและตะกั่วดิบหลอมไวในเบาเตาถลุงนั้นเอง 2.3.5 สารประกอบเชิงคารบอน คารบอน รวมกับธาตุอื่น ๆ ไดดี โดยเฉพาะอยางยิ่งกับไฮโดรเจนและออกซิเจน ไดเคยมีผู อนุมานจํานวนสารประกอบเชิงคารบอนเหลานี้ไววา มีจํานวนไมต่ํากวา 300,000 ชนิด ในบรรดา สารประกอบเหลานี้ สารที่สําคัญที่สุดไดแก ก. คารบอนมอนนอกไซด คารบอนมอนนอกไซด เกิดจากปฏิกิริยาเคมีการสันดาปของคารบอนและสารเชิง คารบอนที่สันดาปไมหมด เพราะออกซิเจนไมพอ คารบอนมอนนอกไซด เปนแกสไมมีสีและไมมี กลิ่น แตทวาเปนแกสพิษอยางแรง ในตางประเทศโดยเฉพาะอยางยิ่งในฤดูหนาว ผูร ูเทาไมถึงการณ ตองเสียชีวิตคงเปนจํานวนมากเพราะแกสนี้ บางก็สตารทรถยนตในโรงเก็บที่ปดมิดชิด และบางก็ สตารทเครื่องยนตเดินเครื่องหยุดรถนิ่งอยูก ับที่ กระจกทุกบานปดหมดเพราะหนาว แกสคารบอน มอนนอกไซด ไมสามารถฟุงกระจายออกไปใหเจือจางลงได จึงเกิดเปนอันตรายแกผูที่สูดหายใจ แกสพิษนี้เขาไปในปอด แกสคารบอนมอนนอกไซดทาํ ใหเลือดแข็งตัวอุดทางไหลของกระแสโลหิต โดยเฉพาะอยางยิ่ง ณ บริเวณลิ้นหัวใจ ทีส่ ุดก็เปนอันตรายตอชีวิต แกสคารบอนมอนนอกไซด มีมากในไอเสียจากเครื่องยนต และมีในแกสหุงตมซึ่งเดินมา ตามทอที่จําหนายตามบานฝรั่งในตางประเทศ ขอควรจํา อยาเดินเครื่องยนต และอยาปลอยไอเสียในหองขนาดจํากัดเปนอันขาด แกสคารบอนมอนนอกไซด จัดวาเปนแกสเชื้อเพลิงอยางหนึ่ง เมือ่ ติดไฟจะไดเปลวไฟ สีน้ําเงิน เปลวไฟนี้รอ นมาก ข. คารบอนไดออกไซด (CO2) คารบอนไดออกไซด เปนแกสที่เกิดจากปฏิกิริยาการสันดาปของคารบอนและสารเชิง คารบอนที่สันดาปไดหมด แกสคารบอนไดออกไซด เปนองคประกอบสวนหนึ่งของอากาศ ไมเปน แกสพิษ ไมชวยในการหายใจของมนุษยและสัตว และไมสนับสนุนการสันดาปแตอยางใด ตรงกันขามกลับเปนตัวยาที่ทาํ ใหไฟดับไดดีและรวดเร็วเสียอีก ไฟไหมที่เกิดจากน้ํามันลุกเปนไฟนั้น ใชน้ําดับไมได แตจะดับไดดวยแกสคารบอนไดออกไซดนี้เอง เพราะคารบอนไดออกไซดจะทําให บังเกิดเปนมานแกสกัน้ มิใหออกซิเจนในอากาศเขาไปถึงเปลวไฟได ไฟจึงดับ
19
รูป 2.12 หมอดับเพลิงดวย CO2 แกสในทอไอเสียจากเครื่องยนต มีคารบอนไดออกไซดปนอยูดว ยจํานวนหนึ่ง คารบอนไดออกไซด หนักกวาอากาศมักกองอยูเบื้องลางในหลุมลึก ๆ หรือในเหมืองลึก ขอนี้อาจเปนอันตรายถึงแกชวี ิต เพราะไฟที่จุดสองสวางไว จะเผาไหมเกิดเปนแกส CO2 ซึ่งไมลอย ฟุงขึ้นมา แตจะกองอยูทกี่ นหลุม ทําใหออกซิเจนที่จําเปนตอการหายใจ มีจํานวนนอยลงทุกทีในที่สุด ผูที่อยูเบื้องลางของหลุมก็จะหายใจไมออก หมดสติ หากแกไขไมทันจะเสียชีวิตไปเลย ชางเชื่อมที่ลง ไปเชื่อมที่กนถังบรรจุขนาดใหญ ๆ จะตองระวังและสังวรอันตรายขอนี้ใหมาก คารบอนไดออกไซด เมื่ออัดใหมีความกดดันสูงถึง 35 เหนือบรรยากาศ จะเปนของเหลว มีอุณหภูมิ 0°C แก็สคารบอนไดออกไซด อัดบรรจุลงขวดเหล็กได คารบอนไดออกไซดแข็ง หรือ น้ําแข็งแหง คือ แกสคารบอนไดออกไซดที่อัดดวยความ กดดันสูงมาก มีอุณหภูมิเย็นจัดมากถึง – 80°C ที่เรียกวาน้ําแข็งแหงก็เพราะวาเปนของแข็งเหมือน น้ําแข็งแตเย็นกวา และเมื่อละลาย จะไมบังเกิดเปนน้ําเลย คือจะระเหิดเปนแก็สคารบอนไดออกไซด ทําใหไมเปยกเลอะเทอะ และเปนประโยชนมากในการขนสงทางอากาศ น้ําอัดลมตาง ๆ ที่จําหนายอยูในตลาดเวลานี้ ตลอดจนกระทั่งเบียร จะตองอัดแกส คารบอนไดออกไซดนี้ไวในน้ําดวย เพือ่ ชวยใหรสซาบซา คารบอนไดออกไซดละลายน้ําไดมาก ณ ความกดดันสูง ๆ ทันที่จุกถูกเปดออก ความกดดันภายในขวดลดลงมาเปน 1 บรรยากาศ ณ ความ กดดันนี้ คารบอนไดออกไซด ละลายน้าํ ไมมาก ผลคือ แกสจะปุดออกมาไมละลายในน้ําอีกตอไป สังเกตไดชัดเจน ค. อะซิตีลีน อะซิตีลีน เปนสารประกอบประเภทไฮโดรคารบอน ซึ่งเปนแกสเชื้อเพลิงอยางดีให ความรอนสูงมาก เหมาะสําหรับใชเปนแกสเชื่อม แกสอะซิตีลีนเมื่อเผาไหมใหเปลวไฟสีเหลืองแก วิธีเตรียมแกสนี้ เตรียมไดโดยใหน้ําทําปฏิกิริยากับแคลเซี่ยมคารไบด (CaC2) แคลเซี่ยมคารไบด เตรียมไดในเตาหลอมไฟฟา โดยหลอมปูนขาวกับถานโคก ใหทําปฏิกิรยิ ากัน
20
แกสอะซิตีลีน ที่ใชในงานเชื่อม อาจเตรียมขึ้นใชเองดวยหมอกําเนิดแกส โดยใหน้ํา ทําปฏิกิริยากับแคลเซี่ยมคารไบดนั้นวิธีหนึง่ หรือจะใชแกสที่บรรจุไวในขวดก็ไดอีกวิธีหนึ่ง ขอที่ นักเรียนควรทราบก็คือ แกสที่ออกมาจากในขวดนั้น มิไดเปนอะซิตีลีนอยางเดียว เพราะอะซิตีลีน อยางเดียวนั้น จะอัดใหมคี วามกดดันมากไมได เพราะระเบิดไดงา ย วิธีบรรจุอะซิตีลีนลงขวด จะตองใชอะซีโตน (Acitone) เปนสารละลายแกสอะซิตีลีนอีกทีหนึ่ง จึงจะอัดเขาขวดจํานวน มากกวาปกติได
รูป 2.13 หมอผลิตอะซิตีลีน นอกจากนี้ แกสอะซิตีลีนยังเปนวัตถุดิบสําคัญ ในอุตสาหกรรมเคมีอกี มากสิ่งโดยเฉพาะ อยางยิ่งในกรรมวิธีผลิตพลาสติคชนิด PVC (โปลีไวนิลคลอไรด) แอลกอฮอล กรดน้ําสม และสาร สังเคราะหอื่น ๆ อีกเปนจํานวนมาก ง. สารคารไบด สารคารไบด เปนสารประกอบที่ไดจากคารบอน รวมกับโลหะ เชน เหล็กคารไบด (Fe3C) ซึ่งเปนสารทําใหเหล็กแข็งกวาเหล็กธรรมดา ทังสเตนคารไบด (WC) เปนโลหะแข็ง ใชเปนวัสดุมดี ปาดผิวโลหะ แคลเซี่ยมคารไบด (CaC2) ใชเปนวัตถุดิบผลิตอะซิตีลีน ซิลิกอนคารไบด (SiC) เปนโลหะแข็งอีกชนิดหนึ่ง ใชเปนสารเชิงทรายและวัสดุมีด บอรอนคารไบด (B4C) แข็งกวาซิลิกอนคารไบด 2.3.6 กํามะถัน (S) กํามะถัน เปนธาตุอโลหะมีเกิดตามธรรมชาติ ในบริเวณใกลเคียงกับภูเขาไฟ สหรัฐอเมริกา เปนประเทศทีผ่ ลิตกํามะถันมากที่สุดในโลก กํามะถันเกิดอยูลึกมาก อยูใตพื้นดิน วิธีทําเหมือง
21
กํามะถัน มีหลักเกณฑงาย ๆ คือ สงไอน้ําลงไปตามทอเพื่อทําใหกํามะถันหลอม และแรงดันจากไอ น้ําจะดันกํามะถันขึ้นมาบนพืน้ ดิน
รูป 2.14 เหมืองกํามะถัน นอกจากเกิดเปนกํามะถันตามธรรมชาติแลว กํามะถันยังเกิดรวมกับโลหะอื่นในแรอีกมากมาย สารประกอบระหวางโลหะกับกํามะถัน เรียกวา ซัลไฟต แรซัลไฟต ที่สําคัญ ๆ ไดแก แรเหล็ก ไพไรต (Pyrite) ซึ่งก็คือ FeS2 และแรตะกัว่ ซัลไฟต Pbs เปนตน ทั้ง 2 แรดังกลาวนี้ เปนแร วัตถุดิบสําคัญในการถลุงเหล็ก และตะกั่วตามลําดับ กํามะถัน สันดาปกับออกซิเจนในอากาศ ใหแกสซัลเฟอรไดออกไซด (SO2) ซึ่งมีกลิ่นฉุน รุนแรง กัดเยื่อจมูก มีฤทธิ์ฆาเชื้อโรคไดดี และใชเปนตัวฟอกสี เชน ฟอกเยื่อกระดาษจาก แกสซัลเฟอรไดออกไซด เรามีกรรมวิธีเปลี่ยนเปนกรดกํามะถัน (H2SO4) ซึ่งเปนสารเคมีที่มี ความสําคัญอยางยิ่ง ในวงการอุตสาหกรรม กรดกํามะถันเปนไมเมตรวัดความเจริญของอุตสาหกรรม ในประเทศตาง ๆ ไดดี ประเทศใดทีใ่ ชกรดกํามะถันมาก ประเทศนั้นนับวาอุตสาหกรรมเจริญมาก ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศญี่ปุน ตองใชกรดกํามะถันวันหนึ่ง ๆ เปนพัน ๆ ตัน ประเทศ ไทยเพียงสิบ ๆ ตัน เทานั้น
22
2.3.7 ซิลิกอน (Si) ซิลิกอน เปนธาตุอโลหะ ไมมีพบในธรรมชาติ เปนธาตุแท แตเกิดเปนสารประกอบรวม กับออกซิเจน ที่เรียกวา Silica เชน ทรายและหินควอต เปนตน Silica เปนสารประกอบที่มีมาก ที่สุดในโลก ถึง 2.4 % ของจํานวนเปลือกโลกทั้งหมด ซิลิกอนใชเปน Semi – Conductor ซึ่งเหมาะสําหรับใชเปนวัสดุแปลงกระแสสลับเปน กระแสตรง และวัสดุทรานซิสเตอร สารประกอบของซิลิกอนอื่น ๆ ที่สําคัญ ๆ ไดแก ซิลิโคน และ ซิลิกอนคารไบดซึ่งแข็งและคมมาก 2.4 กรด ดาง และเกลือ สารประกอบสําคัญ ๆ ในวิชาเคมีเบื้องตนนี้ จําแนกไดเปน กรด ดาง และเกลือ 2.4.1 กรด กรดมีฤทธิ์กัด กรดกัดโลหะใหกัดกรอนไดรวดเร็ว กรดเตรียมไดโดยละลายออกไซดของ อโลหะลงในน้ํา เชน กรดดินประสิว (กรดไนตริก) ไนโตรเจนออกไซด + น้ํา กรดกํามะถัน ซัลเฟอรไดออกไซด + น้ํา กรดมีรสเปรี้ยว กรดมีมากมายหลายชนิด บางก็เปนกรดแก บางก็เปนกรดออน กรดแก ไมเหมาะแกการบริโภคเลย เชน กรดกํามะถัน กรดแก ๆ เชนนี้ แมจะละลายน้ําใหเจือจางมาก ฤทธิ์ กัดก็ยังมีมากอยู เปนอันตรายตอหลอดอาหาร และลําไสอยางมาก กรดที่เหมาะแกการบริโภคตอง เปนกรดออน เชน กรดน้ําสม (Acetic Acid) และกรดมะขามเปยก (Tartaric Acid) หรือกรด มะนาว (Citric Acid) กรดเปลี่ยนกระดาษลิตมัสจากสีน้ําเงินเปนสีแดง ก. กรดกํามะถัน Sulfuric Acid (H2SO4) ดังกลาวมาแลว กรดกํามะถันเปนกรดแก สามารถทําปฏิกิริยากับโลหะไดเกือบทุกชนิด เมื่อทําปฏิกิริยาจะคายแกสไฮโดรเจนออกมาและไดโลหะซัลเฟต กรดกํามะถันทีเ่ ขมขนมาก ๆ แลดู ขนเหมือนน้ํามัน ไมมีสี และมีน้ําหนักมาก คุณสมบัติพิเศษของกรดกํามะถันเขมขนคือ มี ความสามารถในการดูดเก็บน้ําจากอากาศที่มีความชื้นมาก เพียงแตผา นอากาศชื้นเขาในกรดกํามะถัน เขมขน ไอน้ําในอากาศก็จะถูกดูดออกมา ทําใหอากาศแหง แตกรดจะเจือจางลงและในขณะเดียวกัน จะมีความรอนเกิดขึ้นเปนจํานวนมาก ในขณะกรดละลายน้ํา ขอควรจํา ในการเจือจางน้ํากรดกํามะถันเขมขน จําไววาอยาเติมน้ําลงในกรดแตใหเติม กรดลงในน้ําแทนการเติมน้ําลงในกรด เพราะเมื่อน้ํานอยกวากรด ความรอนที่เกิดขึน้ มีมาก จะทําให น้ําเดือดกระเด็น พาใหกรดกํามะถันกระเด็นติดไปดวย ซึ่งเปนอันตรายอยางยิ่ง
23
กรดกํามะถัน ใชเติมแบตเตอรี่รถยนต ใชกัดและขัดผิวโลหะใหสะอาดปราศจากสเกล กอนที่จะอาบสังกะสีหรือเคลือบผิวโลหะ นอกจากนีย้ งั เปนวัตถุดิบสําคัญกับอุตสาหกรรมเคมีตาง ๆ อีกเปนจํานวนมาก เชน ใชทําผงซักฟอก ดายทอผา และใชในอุตสาหกรรมน้ํามัน ข. กรดดินประสิว (HNO3) กรดดินประสิว หรือกรดไนตริก เปนกรดแก เมือ่ บริสุทธิ์จะใส ไมมีสี มีกลิ่นฉุน รุนแรง ฟุงไปในอากาศ กรดไนตริกเขมขน ณ อุณหภูมิสูง ๆ จะทําปฏิกิริยากับโลหะไดหมดทุก ชนิด ยกเวน ทอง และทองคําขาวเทานัน้ กรดนีจ้ ึงเปนกรดทีใ่ ชทดสอบแยกโลหะเงินจากทอง เงินนั้นละลายในกรดไนตริก และทองไมละลาย วิธีเตรียมกรดดินประสิว เตรียมไดจากอากาศ คือ ทําใหไนโตรเจนและออกซิเจนใน อากาศทําปฏิกิริยาตอกัน ไดไนโตรเจนออกไซด ซึ่งเมื่อละลายน้ําจะใหกรดไนตริก กรดไนตริก ในวงการอุตสาหกรรมใชเปนตัวเติมออกซิเจน ทําวัตถุระเบิด ทํา เซลลูโลสไนเตรต ซึ่งเปนวัตถุดิบในการทําแลคเกอรและฟลมตาง ๆ ค. กรดเกลือ (HCI) กรดเกลือ เปนกรดแก กรดเกลือเขมขนที่ไมบริสุทธิ์ มีสีเหลือง แตถาบริสุทธิ์จะขาว ไมมีสี และมีกลิ่นฉุนฟุงไปในอากาศ กรดเกลือสามารถทําปฏิกิริยากับโลหะไดเกือบทุกชนิด ในงาน ชางกรดเกลือเจือจางใชสําหรับขัดผิวโลหะใหสะอาด เพื่อเตรียมงานบัดกรี ชวยใหบัดกรีประสาน แผนโลหะติดกันไดแนน ง. กรดกัดทอง กรดกัดทอง เปนกรดที่ไดจากผสมกรดเกลือ 3 สวน กับกรดไนตริก 1 สวน กรดนี้ มีคุณสมบัตพิ ิเศษ คือ กัดละลายทองได ขอควรระวัง น้ํากรดทุกชนิดจะตองเก็บไวในภาชนะกรด มีปายบอกชื่ออยาสะเพราเก็บ ไวในภาชนะบริโภคเปนอันขาด เชน ขวดน้ํา หรือแกวน้ําดื่ม 2.4.2 ดาง ดางเกิดจากออกไซดของโลหะรวมตัวกับน้ํา ดางเมื่อจับดูจะรูสึกลื่นมือและมีฤทธิ์กัด ดาง เมื่อทําปฏิกิริยากับไขหรือน้ํามันพืชจะใหสบู ดางละลายน้ําได ใชสําหรับตมลางไขออกจากผิวโลหะกอนทาสี หรือใชเปนสารฆา เชื้อโรคไดดวย ดางที่สําคัญ ๆ ไดแก โซดาไฟ Caustic (NaOH) ดางโปแตช (KOH) น้ําปูนขาว Ca (OH)2 และน้ําแอมโมเนีย (NO4 OH) ดางเปลี่ยนกระดาษลิตมัสจากสีแดงเปนสีน้ําเงิน ดางทําปฏิกิริยากับกรด ฆาฤทธิ์กันเสมอ เกิดเปนเกลือกับน้ํา
24
2.4.3 เกลือ เกลือไดจากปฏิกิริยาระหวางกรดและดาง โมเลกุลของเกลือประกอบดวยโลหะและ อนุมูลกรด (อนุมูลกรดไดแก ซัลเฟต คลอไรด และไนเตรต เปนตน) ตัวอยางเกลือเคมี ไดแก เกลือแกง - Dodium chloride (NaCI) : เกลือสมุทรหรือเกลือสินเธาว โซเดียมซัลเฟต - Sodium sulfate (Na2SO4) : ยาถาย สังกะสีคลอไรด - Zinc chloride (ZnCL2) : ฟลักซงานบัดกรี แอมโมเนียไนเตรต - Ammonium nitrate (NH NO3) : ปุยเคมีอยางหนึ่ง เมื่อทั้งโลหะสังกะสีลงในกรดเกลือ สังกะสี (Zn) จะทําปฏิกิริยากับกรดไดเกลือสังกะสี คลอไรด (ZnCL2) และแกสไฮโดรเจน Zn + 2 HCL ZnCL2 = H2 เกลือเคมีนั้นมีอยูมากมาย เกลือแตละตัวมีลักษณะใชงานแตกตางกันตามแตลักษณะอาชีพ ปูนยิบซั่มหรือ Plaster of Paris ซึ่งเปนวัสดุกอสราง ทีน่ ิยมกันมากมายในนานาประเทศ ก็คือ เกลือแคลเซียมซัลเฟต (CaSO4) ปูนชนิดนี้ทําปฏิกริ ิยากับน้ํา แข็งตัวได ใชเปนปูนโบกกําแพง ไดดี และสวยงามอยางยิ่ง ในดานงานชางกล เชนงานบัดกรี กอนบัดกรีประสานแผนโลหะตองทําความสะอาดผิว งานเสียกอน ตัวชวยทําความสะอาดผิว เรียกวา ฟลักซ ฟลักซทใี่ ชคือ สังกะสีคลอไรด หรือ แอมโมเนียคลอไรด ซึ่งเปนเกลือเคมีดว ยกันทั้งคู และทั้งสองตัวนี้ใหอนุมูลกรดคลอไรด ทําผิว โลหะใหสะอาดไดดี แผนแบตเตอรีร่ ถยนตเปนแผนตะกัว่ แชอยูในอีเลคโตรไลดน้ํายากรดกํามะถัน ปฏิกิริยา เคมีระหวางแผนตะกัว่ กับกรดกํามะถันเปนตนกําเนิดกระแสไฟเมื่อผลิตไฟไปนาน ๆ ตะกัว่ ก็จะ กลายเปนเกลือตะกัว่ ซัลเฟต PbSO4 มากขึ้นทุกที ถาแผนตะกั่วกลายเปนตะกัว่ ซัลเฟตหมดทั้งแผน ไฟก็จะหมดหมอตองอัดไฟเขาหมอใหม ในขณะที่อดั ไฟเกลือตะกั่วซัลเฟตจะกลับคืนไปเปนตะกั่ว อยางเดิมพรอมที่จะทําปฏิกริ ิยากับกรดกํามะถันใหกระแสไฟไดใหมตอไปอีก
รูป 2.15 ปรากฏการณในแบตเตอรี่รถยนต
25
ในขณะที่นกั เรียนใหบริการแบตเตอรี่รถยนต นักเรียนจะสังเกตุวาที่สายตอขั้วบวกของ แบตเตอรี่มักจะมีตะกรันสีเขียว ๆ จับอยูด ูสกปรก กะกรันนั้นก็คือ เกลือเคมีอยางหนึ่งลางละลาย ออกไดดว ยน้ํา ตะกรันเกิดจากกรดกํามะถันภายในหมอแบตเตอรี่ซึมออกมาและทําใหหวั สายตอขั้ว แบตเตอรี่นั้นถูกกัดกรอนได ลวดเหล็กมวนยาว ๆ ที่ผูผลิตไมประสงคใหเปนสนิมไดงาย ๆ ปองกันไดโดยจุมลวดเหล็ก นั้นลงในน้ํายาจุนสี หรืออีกชื่อหนึ่งคือ น้ํายาเกลือทองแดงซัลเฟต (CuSO4) ทองแดงจากน้ํายาจะ แยกตัวออกมาเคลือบบนผิวเหล็ก ทําใหเหล็กไมมีโอกาสแตะตองกับออกซิเจนในอากาศและจะไม เปนสนิม 2.5 อากาศ อากาศเปนสิ่งที่มีอยูรอบ ๆ ตัวเรา อากาศเปนสารผสมซึ่งประกอบดวยแกสไนโตรเจน 78 % ออกซิเจน 21 % และแกสเฉื่อยอื่น ๆ อีกหลายชนิดรวมกันประมาณ 1 % แกสเฉื่อยตาง ๆ เหลานี้ ไดแก แกสอารกอน นีออน ฮีเลียม คารบอนไดออกไซด และไอน้ํา อากาศจํานวน 1 ลิตร วัด ณ 0°C และความกดดันปกติ จะมีน้ําหนัก 1.29 กรัม มนุษยและสัตวใชอากาศหายใจ ซึ่งตองหายใจนําออกซิเจนเขาไปในรางกาย เพือ่ ทําปฏิกิริยา เผาไหมกับคารบอนและไฮโดรเจน เปลี่ยนเปนคารบอนไดออกไซดและไอน้ํา ดังปรากฏในลมหายใจ ขาออก ที่เราทราบวาในลมหายใจขาออกนั้นมีทั้งคารบอนไดออกไซดและไอน้ํา พิสูจนไดงาย ๆ โดย ก. หายใจออกผานทอลงไปในน้ําปูนใส น้ําปูนใสนัน้ จะขุนเกิดเปนตะกอนหินปูนแสดงวามี แกสคารบอนไดออกไซดผานเขาทําปฏิกิริยาจึงเกิดเปนหินปูนขึ้น (ดูรูป 1.16) ข. หายใจออกใหลมหายใจผานลงบนแผนกระจกเย็น ๆ กระจกจะฝา เพราะไอน้ําใน ลมหายใจขาออกกลั่นตัวเปนหยดน้ํา
รูป 2.16 ในลมหายใจออกมีแกสคารบอนไดออกไซดปนอยูดว ย
26
อากาศเปนวัตถุดิบในการเตรียมแกสออกซิเจน เพื่อบรรจุลงขวดเหล็กใชในงานเชื่อมและใช ใหแกสออกซิเจนแกคนเจ็บตามสถานพยาบาลตาง ๆ อากาศทําเปนอากาศเหลวได โดยใชกรรมวิธี ของลินเดอร (Linde Process) อัดอากาศใหมีความกดดันสูงถึง 200 บรรยากาศ อากาศเหลวมี อุณหภูมิต่ํามากถึง - 200°C เปนตัวใหความเย็นอยางดี จากอากาศเหลวนีจ้ ะกลั่นแกสออกซิเจน ออกมาบรรจุขวดก็กระทําได ออกซิเจนในอากาศเปนตัวเสริมใหมีสันดาป เครื่องยนตทุกแบบจะทํางานไมไดเลยหากใน อากาศไมมีออกซิเจน เพราะเครือ่ งยนตทุกเครื่องตองใชเชื้อเพลิง น้ํามันหรือแกสสันดาปกับ ออกซิเจนในอากาศภายในหองสูบ เกิดเปนกําลังงานดันลูกสูบลงไปขับเพลาขอเสือ ทําใหผลิต ตนกําลังได จรวดทีย่ ิงขึ้นไปสูง ๆ จําเปนจะตองพกออกซิเจนติดตัวขึ้นไปดวย เพราะขางบนนั้น ออกซิเจนจางมากหรือไมมีเลยยิ่งถาหากเลยเขตธรณีของโลกออกไป ออกซิเจนที่พกไปคือ ออกซิเจน เหลว (ไมใชอากาศเหลว) วิธีที่จะทดลองวาออกซิเจนสนับสนุนการสันดาป สาธิตไดโดยวางเกล็ดฟอสฟอรัสไวในขวด บนผิวน้ํา (ดูรูป 2.17) ขวดนี้เปนขวดมีจุกปด จํากัดจํานวนอากาศไวภายในขวด ฟอสฟอรัสมี คุณสมบัติพิเศษ คือสามารถลุกติดเปนไฟในอากาศไดเอง ขณะลุกติดไฟก็จะดึงออกซิเจนเขามาหาตัว เมื่อเผาไหมหมดระดับน้ําในขวดจะสูงขึน้ แสดงวาแกสบางสวนในอากาศที่ถูกจํากัดไวภายในขวด หายไป แกสที่เหลืออยูก ็คือแกสไนโตรเจนเปนสวนมาก ฟอสฟอรัสทําปฏิกิริยากับออกซิเจน ใหฟอสฟอรัสออกไซดซึ่งละลายในน้ําไดดี ปริมาตรของแกสที่เหลืออยูจะมีปริมาตรประมาณ 4/5 เทา ของปริมาตรเดิม
รูป 2.17 ฟอสฟอรัสลุกไหมรวมกับออกซิเจนในอากาศไดเอง นักเรียนคงจะสงสัยวา ก็เมือ่ มนุษยจํานวนพัน ๆ ลานคน สัตวอีกหลายพันลาน และ เครื่องยนตกลไกตาง ๆ ในโลกนี้ก็มีไมนอย ออกซิเจนก็จะตองถูกใชหมดไปเปนจํานวนมาก คงจะมี วันหนึ่งกระมังที่ออกซิเจนจะหมดไปจากโลก ขอนี้อธิบายไดวา ออกซิเจนไมมีทางหมดไปจากโลก
27
เพราะอากาศนัน้ มีประมาณในโลกอยูมากมายเหลือเกินอยางหนึ่ง และอีกอยางหนึง่ ธรรมชาติมีวิธี ปองกันเรื่องนีไ้ วอยางดีดว ย กลาวคือ ตนไม และพืชแทบทุกชนิด เปนตัวผลิตแกสออกซิเจนใหแก โลกทั้งนั้น อากาศเปนวัตถุดิบที่สําคัญอยางหนึ่ง ในวงการอุตสาหกรรม อากาศใชเปนตัวหลอเย็นใน เครื่องผลักความรอน (Heat Exchanger) ตาง ๆ ไดดี เชนเครื่องยนตที่หลอเย็นดวยอากาศ เปนตน ในปจจุบนั อากาศเหลวซึ่งมีอุณหภูมิประมาณ 200°C กําลังมีบทบาทมากในตางประเทศ รถไฟก็ดี รถบรรทุกที่ดีก็ตองมีหองเย็นเก็บอาหารสด หรือสิ่งอื่น ๆ ที่ตองเก็บ ณ อุณหภูมิเย็นจัด ๆ กําลังหัน มาใชอากาศเหลวแทนการใชเครื่องทําเย็น เพราะสะดวกกวาไดความเย็นมากเทากัน และที่สะดวก ที่สุดก็คือ ไมมีชิ้นสวนใดตองหมุนและกระเทือนหนัก วิธีบํารุงรักษาสะดวกมาก 2.6 น้ํา น้ําที่เกิดตามธรรมชาติ ไมเปนน้ําบริสุทธิ์เลย น้ําตามแมน้ําลําคลองจะมีดินโคลน และ ทรายละเอียดติดมาทําใหน้ําดูเปนสีน้ําตาล ยิ่งกวานัน้ ยังมีสารแขวนตะกอนอืน่ ๆ สารอินทรียตาง ๆ เชน เศษซากสัตว เศษผาเนา และเกลือละลาย เชน หินปูนตาง ๆ ติดมาดวยอีกจํานวนมาก การทํา น้ําใหบริสุทธิ์ จึงตองใชกรรมวิธีลักษณะตาง ๆ ใหแยกสารสกปรกและสารตาง ๆ ที่ตดิ มากับน้ํา ออกไปได แมแตน้ําฝน ซึง่ คนไทยนิยมดื่มเพราะสะอาดตอการบริโภค แตในแงวชิ าเคมีแลว น้าํ ฝน ก็ยังไมใชน้ําบริสุทธิ์ เพราะมีฝุนละออง และแกสคารบอนไดออกไซดละลายปนอยูด ว ยไมมากก็นอย น้ําบริสทุ ธิ์เตรียมไดโดยวิธกี ลั่น น้ําประปา ไมใชน้ําบริสุทธิ์ แตเปนน้ําที่สะอาด เหมาะแก การบริโภค เพราะไดขจัดสิ่งโสโครก หินดินละลายตาง ๆ โดยวิธีกรองออกหมด ตลอดจนไดฆา เชื้อโรคแลวอีกดวยแกสคลอรีน น้ํากลั่น เปนน้ําบริสุทธิ์ เพราะในขณะกลั่นเราตองใหความรอนแกน้ํา สวนที่เปนน้ํา จะระเหยเปนไอไป ทิ้งสิ่งตาง ๆ ที่อยูใ นน้าํ ไวเบื้องหลัง ไอน้ําที่ระเหยพนไป ก็จะผานมาถึงหมอดับ ไอกลั่นตัวใหม เปนหยดน้ําอีกหนหนึ่งจึงไดน้ําบริสุทธิ์ วิธีกลั่นน้ําเชนนี้ เปนปรากฏการณธรรมชาติดวยอยางหนึ่ง เหมือนกันความรอนจาก ดวงอาทิตย ทําใหน้ําในทะเล แมน้ําลําคลองตาง ๆ กลายเปนไอลอยขึ้นขางบน กลายเปนเมฆและ ปรากฏเปนฝนตก กลับลงสูพื้นโลกใหมอกี ครั้งหนึ่ง การกลั่น เปนกรรมวิธีที่ทําใหเราแยกน้ําออกจากของเหลวชนิดอื่น ๆ ไดอีกดวย เชน การ กลั่นแอลกอฮอล เปนตน น้ํานั้น ณ อุณหภูมิปกติ เปนของเหลวใส ไมมีสี ไมมีรส ไมมีกลิ่น มีจุด แข็ง 0°C และจุดเดือด 100°C สวนแอลกอฮอลมีจุดเดือดประมาณ 80°C เมือ่ เรากลั่นสารผสม แอลกอฮอล – น้ํา วิธีกลั่นคือ ใหความรอนแกสารผสม เมื่อรอนใกล 80°C แอลกอฮอลจะระเหย เปนไอออกมากอน ถาเราดับไออันแรกนี้เราก็จะไดแอลกอฮอล ดวยวิธีนี้เองกรรมวิธีการกลั่นจึงมี บทบาทอยางมากในวงการอุตสาหกรรม ที่ตองมีการแยกของเหลวตางชนิดกันออกจากกัน
28
น้ําเมื่อกลายเปนน้ําแข็ง จะมีปริมาตรมากขึ้น น้ําปริมาตร 10 สวน เมื่อกลายเปนน้ําแข็งจะมี ปริมาตร 11 สวน ดวยเหตุนี้เอง น้ําแข็งจึงลอยน้ํา เพราะน้ําแข็งมีความหนาแนนนอยกวาน้ํา การที่ ปริมาตรของน้ํากับน้ําแข็งแตกตางกันเชนนีท้ ําใหมีบทบาททางงานชางเปนอยางมาก ถาเราเก็บน้ําไว ในภาชนะปด และภาชนะนัน้ บรรจุน้ําไวเต็มพอดี หากน้ําภายในภาชนะนัน้ แข็งตัว ภาชนะจะระเบิด ออกไดเพราะแรงขยายตัวของน้ํานั่นเอง แรงขยายตัวเพราะปริมาตรนี้รุนแรงมาก น้ําไมจัดวาเปนอาหารของมนุษยหรือสัตว แตตองจัดวาเปนสารละลายที่จําเปนที่สดุ ตอชีวิต ชีวิตที่ปราศจากน้ําจะเปนชีวติ อยูไมไดเลย ในวงการอุตสาหกรรม น้ําก็มีบทบาทอยูม าก ทั้งเปนวัตถุดิบ และวัตถุชวยงานตั้งแตระบบ น้ําเลี้ยงหมอน้าํ น้ําหลอเย็น ตลอดจนกระทั่งน้ําที่ตองใชในกรรมวิธีตาง ๆ 2.7 น้ําเลี้ยงเขาหมอ น้ําเลี้ยงหมอน้าํ คือ น้ําทีป่ อนเขาหมอน้ํา เพื่อตมใหเดือนเปลีย่ นสภาวะเปนไอน้ํา ใชเปน พาหนะสงพลังขับ และพลังความรอนภายในโรงงาน น้ําเลี้ยง โดยปกติเปนน้ําผสมระหวางน้ําเลี้ยงกลั่น (Condensate) กับน้ําเลี้ยงดิบ (Raw Feedwater) น้าํ เลี้ยงกลั่น คือน้ําที่กลั่นตัวจากไอน้ํา สวนน้ําเลี้ยงดิบ คือ น้ําเลี้ยงใหม ที่ใชผสมลงไป เพื่อรักษาปริมาณน้ําเลี้ยงใหคงที่สม่ําเสมออยูตลอดเวลา น้ําเลี้ยงหมอน้าํ จะตองสะอาด เปนน้ําออน ไมกระดาง มีความเปนดางภายในพิกัด น้ําเลี้ยงที่ ผิดลักษณะจะทําใหบังเกิดปญหาตาง ๆ ดังนี้ 1. หากมีความกระดางมาก หรือมีสารละลายในน้ําเลี้ยงเกินพิกดั จะทําใหเกิดตะกรันติดบนแผน สเกลกับผนังทอไอน้ําในหมอน้ํา ผลคือ ทอจะหนาขึ้น และกัน้ ความรอนมิใหผานไปถึงน้ําไดมาก เชนเดิม ปริมาณผลิตไอน้ําจะลดลง 2. อาจทําใหเกิดการกัดกรอนภายในหมอน้ําเร็วเกินควร 3. อาจเดือดเปนไปในลักษณะที่เกิดฟองมากเกินควร 2.8 ลักษณะสําคัญของน้าํ เลี้ยง โรงงานอุตสาหกรรมที่ไดมาตรฐานทุกโรง จะตองมีระบบผลิตน้ําเลี้ยงหมอน้ําแทนที่จะสงน้ํา ดิบ ๆ เขาหมอน้ําโดยตรง วิธีผลิตน้ําเลี้ยงโดยพิสดารนัน้ เกินขอบเขตของวิชานี้ และจะไมขอกลาวถึง แตลักษณะสําคัญ ๆ ของน้ําเลี้ยงที่นักเรียนควรทราบมีดังนี้ 1. น้ําเลี้ยงหมอน้ําความกดดันสูง ๆ จะตองทําใหสะอาดหมดจดมากกวาน้ําเลี้ยงหมอน้ําความ กดดันต่าํ 2. น้ําเลี้ยงจะตองเปนน้ําออน ยิ่งออนที่สุดยิ่งดี ความกระดางของน้ําดูไดงาย ๆ จากรายการวิเคราะหน้ํา ความกระดางอานไดจาก Total hardness ซึ่งมักเขียนบอกไวเปนจํานวน ppm ของ CaCo (1 ppm = 1 part per million = 1 mg / liter) แลวเทียบกับตารางขางลางนี้
29
ความกระดางของน้ํา Total Hardness (ppm, CaCO3) ชนิดของน้ํา นอยกวา 15 น้ําออนมาก ๆ 15 – 60 น้ําออนธรรมดา 61 – 120 น้ํากระดางปานกลาง 121 – 180 น้ํากระดาง มากกวา 180 ขึ้นไป น้ํากระดางมาก ๆ 3. น้ําเลี้ยงตองเปนดางนิดหนอย การทําน้ําเลี้ยงใหเปนดาง กระทําไดโดยเติมโซเดียมคารบอเนต หรือโซเดียมฟอสเฟตละลาย ลงในน้ํา โดยมีสัดสวนภายในพิกดั มิฉะนั้นจะเปนดางมากเกินไปซึ่งกลับกลายเปนโทษ การที่น้ําเลี้ยงเปนดาง จะชวยใหการสเกลที่ผนังทอลดนอยลงไดมาก เพราะสเกลที่เกิดคือ CaCO3 ซึ่งจะไมมีบทบาทมากเลย หากน้ําเลี้ยงเปนดาง วิธีทําน้ําเลี้ยงดวยเปอรมิวทิต
รูป 2.18 เครื่องผลิตน้ําออนดวยเปอรมิวทิต วิธีทําน้ําเลี้ยงที่แพรหลายทีส่ ุดคือใช เปอรมิวทิต (Permutil) เปอรมิวทิตเปนสารพิเศษที่มี อํานาจแลกเปลี่ยนไอออน ions กับน้ํากระดางได น้ํากระดางนั้นกระดางไดเพราะมีไอออน Ca++ และ Mg++ อยูในน้ํา ซึ่งอาจจะตกตะกอนกลายเปน CaCO3 หรือ MgCO3 ได สารเปอรมิวทิตมี อนุมูลโซเดียม Na++ อยูในตัวเมื่อมีน้ํากระดางและ Ca++ ผานมา เปอรมิวทิตจะแลก Na++ ออกไป ใหน้ําและดึง Ca++ กับ Mg++ ออกมาจากน้ํา น้ําเมื่อหมด Ca++ และ Mg++ ไป ก็กลายเปนน้ําออน ใชเปนน้ําเลี้ยงไดทันที
30
เปอรมิวทิต เมือ่ ใชไปนาน ๆ ก็จะหมดคุณภาพ เพราะมีแต Ca++ ไมมี Na+ ดังเดิม เมื่อถึง สภาวะเชนนีเ้ ราสามารถกลับคุณภาพเดิมได โดยผานน้าํ เกลือมีเกลือ NaCI ละลายอยูมากเขาไปแทน Na+ จากน้ําเกลือก็จะไปแลก Ca++ ออกมาจากเปอรมิวทิต 2.9 การกัดกรอน (Corrosion) การกัดกรอน คือ ปฏิกิริยาทางเคมี หรือ ปฏิกิริยาทางไฟฟาเคมีระหวางโลหะกับสิ่งแวดลอม - การเกิด corrosion จะเกิดขึน้ ทุกทีท่ ี่มีการใชโลหะ เพียงแตอัตราการกัดกรอนจะมาก หรือนอยขึ้นอยูกับสิ่งแวดลอม - ‘Motto’ ภาษิตของ Corrosion To have the right metal used in the right way in the right place
รูปแสดง Metallurgy in recerse - การกัดกรอนเปนปรากฏการณทางธรรมชาติอยางหนึ่ง กลาวคือ สินแรตา ง ๆ ที่มีอยูบนพื้น โลกเปนสภาพที่มีเสถียรภาพอยูแลว เมื่อนําสินแรนั้นมาถลุงเปนเนื้อโลหะบริสุทธิ์ ทําใหเกิดความไม มีเสถียรภาพขึน้ ฉะนั้นโลหะที่ไมมเี สถียรภาพเหลานัน้ จึงพยายามกลับคืนสูสภาพเดิมซึ่งมีเสถียรภาพ ถลุง Fe2O3 Fe + คารบอน สินแรธรรมชาติ โลหะ เติมสาร ∴ Oxide ของ Fe เปนสภาพ stable กวาตัวโลหะ Fe - ถาโลหะมีโอกาสกลับกลายเปน Oxide ก็คือ การเกิด Corrosion คา Electro - chemical potential Metal oxide คาสูง, stable Metal คาต่ํา, unstable - King of Metals หรือ Metal of Kings คือ ทอง (Gold) เพราะตัวโลหะทอง (Au) จะมีคา E.P. สูงกวา oxide ของมันเอง (Au2O) ∴ ทองจะเงางามตลอดเวลาโดยไมเกิดสนิม
สูงกวา เชน
31
Condition 3 ขอของการเกิด Corrosion : 1. สภาพแวดลอมเปน Electrolyte ที่มี iron เพื่อให electron วิ่งครบวงจร เชน อากาศ, ความชื้น 2. มี Anode และ Cathode 3. มี Metallic path ซึ่งโลหะเปนตัวนําที่ดีอยูแลว e′ สามารถวิ่งไดครบวงจร ∴ เมื่อมีสภาพครบทั้ง 3 ขอ จะทําใหสามารถเกิด Corrosion ขึ้นได กระบวนการทางไฟฟาเคมีของการกัดกรอน
การกัดกรอนของโลหะที่อยูในสารละลายนัน้ มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงซึ่งประกอบดวย ปฏิกิริยา Oxidation และ Reduction Oxidation : เกิดที่ขั้ว Anode สมการ M Mn + + ne′ สูญเสีย e′ ; โลหะเกิดการกัดกรอน Reduction : เกิดที่ขั้ว Cathode 2 M2O สมการ 4 M+ + O2 + 4 e′ รับ e′ ; โลหะคงสภาพเดิม
32
ตารางที่ 1 Standard Emf Series ของโลหะ Metal – metal ion equilibrium Au - Au 3+ Pt - Pt 2+ Pd - Pd 2+ AG - AG + Hg - Hg 2+ Cu - Cu 2+ H - H+ Pb - Pb 2+ Sn - Sn 2+ Ni - Ni 2+ Co - Co 2+ Cd - Cd 2+ Fe - Fe 2+ Cr - Cr 3+ Zn - Zn 2+ Al - Al 3+ Mg - Mg 2+
Electrode potential St 25°C, Volts + 1.498 + 1.2 + 0.987 + 0.799 + 0.788 + 0.377 0.000 - 0.126 - 0.136 - 0.250 - 0.277 - 0.403 - 0.440 - 0.744 - 0.763 - 1.662 - 2.363
หมายเหตุ : Emf serier คือ Electromotive Force Series ตาราง Standard Emf Series เปนตารางแสดงคุณสมบัติการเปนโลหะมีตระกูล (Noble metal) และโลหะไมมีตระกูล (Active metal) โดยพิจารณาจากคาความตางศักยเมื่อเทียบกับคาความ ตางศักยมาตรฐานที่มีคาเปนศูนย (ใช hydrogen electrode เปนมาตรฐาน ความตางศักยมาตรฐานที่ 25°C ในกรณีไฮโดรเจนจะมีคาเทากับศูนย)
33
Galvanic Effect ถาเปนโลหะแผนเดียวกันก็เกิด Galvanic effect ไดเหมือนกัน
∴ ในตัวมันเองจะมีการสราง Anode และ Cathode ขึ้น จึงสามารถกัดกรอนกันเองได และในกรณีของเหล็กกลา (Steel) ที่มีโครงสรางเปน Ferrite และ Cementite ตัว Ferrite ทําตัวเปน Anode และตัว Cementite ทําตัวเปน Cathode จึงสามารถทําใหเกิด Corrosion ได โลหะ 2 ชนิดมาตอกัน ตอกันอยางไรจึงจะเกิด Corrosion นอยสุด ตัวอยาง : Fe, Zn, Al คา E.P. สูง ต่ํา กรณีที่ 1 ∴ ตองเปลี่ยน 2 แผน
34
กรณีที่ 2 ∴ เปลี่ยนเพียง 1 แผน
แผนเหล็กอาบสังกะสี สังกะสีจะคลุมแผนเหล็กไวอยางสมบูรณและเหล็กจะเปน Cathode ซึ่งไมถูกกัดกรอน แตการกัดกรอนนัน้ จะปรากฏขึ้นที่สังกะสี แมวาถาสังกะสีถูกขีด (Scratch) ก็ตาม มันก็ยังเปนตัวปองกันการกัดกรอนของเหล็กอยู
ในทางตรงกันขาม แผนเหล็กอาบดีบุก ดีบุกจะคลุมแผนเหล็กไวอยางสมบูรณและจะเปนตัว ปองกันการกัดกรอนของเหล็ก แตถาหากวาดีบุกถูกขีดเปนรอยเขาลึก (Scratch) ก็จะทําใหเหล็ก ถูกกัดกรอนจากสภาพแวดลอม (เชน อากาศซึ่งมีออกซิเจนหรือน้ํา) โดยดีบุกจะทําหนาทีเ่ ปนตัว Cathode แตเหล็กจะเปนตัว Anode ซึ่งเหล็กจะถูกกัดกรอนไป
35
36
Metal Corrosive Combination คือการที่โลหะและสภาพแวดลอมชุดหนึ่ง เมื่อใชงานไปแลว โลหะจะมีความตานทานตอ การกัดกรอน (Corrosion resistance) ดีทสี่ ุด และมีราคาถูกที่สุด (Economic) Metal 1. Stainless steel 2. Ni และ Ni - Alloy 3. Moncl 4. Mastelloy 5. Steel 6. Pb 7. Al 8. Sn 9. Ti หรือ Stainless steel ที่มี Mo 6 % 10. Ta
Corrosive HO3 Na OH HF HCl H2 SO4 เขมขน (98 %) H2 SO4 เจือจาง (5 - 10% ) บรรยากาศทั่ว ๆ ไป น้ํากลั่น น้ําทะเล ใชงานไดทกุ สภาวการณ
Passive และ Protective film ออกซิเจนทําใหเกิด Corrosion และมีผลให corrosion rate สูงขึ้นแตบางกรณีเมื่อ O2 เพิ่มขึ้น จะทําใหเกิด Protective film ขึ้นมาปกคลุมผิวของโลหะเอาไว โลหะนั้นจะอยูในสภาพ เฉื่อย (Passive state) ทําใหไมเกิดปฏิกิรยิ าการกัดกรอนตอไป หรืออัตราการกัดกรอนชามาก เรา เรียกวา Passive เชน ในอลูมิเนียมจะเกิด Al2 O3 film, เหล็กกลาไรสนิม จะเกิด Cr2 O3 film แตในกรณีของเหล็กกลา (Steel) จะเกิด film ของออกไซด ซึ่งก็คือสนิมเหล็ก (Fe2 O3) เปน film oxide ที่หลุดออกงาย ๆ ไมเกาะติดอยางเหนียวแนนกับผิวเหล็ก จึงทําใหเกิดการกัดกรอน ตอไปไดเรื่อย ๆ เราเรียกวา สภาพวองไว (Active state)
37
รูปแบบของการกัดกรอน (Eight Forms of Corrosion) 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8.
มี 8 รูปแบบคือ : Uniform corrosion หรือ General attack Galvanic corrosion หรือ Two metal corrosion หรือ Bimetallic corrosion Crevice corrosion Pitting corrosion Intergranular corrosion Selective leaching หรือ Dealloying หรือ Parting Erosion corrosion Stress corrosion cracking
38
39
1. Uniform corrosion
รูปที่ 2.19 การกัดกรอนอยางสม่ําเสมอ เปนแบบของการกัดกรอนที่พบมากที่สุด การกัดกรอนจะเกิดตลอดแนวผิวหนาของโลหะ โดยสม่ําเสมอ ไมไดเกิดเจาะจงในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง ไมสามารถจะแยกออกไดวาบริเวณใดของ ชิ้นโลหะมีสภาพเปน Anode หรือ Cathode การกัดกรอนแบบนี้เกิดจากการสัมผัสกับสารละลายที่มี ฤทธิ์กัดกรอน กลาวคือ โลหะไมถูกกับสภาวะสิ่งแวดลอมที่ใชงาน - เปนการกัดกรอนที่ไมนาเปนหวง เพราะเราสามารถควบคุมได กลาวคือ เราสามารถดู ความหนาของโลหะไดวาถูกกัดกรอนไปมากนอยเพียงใด เชน เหล็กกลา (Steel) เปน Metal Corrosive Combination กับ H2 SO4 เขมขน แตถานําเอาเหล็กกลาไปใชกับ กับ H2 SO4 เจือจาง จะเกิด corrosion กัดกรอนไปทุก ๆ จุดอยางสม่ําเสมอ - รถยนตเปนสนิม, สีปูดขึ้นมา ก็จัดเปน Uniform corrosion การปองกัน 1. ใชโลหะใหถูกตองกับงานนั้น ๆ (Metal Corrosive Combination) To have the right metal used in the right way in the right place 2. ใชพวก coating เชน metallic coating, organic coating 3. ใชสารยับยั้ง (Inhibitor) เปนน้ํายาทีใ่ สลงไปในสารละลายเพื่อทําใหโลหะถูกกัดกรอน นอยลง 4. ใชวิธี Cathodic protection
40
2. Galvanic corrosion
รูปที่ 2.20 การกัดกรอนแบบกัลวานิก เปนการกัดกรอนที่เกิดเนื่องจากโลหะสองชนิดมีคาความตางศักยแตกตางกันอยูใ กลกนั และ อยูใน Electrolyte ดวย สภาวะที่ทําใหเกิด Galvanic corrosion 1. โลหะ 2 ชนิด อยูด วยกัน 2. มี Anode และ Cathode 3. มี Electrolyte 4. มี Metallic path - ถาเอาโลหะ 2 ชนิดมาอยูติดกัน แตไมมี Electrolyte เชน ในอวกาศ จะไมเกิด corrosion ขึ้น ขอควรสังเกต 1. โลหะ 2 ตัว ถายิ่งหางกันมากใน Galvanic series จะทําให corrosion rate สูงมาก เชน Mg กับ Au 2. บริเวณที่ตดิ กันของโลหะ 2 ตัว จะเกิด corrosion มากกวาบริเวณที่หางออกไป 3. อัตราสวนของพื้นที่ของ Anode กับ Cathode ถาพื้นที่ Cathode มาก และโดยที่มพี นื้ ที่ของ Anode นอย อัตราการกัดกรอนก็จะสูง เนื่องจากมีตวั รับ electron มาก เพราะการผลิต electron ทําใหเกิดการละลายของเนื้อโลหะเร็วขึ้น ทําใหอัตราการกัดกรอนสูง แตถาพื้นที่ของ Cathode นอย และพื้นที่ของ Anode มาก จะเกิด corrosion ชามาก
41
ตัวอยาง : ในกรณีของหมุดย้ํา (Riset), Cu มีคาความตางศักยสูงกวา Fe Cathode Anode Cu OOOOOOO Cathode เล็ก เหล็ก (Fe) O Fe O Anode ใหญ จะถูกกัดกรอนเล็กนอย OOOOOOO Fe OOOOOOO O Cu O OOOOOOO
Cathode ใหญ Anode เล็ก
หมุดย้ําที่ทําดวยเหล็ก (Fe) จะถูกกัดกรอนไป หมดเลย
ตัวอยาง : การเชื่อม (Welding) เวลาเชื่อมตองใชลวดเชื่อมที่ grade สูงกวาโลหะ ชิ้นงาน เพื่อจะใหรอยเชื่อมเปน Cathode (Cathode เล็ก, Anode ใหญ) เวลาเชื่อมถาใชลวดเชื่อมที่มี grade ต่ํากวาโลหะ ชิ้นงาน รอยเชื่อมจะเปน Anode ซึ่งถือวาไมดี (Cathode ใหญ, Anode เล็ก) การทาสี(Painting) (Painting)โลหะ โลหะ ๒2 ตัตัววตตอกัน ตัวตัอยวอย าง า:ง :การทาสี เวลาทาสีควรทาที่ Cathode เพราะเมื่อตรง Cathode ถูกกระเทาะเปนรอยเล็ก ๆ จะเกิดเปน Cathode เล็ก, Anode ใหญ ซึ่ง Corrosion เกิดนอย เพราะเมื่อตรง แตถาทาสีที่ Anode จะไมดี Anode ถูกกระเทาะเปนรอยเล็ก ๆ จะเกิดเปน Cathode ใหญ, Anode เล็ก ซึ่ง Corrosion เกิดมาก
42
Table 11 – 1 Galvanic Series of Some Metals in Seawater Magnesium and magnesium alloys CB 75 aluminum anode alloy Zinc B605 aluminum anode alloy Galvanized steel or galvanized wrought iron Aluminum 7072 (cladding alloy) Aluminum 5456, 5086, 5052 Aluminum 3003, 1100, 6061, 356 Cadmium Anodic 2117 aluminum rivet alloy Or Least Noble Mild steel - Active Wrought iron Cast iron Ni-Resist 13 % chromium stainless steel, type 410 (active) 50-50 lead tin solder 18-8 stainless steel, type 304 (active) 18-8 3% NO stainless steel, type 316 (active) Lead Tin Muntz metal Manganese bronze Naval brass (60% coper - 39% zinc) Nickel (active) 78% Ni – 13.5% Cr – 6% Fe (Inconel) (active) Yellow brass (65% copper – 35% zinc) Admiralty brass Aluminum bronze Red brass (85% copper – 15% zinc) Copper Silicon bronze Cathodic 5% Zn – 20% Ni – 75% Cu or Most Noble 90% Cu – 10% Ni - Passive 70% Cu – 30% Ni 88% Cu – 2% Zn – 10% Sn (composition G-bronze) 88% Cu 3% Zn – 6.5% Sn – 1.5% Pb (composition M-bronze) Nickel (passive) 78% Ni – 13.5% Cr – 6% Fe (Inconel) (passive) 70% Ni – 30% Cu 18 – 8 stainless steel type 304 (passive) 18 – 8 3% Mo stainless steel, type 316 (passive) Hastelloy C Titanium Platinum From F. L. Le Que, “Introduction to Corrosion,” National Association of Corrosion Engineers, Houston, Texas, 1970, p. 2. 7.
43
การปองกัน : อาจจะใชเพียง 1 วิธี หรือหลายวิธีรวมกันไดโดย 1. เลือกวัสดุใหมีคาความตางศักยใกลเคียงกัน เชน Au กับ Pt 2. หลีกเลี่ยงอัตราสวนของพื้นที่ของ Cathode กับ Anode โดยปรับใหพื้นที่ทั้งสอง ใกลเคียงกัน 3. ใชฉนวนกัน้ ในบริเวณทีใ่ ชโลหะตางชนิดมาสัมผัสกัน ดังรูป
4. เติมสารยับยั้ง (Inhibitor) ลงไปใน Electrolyte เพื่อลดความรุนแรงของสิ่งแวดลอม 5. เลือกและออกแบบใหโลหะมีความหนามากขึ้น หรือทําใหชิ้นงานที่เปน Anode นั้น สามารถทําการเปลี่ยนไดงาย เพื่อสะดวกในการบํารุงรักษา 6. ใชวัสดุตัวที่สาม ซึ่งทําตัวเปน Anode กับตัวโลหะทั้งสอง เพื่อใหเกิดการกัดกรอนแทน กันได (Cathodic protection ซึ่งแบงออกเปน 2 วิธี คือ 1. Sacrificial anodes 2. Impressed current)
44
3. Crevice corrosion เปนการกัดกรอนบริเวณอับ มักเกิดการกัดกรอนแบบนีใ้ นบริเวณที่สัมผัสกับน้ําหรือของเหลว เชน บริเวณรอบตะเข็บเชื่อม, บริเวณหนาแปลนติดกับปะเก็น และบริเวณหมุดย้ํา การกัดกรอน แบบนี้เกิดจากบริเวณดังกลาวมีสารละลายอยูในปริมาณความเขมขนสูง ซึ่งอาจจะมีฤทธิ์เปนกรดหรือ ดาง ทําใหเกิดการกัดกรอนขึน้ ได
45
กลไกของการเกิดปฏิกิริยาเกิดจากความแตกตางของความเขมขนของโลหะอิออน ความเขมขนของออกซิเจน ระหวางบริเวณชองวาง (Crevice) และสิ่งแวดลอมใกลเคียง ปฏิกิริยาตัวอยางไดแก เหล็กจุมในน้ําทะเล
หรือ
M + + e′ เกิดขึน้ ที่ Anode
Oxidation : M ปฏิกิริยาการกัดกรอน
Reduction : O2 + 2 H2O + 4 e′
4 OH- เกิดขึ้นที่ Cathode
ตอนแรก ปฏิกิริยาเกิดขึ้นทัว่ ไปตลอดพืน้ ที่ e′ จะกระจายทั้งในโลหะและสารละลาย พอ เวลาผานไปออกซิเจนที่ชองแคบ (Crevice) จะถูกใชหมดไป ทําใหปฏิกิริยา reduction ในบริเวณนี้ หยุดลง ถาพื้นที่นั้นเล็กมากเทียบกับพืน้ ที่ภายนอก อัตราเร็วของการกัดกรอนภายในและภายนอก ชองแคบเกือบเทากัน ปฏิกริ ิยารวมเกือบจะไมเปลีย่ น ปฏิกิริยา reduction จะหยุด แลวปฏิกริ ิยา oxidation คือการละลายของโลหะจะยังดําเนินตอไป ไดรับโลหะอิออน M + มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อที่จะใหเกิดสภาวะสมดุลจะมีการเคลือ่ นที่ของคลอไรดอิออน (Cl - ) เขาไปรับ e′ เพราะการ เคลื่อนที่ของคลอไรด (Cl - ) ไวกวา ไฮดรอกไซด (OH – ) เปนผลใหไดโลหะคลอไรด (MCl) สูงขึ้น แตพวกเกลือของโซเดียมและโปแตสเซี่ยม หรือเกลือของโลหะของคลอไรดและซัลเฟต สามารถจะแตกตัวในน้ําใหปฏิกิริยาดังนี้ สมการ M + Cl - + H2 O
MOH
+ H + Cl Free acid
ตกตะกอน
ตัวทําลาย
จากโลหะคลอไรดจะใหพวกไฮดรอกไซดตกตะกอนออกมาและไดกรดอิสระ ตัว Free acid (HCl) จะไปเรงปฏิกิริยาการกัดกรอนใหเร็วขึ้น ทําใหชอ งแคบเกิดการกัดกรอนไดรวดเร็ว
46
วิธีปองกัน 1. ถามีการยึดโลหะ 2 แผนเขาดวยกันควรใชการเชื่อมมากกวา bolt and nut 2. ปดพวกมุมอับหรือพื้นที่อบั หรือรอยแยกตาง ๆ ดวยการเชื่อมปด 3. การออกแบบภาชนะพยายามใหมกี ารถายเทของเสียไดงาย หลีกเลีย่ งมุมฉากหรือพื้นที่อับ เพราะจะทําใหปองกันการตกตะกอนของพวกของแข็งตาง ๆ ที่กนภาชนะ 4. ตรวจตราเครื่องมือ, อุปกรณ และหมัน่ ทําความสะอาดเพื่อกําจัดสารตกคางออกใหหมด 5. ออกแบบใหเกิดสิ่งแวดลอม, สารละลายมีความเขมขนเสมอกันทุกจุด ไมมกี ารไหล ยอนกลับ หรือบางสวนมีความเขมขนกวาสวนอื่น 6. เลือกใช gasket ที่ไมดดู ขับของเหลว เชน Teflon, ยางแข็ง
47
48
4. Pitting corrosion เปนการกัดกรอนแบบเปนหลุมที่ลึกเขาไปในเนื้อโลหะจนเปนรู หลุม หรือบอเล็ก ๆ เกิด เนื่องจากชัน้ ปกคลุมที่ปองกันการกัดกรอน (Protective layer) บนพืน้ ผิวโลหะเสื่อมสลายตัว จึงทํา ใหเกิดการกัดกรอนเฉพาะแหงขึ้น บริเวณใดที่ชนั้ ปกคลุมแตกและแยกออก จะมีสภาพเปน Anode บริเวณที่ชนั้ ปกคลุมยังมีสภาพดีจะมีสภาพเปน Cathode ดังนั้น ในบริเวณที่เปน Anode ก็จะเกิด การกัดกรอน ถูกกัดลึกลงไปเรื่อย ๆ
รูป 2.21 การกัดกรอนแบบเปนหลุม
ขบวนการเกิด Pitting สามารถอธิบายดวยทฤษฎีของ Crevice corrosion นั่นคือ เมื่อเกิดรู (Pit) บนเนื้อโลหะ การเกิด corrosion จะเปนเชนเดียวกันกับ Crevice corrosion ดังรูป
49
วิธีปองกันการเกิด Pitting corrosion : 1. เลือกใชโลหะที่มี Pitting resistance สูง ขอแนะนําของการเลือกวัสดุที่ใชปองกัน Pitting corrosion นอย การเพิ่มความตานทาน การกัดกรอนแบบ Pitting มาก 2. ใชสารยับยั้ง (Inhibitor) ชวย
SS. 094 SS. 316 (มี Mo = 2%) Hastelloy SS. (มี Mo > 6%) Titanium
50
51
52
5. Intergranular corrosion เปนการกัดกรอนตามขอบเขตเกรน ถาโลหะเกิดการกัดกรอนตรงบริเวณขอบเกรนจะวองไว กวาในบริเวณภายในเกรน บางสภาวะตรงบริเวณขอบเกรนจะวองไวตอปฏิกิริยาแลวเกิดการกัดกรอน แบบ intergranular corrosion ขึ้น ทําใหโลหะนัน้ เกิดการสูญเสียคุณภาพ ตลอดจนความแข็งแรง ของวัสดุ สาเหตุ Intergranular corrosion เกิดจากสิ่งแปลกปลอมที่ขอบเกรนหรือการที่มีปริมาณของโลหะ ผสมมากหรือนอยไมสม่ําเสมอในบริเวณขอบเกรน เชน ปริมาณของเหล็กในอลูมิเนียม ทําใหเกิด การแยกตัวที่บริเวณขอบเกรน มีผลใหเกิด intergranular corrosion หรือในกรณีทเี่ หล็กกลาไรสนิม มีปริมาณโครเมียมตางกันตรงบริเวณขอบเกรนและภายในเกรนเปนผลใหเกิด intergranular corrosion ในเหล็กกลาไรสนิม
Austenitic Stainless Steel เหล็กกลาไรสนิมจะเกิดการเสื่อมสภาพเมื่อนําไปใชงานในชวงอุณหภูมิ 950° - 1,450°F (Sensitized temperature) จะเกิด intergranular corrosion ไดงายที่สดุ
53
วิธีแกไขหรือปองกันการเกิด Intergranular corrosion : 1. การอบชุบ (Heat Treatment) โดยกอนนําชิ้นงานที่ผานการหลอหรือขึ้นรูปมาเผาที่ 10,000°C เพื่อใหโครเมียมคารไบด (Cr23 C6) สลายตัวและกลายเปนสารละลายของแข็ง (Solid solution) ในโครงสราง Austenite จากนั้นทําใหเย็นโดยรวดเร็วโดยการชุบในน้ํา (Watrer quenching) เพื่อไมใหโครเมียมและคารบอนมีโอกาสรวมตัวกันเปนคารไบดไดอีก 2. ควรหลีกเลี่ยงการอบคืนตัว (Tempering) หรือเผาเหล็กในชวงอุณหภูมิ 650° - 700°C เพราะจะทําใหอะตอมของคารบอนสามารถเคลื่อนไหวแพรซึม (Diffusion) ไปรวมกับโครเมียมเกิด โครเมียมคารไบด (Cr 23 C 6) ตามบริเวณขอบเกรนได 3. ลดปริมาณของคารบอนในเหล็กใหตา่ํ จนถึงปริมาณ 0.03% เพื่อใหคารบอนละลายเปน สารละลายของแข็ง (Solid solution) ไดหมด ไมมีสวนเกินมารวมกับโครเมี่ยมเปนโครเมียมคารไบด 4. เพิ่มปริมาณโครเมียมใหสูงมาก ๆ อาจจะสูงถึง 18 – 20 % Cr เพือ่ ใหมีโครเมียมเหลืออยู ไมต่ํากวา 12% Cr ตามขอบเกรน 5. ผสมธาตุบางตัวลงไป เชน Ti, Nb, Mo, W และ V ลงไปดึงคารบอนเสียเพื่อจะได ไมไปรวมกับโครเมียม ธาตุดังกลาวจะเปนธาตุที่มีการรวมตัวสัมพันธ (Affinity) กับคารบอนสูง มากกวาโครเมียม Weld decay เปนการผุที่รอยเชื่อม เปนกรณีหนึ่งของ Intergranular corrosion ที่เกี่ยวของกับการเชื่อม เรียกวา Weld decay ในงานเชื่อมเหล็กกลาไรสนิม เราจะพบวาบริเวณหางจากรอยเชื่อมประมาณ 25 มม. จะเกิด เปนแนวกวาง (Band) ซึ่งจะถูกกัดกรอนไดงายเมื่อนําไปใชงาน เนื่องจากบริเวณนี้จะมีอุณหภูมิอยู ในชวง 650°- 700°C ทําใหเกิด (Cr 23 C 6) ดังนั้นงานที่ตองการเชื่อมจะตองนําไปทําการอบชุบ ดวยความรอนภายหลังการเชือ่ มกอนที่จะนําไปใชงาน ถาทําการอบชุบความรอนยากลําบากเพราะ ชิ้นงานโตจะตองเลือกเหล็กชนิดที่มีปริมาณโครเมียมสูง หรือคารบอนต่ํา หรือประเภทที่ผสม Ti หรือ Nb เพื่อปองกันการเกิด intergranular corrosion ภายหลัง
54
6. Selective leaching เปนวิธีกําจัดสารตัวหนึ่งออกจากโลหะผสม (Alloy) โดยใชขบวนการทางการกัดกรอน หรือบางทีเรียกวา Dealloying คือปรากฏการณที่ธาตุใดธาตุหนึ่งโดยเฉพาะละลายหลุดออกมาจาก โลหะผสม (Alloy) หรือบางทีก็เรียกวา Parting ตัวอยางที่รูจักดีคือในทองเหลือง (Cu – Zn) ใน กรณีที่ธาตุหลุดออกมา คือ สังกะสีทอี่ ยูในโลหะผสมของทองเหลือง ผลที่ตามมาก็คือ ทําให ทองแดงที่เหลืออยูมีลักษณะเปนรูพรุนเต็มไปหมด (Spongi) ปรากฏการณที่เกิดกับโลหะผสมของ ทองเหลืองนี้เรียกวา Dezincification ซึ่งเกิดขึ้นกับทองเหลืองชนิด Yellow brass ซึ่งมี 70% Cu และ 30% Zn
Figure 11 – 15. Dealloying in the form of dezincification of a brass valve stem; zinc has been removed from the surface, leaving weak copper.
กลไกของปรากฏการณ Dezincification สามารถอธิบายได 2 แบบ คือ วิธีที่ 1 : โลหะทั้ง 2 ตัวคือ Cu, Zn ละลายเขาไปใน Electrolyte และตอมา Cu กลับเขามาฝง ตัวใหม (Redeposit) เพราะ Cu มี E.P. มากกวา Zn วิธีที่ 2 : ใหเปรียบเทียบ E.P. ของ Cu, Zn ตอนที่เปนโลหะผสม Zn มี E.P. ต่ํากวา จึงเปน Anode ถูกละลายกัดกรอน และทิ้ง Cu บริสุทธิ์เหลือเอาไวมีลักษณะเปนรูพรุน จึงทํา ใหขาดความแข็งแรงไป วิธีปองกัน 1. ปองกันโดยพยายามลดความรุนแรงของสารละลายหรือสิ่งแวดลอม เชน กําจัด O2 หรือ โดยวิธี Cathodic protection 2. มีการปรับปรุงทองเหลืองโดยการเติม 1% ดีบุกเขาไปในทองเหลือง (70 - 30) และมีการ เติมพวกสารหนู (As), พลวง (Sb) หรือฟอสฟอรัส (P) ซึ่งเปนพวกสารยับยั้ง ยกตัวอยาง เชน Arsenial Admiralty Brass ประกอบดวย 70% Cu, 29% Zn, 1% Sn และ 0.04% As เปนพวก สารยับยั้งจะไปเคลือบผิวของโลหะผสมในลักษณะของฟลม (Protective film)
55
7. Erosion corrosion เปนการกัดกรอนแบบกัดเซาะที่เกิดจากการที่ของเหลวไหลผานดวยความเร็วสูงจนทําใหเกิด การกัดเซาะเขาไปในเนื้อโลหะที่ของเหลวไหลผานในบางครั้งเกิดการกัดเซาะเนื่องจากผิวหนาโลหะ ไมเรียบ
รูป 2.22 การกัดกรอนแบบกัดเซาะ
สาเหตุ : Erosion corrosion เกิดจากการเคลื่อนไหวของ corrosive fluid โดยที่ corrosion product จะเกิดขึน้ กอนเปนฟลม ปกปอง (protective film) แตตอมาถูก corrosive fluid ที่เคลื่อนไหวอยางรุนแรง มีผลใหพัดเอา Protective film หลุดออกไป ตัวอยาง เชน Pb เปน Metal Corrosive Combination กับ H2 SO4 เจือจาง กรณีที่ 1
ในกรณีที่กรด H2 SO4 เจือจางไหลภายในทอ Pb อยางธรรมดา จะทําใหเกิด Protective film ของ Pb SO4 ซึ่งมีเสถียรภาพดี ปกปองไมใหเกิดการ กัดกรอนตอไป
กรณีที่ 2
ในกรณีที่กรด H2 SO4 เจือจางไหลภายในทอ Pb อยางรุนแรงโดยมี Pump ชวยเมื่อเกิด Protective film ของ Pb SO4 แลว ความแรงของ กระแสของไหลจะทําให film หลุดออกไป แลวเกิด film Pb SO4 อีก สลับไปเรื่อย ๆ จน ทําใหเกิด Erosion corrosion
56
ตัวแปรที่มีอิทธิพลตอการกัดกรอนแบบ Erosion corrosion : 1. Surface film film ที่เกิดขึ้นนี้เปน corrosion product ถามีความแข็งแรงและหลุดยาก โลหะนัน้ จะทนตอ Erosion corrosion ไดดี film ที่ผิวของชิ้นงานจะมีลักษณะของ protective film พวกโลหะที่มีความสามารถทนตอ การกัดกรอนโดยการสรางเปน film ขึ้นนั้น จะตองขึน้ อยูกับความเร็ว หรือความรวดเร็วทีจ่ ะสราง film เมื่อสัมผัสกับสิ่งแวดลอมพวก film ที่แข็ง, ความหนาแนน และเกาะติดแนนอยางดีจะปองกัน ไดดีกวา film ที่ถูกทําลายไดโดยงาย สําหรับพวกตะกัว่ จะสรางฟลมเปนพวกตะกัว่ ซัลเฟตออกไซด (Pb SO4) เปนฟลมปองกัน (Protective film) ในพวกสารละลายของกรดกํามะถัน แตถาในกรดที่แรง ๆ พวก Pb SO4 ก็จะ ละลาย ดังนั้น film ก็จะปองกันการกัดกรอนที่จะเกิดขึน้ ไมได สําหรับเหล็กกลาคารบอน (Plain Carbon Steel) เมื่อสัมผัสกับความชื้น, น้ํา, ออกซิเจน จะถูกกัดกรอนไดอยางมาก แตนํามาใชเปนทอของหมอน้ํา (Boiler tube) เนื่องจากภายในทอซึ่งน้ําวิ่ง จะเกิด film ของ Magnetite Fe3 O4 ขึ้นบนผิวของทอเหล็ก เปน Protective film ปองกันการ กัดกรอน สภาพที่จะทําใหเกิด Fe3 O4 film คือน้ําใน Boiler ตองมีสภาพเปนดาง, PM ขึ้นอยูก ับ ความดัน (Pressure) ที่ใชงาน และมีออกซิเจนละลายอยูนอยกวา 0.007 ppm จะชวยทําใหเกิด Fe3 O4 film ขึ้นได Titanium เกิด film ของ Ti O2 เปน Protective film ที่มีเสถียรภาพดีมาก เพราะฉะนั้นจึงเปนโลหะที่มคี วามตานทานตอการกัดกรอนแบบ Erosion ไดดี โดยเฉพาะเมื่อใช งานในน้ําทะเล, สารละลายคลอไรด, ไอของ MNO3 เปนตน 2. Flow velocity เมื่อความเร็วสูงขึ้น อัตราการกัดกรอนก็จะสูงขึ้นดวย
57
3. Turbulence (ความปนปวน)
การไหลอยางรุนแรง (Turbulence flow) จะเปนตัวกอใหเกิดการกวนอยางรุนแรงที่ผิวของ โลหะมากกวาการไหลอยางราบเรียบ (Laminar flow) การไหลแบบปนปวนจะทําใหเกิดการสัมผัส ระหวางสิ่งแวดลอมกับโลหะแบบใกลชิดกันมาก ชิน้ งานที่เกีย่ วของกับสภาวะการปนปวน เชน impeller, propeller 4. Impingement (การชนกระแทก)
การชนกระแทกของของไหลจะทําใหเกิดการกัดกรอนดีขนึ้ 5. Galvanic effect ในบางครั้งโลหะบางตัวจะทนไดในสภาพของ fluid ที่ใชงานอยู แตถามีโลหะตัวอืน่ มาทํา ใหเกิด Galvanic effect แลว Erosion corrosion จะทวีความรุนแรงขึ้น เชน SS. 316 ถาอยูใน H2 SO4 ที่เคลื่อนดวยความเร็วสูงจะสามารถทนได แตถาในระบบมี Pb อยูดวย จะพบวา SS. 316 จะมีผลของ Galvanic จากตะกัว่ และผลของ Erosion ดวย
58
วิธีการปองกันหรือบรรเทาความรุนแรงใหนอยที่สุดของการเกิด Erosion : 1. เลือกใชวัสดุโลหะที่เหมาะสม โดยใชวัสดุที่มีความตานทานตอการกัดกรอนแบบ Erosion corrosion 2. การออกแบบระบบการไหลใหดี หลีกเลี่ยง Turbulence และ Impingement เชน ขยายขนาด เสนผาศูนยกลางของทอเพื่อลดความเร็วลง, เปลี่ยนจากการไหลแบบปนปวนเปนการไหลแบบ ราบเรียบ 3. เปลี่ยนสภาพของสารละลาย เชน กรองสารแขวนลอย (Suspended particle) ในของไหล (Fluid) 4. การเติมสารยับยั้ง (Inhibitor) 5. การลดอุณหภูมิ 6. การเคลือบผิว (Coating) ใชการเคลือบผิวปองกันเนื้อโลหะ (Fresh) ที่สัมผัสกับสารละลาย ถา มีการเสียหายก็สามารถซอมแซมไดดว ยการเชื่อม (Mard - facing)
59
8. Stress corrosion Cracking (S.C.C.) เปนการกัดกรอนเนื่องจากแรงเคนภายใน ซึ่งการกัดกรอนของโลหะในบริเวณที่มีเคนสะสม อยูภายในเนื้อโลหะจะมากกวาบริเวณอื่น ๆ ซึ่งบริเวณนี้จะถูกกัดกรอนไดงายที่สุด เพราะภายในเนื้อ เหล็กมีสภาพตึงเครียดจากแรงเคนที่ไดรับอยางเปนประจํา อิออนบางชนิดผสมคลอไรดอิออน ทําให เกิดการกัดกรอนชนิดนีไ้ ด
S.C.C. เปนการกัดกรอนแบบหนึง่ ซึ่งมีผลมาจาก combination ระหวาง stress กับ corrosive media stress ที่วามานี้มักจะไมมากนักและมักจะต่ํากวา citical design stress แตอยูใน corrosive media ลักษณะของการแตกจะเปนแบบแตกเปราะ (Brittle fracture) ซึ่งอาจจะเปน แตกผานเกรน (Transgranular) หรือแตกตามขอบเกรน (Intergranular)
stress ในที่นี้ไมจําเปนตองเปน External stress อาจจะเปน Internal stress หรือ residual stress (Working)
60
กลไกของ S.C.C. กลาวคือ corrosive media ไปทําใหโลหะเกิด micro crack กอนแลว stress ที่มีอยูจะไป ทําให micro crack เติบโตขึ้น จะกระทั่งทําใหเกิดการแตกหักในที่สุด (Fracture)
วิธีการปองกัน 1. ทําการลดให stress ต่ํากวา Critical stress ของโลหะนัน้ ๆ ใน corrosive media นั้น ๆ 2. หลีกเลี่ยง corrosive media ที่จะทําใหเกิด Stress corrosion ได 3. เปลี่ยนชนิดของโลหะผสม 4. ทํา Cathodic protection 5. การเติมสารยับยั้ง (Inhibitor) การปองกันการกัดกรอน (Corrosion Control) การปองกันการกัดกรอนโดยทั่วไป อาจจะทําไดโดยวิธีตา ง ๆ ดังนี้ ก. วิธีเพิ่มความตานทานการกัดกรอนใหกบั วัสดุ เชน การทําเคลือบผิวในของภาชนะบรรจุ ข. การขจัดองคประกอบในการกัดกรอนในสภาวะแวดลอมใหหมดไปหรือลดลง ค. การออกแบบปองกัน และการเลือกใชวัสดุใหเหมาะสม 1. การปองกันการกัดกรอนโดยการปรับสภาวะแวดลอม มี 2 วิธี 1. วิธีการขจัดตัวประกอบที่จะเรงการกัดกรอน 2. วิธีเติมตัวประกอบที่จะควบคุมการกัดกรอน
61
1.1 การขจัดตัวประกอบที่จะเรงการกัดกรอน ก. การขจัดความชื้น ข. การขจัดสวนประกอบที่เปนอันตรายในอากาศ (O2) และออกซิเจนในน้ํา ค. การปรับ pH 1.2 การใชสารยับยั้งการกัดกรอน ก. Anodic inhibitor ข. Cathodic inhibitor ค. Adsorption inhibitor 2. การแยกโลหะจากสภาวะแวดลอมเพื่อปองกันการกัดกรอน 2.1 การเคลือบดวยโลหะ 2.2 การเคลือบดวยสารอนินทรีย 2.3 การเคลือบดวยสารอินทรีย 3. การปองกันโดยใชไฟฟา 3.1 Cathodic protection การปองกันการกัดกรอนแบบ Cathodic แบบนี้ คือ ทําใหโลหะหรือโครงสรางที่ ตองการปองกันการกัดกรอนแทนทีจ่ ะเปน Anode ซึ่งจะเกิดการกัดกรอนไดก็เปลี่ยนเปน Cathode แทน วิธีการทําได 2 วิธี คือ 1. Sacrificial anodes หาโลหะอื่นทีว่ องไว (Active) มากกวา หรือมีคาความตางศักยต่ํากวาในตาราง Emf มา สัมผัสไวกับโลหะที่ตองการปองกัน เมื่อทําใหครบวงจรแลว โลหะที่ตองการปองกันก็จะทําหนาที่ เปน Ca thode แทน และโลหะที่นํามาเกาะไวกจ็ ะเปน Anode ซึ่งเกิดการกัดกรอนไดแทน 2. Impressed current ใหกระแสไฟฟาจากภายนอกบังคับใหโลหะที่ตองการปองกันเปน Cathode โดยปริมาณ กระแสไฟฟาจะตองสูงมากพอที่จะเอาชนะความตางศักยของโลหะนั้น ๆ 3.2 Anodic protection อาศัยหลักการใชกระแสจากภายนอกทําใหโลหะที่ตองการปองกันเปน Anode และเกิด ฟลมปองกัน (Protective film) บนผิวของ Anode เพื่อใหลดอัตราการกัดกรอนใหนอ ยลง
62
63
64
65
บทที่ 3 กรรมวิธีการถลุง สกัด และการแปรรูป 3.1 การถลุงโลหะเหล็ก โลหะเหล็กเปนโลหะที่สําคัญยิ่งตออุตสาหกรรมชนิดตาง ๆ โลหะเหล็กเปนโลหะที่มีการ นํามาใชผลิตชิ้นงานตาง ๆ อยางแพรหลาย โลหะเหล็กถูกพบโดยทั่วไปในทุก ๆ พื้นที่ของโลกในรูป ของแรธรรมชาติ แรเหล็กที่ถูกคนพบแบงออกตามคุณภาพของแรเหล็กไดดังนี้ 1. แรเหล็กแมกนีไทต (magnetite) มีสูตรเคมีคือ Fe3O4 มีปริมาณเหล็ก 45 ถึง 70 % 2. แรเหล็กเฮมาไทต (hematite) มีสูตรเคมีคือ Fe2O3 มีปริมาณเหล็ก 40 ถึง 65 % 3. แรเหล็กไลโมไนต (limonite) มีสูตรเคมีคือ Fe2O3nH2O มีปริมาณเหล็ก 40 ถึง 60 % 4. แรเหล็กไพไรต (pyrite) มีสูตรเคมีคือ FeS2 มีปริมาณเหล็ก 60 ถึง 65 % 5. แรเหล็กไซเดอไรต (siderite) มีสูตรเคมีคือ FeCO3 มีปริมาณเหล็ก 25 ถึง 40 % ในการถลุงแรเหล็กเพื่อที่จะไดโลหะเหล็กมีการถลุงทางตรงและการถลุงทางออม การถลุงแร เหล็กทางตรงจะไดเหล็กดิบที่มีชื่อวาเหล็กพรุน (sponge iron) และการถลุงแรเหล็กทางออมจะได เหล็กดิบที่เรียกวาพีกไอรอน (pig iron) เหล็กดิบที่ไดจากการถลุงทั้งสองวิธียังเปนเหล็กที่มีคุณภาพต่ํา เนื่องจากยังมีสารเจือปนอยูอ ีกมาก ไมมีความเหมาะสมที่จะนําไปผลิตเปนชิ้นงาน จึงตองนําไปหลอม ใหมเพื่อกําจัดสารเจือปนที่ไมตองการออกพรอม ๆ กับการเติมธาตุชนิดตาง ๆ เขาไปเพื่อเพิ่มคุณภาพ ของเหล็ก แลวจึงนําไปผลิตเปนชิ้นงานดวยกรรมวิธีตาง ๆ 3.1.1 การถลุงแรเหล็กทางตรง โดยการนําเอาแรเหล็กที่ไดผานการแยกแรแลวผสมกับฟลักซ (flux) ไดแก หินปูนใสเขาไป ในเตาแลวใหความรอนแกแรเหล็ก เชื้อเพลิงที่ใชอาจจะเปนถานโคก (ถานโคกคือถานหินที่ถูกเผาไล กาซออกซิเจนออกแลวใชเปนเชื้อเพลิง) กาซธรรมชาติ น้ํามันเชื้อเพลิงที่อุณหภูมิเตาต่ํากวาจุดหลอม ละลายของเหล็กดิบ ออกซิเจนจะถูกดึงออกจากเหล็กดิบแตไมหมดเมื่อนําเอาแรเหล็กออกมาจากเตา จะไดเหล็กพรุนแข็งที่มีคารบอนประมาณ 1.5 % และจะนําเอาเหล็กพรุนมาคัดแยกดวยแมเหล็ก เหล็ก พรุนที่ผานการคัดแยกแลวจะถูกนํามาบดเปนผงดวยเครื่องบดแลวนํามากดอัดเปนแทง ถาเหล็กพรุน ถลุงจากแรเหล็กที่มีคุณภาพสูงจะนําไปหลอมละลายเปนเหล็กเหนียวและเหล็กกลาตอไปในเตาโอ เพน – ฮารท (open hearth ) หรือเตาไฟฟา (electric furnace ) แตถาเหล็กพรุนถลุงจากแรเหล็กที่มี คุณภาพต่ํา ก็อาจนําไปถลุงอีกครั้งโดยทางออมในเตาสูง (blast furnace ) ดังแสดงในรูป 3.1
66
รูป 3.1 กระบวนการถลุงแรเหล็กทางตรงเพื่อผลิตเหล็กพรุนจากแรเหล็ก 3.1.2 การถลุงแรเหล็กทางออม ความเจริญกาวหนาทางเศรษฐกิจและทางเทคโนโลยีทําใหมีความตองการผลิตภัณฑที่ไดจาก เหล็กเพิ่มขึ้นเปนจํานวนมาก การถลุงแรเหล็กทางตรงซึ่งเปนวิธีการที่เคยใชกนั มาในสมัยแรก ๆ ไม สามารถใหความคุมคาแกการลงทุนทางเศรษฐกิจ ปจจุบันจึงนิยมถลุงแรเหล็กทางออม ซึ่งคุมคาแก การลงทุนทางเศรษฐกิจมากกวา การถลุงแรเหล็กทางออมจะถลุงแรเหล็กในเตาสูง ซึ่งจะทําใหได เหล็กดิบพีกไอรอน และจะนําเหล็กดิบพีกไอรอนไปถลุงอีกครั้งในเตาเบสเซเมอร (bessemer furnace) เตาโอเพน – ฮารท และเตาไฟฟา ซึ่งจะไดเหล็กเหนียวและเหล็กกลา และเมื่อนําไปถลุงในเตาคิวโพลา (cupola furnace) จะไดเหล็กหลอ 3.1.3 เตาสูง เตาสูง (blast furnace) จะมีลักษณะเปนปลองสูง ตอนบนของเตาเสนผานศูนยกลางจะเล็ก และจากตอนบนลงมายังตอนลางตัวเตาก็จะกวางออกเรื่อย ๆ และจะเรียวเล็กลงอีกเมือ่ ถึงฐานตอนลาง ตัวเตาจะมีความกวางประมาณ 8 เมตร และสูงประมาณ 60 เมตร (ดูรูป 3.2) มีการถลุงแรเหล็กอยู
67
ตลอดเวลา และจะไดเหล็กดิบประมาณวันละ 700 ถึง 1,600 เมตริกกรัม ตัวเตาสูงจะประกอบดวยสวน ตาง ๆ ดังนี้ 1. สวนบนของเตา เปนปลองที่มีฝาครอบรูปกรวย 2 ชั้น เปนที่สําหรับเทแรเหล็กฟลักซ และ ถานโคกลงไปในเตา สวนบนของเตานี้ยังเปนสวนที่ใหกาซรอนที่เกิดจากปฏิกิริยาภายในเตาออกไป จากเตา กาซรอนนี้จะถูกนําไปอุนอากาศที่จะบรรจุเขาไปในเตาใหรอนประมาณ 700 ถึง 1,000 องศา เซลเซียส เพื่อเปนการประหยัดเชื้อเพลิง สวนบนของเตานี้ภายในจะเรียงดวยอิฐทนไฟที่มีความแข็ง มาก เพื่อรับแรงกระแทกจากการเทแรเหล็ก ถานโคกและหินปูน 2. ปลองเตา สวนนี้จะมีเสนผานศูนยกลางกวางขึ้น โครงเปลือกดานนอกทําดวยเหล็ก ภายใน เรียงดว ยอิฐทนไฟ สวนปล องเตาเปนส วนที่แร เหล็ก ถานโคก และฟลั กซ เริ่มไดรับความรอน มี อุณหภูมิประมาณ 200 ถึง 480 องศาเซลเซียส 3. สวนแรเหล็กเริ่มหลอมละลาย สวนนี้จะมีเสนผานศูนยกลางโตที่สุด แรเหล็กถานโคก และฟลักซไดรับความรอนเพิ่มมากขึ้น มีอุณหภูมิประมาณ 480 ถึง 1,500 องศาเซลเซียส 4. สวนหลอมละลาย เปนบริเวณที่ไดรับความรอนมากที่สุด เปนบริเวณที่เกิดการหลอม ละลายของแรเหล็ก ถานโคก และฟลักซ สวนนี้รูลมจะผานเขามาภายในเตาเพื่อเผาไหมเชื้อเพลิง บริเวณนี้จะเรียงดวยอิฐทนไฟชนิดพิเศษที่ทนอุณหภูมิไดสูง (1,930 องศาเซลเซียส) บริเวณนี้จะมีการ ใชน้ํามาระบายความรอนเพื่อไมใหอุณหภูมิของเตาสูงเกินไป 5. กนเตา เปนบริเวณที่รองรับน้ําเหล็กดิบและกากโลหะ (slag) โดยกากโลหะจะลอยอยูเหนือ น้ําเหล็กดิบ และที่กนเตาจะเจาะรูไว 2 รู รูที่อยูสูงกวาเปนรูสําหรับเอากากโลหะออก และรูที่อยูต่ํากวา เปนรูสําหรับเอาน้ําเหล็กดิบออก 6. พื้นเตา เปนบริเวณที่กอดวยอิฐทนไฟสูงจากฐานรากขึ้นมา เปนสวนที่ปดกั้นตัวเตา 7. ฐานราก เปนสวนที่ตองสรางใหแข็งแรงที่สุด เพราะจะตองรับน้ําหนัก ตัวเตาแรเหล็ก ถาน โคก หินปูนประมาณวันละ 7,000 ตัน สรางดวยคอนกรีตเสริมเหล็ก ตีเสาเข็มฝงลึกลงไปในพื้นเตาดิน และโผลพนพื้นดิน และโผลพนพื้นดินขึ้นมา ดังแสดงในรูปที่ 2.2 8. เตาเผาอากาศ อากาศที่จะเขาไปในเตาสูงจะตองถูกเผาใหรอนกอน โดยใชกาซรอนที่ ออกมาจากปากปลองของเตาที่มีกาซคารบอนมอนอกไซด เพื่อเปนการประหยัดเชื้อเพลิง ดังแสดง ในรูปที่ 2.2 9. อุปกรณบรรจุและลําเลียง เปนอุปกรณที่บรรจุแรเหล็ก ถานโคก และฟลักซสงผานสาย ลําเลียงขึ้นไปยังสวนบนของเตาและเทลงไปในเตา ดังแสดงในรูปที่ 2.2
68
รูป 3.2 ภาพตัดของเตาสูงและอุปกรณควบคูเตาเพื่อชวยในการทํางานของเตาสูง 3.1.3.1 การเตรียมแรเหล็ก ถานโคก และฟลักซ แรเหล็กที่ขุดไดสวนใหญจะยังมีสิ่งเจือปนมากับแรเหล็กอยูมาก ทําใหเปนแรเหล็กที่มี คุ ณ ภาพต่ํา อยู จึ งยั ง ไม ส ามารถใส เ ข า ไปในเตาสูง ได เพราะจะทํ า ให เ กิ ด การสิ้ น เปลื อ งพลั ง งาน เนื่องจากจะไดปริมาณเหล็กดิบนอยและไมมีคุณภาพ จึงตองมีการเตรียมแรเหล็กใหเปนแรเหล็กที่มี คุณภาพมากที่สุดกอนใสเขาไปในเตา โดยการยอยแรเหล็กใหเปนกอนเล็ก ๆ ดวยเครื่องบดและยอย ใหเปนผงอีกครั้งหนึ่ง แลวนําแรเหล็กไปผานเครื่องแยกแรดวยแมเหล็ก แมเหล็กจะดูดผงแรเหล็ก เอาไว สวนที่ไมใชแรเหล็กก็จะปลอยทิ้งแยกออกไป นําผงแรเหล็กไปผสมกับถานโคกและฟลักซ (หินปูน) ที่ถูกบดเปนผงแลวเชนกันเขาเครื่องกดอัดเปนกอน จะไดแรเหล็กที่พรอมจะใสเขาไปในเตา สูง ฟลักซโดยทั่วๆ ไปที่ใสเขาไปในเตาจะเปนหินปูน ฟลักซทําหนาที่กําจัดสารเจือปนที่มากับแร เหล็กรวมทั้งกํามะถัน แลวรวมตัวกับกากโลหะที่เกิดจากการเผาไหมของถานโคกในรูปของกากโลหะ ลอยอยูเหนือน้ําเหล็กดิบ ดังแสดงในรูป 3.3
69
รูป 3.3 การควบคุมเตาสูงถลุงเหล็กดวยคอมพิวเตอร 3 Fe2O3 + CO Fe3O4 + CO FeO + CO
3Fe2O3 + CO2 3FeO + CO2 Fe + CO2
ในชวงตอนลางของเตาเปนชวงการอาบคารบอน (carburization zone) ชวงนี้แรเหล็กจะ หลอมละลายกลายเปนเหล็กคารไบด (Fe3C) มีอุณหภูมิประมาณ 900 ถึง 1,100 องศาเซลเซียส เกิดปฏิกิริยาเคมีดังนี้ 3Fe
+ 2CO
Fe3C + CO2
ในตอนกนของเตาสูงจะเปนชวงการหลอมละลายของเหล็กดิบ ไดเหล็กดิบที่หลอมละลาย รวมตัวกันที่กนของเตาสูง โดยจะมีกากโลหะลอยอยูขางบน ตัวเตาสูงจะมีรูสําหรับเอากากโลหะออก อยูสูงกวารูเอาน้ําเหล็กดิบออก และอยูดานตรงกันขามกัน ในการนําเอาน้ําเหล็กดิบออกจะตองเจาะรู กากโลหะ ปลอยใหกากโลหะออกกอน (กากโลหะสามารถนําไปทําปูนซีเมนต ทําถนน) แลวจึงเจาะรู น้ําเหล็กดิบ น้ําเหล็กดิบจะถูกเทลงภาชนะรูปทรงกระบอกหรือถูกหลอเปนแทงเหล็ก (ingot) หรือ นําไปหลอมผลิตเปนเหล็กหลอ เหล็กเหนียว และเหล็กกลาตอไป ดังแสดงในรูป 3.4
70
รูป 3.4 เหล็กที่หลอมละลายจะถูกเทลงในระบบแทง (ingot) 3.1.3.2 การหลอมละลายของแรเหล็กในเตาสูง วัสดุที่จะใชใสเขาไปในเตาจะประกอบดวยถานโคก หินปูน และสินแรเหล็กที่ได เตรียมไวแลวดวยอุปกรณบรรจุและลําเลียงไปตามราง เทลงในเตาสูงทางตอนบน อุปกรณพนลมพน ลมรอนเขาไปภายในเตาสูง โดยผานทอลมขนาดใหญทตี่ ิดอยูรอบ ๆ เตาทางตอนลาง จากนั้นจะสง ตอไปยังทอลมเล็กที่ติดตั้งอยูรอบ ๆ เตา เพื่อใหลมรอนผานเขาไปเผาไหมภายในเตาสูงอยางทั่วถึง อากาศรอนที่พนเขาไปในเตาสูงไดมาจากเตาเผาอากาศที่มีโครงสรางเปลือกชั้นนอก ทําดวยเหล็กแผน ชั้นในกอดวยอิฐทนไฟ ภายในจะมีชองกาซรอนเขาทางดานลาง ผานขึ้นมาทาง ดานบนและไหลกลับลงมาทางดานลาง แลวไหลกลับขึ้นทางดานบนเพื่อเผาอากาศใหรอนเมื่อเตาเผา อากาศทํางานกาซรอนจากเตาสูงจะผานเตาเผาอากาศเพื่อเผาอิฐทนไฟใหรอนประมาณ 700 ถึง 1,400 องศาเซลเซียส ในขั้นตอนแรก กาซรอนจากเตาสูงจะมีความรอนไมสูงพอ จึงตองใชเชื้อเพลิงและ อากาศพนเขาไปในเตาเผาอากาศ เพื่อชวยใหอุณหภูมิภายในเตาเผาอากาศสูงเพิ่มขึ้นจนอิฐทนไฟรอน แดงจึงปด (1,100 ถึง 1,300 องศาฟาเรนไฮต) แลวจึงเปดใหอากาศเย็นผานเขาไปในเตาเผาอากาศ อากาศเย็นจะถูกเผาเพื่อใหเปนอากาศรอนแลวเปาเขาเตาสูง ในทางปฏิบัติจะมีการใชเตาเผาอากาศ หลายชุดเพื่อทํางานสลับกัน ดังแสดงในรูป 3.2
71
เมื่อลมรอนเขาไปในเตาสูง จะทําใหเกิดปฏิกิริยาภายในเตาสูง ซึ่งจะเปนปฏิกิริยาการ ลดออกซิเจน (reduction ) ซึ่งถานโคกจะเปนทั้งเชื้อเพลิงและเปนตัวชวยลดออกซิเจนในสวนบนของ เตาแรเหล็กเมื่อไดรับความรอน ไอน้ําจะระเหยออกจากแรเหล็กโดยใชความรอนจากอากาศรอนและ ถานโคก เกิดปฏิกิริยาทางเคมีดังนี้ CaO + CO2 CaCO3 FeCO3 FeO + CO2 ในชวงที่ต่ํากวาตอนบนของเตาลงมาเปนชวงของการลดออกซิเจน ปฏิกิริยาการลด ออกซิเจนเกิดจากกาซคารบอนไดออกไซดรวมตัวกับออกซิเจนในอากาศรอนที่พนเขาไปในเตาสูง (กาซคารบอนไดออกไซดเกิดจากคารบอนในถานโคกรวมตัวกับออกซิเจน) ทําใหออกซิเจนในแร เหล็กลดนอยลงจนมีอุณหภูมิประมาณ 900 องศาเซลเซียส เหล็กจะเริ่มมีสภาพเริ่มหลอมเหลว เกิดปฏิกิริยาทางเคมีดังนี้
รูป 3.5 ภาพตัดแสดงสวนตาง ๆ ของเตาคิวโพลา
72
3.1.4 เตาคิวโพลา เหล็กดิบที่ไดจากเตาสูงและชิ้นสวนเศษเหล็กที่ไมใชงานแลวจะถูกนําไปหลอมละลายใหม ในเตาคิ ว โพลา ซึ่ ง จะทํา ให ไ ดเ หล็ก หล อ เตาคิว โพลา เปน เตาที่มีโ ครงสร างง าย ๆ และประหยั ด พลั ง งานในการผลิ ต สามารถหลอมละลายเหล็ ก หล อ ได อ ย า งต อ เนื่ อ ง และมี ค า ใช จ า ยในการ บํารุงรักษาต่ํา โครงสรางของเตาคิวโพลาจะประกอบดวยปลองไฟในแนวดิ่ง กอดวยอิฐทนความรอนเตา คิวโพลาจะเปนปลองไฟทรงกลมเรียว ดานลางของเตาจะมีประตูบานพับปด / เปดในแนวนอนตรง กึ่งกลางของเตาจะมีประตูสําหรับใสเหล็กดิบ ถานโคก และหินปูน และสวนบนสุดของเตาจะมีโครง หลังคาครอบอยู หรืออาจจะมีการติดตั้งเครื่องควบคุมมลภาวะเปนพิษ อากาศจะเขาทางทอลมทางดาน ลางของเตาไปกระทบกับถานโคกโดยตรง ในการอุนอากาศ จะนํากาซรอนที่บริเวณใตประตูใส วัตถุดิบ ซึ่งมีอุณหภูมิประมาณ 300 องศาเซลเซียสอุนอากาศใหรอนและอากาศที่รอนจะเขาไปทาง ชองลมของเตาคิวโพลา น้ําโลหะเหล็กจะไหลผานรูเทไปยังรางเทน้ําโลหะเหล็ก กากโลหะจะไหล ผานออกอีกทางหนึ่งของเตา ซึ่งจะอยูสูงกวารูเทน้ําโลหะเหล็กดังแสดงในรูป 3.5 ในการทํางาน ถานโคกและเหล็กดิบ (อัตราสวนถานโคกและเหล็กดิบ 1 ตอ 8 ถึง 10 สวน โดยน้ําหนัก) จะถูกใสเขาไปในเตา ฟลักซจะใชหนิ ปูน (CaCO3) ฟลูออสปาร (CaF2 ) หรือโซดาเอต (Na2CO3) จะถูกเติมเขาไปเพื่อปองกันเหล็กดิบเกิดการออกซิเดชั่น หินปูนถูกเติมเขาไป 40 กิโลกรัม ทุก ๆ เมกะกรัมของเหล็กดิบ จํานวนของอากาศที่ใสเขาไปในเตาขึ้นอยูกับคุณภาพของถานโคกและ อัตราสวนของถานโคกกับเหล็กดิบ แรงดันของเตาจะขึ้นอยูกับขนาดของเตา จํานวนของวัตถุดิบที่ใส เขาไปในเตา ชนิดของเหล็กดิบที่หลอมละลายและอุณหภูมิ ถาเตาเล็กอาจใชแรงดันเพียง 1,200 ถึง 2,000 ปาสคาล เตาคิวโพลาเตาหนึ่ง ๆ จะไดเหล็กหลอประมาณ 25 เมกะกรัมตอวัน และอุณหภูมิหลอม ละลายของเหล็กหลอประมาณ 1,540 องศาเซลเซียสขึ้นไป ดังแสดงในรูป 3.5 3.1.5 เตาโอเพน- ฮารท เตาโอเพน- ฮารท (open – hearth furnace) เปนเตาที่ใชหลอมเหล็กดิบพีกไอรอนทั้งที่เปน ของแข็ง ของเหลวและเศษเหล็กกลา ซึ่งจะไดเหล็กกลาที่มีคุณภาพ ลักษณะของเตาจะกอดวยเหล็ก ทนไฟรูปกระทะกวางประมาณ 15 ถึง 40 ฟุต และลึกประมาณ 2 ฟุต และมีความจุน้ําเหล็กถึงประมาณ 150 ตัน ความรอนที่ใหแกเตาไดจากการเผาไหมของกาซหรือน้ํามันเชื้อเพลิงกับอากาศ ผานเหนือ เหล็กดิบและเศษเหล็กเหนียวจนทําเหล็กดิบและเศษเหล็กกลาหลอมละลาย กาซที่ไดจากการเผาไหม จะไหลผานออกอีกขางหนึ่งของเตา ผานอิฐทนไฟจนมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น ก็จะมีการสลับเปลี่ยนดานการ ใหความรอนแกเตา เตาโอเพน- ฮารทจะมีการใชงาน 2 แบบดวยกัน คือ เตาที่ใชวัสดุที่ทําเตามีสภาพเปนดาง (อิฐทนไฟทําดวยแมกนีไซด) และเตาที่ใชวัสดุทําเตามีสภาพเปนกรด (อิฐทนไฟทําจากทรายซิลิกา)
73
ซึ่งสวนมากจะใชเตาโอเพน- ฮารทแบบดาง เพราะสามารถดึงเอาฟอสฟอรัส กํามะถัน ซิลิคอน แมงกานีส และคารบอนออกจากน้ําเหล็กไดดี แลวรวมตัวกันลอยอยูเหนือน้ําเหล็กในรูปของกาก โลหะ แตเตาโอเพน- ฮารทแบบกรดจะดึงไดแตเพียงซิลิคอน แมงกานีส และคารบอนออกจากน้ํา เหล็กเทานั้น ในการหลอมละลายเศษเหล็กกลาและเหล็กพีกไอรอนที่เปนของแข็ง จะเริ่มหลอมละลาย ภายใน 2 ถึง 3 ชั่วโมง และจะหลอมละลายทั้งหมดอีกภายใน 6 ถึง 7 ชั่วโมง หลังจากน้ําโลหะเดือด ก็จะเติมฟลักซลงไป ประมาณ 10 ชั่วโมงขึ้นไปจึงจะมีการเทกากโลหะและน้ําโลหะออกจากเตา เวลาที่ใชหลอมโลหะอาจจะลดลงประมาณ 25 % เมื่อมีการเติมออกซิเจนเขาไปในเตาเพื่อ ชวยในการเผาไหมของเชื้อเพลิงหลังจากเหล็กดิบหลอมละลาย และราคาตนทุนจะลดลงประมาณ 30 % ดังแสดงในรูป 3.6
รูป 3.6 ภาพตัดของเตาโอเพน- ฮารท 3.1.6 เตาเบสเซเมอร เซอรเฮนรี่ เบสเซเมอร (Sir Henry Bessemer) ชาวอังกฤษเปนผูคนพบวิธีนี้ขึ้นในป พ.ศ.2398 เตาเบสเซเมอรจะใชหลอมเหล็กดิบที่ยังเปนของเหลวอยู โดยการเปาอากาศเขาไปในเตา โดยตรง ซึ่งคารบอนจะทําปฏิกิริยากับกาซออกซิเจนอยางรวดเร็ว ทําใหเกิดความรอนขึ้นอยางตอเนือ่ ง จึงไมตองใชเชื้อเพลิง เนื่องจากเตาเบสเซเมอรตองใชเหล็กดิบพีกไอรอนจากเตาสูงจะถูกใสเขาไปใน เตาเบสเซเมอรโดยตรง เตาเบสเซเมอรเตาหนึ่ง ๆ จะบรรจุน้ําเหล็กดิบพีกไอรอนประมาณ 25 ตัน ความรอนเกิดขึ้นจากการเติมอากาศเขาไปในเตา ทําใหเกิดเหล็กออกไซดดึงซิลิคอนและ แมงกานีสออกจากน้าํ เหล็กเปนกากโลหะลอยอยูขางบน แตปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายในเตาไมสามารถดึง ฟอสฟอรัสและกํามะถันออกจากน้าํ เหล็กได ในการเปาอากาศเพื่อใหไดน้ําเหล็กทีบ่ ริสุทธิ์จะใชเวลา ประมาณ 10 ถึง 14 นาที และในขณะกําลังหลอมน้ําเหล็กดิบจะตองไมมีการหยุดหรือขาดตอน ทําให ไมสามารถตรวจวิเคราะหผลทางเคมีได จึงตรวจดูการออกซิเดชั่นจากสีและเปลวไฟโดยชางผูชํานาญ
74
แตในปจจุบันจะสามารถตรวจสอบโดยการใชเครื่องมือพิเศษ เมื่อกระบวนการออกซิเดชันสมบูรณจะ เทน้ําเหล็กกลาลงในแบบ (ingot molds) เหล็กกลาที่ไดจากเตาเบสเซเมอรจะมีเหล็กออกไซด ฟอสฟอรัส และกํามะถันมากกวาที่ได จากเตาโอเพน – ฮารทแบบดาง จึงมีการประยุกตทั้งสองวิธีเขาดวยกัน โดยการนําน้ําเหล็กพีกไอรอน ใสเขาไปในเตาเบสเซเมอร ทําใหซิลิคอน แมงกานีสและคารบอนถูกดึงออกจากน้ําเหล็ก แลวนําน้ํา เหล็กจากเตาเบสเซเมอรใสไปในเตาโอเพน – ฮารท โดยใชเวลาเพียงสั้น ๆ จะทําใหสามารถดึงเอา กํามะถันและฟอสฟอรัสออกจากน้ําเหล็ก น้ําเหล็กในเตาโอเพน – ฮารทสามารถที่จะนํามาวิเคราะห และปรับแตงผลทางเคมีได ซึ่งผลจากการรวมทั้งสองวิธีเขาดวยกันทําใหไดเหล็กกลาที่บริสุทธิ์ และมี คุณาภาพสูงขึ้น ดังแสดงในรูป 3.7
รูป 3.7 ขั้นตอนตาง ๆ ในการผลิตเหล็กกลาโดยเตาพนออกซิเจนแบบดาง เตาพนออกซิเจนที่มีขนาดสูง 26 ฟุต และกวาง 18 ฟุต จะมีความจุน้ําเหล็กประมาณ 100 ตัน เตาพนออกซิเจนจะลงทุนนอยกวาเตาโอเพน - ฮารท และตองมีการพิจารณาคุณภาพของน้ํา เหล็กดิบ ดังนั้นจึงตองจํากัดจํานวนของเศษเหล็กกลาที่จะใชใสเขาไปในเตา ซึ่งจะประมาณไมเกิน 30 % ดังแสดงในรูป 3.8
75
รูป 3.8 ภาพตัดแสดงการทํางานของเตาเบสเซเมอร 3.1.7 เตาพนออกซิเจนแบบดาง เตาพนออกซิเจนแบบดาง (basic – oxygen furnace ) นี้จะมีลักษณะและโครงสรางคลาย ๆ กับเตาเบสเซเมอร โดยตัวเตาจะกอดวยอิฐทนไฟชนิดตาง ๆ กระบวนการทางเคมีจะเกิดขึ้นจากการ เปาออกซิเจนเขาไปทําปฏิกิริยากับน้ําเหล็กพีกไอรอนและเศษเหล็กกลาโดยตรง เมื่อเทน้ําเหล็กดิบพีกไอรอนและเศษเหล็กกลาเขาไปในเตาแลว จะหมุนตัวเตาในตําแหนง แนวดิ่ง แลวจะเทหินปูนและฟลูออสปารลงไปในเตา ขณะเดียวกัน ทอออกซิเจนที่ยื่นเขาไปในเตาสูง จากผิวน้ําเหล็กประมาณ 1 ถึง 3 เมตรก็จะพนออกซิเจนบริสุทธิ์ที่ผานการหลอเย็นดวยน้ําเขาไปในน้ํา เหล็กดิบภายใตการควบคุมแรงดันที่เหมาะสม ออกซิเจนจะทําปฏิกิริยากับน้ําเหล็กดิบอยางรุนแรง ฟอสฟอรัสและกํามะถันจะถูกดึงออกจากน้ําเหล็กดิบกลายเปนกากโลหะ อุณหภูมิจุดเดือดประมาณ 1,650 องศาเซลเซียส กระบวนการพนออกซิเจนจะใชเวลาประมาณ 27 นาที และจะเสร็จสิ้นสมบูรณภายใน 50 นาที ผูควบคุมที่ชํานาญการจะพิจารณาปฏิกิริยาที่เสร็จสิ้นสมบูรณจากการลดลงของเปลวไฟ สีของ เปลวไฟ และการเปลี่ยนแปลงระดับเสียงภายในเตา เหล็กกลาที่ไดจะมีคุณภาพเทากับเหล็กกลาที่ได จากเตาโอเพน – ฮารท 3.1.8 เตาไฟฟา เตาไฟฟา (electric furnace) เปนเตาที่ใชหลอมละลายเหล็กอินกอต เหล็กกลาไรสนิม เหล็กกลาทนความรอน เหล็กกลาเครื่องมือ และเหล็กกลาผสมชนิดตาง ๆ แตจะไมใชหลอมละลาย
76
เหล็กพีกไอรอน เตาไฟฟาจะใหอุณหภูมิภายในเตาไดสูง สูงกวาเตาชนิดอื่น ๆ และเตาไฟฟายังไมทํา ใหสภาวะแวดลอมเสียหาย เตาไฟฟาจะมี 3 ชนิด คือ เตาไฟฟาชนิดเกิดประกายไฟโดยออม (indirect arc furnace) เตาไฟฟาชนิดเกิดประกายไฟโดยตรง (direct arc furnace) และเตาไฟฟา ชนิดเหนี่ยวนําไฟฟา (induction furnace) 3.1.8.1 เตาไฟฟาชนิดเกิดประกายไฟโดยออม ตัวเตาจะมีแทงอิเล็กโทรด 2 แทง ทําดวยแกรไฟต ทําใหเกิดประกายไฟ ตอเนื่องกันเหนือเหล็ก ความรอนที่เกิดจากประกายไฟจะถูกสงผานไปยังเหล็กในลักษณะของการแผ รังสีความรอนจนอุณหภูมิของเหล็กสูงขึ้นถึงจุดหลอมละลาย ซึ่งเตาไฟฟาชนิดนี้มีใชกันนอย 3.1.8.2 เตาไฟฟาชนิดเกิดประกายไฟโดยตรง เตาแบบนี้กระแสไฟจะไหลผานแทงอิเล็กโทรดที่อยูสูงเหนือเหล็ก และพยายามจะ ไหลผานเหล็กในเตา ทําใหเกิดประกายไฟระหวางปลายของแทงอิเล็กโทรดกับผิวของเหล็ก ความ รอนที่เกิดขึ้นจะสูงมาก สูงจนทําใหเหล็กหลอมละลาย แทงอิเล็กโทรดจะถูกปรับความสูงต่ําหางจาก เหล็กโดยอัตโนมัติ ตัวเตาอาจจะกอดวยอิฐทนไฟชนิดดางหรือชนิดกรด เตาชนิดดางจะใชอิฐทนไฟ แมกนีไซตและอะลูมินา ใชหลอมเหล็กกลาหรือเหล็กกลาผสม และจะสามารถควบคุมฟอสฟอรัส ลด กํามะถัน ควบคุมอุณหภูมิ และตรวจวิเคราะหได สวนเตาชนิดกรดจะใชอิฐทนไฟซิลิกา ใชหลอม เหล็กกลาคารบอนต่ํา เหล็กกลาผสมคารบอนต่ํา เตาไฟฟาที่ใชกระแสไฟฟาแบบ 3 เฟส จะมีแทงอิเล็กโทรดที่ทําใหเกิดประกาย 1 แทงกระทํากับเหล็ก และจะเกิดประกายไฟยอนกลับจากเหล็กเขาแทงอิเล็กโทรดที่เหลือ เตาไฟฟา แบบนี้จะใชแรงเคลื่อนไฟฟาประมาณ 40 โวลต และกระแสไฟฟาอาจมากกวา 12,000 แอมแปร ดังแสดงในรูป 3.9
รูป 3.9 ภาพตัดของเตาไฟฟาแสดงผนังชนิดกรดและชนิดดาง
77
3.1.8.3 เตาเหนี่ยวนําไฟฟา เตาแบบนี้อาศัยคลื่นสนามแมเหล็กที่มีความถี่สูงมาก ทําใหเหล็กไดรับความรอน จนถึงอุณหภูมิหลอมละลาย เตาจะใชกระแสไฟฟาความถี่สูง สูงกวา 1,000 เฮิรตซ จายใหกับขดลวด ทองแดงซึ่งมีน้ําหลอเย็นอยูภายในและพันอยูรอบ ๆ เตา และเนื่องจากมีความตานทานภายในเตา จึง ตองใชเวลาประมาณ 50 ถึง 90 นาทีที่ความจุของเตาประมาณ 3.6 เมกะตัน เหล็กจึงจะหลอมละลาย เตาเหนี่ยวนําไฟฟาสามารถใชหลอมละลายเหล็กตั้งแต 2 กิโลกรัมถึง 3.6 เมกะกรัม เตาเหนี่ยวนําไฟฟามีราคาตนทุนต่ํา ไมมีเสียง และสูญเสียความรอนนอย อุณหภูมิที่ไดจะไมสูงกวา อุณหภูมิหลอมละลาย เศษโลหะผสมสามารถนํามาหลอมใหมไดโดยไมเกิดการเผาไหม เตาเหนี่ยวนํา ไฟฟาใชสําหรับผลิตเหล็กกลาผสมคุณภาพสูง ดังแสดงในรูป 3.10
รูป 3.10 ภาพตัดแสดงสวนตาง ๆ ของเตาเหนี่ยวนําไฟฟา 3.2 การถลุงโลหะที่ไมใชเหล็ก โลหะที่ไมใชเหล็กมีใชงานในทางอุตสาหกรรมประมาณ 20 % ของการใชโลหะทั้งหมด โลหะที่ ไมใชเหล็กในรูปของโลหะบริสุทธิ์จะไมพบบอยครั้งนัก เนื่องจากมีโครงสรางที่ไมคอยแข็งแรง ใน การใชงานจึงมีการผสมธาตุอื่น ๆ เขาไป 1 ธาตุหรือมากกวา 1 ธาตุขึ้นไปกลายเปนโลหะผสมทําใหมี คุณสมบัติตานทานการกัดกรอนและนําไฟฟาไดดี โลหะที่ ไ ม ใ ช เ หล็ ก สามารถแบ ง ออกเป น โลหะหนั ก และโลหะเบา โดยโลหะเบา ได แ ก อลูมิเนียม และแมกนีเซียม นอกนั้นจะเปนโลหะหนักทั้งหมด 3.2.1 อะลูมิเนียม แรอลูมิเนียมจะถูกพบกระจัดกระจายทั่ว ๆ ไป ในเปลือกโลกหลายชนิด แตมีเพียงแร บอกไซดเทานั้นที่มีความคุมคาทางเศรษฐกิจในการนํามาถลุงเอาอะลูมิเนียม ออกไซดของอะลูมิเนียม คือ อะลูมินา ซึ่งมีอุณหภูมิหลอมละลายสูงถึง 3,720 องศาฟาเรนไฮต ทําใหไมสามารถหลอม อะลูมิเนียมดวยเตาหลอมแรเหล็กได
78
กรรมวิธีการแยกอะลูมินาออกจากแรบอกไซดที่นิยมไดแกกรรมวิธีเบเออร (Bayer process ) ซึ่งถูกคนคิดโดยนักเคมีชาวเยอรมันชื่อ นายคารล โจเชฟ เบเออร (Karl Josef Bayer ) ซึ่งเปนวิธีที่ได อะลู มิ น า บริ สุ ท ธิ์ โดยนํ า แร บ อกไซด ที่ แ ห ง ละเอี ย ดใส ไ ปในถั ง ที่ บ รรจุ ส ารละลายโซดาไฟ (NaOH)ภายใตแรงดันและอุณหภูมิที่สูงกวาจุดเดือด สารละลายจะทําปฏิกิริยากับแรบอกไซดเปลี่ยน สภาพเปนโซเดียมอะลูมิเนต ซึ่งอยูในรูปของสารละลายของเหลว
รูป 3.11 ถังแยกอะลูมิเนียมดวยกระแสไฟฟาในโรงงาน 3.2.2 แมกนีเซียม แมกนี เ ซี ย มเป น โลหะที่ มี น้ํ า หนั ก เบาที่ สุ ด ของโลหะทั้ ง หมด (ความถ ว งจํ า เพาะ 1.75) แมกนี เ ซี ย มสามารถผลิ ต โดยการแยกสารประกอบทางเคมี ด ว ยกระแสไฟฟ า ของสารละลาย แมกนีเซียมคลอไรด โดยแมกนีเซียมคลอไรดจะไดมาจากน้ําทะเล และ 90 % ของแมกนีเซียม ทั้งหมดจะผลิตจากน้ําทะเล ในการผลิตแมกนีเซียมจากน้ําทะเล เปลือกหอยจะถูกเผาที่มีอุณหภูมิประมาณ 1,320 องศา เซลเซียสจนไดปูนขาว แลวนําปูนขาวและน้ําทะเลใสเขาไปในถัง ปลอยใหทําปฏิกิริยาตอกัน ไดสาร แมกนีเซียมไฮเดรตรวมตัวกันที่กนถัง แมกนีเซียมไฮเดรตจะมีความเขมขนประมาณ 12 % หลังจาก นั้นแมกนีเซียมไฮเดรตจะถูกเปลี่ยนเปนแมกนีเซียมคลอไรดโดยกาซคลอรีน แลวนําแมกนีเซียมคลอ ไรดผานชุดกรองและอุปกรณที่ทําใหแหง จะไดแมกนีเซียมคลอไรดที่มีความเขมขน 68 % ดังแสดง ในรูป 3.12 หลังจากที่เกิดปฏิกิริยาสมบูรณแลว แรงดันจะถูกลดลง กากซึ่งประกอบดวยเหล็ก
79
ซิลิคอนไทเทเนียม และสารที่ไมบริสุทธิ์อื่น ๆ จะถูกดันออกจากถังผานตัวกรองและทิ้งไป สวนใน สารละลายของเหลวจะมี อ ะลู มิ น า เข ม ข น ในรู ป ของโซเดี ย มอะลู มิ เ นต ซึ่ ง จะถู ก ดู ด ใส ไ ปในถั ง ตกตะกอน ในถั ง ตกตะกอน ผลึ ก ละเอี ย ดของอะลู มิ นั ม ไฮดรอกไซด จ ะถู ก เติ ม ลงไปในสารละลาย โซเดียมอะลูมิเนต ทําใหผลึกของงอะลูมินัมไฮดรอกไซดเพิ่มขนาดขึ้น โดยเกิดจากการแยกตัวออก จากสารละลายของเหลว และผลึกงอะลูมินัมไฮดรอกไซดนั้นจะถูกแยกออกจากสารละลายของเหลว โดยการกรอง แลวนํามาเผาจนขาวในเตาไฟที่อุณหภูมิสูงกวา 980 องศาเซลเซียส ทําใหไดอะลูมินา บริสุทธิ์ เหมาะแกการนําไปหลอมละลายเปนโลหะอลูมิเนียมตอไป ในป พ.ศ. 2429 นายชารล เอ็ม.ฮอลล (Mr.Charles M. Hall) คนพบการแยกอะลูมิเนียมโดย กรรมวิธีการแยกสารประกอบทางเคมีดวยกระแสไฟฟา (electrolytic) ในกรรมวิธีนี้อะลูมินาบริสุทธิ์ จะถูกละลายในสารละลายโซเดียมอะลูมินัมฟลูออไรตในเตาแยกสารประกอบเคมีดวยกระแสไฟฟา ขนาดใหญ โดยมีขั้วแอโนดทําดวยคารบอนแขวนไวในสารละลายและขั้วแคโทดทําดวยคารบอน เชนกันที่อยูกนถัง ความรอนที่เกิดขึ้นจากกระแสไฟฟานี้จะถูกระบายไปกับสารละลาย ดังนัน้ อะลูมนิ า สามารถเติมเขาไปเทาที่จําเปนเพื่อใหกรรมวิธีมีการตอเนื่อง เมื่อหยุดการทํางาน อะลูมิเนียมจะถูกดูดออกจากถังและนําไปหลอมละลายในเตาหรือหลอ เปนแทงรูปตาง ๆ เพื่อนําไปผลิตเปนชิ้นงานตอไป ในการผลิตอะลูมิเนียม 1 กิโลกรัมตองการอะลูมิ นา 2 กิโลกรัม คารบอน 0.6 กิโลกรัม (อะลูมินา 2 กิโลกรัมไดจากแรบอกไซด 4 กิโลกรัม) และใช พลังงานไฟฟา 8 กิโลวัตตตอชั่วโมง ดังแสดงในรูปที่ 3.1 แมกนีเซียมคลอไรดเม็ดเล็ก ๆ จะถูกเทลงไปในถังน้ํายาอิเล็กโทรไลซิส (กรดเกลือ) ที่มี อุณหภูมิประมาณ 700 องศาเซลเซียส ซึ่งมีแทงแกรไฟตเปนขั้วแอโนด และตัวถังเปนขั้วแคโทดปลอย ไฟฟากระแสตรง 60,000 แอมแปรผานน้ํายาอิเล็กโทรไลซิส จะทําใหแมกนีเซียมคลอไรดแยกสลาย ไดโลหะแมกนีเซียมลอยขึ้นขางบนของถัง ในขณะเกิดปฏิกิริยาจะไดกาซคลอรีน ซึ่งจะนําไปใชใน การเปลี่ยนแมกนีเซียมไฮเดรตเปนแมกนีเซียมคลอไรด ดังแสดงในรูปที่ 3.2
80
รูปที่ 3.12 กระบวนการผลิตแมกนีเซียมจากน้ําทะเล 3.2.3 ทองแดง แรที่ใชในการถลุงเพื่อเอาโลหะทองแดงที่นิยมไดแก แรคาลโคไพไรต(chalcopyrite) ซึ่งสวน ใหญจะประกอบดวยทองแดง กํามะถัน และทองแดง เหล็ก กํามะถัน ในการถลุงโลหะทองแดง จะนําแรมาบดและผสมกับหินปูน แลวเทลงในถังเก็บแร แรในถัง เก็บจะถูกนําเขาไปในเตาเผา เผาจนแรอยูใ นสภาพของ FeS , FeO , SiO และ CuS แลวผสมกับหินปูน ใสเขาไปในเตาแบบนอน แรเหล็กจํานวนมากจะถูกดึงออกมาในรูปของกากโลหะ และจะเหลือเหล็ก และทองแดงรวมกันเปนกอน ๆ นํากอนทองแดงและเหล็กที่ไดเทลงไปในเตาที่มีรูปรางคลายกับเตา เบสเซเมอร หลังจากนั้นอากาศจะถูกเปาพนเขาไปในเตาเปนเวลา 4 ถึง 5 ชั่วโมง ความรอนจากการ ออกซิเดชันจะทําใหกอนทองแดงหลอมละลาย และทองแดงซัลไฟดจะเปนทองแดงออกไซดหรือ
81
ทองแดงซัลเฟต เหล็กจะถูกแยกออกมาเปนกากโลหะ เมื่อหยุดเปาอากาศเขาไปในเตา ออกไซดของ ทองแดงและซัลไฟดของทองแดงจะทําปฏิกิริยากันกลายเปนกอนทองแดงที่มีผิวขรุขระและกาซ ซัลเฟอรไดออกไซด กอนทองแดงนี้จะบริสุทธิ์ 98 ถึง 99 % ดังแสดงในรูป 3.13
รูป 3.13 กระบวนการหลอมละลายทองแดง 3.2.4 ตะกั่ว ตะกั่วสวนมากจะผลิตออกมาใชงานในรูปของตะกั่วบริสุทธิ์มากกวาเปนตะกั่วผสมตะกั่ว เปนวัสดุตานทานการกัดกรอนที่ดี ตะกั่วจะใชเปนแผนธาตุในแบตเตอรี่ ทําสี หุมสายเคเบิล และวัสดุ ปองกันการแผรังสี ในการผลิตตะกั่ว จะนําแรตะกั่วที่มีโลหะตะกั่ว 65 ถึง 80 % ใสไปในเตาอบเพื่อไลซัลไฟด ออกไป แรตะกั่วจากเตาเผาจะถูกใสเขาไปในเครื่องผสม ผสมกับหินปูน ทราย กากโลหะ และแรเหล็ก แลวใสเขาเครื่องบดยอย ขณะทําการบดยอย จะเกิดกาซซัลเฟอรไดออกไซดขึ้น และกาซซัลเฟอรได ออกไซดจะถูกนําไปทํากรดกํามะถัน
82
จากเครื่องบดยอย แรตะกั่วจะถูกใสเขาไปในเตาสูงรวมกับเชื้อเพลิงที่เปนถานโคก ปฏิกิริยา ภายในเตาสูงจะเกิดกาซที่ประกอบดวยคลอไรดของแคดเมียม ซึ่งจะถูกนําไปผลิตโลหะแคดเมียม นํา โลหะที่ไดจากเตาสูงเทลงในถังตะกอนใบที่ 1 ในถังตกตะกอนใบที่ 1 น้ําโลหะที่เบากวาซึ่งไดแกสาร ทองแดงจะปลอยใหไหลไปยังถังตกตะกอนใบที่ 2 รวมตัวกับซัลเฟอรเพื่อที่จะสกัดเอาโลหะทองแดง และน้ําโลหะที่อยูกนของถังตกตะกอนใบที่ 1 จะถูกปลอยลงในเตาออกซิเดชัน และสวนผสมของ ตะกั่วเหลวจะถูกออกซิไดซในเตา กากโลหะซึ่งลอยอยูขางบนในเตาออกซิเดชันจะถูกนําไปแยกเอาโลหะพลวง (antimony) และสารหนู (arsenic) น้ําโลหะที่หนักและอยูกนเตาออกซิเดชันจะเทไปยังถังแยกเงินและทอง ซึ่ง สังกะสีก็จะถูกเติมไปในถังแยกเงินและทองดวย ทองและเงินจะละลายกับสังกะสี สังกะสีผสมจะถูก นําเขาไปในถังควบแนน ไอสังกะสีจะถูกควบแนนเปนสังกะสีแข็ง และของเหลวที่ตกคางในถังกลั่น ตัวจะถูกนําไปแยกสารประกอบทางเคมีดวยไฟฟาไดทองและเงิน ตะกั่วจากถังแยกทองและเงินจะถูก ทําใหเปนละอองตะกั่วรอนโดยการยิงเขาไปในหองสุญญากาศซึ่งจะทําใหสังกะสีที่ยังมีในตะกั่ว กลายเปนไอ ไอสังกะสีจะถูกนําเขาไปในหองควบแนน ไดสังกะสีแข็ง แลวตะกั่วจะถูกใสไปในถัง ใบที่ 3 ผสมกับโซดาไฟ ซึ่งจะทําใหไดตะกั่วที่บริสุทธิ์ ดังแสดงในรูป 3.14
83
รูป 3.14 กระบวนการผลิตตะกั่ว 3.2.5 สังกะสี สังกะสีสวนมากจะผลิตจากแรซัลไฟด (สินแรสังกะสี) แรจะถูกเผาจนไดสังกะสีออกไซด และออกไซดจะถูกขจัดออกไปในเตาหลอมละลาย หรือกระบวนการวิเคราะหสารประกอบทางเคมี ดวยกระแสไฟฟา ในกระบวนการเตาหลอมละลาย สวนผสมของสังกะสีออกไซดและถานโคกจะถูก เผาจนสังกะสีกลายเปนไอ และถูกควบแนนเปนของเหลวในชุดควบแนน
84
ในกระบวนการทางไฟฟาเคมี แรที่ถูกเผาจะใสเขาไปละลายในกรดกํามะถัน สารละลายจะถูก ทําใหบริสุทธิ์โดยการแยกดวยไฟฟาเคมี สังกะสีจะถูกแยกออกจากสารละลายไปเกาะที่ขั้วลบ สังกะสี บริสุทธิ์ที่ไดจะมีความบริสุทธิ์ถึง 98 % 3.2.6 ไทเทเนียม ไทเทเนียมเปนโลหะที่ผลิตไดยาก ไทเทเนียมจะผลิตโดยการใสไทเทเนียมเตตระคลอไรด (titanium tetrachacoride ) กับแมกนีเซียมในหองที่มีกาซฮีเลียม ผลลัพธจะไดแมกนีเซียมคลอไรดและ แมกนีเซียมจะถูกลางออกดวยกรดเกลือ ทําใหไดผงไทเทเนียม ผงไทเทเนียมจะถูกหลอมละลายใน หนวยสูญญากาศ และถูกทําใหเย็นกลายเปนโลหะไทเทเนียมแข็ง ไทเทเนียมมีความสําคัญทางดานการคา ตั้งแตป พ.ศ. 2493 ไทเทเนียมมีคุณสมบัติที่อยู ระหวางเหล็กกลาและอลูมิเนียม มีความสําคัญในการเพิ่มความแข็งแกรงของโลหะ ไทเทเนียมมีคา ความถวงจําเพาะ 4.5 คายีลสแตรง (yield strength) เกือบถึง 60,000 ปอนดตอตารางนิ้ว ซึ่งสามารถ เพิ่มขึ้นถึง 190,000 ปอนดตอตารางนิ้ว เมื่อเปนโลหะผสมและคงความแข็งแรงที่อุณหภูมิ 600 องศา ฟาเรนไฮต ไทเทเนียมมีความสําคัญมากในการผลิตอากาศยานและยานอวกาศ 3.2.7 แกรไฟต แกรไฟตเปนวัสดุเกาแกที่มีความเหมาะสมที่จะเปนวัสดุทางวิศวกรรม แกรไฟตมีคุณสมบัติที่ จะเพิ่มความแข็งแรงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น แกรไฟตถูกใชเปนขั้วอิเล็กโทรดในเตาไฟฟาและมีการเติมบอ ไรด (borides) คารไบด (carbides) ไนไตรด (nitrides) และซิลิไคด(silicides) จํานวนเพียงเล็กนอยลง ไปในแกรไฟต จะทําใหแกรไฟตเกิดการออกซิเดชันที่ต่ํามากขณะเมื่อมีอุณหภูมิสูง และทําใหความ แข็งแรงทางกลดีขึ้นอีกดวย 3.2.8 โลหะพิเศษ โลหะที่แปลกหลาย ๆ ชนิดมีความสําคัญที่ทําใหเทคโนโลยีใหม ๆ ประสบความสําเร็จได โลหะฮาฟเนียม (hafnium) โลหะทอเรียม (thorium) และโลหะเบริลเลียม (beryllium) ถูกใชงานใน เครื่องปฏิกรณปรมาณู โลหะรีเนียม (rhenium) มีจุดหลอมละลายสูง สูงกวา 2 เทาของโลหะทั้งหมด (5,740 องศาฟาเรนไฮต) ดังนั้นมันจึงถูกใชเปนวัสดุเพื่อใหเกิดความตางศักยในทออิเล็กตรอนแทน โลหะทังสเตน โลหะเซอรโคเนียม (zirconium) มีความตานทานการกัดกรอนในกรดทุกชนิด คลอไรด และกรดอินทรีย เมื่อมีการผสมโลหะฮาฟเนียมเพียงเล็กนอยในเหล็ก จะทําใหมีคายีลสแตรงเกือบถึง 84,000 ปอนดตอตารางนิ้ว และความแข็งแรงตอแรงดึงเกือบถึง 90,000 ปอนดตอตารางนิ้ว การวิจัยและพัฒนางานที่ใชวัสดุโลหะพิเศษเหลานี้นําไปสูการพัฒนาโลหะผสมใหม ๆ สําหรับการทําจรวดนิวเคลียร และอุปกรณอิเล็กทรอนิกส
85
บทที่ 4 ระบบผลึกของโลหะ 4.1 ระบบผลึกของโลหะ (Crystallographic system of metals)
86 4.2 สเปสแลททิซ
Fig. 4.1 A space lattice การที่โลหะถูกจัดเปนวัสดุทมี่ ีระบบผลึกแนนอน ก็เพราะวาลักษณะของอะตอมที่ประกอบ ขึ้นเปนโลหะมีการยึดจับตัวเรียงกันเปนระเบียบแนนอนในทุกทิศทาง ถามีเสนสมมุติลากผานตําแหนงที่ อะตอมเหลานีอ้ ยูแลวก็จะไดรูปทรงทางเรขาคณิตที่มีระเบียบแนนอน กระจายอยูเต็มไปหมดในเนือ้ โลหะ ชิ้นนั้น เราเรียกรูปทรงทางเรขาคณิตนี้วา สเปสแลททิซ (space lattice) เพื่อความสะดวกและความเขาใจตรงกัน ในการศึกษาระบบผลึกของวัสดุจะขอแทน ตําแหนงที่อะตอมอยูใน space lattice ดวยวงกลมเล็ก ๆ หรือแทนดวยจุด และมีเสนตรงเชื่อมระหวาง อะตอมเพื่อจะไดเห็นรูปแบบของ space lattice ไดชัดเจน
87 หนวยเซล (Unit cell)
Fig. 4.2 A unit cell ใน space lattice หนึ่ง ๆ จะประกอบดวยหนวยยอย ๆ มากมายหลายหนวย และในแตละ หนวยจะประกอบขึ้นดวยกลุมของอะตอมเกาะเรียงตัวเปนรูปทรงที่เหมือนกัน ระบบการเรียงตัวของ อะตอมในแตละหนวยสามารถแทนการเรียงตัวของอะตอมใน space lattice ได เราเรียกวา 1 หนวยยอย ของ space lattice ที่มีลักษณะดังกลาวนีว้ า 1 หนวยเซล ( A unit cell)
88 4.3 รูปแบบของสเปสแลททิซ (Space lattice systems) รูปแบบของ Space lattice ของวัสดุที่เปนไปไดมีทั้งหมด 14 แบบ ดังรูป
Fig. 4.3 The Fourteen space (or Bravals) lattices as shown by their unit cells
89 เพื่อใหงายตอการเขาใจจะใชแกนอางอิง 3 แกน โดยมีจุดกําเนิด 0 (Origin) อยูตรงตําแหนง อะตอมหนึ่ง ๆ ของหนวยเซลหนึ่ง แกนอางอิงทั้งสามคือ ox , oy และ oz เรียกวา แลททิซเวคเตอร (Lattice vector) ถูกวางทานใหขนานกับดานยาว, ดานกวาง และดานสูงของหนวยเซลนั้น ๆ ดังรูป
Fig. 4.4 Crystal axes. ระยะระหวางอะตอมที่อยูติดกันตาม lattice vector เรียกวา 1 หนวยเวคเตอร (Unit vector) หนวยเวคเตอรทวี่ ัดตามแกน ox , oy และ oz จะแทนดวยสัญลักษณ a , b และ c ตามลําดับ มุมที่อยูระหวาง oy กับ oz ในระนาบที่ประกอบดวยแกน oy และ oz แทนดวย สัญลักษณ ∝ มุมที่อยูระหวาง oz กับ ox ในระนาบทีป่ ระกอบดวยแกน oz และ ox แทนดวย สัญลักษณ β มุมที่อยูระหวาง ox กับ oy ในระนาบที่ประกอบดวยแกน ox และ oy แทนดวย สัญลักษณ γ Table 4-1 The crystal systems Systems Triclinic Monoclinic Orthorhornbic Tetragonal Cubic Hexagonal Rhombohedral
a a a a a a a
Parafacters ≠ b ≠ c ≠ b ≠ c ≠ b ≠ c = b ≠ c = b = c = b ≠ c = b = c
Interxial angles ∝ ≠ β ≠ ∝ = = ∝ = β = ∝ = β = ∝ = β = ∝ = β = ∝ = β =
900
≠ β
= = = 900 , ≠
900 900 900 = 1200 900
90 4.4 ระบบผลึก (Crystal system) ระบบผลึกทั้งหมดที่เปนไปได และสอดคลองกับ Space lattice ทั้ง 14 แบบ นั้น มีเพียง ระบบผลึก 7 ระบบ ดังตาราง Table 4 - 2 CLASSIFICATION OF THE SPACE LATTICE BY CRYSTRAL SYSTEM Crystal System Cubic Tetragonal Orthorhornbic
Rhombohedral Hexagonal Monoclinic Triclinic
Axial lengths and interaxial angles Three equal axes at right angles: a = b = c , ∝ = β = γ= 900 Three axes at right angles, two equal: a = b ≠ c, ∝ = β = γ = 900 Three unequal axes at right angles: a ≠ b ≠ c, ∝ = β = γ = 900 Three equal axes, Equally inclined : a = b = c , ∝ = β = γ ≠ 900 Two equal axes at 1200, Third axes at right angles, a = b ≠ c, ∝ = β =900,γ = 1200 Three equal axes, One pair not at right angles, a ≠ b ≠ c, ∝ = γ = 900 ≠ β Three unequal axes, unequally inclined and none at right angles : a ≠ b ≠ c, ∝ ≠ β ≠ γ ≠ 900
Space lattice Simple cubic Body – centered cubic Face – centered cubic Simple Tetragonal Body – centered tetragonal Simple Orthorhornbic Body–centered orthorhornbic Base–centered orthorhornbic Face–centered orthorhornbic Simple rhombohedral Simple hexagonal Simple monoclinic Face – centered monoclinic Simple triclinic
91 Table 4.3 Crystal Systems and Lattices (The symbol ≠ means thas equality is not required by sysmmetry. Accidental equality may occur, as shown by an example in Sec. 2-4) Brovuit lattice Cubic Three euqual axes at right angles Simple Body - centered A = b = c , ∝ = β = γ= 900 Face - centered Tetragonal Three axes at right angles, two equal Simple Body - centered A = b ≠ c, ∝ = β = γ = 900 Orthorhornbic Three unequal axes at right angles Simple Body - centered A ≠ b ≠ c, ∝ = β = γ = 900 Base - centered Face - centered Rhombohedral Three equal axes, Equally inclined Simple a = b = c , ∝ = β = γ ≠ 900 Hexagonal Two equal axes at 1200, Third axes Simple At right angles, a = b ≠ c, ∝ = β =900, γ = 1200 Monoclinic Three equal axes, Simple One pair not at right angles, Base – centered a ≠ b ≠ c, ∝ = γ = 900 ≠ β Triclinic Three unequal axes, unequally Simple inclined and none at right angles a ≠ b ≠ c, ∝ ≠ β ≠ γ ≠ 900 System
Arial lengths and cogles
Lattices symbol P B F P I P I C F R P
P C P
92
4.5 โครงสรางผลึก (Crystal structure) Space lattice มีอยูทั้งหมด 14 แบบ แตสรุปลงไดเปนกลุมใหญ ๆ เพียง 7 กลุม คือ 1.) Cubic system : แกนทุกแกนยาวเทากัน และตั้งฉากซึ่งกันและกัน 2.) Tetragonal system : แกนทุกแกนตั้งฉากซึ่งกันและกัน แตแกน ๆ หนึ่งจะสั้นกวาอีกสองแกน ซึ่งเทากัน 3.) Orthorhombic system : แกนทุกแกนตั้งฉากซึ่งกันและกัน แตทั้งสามแกนจะยาวไมเทากัน
93 4.) Monoclinic system : แกนทั้งสามยาวเทากันหรือไมเทากันก็ได และแกนสองแกนจะตั้งฉากซึ่ง กันและกัน แตแกนที่สามจะไมตั้งฉาก 5.) Triclinic system : แกนทั้งสามยาวเทากันหรือไมเทากันก็ได แตตางก็ไมตั้งฉากซึ่งกันและกัน 6.) Rhombohedral system (Trigonal system) : แบบนี้มีแกนสามแกนเทากัน มุมทั้งสามเทากัน แตไม เปน 90 องศา 7.) Hexagonal system : แบบนีต้ างจากแบบทีก่ ลาวมาแลว คือ มีแกน 3 แกนในระนาบ (Plane) เดียวกัน ตางทํามุม 120 องศาตอกัน และแกนที่สี่ตงั้ ฉากกับแกนที่สาม แกนสามแกนเทากัน แตไม เทากับแกนทีส่ ี่ โลหะสวนมากจะมีโครงสรางอยูใน Space lattice เพียง 3 แบบ คือ
94 1.) Body - centered cubic (B.C.C) ไดแก แบเลียม, โครเมียม, โคลัมเมียม, เหล็ก, โมลิบดินัม, แทนทาลัม, วาเนเดียม (ขณะอุณหภูมิปกติ) 2.) Face - centered cubic (F.C.C) ไดแก อลูมิเนียม, แคลเซียม, ทองแดง, ทองคํา, ตะกั่ว, นิเกิล, เงิน (ขณะอุณหภูมิปกติ) 3) Mexagonal close - packed (M.C.P) ไดแก แบริเลียม, แคดเมียม, โคบอลท, แมกนิเซียม, ไทเทเนียม, สังกะสี (ขณะอุณหภูมิปกติ) หมายเหตุ : ขณะอุณหภูมิปกติโลหะจะมีระบบผลึกชนิดหนึ่ง แตมีโลหะบางชนิดเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง จะทําใหเกิดระบบผลึกอีกชนิดหนึ่งขึ้นได ซึ่งคุณสมบัติของโลหะนี้ เราเรียกวาPolymoryphism หรือ Allotropy ซึ่งจะไดศึกษาถึงรายละเอียดกันในบทตอไป Table 4 -4 Crystal structures of some elements
Element
Crystal structure
Aluminum Barium Beryllium Cadmium Calcium
FCC BCC HCP HCP FCC
Chromium
BCC HCP FCC FCC FCC
Cobalt Copper Gold
Closese Lactice interatormic parameters distance a (Angstroms) (Angstroms) 2.862 4.049 4.35 5.025 2.225 2.285 2.979 2.979 3.94 5.57 2.498 2.506 2.511 2.556 2.884
2.884 2.507 3.552 3.615 4.078
------1.57 1.38 ----
Temperature of measurement, 0 C 20 20 20 20 20
---1.62 ----------
20 20 room 20 20
Axial ratio c/a
95 Table 4 -4 Crystal structures of some elements (ตอ) Element
Indium
Crystal structure
Closese Lactice interatormic parameters distance a (Angstroms) (Angstroms) 2.714 3.8390 2.481 2.866 2.585 3.656 3.499 4.950 3.039 3.509
----------------
Temperature of measurement, 0 C 20 20 950 20 20
Axial ratio c/a
Lead Lithium
FCC BCC FCC FCC BCC
Magnesium Molybdenum Nickel Platinum Potassium
HCP BCC FCC FCC BCC
3.196 2.725 2.491 2.775 4.627
3.209 3.147 3.524 3.924 5.344
1.62 -----------------
20 20 20 20 20
Rhodium Rubidium Silver Sodium Strontium
FCC BCC FCC BCC FCC
2.689 4.88 2.888 3.715 4.31
3.803 5.63 4.086 4.291 6.087
---------------------
20 - 173 20 20 20
Tantalum Thorium
BCC FCC
2.860 3.60
3.303 5.088
---------
20 20
Iron
96 Table 4 -4 Crystal structures of some elements (ตอ) Element
Titanium Tungsten
Crystal structure HCP BCC BCC BCO
Uranium
Vanadium Zinc Zirconium
Closese Lactice interatormic parameters distance a (Angstroms) (Angstroms) 2.89 2.950 2.89 3.33 2.739 3.165 2.762
Tet BCC BCC HCP HCP BCC
3.02 2.632 2.664 3.17 3.13
a = 2.854 b = 5.869 c = 4.956 a=b = 10.763 c = 5.652 3.524 3.039 2.664 3.230 3.62
1.60 ---------
Temperature of measurement, 0 C 25 900 20
----------------------------1.86 1.59 -----
25 --------720 ----805 20 --------867
Axial ratio c/a
97 4.6 ระบบผลึกของสารละลายของแข็ง (Solid solution lattice)
Fig. 4.6 Substitutional and interstitial solid-solution lattice. (a) Substitutional Alloy has some solute atoms (dark) subatituted for solvent atoms. Solute and solvent atoms are normally not the same size; therefore the lattice becomes distorted by alloy additions. (b) Interstitial alloys may be formed when the solute atoms ate much smaller than the solvent atoms allowing the solute to 6t within open spaces of the solvent lattice.
98 การหา Packing factor ของโครงสรางผลึกแบบ B.C.C. หนวยเซลของ B.C.C. มีอะตอมอยูตามมุมทั้ง 8 ของรูปลูกบาศก แตละอะตอมใน รูปแบบนี้อยูตดิ กับอะตอมขางเคียงอีก 8 อะตอม จํานวนอะตอมทั้งหมดที่ถูกบรรจุอยูใน 1 หนวยเซล จริง ๆ คือ อยูที่มุมของหนวยเซลมุมละ 1 อะตอม x 8 มุม = 1 อะตอม 8 อยูที่ใจกลางของหนวยเซล = 1 อะตอม ∴ รวม = 2 อะตอม
a
3
= 4r
a =
4 3
r
รูปที่ ก.1 แสดงความสัมพันธระหวางรัศมีของอะตอม ( r ) กับหนวยความยาวของรูปผลึก ( a ) สมมติรัศมีของอะตอม = r และ 1 หนวยเซลจริง ๆ มี 2 อะตอม ปริมาตรของอะตอมทั้งหมดใน 1 หนวยเซล
= =
ปริมาตรของ 1 หนวยเซล
= = =
⎛4 ⎞ 2⎜ π r 3 ⎟ ⎝3 ⎠ 8 3 πr 3 a3
⎛ 8r ⎞ ⎜⎜ ⎟⎟ ⎝ 3⎠ 64r 3 3 3
3
99 จากสูตร Packing factor
=
ปริมาตรของอะตอม ปริมาตรของหนวยเซล
=
8 3 πr 3 64 r 3 3 3
=
3 π 8
= 0.68 การหา Packing factor ของโครงสรางผลึกแบบ F.C.C. หนึ่งหนวยเซลของ F.C.C. มีอะตอมอยูตามมุมทั้ง 8 ลูกบาศก และที่ใจกลางของผิว ลูกบาศกทั้ง 6 ดานนั้นมีอะตอมอยูอีก 6 อะตอม
a 2
=
4r
a
=
2 2r
รูปที่ ก.2 ความสัมพันธระหวางรัศมีของอะตอม ( r ) กับหนวยความยาวของรูปผลึก ( a ) จํานวนอะตอมทีบ่ รรจุอยูใน 1 หนวยเซล มีดังนี้
100 อยูที่มุมทั้ง 8 ของรูปลูกบาศก มุมละ 1 อะตอม ที่ใจกลางของดานลูกบาศก 6 ดาน ๆ ละ 1 อะตอม ∴ รวม เราสามารถคํานวณหาปริมาตรของอะตอมทั้งหมดไดดังนี้ สมมติรัศมีของอะตอม = r และ ปริมาตรของอะตอมทั้งหมดในหนวยเซล = ปริมาตรของ 1 หนวยเซล
จากสูตร Packing factor
= = =
1 หนวยเซลจริง ๆ มี 4 อะตอม
⎛4 ⎞ 4 x ⎜ π r3 ⎟ ⎝3 ⎠
=
a3
=
(2
=
16 2 r 3
=
= = =
1 อะตอม 3 อะตอม 4 อะตอม
2r
)
3
ปริมาตรของอะตอม ปริมาตรของ หนวยเซล
16 3 πr 3 16 2 r 3
π 3 2
0.74
หมายเหตุ : โครงสรางผลึกแบบ F.C.C. มีเนื้อแนนกวาแบบ B.C.C. การที่ระบบ F.C.C. มีความอัดแนนของอะตอมมากกวาระบบ B.C.C. เปนสาเหตุ สําคัญที่โลหะที่เปนแบบ F.C.C. มีความเหนียว และขึ้นรูปไดงายกวาโลหะที่เปนแบบ B.C.C. นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของ Lattice จาก B.C.C. ไปเปน F.C.C. จะทําใหปริมาตรของ โลหะลดลงเล็กนอยดวย
101 เหล็กบริสุทธิ์ (Pure iron)
B. C. C. F. C. C.
หดตัว → F. C. C. ขยายตัว → B. C . C.
102
บทที่ 5 คุณสมบัติของวัสดุ (Properties of Materials) 1. คุณสมบัติทางเคมี (Chemical properties) เปนคุณสมบัติที่เกี่ยวกับ ปฏิกิริยาเคมีทั่วไป เชน ปฏิกิริยาและลักษณะของการเกิดสนิม เปนตน 2. คุณสมบัติทางกายภาพหรือคุณสมบัติทางฟสิกส (Physical properties) ซึ่งแบงเปน 2 ชนิด คือ : 2.1) คุณลักษณะเฉพาะของวัสดุ : ซึ่งไมเกี่ยวของกับปฏิกิริยาใด ๆ เชน - จุดหลอมตัว (Melting point) - ความหนาแนน (Density) - โครงสรางผลึก (Crystal structures) - คุณสมบัติทางความรอน (Thernal properties ) - คุณสมบัติทางไฟฟา (Electrical properties) - คุณสมบัติทางแมเหล็ก (Magnetic properties) 2.2) คุณสมบัติทางกล (Mechanical properties) เปนคุณสมบัติที่เกิดขึ้นในลักษณะที่มีแรงภายนอกเขามาเกี่ยวของ ดวยโดยคุณสมบัติทางฟสิกสที่สําคัญ ซึ่งเกี่ยวของกับการใชงานของเหล็กโดยตรง และคุณสมบัติ ทางกลนี้เองที่มีความสัมพันธกับโครงสรางภายในของโลหะ (Microstructure) เปนอยางมาก มีดังนี้ : - ความแข็งแรง (Tensile strength) - ความแข็ง (Hardness) - ความเหนียว (Ductility) - ความแกรง (Toughness) - การยืดตัวทีอ่ ุณหภูมิสูง (Creep) - ความลา (Fatique) หมายเหตุ : Mechanical properties ตางจาก Physical properties กลาววา Physical properties นัน้ ไมวาจะวัดโดยวิธใี ดก็จะมีคาเทากัน อาจจะแตกตางกันตรงที่หนวยวัดเทานั้นแต Mechanical properties นัน้ เราจะตองกําหนดสภาวะของการทดสอบ (Condition) ใหแนนอน เชน ขนาดของชิ้นตัวอยาง (Strain rate) , อุณหภูมิของการทดสอบ (Temperature ) เปนตน คุณสมบัติ แบงเปน 2 ประเภท
103
วิชาโลหะวิทยาทางกล (Mechanical metallurgy) วิชาโลหะวิทยาทางกล (Mechanical metallurgy) เปนวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติทางกล (Mechanical properties) ของโลหะ ซึ่งจะเกี่ยวของกับการตอบสนอง (Response) ของโลหะ เนื่องจากแรงที่มากระทํา เราศึกษาพฤติกรรมของโลหะวามันจะยึด , หด, แตกหักหรือไม และศึกษา ถึงพฤติกรรมของมันระหวางการขึ้นรูป (Forming) นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงความสัมพันธของ โครงสรางภายในของโลหะ (microstructure) กับคุณสมบัติทางกล (Mechanical properties) ดวย นอกจากนี้ยังศึกษาถึงผลของสภาวะ ภายนอก (condition) เชน อุณหภูมิ , รูปรางชิ้นงาน , ขนาดชิ้นงาน และความเร็วของการ ทดสอบที่มีตอโลหะนั้น ๆ นอกจากนี้วิชานี้ยังรวมถึงการศึกษารอยแตกวาเปนการแตกชนิดใด ศึกษากลไกของการ แตกนั้น ๆ และวิธีปองกัน เปนตน จุดมุงหมายของการศึกษาคุณสมบัติทางกล (Mechanical properties) นั้น มีสาเหตุใหญ ๆ 3 ประการคือ ก.) ศึกษาเพื่อทํานายพฤติกรรมของโลหะนั้น ๆ เมื่อนําไปใชงาน และเมื่อทําการขึ้นรูป (Forming) ข.) สามารถหาความสัมพันธของโครงสรางภายในของโลหะ (Microstructure) และ คุณสมบัติทางกล (Mechanical properties) ค.) เพื่อที่จะไดปรับปรุงคุณสมบัติของโลหะที่มีอยูและผลิตวัสดุชนิดใหมขึ้น การแตกหักของวัสดุโลหะ นั้น หากแบงเปนขอใหญ ๆ ก็จะได 2 ประการ คือ 1.) การแตกแบบเหนียว (Ductile fracture) เปนการแตกของโลหะโดยที่โลหะนั้นจะมีการยึดตัวหรือเสียรูป (Deformation) กอน 2.) การแตกแบบเปราะ (Brittle fracture) เปนการแตกแบบไมมีการยึดหรือเสียรูป สวนประกอบเครื่องจักรกลที่เราออกแบบ (design) นั้น เราคงไมตองการใหเกิดการ แตกหักขึ้นไมวาจะเปนชนิดใด แรงเมื่อมากระทบกับเนื้อโลหะนั้นจะเกิดแรงตานขึ้นภายในเนือ้ โลหะ (internal forces) และการเปลี่ยนรูปขึ้น (Deformation) แรงตานภายในที่เกิดขึ้นนี้มีชื่อเรียกวา ความเคน (Stress) และการเปลี่ยนรูปของวัสดุ เนื่องจากแรงภายนอกที่มากระทบนี้มีชื่อเรียกวา ความเครียด (Strain)
104
5.1 คุณสมบัติทางกลของวัสดุ (Mechanical properties) Mechanical Properties
Strength
Formability
Tensile yield Compression Flexural Shear Creep Stress rupture
% elongation % reduction in area Bend radius
Rigidity Modulus of elasticity Flexural modutus
Toughness
Durability
Impact strength Notch sensitivity Critical stress insensity
Hardness Wear resistance Fatigue strength
Figure 5.1 Serviceablility factors and related mechanical properties.
คุณสมบัติทางกลของวัสดุ เชน ความแข็ง (Hardness), ความแข็งแรง (Strength), ความเหนียว (Ductility) ฯลฯ เปนสิ่งที่จะบอกวาวัสดุนนั้ ๆ สามารถที่จะรับหรือทนแรงหรือพลังงาน ทางกลภายนอกที่มากระทําไดดีเลวมากนอยเพียงใด ในงานวิศวกรรมคุณสมบัติทางกลมีความสําคัญ มากที่สุด เพราะเมื่อเรานึกถึงวัสดุใด ๆ ก็ตาม สิ่งแรกที่จะนํามาพิจารณาก็คือ คุณสมบัติทางกลของ มัน การที่เครื่องจักรหรืออุปกรณใด ๆ จะสามารถทํางานไดอยางปลอดภัยขึน้ อยูก บั คุณสมบัติทางกล ของวัสดุที่ใชทําเครื่องจักร, อุปกรณนั้น ๆ เปนสําคัญ ในหัวขอนี้จะกลาวถึงความรูเบื้องตนของ คุณสมบัติทางกลของวัสดุ รวมทั้งการทดสอบที่สําคัญบางประเภท เพื่อเปนพื้นฐานในการศึกษาขั้น ตอไป
105
Mechanical Properties of Materials
ความเคนและความเครียด (Stress and Strain)
Fig.10 Example of stress aand strain
106
ความเคน (Stress) ตามความเปนจริงความเคน หมายถึง แรงตานทานภายในเนื้อวัสดุที่มีตอแรงภายนอกที่มา กระทําตอหนึง่ หนวยพืน้ ที่ แตเนื่องจากความไมเหมาะสมทางปฏิบัติ และความยากในการวัดหาคานี้ เราจึงมักจะพูดถึง Stress ในรูปของแรงภายนอกที่มากระทําตอหนึ่งหนวยพื้นที่ ซึ่งสามารถเขียนเปน สมการไดดังนีค้ ือ สูตร σ =
σ
=
P A
ความเคน (Stress) มีหนวยเปน ปาสกาล (Pa) = 1 M/ m2, Kgf/mm2 , Psi (1b/in2) P = แรงภายนอกทีม่ ากระทํา มีหนวยเปน M, kgf, 1b A = พื้นที่ภาคตัดของที่แรงกระทํา ; mm2 , in2 ลักษณะของ Stress ที่เกิดขึ้นจะเปนไปตามลักษณะของแรงภายนอกทีม่ ากระทํา ดังนี้ คือ 1. Tensile Stress คือ Stress ที่เกิดจากแรงดึงซึ่งจะพยายามดึงเนื้อโลหะใหแยกออกจากกัน คิดเปนแรงดึง (P) ตอพื้นที่ (A) ซึ่งตั้งฉากกับทิศทางของแรง (ดังรูป) เมื่อ
P
P Tensile Stress (σ X ) =
P A
2. Compressive Stress คือ Stress ที่เกิดจากแรงอัด (Compression) ซึ่งพยายามกดเนื้อ โลหะใหอดั แนนติดกัน ทําใหโลหะสั้นลง คิดเปนแรง (P) ตอพื้นที่ (A) ซึ่งตั้งฉากกับทิศทางของแรง (ดังรูป) P P Compressive Stress (σ C ) =
P A
3. Shear Stress คือ Stress ที่เกิดจากแรงดึงหรือแรงกดใหโลหะเลือ่ นผานกัน คิดเปนแรง (P) ตอพื้นที่ (A) ซึ่งขนานกับทิศทางของแรง (ดังรูป) P
P
Shear Stress (τ) =
P A
107
คา Stress ที่ไดจากการทดสอบนี้ จะเปนตัวเปรียบเทียบความแข็งแรง (Strength) ของ โลหะ คือโลหะใดมีคา Stress สูง จะนับวาโลหะนัน้ มีความแข็งแรงสูง สําหรับเหล็กนั้น ในการนําไปใชงานตองคํานึงถึง Strength มากที่สุด เพราะในงานทั่ว ๆ ไป มักใชเหล็กในการรับแรงดึง, แรงอัด หรือแรงเฉือน ซึ่งตองพิจารณาจาก Strength ของเหล็กนั้น ๆ เปนหลัก ความเครียด (Strain)
การเปลี่ยนแปลงรูปรางของวัสดุ (deformation) เมื่อมีแรงภายนอกมากระทําเรียกวา Strain (ความเครียด) การเปลี่ยนรูปของวัสดุนี้เปนผลมาจากการเคลือ่ นไหวของภายในเนื้อวัสดุ ซึ่ง ลักษณะของมันสามารถแบงเปน 2 ชนิดใหญ ๆ คือ 1. การเปลี่ยนรูป หรือความเครียดแบบคืนรูป (Elastic deformation or strain) เปนการ เปลี่ยนรูปในลักษณะที่ เมื่อเอา stress ออก atom ที่เคลื่อนไหวไปจากผลของ stress จะเคลื่อน
108
กลับเขาตําแหนงเดิม ทําใหวัสดุคงรูปรางเดิมไวได ตัวอยางไดแก พวกยางยืด ถาเราดึงมันแลว ปลอยมันจะกลับไปมีขนาดเทาเดิม 2. การเปลี่ยนรูป หรือความเครียดแบบคงรูป (Plastic deformation or strain) เปนการ เปลี่ยนรูปที่เมือ่ เอา stress ออก วัสดุจะคงรูปรางตามที่ถูกเปลี่ยนไปนั้นโดย atom ที่เคลื่อนที่ไปแลว จะไมกลับไปตําแหนงเดิม วัสดุทุกชนิดจะมีพฤติกรรมการเปลี่ยนรูปทั้งสองชนิดนี้ขึ้นอยูก ับแรง หรือ stress ที่มา กระทํามีมากนอยเพียงใด หากมีไมมากไมเกินพิกัดการคืนรูป (Elastic limit) แลว วัสดุนั้นก็จะมี พฤติกรรมแบบคืนรูป (Elastic Behavior) แตถา stress เกินกวา Elastic limit แลว วัสดุก็จะเกิด การเปลี่ยนรูปแบบถาวร (Plastic deformation) นั่นก็คอื วัสดุมีพฤติกรรมการเปลี่ยนรูปแบบคงรูป (Plastic behavior) นอกจาก strain ทั้ง 2 ชนิดนี้แลว ยังมี strain อีกประเภทหนึ่งซึ่งพบในวัสดุประเภท polymers เชน plastics เรียกวา Viscoelasticity strain จะมีลักษณะที่เมื่อเอา stress ออก วัสดุ จะมีการคืนรูป แตจะไมกลับไปจนมีลักษณะเหมือนเดิม ความแข็งแรง (Tensile strength)
ความแข็งแรงเปนคุณสมบัติของโลหะที่พิจารณาจากความสามารถในดานตานทานแรงที่มา กระทําหรือ ก็คือ ความแข็งแรงของโลหะ ซึ่งหาไดจากการทดสอบดวยเครื่องทดสอบ (Testing Machine) คาความแข็งแรงนี้วัดเปนแรงทีร่ ับไดตอ 1 หนวยพื้นที่ การพิจารณาความแข็งแรงของโลหะ เมื่อโลหะถูกแรงภายนอกกระทําใหเกิดการ เปลี่ยนแปลงรูปราง อะตอมตาง ๆ ที่ประกอบกันขึน้ เปนโลหะนัน้ จะถูกบีบหรือดึงใหเคลื่อนที่ เปลี่ยนไปจากตําแหนงเดิมซึง่ จะทําใหเกิดแรงภายในเนือ้ โลหะ (Internal Forces) ที่พยายามจะตาน แรงภายนอก เพื่อใหอะตอมของโลหะคงอยูในตําแหนงเดิมแรงภายในทีพ่ ยายามตานทานการเปลี่ยน รูป (Deformation) นี้เรียกวา Stress ซึ่งวัดเปนแรงตอ 1 หนวยพืน้ ที่ คา Stress ที่ไดนี้จะเปน
109
เครื่องชี้ความแข็งแรง (Strength) ของโลหะนั้น ๆ และเพื่อสะดวกในการพิจารณาหาคา จากแรง ภายนอกที่มากระทําแทนแรงตานภายในซึง่ จะมีคาเทากัน ความเหนียว (Ductility)
คือ คุณสมบัติที่วัดความสามารถในการยืดตัวของโลหะ คาของ Ductility คิดเปน เปอรเซ็นตของการยืดตัว (Percentage Elongation) โดยทดสอบจากชิน้ ทดสอบ (Specimen)
จากการทดสอบ ถาโลหะใดมีคา Percentage Elongation สูง แสดงวาโลหะนัน้ มี ความสามารถในการยืดตัว (Ductility) สูง ซึ่งจะเหมาะสําหรับงานดัดโคง ขึ้นรูป และสามารถดึง เปนเสนลวดไดดี หมายเหตุ : คา Strain ที่ไดจากการทดสอบ จะเปนเครื่องชี้ความเหนียว (Ductility) ของโลหะ นั้น ๆ คือโลหะใดมีคา Strain สูง จะนับวาโลหะนั้นมีความเหนียวสูง
110
ความยืดหยุน (Elasticity)
ความยืดหยุน คือ คุณสมบัติของโลหะที่สามารถคืนสูสภาพเดิมไดหลังจากปลอยแรงที่ กระทํา ซึ่งเกิดขึ้นไดดังนี้ เนื่องจากวาเมื่อมีแรงภายนอกมากระทํากับวัตถุ อะตอมของวัตถุนั้นจะ เปลี่ยนตําแหนงไปจากเดิม แตถาเอาแรงที่กระทําออก อะตอมก็จะเลื่อนกลับมาอยูในตําแหนงเดิม ทําใหวตั ถุคงรูปเดิมอยูได (Elastic deformation) ขนาดของ Elasticity เทียบจากขนาดของแรงที่โลหะนั้น ๆ รับได เชน โลหะทีร่ ับแรง ไดมากกวาและสามารถคืนสูสภาพเดิมได หลังจากปลอยแรงที่กระทํา เรียกวา โลหะนี้มีคณ ุ สมบัติ Elasticity สูงกวา ความสัมพันธระหวาง stress กับ strain (Stress - Strain Relationship) ในการแสดงความสัมพันธระหวาง stress และ strain เราจะใช stress - strain curve ซึ่งได จากการทดสอบแรงดึง (Tensile test) เปนหลักโดยจะ plot คาของ stress ในแกนตั้ง และ strain ในแกนนอน ดังรูป 7 -14 การทดสอบแรงดึง นอกจากจะใหความสัมพันธระหวาง stress - strain แลว ยังจะแสดงความสามารถในการรับแรงดึงของวัสดุ (Tensile strength), ความเปราะ (Brittleness) เหนียวของวัสดุ (Ductility) และบางครั้งอาจใชบอกความสามารถในการขึ้นรูปของ วัสดุ (Formability) ไดอีกดวย
111
Fig. 7 – 14 The regions of applicubility of the relation used to calculate plastic deformation of metals subjected to a tension test. The amount of elastic strain shown is greatly exaggerrated . การทดสอบแรงดึง (Tension test)
112
วิธีการ เราจะนําตัวอยางทีจ่ ะทดสอบมาดึงดวยแรง tension อยางชา ๆ แลวบันทึกคาของ stress และ strain ที่เกิดขึน้ ไว แลวมา plot เปน curve ดังรูป ขนาด และรูปรางของชิ้นทดสอบ มีตาง ๆ กัน ขึ้นอยูกับชนิดของวัสดุนั้น ๆ มาตรฐานตาง ๆ เชน ASTM (American Society of Testing Materials), BS (British Standards), JIS (Japanese Industrial Standards) หรือแมแต มอก. (มาตรฐานผลิตภัณฑอตุ สาหกรรมไทย) ไดกําหนดขนาดและรูปรางของชิ้นทดสอบไว ทั้งนี้ เพื่อใหผลของการทดสอบเชื่อถือได พรอมกับกําหนดความเร็วในการเพิ่ม load เอาไวดว ย
113
จากการศึกษา stress – strain curve (รูป 2.4) เราพบวา เมื่อเราเริ่มดึงชิ้นทดสอบอยางชา ๆ ชิ้นทดสอบจะคอย ๆ ยืดออกจนถึงจุดจุดหนึ่ง (จุด A) ซึ่งในชวงนี้ความสัมพันธระหวาง stress - strain จะเปนสัดสวนคงที่ ทําใหเราไดกราฟที่เปนเสนตรง ตามกฎของฮุค (Hook’s law) ซึ่งกลาววา stress เปนสัดสวนโดยตรงกับ strain จุด A นี้เรียกวา proportional limit และภายใตproportional limit นี้ วัสดุจะแสดงพฤติกรรมการคืนรูป (Elastic behavior) นั่นคือ เมื่อปลอย load ชิ้นทดสอบจะ กลับไปมีขนาดเทาเดิม เมื่อเราเพิ่ม stress ตอไปจาก proportional limit เสนกราฟจะคอย ๆ โคงออกจากเสนตรง วัสดุหลายชนิดจะยังคงแสดงพฤติกรรมการคืนรูปไดอีกเล็กนอย จนถึงจุด ๆ หนึ่ง (จุด B) เรียกวา
114
Elastic limit ซึ่งจุดนี้จะเปนจุดกําหนดคา stress สูงสุดที่จะไมทําใหเกิดการแปรรูปคงที่ (Permanent deformation or set) กับวัสดุนั้น เมื่อผานจุดนี้ไปแลว วัสดุจะมีการเปลี่ยนรูปอยางถาวร (Plastic deformation) ลักษณะการเริ่มตนของ plastic strain นี้ เปลี่ยนแปลงไปตามชนิดของวัสดุในโลหะ หลายชนิด เชน พวกเหล็กกลาคารบอนต่ํา (Low carbon steel) จะเกิดการ deform อยางรวดเร็ว โดยไมมีการเพิ่มของ stress (บางครั้งอาจจะลดลงก็ม)ี ที่จุด C ซึ่งเปนจุดที่เกิด plastic yielding จุด C นี้ เรียกวา Yield point และคาของ stress ที่จุดนีเ้ รียกวา Yield stress หรือ Yield strength คา Yield strength นี้ มีประโยชนกับวิศวกรมาก เพราะเปนจุดแบงระหวางพฤติกรรม การคืนรูปกับพฤติกรรมการคงรูป และในกรณีของโลหะจะเปนคา strength สูงสุดที่เราคงใช ประโยชนไดไมเกิดการเสียหาย
วัสดุหลายชนิด เชน Aluminium, Copper จะไมแสดงจุด Yield point อยางชัดเจน แต เราก็มีวิธีที่จะหามันไดโดยกําหนด strain ที่ 0.10 ถึง 0.20% ของความยาวกําหนดเดิม (original gauge length) แลวลากเสนขนานกับกราฟ ชวงแรกไปจนตัดเสนกราฟ ดังรูป 7-13 คา stress ที่ จุดตัดนีจ้ ะนํามาไวแทนคา yield stress ได stress ที่จุดนี้ บางครั้งเรียกวา proof stress หรือ stress ที่ 0.1 หรือ 0.2% offset
115
Fig. 6-2. Typical conventional stress-strain diagrams.
หลังจากจุด yield point วัสดุจะ deform อยาง plastic stress จะคอยเพิ่มอยางชา ๆ หรืออาจจะคงที่ จนถึงจุดสูงสุด (จุด D) คา stress ที่จุดนีเ้ รียกวา Ultimate strength หรือ Tensile strength ซึ่งเปนคา stress สูงสุดที่วัสดุจะทนไดกอนทีม่ ันจะขาดหรือแตกออกจากกัน (Fracture) เนือ่ งจากวัสดุหลายชนิดสามารถ deform อยาง plasti cไดมาก ๆ คา Ultimate strength นี้ สามารถเอามาใชคํานวณใชงานได นอกจากนี้คานี้ยงั ใชเปนเครื่องเปรียบเทียบคุณสมบัติของวัสดุ ไดดว ย
116
ที่จุดสุดทาย (จุด E) ของกราฟ เปนจุดที่วัสดุเกิดการแตกหรือขาดออกจากกัน (fracture) สําหรับโลหะบางชนิด เชน Low carbon steel หรือ ductile metals คา stress นี้ (Rupture strength) จะต่ํากวา Ultimate strength เพราะเมื่อเลยจุด D ไป พื้นที่ภาคตัดขวางของตัวอยาง ทดสอบลดลง ทําใหพื้นทีจ่ ะตานทานแรงดึงลดลงดวย คาของ stress จึงลดลง สวนโลหะอืน่ ๆ เชน โลหะทีผ่ านการขึ้นรูปเย็น (Cold work) มาแลว มันจะ fracture ที่จุด Ultimate strength โดยไมมีการลด cross - sectional area ดังรูป 13-2.1 a ทํานองเดียวกับพวกวัสดุเปราะ (Brittle materials) เชน ceramic ที่มีการ deform อยาง plastic นอยมาก หรือไมมีเลย สวนกรณี ของ plastic จะเกิด fracture โดยที่ตองการ stress สูงขึ้น ดังรูป 13-2.1 b
Figure 13 - 2.1 Fracture. (a) Brittle fracture involves little or no plastic deformation. (b) Ductile fracture requires energy for plastic deformation. Tougnness, the energy requirement, is equal to the area under the s-e curve.
117
Fig. 3-6. Typical tensile stress- strain diagrams.
118
Stress-strain curve นี้ นอกจากจะใชบอกคา yield strength, Ultimate strength และ rupture strength แลว ยังจะใชบอกคาตาง ๆ ไดอีก ดังนี้คือ 1. Ductility (ความเหนียว) คาที่ใชวัดจะบอกเปน Percentage Elongation และ Reduction of Area โดยที่
119
Percentage Elongation (El %) =
Lf - Lo x 100 % Lo เมื่อ Lf = ความยาวของเกจหลังจากดึงจนขาด Lo = ความยาวเกจเริ่มตน Reduction of Area = Ao - Af x 100% Ao เมื่อ Ao = พื้นที่หนาตัดกอนดึง Af = พื้นที่หนาตัดหลังจากดึงจนขาด ในทางปฏิบัติเรามักใชคา El % มากกวา เพราะสะดวกในการวัด Ductility ของ วัสดุนี้จะเปนตัวบอกความสามารถในการขึ้นรูปของมัน คือถาวัสดุมี Ductility สูง (El % สูง) ก็ สามารถนําไปขึ้นรูป เชน รีด, ตีขึ้นรูป, ดึงเปนลวด ฯลฯ ไดงาย แตถามี Ductility ต่ํา (เปราะ = brittle) ก็จะนําไปขึ้นรูปยาก หรือทําไมได เปนตน 2. Modulus of Elasticity or Stiffness ภายใต proportional limit ซึ่งวัสดุมีพฤติกรรม เปน elastic อัตราสวนระหวาง stress ตอ strain จะเทากับคาคงที่ คาคงที่นี้เรียกวา Modulus of elasticity (E) หรือ Young’s modulus
Figure 2-11. Effect of modulus of elasticity on elastic deflection. All beams have the same length and cross section.
120
คา E ของวัสดุแตละชนิดจะมีคาเฉลี่ยคงที่ และเปนตัวบอกความสามารถคงรูป (Stiffness, Rigidity) ของวัสดุ นั่นคือ ถา E มีคาสูง วัสดุจะ deform อยาง elastic ไดนอย แตถา E ต่ํา มันก็จะ deform อยาง elastic ไดมาก คา E นี้ มีประโยชนมากสําหรับงานออกแบบวัสดุที่ตอง รับแรงตาง ๆ ตารางที่ 2.1 จะแสดงตัวอยางคา E ของวัสดุตาง ๆ ไว ตารางที่ 2.1 ตัวอยางคาคงที่ E ของวัสดุชนิดตาง ๆ Modulus of elasticity วัสดุ Aluminium alloy…………………………. Copper…………………………………….. Steel (plain carbon and low alloy) Stainless Steel (18/8)…………………… Titanium…………………………………… Tungsten…………………………………..
6
10 psi 10.5 16.0 29.0 28.0 17.0 58.0
121
การคํานวณ (Calculation)
ความคืบ (Creep)
122
Figure 2 – 21. Creep testing of metals.
วัสดุสวนใหญเมื่ออยูภายใตแรงที่มากระทํา แมวาจะต่ํากวา elastic limit หากทิ้งไวนาน ๆ แลว ก็อาจเกิดการ deform อยาง plastic ได ทั้งนี้ขึ้นอยูกับอุณหภูมิที่ใชดว ย ปรากฏการณเชนนี้ เราเรียกวา creep ปริมาณของ creep ที่เกิดจะขึน้ อยูกับชนิดของวัสดุ, ประมาณของ stress อุณหภูมิและเวลา หากเราให condition ที่เหมาะสมและมีเวลาเพียงพอ creep จะเกิดขึ้นไปไดจนครบ 3 stage ดังที่แสดงในรูป 7- 22
Fig. 7 - 22. Typical creep behavior showing the relation of the useful portion of a creep curve to the eventual fracture of the alloy.
เมื่อเราให load คงที่ จะเกิด strain (OA) ขึ้นทันที ซึ่งคา strain OA นี้ ขึ้นอยูก ับชนิด ของวัสดุ และ condition ที่ให (ปริมาณของ stress, อุณหภูมิ) และมันจะมีความสัมพันธกับคา Modulus of elasticity ของวัสดุนั้น ๆ หลังจากนัน้ วัสดุก็จะเริ่มเกิด creep ใน stage ที่ 1 ซึ่งอัตราการ เกิด strain จะคอย ๆ ลดลง (A B) ใน stage ที่ 2 (B C) strain rate จะคงที่ จากนั้นเมื่อถึง stage ที่ 3 (C D) strain rate จะเพิ่มขึน้ อยางรวดเร็วจนวัสดุขาดหรือแตกออกจากกันที่จุด D
123
ความแกรง (Toughness)
ความสามารถของวัสดุที่จะดูดซึมพลังงานไวไดโดยไมเกิด rupture เรียกวา Toughness ซึ่ง มีความสัมพันธกับคุณสมบัติดาน strength และ ductility ของมัน โดยกําหนดวา Modulus of toughness เทากับ พื้นทีภ่ ายใต stress – strain curve ที่ไดจากการทดสอบ tensile ดังรูปที่ 2.9 คา Modulus of toughness นี้ จะแสดงถึงงานตอหนวยปริมาตรของวัสดุที่ตองการที่จะทําใหเกิด rupture ดวย ขอกําหนดนี้จะแสดงใหเห็นถึงขอแตกตางระหวาง ductile materials และ brittle material ดวย stress-strain curve ดังรูป 2.9 A และ B
124
รูป 2.9 จาก Stress-Strain Diagram จะเห็นวาพืน้ ที่ใต Curve ซึ่งไดจากผลคูณของ Stress กับ Strain ของ Ductile Material มีเนื้อที่มากกวาของ Brittle Material แสดงวา Ductile Material สามารถ Absorb Enery ไดมากกวา ขอสังเกต จาก Stress-Strain Diagram สูงกวา ถาพิจารณาถึง Toughness โลหะตามรูป A จะมีคา Toughness สูงกวา ถาพิจารณาถึง Strength โลหะตามรูป B จะมีคา Strength สูงกวา การวัดคา toughness ที่แนนอนเปนเรื่องคอนขางยาก จึงไดมีผูกําหนดวิธีการทดสอบที่เรียกวา Impact test (การทดสอบแรงกระแทก) วัดคา Impact strength หรือ Impact toughness ซึ่งเปนการวัดประมาณของพลังงานที่วัสดุ จะดูดซึมไวไ ด เมื่อไดรับแรงจากกระแทก (dynamic Impact force) จนหัก วิธีการทดสอบมีอยู 2 ชนิด คือ Charpy Impact test และ Izod Impact test เครื่องมือทดสอบทั้ง 2 ชนิดนี้แสดงไวในรูปที่ 2.10
125
วิธีการทดสอบของทั้ง 2 ชนิดนี้ คลายกัน คือจะวางชิ้นทดสอบไวรับแรงกระแทกจากการ เหวีย่ งของลูกตุมที่น้ําหนักคาหนึ่ง พลังงานนี้ขึ้นอยูก บั มวลของลูกตุม และความเร็วของมันขณะ กระแทกจุดกระแทกจะเปนจุดต่ําสุดของการเหวีย่ ง ซึ่งลูกตุมมีความเร็วมากที่สุด เมื่อลูกตุมกระทบ ชิ้นทดสอบลูกตุมจะเสียพลังงานไปจํานวนหนึ่งในการจะทําใหชิ้นทดสอบหัก พลังงานที่เสียไปนี้ก็ คือคา Impact strength นั่นเอง มีหนวยเปน ft - lb ชิ้นทดสอบจะเปนแทงยาวมีพื้นที่ภาคตัดขวางเปนสี่เหลี่ยมจตุรัส และมีรอยบากอยูตรงกลาง รอยบากนี้จะทําเปนรูปตัว V, U หรือรูปรูกุญแจ ขึ้นอยูก ับชนิดของวัสดุ ซึ่งมีมาตรฐานกําหนดไว ขอแตกตางระหวาง Charpy และ Izod ก็คือ การวางชิ้นทดสอบ Charpy test จะวาง ชิ้นทดสอบไวในแนวระดับ ใหลูกตุมตกกระแทกทีด่ านตรงขามกับรอยบาก สวน Izod จะวางชิ้น ทดสอบไวในแนวตั้ง และใหลูกตุมกระแทกกับดานที่มรี อยบาก
126
อุณหภูมิมีผลตอ toughness อยางมาก วัสดุที่เปน ductile material อาจจะเปลีย่ นเปน brittle materials ได เมื่ออุณหภูมิต่ําลง ถาเรานําคา Impact Energy มา plot กับอุณหภูมิ เราจะ พบวามีอุณหภูมิอยูชวงหนึ่งซึ่งคาของ Impact Energy เพิ่มขึ้นอยางรวดเร็ว ดังรูป 2.11 คา อุณหภูมิในชวงนี้เรียกวา Impact transition temperature, Impact transition temp. นี้ เปนอุณหภูมิ ที่เกิดการเปลีย่ นแปลงจาก ductile มาเปน brittle คือชวงที่มีคา Energy สูง จะเปน ductile และ ชวงที่มีคาต่ําจะเปน brittle
คา Impact energy จะไมนํามาใชโดยตรงในการออกแบบ แตมันมีประโยชนทจี่ ะใชเปน แนวทางในการประเมินคุณสมบัติของวัสดุ เมื่อใชงานที่อุณหภูมิต่ํา โดยเฉพาะพวกเหล็กทีม่ ีคา I.T.T. (Impact Transition Temperature) อยูใกลกับอุณหภูมิหอง
127
128
ความลา (Fatigue)
Figure 2-20. Use of an S-N curve to establish fatigue strength.
เมื่อวัสดุถูกแรงซึ่งต่ํากวาคา Ultimate strength มากระทํากลับไปกลับมาซ้ํา ๆ กัน ก็อาจจะ เกิด fracture ขึ้นได เนื่องจากเกิดความลา หรือ fatigue ขึ้น การเกิดการลาของวัสดุนี้ เปนสาเหตุใหญ ของการเสียหายของชิ้นสวนเครื่องจักรตาง ๆ เพราะตลอดอายุงานของเครื่องจักร เชน เครื่องยนต switch relay ฯลฯ จะตองไดรับ stress สลับไปสลับมาเปนลาน ๆ ครั้ง ทําใหเกิดการลาขึ้นใน ชิ้นสวนตาง ๆ ของมันได ขบวนการเกิด fatigue ที่แทจริงยังไมเปนที่เขาใจดีนัก แตจากการศึกษา พบวา fatigue จะเกิดเปน 2 ระยะ คือ ระยะแรกจะเกิด cracks ขึ้น เมือ่ มี stress concentration ใน
129
บริเวณนั้น และใน stage ที่สอง เมื่อมี stress มากระทําซ้ําไปซ้ํามา cracks นี้ ก็จะโตขึ้นเรื่อย ๆ จน cross-sectional area ของวัสดุลดลง จนกระทั่ง stress ตอ unit area สูงกวาคา ultimate strength วัสดุก็จะแตกจากกัน ดังรูป
ถาเรากําหนดจํานวนรอบของ stress ที่ทําซ้ําไปซ้ํามาแลว (โดยปกติจะใชที่คา 106 รอบ) คา stress ที่จะทําใหวัสดุ fracture ไดที่รอบนั้น ๆ เราเรียกวา fatique strength สําหรับโลหะ โดยเฉพาะพวกเหล็ก จะมีคา stress อยูคาหนึ่ง ซึ่งถาใช stress ต่ํากวานี้แลว ไมวาจํานวนรอบจะเปน เทาใด วัสดุจะไมแตกออก คา stress นี้เรียกวา Endurance limit การทดสอบความลามีอยูหลายวิธี แตโดยหลักการจะเหมือนกันคือ จะให stress เปน cycle กับชิ้นทดสอบ โดยใช stress คาตาง ๆ แลวบันทึกจํานวนรอบ (cycle) ที่วัสดุจะทนไดไว จากนั้นนํามา plet เปนกราฟไดดังรูป 2.12 เรียกวา S - N curve สําหรับพวกโลหะเหล็กเกือบทั้งหมดและโลหะที่ไมใชเหล็กบางชนิด จะมี Endurance limit ดังรูป (a) สวนพวกโพลิเมอรและโลหะที่ไมใชเหล็กหลายชนิดจะไมมี Endurance limit ดังรูป (b) สําหรับโลหะที่มี Endurance limit Endurance limit จะมีความสัมพันธกับคา Ultimate strength สวน โลหะผสมทองแดงจะอยูประมาณ 25 – 50 % ของ Ultimate strength
130
ความแข็ง ( Hardness)
ความแข็ง เปนความตานทานการเจาะทะลุ ( Penetration ) หรือการเสียดสี (Abrasion) ของ วัสดุ ความแข็งของวัสดุเกีย่ วพันกับการจับตัวของ atom และ molecule ภายในเนือ้ วัสดุ เชนเดียวกัน กับ strength ดังนั้น ความแข็งมักจะเพิ่มเมือ่ วัสดุมี strength สูงขึ้น นั่นคือพวกโลหะ และ ceramics จะ แข็งกวาพวกโพลิเมอร
131
การวัดความแข็งมีอยูหลายวิธี แตที่ใชกันมาก คือ 1.) การวัดความแข็งแบบบริเนล (Brinell hardness test ) 2.) การวัดความแข็งแบบวิคเกอร (Vickers hardness test ) 3.) การวัดความแข็งแบบร็อคเวล (Rockwell hardness test ) 4.) การวัดความแข็งแบบชอร ( Shore or Scleroscope test ) เครื่องวัดความแข็งของโลหะเกิดขึ้นจากในครัง้ แรกมนุษยเรา ทดลองเอาวัตถุ 2 ชนิด มา เสียดสีกัน ระหวางการเสียดสีอยูนนั้ วัตถุที่มีความแข็งมากกวาก็จะเสียดสีผิวของวัตถุที่ออนกวาให เปนรอยหรือหลุดออกมา จึงทําใหมีการทดลองกันเรื่อยมา จนกระทัง่ ไดหาวัตถุที่แข็งที่สุดได คือ เพชร นั่นเองเมื่อไดเพชรเปนวัตถุที่แข็งที่สุดแลว ก็ใชเพชรนั้นเปนมาตรฐานของความแข็งและใช เพชรเปนหัวกด (Indentor ) สําหรับเครื่องวัดตาง ๆ และระบบการวัดความแข็งแบบเสียดสีนั้นเรียก ระบบ Mohs และเปนจุดเริ่มการสรางเครื่องทดสอบความแข็งแบบตาง ๆ ดังตาราง
132
133
1. การวัดความแข็งแบบบริเนล ( Brinell hardness test )
Fig.223 Diagram of the Brinell hardness test การทดสอบความแข็งตามวิธีบริเนล (Brinell) นี้ วิศวกรชาวสวีเดน J.A.Brinell ไดนํามาใช กอน ตั้งแตป ค.ศ.1849 โดยเริ่มมาเปนสูตรดังนี้ : ความแข็งตามบริเนล HB = F/A …………………..(1) โดย F = แรงที่ใชทดสอบเปน kp ทําเปน N ได 0.102 N เพราะวา 1 kp = 9.81 N A = พื้นที่ของรอยกดเปน mm2 แทนคาลงในสมการ (1) จะได AB = 0.102 F/A ……(2) A = π .D.h. ………………………………… (3) จากรูป เสนประใช ท.บ.29 (เรขาคณิต) จะได ; 2
2
⎛D ⎞ ⎛D⎞ ⎛d ⎞ ⎜ ⎟ = ⎜ ⎟ + ⎜ − h⎟ ⎝2 ⎠ ⎝2⎠ ⎝2⎠ ⎛D ⎞ ⎜ − h⎟ ⎝2 ⎠ D −h 2
h
2
=
2
⎛D⎞ ⎛d ⎞ ⎜ ⎟ −⎜ ⎟ ⎝ 2 ⎠ ⎝2⎠ 2
2
2
=
⎛D⎞ ⎛d ⎞ ⎜ ⎟ −⎜ ⎟ ⎝ 2 ⎠ ⎝2⎠
=
D − D2 − d 2 2
เอาคา h แทนใน (3) ได : ⎛
A = π.D. ⎜⎜ D − ⎝
D2 − d 2 2
⎞ ⎟ ⎟ ⎠
2
134
แลวแทนใน (2) จะได ; AB =
0.102(2 F )
(
π .D D − D 2 − d 2
)
ขนาดเสนผาศูนยกลาง D ของลูกบอลเหล็กมีขนาดมาตรฐานคือ 10, 5, 2.5 หรือ 1 มม. การเลือก แรงกดทดสอบตองใหมากพอที่จะเกิดเปนรอยบุม เสนผาศูนยกลาง d = 0.2 x D …0.7 ; D. ทั้งนี้ เพื่อใหไดคาทีแ่ นนอน ในการที่จะปรับคาแรงกดทดสอบใหไดแมนยําใหไดผล จะสามารถทําการเปรียบเทียบผล การทดสอบไดนั้น จะตองมีคา Degree of loading ที่มาตรฐาน คือ 30 , 10 , 5, 2.5 , 1.25 คาความแข็งจะสามารถเปรียบเทียบได เมือ่ ชิ้นทดสอบหลายชิ้นใหคา Degree of loading และเวลาทีใ่ ชกดทดสอบเหมือนกัน Degree of loading =
0.102 F D2
หนวยเปน N/mm2
เวลาที่ใชกดทดสอบนั้นขึ้นกับชนิดของวัสดุ ตัวอยาง สําหรับเหล็กกลา
F=
30 D 2 30 × 100 = 0.102 0.102
ใชลูกบอลเหล็ก ขนาดเสนผานศูนยกลาง D = 10 มม. คา Degree of loading ของเหล็กกลา = 30; F = 29420 N ในการทดสอบความแข็งตามวิธีบริเนลนี้ ผิวชิ้นงานทีจ่ ะทดสอบตองเรียบเปนมันเหมาะสําหรับวัสดุ ที่มีความออนเหนียว, ความหนาของชิ้นงานตองมีขนาดอยางนอยที่สุด 8 เทาของรอยที่ลูกบอลกด ลงไป สัญลักษณการอานคาความแข็งตามวิธีบริเนลมีสวนประกอบดังนี้ 150 HB 5 / 250 /30
คาความ แข็งแรง
อักษรยอของ วิธีการทดสอบ
ขนาดเสนผานศูนยกลาง ของลูกบอลเหล็ก
แรงกดทดสอบ คูณ 9.81 N
เวลาที่ใชแรงกด ทดสอบเปนวินาที
สําหรับเหล็กกลาไมประสมจะมีคาความสัมพันธระหวางคาความเคนแรงดึงกับความแข็งตามบริเนล ดังนี้ OB = 3.5 x HB หนวย N/ mm2
135
ตัวอยาง วิธีการอานสัญลักษณยอของการทดสอบความแข็งแบบบริเนล 350 HB = ความแข็งบริเนล 350 ใชลูกบอล ขนาดเสนผาศูนยกลาง 10 มม. แรงที่ใชกด 29420 N เวลาที่ใชกดแช 10 – 15 วินาที ตามปกติถาไมมีเลขอยูหลัง HB แสดงวาใชเกณฑทดสอบมาตรฐาน คือใชลูกบอลขนาดเสน ผานศูนยกลาง 10 มม. แรงที่ใชกด 29420 N เวลาที่ใชกดแช 10 – 15 วินาที 120 HB 5/250/30 = ความแข็งบริเนล 120 ใชลูกบอลขนาดเสนผานศูนยกลาง 5 มม. แรงที่ใชกด 2450 N เวลาที่ใชกดแช 30 วินาที 170 HB 2.5/62.5 = ความแข็งบริเนล 170 ใชลูกบอลลขนาดเสนผานศูนยกลาง 2.5 มม. แรงที่ ใชกด 613 N ( 62.5 x 9.81 N = 631 N ) ตารางที่ 5.4 : คาความแข็งที่วัดไดสําหรับวัสดุชนิดตาง ๆ กัน Degree of loading คาความแข็ง ที่วัดได HB ใชทดสอบ วัสดุ
30 67 ถึง450 N/ mm2 เหล็กและโลหะ ประสมที่มีความ เคนสูง เหล็กเหนียว , เหล็กกลา,เหล็ก เหนียวหลอ , เหล็กหลอเหนียว เหล็กหลอ, โลหะประสม ไททาเนียม, โลหะประสม นิเกิลและโคบอล ที่ทนความรอน
10 22 ถึง 315 N/mm2
5
2.5
11 ถึง 158 N/mm2
6 ถึง 78 N/mm2
1.25 3 ถึง 39 N/mm2
โลหะไมใชเหล็ก
โลหะเบา, โลหะประสม โลหะเหนียว ประสม,โลหะ ประสมที่หลอ ดวยการฉีด, ทองแดง, บรอนซ,นิเกิล
อลูมิเนียม- โลหะที่ใชทํา ตะกัว่ , บริสุทธิ์, รองเพลา ดีบุก, แมกนีเซียม, (Bearing) โลหะออน สังกะสี, ทองเหลือง หลอ
136
ในการทดสอบความแข็งตามบริเนลนี้ตองใชกลองขยายที่มีสเกลอานคาขนาดรอยบุม d1 , d2 เปน มม. แลวนําคํานวณดวยสูตร หรือนําอานคาจากตารางเปนคา HB โดยเทียบจากขนาดแรงทีใ่ ชกด ( N ) หรือ kp , ขนาดลูกบอลเหล็กที่ใชกดทดสอบ 2. การวัดความแข็งแบบวิคเกอร (Vickers hardness test )
จากรูปที่ 5.31 เพชรรูปปรามิดสี่เหลี่ยมใชทดสอบวัสดุทุกชนิดทีมีความแข็งนอยไปหามาก หรือทีมีความแข็งทุกชนิด (ยังสามารถใชทดสอบความแข็งชิ้นงานทีบ่ างมาก ๆ ได เชน ใบมีดโกน) แรงที่ใชกดจะเริ่มจาก 2 N – 1000N จากพื้นที่ที่ถูกกดเปนรอยและแรงที่ใชกดเขาจะเอามาคํานวณหา คาความแข็งจากสูตรที่พัฒนาโดยบริษัท Metropolitain – Vicker and Co.London. F 0.102 ⋅ F = A A
คาความแข็ง HV =
A = พ.ท.รอยกดบนชิ้นทดสอบ (mm2) คา sin 136° / 2 = a : h;h = 2
คา d =
d1 + d 2 2
a ……………(1) 2. sin 136 o / 2
sin 45° = a/d ; 1/ 2 = a/d a = d/ 2 ; a2 = d2 / 2 …………(2) A ของ
1 รูป =
A ของ
4 รูปใน
1 2
. a (ฐาน) h (ความสูงเอียง) จัตุรัส =
1 ⋅ 4 ⋅ a ⋅ h …….(3) 2
เอา (1) แทนใน (3) ; A =
a2 4⋅a⋅a = 2.2sin 136 o / 2 sin 136 o / 2
รูปที่ 5.31 การทดสอบความแข็งวิธีวิคเกอร
137
เมื่อเอา (2) แทนในสมการจะได ; A =
d2 d2 = 2 sin 136 o / 2 1.854
…………………….(4)
เอา (4) แทนในสูตร HV ได ; HV = HV =
d = A= F = d
≤
0.102 × 1.854 F d2
0.189 ⋅ F d2
หนวยเปน N/mm2
เสนทะแยงมุมเฉลียงของรอยกดเปน มม. = (d1+d2) / 2 พื้นที่รอยกดเปน มม2 แรงที่ใชกดเปน N แรงที่ใชกดนัน้ ขึ้นอยูกับความแข็งแรง และความหนาของชิ้นงานที่จะทดสอบโดย 0.67 ของความหนาของชิ้นงานที่จะทดสอบ คาความแข็ง HV สามารถเปรียบเทียบกับ HB ไดดังสูตรความสัมพันธดังนี้ : HB = 0.95 HV
การคํานวณพืน้ ที่รอยกดนั้นเขาสองขยายดูเสนรอยกดของเสนทะแยงมุมแลวดวยคาละเอียด ได ± 0.002 มม. สําหรับแรงที่ใชกดทดสอบจะเปนมาตรฐานที่ใชกันมาก คือ ตัง้ แต 49 N, 98 N, 196 N, 980 N การทดสอบวิธีนี้เหมาะกับเหล็กกลาชุบกลาชุบแข็งที่มีความลึกของผิวนอย , วัสดุทกุ ชนิดที่ บางมาก ๆ ไดเชน ใบมีดโกน ตัวอยางการอานสัญลักษณยอ ของการทดสอบความแข็งแบบวิคเกอร 640 HV 30 = ความแข็งตามวิคเกอร 640 ใชแรงกด 294 N ใชเวลากด 10 – 15 นาที 180 HV 50/30 = ความแข็งตามวิคเกอร 180 ใชแรงกด 490 N ใชเวลากด 30 วินาที ขอดีอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับการทดสอบความแข็งตามวิธีวคิ เกอร 1.) สามารถทําการทดสอบไดรวดเร็ว 2.) มีรอยกดบนชิน้ งานนอยที่สุด 3.) เหมาะสําหรับการทดสอบชิ้นงานสําเร็จรูปในขบวนการผลิตจํานวนมาก ๆ ได
138
3. การวัดความแข็งแบบร็อคเวล ( Rockwell hardness test )
139
c ความลึกของรอยจิก บนผิวงานดวยแรง กดนํา 10 kp
d ความลึกรอยจิก ที่มากที่สุด
1 ปรับใหอยูตาํ แหนงศูนย
2 ตรวจสอบ
คาความแข็งของรอคเวล
= 100 -
e = ความลึกรอยจิก เปน มม. e คาวัดจากนาฬิกา ที่เหลือเศษความลึก = HRC 3 วัดคา e 0.002
ในการทดสอบตามวิธีรอคเวล HRC จะใชเพชรรูปกรวยมีมุม 120 ° หรือตามรอคเวล HRB จะใชลูกบอลลเหล็กกลา เสนผาศูนยกลาง 1/6 “ ตามวิธี HRC จะใชทดสอบกับชิ้นงานที่เปนเหล็กกลา ชุบแข็งและตามวิธี HRB จะใชทดสอบกับเหล็กกลาไมชบุ แข็ง จากรูปขางบนขั้นแรก (ซายสุด) กดหัวเพชรบนชิ้นงานทดสอบดวยแรงกดนํา 10 kp.โดยได ความลึกเปนระยะ = c ตอจากนั้นเขาเขาจะตั้งเข็มนาฬิกาไปที่ศูนย ขั้นที่สอง (รูปกลาง) ใชแรงกดเพิ่มเขาไปอีก 140 kp รวมได 150 kp (แรงกดนํา + แรงกดเพิ่ม) ทําใหหวั เพชรกดเขาไปในชิน้ งานทดสอบได ความลึกเปนระยะ = d เข็มของนาฬิกาวัดจะหมุน ทวนเข็มนาฬิกาจาก 100 ไปยัง (ตัวอยางเชน) ราว ๆ 40 ขั้นที่สาม จะลดแรงกดเพิ่ม 140 kp ออกทําใหเหลือแรงกดนําเพียง 10 kp ดวยเหตุนี้ทาํ ใหเข็ม วัดของนาฬิกาถอยกลับจากราว ๆ 40 มายังราว ๆ 60 ตามตัวเลขที่กลาวมา ครั้งหลังนี้จะเปนคาความ แข็งของรอคเวล : HRC = 60 ในเครื่องทดสอบความแข็งสมัยใหมสามารถอานคาความแข็งรอคเวลที่นาฬิกาไดทันทีแตใน กรณีนี้ จะเอาคาความแข็งจากรอคเวลจากระยะความลึก e ของหัวเพชรตามสูตรคํานวณ (ขางบน) ความลึกรอยจิก e อนุญาตใหไดสูงสุดไมเกิน 1/10 ของชิ้นงานที่จะทดสอบ ดวยเหตุนี้ผิวงานชุบแข็ง บางทีชุบดวยแกสไนโตเจนจึงไมสามารถทําการทดสอบได ตัวอยางการอานสัญลักษณยอ : 45 HRC = ความแข็งตามรอคเวล 45 ตามวิธีรอคเวล C 80 HRB = ความแข็งตามรอคเวล 80 ตามวิธีรอคเวล B การทดสอบความแข็งวิธีรอคเวล โดยใชบอลเหล็ก (HRB) กระทําคลายวิธีใชเพชรรูปกรวย เพียงแตเปลี่ยนรูปกรวยรูปเพชรมาเปนลูกบอลเหล็กชุบแข็ง ใชแรงกดนํา 10 kg. แรงกดที่เพิ่มเติม 90 kg.
140
ตัวอยาง ตารางคาความแข็งของวัสดุตามรอคเวล ตารางที่ 5.5 วัสดุ ความแข็งตามรอคเวล kg/mm2 เหล็กกลาชุบแข็งดวยเปลวไฟ 54 เหล็กกลาเพิ่มคารบอน 62 เหล็กกลาไนโตร 68 ในการทดสอบโลหะไมใชเหล็กหรือพลาสติก, ฉนวนและปะเก็น เขาจะใชบอลเหล็กกลาขนาดเสน ผานศูนยกลาง 1/8”, 1/4” หรือ 1/2”, โดยขึ้นอยูกับความแข็งของวัสดุแตละชนิดแรงที่ใชทดสอบมี 588 N, 980 N, หรือ 1471 N เชนการทดสอบความแข็งของพลาสติกโดยวิธีทดสอบ HRL ใชบอล เหล็กขนาดเสนผานศูนยกลาง 1/4” แรงกดทดสอบ 588 N สําหรับวัสดุฉนวนและวัสดุปะเก็น ใชวิธี ทดสอบ NRR ใชลูกบอลเหล็กขนาดเสนผาศูนยกลาง 1/2” แรงกดทดสอบ 588 N สวนการทดสอบ ความแข็งตามวิธีรอคเวล HRA ใชทดสอบความแข็งของวัสดุที่แข็งมาก เชน วุลแฟรมคารไบด และ อื่น ๆ วิธีรอคเวล HRB ใชทดสอบวัสดุที่แข็งปานกลาง , เหล็กกลาไมชุบแข็ง , ทองเหลือง , บรอนซ วิธีรอคเวล HRC ใชทดสอบเหล็กกลาชุบแข็ง วิธีรอคเวล HRF ใชทดสอบเหล็กแผนที่ผานการรีดเย็น , ทองแดง, และทองเหลืองทีผ่ านการ อบมาแลว 4. การวัดความแข็งแบบชอร ( Shore or Scleroscope test )
รูปที่ 5.36 แสดงภาพการทดสอบความแข็งแบบกระแทกกระดอนกลับ
141
การวัดความแข็งของโลหะโดยวิธีนี้ นอกจากจะใชไดกับโลหะที่มีผิวหนาราบเรียบเหมือนกับ แบบอื่น ๆ แลว ยังเหมาะสําหรับวัดความแข็งของโลหะที่มีผิวโคงและโลหะที่มีขนาดใหญไดสะดวก กวาวิธีอื่น วิธีการวัดความแข็งของโลหะ มีดังนี้ (1) ใชตุมหนักประมาณ 2.6 กรัม ปกติทาํ ดวยกากเพชรเปนรูปลิ่มหัวมนใหตกจากระยะความ สูงที่กําหนดใหในเครื่องวัด ลงตามแนวดิง่ ตามทอแกวของเครื่อง ขาง ๆ ของทอแกวนี้มีมาตรเปน ขีด ๆ ใชแสดงคาความแข็งของโลหะแบบชอร ตุมจะกระทบบนผิวของโลหะที่ตองการวัดทีว่ างไว เบื้องลาง (2) ภายหลังการกระทบ ตุมนี้จะสะทอนกลับขึ้นในแนวดิ่ง อานตําแหนงความสูงทีส่ ุดที่ตุมนี้ สะทอนกลับขึ้นมาเปนครั้งแรก ซึ่งจะตรงกับคาบนมาตรที่แสดงความแข็ง ก็จะไดคาความแข็งของ โลหะในแบบชอร (Shore scleroscope hardness number ) ตามที่ตองการ สังเกตไดวา โลหะที่มีความแข็งมากตุมจะสะทอนกลับขึ้นไปไดสูง สวนโลหะที่มคี วามแข็ง นอย ตุมจะสะทอนกลับขึ้นไปไดไมสูงนัก เครื่องวัดความแข็งแบบชอรบางเครื่องมีหนาปดแสดงคาความแข็งแบบชอรติดอยูดว ยเข็มบน หนาปดจะหมุนบอกคาความแข็งโดยอาศัยกลไกจากการสะทอนกลับของลูกตุม เครื่องแบบนี้ใหความ สะดวกในการใชงานมาก เพราะไมตองคอยจับจองระดับที่ตุมสะทอนกลับเหมือนเครื่องวัดความแข็ง แบบชอรธรรมดาทั่วไป ขอควรระวังในการวัดความแข็งแบบชอร มีดังนี้ (1) ระหวางการทดสอบ ตองจัดใหเครื่องวัดอยูในแนวดิ่งจริงๆ และตลอดเวลาทั้งนี้โดยดูจาก ฟองอากาศที่ตดิ อยูกับตัวเครือ่ ง เพื่อใหการเคลื่อนที่ขึ้นลงในแนวดิง่ ของตุมเปนไปตามอิทธิพลของ แรงโนมถวงของโลกและพลังงานจลนของตุม ถาเครื่องวัดไมไดอยูในแนวดิ่ง ตุมจะเสียดสีกับทอแกว ทําใหสูญเสียพลังงานไปสวนหนึ่ง และทําใหระดับความสูงของการสะทอนกลับของตุมลดลงกวาที่ ควรจะเปน คาความแข็งของโลหะที่อานไดจึงต่ํากวาคาที่เปนจริง (2) ตองพยายามทําใหตุมตกกระทบผิวโลหะในลักษณะตั้งฉาก เพือ่ ตุมจะไดสะทอนกลับ ทิศทางเดิม ไมหักเหออกนอกทางในชวงแรกของการสะทอนกลับ ซึง่ จะทําใหอานคาความแข็งไดต่ํา เกินไป ถาผิวของโลหะที่ตองการวัดความแข็งเปนสวนโคงของวงกลม ปญหานี้จะไมเกิดขึ้นแตถาผิว โลหะโคงอยางไมเปนระเบียบจะเกิดปญหาขึ้น ทางแก (ถาทําได) คือตองลบรอยโคงนั้นใหราบเรียบ กอนทําการทดสอบหาความแข็ง (3) ถาตองการวัดความแข็งของโลหะชิ้นเดียวกันหลายครั้ง ตองเลื่อนตําแหนงของการวัด เปนตําแหนงใหมทุกครั้ง เพราะการที่ตุมกระแทกลงบนผิวโลหะ มันจะทําใหเกิดรอยบุมบนผิวโลหะ รอยบุมนี้ก็โตพอที่จะทําใหการวัดซ้ําตําแหนงเดิมเกิดความคลาดเคลื่อนได
142
(4) สําหรับโลหะที่มีขนาดเล็ก หรือมีขนาดบางมาก ๆ เชน ใบมีดโกน มวลของโลหะมีนอย เปนผลใหการถายเทพลังงานเมื่อตุมสะทอนกลับมีคานอย ทําใหอานคาไดไมถูกตอง ดังนั้นในการ ทดสอบความแข็งของโลหะจําพวกนี้ จะตองเลือกใชเครื่องวัดที่มีแทนรองรับชิ้นโลหะที่ตองการ ทดสอบ เพื่อเสริมใหโลหะมีมวลมากขึ้น สรุปการทดสอบผิวความแข็งดวยวิธีตาง ๆ ก) ในการทดสอบโดยใช ลู ก บอลล เ หล็ ก แบบใช ก ดบนชิ้ น ทดสอบจะอนุ ญ าตเฉพาะชิ้ น ทดสอบที่ทําดวยเหล็กกลาละมุนหรือโลหะไมใชเหล็ก (หามใชทดสอบกับเหล็กกลาที่ผานการชุบ แข็ง) ในกรณีที่ไมแนใจวาชิ้นทดสอบผานการชุบแข็งมาแลวหรือไม ใหทําการทดสอบโดยวิธีรอดเวล C หรือวิธีวิคเกอร ข) ในการทดสอบจะตองทดสอบชิ้นทดสอบใหเกิดรอย 2 ถึง 3 รอบ (เพื่อหาคาเฉลี่ย) โดย กรณีที่ทดสอบดวยวิธีบริเนลใหระยะหางของขอบรอยกดหางกันอยางนอยที่สุด 4 เทาของรอยบุม, กรณีที่ทดสอบดวยหัวเพชรใหระยะหางของรอยกดหางกันอยางนอยที่สุด 3 มม. ค) ในการทดสอบความแข็งตามวิธีบริเนล ใชเวลากดลูกบอลลเหล็กบนชิ้นทดสอบไมเกิน 30 วินาที
รูปที่ 5.33 การเปรียบเทียบคาความแข็งจากวิธีทดสอบตาง ๆ
143
144
145
146
5.2 คุณสมบัตทิ างความรอนของวัสดุ ในการใชงานวัสดุมักจะมีพลังงานความรอนเขามาเกี่ยวของเกือบเสมอพลังงานความรอนนี้ อาจจะมาจากสิ่งแวดลอมที่อยูนั้น หรืออาจเกิดจากการทํางานของมันเองก็ได นอกจากนี้ยังมีการใช งานวั ส ดุ ที่ต อ งใช ค วามร อ นมาเกี่ ย วข อ งด ว ย เชน การวัด เหล็ ก พลั ง งานความร อนนี้ ค งจะทํ า ให คุณสมบัติตาง ๆ ของวัสดุเปลี่ยนไป ดังนั้น เราจําเปนจะตองรูจักคุณสมบัติความรอนของวัสดุไวบาง เพื่อชวยใหการเลือกใชวัสดุไดถูกตองยิ่งขึ้น 1. Heat Resistance ความทนความรอน หมายถึง ความสามารถของวัสดุที่จะคงสภาพ และ คุณสมบัติเดิมไวเมื่อมีการเปลี่ยนอุณหภูมิ อุณหภูมิที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเราเรียกวา Transition หรือ transformation temp. (point) ในพวกโลหะอุณหภูมิหรือจุดเหลานี้มีความสําคัญมาก เพราะเปน จุดที่มีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของมัน เชน ความแข็ง สภาพการเปนแมเหล็ก ฯลฯ ซึ่งจะอธิบายให ชัดเจนยิ่งขึ้นในบทตอไปเรื่อง สิ่งที่สําคัญสําหรับการนําวัสดุใชงาน คือ อุณหภูมิที่จะใชงานจะตองต่ํากวาจุดหลอมเหลว หรือจุดออนตัว (Softening point) ของมัน ในกรณีของพวก crytalline materials (วัสดุที่มีโครงสราง เปนผลึก) จุดหลอมเหลวจะเห็นไดชัด เพราะจะมีการละลายตัวเกิดขึ้น แตในพวกโพลิเมอรจะไมเปน เชนนั้น มันจะเกิดการออนตัวขึ้นกอน (Softening) ซึ่งชวงอุณหภูมิในการออนตัวของมันจะกวางมาก และบางกรณีมันอาจจะเปลี่ยนสภาพ (decompose) ไปกอนที่มันจะละลายเสียอีก จุดออนตัวของ โพลิเมอร เชน พลาสติก จะเปนจุดสูงสุดที่มันจะใชงานได และใชเปนจุดบอกความทนความรอนของ มันวามีมากนอยเพียงใด สวนกรณีของโลหะเราจะใช transition point เปนตัวกําหนด และบางครั้ง อุณหภูมิที่ทําใหโลหะเกิด oxidation ขึ้นอยางมาก (แมวาจะไมเกิดการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติอยางอื่น) ก็เปนตัวกําหนดอุณหภูมิใชงานของมันดวย โดยสรุป เมื่อเราพูดถึงความทนความรอนของวัสดุก็จะ หมายถึงความทนทานของวัสดุตอการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโดยไมทําใหสภาพภายนอกและภายใน เปลี่ยนไปเกินกวาจะใชงานได 2. Thermal Conductivity and Emissivity ปกติความรอนจะไหลผานวัสดุจากอุณหภูมิสูงไป หาต่ํา และอัตราการไหลของมันเรียกวา Coefficient of thermal conductivity (K) คานี้กําหนดไววา เทากับปริมาณความรอน (เปน Btu) ที่ไหลผานวัสดุที่มีพนื้ ที่หนาตัด 1 ft2 หนา 1 นิ้ว ใน 1 ชม. โดยมี ความแตกตางความรอนระหวางสองหนา 1°F มีหนวยเปน Btu / ft2.hrOF.in จากนิยามเราจะได ความสัมพันธดังสมการ คือ Q
=
KA(t1 − t 2 ) L
147
เมื่อ Q K t1 t2 L A
= ปริมาณความรอนที่ไหลผานใน 1 ชั่วโมง ( Btu / hr ) = Coefficient of thermal conductivity Btu / ft2.hr.F°.in = อุณหภูมิดานที่รอนของวัสดุ ° F = อุณหภูมิดานที่เย็นของวัสดุ ° F = ความหนาของวัสดุ (in) = พื้นที่หนาตัดของวัสดุที่ความรอนไหลผาน ( ft2)
คา K จะเปลี่ยนไปตามชนิดของวัสดุและอุณหภูมิ ในพวกโลหะ คา K จะลดลงเมื่อ อุณหภูมิเพิ่มขึ้น สวนวัสดุอยางอื่นคา K จะสูงขึ้นเมื่อเพิ่มอุณหภูมิ การเลือกใชวัสดุเราจะตองคํานึงถึงการใชงาน ถาตองใชในระบบระบายความรอนของ เครื่องจักรเราจะเลือกวัสดุที่มีการนําความรอนที่ดี (K สูง) สวนกรณีที่ใชเปนฉนวนความรอนเพื่อจะ เก็บรักษาอุณหภูมิ เราจะเลือกใชวัสดุที่มีคา K ต่ํา ซึ่งไดแก พวกที่มีเนื้อเปนรูพรุน เพราะอากาศเปน ตัวนําความรอนที่เลว (พวก ceramic จะมีคุณสมบัติอยางนี้) การสงผานความรอนของวัสดุอาจจะไดดวยวิธีการแผรังสี (radiation) ความสามารถของ วัสดุที่จะ radiate ความรอนนี้เราเรียกวา Emissivity ซึ่งขึ้นอยูกับลักษณะผิวของวัสดุและอุณหภูมิ คา Emissivity จะเทากับปริมาณความรอนที่วัสดุจะ radiate ออกมาได ตอปริมาณความรอนที่ Ideal black body จะ radiate ออกมาไดที่อุณหภูมินั้น ๆ Ideal black body คือวัสดุที่จะดูดซึมความรอนที่มา กระทบไวไดโดยไมมีการสะทอน หรือสงผานออกไป 3. Thermal Stress and Expansion วัสดุจะขยายตัวเมื่อรอนและหดตัวเมื่อเย็น ถึงแมวาการขยายตัวจากความรอนนีจ้ ะไมมาก นัก ( ≈ 5 % ) แตมันก็ทําใหเกิด stress ขึ้นภายในเนื้อวัสดุได และถา stress นี้มีมากพอ (ชิ้นงานขนาด ใหญ) ก็อาจทําใหเกิดความเสียหายได โดยเฉพาะกับวัสดุพวก nonductile material ซึ่งไมสามารถ ปรับตัวไปตาม thermal stress ได เราใชคา thermal expansion coefficient เปนเครื่องบอกวาวัสดุจะขยายตัวมากหรือนอย เพียงใด เมื่ออุณหภูมสิ ูงขึ้น คานี้จะเทากับความยาวที่เพิ่มขึ้นตอความยาวเริ่มตนตอองศาอุณหภูมิมี หนวยเปน in / in / °F หรือ cm / cm / °C คา Thermal expansion coefficient นี้จะเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิและโดยปกติจะสูงขึ้นเมื่อ อุณหภูมิสูงขึ้น นอกจากนี้มนั ยังมีความสัมพันธกับคา specific heat และ melting point ของวัสดุดวย โดยทั่วไป plastic ซึ่งมี softening point ต่ํา จะมีคา coefficient of expansion สูงกวาของโลหะมาก
148
5.3 คุณสมบัตทิ างเคมีของวัสดุ สิ่งแวดลอมวัสดุที่กําลังทํางานมักจะมีผลทางเคมีกับวัสดุนั้น สิ่งแวดลอมนีอ้ าจจะเปน ของเหลว เชน สารเคมี, น้ํา, กาซ เชน oxygen, ของแข็ง หรือหลาย ๆ อยาง เปนตน ปฏิกิรยิ าทาง เคมีที่เกิดขึ้นกับวัสดุ เนื่องจากสิ่งแวดลอมเหลานี้เราเรียกวา corrosion ซึ่งมีผลทําใหเสียเนื้อวัสดุไป หรือเกิดความเสียหายกับวัสดุ หรืออาจจะทั้ง 2 อยาง นอกจากนี้มันอาจจะมีผลทําใหคุณสมบัติ บางอยางของวัสดุเปลี่ยนไป เชน wear resistance และ fatique strength ถาจะวัดปริมาณหรือทํานายการเกิด corrosion เปนเรื่องยาก เพราะปฏิกิริยาที่เกิดเกีย่ วของกับ สิ่งตาง ๆ มากมาย เชน สวนประกอบเคมีของ media , ลักษณะที่วัสดุ contact กับ Media (ทั้งหมดหรือ บางสวน, ตลอดเวลาหรือเปนบางขณะ) ระยะเวลาที่สัมผัสกับ media นั้นอุณหภูมิและลักษณะการ เคลื่อนไหวของ media อยางไรก็ตามไดมกี ารกําหนดวิธที ดสอบมาตรฐานไวบางพอสมควร ที่ใชกัน มากก็คือ การวัดน้ําหนักที่เปลี่ยนไปในชวงระยะเวลา (ปกติใช 1 ป) อีกวิธีหนึ่งก็ใชวัดความลึกจากผิว เดิมของวัสดุวา corrosion เกิดลงไปลึกเทาใด นอกจากนี้ในหองทดลองบางแหงจะใชวิธีวัดปริมาณ Oxygen ที่หายไป หรือ Hydrogen ที่เกิดขึ้นเนื่องจากปฏิกริ ิยา ขบวนการเกิด corrosion เปนเรื่องที่ยุงยากสับสนมาก ซึ่งยังไมมีการอธิบายไดอยางแจมแจง แตในทางปฏิบัติการเกิด corrosion แบงเปน 2 ลักษณะคือ 1. Chemical Corrosion เกิดขึ้นในลักษณะงายกวาอีกชนิดหนึ่ง กลาวคือมันจะเกิดเมื่อมีการ สัมผัสโดยตรงกับวัสดุกับของเหลวซึ่งตัวมันละลายไดบาง การเกิด corrosion ในพวก polymers จะ เปนลักษณะนีส้ วนใหญ ตัวอยางเชน พวก polymers สามารถละลายไดในพวกสารละลายอินทรีย (organic solvent ) 2. Electrochemical Corrosion Corrosion ลักษณะนีจ้ ะพบไดมากกวาโดยเฉพาะกับพวก โลหะ รูปที่ 2.13 แสดงใหเห็นการเกิด corrosion แบบนี้อยางงาย ๆ ของเหลวที่อยูลอมรอบโลหะจะทํา ตัวเปน electrolyte นั้นคือ เปนตัวนํากระแสไฟฟาระหวางบริเวณ 2 บริเวณที่มีความตางศักยไฟฟาตาง กับ 2 บริเวณนี้ อาจจะเปนโลหะคนละชนิด หรือวัสดุชนิดเดียวกันแตคนละสวน กระแสจะไหลและ นําวัสดุออกจาก anodic zone ซึ่งมีความตางศักยไฟฟาต่าํ กวา cathodic zone ที่บริเวณที่เปน cathodic จะไมเกิด corrosion ขึ้น การเกิด corrosion ในลักษณะนี้ ขึ้นอยูก ับธรรมชาติของ corrosion ซึ่งคงจะ เปน process ที่ดูดเอาออกซิเจนไป (oxygen – absorption process) หรือ process ที่ให H2 ก็ได (Hydrogen evolution process) กรณีที่เปน oxygen – absorption process, product ที่เกิดจากการ corrosion จะเปน deposite บน cathodic area เชน ในกรณีที่เหล็กเกิดสนิมขึ้นการจะเกิด cathodic และ anodic area ขึ้นในโลหะไดนนั้ มีอยู 3 กรณี คือ 1) Composition Couples เนื่องจาก 2 area มีโครงสรางหรือสวนประกอบทางเคมี ตางกัน ทีพ่ บบอยที่สุดก็คือโลหะตางชนิดกันมา contact กันมาโดยมีของเหลวหรือความชื้นอยูด วย เชน ใช screw หรือ bolt ทําดวยเหล็กไปขับเชื่อมแผน tinplate, screw เหล็กจะสึกไป เพราะเหล็กจะ
149
ทําตัวเปน Anodic ไดมีผูจดั เรียงชนิดของโลหะตามสภาพการเปน cathodic และ Anode สวนตัวลาง จะเปน cathode และถาใชโลหะที่ชื่อในตารางอยูหางกันมาก ๆ มา contact กันกับ Copper เอามาไว ติดกันในน้ํา Al จะสึกไป แตทองแดงจะยังเหมือนเดิม เปนตน Table 2.3 Galvanic Series of Some Commercial Metals and Alloys in Seawater Noble or Cathodic
Active or Anodic
Platinum Gold Grapthite Titanium
Silver Chlorimet 3 (62 Ni , 18 Cr , 18 Mo) Hastelloy C (62 Ni , 17 Cr , 15 Mo) 18 – 8 Mo stainless steel (passive) 18 – 8 stainless steel (passive) Chromium stainless steel 11 – 30 % Cr (passive) Inconel (passive) ( 80 Ni , 13 Cr , 7 Fe ) Nickel (passive) Silver solder Monel ( 70 Ni , 30 Cu ) Cupronickels ( 60 – 90 Cu , 40 – 10 Ni ) Bronzes ( Cu – Sn ) Copper Brasses ( Cu – Sn ) Chlorimet 2 ( 66 Ni , 32 Mo , 1 Fe) Hastelloy B ( 60 Ni , 30 Mo , 6 Fe , 1 Mn) Inconel ( active ) Nickel ( active ) Tin Lead Lead – tin solders 18 – 8 Mo stainless steel (active) 18 – 8 stainless steel , (active) Ni – Resist ( high Ni cast iron ) Chromium stainless steel , 13% Cr , (active) Cast iron Steel or iron 2024 aluminum ( 4.5 Cu , 1.5 Mg , 0.6 Mn ) Cadmium Commercially pure aluminum (1100) Zinc Magnesium and magnesium alloys
150
อีกตัวอยางหนึ่งที่เห็นไดชัดก็คือ กรณีการหายไปของ ในทองเหลืองบางชนิดที่มีการแยก phase ระหวางทองแดงและสังกะสี ซึ่งถา galvanic series ทั้ง 2 ตัวนี้อยูห างกันมาก เมือ่ alloy นี้ อยูใ น สิ่งแวดลอมที่เปนของเหลว สังกะสีจะ corrode หายไปทําให alloy เปนรูพรุนและออนไป Composition Coupling สามารถใชเปนเครื่องปองกันการเกิด corrosion ไดเรียกวา Cathodic protection โดยการนําเอาโลหะที่มีชื่ออยูสูงในตาราง galvanic series ( เชน Mg , Zn) ไปติด ไวกับโลหะตัวที่เราจะปองกันนั้น เชน ในการวางทอสงแกส, น้ํามัน อาจจะใช Mg หรือ Zn ฝงไวดวย เปนชวง ๆ เพื่อปองกันไมใหทอสึกไป 2) Stress Couple เกิดเนือ่ งจากบางบริเวณในโลหะชนิดเดียวกันนี้ internal stress สูงกวา บริเวณขางเคียง ซึ่ง stress นี้ อาจจะเกิดจากการเชื่อม หรือ โลหะสวนนัน้ ผานการแปรรูปเย็น (cold work ) มาแลว บริเวณนั้น ตัวอยางถาเรางอตะปูแลวทิ้งไวในน้ําบริเวณที่งอจะเกิดสนิมขึ้นกอน และจะ เปนมากกวาบริเวณอื่น นอกจากนี้บริเวณรอยตอของ grain ของโลหะ ซึ่งมี stress สูงจะ corrode ได งายกวาสวนกลางของ grain 3) Concentration couples เกิดเมื่อมี concentration ของ corrosive media ตางกัน พบบอยใน กรณีของ crevices เมื่อ media มี metal iron สูง (O2 นอย ) ทําใหบริเวณนั้นเปน anodio เมื่อเทียบกับ บริเวณอืน่ Oxidation วัสดุหลายชนิดรวมทั้งโลหะสวนใหญจะสามารถรวมตัวกับ O2 ในบรรยากาศไดในโลหะ oxidation จะเกิดขึ้นอยางรวดเร็วเมื่อถูกกับอากาศ จนกระทั่งเกิดเปน oxide film หรือสนิมขึ้นมา ปองกัน อัตราการเกิด oxidation ในโลหะขึ้นอยูกับความสามารถในการปองกันของ oxide film จะมี ลักษณะเปนรูพรุน (porous) ทําใหไมสามารถปองกันการเกิด oxidation ได หรือปองกันไดนอย แต ในขณะที่ oxide film ของ Al มีความหนาแนนมาก จึงปองกัน oxidation ไดอยางดี โดยทัว่ ไปอัตรา การเกิด oxidation ของโลหะจะลดลงเมื่อระยะเวลานานขึ้นแตจะเร็วขึน้ เมื่อเพิ่มอุณหภูมิ พลาสติกสวนใหญและยาง จะถูก oxidize ได เมื่อมี oxygen กรณีของยางการเกิด oxidation เรียกวา Aging ซึ่งมีปฏิกิริยาระหวาง O2 กับยางในชวงแรกจะทําให elasticity ลดลงแตความแข็งจะ เพิ่มขึ้น แตเมือ่ นานไปยางก็จะแปรสภาพทําให strength หายไป polymer สวนใหญจะเกิด Aging เชนเดียวกัน แตนอยกวาพวกยาง process การเกิดนี้ขึ้นกับ factor อื่น ๆ ดวย เชน ความรอน อุณหภูมิ ลักษณะของบรรยากาศ ฯลฯ Water absorption การดูดซึมน้ําเปนคุณสมบัตทิ ี่เกี่ยวของโดยตรงกับพวก polymer ซึ่งสวนใหญจะดูดซึมน้ําได โดยมีผลทําใหปริมาณและน้าํ หนักเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังทําใหมนั เกิดการโกงงอ,บวมและสูญเสีย คุณสมบัติทางกลและไฟฟาไป
151
Electrical Properties คุณสมบัติทางไฟฟาเกีย่ วของโดยตรงกับพฤติกรรมของวัสดุภายใตกระแสไฟฟฟา และโดย หลักการก็คือความสามารถในการสงผานกระแสไฟฟาของมัน Electrical Conductivity ( การนําไฟฟา ) ถาจะพิจารณาความสามารถในการนําไฟฟาของวัสดุ เราสามารถแบงวัสดุเปน 3 ชนิดดวยกัน คือ ตัวนํา, ฉนวน และ semiconductor แตในที่นี้เราจะกลาวถึงเฉพาะตัวนําและฉนวนเทานั้น เราจะพูดถึงการนําไฟฟาในรูปของความตานทานไฟฟาของมัน ซึ่งเปนความตานทานการ ไหลของกระแสไฟฟา ซึ่งกําหนดวาเปนความตานทานตอหนวยความยาวและหนวยพืน้ ที่คาความ ตานทานของโลหะจะบอกเปน ohm – centimetre หรือ ohm – ncl ในกรณีของโลหะมักจะบอกคาการ นําไฟฟาในรูปของ percent เทียบกับคาการนําไฟฟาของทองแดง ซึ่งสมมติใหเทากับ 100 คาความ ตานทานของทองแดงกําหนดโดย International Annealed Copper Standard (IACS) เทากับ 1.7241 microhm – cm ที่ 68 °F Insulation and Dielectric Properties ความสามารถในการปองกันการสงผานพลังงานไฟฟา หรือประจุไฟฟาเราเรียกวา dielectric strength , dielectric strength จะเปนเครือ่ งวัดคุณภาพความเปนฉนวนของวัสดุ ( insulation qualith) โดยที่มันเปนตัวบอกความสามารถของวัสดุที่จะทน electric stress ไดโดยไม breakdown คาของ breakdown electric stress จะบอกเปน voltage ตอหนวยความหนา (volts / mil) Dielectric constant เปนคาใชวัดความจุไฟฟาของวัสดุ ไมมีหนวยกรณีของฉนวนเราตองการ ใหมีคานี้ต่ํา สวนคาสูงใชเปนพวก capacitor Other Properties นอกจากคุณสมบัติสําคัญ ๆ ที่ไดกลาวมาแลว ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ ที่อาจจะตองนํามาพิจารณา เปนบางกรณีได ไดแก 1. Magnetic properties คุณสมบัติการเปนแมเหล็ก 2. ความทึบแสง เกี่ยวของกับพวก polymers เปนสวนใหญโดยเฉพาะพวกสีซึ่งเปนตัวบอก ความสามารถในการบังสีเดิมวาดีหรือไม 3. สีของวัสดุ บางครั้งนอกจากคุณสมบัติใชงานแลว เราอาจจะตองดูถึงความสวยงามในการ ใชดว ย
152
บทที่ 6 การเลือกใชพัสดุทางชาง 6.1 บทนํา พัสดุทางช า งประเภทโลหะที่ ใ ชอยูใ นกรมอูท หารเรือ แบ งออกไดเ ป น หลายประเภทตาม ลักษณะงาน เชน ลักษณะเปนแทง เปนแผน เปนทอ ฯลฯ การนําโลหะแตละชนิดไปใชงานนั้น โดย ปกติผูออกแบบจะเปนผูกําหนดคุณลักษณะเฉพาะของโลหะที่จะใช โดยคํานวณจากคุณสมบัติทางกล ของโลหะเปรี ย บเที ย บกั บ ภาระที่ โ ลหะนั้ น ต อ งการ แต ใ นบางครั้ ง แบบที่ อ อกมาไม ไ ด กํ า หนด คุ ณ ลั ก ษณะเฉพาะของโลหะที่ จ ะใช ง านเอาไว อ ย า งละเอี ย ด เช น อาจจะกํ า หนดเฉพาะว า เป น เหล็กกลา , เหล็กหลอ หรือทองเหลืองแตไมไดระบุออกไปวาจะตองเปนไปตามมาตรฐานอะไร เกรด อะไร ทําใหฝายผลิตหรือฝายซอมตองกําหนดคุณลักษณะเฉพาะของโลหะขึ้นเองจากประสบการณที่ ผานมา โดยดูจากใบสั่งงานเกา ๆ ที่มีลักษณะของงานคลานกัน ซึ่งอาจจะเปนสาเหตุใหมีการเลือกใช วัสดุที่ผิดประเภท ในบางครั้งเมื่อฝายผลิตเสนอความตองการพัสดุขึ้นไปยังฝายจัดหา (ศูนยพัสดุชาง กรมอูทหารเรือ) ฝายจัดการยังตองเปนผูกําหนดคุณลักษณะเฉพาะของโลหะนั้นเอง โดยถามขอมูล จากผูขายโดยผูขายแตละรายจะเสนอขายเฉพาะที่ตัวเองมี โดยใชชื่อทางการคาที่แตกตางกัน ซึ่งจะทํา ใหเกิดปญหาหลายประการ เชน ปญหาในการจัดเก็บโลหะ ปญหาในการจําแนกประเภทโลหะ รวม ไปถึงปญหาของการนําโลหะไปใชงาน กองควบคุมคุณภาพ กรมพัฒนาการชาง กรมอูทหารเรือ ( กคภ.กพช.อร.) ไดเล็งเห็นความสําคัญของปญหาดังกลาว จึงไดจัดทําคําแนะนําทางชางเกี่ยวกับการ เลือกใช, การเบิก และการจัดหาพัสดุขึ้น โดยมีจุดประสงคที่จะใหผูเกี่ยวของ ไดแก ฝายออกแบบ ฝายผลิต และซอม รวมทั้งฝายจัดหา ไดใชเปนคูมือในการเลือกใชพัสดุประเภทตาง ๆ ในการซอมหรือ สรางอุปกรณเครื่องมือกล เพื่อใหไดผลผลิตที่มีคุณภาพ 6.2 พัสดุทางชางประเภทโลหะและการนําไปใชงาน พัสดุทางชางประเภทโลหะที่กรมอูทหารเรือมีความจําเปนตองใชเพื่อปฏิบัติงานอยูเปนประจํา สามารถแบงออกเปน 2 ประเภท ไดแก 6.2.1 โลหะประเภทเหล็กขึ้นรูป (Wrought, Ferrous Alloy) มีรูปรางลักษณะที่แตกตางกัน ขึ้นอยูกับลักษณะของงาน ไดแก เหล็กที่มีลักษณะเปนเสนกลม หกเหลี่ยม และสี่เหลี่ยม เหมาะที่จะ นําไปใชงานที่ตองการกลึง ไส เพื่อนําไปทําอุปกรณตาง ๆ เชน สลัก, เพลา เกียร ฯลฯ สวนเหล็กที่มี ลักษณะเปนแผนเหมาะที่จะนําไปใชในงานประกอบตัวเรือ หรือขึ้นรูปตาง ๆ ตารางที่ 1.1 ถึง ตารางที่ 1.5 แสดงโลหะประเภทเหล็กที่มีลักษณะตาง ๆ กัน ซึ่งภายในตารางประกอบดวย 5 แถว แถวที่ 1 แสดงหัวขอยอยในแตละตาราง
153
แถวที่ 2 เปนชื่อพัสดุทั่วไป ซึ่งเปนชื่อใชเรียกเหล็กประเภทตาง ๆ ที่ใชกันมาแตเดิม เชน เหล็กดีเหนียว เหล็ก Bobler แถวที่ 3 เปนชื่อที่แกไขใหม ซึ่งทาง กคภ.กพช.อร. ไดพิจารณาแลววา ชื่อพัสดุชางที่ใช อยูเดิมนั้นในบางครั้งไมเหมาะสมเพราะบางชื่อเปนชื่อที่กําหนดขึ้นทางการคาของบริษัทผูผลิต ไมใช ชื่อที่ใชเรียกตามมาตรฐานสากล เชน คําวา Bohler, Assab หรือ TEW เปนชื่อทางการคาของเหล็ก ซึ่งแตละบริษัทตั้งขึ้นมาเอง ซึ่งในบางครั้งเหล็กจากทั้ง 2 บริษัทจะเปนเหล็กชนิดเดียวกัน แตมีชื่อ ตางกัน เชน Bohler Vel 140 ตรงกับ Assab 709 หรือมีคุณภาพใกลเคียงกับ Assab 707 จึงเปนสาเหตุ ใหฝายจัดหา ซึ่งไมเขาใจทางดานโลหะจะจัดเก็บเหล็กทั้ง 2 ชนิด เอาไวในที่เก็บตางกัน คําแนะนํา ทางชางฉบับนี้จึงไดแกไขชื่อของเหล็กที่มีใชงานอยูใหเปนแบบสากล ดังแสดงไวในตารางดังกลาว แถวที่ 4 เปนมาตรฐานและเกรดของเหล็กแตละประเภทที่ใชอางอิง มีทั้งมาตรฐานใน กรมอูทหารเรือ กพช.อร. มาตรฐานภายในประเทศ (มอก.) และมาตรฐานตางประเทศ (JIS) แถวที่ 5 เปนตัวอยางการใชงานของเหล็กแตละประเภท ขึ้นอยูกับคุณสมบัติของเหล็ก ประเภทนั้น ๆ ผูปฏิบัติทั้งฝายออกแบบ ฝายผลิตและซอม และฝายจัดหา สามารถนําไปใชเพื่อเปน ประโยชนในการเลือกใชโลหะ 6.2.2 โลหะผสมนอกกลุมเหล็ก (Wrought Non Ferrous Alloy) ที่มีลักษณะเปนเสน เปนแผน และเปนทอ แสดงไวในตารางที่ 2.1 – 2.4 ภายในตารางจะมีรายละเอียด ซึ่งมีความหมายเหมือนกับ ตารางที่ 1.1 – 1.5 ทุกประการ
154
ตารางที่ 1.1 โลหะประเภทเหล็กที่มีลักษณะเปนเสนกลม, แบน, หกเหลี่ยมและสี่เหลี่ยม ขอ 1.
2.
3.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 - เหล็กดีเหนียวเสนกลม - เหล็กดีเหนียวเสนสี่เหลี่ยม - เหล็กดีเหนียวเสนหกเหลี่ยม - เหล็กสี่เหลี่ยม - เหล็กกลาคารบอนปานกลาง เสนกลม - เหล็กกลาคารบอนปานกลาง เสนสี่เหลี่ยม - เหล็กกลาคารบอนปานกลาง เสนหกเหลี่ยม -
ชื่อที่แกไขใหม - เหล็กกลาคารบอน ชั้น 1 Carbon Steel
มาตรฐาน - มพช.อร. 9510-04-33 - JIS G 4051 class S 20 C มาตรฐานที่เทียบเทา AISI (SAE) 1020 - เหล็กกลาคารบอนชั้น 2 - มพช.อร. 9510-04-33 - JIS G 4051 class S 35 C มาตรฐานที่เทียบเทา AISI (SAE) 1035
การใชงาน -ใชกับงานทําอุปกรณอะไหลทั่วไปที่ไมตองการ ความแข็งแรงสูง เชน ลิ่ม, นัต (อบชุบแข็งไมได แตสามารถทําใหผิวแข็งไดดวยการทํา carburizing - ใชทําอะไหลที่ตองการความแข็งแรงสูงและ ความเหนียวดี เชน เพลา, สลักสําหรับงานทั่วไป (อบชุบแข็งและอบคลายใหมีความแข็งแรงสูงได)
- เหล็กกลาคารบอนชั้น 3 - มพช.อร. 9510-04-33 - ใชทําเครื่องมือทั่วไปที่ไมตองการความแข็งมาก - JIS G 4051 class S 50 C เชน เหล็กงัด, ใบพลั่ว ตองผานกรรมวิธีทาง มาตรฐานที่เทียบเทา AISI (SAE) ความรอน 1050 AISI = AMARICAN IRON AND STEEL INSTITURE
155
ตารางที่ 1.1 โลหะประเภทเหล็กที่มีลักษณะเปนเสนกลม, แบน, หกเหลี่ยมและสี่เหลี่ยม (ตอ) ขอ 4.
5.
6.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 ชื่อที่แกไขใหม - เหล็ก Bohler V.C.L. 140 - เหล็กกลาเจือชั้น 1 ชนิดเสนกลม, หกเหลี่ยม Alloy Steel - เหล็ก Assab 709 กลม - เหล็ก Assab 707 หกเหลี่ยม - เหล็ก Chromium Molybdinum เสนกลม - เหล็ก Bohler VCN 150 - เหล็กกลาเจือชั้น 2 เสนกลม, หกเหลี่ยม, สี่เหลี่ยม Alloy Steel - เหล็ก Bohler NNH
-
- เหล็กกลาคารบอน ทําเครื่องมือ (Carbon Tool Steel)
มาตรฐาน - มพช.อร. 9510-02-33 มาตรฐานอื่น ที่เทียบเทา - JIS G 4103 class SNCM 439 - AISI (SAE) 4340 - DIN 34 Ctni 96
การใชงาน - เหล็กทนแรงดึงสูง ใชทําเพลา, สลัก, เฟอง ที่ ตองการแรงดึงสูง และทนแรงกระแทกดี, ขนาด ของชิ้นงานมีพื้นที่หนาตัดปานกลาง
- มพช.อร. 9510-02-33 - JIS G 410 S class SCM 440 - AISI (SAE) 4140 - DIN 34 CrMo 4 BS 703 M 40 - มพช.อร. 3510-01-22 - JIS G 4401 Grade SK 5 หรือ SK 6 - AISI (ASTM) w1 – 8, w1 – 7, - DIN c 80 w 1
- ใชกับงานเชนเดียวกับขอ 4. แตทนแรงดึงและ แรงกระแทกไดดีกวา ชิ้นงานมีพื้นที่หนาตัด มากกวา
(ตองผานกรรมวิธีทางความรอน)
(ตองผานกรรมวิธีทางความรอน) - ใชทําเครื่องมือตาง ๆ เชน ใบเลื่อย, ฆอนหรือ ทําสปริง (ตองผานกรรมวิธีทางความรอน)
156
ตารางที่ 1.1 โลหะประเภทเหล็กที่มีลักษณะเปนเสนกลม, แบน, หกเหลี่ยมและสี่เหลี่ยม (ตอ) ขอ 7.
8.
9.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 ชื่อที่แกไขใหม - Bohler My Extra ชนิดเสนกลม - เหล็กกลาทําเครื่องมือ และหกเหลี่ยม ทนแรงกระแทก shock - Bohler HYAH เสนกลมและ Resisting Tool Steel หกเหลี่ยม - เหล็กเสนกลม TEW 2550 - เหล็ก KL Special - เหล็ก Tenit KL Special - Bohler Special KNL - เหล็กกลาผสมทํา - Bohler Special K เสนกลม, เครื่องมือขึ้นรูปเย็น หกเหลี่ยม (cold working Tool Steel) - เหล็กกลาผสมทํา เครื่องมือขึ้นรูปรอน (Hot working Tool Steel)
มาตรฐาน - มพช.อร. (ไมมี) - JIS G 4404 grade SKS 41
การใชงาน - ใชทําเครื่องมือที่ทนแรงกระแทกสูง เชน Punch สิ่ว ฯลฯ
(ตองผานกรรมวิธีทางความรอน)
- มพช.อร. 9510-07-34 - JIS G 4404 Grade SKD 11 - AISI (ASTM) D 2
- ใชทําแมพิมพปมขึ้นรูปโลหะ เชน blanking die
- มพช.อร. 9510-06-34 - JIS G 4404 Grade SKD 61 - AISI (ASTM) H 13 - DIN X 40 CrMo V 51
- ใชทําแมพิมพฉีดพลาสติก, หลอยางหรือ die cast
(ตองผานกรรมวิธีทางความรอน)
(ตองผานกรรมวิธีทางความรอน)
157
ตารางที่ 1.1 โลหะประเภทเหล็กที่มีลักษณะเปนเสนกลม, แบน, หกเหลี่ยมและสี่เหลี่ยม (ตอ) ขอ 10.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 -
11. - เหล็กกลาไรสนิมเสนกลม หกเหลี่ยม - เหล็ก Bohler As 2 W
12.
-
ชื่อที่แกไขใหม - เหล็กกลาความเร็วสูง (Molybdenum high Speed Tool steel) - เหล็กเสนไรสนิมชั้น 1 Stainless Steel Bar
มาตรฐาน - มพช.อร. 9510-05-34 - JIS G 4403 SYMBOL SKH 54 - AISI (ASTM) M 4 - มพช.อร. 9510-02-34 เหล็กกลา ไรสนิมแบบเสน - JIS G 4303 class SUS 304 - AISI 304 BS 304,515,-DIN x2 Cr Ni 189 - เหล็กเสนไรสนิมชั้น 2 - มพช.อร. 9510-09-34 เหล็กกลา Stainless Steel Bar ไรสนิมแบบเสน - JIS G 4303 class SUS 316L - AISI 316L
การใชงาน - ใชทําเครื่องมือที่ใชงานดวยความเร็วสูง เชน มีดกลึง (ตองผานกรรมวิธีทางความรอน) - ใชทําเพลา, สลักหรือชิ้นสวนทั่วไปที่ใชงานที่มี การผุกรอนสูง
- เหมือนขอ 11. แตสามารถทนตอความรอนไดดี และเชื่อมไดโดยไมเกิดการผุกรอนภายหลัง
- BS 316,512,-DIN X2 Crn : Mo 1810
13. - เหล็ก Bohler KWE
- เหล็กเสนไรสนิมชั้น 3 - JIS G 4303 class SUS 431
- ใชกับงานที่ทนตอการผุกรอนสูง มีความแข็งแรง สูง เชน ทําอะไหลเครื่องจักรกลตาง ๆ
158
ตารางที่ 1.2 โลหะประเภทเหล็กที่มีลักษณะเปนแผนหรือเสนแบน ขอ 1.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 - แผนเหล็กดําธรรมดา - เหล็กดีเหนียวเสนแบน
2.
- แผนเหล็กกลาดําตอเรือ
ชื่อที่แกไขใหม - เหล็กกลาคารบอนชนิด เปนแผนและเสนแบน (Rolled steel for General Structure)
มาตรฐาน - มพช.อร. 9510-10-34 (เหล็กกลา ธรรมดา = Steel for General porposes - JIS G 3101 grade SS 34, - JIS G 3101 grade SS 400 - มอก. 1479 - 2540 - เหล็กตอเรือชนิดแผน - มพช.อร. 9510-10-34 (แผนเหล็ก 1. แผนเหล็กตอเรือธรรมดา ตอเรือและเหล็กรูปพรรณ) (Lloyd‘ s ordinary strengh steel grade A) - LR ; Grade A (ABS ordinary strengh hull tructrual Steel garde A) - ABS ; Grade A - ASTM A 131
การใชงาน - ใชกับงานโลหะแผนทั่วไปที่ไมใชในเรือ เชน งานโยธา
- ใชทําแผนเหล็กตัวเรือและอุปกรณภายในเรือ เชน ถังน้ํา, น้ํามัน
159
ตารางที่ 1.2 โลหะประเภทเหล็กที่มีลักษณะเปนแผนหรือเสนแบน (ตอ) ขอ
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4
3.
- เหล็กแผนอาบสังกะสี - สังกะสีแผนเรียบ
4.
- เหล็กแผนตอเรืออาบ - เหล็กแผนอาบสังกะสี ของอิตาลี - สังกะสีแผนบุเรือ
ชื่อที่แกไขใหม มาตรฐาน 2. แผนเหล็กตอเรือกําลังสูง - มพช.อร. 9515-10-34 (แผนเหล็ก ตอเรือและเหล็กรูปพรรณ) (Lloyd‘ s higher strength steel grade EH 36) - IR, EH 36 - ABS, EH 33 - ABS‘ s higher strength hull structural ssteel grade EH 33) - เหล็กแผนอาบสังกะสี - มพช.อร. (ไมมี) (Galvanized Sheets) - มอก. 50-2528 - JIS G 3302 class SPGC -เหล็กแผนตอเรืออาบ - มพช.อร. (ไมมี) (Galvanized Sheets) - JIS G 3302 class SGH 41
การใชงาน - ใชทําแผนเหล็กตัวเรือที่ทนกําลังสูง
- ใชกับงานบกทั่วไปและแผน, เชน ทอ, ปลองควัน, รางน้ํา - ใชกับอุปกรณบนเรือและแผนเหล็กตอเรือ
160
ตารางที่ 1.2 โลหะประเภทเหล็กที่มีลักษณะเปนแผนหรือเสนแบน (ตอ) ขอ 5.
6.
7.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 - เหล็กขาวไรสนิมแผน
-
- เหล็กขาวไรสนิมเสนแบน
ชื่อที่แกไขใหม - เหล็กเสนไรสนิมชั้น 1 - (Cold rolled stainless stell Sheets and plates)
- เหล็กเสนไรสนิมชั้น 2 - (Cold rolled stainless stell Sheets and plates)
- เหล็กไรสนิมเสนแบน - (Hot rolled stainless steel Strip)
มาตรฐาน การใชงาน - มพช.อร. 9510-08-34 - ใชกับงานโลหะแผนทั่วไปที่ตองการความ (แผนเหล็กกลาไรสนิม) ทนตอการผุกรอนสูง - JIS G 4305 class SUS04 - AISI 304 - GS 304 31.- DIN X2 Cr Ni 1810 - มพช.อร. 9510-08-34 - เชนเดียวกับขอ 5. แตสามารถเชื่อมไดโดย (แผนเหล็กกลาไรสนิม) ไมเกิดการผุกรอนภายหลัง - JIS G 4304 class SUS 316 L - AISI 316 L GS 316 S 12.- DIN X2 Cr MO1810 - มพช.อร. - ใชกับงานโลหะแผนทั่วไป - JIS G 4306 grade SUS 304 - AISI 304
161
ตารางที่ 1.3 โลหะประเภทเหล็กที่มีลักษณะเปนทอ ขอ 1.
2.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 ชื่อที่แกไขใหม มาตรฐาน การใชงาน - ทอเหล็กกลาคารบอนอาบและไมอาบ - มพช.อร. 4710-05-34 - ใชเปนทอสงน้ํา, น้ํามันที่ไมตองการ สังกะสี (ทอเหล็กกลาอาบและไมอาบสังกะสี) การทนกําลังดันเกินกวา 10 BAR เชน (Carbon steel pipes for ordinary piping) - มอก. 26-2506 ทอสงน้ําในอาคารตาง ๆ - JIS G 3452 (1988) - IIS H 0404 2107 - JIS Z 2241 - JIS E 2301, 2302, 2303 - ทอเหล็กกลาคารบอนทนกําลังดัน - มพช.อร. 4701-07-34 - ใชเปนทอสงน้ํา, น้ํามันที่ทนตอกําลัง (ท อ เหล็ ก กล า คาร บ อนทนกํ า ลั ง ด น ปาน ดันปานกลาง (ไมเกิน 30 BAR ) เชน ปานกลาง กลาง)
(Carbon steel pipes for presure services) - JIS G 3454 grade STPG 38.schedule40 - JIS Z 2241,JIS H 0401, 2107 - JIS E 2301, 2302, 2303
ทอสงน้ําจืด น้ํามันเชื้อเพลิงในเรือ
162
ตารางที่ 1.3 โลหะประเภทเหล็กที่มีลักษณะเปนทอ (ตอ) ขอ 3.
4.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 ชื่อที่แกไขใหม - ทอเหล็กกลาคารบอนทนกําลังดันสูง - (Carbon steel pipes for high pressure Services)
-
มาตรฐาน - มพช.อร. 4710-08-34 (ทอเหล็กกลาคารบอนทนกําลังดันสูง) - JIS G 3455 grade STS 42 schedule 80,160 - JIS Z 2241,JIS H 0401, 2107 - JIS B 2301, 2302, 2303 - ทอเหล็กกลาคารบอนใชกับงาน - มพช.อร. 4701-09-34 กอสราง(Carbon steel tubes for general - JIS G 3444 grade STK 30 Purposes)
การใชงาน - ใชเปนทอสงน้ํา, น้ํามันและอากาศที่ ทนกําลังสูง (ไมเกิน 100 BAR ) เชน ทอไฮดรอลิคส
- ใชกับงานโครงสราง เชน ใชยึดหรือทํา นั่งราน
163
ตารางที่ 1.4 โลหะประเภทเหล็กที่มีลักษณะเปนรูปพรรณตาง ๆ ขอ 1.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 - เหล็กกงฉาก - เหล็กตัวซี - เหล็กตัวเอช - เหล็กตัวไอ - เหล็กตัวยู - เหล็กสี่เหลี่ยมกลวง
2.
-
3.
- เหล็กฉากเจาะรู
ชื่อที่แกไขใหม - เหล็กรูปพรรณ งานทั่วไป ลักษณะ - กงฉาก - ตัวซี - ตัวเอช - ตัวไอ - ตัวยู - สี่เหลี่ยมกลวง - เหล็กรูปพรรณสําหรับงานตอเรือ
- เหล็กฉากเจาะรู
มาตรฐาน - มพช.อร. 9515-01-34 (หล็กกลาธรรมดา) - JIS G 3101 grade SS 34, - JIS G 3101 grade SS 41
การใชงาน - ใชสําหรับงานโครงสรางทั่วไป
- มพช.อร. 9515-01-34 (แผนเหล็กตอเรือและเหล็กรูปพรรณ) - LR grade A เหล็กตอเรือธรรมดา - ABS grade A ” - ASTMA 131 ” - มอก. 659-2529
- ใชสําหรับงานตอเรือ
164
ตารางที่ 1.5 โลหะประเภทเหล็กอื่น ๆ ขอ 1.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 ชื่อที่แกไขใหม - ลวดเหล็กไรสนิม - ลวดเหล็กไรสนิม - ลวดเหล็กสแตนเลส
2.
- ลวดสปริงแผน
3.
-
- เหล็กสปริง (spring steel)
- ลวดเชื่อมเหล็กกลาชนิดมีสารพอกหุม (steel Coated Electrode for ship hull)
มาตรฐาน - มพช.อร. (ไมมี) - JIS G 4309 grade SUS 304 - JIS G 3101 grade SS 41 - มพช.อร. 9510-03-33 (เหล็กสปริง) - JIS G 4801 class sup9 ถึง SUP 11A - AISI 1095 - มพช.อร. 9505-01-30 (ลวดเชื่อมเหล็กกลาชนิดมีสารพอกหุม สําหรับตัวเรือเหล็ก) - มอก.49-2528 (ลวดเชื่อมมีสารพอกหุมใชเชื่อมเหล็ก กลาละมุมดวยการอารค)
การใชงาน - ใชงานทั่วไปที่ทนตอการผุกรอน
- ใชทําสปริงแผน สปริงขด
- ใชเชื่อมประสานตัวเรือเหล็ก
165
ตารางที่ 2.1 โลหะนอกกลุมเหล็กที่มีลักษณะเปนเสนกลม, สี่เหลี่ยม และหกเหลี่ยม ขอ 1. 2. 3.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 ชื่อที่แกไขใหม - ทองแดงเสนกลม - ทองแดงเสนกลมชั้น 1 และสี่เหลี่ยม - ทองแดงเสนกลม - ทองแดงเสนกลมชั้น 2 - ฟอสเฟอรบรอนซ - ทองเหลืองเสนกลม - ทองเหลืองเสนกลมชั้น 1 หกเหลี่ยมและ Bass - Rods สี่เหลี่ยมธรรมดา
4.
- ทองเหลืองเสนกลม - ทองเหลืองเสนกลมชั้น 2 หกเหลี่ยมและ Bass - Rods สี่เหลี่ยมธรรมดา
5.
- อลูมิเนียมเสนกลม - อลูมิเนียมเสนกลม ธรรมดา - อลูมิเนียมอัลลอย เสนกลม
6.
- อลูมิเนียมเสนกลมชั้น 1
- อลูนิเมียมเสนกลมชั้น 2
มาตรฐาน - มพช.อร. (ไมมี) - JIS H 3250 grade C 1020 - มพช.อร. (ไมมี) - JIS G 3250 class C 1220 - มพช.อร. 9530-01-34 (ทองเหลืองเสนกลมสี่เหลี่ยมและ หกเหลี่ยม) - JIS H 3250 grade C 2600 - มพช.อร. 9530-01-34 (ทองเหลืองเสนกลมสี่เหลี่ยมและ หกเหลี่ยม) - JIS H 3250 grade C 4622 - มพช.อร. (ไมมี) - JIS H 4040 grade 1070 - มพช.อร. (ไมมี) - JIS G 4040 grade SUS 5083 H 112
การใชงาน - เปนตัวนําไฟฟาที่ดีมาก, ทนตอการ กัดกรอนใชกับงานดานไฟฟาและเคมี - ใชกับงานที่ไมใชตัวนําไฟฟา สามารถ เชื่อมได - ตีขึ้นรูปและกลึงไดงาย ใชทําสลัก สําหรับอุปกรณเครื่องจักรกล และ อุปกรณไฟฟา - ทนตอการกัดกรอนสูง ใชสําหรับ อุปกรณบนเรือ เชน เพลา
- เปนตัวนําไฟฟาและตัวนําความรอน ที่ดีทนตอการกัดกรอน ใชทําชิ้นสวน ไฟฟา - มีความแข็งแรงสูง และทนตอการ กัดกรอนใชทําอุปกรณในเรือ
166
ตารางที่ 2.2 โลหะนอกกลุมเหล็กที่มีลักษณะเปนแผน เสนแบน ขอ 1.
2. 3.
4.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 - ทองแดงแผน - ทองแดงแผนเรียบ - ทองแดงเสนแบน - ทองแดงแผน ฟอสเฟอรบรอนซ - ทองเหลืองเกรียบ - ทองเหลืองทองปลิง - ทองเหลืองแผนปรุ ตาพริกไทย - ทองเหลืองแผนเรียบ - ทองเหลืองเสนแบน - ทองเหลืองแผนบุเรือ
ชื่อที่แกไขใหม - ทองแดงแผนชั้น 1
มาตรฐาน - มพช.อร. (ไมมี) - JIS H 3100 grade C 1020
การใชงาน - เปนตัวนําไฟฟาและความรอน ใชกับ งานที่เกี่ยวกับไฟฟา
- ทองแดงแผนชั้น 2
- มพช.อร. ไมมี - JIS H 3100 grade C 1220 - มพช.อร. 9535-03-34 (ทองเหลืองแผนสําหรับใชงานทั่วไป การปองกันการผุกรอน) - JIS H 3100 grade C 2600
- ขึ้นรูปไดงาย ใชทําแปกกิ้งและ ชิ้นสวนของอุปกรณไฟฟา - ใชขึ้นรูปงานโลหะแผนทั่วไป
- มพช.อร. 9535-04-34 (ทองเหลืองแผน ใชกับงานที่ตองการการปองกันการผุกรอนสูง)
- ใชอุปกรณบนเรือ
- ทองเหลืองแผนสําหรับใชงานทั่วไป
- ทองเหลืองแผนใชงานตอเรือ
- JIS H 3100 grade C 4640 -ASTMB171M 3-85 ชั้นคุณภาพ C46400
167
ตารางที่ 2.2 โลหะนอกกลุมเหล็กที่มีลักษณะเปนแผน เสนแบน (ตอ) ขอ 5.
6.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 ชื่อที่แกไขใหม - อลูมิเนียมแผนเรียบ - แผนอลูมิเนียมใชงานทั่วไป ธรรมดา - อลูมิเนียมเสนแบน ธรรมดา - อลูมิเนียมปรุตา พริกไทย - อลูมิเนียมทองปลิง - อลูมิเนียมธรรมดา กันลื่น - อลูนิเมียมอัลลอย - แผนอลูมิเนียมมาตอเรือ แผนเรียบ - (ALUMINIUM ALLOY SHEET - อลูมิเนียมแผน AND PLATE) กันลื่น
มาตรฐาน - มพช.อร. (ไมมี) - JIS H 4000 ALLOY NO.3004
การใชงาน - ใชกับงานขึ้นรูปทั่วไป เชน ทํา กระปอง หลังคา บันได
- มพช.อร. 9535-01-29 - (แผนอลูมิเนียมเจือสําหรับตอเรือ) - JIS H 4000 ALLOY NO.5083 - มอก.331-2523 อลูมิเนียมแผนหนาและ แผนบาง)
- ใชกับงานตอเรือ
168
ตารางที่ 2.3 โลหะนอกกลุมเหล็กที่มีลักษณะเปนทอ ขอ 1.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 ชื่อที่แกไขใหม - ทอทองแดงสําหรับใชงานทั่วไป (seamless Copper Pipes and tubes)
2.
-
- ทอทองเหลืองใชกับงานบนเรือชั้น 1
3.
-
- ทอทองเหลืองใชกับงานบนเรือชั้น 2
4.
-
- ทอทองแดงผสมนิกเกิลไมมีตะเข็บ
5.
-
- ทออลูนิเนียมใชงานทั่วไป
6.
-
- ทออลูนิเนียมใชงานตอเรือ
มาตรฐาน - มพช.อร. 4710-06-34 (ทอทองแดงชนิดไมมีตะเข็บใชงานทั่วไป) - JIS H 3300 grade C 1020 T - มพช.อร. 4710-10-34 - JIS H 3300 grade C 6870 T C 6871 T - มพช.อร. 4710-10-34 - JIS H 3300 grade C 2800 - มพช.อร. 4710-01-29 - JIS H 3300 grade C 7060 - มพช.อร. 4710-11-34 - JIS H 4080 class 2024 - มพช.อร. 4710-11-34 - JIS H 4080 class 5083
การใชงาน - ใชกับ Heat exchanger เครื่องปรับ อากาศ - ใชทํา Condensor สําหรับไอน้ําหรือ น้ําทะเล - ใชทํา Heat exchanger สวนประกอบ ของเครื่องจักรในเรือ - ใชระบบน้ําทะเลในเรือ - ใชกับอุปกรณบนเรือทั่วไป - ใชกับอุปกรณบนเรือทั่วไป
169
ตารางที่ 2.4 โลหะนอกกลุมเหล็กที่มีลักษณะเปนรูปพรรณและอื่น ๆ ขอ 1.
ชื่อพัสดุทั่วไป เลม 4 ชื่อที่แกไขใหม มาตรฐาน - อลูมิเนียมกงฉาก - อลูมิเนียมรูปพรรณสําหรับงานทั่วไป - มพช.อร. 9535-05-34 ธรรมดา - JIS H 4100 grade 3003
การใชงาน - ใชเปนโครงสรางหรือแทนอุปกรณ ที่มิไดอยูบนเรือ
2.
- อลูมิเนียมแอลลอยด - อลูมิเนียมรูปพรรณสําหรับตอเรือ กงฉากตอเรือ
- มพช.อร. 9535-05-34 - JIS H 4100 grade 5083
- ใชเปนโครงสรางของอุปกรณบนเรือ
3.
- ลวดทองแดง
- ลวดทองแดง
- มพช.อร. ไมมี - JIS H 3260 grade C 1100W
- ใชสําหรับจุดประสงคทางไฟฟาหรือ ทําสกรู ตะปู
4.
- ลวดทองเหลือง
- ลวดทองเหลือง
- มพช.อร. ไมมี - JIS H 3260 grade C 2800W
- ใชสําหรับงานทั่ว ๆ ไป เชน ทําลวด ตาขายทองเหลือง สกรูทองเหลือง
170
6.1 การเบิกและการจัดหา 6.1 การเบิก ในการเบิกพัสดุประเภทโลหะ เพื่อมาใชงานตามโรงงานตาง ๆ นั้น สิ่งแรกที่ วิศวกรประจําโรงงานจะตองคํานึงถึงคือ จะนําโลหะมาใชงานประเภทใด โดยดูจากตาราง โลหะในขอ 2. แลวเลือกประเภทโลหะใหตรงกับงานที่จะใช เมื่อทราบประเภทของโลหะที่จะ ใชแลวจึงทําใบเบิก ซึ่งรายละเอียดที่ระบุในใบเบิกจะประกอบดวย 1. ประเภทของเหล็ก เหล็กกลาคารบอนชั้น 2 2. ลักษณะ เสนกลม 3. ขนาด เสนผาศูนยกลาง 10 ซม. ยาว 2 เมตร 4. จํานวน 1 ทอน 6.2 การจัดหา เพื่อใหการซอมและสรางอุปกรณเครื่องจักรกลโรงงานเปนไปดวยความเรียบรอย ทางฝายจัดหา (ศพด.อร.) จะตองจัดหาพัสดุที่มีรายชื่ออยูในตารางขอที่ 2. เอาไวคงคลัง ใหพอ แกความตองการในแตละปในการออกสเปคจัดหานั้น ศพด.อร. จะตองระบุรายละเอียดในการ จัดหาดังนี้ 1. ประเภทของเหล็ก เหล็กกลาคารบอนชั้น 2 2. ลักษณะ เสนกลม 3. ขนาด เสนผาศูนยกลาง 10 ซม. ยาว 2 เมตร 4. จํานวน 20 เสน 5. มาตรฐาน ตามมาตรฐาน มพช.อร.9510-04-33 หรือ JIS G 4051 class S35 C หรือ มาตรฐานอื่นที่เทียบเทา อนึ่ง ในการกําหนดประเภทเหล็กเพื่อจัดหานั้น ศพด.อร. ไมจําเปนตองใสชั้นของ เหล็ก เชน ชั้น 1 และชั้น 2 ตอทายคําวาเหล็กกลาคารบอน เนื่องจากชั้นของเหล็กกลาคารบอน นั้น กําหนดใชเฉพาะในกรมอูทหารเรือเทานั้น เมื่อตองการจะตรวจสอบคุณสมบัติของโลหะวามีคุณสมบัติตรงตามที่จัดหาหรือไม ฝายจัดหาจะตองตัดชิ้นตัวอยางจากโลหะที่จัดหามาสงมาให กคภ.กพช.อร. ตรวจสอบ คุณสมบัติตาง ๆ รายละเอียดในการสงตัวอยางเพื่อทําการตรวจสอบ แสดงไวในตารางที่ 3
171
ตารางที่ 3 การตัดชิน้ ตัวอยางเพื่อทดสอบคุณสมบัตติ าง ๆ โลหะ จากตารางที่ 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 1.6 1.7 1.1
ขอ
การตัดชิ้นตัวอยางเพื่อทดสอบ
1 – 10 ติดตรงปลายใหมีความยาวประมาณ 3 ซม. จํานวน 2 ชิ้น 11 - 13 ติดตรงปลายใหมีความยาวประมาณ 20 ซม. จํานวน 2 ชิ้น 1 - 7 ติดตรงปลายใหมีความกวางประมาณ 15 ซม. ยาวประมาณ 70 ซม. 1 แผน 1 - 4 ติดทอยาวประมาณ 30 ซม. 2 ทอน 1 - 3 ติดเหล็กรูปพรรณตาง ๆ ใหมีความยาวประมาณ 70 ซม. 1 ทอน 1 - 6 ติดตรงปลายใหมีความยาว 20 ซม. จํานวน 2 ชิ้น 1 - 6 ติดตรงปลายใหมีความกวางประมาณ 15 ซม. ยาวประมาณ 70 ซม. 1 แผน 1 - 5 ติดทอยาวประมาณ 30 ซม. 2 ทอน 1 - 2 ติดอลูมิเนียมกงฉากยาวประมาณ 70 ซม. 1 ทอน 3 - 4 ติดลวดยาวประมาณ 40 ซม. 2 เสน
172
บทที่ 7 แผนภาพสมดุลยภาค 7.1 แผนภาพสมดุล (Phase Equilibrium Diagram ) แผนภาพสมดุลเปรียบเสมือนเครื่องมืออันสําคัญยิ่ง มีสวนชวยใหการอบชุบเหล็กสามารถ กระทําใหผลดี ถาจะเปรียบก็จะเหมือนกับวา แผนภาพสมดุลเปนแผนที่ชวยนําทางไปสูเปาหมายของ การอบชุบความรอนของเหล็กไดสําเร็จ แผนภาพสมดุลคือภาพแสดงความสัมพันธรวมระหวาง อุณหภูม,ิ สวนผสมทางเคมีของโลหะผสมและสภาวะสมดุลของโครงสรางหรือเฟสตาง ๆ ของโลหะ ผสม และเห็นไดวาแผนภาพสมดุลที่จะกลาวถึงตองเปนเรื่องของการผสมระหวางโลหะตั้งแตสอง ชนิดขึ้นไป ในเบื้องตนนีจ้ ะกลาวแตเพียงแผนภาพสมดุลประเภทสองธาตุ (Binary alloys) กอน สําหรับประเภทที่เปนสามธาตุ (Ternary alloys) จะกลาวถึงในภายหลัง ที่ยกเอาเรือ่ งแผนภาพสมดุล มากลาวถึง ณ ที่นี้ ก็เพราะโลหะสวนใหญที่เรานํามาใชในงานวิศวกรรมและโดยเฉพาะในเรื่องของ การอบชุบความรอนของเหล็กนี้ สวนใหญเปนโลหะผสมทั้งนั้น ที่เกี่ยวกับเหล็กก็เปนโลหะเหล็กผสม กับคารบอนหรืออาจจะมีธาตุอื่นๆ อีกมากมายเมื่อเปนเรื่องของโลหะผสม (Alloys) สิ่งที่จะตองทํา ความเขาใจเปนเบื้องตนก็คือ ธาตุหรือโลหะเมื่อถูกผสมหรือหลอมละลายใหอยูรวมกันเปนโลหะผสม นั้นธาตุตางๆ จะอยูใ นลักษณะใดเมื่อหลอมละลาย และเมื่อเปลี่ยนสภาวะเปนของแข็งแลวจะไปตก ผลึกหรือจับตัวกันอยูในสถานะใด โลหะซึ่งประกอบดวยธาตุสองชนิด โดยมีธาตุ ๆ หนึ่งเปนโลหะและโลหะทีผ่ สมนี้แสดง คุณสมบัติของโลหะเราเรียกวา โลหะผสม (Alloys) โลหะตัวที่ผสมอยูเปนจํานวนมากเรียกวา โลหะ พื้นฐาน (Base metal ) สวนธาตุอื่นที่เปนสวนผสมจะเปนโลหะหรืออโลหะก็ตามเราเรียกวา ธาตุผสม (Alloying elements) ในทางอุตสาหกรรมโลหะ เราพิจารณาธาตุที่เปนธาตุผสม (Alloying elements) ก็แตเฉพาะ ธาตุหรือโลหะที่ผสมลงไปเพื่อทําใหคุณสมบัติของโลหะผสมเปนไปตามความประสงคของเรา สวน ธาตุที่เจือปนอยูโดยที่เราไมอาจกําจัดออกไดเนื่องจากกรรมวิธีผลิตและจะทําใหสิ้นเปลืองมากเกินไป เราเรียกธาตุพวกนีว้ า สารเจือปน (Impurities) ซึ่งธาตุพวกนี้อาจจะติดมาจากแรหรือเขามาผสมในขณะ ทําการถลุงหรือกําลังหลอ เนื่องจากอาจจะตองเติมลงไปเล็กนอยเพื่อใหโลหะไหลไดดีขึ้นในขณะเท ลงแบบหลอ ธาตุผสม (Alloying elements) เมื่อถูกผสมในโลหะหลัก (Base metal) จะเปนจํานวนมาก หรือนอยก็ตาม จะทําใหคณ ุ สมบัติของโลหะพื้นฐาน (Base metel ) เปลี่ยนแปลงอยางเห็นไดชัด
173
คุณสมบัติที่สําคัญของโลหะผสม (Alloys) ก็คือจะเพิ่มความแข็งแรงขึน้ มากกวาเมื่อยังเปนโลหะหลัก (Base metal) สถานะภาพทีธ่ าตุผสมอยูไดในโลหะหลักจะเปนได 4 ลักษณะคือ ก.) ละลายอยูใ นโลหะหลักในสภาพสารละลาย (Solution) ซึ่งในที่นี้จะเปนสารละลายไดทั้ง ในสภาพหลอมเหลว (Liquid solution) และในสภาพของแข็ง (Solid solution) โดยทั่วไปโลหะเกือบทุกชนิดจะสามารถละลายไดดีในสภาพหลอมเหลวเกือบไมมีขอบเขต จํากัด อะตอมของธาตุผสมจะสามารถละลายไดหมด สําหรับสภาพของแข็งจะปรากฏวาการละลายจะ อยูภายใตขอบเขตที่แนนอนขึ้นอยูกับชนิดของธาตุผสม ซึ่งมีคุณลักษณะทีแ่ ตกตางกันออกไป ดังเชน ระบบผลึกแตกตางกัน, ขนาดของอะตอมแตกตางกัน หรือลักษณะแรงดึงดูดสัมพันธ(Affinity) ของ ธาตุที่ผสมตางกัน ทําใหการละลายของธาตุผสมในโลหะหลักอาจจะละลายไดหมด หรือละลายได เพียงบางสวน ซึ่งจะไดศกึ ษาในรายละเอียดตอไป ลักษณะของสารละลายในสภาพของแข็ง (Solid solution) แบงออกไดเปน 2 ลักษณะที่ เดนชัดคือ 1.) สารละลายประเภทแทนที่ (Substituional solid solution ) คือลักษณะอะตอมของธาตุผสมสามารถแทนที่อะตอมของโลหะหลักได ลักษณะเชนนี้ สวนมากขนาดอะตอมของธาตุผสมและโลหะหลักจะมีขนาดใกลเคียงกันและระบบผลึกมีสวน คลายคลึงกัน จึงสามารถเขาแทนที่ซึ่งกันและกันไดงาย คุณสมบัติโดยทั่วไปของสารละลายของแข็ง ประเภทนี้จะมีความแข็งแรงไมเพิ่มขึ้นจากโลหะหลักมากนัก เพราะใน Space lattice คงอยูในสภาพที่ มีความราบเรียบ คุณสมบัติออนตัวจะยังอยูใ นเกณฑดี
174
รูป 7.1 การจัดตัวของอะตอม ของโลหะผสมประเภท Substituional Solid Solution 2.) สารละลายประเภทแทรกที่ ( Interstitial solid solution ) คือ ลักษณะที่อะตอมของธาตุผสมมีขนาดเล็กมาก ๆ จนสามารถเขาไปแทรกตามชองวาง ระหวางอะตอมของโลหะหลักได ซึ่งผลจากการแทรกนี้อาจจะมีสวนทําใหแถวหรือแนวของอะตอม โลหะหนัก ( Space lattice) เกิดลักษณะบิดเบี้ยว (Distortion) มีผลตอความแข็งแรงของโลหะผสม แต คุณสมบัติออนตัวจะลดลง
175
รูปที่ 7.2 การจัดตัวของอะตอมของโลหะผสมประเภท Interstial Solid Solution ข.) รวมตัวกับโลหะหลักเปนสารประกอบ (Compound) ในกรณีที่จะเกิดขึ้นไดเมื่อธาตุผสมมี ปริมาณมาก ภายหลังที่ละลายในลักษณะเปนสารละลายของแข็งจํานวนหนึ่งแลวและไมมีที่วาง (Solubility) ที่จะละลายไดอกี เนื่องจากถึงจุดอิ่มตัว (Saturated) ของสารละลายของแข็ง อะตอมของ ธาตุผสมจะรวมตัวกับโลหะหลักสวนหนึ่ง โดยมีสัดสวนที่แนนอนเกิดเปนสารประกอบที่มีสูตรทาง
176
เคมีโดยเฉพาะ ดังตัวอยางเชน Ax By คือโลหะ A จํานวน x อะตอมรวมตัวกับโลหะ B ซึ่งในที่นี้เปน ธาตุผสมจํานวน y อะตอม ค.) แยกตัวออกเปนอิสระ (Element state ) และกระจัดกระจายอยูใ นโครงสราง กรณีนี้จะ เกิดขึ้นไดเมื่อโลหะหลักและธาตุผสมไมสามารถละลายซึ่งกันและกันไดในสภาพของแข็งและยังไม สามารถรวมตัวกันใหสารประกอบไดทกุ ประเภท เปนกรณีที่พบนอยจะไมเกิดโดยทัว่ ไป ง.) รวมตัวกับออกซิเจนหรือกํามะถัน กลายเปนออกไซด (Oxide) หรือซัลไฟด (Sulphide)และจับอยูตามสวนตาง ๆ ภายในโครงสรางซึ่งเรียกวา อินคลัสชั่น (Inclusion) 7.2 เฟส (Phase) จากเรื่องราวของการรวมตัวของของเหลวสองชนิดเปนสารละลายของเหลว (Liqnid solution) เชน น้ํากับแอลกอฮอล มันสามารถรวมกันไดทุก ๆ สวนและใหสารเปนเรื่อเดี่ยวกัน (Momogeneous substance) เราไมอาจจะมองเห็นการรวมตัวของน้ําและแอลกอฮอลเลย ไมมีจะดวยตาเปลาหรือโดย กลองขยาย เราเรียกสารละลายนี้วาเปนสารละลายของเหลว (Liquid solution) ลักษณะเชนนี้จดั อยูใน ประเภทละลายไดทั้งหมด (Completely soluble) ถาเราพิจารณาสารอยางอื่น เชน การละลายระหวางน้ํากับ phenol หรือระหวางน้ํากับ ether จะ ปรากฎวา การรวมตัวเปนไปอยางไมสมบูรณและเราจะสังเกตเห็นการแยกตัวของสารละลายเปนชั้น คือชั้นที่มีน้ํากับ phenol ( หรือ ether) ละลายปนกันอยูส วนอีกชั้นจะเปน phenol ( หรือ ether) แลวมี จํานวนเล็กนอยละลายอยู การละลายในลักษณะนีจ้ ัดอยูใ นประเภทละลายไดบางสวน (Partially solution) สวนอีกประเภทหนึ่งที่ธาตุทงั้ สองชนิดไมอาจรวมกันไดเลย เชน น้ํากับปรอท ปรอทจะอยู ตอนลางและน้ําอยูตอนบน ลักษณะเชนนีจ้ ัดอยูในประเภทละลายไมไดโดยสิน้ เชิง(Completely insolution ) แตละชั้นที่มองเห็น (Distinct layer) เราเรียกวา phase หมายความวา เปนภาคหรือสวนที่มี ลักษณะเปนเนือ้ เดียว (homogeneous distinct portion) ในกรณีของน้าํ กับแอลกฮอล ซึ่งละลายเขกัน ไดหมดก็มี 1 phase สวนน้ํากับ phenol หรือน้ํากับ ether ซึ่งแยกเปน 2 ชั้น กลาวไดวามี 2 phase การผสมกันของโลหะในสภาพที่เปนของเหลวอาจจะพิจารณาไดในลักษณะที่คลายคลึงกัน ดังกลาวมาแลว อยางไรก็ตามเมื่อโลหะถูกหลอมรวมกัน ถาเปนประเภทมี่รวมกันในแบบ Completely soluble ก็จะได phase เพียง 1 phase โดยเปนของเหลวที่มีเนื้อเดียว (Honogeneous substance ) ซึ่งเรา เรียกวาสารละลายของเหลว (Liquid solution) เมื่ออุณหภูมิลดลงจนถึงอุณหภูมิแข็งตัว (Solidification temperature) การแข็งตัวของโลหะผสม (Alloys) ก็จะเกิดขึ้น และถาลักษณะcompletely soluble ดําเนินตอไปในสภาพที่เปนของแข็ง โลหะผสมที่ไดรบั ก็จะมี 1 phase ซึ่งเราเรียกวา สารละลาย ของแข็ง (Solid solution) โดยเนื้อโลหะจะเปนเนือ้ เดียวกันโดยตลอด ถึงแมจะนํามาสองกลอง จุลทรรศน (Optical microscope) ตรวจพิจารณาดูก็ไมอาจจะสังเกตเห็นความแตกตาง เนื่องจากโลหะ
177
ทั้งสองรวมตัวเปน 1 phase แตถาหากการละลายของโลหะทั้งสองนี้อาจเปนไปไมไดไมดใี นสภาพ ของแข็ง ก็จะเกิดการแยกตัวซึ่งกันและกันโดยเปนประเภท Partially soluble เราจะได 2 phase ซึ่งแต ละ phase อาจจะเปน solid solution หรืออาจจะเปน compound ก็ได สวนในอีกกรณีหนึ่งคือเมื่อโลหะ ละลายเขาเปนเนื้อเดียวกันในสภาพของเหลวแตแยกตัวกันโดยเด็ดขาดในสภาพของแข็งจัดเปน ประเภท Completely insoluble เราก็จะได 2 phase ความสัมพันธของโลหะผสมในสภาวะของเหลวและของแข็ง 1.) ประเภททีเ่ ปน Completely soluble ในสภาวะของเหลว แตจะใหลกั ษณะที่แตกตางกันใน สภาวะของแข็ง มี 3 ประเภทยอย คือ ก.) Completely soluble ในสภาวะของแข็ง ข.) Partially soluble ในสภาวะของแข็ง ค.) Completely insoluble ในสภาวะของแข็ง 2.) ประเภทที่เปน Partially soluble ในสภาวะของเหลว แบงออกเปน ก.) Partially soluble ในสภาวะของแข็ง ข.) Completely insoluble ในสภาวะของแข็ง 3.) ประเภทที่เปน Completely insoluble ในสภาวะของเหลว มีประเภทเดียวคือ Completely insoluble ในสภาวะของแข็ง หมายเหตุ : โลหะผสม (Alloys) ประเภทแรกเปนประเภทที่พบมากทีส่ ุดในโลหะผสมทางวิศวกรรม เพราะโลหะสวนมากจะละลายเขาดวยกันเปนอยางดีในสภาวะของเหลว 7.3 เสนโคงการเย็นตัว (Cooling curve) โลหะที่นํามาใชงานปจจุบนั สวนใหญเปนโลหะผสม เชน เหล็กกลา (Steel), เหล็กหลอ (Cast iron), อลูมิเนียมผสม (Aluminium alloy), ทองแดงผสม (Copper alloy) เปนตน ดวยเหตุนี้ กอนที่เรียนเรื่องโลหะแตละชนิดตอไปจึงควรศึกษาชวงการเปลี่ยนแปลงของเนื้อ โลหะที่อุณหภูมิและที่สวนผสมตาง ๆ กัน ซึ่งเรียกวา แผนภาพสมดุล (Phase Equilibrium Diagram ) โดยแผนภาพนี้เขียนไดจากกราฟการเย็นตัวของโลหะ (Cooling curve) Cooling curve คือกราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมติ ั้งแตอุณหภูมเิ หนือจุดหลอมละลาย จนถึงอุณหภูมปิ กติสัมพันธกบั เวลาของโลหะที่มีสวนผสมตาง ๆ กัน การเย็นตัวของโลหะแบงออกเปน 2 ชนิด คือ 1.) การเย็นตัวของโลหะบริสุทธิ์ (Pure metal ) 2.) การเย็นตัวของโลหะผสม (Alloy )
178
7.4 การเย็นตัวของโลหะบริสุทธิ์ การเย็นตัวของโลหะบริสุทธิ์ ถาจะเปรียบเทียบก็คลายกับการทําน้ําใหเปนน้ําแข็ง จากกราฟจะเห็นไดวา
1) ชวง a เปนชวงที่โลหะอยูในสภาวะทีเ่ ปนของเหลว 2) จุด a′ เปนจุดเริ่มตนของการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเปนของแข็ง 3) ชวง b เปนชวงการเปลี่ยนแปลงสถานะจากของเหลวเปนของแข็งโดยอุณหภูมิคงที่ หรือ เรียกวา การคลายความรอนแฝง (Latent heat) ชวงนี้จะมีทั้งของเหลวและของแข็ง รวมกัน ซึ่งเรียกวา จุดพัก (Arrest Point ) 4) จุด b′ เปนจุดสิ้นสุดการเปลี่ยนสถานะ ซึ่งจะเปลี่ยนเปนของแข็งทั้งหมดที่ จุด b′นี้ 5) ชวง c เปนชวงที่ของแข็งเริ่มลดอุณหภูมลิ งเปนอุณหภูมิปกติ 7.5 การเย็นตัวของโลหะผสม การทําความเขาใจเกีย่ วกับการเย็นตัวของโลหะผสม จะกลาวเฉพาะการเย็นตัวของโลหะ ผสม 2 ชนิด (Binary Alloy) ลักษณะการผสมสามารถแบงออกเปน 3 ลักษณะ คือ 1.) โลหะทั้งสองชนิดละลายผสมกันอยางสมบูรณ ทั้งในสภาวะเปนของเหลวและในสภาวะ เปนของแข็ง (Completely soluble ในสภาวะของเหลว และ Completely soluble ในสภาวะ ของแข็ง )
179
ชวงที่ 1 เปนชวงที่โลหะผสมอยูในสถานะที่เปนของเหลว ชวงที่ 2 เปนชวงการเปลี่ยนแปลงสถานะโดยอุณหภูมไิ มคงที่ โลหะผสมในชวงนี้จะมีทั้ง ของเหลวและของแข็งรวมกัน ที่เปนเชนนี้เนื่องจากความรอนแฝงของโลหะทั้งสองไมเทากัน ทําให อุณหภูมิการเปลี่ยนสถานะไมคงที่ เสนกราฟจึงเอียงตามไปดวย ชวงที่ 3 เปนชวงที่โลหะผสมแข็งตัว และอุณหภูมิลดลงสูสภาวะปกติ 2.) โลหะสองชนิดละลายกันอยางสมบูรณในสภาวะของเหลว แตรวมตัวไมสมบูรณใน สภาวะของแข็ง (Completely soluble ในสภาวะของเหลว แต Completely soluble ในสภาวะของแข็ง)
จากกราฟจะเห็นไดวา ชวง a เปนชวงที่โลหะทั้งสองยังอยูในสภาพของเหลวและยังรวมตัวกันอยางสมบูรณ ชวง b เปนชวงที่อุณหภูมิลดต่ําลงไป โลหะที่รวมตัวกันอยางสมบูรณจะเริ่มเปลี่ยน สถานะ การเปลี่ยนสถานะเชนนี้จะเปนลักษณะเดียวกันกับโลหะที่ละลายผสมกัน อยางสมบูรณทั้งในสภาพของแข็งและของเหลว
180
ชวง c เปนชวงที่อณ ุ หภูมิการเย็นตัวยังลดลงอีก ทําใหโลหะทัง้ สองแยกตัวออกจากกัน เปนอิสระ ดังนั้นลักษณะการเปลี่ยนสถานะจึงเหมือนกับการเปลี่ยนสถานะของ โลหะบริสุทธิ์ คือ อุณหภูมิคงที่อาศัยการคายความรอนแฝงและจะสิ้นสุดการ เปลี่ยนสถานะเมื่อพนชวงนี้ ชวง d เปนชวงที่โลหะมีสถานะเปนของแข็งอยางสมบูรณ อุณหภูมิลดลงสูอุณหภูมปิ กติ 3.) โลหะทั้งสองรวมตัวกันอยางสมบูรณในสภาวะของเหลว แตในสภาวะของแข็งบางสวน รวมกันไดอยางสมบูรณและบางสวนก็ไมรวมกัน (Completely soluble ในสภาวะของเหลว แต Partially soluble ในสภาวะของแข็ง ) - มีคาเทากับขอ c + ขอ d 7.6 เสนโคงการเย็นตัว (Cooling curve) ของโลหะที่สวนผสมตาง ๆ มาประกอบกันเปนแผนภาพ สมดุล (Phase Equilibrium Diagram ) 1.) ประเภท Completely soluble ในสภาวะของแข็ง
เรียกรูปนีว้ า Solid solution type
181
2.) ประเภท Completely insoluble ในสภาวะของแข็ง
เรียกรูปนีว้ า Simple eutectic type
182
3.) ประเภท Partially soluble ในสภาวะของแข็ง ( มีคาเทากับ c + รูป d )
เรียกรูปนีว้ า Combination type
183
การสรางแผนภาพสมดุลของเหล็กกับคารบอน
แผนภาพสมดุลของเหล็กกับคารบอนเปนแบบ Combination type
Fig.7.3 Iron – carbon equilibrium diagram
184
7.7 แผนภาพสมดุลของระบบสองธาตุ (Binary Alloy) แผนภาพสมดุลระบบสองธาตุมีอยู 5 ประเภท ขึ้นอยูกับลักษณะการละลายของธาตุผสม คือ 1.) โลหะ A และโลหะ B สามารถละลายเขาดวยกันไดทั้งในสภาพหลอมเหลวและสภาพ ของแข็ง ดังรูป
Liquidus line คือ เสนเริ่มเปลี่ยนสภาวะของเหลวไปเปนของแข็ง Solidus line คือ เสนสิ้นสุดของการเปลี่ยนไปเปนของแข็ง
185
2.) โลหะ A และโลหะ B สามารถละลายไดดใี นสภาพหลอมเหลว แตไมสามารถละลายได ในสภาพของแข็ง ลักษณะของโลหะผสมในกรณีนจี้ ะใหระบบ Eutectic Eutectic คือสวนผสมของโลหะ A และโลหะ B จะหลอมละลายไดดีที่อณ ุ หภูมิต่ําสุด เมื่อเทียบกับโลหะ A และโลหะ B และทีจ่ ุด Eutectic นี้จะเปนจุดที่โลหะ A และ B เปลี่ยนสภาวะจาก หลอมละลายเปนของแข็งพรอมกัน เกิดการแยกตัวออกมาเปนโลหะ A และ B ในเวลาเดียวกัน และที่ อุณหภูมิเดียวกันคือ อุณหภูมิ Eutectic จะไดผลึกเล็ก ๆ ของ A และ B เกิดสลับกันเรียกโครงสรางนี้ วา โครงสราง Eutectic ดังรูป
186
3.) โลหะ A และโลหะ B สามารถละลายไดดใี นสภาพหลอมเหลว แตจะละลายไดบางสวน (Partially) ในสภาพของแข็งและใหปฏิกิริยา Eutectic ( มีคาเทากับรูป 1 + รูป 2 ) โลหะ A ในสภาพของแข็งจะยอมใหโลหะ B ละลายไดจํานวนหนึง่ และเปนลักษณะ Solid solution จะใชชื่อเรียกสารละลายนี้วา แอลฟา (Alpha ; ∝ )
โลหะ B ในสภาพของแข็งจะยอมใหโลหะ A ละลายไดจํานวนหนึง่ และเปนลักษณะ Solid solution จะใชชื่อเรียกสารละลายนี้วา เบตา (Beta ; β )
187
7.8 ปฏิกิริยา Eutectoid การเปลี่ยนแปลง Phase ในโลหะบางชนิดอาจจะเกิดไดในสภาพของแข็ง เชน Solid solution อาจจะแตกตัวให Phase อีกสอง Phase และเกิดในลักษณะที่ผสมประสานกัน เรียกวา โครงสราง Eutectoid การเกิดโครงสราง Eutectoid ไมแตกตางกับ Eutectic คือ ขณะเกิดปฏิกิริยา Eutectoid อุณหภูมิจะคงที่เหมือนกัน สิ่งที่แตกตางกันก็คือ Eutectoid เกิดในสภาพของแข็ง แต Eutectic เกิดใน สภาพของเหลว ดังรูป
188
4.) โลหะ A และโลหะ B สามารถละลายไดดใี นสภาพหลอมเหลว แตจะละลายไดบางสวนใน สภาพของแข็ง และใหปฏิกิริยา Peritectic ดังรูป
Peritectic เปนปฏิกิริยาที่เกิดจากการรวมตัวของโลหะผสมหลอมเหลวที่มสี วนผสมแนนอน กับสารละลายของแข็งที่มีสวนผสมแนนอนจํานวนหนึ่ง ไดสารละลายของแข็งที่มสี วนผสมแตกตาง จากทั้งโลหะผสมหลอมเหลวและสารละลายของแข็งที่เขาทําปฏิกิริยากัน ดังสมการ สมการ Liquid + Solid 1
cooling heating
Solid 2
189
7.9 ปฏิกิริยา Peritectoid เชนเดียวกันถาเกิดปฏิกิริยาในสภาพของแข็ง เราเรียกวา Peritectoid ดังสมการ Solid 1 + Solid 2
cooling heating
Solid 3
190
5.) โลหะA และโลหะ B สามารถละลายไดดีในสภาพหลอมเหลว แตไมสามารถละลายไดใน สภาพของแข็ง แตจะใหสารประกอบเชิงโลหะ ( Intermetallic compompound ) มีสูตร Ax By ในแผนภาพสมดุลจะมี 2 ลักษณะ ขึ้นอยูกับการละลายของสารประกอบคือ 5.1) Congruent คือสารประกอบ Ax By คงสภาพอยูตลอดในขณะถูกความรอนโดยไมมี การแตกตัวหรือเปลี่ยน Phase ไปเปนอยางอื่นจนถึงอุณหภูมหิ ลอมเหลวจึงจะสลายตัวเปนโลหะผสม หลอมเหลว ดังรูป
191
5.2) Non – congruent คือสารประกอบ Ax By มีการเปลี่ยนสภาวะและแตกตัวกอนถึงจุด หลอมเหลว ดังรูป
หมายเหตุ : สารประกอบ Ax By จะมีสภาพเหมือนโลหะบริสุทธิ์ทุกประการการศึกษาแผน ภาพสมดุลของโลหะ A และ B ใหแบงศึกษาเปน 2 สวน คือ - แผนภาพสมดุลระหวาง A กับ Ax By - แผนภาพสมดุลระหวาง Ax By กับ B
192
7.10 โครงสรางภายในของโลหะผสม ( Microstructure of Alloys ) 1.) ประเภท Compietely soluble ในสภาวะของแข็ง
Fig.7.4 Equilibrium diagram of antimony and bismuth
Fig.7.5 Cooling curves for antimony – bismuth system.
193
2.) ประเภท Completely insoluble ในสภาวะของแข็ง
Fig. 7.6 Equilibrium diagram of bismuth and cadmium.
Fig. 7.7 Cooling curve for bismuth – cadmium system.
194
3.) ประเภท Partially soluble ในสภาวะของแข็ง
ภาพหนา 216
195
1) Eutectic
ชื่อจุดตาง ๆ ที่สําคัญในแผนภาพสมดุล เปนชื่อเรียกจุดที่
Liquid A
นตัวลง ⎯เย็⎯ ⎯→
Solid B + Solid C
นตัวลง ⎯เย็⎯ ⎯→
Solid B + Solid C
นตัวลง ⎯เย็⎯ ⎯→
Solid C
นตัวลง ⎯เย็⎯ ⎯→
Solid C
←⎯ ⎯⎯ ทําใหรอน
2) Eutectoid เปนชื่อเรียกจุดที่ Liquid A
←⎯ ⎯⎯ ทําใหรอน
3) Peritectic เปนชื่อเรียกจุดที่ Liquid A + Solid B
←⎯ ⎯⎯ ทําใหรอน
4) Peritectoid เปนชื่อเรียกจุดที่ Liquid A + Solid B
←⎯ ⎯⎯ ทําใหรอน
แผนภาพสมดุลจะบอกอะไรไดบาง แผนภาพสมดุลจะบอกสิ่งตาง ๆ ดังตอไปนี้ 1.) ที่สวนผสมใดสวนผสมหนึ่งที่กําหนดให จะทราบอุณหภูมิที่จําเปนเพื่อที่จะใหสวนผสม นั้นอยูใ น Phase ใด Phase หนึ่ง นั้นคือจะทราบอุณหภูมทิ ี่จําเปนเพื่อใหได Phase ที่ตองการ 2.) เมื่อทราบสวนผสมและอุณหภูมิจะสามารถทราบไดวาในขณะนั้น ๆ สวนผสมนั้นอยูใ น Phase ใด 3.) ถาสวนผสมหนึ่งถูกทําใหรอนหรือเย็นผานชวงอุณหภูมหิ นึ่ง ๆ จะผานการเปลี่ยนแปลง ไปสู Phase ใด ๆ ไดบาง
196
Fig. 7.8 Hypothetical equilibrium phase diagram showing all invariant reaction points in a binary system at constant pressure.
197
EX Cu – Sb alloy system แสดงดังรูปขางลางนี้ จงเขียนชื่อปฏิกริ ิยาที่ปรากฏขึ้นและสมการของ ปฏิกิริยานั้น ๆ
ภาพหนา 219
The copper – antimony system. เสน T1 ชื่อ Eutectic
สมการ
Liquid
α+ γ
เสน T2 ชื่อ Peritectic
สมการ
Liquid + γ
Cu2 Sb
เสน T3 ชื่อ Eutectic
สมการ
Liquid
Cu2 Sb + β
เสน T4 ชื่อ Peritectoid
สมการ
α+ γ
δ
เสน T5 ชื่อ Eutectoid
สมการ
γ
δ + Cu2 Sb
198
กฎของ Lever - arm
น้ําหนักของโลหะผสมทั้งหมด (Wall ) = น้าํ หนักของ Solid (WS) + น้ําหนักของ Liquid (WL) และจํานวนของ B ที่มีอยูใน solid กับ liquid ยอมเทากับน้าํ หนักของ B ที่มีอยูในโลหะผสมทั้งหมด จากสมการ : Wall × BT = (WS × BS) + (WL × BL) (WS × WL) × BT = (WS × BS) + (WL × BL) จากรูป BT = T1J ; BS = T1M ; BL = T1N = (WS × T1M) + (WL × T1N) ∴ (WS × T1J) + (WL × T1J) หรือ WS × (T1J – T1M) = WL × (T1N – T1J) = WL × JN WS × MJ ∴
WS WL
=
JN MJ
199
โจทยตัวอยาง EX โลหะ Bismuth มีจุดหลอมเหลวที่ 520 ° F และโลหะ Cadmium มีจุดหลอมเหลวที่ 610 ° F ถา นํา Bi และ Cd จะเปนแบบ Completely soluble แตถา ในสภาวะของแข็ง การละลายจะเปลี่ยนเปน แบบ Completely insoluble โลหะผสมนี้จะเกิดปฏิกิรยิ า Eutectic ที่อุณหภูมิ ที่ 290 ° F โดยที่ Eutectic mixture จะมี Cd อยู 40 % จงเขียน Phase Equilibrium Diagram ของ Bi และ Cd พรอมทั้งลงรายละเอียดตาง ๆ ให สมบูรณ วิธีทํา
200
โจทยตัวอยาง EX โลหะ A และ B มีจุดหลอมเหลวที่ 232 ° C และ 272 ° C ตามลําดับ ถานํา A และ B มาทําเปน โลหะผสมในสภาวะของเหลว การละลายของ A และ B จะเปนแบบ Completely soluble แตถาใน สภาวะของแข็ง การละลายจะเปลี่ยนเปนแบบ Partially soluble โลหะผสมนี้จะเกิดปฏิกิริยา Eutectic ที่อุณหภูมิ 138 ° C โดยที่ Eutectic mixture จะมี A อยู 40 % และที่อุณหภูมิ 138 ° C ดังกลาว คา Maximum solubility ของ B ใน A จะมีคา เทากับ 19 % และ A ใน B จะมีคาเทากับ 2 % จงเขียน Phase Equilibrium Diagram ของ A, B พรอมทั้งลงรายละเอียดตาง ๆ ใหสมบูรณ วิธีทํา
201
การคํานวณ
สมมุติ : พิจารณาโลหะผสม Sb 50 จากกฎ Lever – arm ปริมาณ liquid = ปริมาณ solid =
%,
50 − 20 × 100 70 − 20 70 − 50 × 100 70 − 20
Bi 50
%
ณ T = 800 ° C
=
60
%
โดย น.น.
=
40
%
โดย น.น.
ทดสอบ : จากรูป ใน liquid มี Bi 70 % และ Sb 30 % โดย น.น. ใน solid มี Bi 20 % และ Sb 80 % โดย น.น. ∴ ในโลหะผสม มีจํานวน Bi ทั้งหมด =
60 × 70 100
+
40 × 20 100
= 50%
และมีจํานวน Sb ทั้งหมด
60 × 30 100
+
40 × 80 100
= 50%
=
202
การคํานวณ
คิด Alloy I : ที่อุณหภูมิ 400 ° F ปริมาณ liquid = ปริมาณ Bi
=
10 − 0 × 100 30 − 0 30 − 0 × 100 30 − 0
= 33.33% โดย น.น.
100 − 40 × 100 100 − 0 40 − 0 × 100 100 − 0
= 60 % โดย น.น.
= 66.66% โดย น.น.
คิด Alloy II : ที่อุณหภูมิ 300 ° F ปริมาณ Bi
=
ปริมาณ Cd
=
= 40 % โดย น.น.
คิด Alloy III : ที่อุณหภูมิ 500 ° F ปริมาณ liquid = ปริมาณ Cd
=
100 − 80 × 100 100 − 60 80 − 60 × 100 100 − 60
= 50 % โดย น.น. = 50 % โดย น.น.
203
Ex การศึกษาเกี่ยวกับโครงสรางของโลหะผสมเงิน ( Ag) กับทองแดง (Cu)
วิธีทํา : สมมุติวาโลหะผสมระหวางเงินกับทองแดง โดยมีทองแดงผสมอยู 60 % การศึกษาจะเริ่ม ตั้งแตโลหะอยูใ นสภาพหลอมเหลว เมื่อปลอยใหเย็นชา ๆ โลหะผสมจะเริ่มแข็งตัวเมื่อเสนตั้งฉาก แทนโลหะผสมที่ 60 % ตัดกับเสน Liquidus ที่อุณหภูมิ 880 ° C ซึ่ง ณ จุดนี้โลหะผสมที่หลอมเหลว จะใหกําเนิดนิวเคลียสของ β ที่มีความเขมขน 95 % Cu เมื่ออุณหภูมิต่ําลง สมมุติวาที่ 850 ° C ณ ที่มี โครงสรางของโลหะผสมจะประกอบดวย phase β (94% Cu) ลอมรอบดวย phase (48% Cu) เรา จะสามารถคํานวณหาปริมาณน้ําหนักของ β และ liquid ไดโดยอาศัยกฎ Lever - arm น.น. β
=
60 − 48 94 − 60
=
12 34
=
60 − 48 94 − 48
=
12 46
น.น. Liquid หรือ
น.น. β
น.น. ของโลหะผสมทั้งหมด เมื่อคิดเปนเปอรเซ็นต โดยใหน้ําหนักของโลหะผสมทั้งหมดเปน 100 สวน เราจะได น.น. β
=
12 x 100 46
=
26.1 %
น.น. liquid
=
100 – น.น. β =
73.9 %
204
เมื่ออุณหภูมิตา่ํ ลงจนอยูเหนืออุณหภูมิที่จะเกิดปฏิกิริยา Eutectic เล็กนอย ในตอนนี้โลหะ ผสม Ag – Cu จะประกอบดวย Liquid ที่มี Cu ประมาณ 28.5 % และ Solid β ที่มี Cu ประมาณ 92% ถาจะทราบปริมาณของ Liquid และ β เราสามารถหาไดโดย น.น. liquid
=
92 − 60 92 − 28.5
=
32 63.5
=
32 × 100 63.5
=
50.4 %
น.น.ของโลหะผสม น.น. liquid
น.น. β = 100 – 50.4 = 49.6 % หมายเหตุ : การที่เราอนุโลมใชคา composition ของ liquid เปน 28.5 % Cu และ Solid β เปน 92 % Cu เพราะเราพิจารณาที่อณ ุ หภูมิเหนือ Eutectic เพียงเล็กนอย ทั้งนี้ก็เพื่อทราบวาปริมาณของ liquid ที่ จะเกิดแข็งตัวและใหปฏิกิริยา Eutectic มีปริมาณเทาใด เพื่อที่เราจะสามารถเขียนโครงสรางของโลหะ ผสมทองแดงกับเงิน 60 % Cu ไดอยางถูกตอง ที่อุณหภูมิเหนือจุด Eutectic เพียงเล็กนอย โครงสรางประกอบดวย Liquid (28.5 % Cu) ปริมาณ 50.4 % โดย น.น. และ Solid β (92% Cu) ปริมาณ49.6% โดย น.น.
เมื่ออุณหภูมิลดลงถึง 779 ° C ซึ่งเปน Eutectic temperature โดยเปนอุณหภูมิที่จะเกิดปฏิกิริยา Eutectic จะปรากฎการแข็งตัว เฉพาะ liquid ซึ่งจะให phase ∝ (8.8 % Cu) กับ phase β (92% Cu) พรอม ๆ กันที่อุณหภูมิคงทีท่ ั้ง ∝ และ β จะเกิดในเวลาและอุณหภูมเิ ดียวกัน จึงเปนผลึกที่มีขนาด เล็ก ๆ เกิดสลับกันสวน phase β (92% Cu) ที่เปน primary crystal จะไมมีการเปลี่ยนแปลง
205
ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิต่ําลงกวา 779 ° C เพียงเล็กนอย เราก็จะไดโครงสรางซึ่งประกอบดวย Solid β (92% Cu) ที่เปน primary crystal กับ Eutectic structure ที่ประกอบดวย ∝ (8.8 % Cu) และ β (92% Cu) ที่เปนผลึกขนาดเล็ก ถาเราอยากทราบวาโครงสราง Eutectic จะประกอบดวย ∝ (8.8 % Cu) กับ β (92% Cu) เปน จํานวนเทาใด เราสามารถหาไดโดยอาศัยกฎ Lever – arm ดังนี้ น.น. ∝ (8.8 % Cu)
=
92 − 28.5 28.5 − 8.8
=
63.5 19.7
น.น. β (92% Cu)
=
3.2
แสดงวาในโครงสราง Eutectic น.น. ∝ (8.8 % Cu) มีมากกวา น.น. β (92% Cu) เปน จํานวน 3.2 เทา ดังนั้นใน Eutectic structure ซึ่งมีปริมาณ 50.4 % ของโลหะผสมทั้งหมดจะ ประกอบดวย ∝ (8.8 % Cu) ปริมาณ 38.3 % โดย น.น. และ β (92% Cu) ปริมาณ 12.1 % โดย น.น. เมื่ออุณหภูมิลดต่ําลงจาก 779 ° C ถึง 200 ° C ในชวงนี้จะเกิดมีการเปลี่ยนแปลงโครงสราง บางเพียงเล็กนอย กลาวคือ Solubility ของ Cu ใน ∝ จะลดลงในทางตรงกันขามปริมาณ Cu ใน β จะ เพิ่มขึ้นและจะลดปริมาณของเงินลงตาม curve ที่ปรากฏ ทั้ง ∝ และ β จะกลายเปนโลหะเงินบริสุทธิ์ (Ag) และเปนทองแดงบริสุทธิ์ (Cu) ตามลําดับ เมือ่ อุณหภูมิลดลงถึง 200 ° C เมื่อตองการจะ คํานวณหาปริมาณของ ∝ และ β ในชวงอุณหภูมิ 779 ° C ถึง 200 ° C อาศัยกฎ Lever – arm เหมือนเดิม เชน สมมุติวาตองการทราบปริมาณของ ∝ และ β และโครงสรางที่อุณหภูมิ 720°C จาก phase Equilibrium Diagram ลากเสนอุณหภูมิ 720 °C จะปรากฏวา ∝ ที่อยูในสภาพสมดุล ณ อุณหภูมินี้จะมี Cu 6% และ β มี Cu 94 % =
94 − 60 94 − 6
=
34 88
น.น. ∝ ( 6%Cu)
=
34 × 100 88
=
38.6 %
น.น. β ( 94%Cu)
=
100 – 38.6
=
61.4 %
น.น. ∝ น.น. โลหะผสม
206
7.11 แผนภาพสมดุลของเหล็ก - คารบอน ( phase Equilibrium Diagram of Fe - C )
Fig. 7.9 Iron – carbon equilibrium diagram การศึกษาแผนภาพสมดุลของเหล็กกับคารบอนมีความสําคัญมาก เพราะคุณสมบัติของเหล็กที่ ใชอยูในงานวิศวกรรมเปลี่ยนแปลงตามปริมาณของคารบอนที่ผสมอยูในเหล็ก และการที่จะเขาใจถึง คุณสมบัติตาง ๆ ของเหล็กไดดี ยอมตองเขาใจเรื่องของแผนภาพสมดุลของเหล็กกับคารบอนเปนหลัก ในการศึกษา Diagram นี้ จะตองทําความเขาใจตอความหมายของศัพท (Terminology ) ที่เกี่ยวของ เสียกอน ดังตอไปนี้ Ferrite บางทีเรียกเหล็กแอลฟา (Alpha, α ) คือสารละลายของแข็ง (Solid solution) ของ เหล็กกับคารบอน ซึ่งคารบอนสามารถละลายไดดใี นเหล็กมากที่สุด 0.025 % ที่อุณหภูมิ 723 °C มี ระบบผลึก (Crytal system) เปน Body – centered cubic
207
Austenite บางทีเรียก เหล็กแกมมา (Gamma , γ) คือ สารละลายของแข็ง (Solid solution) คือสารละลายของแข็ง (Solid solution) ของเหล็กกับคารบอน ซึ่งคารบอนละลายไดในเหล็กมากทีส่ ุด 2 % ที่อุณหภูมิ 1130 °C ที่ระบบผลึก(Crystal system) เปน Face – centered cubic Ferrite เดลตา (Delta, δ) คือ สารละลายของแข็ง (Solid solution) ของเหล็กกับคารบอน ในชวงอุณหภูมิสูงใกลจุดหลอมตัวของเหล็ก (1400° - 1539°C) คารบอนสามารถละลายไดสูงสุด 0.1%ที่อุณหภูมิ 1492°C มีระบบผลึก (Crystal system ) เปน Body – centered cubic เชนเดียวกับ Ferrite แอลฟา Cementite หรือ Iron carbide เปนสารประกอบเคมี (Intermetallic compound ) ระหวางเหล็ก กับคารบอน โดยมีคารบอนผสมอยู 6.67 % มีสูตรทางเคมีเปน Fe3C มีความแข็งสูงแตจะเปราะแตกหัก ไดงายเมื่อไดรบั แรงกระแทกมีระบบผลึก (Crystal system ) เปน Orthorhombic Pearlite คือ ผลึกที่เกิดรวมกันระหวาง Ferrite (0.025 % C) กับ Cementite (6.67%C ) เกิดจาก ปฏิกิริยา Eutectoid ในขณะที่ทําใหเหล็กเย็นชา ๆ ตรงอุณหภูมิ 323 ° C จะเกิด Ferrite - ∝ และ Cementite ที่อุณหภูมิคงที่ เกิดผลึกเปนแลบยาว ๆ (Lamellar structure) สลับกันระหวาง Ferrite - ∝ และ Cementite ดังนั้น Pearlite จึงไมใชเพียง 1 Phase แตจะเปน 2 Phase ประกอบกัน Phase Equilibrium Diagram ของเหล็กกับคารบอน เปน Diagram แบบที่ 1 คือธาตุคารบอนสามารถละลายไดดีในสภาพหลอมเหลว แตในสภาพของแข็ง คารบอนจะ รวมตัวกับเหล็กทั้งในสภาพสารละลายของแข็ง Solid solution (Ferrite - ∝ , Austenite และ Ferrite - δ ) และสารประกอบเคมี (Intermetallic compound ) มีสูตร Fe3C จาก Diagram จะปรากฏปฏิกิริยา 3 ประเภท คือ 1.) ปฏิกิริยา Feritectic ที่อุณหภูมิ 1492° C จะเกิดปฏิกิริยา Peritectic ดังสมการ : Ferrite - δ (0.1% C )+ Liquid (0.5% C) 2. ) ปฏิกิริยา Eutectic ที่อุณหภูมิ 1130° C จะเกิดปฏิกิริยา Eutectic ดังสมการ : Liquid (4.3%C)
Cooling heating
Cooling heating
Austenite ( γ 0.18%C )
Austenite (γ 2%C)+Cementite (6.67%C)
3.) ปฏิกิริยา Eutectoid ที่อุณหภูมิ 723° C จะเกิดปฏิกิริยา Eutectoid ดังสมการ : Austenite (γ 0.8%C) Cooling Ferrite (0.025%C)+ Cementite (6.67%C) heating
208
ตารางเสนตาง ๆ ที่ปรากฏบนแผนภาพสมดุลเหล็กกับคารบอน เสนคงตัว A1 A2
อุณหภูมิ ( ° C ) 723 768
A3
723 – 910
ACM
723 – 1130
Alg
1400
คุณลักษณะ เสนแสดงอุณหภูมิที่เกิดปฏิกิริยา Eutectoid เสนแสดงการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะแมเหล็ก ของ Ferrite - ∝ เมื่อเหล็กรอนเกินกวาอุณหภูมิ นี้ จะเกิด Ferrite - β ซึ่งแมเหล็กจะไมดูด เสน A2 ไมมีการเปลี่ยนโครงสราง ดังนั้นจึงมัก ไมคอยปรากฏในแผนภาพสมดุล เสนอุณหภูมิแสดงการเปลี่ยนแปลงระหวาง Austenite กับ Ferrite - ∝ เสนแสดงการเปลี่ยนแปลงระหวาง Austenite กับ Cementite เสนแสดงการเปลี่ยนแปลงระหวาง Austenite กับ Ferrite - δ
209
ตัวอยางการศึกษาโครงสรางของเหล็ก ขอยกตัวอยางเหล็กที่มีคารบอน 0.4 % จาก Diagram พิจารณาเหล็กที่มีคารบอน 0.4 % ที่อุณหภูมิ 1539 ° C เหล็กจะอยูในสภาพหลอมละลาย ที่อุณหภูมิ 1500° C เหล็กจะเริ่มแข็งตัว ใหกําเนิดนิวเคลียสของเหล็ก δ (delta ) ที่มีธาตุ คารบอน 0.075 % ที่อุณหภูมิเหนือ 1492° C เล็กนอย เหล็กจะประกอบดวยเนื้อเหล็ก δ ที่มีคารบอน 0.10 % กับเหล็กหลอมเหลวที่มีธาตุคารบอน 0.5 % ที่อุณหภูมิ 1492° C เปนอุณหภูมิที่เกิดปฏิกิริยา Peritectic กลาวคือเหล็ก δ ที่มีธาตุคารบอน 0.10 % จะรวมกับเหล็กหลอมเหลวบางสวนแลวใหเหล็ก γ (Gamma) ที่มีธาตุคารบอน 0.18% ที่อุณหภูมิต่ํากวา 1492° C เล็กนอย เหล็ก 0.4 % คารบอนจะประกอบดวยเหล็ก γ 0.18 % กับเหล็กหลอมเหลว 0.50 % คารบอน เมื่ออุณหภูมิลดลงจะปรากฏเหล็ก γ จะเพิม่ ปริมาณมากขึ้น สวนปริมาณของเหล็กหลอมเหลว จะลดลงตามลําดับ แตทั้งเหล็ก γ และเหล็กหลอมเหลวจะประกอบดวยธาตุคารบอนมากขึ้น ที่อุณหภูมิ 1450° C จะเปนจุดที่เหล็กหลอมเหลวที่เหลือแข็งตัวหมดกลายเปนเหล็ก γ 0.4 % คารบอน เมื่ออุณหภูมิลดต่ําลง จะปรากฏเหล็ก γ ไมเปลี่ยนแปลงยังคงเปนเหล็ก γ 0.4% คารบอน จนถึงอุณหภูมิ 800°C จึงจะเริ่มมีการเปลีย่ นแปลง โดยที่บริเวณรอบ ๆ เม็ดเกรนของเหล็ก γ จะให กําเนิดนิวเคลียสของเหล็ก ∝ 0.02% คารบอนและเมื่ออุณหภูมิลดลง ปริมาณของเหล็ก ∝ จะเพิ่ม มากขึ้น สวนเหล็ก γ จะกลับมีปริมาณลดลง แตทั้งเหล็ก ∝ และ γ จะมีเปอรเซนตคารบอนเพิ่มขึ้น ดวย ที่อุณหภูมิเหนือ 723 ° C เล็กนอย จะปรากฏมีเหล็ก ∝ 0.025 % กับเหล็ก (Gamma) 0.8 % คารบอน อยางละประมาณ 50% ที่อุณหภูมิ 723 ° C พอดี เปนอุณหภูมิทใี่ หปฏิกิริยา Eutectoid ซึ่งเหล็ก γ 0.8 % คารบอน จะ แตกตัวใหเหล็ก ∝ 0.025 % กับซีเมนไตต ( Fe3C) 6.67% คารบอนพรอม ๆ กัน โดยมีปริมาณ เหล็ก ∝ 0.025 % มากกวาซีเมนไตตประมาณ 7 เทา ปริมาณเหล็ก ∝ ปริมาณ Fe3C
=
6.67 − 0.8 7 = 0.8 − 0.025 1
210
ลักษณะการแตกตัวของเหล็ก γ จะใหแถบยาว ๆ ของเหล็ก ∝ 0.025 % คารบอนกับ ซีเมนไตตสลับกันไป เราเรียกโครงสรางนี้วา Pearlite เมื่ออุณหภูมิลดต่ําลงอีก จะปรากฏวาเหล็ก 0.4% คารบอน จะมีโครงสรางที่ประกอบดวย เหล็ก ∝ 0.025 % กับ Pearlite 0.8% ถาอุณหภูมิลดต่ําลงอีกจะปรากฏการเปลี่ยนแปลงอีกเล็กนอยโดย เหล็ก ∝ 0.025 % จะแยกตัวใหเหล็ก ∝ ที่มีธาตุคารบอนนอยกวา 0.025% กับซีเมนไตต 6.67% แตปริมาณที่เปลี่ยนแปลงจะนอยมาก หมายเหตุ : การเปลี่ยนแปลงที่อธิบายนี้จะเกิดเฉพาะเมื่ออัตราการเย็นตัว ( rate of cooling ) เปนไป อยางชา ๆ เพื่อเปดโอกาสใหอะตอมของคารบอนสามารถเคลื่อนที่ไดทนั ทําใหเกิด Phase ตาง ๆ แตถา อัตราการเย็นตัวเร็วจะไมปรากฏ Phase ตาง ๆ ที่อธิบายมาแตกลับจะไดโครงสรางของเหล็กตาง ออกไป ในการคํานวณหาปริมาณของ Phase ที่เกิด ณ อุณหภูมิตาง ๆ อาศัยกฎของ Lever – arm ดังเชนเหล็ก 0.4 % ที่ 750 ° C จะมีปริมาณของเหล็ก ∝ = 34% และเหล็ก γ = 66%
211
บทที่ 8 กรรมวิธีทางความรอนของเหล็กกลา (Heat Treatment of Steel) ความหมาย : การปรับปรุงคุณสมบัติของโลหะใหไดตามตองการโดยการอบใหรอ น แลวถายเท ความรอน (Heat transfer) ผล : เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของเหล็กและโครงสรางภายในของเหล็ก - การอบชุบเหล็กในทีน่ ี้มิไดหมายถึงเฉพาะการชุบเหล็กใหแข็งเพียงอยางเดียว แตหมายถึง การใชความรอนกระทํากับเหล็ก เพื่อเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของเหล็กและโครงสรางภายในของเหล็ก วิธีการ : 1. Hardening (การชุบแข็ง) 2. Tempering (การอบคลายความแข็ง, การอบคืนตัว) 3. Annealing (การอบออน, การอบนิ่ม) 4. Normalizing (การอบปกติ, การอบละเอียด) 5. Spheroidizing (การอบกลม)
212
8.1 Hardening คือการชุบเหล็กเพื่อใหเหล็กมีความแข็งขึ้น ขั้นแรกจะตองเผาเหล็กจากอุณหภูมิบรรยากาศ ใหรอนประมาณ 800° - 900°C (ขึ้นอยูกบั ชนิดของเหล็ก) ภายในเตาไฟฟาหรือเตาอบชุบอื่น ๆ ที่ สามารถควบคุมอุณหภูมิได เมื่อเหล็กรอนจนถึงอุณหภูมินี้ โครงสรางของเหล็กจะเปลีย่ นไปเปน Austenite โดยทั่ว ๆ ไป มักจะเผาใหอุณหภูมิของเหล็กรอนเลยเสน A3 ไปประมาณ 50°- 75° C แต จะไมเผาเหล็กใหอุณหภูมิสูงเกินพิกัดนี้ เพราะจะทําใหเกรนของเหล็กขยายตัวโตขึ้น (Grain growth) ซึ่งจะทําใหคณ ุ ภาพของเหล็กหลังจากการชุบเสียไป ในทางปฏิบัติ : ถาเปนเหล็กที่มีคารบอนต่ํากวา 0.8% จะเผาใหอุณหภูมิสูงกวาเสน A3 ประมาณ 50° - 75° C ถาเหล็กมีคารบอนสูงกวา 0.8% จะเผาเพียงแค อุณหภูมิเหนือเสน A1 ประมาณ 50° - 75° C เทานั้น เหตุผลก็คือเพื่อตองการรักษา Cementite ไวไมใหเปลี่ยนไปเปน Austenite เพราะ Cementite มีความแข็งสูงอยูแลว
เมื่อเผาเหล็กจนกลายเปน Austenite แลวจะตองทิ้งไวที่อุณหภูมินี้สกั ระยะหนึ่ง เวลา ประมาณ 1 ชั่วโมง ตอความหนา 25 มม. เพื่อใหเหล็กรอนทั่วถึงกันตลอดทั้งแทง จากนัน้ จึงจะ นําเอาเหล็กออกจากเตาทําใหเย็นโดยรวดเร็วดวยการจุมลงในน้ํา (Water quench) หรือในน้ํามัน (Oil quench) ในขณะที่ทําใหเหล็กเย็นโดยรวดเร็วนี้ Austenite จะเปลี่ยนกลับไปเปน Ferrite และ Pearlite ไมทัน แตจะใหโครงสรางใหมที่มีความแข็งสูง เรียกวา มารเทนไซต (Martensite) ดังรูป
213
ถาจะพิจารณาโดยละเอียดแลว Martensite ก็คือ Ferrite นั่นเอง แตเปน Ferrite ที่มี ปริมาณคารบอนสูงกวาสภาพสมดุลตาม Equilibrium diagram ที่เปนเชนนี้เพราะอะตอมของ คารบอนไมมีเวลาพอที่จะเคลื่อนไหวมารวมกันให Cementite
214
Figure 8.1 Determination of hardening temperature for a 0.6% carbon steel.
215
ออสเตนไนทที่อุณหภูมิสูง
ออสเตนไนทภายหลังทําใหเย็นอยางเร็วไดมารเทนไซท
ความแข็งที่ไดจากการชุบเหล็กเกิดจาก 1. High carbon martensite และ 2. Deformation of space lattice (Distortion) ดังนั้นความแข็งของเหล็กที่ผานการชุบจึงขึ้นอยูกับ 2 สิ่ง คือ 1. ปริมาณธาตุคารบอนในเหล็ก กลาวคือ ถาในเหล็กมีธาตุคารบอนมาก โอกาสที่เหล็กจะ เปลี่ยนเปน Martensite ก็ยิ่งงาย และปริมาณของมาก
216
หมายเหตุ : เหล็กที่มีปริมาณคารบอนต่ํากวา 0.3% C จะชุบไมแข็ง 2. อัตราความเร็วในการชุบ (Cooling rate) กลาวคือ ถาทําใหเหล็กเย็นเร็ว ๆ โอกาสที่ Austenite จะเปลี่ยนเปน Martensite ก็มีมาก ในทางตรงกันขาม ถาปลอยใหเหล็กเย็นชา ๆ Austenite จะเปลี่ยนไปเปน Ferritre, Cementite และ Pearlite ไมเกิด Martensite เหล็กก็ไมแข็ง ดังรูป
217
8.2 Tempering เหล็กที่ผานการชุบมาแลวยอมจะเกิดความเครียด (Strain) ขึ้นภายใน และมีความแข็งเพิ่มขึ้น แตเหล็กจะขาดคุณสมบัติทางดานความเหนียว (Ductility) ทําใหไมเหมาะที่จะนําไปใชงาน เพราะ ถาเกิดมีการกระแทกชิน้ เหล็กอาจจะแตกราวได จึงจําเปนตองปรับปรุงคุณสมบัติเสียใหมโดยการทํา อบคืนตัว ซึ่งมีวิธีการดังนี้ นําเหล็กที่ผานการชุบมาแลวเผาภายในเตาที่อุณหภูมิต่ําประมาณ 200° - 400°C ทิ้งไว ประมาณ 1 - 3 ชั่วโมง แลวเอาออกปลอยใหเย็นในอากาศธรรมดา เหล็กจะมีคณ ุ สมบัติดานความ เหนียว (Ductility) ดีขึ้น แตความแข็งจะลดลงเล็กนอย ดังรูป
218
ในขณะเผาที่อณ ุ หภูมิต่ํา Martensite จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กนอย โดยอะตอมคารบอนจะ เคลื่อนไหวออกจาก Martensite มารวมกันเปน Ferrite และ Cementite บางสวน ที่เปนเชนนี้ เพราะ Martensite ไมใชโครงสรางของเหล็กที่สมดุลที่อุณหภูมิบรรยากาศ เมื่อเหล็กไดรับความรอน จะเกิดการเปลีย่ นแปลงเพื่อกลับไปเปนโครงสรางที่สมดุลคือ Ferrite กับ Cementite ที่เราตองเผา อุณหภูมิไมเกิน 400°C ก็เพื่อไมตองการให Martensite คืนตัวหมด เพราะเรายังตองการความแข็ง ของเหล็กอยู ถาเราเผาใหอุณหภูมิสูงเกิน 400° C ความแข็งจะถูกทําลายหมด โดยทั่ว ๆ ไป การชุบแข็ง และการอบคืนตัวจะตองกระทําติดตอกัน เพื่อใหไดเหล็กแข็งและ ทนแรงกระแทกไดดดี วย (Toughness) ดังรูป
219
220
221
8.3 Annealing มีความมุงหมายเพื่อตองการใหเหล็กออนลง (Softening) หรือเพื่อทําใหเหล็กเหนียวขึน้ (Toughening) สวนใหญเหล็กที่ผานการขึ้นรูปเย็น (Cold working) หรือการหลอ (Casting) มา มักจะมีความแข็งเพิ่มขึ้นและไมสม่ําเสมอ ทําใหเกิดการกลึงหรือไสยาก ดังนั้นจึงจําเปนตองทําลาย ความแข็งของเหล็กเพื่อจะไดกลึงหรือไสไดสะดวก หลักการทํา Annealing แบงออกเปน 2 วิธี คือ 1. Full annealing 2. Process annealing Full annealing : มีความมุง หมายใหเหล็กออนลงเพื่อสะดวกตอการกลึงหรือไส วิธีนี้ตอง เผาเหล็กใหมอี ุณหภูมิสูงจนเหล็กกลายเปน Austenite ที่อุณหภูมเิ หนือเสน A3 ประมาณ 50°C ภายในเตาที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได ทิ้งไวที่อุณหภูมินี้ไมเกิน 2 ชั่วโมง จากนั้นปลอยใหเหล็ก เย็นชา ๆ ภายในเตา ถาเปนเตาไฟฟาก็เพียงแตตัดกระแสไฟเสีย แลวปลอยใหเหล็กเย็นอยูภ ายในเตา ที่ปดฝาสนิท เมื่อเหล็กถูกปลอยใหเย็นชา ๆ การเปลี่ยนโครงสรางภายในก็จะกลับสูสภาพใกลเคียง สมดุล โครงสรางที่เปนอยูเดิม เชน Martensite เปนตน จะกลับมาเปน Ferrite และ Cementite ทําใหความแข็งลดลงกลายเปนเหล็กออนนิ่ม Process annealing : มีความมุงหมายเพื่อทําลายความเครียดภายในใหหมดไป เชน เหล็กที่ ถูกรีดหรือตีขึ้นรูปมา ถาจะนําไปทําตอในขั้นตอไป เหล็กจะตองผาน Annealing เพื่อใหมีความ ตานทานแรงกระทํานอยลง วิธีนี้เผาเหล็กใหรอนถึงอุณหภูมิต่ํากวาเสน A1 เล็กนอย ทิ้งไวนาน พอสมควร เพื่อใหเหล็กรอนทั่วถึงกัน หลังจากนั้นปลอยใหเหล็กเย็นชา ๆ วิธีนคี้ วามแข็งของเหล็ก จะลดลงเล็กนอย เพราะโครงสรางของเหล็กแตเดิมไมเปลี่ยนแปลงมากนัก แตความเครียดที่มีอยูจะ ถูกทําลายหมดไป 8.4 Normalizing มีความมุงหมายเพื่อปรับปรุงความเหนียว โดยการลดขนาดของเม็ดเกรนของเหล็ก (Grain size) ทําใหคุณสมบัติของเหล็กสม่ําเสมอ และในขณะเดียวกันก็ชวยในการลดความเครียดภายในดวย โดยทั่ว ๆ ไป เหล็กที่ผานการหลอ (Casting) หรือการขึ้นรูป (Working) มามักจะมีความแข็งหรือ ความเหนียวไมสม่ําเสมอตลอดทั้งแทง จึงจําเปนตองนํามาทํา Normalizing โดยการเผาเหล็กใหรอน จนกลายเปน Austentite ที่อุณหภูมิเหนือเสน A3 ประมาณ 50° C หลังจากทิ้งไวจนอุณหภูมเิ ทากัน หมดทุกจุดตลอดภายในใจกลางดวย จากนั้นจึงเอาเหล็กออกจากเตาทิ้งใหเย็นในอากาศธรรมดา (Air cool) การปลอยใหเหล็กเย็นในอากาศนั้น อัตราการเย็นตัวของเหล็กจะเร็วกวาการทํา Annealing ดังนั้นเม็ดเกรนของเหล็กจะมีขนาดเล็กกวา ทําใหเหล็กมีความเหนียวดีและคุณสมบัติ สม่ําเสมอ
222
รูป 8.2 แสดงลักษณะโครงสรางของเหล็กกลาที่ผาน Annealing กับ Normalizing ที่อุณหภูมิตางกัน
8.5 Spheroidizing
223
เปนการชุบเหล็กประเภทหนึ่งที่กระทํากับเหล็กที่มีคารบอนตั้งแต 0.8% ขึ้นไป เพราะเหล็ก เหลานี้จะมีโครงสรางที่ประกอบดวย Pearlite เปนสวนใหญ คือ โครงสรางที่ประกอบดวยแถบของ Ferrite กับ Cementite สลับกัน ดังนั้นในการกลึงหรือไสจึงไมเรียบ เพราะมีดกลึงจะตองผาน ของแข็งและออนสลับกัน การทํา Spheroidizing เปนการทําเพื่อเปลี่ยนลักษณะโครงสรางจากลักษณะที่เปนแถบยาว ของ Cementite ใหมีลักษณะเปนกลมเล็ก ๆ กระจายอยูท ั่วไปในขณะทําการกลึง ตัวมีดจะไดไมตอ ง ตัดผาน Cementite ในขณะที่ตัวมีดเคลื่อนที่ผานเม็ดของ Cementite ก็จะหลุดหรือเบนหนี การตัด ผานไปไดทําใหตัวมีดตัดผานแตเฉพาะ Ferrite อยางเดียว วิธีการทํา Spheroidizing โดยเผาเหล็กใหรอนที่อุณหภูมิต่ํากวาเสน A1 เล็กนอย แลวทิ้งไว ที่อุณหภูมินี้ประมาณ 10 - 15 ชั่วโมง เพื่อให Cementite เปลี่ยนรูปเปนเม็ดกลม หลังจากนัน้ เอา เหล็กออกปลอยใหเย็นในอากาศ
Figure 8.3 Temperature ranges for various heat treatments (G.M. Enos and W.E. Fontaine, Elements of Heat Treatment. New York : John Wiley & Sons, Inc., 1963)
224
Figure 8.4 Heat – treating thermal cycles.
8.6 เหล็กกลาผสม (Alloy steels) เหล็กกลาผสมคือ เหล็กที่ผสมธาตุตาง ๆ นอกเหนือไปจากธาตุคารบอน และธาตุบางตัวที่ ติดมาเนื่องจากกรรมวิธีการถลุง (Mn, Si, S และ P) การผสมธาตุตาง ๆ ลงไปในเหล็กก็เพื่อเปนการ ปรับปรุงคุณสมบัติหลาย ๆ ประการที่เหล็กคารบอนใหคุณสมบัติเหลานั้นอยูใ นเกณฑที่ต่ําไมสามารถ ใชงานไดดี ถึงแมวาการผสมธาตุตาง ๆ ลงไปในเหล็กจะทําใหเหล็กมีราคาสูงขึ้นตาม ความมุงหมาย ของการผสมธาตุดังกลาวมีหลายประการคือ 1. เพิ่มคุณสมบัติดานชุบแข็ง 2. ปรับปรุงความแข็งที่อณ ุ หภูมิปกติ 3. เพิ่มคุณสมบัติตานทานการสึกหรออันเนื่องมาจากการเสียดสีขณะใชงาน 4. เพิ่มความเหนียวทนตอแรงกระแทก 5. เพิ่มคุณสมบัติตานทานการกัดกรอน 6. ปรับปรุงคุณสมบัติตานแมเหล็ก ธาตุที่ผสมในเหล็กมีมากมายหลายธาตุ ซึ่งแตละธาตุจะใหผลตอเหล็กแตกตางกัน ในการ ศึกษาบทบาทของธาตุเหลานี้ สามารถแยกออกเปนกลุมเพื่อความสะดวก ดังเชน กลุมเพิ่มเสถียรภาพ ของออสเคนไนท, กลุมเพิ่มเสถียรภาพเฟอรไรท 8.7 ธาตุผสม(Alloying element) ผลของ Alloying element ในเหล็กที่มีตอ การเปลี่ยนแปลงของ Allotropie Temperature เราแบง Alloying element ออกเปน 2 กลุม คือ 1. กลุมที่มีอิทธิพลทําให Austenite มีเสถียรภาพ 2. กลุมที่มีอิทธิพลทําให Ferrite มีเสถียรภาพ
225
กลุมที่เปน Austenite stabiliser เปนธาตุที่จะทําใหอาณาเขตของ Austenite ขยายตัวลงมาทางดานอุณหภูมิต่ํา มีอิทธิพล ขยายอาณาเขตของ Austenite ลงมาจนถึงอุณหภูมิหอง ไดแกธาตุ Mn, Ni
กลุมที่เปน Ferrite stabiliser เปนธาตุที่จะทําใหอาณาเขตของ Ferrite ขยายขึ้นไปทางดานอุณหภูมิสูง และไปจํากัด อาณาเขตของ ใหแคบลง ไดแกธาตุ Cr, W, Mo, V, Ti
226
บทที่ 9 เหล็กหลอ/เหล็กเครื่องมือ/มาตรฐานเหล็ก/เหล็กกลาคารบอน 9.1 เหล็กดิบและการผลิตเหล็กดิบ 9.1.1 สินแรเหล็ก ตนกําเนิดของเหล็กและเหล็กกลาก็คือ สินแรเหล็ก ซึ่งสวนมากอยูในสภาพของออกไซด และที่นํามาถลุง ไดแก 1. เฮมาไตต (Hematite) มีชื่อทางเคมีวา เหล็กออกไซด (Fe2 O3) เปนสินแรสีแดง มีเหล็ก ผสมอยูประมาณ 52 เปอรเซ็นต พบมากในเยอรมัน อังกฤษ แคนาดา และสเปน 2. แมกนิไตต (Magnetite) มีชื่อทางเคมีวา เฟอโรโซเฟอริคออกไซด (Fe3 O4) เปนสินแร สีดํา มีเหล็กผสมอยูประมาณ 72 เปอรเซ็นต พบมากในรัสเซีย สหรัฐอเมริกา เยอรมัน และสวีเดน 3. ซิเดอไรท (Siderite) มีชื่อทางเคมีวา เหล็กคารบอเนต (Fe CO3) เปนสินแรสีน้ําตาล มีเหล็กผสมอยูประมาณ 45 เปอรเซ็นต พบมากในเยอรมัน และอังกฤษ 4. ลิโมไบท (Limonite) มีชื่อทางเคมีวา เหล็กออกไซด และน้ํา (Fe2 O3 –3 H2O) เปนสินแร สีน้ําตาล มีเหล็กผสมอยูประมาณ 20 - 45 เปอรเซ็นต พบมากในเยอรมัน สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ สินแรชนิดนี้ บางครั้งเรียกวา บราวน เฮมาไตต (Brown Hematite) 5. เหล็กไพไรท (Iron Pyrite) มีชื่อทางเคมีวา FeS2 มีเหล็กผสมอยูประมาณ 43 - 45 เปอรเซ็นต พบโดยทั่วไป 9.1.2 แหลงสินแรในประเทศไทย แหลงแรเหล็กที่พบในประเทศไทย ตามรายงานของกรมทรัพยากรธรณี มีแหลงที่นาสนใจ ที่อาจเปนแหลงมีคาในอนาคตหลายแหง แหลงแรเหล็กที่มีการผลิต ไดแก ที่หัวหวาย อ.ตาคลี จ.นครสวรรค ที่เขาทับควาย จ.ลพบุรี และที่ จ.นครศรีธรรมราช สินแรเหล็กที่พบสวนใหญเปน สินแรแมกนีไตต, เฮมาไตต และลิโมไนท สินแรที่ผลิตไดชนิดที่มีเปอรเซนตต่ํา จะนําไปใชในการผลิตซีเมนตภายในประเทศแทบ ทั้งสิ้น สวนแรที่มีเปอรเซนตเหล็กสูงก็ไดนําไปถลุง ณ โรงงานของบริษัท นวโลหะไทย จํากัด จ.สระบุรี บางสวนก็ไดมีการสงออกไปจําหนายยังตางประเทศ 9.1.3 การผลิตเหล็กดิบ วัตถุดิบที่สําคัญสําหรับการผลิตผลิตภัณฑเหล็กทั้งหลายก็คือเหล็กดิบ (Pig Iron) เหล็กดิบ ผลิตขึ้นจากเตาสูง (Blast Purnace) โดยการหลอหลอมสินแรเหล็ก กับถานหินและหินปูน คุณภาพ ของเหล็กดิบที่ไดในเบื้องตนขึ้นอยูกับชนิดของสินแรที่นํามาใชหลอหลอม
227
โดยปกติเหล็กดิบที่ผลิตไดจะมีธาตุอื่น ๆ ปนอยูโดยประมาณ ดังนี้ คารบอน 3-4% ซิลิกอน 1-3% กํามะถัน 0.05 - 0.1 % ฟอสฟอรัส 0.1 - 1 % แมงกานิส 1%
รูป 9.1 เตาสูงผลิตเหล็กดิบ 9.1.4 เตาสูง (Blast Furnace) ตามรูป 9.1 เปนเตาที่ใชผลิตเหล็กดิบ มีรูปรางสูง ผนังเตาทําดวย อิฐทนไฟ ขนาดเสนผาศูนยกลางโต 25 ฟุต หรือมากกวา มีความสูงมากกวา 200 ฟุตขึ้นไป สามารถ ผลิตเหล็กดิบไดวันละ 800 – 1,700 ตัน ตามรูป แสดงใหเห็นรถลากวัตถุดิบ (Skip Car) วิ่งขึ้นลงตามราง เพื่อบรรทุกสินแรเหล็ก ถานหินและหินปูน จากโรงเก็บวัตถุดิบไปเทที่ดานบนของปากเตา ในการผลิตเหล็กดิบ 1,000 ตัน จะตองใชสินแรประมาณ 2,000 ตัน ถานหินชนิดบิทูมินัส (Bituminous) 800 ตัน หินปูน 500 ตัน และ ลมรอน 4,000 ตัน
228
รอบ ๆ ขางเตาจะมีทอลมตอเขาไปภายในเตาเพื่อสงอากาศรอนจากเตาลมรอนเขาไปสู ภายในเตา อากาศที่ผานเขารูลมรอนนี้ มีขนาดกําลังดันประมาณ 15 ปอนด/ตารางนิ้ว อุณหภูมิ 1,000° ถึง 1,800 ° ฟาเรนไฮน ลมรอนที่สงเขาไปภายในเตา จะชวยใหอุณหภูมิภายในเตาสูงขึ้นถึง 3,000 ° ฟาเรนไฮน ซึ่งรอนเพียงพอที่จะทําใหสินแรหลอมละลายได 9.1.5 วิธีการถลุง นําเอาสินแรเหล็ก ถานโคก และหินปูน บรรจุเขาที่ปากเตาดานบน ดวยรถลากวัตถุดิบ ในการบรรจุแตละครั้งมีสัดสวนดังนี้ สินแร 2/3 ถานโคก ¼ หินปูน 1/12 เมื่อเกิดการเผาไหมขึ้นระหวางถานหินกับลมรอน ก็จะเกิดกาซ คารบอนมอนออกไซด (CO) ขึ้น อุณหภูมิภายในเตาก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงประมาณ 3,000 ฟาเรนไฮน ซึ่งรอน เพียงพอจะทําใหสินแรเหล็กหลอมละลายได ทุก ๆ 5 นาที หรือ 6 ชั่วโมง จะแทงรูเทน้ําโลหะ ซึ่งอยูที่ขางเตาดานลาง ใหน้ําเหล็ก ประมาณ 150 - 300 ตัน และจะไดสแลก (Slag – สิ่งสกปรกที่ รวมตัวกับหินปูนลอยอยูดานบนของน้ําเหล็ก) ไหลออกที่รู เหนือรูเททางดานขวามือ ในการผลิตเหล็กดิบทุก ๆ 1 ตัน จะไดแกสจากเตาสูงประมาณ 6 ตัน และสแลก ประมาณ ½ ตัน เตาสูง สามารถทํางานไดอยางตอเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยูกับขนาดของเตาที่ ใชผลิตดวย และการผลิตนี้อาจจะทําการผลิตตอเนื่องกัน 5 ถึง 6 ป แลวหยุดซอมเตาครั้งหนึ่ง เหล็กดิบ จะมีความแข็งและเปราะ ดังนั้นมันจึงมีความแข็งแรง ความเหนียวไมมากนัก และทนตอแรงกระแทกไดนอย สวนใหญเหล็กดิบจะถูกขายใหกับโรงหลอ เพื่อนําไปหลอเปนเหล็ก ชนิดตาง ๆ ตอไป 9.1.6 ชนิดของเหล็กดิบ เหล็กดิบที่ผลิตไดจากเตาสูง มีอยูดวยกันหลายชนิดและนํามาใชประโยชนตางกัน 1. เหล็กดิบเบสิค (Basic Pig) นําไปใชหลอเหล็กกลา และรีด ขึ้นรูป 2. เหล็กดิบเอซิค (Acid Pig) นําไปหลอเหล็กกลา รีดขึ้นรูป และผลิตเหล็กออน 3. เหล็กดิบพอจจิ้ง (Porging Pig) เปนเหล็กดิบสําหรับงานตีขึ้นรูป ใชผลิตเหล็ก ออน และเหล็กผสม 4. เหล็กดิบโรงหลอ (Foundry Pig)ใชในงานหลอเหล็กหลอสีเทาและเหล็กหลอผสม 5. เหล็กดิบมัลลิเอเบิ้ล (Malleable Pig) ใชในงานหลอเหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ล เหล็ก หลอสีขาว และเหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ลผสม
229
จะเห็นไดวา เหล็กดิบแตละชนิดใหประโยชนในการนํามาผลิต แตกตางกันออกไปแต สวนมากก็จะเปนวัตถุดิบในการผลิตเหล็กหลอ เหล็กกลาและเหล็กออน ในการนําเหล็กดิบไปหลอ หลอมตามกรรมวิธีตาง ๆ ใหเปนเหล็กกลา เหล็กหลอนั้นไมจําเปนเสมอไปวาเหล็กดิบจะตองอยูใน สภาพแข็ง ในกรรมวิธีบางชนิดอาจนําเหล็กดิบในสภาพหลอมละลายไปเขาวิธีผลิตเปนเหล็กกลา หรือ เหล็กหลอไดเลย ซึ่งจะไดกลาวในบทตอไป 9.1.7 บทบาทสําคัญของธาตุที่ผสมอยูในเหล็กดิบ 1. คารบอน (Carbon, C) คารบอนเปนธาตุที่ไดจากถานหิน ถานโคก คารบอน ผสมอยูในเนื้อเหล็ก ได 2 ลักษณะ คือ ผสมเปนสารประกอบกับเหล็กโดยตรง กับผสมคลุกคละอยูในเนื้อเหล็กใน รูปของกราไฟต คารบอนมีอิทธิพลตอจุดหลอมละลายของเหล็ก กลาวคือทําใหจุดหลอมละลายต่ําลง จึงทําใหเหล็กหลอมไดงายขึ้น 2. ซิลิกอน (Silicon, Si) ซิลิกอนเปนธาตุที่พบในธรรมชาติ เชน หินควอตซและทราย ซิลิกอนในเนื้อเหล็กจะ รวมตัวกับคารบอน เกิดเปนซิลิกอนคารไบต (Sic) ซึ่งมีความแข็งมาก เหล็กที่มีซิลิกอนผสมมาก เกินไปจะเปราะ แตก หักไดงาย 3. ฟอสฟอรัส (Phosphorus, P) ฟอสฟอรัสในธรรมชาติ เกิดอยูในรูปของแรหินฟอสฟอรัส ถาในสินแรมีฟอสฟอรัส อยูมาก จะทําใหการถลุงทําไดยากขึ้น ถามีจํานวนนอยจะชวยใหสามารถหลอเหล็กบาง ๆ ไดดี เหล็กที่ มีฟอสฟอรัสเกินพิกัด จะทําใหหักเปราะไดงาย 4. แมงกานิส (Manganese se, Mn) แมงกานิสที่ผสมอยูในสินแรเหล็ก จะทําใหเหล็กแข็ง เหล็กกลาที่ผสมธาตุนี้จะมีความ แข็งและทนทอการสึกหรอไดดีมาก 5. กํามะถัน (Sulfur, S) กํามะถันมีลักษณะเปนกอนสีเหลือง มีเกิดในธรรมชาติ และเปนสารประกอบกับโลหะ อื่น ๆ อีกมาก ในเนื้อเหล็กหากมีกํามะถันมากเกินไปจะทําใหเหล็กนั้นหักเปราะไดงาย และนําไปใช งานที่อุณหภูมิสูง ๆ ไมไดดี 9.2 เหล็กหลอและการผลิตเหล็กหลอ เหล็กหลอ (Cast Iron) เกิดจากการนําเอาเหล็กดิบ (Pig Iron) หรือเหล็กดิบผสมกับเศษ เหล็กหลอหรือเศษเหล็กกลา ไปเผารวมกับถานโคก และหินปูนในเตาคิวโปลา (Cu pora) ที่อุณหภูมิ 1,150 ° - 1,250 ° ซ. ที่จุดนี้ เหล็กดิบจะเกิดการหลอมละลาย น้ําเหล็กหลอมีความเหลวมาก ดังนั้นจึงสามารถผลิตชิ้นงานเหล็กหลอใหมีรูปรางตามที่ตองการได โดยนําไปเทลงในแบบทรายหรือ แบบโลหะ
230
เหล็กหลอจะมีธาตุที่เปนองคประกอบหลักอยู 5 ชนิด นอกจากเหล็กแลวยังมี คารบอน 2.5 – 4.0 % ซิลิกอน 1.0 – 3.0 % แมงกานิส 0.4 – 1.0 % กํามะถัน 0.1 – 0.35 % ฟอสฟอรัส 0.05 – 1.0 % จะเห็นไดวาเหล็กหลอมีปริมาณคารบอนสูงมาก ดังนั้นเหล็กหลอจึงเปนวัสดุที่แข็งและ เปราะ สามารถรับแรงดึงไดต่ํา แตกหักงายเมื่อรับแรงอัดกระแทก คารบอนที่ผสมอยูในเหล็กหลอจะมี อยู 2 ลักษณะ คือ 1. อยูในรูปของสารประกอบคารบอน 2. อยูในรูปของคารบอนอิสระ หรือเรียกวา กราไฟต 9.2.1 เตาคิวโปลา
รูป 9.2 ภาพหนาตัดแสดงสวนตาง ๆ ของเตาคิวโปลา
231
เตาคิวโปลาเปนเตาที่ใชหลอมละลายเหล็กดิบและเศษโลหะ เพื่อทําเปนเหล็กหลอชนิด ตาง ๆ เชน เหล็กหลอสีเทา เหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ล เตาชนิดนี้มีรูปราง และลักษณะการทํางาน คลายกับเตาสูง (Blast Furnace) แตมีขนาดเล็กกวา ขนาดโดยทั่ว ๆ ไป จะมีขนาดเสนผาศูนยกลาง ดานนอกประมาณ 4 ฟุต ถึง 7 ฟุต และสูง 30 ฟุต ถึง 40 ฟุต 9.2.2 วิธีการหลอหลอมเหล็กหลอ นําเหล็กดิบ เศษเหล็กเหนียว ถานโคกและฟลักซ (โดยทั่วไปใชหินปูน) ใสลงไปภายใน เตาสลับกันเปนชั้น ๆ ดังรูป 9.2 โดยที่สวนลางสุดจะตองรองกนเตาดวยถานโคกเสียกอน ถานโคก ที่รองกนเตาเรียกวา Bed Coke โดยทั่ว ๆ ไป ถานโคกรองกนเตาจะมีความสูงประมาณ 36 – 54 นิ้ว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยูกับเสนผาศูนยกลางภายในของเตา ถานโคงรองกนเตานี้ ถามีระดับสูงหรือต่ําเกินไป จะมีผล ดังนี้ 1. ถา Bed Coke มีระดับต่ําเกินไปจะมีผลใหเหล็กหลอมละลายเร็วกวาชวงเวลาที่ กําหนดและมีอุณหภูมิต่ํา 2. ถา Bed Coke สูงเกินไป ระยะการหลอมละลายจะยืดออกไป ชั้นหรือระดับของถานโคก ซึ่งชั้นอยูแตละชั้นของเหล็ก เพื่อชวยในการหลอมละลาย เรียกวา ชารจโคก (Charge Coke) ชารจโคก มีความสูงอยูระหวาง 6 – 9 นิ้ว เหล็กดิบ เศษเหล็กหลอและเศษเล็กเหนียวที่ใสลงในเตาแตละชิ้นจะเปนสัดสวนกับถาน โคกที่ใสลงไปแตละชนิดดวย โดยทั่ว ๆ ไป จะใชอัตราสวน 5 : 1 ถึง 8 : 1 โดยน้ําหนัก เชน ถาใส เหล็กดิบ 5 กก. จะตองใสถานโคก 1 กก. ฟลักซ ฟลักซ เปนวัสดุที่มีจุดหลอมละลายต่ํา ใชทําความสะอาดน้ําเหล็ก ทําหนาที่ผสมกับถาน โคกและออกไซดของเหล็ก ออกมาในรูปของสแลก (Slag – สิ่งสกปรกที่ลอยอยูเหนือน้ําเหล็ก) ฟลักซ ที่ใชไดแก หินปูน โซดาไฟ ฟลูออไรท โดยปกติสแลกที่เกิดชึ้นจะมีสีเขียวดํา เมื่อบรรจุวัตถุดิบจนเต็มเตาแลว จึบใหความรอน ถานโคกสวนลางสุด จะเกิดการเผาไหม ในขณะเผาไหมก็จะผานลมรอนเขาไปภายในเตา เพื่อชวยใหอุณหภูมิภายในเตาสูงขึ้นอยางรวดเร็ว อุณหภูมิชวงนี้จะอยูระหวาง 1,000 ° – 1,300 ° ซ. ซึ่งรอนเพียงพอที่จะหลอมละลายเหล็กดิบและเศษ เหล็กได
232
รูป 9.3 แสดงการเทน้ําเหล็กลงในแบบทราย หลังจากเหล็กดิบในชั้นแรกหลอมละลายจนหมด ก็จะแทงรูเทใหน้ําเหล็กไหลออกเพื่อ นําไปเทลงในแบบ ใหมีรูปรางตาง ๆ ที่ตองการตอไป 9.2.3 ชนิดของเหล็กหลอ 9.2.3.1 เหล็กหลอสีเทา (Gray Cast Iron) เปนเหล็กหลอทั่ว ๆ ไป ซึ่งเกิดจากการหลอม เหล็กดิบ เศษเหล็กเหนียว ถานและหินปูน ปริมาณธาตุตาง ๆ ที่ผสมอยูในเหล็กหลอชนิดนี้ มีดังนี้ คารบอน 2.5 – 4 % ซิลิกอน 1.8 – 2.5 % แมงกานิส 0.5 – 0.8 % กํามะถัน 0.3 % คารบอนที่ผสมอยูในเหล็กหลอชนิดนี้ จะอยูในรูปของแกรไฟต ดังนั้นจึงทําให ออนและสามารถนําไปแปรรูปบนเครื่องจักรได ขอดีของเหล็กหลอสีเทา ก็คือ มีราคาถูก แปรรูปงาย รับแรงสะเทือนและแรงอัดไดดี แตก็มีขอเสียในดานเปราะและแตกหักงาย และรับแรงดึงไดต่ํา ตั ว อย า งการใช ง านของเหล็ ก หล อ สี เ ทาได แ ก แท น เครื่ อ งกลึ ง แท น เครื่ อ ง เจียระไน ปากกาจับงานตะไบ ลูกสูบ เสื้อสูบรถยนต เฟอง มูเลย (Pulley) ฯลฯ 9.2.3.2 เหล็กหลอสีขาว (White Cast Iron) เปนเหล็กหลอที่มีปริมาณคารบอนผสมอยู มากในรูปของสารประกอบที่เรียกวา ซีเมนไตต (Cementite) ซึ่งเปนผลใหเหล็กหลอชนิดนี้มีความ แข็งและเปราะยากตอการแปรรูป ที่เราเรียกเหล็กหลอชนิดนี้วาเหล็กหลอสีขาว เนื่องจากเมื่อหัก เหล็กหลอชนิดนี้ดูจะเห็นเปนสีขาวนั่นเอง เหล็กหลอชนิดนี้เกิดจากการเทน้ําเหล็กลงในแบบหลอ แลวควบคุมใหน้ําเหล็ก เย็นตัวอยางรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเติมธาตุ เชน นิคเกิล โครเมี่ยม และโมลิบดินั่ม เพื่อทําใหมีความ แข็งมากขึ้น
233
เหล็กหลอสีขาว ใชทําชิ้นสวนของเครื่องจักรกลการเกษตร และอุปกรณใน งานอุตสาหกรรม ที่ตองการคุณสมบัติในดานทนตอความสึกหรอ ความแข็งแรงและความแข็ง 9.2.3.3 เหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ล (Malleable Cast Iron) เหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ล ผลิตขึ้นโดย การนําเหล็กหลอสีขาวมาทํากรรมวิธีอบออน (Annealing) เพื่อเปลี่ยนคารบอนในรูปสารประกอบ หรือซีเมนไตต ในเหล็กหลอสีขาวใหอยูในรูปของแกรไฟต ในกระบวนการอบออนดวยความรอนนี้ จะใชเวลาประมาณ 40 ถึง 100 ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยูกับสวนผสมของเหล็กและความหนาของชิ้นงาน นั้น ๆ โดยปกติเหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ลจะมีธาตุตาง ๆ ผสมดังนี้ คารบอน 1.00 – 2.00 % ซิลิกอน 0.60 – 1.10 % แมงกานิส ต่ํากวา 0.30 % กํามะถัน 0.60 ถึง 0.15 % กระบวนการผลิตเหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ล แบงออกเปน 2 กระบวนการใหญ ๆ คือ ก. เหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ล แบลคฮารท (Blackheart) ข. เหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ล ไวทฮารท (Whiteheart) ก. เหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ล แบลคฮารท เหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ลชนิดนี้มีความสามารถในการยืดตัวโดยธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะคารบอนที่ ผสมอยูในเนื้อเหล็กถูกทําใหเปลี่ยนมาอยูในรูปของแกรไฟตนั่นเอง เหล็กหลอชนิดนี้เมื่อหักดูจะมีสี ดํา อุณหภูมิที่ใชในการอบออนประมาณ 950 ° ซ. เหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ล แบลคฮารท สามารถนําไปทําการอบชุบดวยความรอน (Beat Treatment) เพื่อใหเกิดคุณสมบัติทางกลที่ตองการได และสามารถนําไปทําใหผิวแข็งไดถึง 540 ° HV* ข. เหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ล ไวทฮารท เหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ลชนิดนี้เมื่อหักดูจะมีสีขาว อุณหภูมิที่ใชในการอบออน จะสูงกวาแบบแบลค ฮารท คือประมาณ 1,050 ° ซ. คุณสมบัติในการใชงานนี้คลายคลึงกัน แบบแบลคฮารทเพียงแตวามี เปอรเซนตของการยืดตัวนอยกวา ประโยชนและการใชงานเหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ล เหล็กหลอมัลลิเอเบิ้ล ใชทําชิ้นสวนตาง ๆ ของรถยนต ชิ้นสวนของเครื่องจักร ที่ใชในการเกษตร และการทอผา หัวเผาแกส (Gas Burner) หัวเผาน้ํามัน และอุปกรณงานประปาตาง ๆ ขอเสียของเหล็กชนิดนี้ ก็คือ เสียเวลาในการผลิตมากและกระบวนการที่ใชผลิตเหล็กหลอชนิดนี้ จํากัดเฉพาะ ชิ้นงานขนาดเล็ก มีความหนาไมมาก (โดยปกติหนาไมเกิน 2 นิ้ว) * มาตราวัดความแข็งวิคเกอร
234
9.2.3.4 เหล็กหลอโนดูลา (Nodular Cast Iron) เหล็กหลอโนดูลา มีชื่อเรียกอีกอยางหนึ่ง วา เหล็กหลอกราไฟตกอนกลม (Spheroidal Graphite Cast Iron) คารบอน ในรูปของกราไฟตใน เหล็กหลอชนิดนี้จะถูกทําใหมีรูปรางกลมโดยการเติมแมกนีเซียมลงไปในเหล็กหลอสีเทาจํานวน เล็กนอย ปริมาณของแมกนีเซียมนี้ขึ้นอยูกับกํามะถันที่มีอยูในเนื้อเหล็กดวย การเติมแมกนีเซียมจะเติม ลงในเบาเทน้ําโลหะ กอนที่จะนําน้ําโลหะไปเทลงในแบบหลอ ประโยชนในการใชงาน เหล็กหลอชนิดนี้มีความเหนียว (Toughness) และความสามารถในการยืดตัวดี ใชผลิตชิ้นงานได หนากวา เหล็ ก หล อมั ลลิ เ บเบิ้ ล นอกจากนี้ ยัง ใช แ ทนเหล็ก เหนีย วหลอไดตัว อย างการใช ง านของ เหล็กหลอโนดู ลา คือ เพลาขอเหวี่ยง ชิ้น สวนเครื่องจักรกลการเกษตร ชิ้นสวนของเรือเดิ นทะเล เครื่องมือทอน้ําประปา โครงเครื่องจักรขนาดหนัก ฯลฯ 9.2.3.5 เหล็กเหนียวหลอ (Cast Steel) เหล็กเหนียวหลอเกิดจากการนําเหล็กเหนียวมา หลอมละลายดวยความรอนสูง ดังนั้นเหล็กเหนียวหลอจึงมีความเคนแรงดึงและความแข็งแรงมากกวา เหล็กหลอธรรดา เหล็กดิบที่ใชในการผลิตเหล็กเหนียวหลอ จะตองเปนเหล็กดิบที่มีปริมาณของ ฟอสฟอรัสมากกวาปกติ ทั้งนี้เพื่อชวยใหสะดวกตอการเทน้ําเหล็กลงในแบบไดงาย ในการผลิตแตละ ครั้งจะตองเติมเศษเหล็กเหนียวผสมประมาณ 1 ใน 3 ของเหล็กดิบ เหล็กเหนียวหลอมีคุณสมบัติในดานทนตอการสึกหรอ มีผิวแข็ง ถามีปริมาณ คารบอน 0.25 – 6 % สามารถนําไปชุบแข็งไดทั้งแทง ตัวอยางผลิตภัณฑของเหล็กหลอชนิดนี้ ไดแก ผานของรถไถนา (แผนเหล็กขุดดิน) เปนตน 9.3 เหล็กกลาและการผลิตเหล็กกลา 9.3.1 เหล็กออน เหล็กออนเปนเหล็กที่มีความบริสุทธิ์สูง ไดจากการผลิตในเตาพุดเดิ้ล (Puddle Furnace) กรรมวิธีนี้เปนกรรมวิธีผลิตเหล็กที่เกาแกมาก เหล็กออนที่ผลิตไดจะมีเนื้อเหล็กประมาณ 99 % เมื่อ นํามาเผาใหรอนจะออนตัวไมหลอมละลาย ทําใหตีขึ้นรูปไดงาย และยังสามารถนําชิ้นเหล็กออนมาตี ใหประสานติดกันไดอีกดวย
รูป 9.4 ภาพหนาตัด เตาพุดเดิ้ล
235
กรรมวิธีผลิตเหล็กออน ตามรูป 9.4 เหล็กดิบจะถูกนํามาวางลงในอางรูปกะทะ โดยผสมกับเหล็กออกไซด จํานวนหนึง่ ที่ ขางเตาดานซายมือจะมีกองไฟใหความรอน และความรอนนี้จะถูกแพรออกไปในรูปของลมรอน ผาน ไปออกทางปลองดานขวามือ ลมรอนนี้จะมีความรอนเพียงพอทําใหเหล็กดิบในอางกระทะหลอม ละลายในขณะที่หลอมละลายจะตองเติมเหล็กออกไซดลงไปดวย ทั้งนี้เพื่อใหคารบอนและสารมลทิน อื่น ๆ ในน้ําเหล็กทําปฏิกริยากับเหล็กออกไซดเกิดเปนผุดแกสคารบอนมอนออกไซดลอยออกมาและ ไหมที่บริเวณผิวของน้ําเหล็ก เมื่อคารบอนหมดไปจากน้ําเหล็ก ผุดแกสที่เกิดขึ้นก็จะคอย ๆ หมดไป จึงนําน้ําเหล็กออกจากเตา เหล็กหลอจะมีคารบอนผสมอยูไมเกิน 0.1 เปอรเซ็นต และมีสแลกปนอยูในเนื้อเหล็กประมาณ 3 % ถาเราสองกลองดูโครงสรางภายในของเหล็กออนจะมีลักษณะดังรูป 9.5 สแลกในเนื้อเหล็กจะมี ลักษณะเปนจุด เปนเสนยาว ๆ
รูป 9.5 โครงสรางเหล็กออน เนื้อสแลกจะออนกวาเนื้อของเหล็ก ลักษณะเสนยาว ๆ ของสแลกในเนื้อเหล็กนี้ หากปรากฏขึ้น ชัดเมื่อใดในขณะนําไปใชงานจะทําใหทราบไดทันทีวาชิ้นสวนนั้นกําลังจะเกิดการชํารุด แตกหัก นับวาเปนเครื่องเตือนที่ดี เหล็กออนนี้นอกจากจะผลิตจากเตาพุดเดิ้ลแลว ในปจจุบันยังสามารถผลิต ไดดวยกรรมวิธีแอสตัน (Aston Process) ไดอีกดวย 9.3.2 เหล็กกลาคารบอน เหล็กกลาทุกชนิดจะตองมีคารบอนผสมอยู ปริมาณคารบอนจะตองไมเกิน 2 ตางกับ เหล็กหลอตรงที่ปริมาณคารบอนในเหล็กหลอจะมีมากกวา เหล็กกลาคารบอน (Carbon Steel) เปนชื่อที่ใชสําหรับเรียกเหล็กกลาที่ไมมีสวนผสม ของธาตุอื่นปนอยู เชน ทังสเตน นิคเกิล หรือโครเมี่ยม การเติมคารบอนหรือธาตุอื่น ๆ ลงไปในเนื้อ เหล็ก จะทําใหสามารถเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของเหล็กกลาได อยางไรก็ตามเหล็กคารบอนจะมีธาตุ เหลานี้ผสมอยูบาง แตมีจํานวนนอยมาก คือ ซิลิกอน กํามะถัน แมงกานิสและฟอสฟอรัส ในรูปของ สารมลทิน (Impurities)
236
ปริมาณคารบอนที่ผสมอยูในเหล็กกลา จะแปรคาอยูระหวาง 0.05 % ถึง 1.7 % แตโดยปกติจะไมเกิน 1.5 % องคประกอบที่สําคัญที่มีผลตอคุณสมบัติของเหล็กกลาก็คือ คารบอนที่ผสมอยูในเนื้อเหล็ก ซึ่งมี อิทธิพลดังตอไปนี้ 1. ความเคนแรงดึงเพิ่มมากขึ้น ตาราง 9-1 ธาตุที่ผสมอยูในเหล็กกลา 2. มีความแข็งมากขึ้น คารบอน 0.05 – 1.5 % 3. ความเหนียวลดลง แมงกานิส 0.025 – 1.65 % 4. ความสามารถในการเชื่อมนอยลง ฟอสฟอรัส 0.040 % (สูงสุด) กํามะถัน เหล็ก
0.050 % (สูงสุด) 97 %
เหล็กกลาคารบอนแบงออกเปน 3 ชั้น ดวยกัน คือ ก. เหล็กกลาคารบอนต่ํา (Low Carbon Steel) ข. เหล็กกลาคารบอนปานกลาง (Medium Carbon Steel) ค. เหล็กกลาคารบอนสูง (High Carbon Steel) ก. เหล็กกลาคารบอนต่ํา โดยทั่ว ๆ ไป เรารูจักเหล็กกลาชนิดนี้วา Mild Steel เปนเหล็กที่เหมาะกับการใชงานที่ ตองการความเหนียวและความออนเปนสําคัญและเปนงานที่ไมตองการความเคนแรงดึงสูงมากนัก เหล็กกลาชนิดนี้จะมีคารบอนผสมอยูไมเกิน 0.25 % เหล็กกลาคารบอนต่ํามักจะใชกับงานย้ําหมุด และ ใชผลิตสกรู นัต โบลท ชิ้นสวนเครื่องจักรกล ตัวถังรถยนต ถังน้ํามัน กระปองนม สังกะสีมุง หลังคา เหล็กเสนและวัสดุโรงงานทั่ว ๆ ไป ข. เหล็กกลาคารบอนปานกลาง เหล็กกลาชนิดนี้จะมีคารบอนผสมอยูระหวาง 0.30 % ถึง 0.60 % มีความเหนียวนอยลง แตจะมี ความแข็งและความเคนแรงดึงมากกวา เหล็กกลาคารบอนต่ํา อีกทั้งยังใหคุณภาพในการแปรรูปที่ ดีกวา และยังสามารถนํามาชุบผิวแข็งได ตัวอยางของผลิตภัณฑที่ทําจากเหล็กชนิดนี้ ไดแก เพลา ตาง ๆ เฟอง ชิ้นสวนเครื่องจักรกล ที่ตองการความเคนแรงดึงปานกลาง และตองการการปองกัน การสึกหรอที่ผิวหนา คอน กานสูบ ฯลฯ ค. เหล็กกลาคารบอนสูง เหล็กชนิดนี้จะมีคารบอนผสมอยูระหวาง 0.60 % ถึง 1.70 % แตเหล็กกลาคารบอนสูงสวนใหญ จะมีคารบอนผสมอยูไมเกิน 1.30 % เหล็กชนิดนี้มีความเคนแรงดึงสูง มีความแข็งมากกวาและยัง สามารถชุบแข็งไดดี เหล็กกลาคารบอนสูงใชทําเครื่องมือตัด ใบมีด สปริงแหนบ เหล็กกัด ดอกสวาน ตะไบ แผนเกจ ใบมีดโกน ฯลฯ
237
วิธีการชุบแข็งเหล็กชนิดนี้ ทําไดโดยวิธีเผาใหรอน จนถึงชวงอุณหภูมิหนึ่งแลวนําชิ้นเหล็ก ไปจุมลงในน้ําหรือน้ํามัน เพื่อใหเย็นตัวลงอยางรวดเร็ว วิธีชุบแข็งนี้มีรายละเอียดมากมาย ในที่นี้จะไม ขอกลาวถึง แตนักเรียนจะไดศึกษาตอไป ในวิชากรรมวิธีอบชุบ ดวยความรอน (Heat Treatment) 9.3.3 เหล็กกลาผสม หมายถึงเหล็กที่ประสมธาตุอื่น ๆ เขาไป 1 ธาตุหรือมากกวา นอกเหนือจากคารบอนและ ธาตุที่มีผสมอยูในเนื้อเหล็กตามปกติ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มคุณสมบัติทางเชิงกลใหเหมาะสมกับการนําไปใช งาน ธาตุที่ผสมอยูจะตองอยูในพิกัดที่กําหนด เชน อลูมิเนียม โบรอน นิคเกิล โคบอล โครเมี่ยม โมลิบตินั่ม วานาเดี่ยม เซอโคเมี่ยม เปนตน เหล็กกลาประสมแบงได 2 ชนิดคือ 1. เหล็กกลาประสมต่ํา (Low Alloy Steel) 2. เหล็กกลาประสมสูง (High Alloy Steel) ก. เหล็กกลาประสมต่ํา เปนเหล็กที่มีธาตุอื่น ๆ ผสมอยูรวมแลวไมเกิน 10 % มีโครงสรางคลายคลึงกับเหล็กคารบอน ธรรมดา (Plain Carbon Steel) ข. เหล็กกลาประสมสูง เปนเหล็กที่มีธาตุอื่น ๆ ผสมอยูรวมแลวมากกวา 10 % ขึ้นไป เหล็กในกลุมนี้รวมถึงเหล็ก เครื่องมือประสม (Alloy Tool Steel) ดวย ซึ่งเหล็กกลาประสมสูงนี้จะมีคุณสมบัติในดานทนตอ การกัดกรอน ทนตอการสึกหรอได ตัวอยางของเหล็กประสม ไดแก เหล็กกลา – แมงกานีส, เหล็กกลา – นิคเกิล, เหล็กกลา – โมลิบตินั่ม, เหล็กกลา – โครเมี่ยม เปนตน เปอรเซนตของธาตุที่นํามาผสมเหลานี้ นักเรียนจะไดศึกษาตอไปในเรื่องของมาตรฐานเหล็กกลาบทที่ 6 9.3.4 ธาตุผสมและอิทธิพลที่มีตอเหล็ก เหตุผลในการนําธาตุอื่น ๆ มาผสมในเนื้อเหล็ก มีดังตอไปนี้ 1. เพื่อเพิ่มคุณสมบัติทางเชิงกล ตลอดจนการควบคุมองคประกอบ ซึ่งมีผลกระทบ กระเทือนตอความสามารถในการชุบแข็ง และเพิ่มความเหนียว 2. เพื่อเพิ่มคุณสมบัติทางเชิงกลในการใชงานที่อุณหภูมิต่ําหรืออุณหภูมสูง 3. เพื่อเพิ่มความตานทานตอการเปลี่ยนแปลงทางเคมี 4. เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความสามารถในการรับแรงชอค (Shock Load) 5. เพื่อเพิ่มความตานทานตออุณหภูมิสูง ๆ 6. เพื่อรักษาความแข็งของผิวใหทนตอการสึกหรอหรือการตัด 7. เพื่อใหสามารถทนตอแรงกระแทกไดสูง 8. เพื่อรักษาความสามารถในการแปรรูปแบบเครื่องจักรไดดี
238
ธาตุที่สําคัญและนํามาผสมกับเหล็ก มีดังตอไปนี้ ก. คารบอน (Carbon, C) คารบอนเปนองคประกอบที่ทําใหเหล็กมีความแข็งเพิ่มขึ้นและทนตอ การสึกหรอไดดีกวา อัตราผสมของคารบอนต่ําจะพบในเหล็กชนิดเหล็กกลาคารบอนธรรมดา ซึ่งจะมี คารบอนผสมอยูประมาณ 0.50 % ถึง 0.60 % ถาคารบอนมากขึ้น (ถึง 0.8 %) ความเคนแรงดึงและ ความสามารถในการชุบแข็งจะเพิ่มมากขึ้น ข. แมงกานิส (Manganese, Mn) แมงกานิสเปนธาตุที่สําคัญในการผลิตเหล็กกลา ไมเฉพาะใน กรรมวิธีหลอมละลายเทานั้น แตยังมีความสําคัญในดานการรีด และกรรมวิธีอื่น ๆ อีกดวย เหล็กกลาแมงกานิสจะทนตอแรงกระแทก และมีความเคนที่จุดคราก (Yield Strength) มากกวาเหล็กกลาคารบอนธรรมดา เหล็ก กลาแมงกานิสที่ ใชผลิตชิ้ นสวนโครงสร างตาง ๆ จะมี แมงกานิสผสมอยูประมาณ 0.90 % ถึง 1.50 % เหล็กกลาแมงกานิส มีแนวโนมที่ทําใหจุดหลอมละลายต่ําลง เพิ่มความเหนียวและทนตอ การสึกหรอไดดี ค. ซิลิกอน (Silicon, Si) ซิลิกอน มีความสําคัญมากในการใชเปนตัวลดออกไซดในน้ําเหล็ก นอกจากนั้นยังเปนตัวเพิ่มความแข็ง และความแข็งแรงใหกับเหล็กกลาประสมต่ํา (Low Alloy Steel) นอกจากนี้ยังเพิ่มความตานทานตอการเกิดสะเก็ดสนิมที่อุณหภูมิสูง ๆ ง. นิคเกิล (Nickel, Ni) นิคเกิลมีผลตอความแข็งของเหล็กนอยมาก แตจะเพิ่มความสามารถใน การรับแรงชอคและทนตอการสึกหรอเมื่อใชเปนธาตุประสมรวมกับธาตุอื่น ๆ เชน โครเมี่ยม นิคเกิล ที่ผสมอยูในเหล็กจะมีประมาณ 3 % ถึง 3.70 % เหล็กกลานิคเกิล (Nickel Steel) ใชสรางชิ้นสวนเครื่องจักรกลที่รับแรงชอคและเกิดความเคน บอย ๆ อีกทั้งยังงายตอการอบชุบดวยความรอน ทั้งนี้เพราะนิคเกิลชวยทําใหอัตราการเย็นตัวของชวง อุณหภูมิวิกฤติ (Critical) ต่ําลงในการผลิตชิ้นงานที่ตองการชุบแข็ง จ. โครเมี่ยม (Chromium, Cr) โครเมี่ยม เปนธาตุที่มีความสําคัญตอความแข็งของเหล็ก เชนเดียวกับแมงกานิส เหล็กที่มีโครเมี่ยมผสมอยูจะมีความแข็งของผิวสึกกวาและบอยครั้ง จะใช โครเมี่ยมควบคูกับนิคเกิลเพื่อเพิ่มคุณสมบัติความเหนียวใหกับเหล็ก เหล็กกลาที่มีโครเมี่ยมผสมอยู จะทนตอการสึกหรอ โดยปกติโครเมี่ยมจะผสมอยูในโครงสรางเหล็กประมาณ 0.30 % ถึง 1.60 % ซึ่งในปริมาณนี้ เหล็กจะมีคารบอนผสมอยูระหวาง 0.20 % ถึง 1.30 % เหล็ ก กล า โครเมี่ ย มต่ํ า และปานกลางจะไม ส ามารถรั ก ษาความเที่ ย งตรงทางขนาดได เหมือนกับเหล็กกลาแมงกานิส ฉ. โมลิบดินั่ม (Molybdinum, Mo) ธาตุชนิดนี้เมื่อเติมเขาไปในเหล็กกลา จะชวยเพิ่มคุณสมบัติ ในการอบชุบใหสูงขึ้น โมบิลดินั่มมีคุณสมบัติรวมกันระหวาง โครเมี่ยมกับทังสเตน มันจะเปนตัวทํา ใหเหล็กมีความแข็งของผิวเพิ่มมากขึ้น
239
เมื่อเติมโมลิบดินั่มรวมกับซิลิกอน แมงกานิสหรือโครเมี่ยม (ระหวาง 0.525 % และ 1.50 %) ธาตุชนิดนี้จะชวยเพิ่มความแข็งแรงและความสามารถในการรับแรงชอคใหกับเหล็กกลาเครื่องมือ ชิ้นสวนของเครื่องจักร เชน เพลาสงกําลัง โบลท เฟองทด ขดลวดสปริง แหนบ เพลาใบพัด ทํามา จากเหล็กกลาชนิดนี้ ช. ทังสเตน (Tungsten, W) เปนธาตุประสมที่มีความสําคัญอีกชนิดหนึ่งที่มักจะพบในเหล็ก เครื่องมือประสม (Alloy Tool Steel) ถาผสมทังสเตนประมาณ 4 % กับคารบอน 1.30 % จะทําใหเหล็ก ตานทานตอการสึกหรอไดสูง และมีความแข็งมากซึ่งยากตอการที่จะเจียระไนดวยวงลอหินเจียระไน ธรรมดาได ธาตุชนิดนี้จะใชกับเครื่องมือตัดที่เปนซีเมนต - คารไบด (Cemented Carbide) เหล็ก เครื่องมือไฮสปด (High Speed Tool Steel) ที่มีทังสเตนผสมอยู 18 % และโครเมี่ยม 4 % เปนเหล็ก เครื่องมือที่มีความสําคัญตอการใชงานในปจจุบัน ซ. วานาเดี่ยม (Vanadium, V) วานาเดี่ยมเปนธาตุอีกชนิดหนึ่งที่เพิ่มความแข็งของเหล็กใหอยูใ น รูปของคารไบด วานาเดี่ยมมีผลตอคุณสมบัติของเหล็กมากกวาธาตุอื่น ๆ โดยปกติจะเติมธาตุชนิดนี้ลง ในเนื้อเหล็กประมาณเล็กนอย และที่ใหผลดีที่สุดเมื่อเติมธาตุนี้ 0.1 % ถึง 0.2 % จะทําใหความแข็งแรง ของเหล็ก ลดลง เหล็กกลาที่มีวานาเดี่ยมผสมประมาณ 0.2 % ความเคนแรงดึงของเหล็กจะไม เปลี่ยนแปลงแตขอบเขตความยืดหยุนและความสามารถในการยืดตัวจะเพิ่มสูงขึ้น ฌ. โคบอลท (Cobolt, Co) โคบอลทเปนธาตุที่ใชอยางกวางขวางในเหล็กที่ใชเปนวัสดุ เครื่องมือ ตัด ซึ่งรวมถึงเหล็กกลาไฮสปด, เหล็กหลอประสมและซีเมนตคารไบด โคบอลทจะชวยเพิ่มความ แข็ง ความแข็งคมของเหล็กเครื่องมือตัด ตานทานตอการสึกหรอ ในเหล็กกลาไฮสปด (High Speed Steel) จะมีโคบอลทผสมอยู 5 % ถึง 12 % ญ. ธาตุประสมอื่น ๆ เชน อลูมิเนียม, ทองแดง, ติตาเนียม, โคลัมเบี่ยม และเซอรโคเนียม ฯลฯ ลวนเปนธาตุที่นํามาผสมในเหล็กกลาได เพื่อเพิ่มเติมคุณสมบัติในการใชงานตามตองการ ตาราง 9 - 6 ตารางสรุปคุณสมบัติของธาตุผสมตาง ๆ ธาตุประสม คารบอน โครเมี่ยม แมงกานิส ซิลิกอน
คุณสมบัติที่เพิม่ ขึ้น คุณสมบัติที่ลดลง เพิ่มความแข็งและความสามารถในการชุบ ความสามารถในการเชื่อมจุดหลอม ละลาย เพิ่มความแข็ง ตานทานตอการเปนสนิม อัตราการขยายตัว และทนตอการกัดกรอน รับแรงกระแทกไดดี เพิ่มความเหนียวและ ทนตอการแตกหัก ทนตอการสึกหรอ ทนตอการกัดกรอน ความสามารถในการ ความสามารถในการเชื่อมประสาน ยืดตัว
240
ตาราง 9 - 6 ตารางสรุปคุณสมบัติของธาตุผสมตาง ๆ (ตอ) ธาตุประสม นิคเกิล
โมลิบดินั่ม ฟอสฟอรัส กํามะถัน ทังสเตน วานาเดียม โคบอลท
คุณสมบัติที่เพิม่ ขึ้น ความเหนียว ความแข็งแรง ตานทานไฟฟา คงทนตอความรอนและคงทนตอการ กัดกรอน ความแข็งและแกรง ทนความรอนสูง ทนตอการสึกหรอ การไหลของน้ําเหล็ก คงทนตอความเคนแรงดึง ความแข็ง ความแข็งแรง ตานทานตอการ กัดกรอน คงทนตอความรอน ความแข็ง ความเหนียวและคงความแข็ง ที่อุณหภูมิสูง ความแข็งและความคมแข็ง
คุณสมบัติที่ลดลง สัมประสิทธิ์การขยายตัวเมื่อไดรับ ความรอน คุณสมบัติในการตีขึ้นรูปและอัตรา การขยายตัว อัตราการขยายตัว ความเคนแรง กระแทก ความเคนแรงกระแทก อัตราการขยายตัว ไวตอความรอน ความเหนียวและไวความรอน
9.3.5 การผลิตเหล็กกลา การผลิตเหล็กกลาเปนกระบวนการที่ตองการใหไดเหล็กบริสุทธิ์ขึ้น โดยพยายามลดสาร มลทิน (สิ่งสกปรกตาง ๆ ในน้ําเหล็ก) ในเนื้อเหล็กใหเหลือลดนอยลง หรือใหหมดไป ความบริสุทธิ์ ของเหล็กเราสามารถควบคุมไดโดยการเลือกใชผนังเตาใหเหมาะสม ธาตุที่ผสมอยูในเหล็กจะตองอยูในพิกัดที่กําหนด ธาตุที่มีผสมอยูเสมอ ก็คือ คารบอน ซิลิกอล ฟอสฟอรัส แมงกานิส และกํามะถัน ในบางครั้งก็เติมธาตุอื่น ๆ เขาไปบาง เชน นิคเกิล ทองแดง ติตาเนียม โมลิบดินั่ม เปนตน เพื่อเพิ่มคุณสมบัติที่ตองการตามความเหมาะสมในการ นําไปใชงาน ผนังเตาที่ใชในการผลิตเหล็กกลา มี 2 แบบ คือ 1. ผนังเตาแบบเอซิด (Acid Lining) ใชซิลิกาทําผนังเตา ผนังเตาแบบนี้ไมสามารถ ไลฟอสฟอรัสออกจากเนื้อเหล็กไดดังนั้นในกระบวนการผลิต จึงตองเลือกใชเหล็กดิบที่มีประมาณ ฟอสฟอรัสต่ําเปนวัตถุดิบ 2. ผนังเตาแบบเบสิค (Basic Lining) ใชแมกนิไซด (Magnesite) เปนผนังเตา การผลิต เหล็กเกือบ 90 % ใชผนังเตาชนิดนี้ เพราะสามารถไลฟอสฟอรัส กํามะถัน ซิลิกอน แมงกานิส และคารบอน ออกจากเนื้อเหล็กได โดยจะเกิดเปน เบสิค สแลก ซึ่งเบสิคสแลกนี้จะไมทําปฏิกริยากับ ผนังเตา
241
ขบวนการผลิตเหล็กดิบใหเปนเหล็กกลา แสดงตามแผนผัง และตารางขางลางนี้ เหล็กดิบ เตาพุดเดิ้ล
เตาเบสเซมเมอร กรรมวิธีแอสตัน
เตาโอเพิ่นฮารท
เตาไฟฟา
เหล็กกลาคารบอนและเหล็กกลาผสม C < 0.1 % > 2 %
เหล็กออน C < 0.1 % ตาราง 9 - 7 เตาที่ใชผลิตโลหะประเภทเหล็ก ชนิดเตา กูโปคา
เชื่อเพลิง โคก
คอนเวลเตอร
ลมรอน
ไฟฟา
ไฟฟา
กระทะ (โอเพนฮารท)
แกสธรรมชาติ น้ํามัน ผงถานหิน น้ํามัน
เตาลม (Air Furbace)
วัตถุดิบ เหล็กดิบและ เศษเหล็ก เหล็กดิบหลอม ละลาย เศษเหล็ก
กรรมวิธีพิเศษ -
สูญญากาศหรือ แกสเฉื่อย
ผลิตภัณฑ เหล็กหลอสีเทา เหล็กหลอโนคูลา เหล็กออนและ เหล็กกลา เหล็กกลา
เหล็กดิบหลอม ละลาย
เหล็กกลา
เหล็กหลอสีขาว เหล็กหลอสีเทา
คูซิเบิล
แกส, ถานหิน
เหล็กดิบแข็งหรือ เหล็กดิบหลอม ละลาย เศษเหล็กตัด
อินดักชั่น
ไฟฟา
เศษเหล็กตัด
สูญญากาศหรือ แกสเฉื่อย
เหล็กกลา และ เหล็กหลอที่มี ปริมาณผลิตนอย เหล็กกลา
242
1. กรรมวิธีโอเพนฮารท (OPENHEART PROCESS) เตาที่ใชผลิตเหล็กกลาตามกรรมวิธีนี้มี ชื่อเรียกวา เตากะทะ หรือเตาโอเพนฮารท เตาชนิดนี้เปนเตาสี่เหลี่ยมผืนผาขนาดใหญ สรางดวยอิฐ ทนไฟ ตรงกลางเตามีลักษณะเปนแอง ขนาดของเตาโดยประมาณ กวาง 15 ฟุต ยาว 40 ฟุต ลึก 2 ฟุต เตาชนิดนี้ใหปริมาณการผลิตสูงมากสามารถผลิตเหล็กไดวันละถึง 150 ตัน เตาโอเพนฮารทมี 2 แบบ คือ ก. เบสิค โอเพนฮารท ข. เอชิค โอเพนฮารท
รูป 9.6 ภาพหนาตัดของเตาโอเพนฮารท 2. กรรมวิธีเตาไฟฟา (ELECTRICAL FURNACE PROCESS) เตาไฟฟาเปนเตาผลิตเหล็กที่ มีคุณภาพในการผลิตสูง ใชผลิตเหล็กเกรดดี เหล็กไรสนิม เหล็กคุณภาพพิเศษ ทั้งนี้เพราะสามารถ ควบคุมคุณสมบัติทางโลหะวิทยา เกรนและโครงสรางของเหล็กได ก. เตาฮารท มีรูปรางคลายกับการตมน้ํา ดังรูป 9.7 เตาชนิดนี้สามารถผลิตเหล็กกลาไดวันละ 5 - 100 ตัน มีแหลงอิเลคโทรค คารบอน หรือแหลงอิเลคโทรด แกรไฟต ขนาดใหญ เสนผาศูนยกลาง 10 - 14 นิ้ว ติดตั้งอยูตอนบนของเตา เมื่อผานกระแสไฟฟากระแสสลับ 3 เฟส (380 โวลท) เขาไปจะทําใหอิเลคโทรคเกิดการอารคกับวัตถุดิบที่อยูภายในเตา จนหลอมละลาย เตา ชนิดนี้สามารถผลิตเหล็กกลาไดอยางรวดเร็วและตอเนื่อง เมื่อโลหะหลอมละลายก็เทออกจากเตาสูเบา ทําเปนอินกอท (Ingot) หรืออาจทําการผลิตตอเนื่องเปนเหล็กเสน หรือเหล็กชนิดอื่น ๆ ตอไปไดเลย
243
รูป 9.7 ภาพหนาตัดเตาไฟฟา ข. เตาอินดักชั่น หรือเตาเหนี่ยวนํา เตาชนิดนี้มีรูปรางดังรูป 9.9 เปนเตาที่มีขดลวดนําความ ร อ นพั น อยู ร อบ ๆ เบ า ซึ่ ง ภายในเบ า จะบรรจุ วั ต ถุ ดิ บ ไว ก ระแสไฟฟ า ที่ ไ หลผ า นขดลวดนี้ เ ป น กระแสไฟฟาชนิดความถี่สูง ความถี่ที่ใชประมาณ 1000 ไซเคิลตอนาที ซึ่งจะใหความรอนอยาง รวดเร็ว ทําใหวัตถุดิบภายในเบาหลอมละลายภายใน เวลา 50 - 90 นาที เตาอินดักชั่นสามารถผลิต เหล็กไดถึงครั้งละ 4 ตัน ขดลวดที่ใชกับเตาชนิดนี้ โดยปกติจะใชทอทองแดงและมีน้ําหมุนวนอยู โดยรอบเตา เพื่อควบคุมอุณหภูมิภายในเตาใหสม่ําเสมอ
รูป 9.8 แสดงเตาอารคไฟฟาขณะเอียงเทน้าํ เหล็ก
244
รูป 9.9 เตาอินดักชั่น 3. กรรมวิธีเอชิค เบสเซมเมอร (ACID BESSEMER PROCESS) เปนกระบวนการที่นําเอา เหล็กดิบที่หลอมละลายแลวใสเขาไปภายในเตา ตามรูป 9.10 แลวเปาอากาศเขาไปที่ดานลางของเตา การเปาอากาศเขาไปในน้ําเหล็กจะทําใหเกิดการออกซิเคชั่น ขึ้นอยางรวดเร็ว ทําใหประหยัดเวลาใน การผลิตเหล็กกลาเปนอันมาก เมื่ออากาศผานเขาไปในน้ําเหล็กแลว มันจะเกิดเปนออกไซดขึ้นกับธาตุ ผสมที่อยูในเหล็ก โดยเฉพาะซิลิกอนกับแมงกานิส ซึ่งจะทําใหเปนสแลก ลอยขึ้นสูผิวดานบนของน้ํา โลหะ หลังจากที่แมงกานิสและซิลิกอนถูกทําใหเปนออกไซดแลว คารบอนจะรวมตัวกับออกซิเจน เปนคารบอนมอนออกไซดไหมอยูบริเวณปากเตา ในกระบวนการผลิตแบบเอชิค เบสเซมเมอรนี้ แต ละครั้งจะใชเวลาเพียง 10 – 50 นาทีเทานั้น ซึ่งนับวารวดเร็วและสะดวก ในการผลิตแตละครั้งจะไดน้ํา เหล็กไมมากนัก ประมาณ 20 - 25 ตัน เหล็กกลาที่ไดจากกรรมวิธีเบสเซมเมอรนี้ ใชสําหรับผลิตโลหะ ภัณฑเกรดต่ํา ลวด ทอ และสกรูตาง ๆ
รูป 9.10 แสดงการทํางานของเตาเบสเซมเมอร
245
4. กรรมวิธีแวคคั่ม อินดักชั่น (VACUUM PROCESS) เปนกระบวนการผลิตเหล็กใหมีความ บริสุทธิ์มากขึ้น ในกรรมวิธีนี้จะนําเอาภาชนะมาลอมรอบเตาอินดักชั่นแลวดูดเอาอากาศภายในออก เพื่อใหเกิดเปนสูญญากาศมีดานหนึ่งเปดได เพื่อบรรจุโลหะเหลวเขาสูภายในเตาภายใตสูญญากาศนั้น วิธีนี้อาจมีไฮโดรเจนและออกซิเจนอยูบาง แตก็อยูในระดับต่ํามาก เพราะมันเปนอิสระจากอากาศ ภายนอก กรรมวิธีนี้สามารถควบคุมสวนผสมของธาตุที่มีอยูในเหล็กได 5. กรรมวิธีดูเหล็ก (DUPLEX PROCESS) เปนกระบวนการผลิตที่นําเอาวัตถุดิบไปผลิตเปน เหล็กกลา โดยนําเขาสูเตาชนิดหนึ่ง แลวผานออกเขาสูเตาอีกชนิดหนึ่งเพื่อใหไดเหล็กที่มีคุณภาพสูง เอชิค เบสเซมเมอร - เบสิค ไอเพนฮารท ซึ่งมีขอดีที่วา ในเตาเบสเซมเมอรสามารถกําจัดซิลิกอน และ คารบอน ออกจากเหล็กดิบไดอยางรวดเร็ว แตยังคงมีฟอสฟอรัสอยูสูง และฟอสฟอรัสเหลานี้ถูกกําจัด ลงไดในเตา เบสิคไอเพนฮารท 6. กรรมวิธีเตาคอนเวอรเตอร (CONVERTER PROCESS) เตาคอนเวอรเตอรมีชื่อเรียกอีกอยาง หนึ่งวา เตานูแมติค (Pneumatic Furnace) เปนเตาที่ใชผลิตเหล็กกลาจากเหล็กดิบหลอมละลาย ผนัง เตาชนิดนี้มีทั้งแบบ เอชิคและเบสิคเชนเดียวกับเตาโอเพนฮารท ดังนั้นจึงสามารถควบคุมซิลิกอน แมงกานิส คารบอน ฟอสฟอรัส และกํามะถันไดเชนเดียวกัน ในเตาชนิดนี้แบบเบสิค ซึ่งเปนที่นิยม ใชกันเปนสวนใหญ วิธีที่ทําใหเหล็กมีความบริสุทธิ์ของกรรมวิธีนี้ก็คือ เปาอากาศ ออกซิเจน หรือ อากาศผสมออกซิเจนลงไปในน้ําเหล็กหรือเหนือน้ําเหล็ก เพื่อใหเกิดการออกซิเคชั่น ดังนั้นการผลิต เหล็กแบบนี้จึงไดชื่ออีกอยางหนึ่งวา กรรมวิธีนูแมติคนั่นเอง
รูป 9.11 เตาคอนเวอรเตอร 3 แบบ การผลิตเหล็กในเตาคอนเวอรเตอรขนาดใหญ จะผลิตไดครั้งละ 30 ตัน และผลิตไดอยาง รวดเร็วมาก การผลิตแตละครั้งจะใชเวลา 20 นาทีเทานั้น สําหรับเตาคอนเวอรเตอรขนาดเล็กจะผลิต ได 2 ถึง 3 ตัน และใชเวลาแตละครั้งประมาณ 10 นาที 7. กรรมวิธีคูซิเบิ้ล (CRUCIBLE PROCESS) เปนกรรมวิธีที่ใชผลิตเหล็กกลาหลอที่เกาแก มากวิ ธี ห นึ่ ง แต ใ นป จ จุ บั น นี้ มี ใ ช น อ ยมาก ยกเว น ที่ ใ ช ใ นการผลิ ต โลหะที่ ไ ม ใ ช เ หล็ ก เช น
246
อลูมิเนียมหลอ เปนตน เตาคูซิเบิ้ลหรือเตาเบา ตามรูป 9.12 โดยปกติทําจากสวนผสมของแกรไฟตกับ ดินเหนียว เตาชนิดนี้จะแตกไดเมื่อมีอายุการใชงานมาก และตองระมัดระวังในขณะใชงาน แตจะมี ความแข็งแรงเมื่อรอน ความรอนหรือเชื้อเพลิงที่ใชกับเตาคูซิเบิ้ล คือ โคก น้ํามันหรือแกสธรรมชาติ วัตถุดิบที่ใชไดแก เหล็กออน เศษเหล็กกลา ถานไม และโลหะที่ใชผสมเหล็ก การผลิตเหล็กในเตา คูซิเบิ้ลจะผลิตไดครั้งละประมาณ 100 ปอนด
A
B C รูป 9.12 เตาคูซิเบิ้ลหลอมละลายโลหะทีไ่ มใชเหล็ก A เปนแบบตั้งอยูกับที่ ใชโคกเปนเชื้อเพลิง B เปนรูปดานบนแสดงการเผาของแกสหรือน้ํามัน หมุนวนรอบเบา C เปนชนิดที่ใชแกสเปนเชื้อเพลิง ชนิดเอียงเทน้ําโลหะ 9.3.6 อินกอท ผลิตภัณฑตาง ๆ เชน เสนลวด เหล็กเพลากลม เหล็กแผนหนา เหล็กแผนบาง ทอ หรือเหล็กโครงสรางรูปรางตาง ๆ ลวนแตเกิดจากการรีด อัด หรือ ตี มาจากอินกอททั้งสิ้น อินกอท เปนแทงเหล็กที่เกิดจากการหลอในแมแบบ ดังรูป 9.13
247
รูป 9.13 แบบหลออินกอท โมลคหรือแมแบบที่ใชผลิตอินกอท จะมีลักษณะเปนสี่เหลี่ยมผืนผา หรือสี่เหลี่ยมจัตุรัส เรี ยว มีขอบมนเพื่อ ใหสะดวกในการดึ งออกจากแมแ บบ ขนาดของอิ นกอทจะมี ขนาดต าง ๆ กัน ออกไป ตั้งแตนอยกวารอยปอนด จนถึงขนาด 25 ตัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยูกับผลิตภัณฑที่ตองการจะผลิต ในขั้นตอนตอไป โมลคที่ใชผลิตอินกอท มี 2 ชนิด คือ ก. บิก เอน ดาวน (Big End Down) เปนแบบที่เหมาะสม และสะดวกในการดึงอินกอทออก จากแบบ แตจะตองเสียเนื้อโลหะไปมากเนื่องจากการหดตัว ข. บิก เอน อัพ (Big End Up) เปนแบบที่เสียเนื้อเหล็ก เนื่องจากการหดตัวนอยกวาแบบแรก ทั้งนี้เพราะเมื่อนําโลหะเทลงในโมลคจะเกิดการเย็นตัวและแข็งตัวที่สวนลางกอน ซึ่งเปนสวนเล็ก แลวคอย ๆ เย็นตัว เคลื่อนขึ้นมาสวนบน ซึ่งมีขนาดโตขึ้นตามลําดับจึงทําใหการหดตัวนอยลง
รูป 9.14 อินกอท รูปซาย แสดงภาพหนาตัดตามแนวยาว รูปขวา เปนภาพหนาตัดขวาง
248
รูป 9.15 การเทน้ําโลหะเขาสูโมลค อินกอท 9.3.7 เหล็กกึ่งสําเร็จรูป น้ําเหล็กที่ถูกนําไปหลอในโมลคเพื่อเปนอินกอทนั้น หลังจากเย็นตัวเกือบสมบูรณก็ จะถูกนําออกจากโมลค แทงอินกอทที่ไดจะถูกนํามาอบในเตาเพื่อคงความรอนไว เตาที่ใชอบเรียกวา โซคกิ้ง พิต (Soaking Pit) ทั้งนี้เพื่อใหอินกอทอยูในสภาพของอุณหภูมิทํางาน (Working Temperature) ซึ่งอุณหภูมินี้ประมาณ 2200 ° ฟ. แลวทิ้งไวประมาณ 4 - 8 ชั่วโมง จนกระทั่งอินกอทอยู ในสภาพออนตัว (Plastic) จึงนําไปรีดขึ้นรูปในเครื่องรีด เพื่อลดขนาดพื้นที่หนาตัดลง ใหมีขนาดที่ เหมาะสมกับการนําไปขึ้นรูป เปนผลิตภัณฑสําเร็จรูปตอไป เราเรียกเหล็กที่ไดนี้วาเหล็กกึ่งสําเร็จรูป ซึ่งแบงออกเปน 3 ชนิด คือ 1. บลูม (Bloom) 2. บิลเลท (Billet) 3. สแลบ (Slab) 1. บลูม (BLOOM) บลูมเปนเหล็กกึ่งสําเร็จรูปที่มีหนาตัดเปนสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดที่ เล็กที่สุด คือ 6 x 6 นิ้ว บลูมใชทํารางรถไฟ เหล็กโครงสราง เหล็กแทงกลมตันและทอแบบไมมี ตะเข็บ
249
2. บิลเลท (BILLET) บิลเลทจะมีขนาดหนาตัดเล็กกวาบลูม
มีรูปหนาตัดเปนรูป
สี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดตาง ๆ กัน จาก 1 1 นิ้ว จนถึงขนาดของบลูม บิลเลทใชทําเหล็กแทงสี่เหลี่ยม 2
เหล็กเสนสําหรับดึงเปนลวด และทําเสนลวด 3. สแลบ (SLAB) สแลบมีพื้นที่หนาตัดเปนสี่เหลี่ยมผืนผา มีความกวางนอยที่สุด 10 นิ้ว และความหนานอยที่สุด 1 1 นิ้ว โดยปกติความกวางจะเปน 3 เทาของความหนา สแลบสวนใหญจะ 2
ใชผลิตเปนโลหะแผนหนา โลหะแผนบาง แผนเหล็กเคลือบดีบุก ทอขนาดเล็ก และทอขนาดใหญ
รูป 9.16 แผนผังแสดงความสัมพันธของเหล็กกึ่งสําเร็จรูปกับเหล็กสําเร็จรูป 9.3.8 เหล็กสําเร็จรูป หมายถึง ผลิตภัณฑเหล็กที่ถูกผลิตใหมีขนาดรูปรางเหมาะสมตอการเลือกนําไปใชงาน ทางการคา ซึ่งทางอุตสาหกรรมไดแบงชั้นของเหล็กไวดังนี้ เหล็กกลาชุบผิวแข็ง (Case Hardening Steel) เปนเหล็กที่เหมาะสมตอการชุบผิวแข็งดวยกรรมวิธี คารบูไรซิ่ง (เติมคารบอนเขากับผิวเหล็ก)
250
เหล็กกลาตานทานการกัดกรอนและความรอน (Corrosion & Heat Resistant Steel) เปนเหล็กกลาที่เหมาะสมในการใชงานภายใตสภาวะการกัดกรอนหรือที่อุณหภูมิสูง ๆ เหล็กกลาสําหรับงานขึ้นรูป (Deep Drawing Steel) เปนเหล็กกลาที่มีความสําคัญตอการนําไปขึ้นรูปใหมีรูปรางตาง ๆ เชน ตัวถังและกันชน รถยนต ตูเย็น เตาแกส ฯลฯ เหล็กกลาไฟฟา (Electrical Steel) เปนเหล็กกลาที่ใชในอุตสาหกรรมผลิตอุปกรณไฟฟา โดยปกติจะมีซิลิกอนผสมอยูสูง เหล็กกลาสําหรับงานตีขึ้นรูป (Forging Steel) เปนเหล็กที่เหมาะสมสําหรับงานแปรรูปรอน (Hot Working) โดยเฉพาะ เชน ในงานตีขึ้น รูป งานกดพิมพขึ้นรูป ฯลฯ FREE CUTTING STEEL (เหล็กทําสกรู) เปนเหล็กกลาที่งายตอการแปรรูปดวยเครื่องจักร ใชสําหรับงานผลิต โบลท นัท สกรู ที่มี อัตราการผลิตสูง เหล็กกลาเครื่องจักร (Machinary Steel) เปนเหล็กกลาที่ใชสําหรับอุตสาหกรรมรถยนตและชิ้นสวนเครื่องจักรกล เหล็กงานเชื่อมและทอ (Pipe & Welding Steel) เปนเหล็กกลาที่มีความออนมาก เหมาะสมสําหรับผลิตทอที่มีตะเข็บเชื่อม โดยปกติมีคารบอน ผสมอยูต่ํา เหล็กกลาทํารางรถไฟ (Rail Steel) เปนเหล็กกลาที่ใชผลิตรางรถไฟโดยเฉพาะ เหล็กกลาทําสปริง (Spring Steel) เปนเหล็กกลาที่ใชในงานอุตสาหกรรมผลิตสปริงชนิดตาง ๆ เหล็กโครงสราง (Structural Steel) เปนเหล็กที่ใชในงานผลิตโครงสรางเรือ รถ ตึก สะพาน เปนตน เหล็กกลาเครื่องมือ (Tool Steel) เปนเหล็กที่ใชทําเครื่องมือเพื่อแปรรูปโลหะภัณฑ โดยมือหรือโดยเครื่องจักร 9.4 เหล็กทําเครื่องมือ 9.4.1 การแบงชั้น กลุมของเหล็กมีขนาดใหญมาก ซึ่งแบงออกเปนหลายกลุมหลายชนิดดวยกัน ตามที่ได ศึกษามาแลวในบทที่ 5 ยังมีเหล็กอีกกลุมหนึ่งซึ่งมีลักษณะการใชงานตางออกไปคือ เหล็กเครื่องมือ (Teels Steel) เหล็กกลุมนี้ใชสําหรับสรางเครื่องมือโดยเฉพาะ เชน สกัด แมพิมพ คอน เปนตน เหล็ก เครื่องมือ ขยายความรวมไปถึงเหล็กเครื่องมือตัดสําหรับเครื่องมือกล เชน ใบมีดตัดของเครื่องตัด
251
โลหะแผน แมพิมพตัด แมพิมพที่ใชในงานแปรรูปรอนตาง ๆ มีดกลึง ฯลฯ ซึ่งเหล็กเครื่องมือเหลานี้ จะตองมีคุณสมบัติการใชงานแตกตางกันออกไป เหล็กเครื่องมือ เปนกลุมคําที่ใชเรียกเหล็กที่ผานกรรมวิธีผลิตในเตาแบบ เบสิคไฟฟา Basic Electric Process ซี่งมีการควบคุมคุณสมบัติทางดานโลหะวิทยาอยางใกลชิดจึงสามารถรักษา ความโปรง การรวมตัวของอโลหะ และสารมลทินอื่น ๆ เชน ฟอสฟอรัส และกํามะถัน ใหมี เปอรเซนตนอยที่สุด ธาตุที่ผสมอยูในเหล็ก มีหลายชนิดและมีปริมาณ ตางกันออกไป จึงทํายากตอการที่จะแบง ชั้นของมันได แตอยางไรก็ตาม ก็ไดมีผูคิดแบงชั้นของเหล็กเครื่องมือ ใหเปนระบบมากมายหลายราย แตโดยทั่วไปสวนใหญจะนิยมระบบของสถาบันเหล็ก และเหล็กกลาแหงสหรัฐอเมริกา (AIS) ระบบ AISI จะกําหนดชนิดของชั้นเหล็กเครื่องมือไว โดยมีพื้นฐานอยูกับกรรมวิธีที่ใชชุบเหล็ก การนําไปใช งาน คุณลักษณะพิเศษและสําหรับงานอุตสาหกรรมเฉพาะ โดยระบบนี้เหล็กเครื่องมือจะถูกแบง ออกเปนกลุมใหญได 6 กลุม และมีกลุมยอยจําแนกออกไป โดยมีสัญญลักษณกําหนดไวเปน มาตรฐาน ดังนี้.1. ชนิดชุบแข็งดวยน้ํา (Water Hardening) W 2. ชนิดตานทานตอแรงชอค (Shock Resistance) S 3. ชนิดงานแปรรูปเย็น (Cold Working) ชุบแข็งดวยน้ํามัน O เหล็กประสมปานกลาง ชุบแข็งดวยอากาศ A ชนิดผสม คารบอนสูง โครเมี่ยมสูง D 4. ชนิดงานแปรรูปรอน (Hot Working) มีโครเมี่ยมเปนพื้นฐาน H1 ถึง H19 มีทังสเตนเปนพื้นฐาน H20 ถึง H39 มีโมลิบตินั่มเปนพื้นฐาน H40 ถึง H59 5. ชนิดไฮสปด (High Speed) มีทังสเตนเปนพื้นฐาน T มีโมลิบตินั่มเปนพื้นฐาน M 6. ชนิดใชกับงานวัตถุประสงคพิเศษ (Special – Purpose) เหล็กประสมต่ํา L คารบอน – ทังสเตน F เหล็กกลาทําโมลค คารบอนต่ํา P1 ถึง P19 ชนิดอื่น ๆ P20 ถึง P39
252
9.4.2 เหล็กเครื่องมือชุบแข็งดวยน้ํา (Water Hardening Tool Steel) เหล็กเครื่องมือชนิดนี้ โดยปกติเปนเหล็กคารบอนธรรมดา (Plain Carbon) ซึ่งมีธาตุอื่น ๆ ผสมอยูนอย ดังตาราง 7-1 ดังนั้นเหล็กเครื่องมือชนิดนี้จึงมีราคาถูกที่สุดในบรรดาเหล็กเครื่องมือ ดวยกัน เหล็กชนิดนี้ถูกนํามาใชในวัตถุประสงคทั่ว ๆ ไป นอกจากจะมีราคาต่ําแลว ยังแปรรูปบน เครื่องจักรไดงาย และใหความแข็งของผิวสูง คารบอนที่ผสมอยูในเหล็กเครื่องมือ สวนมากจะขึ้นอยู กับการใชงานของเหล็กนั้น สําหรับใบตัดในเครื่องตัดโลหะแผน ดอกสวานเจาะหิน คอน เปนตน จะ มีคารบอนผสมอยูระหวางประมาณ 0.60 ถึง 0.85 เปอรเซ็นต สกัดและแมพิมพจะมีคารบอนผสมอยู ระหวาง 0.80 ถึง 0.95 เปอรเซ็นต เหล็กที่ใชทําคัดเตอร ดอกสวาน ดอกทําเกลียว ใบตัดโลหะแผน ขนาดเล็กและสกัดขนาดเล็ก จะมีคารบอนผสมอยูระหวาง 0.95 ถึง 1.1 เปอรเซ็นต สําหรับเครื่องมือ ตัดงานไม ดอกทําเกลียวขนาดเล็ก ดอกสวาน มีดกลึงและใบมีดโกนจะมีคารบอนผสมอยู 1.1 ถึง 1.4 เปอรเซ็นต ที่เรียกเหล็กชนิดนี้วาเหล็กเครื่องมือชุบแข็งดวยน้ําก็คือ การนําเหล็กเครื่องมือชนิดนี้ไปให ความรอ นที่ ช ว งอุ ณ หภู มิ ต า ง ๆ ตามเปอร เ ซนตข องคาร บ อนที่ ผ สมอยู ตัว อย า งเช น เหล็ ก ที่ มี คารบอนผสมอยูระหวาง 0.85 ถึง 0.95 เปอรเซ็นต ใหความรอนที่อุณหภูมิ 1450 – 1500 ° ฟ. (790 – 815 ° ซ.) เหล็กที่มีเปอรเซนตคารบอนเกินกวา 1.10 เปอรเซ็นต ใชความรอนระหวาง 1400 – 1475 ° ฟ. (760 – 800 ° ซ.) เมื่อใหความรอนตอชิ้นงานเหล็กจนทั่วแลว จึงนําเหล็กชนิดนี้ไป ทําใหเย็นตัวลงอยางรวดเร็ว โดยการชุบลงในน้ํา ซึ่งผลที่ตามมาก็คือเหล็กจะมีความแข็งผิวเพิ่มสูงขึ้น ตาราง 8 – 1 AISI W1 W2 W3 W4 W5 W6 W7
C 0.60 – 1.40 0.60 – 1.40 1.00 0.60 – 1.40 1.10 1.10 1.00
Cr 0.25 0.50 0.25 0.50
V 0.25 0.50 0.25 0.20
หมายเหตุ เหล็กเครื่องมือคารบอน วานาเดียม จะเปนตัว ควบคุมเกรนของเหล็ก โครเมี่ยม จะชวยทําใหเหล็ก มีแนวโนมออน ไดผลตามขอมูล 2 กลุม รวมกัน
9.4.3 เหล็กเครื่องมือตานทานแรงชอค (Shock Resisting Tool Steel) เหล็กเครื่องมือตามรายการในตารางที่ 8 – 2 เปนเหล็กที่สามารถใชทําเครื่องมือ ที่รับแรงชอคไดดี เชน สะกัดและแมพิมพตัวผู (Punch) ชนิด S1 และ S3 รูจักกันดีในชื่อของเหล็ก
253
สกัดทังสเตน และเหล็กทําแมพิมพตัวผู (Punch Steel) ซึ่งเปนเหล็กที่ใหผลดานความเหนียว มีความ แข็งของผิวและทนตอการสึกหรอไดดี ตาราง 8 – 2 AISI S1 S2 S3 S4 S5
C 0.50 0.50 0.50 0.55 0.55
Mn 0.80 0.80
Si 1.00 2.00 0.20
Cr 1.50 0.75 -
W 2.50 1.00 -
Mo 0.50 0.40
หมายเหตุ W สําหรับสกัดและ Punch Si ต่ํา สําหรับเพิ่มความเหนียว ตานทาน การสึกหรอไดนอยกวา Mo เพิ่มความแข็งของผิว
ชนิด S1 ชุบแข็งดวยน้ํามัน ชนิด S2 ชุบแข็งดวยน้ําหรือน้ําเค็ม เหล็กเครื่องมือในกลุม ซิลิกอน-แมงกานิส คือ S2 S4 และ S5 มีราคาไมแพง เหมาะสําหรับทําสกัด แมพิมพตัวผู ใบตัด ในเครื่องตัดโลหะแผนที่ตองการความแข็งสูง เหนียวและทนตอการสึกกรอน 9.4.4 เหล็กเครื่องมือแปรรูปเย็น (Cold Work Tool Steel) เหล็กชนิดนี้เหมาะสําหรับนําไปสรางเครื่องมือเพื่อใชแปรรูปชิ้นงาน ที่อุณหภูมิต่ํากวา Recrystallizat ion รีครีสตอนไลเซซั่น หมายถึงอุณหภูมิที่ทําใหเกรนที่เกิดขึ้นใหมมีขนาดเล็กลง โดยทั่วไปจะอยูระหวาง 950 – 1300 ° ฟ. จนถึงอุณหภูมิปกติ เหล็กเครื่องมือชนิดนี้จะรักษาคาพิกัด ความเผื่อหรือขนาดไดดี โดยไมมีการเปลี่ยนแปลง หรือการบิดเบี้ยว จากรูปรางเดิมทั้งกอนและหลัง ทําการชุบแข็ง เหล็กเครื่องมือแปรรูปเย็น แบงออกเปน 3 ชนิด คือ 1. ชุบแข็งดวยน้ํามัน ชนิด O 2. เหล็กประสมปานกลาง ชุบแข็งดวยอากาศ ชนิด A 3. เหล็กคารบอนสูง – โครเมี่ยมสูง ชนิด D
AISI O1 O2 O3
C 0.90 0.90 1.20
ตาราง 8 – 3 ก Mn Cr 1.00 0.50 1.60 0.75
W 0.50 1.75
254
ชนิด O มีแมงกานิสและทังสเตน (W) ผสม ชุบแข็งดวยน้ํามัน เหล็กชนิดนี้ใชประโยชน อยางกวางขวาง ในการทําแมพิมพ โมลค พลาสติก ชนิด A เปนเหล็กผสมโครเมี่ยมและแมงกานิส ชุบแข็งดวยอากาศ เหล็กชนิดนี้ใชกับงาน ที่ตองการความคงทนตอการสึกหรอ และมีคุณสมบัติไมเปลี่ยนแปลงรูปราง AISI A1 A4 A5 A6
C 1.00 1.00 1.00 0.70
ตาราง 8 – 3 ข Mn Cr Mo 5.00 1.00 2.00 1.00 1.00 3.00 1.00 1.00 2.00 1.00 1.00
หมายเหตุ 5 % โครเมี่ยม เหล็กทําแมพิมพ ทนตอแรงชอคไดดีมาก
ชนิด D เปนเหล็กเครื่องมือ คารบอนสูง-โครเมี่ยมสูง ซึ่งแบงออกเปน 2 กลุม ดังตาราง 8-3 ค คือกลุมชุบแข็งดวยน้ํามันและกลุมชุบแข็งดวยอากาศ เหล็กเครื่องมือกลุม D เปนเหล็กที่มีความ แข็งสูงมาก ทนตอการสึกหรอไดสูงและยากตอการแปรรูปบนเครื่องจักร สวนใหญจะใชประโยชนใน การทําแมพิมพชนิดตาง ๆ ใบตัดในเครื่องตัดโลหะ ศูนยเครื่องกลึง ดอกตัดเกลียว เครื่องมือตัด สําหรับกลึงทองเหลือง และบรอนซ เปนตน AISI D1 D2 D3 D4 D5 D6 D7
C 1.00 1.50 2.25 2.25 1.50 2.25 2.35
Si 1.00 -
ตาราง 8 – 3 ค Cr V W Mo 12.00 - 1.00 12.00 - 1.00 12.00 12.00 - 1.00 12.00 - 1.00 12.00 - 1.00 12.00 4.00 1.00
Co 3.00 -
หมายเหตุ ชุบแข็งดวยอากาศ ชุบแข็งดวยอากาศ ชุบแข็งดวยน้ํามัน ชุบแข็งดวยอากาศ ชุบแข็งดวยอากาศ ชุบแข็งดวยน้ํามัน ชุบแข็งดวยอากาศ
9.4.5 เหล็กเครื่องมือสําหรับงานแปรรูปรอน (Hot Work Tool Steel) หมายถึง เหล็กกลาที่ใชผลิตเครื่องมือ เพื่อใชขึ้นรูปวัสดุงานในขณะที่กําลังรอน เหนืออุณหภูมิ Recrystallization ดังนั้นเหล็กชนิดนี้จึงตานทานตอการเปลี่ยนแปลงรูปรางในอุณหภูมิ สูง ๆ ไดดี
255
เหล็กเครื่องมือสําหรับงานแปรรูปรอน แบงออกเปนชนิดสําคัญ 3 ชนิด คือ 1. ชนิดมีโครเมี่ยมเปนพื้นฐาน H11 – H16 2. ชนิดมีทังสเตนเปนพื้นฐาน H20– H26 3. ชนิดมีโมลิบดินั่มเปนพื้นฐาน H41 – H43 ชนิดมีโครเมี่ยมเปนพื้นฐาน ใชกับงานขึ้นรูปรอนภายใตสภาวะอุณหภูมิไมเกิน 600 ° ฟ. (315 ° ซ.) ชนิดมีทังสเตนเปนพื้นฐานเปนเหล็กทําแมพิมพใชกับงานขึ้นรูปรอน อุณหภูมิ ไมเกิน 1000 ° ฟ. (540 ° ซ.) ชนิดมีโมลิบดินั่มเปนพื้นฐาน เปนเหล็กเครื่องมือคารบอนต่ํา ใชกับงาน ความเร็วรอบสูง งานแมพิมพแปรรูปรอน ตาราง 8 - 4 AISI
C
Cr
H11 H12 H13 H14 H15 H16
0.35 0.35 0.35 0.40 0.40 0.55
3.00 5.00 5.00 3.00 5.00 7.00
H20 H21 H22 H23 H24 H25 H26
0.35 0.35 0.35 0.30 0.45 0.25 0.50
2.00 3.50 2.00 12.00 3.00 4.00 4.00
H41 H42 H43
0.65 0.60 0.55
4.00 4.50 4.00
V
W Mo ชนิดโครเมี่ยม 0.40 1.50 0.40 1.50 1.50 1.00 1.50 5.00 0.50 7.00 ชนิดทังสเตน 9.00 9.00 11.00 12.00 15.00 15.00 1.00 18.00 ชนิดโมลิบดินั่ม 1.00 1.50 8.00 2.00 6.00 5.00 2.00 8.00
หมายเหตุ ใชงานไมเกินอุณหภูมิ 600° ฟ. ชุบแข็งดวยอากาศ ชุบแข็งดวยอากาศ ชุบแข็งดวยอากาศหรือน้ํา
ทนความรอนไดถึง 1000° ฟ.
ทนความรอนไดถึง 1100° ฟ.
คารบอนต่ํา เหล็กกลาไฮสปด
256
9.4.6 เหล็กกลาไฮสปด (High Speed Tool Steel) เปนเหล็กกลาเครื่องมือที่รักษาความแข็งของมันที่อุณหภูมิสูงไดดี และทนตอการสึกหรอ ไดสูง ซึ่งคุณสมบัตินี้สัมพันธกับจํานวน ทังสเตนหรือโมลิบดินั่ม หรือทั้งสองชนิด ที่ผสมอยูในเนื้อ เหล็ก นอกจากนี้ยังมีโครเมี่ยม โคบอลทหรือวานาเดี่ยมผสมอยูดวย เหล็กเครื่องมือชนิดนี้เปนเหล็กที่ ใชกับงานที่ตองการความเร็วรอบสูง เหล็กกลาไฮสปด แบงออกเปน 2 ชนิด ชนิด T ทังสเตน และชนิด M โมลิบดินั่ม ซึ่ง แสดงใหเห็นดังตาราง 8 - 5 ตาราง 8 – 5 ก AISI C Cr V W Co T1 0.70 4.00 1.00 18.00 T2 0.80 4.00 2.00 18.00 T3 1.05 4.00 3.00 18.00 T4 0.75 4.00 1.00 18.00 5.00 T5 0.80 4.00 2.00 18.00 8.00 T6 0.80 4.50 1.50 20.00 12.00 T7 0.75 4.00 2.00 14.00 เหล็กกลาไฮสปด ใชทําเครื่องมือตัดตาง ๆ เชน มีดกลึง แมพิมพตัด ศูนยเครื่องกลึง แผน ทนความสึก เปนตน ความแข็งและความเหนียวของเหล็กชนิดนี้ จะถูกควบคุมดวยคารบอนที่ผสมอยู ถ ามีค ารบ อนผสมต่ํ า จะทํ า ให มี ค วามเหนี ย วเพิ่มขึ้ น แตความแข็ง จะลดลง ในขณะเดี ย วกั น ถ า มี คาร บ อนสู ง ความเหนี ย วจะน อ ยลงและความแข็ ง จะเพิ่ มสู ง ขึ้ น และทนตอ การสึ ก หรอไดดี ก ว า สวนผสมที่ดีที่สุดที่จะทําใหมีความเหนียว ทนตอการสึกหรอ และมีความสามารถในการตัดที่ดี จะพบ ในเหล็กไฮสปด ทังสเตน ที่มีทังสเตนผสมอยู 18 เปอรเซ็นต โครเมี่ยม เปนธาตุที่สําคัญธาตุหนึ่งที่เปนตัวควบคุมความแข็งในเหล็กชนิดนี้ โครเมี่ยมที่ผสม อยูและใหผลดีที่สุดคือ ประมาณ 4 เปอรเซ็นต ถามีโครเมี่ยมนอยกวา 4 เปอรเซ็นต ความแข็ง ทนตอ การสึกหรอและความสามารถในการตัดจะลดลงและจะทําใหเหล็กเปราะมากกวา วานาเดี่ยม เปนตัวเพิ่มความสามารถในการตัดใหกับเหล็กไฮสปด เหล็กชนิดนี้คือ 18-4-2 (ทังสเตน 18 % โครเมี่ยม 4 % วานาเดี่ยม 2 %)
257
ตาราง 8 – 5 ข AISI M1 M2 M3 M4 M6 M7 M8
C 0.80 0.80 1.00 1.30 0.80 1.00 0.80
Cr 4.00 4.00 4.00 4.00 4.00 4.00 4.00
V 1.00 2.00 2.70 4.00 1.50 2.00 1.50
W 1.50 6.00 6.00 5.50 4.00 1.75 5.00
Mo 8.00 5.00 5.00 4.50 5.00 8.75 5.00
Co -
Cb -
12.00 -
1.25
ถาใชโมลิบดินั่มเขาแทนทังสเตนในเนื้อเหล็ก จะทําใหการผลิตเหล็กไฮสปดมีตนทุนลดต่ําลง เหล็กกลาไฮสปด โมลิบดินั่ม ที่มีทังสเตน 1.5 ถึง 6 % โมลิบดินั่ม 4 – 9 % และโครเมี่ยมผสมอยู 3.5 ถึง 4.5 % จะมีคุณสมบัติการใชงานเชนเดียวกับเหล็กไฮสปด ทังสเตน 18 – 4 – 1 แตผลที่ตามมาก็ คือ ทําใหยากตอการชุบแข็ง
258
บทที่ 10 โลหะที่ไมใชเหล็ก (อลูมิเนียม , ทองแดง) 10.1 โลหะหนัก 10.1.1 ทองแดงและทองแดงประสม 10.1.1.1 ทองแดง (COPPER) เปนโลหะที่มีความสําคัญตองานดานวิศวกรรมเปน อยางมาก ไมเฉพาะแตในรูปของทองแดงบริสุทธิ์เทานั้น เมื่อนํามาผสมกับธาตุอื่น ๆ ใหอยูในรูปของ โลหะประสม มันก็ถูกนํามาใชงานดานอุตสาหกรรมอยางกวางขวาง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไฟฟา เพราะทองแดงเปนตัวนําความรอน และนําไฟฟาที่ดี มีความเคนแรงดึงประมาณ 35,000 ปอนด ตอ ตารางนิ้ว และมีความสามารถในการยืดตัวไดสูงถึง 40 เปอรเซ็นต ในชวงความยาว 2 นิ้ว มันจึงรีด หรือดึงใหเปนเสนไดงายมาก ทองแดงบริสุทธิ์มีลักษณะออน เหนียว เมื่อทิ้งไวในอากาศนาน ๆ บนผิวภายนอกจะมี ฟลมสีเขียวบาง ๆ เกิดขึ้น ฟลมสีเขียวนี้มีชื่อเรียกวา พาทินา (Patina) พาทินา จะเปนตัวชวยให ทองแดงทนตอลมฟาอากาศไดดี การถลุง ทองแดงเกิดจากการนําสินแร ทองแดงไพไรท ทองแดงออกไซดทองแดงดําหรือ ทองแดงคารบอเนต มาถลุงในเตารีเวอรเบอเรตอรี่ (Rever Beratory Furnace) ดังรูป 10.1
รูป 10.1 การหลอมทองแดงในเตารีเวอรเบอเรตอรี่ ประโยชนของทองแดง ใชทําหัวแรงบัดกรี อุปกรณไฟฟาตาง ๆ ทอสงน้ํายาฟรีออนใน เครื่องปรับอากาศ ตูเย็น ใชในงานเชื่อมประสาน ใชผลิตเครื่องอุปโภคในครัวเรือน ภาชนะในงาน
259 อุต สาหกรรมเครื่ อ งดื่ ม และในงานเคมี และยั ง ใช เ ป น โลหะประสม เพื่ อ เพิ่ มคุ ณ สมบั ติเ ด น ของ ทองแดงในโลหะประสมตาง ๆ เปนตน 10.1.1.2 ทองเหลือง (Brass) เปนโลหะประสมที่เกิดจากทองแดงและสังกะสีโดยปกติจะมี สังกะสีผสมอยู 10% ถึง 40 % ถาเปอรเซนตของสังกะสีมีมาก ความแข็งผิว ความแข็งแรงและ ความสามารถในการยืดตัวยะเพิ่มสูงขึ้น ทองเหลืองมีคุณสมบัติในดานทนตอการกัดกรอนไดดี งายตอการขึ้นรูปและแปรรูปบน เครื่องจักร อีกทั้งยังหลอไดงายอีกดวย ชนิดและประโยชนของทองเหลือง ทองเหลืองแบงออกเปนหลายชนิดดวยกัน และมีชื่อเรียกแตกตางกันออกไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู กับเปอรเซนตของสังกะสีที่ผสมอยู ที่สําคัญไดแก Red Brass Cartridge Brass , Yellow Brass และ Muntz Netal เปนตน ทองเหลืองที่เกิดจากทองแดง 90% สังกะสี 10% ใชทําลวดสกรีน เครื่องโลหะภัณฑ (เชน มีด กระทะ เปนตน) สกรู หมุดย้ําและเครื่องประดับ Cartridge Brass เปนทองเหลืองที่มีทองแดงผสม 70% และสังกะสี 30% ทองเหลืองชนิด นี้มีปริมาณการผลิตมากที่สุด ใชทําแผนทองเหลือง ลวด ทอชนิดตาง ๆ ทองเหลืองที่มีสังกะสีผสม 34% ทองแดง 66% ใชทําสปริงไดดี Muntz Metal ประกอบดวยทองแดง 60% สังกะสี 401% ใชทําทอคอนเดนเซอร (Condenser Tube) นอกจากนี้ ทองเหลืองยังใชประโยชนในการทําทุนอาเมเจอร ชิ้นสวนเครื่องมือกล ชิ้นสวน ของนาฬิกา อุปกรณไฟฟา ทอสงน้ําและน้ํามันในเครื่องยนต เปนตน 10.1.1.3 บรอนซ (Bronze) เปนโลหะประสมของทองแดงกับธาตุอื่น ๆ ซึ่งอาจมีมากกวา 1 ชนิด ธาตุเหลานี้ไดแก ดีบุก แมงกานิส อลูมิเนียม ซิลิกอน แบรีเลี่ยม เปนตน และโดยปกติธาตุ เหลานี้จะมีผสมอยูไมเกิน 12% บรอนซมีดวยกันหลายชนิด ที่สําคัญ ไดแก ก.) ฟอสเฟอร – บรอนซ (Phosphor Bronze) ประกอบดวยทองแดง 90% ดีบุก 10% และมีฟอสฟอรัสผสมอยูเล็กนอย โลหะชนิดนี้มีความแข็งแรง ความเหนียว ทนตอการกัดกรอนสูง ประโยชนใชทําสปริง แปรงลวด สะพานไฟฟา เฟอง บุชชิ่ง เปนตน ข.) บรอนซ – ซิลิกอน (Silicon Bronze) มีซิลิกอนผสมอยูนอยกวา 5% โลหะชนิดนี้มีคุณสมบัติทางเชิงกล คลายกับ เหล็กกลาปกติ ( Mild steel) และทนตอการกัดกรอนไดเหมือนทองแดง ใชทําถังที่มีแรงดัน (Prossure Vessle) ทอสงน้ํามันในระบบไฮดรอลิค เปนตน
260 ค.) บรอนซ – อลูมิเนียม (Aluminum Bronze) มีอลูมิเนียมผสมอยู 4% ถึง 11 % และอาจมีธาตุอื่น ๆ ผสมอยูดวย เชน เหล็ก นิกเกิล แมงกานิส และซิลิกอน เหลือ (ไมเกิน 5%) จะเปนตัวเพิ่มความแข็งแรง นิกเกิล (ไมเกิน12%) ใหผลคลายคลึงกับเหล็ก ซิลิกอน (ไมเกิน 2%) เปนตัวเพิ่มคุณสมบัติทางเชิงกล บรอนซ – อลูมิเนียมทนตอการกัดกรอนไดดี ใชทํานัท (Nut) โบลท สําหรับงานที่มีแรงดัน ฯลฯ ง.) บรอนซ – แบริลเลี่ยม (Beryllium Bronze) มีแบริลเลี่ยมผสมอยูประมาณ 2% บรอนซชนิดนี้มีคุณสมบัติขึ้นรูปไดงาย เมื่ออยูในสภาพอบออน มีความเคนแรงดึงสูง ใหทําเครื่องมือผาตัด โบล นัท สกรู ฯลฯ จ.) บรอนซ – แบริ่ง (Bearing Bronze) เปนบรอนซที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการนํามาทําแบริ่ง เพราะมีผิวหนาลื่น บรอนซชนิดนี้เกิดจากการนําฟอสเฟอร บรอนซ มาเติมสังกะสี และตะกั่ว เขาไปในจํานวนที่เทากัน หรือนอยกวา ปริมาณของดีบุกที่ผสมอยู ฉ.) บรอนซ – ดีบุก (Tin Bronze) มีดีบุกประสมอยู 8% และสังกะสี 4% เปนบรอนซที่มีความแข็งและรับภาระ ไดสูง ใชทําสปริง กังหัน เฟองหนอน ตะแกรงลวด ชนิดงานหนัก และเครื่องโลหะที่ใชบนเรือ 10.1.1.4 ทองแดงประสมนิกเกิล (Copper - Nickel Alloy) ทองแดงประสมนิกเกิล ไดแก ก.) ดูโปรนิกเกิล (Cu pronickle) โลหะชนิดนี้จะมีนิกเกิลผสมอยู 2 % - 3% มีคุณสมบัติทนตอการกัดกรอน ไดดี ใชทําใบพัดกังหันไอน้ํา และชิ้นสวนที่ตองการความคงทน ตอการกัดกรอนและการกัดเซาะ เปนตน ข.) นิกเกิล – เงิน (Nickle – Silver) มีชื่อเรียกอีกอยางหนึ่งวา เงินเยอรมัน (German – Sliver) โลหะชนิดนี้มี นิกเกิลผสมอยู 10% -30% มีสังกะสีผสมอยู 6% เปนโลหะที่มีความแข็ง ใชทําเครื่องมือมีคม ชุด เครื่องมือเขียนแบบ ชอน สอม เครื่องโลหะรูปพรรณ กรอบนาฬิกา ฯลฯ ค.) คอนสแตนแตน (Constantan) เปนโลหะทองแดงประสมนิกเกิล 45% ใชทําลวดตานทานไฟฟา ลวด เทอรโม คัปเปล สตาตเตอร
261 ตาราง 10 -1 โลหะประสม ทองแดง – สังกะสี – ดีบุกหลอ
10.1.2 นิกเกิลและโลหะประสมนิกเกิล 10.1.2.1 นิกเกิล (Nickel) เปนโลหะที่มีความสําคัญที่สุดอีกชนิดหนึ่ง ตอวงการ วิศวกรรม มีสีจาวคลายเงิน เนื้อเหนียว และมีผิวมัน นิกเกิลบริสุทธิ์ ตานทานตอการกัดกรอนไดดี ภายใตสภาวะการณตาง ๆ เชน ในงานอุตสาหกรรมเคมี และในการผลิตโซดาไฟ เมื่อนําไปผสมลงใน เนื้อเหล็ก จะทําใหเหล็กนั้นมีคุณสมบัติเปนแมเหล็ก เพิ่มขึ้นนอกจากนี้นิกเกิลยังใชชุบผิวเหล็กและ โลหะอื่น ๆ ทําใหชิ้นงานนั้นมีผิวที่สวยงามอีกทั้งยังทําใหมีราคาเพิ่มขึ้นดวย 10.1.2.2 โครเมลและนิโครม (Chromel and Nichrome) เปนโลหะประสม นิกเกิล – โครเมี่ยม โครเมลประกอบดวยนิกเกิล 90% โครเมี่ยม 10% นิโครมประกอบดวย นิกเกิล ประมาณ 80% โครเมี่ยม 20% โลหะทั้งสองชนิดนี้ใชทําตัวตานทานในเครื่องทําความรอนไฟฟาและ ในเตาอบ
262 10.1.2.3 โลหะโมเนล (Monel Metall) ประกอบดวย นิกเกิล 67% ทองแดง 30% และ มีเหล็ก แมงกานิส ซิลิกอน คารบอน กํามะถัน อีกจํานวนเล็กนอยโลหะชนิดนี้มีความเหนียวและ ความสามารถในการยืดตัวดี อีกทั้งยังมีคุณภาพในการแปรรูปดีอีกดวย โมเนลใชกับงานที่ตองการ การตานทานตอกรด ดางน้ํา น้ําเค็ม และในงานผลิตภัณฑอาหาร โลหะโมเนล แบงออกเปน 5 ชนิด ดวยกัน ทั้งนี้จึงยูกับเปอรเซนตของนิกเกิลที่ผสมอยู ดังแสดงใหเปน ตามตาราง 10 -2 ตาราง 10 -2
10.1.2.4 เฮชทีรอย (Hasteloy) เปนโลหะประสมที่ประกอบดวย นิคเกิลประมาณ 70% ที่เหลือประกอบดวยเหล็ก และโลหะอื่น เชน ทองแดง ซิลิกอน คารบอน โมลิบดินั่ม และอื่น ๆ ทั้งนี้ ขึ้นอยูกับชนิดของเฮซทีรอย ซึ่งแบงออกเปนชนิด A, B, C, D และ F เฮซทีรอยใชอยางกวางขวางใน งานอุตสาหกรรมเคมี เพราะมีคุณภาพในดานไมผุกรอน 10.1.2.5 อินโคเนล (Inconel) เปนโลหะประสมที่มีความแข็งและเหนียวประกอบดวย นิกเกิล 76% โครเมี่ยม 16% และเหล็ก 8% ประโยชน – ใชทําอุปกรณผลิตอาหารชิ้นสวนและ อุปกรณเตาชุบโลหะ อุปกรณฆาเชื้อในนมสด (Milk Pasteurizes) เปนตน 10.1.3 ตะกั่วและตะกั่วประสม (Lead and Lead Alloy) 10.1.3.1 ตะกั่ว เปนโลหะหนัก มีสีเงิน คุณสมบัติที่สําคัญคือ มีจุดหลอมละลายต่ําความ แข็งแรงต่ํา นําไฟฟา แตทนตอความรอนสูง และทนตอการกัดกรอนไดดีมาก ตะกั่ว ถูกนํามาใชในอุตสาหกรรมเคมี การประปาและทําถังน้ํา ฯลฯ สารประกอบของ ตะกั่วเปนพิษตอรางกายคน ตะกั่วที่ซึมเขาไปในรางกายจะสะสมอยูภายใน จนถึงขอบเขตหนึ่ง จะ เปนพิษและเปนอันตรายตอชีวิต ดังนั้นการทํางานกี่ยวกับตะกั่วจะตองใหความระมัดระวังและสนใจ เปนพิเศษ 10.1.3.2 ตะกั่วประสม ธาตุสวนใหญที่ใชประสมกับตะกั่ว ไดแก พลวงและดีบุก เมื่อ เติมพลวงลงในตะกั่ว (ไมเกิน 14%) จะชวยเพิ่มความแข็งของผิว และความแข็งแรงโลหะประสมที่ได จะถูกนํามาทําแผนแบตเตอรี่ และใชเคลือบสายเคเบิ้ล
263 โลหะประสม ตะกั่ว – ดีบุก ที่ใชในงานบัดกรี จะมีอัตราสวนผสมของดีบุก 40% ตะกั่ว 60% หรือมีอัตราสวน 50 : 50 และบางครั้งอาจเติมพลวงเขาไปดวย เพื่อใหมีความแข็งเพิ่มขึ้น โลหะประสม ตะกั่ว – ดีบุก – พลวง ใชทําตัวเรียงพิมพ 10.1.4 ดีบุก และดีบุกประสม 10.14.1 ดีบุก ดีบุกบริสุทธิ์จะมีสีขาว – เงิน ทนตอการกัดกรอนไดดี มีลักษณะออน และรีดขึ้นรูปไดงาย มีจุดหลอมละลายประมาณ 230˚ ซ ดีบุกใชเคลือบโลหะอื่น ๆ ไดดี เชน เคลือบ แผนเหล็ก เรียกวาแผนเหล็กอาบดีบุก ซึ่งนิยมนํามาทํา กระปองบรรจุอาหารนอกจากนี้ยังนํามารีดเปน แผน ฟอยล (Foil) และทําโลหะบัดกรี เปนตน ดีบุกถือวาเปนโลหะยุทธปจจัยชนิดหนึ่ง ทั้งนี้เพราะบนผิวโลกมีแหลงดีบุก ไมกี่แหง ซึ่งสวนใหญจะอยูในคาบสมุทรอินโดจีน
รูป 10.2 กระปองทําจากแผนเหล็ก อาบดีบุก
10.1.4.2 ดีบุกประสม โลหะประสมที่มีดีบุกเปนพื้นฐาน ถูกนํามาใชงานทางดาน อุตสาหกรรมมากกวาโลหะชนิดอื่น ๆ ตัวอยางเชน Gun Metal และบรอนซเปนโลหะประสมของ ดีบุกกับทองแดง เปนตน ดีบุกสามารถผสมกับธาตุอื่น ๆ ได หลายชนิดดวยกัน เชน สังกะสี พลวง ตะกั่ว เงินและเหล็ก โลหะประสมดีบุกรวมถึงโลหะบัดกรี ชนิดตาง ๆ โลหะบริทาเนีย (Gritannia Metal – ดีบุก 92% พลวงและทองแดง 5%) หรือที่เรียกวา พิวเตอร (Pewter) เปนโลหะที่มีผิวมันแวว วาว ใชทําเครื่องประดับตาง ๆ แจกัน เหรียญตรา เปนตน 10.1.5 สังกะสีและสังกะสีประสม 10.1.5.1 สังกะสี เปนโลหะที่มีเกรนหยาบและเปราะ มีอัตราการขยายตัวสูงเมื่อไดรับ ความรอน ทนตอบรรยาการไดดี แตไมทนตอกรดและเกลือ รีดเปนแผน และดึงเปนเสนลวดไดงาย สังกะสีใชเปนโลหะเคลือบผิวเหล็ก โซ เสนลวด สกรู และทอ เพื่อปองกันไมใหเกิดเปนสนิม 10.1.5.2 สังกะสีประสม ประกอบดวยสังกะสีประมาณ 90% ถึง 95% อลูมิเนียม 5% ทองแดงหรือแมกนีเซี่ยม จํานวนเล็กนอย โลหะประสมชนิดนี้ใชอยางกวางขวางในการนําไปอัด
264 หลอ (Die Castiong) เพื่อผลิตเปนชิ้นสวนของรถยนต ของเด็กเลน กุญแจ เครื่องโลหะภัณฑสําหรับ งานกอสราง เปนตน 10.1.6 โลหะแบริ่ง (Bearing Metal) โลหะแบริ่ง แบงออกเปน 2 กลุม ดวยกัน คือ บรอนซตะกั่ว และแบบบิต (Babbitt) 10.1.6.1 บรอนซตะกั่ว สวนผสมของบรอนซตะกั่ว จะแปรคาอยูกับการใชงาน แบริ่งที่ ใชรับงานหนัก จะประกอบดวย ทองแดง 80% ดีบุก 10% ตะกั่ว 10% สําหรับงานเบาและงานที่ตอง ใชความเร็วรอบสูง อัตราผสมของตะกั่วจะตองเพิ่มมากขึ้น คือประกอบดวยทองแดง 70% ดีบุก 5% และตะกั่ว 25% 10.1.6.2 แบบบิต (Babbitt) เปนโลหะที่ใชทําแบริ่ง แบงออกเปน 2 กลุม ดวยกัน คือ ชนิดมีตะกั่วเปนพื้นฐานกับชนิดมีดีบุกเปนพื้นฐาน ก.) แบบบิดชนิดมีตะกั่วเปนพื้นฐาน (Lead – Base Babbitt) ประกอบดวย ตะกั่ว 75% ดีบุก 10% และพลวง 15% เปนโลหะที่ใชทํา แบริ่งที่รองรับงานหนักในรถยนต รองรับเพลาขอเหวี่ยงในเครื่องยนตดีเซล เปนตน ข.) แบบบิตชนิดมีดีบุกเปนพื้นบาน (Tin Base Babbitt) ประกอบดวย ดีบุก 90% ทองแดงและพลวง 10% หรือดีบุก 65% พลวง 15% ทองแดง 2% และตะกั่ว 18% โลหะชนิดนี้ใชทําแบริ่งเกรดดี สําหรับการใชงานที่ ตองการคุณภาพสูง เชน กังหันไอน้ํา เปนตน 10.1.7 โลหะมีคา (Precious Metal) 10.1.7.1 ทองคํา (Gold) ถูกนํามาใชในงานอุตสาหกรรมในขอบเขตจํากัดสวนใหญ ทองคําจะถูกนํามาใชทําเปนเครื่องประดับ และเหรียญกษาปณ โดยปกติทองคําจะออน รีดและดึง เปนเสนไดงายมาก เปนตัวนําไฟฟาไดดี ทนตอการกัดกรอน และทดตอไฟ หายาก จึงมีราคาแพง ทองคําที่ใชทําเปนโลหะรูปพรรณ ตองใชทองแดงผสม 8 - 10% เพิ่มความแข็งแรง 10.1.7.2 เงิน (Silver) เปนโลหะมีคาอีกชนิดหนึ่งถูกนํามาใชในอุตสาหกรรม มากกวาทองคํา แตอยูในรูปของธาตุประสมเปนสวนมาก เชน ในงานทํากระจกเงา ในอุตสาหกรรม ถายภาพ เงินเปนตัวนําไฟฟาที่ดีที่สุด ในบรรดาโลหะทั้งหลาย จึงใชทําอุปกรณไฟฟา นอกจากนี้ยัง ใชทําเงินบัดกรี ซึ่งใหความแข็งแรงมากกวา มีจุดหลอมละลายสูงกวาตะกั่วบัดกรี และยังใชทําเปน โลหะรูปพรรณ เปนตน 10.1.7.3 ทองคําขาว (Platinum) เปนโลหะที่หนักที่สุดในบรรดาโลหะทั้งหมด ทน ตอกรดและดางไดดีมาก ไมรวมตัวกับออกซิเจนในอากาศ รีดและดึงเปนเสนเล็ก ๆ ได รีดเปนแผน ไดบางถึง 0.0025 มม. ประโยชนทองคําขาว ใชทําโลหะรูปพรรณ เบาหลอมที่ตองทนอุณหภูมิสูง ๆ ชิ้นสวนที่ตองตานทานตอการกัดกรอนที่อุณหภูมิสูง ๆ เปนตน
265 10.1.7.4 แพลเลเดี่ยมและไอริดเดี่ยม (Palladium and Iridium) โลหะทั้งสองชนิดนี้ เปน โลหะที่มีคาสูงกวาทองคํา แพลเลเดียม มีลักษณะคลายทองคําขาว สวนไอริดเดี่ยมเปนโลหะที่ใช ผสมกับทองคําขาวในการทําปากกา โลหะทั้งสองนี้มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ทนตอการกัดกรอนและมี อุณหภูมิสูง ๆ ไดดีมาก มีจุดหลอมละลายสูง และมีความแข็งผิวสูง 10.1.8 ทานทาลั่ม (Tantalum) ทานทาลัม เปนโลหะที่ออนมาก จึงทําใหยากตอการแปรรูปบนเครื่องจักร และเศษโลหะ ที่เกิดจากการแปรรูป จึงติดแนนอยูที่คนของเครื่องมือตัดอีกดวย คุณสมบัติของทานทาลัมก็คือ เปน โลหะที่ทนความรอนไดสูง จึงเหมาะตอการใชงานที่อุณหภูมิสูงกวา 2000๐ ฟ (1093ํ๐ ซ) ทนตอการ กัดกรอนไดดี ทนกรดเกือบทุกชนิด ใชทําเครื่องมือทันตแพทย ผสมกับทังสเตนคารไบด เปน ทานทาลัม คารไบด ทําเครื่องมือตัดที่ทนตอการกัดกรอนไดสูง 10.1.9 โมลิบดินั่ม (Molybdenum) โมลิบดินั่ม เปนโลหะที่ใชกับงานอุณหภูมิสูงใชเปนตัวประสมกับเหล็กกลา ทําใหเหล็กมี ความเหนียว มีความเคนแรงดึงเพิ่มขึ้น และทําใหการชุบแข็ง ซึมลงบนผิวไดสูงขึ้น 10.1.10 วานาเดี่ยม (Vanadium) วานาเดี่ยม เปนโลหะที่มีสีเทาคลายเหล็ก มีความแข็งมาก โดยปกติจะใชเปนโลหะ ประสมกับเหล็ก ซึ่งจะทําใหเหล็กมีความเคนแรงดึงและความเหนียวเพิ่มมากขึ้น 10.1.11 โคบอลท (Cobalt) โคบอลท เปนโลหะที่มีคุณสมบัติทั่ว ๆ ไปคลายกับนิกเกิล แตมีความเหนียวมากกวา มี สีขาวออกชมพูเกือบเปนสีเทา โคบอลทใชเปนโลหะประสมกับเหล็ก ทําแมเหล็กและเปนตัวชวยทํา ใหเหล็กมีความแข็งเพิ่มขึ้น 10.1.12 โครเมี่ยม (Chromium) โครเมี่ยม มีสีเทาคลายเหล็ก เปนโลหะที่แข็งและเปราะ ทนตอการกัดกรอนไดดีมาก ใช ชุบเคลือบผิวเครื่องมือเพื่อมิใหเกิดสนิม และยังใชเปนโลหะประสมกับเหล็กชวยเพิ่มความแข็ง ความแข็งแรงและทนตอการกัดกรอน อีกทั้งยังใชเปนโลหะประสมในการทําเหล็กไรสนิทอีกดวย 10.1.13 แคดเมี่ยม (Cadmium) แคดเมี่ยมสวนใหญที่ใชในงานอุตสาหกรรม มักจะใชในรูปโลหะประสม ซึ่งจะทําให โลหะที่ถูกประสมนั้น มีจุดหลอมเหลวต่ําลงมา นอกจากนี้ยังใชชุบเคลือบผิวเหล็ก และอลูมิเนียมให มีผิวดาน ดูสวยงาม เชน ชุบไมโครมิเตอร เครื่องมือวัดตาง ๆ เปนตน 10.1.14 ปรอท ปรอท เปนโลหะเหลวที่อุณหภูมิปกติ มีสัมประสิทธิ์การขยายตัวสูงมาก จึงนิยมนํามา ทําเทอรโมมิเตอร ไอของปรอท เมื่อเติมลงในหลอดนิออน จะใหแสงสีเขียวและอุลตราไวโอเลต
266 ปรอทรวมตัวกับโลหะอื่น ๆ ไดเกือบทุกชนิด เปนโลหะอมัลกัม (Amalgum) ยกเวน นิกเกิล วุลแฟรม โมลิดิมั่ม และเหล็ก 10.2 โลหะเบา 10.2.1 อลูมิเนียม และโลหะประสมอลูมิเนียม 10.2.1.1 อลูมิเนียม (Aluminium) เปนโลหะที่มีน้ําหนักเบา ประมาณ 168.5 ปอนด ตอ ลูกบาศกฟุต เมื่อเปรียบเทียบกับเหล็กซึ่งมีน้ําหนัก 487 ปอนด ตอลูกบาศกฟุต จะพบวาอลูมิเนียมเบา กวา เกือบ 3 เทาตัว ลักษณะที่สําคัญอื่น ๆ คือเปนโลหะที่มีสีขาวออน เปนตัวนําความรอนและเปนตัว ไฟฟาที่ดีอีกชนิดหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับทองแดง อลูมิเนียมจะนําไฟฟาเปน 2/3 ของทองแดง อลูมิเนียมบริสุทธิ์ เมื่อทิ้งไวในอากาศ ผิวของมันจะรวมตัวกับออกซิเจน เปนอลูมิเนียมออกไซด เคลือบติดอยูบนผิวบาง ๆ ทําใหอลูมิเนียมทนตอการกัดกรอนของบรรยากาศไดดี อลูมิเนียม เมื่อบริสุทธิ์จะมีจุดหลอมละลายประมาณ 1220๐ ํฟ (660 ๐ ํซ) งายตอการหลอ หลอม งายตอการแปรรูปบนเครื่องจักร และสามารถนํามาผลิตใหมีรูปราง ตาง ๆ ไดอยางกวางขวาง ประโยชนของอลูมิเนียมใชทําชิ้นสวนของยานพาหนะตาง ๆ ใชในงานอุตสาหกรรม กอสราง ระบบลําเลียงเครื่องใชเครื่องโลหะภัณฑตาง ๆ สรางชิ้นสวนของเครื่องบิน ภาชนะบรรจุ อาหาร สายเคเบิ้ลแรงสูง
รูป 10.3 อาคารที่มีโครงสรางทําจากอลูมิเนียม แมกนีเซียมเปนโลหะชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคลายคลึงกับอลูมิเนียมมาก การที่จะแยกโลหะ ทั้งสองออกวา อะไรเปนอลูมิเนียมและอะไรเปนแมกนิเซียม จึงเปนการยาก บางครั้งจําเปนตองใช วิธีการทดสอบทางเคมีเขาชวย โดยนําสังกะสี คลอไรดผสมกับน้ําหรือใชกรดมูเรียติค (Muriatic) หยด
267 ลงบนผิวของโลหะทั้งสอง ถาเปนแมกนิเซียมผิวจะดําโดยทันที แตถาเปนอลูมิเนียมจะไมมีการ เปลี่ยนแปลง มาตรฐาน มีระบบตัวเลขที่ใชเปนตัวบอกชนิดของอลูมิเนียมมากมาย หลายมาตรฐานดวยกัน เชน ASTM SAE เปนตน ซึ่งระบบเหลานี้ไดถูกนํามาใช ในงานอุตสาหกรรมอยางกวางขวาง แตอยางไร ก็ดี ในป 1954 สมาคมอลูมิเนียมแหงประเทศสหรัฐ ไดตั้งระบบมาตรฐานอลูมิเนียมมา ดังตาราง 10-3 ตาราง 10 - 3 อลูมิเนียม และอลูมิเนียมประสม หมายเลข 1 xxx 2 xxx 3 xxx 4 xxx 5 xxx 6 xxx 7 xxx 8 xxx 9 xxx
ธาตุประสมสําคัญ ไมผสม (บริสุทธิ์) ทองแดง แมงกานิส ซิลิกอน แมกนิเซียม แมกนิเซียมและซิลิกอน สังกะสี ธาตุอื่น ๆ ไมใช (ยังไมกาํ หนด)
จากตาราง นั ก เรี ย นจะเห็ น ว า มี ตั ว เลขนํ า หน า โค ด ตั ว เลขเหล า นี้ จะเป น ตัวกําหนดชนิดของธาตุที่ประสมอยูตัวที่ 2 จะถูกแทนดวย x ซึ่งจะเปนตัวกําหนดการเปลี่ยนแปลง อื่น ๆ ที่มาจากธาตุผสมเดิม และ 2 หลักสุดทาย (xx) จะเทียบอลูมิเนียมประสมนั้น ๆ กับระบบ มาตรฐานเดิม ยกเวน ลําดับที่ 1100 ซึ่งเลข 2 หลักสุดทาย จะเปนตัวกําหนดความบริสุทธิ์ของ อลูมิเนียม เหนือ 99 เปอรเซ็นต ตัวอยาง อลูมิเนียมประสมนัมเบอร 5056 เปนอลูมิเนียมผสมแมกนีเซียมซึ่งเลข 5 แทน แมกนิเซียม 0 แทนการเปลี่ยนแปลงของธาตุประสม (ในที่นี้ไมมีการเปลี่ยนแปลง) และเลข 56 จะเปนตัวเทียบโคดกับระบบมาตรฐานเดิม อลูมิเนียม 1120 เปนอลูมิเนียมที่ไมมีธาตุอื่นผสมอยู เลข 20 จะเปนตัวบอกถึงความ บริสุทธิ์ของอลูมิเนียมเกินจาก 99% ไป 0.20% (นั่นคืออลูมิเนียม 1120 จะมีความบริสุทธิ์ 99.20%)
268 10.2.1.2 อลูมิเนียมประสม (Aluminium Base Alloy) ก.) ดูราลูมีน (Duralumin ) มีอลูมิเนียมผสม 95% ทองแดง 4% แมงกานิส 0.15% และแมกนิเซียม 0.05% ใชอยางกวางขวางในอุตสาหกรรมผลิตเครื่องบิน และอุตสาหกรรม ขนสง ข.) โลหะประสม อลูมิเนียม – ซิลิกอน งายตอการตีขึ้นรูปและหลอ ใชทํา ลูกสูบรถยนต งานหลอที่ตองการความประณีต ค.) โลหะประสม อลูมิเนียม – แมงกานิส เปนโลหะที่รักษารูปทรงไดดีและ ตานทางตอการกัดกรอน มีความสามารถในการเชื่อม โลหะประสมชนิดนี้ ใชทําเครื่องใชภาชนะ ถังน้ํามัน ทอและทอที่รบแรงดัน ง.) โลหะประสมอลูมิเนียม – แมกนิเซียม ตานทานตอการกัดกรอนไดดี และแข็งแรงพอประมาณ ใชทําทอแกสหรือทอสงน้ํามันในรถยนต จ.) โลหะประสมอลูมิเนียม - ซิลิกอน - แมกนีเซียม เปนโลหะที่ทนตอการ กัดกรอนไดดีเลิศ งายตอการใชงานและหลอ ใชทําเรือขนาดเล็ก เฟอรนิเจอร ราวสะพาน งาน ทางดานสถาปตยกรรม ฉ.) โลหะประสมอลูมิเนียม – สังกะสี ประกอบดวย สังกะสี แมกนีเซียมและ ทองแดง กับแมงกานิสและโครเมี่ยม อีกเล็กนอย โลหะประสมชนิดนี้ มีความเคนแรงดึงสูงมาก ทน ตอการกัดกรอนดี และชุบแข็งไดใชทําสิ้นสวนโครงเครื่องบิน
รูป 10.4 อลูมิเนียมผลิตขึ้นจาก อลูมินา (อลูมิเนียมออกไซด) ในเซลลอิเลคโตรไลท (แยกดวยไฟฟา)
269 10.2.2 แมกนิเซียม และแมกนิเซียมประสม 10.2.2.1 แมกนิเซียม (Magnesium) ในระยะเวลา 25 ป ที่ผานมาแมกนิเซียม เปน โลหะอีกชนิดหนึ่งที่มีความสําคัญ และถูกนํามาใชงานทางดานการคาเมื่อเปรียบเทียบกับโลหะอื่น ๆ คุณสมบัติที่เดนที่สุดก็คือ เปนโลหะที่มีน้ําหนักเบาที่สุด (มี ถพ. 1.74) มีน้ําหนักเทากับ 23% ของเหล็ก และเทากับ 64% ของอลูมิเนียม โดยปริมาตรเทากัน มีคุณสมบัติในการแปรรูปบนเครื่องจักรดีเลิศ อยางไรก็ดี ความแข็งแรงของแมกนิเซียมจะสัมพันธอยูกับความบริสุทธิ์ คือยิ่งบริสุทธิ์มากเทาไร แมกนิเซียมมีความบริสุทธิ์ 99.8%) ก็จะมีความแข็งแรงลดลง ดวยเหตุผลนี้ แมกนิเซียมเกือบทั้งหมด ที่ถูกนํามาใช จึงอยูในรูปของ แมกนิเซียมประสม แมกนิเซียมสวนใหญ จะถลุงมาจากน้ําทะเล ดังรูป 9.5 ซึ่งแสดงใหเห็นขั้นตอนสําคัญ ตั้งแตเริ่มตนจนไดแมกนิเซียมออกมาในขั้นสุดทาย
รูป 10.5 แผนผังแสดงการถลุงแมกนิเซียมจากน้ําทะเล แมกนิเซียมบริสุทธิ์จะออน มีสีขาว – เงิน ลักษณะใกลเคียงกับอลูมิเนียม ใชเปนโลหะ โครงสรางไมไดเลย เพราะมีความแข็งแรงนอยมาก นอกจากนี้ แมกนิเซียมไมวาจะอยูในสภาพใด ลุก ไหมไฟไดงาย เปลวแมกนิเซียมสวางไสวมาก
270 10.2.2.2 แมกนิเซียมประสม (Magnesium Alloy) แมกนิเซียมเกือบทั้งหมดที่นํามาใชงาน ทางดานอุตสาหกรรม อยูในรูปของแมกนิเซียมประสม ดังที่ไดกลาวแลววา แมกนิเซียมบริสุทธิ์จะ ออน แตเมื่ออยูในรูปของโลหะประสมแลว กลับแข็งแรง และใชงานไดดี ตัวอยางการใชงานไดแก ชิ้นสวนของเครื่องบิน ทําดอกไมไฟ หลอดไฟในกลองถายรูป ใชในอุตสาหกรรมผลิตอาวุธ มาตรฐาน แมกนิเซียมประสม แบงออกเปน 2 ขั้น ดวยกันคือ 1) ชนิดหลอ 2) ชนิดรีดขึ้นรูป มาตรฐานของแมกนิเซียมถูกกําหนดขึ้นโดย สมาคมทดสอบวัสดุแหงอเมริกา (American Society for Testing Materials) จากโคดระบบนี้ จะประกอบดวยตัวอักษร ไมเกิน 2 ตัว ซึ่ง แทนธาตุ ป ระสมและเจาะจงธาตุ ที่ มี เ ปอรเ ซ็น ตม ากที่ สุด เรี ย งตามลํ าดับ เปอร เ ซ็ น ต หรื อถ า เปอรเซ็นตเทากัน ก็จะเรียงลําดับตัวอักษร ตัวอักษรที่ใชแทนธาตุประสมเหลานี้ คือ A = อลูมิเนียม N = นิคเกิล B = มิสมัธ P = ตะกั่ว C = ทองแดง Q = เงิน D = แคดเมี่ยม R = โครเมี่ยม E = ออกไซดของโลหะที่หายาก S = ซิลิกอน (มี14 ชนิด) F = เหล็ก T = ดีบุก G = แมกนีเซี่ยม X = พลวง H = ทอเรียม Z = สังกะสี K = เซอรโคเนียม L = ลิเทียม M = แมงกานิส ตัวอยาง โลหะประสม AZ 63 A หมายถึง แมกนิเซียมประสม ที่มีอลูมิเนียมและสังกะสีเปนธาตุ ประสมหลัก โดยมีอลูมิเนียมเฉลี่ย 6% และสังกะสีเฉลี่ย 3% ใชสําหรับงานที่ตองการความเหนียวสูง โลหะประสม PK 31 A หมายถึง แมกนิเซียมประสมที่มี ทอเรียม และ เซอรโคเนียม เปน ธาตุประสมหลัก โดยมีทอเรียมเฉลี่ย 3% และเซอรโคเนียม สูงสุด 1% ใชสําหรับงานที่อุณหภูมิสูง 650 ๐ ฟ - 700 ๐ ฟ หมายเหตุ ลักษณะตัวทาย จะบอกชนิดของโลหะประสมนั้น ๆ เชน AZ 91 อาจจะมี 3 ชนิดดวยกัน คือ A B และ C แตละชนิดจะมีสวนผสมตางกันออกไป
271 10.2.3 ติตาเนียม (Titanium) เปนโลหะที่มีสีขาว – เงิน มีจุดหลอมละลายสูง 3140 ๐ ฟ (1727๐ ฟ) น้ําหนักเบา ความถวงเฉพาะ 4.5 ตานทานตอการกัดกรอนที่อุณหภูมิต่ํากวา 800๐ - 1000๐ ฟ ไดดี ติตาเนียม ผสม มีความแข็งแรงเปน 2 – 3 เทาของอลูมิเนียมประสม และเทากับเหล็กกลาประสมบางชนิด ติตาเนียมใชงานในอุตสาหกรรมผลิตอากาศยาน เชน ทําชิ้นสวนของเครื่องยนตไอพน แผนกั้นความรอน ชิ้นสวนของจรวด เปนตน ติตาเนียมบริสุทธิ์ มีความเคนแรงดึงประมาณ 50,000 ปอนด ถึง 90,000 ปอนด ตอตารางนิ้ว ซึ่งคลายคลึงกับเหล็กกลาทนตอการกัดกรอนไดดี เทา ๆ กับเหล็กไรสนิม 10.2.4 เซอรโครเนียม (Zirconium) เซอรโครเนียม มีลักษณะคลายคลึงกันติตาเนียม ทั้งดานการใชงานและคุณสมบัติทาง ฟสิคส ทนความรอนไดสูงมาก เซอรโคเนียมประสม ใชในงานเตาปฏิกรณปรมาณู หลอดไฟถายรูป ชิ้นสวนที่ใชฝงในการผาตัด เชน สกรู หมุด เปนตน 10.2.5 แบริลเลี่ยม (Beryllium) แบริลเลี่ยม มีความถวงจําเพาะ 1.85 ซึ่งเกือบจะเทากับแมกนิเซียม มีจุดหลอมละลายที่ 2345ํ ๐ ฟ (1285๐ ซ ํ) เปนโลหะที่มีอัตราการยืดตัวนอยมาก คือประมาณ 1.5 ถึง 7 เปอรเซ็นตเทานั้น การนําแบริลเลี่ยมไปใชงาน จะตองระมัดระวังเปนพิเศษ เนื่องจากไอหรือฝุนของแบริลเลี่ยมเปนพิษ ตอรางกายเมื่อสูดดมเขาไป ประโยชนของแบริลเลี่ยม ใชเปนธาตุประสมในทองแดง นิกเกิล และแมกนิเซียม ซึ่งจะทําให โลหะประสมเหลานั้นมีความแข็งเพิ่มมากขึ้น โลหะประสมทองแดง – แบริลเลี่ยม ใชกับงานที่ ตองการความแข็งแรงสูงและทนตอการกัดกรอนไดดีเลิศ
บรรณานุกรม ไกรรพ กมลนาวิน, เรือโท. โลหะวิทยา. พิมพครั้งที่ 1 : โรงเรียนนายเรือ, 2531 ชาญวุฒิ ตั้งจิตวิทยา และ สาโรช ฐิติเกียรติพงศ. วัสดุในงานวิศวกรรม (ฉบับปรับปรุงแกไข เพิม่ เติม). กรุงเทพ ฯ : บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จํากัด , 2521 บุญธรรม ภัทรจารุ. วัสดุชา ง. กรุงเทพ ฯ : บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จํากัด , 2545 กรมพัฒนาการชาง, กรมอูทหารเรือ. คําแนะนําทางชาง หมายเลข ค.0001- 34 เรื่องการเลือกใชพสั ดุ ทางชาง . กรุงเทพ ฯ : กองควบคุมคุณภาพ, 2534 กรมพัฒนาการชาง, กรมอูทหารเรือ. วัสดุชาง . กรุงเทพ ฯ : โรงเรียนชางกรมอูทหารเรือ กองการศึกษา.