เอกสารวิชาการ
นิรภัยการชาง
กรมอูทหารเรือ (จัดพิมพเมื่อ กันยายน ๒๕๔๘)
สารบัญ หนา บทที่ 1 จริยธรรมทางชาง 1.1 จริยธรรมทางความคิดในการทํางาน 1.2 จริยธรรมในการดํารงตน 1.3 จริยธรรมในการปกครอง 1.4 จริยธรรมที่ควรมีเมื่อตองปฏิบัติงานเกีย่ วของกับบุคคลภายนอก บทที่ 2 ทฤษฎีการเกิดอุบัตภิ ัย 2.1 ทฤษฎีโดมิโน (Domino Theory) 2.2 ทฤษฎีการขาดดุลยภาพ (Imbaiance Cause Theory) 2.3 ทฤษฎีพลังงาน (Energy Cause Theory) 2.4 ความหมายของอุบัติภยั 2.5 สาเหตุที่เกิดอุบัติเหตุ 2.6 แนวทางในการปองกันอุบัติเหตุ 2.7 ผลกระทบจากการเกิดอุบัติเหตุ 2.8 ชนิดของอุบัตภิ ัย บทที่ 3 ความปลอดภัยในการทํางานดานตาง ๆ 3.1 ประโยชนของการทํางานที่ปลอดภัยในโรงงาน 3.2 การปองกันอันตรายจากเครื่องจักร 3.3 ความปลอดภัยในการใชเครื่องจักรกล 3.3.1 กฎความปลอดภัยในการปฏิบัติงานกับเครื่องมือกลทั่วไป 3.3.2 การดปองกันอันตรายจากเครื่องจักร - การดชนิดอัตโนมัติ - การดชนิดใชมือ 2 ขาง 3.4 ความปลอดภัยเกีย่ วกับไฟฟา 3.5 ความปลอดภัยในการปฏิบัติเกี่ยวกับงานเชื่อม – ตัดโลหะ 3.6 ความปลอดภัยในการถอดประกอบทอทาง 3.7 ความปลอดภัยในการยกเคลื่อนยายอุปกรณโดยใชเครื่องทุนแรง 3.8 ความปลอดภัยในการบํารุงรักษารถยนต
2 3 3 4 5 6 6 8 10 13 14 15 34 35 37 43 47
51 59 61 62 86
3.9 เสริมสรางความปลอดภัยดวยหลักการ 3 E บทที่ 4 อุปกรณนิรภัย 4.1 อุปกรณปอ งกันอันตรายสวนบุคคล 4.2 แนวทางการเลือกและใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลอยางเหมาะสม 4.3 การทดสอบประสิทธิภาพอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล บทที่ 5 เครื่องหมาย / สัญลักษณ / สี เกี่ยวกับความปลอดภัย 5.1 อิทธิพลของสีตอจิตใจมนุษย 5.2 ขอดีของสีเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย 5.3 สี และรูปแบบของเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยตามมาตรฐาน ผลิตภัณฑอุตสาหกรรม
98 99 100 142 154 155 155
บทที่ 6 การปฐมพยาบาลเบือ้ งตน 6.1 การปฐมพยาบาลบาดแผล 6.2 การปฐมพยาบาลผูปวยกระดูกหัก 6.3 การปฐมพยาบาลผูปวยขอเคล็ด 6.4 การปฐมพยาบาลผูปวยช็อค 6.5 การปฐมพยาบาลผูปวยที่มีอาการชัก 6.6 การปฐมพยาบาลผูปวยหมดสติ 6.7 การปฐมพยาบาลผูปวยเปนลม 6.8 การปฐมพยาบาลผูปวยถูกไฟฟาดูด 6.9 การปฐมพยาบาลผูปวยอวัยวะขาด 6.10 การปฐมพยาบาลผูปวยไดรับสารเคมีพิษ 6.11 การปฐมพยาบาลผูปวยไดรับสารพิษจากการสูดดม 6.12 การปฐมพยาบาลผูปวยไดรับพิษทางผิวหนัง 6.13 การปฐมพยาบาลเมื่อสารพิษเขาตาผูปวย
173 173 174 175 175 176 177 178 178 178 179 179 179
บทที่ 7 มาตรฐาน ISO 14000 กับการปองกันไมไหเกิดมลภาวะตอสิ่งแวดลอม 7.1 ความหมายของสิ่งแวดลอม ทรัพยากรธรรมชาติ และระบบนิเวศน 7.2 ผลกระทบจากปญหาดานสิ่งแวดลอม 7.3 ISO 14000 : มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดลอม 7.4 การประเมินผลการดําเนินการดานสิ่งแวดลอม 7.5 การควบคุมสารเคมีอันตราย
181 182 185 187 189
บทที่ 8 กฎกระทรวงอุตสาหกรรมและกฎหมายที่เกี่ยวของกับความปลอดภัยในการทํางานดานตาง ๆ 8.1 พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2512 203 8.1.1 กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2512) ออกตามความพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2512 205 8.1.2 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2514) ออกตามความ พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2512 208 8.2 ประกาศกระทรวงมหาดไทย ความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับเครื่องจักร และการใชเครื่องจักรทั่วไป 217 8.3 กฎหมายเกีย่ วกับอุปกรณปองกันอันตรายจากเครื่องจักร 225 8.2.1 กฎหมายของกรมแรงงานที่เกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตราย ฯ 8.2.2 กฎหมายของกรมโรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตราย ฯ 8.4 มาตรฐานหมอไอน้ํา 228 8.5 กฎหมายที่เกี่ยวของกับความปลอดภัยของหมอไอน้ําและภาชนะบรรจุกาซ 231 8.6 มาตรฐานและกฎหมายเกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล 233 บรรณานุกรม
237
บทที่ 1 จริยธรรมทางชาง “ชางคือ ผูที่ทํางานใชฝม ือ ชางทุกประเภทเปนกลไกสําคัญอยางยิง่ ของบานเมือง และของทุกคน” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจาอยูห ัวทีอ่ ัญเชิญมาไวขา งตน บงบอกถึงความสําคัญ ของผูมีวิชาชีพทางชางในทุกสาขาไดเปนอยางดี จึงนับเปนเรื่องที่เราทุกคนซึ่งดําเนินชีวิตอยูบนถนน สายนี้ ควรตระหนักในคุณคาของตนเองและยึดมั่นกระทําตนใหสมกับพระราชดํารัสของ “พอแหง ปวงชนชาวไทย” ซึ่งทรงไดรับการยกยองในฐานะกษัตริยผูเปนชางฝมอื แหงแผนดินสยาม หากพิจารณากันอยางถองแท เราอาจพบวา คุณคาของความเปนชางไมไดขึ้นอยูก ับความรู ความสามารถอันเชี่ยวชาญหรือปริญญาบัตร ประกาศนียบัตรใด ๆ เพราะทุกสิ่งที่กลาวมานี้ไมอาจกอ ประโยชนแกผูเกี่ยวของและสวนรวมไดอยางแทจริง และสมบูรณแบบ หากผูที่ไดชื่อวาเปนชาง ปราศจากจิตสํานึก และจริยธรรมในวิชาชีพของตนเอง ขอเขียนนี้จึงมุงหวังที่จะใหผูที่เปนชางทุกคน ไดทบทวนตนเองวา ไดดํารงตนอยูในฐานะชางที่มีคุณคาหรือไม
จริยธรรมทางชาง...สิ่งที่สรางขึ้นไดในหัวใจชางอยางคุณ จริย (จะ – ริ – ยะ) หมายถึง ความประพฤติที่ควรทํา จริยธรรมทางชางจึงแปลวา การประพฤติ ปฏิบัติที่ชางควรกระทําทั้งตอตนเองและผูอ ื่น รวมทั้งกิจการงานทั้งปวงที่ความเปน “ชาง” เขาไปมี สวนเกีย่ วของดวย ดังนั้น ไมวาทานจะเปนชางระดับไหน มีพื้นเพแหลงกําเนิดมาจากสถาบันใด สิ่งที่เสมอเหมือน เทาเทียมกันไดก็คือ “จริยธรรมทางชาง” ที่มีอยูในสํานึกและจิตใจของแตละคน แมจริยธรรมชางอาจ ไมใชสิ่งที่ติดตัวมาแตกําเนิด แตมันก็ไมใชสิ่งที่ยากเกินกวาการเรียนรูและปลูกฝงควบคูไปกับ การศึกษาทฤษฎีทางวิชาการของชางในทุกสาขาอาชีพ กรมอูทหารเรือ ในฐานะหัวหนาหนวยวิทยาการสายชางของกองทัพเรือ จึงปรารถนาที่จะไดเห็น ผูที่เปนชาง มีความสมบูรณพรอมทั้งดานวิชาการความรูและจริยธรรม ซึ่งจะเปนสิ่งที่ชวยเสริมสราง ใหวทิ ยาการสายชางของกองทัพเรือมีความเขมแข็ง เปย มไปดวยประสิทธิภาพอันจะนําไปสูการดํารง ความพรอมของกองทัพเรือ ซึ่งเปนภารกิจและความมุงหมายสูงสุดของ “ชางทหารเรือ” ทุกคน
2
จริยธรรมขอใดที่คณ ุ ไมม.ี ..สํารวจตัวเองเสียแตวนั นี้ แมจะไมเคยมีการกําหนดไวอยางแนชัดวา จริยธรรมทางชางควรประกอบดวยเรื่องใดบาง แตจาก ประสบการณที่พบเห็นจากชางผูมีอาวุโส นายทหารพรรคกลินรุนครูและจากสิ่งที่ไดสัมผัสดวยตนเอง ตลอดระยะเวลากวา ป ที่ทํางานสายชาง ทั้งหมดที่จะนํามากลาวตอไปนี้ อาจเปนแนวทางใหทานได พิจารณาตนเองวา การประพฤติปฏิบัติขอใดบางที่ทานอาจละเลยหรือมองขามไป ทั้งที่มันคือ “จริยธรรมทางชาง” ซึ่งถือเปนองคประกอบสําคัญที่จะนําไปสูความสําเร็จและเจริญกาวหนาในหนาที่ การงานสายชาง
1. จริยธรรมทางความคิดในการทํางาน 1.1 ชางตองทํางานอยางมีทักษะ ยึดถือหลักวิชาดวยความหลักแหลม ชาญฉลาด แตมิใช ฉลาดแกมโกงหรือนําหลักวิชาไปใชอยางมีเลหเหลีย่ ม ขณะเดียวกันการยึดถือหลักวิชาก็ตองเปนไป อยางเหมาะสมมีความออนตัว รูจกั แกปญหาหาทางออก เพื่อผลสําเร็จของงานนัน้ ๆ เพราะการดื้อดึง โดยอางอิงหลักวิชาทีเ่ ขียนไวในตําราเพียงอยางเดียวโดยไมศึกษาวิเคราะหเพิ่มเติมในอันที่จะนําไปสู แนวทางและวิธีการอืน่ อาจนํามาซึ่งความลมเหลวเสียหายในการทํางานไดเชนกัน 1.2 เคารพในความคิดเห็นของผูอ ื่น เปดใจกวางในคําแนะนําขอเสนอของเพื่อนรวมงาน และผูใตบังคับบัญชา การดูแคลนหยามหมิ่น ดวยเห็นวาผูอื่นมีความรูทางทฤษฎีวิชาการนอยกวาตน นอกจากจะไมไดรับความนับถือจากใจจริงแลว งานที่กระทําก็อาจมีจุดบกพรองลมเหลวเกิดขึ้นได อยางคาดไมถงึ ด็อกเตอรที่ชาญฉลาดยอมเปดโอกาสใหชางฝกงานไดเสนอแนะหรือคัดคานสิ่งที่ตนเอง สั่งการออกไปเพื่อใหชางฝกงานผูปราศจากใบปริญญามหาบัณฑิตทําหนาที่เสมือน “กระจกเงา” บานเล็ก ๆ ที่สองสะทอนขอผิดพลาดที่ตนเองอาจนึกไมถึง 1.3 นายชางที่ดีตองกลาหาญเพียงพอที่จะยอมรับความผิดพลาดที่กระทําไปแลว การมี ยศสูงกวาหรือมีตําแหนงเปนผูบริหาร มิไดหมายความวาจะวิเคราะหและตัดสินใจไดอยางถูกตอง เสมอไป ยิง่ ทานมีความรูส ูงมากเทาใด ทานก็ยิ่งจะตองกลาหาญที่จะยอมรับขอผิดพลาดหากมัน บังเอิญเกิดขึ้นมากเทานั้น จงอยาอับอายทีจ่ ะยอมรับเมื่อทําผิด แตจงอดสูตอการเมินเฉยในสิ่งบกพรอง ผิดพลาดที่ไดกระทําไปแลว 1.4 อยาทํางานในลักษณะจองจับผิด หาขอบกพรองของผูอื่น โดยเฉพาะผูใตบังคับบัญชา จงพยายามคิดอยูเสมอวา เพือ่ นรวมงานทุกคนไดใชฝมือของตนในการทํางานอยางเต็มกําลัง ความสามารถแลว แตหากผลงานยังไมเปนที่พอใจตามเกณฑที่คาดหวังไว เปนหนาที่ของทานในการ ใชกุศโลบายอยางเหมาะสมเพื่อกระตุนหรือชี้แนะใหบุคคลนั้นแกไขปรับปรุงการทํางานของตนเอง อยางเต็มใจ
3
1.5 ตองมีความรับผิดชอบในหนาที่ นึกถึงประโยชนของสวนรวมมากกวาสวนตน ไมทาํ งาน ในลักษณะสรางผลประโยชนทับซอนใหแกตนเองและพวกพอง 1.6 มีสัจจะในการทํางาน จริงใจ และกลาหาญทีจ่ ะตอสูเพื่อความถูกตอง เมื่อแนใจแลววาความ ถูกตองนั้นเปนความถูกตองของสวนรวม มิใชตนเองคิดวาถูกตองเพียงผูเดียว
2. จริยธรรมในการดํารงตน 2.1 รูจักออนนอมถอมตน เปนผูมีความออนโยน แตไมออนแอ เปนที่พงึ่ ไดทั้งของตนเอง และของผูอื่น ยิ่งมีความรูสูงมาก และแสดงออกอยางสุภาพ ออนนอม ก็จะยิ่งไดรับความนิยมชื่นชอบ จากคนทัว่ ไป 2.2 มองคนในแงดี ไมควรคิดวาผูอื่นจองจะโกงหรือทรยศตอวิชาชีพอยูต ลอดเวลา เพราะ การคิดเชนนัน้ จะทําใหทานหวาดระแวงไมไวใจใครเลย และนําไปสูการทํางานคนเดียวในที่สุด 2.3 รูจักยอมและผอนปรน เพื่อผลสําเร็จของงานและสวนรวม การยืนกรานดืน้ รั้นในความคิด ที่วา ตนเองเปนฝายถูกเสมอ แมอาจจะทําใหทานไดรับชัยชนะ แตผลขางเคียงที่ตามมาอาจเปนความ เสียหายของสวนรวมและองคกร รวมทั้งอาจยอนมาสูตวั ทานเองไดในอนาคต 2.4 ใชคําชมใหมากกวาคําตําหนิติเตียน รูจักชืน่ ชมผลงาน ความคิด ตลอดจนการกระทํา ของเพื่อนรวมงาน แมในสายตาและความรูสึกของทาน สิ่งเหลานี้อาจเปนเรื่องเล็กนอยก็ตาม พึงระลึก อยูเสมอวามนุษยทุกคนแมแตตัวทานเองลวนแลวแตปรารถนาการแสดงความชื่นชมยินดีอยูเสมอ 2.5 พูดเฉพาะในสิง่ ที่ควรพูด ทําเฉพาะในสิ่งที่ควรทํา บางเรือ่ งแมทานอาจจะอยากพูดและ อยากทํา แตหากไมกอใหเกิดประโยชนอันใดหรือเปนประโยชนเฉพาะตนเองเพียงผูเดียว หรือทาน สรุปเอาเองวาเปนประโยชน จงหลีกเลี่ยงที่จะกระทํา เพื่อไมใหเกิดความแตกแยก เกลียดชังในหมู เพื่อนรวมงานโดยไมจําเปน 2.6 ซื่อตรงและภักดีตอองคกรและสวนรวม ไมเห็นแกอามิสสินจางใด ๆ
3. จริยธรรมในการปกครอง 3.1 มีความยุติธรรมตอผูใตบังคับบัญชา ทั้งตอหนาและลับหลัง ปฏิบัติตอทุกคนอยาง เทาเทียมกัน 3.2 พิจารณาคนโดยใหน้ําหนักในเรื่องตาง ๆ อยางเหมาะสมผสมผสานกันทั้งความรู ความสามารถ ความประพฤติ ตลอดจนอาวุโส ไมอาฆาตหรือนําความรูสึกสวนตัวเขามาเกี่ยวของ 3.3 รูจักการใหรางวัลเทา ๆ กับกลาพอที่จะลงโทษอยางเหมาะสม เพื่อใหคนดีและคนไมดี อยูรวมกันไดโดยไมเกิดความขัดแยงทอถอย แตกแยกในหมูคณะ 3.4 ใสใจดูแลทุกขสุขของผูใตบงั คับบัญชา ทั้งเรื่องงานและสวนตัว ตามขอบเขต อันสมควร 3.5 บริหารจัดการอยางมีเหตุผล ไมปกครองโดยใชอารมณ หรือมีอคติสวนตัว
4
3.6 กระตือรือรนในการพัฒนาองคกรของตนเอง ไมวาจะเปนขนาดเล็กหรือใหญสักเพียงใดก็ ตาม 3.7 รวมใจทุกคนเปนหนึ่งเดียว เพื่อการทํางานอยางมีระบบ บนความสามัคคี
4. จริยธรรมที่ควรมีเมื่อตองปฏิบัติงานเกี่ยวของกับบุคคลภายนอก นายชางและชางของกองทัพเรือ มีโอกาสอยางมากที่จะตองปฏิบัติหนาที่ในงานสาขาตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับบุคคลภายนอก ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งการปฏิบัติหนาที่ในฐานะกรรมการตรวจรับ กรรมการตรวจการจาง และผูควบคุมงาน ขอแนะนําทางจริยธรรมตอไปนี้อาจเปนแนวทางที่นําไปสู การแกไขปญหาขอขัดของ ขัดแยงที่มักเกิดขึ้นอยูเนือง ๆ ระหวางผูปฏิบัติหนาที่กับหนวยงานภายนอก 4.1 ปฏิบัติหนาที่อยางสุภาพออนโยนบนพืน้ ฐานของความเปนมิตร ไมตั้งเปาวาอีกฝายเปน ศัตรูตรงขางที่หวังผลประโยชนจากกองทัพเรือโดยไมคาํ นึงถึงสิ่งใด 4.2 ปฏิบัติหนาที่ในลักษณะรวมมือรวมใจ เพื่อกาวไปสูจุดหมายเดียวกัน นั่นคือการสง มอบงานใหแกกองทัพเรือไดอยางสมบูรณครบถวน ตรงตามเวลา 4.3 ปฏิบัติหนาที่อยางซื่อตรง ไมมีเลหเหลีย่ ม หรือสรางเงื่อนไขใหบุคคลภายนอกหรือ คูสัญญาของกองทัพเรือ ตองยินยอมตามขอเรียกรองนอกเหนือจากที่ระบุไวแตแรก 4.4 รักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของเจาหนาที่กองทัพเรือ ไมเรียกรับผลประโยชนใด ๆ ทั้งทางตรง และทางออม ไมวาประโยชนนั้นจะเปนของตนเองหรือสวนรวมก็ตาม 4.5 จริงใจในการแกปญหารวมกัน เมื่อมีขอขัดของเกิดขึ้นดวยการรับฟงขอเสนอแนะของ ผูอื่นอยางใหเกียรติ และนํามาวิเคราะหพิจารณาอยางรอบคอบ โดยไมดื้อรั้น ยึดถือแตความคิดของตนเอง เพียงผูเดียว 4.6 เชื่อมั่นในความสุจริตของตนเองและผูอื่นที่ปฏิบัติหนาทีร่ วมกัน ไมหวาดระแวงหรือ ใหรายผูอื่นเปนผูทุจริตที่หวังผลตอบแทนจากบุคคลภายนอก 4.7 ยึดมั่นในหลักการทางเทคนิคและขอกําหนดตาง ๆ แตตองรูจักวิเคราะหศกึ ษาแนวทางอืน่ ที่สามารถปฏิบัติได เพื่อผลสําเร็จของงาน การอางอิงตําราเพียงอยางเดียว โดยไมหาหนทางอื่น อาจ นําไปสูปญหาขอขัดของที่สงผลกระทบกับงานโดยตรง 4.8 พึงระลึกอยูเสมอวา “การผอนปรน” กับ “การชวยเหลือ” เปนสิ่งที่ใกลเคียงกัน แตไม เหมือนกัน จึงเปนหนาที่ของทานในอันทีจ่ ะกําหนดขอบเขตของทั้งสองสิ่งนี้อยางเหมาะสม 4.9 เตือนตนเองอยูเสมอวา กองทัพเรือมอบหมายใหทานเปนผูปฏิบัติงาน ไมใชเปน ผูสรางปญหากับบุคคลภายนอก ซึ่งจะนําไปสูการฟองรองในที่สุด
บทที่ 2 ทฤษฏีการเกิดอุบัติภัย มีทฤษฏีตาง ๆ ที่เปนสมมุติฐานการเกิดอุบัติภัยมากมาย ที่นํามากลาวตอไปนีเ้ ปนทฤษฎีที่ นาสนใจและเปนที่นาเชื่อถือ โดยเฉพาะอยางยิ่งทฤษฏีพลังงาน :-
1. ทฤษฏีโดมิโน (Domino Theory) H.W. Heinrich ซึ่งเปนผูคิดทฤษฏีโดมิโน กลาววา การบาดเจ็บและความเสียหายตาง ๆ เปนผลสืบเนื่องโดยตรงมาจากอุบัติภยั เปนผลมาจากการกระทําที่ไมปลอดภัย (หรือสภาพการณที่ไม ปลอดภัย) ซึ่งเปรียบไดเหมือนตัวโดมิโนที่เรียงกันอยู 5 ตัว ใกลกัน เมื่อตัวหนึ่งลมยอมมีผลทําใหตัว โดมิโนถัดไปลมตามกันไปดวย ตัวโดมิโนทั้งหาตัว (แผนภูมิที่ 1.1) ไดแก 1) สภาพแวดลัอมหรือภูมิหลังของบุคคล (Social Environment of Background) 2) ความบกพรองผิดปกติของบุคคล (Defects of Person) 3) การกระทําหรือสภาพการณที่ไมปลอดภัย (Unsafe Acts/ Unsafe Conditions) 4) อุบัติภยั (Accident) 5) การบาดเจ็บหรือเสียหาย (Injury / Damages) แผนภูมิที่ 1.1 แสดงโดมิโนทั้งหา
6 แผนภูมิที่ 1.2 การปองกันอุบัติภัย โดยดึงโดมิโนตัวที่สามออกนั้นคือ สภาพแวดลอมของ สังคมหรือภูมิหลังของคนใดคนหนึ่ง (สภาพครอบครัว ฐานะความเปนอยูการศึกษาอบรม) กอใหเกิด ความบกพรองผิดปกติของคนนั้น (ทัศนคติตอความปลอดภัยไมถูกตอง ชอบเสี่ยง มักงาย) กอใหเกิด การกระทําที่ไมปลอดภัยหรือสภาพการณที่ไมปลอดภัยกอใหเกิดอุบัตเิ หตุ กอใหเกิดการบาดเจ็บหรือ ความเสียหาย ทฤษฏีโดมิโนนี้มีผูเรียกชื่อใหมเปน “ลูกโซของอุบัติเหตุ” (Accident Chain) เมื่อโดมิโนตัว ที่ 1 ลม ตัวถัดไปก็ลมตาม หากไมใหโดมิโนตัวที่ 4 ลม (ไมใหเกิดอุบัติภัย) ก็ตองเอาโดมิโนตัวที่ 3 ออก
2. ทฤษฏีการขาดดุลยภาพ (Imbalance Cause Theory) การบาดเจ็บหรืออุบัติภัยเกิดจากการขาดดุลยภาพชั่วขณะหนึ่ง ระหวางพฤติกรรมของคน กับระบบงานที่คนนั้นกระทําอยู ซึ่งอาจจะปองกันไมใหเกิดไดโดยการแกไขเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ของคน หรือการแกไขเปลีย่ นแปลงระบบทั้งสองอยางหรืออยางหนึง่ อยางใด แตวธิ ีที่ไดผลดีที่สุดคือ ประการหลัง ดังแสดงในแผนภูมิ พฤติกรรมของคน
การขาดดุลยภาพ
อุบัติภัย
ระบบการทํางาน
ที่มา : Blumenthal, M. Dimensions of the traffic safety problem. Traffic Safety Research Review 12 : 7 1968
3. ทฤษฏีพลังงาน (Energy Cause Theory) เคยมีผูคิดทฤษฏีตาง ๆ ที่ทําใหเกิดการบาดเจ็บหลายทฤษฏีดวยกัน แตในปจจุบันนี้ทฤษฏี ที่ยอมรับกันมากที่สุดไดแก ทฤษฏีพลังงานกอใหเกิดบาดเจ็บ Haddon ไดกลาวไววา เปนเรื่องสม ดวยเหตุผลที่จะอธิบายสาเหตุการเกิดบาดเจ็บ ซึ่งอาจเกิดขึ้นไดโดยคาดคิดหรือโดยตั้งใจใหเกิดขึ้นก็ ตาม จัดอยูใ นประเภทหนึ่งประเภทใดใน 2 ประเภท ดังตอไปนี้
7 ประการที่หนึ่ง ไดแก การบาดเจ็บซึง่ เกิดจากการเกิดพลังงานมากระทบรางของคนเราใน ปริมาณที่สูงเกินกวารางกายหรือสวนหนึ่งสวนใดของรางกายจะทนตอแรงกระทบนัน้ ได (Injury thresholds) ดังอธิบายในตารางที่ 1.1 ประการที่สอง เกิดการแลกเปลี่ยนพลังงานระหวางรางกาย หรือสวนหนึ่งสวนใดของ รางกายกับแรงซึ่งมากระทบในลักษณะที่ผดิ ปกติ (Abnormal energy exchange) แตยังไมมีการปลอย พลังงานใหปรากฏออกมา เปรียบเสมือนรถยนตที่กําลังติดเครื่องยนต ทําใหเกิดพลังงานขึ้นแลวแตยัง ไมขับเคลื่อน ตอมาจะมีการปลอยพลังงานออกมา ซึ่งเปรียบไดกับรถยนตขับเคลื่อนออกมาบนถนน แลว และเมื่อรถคันนั้นวิ่งมาชนคน ถาชนเบา ๆ รางกายหรือสวนหนึ่งสวนใดของรางกายตอแรง กระทบได ก็จะไมเกิดบาดเจ็บ แตถาแรงกระทบนัน้ สูงเกินกวารางกายหรือสวนหนึ่งสวนใดของ รางกายทนทานไมได ก็จะเกิดบาดเจ็บขึน้ ตารางที่ 1.1 แสดงการเกิดบาดเจ็บประเภททีห่ นึ่ง ซึ่งเกิดจากพลังงานที่เกิดขึน้ มากระทบ รางกายเกินกวาที่รางกายจะยอมรับได (Overbody Injury Threshoids) ตัวอยาง ชนิดของพลังงาน ลักษณะบาดเจ็บที่เกิด แรงกระทบ รางกายหรืออวัยวะของรางกาย การบาดเจ็บซึง่ เกิดจากแรง กระทบมากจากวัตถุกําลัง (Mechanical) เคลื่อนที่เปลี่ยนรูป ฉีกขาด เคลื่อนที่ เชน กระสุนปน ของมี แตกหัก คม สิ่งที่ตกจากที่สูง รถชน ความรอน เกิดการอักเสบ ไหม ไฟไหม หรือน้ํารอนลวก (Charring) และเผาเปนเถา (Thermal) (incineration) กระแสไฟฟา เกิดการรบกวนของหนาที่ ไฟฟาดูด ไหม เกิดการรบกวน ประสาท และกลามเนื้อ (neuro- ระบบประสาท เชน ในการช็อต muscular function) การแข็งตัว ดวยกระแสไฟฟา (coagulation) ไหมเกรียม (Charring) และเผาเปนเถา (incineration) แสงรังสี(Radiation) เซลลถูกทําลาย ถูกรังสี หรือ กัมมันตภาพรังสี สารเคมี(Chemical) เกิดการอักเสบ ปฏิกิริยาตอ ถูกสารเคมี กรด ดาง รวมทั้ง เนื้อเยื่อ แลวแตชนิดของ toxins จากพืชและสัตว สารเคมี การตายของเซลล ที่มา : D.W. Clark & B.MacMahon, preventive Medicine, Boston, 1967
8
ตารางที่ 1.2 แสดงถึงการบาดเจ็บประเภทที่สอง เกิดจากการผิดปกติของการแลกเปลี่ยน พลังงานระหวางรางกาย หรือสวนของรางกายกับสิ่งที่มากระทบ (Abnormal Energy Exchange) ชนิดของพลังงาน ออกซิเจน (Oxygen Utilization) ความรอน (Thermal)
ชนิดของบาดเจ็บหรือการ เกิดเปลี่ยนแปลง การบกพรองทางสรีระวิทยา เนื้อเยื่อ หรือรางกายตาย การบกพรองทางสรีระวิทยา เนื้อเยื่อ หรือรางกายตาย
ตัวอยาง จมน้ํา รางกายถูกทับ พิษจาก CO และ HCN เสนเลือดขาด การบาดเจ็บเกิดจากการปรับ อุณหภูมิของรางกายเสียไป หิมะกัด (frosbite) และแข็งตาย เพราะเย็นจัด
ความหมายของอุบัติภัย เราสามารถพิจารณาคําจํากัดความของอุบัติภัยไดดังนี้
อุบัติภัย หมายถึงภัยทีเ่ กิดจากอุบัติเหตุ เนื่องจากการจราจรทางบก ทางน้ํา หรือทางอากาศ อุบัติเหตุเนื่องจากการทํางาน และอุบัตเิ หตุที่เกิดขึ้นในบานและในที่สาธารณะ นายกรัฐมนตรี วาดวยการปองกันอุบัติภยั แหงชาติ)
(ระเบียบสํานัก
อุบัติภัย หมายถึงเหตุการณที่เกิดขึ้นโดยไมคาดฝนมากอน ความเสียหายใหแกทรัพยสิน นายแพทยวิจิตร บุญยะโหตระ)
โดยไมเจตนา เปนผลใหเกิด เปนอันตรายแกรางกายและจิตใจ และอาจทําใหสญ ู เสียชีวิตได (ศ.
อุบัติภัย หมายถึงเหตุการณใด ๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นเองโดยมิไดตั้งใจ หรือมิไดคาดคิดมากอน อาจเกิดขึน้ เองตามธรรมชาติหรือมาจากการกระทําของมนุษย และเปนผลใหเกิดความเสียหายแก รางกายของเราและผูที่เกีย่ วของ ทําใหบาดเจ็บลมตาย หรือเกิดความเสียหายแกทรัพยสิน (นาม จง เจียมจิตต)
อุบัติเหตุ หมายถึงเหตุการณที่เกิดขึน้ โดยมิไดวางแผนไวลวงหนา
ซึ่งกอใหเกิดการ บาดเจ็บ พิการ หรือตาย และทําใหทรัพยสินเกิดความเสียหาย (วีรพงษ เฉลิมจิระรัตน และคณะ)
9 จากคําจํากัดความขางตน สามารถสรุปไดวา อุบัตภิ ัย หมายถึงภัยที่ทุกคนไมปรารถนาซึ่ง เกิดขึ้นไดโดยไมรูตัวมากอน และไมมีเจตนาจะใหเกิดขึน้ เพราะหากเกิดขึ้นแลวอาจเกิดความเสียหาย แกชีวติ และทรัพยสินได
สาเหตุนําของการเกิดอุบัติเหตุ 1. เกิดจากความผิดพลาดของการบริหารจัดการความเสี่ยง 1.1 ไมมีการสอน หรือการอบรมเกี่ยวกับดานความปลอดภัย 1.2 ไมมีมาตรการขอกําหนด ใหปฏิบัติตามกฎความปลอดภัย 1.3 ไมมีการวางแผน และเตรียมงานดานความปลอดภัยไว 1.4 ไมมีการแกไขจุดที่อันตรายลอแหลม ในสถานที่ปฏิบัติงาน หรือภายในโรงพยาบาล 1.5 ไมมีการจัดหาอุปกรณเพื่อความปลอดภัยให 1.6 ผูบริหารไมมีความสําคัญ 2. เกิดจากสภาวะทางดานจิตใจ ของผูปฏิบัติงาน 2.1 ขาดความระมัดระวัง 2.2 ความตั้งอกตั้งใจ 2.3 มีทัศนคติที่ไมถูกตอง 2.4 อารมณออนไหวงาย และขี้โมโห 2.5 หวาดกลัว ขวัญออน ตกใจงาย 2.6 สมองมีปฏิกิริยาในการสั่งงานชา เปนตน 3. เกิดจากสภาพของรางกายไมเหมาะสม 3.1 ออนเพลีย 3.2 หูหนวก 3.3 สายตาไมดี 3.4 รางกายไมเหมาะสมกับงาน 3.5 เปนโรค 3.6 รางกายพิการ
สาเหตุโดยตรงของการเกิดอุบัติเหตุ การปฏิบัติงานที่ไมปลอดภัย เปนการกระทําที่ไมปลอดภัยของเจาหนาที่ ในขณะทีก่ ําลัง ทํางาน ซึ่งอาจกอใหเกิดอันตรายได จากขอมูลทางสถิติการเกิดอุบัตเิ หตุ พบสวนใหญของอุบัติเหตุ ทั้งหมด เกิดจากสาเหตุนี้ 1. การใชเครื่องมือโดยพลการ โดยไมไดรับอนุญาต 2. การทํางานที่เร็วเกินไป เกินกําลังของเครื่องมือ
10 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11.
ทําการซอมเครื่อง ขณะที่กําลังใชงาน ถอดอุปกรณความปลอดภัยออกจากเครื่อง โดยไมมีเหตุอันควร ไมใสใจตอปายหามเตือนตาง ๆ เลน หยอกลอกันขณะทํางาน ใชเครื่องมือที่ชํารุด ใชเครื่องมือไมถูกวิธี ยืน หรือนั่ง หรือใชทาทางในการทํางานทีไ่ มเหมาะสม ไมสวมใสอุปกรณที่ปองกันอันตราย ประมาท เปนตน
สาเหตุที่เกิดอุบัติเหตุ 1. สาเหตุมี ดังนี้ 1.1 การปฏิบัติงานที่ไมปลอดภัย เสี่ยงตอการบาดเจ็บ เชน เครื่องจักรมีคม มีความเร็ว 1.2 สภาพแวดลอม ไมปลอดภัย ขาดการปองกันอันตรายจากเครื่องจักรและอุปกรณ 2. สาเหตุทางออม ขาดการบริหารความปลอดภัย เชน ขาดการปฏิบัติตามระเบียบ สาเหตุทางกายภาพ ของบุคคล เชน การเหนื่อย ขาดการพักผอนที่เพียงพอ สาเหตุจากลักษณะทางจิตใจ เชน ความเครียด ขาดความรับผิดชอบ และการประมาท ธีรวุฒิ บุณยโสภณ และ วีรพงษ เฉลิมจิระรัตน (2527 : 222 – 27) กลาวไววา อุบัตเิ หตุที่ เกิดในโรงงาน จะทําใหการผลิตหยุดชะงักแลวยังตองเสียคาพยาบาลจงชวยกันปองกันอุบัติเหตุที่ เกิดขึ้นใหนอยที่สุด และแบงประเภทของอุบัติเหตุออกเปน 2 ประเภท คือ 1. อุบัติเหตุที่เกิดกับบุคคล 1.1 เกิดจากการทํางานกับเครื่องจักร ซึ่งสวนใหญจะใชไฟฟา คนงานเกิดอุบัติเหตุได หรือเครื่องเกาไมมีระบบปองกันอันตรายที่ดีพอ ทําใหเกิดอันตรายตออวัยวะของรางกาย ทําใหพกิ าร หรือเสียชีวิตได 1.2 เกิดจากสิ่งแวดลอมในการทํางานเปนอันตรายตอคนงานยังแบงออกได 4 ประเภท คือ 1.2.1 ทางฟสิกส ไดแก อุณหภูมิ แสงสวาง เสียงดัง การระบายอากาศ 1.2.2 ทางเคมี ไดแก ควันพิษ หรือแกส พิษที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีใน กระบวนการผลิต เชน สารตะกัว่ สังกะสี สารปรอท 1.2.3 ทางสุขาภิบาล ความสะอาดบริเวณโรงงาน เชื้อโรคจากแมลงและสัตว นํามาสูคนงานได 1.2.4 ทางดานจิตใจ การมอบงานมากเกินไป ทํางานซ้ํา ๆ เกิดการเบื่อ
11 2. อุบัติเหตุที่เกิดกับทรัพยสิน เชน โรงงานไดรับความเสียหายเกี่ยวกับเครื่องจักรผลผลิต ไมเปนไปตามที่กําหนด ถามีคนงานบาดเจ็บตองเสียเวลาตองรักษาบาดแผล และสภาพจิตใจดวย หรือ ถาเกิดอัคคีภัยถือวารายแรงมาก เกิดการสูญเสียทรัพยสนิ มากมาย อุบตั ิเหตุนนั้ เกิดขึ้นไดเสมอ ทุกเวลา ทุกขณะ ทุกสถานที่ จะมีองคประกอบในการเกิดแตกตางกัน ซึ่ง อารี เพชรผุด (2529 : 169 – 171) ได ใหแนวคิดวา องคประกอบสวนบุคคลที่เกี่ยวของกับอุบัติเหตุ มีดังนี้ 2.1 สติปญญา (Intelligence) สติปญญาเกี่ยวของกับพฤติกรรมของการทํางาน การทีจ่ ะรับคนเขาทํางานมีสิ่งจําเปน มาก อุบัติเหตุจะเกิดกับคนงานที่มีสติปญญาต่ํา คนที่มีสติปญญาสูงจะทํางานไดรับอุบัติเหตุนอย 2.2 การเห็น (Vision) การที่บุคคลมองเห็นชัดหรือไม ทําใหเกิดอุบัติเหตุได การรับบุคคลเขาทํางานตอง ทดสอบเกี่ยวกับการมองเห็น (Visual Test) 3.3 ลักษณะบุคลิกภาพ (Personality Characteristics) บุคลิกบางอยางของตนเกี่ยวของกับอุบัติเหตุในการทํางาน เชน 3.3.1 อารมณ เมื่อไมมีความสุข ผิดหวัง ก็สามารถทําใหเกิดอุบัติเหตุได 3.3.2 ความวิตกกังวล ชอบเก็บตัว ก็ทําใหเกิดอุบตั ิเหตุได 4. ความเหนื่อยลา (Fatigue) เมื่อมีการผลิตผลงานมาก ๆ อุบัติเหตุก็อาจจะเกิดเนื่องจากเหนื่อยลาเรงผลงาน ทําใหผลผลิตต่ําได เพราะเกิดอุบัติเหตุบอย ๆ เพราะเหนือ่ ยลาตอการทํางาน
อาจจะ
5. ประสบการณ (Experience) การทํางานเมื่อมีประสบการณมากขึ้น อุบัติเหตุกจ็ ะลดนอยลง ดังนัน้ เมื่อมีการทํางาน นาน ๆ ตองมีการจัดการฝกอบรมหรือรับคนงานใหม ๆ ที่มีอายุยังนอย ตองระวังเนื่องจากยัง ขาดประสบการณในการทํางาน 6. การยอมเสี่ยง (Risk Acceptance) การยอมเสี่ยง เปนลักษณะของบุคคลที่เมื่อทํางานแลวเคยผิดหวังมากอนเลยทดลองเสี่ยง ทําเปนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพราะประมาท
12 จํานวนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในโรงงานยอมมากนอยแตกตางกัน การเกิดอุบัติเหตุจากครั้งแรก ทําใหเกิดความสูญเสีย จะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีแนวโนมของการอุบัติเหตุอีก ขอสังเกต เชน คน ที่ขี่จักรยานยนต เมื่อเกิดอุบตั ิเหตุลื่นลม จะตองมีความระมัดระวัง เพราะกลัวจะเกิดแบบเดิมอีก เปน ตน แนวโนมของการเกิดอุบัติเหตุ (Accident Proneness) มีหลายสาเหตุ อุมาพรรณ ชูชื่นกลิ่น และ คณะ (2529 : 38 – 41) ไดกลาวถึงแนวโนมของการเกิดอุบัติเหตุ ดังนี้ 1. สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ (Causes of Accident) 1.1 สภาพการทํางานที่ไมเหมาะสม เชน อุณหภูมิ ปริมาณความชื้น แสงสวางไม เพียงพอในการทํางาน 1.2 วิธีการทํางาน ชั่วโมงในการทํางานมากเกินไป เกิดการเมื่อยลางานที่หนักเกินไป เรงทํางานเร็ว ๆ 1.3 เกี่ยวกับตัวคนทํางาน อายุนอยเกินไป ประสบการณทํางานนอย สุขภาพไมดี ความบกพรองของรางกาย ความแตกตางทางเพศที่ไมเหมาะสมกับชนิดของงาน 2. ปญหาการฝกอบรมการปองกันอุบัติเหตุ (The Problem of Accident preventing Training) การฝกอบรมเปนการปองกันอุบัติเหตุได เพราะการทํางานในโรงงานตองกําลังคนงาน และเครื่องจักร ควบคูกันไป ตองสงคนไปอบรมการใชเครื่องจักร บํารุงรักษา ซอมแซม ทดลองการใช อยางปลอดภัย ฝกกฎระเบียบของโรงงาน โดยเปนตอนแรกคนงานตองเรียนรูว ิธีการทํางานที่ ปลอดภัย และตอนที่ 2 ตัวเองจะตองไดการกระตุนใหทํางานดวยวิธีที่ปลอดภัยนัน้ ดวยตนเอง สาเหตุสําคัญของการเกิดอุบัติเหตุสามารถแบงออกไดเปน 2 ประการ ไดแก 1. การกระทําที่ไมปลอดภัย (unsafe act) และ 2. สภาพการณทไี่ มปลอดภัย (unsafe condition) การกระทําที่ไมปลอดภัย (Unsafe act) ไดแก - การทํางานไมถูกวิธี หรือไมถูกขั้นตอน - การไมปฏิบัติตามกฎของความปลอดภัย - ความไมเอาใจใสในการทํางาน จนประมาท พลั้งเผลอ - การมีนิสัยชอบเสี่ยง หรือรีบรอนที่จะทําใหเสร็จ - การแตงกายไมเหมาะสม เชน ไมใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล - การถอดเครื่องกําบังอันตราย (Guard) ของเครื่องจักรออกดวยความรูสึกรําคาญ
13 - การใชเครื่องมือ หรืออุปกรณตาง ๆ ไมเหมาะกับงาน - การขาดวินยั หยอกลอกันระหวางทํางาน - การทํางานโดยที่รางกายหรือจิตใจไมพรอมหรือผิดปกติ เชน เปนไขไมสบาย สภาพการณทไี่ มปลอดภัย (Unsafe condition) ไดแก - ไมมีกําบังปองกันอันตรายสวนที่เปนอันตรายของเครื่องจักร - เครื่องจักรกล เครื่องมือ หรืออุปกรณชํารุดบกพรอง - เครื่องกําบังปองกันอันตรายไมถูกตองหรือชํารุด - ระบบไฟฟา หรืออุปกรณไฟฟาชํารุด บกพรอง - ความไมเปนระเบียบเรียบรอยและสกปรกในการจัดเก็บวัสดุ - สภาพแวดลอมในการทํางานที่ไมปลอดภัยหรือไมถูกสุขอนามัน เชน พื้นโรงงานขรุขระ พื้นลื่น การระบายอากาศไมเพียงพอ
แนวทางในการปองกันอุบัติเหตุ การคิดหาแนวทางปองกันอาจมีหลากหลายวิธี บอยครั้งที่แนวทางปองกันอาจไมครอบคลุม ทั้งหมด มีตกหลนไปบาง ทําใหการปองกันไมเกิดประสิทธิภาพเทาทีค่ วร ดังนั้น จึงตองมีหลักในการ หาแนวทางใหครอบคลุมไดทั้งหมด เพื่อจะไดไมเกิดอุบัติเหตุที่ซ้ํารอยขึ้นมาอีก ดวยหลัก 3E กับ ตําแหนงการปองกัน หลัก 3E ไดแก 1. Engineering 2. Education และ 3. Enforcement 1. Engineering คือ การใชความรูดานวิศวกรรมศาสตรมาจัดการ เชน การออกแบบ เครื่องจักรใหมีการใชงานทีป่ ลอดภัย การติดตั้งเครือ่ งปองกันอันตราย การวางผังโรงงานและ ออกแบบสภาพแวดลอมในการทํางาน 2. Education คือ การใหการศึกษา หรือฝกอบรมคนงาน ตลอดจนผูที่เกีย่ วของในการ ทํางาน ใหมคี วามรูความเขาใจเกีย่ วกับการปองกันอุบัติเหตุ การฝกใชเครื่องมือหรือวิธีการทํางานที่ ปลอดภัย 3. Enforcement คือ การออกมาตรการควบคุมบังคับใหคนงานปฏิบัติตาม หากฝาฝนหรือไม ปฏิบัติตามจะตองถูกลงโทษ เพื่อใหเกิดความสํานึกและหลีกเลี่ยงการกระทําที่ไมถูกตอง การใชหลัก 3E นี้ จะตองดําเนินการให E ทั้ง 3 ไปพรอมกัน จึงจะทําใหการปองกันอุบัติเหตุ มีประสิทธิภาพสูงสุด ถามีการดําเนินการเฉพาะ E ตัวใดตัวหนึ่งก็จะเกิดปญหาขึน้ เชน เครื่องจักรที่ ออกแบบมาดีมีเครื่องปองกันอันตราย (Machine Guarding) ติดตั้งไว คนงานอาจเห็นวาเกะกะไม
14 จําเปนจึงถอดออก เพราะขาดการฝกอบรม หรือชี้แนะใหเห็นอันตรายที่เกิดขึ้น หากถอดเครือ่ ง ปองกันอันตรายออก หรือวามีการอบรมมาอยางดีแลวแตขาดการออกกฎขอบังคับคนงานอาจเห็นวา การดนั้นเกะกะ ทําใหทํางานไมสะดวก จึงถอดทิ้งเสียเพราะตองการทํางานใหเร็วขึ้น ทั้ง ๆ ที่รูวา อันตรายแตก็ยอมเสี่ยงเพราะเขาใจวาจะสามารถเพิ่มผลผลิตได ในทํานองเดียวกันแมจะมีขอบังคับ แลว หากคนงานไมไดรับการแนะวิธีการทํางานที่ถูกตองปลอดภัยคนงานก็อาจจะปฏิบัติงานอยางผิด วิธี เนื่องจากความไมรูเปนเหตุหรือการทํางานที่ผิดพลาด ไมถูกขั้นตอน เปนผลทําใหระบบปองกัน นั้นเสียหายไมทํางาน ตําแหนงการปองกัน ทฤษฎีการเกิดอุบัติเหตุในยุคแรก ๆ ของวิชาความปลอดภัย คือทฤษฏีโดมิโน โดยคิดวา สภาพการณ หรือสิ่งแวดลอมทางกายภาพ เปนสาเหตุหลักที่ทําใหเกิดอุบัติเหตุขึ้น จนกระทั่งป พ.ศ.2471 ไฮนริช เสนอแงมุมใหมวา มนุษยตางหากที่เปนสาเหตุหลัก หาใชสิ่งแวดลอมไม ไฮนริช กลาววาอุบัตเิ หตุที่ทําใหคนบาดเจ็บจะเกิดจากปจจัยตอเนื่อง ไมวาจะเปนการกระทําที่ไมปลอดภัยของ ผูปฏิบัติงานหรือเครื่องจักร หรือสภาพแวดลอมที่เปนอันตรายโดมิโน 5 ตัว ที่ทําใหเกิดอุบัติเหตุ คือ 1. ภูมิหลังและสภาพแวดลอมทางสังคม 2. ความบกพรองสวนบุคคล 3. การกระทําหรือสภาพแวดลอมที่ไมปลอดภัย 4. อุบัติเหตุ 5. การบาดเจ็บ เมื่อโดมิโนตัวที่ 1 ลม ก็จะทําใหโดมิโนตัวตอ ๆ ไปลมตามกันไป นอกเสียจากจะหยิบ โดมิโนตัวใดตัวหนึ่งออกไป เพื่อตัดวงจรความตอเนื่องไมใหโดมิโนตัวถัดไปลมเมือ่ พิจารณาดู ก็จะ พบวาการหยิบโดมิโนตัวกลางคือ การกระทําหรือสภาพแวดลอมที่ไมปลอดภัยออก โดยในตัวที4่ และ 5 ก็จะไมลม คือไมเกิดอุบัติเหตุและไมมีการบาดเจ็บ
ผลกระทบจากการเกิดอุบัติเหตุ 1. สรางความสูญเสียตอทรัพยสนิ เชน รถยนตชนกัน สรางความเสียหายคือ รถยนตพัง หรือ สูญเสียทรัพยสินจายเงินชดเชยคาเสียหายใหแกผูอื่น 2. รางกายไดรับบาดเจ็บ สูญเสียอวัยวะ หรือหากรุนแรงอาจสูญเสียชีวิตในที่สุด 3. สรางความเสื่อมเสียชื่อเสียง การยอมรับในทางธุรกิจ เชน บริษัทรถทัวรใดมักเกิด อุบัติเหตุบอย ๆ ลูกคาผูใชบริการอาจใชบริการของบริษัททัวรอื่นแทน ทําใหรายไดของบริษทั ลด นอยลง กลาวคือ หากเราตองการจะกําจัดและลดสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุลง เราสามารถ พิจารณาที่ตําแหนงการปองกัน (Point of protection) กอน เพื่อประเมินความเปนไปไดของการ
15 แกปญหาวา ควรทําที่จุดใด ตามลําดับ จากนั้นจึงพิจารณาตอไปวา เมื่อเลือกที่จะปองกันที่จุดนั้นแลว ควรจะตองดําเนินการแตละ E ในหลัก 3E อยางไร เพื่อใหตําแหนงการปองกันสามารถปองกัน อุบัติเหตุไดอยางสัมฤทธิผล ตัวอยางเชน เมื่อตรวจพบวา เครื่องจักรมีเสียงดังเกินมาตรฐานมาก เรา พิจารณาแลวเห็นวาควรจะแกปญหาที่ทางผาน(Pass) คือสรางหองครอบเครื่องจักรนัน้ เสีย ซึ่งแนนอน วาการจะสรางหองครอบดังกลาวก็ควรอาศัยความรูดาน Engineering เพราะไมเชนนั้น เมื่อสราง เสร็จอาจแทบไมไดลดระดับความดังเลย จากนัน้ ก็ตอง Education แกพนักงานทีอ่ ยูบริเวณใกลเคียง หรือตองเขาไปทํางานใกลหรือภายในหองครอบ และสุดทายคือกําหนดมาตรการ Enforcement โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อตองทํางานในหองครอบดังกลาว
ชนิดของอุบัติภัย อุบัติภัยในงานอุตสาหกรรม จะแตกตางกันออกไปตามลักษณะงานในอุตสาหกรรมนั้น ๆ เมื่อประมวลเขาดวยกัน อุบตั ิภัยสามารถแบงออกไดดังตอไปนี้ 1. การยกของขึ้นลง (Handling objects) แบงออกเปน 2 อยาง คือ ยกดวยกําลังคนและ ยกดวยเครื่องจักรกล 1.1 ยกดวยกําลังคน 1.1.1 มือและแขน บาดแผลที่ไดรบั เกิดจากเสี้ยนตํา ของมีคมบาด ตะปูตํา ถูกวัตถุที่ ยกหนีบกับวัตถุอื่น ๆ หรือประตู หรือสวนอาคารที่ยื่นออกมา นอกจากนั้นก็มีบาดแผลที่เกิดจากมุม คมของวัตถุที่ยก เหล็กรัดลัง หรือหีบหอ หรือลวดรัดหีบหอ 1.1.2 การปวดหลังและไสเลื่อน (Hernia) โรคปวดหลังเกิดจากการยกของที่ผิดวิธี กลาวคือ ไมยกของโดยบังคับใหหลังตรง และงอเขาเพื่อใหหนาขาทั้งสองรับน้ําหนักขณะทีย่ ก จะตองแยกเทาหางพอประมาณโดยใหเทาหนึ่ง ล้ําไปขาหนาเล็กนอย และปลายเทาชี้ไปทางทิศที่จะยก ของไป การยกวิธีนี้ จะทําใหยกรักษาสมดุลตัวเองได และจะลดอาการปวดหลังลงดวย สําหรับไส เลื่อนนั้นไมไดเกิดจากการยกของผิดวิธีเพียงอยางเดียว ความโนมนอมโดยธรรมชาติมีสวนทําให เกิดขึ้นดวย 1.1.3 เทา บาดแผลที่เทาสวนใหญเกิดจากวัตถุสิ่งของหลนทับเทา ซึ่งจะเกิดขึ้น บอย ๆ ในการยกของพรอมกันหลายคน และเกิดความเขาใจผิดในระหวางผูยกดวยกัน ทางที่ดใี นการ ยกของก็คือพยายามอยายกของ ดวยลักษณะการยกที่ไมพรอมเพรียง ยกของบนที่ลื่นหรือของที่ยก รูปราง ไมสมดุลพลิกงายและประการสําคัญก็คือ จะตองกะลวงหนาวาจะวางของไวที่ใด 1.1.4 รางกายและศีรษะ บาดแผลที่เกิดตามบริเวณรางกายหรือศีรษะมักจะเกิด จากการขนวัตถุที่เปนอันตรายตกเรีย่ ราด หรือของอื่น ๆ ที่บรรจุหีบหอไว ไมเหมะสมหรือไมแนน หนา หรือขาดการตรวจสอบดูวาของที่ผูยกไปนั้นมีอะไรบรรจุอยู
16 1.1.5 การยกของพรอมกันหลายคน เหล็กคาน เหล็กราง หรือสิ่งของที่มีลักษณะ กวางควรจะยกโดยผูคุมงานเปนผูสั่งเพียงคนเดียว และทุกคําที่สั่งจะตองชัดเจนและไมเร็วเกินไป ผู ยกก็จะตองปฏิบัติตามพรอมกัน 1.1.6 รถเข็นที่ใชกําลังคนฯลฯ อยากองสิ่งของสูงจนมองทางขางหนาไมเห็น ระวัง มือขณะเข็นผานประตูและเมือ่ จะเลี้ยว จะตองตีวงใหกวาง 1.1.7 การขน ดูทิศทางขางหนาตลอดเวลา และอยาเข็นวัตถุกองสูงมากเกินไป ซึ่ง จะทําใหไมอาจมองเห็นเสนทางขางหนาได 1.2 ยกโดยกําลังเครื่องยนต อุบัติภัยทีก่ ลาวถึงนี้ เปนเรื่องเกี่ยวกับการใชอุปกรณยกของดวยกําลังเครื่องยนต มือและนิว้ มืออาจจะถูกหนีบขณะสอดสะลิงลงบนขอเกี่ยว ขณะยกขอเกี่ยว การคลองและถอดสะลิง รัดวัตถุที่ยก การใช Fixing dogs (หนีบของขณะยก) หรือตะขอสับเกีย่ วของ วิธีการลดความยาวของ สะลิงดวยการใชสลักหรือผูกเงื่อน การใชสะลิงยกของดวยวิธีการผิด ๆ เหลานี้มักกอใหเกิดความ เสียหายขึน้ ได การเคาะสะลิงโดยใชชะแลงแทนที่จะใชไมเปนวิธีปฏิบัติงานที่ไมถูกตองเพราะอาจทํา ใหสะลิงเสียใชการไมไดตอไป การยกของควรจะทดลองยกใหลอยตัวเพียงเล็กนอยกอน เมื่อเห็นวาปลอดภัยดีแลว จึงจะยกขึ้นเต็มที่ อันตรายอื่น ๆ ก็ไดแกการยกสิ่งของเคลื่อนจากหรือวางลงพื้นรองรับที่ไมมั่นคง หรือ วางของไวในลักษณะไมสมดุลอาจพลิกหรือกระดกได ลมแรงอาจทําใหของที่ยกลอยตัวแกวงไปมา ซึ่งทําใหลําบากตอการบังคับควบคุม ควรจัดหาแพ็กกิ้งหนุนรองรับมุมคมของวัตถุที่ยกเพื่อปองกันสะ ลิงชํารุด ถาใชโซแทนสะลิงก็ควรจะกระทําเชนเดียวกันเพื่อความปลอดภัย ลูกโซที่พับงานหรือสะลิง ที่หักมุม เนื่องจากไดรับแรงเคนอยางมากไมควรนํามาใชงานอีก ไมเนือ้ แข็งมีความคมพอที่จะตัดลวด สะลิงขาดได การใชสัญญาณไมวาดานใหเสียงหรือใชมือ ควรจัดระบบใหเปนมาตรฐานอยาง เดียวกัน และการใหสัญญาณจะตองชัดเจน วัตถุที่ยกมักจะหยอนลงทับเทาหรือมือ เมื่อผูยกของขาด ความระมัดระวัง สนใจแตตาํ แหนงทีจ่ ะวางของเพียงอยางเดียว การใชรถ Fork lift ในบางกรณีที่อาจกออุบัติเหตุขึ้นเพราะรถ Fork lift เลี้ยวไดใน วงแคบและปกติก็มักจะบรรทุกของสูงมาก จนผูขับไมอาจมองทางขางหนาไดชัดเจนพอ ผูเดินเทาจึง ตองใชความระมัดระวัง เพราะอาจจะถูกทับหรือตัวรถ Fork lift เองอาจจะพลิกคว่าํ ผูทําหนาที่จดั สง ของเพื่อบรรทุกจะตองยืนในที่ที่ปลอดภัยขณะที่คันยกของกําลังยกขึ้นหรือลง 2. การหกลมหรือตกจากที่สูง (Falls of persons) ตามสถิติซึ่งทางประเทศอังกฤษไดรวบรวมไว ปรากฏวาอุบัติภยั ที่เกิดจากการหกลมหรือ ตกจากที่สูงมีมากถึง 13 % ของอุบัติภัยทีเ่ กิดขึ้นทั้งหมดดวยเหตุผลตาง ๆ กัน และ 30% ของอุบัติภัย
17 นี้ตองสูญเสียชีวิตไป อุบัตภิ ัยเหลานี้ปรากฏวาเกิดเมื่อบุคคลเดินบนพื้นราบเสียสวนใหญ และ สาเหตุก็คือ พื้นไมเรียบ พื้นนองดวยน้ํามันหรือน้ํา สิ่งของที่วางเกะกะบนพื้น เชน ตะปู เครื่องมือ เศษ ไม หรืออื่น ๆ สวมรองเทาขาดหรือไมเหมาะ สายตาไมดหี รือใชแวนไมถูกกับสายตา มีควัน ฝุน หรือ ไอน้ําจนมองไมเห็นทาง แสงสวางไมเพียงพอ มีแสงจาหรือมีเงา ลักษณะการเดินไมเหมาะกับลักษณะ พื้น พื้นที่ขรุขระหรือลื่นมากอาจจะซอมแซมแกไขใหดีได แตถายังไมไดทําบุคคลที่เดินก็จะตอง ระมัดระวังการใชความเร็วในการเดินบนพื้นนั้น ๆ 2.1 ชางมักจะลม หรือสะดุดเครื่องมือและสิ่งของที่ตนเอง หรือผูอื่นวางทิ้งไวบนพืน้ อุบัติภัยจากการหกลมใกลเครื่องมือจักรกล หรือเครื่องกลึงเกิดมาแลวมากมาย จนเปนเหตุใหตอ ง สูญเสียมือแขน และบางครัง้ ถึงชีวิต 2.2 อุบัติภยั ตกจากที่สูงเกิดขึ้นไดจากสาเหตุดังไดกลาวแลวเชนกัน รวมทั้งสาเหตุจากการ ที่เปดฝาทอแลวไมปดหรือไมจัดรั้วกัน นัง่ รานไมมั่นคง ไมที่ใชพาดเปนทางเดินกระดกได การตั้ง บันไดไมถูกตอง ไมพาดสําหรับเดินลากขึน้ ที่สูงพลิกได ไมมีรั้วกั้นเฉลียง ยืนบนพืน้ ที่ไมมั่นคง เชน บนหีบหรือถังที่ตอกันขึ้นไป ปนขึ้นบนพืน้ ทรงกลม เชน ถังน้ํามัน หมอน้ํา ซึ่งทางที่ดคี วรใชบันได 2.3 อุบัติภัยเคยเกิดจากการใชบันไดไมถูกวิธี เปนสาเหตุใหผูใชหลนลงมา (วิธีการใช บันไดจะไดกลาวตอไป) ผูปฏิบัติงานขึ้นไปซอมหลังคาแลวหลุดรวงทะลุกระเบื้องกระดาษ สังกะสีที่ ผุ หรือกระจก 2.4 ในการปฏิบัติงานบนทีส่ ูง ควรจะใชเข็มขัดรัดเพื่อความปลอดภัย ราวหรือรั้วปองกัน ผูปฏิบัติงานตกลงมาควรติดตั้งเทาที่จะกระทําได แมวางานนั้นจะเปนงานชั่วคราวก็ตาม 2.5 อุบัตภิ ัยที่บุคคลจะหลนตกลงไปในทอหรือหลุมที่ขุดไวจะไมเกิด ถาผูขุดหลุม หรือ เปดฝาทอกั้นรัว้ ไวโดยรอบ ผูคนที่เดินผานไปมาจะไดรแู ละใชความระมัดระวัง 3. ถูกกระแทกจากสิ่งของยกลอยตัว (Falls of Objects) อุบัติภัยสวนใหญที่เกิดปรากฏวาสิ่งของที่หลนลงมามีขนาดเล็กและเบา นัตขนาด 3/4 นิ้ว ถาหลนลงมาดวยระยะปานกลางก็อาจทําใหผูถูกกระแทกเสียชีวติ ได จึงอาจกลาวไดวาในการ ปฏิบัติงานบนที่สูง ความเปนระเบียบไมวางสิ่งของทิ้งเกลื่อนกลาดเปนเรื่องสําคัญมาก อุบัติภัยเกี่ยวกับถูกกระแทกจากสิ่งของยกลอยตัวนี้ มีสาเหตุสําคัญซึ่งอาจแบงไดคราว ๆ 3 ประการ 3.1 สิ่งของที่ผูปฏิบัติงานถือไวแลวหลุดมือตกลงมา เชน เครื่องมือ 3.2 ผูปฏิบัติงานสะดุดสิ่งของที่วางไว เชน เครื่องมือ หรืออุปกรณบางชิ้นรวงหลนลงมา หรือสิ่งเหลานัน้ ตกลงมาดวยความสั่นสะเทือน หรือแรงลม 3.3 ประกอบโครงสรางไวไมแข็งแรง หรือโครงสรางนั้นชํารุดทรุดโทรม ซึ่งควรจะไดรับ การตรวจสอบหรือเปลี่ยนใหม
18 ทางเดินปฏิบัตงิ านบนที่สูง ควรจะมีไมตีขอบกั้นที่พื้นเพือ่ ปองกันสิ่งของรวงหลน ชางฟต ที่ขึ้นไปปฏิบัติงานก็ควรใชกระบะหรือถุงเครื่องมือ แทนที่จะวางกองไวกับพื้น และเพื่อปองกัน อุบัติภัยใหดีขนึ้ บุคคลที่เดินผานบริเวณที่มีผูปฏิบัติงานบนที่สูงจะตองใชความระมัดระวัง ทางที่ดีก็ คือกั้นขอบเขตที่พื้นเบื้องลาง หรือปกปายเตือนใหรูถึงเขตอันตราย 4. เครื่องมือ (Hand Tools) อุบัติภัยที่เกี่ยวกับเครื่องมือ สวนใหญเนื่องมาจากใชเครือ่ งมือที่ชํารุดหรือไมเหมาะกับงาน และบางสวน เนื่องจากใชเครื่องมือไมถูกตอง ผูปฏิบัติงานเมื่อเห็นวาเครื่องมือชํารุดก็ควรจะสงซอม หรือซอมดวยตนเอง 4.1 เครื่องมือที่ชํารุด 4.1.1 คอน ขวาน อีเตอ พะเนิน ถาดามไมยึดหัวไวไมแนน หรือไมที่ใชทําดามแตก หรือบิ่นยอมเสี่ยงภัยในการใชงานหัวคอนอาจจะหลุดปลิวออกไปหรือตอกพลาด ดามไมที่แตกอาจจะ แทงมือ หนาคอนที่ตอกถาสึกจนกลมหรือสกัดที่ทื่อยอมทําใหการตอกพลาดไดงาย หัวคอนที่ใชงาน จนคลอนแลว ควรเปลี่ยนดามไมใหมแทนที่จะตอกลิ่มเพิ่มเขาไป 4.1.2 สกัด สกัดที่หวั บานแบบดอกเห็ดอยานํามาใชงาน เพราะสะเก็ดเหล็กสวน ที่ บาน อาจจะปลิวเขาตาผูปฏิบัติงานเอง หรือผูอื่นทําใหตาบอดได เปนการเสี่ยงภัยและกอความสูญเสีย ใหแกผูอื่นโดยไมจําเปน การแตงหัวสกัดนั้น ไมใชเจียระไนสวนที่บานออกมาใหหมดไปเทานัน้ แต จะตองเจียระไน รอยราวระหวางสวนที่บานออกใหหมดไปดวย 4.1.3 ตะไบ สิ่ว ไขควง ตะไบที่ไมมีดามมีอันตรายมาก ถานํามาใช กานตะไบ แหลมมากอาจแทงมือและอาจปกเทาผูปฏิบัติงานไดถาหลนจากโตะปากกา นอกจากนั้นอาจเปน อันตรายตอหนาอกหรือทอง ถานําไปใชกบั เครื่องกลึง ดามตะไบ สิ่ว หรือไขควงทีแ่ ตกหรือหลวมเปน อันตรายตอผูใชเชนเดียวกัน เมื่อดามแตกหรือหลวมก็ควรเปลี่ยนดามใหม 4.1.4 ประแจปากตาย ปากประแจที่ราว หรือบานออก ควรเลิกใชประแจเหลานี้ เพราะวาจะทําใหเหลี่ยมนัตเสียและอาจลื่นหลุด ทําใหมือผูใชกระแทกกับวัตถุหรือสวนของ เครื่องจักรกลบาดเจ็บได 4.2 เครื่องมือไมเหมาะกับงานและการใชเครื่องมือไมถูกตอง ยกตัวอยางเชน การใช ตะไบแทนเหล็กงัดหรือใชกา นตะไบควานรู การใชประแจปากตายผิดขนาดกับนัต ไมเลื่อนแตงปาก ประแจเลื่อนใหเหมาะกับนัต ตอหางประแจดวยทอเหล็กแลวลื่นหลุดออกไป ใชประแจปากตายกวด คลานนัตในทีแ่ คบแทนทีจ่ ะใชประแจบอกซ ใชเครื่องมือตัดที่ทื่อทําใหลื่นงายและงานเสีย ใชประแจ จับทอผิดทิศทาง 4.3 การใชเครื่องมือชนิดหิว้ เคลื่อนที่ได ไดแก สวาน เครื่องกวาน หินเจียระไน เครื่องขัด ผิว คอนหรือสกัด (ทั้งชนิดที่ใชไฟฟาหรือลม) เครื่องมือแตละชนิดเหลานี้มีอันตรายแตกตางออกไป ไดแก การไมตอสายดินที่ตวั เครื่องมือ สวิตชหรือลิ้นทํางานเปดปดดีหรือไม ปลอยทิ้งเครื่องมือไวใน
19 ลักษณะที่มีไฟหรือลมพรอมที่จะสตารท ปลอยสายหรือทอไวกับพื้นทําใหผูเดินไปมาสะดุดหรือถูก รถทับเสียหาย 5. ไฟไหม (Fires) อุบัติภัยที่เกิดเพลิงไหมและเกิดระเบิดในโรงงาน ไมกอ อันตรายถึงชีวิตมากมายนักแต ทรัพยสินสวนใหญตองสูญเสียไปปหนึ่ง ในประเทศไทยเราความเสียหายจากเพลิงไหมมีมูลคาหลาย รอยลานบาท ซึ่งนับวาไมใชเรื่องเล็กนอย สวนใหญผูปฏิบัติงานมักจะคิดในแงบาดเจ็บเทานั้น แตถา คิดใหไกลแลวการที่เพลิงไหมสถานที่ปฏิบัติงานก็ยอมทําใหผูปฏิบัติงานไมมีงานทําไปดวย และกวา จะดําเนินงานตอไปก็ใชเวลานาน 5.1 การติดตั้งอุปกรณไฟฟา ไฟไหมบางครั้งเกิดจากอุปกรณไฟฟาเสื่อมคุณภาพ และ บางครั้งก็เนื่องจากผูติดตั้งใชสายไฟเล็กเกินไปจนทําใหกระแสไฟเกินกําลังสาย การใชเครื่องมือ ไฟฟาชนิดหิว้ เคลื่อนที่ได กับเตาเสียบไฟแสงสวางยอมทําใหสายไฟรอนจัดอาจเกิดไฟลุกขึ้นได 5.2 การลุกไหมจากวัตถุทับถมกัน สารไวไฟไมควรนําเขาไปใกลเปลวไฟหรือความ รอนและไมใชแตเพียงเปลวไฟเทานั้นทีจ่ ะกอใหเกิดเพลิงไหมขึ้นได แมทอน้ํารอนก็อาจเปนสาเหตุ ไดเชนกัน ถาอยูในสภาพที่เหมาะสมสารบางอยางอาจลุกไหมไดเองโดยไมตองอาศัยความรอนจาก ภายนอกถากองทับถมไวนานโดยไมเคลื่อนยาย จะเกิดความรอนระอุขึ้นภายในและลุกเปนเปลวไฟ ในที่สุด ยกตัวอยางเชน ฟางชื้น ๆ กระดาษหรือขี้เลื่อย และในโรงงานก็ไดแกผาหรือยุตที่ชุบน้ํามัน ซึ่งเมื่อไมใชแลวก็ควรทิ้งลงไปในถังโลหะที่มีฝาปดซึ่งไดจัดไวใหทิ้ง สารอยางอื่นที่อาจเกิดลุกไหมไดเองจากการทับถมกัน คือ ถานหิน ถานไม ผงอลูมินัม ลิกไนต โลหะบางอยางที่ปน เปนผงละเอียด เหล็กซัลไฟด ฟอสฟอรัสและสารประกอบเซลลูโลส ฯลฯ สารบางอยางเมื่อถูกน้ําจะเกิดความรอนสูงหรือเกิดเปลวไฟ เชน ปูนขาว แบเรียมหรือ โซเดียมเพอรรอคไซด อโลหะโซเดียม อโลหะโปแตสเซียม น้ํามันสนและแอมมอเนียจะเกิดลุกไหม ถาผสมกับกาซคลอรีน เมื่อกองถานหินหรือลิกไนทเริม่ ลุกไหม ควรใชวิธีครอบคลุมเพลิงและอยา พยายามคุย เขี่ยขึ้นมาเพราะเมือ่ เพลิงไดรับอากาศสะดวกขึน้ ก็จะลุกไหมขยายออกไป ทางที่ดีก็คือกลบ กองถานหินหรือลิกไนทนั้นดวยดินหรือทราย 5.3 ของเหลวที่ไวไฟ มีเชือ้ เพลิงหลายชนิดที่ใหไอระเหยซึ่งติดไฟหรือระเบิดไดงายใน อุณหภูมิปกติ ยกตัวอยางเชน น้ํามันเบนซิน ซึ่งไอระเหยมีอันตรายมาก อาจระเบิดไดรุนแรงและ กอใหเกิดความเสียหายไดยงิ่ กวาเพลิงไหมธรรมดา ยิ่งกวานั้นไอระเหยของน้ํามันเบนซินมีน้ําหนัก มากกวาอากาศจะแผกระจายอยูเหนือพืน้ เปนระยะทางไกลออกไปจนกระทั่งถึงแหลงเพลิง เมื่อเกิด ระเบิดแลวไฟจะยอนกลับมายังที่เก็บน้ํามันเบนซินนัน้ ทําใหไฟไหมมากขึ้น ประกายไฟหรือไฟที่จุด เรือง ๆ เชน บุหรี่ อาจจะทําใหเบนซินลุกไหมขึ้นได
20 มีของเหลวอยางอื่น เชน แอมโมเนีย ซึ่งโดยคุณสมบัตติ ัวมันเองไมตดิ ไฟ แตเมื่อระเหย เปนไออาจจะระเบิดไดเมื่อผสมกับอากาศ กาซที่จุดไฟติดบางอยาง เชน กาซซึ่งสกัดไดจากถานหินเมื่อผสมกับอากาศอาจระเบิดได เชนกัน กาซชนิดนี้เปนกาซอยางหนึ่งที่มนี ้ําหนักเบากวาอากาศ ฉะนัน้ เมื่อเกิดรั่วก็จะลอยฟุงอยูแ ถบ เพดานหอง ทัง้ ที่บริเวณพื้นหองยังคงมีอากาศตามปกติ ในสถานที่ที่มอี ันตรายซึ่งอาจจะมีไอระเหยหรือกาซที่ไวไฟลอยฟุงอยู ก็จําเปนตอง ตรวจสอบสภาพของอุปกรณไฟฟาตาง ๆ ภายในบริเวณนั้น อุปกรณไฟฟาที่ควรใชเปนแบบมีครอบ ปองกันไมใหไอระเหยหรือกาซไวไฟเขาไปถึงตัวอุปกรณไฟฟาได (Gas tight or Flame-proof equipment) ในบริเวณที่มีไอระเหยหรือกาซไวไฟฟุงกระจายอยูควรใชเครื่องมือที่ไมทําใหเกิด ประกายไฟ หรือเครื่องมือที่ทําดวยเหล็ก ฉะนั้น เหล็กทุกชนิดควรนําออกไปจากบริเวณนั้น ทั้งนี้ รวมทั้งตะปูทตี่ อกรองเทา ก็อาจจะกอใหเกิดประกายไฟระเบิดขึ้นไดเชนเดียวกัน อันตรายที่เกิดจากบุคคลสูบบุหรี่หรือจุดไมขีดใกล ๆ กับเชื้อเพลิงไวไฟก็ยอมเปนที่ ทราบกันอยูแ ลว แตอันตรายบางอยาง บางทานอาจจะมองไมเห็นก็คือ การเชื่อมหรือบัดกรีถังที่ใช บรรจุเชื้อเพลิงไวไฟ (ทั้ง ๆ ที่ไดถายเชื้อเพลิงเหลานั้นออกหมดแลว) โดยไมไดทําการปองกันตาม วิธีการใหเรียบรอยเสียกอน ในที่บางแหงไฟฟาสถิตจะสะสมประจุเพิ่มมากขึ้น เชน ที่สายพานหรือที่ ถังหรือขวดบรรจุเชื้อเพลิงไวไฟเอง ฉะนั้น ผูที่ปฏิบัติงานเกีย่ วกับของเหลวที่ไวไฟก็จําเปนจะตองรู และระวังไวเพราะเมื่อไฟฟาสถิตสะสมประจุมากขึน้ เรื่อย ๆ ประจุจะวิ่งผานอากาศไปยังที่ศักยตา่ํ ทํา ใหเกิดประกายไฟระเบิดขึ้นได 5.4 ฝุนละออง ละอองวัตถุหลายชนิดอาจระเบิดไดรนุ แรงเชนเดียวกับกาซและไอระเหย ไวไฟ ละอองถานหินทําใหเหมือนถานหินระเบิดเปนขาวที่ลงหนังสือพิมพอยูบอย ๆ ละอองวัตถุอยาง อื่นที่อาจระเบิดได เชน แปง ไมคอรค น้ําตาล โกโก แปงมัน ชา Cellulose acetate, Ebonite, Erinoid, หนังขี้เลื่อย มัสตารด และผงละเอียดของโลหะบางชนิด 5.5 สาเหตุอื่น ๆ สิ่งที่เห็นไดงายที่สุดก็คือ การสูบบุหรี่อาจจะเปนกนบุหรี่ หรือกานไมขีดที่ จุดแลวทิ้งลงในที่ไมควรจะทิ้ง อาจมีผูฝาฝนสูบบุหรี่ในที่หามสูบ หรืออาจจะเปนดวยปลายทอเหล็ก เสียดสีขอบภาชนะที่บรรจุสารที่ไวไฟ สารบางอยาง เชน โซเดียมและโปรแตสเซียม จะลุกไหมเมื่อถูกน้ํา แตสารบางอยาง เชน แคลเซียมคารไบดเมื่อถูกน้ําจะใหกาซอะเซ็ทเทลีนซึ่งอาจระเบิดไดรุนแรง กรดสวนมากจะใหความ รอนและใหฟองซึ่งเปนอันตรายเมื่อผสมกับน้ําของเหลวบางชนิดหรือโลหะ เซลลูลอยดและสารบาง ชนิดอาจลุกไหมได ถึงแมไดไลอากาศในที่บรรจุออกหมดแลว โลหะผสมแมกนีเซียมซึ่งเบาและใช งานอุตสาหกรรมมากมายอาจระเบิดลุกไหมเมื่อเขาเครื่องกลึง เครื่องไส ผาหมที่จัดทําพิเศษหรือผง เคมีอาจดับเพลิงแบบนี้ได
21 5.6 การดับเพลิง การดับเพลิงขนาดใหญจําเปนตองใชผูชํานาญ ซึ่งเปนหนาที่ของเจาหนาที่ ตํารวจดับเพลิงเพราะไฟทีไ่ หมในโรงงาน บางครั้งมีสารซึ่งเมื่อถูกความรอนแลวเกิดฟองและควันพิษ เปนอันตราย แตโดยทัว่ ไปแลว ผูปฏิบัติงานทุกคนยอมมีสวนสําคัญในการปองกันเพลิงไหม เพลิงที่ เกิดขึ้นครั้งใดก็ตาม ยกเวนเพลิงขนาดใหญที่เกิดจากการลุกไหมของเซลลูลอยดแลวอาจจะดับไดใน เวลาไมชานัก 6. เครื่องจักรกล (Machinery) 6.1 สาเหตุ อุบัติภยั ที่เกิดจากเครื่องจักรกลอาจแบงอยางคราว ๆ ได 6 ชนิด คือ 6.1.1 อุบัติภัยที่เกิดจากเครื่องจักรกล ที่สภาพเรียบรอยและพิจารณาสถานที่ตั้งไวดแี ลว แตไมไดกั้นรัว้ ไวเชน เครื่องที่มีรอบการหมุนสูง สถานที่ติดตั้งเครื่องจักรกลแบบนี้ ผูติดตั้งอาจเห็นวา ปลอดภัย แตเมื่อผูปฏิบัติงานเขาไปใกลเพือ่ ทําการซอม อาจหมุนมวนเสื้อผาหรือฉุดลากผูปฏิบัติงาน นั้นเขาไปทําใหบาดเจ็บ 6.1.2 อุบัติภัยที่เกิดจากเครื่องจักรกลบางสวนไมมีครอบปองกัน 6.1.3 อุบัติภัยที่เกิดจากการถอดครอบปองกันออก 6.1.4 อุบัติภัยที่เกิดจากเครื่องหามอัตโนมัติหรือหามในตัว สวนใหญเนื่องจากการ ออกแบบไมดพี อ ปรับระยะการทํางานไมพอดี ไมมีการทดลองโดยสม่ําเสมอระหวางใชงาน 6.1.5 อุบัติภัยนี้เกิดจากเครื่องจักรกลบางชนิด ซึ่งไมอาจจะใสครอบปองกันไดโดย สมบูรณเพราะลําบากตอการใชงาน เชน เครื่องจักรกลทางดาน งานชางไม เครื่องทอผา เครื่องทํา กระดาษ 6.1.6 อุบัติภัยเกิดจากการสตารทเครื่องจักรกลโดยไมตั้งใจ ซึ่งสวนมากมักจะเปน บุคคลอื่นไมใชผูปฏิบัติงาน 6.2 ขอควรระวัง การปองกันอุบัติภยั อันเกีย่ วกับเครื่องจักรตองอาศัยเทคนิคและการ จัดระบบที่ดพี อ ประการแรกซึ่งสําคัญที่สุด คือ ผูรับผิดชอบจะตองเขาใจซึมซาบตอขอปลีกยอยใน การทํางานของเครื่องจักรกลนั้น และการติดตั้งครอบปองกันอันตรายจะตองปองกันไดเต็มที่ แมแต ชองเล็ก ๆ นอย ๆ ซึ่งนิ้วอาจจะลอดไปสัมผัสกับสวนที่เปนอันตราย ประการที่สอง ผูปฏิบัติงานซึ่ง ทํางานอยูใกลเครื่องจักรกลจะตองใชความระมัดระวัง การปองกันโดยทั่วไปก็คือ เสื้อผาที่ใชจะตอง กะทัดรัดไมมสี วนไหนหลวมรุมราม แขนเสื้อถาเปนเสื้อแขนยาวตองกลัดกระดุมขอมือเรียบรอย ผูปฏิบัติงานควรสวมหมวกไมปลอยผมยาวรุงรัง ไมควรสวมแหวน ปฏิบัติตามขอแนะนําในการ ประกอบสายพานเครื่องจักร และระมัดระวังในการเขาไปใกลเครื่องจักรกล อันตรายอื่น ๆ ที่จะทําให เกิดอุบัติเหตุเกีย่ วกับเครื่องจักรกลก็คือ ความไมเปนระเบียบเรียบรอยในสถานที่ปฏิบัติงาน เชน กอง หรือทิ้งสิ่งของรกรุงรัง พื้นลื่นทําความสะอาดหรือหยอดน้ํามันเครื่องจักรกลซึ่งเดินอยู แสงสวางใน โรงงานไมเพียงพอหรือจาเกินไป
22 6.2.1 เพลาขับ เครื่องไอน้ํา เครื่องยนตเผาไหมภายใน มอเตอรทุกชนิดมักจะกอใหเกิด การบาดเจ็บแกผูที่หยอดน้ํามันหรือเขาไปคลําแบริ่งวารอนหรือไม ผูป ฏิบัติงาน ควรระวังเรื่องเสื้อผา ที่สวม สวมรองเทาและถุงมือตามความจําเปนของงาน การตอทอหยอดน้ํามันโดยผูหยอดอยูห าง ออกมาแทนทีจ่ ะหยอดอยูใกลๆ เพลาขับที่หมุนอยูเ ปนวิธีหนึ่งที่จะปองกันอุบัติภยั เหลานี้ได 6.2.2 เพลาหมุน ไมวาเพลาหมุนจะมีขนาดใหญเล็กเพียงใด หมุนดวยรอบชาเร็ว เพียงใด แตผวิ ของเพลาจะตองเรียบ 6.2.3 สายพาน เชือก โซ และรอก นอกจากเรื่องการใชครอบปองกันไมเหมาะสม หรือไมใชเลยแลว อุบัติภัยขอหนึ่งก็คือ การประกอบสายพานซึ่งผูปฏิบัติ งานอาจจะทําโดยผิดวิธี หรือไมใชเหล็กงัดสายพานหรืออุปกรณชว ย สายพานมีอันตรายอันอาจกออุบัติภยั ไดโดยเฉพาะเมื่อ สายพานสัมผัสกับวงลอ ซึ่งอาจหนีบนิว้ มือหรือสวนหนึ่งสวนใดของรางกายได 6.2.4 หมูเฟอง อุบัติภัยเกี่ยวกับหมูเฟอง มักจะเนื่องมาจากการใชครอบปองกันที่ ไมถูกตองหรือการยืนเขาไปใกลหองเฟองซึ่งเปดทิ้งไว ที่สําคัญก็คือหองเฟองที่ไมไดปดมิดชิดจึง ใชครอบปองกันไวแตสว นที่เห็นวาจะเปนอันตรายเทานั้น เชน สวนที่เฟองขบกัน (Nips) หรือสวน นอกของฟนเฟอง ซึ่งจําเปนตองแกไขและผูใชเครื่องจักรกลเหลานั้นจะตองระวังเปนอยางมาก 6.2.5 เครื่องจักรกลเกี่ยวกับงานชางไม จะตัดอวัยวะรางกายในชั่ววินาที แตสวน มากก็ยังอาศัยความชํานาญที่จะไมตองอาศัยครอบปองกัน ถาใชไมสําหรับดันปอนไมและทีย่ ัดไม ครอบปองกันชนิดนี้ อาจไมสมบูรณแบบนัก แตอยางนอยก็ชว ยปองกันผูปฏิบัติงานไมใหบาดเจ็บ มากนัก ถาผูน ั้นเกิดหยอน ความชํานาญลง ความมีใจจดจอตองานลดลง หรือเหตุการณทไี่ มนึกฝน เกิดขึ้น 6.2.6 เครื่องเจาะ จะตองยึดสิ่งที่จะเจาะใหมั่นคง เพราะถาสวานขัดตัวขณะเจาะจะยึดติด วัตถุ ทําใหวตั ถุที่จะเจาะรูหมุนควางกอใหเกิดการบาดเจ็บได โดยเฉพาะการเจาะเหล็กแผนบาง ๆ อันตรายมาก การหมุนของแผนเหล็กบาง ๆ มีลักษณะเหมือนเลื่อยวงเดือนในแนวนอน 6.2.7 หินเจียระไน มีอันตรายอันอาจกออุบัติภยั ไดหลายประการ เชน การประกอบ หิน เจียระไน แกนหมุนไมไดศนู ยหรือยึดไมแนน ใชรอบการหมุนสูงผิดปกติไมมีครอบปองกัน หรือ ครอบปองกันไมแข็งแรงเพียงพอที่จะตานทานแรงเหวี่ยงของหินเจียระไนทีแ่ ตกกระจายออกมาใน การเจียระไนมีอันตราย (รวมทั้งที่เกิดบาดเจ็บที่ตา เพราะไมสวมแวน) อันเนื่องมาจากการแตงระยะ พักวัตถุ ก็จะทําใหหนิ เจียระไนนั้นเหวี่ยงแตกกระจาย ทําใหมือบาดเจ็บหรือเครื่องมือเหวีย่ งกระเด็น ออกไป อันตรายอีกประการหนึ่งก็คือ การเจียระไนวัตถุทางดานขางของหินเจียระไน กดวัตถุจะ เจียระไนหนักเกินไปโดยเฉพาะ ในขณะอากาศเย็นจัด วิธปี ฏิบัติงานดังไดกลาวแลวนีเ้ ปน วิธีปฏิบัติงานที่ผิดซึ่งอาจกออุบัติภัยขึ้นได
23 7. การจราจร (Traffic) อุบัติภัยเกี่ยวกับการขนสงมีประมาณ 7 % ของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในงานอุตสาหกรรมและ ในจํานวนอุบตั ิภัยเหลานี้ปรากฎวา 12 % มีอันตรายถึงชีวิต และสวนที่เหลือก็ลวนแตไดรับบาดเจ็บ สาหัสเปนสวนมาก อันตรายสวนใหญมักจะเกิดจากพาหนะที่แลนอยูในระหวางปฏิบัติงาน เชน รถเข็น รถบรรทุกเล็ก รถไฟ รถบรรทุกหนัก รถยก ตลอดถึงอุบัติภัยอันเกิดจากอุปกรณที่บรรทุกไป กับรถ เชน บันได 7.1 ผูปฏิบัติงานที่ไมเกี่ยวกับการขนสง ทางที่ดีที่สุดทีผ่ ูปฏิบัติงานจะหลีกเลีย่ งไมใหถูกรถชนก็คือ ใชความระมัดระวังอยางดี นั่นเอง โดยเฉพาะอยางยิ่งเวลาที่จะออกหรือเขาประตูโรงงานที่มีรถผานไปมา เดินผานมุมอาคารเมื่อ จะขามถนน เดินบนถนนทางเดินหรือตรอกแคบ ๆ การเตรียมพรอมอยูเสมอเปนสิง่ จําเปน เพราะ ยวดยานพาหนะที่แลนไปมามักจะใชความเร็วคอนขางสูง การมองขวาซายจึงควรกระทํากอนทีจ่ ะกาว เทาออกไปสูจดุ อันตรายมิใชเมื่อเห็นผูอื่นกาวเทาก็กาวเดินตาม ผูปฏิบัติงานจะตองระวังรถบรรทุกสิ่งของที่ล้ํากระบะทายออกมา ของที่ผูกมัดไวไม มั่นคงอาจจะหลนลงมา หรือสิ่งของที่ไมไดผูกมัดไวก็อาจจะกระดอนเคลื่อนที่ไดเมื่อรถตกหลุมหรือ ปนกอนหิน หรือเมื่อรถเลี้ยววงแคบ สิ่งของเหลานี้อาจจะเฉี่ยวหรือตกลงมาทับได 7.2 ผูขับยานพาหนะและรถบรรทุกหนัก กฎเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ยานพาหนะ จะตองเขมงวดกวดขันสําหรับการจราจร ภายในบริเวณโรงงาน เพราะภายในบริเวณอาจจะไมมที างเทาตามขางถนนเสมอไป ทางเขาออกติด กับทางที่รถผานไปมา ถนนตัดกันคนละระดับไมมีรั้วกัน้ มีสิ่งกีดขวางขามเหนือถนนเชน สะพาน สําหรับเดินทอพาดผานถนน ซึ่งรถ Fork Lift จะตองระมัดระวังเปนพิเศษยังมีเหตุการณตาง ๆ อีก มากมายที่อาจเกิดขึ้นไดในบริเวณโรงงานซึ่งแตกตางไปจากที่จะพบเห็นไดบนถนนหลวง ฉะนัน้ การ ขับรถชา ๆ จึงเปนการดี และควรคาดคิดไวเสมอในสิ่งที่นึกไมถึง 7.3 ผูใชรถเข็นยกของ ผูใชรถเข็นของมีขอที่อาจกอใหเกิดความเสียหายไดหลายทาง เชน การเข็นรถไปเทียบ เบื้องหลังผูอื่น ซึ่งขณะนั้นรถกําลังบรรทุกของกองสูงอยู เข็นรถทับเทาผูปฏิบัติงานอื่น กระแทกคนซึ่ง กําลังทํางานอยูกับเครื่องจักร เข็นชนบันไดซึ่งพาดอยู เข็นชนของซึ่งกองทับกันอยู ซึ่งทําใหของที่กอง อยูนั้นโคนลงมา จอดรถเข็นทิ้งไวเกะกะ ทําใหผูอื่นที่เดินไปมาโดยไมระมัดระวังสะดุดลม ของซึ่งบรรทุกยื่นล้ํากระบะรถออกมาทางดานหลัง จะกวาดเปนมุมกวางเมื่อรถเลี้ยว ฉะนั้นเวลาเลี้ยว จึงควรเผื่อระยะเอาไวดว ยเมื่อจะบรรทุกของชนิดนัน้ การบรรทุกของที่กวางล้ํา กระบะดานขางออกมาอาจจะปะทะเขากับมุมแคบ ๆ เมื่อรถเลี้ยว
24 รถเข็นจะแลนเร็วเมื่อลงที่ลาด ๆ ผูใชจะตองคอยดึงอยูขา งหลังเพื่อปองกันรถแลนลงมา ทับตัวผูใชเองเมื่อของที่บรรทุกหนักมาก และผูใชเองไมอาจจะเหนีย่ วไวลําพังตัวคนเดียวได ทางที่ดี ควรจะเรียกผูอ ื่นชวย 8. ลิฟทและอุปกรณยกของ (Lifts and Lifting Tackle) วิธีการทางเทคนิคที่จะทําใหลิฟทปลอดภัยมีมากมาย อุบัติภัยอันเนื่องจากขอขัดของทาง เทคนิคมีทั้งทางดานกลศาสตรและดานโครงสราง รวมทั้งการใชอินเทอล็อคไมเหมาะสม อินเทอล็อค ขัดของงาย ไมไดระวังรักษาอินเทอล็อคใหดีเพียงพอ ไมไดทํารั้วลอมปองกันหองสําหรับน้ําหนักถวง เลื่อนขึ้นลง การหยุดของลิฟทไมไดตั้งไวใหถูกตองหรือไมไดดแู ลเลย สะลิงและรองบังคับสลิงสึก สวิตชเสีย สวนสําคัญของอุปกรณอาจชํารุดถาใชไดโดยไมระมัดระวัง ไมเหลียวและหรือใชไมเปน ยกตัวอยาง เชน กดปุม Limit Stops เพื่อใหลิฟทหยุดที่ตาํ แหนงบนสุดหรือลางสุด บังคับใหลิฟทหยุด โดยใชเลื่อนประตูตาขาย ลิฟทบรรทุกน้ําหนักเกินพิกดั ผูปฏิบัติงานใชลิฟทสําหรับสงสิ่งของเพื่อ โดยสาร ปลอยใหสิ่งของที่บรรทุกโผลออกมานอกประตู การใชลิฟทโดยไมมีผูควบคุมดูแลมัก กอใหเกิดอุบัตภิ ัยไดบอย ๆ โดยเฉพาะบุคคลซึ่งไมรูวิธีการใช อุบัติภัยอาจจะเกิดขึ้นไดในขณะทีก่ ําลังซอมแซมลิฟท อาจจะมีคนเขาไปติดอยูใตน้ําหนักถวง หรืออาจจะติดอยูใตลิฟท การทดลองใหลิฟททํางานโดยผิดวิธี หรือไมบอกกลาวในขณะที่มีบุคคลอืน่ อยูบนหองลิฟท หรืออยูในหองสําหรับน้าํ หนักถวงเลื่อนขึ้นลงมักจะกอใหเกิดอุบัตภิ ัย การปนออก นอกหองลิฟทเมื่อเกิดขัดของ อาจทําใหผนู ั้นไดรับอันตรายจากการถูกลิฟทบีบทับรางกายได 8.2 รถยก รถยกและเครือ่ งมือยกของตาง ๆ มีขอขัดของทางดานจักรกลแตกตางกัน ซึ่งบางครั้งก็มี ขอบกพรองดานการออกแบบรวมอยูดว ย แตขอขัดของทางดานกลจักรอาจจะแกไขไดดว ยการตรวจ ตราตามกําหนดเวลาโดยใชผทู ี่ชํานาญงานและวิธีการซอมที่เหมาะสม การตรวจและบํารุงรักษามิใช ทําแตเฉพาะทีห่ องเฟองสําหรับยกของเทานั้น แตจะตองกระทําโดยทั่วถึง เชน ที่เหล็กโครงสราง ฐานรองรับ ฐานยึด รางรองรับ เครื่องยนตและเฟอง ซึ่งการชํารุดแตละสวนอาจจะกอใหเกิดอุบัตภิ ัย ได การขับเคลื่อนรถยกหรือเครื่องมือยกของผิดพลาดมักจะเกิดอุบัติภยั อยูเ สมอ บางครั้งเกิด จากผูไมมีหนาที่ควบคุมรถยกนั้น บางครั้งเกิดจากผูมีหนาที่เกีย่ วของแตไมชินกับการทํางานของคัน บังคับตาง ๆ หรือบางครั้งก็เกิดจากผูมีหนาที่ควบคุมโดยตรง มีวิธีการผิด ๆ อยูมากมายที่ทําใหสิ่งของที่ยกหลนลงมา , โครงสรางหักโคนลงหรือ เครื่องมือยกลมฟาดลงมา ทั้งนี้ ยังไมรวมถึงขอบกพรองตาง ๆ ของอุปกรณยก การใชเครนดึงและสก สิ่งของไปทางดานขางจะทําใหเกิดแรงเคนในโครงสราง, สิ่งของที่ยกแกวงกระแทกคนหรือทรัพยสิน อื่น ๆ สิ่งของอาจจะกระแทกหรือคางอยูก ับโครงสรางขณะกวานขึน้ หรือลง, รถเครนรางอาจจะจอด อยูบนรางที่ไมไดระดับอาจจะพลิกคว่ําไดเมื่อยกสิ่งของ, การยกของอยูในลักษณะกระตุกไมนุมนวล
25 ในขณะเริ่มยกหรือหยุด, ใชเครนดึงลากสิ่งของออกจากกองที่ทับถมกันอาจทําใหโครงสรางไดรับแรง เคนเกินกําหนด, การวางระยะเครนเพื่อยกสิ่งของผิดระยะรัศมี, ไมทําการยึดรถยกใหมั่นคงเทาที่ควร, นํารถยกไปจอดบนพื้นดินทีไ่ มแข็งเพียงพอทําใหรถจมทรุดลงได, พยายามใชรถยกสิ่งของเกินพิกัด กําลังของรถนั้น, ผูปฏิบัติงานใกล ๆ กับรถยก ตัวรถอาจจะหนีบรางกายกับอาคารหรือสิ่งกอสรางอื่น ๆ ทั้งนี้ อาจจะเนื่องจากผูข ับไมรูหรือลืมไปวามีผูปฏิบัติงานอยูที่นนั่ , รถยกที่แลนบนรางอาจจะลม โคนตกรางถาหองควบคุมยืน่ ออกไปดานขางมากเกินไป, นอกจากนี้ ยังมีอุบัติภยั อืน่ ๆ เชน ปุมหรือ คันบังคับใหหยุดทํางานบกพรอง การใหสัญญาณผิดหรือไมเขาใจสัญญาณ 8.3 อุปกรณยก อุบัติภัยเกี่ยวกับการใชรถยกเทาที่ไดกลาวมาแลวยังนอยกวา อุบัติภยั ที่เกิดจากการใช อุปกรณยก (โซสะลิง ขอเกี่ยว สเกล หวงตา) ผลที่ไดรับจากการใชอปุ กรณยกฟด ๆ ก็คือสิ่งของที่ยก หลนลงมา อันนี้จึงเปนเหตุผลที่วาทําไมจึงหามไมใหผูปฏิบัติงานเขาไปยืนอยูใตสิ่งของยกลอยตัว และทําไมจึงใหผูขับรถเครนในโรงงานยกสิ่งของใหหางจากที่ที่ผูปฏิบัติงานจะเดินลอดไปใตสิ่งของ ได นอกจากนีย้ ังมีอันตรายอืน่ ๆ อันเกี่ยวกับสิ่งของที่ยกโดยวิธีหนีบ ใสกระบะหรือตาขาย ฯลฯ ลวดสะลิงอาจจะชํารุดไดถาตั้งไวตากแดดตากฝน เก็บไวในพัสดุโดยไมถูกวิธี ตั้งอยูใน ที่ที่รอนจัดหรือมีเคมีภัณฑอื่น ๆ ลวดสะลิงนัน้ ปกติแลวชํารุดไดงายและการชํารุดนั้นก็ไมวาจะ มองเห็นไดเสมอไป การใชลวดสะลิงผิดวิธีจะทําใหลวดสะลิงหงิกงอ ซึ่งจะเปนจุดออนของสะลิงที่ รอยหักพับนั้น การใชโซโดยผิดวิธี เชน ยกน้ําหนักมากเกินพิกัด ผูกเปนเงื่อนไวหรือพันลอดใต สิ่งของที่มีคมขณะยก โซจะเปราะเมื่อใชงานนาน ๆ จึงตองมีการเผาไฟชุบเปนครั้งคราว การเผาไฟชุบ ก็ดี การตรวจโดยถี่ถวนและซอมหลังจากเผาไฟชุบก็ดี จะตองทําอยูเ สมอกอนที่โซจะขาดลงในขณะ ใชงาน สะลิงและอุปกรณยกตาง ๆ ควรจะเขียนบอกพิกัดน้ําหนักที่จะยกไดใหเปนที่เขาใจ การยกของโดยไมมีกฎเกณฑเปนสาเหตุใหของหลนลงมา การเลือกสะลิงผิดขนาดทําให เสนลวดในสะลิงขาด ซึ่งโทษวาสะลิงไมดกี ็เปนเรื่องไมถูกตองนัก เพราะผูปฏิบัติงานอาจกะน้ําหนัก สิ่งของที่ไมทราบแนนอนผิดไปก็ได มุมของสะลิงที่ขอเกี่ยวในขณะยกอาจจะคํานวณไวผิดพลาดเมื่อ ใชสะลิงคลองสิ่งของ 3 - 4 เสน และใชสะลิงเล็กเกินไป การผูกเงื่อนสะลิง การทุบบวงสะลิง (สะลิง ทําเปนบวงมัดลอดใตสิ่งของแลวสอดผานแบบทรุด) แรงเกินไป การใชเครื่องมือเครื่องใชอยางอื่นที่ ไมเกี่ยวกับการยกของ สิ่งเหลานั้นอาจจะหลุดรวงลงมาได มีวิธกี ารใชสะลิงทีถ่ ูกตองเหมาะกับ น้ําหนัก และรูปรางของสิ่งของ ถาผูใชสะลิงผิดขนาดหรือผิดวิธี แทนที่จะเลือกใชใหเหมาะก็อาจเปน สาเหตุใหเกิดความยุงยากไดเชนกัน มุมคมของสิ่งของอาจจะตัดหรือหักพับสะลิงถาไมหาสิ่งออนนุม เชน ไมเนื้อออน หรือผากระสอบรองไวใหดี (ไมเนื้อแข็งก็อาจตัดสะลิงได) ขอเกี่ยวก็อาจกอเหตุได เชนกันถาหากไมคลองสะลิงใหมั่นคงอาจลืน่ หลุด สิ่งของที่ยกจะตกลงมา ขอเกี่ยวที่เกี่ยวหางตาสอด เขาไดแตเฉพาะตอนปลาย หรือใชขอเกีย่ วเกีย่ วรูที่ฐานสิ่งของ ยอมจะกอใหเกิดแรงเคนในตัวขอเกี่ยว ซึ่งทําใหความแข็งแรงของขอเกี่ยวตองลดลงแมวาสิ่งของจะไมรว งหลุดลงมา นอกจากนี้ ยังมีอันตราย
26 อื่น ๆ อันเกิดจากสิ่งของลื่นหลุดจากอุปกรณยกพิเศษ เชน ขอเกี่ยวชนิดยกหีบหอหรือกระปอง ขอ หนีบเหล็กแผน ขอสับยก การใชขอสับยกยกของหนัก ๆ จะตองระวังอันตรายจากของที่บรรจุอยูใน หีบรวงหลุดลงทางกนหีบ เพราะไมมีสิ่งใดรองรับ สลักขวางของสเกลถาไมขันเกลียวใหตึงพอ สลักอาจจะคลายเกลียวหลุดได หรือเมื่อใช รถยก 2 คัน ชวยยกของที่หนักมาแลวไมแบงน้ําหนักใหสมดุลพอเหมาะก็อาจกออุบตั ิภัยได หวงตาเมื่อไมใชงานยกขณะนั้น ควรถอดเก็บใหเรียบรอย เพราะอาจชํารุดไดงายถา ปลอยทิ้งไว บางครั้งถาออกแบบไมดหี รือวางไมไดศูนยถวงก็อาจกอใหเกิดเสียหายขึ้นได แตถาแมจะ ออกแบบไดถกู ตองก็จําเปนจะตองใชใหถกู ทิศทางตามแนวศูนยกลาง หรือเมื่อถอดเกลียวก็ตองถอด ใหแนน การใชขอเกี่ยวสอดผานหวงตาแทนที่จะใชสเกล จะทําใหเกิดแรงเคนทั้งในขอเกี่ยวและหวง ตา การใชสะลิงเสนเดียวรอยหวงตาหลายหวงแทนทีจ่ ะใชหวงละเสน อุบัติภัยเกี่ยวกับนิ้วมือก็มกั จะเกิดจากนิ้วถูกบีบระหวางสะลิงกับขอเกีย่ ว หรือบวงสะลิง กับสิ่งของที่จะยก สิ่งของที่จะวางลงมาทับนิ้วมือหรือนิว้ เทา สิ่งของอาจจะหนีบนิว้ มือกับสวนอาคาร หรือหีบหอทีว่ างกองอยู ขณะที่มลี มพัดแรงอาจจะบังคับสิ่งของที่ยกไมไดเนื่องจากการแกวงหรือ หมุนควางไปรอบ ๆ ตามที่กลาวมาแลวนี้ลว นแตเปนอันตรายที่จะตองขบคิดในการปฏิบัติงาน 9. การวางซอนและจัดกองสิ่งของ (Stacking and Piling) วัสดุสวนใหญมักจะตองวางกองหรือไมรวมกองอยูในโรงงาน ไมวาจะเพื่อเก็บหรือกําลังใช งาน การจัดกองสิ่งของจึงเปนงานอยางหนึง่ ตองศึกษา การบาดเจ็บเกีย่ วกับเรื่องกองสิ่งของนี้มักจะมีสาเหตุจากสิ่งของที่วางหลนลงมา ผูปฏิบัติงาน หลนลงมาหรือถูกหีบหอหีบรางกาย นอกจากนี้ยังมีการบาดเจ็บเกีย่ วกับมือซึ่งสาเหตุมาจากตะปู ลวด รัดลัง เสี้ยน รวมทั้งผูบาดเจ็บปวดเมื่อหลังไหล หรือไดรบั แผลถลอกหรือรอยขีดขวน สิ่งของอาจจะหลนลงมาขณะยกขึน้ วางบนกอง ชั้นนี้อาจจะเกีย่ วกับมือจับสิ่งของไมมั่น พยายามยกของหนักดวยแขนขางเดียว ยกวางสิ่งของไมพรอมกันเมือ่ ปฏิบัติงานหลาย ๆ คน หีบหอ หรือขวดบรรจุแตก ถังที่บรรจุฉีกขาด พืน้ ลื่น หรือมือถูกของมีคมบาดทันทีทันใด ทําใหสิ่งของที่ถือ หลุดมือของบางอยาง เชน ปอ ฝายที่ผูกมัดเปนกลุมยอมไมสะดวกแกการยกเพราะกลุมใหญเกินไป ลักษณะที่ผูกมัดไมถนัดที่จะยก หรือขาดการผูกมัดที่กะทัดรัด ถึงแมวาไดจัดกองไวแลวก็ตาม สิ่งของก็อาจจะพังทลายลงมา หรืออยางนอยก็รว งหลนลงมา ได วัสดุสวนมากมีวิธีที่จะจัดกองตามลักษณะวัสดุนั้น ยกตัวอยางเชน ของที่บรรจุถุงใชวธิ ีวาง ดานขาง วางเปนแถวสลับกันเพื่อใหขัดกันในตัว และเมื่อกองซอนขึ้นไปก็ลดระยะทับกันเขาไปเรื่อย ๆ ทั้ง 4 ดาน ถังน้ํามันใชกองวิธีนอนถังและใชไมขัดลิ่มไว และระหวางแถวที่ซอนกันก็ใชไมขัด เอาไวทุกชัน้ ไป การกองแบบแนวนอนนี้อาจกอขึ้นไปไดเปนแบบปรามิด แตถาหากตองการวางถัง น้ํามันในแนวตั้งก็จะตองมีไมแบน ๆ รองระหวางชั้นและวางไดในแนวตรงแตจะตองไมซอนสูง เกินไป ไมก็ตอ งใชวิธีกองตางหากออกไป และสิ่งของที่รูปรางไมสม่ําเสมอ เชน โลหะหลอรูปตาง ๆ
27 ตองใชวิธีพิเศษตามลักษณะสิ่งของนั้น ๆ สิ่งของตาง ๅ ที่กลิ้งไดงาย เชน ถังน้ํามัน มวนกระดาษ จําเปนตองใชลิ่ม (ซึ่งทําไวเหมาะกับถังหรือมวนนั้น ๆ ) ไมใชหยิบเพียงแตอะไรมาขัด การวางสิ่งของไมมีหลักเกณฑหรือไมปลอดภัยมักจะทําใหสิ่งของพังทลายลงมา บางครั้งก็ทํา ใหอาคารที่เก็บพลอยพังลงไปดวย การกองซอนสิ่งของหนัก ๆ ไมควรจะพิงฝาผนังอาคาร เพราะฝา ผนังออกแบบไวรับแรงแนวตั้งไมใชแนวนอน การวางสิ่งของบนพื้นก็จะตองใชการพินิจพิจารณาวา พื้นอาคารที่จะรับน้ําหนักของกองนั้นจะทานไดหรือไม ความสมดุลซึ่งเปนหลักในการกองสิ่งของยัง เปนเรื่องสําคัญมาก เมื่อกองวัสดุบนรถบรรทุกหรือยานพาหนะอื่น ๆ เพราะจะมีเรื่องเกีย่ วกับการ สั่นสะเทือนหรือแกวงเขามาเกี่ยวของดวย สิ่งของที่กองในพัสดุอาจสั่นสะเทือนไดถาในอาคารนั้นมี เครื่องจักรกลใหญ ๆ ทํางานอยูดวย การปนขึ้นบนกองสิ่งของแทนที่จะใชบันไดอาจจะไดรับบาดเจ็บได โดยเฉพาะถาตกลงไปใน ชองระหวางกองสิ่งของที่จัดไวไมดี อันตรายนี้อาจจะเกิดไดถาหากสิ่งของที่กองรูปรางไมเหมือนกัน เชน ทอนไม ลังขนาดตาง ๆ กัน เมื่อขนไมออกไปแถวหนึ่งจนต่ําลง แถวที่อยูใกลเคียงอาจจะพังทับ ลงมา ฉะนั้น การขนของออกจากกองจึงควรยกของดานบนออกโดยสม่ําเสมอกัน ผูที่ปนขึ้นไปบนกองสิ่งของอาจจะเขาไปใกลกับเครื่องจักร สายไฟฟา สําหรับเครนอื่น ๆ ซึ่ง เปนอันตราย ฉะนั้น จึงไมควรจะกองสิ่งของใหสูงเกินไป หรือควรใสครอบปองกันจุดทีจ่ ะเปน อันตรายนั้นเสีย การที่ผูปฏิบัติงานพยายามเรงขนของออกจากกองโดยวิธโี ยนของนั้น ลงมาหรือดึงของทาง ชั้นลางกอน ก็อาจจะกอใหเกิดอุบัติเหตุขึ้นได การดึงของทางดานลางกอนเปนอันตรายอยางยิ่ง บางครั้งของที่กองอยูขางบนอาจจะหลนลงมาถูกผูคนขางลางโดยไมรูตวั เนื่องจากผูปฏิบัติงานกอง สิ่งของไวไมดพี อและโดนแรงลมปะทะ การกองสิ่งของไมถูกวิธีนี้เปนสาเหตุอันหนึ่งในเรื่อง Spontaneous combustion ซึ่งไดกลาว ไวแลวในเรื่องไฟไหม 10. เครื่องแตงกายและอุปกรณปอ งกันอันตราย (Safety Equipment and Clothing) 10.1 อุปกรณปองกันอันตราย คําวาอุปกรณปองกันอันตรายนี้รวมถึง เข็มขัดเพื่อความ ปลอดภัย (Safety belt) แวนตา (Goggles) ฉากกั้นทั้งชนิดติดตั้งตายตัวและเคลื่อนที่ได เครื่องสวม ปองกันอันตรายตาง ๆ เชน หนากาก หมวก เกราะปองกันศีรษะ หนากากปองกันกาซหรือฝุนละออง เครื่องแตงกายสําหรับสวมขณะปฏิบัติงาน เหล็กครอบหลังเทา เสื้อสวมทับเพื่อปองกันเคมีภณ ั ฑตาง ๆ ครอบปองกันหนาแขง รองเทาปองกันอันตราย ถุงมือและน้ํายาลางมือ สิ่งเหลานีไ้ ดประดิษฐขนึ้ เพื่อ ปองกันชิ้นโลหะที่ปลิววอน ความรอนหรือเย็น สารที่กดั ผุกรอนเปนพิษหรือกอใหเกิดอันตรายอืน่ ๆ ฝุน กาซ ไอระเหยและควัน ผงหรือวุนเหลว ประกายไฟ แสงที่จาเกินไปหรือรังสีความรอน ของ แหลมคม และที่ใชในการขัดสี ไฟฟาดูด น้ําหรือของเหลวที่กอใหเกิดอันตรายไมรนุ แรงนัก แตกท็ ํา ใหเกิดความระคายเคือง บุคคลตกจากที่สูง สิ่งของหลอนจากที่สูง
28 อุบัติภัยเกี่ยวกับเรื่องเหลานี้ ก็เนื่องจากผูปฏิบัติงานไมสวมหรือใชอุปกรณปองกัน อันตรายที่จัดให ผลที่ไดรับ คือ การบาดเจ็บ ทุพพลภาพและเสียชีวิต บางครั้งผูปฏิบัติงานไมใชเครื่อง ปองกันอันตรายเพราะไมรูวธิ ีใช หรือไดรับเครือ่ งปองกันอันตรายมาใชไมเหมาะสมกับงานที่ ปฏิบัติอยู และที่สําคัญที่สุดก็คือไมจัดหาเครื่องปองกันอันตรายใหแกผูปฏิบัติงาน การแกไขอุบัตภิ ัยเกี่ยวกับเรื่องไมใชเครื่องปองกันอันตรายนี้ จึงขึ้นอยูก ับตัว ผูปฏิบัติงานเอง ในบางประเทศนัน้ ไดมีพระราชบัญญัติบังคับใหทางโรงงานจัดหาอุปกรณปองกัน อันตราย รวมทั้งติดประกาศ หรือฝกสอนใหผูปฏิบัติงานรูจักวิธใี ชแตในทํานองเดียวกันผูปฏิบัติงานก็ จะตองใชอุปกรณนั้น ๆ (เพือ่ ใหเปนไปตามพระราชบัญญัติดวย) อยางไรก็ดี ปรากฏวา ยังมีผลู ะเลยหลีกเลีย่ งในการใชอุปกรณปองกันอันตราย ทั้ง ๆ ที่ ทางโรงงานจะไมจายคาทดแทนใหสําหรับผูที่ฝาฝน สาเหตุมิไดเนือ่ งมาจากเกียจครานหรืออวดเกง แตมาจากสามัญสํานึกที่วา ถาตนเจ็บผูอื่นก็เจ็บเหมือนกัน ถาผูอื่นเปนอะไร ตนก็ไมควรจะเปน มี บอยครั้งที่ผูปฏิบัติงานรองวาใชแลวรําคาญทํางานไมสะดวก จริงอยูความไมสะดวกอาจจะมีบางใน ตอนแรก ๆ แตเมื่อไดใชจนเคยชินแลวความรูสึกเชนนี้กจ็ ะหายไป แตถายังคงรําคาญอยูก็ขอใหนกึ เสีย วา ความไมสะดวกสบายนัน้ ยังดีกวาสูญเสียตา นิ้ว มือ แขน หรือพิการอื่น ๆ ซึ่งไมมีโอกาสเรียกรอง กลับคืนมาไดชั่วชีวิต การปฏิบัติงานโดยไมคํานึงถึงความปลอดภัยของผูอื่นมักจะมีอยูบอย ๆ เชน ไมใชฉาก กั้นขณะสกัดสิง่ ของ เพื่อปองกันผูที่เดินผานไปมาจากสะเก็ดเหล็ก ผูเดินผานไปมามองดูแสงไฟเชือ่ ม โลหะแทนทีจ่ ะหาฉากกั้นแสงไว มีอยูเรื่องหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับการละเลย ไมใชอปุ กรณเพื่อความปลอดภัยและมีผลถึง เสียชีวิต กลาวคือ ชวยเหลือผูประสบภัยจากถูกรมดวยแกสในหองอับทึบ โดยไมมีเครื่องชวยหายใจ หรือหนากากปองกันกาซ บางครั้งผูชวยเหลืออาจนําผูประสบภัยออกมานอกหองไดสําเร็จ แตใช เวลานาน ซึ่งทําใหผูประสบภัยมักไมรอดชีวิต หรือถาอยางนอยก็ตกเปนภาระหนักแกผูพยาบาลรักษา ตอไป บางคนอาจจะเดินเขาไปในหองอับทึบ และคิดวาไมมีกาซสะสมอยูในหองนั้น แตเมือ่ ไปเหยียบหรือแซะคราบน้ํามันหรือสารอื่น ๆ ทําใหเกิดไอระเหยที่เปนพิษออกมา เข็มขัดเพื่อความปลอดภัย บางครั้งผูปฏิบัติงานใชมันเพียงครึ่งเดียว เชน รัดเข็มขัดไว กับตัวเรียบรอยดี แตไมไดคลองติดกับโครงสรางที่ผูปฏิบัติงานทํางานอยู ซึ่งไมกอใหเกิดความ ปลอดภัยแกผใู ชแตอยางใด ผูปฏิบัติงานยอมไมไดรับความสะดวกสบาย ในการสวมเครือ่ งปองกันอันตราย เหมือนกับตอนไมไดสวม ฉะนั้นการเลือกอุปกรณ จึงควรพิจารณาในเรื่องความสะดวกสบายดวย ความไมสะดวกสบายอยางอืน่ ไดแกการจัดหาแวนตากันผงชนิดไมมีรูระบายอากาศ ซึ่งทําใหอบรอนเบาตา ทางที่ดีควรจะใชชนิดมีรูระบายอากาศ หรือแบบแวนตาธรรมดา (Spectacle)
29 การใชแวนตากันผงโดยที่เครื่องกลนั้น ๆ อาจจะติดตัง้ กระจกกันสําหรับมองดูได การใชหนากาก ปองกันกาซหรือฝุนละอองผิดแบบไมเหมาะกับงานที่ทํา ถุงมือเมื่อสวมแลวจับของไมถนัด แวนตากัน ผงใชกระจกธรรมดาแทนทีจ่ ะใชกระจกทีเ่ คลือบไวไมแตกงาย นอกจากนี้มีอยูบอยครั้งที่ทางโรงงานไดจดั หาอุปกรณสําหรับปฏิบัติงาน แทนที่จะทํา การปองกันอันตรายเปนสวนรวมที่ตนเหตุ ยกตัวอยาง เชน แจกหนากากชวยหายใจแทนทีจ่ ะหาวิธี ถายเทอากาศเสียหรือฝุนละอองออกจากหองปฏิบัติงาน จัดใหผูปฏิบัติงานสวมเสือ้ ปองกันน้ํายาเคมี ตาง ๆ ที่กระเซ็นออกมาแทนที่จะปองกันการกระเซ็นนัน้ โปรดระลึกวาการใชอปุ กรณปองกันนั้น เปนวิธีการปองกันอันดับรอง สิ่งแรกที่จะตองกระทําก็คอื หยุดหรือกําจัดตนตอเสียกอนเทาที่จะทําได มีขอควรจะกลาวถึงอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องการใชอุปกรณปองกันอันตรายที่ไมถูกทาง ยกตัวอยาง เชน สวมถุงมือขณะทํางานกับเครื่องจักรกล ซึ่งเครื่องจักรกลเหลานั้นอาจจะหมุนมวนถุง มือเขาไปได ในกรณีเชนนี้มกั จะใชถุงมือแบบที่ไมบีบกระชับนัก ซึ่งถาเครื่องจักรบังเอิญหนีบดึงเขา ไปก็อาจจะสลัดมือออกไดทนั ทวงที 10.2 เครื่องแตงกายปองกันอันตราย การสวมรองเทาที่ชํารุดมักจะกออุบัตภิ ัยพืน้ รองเทาสึก มากของมีคมอาจจะแทงทะลุถึงเทา หรือพื้นที่มีของคมอาจฝงจับรองเทาไวทําใหผูสวมถลาได รองเทา ที่สนสึกมากทําใหผูสวมเดินไมถนัด เมื่อยเทาหรือสะดุดสิ่งอื่นไดงาย ความเมื่อยลาจากการที่ตองยืน ปฏิบัติงานนาน ๆ ขณะที่สวมรองเทาที่คบั เกินไปหรือชํารุด อาจจะกอใหเกิดอุบัตภิ ัยได รองเทาแตะ รองเทายาง หรือรองเทาเตนรําไมควรนํามาใชในงานชาง รองเทาสนสูงของหญิงเปนอันตราย ถาสน สูงเกินไปหรือสนสึกมาก ถาสวมไมเหมาะพอดีก็อาจจะพลิกไดขณะสวม ผูที่ปฏิบัติงานยกของหนัก ควรสวมรองเทาที่มีครอบปองกันอันตราย ที่ไหนมี เครื่องจักร ผูปฏิบัติงานก็จะตองระวังเกี่ยวกับเครื่องแตงกาย อยาผูกเน็คไทหลวม ๆ สวมเสื้อไมกลัด กระดุม ใชผาพันคอ สวมเสือ้ ปลอยชาย ไวผมยาวมาก เพราะมีอันตราย เครื่องจักรกลจะหนีบดึงเขาไป แตถึงแมจะไดระมัดระวังเรื่องเหลานี้แลว ก็ยังมีคนอีกเปนจํานวนมากทีต่ องบาดเจ็บพิการดวย เครื่องจักรเพราะเหตุตาง ๆ เพลาเรียบ ๆ ก็อาจหมุนมวนเสื้อผาที่ปลอยชายหรือสายรุงรังได ฉะนัน้ ควรสวมเครื่อง แตงกายใหกะทัดรัด กลัดกระดุมใหครบ กางเกงขายาวเกินไปควรตัดและเย็บตะเข็บใหพอดี เชน ชุด ปฏิบัติงานเมื่อไดรับมาขายาวเกินไป อยาใชวิธีพับขาแลวใชได เพราะถาที่พับไวหลุดลงก็จะทําให ตนเองสะดุดลม กางเกงทั่วไปก็เชนเดียวกันไมควรพับขา สวนเสื้อผาเปนแขนยาวก็ควรจะพับแขน ดีกวาสวมแขนยาว เวนแตวาแขนเสื้อนั้นแนบกะทัดรัด เสื้อแขนสั้นควรตัดใหแขนสั้นเหนือขอศอก ขึ้นไป ผูที่เฝาเครื่องจักรซึ่งไมมีรั้วลอมปองกัน ขณะที่เครื่องทํางานจะตองแตงกายดวย เครื่องแบบที่เหมาะกับงานนั้น มีกระเปาหลังไวสําหรับใสยุต เพื่อปองกันเศษยุตทีย่ อยลงมาซึ่งอาจจะ มวนเกี่ยวกับเพลาที่หมุนอยูไ ด
30 ชุดทํางานปกติก็มักจะเปรอะเปอนงาย ซึ่งเปนเรื่องที่หามไมได แตถาผูสวมไมคอยซัก ใหสะอาดตามที่เห็นสมควรก็จะกอความยุง ยากใหเชนกัน เชน เสื้อผาที่ชุมดวยน้ํามันอยูเสมอ เมื่อ เสียดสีกับผิวหนังก็อาจเปนตนเหตุใหเกิดโรคผื่นคัน (Dermatitis) ไมมีสถิติเกี่ยวกับอุบัติภยั อันเนื่องจากการหยอกลอเลนกันในขณะปฏิบัติงาน แต ปรากฏวาอุบัตภิ ัยเชนนี้เคยเกิดมาแลวมากมาย ความจริงแลวการหยอกลอเลนกันในการปฏิบัติงาน ไมไดแกใหเกิดประโยชนอนั ใด เปนการเสี่ยงภัยและขาดระเรียบวินัยซึ่งเปนหนทางนําไปสูอุบัติภยั สิ่งเหลานี้ผูปฏิบัติงานพึงระมัดระวังใหมาก ถึงแมบางครั้งการลอเลียนกันจะไมกอใหเกิดบาดเจ็บอยาง ใด แตกท็ ําใหผูถูกลอไดรับทุกขทรมานใจ ผูลออาจไดรับความสนุกแตถาความสนุกนัน้ กอให ผูรวมงานเสียชีวิตก็จะเปนเรื่องเศราที่ผูลอจะจดจําไปไมรูลืม การหยอกลอเลนกันในขณะปฏิบัติงานนั้น เกิดขึ้นก็เนือ่ งจากผูปฏิบัติงานไมไดระลึก ถึงผลเสียหายเหลานี้ หรือละเลยเห็นเปนเรื่องไมสําคัญ โปรดระลึกวาลมที่มีกําลังอัดดันสูงถาเปาใส หนาคนเหมาะ ๆ ก็อาจทําใหลูกตาทะลักจากเบาได เขาทวารไดของรางกายก็กอใหเกิดอันตรายภายใน บางครั้งอาจถึงเสียชีวิต แกลงผูอื่นดวยสารเคมีที่ตนไมรูคุณสมบัติของมันอาจเปนพิษหรือเกิดระเบิด หยอกลอกันดวยอุปกรณไฟฟา ยอมเปนเรื่องยากที่จะวินิจฉัยวาขาดการเอาใจใสตออุปกรณนั้น หรือไม ไฟแรงต่ํามาก ๆ (ขนาด 24 โวลต) ยอมไมมีใครทายวาจะกอใหเกิดไฟดูดถึงตายหรือไม ฉะนั้น ทางทีด่ ที ี่สุดก็คือเอาใจใสตองานที่ตนทํา ละเวนการหยอกลอเลนกันในระหวางปฏิบัติงาน 11. ไฟฟา (Electricity) เมื่อถูกไฟฟาดูดเพียงเล็กนอยจะทําใหผวิ หนังไหม หรือทําใหผูถูกไฟฟาดูดตกใจ กระโดดตก ลงมาไดรับบาดเจ็บ ในบางกรณี ผูถูกไฟฟาดูดรุนแรงอาจจะเสียชีวติ ทันทีทันใด หรือมีบาดเจ็บ รุนแรงภายหลังก็ได คนสวนมากมักจะเห็นเหตุการณเกีย่ วกับไฟฟาดูดเล็ก ๆ นอย ๆ เขาใจวาไมมี อันตราย แตความจริงแลวไฟฟาไมไดบอกใหเรารูถึงอันตรายจนกวาจะถูกเขาจริง มีองคประกอบหลายอยางทีจ่ ะนํามาพิจารณากันวา การถูกไฟฟาดูดจะเปนอันตรายถึงชีวิต หรือไม ยกตัวอยาง เชน การสัมผัสใกลและนานมากนอยเพียงใด การตอวงจรสายดินดีพอหรือไม แรงดันไฟฟาสูงหรือต่ํา ไฟตรงหรือไฟสลับ กระแสไฟฟาผานรางกายทางไหน และความชุมชืน้ ของ ผิวหนังมีมากนอยเพียงใด ขอบกพรองทางเทคนิค (เชน การหุมฉนวนไมด)ี การเดินสายไฟไมถูกตอง (เชน ตอสวิตช ทางดานสายทีไ่ มมีไฟ แทนที่จะตอดานทีม่ ีไฟ) ใชสายดินไมดี ไมมกี ารดูแลรักษาอุปกรณไฟฟา หรือ ใชไฟเกินพิกัดของอุปกรณนนั้ สิ่งเหลานี้ลวนเปนขอบกพรองที่จะทําใหเกิดอันตรายขึ้นได ผูปฏิบัติงานทางดานไฟฟา ทํางานเสี่ยงภัยมากกวาผูปฏิบัตงิ านธรรมดา เพราะจําเปนตอง ปฏิบัติงานกับอุปกรณที่มีไฟอยูเสมอ แตบางทีผูปฏิบัติงานทางไฟฟาอาจจะประมาทไมปลดสวิตช ออกทั้ง ๆ ที่จะปลดก็ได อาจจะสับสนเขาใจผิดพลาดไมแนวาอุปกรณสวนไหนมีไฟหรือไม หรือบาง ทีไมใชถุงมือเครื่องมือหรือเครื่องปองกันที่เหมาะสมกับอุปกรณที่มีไฟ
31 อุบัติภัยทางไฟฟามักจะเกิดกับผูปฏิบัติงาน ที่ไมมีหนาที่ เมื่อพยายามจะเปลี่ยนฟวสหรือตอ สายเครื่องมือหรืออุปกรณไฟฟาดวยตนเอง อันตรายที่เห็นไดงาย ๆ ที่เกิดขึ้นกับผูไมใชชางไฟฟา ไดแกการใชเครื่องมือไฟฟาชนิดยายไปมาได บางทีตอสายดินผิด บางทีสายดินขาดทําใหหัวเสียบ ไฟฟา 3 ทาง กลายเปน 2 ทาง เครื่องใชไฟฟาอาจจะมีไฟรั่วดูดผูใช ถาหากมีสิ่งบกพรองภายใน แตก็มี อยูบอย ๆ ที่มีการตอขั้วสายกลับกัน เกลียวสายไฟถาแยกออกไปแตะตัวเครื่องมือนัน้ ไฟรั่วดูดผูใชได ถาสายดินไมดพี อ ดวยเหตุนอี้ ันตรายจึงมักเกิดขึ้น เมื่อผูใชมีความรูทางไฟฟาแลวตอสายอยางลวก ๆ งาย ๆ เสียเองแทนที่จะใชชางไฟฟาอันตรายอยางอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับผูไ มใชชางไฟฟาก็คือ การตอสาย โดยไมมีความรูความชํานาญทําใหไฟฟาที่ใชเกินกําลังสาย เครื่องใชไฟฟาบางอยางทําฉนวนไวอยางดี ไมตองมีสายดิน เชน ไฟสอง การถอดฝาครอบ ออกก็อาจจะทําใหไมปลอดภัยได การใชไฟสองแบบธรรมดาที่ตอดวยสายหุมไหม มักมีผูไดรับ อันตรายบอย ๆ เมื่อนําไปใชในที่เปยกชื้น หรือในหองทีท่ ําดวยโลหะ เชน หมอน้ํา บางคนเขาใจวาการถูกช็อตเบา ๆ จากไฟฟาจะไดรับอันตรายนอยกวาโดนช็อตแรง ๆ ซึ่งเปน ความเขาใจผิดอยางมาก อันตรายอื่น ๆ จากไฟฟาก็ไดแกสวิตชทํางานไมคอยดี ซึ่งเมื่อฝนใชก็จะเสียในที่สุด โดยเฉพาะเมื่อถึงคราวฉุกเฉินไมติดปาย (Tag) ที่สวิตชบอกใหแนนอนวามีผูปฏิบัติงานซอมอยูก ับ อุปกรณนั้น ๆ ไมเชื่อวาไฟตรงแรงต่ําเคยทําใหผูคนเสียชีวิตมามากแลวเมื่ออยูในสภาวะที่เหมาะ ไม ใชแวนเมื่อคิดวาจะไดรับอันตรายการขาดของฟวส ไมยกสวิตชไฟออกหรือไมสวมฉนวนปองกันเสีย กอนที่จะเขาไปชวยเหลือผูถูกไฟฟาดูด ขณะทีย่ ังติดอยูท ี่สายไฟ ไมยกสวิตชบอกกอนที่จะทํางาน งาย ๆ เกี่ยวกับไฟฟา เชน เปลี่ยนหลอดไฟ และไมใสกุญแจตัวสวิตช หรือล็อคหามคันสวิตชเสีย กอนที่จะทําการซอมอุปกรณไฟฟา 12. บันได (Ladders) อุบัติภัยที่เกิดเพราะการใชบนั ไดอาจแบงออกไดเปน 4 อยาง คือ บันไดชํารุด วางบันไดไม มั่นคงใชไมถกู วิธี และถูกเคลื่อนยายไมถูกวิธี 12.1 บันไดชํารุด เนื่องจากการใชบันไดมีอยูเ ปนประจํา และไมเปนวัตถุที่เปลี่ยนคุณสมบัติ ไดงาย บันไดจึงมีการชํารุดตาง ๆ เชน ไมขั้นบันไดแตก ไมขั้นบันไดหลวมหลุดจากรอง ไมลูกตั้งตัว บันไดแตกหรือบิดงอ การชํารุดเหลานีม้ ักจะทําใหเกิดอุบัติภยั ไดขณะใชงาน บันไดที่ไมขนั้ หลุด หายไป บางซีม่ ักจะทําใหผูใชบันไดตั้งไมมั่นคง และทําใหไมลูกตั้งอีกขางหนึ่งตองรับแรงเคนมากขึ้น ดวย บันไดที่เหมาะกับการใชงานจะตองไดรับการตรวจสอบอยูเสมอ และตรวจทุกครัง้ กอนนําไปใช ถาเห็นวามีขอบกพรองก็ไมควรฝนนําไปใช บันไดที่ขั้นบันไดทําดวยไมตอกตะปูตอ ๆ กันขึ้นไปไมปลอดภัยในการใช ไมขั้นบันไดอาจจะทรุดเขาไปทางดานขาง
32 บันไดที่ชํารุดควรจะติดปายใหเห็นชัดแจง และควรตัดออกหรือทําลายเพื่อไมใหผูที่ไม รูนําไปใชอีก ความจริงมีอยูขอหนึ่งวา บันไดที่ชาํ รุดมักจะอยูใกลมือกวาอันที่ดีและมักกอใหเกิด อุบัติภัย 12.2 การวางบันไดไมมั่นคง บางครั้งผูปฏิบัติงานอาจจะวางบันไดผิดมุมและวางชันไป เมื่อ ผูปฏิบัติงานปนขึ้นไปก็อาจจะหงายหลังลงมา ถาวางลาดไปบันไดอาจแตกชํารุดเพราะรับแรงเคนมาก ขึ้น ขาบันไดเปนเรื่องที่ตองใชความระมัดระวังเพราะมีโอกาสที่จะลื่นไถลไดงาย การวางมุมบันไดผิดนี้ บางครั้งเกิดจากการเลือกบันไดมาใชพอเหมาะ บางทียาวไป บางทีสั้นไป ถาบันไดสั้นอาจจะไมมีสวนเกินเพื่อพาดกับคานหรือของอาคาร เวลาบันไดลื่นมักจะไม เลื่อนไปมากนัก แตการแกวงของบันไดอาจทําใหผูใชตกลงมาได บันไดทีว่ างบนพื้นที่ไมเสมอมักจะลื่นไดงา ย การเสริมขาบันไดขางหนึ่งโดยใชวัตถุ รองเพื่อใหเสมอกันมีอันตรายมากเชนกัน ถาหากวัตถุที่นํามารองนัน้ ไมดีพอ ทางที่ดีควรจะใช อุปกรณสําหรับยึดฐานบันไดใหเหมาะกับการใชงาน และควรจะผูกปลายบันไดตอนบนไวดวย บันไดทีว่ างไวโดยฐานยื่นอยูใ นเสนทางการปฏิบัติงานอื่น ๆ เชน ยวดยานพาหนะหรือ ผูคนเดินไปมา ซึ่งผูที่คอยยึดบันไดทีฐ่ านนอกจากจะจับฐานบันไดใหมนั่ คงแลวก็ควรจะเตือนผูที่ สัญจรไปมาไมใหเขาใกลบนั ได บันไดทีว่ างขางทางเขาออกไมวาจะขางในหรือขางนอก จะปลอดภัย ถาหากปดประตูใสกุญแจเสีย 12.3 ใชบันไดไมถูกวิธี มีขอระมัดระวังในการพิงบันไดจะตองไมหางจากงานทีจ่ ะทํา ดานขางจนเกินไป โดยเฉพาะอยางยิ่งขณะถอดหรือคลายนัตสกรู ทอ ใชเชือกสาวเอาถุง หรือรอก แขวนกับขั้นบันได เมื่อใชบันไดเปนทางหนีเพลิง ถาวางบันไดชันมากเกินไปก็จะทําใหผูปน ลงรวง หลนลงมาได ระยะทีพ่ ื้นอยางต่ําสุด 3 ฟุต 6 นิ้ว เปนระยะที่จะใชสําหรับจุดประสงคนี้ การลงบันได แบบแปลก ๆ เชน ปลอยตัวเลื่อนไหลลงมาใชมือราไว หรือหันหลังใหบันไดขณะลงอาจจะทําใหผนู ั้น ตกลงมาได การปลอยตัวเลื่อนไหลลงมายังเปนอันตรายตอมือซึ่งอาจจะถูกเสี้ยนตําได พูดโดยทัว่ ไป การใชบันไดที่จะใหสะดวกและปลอดภัยควรจะมีคนยืนจับฐานบันได ไว วิธีนี้ยอมจะชวยไดแมกรณีที่ใชบันไดชนิดมีฐานกันลืน่ ซึ่งความจริงไมจําเปน แตถาเปนฐานชนิดที่ ไมเหมาะกับพืน้ ที่ปฏิบัติงานก็ยอมเปนเรื่องจําเปน เมื่อผูใชบันไดปนขึ้นปลายสุดของบันไดแลวก็ ควรจะผูกยึดปลายบันไดไว เพื่อผูที่ยึดฐานบันไดจะไดมีโอกาสระวังยวดยานและผูคนที่ผานไปมา เบื้องลาง การสวมรองเทาชํารุดก็อาจเปนสาเหตุตกบันไดได เมื่อรองเทาขัดตัวกับขัน้ บันได บันไดจะ หักไดถารับน้ําหนักมากเกินไป คนที่ยืนอยูบนบันไดควรจะมีเพียงคนเดียว ถาไมมีความจําเปนที่ จะตองไปปฏิบัติงานพรอม ๆ กันสองคน บันไดอาจชํารุดเสียหายไดเมือ่ เก็บไวในพัสดุ ยกตัวอยาง เชน ตากแดดตากฝน ไดรบั ความรอนมากเกินไป หรือไมหาสิ่งใดมารองใหไดระดับเมื่อวางตามแนวนอน
33 12.4 การยกเคลื่อนยายบันไดไมถกู ตอง เมื่อผูปฏิบัติงานแบกบันได ก็มีปลายบันไดสองขาง ที่ผูนั้นจะตองคอยระวัง ปลายดานหนาอาจปะทะบุคคลอื่นที่มุมอาคารซึ่งมองกันไมเห็น เวนแตผูแบก จะยกปลายบันไดใหเชิดขึ้น ปลายดานหลังอาจจะแกวงซายขวาและไปกระทบขาบุคคลอื่นได เพราะ ดานหลังผูแบกไมอาจจะระมัดระวังไดตลอดเวลา ผูที่แบกบันไดจึงควรกะเอาวา ขณะนี้ปลายบันไดอยู ประมาณตําแหนงใด แตขอสําคัญก็คือจะตองระลึกถึงขอนี้อยูเสมอเมือ่ จะเลี้ยว เมื่อจะตั้งหรือลดบันได ถาใชผูปฏิบัติงานที่ไมเขาใจก็อาจจะทําใหบนั ไดลมฟาดลงมา ได เนื่องจากบังคับไมอยู ถาบันไดยาวมากควรใชวิธีเอาเชือกผูกปลายบันไดแลวโรยเชือกลงมา รถที่มีบันไดบรรทุกติดรถ ควรมีธงแดงติดไวทั้งดานหนาและหลัง และจะตองกะระยะ ใหพอในขณะเลี้ยว
.......................................................
บทที่ 3 ความปลอดภัยในการทํางานดานตาง ๆ ความปลอดภัยในโรงงานควรมีสิ่งตาง ๆ ดังจะกลาวตอไปนี้ 1. การรักษาโรงงานและเครื่องจักร ควรจัดใหมกี ารตรวจสภาพอาคารและเครื่องจักรเปน ประจํา และตองจัดเตรียมพืน้ ที่ใหสะดวกแกการทํางาน ตองจัดเก็บวัสดุสิ่งของและสารเคมีใหเปนที่ นอกจากนี้ควรมีทางหลบหนีภัยที่อยูในสภาพพรอมเสมอ 2. ทางออกฉุกเฉิน ควรมีขนาดกวางใหเหมาะสมกับจํานวนผูปฏิบัติงานและควรมีความ พรอมตลอดเวลาจึงควรไดรบั การดูแลตลอดเวลา 3. สัญญาณอันตราย โรงงานที่มีกาซหรือวัตถุไวไฟที่มคี นงานตั้งแต 50 คน ขึ้นไป ควรมี สัญญาณแจงใหคนงานออกจากพื้นที่โดยเร็ว ซึ่งควรมีอยางนอย 2 แหง 4. เครื่องดับเพลิงในโรงงานที่มีสารเคมีและวัตถุไวไฟควรมีเครื่องดับเพลิงที่เหมาะสมตาม สภาพในอัตราสวน 1 เครื่องตอพื้นที่ 100 ตารางเมตร 5. การกําจัดขยะมูลฝอย ควรทําที่ทิ้งใหเหมาะสม 6. แสงสวางในการทํางาน ควรมีใหเพียงพอเพื่อมองเห็นสิ่งตาง ๆ ชัดเจน 7. เครื่องมือในการปฐมพยาบาลตองมีพรอมตลอดเวลา 8. สวมและสถานที่ทําความสะอาดรางกาย ควรสะอาดปราศจากเชื้อโรค 9. จัดพื้นที่ปฏิบัติงาน วางเครื่องจักตาง ๆ ใหเหมาะสม 10. น้ําดื่มควรสะอาด ถูกตองตามหลักอนามัย ประโยชนของการทํางานทีป่ ลอดภัยในโรงงาน การเกิดอุบัติเหตุ ยอมกอใหเกิดความสูญเสียหลายอยาง เชน เสียเวลา เสียคาใชจาย เสีย ขวัญ และกําลังใจ เปนตน การสูญเสียดังกลาวในทางเศรษฐกิจถือวา เปนตนทุนในการผลิตอยางหนึ่ง ดังนั้นการปองกันไมใหเกิดอุบัติเหตุขึ้นจึงเปนการประหยัดคาใชจาย เทากับเปนการลดตนทุนในการ ผลิตอีกดวย การจัดสภาพการทํางานของคนงานใหมีความปลอดภัย เปนสิ่งสําคัญของการบริหารใน ปจจุบัน การทํางานในสภาพที่มีความปลอดภัย นอกจากเปนการปองกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึน้ แลว (โดยการปรับปรุง แกไขสภาพแวดลอม เครื่องจักรกล และวิธีการทํางาน) ยังจะไดรบั ประโยชนดงั นี้ 1.ผลผลิตเพิ่มขึ้น การทํางานในโรงงานไดรับความปลอดภัย โดยการจัดสภาพแวดลอมที่ ถูกสุขลักษณะ เครื่องจักรมีอุปกรณปองกันอันตรายเพียงพอ ทําใหคนงานมีขวัญ และกําลังใจในการ ทํางานสูงกวาการทํางานที่อนั ตราย หรือเสี่ยงตอการบาดเจ็บ เพราะคนงานมีความรูสึกวาปลอดภัย หมดความวิตกหรือกังวลเกีย่ วกับอันตราย ทําใหมนั่ ใจทํางานไดเต็มที่และรวดเร็วยิ่งขึ้น ผลผลิตของ โรงงานเพิ่มขึ้น
35 2. ตนทุนการผลิตลดลง เมื่อสถิติการเกิดอุบัติเหตุของโรงงานลดลง ความสูญเสีย หรือ คาใชจายสําหรับอุบัติเหตุลดลงดวย ทําใหโรงงานสามารถประหยัดเงิน คารักษาพยาบาล เงินทดแทน คาซอมแซมเครื่องจักร เปนตน ถามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจะตองเสียคาใชจา ยสวนนี้เปนเหตุใหตน ทุนการ ผลิตเพิ่มขึ้น 3. สงวนทรัพยาการมนุษย การเกิดอุบตั ิเหตุแตละครั้งมักจะทําใหคนงานบาดเจ็บ บางครั้ง รายแรงถึงขึ้นพิการทุพพลภาพหรือเสียชีวติ เปนผลใหประเทศชาติตองสูญเสียทรัพยาการที่สาํ คัญ โดยเฉพาะเมื่อผูบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตนัน้ เปนแรงงานทีม่ ีฝมือ มีความชํานาญงานจากการฝกฝนเรียนรู เปนเวลานาน การสูญเสียบุคคลเหลานี้ เปนการสูญเสียที่มีคาสูงมาก นอกจากนั้นความพิการหรือ ทุพพลภาพยังเปนภาระของญาติพี่นอง และสังคมที่ตองใหความชวยเหลือ การทําสภาพแวดลอมใหมี ความปลอดภัยในการทํางาน จึงเปนการสงวนทรัพยากรที่สําคัญของประเทศชาติอีกดวย
การปองกันอันตรายจากเครื่องจักร อันตรายที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทํางานกับเครื่องจักรมักปรากฎขึ้นในสถานประกอบการตาง ๆ อยูเสมอ สาเหตุของอันตรายที่เกิดขึ้นมักเกิดจากเครื่องจักรชํารุด เครื่องจักรมีสภาพทีไ่ มปลอดภัย หรือ ความประมาทของผูทํางานกับเครื่องจักร จึงจําเปนอยางยิ่งที่จะตองหาวิธีการปองกันอันตรายมิให เกิดขึ้นได และการปองกันที่ไดผลวิธีหนึง่ คือ การติดตั้งอุปกรณปอ งกันอันตราย หรือ ฝาครอบที่ เหมาะสมที่เครื่องจักร ณ จุดที่กอใหเกิดอันตรายได ลักษณะของเครื่องจักรที่ตองใชอุปกรณปองกันอันตราย หรือฝาครอบ มี 2 ประเภท คือ 1. เครื่องสงถายกําลัง ไดแก เพลา สายพาน โซ กระเดือ่ ง เฟอง ปุลเลย เกียร เปนตน อันตรายที่เกิดกับคนงานสวนใหญอยูในลักษณะของการถูกชน กระแทก หนีบรั้งเขาไปทําใหสญ ู เสีย อวัยวะ เชน มือ แขน เทา ขา ใบหนา ศีรษะ ผิวหนัง เปนตน ทําใหคนงานพิการหรือเสียชีวิต 2. เครื่องจักรทําการผลิต ไดแก เครื่องกลึง เครื่องกัด เครื่องไส เครื่องเจาะ เครื่อง เจียระไน เปนตน ลักษณะของอันตรายอยูใ นรูปของอุบัติเหตุที่เกิดแก นิ้วมือ แขน เทา ใบหนา ลําตัว ศีรษะ และ ผิวหนัง และมักเกิดแกคนงานที่ทํางานกับเครื่องจักรนั้นโดยตรง ทําไมจึงตองใชอุปกรณปองกันอันตราย ? 1. ปองกันมิใหคนสัมผัสกับสวนที่เคลื่อนไหวอยูตลอดเวลาของเครือ่ งจักร เชน เกียร ปุลเลย สายพาน ใบมีดตัด ฯลฯ 2. ปองกันมิใหคนสัมผัส กับลักษณะงานที่เปนอันตรายมาก เชน ปองกันการกระเด็น ของวัตถุถูกตา ใบหนา ปองกันการถูกเลื่อยตัด เปนตน 3. ปองกันอันตรายที่เกิดจากการชํารุดของเครื่องจักร เนื่องจากเครื่องจักรขาดการ บํารุงรักษา ใชงานผิดวัตถุประสงค หรือใชเครื่องจักรเกินกําลัง เปนเหตุใหเกิดอันตรายตอผูใชเครื่อง จักรนั้น
36 4. ปองกันการเกิดเพลิงไหม หรือปองกันอันตรายจากไฟฟา เนื่องจากระบบสายไฟฟา ชํารุด หรือติดตั้งไวไมถูกตอง 5. ปองกันอันตราย เนื่องจากความบกพรองของตัวผูใชเครื่องจักรเอง เชน งวง เหนื่อย เมื่อยลา เจ็บปวย เปนตน ลักษณะของอุปกรณปองกันอันตรายทีด่ ี 1. ไดรับการออกแบบถูกตองตามมาตรฐาน สามารถประกอบกับเครื่องจักรไดเหมาะสม สวนใหญจะติดตั้งมาพรอมกับเครื่องจักร 2.สามารถปองกันอันตรายไดมากที่สุดและครอบคลุมพื้นที่งานในการทํางานของคนงาน 3.อุปกรณปองกันอันตรายทีต่ ิดตั้งจะตองไมกอใหมจี ุดออนเปนชนวนใหเกิดอันตรายกับ คนที่ใชเครื่องจักรนั้น 4. เมื่อติดตั้งอุปกรณปองกันอันตรายแลว จะตองไมรบกวนขัดขวางการทํางาน จนทําให ประสิทธิภาพในการทํางานของเครื่องจักรลดลง หรือเกิดความไมสะดวกสบายตอผูใชเครื่องจักร 5. มีความเหมาะสมกับงาน หรือเครื่องจักรนั้นโดยเฉพาะ สะดวกตอการปรับแตง การ ตรวจสอบ การบํารุงรักษาและการซอมแซม 6. ตองทนทานตอการกัดกรอนของ กรด และดาง 7.วัสดุที่ใชทําตองคงทนแข็งแรง สามารถรับน้ําหนักแรงกระแทก และแรงกดไดเปน อยางดี วัสดุที่นิยมใชทําอุปกรณปองกันอันตราย ตะแกรงลวดถัก หรือตาขาย, ตาขายเหล็กยึด แผนเหล็กเจาะรู หรือไมเจาะรู แผงเหล็ก หรือไม ตีเปนตาขาย หรือตีขวาง แผนไมอัด หรือแผนพลาสติก, ทอเหล็ก หรือทํารั้วกั้น
37
ความปลอดภัยในการใชเครื่องจักรกล เครื่องจักร เปนอุปกรณที่สําคัญประเภทหนึ่งของโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตตาง ๆ เพราะเปนตัว ผลิตและตกแตง ผลผลิตใหออกมามีคุณภาพ จึงตองมีการศึกษาถึงปลอดภัยในการใชเครื่องจักร ซึ่งที่ จริงแลวผูเรียนสายอาชีพสาขาชางอุตสาหกรรมจะตองศึกษาถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการทงําานข องเครื่องจักรกลในโรงงาน รูป 1 แสดงเครื่องจักรกล ในโรงงาน
อุบัติเหตุที่เกิดจากเครื่องจักรกล
รูป 2 แสดงการตะไบงานบนเครื่องจักรกลผิดวิธี
1. อุบัติเหตุทเี่ กิดจากเครื่องจักรกลที่สภาพเรียบรอย แตไมไดกนั้ รั้วไว เชน เครื่องที่มีรอบการหมุนสูง สถานที่ติดตั้งเครื่องจักรกลแบบนี้ ผูติดตั้งอาจเห็นวาปลอดภัย แตเมื่อผูป ฏิบัติงานเขาไปใกลเพื่อทํา การซอม ถาหากวาผูนั้นขาดความชํานิชํานาญ, ไมเชื่อฟงหัวหนา หรืออืน่ ๆ เพลาของเครื่องจักรกล อาจหมุนมวนเสื้อผาผูปฏิบัติงานนั้นเขาไปทําใหบาดเจ็บ
38
รูป 3 แสดงการตะไบงานบนเครื่องจักรกลถูกวิธี
2. อุบัติเหตุที่เกิดจากเครื่องจักรกลบางสวนไมมีครอบปองกัน เพราะติดตั้งมีความเชื่อวา ไมมี ใครเขาไปใกลได จึงทําครอบปองกันไวไมแข็งแรงเพียงพอ
รูป 4 แสดงถึงจุดอันตรายที่อาจจะเกิด จากเครื่องจักรที่ไมมีครอบปองกัน
3. อุบัติเหตุที่เกิดจากการถอดครอบปองกันออก 4. อุบัติเหตุที่เกิดจากเครือ่ งหามอัตโนมัติหรือหามในตัว สวนใหญเนื่องจากจากออกแบบไมดีพอ บํารุงรักษาไมดี และการทํางานของเครื่องจักรกลบกพรอง
รูป 5 แสดงเครื่องกลึงซึ่งไมสามารถใสกรอบปองกันและเปนที่มาของการเกิดอุบัติเหตุ 5. อุบัติเหตุนี้เกิดจากเครื่องจักรกลบางชนิด ซึ่งไมอาจจะใสครอบปองกันไดโดยสมบูรณเพราะ ลําบากตอการใชงาน
39
รูป 6 แสดงการเกิดอุบัติเหตุมีสาเหตุมาจากบุคคลอื่น 6. อุบัติเหตุเกิดจากการสตารทเครื่องจักรกลโดยไมตั้งใจ ซึ่งสวนมากมักจะเปนบุคคลอื่นไมใช ผูปฏิบัติงาน ขอควรระวัง การปองกันอุบัติเหตุอันเกี่ยวกับเครื่องจักรกลตองอาศัยเทคนิคแลการจัดระบบที่ดพี อ
รูป 7 แสดงเครื่องมือที่มีครอบปองกัน
1. ผูรับผิดชอบจะตองเขาใจตอขอปลีกยอยในการทํางานของเครื่องจักรกลนัน้
รูป 8 แสดงอันตรายจากการใสเสื้อผาที่ไม รัดกุมทํางาน
40 2. ผูปฏิบัติงานซึ่งทํางานอยูใกลเครื่องจักรกลจะตองใชความระมัดระวังตัว การปองกัน โดยทั่วไปก็คอื เสื้อผาที่ใชจะตองกะทัดรัด ปฏิบัติตามขอแนะนําในการประกอบสายพานเครื่องจักร และระมัดระวังในการเขาไปใกลเครื่องจักรกลซึ่งผูติดตั้งเขาใจวาตั้งอยู ณ ที่ที่ปลอดภัย
รูปที่ 9 แสดงอันตรายจากน้าํ มันเครื่องที่รวั่
3. อันตรายอื่น ๆ ที่จะทําใหเกิดอุบัติเหตุเกีย่ วกับเครื่องจักรกล เชน กองหรือทิ้งสิ่งของรก รุงรัง, พื้นลื่น ขาดการทําความสะอาด แสงสวางในโรงงานไมเพียงพอ ซึ่งสิ่งเหลานี้ควรจะทําแกไข เสียกอน
อุปกรณและเครื่องจักรที่เปนอันตราย 1. เพลาขับเครื่องยนตเผาไหมภายใน ทุกชนิดมักจะกอใหเกิดการบาดเจ็บ ผูปฏิบัติงานควร ระวังเรื่องเสื้อผาที่สวม การหยอดน้ํามันโดยผูหยอดอยูห างออกมาแทนที่จะหยอดอยูใกล ๆ เพลาขับที่ หมุนอยู
I
รูป 10 แสดงอันตรายจากการจับชิ้นงานที่รอน หรือ เครื่องมือที่รอนโดยไมสวมถุงมือหรือผารอง
2. เพลาหมุน เพลาหมุนนี้จดั วาเปนอันตรายอยางหนึ่งที่กอใหเกิดการบาดเจ็บ ซึ่งเพลาหมุนนี้ นับวาอันตรายตอผูปฏิบัติงานอยางมาก ฉะนั้นควรปฏิบัติงานอยางระมัดระวัง
41
รูป 11 แสดงอันตรายจากผาเช็ดมือที่เก็บ ในกระเปาเสื้อ
3. สายพาน, เชือก, โซ และรอก นอกจากเรื่องการใชครอบปองกันไมเหมาะสมแลว อุบัติเหตุอกี ขอหนึ่งก็คือ การประกอบสายพาน ซึ่งอาจจะทําโดยผิดวิธีหรือไมใชเหล็กงัดสายพาน หรืออุปกรณ ชวย ซึ่งอาจหนีบนิ้วมือ หรือสวนหนึ่งสวนใดของรางกายได
รูป 12 แสดงอันตรายจากการใสสายพาน
4. หมูเฟอง อุบัติเหตุเกีย่ วกับหมูเฟอง มักจะเนื่องมากจากการใชครอบปองกันที่ไมถกู ตอง ที่ สําคัญก็คือ หองเฟองที่ไมไดปดมิดชิด คงใชครอบปองกันไวแตสวนที่เห็นวาเปนอันตรายเทานัน้ ซึ่ง จําเปนตองแกไขและผูใชเครื่องจักรกลเหลานั้นจะตองระวังอยางมาก
รูป 13 แสดงหมูเฟองภายในเครื่องจักรที่มาของอุบตั ิเหตุในการทํางาน
42
5. เครื่องปมขึ้นรูป เครื่องจักรกลชนิดนี้มีอนั ตรายที่จะตองเอาใจใส คือ ก. ไมติดตั้งครอบปองกันใหมนั่ คง ข. ปรับระยะครอบปองกันอัตโนมัติไมถูกตอง ค. ไมมีครอบปองกันดานขางและดานหลัง 6. เครื่องจักรกลเกี่ยวกับงานชางไม จะตัดอวัยวะรางกายในชั่ววินาที ซึ่งชางทุกคน ยอมทราบดีอยูแ ลว แตสวนมากก็ยังอาศัยความชํานาญที่จะไมตองอาศัยครอบปองกัน เหตุการณที่ไม นึกฝนเกิดขึ้น และผูชํานาญก็ไมอาจรูไดลวงหนาถึงสภาพของมันดวย สภาพเชนวานีจ้ ะเห็นไดวา ครอบปองกันสิ่งจําเปนในการปองกันอุบัติเหตุ 7. เครื่องเจาะ จะตองยึดสิ่งที่จะเจาะใหมนั่ คง โดยเฉพาะการเจาะเหล็กแผนบาง ๆ อันตราย มาก การหมุนของแผนเหล็กบาง ๆ มีลักษณะเหมือนเลื่อยวงเดือนในแนวนอน
รูป 14 แสดงอันตรายจากการเจาะ ชิ้นงานที่จับยึดไมมนั่ คง
8. หินเจียระไน มีอนั ตรายอันอาจกออุบัติเหตุไดหลายประการ เชน การประกอบหินเจียระไน กับแกนหมุนไมไดศูนยหรือยึดไมแนน, ใชรอบการหมุนสูงผิดปกติไมมีครอบปองกันหรือครอบ ปองกันไมแข็งแรงเพียงพอที่จะตานทานแรงเหวี่ยงของหินเจียระไนทีแ่ ตกกระจายออกมา
รูป 15 แสดงอันตรายจากการประกอบ หินเจียระไนไมมั่นคง
43
กฎความปลอดภัยในการปฏิบัตงิ านกับเครื่องมือกลทั่วไป กฎที่สําคัญมี 6 ขอ คือ 1. จะตองหยุดเครื่องทุกครั้งเมื่อผูปฏิบัติไมอยูควบคุม 2. ชางปฏิบัติการตองไมสวมเสื้อผารุมราม 3. ชางผูปฏิบัติการเกี่ยวกับเครื่องมือกลทุกชนิด ตองสวมเครื่องปองกันอันตรายตอดวงตา 4. หามทิ้งเศษขยะ หรือบวนน้ําลายลงในถังน้ําระบายความรอน หรือ น้ํายาหลอเย็นเพราะ เปนการทําใหน้ํายาเสื่อมคุณภาพ และเปนการแพรเชือ้ โรค 5. หามปรับแตงหรือวัดขนาดชิ้นงานในขณะที่เครื่องมือกลยังทํางานอยู 6. ผูปฏิบัติงานจะตองใชแปรงหรือเครื่องมือพิเศษในการกวาดเศษโลหะ สาเหตุสําคัญอยางหนึ่งทีเ่ ปนผลใหเกิดอุบัตเิ หตุแกดวงตา ในการปฏิบัติงานเกีย่ วกับเครื่องมือกลทุก ประเภท โดยเฉพาะอยางยิง่ เครื่องเจาะก็เนื่องจากการใชลมกําลังดันสูงเปาเศษโลหะออกจาเครือ่ งกล หรือออกจากเสื้อผา ซึ่งเปนวิธีการปฏิบัติที่ไมถูกตอง
อยาใชเครื่องจักรกอนเรียนรู ระบบและความปลอดภัยในโรงงาน 1. อยาซอมเครื่องจักรกอนเรียนรู เมื่อเครื่องจักรเกิดชํารุดขึน้ ควรใหชางผูชํานาญงานเปนผูซอมแซมเครื่องจักรนัน้ ไมควร ทดลองแกเอง เพราะอาจทําใหเครื่องจักรนัน้ ชํารุดมากขึน้ หรืออาจไดรับอันตรายจากเครื่องจักรนัน้ ได 2. อยาถอดการดปองกันอันตราย อยานําเครือ่ งปองกันหรือการด ซึ่งปดครอบสวนทีเ่ คลื่อนที่ไดของเครื่องจักรออก เวนเสียแตในกรณีที่มีการซอมแซมหรือปรับเสร็จเรียบรอยแลว
44
รูป 16 อยาถอดการดปองกันอันตราย 3. หมูเฟอง อุบัติเหตุเกีย่ วกับหมูเฟอง มักจะเนื่องมาจากการใชครอบปองกันที่ไมถูกตอง หรือการยืน เขาไปใกลหองเฟองซึ่งเปดทิ้งไว ที่สําคัญก็คือหองเฟองที่ไมไดปดมิดชิด คงใชครอบปองกันไวแต สวนที่เห็นวาจะเปนอันตรายเทานั้น เชน สวนที่เฟองขบกัน หรือสวนนอกของฟนเฟองซึ่งจําเปนตอง แกไข และผูใชเครื่องจักรเหลานั้นจะตองระวังเปนอยางมาก 4. การสตารทเครื่องจักร อุบัติภัยที่เกิดจากการสตารทเครื่องจักร โดยไมตั้งใจ ซึ่งสวนมากมักจะเปนบุคคลอื่น ไมใชผูปฏิบัติงาน การแกไขก็คือ ชักฟวสออกเสียกอนปฏิบัติงานซอมแกไข ใชปายเตือนระวัง อันตราย ลั่นกุญแจสตารทเตอรไมใหใครกดหรือสับสวิตชได
รูป 17 อันตรายจากการไมระวังการสตารทเครื่องจักร
45 5. การใชผา คลุมผม สําหรับผูปฏิบัติงานหญิง จะตองใสหมวก นิรภัยที่สามารถปกคลุมผมไดอยางเรียบรอยมีอยู บอยครั้งที่อุบัติภัยเกิดขึ้นเปนบทเรียน ลดความ ประมาท อยากลองดีของผูปฏิบัติงานหญิงลงได เมื่อ ปรากฎวาเครื่องมือกลไดถลกเอาหนังศีรษะติด ออกไปเปนบางสวน หรือตลอดทั้งศีรษะ ในทํานอง รูปที่ 18 อันตรายจากการไม เดียวกัน สิ่งประดับรางกายตาง ๆ เชน แหวน กําไล ใชผา คลุมผม สรอยคอ หรือเครื่องประดับอื่น ๆ ก็ไมควรสวมใส ขณะทํางาน เพราะสวนทีย่ นื่ ออกมาของชิ้นสวนที่เคลือ่ นไหวไดหรือหมุนอยูของเครื่องมือกลอาจจะ ดึงเอาเครื่องประดับเหลานีเ้ ขาไปพรอมกับอวัยวะของรางกาย เครื่องกลึงธรรมดา เครื่องกลึงชนิดนี้จัดเปนเครื่องมือที่มีอันตราย นอย แต ตองใชดวยความสุขุมรอบคอบเพื่อมิใหเกิดอันตรายได การ บาดเจ็บจากเครื่องมือประเภทนี้ เนื่องมาจาก 1. สัมผัสหรือกระทบกับรอยคมของชิ้นงาน หรือสวน ที่ยื่นออกมาจากชิ้นงาน หนาจาน หัวจับ หรือเหล็กพางาน โดยเฉพาะอยางยิ่งสลักเกลียวปรับแตงตาง ๆ ที่ยื่นออกมา 2. การกระเด็นของเศษโลหะจากการกลึง รูปที่ 19 อันตรายจากการทิ้ง ประแจ 3. คันบังคับหยุดของเครื่อง 4. ใชตะไบดวยมือขวา ใชตะไบโดยไม มีดามจับ หรือใชมือจับกระดาษทรายขัดชิ้นงาน แทน การใชไมปะกระดาษทราย 5. วัดขนาดหรือความยาวของชิ้นงาน ในขณะที่เครือ่ ง กําลังเดินอยู 6. พยายามเขี่ยหรือปดเศษโลหะ ในขณะที่เครื่อง กําลังเดินอยู 7. สัมผัสหรือกระทบกับชิ้นงานทีก่ าํ ลังหมุนซึ่งยืน่ ออกมาจากเครือ่ งกลึงประเภทแทนลูกโม หรือเครื่องทํา เกลียว รูปที่ 20 อันตรายจากการใชมือเปลา 8. ทิ้งประแจขันหัวจับคาไวที่หวั จับ กวาดเศษเหล็ก 9. เครื่องมือหมุนมวนเอาเสื้อผาที่รุมราม หรือผาเช็ด เครื่องเขาไป
46 อันตรายจากการใชสวานเจาะตั้งแทน - สัมผัสกับแกนของเครื่อง หรือกับดอกสวาน - ดอกสวานหัก - การใชดอกสวานที่ขาดความคม (ทื่อ) - ถูกกระแทกจากชิ้นงานที่เหวีย่ งหลุดออกมาเพราะจับยึดไวไมแนน - ชิ้นสวนของเครื่องหมุนมวนเอาเสนผม หรือเสื้อผาเขาไป - ใชมือเปลากวาดเอาขี้เหล็กออกจากเครื่อง - ลืมประแจหัวจับหรือเหล็กสงไวในหัวจับ การทําความสะอาดดวยลมเปา ผูปฏิบัติงานสวนมากชอบใชสายยางลมเปาทํา ความสะอาดฝุน หรือสิ่งสกปรกที่ติดอยูก ับเสื้อผาหรือที่ผม ซึ่งอาจเกิดอันตรายตอดวงตาและหูได ควรจะหามวิธี ปฏิบัติที่ผิด ๆ เชนนี้เสียและจัดหาแปรงหรือเครื่องดูดฝุน ใหใชแทน มีวิธีการที่ปลอดภัยกวาและดีกวาใชลม ในการขจัดเศษโลหะ คือ จัดหาแปรงสําหรับปดเศษโลหะ รูปที่ 21 อันตรายจากเศษเหล็ก ใชแปรงที่ใชเพื่อวัตถุประสงคดังกลาว จะตองไมมีหวง กระเด็นเขาตา ลวดหรือสิ่งอื่น ๆ ที่มีลักษณะเปนหวงอยูที่ปลายของดาม จับ เพราะนิว้ มืออาจสอดเขาไปได เปนอันตรายตอการที่เครื่องจักรอาจหนีบดึงเกีย่ วเขาไปพรอมทั้ง แปรง การเปลี่ยนหนาจานแทนกลึง เนื่องจากการทํางานกับเครือ่ งมือกลเหลานี้ ตองมี การยกเปลีย่ นอุปกรณประกอบที่หนัก ๆ หรือชิ้นสวน เครื่องมือกลที่หนัก เชน หนาจาน หัวจับ เปนตน ดังนัน้ ผูปฏิบัติงานทุกคนจะตองใสรองเทานิรภัยเพื่อลดอันตราย ที่จะเกิดขึ้นหากของหนัก ๆ เหลานี้หลนทับเทา รูปที่ 22 อันตรายจากหนาจานทับเทา ที่ไมใสรองเทานิรภัย
47
การดปองกันอันตรายจากเครื่องจักร การปองกันอันตรายจากเครื่องจักร หรือเรียกวา การทําการดเครื่องจักร ก็คือ การออกแบบ หรือหามาตรการปองกันไมใหมีอันตรายเกิดขึ้น การออกแบบการสราง การติดตั้งและการบํารุงรักษา การดที่จะปองกันจุดอันตรายของเครื่องจักรนี้ จําเปนตองเอาใจใสเปนพิเศษ อาจถึงขั้นสูญเสียนิ้ว ฝา มือ หรือแขนก็เปนได อันเปนผลใหผูบาดเจ็บตองพิการไปตลอดชีวติ แตอยางไรก็ตาม เครื่องจักรที่ ไมมีการดหรือมีแตไมเหมาะสมหรือเพียงพอ แมวาจะมีการใชมาเปนเวลานานแลวก็ตาม แตยังไมเคย มีอุบัติภัยเกิดขึน้ เลย ก็ไมไดหมายความวาเครื่องจักรนั้นจะไมเปนอันตราย เพียงแตผูปฏิบัติงานอาศัย ความชํานาญหรือทํางานดวยความระมัดระวังเทานั้น นับวาเปนการกระทําที่เสี่ยงอันตรายมาก เนื่องจากพฤติกรรมของคนคอนขางจะคาดการณไดยากและหวั่นไหวแปรเปลี่ยนไดตลอดเวลา แมวา ผูปฏิบัติงานมีความระมัดระวังมากเพียงใดก็ตาม บางครั้งก็ อาจพลาดพลั้งได ดังนัน้ จึงตองมีการทําการดเครื่องจักรให ถูกตองและเหมาะสมที่สุด ลักษณะของการดที่ดีควรจะมี ลักษณะดังนี้ 1. ใหการปองกันอันตรายตั้งแตตนมือ 2. ใหการปองกันมิใหสวนของรางกายเขาใกลเขต รูปที่ 23 การดปองกันมือกอนแกไข อันตราย 3. ใหความสะดวกแกผูทํางานไดเชนเดียวกับที่ ไมได ใสการดปองกัน 4. การดที่ดีควรไมขัดขวางผลผลิต 5. การดควรเหมาะสมกับงานและเครื่องจักร 6. การดควรมีลักษณะติดมากับเครื่อง รูปที่ 24 การดปองกันมือหลังแกไข 7. การดควรงายตอการตรวจซอมและการเติมน้ํามัน 8. การดควรทนทานตอการใชงานปกติไดดี และมีการ บํารุงรักษานอย การปองกันอันตรายสวน ที่เคลื่อนไหวของเครื่องจักรแบบตาง ๆ นั้น สามารถทําได โดยการสรางการดปองกันอันตรายจากเครื่องจักร ทั้งนี้ เพื่อ รูปที่ 25 แทนปมยังไมใส ปองกันไมใหคนงานตองสัมผัสกับจุดที่อันตราย ในการ การด ติดตั้งการดนัน้ จะตองศึกษาใหดีและละเอียดรอบคอบ เพราะหากติดตั้งการดไมเหมาะสม แทนที่จะ ปองกันไดกลับเปนจุดออนที่ทําใหเกิดอันตรายมาก ยิ่งขึ้น ดังนั้น การติดตั้งการดนั้น จะตองเลือกใหถกู กับลักษณะของงาน ปกติสามารถแบงการด
48 ออกเปนชนิดใหญ ๆ 5 ชนิด ซึ่งในการใชนั้น อาจเลือกใชแบบใดแบบหนึ่งหรือหลายแบบพรอมกันก็ ได 1. การดชนิดติดตั้งอยูกับที่ ( a Fixed Guard ) 2. การดชนิดล็อคในตัว ( an Interlocking Guard ) 3. การดชนิดปลดคลัตช ( a Trip Guard ) 4. การดชนิดอัตโนมัติ ( an Automatic Guard ) 5. การดชนิดใชมือ 2 ขาง ( a Two – hand Control Device ) ก็จะกระทบหรือสัมผัสกับตะแกรง ทําให เครื่องจักรหยุด ทํางานทันที รูปที่ 26 เครื่องผสมแปงใส การดชนิดปลดคลัตชนี้ มีหลักการทํางานอีก แบบ การดปดชนิดปลดคลัทซ หนึ่งโดยใชลําแสงแทนตะแกรงหรือกรง ประกอบขึน้ เปนฉากมานกัน้ ระหวางผูปฏิบัติงานกับจุดอันตรายของ เครื่องจักร ลําแสงนี้ออกแบบเปนพิเศษ ซึง่ เมื่อใดก็ตามที่ ลําแสงถูกตัดหรือบดบัง จะทําใหวงจรไฟฟาทํางาน เปน ผลใหกลไกหรือคลัตชปลดหรือแยกตัวออก ทําให เครื่องจักรหยุดทํางานทันที รูปที่ 27 แทนตัดโลหะแผนไมใสการด ตัวอยางเชน เครื่องผสมแปง และเครื่องผสมน้ํา ยาง เปนตน การเกิดอุบตั ิภัยจากดามตีหรือแขนผสม ของเครื่องผสม ขึ้นอยูกับการหมุนและจังหวะการตีของ แขนผสม แขนตีนอี้ าจจะเกี่ยวเสือ้ ผาหรืออวัยวะของ ผูปฏิบัติงานเขาไป กอใหเกิดการบาดเจ็บหรืออันตราย ได การดที่เหมาะสําหรับเครื่องจักรประเภทนี้ คือการด ชนิดปลดคลัตช เครื่องจักรจะทํางานได ตอ เมื่อปดชองเปดเรียบรอย และเครื่องจักรจะหยุดทันที รูปที่ 28 แทนตัดโลหะแผนใสการด เมื่อชองเปดถูกเปดออก ชนิดที่แบบเปนซี่ ๆ
การดชนิดอัตโนมัติ การดชนิดนี้ เปนการดที่ออกแบบเพื่อปองกันตัวผูปฏิบัติงาน โดยจะทําหนาที่ปดมือหรืออวัยวะ สวนหนึ่งสวนใดที่อาจจะเปนอันตราย ใหออกมาพนจุดอันตรายของเครื่องจักร สวนที่เคลื่อนที่ไดของ การด จะถูกขับเคลื่อนโดยสวนที่เคลื่อนที่ไดของเครื่องจักรนั้น ๆ รูปแบบของการเคลื่อนไหวของ การดอาจจะเปนการกวาดจากดานหนึ่งไปอีกดานหนึ่ง หรือการผลักออกมาขางนอก หรือผลักขึ้น ขางบน จากจุดปฏิบัติงาน หรืออาจจะเปนลักษณะดึงมือผูปฏิบัติงานออกจากบริเวณอันตราย การด
49 ชนิดนี้เหมาะสําหรับงานที่ตองใชมือคนปอนชิ้นงานเขาเครื่องจักรเปนประจํา เชน เครื่องปมโลหะ และเครื่องอัดขึ้นรูป เปนตน การเคลื่อนไหวของการดชนิดนีจ้ ะสัมพันธกับการเคลื่อนไหวของจุด ทํางานของเครื่องจักร โดยทีก่ ารเคลื่อนของการดจะเร็วกวาการเคลื่อนไหวของเครื่องจักร เพื่อปองกัน มือผูปฏิบัติงานใหพน จุดอันตรายกอน ดังนั้น เครื่องจักรที่มีรอบหรืออัตราความเร็วสูง ไมเหมาะที่จะ เลือกใชการดชนิดนี้ เพราะไมสามารถปรับความเร็วของการดใหสัมพันธกับเครื่องจักรได การดชนิดนี้ จําเปนตองมีการตรวจสอบและบํารุงรักษาเปนประจํา
รูป 29 เครื่องตัดกระดาษที่การดใชลําแสง พรอมสวิตชกดบังคับดวยมือสองขางพรอมกัน เพื่อความ ปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง A : สวิตชกดบังคับดวยมือสองขางพรอมกัน B : อุปกรณการดใชลําแสง
การดชนิดใชมือ 2 ขาง หลักการของการดชนิดนี้ ก็คือ การออกแบบ ควบคุมโดยตองใชมือ 2 ขางทํางานพรอมกัน เปนการ บังคับใหผูปฏิบัติงานตองใชมือทั้ง 2 ขางสัมผัสหรือกด บนอุปกรณหรือปุมบังคับควบคุมเครื่องจักรพรอม ๆ กัน เครื่องจักรจึงจะทํางาน หากกดหรือสัมผัสไมพรอม กัน เครื่องจักรจะไมทํางานหรือหยุดทันที การดชนิดนี้ เหมาะสําหรับเครื่องจักรที่มีการควบคุมโดยใชลม ไฮด รอลิค ไฟฟา เปนตน เพื่อปองกันการเผลอเรอของ ผูปฏิบัติงาน และอุปกรณสําคัญอีกชิ้นหนึ่งสําหรับ การดชนิดนี้ คือ ตองติดตั้งเครื่องหนวงเวลาไวดว ย เพื่อ รูปที่ 30 เครื่องปมโลหะมีการดชนิด ใชมือ 2 ขาง
50 ควบคุมใหเครือ่ งจักรทํางานไดตอเมื่อกดหรือสัมผัสปุม หรืออุปกรณควบคุมพรอม ๆ กัน เครื่องหนวง เวลานี้ควรมีเวลาไมตางกันมากกวา 2 - 3 มิลลิวินาที
การบํารุงรักษาการด ผูควบคุมหรือชางผูที่มีหนาที่ซอมและบํารุงรักษาตองถือวา การดเปนสวนหนึ่งของเครื่องจักร ที่จําเปนตองมีการตรวจสอบ บํารุงรักษา และซอมแซมใหมีสภาพเรียบรอย ใชงานไดตลอดเวลา กฎเกณฑงาย ๆ เพื่อความปลอดภัยในทางปฏิบัติ มีดังนี้ - หามถอด ปรับ หรือเคลื่อนยายการดทุก ชนิด เวนแตจะกระทําโดยผูมีหนาที่เกีย่ วของโดยตรง เทานั้น - ตองแนใจวาการดของเครื่องจักรนั้นไดตดิ ตั้ง เขาที่ในตําแหนงที่ถูกตอง และอยูในสภาพที่ทํางานได ดีแลว กอนการเดินเครื่องจักร - กอนจะถอด ปรับ หรือซอมบํารุง จะตอง หยุดเครื่องจักร ยกสวิตชใหญแลวล็อคไว และแขวน ปายเตือนไวทกุ ครั้ง - ตองแนใจวา ระหวางที่ซอมบํารุง ตองไมมี ผูใดสามารถเดินเครื่องจักรได - เมื่อซอมบํารุงเสร็จแลว ตองปลดล็อคออก รูปที่ 31 การดโปรงแสง วางเอียง อยูกับที่ ดวยตนเอง อยาใหผอู ื่นทําโดยเด็ดขาด และเมื่อปลด ปรับระยะได ล็อคแลวตองแนใจวาไมกอใหเกิดอันตรายตอผูอื่น ดวย บทสรุป อันตรายที่เกิดขึน้ เนือ่ งจากการทํางานกับเครื่องจักร มักปรากฎขึ้นในสถานประกอบการตาง ๆ อยูเสมอ จากสถิติการประสบอันตรายของกรมแรงงาน พบวามีคนงานที่ประสบอุบัติเหตุขณะทํางาน กับเครื่องจักร คิดเปนรอยละ 11.27 ของจํานวนผูประสบอันตรายทั้งหมด สาเหตุของอันตรายที่เกิดขึ้น มักเกิดจากเครือ่ งจักรชํารุด เครื่องจักรมีสภาพที่ไมปลอดภัย หรือความประมาทของผูทํางานกับ เครื่องจักร จึงจําเปนอยางยิ่งที่จะตองหาวิธกี ารปองกันอันตรายมิใหเกิดขึ้นได และการปองกันที่ไดผล วิธีหนึ่งคือ การติดตั้งเซฟการด หรือฝาครอบที่เหมาะสมที่เครื่องจักร ณ จุดทีก่ อใหเกิดอันตรายได
51
ความปลอดภัยเกี่ยวกับไฟฟา อันตรายที่เกิดจากไฟฟา เพลิงไหม ไฟฟามีสวนทําใหเกิดเพลิงไหม สาเหตุสวนใหญเนื่องจาก 1. การเกิดประกายไฟฟาในบริเวณที่มีเชื้อเพลิงไวไฟ เชน น้ํามัน แอลกอฮอล กาซหุงตม ใย ฝาย นุน และปานปอ ซึ่งสิ่งเหลานี้ติดไฟไดงายถาเพียงมีประกายไฟเกิดขึ้นในบริเวณใกลเคียง 2. การลุกไหมที่สายไฟหรืออุปกรณไฟฟา เกิดจากการใชกระแสไฟฟาเกินกวาอัตราที่กําหนด ทําใหฉนวนหุม สายไฟเกิดการลุกไหม และฟวส (อุปกรณปองกันการลัดวงจร) ติดตั้งไวไมถูกตอง เหมาะสม เพราะกวาฟวสจะขาด การลุกไหมที่ฉนวนก็กลายเปนอัคคีภยั ไปแลว 3. การใชมอเตอรไฟฟาหรืออุปกรณไฟฟาเกินกําลังและมีการใชงานมากกวาปกติจนทําให มอเตอรไฟฟาหรืออุปกรณนนั้ ลุกไหมได 4. ความรอนที่จุดตอสาย และการตอสายไฟฟา รอยตอจะตองใหแนนสนิท การตอไวอยาง หลวม ๆ จะเปนผลใหเกิดความตานทานตอการไหลของกระแสไฟฟา จะมีกระแสไฟฟาไหลผานมาก จนเกิดความรอนที่จุดตอนัน้ เพิ่มมากขึ้นจนเกิดเพลิงไหมไดในที่สุด 5. ความรอนที่สะสมอยูในอุปกรณไฟฟา อุปกรณไฟฟาที่มีคุณภาพต่ําหากใชไปนาน ๆ ความ รอนจะสะสมมากขึ้นจนทําใหถึงจุดติดไฟของสิ่งรองรับ
รูปที่ 32
52
อันตรายจากการใชไฟฟาทั่วไป สาเหตุที่กอใหเกิดอันตรายจากการใชไฟฟา อุปกรณเครื่องใชตลอดจนเครื่องอํานวยความ สะดวกสบายสวนใหญทํางานดวยพลังงานจากไฟฟา ขณะเดียวกันอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยตาง ๆ ที่ เกิดขึ้นจากกระแสไฟฟาก็มมี ากขึ้นเปนเงาตามตัว ผูที่เกี่ยวของหรือผูใชอุปกรณไฟฟาจําเปนตองใช ความระมัดระวังเปนพิเศษ อยางไรก็ตาม อันตรายจากการใชไฟฟาโดยทั่วไปก็ยังมีใหพบเห็นกันอยู เสมอ ทั้งนี้ เนือ่ งจากสาเหตุสําคัญ 3 ประการ ดังตอไปนี้ 1. การใชอุปกรณไฟฟาที่ชํารุดหรือฉนวนที่ใชในขดลวดของมอเตอรหรืออุปกรณไฟฟาชํารุด 2. สภาพแวดลอมหรือเทคนิคในการติดตั้งอุปกรณผิดลักษณะและเลือกใชไมถูกตอง เดินหรือ ตอสายไฟโดยไมตัดวงจรไฟฟากอน 3. ผูปฏิบัติงานหรือผูใชอุปกรณไฟฟาขาดความรูเรื่องความปลอดภัยจากไฟฟา ขาดความ ระมัดระวังและไมรอบคอบในการปฏิบัติงาน กระทําการดวยความประมาท เชน เลือกใชเตาเสียบผิด ประเภท ใชสายไฟฟาแทนฟวส ใชสายไฟที่มีขนาดไมเหมาะสมกับกําลังของเครื่องจักร ใชเครื่องมือ เครื่องจักรเกินกําลัง เดินสายไฟฟาหรือตออุปกรณไฟฟาโดยไมตัดไฟกอนทํางาน ตรากตรําทํางาน มากจนไมมเี วลาพักผอน ทําใหสมรรถภาพในการทํางานลดลงและมีอาการเหมอลอยขาดสติในการ ทํางาน
รูป 33
53 ปจจัยที่กอใหเกิดความรุนแรงจากการประสบอันตรายจากไฟฟา ขึ้นอยูกับปจจัย 6 ประเภท คือ 1. ปริมาณกระแสไฟฟาที่ไหลผานรางกาย โดยปริมาณของไฟฟาที่รางกายมนุษยรับได จนถึง ขั้นอันตรายมีดังนี้ - นอยกวา 0.5 มิลลิแอมแปร ไมเกิดความรูส ึก - 0.5 – 2 มิลลิแอมแปร เริ่มเกิดความรูสึกวาถูกกระแสไฟฟา - 2 - 10 มิลลิแอมแปร กลามเนื้อหดตัว แตยงั ไมเสียการควบคุมตัวเอง - 5 - 25 มิลลิแอมแปร มีความรูสึกเจ็บปวดจากการถูกกระแสไฟฟา ไมสามารถขยับ เขยื้อนได - มากกวา 25 มิลลิแอมแปร เกิดอาการกลามเนื้อเกร็งและหดตัวอยางรุนแรง - 50 - 200 มิลลิแอมแปร กลามเนื้อหัวใจกระตุกอยางรุนแรงหรือหัวใจเตนถี่รัว - 100 มิลลิแอมแปร ระบบหายใจหยุดทํางาน 2. ระยะเวลาที่สัมผัส หรือระยะเวลาทีก่ ระแสไหลผาน กระแสไฟฟาเมื่อไหลผานเปน เวลานานอาจไดรับอันตรายถึงชีวิตได อาการจะเริ่มจากการชอค ระบบหายใจหรือระบบการทํางาน หยุดชะงัก การหมุนเวียนของโลหิตจะสิ้นสุดลง สมองขาดออกซิเจนและถูกทํางานเกิดการพิการทาง สมองจนถึงแกความตายได กระบวนการนี้ใชเวลา 4 - 7 นาที ตองชวยเหลือผูถูกกระแสไฟฟาไหลผาน รางกายโดยเร็วที่นสุดดวยวิธีที่ถูกตองดวยความรอบคอบและระมัดระวัง 3. แรงดันไฟฟา แรงดันไฟฟาที่คนประสบอันตรายสวนใหญไดรับอยูในปริมาณ 110 - 400 โวลท แรงดันไฟฟาตั้งแต 240 โวลท ขึ้นไปจะทําใหผิวหนังที่สัมผัสทะลุ ทําใหความตานทานการ ไหลของกระแสไฟฟาที่ผานเขาสูรางกายมีมากขึ้นจนเปนผลใหเสียชีวติ ได 4. ความตานทานของรางกายตอไฟฟา กระแสไฟฟาที่ผานเขาสูรางกายสวนใหญมักจะผาน ทางมือและลงสูดินทางมืออีกขางหนึ่งหรือฝาเทา แตการที่กระแสไฟฟาจะผานอวัยวะสวนใดสวน หนึ่งไดนั้นจะตองผานผิวหนัง ดังนั้น ผิวหนังจึงเปนตัวควบคุมปริมาณของกระแสไฟฟาที่ไหลผาน เขาสูรางกาย โดยผิวหนังแหงจะตานทานไดมากที่สุด คือ 100,000 ถึง 600,000 โอหมตอตาราง เซนติเมตร 5. ความถี่แรงดันไฟฟา ความถี่ 50/60 เฮิรตซ ความตานทานของรางกายจะมีคาสูงทีส่ ุดแตเมื่อ เพิ่มความถี่ขึ้น ความตานทานของรางกายจะลดลงในลักษณะที่ไมเปน เปนกราฟเสนตรงกระแสไฟฟา ที่จะทําใหกลามเนื้อเตนถี่รัวก็จะสูงขึ้นดวยเชนกัน 6. เสนทางหรืออวัยวะภายในรางกายทีก่ ระแสไฟฟาไหลผาน เมื่อกระแสไฟฟาเขาทางศีรษะ และออกทางฝาเทาทั้งสองขางจะมีอันตรายมากที่สุด
54
อันตรายที่เกิดตอรางกายมนุษยเมื่อมีกระแสไฟฟาไหลผาน เมื่อกระแสไฟฟาไหลผานรางกายจะเกิดอันตราย 7 ประการดวยกันคือ 1. กลามเนื้อกระตุกหรือเกิดการหดตัว 2. หัวใจเกิดอาการเตนเร็วถี่รวั หรือเกิดการกระตุก 3. ดวงตาอักเสบ 4. ระบบประสาทเกิดการชะงักงัน 5. หัวใจหยุดทํางาน 6. เนื้อเยื่อและเซลลตาง ๆ ถูกทําลาย 7. เซลลภายในรางกายเสียหรือตาย
อันตรายจากไฟฟาแรงสูง สาเหตุสวนใหญที่ทําใหเกิดอันตรายจากไฟฟาแรงสูง คือ การทํางานที่ตอ งอยูใกลสายไฟฟฟา แรงสูง เชน ตอกเสาเข็มกอสรางใกลสายไฟฟาแรงสูง ใชปนจั่นยกของหนักใกลสายไฟฟาแรงสูง กอสรางปรับปรุงหรือรูเทาไมถึงการณใชบันไดเหล็กพาดสายไฟฟาแรงสูง
รูป 35
ขอควรระวังในการทํางานเกี่ยวกับไฟฟาทั่วไป หลักการทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับไฟฟา ซึ่งทุกคนควรปฏิบัติเพื่อปองกันการเกิดอุบัติภยั จากไฟฟา สรุปไดดังนี้ 1. เมื่อพบวากลองสวิตชชํารุดหรือเสียหาย ควรเริ่มเปลี่ยนหรือซอมแซมทันที
55 2. บริเวณที่มีสวิตชอยูใ กล ๆ ควรรักษาใหสะอาดอยูเสมอ 3. หมั่นสํารวจตรวจสอบภายในแผงสวิตชอยูเสมอ 4. การเปลี่ยนฟวส ตองสับสวิตชกอนทุกครั้งที่จะเปลี่ยนฟวสนนั้ ๆ 5. การตรวจสอบดูแลสวิตชตัดตอนเปนประจําทุกเดือน และบํารุงรักษาใหอยูในสภาพใชงาน ไดดีตลอดเวลา 6. สวิตชแตละอันควรมีปายแสดงรายละเอียดดังนี้ - ใชกับไฟฟากระแสตรงหรือไฟฟากระแสสลับ - ความตางศักยทางไฟฟา - กระแสไฟฟา - เครื่องมือเครื่องใชทางไฟฟาที่ตอกับสวิตชนั้น 7. อยาเปดหรือปดสวิตชในขณะที่มือเปยกอยู 8. ถาจะซอมแซมอุปกรณเครื่องใชไฟฟาทุกครั้งตองสับสวิตชเสมอ
ขอควรระวังเกี่ยวกับการใชสวิตชตัดตอนภายในโรงงาน ในโรงงานอุตสาหกรรมผูปฏิบัติงานสวนใหญจะตองเกีย่ วของกับไฟฟา นอกจากขอความ ระวังเกี่ยวกับไฟฟาทั่ว ๆ ไปแลว สิ่งสําคัญอีกประการหนึ่งที่ผูปฏิบัติงานควรระวังก็คือ การใชสวิตช ตัดตอน ซึ่งพอสรุปไดดังนี้ 1. สวิตชที่ใชงานกับสวนทีอ่ าจเกิดอันตรายไดสูง ผูรับผิดชอบตองหมั่นตรวจสอบดูแลและ ทําปายบอกเตือนไว 2. ในกรณีทมี่ ีการตรวจซอมแซมเครื่องจักรตองทําปายหรือสัญลักษณติดแขวนไวที่สวิตชวา อยูระหวางการซอมแซม หรือกําลังซอม เมื่อซอมเสร็จแลวจึงนําปายออก 3. การใชสวิตชควบคุมเครื่องจักรที่ใชรวมกันหลาย ๆ คนควรมีหลักเกณฑหรือสัญญาณใน การปฏิบัติเปนมาตรฐานเดียวกัน 4. การทํางานรวมกันระหวางคนงาน 2 กลุมที่ใชเครื่องจักรรวมกัน จะตองใชอยางระมัดระวัง โดยเฉพาะถาเกิดกรณีที่มีการตรวจซอมตองมีการติดตอประสานงานกันเปนอยางดีกอ นที่จะมีการเปด ปดวงจรไฟฟา ขอควรระวังเกี่ยวกับการใชเครื่องมือ เครื่องจักรและอุปกรณไฟฟาภายในโรงงาน เครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณตาง ๆ ภายในโรงงานสวนใหญจะใชไฟฟาเปนเครื่องตน กําลังทั้งนั้น ผูปฏิบัติงานตองระมัดระวังการใชเครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณไฟฟาเหลานั้น ซึ่ง สรุปไดดังตอไปนี้ 1. ตรวจสอบสายไฟฟา ถาพบวาชํารุดใหใชเทปพันเปนฉนวนหุมใหเรียบรอย และตรวจจุด ตอสายไฟฟาใหเรียบรอยดวย
56 2. อุปกรณไฟฟาที่เคลื่อนยายไดควรตรวจสอบบริเวณขอตอ ขั้วที่ติดอุปกรณและสายไฟฟา อยางระมัดระวัง ถาพบวาชํารุดใหเปลี่ยนใหอยูในสภาพดี 3. หมั่นตรวจสอบเครื่องมือไฟฟาชนิดเคลื่อนยายได และรักษาใหอยูในสภาพดีตลอดเวลา 4. ดวงโคมไฟฟาที่เคลื่อนยายไดตองมีฝาครอบปองกันหลอดไฟฟา 5. การเปลี่ยนหรือซอมแซมเครื่องมือหรืออุปกรณไฟฟา แมจะเปนกรณีเล็กนอยก็ควรใหชาง ทางไฟฟาเปนผูดําเนินการ 6. อยาจับสายไฟฟาขณะที่มกี ระแสไฟไหลอยู 7. อยาแขวนหรือหอยสายไฟฟาบนของมีคม เชน ใบมีด ใบเลื่อย และใบพัด 8. การใชเครื่องมือทางไฟฟาควรตอเปลือกหุมที่เปนโลหะของเครื่องมือนั้นลงดิน 9. การใชอุปกรณไฟฟาบางชนิด เชน มอเตอร และหมอแปลง ควรมีผูรับผิดชอบควบคุมใน การปดเปดใชงาน 10. ในสวนทีอ่ าจกอใหเกิดอันตรายควรมีเครื่องหมายแสดงไว เชน ปาย ไฟสัญญาณธงสีแดง และเทปแดง เปนตน 11. ถาเกิดสภาพผิดปกติกับอุปกรณไฟฟา ควรสับสวิตชใหวงจรไฟฟาเปดแลวแจงให ผูรับผิดชอบทราบ 12. หามปลดอุปกรณปองกันอันตรายทางไฟฟาออก ยกเวนกรณีที่ไดรับอนุญาตแลวเทานั้น 13. เมื่อใชงานเสร็จแลวควรสับสวิตชและตองแนใจวาวงจรไฟฟาเปด 14. ควรหมั่นทําความสะอาดดวงโคมใหปราศจากฝุนละออง 15. ไฟฟาที่มีความตางศักยสูงจะมีอันตรายมากขึ้น จึงควรระวังเปนพิเศษ 16. ควรเอาใจใสกับสายสงไฟฟาแรงสูง 17. อยาหอหุมดวงโคมไฟฟาดวยกระดาษหรือผา 18. อยานําสารไวไฟหรือสารที่ลุกติดไฟงายเขาใกลบริเวณสวิตชไฟฟา 19. อยาใชเครือ่ งมือหรืออุปกรณไฟฟาขณะมือเปยกน้ํา 20. อยาใชเครือ่ งมือหรืออุปกรณไฟฟาตองรีบสับสวิตชใหวงจรไฟฟาเปด 21. เมื่อมีผูไดรับอุบัติเหตุทางไฟฟาสลบ ใหทําการผายปอดชวยหายใจกอนจนกวาแพทยหรือ พยาบาลจะมาถึงที่เกิดเหตุ 22. เมื่อเกิดไฟฟาดับควรรีบสับสวิตชใหวงจรไฟฟาเปด 23. ถาเกิดไฟฟาช็อดหรือลัดวงจรทําใหเกิดไฟไหม ใหรบี สับสวิตช (วงจรเปด) แลวรีบทําการ ดับไฟดวยเครื่องดับเพลิงชนิดสารเคมี ไมควรใชน้ําหรือเครื่องดับเพลิงที่เปนน้ําทําการดับไฟ เพราะ อาจเกิดอันตรายได 24. ควรกดสวิตชใหแนใจวาสวิตชไมคาง 25. ไมควรเดินเหยียบบนสายไฟ
57 26. ระมัดระวัง
การใชอุปกรณไฟฟาที่มีแรงเคลื่อนไฟฟาสูง
ควรสงสัญญาณการสับสวิตชอยาง
ขอควรระวังเกี่ยวกับการติดตั้งอุปกรณไฟฟาภายในโรงงาน ดังไดกลาวมาแลววา เครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณในโรงงานนัน้ สวนใหญจะใชไฟฟา เปนเครื่องตนกําลังทั้งนั้น นอกจากขอควรระวังตาง ๆ ที่ไดกลามาแลว สิ่งสําคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การติดตั้งอุปกรณไฟฟา ซึ่งผูป ฏิบัติงานควรระมัดระวัง สรุปไดดังนี้ 1. การติดตั้งอุปกรณไฟฟาจะตองมีการควบคุมดูแลโดยชางหรือผูชํานาญทางไฟฟานอกจาก งานที่มีความตางศักยต่ํากวา 50 โวลท ซึ่งตอลงดินเรียบรอยแลว 2. การติดตั้งอุปกรณไฟฟาจะทําไดตองผานการปรึกษาหารือจากผูชํานาญแลวโดยเฉพาะการ สื่อสารเกี่ยวกับการปองกันเมื่อมีการทํางานขณะมีกระแสไฟฟาไหลอยู หรือในกรณีที่มีการขัดจังหวะ เกิดขึ้น 3. การติดตั้งอุปกรณไฟฟาตองใชอุปกรณอันตรายโดยเฉพาะ หรือมีฉนวนหอหุมเปนอยางดี 4. ควรหลีกเลีย่ งการทํางานขณะมีกระแสไฟไหลอยูย กเวนกรณีจําเปนจริง ๆ เทานั้น 5. การติดตั้งอุปกรณทางไฟฟานอกจากตองปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานทางไฟฟาแลว ควรปฏิบัติเพิม่ เติมดังนี้ 5.1 หามเปดชิน้ สวนของอุปกรณไฟฟาที่เมื่อเปดแลวจะมีกระแสไฟฟาอยูเสมอใน บริเวณทีซ่ ึ่งอาจมีการสัมผัสหรือทํางาน 5.2 หุมหออุปกรณหรือสายไฟฟาอยูเ สมอในบริเวณที่ซึ่งอาจมีการสัมผัสหรือทํางาน 5.3 หมั่นตรวจตราฉนวนหุมอุปกรณไฟฟาอยูเสมอในบริเวณที่ซึ่งอาจมีการสัมผัส หรือทํางาน 5.4 เมื่อมีการเดินสายไฟฟาบนถนน (แมวา จะเดินชั่วคราวก็ตาม) ควรมีระบบปองกัน อันตรายซึ่งใชเฉพาะงาน 6. กรณีการทํางานเกีย่ วกับไฟฟาที่อาจมีการขัดจังหวะงานได ควรเพิ่มความระมัดระวังดังนี้ 6.1 เครื่องจักรบางชนิดเมื่อเดินเครื่องแลวไมสามารถกดสวิตชใหกลับมาทํางานที่จุดเริ่ม ตนได ควรมีปายบอกไวชัดเจน 6.2 เครื่องจักรทุกชนิดควรมีระบบสายดินที่ดี 6.3 เมื่อเกิดปญหาตาง ๆ ควรปรึกษาชางไฟฟาหรือผูเชี่ยวชาญทางไฟฟา 6.4 กอนสับสวิตชทํางานควรตรวจสอบใหแนใจกอนวาจะไมเกิดอันตราย ไฟฟาลัด วงจรที่มรี ะบบสายดินแหลงจายไฟเรียบรอย 6.5 ตองมีการจายประจุไฟฟา ในกรณีเครื่องมือหรืออุปกรณไฟฟานั้นมีประจุไฟฟา คางอยู
58
ขอควรระวังเกี่ยวกับการทํางานในขณะที่มีกระแสไฟฟาไหลอยู สิ่งที่ผูปฏิบัติงานจะหลีกเลี่ยงไมไดก็คือ การปฏิบัติงานในขณะที่เครื่องมือเครื่องจักรตองใช ไฟฟาเปนเครื่องตนกําลัง ดังนั้นถาในกรณีที่มีกระแสไฟฟาไหลอยู ผูป ฏิบัติงานควรปฏิบัติดังนี้ สําหรับงานเกี่ยวกับไฟฟาแรงต่ํา 1. สวมอุปกรณปองกันอันตรายเฉพาะสําหรับงานไฟฟาแรงต่ํา 2. ในกรณีที่อาจมีการสัมผัสกับสายไฟฟาแรงต่ํา จะตองติดอุปกรณปองกันอันตรายหรือทํา การฉนวนอยางเหมาะสม สําหรับงานเกีย่ วกับไฟฟาแรงสูง 1. ตองแนใจวาใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลที่เหมาะสมกับงาน เชน ถุงมือยาง รองเทา หุมสนพื้นยาง และหมวกแข็ง 2. ถาตองทํางานในบริเวณที่มีระยะหางจากสายไฟฟาหรืออุปกรณไฟฟาแรงสูงนอยกวา 60 เซนติเมตร จะตองใชอุปกรณปองกันอันตรายที่เปนฉนวนกันไฟอยางดี 3. ในกรณีอยูหางจากสายไฟฟามากกวา 60 เซนติเมตร อาจใชอปุ กรณปองกันอันตรายชนิด รองลงมา 4. การทํางานตองปรึกษาชางหรือผูชํานาญทางไฟฟาเสียกอน และตองมีผูชํานาญงาน ควบคุมดูแลการทํางานดวย 5. คนงานไมควรพักผอนในบริเวณใกลสายไฟฟาแรงสูง 6. การใชอุปกรณเครื่องมือ และเครื่องใชไฟฟาตองใชใหถูกตองเหมาะสมกับงานไฟฟาแรงสูง เทานั้น ขอควรปฏิบตั ิเมื่อคนถูกไฟฟาดูด วิธีชวยคนถูกไฟฟาดูดใหปฏิบัติโดยทันทีเพื่อชวยใหผูปว ยหลุดจากไฟฟาใหเร็วที่สุด ปด สวิตชไฟ หรือถาเปดสวิตชไฟไมได ใหใชวิธีดังตอไปนี้ - อยาจับตองรางกายผูเคราะหรายโดยตรง ใหสวมถุงมือยางแลวยืนบนพืน้ ที่ไมเปนตัวนํา ไฟฟาแลวดึงผูป วยออกมา ถาไมมีถุงมือก็ตองพันดวยผาหรือสิ่งที่ไมเปนสื่อไฟฟา เชน ผายาง เปนตน - ใชผาหรือเชือกทําเปนบวงสอดคลองแขนหรือขาของผูเคราะหรายแลวลากออก - ใชผายาว ๆ หรือเชือกคลองตัวผูเคราะหรายแลวกระตุกออก - ใชขวานคม ๆ ที่มีดามเปนไมฟนสายไฟอยางแรงและรวดเร็วใหสายไฟขาด
59
ความปลอดภัยในการปฏิบัติเกีย่ วกับงานเชื่อม – ตัดโลหะ งานเชื่อมหรือตัดโลหะดวยอุณหภูมิสูง เปนงานสวนหนึง่ ของการผลิตและซอมสรางเกี่ยวกับ โลหะทั่วไป เปนงานที่มีอันตรายหลายประการแฝงอยูแ ละมีคนงานจํานวนมากที่ทํางานเสี่ยงอันตราย เปนประจําโดยขาดความระมัดระวังที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทํางานนั้น ทําใหมีผูประสบอุบัติเหตุ และ โรคที่เกิดขึ้นจากการทํางานอยูเสมอ สาเหตุและอันตรายที่เกิดจากงานเชื่อม 1. แสงและรังสี งานเชื่อมทําใหเกิดแสงจาและรังสีอุลตราไวโอเลต (ULTRA VIOLET RAYS) ซึ่งเปนอันตรายตอสายตา ทําใหตาเปนตอได 2. ประกายไฟ ทําใหผิวหนังไหม และอาจทําใหเปนสาเหตุของเพลิงไหม งานเชื่อมที่อับทึบ และมีละอองไอน้ํามัน ทําใหเกิดการระเบิดได 3. ไฟฟาลัดวงจร ในงานเชื่อมไฟฟาหากมีการชํารุดของสายไฟ จะทําใหเกิดกระแสไฟฟา ลัดวงจรได ซึ่งเปนอันตรายตอผูปฏิบัติงาน 4. ความเมื่อยลา เกิดขึ้นไดเมื่อผูปฏิบัติงานในทาทางไมถูกตอง เชน นั่งยอง ๆ กับพื้นและกม หลังเชื่อม เปนตน 5. สารเคมีในรูปของฟูม (FUME) และ กาซ (GAS) งานเชื่อมหรือตัดโลหะดวยอุณหภูมิสูง กอใหเกิดมลพิษในอากาศซึ่งสามารถเขาสูรางกายไดทางระบบหายใจ และทําใหเกิดโรคตาง ๆ ได หลายชนิด 6. งานเชื่อมหรือตัดโลหะที่ผิวมีสีเคลือบ อันตรายที่เกิดจากสารเคลือบผิวนั้น ไดแกตะกัว่ จาก สีทาที่เคลือบผิวโลหะไว 7. ชนิดลวดเชือ่ ม การเชื่อมโลหะแตละชนิดตองเลือกใชลวดเชื่อมที่มคี ุณสมบัติเหมาะสมกับ วัสดุที่ตองการเชื่อม ชนิดของสารที่เปนองคประกอบของลวดเชื่อม จะเปนตัวชี้บอกชนิดของฟูม หรือ กาซพิษที่จะเกิดขึ้นได 8. กาซที่ใชงานเชื่อม เชน คารบอนไดออกไซด ไนโตรเจน อารกอน อะเซทิลีน กาซเหลานี้ไมใชกาซพิษ แตสามารถ ทําอันตรายถึงแกชีวติ ได หากทํางานในที่อับทึบ เนื่องจากขาดออกซิเจน หรืออาจเสียชีวติ เพราะ หายใจเอากาซคารบอนมอนนอกไซดเขาสู รางกาย ซึ่งเปนกาซพิษเกิดจากการเชื่อม เปนตน รูปแสดงแรงเคลื่อนในขณะไมมีภาระ ระหวางมีอจับลวดเชื่อมและชิ้นงาน
60 อันตรายจากกระแสไฟฟาทีอ่ าจจะเกิดขึ้นกับชางเชื่อมและชางชวยงาน ในขณะทีไ่ มไดทําการ เชื่อมอารกจะเกิดแรงเคลื่อนในขณะไมมภี าระระหวางสายเคเบิลเชื่อมตอกับสายเคเบิลงาน ซึ่งเกิดจาก เครื่องเชื่อม แรงเคลื่อนดังกลาวเกิดขึ้นระหวางคีมจับลวดเชื่อมกับชิน้ งาน ถาเปนเครื่องเชื่อมแบบเย เนอเรเตอรจะสูงไมเกิน 100 โวลท แรงเคลื่อนกระแสไฟฟาตรงและกระแสสลับตองไมเกิ 70 โวลท (ใชตัวยอวา UL ) แรงเคลื่อนขนาดนีส้ ามารถทําใหเกิดอันตรายถึงชีวิตได ถาชางเชื่อมใชมือเปลา สัมผัสผิวโลหะที่ปากคีมจับลวดหรือชิ้นงาน วิธีปองกันไดโดยสวมรองเทาที่มีฉนวนปองกัน สวม เสื้อผาปองกันใชถุงมือหนังจะสามารถชวยปองกันได หามสวมเสื้อผาที่เปยกชืน้ ดวยเหงื่อนั่งที่ชิ้นงาน เพราะความชืน้ เปนตัวนําทีด่ ีอาจทําใหถูกกระแสไฟฟาดูดเปนอันตรายได ไฟฟากระแสสลับเกิดอันตรายไดงายกวาไฟฟากระแสตรง ดวยเหตุนี้ถังหรือภาชนะแคบ ๆ ทําดวยโลหะโดยรอบตองเชือ่ มดวยไฟฟากระแสตรง ถาเปนเครื่องเชื่อมแบบเรกติฟายใหสังเกต เครื่องหมายอนุญาตที่แสดงวาสามารถทําการเชื่อมได สวนเครื่องมือชวยงานอื่น ๆ เชน หลอดไฟ เครื่องใชไฟฟาหามใชแรงเคลื่อนที่มีแรงเชื่อมเกินวา 42 โวลต เพราะอาจทําใหเกิดอันตรายจากการ เชื่อมได ขอควรปฏิบัติในการใชเครื่องเชื่อมไฟฟา คือ 1. สวมถุงมือหนังกอนจับคีมจับลวดเชื่อมไฟฟาทุกครั้ง 2. หามถอดเสื้อผาใหรางกายเปลือยทําการเชื่อม แมวาอากาศจะรอนก็ตาม 3. หามหนีบคีมจับลวดเชื่อมหรือสายเคเบิลเชื่อมกับรักแร 4. ไมสวมรองเทาทํางานที่ตอกดวยพื้นตะปู 5. ไมนั่งลงบนชิ้นงานโดยตรง ถาไมมีไมหรือแผนรองงาน การเชื่อมในถังหรือที่แคบ ๆ ตอง สวมรองเทาที่มีฉนวนอยางดี 6. ไมใชสายเคเบิลที่ชํารุด 7. ไมใชเครื่องเชื่อมแบบหมอแปลงไฟฟาเชื่อมโครงสรางที่เปนรูปราง ภาชนะแคบ ๆ หรือ หองแคบ ๆ 8. ไมใชไฟสองชนิดใชมือถือที่ตอกับสายเมน 220 โวลท หรือมากกวา ควรใชไฟสองที่ใช แรงเคลื่อนไมเกิน 42 โวลท อันตรายจากเม็ดน้ําโลหะและขี้ตะกรันเหล็ก เมื่อทําการเชื่อมเสร็จขี้ตะกรันจะปดแนวเชื่อม จนกระทั่งแนวเชื่อมเย็นลง มีความแข็งและเปราะ การใชคอนเคาะขี้ตะกรันออกเปนชิ้นเล็ก ๆ อาจ กระเด็นเขาตาได ฉะนั้นตองสวมแวนตาปองกันทุกครั้งขณะที่เคาะขี้ตะกรัน นอกจานี้จะตองระวังตัวผู เชื่อมเองแลว ยังตองระวังผูรวมปฏิบัติงานดวย อันตรายจากรังสีที่เกิดจากการอารกเชื่อม แนวสวางทีเ่ กิดจากการอารกเชื่อม เปนอันตรายตอ สายตาและถามองนาน ๆ จะยิ่งเปนอันตรายไดมากขึ้น รังสีที่เกิดจากการอารกเชื่อมจะมีรังสีที่มองไม เห็นปนออกมาดวย คือรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งเปนอันตรายตอสายตา ทําใหตาระคายเคือง สวน
61 ผิวหนังที่ไดรบั รังสีอัลตราไวโอเลตจะเกิดการอักเสบ ปวดแสบปวดรอนหรืออาจทําใหผิวหนังไหม ได อาการเหลานี้จะเกิดไมนานถาไมทําการเชื่อมอีก การบรรเทาอาการเจ็บตา อาจใชยาหยอดตาหรือ ใชผาเย็นประคบหรืออาจใชเปลือกกลวยสะอาดปดที่เปลือกตาก็ได การปองกันอาการดังกลาวในระยะระหวางทําการเชื่อม คือ สวมหนากากเชื่อมที่มีกระจก กรองแสงมาตรฐาน กระจกดังกลาวจะปองกันแสงจากประกายอารกเชื่อมได กระจกกรองแสงทีม่ ี มาตรฐานจะมีเครื่องหมายรับประกันคุณภาพติดไว (รูป 1 ) มีความเขมแตกตางกันแสดงเปนหมายเลข กํากับไว กระจกกรองแสงทีเ่ หมาะสําหรับการเชื่อม คือหมายเลข 6 7 8 9 10 และ 11 โดยที่หมายเลข 7 เหมาะสําหรับการเชื่อมที่ใชลวดเชื่อมที่มีขนาดเสนผาศูนยกลางไมเกิน 2.5 มิลลิเมตร และหมายเลข 10 เหมาะสําหรับการเชื่อมที่ใชลวดเชื่อมทีม่ ีขนาดเสนผานศูนยกลาง 3.25 ถึง 6 มิลลิเมตร นอกจากนี้รังสีอัลตราไวโอเลต เกิดจากแสงอาทิตยไดเชนเดียวกัน ดวยเหตุนี้ตองสวมเสื้อผา ใหมิดชิด ชางเชื่อมตองปองกันใบหนาโดยใชหนากากชนิดสวมศีรษะหรือชนิดจับเชื่อมมาปองกัน อันตรายจากน้าํ เม็ดโลหะกระเด็น น้ําเม็ดโลหะกระเด็นถูกผิวหนัง ทําใหไดรับบาดเจ็บ ผิวหนังไหมพพุ อง ฉะนัน้ ควรสวมเสื้อหนัง สวมถุงมือหนัง มีสิ่งปกปดศีรษะและสวมปลอกแขนหนัง อยาสอดปลายกางเกงลงในรองเทา ตองใหปลายกางเกงสวมทับรองเทาที่เปนรองเทาหนัง อันตรายจากควันแกสและอากาศเสีย การเชื่อมไฟฟาทําใหเกิดควันแกสและไอน้ํา การเชื่อม ในถังหรือที่แคบทําใหอากาศไมเพียงพอหายใจ จะเกิดอันตรายถาใชออกซิเจนเปาเขาไปในถังเพือ่ ให หายใจไดดี เพราะออกซิเจนทําใหเกิดไฟไหม ทําใหลุกไหมเสื้อผาได เพียงเกิดประกายเพียงนิดเดียว จะดับไมทัน ขอควรปฏิบตั ใิ นการเชื่อมภายในถังหรือภาชนะ หรือหองแคบ ๆ 1. ใหอากาศบริสุทธิ์ที่ถายเทผานไดบริเวณที่ทํางานเชื่อมดวยพัดลม 2. หามใชออกซิเจนพนเปาไปยังบริเวณทีท่ ําการเชื่อม 3. ตองระบายแกสและควันออกจากบริเวณทํางานโดยการดูดอากาศออก 4. เพื่อนรวมงานตองคอยดูแลการทํางานของชางเชื่อมอยูต ลอดเวลา
ความปลอดภัยในการถอดประกอบทอทาง ในฐานะที่เปนชางซอมประจําเรือ และตองทําการซอมทําระบบทอทางตาง ๆ เชน ทอทางน้ํา ดับเพลิง ระบบไอน้ํา ทอทางน้ํามันเชื้อเพลิง เปนตน ซึ่งการซอมทําทอน้ํามัน บางครั้งก็ไมมีอะไรมาก เพียงแตเปลี่ยนชิ้นสวนของทอ เชน กอกน้ํา หรือเปลี่ยนแกสเค็ทของหนาแปลนที่ชาํ รุด แตบางครั้งก็ อาจยุงยากมากกวานัน้ เชน อาจจะตองรื้อทอทางออกมาซอมทําเปนสวน ๆ และตองติดตั้งเขาที่ ตามเดิมทั้งหมด หรือบางสวน เพื่อใหเกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงานควรปฏิบัติดงั นี้
62
1. กอนที่จะถอดทอหรือตัดทอใหหลุดออกจากระบบทอทางจะตองแนใจวาไมมีความดันอยู ในทอทาง (โดยเฉพาะอยางยิ่งที่เปนทอไอน้ํา ทอน้ํารอน และทอน้ําทะเลที่ตอโดยตรงกับน้ําทะเล ภายนอกเรือ การปดลิ้นสตอปวาลว (STOP VALVE) อยางเดียวถาไมพอจะตองใสกุญแจหามเปดลิ้น และผูกปายหามเปดลิ้นเพื่อปองกันไมใหลนิ้ เปดเองโดยอุบัติเหตุ) 2. แนใจวาไดถายสิ่งที่อยูในทอทางออกหมดแลว กอนที่จะทําการถอดทอ หรือตัดทอใหออก จากระบบทอทาง 3. ในการถอดหนาแปลนทอจะตองปลอยนัต 2 ตัวที่อยูต รงขามในแนวเสนผานศูนยกลางไวที่ เดิมในขณะทีค่ ลายนัตตัวอืน่ หลังจากนั้นจึงใหคลายนัต 2 ตัวที่เหลือเมื่อแนใจในทอไมมีอะไรจึง ถอดนัตและถอดทอใหหลุดออกจากระบบทอทาง 4. ปฏิบัติตามขอแนะนําในการปองกันไฟไหมและการระเบิดเมื่อตัดทอ หรือถอดทอออกจาก ระบบทอทางที่บรรจุของไหลติดไฟได 5. ศึกษาและปฏิบัติตามขอแนะนําในการรักษาความปลอดภัยเมื่อจัดทําการตอทอดวยการ แลนประสาน การบัดกรีแข็ง (BRAZING) หรือดวยกรรมวิธีอยางอื่นทีใ่ ชในการซอมทําทอทาง 6. ศึกษาวิธีการใชเครื่องมือและอุปกรณทใี่ ชในการปฏิบัติงานทอทางใหถูกตองและเหมาะสม กับงาน
ความปลอดภัยในการยกเคลื่อนยายอุปกรณโดยใชเครือ่ งทุนแรง เครื่องมือเครื่องทุนแรงที่ใชยกเลื่อน เคลื่อนยายของหนัก โดยทั่วไปแลวมีมากมายหลายชนิด ขึ้นอยูกับการนําไปใชงานประเภทใดแตทเี่ รานํามาใชงานเกี่ยวกับการายกเลื่อน เคลื่อนยายของหนัก ดังนี้ 1. เครนประจําที่ เปนเครนทีต่ ิดตั้งไวใชงานบริเวณพื้นทีป่ ฏิบัติงาน เชน เครนรางไฟฟาประจํา โรงงาน, เครนรางไฟฟาประจําทาเรือ, เครนรางไฟฟาประจําอูแหง 2. รถเครน MOBILE CRANE เปนเครนที่สามารถเดินทางไปปฏิบัติงานในพืน้ ที่ตา ง ๆ 3. รถยก FORKLIFT เปนรถที่สามารถปฏิบัติงานยก เคลื่อนยาย ไดคลองตัว สะดวก รวดเร็ว ไมตองใชคนมาก 4. รถเข็น HAND PALLET TRUCKS เปนรถเข็นที่สามารถปฏิบัติงานในทีแ่ คบได 5. บันไดพาด สามารถใชงานในที่สูงไมมาก และรถกระเชา เขาไมถึง ในที่แคบ 6. เชือก ใชสําหรับผูกมัดสิ่งของมิใหตกหลน มีทั้งหมด 12 ชนิด ที่กองทัพเรือใชอยูใน โรงงานเชือกรอก 7. รอกโซ เปนรอกกลไก โดยใชโซยกใชกาํ ลังเพียงเล็กนอย
63
เครื่องทุนแรง เครื่องทุนแรง หมายถึง เครื่องมืออุปกรณที่ใชปฏิบัติงานยกเลื่อน เคลื่อนยายของหนัก เพื่อ ชวยในการผอนแรงหรือการไดเปรียบเชิงกล ซึ่งจะทําใหเราสามารถปฏิบัติงานไดสะดวกรวดเร็ว สิ้นเปลืองแรงงานนอย และเปนการประหยัดคาใชจายเครื่องทุนแรงทุกชนิด ไดถูกออกแบบและสราง ขึ้นมาไวใชงานที่แตกตางกัน หรือสรางขึ้นมาเพื่อใชไดเฉพาะงานเทานั้น ดังนั้น การที่เราจะนําเครื่อง ทุนแรงตาง ๆ ไปใชงานจําเปนตองศึกษาวิธีการใชปฏิบัติตามคูมือและคํานึงถึงหลักการใชงาน ดังนี้ 1. ใชเครื่องทุนแรงไมถูกตองกับงาน เชน รอกแมแรงยกทางดิ่ง นําไปใชดึงหรือลากของ ในทางระนาบหรือแนวนอน 2. ใชเครื่องทุนแรงไมเหมาะสมกับงาน เชน ใชรอกแมแรงขนาด 1 ตัน นําไปยกของที่มี น้ําหนักมากกวา 1 ตัน 3. ใชเครื่องทุน แรงไมถูกตามลักษณะของงาน เชน ของที่มีลักษณะเปราะบาง หรือชํารุด เสียหาย งาย ควรใชเครื่องประกอบเครื่องทุนแรงที่ไมทําใหของชํารุดเสียหาย เชน บารยก , สลิงออน เปนตน
เครื่องมือทุนแรงและอุปกรณประกอบการยก 1. สลิงยกของ ที่ใชกันอยูทวั่ ไปมี 4 ชนิด 1.1 สลิงเชือกมีลักษณะปลายขางหนึ่งทําเปนหวงขนาดขึ้นอยูกับการนําไปใชงานล - สลิงเชือกทํามาจากพืช เชน เชือกมะนิลา, เชือกกาบมะพราว - สลิงเชือกที่มาจากใยสังเคราะห เชน ไนลอน, เทอรีลีน 1.2 สลิงลวด ลักษณะปลายทั้ง 2 ขาง ทําเปนหวง ขนาดแลวแตการนําไปใชงาน 1.3 สลิงโซ ลักษณะปลายทัง้ 2 ขาง ไมมีหว งใช ใชขอและอุปกรณทใี่ ชประกอบกับโซ เชน ปากจับยึดโซ 1.4 สลิงออน (SOFT SLING) เปนสลิงที่ทํามาจากใยสังเคราะห ลักษณะมีทั้งเปนแบบ เสนกลมและแบบเปนแถบ มีปายบอกขนาดความยาวของสลิงเปนเมตร และรับน้ําหนัก SWL (รับ น้ําหนักน้ําหนักปลอดภัย) , WLL (รับน้ําหนักไดสูงสุด) 2. เสกล เปนอุปกรณที่ใชประกอบกับสลิงยกของโดยเฉพาะ สลึงลวดมีใชกันอยู 2 แบบ - เสกลตรง ลักษณะเปนรูปตัวยู แข็งแรงมากกวาเสกลโคง 0.5 เทา ( 3 D ) - เสกลโคง ลักษณะคลายรูปตัวยู แตมีความโคงมากกวา ( 2.5 D) 3. ขอ ใชประกอบกับสลิงยกของ สวนมากใชกับสลิงโซ และสลิงลวด 4. หวง ใชเปนหวงรวมสลิงในกรณีที่ใชสลิงยกมากวา 1 เสน หรือเปนอุปกรณเฉพาะ หรือ ใชประจําที่โดยไมเสียเวลาในการประกอบสลิง ใชขอเกี่ยวเขากับจุดยกไดเลยและไมตองหาจุด ศูนยกลาง
64 5. รอกจาด คือ รอกไมที่รอยเชือกไวแลว นําไปใชงานยกของหรือลากดึง เพื่อชวยผอนแรง 6. รอกแมแรง เปนรอกกลไกโดยใชโซยกใชกําลังเพียงเล็กนอยก็สามารถยกของหนักได แต การยกทําไดชา เปนไปตามกลไกของเฟอง รอกชนิดนีน้ ิยมใชมากที่สุด ใชงานงาย สะดวก รวดเร็ว เบา แรง มีขนาดตัง้ แต 1 - 5 ตัว และ 10 ตัน
การใช และวิธีการเก็บรักษา สลิงเชือก 1. สลิงเชือกที่ไมไดใชงานเมื่อเก็บไวนาน ๆ ทําใหเสื่อมคุณภาพจึงหมั่นตรวจตราทําความ สะอาด 2. สลิงเชือกที่นําไปใชงานถูกกับน้ําเค็ม เมื่อเลิกใชแลว ตองลางน้ําจืดใหสะอาดและผึ่งแดด ใหแหง 3. ระวังอยาใหครูด เสียดสีวสั ดุแข็ง เกลียวจะสึกอาจขาดไดงาย 4. เชือกที่ขมวดเปนปม ไมควรนําไปใชยกของหนักหรือเหนี่ยวรั้ง 5. อยาใชสลิงเชือกในทางที่จะทําใหเชือกคลายเกลียว 6. ถานําสลิงเชือกไปใชงานกระตุกกระชากควรใชเชือกเสนใหญ สลิงลวด 1. สลิงลวด เมื่อนําไปใชงานเสร็จแลวหากสกปรกใหลางดวยน้ําจืดแลวเช็ดใหแหง แลวทา จารบีใหทวั่ 2. สลิงลวดเกาที่เปนสนิม เสนเกลียวผุ ไมควรนําไปใชงานจะเกิดอันตรายแกคน และสิ่งของ เสียหาย เสกล 1. อยานําเสกลไปใชงานเกินกําลัง จะทําใหแกนคดเสียรูปทรง หมุนคลายเกลียวไมออก 2. อยาโยนเสกล ลงกระแทกกับพื้นจะทําใหเสกลเสียหาย 3. เมื่อนําไปใชงานถูกกับน้าํ เค็ม ตองลางดวยน้ําจืดใหสะอาดและชะโลมน้ํามัน หรือจารบีให ทั่ว โดยฉพาะเกลียวในและเกลียวนอก ขอ , หวง 1. อยานําไปใชงานที่เกินกําลังจะทําใหของาง เสียรูปทรง เกิดอุบัติเหตุขึ้นได 2. เมื่อนําไปใชงานถูกกับน้าํ เค็ม จะตองลางดวยน้ําจืดใหสะอาด แลวชะโลมน้ํามัน หรือจารบี ใหทั่ว
65 รอกชนิดตาง ๆ 1. อยานําไปใชงานเกินกําลังที่กําหนดไวตามขนาดของรอก 2. อยาโยนหรือลากไปกับพืน้ จะทําใหเปลือกรอกและอุปกรณของรอกชํารุด เสียหาย 3 อยานําไปใชงานถูกกับน้าํ เค็ม ตองลางดวยน้ําจืดใหสะอาด เช็ดใหแหงและชะโลมน้ํามัน หรือจารบีใหทั่ว 4. กอนนํารอกแมแรงไปใชงานตองตรวจความเรียบรอยของอุปกรณทุกครั้ง หากพบสิ่งใด ชํารุดหรือผิดสังเกต หามนําไปใชเด็ดขาด
หลักการยกสิ่งของที่มีน้ําหนักมาก กลาวนํา การยก เลื่อน และการเคลือ่ นยายสิ่งของที่มีน้ําหนักมาก เปนหนาทีข่ องชางสังกัดโรงงาน เชือกรอกและการอู ดังนั้น เพื่อใหการปฏิบัติงานไดผลดี และเกิดความปลอดภัยกับสิ่งของและตัว บุคคล จึงจําเปนตองทราบ คุณลักษณะของเครื่องมือ เครื่องใช อุปกรณตาง ๆ และวิธีการใชงาน สัญลักษณและเครื่องหมายที่หีบกลอง ตลอดจนขอควรระวังตาง ๆ ดวย เพื่อใหสอดคลองกับเรื่อง หลักการยกสิ่งของที่มีน้ําหนักมาก โดยใชเอกสารของ นาวาโท สมนึก อินทรจันทร มาประกอบใน การเขียน ดังนี้ เครื่องมือและเครื่องทุนแรง เครื่องมือและเครื่องทุนแรง คือ อุปกรณที่ใชในการผอนแรงการทํางาน ทําใหเกิดการ ประหยัดแรงงาน สะดวกและปลอดภัยในการทํางาน ซึ่งมีมากมายหลายชนิดดวยกัน ดังนั้น ผูปฏิบัติงานตองพิจารณาใชเครื่องมือเหลานี้ใหเหมาะสมกับงาน ในที่นี้จะกลาวเฉพาะเครื่องมือและ เครื่องทุนแรงที่ใชสําหรับในการยกสิ่งของที่มีน้ําหนักมากของโรงงานเชือกรอกและการอูเทานัน้ คือ 1. เชือก 2. รอก 3. รถโฟลคลิฟท 4. การใชรถปนจั่น 1. เชือก มีอยู 12 ชนิด คือ 1.1 เชือกปาน 1.2 เชือกมะนิลา 1.3 เชือกกาบมะพราว 1.4 เชือกมะเล็น 1.5 เชือกน้ํามัน 1.6 เชือกกันชา
66 1.7 เชือกปอ 1.8 เชือกสปนยารน 1.9 เชือกดาย 1.10 เชือกสายล็อก 1.11 เชือกลวด 1.12 เชือกใยสังเคราะห วิธีการใชแตละชนิดก็แตกตางกันออกไป แตสวนมากเชือกที่ใชในการผูกยกสิ่งของทีม่ ี น้ําหนักมาก ๆ ไดแก เชือกมะนิลา เชือกลวด เชือกใยสังเคราะห (ประเภทไนลอน) การนําเอาเชือก หรือเชือกลวดมาใชผูกยกสิ่งของที่มีน้ําหนักมาก ๆ ตองถักแทงเปนหวง เชือกที่แทงเปนหวงแลว เรียกวา “สลิงเชือก” สวนเชือกลวดที่ถักแทงเปนหวงแลว เรียกวา “สลิงเชือกลวด” การใชสลิงเชือกและสลิงเชือกลวด - การนําสลิงเชือกและสลิงเชือกลวดไปใชงานตองพิจารณาใหเหมาะสมและสัมพันธกบั ลักษณะของงาน เชน ตองการยกตุมน้ําหนักสําหรับถวงเรือ ซึ่งน้ําหนัก 1 ตัน เราก็ควร ใชสลิงเชือกหรือสลิงเชือกลวด ซึ่งมีขนาดใหญพอที่จะสามารถนําไปผูกหรือมัดเพื่อยก วัสดุที่มีน้ําหนักไดไมต่ําวา 1 ตัน ขึ้นไป เปนตน - ใชเสกลตอกับสลิงเชือกลวดเขากับงานเสมอ - ประกอบสลิงใหอยูตําแหนงจุดศูนยถวงของงาน - ปรับสลิงใหอยูในตําแหนงสมดุลยของน้ําหนัก ในกรณีที่ใชมากกวา 1 เสนขึ้นไป - หลีกเลี่ยงอยาใหสลิงบาดกับของมีคมในขณะยกงาน - ในกรณีที่ตองใชสลิงโอบรอบงานและอาจจะทําใหสลิงเกิดหักงอหรือบาดกับของมีคม ใหใชไมรองรับเพื่อปองกันไว - การใชสลิงลวดพึงระวังกระแสไฟฟา เนื่องจากลวดเปนสื่อตัวนําไฟฟาอาจจะทําใหเกิด อันตรายได - กอนนําสลิงลวดหรือสลิงเชือกมาใชงาน ใหตรวจความเรียบรอยเสียกอน 2. รอก ดังไดกลาวมาแลวในเรื่องเชือกรอกวาเปนเครื่องมือที่ใชในการทุนแรงหรือผอนแรง ดึง รอกในราชนาวี มี 5 ชนิด คือ 2.1 รอกธรรมดา 2.2 รอกตีน 2.3 รอกกล 2.4 รอกปุลเลห 2.5 รอกแมแรง
67 สําหรับรายละเอียดตาง ๆ ไดกลาวไวในเรื่องเชือกรอกแลว จึงขอกลาวซ้ําเฉพาะรอกซึ่ง เกี่ยวกับชางยกของที่มีน้ําหนักมาก ๆ อีกครั้งหนึ่ง คือ รอกแมแรงซึ่งเปนรอกที่ประดิษฐขนึ้ เพื่อชวย ผอนแรงในการยกน้ําหนักเมือ่ ออกแรงเพียงเล็กนอย ก็สามารถยกสิ่งของที่มีน้ําหนักมาก ๆ ไดซึ่ง แบง ออกได 4 ประเภท คือ 1. รอกแมแรงดึงในทางดิ่ง คือรอกแมแรงที่ใชในการดึง ขึ้น – ลง ทําดวยเหล็ก โดยใชโซ เปนตัวดึงเพื่อยกน้ําหนัก สวนมากใชยกเครื่องจักรหรือเครื่องยนตทมี่ ีน้ําหนักมาก ๆ ที่อยูในหอง เครื่องของเรือเพื่อขึ้นมาซอมทํา รอกแมแรงในทางดิ่งมีหลายขนาด 1 - 5 ตัน และ 10 ตัน ประโยชน ของแรกแมแรงดึงในทางดิ่ง คือ - สามารถยกของไดในทีแ่ คบและคนจํากัด - จํานวนคนนอยก็สามารถทํางานได - มีความมั่นคงและปลอดภัยในการทํางานดี - เปนตัวนํากระแสไฟฟาจึงตองระวังอยาใหเกิดไฟฟาชอตได - สามารถยกน้าํ หนักไดสูงสุดประมาณ 8 ตัน 2. รอกแมแรงในทางระนาบ คือ รอกแมแรงที่ดึงในทางระนาบนัน่ เอง ทําดวยเหล็กทีเ่ ปนรูป ทรงกลม มีกานตอมือโยกทีต่ ัวรอก โดยใชโซแทนเชือกเปนตัวดึง ซึ่งประโยชนก็คอื - ใชในงานชักเพลาใบจักรเรือเมื่อปรับแตงศูนยเพลาใบจักร และอืน่ ๆ ตามความ เหมาะสม - คนจํานวนนอยก็สามารถทํางานได - มีความมั่นคงและปลอดภัยในการทํางาน - เปนตัวนํากระแสไฟฟา จึงตองระวังอยาใหเกิดไฟฟาชอตได 3. รอกแมแรงลวด คือ รอกแมแรงที่ทําดวยเหล็กผสมอลูมิเนียม มีลักษณะกลมยาวมีกาน ตอ ออกมาจากตัวรอกเพื่อใชมือโยกสําหรับดึงเขาและคลายออก รอกชนิดนี้ใชลวดเปนตัวลาก หรือดึง น้ําหนัก ประโยชนของรอกชนิดนี้ คือ - ใชตรึงเรือเมื่อเรือลอยน้ําอยูในอูเพื่อเขารับการซอม - ใชลากหรือยกของหนักตาง ๆ - ลากและยกของไดเปนระยะทางครั้งละมาก ๆ - เปลี่ยนทิศทางในการลาดและยกไดสะดวก - ใชในพืน้ ที่จํากัดไดดี - คนจํานวนนอยก็สามารถปฏิบัติงานได - อยาใหเขาใกลระบบไฟฟา เพราะเปนสื่อไฟฟาอาจทําใหไฟฟาขัดของได
68 4. แมแรงไฮดรอลิกส แมแรงประเภทนีใ้ ชระบบกําลังดันน้ํามัน เชน แมแรงที่ใชยกรถยนตขึ้น เมื่อตองการซอมทําสวนที่อยูใตทองรถหรือทําการเปลี่ยนยางรถ แมแรงชนิดนี้มหี ลายแบบ ซึ่ง สามารถใชปฏิบัติงานไดความเหมาะสม คือ - ใชยกและดันในทางตั้ง เชน ยกรถขึ้นเพื่อเปลี่ยนยางลอรถ ฯลฯ - สามารถยกและดันน้ําหนักไดมากถึงประมาณ 100 ตัน - คนจํานวนนอยก็สามารถทํางานได - ใชยกของในทีแ่ คบ ๆ
ขอควรระวังในการใชรอกแมแรงแบบตาง ๆ -
ตองปฏิบัติตามสมุดคูมือขอแนะนําในการใชรอกแมแรงแตละชนิด ใชงานใหถูกวิธีและเหมาะสมกับงาน อยาใชรอกแมแรงเกินกําลังที่กําหนดไว กอนนํารอกแมแรงไปใชตองตรวจความเรียบรอยของอุปกรณทุกครั้ง หากพบสิ่งใด ชํารุดหรือผิดสังเกต หามนําไปใชเด็ดขาด - หามโยน หรือลาก ขณะเคลือ่ นยาย - เมื่อเลิกใชงานแลว ตองทําความสะอาดทุกครั้ง
3. รถโฟลคลิฟท (FOLK LIFT) รถโฟลคลิฟท เปนเครื่องมือที่มีความจําเปนอยางมากในการใชยก เลื่อน เคลื่อนยายสิ่งของ ตาง ๆ ที่มีน้ําหนักมาก จากที่หนึ่ง รถชนิดนี้จะมีงายืน่ ออกไปขางหนารถจํานวน 2 งา ซึ่งสามารถ ปรับแตงงาใหสูงต่ําได หลักเกณฑการใชรถตองปฏิบัติดังนี้ - ปฏิบัติตามคูมือการใชรถอยางเครงครัด - กอนใชงานตองตรวจดูความเรียบรอยของอุปกรณ ตัวรถ เครื่องยนต น้ําหลอ และน้ํามัน หลอใหอยูใ นระดับใชการได - ผูไมมีหนาที่หา มใชรถอยางเด็ดขาด - ขณะเดินเครื่องตองมีเจาหนาที่ใชรถประจําอยูเสมอ - อยาใชรถยกของที่มีน้ําหนักเกินกําลังที่กําหนดไว - หลีกเลี่ยงการใชรถในสถานที่อาจเกิดอันตรายได เชน ริมเขื่อน และพืน้ ที่ที่ไมแข็งแรง - ในการยกของตองใหจดุ ศูนยถวงของน้ําหนักอยูก ึ่งกลางงาทั้ง 2 ขาง และตองใชเชือกผูก ตึงกับงานเสมอ โดยเฉพาะอยางยิ่งขณะเคลื่อนยาย - อยาใชงายกของที่เห็นวาอาจเกิดชํารุดเสียหายกับงาชิน้ ได ถาจําเปนตองใชควรใชยาง สวมงาปองกันไว - อยาตองายกของใหยาวเกินกวาที่กําหนดไว
69 - อยาใชงาของรถดันสิ่งของ - การยกของในลักษณะดึงขึ้นหรือหยอนลง ตองกระทําอยางระมัดระวังและนิ่มนวล ไม กระตุกกระชาก - เมื่อเคลื่อนรถออกจากที่เพื่อนําไปใชงาน ตองแนใจวาไมมีสิ่งกีดขวาง หรือเปนอันตราย แกบุคคลและสิ่งของ - ในการเคลื่อนยายของหนักในพื้นที่ลาดเอียงใหเดินหนาขึ้นและ ขณะลงใหถอยหลังลง เสมอ - ตองปฏิบัติตามกฎจราจรในพื้นที่อยางเครงครัด - ใชความเร็วของรถขณะยกของหนักประมาณ 5 กม./ชม. - อยาใชงานผิดประเภท - เมื่อเลิกใชรถแลวใหลดงาลงกับพื้นและดึงหามลอทุกครั้ง 4. การใชรถปน จั่น การที่จะใชรถปนจั่นใหถูกวิธีและปลอดภัย ตองปฏิบัติดังนี้ คือ - ปฏิบัติตามคูมือและคําแนะนําในการใช - กอนใชงานตองตรวจสอบความเรียบรอย อุปกรณตวั รถ เครื่องยนต น้ําหลอ น้ํามันหลอลื่น ตลอดจนระบบของการยก เชน รอก ลวด และสวนเคลื่อนไหวของ ระบบไฮดรอลิกส - ผูใชรถตองเปนเจาหนาที่ที่ชาํ นาญเทานั้น - ขณะเดินเครื่องตองมีเจาหนาที่ขับรถประจําอยูเสมอ - หามใชรถยกของเกินกําลังทีก่ ําหนดไว - ใหปรับมุมกระดกและความยาวของคันเบ็ด (แขนปนจั่น) ในการยกของใหเปนตามคูมือ ที่กําหนดไวของรถแตละคัน ตามพิกัดความสูงที่กําหนดไว - ในกรณีที่ยกปน จั่นที่มีฐานสําหรับรองรับ ตองการฐานรองรับเสมอ แมยกน้ําหนักเพียง เล็กนอย - การยกของดึงขึ้นหรือหยอนลงตองกระทําอยางระมัดระวัง ไมกระตุกกระชาก - ขณะทีย่ กของหนักแขวนอยู หามเคลื่อนรถปนจั่นเปนอันขาด - การยกของดวยรถปนจั่น ตองใชสัญญาณเสมอ - ตองใชเชือกผูกมัดของใหแนน และคอยประคองน้ําหนักที่ยกทุกครั้ง - เมื่อจอดรถปนจั่นตองดึงหามลอทุกครั้ง - หามใชรถปนจั่นยกของขามศีรษะผูอื่นเด็ดขาด - เมื่อเลิกใชรถแลวตองเก็บอุปกรณตาง ๆ เขาที่ใหเรียบรอย
ขอจํากัดของการยก 1. ตองทราบจํานวน น้ําหนักของสิ่งของ
70 2. เลือกวิธีใชสลิงที่ถูกตอง 3. พิจารณามุมที่ตองสูญเสียแรงดึงของสลิง 4. เลือกอุปกรณที่ชวยยกที่เหมาะสม 5. ยึดอุปกรณชวยยกตามความเหมาะสม - หาศูนยถว งของสิ่งของใหถูกตอง - ปองกันสิ่งของจากการหมุน - ปองกันตะขอหรือสิ่งของลื่นไถล 6. เคลียรพื้นที่ ที่จะยกของใหปลอดภัย 7. ในการยกสิง่ ของ ตองตรวจสอบใหแนใจกอนจึงยกได 8. ระวังการหลนของสิ่งของที่กําลังยก อาจเกิดไดตลอดเวลา 9. หามลากอุปกรณชวยยกไปตามพื้น 10. สังเกตน้ําหนักที่ปลอดภัย พยายามอยาใหเกินน้ําหนัก การใชสลิงยกอยางถูกวิธี และปลอดภัย หลักการยก 1. ตองทราบจํานวนน้ําหนักของสิ่งของ 2. เลือกวิธีการใชสลิงที่ถูกตอง 3. พิจารณามุมที่ตองสูญเสียแรงดึงของสลิงไป 4. เลือกอุปกรณที่ชวยยกที่เหมาะสม 5. ยึดอุปกรณชวยยกตามความเหมาะสม ก) หาศูนยถวงของสิ่งของใหถูกตอง ข) ปองกันสิ่งของจากการหมุน ค) ปองกันตะขอหรือสิ่งของลื่นไถล ง) เก็บรักษาสวนตาง ๆ ขิงสิ่งยกไมใหแอน ไหลออกมา 6. เคลียรพื้นทีท่ ี่จะยกของใหปลอดภัย 7. การหิ้ว ตองตรวจสอบกอนที่จะยกออกไป 8. ระวังการหลนของสิ่งของ อาจเกิดไดทุกเวลา 1 การแขวน 9. หามลากอุปกรณชวยยกไปตามพื้น 2 ตรวจสอบ 3 ยกออก 10. สังเกตุน้ําหนักที่ปลอดภัย อยาใหเกินพิกัดได 4 เอามือออกจากของที่ยก 5 พันสลิงสองทบ
จะยืนที่ไหน ไมใชที่นี่ ตรวจของที่นี่
71
72
ตําแหนงที่อันตราย
ตําแหนงที่ถูกตอง
การถวงดุลย
ปลายกระดก
ผูกสลิงใหมีระยะเทากัน จากดุลศูนยถวง เพื่อความสมดุลย
บางครั้งเปนการยากที่จะหาจุดศูนยถวง โปรดระมัดระวังการผูกสลิงและยกอยางระมัดระวัง ปรับและพยายามจนกวาจะยกไดสมดุล
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
….
83
84
85
86
ความปลอดภัยในการบํารุงรักษารถยนต ความปลอดภัยในระหวางทําการบํารุงรักษารถยนต ควรปฏิบัติตามขอควรระวังในการทํางาน อยางเครงครัด เพื่อใหรูถึงหลักการทํางานที่ปลอดภัยเพือ่ หลีกเลี่ยงไมใหเกิดอุบัติเหตุขึ้นได ซึ่งเปนผล มาจากทัศนคติที่ไมถูกตอง ขาดความรูความชํานายและมีสภาพรางกายที่ไมเหมาะสมกับงาน อยางไร ก็ตาม หากไมแนใจเกีย่ วกับวิธีการใชเครือ่ งมือหรืออุปกรณที่ใชในการทํางาน หรือไมแนใจในการ วิเคราะหในการทําการตรวจสอบ ใหปรึกษาปญหาเหลานั้นกับผูควบคุมงานหรือผูชํานาญ โดยไมควร ตัดสินใจดวยตนเอง หากไมมีความมั่นใจ ดังนั้น ในขณะที่ทําการบํารุงรักษารถยนต จึงควรปฏิบัติใหถูกตองอยางเครงครัดเพื่อความ ปลอดภัยดังนี้ 1. กอนปฏิบตั ิงานควรใชผา คลุมบังโคลน ผาคลุมเบาะและผารองพื้นรถ ทั้งนี้เพื่อปองกัน ความสกปรก และรอยขีดขวนที่เกิดจากเครือ่ งมือ หัวเข็มขัด กับสีรถยนต ดังแสดงในรูปที่ 1.1
รูปที่ 1.1 ใชผาคลุมบังโคลน เบาะรถ และผารองพื้นเพื่อปองกัน รอยขีดขวนและคราบสกปรกที่เกิดขึ้นระหวางปฏิบัติงาน
2. เมื่อตองการใชแผนกัน้ ลอ ใหติดตั้งแผนกั้นลอทั้งดานในและดานนอกของลอหนาและลอ หลัง ดังแสดงในรูปที่ 1.2 เพื่อปองกันอันตรายที่จะเกิดจากมอเตอรสตารททํางานในขณะที่รถไมอยูใ น ตําแหนงเกียรวาง ซึ่งเปนการเพิ่มความปลอดภัยใหมากยิง่ ขึ้น แ มวาเบรกมือจะถูกดึงไวก็ตาม รูปที่ 1.2 ใชแผนกั้นลอปองกันอันตรายเพื่อชวย เพิ่มความปลอดภัยใหมากยิ่งขึ้นในขณะปฏิบัติงาน
87 3. การใชแมแรง ควรตั้งแมแรงใตคานหรือเพลา โดยใหแผนรองรับน้ําหนักของแมแรงอยูตรง ศูนยกลางของจุดรองรับและมีความมั่นคงเพียงพอ ไมลื่นไถลออกจากจุดรองรับได ดังแสดงในรูปที่ 1.3
ตําแหนงขึ้นแมแรงดานหนา
ตําแหนงขึ้นแมแรงดานหลัง
รูปที่ 1.3 การใชแมแรงยกรถ ควรใหแผนรองรับน้ําหนักอยูตรงศูนยกลางของจุดรองรับใตคานและเพลาพอดี
4. ขาตั้งที่ใชรองรับตัวถังรถ ควรใหอยูในตําแหนงดังแสดงในรูปที่ 1.4 ภายหลังจากที่ได ปรับตั้งระดับความสูงของขาตั้งแลว
ตําแหนงรองรับขาตั้งดานหนา
ตําแหนงรองรับขาตั้งดานหลัง
รูปที่ 1.4 ตําแหนงติดตั้งขาตั้งรองรับตัวถังรถ
รูปที่ 1.5 ตําแหนงรองรับของขายกลิฟทกับบันไดรถจะตอง สมดุล
5. การใชลิฟทยกระทุก ครั้ง จะตองเคลื่อนรถใหอยูใน ตําแหนงสมดุล โดยใหขายกของ ลิฟทกางออกใหกวางมากที่สดุ และควรระวังขายก อยาใหกดทับ ทอทางเดินของระบบตาง ๆ ที่อยู ภายใตทองรถ และตองขึ้นทีบ่ ันได ของรถซึ่งเปนจุดที่แข็ง โดยใหยาง รองขายกตรงกับรองบันได ดัง แสดงในรูปที่ 1.5
88 6. เครื่องมือพิเศษ (Special tool and sst) เปนเครื่องมือที่ถูกทําขึ้นมาใชแทนเครือ่ งมือ ประจําตัวธรรมดา ซึ่งถาหากใชเครื่องมือประจําตัวธรรมดา อาจเปนอันตรายแกผูปฏิบัติ จัดเรียงชิ้นสวนอุปกรณตามลําดับ
ระวังสายพานขณะกําลังเดินเครื่องยนต
89
ลางเครื่องกอนที่จะทําการถอดประกอบ
แตงกายใหรัดกุมและเหมาะสมกับงาน
ลางเครื่องกอนที่จะทําการถอดประกอบ ปฏิบัติงานในสถานที่ที่มีแสงสวางเพียงพอ
90
ปฎิบัติงานในที่ที่มีแสงสวางเพียงพอ
กวดนัตตามเข็มนาฬิกา และ คลายทวนเข็มนาฬิกา
91
ทํางานใตทองรถตองใชแสตนรอง
อยาใชสันหลังยกของ
อยาใชสันหลังยกของ
92
สตารทเครื่องอยายืนหนารถปลดเกียรวาง
ระวังฝากระโปรงกระแทก
93
ดวงตาเปนหนาตางของดวงใจตองถนอมเอาไว
ใชเครื่องทุนแรงในการทํางาน
94
ควรมีเครื่องชวยความจํา
ใชเครื่องมือที่ถูกตอง
95
กวดนอตลอใหแนน
จับงานใหมั่นคง
96
เครื่องมือตองวางใหเปนระเบียบ
อยาใชอารมณในการทํางาน
97
อยาใชเครื่องมือผิดประเภท หรือเกินกําลัง
กวดฝาสูบดวยประแจปอนด
98
เสริมสรางความปลอดภัย ดวยหลักการ 3 E ปจจุบันประเทศไทยพัฒนากาวหนาไปสูระบบอุตสาหกรรม ทําใหมีโรงงานอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นเปนจํานวนมาก เจาของโรงงานหรือผูประกอบการทั้งหลายไดแขงขันการผลิตสินคาออกสู ตลาด เพื่อใหมีคุณภาพสูง ราคาถูก และเปนที่นิยมของประชาชนทั่วไป และนําหลักการ 3 E มาใช บริหารในโรงงาน จนประสบผลสําเร็จอยางมากมาย เชน พนักงานมีความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน สูง มีขวัญและกําลังใจเพิม่ ขึ้น ไดผลผลิตสูง และลดการสูญเสียคาใชจายอันเนื่องมาจากการเกิด อุบัติเหตุอีกดวย เมื่อถึงสิ้นปเจาของโรงงานและพนักงานตางไดรับผลตอบแทนสูงที่ไดรวมมือกัน สรางความปลอดภัยขึน้ ในโรงงาน
หลักการ 3 E มีอะไรบาง หลักการ 3 E ที่เจาของโรงงานและพนักงานไดนํามาแกไขและพัฒนาการปฏิบัติงานใหมี ประสิทธิภาพและปลอดภัยเพิ่มขึ้น มีดังนี้ 1. ความปลอดภัย (ENGINEERING) การใชความรูทางดานวิศวกรรมศาสตรในการคํานวณ และออกแบบ หรือ จัดหา เครื่องจักรกล และเครือ่ งทุนแรง ในการผลิตใหมีประสิทธิภาพและ ปลอดภัยสูงขึน้ รวมทั้งติดตัง้ เครื่องปองกันอันตรายสวนที่เคลื่อนไหวของเครื่องจักรกล และการจัดผัง โรงงานเกี่ยวกับระบบไฟฟา แสงสวาง เสียง และการระบายอากาศใหถูกตองเหมาะสม เพื่อใชงานได สะดวกและปลอดภัย กําหนดใหเปน E ตัวแรก 2. การศึกษา (EDUCATION) จัดใหมกี ารศึกษา อบรม แนะนํา กับพนักงาน หัวหนางาน ตลอดจนผูเกีย่ วของในการปฏิบัติงานโดยทุกคน ไดมีความรูและความเขาใจเกี่ยวกับการปองกัน อันตรายและวิธีปฏิบัติงานที่ถูกตอง กําหนดใหเปน E ตัวที่สอง 3. การออกกฎหมายและขอบังคับ (ENFORCEMENT) ไดกําหนดวิธีการปฏิบัติงานและมี มาตรการควบคุมใหพนักงานทุกคนปฏิบตั ิงานโดยวิธีที่ถูกตอง และปลอดภัย หากผูใ ดไมปฏิบัติตามก็ จะตองถูกลงโทษ เพื่อใหเกิดความสํานึก และหลีกเลีย่ งในการปฏิบัติงานที่เปนอันตราย กําหนดให เปน E ตัวที่สาม
บทที่ 4 อุปกรณนิรภัย โรงงานอุตสาหกรรม หรือสถานประกอบการทางชางไดรณรงคเรื่องความสําคัญของความ ปลอดภัยในการทํางาน เพื่อฝกพนักงานใหเปนผูมีสามัญสํานึกในการทํางานจนเปนนิสัย และถือวา “การปองกันอุบัติเหตุหรือความปลอดภัย เปนสวนหนึ่งของการทํางาน” แตอยางไรก็ตามแมจะมีการ รณรงคและประชาสัมพันธเรื่องความปลอดภัยอยางทั่วถึงแลวก็ตาม อุบัติเหตุก็ยังมีเกิดขึ้นบอยครั้ง เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เกิดจากการเผลอหรือประมาทของพนักงาน ซึ่งยอมจะเกิดขึ้นได ตอมาก็ไดมี วิธีชวยลดอุบัติเหตุโดยวิธีขจัดอันตรายหรือควบคุมทางวิศวกรรม ซึ่งไดแกการสรางเครื่องปองกัน อันตรายที่เครื่องจักร เชน พวกการดหรือครอบปดชิ้นสวนที่หมุน, ที่เคลื่อนไหว และเครื่องจักร ถึงแม จะมีการปองกันทางวิศวกรรม แตอุบัติเหตุก็ยังเกิดขึ้นอีก ไมสามารถจะปองกันได 100% และเพื่อเปน การเพิ่มความปลอดภัยใหพนักงาน จึงตองมีเครื่องปองกันอันตรายสวนบุคคลเปนวิธีสุดทาย
อุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล อุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล หมายถึง สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่สวมใสลงบนอวัยวะสวนใดสวนหนึ่ง ของรางกายหรือหลาย ๆ สวนรวมกัน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อปองกันอันตรายใหแกอวัยวะสวนนั้น ๆ ไมใหตองประสบกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นในระหวางการปฏิบัติงาน เครื่องปองกันหรืออุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลทําหนาที่ปองกันภัยที่จะเกิดแกอวัยวะ ตาง ๆ ของรางกายพนักงาน เชน ศีรษะ, ดวงตา, มือ และเทา ฯลฯ
รูปแสดงอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล
100
แนวทางการเลือกและใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลอยาง เหมาะสม 1. หลักเกณฑในการเลือกอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล การเลือกอุปกรณปองกัน ฯ มีหลักเกณฑทใี่ ชประกอบการพิจารณาเลือก 9 ประการสําคัญ คือ 1.1 เลือกใหเหมาะสมกับลักษณะงานที่เปนอันตราย ตองทราบลักษณะงานที่ทําจะเกิด อันตรายอะไรไดบาง ขอมูลนี้จะไดจากการวิเคราะหงานเพื่อความปลอดภัย เชน ถาเราตองทํางาน เกี่ยวกับกรด เราก็ควรเลือกใชหนากากที่สามารถปองกันไอกรดนั้นได เลือกใชถุงมือปองกันกรด เปน ตน 1.2 เปนอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลที่ผานการทดสอบหรือรับรองประสิทธิภาพ จากสถาบันหรือองคการที่เกี่ยวของกับงานทางดานความปลอดภัยและสุขภาพอนามัย เชน อุปกรณ ปองกันระบบทางเดินหายใจที่มีหนังสือรับรองประสิทธิภาพจากสถาบันอาชีวอนามัยและความปลอดภัย แหงสหรัฐอเมริกา (National Institute for Occupational Safety and Health : NIOSH) สํานักงาน ความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยเหมืองแรแหงสหรัฐอเมริกา (Mine Safety and Health Administration : MSHA) หรือเปนอุปกรณปองกันที่ผลิตขึ้นตามมาตรฐานกําหนด เชน มาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม (มอก.) มาตรฐานแหงชาติอเมริกัน (American National Standard Institute : ANSI) จะทําใหมั่นใจไดวา สามารถปองกันอันตรายดังที่ระบุไวที่อุปกรณปองกันนั้น 1.3 ขนาดที่พอเหมาะกับผูใช เนื่องจากอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลสวนใหญแลว จะเปนผลิตภัณฑที่มาจากตางประเทศ และมีขนาดที่แตกตางกันไปมาก บางชนิดจะมีขนาดใหญโตเกินไป ไมเหมาะสมกับขนาดรางกายคนไทย 1.4 ประสิทธิภาพสูง ตองพิจารณาประสิทธิภาพของอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล ที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพสู ง สามารถป อ งกั น อั น ตรายนั้ น ได เ ป น อย า งดี การใช อุ ป กรณ ป อ งกั น อั น ตราย สวนบุคคลที่มี ประสิ ทธิภ าพต่ํานอกจากจะไมเ กิดประโยชนในการป องกันแลว ยังอาจทําให เกิด อันตรายมากยิ่งขึ้นไปอีก 1.5 มีน้ําหนักเบา และสวมใสสบาย เนื่องจากอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลตองใช สวมใสเขาไปยังอวัยวะสวนใสใดสวนหนึ่งหรือหลายสวนของรางกาย ถามีน้ําหนักเบาและสวมใสสบาย ก็จะทําใหผูใชงานไมเกิดความรําคาญ มีความเต็มใจที่จะสวมใสอยูไดเปนเวลานานและมีความรูสึก ไมขัดขวางตอการทํางาน 1.6 ใชงานไมยุงยาก อุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลที่ออกแบบมาใชไดงาย ไมยุงยาก จะทําใหไมตองใชเวลาในการฝกอบรม หรือฝกปฏิบัติใหกับผูใชงาน ซึ่งสามารถเรียนรูวิธีการใช ไดอยางรวดเร็ว ซึ่งทําใหเกิดความพึงพอใจในการใชอุปกรณปองกันนั้น
101 1.7 บํารุงรักษางาย เมื่อใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลไป ยอมตองมีการบํารุงรักษา เพื่อใหมีอายุการใชงานที่ยาวนานและคงประสิทธิภาพในการปองกันเอาไว การบํารุงรักษาควรกระทํา ไดงายไมยุงยาก เพื่อใหผูใชงานหรือผูรับผิดชอบในการบํารุงรักษาใหความสนใจในการบํารุงรักษา อยางสม่ําเสมอ 1.8 ทนทาน หาอะไหลไดงาย ควรเปนอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลที่ทําดวยวัสดุ ที่ทนทาน มีอายุการใชงานที่ยาวนานและเมื่อมีชิ้นสวนหรืออุปกรณประกอบชํารุดหรือหมดอายุ สามารถหาอะไหลมาเปลี่ยนไดงาย 1.9 มีใหเลือกหลายสี หลายแบบ และหลายขนาด เนื่องจากอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล ตองใชติดตัวผูปฏิบัติงานตลอดเวลาที่ทํางาน ความพึงพอใจหรือความเต็มใจของผูใชงานนั้นอาจขึ้นอยู กับสีสัน แบบและขนาดของอุปกรณปองกันประเภทนั้นได เมื่อมีใหเลือกหลายสี หลายแบบ หรือ หลายขนาดก็สามารถจัดหาใหตรงกับความตองการของผูใชงานได ทางโรงงานหรือสถานประกอบการ อาจมีความประสงคที่จะใชสีสันของอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลเพื่อแบงกลุมงานในหนาที่ รับผิดชอบตาง ๆ กันได 2. หลักเกณฑในการใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล การใชอุปกรณปองกัน ฯ อยางมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุดนั้น ควรพิจารณา หลักเกณฑ 9 ประการตอไปนี้ 2.1 ใชใ หถู กกับชนิดของอันตราย เนื่องจากอุปกรณปองกัน อันตรายส วนบุคคลแตละ ประเภทหรือแตละชนิดสวนใหญจะออกแบบมาสําหรับปองกันอันตรายเฉพาะอยาง เชน หนากาก ปองกันฝุนก็ใชเฉพาะการปองกันฝุนเทานั้น ไมสามารถนําไปใชปองกันไอระเหยของสารอินทรียหรือ กาซพิษ หมวดนิรภัยที่ปองกันแรงดันไฟฟาจํากัด ไมสามารถนําไปใชกับงานที่มีกระแสไฟฟาแรงสูงได เปนตน 2.2 ตองมีการสอนหรืออบรมการใชอุปกรณปองกัน ฯ ผูปฏิบัติงานอาจจะยังไมทราบถึง ความจําเปนที่ตองใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล จึงควรมีการสอนใหความรูเกี่ยวกับอันตราย และวิธีการปองกัน บอกใหทราบถึงประโยชนของการใชและโทษของการไมใช มีการอบรมใช อุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลอยางถูกตอง 2.3 มีแผนการใชเพื่อใหเกิดความเคยชินในการใชอุปกรณปองกันระยะแรก สําหรับผูปฏิบัติงาน ที่ไมเคยใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลมากอน จะมีความรูสึกที่ตอตานกับสิ่งแปลกปลอมที่ นํามาสวมใสเขากับรางกาย ดังนั้นการใชอุปกรณปองกัน ฯ ควรมีแผนการใชเพื่อใหเกิดความเคยชิน และปรับตัวในระยะแรก โดยวันแรกของสัปดาหที่เริ่มใชใหสวมใสเปนระยะเวลาสั้น ๆ กอน และวัน ตอมาใหเพิ่มระยะเวลาที่สวมใสใหนานขึ้นทั้งชวงเชาและบาย จนในวันสุดทายของสัปดาหที่เริ่มใชนี้ สามารถสวมใสไดตลอดการทํางาน
102 2.4 มีแผนชักจูงและสงเสริมใหใช โดยฝายบริหารของโรงงานจัดการ อาจจัดกิจกรรมที่เปน การชักจูงและสงเสริมใหมีการใชอุปกรณปองกัน ฯ เชน การจัดประกวดแขงขันเพิ่มอัตราการใช อุปกรณปองกัน ฯ ขณะทํางานระหวางหนวยงานในโรงงานจัดใหมีก ารติดโปสเตอร ปายเตือน เกี่ยวกับการใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล 2.5 มีการกําหนดกฎระเบียบขอบังคับในการใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล โดยยึด ขอกําหนดตามกฎหมายที่จะตองจัดเตรียมไวใหใชในกรณีที่ไมสามารถควบคุมปองกันอันตรายดวย วิธีการทางวิศวกรรมลงได เมื่อผูปฏิบัติงานไดปฏิบัติไปตามกฎระเบียบที่กําหนดไวก็ควรไดรับรางวัล ไดรับคํายกยองชมเชยใหไดทราบทั่วกัน สวนผูที่ฝาฝนไมปฏิบัติตามกฎระเบียบควรมีการตักเตือน และลงโทษตามสมควร 2.6 จัดใหมีปริมาณพอเพียงกับจํานวนผูใช ผูปฏิบัติงานที่ทํางานเสี่ยงตออันตรายทุกคน จําเปนจะตองสวมใสอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลทุกคน ดังนั้น การจัดเตรียมจะตองมีใหเพียงพอ กับ จํา นวนคนที่ทํา งาน อุป กรณปอ งกัน อัน ตรายสว นบุค คลบางประเภทควรมีใ ชป ระจํา ตัว เชน หมวกนิรภัย รองเทานิรภัย ปลั๊กอุดหู เปนตน บางประเภทอาจสับเปลี่ยนกันใชงานได เชน ถุงมือปองกัน ความรอน หนากากเชื่อม เปนตน 2.7 เมื่ อ ชํ า รุ ด ต อ งรี บ เปลี่ ย นใหม ห รื อ ซ อ มแซม อุ ป กรณ ป อ งกั น อั น ตรายส ว นบุ ค คล เมื่อชํารุดจะทําใหประสิทธิภาพในการปองกันอันตรายนั้นลดลงไปหรือหมดสภาพในการปองกันอันตราย นั้นเลย เมื่อพบวามีการชํารุดจะตองเปลี่ยนชิ้นสวนที่ชํารุดหรือซอมแซมใหม ถาเปนประเภทที่ไมมี ชิ้นสวนสําหรับเปลี่ยนหรือซอมแซมไมไดก็จําเปนจะตองเปลี่ยนไปใชของใหม 2.8 มีการทําความสะอาดเปนประจํา เมื่อใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลไปแลว จะมีสิ่งสกปรกเปรอะเปอนติดคางอยูหรืออาจมีสิ่งที่ทําใหวัสดุที่ใชทําอุปกรณเสื่อมสภาพไปไดเร็ว ดังนั้นจึงควรมีการทําความสะอาดเปนประจําทั้งกอนใชงานและหลังใชงานแลว และบางประเภท ตองผานการฆาเชื้อโรค ในกรณีที่ตองใชรวมกันกับผูอื่น หรือแมจะใชกับตัวเอง เชน อุปกรณปองกัน ระบบทางเดิ น หายใจ อุ ป กรณ ป อ งกั น ระบบการได ยิ น เป น ต น ทั้ ง นี้ เ พื่ อ ให อ ายุ ก ารใช ง านที่ ค ง ประสิทธิภาพไดนาน มีความปลอดภัยตอการติดเชื้อโรคและทําใหอุปกรณปองกันนั้นสะอาดนาใช หรือนาสวมใส 29. มีการตรวจสอบและการเก็บรักษาอยางถูกตอง อุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล เมื่อใชงานไปแลวจะตองไดรับการตรวจสอบสภาพของวัสดุอุปกรณที่ใชทํา ประสิทธิภาพในการ ปองกันอันตรายยังดีอยูหรือไม เมื่อพบขอบกพรองก็ทําการซอมแซมหรือเปลี่ยนใหม ในการเก็บรักษา ทั้งที่เปนของใหมสํารองไวใชงานหรือที่ผานการใชงานมาแลว ตองมีการเก็บที่เหมาะสมไมเปนแหลง ที่จะเกิดการปนเปอนของสิ่งสกปรก หรือเปนแหลงที่จะทําใหวัสดุอุปกรณนั้นเสื่อมสภาพไปเร็ว เชน มีความรอน ความชื้นสูง มีสารเคมี ฝุนละอองปนเปอน เปนตน
103 3. ในการใชอปุ กรณปองกันอันตรายสวนบุคคล เนื่องจากอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลตองนํามาใชกับตัวคน ทําใหเกิดขอจํากัดและ ขอบเขตในการใชงาน ที่ควรแกการพิจารณาไว 7 ประการ คือ 3.1 เปนการใชเพียงชั่วคราวในระหวางที่ยังไมสามารถแกไขสิ่งที่เปนอันตรายนั้นลงได จะดวยวิธีการทางวิศวกรรมหรือดวยวิธีการทางบริหาร 3.2 ใชควบคูกับการปองกันอันตรายวิธีอื่น เพื่อใหเกิดความปลอดภัยยิ่งขึ้น เชน การควบคุม การฟุงกระจายของสารเคมีดวยระบบระบายอากาศเฉพาะแหงสามารถลดความเขมขนของสารเคมี ลงไปไดระดับหนึ่ง ซึ่งยังอยูในเกณฑที่อาจเปนอันตรายอยูจึงตองใชหนากากปองกันสารเคมีเพิ่มเขาไป 3.3 ใชกับการทํางานระยะสั้น ๆ หรือในกรณีฉุกเฉิน เชน การใชอุปกรณปองกันระบบ ทางเดิ น หายใจ เข า ไปปฏิ บั ติ ง านในที่ อับ อากาศ ที่ข าดออกซิ เ จนหายใจ หรื อ บริ เ วณที่มี ก า ซพิ ษ ฟุงกระจายอยู 3.4 เมื่อกําหนดใหมีการใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล จะตองมีแผนการเลือกชนิด อบรมวิ ธีก ารใช การติ ด ตามการใชง านและการบํารุงรั ก ษาอย างดี จึง จะทํ า ให ก ารใชง านนั้น เกิ ด ประสิทธิภาพสูงสุด 3.5 ผูสวมใสไมคุนเคยกับอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล ทําใหเกิดความรูสึกรําคาญ ไมสะดวกสบายจนเกิดการตอตานที่จะสวมใส เชน การสวมหมวกนิรภัย 3.6 การสวมใสอุปกรณปองกันระบบหายใจและอุปกรณปองกันระบบการไดยินจะทําให การติดตอสื่อสารกระทําไดยาก 3.7 การใชอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลจะเปนเรื่องที่เกี่ยวของโดยตรงกับคนซึ่งมี สภาวะของรางกายและจิตใจที่แตกตางกัน จึงเปนไปไดยากที่จะใหการใชนั้นเกิดประสิทธิภาพในการ ปองกันไดอยางเต็มที่
อุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลแบงออกตามลักษณะของการ ปองกันไดหลายชนิด ดังนี้ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7.
อุปกรณปองกันศีรษะ อุปกรณปองกันหู อุปกรณปองกันหนาและดวงตา อุปกรณปองกันระบบหายใจ อุปกรณปองกันลําตัว อุปกรณปองกันมือ อุปกรณปองกันเทา
104 8. อุปกรณปองกันตกจากที่สูง 9. อุปกรณปองกันพิเศษเฉพาะงาน 1. หมวกนิรภัย การปองกันอันตรายที่ศีรษะ คือความปลอดภัยอันสุดยอด เพราะศีรษะนั้นเปนที่รวมของ ประสาทที่สั่งการ หรือควบคุมทุกสิ่งทุกอยางของรางกายมนุษย เมื่อศีรษะเปนอวัยวะที่สําคัญเชนนี้ บรรพบุรุษของมนุษยไดพยายามหาทางปองกันศีรษะโดยคิดประดิษฐ และผลิตหมวกนิรภัยมาตั้งแต สมัยกอนคริสตกาล 334 ป คนสมัยโบราณนั้นใชกระดองเตา เปนเครื่องปองกันศีรษะใหรอดจากการ ขวางปาดวยกอนหินของศัตรู ตอมานักรบโบราณเมื่อออกศึกใชเครื่องปองกันศีรษะที่ทําจากโลหะ หรือหนัง ในการรบที่แมน้ํา “แกรนนิคัส” เมื่อ 334 กอนพระเยซูเกิด พระเจาอเล็กซานเดอรมหาราช ไดสวมหมวกนักรบซึ่งทําดวยเหล็กขัดผิวเปนมันเหมือนสีเงินตบแตงดวยขนนก แพรวพราวเหมือน มงกุฎ รบกับศัตรูซึ่งเปนชาวเปอรเซีย และถูกทหารเปอรเซียผูหนึ่งเขาใกลพระองคและฟนศีรษะของ พระองคเต็มแรง ปรากฏวา พระเจาอเล็กซานเดอรมหาราชไมบาดเจ็บและไมเกิดบาดแผลอะไรเลย ตอมาหมวกนักรบโบราณก็ไดหายไปเมื่อเริ่มมีการใชดินปนเปนอาวุธ และเครื่องปองกัน ศีรษะกลับมาใชอีกครั้งในสงครามโลกครั้งที่ 1 ใชเปนหมวกแข็งเพื่อความปลอดภัยจากระสุนปนใหญ และหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เปนต นมา หมวกเหล็ก ของทหารถูกดั ดแปลงมาปองกัน ศีรษะ คนงานในงานอุตสาหกรรมและไดปรับปรุงพัฒนาใชในหลายรูปแบบใหเหมาะสมกับลักษณะงาน และหมวกนิรภัยไดชวยชีวิตคนงานไวเปนจํานวนมาก เปลื อกหมวกที่โค ง เขารูปตามลั ก ษณะศี ร ษะมีข อดีคือ ช ว ยกระจายน้ํา หนัก หรือแรงที่ กระแทกจากสิ่งของหรือวัสดุที่กระเด็น หรือตกมาถูก แมหมวกจะบุบหรือแตกราว แรงก็ไมกระทํา ที่จุด ๆ เดียว เพราะที่รองในหมวกจะเปนตัวลดแรงกระแทกคลายกับโชคอัพ นอกจากนี้หมวกนิรภัยในปจจุบัน ยังถูกออกแบบใชปอ งกันการไหลผานของกระแสไฟฟา ปองกันการดูดซึมน้ํา ทนตอการไหมไฟ ซึ่งคุณสมบัติตาง ๆ เหลานี้ขึ้นอยูกับคุณภาพและงานทีใ่ ช 1.1 รูปทรงของหมวกนิรภัย หมวกนิรภัยแบงตามรูปทรงได 2 ลักษณะ คือ 1.1.1 หมวกนิรภัยทีม่ ีขอบหมวกโดยรอบ 1.1.2 หมวกนิรภัยทีม่ ีเฉพาะกระบังหมวก รูป แสดงประเภทของหมวกนิรภัย
105 1.2 สวนประกอบของหมวกนิรภัย 1.2.1 ตัวหมวก การออกแบบเปนรูปทรงกลมมีกลีบตลอดแนวกลางหมวก จากดานหนา ถึงดานหลังเพื่อชวยใหวัตถุที่ตกกระทบแฉลบใหพนจากตัวผูสวมใสและลดการรับแรงกระแทก โดยตรงดวย วัสดุที่นํามาใชทําตัวหมวกตามมาตรฐานของอเมริกา *(ANSI Z 89.1) ขึ้นอยูตามประเภท ของหมวก วัสดุที่ใชทําหมวกนิรภัยชั้นคุณภาพ A, B ตองกันน้ําไดและไหมไฟชา ชั้นคุณภาพ C ตองทําจากวัสดุพวกโลหะที่มีความแข็งแรงสูง น้ําหนักเบา ชั้นคุณภาพ D จะตองใชวัสดุที่ไมไหมไฟ และไมเปนสื่อตัวนํา 1.2.2 รองในหมวก สวนที่จะทําใหหมวกกระจายแรงไปได สายกระจายแรงตองปรับ ใหพอดีกับผูใส และใหหมวกอยูเหนือศีรษะผูใสเปนระยะอยางนอย 3 ซม. สายกระจายแรงไมควรจะ ทําใหเกิดความรําคาญกับผูใส นอกจากนี้ยังมีสวนของแถบซับเหงื่อเพื่อใชซับเหงื่อ 1.2.3 สายรั ด คาง มั ก จะทํ า จากหนั ง ผ า หรื อ ผ า ที่ ยื ด หยุ น ได บ อ ยครั้ ง ที่ ห มวกถู ก กระแทกหลุดออก หรือหลนลงมาในขณะตกจากที่สูง สายรัดคางจะชวยไดอยางดีไมใหหมวกหลุด ขณะใชงาน 1.3 ชั้นคุณภาพของหมวกนิรภัย หมวกนิรภัยสามารถแบงตามชั้นคุณภาพหรือตามลักษณะของการใชงานไดเปน 4 ชั้น คุณภาพ คือ 1.3.1 ชั้นคุณภาพ A คือ หมวกนิรภัยที่ปองกันแรงดันไฟฟาจํากัด จึงเปนหมวกนิรภัย ซึ่งเหมาะสมที่จะใชกับงานทั่ว ๆไป เชน งานกอสราง, โยธา, งานเครื่องกล, งานเหมือง หรืองานที่ไม เสี่ยงตออันตรายจากไฟฟาแรงดันสูง 1.3.2 ชั้นคุณภาพ B คือ หมวกนิรภัยที่ปองกันแรงดันไฟฟาสูง จึงเหมาะที่จะใชกบั งาน สายสง, ชางไฟฟา, สถานีไฟฟายอย หรืองานอื่น ๆ ซึ่งตองเสี่ยงกับกระแสไฟฟาแรงดันสูง 1.3.3 ชั้นคุณภาพ C คือ หมวกนิรภัยที่ไมสามารถปองกันแรงดันไฟฟาได เนื่องจาก วัสดุที่ใชทําเปนโลหะ หมวกนิรภัยประเภทนี้จะทนแรงเจาะไดดี ฉะนั้นจึงเหมาะสมที่จะใชกับงานที่ ตองเสี่ยงกับแรงเจาะ แตไมตองเสี่ยงกับกระแสไฟฟา
รูป แสดงหมวกนิรภัย ชนิดกันเพลิงและกระแสไฟฟา
106 1.3.4 ชั้นคุณภาพ D คือ หมวกนิรภัยที่ปองกันอัคคีภัยและแรงดันไฟฟาจํากัด ดังนั้น จึงเหมาะที่จะใชกับงานดับเพลิง หรือผจญเพลิงเทานั้น อนึ่งหมวกนิรภัยชั้นคุณภาพ D นี้ ตองเปน หมวกที่มีขอบหมวกโดยรอบเทานั้น 1.4 คุณลักษณะของหมวกนิรภัย หมวกนิรภัยจําเปนจะตองไดรับการทดสอบ หรือการรับรองมาตรฐานที่เชื่อถือได เพื่อใหสามารถปองกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผูปฏิบัติงานไดอยางแทจริง 1.4.1 ระยะหางระหวางยอดหมวดดานในกับรองหมวก คาเฉลี่ยของระยะหางระหวาง ยอดหมวกดานในกับรองหมวกไมนอยกวา 30 มิลลิเมตร 1.4.2 ความเปนฉนวนไฟฟา 1.4.2.1 หมวกนิร ภัย ชั้น คุณ ภาพ A และ D ตอ งสามารถตา นแรงดัน ไฟฟา กระแสสลับได 2,200 โวลท (รูทมีนสแควร) ความถี่ 50 เฮิรทซ เปนเวลา 1 นาที โดยมีกระแสไฟฟา รั่วไหลผานหมวกไมเกิน 3 มิลลิแอมแปร 1.4.2.2 หมวกนิรภัยชั้นคุณภาพ B ตองสามารถตานแรงดันไฟฟากระแสสลับ ได 20,000 โวลท (รูทมีนสแควร) ความถี่ 50 เฮิรทซ เปนเวลานาน 3 นาที กระแสไฟฟารั่วไหลผาน หมวกไมเกิน 9 มิลลิแอมเปร และจุดวิบัติทางไฟฟาตองไมต่ํากวา 30,000 โวลท 1.4.3 ความตานทานตอแรงกระแทก คาแรงกระแทกสูงสุดที่สงผานหมวกแตละใบ ไมเกิน 4,448 นิวตัน และคาเฉลี่ยแรงกระแทกที่สงผานหมวกไมเกิน 3,780 นิวตัน 1.4.4 ความตานทานตอแรงเจาะ รอยเจาะที่เกิดขึ้นบนหมวกชัน้ คุณภาพ A, B และ D ตองลึกไมเกิน 10 มิลลิเมตร และชั้นคุณภาพ C ไมเกิน 12 มิลลิเมตร โดยคิดรวมความหนาของหมวกดวย 1.4.5 น้ําหนักเปลือกหมวกรวมทัง้ รองในหมวก 1.4.5.1 หมวกนิรภัยชัน้ คุณภาพ A และ C น้ําหนักไมเกิน 420 กรัม 1.4.5.2 หมวกนิรภัยชัน้ คุณภาพ B น้ําหนักไมเกิน 435 กรัม 1.4.5.3 หมวกนิรภัยชัน้ คุณภาพ D น้ําหนักไมเกิน 840 กรัม 1.4.6 การติดไฟ สวนบางที่สุดของหมวกชั้นคุณภาพ A และ B ตองติดไฟดวยอัตรา ความเร็วไมเกิน 75 มิลลิเมตร ตอนาที และชั้นคุณภาพ D ตองดับไดเอง 1.4.7 การดูดซึม 1.4.7.1 การดูดซึมน้ําของหมวกชัน้ คุณภาพ A และ D ไมเกินรอยละ 5 โดยน้ําหนัก 1.4.7.2 การดูดซึมของหมวกชั้นคุณภาพ B ไมเกินรอยละ 0.5 โดยน้ําหนัก 1.5 มาตรฐานของหมวกนิรภัย 1.5.1 มาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรมหรือ มอก. 368/2524 1.5.2 มาตรฐาน ANSI 89.3-1983
107 1.5.3 มาตรฐาน IS 2925-1964 1.5.4 มาตรฐาน BS 5240 : 1975 1.5.5 มาตรฐานอื่น ๆ ที่เชื่อถือได 1.6 เครื่องหมายบนตัวหมวก หมวกนิรภัยทีม่ ีคุณภาพ หรือผานการทดสอบตามมาตรฐานจะตองมีตวั เลข ตัวอักษร หรือเครื่องหมายแสดงขอความตอไปนี้ใหเห็นไดงาย ชัดเจน และถาวร 1.6.1 ประเภทและชัน้ คุณภาพ 1.6.2 ชื่อผูทํา หรือ โรงงานที่ทําหรือเครื่องหมายการคา 1.6.3 ประเทศที่ทํา 1.6.4 วัน เดือน ป ทีผ่ ลิต 1.7 การบํารุงรักษา กอนการใชงานควรตรวจดูหมวกเพื่อหารอยราว รอยที่เกิดจากการกระแทก หมวกที่ ไดรับความเสียหายตองเลิกใชทันที หมวกควรไดรับการทําความสะอาดอยางนอยเดือนละครั้ง โดยเฉพาะสายกระจายแรงและแถบซับเหงื่อ การทําความสะอาดควรลางดวยน้าํ อุนกับน้ําสบู หรือใชน้ํายา ที่เหมาะสม กอนที่จะนําหมวกที่ใชแลวไปใหผูปฏิบัติงานอีกคนหนึ่งใช ควรทําความสะอาดและ ฆาเชื้อโรคกอน สิ่งสําคัญที่จะตองตรวจอยูเสมอคือรองในหมวก เพราะรองในหมวกจะเปนตัวสําคัญที่ ลดแรงกระแทกลง นอกจากนี้เราตองตรวจดูหารอยฉีกขาดของสายรัดตาง ๆ หารอยปริขาดของดาย ที่เย็บไว ถาหากพบความบกพรองตาง ๆ ควรทําการเปลี่ยนใหมทันที 1.8 ขอควรระวัง อยาใชสีทาลงไปบนตัวหมวก เพราะจะทําใหประสิทธิภาพในการตานทานแรงดันไฟฟา และแรงกระแทกลดลง และยังอาจทําใหอายุการใชงานของหมวกลดลง สาเหตุสําคัญที่ทําใหอายุการใชงานของหมวกลดลงประการหนึ่ง คือ การนําหมวกไป ตากทิ้งไวกลางแดด หรือสัมผัสกับความรอน ในขณะที่ไมไดใชงาน
108 2. อุปกรณปองกันหู
รูป แสดงสวนประกอบของหู อุปกรณปองกันหู
รูป แสดงอุปกรณปองกันหู หูมีหนาที่ในการับฟงเสียง เพื่อเปนการสื่อภาษาที่ทําใหเกิดความเขาใจซึ่งกันและกันได หูจึงเปนอวัยวะที่สําคัญในการดํารงชีวิตประจําวันที่อยูรวมกันในสังคม
109 เสี ย งเป น อั น ตรายต อ หู ถ า เสี ย งนั้ น ดั ง มากเกิ น ไป เช น เสี ย งเครื่ อ งจั ก รกํ า ลั ง ทํ า งาน เสียงเครื่องยนตจากยานพาหนะที่ไดยินติดตอกันเปนระยะเวลานาน เสียงที่ดังนี้จะทําใหสมรรถภาพ การไดยินลดลงกลายเปนคนหูตึงและหูหนวกในที่สุด อาการของผูที่หูตึงและหูหนวก ในระยะเริ่มแรก จะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส หูอื้อ หรืออยูในที่เงียบ ๆ จะมีเสียงดังในหู การสูญเสียการไดยินจะคอย ๆ เกิดขึ้นทีละนอย ๆ แมแตตัวเองก็ไมทราบวาหูตึง จนอาการนี้จะถาวร และไมสามารถจะรักษากลับคืนสูสภาพปกติได นอกจากนี้ เ สี ย งยั ง มี อั น ตรายต อ การเกิ ด โรคของคนเราอี ก หลายโรคด ว ยกั น เช น โรค กระเพาะอาหาร ความดันโลหิตสูง และตอมธัยรอยดเปนพิษ ฯลฯ เสียงที่ดังยังรบกวนสมาธิในการทํางาน ทําใหเกิดความเครียด จึงเปนที่มาของการเกิดอุบัติเหตุ และเปนโรคประสาทไดอีกดวย ฉะนั้นหากตองทํางานในสภาพแวดลอมที่มีเสียงดังและไมตองใหเกิดปญหาดังกลาวแลว ขางตน ทานควรปองกันอันตรายจากเสียงดังนี้ 1. ใชอุปกรณปองกันเสียง 2. ตรวจสมรรถภาพทางการไดยินเปนประจําทุกป อุปกรณปองกันหูเปนอุปกรณที่สวมใสเพื่อลดระดับความดังของเสียงที่จะมากระทบตอ กระดู ก หู แ ละแก ว หู ซึ่ง เปน การปองกัน หรือลดอัน ตรายที่มีตอ ระบบการไดยินและผลพลอยได ยังสามารถปองกันเศษวัสดุที่จะกระเด็นเขาไดอีกดวย อุปกรณปองกันหูนี้มิไดหมายถึงการปองกัน ใบหู ในที่นี้จะพูดถึงประสาทหูและกลไกของการไดยิน การเลือกใชอุปกรณปองกันหูจะตองมีขอมูลอื่น ๆ ประกอบ เชน ระดับความดังและความถี่ ของเสียงในบริเวณที่จะใหใชอุปกรณปองกันหู เพื่อที่เราจะไดทราบวาตองการลดเสียงลงมาเทาใด ความถี่ขนาดใด จึงจะอยูในเกณฑมาตรฐาน 2.1 มาตรฐานของเสียง การที่พนักงานปฏิบัติงานในที่มีเครื่องจัก รมีเสียงดังมากติดตอกันนาน ๆ จะทําให ประสาทหูเสีย คือหูอาจจะตึงหรือหนวก จึงมีขอกําหนดการทํางานที่เสียงดังไวเชนทํางานติดตอกัน 8 ชั่วโมง หรือ 40 ชั่วโมง ตอ สัปดาหเสียงจะตองดังไมเกิน 90 เดซิเบล (เอ) มาตรฐานตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องความปลอดภัยในการทํางานกับภาวะ แวดลอม หมวด 3 เสียง
110 ระยะเวลาการทํางาน ระดับเสียงที่สมั ผัสได ชม./วัน เดซิเบล (เอ) ไมเกิน 7 97 7–8 90 เกินกวา 8 80 หามสัมผัสเสียงเกินกวา 140 เดซิเบล (เอ) เปนอันขาด 2.2 ชนิดของอุปกรณปองกันหู อุปกรณปองกันหูแบงออกไดเปน 2 ชนิด คือ ก. ปลั๊กอุดหู ใชสําหรับสอดใสเขาไปในรูหูทั้งสองขาง วัสดุที่ใชทําปลั๊กอุดหูมีหลายประเภท ดวยกัน เชน สําลี ยาง ขึ้ผึ้ง แตชนิดที่นิยมใชกันมากที่สุด คือ พลาสติกออน ปลั๊กอุดหูมีขนาดและรูปราง ที่แตกตางกันออกไป ฉะนั้นจึงตองเลือกขนาดที่เหมาะสม การใชงานจะไมรูสึกเจ็บปวด สําลีเปนวัสดุทหี่ าไดงายเพื่อใชในการปองกันหู แตความสามารถในการลดระดับเสียง จะลดไดเพียง 8 เดซิเบล สวนปลั๊กอุดหูทที่ ําดวยพลาสติกออนจะสามารถลดระดับเสียงไดประมาณ 15 - 20 เดซิเบล
รูป แสดงปลั๊กอุดหูเพื่อลดเสียง การสวมใสปลัก๊ อุดหู เทคนิคและวิธีการสวมใสปลั๊กอุดหูก็มีความสําคัญอยูไมนอย ถาใสไมถูกวิธีจะรูสึกเจ็บ ขณะใสหรือขณะถอด หรือแมกระทั่งในขณะปฏิบัติงาน
111 วิธีการสวมใสปลั๊กอุดหู 1. ใชมือดานตรงกันขามกับหูทจี่ ะใสปลั๊กอุดหู ออมไปขางดานหลังศีรษะจับใบหู ทางสวนบน 2. ยกใบหูขึ้นแลวดึงไปดานหลัง 3. คอย ๆ ดันปลั๊กเขาไปในรูหดู วยมืออีกดานหนึ่งลึกพอสมควร การบํารุงรักษา 1. ใหทําความสะอาดทุกวันหลังจากใชงาน โดยใชน้ําอุนและสบูออน ๆ แลวลางดวยน้ําสะอาด ชนิดที่ทําดวยพลาสติกหรือยางออน หลังจากทําความสะอาดแลวใชผาหรือกระดาษชําระที่สะอาด เช็ดใหแหง 2. ทําการฆาเชื้อโรคโดยการใชสําลีชุบแอลกอฮอล 70% เช็ดใหทวั่ แลวปลอยใหแหง 3. ถาอุปกรณอุดหูชนิดที่ทําดวยฟองน้ําหรือโฟม หลังจากลางดวยน้ําสะอาดแลวบีบน้ําออก แลวตากใหแหง 4. ถาเปนชนิดที่ทําดวยสําลี หรือเสนใยสังเคราะหใหใชเพียงครั้งเดียวเมื่อเลิกใชแลวใหทิ้งไป 5. เมื่อทําความสะอาดเรียบรอยแลวควรเก็บในกลองเฉพาะที่สะอาดไมควรเก็บไวในทีม่ ี อุณหภูมิสูง 6. ควรใชเปนของเฉพาะตัวแตละบุคคล
ข. ชนิดครอบใบหู
รูป แสดงอุปกรณปองกันหูชนิดครอบใบหูโดยสวมหัว
112 อุปกรณปองกันหูชนิดครอบใบหูนี้ จะชวยลดเสียงไดดกี วาชนิดแรกแตมีราคาแพงกวา เหมาะ กับผูทํางานในสภาพแวดลอมที่มีเสียงดังมาก ตองเลือกใชขนาดที่พอเหมะกับศีรษะ เวลาใชใหครอบ ปดใบหูใหมดิ และกระชับ อุปกรณปองกันหูชนิดครอบใบหู แบงออกไดเปน 2 ชนิด คือ 1) ชนิดสวมหัว ครอบหูแบบนีย้ ังสามารถสวมใสได 3 ลักษณะดวยกัน คือ 1. สายรัดศีรษะอยูบนศีรษะ 2. สายรัดศีรษะอยูดานหลัง 3. สายรัดศีรษะอยูใตคาง ซึ่งประสิทธิภาพในการปองกันเสียงจะแตกตาง กันไป คือ แบบที่ 1 ดีที่สุด แบบที่ 2 รองลงมา และแบบที่ 3 ปองกันไดนอยที่สุด 2) ชนิดติดกับหมวกนิรภัย ในขณะที่สวมหมวกนิรภัย การใชครอบหูชนิดสวมหัวจะทําไดลําบากแมวาจะหลีกเลี่ยง มาสวมแบบสายรัดศีรษะอยูดานหลังก็ยังไมสะดวกขณะปฏิบัติงาน ฉะนั้นจึงอาจเลือกใชครอบหูชนิด ที่ติดกับหมวกนิรภัย
รูปแสดง ที่ครอบหู ใชกับงานที่มีเสียงดังอยางเครื่องตอกกระแทกพื้นครอบหูปอ งกันเสียง ปองกันเสียงไดประมาณ 20 – 30 เดซิเบล การบํารุงรักษา 1. ควรทําความสะอาดทั่วไปทุกวันหลังจากใชงาน โดยการปด เช็ดฝุน หรือสิ่งสกปรกที่ติดอยู ดวยผาชุบน้ําหมาด ๆ 2. ควรลางและทําความสะอาดวัสดุรูปถวย วัสดุปองกันเสียรั่ว และสายคาดศีรษะดวยน้ําอุน และสบูออน ๆ แลวลางดวยน้ําสะอาดทําอยางนอยสัปดาหละครั้งเมื่อมีการใชงานทุกวัน
113 3. วัสดุปองกันเสียงชั้นในที่เปนฟองน้ําใหถอดออกมาลางและทําความสะอาดดวยน้ําอุนและ สบูออน ๆ ลางดวยน้ําสะอาดและบีบน้ําออก ตากใหแหงแลวประกอบเขาที่เดิม 4. เมื่อวัสดุปองกันเสียงชั้นใน วัสดุปองกันเสียงรั่ว มีการชํารุดหรือฉีกขาดใหเปลีย่ นชิน้ สวน นั้นใหม หรือถาไมมีชิ้นสวนสํารองเปลี่ยน หรือวัสดุรปู ถวยมีการแตก หรือรอยรั่วเกิดขึ้น ตองเปลี่ยน อุปกรณครอบหูใหมทั้งอัน 5. เมื่อลางทําความสะอาดแลว ใชสําลีชุบแอลกอฮอล 70% เช็ดเพื่อฆาเชื้อโรค โดยเฉพาะ บริเวณวัสดุปอ งกันเสียงรัว่ 6. เก็บอุปกรณครอบหูไวในที่ ๆ สะอาดปราศจากฝุน พรอมที่จะใชงานไดตอไป 7. ควรใชเปนของสวนตัว ถาใชเปนของสวนรวมควรทําความสะอาดและฆาเชื้อโรคทุกครั้ง หลังจากใชงาน กอนเปลี่ยนไปใหผูอื่นใช 3) อุปกรณปองกันหนาและดวงตา การทํางานหลายประเภทในโรงงานตาง ๆ อาทิเชน ทํางานกับสารเคมี งานเจียร งานเชื่อม ตลอดจนงานกลึง ผูปฏิบัติงานมักจะประสบอุบัติเหตุจากวัตถุปลิวเขาตา การกระเด็นของของเหลว หรือโลหะหลอมละลาย ฝุน และรังสี เปนตน จึงจําเปนตองมีอุปกรณปองกันหนาและดวงตาที่เหมาะสม ตามลักษณะของการทํางาน เชน แวนตาใชสําหรับงานประเภทที่มีเศษวัตถุกระเด็นเขาตา ตองมีกระบังขาง ปองกันดานขาง อุปกรณปองกันหนาและดวงตา แบงออกเปน 5 แบบ คือ 3.1 แวนตานิรภัย 3.2 แวนครอบตา 3.3 หนากากปองกันใบหนา 3.4 หนากากเชื่อม 3.5 ครอบปองกันใบหนา รายละเอียดของอุปกรณแตละชนิดมีดังตอไปนี้ 3.1 แวนตานิรภัย มีรูปรางและลักษณะเหมือนแวนตาที่ใชกันทั่วไป แตกตางกันตรงที่เลนสของ แวนตานิรภัยสามารถทนทานตอแรงกระแทก แรงเจาะ ความรอน และสารเคมีไดดีเปนพิเศษ นอกจากนี้ แวนตานิรภัยยังมีกระบังขาง เพื่อปองกันเศษวัสดุปลิวกระเด็นเขาดานขางของแวนตานิรภัยไดอีกดวย
114
รูป แสดงแวนตานิรภัย
แวนตานิรภัยเหมาะที่ใชงานประเภทกลึงแตงโลหะหรืองานอื่น ๆ ที่อาจมีเศษวัสดุกระเด็น มาเขาตาหรือแทงดวงตา 3.2 แวนครอบตา แว น ครอบตามี ลัก ษณะคล า ยกับ แวน ตานิ รภัย แต จ ะสามารถครอบดวงตา ทั้งสองขางและมีรูระบายอากาศเพื่อปองกันไอน้ําที่จะเกิดขี้นภายในแวนครอบตา ความสามารถ ของเลนสที่ครอบตาก็จะแตกตางกันออกไปตามลักษณะการใชงาน แวนครอบตาแบงออกเปน 3 ประเภท คือ 3.2.1 แวนครอบตาปองกันวัตถุกระแทก แวนครอบตาชนิดนี้เหมาะกับงานไส งานเจียร หรืองานอื่น ๆ ซึ่งเสี่ยงตอเศษวัสดุปลิวกระเด็น แวนครอบตาชนิดนี้จะมีรูระบายอากาศ เปนรูเล็ก ๆ อยูมากมาย
รูป แสดงแวนครอบตากันวัตถุกระแทก
115 3.2.2 แวนครอบตาปองกันสารเคมี เปนแวนครอบตาที่ใชสําหรับปองกัน การกระเด็นหรือไอของสารเคมี และฝุนชนิดละเอียด ดวยเหตุนี้เลนสของแวนครอบตาชนิดนี้จึงปองกัน ไดสองทาง คือ แรงกระแทกและทนทานตอสารเคมี
รูป แสดงแวนครอบตาปองกันสารเคมี 3.2.3 แวนครอบตาสําหรับงานเชื่อมหรือตัด เลนสของแวนครอบตาชนิดนี้ จําเปนจะตองมีลักษณะพิเศษกวาแบบที่แลวมา เพราะตองมีคุณสมบัติในการปองกันแสงจาและรังสี จากการเชื่อมและตัด ฉะนั้น เลนสชนิดนี้จึงมีสีดําและมีตัวเลขระบุขนาดความเขมหรือขนาดของเลนส (Shade Number) แวนครอบตาสําหรับงานเชื่อมหรือตัดนี้ มี 2 แบบ คือ แบบเลนสกรองแสง ยกเปดไมได กับแบบเลนสกรองแสงยกเปดได เพื่อใหมองเห็นชิ้นงาน รูป แสดงแวนตาสําหรับงานเชื่อม และคิดแบบเลนสเปดไดและไมได
116 การบํารุงรักษาแวนครอบตา 1. ควรทําความสะอาดหลังใชงานทุกวัน 2. การทําความสะอาดใหลางดวยน้าํ อุนและสบู หรือผงซักฟอก 3. ลางดวยน้ําสะอาด 4. นําแวนไปจุมสารละลาย Hypochlorite เปนเวลา 10 นาที เพื่อฆาเชื้อโรค 5. นําขึ้นมาแขวนไวปลอยใหแหงเอง 6. นําไปเก็บไวที่ ๆ สะอาดปราศจากฝุน พรอมที่จะนําไปใชงานตอไป 7. ควรใชเปนของสวนตัว 3.3 หนากากปองกันใบหนา หน า กากป อ งกั น ใบหน า จะมี แ ผงใสโค ง ครอบใบหน า ทํ า หน า ที่ ป อ งกั น การกระเด็น การกระแทกของของแข็ง หรือแมกระทั่งสารเคมี และวัตถุที่มีความรอนมากระทบถูกหนา หนากากปองกันใบหนาจึงเหมาะสําหรับงานเจียร สกัด และงานที่เกี่ยวของกับสารเคมี แผงใสกรอบใบหนานัน้ มักจะทําดวยโพลีคารบอเนต (Polycarbonate) หรือ พลาสติกใสและตองผานการทดสอบตามมาตรฐาน หนากากปองกันใบหนา แบงออกเปน 2 แบบ คือ 3.3.1 แบบสวมหัว 3.3.2 แบบติดกับหมวกนิรภัย ในบางครั้งจําเปนตองสวมหนากากปองกันใบหนาควบคูไปกับหมวกนิรภัย หนากากปองกันใบหนาแบบติดกับหมวกนิรภัย ทําใหสะดวกสบายในการใช
แบบสวมหัว
แบบติดกับหมวกนิรภัย
รูป แสดงหนากากปองกันใบหนาแบบสวมหัวและติดกับหมวกนิรภัย
117 การบํารุงรักษาหนากากปองกันใบหนา 1. ควรทําความสะอาดหลังใชงานทุกวัน 2. ควรทําความสะอาดดวยการลางดวยน้ําอุนกับสบูหรือผงซักฟอก 3. ลางดวยน้ําสะอาด 4. นําจุมลงในสารละลาย Hypochlorite เปนเวลา 10 นาที เพื่อฆาเชื้อโรค 5. นําขึ้นมาแขวนไวปลอยใหแหงเอง 6. นําไปเก็บไวที่ ๆ สะอาดปราศจากฝุนและปองกันการขีดขวนกับแผนกระบัง พรอมที่จะ นําไปใชงานตอไป 3.4 หนากากเชื่อม หน า กากเชื่ อ มเป น อุ ป กรณ ป อ งกั น ใบหน า และดวงตาซึ่ ง ใช ง านเชื่ อ ม วัตถุประสงคเพื่อปองกันการกระเด็นของโลหะ ความรอนและรังสี ที่เกิดจากการเชื่อมถูกหนาและเขาตา หนากากเชื่อมจะประกอบดวย ตัวหนากาก และเลนสกรองแสง ทั้วตัว หนากากและเลนสกรองแสงตองมีคุณสมบัติถูกตองตามมาตรฐานที่กําหนด หนากากเชื่อมแบงตามลักษณะการใชงานไดเปน 3 ประเภท คือ 3.4.1 หนากากเชื่อมชนิดมือถือหนากากเชื่อมชนิดนีจ้ ะ มีกานสําหรับถือขณะเชื่อม ขอดีคือ ไมทําใหรูสึกเกะกะ และอึดอัดขณะปฏิบัติงาน แตขอเสียคือ จะทําให ปฏิบัติงานไมสะดวกไมคลองตัว รูป แสดงหนาเชื่อมชนิดมือถือ
3.4.2 หนากากเชื่อมชนิดสวมหัว หนากากชนิดนี้จะมีสายรัดศีรษะซึ่งสามารถ ปรับใหขนาดพอเหมาะกับขนาดศรีษะของ ผูใชงาน
รูป แสดงหนากากเชื่อมชนิดสวมหัว
118 3.4.3 หนากากเชื่อมชนิดติดกับหมวกนิรภัย หนากากประเภทนี้ใชประกอบเขากับหมวกนิรภัย เมื่อมีความจําเปน จะตองใชหนากากเชื่อมพรอมกับหมวกนิรภัย
รูป แสดงหนากากเชื่อมติดกับหมวกนิรภัย สําหรับหนากากเชื่อมบางชนิด เลนสกรองแสงสามารถยกเปดไดเพื่อดูชิ้นงาน ไดชัด แลวคอยปดลงเมื่อตองการเชื่อม ปกติเลนสกรองแสงจะตองมีเลนสใสอีก 1 อัน ที่จะคอยปดไว เพื่อกันวัตถุที่รอนมากระเด็นถูกเลนสกรองแสง เลนสกรองแสงที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการใชงานจะตองมีตัวเลขระบุความมืด หรือขนาดของเลนสตามลักษณะงานที่ปฏิบัติ จึงควรเลือกใชใหเหมาะสม ตารางแสดงลักษณะงานกับขนาดของเลนส ลักษณะงาน
ขนาดของเลนส (Shade Number)
1. ผูปฏิบัติงานใกลงานเชื่อมและตัด 2. งานเชื่อมทองเหลือง บัดกรี 3. งานตัดหรือเชื่อมดวยออกซีเจนหรือกาซ ชิ้นงานหนาไมเกิน 1/8 นิว้ 4. งานตัดหรือเชื่อมดวยออกซิเจนหรือกาซ ชิ้นงานหนาไมเกิน 1/2 นิว้ และงานเชื่อมไฟฟานอยกวา 30 แอมป 5. งานเชื่อมดวยกาซ ชิ้นงานหนามากกวา 1/2 นิ้ว และงานเชื่อมไฟฟา 30-75 แอมป 6. งานเชื่อมไฟฟา 75-200 แอมป 7. งานเชื่อมไฟฟา 200-400 แอมป 8. งานเชื่อมไฟฟามากกวา 400 แอมป
2 3-4 4-5 5-6 6-8 10 12 14
119 3.5 ครองปองกันใบหนา ครอบปองกันใบหนาทําหนาที่ปองกันสารเคมีหรือของเหลวที่มีอันตรายรวม ไปถึงผง, ฝุน ครอบปองกันในหนามีสวนประกอบสําคัญ 2 สวน คือ ตัวครอบและเลนสใส วัสดุที่จะ ใชทําตัวครอบและเลนสนั้น ตองทนทานตอสารเคมี สวนเลนสใสนั้นสามารถทนตอแรงกระแทก แรงเจาะและมีคุณสมบัติอื่น ๆ ตามมาตรฐานเชนเดียวกับเลนสของแวนตานิรภัย ครอบปองกันใบหนาแบงออกได 2 ชนิด คือ 3.5.1 ชนิดไมมีไสกรองเคมี ครอบป อ งกั น ใบหน า ชนิ ด นี้ จ ะใช ใ นบริ เ วณที่ มี ฝุ น มาก ๆ หรื อ บริเวณที่สารเคมีเจือจาง จึงไมจําเปนตองใชไสกรองสารเคมี
รูป แสดงครอบปองกันใบหนา
ขณะสวมใสครอบปองกันใบหนาแบบนี้จะรูสึกรอน จึงอาจจะจําเปนที่ตองจายอากาศ เขาไปโดยใชทออากาศ หรือบางชนิดอาจมีหมวกนิรภัยติดมาดวย เพื่อปองกันอันตรายที่ศีรษะ 3.5.2 ชนิดมีไสกรองเคมี ไสกรองเคมีจะทําหนาที่ในการกรองสารเคมีที่เปนอันตรายตอรางกาย เพื่อใหผูใชหายใจแตอากาศที่บริสุทธิ์เขาไป
รูป แสดงครอบปองกันชนิดมีไสกรองเคมี
120 การบํารุงรักษา 1. ทําความสะอาดทุกวันหลังใชงานแลว 2. ทําความสะอาดดวยน้ําและสบู หรือผงซักฟอก กรณีที่มีไสกรองเคมีตองถอดไสกรองเคมี ออกกอนทําความสะอาดทุกครั้ง 3. ลางดวยน้ําสะอาด 4. แขวนไวใหแหงเอง 5. ตรวจสอบดูวามีการแตกขาดของตัวครอบหรือเลนสหรือไม ถาชํารุดควรเปลี่ยนใหมทันที 6. เปลี่ยนไสกรองเคมีทุกครั้งกอนใชงาน 4. อุปกรณปองกันระบบหายใจ ในโรงงานอุตสาหกรรม มีอันตรายตอระบบทางเดินหายใจ เพราะการปฏิบัติงานในโรงงานจะทําใหเกิดเศษผง, กาซและไอพิษ ฉะนั้นจึงตองใชอุปกรณปองกัน การหายใจ และจําเปนจะตองทราบลักษณะของอันตราย ความรุนแรง ตลอดจนเวลาในการปองกัน เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกใช การจะทราบขอมูลดังกลาว จําเปนจะตองมีการสํารวจและ ตรวจวัดทางดานสุขศาสตรอุตสาหกรรม 4.1 อันตรายตอระบบหายใจ 4.1.1 เศษผง เศษผงเปนอนุภาคเล็ก ๆ ทั้งของแข็งและของเหลวที่แพรกระจายอยูใ นอากาศใน รูปของฝุน, ละออง, ควัน หรือหมอก ซึ่งกอใหเกิดอันตรายตอการหายใจ เศษผงที่ลอยอยูในอากาศจะ มีชนิดและความเขมขนที่แตกตางกันออกไป ตัวอยางของเศษผงไดแก ขีเ้ ลื่อย, แอสเบสทอส, ฝุนถาน, ยาฆาแมลง เปนตน 4.1.2 กาซและไอพิษ สิ่งเจือปนในอากาศในรูปของกาซและไอ กอใหเกิดอันตรายตอรางกายไดหลาย รูปแบบ คือ 1. สารทําใหระคายเคือง เปนสารที่ทําใหเนื้อเยื่อของระบบหายใจอักเสบ บวม และมีการคั่งของเยื่อเมือก จนทําใหหายใจไมออก ตัวอยางของสารนี้ไดแก แอมโมเนีย, คลอรีน และซัลเฟอรไดออกไซด เปนตน 2. สารทําใหการหายใจหยุดชะงัก สารประเภทนี้จะไปเกี่ยวของกับปริมาณ หรือการใชออกซิเจนของรายกาย กลาวคือ สารนี้จะไปแทนที่อากาศ ทําใหปริมาณออกซิเจนในอากาศ เจือจางลงจนกระทั่งไมเพียงพอตอการหายใจ ไนโตรเจน คารบอนไดออกไซดและไฮโดรเจน ยังมี สารบางประเภทเมื่อรางกายรับเขาไปแลว จะมีผลในการจํากัดการสงผานออกซิเจนของเลือดใหแกเซล หรือทําใหเซลไมสามารถนําออกซิเจนไปใชได ตัวอยางเชน คารบอนมอนออกไซดและไฮโดรเจน ไซยาไนด เปนตน
121 3. สารทําใหสลบ เปนสารที่ไปมีผลตอระบบประสาทสวนกลาง ทําใหเกิด อาการวิงเวียนศีรษะและระบบการทํางานของระบบตาง ๆ ไมสัมพันธกัน ถารับมากขึ้นจะทําใหสลบ จนกระทั่งถึงตายได ตัวอยางของสารประเภทนี้ไดแก เบนซิน คลอโรฟอรมและไนตรัสออกไซดเปน ตน 4. สารพิษตอระบบภายในรางกาย เปนสารพิษที่รางกายรับเขาไปแลวจะไป ทําลายอวัยวะและเนื้อเยื้อของรางกายเฉพาะแหง โดยการซึมเขากระแสโลหิตผานทางปอด เชน ปรอท มีผลตอระบบประสาท - ไต - ตอม, ไฮโดรเจนซัลไฟด มีผลตอระบบหายใจ และฟอสฟอรัส มีผลตอ กระดูก เปนตน 4.1.3 ปริมาณออกซิเจนนอย ปริมาณออกซิเจนในอากาศปกติประมาณ 21 เปอรเซ็นต โดยปริมาตรถาไมมี ออกซิเจนสิ่งที่มีชีวิตก็ไมสามารถดํารงชีวิตอยูไดและในกรณีที่ในบรรยากาศมีออกซิเจนนอยกวา 16% โดยปริมาตร ถือวาบรรยากาศนั้น มีปริมาณออกซิเจนนอย การที่จะทราบวาปริมาณออกซิเจนนั้นมีเพียงพอหรือไม ก็ตองใชเครื่องตรวจวัด ปริมาณออกซิเจน อุปกรณปองกันระบบหายใจที่ใชในบริเวณที่มีปริมาณออกซิเจนนอยตองใช ชนิดที่ปอนสงอากาศบริสุทธิ์ หรือชนิดหมุนเวียนอากาศ 4.2 ชนิดของอุปกรณปองกันระบบหายใจ อุปกรณปองกันระบบหายใจ แบงออกเปนชนิดใหญ ๆ ได 2 ชนิด คือ 4.2.1 ชนิดกรองอากาศ แยกออกเปน 3 แบบ คือ
รูป แสดงอุปกรณ ปองกันระบบหายใจแบบกรองอากาศ
122 1.
หนากากกรองอากาศ 2. หนากากปองกันแบบไสกรองเคมี 3. หนากากกรองกาซ 4.2.2 ชนิดหมุนเวียนอากาศมี 2 แบบ คือ 4.2.2.1 แบบมีถังอากาศ 4.2.2.2 แบบทออากาศ
รูป แสดงอุปกรณกรองอากาศชนิดหมุนเวียนอากาศ
อุปกรณปองกันระบบหายใจชนิดกรองอากาศ เปนอุปกรณปองกันระบบหายใจ ซึ่งสามารถขจัดสิ่งเจือปนในอากาศ โดยอาศัยหลักการฟสิกส และทางเคมี อุปกรณปองกันระบบหายใจชนิดกรองอากาศนี้ จึงใชสําหรับปองกัน เศษผงและกาซที่ เปนอันตรายตอรางกาย สามารถแบงออกไดเปน 3 ชนิด คือ 1. หนากากกรองอากาศ หนากากกรองอากาศใชสําหรับปองกันเศษผงในบรรยากาศ ไมสามารถปองกันไอหรือกาซ ของสารเคมีได หนากากกรองอากาศสามารถกรองเศษผงตามขนาดตาง ๆ ที่ไดระบุไว สวนประกอบของหนากากกรองอากาศจะมี 3 สวน คือ ตัวหนากาก แถบกันรั่ว และสายรัดศีรษะ ตัวหนากากก็จะทําหนาทีใ่ นการกรองเศษผง แถบกันรั่วมีลักษณะเปนแผนโลหะออน สามารถปรับให โคงงอไดตามแนวสันจมูก เพื่อกันไมใหเศษผงเล็ดลอดเขาไปตามแนวสันจมูก สวนสายรัดศีรษะก็จะ ทําหนาที่รัดตัวหนากากใหตดิ แนนกับใบหนา หนากากกรองอากาศบางชนิดอาจจะมีลิ้นระบายอากาศ หรือ Exhalation Valve เพื่อระบายกาซคารบอนไดออกไซดที่ออกมาพรอมกับลมหายใจออก
123
รูป แสดงหนากากกรองอากาศที่มีลิ้นระบายอากาศ ปกติหนากากกกกรองอากาศถูกออกแบบมา เพื่อใชงานครั้งเดียวแลวทิ้ง จึงไมมีวิธีการ บํารุงรักษาที่แนนอน วิธีการใชที่ปลอดภัย 1. ตองไมใชในบริเวณที่ขาดออกซิเจน หรือบริเวณที่มีความเขมขนของฝุนมากเกินไป เพราะ จะตองเปลี่ยนแผนกรองบอย ๆ เปนการสิ้นเปลืองมาก 2. ตองแนใจวาอยูในสภาพที่เรียบรอย ไมชํารุด โดยเฉพาะแผนกรองตองอยูในสภาพที่ใชงานไดดี 3. การสวมใสตองใหกระชับกับใบหนา ตองตรวจดูลิ้นปดเปดที่เปนทางผานของอากาศที่ หายใจออก ตองอยูในสภาพที่ใชงานได 4. ถา หากใชแ ลว เกิด การอึด อัด มาก จะตอ งเปลี่ย นแผน กรองทัน ทีห รือ ตอ งปรึก ษาผูที่มี ความชํานาญเพราะอาจจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดผิดปกติ 2. หนากากปองกันแบบไสกรองเคมี หนากากปองกันแบบไสกรองเคมี ใชสําหรับปองกันกาซและไอที่เปนอันตรายหรือบางครั้ง สามารถใชไสกรองเศษผงเขาไปควบคูกับไสกรองเคมีไดดวย อุปกรณปองกัน ฯ แบบนี้กรองกาซและ ไอโดยใชไสกรองเคมี ซึ่งไสกรองเคมีก็จะมีอยูมากมายหลายชนิด ไสกรองเคมี 1 อัน จะกรองสารเคมี ไดเฉพาะอยาง จึงจําเปนจะตองเลือกใหเหมาะสม สวนประกอบของหนากาก คือ ตัวหนากาก ไสกรองเคมี และสายรัดศีรษะ สําหรับตัว หนากากนั้นจะมีลิ้นอากาศ ทั้งลิ้นหายใจเขาและลิ้นหายใจออก สวนไสกรองเคมีก็จะมีหลายชนิด แต ละชนิดก็จะมีสัญลักษณสี และการปองกันที่แตกตางกันออกไป สําหรับสายรัดศีรษะก็ตองสามารถปรับ ใหแนนและคลายไดตามความตองการของผูใชงาน
124 หนากากปองกันแบบไสกรองเคมี แบงออกเปน 2 ชนิด คือ 1) ชนิดไสกรองเดี่ยว หนากากปองกันชนิดนี้จะมีไสกรองเพียง 1 อัน ใชในบรรยากาศที่มีกาซและไอเจือจาง
รู ป แสดงรู ป หน า กากป อ งกั น ชนิ ด ไส กรองเดี่ยว
2)
ชนิ 2) ดไส ชนิกดรองคู ไสกรองคู กรองคู รือกไส กรอง น จะเปนประโยชนในการปองกันสารเคมี ไสกไส รองคู หรือหไส รองสองอั ที่มีความเขมขน
รูปแสดงรูปหนากากปองกันชนิดไส กรองคู
ในบรรยากาศการทํางานซึ่งไอและกาซพิษนั้น อาจทําอันตรายตอผิวหนังหรือดวงตา ของผูปฏิบัติงาน จําเปนตองใชครอบปองกันใบหนาและลําตัวแบบมีไสกรองเคมี
125
รูป แสดงครอบปองกันใบหนาและลําตัวชนิดไสกรองเคมี วิธีการใชไสกรองเคมีที่ปลอดภัย 1. ตองแนใจวาเลือกใชไดถูกชนิดกับสิ่งที่จะปองกัน 2. ตองไมใชในบริเวณที่มีออกซิเจนต่ํากวา 16 เปอรเซ็นต 3. กอนสวมใสตอ งตรวจดูความพรอม, สภาพของตัวหนากาก, ไสกรองติดแนนดีแลว 4. การใส หน ากากตองระมัดระวังไมใ หเ กิดความดัน บริเ วณจมู กมากเกิน ไป หรือบริเ วณ ภายในหนากากตองระวังเกี่ยวกับความดัน ซึ่งอาจจะมีผลตอถุงลมในปอดทําใหแตกได ลิ้นปดเปด ตองใชงานไดปกติ 5. ถาเกิดการรั่วซึมของกาซเขาไปในหนากากไดจะตองรีบเปลี่ยนไสกรองทันที 6. การสวมหนากากจะตองไมใชผารองของหนากาก เพราะอาจจะเกิดเปนรอยรั่วเขาไป 7. สําหรับ Filter ไสกรองเคมี และกลองบรรจุสารเคมีที่หมดอายุการใชงานใหเปลี่ยนใหม โดยสังเกตจากความรูสึกอึดอัดเพราะมีการอุดตันของฝุน Filter หรือไดกลิ่นกาซหรือไอระเหยเนื่องจาก ตัวดูดซับสารเคมีหมดอายุ 8. นําไปเก็บไวในถุงพลาสติกปดมิดชิด อยูในที่เก็บเฉพาะที่สะอาดปราศจากฝุนและสิ่งปนเปอน พรอมที่จะใชงานไดตอไป
126
-
ตาราง สัญลักษณสีของไสกรองเคมีและชนิดของกาซและไอพิษ ตามมาตรฐาน ANSI K 13.1 - 1973 สิ่งเจือปนในอากาศที่ปองกัน สีที่กําหนด กาซที่เปนกรด ขาว ไอจากสารอินทรีย ดํา กาซแอมโมเนีย เขียว กาซคารบอนมอนนอกไซด น้ําเงิน กาซที่เปนกรดและไอจากสารอินทรีย เหลือง กาซที่เปนกรดแอมโมเนียและไอจากสารอินทรีย น้ําตาล กาซที่เปนกรดแอมโมเนียคารบอนมอนนอกไซดและไอจากสารอินทรีย แดง ไออยางอื่นและกาซที่ไมกลาวไวขางบน เขียวอมเหลือง วัสดุกัมมันตภาพรังสีนอกจากทริเทียม (Tritium) Noble Gases มวง ฝุน ควัน และหมอก (นอกเหนือจากวัสดุกัมมันตภาพรังสี) สม
3) หนากากกรองกาซ หนากากกรองกาซถูกกําหนดใหใชสําหรับกรณีฉุกเฉิน ในบรรยากาศที่มีกาซที่เปน อันตรายตอชีวิต สวนหนากากแบบไสกรองเคมีนั้น ใชสําหรับงานประจํา หนากากกรองกาซจะใช กลองบรรจุสารเคมี ซึ่งประกอบดวยสารขจัดกาซที่มีการทํางานเหมือนกับไสกรองเคมี แตกลองบรรจุ เคมีจะมีขนาดโตกวาและปองกันสารเคมีไดมากชนิดกวา
รูป แสดงหนากากกรองกาซ
127 วิธีการใชที่ปลอดภัย 1. ตองแนใจวาตัวหนากากตอเขากับกลองบรรจุสารเคมีอยางเรียบรอยทุกครั้ง 2. ตองตรวจสอบลิ้นอากาศดูวา อากาศสามารถผานเขาออกไดดี 3. เวลาจะใชกลองบรรจุสารเคมีตองอยูในตําแหนงทีไ่ มเกะกะการทํางาน 4. ตรวจดูรอยรัว่ ซึมของอุปกรณประกอบทุกสวนกอนทีจ่ ะใชทุกครั้ง 5. หลังการใชงานตองมีการบํารุงรักษาเปนอยางดีตามระยะเวลาการใชงาน
อุปกรณปองกันระบบหายใจชนิดหมุนเวียน อุปกรณปองกันระบบหายใจชนิดนี้จะมีอุปกรณที่ทําหนาที่ในการสงอากาศหรือออกซิเจน ใหแกผูใช เนื่องจากตองปฏิบัติงานในบรรยากาศที่มีออกซิเจนนอย หรือบรรยากาศที่เปนอันตราย เฉียบพลันตอชีวิตและสุขภาพ สามารถแบงอุปกรณประเภทนี้ออกเปน 2 แบบ คือ 1. แบบถังอากาศ ผูใชอุปกรณแบบนี้จะตองแบกแหลงจายอากาศหรือออกซิเจนในรูปของถังบรรจุออกซิเจน หรือถังอากาศ อุปกรณปองกัน ฯ แบบนีจ้ ะประกอบไปดวย ถังอากาศ สายรัดตัว ตัวควบคุมความดัน ทออากาศ และตัวหนากากแบบเต็มใบหนา
รูป แสดงหนากากแบบเต็มใบหนา ถังอากาศก็มีหลายขนาดน้ําหนักและความดันของถังก็จะแตกตางกันออกไป
รูป แสดงถังอากาศชวยระบบหายใจ
128 อุปกรณปองกันระบบหายใจแบบถังอากาศนี้ ผูที่จะใชตองศึกษาเทคนิคและวิธกี ารใชอยางดี และจะพบวาการทํางานโดยใชอุปกรณแบบนี้ตองมีมาตรการความปลอดภัยที่ไดวางแผนงานเปนอยางดี
รูป แสดงอุปกรณชวยหายใจแบบถังอากาศ วิธีการใชที่ปลอดภัย 1. ตองแนใจวาผูท ี่ใชนั้นผานการอบรมเทคนิคและวิธีการใชอยางดีและถูกตอง 2. ตองตรวจดูอุปกรณที่จะเปนตัวจายออกซิเจนใหกับผูสวมใส ตองทําหนาที่ไดเปนอยางดี ไมมีการชํารุดเสียหาย ขณะทีจ่ ะสวมใสตองไมมีสารเคมีเปนพิษตกคางอยูภายในหนากาก 3. ตองพยายามปรับปริมาณออกซิเจนที่เขาออกใหเหมาะสม เมื่อสวมใสจะไมทําใหอึดอัด อาจจะตองศึกษารายละเอียดกับบริษัทผูผลิตดวย 4. ในการที่ตองใชอุปกรณบริเวณที่อันตรายสูง จะตองมีทอสํารองและสายชวยชีวิตในกรณี ฉุกเฉิน หรือเกิดอุบัติเหตุขึ้น เชน ทอนําสงอากาศจริงเกิดชํารุดเสียหายก็สามารถใชทอสํารองไดทันที หรือออกซิเจนในถังของเราเกิดรั่วหมดก็สมมารถใชทอตอกับของเพื่อนรวมงานไดทนั ที 5. เวลาใชตองใหคนใชคอยสังเกตในสิ่งที่ผิดปกติอาจจะเกิดขึ้น เชน มีกลิ่น รส การระคายเคือง ถาหากวาพบสิง่ ผิดปกติเหลานี้ตองรีบออกมาจากบริเวณที่ทํางานทันที 6. ระยะเวลาในการใชนั้นตองศึกษาใหดี เพราะอุปกรณดังกลาวนี้จะมีขีดจํากัดในการใช เกี่ยวกับเวลา เพราะบริษัทผูออกแบบจะออกแบบใหใชเพียงระยะเวลาหนึ่งเทานั้น ถาหากวาหมดเวลาใช ตองรีบเตือนใหออกมาจากบริเวณการทํางานทันที ปกติจะไมเกิน 1 ชั่วโมง 7. ตองมีการฝกอบรม สาธิตวิธีการใช การซอมบํารุง การเก็บรักษาใหกับผูใช
129 การบํารุงรักษา 1. ตัวหนากากและทออากาศใหตรวจสอบและทําความสะอาดเหมือนการบํารุงรักษาในหัวขอ การใชอุปกรณปองกันระบบหายใจ 2. ถังอากาศและตัวควบคุม ตองตรวจสอบตามคําแนะนําของบริษัทและบรรจุกาซใหมเมื่อ กาซในถังหมดลง 2. แบบทออากาศ ประกอบไปดวยหนากากปดจมูก หรือปดครึ่งใบหนา หรือปดเต็มใบหนา อากาศที่ใชชวย หายใจจะถูกสงมาตามทอขนาดเล็กที่อัดมาดวยเครื่องอัดอากาศ การปรับปริมาณความตองการอากาศ ทําโดยการปรับที่ลิ้นปดเปด ลิ้นนี้อาจจะติดที่บริเวณลําตัวหรือเข็มขัด อุปกรณนี้เหมาะกับการใช ในบรรยากาศทั่วไปที่มีสารเคมีเปนพิษสูง เชน การหลอมโลหะ การพนสี เชื่อมดวยกาซหรือไฟฟา เผาโลหะ การขัดที่มีฝุนมาก อุปกรณนี้จ ะออกแบบมาใหเหมาะกับการที่จะใชกั บลักษณะงานใด งานหนึ่งเทานั้น อากาศที่ออกจากเครื่องอัดอากาศ (Air Compressor) ตองผานการกรองน้ํามันและความชื้น โดยเครื่องกรองที่มีคุณภาพถูกตองตรงตามมาตรฐาน
รูป แสดงเครื่องชวยหายใจแบบทออากาศ การใชที่ปลอดภัย 1. ตองมีการตรวจสอบกอนจะใชเสมอ เชน ตรวจหนากาก ทอสงอากาศและลิ้นควบคุม 2. ตองปรับขนาดของหนากากใหพอดีกับใบหนาของผูสวมใส 3. การปรับอัตราการไหลของการอากาศ 4. ตองมีการตรวจสอบรอยรั่วที่สายสงอากาศกอนใชงาน 5. ตองมีการอบรมเทคนิควิธีการใช การบํารุงรักษาใหกับผูท ี่เกี่ยวของและใชเปนอยางดี กอนที่จะนํามาใหใช การบํารุงรักษา ใชหลักการเดียวกับอุปกรณปองกัน ฯ แบบถังอากาศ
130 5. อุปกรณปองกันลําตัว เสื้อผาหรือชุดทํางานนั้นในงานบางประเภทไมสามารถจะปองกันอันตรายที่จะเกิดแกลําตัวได ฉะนั้นตองมีอุปกรณเพิ่มเติมนอกเหนือจากเสื้อผาที่เปนชุดฝกงานธรรมดา เชน เมื่อทํางานที่มีประกายไฟ มีความรอน หรือทํางานกับวัตถุรอน ตองใชเสื้อผาที่ทําดวยใยหิน (แอสเบสตอส) หรือหนังชุบดวย โครเมียม หรืออะลูมิเนียมที่ชวยสะทอนแสงเพื่อกันความรอน
รูป แสดงอุปกรณปองกันลําตัว
และในงานที่มีสารจําพวกกัดกรอนหรือทําอันตรายเสื้อผา เปนของเหลวที่สาดกระเซ็น ก็ตองใชอุปกรณประเภทแผนยางหรือพลาสติกคลุมทับเสื้อผาอีกชั้นหนึ่ง สวนสารที่เปนกรดหรือสารเคมี ก็ควรใชฝาที่ทําดวยไฟเบอรปกปด อุปกรณปองกันลําตัวทําหนาที่สําหรับปองกันสวนของหนาอก ทอง ลําตัว และรวมไปถึง สวนของแขนและขา อันตรายที่เกิดขึ้นจากลําตัวนัน้ มีหลายรูปแบบดังกลาวแลวในตอนตน ชนิดของอุปกรณปองกันลําตัว อุปกรณปองกันลําตัวแบงออกไดตามลักษณะของการปองกันไดเปน 3 แบบ คือ 5.1 ชุดปองกันสารเคมี ใชสําหรับปองกันสารเคมี ทั้งในรูปแบบเปนของเหลว ผง และไอ การสวมใสชุดปองกัน สารเคมีสามารถปองกันเฉพาะสวนของลําตัวและขาเทานั้น ฉะนั้นถาจะปองกันอันตรายจากสารเคมี ใหครบทุกสวนของรางกาย ก็จําเปนตองใชควบคูไปกับอุปกรณปองกันสวนอื่น ๆ ของรางกาย เชน แวนครอบตา, หนากากปองกันใบหนา และหนากากปองกันแบบไสกรองเคมี เปนตน วัสดุที่ใชทําชุดปองกันสารเคมีไดแก พลาสติก ไวนิล หรือยางสังเคราะห เปนตน ชุดปองกันสารเคมีแบงออกเปน 3 ชนิด คือ 5.1.1 เอี๊ยมปองกันสารเคมี ใชสําหรับปองกันการกระเด็นของสารเคมีเฉพาะสวนของหนาอกและลําตัว เมื่อ ถูกสารเคมีสามารถถอดออกไดรวดเร็ว ไมเปนอันตรายตอรางกาย
131
รูปที่ 34 แสดงเอี๊ยมปองกันสารเคมี
5.1.2 ชุดปองกันสารเคมีชนิดอื่น ๆ ชุดปองกันสารเคมีมีหลายแบบซึ่งตองเลือกใชใหเหมาะสมกับงานมีทงั้ ชนิดที่ เปนเสื้อคลุมยาว ชนิดทีเ่ สื้อกางเกงติดกันเปนชุดหมี และเสื้อกางเกงแยกกัน หรือแมกระทั่งชนิดที่เปน กางเกงและมีสวนสําหรับกันหนาอก เปนตน
รูปที่ 35 แสดงชุดปองกันสารเคมีแบบตาง ๆ 5.1.3
ที่คลุมศีรษะ ในบางครั้งการทํางานกั บสารเคมีอาจจํ าเป น ตองใสที่คลุ มศีรษะเพื่ อปองกัน อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับศีรษะเขาประกอบกับชุดปองกันสารเคมีเพื่อใหการปองกันสมบูรณแบบยิ่งขึ้น
รูปที่ แสดงที่คลุมศีรษะ
132 5.2 เสื้อหนัง เปนชุดปองกันรางกายไมใหสัมผัสความรอนที่ไมสูงมากนัก ปองกันการแผความรอน ที่เกิดจากโลหะถูกเผาและปองกันแรงกระแทกจากวัสดุ เสื้ อ หนั ง นี้ มั ก จะใช ใ นการเชื่ อ มเป น ส ว นมาก นอกจากส ว นที่ เ ป น เสื้ อ แล ว ยั ง ประกอบดวยสนับแขง และสวนที่เปนปองกันแขนอีกดวย วัสดุที่ใชทําเสื้อหนังนี้ตองเบา สามารถสวมใสสะดวกไมทําใหเกิดความรูสึกอึดอัด ขณะปฏิบัติงาน และยังตองบํารุงรักษาทําความสะอาดไดงาย 5.3 ชุดปองกันความรอน ใชสําหรับงานที่เกี่ยวของกับความรอนสูง ๆ และการแผรังสีจากแหลงความรอนโดยตรง วัสดุที่ใ ชทําชุดป องกั นความรอนนี้ มักทําดว ยอะลูมิ เนี ย ม แอสเบสตอส หรือไฟเบอรกลาส ซึ่งมี ขนสัตวหุมอยูภายใน ชุดปองกันความรอนนี้ใชสําหรับงานเตาหลอมและงานดับเพลิง ซึ่งตองใชประกอบกับ ที่คลุมศีรษะ ถุงมือ และรองเทาปองกันความรอน
รูป แสดงเสื้อหนังปองกันความรอน 6. อุปกรณปองกันมือ มือและนิ้วเปนอวัยวะของรางกายที่ประสบอุบัติเหตุบอยที่สุด อันตรายที่เกิดขึ้นกับมือ และนิ้วนั้นมีทุกรูปแบบ ตั้งแตถูกตัด ถูกขีดขวน ถูกสารเคมี ถูกไฟฟาดูด ถูกความรอนหรือไฟไหม เปนตน เนื่องจากเราจําเปนอยางยิ่งที่จะตองใชมือในงานหลายประเภท ดังนี้นจึงเปนการยากที่จะปองกัน อันตรายอันจะเกิดขึ้นกับมือและนิ้วได แตอยางไรก็ตามการใชถุงมือนิรภัย ก็เปนแนวทางหนึ่งในการ ชวยลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นได นอกจากนี้ถุงมือยังชวยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน และความ ปลอดภัยในที่นี้หมายถึงความปลอดภัยของมือและสิ่งของที่หยิบยกจับตอง เชน แพทยใสถุงมือยางใน การผาตัดสมอง เพื่อปองกันเชื้อโรค สําหรับชางเหล็กใชถุงมือหนังในการจับโลหะเพื่อปองกันมือตัวเอง
133 ชนิดของถุงมือนิรภัย ถุงมือนิรภัยสามารถแยกออกไดตามลักษณะงานดังนี้ 6.1 ถุงมือปองกันความรอน ใชสําหรับปองกันความรอนที่เกิดขึ้นขณะทํางาน เชน การจับตองของรอนแตการสัมผัสนั้น ตองไมนานมากนัก วัสดุที่ใชทํานั้นไดแก ใยสังเคราะห ฝาย และอะลูมิเนียม เปนตน
รูป แสดงถุงมือหนัง
6.2 ถุงมือปองกันสารเคมี ใชปองกันสารเคมีทั้งในสภาวะของแข็งและของเหลว วัสดุที่ใชทําถุงมือปองกันสารเคมี ไดแก ไวนิล นีโอพรีน และยางสังเคราะห เปนตน ความยาวของถุงมือก็มีความจําเปนจะตองเลือกใหเหมาะสมกับลักษณะงาน
รูปที่ แสดงถุงมือปองกันสารเคมี
134 6.3 ถุงมือหนัง ใชปองกันอันตรายที่เกิดจากการขีดขวนของวัสดุซึ่งขรุขระ และปองกันความรอนที่ ไมสูงมากนัก ทําดวยหนังที่มีคุณสมบัติเหมือนเสื้อหนัง ดังไดกลาวมาแลว ถุงมือหนังเหมาะสําหรับใชยกของและงานเชื่อมเปนสวนมาก จําเปนจะตองเลือกชนิด ที่ไมหนามากเกินไป เพื่อใหสามารถจับยกสิ่งของและปฏิบัติงานไดถนัด 6.4 ถุงมือยางปองกันไฟฟา งานที่เกีย่ วของกับกระแสไฟฟาโดยตรงจําเปนจะตองใชถุงมือยางปองกันไฟฟา เพราะ ดังที่ทราบกันดีอยูแลว อันตรายจากไฟฟานั้นรุนแรงถึงขนาดทําใหสูญเสียชีวิตได ถุงมือยางปองกันไฟฟาแบงออกเปน 5 ระดับคุณภาพ ตามปริมาณแรงดันไฟฟาที่จะใช งาน ดังนี้ ระดับ แรงดันไฟฟากระแสสลับ แรงดันไฟฟากระแสตรง แรงดันไฟฟาสูงสุด (AC) ที่ทดสอบ (DC) ที่ทดสอบ คุณภาพ ที่ใหใชงานได (Voltage rms.) (Voltage avg.) (ac rms.) 0 5,000 20,000 1,000 1 10,000 40,000 7,500 2 20,000 50,000 17,000 3 30,000 60,000 26,500 4 40,000 70,000 36,000 ถุงมือยางปองกันไฟฟาจําเปนจะตองใชควบคูไปกับถุงมือหนังเสมอ โดยนําถุงมือหนัง มาสวมทับถุงมือยางปองกันไฟฟา ถุงมือหนังจะทําหนาที่ปองกันไมใหถุงมือยางปองกันไฟฟาถูกขีดขวน หรือถูกบาดตัดจนเกิดรอยรั่ว เพราะถาเกิดรอยรั่วถุงมืออันนั้นจะไมสามารถทนทานตอแรงดันไฟฟา ตามมาตรฐาน และตามระดับคุณภาพนั้น ๆ ฉะนั้นกอนที่จะนําถุงมือไฟฟาไปใชงานตองทดสอบการรั่ว ทุกครั้ง
รูป แสดงถุงมือยาง
135 เนื่องจากการทํางานกับไฟฟาเปนงานที่เสี่ยงอันตรายคอนขางสูง ดังนั้นถุงมือยางปองกัน ไฟฟาตองไดรับการทดสอบ และรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได เชน American National Standard Institute (ANSI) หรือ American Society for Testing and Material (ASTM) 6.5 ถุงมือตาขายลวด ถุงมือตาขายลวดนีใ้ ชสําหรับงานที่เกีย่ วของกับของมีคม โดยเฉพาะการปองกันการตัด และเฉือน ถุงมือประเภทนีจ้ ะทําดวยลวดหรือเหล็กกลาไรสนิม ซึ่งเปนเสนเล็ก ๆ ถักเปนรูปถุงมือ แต อยางไรก็ตาม ถุงมือประเภทนี้ยังไมคอยมีใชแพรหลายมากนัก จะสั ง เกตได ว า ถุง มือ นิ รภั ย ที่ ก ล าวแลว ขา งต น เป น ถุ งมื อที่ ใ ช ส วมครบทั้ ง ห า นิ้ว มี อุปกรณปองกันมือบางประเภทที่ใชปองกันเฉพาะอุงมือหรือฝามือ และปองกันนิ้วบางนิ้ว ซึ่งอุปกรณ ประเภทหลังนี้ก็ไมคอยมีใชอยางแพรหลายเชนเดียวกัน การบํารุงรักษา การบํารุงรักษาถุงมือนิรภัยตองเลือกใหเหมาะสมสําหรับแตละชนิดไป แตหลักโดยทั่วไปมีดังนี้ 1. ทําความสะอาดทุกครั้งหลักจากเลิกใชงานแลว 2. ถุงมือที่สามารถทําความสะอาดดวยน้ําและสบู หรือผงซักฟอกได เชน ถุงมือปองกันสารเคมี ถุงมือหนัง ก็ใหซักลางแลวผึ่งใหแหง สวนถุงมือประเภทอื่น ๆ ใหทําความสะอาดตามคูมือและคําแนะนํา ของบริษัท 3. เก็บถุงมือไวในที่ที่ไมรอนจนเกินไป ปราศจากฝุนและสารเคมี 7. รองเทานิรภัย
รูป แสดงรองเทานิรภัย
136 ไดมีการรวบรวมสถิติจํานวนผูประสบอันตรายในโรงงานอุตสาหกรรมตาง ๆ ของ สํานักงานกองทุนเงินทดแทนพบวาอันตรายที่เกิดขึ้นกับนิ้วเทาและบริเวณเทาจากวัตถุกระแทก การกลิง้ หลนทับของวัตถุ เครื่องจักรหนีบ ของมีคมบาดหรือตัดขาด และถูกสารเคมีทําใหหนังไหม มีจํานวน สูงมาก อันตรายที่เกิดกับเทานี้ สามารถทําใหลดจํานวนลงได ถาพนักงานสวมใสอุปกรณปองกันเทา หรือรองเทานิรภัย ชนิดของรองเทานิรภัย รองเทานิรภัยสามารถจําแนกตามคุณลักษณะในการใชงานไดหลายชนิด แตจะกลาวถึงเฉพาะ ชนิดที่ใชกันอยางแพรหลายดังตอไปนี้ 7.1 รองเทานิรภัยชนิดหัวโลหะ รองเทานิรภัยประเภทนี้ใชกันอยางแพรหลายที่สุดในบรรดารองเทานิรภัยทั้งหมด จนบางครั้งถาพูดถึงรองเทานิรภัย ก็จะหมายถึงรองเทานิรภัยชนิดหัวโลหะทันที เปนรองเทาหุมสน หุมขอและหุมแข็ง มีเหล็กบัว (หัวโลหะ) ครอบปองกันบริเวณนิ้วเทาและมีแผนเหล็กรองบริเวณฝาเทา สําหรับปองกันของมีคมบาดหรือตําทะลุขึ้นมา สนและพื้นรองเทาจะเปนดอกกันลื่นหกลม รองเทา นิรภัยแบบนี้มี 3 ระดับ ตามความสามารถในการทนตอแรงกด และแรงกระแทกดังนี้ ระดับที่ 1 ทนแรงกระแทกไดไมนอยกวา 400 กิโลกรัม-เซนติเมตร และทนแรงกดได ไมนอยกวา 446 กิโลกรัมแรง ระดับที่ 2 ทนแรงกระแทกไดไมนอยกวา 650 กิโลกรับ-เซนติเมตร และทนแรงกดได ไมนอยกวา 800 กิโลกรัมแรง ระดับที่ 3 ทนแรงกระแทกไดไมนอยกวา 1,000 กิโลกรับ-เซนติเมตร และทนแรงกด ไดไมนอยกวา 1,150 กิโลกรัมแรง รองเทานิรภัยชนิดหัวโลหะนี้มีรูปรางลักษณะเหมือนรองเทาธรรมดา แตจะมีสวนที่สําคัญ ที่แตกตางกันออกไปดังตอไปนี้คือ 1) หัวโลหะครอบนิ้วเทา อยูสวนหัวของรองเทา มีสําหรับปองกันวัตถุตกกระแทกนิ้วเทา 2) แผนเหล็กบาง แทรกตลอดพื้นของรองเทา ปองกันวัสดุและของแหลมทิ่มแทง 3) พื้นของรองเทาตองทนทานตอการกัดกรอนของสารเคมี และเปนพื้นแบบหลออัด ติดกับตัวรองเทา
137
รูป แสดงหัวรองเทาและพื้นรองเทานิรภัย
รองเทานิรภัยมีรูปรางและลักษณะทีแ่ ตกตางกันออกไปตามความตองการของผูใช เชน ชนิดซิปรูด สีของรองเทาอาจเปนสีดํา สีนา้ํ ตาล หรือบางครั้งอาจจะเห็นรองเทานิรภัยมีรูปรางลักษณะ และสีเหมือนรองเทาธรรมดาก็มีใชเชนกัน
รูป แสดงรองเทานิรภัยแบบตาง ๆ
รองเทานิรภัยชนิดหัวโลหะนีจ้ ะหนักกวารองเทาธรรมดา และพื้นรองเทานิรภัยก็จะแข็ง ทําใหไมเหมาะสมกับลักษณะงานบางประเภท เชน การขับขี่รถยนต การขับขี่เครื่องจักรบางประเภท เพราะจะทําใหไมสะดวกในการปฏิบัติงาน เนื่องจากพื้นรองเทานิรภัยแข็ง ผูที่สวมใสรองเทานิรภัยจึงไมควรปฏิบัติงานบนที่ สูงเชน การเดินบนโครงเหล็ก เพราะอาจเกิดการลื่นตกจากที่สูงใหไดรับอันตรายได หัวโลหะ พื้น และสวนประกอบอื่น ๆ ของรองเทาตองไดรับการทดสอบตามมาตรฐาน ที่เชื่อถือได
138 7.2 รองเทาปองกันสารเคมี รองเทานิรภัยสําหรับปองกันสารเคมี ทําดวยวัสดุซึ่งตองทนทานตอการกัดกรอนของ สารเคมีทั้งชนิดในรูปของของเหลว ของแข็ง และไอ วัสดุที่ใชสวนใหญเปนไวนิล และนีโอพรีน รองเทาปองกันสารเคมีใชสําหรับงานที่เกี่ยวของกับสารเคมี แบงออกไดเปน 2 ชนิด คือ 7.2.1 รองเทาปองกันสารเคมีชนิดไมมีหัวโลหะ เปนรองเทานิรภัยที่ทําดวยยางหรือไวนิล หรือนีโอพรีน ซึ่งทนตอการกัดกรอน ของสารเคมีเพียงอยางเดียว 7.2.2 รองเทาปองกันสารเคมีชนิดหัวโลหะ มีลักษณะเหมือนรองเทาปองกันสารเคมีในหัวขอ ก. แตจะมีสวนหัวของรองเทา เปนหัวโลหะครอบนิ้วเทาไว ปองกันสิ่งของตกกระแทก และนอกจากนี้ที่พื้นอาจมีแผนเหล็กบางปองกัน ของมีคมแทงทะลุไดอีกดวย รองเทาปองกันสารเคมีควรเปนรองเทาบูทที่มีความสูงถึงครึ่งหนาแขงหรือถึงหัวเขา เพื่อปองกันไมใหสารเคมีเขาไปทําอันตรายสวนของหนาแขงได
7.3 รองเทาปองกันความรอน วัสดุที่ใชทํารองเทาปองกันความรอนก็จะมีคุณสมบัติเหมือนชุดปองกันความรอนและ ถุงมือปองกันความรอน เพราะตองใชควบคูไปกับอุปกรณปองกันดังกลาว รองเทาปองกันความรอนจึงเหมาะทีจ่ ะใชงานดับเพลิงและงานหลอมโลหะ เปนตน นอกจากนี้แลวอุปกรณปองกันเทาก็ยังมีเหล็กครอบรองเทา และรองเทาปองกันไฟฟา มีคุณสมบัติเปนฉนวนไฟฟาที่ดี รองเทาชนิดนี้หากชํารุด หามซอมแซมโดยใชตะปูหรือลวดตรึงเพราะ สิ่งเหลานี้เปนสื่อไฟฟา
139 การบํารุงรักษารองเทานิรภัย 1. การทํ า ความสะอาด ควรทําทุ ก วัน หลัง จากใชง านแลว โดยการป ด และเช็ ด ฝุ น หรื อสิ่ ง สกปรกที่ติดอยูทั้งดานนอกและดานใน ดวยผาชุบน้ําหมาด ๆ 2. ควรซักลางดวยน้ําและสบูหรือผงซักฟอกทุก ๆ สัปดาหแลวลางน้ําสะอาด นํารองเทาไป ตากใหแหง 3. ควรใชรองเทานิรภัยเปนของสวนตัว 4. รองเทาปองกันความรอนทีท่ ําดวยอะลูมิเนียม ตองทําความสะอาดตามคูมือและคําแนะนํา ของบริษัท 8. อุปกรณปองกันตกจากที่สูง การทํางานบนที่สูงหรือทํางานตางระดับที่ตองเสี่ยงกับการตกจากที่สูง ตัวอยางเชน งานกอสราง งานสายสงโทรศัพท งานบํารุงรักษา เกี่ยวกับไฟฟาและทําความสะอาด หรือแมกระทั่ง การทํางานในหลุม บองานที่ตองเสี่ยงกับการตกจากที่สูงหรือตางระดับ จําเปนตองใชอุปกรณปองกัน การตกจากที่สูง ชนิดของอุปกรณปองกันการตกจากที่สูง อุปกรณปองกันการตกจากทีส่ ูงแยกออกตามลักษณะและชนิดของการใชงานออกไดหลายชนิด ดังนี้ 8.1 เข็มขัดนิรภัย เข็มขัดนิรภัยประกอบดวยตัวเข็มขัด ซึ่งตองใชควบคูก ับเชือกนิรภัยทุกครั้ง โดยตัวเข็มขัด จะใชรัดเขากับลําตัวของผูใชงาน สวนเชือกนิรภัยจะคลองตัวเข็มขัดโยงไวกับเสาหรือโครงสรางเหล็ก
ตัวเข็มขัด วัสดุที่ใชทําตัวเข็มขัดไดแก หนังและใยสังเคราะห ซึ่งไดแกพวกไนลอน หรือดากอน เข็มขัดที่ทําดวยหนังจะรับน้ําหนักไดนอยกวา สวนเข็มขัดที่ทําดวยใยสังเคราะหแมวาจะรับน้ําหนักได มากกวา แตจะลื่นหลุดไดงายกวาซึ่งอาจจะเปนอันตรายได ตัวเข็มขั ดจะมีห วงรูปตัวดี ไวสําหรับคลองเขากับเชือกนิรภัย ซึ่งอาจมี 1 ถึง 3 อัน ตัวเข็มขัดที่ดีควรจะมีรูสําหรับสอดใสอุปกรณตาง ๆ เชน ฆอน ไขควง เปนตน และนอกจากนี้ยัง อาจจะมีถุงใสตะปูและนอตอีกดวย
140
รูปที่ 45 แสดงเข็มขัดนิรภัย ตัวเข็มขัดมี 2 แบบ คือ แบบรัดลําตัวดวยขอเกี่ยวเหมือนเข็มขัดธรรมดา และแบบรัด ลําตัวดวยระบบล็อค ซึ่งเข็มขัดนิรภัยแบบแรกจะนิยมใชมากกวา และรัดตัวไดอยางมัน่ คงกวา ตัวเข็มขัดนิรภัยควรมีความกวางไมต่ํากวา 43 มิลลิเมตร และมีความยาวไมนอยกวา 1,200 มิลลิเมตร เชือกนิรภัย เชือกนิรภัยจะมีตะขอสําหรับเกี่ยวเขากับตัวเข็มขัดบริเวณหวงรูปตัวดี ซึ่งอาจเปนแบบ มีตะขอทั้งสองปลาย หรือแบบมีตะขอ 1 ขาง สวนอีกขางเปนแบบล็อคติดกับสายชวยชีวิต ซึ่งจะ สามารถปรับใหเลื่อนขึ้นและลงได ในขณะปฏิบัติงาน เชือกนิรภัยมีทั้งชนิดเสนกลม และชนิดแถบ แตชนิดเสนกลมนิยมใชกันอยางแพรหลายกวา วัสดุที่ใชทําเชือกนิรภัยไดแก มนิลา ไนลอน ใยสังเคราะห และหนัง เชือกนิรภัยมีความยาวประมาณ 1.50 เมตร
รูป แสดงเชือกนิรภัย
141 8.2 สายรัดลําตัว เปนอุปกรณที่ใชสําหรับงานที่เสี่ยงภัยมาก ๆ ซึ่งจะสามารถปองกันการตกจากที่สูงได ดีกวาเข็มขัดนิรภัย ทั้งนี้เพราะสายรัดลําตัวออกแบบใหรับน้ําหนักหรือแรงกระตุกที่เกิดขึ้นเฉลี่ยไปที่ หนาอก เอวและขาได แทนที่จะเปนที่เอวแหงเดียวในกรณีที่ใชเข็มขัดนิรภัย สายรัดลําตัวตองใชกับสายชวยชีวิต ซึ่งบางครั้งอาจจําเปนตองใชเชือกนิรภัย ในการ เกี่ยวสายรัดลําตัวเขากับสายชวยชีวิต
รูป แสดงสายรัดลําตัว สายรัดลําตัวควรจะบุดวยวัสดุที่ออนนิ่ม ทําหนาที่ลดแรงกระแทกในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ตกจากที่สูง 8.3 สายชวยชีวิต สายชวยชีวิตเปนสายซึ่งผูก ยึด หรือเกี่ยวแนนกับโครงสรางของอาคารหรือสวนที่มั่นคง เพื่อชวยไมใหผูใชตกลงจากที่สูง ซึ่งผูที่จะใชสายชวยชีวิตนี้จําเปนจะตองใชเข็มขัดนิรภัยหรือสายรัด ลําตัวประกอบดวยทุกครั้ง โดยมีเชือกนิรภัยเกี่ยวเข็มขัดหรือสายรัดลําตัวเขากับสายชวยชีวิต โดยปกติ เชื อ กนิ ร ภั ย จะต อ งเป น ระบบล็ อ ค ติ ด กั บ สายช ว ยชี วิ ต และสามารถเลื่ อ นขึ้ น ได ส ะดวก แต ถ า ผูปฏิบัติงานพลาดตก ระบบล็อคนี้จะล็อคติดกับสายชวยชีวิตทันที สายชวยชีวิตอาจเปนเชือกไนลอน หรือเชือกมนิลาผูกยึดแนนกับโครงสรางอาคารหรือ บางครั้งอาจทําดวยสลิง ซึ่งมีระบบล็อคเมื่อถูกดึงหรือเมื่อพลาดตากจากที่สูง
รูป แสดงสายชวยชีวิต
142 การใชอยางปลอดภัย 1. ตรวจสอบตัวเข็มขัดวามีการฉีก ปริ และขาดหรือไม และตรวจดูตะเข็บเย็บวาขาดหรือไม ถาเกิดการชํารุดไมควรนําไปใชงาน 2. ตรวจสอบดูระบบล็อคของตัวเข็มขัด เชือกนิรภัย และสายชวยชีวิตวาแนนหนาดีหรือไม 3. ตรวจดูเชือกนิรภัยและสายชวยชีวิตวามีการฉีกขาดของเชือกและสลิงหรือไม 4. สายชวยชีวิตตองยึดติดแนนอยางมั่นคงกับโครงสรางอาคาร 5. ตรวจสอบ D-rings ของเข็มขัดนิรภัยวามีการผุกรอนหรือไม 9.
อุปกรณปองกันพิเศษเฉพาะงาน อุปกรณปองกันพิเศษเฉพาะงาน เปนอุปกรณซึ่งไมสามารถจัดหมวดหมูในการปองกัน อันตรายไดอยางแนชัด และเปนอุปกรณที่ราคาคอนขางแพง มีเทคนิคและวิธีการใชทพี่ ิเศษยุงยาก ซึง่ ถาจะนําไปใชจะตองศึกษาแนวทาง วิธีการใช และขอจํากัดของอุปกรณชนิดนั้น ๆ โดยละเอียด ชนิดของอุปกรณปองกันพิเศษเฉพาะงาน มีดังตอไปนี้ 9.1 อุปกรณประดาน้ํา 9.2 ปลอกแขนยางปองกันไฟฟา 9.3 ครีมหรือโลชั่นทาผิวปองกันสารเคมี 9.4 เสื้อชูชีพและทุนชูชีพ 9.5 ชุดปองกันรังสี 9.6 ฟลมตรวจรับรังสี (Film Badge) สําหรับติดตัว 9.7 มานกันแสงเชือ่ ม (Welding Curtain) เนื่องจากอุปกรณปองกันพิเศษเฉพาะงาน มีหลายชนิดรายละเอียดและเทคนิคการใช ซึ่งยุงยาก จึงไมไดกลาวในที่นี้ ผูที่จะใชจําเปนตองศึกษารายละเอียดจากคูมือและคําแนะนําของ บริษัทผูผลิต
การทดสอบประสิทธิภาพอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล อุปกรณ ปองกั นอั นตรายสวนบุคคล เปนสิ่งที่นํามาสวมใสอวั ยวะส วนใดสว นหนึ่งของ รางกาย เพื่อปองกันอันตรายในสวนนั้น อุปกรณปองกัน ฯ จึงควรมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปองกัน อันตรายใหกับอวัยวะสวนนั้น ไดมีอุปกรณปองกันหลายประเภทที่กําหนดเปนมาตรฐานเพื่อใหเปน บรรทัดฐานสําหรับการผลิต การเลือก การนํามาใชงาน การบํารุงรักษา ทําใหการนําไปใชปองกัน อันตรายนั้นมีประสิทธิภาพที่ดี ตามมาตรฐานไดกําหนดวิธีการทดสอบประสิทธิภาพของอุปกรณปองกันไว ดังจะไดกลาวถึงอุปกรณปองกัน ฯ บางประเภท ที่มีการกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม โดย
143 สํานักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม คือ หมวกนิรภัยและรองเทานิรภัย ดังมี รายละเอียดการทดสอบดังตอไปนี้ 1. การทดสอบประสิทธิภาพหมวกนิรภัย ไดกําหนดการทดสอบประสิทธิภาพตามมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรมไว 7 ประการ คือ 1.1 การทดสอบหาระยะหางระหวางยอดหมวกดานในกับรองในหมวก 1.2 การทดสอบความเปนฉนวนไฟฟา 1.3 การทดสอบความตานทานการกระแทก 1.4 การทดสอบความตานทานการเจาะ 1.5 การทดสอบการติดไฟ 1.6 การทดสอบการดูดซึมน้ํา 1.7 การทดสอบความคงรูปตามขวางดังมีรายละเอียดการทดสอบ ดังตอไปนี้ 1.1 การทดสอบหาระยะหางระหวางยอดหมวกดานในกับรองในหมวก นําหมวกที่มีรองใน มาครอบบนหุนรูปศีรษะขนาดมาตรฐาน (เสนรอบวงหุนรูปศีรษะ 560 มิลลิเมตร) ปลอยแทงเหล็ก หนารูปทรงกระบอกมีน้ําหนัก 11.2 กิโลกรัม เสนผานศูนยกลางไมนอยกวา 50 มิลลิเมตร ใหกดบน ยอดหมวกแลวอานระยะจากเครื่องวัดระยะ หลังจากนั้นนําหมวกมาถอดรองในออก แลวนํามาครอบ บนหุน รูปศีรษะอีกครั้งหนึ่ง ปลอยแทงเหล็กใหกดบนยอดหมวก แลวอานระยะจากเครื่องวัดระยะ ผลตางของระยะที่อานไดบนเครื่องวัดระยะครั้งแรกและครั้งหลังจะเปนระยะหางระหวางยอดหมวก ดานในกับรองในหมวก ใหนําผลตางของคาที่อานไดจากการวัดของหมวกแตละใบมาเฉลี่ย ถือเปน คาเฉลี่ยของหมวกรุนนั้น ๆ ซึ่งตองมีคาเฉลี่ยไมนอยกวา 30 มิลลิเมตร 1.2 การทดสอบความเปนฉนวนไฟฟา นําหมวกที่จะทําการทดสอบมาถอดรองในออกแลว หงายขึ้นใสน้ําถังในหมวกใหถึงระดับต่ํากวาขอบหมวกประมาณ 12 มิลลิเมตร ถาเปนชิ้นคุณภาพ A และ D ซึ่งมีรูสําหรับใสรองในใหระดับน้ําอยูต่ํากวารูประมาณ 12 มิลลิเมตร นําหมวกไปวางลงใน ภาชนะบรรจุน้ํา ใหขอบหมวกมีระยะหางจากขอบภาชนะตางกัน ใชที่รองหรือที่ยึดหมวกใหระดับน้ํา ในหมวกอยูในระดับเดียวกันกับน้ําในภาชนะตออุปกรณจายกระแสไฟฟา มิลลิอัมมิเตอรโวลตมิเตอร เขากับสายไฟฟาขั้วจายและรับกระแสไฟฟาใหครบวงจร ในระหว างการทดสอบตองใหหมวกสว นที่เ ป นผิว น้ํา แหง และไมใ หน้ําภายในและ ภายนอกหมวกสัมผัสกัน สําหรับการทดสอบหมวกนิรภัย ชั้นคุณภาพ A และ D เมื่อปลอยกระแสไฟฟา คอย ๆ เพิ่มความดันจนถึง 2,200 โวลต และคงคาแรงดันไฟฟานี้ไว 1 นาที อานคากระแสไฟฟาไหล ผานหมวก ตองไมเกิน 3 มิลลิอัมแปร สําหรับการทดสอบชิ้นคุณภาพ B ใหเพิ่มแรงดันไฟฟาจนถึง ระดับ 20,000 โวลต ทิ้งไว 3 นาที อานคากระแสไฟฟาไหลผานหมวกตองไมเกิน 9 มิลลิอัมแปร จากนั้นเพิ่มแรงดันไฟฟาตอไปอีกดวยอัตราวินาทีละ 1,000 โวลต จนถึงระดับ 30,000 โวลต เพื่อ ทดสอบหาแรงดันไฟฟาเสียสภาพฉับพลัน โดยตองมีคาไมต่ํากวา 30,000 โวลต
144 1.3 การทดสอบความต า นทานการกระแทก เครื่ อ งมื อ ประกอบด ว ยหุ น รู ป ศี ร ษะ แท น ทดสอบบริไนลล ซึ่งมีแทงรับแรงกดทําดวยอะลูมิเนียมมาตรฐาน และหัวกดบริเบลล ดังภาพที่ 10.78 ตุ ม น้ํ า หนั ก เป น ลู ก เหล็ ก กลม เส น ผ า ศู น ย ก ลาง 95 มิ ล ลิ เ มตร มี ม วล 3.6 ± 0.1 กิ โ ลกรั ม กล อ ง จุลทรรศนที่ยึดและกระบอกบังคับแนวตุมน้ําหนัก การเตรียมการทดสอบ โดยการนําหมวกตัวอยางซึ่งถอดสวนประกอบอื่น ๆ ออก ยกเวน รองในหมวก จัดรองในหมวกใหไดเสนรอบวงสายรัดศีรษะ 580 มิลลิเมตร นําไปทดลองครอบบนหุน รูปศีรษะซึ่งวางอยูบนแกนทดสอบบริเนลล โดยหันหนาออก จัดใหยอดหมวกตรงกับจุดที่ตุมน้ําหนัก และตกลงตามแนวดิ่ง ปรับระดับกระบอกบังคับแนวตุมน้ําหนักใหจุดลางสุดของตุมน้ําหนักอยูเหนือ ยอดของหมวก 1,524 มิ ลลิ เ มตรพอดี ก อ นทํ า การทดสอบต องนํา หมวกตั ว อย า งไปไวที่อุ ณ หภู มิ –10 ± 2 องศาเซลเซียส และ 50 ± 5 องศาเซลเซียส ครั้งละไมนอยกวา 2 ชั่วโมง จึงเริ่มทําการทดสอบ การทดสอบนําหมวกตัวอยางไปครอบลงบนหุนศีรษะแลวปลอยตุมน้ําหนักลงบนหมวก การกระทําทั้งหมดนี้จะตองใหเสร็จภายใน 15 วินาที เพื่อใหอุณหภูมิของหมวกขณะทดสอบเปลี่ยนแปลง นอยที่สุด วัดเสนผาศูนยกลางของรอยกดที่เกิดขึ้นบนแทงรับแรงกดแตละครั้งนําไปอานคาเปนแรง กระแทกที่วิ่งผานหมวกไดจากตารางที่ 4 นําคาแรงกระแทกที่สงผานหมวกแตละใบมาหาคาเฉลี่ย ซึ่งตองไมเกิน 3,781 นิวตัน และแรงกระแทกสูงสุดที่สงผานหมวกทุกชิ้นคุณภาพแตละใบตองไมเกิน 4,448 นิวตัน
ภาพที่ 10.78 เครื่องมือทดสอบความตานทานการกระแทก
145 1.4 การทดสอบความตานการเจาะ โดยการนําหมวก ซึ่งถอดสวนประกอบอื่น ๆ ยกเวน รองในหมวกออกจัดรองในใหไดเสนรอบวงสายรัดศีรษะ 580 มิลลิเมตร และนําหุนรูปศีรษะไปวาง บนพื้ น ราบที่ เ รี ย บและแข็ ง แรง ควรเป น พื้ น คอนกรี ต และให อ ยู ใ ต ก ระบอกบั ง คั บ ตุ ม น้ํ า หนั ก ปลายแหลมซึ่งมีมวล 446 กรัม จัดระดับปลายตุมน้ําหนักใหอยูหางจากยอดหมวก 3.05 เมตร และจัด ยอดหมวกใหอยูในแนวดิ่งที่ตุมน้ําหนักจะตกลงมาบนยอดหมวกพอดี ใหทดสอบที่อุณหภูมิหอง โดยปลอยตุมน้ําหนักใหตกลงบนหมวกตัวอยางภายในวงกลม ที่มีรัศมี 38 มิลลิเมตร ซึ่งวัดจากจุดยอดของหมวกและตุมน้ําหนักจะตองไมตกลงบนสันหรือรอยจุด ที่ฉีดวัสดุในการหลอหมวก วัดความลึกของรอยเจาะตามรอยเอียงตามรูปของปลายตุมน้ําหนักบวกกับ ความหนาของหมวก รอยเจาะที่เกิดขึ้นเปนหมวกนิรภัยชนิดคุณภาพ A B และ D ต องลึกไมเกิน 10 มิลลิเมตร และชั้นคุณภาพ C ไมเกิน 12 มิลลิเมตร โดยคิดรวมความหนาของหมวกดวย เปนคา ความตานทานการเจาะของหมวก 1.5 การทดสอบการติดไฟ โดยการนําหมวกตัวอยางที่ทําความสะอาดผิวแลว มาตัดเปนแถบ รูปสี่เหลี่ยมผืนผา มีขนาดกวาง 13 มิลลิเมตร ยาวประมาร 125 มิลลิเมตร โดยเลือกตัดสวนใดสวนหนึ่ง ของหมวกที่จะใหไดชิ้นสวนมีลักษณะแบนมากที่สุดและบางมากที่สุด เลือกตัดใหทั่ว ๆ ตัวหมวก จํานวน 3 ชิ้น นํามาขีดเครื่องหมายเปนเสนตามขวางโดยเริ่มจากปลายขางใดขางหนึ่งหางกันเสนละ 13 มิลลิเมตร ประมาณ 7 ถึง 8 เสน ทุกชิ้นนําไปยึดไวกับที่ยึด ใหดานยาวขนานกับพื้นและดานกวาง เอียงเปนมุม 45 องศา กับแนวราบ เริ่มทดสอบโดยจุดตะเกียงแอลกอฮอลหรือตะเกียงกาซปรับเปลวไฟสีน้ําเงินใหไดสูง 16 ± 3 มิลลิเมตร เลื่อนตะเกียงเขาไปเผาปลายสุดของชิ้นสวนใหยอดของเปลวไฟสีน้ําเงินสัมผัสกับ ขอบลางสุดของชิ้นสวนพอดี ใชเวลาประมาณ 30 วินาที แลวเลื่อนตะเกียงออก ปลอยใหชิ้นสวนติดไฟ จนกระทั่งเริ่มลามไปถึงเครื่องหมายเสนแรก เริ่มจับเวลาจนกระทั่งเปลวไฟลามไปถึงเครื่องหมายเสน ที่ 7 (ระยะ 91 มิลลิเมตร) หยุดจดเวลาที่ไดไว ในกรณีที่วัสดุนั้นติดไฟยากหรือเปลวไฟดับไดเอง ให ทดสอบวาเปนวัสดุที่ไมดับไดเอง โดยเผาอีกครั้งหนึ่งใชเวลา 30 วินาทีเทาเดิม เลื่อนตะเกียงออก ใหเริ่มจับเวลาตั้งแตเมื่อเลื่อนตะเกียงออกจนกวาเปลวไฟบนชิ้นสวนดับไปเอง ผลการทดสอบในกรณีที่หมวกติดไฟจนถึงเครื่องหมายเสนที่ 7 ใหคํานวณความเร็วของ การติดไฟของชิ้นสวนเปนมิลลิเมตรตอนาที หมวกนิรภัยชิ้นคุณภาพ A และ B ตองติดไฟดวย ความเร็วไมเกิน 75 มิลลิเมตร ตอนาที และชิ้นคุณภาพ D ไมตองดับไดเอง 1.6 การทดสอบการดูดซึมน้ํา นําหมวกตัวอยางมาถอดสวนประกอบตาง ๆ ออกใหหมด ในกรณีที่หมวกมีวัสดุฉาบผิว ตองขูดหรือขัดผิวที่ฉาบออกใหถึงผิวเนื้อหมวกจริง ๆ โดยการขัดดวย กระดาษทราบละเอียด ทําความสะอาดผิวของหมวก เช็ดใหแหงแลวนําไปอบไวในเตาอบที่อุณหภูมิ 50 ± 5 องศาเซลเซียส เปนเวลาอยางนอย 4 ชั่วโมง การทดสอบทําที่อุณหภูมิหอง โดยนําหมวก ภายหลั ง จากการอบมาชั่ ง และจดน้ํ า หนั ก ที่ อ า นไว นํ า ไปแช น้ํ า ในภาชนะที่ มี ข นาดใหญ แ ละลึ ก
146 ใหหมวกจมมิดไดหมดทั้งใบเปนเวลา 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นเช็ดน้ําที่ผิวหมวกออกจนผิวแหงสนิท นําไปชั่งใหมอีกครั้ง นําคาน้ําหนักที่อานไดครั้งแรกและครั้งหลัง ไปคํานวณจากการดูดซึมน้ําของ หมวกเปนรอยละ น้ําหนักของหมวกที่ชั่งไดครั้งที่สอง – น้ําหนักหมวกที่ชั่งไวครั้งแรก × 100 น้ําหนักหมวกที่ชั่งไดครั้งแรก การดูดซึมน้ําของหมวกนิรภัยชั้นคุณภาพ A, C และ D ไมเกินรอยละ 5 ของน้ําหนัก ของชั้น คุณภาพ B ตองไมเกิน 0.5 ของน้ําหนัก 1.7 การทดสอบการคงรูปตามขวาง โดยนําหมวกแตละใบวางอยูระหวางแผนโลหะที่ขนาน กันสองแผน ใหปลายขอบดานที่มนกลมของแผนโลหะทั้งสองสอดอยูในขอบหมวก ดังภาพที่ 10.79 ใหแรงกดบนแผนโลหะที่วางบนเปลือกหมวกอยูในตําแหนงของหูผูสวมใสครั้งแรก 30 นิวตัน เมื่อทิ้ง ไว 30 วินาที วัดระยะหางระหวางแผนโลหะที่วางขนานกัน เพิ่มแรงกดจนถึง 430 นิวตัน โดยมีอัตรา การเพิ่มครั้งละ 100 นิวตัน โดยมีอัตราการเพิ่มครั้งละ 100 นิวตันตอนาที ทิ้งไว 30 วินาที วัดระยะหาง ระหวางแผนโลหะขนานกันอีกครั้ง ผลตางของการเสียรูปของหมวกตองไมเกิน 40 มิลลิเมตร จากนั้น ลดแรงกดจนกระทั่งถึ ง 25 นิวตั น และเพิ่มแรงกดทันทีจนถึง 30 นิวตัน และทิ้งไว 30 วินาที วัด ระยะหางระหวางแผนโลหะขนานกันอีกครั้ง ผลตางของการเสียรูปอยางถาวรของหมวกที่แรงกด 30 นิวตัน ในครั้งแรกและครั้งหลังตองไมเกิน 15 มิลลิเมตร และหมวกตองไมปรากฏการแตกราว ตารางที่ 10.4 แสดงแรงกระแทกที่สงผานหมวก
147
หมายเหตุ 1. คาที่อยูใตเสน A หมายถึง คาของแรงกระแทกที่มีคาเกินหรือเทากับคาแรงที่สงผานหมวกเฉลี่ยตามที่ระบุไว 2. คาที่อยูใตเสน B หมายถึง คาของแรงกระแทกที่มีคาเกินหรือเทากับคาแรงที่สงผานหมวกแตละใบที่ระบุไว
148
ภาพที่ 10.79 การทดสอบการคงรูปตามขวาง 2. การทดสอบประสิทธิภาพรองเทานิรภัย การทดสอบประสิทธิภาพรองเทานิรภัยไดกําหนดการทดสอบประสิทธิภาพ ตามมาตรฐาน ผลิตภัณฑอุตสาหกรรมไว 5 ประการ คือ 2.1 การทดสอบการติดแนนของพื้นรองเทากับหนังหนารองเทา 2.2 การทดสอบความทนน้ํามันของพื้นรองเทา 2.3 การทดสอบความทนแรงกระแทก 2.4 การทดสอบความทนแรงทะลุของแผนโลหะ 2.5 การทดสอบความตานทานไฟฟาของพื้นรองเทา ดังมีรายละเอียดการทดสอบดังนี้ 2.1 การทดสอบการติดแนนของพื้นรองเทากับหนังหนารองเทา เครื่องทดสอบการติดแนน ของพื้นรองเทา ดังภาพที่ 10.80 และ 10.81 ประกอบดวยแทงกดแรงซึ่งมีปลายขางหนึ่งยึดอยูกับ ที่สวนปลายอีกขางหนึ่งตัดกับนิ้วกดแทนรองรับ แทนประกบ และเครื่องบันทึกแรงกด วิธีการทดสอบการติดแนนของพื้นรองเทากับสวนหัวรองเทา เลือกใชนิ้วกดที่มีรูปรางเหมาะกับ สวนหัวรองเทา วางสวนหัวรองเทาตัวอยางที่ใสหุนแลวลงบนแทงรองรับปรับความสูงจนกระทั่งเมื่อ สวนหัวรองเทาติดกับนิ้วกด แลวสวนหนาของพื้นรองเทาอยูในแนวราบ กดสวนหลังของหุนรองเทาลง เพื่อใหแรงกดเพิ่มขึ้นอยางสม่ําเสมอ ดวยอัตราที่ทําใหแรงกดเพิ่มขึ้นถึง 310 นิวตัน ในเวลาประมาณ 3 วินาที เมื่อแรงกดเพิ่มขึ้นถึง 310 นิวตัน แลว ใหนํารองเทาตัวอยางออกจากเครื่องทดสอบ แลวตรวจดู การขาดของดายหรือรอยแยกของพื้นรองเทาจากหนังหนารองเทา
149
ภาพที่ 10.80 เครื่องทดสอบการติดแนนของพื้นรองเทากับสวนหัวรองเทา
ภาพที่ 10.81 เครื่องทดสอบการติดแนนของพื้นรองเทากับสวนของสนรองเทา วิธีการทดสอบ การติดแนนของพื้นรองเทากับสวนรองเทาทําลักษณะเดียวกับการทดสอบ สวนหัวรองเทาตางกันที่ใชแรงกดเพิ่มขึ้นถึง 450 นิวตัน ในเวลาประมาณ 3 วินาที เมื่อแรงกดเพิ่มขึ้น ถึง 450 นิวตัน ใหนํารองเทาตัวอยางออกจากเครื่องทดสอบแลวตรวจดูการเคลื่อนถอนของตะปูหรือ รอยแยกของพื้นรองเทาจากหนังหนารองเทา 2.2 การทดสอบความทนน้ํ า มั น ของพื้ น รองเท า การทดสอบโดยตั ด รองเท า หนั ง นิ ร ภั ย ตัวอยางตรงพื้นรองเทามาทําเปนชิ้นทดสอบ ใหมีขนาดประมาณ 2 มิลลิเมตร × 25 มิลลิเมตร × 50 มิลลิ เมตร × จํ านวน 3 ชิ้ น ก อนทดสอบใหเ นนชิ้นทดสอบไวที่อุณ หภูมิ 27 ± 2 องศาเซลเซีย ส ความชื้นสัมพัทธ รอยละ 65 ± 5 ไมนอยกวา 72 ชั่วโมง วิธีการทดสอบ โดยการชั่งชิ้นทดสอบในอากาศใหทราบคาที่แนนอนถึง 0.1 กรัม แลวชั่งใน น้ํากลั่นที่อุณหภูมิ 27 ± 2 องศาเซลเซียส อาจใชเครื่องถวงชิ้นทดสอบใหจมน้ํา ซึ่งตองชั่งเครื่องถวง
150 ในน้ํากลั่นดวย จากนั้นซับชิ้นทดสอบใหแหงดวยกระดาษกรองหรือผา แลววางในชามแกวบรรจุ น้ํามันเครื่อง ประเภท 3 ชนิด 40 มีปริมาตรอยางนอย 15 เทา ของชิ้นทดสอบ และเพียงพอที่จะทวม ชิ้นทดสอบ ปลอยไว 22 ชั่วโมง ± 15 นาที ที่อุณหภูมิ 27 ± 2 องศาเซลเซียส โดยไมใหชิ้นทดสอบ ถูกแสง นําชิ้นทดสอบเช็ดน้ํามันที่ติดตามผิวและชั่งในอากาศทันทีและชั่งน้ําหนักในน้ํากลั่น นําคาน้ําหนักที่ไดคํานวณหาปริมาตรที่เปลี่ยนแปลงไปเปนรอยละ จากสูตรปริมาตรที่เปลี่ยนแปลง (น้ําหนักในอากาศหลังแชน้ํามัน – น้ําหนักในน้ําหรือแชน้ํามัน) + (น้ําหนักในอากาศ – น้ําหนักในน้ํา) × 100 น้ําหนักในอากาศ – น้ําหนักในน้ํา
ปริมาตราที่เปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยตองไมเกินรอยละ ± 10 2.3 การทดสอบความทนแรงกระแทก เครื่องมือและอุปกรณประกอบดวย เครื่องปลอย ตุ ม เหล็ ก หนัก 20 ± 0.2 กิโ ลกรั ม ใหตกลงมาตามราง มี ป ลายกระแทกประกอบด ว ยลิ่ม ฉากยาง 60 มิลลิเมตร ตรงปลายมนขนานกับฐานของเครื่องทดสอบ ซึ่งเปนไมหนา 75 ± 5 มิลลิเมตร กวาง และยาวไมนอยกวา 350 และ 1,100 มิลลิเมตร ฐานจะรองรับและยึดแผนเหล็กหนา 50 ± 5 มิลลิเมตร ยึดรางกิ่งไว มีเครื่องจับลูกตุมเหล็กใหกระแทกสวนหนาของรองเทานิรภัยตัวอยางเพียงครั้งเดียว มีดิน น้ํ า มั น รู ป ทรงกระบอกตั น เส น ผ า ศู น ย ก ลาง 25 มิ ล ลิ เ มตร สู ง 30 มิ ล ลิ เ มตร และมี อุ ป กรณ ยึ ด ชิ้นทดสอบ วิธีการทดสอบ นํารองเทานิรภัยตัวอยางที่จะใชทดสอบตัดเอาเฉพาะสวนหนาของรองเทา มี ระยะหางจากขอบหลังของเหล็กหัวบัว 30 มิลลิเมตร ยึดชิ้นทดสอบใหแนนดวยอุปกรณยึดชิ้นทดสอบ วางดินน้ํามันไวภายในชิ้นทดสอบ โดยใหจุดกึ่งกลางของดินน้ํามันอยูบนแนวทางการทดสอบ และ ดานหลังสุดอยูตรงในแนวดิ่งกับขอบหลังของเหล็กหัวบัว ดังภาพที่ 10.82 ปลอยลูกตุมเหล็กยกระดับสูง
ภาพที่ 10.82 ตําแหนงการวางดินน้ํามัน
151 ที่กําหนดสําหรับรองเทานิรภัยแตละชนิดใหเกิดแรงกระแทกบนชิ้นทดสอบ ชนิด 40 จากระดับความสูง 200 มิลลิเมตร ชนิด 65 จากระดับความสูง 325 มิลลิเมตร ชนิด 100 จากระดับความสูง 500 มิลลิเมตร ชนิด 200 จากระดับความสูง 1,020 มิลลิเมตร วัดความสูงของดินน้ํามันที่ระยะ 10 มิลลิเมตร จากขอบหลังของเหล็กหัวบัว ความสูงของดินน้ํามัน โดยเฉลี่ ย ต อ งไม นอ ยกว า 13.75 มิ ล ลิ เ มตร โดยความสู ง ของดิ น น้ํ ามั น แต ล ะตั ว ต อ งไม น อ ยกว า 13.5 มิลลิเมตร 2.4 การทดสอบความทนแรงแทงทะลุของแผนโลหะ เครื่องมือประกอบดวยเครื่องทดสอบ แรงดึงที่สามารถวัดคาไดถึง 2,000 นิวตัน พรอมดวยอุปกรณทดสอบแรงดัน ตะปูเหล็กกลาปลายตัด ดังภาพที่ 10.83 และที่ยึดชิ้นทดสอบและตะปู ดังภาพที่ 10.84
ภาพที่ 10.83 ปลายตะปู
ภาพที่ 10.84 อุปกรณทดสอบความทนแรงแทงทะลุ
152 ชิ้นทดสอบใหใชแผนโลหะที่ตัดจากรองเทานิรภัยตัวอยางซึ่งไมมียางหรือวัสดุอื่นติดอยู ทดสอบขางละ 4 ตําแหนง ยึดชิ้นทดสอบไวระหวางแผนแข็ง 2 แผน ดังในภาพที่ 10.84 ยึดโลหะ ประกบ 2 แผน ไวระหวางมือยึดของอุปกรณทดสอบแรงอัดซึ่งประกอบอยูกับเครื่องทดสอบแรงดึง แล ว เดิ น เครื่ อ งด ว ยความเร็ ว ที่ ทํ า ให เ กิด อั ต ราการแทงทะลุข องตะปู ร ะหว า ง 7 มิ ล ลิ เ มตร ถึ ง 13 มิลลิเมตรตอนาที บันทึกคาแรงแทงทะลุเมื่อแรงแทงทะลุถึงคาสูงสุดแลว ทั้งนี้ตองไมใหตะปูแทง ทะลุชิ้นทดสอบกับสวนปลายตะปู แรงแทงทะลุเฉลี่ยตองไมนอยกวา 1,200 นิวตัน 2.5 การทดสอบความตานทานไฟฟาของพื้นรองเทา การเตรียมตัวอยาง ดวยการทําความ สะอาดผิวนอกของพื้นรองเทาหนังนิรภัยตัวอยางดวยแอลกอฮอลเพื่อขจัดสารเคลือบนําไฟฟาใด ๆ ที่ อาจติดอยูทาแลกเกอรนําไฟฟาขนผิวนอกของพื้นรองเทา ดังภาพที่ 10.85 นํารองเทาตัวอยางไปปรับภาวะ ที่อุณหภูมิ 27 ± 2 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธรอยละ 65 ± 5 เปนเวลา 7 วัน วางรองเทาตัวอยาง ที่บรรจุลูกปนโลหะไวขางในลงบนหมุดสัมพัทธโลหะ ดังภาพที่ 10.86 โดยใหสวนสนรองเทาอยูบน หมุ ด เดี่ ย วและส ว นหน า ของรองเท า อยู บ นหมุ ด คู ความต า นทานไฟฟ า ของอิ เ ล็ ก โทรดภายนอก วัดระหวางหมุดคูและหมุดเดียว ตองไมเกิน 1,000 โอหม สวนความตานทานไฟฟาของอิเล็กโทรด ภายในที่วัดระหวางตัวนําโลหะกับสวนใดสวนหนึ่งของลูกปนโลหะ ตองไมเกิน 1,000 โอหม วิธีทดสอบ ปลอยไฟฟากระแสตรงแรงดัน 100 โวลต เขาระหวางอิเล็กโทรด ภายในกับหมุด สัมผัสและอิเล็กโทรดภายนอก โดยที่อิเล็กโทรดภายในเปนขั้วลบวัดความตานทานไฟฟาเปนโอหม หลั ง จากปล อ ยไฟฟ า กระแสตรงเข า ไป 10 นาที ความต า นทานไฟฟ า เฉลี่ ย ต อ งไม น อ ยกว า 150,000 โอหม
153
รูปแสดงอิเล็กโทรดภายนอก
บทที่ 5 เครื่องหมาย/ สัญลักษณ/ สีเกี่ยวกับความปลอดภัย สีคือคลื่นไฟฟาชนิดหนึ่ง แตละสีจะมีความยาวคลื่นแตกตางกัน แสงสีปฐมภูมิมี 3 สี คือ แดง เขียว และน้ําเงิน สวนสีอื่น ๆ ที่ประสาทตาของมนุษยสามารถเห็นไดนนั้ คือ การรวมกันของสีปฐมภูมิ ในขนาดตาง ๆ กัน และเมือ่ แสงสีปฐมภูมิทั้ง 3 รวมกันในปริมาณเทา ๆ กัน จะเกิดแสงสีขาว (White Light) ขึ้น อิทธิพลของสีตอจิตใจมนุษย นักนิยมธรรมชาติรูกันมานานแลววา สัตวหลายชนิดสื่อสารกันดวยสีบนตัวของมัน ปลาเขตรอน ที่มีสีสันสดสวยจะรับการเปลี่ยนแปลงของสีบนปลาตัวอื่น ๆ ไดอยางรวดเร็ว ลูกปลาบางชนิดจะ เคลื่อนไหวเขาหาวัตถุที่มีรูปรางและสีคลายพอแมของมันเมื่อมีอันตราย สัตวบางชนิดก็จะเปลี่ยนแปลง สีบนตัวของมันโดยสัญชาตญาณเมื่อเขาใกลสัตวอื่น มนุษ ยเรามัก คิด วา เราพัฒ นาไปเหนือ กวาสัญชาตญาณของสัตวเ ชน นั้น แลว เราจะมีก าร ตอบสนองทันทีทันใด ทั้งทางรางการและจิตใจ แบบอัตโนมัติเมื่อเห็นสีเทานั้นหรือ ? ผูชายจะเขาเกี้ยวพาราสีหรือจับคูทันทีที่เห็น ผูหญิงแกมและริมฝปากสีแดงเรื่อขึ้นดวยความอาย อันเปนสัญญาณที่ชัดเจนวาเธอกําลังมีการสูบฉีดของเลือดแรงขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ... กระนั้นหรือ ? แมจะยังไมมีใครยืนยันวามีสัญชาตญาณแบบนี้ในมนุษย แตการที่สตรีชาวอิยิปตโบราณรูจัก การทาปากใหเปนสีแดงอยางกวางขวางนั้น ก็อาจเนื่องมาจากคนโบราณไดตั้งขอสังเกตในเรื่องนี้ และ รูจักใชสีในการกระตุนความรูสึกตามธรรมชาติของผูชายได อยางไรก็ตาม มีหลักฐานหลายอยางที่ สนับสนุนวา คนเราไมไดเห็นสีเพียงแตตาเทานั้น จิตใจ ก็มีการรับรูและตอบสนองตอสีดวย สีแตละสี ทําใหเกิดความรูสึกจําเพาะบางอยางในจิตใจของคน นักจิตวิทยาชาวสวิสกลาววา สีฟา ทําใหเกิด ความรูสึกสันโดษและสงบสันติ สีฟาถูกใชกันมากในสัญลักษณของธนาคารและบริษัทผลิตรถยนต สี แดง กระตุนใหเกิดพลัง อํานาจ และความตองการเอาชนะ สีแดงเปนสีที่บริษัทผลิตน้ําอัดลม บุหรี่ เลือกใชกันมาก เปนตน นอกจากนี้ เขายังพบวาเด็ก ๆ จะชอบสีที่สด ๆ ซึ่งสามารถกระตุนอารมณไดอยาง รวดเร็ว สวนผูใหญจะชอบสีที่ออนกวา สีและแสงยังมีผลตอการเปลี่ยนแปลงของรางกายของสิ่งมีชีวิตหลายอยาง ซึ่งมีหลักฐานแสดง ไดจากหองปฏิบัติการ เปนตนวาหนูที่ถูกแยกเลี้ยงในหองที่ใชแสงแตละสี จะมีการเจริญเติบโตของ อวัยวะตาง ๆ เร็วไมเทากัน หนูที่เลี้ยงในหองแสงสีเขียวจะไมคอยกระฉับกระเฉง และหนูในหองแสง สีแดงจะกระฉับกระเฉงที่สุด
155 แสงสีแดงเพียงวูบเดียวจะเปลี่ยนตารางเวลาการดําเนินชีวิตภายในเซลของสาหรายได นกที่ ถูกกระตุนดวยแสงเชนเดียวกันนี้ แตเปนเวลานาน จะมีแรงผลักดันในการผสมพันธมากขึ้น และหนู จะมีระดับฮอรโมนในเลือดสูงขึ้น คนที่ชอบแสงวูบวาบในดิสโกเธคจึงควรระวังมีผลกระทบเชนกัน นักวิทยาศาสตรโซเวียต พบวา คนที่ทํางานภายใตแสงสีแดงจะมีปฏิกิริยาตอบสนองตอสิ่งเรา ไวขึ้น แตประสิทธิภาพในการทํางานกลับลดลงอยางมาก นักวิทยาศาสตรโซเวียต และญี่ปุนพบวา แสงสีแดงสามารถเปลี่ยนลักษณะคลื่นไฟฟาของสมองใหผิดไปจากเดิมดวย จากรายงานการวิจัยพบวา สีของวัสดุในงานผลิตที่ใกลเคีย งกับสีของชิ้นสวนเครื่องจัก ร ผูควบคุมตองใชแสงมาก เพราะจะตองแยกวัสดุออกจากกลไกลของเครื่องจักร ไมเพียงแตดวงตาเทานั้น ที่ออนลา แตจะเกี่ยวของไปถึงกลามเนื้อประสาท จะเกิดความออนลาทางกาย จะรูสึกออนเพลียตลอดเวลา ความจําเสื่อม มักจะปวดศีรษะบอย ไมสบายใจ บางรายอาจมีอาการทางประสาท และกระทบถึงระบบ ยอยอาหารได สีมีอิทธิพลตอการลวงตาและเกิดการรับรูที่ผิดพลาดสามารถลวงขนาดที่แทจริง เชน สีอาจทํา ใหหองสี่เหลี่ยมดูยาวขึ้น หรือทําใหหองทีด่ ูแคบดูกวางขึน้ กวาทีเ่ ปนจริง และในทํานองเดียวกันทําให รูสึกเหมือนวาเพดานหองดูสงู ขึ้นหรือต่ําลง สีออน ๆ ทําใหสิ่งของดูเบาลง สีเขมทําใหสิ่งของดูหนักขึ้น สีทําใหวัสดุดูเดนขึ้นมา สีจากธรรมชาติก็ยังใชเปนประโยชนสําหรับการพรางตาของสัตว เพื่อปกปองชีวิตของมัน จากอันตรายตาง ๆ ขอดีของสีเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย 1. ทําใหชิ้นงานสวยงาม 2. งายตอการดูแลและการบํารุงรักษา 3. ทําใหสภาพจิตใจและสภาพแวดลอมดีขนึ้ 4. ชวยใหเกิดขอเปรียบเทียบ 5. เปนจุดทีจ่ ะเนนใหเห็นถึงอันตราย สีและรูปแบบของเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยตามมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม ปจจุบันสีและเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย มีความสําคัญและเกี่ยวของกับชีวิตประจําวันมาก มีใชกันทั่วไป สวนมากจะมีลักษณะเปนภาพสีที่ดูเขาใจงาย และอาจมีถอยคําขยายความเพียงเล็กนอย ใหพึงปฏิบัติหรือละเวนการปฏิบัติ หรือแสดงการเตือนอันตรายที่จะเกิดกับสุขภาพรางกาย ดังนั้น เพื่อใหเขาใจความหมายของสีและเครื่องหมายตาง ๆ ในระบบเดียวกันและเปนที่ยอมรับของสากล สํานัก งานมาตรฐานผลิตภัณ ฑอุตสาหกรรม จึงกํา หนดมาตรฐานผลิตภัณ ฑอุตสาหกรรม สีแ ละ เครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยขึ้น โดยอาศัยเอกสารตอไปนี้ประกอบการพิจารณา
156 ISD 3864-1984 BS 5378: Part 1:1980 BS 5378: Part 2:1980
BS 5378: Part 3:1982
Safety colours and safety signs Safety signs and colours Part 1 specification for colour and design Safety signs and colours Part 2 specification for colorimetric and photometric properties of materials Safety signs and colours Part 3 specification for additional sings to those given in BS 5378:Part 1
157 มาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม สีและเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย เลม 1 สีและรูปแบบ 1. ขอบขาย มาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรมฉบับนี้กําหนดสีเพื่อความปลอดภัย รูปแบบของเครื่องหมาย เพื่อความปลอดภัย เครื่องหมายเสริม และขนาดของเครื่องหมายและตัวอักษรของสีและเครื่องหมาย เพื่อความปลอดภัย ที่ใชสื่อความหมายตาง ๆ แทนการใชขอความเพื่อจุดประสงคในการเตือนภัย หรือ ใหคําแนะนําในการปองกันอุบัติภัยที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ไมรวมถึงเครื่องหมายที่ใชในการ ควบคุมการจราจร 2. บทนิยาม ความหมายของคําศัพทที่ใชในมาตรฐานผลิตภัณฑฉบับนี้ มีดังตอไปนี้ 2.1 สีเพื่อความปลอดภัย หมายถึง สีที่กําหนดในการสื่อความหมายเพื่อความปลอดภัย 2.2 เครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย หมายถึง เครื่องหมายที่ใชสื่อความหมายเกี่ยวกับความ ปลอดภัยโดยมีสี รูปแบบ และสัญลักษณภาพหรือขอความแสดงความหมายโดยเฉพาะเพื่อ ความปลอดภัย 2.3 เครื่องหมายเสริม หมายถึง เครื่องหมายที่ใชสื่อความหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยโดยมีสี รูปแบบ และขอความเพื่อใชรวมกับเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยในกรณีที่จําเปน 3. สีเพื่อความปลอดภัย 3.1 สีเพื่อความปลอดภัยและสีตัดใหเปนไปตามตารางที่ 1 3.2 สมบั ต ิ ท างสี แ ละแสง ของวัส ดุที ่ทํ า ใหเ กิด สีต า ง ๆ ใหเ ปน ไปตามมาตรฐาน ผลิ ต ภัณ ฑ อุตสาหกรรม สีแ ละเครื่อ งหมายเพื่อความปลอด เลม 2 สมบัติท างสีแ ละแสง ของวัสดุ มาตรฐานเลขที่ มอก.635 เลม 2 3.3 ตัวอยางการใชสีเพื่อความปลอดภัยและสีตัดเพื่อเตือนภัยอันตราย การใชสีเพื่อความปลอดภัย สีเหลืองและสีตัดสีดํา ดังตัวอยางในรูปที่ 1 โดยทั่วไปจะใชสําหรับบริเวณหรือสถานที่ที่อาจ มีอันตรายชั่วคราวหรือถาวร เชน 1. สถานที่ที่อาจมีภัยอันตรายจากการชน การตกหลน การสะดุด หรืออาจมีของตกหลนจากที่สูง 2. สถานที่ที่เปนขั้นบันได หรือมีหลุมบอ เปนตน
158
สีเพื่อความ ปลอดภัย สีแดง1)
ตารางที่ 1 สีเพื่อความปลอดภัยและสีตัด (ขอ 3.1 และขอ 5.2) ความหมาย ตัวอยางการใชงาน - หยุด
สีตัด
- เครื่องหมายหยุด สีขาว - เครื่องหมายอุปกรณหยุดฉุกเฉิน - เครื่องหมายหาม สีเหลือง - ระวัง - ชี้บงวามีอันตราย (เชน ไฟ, วัตถุระเบิด, สีดํา - มีอันตราย กัมมันตภาพรังสี, วัตถุมีพิษ และอื่น ๆ) - ชี้บงถึงอันตราย, ทางผานที่มีอันตราย, เครื่องกีดขวาง2) - เครื่องหมายเตือน สีฟา - บังคับใหตองปฏิบัติ - บังคับใหตองสวมเครื่องปองกันสวนบุคคล สีขาว - เครื่องหมายบังคับ สีเขียว - แสดงภาวะปลอดภัย - ทางหนี สีขาว - ทางออกฉุกเฉิน - ฝกบัวชําระลางฉุกเฉิน - หนวยปฐมพยาบาล - หนวยกูภยั - เครื่องหมายสารนิเทศแสดงภาวะปลอดภัย หมายเหตุ 1) สีแดงยังใชสําหรับอุปกรณเกี่ยวกับการปองกันอัคคีภัย อุปกรณดับเพลิงและตําแหนง ที่ตั้งอีกดวย 2) อาจใชแดงสมวาวแสงแทนได แตไมใหใชแทนสีเหลืองกับเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย ตามตารางที่ 2 สีแดงสมวาวแสงนี้มองเห็นเดนโดยเฉพาะอยางยิ่งในภาวะที่มืดมัว
รูปที่ 1 ตัวอยางการใชสีเพื่อความปลอดภัยและสีตัด (ขอ 3.3) หมายเหตุ พื้นที่สีเหลืองตองมีอยางนอยรอยละ 50 ของพืน้ ที่ทั้งหมดของเครื่องหมาย
159 4. รูปแบบของเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย 4.1 รู ป แบบของเครื่ อ งหมายเพื่ อ ความปลอดภั ย และสี ที่ ใ ช แบ ง เป น 4 ประเภท ตาม จุดประสงคของการแสดงความหมายตามตารางที่ 2 4.2 ใหแ สดงสัญ ลัก ษณภ าพไวต รงกลางของเครื่อ งหมายโดยไมทับ แถบ ขวางสําหรับเครื่องหมายหาม 4.3 ในกรณีที่ไ มมีสัญลักษณภาพที่เหมาะสมสําหรับสื่อความหมายตามที่ตองการ ใหใ ช เครื่องหมายทั่วไปสําหรับเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยแตละประเภท (ดูในภาคผนวก ก.) รวมกันเครื่องหมายเสริม ตารางที่ 2 รูปแบบของเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย (ขอ 4.1) ประเภท
รูปแบบ
สีที่ใช
หมายเหตุ
เครื่องหมายหาม
- พื้นที่ของสีแดงตองมี อยาง สีพื้น:สีขาว นอยรอยละ 35 ของ พื้นที่ทั้งหมด สีของแถบตามขอบของ วงกลมและแถบขวาง:สีแดง ของเครื่องหมาย
เครื่องหมายเตือน
สีพื้น : สีเหลือง สีของแถบตามขอบ : สีดํา สีของสัญลักษณ : สีดํา
- พื้นที่ของสีเหลืองตองมี อยางนอย รอยละ 50 ของพื้นที่ ทั้งหมดของ เครื่องหมาย
เครื่องหมายบังคับ
สีพื้น : สีฟา สีของสัญลักษณภาพ : สี ขาว
- พื้นที่ของสีฟาตองมี อยางนอยรอยละ 50 ของพื้นที่ทั้งหมดของเครื่องหมาย
เครื่องหมายสารนิเทศ เกี่ยวกับภาวะปลอดภัย
สีพื้น : สีเขียว สีของสัญลักษณภาพ : สี ขาว
-พื้นที่ของสีเขียวตองมี อยางนอย รอยละ 50 ของพื้นที่ทั้งหมดของ เครื่องหมาย -อาจใชรูปแบบเปนสี่เหลี่ยมผืนผา ได
5. เครื่องหมายเสริม 5.1 รูปแบบของเครื่องหมายเสริมเปนสี่เหลี่ยมผืนผา หรือสี่เหลี่ยมจัตุรัส 5.2 สีพื้นใหใชสีเดียวกับสีพื้นความปลอดภัย และสีของขอความใหใชสีตดั ดังกําหนดไวใน ตารางที่ 1 หรือสีพื้นใหใชสีขาวและสีของขอความใหใชสีดํา 5.3 ตัวอักษรทีใ่ ชในขอความ
160 5.3.1 ชองไฟระหวางตัวอักษรตองไมแตกตางกันมากกวารอยละ 10 5.3.2 ลักษณะของตัวอักษรตองดูเรียบงาย ไมเขียนแรงเงาหรือลวดลาย 5.3.3 ความกวางของตัวอักษรตองไมนอยกวารอยละ 70 ของความสูงของตัวอักษร 5.4 ใหแสดงเครื่องหมายเสริมไวใตเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย ดังตัวอยางในรูปที่ 2
เครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย เครื่องหมายเสริม รูปที่ 2 ตัวอยางการแสดงเครื่องหมายเสริม (ขอ 5.4) 6. ขนาดของเครือ่ งหมายเพื่อความปลอดภัยและตัวอักษร 6.1 ขนาดของเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยและตัวอักษรที่ใชในเครื่องหมายเสริม กําหนดไว เปนแนวทางตามตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ขนาดของเครื่องหมายและตัวอักษร (ขอ 6.1)
161
ความสูงของแผน เครื่องหมาย (a) 75 100 150 225 300 600 750 900 1,200
เสนผาศูนยกลางหรือความสูง ของเครื่องหมาย (b) 60 80 120 180 240 480 600 720 960
ความสูงของตัวอักษร ในเครื่องหมายเสริม 5.0 6.6 10.0 15.0 20.0 40.0 50.0 60.0 80.0
162 ภาคผนวก ก. ตัวอยางเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยและความหมาย ก.1 เครื่องหมายหาม หมายเลข ก. 1.1
เครื่องหมายหาม
ความหมาย หามทั่วไป (general prohibition)
ก. 1.2
หามสูบบุหรี่
( no smoking )
ก. 1.3
หามจุดไฟหรือสูบบุหรี่
( smoking and make flames prohibition ) ก. 1.4
หามคนเดินผาน ( pedestrians
prohibition )
163
หมายเลข ก. 1.5
เครื่องหมายหาม
ความหมาย หามใชน้ําดับไฟ
( do not extinguist with water ข. 1.6
หามใชน้ําดื่ม
( not drinking water )
ค. 1.7
หามใชบันได
( do not use ladder )
ง. 1.8
หามเดินเครื่อง
( do not operate )
164 เครื่องหมายเตือน หมายเลข
(
ก. 2.1
ความหมาย
เครื่องหมายหาม เตือนทั่วไป
( general hazard ) ระวังอันตรายจากไฟ
ก. 2.2
( caution. risk of fire )
ก. 2.3
ระวังอันตรายจากการระเบิด
ก. 2.4
ระวังอันตรายจากวัตถุมีพิษ
ก. 2.5
ก. 2.6
( caution. Risk of explosion )
( caution. toxic hazard ) ระวังอันตรายจากสารกัดกรอน
( Caution. Corrosive substance)
ระวังอันตรายจากการแผรังสี
( Caution. Risk of ionizing radiation) ก. 2.7
ระวังอันตรายจากการแผรังสี ที่ไมทําใหเกิดการแตกตัวเปนไอออน
( Caution. Non- ionizing Radiation ก. 2.8
ระวังอันตรายจากของตกจากที่สูง
หมายเลข ก. 2.9
165 เครื่องหมายเตือน
ความหมาย ระวังอันตรายจากรถโรงงาน
( caution. industrial trucks )
ก. 2.10
ระวังอันตรายจากไฟฟาช็อต
( caution. risk of electric shock ) ก. 2.11
ระวังอันตรายจากลําแสงเรเซอร
( caution. laser beam ) ก. 2.12
ระวังอันตรายจากสุนัข
( caution. guard dog ) ก. 2.13
ระวังหลังคาแตกหักงาย
( caution fragile roof )
ก. 2.14
ก. 2.15
ระวังศีรษะกระแทก
( caution. overhead hazard ( fixed harzard )) ระวังจํากัดความสูง
( caution. limited overhead height )
หมายเหตุ การจํากัดความสูงอาจจะแสดง ได ดังในรูป หรือแสดงไวในเครื่องหมาย เสริมก็ได
166 หมายเลข
เครื่องหมายหาม
ก. 2.16
ความหมาย ระวังสะดุด
( caution. trip hazard ) ระวังพื้นลื่น
ก. 2.17
( caution. slipperly surface ) ระวังสนามแมเหล็กความเขมสูง
ก. 2.18
( caution. strong magnetic field )
ก. 2.19
ระวังอันตรายจากเชื้อโรค
( caution. biological hazard ) ก. 3 เครื่องหมายบังคับ หมายเลข ก. 3.1
เครื่องหมายหาม
ความหมาย บังคับทั่วไป
( general mandatory sign ) ก. 3.2
ตองสรวมเครือ่ งปองกันตา
( eye protection must be worn ) ก. 3.3
ตองสรวมเครือ่ งปองกันศีรษะ
( head protection must be worn ) ก. 3.4
ตองสรวมเครือ่ งปองกันเสียง
( hearing protection must be worn )
167 หมายเลข ก. 3.5
เครื่องหมายหาม
ความหมาย ตองสรวมหนากากปองกันระบบ หายใจ ( respiratory protection
must be worn ) ก. 3.6
ตองสรวมเครือ่ งปองกันเทา
ก. 3.7
ตองสรวมเครือ่ งปองกันมือ
( foot protection must be worn ) ( hand protection must be worn )
ก. 3.8
ตองสรวมกระบังปองกันในหนา
( were face shield )
ก. 3.9
ใหใชแตร
( sound horn ) ก. 3.10
ใหลางมือ
( wash hand ) ก. 3.11
ใหใชที่บังปกปองชนิดปรับได
( use adjustable guard ) ก. 3.12
ตองใสกุญแจตลอดเวลา
( keep locked )
168 ก. 4 เครื่องหมายสารนิเทศเกี่ยวกับความปลอดภัย หมายเลข ก. 4.1
ความหมาย
เครื่องหมายสารนิเทศ เกี่ยวกับความปลอดภัย
สารนิเทศทั่วไป
( general safe condition ) ก. 4.2
หนวยปฐมพยาบาล
( first aid )
ก. 4.3
ก. 4.4 ( ก.4.5
ก. 4.6
ก. 4.7
บอกทิศทาง
( indication of direction ) ที่ลางตาฉุกเฉิน
( emergency eye wash ) โทรศัพทฉุกเฉิน
( emergency telephone ) ปุมกดสําหรับหยุดฉุกเฉิน
( emergency stop push button ) ฝกบัวสําหรับชําระลางฉุกเฉิน
( emergency shower )
169 ภาคผนวก ข. ขอแนะนําในการเลือกและการใชเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย ข.1 การใชเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยรวมกับเครื่องหมายเสริม ในกรณีที่ไมมีเครื่องหมายที่ ใชสัญลักษณภาพตามทีแ่ สดงในภาคผนวก ก. ข.1.1 ใชสัญลักษณภาพที่เหมาะสม ที่ดูแลวเขาใจมากที่สุด ไมตองแสดงรายละเอียดใน สัญลักษณภาพที่ไมจําเปนตอที่ไมจําเปนตอการสื่อความหมายแตอาจใชเครื่องหมายเสริมดวย ถาจําเปน ข.1.2 ใชเครื่องหมายทั่วไปสําหรับเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยแตละประเภทรวมกับ เครื่องหมายเสริม ดังตัวอยางในรูปที่ ข.1
รูปที่ ข.1 เครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย (ขอ ข.1.2) ข.2 การใชเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย เพื่อจุดประสงคในการสื่อความหมายมากกวา 1 ความหมาย ข.2.1 ไมควรสื่อความหมายโดยใชเครื่องหมายเพือ่ ความปลอดภัย รวมกับเครือ่ งหมายเสริมที่มี ขอความสื่อความหมาย 2 ประการ ดังนี้
170
ถาตองใชเครื่องหมายรวมกับขอความเพื่ออธิบายขอความเกี่ยวกับประกาศเตือน ไมควรใชเครื่องหมายดังนี้
171 ควรใชเครื่องหมายแยกเปน 2 เครื่องหมาย ดังนี้
172 ข.3 การใชเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยสําหรับเงื่อนไขที่แตกตางกัน เมื่อตองการใชเครื่องหมาย เพื่อความปลอดภัยที่แสดงไวในภาคผนวก ก. เพื่อแสดงความหมายสําหรับเงื่อนไขที่แตกตาง ออกไป แตการสื่อความหมายยังเหมือนเดิม ใหใชสัญลักษณภาพนั้นรวมกับเครื่องหมายเสริม ที่ใชถอยคําแตกตางออกไป เชน ตัวอยางที่ ข.1
ตัวอยางที่ ข.2
บทที่ 6 การปฐมพยาบาลเบื้องตน การปฐมพยาบาลบาดแผล บาดแผลแบงออกเปน 2 ชนิดใหญ ๆ คือ แผลช้ําและแผลแยก วิธีการปฐมพยาบาลจะแตกตางกัน การปฐมพยาบาลแผลช้ําตองประคบบริเวณแผลดวยความเย็นประมาณ 30 นาที แลวพันผาใหแนน พอสมควรจัดทําใหบริเวณแผลช้ําอยูนิ่ง ๆ 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นประคบบริเวณแผลดวยความรอน เพื่อใหอาการบวมช้ําลดลง สวนแผลแยกถามีการตกเลือดตองหามเลือดกอน ถามีอาการช็อคหรือเปนลมตองรีบแกไข อาการเหลานี้ และเมื่อเลือดหยุดแลวทําความสะอาดบาดแผลดวยน้ําตมสุกน้ําเกลือ หรือน้ําผสม ดางทับทิม อยาเช็ดเลือดกอนที่แข็งตัวอยูออกเพราะจะทําใหเลือดออกจากแผลอีก ระหวางทําความสะอาด บาดแผลตองสังเกตลักษณะบาดแผลวามีความกวาง ยาว ลึก หรือมีสิ่งแปลกปลอมหักคางอยูหรือไม หากไมลึกมากควรเอาออก กรณีบาดแผลบริเวณแขนขาควรใหอวัยวะสวนนั้นพักนิ่ง ๆ เมื่อทําความสะอาด บาดแผลแลวใสยาฆาเชื้อโรค เชน เบตาดีนและปดแผลดวยผากอซหรือผาสะอาด แตถาแผลลึกมาก ไม ค วรล า งบาดแผลด ว ยตนเอง เพราะเลื อ ดออกมากขึ้ น และเป น แผลติ ด เชื้ อ ได ง า ยควรรี บ ส ง โรงพยาบาลและสิ่งสําคัญบาดแผลทุกชนิดตองฉีดวัคซีนปองกันบาดทะยัก
การปฐมพยาบาลผูปวยกระดูกหัก กระดูกของคนเราอาจเกิดแตกหักไดตลอดเวลา ถาไมระมัดระวังหรือไมปองกันอันตราย เชน จากอุบัติเหตุตาง ๆ ลักษณะของกระดูกหักแบงออกเปน 2 ประเภท คือ หักออกจากกันเปน 2 สวน อาจหักธรรมดาไมมีบาดแผลหรือหักมีบาดแผล กระดูกแตกละเอียด มีอาการแทรกซอนโดยกระดูกที่ หักแทงทะลุอวัยวะภายในที่สําคัญ กระดูกหักไมขาดออกจากกันมีลักษณะกระดูกราว กระดูกเดาะ หรือกระดูกบุบลักษณะอาการจะแตกตางกันไปตามตําแหนงที่กระดูกหัก อาการทั่ว ๆ ไป อาจมีอาการช็อค
174 มี อาการบวม และรอ น ลั ก ษณะกระดูก ผิด รู ปรา งไปจากเดิ มเคลื่ อ นไหวไมไ ด ถ าจั บ ดู จ ะมี เ สี ย ง กรอบแกรบ อาจมีบาดแผลหรือพบปลายกระดูกโผลออกมาใหเห็นชัดเจน ถาพบผูปวยกระดูกหักอยาพยายามเคลื่อนยายผูปวย จนกวาสวนของกระดูกที่หักไดรับการ ใสเผือกชั่วคราว โดยใชวัสดุที่หางาย เชน กระดาษหนังสือพิมพ กระดาษแข็ง ไมไผ เปนตน และกอน เขาเฝอกควรใชผาสะอาดพันสวนที่หักหนาพอสมควร ในรายไมรูสึกตัวตองจับผูปวยนอนตะแคง หันหนาไปดานใดดานหนึ่ง ถามีเลือดออกมากบริเวณบาดแผลตองทําการหามเลือด หากปวดแผลมาก ใหยาแกปวดและใหความอบอุนแกรางกาย ถากระดูกที่หักโผลออกมานอกเนื้ออยาดันกลับเขาที่เดิม เด็ดขาด หลังจากชวยเหลือขั้นตนแลวรีบนําผูปวยสงโรงพยาบาล การเคลื่อนยายผูปวยตองทําอยาง ระมัดระวังโดยใหสวนที่หักเคลื่อนไหวนอยที่สุด การปฐมพยาบาลผูปวยขอเคล็ด ขอเคล็ด หมายถึงที่ขอตาง ๆ ไดรับการเคลื่อนไหวมากเกินไป ทําใหเนือ้ เยื่อหุมขอ หรือเอ็น รอบ ๆ ขอ หรือกลามเนื้อบริเวณขอมีการฉีกขาดหรือช้ํา สาเหตุขอเคล็ดนั้น เกิดจากขอตอสวนใหญ เกิดกระทบกระเทือน ทําใหเยื่อหุมหรือเอ็นรอบ ๆ ขอตอเคล็ดหรือแพลงได ขอเคล็ดมีอาการบอกใหรูดังนี้ บริเวณขอสวนนั้นจะบวม มีอาการเจ็บปวด ถาเคลื่อนไหวหรือใชมือกดจะทําใหเจ็บมากขึ้น ในรายที่มีอาการรุนแรงจะไมสามารถเคลื่อนไหวไดเลย เพราะจะเจ็บปวดมาก มีอาการทั่วบริเวณขอเคล็ดแสดงวาเสนประสาทสวนนัน้ เกิดฉีกขาดดวย
ใหบริเวณขอนั้นอยูน ิ่งและยกสูงไวภายใน 24 ชั่วโมงแรกให การปฐมพยาบาล ประคบดวยน้าํ แข็งทันที เพือ่ ลดอาการปวดบวม ภายใน 24 ใหบริเวณขอนั้นอยูน ิ่ง และยกสูงไว ชั่วโมงตอมามีอาการบวม ใหประคบดวยน้ํารอน หรือนวด ภายใน 24 ชั่วโมงแรกใหประคบดวยน้ําแข็งทันที เพื่อลดอาการปวด บวม ดวยยาหมอง ถามีอาการปวดหรือบวมมากใหรบี ไปพบ ภายใน 24 ชั่วโมงตอมามีอาการบวมใหประคบดวยน้ํารอนหรือนวดดวยยาหมอง แพทย ถามีอาการปวดหรือบวมมากใหรบี ไปพบแพทย
175 การปฐมพยาบาลผูปวยช็อค ช็อคจะมีอาการเริ่มแรกเชนเดียวกับเปนลม คือ มีอาการหนามืด มือเทาออนแรง อยากลมตัวนอน หายใจไมอิ่ม ใจหวิว มืออาจสั่นและตาลาย ถาตรวจดูจะพบวาตัวเย็นชืด หนาซีดหรือเขียว อาจมีเหงื่อ ออกซิบ ๆ ชีพจรเบาเร็วและหายใจหอบ ความดันเลือดตก ปสสาวะออกนอยหรือไมออกเลย จมูกบาน เขาออกพรอมกับการหายใจ ไมคอยพูด เพราะเหนื่อย อาการจะมีมากหรือนอยขึ้นอยูกับความรุนแรง ของอาการ ถาช็อคอยูนาน สมองจะขาดเลือดมากทําใหหมดสติได ช็อค เกิดจากสาเหตุใด ๆ ก็ตามการรักษาเริ่มแรกเหมือนกันหมด คือ พยายามใหมีการไหลเวียน ของเลือดใหดีขึ้น อวัยวะที่ทนตอหัวใจขาดเลือดที่นอยที่สุดคือสมอง หัวใจ และไต ดังนั้นควรใหผูปวย นอนราบเลือดจะไดไปเลี้ยงสมองพอเพียงพรอมกับทําใหหัวใจทํางานนอยลง ควรนอนยกเทาใหสูง ถามีเลือดออกจากภายนอกตองหามเลือดตามวิธีการที่เหมาะสม ถามีกระดูกหักตองใสเผือกชั่วคราว ปองกันไมใหเสียเลือดมากและทําใหไมเจ็บปวยเพิ่มขึ้น ถาอากาศเย็นหรือหนาวควรใหมีความอบอุน เชน หมดวยผาหม ใหยาระงับปวดใชเฉพาะผูปวยที่มีความเจ็บปวดมากเทานั้น ที่ดีที่สุดคือ ยาฉีด เขาหลอดเลือดได เชน มอรฟนตองใหดวยความระมัดระวังและเมื่อมีความจําเปนจริง ๆ ถาใหถูกวิธีจะ มีประโยชนมาก ไมควรใหยาแกปวดทางปากเพราะจะทําใหอาเจียนได นําสงโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลผูปวยที่มอี าการชัก อาการชัก เปน อาการแสดงของโรคหลายอยา ง การชั ก แต ล ะครั้ ง สมองจะไดรับ ความ กระทบกระเทือน ถาไมไดรับการรักษาที่ถูกตองจะทําใหสมองพิการได อาการชักที่พบบอยไดแก ผูปวยโรคลมชักหรือลมบาหมูและอาการชักเนื่องจากไขขึ้นสูง เวลาชักผูปวยมักไมรูสึกตัว มีอาการ คอแข็ง ตาเหลือก นิ้วมือนิ้วเทากระตุก จึงตองทําการชวยเหลือเบื้องตน โดยจัดใหผูปวยนอนตะแคง ระวังอยางใหตกเตียง ระวังสําลัก ถามีสิ่งของในปาก เชน เศษอาหาร ฟนปลอมใหลวงออก และใช ดามชอน ไม หรือดามดินสอสอดเขาไปในปากระหวางฟน เพื่อปองกันไมใหผูปวยกัดลิ้นระยะหลับ หลังชัก ควรเฝาดูอาการจนกวาจะฟนและรูสึกตัวแลวรีบนําสงโรงพยาบาล ผูปวยโรคลมชักไมควรขับ รถ วายน้ํา หรือทํางานที่เสี่ยงอันตราย เพราะอาจมีอาการชักเวลาใดก็ไดและควรรับการรักษาจาก แพทยอยางตอเนื่อง
176 ในกรณีที่ชัก เนื่อ งจากไขสูงมัก พบในเด็ก อายุระหวาง 6 เดือ น ถึง 6 ป สาเหตุสว นใหญ เนื่องมาจากโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ เชน ไขหวัด ดังนั้น เด็กที่มีประวัติเคยชักและมีไขขึ้นสูง ยังรูสึกตัวดีตองรีบใหยาลดไขกอน สวนการชวยเหลือในขณะที่เด็กกําลังชักใหใชผาชุบน้ําเย็นธรรมดา เช็ดตัวแรง ๆ จนเปยกชุม โดยเฉพาะบริเวณหลัง แขน ขา และตะโพก เมื่อเด็กหยุดชักแลว ใหเช็ดตัว ดวยผาชุบน้ําพอหมาด ๆ ตอไปอีก พรอมกันวางผาชุบน้ําเย็นบริเวณที่มีเสนเลือดใหญ ๆ ผาน เชน หนาผาก รักแร ขาหนีบ ตนคอ สวนปลายเทาใชกระเปาน้ํารอนวางเพื่อใหเทาอบอุน การเช็คตัวแตละครั้ง นานประมาณ 10 ถึง 40 นาที ถาเช็ดตัวจนเย็นเกินไป อาจทําใหรางกายเกิดภาวะอุณหภูมิต่ําและ อาจช็อคได หลังจากนั้นควรพาเด็กสงโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลผูปวยหมดสติ การหมดสติ เปนสิ่งสําคัญมากที่จะตองศึกษาสําหรับผูปวยที่จะตองปฐมพยาบาล เพราะหมดสติ หายใจ และหมดสติแตยังมีการหายใจเปนพวกที่มีอาการชัก ไดแก ลมบาหมู เกิดจากโลหิตเปนพิษ หรือโรค เชน อิสทีเรีย พวกไมมีอาการชัก ไดแก ช็อค เปนลม เมาเหลา เบาหวานและเสนโลหิต ในสมองแตก ลักษณะการหมดสติมี 2 ลักษณะคือ อาการซึม มึนงง เขยาตัวอาจตื่น งัวเงียแลวหลับ พูดไดบางแตฟงไมไดศัพท และลักษณะอาการหมดความรูสึกทุกอยางเปนการหมดความรูสึกแมแต เขยาตัวก็ไมฟน
การชวยเหลือผูปวยไมรูสึกตัว แบบผูชว ยเหลือ 1 คน
177 การปฐมพยาบาลผูปวยหมดสติ ใหดวู าผูปวยหายใจหรือไม ถาหยุดหายใจชวยฟนคืนชีพโดย การนวดหัวใจ ถาผูปวยมีเลือดออก จับใหผปู วยนอนหงาย เอียงหนาไปดานใดดานหนึ่ง เพื่อเปนการ ปองกันไมใหลิ้นตกไปดานหลังลําคอ ซึ่งอุดกั้นทางเดินหายใจ และปองกันไมใหอาเจียนไหลเขาสู หลอดลม การจัดทานอน ถาผูปวยหนาแดง การใหนอนศีรษะสูง ถาสีหนาซีดใหนอนราบเหยียดขา และแขน เพราะอาจมีกระดูกหักได หากตองการเคลื่อนตองระมัดระวังไมใหดื่มน้ําหรือรับประทานยา ใด ๆ ตรวจดูบาดแผลโดยเฉพาะบริเวณศีรษะหากมีอาการชักใหมว นผา ดามชอนใสเขาไประหวางฟน เพื่อปองกันไมใหกัดลิน้ ตนเอง ใหหาสาเหตุที่ทําใหผูปวยหมดสติ และประวัติการเกิดอุบัติเหตุของผูปวย เพื่อแจงใหแพทยทราบ
การชวยเหลือผูปวยไมรูสึกตัว แบบผูชว ยเหลือ 3 - 4 คน การปฐมพยาบาลผูปวยเปนลม การเปนลม เปนอาการที่เกิดขึ้นเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองไมเพียงพอชั่วคราว ทําใหผูปวย เปนลมหมดสติไปชั่วครู มักมีอาการซึม เวียนศีรษะนํามากอนและมีอาการตัวซีดเย็นเฉียบรวมดวย ความรูสึกเชนนี้อาจเกิดขึ้นโดยไมหมดสติก็ได การตกใจรุนแรง ภาวะน้ําตาลในเลือดต่ํา อาจทําให ความดันโลหิตลดลง และรูสึกจะเปนลมได การเปนลมอยางเดียวโดยไมมีอาการอื่นแทรกนั้นเปนเรื่อง ที่ไมนาวิตก แตถาเปนลมบอย ๆ หรือมีอาการอื่น ๆ รวมดวย จําเปนอยางยิ่งที่ตองปรึกษาแพทย ดังนั้น ถาการเปนลมหมดสติไปชั่วคราว แตหายใจไดดี และรูสึกตัวภายใน 2 - 3 นาที เปนสิ่งที่ไมนากังวล แตถาหมดสติไปนาน หายใจไมดีไมสม่ําเสมอหรือหายใจชาผิดปกติ ตองนําสงโรงพยาบาลทันที และ ระหวางทางไปโรงพยาบาลควรอยูในทานอนกึ่งคว่ํา เพื่อปองกันไมใหทางเดินหายใจอุดตัน
การเปนลมเนื่องจากสูญเสียน้ําและเกลือแรออกจากรางกายโดยทางเหงื่อ
การเปนลมเนื่องจากความรอน
178 การปฐมพยาบาลผูปวยถูกไฟฟาดูด ในวันหนึ่ง ๆ วิถีการดําเนินชีวิตของคนเราตองอาศัยไฟฟา ซึ่งเปนสิ่งจําเปนที่ขาดเสียไมได เราใชเครื่องอํานวยความสะดวก เครื่องไฟฟาตาง ๆ มากมายบางครั้งอาจใชอุปกรณไฟฟาพรอมกัน หลายอยางในเวลาเดียวกัน บางคนรูเทาไมถึงการณ เผอเรอ โดยเฉพาะในชวงฤดูฝนชวงที่มีน้ํามาก หรือน้ําทวมบาน ไฟฟาจะมีอันตรายมากอาจทําใหผูใชถูกไฟฟาดูดทําใหมีบาดแผลไฟไหม หรืออาจ ทําใหเสียชีวิตไดถาเราเปนผูประสบเหตุการณเชนนี้ ชวยผูปวยใหพนจากการสัมผัส โดยการปลดสวิทชกระแสไฟฟา หรือใชผาหรือกระดาษหุม โคนไมแหง ๆ หรือสิ่งที่เปนฉนวนไฟฟาเขีย่ สายไฟออกใหพนตัวผูปวย โดยผูชวยเหลือตองสวมรองเทา พื้นยางยืนอยูบ นกระดานหรือพื้นที่ไมเปยกไมเปนสื่อ ไฟฟา เมื่อตัดกระแสไฟฟาออกไปไดแลว ตรวจดู การหายใจของผูปวยถาไมหายใจตองรีบผายปอด ทันทีเมื่อผูปวยหายใจดีแลว ใหผูปวยนอนพักผอน เงียบ และใหความอบอุน
การปฐมพยาบาลผูปวยอวัยวะขาด การที่มีผูบาดเจ็บมีอวัยวะขาด เกิดไดจากหลายสาเหตุ ดังเชน จากอุบัติเหตุเมื่อพบผูบาดเจ็บมี อาการดังกลาวไมตองตกใจตั้งสติโดยเร็วและทําการหามเลือดดวยการใชมือกดบาดแผลที่ถูกตัดขาด โดยมีขั้นตอนดังนี้ นําอวัยวะที่ขาดไปใสในถุงพลาสติกที่สะอาดและแหงปด ปากถุงใหแนน นําไปแชในกระติกน้ําแข็งนําสงถุง อวัยวะนั้นพรอมผูบาดเจ็บสงโรงพยาบาลโดยเร็ว
การปฐมพยาบาลผูปวยไดรับสารเคมีพิษ 1. ทําใหอาเจียน เมื่อผูปวยกินสารพิษเขาไปควรทําใหอาเจียนโดยมีวิธีดังตอไปนี้ 1.1 ใชนิ้วมือลวงคอ
179 1.2 หากยังไมอาเจียนใหรับประทานน้ําเชื่อมไอปแคค (Syrup of lpecac) ขนาดที่ใช เด็ก 2 – 3 ชอนชา ผูใหญ 1 – 2 ชอนโตะ และดื่มน้ําตามอีก 1 แกว ใหรับประทาน อาหารซ้ํา หลังจากใชยา 15 – 30 นาที แลวยังไมอาเจียน ขอหาม การทําใหผูปวยอาเจียนขณะหมดสติ หรือผูปวยที่เปนโรคหัวใจ หรือตั้งครรภ 2. ลดการดูดซึมสารพิษในทางเดินอาหาร โดยใหรับประทานดังตอไปนี้ 2.1 ผงถานแอคติเวเตดชารโคล ขนาดที่ใช 2 ชอนโตะ ผสมน้ํา 1/4 แกว 2.2 ไขขาวดิบ ขนาดที่ใช เด็ก 4 ฟอง ผูใหญ 8 ฟอง หมายเหตุ การใชน้ําเชื่อมไอปแคคกับผงถานแอคติเวเตดชารโคลรวมกันนั้น ตองใหน้ําเชื่อมไอปแคค กอน จนอาเจียนออกหมด แลวรีบใชผงถานเพื่อดูดซับพิษที่ยังเหลืออยู หามใชพรอมกันเพราะจะทํา ใหผงถานไปดูดซับไอปแคค และไมเกิดอาการอาเจียน การปฐมพยาบาลผูปวยไดรับสารพิษจากการสูดดม 1. นําผูปวยไปยังบริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์ทันที ผูเขาไปชวยควรมีเครื่องปองกันสารพิษ เชน เครื่องชวยหายใจ หรือหนากากกันสารพิษ 2. คลายเสื้อผาใหหลวม 3. พยายามควบคุมอุณหภูมิรางกายของผูปวย ถาผูปวยรอน พยายามเช็ดตัวดวยน้ําเย็น 4. หามผูปวยสูบบุหรี่หรือดื่มสุรา การปฐมพยาบาลผูปวยไดรับพิษทางผิวหนัง 1. ถอดเสื้อผาที่เปรอะสารพิษออก รีบลางและทําความสะอาดรางกายทุกสวนดวยน้ําและสบู ธรรมดาอยาขัดถูผิวหนัง เพราะจะทําใหสารพิษดูดซึมเขาผิวหนังไดงาย ผูทําการปฐมพยาบาลตอง สวมรองเทาบูทและถุงมือ ขณะทําการปฐมพยาบาลผูปวย 2. เช็ดตัวผูปว ยใหแหง และหมผาใหผูปวย 3. ถาผิวหนังไหมใหใชผาบาง ๆ ที่นุมและสะอาดคลุมทิ้งไว หามทาชี้ผึ้ง โรยยาอื่น ๆ การปฐมพยาบาลเมื่อสารพิษเขาตาผูปวย 1. รีบลางตาโดยเปดเปลือกตาแลวใหน้ําสะอาดผานจํานวนมาก ๆ นานประมาณ 15 นาที
180 2. หามใชยาลางตา หรือผสมสารเคมีลงในน้ําลางตา การปฐมพยาบาลที่กลาวมาขางตน ทุกวิธีนั้น ในขั้นสุดทายตองรีบนําผูปวยสงแพทยโดยดวน พรอมกับภาชนะบรรจุ เชน กระปอง ขวด ซองของสารเคมีที่ทําใหเกิดพิษ นอกจากนี้ควรศึกษาขอผิดพลาดเพื่อไมใหเกิดอุบัติเหตุซ้ําอีก
บทที่ 7 มาตรฐานสากล ISO 14000 กับ การปองกันไมใหเกิดมลภาวะตอสิ่งแวดลอม สิ่งแวดลอม
หมายถึง สิ่งตาง ๆ ที่อยูรอบตัวเรา ทั้งที่มีชีวิตและไมมีชีวิต เกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ และมนุษยสรางขึ้น นับตั้งแตคน สัตว ดิน น้ํา ตนไม ภูเขา ตลอดจนอาคาร บานเรือน ถนนหนทาง สิ่งประดิษฐตาง ๆ รวมถึงทั้งขนบธรรมเนียมดวย สิ่งแวดลอมแบงได 2 ประเภทใหญ ๆ คือ 1. สิ่ ง แวดล อ มตามธรรมชาติ คื อ สิ่ ง แวดล อ มที่ เ กิ ด ขึ้ น เองหรื อ มี อ ยู ต ามธรรมชาติ แบ ง ออกเปน 2 ชนิด คือ 1.1 สิ่งที่ไมมีชีวิต ทั้งที่มองเห็นสัมผัสได และมองไมเห็นสัมผัสไมได เชน อากาศ พลังงาน แรธาตุ ปาไม ธารน้ํา ฯลฯ 1.2 สิ่งมีชีวิต ไดแก คน สัตว และพืช สิ่งมีชีวิตตาง ๆ เหลานี้ลวนแตเกื้อกูลประโยชน ซึ่งกันและกัน โดยพืชและสัตวมีคุณคาตอการอยูรอดของมนุษยทั้งทางตรงและทางออม 2. สิ่งแวดลอมที่มนุษยสรางขึ้น หมายถึง ทุกสิ่งทุกอยางที่เกิดขึ้นหรือมีขึ้นโดยการกระทําของ มนุษย ทั้งที่ตั้งใจและไมไดตั้งใจ ทั้งที่มีตัวตนและไมมีตัวตน เชน บานเรือน โตะ เกาอี้ ตลอดจน ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีตาง ๆ แบงเปน 2 ชนิด คือ 2.1 ทางกายภาพ คือ สิ่งแวดลอมที่เปนรูปธรรม เชน รถยนต เครื่องบิน เขื่อน เปนตน 2.2 ทางสังคม คือ สิ่งแวดลอมที่เปนนามธรรมที่สังคมมนุษยสรางขึ้น เชน วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ เปนตน
ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่งตาง ๆ ที่มีอยูหรือเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติและ มนุษยสามารถนํากลับมาใชประโยชนได เชน ดิน น้ํา ปาไม สัตวปา แรธาตุ และพลังงานตาง ๆ เปนตน สิ่งใดที่มีอยูหรือเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แตไมอาจนํามาใชประโยชนได เราเรียกวา ธรรมชาติ เมื่อนํามาใชประโยชนไดเราจึงเรียกวา ทรัพยากร ทรัพยากรธรรมชาติแบงเปน 3 ประเภทใหญ ๆ คือ 1. ใชแลวไมหมดเปลืองหรือสูญหายไป (Inexhaustible) ไดแก บรรยากาศ น้ําที่อยูในวัฏจักร (Water in Cycle) 2. ทดแทนไดหรือรักษาไวได (Replaceable and Maintainable) เชน h
น้ําที่อยู ณ ที่แหงใดแหงหนึ่ง
h
สัตวปา
h
ดินและทีด่ ิน
h
ทุงหญา
h
ปาไม
182
3. ไมงอกเงยใชแลวหมดไป (Exhaustible) h
แรธาตุ
h
ที่ดินในสภาพธรรมชาติ
ระบบนิเวศน
หมายถึง ระบบความสัมพันธที่ประกอบดวยสิ่งมีชีวิตและสิ่งไมมีชีวิตอยู รวมกันในพื้นที่แหงใดแหงหนึ่ง อาจจะเปนพื้นที่ขนาดเล็กหรือใหญก็ได ซึ่งตองมีความสัมพันธและ มีการเปลี่ยนสสารและพลังงานระหวางหนวยที่มีชีวิตและไมมีชีวิตในระบบนิเวศนนั้นดวย ระบบ นิ เ วศนมีส ว นประกอบหลายอยาง เช น น้ํ า อุ ณ หภูมิ ความชื้ น ความเค็ม ปริม าณฟอสฟอรั ส ปริมาณออกซิเจน ปริมาตรของแองน้ํา ความสูงจากระดับน้ําทะเล ความลาดชันของหุบเขา ลักษณะ พืชสัตว ฯลฯ
ผลกระทบจาก ปญหาดานสิ่งแวดลอม 1. สภาพความสมดุลของธรรมชาติที่ประกอบขึ้นมาประกอบดวย สิ่งมีชีวิตตาง ๆ น้ํา อากาศ ดิน คน พืช สัตว ทรัพยากรธรรมชาติ และความสัมพันธขององคประกอบขางตนถูกสราง ขึ้นมาโดยระยะเวลาอันยาวนาน ความสัมพันธขององคประกอบขางตนเกื้อหนุนกัน กิจกรรมของ มนุษย เชน การผลิตก็จะมีการนําเอาทรัพยากรธรรมชาติมาแปรรูปเปนผลิตภัณฑ เปนพลังงาน เปน ของกินของใช และเศษที่เ หลือจากกิจกรรมเหลานี้ ก็จะถูก ปลอยลงสูดิน สู อากาศ สูน้ํา ทํา ให สัดสวนที่เคยสมดุลเสียไป และสรางความเสียหายใหองคประกอบที่เหลือ เชน มีการปลอยความรอน ปลอยควันพิษ ปลอยฝุน ออกมาซึ่งจะไปทําลายสิ่งมีชีวิต พืช สัตวตาง ๆ สัตวที่เคยอาศัยอยูไดก็อยู ไมได ขาดแหลงอาหาร ขาดสภาพพอเหมาะที่อยูได ขาดน้ําสะอาดที่ดํารงอาศัยและใชได สภาพ อากาศก็แปรปรวน ฝนก็เปนฝนกรด ตาง ๆ เหลานี้ เปนตน 2. เปนที่ทราบกันวาชั้น OZONE ในบรรยากาศจะชวยปองกันรังสีจากแสงอาทิตยที่อาจจะ เปนอันตรายตอคนและสิ่งมีชีวิตตาง ๆ สารประเภทที่มีคลอรีนเปนองคประกอบ เชน CFCs และ อื่น ๆ จํานวนมากที่ไปทําลายและทําใหเกิดรูในชั้นบรรยากาศ OZONE ถึงแมวาจะถูกหามใชใน หลาย ๆประเทศแลวก็ตาม แตการปฏิบัติคอนขางชา 3. การเกิดฝนกรด เกิดจากปญหามลพิษอันเกิดจากกระบวนการเผาผลาญของสารฟอสซิล เชน น้ํามัน ถานหิน แกส การผลิตไฟฟาที่ไมใชพลังน้ําจํานวนมากจะใชพลังงานจากการเผาผลาญ น้ํามัน แกส ถานหิน หรืออีกกิจการหลาย ๆ ประเภท รวมทั้งรถยนต ซึ่งจากการเผาผลาญนี้จะทําให เกิดสารที่เรียกวา SOx NOx เมื่อรวมกับฝนที่ตกลงมาจะทําใหเกิดกรดพวกซัลฟูริกและไนตริก ซึ่งมี สภาพเปนกรดออน มีฤทธิ์ทําลายกัดกรอน อาคารบานเรือน ทําลายพืชผักการเกษตร แหลงน้ํา มีผล ตอความเปนอยูของผูคนที่อาศัยอยูในบริเวณนั้น ๆ 4. อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น อาจจะเรียกปรากฏการณนี้อีกอยางวา “เรือนกระจก” ซึ่งแมจะ ไมเกิดโดยตรงตอประเทศไทยแตก็ทําใหรอนขึ้น ในบางประเทศทําใหคนมีอาการทางรางกาย
183
คือชอกก็มี ทําใหน้ําแข็งที่ขั้วโลกละลาย เกิดน้ําทวมทําลายพื้นที่เพาะปลูก ทําลายดินที่อุดมสมบูรณ ทําใหระดับน้ําทะเลสูงขึ้น การเกิดเรือนกระจกนี้มักเกิดจากการเผาผลาญพวกสารฟอสซิล พวกสารที่ มีคารบอนเปนองคประกอบ เชน พวกพืช ซึ่งจะทําใหเกิดกาซ CO2 (คารบอนไดออกไซด) แมวาใน ธรรมชาติพืชจะเปนตัวเปลี่ยน CO2 มาเปนออกซิเจน แตมนุษยก็มีการตัดไมทําลายปา มีกิจกรรม การผลิตที่เพิ่ม CO2 ออกสูบรรยากาศเกินกวาความสามารถของพืชจะเปลี่ยนเปน O2 ได ทําใหมี O2 ปลอยออกสูชั้นบรรยากาศโลกมาก เกิดเปนชั้นเรือนกระจกที่สะทอนความรอนกลับมาสูมนุษยอีก เหมือนมนุษยอยูในภาชนะที่ปด เมื่อความรอนถูกปลอยออกมากระทบกับชั้นของเรือนกระจกก็จะ สะทอนกลับมาทําใหโลกรอนยิ่งขึ้นตามลําดับ 5. การเกษตรแผนใหมที่มุงเนนการเพาะปลูกใหเกิดผลผลิตจํานวนมากเพื่อตอบสนองความ ตองการของผูบริโภค จะเปนตัวทําลายและกอใหเกิดปญหาดานสิ่งแวดลอมมากกวาการพังทะลาย ของผิวดิน สาเหตุเนื่องจากสารพิษ ยาฆาแมลง ปุย ซึ่งสารเหลานี้จะถูกปลอยหรือฉีดสูผิวดินวงกวาง เมื่อมีฝนตกลงมา ก็จะชะลางสารเหลานี้ลงสูที่ต่ํากวา คือแหลงน้ํา ขณะเดียวกันกระบวนการผลิตใน อุตสาหกรรมคือจากกิจกรรมประจําของมนุษยก็จะมีการปลอยสารเคมีตาง ๆ ออกมา และถูกปลอยลง สูแหลงน้ํา มีผลตอการขาดแคลนน้ํากินน้ําใชที่สะอาด เมื่อน้ําเหลานั้นถูกปลอยรวมกันและไหลลงสู ทะเล แมวาจะมีความเชื่อวาทะเลคือแหลงที่เจือจางความเขมขนของสารพิษนั้นได มีสาหราย มี สิ่งมีชีวิตตาง ๆ ที่คอยกําจัดไดบาง แตเมื่อเกินขีดความสามารถแลว สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในทะเลก็ถูก ทําลาย มีผลตอหวงโซอาหารซึ่งกลายเปนแหลงสะสมสารพิษ และในที่สุดก็ยอนกลับมาสูมนุษยจาก การเปนหวงโซอาหารนั่นเอง 6. ดินที่สมบูรณ คือดินที่มีแหลงแรธาตุที่เปนอาหารของพืชอุดมสมบูรณทําใหพืชเจริญ งอกงาม ซึ่งจะเปนแหลงยังชีพและประโยชนตอมนุษยมหาศาล หากดินถูกทําลายความอุดมสมบูรณ ไปแลวก็เทากับทําลายแหลงยังชีพของมนุษยไปดวย การเกษตรแผนใหมที่มุงเนนการใชสารเคมีคือ ตัวการหลัก การตัดไมทําลายปาซึ่งเปนแหลงผลิต CO2 และ O2 ทําใหขาดความสมดุลไป และมี ผลกระทบตอระบบนิเวศนดวย อุณหภูมิของโลกรอนขึ้น ซึ่งเหลานี้ลวนแตมีผลตอการทําใหดินขาด ความอุดมสมบูรณไป การเกษตรแผนใหมสวนหนึ่งมีการปลูกในปริมาณมากแลวใชสารเคมีเพื่อเรงสรางแหลงอาหาร ปฐมภูมิและทุติยภูมิตอมนุษยเอง โดยไมคํานึงถึงการทําลายความสมบูรณของผิวดิน ไมคํานึงถึง ความยั่งยืนของการใชพื้นดิน ทําใหดินถูกทําลายไป
อุณหภูมิโลกที่รอนขึ้นทําใหเกิดกระแสลม ทําใหเกิดการเปลีย่ นแปลงอยางรุนแรง ทําใหผิว ดินถูกกัดกรอนและชะลางแรธาตุที่สมบูรณเมื่อมีฝนตกลงมา
184
ปญหามลพิษที่ถูกปลอยลงสูดินจากกระบวนการจากอุตสาหกรรมนั้นมีคอนขางมากและ หลากหลาย มีทั้งผลกระทบระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งผลกระทบตรงนี้ยังไมไดมีการศึกษาทําเปนแผน ระดับความรุนแรงเอาไว ในจํานวนสิ่งที่ปลอยออกมา เชน ขยะ , สารเคมี , สารปนเปอน , กาก นิวเคลียร เมื่อถูกปลอยออกมาแลวจะมีผลกระทบตอการใชพื้นที่ ทําลายความสมบูรณของดิน ไม สามารถใชพื้นดินได พืชไมสามารถขึ้นได แตอยางไรก็ตามเมื่อถูกปลอยลงสูดินก็จะไหลลงสูน้ํา เชนกัน ฉะนั้นจะเห็นอีกวาเมื่อมีปญหาตอพื้นดินก็จะกระทบตอการดํารงชีวิตอยูของมนุษยเชนกัน 7. ขยะเกิดจากเศษที่เหลือจากการใชบริโภค หรือจากกระบวนการผลิต ในบานเราจะเห็น ขยะทุกหนทุกแหง มีกองเปนภูเขา มีกองอยูบนถนน ในแมน้ํา สวนสาธารณะ มีทั้งที่ยอยสลายได ในเวลาไมนาน และที่ตองใชเวลานาน สรางความรําคาญทั้งในแงสายตา แงกลิ่น ที่เราจะไดพบอยู เสมอ พวกขยะพลาสติก สารสังเคราะหตาง ๆ อาจจะเปนภาชนะบรรจุภัณ ฑ อาจจะเหลือจาก กระบวนการผลิต เหลานี้ไมสามารถยอยสลายทางชีวภาพ หรือนํากลับมาใชใหมไดทั้งหมด หรือไม สามารถนํามาแปรรูปใหมไดทั้งหมด กลายเปนขยะที่ไรคุณคาก็จะถูกนํามาฝงกลบ
185
ISO 14000 : มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดลอม เกี่ยวกับการตรวจสอบ การประเมินผลดาน สิ่งแวดลอม (EPE) ISO 14031
〉 〉14010
แนวทางการ ประเมินผลการ ดําเนินการ ดาน สิ่งแวดลอม
การตรวจสอบดาน สิ่งแวดลอม (EA)
แนวทางและ ห ลั ก ก า ร ในการตรวจสอบ สิ่งแวดลอม 14011 – 1 แนวทางในการ ตรวจสอบระบบ ก า ร จั ก ก า ร สิ่งแวดลอม 14012 ข อ กํ า ห น ด คุ ณ ส ม บั ติ ของผู ต รวจสอบ สิ่งแวดลอม
การจัดการระบบในหนวยงาน ISO 14001 ระบบการจัดการ สิ่งแวดลอม (EMS )
ขอกําหนดสําหรับการใช ISO 14004 ระบบการจัดการ สิ่งแวดลอม (EMS )
หลักเกณฑและขอแนะนํา
เกี่ยวกับผลิตภัณฑ ฉลากสิ่งแวดลอม ( EL ) 14020 ห ลั ก ก า ร ขั้ น พื้ น ฐ า น เกี่ยวกับการพัฒนาและการ ใชฉลากสิ่งแวดลอม 14021 คํ า นิ ย า ม แ ล ะ คํ า ศั พ ท เ กี่ ย ว กั บ ก า ร ใ ช ฉ ล า ก ผ ลิ ต ภั ณ ฑ ป ร ะ เ ภ ท ที่ 2 ใ น ก า ร ป ร ะ ก า ศ คุ ณ สมบั ติ ท างสิ่ ง แวดล อ ม ของผลิตภัณฑ 14022 วิธีการในการใช สัญลักษณ ข อ ง ฉ ล า ก ผ ลิ ต ภั ณ ฑ ประเภทที่ 2 14023 วิ ธี ก า ร ต ร ว จ ส อ บ แ ล ะ รั บ รองผลิ ต ภั ณ ฑ ที่ จ ะใช ฉลากผลิตภัณฑประเภทที่ 2 14024 แนวทาง หลักการ และ ขอกําหนด ของวิธีการรับรอง ของผลิตภัณฑที่จะใชฉลาก ผลิตภัณฑประเภทที่ 1 การประเมินวงจรผลิตภัณฑ (LCA ) 14040 หลักการและการดําเนินการ 14041 วิธีการจัดทํารายการปจจัยที่ ใช ใ นกระบวนการผลิ ต / บ ริ ก ารและผลที่ ไ ด จ า ก กระบวนการ 14042 ประเมิ น ผลกระทบทาง สิ่งแวดลอม 14043 ประเมินการปรับปรุงวงจร ผลิตภัณฑ
186
องคประกอบสําคัญของระบบการจัดการสิ่งแวดลอม h
การกําหนดนโยบายสิ่งแวดลอม และความมุงมั่นในการดําเนินการของผูบริหารระดับสูง
h
การวิเคราะหปญหาสิ่งแวดลอม กฎหมาย พันธกรณีทางสิ่งแวดลอม พรอมทั้งกําหนด วัตถุประสงคและเปาหมายเพื่อดําเนินการ
h
การจัดทําแผน วิธีการดําเนินการกิจกรรมตาง ๆ เพื่อใหเปนไปตามวัตถุประสงคและ บรรลุถึงเปาหมาย
h
การตรวจสอบ/ควบคุม จัดประเมินผลการดําเนินการตรวจสอบทั้งในแงระบบและผลการ ดําเนินงานและหามาตรการในการปรับปรุงแกไข
h
ทบทวนการดําเนินการที่ผานมาโดยระดับบริหาร โดยเปรียบเทียบกับนโยบาย วัตถุ ประสงค ทบทวนเปาหมายทีว่ างไวและปรับปรุงการดําเนินงานใหดีขนึ้ อยางตอเนื่อง
มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดลอม ประกอบดวย 2 มาตรฐาน คือ
มีประเทศอังกฤษเปนเลขาธิการ
อนุกรมมาตรฐานฉบับนี้
ISO 14001 : ระบบการจัดการสิ่งแวดลอม : ขอกําหนดสําหรับการใช เปนขอกําหนดของ ระบบการจัดการสิ่งแวดลอม และแนวทางในการนําขอกําหนดไปใชในองคการ ISO 14004 : ระบบการจัดการสิ่งแวดลอม : หลักเกณฑและขอแนะนํา เปนแนวทางเกี่ยวกับ หลักการของระบบการจัดการสิ่งแวดลอมและการประยุกตใชในองคกร
การตรวจสอบสิ่งแวดลอม การตรวจสอบสิ่ งแวดลอมอยางเปนระบบตามขั้นตอนที่กํ าหนดไวโดยการประเมิน จาก หลักฐานที่พบ เพื่อพิจารณาวาองคกรนั้นไดปฏิบัติตามขอกําหนดทางสิ่งแวดลบิ้มที่ไดตั้งไวหรือไม และรวมทั้งการรายงานผลการตรวจสอบที่ไดใหแกผูเกี่ยวของทราบ มาตรฐานการตรวจสอบสิ่งแวดลอม มีประเทศเนเธอรแลนดเปนเลขาธิการ อนุกรมมาตรฐาน ฉบับนี้ ประกอบดวย 3 มาตรฐาน ISO 14010 : หลักเกณฑทวั่ ไป : เปนแนวทางและหลักการในการตรวจสอบสิ่งแวดลอมซึ่ง สามารถนําไปประยุกตใชกบั การตรวจสอบสิ่งแวดลอมหลาย ๆ รูปแบบ ISO 14011 : วิธีการตรวจสอบระบบการจัดการสิ่งแวดลอม : เปนแนวทางในการ ตรวจสอบระบบการจัดการสิ่งแวดลอมซึ่งครอบคลุมถึงการวางแผน วิธีการดําเนินการตรวจสอบ และตรวจสอบผลการดํ า เนิ น งานทางสิ่ ง แวดล อ มว า เป น ไปตามมาตรฐานของระบบการจั ด การ สิ่งแวดลอมหรือไม
187
ISO 14012 : คุณสมบัติผูตรวจสอบ : เปนขอกําหนดคุณสมบัติของผูตรวจสอบสิ่งแวดลอม และหัวหนาผูตรวจสอบสิ่งแวดลอม ซึ่งครอบคลุมถึงผูตรวจสอบสิ่งแวดลอมภายในองคกรและผู ตรวจสอบสิ่งแวดลอมอิสระ
ฉลากเพื่อสิ่งแวดลอม (Environmental Labeling) ฉลากเพื่อสิ่งแวดลอมที่ใชในปจจุบันแบงออกเปน 3 ประเภท ประเภทที่ 1 (Type 1) เปนฉลากที่ดําเนินการโดยองคกรอิสระ มอบใหกับผลิตภัณฑที่มี คุณสมบัติตรงกับขอกําหนดทางสิ่งแวดลอมที่องคกรกําหนด โดยสวนใหญจะมีเงื่อนไขทาง สิ่งแวดลอมหลายขอดวยกัน ประเภทที่ 2 (Type 2) เปนฉลากผลิตภัณฑเพื่อสิ่งแวดลอมดวยความมุงหมายเฉพาะดาน โดยปกติแลวผูผลิตจะเปนผูติดฉลากเอง ประเภทที่ 3 (Type 3) มีลักษณะเปนฉลากบอกรายละเอียดใหขอมูลตาง ๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ ในการใชทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน ปริมาณ มลพิษที่เกิดขึ้น เปนตน มีลักษณะคลายกับฉลาก โภชนาการของอาหาร มาตรฐานฉลากสิ่งแวดลอม มีประเทศออสเตรเลียเปนเลขาธิการ อนุกรมมาตรฐานฉบับนี้ ประกอบดวย 6 มาตรฐาน คือ ISO 14020 : เปนหลักการขั้นพื้นฐานเกีย่ วกับการพัฒนาและการใชฉลากสิ่งแวดลอม ISO 14021 : เปนคํานิยามและคําศัพทเกีย่ วกับการใชฉลากผลิตภัณฑประเภทที่ 2 ในการ ประกาศคุณสมบัติทางสิ่งแวดลอมของผลิตภัณฑ ISO 14022 : เปนวิธีการในการใชสัญลักษณของฉลากผลิตภัณฑประเภทที่ 2 ISO 14023 : เปนวิธีการตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑที่จะใชฉลากผลิตภัณฑประเภทที่ 2 ISO 14024 : เปนแนวทางหลักการ และขอกําหนดของวิธีการรับรองผลิตภัณฑที่จะใชฉลาก ผลิตภัณฑประเภทที่ 1 ISO 14025 : เปนแนวทางหลักการ และขอกําหนดของวิธีการรับรองผลิตภัณฑที่จะใชฉลาก ผลิตภัณฑประเภทที่ 3
การประเมินผลการดําเนินการดานสิ่งแวดลอม (Environmental Performance Evaluation) มาตรฐานการประเมิ น ผลการดํ า เนิ น การด า นสิ่ ง แวดล อ มมี ป ระเทศสหรั ฐ อเมริ ก าเป น เลขาธิการ ซึ่งขณะนี้มีเพียง 1 มาตรฐาน คือ
188
ISO 14031 : Environmental Management – Environmental Performance Evaluation – Guideline เปนแนวทางในการออกแบบและการใชประโยชนของการประเมินผลการดําเนินการดาน สิ่งแวดลอมสําหรับองคกรทุกขนาด ทุกประเภท
การประเมินวงจรของผลิตภัณฑ (Life Cycle Assessment) นอกจากมาตรฐานการใชฉลากสิ่งแวดลอม และระบบการจัดการสิ่งแวดลอมแลว ยังเชื่อกัน วามาตรฐานการประเมินวงจรอายุของผลิตภัณฑจะเปนมาตรฐานอีกประการซึ่งจะมีผลกระทบสูงตอ ธุรกิจตาง ๆ เนื่องจากความตื่นตัวในการรักษาสภาพแวดลอมและผลกระทบตาง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เกี่ยวกับผลิตภัณฑตาง ๆ มีมากขึ้น ทําใหเกิดความตองการในการหาวิธีในการประเมินผลกระทบ และ มาตรการในการลดผลกระทบดังกลาว
การประเมินวงจรของผลิตภัณฑ มีหลักการทั่ว ๆ ไปดังนี้ h
h
จัดทํารายการของปจจัยที่ใชในกระบวนการผลิต ตลอดจนสวนตาง ๆ ที่นํามาใชเพื่อการ ผลิต ใหบริการ การใชงานและผลทั้งหมดที่ไดรับจากกระบวนการดังกลาว ประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดลอมที่อาจจะเกิดขึ้นจากรายการของปจจัยที่ใชในกระบวน การผลิตและสวนตาง ๆ เพื่อการผลิต ใหบริการกับการใชงานและผลทั้งหมดที่ไดรับจาก กระบวนการดังกลาว
วิเคราะหขอมูลเพื่อดูความจําเปนและหาโอกาสในการลดผลกระทบทางสิ่งแวดลอมที่ได ในการประเมิน โดยปกติการประเมินผลกระทบจะครอบคลุมไปถึงการใชทรัพยากรธรรมชาติ ผลกระทบตอ ระบบนิเวศนวิทยา และผลกระทบตอสุขภาพดวย h
การประเมินวงจรของผลิตภัณฑสามารถนําไปใชประโยชนไดดังนี้ h
ผูผลิต/บริการใชเปนเครื่องมือในการคนหาโอกาสในการลดผลกระทบตอสิ่งแวดลอม ของผลิตภัณฑ/บริการ โดยพิจารณาตลอดวงจรอายุของผลิตภัณฑ/บริการ การไดมา ซึ่งวัตถุดิบเพื่อการผลิต การออกแบบ การติดตั้ง การผลิต การบริการ การใชงาน
h ภาครัฐบาล
ผูผลิต/บริการ มักจะใชผลการศึกษาการประเมินวงจรของผลิตภัณฑเปนแนว ทางในการตั ด สิ น ใจในการวางแผนเชิ ง กลยุ ท ธ การจั ด ลํ า ดั บ ความสํ า คั ญ การ ปรับปรุงผลิตภัณฑหรือกระบวนการผลิต
189
h
ผูผลิต/บริการจะใชขอมูลในการวางแผนการตลาด เชน ในการทําฉลากสิ่งแวดลอมหรือ ฉลากเขียว
การควบคุมสารเคมีอันตราย สารเคมี อันตราย เปน สารเคมีที่มีคุณสมบัติที่แตกต างกันไปที่อ าจกอใหเ กิด อันตรายตอ พนักงานทั้งในรูปของการบาดเจ็บและการเจ็บปวย โดยความรุนแรงนั้นจะขึ้นอยูกับชนิด ปริมาณ และระยะเวลาที่สัมผัสกับสารเคมี ซึ่งสารเคมีในกลุมนี้อาจจะประกอบดวย 1. สารที่ระเบิดได (Explosives) 2. กาซอันตราย/อัดแรงดัน (Dangerous/Compressed Gases) 3. ของแข็งไวไฟ/ติดไฟ (Flammable/Combustible Liquid) 4. ของแข็งไวไฟ (Flammable Solids) 5. สารที่เติมออกซิเจน (Oxidizing Materials) 6. สารเปนพิษ (Toxic/Poisons Chemicals) 7. สารกัมมันตรงสี (Radioactive) 8. สารที่กัดกรอนได (Corrosives) 9. กาซอันตรายอื่น ๆ (ORM / Other Regulated Material) โดยทั่วไปสารเคมีจะเขาสูรางกายของคนได 4 ทางดวยกัน คือ โดยการหายใจ, การกิน, การ ดูดซึมผานผิวหนัง และผานเขาทางบาดแผล เมื่อสารเคมีถูกดูดซึมเขาสูกระแสโลหิตแลว สารเคมีที่ เปนพิษนั้นก็จะกอใหเกิดผลรายขึ้น หรือบางครั้งก็อาจทําใหเกิดอันตรายตออวัยวะตาง ๆ ไดดวย อาการเฉียบพลัน (Acute Effect) = อาการที่รางกายแสดงออกมาภายหลังจากไดรับสารเคมี เขาไปไมนานนัก อาคารเรื้อรัง (Chronic Effect) = อาการที่รางกายคอยแสดงออกมา ซึ่งเปนผลจากการที่ รางกายไดรับสารเคมีเขาไปทีละนอย ๆ สะสมจนมีระดับสารเคมีที่สูงพอจะทําใหเ ปนผลเสียตอ รางกายได สารเคมีอันตราย จะมีสิ่งบงบอกถึงอันตรายของสารเคมีนั้น 2 ทางคือ - ฉลากขางภาชนะบรรจุ - แบบแจงรายละเอียดเกีย่ วกับสารเคมีอันตราย (MSDS) ขอควรปฏิบัติในการใชสารเคมี h อานฉลากขางภาชนะบรรจุสารเคมีทุกชนิดที่ใช h ศึกษาขอมูลจาก MSDS
เมื่อตองการรายระเอียดดานความปลอดภัย
190
h เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสารเคมีตัวใหม
องคกร ควรจะพิจารณาถึงอันตรายของสารเคมีนั้น และจัดใหมกี ารฝกอบรมการใชสารเคมีอยางปลอดภัย
ั้ เปนอยางไร ใหคิดไวกอนวาสารเคมีนั้น h ถาไมทราบวาสารเคมีนน
“อันตราย” และปฏิบัติ
ตามแผนควบคุมสารเคมีอันตรายขององคกร
แผนควบคุมสารเคมีอันตราย (Chemical Hazard Control Plan) วัตถุประสงค เพื่อควบคุมปริมาณการสัมผัสเคมี ปองกันมิใหพนักงานไดรับอันตรายจาก สารเคมีและการเผาระวังทางการแพทย แผนควบคุมสารเคมีอันตรายจะมีผลทางการปฏิบัติจะตองครอบคลุมทั้ง 8 หัวขอนี้คอื 1. มีบุคคลรับผิดชอบ สนับสนุนแผน รวมถึงเจาหนาทีค่ วามปลอดภัยในการทํางาน 2. การตรวจสุขภาพาและใหคําปรึกษาทางการแพทยสําหรับพนักงาน 3. องคกรพิจารณาและสนับสนุนใหมกี ารตรวจวัดเพื่อควบคุมอันตรายที่จะเกิดขึน้ 4. ดําเนินการตรวจสอบทอดูดควันและอุปกรณปองกันอื่น ๆ ใหมั่นใจวายังมีประสิทธิภาพ 5. มาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติของบริษัท ฯ 6. การปฏิบัติงานพิเศษที่มีอนั ตรายจําเปนตองขออนุญาตกอน 7. การทดสอบอุปกรณปองกันที่ใชสําหรับทํางานในบริเวณที่มีอนั ตรายพิเศษ 8. ขาวสารและการฝกอบรมพนักงาน
ขาวสารและการฝกอบรมพนักงาน (Employee Information and Training) การตระหนักถึงอันตราย สิ่งที่จะตองกระหนักถึงมีดังนี้ h อันตรายทางกายภาพ
และสุขภาพในพื้นที่ทํางานของทาน
- อันตรายทางกายภาพ เปนสารเคมีจําพวกสารไวไฟ สารที่ระเบิดได และสารที่ทํา ปฏิกิริยารุนแรง - อันตรายตอสุขภาพ เปนสารเคมีจําพวกสารพิษ ซึ่งเปนเหตุกอใหเกิดมะเร็ง ทําลาย ระบบสืบพันธุ หรือทําลายผิวหนัง, ตา, เนื้อเยื่อในจมูก, ปอด หรืออวัยวะภายใน อื่น ๆ h วิธีการตรวจสอบหาระดับอันตรายของสารเคมี
ซึ่งรวมถึง - การตรวจสอบหาระดับของสารเคมีเปนประจํา - การสังเกตปรากฏการณที่เกิดขึ้น หรือกลิ่น
h มาตรฐานที่กําหนดระดับสารเคมีอันตราย
191
- สถานที่จัดเก็บของ MSDS และเอกสารอางอิงอื่น
อุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล กอนเริ่มปฏิบัติงานที่เกีย่ วของกับสารเคมีอันตรายจะตองทําความเขาใจเพื่อใหสามารถ นํามาใชไดอยางถูกตองและเหมาะสม และควรสวมใสอปุ กรณใหครบถวนตามที่กําหนด ดังนี้ h รองเทากันสารเคมี
งกันรางกาย h อุปกรณปอ
เชน ผากันเปอ น - สวมใสใหเรียบรอยกอนเขาปฏิบัติงาน - ถอดออกทันทีถาสารเคมีหกรด
h อุปกรณปองกันตา
ไดแก กอกเกอร, แวนตานิรภัยมีกระบังขางหรือกระบังหนา ควรสวม ใสทุกครั้ง เมื่อเขาไปปฏิบัติงานในบริเวณที่มีระดับสารเคมีเกินมาตรฐานหรือในระดับที่อาจเปน อันตราย h ถุงมือกันสารเคมี เมื่อตองสัมผัสสารมีพิษ
-
h
เลือกชนิดที่เหมาะสมกับสารเคมีนั้น ตรวจสอบถุงมือกอนสวมใสทุกครั้ง ลางถุงมือกอนถอด เปลี่ยนใหมเปนระยะ ๆ
หนากากกรองอากาศ ใชเมื่อจําเปนตองปฏิบัติงานในบริเวณที่มีระดับสารเคมีเกิน มาตรฐาน - ผูใชตองมั่นใจวาไมมีผลตอสุขภาพ - ผูใชตองไดรับการอบรมวิธีการใชอยางถูกตองและวิธีบํารุงรักษาอุปกรณ
h อุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลอื่น ๆ ที่จําเปน
มาตรการในการปฏิบัติงาน h การเก็บสารเคมี
ควรเก็บไวในที่เย็น อากาศถายเทดีมีพัดลมระบายอากาศ และไมสัมผัส กับแสงอาทิตยโดยตรง
h เครื่องใชไฟฟาและอุปกรณไฟฟาทุกชนิดในหองปฏิบัติงานเกี่ยวกับสารเคมี ควรเปนชนิด
ปองกันประกายไฟที่ทําใหระเบิดได (Explosion Proof) และควรมีสายไฟตอลงดิน
h สําหรับสารเคมีที่มีพิษ ควรจะติดตั้งระบบดูดอากาศเฉพาะที่
192
h หลังปฏิบัติงานตองทําความสะอาดพื้นที่ปฏิบัติงานทุกครั้ง h จัดเก็บพื้นที่ปฏิบัติงานใหสะอาดและเปนระเบียบเรียบรอย h หามปฏิบัติงานคนเดียวในพื้นที่ที่สารเคมีอันตรายมาก ใหใชระบบ Two Person Rule h การกําจัดของเสีย จะตองจัดภาชนะที่ปลอดภัย และนําไปทิ้งในที่ที่ปลอดภัยทุกกะ
ปฏิบัติการฉุกเฉิน (Emergency Procedures) h กรณีที่สารเคมีกระเด็นเขาตา มีขอควรปฏิบัติดังนี้
- ไปที่บริเวณอางลางตาฉุกเฉินที่ใกลที่สุดทันที - ลางตาดวยน้ํา โดยใหน้ําผานตานานอยางนอย 15 นาที ผานตา - พบปรึกษาแพทย/พยาบาล ทันที
(เบิกตาตลอดเวลาขณะที่น้ํา
h กรณีที่สารเคมีกระเด็น/หกรดผิวหนังหรือรางกาย
ลางบริเวณที่สัมผัสกับสารเคมีดวยน้ํา นานอยางนอย 15 นาที แลวถอดเสื้อผาที่ถูกสารเคมี ออกทันที (กรณีรุนแรงใหลางน้ําอีกครั้ง หลังจากถอดเสื้อผาที่ปนเปอนแลว) h กรณีเกิดไฟไหม หรือการรั่วไหลของสารเคมี
- ใหปฏิบัติตามแผนฉุกเฉินขององคกร โดยจะตองมีแผนฉุกเฉินของกรณีไฟไหมดวย
193
194
หมายเหตุ : ขนาดของฉลากขางภาชนะบรรจุขึ้นอยูกับปริมาตรของภาชนะ ดังตารางตอไปนี้
ปริมาตรของภาชนะบรรจุ (V)
ขนาดเล็กที่สุดของฉลาก
V < 0.5 ลิตร 0.5 ลิตร < V < 1 ลิตร 1 ลิตร < V < 10 ลิตร 10 ลิตร < V < 50 ลิตร < 50 ลิตร
37 มม. X 52 มม. 52 มม. X 74 มม. 74 มม. X 105 มม. 105 มม. X 148 มม. 148 มม. X 210 มม.
1
บทที่ 8 กฎกระทรวงอุตสาหกรรม และกฎหมายที่เกี่ยวของกับความปลอดภัย ในการทํางานดานตาง ๆ กฎหมายโรงงานที่สําคัญ คือ พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 ซึ่งแบงสาระสําคัญไดเปน 4 สวน คือ การอนุญาตโรงงาน นโยบายเศรษฐกิจ ความปลอดภัย – อนามัย และสิ่งแวดลอม บทความนี้ จะกลาวเฉพาะบทบัญญัติที่เกี่ยวของกับความปลอดภัย และอนามัย โดยมีคําอธิบายตัว บทเพื่อเปนแนวทางดานปฏิบัติดวย บทบัญญัติที่เกี่ยวของกับการปองกันอุบัติเหตุอันตราย และการเสริมสรางความปลอดภัยในโรงงาน อุตสาหกรรม ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2512 ไดแก มาตรา 27 ในกรณีมีอุบัติเหตุในโรงงานเนื่องจากโรงงานหรือเครื่องจักรของโรงงานถาอุบัติเหตุนั้น (1) เปนเหตุใหบุคคลถึงแกความตาย หรือเจ็บปวยซึ่งภายหลังเจ็ดสิบสองชั่วโมงแลวยัง ไมสามารถทํางานในหนาที่เดิมได ใหผูรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแจงเปนหนังสือใหพนักงาน เจาหนาที่ทราบภายในสามวันนับแตวันตาย หรือวันครบกําหนดเจ็ดสิบสองชั่วโมงแลวแตกรณี (2) เปนเหตุใหโรงงานตองหยุดดําเนินงานเกินกวาเจ็ดวัน ใหผูรับใบอนุญาตประกอบ กิจการโรงงานแจงเปนหนังสือใหพนักงานเจาหนาที่ทราบภายในสิบวันนับแตวนั เกิดอุบัติเหตุ
คําอธิบาย เมื่อเกิดอุบัติเหตุในโรงงานอันเนื่องมาจากการประกอบกิจการ อาคารโรงงาน หรือเครื่องจักร ผูรับ ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (เจาของโรงงาน หรือผูจัดการตามทะเบียนนิติบุคคล) จะตองแจงเปน หนังสือ (ในลักษณะของรายงาน) ใหกรมโรงงานอุตสาหกรรมไดทราบภายในเวลาที่กําหนดไว แยกไดเปน 2 กรณี คือ 1. กรณีที่อุบัติเหตุนั้น ทําใหมีคนถึงแกความตาย หรือ ทําใหมีผูเจ็บปวยไมสามารถทํางานในหนาที่ เดิมไดเกินกวา 3 วัน หรือ 72 ชั่วโมง ซึ่งอาจเปนกรณีที่ผูบาดเจ็บตองหยุดงานไป หรือพักรักษาตัวใน สถานพยาบาล หรือถูกสับเปลี่ยนไปทํางานในหนาที่อื่นมากกวา 3 วันติดตอกัน เจาของโรงงานหรือผูจัดการ มีหนาที่ตองแจงการเกิดอุบัติเหตุนั้น โดยรายงานเปนหนังสือใหกรมโรงงานอุตสาหกรรมไดทราบภายใน 3 วัน นับแตวันตาย หรือในวันที่สี่ของการหยุดงานครบ 3 วัน แลวแตกรณี 2. กรณีที่เกิดอุบัติเหตุโดยไมทําใหมีคนบาดเจ็บหรือตาย แตทําใหโรงงานตองหยุดดําเนินงานเกินกวา 7 วัน ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากเครื่องจักรหรืออุปกรณบางอยางชํารุดเสียหายตองหยุดซอมแซมแกไข หรือทําให
2 เกิดปญหาในขบวนการผลิต หรือเกิดอัคคีภัยเจาของโรงงานหรือผูจัดการก็ตองแจงเปนหนังสือโดยทํารายงาน เกี่ยวกับอุบัติเหตุใหกรมโรงงานอุตสาหกรรมไดทราบภายในเวลา 10 วัน นับตั้งแตวันที่เกิดอุบัติเหตุนั้น มาตรา 28 ในกรณีโรงงานเกิดอุบัติเหตุตามมาตรา 27 และ พนักงานเจาหนาที่ไดเขาตรวจโรงงาน และเครื่องจักรแลว เห็นวาโรงงานและเครื่องจักรนั้นไมอาจซอมแซมใหอยูในสภาพที่จะใชการไดโดย ปลอดภัยใหพนักงานเจาหนาที่รายงานตอปลัดกระทรวงหรือผูซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมายใหออกใบอนุญาต เพื่อพิจารณาสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานเมื่อมีคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ โรงงานแลวใหแจงใหผูรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทราบ คําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ใหอุทธรณตอรัฐมนตรีไดภายในสิบหาวันนับแต วันที่ไดทราบคําสั่ง คําวินิจฉัยของรัฐมนตรีใหเปนที่สุด ถาผูซึ่งถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามวรรคหนึ่งประสงคจะตั้งโรงงานขึ้นใหม แทนโรงงานเดิม ใหดําเนินการเสมือนผูขออนุญาตตั้งโรงงานใหม และถาไดขออนุญาตภายในหนึ่งรอยแปด สิบวัน นับแตวันที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตแลว มิใหนํามาตรา 33 มาใชบังคับ ในการพิจารณาการขออนุญาตตามวรรคสาม ถาปลัดกระทรวงหรือผูซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมาย ให อ อกใบอนุ ญ าตเห็ น ว า การขออนุ ญ าตดั ง กล า วเป น ไปตามหลั ก เกณฑ วิ ธี ก ารและเงื่ อ นไขที่ เ คยได รั บ ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานเดิม ก็ใหออกใบอนุญาตตั้งโรงงานและใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ใหโดยมิชักชาแตสถานที่ตั้งโรงงานนั้นหากไมอาจอนุญาตใหตั้งในสถานที่เดิมได จะอนุญาตใหตั้งในสถานที่ อื่นได
คําอธิบาย เมื่ อ เกิ ด อุ บั ติ เ หตุ ใ นโรงงานอุ ต สาหกรรม อั น ทํ า ให มี ผู ถึ ง แก ค วามตาย หรื อ ต อ งหยุ ด งานเพื่ อ รักษาพยาบาลเกินกวา 3 วัน หรือทําใหโรงงานตองหยุดดําเนินงานมากวา 7 วันตามมาตรา 27 แลวเมื่อกรม โรงงานอุ ต สาหกรรมได ท ราบเรื่ อ งราวการเกิ ด อุ บั ติ เ หตุ ก็ จ ะมอบหมายให พ นั ก งานเจ า หน า ที่ ต าม พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2518 ไดเขาตรวจโรงงานและเครื่องจักร หากการตรวจสอบโรงงานพบวา อาคารโรงงานและเครื่องจักรนั้นไมอาจจะทําการซอมแซมแกไขให มีสภาพใชงานไดดังเดิมหรือใชไดอยางปลอดภัยแลว พนักงานเจาหนาที่ผูตรวจโรงงาน จะตองทํารายงาน เสนอใหมีการพิจารณาสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานนั้น หากปลัดกระทรวงหรือผูไดรับ มอบหมายใหออกใบอนุญาตพิจารณาแลวเห็นชอบ และมีคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานที่เกิดอุบัติเหตุนั้น ก็จะสิ้นสภาพการเปนโรงงานตามกฎหมาย หากโรงงานประสงคจะประกอบกิจการตอไป ก็ตองดําเนินการ เสมือนผูขออนุญาตตั้งโรงงานใหมในกรณีที่โรงงานไมพอใจคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็สามารถอุทธรณตอ รัฐมนตรีวาการกระทรวงอุตสาหกรรมได และหากวาถูกเพิ กถอนใบอนุ ญาตแลวและทําเรื่องของจัดตั้ง โรงงานใหมภายใน 180 วัน ก็จะไมตองถูกบังคับโดยมาตรา 33 ซึ่งระบุวา “เพื่อประโยชนในทางเศรษฐกิจ
3 ของปรเทศใหรัฐมนตรีมีอํานาจประกอบในราชกิจจานุเบกษา โดยไดรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ใน เรื่องดังตอไปนี้ 1. กําหนดจํานวนโรงงานแตละประเภทหรือชนิดที่จะอนุญาตใหจัดตั้งหรือขยาย หรือที่จะไมอนุญาต ใหจัดตั้งหรือขยายในทองที่ใดทองที่หนึ่ง 2. กําหนดชนิด คุณภาพ อัตราสวนของวัตถุดิบหรือแหลงกําเนิดของวัตถุดิบ ที่จะนํามาใชหรือผลิต ในโรงงานที่จะอนุญาตใหจัดตั้ง หรือขยาย 3. กําหนดชนิดหรือคุณภาพของสินคาที่ผลิตในโรงงานที่จะอนุญาตใหจัดตั้งหรือขยาย 4. กําหนดใหนําผลผลิตของโรงงานที่จะอนุญาตใหจัดตั้งหรือขยายไปใชในอุตสาหกรรมบาง ประเภทหรือใหสงผลผลิตออกนอกราชอาณาจักรทั้งหมดหรือบางสวน ดังนั้น แมวาในระยะเวลาดังกลาวจะไดมีประกาศตามมาตรา 33 นี้ใชบังคับอยูและโรงงานที่ขอจัดตัง้ ใหม เนื่องจากถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามมาตรา 28 จะไดเขาขายในประกาศนั้นก็ตาม แตก็ยกเวนไดตาม วรรคสามของมาตรา 28 แตหากวาไมไดดําเนินการขอจัดตั้งภายใน 180 วัน ก็จะตองถูกบังคับดวยมาตรา 33 ดวย
มาตรา 35 โรงงานใดที่กอใหเกิดอันตรายอยางรายแรงแกสาธารณชนใหปลัดกระทรวงหรือผูซึ่ง ปลัดกระทรวงมอบหมายใหออกใบอนุญาตสั่งใหผูรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานนั้นหยุดประกอบ กิจการโรงงานทั้งหมดหรือบางสวนเปนการชั่วคราว และปรับปรุงแกไขโรงงานนั้นเสียใหมใหเสร็จภายใน ระยะเวลาที่กําหนด
4 เมื่อพนระยะเวลาดังกลาวแลว ถาผูรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานปรับปรุงแกไขโรงงาน แลว ใหปลัดกระทรวงหรือผูซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมายใหออกใบอนุญาตสั่งใหประกอบกิจการโรงงาน ตอไปได ถาผูรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานไมปรับปรุงแกไขหรือไมสามารถปรับปรุงแกไขโรงงานให ปลอดภัยแกสาธารณะชนใหปลัดกระทรวงหรือผูซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมายใหออกใบอนุญาตรายงานตอ รัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งยายโรงงานทั้งหมดหรือบางสวนภายในระยะเวลาที่กําหนดจากทองที่นั้นไปยังทองที่ อื่นซึ่งจะไมทําใหเกิดอันตรายอยางรายแรงแกสาธารณชน คําวินิจฉัยของรัฐมนตรีใหเปนที่สุด เมื่อไดรับคําสั่งใหยายโรงงานแลว ใหผูรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานดําเนินการเสมือนผูขอ อนุญาตตั้งโรงงานใหม แตใหไดรับการยกเวนไมตองเสียคาธรรมเนียมใบอนุญาตตั้งโรงงานและใบอนุญาต ประกอบกิจการโรงงานที่ออกใหใหมนั้น ในกรณี ที่ มี คํ า สั่ ง ย า ยโรงงาน ถ า ผู รั บ ใบอนุ ญ าตประกอบกิ จ การโรงงานไม ย า ยโรงงานภายใน ระยะเวลาที่กําหนด ใหปลัดกระทรวงหรือผูซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมายใหออกใบอนุญาตสั่งเพิกถอน ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานนั้นดวย
คําอธิบาย มาตรา 35 หมายถึงโรงงานที่กอใหเกิดอันตรายาอยางรายแรงแกสาธารณชน ไดแก โรงงานที่ปลอย สารพิษออกนอกโรงงาน ปลัดกระทรวงหรือผูซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมายใหออกใบอนุญาตก็จะสั่งการให โรงงานหยุดดําเนินงานทั้งหมดหรือเฉพาะบางขบวนการผลิตเปนที่กอใหเกิดอันตรายนั้นเปนการชั่วคราว เพื่อใหโรงงานไดแกไขปรับปรุงใหปลอดภัยภายในเวลาที่กําหนด ในกรณีที่เปนอันตรายรายแรงถึงขนาด และโรงงานไมสามารถแกไขไดก็จะถูกสั่งยายโรงงานทั้งหมด หรือบางสวนไปตั้งในทําเลที่เหมาะสมตอไป หรืออาจถึงขั้นถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตจนสิ้นสภาพโรงงาน ตามกฎหมาย มาตรา 36 เพื่อปฏิบัติการใหเปนไปตามพระราชบัญญัตินี้ใหพนักงานเจาหนาที่มีอํานาจดังตอไปนี้ (1) เขาไปในอาคารสถานที่หรือยานพาหนะที่พนักงานเจาหนาที่มีเหตุควรสงสัยวาจะเปนโรงงานที่ ไมไดรับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ (2) เขาไปในโรงงานในระหวางเวลาทําการเพื่อตรวจสภาพโรงงาน อาคาร หรือสถานที่ สภาพ เครื่องจักร บริเวณโรงงาน บริเวณอาคารหรือสถานที่ และอื่น ๆ เพื่อปองกันความรําคาญหรืออันตรายอันอาจ กอใหเกิดแกบุคคลหรือทรัพยสิน
5 (3) ออกคําสั่งเปนหนังสือใหผูรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานจัดการเปลี่ยนแปลงซอมแซม เกี่ยวกับโรงงานหรือเครื่องจักร หรือเกี่ยวกับการอื่นที่กอใหเกิดความรําคาญ หรืออันตรายแกบุคคลหรือ ทรัพยสินใหแลวเสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนด (4) ออกคําสั่งเปนหนังสือใหผูรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานหยุดประกอบกิจการโรงงาน ทั้งหมด หรือบางสวนจนกวาจะไดปรับปรุงแกไขโรงงานใหเปนที่ปลอดภัยหรือเปนไปตามประกาศของ รัฐมนตรี ในกรณีการประกอบกิจการโรงงานอาจกอใหเกิดอันตรายแกบุคคลหรือทรัพยสินหรือในกรณีที่ ผูรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานไมขจัดเหตุรําคาญ ไมกําจัดสิ่งปฏิกูล ไมจัดระบบระบายน้ําทิ้ง หรือ ระบบระบายอากาศใหถูกตองตามประกาศของรัฐมนตรี (5) นําตัวอยางผลิตภัณฑที่สงสัยเกี่ยวกับคุณภาพในปริมาณพอสมควรเพื่อตรวจสอบคุณภาพพรอม กับเอกสารที่เกี่ยวของ (6) ยึดผลิตภัณฑหรือภาชนะบรรจุที่อาจกอใหเกิดอันตรายแกบุคคล หรือทรัพยสิน (7) ผูกมัดประทับตราเครื่องจักรเพื่อมิใหเครื่องจักรทํางานไดในกรณีที่ผูรับใบอนุญาตประกอบ กิจการโรงงานไมปฏิบัติตามคําสั่งของพนักงานเจาหนาที่ซึ่งสั่งตาม (3) หรือ (4) ทั้งนี้ตองไดรับอนุมัติจาก ปลัดกระทรวง หรือผูซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมายใหออกใบอนุญาต
คําอธิบาย มาตรา 36 เปนบทบัญญัติที่กําหนดถึงอํานาจของพนักงานเจาหนาที่ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2518 เพื่อควบคุมโรงงานใหปฏิบัติการตามกฎหมาย มาตรา 36 (2) , (3) และ (4) เปนมาตรการทางกฎหมายในการปองกันอุบัติเหตุอันตรายและ เสริมสรางความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม โดยใหอํานาจพนักงานเจาหนาที่ในการตรวจโรงงานและ สั่งการแกไขปรับปรุงอาคารโรงงาน เครื่อง และสภาพการณตาง ๆ ที่ไมปลอดภัยตอการทํางาน อันจะ กอใหเกิดอันตรายหรือความเสียหายแกบุคคลและทรัพยสินได มาตรา 39 ผูรับใบอนุญาตประกอบการโรงงานมีหนาที่กระทําดังตอไปนี้ (1) รักษาโรงงานใหมั่นคงแข็งแรงและมีสภาพอันปลอดภัยอยูเสมอ ตลอดจนดูแลรักษาเครื่องจักรให มีสภาพมั่นคงและแข็งแรงปลอดภัยเหมาะแกการใช (2) จัดใหโรงงานมีทางออกฉุกเฉินพอเพียงกับจํานวนคนงาน (3) จัดใหมีสัญญาณแจงเหตุอันตราย (4) จัดใหมีเครื่องดับเพลิง หรือสิ่งอื่นที่ใชในการดับเพลิงจํานวนเสพียงพอแกสภาพขนาดหรือ ลักษณะการประกอบกิจการโรงงาน ตลอดจนไดจัดใหมีการปองกันอัคคีภัยโดยวิธีอื่นดวย (5) จัดโรงงานใหถูกตองตามสุขลักษณะและอนามัย
6 (6) จัดใหมีการกําจัดสิ่งปฏิกูลการระบายน้ําทิ้งและการระบายอากาศ (7) จัดใหมีแสงสวางพอเพียงแกการทํางาน (8) จัดสถานที่ทํางานใหพอเพียงและเหมาะสมกับจํานวนคนงาน เครื่องจักร วัตถุดิบและ วัตถุสําเร็จรูป (9) จัดใหมีเครื่องมือในการปฐมพยาบาล (10) จัดใหมีสวมและที่ปสสาวะอันถูกตองตามสุขลักษณะตลอดจนสถานที่สําหรับทําความสะอาด รางกาย
(11) จัดใหมีน้ําสะอาดสําหรับดื่ม (12) จัดใหมีการปองกันอุบัติเหตุ หรืออันตรายที่อาจเกิดจากเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่อง เคลื่อนยาย หยิบยกหรือลําเลียงพัสดุ สายไฟฟา ทอไอน้ําหรือวัตถุอันเปนสื่อสงกําลังในโรงงานโดยจัดใหมี รั้ว เครื่องกั้นหรือเครื่องปองกันอยางอื่นเพื่อความปลอดภัย (13) จัดใหมีการเก็บและใชโดยปลอดภัยเกี่ยวกับวัตถุมีพิษ วัตถุเคมี วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด หรือ วัตถุอื่นที่อาจเปนอันตรายหรือที่อาจทําใหเกิดฝุนละออง ความรอนแสงหรือเสียงซึ่งเปนอันตรายในการ ปฏิบัติงานในหนาที่ที่เกี่ยวกับวัตถุนั้น ๆ ทั้งนี้ ภายใตบังคับกฎหมายวาดวยการนั้นตลอดจนจัดใหมีวิธีปองกัน และเครื่องปองกันมิใหเกิดอันตรายแกคนงานซึ่งปฏิบัติหนาที่นั้น ๆ ดวย (14) ประกอบกิจการโรงงานมิใหเกิดเหตุรําคาญตามกฎหมายวาดวยสาธารณสุข (15) จัดทํารายงานเกี่ยวกับปริมาณการผลิตและการจําหนายของโรงงาน (16) จัดใหมีการกระทําอยางอื่นตามที่รัฐมนตรีกําหนด ทั้งนี้ ใหเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
7
คําอธิบาย มาตรา 39 เปนบัญญัติที่กําหนดหนาที่ของผูรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (เจาของโรงงาน หรือผูจัดการตามทะเบียนนิติบุคคล) ซึ่งจะตองดําเนินการเพื่อใหเกิดความปลอดภัยและสุขลักษณะอนามัย ภายในโรงงานอุตสาหกรรมของตนเอง โดยกําหนดเปนหนาที่หลักจํานวน 16 ขอ สวนรายละเอียดใน ลักษณะของมาตรฐานหรือเกณฑบังคับขั้นต่ําไดกําหนดไวชัดเจนในประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2513) , ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2514) , ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2525) , ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2528) (1) ประกาศกระทรวง อุตสาหกรรมที่กลาวนี้ไดทําเปน “หลักเกณฑและวิธีการทั่วไป” สําหรับผูประกอบกิจการโรงงาน จะได ยึดถือเปนแนวทาง หรือมาตรฐานขั้นต่ําที่จะตองปฏิบัติตามมาตรา 39 แบงเปน 14 หมวด ดังนี้ หมวดที่ 1 การรักษาโรงงาน และเครื่องจักร หมวดที่ 2 ทางออกฉุกเฉินในโรงงาน หมวดที่ 3 สัญญาณแจงเหตุอันตราย หมวดที่ 4 เครื่องดับเพลิงหรือสิ่งที่ใชในการดับเพลิงและการปองกันอัคคีภัย หมวดที่ 5 การกําจัดสิ่งปฏิกูลการระบายน้ําทิ้ง และการระบายอากาศ หมวดที่ 6 แสงสวางในการทํางาน หมวดที่ 7 การจัดสถานที่ทํางาน หมวดที่ 8 เครื่องมือในการปฐมพยาบาล หมวดที่ 9 สวม ที่ปสสาวะและสถานที่ทําความสะอาดรางกาย หมวดที่ 10 น้ําสะอาดสําหรับดื่ม หมวดที่ 11 การจัดโรงงานใหถูกตองตามสุขลักษณะและอนามัย หมายเหตุ (1) จัดพิมพในวารสารโรงงาน ปที่ 4 ฉบับที่ 3 กุมภาพันธ – พฤษภาคม 2528 หมวดที่ 12 การปองกันอุบัติเหตุหรืออันตรายจากเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องเคลื่อนยายหยิบยก หรือลําเลียงวัสดุ สายไฟฟา ทอไอน้ํา หรือวัตถุอันเปนพิษในโรงงาน หมวดที่ 13 การเก็บและการใชวัตถุมีพิษ วัตถุเคมี วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด และวัตถุอื่นที่อาจเปน อันตราย หรืออาจทําใหเกิดฝุนละออง ความรอน แสงหรือเสียง ซึ่งเปนอันตรายในการปฏิบัติงานกับวิธีการ ปองกัน และเครื่องปองกันมิใหเกิดอันตรายแกคนงาน หมวดที่ 14 การประกอบกิจการโรงงานมิไดเกิดเหตุรําคาญ
8
พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ใหไว ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ พ.ศ. 2512 เปนปที่ 24 ในรัชกาลปจจุบัน
9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกลา ฯ ใหประกาศ วา โดยที่เปนการสมควรปรับปรุงกฎหมายวาดวยโรงงาน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา ฯ ใหตราพระราชบัญญัติขึ้นไว โดยคําแนะนําและยินยอมของรัฐสภา ดังตอไปนี้ มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกวา “ พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 “ มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ใหใชบังคับเมื่อพนกําหนดเกาสิบวันนับแตวันประกาศในราช-กิจจา นุเบกษาเปนตนไป มาตรา 3 ใหยกเลิก (1) พระราชบัญญัติโรงงาน พุทธศักราช 2482 (2) พระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503 ความในมาตรา 4 เดิม ถูกยกเลิกโดยมาตรา 3 แหง พ.ร.บ.โรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2518 และใชความใหมแทนดังตอไปนี้ “มาตรา 4 พระราชบัญญัตินี้มิใหใชบังคับแกโรงงานของทางราชการที่ดําเนินงานโดยทางราชการ เพื่ อ ประโยชน แ ห ง ความมั่ น คงหรื อ ความปลอดภั ย ของประเทศ แต โ รงงานดั ง กล า วต อ งปฏิ บั ติ ต าม กฎกระทรวงที่วาดวย ที่ตั้งของโรงงาน การปองกันหรือระงับอันตรายที่อาจเกิดหรือเกิดแกบุคคลหรือ ทรัพยสินหรือเหตุรําคาญ การกําจัดสิ่งปฏิกูล การระบายน้ําทิ้ง หรือการระบายอากาศ” มาตรา 5 ในพระราชบัญญัตินี้ “โรงงาน” หมายความวา อาคารสถานที่หรือยานพาหนะที่ใชเครื่องจักรมีกําลังรวมตั้งแตสองแรงมา หรือกําลังเทียบเทาตั้งแตสองแรงมาขึ้นไป หรือใชคนงานตั้งแตเจ็ดคนขึ้นไป โดยใชเครื่องจักรหรือไมก็ตาม เพื่อใชสําหรับทํา ผลิต ประกอบ บรรจุ ซอม ซอมบํารุง ทดสอบ ปรับปรุง แปรสภาพ หรือทําลายสิ่งใด ๆ ทั้งนี้ตามประเภทหรือชนิดของโรงงานที่กําหนดในกฎกระทรวง “เครื่องจักร” หมายความวา สิ่งที่ประกอบดวยชิ้นสวนหลายชิ้นสําหรับใชกอกําเนิดพลังงานเปลี่ยน หรือแปลงสภาพพลังงาน หรือสงพลังงาน ทั้งนี้ ดวยกําลังน้ํา ไอน้ํา เชื้อเพลิง ลม กาซ ไฟฟา หรือพลังงานอื่นอยางใดอยางหนึ่ง หรือหลายอยางรวมกัน และหมายความรวมถึงเครื่องอุปกรณ ไฟลวีล ปุล เล สายพาน เพลา เกียร หรือสิ่งอื่นที่ทํางานสนองกัน “คนงาน” หมายความวา ผูซึ่งทํางานในโรงงาน ทั้งนี้ ไมรวมถึงผูซึ่งทํางานฝายธุรการ “พนักงานเจาหนาที่” หมายความวา ผูซึ่งรัฐมนตรีแตงตั้งใหปฏิบัติการ ตามพระราชบัญญัตินี้ “ปลัดกระทรวง” หมายความวา ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม “รัฐมนตรี” หมายความวา รัฐมนตรีผูรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ความในมาตรา 6 เดิม ถูกยกเลิกโดยมาตรา 4 แหง พ.ร.บ. โรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2518 และใช ความใหมแทนดังตอไปนี้
10 “มาตรา 6 รัฐมนตรีมีอํานาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากําหนดโรงงานใด ๆ ที่มีลักษณะตอง ตามที่ระบุตอไปนี้ ใหไดรับยกเวนจากปฏิบัติตามบทบัญญัติแหงพระราชบัญญัตินี้ทั้งหมด หรือแตบางสวน นอกจากในสวนที่เกี่ยวกับการควบคุมปองกันหรือระงับอันตรายที่อาจเกิดหรือเกิดแกบุคคลหรือทรัพยสิน หรือเหตุรําคาญ การกําจัดสิ่งปฏิกูล การระบายน้ําทิ้ง หรือการระบายอากาศ คือ (1) โรงงานที่มีวัตถุประสงคเพื่อการศึกษาวิจัยสําหรับการพัฒนาอุตสาหกรรม (2) โรงงานของสถาบันการศึกษาที่ตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงคในการฝกอบรมนักศึกษา (3) โรงงานที่ดําเนินงานเพียงเปนอุปกรณที่จําเปนสําหรับการอื่นซึ่งมิใชกิจการโรงงาน (4) โรงงานที่ดําเนินงานอันมีลักษณะเปนอุตสาหกรรมในครอบครัว หรือ (5) โรงงานที่ดําเนินงานอันมีลักษณะไมอานเปนอันตรายหรือรําคาญแกผูใด ประกาศดังกลาวจะกําหนดหลักเกณฑ วิธีการและเงื่อนไขดวยก็ได ในกรณีที่เปนการประกาศใหโรงงานใดไดรับยกเวนในสวนที่เกีย่ วกับการขอรับใบอนุญาต ใหถือวาผูประกอบกิจการโรงงานเปนผูรับใบอนุญาตในสวนอื่นที่มิไดรับยกเวน” มาตรา 7 ใหรัฐมนตรีวาการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และใหมีอํานาจแตงตั้ง พนักงานเจาหนาที่กับออกกฏกระทรวงกําหนดคาธรรมเนียมไมเกินอัตราทายพระราชบัญญัตินี้ และกําหนด กิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฏกระทรวงนั้น เมื่อไดประกาศในราชกิจจานุเบกษาแลวใหใชบังคับได
กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2512) ออกตามความพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 อาศัยอํานาจตามความใจมาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 12 และมาตรา 21 แหงพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 รัฐมนตรีวาการกระทรวงอุตสาหกรรมออกกฏกระทรวงไว ดังตอไปนี้ ขอ 1 ผูใดประสงคจะขออนุญาตตั้งโรงงาน หรือผูรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ผูใด ประสงคจะขยายโรงงาน ใหยื่นคําขอตามแบบ ร.ง. 1 ทายกฏกระทรวงนี้ พรอมดวยแผนผังและรายการของ โรงงานและเครื่องจักรกับเอกสารครบถวนตามที่ระบุไวในแบบ ร.ง. 1
11 การยื่นคําขอรับใบอนุญาต ในจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี ใหทําคําขอเปน 2 ฉบับ ยื่นตอ กระทรวงอุตสาหกรรม ในจังหวัดอื่นใหยืนคําขอเปนสามฉบับ ยื่นตออําเภอทองที่ที่ตั้งโรงงานอยู หรือจะยื่น ตอกระทรวงอุตสาหกรรมก็ได ขอ 2 ใบอนุญาตตั้งโรงงาน ใหทําตามแบบ ร.ง. 2 ทายกฏกระทรวงนี้ ขอ 3 ใบอนุญาตขยายโรงงาน ใหทําตามแบบ ร.ง. 3 ทายกฏกระทรวงนี้ ขอ 4 ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานใหทําตามแบบ ร.ง. 4 ทายกฏกระทรวงนี้ ขอ 5 โรงงานตองตั้งอยูในทําเลที่เหมาะสมและมีบริเวณเพียงพอที่จะประกอบกิจการอุตสาห-กรรม ตามขนาดและประเภทหรือชนิดของโรงงาน โดยไมอาจกอใหเกิดอันตราย เหตุรําคาญ หรือความเสียหายตอ บุคคลหรือทรัพยสินของผูอื่น ขอ 6 โรงงานตองมีลักษณะดังตอไปนี้ (1) มั่นคงแข็งแรงและเหมาะสมและมีบริเวณเพียงพอที่จะประกอบกิจการอุตสาห-กรรมนั้น ๆ โดยมีคํารับรองของผูประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือวิศวกรอื่นที่กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นชอบในการคํานวณและออกแบบ (2) มีการระบายอากาศที่เหมาะสม โดยใหมีพื้นที่ประตู หนาตาง และชองลมรวมกัน โดย ไมนับที่ติดตอระหวางหองไมนอยกวา 1 ใน 10 สวนของพื้นที่ของหอง หรือมีการระบายอากาศไมนอยกวา 0.5 ลูกบาศกเมตรตอนาที ตอคนงาน 1 คน (3) มีประตูหรือทางออกใหพอกับจํานวนคนในโรงงานที่จะหลบหนีภัยออกไปไดทันทวงที เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นอยางนอยสองแหง อยูหางกันพอสมควร บานประตูตองเปนแบบผลักเปดออกไดงาย และมีบันไดระหวางชั้นอยางนอยสองแหง อยูหางกันพอสมควร (4) ระยะดิ่งระหวางพื้นถึงเพดานโดยเฉลี่ยตองไมนอยกวา 3.50 เมตร เวนแตจะมีการ จัดระบบปรับอากาศ แตระยะดิ่งดังกลาวตองไมนอยกวา 3.00 เมตร (5) บันไดตองมั่นคงแข็งแรง มีลักษณะ ขนาด และจํานวนที่เหมาะสมกับอาคารโรงงาน และการประกอบกิจการอุตสาหกรรมนั้น ๆ ขั้นบันไดตองไมลื่นและมีชองระยะเทากันโดยตลอด (6) บันได และพื้นหรือทางเดินที่อยูสูงจากระดับพื้นตั้งแต 1.50 เมตรขึ้นไปอยางนอยตอง มีราวที่มั่นคงแข็งแรงและเหมาะสม ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมอาจกําหนดใหมีสวนประกอบอื่นเพื่อ ปองกันอันตรายหรือยกเวนการจัดใหมีราวดังกลาวได (7) พื้นตองมั่นคงแข็งแรง ไมขรุขระหรือมีน้ําขัง หรือลื่น อันอาจกอใหเกิดอุบัติเหตุได งาย (8) บริเวณหรือหองทํางานตองออกแบบใหมีพื้นที่ไมนอยกวา 3 มาตรงเมตร ตอ คนงาน 1 คน (9) วัตถุที่ใชในการกอสรางตองเหมาะสมกับการประกอบกิจการอุตสาหกรรม ตามขนาด และประเภทหรือชนิดของโรงงานรวมทั้งที่ไมกอใหเกิดการลุกลามของอัคคีภัย
12 (10) ในกรณีที่มีลิฟต ลิฟตตองมีสวนปลอดภัยไมนอยกวาที่เทาของน้ําหนักที่กําหนดใหใช ทั้งนี้ โดยถือวาคนที่บรรทุกมีน้ําหนัก 70 กิโลกรัมตอหนึ่งคนและตองเปนแบบที่จะเคลื่อนที่ไดก็ตอเมื่อประตู ไดปดแลว กับตองมีทางออกฉุกเฉินดวย ลิฟตตองมีปายระบุจําจํานวนคนหรือน้ําหนักที่จะบรรทุกได ให เห็นไดงาย และชัดเจน (11) จัดใหมีสายลอฟาตามความจําเปนและเหมาะสม (12) จัดใหมีที่เก็บรักษาวัตถุหรือสิ่งของที่อาจกอใหเกิดอันตรายหรืออัคคีภัยไดงายไวในที่ ปลอดภัย ขอ 7 เครื่องจักรตองมีลักษณะดังตอไปนี้ (1) มั่นคงแข็งแรงและเหมาะสม โดยมีคํารับรองของผูประกอบวิชาชีพวิศวกรควบคุม หรือวิศวกรอื่นที่กระทรวงอุตสหกรรมเห็นชอบในการคํานวณออกแบบและวางแผนติดตั้งและใชเครื่องจักร ใหมีความปลอดภัยและไมกอใหเกิดความสั่นสะเทือน เสียง หรือคลื่นวิทยุ รบกวนผูอยูอาศัยใกลเคียง (2) มีเครื่องปองกันอันตรายอันอาจเกิดจากสวนที่เคลื่อนไหวของเครื่องจักรตามความจําเปน และเหมาะสม (3) บอหรือถังเปดที่ทํางานสนองกันกับเครื่องจักรที่อาจเปนอันตรายในการปฏิบีติงานของ คนงานตองมีขอบหรือราวกั้นแข็งแรง ปลอดภัย ทางดานที่คนเขาถึงไดสูงไมนอยกวา 100 เซนติเมตร จาก ระดับพื้นที่ติดกับบอหรือถังนั้น (4) หมอน้ําและการติดตั้งหมอน้ํา ตองมั่นคงแข็งแรงปลอดภัยในการใชงาน และมี สวนประกอบที่จําเปนตามหลักวิชาการที่ยอมรับกัน (5) เครื่องอัดกาซ (Compressor) และภาชนะที่จะใชกับงานที่มีความกดดันแตกตางจาก บรรยากาศ ตองเปนแบบที่แข็งแรงทนทาน เหมาะสมกับงานนั้น และมีสวนประกอบในตําแหนงที่จําเปน ตามหลักวิชาการที่ยอมรับกัน (6) การเดินสายไฟฟาและการติดตั้งเครื่องยนตไฟฟา สวิทซไฟฟา และอุปกรณเครื่องไฟฟา อื่น ตองเปนไปตามหลักวิชาการที่ยอมรับกัน โดยมีคํารับรองของผูประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือ วิศวกรอื่นที่กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นชอบ (7) เครื่องยก (Crane and Hoist) และสวนที่รับน้ําหนักตอเนื่องกันตองมั่นคงแข็งแรงมี ลักษณะ ขนาด และจํานวนที่เหมาะสม และตองมีปายระบุน้ําหนักปลอดภัยสูงสุดที่จะใชยกของไดใหเห็นงาย และชัดเจน กับตองมีที่หามลอ ซึ่งสามารถจะหยุดน้ําหนักไดไมนอยกวาหนึ่งเทาครึ่งของน้ําหนักปลอดภัย สูงสุด และถาเปนเครื่องยกที่ใชไฟฟาตองมีอุปกรณสําหรับหยุดยก และตัดกระแสไฟฟาเมื่อยกน้ําหนักถึง ตําแหนงสูงสุดที่กําหนด (8) การติดตั้งทอ และอุปกรณสําหรับสงวัตถุทางทอตองเปนไปตามหลักวิชาการที่ยอมรับ กัน
13 (9) เครื่องลําเลียงขนสง (Conveyor) ซึ่งมีสายลําเลียงผานเหนือบริเวณซึ่งมีคนปฏิบัติงาน หรือทางเดิน ตองมีเครื่องปองกันของตกแบบแผนหรือตะแกรงกันดานขางและรองรับของตกตลอดได สาย ลําเลียงนั้น โดยใหอยูในลักษณะที่จะทําใหเกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงานสําหรับเครื่องลําเลียงขนสงทีม่ ี สายลําเลียงตางไปจากแนวระดับตองมีเครื่องบังคับที่ทําใหสายลําเลียงหยุดไดเองเมื่อเครื่องหยุดปฏิบัติงาน (9) โรงงานที่มีการระบายน้ําทิ้งตองมีวิธีการขจัดน้ําทิ้งที่ถูกตองและเหมาะสมพรอมทั้งมีแบบแปลน แผนผังและคําอธิบายโดยละเอียดแสดงวิธีการขจัดน้ําทิ้ง (Waste water treatment process) ซึ่งไม กอใหเกิดอันตราย ความเสียหายหรือเหตุเดือดรอนรําคาญ ใหไว ณ วันที่ 4 มิถุนายน 2512 พลโท พ. ปุณณกันต รัฐมนตรีวาการกระทรวงอุตสาหกรรม (86 ร.จ.3 ตอนที่ 50 (ฉบับพิเศษ) ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2512) หมายเหตุ เหตุผลในการประกาศใชกฏกระทรวงฉบับนี้ คือ เพื่อปฏิบัติใหเปนไปตาม มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 12 มาตรา 21 แหงพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 ซึ่งออกกฏกระทรวงขึ้นไว
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2514) ออกตามความพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 เรือ่ ง หนาที่ของผูรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 39 แหงพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 รัฐมนตรีวาการกระทรวงอุตสาหกรรม ออกประกาศกําหนดหลักเกณฑและวิธีการที่ผูรับใบอนุญาตประกอบ กิจการโรงงานทุกประเภทหรือชนิด มีหนาที่กระทําการตอจากที่กําหนดไวในประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2513) ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2513 ดังตอไปนี้
14
หลักเกณฑและวิธกี ารทั่วไป หมวดที่ 11 การจัดโรงงานใหถูกตองตามสุขลักษณะและอนามัย ออกโดยอาศัยอํานาจตามความใน (5) แหงมาตรา 39 ขอ 1 ตองจัดโรงงานใหสะอาดปราศจากสิ่งสกปรก รกรุงรัง และใหถูกสุขลักษณะและอนามัยตาม สภาพของโรงงานแตละประเภทหรือชนิด
หมวดที่ 12 การปองกันอุบัติเหตุหรืออันตรายจากเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องเคลื่อนยาย หยิบยก หรือลําเลียงวัสดุ สายไฟฟา ทอไอน้ํา หรือวัตถุอันเปนสื่อสงกําลังในโรงงาน ออกโดยอาศัยอํานาจตามความใน (12) แหงมาตรา 39 ขอ 2 เครื่องจักรใดที่ผูผลิตไดติดเครื่องปองกันอันตรายไวเพื่อความปลอดภัย หรือมีเครื่องจักร ปองกันอันตรายอยูในวันตรวจโรงงานและเครื่องจักร ตามมาตรา 12 ตองดูแลรักษาเครื่องปองกันอันตราย ของเครื่องจักรดังกลาวใหอยูในสภาพเชนนั้นเสมอ ขอ 3 ชิ้นสวนของเครื่องจักรที่มีการเคลื่อนไหวอันอาจจะเปนอันตรายตองมีเครื่องปองกันอันตราย ที่มั่นคงแข็งแรง และหามถอดยาย เปลี่ยนแปลงหรือซอมเครื่องปองกันอันตราย รวมทั้งอุปกรณและกลไกของ เครื่องปองกันอันตรายในขณะที่เครื่องจักรมีการเคลื่อนไหว ขอ 4 ไฟลวีลตองมีฝาครอบหรือตาขายเหล็ก ชองกวางไมมากกวา 5 เซนติเมตร ปดกันคนงานหรือ สิ่งของกระทบไฟลวีล เวนแตในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังตอไปนี้ (1) ไฟลวีลที่ในการใชงานปกติ หมุนไมเร็วกวา 500 รอบตอนาที จะจัดใหมีรั้วที่มั่นคง แข็งแรง กั้นสูงจากพื้นไมนอยกวา 100 เซนติเมตร มีลูกนอนอยางนอย 1 ลูกสูงจากพื้นไมมากกวา 30 เซนติเมตรและหางจากไฟลวีลไมนอยกวา 50 เซนติเมตรแทนก็ได (2) ไฟลวีลที่สูงจากพื้นที่ปฏิบัติงานหรือทางเดินลอดตั้งแต 250 เซนติเมตรขึ้นไป ซึ่งตองมี เครื่องปองกันอันตราย ก็ตอเมื่อพนักงานเจาหนาที่ออกคําสั่งเปนหนังสือใหจัดทํา (3) ในกรณีที่จําเปนตองใชคานสอดเพื่อหมุนไฟลวีลเมื่อจะเดินเครื่อง จะจัดใหมีชองไวที่ เครื่องปองกันอันตรายสําหรับสอดคานเขาไปก็ได (4) ในกรณีที่จําเปนตองใชคนหมุนไฟลวีลเมื่อจะเดินเครื่อง จะจัดใหมีชองปดเปดไวที่ เครื่องปองกันอันตราย เพื่อประโยชนแกการนั้นก็ได
15 ขอ 5 เครื่องตนกําลังกลทุกชนิด ยกเวนเครื่องยนตไฟฟา ตองมีเครื่องรักษาระดับความเร็วอัตโนมัติ (governor) ที่มีประสิทธิภาพดี ขอ 6 ตองจัดใหมีวิธีหยุดเดินเครื่องจักรไดในกรณีฉุกเฉิน จากที่ซี่งอยูหางจากสวนที่เคลื่อนไหว ของเครื่องจักรในระยะที่ปลอดภัยแกการปฏิบัติ ขอ 7 ถาจําเปนตองมีทางเดินขามเพลาหรือที่ยึดเพลา ทางเดินนั้นตองมีพื้นที่มั่นคงและมีราวกั้น อยางแข็งแรง ขอ 8 เพลา สายพาน ปุลเล และอุปกรณสงถายกําลังอื่น จะไมมีเครื่องปองกันอันตรายตามขอ ขางตนก็ได หากไดจัดใหอยูในบริเวณหรือหองเฉพาะ และปฏิบัติตามขอตอไปนี้ครบถวนทุกขอคือ (1) หองหรือบริเวณดังกลาวปดไมใหผูที่ไมมีหนาที่เกี่ยวของวเขาไป ตลอดเวลา ที่กําลังเดินเครื่องอยู (2) ควบคุมจากพื้นถึงเพดานหรือวัตถุอื่นใดเหนือทางเดินไมนอยกวา 170 เซนติเมตร (3) มีแสงสวางเพียงพอ พื้นแหงราบเรียบ ไมลื่นและมั่นคงแข็งแรง (4) มีเครื่องปองกันอันตรายตามทางเดินของชางเครื่อง ขอ 9 เพลาที่สูงจากพื้นที่ปฏิบัติงานหรือทางเดินไมมากวา 250 เซนติเมตร ตองมีเครื่องปองกัน อันตรายที่มั่นคงแข็งแรงอยางใดอยางหนึ่งดังนี้ (1) ครอบปดยาวตลอดตัวเพลาโดยรอบหรืออยางรอยที่สุดดานขางและดานบนหรือดานลาง ที่คนทํางานหรือสิ่งของอาจกระทบเพลาได (2) รั้วกั้นสูงจากพื้นไมนอยกวา 100 เซนติเมตร มีลูกนอนอยางนอย 1 ลูก สูงจากพื้นไม มากกวา 30 เซนติเมตร และหางจากเพลาไมนอยกวา 50 เซนติเมตร ขอ 10 ขอตอเพลา คลัช ปุลเล และสายพานหรือโซสงถายกําลังที่อยูสูงจากพื้นหรือพื้นที่ ปฏิบัติงานไมมากกวา 2.5 เมตร ตองมีเครื่องปองกันอันตรายอยางมั่นคงแข็งแรง ขอ 11 เกียรที่อยูในบริเวณที่อาจจะกอใหเกิดอันตรายได ตองมีเครื่องปองกันอันตรายอยางมั่นคง แข็งแรงอยางใดอยางหนึ่งดังตอไปนี้ (1) มีครอบปดคลุมหมด นอกเสียจากจานเกียรเปนแบบทึบจะใชครอบปดคลุมเฉพาะขอบ ตรงบริเวณพันเกียรก็ได (2) ถาเปนเกียรขนาดใหญ ตองทําคอกกั้นอยางมั่นคงแข็งแรง ขอ 12 ตองไมใชงานปุลเลที่มีสภาพไมมั่นคงแข็งแรง หรือมีรอยราว หรือขอบบิ่น แตกราว ขอ 13 ปุลเลที่มีความเร็วที่ขอบนอกมากกวา 1,200 เมตร ตอนาที ตองเปนปลุเลที่ไดสรางขึ้น ถูกตองตามหลักวิชาการเพื่อกิจการนั้นเปนพิเศษเทานั้น ขอ 14 ปุลเลที่ใชกับสายพานแบน ที่ไมมีการขยับเลื่อน ตองมีหนานูนเพื่อปองกันไมใหสายพาน หลุด
16 ขอ 15 ถาปุลเลอยูหางจากปุลเลตายหรือคลัชหรืออยางอื่น ๆ ไมมากกวาความกวางขอสายพาน ตองจัดใหมีเครื่องปองกันไมใหสายพานหลุดทางดานที่อยูใกลกับปลุเลตาย หรือคลัช หรืออื่น ๆ นั้น ขอ 16 ปุลเลที่ติดอยูที่ปลายเพลาลอยตองมีเครื่องปองกันไมใหสายพานหลุดออกนอกเพลาได ขอ 17 ถาสายพานหรือโซสงถายกําลังอยูสูงจากพื้นหรือพื้นที่ปฏิบัติงานไมมากกวา 250 เซนติเมตร ตองมีเครื่องปองกันดานขางสูงพนจากสวนบนของสายพานหรือโซสงถายกําลังไมนอยกวา 40 เซนติเมตร หรือสูง 250 เซนติเมตร จากพื้นหรือพื้นที่ปฏิบัติงานแลวแตวาอยางไหนจะนอยกวากัน แตตอง สูงไมนอยกวา 100 เซนติเมตร ทั้งนี้ เวนแตวาสายพานหรือโซสงถายกําลังจะมีครอบปดคลุมหมด ขอ 18 สายพานสงถายกําลังที่มีความกวางมากกวา 12 เซนติเมตร ความเร็วของสายพานตั้งแต 540 เมตรตอนาทีขึ้นไป และศูนยกลางปุลเลหางกันตั้งแต 300 เซนติเมตรขึ้นไป ถาอยูสูงจากพื้นหรือพื้นที่ ปฏิบัติงานมากกวา 250 เซนติเมตร ตองมีเครื่องปองกันดานลางตลอดความยาวของสายพาน ขอ 19 คันขยับสายพานตองมีเครื่องบังคับไมใหสายปนขามปุลเลไดเอง ขอ 20 ในอาคารโรงงานเดียวกัน คันขยับสายพานหรือคันขยับคลัช ตองขยับไปทางเดียวกันเมื่อ จะหยุดเครื่อง ยกเวนคันขยับสามตําแหนง ขอ 21 เครื่องจักรที่ไมไดขับเครื่องตนกําลังเฉพาะตัว ตองจัดใหมีคลัชปุลเลฟรีหรือวิธีการอื่นใดที่ เหมาะสม เพื่อใหหยุดหรือเดินเครื่องจักรนั้นเฉพาะตัวไดโดยสะดวกและปลอดภัย ขอ 22 สวิชตัดตอนของเครื่องยนตไฟฟา ตองเปนชนิดที่ไมอาจจะเปด-ปด ไดเมื่อมีการกระทบโดย บังเอิญ ขอ 23 ถาสวิชตัดตอนเปนแบบปุมกด ตองเปนแบบที่มีปุมกดเดินและปุมกดหยุดแยกกัน ปุมกด เดินตองเปนชนิดสีเขียวหรือดํา สวนปุมกดหยุดตองเปนชนิดสีแดง ขอ 24 เครื่องจักรที่ใชงานหลายคนปฏิบัติงานรวมกัน ตองมีเครื่องบังคับมิใหเครื่องจักรนั้น ปฏิบัติงานไดในขณะที่คนงานอยูในตําแหนงอันอาจจะเปนอันตรายได ขอ 25 ถาเครื่องจักรขับดวยเครื่องยนตไฟฟาหลายเครื่อง นอกจากมีสวิชตัดตอนเฉพาะเครื่องไฟฟา แตละเครื่องแลว ตองมีสวิชตัดตอนหยุดเครองยนตไฟฟาทั้งหมดพรอมกันดวย ขอ 26 เครื่องจักรขนาดใหญ ซึ่งสามารถจะเคลื่อนตอไปไดอีกดวยแรงเฉื่ย แมจะไดหยุดสงถาย กําลังแลว ตองมีหามลอที่มีประสิทธิภาพพอที่จะหยุดเครื่องไดโดยเร็ว ในกรณีที่อาจจะกิ่ใหเกิดอันตรายได ตองมีหามลอชนิดอัตโนมัติ ขอ 27 ไฟฟาแสงสวางและไฟฟากําลังที่ใชผลิตหรือชวยในการผลิต ตองใชวงจรแยกจากกันแตละ วงจรตองมีสวิชตัดตอนชนิดที่สามารถตัดวงจรเมื่อกระแสไฟฟาไหลผานเกินกําลัง ขอ 28 ในหองปฏิบัติงานหรือหองเก็บสิ่งของที่อาจมี กาซ ควัน ฝุน ไอ หรือหมอกที่ติดไฟไดงาย ตองเดินสายไฟฟาในทอ เครื่องยนตไฟฟา สวิชไฟฟา และอุปกรณไฟฟาอื่น ๆ ตองเปนแบบปดชนิดปองกัน การระเบิด และหามใชหลอดไฟฟาฟลูออเรสเซนทแบบมีสตารทเตอรสวิชตัดตอนแบบใบมีด เตาเสียบและ อุปกรณที่อาจทําใหเกิดประกายไฟได
17 ขอ 29 หลอดไฟฟาที่จะใชเคลื่อนยายไปมา ตองมีเครื่องปองกันการกระทบแตก และตองเปนแบบ ที่สรางขึ้นเพื่อใชในกิจการนั้น ๆ โดยเฉพาะ ขอ 30 เครื่องยนตไฟฟา หรือเครื่องใชไฟฟาชนิดที่เคลื่อนยายไปมาไดตองใชปลั๊กและเตาเสียบที่ แข็งแรงและมีที่ตอกับสายดินดวย ขอ 31 เครื่องยนตไฟฟาที่มีขนาดตั้งแต ¼ แรงมาขึ้นไป ตองมีเครื่องปองกันกระแสเกินขนาดและ การใชเกินกําลัง ขอ 32 เครื่องยนตไฟฟาและเครื่องไฟฟาตองตอสายดิน การตอสายดินตองใชเสาไฟฟาขนาด พื้นที่หนาตัดไมนอย 2.5 ตารางมิลลิเมตร และไมเล็กกวาครึ่งหนึ่งของสายไฟฟาเขาเครื่อง แตไมจําเปนตอง ใหญกวา 70 ตารางมิลลิเมตร ตอเขากับทอน้ําชนิดโลหะที่ติดตอลงถึงพื้นดินได หรือตอลงสูทอหรือแทง ทองแดงซึ่งยาวไมนอยกวา 150 เซนติเมตร เสนผาศูนยกลางไมนอยกวา 1 เซนติเมตร ฝงในพื้นดินที่ชั้นลึก ไมนอยกวา 150 เซนติเมตร หรือตอลงสูตัวนําอื่นดวยวิธีที่ถูกตองตามหลักวิชาการ ขอ 33 ตองดูแลรักษาสายไฟฟา สายดิน เครื่องยนตไฟฟา สวิช เตาเสียบและอุปกรณไฟฟาอื่น ๆ ใหอยูในสภาพเรียบรอย ไมหลุดหลวม แตกราว หรือผุกรอน ขอ 34 แผงสวิช หมอแปลงแรงไฟ แคพแปชิเตอร แบตเตอรี่ ขนาด 150 โวลตขึ้นไปที่มิไดติดตั้ง ไวในหองที่จัดไวโดยเฉพาะ ตองจัดทํารั้วกันโดยรอบมิใหบุคคลที่ไมมีหนาที่เกี่ยวของเขาไปได ขอ 35 หามมิใหซอมสายไฟฟาหรืออุปกรณไฟฟาในขณะที่มีกระแสไฟฟาไหลผาน ขอ 36 สายไฟฟา เครื่องไฟฟาและอุปกรณ ตองไดรักการตรวจรับรองเห็นชอบจากผูไดรับ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม หรือนายชางของการไฟฟานครหลวง หรือนายชางของการ ไฟฟาสวนภูมิภาค หรือจากวิศวกรที่กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นชอบทุก ๆ ระยะ 1 ป โดยมีเอกสารรับรอง เปนหลักฐานทุกป ขอ 37 ตองจัดใหทุกคนที่อยูในบริเวณงานที่อาจจะเปนอันตราย สวมหมวกปองกันอันตรายตาม ความเหมาะสม ขอ 38 ตองจัดใหทุกคนที่อยูในบริเวณงานที่อาจจะเปนอันตรายตอตา หรือใบหนา สวมแวนตา (Safety glasses หรือ goggle) หรือกระบังหนา (face shield) ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม ขอ 39 ตองจัดใหทุกคนที่อยูในบริเวณงานที่มีเสียงดังเกินกวา 80 เดซิเบล หรือเสียงดังอันอาจเปน อันตรายตอแกวหู อุดหูดวยที่อุดหู (ear plug) ที่มีประสิทธิภาพ ขอ 40 ตองจัดใหทุกคนที่อยูในบริเวณงานที่อาจจะเปนอันตรายตอใบหูและรูหู สวมเครื่องปองกันหู (ear guard) ที่มีประสิทธิภาพ ขอ 41 ตองจัดใหคนงานที่ใชมือในการปฏิบัติงานอันอาจสัมผัสกับสวนที่แหลมหรือคมของวัตถุ สวมถุงมือที่มีความเหนียวทนตอวัตถุแหลมคม ขอ 42 ตองจัดใหคนงานที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับวัตถุที่รอน สวมเครื่องปองกันอันตราย เชน ถุงมือ รองเทา ซึ่งทําดวยวัตถุที่มีคุณภาพเปนฉนวนความรอน ตามความจําเปนและเหมาะสม
18 ขอ 43 ตองจัดใหคนงานที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับวัตถุเคมี กรด ดาง อันอาจจะเปนอันตรายตอผิวหนัง สวมเครื่องปองกันอันตราย เชน ถุงมือ รองเทาหุมนอง ผากันเปอนที่ทําดวยยางหรือพลาสติก หรือวัตถุที่มี คุณสมบัติทนทานตอการกัดกรอนของสารเคมีนั้น ๆ ตามความจําเปนและเหมาะสม ขอ 44 ตองจัดใหคนงานที่ปฏิบัติงานอันอาจเปนอันตรายตอขา หรือเทา สวมเครื่องปองกัน อันตรายที่ขาหรือเทาตามความจําเปนและเหมาะสม ขอ 45 ตองจัดใหคนงานที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับงานไฟฟา สวมรองเทาที่มีคุณสมบัติเปนฉนวนไฟฟา ขอ 46 ตองจัดใหคนงานที่ตองการไปปฏิบัติอยูบนที่สูง ซึ่งตองมีการปนปายใชสายรัดหรือเข็ม ขัดกันตก ขอ 47 ตองจัดใหคนงานที่ปฏิบัติงานอันอาจจะเปนอันตรายตอระบบการหายใจสวมเครื่องปองกัน อันตราย (respiratory protection) หรือเครื่องชวยในการหายใจที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมตอการ ปฏิบัติงานนั้น ๆ ขอ 48 ตองทําความสะอาดและรักษาเครื่องปองกันอันตรายสําหรับคนงานใหอยูในสภาพเรียบรอย พรอมที่จะใชงานไดตลอดเวลา
หมวดที่ 13ж การเก็บและการใชวัตถุมีพิษ วัตถุเคมี วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด และวัตถุอื่นที่อาจเปนอันตรายหรือที่อาจทําใหเกิดฝุนละออง ความรอน แสงหรือเสียง ซึ่งเปนอันตรายในการปฏิบัติงาน กับวิธีการปองกัน และเครื่องปองกันมิใหเกิดอันตรายแกคนงาน ออกโดยอาศัยอํานาจตามความใน (13) แหงมาตรา 39 ขอ 49 ตองแยกเก็บวัตถุมีพิษ วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด หรือวัตถุอื่นที่อาจเปนอันตรายหรือที่อาจทํา ใหเกิดฝุนละออง ใหเปนระเบียบและเปนสัดสวนตางหาก และตองปดกุญแจหองเก็บทุกครั้งเมื่อไมมีการ ปฏิบัติงานในหองนี้แลว ขอ 50 ตองจัดใหมีการระบายอากาศในหองเก็บและหองปฏิบัติงานอันเกี่ยวกับวัตถุมีพิษ วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด หรือวัตถุอื่นที่อาจเปนอันตรายหรือที่อาจทําใหเกิดฝุนละอองอยางเพียงพอและตองปองกันมิให อากาศที่ระบายออกจากหอง เปนอันตรายตอบุคคลหรือทรัพยสินของผูอื่น หรือเปนเหตุเดือดรอนรําคาญกับ ตองดูแลรักษาใหหองตาง ๆ ดังกลาวอยูในสภาพที่มั่นคงแข็งแรงเหมาะสมแกงานนั้น ๆ ขอ 51 ตองไมใหวัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด หรือวัตถุที่ระเหยเปนไอไดงายอยูใกลเตาไฟ หมอน้ํา ทอ ไอน้ํา สายไฟฟาแรงสูง บริเวณที่อาจมีการเกิดประกายไฟ หรือในที่ซึ่งมีอุณหภูมิสูง
19 ขอ 52 ตองจัดทําปาย “ วัตถุมีพิษ “ “ วัตถุไวไฟ หามสูบบุหรี่ “ “วัตถุระเบิด หามสูบบุหรี่” แลวแตกรณี และปาย “ หามบุคคลที่ไมมีหนาที่เกี่ยวของเขา “ ดวยตัวอักษรสีแดงขนาด 20 เซนติเมตรบนพื้น สีขาว และปายเครื่องหมายแจงอันตรายติดไวใหเห็นไดอยางจชัดเจนที่หนาทางเขาทุกหอง กับควบคุมดูแล ใหคนงานปฏิบัติตามขอหามนั้น ๆ อยางเครงครัด ขอ 53 ตองดูแลรักษามิใหมีการรั่วไหลของวัตถุมีพิษออกมาจากเครื่องจักรที่ใชในการทําผลิต บรรจุ แปรสภาพ แยก หรือผสมวัตถุมีพิษ ขอ 54 ตองทําความสะอาดเครื่องจักร อุปกรณตาง ๆ ที่ใชเกี่ยวของกับวัตถุมีพิษกอนใชงานกับวัตถุ อยางอื่นทุกครั้ง เพื่อปองกันมิใหเกิดปฏิกิริยาเคมีของสารตางชนิดกัน ขอ 55 ตองดูแลรักษาทอและสวนประกอบของทอสงวัตถุใหอยูในสภาพเรียบรอย ไมมีการ แตกราว รั่ว ชํารุด หรือเกิดการไหลยอนกลับ ขอ 56 ทอสงวัตถุมีพิษ วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด ตางชนิดกัน ตองทาสี หรือเครื่องหมายแสดงความ แตกตางไวอยางชัดเจน ขอ 57 ทอสงวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงกวา 100 องศาเซนติเกรด ตองมีฉนวนกันความรอนหุมตามความ จําเปนและเหมาะสม เพื่อมิใหเกิดอันตรายตอบุคคลหรือสิ่งของ ขอ 58 ตองจัดไมใหทอสงวัตถุไวไฟ อยูใกลเตาไฟ หมอน้ํา ทอไอน้ํา สายไฟฟาแรงสูง เครื่องยนต ไฟฟา สวิทชไฟฟา หรือสวนของเครื่องจักร ที่มีประกายไฟฟา หรือบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกวาปกติ ขอ 59 ตองวางทอสงวัตถุมีพิษ วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด ในลักษณะที่จะไมทําใหเกิดการชํารุด เสียหาย ขอ 60 ตองดูแลรักษาลิ้นเปดปดตาง ๆ มิใหมีการรั่วซึม และตองมีเครื่องหมายแสดงการเปดหรือ ปดของลิ้นไวดวย ขอ 61 การเปด ปด ลิ้นที่ตองปฏิบัติไปตามลําดับ ตองมีกลไกควบคุมเพื่อมิใหเกิดอันตรายขึ้นได ขอ 62 ตองแยกภาชนะสําหรับบรรจุวัตถุมีพิษ วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด แตละชนิดใหเปนสัดสวน ไมปะปนกัน และตองจัดทําปายชื่อวัตถุที่บรรจุติดไวที่ภาชนะทุกใบ ขอ 63 ภาชนะบรรจุวัตถุมีพิษ วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด และอุปกรณตองเปนแบบแข็งแรง ทนทาน และปลอดภัยในการใชงาน กับตองดูแลรักษาใหอยูในสภาพเรียบรอยและปลอดภัยตอการใชงานอยูเสมอ ขอ 64 ภาชนะที่บรรจุวัตถุมีพิษ วัตถุไวไฟหรือวัตถุที่ระเหยเปนไอไดงายตองปดฝาอยางสนิท มิดชิด ขอ 65 ตองทําความสะอาดภาชนะที่ใชกับวัตถุมีพิษ วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด หลังจากใชงานแลวทุก ครั้ง ภาชนะบรรจุที่ไมตองการใชใหทําลายเสีย หามนําไปบรรจุวัตถุสิ่งของอื่น ๆ ขอ 66 ภาชนะบรรจุวัตถุมีพิษ วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด ตองเปนแบบที่หยิบยกหรือขนยายไดดวย ความปลอดภัย
20 ขอ 67 ตองจัดใหคนงานที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับวัตถุมีพิษ วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด หรือวัตถุอื่นที่อาจ เปนอันตราย หรือที่อาจทําใหเกิดฝุนละออง ความรอน แสงหรือเสียง ซึ่งอาจเปนอันตรายตอการปฏิบัติงาน ในหนาที่ สวมเครื่องปองกันอันตราย ตามความเหมาะสมตอการปฏิบัติงานนั้น ๆ ขอ 68 ตองจัดใหมีการอบรม แนะนํา ชี้แจงคนงานใหเขาใจถึงเหตุอันตรายอันอาจจะเกิดขึ้นไดของ งานตาง ๆ ที่ตนปฏิบัติอยู ตลอดจนอธิบายใหรูถึงวิธีระมัดระวังปองกันอันตรายและการใชมาตรการแกไข อุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานไดไนทันทีดวย ขอ 69 ตองไมยอมใหผูที่ไมมีหนาที่โดยตรง หรือผูซึ่งไมเขาใจดีถึงเหตุอันตรายของงานปฏิบัติงาน ที่มีอันตราย ขอ 70 ตองไมใหมีการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มในบริเวณโรงงาน ซึ่งมีการปฏิบัติเกี่ยวกับ วัตถุมีพิษ ทั้งนี้ นอกเสียจากจะไดกระทําในหองอาหาร หรือโรงอาหารอยางถูกตองตามสุขลักษณะอนามัย โดยเฉพาะ ขอ 71 ตองใหคนงานที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับวัตถุมีพิษ ลางมือและลางหนากอนรับประทานอาหาร และทําความสะอาดรางกายเมื่อเลิกงานแลว ขอ 72 ตองไมใหมีการพักอาศัยอยูในอาคารโรงงานหรือโรงเก็บ ขอ 73 ในการซอมเครื่องจักรตาง ๆ ที่ผูปฏิบัติงานอาจไดรับอันตรายจากวัตถุมีพิษ วัตถุเคมี วัตถุ ไวไฟ วัตถุระเบิด ตองใชผูที่มีความชํานาญในการปฏิบัติงานนั้น ๆ โดยเฉพาะ และตองสวมเครื่องปองกัน อันตรายตามความเหมาะสมดวย ในการซอมตองหยุดเครื่องจักรสวนอื่นที่อาจจะกอใหเกิดอันตรายได และ ใหผูที่ไมมีหนาที่เกี่ยวของในขณะปฏิบัติงานออกจากบริเวณนั้น ขอ 74 ในกรณีที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในขณะปฏิบัติงาน ตองหยุดงานสวนนั้น ๆ ทันทีคนงานซึ่งไมมี หนาที่ซอมแซมแกไขตองออกจากบริเวณนั้นโดยดวน และจัดใหมีการแกไขหรือระงับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โดยใหผูที่เกี่ยวของกับการปฏิบัติงานสวมเครื่องปองกันอันตรายตามความเหมาะสม
หมวดที่ 14< การประกอบกิจการโรงงานมิใหเกิดเหตุรําคาญ ออกโดยอาศัยอํานาจตามความใน (14) แหงมาตรา 39 ขอ 75 ตองทําการกําจัดกลิ่น เสียง ความสั่นสะเทือน ฝุนละออง เขมา เถาถาน ที่เกิดขึ้น จากโรงงานมิใหเปนที่เดือดรอนหรือเปนเหตุเสื่อมหรืออาจเปนอันตรายแกสุขภาพของผูอยูอาศัยใกลเคียง ขอ 76 ตองดูแลรักษาระบบเก็บเสียง ทอไอเสีย หมอพักของเครื่องตนกําลังใหอยูในสภาพ เรียบรอยตลอดเวลา ขอ 77 โรงงานที่มีการใชเตาหรือเครื่องจักรอื่นใด ซึ่งทําใหมีเขมาควันออกสูบรรยากาศ ตองปลอยออกทางปลองที่มีความสูงตามความจําเปนและเหมาะสม ความดําของเขมาควันที่ปากปลองตองไม
21 เกินรอยละสี่สิบของความดํามาตราฐานริงเกลมานน เวนแตในชวงระยะเวลาสั้นในขณะที่เริ่มติดเตาหรือติด เครื่อง เขี่ยขี้เถา เปาเขมา หรือเกิดขัดของขึ้นในระบบขจัดเขมาควัน
ใหไว ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2514 พลโท พ. ปุณณกันต รัฐมนตรีวาการกระทรวงอุตสาหกรรม ใหดูประกาศกระทรวงอุตสหกรรม ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2530) พ.ศ. 2512 แทน <
ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน
22
ประกาศกระทรวงมหาดไทย ความปลอดภัยในการทํางานเกีย่ วกับเครือ่ งจักร การใชเครือ่ งจักรทั่วไป --------------------------------ฯลฯ ขอ 2 ใหนายจางจัดใหลูกจางซึ่งทํางานเกี่ยวกับเครื่องจักร สวมใส หมวก ถุงมือ แวนตา หนากาก เครื่องปองกันเสียง รองเทาพื้นยางหุมสน หรือเครื่องปองกันอันตรายสวนบุคคลอื่น ๆ ตามสภาพและลักษณะ ของงาน และใหถือเปนระเบียบปฏิบัติงานของสถานประกอบการตลอดเวลาที่ลูกจางปฏิบัติงานนั้น ขอ 3 ใหนายจางดูแลลูกจางสวมใสเครื่องนุงหมใหเรียบรอยรัดกุม ไมขาดรุงริ่ง ในกรณีที่ทํางาน เกี่ยวกับไฟฟาจะตองใหลูกจางสวมใสเครื่องนุงหมที่ไมเปยกน้ํา ขอ 4 ใหนายจางดูแลมิใหลูกจาง ซึ่งมีผมยาวเกินสมควร และมิไดรวบหรือทําอยางหนึ่งอยางใดให อยูในลักษณะที่ปลอดภัย หรือสวมใสเครื่องประดับที่อาจเกี่ยวโยงกับสิ่งใดไดเขาทํางานเกี่ยวกับเครื่องจักร ขอ 5 ใหนายจางจัดใหมีอุปกรณเพื่อปองกันอันตรายจากเครองจักรดังตอไปนี้ (1) เครื่องจักรที่ใชพลังงานไฟฟาตองมีสายดิน เพื่อปองกันกระแสไฟฟารั่วตามมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยทางไฟฟา ของสํานักงานพลังงานแหงชาติทุกเครื่อง (2) เครื่องจักรที่ใชพลังงานไฟฟา ตองมีสายไฟฟาเขาเครื่องจักรโดยฝงเดินหรือลงมาจากที่ สูง ทั้งนี้ใหใชทอรอยสายไฟฟาใหเรียบรอย เวนแตใชสายไฟฟาที่มีฉนวนหุมเปนพิเศษ (3) เครื่องจักรสําหรับปมวัตถุ ซึ่งใชน้ําหนักเหวี่ยงใหติดตั้งตัวน้ําหนักเหวี่ยงไวสูงกวา ศรีษะผูปฏิบัติงานพอสมควร เพื่อไมใหเกิดอันตรายแกผูปฏิบัติงาน หรอใหจัดทําเครื่องปองกันอยางหนึ่ง อยางใดใหมีความปลอดภัยตอลูกจาง และจะตองไมมีสายไฟฟาอยูในรัศมีของน้ําหนักเหวี่ยง (4) เครื่องจักรสําหรับปมวัตถุ โดยใขชเทาเหยียบตองมีที่พักเทาและมีที่ครอบปองกันมิให เหยียบโดยไมตั้งใจ (5) เครื่องจักรสําหรับปมวัตถุ โดยใชมือปอนตองมีเครื่องปองกันมือใหพนจากแมปม หรือจัดหาเครื่องปอนวัตถุแทนมือ
23 (6) เครื่องจักรที่ใชพลังงานไฟฟาปมหรือตัดวัตถุที่ใชมือปอน ตองมีสวิทซสองแหงหางกัน เพื่อใหผูปฏิบัติงานตองเปดสวิทซพรอมกันทั้งสองมือ (7) เครื่องจักรชนิดอัตโนมัติ ตองมีสีเครื่องหมายปด – เปดที่สวิทซอัตโนมัติ ตามหลัก สากล และมีเครื่องปองกันมิใหสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบสวิทซเปนเหตุใหเครื่องจักรทํางานโดยมิไดตั้งใจ (8) เครื่องจักรที่มีการถายทอดพลังงานโดยใชเพลา สานพาน ปุลเล ฟลายวีล ตองมี ตะแกรงเหล็กเหนียวครอบสวนที่หมุนได และสวนสงถายกําลังใหมิดชิด ถาสวนที่หมุนไดหรือสวนสงถาย กําลังสูงกวาสองเมตรตองมีตะแกรงหรือรั้วเหล็กเหนียวสูงไมต่ํากวาสองเมตรกั้นลอมใหมิดชิด สําหรับสายพานแขวนลอยที่มีความเร็วไมนอยกวาหารอยสี่สิบเมตรตอนาที หรือสายพานที่มีชวงยาว เกินกวาสามเมตร หรือสายพานที่กวางกวายี่สิบเซนติเมตร หรือสายพานโซ ตองมีที่ครอบรองรับซึ่งเปด ซอมแซมได (9) ใบเลื่อยวงเดือนที่ใชกับเครื่องจักร ซึ่งอาจจะเปนอันตรายตอผูปฏิบัติงานได ตองมีที่ ครอบใบเลื่อยสวนที่สูงเกินกวาโตะหรือแทน (10) เครื่องจักรที่ใชเปนเครื่องลับ ฝน หรือแตงผิวโลหะ ตองมีเครื่องปดบังประกายไฟ หรือเศษวัตถุในขณะใชงาน ขอ 6 กอนการติดตั้งหรือซอมเครื่องจักร หรือเครื่องปองกันอันตรายของเครื่องจักร ใหนายจางทํา ปายปดประกาศไว ณ บริเวณติดตั้งหรือซอมแซมและใหแขวนปายหามเปดสวิทซดวย ขอ 7 ใหนายจางดูแลใหลูกจางทํางานเกี่ยวกับเครื่องมือกลดังตอไปนี้ (1) ทุกวันกอนนําเครื่องมือกลออกใช ตองตรวจดูใหแนใจวาเครื่องมือกลนั้นอยูใ นสภาพใช การไดดีและปลอดภัย (2) เครื่องมือกลที่ใชขับเคลื่อนไดจะตองมีสภาพที่ผูใชงานสามารถมองเห็นขางหลังได เวน แตจะมีสัญญาณเสียงเตือนหรือมีผูบอกสัญญาณเมื่อถอยหลัง (3) ไมนํารถยก รถปนจั่น หรือเครื่องมือสําหรับยกอื่น ๆ ไปใชปฏิบัติงานใกลสายหรือ อุปกรณไฟฟาที่มีกระแสไฟฟา ใกลกวาระยะหางที่ปลอดภัย เวนแต ก. จะมีแผงฉนวนกั้นระหวางสวนที่มีกระแสไฟฟากับเครื่องมือกลนั้น ข. เครื่องมือกลนั้นไดตอสายดินไวเรียบรอยแลว ค. มีฉนวนหุมอยางดี หรือ ง. ใชมาตรการความปลอดภัยในการใชเครื่องมือกลนั้นเชนเดียวกับวามีกระแสไฟฟา อยู ขอ 8 หามมิใหนายจางหรือยอมใหลูกจางใชเครองมือกลทํางานเกินกวาพิกัดที่ผูผลิตกําหนดไว สําหรับเครื่องมือกลนั้น ขอ 9 ใหนายจางจัดใหมีทางเดินเขา – ออกจากที่สําหรับปฏิบัติงานเกี่ยวกับเครื่องจักร มีความกวาง ไมนอยกวาแปดสิบเซนติเมตร
24 ขอ 10 ใหนายจางจัดทํารั้ว คอดกั้น หรือเสนแสดงเขตอันตราย ณ ที่ตั้งของเครื่องจักรหรือเขตที่ เครื่องจักรทํางานที่อาจเปนอันตรายใหชัดเจนทุกแหง ฯลฯ
หมวด 3 การคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล ขอ 19 ใหนายจางจัดใหลูกจางที่ทํางานเกี่ยวกับงานเชื่อมแกส และงานเชื่อมไฟฟา สวมแวนตาลด แสง หรือกระบังหนาลดแสง ถุงมือหนัง รองเทายางหุมสน และแผนปดหนาอกกันประกายไฟ ตลอดเวลาที่ ลูกจางทํางาน ขอ 20 ใหนายจางจัดใหลูกจางที่ทํางานเกี่ยวกับงานลับหรือไสโลหะดวยหินเจียระไน สวมแวนตา หรือหนากากชนิดใส ถุงมือผา และรองเทาพื้นยางหุมสน ตลอดเวลาที่ลูกจางทํางาน ขอ 21 ใหนายจางจัดใหลูกจางที่ทํางานเกี่ยวกับงานกลึงโลหะ กลึงไม งานไสโลหะ งานไสไม งานตัดโลหะ สวมแวนตาหรือหนากากชนิดใส ถุงมือผา รองเทาพื้นยางหุมสน ตลอดเวลาที่ลูกจางทํางาน ขอ 22 ใหนายจางจัดใหลูกจางที่ทํางานเกี่ยวกับงานปมโลหะ สวมแวนตาชนิดใส ถุงมือผา และ รองเทาพื้นยางหุมสน ตลอดเวลาที่ลูกจางทํางาน ขอ 23 ใหนายจางจัดใหลูกจางที่ทํางานเกี่ยวกับงานชุบโลหะ สวมถุงมือยางและรองเทาพื้นยางหุม สน ตลอดเวลาที่ลูกจางทํางาน ขอ 24 ใหนายจางจัดใหลูกจางที่ทํางานเกี่ยวกับงานพนสี สวมถุงมือยางและรองเทาพื้นยาง หุมสน ตลอดเวลาที่ลูกจางทํางาน ขอ 25 ใหนายจางจัดใหลูกจางที่ทํางานเกี่ยวกับงานยกขนยาย ติดตั้ง สวมรองเทาหนังหัวโลหะ ถุง มือหนัง และหมวกแข็ง ตลอดเวลาที่ลูกจางทํางาน ขอ 26 ใหนายจางจัดใหลูกจางที่ทํางานควบคุมเครื่องยนต เครื่องจักร หรือเครื่องมือกล สวมหมวก แข็ง รองเทาพื้นยางหุมสน ตลอดเวลาที่ลูกจางทํางาน ฯลฯ
ความปลอดภัยในการทํางานเกีย่ วกับภาวะแวดลอม ฯลฯ ความรอน ขอ 2 ภายในสถานที่ประกอบการที่มีลูกจางทํางานอยูจะมีสภาพความรอนที่ทําใหอุณภูมิของ รางกายลูกจางสูงเกินกวา 38 องศาเซลเซียส มิได
25 ขอ 3 ในกรณีที่ภายในสภานที่ประกาอบการมีสภาพความรอนที่ทําใหอุณหภูมิของรางกายของ ลูกจางสูงกวา 38 องศาเซลเซียส ใหนายจางดําเนินการแกไขปรับปรุง เพื่อลดสภาพความรอนนั้น หากแกไข หรือปรับปรุงไมได นายจางจะตองจัดใหลูกจางมีเครื่องปองกันความรอน มิใหอุณหภูมิของรางกายลูกจางสูง กวา 38 องศาเซลเซียส ขอ 4 ในกรณีที่อุณหภูมิของรางกายลูกจางสูงกวา 38 องศาเซลเซียส นายจางจะตองใหลูกจาง หยุดพักชั่วคราว จนกวาอุณหภูมิของรางกายลูกจางจะอยูในสภาพปกติ ฯลฯ แสงสวาง ขอ 7 ภายในสถานที่ประกอบการที่ใหลกู จางทํางานดังตอไปนี้ (1) งานที่ไมตองการความละเอียด เชน การขนยาย การบรรจุ ตองมีความเขมของ แสงสวางไมนอยกวา 50 ลักซ (2) งานที่ตองการความละเอียดเล็กนอย เชน การผลผลิตหรือการประกอบชิ้นงานอยาง หยาบ ๆ ตองมีความเขมของแสงสวางไมนอยกวา 100 ลักซ (3) งานที่ตองการความละเอียดปานกลาง เชน การเย็บผา เย็บหนัง ตองมีความ เขมของแสงไมนอยกวา 200 ลักซ (4) งานที่ตองการความละเอียดสูง เชน การกลึง หรือแตงโลหะ การซอมแซมเครื่องจักร ตองมีความเขมของแสงสวางไมนอยกวา 300 ลักซ ฯลฯ เสียง ขอ 13 ภายในสถานที่ประกอบการที่ใหลูกจางคนใดคนหนึ่งทํางานดังตอไปนี้ (1) ไมเกินวันละเจ็ดชั่วโมง ตองมีระดับเสียงที่ลูกจางไดรับติดตอกันไมเกินเกาสิบเอ็ดเดซิ เบล (เอ) (2) เกินกวาวันละเจ็ดชั่วโมง แตไมเกินแปดชั่วโมง จะตองมีระดับเสียงที่ลูกจางไดรับ ติดตอกันไมเกินเกาสิบเดซิเบล (เอ) (3) เกินวันละแปดชั่วโมง จะตองมีระดับเสียงที่ลูกจางไดรับติดตอกันไมเกินแปดสิบเดซิ เบล (เอ) ขอ 14 นายจางจะตองใหลูกจางทํางานในที่ที่มีระดับเสียงเกินกวาหนึ่งรอยสี่สิบเดซิเบล (เอ) มิได ขอ 15 ภายในสถานที่ประกอบการที่มีระดับเสียงที่ลูกจางไดรับติดตอกันเกินกวาที่กําหนดไวใน ขอ 13 ใหนายจางแกไขหรือปรับปรุงสิ่งที่เปนตนกําเนิดของเสียงหรือทางผานของเสียง มิใหมีเสียงดังเกินกวาที่ กําหนดไวในขอ 13
26 ขอ 16 ในกรณีที่ไมอาจปรับปรุงหรือแกไขตามความในขอ 15 ไดใหนายจางจัดใหลูกจางสวมใส ปลั๊กลดเสียง หรือครอบหูลดเสียงตามมาตรฐานที่กําหนด ฯลฯ
เรื่องความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับภาวะแวดลอม (สารเคมี) ฯลฯ
หมวด 1 สารเคมี ขอ 2 ตลอดระยะเวลาทํางานปกติภายในสถานที่ประกอบการที่ใหลูกจางทํางาน จะมีปริมาณความ เขมขนของสารเคมีในบรรยากาศของการทํางานโดยเฉลี่ยเกินกวาที่กําหนดไวมิได ขอ 3 ไมวาระยะเวลาใดของการทํางานปกติ หามมิใหนายจางใหลูกจางทํางานในที่ที่มีปริมาณ ความเขมขนของสารเคมีในบรรยากาศของการทํางานเกินกวาที่กําหนดไว ขอ 4 หามมิใหนายจางใหลูกจางทํางานในที่ที่มีปริมาณความเขมขนของสารเคมีเกินกวาที่ก่ําหนด ไว ขอ 5 หามมิใหนายจางใหลูกจางทํางานในที่ที่มีปริมาณฝุนแรในบรรยากาศของการทํางาน ตลอดเวลาทํางานปกติโดยเฉลี่ยเกินกวาที่กําหนดไว ขอ 6 ภายในสถานที่ประกอบการที่มีการใชสารเคมีที่กําหนดไว ซึ่งสภาพของการใชนั้นอาจจะเปน อันตรายตอผูใชหรือผูอยูใกลเคียง ใหนายจางจัดหองหรืออาคารสําหรับการใชสารเคมีไวโดยเฉพาะ ขอ 7 ในกรณีที่ภายในสถานที่ประกอบการที่มีสารเคมีหรือฝุนแรฟุงกระจายสูบรรยากาศของการ ทํางานเกินกวาที่กําหนดไว ใหนายจางดําเนินการแกไขหรือปรับปรุงเพื่อลดความเขมขนของสารเคมีหรือ ปริมาณฝุนแรมิใหเกินกวาที่กําหนดไว หากแกไขหรือปรับปรุงมิได นายจางจะตองจัดใหลูกจางสวมใส อุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล ตามมาตรฐานที่กําหนดไว ตลอดเวลาที่ลูกจางทํางานเกี่ยวกับ สารเคมีที่มีลักษณะ หรือปริมาณที่อาจจะเปนอันตรายตอสุขภาพรางกายของลูกจางดังนี้ (1) ฝุนละออง ฟูม แกส หรือไอเคมี ตองสวมใสที่กรองอากาศหรือเครื่องชวยหายใจที่ เหมาะสม (2) สารเคมีในรูปของเหลวที่เปนพิษ ตองสวมใสถุงมือยางยาว รองเทาพื้นยางหุมแข็ง กระบังหนาชนิดใส และที่กันสารเคมีกระเด็นถูกรางกาย (3) สารเคมีในรูปของของแข็งที่เปนพิษ ตองสวมใสถุงมือยางและรองเทาพื้นยางหุมสน ฯลฯ
ความปลอดภัยเกี่ยวกับไฟฟา
27 ขอ 3 นายจางจะตองจัดใหมีการตรวจสอบสภาพของสายไฟฟาและสภาพของอุปกรณไฟฟา ถาหาก พบวาชํารุดหรือมีกระแสไฟฟารั่ว ใหซอมแซมหรือเปลี่ยนใหมทันที ขอ 4 ใหนายจางจัดใหมีปายเตือนอันตราย ติดตั้งไวในบริเวณที่จะเกิดอันตรายจากไฟฟาใหเห็นได อยางชัดเจน ขอ 5 หามมิใหนายจางใหลูกจางเขาใกล หรือนําสิ่งที่เปนตัวนํา ซึ่งไมมีที่ถือเปนฉนวนอยางดีหุม อยูเขาใกลสิ่งที่มีไฟฟานอยกวาระยะหางที่กําหนดไว ยกเวน (1) ลูกจางผูนั้นสวมใสเครื่องปองกันอันตรายจากไฟฟา ซึ่งเปนฉนวนที่ใชตานทานแรงดัน สูงพอกับสวนที่เปนไฟฟานั้น หรือ (2) ไดปดหรือนําฉนวนมาหุมสิ่งที่เปนไฟฟา โดยฉนวนที่หุมนั้นปองกันแรงดันไฟฟานั้น ๆ ได หรือ (3) ลูกจางที่ปฏิบัติงานกับสิ่งที่มีไฟฟาดวยเทคนิคการปฏิบัติงานดวยมือเปลา และอยู ภายใตการควบคุมจากผูที่ไดรับใบอนุญาตเปนผูประกอบวิชาชีพวิศวกรรม (แขนงไฟฟากําลัง) ขอ 6 ในกรณีที่มีการปฏิบัติงานตรวจสอบ ซอมแซม ติดตั้งไฟฟา นายจางตองผูกปายหามสับ สวิทซ พื้นสีแดงไวที่สวิทซ หรือใชกุญแจปองกันการสับสวิทซไว ขอ 7 ในกรณีที่ใชลมกําลังดันสูงทําความสะอาดอุปกรณที่มีไฟฟาอยู ตองใชทอและหัวฉีดที่เปน ฉนวน ขอ 8 ไฟฉายที่นายจางจัดใหลูกจางที่ทํางานเกี่ยวกับไฟฟา ตองเปนไฟฉายชนิดที่เปนกระบอกไฟ ฉายมีฉนวนหุมตลอด ขอ 9 หามมิใหลูกจางสวมใสเครื่องนุงหมที่เปยกน้ําหรือเปนสื่อไฟฟาปฏิบัติงานขณะมีไฟฟา (Hot Line) ยกเวนเมื่อมีแรงดันไฟฟาตอกวา 50 โวลท หรือสวมใสอุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล หรือใชเครื่องมือที่เปนฉนวน ขอ 10 เทปสําหรับวัดที่นายจางจัดใหลูกจางใชปฏิบัติงานใกลกับสิ่งที่มีไฟฟาตองเปนเทปชนิดที่ไม เปนโลหะ ฯลฯ การใชอุปกรณปองกันอันตรายจากไฟฟา ขอ 77 นายจางตองจัดหาอุปกรณปองกันอันตรายจากไฟฟา เชน ถุงมือยาง แขนเสื้อยาง ถุงมือ หนัง ถุงมือทํางาน แผนยาง ผาหมยาง ฉนวนครอบลูกถวย ฉนวนหุมสาย หมวกแข็งกันไฟฟา ใหแก ลูกจางที่จะปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟาตามความเหมาะสมของงาน ในเมื่ออุปกรณไฟฟาเหลานั้นมีแรงดันไฟฟา มากกวา 50 โวลทหรือในกรณีที่อุปกรณไฟฟาที่มีแรงดันไฟฟาต่ํากวา 50 โวลท แตมีโอกาสที่จะเกิดแรงดัน สูงขึ้นในกรณที่ผิดปกติ ขอ 78 ลูกจางที่ตองขึ้นปฏิบัติงานสูงกวาพื้นดินตั้งแต 4 เมตรขึ้นไป นายจางจะตองจัดหาเข็มขัด นิรภัย (Safety Belt) หมวกแข็งชนิด ค. ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องมาตรฐานของอุปกรณ
28 คุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล วาดวยหมวกแข็งและอุปกรณอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับงานนั้น ๆ ใหลูกจาง สวมใสตลอดเวลาที่ปฏิบัติงานอยู เวนแตอุปกรณนั้นจะทําใหลูกจางเสี่ยงอันตรายมากกวาเดิมในกรณีนี้ใหใช อุปกรณเพื่อความปลอดภัยอยางอื่นแทน ขอ 79 นายจางตองจัดหารองเทาพื้นยางหุมขอชนิดมีสน ใหกับลูกจางสวมใสตลอดเวลาของการ ทํางาน เบ็ดเตล็ด ขอ 83 นายจางตองจัดใหมีการฝกอบรมใหกับลูกจางที่ทํางานเกี่ยวของกับไฟฟา มีความรูและ ความสามารถในเรื่องตอไปนี้ (1) วิธีปฏิบัติเมื่อมีลูกจางประสบอันตรายจากไฟฟา (2) การปฐมพยาบาลและการชวยชีวิตโดยวิธีใชปากเปาอากาศเขาทางปากหรือจมูกของผู ประสบอันตราย และวิธีนวดหัวใจจากภายนอก ขอ 84 ถาปฏิบัติงานในเวลากลางคืน นายจางตองจัดใหมีแสงสวางในบริเวณที่ปฏิบัติงานอยาง เพียงพอ โดยใหเปนไปตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องภาวะแวดลอมเกี่ยวกับเสียงแสง ฯลฯ อุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล พธ.ทร. ไดกําหนดอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลเพื่อใหขาราชการและลูกจางของ ทร. ใช ปฏิบัติงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล, ไฟฟา และสารเคมี เพื่อเปนการปองกันอันตรายจากการปฏิบัติงาน โดย จัดแบงออกเปนอุปกรณหลัก 10 รายการ คือ 1. อุปกรณปองกันดวงตา มีแวนปองกัน, แวนครอบปองกันสารเคมี, แวนครอบสําหรับงานหลอม โลหะ และแวนครอบสําหรับงานเชื่อม 2. อุปกรณปองกันใบหนา มีโลพลาสติกปองกันใบหนา, หมวกครอบทําดวยโลหะ, โลบังหนา ชนิดมือถือ, หมวกครอบสําหรับงานเชื่อม และหมวกครอบถึงคอปองกันกรด 3. อุปกรณปองกันเทา มีรองเทาไรโลหะ, รองเทานิรภัยพรอมครอบโลหะหลังเทา และรองเทาหุม ขอ 4. อุปกรณปองกันขา มีกระบังหุมขา 5. อุปกรณปองกันศีรษะ มีหมวกนิรภัย (หมวกพลาสติกแข็งสีตามที่กําหนด คือ สีขาว, สีฟา, สีน้ําเงิน, สีสม, สีแดง และสีเหลือง 6. อุปกรณปองกันหู มีปลั๊กอุดหูและครอบหูลดเสียง 7. อุปกรณปองกันนิ้วและฝามือ มีถุงมือใยหิน, ถุงมือตาขายโลหะ, ถุงมือยางใชเกี่ยวกับไฟฟา, ถุงมือยางนิโอพลินและไวนิล, ถุงมือหนังตานประกายไฟ และถุงมือผาหรือฝาย 8. อุปกรณปองกันลําตัว มีเสื้อกันความรอน, ชดพนทราย และปลอกแขนหนัง 9. อุปกรณชวยหายใจ มีแบบใชแผนกรองอากาศและแบบใชแผนกรองฝุน
29 10. เข็มขัดนิรภัย มีเข็มขัดนิรภัยครึ่งเทียมลากและเข็มขัดนิรภัยชวยชีวิตคนหมดสติ กําหนดมาตรฐานเกี่ยวกับอุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล อุปกรณคุมครองความปลอดภัยสวนบุคคล จะตองมีคุณสมบัติไดมาตรฐานขั้นต่ํา ดังตอไปนี้ 1. หมวกแข็ง จะตองมีน้ําหนักไมเกินสี่รอยยี่สิบสี่กรัม ตองทําดวยวัตถุที่ไมใชโลหะ และตองมี ความตานทานสามารถทนแรงกระแทกได ไมนอยกวาสามรอยแปดสิบหากิโลกรัม ภายในหมวกจะตองมี รองหมวกทําด ว ย หนั ง พลาสติ ก ผ า หรือ วัตถุ อื่น ที่ คลา ยกัน และอยูหางผนั ง หมวกไมนอ ยกว า หนึ่ ง เซ็นติเมตร ซึ่งสามารถปรับระยะไดตามขนาดศีรษะของผูใช เพื่อปองกันศีรษะกระทบกับผนังหมวก 2. ที่สวมรัดผมหรือตาขายคลุมผม ตองทําดวยพลาสติกผา หรือวัตถุที่คลายกัน หรือใชสวมหรือ คลุมผมแลวสั้นเสมอคอ 3. แวนตาหรือหนากากใส ตองมีตัวแวนหรือหนากากทําดวยพลาสติกใสมองเห็นไดชัด สามารถ ปองกันแรงกระแทกได กรอบของแวนตาตองมีน้ําหนักเบา 4. แวนตาลดแสง ตัวแวนตองทําดวยกระจกสี ซึ่งสามารถลดความจาของแสงลงใหอยูในระดับที่ไม เปนอันตรายตอสายตา 5. กระบังหนา ตัวกระบังตองทําดวยกระจกสีซึ่งสามารถลดความจาาของแสงลงใหอยูในระดับที่ไม เปนอันตรายตอสายตา ตัวกรอบตองมีน้ําหนักเบา และตองไมติดไฟงาย 6. ปลั๊กลดเสียง (EAR PLUG) ตองทําดวยพลาสติก หรือยาง หรือวัตถุอื่น ใชใสชองหูทั้งสองขาง ตองสามารถลดระดับเสียงไดไมนอยกวา 15 เดซิเบล 7. ครอบหูลดเสียง (EAR MUFF) ตองทําดวยพลาสติกหรือยาง หรือวัตถุอื่น ใชครอบหูทั้งสองขาง ตองสามารถลดระดับเสียงลงไดไมนอยกวา 25 เดซิเบล 8. ถุงมือยาง ตองมีความยาวหุมถึงขอมือ มีลักษณะใชสวมกับนิ้วมือไดทุกนิ้ว 9. ถุงมือผา หรือวัตถุอื่นที่มีใยโลหะปน ตองมีความยาวหุมถึงขอมือ มีลักษณะใชสวมกับนิ้วมือได ทุกนิ้ว 10. รองเทาหนังหัวโลหะ ปลายรองเทาจะตองมีโลหะแข็งหุม สามารถทนแรงกดไดไมนอยกวาสี่ รอยสี่สิบหกกิโลกรัม 11. ถุงมือยางที่ใชกับงานเคมี ตองทําดวยยางหรือวัตถุอื่นที่คลายกัน มีความยาวหุมถึงขอมือมี ลักษณะใชสวมกับนิ้วมือไดทุกนิ้ว มีความเหนียวไมฉีกขาดงาย สามารถกันน้ําและสารเคมีได 12. รองเทายางหุมแข็ง ตองทําดวยยางหรือยางผสมวัตถุอื่น เมื่อสวมแลวมีความสูงไมนอยกวาครึ่ง แขง ไมฉีกขาดงาย สามารถกันน้ําและสารเคมีได 13. กระบังหนาชนิดใส ตัวกระบังตองทําดวยพลาสติกใสหรือวัตถุอื่นที่มีลักษณะคลายกันมองเห็น ไดชัด สามารถปองกันอันตรายจากสารเคมีกระเด็นหรือหกรด และทนแรงกระแทกได ตัวกรอบตองมีน้ําหนักเบา และตองไมติดไฟงาย
30 14. ที่กรองอากาศสําหรับใชครอบจมูกและปากกันสารเคมี ตองสามารถลดปริมาณความเขมขนของ สารเคมีมิใหเกินกวาที่กําหนดได 15. ที่กรองอากาศสําหรับใชครอบจมูกและปากกันฝุนแร ตองสามารถลดปริมาณฝุนแรไมใหเกิน กวาที่กําหนดได 16. เครื่องชวยหายใจที่ใชกับ ฟูม แกส หรือไอเคมี ตองเปนแบบหนากากครอบเต็มหนาประเภทที่ มีถังอากาศสําหรับหายใจอยูในตัว หรือประเภทที่มีทออากาศตอมาจากที่อื่น 17. ที่กันอันตรายจากสารเคมีกระเด็น ตองทําดวยพลาสติก หนัง หนังเทียม หรือวัตถุอื่นที่สามารถ กันอันตรายจากสารเคมีได
กฎหมายเกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตรายจากเครื่องจักร ในสวนของกฎหมายที่เกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตราย ฯ นั้นมีหนวยงานที่รับผิดชอบ โดยตรงก็คือ กรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ดังนี้ 1. กฎหมายของกรมแรงงานที่เกี่ยวของกับอุปกรณปองกันอันตราย ฯ สําหรับกรมแรงงาน ฯ นั้น ไดมีประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง ความปลอดภัยในการทํางาน เกี่ยวกับเครื่องจักร โดยอาศัยอํานาจตามความในขอ 2 (7) แหงประกาศของคณะปฏิวัติ ฉ บั บ ที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 ซึ่งไดกําหนดใหมีการจัดสวัสดิการเกี่ยวกับสุขภาพอนามียและความปลอดภัย สําหรับลูกจางไวในความทั่วไป หมวดที่ 1 การใชเครื่องจักรทั่วไป โดยเฉพาะขอ 5 โดยใหนายจางจัดใหมี เครื่องปองกันอันตรายจากเครื่องจักร (อุปกรณปองกันอันตราย ฯ) สรุปสาระสําคัญมีดังนี้ 1) เครื่องจักรที่ใชพลังงานไฟฟา ตองมีสายดินเพื่อปองกันกระแสไฟฟารั่วและใชทอรอย สายไฟฟาใหเรียบรอย เวนแตใชสายไฟฟาชนิดที่มีฉนวนหุมเปนพิเศษ 2) เครื่องจักรสําหรับปมวัตถุซึ่งใชน้ําหนักเหวี่ยงใหติดตัวน้ําหนักเหวี่ยงไวสูงกวาศีรษะ ผูปฏิบัติงานพอสมควร เพื่อไมใหเกิดอันตรายแกผูปฏิบัติงานหรือใหจัดทําเครื่องปองกันอยางหนึ่งอยางใดให มีความปลอดภัยตอลูกจาง และจะตองไมมีสายไฟฟาอยูในรัศมีของน้ําหนักเหวี่ยง สําหรับเครื่องจักรสําหรับ ปมวัตถุโดยใชเทาเหยียบตองมีที่พักเทา และมีที่ครอบปองกันมิใหเหยียบโดยไมตั้งใจ และเครื่องจักรสําหรับ ป ม วั ต ถุ โ ดยใช มื อ ป อ น ต อ งมี เ ครื่ อ งป อ งกั น มื อ ให พ น จากแม ป ม หรื อ จั ด หาเครื่ อ งป อ นวั ต ถุ แ ทนมื อ เครื่องจักรที่ใชพลังงานไฟฟาปมหรือตัดวัตถุที่ใชมือปอนตองมีสวิทซสองแหงหางกันเพื่อใหผูปฏิบัติงานตอง เปดสวิทซพรอมกันทั้งสองมือ 3) เครื่องจักรที่มีการถายทอดพลังงานโดยใชเพลา สายพาน ปุลเล ไฟลวีล ตองมีตะแกรงเหล็ก เหนียวครอบสวนที่หมุนไดและสวนสงถายกําลังใหมิดชิด ถาสวนที่หมุนไดหรือสวนสงถายกําลังสูงกวาสอง เมตร ตองมีตะแกรงหรือรั้วเหล็กเหนียวสูงไมต่ํากวาสองบเมตรกั้นลอมใหมิดชิด
31 สําหรับสายพานแขวนลอยที่มีความเร็วไมนอยกวา 540 เมตรตอนาทีหรือสายพานที่มีชวงยาวเกิน กวา 3 เมตร หรือสายพานที่กวางกวา 20 เซนติเมตรหรือสายพานโซตองมีที่ครอบรองรับซึ่งเปดซอมแซมได 4) ใบเลื่อยวงเดือนที่ใชกับเครื่องจักรซึ่งอาจเปนอันตรายตอผูปฏิบัติงานไดตองมีที่ครอบใบเลื่อย สวนที่สูงเกินกวาพื้นโตะหรือแทน เครื่องจักรที่ใชเปนเครื่องลับ ฝน หรือแตงผิวโลหะ ตองมีเครื่องปดบัง ประกายไฟหรือเศษวัตถุ ในขณะใชงาน บทลงโทษสํ า หรั บ นายจ า งและลู ก จ า งที่ ฝ า ฝ น หรื อ ไม ป ฏิ บั ติ ต ามข อ กํ า หนดของ กระทรวงมหาดไทย ซึ่งออกตามความในขอ 2 ดังกลาวขางตน ตองระวางจําคุกไมเกินหกเดือน หรือปรับ ไมเกิน สองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ 2. กฎหมายของกรมโรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวของกับอุปกรณปองกันอันตราย ฯ ในสวนของกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ไดระบุกฎหมายเกี่ยวกับเครื่อง ปองกันอันตรายจากเครื่องจักรอุปกรณปองกันอันตรายในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 มาตรา 39 วา ผู ไดรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน มีหนาที่กระทําการเกี่ยวกับเครื่องปองกันอันตราย ฯ คือ จะตอง รักษาโรงงานใหมั่นคงแข็งแรงมีสภาพอันปลอดภัยอยูเสมอตลอดจนดูแลรักษาเครื่องจักรใหมีสภาพมั่นคง แข็งแรงปลอดภัยเหมาะแกการใชและจัดใหมีการปองกันอุบัติเหตุหรืออันตรายที่อาจเกิดจากเครื่องจักร ฯ โดยจัดใหมีรั้วเครื่องกั้นหรือเครื่องปองกันอยางอื่นเพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ยังไดระบุไวโดยเฉพาะใน หมวด 12 เรื่องการปองกันอุบัติเหตุหรืออันตรายจากเครื่องจักรสรุปสาระที่สําคัญมีดังนี้ 1) เครื่องจักรใดที่ไดติดเครื่องปองกันอันตรายจากเครื่องจักรไวจะตองดูแลรักษาใหอยูในสภาพ เชนนั้นเสมอ และชิ้นสวนของเครื่องจักรที่มีการเคลื่อนไหว อันอาจเปนอันตรายก็จะตองมีเครื่องปองกัน อันตราย ฯ 2) ไฟลวีลตองมีฝาครอบ หรือตาขายเหล็กครอบชองกวางไมมากกวา 5 เซนติเมตรไฟลวีลที่ใช ในงานปกติหมุนไมเร็วกวา 500 รอบตอนาที จะตองจัดใหมีรั้วที่มั่นคงแข็งแรง กั้นสูงจากพื้นไมนอยกวา 100 เซนติเมตร นอกจากนั้น ถาไฟลวีลที่สูงจากพื้นที่ปฏิบัติงานหรือทางเดินตั้งแต 250 เซนติเมตรขึ้นไป อาจมี หรือไมมีเครื่องปองกันอันตราย ฯ ก็ได ขึ้นอยูกับพนักงานเจาหนาที่จะออกคําสั่ง 3) ตองจัดใหมีวิธีหยุดเดินเครื่องจักรไดในกรณีฉุกเฉิน จากที่ซึ่งอยูหางจากสวนที่เคลื่อนไหวของ เครื่องจักรในระยะที่ปลอดภัยแกการปฏิบัติและถาจําเปนตองมีทางเดินขามเพลาหรือที่ยึดเพลา ทางเดินนั้น ตองมีพื้นที่มั่นคงและมีราวกั้นอยางแข็งแรง สําหรับเพลา สายพาน ปุลเล และอุปกรณสงถายกําลังอื่นจะไมมี เครื่องปองกันอันตรายตามขอขางตนก็ได แตตองจัดใหอยูในบริเวณที่เหมาะสมกลาวคือ เปนบริเวณที่ปด ไมใหผูที่ไมมีหนาที่เกี่ยวของเขาไปตลอดเวลาที่กําลังเดินเครื่องอยู ความสูงจากพื้นถึงเพดาน หรือวัสดุอนื่ ใด เหนือทางเดินไมนอยกวา 170 เซนติเมตร หองนั้นมีแสงสวางเพียงพอ พื้นแหง ราบเรียบ ไมลื่น มั่นคง แข็งแรง และมีเครื่องปองกันอันตรายตามทางเดินดวย
32 4) เพลาที่สูงจากพื้นที่ปฏิบัติงานหรือทางเดินไมมากกวา 250 เซนติเมตร ตองมีเครื่องปองกัน อันตรายที่มั่นคงแข็งแรงอยางใดอยางหนึ่ง กลาวคือเปนครอบปดยาวตลอดตัวเพลาโดยรอบหรืออยางนอย ที่สุดดานขางและดานบนหรือดานลางที่คนทํางานหรือสิ่งของอาจกระทบเพลาได หรือมีรั้วกั้นสูงจากพื้นไม นอยกวา 100 เซนติเมตร สําหรับขอตอเพลา คลัช ปุลเล และสายพานหรือโซสงถายกําลังที่อยูสูงจากพื้น หรือพื้นที่ปฏิบัติงานไมมากกวา 2.5 เมตร ตองมีเครื่องปองกันอันตรายอยางมั่นคงแข็งแรง 5) เกียรที่อยูในบริเวณที่อาจจะกอใหเกิดอันตรายได ตองมีเครื่องปองกันอันตรายอยางมั่นคง แข็งแรง กลา วคื อมี ครอบปดคลุมหมด หรือถา เปน เกีย ร ข นาดใหญ ตองทําคอกกั้น อย างมั่ น คงแข็ งแรง สําหรับปุลเลที่ใชกับสายพานแบนตองมีหนานูน เพื่อปองกันไมใหสายพานหลุด หรือปุลเลที่ติดอยูที่ปลาย เพลาลอย จะตองมีเครื่องปองกันไมใหสายพานหลุดออกมานอกเพลาได นอกจากนี้สายพานหรือโซสงถาย กําลังที่ใชงานจะตองมีครอบปดคลุมหมด หรือมีเครื่องปองกันอันตรายที่เหมาะสม ผูที่ฝาฝนไมปฏิบัติตามมาตรา 39 ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม เจาหนาที่มีอํานาจตามมาตรา 36 คือออกคําสั่งเปนหนังสือใหเจาของสถานประกอบกิจการ 1) เปลี่ยนแปลงซอมแซม เกี่ยวกับโรงงานหรือเครื่องจักร 2) หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดหรือบางสวนจนกวาจะไดปรับปรุงแกไขใหเปนที่ ปลอดภัย 3) ผูกมัดประทับตราเครื่องจักรมิใหทํางานตอไปในกรณีไมปฏิบัติตามคําสั่งของพนักงาน เจาหนาที่ บทกําหนดโทษผูฝาฝนมาตรา 36 คือที่ระบุไวในมาตรา 48, 49 และ 50 คือ 1) ถาไมเปลี่ยนแปลง ซอมแซมเครื่องจักรหรือโรงงาน หรือสั่งใหหยุดประกอบกิจการ ฯ แลวยัง ดําเนินการอยูตองระวางโทษจําคุกไมเกินหนึ่งปหรือปรับไมเกินหาหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ 2) กระทําการอยางใดอยางหนึ่งที่ทําใหเครื่องจักรที่ผูกพัดประทับตราไวแลวกลับทํางานไดอีก ตองระวางโทษจําคุกไมเกินหนึ่งป ปรับไมเกินหาหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และถาขัดขวางหรือไมให ความสะดวกแกเจาหนาที่ก็จะไดรับโทษเชนเดียวกัน 3) ไมจัดใหมีการปองกันอุบัติเหตุ หรืออันตรายที่อาจเกิดจากเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่อง เคลื่อนยายหยิบยก หรือลําเลียงวัสดุ สายไฟฟา ทอไอน้ํา หรือวัตถุอันเปนสื่อสงกําลังในโรงงาน โดยไมจัด ใหมีรั้วกั้นหรือเครื่องปองกันอยางอื่นเพื่อความปลอดภัย จะตองระวางโทษจําคุกไมเกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรฐานหมอไอน้ํา ขณะที่ประเทศของเรายังไมมีมาตรฐานหมอไอน้ําสําหรับใชในการสรางหมอไอน้ํา ฉะนั้นหมอ ไอน้ําที่ใชขในประเทศจึงมีทั้งที่ไดมาตรฐานตางประเทศ เชน สหรัฐอเมริกา (ASME) ญี่ปุน (JIS) เยอรมัน (DIN) และ อังกฤษ (BS) ซึ่งเปนการสั่งเขามาจากตางประเทศโดยตรงหรือผลิตในประเทศตามมาตรฐานหมอ
33 ไอน้ําที่ไดลิขสิทธิ์จากบริษัทตางประเทศ หมอไอน้ําที่ผบิตไดมาตรฐานเหลานี้ไมนาเปนหวงในเรื่องอันตาาย เพราะมีการออกแบบที่ดี วัสดุที่ใชเหมาะสม กรรมวิธีการผลิตถูกตอง อุปกรณที่ใชเปนที่ยอมรับและมีการ ควบคุมการผลิตอยางใกลชิด สวนหมอไอน้ําที่ผลิตในประเทศสวนใหญไมไดมาตรฐานทั้งดานการออกแบบ วัสดุที่ใชสราง กรรมวิธีการผลิต สวนประกอบและอุปกรณความปลอดภัยสวนใหญจะมีใหพอใชงานได การ ควบคุมการผลิตไมมี และจากสถิติหมอไอน้ําระเบิดก็เกิดจากหมอไอน้ําที่สรางไมไดมาตรฐานเหลานี้นั่นเอง มาตรฐานหมอไอน้ําของแตละประเทศ ตางก็กําหนดขึคนมาบนพื้นฐานของความปลอดภัยในการ ใช ง านเป น หลั ก จะมี ค วามแตกต า งในรายละเอี ย ดบ า งแล ว แต ว า ประเทศใดจะเห็ น เหมาะสม ในที่ นี้ จ ะ ยกตัวอยางมาตรฐานหมอไอน้ําของ ASME และ JIS ซึ่งเปนที่ยอมรับทั่วไปวามีความปลอดภัยสูง และ นิยมใชในประเทศของเรา มาตรฐานหมอไอน้ําของ ASME มาตรฐานหมอไอน้ําของ ASME เปนมาตรฐานที่ใชอยางแพรหลายทั้งในสหรัฐอเมริกาและ ประเทศตาง ๆ ทั่วโลก สวนที่เกี่ยวของกับหมอไอน้ําอยูใน Section I Rules for construction of power boiler ซึ่งพอสรุปไดวามาตรฐานนี้ใหใชกับหมอไอน้ําที่มีความดันสูงกวา 15 ปอนดตอ ตารางนิ้ว (Psi) หรือหมอไอน้ําที่ผลิตน้ํารอนอุณหภูมิสูงกวา 250 องศาฟาเรนไฮท แตไมครอบคลุมถึงหมอ ไอน้ําชนิดที่บรรจุน้ําไมเกิน 6 แกลลอน หรือมีอุณหภูมิไมเกิน 350 องศาฟาเรนไฮท หรือไมเกิดไอน้ําใน ขด นอกจากนั้นกลาวถึง การออกแบบโครงสรางตาง ๆ ของหมอไอน้ําโดยเฉพาะบริเวณที่ตองรับความดัน สูง การติดตั้งสเตย (Stay) ยึดเพื่อเพิ่มความแข็งแรง การตอแผนเหล็กดวยวิธีการเชื่อมและใชหมุดย้ํา การ ตรวจและทดสอบความแข็งแรงของรอยตอตาง ๆ โดยเฉพาะบริเวณที่ใชการเชื่อมกําหนดคุณสมบัติของวัสดุที่ จะนํามาสรางหมอไอน้ําแตละจุดซึ่งจะมีความแตกตางกัน ขอแนะนําการเลือกใชลิ้นนิรภัย เครื่องดูระดับน้ํา เกจวัดความดันและปมน้ํา วิธีการติดตั้งวาลวจายไอ ทอน้ํา ทอจายไอ และทอถายน้ํา วิธีการตรวจสอบความ ปลอดภัยหมอไอน้ําดวยการอัดน้ํา (Hydrostatic test) เพื่อหาการรั่วหรือการแตกราวของโครงสรางหมอไอน้ํา มาตรฐานหมอไอน้ํา JIS สวนที่เกี่ยวของกับหมอไอน้ํา ไดแก JIS B8201 – 1967 Construction of steel boilers for land use โดยมีเนื้อหาของมาตรฐานที่สําคัญ ๆ เชน การออกแบบ การสราง การติดตั้ง การเลือกใชวัสดุและอุปกรณ เหมือนกับของ ASME แตจะมีความแตกตางกันในรายละเอียด กลาวคือมาตรฐานหมอไอน้ําของ JIS กับ ASME มีสวนที่แตกตางกัน 4 ประการสําคัญ คือ 1. มาตรฐานหมอไอน้ําของ JIS จะไมครอบคลุมถึงหมอไอน้ําที่เคลื่อนที่ได หมอไอน้ําไฟฟา หมอ ไอน้ําที่มีพื้นที่รับความรอนนอยกวา 3.5 ตารางเมตร และมีรูระบายไอน้ําไมเล็กกวา 25 มิลลิเมตร หมอไอน้ําที่ ผลิตน้ํารอนที่มีความดันไมเกิน 10 เมตร - น้ํา และมีพื้นที่รับความรอนไมเกิน 8 ตารางเมตร 2. ลิ้นนิรภัย JIS กําหนดวาหมอไอน้ําที่มีพื้นที่รับความรอนเกิน 50 ตารางเมตร จะตองมีลิ้นนิรภัย 2 ชุด สวน ASME ระบุวาตองมีลิ้นนิรภัย 2 ชุด เมื่อหมอไอน้ํามีพื้นที่รับความรอน 500 ตารางฟุต (47
34 ตารางเมตร) หรืออัตราการผลิตไอ 4,000 ปอนดตอชั่วโมง หรือหมอไอน้ําไฟฟาที่มชกําลังเกิน 1.100 กิโลวัตต 3. ปมน้ํา JIS กําหนดวาควรมีปมน้ํา 2 ชุด หรือมากกวา สวน ASME กําหนดใหมีปมน้ําไมนอยกวา 2 ชุด เมื่อหมอไอน้ํามีพื้นที่รับความรอนเกิน 500 ตารางฟุต 4. การตรวจทดสอบอัดน้ํา JIS กําหนดไวอยางละเอียดคือ หมอไอน้ําที่ความดันใชงานสูงสุดไมเกิน 4.3 กิโลกรัมตอตารางเซนติเมตร (Kg/cm2 ) ใหอัดน้ําที่ความดัน 2 เทา ถาความดันใชงานสูงสุดอยูระหวาง 4.3 – 15 กิโลกรัมตอตารางเซนติเมตร สําหรับหมอไอน้ําที่มีความดันใชงานสูงกวา 15 กิโลกรัมตอตาราง เซนติเมตร ใหอัดน้ําที่ความดัน 1.5 เทา สวน ASME กําหนดไวใหอัดน้ําที่ความดัน 1.5 เทาของความดันใช งานสูงสุดที่ออกแบบไว ปจจุบัน (พ.ศ.2533) สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวง อุตสาหกรรมไดออกมาตรฐานหมอไอน้ํา (มอก. 855 – 2532) เปนมาตรฐานไมบังคับ อยางไรก็ดีควรมีการ กําหนดและประกาศใชใหไดกอนถึงแมวาจะไมเปนมาตรฐานบังคับก็ตาม เพื่อเปนหลักปฏิบัติสําหรับบริษัท ที่ประสงคจะไดเครื่องหมายมาตรฐาน และผูใชจะไดมีสิทธิเลือกใชของที่ผลิตในประเทศที่ไดมาตรฐาน สวนบริษัทใดที่ผลิตไมไดมาตรฐานก็จะเสื่อมความนิยมไปเองโดยอัตโนมัติ ถึงจุดหนึ่งทุกบริษัทก็สามารถ ผลิตหมอไอน้ําที่ไดมาตรฐานเหมือนกัน เมื่อถึงเวลานั้นการประกาศใหหมอไอน้ําเปนเครื่องจักรที่ตองสราง ตามมาตรฐานก็สามารถปฏิบัติได การออกมาตรฐานหมอไอน้ําถาไมสามารถดําเนินการใหครอบคลุมหมอไอ น้ําทุกแบบทุกชนิด ก็ควรเรงออกมาตรฐานหมอไอน้ําเฉพาะแบบทอไฟกอนเพราะมีอันตรายสูง จากสถิติการ ระเบิดสูงกวาหมอไอน้ําแบบทอน้ํากวา 20 เทา และการระเบิดก็รุนแรงกวาดวย
มาตรฐานภาชนะบรรจุกาซ ป จ จุ บั น ประเทศของเรามี ก ารนํ า ก า ซชนิ ด ต า ง ๆ มาใช อ ย า งแพร ห ลายทั้ ง ในบ า น โรงงาน อุตสาหกรรม โรงพยาบาล และในรถยนต ปรากฏวา ภาชนะบรรจุกาซหลายชนิดสรางขึ้นมาอยางไมได มาตรฐาน จึ งก อ ให เ กิ ด อั น ตรายตอ ผู ใ ช ด ว ยเหตุ นี้ สํา นั ก งานมาตรฐานผลิ ต ภั ณ ฑอุ ต สาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสหากรรม จึงไดกําหนดมาตรฐานสําหรับภาชนะบรรจุกาซขึ้นมา สําหรับภาชนะบรรจุกาซที่มี อันตรายหรือไวไฟ เชน กาซปโตรเลียม กําหนดใหเปนมาตรฐานบังคับ เพราะฉะนั้นโรงงานใดจะสราง ตองดําเนินการตามมาตรฐานกําหนด แตยังมีภาชนะบรรจุกาซบางชนิด เชน ทอออกซิเจน ทอไนตรัส ออกไซด และทอไนโตรเจน กําหนดเปนมาตรฐานไมบังคับ นั่นคือโรงงานใดจะสรางตามมาตรฐานหรือไม ก็ได สําหรับภาชนะบรรจุกาซมีมาตรฐานที่สําคัญมีดังนี้ มาตรฐานถังกาซปโตรเลียมเหลว (มอก. 27 – 2528) มาตรฐานถังกาซปโตรเลียมเหลว (มอก. 27 – 2528) เปนมาตรฐานบังคับใชสําหรับถังที่มีความจุ ตั้งแต 1 – 500 ลิตร แตไมครอบคลุมถึงกาซปโตรเลียมเหลว สําหรับรถยนต ถังแบงออกเปน 2 แบบ คือ ถัง
35 สองสวนและถังสามสวน แตมีความจุ 14 ขนาด วัสดุที่สรางเปนเหล็กกลาเนื้อแนน (Killed steel) มี สวนประกอบทางเคมีตรงตามที่กําหนด ถังทุกใบเมื่อขึ้นรูปและเชื่อมสวนตาง ๆ แลว ตองมาผานกรรมวิธีทาง ความรอน (Heat treatment) เพื่อลดความเคนในเนื้อเหล็ก มีลิ้นหรือวาลวขนาดเดียวกับคอถังและมีกล อุปกรณนิรภัยดวย เพื่อความปลอดภัยและสะดวกในการขนสงถังตองมีโกรงกําบังลิ้น ฝาครอบลิ้นหรือจุกอุด ลิ้นอยางใดอยางหนึ่ง ถังเมื่อใชงานครบ 5 ป ตองนํามาตรวจสอบความปลอดภัย ตามมาตรฐานการใชและ การซอมถังกาซปโตรเลียมเหลว (มอก. 151 – 2528) ซึ่งมีการตรวจสอบ 5 วิธี คือ ตรวจพินิจภายนอก ตรวจ พินิจภายใน ชั่งน้ําหนัก ตรวจการรั่วซึม และตรวจทดสอบโดยการอัดน้ํา ถาไมผานตามเกณฑที่กําหนดหาม นํากลับมาใช การตรวจสอบเปนหนาที่ของโรงงานบรรจุกาซและเมื่อตรวจผานแลวจะทําเครื่องหมายไวที่ถัง มาตรฐานถังกาซปโตรเลียมเหลวสําหรับเครื่องยนตสันดาปภายใน (มอก. 370 – 2524) มาตรฐานถังกาซปโตรเลียมเหลวสําหรับเครื่องยนตสันดาปภายใน (มอก. 370 – 2524) เปนมาตรฐาน บังคับ ครอบคลุมถังที่มีความจุไมเกิน 500 ลิตร (ลูกบาศกเดซิเมตร) และมีความดันใชงาน 2.55 เมกาปาส กาล วัสดุที่ใชสรางเปนเหล็กกลามีเนื้อเหล็กคุณภาพดีมีสวนประกอบทางเคมีตามที่กําหนด มีสวนประกอบ และอุปกรณที่สําคัญ ๆ ดังนี้ ติดตั้ง ลิ้นบรรจุ ลิ้นจายกาซ เครื่องวัดปริมาณ เครื่องวัดระดับของเหลวคงที่ (ชองกระจก)ลิ้นนิรภัย ลิ้นควบคุมการบรรจุเกิน และโกรงกําบังลิ้นหรือฝาครอบลิ้น ถังตองไดรับการ ตรวจสอบทุก ๆ 5 ป ตาม มอก. 151 – 2528 วิธีการตรวจเชนเดียวกับการตรวจถังกาซปโตรเลียมเหลว จะมี ความแตกตางกันตรงความดันที่ใชทดสอบดวยการอัดน้ํา ของถังกาซปโตรเลียมเหลวกําหนดไว 2 เทาของ ความดันใชงานสูงสุด แตถังกาซปโตรเลียมสําหรับเครื่องยนตสันดาปภายในกําหนดไว 3.30 เมกาปาสกาล มาตรฐานภาชนะบรรจุกาซทนความดันแบบไมมีตะเข็บ (มอก. 359 – 5230) มาตรฐานภาชนะบรรจุกาซทนความดันแบบไมมีตะเข็บ (มอก. 359 – 5230) เปนมาตรฐานที่ไม บังคับแตใชเปนแนวทางสําหรับโรงงานที่สรางหรือใชปฏิบัติอยางถูกตองโดยมีรายละเอียดดังนี้ มาตรฐานนี้ ครอบคลุมทอที่มีขนาดบรรจุ 3.4 – 68 ลูกบาศกเดซิเมตร (ลิตร) และความดันกาซที่ใชบรรจุไมเกิน 25 เมกา ปาสกาล วัสดุที่ใชสรางเปนเหล็กกลาคุณภาพดีและมีสวนประกอบทางเคมีตรงตามที่กําหนด การทําทอใหใช วิธีการอัดเหล็กกลาผานแมพิมพ (Steel pipe extruded) หรือทําจากทอเหล็กเกลาไมมีตะเข็บ ที่กนทอปดดวย การทุบ (Forging) หรือการเชื่อมปดสวนภายในหรือภายนอก แลวนํามาผานกรรมวิธีทางความรอน ทอตองมี ลิ้นพรอมกลอุปกรณนิรภัย (Safety device) ฝาครอบลิ้นและฐานทอ เปนตน มาตรฐานนี้ใชไดกับภาชนะ บรรจุกาซถาวร เชน ออกซิเจน หรือภาชนะบรรจุกาซเหลว เชน คลอรีน แอมโมเนีย และเอทีลีน เปนตน ทอจะตองไดรับการตรวจสอบทุก ๆ 3 ป ตามมาตรฐานการใชและการซอมบํารุงภาชนะบรรจุกาซทนความดัน (มอก. 358 – 2531) ซึ่งมีการตรวจ 4 วิธี คือ ตรวจพินิจภายนอก ตรวจพินิจภายใน ชั่งน้ําหนักทอ และตรวจ ทดสอบอัดน้ํา ทอที่พบขอบกพรองและไมสามารถนํามาซอมแซมได ใหทําลายทอโดยการตัดทอออกเปน อยางนอย 2 สวน
36
กฎหมายที่เกี่ยวของกับความปลอดภัยของหมอไอน้ํา และภาชนะบรรจุกาซ มีหนวยงานราชการ 2 กระทรวง ที่ควบคุมดูแลความปลอดภัยหมอไอน้ําและภาชนะบรรจุกาซ ไดแก กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงมหาดไทย ตางก็คือกฎหมายคนละฉบับ หนวยงานทั้ง 2 ตางก็ ควบคุมความปลอดภัยหมอไอน้ําและภาชนะบรรจุกาซตามอํานาจหนาที่ที่กฎหมายกําหนดไว ถากฎหมาย เขียนมาสอดคลองกันหรือใกลเคียงกันก็ไมกอใหเกิดปญหาตอโรงงานอุตสหกรรม สถานประกอบการ หรือ ผูใช แตก็มีกฎหมายบางขอมีความแตกตางกันทําใหเกิดความสับสน ในทางปฏิบัติจึงจําเปนตองอาศัยการ ประสานงานจากหนวยงานทั้งสองรายละเอียดของกฎหมายที่ทั้ง 2 หนวยงานดูแลมีดังนี้ 1. กฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยหมอไอน้ํา กระทรวงอุตสาหกรรม มีกฎหมายเกี่ยวกับหมอไอน้ํา 2 ฉบับ คือ กฎกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2512) และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 18 (พ.ศ.2528) ซึ่งดูแลโดยกรมโรงงาน อุตสาหกรรมควบคุมตั้งแตการสรางหมอไอน้ํา การใชหมอไอน้ํา และการตรวจสอบหมอไอน้ํา โดยมี สาระสําคัญวาการสรางหรือซอมหมอไอน้ําจะตองไดรับการออกแบบและควบคุมการสรางหรือซอมจาก วิศวกร หมอไอน้ําที่ใชจะตองมีอุปกรณปองกันอันตรายตาง ๆ รวม 13 รายการ เชน ลิ้นนิรภัย ปมน้ํา หลอดแกวและสัญญาณเตือนภัยอัตโนมัติ เปนตน พรอมทั้งตองมีคนควบคุมหมอไอน้ําที่มีคุณวุฒิผานการา อบรมหลักสูตรผูควบคุมหมอไอน้ําหรือจบประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาชางยนตหรือชางกลโรงงาน และหมอไอน้ําจะตองไดรับการตรวจทดสอบความปลอดภัยการใชงานประจําปจากวิศวกร นอกจากนั้น กฎหมายยังระบุดวยวาวิศวกรที่ทํางานเกี่ยวกับหมอไอน้ําและคนที่คุมหมอไอน้ําจะตองไดรับการขึ้นทะเบียน จากกรมโรงงานอุตสาหกรรมกอนจึงจะปฏิบัติงานได 1.2 กระทรวงมหาดไทย กฎหมายที่เกี่ยวของกับหมอไอน้ํามี 2 หนวยงานดูแล คือ 2.1.1 กองงานคณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมและสถาปตยกรรม (กว กส) สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ดูแลตามพระราชาบัญญัติวิชาชีพวิศวกรรม พ.ศ.2505 ซึ่งเปนการควบคุม การทํางานด า นวิ ศวกรรม ในส วนที่ เ กี่ย วของกับ หมอไอน้ํ า ระบุวาผูที่จ ะทํ า งานไดตองเรียนมาในสาขา วิศวกรรมเครื่องกลหรือเทียบเทา และไดรับอนุญาตเปนผูประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม หมอไอน้ําทุก ขนาดจะต องไดรับการออกแบบคํา นวณ และควบคุมการสรา งจากวิศ วกร สํ า หรับการตรวจสอบความ ปลอดภัยหมอไอน้ําตองเปนสามัญวิศวกรขึ้นไป ผูใดดําเนินงานวิศวกรรมโดยไมไดรับอนุญาต มีโทษจําคุก ไมเกิน 1 ป หรือปรับ ไมเกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ 1.2.2 กรมแรงงาน ดูแลหมอไอน้ําตามประกาศกระทรวงมหาดไทย (พ.ศ.2519) ซึ่งมีเนื้อหา ครอบคลุมตั้งแตการออกแบบหมอไอน้ํา การใชอุปกรณที่สําคัญ คุณวุฒิของคนคุมหมอไอน้ําและวิศวกร ตรวจทดสอบหมอไอน้ํา หลักการทั่วไปสอดคลองกับกฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม แตมีรายละเอียด
37 บางประการที่แตกตางกัน เชน การกําหนดใหหมอไอน้ําที่มีการใชงานเกิน 10 ป หรือมีการเคลื่อนยายตองลด ความดันใชงานหมอไอน้ําลง สวนของกระทรวงอุตสาหกรรมใหอยูในดุลพินิจของวิศวกร 2. กฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยภาชนะบรรจุกาซ 2.1 กระทรวงอุตสาหกรรม กฎหมายที่เกี่ยวของกับภาชนะบรรจุกาซมี 2 หนวยงานดูแล คือ 2.1.1 สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม (สมอ.) ดูแลในสวนภาชนะบรรจุกาซที่ได ประกาศเปนมาตรฐานบังคับ และไมบังคับ เชน ภาชนะบรรจุกาซปโตรเลียมเหลวที่ใชหุงตมและใชใน รถยนตเปนมาตรฐานบังคับ โรงงานสรางตองทําตามมาตรฐานกําหนด ภาชนะบรรจุกาซออกซิเจนและไน ตรัสออกไซดเปนมาตรฐานไมบังคับ โรงงานใดจะผลิตตามก็ไดและถาทําตามไดครบตามที่กําหนด สามารถ ประทับตราเครื่องหมายมาตรฐานได แตตองไดรับอนุญาตจากสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม กอน 2.1.2 กรมโรงงานอุตสาหกรรม ดูแลภาชนะบรรจุกาซตามประกาศกระทรวง อุตสาหกรรม ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2514) และ ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2530) ดานการใชและการเก็บภาชนะบรรจุกาซ เชน ควรเก็บภาชนะบรรจุกาซในอาคารที่แยกตางหาก หางจากแหลงความรอนหรือประกายไฟ มีเครื่องหมาย บอก และพนักงานที่ทํางานเกี่ยวของตองไดรับการอบรม เปนตน 2.2 กระทรวงมหาดไทย กฎหมายที่เกี่ยวของกับภาชนะบรรจุกาซมี 2 หนวยงานดูแล คือ 2.2.1 กรมโยธาธิการ ดูแลภาชนะบรรจุกาซปโตรเลียมเหลวตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 28 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2529) ครอบคลุมถึงสถานที่บรรจุและสถานที่เก็บ โดยเนนภาชนะกาซ ปโตรเลียมขนาดใหญ กําหนดใหผูใชตองมาขออนุญาตและดําเนินการตามหลักเกณฑที่กําหนดเกี่ยวกับ สถานที่ วิธีการบรรจุ การเก็บและการติดตั้ง รวมถึงการทดสอบ การปองกันและระงับอัคคีภัย เปนตน 2.2.2 กองงานคณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมและสถาปตยกรรม (กว กส) สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ดูแลตามพระราชบัญญัติวิชาชีพวิศวกรรม พ.ศ.2505 รายละเอียด เชนเกี่ยวกับหัวขอ 1.2.1 เพียงแตเปลี่ยนจากหมอไอน้ํามาเปนภาชนะบรรจุกาซ
มาตรฐานและกฎหมายเกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล เนื่องจากอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลเปนสิ่งที่ชวยปองกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นตอรางกาย ขณะปฏิบัติงาน ซึ่งอาจทําใหไดรับบาดเจ็บ พิการหรือตายไดหรือทําใหเกิดโรคเนื่องจากการทํางาน ไดมี หนวยงาน สถาบันหรือองคการทั้งประเทศและตางประเทศไดกําหนดมาตรฐานของอุปกรณปองกันอันตราย สวนบุคคลบางประเภทขึ้นเพื่อใชเปนบรรทัดฐานสําหรับการผลิต การเลือก การนํามาใชงาน การบํารุงรักษา ตลอดจนการทดสอบตาง ๆ ทําใหการนําไปใชปองกันอันตรายนั้นมีประสิทธิภาพที่ดี สามารถใหการคุมครอง ผูใชใหเกิดความปลอดภัยได อีกทั้งยังมีการกําหนดเปนกฎหมายเพื่อใชบังคับใหสถานประกอบการไดมีการ
38 จัดการเกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลอีกดวย ซึ่งจะไดแยกอธิบายมาตรฐานและกฎหมายที่ เกี่ยวของ ดังมีรายละเอียดตอไปนี้ 1. มาตรฐานเกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล มาตรฐานเกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลไดแก มาตรฐานที่กําหนดโดยหนวยงานทั้ง ในและตางประเทศ ดังนี้ 1.1 หนวยงานในประเทศมีกําหนดมาตรฐานของอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล ที่สําคัญ ไดแก สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (สมอ.) ไดกําหนดเปนมาตรฐาน ผลิตภัณฑอุตสาหกรรม (มอก.) ซึ่งมีที่กําหนดและประกาศใชแลวดังตัวอยาง เชน - มาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม หมวกนิรภัยสําหรับโรงงานอุตสาหกรรมและงานสนาม (Standard for Industrial Protective Helments) มอก.368-2534 มีขอบเขตที่กําหนดถึง ประเภทชั้นคุณภาพ ขนาดสวนประกอบ การทําและความเรียบรอย คุณลักษณะที่ตองการ การทําเครื่องหมาย การชักตัวอยางและ เกณฑตัดสินและการทดสอบ หมวกนิรภัยสําหรับโรงงานอุตสาหกรรมและงานสนาม มาตรฐานนี้ครอบคลุม เฉพาะหมวกนิรภัยที่ใชปองกันศีรษะาจากอุบัติเหตุตาง ๆ ในขณะกําลังปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรม หรืองานสนามตลอดจนปองกันอันตรายจากกระแสไฟฟาและความรอน - มาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม รองเทาหนังนิรภัย (Standard for Leather Safety Footwear) มอก. 523-2528 (เปน อมก. ที่ออกประกาศแกไขเพิ่มเติมมาตรฐานเลขที่ มอก. 523-2527) มี ขอบเขตที่กําหนดถึง รูปราง ประเภท แบบและชนิด ขนาดและเกณฑ ความคลาดเคลื่อน สวนประกอบ คุณลักษณะที่ตองการ การบรรจุ เครื่องหมายและฉลาก การซักตัวอยางและเกณฑตัดสิน และการทดสอบ รองเทาหนังนิรภัย ที่สวนบนทําดวยหนังแท พื้นและสนทําดวยยางหรือวัสดุสังเคราะห 1.2 หนวยงานหรือสถาบันในตางประเทศที่กําหนดมาตรฐานของอุปกรณปองกันอันตรายสวน บุคคล ที่สําคัญไดแก สถาบันมาตรฐานแหงชาติอเมริกัน (American National Standard Institute : ANSI) สมาคมทดสอบและวัสดุแหงชาติอเมริกัน (American Society for Testing and Material : ASTM) สถาบัน มาตรฐานแหงชาติอังกฤษ (British Stadard Institute : BSI) องคการมาตรฐานระหวางประเทศ (International Organization for Standardizatior : ISO) ตัวอยางมาตรฐานของอุปกรณปองกันอันตาายสวนบุคคลที่กําหนดโดยสถาบันมาตรฐานแหงชาติ อเมริกัน (ANSI) เชน - มาตรฐานแหงชาติอเมริกันสําหรับอุปกรณปองกันศีรษะในงานอุตสาหกรรม - มาตรฐานแหงชาติอเมริกันสําหรับอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล เกี่ยวกับการปองกันเทา - มาตรฐานแหงชาติอเมริกันสําหรับอุปกรณปองกันระบบหายใจ - มาตรฐานแหงชาติอเมริกันสําหรับการแบงชนิดของอุปกรณปองกันระบบหายใจชนิดตลับกรอง อากาศ และกลองบรรจุสารกรองอากาศ
39 2. กฎหมายเกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคล กฎหมายเกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลในประเทศไทย มีหนวยงานหลักที่ เกี่ยวของอยู 2 แหง คือ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ไดมีการกําหนดเปนกฎหมายให สถานประกอบการถือปฏิบัติดังมีสาระสําคัญโดยสรุปสวนที่เกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลของ แตละหนวยงานไดดังนี้ 2.1 กระทรวงมหาดไทย กฎหมายเกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลจะมีระบุอยูใน กฎหมายความปลอดภัยในการทํางานซึ่งเปนประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับตาง ๆ ที่ประกาศโดยอาศัย อํานาจตามความในขอ 2 (7) และขอ 14 แหงประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2515 กําหนดสวัสดิการเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยสําหรับลูกจาง ดังมีประกาศกระทรวงมหาดไทย ฉบับตาง ๆ ในเรื่องตอไปนี้ - ความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับเครื่องจักร - ความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับภาวะแวดลอม หมวดความรอน หมวดแสงสวาง และ หมวดเสียง - ความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับภาวะแวดลอม (สารเคมี) - ความปลอดภัยเกี่ยวกับไฟฟา - ความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับภาวะแวดลอม (ประดาน้ํา) - ความปลอดภัยในการทํางานกอสรางวาดวยลิฟตขนสงวัสดุชั่วคราว - ความปลอดภัยในการทํางานกอสราง ในแตละฉบับไดกําหนดใหนายจางจัดหาอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลแตละประเภท ใหลูกจางสวมใสขณะปฏิบัติงาน และในบางฉบับจะกําหนดเปนหมวดมาตรฐานเกี่ยวกับอุปกรณคุมครอบ ความปลอดภัยสวนบุคคล 2.2 กระทรวงอุตสาหกรรม มีหนวยงานที่เกี่ยวของกับการออกกฎหมายเกี่ยวกับอุปกรณปองกัน อันตรายสวนบุคคลอยู 2 หนวยงาน คือ กรมโรงงานและกรมทรัพยากรธรณี ซึ่งมีกฎหมายที่เกี่ยวของดังนี้ 2.2.1 กรมโรงงาน กฎหมายเกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลจะมีระบุอยูในประกาศ กระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2514) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2512 เรื่องหนาที่ ของผูรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน มีเนื้อหาอยูในหมวด 12 การปองกันอุบัติเหตุหรืออันตรายจาก เครื่องจักรเครื่องมือ เครื่องเคลื่อนยาย หยิบยกหรือลําเลียงวัสดุ สายไฟฟา ทอไอน้ํา หรือวัตถุอันเปนสื่อสง กําลังในโรงงาน โดยอาศัยอํานาจตามความใน (12) แหงมาตรา 39 เนื้อหาจะกําหนดใหผูรับใบอนุญาต ฯ จัดหาอุปกรณปองกันอันตรายประเภทตาง ๆ เชน รองเทา หมวก ที่อุดหู ครอบหู ถุงมือ อุปกรณหองกัน ระบบหายใจ เปนตน ใหคนงานสวมใสบริเวณที่อาจเปนอันตรายนั้น ๆ และมีเนื้อหาอยูในหมวด 13 การเก็บ และการใชวัตถุมีพิษ วัตถุเคมี วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด และวัตถุอื่นที่อาจเปนอันตรายหรือที่อาจทําใหเกิดฝุน ละออง ความรอน แสงหรือเสียง ซึ่งเปนอันตรายในการปฏิบัติงานกับวิธีการปองกันและเครื่องปองกันมิให
40 เกิดอันตรายแกคนงาน เนื้อหาจะกําหนดใหผูรับใบอนุญาต ฯ ตองจัดใหคนงานที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับวัตถุมีพิษ วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิดหรือวัตถุอื่นที่อาจเปนอันตราย หรือที่อาจทําใหเกิดฝุนละอองความรอน แสงหรือเสียง ซึ่งอาจเปนอันตรายตอการปฏิบัติงานในหนาที่สวมเครื่องปองกันอันตาายตามคตวามเหมาะสมตอการปฏิบัติ นั้น ๆ 2.2.2 กรมทรัพยากรธรณี กฎหมายเกี่ยวกับอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลจะมีระบุอยูใน กฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ.2513) ออกตามความในพระราชบัญญัติแร พ.ศ.2510 มีเนื้อหาอยูในหมวด 3 ขอกําหนดเกี่ยวกับการใชเครื่องจักร หมวด 8 ขอกําหนดเกี่ยวกับรถขุดและหมวด 9 ขอกําหนดเกี่ยวกับทํา เหมืองใตดิน ในเนื้อหาจะกําหนดใหผูถือประทานบัตร ผูรับอนุญาตทําเหมืองชั่วคราว ผูรับใบอนุญาตเหมือง แร หรือผูรับใบอนุญาตประกอบโลหะกรรม ตองจัดหาอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลใหกับคนงานใช ปองกันอันตรายในแตละลักษณะงาน
บรรณานุกรม กองชีวอนามัย, กรมอนามัย. การปฐมพยาบาลเบื้องตน. กรุงเทพ ฯ : กระทรวงสาธารณสุข. กรมพัฒนาการชาง, กรมอูทหารเรือ. คูมือนิรภัยการชาง. กรุงเทพ ฯ. เทวินทร ศิริโชคชัยกลุ. ISO 14001 ระบบการจัดสิ่งแวดลอม. กรุงเทพ ฯ : หางหุน สวนจํากัด เอ็มเพาเวอรเมนท, 2542 หนา 250 – 251, หนา 260 – 261. สุเทพ นีรศาสตร. ISO 14000 มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดลอม. กรุงเทพ ฯ : สมาคมสงเสริม เทคโนโลยี (ไทย - ญี่ปุน), 2542 หนา (1- 1) - ( 2 – 6) ,หนา (6- 1) - (6 – 17). “ ความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับเครื่องจักร” , ประกาศกระทรวงมหาดไทย. 23 กรกฎาคม 2519. “ ความปลอดภัยในการทํางานเกี่ยวกับภาวะแวดลอม” , ประกาศกระทรวงมหาดไทย. 12 พฤศจิกายน 2519. แผนกนิรภัยการชาง, กองจัดการ, กรมอูทหารเรือ. รวมบทความปลอดภัยในงานประจําป 2541. แผนกนิรภัยการชาง, กองจัดการ, กรมอูทหารเรือ. ความปลอดภัยในการทํางาน, 2547.