การเคลื่อนที่ 1. นิยามในเรื่องการเคลื่อนที่ 1. ระยะทาง (Distance) คือ ความยาวตามเสนทางที่วัตถุเคลื่อนที่จริง เปนปริมาณสเกลาร (คิดเฉพาะ ขนาด ไมคิดทิศทาง) 2. การขจัด (Displacement) คือ ระยะการเปลี่ยนตําแหนงของวัตถุจากจุดเริ่มตนถึงจุดสุดทายของการ เคลื่อนที่ เปนปริมาณเวกเตอร (คิดทั้งขนาดและทิศทาง) จากรูป A คือ จุดเริ่มตน B คือ จุดสุดทาย ระยะทาง คือ เสนทางที่เปนเสนประ การขจัด คือ เสนทางที่เปนลูกศรชี้ 3. อัตราเร็ว (Speed) คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดในหนึ่งหนวยเวลา เปนปริมาณสเกลาร สามารถ คํานวณไดจากสูตร v = St Speed is a Scalar เมื่อ v คือ อัตราเร็ว (เมตรตอวินาที, m/s) S คือ ระยะทาง (เมตร, m) t คือ เวลา (วินาที, s)
วิทยาศาสตร ฟสิกส (2) ___________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
4. ความเร็ว (Velocity) คือ การขจัดที่วัตถุเคลื่อนที่ไดในหนึ่งหนวยเวลา เปนปริมาณเวกเตอร แยก พิจารณาเปน 2 ประเภท คือ 1. ความเร็วเฉลี่ย (Average Velocity) สามารถหาไดจากสูตร v vv ∆ S avr = t Velocity is a Vector เมื่อ vv avr คือ ความเร็วเฉลี่ย v ∆ S คือ การขจัด t คือ เวลา 2. ความเร็วขณะใดขณะหนึ่ง (Instantaneous Velocity) คือ ความเร็วของวัตถุ ณ จุดใดจุดหนึ่ง ในการเคลื่อนที่ หาไดจากสูตร vv = lim ∆vS = d vS in dt ∆t → 0 ∆t 5. ความเรง (Acceleration) คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงความเร็วตอหนึ่งหนวยเวลา เปนปริมาณ เวกเตอร แยกพิจารณาเปน 2 ประเภท คือ 1. ความเรงเฉลี่ย (Average acceleration) สามารถหาไดจากสูตร v va ∆v avr = t เมื่อ vaavr คือ ความเรงเฉลี่ย (เมตรตอวินาที2, m/s2) v ∆ v คือ ความเร็ว (เมตรตอวินาที, m/s)
t คือ เวลา (วินาที, s) 2. ความเรงขณะใดขณะหนึ่ง (Instantaneous Acceleration) คือ ความเรงของวัตถุ ณ จุดใดจุด หนึ่งในการเคลื่อนที่ หาไดจากสูตร va = lim ∆va = dva in dt ∆t → 0 ∆t ดิฟการกระจัดเปนความเร็ว ดิฟความเร็วเปนความเรง ดิฟความเรงเปน...?
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ____________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (3)
2. กราฟในเรื่องการเคลื่อนที่ 1. การคํานวณจากกราฟ S-t
ความเร็วคงที่ = ความชันของกราฟ S -S = ∆∆St = t 2 - t 1 2 1 2. การคํานวณจากกราฟ v-t
ความเร็วเฉลี่ย = ความชันของคอรด pg S -S = ∆∆St = t 2 - t 1 2 1
ระยะทาง = พื้นที่ใตกราฟ ความเรงคงที่ = ความชันของกราฟ v -v = ∆∆vt = t 2 - t 1 = 12 × สูง × ผลบวกของคูขนาน 2 1 1 = 2 × (t2 - t1) × (v2 + v1)
การขจัด = พื้นที่ใตกราฟ = 12 × (t2 - t0 ) × v2 - 12 × t0 × v1 (การหาคาการขจัด ตองพิจารณาเครื่องหมายดวย)
v -v ความเรงเฉลี่ย = ความชันของคอรด pg = ∆∆vt = t 2 - t 1 2 1 วิทยาศาสตร ฟสิกส (4) ___________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
3. การเคลื่อนที่ในลักษณะตางๆ 1. การเคลื่อนที่เปนเสนตรงดวยความเรงคงที่ สูตรที่ใชในการคํานวณ คือ 2. v = u + at 1. S = (v +2 u)t 3. S = ut + 12 at2 4. v2 = u2 + 2aS ยกเวน t ตัวแปรทุกตัวเปนปริมาณเวกเตอร ดังนั้นจึงตองคิดเครื่องหมายบวก หรือลบตามทิศทางการ เคลื่อนที่ 2. การเคลื่อนที่อิสระภายใตแรงดึงดูดของโลก สูตรที่ใชในการคํานวณ คือ 1. h = (v +2 u)t 2. v = u + gt 3. h = ut + 12 gt2 4. v2 = u2 + 2gh (g = 9.8 m/s2) เมื่อ h คือ ความสูงเทียบกับจุดปลอยวัตถุ u คือ ความเร็วตน v คือ ความเร็วสุดทาย t คือ เวลาในการเคลื่อนที่ g คือ ความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก (แทนคาเปนลบตลอด) 3. การพิจารณาการเคลื่อนที่อิสระภายใตแรงดึงดูดของโลกในลักษณะตางๆ 1. เมื่อปลอยวัตถุใหตกลงสูพื้นโลก พบวา 1.1 ความเร็วตนของวัตถุเทากับศูนย (u = 0) 1.2 ความเร็วมีคาสูงสุดเมื่อวัตถุกระทบพื้น 1.3 คา g มีคาเปนลบ จะได v เปนลบ หมายถึง มีทิศทางลงพื้น
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ____________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (5)
2. เมื่อขวางวัตถุขึ้นไปในอากาศแลวตกลงในระดับที่ต่ํากวาตอนขวาง พบวา v 2.1 ณ จุด 1 vu เปนบวก h เปนศูนย t เปนศูนย v 2.2 ณ จุด 2 vv เปนศูนย h เปนบวก t เปนบวก v 2.3 ณ จุด 3 vv เปนลบ h เปนศูนย t เปนบวก v 2.4 ณ จุด 4 เมื่อวัตถุกระทบพื้นโลก ความเร็วมีคาสูงสุด vv เปนลบ h เปนลบ t เปนบวก
3. เมื่อปาวัตถุลงมาสูพื้นโลก พบวา 3.1 ความเร็วตนไมเทากับศูนย (u ≠ 0) vu เปนลบ เพราะทิศทางลง 3.2 คา g มีคาเปนลบ จะได v เปนลบ หมายถึง ทิศทางลงพื้น
4. เมื่อปลอยวัตถุตกลงมาอยางอิสระ ขณะเดียวกันก็โยนวัตถุอีกกอนขึ้นไป แลวพบกันที่จุด A พบวา 4.1 เวลาที่วัตถุทั้งสองเคลื่อนที่จากจุดเริ่มไปยังจุด A มีคาเทากัน (tb = tc) v v 4.2 คา h ของวัตถุ B มีคาเปนบวก คา h ของวัตถุ C มีคาเปนลบ
วิทยาศาสตร ฟสิกส (6) ___________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
5. เมื่อปลอยวัตถุจากบอลลูนที่กําลังลอยขึ้นดวยความเร็วคาหนึ่ง พบวา 5.1 ความเร็วตนของวัตถุ = ความเร็วของบอลลูนขณะที่ปลอยวัตถุ ( vu เปนบวก) 5.2 หลังจากการปลอย วัตถุจะเคลื่อนที่ขึ้นไปอีกระยะหนึ่ง แลวจึงเริ่มตกลงมา 5.3 คา g ขณะเคลื่อนขึ้นและลง มีคาเปนลบตลอด 5.4 เมื่อวัตถุเคลื่อนไปไดสูงสุด ความเร็วมีคาเทากับศูนย
ตัวอยางขอสอบ 1. ในการทดลองปลอยถุงทรายใหตกแบบเสรี โดยลากแถบกระดาษผานเครื่องเคาะสัญญาณเวลาที่เคาะจุดทุกๆ 1 50 วินาที จุดบนแถบกระดาษปรากฏดังรูป ถาระยะระหวางจุดที่ 9 ถึงจุดที่ 10 วัดได 3.80 เซนติเมตร และระยะระหวางจุดที่ 10 ถึงจุดที่ 11 วัดได 4.20 เซนติเมตร ความเร็วเฉลี่ยที่จุดที่ 10 จะเปนกี่เมตรตอ วินาที
1) 3 m/s 2) 2.5 m/s 3) 2 m/s 4) 1.5 m/s 2. A กับ B วิ่งออกกําลังกายจากจุดๆ หนึ่งดวยอัตราเร็วสม่ําเสมอ 4 เมตรตอวินาที และ 6 เมตรตอวินาที ตามลําดับ เมื่อเวลาผานไป 60 วินาที A กับ B จะอยูหางกันกี่เมตร 1) 100 m 2) 120 m 3) 130 m 4) 140 m 3. รถยนตคันหนึ่งวิ่งดวยอัตราความเร็วคงตัว 20 เมตรตอวินาที นานเทาใดจึงจะเคลื่อนที่ไดระยะทาง 500 เมตร 1) 10 s 2) 15 s 3) 20 s 4) 25 s
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ____________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (7)
4. ถาปลอยใหกอนหินตกลงจากยอดตึกสูพื้น การเคลื่อนที่ของกอนหินกอนจะกระทบพื้นจะเปนตามขอใด ถาไม คิดแรงตานของอากาศ 1) ความเร็วคงที่ 2) ความเร็วเพิ่มขึ้นอยางสม่ําเสมอ 3) ความเร็วลดลงอยางสม่ําเสมอ 4) ความเร็วเพิ่มขึ้นแลวลดลง 5. โยนลูกบอลขึ้นไปในแนวดิ่งดวยความเร็วตน 4.9 เมตรตอวินาที นานเทาใดลูกบอลจึงจะเคลื่อนที่ไปถึงจุด สูงสุด 1) 0.5 s 2) 1.0 s 3) 1.5 s 4) 2.0 s 6. เด็กคนหนึ่งออกกําลังกายดวยการวิ่งดวยอัตราเร็ว 6 เมตรตอวินาที เปนเวลา 1 นาที วิ่งดวยอัตราเร็ว 5 เมตรตอวินาทีอีก 1 นาที แลวเดินดวยอัตราเร็ว 1 เมตรตอวินาที อีก 1 นาที จงหาอัตราเร็วเฉลี่ยใน ชวงเวลา 3 นาทีนี้ 1) 3.0 m/s 2) 3.5 m/s 3) 4.0 m/s 4) 4.5 m/s 7. คลองที่ตัดตรงจากเมือง A ไปเมือง B มีความยาว 65 กิโลเมตร ขณะที่ถนนจากเมือง A ไปเมือง B มีระยะทาง 79 กิโลเมตร ถาชายคนหนึ่งขนสินคาจากเมือง A ไปเมือง B โดยรถยนต ถามวาสินคานั้นมี ขนาดการกระจัดเทาใด 1) 14 km 2) 65 km 3) 72 km 4) 79 km 8. รถยนตคันหนึ่งวิ่งดวยอัตราเร็วเฉลี่ย 80 กิโลเมตรตอชั่วโมง จากเมือง A ไปเมือง B ที่อยูหางกัน 200 กิโลเมตร ถาออกเดินทางเวลา 06.00 นาฬิกา จะถึงปลายทางเวลาเทาใด 1) 07.50 นาฬิกา 2) 08.05 นาฬิกา 3) 08.30 นาฬิกา 4) 08.50 นาฬิกา 9. รถยนตคันหนึ่งเคลื่อนที่จากหยุดนิ่งไปบนเสนทางตรง เวลาผานไป 4 วินาที มีความเร็วเปน 8 เมตร/วินาที ถาอัตราเร็วเพิ่มขึ้นอยางสม่ําเสมอ รถยนตคันนี้มีความเรงเทาใด 1) 2 m/s2 2) 4 m/s2 3) 12 m/s2 4) 14 m/s2 10. เด็กคนหนึ่งเดินไปทางทิศเหนือไดระยะทาง 300 เมตร จากนั้นเดินไปทางทิศตะวันออกไดระยะทาง 400 เมตร ใชเวลาเดินทางทั้งหมด 500 วินาที เด็กคนนี้เดินดวยอัตราเร็วเฉลี่ยกี่เมตร/วินาที 1) 0.2 m/s 2) 1.0 m/s 3) 1.4 m/s 4) 2.0 m/s 11. ในการเคลื่อนที่เปนเสนตรง กราฟขอใดแสดงวาวัตถุกําลังเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงตัว 1) ความเรง 2) ความเรง 0
เวลา
3) ความเรง 0
0
เวลา
4) ความเรง เวลา 0
วิทยาศาสตร ฟสิกส (8) ___________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
เวลา
12. กราฟของความเร็ว v กับเวลา t ขอใดสอดคลองกับการเคลื่อนที่ของวัตถุที่ถูกโยนขึ้นไปในแนวดิ่ง 1) v 2) v
t
3) v
t
4) v
t
t
13. รถยนต A เริ่มเคลื่อนที่จากหยุดนิ่ง โดยอัตราเร็วเพิ่มขึ้น 2 เมตร/วินาที ทุก 1 วินาที เมื่อสิ้นวินาทีที่ 5 รถยนตจะมีอัตราเร็วเทาใด 1) 5 m/s 2) 10 m/s 3) 15 m/s 4) 20 m/s 14. ถาปลอยใหวัตถุตกลงในแนวดิ่งอยางเสรี หากวัตถุนั้นตกกระทบพื้นดินในเวลา 5 วินาที ถามวาวัตถุกระทบ ดินดวยความเร็วเทากับกี่เมตร/วินาที 1) 4.9 m/s 2) 9.8 m/s 3) 39 m/s 4) 49 m/s 15. จากรูป แสดงจุดหางสม่ําเสมอกันบนแถบกระดาษที่ผานเครื่องเคาะสัญญาณเวลา 50 ครั้ง/วินาที ขอความใด ถูกตองสําหรับการเคลื่อนที่นี้
1) ความเร็วเพิ่มขึ้นสม่ําเสมอ 2) ความเรงเพิ่มขึ้นสม่ําเสมอ 3) ความเรงคงตัวและไมเปนศูนย 4) ระยะทางเพิ่มขึ้นสม่ําเสมอ 16. เมื่ออยูบนดวงจันทรชั่งน้ําหนักของวัตถุที่มีมวล 10 กิโลกรัม ได 16 นิวตัน ถาปลอยใหวัตถุตกที่บนผิว ดวงจันทร วัตถุมีความเรงเทาใด 1) 1.6 m/s2 2) 3.2 m/s2 3) 6.4 m/s2 4) 9.6 m/s2 17. ชายคนหนึ่งเดินทางไปทางทิศเหนือ 100 เมตร ใชเวลา 60 วินาที แลวเดินตอไปทางตะวันออกอีก 100 เมตร ใชเวลา 40 วินาที เขาเดินทางดวยอัตราเร็วเฉลี่ยเทาใด 1) 1.0 m/s 2) 1.4 m/s 3) 2.0 m/s 4) 2.8 m/s
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ____________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (9)
การเคลื่อนที่แบบโปรเจกไทล 1. การเคลื่อนที่แบบโปรเจกไทล (Projectile Motion) ดังรูป
เปนการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวราบและแนวดิ่งพรอมกัน จึงทําใหเสนทางการเคลื่อนที่เปนวิถีโคง ลักษณะ
2. สูตรการคํานวณการเคลื่อนที่แบบโปรเจกไทล
1. เมื่อความเร็วตน = u มีทิศทํามุม θ กับแนวราบ ความเร็วตนตามแนวแกน x ; ux = u cos θ ความเร็วตนตามแนวแกน y ; uy = u sin θ 2. เมื่อความเร็ว ณ เวลาใดๆ = v มีทิศทํามุม θ กับแนวราบ ความเร็วตามแนวแกน x ; vx = v cos θ ความเร็วตามแนวแกน y ; vy = v sin θ 3. ระยะทางสูงสุดตามแนวดิ่ง (H) u2 H = 2gy θ)2 = (u sin 2g
วิทยาศาสตร ฟสิกส (10) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
4. ระยะทางไกลสุดตามแนวราบ (R)
2u x u y g 2 2 = 2u singθ cos θ = u sing (2θ) โดย R จะมีคามากที่สุด (Rmax) เมื่อ θ = 45° 5. เวลาที่วัตถุเคลื่อนที่จากจุดเริ่มตนถึงจุดสูงสุดตามแนวดิ่ง (t) θ t = u sin g
R =
6. เวลาที่วัตถุเคลื่อนที่จากจุดเริ่มตนถึงจุดไกลสุดตามแนวราบ (T) θ T = 2u sin g จากขอ 5. และ 6. จะไดวา
T = 2t
3. การเคลื่อนที่แบบโปรเจกไทลแนวราบ คือ การเคลื่อนที่แบบโปรเจกไทลที่มีความเร็วตนเฉพาะแนวราบ เชน เครื่องบินบินในแนวราบแลวทิ้ง ระเบิดลงมา ลักษณะดังรูป
คําอธิบาย : เมื่อเริ่มปลอยวัตถุที่จุด A 1. ความเร็วตน = ความเร็วของวัตถุที่ทิ้งสิ่งของลงมา 2. ความเร็วตนตามแนวดิ่ง uy = O ที่จุด B วัตถุตกกระทบกับพื้น 1. ความเร็วตามแนวราบ = ความเร็วตนตามแนวราบที่สุด A (vx = u) 2. ความเร็วตามแนวดิ่ง vy = gt สูตรที่ใชในการคํานวณ คือ 1. Sx = uxt = ut g ⋅ S2 2. H = 12 gt2 = 2x 2u 3. vy = gt หมายเหตุ : สูตรเหลานี้ใชหลักการของสูตรการเคลื่อนที่อิสระภายใตแรงดึงดูดของโลก แตพิจารณาใน เงื่อนไขของการเคลื่อนที่แบบโปรเจกไทลแนวราบ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (11)
ตัวอยางขอสอบ 1. การเคลื่อนที่แบบโปรเจกไทล เมื่อวัตถุเคลื่อนที่ขึ้นไปถึงตําแหนงสูงสุด อัตราเร็วของวัตถุจะเปนอยางไร 1) มีคาเปนศูนย 2) มีอัตราเร็วแนวราบเปนศูนย 3) มีคาเทากับอัตราเร็วแนวราบเมื่อเริ่มเคลื่อนที่ 4) มีคาเทากับอัตราเร็วเมื่อเริ่มเคลื่อนที่ 2. ยิงวัตถุจากหนาผาออกไปในแนวระดับ ปริมาณใดของวัตถุมีคาคงตัว
1) อัตราเร็ว 2) ความเร็ว 3) ความเร็วในแนวดิ่ง 4) ความเร็วในแนวระดับ 3. วัตถุที่เคลื่อนที่แบบโปรเจกไทลขณะที่วัตถุอยูที่จุดสูงสุด ขอใดตอไปนีถ้ ูกตอง 1) ความเร็วของวัตถุมีคาเปนศูนย 2) ความเรงของวัตถุมีคาเปนศูนย 3) ความเร็วของวัตถุในแนวดิ่งมีคาเปนศูนย 4) ความเร็วของวัตถุในแนวราบมีคาเปนศูนย
วิทยาศาสตร ฟสิกส (12) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
ไฟฟาสถิต ประจุไฟฟา
คือ
1. ทฤษฎีอิเล็กตรอนในไฟฟาสถิต กลาววา 1. วัตถุใดที่มีจํานวนอิเล็กตรอนมากกวาโปรตอน วัตถุนั้นจะมีประจุไฟฟาลบ (Negative Charge) 2. วัตถุใดที่มีจํานวนอิเล็กตรอนนอยกวาโปรตอน วัตถุนั้นจะมีประจุไฟฟาบวก (Positive Charge) 2. สภาพเปนกลางทางไฟฟา คือ สภาพที่เกิดจากวัตถุมีจํานวนโปรตอนและอิเล็กตรอนเทากัน 3. อุปกรณตรวจประจุไฟฟา (Electroscope) เปนเครื่องมือตรวจสอบวาวัตถุนั้นมีประจุหรือไม มี 2 แบบ
1. อิเล็กโตรสโคปลูกพิธ
2. อิเล็กโตรสโคปแผนโลหะ
4. ตัวนํา (Conductor) คือ วัตถุที่ยอมใหประจุไฟฟาผานไดดี เวลาเกิดประจุไฟฟาบนตัวนําแลวจะมีการ ถายเทประจุทันที 5. ฉนวน (Insulator) คือ วัตถุที่ไมยอมใหประจุไฟฟาผาน ประจุถายเทไดยาก 6. การเหนี่ยวนํา (Induction) คือ การเคลื่อนยายของอิเล็กตรอนบนวัตถุตัวนําเมื่อมีประจุไฟฟาภายนอก สงอิทธิพลไปยังตัวนํานั้น แลวมีผลทําใหสวนของตัวนําที่อยูใกลประจุภายนอกมีประจุตรงขามกัน แตสวนของตัวนํา ที่ไกลออกไปมีประจุชนิดเดียวกับประจุภายนอก ประจุ 1 คูลอมป คือ ประจุที่ทําใหเกิดแรง 9 × 109 นิวตัน กระทําตออีกประจุหนึ่งซึ่งมีขนาดเทากันและ วางหางกัน 1 เมตร ในสุญญากาศ
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (13)
สนามไฟฟา 1. สนามไฟฟา (Electric Field) คือ บริเวณที่เมื่อนําประจุไฟฟาเขาไปวางแลวจะเกิดแรงกระทําบน ประจุไฟฟานั้น ทิศของสนามไฟฟา จะถูกกําหนดใหอยูในทิศเดียวกับทิศของแรงที่กระทําตอประจุบวกดังรูป
2. ขนาดของสนามไฟฟาที่ตําแหนง A หมายถึง ขนาดของแรงระหวางประจุที่กระทําตอประจุ 1 คูลอมป ณ ตําแหนงที่ตองการพิจารณา (ตําแหนง A)
นั่นคือ
E = qF
เมื่อ q คือ ประจุไฟฟา ณ ตําแหนงที่พิจารณา (C) F คือ ขนาดของแรงที่กระทําตอประจุ ณ ตําแหนงที่พิจารณา (N) E คือ ขนาดของสนามไฟฟา ณ ตําแหนงที่พิจารณา (N/C) 3. ขนาดของสนามไฟฟาเนื่องจากจุดประจุ คือ ขนาดของสนามไฟฟาเนื่องจากจุดประจุ Q ที่ตําแหนงใดๆ
นั่นคือ
E = KQ2 r
เมื่อ E คือ ความเขมของสนามไฟฟา (N/C) K คือ Permittivity Constant Q คือ ประจุไฟฟาที่ทําใหเกิดสนาม r คือ ระยะระหวางประจุ Q ถึงตําแหนงใดๆ สําหรับทิศของสนามขึ้นอยูกับประจุ Q ที่ทําใหเกิดสนามไฟฟา
วิทยาศาสตร ฟสิกส (14) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
4. เสนแรงไฟฟา (Electric line of force) คือ เสนที่แสดงถึงทิศทางของแรงลัพธที่กระทําตอประจุบวก ณ ตําแหนงตางๆ ภายในสนามไฟฟา ขอสังเกตเกี่ยวกับเสนแรงไฟฟา : 1. บริเวณใกลประจุที่ทําใหเกิดสนาม จะมีเสนแรงไฟฟาอยูอยางหนาแนนเมื่ออยูหางจากประจุ ความ หนาแนนของเสนแรงไฟฟาจะลดลง 2. บริเวณที่เสนแรงไฟฟาอยูอยางหนาแนน ขนาดของสนามไฟฟา ณ บริเวณนั้นจะมีคามาก 3. ระหวางแผนตัวนําที่วางขนานคูหนึ่ง ซึ่งมีประจุบนแตละแผนเทากันแตเปนประจุตางชนิดกัน สนามไฟฟา ระหวางแผนตัวนําคูนั้นจะเปนสนามไฟฟาสม่ําเสมอ (เสนแรงไฟฟาขนานกันและมีความหนาแนนสม่ําเสมอ)
5. สนามไฟฟาเนื่องจากประจุบนตัวนําทรงกลม 1. สนามไฟฟาภายในตัวนําใดๆ นับจากผิวเขามา มีคาเปนศูนย 2. สนามไฟฟา ณ ตําแหนงที่ติดกับผิวของตัวนํา จะมีทิศตั้งฉากกับผิวเสมอ 3. ณ ตําแหนงที่หางจากผิวของตัวนํา ขนาดของสนามไฟฟาจะมีคาลดลง
แมเหล็กไฟฟา 1. สนามแมเหล็กและเสนแรงแมเหล็ก 1. แมเหล็ก (Magnet) คือ สารที่สามารถดูดและผลักกันเอง และสามารถดูดสารแมเหล็กได โดยการ เหนี่ยวนํา ปกติแมเหล็กมี 2 ขั้ว ไดแก ขั้วเหนือและขั้วใต 2. สนามแมเหล็ก (Magnetic Field) คือ บริเวณที่แมเหล็กสามารถสงแรงไปกระทําถึง 3. เสนแรงแมเหล็ก (Magnetic lines of force) คือ เสนที่แสดงทิศทางของสนามแมเหล็ก แบงเปน 2 ประเภท คือ 1. เสนแรงแมเหล็กภายนอกแทงแมเหล็ก จะมีทิศพุงออกจากขั้วเหนือไปสูขั้วใต 2. เสนแรงแมเหล็กภายในแทงแมเหล็ก จะมีทิศพุงออกจากขั้วใตไปสูขั้วเหนือ
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (15)
4. ความหนาแนนฟลักซแมเหล็ก (Magnetic flux density) คือ จํานวนเสนแรงแมเหล็กที่ผานตั้ง ฉากกับพื้นที่ 1 ตารางเมตร ซึ่งถือวาเปนขนาดของสนามแมเหล็ก
นั่นคือ
ศูนย
B =
∅
A
เมื่อ ∅ คือ จํานวนเสนแรงแมเหล็กหรือฟลักซแมเหล็ก (เวเบอร, weber) A คือ พื้นที่ที่เสนแรงแมเหล็กผานตั้งฉาก (ตารางเมตร, m2) B คือ ความหนาแนนฟลักซแมเหล็ก (เทสลา, T) 5. จุดสะเทิน (Neutral Point) คือ ตําแหนงที่สนามแมเหล็กจากแทงแมเหล็กสองแทงหักลางกันเปน
2. แรงเนื่องจากสนามแมเหล็กและการผานกระแสไฟฟา 1. เมื่อประจุไฟฟาเคลื่อนที่เขาไปในสนามแมเหล็ก จะเกิดแรงกระทําตอประจุไฟฟานั้น สรุปไดวา v v F = qvv × B F = qvB sin θ เมื่อ F q v B
คือ แรงที่กระทําตอประจุไฟฟา (นิวตัน, N) คือ ประจุไฟฟา (คูลอมป, C) คือ ความเร็วของประจุไฟฟา (เมตรตอวินาที, m/s) คือ ขนาดของสนามแมเหล็ก (เทสลา, T) v v θ คือ มุมระหวาง v กับ B สําหรับทิศของแรงหาไดจากการใชมือขวาและการหมุนตะปูเกลียวขวา แสดงไดดังนี้
แตถาเปนประจุลบแรงที่กระทําตอประจุลบจะมีทิศทางตรงขามกัน v ในกรณีที่ vv ⊥ B (θ = 90°) ประจุไฟฟาจะเคลื่อนที่เปนวงกลมในสนามแมเหล็ก แสดงไดดังนี้ v ในกรณีที่ vv ⊥ B (θ = 90°) ประจุจะเคลื่อนที่เปนวงกลมในสนามแมเหล็ก
วิทยาศาสตร ฟสิกส (16) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
แรงเนื่องจากสนามแมเหล็ก = แรงเขาสูจุดศูนยกลาง 2 qvB = mvr r = mv qB
เมื่อ r คือ รัศมีของวงกลม (เมตร, m) m คือ มวลของประจุไฟฟา (กิโลกรัม, kg) v คือ ความเร็วของประจุไฟฟา (เมตรตอวินาที, m/s) q คือ ประจุไฟฟา (คูลอมป, C) B คือ ขนาดของสนามแมเหล็ก (เทสลา, T) 2. เมื่อนําลวดตัวนําวางในบริเวณที่มีสนามแมเหล็กและผานกระแสไฟฟาใหกับลวดตัวนําจะเกิดแรง กระทําตอลวดตัวนํานั้น สรุปไดวา v v v F = Il × B F = IlB sin θ เมื่อ F I l B
คือ แรงที่กระทําตอลวดตัวนํา (นิวตัน, N) คือ กระแสไฟฟาที่ไหลผานลวดตัวนํา (แอมแปร, A) คือ ความยาวของลวดตัวนํา (เมตร, m) คือ ขนาดของสนามแมเหล็ก (เทสลา, T) v v θ คือ มุมระหวาง I กับ B สําหรับทิศของแรงหาไดจากกฎมือซายของเฟลมมิ่งและการใชมือขวา แสดงไดดังนี้
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (17)
3. เมื่อนําลวดตัวนํา 2 เสน มาวางขนานกันและมีกระแสไหลผานในลวดตัวนําทั้งสอง จะมีแรงกระทํา ซึ่งกันและกัน นั่นคือ F = เมื่อ F K I1, I2 I d
KI1I 2 l d
คือ แรงที่กระทําตอกันบนลวดตัวนํา (นิวตัน, N) คือ คาคงที่ (K = 2 × 10-7 N/A2) คือ กระแสที่ไหลผานลวดตัวนําทั้งสอง (แอมแปร, A) คือ ความยาวของลวดตัวนําที่เทากัน (เมตร, m) คือ ระยะระหวางลวดตัวนําทั้งสอง (เมตร, m)
ตัวอยางขอสอบ 1. จุด A และ B อยูภายในเสนสนามไฟฟาที่มีทิศตามลูกศรดังรูป ขอใดตอไปนี้ถูกตอง A
B
1) วางประจุลบลงที่ A ประจุลบจะเคลื่อนไปที่ B 2) วางประจุบวกลงที่ B ประจุบวกจะเคลื่อนไปที่ A 3) สนามไฟฟาที่ A สูงกวาสนามไฟฟาที่ B 4) สนามไฟฟาที่ A มีคาเทากับสนามไฟฟาที่ B 2. A, B และ C เปนแผนวัตถุ 3 ชนิดที่ทําใหเกิดประจุไฟฟาโดยการถู ซึ่งไดผลดังนี้ A และ B ผลักกัน สวน A และ C ดูดกัน ขอใดตอไปนี้ถูกตอง 1) A และ C มีประจุบวก แต B มีประจุลบ 2) B และ C มีประจุลบ แต A มีประจุบวก 3) A และ B มีประจุบวก แต C มีประจุลบ 4) A และ C มีประจุลบ แต B มีประจุบวก 3. สนามแมเหล็กที่เปนสวนหนึ่งของคลื่นแสงนั้น มีทิศทางตามขอใด 1) ขนานกับทิศทางการเคลื่อนที่ของแสง 2) ขนานกับสนามไฟฟาแตตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของแสง 3) ตั้งฉากกับทั้งสนามไฟฟาและทิศการเคลื่อนที่ของแสง 4) ตั้งฉากกับสนามไฟฟาแตขนานกับทิศของการเคลื่อนที่ของแสง
วิทยาศาสตร ฟสิกส (18) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
4. โดยปกติเข็มทิศจะวางตัวตามแนวทิศเหนือ-ใต เมื่อนําเข็มทิศมาวางใกลๆ กับกึ่งกลางแทงแมเหล็กที่ตําแหนง ดังรูป เข็มทิศจะชี้ในลักษณะใด N
S เข็มทิศ
N
S
2)
1)
3) N
S
S
4) S
N
N
5. ลําอนุภาค P และ Q เมื่อเคลื่อนที่ผานสนามแมเหล็ก B ที่มีทิศพุงออกตั้งฉากกับกระดาษมีการเบี่ยงเบนดังรูป ถานําอนุภาคทั้งสองไปวางไวในบริเวณที่มีสนามไฟฟาสม่ําเสมอ แนวการเคลื่อนที่จะเปนอยางไร B
P Q
1) เคลื่อนที่ไปทางเดียวกันในทิศทางตามเสนสนามไฟฟา 2) เคลื่อนที่ไปทางเดียวกันในทิศทางตรงขามกับเสนสนามไฟฟา 3) เคลื่อนที่ในทิศตรงขามกันโดยอนุภาค P ไปทางเดียวกับสนามไฟฟา 4) เคลื่อนที่ในทิศตรงขามกันโดยอนุภาค Q ไปทางเดียวกับสนามไฟฟา 6. อนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตา รังสีแกมมา เมื่อเคลื่อนที่ในสนามแมเหล็ก ขอใดไมเกิดการเบน 1) อนุภาคแอลฟา 2) อนุภาคบีตา 3) รังสีแกมมา 4) อนุภาคแอลฟาและบีตา 7. วางลวดไวในสนามแมเหล็กดังรูป เมื่อใหกระแสไฟฟาเขาไปในเสนลวดตัวนําจะเกิดแรงเนื่องจากสนามแมเหล็ก กระทําตอลวดนี้ในทิศทางใด
N
S
I
1) ไปทางซาย (เขาหา N) 2) ไปทางขาว (เขาหา S) 3) ลงขางลาง 4) ขึ้นดานบน 8. อนุภาคโปรตอนเคลื่อนที่เขาไปในทิศขนานกับสนามแมเหล็กซึ่งมีทิศพุงเขากระดาษแนวการเคลื่อนที่ของ อนุภาคโปรตอนจะเปนอยางไร 1) วิ่งตอไปเปนเสนตรงดวยความเร็วคงตัว 2) เบนไปทางขวา 3) เบนไปทางซาย 4) วิ่งตอไปเปนเสนตรงและถอยหลังกลับในที่สุด โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (19)
9. ถามีอนุภาคมีประจุไฟฟา +q อยูในสนามไฟฟาระหวางแผนคูขนานดังรูป ถาเดิมอนุภาคอยูนิ่ง ตอมาอนุภาค จะเคลื่อนที่อยางไร + + + + + + + + +Y +q
O
+X
- - - - - - - - - -
1) ทิศ +X ดวยความเรง 2) ทิศ -X ดวยความเรง 3) ทิศ +Y ดวยความเรง 4) ทิศ -Y ดวยความเรง 10. ขณะที่อนุภาคมีประจุไฟฟา +q มวล m เคลื่อนที่ในแนวระดับในสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กดังรูป อนุภาค จะมีการเคลื่อนที่อยางไร
+ + + + + + + +
× × × ×
× v×× ×
× × × ×
× × × ×
× × ×+q× × × × ×
× × × ×
× × × ×
1) 2) 3) 4)
× × × ×
- - - - - - - - - -
โคงขึ้น โคงลง โคงออกมาจากกระดาษ โคงเขาไปในกระดาษ
11. สนามแมเหล็กโลกมีลักษณะตามขอใด (ขางบนเปนขั้วเหนือภูมิศาสตร)
1)
S
2)
S
N
3)
N
N
4) S
N S
วิทยาศาสตร ฟสิกส (20) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
การเคลื่อนที่เปนวงกลม การเคลื่อนที่เปนวงกลม 1. การเคลื่อนที่เปนวงกลม (Circular motion) คือ การเคลื่อนที่ของวัตถุที่มีเสนทางการเคลื่อนที่เปน เสนรอบวงของวงกลม โดยมีแรงกระทําตอวัตถุตั้งฉากกับความเร็วอยูตลอดเวลา
2. ความเร็วของการเคลื่อนที่เปนวงกลม 1. ความเร็วเชิงเสน (Linear Velocity) คือ ความยาวตามสวนโคงของการเคลื่อนที่ที่วัตถุเคลื่อนได ใน 1 หนวยเวลา หนวยเปนเมตรตอวินาที (m/s) 2. ความเร็วเชิงมุม (Angular Velocity) คือ มุมที่จุดศูนยกลางที่รองรับสวนโคงของการเคลื่อนที่ที่ วัตถุเคลื่อนไดใน 1 หนวยเวลา หนวยเปนเรเดียนตอวินาที (rad/s) 3. ความเรงสูศูนยกลาง (Centripetal Acceleration) คือ ความเรงแหงการเคลื่อนที่ของวัตถุที่เปน วงกลม โดยมีทิศเขาสูจุดศูนยกลางของวงกลม หนวยเปนเมตรตอวินาที2 (m/s2) 4. คาบ (Period) คือ เวลาที่วัตถุใชในการเคลื่อนที่เปนวงกลม 1 รอบ หนวยเปนวินาที (s) 5. ความถี่ (Frequency) คือ จํานวนรอบที่วัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมไดใน 1 หนวยเวลา หนวยเปนเฮิรตซ (Hz) 6. แรงเขาสูศูนยกลาง (Centripetal Force) คือ แรงที่กระทําตอวัตถุใหมีการเคลื่อนที่เปนวงกลม โดย มีทิศพุงเขาสูจุดศูนยกลางของวงกลมและตั้งฉากกับความเร็วของวัตถุ ณ จุดนั้น หนวยเปนนิวตัน (N) 7. สูตรในการคํานวณการเคลื่อนที่เปนวงกลม ง 1. θ = สวรันโค 2. v = 2 πt r = 2πrf = ωr ศมี 2 4. ac = vr = ω2r 3. ω = θt = 2Tπ = 2πf = vr 2 6. Fc = mvr = mω2r 5. T = 1f เมื่อ θ คือ ระยะทางเชิงมุม (เรเดียน, rad) r คือ รัศมีของวงกลม (เมตร, m) v คือ ความเร็วเชิงเสน (เมตรตอวินาที, m/s) ω คือ ความเร็วเชิงมุม (เรเดียนตอวินาที, rad/s) T คือ คาบ (วินาที, s) f คือ ความถี่ (เฮิรตซ, Hz) ac คือ ความเรงเขาสูศูนยกลาง (เมตรตอวินาที2, m/s2) Fc คือ แรงเขาสูศูนยกลาง (นิวตน, N)
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (21)
การเคลื่อนที่แบบซิมเปลฮารมอนิก 1. การเคลื่อนที่แบบซิมเปลฮารมอนิก (Simple Harmonic Motion) เปนระบบการเคลื่อนที่กลับไปกลับมาซ้ํารอยเดิมเสมอ เชน การแกวงของลูกตุมนาฬิกา การสั่นของลวด สปริง เปนตน ความเรงของการเคลื่อนที่แบบซิมเปลฮารมอนิกจะไมคงที่โดยจะเปนสัดสวนกับการขจัด (Displacement) แตทิศทางตรงกันขามกัน
2. วัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมดวยอัตราเร็วคงที่ เงาของวัตถุจะเคลื่อนที่แบบ S.H.M.
P เปนอนุภาคชิ้นหนึ่ง เริ่มเคลื่อนที่จากจุด B เปนวงกลมดวยอัตราเร็ว a, b, c, d คือ ตําแหนงที่ P เคลื่อนที่เปนวงกลม a′, b′, c′, d′ คือ ตําแหนงที่เงา (Projection) ของ P บนแกน AB จะสังเกตเห็นวา เงาของ P จะเคลื่อนที่กลับไปกลับมาซ้ํารอยเดิมอยูบนแกน ดังนั้นเงาของ P จึงเคลื่อนที่ แบบ S.H.M. หาการขจัด
จากรูป OP คือ ระยะขจัด ที่ตองการ R คือ รัศมี x = R cos θ x = R cos (ωt) x = R cos (2πft)
หาความเร็ว
จากรูป vx = vx = vx =
v0 sin θ v0 sin (ωt) ωR sin (ωt)
หาความเรง
จากรูป ax = ac cos θ ax = ω2R cos θ ( va มีทิศตรงขามกับ vx เสมอ)
วิทยาศาสตร ฟสิกส (22) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
3. การสั่นของลวดสปริง แสดงดวยรูปภาพไดดังนี้ สภาพปกติ
การหดของสปริง
การยืดของสปริง
เมื่อสปริงเกิดการยืดหรือการหด จะทําใหเกิดแรงในสปริง โดยมีขนาดแปรผันกับระยะยืดหรือระยะหดของ สปริง จะไดวา F ∝ x F = kx เมื่อ k คือ คานิจของสปริง (Spring Constant) (นิจของสปริง หมายถึง แรงที่ทําใหสปริงยืดหรือหด 1 หนวยความยาว) เมื่อ x คือ ระยะยืดหรือหดของสปริงเบา (เมตร, m) m คือ มวลวัตถุที่หอยติดกับสปริง (กิโลเมตร, kg) k คือ คานิจของสปริง (นิวตันตอเมตร, N/m) a คือ ความเรงซึ่งมีทิศทางตรงขามกับการขจัด (เมตรตอวินาที2, m/s2) T คือ คาบของการสั่น (วินาที, s) จะไดสูตรเกี่ยวกับการสั่นของลวดสปริง ดังนี้ มาจาก F = ma (1) a = - kx m (2) T = 2π mk
4. การแกวางของลูกตุมนาฬิกา (Simple Pendulum) จากรูป ถา θ มีคานอยมาก ดังนั้น sin θ = tan θ = lx
เมื่อลูกตุมแกวงผานตําแหนงสมดุล l ไปทางตําแหนง B ลูกตุมจะเคลื่อนชาลง (ความเรงเปนลบ) เพราะแรง mg sin θ จะ ดึงลูกตุม เขาหาตําแหนงสมดุล แตทิศทางของการขจัดที่ออกจาก ตําแหนงสมดุลจะมีทิศตรงขามกัน
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (23)
จาก จะไดวา เมื่อ aT คือ ความเรงตามเสนสัมผัส ถา T คือ คาบของการแกวาง จะไดวา
F = ma aT = -g sin θ = -w2x T = 2π gl
5. การเคลื่อนที่ของรถยนตและจักรยานยนตบนทางโคง พิจารณาทางดานบน แรงเสียดทาน = แรงสูศูนยกลาง 2 µ(mg) = mvr µ
แรงกระทําตอรถยนตขณะเลี้ยวโคง (แรงปฏิกิริยากระทําที่ลอนอก เพราะ เมื่อจะพลิกคว่ําจะยกลอในขึ้น)
=
v2 rg
แรงกระทําตอจักรยานยนต ขณะ เลี้ยวโคง ถา θ คือ มุมที่เอียงตัวทํากับแนวดิ่ง หรือ θ คือ มุมที่ตองยกพื้นเอียง 2 tan θ = vrg
2 2 ขอสังเกต : ถา vrg > µ จะลม แต vrg ≤ µ จะเลี้ยวโคงได
วิทยาศาสตร ฟสิกส (24) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
ตัวอยางขอสอบ 1. ถาการแกวงของนอตแบบฮารมอนิกอยางงายจากตําแหนง A ไป B ใชเวลา 0.5 วินาที คาบการแกวงจะมีคากี่ วินาที 1) 0.5 วินาที 2) 1 วินาที C A 3) 2 วินาที 4) 4 วินาที B 2. นอตขนาดเล็กผูกดวยสายเอ็นแขวนไวใหสายยาว l ซึ่งสามารถเปลี่ยนใหมีคาตางๆ ได คาบการแกวง T ของนอตจะขึ้นกับความยาว l อยางไร
3.
4. 5. 6.
7.
2) T เปนปฏิภาคโดยตรงกับ l 1) T2 เปนปฏิภาคโดยตรงกับ l 2 2 3) T เปนปฏิภาคโดยตรงกับ l 4) T เปนปฏิภาคโดยตรงกับ l รถไตถังเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วสม่ําเสมอและวิ่งครบรอบได 5 รอบในเวลา 2 วินาที หากคิดในแงความถี่ของ การเคลื่อนที่ ความถี่จะเปนเทาใด 1) 2.5 Hz 2) 1.5 Hz 3) 0.5 Hz 4) 0.4 Hz เหวี่ยงจุกยางใหเคลื่อนที่เปนแนววงกลมในระนาบระดับศีรษะ 20 รอบ ใชเวลา 5 วินาที จุกยางเคลื่อนที่ ดวยความถี่เทาใด 1) 0.25 รอบ/วินาที 2) 4 รอบ/วินาที 3) 5 รอบ/วินาที 4) 10 รอบ/วินาที การเคลื่อนที่ใดที่แรงลัพธที่กระทําตอวัตถุมีทิศตั้งฉากกับทิศของการเคลื่อนที่ตลอดเวลา 1) การเคลื่อนที่ในแนวตรง 2) การเคลื่อนที่แบบวงกลมดวยอัตราเร็วคงตัว 3) การเคลื่อนที่แบบโปรเจกไทล 4) การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย การทดลองเรื่องการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย ถาใหลูกตุมเคลื่อนที่จาก A ไป B ไป C แลวไป B ดังรูป ใชเวลา 3 วินาที คาบของการเคลื่อนที่มีคาเทาใด 1) 2 s 2) 3 s C A 3) 4 s 4) 6 s B ขอความใดถูกตองเกี่ยวกับคาบของลูกตุมอยางงาย 1) ไมขึ้นกับความยาวเชือก 2) ไมขึ้นกับมวลของลูกตุม 3) ไมขึ้นกับแรงโนมถวงของโลก 4) มีคาบเทาเดิมถาไปแกวงบนดวงจันทร โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (25)
คลื่น 1. ประเภทของคลื่น 1. คลื่น (Wave) คือ สถานการณการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนตัวกลางเนื่องจากการรบกวนจากภายนอก 2. การจําแนกประเภทของคลื่น 1. ถาจําแนกตามลักษณะของการสั่น แบงเปน 2 ประเภท คือ 1.1 คลื่นตามขวาง (Transverse Wave) คือ คลื่นที่มีทิศทางการเคลื่อนที่ตั้งฉากกับทิศการ เคลื่อนที่ของอนุภาค เชน คลื่นน้ํา คลื่นเชือก คลื่นแมเหล็กไฟฟา เปนตน 1.2 คลื่นตามยาว (Longitudinal Wave) คือ คลื่นที่มีทิศทางการเคลื่อนที่อยูในแนวเดียวกับทิศ การเคลื่อนที่ของอนุภาค เชน คลื่นเสียง คลื่นที่เกิดจากการอัดตัวของสปริง เปนตน 2. ถาจําแนกตามลักษณะของตัวกลาง แบงเปน 2 ประเภท คือ 2.1 คลื่นกล (Mechanical Wave) คือ คลื่นที่แผออกไปโดยอาศัยตัวกลาง เชน คลื่นน้ํา คลื่น เสียง คลื่นเชือก เปนตน 2.2 คลื่นแมเหล็กไฟฟา (Electromagnetic Wave) คือ คลื่นที่แผออกโดยไมตองอาศัยตัวกลาง เชน คลื่นวิทยุ คลื่นแสง เปนตน 3. คลื่นดล (Pulse Wave) คือ คลื่นที่สงออกมาจากแหลงกําเนิดโดยการรบกวนหนึ่งครั้งชนิดของคลื่นดล แตกตางไปตามลักษณะของการรบกวน เชน คลื่นดลวงกลม คลื่นดลเสนตรง คลื่นดลจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น 4. คลื่นตอเนื่อง (Continuous Wave) คือ คลื่นที่สงออกมาจากแหลงกําเนิด โดยการรบกวนหลายๆ ครั้งอยางตอเนื่อง คลื่นตอเนื่องจะเกิดขึ้นในระยะเวลายาว
2. นิยามในเรื่องคลื่น 1. แอมพลิจูด (Amplitude; A) คือ ระยะการขจัดสูงสุดของคลื่นที่วัดจากเสนปกติ (แนวสมดุล) การขจัด A
A A
A
เสนปกติ (แนวสมดุล)
วิทยาศาสตร ฟสิกส (26) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
2. เฟส (Phase) คือ มุมที่อนุภาคกวาดไปตามเสนรอบวงเมื่อมีการเคลื่อนที่จากจุดเริ่มตน ใชบอก ตําแหนงของอนุภาคในคลื่น 1. เฟสตรงกัน คือ เฟสแสดงตําแหนงของคลื่นที่มีลักษณะอยางเดียวกัน (อนุภาคมีการขจัดเทากัน และเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงอยางเดียวกัน) 2. เฟสตรงขามกัน คือ เฟสแสดงตําแหนงของคลื่นที่มีลักษณะตรงขามกัน (อนุภาคมีการขจัดเทากัน แตเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงตรงขามกัน) การขจัด a
b π
O
2π
3π
4π
เฟส
c
ขอสังเกต : ก. จุด a มีเฟสตรงกับจุด b จุด c มีเฟสตรงขามกับจุด a และจุด b ข. จุดที่มีเฟสตรงกัน จะมีระยะหางกันเปน nλ จุดที่มีเฟสตรงขามกัน จะมีระยะหางกันเปน n + 12 λ (เมื่อ n คือ จํานวนเต็มใดๆ) 3. ความยาวคลื่น (Wave Length; λ) คือ ระยะหางระหวางจุด 2 จุด บนคลื่นที่มีเฟสตางกัน 2π เรเดียน การขจัด O
π
2π 3π
4π เฟส
λ
4. คาบ (Period; T) คือ เวลาที่คลื่นเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ 5. ความถี่ (Frequency : f) คือ จํานวนรอบที่คลื่นเคลื่อนที่ในหนึ่งหนวยเวลา นั่นคือ f = T1
เมื่อ f คือ ความถี่ (จํานวนรอบ/วินาที หรือ Hz) T คือ คาบ (s) โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (27)
6. ความถี่เชิงมุม (Angular frequency : ω) คือ คามุมที่คลื่นเคลื่อนที่ในหนึ่งหนวยเวลา ดังนั้น ω
= 2πf
เมื่อ ω คือ ความถี่เชิงมุม (เรเดียนตอวินาที, rad/s) 7. หนาคลื่น (Wave Front) คือ แนวเสนตรงที่ลากผานจุดที่มีเฟสเทากัน 8. ความเร็วคลื่น (Velocity) คือ อัตราการเคลื่อนที่ของคลื่น พิจารณาได 2 อยาง คือ 1. ความเร็วเฟส (Phase Velocity) คือ อัตราการเคลื่อนที่ของคลื่นโดยพิจารณา ณ จุดใดจุดหนึ่ง หรือเฟสใดเฟสหนึ่งของคลื่น คํานวณหาไดจาก v = fλ เมื่อ v คือ ความเร็วเฟส (m/s) f คือ ความถี่ของคลื่น (Hz) λ คือ ความยาวคลื่น (m) 2. ความเร็วกลุม (Group Velocity) คือ อัตราการเคลื่อนที่ของคลื่นโดยพิจารณาจากคลื่นทั้งกลุม มิไดพิจารณา ณ จุดใดจุดหนึ่ง 9. การหาความเร็วของคลื่นน้ํา ในกรณีที่ความยาวคลื่นมากกวาความลึกของน้ํามากๆ หาไดดังตอไปนี้ v ≅
gd
เมื่อ λ >> d เมื่อความยาวคลื่น (λ) มากกวาความลึกของน้ํา (d) มากๆ
เมื่อ v คือ ความเร็วของคลื่นน้ํา (m/s) g คือ ความเรงเนื่องจากแรงโนมถวง (g = 9.8 m/s2) d คือ ความลึกของน้ํา (m) 10. หลักการรวมไดของคลื่น (Superposition Principle) กลาววา “การขจัดของแตละตําแหนงของ คลื่นรวม มีคาเทากับผลบวกของการขจัดของแตละคลื่น โดยหลังจากที่คลื่นเคลื่อนที่ผานกันไป แตละคลื่นจะยังคง มีรูปรางเชนเดิม” 11. แหลงกําเนิดอาพันธ คือ แหลงกําเนิดคลื่นที่มีความถี่เทากันและมีเฟสตรงกันหรือตางกันคงที่
3. สมบัติของคลื่น 1. การสะทอน (Reflection) ของคลื่น คือ การที่คลื่นเคลื่อนที่กลับมาในตัวกลางเดิม มุมตกกระทบจะ เทากับมุมสะทอน 2. การหักเห (Reflaction) ของคลื่น คือ ทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นเปลี่ยนไปจากทิศทางเดิมหลังจาก เคลื่อนที่ผานตัวกลางที่มีความหนาแนนตางกัน 3. การแทรกสอด (Interference) ของคลื่น คือ การรวมกันของคลื่นตอเนื่องที่พบกัน จึงเกิดการเสริม กันที่ตําแหนงปฏิบัพ (Antinode) และหักลางกันที่ตําแหนงบัพ (Node) 4. การเลี้ยวเบน (Diffraction) ของคลื่น คือ คลื่นสามารถแผฉากขอบของสิ่งกีดขวางไปทางดานหลัง ของสิ่งกีดขวางได และถาทําใหสิ่งกีดขวางเปนชองเปดเล็กๆ จะสังเกตไดชัดเจน วิทยาศาสตร ฟสิกส (28) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
เสียง 1. อัตราเร็วของเสียง 1. เสียง (Sound) เกิดจากการสั่นของวัตถุ ทําใหพลังงานจากการสั่นของวัตถุถูกถายทอดใหแกโมเลกุล ของตัวกลาง ซึ่งจะถูกถายทอดตอใหแกโมเลกุลของตัวกลางโมเลกุลถัดไปเรื่อยๆ การสั่นของคลื่นเสียง ทําใหความดันของอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงดวยความถี่เทากับความถี่ของ แหลงกําเนิดเสียง คลื่นเสียงเปนคลื่นตามยาว 2. เสียงกอง (Echo) คือ เสียงๆ เดียวที่เราไดยินซ้ํากันอยางตอเนื่อง เสียงกองที่เราไดยินแตละครั้งจะ 1 วินาที คางอยูในหูนานประมาณ 10 3. ความสัมพันธระหวางอัตราเร็วของเสียงกับอุณหภูมิ หาไดจาก
vt = 331 + 0.6t เมื่อ vt คือ อัตราเร็วของเสียงที่อุณหภูมิ t°C (m/s) t คือ อุณหภูมิ (°C) หรือ
v1 v2
T = T1 2
เมื่อ v1, v2 คือ อัตราเร็วของเสียงที่อุณหภูมิ T1, T2 ตามลําดับ T1, T2 คือ อุณหภูมิ (K) 4. อัตราเร็วของเสียงในตัวกลางตางๆ 1. อัตราเร็วของเสียงในของแข็ง หาไดจาก v =
Y
ρ
เมื่อ Y คือ Young’s Modulus (สัมประสิทธิ์การยืดหยุนของของแข็ง) ρ คือ ความหนาแนนของของแข็ง 2. อัตราเร็วของเสียงในของเหลว หาไดจาก v =
B
ρ
เมื่อ B คือ Bulk’s Modulus (สัมประสิทธิ์การยืดหยุนของของเหลว) โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (29)
3. อัตราเร็วของเสียงในแกส หาไดจาก
v =
KP ρ
เมื่อ K คือ อัตราสวนของความรอนจําเพาะของแกสเมื่อความดันและปริมาตรคงที่ P คือ ความดันของแกส
2. บีตสและคลื่นนิ่ง 1. บีตส (Beats) เกิดจากการรวมของคลื่นเสียง 2 คลื่นที่มีความถี่ตางกัน ทําใหคลื่นเสริมและหักลางกัน สลับเปนชวงๆ ทําใหเสียงที่ไดยินคอยบางดังบางสลับกันไป โดยจะมีจังหวะชาหรือเร็วตามความแตกตางระหวาง ความถี่ทั้งสอง โดยปกติ มนุษยจะไดยินบีตสที่มีความถี่ไมเกิน 7 Hz
2. ความถี่ของบีตส คือ จํานวนเสียงที่ดังในหนึ่งวินาที หาไดจาก ∆f
= |f2 - f1|
เมื่อ ∆f คือ ความถี่ของบีตส f1, f2 คือ ความถี่ของคลื่นเสียงที่ 1 และ 2 ตามลําดับ ความถี่ของเสียงที่ไดยิน =
f1 + f2 2
3. คลื่นนิ่ง (Standing Wave) เปนปรากฏการณอยางหนึ่งในการสะทอนของเสียง กลาวคือ เมื่อเสียง ไปตกกระทบกับวัตถุ เชน กําแพง เสียงจะเกิดการสะทอนซึ่งคลื่นที่สะทอนกลับมาจะแทรกสอดกับคลื่นเสียงทําให เกิดคลื่นนิ่งที่สามารถตรวจสอบจุดปฏิบัติและจุดบัพได N
λ
2
A
ระยะระหวางบัพหรือระหวางปฏิบัพของคูถัดไปเทากับ λ2
วิทยาศาสตร ฟสิกส (30) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
3. ความถี่ธรรมชาติและการกําทอน 1. ความถี่ธรรมชาติ (Natural Frequency) คือ ความถี่ที่วัตถุสามารถสั่นหรือแกวงไดอยางอิสระ 2. กําทอน (Resonance) คือ ปรากฏการณที่การสั่นของวัตถุใดๆ มีความถี่ของการสั่นเทากับความถี่ ธรรมชาติ จะทําใหวัตถุนั้นมีการสั่นที่รุนแรงที่สุด 3. การคํานวณในทอปลายปดและทอปลายเปด 1. ทอปลายปด 1 ปลาย ปลายกนทอจะเปนจุด Node และปากทอจะเปนจุด Antinode A
A N
N Fundamental
A
N
First Overtone
4L = (2n - l )λ
n = 1, 2, 3, ...
เมื่อ L คือ ความยาวของทอ λ คือ ความยาวคลื่นของคลื่นในทอ 2. ทอปลายปด 2 ปลาย ปลายทอทั้งสองปลายเปนจุด Antinode A
N
A
Fundamental
A
N
A
N
A
First Overtone
2L = nλ
n = จํานวนบัพ = 1, 2, 3, ...
4. การไดยิน 1. กําลังเสียง (Power of Sound) คือ พลังงานที่สงออกมาจากแหลงกําเนิดเสียงในหนึ่งหนวยเวลา 2. ความเขมเสียง (Sound Intensity) คือ กําลังเสียงที่ตกกระทบตั้งฉากกับพื้นที่ของหนาคลื่นของ ทรงกลมหนึ่งตารางหนวย หาไดจาก P I = 4 πR 2
เมื่อ I คือ ความเขมเสียง (W/m2) P คือ กําลังเสียง (W) R คือ ระยะจากแหลงกําเนิดเสียงไปยังตําแหนงที่จะหาคาความเขมเสียง (m) จากสมการพบวา เมื่อระยะระหวางผูฟงกับแหลงกําเนิดเสียงเพิ่มขึ้น ความเขมเสียงจะลดลง ความเขมเสียงที่หูของมนุษยจะทนฟงไดดี คือ 1 W/m2 โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (31)
3. ความเขมสัมพัทธของเสียง (Relative Intensity) คือ ปริมาณการเปรียบเทียบของเสียงกับความ เขมเสียงต่ําที่สุดที่มนุษยไดยิน ความเขมสัมพัทธของเสียง = II 0
เมื่อ I คือ ความเขมเสียงใดๆ (W/m2) I0 คือ ความเขมเสียงต่ําที่สุดที่มนุษยไดยิน (I0 = 10-12 W/m2) 4. ระดับความเขมเสียง (Sound Intensity Level) มีหนวยเปนเดซิเบล (dB) หาไดจาก β = 10 log II 0 เมื่อ β คือ ระดับความเขมเสียง ระดับความเขมเสียงต่ําสุดที่มนุษยไดยิน = 0 dB ระดับความเขมเสียงสูงสุดที่มนุษยทนได = 120 dB 5. ระดับเสียง (Pith) คือ ความทุมแหลมของเสียง ซึ่งขึ้นอยูกับความถี่ของคลื่นเสียง ความถี่ของเสียงที่ มนุษยทั่วไปไดยิน จะมีคาตั้งแต 20 ถึง 20000 Hz 6. คลื่นอินฟราโซนิก (Infrasonic Wave) มีความถี่ของเสียงต่ํากวา 20 Hz 7. คลื่นอุลตราโซนิก (Ultrasonic Wave) มีความถี่ของเสียงสูงกวา 20000 Hz 8. คุณภาพของเสียง คือ ความไพเราะของเสียงซึ่งขึ้นอยูกับจํานวนโอเวอรโทน และความเขมของเสียง ณ โอเวอรโทนนั้น ซึ่งสามารถพิจารณาไดจากการสั่นของสายกีตาร λ
2
Loop 1
Loop 2
Loop 3
L
นั่นคือ
L = n ⋅ λ2
เมื่อ L คือ ความยาวของสายกีตาร n คือ จํานวนลูปที่เกิดขึ้นบนสายกีตาร λ คือ ความยาวคลื่น
วิทยาศาสตร ฟสิกส (32) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
ความถี่ของการสั่นลักษณะตางๆ หาไดจากสูตร n ⋅v = n fn = λv = 2L 2L
T
µ
เมื่อ T คือ ความดึงในสายกีตาร (N) µ คือ มวลตอความยาวของสายกีตาร (kg/m) fn คือ ความถี่ ซึ่งอาจเรียกไดหลายแบบดังนี้ n 1 2 3
f v/2L 2v/2L 3v/2L
เรียกแบบแรก Fundamental First Overtone Second Ovetone
เรียกแบบที่สอง First Harmonic Second Harmonic Third Harmonic
M
M
M
M
5. ปรากฏการณดอปเปลอร (Doppler’s Effect) 1. ปรากฏการณดอปเปลอร คือ ปรากฏการณเปลี่ยนแปลงความถี่และความยาวคลื่นเมื่อตนกําเนิดเสียง ผูสังเกตหรือทั้งสองอยางเคลื่อนที่ จะทําให 1. ผูสังเกตไดยินเสียงที่มีความถี่สูงขึ้น ในกรณีที่ผูสังเกตและแหลงกําเนิดเสียงเคลื่อนเขาหากัน หรือ หยุดนิ่ง 1 อยาง โดยที่อีกอยางเคลื่อนเขาหา 2. ผูสังเกตไดยินเสียงที่มีความถี่ต่ําลงในกรณีที่ - ผูสังเกตเคลื่อนที่หนีจากแหลงกําเนิดเสียง - แหลงกําเนิดเสียงเคลื่อนที่หนีจากผูสังเกต - แหลงกําเนิดเสียงและผูสังเกตเคลื่อนที่หนีจากกัน 2. สูตรสําหรับปรากฏการณดอปเปลอร 1. กรณีที่ไมมีลม fL = fS cc -- vvL S
2. กรณีที่มีลมพัด fL = fS cc ++ vvW -- vvL W S
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (33)
ถาทิศทางลมไมอยูในแนวเดียวกับการเคลื่อนที่ ใหแตกทิศทางลมใหอยูในแนวเดียวกับการเคลื่อนที่ เมื่อ fL คือ ความถี่ของคลื่นเสียงที่สังเกตได fS คือ ความถี่ของคลื่นเสียงจากแหลงกําเนิด c คือ ความเร็วของเสียงในอากาศ vL คือ ความเร็วที่สังเกตได vS คือ ความเร็วของแหลงกําเนิดเสียง หมายเหตุ : สูตรที่ใชคือสูตร (1), (2) เทานั้น แตเครื่องหมายของคาแตละคาจะเปลี่ยนไปตามแต
สถานการณ เมื่อความเร็วมีทิศไปทางขวา เครื่องหมายประจําตัวจะเปนบวก แตถาความเร็วมีทิศไปทางซาย เครื่องหมายประจําตัวจะเปนลบ คา fL, fS ที่ไดจากสูตรทั้งสอง สามารถนําไปหาคาความยาวคลื่นไดจากสูตร v = fλ
6. คลื่นกระแทก 1. ซุปเปอรโซนิก (Supersonic) คือ ความเร็วของวัตถุในอากาศที่มีความเร็วสูงกวาความเร็วเสียง 2. เลขมัด (Mach number) คือ อัตราสวนเปรียบเทียบระหวางความเร็วของเครื่องบินที่บินเร็วกวา เสียงกับความเร็วของเสียง หาไดดังนี้ mach number = cv
วิทยาศาสตร ฟสิกส (34) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
คลื่นแมเหล็กไฟฟา 1. แมกซเวลล (James Clerk Maxwell) ไดเสนอความคิดวา 1. เมื่อสนามแมเหล็กเปลี่ยนแปลง จะเหนี่ยวนําใหเกิดสนามไฟฟาขึ้นรอบๆ 2. เมื่อสนามไฟฟาเปลี่ยนแปลง จะเหนี่ยวนําใหเกิดสนามแมเหล็กขึ้นรอบๆ 2. คลื่นแมเหล็กไฟฟา (Electromagnetic Wave) เกิดจากการเหนี่ยวนําสลับกันอยางตอเนื่องระหวาง สนามแมเหล็กกับสนามไฟฟา โดยการเคลื่อนที่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟาไมอาศัยตัวกลาง แตอาศัยการเปลี่ยนแปลง ของสนามแมเหล็กและสนามไฟฟา สนามแมเหล็กและสนามไฟฟามีเฟสตรงกัน ทิศของสนามแมเหล็กตั้งฉากกับสนามไฟฟา และสนามทั้ง สองตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟา ความเร็วของคลื่นแมเหล็กไฟฟาเทากับความเร็วของแสง (c = 3 × 108 m/s) 3. สเปคตรัมของคลื่นแมเหล็กไฟฟา (Electromagnetic Spectrum) คือ คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีชวง ของความถี่ตอเนื่องตางๆ กัน
4. คลื่นวิทยุ (Radio Wave) เกิดจากการปลดปลอยพลังงานของอิเล็กตรอนในกระแสไฟฟาสลับความถี่ สูง มีความถี่อยูในชวง 104 - 109 เฮิรตซ 5. การสงคลื่นวิทยุในระบบ A.m. (Amplitude Modulation) คือ การรวมสัญญาณเสียงเขากับ สัญญาณคลื่นวิทยุซึ่งเรียกวา คลื่นพาหะ โดยสัญญาณเสียงจะทําใหแอมพลิจูดของคลื่นวิทยุเปลี่ยนไปแตความถี่ ยังคงที่ ความถี่ของคลื่นวิทยุที่สงในระบบ A.M. อยูในชวง 530 - 1600 กิโลเฮิรตซ 6. การสงคลื่นวิทยุในระบบ F.M. (Frequency Modulation) คือ การรวมสัญญาณเสียงเขากับคลื่น พาหะ โดยสัญญาณเสียงจะทําใหความถี่ของคลื่นวิทยุเปลี่ยนไปแตแอมพลิจูดยังคงที่ ความถี่ของคลื่นวิทยุที่สงในระบบ F.M. อยูในชวง 88 - 108 เมกะเฮิรตซ 7. คลื่นดิน (Ground Wave) คือ คลื่นวิทยุที่เคลื่อนไปโดยตรงในระดับสายตา 8. คลื่นฟา (Sky Wave) คือ คลื่นวิทยุที่สะทอนลงมาจากบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟยร แตคลื่นวิทยุที่มี ความถี่สูงจะสะทอนไดนอยลง ตามลําดับ
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (35)
9. ความถี่ของคลื่นวิทยุ หาไดจาก
f =
1 2 L 1C1
เมื่อ f คือ ความถี่ของคลื่นวิทยุ (เฮิรตซ, Hz) L1 คือ คาความเหนี่ยวนําของขดลวด (เฮนรี่, H) C1 คือ คาความจุของตัวเก็บประจุ (ฟารัด, F) 10. คลื่นโทรทัศนและไมโครเวฟ มีความถี่สูงในชวง 108 - 1012 เฮิรตซ จึงไมสะทอนกับบรรยากาศชั้น ไอโอโนสเฟยรแตจะทะลุผานออกสูนอกโลก ดังนั้นการสงสัญญาณคลื่นจึงใชสถานีถายทอดเปนระยะๆ หรืออาจ ถายทอดผานดาวเทียม 11. เรดาร (RADAR ยอมาจาก Radio Detection And Ranging) เปนอุปกรณตรวจหาวัตถุ โดย อาศัยหลักการสงไมโครเวฟไปสะทอนวัตถุ 12. รังสีอินฟราเรด (Infrared) หรือรังสีใตแดง มีความถี่อยูในชวง 1011 - 1014 เฮิรตซ ซึ่งเปนความถี่ ต่ํา มนุษยไมสามารถสัมผัสดวยตา แตประสาทของรางกายรับรูไดในรูปของความรอน โดยปกติสิ่งมีชีวิตจะแผรังสี อินฟราเรดออกมาตลอด 13. แสง (Light) เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่ประมาณ 1014 เฮิรตซ ซึ่งสายตาของมนุษยมองเห็นได แสงสวนใหญเกิดจากวัตถุที่มีความรอนสูง เชน ดวงอาทิตย ไสหลอดไฟฟา โดยเกิดพรอมกันหลายความถี่และมี เฟสไมแนนอน 14. เลเซอร (LASER ยอมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation) เปนแสงที่เกิดจากแหลงกําเนิดแสงอาพันธซึ่งใหแสงโดยไมตองอาศัยความรอน แสงเลเซอรมีความถี่เดียวและมี เฟสแนนอน 15. รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) หรือรังสีเหนือมวง เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่อยูในชวง 1015 - 1018 เฮิรตซ สวนใหญเกิดจากการแผรังสีของดวงอาทิตย รังสีอัลตราไวโอเลตมีพลังงานพอเหมาะที่สามารถชนอิเล็กตรอนใหหลุดจากโมเลกุลของอากาศ จึงเปน ตัวการที่ทําใหเกิดประจุอิสระและไอออนในบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟยร รังสีชนิดนี้ไมสามารถทะลุผานสิ่งกีดขวาง หนาๆ แตสามารถทําใหเชื้อโรคบางชนิดตายได และจะเกิดอันตรายตอผิวหนังและตาของคนในกรณีที่ไดรับรังสี เปนจํานวนมาก 16. รังสีเอกซ (X-rays) เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่อยูในชวง 1016 - 1022 เฮิรตซ เกิดจากการ ปลดปลอยพลังงานของอิเล็กตรอน รังสีเอกซสามารถเคลื่อนที่ทะลุผานสิ่งกีดขวางหนาๆ แตจะถูกกั้นโดยอะตอมของธาตุหนักไดดีกวาธาตุ เบา 17. รังสีแกมมา (Gamma Rays) เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาทั้งหลายที่มีความถี่สูงกวารังสีเอกซ ซึ่งอาจเกิด ในหลายวิธี เชน เกิดจากการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี เปนตน
วิทยาศาสตร ฟสิกส (36) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
ตัวอยางขอสอบ 1. คลื่นขบวนหนึ่งมีความถี่ 10 เฮิรตซ มวลของเชือกที่จุดใดๆ จะสั่นไดกี่รอบในเวลา 1 นาที 1) 0.1 รอบ 2) 1 รอบ 3) 10 รอบ 4) 100 รอบ 2. เมื่อคลื่นเดินทางจากน้ําลึกสูน้ําตื้น ขอใดตอไปนีถ้ ูก 1) อัตราเร็วคลื่นในน้ําลึกนอยกวาอัตราเร็วคลื่นในน้ําตื้น 2) ความยาวคลื่นในน้ําลึกมากกวาความยาวคลื่นในน้ําตื้น 3) ความถี่คลื่นในน้ําลึกมากกวาความถี่คลื่นในน้ําตื้น 4) ความถี่คลื่นในน้ําลึกนอยกวาความถี่คลื่นในน้ําตื้น 3. ถาดีดกีตารแลวพบวาเสียงที่ไดยินต่ํากวาปกติ จะมีวิธีปรับแกใหเสียงสูงขึ้นไดอยางไร 1) เปลี่ยนใชสายเสนใหญขึ้น 2) ปรับสายใหหยอนลง 3) ปรับตําแหนงสายใหยาวขึ้น 4) ปรับสายใหตึงขึ้น 4. เสียงผานหนาตางในแนวตั้งฉาก มีคาความเขมเสียงที่ผานหนาตางเฉลี่ย 1.0 × 10-4 วัตตตอตารางเมตร หนาตางกวาง 80 เซนติเมตร สูง 150 เซนติเมตร กําลังเสียงที่ผานหนาตางมีคาเทาใด 1) 0.8 × 10-4 W 2) 1.2 × 10-4 W 3) 1.5 × 10-4 W 4) 8.0 × 10-4 W 5. ชาวประมงสงคลื่นโซนารไปยังฝูงปลา พบวาชวงเวลาที่คลื่นออกไปจากเครื่องสงจนกลับมาถึงเครื่องเปน 1.0 วินาทีพอดี จงหาวาปลาอยูหางจากเรือเทาใด (กําหนดใหความเร็วของคลื่นในน้ําเปน 1540 เมตรตอวินาที) 1) 260 m 2) 520 m 3) 770 m 4) 1540 m 6. คลื่นวิทยุที่สงออกจากสถานีวิทยุสองแหง มีความถี่ 90 เมกะเฮิรตซ และ 100 เมกะเฮิรตซ ความยาวคลื่น ของคลื่นวิทยุทั้งสองนี้ตางกันเทาใด 1) 3.33 m 2) 3.00 m 3) 0.33 m 4) 0.16 m 7. คลื่นใดตอไปนี้เปนคลื่นที่ตองอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ ก. คลื่นแสง ข. คลื่นเสียง ค. คลื่นผิวน้ํา คําตอบที่ถูกตองคือ 1) ทั้ง ก., ข. และ ค. 2) ข. และ ค. 3) ก. เทานั้น 4) ผิดทุกขอ 8. ขอใดเปนการเรียงลําดับคลื่นแมเหล็กไฟฟาจากความยาวคลื่นนอยไปมากทีถ่ ูกตอง 1) รังสีเอกซ อินฟราเรด ไมโครเวฟ 2) อินฟราเรด ไมโครเวฟ รังสีเอกซ 3) รังสีเอกซ ไมโครเวฟ อินฟราเรด 4) ไมโครเวฟ อินฟราเรด รังสีเอกซ 9. การฝากสัญญาณเสียงไปกับคลื่นในระบบวิทยุแบบ เอ เอ็ม คลื่นวิทยุที่ไดจะมีลักษณะอยางไร 1) คลื่นวิทยุจะเปลี่ยนแปลงแอมพลิจูดตามแอมพลิจูดของคลื่นเสียง 2) คลื่นวิทยุจะเปลี่ยนแปลงแอมพลิจูดตามความถี่ของคลื่นเสียง 3) คลื่นวิทยุจะเปลี่ยนแปลงความถี่ตามแอมพลิจูดของคลื่นเสียง 4) คลื่นวิทยุจะเปลี่ยนแปลงความถี่ตามความถี่ของคลื่นเสียง โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (37)
10. มนุษยอวกาศสองคนปฏิบัติภารกิจบนพื้นผิวดวงจันทร สื่อสารกันดวยวิธีใดสะดวกที่สุด 1) คลื่นเสียงธรรมดา 2) คลื่นเสียงอัลตราซาวด 3) คลื่นวิทยุ 4) คลื่นโซนาร 11. เมื่อคลื่นเคลื่อนจากตัวกลางที่หนึ่งไปตัวกลางที่สองโดยอัตราเร็วของคลื่นลดลง ถามวาสําหรับคลื่นในตัวกลาง ที่สอง ขอความใดถูกตอง 1) ความถี่เพิ่มขึ้น 2) ความถี่ลดลง 3) ความยาวคลื่นมากขึ้น 4) ความยาวคลื่นนอยลง 12. คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่นิยมใชในรีโมทควบคุมการทํางานของเครื่องโทรทัศนคือขอใด 1) อินฟราเรด 2) ไมโครเวฟ 3) คลื่นวิทยุ 4) อัลตราไวโอเลต 13. ระดับเสียงและคุณภาพเสียงขึ้นอยูกับสมบัติใดตามลําดับ 1) ความถี่ รูปรางคลื่น 2) รูปรางคลื่น ความถี่ 3) แอมพลิจูด ความถี่ 4) ความถี่ แอมพลิจูด 14. ถากระทุมน้ําเปนจังหวะสม่ําเสมอ ลูกปงปองที่ลอยอยูหางออกไปจะเคลื่อนที่อยางไร 1) ลูกปงปองเคลื่อนที่ออกหางไปมากขึ้น 2) ลูกปงปองเคลื่อนที่เขามาหา 3) ลูกปงปองเคลื่อนที่ขึ้น-ลงอยูที่ตําแหนงเดิม 4) ลูกปงปองเคลื่อนที่ไปดานขาง 15. ขอใดตอไปนี้เปนวัตถุประสงคของการบุผนังของโรงภาพยนตรดวยวัสดุกลืนเสียง 1) ลดความถี่ของเสียง 2) ลดความดังของเสียง 3) ลดการสะทอนของเสียง 4) ลดการหักเหของเสียง 16. คลื่นเคลื่อนที่จากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่ง ปริมาณใดตอไปนี้ไมเปลี่ยนแปลง 1) ความถี่ 2) ความยาวคลื่น 3) อัตราเร็ว 4) ทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น 17. ในการเทียบเสียงกีตารกับหลอดเทียบเสียงมาตรฐาน เมื่อดีดสายกีตารพรอมกับหลอดเทียบเสียงเกิดบีตสขึ้น ที่ความถี่หนึ่ง แตเมื่อขันใหสายตึงขึ้นเล็กนอยความถี่ของบีตสสูงขึ้น ความถี่ของเสียงกีตารเดิมเปนอยางไร 1) สูงกวาเสียงมาตรฐาน 2) ต่ํากวาเสียงมาตรฐาน 3) เทากับเสียงมาตรฐาน 4) อาจจะมากกวาหรือนอยกวาเสียงมาตรฐานก็ได 18. เมื่อใหแสงสีแดงผานเขาไปในปริซึม แสงสีแดงในปริซึมจะมีความเร็วและความยาวคลื่นอยางไรเทียบกับแสง นั้นในอากาศ 1) ความเร็วลดลง ความยาวคลื่นเพิ่มขึ้น 2) ความเร็วลดลง ความยาวคลื่นลดลง 3) ความเร็วเพิ่มขึ้น ความยาวคลื่นเพิ่มขึ้น 4) ความเร็วเพิ่มขึ้น ความยาวคลื่นลดลง 19. คลื่นวิทยุ FM ความถี่ 88 เมกะเฮิรตซ มีความยาวคลื่นเทาใด กําหนดใหความเร็วของคลื่นวิทยุเทากับ 30 × 108 เมตร/วินาที 1) 3.0 m 2) 3.4 m 3) 6.0 m 4) 6.8 m 20. คลื่นแมเหล็กไฟฟาชนิดใดตอไปนี้ที่มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด 1) อินฟราเรด 2) ไมโครเวฟ 3) คลื่นวิทยุ 4) อัลตราไวโอเลต วิทยาศาสตร ฟสิกส (38) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
นิวเคลียสและกัมมันตภาพรังสี 1. กัมมันตภาพรังสี 1. กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) เปนปรากฏการณที่นิวเคลียสของไอโซโทปไมเสถียร จึงปลอย อนุภาคหรือพลังงานในรูปของโฟตอนออกมาเพื่อปรับสภาพของนิวเคลียสใหเสถียร 2. ธาตุกัมมันตรังสี (Radioactive Elements) คือ ธาตุที่สามารถปลอยอนุภาคหรือโฟตอนไดเอง จนกวานิวเคลียสของธาตุจะเสถียร 3. กัมมันตภาพรังสีตามธรรมชาติ (Natural Radioactivity) คือ กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากธาตุ กัมมันตรังสีปลอยรังสีออกมาเองตามธรรมชาติ 4. กัมมันตภาพรังสีจากการกระทําของมนุษย (Artificial Radioactivity) คือ กัมมันตภาพรังสีที่เกิด จากการที่มนุษยใชเทคนิคตางๆ เพื่อเปลี่ยนสภาพนิวเคลียสของธาตุ 5. ชนิดของกัมมันตภาพรังสี
จากการศึกษาแนวการเคลื่อนที่ของรังสีที่ออกมาจากธาตุกัมมันตภาพรังสี จะพบวาในบริเวณสนามแมเหล็ก แนวการเคลื่อนที่ของรังสีจะมี 3 ลักษณะ (ดังรูป) ทําใหสามารถแบงชนิดของรังสีที่ออกมาจากธาตุกัมมันตรังสีได 3 ชนิด ดังนี้ 1. รังสีแอลฟา (Alpha rays, α) หรืออนุภาคแอลฟา เปนนิวเคลียสของอะตอมของธาตุฮีเลียม 4 ( 2 He ) มีคุณสมบัติดังนี้ 1.1 มีมวลประมาณ 4u มีประจุไฟฟา +2e และมีพลังงานประมาณ 4 - 10 MeV 1.2 มีความสามารถทําใหเกิดการแตกตัวเปนไอออนเมื่อรังสีแอลฟาพุงผานสารใดๆ 1.3 มีอํานาจทะลุทะลวงต่ํา กลาวคือสามารถวิ่งผานอากาศไดเพียง 3 - 5 เซนติเมตร 1.4 จะเบี่ยงเบนเมื่อผานสนามไฟฟาและสนามแมเหล็ก เพราะรังสีแอลฟามีประจุ 1.5 มีปฏิกิริยาออนมากตอฟลมถายรูป
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (39)
2. รังสีบีตา (Beta rays, β) หรืออนุภาคบีตา เปนอิเล็กตรอนที่มาจากการเปลี่ยนสภาพของนิวเคลียส มิไดเปนอิเล็กตรอนที่โคจรรอบนิวเคลียส มีคุณสมบัติดังนี้ 2.1 มีมวลเทากับอิเล็กตรอน มีประจุไฟฟา -1 e และมีพลังงานประมาณ 0.025 - 3.5 MeV 1 เทาของ 2.2 สามารถทําใหอากาศแตกตัวเปนไอออนได โดยมีอํานาจการไอออนไนซประมาณ 100 อนุภาคแอลฟา 2.3 มีอํานาจทะลุทะลวงมากกวาอนุภาคแอลฟา คือ สามารถวิ่งผานอากาศไดประมาณ 1 - 3 เมตร 2.4 จะเบี่ยงเบนเมื่อผานสนามไฟฟาและสนามแมเหล็ก 2.5 มีปฏิกิริยาตอฟลมถายรูปรุนแรงกวาอนุภาคแอลฟา 3. รังสีแกมมา (Gamma rays, γ) เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ประกอบดวยโฟตอนพลังงานสูง มีความ ยาวคลื่นประมาณ 0.5 - 0.005 Ao มีคุณสมบัติดังนี้ 3.1 มีสภาพเปนกลางทางไฟฟา และมีพลังงานประมาณ 0.04 - 3.2 MeV 3.2 สามารถทําใหแกสแตกตัวเปนไอออน แตการแตกตัวที่เกิดขึ้นนอยมาก 3.3 มีอํานาจทะลุทะลวงสูงกวาอนุภาคบีตา 3.4 ไมเบี่ยงเบนเมื่อผานสนามไฟฟาและสนามแมเหล็ก 3.5 มีปฏิกิริยาตอฟลมถายรูปรุนแรงกวาอนุภาคบีตา 3.6 ถูกดูดกลืนไดโดยผานสสารบางๆ ทําใหความเขมของรังสีลดลง
2. นิวเคลียส 1. สมมติฐานเกี่ยวกับโครงสรางของนิวเคลียส หลังจากที่แชดวิค (Sir James Chadwick) คนพบอนุภาคนิวตรอน ไดมีการตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับ โครงสรางของนิวเคลียสวา “นิวเคลียสประกอบดวยอนุภาคโปรตอนและอนุภาคนิวตรอน โดยเรียกอนุภาคทั้งสอง ที่รวมกันเปนองคประกอบของนิวเคลียสวา นิวคลีออน (Nucleon)” เราเรียกสมมติฐานนี้วา สมมติฐานโปรตอนนิวตรอน (Proton - Neutron Hypothesis) 2. คุณสมบัติทั่วไปของนิวเคลียส 1. มวลอะตอม (มวลของนิวเคลียส) มีคาใกลเคียงกับเลขมวลของอะตอม เชน ธาตุยูเรเนียมมีเลข มวล 238 และมีมวลอะตอมเทากับ 238.05 u
โดย 1 atomic mass unit (u) = 1.66 × 10-27 กก. 2. ประจุของนิวเคลียส เนื่องจากนิวเคลียสประกอบดวยโปรตอนและนิวตรอน โดยนิวตรอนมีสภาพ เปนกลางทางไฟฟา ดังนั้นนิวเคลียสจึงมีสภาพเปนประจุไฟฟาบวก โดยมีจํานวนประจุไฟฟาบวกเทากับเลขอะตอม (Z) 3. รัศมีของนิวเคลียส เราถือวานิวเคลียสมีลักษณะเปนทรงกลมโดยมีรัศมีประมาณ 10-15 - 10-14 เมตร 4. ความหนาแนนของนิวเคลียส มีคาประมาณ 107 kg/m3 วิทยาศาสตร ฟสิกส (40) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
3. เลขมวล (Mass Number; A) คือ ผลรวมของจํานวนโปรตอนและนิวตรอนในนิวเคลียส 4. เลขอะตอม (Atomic Number; Z) คือ จํานวนโปรตอนในนิวเคลียส
ดังนั้น
จํานวนนิวตรอนในนิวเคลียส = A - Z
5. สัญลักษณของนิวเคลียสของธาตุ X นิยมเขียน 2 แบบ คือ 1. AZ X เชน 238 92 U 2. X - A เชน U-238 เมื่อ A คือ เลขมวล และ Z คือ เลขอะตอม 6. ไอโซโทป (Isotope) ของธาตุเดียวกัน คือ นิวเคลียสที่มีจํานวนโปรตอนเทากันแตจํานวนนิวตรอน ตางกัน โดยจะมีสมบัติทางเคมีเหมือนกันแตสมบัติทางกายภาพตางกัน ไอโซโทปแบงเปน 2 ประเภท คือ 1. ไอโซโทปกัมมันตรังสี (Radioactive Isotope) คือ ไอโซโทปที่ไมเสถียรจึงพยายามปรับสภาพให เสถียรโดยการแผรังสีออกมาจากนิวเคลียส 2. ไอโซโทปเสถียร (Stable Isotope) คือ ไอโซโทปที่อยูในสภาพเสถียรจึงไมมีการปรับสภาพอีก ตอไป 7. แมสสเปกโตรมิเตอร (Mass Spectrometer) เปนเครื่องมือที่ใชวิเคราะหมวลอะตอมของธาตุตางๆ เพื่อที่จะจําแนกไอโซโทปของธาตุตางๆ แสดงดวยภาพไดดังนี้
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (41)
3. การสลายตัวใหกัมมันตภาพรังสี 1. กฎการสลายตัวใหกัมมันตภาพรังสี (Law of Radioactive Decay) 1. อะตอมของธาตุกัมมันตรังสีจะสลายตัว เปลี่ยนสภาพของนิวเคลียสใหกลายเปนธาตุใหม ดวยการ แผรังสีแอลฟา บีตาหรือแกมมา 2. สภาพแวดลอมภายนอกนิวเคลียสไมมีผลตออัตราการสลายตัว แตอัตราการสลายตัวของนิวเคลียส จะแปรผันกับจํานวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีที่มีอยูในขณะนั้น 2. อัตราการสลายตัวของนิวเคลียส คือ จํานวนนิวเคลียสที่สลายตัวไปใน 1 หนวยเวลา
จาก
∆N ∆t
∝
จะไดวา
∆N ∆t
= -λ N
N
เมื่อ N คือ จํานวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีที่มีอยูขณะเวลา t ∆N คือ จํานวนนิวเคลียสที่สลายตัวในชวงเวลา ∆t ∆t คือ ชวงเวลาสั้นๆ ในการสลายตัวนับจากเวลา t λ คือ คานิจของการสลายตัว (เครื่องหมายลบ หมายถึง การลดลงของจํานวนนิวเคลียส) 3. กัมมันตภาพ (Activity) คือ อัตราการสลายตัวของนิวเคลียสในขณะหนึ่ง (∆t → 0) นั่นคือ A = lim ∆∆Nt ∆t → 0
= dN dt = -λN
เมื่อ A คือ กัมมันตภาพ 4. หนวยของกัมมันตภาพ ในระบบเอสไอ กัมมันตภาพมีหนวยเบกเคอเรล (Bq) แตในทางปฏิบัตินิยมวัดเปนหนวยคูรี (Ci) 1 Ci = 3.7 × 10-10 Bq 1 mCi = 3.7 × 107 Bq 1 µCi = 3.7 × 104 Bq 5. เมื่อธาตุกัมมันตรังสีสลายตัวไปในขณะหนึ่ง (∆t → 0) จํานวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีที่ เหลืออยูหาไดจาก N = N0 ⋅ e-λt
วิทยาศาสตร ฟสิกส (42) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
เมื่อ N0 คือ จํานวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีเมื่อเริ่มพิจารณา (t = 0) N คือ จํานวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีที่เหลืออยูเมื่อเวลาผานไป t e = 2.7182818 แต A = dN dt = -λN จะไดวา A = A0 ⋅ e-λt เมื่อ A0 คือ กัมมันตภาพขณะเริ่มพิจารณา (t = 0) A คือ กัมมันตภาพที่เวลา t นับจากเริ่มตน แตจํานวนนิวเคลียสแปรผันกับมวลของธาตุ จะไดวา m = m0 ⋅ e-λt เมื่อ m0 คือ มวลของธาตุกัมมันตรังสีเมื่อเริ่มพิจารณา (t = 0) m คือ มวลของธาตุกัมมันตรังสีที่เวลา t นับจากเริ่มตน 6. ครึ่งชีวิต (Half Life) คือ ชวงเวลาที่ธาตุกัมมันตรังสีสลายตัวแลวทําใหจํานวนนิวเคลียสลดลง ครึ่งหนึ่งของจํานวนเริ่มตน N = N20 ธาตุกัมมันตรังสีแตละชนิดจะมีคาครึ่งชีวิตเฉพาะตัวและคงที่ นั่นคือ
N0 2n
T1/2 = 0.693 λ
เมื่อ T1/2 คือ ครึ่งชีวิต ในกรณีที่เวลาผานไป nT1/2 นับจากเริ่มตน จํานวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตภาพรังสีที่เหลืออยูเทากับ
7. คานิจของการสลายตัว (Decay Constant) คือ อัตราการสลายตัวของนิวเคลียสตอจํานวน นิวเคลียสที่เหลืออยู - dn dt λ = N
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (43)
การแบงธาตุออกตามเลขมวล แบงออกเปน 1. ธาตุเบา คือ ธาตุที่มีเลขมวลอยูในชวง 1-25 2. ธาตุขนาดกลาง คือ ธาตุที่มีเลขมวลอยูในชวง 25-150 3. ธาตุหนัก คือ ธาตุที่มีเลขมวลตั้งแต 150 ขึ้นไป ประเภทของปฏิกิริยานิวเคลียร แบงออกเปน 2 ประเภท คือ 1. ฟชชัน (Fission) คือ ปฏิกิริยาที่นิวเคลียสของธาตุหนักแตกตัวออกเปน 2 สวนที่มีขนาดใกลเคียงกันและ เปนนิวเคลียสใหม ซึ่งมีพลังงานยึดเหนี่ยวตอนิวคลีออนเพิ่มขึ้น 1 95 Mo + 139 La + 2 1 n เชน 235 92 U + 0 n 42 57 0 เปนปฏิกิริยาที่เกิดจากการยิงนิวตรอนใหชนธาตุหนัก U-235 ทําใหนิวเคลียสของ U-235 แตกเปน 2 สวน ที่มีขนาดใกลเคียงกัน (Mo-95 และ La-139) พรอมทั้งนิวตรอน 2 ตัว ออกมา 2. ฟวชัน (Fusion) คือ ปฏิกิริยาที่เกิดจากการรวมตัวของนิวเคลียสของธาตุเบา 2 ธาตุ ทําใหเกิดเปน ธาตุใหม ซึ่งหนักกวาเดิม และมีการปลอยพลังงานนิวเคลียรออกมา 4 He + 2 1 H + 12.9 MeV เชน 32 He + 32 He 2 1 ปฏิกิริยาลูกโซ (Chain Reaction) เปนปฏิกิริยานิวเคลียรแบบฟชชันที่เกิดขึ้นอยางตอเนื่อง โดยอาศัย นิวตรอนที่เกิดขึ้นเปนตัวยิงนิวเคลียสของธาตุตอไป เครื่องปฏิกรณนิวเคลียร (Nuclear Reactor) เปนเครื่องมือผลิตพลังงานนิวเคลียรที่สามารถควบคุม อัตราการเกิดฟชชันและปฏิกิริยาลูกโซได ชื่ออนุภาคและสัญลักษณที่ควรจํา 1. อนุภาคแอลฟา (α) = 42 He = -01 e 2. อนุภาคบีตา (β) 3. รังสีแกมมา (γ) 4. อนุภาคโปรตอน (P) = 11 H 5. อนุภาคนิวตรอน (n) = 01 n = +01 e 6. โปสิตรอน (β+) 7. ดิวเทอรอน (d) = 21 H 8. ทริเทียม = 31 H
วิทยาศาสตร ฟสิกส (44) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
4. ปฏิกิริยานิวเคลียร 1. ปฏิกิริยานิวเคลียร (Nuclear Reaction) คือ กระบวนการที่นิวเคลียสเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพ เชน การสลายตัวนิวเคลียสไปเปนนิวเคลียสของธาตุใหม การแตกตัวของนิวเคลียสไปเปนนิวคลีออนหลังจากมี อนุภาคมาชน เปนตน 2. สมการของปฏิกิริยานิวเคลียร เปนสมการที่แสดงการเปลี่ยนแปลงภายในนิวเคลียสของอะตอม รูปแบบของสมการของปฏิกิริยานิวเคลียร คือ X+a Y+b หรือ X(a, b)Y เราเรียกปฏิกิริยานิวเคลียรนี้วา ปฏิกิริยา (a, b) ของนิวเคลียส X เมื่อ X คือ นิวเคลียสที่ใชเปนเปา a คือ อนุภาคที่วิ่งเขาชนเปา b คือ อนุภาคที่เกิดขึ้นหลังจากการชน Y คือ นิวเคลียสของธาตุใหมที่เกิดขึ้นหลังจากการชน ตัวอยางปฏิกิริยา 9 Be + 4 He 12 C + 1 n 4 2 6 0 198 Hg + γ 197 Au + 1 H 80 79 1 80 Pt 78
+ 21 H
197 Au 79
+ 01 n
เขียนโดยยอ 9 Be (α, n) 12 C 4 6 198 Hg (γ, P) 80 197 Au 79 196 Pt (d, n) 78 197 Au 79
ชื่อปฏิกิริยา (α, n) (γ, P)
(d, n)
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (45)
ตัวอยางขอสอบ 1. ไอโอดีน-128 มีคาครึ่งชีวิต 25 นาที ถาเริ่มตนมีไอโอดีน-128 อยู 400 มิลลิกรัม ไอโอดีน-128 จะลดลง เหลือ 100 มิลลิกรัม เมื่อเวลาผานไปกี่นาที 2. คารบอนเปนธาตุที่เปนสวนสําคัญของสิ่งมีชีวิต สัญลักษณนิวเคลียส 126 C แสดงวานิวเคลียสของคารบอนนี้ มีอนุภาคตามขอใด 1) โปรตอน 12 ตัว นิวตรอน 6 ตัว 2) โปรตอน 6 ตัว นิวตรอน 12 ตัว 3) โปรตอน 6 ตัว อิเล็กตรอน 6 ตัว 4) โปรตอน 6 ตัว นิวตรอน 6 ตัว 3. ขอใดตอไปนี้เปนการกําจัดกากกัมมันตรังสีที่ดีที่สุด 1) เรงใหเกิดการสลายตัวเร็วขึ้นโดยใชความดันสูงมากๆ 2) เผาใหสลายตัวที่อุณหภูมิสูง 3) ใชปฏิกิริยาเคมีเปลี่ยนใหเปนสารประกอบอื่น 4) ใชคอนกรีตตรึงใหแนนแลวฝงกลบใตภูเขา 4. ขอใดถูกตองสําหรับไอโซโทปของธาตุๆ หนึ่ง 1) มีเลขมวลเทากัน แตเลขอะตอมตางกัน 2) มีจํานวนโปรตอนเทากัน แตจํานวนนิวตรอนตางกัน 3) มีจํานวนนิวตรอนเทากัน แตจํานวนโปรตอนตางกัน 4) มีผลรวมของจํานวนโปรตอนและนิวตรอนเทากัน 5. นักโบราณคดีตรวจพบเรือไมโบราณลําหนึ่งวามีอัตราสวนของปริมาณ C-14 ตอ C-12 เปน 25% ของ อัตราสวนสําหรับสิ่งที่ยังมีชีวิต สันนิษฐานไดวาซากเรือนี้มีอายุประมาณกี่ป กําหนดใหครึ่งชีวิตของ C-14 เปน 5730 ป 1) 2865 ป 2) 5730 ป 3) 11460 ป 4) 22920 ป 6. รังสีในขอใดที่มีอํานาจในการทะลุทะลวงผานเนื้อสารไดนอยที่สุด 1) รังสีแอลฟา 2) รังสีบีตา 3) รังสีแกมมา 4) รังสีเอกซ
วิทยาศาสตร ฟสิกส (46) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
7. กิจกรรมการศึกษาที่เปรียบการสลายกัมมันตรังสีกับการทอดลูกเตานั้น จํานวนลูกเตาที่ถูกคัดออกเทียบไดกับ ปริมาณใด 1) เวลาครึ่งชีวิต 2) จํานวนนิวเคลียสตั้งตน 3) จํานวนนิวเคลียสที่เหลืออยู 4) จํานวนนิวเคลียสที่สลาย 8. เครื่องหมายดังรูปแทนอะไร มวง เหลือง
1) 2) 3) 4)
เครื่องกําเนิดไฟฟาโดยกังหันลม การเตือนวามีอันตรายจากกัมมันตภาพรังสี การเตือนวามีอันตรายจากสารเคมี เครื่องกําเนิดไฟฟาโดยเซลลแสงอาทิตย
9. นิวเคลียสของเรเดียม-226 ( 226 88 Ra ) มีการสลายโดยการปลอยอนุภาคแอลฟา 1 ตัวและรังสีแกมมาออกมา
จะทําให 226 88 Ra กลายเปนธาตุใด 1) 218 84 Po
2) 222 86 Rn
3) 23090Th 4) 234 92 U
234 10. อนุภาคใดในนิวเคลียส 236 92 U และ 90Th ที่มีจํานวนเทากัน 1) โปรตอน 2) อิเล็กตรอน 3) นิวตรอน 4) นิวคลีออน
11. ในธรรมชาติ ธาตุคารบอนมี 3 ไอโซโทป คือ 126 C 136 C และ 146 C ขอใดตอไปนีถ้ ูก 1) แตละไอโซโทปมีจํานวนอิเล็กตรอนตางกัน 2) แตละไอโซโทปมีจํานวนโปรตอนตางกัน 3) แตละไอโซโทปมีจํานวนนิวตรอนตางกัน 4) แตละไอโซโทปมีจํานวนโปรตอนเทากับจํานวนนิวตรอน โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (47)
12. รังสีใดที่นิยมใชในการอาบรังสีผลไม 1) รังสีเอกซ 2) รังสีแกมมา 3) รังสีบีตา 4) รังสีแอลฟา 13. ไอโซโทปกัมมันตรังสีของธาตุไอโอดีน-128 มีครึ่งชีวิต 25 นาที ถามีไอโอดีน-128 ทั้งหมด 256 กรัม จะใชเวลาเทาไรจึงจะเหลือไอโอดีน-128 อยู 32 กรัม 1) 50 นาที 2) 1 ชั่วโมง 15 นาที 3) 1 ชั่วโมง 40 นาที 4) 3 ชั่วโมง 20 นาที 14. นิวเคลียสของเรเดียม-226 มีการสลายดังสมการขางลาง x คืออะไร 226 Ra → 222 Rn + x 88 86 1) รังสีแกมมา 2) อนุภาคบีตา 3) อนุภาคนิวตรอน 4) อนุภาคแอลฟา 15. ธาตุกัมมันตรังสีใดที่ใชในการคํานวณหาอายุของวัตถุโบราณ 1) I-131 2) Co-60 3) C-14 4) P-32 16. ขอความใดตอไปนี้ถูกตองเกี่ยวกับรังสีแอลฟา รังสีบีตาและรังสีแกมมา 1) รังสีแอลฟามีประจุ +4 2) รังสีแอลฟามีมวลมากที่สุดและอํานาจทะลุทะลวงผานสูงที่สุด 3) รังสีบีตามีมวลนอยที่สุดและอํานาจทะลุทะลวงผานต่ําที่สุด 4) รังสีแกมมามีอํานาจทะลุทะลวงสูงที่สุด 17. ขอใดถูกตองเกี่ยวกับปฏิกิริยานิวเคลียรฟวชัน (fusion) 1) เกิดที่อุณหภูมิต่ํา 2) ไมสามารถทําใหเกิดบนโลกได 3) เกิดจากนิวเคลียสของธาตุเบาหลอมรวมกันเปนธาตุหนัก 4) เกิดจากการที่นิวเคลียสของธาตุหนักแตกตัวออกเปนธาตุเบา
วิทยาศาสตร ฟสิกส (48) __________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009
18. ในการสลายตัวของ 146 C นิวเคลียสของคารบอน-14 ปลอยอิเล็กตรอนออกหนึ่งตัว นิวเคลียสใหมจะมี ประจุเปนกี่เทาของประจุโปรตอน 1) 5 2) 7 3) 13 4) 15 19. อัตราการสลายตัวของกลุมนิวเคลียสกัมมันตรังสี A ขึ้นกับอะไร 1) อุณหภูมิ 2) ความดัน 3) ปริมาตร 4) จํานวนนิวเคลียส A ที่มีอยู
โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2009 ___________________________วิทยาศาสตร
ฟสิกส (49)