พุทธวจน
ภิกษุทั้งหลาย ! กาล ๔ ประการนี้ อันบุคคลบ�าเพ็ญโดยชอบ ให้เป็นไปโดยชอบ ย่อมให้ถึงความสิ้นอาสวะโดย ล�าดับ กาล ๔ ประการ เป็นอย่างไรเล่า คือ
๑. การฟังธรรมตามกาล (กาเลน ธมฺมสฺสวนำ) ๒. การสนทนาธรรมตามกาล (กาเลน ธมฺมสากจฺฉา) ๓. การทำาสมถะ (ความสงบ) ตามกาล (กาเลน สมโถ) ๔. การทำาวิปัสสนาตามกาล (กาเลน วิปสฺสนา) ภิกษุทั้งหลาย ! กาล ๔ ประการนี้ อันบุคคลบ�าเพ็ญโดยชอบ ให้เป็นไปโดยชอบ ย่อมให้ถึงความสิ้นอาสวะโดยล�าดับ. -บาลี จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๘๘/๑๔๗.
พุทธวจน
ปฐมธรรม เข้าใจธรรมเพียงบทเดียว ก็เพียงพอ
คามณิ ! ...เพราะเหตุว่า ถึงแม้เขาจะเข้าใจธรรมที่เราแสดงสักบทเดียว นั่นก็ยังจะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ชนทั้งหลายเหล่านั้น ตลอดกาลนาน.
-บาลี สฬา. สํ. ๑๘/๓๘๙/๖๐๕.
ให้เป็นผู้หนักแน่น และไม่กล่าวมุสา ราหุล ! เรากล่าวว่า กรรมอันเป็นบาปหน่อยหนึ่ง ซึ่งบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการแกล้งกล่าวเท็จ ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จจะท�ำไม่ได้หามีไม่. เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ เธอทั้งหลาย พึงส�ำเหนียกใจไว้ว่า
“เราทั้งหลายจักไม่กล่าวมุสา แม้แต่เพื่อหัวเราะกันเล่น” ราหุล ! เธอทั้งหลายพึงส�ำเหนียกใจไว้อย่างนี้.
ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดิน (ปฐวี) เถิด เมือ่ เธออบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะทัง้ หลายทีน่ า่ พอใจและไม่นา่ พอใจอันเกิดขึน้ แล้ว จักไม่กลุม้ รุมจิตตัง้ อยู่ ราหุล ! เปรียบเหมือนเมือ่ คนเขาทิง้ ของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ทิง้ คูถบ้าง ทิง้ มูตรบ้าง ทิง้ น�ำ้ ลายบ้าง ทิง้ หนองบ้าง ทิง้ โลหิตบ้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่รส้ ู กึ อึดอัดระอารังเกียจ ด้วยสิ่งเหล่านั้น นี้ฉันใด
“ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดินเถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน” ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยน�ำ้ (อาโป) เถิด เมือ่ เธออบรมจิตให้เสมอด้วยน�ำ้ อยู่ ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่ ราหุล ! เปรียบเหมือนเมือ่ คนเขาล้างของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ล้างคูถบ้าง ล้างมูตรบ้าง ล้างน�้ำลายบ้าง ล้างหนองบ้าง ล้างโลหิตบ้าง ลงในน�้ำ น�้ำก็ไม่รู้สึกอึดอัดระอารังเกียจ ด้วยสิ่งเหล่านั้น นี้ฉันใด
“ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยน�้ำเถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยน�้ำอยู่ ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน” (ในกรณีแห่งไฟ ลม และอากาศ ก็ได้ตรัสไว้ในลักษณะคล้ายคลึงกัน) -บาลี ม. ม. ๑๓/๑๒๕/๑๒๗. , -บาลี ม. ม. ๑๓/๑๓๘-๔๐/๑๔๐-๔.
พุ ท ธ ว จ น ฉบับ ๙
ปฐมธรรม
พุทธวจนสถาบัน
ร่วมกันมุง่ มัน่ ศึกษา ปฏิบตั ิ เผยแผ่ค�ำ ของตถาคต
พุทธวจน
ฉบับ ๙
ปฐมธรรม
ข้อมูลธรรมะนี้ จัดทำ�เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชน เป็นธรรมทาน ลิขสิทธิ์ในต้นฉบับนี้ได้รับการสงวนไว้ ไม่สงวนสิทธิ์ในการจัดทำ�จากต้นฉบับเพื่อเผยแผ่ในทุกกรณี ในการจัดทำ�หรือเผยแผ่ โปรดใช้ความละเอียดรอบคอบ เพื่อรักษาความถูกต้องของข้อมูล ขอคำ�ปรึกษาด้านข้อมูลในการจัดทำ�เพื่อความสะดวกและประหยัด ติดต่อได้ที่ มูลนิธิพุทธโฆษณ์ โทรศัพท์ ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๙๔ พุทธวจนสมาคม โทรศัพท์ ๐๘ ๑๖๔๗ ๖๐๓๖ มูลนิธิพุทธวจน โทรศัพท์ ๐๘ ๑๔๕๗ ๒๓๕๒ คุณศรชา โทรศัพท์ ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ คุณอารีวรรณ โทรศัพท์ ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘ ปีที่พิมพ์ ๒๕๕๗ ศิลปกรรม ปริญญา ปฐวินทรานนท์, วิชชุ เสริมสวัสดิ์ศรี, ณรงค์เดช เจริญปาละ
จัดทำ�โดย มูลนิธิพุทธโฆษณ์ (เว็บไซต์ www.buddhakos.org) สำ�หรับผู้ต้องการปฏิบัติธรรรม ติดต่อได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติพุทธวจน (Buddhawajana Training Center) ซอยคลองสีต่ ะวันออก ๗๓ หมู่ ๑๕ คลองสี่ อำ�เภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โทรศัพท์ ๐๙ ๒๙๑๒ ๓๖๕๗, ๐๙ ๒๙๑๒ ๓๗๒๑, ๐๙ ๒๙๑๒ ๓๔๗๑
มูลนิธิพุทธโฆษณ์ เลขที่ ๒๙/๓ หมู่ที่ ๗ ตำ�บลบึงทองหลาง อำ�เภอลำ�ลูกกา จังหวัดปทุมธานี ๑๒๑๕๐ โทรศัพท์ /โทรสาร ๐ ๒๕๔๙ ๒๑๗๕ เว็บไซต์ : www.buddhakos.org
อักษรย่อ เพื่อความสะดวกแก่ผู้ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องอักษรย่อ ที่ใช้หมายแทนชื่อคัมภีร์ ซึ่งมีอยู่โดยมาก มหาวิ. วิ. ภิกฺขุนี. วิ. มหา. วิ. จุลฺล. วิ. ปริวาร. วิ. สี. ที. มหา. ที. ปา. ที. มู. ม. ม. ม. อุปริ. ม. สคาถ. สํ. นิทาน. สํ. ขนฺธ. สํ. สฬา. สํ. มหาวาร. สํ. เอก. อํ. ทุก. อํ. ติก. อํ. จตุกฺก. อํ.
มหาวิภังค์ ภิกขุนีวิภังค์ มหาวรรค จุลวรรค ปริวารวรรค สีลขันธวรรค มหาวรรค ปาฏิกวรรค มูลปัณณาสก์ มัชฌิมปัณณาสก์ อุปริปัณณาสก์ สคาถวรรค นิทานวรรค ขันธวารวรรค สฬายตนวรรค มหาวารวรรค เอกนิบาต ทุกนิบาต ติกนิบาต จตุกกนิบาต
วินัยปิฎก. วินัยปิฎก. วินัยปิฎก. วินัยปิฎก. วินัยปิฎก. ทีฆนิกาย. ทีฆนิกาย. ทีฆนิกาย. มัชฌิมนิกาย. มัชฌิมนิกาย. มัชฌิมนิกาย. สังยุตตนิกาย. สังยุตตนิกาย. สังยุตตนิกาย. สังยุตตนิกาย. สังยุตตนิกาย. อังคุตตรนิกาย. อังคุตตรนิกาย. อังคุตตรนิกาย. อังคุตตรนิกาย.
ปญฺจก. อํ. ฉกฺก. อํ. สตฺตก. อํ. อฏฺก. อํ. นวก. อํ. ทสก. อํ. เอกาทสก. อํ. ขุ. ขุ. ธ. ขุ. อุ. ขุ. อิติวุ. ขุ. สุตฺต. ขุ. วิมาน. ขุ. เปต. ขุ. เถร. ขุ. เถรี. ขุ. ชา. ขุ. มหานิ. ขุ. จูฬนิ. ขุ. ปฏิสมฺ. ขุ. อปท. ขุ. พุทฺธว. ขุ. จริยา. ขุ.
ปัญจกนิบาต ฉักกนิบาต สัตตกนิบาต อัฏฐกนิบาต นวกนิบาต ทสกนิบาต เอกาทสกนิบาต ขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ สุตตนิบาต วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา ชาดก มหานิทเทส จูฬนิทเทส ปฏิสัมภิทามรรค อปทาน พุทธวงส์ จริยาปิฎก
อังคุตตรนิกาย. อังคุตตรนิกาย. อังคุตตรนิกาย อังคุตตรนิกาย. อังคุตตรนิกาย. อังคุตตรนิกาย. อังคุตตรนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย. ขุททกนิกาย.
ตัวอย่าง : ๑๔/๑๗๑/๒๔๕ ให้อ่านว่า ไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่ม ๑๔ หน้า ๑๗๑ ข้อที่ ๒๔๕
คำ�อนุโมทนา ขออนุโมทนา กับคณะผู้จัดทำ� หนังสือพุทธวจน ฉบับ “ปฐมธรรม” ในเจตนาอันเป็นกุศล ที่มีความตั้งใจ เผยแผ่ค�ำ สอนขององค์สมั มาสัมพุทธเจ้าทีอ่ อกจากพระโอษฐ์ ของพระองค์เอง ทัง้ หมดทีท่ า่ นตรัสรูใ้ นหลายแง่มมุ ทีเ่ กีย่ วกับ การใช้ชีวิต วิธีแก้ทุกข์ ฯลฯ ตามหลักพุทธวจนง่ายๆ เพือ่ ให้ผสู้ นใจได้ศกึ ษาและนำ�มาปฏิบตั ิ เพือ่ ให้ถงึ ความพ้นทุกข์ ด้วยเหตุอันดีน้ี ขอจงเป็นพลวปัจจัยให้ผู้มีส่วนร่วมในการ ทำ�หนังสือเล่มนี้และผู้ที่ได้อ่าน ได้ศึกษา พึงเกิดปัญญา ได้ดวงตาเห็นธรรม พ้นทุกข์ในชาตินี้เทอญ. ขออนุโมทนา ภิกขุคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
คำ�นำ� ไม่แปลกที่นักวิชาการทางโลก มักจะจัดหมวดหมู่ธรรมะ ไปตามความเข้าใจจากการคิดเชิงวิเคราะห์แบบแบ่งย่อยแยกส่วน เพราะนั่นคือฐานวิธีการเข้าหาความจริงของวิทยาศาสตร์ตะวันตก ซึง่ ถูกใช้เป็นแม่แบบ ในกระบวนการศึกษา ของทุกๆ สาขาวิชาทางโลก. เมือ่ มองจากจุดยืนนัน้ หนังสือพุทธวจนฉบับปฐมธรรม นี้ อาจจะถูกเข้าใจได้วา่ เป็นหนังสือธรรมะหมวดทัว่ ไป สำ�หรับฆราวาส เพราะว่า ชือ่ หัวข้อเรือ่ งต่างๆ นัน้ ค่อนข้างเอนไปในแง่ของหลักปฏิบตั ิ ในชีวติ ประจำ�วันซึง่ มุง่ เน้นให้เกิดปฏิสมั พันธ์ทางสังคมทีเ่ ป็นปกติสขุ . ความเข้าใจในลักษณะนี้ มีความถูกต้องเพียงมิติเดียว. จริงอยูว่ า่ การปฏิบตั ติ นทีถ่ กู ต้อง ตามหลักคำ�สอนต่างๆ สามารถสร้างสังคมทีเ่ ป็นปกติสขุ ได้ ปัญหามีอยูว่ า่ หากเพียงมุง่ สร้าง สังคมโลกทีส่ งบสุขน่าอยู่ หรือเพียงเพือ่ ดูแลชีวติ ของตนเองให้ดแี ค่นน้ั การมีขน้ึ ของอรหันตสัมมาสัมพุทธะก็ไม่มจี �ำ เป็นแต่อย่างใด เพราะว่า ทุกสังคมเชือ้ ชาติ ต่างก็มลี ทั ธิความเชือ่ และหลักคำ�สอนทีเ่ ป็นไปเพือ่ ความสงบสุขแบบโลกๆ กันอยูแ่ ล้ว ยิง่ ไปกว่านัน้ นัน่ ยังทำ�ให้โอกาส ของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และการได้มาพบคำ�สอนของพระพุทธเจ้า กลับกลายเสมือนเป็นความสูญเปล่าเสียไปด้วย.
จุ ด สำ � คั ญ มี อ ยู่ ว่ า สิ่ ง ที่ พ ระพุ ท ธเจ้ า ตรั ส ไว้ ทั้ ง หมด นับตัง้ แต่ราตรีทท่ี รงตรัสรู้ ไปจนถึงปัจฉิมวาจา ก่อนปรินพิ พานนัน้ ไม่วา่ จะปรากฏเป็นเรือ่ งลึก หรือตืน้ ต่อบุคคลผูส้ ดับอยู่ อย่างไรก็ตาม ต่างก็สะท้อนอานิสงส์ โน้มเอียงไปสูจ่ ดุ หมายอย่างเดียวกันในทีส่ ดุ คือเป็นเรือ่ งทีน่ �ำ ไปสูค่ วามหลุดพ้นจากชาติ ชรา มรณะ ด้วยกันทัง้ สิน้ . ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงได้ว่า วิธปี ฏิบตั ติ นต่อบุคคลแวดล้อม (ทิศ ๖) หรือ หลักวิธกี ารใช้จา่ ยทรัพย์ หรือ แม้กระทัง่ เรือ่ งของศีล คือ หลักการกระทำ�ทีไ่ ม่เบียดเบียนกันนัน้ เกีย่ วข้อง และนำ�ไปสู่ การหลุดพ้นจากชาติ ชรา มรณะ ได้อย่างไร. พระผู้ มี พ ระภาคเจ้ า ทรงยื น ยั น ด้ ว ยพระองค์ เ องว่า เพราะเหตุใดก็ตาม ทีท่ �ำ ให้ ๓ สิง่ นี้ คือ ชาติ ชรา มรณะ มีอยูใ่ นโลก เพราะเหตุนน้ั นัน่ เอง จึงมีการบังเกิดขึน้ ของอรหันตสัมมาสัมพุทธะ. เหตุข้างต้นนี้ บวกเข้ากับ คุณสมบัติ ๑๐ ข้อของพุทธวจน (ดูได้ในแผ่นพับ : ทำ�ไมต้องพุทธวจน - ชาวพุทธปฏิบัติตามใคร) ชีใ้ ห้เห็นถึงลักษณะความเชือ่ มโยงสอดคล้องเป็นหนึง่ ของธรรมวินยั ทีเ่ ป็นพุทธวจน ในทุกบริบท ทุกแง่มมุ ไม่วา่ ตรัสกับใคร ในวาระไหน. พุทธวิสัย ในการใช้บทพยัญชนะ และการพูดบอกสอน ทีม่ ลี กั ษณะเชือ่ มโยงประสานเป็นหนึง่ เดียวทัง้ หมด โดยไม่พลาดเลยนี้ เป็นความอัศจรรย์วเิ ศษ ทีถ่ กู ชาวพุทธมองข้าม หรือไม่รเู้ ลยก็วา่ ได้ เป็นเหตุให้พลาดโอกาส ในการรูแ้ จ้งแทงตลอดหลักธรรมในมิตติ า่ งๆ เพราะไม่สามารถเปิดจุดเชื่อมโยงธรรม ให้ถึงกันได้.
หากใครก็ตาม ได้ศกึ ษาบทพยัญชนะทีเ่ ป็นพุทธวจนให้ดี จะพบจุดเชือ่ มโยงธรรม จากเรือ่ งทีด่ เู หมือนเป็นเพียงวิธกี ารปฏิบตั ติ วั ในชีวติ ประจำ�วันทัว่ ๆ ไปนัน้ ไปถึงหลักธรรมล้�ำ ลึก อันเป็นแก่นแท้ได้ คือเชือ่ มต่อๆ กัน ไปถึงการหลุดพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โดยสิน้ เชิงได้. จึ ง เป็ น เรื่ อ งท้ า ทายสำ � หรั บ ชาวพุ ท ธ ในแง่ มุ ม ที่ ว่ า ทุกวันนี้ เราศึกษาพุทธวจน ในระดับทีส่ ามารถเปิดจุดเชือ่ มโยงธรรม ทีซ่ อ้ นทับเกีย่ วเนือ่ งกันอยูไ่ ด้หรือไม่ และ เราใช้ประโยชน์จากคำ�สอน ของพระพุทธเจ้า ได้ถึงอานิสงส์ที่มุ่งหมายอย่างแท้จริงแค่ไหน.
คณะผู้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ขอนอบน้อมสักการะ ต่อ ตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ และ ภิกษุสาวกในธรรมวินัยนี้ ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล จนถึงยุคปัจจุบัน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสืบทอดพุทธวจน คือ ธรรม และวินัย ที่ทรงประกาศไว้ บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้ว. ตถาคตสาวโก คณะงานธัมมะ วัดนาป่าพง
สารบัญ ธรรมะกับชีวิต ๑ ๑. ผู้ชี้ขุมทรัพย์ ! ๒ ๒. โอกาสในการเกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก ๔ ๓. วิญญาณ คือ เหตุแห่งการเกิดขึ้นของสัตว์ ๖ ๔. หลักปฏิบัติต่อทิศทั้ง ๖ ๙ หน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อทิศเบื้องหน้า ๑๐ หน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อทิศเบื้องขวา ๑๑ หน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อทิศเบื้องหลัง ๑๒ หน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อทิศเบื้องซ้าย ๑๓ หน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อทิศเบื้องต�่ำ ๑๔ หน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อทิศเบื้องบน ๑๕ ๕. หลักในการใช้จ่ายทรัพย์ ๑๗ ๖. การตอบแทนคุณมารดาบิดาอย่างสูงสุด ๒๑ ๗. ว่าด้วยความรัก ๔ แบบ ๒๓ ๘. ลักษณะของ “ฆราวาสชั้นเลิศ” ๒๗ ๙. หลักการด�ำรงชีพ เพื่อประโยชน์สุขในวันนี้ ๒๙ ความขยันในอาชีพ ๒๙ การรักษาทรัพย์ ๓๐
ความมีมิตรดี ๓๑ การด�ำรงชีวิตสม�่ำเสมอ ๓๒ ๑๐. หลักการด�ำรงชีพ เพื่อประโยชน์สุขในวันหน้า ๓๔ ๑๑. เหตุเสื่อมและเหตุเจริญแห่งทรัพย์ ๓๗ เหตุเสื่อมแห่งทรัพย์ ๔ ประการ ๓๗ เหตุเจริญแห่งทรัพย์ ๔ ประการ ๓๘ ๑๒. อบายมุข ๖ (ทางเสื่อมแห่งทรัพย์ ๖ ทาง) ๔๐ โทษของอบายมุขแต่ละข้อ ๔๑ ๑๓. การบริโภคกามคุณทั้ง ๕ อย่างไม่มีโทษ ๔๕ ๑๔. หลักการพูด ๔๙ ๑๕. ลักษณะการพูดของตถาคต ๕๑ ๑๖. ลักษณะการพูดของสัตบุรุษ ๕๓ ๑๗. ลักษณะการพูดของอสัตบุรุษ ๕๕ ๑๘. อย่าหูเบา ๕๗ ๑๙. เข้าใจธรรมเพียงบทเดียว ก็เพียงพอ ๕๙ ๒๐. ให้เป็นผู้หนักแน่น ๖๐ ๒๑. ลาภสักการะและเสียงเยินยอ เป็นอันตราย ๖๓ แม้แต่พระอรหันต์ ๒๒. ลักษณะของผู้มีสติและสัมปชัญญะ ๖๕ ๒๓. สิ่งที่พระศาสดาถือว่าเป็นความอัศจรรย์ ๖๗
๒๔. จิตอธิษฐานการงาน ๖๘ ๒๕. การตั้งจิตก่อนนอน ๖๙ ๒๖. มืดมา...สว่างไป สว่างมา...ก็ยังคงสว่างไป ๗๐ ๒๗. เหตุของความสามัคคีและความแตกแยก ๗๓ ๒๘. ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท ๗๗ ๒๙. กฎธรรมชาติ ๗๙ ๓๐. เหตุแห่งการเบียดเบียน ๘๐ ๓๑. ความพอใจใด ความพอใจนัน้ คือ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ๘๒ ๓๒. ธรรมอันเป็นไปเพื่อความเจริญไม่เสื่อม ๘๓ (อปริหานิยธรรม) ๓๓. เหตุให้ศาสนาเจริญ ๘๕ ๓๔. เหตุให้ศาสนาเสื่อม ๘๘ ๓๕. สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ๙๑ ๓๖. ผลจากความไม่มีธรรมะของมนุษย์ (อย่างเบา) ๙๗ ๓๗. ผลจากความไม่มีธรรมะของมนุษย์ (อย่างหนัก) ๑๐๐ ๓๘. ข้อควรทราบเกี่ยวกับอกุศลมูล ๑๐๕ (ราคะ โทสะ โมหะ) ๓๙. คุณสมบัติของทูต ๑๐๘ ๔๐. ไม่โกหกกัน แม้เพียงเพื่อหัวเราะเล่น ๑๐๙ ๔๑. งูเปื้อนคูถ ๑๑๐
“กรรม” และผลของการกระท�ำ ๔๒. สิ่งที่ควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ “กรรม” ๔๓. กายนี้ เป็น “กรรมเก่า” ๔๔. ศีล ๕ ๔๕. ทาน ที่จัดว่าเป็น มหาทาน ๔๖. อุโบสถ (ศีล) ๔๗. อกุศลกรรมบถ ๑๐ ๔๘. กุศลกรรมบถ ๑๐ ๔๙. อานิสงส์ส�ำหรับผู้ท�ำศีลให้บริบูรณ์ ๕๐. ผลของการมีศีล ๕๑. ผลของการไม่มีศีล ๕๒. ท�ำดี ได้ดี ๕๓. ธรรมดาของโลก ๕๔. กรรมที่ท�ำให้ได้รับผลเป็นความไม่ตกต�่ำ ๕๕. ทานที่ให้แล้วในสงฆ์แบบใด จึงมีผลมาก ๕๖. ผู้ประสบบุญใหญ่
๑๑๓ ๑๑๔ ๑๑๖ ๑๑๘ ๑๒๐ ๑๒๒ ๑๒๔ ๑๒๙ ๑๓๕ ๑๔๐ ๑๔๒ ๑๔๕ ๑๔๙ ๑๕๐ ๑๕๒ ๑๕๔
ธรรมะกับการสอบ ๕๗. ต้องขึงสายพิณพอเหมาะ ๕๘. ผู้เห็นแก่นอน ๕๙. ลักษณะของ “ผู้มีความเพียรตลอดเวลา” ๖๐. ลักษณะของ “ผู้เกียจคร้านตลอดเวลา” ๖๑. วิธีการตามรักษาไว้ซึ่งความจริง (สจฺจานุรกฺขณา) ๖๒. การตามรู้ซึ่งความจริง (สจฺจานุโพโธ) ๖๓. การตามบรรลุถึงซึ่งความจริง (สจฺจานุปตฺติ) ๖๔. ท�ำความเพียรแข่งกับอนาคตภัย ๖๕. วิธีแก้ความหดหู่ ๖๖. วิธีแก้ความฟุ้งซ่าน
๑๕๗ ๑๕๘ ๑๖๐ ๑๖๓ ๑๖๔ ๑๖๕ ๑๖๙ ๑๗๒ ๑๗๓ ๑๗๘ ๑๘๐
การท�ำสมาธิและอานิสงส์ของการท�ำสมาธิ ๖๗. สมาธิภาวนา ๔ ประเภท ๖๘. อานุภาพของสมาธิ (นัยที่ ๑) ๖๙. อานุภาพของสมาธิ (นัยที่ ๒) ๗๐. แม้เพียงปฐมฌาน ก็ชอื่ ว่าเป็นทีห่ ลบพ้นภัยจากมาร ๗๑. สมาธิระงับความรัก-เกลียด ทีม่ อี ยูต่ ามธรรมชาติ ๗๒. ความส�ำคัญของสมถะและวิปัสสนา ๗๓. ผู้ก�ำลังโน้มเอียงไปสู่นิพพาน
๑๘๓ ๑๘๔ ๑๘๘ ๑๘๙ ๑๙๔ ๑๙๕ ๑๙๗ ๑๙๘
๗๔. อานิสงส์สูงสุดแห่งอานาปานสติ ๒ ประการ ๗๕. อานาปานสติระงับได้ซึ่งอกุศลทั้งหลาย ๗๖. เจริญอานาปานสติ ชื่อว่าไม่เหินห่างจากฌาน ๗๗.ลมหายใจก็คือ “กาย” ๗๘. ผู้เจริญอานาปานสติ ย่อมชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ๗๙. ลักษณะของผู้เจริญกายคตาสติ ๘๐. การตัง้ จิตในกายคตาสติ เป็นเสาหลักอย่างดีของจิต ลักษณะของผู้ไม่ตั้งจิตอยู่กับกาย ลักษณะของผู้ตั้งจิตอยู่กับกาย ๘๑. ให้ตั้งจิตในกายคตาสติ เสมือนเต่าหดอวัยวะไว้ในกระดอง ๘๒. ให้ตงั้ จิตในกายคตาสติ เสมือนบุรษุ ผูถ้ อื หม้อนำ�้ มัน ๘๓. อานิสงส์ของการเจริญกายคตาสติ ๘๔. การด�ำรงสมาธิจิต เมื่อถูกเบียดเบียนทางวาจา ๘๕. อานิสงส์แห่งการปฏิบัติสมาธิแบบต่างๆ ๘๖. ลักษณะของผู้ที่ง่ายต่อการเข้าสมาธิ ๘๗. เจริญสมาธิให้ได้อย่างน้อยวันละ ๓ ครั้ง ๘๘. การอยู่ป่ากับการเจริญสมาธิ ส�ำหรับภิกษุบางรูป ๘๙. ผลของการกระท�ำที่ท�ำได้เหมาะสมกับเวลา ๙๐. จงเป็นผู้มีสติคู่กันไปกับสัมปชัญญะ
๒๐๐ ๒๐๔ ๒๐๖ ๒๐๗ ๒๐๙ ๒๑๑ ๒๑๓ ๒๑๓ ๒๑๕ ๒๑๘ ๒๒๑ ๒๒๓ ๒๒๔ ๒๒๙ ๒๓๐ ๒๓๒ ๒๓๔ ๒๓๗ ๒๓๘
ความส�ำคัญของค�ำพระผู้มีพระภาคเจ้า ๒๔๑ ๙๑. เหตุผลที่ต้องรับฟังเฉพาะค�ำตรัส ๒๔๓ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงก�ำชับให้ศึกษาปฏิบัติเฉพาะจากค�ำของ ๒๔๓ พระองค์เท่านั้น อย่าฟังคนอื่น หากไม่สนใจค�ำตถาคต จะท�ำให้เกิดความ ๒๔๕ อันตรธานของค�ำตถาคต เปรียบด้วยกลองศึก พระองค์ทรงสามารถก�ำหนดสมาธิ ๒๔๗ เมื่อจะพูดทุกถ้อยค�ำ จึงไม่ผิดพลาด ค�ำพูดที่ตรัสมาทั้งหมดนับแต่วันตรัสรู้นั้น ๒๔๘ สอดรับไม่ขัดแย้งกัน แต่ละค�ำพูดเป็นอกาลิโก คือ ถูกต้องตรงจริง ๒๔๙ ไม่จ�ำกัดกาลเวลา ทรงให้ใช้ธรรมวินัยที่ตรัสแล้ว ๒๕๐ เป็นศาสดาแทนต่อไป ทรงห้ามบัญญัตเิ พิม่ หรือตัดทอน สิง่ ทีบ่ ญ ั ญัตไิ ว้ ๒๕๑ ๙๒. อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ๒๕๒ กัลยาณวัตรที่ตถาคตทรงฝากไว้
การปรินิพพานของตถาคต ๙๓. เหตุการณ์ช่วงปรินิพพาน ๙๔. ผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง ๙๕. หลักตัดสินธรรมวินัย ๔ ประการ ๙๖. การบูชาตถาคตอย่างสูงสุด ๙๗. พินัยกรรม ของ “พระสังฆบิดา” ๙๘. สังเวชนียสถานภายหลังพุทธปรินิพพาน ๙๙. สถานที่ที่ควรจะระลึกตลอดชีวิต
๒๕๕ ๒๕๖ ๒๖๑ ๒๖๓ ๒๖๕ ๒๖๗ ๒๖๘ ๒๗๑
นิพพานและการพ้นทุกข์ ๒๗๓ ๑๐๐. เพราะการเกิด เป็นเหตุให้พบกับความทุกข์ ๒๗๔ ๑๐๑. เหตุแห่งการเกิด “ทุกข์” ๒๗๘ ๑๐๒. สิ้นทุกข์เพราะสิ้นกรรม ๒๘๐ ๑๐๓. สิ้นนันทิ สิ้นราคะ ๒๘๒ ๑๐๔. ความสิ้นตัณหา คือ นิพพาน ๒๘๓ ๑๐๕. ความเพลิน เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ๒๘๕ ๑๐๖. ความเป็นโสดาบัน ๒๘๖ ประเสริฐกว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๐๗. สัทธานุสารี ๒๘๘ ๑๐๘. ธัมมานุสารี ๒๘๙
๑๐๙. ฐานะที่เป็นไปไม่ได้ ของผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ (พระโสดาบัน) ๑๑๐. ล�ำดับการปฏิบัติเพื่ออรหัตตผล ๑๑๑. อริยมรรค มีองค์ ๘ ๑๑๒. “ดิน น�้ำ ไฟ ลม” ไม่อาจหยั่งลงได้ในที่ไหน ๑๑๓. สิ่งๆ หนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง ๑๑๔. สังขตลักษณะ ๑๑๕. อสังขตลักษณะ ๑๑๖. ล�ำดับการหลุดพ้นโดยละเอียดเมื่อเห็นอนัตตา ๑๑๗. ท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับอาหาร ๑๑๘. หลักการพิจารณาอาหาร ๑๑๙. หมดความพอใจ ก็สิ้นทุกข์ ๑๒๐. ความรู้สึกภายในใจ เมื่อละตัณหา (ความอยาก) ได้
๒๙๑
ลักษณะภิกษุผู้มีศีล ๑๒๑. ผู้ชี้ชวนวิงวอน ๑๒๒. ลักษณะของภิกษุผู้มีศีล (นัยที่ ๑) ๑๒๓. ลักษณะของภิกษุผู้มีศีล (นัยที่ ๒) ๑๒๔. ลักษณะของภิกษุผู้มีศีล (นัยที่ ๓)
๓๑๗ ๓๑๘ ๓๑๙ ๓๒๒ ๓๒๔
๒๙๓ ๒๙๕ ๓๐๐ ๓๐๓ ๓๐๔ ๓๐๕ ๓๐๖ ๓๐๘ ๓๑๑ ๓๑๔ ๓๑๕
ธรรมะกับชีวิต
2 พุ ท ธ ว จ น
๑ ผู้ชี้ขุมทรัพย์ ! น เต อหํ อานนฺท ตถา ปรกฺกมิสฺสามิ
อานนท์ ! เราไม่พยายามทำ�กะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม ยถา กุมฺภกาโร อามเก อามกมตฺเต
เหมือนพวกช่างหม้อ ทำ�แก่หม้อ ที่ยังเปียก ยังดิบอยู่. นิคฺคยฺหนิคฺคยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ
อานนท์ ! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด. ปวยฺหปวยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ
อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด. โย สาโร, โส ฐสฺสติ
ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้. อุปริ. ม. ๑๔/๒๔๕/๓๕๖.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
3
นิธีนํว ปวตฺตารํ ยํ ปสฺเส วชฺชทสฺสินํ นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวึ ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช
คนเรา ควรมองผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าวคำ�ขนาบอยู่เสมอไป ว่าคนนั้นแหละ คือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์ละ ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น ตาทิสํ ภชมานสฺส เสยฺโย โหติ น ปาปิโย
เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่ ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย. ธ. ขุ. ๒๕/๒๕/๑๖.
4 พุ ท ธ ว จ น
๒ โอกาสในการเกิดเป็นมนุษย์นน้ั แสนยาก ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้ า สมมติ ว่ า มหาปฐพี อั น ใหญ่หลวงนี้ มีน้ำ�ท่วมถึงเป็นอันเดียวกันทั้งหมด; บุรุษ คนหนึ่ง ทิ้งแอก (ไม้ไผ่ ?) ซึ่งมีรูเจาะได้เพียงรูเดียวลงไป ในน้ำ�นั้น; ลมตะวันออกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันตก, ลมตะวันตกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันออก, ลมทิศเหนือพัด ให้ลอยไปทางทิศใต้, ลมทิศใต้พดั ให้ลอยไปทางทิศเหนือ, อยูด่ งั นี ้ ในน้�ำ นัน้ มีเต่าตัวหนึง่ ตาบอด ล่วงไปร้อยๆ ปี มันจะผุดขึ้นมาครั้งหนึ่งๆ. ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จะสำ�คัญความ ข้อนี้ว่าอย่างไร; จะเป็นไปได้ไหม ที่เต่าตาบอด ร้อยปีจึง จะผุดขึ้นสักครั้งหนึ่ง จะพึงยื่นคอเข้าไปในรูซึ่งมีอยู่เพียง รูเดียวในแอกนั้น ? “ข้อนี้ยากที่จะเป็นไปได้ พระเจ้าข้า ! ที่เต่าตาบอดนั้น ร้อยปีผดุ ขึน้ เพียงครัง้ เดียว จะพึงยืน่ คอเข้าไปในรูซง่ึ มีอยูเ่ พียงรูเดียว ในแอกนั้น”.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
5
ภิกษุทั้งหลาย ! ยากทีจ่ ะเป็นไปได้ ฉันเดียวกัน ที่ใครๆ จะพึงได้ความเป็นมนุษย์; ยากที่จะเป็นไปได้ ฉันเดียวกัน ทีต่ ถาคตผูอ้ รหันตสัมมาสัมพุทธะจะเกิดขึน้ ในโลก; ยากที่จะเป็นไปได้ ฉันเดียวกัน ที่ธรรมวินัยอัน ตถาคตประกาศแล้ว จะรุ่งเรืองไปทั่วโลก. ภิกษุทั้งหลาย ! แต่ว่า บัดนี้ ความเป็นมนุษย์ ก็ได้แล้ว; ตถาคตผูอ้ รหันตสัมมาสัมพุทธะก็บงั เกิดขึน้ ในโลกแล้ว; และธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ก็รุ่งเรืองไปทั่วโลกแล้ว. ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึงกระทำ�โยคกรรม เพื่อให้รู้ว่า “นี้ ทุกข์; นี้ เหตุให้เกิดทุกข์; นี้ ความดับแห่งทุกข์; นี้ หนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์” ดังนี้ เถิด. มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๔.
6 พุ ท ธ ว จ น
๓ วิญญาณ คือ เหตุแห่งการเกิดขึ้นของสัตว์ อานนท์ ! ก็คำ�นี้ว่า “นามรูปมี เพราะปัจจัย คือวิญญาณ” ดังนี้, เช่นนี้แล เป็นคำ�ที่เรากล่าวแล้ว. อานนท์ ! ความข้อนี้ เธอต้องทราบอธิบาย โดยปริยายดังต่อไปนี้ ที่ตรงกับหัวข้อที่เรากล่าวไว้แล้วว่า “นามรูปมี เพราะปัจจัยคือวิญญาณ”. อานนท์ ! ถ้าหากว่าวิญญาณจักไม่กา้ วลงในท้อง แห่งมารดาแล้วไซร้; นามรูปจักปรุงตัวขึ้นมาในท้องแห่ง มารดาได้ไหม ? “ข้อนั้น หามิได้พระเจ้าข้า !”.
อานนท์ ! ถ้ า หากว่ า วิ ญ ญาณก้ า วลงในท้ อ ง แห่งมารดาแล้ว จักสลายลงเสียแล้วไซร้; นามรูปจัก บังเกิดขึ้น เพื่อความเป็นอย่างนี้ได้ไหม ? “ข้อนั้น หามิได้พระเจ้าข้า !”.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
7
อานนท์ ! ถ้าหากว่าวิญญาณของเด็กอ่อน ที่ เป็นชายก็ตาม เป็นหญิงก็ตาม จักขาดลงเสียแล้วไซร้; นามรูป จักถึงซึ่งความเจริญ ความงอกงาม ความไพบูลย์ บ้างหรือ ? “ข้อนั้น หามิได้พระเจ้าข้า !”.
อานนท์ ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้, นั่นแหละ คื อ เหตุ , นั่ น แหละคื อ นิ ท าน, นั่ น แหละคื อ สมุ ทั ย , นั่นแหละคือปัจจัย ของนามรูป; นั้นคือ วิญญาณ. อานนท์ ! ก็คำ�นี้ว่า “วิญญาณมี เพราะปัจจัย คือนามรูป” ดังนี้, เช่นนี้แล เป็นคำ�ที่เรากล่าวแล้ว. อานนท์ ! ความข้อนี้ เธอต้องทราบอธิบาย โดยปริยายดังต่อไปนี้ที่ตรงกับหัวข้อที่เรากล่าวไว้แล้วว่า “วิญญาณมี เพราะปัจจัยคือนามรูป”. อานนท์ ! ถ้าหากว่าวิญญาณ จักไม่ได้มีที่ตั้ง ที่อาศัยในนามรูป แล้วไซร้; ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งทุกข์ คือ ชาติ ชรา มรณะ ต่อไป จะมีขึ้นมาให้เห็นได้ไหม ? “ข้อนั้น หามิได้พระเจ้าข้า !”.
8 พุ ท ธ ว จ น
อานนท์ ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้, นั่นแหละ คือเหตุ, นัน่ แหละคือนิทาน, นัน่ แหละคือสมุทยั , นัน่ แหละ คือปัจจัยของวิญญาณ; นั่นคือ นามรูป. อานนท์ ! ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลก จึงเกิดบ้าง จึงแก่บ้าง จึงตายบ้าง จึงจุติบ้าง จึงอุบัติบ้าง : คลองแห่งการเรียก (อธิวจน) ก็มีเพียงเท่านี้, คลองแห่งการพูดจา (นิรุตฺติ) ก็มีเพียงเท่านี้, คลองแห่งการบัญญัติ (ปญฺตฺต)ิ ก็มเี พียงเท่านี,้ เรื่องที่จะต้องรู้ด้วยปัญญา (ปญฺาวจร) ก็มีเพียงเท่านี้, ความเวียนว่ายในวัฏฏะ ก็มีเพียงเท่านี้ : นามรูปพร้อมทั้งวิญญาณตั้งอยู่ เพื่อการบัญญัติซึ่งความเป็นอย่างนี้ (ของนามรูปกับวิญญาณ นั่นเอง). มหา. ที. ๑๐/๖๗/๕๘.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
9
๔ หลักปฏิบัติต่อทิศทั้ง ๖ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ในอริยวินยั มีการนอบน้อม ทิ ศ ทั้ง หกอย่ า งไรพระเจ้ า ข้ า ! พระองค์ จ งทรงแสดงธรรม ที่เป็นการนอบน้อมทิศทั้งหกในอริยวินัยเถิด”.
คหบดีบุตร ! พึงทราบว่า ทิศทั้งหกเหล่านี้ มีอยู่ คือ :พึงทราบว่า มารดาบิดา เป็นปุรตั ถิมทิศ (ทิศเบือ้ งหน้า), พึงทราบว่า อาจารย์ เป็นทักขิณทิศ (ทิศเบือ้ งขวา), พึงทราบว่า บุตรภรรยา เป็นปัจฉิมทิศ (ทิศบือ้ งหลัง), พึงทราบว่า มิตรสหาย เป็นอุตตรทิศ (ทิศเบือ้ งซ้าย), พึงทราบว่า ทาสกรรมกร เป็นเหฏฐิมทิศ (ทิศเบือ้ งต่�ำ ), พึงทราบว่า สมณพราหมณ์ เป็นอุปริมทิศ (ทิศเบือ้ งบน).
10 พุ ท ธ ว จ น
หน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อทิศเบื้องหน้า คหบดีบุตร ! ทิศเบือ้ งหน้า คือ มารดาบิดา อันบุตรพึงปฏิบัติต่อโดยฐานะ ๕ ประการ คือ :(๑) ท่านเลี้ยงเราแล้ว เราจักเลี้ยงท่าน (๒) เราจักทำ�กิจของท่าน (๓) เราจักดำ�รงวงศ์สกุล (๔) เราจักปฏิบัติตนเป็นทายาท (๕) เมื่ อ ท่ า นทำ � กาละล่ ว งลั บ ไปแล้ ว เราจั ก กระทำ�ทักษิณาอุทิศท่าน คหบดีบุตร ! ทิศเบื้องหน้า คือ มารดาบิดา อั น บุ ต รปฏิ บั ติ ต่ อ โดยฐานะ ๕ ประการ เหล่ า นี้ แ ล้ ว ย่อมอนุเคราะห์บุตรโดยฐานะ ๕ ประการ คือ :(๑) ห้ามเสียจากบาป (๒) ให้ตั้งอยู่ในความดี (๓) ให้ศึกษาศิลปะ (๔) ให้มีคู่ครองที่สมควร (๕) มอบมรดกให้ตามเวลา เมื่อเป็นดังนี้ ทิศเบื้องหน้านั้น เป็นอันว่ากุลบุตรนั้น ปิดกั้นแล้ว เป็นทิศเกษม ไม่มีภัยเกิดขึ้น.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
11
หน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อทิศเบื้องขวา คหบดีบุตร ! ทิ ศ เบื้ อ งขวา คื อ อาจารย์ อันศิษย์พึงปฏิบัติต่อโดยฐานะ ๕ ประการ คือ :(๑) ด้วยการลุกขึ้นยืนรับ (๒) ด้วยการเข้าไปยืนคอยรับใช้ (๓) ด้วยการเชื่อฟังอย่างยิ่ง (๔) ด้วยการปรนนิบัติ (๕) ด้วยการศึกษาศิลปวิทยาโดยเคารพ คหบดีบุตร ! ทิ ศ เบื้ อ งขวา คื อ อาจารย์ อั น ศิ ษ ย์ ป ฏิ บั ติ ต่ อ โดยฐานะ ๕ ประการ เหล่ า นี้ แ ล้ ว ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์โดยฐานะ ๕ ประการ คือ :(๑) แนะนำ�ดี (๒) ให้ศึกษาดี (๓) บอกศิลปวิทยาสิ้นเชิง (๔) ทำ�ให้เป็นที่รู้จักในมิตรสหาย (๕) ทำ�การคุ้มครองให้ในทิศทั้งปวง เมื่ อ เป็ น ดั ง นี้ ทิ ศ เบื้ อ งขวานั้ น เป็ น อั น ว่ า กุ ล บุ ต รนั้ น ปิดกั้นแล้ว เป็นทิศเกษม ไม่มีภัยเกิดขึ้น.
12 พุ ท ธ ว จ น
หน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อทิศเบื้องหลัง คหบดีบุตร ! ทิ ศ เบื้ อ งหลั ง คื อ ภรรยา อันสามีพึงปฏิบัติต่อโดยฐานะ ๕ ประการ คือ :(๑) ด้วยการยกย่อง (๒) ด้วยการไม่ดูหมิ่น (๓) ด้วยการไม่ประพฤตินอกใจ (๔) ด้วยการมอบความเป็นใหญ่ในหน้าที่ให้ (๕) ด้วยการให้เครื่องประดับ คหบดีบุตร ! ทิ ศ เบื้ อ งหลั ง คื อ ภรรยา อั น สามี ป ฏิ บั ติ ต่ อ โดยฐานะ ๕ ประการ เหล่ า นี้ แ ล้ ว ย่อมอนุเคราะห์สามีโดยฐานะ ๕ ประการ คือ :(๑) จัดแจงการงานดี (๒) สงเคราะห์คนข้างเคียงดี (๓) ไม่ประพฤตินอกใจ (๔) ตามรักษาทรัพย์ที่มีอยู่ (๕) ขยันขันแข็งในการงานทั้งปวง เมื่อเป็นดังนี้ ทิศเบื้องหลังนั้น เป็นอันว่ากุลบุตรนั้น ปิดกั้นแล้ว เป็นทิศเกษม ไม่มีภัยเกิดขึ้น.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
13
หน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อทิศเบื้องซ้าย คหบดีบุตร ! ทิศเบื้องซ้าย คือ มิตรสหาย อันกุลบุตรพึงปฏิบัติต่อโดยฐานะ ๕ ประการ คือ :(๑) ด้วยการให้ปัน (๒) ด้วยการพูดจาไพเราะ (๓) ด้วยการประพฤติประโยชน์ (๔) ด้วยการวางตนเสมอกัน (๕) ด้วยการไม่กล่าวคำ�อันเป็นเครือ่ งให้แตกกัน คหบดีบุตร ! ทิศเบื้องซ้าย คือ มิตรสหาย อันกุลบุตรปฏิบัติต่อโดยฐานะ ๕ ประการ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรโดยฐานะ ๕ ประการ คือ :(๑) รักษามิตรผู้ประมาทแล้ว (๒) รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว (๓) เป็นที่พึ่งแก่มิตรเมื่อมีภัย (๔) ไม่ทอดทิ้งในยามมีอันตราย (๕) นับถือสมาชิกในวงศ์ของมิตร เมื่อเป็นดังนี้ ทิศเบื้องซ้ายนั้น เป็นอันว่ากุลบุตรนั้น ปิดกั้นแล้ว เป็นทิศเกษม ไม่มีภัยเกิดขึ้น.
14 พุ ท ธ ว จ น
หน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อทิศเบื้องต่ำ� คหบดีบุตร ! ทิศเบื้องต่ำ� คือ ทาสกรรมกร อันนายพึงปฏิบัติต่อโดยฐานะ ๕ ประการ คือ :(๑) ด้วยให้ทำ�การงานตามกำ�ลัง (๒) ด้วยการให้อาหารและรางวัล (๓) ด้วยการรักษาพยาบาลยามเจ็บไข้ (๔) ด้วยการแบ่งของมีรสประหลาดให้ (๕) ด้วยการปล่อยให้อิสระตามสมัย คหบดีบุตร ! ทิศเบื้องต่ำ� คือ ทาสกรรมกร อั น นายปฏิ บั ติ ต่ อ โดยฐานะ ๕ ประการ เหล่ า นี้ แ ล้ ว ย่อมอนุเคราะห์นายโดยฐานะ ๕ ประการ คือ :(๑) เป็นผู้ลุกขึ้นทำ�งานก่อนนาย (๒) เลิกงานทีหลังนาย (๓) ถือเอาแต่ของที่นายให้ (๔) กระทำ�การงานให้ดีที่สุด (๕) นำ�เกียรติคุณของนายไปร่ำ�ลือ เมื่ อ เป็ น ดั ง นี้ ทิ ศ เบื้ อ งต่ำ � นั้ น เป็ น อั น ว่ า กุ ล บุ ต รนั้ น ปิดกั้นแล้ว เป็นทิศเกษม ไม่มีภัยเกิดขึ้น.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
15
หน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อทิศเบื้องบน คหบดีบุตร ! ทิศเบือ้ งบน คือ สมณพราหมณ์ ์ อันกุลบุตรพึงปฏิบัติต่อโดยฐานะ ๕ ประการ คือ :(๑) ด้วยเมตตากายกรรม (๒) ด้วยเมตตาวจีกรรม (๓) ด้วยเมตตามโนกรรม (๔) ด้วยการไม่ปิดประตู (คือ ยินดีต้อนรับ) (๕) ด้วยการคอยถวายอามิสทาน คหบดีบุตร ! ทิศเบือ้ งบน คือ สมณพราหมณ์ อันกุลบุตรปฏิบัติต่อโดยฐานะ ๕ ประการ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรโดยฐานะ ๖ ประการ คือ :(๑) ห้ามเสียจากบาป (๒) ให้ตั้งอยู่ในความดี (๓) อนุเคราะห์ด้วยใจอันงดงาม (๔) ให้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยฟัง (๕) ทำ�สิ่งที่ได้ฟังแล้วให้แจ่มแจ้งถึงที่สุด (๖) บอกทางสวรรค์ให้
16 พุ ท ธ ว จ น
เมื่ อ เป็ น ดั ง นี้ ทิ ศ เบื้ อ งบนนั้ น เป็ น อั น ว่ า กุ ล บุ ต รนั้ น ปิดกั้นแล้วเป็นทิศเกษม ไม่มีภัยเกิดขึ้น. ปา. ที. ๑๑/๑๙๕-๒๐๖/๑๗๔-๒๐๕.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
17
๕ หลักในการใช้จ่ายทรัพย์ คหบดี ! อริ ย สาวกนั้ น ใช้ โ ภคทรั พ ย์ ที่ ต น หาได้มาด้วยความเพียรเป็นเครือ่ งลุกขึน้ รวบรวมมาด้วย กำ�ลังแขน มีตัวชุ่มด้วยเหงื่อ เป็นโภคทรัพย์ประกอบ ด้วยธรรม ได้มาโดยธรรม เพื่อกระทำ�กรรมในหน้าที่ ๔ ประการ. ๔ ประการ อย่างไรเล่า ? ๔ ประการ ในกรณีนี้ คือ :๑. อริยสาวกนั้น ใช้โภคทรัพย์อันตนหาได้มา โดยชอบธรรม (ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น) ในการเลี้ยงตน ให้ เป็นสุข อิ่มหนำ� บริหารตนให้อยู่เป็นสุขโดยถูกต้อง, ในการเลี้ยงมารดาและบิดาให้เป็นสุข อิ่มหนำ� บริหาร ท่านทั้งสองให้อยู่เป็นสุขโดยถูกต้อง, ในการเลี้ยงบุตร ภรรยา ทาสและกรรมกรชายหญิง ให้เป็นสุข อิ่มหนำ� บริหารให้อยู่กันอย่างเป็นสุขโดยถูกต้อง, ในการเลี้ยง มิตรอำ�มาตย์ให้เป็นสุข อิ่มหนำ� บริหารให้อยู่เป็นสุข
18 พุ ท ธ ว จ น
โดยถู ก ต้ อ ง นี้ เ ป็ น การบริ โ ภคทรั พ ย์ ฐานที่ ๑ อั น อริยสาวกนั้นถึงแล้ว บรรลุแล้ว บริโภคแล้วโดยชอบ ด้วยเหตุผล (อายตนโส). คหบดี ! ข้ออื่นยังมีอีก : ๒. อริยสาวกนั้น ใช้โภคทรัพย์อันตนหาได้มา โดยชอบธรรม (ดั ง ที่ ก ล่ า วแล้ ว ข้ า งต้ น ) ในการปิ ด กั้ น อันตรายทั้งหลาย ทำ�ตนให้สวัสดีจากอันตรายทั้งหลาย ทีเ่ กิดจากไฟ จากน้�ำ จากพระราชา จากโจร หรือจากทายาท ที่ไม่เป็นที่รักนั้นๆ นี้เป็นการบริโภคทรัพย์ ฐานที่ ๒ อันอริยสาวกนั้นถึงแล้ว บรรลุแล้ว บริโภคแล้วโดยชอบ ด้วยเหตุผล. คหบดี ! ข้ออื่นยังมีอีก : ๓. อริยสาวกนั้น ใช้โภคทรัพย์อันตนหาได้มา โดยชอบธรรม (ดังทีก่ ล่าวแล้วข้างต้น) ในการกระทำ�พลีกรรม ๕ ประการ คือ สงเคราะห์ญาติ (ญาติพลี) สงเคราะห์แขก (อติถพิ ลี) สงเคราะห์ผลู้ ว่ งลับไปแล้ว (ปุพพเปตพลี) ช่วยชาติ (ราชพลี) บูชาเทวดา (เทวตาพลี) นี้เป็นการบริโภคทรัพย์ ฐานที่ ๓ อันอริยสาวกนั้นถึงแล้ว บรรลุแล้ว บริโภคแล้ว โดยชอบด้วยเหตุผล. คหบดี ! ข้ออื่นยังมีอีก :
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
19
๔. อริยสาวกนั้น ใช้โภคทรัพย์อันตนหามาได้ โดยชอบธรรม (ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น) ในการตั้งไว้ซึ่ง ทักษิณา อุทิศแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้งดเว้นแล้ว จากความประมาทมัวเมา ผู้ตั้งมั่นอยู่ในขันติและโสรัจจะ ผู้ฝึกฝน ทำ�ความสงบ ทำ�ความดับเย็น แก่ตนเอง อันเป็น ทักษิณาทานที่มีผลเลิศในเบื้องบน เป็นฝ่ายดี มีสุข เป็นผลตอบแทน เป็นไปพร้อมเพื่อสวรรค์ นี้เป็นการ บริ โ ภคทรั พ ย์ ฐานที่ ๔ อั น อริ ย สาวกนั้ น ถึ ง แล้ ว บรรลุแล้ว บริโภคแล้วโดยชอบด้วยเหตุผล. คหบดี ! อริยสาวกนั้น ย่อมใช้โภคทรัพย์ที่ตน หาได้มาด้วยความเพียรเป็นเครื่องลุกขึ้น รวบรวมมาด้วย กำ�ลังแขน มีตวั ชุม่ ด้วยเหงือ่ เป็นโภคทรัพย์ประกอบด้วยธรรม ได้มาโดยธรรม เพื่อกระทำ�กรรมในหน้าที่ ๔ ประการ เหล่านี้. จตุกฺก. อํ. ๒๑/๘๕/๖๑.
20 พุ ท ธ ว จ น
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
21
๖ การตอบแทนคุณมารดาบิดาอย่างสูงสุด ภิกษุทง้ั หลาย ! เรากล่าวการกระทำ�ตอบแทน ไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้งสอง. ท่านทั้งสองนั้นคือใคร ? คือ ๑. มารดา ๒. บิดา ภิกษุทง้ั หลาย ! บุตรพึงประคับประคองมารดา ด้วยบ่าข้างหนึง่ พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึง่ เขามีอายุมชี วี ติ อยูต่ ลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบตั ทิ า่ นทัง้ สอง นัน้ ด้วยการอบกลิน่ การนวด การให้อาบน้�ำ และการดัด และท่านทัง้ สองนัน้ พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทัง้ สอง ของเขานั่นแหละ. ภิกษุท้งั หลาย ! การกระทำ�อย่างนั้น ยั ง ไม่ ชื่ อ ว่ า อั น บุ ต รทำ � แล้ ว หรื อ ทำ � ตอบแทนแล้ ว แก่มารดาบิดาเลย. ภิกษุทง้ั หลาย ! อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดา บิดาในราชสมบัต ิ อันเป็นอิสราธิปตั ย์ ในแผ่นดินใหญ่ อันมีรตนะ ๗ ประการ มากหลายเช่นนี้ การกระทำ�กิจ อย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำ�แล้ว หรือทำ�ตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดาเลย. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
22 พุ ท ธ ว จ น
เพราะมารดาบิ ด ามี อุ ป การะมาก บำ � รุ ง เลี้ ย ง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย. ส่วนบุตรคนใด ยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในสัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วย ศรัทธา).
ยั ง มารดาบิ ด าผู้ ทุ ศี ล ให้ ส มาทานตั้ ง มั่ น ใน สีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล). ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทาน ตั้งมั่นในจาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค). ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่น ในปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา). ภิกษุทง้ั หลาย ! ด้ ว ยเหตุ มี ป ระมาณเท่ า นี้ แ ล การกระทำ�อย่างนั้นย่อมชื่อว่า อันบุตรนั้นทำ�แล้ว และ ทำ�ตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา. ทุก. อํ. ๒๐/๗๘/๒๗๘.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
23
๗ ว่าด้วยความรัก ๔ แบบ
(๑) ความรักเกิดจากความรัก
ภิกษุทง้ั หลาย ! ในกรณี นี้ มี บุ ค คลซึ่ ง เป็ น ที่ ปรารถนารักใคร่พอใจของบุคคลคนหนึง่ , มีบคุ คลพวกอืน่ มาประพฤติกระทำ�ต่อบุคคลนัน้ ด้วยอาการทีน่ า่ ปรารถนา น่ารักใคร่น่าพอใจ; บุคคลโน้นก็จะเกิดความพอใจขึ้นมา อย่างนี้ว่า “บุคคลเหล่านั้นประพฤติกระทำ�ต่อบุคคล ที่เราปรารถนารักใคร่พอใจ ด้วยอาการที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่น่าพอใจ” ดังนี้; บุคคลนั้นชื่อว่า ย่อมทำ�ความรักให้เกิดขึ้นในบุคคลเหล่านั้น. ภิกษุทง้ั หลาย ! อย่างนี้แล เรียกว่า ความรักเกิดจากความรัก.
24 พุ ท ธ ว จ น
(๒) ความเกลียดเกิดจากความรัก
ภิกษุทง้ั หลาย ! ในกรณี นี้ มี บุ ค คลซึ่ ง เป็ น ที่ ปรารถนารักใคร่พอใจของบุคคลคนหนึง่ , มีบคุ คลพวกอืน่ มาประพฤติกระทำ�ต่อบุคคลนัน้ ด้วยอาการทีไ่ ม่นา่ ปรารถนา ไม่นา่ รักใคร่พอใจ; บุคคลโน้นก็จะเกิดความไม่พอใจขึน้ มา อย่างนี้ว่า “บุคคลเหล่านั้นประพฤติกระทำ�ต่อบุคคลที่ เราปรารถนารักใคร่พอใจ ด้วยอาการที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่ารักใคร่พอใจ” ดังนี้; บุคคลนั้นชื่อว่า ย่อมทำ�ความเกลียดให้เกิดขึน้ ในบุคคลเหล่านัน้ . ภิกษุทง้ั หลาย ! อย่างนี้แล เรียกว่า ความเกลียดเกิดจากความรัก.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
25
(๓) ความรักเกิดจากความเกลียด
ภิกษุทง้ั หลาย ! ในกรณีนี้ มีบุคคลซึ่งไม่เป็น ที่ปรารถนารักใคร่พอใจของบุคคลคนหนึ่ง, มีบุคคล พวกอื่นมาประพฤติกระทำ�ต่อบุคคลนั้น ด้วยอาการที่ ไม่น่าปรารถนาไม่น่ารักใคร่พอใจ; บุคคลโน้นก็จะเกิด ความพอใจขึ้นมาอย่างนี้ว่า “บุคคลเหล่านั้นประพฤติ กระทำ�ต่อบุคคลทีเ่ ราไม่ปรารถนารักใคร่พอใจ ด้วยอาการ ที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่ารักใคร่พอใจ” ดังนี้; บุคคลนั้นชื่อว่า ย่อมทำ�ความรักให้เกิดขึ้นในบุคคลเหล่านั้น. ภิกษุทง้ั หลาย ! อย่างนี้แล เรียกว่า ความรักเกิดจากความเกลียด.
26 พุ ท ธ ว จ น
(๔) ความเกลียดเกิดจากความเกลียด ภิกษุทง้ั หลาย ! ในกรณีนี้ มีบุคคลซึ่งไม่เป็น ที่ปรารถนารักใคร่พอใจของบุคคลคนหนึ่ง, มีบุคคล พวกอื่ น มาประพฤติ ก ระทำ � ต่ อ บุ ค คลนั้ น ด้ ว ยอาการ ที่ น่ า ปรารถนาน่ า รั ก ใคร่ น่ า พอใจ; บุ ค คลโน้ น ก็ จ ะ เกิ ด ความไม่ พ อใจขึ้ น มาอย่ า งนี้ ว่ า “บุ ค คลเหล่ า นั้ น ประพฤติกระทำ�ต่อบุคคลที่เราไม่ปรารถนารักใคร่พอใจ ด้วยอาการที่น่าปรารถนาน่ารักใคร่น่าพอใจ” ดังนี้; บุคคลนั้นชื่อว่า ย่อมทำ�ความเกลียดให้เกิดขึน้ ในบุคคลเหล่านัน้ . ภิกษุทง้ั หลาย ! อย่างนี้แล เรียกว่า ความเกลียดเกิดจากความเกลียด. จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๙๐-๒๙๑/๒๐๐.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
27
๘ ลักษณะของ “ฆราวาสชั้นเลิศ” คหบดี ! ในบรรดากามโภคี (ฆราวาส) เหล่านั้น กามโภคีผใู้ ด แสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม โดยไม่เครียดครัด (เกินไปจนทรมานตน) ด้วย, ครัน้ แสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม โดยไม่เครียดครัดแล้ว ทำ�ตนให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำ�ด้วย, แบ่งปันโภคทรัพย์บำ�เพ็ญบุญด้วย, ไม่กำ�หนัด ไม่มัวเมา ไม่ลุ่มหลง มีปกติเห็นโทษ มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดออก บริโภคโภคทรัพย์เหล่านั้นอยู่ด้วย; คหบดี ! กามโภคี ผู้ นี้ ควรสรรเสริ ญ โดย ฐานะทั้งสี่ คือ :ควรสรรเสริ ญ โดย ฐานะที่ ห นึ่ ง ในข้ อ ที่ เ ขา แสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม โดยไม่เครียดครัด, ควรสรรเสริ ญ โดย ฐานะที่ ส อง ในข้ อ ที่ เ ขา ทำ�ตนให้เป็นสุขให้อิ่มหนำ�, ควรสรรเสริ ญ โดย ฐานะที่ ส าม ในข้ อ ที่ เ ขา แบ่งปันโภคทรัพย์บำ�เพ็ญบุญ,
28 พุ ท ธ ว จ น
ควรสรรเสริ ญ โดย ฐานะที่ สี่ ในข้ อ ที่ เ ขา ไม่ก�ำ หนัด ไม่มวั เมา ไม่ลมุ่ หลง มีปกติเห็นโทษ มีปญ ั ญา เป็นเครื่องสลัดออก บริโภคโภคทรัพย์เหล่านั้น. คหบดี ! กามโภคีผู้นี้ควรสรรเสริญโดยฐานะ ทั้งสี่เหล่านี้. คหบดี ! กามโภคี จำ � พวกนี้ เป็ น กามโภคี ชั้นเลิศ ชั้นประเสริฐ ชั้นหัวหน้า ชั้นสูงสุด ชั้นบวร กว่ากามโภคีทั้งหลาย, เปรียบเสมือนนมสดเกิดจากแม่โค นมส้มเกิด จากนมสด เนยข้นเกิดจากนมส้ม เนยใสเกิดจากเนยข้น หัวเนยใสเกิดจากเนยใส; หัวเนยใสปรากฏว่าเลิศกว่า บรรดารสอันเกิดจากโคทั้งหลายเหล่านั้น, ข้อนีฉ้ นั ใด; กามโภคีจ�ำ พวกนี้ ก็ปรากฏว่าเลิศกว่า บรรดากามโภคีทั้งหลายเหล่านั้น ฉันนั้น แล. ทสก. อํ. ๒๔/๑๙๔/๙๑.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
29
๙ หลักการดำ�รงชีพ เพื่อประโยชน์สุขในวันนี้ พ๎ยัคฆปัชชะ ! ธรรม ๔ ประการ เหล่ า นี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่กุลบุตร ในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรม). ๔ ประการ อย่างไรเล่า ? ๔ ประการ คือ :(๑) ความขยันในอาชีพ (อุฏฐานสัมปทา) (๒) การรักษาทรัพย์ (อารักขสัมปทา) (๓) ความมีมิตรดี (กัลยาณมิตตตา) (๔) การดำ�รงชีวิตสม่ำ�เสมอ (สมชีวิตา)
ความขยันในอาชีพ พ๎ยคั ฆปัชชะ ! ความขยันในอาชีพ (อุฏฐานสัมปทา) เป็นอย่างไรเล่า ? พ๎ยคั ฆปัชชะ ! กุลบุตรในกรณีน้ี สำ�เร็จการเป็นอยู่ ด้วยการลุกขึน้ กระทำ�การงาน คือด้วยกสิกรรม หรือวานิชกรรม
30 พุ ท ธ ว จ น
โครักขกรรม อาชีพผูถ้ อื อาวุธ อาชีพราชบุรษุ หรือด้วย ศิลปะอย่างใดอย่างหนึง่ ในอาชีพนัน้ ๆ เขาเป็นผูเ้ ชีย่ วชาญ ไม่เกียจคร้าน ประกอบด้วยการสอดส่องในอุบายนั้นๆ สามารถกระทำ� สามารถจัดให้กระทำ�. พ๎ยัคฆปัชชะ ! นี้เรียกว่า ความขยันในอาชีพ.
การรักษาทรัพย์ พ๎ยัคฆปัชชะ ! การรักษาทรัพย์ (อารักขสัมปทา) เป็นอย่างไรเล่า ? พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุลบุตรในกรณีนี้, โภคทรัพย์ อันกุลบุตรหาได้มาด้วยความเพียร เป็นเครื่องลุกขึ้น รวบรวมมาด้ ว ยกำ � ลั ง แขน มี ตั ว ชุ่ ม ด้ ว ยเหงื่ อ เป็ น โภคทรัพย์ประกอบด้วยธรรม ได้มาโดยธรรม, เขารักษา คุ้มครองอย่างเต็มที่ ด้วยหวังว่า “อย่างไรเสียพระราชา จะไม่รบิ ทรัพย์ของเราไป โจรจะไม่ปล้นเอาไป ไฟจะไม่ไหม้ น้�ำ จะไม่พดั พาไป ทายาทอันไม่รกั ใคร่เรา จะไม่ยอ้ื แย่งเอาไป” ดังนี้. พ๎ยัคฆปัชชะ ! นี้เรียกว่า การรักษาทรัพย์.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
31
ความมีมิตรดี พ๎ยัคฆปัชชะ ! ความมีมิตรดี (กัลยาณมิตตตา) เป็นอย่างไรเล่า ? พ๎ ยั ค ฆปั ช ชะ ! กุ ล บุ ต รในกรณี น้ี อยู่อ าศั ย ในบ้านหรือนิคมใด, ถ้ามีบคุ คลใดๆ ในบ้านหรือนิคมนัน้ เป็นคหบดีหรือบุตรคหบดีกด็ ี เป็นคนหนุม่ ทีเ่ จริญด้วยศีล หรือเป็นคนแก่ที่เจริญด้วยศีลก็ดี ล้วนแต่ถึงพร้อมด้วย ศรัทธา ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยจาคะ ถึงพร้อม ด้ ว ยปั ญ ญา อยู่ แ ล้ ว ไซร้ , กุ ล บุ ต รนั้ น ก็ ดำ � รงตนร่ ว ม พูดจาร่วม สากัจฉาร่วม กับชนเหล่านั้น. เขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยศรัทธาโดย อนุรูป แก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา. เขาติ ด ตามศึ ก ษาความถึ ง พร้ อ มด้ ว ยศี ล โดย อนุรูป แก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยศีล. เขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยจาคะโดย อนุรูป แก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะ. เขาติดตามศึกษาความถึงพร้อมด้วยปัญญาโดย อนุรูป แก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา อยู่ในที่นั้นๆ. พ๎ยัคฆปัชชะ ! นี้เรียกว่า ความมีมิตรดี.
32 พุ ท ธ ว จ น
การดำ�รงชีวิตสม่ำ�เสมอ พ๎ยัคฆปัชชะ ! การดำ�รงชีวติ สม่�ำ เสมอ (สมชีวติ า) เป็นอย่างไรเล่า ? พ๎ ยั ค ฆปั ช ชะ ! กุ ล บุ ต รในกรณี นี้ รู้ จั ก ความ ได้มาแห่งโภคทรัพย์ รูจ้ กั ความสิน้ ไปแห่งโภคทรัพย์ แล้ว ดำ�รงชีวติ อยูอ่ ย่างสม่�ำ เสมอ ไม่ฟมุ่ เฟือยนัก ไม่ฝดื เคืองนัก โดยมีหลักว่า “รายได้ของเราจักท่วมรายจ่าย และรายจ่าย ของเราจักไม่ท่วมรายรับ ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้. พ๎ยัคฆปัชชะ ! เปรียบเหมือนคนถือตาชั่ง หรือ ลูกมือของเขา ยกตาชั่งขึ้นแล้ว ก็รู้ว่า “ยังขาดอยู่เท่านี้ หรือเกินไปแล้วเท่านี้” ดังนี้ฉันใด; กุลบุตรนี้ ก็ฉันนั้น : เขารู้จักความได้มาแห่งโภคทรัพย์ รู้จักความสิ้นไปแห่ง โภคทรัพย์ แล้วดำ�รงชีวติ อยูอ่ ย่างสม่�ำ เสมอ ไม่ฟมุ่ เฟือยนัก ไม่ฝดื เคืองนัก โดยมีหลักว่า “รายได้ของเราจักท่วมรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักไม่ทว่ มรายรับ ด้วยอาการอย่างนี”้ ดังนี้.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
33
พ๎ยัคฆปัชชะ ! ถ้ากุลบุตรนี ้ เป็นผูม้ รี ายได้นอ้ ย แต่ส�ำ เร็จการเป็นอยูอ่ ย่างฟุม่ เฟือยแล้วไซร้ ก็จะมีผกู้ ล่าวว่า กุลบุตรนี้ใช้จ่ายโภคทรัพย์ (อย่างสุรุ่ยสุร่าย) เหมือนคนกิน ผลมะเดื่อ ฉันใดก็ฉันนั้น. พ๎ยัคฆปัชชะ ! แต่ถ้ากุลบุตร เป็นผู้มีรายได้ มหาศาล แต่สำ�เร็จการเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นแล้วไซร้ ก็ จะมีผกู้ ล่าวว่า กุลบุตรนีจ้ กั ตายอดตายอยากอย่างคนอนาถา. พ๎ยัคฆปัชชะ ! เมือ่ ใด กุลบุตรนี้ รูจ้ กั ความได้มา แห่งโภคทรัพย์ รูจ้ กั ความสิน้ ไปแห่งโภคทรัพย์ แล้วดำ�รง ชีวติ อยูอ่ ย่างสม่�ำ เสมอ ไม่ฟมุ่ เฟือยนัก ไม่ฝดื เคืองนัก โดย มีหลักว่า “รายได้ของเราจักท่วมรายจ่าย และรายจ่ายของเรา จักไม่ท่วมรายรับ ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้; พ๎ ยั ค ฆปั ช ชะ ! นี้ เ ราเรี ย กว่ า การดำ � รงชี วิ ต สม่ำ�เสมอ. พ๎ยัคฆปัชชะ ! ธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล เป็นธรรม เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ของกุลบุตร ในทิฏฐธรรม. อฏฺก. อํ. ๒๓/๒๘๙-๒๙๓/๑๔๔.
34 พุ ท ธ ว จ น
๑๐ หลักการดำ�รงชีพ เพื่อประโยชน์สุขในวันหน้า พ๎ยัคฆปัชชะ ! ธรรม ๔ ประการเหล่านี้ เป็นไป เพือ่ ประโยชน์เกือ้ กูล เพือ่ ความสุขของกุลบุตร ในเบือ้ งหน้า (สัมปรายะ).
๔ ประการ อย่างไรเล่า ? ๔ ประการ คือ :(๑) ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา (สัทธาสัมปทา) (๒) ความถึงพร้อมด้วยศีล (สีลสัมปทา) (๓) ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค (จาคสัมปทา) (๔) ความถึงพร้อมด้วยปัญญา (ปัญญาสัมปทา) พ๎ยัคฆปัชชะ ! ความถึ ง พร้ อ มด้ ว ยศรั ท ธา (สัทธาสัมปทา) เป็นอย่างไรเล่า ? พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุ ล บุ ต รในกรณี นี้ เป็ น ผู้ มี ศรัทธา เชือ่ ในการตรัสรูข้ องตถาคตว่า “เพราะเหตุอย่างนีๆ้ พระผูม้ พี ระภาคเจ้านัน้ เป็นผูไ้ กลจากกิเลส เป็นผูต้ รัสรูช้ อบ ได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
35
เป็นผูไ้ ปแล้วด้วยดี เป็นผูร้ โู้ ลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผูส้ ามารถ ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอน ของเทวดาและมนุษย์ท้ังหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบาน ด้วยธรรม เป็นผูม้ คี วามจำ�เริญ จำ�แนกธรรมสัง่ สอนสัตว์” ดังนี.้ พ๎ยคั ฆปัชชะ ! นีเ้ รียกว่า ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา. พ๎ยัคฆปัชชะ ! ความถึงพร้อมด้วยศีล (สีลสัมปทา) เป็นอย่างไรเล่า ? พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุลบุตรในกรณีน ้ี เป็นผูเ้ ว้นขาด จากปาณาติบาต เป็นผูเ้ ว้นขาดจากอทินนาทาน เป็นผูเ้ ว้นขาด จากกาเมสุมจิ ฉาจาร เป็นผูเ้ ว้นขาดจากมุสาวาท เป็นผูเ้ ว้นขาด จากสุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน. พ๎ยคั ฆปัชชะ ! นีเ้ รียกว่า ความถึงพร้อมด้วยศีล. พ๎ยัคฆปัชชะ ! ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค (จาคสัมปทา) เป็นอย่างไรเล่า ? พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุลบุตรในกรณีน ้ี มีใจปราศจาก ความตระหนี่อันเป็นมลทิน อยู่ครองเรือน มีจาคะอัน ปล่อยอยู่เป็นประจำ� มีฝ่ามืออันชุ่มเป็นปกติ ยินดีแล้ว ในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีแล้วในการจำ�แนกทาน. พ๎ยัคฆปัชชะ ! นี้เรียกว่า ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค.
36 พุ ท ธ ว จ น
พ๎ยัคฆปัชชะ ! ความถึ ง พร้ อ มด้ ว ยปั ญ ญา (ปัญญาสัมปทา) เป็นอย่างไรเล่า ? พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุลบุตรในกรณีน้ี เป็นผูม้ ปี ญ ั ญา ประกอบด้วยปัญญาเครื่องให้ถึงสัจจะแห่งการเกิดดับ เป็นเครื่องไปจากข้าศึก เป็นเครื่องเจาะแทงกิเลส เป็น เครือ่ งถึงซึง่ ความสิน้ ไปแห่งทุกข์โดยชอบ. พ๎ยัคฆปัชชะ ! นี้เรียกว่า ความถึงพร้อมด้วยปัญญา. พ๎ยัคฆปัชชะ ! ธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล เป็นธรรม เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ของกุลบุตร ในเบื้องหน้า. อฏฺก. อํ. ๒๓/๒๘๙-๒๙๓/๑๔๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
37
๑๑ เหตุเสื่อมและเหตุเจริญแห่งทรัพย์ เหตุเสื่อมแห่งทรัพย์ ๔ ประการ พ๎ยัคฆปัชชะ ! โภคทรัพย์ท่เี กิดขึ้นโดยชอบ… ย่อมมีทางเสื่อม ๔ ประการ คือ :(๑) ความเป็นนักเลงหญิง (๒) ความเป็นนักเลงสุรา (๓) ความเป็นนักเลงการพนัน (๔) ความมีมิตรสหายเพื่อนฝูงเลวทราม พ๎ยัคฆปัชชะ ! เปรียบเหมือนทางน้�ำ เข้า ๔ ทาง ทางน้ำ�ออก ๔ ทาง ของบึงใหญ่มีอยู่, บุรุษปิดทางน้ำ�เข้า เหล่านั้นเสีย และเปิดทางน้ำ�ออกเหล่านั้นด้วย ทั้งฝนก็ ไม่ตกลงมาตามที่ควร. พ๎ยัคฆปัชชะ ! เมือ่ เป็นอย่างนัน้ ความเหือดแห้ง เท่านัน้ ทีห่ วังได้ส�ำ หรับบึงใหญ่นน้ั ความเต็มเปีย่ ม ไม่มีทาง ที่จะหวังได้ นี้ฉันใด;
38 พุ ท ธ ว จ น
พ๎ยัคฆปัชชะ ! ผลที่จะเกิดขึ้นก็ฉันนั้นสำ�หรับ โภคทรัพย์ที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีทางเสื่อม ๔ ประการ คือ :(๑) ความเป็นนักเลงหญิง (๒) ความเป็นนักเลงสุรา (๓) ความเป็นนักเลงการพนัน (๔) ความมีมิตรสหายเพื่อนฝูงเลวทราม.
เหตุเจริญแห่งทรัพย์ ๔ ประการ พ๎ยัคฆปัชชะ ! โภคทรัพย์ที่เกิดขึ้นโดยชอบ… ย่อมมีทางเจริญ ๔ ประการ คือ :(๑) ความไม่เป็นนักเลงหญิง (๒) ความไม่เป็นนักเลงสุรา (๓) ความไม่เป็นนักเลงการพนัน (๔) ความมีมิตรสหายเพื่อนฝูงที่ดีงาม
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
39
พ๎ยัคฆปัชชะ ! เปรียบเหมือนทางน้�ำ เข้า ๔ ทาง ทางน้ำ�ออก ๔ ทาง ของบึงใหญ่, บุรุษเปิดทางนํ้าเข้า เหล่านั้นด้วย และปิดทางน้ำ�ออกเหล่านั้นเสีย ทั้งฝนก็ ตกลงมาตามที่ควรด้วย. พ๎ยัคฆปัชชะ ! เมือ่ เป็นอย่างนัน้ ความเต็มเปีย่ ม เท่านัน้ ทีห่ วังได้ส�ำ หรับบึงใหญ่นน้ั ความเหือดแห้งเป็นอัน ไม่ต้องหวัง นี้ฉันใด; พ๎ยัคฆปัชชะ ! ผลที่จะเกิดขึ้นก็ฉันนั้นสำ�หรับ โภคทรัพย์ที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีทางเจริญ ๔ ประการ คือ :(๑) ความไม่เป็นนักเลงหญิง (๒) ความไม่เป็นนักเลงสุรา (๓) ความไม่เป็นนักเลงการพนัน (๔) ความมีมิตรสหายเพื่อนฝูงที่ดีงาม. อฏฺก. อํ. ๒๓/๒๘๙-๒๙๓/๑๔๔.
40 พุ ท ธ ว จ น
๑๒
อบายมุข ๖ (ทางเสื่อมแห่งทรัพย์ ๖ ทาง) คหบดีบุตร ! อริยสาวก ไม่เสพทางเสื่อม แห่งโภคทรัพย์ ๖ ทาง (อบายมุข ๖) คือ :(๑) การประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำ�เมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์, (๒) การประกอบเนื อ งๆ ซึ่ ง การเที่ ย วไป ในตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน เป็นทางเสื่อมแห่ง โภคทรัพย์, (๓) การเที่ ย วไปในที่ ชุ ม นุ ม แห่ ง ความเมา (สมชฺชาภิจรณ) เป็นทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์, (๔) การประกอบเนืองๆ ซึ่งการพนัน อันเป็น ที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์, (๕) การประกอบเนื อ งๆ ซึ่ ง การคบคนชั่ ว เป็นมิตร เป็นทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์, (๖) การประกอบเนืองๆ ซึ่งความเกียจคร้าน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
41
โทษของอบายมุขแต่ละข้อ คหบดีบุตร ! โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่ง การดืม่ น้�ำ เมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นทีต่ ง้ั แห่งความประมาท มี ๖ ประการ คือ :(๑) ความเสื่อมทรัพย์อันผู้ดื่มพึงเห็นเอง (๒) ก่อการทะเลาะวิวาท (๓) เป็นบ่อเกิดแห่งโรค (๔) เป็นเหตุเสียชื่อเสียง (๕) เป็นเหตุไม่รู้จักละอาย (๖) เป็นเหตุทอนกำ�ลังปัญญา คหบดีบุตร ! เหล่านี้แล คือ โทษ ๖ ประการ ในการประกอบเนืองๆ ซึง่ การดืม่ น้�ำ เมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท. คหบดีบุตร ! โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่ง การเที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน มี ๖ ประการ คือ :(๑) ผู้นั้นชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาตัว (๒) ผูน้ น้ั ชือ่ ว่า ไม่คมุ้ ครอง ไม่รกั ษาบุตรภรรยา
42 พุ ท ธ ว จ น
(๓) ผูน้ น้ั ชือ่ ว่า ไม่คมุ้ ครอง ไม่รกั ษาทรัพย์สมบัติ (๔) ผู้นั้นชื่อว่า เป็นที่ระแวงของคนอื่น (๕) คำ�พูดอันไม่เป็นจริงในทีน่ น้ ั ๆ ย่อมปรากฏในผูน้ น้ ั (๖) เหตุแห่งทุกข์เป็นอันมาก ย่อมแวดล้อมผูน้ น้ั คหบดีบุตร ! เหล่านี้แล คือ โทษ ๖ ประการ ในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการเที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน. คหบดีบตุ ร ! โทษในการเที่ยวไปในที่ชุมนุม แห่งความเมา มี ๖ ประการ คือ :(๑) รำ�ที่ไหน ไปที่นั่น (๒) ขับร้องที่ไหน ไปที่นั่น (๓) ประโคมที่ไหน ไปที่นั่น (๔) เสภาที่ไหน ไปที่นั่น (๕) เพลงที่ไหน ไปที่นั่น (๖) เถิดเทิงที่ไหน ไปที่นั่น คหบดีบุตร ! เหล่านี้แล คือ โทษ ๖ ประการ ในการเที่ยวไปในที่ชุมนุมแห่งความเมา.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
43
คหบดีบุตร ! โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่ง การพนัน อันเป็นทีต่ ง้ั แห่งความประมาท มี ๖ ประการ คือ :(๑) ผู้ชนะย่อมก่อเวร (๒) ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป (๓) ย่อมเสื่อมทรัพย์ในปัจจุบัน (๔) ถ้อยคำ�ของคนเล่นการพนัน ซึ่งไปพูดในที่ ประชุมฟังไม่ขึ้น (๕) ถูกมิตร อมาตย์หมิ่นประมาท (๖) ไม่มใี ครประสงค์จะแต่งงานด้วย เพราะเห็นว่า ชายนักเลงเล่นการพนัน ไม่สามารถจะเลี้ยงภรรยาได้ คหบดีบุตร ! เหล่านี้แล คือ โทษ ๖ ประการ ในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่ง ความประมาท. คหบดีบุตร ! โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่ง การคบคนชั่วเป็นมิตร มี ๖ ประการ คือ :(๑) นำ�ให้เป็นนักเลงการพนัน (๒) นำ�ให้เป็นนักเลงเจ้าชู้ (๓) นำ�ให้เป็นนักเลงเหล้า (๔) นำ�ให้เป็นคนลวงผู้อื่นด้วยของปลอม
44 พุ ท ธ ว จ น
(๕) นำ�ให้เป็นคนโกงเขาซึ่งหน้า (๖) นำ�ให้เป็นคนหัวไม้ คหบดีบุตร ! เหล่านี้แล คือ โทษ ๖ ประการ ในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการคบคนชั่วเป็นมิตร. คหบดีบุตร ! โทษในการประกอบเนืองๆ ซึ่ง ความเกียจคร้าน มี ๖ ประการ คือ :(๑) ชอบอ้างว่า หนาวนัก แล้วไม่ทำ�การงาน (๒) ชอบอ้างว่า ร้อนนัก แล้วไม่ทำ�การงาน (๓) ชอบอ้างว่า เวลาเย็นแล้ว แล้วไม่ท�ำ การงาน (๔) ชอบอ้างว่า ยังเช้าอยู่ แล้วไม่ทำ�การงาน (๕) ชอบอ้างว่า หิวนัก แล้วไม่ทำ�การงาน (๖) ชอบอ้างว่า กระหายนัก แล้วไม่ทำ�การงาน เมื่อเขามากไปด้วยการอ้างเลศ ผลัดผ่อนการงาน อยู่อย่างนี้ โภคทรัพย์ท่ยี ังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ถึงความสิ้นไป. คหบดีบุตร ! เหล่านี้แล คือ โทษ ๖ ประการ ในการประกอบเนืองๆ ซึ่งความเกียจคร้าน. ปา. ที. ๑๑/๑๙๖-๑๙๘/๑๗๘-๑๘๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
45
๑๓ การบริโภคกามคุณทัง้ ๕ อย่างไม่มโี ทษ ภิกษุทั้งหลาย ! กามคุณเหล่านี้มี ๕ อย่าง. ๕ อย่าง อย่างไรเล่า ? ๕ อย่าง คือ :รูปทีเ่ ห็นด้วยตา, เสียงทีฟ่ งั ด้วยหู, กลิน่ ทีด่ มด้วย จมูก, รสทีล่ ม้ิ ด้วยลิน้ และโผฏฐัพพะทีส่ มั ผัสด้วยผิวกาย อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะ น่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้ง แห่งความกำ�หนัด. ภิกษุทั้งหลาย ! กามคุณมี ๕ อย่าง เหล่านี้แล. ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด จะเป็นสมณะหรือ พราหมณ์ก็ตาม ติดอกติดใจ สยบอยู่ เมาหมกอยู่ ใน กามคุณ ๕ อย่างเหล่านี้แล้ว ไม่มองเห็นส่วนที่เป็นโทษ ไม่เป็นผู้รู้แจ่มแจ้งในอุบายเป็นเครื่องออกไปจากทุกข์ ทำ�การบริโภคกามคุณทั้ง ๕ นั้นอยู่; ชนเหล่านั้น อัน คนทัง้ หลายพึงเข้าใจเถิดว่า เป็นผูถ้ งึ ความพินาศย่อยยับ แล้วแต่มารผูม้ บี าปต้องการจะทำ�ตามอำ�เภอใจอย่างใด ดังนี้.
46 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบได้ดังเนื้อป่าที่ติดบ่วง นอนจมอยูใ่ นกองบ่วง ในลักษณะทีใ่ ครๆ พึงเข้าใจได้วา่ มันจะถึงซึง่ ความพินาศย่อยยับ เป็นไปตามความประสงค์ ของพรานทุกประการ, เมือ่ พรานมาถึงเข้า มันจะหนีไปไหน ไม่พ้นเลย ดังนี้, ฉันใดก็ฉันนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนชนเหล่าใด จะเป็นสมณะ หรือพราหมณ์ก็ตาม ไม่ติดใจ ไม่สยบอยู่ ไม่เมาหมกอยู่ ในกามคุณ ๕ เหล่านี้แล้ว มองเห็นส่วนที่เป็นโทษอยู่ เป็นผู้รู้แจ่มแจ้งในอุบายเป็นเครื่องออกไปจากทุกข์ บริโภคกามคุณทัง้ ๕ นัน้ อยู;่ ชนเหล่านัน้ อันคนทัง้ หลาย พึงเข้าใจได้อย่างนี้ว่า เป็นผู้ไม่ถึงความพินาศย่อยยับ ไปตามความประสงค์ของมารผูม้ บี าปแต่อย่างใด ดังนี.้ ภิกษุทั้งหลาย ! เปรี ย บเหมื อ นเนื้ อ ป่ า ตั ว ที่ ไม่ตดิ บ่วง แม้นอนจมอยูบ่ นกองบ่วง มันก็เป็นสัตว์ทใ่ี ครๆ พึงเข้าใจได้วา่ เป็นสัตว์ทไ่ี ม่ถงึ ความพินาศย่อยยับไปตาม ความประสงค์ของพรานแต่อย่างใด, เมื่อพรานมาถึงเข้า มันจะหลีกหนีไปได้ตามที่ต้องการ ดังนี้, ฉันใดก็ฉันนั้น.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
47
ภิกษุทั้งหลาย ! (อีกอย่างหนึ่ง) เปรียบเหมือน เนือ้ ป่า เทีย่ วไปในป่ากว้าง เดินอยูก่ ส็ ง่างาม ยืนอยูก่ ส็ ง่างาม หมอบอยูก่ ส็ ง่างาม นอนอยูก่ ส็ ง่างาม. เพราะเหตุไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุว่าเนื้อป่านั้นยังไม่มา สู่คลองแห่งจักษุของพราน, ข้อนี้ฉันใด; ภิกษุทั้งหลาย ! ภิ ก ษุ ก็ ฉั น นั้ น เหมื อ นกั น : สงัดแล้วจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงซึ่ง ปฐมฌาณ อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู.่ ภิกษุทง้ั หลาย ! ภิกษุน้ี เรากล่าวว่า ได้ท�ำ มาร ให้เป็นผูต้ าบอดไม่มรี อ่ งรอย กำ�จัดเสียแล้วซึง่ จักษุแห่งมาร ไปแล้วสู่ที่ซง่ึ มารผู้มีบาปมองไม่เห็น. (ต่อไปนี้ ได้ตรัสถึงการบรรลุ ทุติยฌาน-ตติยฌานจตุ ต ถฌาน-อากาสานั ญ จายตนะ-วิ ญ ญาณั ญ จายตนะอากิ ญ จั ญ ญายตนะ-เนวสั ญ ญานาสั ญ ญายตนะ โดยนั ย เดียวกันกับการบรรลุปฐมฌาน เป็นลำ�ดับไป, จนกระทั่งถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ โดยข้อความสืบต่อไปว่า :-)
48 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! ยิง่ ไปกว่านัน้ อีก : ภิกษุกา้ วล่วง เนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทัง้ ปวง เข้าถึงซึง่ สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู.่ อนึง่ เพราะเห็นแล้วด้วย ปัญญา อาสวะทั้งหลายของเธอก็สิ้นไปรอบ. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ได้ทำ�มาร ให้เป็นผูต้ าบอด ไม่มรี อ่ งรอย กำ�จัดเสียแล้วซึง่ จักษุแห่งมาร ไปแล้วสูท่ ซ่ี ง่ึ มารผูม้ บี าปมองไม่เห็น, ได้ขา้ มแล้วซึง่ ตัณหา ในโลก. ภิ ก ษุ นั้ น ยื น อยู่ ก็ ส ง่ า งาม เดิ น อยู่ ก็ ส ง่ า งาม นั่งอยู่ก็สง่างาม นอนอยู่ก็สง่างาม. เพราะเหตุไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุว่า ภิกษุนั้นไม่ได้ มาสู่คลองแห่งอำ�นาจของมารผู้มีบาป, ดังนี้แล. มู. ม. ๑๒/๓๓๑-๓๓๓/๓๒๗-๓๒๘.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
49
๑๔ หลักการพูด ภิกษุทั้งหลาย ! วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นวาจาทุพภาษิต เป็นวาจา ไม่มีโทษและวิญญูชนไม่ติเตียน. องค์ ๕ ประการ อย่างไรเล่า ? ๕ ประการ คือ :(๑) กล่าวแล้วควรแก่เวลา (กาเลน ภาสิตา โหติ), (๒) กล่าวแล้วตามสัจจ์จริง (สจฺจ ภาสิตา โหติ), (๓) กล่าวแล้วอย่างอ่อนหวาน (สณฺหา ภาสิตา โหติ), (๔) กล่าวแล้วอย่างประกอบด้วยประโยชน์ (อตฺถสญฺหิตา ภาสิตา โหติ), (๕) กล่าวแล้วด้วยเมตตาจิต (เมตตฺตจตฺเตน ภาสิตา โหติ). ภิกษุทั้งหลาย ! วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ เหล่านีแ้ ล เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นวาจาทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษและวิญญูชนไม่ติเตียน. ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๗๑/๑๙๘.
50 พุ ท ธ ว จ น
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
51
๑๕ ลักษณะการพูดของตถาคต ราชกุมาร ! ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันไม่จริง ไม่ แ ท้ ไม่ ป ระกอบด้ ว ยประโยชน์ และไม่ เ ป็ น ที่ รั ก ที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อม ไม่กล่าววาจานั้น. ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้ แต่ไม่ ประกอบด้วยประโยชน์และไม่เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อ่นื ตถาคตย่อม ไม่กล่าววาจานั้น. ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้ ประกอบ ด้วยประโยชน์ แต่ไม่เป็นทีร่ กั ทีพ่ งึ ใจของผูอ้ น่ื ตถาคตย่อม เลือกให้เหมาะกาล เพื่อกล่าววาจานั้น. ต ถาคตรู้ ชั ด ซึ่ ง วาจาใด อั น ไม่ จ ริ ง ไม่ แ ท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อม ไม่กล่าววาจานั้น. ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้ แต่ไม่ ประกอบด้วยประโยชน์ แต่ก็เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อม ไม่กล่าววาจานั้น.
52 พุ ท ธ ว จ น
ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้ ประกอบ ด้วยประโยชน์และเป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคต ย่อมเป็นผู้ รู้จักกาละที่เหมาะ เพื่อกล่าววาจานั้น. ม. ม. ๑๓/๙๑/๙๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
53
๑๖ ลักษณะการพูดของสัตบุรุษ ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็นที่รู้กันว่า เป็นสัตบุรุษ. ๔ ประการ อย่างไรเล่า ? ๔ ประการ คือ :(๑) ภิกษุทั้งหลาย ! สัตบุรุษในกรณีนี้ แม้มี ใครถามถึง ความไม่ดีของบุคคลอื่น ก็ไม่เปิดเผยให้ ปรากฏจะกล่าวทำ�ไมถึงเมื่อไม่ถูกใครถาม; ก็เมื่อถูก ใครถามถึงความไม่ดีของบุคคลอื่น ก็นำ�เอาปัญหาไป ทำ�ให้หลีกเลี้ยวลดหย่อนลง กล่าวความไม่ดีของผู้อื่น อย่างไม่พสิ ดารเต็มที.่ ภิกษุทง้ั หลาย ! ข้อนีพ้ งึ รูก้ นั เถิดว่า คนคนนี้ เป็น สัตบุรุษ. (๒) ภิกษุทั้งหลาย ! สัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ แม้ไม่ถูกใครถามถึง ความดีของบุคคลอื่น ก็ยัง นำ�มาเปิดเผยให้ปรากฏ จะต้องกล่าวทำ�ไมถึงเมื่อถูก ใครถาม; ก็เมื่อถูกใครถามถึงความดีของบุคคลอื่น ก็นำ�เอาปัญหาไปทำ�ให้ไม่หลีกเลี้ยวลดหย่อน กล่าว ความดีของผู้อื่นโดยพิสดารบริบูรณ์. ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น สัตบุรุษ.
54 พุ ท ธ ว จ น
(๓) ภิกษุทั้งหลาย ! สัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ แม้ไม่มีใครถามถึง ความไม่ดีของตน ก็ยังนำ�มา เปิดเผยให้ปรากฏ ทำ�ไมจะต้องกล่าวถึงเมือ่ ถูกถามเล่า; ก็เมือ่ ถูกใครถามถึงความไม่ดขี องตน ก็ไม่น�ำ เอาปัญหา ไปหาทางทำ�ให้ลดหย่อนบิดพลิ้ว แต่กล่าวความไม่ดี ของตนโดยพิสดารเต็มที.่ ภิกษุทง้ั หลาย ! ข้อนีพ้ งึ รูก้ นั เถิดว่า คนคนนี้ เป็น สัตบุรุษ. (๔) ภิกษุทั้งหลาย ! สัตบุรุษอย่างอื่นยังมีอีก คือ แม้มใี ครถามถึง ความดีของตน ก็ไม่เปิดเผยให้ปรากฏ ทำ�ไมจะต้องกล่าวถึงเมื่อไม่ถูกใครถามเล่า; ก็เมื่อถูก ใครถามถึงความดีของตน ก็นำ�เอาปัญหาไปกระทำ� ให้ลดหย่อนหลีกเลี้ยวเสีย กล่าวความดีของตนโดย ไม่พิสดารเต็มที่. ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น สัตบุรุษ. ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เหล่านี้แล เป็นที่รู้กันว่า เป็น สัตบุรุษ. จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๐๐/๗๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
55
๑๗ ลักษณะการพูดของอสัตบุรุษ ภิกษุทั้งหลาย ! บุ ค คลประกอบด้ ว ยธรรม ๔ ประการ เป็นที่รู้กันว่า เป็น อสัตบุรุษ. ๔ ประการ อย่างไรเล่า ? ๔ ประการ คือ :(๑) ภิกษุทั้งหลาย ! อสัตบุรุษในกรณีนี้ แม้ ไม่มใี ครถามถึง ความไม่ดขี องบุคคลอืน่ ก็น�ำ มาเปิดเผย ให้ปรากฏ ไม่ตอ้ งกล่าวถึงเมือ่ ถูกใครถาม; ก็เมือ่ ถูกใคร ถามถึง ความไม่ดีของบุคคลอื่น ก็นำ�เอาปัญหาไป ทำ�ให้ไม่มที างหลีกเลีย้ วลดหย่อน แล้วกล่าวความไม่ดี ของผู้อื่นอย่างเต็มที่โดยพิสดาร. ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้ พึงรู้กันเถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ. (๒) ภิกษุทั้งหลาย ! อสัตบุรษุ อย่างอืน่ ยังมีอกี คือ แม้ถกู ใครถามถึง ความดีของบุคคลอืน่ ก็ไม่เปิดเผย ให้ปรากฏ ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อไม่ถูกใครถาม; ก็เมื่อ ถูกใครถามถึงความดีของบุคคลอื่น ก็นำ�เอาปัญหา ไปทำ�ให้ลดหย่อนไขว้เขว แล้วกล่าวความดีของผู้อื่น อย่างไม่พสิ ดารเต็มที.่ ภิกษุทง้ั หลาย ! ข้อนีพ้ งึ รูก้ นั เถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ.
56 พุ ท ธ ว จ น
(๓) ภิกษุทั้งหลาย ! อสัตบุรษุ อย่างอืน่ ยังมีอกี คือ แม้ถูกใครถามถึง ความไม่ดีของตน ก็ปกปิด ไม่เปิดเผยให้ปรากฏ ไม่ตอ้ งกล่าวถึงเมือ่ ไม่ถกู ใครถาม; ก็เมื่อถูกใครถามถึงความไม่ดีของตน ก็นำ�เอาปัญหา ไปทำ�ให้ลดหย่อนไขว้เขว แล้วกล่าวความไม่ดีของตน อย่างไม่พสิ ดารเต็มที.่ ภิกษุทง้ั หลาย ! ข้อนีพ้ งึ รู้กนั เถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ. (๔) ภิกษุทั้งหลาย ! อสัตบุรษุ อย่างอืน่ ยังมีอกี คือ แม้ไม่มีใครถามถึง ความดีของตน ก็นำ�มาโอ้อวด เปิดเผย จะต้องกล่าวทำ�ไมถึงเมื่อถูกใครถาม; ก็เมื่อ ถูกใครถามถึงความดีของตน ก็นำ�เอาปัญหาไปทำ�ให้ ไม่ลดหย่อนหลีกเลีย้ ว กล่าวความดีของตนอย่างเต็มที่ โดยพิสดาร. ภิกษุทง้ั หลาย ! ข้อนีพ้ งึ รูก้ นั เถิดว่า คนคนนี้ เป็น อสัตบุรุษ. ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล เป็นที่รู้กันว่า เป็น อสัตบุรุษ. จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๐๐/๗๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
57
๑๘ อย่าหูเบา (๑) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) (๒) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำ�ตามๆ กันมา (ปรมฺปร) (๓) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) (๔) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีท่อี ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาย) (๕) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรกคาดคะเน (ตกฺกเหตุ) (๖) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะสันนิษฐาน (นยเหตุ)
58 พุ ท ธ ว จ น
(๗) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) (๘) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺินิชฺฌานกฺขนฺติ) (๙) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) (๑๐) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณ โน ครุ). ติก. อํ. ๒๐/๒๔๑-๒๔๘/๕๐๕.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
59
๑๙ เข้าใจธรรมเพียงบทเดียว ก็เพียงพอ คามณิ ! ... เพราะเหตุว่า ถึงแม้เขาจะเข้าใจธรรม ที่เราแสดงสักบทเดียว นั่นก็ยังจะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ชนทั้งหลายเหล่านั้น ตลอดกาลนาน. สฬา. สํ. ๑๘/๓๘๙/๖๐๕.
60 พุ ท ธ ว จ น
๒๐ ให้เป็นผู้หนักแน่น ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดิน (ปฐวี) เถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดินอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุม้ รุมจิตตัง้ อยู.่ ราหุล ! เปรียบเหมือนเมือ่ คนเขา ทิง้ ของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ทิง้ คูถบ้าง ทิง้ มูตรบ้าง ทิ้งน้ำ�ลายบ้าง หนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่รู้สึกอึดอัดระอารังเกียจ ด้วยสิ่งเหล่านั้น, นีฉ้ นั ใด; ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดินเถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยแผ่นดินอยู่, ผัสสะทั้งหลาย ที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุม จิตตั้งอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน. ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยน้�ำ (อาโป) เถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยน้ำ�อยู่, ผัสสะทั้งหลาย ที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุม จิตตั้งอยู่. ราหุล ! เปรียบเหมือนเมื่อคนเขาล้างของ สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ล้างคูถบ้าง ล้างมูตรบ้าง
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
61
น้�ำ ลายบ้าง หนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงในน้� ำ น้�ำ ก็ไม่รสู้ กึ อึดอัดระอารังเกียจ ด้วยสิ่งเหล่านั้น, นี้ฉันใด; ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยน้�ำ เถิด เมือ่ เธออบรมจิตให้เสมอ ด้วยน้ำ�อยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ อันเกิดขึน้ แล้ว จักไม่กลุม้ รุมจิตตัง้ อยู ่ ฉันนัน้ เหมือนกัน. ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยไฟ (เตโช) เถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยไฟอยู่, ผัสสะทั้งหลาย ที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุม จิตตัง้ อยู.่ ราหุล ! เปรียบเหมือนเมือ่ คนทิง้ ของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ทิ้งคูถบ้าง ทิ้งมูตรบ้าง น้ำ�ลายบ้าง หนอง บ้าง โลหิตบ้าง ลงไปให้มันไหม้ ไฟก็ไม่รู้สึกอึดอัดระอา รังเกียจ ด้วยสิง่ เหล่านัน้ , นีฉ้ นั ใด; ราหุล ! เธอจงอบรมจิต ให้เสมอด้วยไฟเถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยไฟอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน. ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยลม (วาโย) เถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยลมอยู่, ผัสสะทั้งหลาย ที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุม
62 พุ ท ธ ว จ น
จิตตั้งอยู่. ราหุล ! เปรียบเหมือนลมพัดผ่านไปในของ สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำ�ลายบ้าง หนองบ้าง โลหิตบ้าง ลมก็ไม่รู้สึกอึดอัดระอารังเกียจ ด้วยสิ่งเหล่านั้น, นี้ฉันใด; ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้ เสมอด้วยลมเถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วยลมอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน. ราหุล ! เธอจงอบรมจิตให้เสมอด้วยอากาศ เถิด เมือ่ เธออบรมจิตให้เสมอด้วยอากาศอยู,่ ผัสสะทัง้ หลาย ที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจอันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุม จิตตั้งอยู่. ราหุล ! เปรียบเหมือนอากาศ เป็นสิ่งมิได้ ตั้งอยู่เฉพาะในที่ไรๆ นี้ฉันใด; ราหุล ! เธอจงอบรมจิต ให้เสมอด้วยอากาศเถิด เมื่อเธออบรมจิตให้เสมอด้วย อากาศอยู่, ผัสสะทั้งหลายที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ อันเกิดขึ้นแล้ว จักไม่กลุ้มรุมจิตตั้งอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน. ม. ม. ๑๓/๑๓๘-๑๔๐/๑๔๐-๑๔๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
63
๒๑ ลาภสักการะและเสียงเยินยอ เป็นอันตรายแม้แต่พระอรหันต์ ภิกษุทั้งหลาย ! ลาภสักการะและเสียงเยินยอ เป็นอันตรายที่ทารุณ แสบเผ็ด หยาบคาย ต่อการบรรลุ พระนิพพานอันเป็นธรรมเกษมจากโยคะ ไม่มธี รรมอืน่ ยิง่ กว่า. ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าว “ลาภสักการะและ เสียงเยินยอ ว่าเป็นอันตราย แม้แก่ภิกษุผู้เป็นอรหันต์ สิ้นอาสวะแล้ว” ดังนี้. ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดังนี้, ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามขึ้นว่า “ลาภสักการะและเสียงเยินยอ เป็นอันตราย แก่ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว ชนิดไรเล่า พระเจ้าข้า ?” ดังนี้.
อานนท์ ! เราหาได้ ก ล่ า วลาภสั ก การะและ เสียงเยินยอ ว่าเป็นอันตรายต่อเจโตวิมตุ ติอนั ไม่กลับกำ�เริบ แล้วไม่. อานนท์ ! แต่เรากล่าวลาภสักการะและเสียง เยินยอ ว่าเป็นอันตรายต่อการอยูเ่ ป็นสุขในทิฏฐธรรมนี้ ซึ่งภิกษุผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในธรรมเครื่องสงบ ได้ลุถึงแล้ว.
64 พุ ท ธ ว จ น
อานนท์ ! ลาภสั ก การะและเสี ย งเยิ น ยอเป็ น อั น ตรายที่ ท ารุ ณ แสบเผ็ ด หยาบคายต่ อ การบรรลุ พระนิพพานอันเป็นธรรมเกษมจากโยคะ ไม่มธี รรมอืน่ ยิง่ กว่า ด้วยอาการอย่างนี้. อานนท์ ! เพราะฉะนัน้ ในเรือ่ งนีพวกเธอทั ้ ง้ หลาย พึงสำ�เหนียกใจไว้อย่างนี้ว่า “เราทั้งหลาย จักไม่เยื่อใยในลาภสักการะและ เสียงเยินยอที่เกิดขึ้น. อนึง่ ลาภสักการะและเสียงเยินยอทีเ่ กิดขึน้ แล้ว ต้องไม่มาห่อหุ้มอยู่ที่จิตของเรา” ดังนี้. อานนท์ ! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำ�เหนียกใจไว้ อย่างนี้แล. นิทาน. สํ. ๑๖/๒๘๐/๕๘๐.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
65
๒๒ ลักษณะของผู้มีสติและสัมปชัญญะ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเป็นผู้มีสติเป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้เห็นกาย ในกายอยูเ่ ป็นประจำ� มีความเพียรเผากิเลส มีสมั ปชัญญะ มีสติ กำ�จัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้; เป็ น ผู้ เ ห็ น เวทนาในเวทนาทั้ ง หลายอยู่ เ ป็ น ประจำ� ...; เป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ� ...; เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ� มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำ�จัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกออกเสียได้. ภิกษุทั้งหลาย ! อย่างนี้แล เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ.
66 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เป็ น ผู้ รู้ ตั ว รอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไปข้างหลัง, การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด, การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร, การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม, การถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะ, การไป การหยุด, การนั่ง การนอน, การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง. ภิกษุทั้งหลาย ! อย่างนี้แล เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ. สฬา. สํ. ๑๘/๒๖๐/๓๗๔-๓๘๑.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
67
๒๓ สิง่ ทีพ่ ระศาสดาถือว่าเป็นความอัศจรรย์ อานนท์ ! เพราะเหตุนน้ั ในเรือ่ งนี ้ เธอพึงจำ� สิง่ อันน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแต่ก่อนของตถาคตข้อนี้ไว้. อานนท์ ! ในกรณีนี้คือ :เวทนา เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคต แล้วจึงเกิดขึน้ แล้วจึงตัง้ อยู่ แล้วจึงดับไป สัญญา เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคต แล้วจึงเกิดขึน้ แล้วจึงตัง้ อยู่ แล้วจึงดับไป วิตก เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคต แล้วจึงเกิดขึน้ แล้วจึงตัง้ อยู่ แล้วจึงดับไป อานนท์ ! เธอจงทรงจำ�สิง่ อันน่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมาแต่กอ่ น ของตถาคตข้อนีแ้ ล. อุปริ. ม. ๑๔/๒๕๔/๓๗๙.
68 พุ ท ธ ว จ น
๒๔ จิตอธิษฐานการงาน อานนท์ ! ฐานะที่ตั้งแห่งอนุสสติ มีเท่าไร ? “มี ๕ อย่าง พระเจ้าข้า !”.
ดีละ ดีละ อานนท์ ! ถ้าอย่างนั้น เธอจงทรงจำ� ฐานะที่ตั้งแห่งอนุสสติที่ ๖ นี้ไว้ คือ ภิกษุในกรณีนี้ มีสติ ก้าวไป มีสติ ถอยกลับ มีสติ ยืนอยู่ มีสติ นั่งอยู่ มีสติ สำ�เร็จการนอนอยู่ มีสติ อธิษฐานการงาน อานนท์ ! นี้เป็นฐานะที่ตั้งแห่งอนุสสติ ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญกระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ. ฉกฺก. อํ. ๒๒/๓๖๓/๓๐๐.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
69
๒๕ การตั้งจิตก่อนนอน อานนท์ ! ถ้าเมื่อภิกษุนั้น ... จิตน้อมไปเพื่อ การนอน, เธอก็ นอนด้วยการตั้งใจว่า “บาปอกุศลธรรมทั้งหลาย กล่าวคือ อภิชฌา และโทมนัส จักไม่ไหลไปตามเราผู้นอนอยู่ ด้วยอาการ อย่างนี้” ดังนี้ : ในกรณีอย่างนี้ ภิกษุนั้น ชื่อว่า เป็นผู้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ในกรณีแห่งการนอนนั้น. อุปริ. ม. ๑๔/๒๓๘/๓๔๘.
70 พุ ท ธ ว จ น
๒๖ มืดมา...สว่างไป สว่างมา...ก็ยังคงสว่างไป มหาราช ! ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่าเป็นผู้มืด แล้วกลับสว่างต่อไป. มหาราช ! บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเกิด มาภายหลังในตระกูลอันต่ำ�ทราม คือในตระกูลจัณฑาล ตระกูลพราน ตระกูลจักสาน ตระกูลทำ�รถ หรือตระกูล เทหยากเยื่อ ซึ่งเป็นคนยากจน มีข้าวและน้ำ�น้อย เป็นอยู่ ฝืดเคือง มีอาหารและเครื่องนุ่งห่มหาได้โดยยาก เขาเป็น ผู้มีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู เตี้ยค่อม ขี้โรค ตาบอด ง่อย กระจอก มีตัวตะแคงข้าง ไม่ค่อยจะมีข้าว น้ำ� เครื่องนุ่งห่ม ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่ และประทีปโคมไฟ แม้กระนั้น เขาก็ประพฤติ สุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นเขาประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว ครั้นตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์. มหาราช ! บุรุษพึงขึ้นจากแผ่นดินสู่บัลลังก์ หรือพึงขึ้น
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
71
จากบั ล ลั ง ก์ สู่ ห ลั ง ม้ า หรื อ พึ ง ขึ้ น จากหลั ง ม้ า สู่ ค อช้ า ง หรือพึงขึ้นจากคอช้างสู่ปราสาท แม้ฉันใด มหาราช ! ตถาคตย่อมกล่าวว่า บุคคลนี้มีอุปไมยฉันนั้น. มหาราช ! อย่างนีแ้ ล บุคคลชือ่ ว่าเป็นผูม้ ดื แล้ว กลับสว่างต่อไป. มหาราช ! ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่าเป็นผู้สว่าง แล้วคงสว่างต่อไป มหาราช ! บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเกิด มาภายหลังในตระกูลสูง คือในสกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล หรือสกุลคหบดีมหาศาล อัน มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินพอตัว มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์พอตัว มีทรัพย์และข้าวเปลือกพอตัว เขามีรปู งาม น่าดู น่าเลือ่ มใส ประกอบด้วยความเกลีย้ งเกลา แห่งผิวพรรณอย่างยิง่ ร่�ำ รวยด้วยข้าว ด้วยน้�ำ เครือ่ งนุง่ ห่ม ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่ และประทีปโคมไฟ เขาย่อมประพฤติสุจริตด้วย กาย วาจา ใจ ครั้นเขาประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ แล้ว ครั้นตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์. มหาราช !
72 พุ ท ธ ว จ น
บุรุษพึงก้าวไปด้วยดีจากบัลลังก์ส่บู ัลลังก์ หรือพึงก้าวไป ด้ ว ยดี จ ากหลั ง ม้ า สู่ ห ลั ง ม้ า หรื อ พึ ง ก้ า วไปด้ ว ยดี จ าก คอช้ า งสู่ ค อช้ า ง หรื อ พึ ง ก้ า วไปด้ ว ยดี จ ากปราสาทสู่ ปราสาท แม้ฉันใด มหาราช ! ตถาคตย่อมกล่าวว่า บุคคลนี้มีอุปไมยฉันนั้น. มหาราช ! อย่างนี้แล บุคคลชื่อว่าเป็นผู้สว่าง แล้วคงสว่างต่อไป. สคา. สํ. ๑๕/๑๓๖-๑๓๘/๓๙๓-๓๙๗.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
73
๒๗ เหตุของความสามัคคีและความแตกแยก ภิกษุทั้งหลาย ! ในทิศใดพวกภิกษุ มีความ พร้อมเพรียงกัน มีความบันเทิงต่อกันและกัน ไม่ทะเลาะ วิวาทกัน เข้ากันได้สนิทเหมือนน้�ำ นมกับน้�ำ มองดูกนั ด้วย สายตาแห่งความรักอยู่; ภิกษุทั้งหลาย ! ทิศนั้น เป็น ที่ผาสุกแก่เรา แม้ต้องเดินไป (อย่างเหน็ดเหนื่อย) จะ ป่วยกล่าวไปไย ถึงการที่เพียงแต่นึกถึง. ในกรณีนี้ เรา เชื่อแน่แก่ใจว่า เป็นเพราะภิกษุเหล่านั้น ได้ละทิ้งธรรม ๓ อย่างเสียแล้ว และพากันมาถือกระทำ�ให้มากใน ธรรม ๓ อย่าง. ธรรม ๓ อย่าง อะไรบ้างเล่า ทีเ่ ธอละทิง้ เสียแล้ว ? ๓ อย่าง คือ :๑. กามวิตก ความตรึกในกาม ๒. พ๎ยาปาทวิตก ความตรึกในทางมุ่งร้าย ๓. วิ หิ ง สาวิ ต ก ความตรึ ก ที่ ก่ อ ให้ เ กิ ด ความ ลำ�บากทั้งแก่ตนและผู้อื่น ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้แล ที่พวกภิกษุเหล่านั้น ละทิ้งเสียแล้ว.
74 พุ ท ธ ว จ น
ก็ธรรม ๓ อย่าง อย่างไรเล่า ที่พวกภิกษุเหล่านั้น พากันมาถือ กระทำ�เพิ่มพูนให้มาก ? ๓ อย่าง คือ :๑. เนกขั ม มวิ ต ก ความตรึกในการหลีกออก จากความพัวพันในกาม ๒. อั พ๎ ย าปาทวิ ต ก ความตรึ ก ในการไม่ ทำ � ความมุ่งร้าย ๓. อวิ หิ ง สาวิ ต ก ความตรึ ก ในการไม่ ทำ � ตน และผู้อื่นให้ลำ�บาก ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้แล ที่พวกภิกษุเหล่านั้น พากันมาถือ กระทำ�เพิ่มพูนให้มาก. ภิกษุทั้งหลาย ! ในทิศใด พวกภิกษุ มีความ พร้ อ มเพรี ย งกั น มี ค วามบั น เทิ ง ต่ อ กั น และกั น ไม่ ทะเลาะวิวาทกัน เข้ากันและกันได้สนิทเหมือนน้ำ�นม กั บ น้ำ � มองดู กั น และกั น ด้ ว ยสายตาแห่ ง ความรั ก อยู่ ; ภิกษุทั้งหลาย ! ทิศนั้นเป็นที่ผาสุกแก่เรา แม้ต้องเดินไป (อย่างเหน็ดเหนือ่ ย) จะป่วยกล่าวไปไยถึงการทีเ่ พียงแต่นกึ ถึง.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
75
ในกรณีน้ี เราเชือ่ แน่แก่ใจว่า เป็นเพราะพวกภิกษุเหล่านัน้ ได้ละทิ้งธรรม ๓ อย่างเหล่าโน้นเสียแล้วและพากันมาถือ กระทำ�ให้มากในธรรม ๓ อย่างเหล่านี้แทน. ติก. อํ. ๒๐/๒๕๕-๓๖๕/๕๖๔.
76 พุ ท ธ ว จ น
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
77
๒๘ ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท เพราะอาศั ย ตั ณ หา (ความอยาก) จึ ง มี การ แสวงหา (ปริเยสนา); เพราะอาศัยการแสวงหา จึงมี การได้ (ลาโภ); เพราะอาศัยการได้ จึงมี ความปลงใจรัก (วินจิ ฉฺ โย); เพราะอาศัยความปลงใจรัก จึงมี ความกำ�หนัด ด้วยความพอใจ (ฉนฺทราโค); เพราะอาศัยความกำ�หนัดด้วยความพอใจ จึงมี ความสยบมัวเมา (อชฺโฌสานํ); เพราะอาศัยความสยบมัวเมา จึงมี ความจับอก จับใจ (ปริคฺคโห); เพราะอาศัยความจับอกจับใจ จึงมี ความตระหนี่ (มจฺฉริยิ )ํ ;
78 พุ ท ธ ว จ น
เพราะอาศั ย ความตระหนี่ จึ ง มี การหวงกั้ น (อารกฺโข); เพราะอาศัยการหวงกั้น จึงมี เรื่องราวอันเกิด จากการหวงกั้น (อารกฺขาธิกรณํ); กล่าวคือ การใช้อาวุธ ไม่มคี ม การใช้อาวุธมีคม การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวคำ�หยาบว่า “มึง ! มึง !” การพูดคำ�ส่อเสียด และการพูดเท็จทั้งหลาย : ธรรมอันเป็นบาปอกุศลเป็น อเนก ย่อมเกิดขึ้นพร้อม ด้วยอาการอย่างนี้. มหา. ที. ๑๐/๖๗-๗๒/๕๘-๕๙.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
79
๒๙ กฎธรรมชาติ อิมัส๎มิง สะติ อิทัง โหติ; เมื่อสิ่งนี้ “มี” สิ่งนี้ ย่อมมี อิมัสสุปปาทา อิทัง อุปปัชชะติ; เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมัส๎มิง อะสะติ อิทัง นะ โหติ; เมื่อสิ่งนี้ “ไม่มี” สิ่งนี้ ย่อมไม่มี อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ. เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป. นิทาน. สํ. ๑๖/๘๔/๑๕๔.
80 พุ ท ธ ว จ น
๓๐ เหตุแห่งการเบียดเบียน “ข้าแต่พระองค์ผนู้ ริ ทุกข์ ! อะไรเป็นเครือ่ งผูกพันเทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ทง้ั หลาย อันมีอยูเ่ ป็นหมูๆ่ (ซึง่ แต่ละหมู)่ ปรารถนาอยูว่ า่ เราจักเป็นผูไ้ ม่มเี วร ไม่มอี าชญา ไม่มขี า้ ศึก ไม่มี การเบียดเบียนแก่กนั และกัน แต่แล้วก็ไม่สามารถจักเป็นผูอ้ ยูอ่ ย่าง ผูไ้ ม่มเี วร ไม่มอี าชญา ไม่มขี า้ ศึก ไม่มเี บียดเบียนแก่กันและกันเล่า พระเจ้าข้า ?”. จอมเทพ ! ความอิ จ ฉา (อิสสา) และความ ตระหนี ่ (มัจฉริยะ) นัน่ แล เป็นเครือ่ งผูกพันเทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ทง้ั หลาย อันมีอยูเ่ ป็นหมูๆ่ (ซึง่ แต่ละหมู)่
ปรารถนาอยู่ว่า เราจักเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มี ข้าศึก ไม่มกี ารเบียดเบียนแก่กนั และกัน แต่แล้วก็ไม่สามารถ จักเป็นผูอ้ ยูอ่ ย่างผูไ้ ม่มเี วร ไม่มอี าชญา ไม่มีข้าศึก ไม่มีการ เบียดเบียนแก่กันและกันได้. “ข้ า แต่ พ ระองค์ ผู้ นิ ร ทุ ก ข์ ! ก็ความอิจฉาและความ ตระหนี่นั้น มีอะไรเป็นต้นเหตุ (นิทาน) มีอะไรเป็นเครื่องก่อขึ้น (สมุทยั ) มีอะไรเป็นเครือ่ งทำ�ให้เกิด (ชาติกะ) มีอะไรเป็นแดนเกิด (ปภวะ) ? เมื่ออะไรมีอยู่ ความอิจฉาและความตระหนี่จึงมี ? เมือ่ อะไรไม่มอี ยู่ ความอิจฉาและความตระหนีจ่ งึ ไม่มี พระเจ้าข้า ?”.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
81
จอมเทพ ! ความอิจฉาและความตระหนี่นั้น มีสง่ิ อันเป็นทีร่ กั และสิง่ อันไม่เป็นทีร่ กั (ปิยาปฺปยิ ) นัน่ แล เป็นต้นเหตุ ...ฯลฯ... เมื่อสิ่งเป็นที่รักและสิ่งไม่เป็นที่รัก ไม่มีอยู่ ความอิจฉาและความตระหนี่ก็ไม่มี. “ข้าแต่พระองค์ผ้นู ิรทุกข์ ! ก็ส่งิ เป็นที่รักและสิ่งไม่เป็น ที่รักนั้นเล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ ...ฯลฯ... ? เมื่ออะไรมีอยู่ สิ่งเป็น ที่รักและสิ่งไม่เป็นที่รักจึงมี ? เมื่ออะไรไม่มีอยู่ สิ่งเป็นที่รักและ สิ่งไม่เป็นที่รักจึงไม่มี พระเจ้าข้า ?”.
จอมเทพ ! สิ่งเป็นที่รักและสิ่งไม่เป็นที่รักนั้น มีฉันทะ (ความพอใจ) เป็นต้นเหตุ ...ฯลฯ... เมื่อฉันทะ ไม่มีอยู่ สิ่งเป็นที่รักและสิ่งไม่เป็นที่รักก็ไม่มี... มหา. ที. ๑๐/๓๑๐-๓๑๒/๒๕๕-๒๕๖.
82 พุ ท ธ ว จ น
๓๑ ความพอใจใด ความพอใจนั้น คือ เหตุเกิดแห่งทุกข์ “ทุกข์ใดๆ ที่เกิดขึ้นแล้วใน อดีต ทุกข์ทั้งหมดนั้น มีฉันทะ (ความพอใจ) เป็นมูล มีฉันทะเป็นเหตุ เพราะว่า ฉันทะเป็นมูลเหตุแห่งทุกข์; และทุกข์ใดๆ อันจะเกิดขึ้นใน อนาคต ทุกข์ทั้งหมดนั้น ก็มีฉันทะ (ความพอใจ) เป็นมูล มีฉันทะเป็นเหตุ เพราะว่า ฉันทะเป็นมูลเหตุแห่งทุกข์”. สฬา. สํ. ๑๘/๔๐๓/๖๒๗.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
83
๓๒ ธรรมอันเป็นไปเพื่อความเจริญไม่เสื่อม (อปริหานิยธรรม)
พราหมณ์ ! ถ้าธรรมทั้ง ๗ อย่างนั้น คงตั้งอยู่ ในพวกเจ้าวัชชี หรือเจ้าวัชชีจกั ตัง้ ตนอยูใ่ นธรรมทัง้ ๗ อย่าง เหล่านัน้ แล้ว, พราหมณ์ ! อันนัน้ ย่อมเป็นไปเพือ่ ความเจริญ อย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้. (ต่อไปนี้ เป็นตัวธรรมเจ็ดประการที่ตรัสแก่พระอานนท์ ซึ่งวัสสการพราหมณ์ก็นั่งฟังอยู่ด้วย)
(๑) อานนท์ ! พวกเจ้าวัชชีประชุมกันเนืองๆ ประชุมกันโดยมาก... (๒) อานนท์ ! พวกเจ้าวัชชีพร้อมเพรียงกัน ประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม และพร้อมเพรียงกัน ทำ�กิจที่พวกเจ้าวัชชี จะต้องทำ�... (๓) อานนท์ ! พวกเจ้ า วั ช ชี มิ ไ ด้ บั ญ ญั ติ ข้ อ ที่ มิ ไ ด้ บั ญ ญั ติ ไ ว้ มิ ไ ด้ ถ อนข้ อ ที่ บั ญ ญั ติ ไ ว้ แ ล้ ว , แต่ประพฤติอยู่ในวัชชีธรรมตามที่ได้บัญญัติไว้...
84 พุ ท ธ ว จ น
(๔) อานนท์ ! พวกเจ้าวัชชีสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ท่านทีเ่ ป็นประธานของเจ้าวัชชี ตัง้ ใจฟังคำ�สัง่ ของท่านผู้นั้น... (๕) อานนท์ ! พวกเจ้าวัชชีมิได้ลบหลู่ ดูถูก สตรี ที่เป็นเจ้าหญิง หรือกุมารีในสกุล... (๖) อานนท์ ! พวกเจ้าวัชชีสักการะ เคารพ นับถือ บูชา เจดีย์ทั้งภายในและภายนอก มิได้ปล่อย ละเลย ให้ทานที่เคยให้ ให้กิจที่เคยทำ�แก่เจดีย์เหล่านั้น และให้พลีกรรมที่ประกอบด้วยธรรม, เสื่อมเสียไป... (๗) อานนท์ ! พวกเจ้ า วั ช ชี เ ตรี ย มเครื่ อ ง ต้ อ นรั บ ไว้ พ ร้ อ ม เพื่ อ พระอรหั น ต์ ทั้ ง หลายว่ า “พระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังมิได้มา พึงมาสู่แว่นแคว้นนี้, ที่มาแล้วพึงอยู่สุขสำ�ราญ เถิด” ดังนี้... อานนท์ ! เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นความเจริญแก่ เจ้าวัชชีอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้. มหา. ที. ๑๐/๘๖-๙๐/๖๘-๖๙.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
85
๓๓ เหตุให้ศาสนาเจริญ ภิกษุทั้งหลาย ! มูลเหตุ ๔ ประการเหล่านี้ ย่อมทำ�ให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ ไม่เลอะเลือน จนเสื่อมสูญไป. ๔ ประการ อะไรบ้างเล่า ? ๔ ประการ คือ :(๑) ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุในธรรมวินยั นี้ เล่าเรียนสูตรอันถือกันมาถูก ด้วยบทพยัญชนะทีใ่ ช้กนั ถูก ความหมายแห่งบทพยัญชนะที่ใช้กันก็ถูก ย่อมมีนัยอัน ถูกต้องเช่นนั้น ภิกษุทั้งหลาย ! นี่เป็น มูลกรณีที่หนึ่ง ซึ่งทำ�ให้ พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป. (๒) ภิกษุทั้งหลาย ! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุ เป็นคนว่าง่าย ประกอบด้วยเหตุที่ทำ�ให้เป็นคนว่าง่าย อดทน ยอมรับคำ�สั่งสอนโดยความเคารพหนักแน่น ภิกษุทั้งหลาย ! นี่เป็น มูลกรณีที่สอง ซึ่งทำ�ให้ พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.
86 พุ ท ธ ว จ น
(๓) ภิกษุทั้งหลาย ! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุ เหล่าใด เป็นพหุสูต คล่องแคล่วในหลักพระพุทธวจน ทรงธรรม ทรงวินยั ทรงมาติกา (แม่บท) พวกภิกษุเหล่านัน้ เอาใจใส่ บอกสอน เนือ้ ความแห่งสูตรทัง้ หลายแก่คนอืน่ ๆ เมื่อท่านเหล่านั้นล่วงลับไป สูตรทั้งหลาย ก็ไม่ขาด ผู้เป็น มูลราก (อาจารย์) มีที่อาศัยสืบกันไป ภิกษุทั้งหลาย ! นี่เป็น มูลกรณีที่สาม ซึ่งทำ�ให้ พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป. (๔) ภิกษุทั้งหลาย ! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุ ผู้เถระ ไม่ทำ�การสะสมบริกขาร ไม่ประพฤติย่อหย่อน ในไตรสิกขา ไม่มจี ติ ตกต่�ำ ด้วยอำ�นาจแห่งนิวรณ์ มุง่ หน้า ไปในกิจแห่งวิเวกธรรม ย่อมปรารภความเพียร เพื่อถึง สิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำ�ให้แจ้ง สิง่ ทีย่ งั ไม่ท�ำ ให้แจ้ง พวกภิกษุทบ่ี วชในภายหลัง ได้เห็น พระเถระเหล่านั้น ทำ�แบบฉบับเช่นนั้นไว้ ก็ถือเอาเป็น แบบอย่าง, พวกภิกษุรนุ่ หลัง จึงเป็นพระทีไ่ ม่ท�ำ การสะสม บริกขาร ไม่ประพฤติยอ่ หย่อนในไตรสิกขา ไม่มจี ติ ตกต่�ำ
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
87
ด้วยอำ�นาจแห่งนิวรณ์ มุ่งหน้าไปในกิจแห่งวิเวกธรรม ย่อมปรารถความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุ สิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำ�ให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำ�ให้แจ้ง. ภิกษุทั้งหลาย ! นี่เป็น มูลกรณีที่สี่ ซึ่งทำ�ให้ พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป. ภิกษุทั้งหลาย ! มูลเหตุ ๔ ประการเหล่านี้แล ย่อมทำ�ให้พระสัทธรรมตัง้ อยูไ่ ด้ ไม่เลอะเลือนจนเสือ่ มสูญ ไปเลย. จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๙๘/๑๖๐.
88 พุ ท ธ ว จ น
๓๔ เหตุให้ศาสนาเสื่อม ภิกษุทั้งหลาย ! มูลเหตุ ๔ ประการเหล่านี้ ที่ทำ�ให้พระสัทธรรม เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป. ๔ ประการ อะไรบ้างเล่า ? ๔ ประการคือ :(๑) ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุ เล่าเรียนสูตร อันถือกันมาผิด ด้วยบทพยัญชนะที่ใช้กันผิด; เมื่อ บทและพยัญชนะใช้กันผิดแล้ว แม้ความหมายก็มีนัยอัน คลาดเคลื่อน. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เป็น มูลกรณีที่หนึ่ง ซึ่งทำ�ให้ พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป. (๒) ภิกษุทั้งหลาย ! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุ เป็นคนว่ายาก ประกอบด้วยเหตุที่ทำ�ให้เป็นคนว่ายาก ไม่อดทน ไม่ยอมรับคำ�ตักเตือนโดยความเคารพหนักแน่น. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เป็น มูลกรณีที่สอง ซึ่งทำ�ให้ พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
89
(๓) ภิกษุทั้งหลาย ! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุ เหล่าใด เป็นพหุสูต คล่องแคล่วในหลักพระพุทธวจน ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท) ภิกษุเหล่านั้น ไม่ ไ ด้ เ อาใจใส่ บ อกสอนใจความแห่ ง สู ต รทั้ ง หลาย แก่คนอื่นๆ เมื่อท่านเหล่านั้นล่วงลับไป สูตรทั้งหลาย ก็เลยขาดผู้เป็นมูลราก (อาจารย์) ไม่มีที่อาศัยสืบไป. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เป็น มูลกรณีที่สาม ซึ่งทำ�ให้ พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป. (๔) ภิกษุทั้งหลาย ! อีกอย่างหนึ่ง พวกภิกษุ ชั้นเถระ ทำ�การสะสมบริกขาร ประพฤติย่อหย่อนใน ไตรสิกขา มีจิตต่ำ�ด้วยอำ�นาจแห่งนิวรณ์ ไม่เหลียวแล ในกิจแห่งวิเวกธรรม ไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำ�ให้แจ้งในสิ่งที่ ยังไม่ท�ำ ให้แจ้ง ผูบ้ วชในภายหลังได้เห็นพวกเถระเหล่านัน้ ทำ�แบบแผนเช่นนั้นไว้ ก็ถือเอาไปเป็นแบบอย่าง จึงทำ�ให้ เป็นผู้ทำ�การสะสมบริกขารบ้าง ประพฤติย่อหย่อนใน ไตรสิกขา มีจิตต่ำ�ด้วยอำ�นาจแห่งนิวรณ์ ไม่เหลียวแล ในกิจแห่งวิเวกธรรม ไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่
90 พุ ท ธ ว จ น
ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำ�ให้แจ้งสิ่งที่ยัง ไม่ทำ�ให้แจ้ง ตามกันสืบไป. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เป็น มูลกรณีที่สี่ ซึ่งทำ�ให้ พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป. ภิกษุทั้งหลาย ! มูลเหตุ ๔ ประการเหล่านี้แล ที่ทำ�ให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป. จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๙๗/๑๖๐.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
91
๓๕ สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลาย !
สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง (อนิจฺจ). สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน (อธุว). สังขารทั้งหลาย เป็นสิง่ ทีห่ วังอะไรไม่ได้ (อนสฺสาสิก).
ภิกษุทง้ั หลาย ! เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะ เบือ่ หน่ายในสังขารทัง้ ปวง พอแล้วเพือ่ จะคลายกำ�หนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง. ภิกษุทง้ั หลาย ! ขุนเขาสิเนรุ โดยยาว ๘๔,๐๐๐ โยชน์ โดยกว้าง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หยั่งลงในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึน้ จากผิวพืน้ สมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ :*
ภิกษุทง้ั หลาย ! มี ส มั ย ซึ่ ง ล่ ว งไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี ที่ฝนไม่ตกเลย. เมือ่ ฝนไม่ตก (ตลอดเวลาเท่านี)้ ป่าใหญ่ๆ อันประกอบด้วย พี ช คาม ภู ต คาม ไม้ หยู ก ยาและหญ้ า ทั้ ง หลาย * ๑ โยขน์ = ๑๖ กิโลเมตร
92 พุ ท ธ ว จ น
ย่ อ มเฉา ย่ อ มเหี่ ย วแห้ ง มี อ ยู่ ไ ม่ ไ ด้ (นี้ ฉั น ใด) ; ภิกษุทั้งหลาย ! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น, สังขาร ทัง้ หลาย ไม่ยง่ั ยืน ฉันนัน้ , สังขารทัง้ หลาย เป็นสิง่ ทีห่ วัง อะไรไม่ได้ ฉันนัน้ . ภิกษุทง้ั หลาย ! เพียงเท่านีก้ พ็ อแล้ว เพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลาย กำ�หนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง. ภิกษุทั้งหลาย ! มี ส มั ย ซึ่ ง ในกาลบางครั้ ง บาง คราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่สอง ย่อมปรากฏ. เมือ่ ดวงอาทิตย์ดวงทีส่ องปรากฏ, แม่น�ำ้ น้อย หนองบึ ง ทั้ ง หมดก็ ง วดแห้ ง ไป ไม่ มี อ ยู่ (นี้ฉันใด); ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ! สั ง ขารทั้ ง หลาย ไม่ เ ที่ ย ง ฉั น นั้ น , สังขารทัง้ หลาย ไม่ยง่ั ยืนฉันนัน้ , สังขารทัง้ หลาย เป็นสิง่ ที่ หวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ! เพียงเท่านี้ ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อ จะคลายกำ�หนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง. ภิกษุทั้งหลาย ! มี ส มั ย ซึ่ ง ในกาลบางครั้ ง บาง คราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่สาม
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
93
ย่อมปรากฏ. เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่สามปรากฏ, แม่น้ำ� สายใหญ่ๆ เช่น แม่น้ำ�คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี ทัง้ หมดก็งวดแห้งไป ไม่มอี ยู่ (นีฉ้ นั ใด); ภิกษุทง้ั หลาย ! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ! เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่าย ในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลายกำ�หนัด พอแล้ว เพื่อจะปล่อยวาง. ภิกษุทั้งหลาย ! มี ส มั ย ซึ่ง ในกาลบางครั้ง บาง คราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล อาทิตย์ดวงทีส่ ่ี ย่อม ปรากฏ. เมือ่ ดวงอาทิตย์ดวงทีส่ ป่ี รากฏ, มหาสระทัง้ หลาย อันเป็นที่เกิดแห่งแม่นำ�้ ใหญ่ๆ เช่น แม่นำ�้ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี มหาสระเหล่านัน้ ทัง้ หมดก็งวดแห้งไป ไม่ มีอ ยู่ (นี้ฉัน ใด) ; ภิ ก ษุ ท้ัง หลาย ! สั ง ขารทั้ง หลาย ไม่เทีย่ ง ฉันนัน้ , สังขารทัง้ หลาย ไม่ยง่ั ยืน ฉันนัน้ , สังขาร ทัง้ หลาย เป็นสิง่ ทีห่ วังอะไรไม่ได้ ฉันนัน้ . ภิกษุทง้ั หลาย ! เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลายกำ�หนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.
94 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! มี ส มั ย ซึ่ ง ในกาลบางครั้ ง บาง คราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่ห้า ย่อมปรากฏ. เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ห้าปรากฏ, น้ำ�ใน มหาสมุทรอันลึกร้อยโยชน์ ก็งวดลง น้�ำ ในมหาสมุทรอันลึก สอง-สาม-สี-่ ห้า-หก-เจ็ดร้อยโยชน์ ก็งวดลง เหลืออยู่ เพียงเจ็ดชั่วต้นตาล ก็มี เหลืออยู่เพียงหก-ห้า-สี่-สามสอง กระทั่งหนึ่งชั่วต้นตาล ก็มี งวดลงเหลืออยู่เพียง เจ็ดชัว่ บุรษุ ก็มี เหลืออยูเ่ พียงหก-ห้า-สี-่ สาม–สอง-หนึง่ กระทั่งครึ่งชั่วบุรุษ ก็มี งวดลง เหลืออยู่เพียงแค่สะเอว เพียงแค่เข่า เพียงแค่ข้อเท้า กระทั่งเหลืออยู่ ลึกเท่า น้ำ�ในรอยเท้าโค ในที่นั้นๆ เช่นเดียวกับน้ำ�ในรอยเท้าโค เมื่อฝนเม็ดใหญ่เริ่มตกในฤดูสารทลงมาในที่นั้นๆ. ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะการปรากฏแห่งอาทิตย์ ดวงที่ห้า น้ำ�ในมหาสมุทรไม่มีอยู่แม้สักว่าองคุลีเดียว (นี้ฉันใด); ภิกษุทั้งหลาย ! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ! เพียง เท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้ว เพื่อจะคลายกำ�หนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
95
ภิกษุทั้งหลาย ! มี ส มั ย ซึ่ ง ในกาลบางครั้ ง บาง คราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่หก ย่อมปรากฏ. เพราะความปรากฏแห่งอาทิตย์ดวงที่หก, มหาปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุ ก็มีควันขึ้น ยิ่งขึ้นและ ยิ่ ง ขึ้ น เปรี ย บเหมื อ นเตาเผาหม้ อ อั น นายช่ า งหม้ อ สุมไฟแล้ว ย่อมมีควันขึ้นโขมง ยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น ฉะนั้น (นี้ฉันใด); ภิกษุทั้งหลาย ! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ! เพียง เท่านี้ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้ว เพื่อจะคลายกำ�หนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง. ภิกษุทั้งหลาย ! มี ส มั ย ซึ่ ง ในกาลบางครั้ ง บาง คราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล อาทิตย์ดวงที่เจ็ด ย่อมปรากฏ. เพราะความปรากฏแห่งอาทิตย์ดวงที่เจ็ด, มหาปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุ ย่อมมีไฟลุกโพลงๆ มี เปลวเป็นอันเดียวกัน. เมื่อมหาปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุ อันไฟเผาอยู่ ไหม้อยู่อย่างนี้ เปลวไฟถูกลมซัดขึ้นไป จนถึ ง พรหมโลก. ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ! เมื่ อ ขุ น เขาสิ เ นรุ ถูกไฟเผาอยู่ ไหม้อยู่ วินาศอยู่ อันกองไฟท่วมทับแล้ว,
96 พุ ท ธ ว จ น
ยอดทั้ ง หลายอั น สูง ร้อ ยโยชน์บ้าง สอง-สาม-สี่ - ห้ า ร้อยโยชน์บ้าง ก็พังทำ�ลายไป. ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อ มหาปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุอันไฟเผาอยู่ ไหม้อยู่, ขี้เถ้า และเขม่าย่อมไม่ปรากฏ เหมือนเมื่อเนยใส หรือน้ำ�มัน ถูกเผา ขี้เถ้าและเขม่าย่อมไม่ปรากฏ ฉะนั้น (นี้ฉันใด); ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ! สั ง ขารทั้ ง หลาย ไม่ เ ที่ ย ง ฉั น นั้ น , สังขารทั้งหลาย ไม่ยั่งยืน ฉันนั้น, สังขารทั้งหลาย เป็น สิ่งที่หวังอะไรไม่ได้ ฉันนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ! เพียงเท่านี้ ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อ จะคลายกำ�หนัด พอแล้วเพื่อจะปล่อยวาง. ภิกษุทั้งหลาย ! ในข้ อ ความนั้ น ใครจะคิ ด ใครจะเชือ่ ว่า “ปฐพีนแ้ี ละขุนเขาสิเนรุจกั ลุกไหม้ จักวินาศ จักสูญสิ้นไปได้” นอกเสียจาก พวกมีบทอันเห็นแล้ว. สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๐๒-๑๐๕/๖๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
97
๓๖ ผลจากความไม่มีธรรมะของมนุษย์ (อย่างเบา)
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใดราชา(ผูป้ กครอง)ทัง้ หลาย ไม่ตง้ั อยูใ่ นธรรม, สมัยนัน้ ราชยุตต์ (ข้าราชการ) ทัง้ หลาย ก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม; เมื่อ ราชยุตต์ทง้ั หลาย ไม่ตง้ั อยูใ่ นธรรม, พราหมณ์ และคหบดีทั้งหลาย ก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม; เมื่อ พราหมณ์และคหบดีทง้ั หลาย ไม่ตง้ั อยูใ่ น ธรรม, ชาวเมืองและชาวชนบททัง้ หลาย ก็ไม่ตง้ั อยูใ่ นธรรม; เมื่อ ชาวเมืองและชาวชนบททัง้ หลาย ไม่ตง้ั อยู่ ในธรรม, ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ก็มปี ริวรรต (การเคลือ่ นที,่ การหมุนเวียน) ไม่สม่ำ�เสมอ; เมื่อ ดวงจั น ทร์ แ ละดวงอาทิ ต ย์ มี ป ริ ว รรต ไม่สม่ำ�เสมอ, ดาวนักษัตรและดาวทั้งหลาย ก็มีปริวรรต ไม่สม่ำ�เสมอ;
98 พุ ท ธ ว จ น
เมื่อ ดาวนักษัตรและดาวทั้งหลาย มีปริวรรต ไม่สม่ำ�เสมอ, คืนและวัน ก็มีปริวรรตไม่สม่ำ�เสมอ; เมื่อ คืนและวัน มีปริวรรตไม่สม่ำ�เสมอ, เดือน และปักษ์ ก็มีปริวรรตไม่สม่ำ�เสมอ; เมื่อ เดือนและปักษ์ มีปริวรรตไม่สม่ำ�เสมอ, ฤดูและปี ก็มีปริวรรตไม่สม่ำ�เสมอ; เมื่อ ฤดู แ ละปี มีปริว รรตไม่สม่ำ�เสมอ, ลม (ทุกชนิด) ก็พัดไปไม่สม่ำ�เสมอ; เมื่อ ลม (ทุกชนิด) พัดไปไม่สม่ำ�เสมอ, ปัญชสา (ระบบแห่งทิศทางลมอันถูกต้อง) ก็แปรปรวน; เมื่อ ปัญชสา แปรปรวน, เทวดาทั้งหลาย ก็ ระส่ำ�ระสาย; เมื่อ เทวดาทัง้ หลาย ระส่�ำ ระสาย, ฝนก็ตกลงมา อย่างไม่เหมาะสม; เมื่อ ฝนตก ลงมาอย่างไม่เหมาะสม, พืชพรรณ ข้าวทั้งหลาย ก็แก่และสุกไม่สม่ำ�เสมอ;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
99
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย บริโภค พืชพรรณข้าวทั้งหลายอันมีความแก่และสุกไม่สม่ำ�เสมอ ก็กลายเป็นผู้มีอายุสั้น ผิวพรรณทราม ทุพพลภาพและ มีโรคภัยไข้เจ็บมาก. (ข้อความต่อไปนี้ ได้ตรัสถึงภาวะการณ์ที่ตรงกันข้าม ผู้ศึกษาพึงทราบโดยนัยตรงกันข้าม ตลอดสาย). จตุกฺก. อํ ๒๑/๙๗/๗๐.
100 พุ ท ธ ว จ น
๓๗ ผลจากความไม่มีธรรมะของมนุษย์ (อย่างหนัก)
ภิกษุทั้งหลาย ! เมือ่ พระราชา มีการกระทำ�ชนิด ทีเ่ ป็นไปแต่เพียงเพือ่ การคุม้ ครองอารักขา, แต่มไิ ด้เป็นไป เพือ่ การกระทำ�ให้เกิดทรัพย์ แก่บคุ คลผูไ้ ม่มที รัพย์ทง้ั หลาย ดังนัน้ แล้ว ความยากจนขัดสน ก็เป็นไปอย่างกว้างขวาง แรงกล้าถึงที่สุด; เพราะความยากจนขัดสนเป็นไปอย่างกว้างขวาง แรงกล้าถึงที่สุด อทินนาทาน (ลักทรัพย์) ก็เป็นไปอย่าง กว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด; เพราะอทินนาทานเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้า ถึงที่สุด การใช้ศัสตราวุธโดยวิธีการต่างๆ ก็เป็นไปอย่าง กว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด; เพราะการใช้ศัสตราวุธโดยวิธีการต่างๆ เป็นไป อย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ปาณาติบาต (ซึ่งหมายถึง การฆ่ามนุษย์ด้วยกัน) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึง ที่สุด;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
101
เพราะปาณาติบาตเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้า ถึงที่สุด มุสาวาท (การหลอกลวงคดโกง) ก็เป็นไปอย่าง กว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด; (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาจาก ๘ หมื่นปี เหลือเพียง ๔ หมื่นปี)
เพราะมุสาวาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้า ถึงที่สุด ปิสุณาวาท (การพูดจายุแหย่เพื่อการแตกกันเป็นก๊ก เป็นหมู่ ทำ�ลายความสามัคคี) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้า ถึงที่สุด;
(ในสมัยนี้ มนุษย์มอี ายุขยั ถอยลงมาเหลือเพียง ๒ หมืน่ ปี)
เพราะปิสุณาวาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้า ถึงที่สุด กาเมสุมิจฉาจาร (การทำ�ชู้ การละเมิดของรักของ บุคคลอื่น) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
(ในสมัยนี้ มนุษย์มอี ายุขยั ถอยลงมาเหลือเพียง ๑ หมืน่ ปี)
เพราะกาเมสุมิจฉาจารเป็นไปอย่างกว้างขวาง แรงกล้าถึงที่สุด ผรุสวาท และ สัมผัปปลาปวาท (การใช้ คำ�หยาบ และคำ�พูดเพ้อเจ้อเพื่อความสำ�ราญ) ก็เป็นไปอย่าง กว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
(ในสมัยนี้ มนุษย์มอี ายุขยั ถอยลงมาเหลือเพียง ๕ พันปี)
102 พุ ท ธ ว จ น
เพราะผรุ ส วาทและสั ม ผั ป ปลาปวาทเป็ น ไป อย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด อภิชฌาและพยาบาท (แผนการกอบโกย และการทำ�ลายล้าง) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวาง แรงกล้าถึงที่สุด; (ในสมัยนี้ มนุษย์มอี ายุขยั ถอยลงมาเหลือเพียง ๒,๕๐๐๒,๐๐๐ ปี)
เพราะอภิชฌาและพยาบาทเป็นไปอย่างกว้างขวาง แรงกล้าถึงที่สุด มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิดชนิดเห็นกงจักร เป็นดอกบัว นิยมความชั่ว) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้า ถึงที่สุด;
(ในสมัยนี้ มนุษย์มอี ายุขยั ถอยลงมาเหลือเพียง ๑,๐๐๐ ปี)
เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้า ถึงที่สุด (อกุศล) ธรรมทั้งสาม คือ อธัมมราคะ (ความยินดี ที่ไม่เป็นธรรม) วิสมโลภะ (ความโลภไม่สิ้นสุด) มิจฉาธรรม (การประพฤติตามอำ�นาจกิเลส) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวาง แรงกล้าถึงที่สุด (อย่างไม่แยกกัน);
(ในสมัยนี้ มนุษย์มอี ายุขยั ถอยลงมาเหลือเพียง ๕๐๐ ปี) เพราะ (อกุศล) ธรรม ทั้งสาม ... นั้นเป็นไปอย่าง กว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด (อกุศล) ธรรมทั้งหลาย คือ
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
103
ไม่ปฏิบัติอย่างถูกต้องในมารดา, บิดา, สมณพราหมณ์ ไม่มกี ลุ เชฏฐาปจายนธรรม (ความอ่อนน้อมตามฐานะสูงต่�ำ ) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด. (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒๕๐๒๐๐-๑๐๐ ปี)
สมั ย นั้ น จั ก มี ส มั ย ที่ ม นุ ษ ย์ มี อ ายุ ขั ย ลดลงมา เหลือเพียง ๑๐ ปี (จักมีลกั ษณะแห่งความเสือ่ มเสียมีประการ ต่างๆ ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า) : หญิงอายุ ๕ ปี ก็มีบุตร; รสทั้งห้า คือเนยใส เนยข้น น้ำ�มัน น้ำ�ผึ้ง น้ำ�อ้อย และ รสเค็ม ก็ไม่ปรากฏ; มนุษย์ทง้ั หลาย กินหญ้าทีเ่ รียกว่า กุท๎รูสกะ (ซึ่งนิยมแปลกันว่าหญ้ากับแก้) แทนการกินข้าว; กุ ศ ลกรรมบถหายไป ไม่ มีร่อ งรอย, อกุ ศ ลกรรมบถ รุง่ เรืองถึงทีส่ ดุ ; ในหมูม่ นุษย์ ไม่มคี ำ�พูดว่ากุศล จึงไม่มี การทำ�กุศล; มนุษย์สมัยนัน้ จักไม่ยกย่องสรรเสริญ ความ เคารพเกื้อกูลต่อมารดา (มัตเตยยธรรม), ความเคารพ เกื้อกูลต่อบิดา (เปตเตยยธรรม), ความเคารพเกื้อกูลต่อ สมณะ (สามัญญธรรม), ความเคารพเกื้อกูลต่อพราหมณ์ (พรหมัญญธรรม), และกุลเชฏฐาปจายนธรรม, เหมือนอย่าง ทีม่ นุษย์ยกย่องกันอยูใ่ นสมัยนี;้ ไม่มคี ำ�พูดว่า แม่ น้าชาย
104 พุ ท ธ ว จ น
น้าหญิง พ่อ อา ลุง ป้า ภรรยาของอาจารย์ และคำ�พูดว่า เมียของครู; สัตว์โลกจักกระทำ�การสัมเภท (สมสูส่ ำ�ส่อน) เช่นเดียวกันกับแพะ แกะ ไก่ สุกร สุนขั สุนขั จิง้ จอก; ความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดฆ่า เป็นไปอย่างแรงกล้า แม้ในระหว่างมารดากับบุตร บุตรกับ มารดา บิดากับบุตร บุตรกับบิดา พีก่ บั น้อง น้องกับพี่ ทัง้ ชาย และหญิง เหมือนกับทีน่ ายพรานมีความรูส้ กึ ต่อเนือ้ ทัง้ หลาย. ในสมัยนั้น จักมี สัตถันตรกัปป์ (การใช้ศัสตราวุธ ติดต่อกันไม่หยุดหย่อน) ตลอดเวลา ๗ วัน : สัตว์ทั้งหลาย เหล่านั้น จักมีความสำ�คัญแก่กันและกัน ราวกะว่า เนื้อ; แต่ละคนมีศัสตราวุธในมือ ปลงชีวิตซึ่งกันและ กันราวกะว่า ฆ่าปลา ฆ่าเนื้อ.
(มี ม นุ ษ ย์ ห ลายคน ไม่ เ ข้ า ร่ ว มวงสั ต ถั น ตรกั ป ป์ ด้ ว ย ความกลัว หนีไปซ่อนตัวอยูใ่ นทีท่ พ่ี อจะซ่อนตัวได้ตลอด ๗ วัน แล้วกลับออกมาพบกันและกัน ยินดีสวมกอดกัน กล่าวแก่กนั และ กันในที่น้ันว่า มีโชคดีท่ีรอดมาได้ แล้วก็ตกลงกันในการตั้งต้น ประพฤติธรรมกันใหม่ตอ่ ไป ชีวติ มนุษย์กค็ อ่ ยเจริญขึน้ จาก ๑๐ ปี ตามลำ�ดับๆ จนถึงสมัย ๘ หมืน่ ปี อีกครัง้ หนึง่ จนกระทัง่ เป็นสมัย แห่งศาสนาของพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า เมตเตยยสัมมาสัมพุทธะ). ปา. ที. ๑๑/๗๐-๘๐/๓๙-๔๗.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
105
๓๘ ข้อควรทราบเกี่ยวกับอกุศลมูล (ราคะ โทสะ โมหะ)
ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้ า พวกปริ พ พาชกเดี ย รถี ย์ เหล่าอื่นจะพึงถามอย่างนี้ว่า “อาวุโส ! ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ คือ ราคะ โทสะ โมหะ. อาวุโส ! อะไรเป็นความผิดแปลก อะไรเป็นความแตกต่าง อะไรเป็น เครือ่ งแสดงความต่าง ระหว่างธรรม ๓ อย่างเหล่านัน้ ?” ดังนี.้
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอถูกถามอย่างนี้แล้ว พึง พยากรณ์แก่เขาว่า “อาวุโส ! ราคะมีโทษน้อย คลายช้า, โทสะมีโทษมาก คลายเร็ว, โมหะมีโทษมาก คลายช้า”. ถ้าเขาถามว่า “อาวุโส ! อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ที่ทำ�ให้ราคะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือราคะที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นไป เพื่อความเจริญโดยยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ ?” ดังนี้. คำ�ตอบพึงมีว่า สุภนิมิต (สิ่งที่แสดงให้รู้สึกว่างาม);
คือเมื่อเขาทำ�ในใจซึ่งสุภนิมิตโดยไม่แยบคาย ราคะที่ยัง ไม่เกิดก็เกิดขึ้น และราคะที่เกิดอยู่แล้ว ก็เป็นไปเพื่อ ความเจริญโดยยิง่ เพือ่ ความไพบูลย์. อาวุโส ! นีค้ อื เหตุ นี้คือปัจจัย.
106 พุ ท ธ ว จ น
ถ้าเขาถามอีกว่า “อาวุโส ! อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย
ที่ทำ�ให้โทสะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือโทสะที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นไป เพื่อความเจริญโดยยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ ?” ดังนี้. คำ � ตอบพึ ง มี ว่ า ปฏิ ฆ นิ มิ ต (สิ่งที่แสดงให้รู้สึก กระทบกระทั่ง); คือเมื่อเขาทำ�ในใจซึ่งปฏิฆนิมิตโดยไม่
แยบคาย โทสะที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น และโทสะที่เกิดอยู่ แล้ว ก็เป็นไปเพื่อความเจริญโดยยิ่ง เพื่อความไพบูลย์. อาวุโส ! นี้คือเหตุ นี้คือปัจจัย. ถ้าเขาถามอีกว่า “อาวุโส ! อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ที่ทำ�ให้โมหะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือโมหะที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นไป เพื่อความเจริญโดยยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ ?” ดังนี้. ค�ำ ตอบพึงมีวา่ อโยนิโสมนสิการ (การกระทำ�ในใจ โดยไม่แยบคาย); คือเมื่อทำ�ในใจโดยไม่แยบคาย โมหะที่
ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น และโมหะที่เกิดอยู่แล้วก็เป็นไปเพื่อ ความเจริญโดยยิ่ง เพื่อความไพบูลย์. อาวุโส ! นี้คือเหตุ นี้คือปัจจัย. ถ้าเขาถามอีกว่า “อาวุโส ! อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย
ทีท่ ำ�ให้ราคะทีย่ งั ไม่เกิด ไม่เกิดขึน้ หรือราคะทีเ่ กิดขึน้ แล้ว ละไป ?”
ดังนี้.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
107
คำ�ตอบพึงมีว่า อสุภนิมิต (สิ่งที่แสดงให้รู้สึกว่า ไม่งาม); คือเมื่อเขาทำ�ในใจซึ่งอสุภนิมิตโดยแยบคาย ราคะทีย่ งั ไม่เกิดก็ไม่เกิดขึน้ และราคะทีเ่ กิดอยูแ่ ล้วก็ละไป. อาวุโส ! นี้คือเหตุ นี้คือปัจจัย. ถ้าเขาถามอีกว่า “อาวุโส ! อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย
ทีท่ ำ�ให้โทสะทีย่ งั ไม่เกิดไม่เกิดขึน้ หรือโทสะทีเ่ กิดขึน้ แล้ว ละไป?”
ดังนี้.
คำ�ตอบพึงมีว่า เมตตาเจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้น แห่งจิตอันประกอบอยู่ด้วยเมตตา); คือเมื่อเขาทำ�ในใจซึ่ง เมตตาเจโตวิมตุ ติโดยแยบคาย โทสะทีย่ งั ไม่เกิดก็ไม่เกิดขึน้ และโทสะทีเ่ กิดอยูแ่ ล้วก็ละไป. อาวุโส ! นีค้ อื เหตุ นีค้ อื ปัจจัย. ถ้าเขาถามอีกว่า “อาวุโส ! อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย
ทีท่ ำ�ให้โมหะทีย่ งั ไม่เกิด ไม่เกิดขึน้ หรือโมหะทีเ่ กิดขึน้ แล้ว ละไป?”
ดังนี้.
คำ�ตอบพึงมีว่า โยนิโสมนสิการ คือเมื่อทำ�ในใจ โดยแยบคาย โมหะที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น และโมหะ ที่เกิดอยู่แล้วก็ละไป. อาวุโส ! นี้คือเหตุ นี้คือปัจจัย. ติก. อํ. ๒๐/๒๕๖/๕๐๘.
108 พุ ท ธ ว จ น
๓๙ คุณสมบัติของทูต ภิกษุทั้งหลาย ! ภิ ก ษุ ผู้ ป ระกอบด้ ว ยองค์ ๘ ควรทำ�หน้าที่ทูต. องค์ ๘ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ ภิกษุในธรรมวินยั นี้ ๑. รับฟัง ๒. ให้ผู้อื่นฟัง ๓. กำ�หนด ๔. ทรงจำ� ๕. เข้าใจความ ๖. ให้ผู้อื่นเข้าใจความ ๗. ฉลาดต่อประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ๘. ไม่ก่อความทะเลาะ ภิ ก ษุ ใ ด เข้ า ไปสู่ บ ริ ษั ท ที่ พู ด คำ � หยาบ ก็ ไ ม่ สะทกสะท้าน ไม่ยังคำ�พูดให้เสีย ไม่ปกปิดข่าวสาส์น พูดจนหมดความสงสัย และถูกถามก็ไม่โกรธ. ภิกษุผู้เช่นนั้นแล ย่อมควรทำ�หน้าที่ทูต. จุลฺล. วิ. ๗/๒๐๑/๓๙๘.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
109
๔๐ ไม่โกหกกัน แม้เพียงเพื่อหัวเราะเล่น “ราหุล ! นักบวช ทีไ่ ม่มคี วามละอายในการแกล้ง กล่าวเท็จ ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จ ก็มีความเป็นสมณะ เท่ากับ ความว่างเปล่าของน้�ำ ในภาชนะนี้ ฉันนัน้ เหมือนกัน ..ฯลฯ..”. “ราหุล ! เรากล่าวว่า กรรมอันเป็นบาปหน่อย หนึง่ ซึ่งนักบวชที่ไม่มีความละอายในการแกล้งกล่าวเท็จ ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จ จะทำ�ไม่ได้ หามีไม่. เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ เธอทั้งหลาย พึงสำ�เหนียกใจไว้ว่า “เราทั้งหลายจักไม่กล่าวมุสา แม้แต่เพื่อหัวเราะกันเล่น” ดังนี้. ราหุล ! เธอทัง้ หลายพึงสำ�เหนียกใจไว้อย่างนี”้ . ม. ม. ๑๓/๑๒๓/๑๒๖.
110 พุ ท ธ ว จ น
๔๑ งูเปื้อนคูถ ภิกษุทั้งหลาย ! นักบวชชนิดไร ที่ทุกๆ คน ควรขยะแขยง ไม่ควรสมาคม ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าใกล้ ? ภิกษุทั้งหลาย ! นักบวชบางคนในกรณีนี้ เป็น คนทุศีล มีความเป็นอยู่เลวทราม ไม่สะอาด มีความ ประพฤติชนิดที่ตนเองนึกแล้วก็กินแหนงตัวเอง มีการ กระทำ�ที่ต้องปกปิดซ่อนเร้น ไม่ใช่สมณะก็ปฏิญญาว่า เป็นสมณะ ไม่ใช่คนประพฤติพรหมจรรย์ก็ปฏิญญาว่า ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นคนเน่าใน เปียกแฉะ มีสัญชาติ หมักหมม เหมือนบ่อที่เทขยะมูลฝอย. ภิกษุทั้งหลาย ! นักบวชชนิดนี้แล ที่ทุกๆ คน ควรขยะแขยง ไม่ควรสมาคม ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าใกล้. ข้อนั้นเพราะอะไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุวา่ ถึงแม้ผทู้ เ่ี ข้าใกล้ชดิ จะไม่ถือเอานักบวชชนิดนี้ เป็นตัวอย่างก็ตาม, แต่ว่าเสียง ร่ำ�ลืออันเสื่อมเสีย จะระบือไปว่า “คนๆ นี้ มีมิตรเลว มีเพื่อนทราม มีเกลอลามก” ดังนี้.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
111
ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนงูที่ตกลงไปจม อยู่ ใ นหลุ ม คู ถ กั ด ไม่ ไ ด้ ก็ จ ริ ง แล, แต่ มั น อาจทำ � คน ที่ เ ข้ า ไปช่ ว ยยกมั น ขึ้ น จากหลุ ม คู ถ ให้ เ ปื้ อ นด้ ว ยคู ถ ได้ (ด้วยการดิ้นของมัน) นี้ฉันใด. ภิกษุทั้งหลาย ! แม้ผู้เข้าใกล้ชิด จะไม่ถือเอา นักบวชชนิดนี้เป็นตัวอย่างก็จริงแล, แต่ว่า เสียงร่ำ�ลืออัน เสื่อมเสียจะระบือไปว่า “คนๆ นี้ มีมิตรเลว มีเพื่อนทราม มีเกลอลามก” ดังนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะเหตุนน้ั นักบวชชนิดนี้ จึงเป็นคนทีท่ กุ ๆ คน ควรขยะแขยง ไม่ควรสมาคม ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าใกล้. ติก. อํ. ๒๐/๑๕๘/๔๖๖.
“กรรม” และ
ผลของการกระทํา
114 พุ ท ธ ว จ น
๔๒ สิ่งที่ควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ “กรรม” ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึง่ เจตนาว่าเป็นกรรม เพราะว่าบุคคลเจตนาแล้ว ย่อมกระทำ�ซึ่งกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ... ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุเกิด (นิทานสัมภวะ) แห่ง กรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุ เ กิ ด แห่ ง กรรมทั้ ง หลาย คือ ผัสสะ. ภิกษุทั้งหลาย ! ค ว า ม มี ป ร ะ ม า ณ ต่ า ง ๆ (เวมัตตตา) แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมที่ทำ�สัตว์ให้เสวยเวทนาในนรก มีอยู่, กรรมที่ทำ�สัตว์ให้เสวยเวทนาในกำ�เนิดเดรัจฉาน มีอยู่, กรรมที่ทำ�สัตว์ให้เสวยเวทนาในเปรตวิสัย มีอยู่, กรรมที่ทำ�สัตว์ให้เสวยเวทนาในมนุษยโลก มีอยู่, กรรมที่ทำ�สัตว์ให้เสวยเวทนาในเทวโลก มีอยู่...
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
115
ภิกษุทั้งหลาย ! วิ บ ากแห่ ง กรรมทั้ ง หลาย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่ า ววิ บ ากแห่ ง กรรม ทั้งหลายว่ามีอยู่ ๓ อย่าง คือ วิ บ ากในทิ ฏ ฐธรรม (คือทันควัน) หรือว่า วิบากในอุปะปัชชะ (คือในเวลาต่อมา) หรือว่า วิบากในอปรปริยายะ (คือในเวลาต่อมาอีก) ... ภิกษุทั้งหลาย ! ความดั บ แห่ ง กรรม เป็ น อย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ความดั บ แห่ ง กรรม ย่ อ มมี เพราะ ความดับแห่งผัสสะ. อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นข้อปฏิบัติให้ถึง ความดับไม่เหลือแห่งกรรม (กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา); ได้ แ ก่ สิ่ ง เหล่ า นี้ คื อ สั ม มาทิ ฏ ฐิ สั ม มาสั ง กั ป ปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๕๘,๔๖๓-๔๖๔/๓๓๔.
116 พุ ท ธ ว จ น
๔๓ กายนี้ เป็น “กรรมเก่า” ภิกษุทั้งหลาย ! กายนี ้ ไม่ใช่ของเธอทัง้ หลาย และทั้ ง ไม่ ใ ช่ ข องบุ ค คลเหล่ า อื่ น . ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ! กรรมเก่า (คือกาย) นี้ อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นสิ่ง ที่ ปั จ จั ย ปรุ ง แต่ ง ขึ้ น (อภิสงฺขต), เป็ น สิ่ ง ที่ ปั จ จั ย ทำ � ให้ เกิดความรู้สึกขึ้น (อภิสญฺเจตยิต), เป็นสิ่งที่มีความรู้สึก ต่ออารมณ์ได้ (เวทนีย). ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีของกายนั้น อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทำ�ไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า “ด้วยอาการอย่างนี้ : เพราะสิ่งนี้มี, สิ่งนี้จึงมี; เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้, สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น; เพราะสิ่งนี้ไม่มี, สิ่งนี้จึงไม่มี; เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้, สิ่งนี้จึงดับไป : ข้อนี้ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
117
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป; เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการ อย่างนี้.
เพราะความจางคลายดั บ ไปโดยไม่ เ หลื อ แห่ ง อวิชชานั้น นั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร, เพราะ มีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ; .... ฯลฯ....ฯลฯ....ฯลฯ.... เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้” ดังนี้ แล. นิทาน. สํ. ๑๖/๗๗/๑๔๓.
118 พุ ท ธ ว จ น
๔๔ ศีล ๕ (ปาณาติปาตา เวรมณี) เธอนั้น ละปาณาติบาต เว้นขาดจากปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์) วางท่อนไม้และศัสตรา เสี ย แล้ ว มี ค วามละอาย ถึ ง ความเอ็ น ดู ก รุ ณ า หวั ง ประโยชน์เกื้อกูลในบรรดาสัตว์ทั้งหลายอยู่. (อทินนาทานา เวรมณี) เธอนั้น ละอทินนาทาน เว้นขาดจากอทินนาทาน (ลักทรัพย์) ถือเอาแต่ของที่เขา ให้แล้ว หวังอยู่แต่ของที่เขาให้ ไม่เป็นขโมย มีตนเป็นคน สะอาดเป็นอยู่. (กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี) เธอนั้น ละการ ประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม (คือเว้นขาดจากการประพฤติผิด) ในหญิง ซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง หรือญาติรักษา อัน ธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุด แม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย) ไม่เป็น ผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
119
(มุสาวาทา เวรมณี) เธอนัน้ ละมุสาวาท เว้นขาด จากมุสาวาท พูดแต่ความจริง รักษาความสัตย์ มั่นคงใน คำ�พูด มีคำ�พูดควรเชื่อถือได้ ไม่แกล้งกล่าวให้ผิดต่อโลก. (สุราเมระยะมัชชะปมาทัฏฐานา เวรมณี) เธอนัน้ เว้นขาดจากการดื่มน้ำ�เมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้ง ของความประมาท. ปา. ที. ๑๑/๒๔๗/๒๘๖. สี. ที. ๙/๘๓/๑๐๓. ทสก. อํ. ๒๔/๒๘๕/๑๖๕.
120 พุ ท ธ ว จ น
๔๕ ทาน ที่จัดว่าเป็น มหาทาน ภิกษุทั้งหลาย ! อริ ย สาวก ในกรณี นี้ ละ ปาณาติบาต เว้นขาดจากปาณาติบาต. ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกเว้นขาดจากปาณาติบาตแล้ว ย่อมชื่อว่า ให้ อภัยทาน อเวรทาน อัพยาปัชฌทาน แก่สัตว์ทั้งหลาย มากไม่ มี ป ระมาณ; ครั้ น ให้ อ ภั ย ทาน อเวรทาน อัพยาปัชฌทาน แก่สัตว์ทั้งหลายมากไม่มีประมาณแล้ว ย่อมเป็นผู้ มีส่วนแห่งความไม่มีภัย ไม่มีเวร ไม่มี ความเบียดเบียน อันไม่มีประมาณ. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เป็นทานชั้นปฐม เป็นมหาทาน รู้จักกันว่าเป็นของเลิศ เป็นของมีมานาน เป็นของประพฤติสืบกันมาแต่โบราณ ไม่ถกู ทอดทิง้ เลย ไม่เคยถูกทอดทิง้ ในอดีต ไม่ถกู ทอดทิง้ อยู่ ใ นปั จ จุ บั น และจั ก ไม่ ถู ก ทอดทิ้ ง ในอนาคต อั น สมณพราหมณ์ผู้รู้ไม่คัดค้าน. ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้ เป็นท่อธารแห่งบุญ เป็นที่ไหลออกแห่งกุศล นำ�มาซึ่งสุข เป็นไปเพื่อยอดสุดอันดี มีสุข เป็นวิบาก เป็นไปเพื่อ สวรรค์ เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขอันพึง ปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
121
(ในกรณีศีล ๕ อีกสี่ข้อที่เหลือ คือ การเว้นขาดจาก อทินนาทาน, การเว้นขาดจากกาเมสุมิฉาจาร, การเว้นขาดจาก มุสาวาท และการเว้นขาดจากการดื่มน้ำ�เมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ก็ตรัสอย่างเดียวกัน)
ภิกษุทั้งหลาย ! ทาน ๕ ประการนี้แล เป็น มหาทานรู้จักกันว่าเป็นของเลิศ เป็นของมีมานาน เป็น ของประพฤติ สื บ กั น มาแต่ โ บราณ ไม่ ถู ก ทอดทิ้ ง เลย ไม่เคยถูกทอดทิ้งในอดีต ไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ในปัจจุบัน และจักไม่ถูกทอดทิ้งในอนาคต อันสมณพราหมณ์ผู้รู้ ไม่คัดค้าน. อฏฺก. อํ. ๒๓/๒๕๐/๑๒๙.
122 พุ ท ธ ว จ น
๔๖ อุโบสถ (ศีล) (ปาณาติปาตา เวรมณี) เธอนั้น ละปาณาติบาต เว้นขาดจากปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์) วางท่อนไม้และศัสตรา เสี ย แล้ ว มี ค วามละอาย ถึ ง ความเอ็ น ดู ก รุ ณ า หวั ง ประโยชน์เกื้อกูลในบรรดาสัตว์ทั้งหลายอยู่. (อทินนาทานา เวรมณี) เธอนั้น ละอทินนาทาน เว้นขาดจากอทินนาทาน (ลักทรัพย์) ถือเอาแต่ของที่เขา ให้แล้ว หวังอยู่แต่ของที่เขาให้ ไม่เป็นขโมย มีตนเป็นคน สะอาดเป็นอยู่. (อพรฺ ห มฺ จ ริ ย า เวรมณี ) เธอนั้น ละกรรม อั น ไม่ ใ ช่ พ รหมจรรย์ ประพฤติ พ รหมจรรย์ โ ดยปกติ ประพฤติห่างไกลเว้นขาดจากการเสพเมถุนอันเป็นของ ชาวบ้าน. (มุสาวาทา เวรมณี) เธอนัน้ ละมุสาวาท เว้นขาด จากมุสาวาท พูดแต่ความจริง รักษาความสัตย์ มั่นคงใน คำ�พูด มีคำ�พูดควรเชื่อถือได้ ไม่แกล้งกล่าวให้ผิดต่อโลก.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
123
(สุราเมระยะมัชชะปมาทัฏฐานา เวรมณี) เธอนัน้ เว้นขาดจากการดื่มน้ำ�เมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้ง ของความประมาท. (วิกาละโภชนา เวรมณี) เธอนั้น เป็นผู้ฉัน อาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว เว้นจากการฉันในราตรีและ วิกาล. (นั จ จะคี ต ะวาทิ ต ะวิ สู ก ะทั ส สะนา เวรมณี ) เธอนั้ น เป็ น ผู้ เ ว้ น ขาดจากการฟ้ อ นรำ � การขั บ ร้ อ ง การประโคม และการดูการเล่นชนิดเป็นข้าศึกแก่กุศล. (มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวรมณี) เธอนั้น เป็นผู้เว้นขาดจากการ ประดับประดา คือทัดทรงตกแต่งร่างกายด้วยมาลา ของหอม และเครื่องลูบทา. (อุจจาสะยะนะมหาสะยะนา เวรมณี) เธอนั้น เป็นผูเ้ ว้นขาดจากการนอนบนทีน่ อนสูงใหญ่ สำ�เร็จการนอน บนที่นอนอันต่ำ�. ติก. อํ. ๒๐/๒๗๑/๕๑๐.
124 พุ ท ธ ว จ น
๔๗ อกุศลกรรมบถ ๑๐ จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางกาย มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? (๑) บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติทำ� สั ต ว์ มี ชี วิ ต ให้ ต กล่ ว ง หยาบช้ า มี ฝ่ า มื อ เปื้ อ นด้ ว ย โลหิต มีแต่การฆ่าและทุบตี ไม่มคี วามเอ็นดูในสัตว์มชี วี ติ . (๒) เป็ น ผู้ มี ป กติ ถื อ เอาสิ่ ง ของที่ มี เ จ้ า ของ มิได้ให้ คือวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของบุคคลอื่นที่อยู่ใน บ้านหรือในป่าก็ตาม เป็นผู้ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย. (๓) เป็ น ผู้ มี ป กติ ป ระพฤติ ผิ ด ในกาม (คือ ประพฤติผดิ ) ในหญิง ซึง่ มารดารักษา บิดารักษา พีน่ อ้ งชาย พีน่ อ้ งหญิงหรือญาติรกั ษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยูใ่ นสินไหม โดยทีส่ ดุ แม้หญิงอันเขาหมัน้ ไว้ (ด้วยการ คล้องพวงมาลัย) เป็นผูป้ ระพฤติผดิ จารีตในรูปแบบเหล่านัน้ .
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
125
จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่ ส ะอาดทาง กาย ๓ อย่าง. จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? (๑) บุคคลบางคนในกรณีน้ี เป็นผูม้ ปี กติกล่าวเท็จ ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ไปสูท่ า่ มกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสูท่ า่ มกลางราชสกุลก็ดี อั น เขานำ � ไปเป็ น พยาน ถามว่ า “บุ รุ ษ ผู้ เ จริ ญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น” ดังนี้, บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าเห็น เมื่อเห็นก็ กล่าวว่าไม่เห็น, เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่นหรือ เพราะเหตุเห็นแก่อามิสไรๆ ก็เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่. (๒) เป็นผู้มีวาจาส่อเสียด คือฟังจากฝ่ายนี้ แล้วไปบอกฝ่ายโน้น เพือ่ ทำ�ลายฝ่ายนี้ หรือฟังจากฝ่ายโน้น แล้วมาบอกฝ่ายนี้ เพื่อทำ�ลายฝ่ายโน้น เป็นผู้ทำ�คนที่ สามัคคีกนั ให้แตกกัน หรือทำ�คนทีแ่ ตกกันแล้วให้แตกกัน ยิ่งขึ้น พอใจ ยินดี เพลิดเพลินในการแตกกันเป็นพวก เป็นผู้กล่าววาจาที่กระทำ�ให้แตกกันเป็นพวก.
126 พุ ท ธ ว จ น
(๓) เป็นผู้มีวาจาหยาบ อันเป็นวาจาหยาบคาย กล้ า แข็ ง แสบเผ็ ด ต่ อ ผู้ อื่ น กระทบกระเที ย บผู้ อื่ น แวดล้อมอยู่ด้วยความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ เขาเป็น ผู้กล่าววาจามีรูปลักษณะเช่นนั้น. (๔) เป็นผู้มีวาจาเพ้อเจ้อ คือเป็นผู้กล่าวไม่ถูก กาล ไม่กล่าวตามจริง กล่าวไม่องิ อรรถ ไม่องิ ธรรม ไม่องิ วินยั เป็นผูก้ ล่าววาจาไม่มที ต่ี ง้ั อาศัย ไม่ถกู กาละเทศะ ไม่มจี ดุ จบ ไม่ประกอบด้วยประโยชน.์ จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทาง วาจา ๔ อย่าง. จุนทะ ! ความไม่สะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ? (๑) บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มากด้วย อภิชฌา (ความโลภเพ่งเล็ง) เป็นผู้โลภเพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์ แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็น ของเรา” ดังนี้; (๒) เป็ น ผู้ มี จิ ต พยาบาท มี ค วามดำ � ริ ใ นใจ เป็ น ไปในทางประทุ ษ ร้ า ยว่ า “สั ต ว์ ทั้ ง หลายเหล่ า นี้
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
127
จงเดื อ ดร้ อ น จงแตกทำ � ลาย จงขาดสู ญ จงพิ น าศ อย่าได้มีอยู่เลย” ดังนี้ เป็นต้น; (๓) เป็นผู้มีความเห็นผิด มีทัสสนะวิปริตว่า “ทานทีใ่ ห้แล้ว ไม่มี (ผล), ยัญทีบ่ ชู าแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชา ทีบ่ ชู าแล้ว ไม่มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมทีส่ ตั ว์ท�ำ ดีท�ำ ชัว่ ไม่ม,ี โลกนี้ ไม่ม,ี โลกอืน่ ไม่ม,ี มารดา ไม่ม,ี บิดา ไม่ม,ี โอปปาติกะสัตว์ ไม่ม,ี สมณพราหมณ์ทไ่ี ปแล้ว ปฏิบตั แิ ล้ว โดยชอบถึงกับกระทำ�ให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญา โดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผอู้ น่ื รู้ ก็ไม่ม”ี ดังนี.้ จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางใจ ๓ อย่าง. จุนทะ ! เหล่านีแ้ ล เรียกว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐. จุนทะ ! บุ ค คลประกอบด้ ว ยอกุ ศ ลกรรมบถ ๑๐ เหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว แม้จะลูบ แผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคน สะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด ไปไม่ได้; แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้,
128 พุ ท ธ ว จ น
แม้จะไม่จับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะ บำ�เรอไฟ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่บำ�เรอไฟ ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้; แม้จะไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็น คนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ไหว้ดวงอาทิตย์ ก็เป็นคน สะอาดไปไม่ได้; แม้จะลงน้ำ�ในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้, แม้จะไม่ลงน้ำ�ในเวลาเย็นเป็น ครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาดไปไม่ได้. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? จุนทะ ! เพราะเหตุว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการเหล่านี้ เป็นตัวความไม่สะอาด และเป็นเครื่อง กระทำ�ความไม่สะอาด. จุนทะ ! อนึง่ เพราะมีการประกอบด้วยอกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการเหล่านี้เป็นเหตุ นรกย่อม ปรากฏ กำ�เนิดเดรัจฉานย่อมปรากฏ เปรตวิสัยย่อม ปรากฏ หรือว่า ทุคติใดๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี. ทสก. อํ. ๒๔/๒๘๓-๒๘๙/๑๖๕.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
129
๔๘ กุศลกรรมบถ ๑๐
จุนทะ ! ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่าง ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่าง
จุนทะ ! ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่างนั้น เป็นอย่างไรเล่า ? (๑) บุคคลบางคนในกรณีนี้ ละการทำ �สั ต ว์ มีชีวิตให้ตกล่วง เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอาย ถึงความเอ็นดูกรุณาเกือ้ กูลแก่ สัตว์ทั้งหลายอยู่. (๒) ละการถื อ เอาสิ่ ง ของที่ เ จ้ า ของมิ ไ ด้ ใ ห้ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ ไม่ถือเอา ทรัพย์และอุปกรณ์แห่งทรัพย์อนั เจ้าของไม่ได้ให้ ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี ด้วยอาการแห่งขโมย. (๓) ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจาก การประพฤติผดิ ในกาม, (คือเว้นจากการประพฤติผดิ ) ในหญิง ซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง หรือ
130 พุ ท ธ ว จ น
ญาติรักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ใน สินไหม โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้อง มาลัย) ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น. จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางกาย ๓ อย่าง. จุนทะ ! ความสะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง นัน้ เป็นอย่างไรเล่า ? (๑) บุคคลบางคนในกรณีนี้ ละมุสาวาท เว้น ขาดจากมุ ส าวาท ไปสู่ ส ภาก็ ดี ไปสู่ บ ริ ษั ท ก็ ดี ไปสู่ ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำ�ไปเป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น” ดังนี้, บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่ อ ไม่ เ ห็ น ก็ ก ล่ า วว่ า ไม่ เ ห็ น เมื่ อ เห็ น ก็ ก ล่ า วว่ า เห็ น , เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่ อามิสไรๆ ก็ไม่เป็น ผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่. (๒) ละคำ�ส่อเสียด เว้นขาดจากการส่อเสียด ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อแตกจาก ฝ่ายนี้ หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้วไม่เก็บมาบอกแก่ฝ่ายนี้
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
131
เพื่อแตกจากฝ่ายโน้น แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้วให้ กลับพร้อมเพรียงกัน อุดหนุนคนที่พร้อมเพรียงกันอยู่ ให้พร้อมเพรียงกันยิง่ ขึน้ เป็นคนชอบในการพร้อมเพรียง เป็นคนยินดีในการพร้อมเพรียง เป็นคนพอใจในการ พร้อมเพรียง กล่าวแต่วาจาที่ทำ�ให้พร้อมเพรียงกัน. (๓) ละการกล่าวคำ�หยาบเสีย เว้นขาดจาก การกล่าวคำ�หยาบ กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสต ให้เกิดความรัก เป็นคำ�ฟูใจ เป็นคำ�สุภาพที่ชาวเมือง เขาพูดกัน เป็นที่ใคร่ที่พอใจของมหาชน กล่าวแต่วาจา เช่นนั้นอยู่. (๔) ละคำ�พูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำ�พูดเพ้อเจ้อ กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำ�จริง เป็นประโยชน์ เป็นธรรม เป็นวินยั กล่าวแต่วาจามีทต่ี ง้ั มีหลักฐานทีอ่ า้ งอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา. จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางวาจา ๔ อย่าง. จุนทะ ! ความสะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง เป็น อย่างไรเล่า ?
132 พุ ท ธ ว จ น
(๑) บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ไม่มากด้วย อภิชฌา คือเป็นผู้ไม่โลภ เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ ของผู้อื่น ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้. (๒) เป็นผู้ไม่มีจิตพยาบาท มีความดำ�ริแห่งใจ อันไม่ประทุษร้ายว่า “สัตว์ทั้งหลาย จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มี ความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์ มีสุข บริหารตนอยู่เถิด” ดังนี้ เป็นต้น. (๓) เป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีทัสสนะไม่ วิปริต ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล), การบูชาทีบ่ ชู าแล้ว มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมทีส่ ตั ว์ท�ำ ดี ทำ�ชัว่ มี, โลกอืน่ มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำ� ให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้. จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง. จุนทะ ! เหล่านีแ้ ล เรียกว่า กุศลกรรมบถ ๑๐.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
133
จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว แม้จะ ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็น คนสะอาด; แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็น คนสะอาด, แม้จะไม่จับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาด; แม้ จะบำ�เรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่บำ�เรอไฟ ก็เป็น คนสะอาด; แม้จะไหว้พระอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด, แม้ จะไม่ไหว้พระอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะลงน้ำ�ใน เวลาเย็นเป็นครั้งที่สามก็เป็นคนสะอาด แม้จะไม่ลงน้ำ�ใน เวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาด. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? จุนทะ ! เพราะเหตุวา่ กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ เหล่านี้ เป็นตัวความสะอาด และเป็นเครื่องกระทำ� ความสะอาด. จุนทะ ! อนึ่ ง เพราะมี ก ารประกอบด้ ว ย กุ ศ ลกรรมบถทั้ ง ๑๐ ประการเหล่ า นี้ เป็ น เหตุ พวกเทพจึงปรากฏ หรือว่าสุคติใดๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี. ทสก. อํ. ๒๔/๒๘๓-๒๘๙/๑๖๕.
134 พุ ท ธ ว จ น
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
135
๔๙ อานิสงส์สำ�หรับผู้ทำ�ศีลให้บริบูรณ์ ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จงมีศีลสมบูรณ์ มีปาติโมกข์สมบูรณ์อยู่เถิด พวกเธอทั้งหลาย จงสำ�รวม ด้วยปาติโมกขสังวร สมบูรณ์ดว้ ยมรรยาทและโคจรอยูเ่ ถิด จงเป็ น ผู้ เ ห็ น เป็ น ภั ย ในโทษทั้ ง หลายที่ มี ป ระมาณน้ อ ย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด. ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า “เราพึงเป็น ที่รัก ที่เจริญใจ ที่เคารพ ที่ยกย่อง ของเพื่อนผู้ประพฤติ พรหมจรรย์ด้วยกันทั้งหลาย” ดังนี้แล้ว, เธอพึงทำ�ให้ บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย พึงตามประกอบในธรรมเป็น เครื่องสงบแห่งจิตในภายใน เป็นผู้ไม่เหินห่างในฌาน, เป็นผู้ประกอบพร้อมด้วยวิปัสสนา และให้วัตรแห่งผู้อยู่ สุญญาคารทั้งหลาย เจริญงอกงามเถิด. ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า “เราพึงเป็น ผู้มีลาภด้วยบริขารคือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และ คิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลาย” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ...
136 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้ า ภิ ก ษุ ห ากจำ � นงว่ า “เรา บริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารของทายกเหล่าใด การกระทำ�เหล่านัน้ พึงมีผลมาก มีอานิสงส์มากแก่ทายกเหล่านั้น” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ... ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้ า ภิ ก ษุ ห ากจำ � นงว่ า “ญาติ สายโลหิตทั้งหลาย ซึ่งตายจากกันไปแล้ว มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงเราอยู่ ข้อนั้นจะพึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก แก่เขาเหล่านั้น” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ... ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า “เราพึง อดทนได้ซึ่งความไม่ยินดีและความยินดี, อนึ่ง ความไม่ ยินดีอย่าเบียดเบียนเรา, เราพึงครอบงำ�ย่ำ�ยีความไม่ยินดี ซึ่งยังเกิดขึ้นแล้วอยู่เถิด” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ... ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า “เราพึง อดทนความขลาดกลัวได้, อนึ่ง ความขลาดกลัวอย่า เบี ย ดเบี ย นเรา, เราพึ ง ครอบงำ � ย่ำ � ยี ค วามขลาดกลั ว ที่บังเกิดขึ้นแล้วอยู่เถิด” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ... ภิกษุทง้ั หลาย ! ถ้ า ภิ ก ษุ หากจำ� นงว่ า “เราพึ ง ได้ตามต้องการ ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำ�บาก ซึ่งฌานทั้งสี่
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
137
อันเป็นไปในจิตอันยิ่ง เป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ... ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า “เราพึง เป็ น โสดาบั น เพราะความสิ้ น ไปแห่ ง สั ง โยชน์ ส าม เป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำ�เป็นธรรมดา ผู้เที่ยงต่อพระนิพพาน มีการตรัสรู้ อยู่ข้างหน้า” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ... ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า “เราพึง เป็ น สกทาคามี เพราะความสิ้ น ไปแห่ ง สั ง โยชน์ ส าม และเพราะความเบาบางแห่ ง ราคะ โทสะ และโมหะ พึ ง มาสู่ เ ทวโลกอี ก ครั้ ง เดี ย วเท่ า นั้ น แล้ ว พึ ง ทำ � ที่ สุ ด แห่งทุกข์ได้” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ... ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า “เราพึง เป็นโอปปาติกะ (พระอนาคามี) เพราะความสิ้นไปแห่ง สังโยชน์เบื้องต่ำ�ห้า พึงปรินิพพานในภพนั้น ไม่กลับ จากโลกนั้น เป็นธรรมดา” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ... ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า “เราพึง แสดงอิทธิวิธีมีอย่างต่างๆ ได้” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ...
138 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า “เราพึง มีทิพยโสต” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ... ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้ า ภิ ก ษุ ห ากจำ � นงว่ า “เรา ใคร่ครวญแล้ว พึงรู้จิตของสัตว์เหล่าอื่น, ของบุคคล เหล่าอื่น ด้วยจิตของตน” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ... ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า “เราพึง ตามระลึกถึงภพที่เคยอยู่ในกาลก่อนได้หลายๆ อย่าง...” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ.. ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า “เราพึง เห็ น สั ต ว์ ทั้ ง หลายด้ ว ยจั ก ษุ ทิ พ ย์ อั น หมดจดเกิ น จั ก ษุ สามัญของมนุษย์” ดังนี้ก็ดี, ...ฯลฯ... ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหากจำ�นงว่า “เราพึง ทำ�ให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิน้ ไปแห่งอาสวะทัง้ หลาย ด้วยปัญญาอันยิง่ เอง ในทิฏฐธรรมเทียวเข้าถึงแล้วแลอยู่” ดังนี้ก็ดี, เธอพึงทำ�ให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย พึงตาม ประกอบในธรรมเป็ น เครื่ อ งสงบแห่ ง จิ ต ในภายใน เป็นผูไ้ ม่เหินห่างในฌานประกอบพร้อมแล้วด้วยวิปสั สนา และให้วตั รแห่งผูอ้ ยูส่ ญ ุ ญาคารทัง้ หลายเจริญงอกงามเถิด.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
139
คำ�ใดที่เราผู้ตถาคตกล่าวแล้วว่า “ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จงมีศีลสมบูรณ์ มีปาติโมกข์สมบูรณ์อยู่เถิด เธอทั้งหลาย จงสำ�รวมด้วยปาติโมกขสังวร สมบูรณ์ด้วยมรรยาทและโคจรอยู่เถิด จงเป็นผู้เห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายที่มีประมาณเล็กน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด” ดังนี้. คำ�นั้นอันเราตถาคต อาศัยเหตุผลดังกล่าวนี้แล จึงได้กล่าวแล้ว. มู. ม. ๑๒/๕๘/๗๓.
140 พุ ท ธ ว จ น
๕๐ ผลของการมีศีล ภิกษุทั้งหลาย ! สั ต ว์ ทั้ ง หลายเป็ น ผู้ มี ก รรม เป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำ�เนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำ� กรรมใดไว้ ดีกต็ ามชัว่ ก็ตาม จักเป็นผูร้ บั ผลแห่งกรรมนัน้ . ภิกษุทั้งหลาย ! บุ ค คลบางคน ในกรณี นี้ ละปาณาติบาต เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอาย ถึงความเอ็นดูกรุณาเกื้อกูลแก่ สัตว์ทง้ั หลาย. เขาไม่กระเสือกกระสนด้วย (กรรมทาง) กาย ไม่กระเสือกกระสนด้วย (กรรมทาง) วาจา ไม่กระเสือกกระสน ด้วย (กรรมทาง) ใจ; กายกรรมของเขาตรง วจีกรรมของ เขาตรง มโนกรรมของเขาตรง : คติของเขาตรง อุปบัติ ของเขาตรง. ภิกษุทั้งหลาย ! สำ�หรับผูม้ คี ติตรง มีอปุ บัตติ รงนัน้ เรากล่าวคติอย่างใดอย่างหนึง่ ในบรรดาคติสองอย่างแก่เขา คือ เหล่าสัตว์ผ้มู ีสุขโดยส่วนเดียว หรือว่าตระกูลอันสูง
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
141
ตระกูลขัตติยมหาศาล ตระกูลพราหมณ์มหาศาล หรือ ตระกูลคหบดีมหาศาลอันมัง่ คัง่ มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์มาก... (ในกรณีแห่งบุคคลผู้ไม่กระทำ�อทินนาทาน ไม่กระทำ� กาเมสุ มิ จ ฉาจาร ก็ ไ ด้ ต รั ส ไว้ ด้ ว ยข้ อ ความอย่ า งเดี ย วกั น กั บ ในกรณี ข องผู้ ไ ม่ ก ระทำ � ปาณาติ บ าต ดั ง กล่ า วมาแล้ ว ข้ า งบน ทุกประการ).
ทสก. อํ. ๒๔/๓๑๑/๑๙๓.
142 พุ ท ธ ว จ น
๕๑ ผลของการไม่มีศีล ภิกษุทั้งหลาย ! ปาณาติ บ าต ที่ เ สพทั่ ว แล้ ว เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อนรก เป็นไป เพื่อกำ�เนิดเดรัจฉาน เป็นไปเพื่อเปรตวิสัย วิบากแห่ง ปาณาติบาตของผู้เป็นมนุษย์ที่เบากว่าวิบากทั้งปวง คือ วิบากที่เป็นไปเพื่อ มีอายุสั้น. ภิกษุทั้งหลาย ! อทิ น นาทาน ที่ เ สพทั่ ว แล้ ว เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อนรก เป็นไป เพื่อกำ�เนิดเดรัจฉาน เป็นไปเพื่อเปรตวิสัย วิบากแห่ง อทิ น นาทานของผู้ เ ป็ น มนุ ษ ย์ ที่ เ บากว่ า วิ บ ากทั้ ง ปวง คือ วิบากที่เป็นไปเพื่อ ความเสื่อมแห่งโภคทรัพย์. ภิกษุทั้งหลาย ! กาเมสุมจิ ฉาจาร ทีเ่ สพทัว่ แล้ว เจริ ญ แล้ ว ทำ � ให้ ม ากแล้ ว ย่ อ มเป็ น ไปเพื่ อ นรก เป็ น ไปเพื่ อ กำ � เนิ ด เดรั จ ฉาน เป็ น ไปเพื่ อ เปรตวิ สั ย วิบากแห่งกาเมสุมิจฉาจารของผู้เป็นมนุษย์ที่เบากว่า วิบากทั้งปวง คือ วิบากที่เป็นไปเพื่อ ก่อเวรด้วยศัตรู.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
143
ภิกษุทั้งหลาย ! มุ ส า ว า ท ที่ เ ส พ ทั่ ว แ ล้ ว เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อนรก เป็น ไปเพื่อกำ�เนิดเดรัจฉาน เป็นไปเพื่อเปรตวิสัย วิบาก แห่งมุสาวาทของผู้เป็นมนุษย์ที่เบากว่าวิบากทั้งปวง คือ วิบากที่เป็นไปเพื่อ การถูกกล่าวตู่ด้วยคำ�ไม่จริง. ภิกษุทั้งหลาย ! ปิสุณาวาท (คำ�ยุยงให้แตกกัน) ทีเ่ สพทัว่ แล้ว เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพือ่ นรก เป็นไปเพื่อกำ�เนิดเดรัจฉาน เป็นไปเพื่อเปรตวิสัย วิบาก แห่งปิสุณาวาทของผู้เป็นมนุษย์ที่เบากว่าวิบากทั้งปวง คือ วิบากที่เป็นไปเพื่อ การแตกจากมิตร. ภิกษุทั้งหลาย ! ผรุสวาท (คำ�หยาบ) ที่เสพทั่ว แล้ว เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อนรก เป็นไปเพื่อกำ�เนิดเดรัจฉาน เป็นไปเพื่อเปรตวิสัย วิบาก แห่งผรุสวาทของผู้เป็นมนุษย์ที่เบากว่าวิบากทั้งปวง คือ วิบากที่เป็นไปเพื่อ การได้ฟังเสียงที่ไม่น่าพอใจ.
144 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! สัมผัปปลาปวาท (คำ�เพ้อเจ้อ) ทีเ่ สพทัว่ แล้ว เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพือ่ นรก เป็นไปเพื่อกำ�เนิดเดรัจฉาน เป็นไปเพื่อเปรตวิสัย วิบาก แห่งสัมผัปปลาปวาทของผู้เป็นมนุษย์ที่เบากว่าวิบาก ทั้งปวง คือ วิบากที่เป็นไปเพื่อ วาจาที่ไม่มีใครเชื่อถือ. ภิกษุทั้งหลาย ! การดืม่ น้�ำ เมาคือสุราและเมรัย ทีเ่ สพทัว่ แล้ว เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพือ่ นรก เป็นไปเพื่อกำ�เนิดเดรัจฉาน เป็นไปเพื่อเปรตวิสัย วิบาก แห่งการดืม่ น้�ำ เมาของผูเ้ ป็นมนุษย์ทเ่ี บากว่าวิบากทัง้ ปวง คือ วิบากที่เป็นไปเพื่อ ความเป็นบ้า (อุมฺมตฺตก). อฏก. อํ. ๒๓/๒๕๑/๑๓๐.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
145
๕๒ ทำ�ดี ได้ดี มาณพ ! บุ ค คลบางคนในโลกนี้ จ ะเป็ น สตรี ก็ตาม บุรษุ ก็ตาม ละปาณาติบาตแล้ว เป็นผูเ้ ว้นขาดจาก ปาณาติบาต วางอาชญา วางศัสตราได้ มีความละอาย ถึงความเอ็นดู อนุเคราะห์ดว้ ยความเกือ้ กูลในสรรพสัตว์และ ภูตอยู่ เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนัน้ อันเขาให้พรัง่ พร้อมสมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ทีใ่ ดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีอายุยืน. มาณพ ! บุ ค คลบางคนในโลกนี้ จ ะเป็ น สตรี ก็ ต าม บุ รุ ษ ก็ ต าม เป็ น ผู้ มี ป กติ ไ ม่ เ บี ย ดเบี ย นสั ต ว์ ด้ ว ยฝ่ า มื อ หรื อ ก้ อ นดิ น หรื อ ท่ อ นไม้ หรื อ ศั ส ตรา เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อั น เขาให้ พ รั่ ง พร้ อ มสมาทานไว้ อ ย่ า งนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีโรคน้อย.
146 พุ ท ธ ว จ น
มาณพ ! บุ ค คลบางคนในโลกนี้ จ ะเป็ น สตรี ก็ตาม บุรุษก็ตาม ย่อมเป็นผู้ให้ข้าว น้ำ� ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องตาม ประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาตายไป จะเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคน มีโภคทรัพย์มาก. มาณพ ! บุ ค คลบางคนในโลกนี้ จ ะเป็ น สตรี ก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็ น คนไม่ มั ก โกรธ ไม่มากด้วย ความแค้นเคือง ถูกเขาว่ามากก็ไม่ขัดใจ ไม่โกรธเคือง ไม่พยาบาท ไม่มาดร้าย ไม่ทำ�ความโกรธ ความร้าย และ ความขึง้ เคียดให้ปรากฏ เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนน่าเลื่อมใส.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
147
มาณพ ! บุ ค คลบางคนในโลกนี้ จ ะเป็ น สตรี ก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นผู้มีใจไม่ริษยา ย่อมไม่ริษยา ไม่มุ่งร้าย ไม่ผูกใจอิจฉาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และการบูชาของคนอื่น เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้ พรั่ ง พร้ อ มสมาทานไว้ อ ย่ า งนี้ หากตายไปไม่ เ ข้ า ถึ ง สุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ทีใ่ ดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีศักดามาก. มาณพ ! บุ ค คลบางคนในโลกนี้ จ ะเป็ น สตรี ก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นคนไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่ง ย่อม กราบไหว้คนทีค่ วรกราบไหว้ ลุกรับคนทีค่ วรลุกรับ ให้อาสนะ แก่คนที่สมควรแก่อาสนะ ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทาง สักการะคนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ นับถือ คนที่ควรนับถือ บูชาคนที่ควรบูชา เขาตายไป จะเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็น คนเกิดในสกุลสูง.
148 พุ ท ธ ว จ น
มาณพ ! บุ ค คลบางคนในโลกนี้ จ ะเป็ น สตรี ก็ ต าม บุ รุ ษ ก็ ต าม ย่ อ มเป็ น ผู้ เ ข้ า ไปหาสมณะหรื อ พราหมณ์แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรเมือ่ ทำ�ย่อมเป็นไปเพือ่ ไม่เกือ้ กูล เพือ่ ทุกข์สน้ิ กาลนาน หรือว่าอะไรเมื่อทำ�ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ ความสุขสิ้นกาลนาน เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีปัญญามาก. อุปริ. ม. ๑๔/๓๗๗-๓๘๔/๕๘๓-๕๙๕.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
149
๕๓ ธรรมดาของโลก มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข และ ทุกข์ แปดอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงในหมู่มนุษย์ ไม่ยั่งยืนมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา. ผู้มีปัญญา มีสติ รู้ความข้อนี้แล้ว ย่อมเพ่งอยู่ในความแปรปรวน เป็นธรรมดาของโลกธรรมนั้น. อฏก. อํ. ๒๓/๑๕๙/๙๖.
150 พุ ท ธ ว จ น
๕๔ กรรมทีท่ �ำ ให้ได้รบั ผลเป็นความไม่ตกต่�ำ ภิกษุทั้งหลาย ! แ ต่ ช า ติ ที่ แ ล้ ว ม า แ ต่ อ ดี ต ตถาคตได้เคยเจริญเมตตาภาวนาตลอด ๗ ปี จึงไม่ เคยมาบังเกิดในโลกมนุษย์นี้ ตลอด ๗ สังวัฏฏกัปป์ และวิวัฏฏกัปป์ ในระหว่างกาลอันเป็นสังวัฏฏกัปป์นั้น เราได้บังเกิดในอาภัสสรพรหม ในระหว่างกาลอันเป็น วิวัฏฏกัปป์นั้น เราก็ได้อยู่พรหมวิมานอันว่างเปล่าแล้ว. ภิกษุทั้งหลาย ! ในกั ป ป์ น้ัน เราได้ เ คยเป็ น พรหม ได้เคยเป็นมหาพรหมผูย้ ง่ิ ใหญ่ ไม่มใี ครครอบงำ�ได้ เป็นผูเ้ ห็นสิง่ ทัง้ ปวงโดยเด็ดขาด เป็นผูม้ อี �ำ นาจสูงสุด. ภิกษุทั้งหลาย ! เราได้เคยเป็นสักกะ ผู้เป็น จอมแห่งเทวดา นับได้ ๓๖ ครั้ง เราได้เคยเป็น ราชาจักรพรรดิผู้ประกอบด้วยธรรม เป็นพระราชา โดยธรรม มีแว่นแคว้นจรดมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นที่สุด เป็นผู้ชนะแล้วอย่างดี มีชนบทอันบริบูรณ์ประกอบด้วย แก้วเจ็ดประการ นับด้วยร้อยๆ ครัง้ , ทำ�ไมจะต้องกล่าวถึง ความเป็นราชาตามธรรมดาด้วย.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
151
ภิกษุทั้งหลาย ! ความคิ ด ได้ เ กิ ด ขึ้ น แก่ เ ราว่ า ผลวิบากแห่งกรรมอะไรของเราหนอ ที่ทำ�ให้เราเป็นผู้มี ฤทธิม์ ากถึงอย่างนี้ มีอานุภาพมากถึงอย่างนี้ ในครัง้ นัน้ ๆ. ภิกษุทั้งหลาย ! ความรู้ สึ ก ได้ เ กิ ด ขึ้ น แก่ เ รา ว่า ผลวิบากแห่งกรรม ๓ อย่างนี้แล ที่ทำ�ให้เรามีฤทธิ์ มากถึงอย่างนี้ มีอานุภาพมากถึงอย่างนี้, วิบากแห่งกรรม ๓ อย่าง ในครั้งนั้น คือ :(๑) ผลวิบากแห่งทาน การให้ (๒) ผลวิบากแห่งทมะ การบีบบังคับใจ (๓) ผลวิบากแห่งสัญญมะ การสำ�รวมระวัง ดังนี้. อิติวุ. ขุ. ๒๕/๒๔๐/๒๐๐.
152 พุ ท ธ ว จ น
๕๕ ทานทีใ่ ห้แล้วในสงฆ์แบบใด จึงมีผลมาก ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคล ๘ จำ�พวกเหล่านี้ เป็นผู้ควรแก่ของบูชา ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ของทำ�บุญ ควรทำ�อัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า. ๘ จำ�พวกอะไรบ้างเล่า ? ๘ จำ�พวก คือ :(๑) พระโสดาบัน (๒) พระผู้ปฏิบัติเพื่อทำ�ให้แจ้งโสดาปัตติผล (๓) พระสกทาคามี (๔) พระผู้ปฏิบัติเพื่อทำ�ให้แจ้งสกทาคามิผล (๕) พระอนาคามี (๖) พระผู้ปฏิบัติเพื่อทำ�ให้แจ้งอนาคามิผล (๗) พระอรหันต์ (๘) พระผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นอรหันต์
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
153
ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคล ๘ จำ�พวกเหล่านีแ้ ล เป็นผูค้ วรแก่ของบูชา ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ของทำ�บุญ ควรทำ�อัญชลี เป็นเนือ้ นาบุญของโลกไม่มนี าบุญอืน่ ยิ่งกว่า. “ผู้ปฏิบัติแล้ว ๔ จำ�พวก และผู้ตั้งอยู่ในผลแล้ว ๔ จำ�พวก นี่แหละ ! สงฆ์ที่เป็นคนตรง, เป็นผู้ตั้งมั่นแล้วในปัญญาและศีล ย่อมกระทำ�ให้เกิดบุญอืน่ เนือ่ งด้วยอุปธิแก่มนุษย์ทง้ั หลาย ผู้มีความต้องการด้วยบุญ กระทำ�การบูชาอยู่ ทานที่ให้แล้วในสงฆ์ จึงมีผลมาก”. อฏก. อํ. ๒๓/๓๐๑/๑๔๙.
154 พุ ท ธ ว จ น
๕๖ ผู้ประสบบุญใหญ่ ภิกษุทั้งหลาย ! นักบวชผูม้ ศี ลี เข้าไปสูส่ กุลใด มนุษย์ทั้งหลายในสกุลนั้น ย่อมประสบบุญเป็นอันมาก ด้วยฐานะ ๕ อย่าง. ฐานะ ๕ อย่าง อะไรบ้างเล่า ? ๕ อย่าง คือ :(๑) ในสมัยใด จิตของมนุษย์ทั้งหลาย ย่อม เลื่อมใส เพราะได้เห็นนักบวชผู้มีศีล ซึ่งเข้าไปสู่สกุล, ในสมัยนั้น สกุลนั้น ชื่อว่า ปฏิบัติข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อ สวรรค์. (๒) ในสมัยใด มนุษย์ทั้งหลาย พากันต้อนรับ กราบไหว้ ให้อาสนะแก่นักบวชผู้มีศีล ซึ่งเข้าไปสู่สกุล, ในสมัยนั้น สกุลนั้น ชื่อว่า ปฏิบัติข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อ การเกิดในสกุลสูง. (๓) ในสมัยใด มนุษย์ทั้งหลาย กำ�จัดมลทิน คือความตระหนีเ่ สียได้ในนักบวชผูม้ ศี ลี ซึง่ เข้าไปสูส่ กุล, ในสมัยนั้น สกุลนั้น ชื่อว่า ปฏิบัติข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อ การได้เกียรติศักดิ์อันใหญ่.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
155
(๔) ในสมัยใด มนุษย์ทง้ั หลาย ย่อมแจกจ่ายทาน ตามสติ ตามกำ�ลังในนักบวชผู้มีศีล ซึ่งเข้าไปสู่สกุล, ในสมัยนั้น สกุลนั้น ชื่อว่า ปฏิบัติข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อ การได้โภคทรัพย์ใหญ่. (๕) ในสมัยใด มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไต่ถาม สอบสวน ย่อมฟังธรรมในนักบวชผูม้ ศี ลี ซึง่ เข้าไปสูส่ กุล, ในสมัยนั้น สกุลนั้น ชื่อว่า ปฏิบัติข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อ การได้ปัญญาใหญ่. ภิกษุทั้งหลาย ! นักบวชผูม้ ศี ลี เข้าไปสูส่ กุลใด, มนุษย์ทั้งหลายในสกุลนั้น ย่อมประสบบุญเป็นอันมาก ด้วยฐานะ ๕ อย่างเหล่านี้ แล. ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๗๑/๑๙๙.
ธรรมะกับการสอบ
158 พุ ท ธ ว จ น
๕๗ ต้องขึงสายพิณพอเหมาะ โสณะ ! เธอมีความคิดในเรื่องนี้ เป็นอย่างไร : เมื่อก่อนแต่ครั้งเธอยังเป็นคฤหัสถ์ เธอเชี่ยวชาญในเรื่อง เสียงแห่งพิณ มิใช่หรือ ? “เป็นเช่นนี้ พระเจ้าข้า !”.
โสณะ ! เธอจะสำ�คัญข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อใด สายพิณของเธอขึงตึงเกินไป เมื่อนั้น พิณของเธอจะมี เสียงไพเราะน่าฟังหรือ จะใช้การได้หรือ ? “ไม่เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า !”.
โสณะ ! เธอจะสำ�คัญข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อใด สายพิณของเธอขึงหย่อนเกินไป เมื่อนั้น พิณของเธอจะมี เสียงไพเราะน่าฟังหรือ จะใช้การได้หรือ ? “ไม่เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า !”.
โสณะ ! แต่วา่ เมือ่ ใด สายพิณของเธอ ไม่ตงึ นัก หรื อ ไม่ ห ย่ อ นนั ก ขึ ง ได้ ร ะเบี ย บเสมอๆ กั น แต่ พ อดี เมือ่ นัน้ พิณของเธอย่อมมีเสียงไพเราะน่าฟังหรือใช้การได้ดี มิใช่หรือ ? “เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า !”.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
159
โสณะ ! ข้อนี้ก็เป็นเช่นนั้นแล กล่าวคือ ความเพียรที่บุคคลปรารภจัดเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน, ย่อหย่อนเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน. โสณะ ! เหตุผลนั้นแล เธอจงตั้งความเพียรแต่พอดี, จงเข้าใจความที่อินทรีย์ทั้งหลาย ต้องเป็นธรรมชาติที่เสมอๆ กัน, จงกำ�หนดหมายในความพอดีนั้นไว้เถิด. “พระเจ้าข้า ! ข้าพระองค์จักปฏิบัติอย่างนั้น”. ฉกฺก. อํ ๒๒/๔๑๘/๓๒๖.
160 พุ ท ธ ว จ น
๕๘ ผู้เห็นแก่นอน ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้ ง หลาย จะเข้ า ใจ เรื่องนี้กันอย่างไร ? พวกเธอเคยได้เห็นได้ฟังมาบ้างหรือว่า พระราชา ผู้เป็นกษัตริย์ได้รับมุรธาภิเษกแล้ว ทรงประกอบความสุข ในการประทม หาความสุขในการเอนพระวรกาย หาความสุข ในการประทมหลั บ ตามแต่ พ ระประสงค์ อ ยู่ เ นื อ งนิ จ ยังคงทรงปกครองราชสมบัตใิ ห้เป็นทีร่ กั ใคร่ ถูกใจพลเมือง จนตลอดพระชนม์ชีพได้อยู่หรือ ? “อย่างนี้ ไม่เคยได้เห็นได้ฟังเลย พระเจ้าข้า !”.
ดีแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่กล่าวนี้ แม้เราเองก็ ไม่เคยได้เห็น ได้ฟังอย่างนั้นเหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้ ง หลาย จะเข้ า ใจ เรื่องนี้กันอย่างไร ? พวกเธอเคยได้เห็นได้ฟงั มาบ้างหรือว่า ผูค้ รองรัฐก็ดี ทายาทผู้สืบมรดกก็ดี เสนาบดีก็ดี นายบ้านก็ดี และ หัวหน้าหมูบ่ า้ นก็ดี ประกอบความสุขในการนอน หาความสุข
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
161
ในการเอนกาย หาความสุขในการหลับ ตามสบายใจอยู่ เนืองนิจ ยังคงดำ�รงตำ�แหน่งนั้นๆ ให้เป็นที่รักใคร่ ถูกใจ ของ (ประชาชนทุกเหล่า) กระทั่งลูกหมู่ จนตลอดชีวิตได้ อยู่หรือ ? “อย่างนี้ ไม่เคยได้เห็นได้ฟังเลย พระเจ้าข้า !”.
ดีแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่กล่าวนี้ แม้เราเองก็ ไม่เคยได้เห็น ได้ฟัง อย่างนั้นเหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้ ง หลาย จะเข้ า ใจ เรื่องนี้กันอย่างไร ? พวกเธอเคยได้เห็นได้ฟังมาบ้างหรือว่า สมณะ หรือพราหมณ์ ที่เอาแต่ประกอบความสุขในการนอน หาความสุขในการเอนกาย หาความสุขในการหลับ ตาม สบายใจอยู่เสมอๆ, ทั้งเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ ทั้งหลาย, ไม่รู้ประมาณในการบริโภค, ไม่ตามประกอบ ธรรมเป็นเครือ่ งตืน่ , ไม่เห็นแจ่มแจ้งซึง่ กุศลธรรมทัง้ หลาย, ไม่ตามประกอบการทำ�เนืองๆ ในโพธิปักขิยธรรม ทั้งใน ยามต้ น และยามปลาย แล้ ว ยั ง จะกระทำ � ให้ แ จ้ ง ได้ ซึ่ ง เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความ
162 พุ ท ธ ว จ น
สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันประเสริฐยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมเทียว เข้าถึงแล้วแลอยู่ ? “ข้อนั้น ก็ยังไม่เคยได้เห็นได้ฟังเลย พระเจ้าข้า !”.
ดีแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่กล่าวถึงนี้ แม้เราเอง ก็ไม่เคยได้เห็น ได้ฟังอย่างนั้นเหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนัน้ ในเรือ่ งนีพ้ วกเธอ ทั้งหลาย พึงสำ�เหนียกใจไว้ว่า “เราทั้งหลาย จักคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย, เป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค, ตามประกอบธรรมเป็นเครื่องตื่น, เป็นผู้เห็นแจ่มแจ้งซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย, และจักตามประกอบอนุโยคภาวนาในโพธิปักขิยธรรม ทั้งในยามต้นและยามปลายอยู่เสมอๆ” ดังนี้. ภิกษุท้งั หลาย ! พวกเธอทัง้ หลายพึงสำ�เหนียกใจ อย่างนี้แล. ฉกฺก. อํ. ๒๒/๓๓๓/๒๘๘.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
163
๕๙ ลักษณะของ “ผูม้ คี วามเพียรตลอดเวลา” ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ อ ภิ ก ษุ กำ � ลั ง เดิ น ...ยื น ... นั่ง...นอนอยู่ ถ้าเกิดครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางเดือดแค้น หรือ ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางทำ�ผู้อื่นให้ลำ�บากเปล่าๆ ขึน้ มา, และภิกษุ ก็ไม่รบั เอาความครุน่ คิดนัน้ ไว้ สละทิง้ ไป ถ่ายถอนออก ทำ�ให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ; ภิกษุทเ่ี ป็นเช่นนี้ แม้ก�ำ ลังเดิน...ยืน...นัง่ ...นอนอยู่ ก็เรียกว่าเป็นผูท้ �ำ ความเพียรเผากิเลส รูส้ กึ กลัวต่อสิง่ ลามก เป็นคนปรารภความเพียร อุทิศตนในการเผากิเลสอยู่ เนืองนิจ. จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๗/๑๑.
164 พุ ท ธ ว จ น
๖๐ ลักษณะของ “ผู้เกียจคร้านตลอดเวลา” ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ อ ภิ ก ษุ กำ � ลั ง เดิ น ...ยื น ... นั่ง...นอนอยู่ ถ้าเกิดครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม หรือครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางเดือดแค้น หรือ ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางทำ�ผู้อื่นให้ลำ�บากเปล่าๆ ขึ้นมา, และภิกษุก็รับเอาความครุ่นคิดนั้นไว้ ไม่สละทิ้ง ไม่ถ่ายถอนออก ไม่ทำ�ให้สุดสิ้นไป จนไม่มีเหลือ; ภิกษุที่เป็นเช่นนี้ แม้กำ�ลังเดิน...ยืน...นั่ง...นอน อยู่ ก็เรียกว่า เป็นผู้ไม่ทำ�ความเพียรเผากิเลส ไม่รู้สึกกลัว ต่อสิ่งลามก เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรอันเลวทราม อยู่เนืองนิจ. จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๖/๑๑.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
165
๖๑ วิธีการตามรักษาไว้ซึ่งความจริง (สจฺจานุรกฺขณา)
“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! การตามรักษาไว้ซึ่งความจริง (สจฺจานุรกฺขณา) นั้น มีได้ด้วยการกระทำ�เพียงเท่าไร ? บุคคล จะตามรักษาไว้ซึ่งความจริงนั้นได้ ด้วยการกระทำ�เพียงเท่าไร ? ข้าพเจ้าขอถามพระโคดมผูเ้ จริญถึงวิธกี ารตามรักษาไว้ซง่ึ ความจริง”.
ภารท๎วาชะ ! ถ้าแม้ ความเชื่อ ของบุรุษ มีอยู่ และเขาก็ ตามรักษาไว้ซึ่งความจริง กล่าวอยู่ว่า “ข้าพเจ้ามีความเชื่ออย่างนี้” ดังนี้, เขาก็ อย่าพึงถึงซึ่งการสันนิษฐานโดยส่วนเดียว ว่า “อย่างนี้เท่านั้นจริง, อย่างอื่นเปล่า” ดังนี้ก่อน ... ภารท๎วาชะ ! ถ้าแม้ ความชอบใจ ของบุรษุ มีอยู่ และเขาก็ ตามรักษาไว้ซึ่งความจริง กล่าวอยู่ว่า “ข้าพเจ้ามีความชอบใจอย่างนี้” ดังนี้, เขาก็ อย่าพึงถึงซึ่งการสันนิษฐานโดยส่วนเดียว ว่า “อย่างนี้เท่านั้นจริง, อย่างอื่นเปล่า” ดังนี้ก่อน ...
166 พุ ท ธ ว จ น
ภารท๎วาชะ ! ถ้าแม้ เรื่องที่ฟังตามๆ กันมา ของบุรุษ มีอยู่ และเขาก็ตามรักษาไว้ซึ่งความจริง กล่าวอยู่ว่า “ข้าพเจ้ามีเรื่องที่ฟังตามๆ กันมาอย่างนี้” ดังนี้, เขาก็ อย่าพึงถึงซึ่งการสันนิษฐานโดยส่วนเดียว ว่า “อย่างนี้เท่านั้นจริง, อย่างอื่นเปล่า” ดังนี้ก่อน ... ภารท๎วาชะ ! ถ้าแม้ ความตริตรึกไปตามเหตุผลทีแ่ วดล้อม ของบุรษุ มีอยู่ และเขาก็ตามรักษาไว้ซึ่งความจริง กล่าวอยู่ว่า “ข้าพเจ้ามีความตริตรึกไปตามเหตุผลที่แวดล้อมอย่างนี้” ดังนี้, เขาก็ อย่าพึงถึงการสันนิษฐานโดยส่วนเดียว ว่า “อย่างนี้เท่านั้นจริง, อย่างอื่นเปล่า” ดังนี้ก่อน ... ภารท๎วาชะ ! ถ้าแม้ ข้อยุติที่ทนได้ต่อการเพ่งพินิจด้วยความเห็น ของบุรุษ มีอยู่ และเขาก็ตามรักษาไว้ซึ่งความจริง กล่าวอยู่ว่า “ข้าพเจ้ามีข้อยุติที่ทนได้ต่อการเพ่งพินิจด้วยความเห็น อย่างนี้” ดังนี้,
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
167
เขาก็ อย่าพึงถึงซึ่งการสันนิษฐานโดยส่วนเดียว ว่า “อย่างนี้เท่านั้นจริง, อย่างอื่นเปล่า” ดังนี้ก่อน. ภารท๎วาชะ ! ด้วยการกระทำ�เพียงเท่านี้แล การตามรักษาไว้ซึ่งความจริง ย่อมมี, บุคคลชื่อว่า ย่อมตามรักษาไว้ซึ่งความจริง ด้วยการกระทำ�เพียงเท่านี้, และเราบัญญัติการตามรักษาไว้ซึ่งความจริง ด้วยการกระทำ�เพียงเท่านี้; แต่ว่านั่นยังไม่เป็นการตามรู้ซึ่งความจริง.
168 พุ ท ธ ว จ น
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
169
๖๒ การตามรู้ซึ่งความจริง (สจฺจานุโพโธ)
“ข้ า แต่ พ ระโคดมผู้ เ จริ ญ ! การตามรู้ ซึ่ ง ความจริ ง (สจฺจานุโพโธ) มีได้ ด้วยการกระทำ�เพียงเท่าไร ? บุคคลชื่อว่า ตามรู้ซึ่งความจริง ด้วยการกระทำ�เพียงเท่าไร ? ข้าพเจ้าขอถาม พระโคดมผู้เจริญถึงการตามรู้ซึ่งความจริง”.
ภารท๎วาชะ ! ได้ ยิ น ว่ า ภิ ก ษุ ใ นธรรมวิ นั ย นี้ ได้เข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านหรือในนิคมแห่งใดแห่งหนึ่ง. คหบดีหรือคหบดีบตุ ร ได้เข้าไปใกล้ภกิ ษุนน้ั แล้วใคร่ครวญ ดูอยู่ในใจเกี่ยวกับธรรม ๓ ประการ คือ :ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโลภะ ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ... เมือ่ เขาใคร่ครวญดูอยูซ่ ง่ึ ภิกษุนน้ั ย่อมเล็งเห็นว่า เป็นผู้บริสุทธิ์จากธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโลภะ ต่อแต่นั้น เขาจะพิ จ ารณาใคร่ค รวญภิก ษุนั้นให้ยิ่ง ขึ้น ไปในธรรม ทั้ ง หลายอั น เป็ น ที่ ตั้ ง แห่ ง โทสะ… ในธรรมทั้ ง หลาย
170 พุ ท ธ ว จ น
อันเป็นทีต่ ง้ั แห่งโมหะ… เมือ่ เขาใคร่ครวญดูอยูซ่ ง่ึ ภิกษุนน้ั ย่อมเล็งเห็นว่า เป็นผูบ้ ริสทุ ธิจ์ ากธรรมอันเป็นทีต่ ง้ั แห่งโทสะ... ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ ลำ�ดับนั้น เขา : (๑) ปลูกฝัง ศรัทธา ลงไปในภิกษุนั้น ครั้นมี ศรัทธาเกิดแล้ว (๒) ย่อม เข้าไปหา ครัน้ เข้าไปหาแล้ว (๓) ย่อม เข้าไปนัง่ ใกล้ ครัน้ เข้าไปนัง่ ใกล้แล้ว (๔) ย่อม เงี่ยโสตลง ครั้นเงี่ยโสตลง (๕) ย่อม ฟังซึ่งธรรม ครั้นฟังซึ่งธรรมแล้ว (๖) ย่อม ทรงไว้ซึ่งธรรม (๗) ย่อม ใคร่ครวญ ซึ่งเนื้อความแห่งธรรม ทั้งหลาย อันตนทรงไว้แล้ว เมื่อใคร่ครวญซึ่งเนื้อความ แห่งธรรมอยู่ (๘) ธรรมทัง้ หลายย่อมทนต่อความเพ่งพินจิ , เมื่อการทนต่อการเพ่งพินิจของธรรมมีอยู่ (๙) ฉันทะย่อมเกิดขึ้น ผู้มีฉันทะเกิดขึ้นแล้ว (๑๐) ย่อม มีอุสสาหะ ครั้นมีอุสสาหะแล้ว
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
171
(๑๑) ย่อม พิจารณาหาความสมดุลย์แห่งธรรม, ครั้นมีความสมดุลย์แห่งธรรมแล้ว (๑๒) ย่อม ตั้งตนไว้ในธรรมนั้น; เขาผู้มีตน ส่งไปแล้วอย่างนีอ้ ยู ่ ย่อม กระทำ�ให้แจ้งซึง่ ปรมัตถสัจจะ (ความจริ ง โดยความหมายสู ง สุ ด ) ด้ ว ยนามกาย ด้ ว ย, ย่อม แทงตลอดซึง่ ธรรมนัน้ แล้วเห็นอยูด่ ว้ ยปัญญา ด้วย. ภารท๎วาชะ ! การตามรู้ซึ่งความจริง ย่อมมี ด้วยการกระทำ�เพียงเท่านี้, บุคคลชื่อว่า ย่อมตามรู้ซึ่งความจริง ด้วยการกระทำ�เพียงเท่านี้, และเราบัญญัติการตามรู้ซึ่งความจริง ด้วยการกระทำ�เพียงเท่านี้; แต่วา่ นัน่ ยังไม่เป็นการตามบรรลุถงึ ซึง่ ความจริง.
172 พุ ท ธ ว จ น
๖๓ การตามบรรลุถึงซึ่งความจริง (สจฺจานุปตฺติ)
“ข้าแต่พระโคดมผูเ้ จริญ ! การตามบรรลุถงึ ซึง่ ความจริง (สจฺจานุปตฺต)ิ มีได้ ด้วยการกระทำ�เพียงเท่าไร ? บุคคลชือ่ ว่าย่อม ตามบรรลุถึงซึ่งความจริง ด้วยการกระทำ�เพียงเท่าไร ? ข้าพเจ้า ขอถามพระโคดมผู้เจริญถึงการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง”.
ภารท๎วาชะ ! การเสพคบ การทำ � ให้ เ จริ ญ การกระทำ�ให้มาก ซึ่งธรรมทั้งหลายเหล่านั้นแหละ (ทั้ง ๑๒ ข้อ ข้างต้น) เป็นการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง. ภารท๎วาชะ ! การตามบรรลุถึงซึ่งความจริง ย่อมมี ด้วยการกระทำ�เพียงเท่านี้, บุคคลชื่อว่า ย่อมตามบรรลุถึงซึ่งความจริง ด้วยการกระทำ�เพียงเท่านี้, และเราบัญญัติการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง ด้วยการกระทำ�เพียงเท่านี้. ม. ม. ๑๓/๖๐๑-๖๐๕/๖๕๕-๖๕๗.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
173
๖๔ ทำ�ความเพียรแข่งกับอนาคตภัย ภิกษุทั้งหลาย ! ภั ย ในอนาคตเหล่ า นี้ มี อ ยู่ ๕ ประการ ซึ่งภิกษุผู้มองเห็นอยู่ ควรแท้ที่จะเป็น ผูไ้ ม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วใน การทำ�เช่นนัน้ อยูต่ ลอดไป, เพือ่ ถึงสิง่ ทีย่ งั ไม่ถงึ เพือ่ บรรลุ สิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำ�ให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำ�ให้แจ้งเสีย โดยเร็ว. ภัยในอนาคต ๕ ประการนั้น คืออะไรบ้างเล่า ? ๕ ประการ คือ :(๑) ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ พิ จ ารณาเห็ น ชั ด แจ้ ง ว่ า “บัดนี้ เรายังหนุม่ ยังเยาว์วยั ยังรุน่ คะนอง มีผมยังดำ�สนิท ตัง้ อยูใ่ นวัยกำ�ลังเจริญ คือปฐมวัย; แต่จะมีสกั คราวหนึง่ ที่ความแก่ จะมาถึงร่างกายนี้, ก็คนแก่ ถูกความชรา ครอบงำ�แล้ว จะมนสิการถึงคำ�สอนของท่านผูร้ ทู้ ง้ั หลายนัน้ ไม่ทำ�ได้สะดวกเลย; และจะเสพเสนาสนะอันเงียบสงัด ซึ่งเป็นป่าชัฏ ก็ไม่ทำ�ได้ง่ายๆ เลย. ก่อนแต่สิ่งอันไม่เป็น
174 พุ ท ธ ว จ น
ที่ต้องการ ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ (คือความแก่) นั้น จะมาถึงเรา เราจะรีบทำ�ความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำ�ให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำ�ให้ แจ้งเสียโดยเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำ�ให้ผู้ถึงแล้ว แม้จะแก่เฒ่า ก็จักอยู่เป็นผาสุก” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ข้ออื่นยังมีอีก: (๒) ภิกษุพิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า “บัดนี้ เรามี อาพาธน้อย มีโรคน้อย มีไฟธาตุให้ความอบอุ่นสม่ำ�เสมอ ไม่เย็นนัก ไม่รอ้ นนัก พอปานกลาง ควรแก่การทำ�ความเพียร; แต่ จ ะมี สั ก คราวหนึ่ ง ที่ ค วามเจ็ บ ไข้ จ ะมาถึ ง ร่ า งกายนี้ , ก็คนที่เจ็บไข้ถูกพยาธิครอบงำ�แล้ว จะมนสิการถึงคำ�สอน ของท่านผู้รู้ทั้งหลายนั้น ไม่ทำ�ได้สะดวกเลย; และจะเสพ เสนาสนะอันเงียบสงัด ซึง่ เป็นป่าชัฏ ก็ไม่ท�ำ ได้งา่ ยๆ เลย. ก่อนแต่สิ่งอันไม่เป็นที่ต้องการ ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ (คือความเจ็บไข้) นั้น จะมาถึงเรา เราจะรีบทำ�ความเพียร เพือ่ ถึงสิง่ ทีย่ งั ไม่ถงึ เพือ่ บรรลุสง่ิ ทีย่ งั ไม่บรรลุ เพือ่ ทำ�ให้แจ้ง สิ่งที่ยังไม่ทำ�ให้แจ้งเสียโดยเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำ�ให้ผ้ถู ึงแล้ว แม้จะเจ็บไข้ ก็จักอยู่เป็นผาสุก” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ข้ออื่นยังมีอีก :
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
175
(๓) ภิกษุพจิ ารณาเห็นชัดแจ้งว่า “บัดนี้ ข้าวกล้า งามดี บิณฑะ (ก้อนข้าว) หาได้ง่าย เป็นการสะดวกที่จะ ยังชีวิตให้เป็นไปด้วยความพยายามแสวงหาบิณฑบาต; แต่จะมีสักคราวหนึ่งที่ ภิกษาหายาก ข้าวกล้าเสียหาย บิณฑะหาได้ยาก ไม่เป็นการสะดวกที่จะยังชีวิตให้เป็นไป ด้วยความพยายามแสวงหาบิณฑบาต, เมื่อภิกษาหายาก ที่ใดภิกษาหาง่าย คนทั้งหลายก็อพยพกันไปที่นั้น, เมื่อ เป็นเช่นนั้น ความอยู่คลุกคลีปะปนกันในหมู่คนก็จะมีขึ้น เมือ่ มีการคลุกคลีปะปนกันในหมูค่ น จะมนสิการถึงคำ�สอน ของท่านผูร้ ทู้ ง้ั หลายนัน้ ไม่ท�ำ ได้สะดวกเลย. ก่อนแต่สง่ิ อัน ไม่เป็นทีต่ อ้ งการ ไม่นา่ ใคร่ ไม่นา่ ชอบใจ (คือภิกษาหายาก) นัน้ จะมาถึงเรา เราจะรีบทำ�ความเพียร เพือ่ ถึงสิง่ ทีย่ งั ไม่ถงึ เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำ�ให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำ�ให้ แจ้งเสียโดยเร็ว ซึง่ เป็นสิง่ ทีท่ �ำ ให้ผถู้ งึ แล้ว จักอยูเ่ ป็นผาสุก แม้ในคราวที่เกิดทุพภิกขภัย” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ข้ออื่นยังมีอีก :
176 พุ ท ธ ว จ น
(๔) ภิกษุพจิ ารณาเห็นชัดแจ้งว่า “บัดนี้ คนทัง้ หลาย สมัครสมานชื่นบานต่อกัน ไม่วิวาทกัน เข้ากันได้ดุจดั่ง นมผสมกับน้ำ� มองแลกันด้วยสายตาแห่งคนที่รักใคร่กัน เป็นอยู่; แต่จะมีสักคราวหนึ่งที่ ภัย คือโจรป่ากำ�เริบ ชาวชนบทผู้ ขึ้ น อยู่ ใ นอาณาจั ก รแตกกระจั ด กระจาย แยกย้ายกันไป, เมือ่ มีภยั เช่นนี้ ทีใ่ ดปลอดภัย คนทัง้ หลาย ก็อพยพกันไปที่นั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ความอยู่คลุกคลี ปะปนกันในหมูค่ นก็จะมีขน้ึ เมือ่ มีการอยูค่ ลุกคลีปะปนกัน ในหมู่คน จะมนสิการถึงคำ�สอนของท่านผู้รู้ทั้งหลายนั้น ไม่ทำ�ได้สะดวกเลย : ก่อนแต่สิ่งอันไม่เป็นที่ต้องการ ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ (คือโจรภัย) นั้น จะมาถึงเรา เราจะรี บ ทำ � ความเพี ย ร เพื่ อ ถึ ง สิ่ ง ที่ ยั ง ไม่ ถึ ง เพื่ อ บรรลุ สิ่ ง ที่ ยั ง ไม่ บ รรลุ เพื่ อ ทำ � ให้ แ จ้ ง สิ่ ง ที่ ยั ง ไม่ ทำ � ให้ แจ้งเสียโดยเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำ�ให้ผู้ถึงแล้ว จักอยู่เป็น ผาสุก แม้ในคราวที่เกิดโจรภัย” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ข้ออื่นยังมีอีก :
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
177
(๕) ภิกษุพิจารณาเห็นชัดแจ้งว่า “บัดนี้ สงฆ์ สามัคคีปรองดองกัน ไม่ววิ าทกัน มีอเุ ทศเดียวกัน อยูเ่ ป็น ผาสุก; แต่จะมีสักคราวหนึ่งที่สงฆ์แตกกัน, เมื่อสงฆ์ แตกกันแล้ว จะมนสิการถึงคำ�สอนของท่านผูร้ ทู้ ง้ั หลาย นัน้ ไม่ทำ�ได้สะดวกเลย : ก่อนแต่สิ่งอันไม่เป็นที่ต้องการ ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ (คือสงฆ์แตกกัน) นั้นจะมาถึงเรา เราจะรีบทำ�ความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุ สิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำ�ให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำ�ให้แจ้งเสีย โดยเร็ ว ซึ่ ง เป็ น สิ่ ง ที่ ทำ � ให้ ผู้ ถึ ง แล้ ว จั ก อยู่ เ ป็ น ผาสุ ก แม้ในคราวเมื่อสงฆ์แตกกัน” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ภัยในอนาคต ๕ ประการเหล่านี้แล ซึ่งภิกษุผู้มองเห็นอยู่ ควรแท้ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้วในการทำ�เช่นนั้นอยู่ตลอดไป, เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำ�ให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำ�ให้แจ้งเสียโดยเร็ว. ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๑๗/๗๘.
178 พุ ท ธ ว จ น
๖๕ วิธีแก้ความหดหู่ ภิกษุทั้งหลาย ! ก็สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนัน้ มิใช่กาล เพือ่ เจริญปัสสัทธิสมั โพชฌงค์ มิใช่กาล เพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ มิใช่กาล เพื่อเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะจิตหดหู่ จิตทีห่ ดหูน่ น้ั ยากทีจ่ ะให้ตง้ั ขึน้ ได้ ด้วยธรรมเหล่านั้น. เปรียบเหมือนบุรุษต้องการจะก่อไฟดวงน้อยให้ ลุกโพลง เขาจึงใส่หญ้าสด โคมัยสด ไม้สด พ่นน้ำ� และ โรยฝุ่นลงในไฟนั้น บุรุษนั้นจะสามารถก่อไฟดวงน้อยให้ ลุกโพลงขึ้นได้หรือหนอ ? “ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า !”.
ฉันนั้นเหมือนกัน...
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
179
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนัน้ เป็นกาล เพือ่ เจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นกาล เพื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ เป็นกาล เพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะจิตหดหู่ จิตที่หดหู่นั้นให้ตั้งขึ้นได้ง่าย ด้วยธรรมเหล่านั้น. เปรียบเหมือนบุรุษต้องการจะก่อไฟดวงน้อยให้ ลุกโพลง เขาจึงใส่หญ้าแห้ง โคมัยแห้ง ไม้แห้ง เอาปากเป่า และไม่โรยฝุน่ ในไฟนัน้ บุรษุ นัน้ สามารถจะก่อไฟดวงน้อย ให้ลุกโพลงขึ้นได้หรือหนอ ? “ได้ พระเจ้าข้า !”.
ฉันนั้นเหมือนกัน... มหาวาร. สํ. ๑๙/๑๕๕/๕๖๘.
180 พุ ท ธ ว จ น
๖๖ วิธีแก้ความฟุ้งซ่าน ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนัน้ มิใช่กาล เพือ่ เจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ มิใช่กาล เพื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ มิใช่กาล เพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะจิตฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านนั้น ยากที่จะให้ สงบได้ด้วยธรรมเหล่านั้น. เปรียบเหมือนบุรุษต้องการจะดับไฟกองใหญ่ เขาจึงใส่หญ้าแห้ง โคมัยแห้ง ไม้แห้ง เอาปากเป่า และไม่ โรยฝุ่นลงไปในกองไฟใหญ่นั้น บุรุษนั้นสามารถจะดับไฟ กองใหญ่ได้หรือหนอ ? “ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า !”
ฉันนั้นเหมือนกัน…
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
181
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนัน้ เป็นกาล เพือ่ เจริญปัสสัทธิสมั โพชฌงค์ เป็นกาล เพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาล เพื่อเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะจิตฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านนั้น ให้สงบได้ ง่ายด้วยธรรมเหล่านั้น. เปรียบเหมือนบุรุษต้องการจะดับไฟกองใหญ่ เขาจึงใส่หญ้าสด โคมัยสด ไม้สด พ่นน้ำ� และโรยฝุ่นลงใน กองไฟใหญ่นน้ั บุรษุ นัน้ จะสามารถดับกองไฟกองใหญ่นน้ั ได้หรือหนอ ? “ได้ พระเจ้าข้า !”.
ฉันนั้นเหมือนกัน... ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าว “สติ” แลว่า มีประโยชน์ในที่ทั้งปวง. มหาวาร. สํ. ๑๙/๑๕๕/๕๖๘.
การทําสมาธิ และ
อานิสงสของการทําสมาธิ
184 พุ ท ธ ว จ น
๖๗ สมาธิภาวนา ๔ ประเภท ภิกษุทั้งหลาย ! สมาธิภาวนา ๔ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่. ๔ อย่าง อย่างไรเล่า ? ๔ อย่าง คือ :ภิกษุทั้งหลาย ! มี สมาธิภาวนา อันบุคคลเจริญ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ ๑. ความอยูเ่ ป็นสุขในปัจจุบนั (ทิฏธมฺมสุขวิหาร) ๒. การได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะ (าณทสฺสนปฏิลาภ) ๓. สติสัมปชัญญะ (สติสมฺปชญฺ) ๔. ความสิ้นแห่งอาสวะ (อาสวกฺขย) ภิกษุทั้งหลาย ! สมาธิภาวนา อันเจริญกระทำ� ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพือ่ ความอยูเ่ ป็นสุขในทิฏฐธรรม นั้น เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจากกาม ทั้งหลาย สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย เข้าถึง ปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิด
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
185
จากวิเวก แล้วแลอยู่; เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสอง ระงับลง เข้าถึง ทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจใน ภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มี วิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่; อนึ่ง เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผูอ้ ยูอ่ เุ บกขา มีสติ และสัมปชัญญะ และย่อมเสวยสุขด้วยนามกาย ชนิดที่ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้ อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ เข้าถึง ตติยฌาน แล้วแลอยู่; เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทัง้ สองในกาลก่อน เข้าถึง จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็น ธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้ คื อ สมาธิ ภ าวนา อั น เจริ ญ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขใน ทิฏฐธรรม. ภิกษุทั้งหลาย ! สมาธิภาวนา อันเจริญกระทำ� ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพือ่ การได้เฉพาะซึง่ ญาณทัสสนะ นัน้ เป็นอย่างไรเล่า ?
186 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ กระทำ�ไว้ในใจ ซึ่งอาโลกสัญญา อธิษฐานทิวาสัญญา ว่ากลางวันฉันใด กลางคืนฉันนั้น, กลางคืนฉันใด กลางวันฉันนั้น, เธอมีจิต อันเปิดแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ไม่มีอะไรห่อหุ้ม ยังจิตที่มี แสงสว่างทั่วพร้อม ให้เจริญอยู่. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้คือ สมาธิภาวนา อันเจริญ กระทำ � ให้ ม ากแล้ ว ย่ อ มเป็ น ไปเพื่ อ การได้ เ ฉพาะซึ่ ง ญาณทัสสนะ. ภิกษุทั้งหลาย ! สมาธิภาวนา อันเจริญกระทำ� ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะนั้น เป็น อย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ เวทนา เกิดขึ้น (หรือ) ตั้งอยู่ (หรือ) ดับไป ก็เป็นที่แจ่มแจ้งแก่ภิกษุ; สัญญา เกิดขึ้น (หรือ) ตั้งอยู่ (หรือ) ดับไป ก็เป็นที่แจ่มแจ้ง แก่ภิกษุ; วิตกเกิดขึ้น (หรือ) ตั้งอยู่ (หรือ) ดับไป ก็เป็นที่ แจ่มแจ้งแก่ภิกษุ. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้ คื อ สมาธิ ภ าวนา อั น เจริ ญ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
187
ภิกษุทั้งหลาย ! สมาธิภาวนา อันเจริญกระทำ� ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นแห่งอาสวะนั้น เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีน้ี มีปกติตามเห็น ความตั้งขึ้นและเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ทั้งห้า ว่า รูป เป็นอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นอย่างนี้ ความดับไป แห่งรูปเป็นอย่างนี้; เวทนาเป็นอย่างนี้ ความเกิดขึ้น แห่งเวทนาเป็นอย่างนี้ ความดับไปแห่งเวทนาเป็นอย่างนี;้ สัญญาเป็นอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาเป็นอย่างนี้ ความดับไปแห่งสัญญาเป็นอย่างนี้; สังขารเป็นอย่างนี้ ความเกิดขึน้ แห่งสังขารเป็นอย่างนี ้ ความดับไปแห่งสังขาร เป็นอย่างนี;้ วิญญาณเป็นอย่างนี้ ความเกิดขึน้ แห่งวิญญาณ เป็นอย่างนี้ ความดับไปแห่งวิญญาณเป็นอย่างนี้; ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้คือ สมาธิภาวนา อันเจริญ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นแห่งอาสวะ. ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านี้แล คือ สมาธิภาวนา ๔ อย่าง. จตุกฺก. อํ. ๒๑/๕๗/๔๑.
188 พุ ท ธ ว จ น
๖๘ อานุภาพของสมาธิ (นัยที่ ๑) ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอจงเจริญสมาธิเถิด. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผมู้ จี ติ ตัง้ มัน่ เป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ได้ตามที่เป็นจริง ซึ่งอะไรเล่า ? รู้ ไ ด้ ต ามเป็ น จริ ง ซึ่ ง ความจริ ง อั น ประเสริ ฐ ว่ า “นีเ้ ป็นทุกข์, นีเ้ ป็นเหตุให้เกิดทุกข์, นีเ้ ป็นความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์, และนี้เป็นทางดำ�เนินให้ถึงความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอจงเจริญสมาธิเถิด. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผมู้ จี ติ ตัง้ มัน่ เป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ได้ตามที่เป็นจริง. ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนน้ั ในกรณีน้ี พวกเธอ พึงกระทำ�ความเพียรเพื่อให้รู้ว่า “นี้เป็นทุกข์, นี้เป็น เหตุ ใ ห้ เ กิ ด ทุ ก ข์ , นี้ เ ป็ น ความดั บ ไม่ เ หลื อ แห่ ง ทุ ก ข์ , และนี้เป็นทางดำ�เนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์” ดังนี้เถิด. มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๐/๑๖๕๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
189
๖๙ อานุภาพของสมาธิ (นัยที่ ๒) ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้ ง หลาย จงเจริ ญ สมาธิเถิด. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผมู้ จี ติ เป็นสมาธิตง้ั มัน่ แล้ว ย่อมรูช้ ดั ตามทีเ่ ป็นจริง ก็ภกิ ษุนน้ั ย่อมรูช้ ดั ตามทีเ่ ป็นจริง ซึ่งอะไรเล่า ? ภิกษุนน้ั ย่อมรูช้ ดั ตามทีเ่ ป็นจริง ซึง่ ความเกิดขึน้ และความดับไปแห่งรูป ...แห่งเวทนา ...แห่งสัญญา ...แห่งสังขารทั้งหลาย ...แห่งวิญญาณ. ภิกษุทั้งหลาย ! ก็การเกิดขึ้นแห่งรูป ...แห่ง เวทนา ...แห่งสัญญา ...แห่งสังขารทัง้ หลาย ...แห่งวิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีน้ี ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำ� สรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ภิกษุน้นั ย่อม เพลิดเพลิน ย่อมพร่�ำ สรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึง่ อะไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิ ก ษุ น้ั น ย่ อ มเพลิ ด เพลิ น ย่อมพร่ำ�สรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ซ่ึงรูป เมื่อภิกษุน้นั
190 พุ ท ธ ว จ น
เพลิดเพลิน พร่�ำ สรรเสริญ เมาหมกอยูซ่ ง่ึ รูป, ความเพลิน (นันทิ) ย่อมเกิดขึน้ ความเพลินใด ในรูป, ความเพลินนัน้ คือ อุปาทาน เพราะอุปาทานของภิกษุนั้น เป็นปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพ เป็นปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทัง้ หลาย จึงเกิดขึน้ ครบถ้วน : ความเกิดขึน้ พร้อม แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิ ก ษุ นั้ น ย่ อ มเพลิ ด เพลิ น ย่อมพร่ำ�สรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ซึ่งเวทนา ... ความ เกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการ อย่างนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิ ก ษุ น้ั น ย่ อ มเพลิ ด เพลิ น ย่อมพร่ำ�สรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ซึ่งสัญญา ... ความ เกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการ อย่างนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิ ก ษุ นั้ น ย่ อ มเพลิ ด เพลิ น ย่อมพร่�ำ สรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยูซ่ ง่ึ สังขารทัง้ หลาย ... ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วย อาการอย่างนี้.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
191
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิ ก ษุ นั้ น ย่ อ มเพลิ ด เพลิ น ย่อมพร่�ำ สรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยูซ่ ง่ึ วิญญาณ เมือ่ ภิกษุ นัน้ เพลิดเพลิน พร่ำ�สรรเสริญ เมาหมกอยู่ซึ่งวิญญาณ, ความเพลิน (นันทิ) ย่อมเกิดขึ้น ความเพลินใด ใน วิญญาณ, ความเพลินนั้น คือ อุปาทาน เพราะอุปาทาน ของภิกษุนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้น ครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้ คื อ ความเกิ ด ขึ้ น แห่ ง รู ป ...แห่งเวทนา ...แห่งสัญญา ...แห่งสังขารทั้งหลาย ...แห่ง วิญญาณ. ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ความดับแห่งรูป ...แห่งเวทนา ...แห่งสัญญา ...แห่งสังขารทั้งหลาย ...แห่งวิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิ ก ษุ ใ น ก ร ณี นี้ ย่ อ ม ไ ม่ เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำ�สรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่
192 พุ ท ธ ว จ น
ภิ ก ษุ นั้ น ย่ อ มไม่ เ พลิ ด เพลิ น ย่ อ มไม่ พ ร่ำ � สรรเสริ ญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งอะไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุน้ัน ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำ�สรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ซึ่งรูป เมื่อภิกษุ นัน้ ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำ�สรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ซึ่งรูป, ความเพลิน (นันทิ) ใด ในรูป, ความเพลินนัน้ ย่อมดับไป เพราะความดั บ แห่ ง ความเพลิ น ของภิ ก ษุ นั้ น จึ ง มี ความดับแห่งอุปาทาน, เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมี ความดับแห่งชาติ; เพราะมีความดับแห่งชาติ, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทัง้ หลาย จึงดับสิน้ : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทง้ั สิน้ นี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี.้ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุน้ัน ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำ�สรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ซ่งึ เวทนา ... ความดับลงแห่งกองทุกข์ทง้ั สิน้ นี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี.้ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุน้ัน ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำ�สรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ซ่งึ สัญญา ... ความดับลงแห่งกองทุกข์ทง้ั สิน้ นี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี.้
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
193
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุนั้น ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่ อ มไม่ พ ร่ำ � สรรเสริ ญ ย่ อ มไม่ เ มาหมกอยู่ ซึ่ ง สั ง ขาร ทั้งหลาย ... ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุนั้น ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำ�สรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ซึ่งวิญญาณ เมื่อ ภิกษุนน้ั ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่�ำ สรรเสริญ ไม่เมาหมกอยูซ่ ง่ึ วิญญาณ, ความเพลิน (นันทิ) ใด ในวิญญาณ, ความเพลิน นัน้ ย่อมดับไป เพราะความดับแห่งความเพลินของภิกษุ นัน้ จึงมีความดับแห่งอุปาทาน, เพราะมีความดับแห่ง อุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ; เพราะมีความดับแห่งชาติ, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึ ง ดั บ สิ้ น : ความดับลงแห่ง กองทุก ข์ทั้ง สิ้น นี้ ย่ อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้คือ ความดับแห่งรูป ...แห่ง เวทนา ...แห่งสัญญา ...แห่งสังขารทั้งหลาย ...แห่ง วิญญาณ, ดังนี้ แล. ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘/๒๗.
194 พุ ท ธ ว จ น
๗๐ แม้เพียงปฐมฌาน ก็ชื่อว่า เป็นที่หลบพ้นภัยจากมาร (พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสข้อความปรารภ การสงครามระหว่างเทวดากับอสูร ... ถ้าฝ่ายใดแพ้ถูกไล่ ติดตามไปจนถึงภพเป็นที่อยู่แห่งตน ก็จะพ้นจากการถูก ไล่ติดตาม แล้วตรัสต่อไปอีกว่า :) ภิกษุทั้งหลาย ! ฉั น ใดก็ ฉั น นั้ น : ในสมั ย ใด ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึงปฐมฌาน อันมีวติ กมีวจิ าร มีปตี แิ ละสุข อันเกิดจากวิเวกแล้วแลอยู;่ ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ! ในสมั ย นั้ น ภิ ก ษุ ย่ อ มคิ ด อย่ า งนี้ ว่ า “ในการนี้ เรามีตนอันถึงแล้ว ซึ่งที่ต้านทานสำ�หรับ สัตว์ผู้กลัวอยู่ มารจะไม่ทำ�อะไรได้”. ภิกษุทั้งหลาย ! แม้มารผู้มีบาป ก็คิดอย่างนี้ว่า “ในการนี้ ภิกษุมีตน อันถึงแล้ว ซึ่งที่ต้านทานสำ�หรับสัตว์ผู้กลัวอยู่ เราจะทำ� อะไรไม่ได้”.... (ในกรณีแห่งทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ก็ได้ตรัสข้อความทำ�นองเดียวกัน). นวก. อํ. ๒๓/๔๕๐-๔๕๓/๒๔๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
195
๗๑ สมาธิระงับความรัก-เกลียด ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมารมณ์ ทั้ ง หลายเหล่ า นี้ ย่อมเกิดอยู่เป็น ๔ ประการ. ๔ ประการอย่างไรเล่า ? ๔ ประการ คือ :ความรักเกิดจากความรัก, ความเกลียดเกิดจากความรัก, ความรักเกิดจากความเกลียด, ความเกลียดเกิดจากความเกลียด.
(ดูรายละเอียดได้ในเรื่อง “ว่าด้วยความรัก ๔ แบบ” หน้า ๒๓)
ภิกษุทั้งหลาย ! สมั ย ใด ภิ ก ษุ ส งั ด จากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึงปฐมฌาน อันมีวติ กวิจาร มีปตี ิ และสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่; สมัยนั้น ความรักใด ที่เกิดจากความรัก ความรักนั้นก็ไม่มี, ความเกลียดใด ที่เกิดจากความรัก ความเกลียดนั้นก็ไม่มี, ความรักใด ทีเ่ กิดจากความเกลียด ความรักนัน้ ก็ไม่ม,ี ความเกลียดใด ที่เกิดจากความเกลียด ความเกลียดนั้นก็ไม่มี.
196 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ เข้าถึงทุตยิ ฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน ... แล้วแลอยู่; สมัยนั้น ความรั ก ใดที่ เ กิ ด จากความรั ก ความรั ก นั้ น ก็ ไ ม่ มี , ความเกลียดใดทีเ่ กิดจากความรัก ความเกลียดนัน้ ก็ไม่ม,ี ความรักใดที่เกิดจากความเกลียด ความรักนั้นก็ไม่มี, ความเกลียดใดที่เกิดจากความเกลียด ความเกลียดนั้น ก็ไม่มี.
จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๙๐-๒๙๒/๒๐๐.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
197
๗๒ ความสำ�คัญของสมถะและวิปัสสนา ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้ เป็นส่วน แห่งวิชชา (ความรู้แจ้ง). ๒ อย่าง อะไรเล่า ? ๒ อย่าง คือ สมถะ และ วิปัสสนา ภิกษุทั้งหลาย ! สมถะ เมื่ออบรมแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ? อบรมแล้ว จิตจะเจริญ จิตเจริญแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ? เจริญแล้ว จะละราคะได้. ภิกษุทั้งหลาย ! วิปสั สนาเล่า เมือ่ เจริญแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ? เจริญแล้ว ปัญญาจะเจริญ ปัญญาเจริญแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ? เจริญแล้ว จะละอวิชชาได้ แล. ทุก. อํ. ๒๐/๗๗/๒๕๗.
198 พุ ท ธ ว จ น
๗๓ ผู้กำ�ลังโน้มเอียงไปสู่นิพพาน ภิกษุทั้งหลาย ! ค ง ค า น ที ลุ่ ม ไ ป ท า ง ทิ ศ ตะวั น ออก ลาดไปทางทิ ศ ตะวั น ออก เทไปทางทิ ศ ตะวันออก ข้อนี้ฉันใด; ภิกษุทั้งหลาย ! ภิ ก ษุ เ จริ ญ ฌานทั้ ง ๔ อยู่ กระทำ�ฌานทัง้ ๔ ให้มากอยู่ ก็ยอ่ มเป็นผูล้ มุ่ ไปทางนิพพาน ลาดไปทางนิพพาน เทไปทางนิพพาน ฉันนัน้ ก็เหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิ ก ษุ เ จริ ญ ฌานทั้ ง ๔ อยู่ กระทำ�ฌานทัง้ ๔ ให้มากอยู่ ย่อมเป็นผูล้ มุ่ ไปทางนิพพาน ลาดไปทางนิพพาน เทไปทางนิพพาน เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจาก กามทั้งหลาย สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึง ปฐมฌาน อันมีวิตก วิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่; เพราะความที่วิตก วิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง ทุ ติ ย ฌาน เป็ น เครื่ อ งผ่ อ งใสใจในภายใน ให้ ส มาธิ
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
199
เป็นธรรมอันเอก ผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติ และสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่; อนึ่ง เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็น ผูอ้ ยูอ่ เุ บกขา มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุข ด้วยนามกาย ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าว สรรเสริญผูน้ น้ั ว่า “เป็นผูอ้ ยูอ่ เุ บกขา มีสติ อยูเ่ ป็นปกติสขุ ” ดังนี้ เข้าถึง ตติยฌาน แล้วแลอยู่; เพราะละสุ ข เสี ย ได้ และเพราะละทุ ก ข์ เ สี ย ได้ เพราะความดับไปแห่งโสมนัส และโทมนัสทัง้ สอง ในกาลก่อน เข้าถึง จตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติ เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. ภิกษุทั้งหลาย ! อย่างนีแ้ ล ภิกษุเจริญฌานทัง้ ๔ อยู่ กระทำ�ฌานทั้ง ๔ ให้มากอยู่ ย่อมเป็นผู้ลุ่มไปทาง นิพพาน ลาดไปทางนิพพาน เทไปทางนิพพาน. มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๒/๑๓๐๑-๑๓๐๒.
200 พุ ท ธ ว จ น
๗๔ อานิสงส์สูงสุดแห่งอานาปานสติ ๒ ประการ ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติอันบุคคลเจริญ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ก็ อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร กระทำ�ให้มาก แล้วอย่างไร จึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ? ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณี นี้ ภิ ก ษุ ไ ปแล้ ว สู่ ป่ า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรง ดำ�รงสติเฉพาะหน้า เธอนั้น มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก : เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว; เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น, เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผูร้ พู้ ร้อม เฉพาะซึ่งกายทั้งปวง (สพฺพกายปฏิสํเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผูร้ พู้ ร้อมเฉพาะซึง่ กายทัง้ ปวง หายใจออก”;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
201
เธอย่ อ มทำ � การฝึ ก หั ด ศึ ก ษาว่ า “เราเป็ น ผู้ ทำ � กายสังขารให้รำ�งับ (ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ�กายสังขารให้รำ�งับ หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผูร้ ้พู ร้อม เฉพาะซึ่งปีต ิ (ปีติปฏิสํเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้ พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผูร้ ้พู ร้อม เฉพาะซึ่งสุข (สุขปฏิสํเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้ พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ร้พู ร้อม เฉพาะซึ่งจิตตสังขาร (จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก”; เธอย่ อ มทำ � การฝึ ก หั ด ศึ ก ษาว่ า “เราเป็ น ผู้ ทำ � จิตตสังขารให้ร�ำ งับ (ปสฺสมฺภย ํ จิตตฺ สงฺขาร)ํ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิตตสังขารให้รำ�งับ หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผูร้ พู้ ร้อม เฉพาะซึ่งจิต (จิตฺตปฏิสํเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น ผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก”;
202 พุ ท ธ ว จ น
เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิต ให้ปราโมทย์ยิ่ง (อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิต ให้ตั้งมั่น (สมาทหํ จิตฺตํ) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิต ให้ตั้งมั่น หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิต ให้ปล่อยอยู่ (วิโมจยํ จิตตฺ )ํ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผูท้ �ำ จิต ให้ปล่อยอยู่ หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง ความไม่เทีย่ งอยูเ่ ป็นประจำ� (อนิจจฺ านุปสฺส)ี หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผูเ้ ห็นซึง่ ความไม่เทีย่ งอยูเ่ ป็นประจำ� หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึง่ ความจางคลายอยูเ่ ป็นประจำ� (วิราคานุปสฺส)ี หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผูเ้ ห็นซึง่ ความจางคลายอยูเ่ ป็นประจำ� หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง ความดับไม่เหลืออยูเ่ ป็นประจำ� (นิโรธานุปสฺส)ี หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผูเ้ ห็นซึง่ ความดับไม่เหลืออยูเ่ ป็นประจำ� หายใจออก”;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
203
เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง ความสลัดคืนอยูเ่ ป็นประจำ� (ปฏินสิ สฺ คฺคานุปสฺส)ี หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผูเ้ ห็นซึง่ ความสลัดคืนอยูเ่ ป็นประจำ� หายใจออก”; ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ แล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ภิกษุทั้งหลาย ! เมือ่ อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ ทำ�ให้มากแล้วอยู่อย่างนี้ ผลอานิสงส์อย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาผล ๒ ประการ เป็นสิ่งที่หวังได้; คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือว่าถ้ายังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็จักเป็น อนาคามี. มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๖-๓๙๗/๑๓๑๑-๑๓๑๓.
204 พุ ท ธ ว จ น
๗๕ อานาปานสติระงับได้ซึ่งอกุศลทั้งหลาย (ทรงปรารภเหตุที่ภิกษุทั้งหลายได้ฆ่าตัวตายบ้าง ฆ่ากันและกันบ้าง เนื่องจากเกิดความอึดอัดระอา เกลียด กายของตน เพราะการปฏิบัติอสุภภาวนา จึงได้ทรงแสดง อานาปานสติสมาธิแก่ภิกษุเหล่านั้น) ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติสมาธินี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นของรำ�งับ เป็นของประณีต เป็นของเย็น เป็นสุขวิหาร และย่อมยังอกุศลธรรม อันเป็ น บาป อั น เกิด ขึ้น แล้ว และเกิด ขึ้น แล้ ว ให้ อันตรธานไป ให้รำ�งับไป โดยควรแก่ฐานะ. ภิกษุทั้งหลาย ! เปรี ย บเหมื อ นฝุ่ น ธุ ลี ฟุ้ ง ขึ้ น แห่ ง เดื อ นสุ ด ท้ า ย ของฤดูร้อน ฝนหนักที่ผิดฤดูตกลงมา ย่อมทำ�ฝุ่นธุลี เหล่านัน้ ให้อนั ตรธานไป ให้ร�ำ งับไปได้ โดยควรแก่ฐานะ, ข้อนี้ฉันใด;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
205
ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำ�ให้ มากแล้ว ก็เป็นของระงับ เป็นของประณีต เป็นของเย็น เป็นสุขวิหาร และย่อมยังอกุศลธรรมอันเป็นบาป ทีเ่ กิดขึน้ แล้ว และเกิดขึน้ แล้ว ให้อนั ตรธานไป โดยควรแก่ฐานะได้ ฉันนัน้ . มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๐๗/๑๓๕๒-๑๓๕๔.
206 พุ ท ธ ว จ น
๗๖ เจริญอานาปานสติ ชื่อว่าไม่เหินห่างจากฌาน ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุ เจริญอานาปานสติ แม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำ�ตามคำ�สอนของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะป่วยกล่าวไปไยถึง ผู้กระทำ�ให้มากซึ่ง อานาปานสติ นั้นเล่า. เอก. อํ. ๒๐/๕๕/๒๒๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
207
๗๗ ลมหายใจก็คือ “กาย” ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว; เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็ รู้ ชั ด ว่ า เราหายใจเข้ า สั้ น , เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม เฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม เฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ � กายสังขารให้รำ�งับ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ� กายสังขารให้รำ�งับ หายใจออก”; ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า เป็นผู้ เห็นกายในกายอยูเ่ ป็นประจำ� เป็นผูม้ คี วามเพียรเผากิเลส มีสมั ปชัญญะ มีสติ นำ�อภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
208 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่ อ มกล่ า วลมหายใจเข้ า และลมหายใจออก ว่าเป็นกายอันหนึง่ ๆ ในกายทัง้ หลาย. ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนน้ั ในกรณีน้ี ภิกษุนน้ั ย่อมชือ่ ว่าเป็นผูเ้ ห็นกายในกายอยูเ่ ป็นประจำ� มีความเพียร เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำ�อภิชฌาและโทมนัส ในโลกออกเสียได้. อุปริ. ม. ๑๔/๑๙๕/๒๘๙.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
209
๗๘ ผู้เจริญอานาปานสติ ย่อมชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรือ โคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม นัง่ คูข้ าเข้ามาโดยรอบ ตัง้ กายตรง ดำ�รงสติเฉพาะหน้า เธอนัน้ มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก : เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว; เมื่ อ หายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ า สั้ น , เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม เฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม เฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”; เธอย่ อ มทำ�การฝึก หัดศึก ษาว่า “เราเป็ น ผู้ ทำ � กายสังขารให้ร�ำ งับ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผูท้ �ำ กายสังขาร ให้รำ�งับ หายใจออก”;
210 พุ ท ธ ว จ น
เมื่ อ ภิ ก ษุ นั้ น เป็ น ผู้ ไ ม่ ป ระมาท มี ค วามเพี ย ร มีตนส่งไปแล้วในการทำ�เช่นนั้นอยู่ ย่อมละความระลึก และความดำ�ริอันอาศัยเรือนเสียได้. เพราะละความระลึกและความดำ�รินน้ั ได้ จิตของเธอ ก็ตั้งอยู่ด้วยดี สงบรำ�งับอยู่ด้วยดี เป็นธรรมเอกผุดมีขึ้น เป็นสมาธิอยู่ในภายในนั่นเทียว. ภิกษุทั้งหลาย ! แม้ อ ย่ า งนี้ ภิ ก ษุ นั้ น ก็ ชื่ อ ว่ า เจริญกายคตาสติ. อุปริ. ม. ๑๔/๒๐๔/๒๙๔
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
211
๗๙ ลักษณะของผู้เจริญกายคตาสติ ภิกษุทั้งหลาย ! ข้ออืน่ ยังมีอกี : ภิกษุ เมือ่ เดินอยู่ ย่อมรูช้ ดั ว่า “เราเดินอยู”่ , เมือ่ ยืน ย่อมรูช้ ดั ว่า “เรายืนอยู”่ , เมือ่ นัง่ ย่อมรูช้ ดั ว่า “เรานัง่ อยู”่ , เมือ่ นอน ย่อมรูช้ ดั ว่า “เรานอนอยู่”; เธอ ตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดๆ ย่อมรู้ทั่วถึงกายนั้น ด้วยอาการอย่างนั้นๆ … ภิกษุทั้งหลาย ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุย่อมเป็น ผูม้ ปี กติท�ำ ความรูส้ กึ ตัวทัว่ พร้อม ในการก้าวไปข้างหน้า ในการถอยกลับข้างหลัง. เป็นผู้มีปกติทำ�ความรู้สึกตัว ทั่ ว พร้ อ มในการแลดู ในการเหลี ย วดู . เป็ น ผู้ มี ป กติ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ในการคู้ ในการเหยียด (อวัยวะ). เป็นผู้มีปกติทำ�ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ในการทรงสังฆาฏิ บาตร จี ว ร. เป็ น ผู้ มี ป กติ ทำ � ความรู้ สึ ก ตั ว ทั่ ว พร้ อ ม ในการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม. เป็นผู้มีปกติทำ� ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ. เป็นผู้มีปกติทำ�ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ในการไป การหยุด การนั่ง การนอน การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง.
212 พุ ท ธ ว จ น
เมือ่ ภิกษุนน้ั เป็นผูไ้ ม่ประมาท มีความเพียร มีตน ส่งไปแล้วในการทำ�เช่นนั้นอยู่ ย่อมละความระลึกและ ความดำ�ริอันอาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความระลึกและ ความดำ�รินั้นได้ จิตของเธอก็ตั้งอยู่ด้วยดี สงบรำ�งับอยู่ ด้วยดี เป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น เป็นสมาธิอยู่ในภายใน นั่นเทียว. ภิกษุทั้งหลาย ! แม้ อ ย่ า งนี้ ภิ ก ษุ นั้ น ก็ ชื่ อ ว่ า เจริญกายคตาสติ … ภิกษุทั้งหลาย ! กายคตาสติ อั น ภิ ก ษุ รู ป ใด รูปหนึ่ง เจริญแล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว กุศลธรรม อย่างใดอย่างหนึง่ ซึง่ เป็นไปในส่วนวิชชา ย่อมหยัง่ ลงใน ภายในของภิกษุนั้น เปรียบเหมือนมหาสมุทรอันผู้ใด ผู้หนึ่งถูกต้องด้วยใจแล้ว แม่น้ำ�น้อยสายใดสายหนึ่ง ซึ่งไหลไปสู่สมุทร ย่อมหยั่งลงในภายในของผู้นั้นฉะนั้น. (นอกจากนี้ยังได้ตรัสถึงการเจริญอสุภะ ตามที่มีปรากฏ ในมหาสติปฏั ฐานสูตร (มหา. ที. ๑๐/๓๒๕-๓๒๘/๒๗๗-๒๘๘.) และการเจริญฌานทั้ง ๔ โดยตรัสว่าการกระทำ�เช่นนี้ ก็เป็นเจริญ กายคตาสติเช่นกัน). อุปริ. ม. ๑๔/๒๐๔-๒๑๑/๒๙๕-๓๐๗
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
213
๘๐ การตั้งจิตในกายคตาสติ เป็นเสาหลักอย่างดีของจิต ลักษณะของผู้ไม่ตั้งจิตอยู่กับกาย ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หก ชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน มีที่เที่ยวหากินต่างกัน มาผูก รวมกันด้วยเชือกอันมัน่ คง; คือเขาจับงูมาผูกด้วยเชือกเหนียว เส้นหนึ่ง, จับจระเข้, จับนก, จับสุนัขบ้าน, จับสุนัขจิ้งจอก, จับลิง มาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ แล้วผูกรวมเข้า ด้วยกันเป็นปมเดียวในท่ามกลาง ปล่อยแล้ว. ภิกษุทั้งหลาย ! ครัง้ นัน้ สัตว์เหล่านัน้ ทัง้ หกชนิด มีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกันเพื่อจะ ไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ : งูจะเข้าจอมปลวก, จระเข้ จะลงน้ำ�, นกจะบินขึ้นไปในอากาศ, สุนัขจะเข้าบ้าน, สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า, ลิงก็จะไปป่า ครั้นเหนื่อยล้ากัน ทัง้ หกสัตว์แล้ว สัตว์ใดมีก�ำ ลังกว่า สัตว์นอกนัน้ ก็ตอ้ งถูกลาก ติดตามไปตามอำ�นาจของสัตว์นั้น ข้อนี้ฉันใด;
214 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุใด ไม่อบรมทำ�ให้มาก ในกายคตาสติแล้ว ตา ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารูปที่น่าพอใจ, รูปที่ไม่น่าพอใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; หู ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาเสียงที่น่าฟัง, เสียงที่ไม่น่าฟังก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; จมูก ก็จะฉุดเอาภิกษุนน้ั ไปหากลิน่ ทีน่ า่ สูดดม, กลิน่ ทีไ่ ม่นา่ สูดดมก็กลายเป็นสิง่ ทีเ่ ธอรูส้ กึ อึดอัดขยะแขยง; ลิ้น ก็ จ ะฉุ ด เอาภิ ก ษุ นั้ น ไปหารสที่ ช อบใจ, รสที่ไม่ชอบใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; กาย ก็จะฉุดเอาภิกษุนน้ั ไปหาสัมผัสทีย่ ว่ั ยวนใจ, สัมผัสทีไ่ ม่ยว่ั ยวนใจก็กลายเป็นสิง่ ทีเ่ ธอรูส้ กึ อึดอัดขยะแขยง; ใจ ก็จะฉุดเอาภิกษุนน้ั ไปหาธรรมารมณ์ทถ่ี กู ใจ, ธรรมารมณ์ทไ่ี ม่ถกู ใจก็กลายเป็นสิง่ ทีเ่ ธอรูส้ กึ อึดอัดขยะแขยง; ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
215
ลักษณะของผู้ตั้งจิตอยู่กับกาย ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หก ชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน มีที่เที่ยวหากินต่างกัน มาผูก รวมกัน ด้วยเชือกอันมั่นคง คือ เขาจับงูมาผูกด้วยเชือก เหนียวเส้นหนึ่ง, จับจระเข้, จับนก, จับสุนัขบ้าน, จับสุนัข จิง้ จอกและจับลิง มาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึง่ ๆ ครัน้ แล้ว นำ�ไปผูกไว้กับเสาเขื่อนหรือเสาหลักอีกต่อหนึ่ง. ภิกษุทั้งหลาย ! ครัง้ นัน้ สัตว์ทง้ั หกชนิดเหล่านัน้ มีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกัน เพื่อจะ ไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ : งูจะเข้าจอมปลวก, จระเข้ จะลงน้ำ�, นกจะบินขึ้นไปในอากาศ, สุนัขจะเข้าบ้าน, สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า, ลิงก็จะไปป่า. ภิกษุทั้งหลาย ! ในกาลใดแล ความเป็ น ไป ภายในของสัตว์ทง้ั หกชนิดเหล่านัน้ มีแต่ความเมือ่ ยล้าแล้ว; ในกาลนัน้ มันทัง้ หลายก็จะพึงเข้าไปยืนเจ่า นัง่ เจ่า นอนเจ่า อยู่ข้างเสาเขื่อนหรือเสาหลักนั้นเอง ข้อนี้ฉันใด; ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุใด ได้อบรมทำ�ให้มาก ในกายคตาสติแล้ว
216 พุ ท ธ ว จ น
ตา ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารูปที่น่าพอใจ, รูปที่ไม่น่าพอใจก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; หู ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาเสียงที่น่าฟัง, เสียงที่ไม่น่าฟังก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; จมูก ก็จะไม่ฉดุ เอาภิกษุนน้ั ไปหากลิน่ ทีน่ า่ สูดดม, กลิน่ ทีไ่ ม่นา่ สูดดมก็ไม่เป็นสิง่ ทีเ่ ธอรูส้ กึ อึดอัดขยะแขยง; ลิ้น ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารสที่ชอบใจ, รสที่ไม่ชอบใจก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง; กาย ก็ จ ะไม่ ฉุ ด เอาภิ ก ษุ นั้ น ไปหาสั ม ผั ส ที่ ยั่วยวนใจ, สัมผัสที่ไม่ยั่วยวนใจก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึก อึดอัดขยะแขยง; ใจ ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาธรรมารมณ์ที่ ถูกใจ, ธรรมารมณ์ที่ไม่ถูกใจก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัด ขยะแขยง; ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย ! คำ�ว่า “เสาเขื่อน หรือ เสาหลัก” นี้ เป็นคำ�เรียกแทนชื่อแห่ง กายคตาสติ.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
217
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลายพึงสำ�เหนียกใจไว้ว่า “กายคตาสติ ของเราทั้งหลาย จักเป็นสิ่งที่เราอบรม กระทำ�ให้มาก กระทำ�ให้เป็นยานเครื่องนำ�ไป กระทำ�ให้เป็นของที่อาศัยได้ เพียรตั้งไว้เนืองๆ เพียรเสริมสร้างโดยรอบคอบ เพียรปรารภสม่ำ�เสมอด้วยดี” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำ�เหนียกใจไว้ด้วยอาการ อย่างนี้ แล. สฬา. สํ. ๑๘/๒๔๖,๒๔๘/๓๔๘,๓๕๐.
218 พุ ท ธ ว จ น
๘๑ ให้ตั้งจิตในกายคตาสติ เสมือนเต่าหดอวัยวะไว้ในกระดอง ภิกษุทั้งหลาย ! เรือ่ งเคยมีมาแต่กอ่ น : เต่าตัวหนึง่ เทีย่ วหากินตามริมลำ�ธารในตอนเย็น, สุนขั จิง้ จอกตัวหนึง่ ก็เทีย่ วหากินตามริมลำ�ธารในตอนเย็นเช่นเดียวกัน เต่าตัวนี้ ได้เห็นสุนขั จิง้ จอกซึง่ เทีย่ วหากิน (เดินเข้ามา) แต่ไกล, ครัน้ แล้ว จึงหดอวัยวะทั้งหลาย มีศีรษะเป็นที่ ๕ เข้าในกระดอง ของตนเสีย เป็นผู้ขวนขวายน้อยนิ่งอยู่ แม้สุนัขจิ้งจอก ก็ได้เห็นเต่าตัวทีเ่ ทีย่ วหากินนัน้ แต่ไกลเหมือนกัน, ครัน้ แล้ว จึงเดินตรงเข้าไปที่เต่า คอยช่องอยู่ว่า “เมื่อไรหนอเต่าจัก โผล่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งออกในบรรดาอวัยวะทั้งหลาย มีศีรษะเป็นที่ ๕ แล้ว จักกัดอวัยวะส่วนนั้น คร่าเอาออก มากินเสีย” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ตลอดเวลาทีเ่ ต่าไม่โผล่อวัยวะ ออกมา สุนัขจิ้งจอกก็ไม่ได้โอกาสต้องหลีกไปเอง;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
219
ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น : มารผู้ใจบาป ก็ ค อยช่ อ งต่ อ พวกเธอทั้ ง หลายติ ด ต่ อ ไม่ ข าดระยะอยู่ เหมือนกันว่า “ถ้าอย่างไร เราคงได้ชอ่ ง ไม่ทางตา ก็ทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ”, ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนัน้ ในเรือ่ งนี้ พวกเธอ ทัง้ หลาย จงเป็นผูค้ มุ้ ครองทวารในอินทรียท์ ง้ั หลายอยูเ่ ถิด; ได้เห็นรูปด้วยตา, ได้ฟังเสียงด้วยหู, ได้ดมกลิ่นด้วยจมูก, ได้ลิ้มรสด้วยลิ้น, ได้สัมผัสโผฏฐัพพะด้วยกาย, หรือได้รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว จงอย่าได้ถือเอาโดยลักษณะที่เป็นการรวบถือทั้งหมด, อย่าได้ถอื เอาโดยลักษณะทีเ่ ป็นการแยกถือเป็นส่วนๆ เลย, สิ่งที่เป็นบาปอกุศล คือ อภิชฌา และโทมนัส จะพึงไหลไปตามบุคคลผูไ้ ม่ส�ำ รวม ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ เพราะการไม่สำ�รวมอินทรีย์เหล่าใด เป็นเหตุ.
220 พุ ท ธ ว จ น
พวกเธอทั้งหลาย จงปฏิบัติเพื่อการปิดกั้นอินทรีย์นั้นไว้, พวกเธอทั้งหลาย จงรักษาและถึงความสำ�รวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เถิด. ภิกษุทั้งหลาย ! ในกาลใด พวกเธอทั้งหลาย จักเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่; ในกาลนั้น มารผู้ใจบาป จักไม่ได้ช่องแม้จากพวกเธอทั้งหลาย และ จักต้องหลีกไปเอง, เหมือนสุนัขจิ้งจอกไม่ได้ช่องจากเต่า ก็หลีกไปเอง ฉะนั้น. “เต่าหดอวัยวะไว้ในกระดอง ฉันใด, ภิกษุพึงตั้งมโนวิตก (ความตริตรึกทางใจ) ไว้ใน กระดอง ฉันนั้น เป็นผู้ที่ตัณหาและทิฏฐิไม่อิงอาศัยได้, ไม่เบียดเบียนผู้อื่น, ไม่กล่าวร้ายต่อใครทั้งหมด, เป็นผู้ดับสนิท แล้ว” ดังนี้แล. สฬา. สํ. ๑๘/๒๒๒/๓๒๐.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
221
๘๒ ให้ตั้งจิตในกายคตาสติ เสมือนบุรุษผู้ถือหม้อน้ำ�มัน ภิกษุทั้งหลาย ! เปรี ย บเหมื อ นหมู่ ม หาชนได้ ทราบข่าวว่า มีนางงามในชนบท พึงประชุมกัน ก็นางงาม ในชนบทนั้น น่าดูอย่างยิ่งในการฟ้อนรำ� น่าดูอย่างยิ่งใน การขับร้อง หมู่มหาชนได้ทราบข่าวว่า นางงามในชนบท จะฟ้ อ นรำ � ขั บ ร้ อ ง พึ ง ประชุ ม กั น ยิ่ ง ขึ้ น กว่ า ประมาณ ครัง้ นัน้ บุรษุ ผูอ้ ยากเป็นอยูไ่ ม่อยากตาย ปรารถนาความสุข เกลียดทุกข์ พึงมากล่าวกับหมู่มหาชนนั้นอย่างนี้ว่า บุรุษ ผู้เจริญ ! ท่านพึงนำ�ภาชนะน้ำ�มันอันเต็มเปี่ยมนี้ไปใน ระหว่างที่ประชุมใหญ่กับนางงามในชนบท และจักมีบุรุษ เงื้อดาบตามบุรุษผู้นำ�หม้อน้ำ�มันนั้นไปข้างหลังๆ บอกว่า ท่านจักทำ�น้�ำ มันนัน้ หกแม้หน่อยหนึง่ ในทีใ่ ด ศีรษะของท่าน จักขาดตกลงไปในที่นั้นทีเดียว ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จะสำ�คัญความ ข้อนั้น เป็นไฉน ? บุรุษผู้นั้นจะไม่ใส่ใจภาชนะน้ำ�มันโน้น แล้วพึงประมาทในภายนอกเทียวหรือ ? “ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า !”.
222 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! เราทำ�อุปมานี้ เพื่อให้เข้าใจ เนื้อความนี้ชัดขึ้น เนื้อความในข้อนี้มีอย่างนี้แล คำ�ว่า ภาชนะน้ำ�มันอันเต็มเปี่ยม เป็นชื่อของกายคตาสติ. ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนน้ั แหละ เธอทัง้ หลาย พึงศึกษาอย่างนีว้ า่ กายคตาสติ จักเป็นของอันเราเจริญแล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว กระทำ�ให้เป็นดังยานกระทำ�ให้เป็นทีต่ ง้ั กระทำ�ไม่หยุด สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว. ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทัง้ หลายพึงศึกษาอย่างนี้ แล. มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๖๖/๗๖๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
223
๘๓ อานิสงส์ของการเจริญกายคตาสติ ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด ไม่บริโภคกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่าย่อมไม่บริโภคอมตะ; ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด บริโภคกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่าย่อมบริโภคอมตะ; ภิกษุทั้งหลาย ! กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่สอ้ งเสพแล้ว อมตะชือ่ ว่าอันชนเหล่านัน้ ไม่สอ้ งเสพแล้ว; ภิกษุทั้งหลาย ! กายคตาสติอันชนเหล่าใดส้องเสพแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นส้องเสพแล้ว; ภิกษุทั้งหลาย ! กายคตาสติอันชนเหล่าใดเบื่อแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นเบื่อแล้ว; ภิกษุทั้งหลาย ! กายคตาสติอันชนเหล่าใดชอบใจแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นชอบใจแล้ว. เอก. อํ. ๒๐/๕๙/๒๓๕,๒๓๙.
224 พุ ท ธ ว จ น
๘๔ การดำ�รงสมาธิจิต เมื่อถูกเบียดเบียนทางวาจา ภิกษุทั้งหลาย ! ทางแห่ ง ถ้ อ ยคำ � ที่ บุ ค คลอื่ น จะพึงกล่าวหาเธอ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ คือ :๑. กล่าวโดยกาลหรือโดยมิใช่กาล ๒. กล่าวโดยเรื่องจริงหรือโดยเรื่องไม่จริง ๓. กล่าวโดยอ่อนหวานหรือโดยหยาบคาย ๔. กล่าวด้วยเรือ่ งมีประโยชน์หรือไม่มปี ระโยชน์ ๕. กล่าวด้วยมีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายใน ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ อ เขากล่ า วอยู่ อ ย่ า งนั้ น ในกรณีนั้นๆ เธอพึงทำ�การสำ�เหนียกอย่างนี้ว่า “จิตของเราจักไม่แปรปรวน, เราจักไม่กล่าววาจาอันเป็นบาป เราจักเป็นผู้มีจิตเอ็นดูเกื้อกูล มีจติ ประกอบด้วยเมตตา ไม่มโี ทสะในภายในอยู,่ จักมีจติ สหรคตด้วยเมตตาแผ่ไปยังบุคคลนัน้ อยู่
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
225
และจักมีจติ สหรคตด้วยเมตตาอันเป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มปี ระมาณ ไม่มเี วร ไม่มพี ยาบาท แผ่ไปสู่โลกถึงที่สุดทุกทิศทาง มีบุคคลนั้นเป็นอารมณ์ แล้วแลอยู่” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! เธอพึงทำ�การสำ�เนียกอย่างนี้. ภิกษุท้งั หลาย ! เปรียบเหมือนบุรุษถือเอาสีมา เป็นสีครัง่ บ้าง สีเหลืองบ้าง สีเขียวบ้าง สีแสดบ้าง กล่าวอยูว่ า่ “เราจักเขียนรูปต่างๆ ในอากาศนี้ ทำ�ให้มีรูปปรากฏอยู่” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! เธอจะสำ � คั ญ ความข้ อ นี้ ว่ า อย่างไร บุรุษนั้นจะเขียนรูปต่างๆ ในอากาศนี้ ทำ�ให้มีรูป ปรากฏอยู่ได้แลหรือ ? “ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !”.
เพราะเหตุไรเล่า ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เพราะเหตุว่าอากาศนี้ เป็นสิ่ง ที่มีรูปไม่ได้ แสดงออกซึ่งรูปไม่ได้ ในอากาศนั้น ไม่เป็นการง่ายที่ ใครๆ จะเขียนรูป ทำ�ให้มีรูปปรากฏอยู่ได้ รังแต่บุรุษนั้นจะเป็นผู้ มีส่วนแห่งความลำ�บากคับแค้นเสียเปล่า พระเจ้าข้า !”.
226 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้ อ นี้ ก็ ฉั น นั้ น เหมื อ นกั น ใน บรรดาทางแห่งถ้อยคำ�สำ�หรับการกล่าวหา ๕ ประการนั้น เมื่ อ เขากล่ า วหาเธอ ด้ ว ยทางแห่ ง ถ้ อ ยคำ � ประการใดประการหนึ่งอยู่ เธอพึงทำ�การสำ�เหนียกในกรณีนั้น อย่างนี้ว่า “จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่กล่าววาจาอันเป็นบาป เราจักเป็นผู้มีจิตเอ็นดูเกื้อกูล มีจิตประกอบด้วยเมตตา ไม่ มี โ ทสะในภายในอยู่ , จั ก มี จิ ต สหรคตด้ ว ยเมตตา แผ่ไปยังบุคคลนั้นอยู่ และจักมีจิตสหรคตด้วยเมตตา อันเป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มพี ยาบาท แผ่ไปสูโ่ ลกถึงทีส่ ดุ ทุกทิศทาง มีบคุ คลนัน้ เป็นอารมณ์ แล้วแลอยู่” ดังนี้. (คือมีจิตเหมือนอากาศ อันใครๆ จะเขียนให้เป็นรูป ปรากฏไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น).
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอพึงทำ�การสำ�เหนียก อย่าง นี้แล... มู. ม. ๑๒/๒๕๔, ๒๕๖/๒๖๗, ๒๖๙.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
227
(นอกจากนี้ยังทรงอุปมาเปรียบกับบุรุษถือเอาจอบและ กระทอมาขุดแผ่นดิน หวังจะไม่ให้เป็นแผ่นดินอีก, เปรียบกับ บุรุษถือเอาคบเพลิงหญ้ามาเผาแม่น้ำ�คงคา หวังจะให้เดือดพล่าน ซึ่งเป็นฐานะที่ไม่อาจเป็นได้).
ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้า โจรผู้คอยหาช่อง พึงเลื่อย อวัยวะน้อยใหญ่ของใครด้วยเลือ่ ยมีดา้ มสองข้าง; ผูใ้ ดมีใจ ประทุษร้ายในโจรนัน้ ผูน้ น้ั ชือ่ ว่าไม่ท�ำ ตามคำ�สอนของเรา เพราะเหตุที่มีใจประทุษร้ายต่อโจรนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนั้น เธอพึงทำ�การสำ�เหนียกอย่างนี้ว่า “จิตของเรา จักไม่แปรปรวน, เราจักไม่กล่าววาจาอันเป็นบาป, เราจักเป็น ผูม้ จี ติ เอ็นดูเกือ้ กูล มีจติ ประกอบด้วยเมตตาไม่มโี ทสะใน ภายใน อยู,่ จักมีจติ สหรคตด้วยเมตตาแผ่ไปยังบุคคลนัน้ อยู่ และจักมีจติ สหรคตด้วยเมตตา อันเป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกถึงที่สุด ทุกทิศทาง มีบุคคลนั้นเป็นอารมณ์ แล้วแลอยู่” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! เธอพึงทำ�การสำ�เหนียก อย่างนี้แล.
228 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอพึงกระทำ�ในใจถึงโอวาท อันเปรียบด้วยเลื่อยนี้ อยู่เนืองๆ เถิด. ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเธอทำ�ในใจถึงโอวาทนั้นอยู่ เธอจะได้เห็นทางแห่ง การกล่าวหาเล็กหรือใหญ่ทเ่ี ธออดกลัน้ ไม่ได้อยูอ่ กี หรือ ? “ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !”.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนน้ั ในเรือ่ งนี้ พวกเธอ ทัง้ หลาย จงกระทำ�ในใจถึงโอวาทอันเปรียบด้วยเลือ่ ยนี้ อยู่เป็นประจำ�เถิด : นั่นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่เธอทั้งหลาย ตลอดกาลนาน. มู. ม. ๑๒/๒๕๘/๒๗๒-๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
229
๘๕ อานิสงส์แห่งการปฏิบตั สิ มาธิแบบต่างๆ ราหุล ! เธอจง เจริญเมตตาภาวนา เถิด. เมื่อ เธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่, พยาบาท จักละไป. ราหุล ! เธอจง เจริญกรุณาภาวนา เถิด. เมื่อ เธอเจริญกรุณาภาวนาอยู่, วิหิงสา (ความคิดเบียดเบียน) จักละไป. ราหุล ! เธอจง เจริญมุทิตาภาวนา เถิด. เมื่อ เธอเจริญมุทิตาภาวนาอยู่, อรติ (ความไม่ยินดีด้วยใครๆ) จักละไป. ราหุล ! เธอจง เจริญอุเบกขา เถิด. เมื่อเธอ เจริญอุเบกขาอยู,่ ปฏิฆะ (ความหงุดหงิดแห่งจิต) จักละไป. ราหุล ! เธอจง เจริญอสุภะภาวนา เถิด. เมื่อ เธอเจริญอสุภะภาวนาอยู่, ราคะ จักละไป. ราหุล ! เธอจง เจริญอนิจจสัญญาภาวนา เถิด. เมื่อเธอเจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่, อัส๎มิมานะ (ความ สำ�คัญว่าตัวตนและของตน) จักละไป. ม. ม. ๑๓/๑๔๐/๑๔๕.
230 พุ ท ธ ว จ น
๘๖ ลักษณะของผู้ที่ง่ายต่อการเข้าสมาธิ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุที่ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ เป็นผู้ ไม่ควร เพื่อเข้าถึงสัมมาสมาธิ แล้วแลอยู่. ๕ ประการ อย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ๕ ประการ คือ :ภิกษุในกรณีนี้ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕)
เป็นผู้ ไม่อดทนต่อรูปทั้งหลาย ไม่อดทนต่อเสียงทั้งหลาย ไม่อดทนต่อกลิ่นทั้งหลาย ไม่อดทนต่อรสทั้งหลาย ไม่อดทนต่อโผฏฐัพพะทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุที่ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล เป็นผู้ ไม่ควร เพื่อเข้าถึงสัมมาสมาธิ แล้วแลอยู่.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
231
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุที่ประกอบด้วย ธรรม ๕ ประการ เป็นผู้ ควร เพื่อเข้าถึงสัมมาสมาธิ แล้วแลอยู่. ๕ ประการ อย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ๕ ประการ คือ :ภิกษุในกรณีนี้ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕)
เป็นผู้ อดทนต่อรูปทั้งหลาย อดทนต่อเสียงทั้งหลาย อดทนต่อกลิ่นทั้งหลาย อดทนต่อรสทั้งหลาย อดทนต่อโผฏฐัพพะทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุที่ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล เป็นผู้ ควร เพื่อเข้าถึงสัมมาสมาธิ แล้วแลอยู่. ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๕๕/๑๓๓.
232 พุ ท ธ ว จ น
๘๗ เจริญสมาธิให้ได้อย่างน้อยวันละ ๓ ครัง้ ภิกษุทั้งหลาย ! ชาวร้านตลาดที่ประกอบด้วย องค์ ๓ ประการ เป็นผู้ควรเพื่อจะได้ผลกำ�ไรที่ยังไม่ได้ หรือเพื่อทำ�ผลกำ�ไรที่ได้รับอยู่แล้ว ให้งอกงามออกไป. ๓ ประการ อย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ๓ ประการ คือ :ชาวร้านตลาด ในกรณีน้ี ย่อมจัดย่อมทำ�กิจการงานอย่างดีทส่ี ดุ ในเวลาเช้า; ย่อมจัดย่อมทำ�กิจการงานอย่างดีทส่ี ดุ ในเวลากลางวัน; ย่อมจัดย่อมทำ�กิจการงานอย่างดีที่สุดในเวลาเย็น. ภิกษุทั้งหลาย ! ชาวร้านตลาดที่ประกอบด้วยองค์ ๓ ประการเหล่านี้แล เป็นผู้ควรเพื่อจะได้ผลกำ�ไรที่ยังไม่ได้ หรือเพือ่ ทำ�ผลกำ�ไรทีไ่ ด้รบั อยูแ่ ล้ว ให้งอกงามออกไป นีฉ้ นั ใด.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
233
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุ ที่ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ เป็นผู้ควรเพื่อจะบรรลุ กุศลธรรมทีย่ งั ไม่บรรลุ หรือเพือ่ ทำ�กุศลธรรมทีบ่ รรลุแล้ว ให้งอกงามยิ่งขึ้นไป. ๓ ประการ อย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ๓ ประการ คือ :ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมกำ�หนดสมาธินมิ ติ โดยเอือ้ เฟือ้ ในเวลาเช้า; ย่อมกำ�หนดสมาธินิมิตโดยเอื้อเฟื้อในเวลากลางวัน; ย่อมกำ�หนดสมาธินิมิตโดยเอื้อเฟื้อในเวลาเย็น. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุที่ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นผู้ควรเพื่อจะบรรลุกุศลธรรมที่ยังไม่บรรลุ หรือเพื่อทำ�กุศลธรรมที่บรรลุแล้วให้งอกงามยิ่งขึ้นไป. ติก. อํ. ๒๐/๑๔๕/๔๕๘.
234 พุ ท ธ ว จ น
๘๘ การอยู่ป่ากับการเจริญสมาธิ สำ�หรับภิกษุบางรูป “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์ มีความประสงค์ จะเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าหรือป่าเปลี่ยว”.
อุบาลี ! เสนาสนะอันสงัด คือ ป่าหรือป่าเปลีย่ ว อยูไ่ ด้ยาก ปวิเวกทำ�ได้ยาก ความอยู่คนเดียวเป็นสิ่งที่ยินดีได้ยาก ป่ามักจะนำ�ไปเสียซึ่งใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิอยู่. อุบาลี ! ผู้ใดพูดว่า “เราไม่ได้สมาธิ เราจักไปอยู่ ในเสนาสนะอันสงัดคือป่าหรือป่าเปลีย่ ว” ดังนี.้ เขานั้น พึงหวังผลข้อนี้ คือ จิตจะจมลงหรือจิต จักปลิวไป. อุบาลี ! เปรี ย บเหมื อ นห้ ว งน้ำ � ใหญ่ มี อ ยู่ . ช้างพลายสูงเจ็ดรัตน์ หรือเจ็ดรัตน์ครึง่ มาสูท่ น่ี น้ั แล้วคิดว่า “เราจะลงสู่ห้วงน้ำ�นี้ แล้วเล่นน้ำ� ล้างหูบ้าง เล่นน้ำ� ล้าง หลังบ้าง ตามปรารถนา” ดังนี้; ช้างนั้น กระทำ�ได้ดังนั้น,
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
235
เพราะเหตุไร ? อุบาลี ! เพราะเหตุว่า ช้างนั้นตัวใหญ่ จึงอาจหยัง่ ลงในห้วงน้�ำ ลึกได้. ครัง้ นัน้ กระต่ายหรือแมวป่า มาเห็นช้างนั้นแล้ว คิดว่า “ช้างจะเป็นอะไรทีไ่ หนมา เราก็จะเป็นอะไรทีไ่ หนไป ดังนั้นเราจะลงสู่ห้วงน้ำ�นี้ แล้วเล่นน้ำ� ล้างหูบ้าง เล่นน้ำ� ล้างหลังบ้าง แล้วพึงอาบ พึงดืม่ พึงขึน้ จากห้วงน้�ำ แล้ว หลีกไปตามปรารถนา” ดังนี้; กระต่ายหรือแมวป่านั้น กระโจนลงสู่ห้วงน้ำ�นั้น โดยไม่พิจารณา ผลที่มันหวังได้ก็ คือ จมดิ่งลงไป หรือลอยไปตามกระแสน้ำ�. ข้อนั้นเพราะ เหตุไรเล่า ? เพราะว่ากระต่ายหรือแมวป่านั้นตัวมันเล็ก จึงไม่อาจหยั่งลงในห้วงน้ำ�ลึก, นี้ฉันใด; อุบาลี ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น กล่าวคือ ผู้ใดพูดว่า “เราไม่ได้สมาธิ เราจักไปอยู่ในเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าหรือป่าเปลี่ยว” ดังนี้.
เขานั้น พึงหวังผลข้อนี้ คือ จิตจะจมลง หรือจิต จักปลิวไป.
236 พุ ท ธ ว จ น
(เนื้อความข้อนี้แสดงว่า การออกไปอยู่ป่ามิได้เหมาะ สำ�หรับทุกคน. ผู้ใดคิดว่าจักบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน กระทั่ง ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอันไม่มีอาสวะ ด้วยเหตุเพียงสักว่าอยู่ป่า อย่างเดียวนั้น ไม่อาจจะสำ�เร็จได้ เพราะไม่ชื่อว่า เป็นผู้ตามถึง ประโยชน์ตน (อนุปฺปตฺตสทตฺถ) ได้ด้วยเหตุสักว่าการอยู่ป่า; ดังนั้นพระองค์จึงตรัสกะภิกษุอุบาลีว่า :-)
อุบาลี ! เธอ จงอยู่ในหมู่สงฆ์เถิด ความผาสุกจักมีแก่เธอผู้อยู่ในหมู่สงฆ์ ดังนี้. ทสก. อํ. ๒๔/๒๑๖/๙๙.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
237
๘๙ ผลของการกระทำ�ทีท่ �ำ ได้เหมาะสมกับเวลา ภิกษุทั้งหลาย ! กาล ๔ ประการนี้ อันบุคคล บำ�เพ็ญโดยชอบ ให้เป็นไปโดยชอบ ย่อมให้ถงึ ความสิน้ อาสวะ โดยลำ�ดับ. กาล ๔ ประการ เป็นอย่างไรเล่า คือ :๑. การฟังธรรมตามกาล (กาเลน ธมฺมสฺสวน) ๒. การสนทนาธรรมตามกาล (กาเลน ธมฺมสากจฺฉา) ๓. การทำ�สมถะตามกาล (กาเลน สมโถ) ๔. การทำ�วิปัสสนาตามกาล (กาเลน วิปสฺสนา) ภิกษุทั้งหลาย ! กาล ๔ ประการนี้แล อันบุคคล บำ�เพ็ญโดยชอบ ให้เป็นไปโดยชอบ ย่อมให้ถงึ ความสิน้ อาสวะ โดยลำ�ดับ. ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อฝนเม็ดใหญ่ตกบนภูเขา น้�ำ ไหลไปตามทีล่ มุ่ ย่อมยังซอกเขา ลำ�ธารและห้วยให้เต็ม ซอกเขา ลำ�ธารและห้วยเต็มแล้ว ย่อมยังบึงน้อยให้เต็ม บึงน้อยเต็มแล้ว ย่อมยังบึงใหญ่ให้เต็ม บึงใหญ่เต็มแล้ว ย่อมยังแม่น�ำ้ น้อยให้เต็ม แม่น�ำ้ น้อยเต็มแล้ว ย่อมยังแม่น�ำ้ ใหญ่ ให้เต็ม แม่น�ำ้ ใหญ่เต็มแล้ว ย่อมยังสมุทรสาครให้เต็ม แม้ฉนั ใด กาล ๔ ประการนี้ อันบุคคลบำ�เพ็ญโดยชอบ ให้เป็นไปโดยชอบ ย่อมให้ถงึ ความสิน้ อาสวะโดยลำ�ดับ ฉันนัน้ เหมือนกันแล. จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๘๘/๑๔๗.
238 พุ ท ธ ว จ น
๙๐ จงเป็นผู้มีสติคู่กันไปกับสัมปชัญญะ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติอยู่ อย่างมีสัมปชัญญะ : นี้เป็น อนุสาสนีของเราแก่พวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเป็นผู้มีสติ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผูเ้ ห็นกายในกายอยูเ่ ป็นประจำ� มีความเพียร เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำ�ออกเสียได้ซึ่งอภิชฌา และโทมนัสในโลก; เป็นผูเ้ ห็นเวทนาในเวทนาอยูเ่ ป็นประจำ� มีความ เพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำ�ออกเสียได้ซึ่ง อภิชฌาและโทมนัสในโลก; เป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ� มีความเพียร เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำ�ออกเสียได้ซึ่งอภิชฌา และโทมนัสในโลก;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
239
เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ� มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำ�ออกเสียได้ ซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลก. ภิกษุทั้งหลาย ! อย่างนี้แล เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิ ก ษุ ใ นกรณี นี้ เป็ น ผู้ รู้ ตั ว รอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไปข้างหลัง การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด, การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร, การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม, การถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะ, การไป การหยุด การนั่ง การนอน การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง. ภิกษุทั้งหลาย ! อย่างนี้แล เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติอยู่ อย่างมีสัมปชัญญะ : นี้เป็น อนุสาสนีของเราแก่พวกเธอทั้งหลาย. มหา. ที. ๑๐/๑๑๒/๙๐.
ความสําคัญ ของ
คําพระผูมีพระภาคเจา
242 พุ ท ธ ว จ น
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
243
๙๑ เหตุผลที่ต้องรับฟังเฉพาะคำ�ตรัส ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกำ�ชับให้ศึกษาปฏิบัติเฉพาะ จากคำ�ของพระองค์เท่านั้น อย่าฟังคนอื่น ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้, สุตตันตะเหล่าใด ทีก่ วีแต่งขึน้ ใหม่ เป็นคำ�ร้อยกรอง ประเภทกาพย์กลอน มีอกั ษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจติ ร เป็นเรือ่ งนอกแนว เป็นคำ�กล่าวของสาวก เมือ่ มีผนู้ �ำ สุตตันตะ เหล่านัน้ มากล่าวอยู่ เธอจักไม่ฟงั ด้วยดี ไม่เงีย่ หูฟงั ไม่ตง้ั จิต เพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำ�คัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษา เล่าเรียน. ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่เป็น คำ � ของตถาคต เป็ น ข้ อ ความลึ ก มี ค วามหมายซึ้ ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมี ผู้นำ�สุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอย่อมฟังด้วยดี ย่ อ มเงี่ ย หู ฟั ง ย่ อ มตั้ ง จิ ต เพื่ อ จะรู้ ทั่ ว ถึ ง และ
244 พุ ท ธ ว จ น
ย่อมสำ�คัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน จึงพากัน เล่าเรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า “ข้อนี้เป็น อย่างไร ? มีความหมายกี่นัย ?” ดังนี้. ด้วยการทำ�ดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรมทีถ่ กู ปิดไว้ได้. ธรรมทีย่ งั ไม่ปรากฏ เธอก็ท�ำ ให้ปรากฏได้, ความสงสัย ในธรรมหลายประการที่น่าสงสัยเธอก็บรรเทาลงได้. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุบริษัทเหล่านี้ เราเรียกว่า บริษทั ทีม่ กี ารลุลว่ งไปได้ ด้วยการสอบถามแก่กนั และกัน เอาเอง, หาใช่ ด้ ว ยการชี้ แ จงโดยกระจ่ า งของบุ ค คล ภายนอกเหล่าอืน่ ไม่; (ปฏิปจุ ฉาวินตี าปริสาโนอุกกาจิตวินตี า) จัดเป็นบริษทั ทีเ่ ลิศ แล. ทุก. อํ. ๒๐/๙๒/๒๙๒.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
245
หากไม่สนใจคำ�ตถาคต จะทำ�ให้เกิดความอันตรธานของคำ�ตถาคต เปรียบด้วยกลองศึก ภิกษุทั้งหลาย ! เรื่องนี้เคยมีมาแล้ว : กลองศึก ของกษัตริย์พวกทสารหะ เรียกว่า อานกะ มีอยู่ เมื่อ กลองอานกะนี้ มีแผลแตก หรือลิ, พวกกษัตริย์ทสารหะ ได้หาเนือ้ ไม้อน่ื ทำ�เป็นลิม่ เสริมลงในรอยแตกของกลองนัน้ (ทุกคราวไป). ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเชื่อมปะเข้าหลายครั้ง หลายคราวเช่นนั้น นานเข้าก็ถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งเนื้อไม้เดิม ของตัวกลองหมดสิน้ ไป เหลืออยูแ่ ต่เนือ้ ไม้ทท่ี �ำ เสริมเข้า ใหม่เท่านั้น; ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น : ในกาลยืดยาว ฝ่ายอนาคต จักมีภิกษุท้งั หลาย, สุตตันตะเหล่าใด ที่ เป็นคำ�ของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึง้ เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมี ผู้นำ�สุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอจักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงีย่ หูฟงั จักไม่ตง้ั จิตเพือ่ จะรูท้ ว่ั ถึง และจักไม่ส�ำ คัญ ว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.
246 พุ ท ธ ว จ น
ส่ ว นสุ ต ตั น ตะเหล่ า ใด ที่ นั ก กวี แ ต่ ง ขึ้ น ใหม่ เป็นคำ�ร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอกั ษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำ�กล่าว ของสาวก, เมื่อมีผู้นำ�สูตรที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่เหล่านั้น มากล่าวอยู่; เธอจักฟังด้วยดี จักเงี่ยหูฟัง จักตั้งจิตเพื่อ จะรูท้ ว่ั ถึง และจักสำ�คัญว่าเป็นสิง่ ทีต่ นควรศึกษาเล่าเรียน. ภิกษุทั้งหลาย ! ความอันตรธานของสุตตันตะ เหล่ า นั้ น ที่ เ ป็ น คำ � ของตถาคต เป็ น ข้ อ ความลึ ก มี ความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่อง สุญญตา จักมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ แล. นิทาน. สํ. ๑๖/๓๑๑/๖๗๒-๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
247
พระองค์ทรงสามารถกำ�หนดสมาธิ เมื่อจะพูดทุกถ้อยคำ� จึงไม่ผิดพลาด อัคคิเวสนะ ! เรานั้นหรือ จำ�เดิมแต่เริ่มแสดง กระทั่งคำ�สุดท้ายแห่งการกล่าวเรื่องนั้นๆ ย่อมตัง้ ไว้ซง่ึ จิตในสมาธินมิ ติ อันเป็นภายในโดยแท้ ให้จิตดำ�รงอยู่ ให้จิตตั้งมั่นอยู่ กระทำ�ให้มีจิตเป็นเอก ดังเช่นที่คนทั้งหลายเคยได้ยินว่าเรากระทำ�อยู่เป็นประจำ� ดังนี้. มู. ม. ๑๒/๔๖๐/๔๓๐.
248 พุ ท ธ ว จ น
คำ�พูดที่ตรัสมาทั้งหมดนับแต่วันตรัสรู้นั้น สอดรับไม่ขัดแย้งกัน ภิกษุทั้งหลาย ! นับตั้งแต่ราตรี ที่ตถาคตได้ตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จนกระทั่งถึงราตรีที่ตถาคตปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ, ตลอดเวลาระหว่างนั้น ตถาคตได้กล่าวสอน พร่�ำ สอน แสดงออก ซึง่ ถ้อยคำ�ใด ถ้อยคำ�เหล่านัน้ ทัง้ หมด ย่อมเข้ากันได้โดยประการเดียวทั้งสิ้น ไม่แย้งกันเป็นประการอื่นเลย. อิติวุ. ขุ. ๒๕/๓๒๑/๒๙๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
249
แต่ละคำ�พูดเป็นอกาลิโก คือ ถูกต้องตรงจริง ไม่จำ�กัดกาลเวลา ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทัง้ หลายเป็นผูท้ เ่ี รานำ�ไปแล้วด้วยธรรมนี้ อันเป็น ธรรมที่บุคคลจะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง (สนฺทิฏิโก), เป็นธรรมให้ผลไม่จำ�กัดกาล (อกาลิโก), เป็นธรรมที่ควรเรียกกันมาดู (เอหิปสฺสิโก), ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว (โอปนยิโก), อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน (ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ). มู. ม. ๑๒/๔๘๕/๔๕๑.
250 พุ ท ธ ว จ น
ทรงให้ใช้ธรรมวินัยที่ตรัสแล้ว เป็นศาสดาแทนต่อไป อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่า “ธรรมวินยั ของพวกเรามีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พวกเรา ไม่มพี ระศาสดา” ดังนี.้ อานนท์ ! พวกเธออย่าคิดอย่างนัน้ . อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็น ศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปแห่งเรา. อานนท์ ! ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตามจักต้องมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่. อานนท์ ! ภิ ก ษุ พ วกใด เป็ น ผู้ ใ คร่ ใ นสิ ก ขา ภิกษุพวกนั้นจักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศที่สุด แล. มหา. ที. ๑๐/๑๗๘/๑๔๑. มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๑๗/๗๔๐.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
251
ทรงห้ามบัญญัติเพิ่มหรือตัดทอน สิ่งที่บัญญัติไว้ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลาย จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้ว อย่างเคร่งครัด อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น. สตฺตก. อํ. ๒๓/๒๑/๒๑.
252 พุ ท ธ ว จ น
๙๒ อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ กัลยาณวัตร ที่ตถาคตทรงฝากไว้ อานนท์ ! ก็กัลยาณวัตรอันเราตั้งไว้ในกาลนี้ ย่อมเป็นไป เพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อ คลายกำ�หนัด เพื่อดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อรู้พร้อม เพื่อนิพพาน. อานนท์ ! กัลยาณวัตรนี้ เป็นอย่างไรเล่า ? นี้คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ กล่าวคือ :สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. อานนท์ ! เกี่ยวกับกัลยาณวัตรนั้น เราขอกล่าวกะเธอ โดยประการที่เธอทั้งหลาย จะพากันประพฤติตามกัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้แล้วนี้ : เธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษพวกสุดท้ายของเราเลย.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
253
อานนท์ ! ความขาดสูญแห่งกัลยาณวัตรนี้มีในยุคแห่งบุรุษใด; บุรุษนั้นชื่อว่าบุรุษคนสุดท้ายแห่งบุรุษทั้งหลาย. อานนท์ ! เกี่ยวกับกัลยาณวัตรนั้น เราขอกล่าว (ย้ำ�) กับเธอ โดยประการที่เธอทั้งหลาย จะพากันประพฤติตามกัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้แล้วนี้ : เธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษพวกสุดท้ายของเราเลย. ม. ม. ๑๓/๔๒๗/๔๖๓.
การปรินิพพาน ของตถาคต
256 พุ ท ธ ว จ น
๙๓ เหตุการณ์ช่วงปรินิพพาน สารีบุตร ! มี ส มณพราหมณ์ พ วกหนึ่ ง กล่ า ว อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ว่า ชั่วเวลาที่บุรุษนี้ยังเป็นหนุ่ม มีผม ดำ�สนิท ประกอบด้วยความหนุ่มแน่น ตั้งอยู่ในปฐมวัย, ก็ ยังคงประกอบด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมว่องไวอยูเ่ พียงนัน้ , เมื่อใดบุรุษนี้แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลนาน ผ่านวัย ไปแล้ว มีอายุ ๘๐ ปี, ๙๐ ปีหรือ ๑๐๐ ปี จากการเกิด, เมื่อนั้น เขาย่อมเป็นผู้เสื่อมสิ้นจากปัญญาอันเฉียบแหลม ว่องไว. สารีบุตร ! ข้อนี้ เธออย่าพึงเห็นอย่างนัน้ , เรานีแ้ ล ในบัดนี้เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาแล้ว วัยของเรานับได้ ๘๐ ปี, ...ฯลฯ... สารีบุตร ! ธรรมเทศนาที่แสดงไปนั้น ก็มิได้แปรปรวน บทพยัญชนะแห่งธรรมของตถาคต ก็มิได้แปรปรวน ปฏิภาณในการตอบปัญหาของตถาคต ก็มิได้แปรปรวน ...ฯลฯ...
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
257
สารีบุตร ! แม้ว่าเธอทั้งหลาย จักนำ�เราไปด้วย เตียงน้อย (สำ�หรับหามคนทุพพลภาพ), ความแปรปรวน เป็นอย่างอื่นแห่งปัญญาอันเฉียบแหลมว่องไวของตถาคต ก็มิได้มี. สารีบุตร ! ถ้าผู้ใดจะพึงกล่าวให้ถูกให้ชอบว่า “สัตว์มีความไม่หลงเป็นธรรมดา บังเกิดขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่มหาชน เพื่ออนุเคราะห์โลก, เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย” ดังนี้แล้ว ผู้นั้นพึงกล่าวซึ่งเราผู้เดียวเท่านั้น. ลำ�ดับนั้น พระอานนท์ผู้มีอายุ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วลูบคลำ�ทั่วพระกายของ พระผู้มีพระภาคอยู่ พลางกล่าวถ้อยคำ�นี้ ว่า :“ข้าแต่พระองค์ผเู้ จริญ ! ข้อนีน้ า่ อัศจรรย์; ข้อนีไ้ ม่เคยมี มาก่อน. ข้าแต่พระองค์ผเู้ จริญ ! บัดนี้ ฉวีวรรณของพระผูม้ พี ระภาค ไม่บริสทุ ธิผ์ ดุ ผ่องเหมือนแต่กอ่ น และพระกายก็เหีย่ วย่นหย่อนยาน มีพระองค์คอ้ มไปข้างหน้า อินทรียท์ ง้ั หลาย ก็เปลีย่ นเป็นอย่างอืน่ ไปหมด ทั้งพระจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ”.
258 พุ ท ธ ว จ น
อานนท์ ! นั่น ต้องเป็นอย่างนั้น; คือ ความชรามี (ซ่อน) อยู่ในความหนุ่ม, ความเจ็บไข้มี (ซ่อน) อยู่ในความไม่มีโรค, ความตายมี (ซ่อน) อยู่ในชีวิต; ฉวีวรรณจึงไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเสียแล้ว และกายก็ เหี่ยวย่นหย่อนยาน มีตัวค้อมไปข้างหน้า อินทรีย์ทั้งหลาย ก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปหมด ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ดังนี้. พระผู้ มี พ ระภาค ครั้ น ตรั ส คำ � นี้ แ ล้ ว ได้ ต รั ส ข้อความนี้ (เป็นคำ�กาพย์กลอน) อีกว่า :โธ่เอ๋ย ! ความแก่อันชั่วช้าเอ๋ย ! อันทำ�ความน่าเกลียดเอ๋ย ! กายทีน่ า่ พอใจ บัดนีก้ ถ็ กู ความแก่ย�ำ่ ยีหมดแล้ว. แม้ใครจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี ทุกคนก็ยังมีความตายเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ความตายไม่ยกเว้นให้แก่ใครๆ มันย่ำ�ยีหมดทุกคน.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
259
อานนท์ ! บัดนี้ เรามีสติสัมปชัญญะ ปลงอายุ สังขารแล้ว ณ ปาวาลเจดีย์นี้. (พระอานนท์ได้สติจึงทูลขอให้
ดำ�รงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยอิทธิบาทภาวนา กัปป์หนึ่งหรือยิ่งกว่า กัปป์; ทรงปฏิเสธ)
อานนท์ ! อย่ า เลย, อย่ า วิ ง วอนตถาคตเลย มิใช่เวลาจะวิงวอนตถาคตเสียแล้ว. (พระอานนท์ทูลวิงวอน
อีกจนครบสามครั้ง ได้รับพระดำ�รัสตอบอย่างเดียวกัน, ตรัสว่า เป็นความผิดของพระอานนท์ผเู้ ดียว, แล้วทรงจาระไนสถานที่ ๑๖ แห่ง ที่เคยให้โอกาสแก่พระอานนท์ในเรื่องนี้ แต่พระอานนท์รู้ไม่ทัน สักครั้งเดียว)
อานนท์ ! ในที่ นั้ น ๆ ถ้ า เธอวิ ง วอนตถาคต ตถาคตจักห้ามเสียสองครั้ง แล้วจักรับคำ�ในครั้งที่สาม, อานนท์ ! ตถาคตได้บอกแล้วมิใช่หรือ ว่าสัตว์ จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น, สัตว์จะ ได้ตามปรารถนา ในสังขารนี้แต่ที่ไหนเล่า, ข้อที่สัตว์ จะหวังเอาสิ่งที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีการแตกดับเป็นธรรมดา ว่าสิ่งนี้อย่าฉิบหายเลย ดังนี้ ย่อมไม่เป็นฐานะที่มีได้ เป็นได้. มู. ม. ๑๒/๑๖๓/๑๙๒., มหาวาร. สํ ๑๙/๒๘๗/๙๖๓.
260 พุ ท ธ ว จ น
สัตว์ทั้งปวง ทั้งที่เป็นคนหนุ่ม คนแก่ ทั้งที่เป็นคนพาลและบัณฑิต ทั้งที่มั่งมี และ ยากจน ล้วนแต่มีความตายเป็นที่ไปถึง ในเบื้องหน้า. เปรียบเหมือนภาชนะดินที่ช่างหม้อปั้นแล้ว ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งที่สุกแล้ว และยังดิบ ล้วนแต่มีการแตกทำ�ลายเป็นที่สุด ฉันใด ชีวติ แห่งสัตว์ทง้ั หลายก็มคี วามตายเป็นเบือ้ งหน้าฉันนัน้ วัยของเรา แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราริบหรี่แล้ว เราจักละพวกเธอไป สรณะของตัวเองเราได้ทำ�ไว้แล้ว ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีลเป็นอย่างดี มีความดำ�ริอันตั้งไว้แล้วด้วยดี ตามรักษาซึ่งจิตของตนเถิด ในธรรมวินัยนี้ ภิกษุใดเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว จักละชาติสงสาร ทำ�ที่สุดแห่งทุกข์ได้. มหา. ที. ๑๐/๑๔๑/๑๐๘.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
261
๙๔ ผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง อานนท์ ! เราได้กล่าวเตือนไว้กอ่ นแล้วมิใช่หรือ ว่า “ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอืน่ จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ย่อมมี”. อานนท์ ! ข้อนั้น จักได้มาแต่ไหนเล่า ? สิ่งใด เกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแล้ว มีความชำ�รุดไป เป็ น ธรรมดา, สิ่ ง นั้ น อย่ า ชำ � รุ ด ไปเลย ดั ง นี้ , ข้ อ นั้ น ย่อมเป็นฐานะที่มีไม่ได้. อานนท์ ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอ ทั้งหลาย จงมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอา สิง่ อืน่ เป็นสรณะ; จงมีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ. อานนท์ ! ภิกษุ มีตนเป็นประทีป มีตนเป็น สรณะ ไม่เอาสิง่ อืน่ เป็นสรณะ, มีธรรมเป็นประทีป มีธรรม เป็นสรณะ ไม่เอาสิง่ อืน่ เป็นสรณะนัน้ เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
262 พุ ท ธ ว จ น
พิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายเนืองๆ อยู่ พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเนืองๆ อยู่ มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ กำ�จัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้. อานนท์ ! ภิกษุ อย่างนี้แล ชื่อว่ามีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่. อานนท์ ! ในกาลบัดนีก้ ด็ ี ในกาลล่วงไปแห่งเรา ก็ดี ใครก็ตาม จักต้องมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิง่ อืน่ เป็นสรณะ; มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิง่ อืน่ เป็นสรณะ. อานนท์ ! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา, ภิกษุพวกนั้น จักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศที่สุด แล. มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๑๖/๗๓๖.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
263
๙๕ หลักตัดสินธรรมวินัย ๔ ประการ ๑. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ผูม้ อี ายุ ขา้ พเจ้าได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผูม้ พี ระภาค ว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ�สอนของพระศาสดา”... ๒. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้น มีสงฆ์อยู่พร้อมด้วยพระเถระหัวหน้า ข้ า พเจ้ า ได้ ส ดั บ มาเฉพาะหน้ า สงฆ์ นั้ น ว่ า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ�สอนของพระศาสดา”... ๓. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้น มีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่จำ�นวนมากเป็น พหูสูตร เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้นว่า “นี้เป็น ธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ�สอนของพระศาสดา”...
264 พุ ท ธ ว จ น
๔. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่ อ โน้ น มี ภิ ก ษุ ผู้ เ ป็ น เถระอยู่ รู ป หนึ่ ง เป็ น พหูสูตร เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับเฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำ�สอนของพระศาสดา”... เธอทั้ ง หลายยั ง ไม่ พึ ง ชื่ น ชม ยั ง ไม่ พึ ง คั ด ค้ า น คำ�กล่าวของผู้นั้น พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วพึงสอบสวนลงในพระสูตร เทียบเคียงดูในวินัย ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านัน้ สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ไม่ได้ พึงลงสันนิษฐานว่า “นีม้ ใิ ช่พระดำ�รัสของพระผูม้ พี ระภาคพระองค์นน้ั แน่นอน และภิกษุนร้ี บั มาผิด” เธอทัง้ หลายพึงทิง้ คำ�นัน้ เสีย. ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านัน้ สอบลงในสูตรก็ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ได้ พึงลงสันนิษฐานว่า “นีเ้ ป็นพระดำ�รัสของพระผูม้ พี ระภาคพระองค์นน้ั แน่นอน และภิกษุนั้นรับมาด้วยดี”. เธอทั้งหลาย พึงจำ�มหาปเทส… นี้ไว้. มหา. ที. ๑๐/๑๔๔-๖/๑๑๓-๖.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
265
๙๖ การบูชาตถาคตอย่างสูงสุด อานนท์ ! เธอจงจัดตัง้ ทีน่ อน ระหว่างต้นสาละคู่ มีศีรษะทางทิศเหนือ เราลำ�บากกายนัก, จักนอน (ประทับ
สีหไสยยาแล้ว มีอัศจรรย์ ดอกสาละผลิผิดฤดูกาลโปรยลงบน พระสรีระ, ดอกมัณฑารพ จุรณ์ไม้จนั ทน์, ดนตรี ล้วนแต่ของทิพย์ ได้ตกลงและบรรเลงขึ้น; เพื่อบูชาตถาคตเจ้า).
อานนท์ ! การบูชาเหล่านี้ หาชื่อว่า ตถาคต เป็นผู้ที่ได้รับสักการะ เคารพนับถือ บูชาแล้วไม่. อานนท์ ! ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาใด ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง, ปฏิบัติ ตามธรรมอยู่; ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมสักการะ เคารพนับถือ บูชาตถาคต ด้วยการบูชาอันสูงสุด. อานนท์ ! เพราะฉะนั้ น เธอพึ ง กำ � หนดใจว่ า “เราจักประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติตามธรรมอยู่” ดังนี้. มหา. ที. ๑๐/๑๕๙-๖๐/๑๒๘-๙.
266 พุ ท ธ ว จ น
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
267
๙๗ พินัยกรรม ของ “พระสังฆบิดา” อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนีว้ า่ “ธรรมวินัยของพวกเรา มีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา” ดังนี้. อานนท์ ! พวกเธออย่าคิดอย่างนั้น. อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปแห่งเรา. มหา. ที. ๑๐/๑๗๘/๑๔๑.
ภิกษุทั้งหลาย ! บัดนี้ เราจักเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลาย จงทำ�ความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม เถิด ดังนี้. นีแ่ ล เป็นพระวาจาทีต่ รัสครัง้ สุดท้ายของพระตถาคตเจ้า. มหา. ที. ๑๐/๑๘๐/๑๔๓.
268 พุ ท ธ ว จ น
๙๘ สังเวชนียสถานภายหลัง พุทธปรินิพพาน “ข้าแต่พระองค์ผเู้ จริญ ! แต่กอ่ นนี้ ภิกษุทง้ั หลายทีจ่ ำ�พรรษา ในทิศต่างๆ แล้วย่อมมาเฝ้าพระผูม้ พี ระภาคเจ้า. พวกข้าพระองค์ทง้ั หลาย ได้มโี อกาสเห็นภิกษุทง้ั หลายผูน้ า่ เจริญใจเหล่านัน้ ได้มโี อกาสเข้าพบปะ ภิกษุทั้งหลายผู้น่าเจริญใจเหล่านั้น. ครั้นพระผู้มพี ระภาคเจ้าล่วงลับ ไปแล้ว พวกข้าพระองค์ทง้ั หลาย ย่อมหมดโอกาสทีจ่ ะได้เห็น หรือ ได้เข้าพบปะภิกษุทง้ั หลายผูน้ า่ เจริญใจเหล่านัน้ อีกต่อไป”
อานนท์ ! สถานที่ที่ควรเห็นและควรเกิดความสังเวชแก่ กุลบุตรผู้มีศรัทธา มีอยู่ ๔ ตำ�บล. ๔ ตำ�บล อะไรเล่า ? (๑) สถานที่ ทีค่ วรเห็นและควรเกิดความสังเวช แก่กุลบุตรผู้มีศรัทธา ว่าตถาคตประสูติ แล้ว ณ ที่นี้
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
269
(๒) สถานที่ ที่ควรเห็นและควรเกิดความสังเวช แก่กุลบุตรผู้มีศรัทธา ว่าตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ณ ที่นี้ (๓) สถานที่ ที่ควรเห็นและควรเกิดความสังเวช แก่กลุ บุตรผูม้ ศี รัทธาว่าตถาคตได้ประกาศอนุตตรธรรมจักร ให้เป็นไปแล้ว ณ ที่นี้ (๔) สถานที่ ที่ควรเห็นและควรเกิดความสังเวช แก่กลุ บุตรผูม้ ศี รัทธา ว่าตถาคตปรินพิ พานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุแล้ว ณ ที่นี้ อานนท์ ! สถานที่ ที่ควรเห็นและควรเกิดความสังเวชแก่ กุลบุตรผู้มีศรัทธา มี ๔ ตำ�บลเหล่านี้ แล. อานนท์ ! ภิกษุทั้งหลาย หรือภิกษุณีทั้งหลาย หรืออุบาสกทั้งหลาย หรืออุบาสิกาทั้งหลาย ผู้มีศรัทธา
270 พุ ท ธ ว จ น
จักพากันมาสู่สถานที่ ๔ ตำ�บลเหล่านี้ โดยหมายใจว่า ตถาคตได้ ป ระสู ติ แ ล้ ว ณ ที่ นี้ บ้ า ง, ตถาคตได้ ต รั ส รู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ณ ที่นี้บ้าง, ตถาคตได้ ประกาศอนุ ต ตรธรรมจั ก รให้ เ ป็ น ไปแล้ ว ณ ที่ นี้ บ้ า ง, ตถาคตได้ ป ริ นิ พ พานด้ ว ยอนุ ป าทิ เ สสนิ พ พานธาตุ ณ ที่นี้บ้าง ดังนี้. อานนท์ ! ชนเหล่าใด เที่ยวไปตามเจดียสถาน จักมีจิตเลื่อมใส ทำ�กาละแล้ว ชนเหล่านั้น จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ภายหลังแต่การตายเพราะการทำ�ลายแห่งกาย ดังนี้. มหา. ที. ๑๐/๑๖๓/๑๓๑.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
271
๙๙ สถานที่ที่ควรจะระลึกตลอดชีวิต ภิกษุทั้งหลาย ! สถานที่ ๓ แห่ง เป็นที่ระลึก ตลอดชีวิตของพระราชา ผู้เป็นกษัตริย์มุรธาภิเษกแล้ว. ๓ แห่ง ที่ไหนบ้างเล่า ? ๓ แห่ง คือ :พระราชา ผู้ เ ป็ น กษั ต ริ ย์ มุ ร ธาภิ เ ษก ประสู ติ ณ ตำ�บลใด ตำ�บลนี้เป็นที่ระลึกตลอดชีวิตของพระราชา พระองค์นั้น เป็นแห่งที่หนึ่ง, พระราชา ได้ เ ป็ น กษั ต ริ ย์ มุ ร ธาภิ เ ษกแล้ ว ณ ตำ�บลใด ตำ�บลนี้เป็นที่ระลึกตลอดชีวิตของพระราชา พระองค์นั้น เป็นแห่งที่สอง, พระราชาผู้ เ ป็ น กษั ต ริ ย์ มุ ร ธาภิ เ ษกทรงผจญ สงครามได้ชัยชนะแล้ว เข้ายึดครองสนามรบนั้นไว้ได้ ณ ตำ�บลใด ตำ�บลนี้เป็นที่ระลึกตลอดชีวิตของพระราชา พระองค์นั้น เป็นแห่งที่สาม. ติก. อํ. ๒๐/๑๓๔/๔๕๑.
นิพพาน และ
การพนทุกข
274 พุ ท ธ ว จ น
๑๐๐ เพราะการเกิด เป็นเหตุให้พบกับ ความทุกข์ ภิกษุทั้งหลาย ! การปฏิสนธิของสัตว์ในครรภ์ ย่อมมีได้ เพราะการประชุมพร้อมของสิง่ ๓ อย่าง. ในสัตว์โลกนี้ แม้มารดาและบิดาเป็นผูอ้ ยูร่ ว่ มกัน แต่มารดายังไม่ผ่านการมีระดู และคันธัพพะ (สัตว์ที่จะ เข้าไปปฏิสนธิในครรภ์นน้ั ) ก็ยงั ไม่เข้าไปตัง้ อยูโ่ ดยเฉพาะด้วย, การปฏิสนธิของสัตว์ในครรภ์ ก็ยังมีขึ้นไม่ได้ก่อน. ในสัตว์โลกนี้ แม้มารดาและบิดาเป็นผู้อยู่ร่วมกัน และมารดาก็ผา่ นการมีระดู แต่คนั ธัพพะยังไม่เข้าไปตัง้ อยู่ โดยเฉพาะ, การปฏิสนธิของสัตว์ในครรภ์ก็ยังมีขึ้นไม่ได้ นั่นเอง. ภิกษุทั้งหลาย ! แต่เมื่อใด มารดาและบิดา เป็ น ผู้ อ ยู่ ร่ ว มกั น ด้ ว ย มารดาก็ ผ่ า นการมี ร ะดู ด้ ว ย คันธัพพะก็เข้าไปตั้งอยู่โดยเฉพาะด้วย, การปฏิสนธิ ของสัตว์ในครรภ์ ย่อมสำ�เร็จได้ เพราะการประชุมพร้อมกัน ของสิ่ง ๓ อย่าง ด้วยอาการอย่างนี้.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
275
ภิกษุทั้งหลาย ! มารดา ย่อมบริหารสัตว์ที่เกิด ในครรภ์นั้น ด้วยความเป็นห่วงอย่างใหญ่หลวง เป็นภาระ หนัก ตลอดเวลาเก้าเดือนบ้าง สิบเดือนบ้าง. ภิกษุทง้ั หลาย ! เมือ่ ล่วงไปเก้าเดือนหรือสิบเดือน, มารดา ย่อมคลอดบุตรนัน้ ด้ ว ยความเป็ น ห่ ว งอย่ า งใหญ่ ห ลวง เป็ น ภาระหนั ก ; ได้เลี้ยงซึ่งบุตรอันเกิดแล้วนั้น ด้วยโลหิตของตนเอง. ภิกษุทั้งหลาย ! ในวินยั ของพระอริยเจ้า คำ�ว่า “โลหิต” นี้ หมายถึงน้ำ�นมของมารดา. ภิกษุทั้งหลาย ! ทารกนัน้ เจริญวัยขึน้ มีอนิ ทรีย์ อันเจริญเต็มทีแ่ ล้ว เล่นของเล่นสำ�หรับเด็ก เช่น เล่นไถน้อยๆ เล่นหม้อข้าวหม้อแกง เล่นของเล่นชือ่ โมกขจิกะ เล่นกังหันลม น้อยๆ เล่นตวงของด้วยเครื่องตวงที่ทำ�ด้วยใบไม้ เล่นรถ น้อยๆ เล่นธนูน้อยๆ. ภิกษุทั้งหลาย ! ทารกนั้น ครั้นเจริญวัยขึ้นแล้ว มีอินทรีย์อันเจริญเต็มที่แล้ว เป็นผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อม ด้วยกามคุณ ๕ ให้เขาบำ�เรออยู่ : ทางตาด้วยรูป, ทางหู ด้วยเสียง, ทางจมูกด้วยกลิน่ , ทางลิน้ ด้วยรส, และทางกาย ด้วยโผฏฐัพพะ, ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ปรารถนา น่ารักใคร่
276 พุ ท ธ ว จ น
น่าพอใจ เป็นทีย่ วนตา ยวนใจให้รกั เป็นทีเ่ ข้าไปตัง้ อาศัยอยู่ แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำ�หนัดย้อมใจ และ เป็นที่ตั้งแห่งความรัก. ทารกนั้ น ครั้ น เห็ น รู ป ด้ ว ยจั ก ษุ เป็ น ต้ น แล้ ว ย่อมกำ�หนัดยินดีในรูป เป็นต้น ที่ยั่วยวนให้เกิดความรัก, ย่อมขัดใจในรูป เป็นต้น ที่ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความรัก; ไม่เป็นผู้ตั้งไว้ซึ่งสติ อันเป็นไปในกาย มีใจเป็นอกุศล ไม่รู้ตามที่เป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อัน เป็นที่ดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลาย. กุมารน้อยนั้น เมื่อประกอบด้วยความยินดีและ ความยินร้ายอยู่เช่นนี้แล้ว, เสวยเฉพาะซึ่งเวทนาใดๆ เป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม, เขา ย่อมเพลิดเพลิน พร่�ำ สรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึง่ เวทนานัน้ ๆ. เมื่อเป็นอยู่เช่นนั้น, ความเพลิน (นันทิ) ย่อมบังเกิดขึ้น. ความเพลินใด ในเวทนาทั้งหลายมีอยู่, ความเพลินอันนั้นเป็นอุปาทาน.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
277
เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ; เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้ แล. มู. ม. ๑๒/๔๘๗-๔๘๘/๔๕๒-๔๕๓.
278 พุ ท ธ ว จ น
๑๐๑ เหตุแห่งการเกิด “ทุกข์” ถูกแล้ว ถูกแล้ว อานนท์ ! ตามที่สารีบุตรเมื่อ ตอบปัญหาในลักษณะนั้นเช่นนั้น, ชื่อว่าได้ตอบโดยชอบ : อานนท์ ! ความทุกข์นั้น เรากล่าวว่า เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัย อย่างใดอย่างหนึง่ แล้วเกิดขึน้ (เรียกว่าปฏิจจสมุปปันนธรรม). ความทุกข์นั้นอาศัยปัจจัยอะไรเล่า ? ความทุกข์นั้น อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะ, ผู้กล่าว อย่างนี้แล ชื่อว่า กล่าวตรงตามที่เรากล่าว ไม่เป็นการ กล่าวตู่เราด้วยคำ�ไม่จริง; แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง และสหธรรมิกบางคนที่กล่าวตาม ก็จะไม่พลอยกลาย เป็นผู้ควรถูกติไปด้วย. อานนท์ ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ ทีก่ ล่าวสอน เรื่องกรรมทั้ง ๔ พวกนั้น : (๑) สมณพราหมณ์ทก่ี ล่าวสอนเรือ่ งกรรมพวกใด ย่อมบัญญัตคิ วามทุกข์วา่ เป็นสิง่ ทีต่ นทำ�เอาด้วยตนเอง, แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น ก็ยังต้องอาศัยผัสสะ เป็นปัจจัย จึงเกิดได้;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
279
(๒) สมณพราหมณ์ทก่ี ล่าวสอนเรือ่ งกรรมพวกใด ย่อมบัญญัตคิ วามทุกข์วา่ เป็นสิง่ ทีผ่ อู้ น่ื ทำ�ให้, แม้ความทุกข์ ที่ พ วกเขาบั ญ ญั ติ นั้ น ก็ ยั ง ต้ อ งอาศั ย ผั ส สะเป็ น ปั จ จั ย จึงเกิดมีได้; (๓) สมณพราหมณ์ทก่ี ล่าวสอนเรือ่ งกรรมพวกใด ย่อมบัญญัตคิ วามทุกข์วา่ เป็นสิง่ ทีต่ นทำ�เอาด้วยตนเองด้วย ผู้ อื่ น ทำ � ให้ ด้ ว ย, แม้ ค วามทุ ก ข์ ที่ พ วกเขาบั ญ ญั ติ นั้ น ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้; (๔) ถึงแม้สมณพราหมณ์ทก่ี ล่าวสอนเรือ่ งกรรม พวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทำ�เอง หรือใครทำ�ให้กเ็ กิดขึน้ ได้ ก็ตาม, แม้ความทุกข์ทพ่ี วกเขา บัญญัตนิ น้ั ก็ยงั ต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้อยู่ นั่นเอง. อานนท์ ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทก่ี ล่าวสอน เรื่องกรรมทั้ง ๔ พวกนั้น... สมณพราหมณ์พวกนั้นหนา หากเว้ น ผั ส สะเสี ย แล้ ว จะรู้ สึ ก ต่ อ สุ ข และทุ ก ข์ นั้ น ได้ ดังนั้นหรือ : นั่นไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย... นิทาน. สํ. ๑๖/๔๐/๗๕.
280 พุ ท ธ ว จ น
๑๐๒ สิ้นทุกข์เพราะสิ้นกรรม ภิกษุทั้งหลาย ! มรรคใด ปฏิปทาใด เป็นไป เพื่อความสิ้นแห่งตัณหา พวกเธอจงเจริญซึ่งมรรคนั้น ปฏิปทานั้น ภิกษุทั้งหลาย ! มรรคนั้น ปฏิปทานั้น เป็นอย่างไรเล่า ? นั้นคือ โพชฌงค์เจ็ด; กล่าวคือ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปั ส สั ท ธิ สั ม โพชฌงค์ สมาธิ สั ม โพชฌงค์ อุ เ บกขาสัมโพชฌงค์ เมื่ อ ตรั ส ดั ง นี้ แ ล้ ว ท่ า นพระอุ ท ายิ ทู ล ถามว่ า เจริญโพชฌงค์เจ็ดนั้น ด้วยวิธีอย่างไร ? ตรัสว่า :อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้ เจริญสติสัมโพชฌงค์ ... ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์... วิริยะสัมโพชฌงค์... ปีติสัมโพชฌงค์... ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์... สมาธิสัมโพชฌงค์... อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ชนิดที่ อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
281
อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ (การปล่อย, การวาง) เป็น โพชฌงค์อันไพบูลย์ ถึงซึ่งคุณอันใหญ่หาประมาณ มิได้ ไม่มีความลำ�บาก เมื่อเจริญสติสัมโพชฌงค์ (เป็นต้น) อย่างนี้อยู่, ตัณหาย่อมละไป. เพราะตัณหาละไป กรรมก็ละไป; เพราะกรรมละไป ทุกข์ก็ละไป. อุทายิ ! ด้วยอาการอย่างนี้แล ความสิ้นกรรมย่อมมี เพราะความสิ้นตัณหา ความสิ้นทุกข์ย่อมมี เพราะความสิน้ กรรม. มหาวาร. สํ. ๑๙/๑๒๓-๑๒๔/๔๔๙-๔๕๔.
282 พุ ท ธ ว จ น
๑๐๓ สิ้นนันทิ สิ้นราคะ สัมมา ปัสสัง นิพพินทะติ
เมื่อเห็นอยู่โดยถูกต้อง ย่อมเบื่อหน่าย นันทิกขะยา ราคักขะโย
เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิ จึงมีความสิ้นไปแห่งราคะ ราคักขะยา นันทิกขะโย
เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ จึงมีความสิ้นไปแห่งนันทิ นันทิราคักขะยา จิตตัง สุวิมุตตันติ วุจจะติ
เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิและราคะ กล่าวได้ว่า “จิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี” ดังนี้. สฬา. สํ. ๑๘/๑๗๙/๒๔๕-๖.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
283
๑๐๔ ความสิ้นตัณหา คือ นิพพาน “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ที่เรียกว่า ‘สัตว์ สัตว์’ ดังนี้, อันว่าสัตว์มีได้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเล่า พระเจ้าข้า !”.
ราธะ ! ความพอใจอันใด ราคะอันใด นันทิ อันใด ตัณหาอันใด มีอยู่ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณ, เพราะการติดแล้ว ข้องแล้ว ในสิ่งนั้นๆ, เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า “สัตว์” ดังนี้. ราธะ ! เปรียบเหมือนพวกกุมารน้อยๆ หรือ กุมารีนอ้ ยๆ เล่นเรือนน้อยๆ ทีท่ �ำ ด้วยดินอยู,่ ตราบใด เขายังมีราคะ มีฉันทะ มีความรัก มีความกระหาย มีความเร่าร้อน และมีตณ ั หา ในเรือนน้อยทีท่ �ำ ด้วยดิน เหล่านัน้ ; ตราบนัน้ พวกเด็กน้อยนัน้ ๆ ย่อมอาลัยเรือนน้อย ทีท่ �ำ ด้วยดินเหล่านัน้ ย่อมอยากเล่น ย่อมอยากมีเรือนน้อย ที่ทำ�ด้วยดินเหล่านั้น ย่อมยึดถือเรือนน้อยที่ทำ�ด้วยดิน เหล่านั้น ว่าเป็นของเรา ดังนี้.
284 พุ ท ธ ว จ น
ราธะ ! แต่เมื่อใดแล พวกกุมารน้อยๆ หรือ กุมารีนอ้ ยๆ เหล่านัน้ ปราศจากราคะแล้ว ปราศจากฉันทะ แล้ว ปราศจากความรักแล้ว ปราศจากความเร่าร้อนแล้ว ปราศจากตัณหาแล้วในเรือนน้อยที่ทำ�ด้วยดินเหล่านั้น, ในกาลนัน้ พวกเขาย่อมทำ�เรือนน้อยๆ ทีท่ �ำ ด้วยดินเหล่านัน้ ให้กระจัดกระจายเรี่ยรายเกลื่อนกล่นไป กระทำ�ให้จบ การเล่นเสีย ด้วยมือและเท้าทั้งหลาย, อุปมานี้ฉันใด; ราธะ ! อุ ป ไมยก็ ฉั น นั้ น คื อ แม้ พ วกเธอ ทั้งหลายจงเรี่ยรายกระจายออก ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ จงขจัดเสียให้ถูกวิธี, จงทำ�ให้ แหลกลาญ โดยถูกวิธี, จงทำ�ให้จบการเล่นให้ถูกวิธี, จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหาเถิด. ราธะ ! เพราะว่า ความสิน้ ไปแห่งตัณหานัน้ คือ นิพพาน ดังนี้ แล. ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๓๒/๓๖๗.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
285
๑๐๕ ความเพลิน เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความเพลินใดในรูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ; ความเพลินนั้น เป็นอุปาทาน; เพราะอุปาทานของเขานัน้ เป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ; เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ; เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม; ความก่อ ขึ้นแห่ง กองทุก ข์ทั้ง สิ้นนั้น ย่ อมมี ไ ด้ ด้วยอาการอย่างนี้. ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘/๒๘.
286 พุ ท ธ ว จ น
๑๐๖ ความเป็นโสดาบัน ประเสริฐกว่า เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ภิกษุทั้งหลาย ! แม้พระเจ้าจักรพรรดิ ได้ครอง ความเป็นใหญ่ยิ่งแห่งทวีปทั้ง ๔ เบื้องหน้าจากการตาย เพราะการแตกทำ�ลายแห่งกาย อาจได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายอยูร่ ว่ มกับเหล่าเทวดาชัน้ ดาวดึงส์ ถูกแวดล้อมอยู่ ด้วยหมู่นางอัปษร ในสวนนันทวัน ท้าวเธอเป็นผู้เอิบอิ่ม เพียบพร้อมด้วยกามคุณทัง้ ห้าอันเป็นของทิพย์อย่างนีก้ ต็ าม, แต่กระนัน้ ท้าวเธอก็ยงั รอดพ้นไปไม่ได้ จากนรก จากกำ�เนิด เดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต และจากอบาย ทุคติ วินิบาต. ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ แม้เป็นผู้ยังอัตตภาพให้พอเป็นไปด้วยคำ�ข้าวที่ได้มาจาก บิณฑบาตด้วยปลีแข้งของตนเอง พันกายด้วยการนุ่งห่ม ผ้าปอนๆ ไม่มีชาย, หากแต่ว่าเป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยธรรม ๔ ประการ เธอก็ยังสามารถ รอดพ้นเสียได้ จากนรก จากกำ�เนิดเดรัจฉาน จากวิสัยแห่งเปรต และ จากอบาย ทุคติ วินิบาต.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
287
ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๔ ประการนัน้ เป็นไฉน ? ๔ ประการคือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวัน่ ไหว ในองค์พระพุทธเจ้า... ในองค์พระธรรม... ในองค์พระสงฆ์... เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยศีล ทัง้ หลาย ชนิดเป็นทีพ่ อใจเหล่าอริยเจ้า อันเป็นศีลทีไ่ ม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย... ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! ระหว่างการได้ทวีปทั้ง ๔ กับ การได้ธรรม ๔ ประการนี้นั้น การได้ทวีปทั้ง ๔ มีค่าไม่ถึง เสี้ยวที่สิบหก ของการได้ธรรม ๔ ประการนี้ เลย. มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๘-๔๒๙/๑๔๑๑-๑๔๑๓.
288 พุ ท ธ ว จ น
๑๐๗ สัทธานุสารี ภิกษุทั้งหลาย ! ตา.. หู.. จมูก.. ลิน้ .. กาย.. ใจ เป็น สิง่ ไม่เทีย่ ง มีความแปรปรวนเป็นปกติ มีความเปลีย่ น เป็นอย่างอื่นเป็นปกติ. ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลใด มีความเชื่อ น้อมจิต ไปในธรรม ๖ อย่างนี้ ด้วยอาการอย่างนี้; บุคคลนี้ เราเรียกว่าเป็น สัทธานุสารี หยั่งลงสู่ สัมมัตตนิยาม (ระบบแห่งความถูกต้อง) หยัง่ ลงสูส่ ปั ปุรสิ ภูมิ (ภูมแิ ห่งสัตบุรษุ ) ล่วงพ้นบุถชุ นภูมิ ไม่อาจทีจ่ ะกระทำ�กรรม อันกระทำ�แล้วจะเข้าถึง นรก กำ�เนิดเดรัจฉาน หรือเปรตวิสยั และไม่ควรที่จะทำ�กาละ (ตาย) ก่อน แต่ที่จะทำ�ให้แจ้งซึ่ง โสดาปัตติผล.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
289
๑๐๘ ธัมมานุสารี ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้ ทนต่อ การเพ่งโดยประมาณอันยิ่งแห่งปัญญาของบุคคลใด ด้วยอาการอย่างนี้; บุคคลนี้ เราเรียกว่า ธั ม มานุ ส ารี หยั่งลงสู่ สัมมัตตนิยาม (ระบบแห่งความถูกต้อง) หยัง่ ลงสูส่ ปั ปุรสิ ภูมิ (ภูมแิ ห่งสัตบุรษุ ) ล่วงพ้นบุถชุ นภูมิ ไม่อาจทีจ่ ะกระทำ�กรรม อันกระทำ�แล้วจะเข้าถึงนรก กำ�เนิดเดรัจฉาน หรือเปรตวิสยั และไม่ควรที่จะทำ�กาละ (ตาย) ก่อน แต่ที่จะทำ�ให้แจ้งซึ่ง โสดาปัตติผล. ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๗๘/๔๖๙.
290 พุ ท ธ ว จ น
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
291
๑๐๙ ฐานะที่เป็นไปไม่ได้ ของผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ (พระโสดาบัน) ภิกษุทั้งหลาย ! ฐานะที่ไม่อาจเป็นไปได้ ๖ ประการ เหล่านี้มีอยู่. ๖ ประการเหล่าไหนเล่า ? ๖ ประการ คือ :(๑) เป็นไปไม่ได้ ที่ผู้ถึง พร้อ มด้ วยทิ ฏ ฐิ จะพึงปลงชีวิตมารดา; (๒) เป็นไปไม่ได้ ที่ผู้ถึง พร้อ มด้ วยทิ ฏ ฐิ จะพึงปลงชีวิตบิดา; (๓) เป็นไปไม่ได้ ที่ผู้ถึง พร้อ มด้ วยทิ ฏ ฐิ จะพึงปลงชีวิตพระอรหันต์; (๔) เป็นไปไม่ได้ ที่ผู้ถึง พร้อ มด้ วยทิ ฏ ฐิ จะพึงคิดประทุษร้ายตถาคต แม้เพียงทำ�โลหิตให้ห้อ; (๕) เป็นไปไม่ได้ ที่ผู้ถึง พร้อมด้ วยทิ ฏ ฐิ จะพึงทำ�สงฆ์ให้แตกกัน; (๖) เป็นไปไม่ได้ ที่ ผู้ ถึ ง พร้ อ มด้ ว ยทิ ฏ ฐิ จะพึงถือศาสดาอื่น (นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า).
292 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านีแ้ ล ฐานะทีไ่ ม่อาจเป็นไปได้ ๖ ประการ. ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๘๘/๓๖๕.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
293
๑๑๐ ลำ�ดับการปฏิบัติเพื่ออรหัตตผล ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมไม่กล่าวการประสบความพอใจในอรหัตตผล ด้วยการกระทำ�อันดับแรกเพียงอันดับเดียว. ภิกษุทั้งหลาย ! ก็แต่วา่ การประสบความพอใจในอรหัตตผล ย่อมมีได้ เพราะการศึกษาโดยลำ�ดับ เพราะการกระทำ�โดยลำ�ดับ เพราะการปฏิบัติโดยลำ�ดับ. ภิกษุทั้งหลาย ! ก็การประสบความพอใจในอรหัตตผล ย่อมมีได้ เพราะการศึกษาโดยลำ�ดับ เพราะการกระทำ�โดยลำ�ดับ เพราะการปฏิบัติโดยลำ�ดับนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
294 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! บุรุษบุคคลในกรณีนี้ : เป็นผู้มีศรัทธาเกิดขึ้นแล้ว ย่อม เข้าไปหา (สัปบุรษุ ); เมื่อเข้าไปหา ย่อม เข้าไปนั่งใกล้; เมื่อเข้าไปนั่งใกล้ ย่อม เงี่ยโสตลงสดับ; ผู้เงี่ยโสตลงสดับ ย่อม ได้ฟังธรรม; ครั้นฟังแล้ว ย่อม ทรงจำ�ธรรมไว้, ย่อม ใคร่ครวญพิจารณาซึ่งเนื้อความ แห่งธรรม ทั้งหลายที่ตนทรงจำ�ไว้; เมื่อเขาใคร่ครวญพิจารณา ซึ่งเนื้อความแห่งธรรมนั้นอยู่, ธรรมทั้งหลายย่อมทนต่อการเพ่งพิสูจน์; เมื่อธรรมทนต่อการเพ่งพิสูจน์มีอยู่ ฉันทะ (ความพอใจ) ย่อมเกิด; ผู้เกิดฉันทะแล้ว ย่อม มีอุตสาหะ; ครั้นมีอุตสาหะแล้ว ย่อม ใช้ดุลยพินิจ (เพื่อหาความจริง); ครั้นใช้ดุลยพินิจ (พบ) แล้ว ย่อม ตั้งตนไว้ในธรรมนั้น; ผู้มีตนส่งไปแล้วในธรรมนั้นอยู่ ย่อม กระทำ�ให้แจ้ง ซึ่งบรมสัจจ์ด้วยนามกาย ด้วย, ย่อม เห็นแจ้งแทงตลอด ซึง่ บรมสัจจ์นน้ั ด้วยปัญญา ด้วย. ม. ม. ๑๓/๒๓๓/๒๓๘.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
295
๑๑๑ อริยมรรค มีองค์ ๘ ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ อริ ย สั จ คื อ หนทางเป็ น เครือ่ งให้ถงึ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ หนทางอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนี้เอง องค์แปดคือ ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ความดำ�ริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) วาจาชอบ (สัมมาวาจา) การงานชอบ (สัมมากัมมันตะ) อาชีวะชอบ (สัมมาอาชีวะ) ความเพียรชอบ (สัมมาวายามะ) ความระลึกชอบ (สัมมาสติ) ความตัง้ ใจมัน่ ชอบ (สัมมาสมาธิ).
ภิกษุทั้งหลาย ! ความเห็นชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุ ให้เกิดทุกข์ ความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ความรู้ ในหนทางเป็นเครือ่ งให้ถงึ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อันใด, นี้เราเรียกว่า ความเห็นชอบ. ภิกษุทั้งหลาย ! ความดำ�ริชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! ความดำ�ริในการออกจากกาม ความดำ�ริในการไม่พยาบาท ความดำ�ริในการไม่เบียดเบียน, นี้เราเรียกว่า ความดำ�ริชอบ.
296 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! วาจาชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! การเว้นจากการพูดเท็จ การ เว้นจากการพูดยุให้แตกกัน การเว้นจากการพูดหยาบ การเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ, นี้เราเรียกว่า วาจาชอบ. ภิกษุทั้งหลาย ! การงานชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! การเว้นจากการฆ่าสัตว์ การเว้น จากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ การเว้นจากการ ประพฤติผดิ ในกามทัง้ หลาย, นีเ้ ราเรียกว่า การงานชอบ. ภิกษุทั้งหลาย ! อาชีวะชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกในกรณีนี้ ละการหา เลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำ�เร็จความเป็นอยู่ด้วยการหาเลี้ยงชีพ ที่ชอบ, นี้เราเรียกว่า อาชีวะชอบ. ภิกษุทั้งหลาย ! ความเพียรชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมปลูกความ พอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความไม่บังเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรม อันเป็นบาปทัง้ หลายทีย่ งั ไม่ได้บงั เกิด; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
297
ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการละเสียซึ่งอกุศลธรรมอันเป็นบาป ที่บังเกิดขึ้นแล้ว; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพือ่ การบังเกิดขึน้ แห่งกุศลธรรมทัง้ หลาย ทีย่ งั ไม่ได้บงั เกิด; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความยั่งยืน ความ ไม่เลอะเลือนความงอกงามยิง่ ขึน้ ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นแล้ว, นี้เราเรียกว่า ความเพียรชอบ. ภิกษุทั้งหลาย ! ความระลึกชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติ พิจารณาเห็นกายในกายอยูเ่ ป็นประจำ�, มีความเพียรเผากิเลส มีความรูส้ กึ ตัวทัว่ พร้อม (สัมปชัญญะ) มีสติ นำ�ความพอใจ และความไม่พอใจในโลกออกเสียได้; เป็นผูม้ ปี กติพจิ ารณา เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ�, มีความเพียร เผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำ�ความพอใจ และความไม่พอใจในโลกออกเสียได้; เป็นผูม้ ปี กติพจิ ารณา เห็นจิตในจิตอยูเ่ ป็นประจำ�, มีความเพียรเผากิเลส มีความ
298 พุ ท ธ ว จ น
รู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำ�ความพอใจและความไม่พอใจ ในโลกออกเสียได้; เป็นผูม้ ปี กติพจิ ารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งหลายอยู่เป็นประจำ�, มีความเพียรเผากิเลส มีความ รู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำ�ความพอใจและความไม่พอใจ ในโลกออกเสียได้, นี้เราเรียกว่า ความระลึกชอบ. ภิกษุทั้งหลาย ! ความตั้ ง ใจมั่ น ชอบ เป็ น อย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจาก กามทั้งหลาย สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึง ฌานที่หนึ่ง อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่ เพราะวิตกวิจารรำ�งับลง, เธอเข้าถึงฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรม อันเอกผุดขึน้ ไม่มวี ติ กไม่มวี จิ าร มีแต่ปตี แิ ละสุข อันเกิดแต่ สมาธิ แล้วแลอยู่ เพราะปีตจิ างหายไป, เธอเป็นผูเ้ พ่งเฉยอยูไ่ ด้ มีสติ มีความรูส้ กึ ตัวทัว่ พร้อม และได้เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมเข้าถึงฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย กล่าวสรรเสริญผูไ้ ด้บรรลุวา่ “เป็นผูเ้ ฉยอยูไ่ ด้ มีสติ มีความ รูส้ กึ ตัวทัว่ พร้อม” แล้วแลอยู่ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
299
และเพราะความดับหายไปแห่ง โสมนัสและโทมนั ส ใน กาลก่อน เธอย่อมเข้าถึงฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์และไม่สุข มีแต่สติอนั บริสทุ ธิเ์ พราะอุเบกขาแล้วแลอยู,่ นีเ้ ราเรียกว่า สัมมาสมาธิ. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้ เ ราเรี ย กว่ า อริ ย สั จ คื อ หนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์. มหา. ที. ๑๐/๓๔๓-๓๔๕/๒๙๙.
300 พุ ท ธ ว จ น
๑๑๒ “ดิน น้ำ� ไฟ ลม” ไม่อาจหยั่งลงได้ในที่ไหน เกวัฏฏะ ! เรื่องเคยมีมาแล้ว : ภิกษุรูปหนึ่ง ในหมู่ภิกษุนี้เอง เกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า “มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ� ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ ในที่ไหนหนอ” ดังนี้. (ความว่ า ภิ ก ษุ รู ป นั้ น ได้ เ ข้ า สมาธิ อั น อาจนำ�ไปสู่ เทวโลก ได้นำ�เอาปัญหาข้อที่ตนสงสัยนั้นไปเที่ยวถามเทวดาพวก จาตุมหาราชิกา, เมื่อไม่มีใครตอบได้ ก็เลยไปถามเทวดาใน ชั้นดาวดึงส์, เทวดาชั้นนั้นโยนให้ไปถามท้าวสักกะ, ท้าวสุยามะ, ท้าวสันตุสิตะ, ท้าวสุนิมมิตะ, ท้าวปรนิมมิตวสวัตตี, ถามเทพ พวกพรหมกายิกา กระทั่งท้าวมหาพรหมในที่สุด, ท้าวมหาพรหม พยายามหลีกเลี่ยง เบี่ยงบ่ายที่จะไม่ตอบอยู่พักหนึ่ง แล้วในที่สุด ได้สารภาพว่าพวกเทวดาทั้งหลาย พากันคิดว่าท้าวมหาพรหมเอง เป็นผูร้ เู้ ห็นไปทุกสิง่ ทุกอย่าง แต่ทจ่ี ริงไม่รู้ ในปัญหาทีว่ า่ มหาภูตรูป จักดับไปในทีไ่ หนนัน้ เลย มันเป็นความผิดของภิกษุนน้ั เอง ทีไ่ ม่ไป ทูลถามพระผูม้ พี ระภาคเจ้า ในทีส่ ดุ ก็ตอ้ งย้อนกลับมาเฝ้าพระผูม้ ี พระภาคเจ้า)
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
301
เกวัฏฏะ ! ภิกษุนั้นได้กลับมาอภิวาทเรา นั่ง ณ ที่ ค วร แล้ ว ถามเราว่ า “ข้ า แต่ พ ระองค์ ผู้ เ จริ ญ ! มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ� ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ ในที่ไหน?” ดังนี้. เกวัฏฏะ ! เมื่อเธอถามขึ้นอย่างนี้ เราได้กล่าว กะภิกษุนั้นว่า แน่ะภิกษุ ! เรื่องเก่าแก่มีอยู่ว่า พวกค้า ทางทะเล ได้พ านกสำ�หรับค้นหาฝั่ง ไปกับ เรื อค้ า ด้ วย เมือ่ เรือหลงทิศในทะเล และแลไม่เห็นฝัง่ พวกเขาปล่อยนก สำ�หรับค้นหาฝัง่ นัน้ ไป นกนัน้ บินไปทางทิศตะวันออกบ้าง ทิศใต้บา้ ง ทิศตะวันตกบ้าง ทิศเหนือบ้าง ทิศเบือ้ งบนบ้าง ทิศน้อยๆ บ้าง เมือ่ มันเห็นฝัง่ ทางทิศใดแล้ว มันก็จะบินตรง ไปยังทิศนั้น, แต่ถ้าไม่เห็น ก็จักบินกลับมาสู่เรือตามเดิม. ภิกษุ ! เช่นเดียวกับเธอนั้นแหละ ได้เที่ยวหาคำ�ตอบของ ปัญหานี้ มาจนจบทั่วกระทั่งถึงพรหมโลกแล้ว ในที่สุด ก็ยังต้องย้อนมาหาเราอีก. ภิกษุ ! ในปัญหาของเธอนัน้ เธอไม่ควรตัง้ คำ�ถามขึน้ ว่า “มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ� ไฟ ลมเหล่านี้ ย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือในที่ไหน ?” ดังนี้เลย,
302 พุ ท ธ ว จ น
อันที่จริง เธอควรจะตั้งคำ�ถามขึ้นอย่างนี้ว่า : “ดิน น้ำ� ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน ? ความยาว ความสัน้ ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน ? นามรูป ย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือในที่ไหน ?” ดังนี้ ต่างหาก. ภิกษุ ! ในปัญหานั้น คำ�ตอบมีดังนี้ : “สิ่ง” สิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มี ปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้ โดยรอบนั้น มีอยู่. ใน “สิง่ ” นัน้ แหละ ดิน น้�ำ ไฟ ลม ไม่หยัง่ ลงได้. ใน “สิง่ ” นัน้ แหละ ความยาว ความสัน้ ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้. ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ย่อมดับสนิท ไม่มี เศษเหลือ นามรูปดับสนิท ใน “สิง่ ” นี้ เพราะการดับสนิท ของวิญญาณ; ดังนี้”. สี. ที. ๙/๒๗๗/๓๔๓.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
303
๑๑๓ สิ่งๆ หนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง “สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบนั้น มีอยู่; ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดิน น้ำ� ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้; ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้; ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือ; นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ; ดังนี้แล. สี. ที. ๙/๒๘๙/๓๔๘-๓๕๐.
304 พุ ท ธ ว จ น
๑๑๔ สังขตลักษณะ ภิกษุทั้งหลาย ! สังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่. ๓ อย่างอย่างไรเล่า ? ๓ อย่างคือ :๑. มีการเกิดปรากฏ (อุปฺปาโท ปญฺายติ); ๒. มีการเสื่อมปรากฏ (วโย ปญฺายติ); ๓. เมื่อตั้งอยู่ก็มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (ิตสฺส อญฺถตฺตํ ปญฺายติ). ภิกษุทั้งหลาย ! สามอย่างเหล่านี้แล คือ สังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
305
๑๑๕ อสังขตลักษณะ ภิกษุทั้งหลาย ! อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ๓ อย่างอย่างไรเล่า ? ๓ อย่างคือ :๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปญฺายติ); ๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปญฺายติ); ๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (น ิตสฺส อญฺถตฺตํ ปญฺายติ). ภิกษุทั้งหลาย ! สามอย่างเหล่านี้แล คือ อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม. ติก. อํ. ๒๐/๑๙๒/๔๘๖-๔๘๗.
306 พุ ท ธ ว จ น
๑๑๖ ลำ�ดับการหลุดพ้นโดยละเอียด เมื่อเห็นอนัตตา ภิกษุทั้งหลาย ! รู ป เป็ น สิ่ ง ที่ ไ ม่ เ ที่ ย ง สิ่ ง ใด ไม่เทีย่ ง สิง่ นัน้ เป็นทุกข์ สิง่ ใดเป็นทุกข์ สิง่ นัน้ เป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นนั้น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่เป็นตัวตนของเรา : เธอทั้งหลายพึงเห็นข้อนั้น ด้วยปัญญาโดยชอบตรงตามที่เป็นจริง อย่างนี้ ด้วย ประการดังนี้.
(ในกรณีแห่งเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็ตรัส อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปทุกประการ)
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อ บุ ค คลเห็ น ข้ อ นั้น ด้ ว ย ปัญญาโดยชอบตรงตามทีเ่ ป็นจริงอยูอ่ ย่างนี,้ ปุพพันตานุทฏิ ฐิ (ความตามเห็นขันธ์สว่ นอดีต) ทัง้ หลาย ย่อมไม่ม;ี เมื่อปุพพันตานุทิฏฐิทั้งหลายไม่มี, อปรันตานุทิฏฐิทั้งหลาย (ความตามเห็นขันธ์ส่วนอนาคต) ย่อมไม่มี; เมื่ออปรันตานุทิฏฐิทั้งหลายไม่มี, ความยึดมั่น ลูบคลำ�อย่างแรงกล้า ย่อมไม่มี;
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
307
เมื่ อ ความยึ ด มั่ น ลู บ คลำ � อย่ า งแรงกล้ า ไม่ มี , จิตย่อมจางคลายกำ�หนัด ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสั ง ขารทั้ ง หลาย ในวิ ญ ญาณ ย่ อ มหลุ ด พ้ น จาก อาสวะทั้งหลาย เพราะไม่มีความยึดมั่นถือมั่น; เพราะจิตหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำ�รงอยู่ (ตามสภาพของจิต); เพราะเป็นจิตที่ดำ�รงอยู่ จิตจึงยินดีร่าเริงด้วยดี; เพราะเป็นจิตที่ยินดีร่าเริงด้วยดี จิตจึงไม่หวาดสะดุ้ง; เมื่อไม่หวาดสะดุ้ง ย่อมปรินิพพาน (ดับรอบ) เฉพาะตนนั่นเทียว เธอนั้นย่อมรู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว, พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว, กิจที่ควรทำ� ได้ทำ�สำ�เร็จแล้ว, กิจอืน่ ทีจ่ ะต้องทำ�เพือ่ ความเป็นอย่างนี้ มิได้มอี กี ” ดังนี้. ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๗/๙๓.
308 พุ ท ธ ว จ น
๑๑๗ ทำ�ความเข้าใจเกี่ยวกับอาหาร ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าไม่มีราคะ (ความกำ�หนัด) ไม่มีนันทิ (ความเพลิน) ไม่มีตัณหา (ความอยาก) ในกพฬีการาหาร (อาหารคือคำ�ข้าว) แล้วไซร้, วิญญาณ ก็เป็นสิ่ง ทีต่ ง้ั อยูไ่ ม่ได้ เจริญงอกงามอยูไ่ ม่ได้ ในกพฬีการาหารนัน้ . วิญญาณ ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ ในที่ใด, การ หยัง่ ลงแห่งนามรูป ย่อมไม่มใี นทีน่ น้ั . การหยัง่ ลงแห่งนามรูป ไม่มใี นทีใ่ ด, ความเจริญแห่งสังขารทัง้ หลาย ย่อมไม่มี ในทีน่ น้ั . ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ไม่มีในที่ใด, การบังเกิด ในภพใหม่ตอ่ ไป ย่อมไม่มใี นทีน่ น้ั . การบังเกิดในภพใหม่ ต่อไป ไม่มใี นทีใ่ ด, ชาติชรามรณะต่อไป ย่อมไม่มใี นทีน่ น้ั . ชาติชรามรณะ ต่อไป ไม่มใี นทีใ่ ด, ภิกษุทง้ั หลาย ! เราเรียก “ที”่ นัน้ ว่าเป็น “ทีไ่ ม่มโี ศก ไม่มธี ลุ ี ไม่มคี วามคับแค้น” ดังนี้... ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนเรือนยอด หรือ ศาลาเรือนยอดทีต่ ง้ั อยูท่ างทิศเหนือ หรือใต้กต็ าม เป็นเรือน
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
309
มี ห น้ า ต่ า งทางทิ ศ ตะวั น ออก. ครั้ น พระอาทิ ต ย์ ขึ้ น มา แสงสว่ า งแห่ ง พระอาทิ ต ย์ ส่ อ งเข้ า ไปทางหน้ า ต่ า งแล้ ว จักตั้งอยู่ที่ส่วนไหนแห่งเรือนนั้นเล่า ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์ จักปรากฏที่ฝาเรือนข้างในทางทิศตะวันตก พระเจ้าข้า !”.
ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้ า ฝาเรื อ นทางทิ ศ ตะวั น ตก ไม่มีเล่า แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์นั้น จักปรากฏอยู่ ณ ที่ไหน ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์ จักปรากฏที่พื้นดิน พระเจ้าข้า !”.
ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าพื้นดินไม่มีเล่า แสงสว่าง แห่งพระอาทิตย์นั้น จักปรากฏที่ไหน ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์ จักปรากฏในน้ำ� พระเจ้าข้า !”.
ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าน้ำ�ไม่มีเล่า แสงสว่างแห่ง พระอาทิตย์นั้น จักปรากฏที่ไหนอีก ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์นน้ั ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏแล้ว พระเจ้าข้า !”.
310 พุ ท ธ ว จ น
ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้นแล : ถ้าไม่มรี าคะ (ความกำ�หนัด) ไม่มนี นั ทิ (ความเพลิน) ไม่มีตัณหา (ความอยาก) ในกพฬีการาหารแล้วไซร้, วิญญาณก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงาม อยู่ไม่ได้ในกพฬีการาหารนั้น. วิญญาณตัง้ อยูไ่ ม่ได้ เจริญงอกงามอยูไ่ ม่ได้ในทีใ่ ด, การหยั่งลงแห่งนามรูป ย่อมไม่มี ในที่นั้น. การหยั่งลงแห่งนามรูป ไม่มีในที่ใด, ความเจริญ แห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมไม่มี ในที่นั้น. ความเจริ ญ แห่ ง สั ง ขารทั้ ง หลาย ไม่ มี ใ นที่ ใ ด, การบังเกิดในภพใหม่ต่อไปย่อมไม่มี ในที่นั้น. การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ไม่มีในที่ใด, ชาติ ชรามรณะต่อไป ย่อมไม่มี ในที่นั้น. ชาติชรามรณะต่อไป ไม่มีในที่ใด, ภิกษุทั้งหลาย ! เราเรี ย ก “ที่ ” นั้ น ว่ า เป็ น “ที่ไม่มีโศก ไม่มีธุลี ไม่มีความคับแค้น” ดังนี้... นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๔-๑๒๕/๒๔๘-๒๔๙.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
311
๑๑๘ หลักการพิจารณาอาหาร ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ กพฬีการาหาร (อาหารคือ คำ�ข้าว) จะพึงเห็นได้อย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนภรรยาสามีสองคน ถือเอาเสบียงสำ�หรับเดินทางเล็กน้อย เดินไปสู่หนทางอัน กันดาร สองสามีภรรยานั้น มีบุตรน้อยคนเดียวผู้น่ารัก น่ า เอ็ น ดู อ ยู่ ค นหนึ่ ง เมื่ อ ขณะเขาทั้ ง สองกำ � ลั ง เดิ น ไป ตามทางอันกันดารอยูน่ น้ั เสบียงสำ�หรับเดินทางทีเ่ ขามีอยู่ เพียงเล็กน้อยนั้น ได้หมดสิ้นไป หนทางอันกันดารนั้น ยังเหลืออยู่ เขาทัง้ สองนัน้ ยังไม่เดินข้ามหนทางอันกันดาร นั้นไปได้ ครั้งนั้นแล สองภรรยาสามีน้นั ได้มาคิดกันว่า “เสบียงสำ�หรับเดินทางของเราทัง้ สองทีม่ อี ยูเ่ พียงเล็กน้อยนี้ ได้หมดสิ้นลงแล้ว หนทางอันกันดารนี้ยังเหลืออยู่ ทั้งเรา ก็ยังไม่เดินข้ามหนทางอันกันดารนี้ไปได้ อย่ากระนั้นเลย เราทัง้ สองคน พึงฆ่าบุตรน้อยคนเดียวผูน้ า่ รักน่าเอ็นดูนเ้ี สีย แล้วทำ�ให้เป็นเนือ้ เค็มและเนือ้ ย่าง บริโภคเนือ้ บุตรนีแ้ หละ
312 พุ ท ธ ว จ น
เดินข้ามหนทางอันกันดารที่ยังเหลืออยู่น้ีกันเถิด เพราะ ถ้าไม่ท�ำ เช่นนี้ พวกเราทัง้ สามคนจะต้องพากันพินาศหมดแน่” ดังนี้. ครั้งนั้นแล ภรรยาสามีทั้งสองนั้น จึงฆ่าบุตรน้อย คนเดียวผู้น่ารักน่าเอ็นดูนั้น แล้วทำ�ให้เป็นเนื้อเค็ม และ เนือ้ ย่าง บริโภคเนือ้ บุตรนัน้ เทียว เดินข้ามหนทางอันกันดาร ทีย่ งั เหลืออยูน่ น้ั สองภรรยาสามีนน้ั บริโภคเนือ้ บุตรไปพลาง พร้อมกับค่อนอกไปพลาง รำ�พันว่า “บุตรน้อยคนเดียว ของเราไปไหนเสีย บุตรน้อยคนเดียวของเราไปไหนเสีย” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทัง้ หลายจะสำ�คัญความข้อนี้ ว่าอย่างไร ? สองภรรยาสามี นั้ น จะพึ ง บริ โ ภคเนื้ อ บุ ต รเป็ น อาหาร เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานบ้าง เพื่อความ มัวเมาบ้าง เพื่อความประดับประดาบ้าง หรือเพื่อตกแต่ง (ร่างกาย) บ้าง หรือหนอ ? ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นกราบทูลว่า “ข้อนั้นหาเป็นเช่นนั้นไม่ พระเจ้าข้า !”.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
313
แล้วตรัส ต่อไปว่า “ถ้าอย่างนัน้ สองภรรยาสามีนน้ั จะพึงบริโภคเนือ้ บุตรเป็นอาหารเพียงเพือ่ (อาศัย) เดินข้าม หนทางอันกันดารเท่านั้นใช่ไหม ?”. “ใช่ พระเจ้าข้า !”.
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนีม้ อี ปุ มาฉันใด, เราย่อมกล่าวว่า กพฬีการาหาร อันอริยสาวกพึงเห็น (ว่ามีอุปมาเหมือนเนื้อบุตร) ฉันนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อกพฬีการาหาร อันอริยสาวกกำ�หนดรู้ได้แล้ว, ราคะ (ความกำ�หนัด) ที่มีกามคุณทั้ง ๕ เป็นแดนเกิด ย่อมเป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำ�หนดรู้ได้แล้วด้วย; เมื่อราคะที่มีกามคุณทั้ง ๕ เป็นแดนเกิด เป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้นกำ�หนดรู้ได้แล้ว, สังโยชน์ชนิดที่อริยสาวกประกอบเข้าแล้ว จะพึงเป็นเหตุให้มาสู่โลกนี้ได้อีก ย่อมไม่มี. นิทาน. สํ. ๑๖/๑๑๘/๒๔๐.
314 พุ ท ธ ว จ น
๑๑๙ หมดความพอใจ ก็สิ้นทุกข์ นะติยา อะสะติ อาคะติคะติ นะ โหติ
เมื่อความน้อมไป ไม่มี, การมาและการไป ย่อมไม่มี อาคะติคะติยา อะสะติ จุตูปะปาโต นะ โหติ
เมื่อการมาและการไป ไม่มี, การเคลื่อนและการเกิดขึ้น ย่อมไม่มี จุตูปะปาเต อะสะติ เนวิธะ นะ หุรัง นะ อุภะยะมันตะเร
เมื่อการเคลื่อนและการเกิดขึ้น ไม่มี, อะไรๆ ก็ไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง เอเสวันโต ทุกขัสสะ
นั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ละ. อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๘/๑๖๑.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
315
๑๒๐ ความรู้สึกภายในใจ เมื่อละตัณหา (ความอยาก) ได้ เราเมื่อยังค้นไม่พบแสงสว่าง, มัวเสาะหานายช่าง ปลูกเรือน (คือตัณหา ผู้ก่อสร้างเรือนคืออัตตภาพ) อยู่, ได้ ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ กล่าวคือ ความเกิดแล้ว เกิดอีก เป็นอเนกชาติ ความเกิดเป็นทุกข์ร่ำ�ไปทุกชาติ. แน่ะ นายช่างผู้ปลูกสร้างเรือน ! เรารู้ จั ก เจ้ า เสี ย แล้ ว , เจ้ า จั ก สร้ า งเรื อ นให้ เ รา ต่อไปอีกไม่ได้, โครงเรือน (คือกิเลสทีเ่ หลือเป็นเชือ้ เกิดใหม่) ของเจ้า เราหักเสียยับเยินหมดแล้ว ยอดเรือน (คืออวิชชา) เราขยี้เสียแล้ว, จิตของเรา ถึงความเป็นธรรมชาติ ที่อารมณ์จะยุแหย่ ยั่วเย้าไม่ได้เสียแล้ว มันได้ลุถึงความหมดอยากทุกอย่าง. ธ. ขุ. ๒๕/๓๕/๒๑.
ลักษณะภิกษุผูมีศีล
318 พุ ท ธ ว จ น
๑๒๑ ผู้ชี้ชวนวิงวอน ยํ ภิกฺขเว สตฺถารา กรณียํ สาวกานํ หิเตสินา อนุกมฺปเกน อนุกมฺปํ อุปาทาย กตํ โว ตํ มยา
ภิกษุทง้ั หลาย ! กิจอันใด ทีศ่ าสดาผูเ้ อ็นดูแสวงหาประโยชน์ เกือ้ กูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำ�แก่สาวกทัง้ หลาย, กิจอันนัน้ เราได้ท�ำ แล้วแก่พวกเธอทัง้ หลาย. เอตานิ ภิกฺขเว รุกฺขมูลานิ เอตานิ สุญฺญาคารานิ
ภิกษุทง้ั หลาย ! นัน่ โคนไม้ทง้ั หลาย, นัน่ เรือนว่างทัง้ หลาย. ฌายถ ภิกฺขเว มา ปมาทตฺถ
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. มา ปจฺฉา วิปฺปฏิสาริโน อหุวตฺถ
พวกเธอทัง้ หลาย อย่าได้เป็นผูท้ ต่ี อ้ งร้อนใจ ในภายหลังเลย. อยํ โว อมฺหากํ อนุสาสนี นีแ่ ล เป็นวาจาเครือ่ งพร่�ำ สอนพวกเธอทัง้ หลายของเรา. สฬา. สํ. ๑๘/๔๔๑/๖๗๔.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
319
๑๒๒ ลักษณะของภิกษุผู้มีศีล (นัยที่ ๑)
มหาราชะ ! ภิกษุเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์แล้ว เป็นอย่างไรเล่า ? มหาราชะ ! ภิกษุในธรรมวินยั นี้ ละปาณาติบาต เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้และศัสตราเสียแล้ว มีความละอาย ถึงความเอ็นดูกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูล ในบรรดาสั ต ว์ ทั้ ง หลายอยู่ ; แม้ นี้ ก็ เ ป็ น ศี ล ของเธอ ประการหนึ่ง, เป็นผู้ละอทินนาทาน เว้นขาดจากอทินนาทาน ถือเอาแต่ของที่เขาให้แล้ว หวังอยู่แต่ของที่เขาให้ เป็นคน สะอาด ไม่เป็นขโมยอยู;่ แม้น้ี ก็เป็นศีลของเธอประการหนึง่ , เป็นผู้ละกรรมอันมิใช่พรหมจรรย์ ประพฤติ พรหมจรรย์โดยปกติ ประพฤติห่างไกล เว้นขาดจากการ เสพเมถุน อันเป็นของชาวบ้าน; แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง,
320 พุ ท ธ ว จ น
เป็นผู้ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท พูดแต่ ความจริง รักษาความสัตย์ มัน่ คงในคำ�พูด ควรเชือ่ ถือได้ ไม่แกล้งกล่าวให้ผิดต่อโลก; แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง, เป็นผู้ละคำ�ส่อเสียด เว้นขาดจากคำ�ส่อเสียด ได้ฟงั จากฝ่ายนีแ้ ล้ว ไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพือ่ ให้ฝา่ ยนี้ แตกร้าวกัน หรือได้ฟงั จากฝ่ายโน้นแล้ว ไม่น�ำ มาบอกแก่ฝา่ ยนี้ เพื่อให้ฝ่ายโน้นแตกร้าวกัน แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้ว ให้กลับพร้อมเพรียงกัน อุดหนุนคนที่พร้อมเพรียงกันอยู่ ให้พร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้น เป็นคนชอบในการพร้อมเพรียง เป็นคนยินดีในการพร้อมเพรียง เป็นคนพอใจในการ พร้ อ มเพรี ย ง กล่ า วแต่ ว าจาที่ ทำ � ให้ พ ร้ อ มเพรี ย งกั น ; แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง, เป็นผู้ละการกล่าวคำ�หยาบเสีย เว้นขาดจาก การกล่าวคำ�หยาบ กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสต ให้เกิดความรัก เป็นคำ�ฟูใจ เป็นคำ�สุภาพที่ชาวเมือง เขาพูดกัน เป็นที่ใคร่ที่พอใจของมหาชน; แม้นี้ ก็เป็นศีล ของเธอประการหนึ่ง,
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
321
เป็นผูล้ ะคำ�พูดทีโ่ ปรยประโยชน์ทง้ิ เสีย เว้นขาด จากการพูดเพ้อเจ้อ กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่ คำ�จริงเป็นประโยชน์ เป็นธรรม เป็นวินัย กล่าวแต่วาจา มีทต่ี ง้ั มีหลักฐานทีอ่ า้ งอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา; แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
322 พุ ท ธ ว จ น
๑๒๓ ลักษณะของภิกษุผู้มีศีล (นัยที่ ๒)
มหาราชะ ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว, เว้นจาก การฉันในราตรีและวิกาล, เป็นผู้เว้นขาดจากการฟ้อนรำ� การขับร้อง การ ประโคมและการดูการเล่นชนิดเป็นข้าศึกแก่กุศล, เป็นผู้เว้นขาดจากการประดับประดา คือทัดทรง ตกแต่งด้วยมาลาและของหอมและเครื่องลูบทา, เป็นผู้เว้นขาดจากการนอนบนที่นอนสูงใหญ่, เป็นผู้เว้นขาดจากการรับเงินและทอง, เป็นผู้เว้นขาดจากการรับข้าวเปลือก, เป็นผู้เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ, เป็นผู้เว้นขาดจากการรับหญิงและเด็กหญิง, เป็นผู้เว้นขาดจากการรับทาสหญิงและทาสชาย, เป็นผู้เว้นขาดจากการรับแพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ทั้งผู้และเมีย,
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
323
เป็นผู้เว้นขาดจากการรับที่นาและที่สวน, เป็นผูเ้ ว้นขาดจากการรับใช้เป็นทูตไปในทีต่ า่ งๆ, เป็นผู้เว้นขาดจากการซื้อและการขาย, เป็นผู้เว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง การลวงด้วย ของปลอมและการฉ้อด้วยเครื่องนับ, เป็นผู้เว้นขาดจากการโกงด้วยการนับสินบนและ ล่อลวง, เป็นผู้เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจำ�จอง การ ซุ่มทำ�ร้าย การปล้นและการกรรโชก, แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง,
324 พุ ท ธ ว จ น
๑๒๔ ลักษณะของภิกษุผู้มีศีล (นัยที่ ๓)
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยัง ทำ�พีชคามและภูตคามให้กำ�เริบ, คืออะไรบ้าง ? คือพืชที่ เกิดแต่ราก พืชทีเ่ กิดแต่ตน้ พืชทีเ่ กิดแต่ผล พืชทีเ่ กิดแต่ยอด และพืชที่เกิดแต่เมล็ดเป็นที่ห้า. ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอเว้นขาดจากการทำ�พีชคามและภูตคาม เห็นปานนั้น ให้กำ�เริบแล้ว แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะทีท่ ายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านัน้ ยังเป็น ผูท้ �ำ การบริโภคสะสมอยูเ่ นืองๆ, คืออะไรบ้าง ? คือสะสมข้าว บ้าง สะสมน้ำ�ดื่มบ้าง สะสมผ้าบ้าง สะสมยานพาหนะบ้าง สะสมเครือ่ งนอนบ้าง สะสมของหอมบ้าง สะสมอามิสบ้าง. ส่วนภิกษุในธรรมวินยั นี้ เธอเว้นขาดจากการบริโภคสะสม เห็นปานนั้นเสียแล้ว แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
325
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะทีท่ ายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านัน้ ยังเป็น ผูด้ กู ารละเล่นกันอยูเ่ นืองๆ, คืออะไรบ้าง ? คือดูฟอ้ น ฟังขับ ฟังประโคม ดูไม้ลอย ฟังนิยาย ฟังเพลงปรบมือ ฟังตีฆ้อง ฟังตีระนาด ดูหุ่นยนต์ ฟังเพลงขอทาน ฟังแคน ดูเล่นหน้าศพ ดูชนช้าง แข่งม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ ชนนกกระทา ดูร�ำ ไม้ รำ�มือ ชกมวย ดูเขารบ กัน ดูเขาตรวจพล ดูเขาตั้งกระบวนทัพ ดูกองทัพที่จัดไว้. ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอเว้นขาดจากการดูการเล่น เห็นปานนั้นเสียแล้ว แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง, อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะทีท่ ายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านัน้ ยังสำ�เร็จ การเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เห็นปานนีอ้ ยู,่ คืออะไรบ้าง ? คือทายลักษณะในร่างกายบ้าง ทายนิมิตลางดีลางร้ายบ้าง ทายอุปปาตะ คือของตกบ้าง ทำ�นายฝัน ทายชะตา ทายผ้าหนูกดั ทำ�พิธโี หมเพลิง ทำ�พิธี เบิกแว่นเวียนเทียน ทำ�พิธซี ดั โปรยแกลบ ทำ�พิธซี ดั โปรยรำ�
326 พุ ท ธ ว จ น
ทำ�พิธีซัดโปรยข้าวสาร ทำ�พิธีจองเปรียง ทำ�พิธีจุดไฟบูชา ทำ�พิธีเสกเป่า ทำ�พิธีพลีด้วยโลหิตบ้าง เป็นหมอดูอวัยวะ ร่างกาย หมอดูภูมิที่ตั้งบ้านเรือน ดูลักษณะไร่นา เป็น หมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอทำ�ยันต์กันบ้านเรือน หมองู หมอดับพิษ หมอแมลงป่อง หมอหนูกัด หมอทาย เสียงนก เสียงกา หมอทายอายุ หมอกันลูกศร หมอดูรอยสัตว์. ส่วนภิกษุในธรรมวินยั นี้ เธอเว้นขาดจากการเลีย้ งชีวติ ผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เห็นปานนั้นเสียแล้ว. แม้นี้ ก็เป็น ศีลของเธอประการหนึ่ง, อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะทีท่ ายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านัน้ ยังสำ�เร็จ การเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เห็นปานนีอ้ ยู,่ คืออะไรบ้าง ? คือทำ�นายจันทรคราส สุรยิ คราส นักษัตรคราส ทำ�นายดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาวพระเคราะห์ ว่าจักเดินในทางบ้าง นอกทางบ้าง, ทำ�นายว่า จักมีอกุ กาบาต ฮูมเพลิง แผ่นดินไหว ฟ้าร้องบ้าง ทำ�นายการขึน้ การตก การหมอง การแผ้วของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดาว จะมีผลเป็นอย่างนั้นๆ ดังนี้บ้าง. ส่วนภิกษุในศาสนานี้
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
327
เธอเว้นขาดจากการเลีย้ งชีวติ ผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เห็นปานนัน้ เสียแล้ว. แม้น้ี ก็เป็นศีลของเธอประการหนึง่ , อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะทีท่ ายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านัน้ ยังสำ�เร็จ การเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เห็นปานนี้อยู่, คืออะไรบ้าง ? คือ ทำ�นายว่าจักมีฝนดีบ้าง จักมีฝนแล้งบ้าง อาหารหาง่าย อาหารหายาก จักมีความ สบาย จักมีความทุกข์ จักมีโรค จักไม่มีโรคบ้าง ทำ�นาย การนับคะแนน คิดเลข ประมวล, แต่งกาพย์กลอน สอน ตำ�ราว่าด้วยทางโลก ดังนี้บ้าง. ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอเว้นขาดจากการเลีย้ งชีวติ ผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เห็นปานนัน้ เสียแล้ว. แม้น้ี ก็เป็นศีลของเธอประการหนึง่ , อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะทีท่ ายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านัน้ ยังสำ�เร็จ การเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เห็นปานนี้อยู่, คืออะไรบ้าง ? คือ ดูฤกษ์อาวาหะ ดู ฤกษ์วิวาหะ ดูฤกษ์ทำ�การผูกมิตร ดูฤกษ์ทำ�การแตกร้าว
328 พุ ท ธ ว จ น
ดูฤกษ์ท�ำ การเก็บทรัพย์ ดูฤกษ์ท�ำ การจ่ายทรัพย์, ดูโชคดี โชคร้ายบ้าง, ให้ยาบำ�รุงครรภ์บา้ ง ร่ายมนต์ผกู ยึด ปิดอุดบ้าง, ร่ายมนต์สลัด ร่ายมนต์กั้นเสียง เป็นหมอเชิญผีถามบ้าง เชิญเจ้าเข้าหญิงถามบ้าง ถามเทวดาบ้าง ทำ�พิธีบวงสรวง พระอาทิ ต ย์ บวงสรวงมหาพรหม ร่ า ยมนต์ พ่ น ไฟ ร่ า ยมนต์ เ รี ย กขวั ญ ให้ บ้ า ง. ส่ ว นภิ ก ษุ ใ นธรรมวิ นั ย นี้ เธอเว้นขาดจากการเลีย้ งชีวติ ผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เห็นปานนัน้ เสียแล้ว. แม้น้ี ก็เป็นศีลของเธอประการหนึง่ , อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะทีท่ ายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านัน้ ยังสำ�เร็จ การเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เห็นปานนีอ้ ยู,่ คืออะไรบ้าง ? คือ บนขอลาภผลต่อเทวดา ทำ � การบวงสรวงแก้ บ น สอนมนต์ กั น ผี กั น บ้ า นเรื อ น ทำ�กะเทยให้เป็นชาย ทำ�ชายให้เป็นกะเทย ทำ�พิธปี ลูกเรือน ทำ�การบวงสรวงในทีป่ ลูกเรือน พ่นน้�ำ มนต์ บูชาเพลิงให้บา้ ง ประกอบยาสำ�รอกให้บ้าง ประกอบยาประจุ ประกอบ ยาถ่ายโทษข้างบน ประกอบยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำ�มัน
ฉบับ ๙ ปฐมธรรม
329
หยอดหู ทำ�ยาหยอดตา ประกอบยานัตถุ์ ประกอบยาทำ�ให้กดั ประกอบยาทำ�ให้สมาน เป็นหมอป้ายยาตา เป็นหมอ ผ่าบาดแผล เป็นหมอกุมาร หมอพอกยาแก้ยาให้บ้าง. ส่วนภิกษุในธรรมวินยั นี้ เธอเว้นขาดจากการเลีย้ งชีวติ ผิด เพราะทำ�เดรัจฉานวิชา เห็นปานนั้นเสียแล้ว. แม้นี้ ก็เป็น ศีลของเธอประการหนึ่ง. สี. ที. ๙/๘๓/๑๐๓.
ขอนอบน้อมแด่
ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ พระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
(สาวกตถาคต) คณะงานธัมมะ วัดนาปาพง (กลุ่มอาสาสมัครพุทธวจน-หมวดธรรม)
มูลนิธิพุทธโฆษณ์ มูลนิธิแห่งมหาชนชาวพุทธ ผู้ซึ่งชัดเจน และมั่นคงในพุทธวจน เริม่ จากชาวพุทธกลุม่ เล็กๆ กลุม่ หนึง่ ได้มโี อกาสมาฟังธรรมบรรยายจาก ท่านพระอาจารย์คกึ ฤทธิ์ โสตฺถผิ โล ทีเ่ น้นการน�าพุทธวจน (ธรรมวินยั จากพุทธโอษฐ์ ทีพ่ ระพุทธองค์ทรงยืนยันว่าทรงตรัสไว้ดแี ล้ว บริสทุ ธิบ์ ริบรู ณ์สนิ้ เชิง ทัง้ เนือ้ ความและ พยัญชนะ) มาใช้ในการถ่ายทอดบอกสอน ซึง่ เป็นรูปแบบการแสดงธรรมทีต่ รงตาม พุทธบัญญัติตามที่ ทรงรับสั่งแก่พระอรหันต์ ๖๐ รูปแรกที่ปาอิสิปตนมฤคทายวัน ในการประกาศพระสัท ธรรม และเป็นลักษณะเฉพาะทีภ่ กิ ษุในครัง้ พุทธกาลใช้เป็น มาตรฐานเดียว หลักพุทธวจนนี้ ได้เข้ามาตอบค�าถาม ต่อความลังเลสงสัย ได้เข้ามาสร้าง ความชัดเจน ต่อความพร่าเลือนสับสน ในข้อธรรมต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคมชาวพุทธ ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นผลจากสาเหตุเดียวคือ การไม่ใช้ค�าของพระพุทธเจ้าเป็นตัวตั้งต้น ในการศึกษาเล่าเรียน ด้วยศรัทธาอย่างไม่หวัน่ ไหวต่อองค์สมั มาสัมพุทธะ ในฐานะพระศาสดา ท่านพระอาจารย์คกึ ฤทธิ์ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า “อาตมาไม่มคี า� สอนของตัวเอง” และใช้เวลาที่มีอยู่ ไปกับการรับสนองพุทธประสงค์ ด้วยการโฆษณาพุทธวจน เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม และความประสานเป็นหนึ่งเดียวของชาวพุทธ เมือ่ กลับมาใช้หลักพุทธวจน เหมือนทีเ่ คยเป็นในครัง้ พุทธกาล สิง่ ทีเ่ กิดขึน้ คือ ความชัดเจนสอดคล้องลงตัว ในความรู้ความเข้าใจ ไม่ว่าในแง่ของหลักธรรม ตลอดจนมรรควิธที ตี่ รง และสามารถน�าไปใช้ปฏิบตั ใิ ห้เกิดผล รูเ้ ห็นประจักษ์ได้จริง ด้วยตนเองทันที ด้วยเหตุน้ี ชาวพุทธทีเ่ ห็นคุณค่าในค�าของพระพุทธเจ้าจึงขยายตัว มากขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็น “กระแสพุทธวจน” ซึ่งเป็นพลังเงียบที่ก�าลังจะกลายเป็น คลืน่ ลูกใหม่ ในการกลับไปใช้ระบบการเรียนรูพ้ ระสัทธรรม เหมือนดังครัง้ พุทธกาล
ด้วยการขยายตัวของกระแสพุทธวจนนี้ สื่อธรรมที่เป็นพุทธวจน ไม่ว่า จะเป็นหนังสือ หรือซีดี ซึ่งแจกฟรีแก่ญาติโยมเริ่มมีไม่พอเพียงในการแจก ทั้งนี้ เพราะจ�านวนของผู้ที่สนใจเห็นความส�าคัญของพุทธวจน ได้ขยายตัวมากขึ้นอย่าง รวดเร็ว ประกอบกับว่าท่านพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เคร่งครัดในข้อวัตร ปฏิบัติที่พระศาสดาบัญญัติไว้ อันเป็นธรรมวินัยที่ออกจากพระโอษฐ์ของตถาคต โดยตรง การเผยแผ่พุทธวจนที่ผ่านมา จึงเป็นไปในลักษณะสันโดษตามมีตามได้ เมื่อมีโยมมาปวารณาเป็นเจ้าภาพในการจัดพิมพ์ ได้มาจ�านวนเท่าไหร่ ก็ทยอยแจก ไปตามทีม่ เี ท่านัน้ เมือ่ มีมา ก็แจกไป เมือ่ หมด ก็คอื หมด เนือ่ งจากว่า หน้าทีใ่ นการด�ารงพระสัทธรรมให้ตงั้ มัน่ สืบไป ไม่ได้ผกู จ�ากัด อยู่แต่เพียงพุทธสาวกในฐานะของสงฆ์เท่านั้น ฆราวาสกลุ่มหนึ่งซึ่งเห็นความส�าคัญ ของพุทธวจน จึงรวมตัวกันเข้ามาช่วยขยายผลในสิง่ ทีท่ า่ นพระอาจารย์คกึ ฤทธิ์ โสตฺถผิ โล ท�าอยูแ่ ล้ว นัน่ คือ การน�าพุทธวจนมาเผยแพร่โฆษณา โดยพิจารณาตัดสินใจจดทะเบียน จัดตั้งเป็นมูลนิธิอย่างถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อให้การด�าเนินการต่างๆ ทั้งหมด อยูใ่ นรูปแบบทีโ่ ปร่งใส เปิดเผย และเปิดกว้างต่อสาธารณชนชาวพุทธทัว่ ไป ส�าหรับผู้ที่เห็นความส�าคัญของพุทธวจน และมีความประสงค์ที่จะด�ารง พระสัทธรรมให้ตงั้ มัน่ ด้วยวิธขี องพระพุทธเจ้า สามารถสนับสนุนการด�าเนินการตรงนีไ้ ด้ ด้วยวิธีง่ายๆ นั่นคือ เข้ามาใส่ใจศึกษาพุทธวจน และน�าไปใช้ปฏิบัติด้วยตนเอง เมื่อรู้ประจักษ์ เห็นได้ด้วยตนแล้ว ว่ามรรควิธีที่ได้จากการท�าความเข้าใจ โดย ใช้ค�าของพระพุทธเจ้าเป็นตัวตั้งต้นนั้น น�าไปสู่ความเห็นที่ถูกต้อง ในหลักธรรม อันสอดคล้องเป็นเหตุเป็นผล และเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว กระทั่งได้ผลตามจริง ท�าให้เกิดมีจิตศรัทธา ในการช่วยเผยแพร่ขยายสื่อพุทธวจน เพียงเท่านี้ คุณก็คือ หนึง่ หน่วยในขบวน “พุทธโฆษณ์” แล้ว นี่คือเจตนารมณ์ของมูลนิธิพุทธโฆษณ์ นั่นคือเป็นมูลนิธิแห่งมหาชน ชาวพุทธ ซึง่ ชัดเจน และมัน่ คงในพุทธวจน
ผู้ที่สนใจรับสื่อธรรมที่เป็นพุทธวจน เพื่อไปใช้ศึกษาส่วนตัว หรือน�าไปแจกเป็นธรรมทาน แก่พ่อแม่พี่น้อง ญาติ หรือเพื่อน สามารถมารับได้ฟรี ที่วัดนาปาพง หรือตามที่พระอาจารย์คึกฤทธิ์ได้รับนิมนต์ไปแสดงธรรมนอกสถานที่ ส�าหรับรายละเอียดกิจธรรมต่างๆ ภายใต้เครือข่ายพุทธวจนโดยวัดนาปาพง ค้นหา ข้อมูลได้จาก www.buddhakos.org หรือ www.watnapp.com หากมีความจ�านงที่จะรับไปแจกเป็นธรรมทานในจ�านวนหลายสิบชุด ขอความกรุณาแจ้งความจ�านงได้ที่ มูลนิธิพุทธโฆษณ์ ประสานงานและเผยแผ่ : เลขที่ ๒๙/๓ หมู่ที่ ๗ ถนนเลียบคลอง ๑๐ ฝั่งตะวันออก ต�าบลบึงทองหลาง อ�าเภอล�าลูกกา จังหวัดปทุมธานี ๑๒๑๕๐ โทรศัพท์ ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๙๔, ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘, ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ โทรสาร ๐ ๒๑๕๙ ๐๕๒๕-๖ เว็บไซต์ : www.buddhakos.org อีเมล์ : buddhakos@hotmail.com สนับสนุนการเผยแผ่พุทธวจนได้ที่ ชือ่ บัญชี “มูลนิธพิ ทุ ธโฆษณ์” ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา คลอง ๑๐ (ธัญบุร)ี ประเภท บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี ๓๑๘-๒-๔๗๔๖๑-๐
ขอกราบขอบพระคุณแด่
พระอาจารย์คกึ ฤทธิ์ โสตฺถผิ โล และคณะสงฆ์วดั นาป่าพง ที่กรุณาให้ค�าปรึกษาในการจัดท�าหนังสือเล่มนี้
ติดตามการเผยแผ่พระธรรมค�าสอนตามหลักพุทธวจน โดย พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ได้ที่
เว็บไซต์ • • • • • • • • • • •
http://www.watnapp.com : หนังสือ และสื่อธรรมะ บนอินเทอร์เน็ต http://media.watnapahpong.org : ศูนย์บริการมัลติมีเดียวัดนาปาพง http://www.buddha-net.com : เครือข่ายพุทธวจน http://etipitaka.com : โปรแกรมตรวจหาและเทียบเคียงพุทธวจน http://www.watnapahpong.com : เว็บไซต์วัดนาปาพง http://www.buddhakos.org : มูลนิธิพุทธโฆษณ์ http://www.buddhawajanafund.org : มูลนิธิพุทธวจน http://www.ratana5.com : พุทธวจนสมาคม http://www.buddhawajana-training.com : ศูนย์ปฏิบัติพุทธวจน http://www.buddhawaj.org : ฐานข้อมูลพระสูตรออนไลน์, เสียงอ่านพุทธวจน http://www.buddhaoat.org : กลุ่มผู้สนับสนุนการเผยแผ่พุทธวจน
ดาวน์โหลดโปรแกรมตรวจหาและเทียบเคียงพุทธวจน (E-Tipitaka) ส�าหรับคอมพิวเตอร์
• ระบบปฏิบัติการ Windows, Macintosh, Linux http://etipitaka.com/download หรือ รับแผ่นโปรแกรมได้ที่วัดนาปาพง
ส�าหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่และแท็บเล็ต
• ระบบปฏิบัติการ Android ดาวน์โหลดได้ที่ Play Store โดยพิมพ์ค�าว่า พุทธวจน หรือ e-tipitaka • ระบบปฏิบัติการ iOS (ส�าหรับ iPad, iPhone, iPod) ดาวน์โหลดได้ที่ App Store โดยพิมพ์ค�าว่า พุทธวจน หรือ e-tipitaka
ดาวน์โหลดโปรแกรมพุทธวจน (Buddhawajana) เฉพาะส�าหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่และแท็บเล็ต
• ระบบปฏิบัติการ Android ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store โดยพิมพ์ค�าว่า พุทธวจน หรือ buddhawajana • ระบบปฏิบัติการ iOS (ส�าหรับ iPad, iPhone, iPod) ดาวน์โหลดได้ที่ App Store โดยพิมพ์ค�าว่า พุทธวจน หรือ buddhawajana
วิทยุ
• คลื่น ส.ว.พ. FM ๙๑.๐ MHz ทุกวันพระ เวลา ๑๗.๔๐ น.
บรรณานุกรม พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ (บาลีสยามรัฐ) พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง (ไทยสยามรัฐ) หนังสือธรรมโฆษณ์ ชุดจากพระโอษฐ์
(ผลงานแปลพุทธวจน โดยท่านพุทธทาสภิกขุในนามกองต�าราคณะธรรมทาน)
ร่วมสนับสนุนการจัดท�าโดย คณะงานธัมมะ วัดนาปาพง (กลุม่ อาสาสมัครพุทธวจนหมวดธรรม), คณะศิษย์วดั นาปาพง, กลุ่มศิษย์ตถาคต, กลุ่มสมณะศากยะปุตติยะ, กลุ่มธรรมะสีขาว, กลุ่มพุทธบริษัทศากยบุตร, กลุ่มพุทธโอษฐ์, กลุ่มชวนม่วนธรรม, กลุ่มละนันทิ, กลุ่มพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินบริษัทการบินไทย, กลุ่มมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่, มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช ส�านักงานการศึกษาต่อเนื่อง, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (องครักษ์) ชมรมวิศวกรความรู้เพื่อสังคม, ชมรมพุทธวจนอุดรธานี, ชมรมธรรมปรีดา, ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ส�านักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, บจก. สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น, บจก. ดาต้าโปรดักส์, บจก. 3M ประเทศไทย, บจก. บางไทรไฟเบอร์บอร์ด, บจก. เอ็นอีซี โทคิน อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย), บจก. สยามรักษ์, บจก. เซเว่นสเต็ปส์, บจก. เมคเทค, บจก. ไดเวอร์ส เคมีคอลส์, บจก. ห้างพระจันทร์โอสถ, บจก.สมสุข สหภัทรสตีลล์, บจก.ทองแป้น, บจก. สมาย คอนเทนเนอร์ อุตสาหกรรม, บจก. อี.ซี.ที. ซิสเต็ม, บจก. อี.ซี.ที. เอ็นจิเนียริง่ , บจก. อี.ซี.ที. ซัพพลาย, บจก. อี.ซี.ที อินเตอร์เนชั่นแนล, บจก. อี.ซี.ที. โปรเฟสชั่นแนล, บจก. คอร์โดมา อินเตอร์เนชั่นแนล, บมจ. ณุศาศิริ, หจก. อินเตอร์ คิด, สถานกายภาพบ�าบัด คิดดีคลินิค, ร้านต้นมะขามช่างทอง, ร้านเสบียงบุญ, บ้านเมตตาเรสซิเด้นท์, บ้านพุทธวัจน์
ลงสะพานคลอง ๑๐ ไปยูเทิร์นแรกมา แล้วเลี้ยวซ้ายก่อนขึ้นสะพาน
ลงสะพานคลอง ๑๐ เลี้ยวซ้ายคอสะพาน
โทรศัพท์ ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑, ๐๘ ๔๐๙๖ ๘๔๓๐, ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๔, ๐๘ ๖๕๕๒ ๒๔๕๙
แนวทิวสน วัดนาป่าพง
แผนที่วัดนาป่าพง
๑๐
พระสูตรของความส�าคัญ ทีช่ าวพุทธต้องศึกษา แต่คา� สอนจากพระพุทธเจ้า เท่านัน้
ผ่านมา ๒,๕๐๐ กว่าปี ค�าสอนทางพระพุทธศาสนาเกิดความหลากหลายมากขึน้ มีสา� นักต่างๆ มากมาย ซึง่ แต่ละหมูค่ ณะก็มคี วามเห็นของตน หามาตรฐานไม่ได้ แม้จะกล่าวในเรือ่ งเดียวกัน ทัง้ นีไ้ ม่ใช่เพราะค�าสอนของพระพุทธเจ้าไม่สมบูรณ์ แล้วเราควรเชือ่ และปฏิบตั ติ ามใคร ? ลองพิจารณาหาค�าตอบง่ายๆ ได้จาก ๑๐ พระสูตร ซึง่ พระตถาคตทรงเตือนเอาไว้ แล้วตรัสบอกวิธปี อ้ งกันและแก้ไขเหตุเสือ่ มแห่งธรรมเหล่านี.้ ขอเชิญมาตอบตัวเองกันเถอะว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ? ทีพ่ ทุ ธบริษทั จะมีมาตรฐานเพียงหนึง่ เดียว คือ “พุทธวจน” ธรรมวินยั จากองค์พระสังฆบิดาอันวิญญูชนพึงปฏิบตั แิ ละรูต้ ามได้เฉพาะตน ดังนี.้ ๑. พระองค์ทรงสามารถก�าหนดสมาธิ เมือ่ จะพูด ทุกถ้อยค�าจึงไม่ผดิ พลาด -บาลี มู. ม. ๑๒/๔๕๘/๔๓๐.
อัคคิเวสนะ ! เรานัน้ หรือ จ�าเดิมแต่เริม่ แสดง กระทัง่ ค�าสุดท้ายแห่ง การกล่าวเรือ่ งนัน้ ๆ ย่อมตัง้ ไว้ซงึ่ จิตในสมาธินมิ ติ อันเป็นภายในโดยแท้ ให้จติ ด�ารงอยู ่ ให้จติ ตัง้ มัน่ อยู ่ กระท�าให้มจี ติ เป็นเอก ดังเช่นทีค่ นทัง้ หลาย เคยได้ยนิ ว่าเรากระท�าอยูเ่ ป็นประจ�า ดังนี.้
๒. แต่ละค�าพูดเป็นอกาลิโก คือ ถูกต้องตรงจริงไม่จา� กัดกาลเวลา -บาลี มู. ม. ๑๒/๔๘๕/๔๕๑.
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทัง้ หลายเป็นผูท้ เี่ ราน�าไปแล้วด้วยธรรมนี้ อันเป็นธรรมทีบ่ คุ คลจะพึงเห็นได้ดว้ ยตนเอง (สนฺทฏิ ิโก) เป็นธรรมให้ ผลไม่จา� กัดกาล (อกาลิโก) เป็นธรรมทีค่ วรเรียกกันมาดู (เอหิปสฺสโิ ก) ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว (โอปนยิโก) อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน (ปจฺจตฺต� เวทิตพฺโพ วิญญ ฺ หู )ิ . ๓. คา� พูดทีพ่ ดู มาทัง้ หมดนับแต่วนั ตรัสรูน้ นั้ สอดรับไม่ขดั แย้งกัน -บาลี อิติวุ. ขุ. ๒๕/๓๒๑/๒๙๓.
ภิกษุทั้งหลาย ! นับตั้งแต่ราตรี ที่ตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จนกระทั่งถึงราตรีที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส นิพพานธาตุ ตลอดเวลาระหว่างนั้น ตถาคตได้กล่าวสอน พร�่าสอน แสดงออก ซึง่ ถ้อยค�าใด ถ้อยค�าเหล่านัน้ ทัง้ หมด ย่อมเข้ากันได้โดย ประการเดียวทัง้ สิน้ ไม่แย้งกันเป็นประการอืน่ เลย. วยกลองศึก อ๔. ทรงบอกเหตุแห่งความอันตรธานของค�าสอนเปรี-บาลียบด้ นิทาน. สํ. ๑๖/๓๑๑/๖๗๒-๓. ภิกษุทงั้ หลาย ! เรือ่ งนีเ้ คยมีมาแล้ว กลองศึกของกษัตริยพ์ วกทสารหะ เรียกว่า อานกะ มีอยู่ เมือ่ กลองอานกะนี้ มีแผลแตกหรือลิ พวกกษัตริย์ ทสารหะได้หาเนือ้ ไม้อนื่ ท�าเป็นลิม่ เสริมลงในรอยแตกของกลองนัน้ (ทุก คราวไป). ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเชื่อมปะเข้าหลายครั้งหลายคราวเช่นนั้น นานเข้าก็ถงึ สมัยหนึง่ ซึง่ เนือ้ ไม้เดิมของตัวกลองหมดสิน้ ไป เหลืออยูแ่ ต่ เนือ้ ไม้ทที่ า� เสริมเข้าใหม่เท่านัน้ . ภิกษุทงั้ หลาย ! ฉันใดก็ฉนั นัน้ ในกาลยืดยาวฝ่ายอนาคต จักมีภกิ ษุ ทัง้ หลาย สุตตันตะเหล่าใด ทีเ่ ป็นค�าของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึง้ เป็นชัน้ โลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรือ่ งสุญญตา เมือ่ มีผนู้ า� สุตตันตะเหล่านัน้
มากล่าวอยู่ เธอจักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยหูฟัง จักไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สา� คัญว่าเป็นสิง่ ทีต่ นควรศึกษาเล่าเรียน ส่วนสุตตันตะเหล่าใดที่ นักกวีแต่งขึน้ ใหม่ เป็นค�าร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอกั ษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจติ ร เป็นเรือ่ งนอกแนว เป็นค�ากล่าวของสาวก เมือ่ มีผนู้ า� สุตตันตะที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่เหล่านั้นมากล่าวอยู่ เธอจักฟังด้วยดี จัก เงีย่ หูฟงั จักตัง้ จิต เพือ่ จะรูท้ วั่ ถึง และจักส�าคัญว่าเป็นสิง่ ทีต่ นควรศึกษา เล่าเรียนไป. ภิกษุทงั้ หลาย ! ความอันตรธานของสุตตันตะเหล่านัน้ ทีเ่ ป็นค�าของ ตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึง้ เป็นชัน้ โลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วย เรือ่ งสุญญตา จักมีได้ดว้ ยอาการอย่างนี้ แล. ๕. ทรงก�าชับให้ศึกษาปฏิบัติเฉพาะจากค�าของพระองค์เท่านั้น อย่าฟังคนอื่น -บาลี ทุก. อํ. ๒๐/๙๑-๙๒/๒๙๒.
ภิกษุทงั้ หลาย ! พวกภิกษุบริษทั ในกรณีนี้ สุตตันตะเหล่าใด ทีก่ วี แต่งขึน้ ใหม่ เป็นค�าร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอกั ษรสละสลวย มี พยัญชนะอันวิจติ ร เป็นเรือ่ งนอกแนว เป็นค�ากล่าวของสาวก เมือ่ มีผนู้ า� สุตตันตะเหล่านัน้ มากล่าวอยู่ เธอจักไม่ฟงั ด้วยดี ไม่เงีย่ หูฟงั ไม่ตงั้ จิตเพือ่ จะรูท้ วั่ ถึง และจักไม่สา� คัญว่าเป็นสิง่ ทีต่ นควรศึกษาเล่าเรียน. ภิกษุทงั้ หลาย ! ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ทีเ่ ป็นค�าของตถาคต เป็น ข้อความลึก มีความหมายซึง้ เป็นชัน้ โลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรือ่ งสุญญตา เมือ่ มีผนู้ า� สุตตันตะเหล่านัน้ มากล่าวอยู่ เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงีย่ หูฟงั ย่อมตัง้ จิตเพือ่ จะรูท้ วั่ ถึง และย่อมส�าคัญว่าเป็นสิง่ ทีต่ นควรศึกษาเล่าเรียน จึงพากันเล่าเรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่กนั และกันอยูว่ า่ “ข้อนีเ้ ป็นอย่างไร มีความหมายกีน่ ยั ” ดังนี้ ด้วยการท�าดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรมทีถ่ กู ปิดไว้ได้ ธรรมทีย่ งั ไม่ปรากฏ เธอก็ทา� ให้ปรากฏได้ ความสงสัยในธรรมหลายประการ ทีน่ า่ สงสัย เธอก็บรรเทาลงได้.
ภิกษุทงั้ หลาย ! บริษทั ชือ่ อุกกาจิตวินตี า ปริสา โน ปฏิปจุ ฉาวินตี า เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทงั้ หลาย ! ในกรณีนคี้ อื ภิกษุทงั้ หลายในบริษทั ใด เมือ่ สุตตันตะ ทัง้ หลาย อันเป็นตถาคตภาษิต (ตถาคตภาสิตา) อันลึกซึง้ (คมฺภรี า) มี อรรถอันลึกซึ้ง (คมฺภีรตฺถา) เป็นโลกุตตระ (โลกุตฺตรา) ประกอบด้วย เรือ่ งสุญญตา (สุญญ ฺ ตปฏิสย� ตุ ตฺ า) อันบุคคลน�ามากล่าวอยู่ ก็ไม่ฟงั ด้วยดี ไม่เงีย่ หูฟงั ไม่เข้าไปตัง้ จิตเพือ่ จะรูท้ วั่ ถึง และไม่สา� คัญว่าเป็นสิง่ ทีต่ นควร ศึกษาเล่าเรียน. ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ทีก่ วีแต่งขึน้ ใหม่ เป็นค�าร้อยกรองประเภท กาพย์กลอน มีอกั ษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจติ ร เป็นเรือ่ งนอกแนว เป็นค�ากล่าวของสาวก เมือ่ มีผนู้ า� สุตตันตะเหล่านีม้ ากล่าวอยู่ พวกเธอย่อมฟังด้วยดี เงีย่ หูฟงั ตัง้ จิตเพือ่ จะรูท้ วั่ ถึง และส�าคัญไป ว่าเป็นสิง่ ทีต่ นควรศึกษาเล่าเรียน พวกเธอเล่าเรียนธรรมอันกวีแต่งใหม่ นั้นแล้ว ก็ไม่สอบถามซึ่งกันและกัน ไม่ท�าให้เปิดเผยแจ่มแจ้งออกมาว่า ข้อนีพ้ ยัญชนะเป็นอย่างไร อรรถเป็นอย่างไร ดังนี้ เธอเหล่านัน้ เปิดเผย สิง่ ทีย่ งั ไม่เปิดเผยไม่ได้ ไม่หงายของทีค่ ว�า่ อยูใ่ ห้หงายขึน้ ได้ ไม่บรรเทา ความสงสัยในธรรมทัง้ หลายอันเป็นทีต่ งั้ แห่งความสงสัยมีอย่างต่างๆ ได้. ภิกษุทงั้ หลาย ! นีเ้ ราเรียกว่า อุกกาจิตวินตี า ปริสา โน ปฏิปจุ ฉาวินตี า. ภิกษุทงั้ หลาย ! บริษทั ชือ่ ปฏิปจุ ฉาวินตี า ปริสา โน อุกกาจิตวินตี า เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทงั้ หลาย ! ในกรณีนคี้ อื ภิกษุทงั้ หลายในบริษทั ใด เมือ่ สุตตันตะ ทัง้ หลาย ทีก่ วีแต่งขึน้ ใหม่ เป็นค�าร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอกั ษร สละสลวย มีพยัญชนะอันวิจติ ร เป็นเรือ่ งนอกแนว เป็นค�ากล่าวของสาวก อันบุคคลน�ามากล่าวอยู่ ก็ไม่ฟงั ด้วยดี ไม่เงีย่ หูฟงั ไม่เข้าไปตัง้ จิตเพือ่ จะ รูท้ วั่ ถึง และไม่สา� คัญว่าเป็นสิง่ ทีต่ นควรศึกษาเล่าเรียน ส่วน สุตตันตะ เหล่าใด อันเป็นตถาคตภาษิต อันลึกซึง้ มีอรรถอันลึกซึง้ เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยเรือ่ งสุญญตา เมือ่ มีผนู้ า� สุตตันตะเหล่านี ้ มากล่าวอยู ่ พวก
เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงีย่ หูฟงั ย่อมเข้าไปตัง้ จิตเพือ่ จะรูท้ วั่ ถึง และ ย่อมส�าคัญว่าเป็นสิง่ ทีค่ วรศึกษาเล่าเรียน พวกเธอเล่าเรียนธรรมทีเ่ ป็น ตถาคตภาษิตนัน้ แล้ว ก็สอบถามซึง่ กันและกัน ท�าให้เปิดเผยแจ่มแจ้งออก มาว่า ข้อนีพ้ ยัญชนะเป็นอย่างไร อรรถะเป็นอย่างไร ดังนี้ เธอเหล่านัน้ เปิดเผยสิง่ ทีย่ งั ไม่เปิดเผยได้ หงายของทีค่ ว�า่ อยูใ่ ห้หงายขึน้ ได้ บรรเทา ความสงสัยในธรรมทัง้ หลายอันเป็นทีต่ งั้ แห่งความสงสัยมีอย่างต่างๆ ได้. ภิกษุทงั้ หลาย ! นีเ้ ราเรียกว่า ปฏิปจุ ฉาวินตี า ปริสา โน อุกกาจิตวินตี า. ภิกษุทงั้ หลาย ! เหล่านีแ้ ลบริษทั ๒ จ�าพวกนัน้ . ภิกษุทงั้ หลาย ! บริษทั ทีเ่ ลิศในบรรดาบริษทั ทัง้ สองพวกนัน้ คือ บริษทั ปฏิปจุ ฉาวินตี า ปริสา โน อุกกาจิตวินตี า (บริษทั ทีอ่ าศัยการสอบสวนทบทวนกันเอาเอง เป็นเครือ่ งน�าไป ไม่อาศัยความเชือ่ จากบุคคลภายนอกเป็นเครือ่ งน�าไป) แล. ๖. ทรงห้ามบัญญัติเพิ่มหรือตัดทอนสิ่งที่บัญญัติไว้ -บาลี มหา. ที. ๑๐/๙๐/๗๐.
ภิกษุทงั้ หลาย ! ภิกษุทงั้ หลาย จักไม่บญ ั ญัตสิ งิ่ ทีไ่ ม่เคยบัญญัต ิ จัก ไม่เพิกถอนสิง่ ทีบ่ ญ ั ญัตไิ ว้แล้ว จักสมาทานศึกษาในสิกขาบททีบ่ ญ ั ญัตไิ ว้ แล้วอย่างเคร่งครัด อยูเ่ พียงใด ความเจริญก็เป็นสิง่ ทีภ่ กิ ษุทงั้ หลายหวังได้ ไม่มคี วามเสือ่ มเลย อยูเ่ พียงนัน้ . ๗. ส�านึกเสมอว่าตนเองเป็นเพียงผู้เดินตามพระองค์เท่านั้น ถึงแม้จะเป็นอรหันต์ผู้เลิศทางปัญญาก็ตาม -บาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๘๒/๑๒๖.
ภิกษุทงั้ หลาย ! ตถาคตผูอ้ รหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ทา� มรรคทีย่ งั ไม่เกิดให้เกิดขึน้ ได้ทา� มรรคทีย่ งั ไม่มใี ครรูใ้ ห้มคี นรู้ ได้ทา� มรรคทีย่ งั ไม่มี ใครกล่าวให้เป็นมรรคทีก่ ล่าวกันแล้ว ตถาคตเป็นผูร้ มู้ รรค (มคฺคญฺญ)ู เป็น ผูร้ แู้ จ้งมรรค (มคฺควิท)ู เป็นผูฉ้ ลาดในมรรค (มคฺคโกวิโท). ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนสาวกทัง้ หลายในกาลนี ้ เป็นผูเ้ ดินตามมรรค (มคฺคานุคา) เป็นผูต้ ามมา ในภายหลัง.
ภิกษุทงั้ หลาย ! นีแ้ ล เป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เป็นความมุง่ หมาย ทีแ่ ตกต่างกัน เป็นเครือ่ งกระท�าให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผูอ้ รหันตสัมมาสัมพุทธะ กับภิกษุผู้ปัญญาวิมุตติ. ๘. ตรัสไว้ว่าให้ทรงจ�าบทพยัญชนะและค�าอธิบายอย่างถูกต้อง พร้อมขยันถ่ายทอดบอกสอนกันต่อไป -บาลี จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๙๗/๑๖๐.
ภิกษุทงั้ หลาย ! พวกภิกษุในธรรมวินยั นี ้ เล่าเรียนสูตรอันถือกัน มาถูก ด้วยบทพยัญชนะทีใ่ ช้กนั ถูก ความหมายแห่งบทพยัญชนะทีใ่ ช้กนั ก็ถกู ย่อมมีนยั อันถูกต้องเช่นนัน้ . ภิกษุทงั้ หลาย ! นีเ่ ป็น มูลกรณีทหี่ นึง่ ซึง่ ท�าให้พระสัทธรรมตัง้ อยูไ่ ด้ไม่เลอะเลือนจนเสือ่ มสูญไป... ภิกษุทงั้ หลาย ! พวกภิกษุเหล่าใด เป็นพหุสตู คล่องแคล่ว ในหลัก พระพุทธวจน ทรงธรรม ทรงวินยั ทรงมาติกา (แม่บท) พวกภิกษุเหล่านัน้ เอาใจใส่ บอกสอน เนือ้ ความแห่งสูตรทัง้ หลายแก่คนอืน่ ๆ เมือ่ ท่านเหล่านัน้ ล่วงลับไป สูตรทัง้ หลาย ก็ไม่ขาดผูเ้ ป็นมูลราก (อาจารย์) มีทอี่ าศัยสืบกันไป. ภิกษุทั้งหลาย ! นี่เป็น มูลกรณีที่สาม ซึ่งท�าให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ ไม่เลอะเลือนจนเสือ่ มสูญไป... *** ในที่นี้ยกมา ๒ นัยยะ จาก ๔ นัยยะ ของมูลเหตุสี่ประการ ที่ท�าให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป
๙. ทรงบอกวิธีแก้ไขความผิดเพี้ยนในค�าสอน -บาลี มหา. ที. ๑๐/๑๔๔/๑๑๓-๖.
๑. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินยั นีก้ ล่าวอย่างนีว้ า่ ผูม้ อี ายุ ! ข้าพเจ้า ได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผูม้ พี ระภาคว่า “นีเ้ ป็นธรรม นีเ้ ป็นวินยั นีเ้ ป็นค�าสอนของพระศาสดา”... ๒. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินยั นีก้ ล่าวอย่างนีว้ า่ ในอาวาสชือ่ โน้นมี สงฆ์อยูพ่ ร้อมด้วยพระเถระ พร้อมด้วยปาโมกข์ ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะ หน้าสงฆ์นนั้ ว่า “นีเ้ ป็นธรรม นีเ้ ป็นวินยั นีเ้ ป็นค�าสอนของพระศาสดา”...
๓. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินยั นีก้ ล่าวอย่างนีว้ า่ ในอาวาสชือ่ โน้นมี ภิกษุผเู้ ป็นเถระอยูจ่ า� นวนมาก เป็นพหุสตู เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินยั ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านัน้ ว่า “นีเ้ ป็นธรรม นีเ้ ป็นวินยั นีเ้ ป็นค�าสอนของพระศาสดา”... ๔. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินยั นีก้ ล่าวอย่างนีว้ า่ ในอาวาสชือ่ โน้นมี ภิกษุผเู้ ป็นเถระอยูร่ ปู หนึง่ เป็นพหุสตู เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินยั ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าพระเถระรูปนัน้ ว่า “นีเ้ ป็นธรรม นีเ้ ป็นวินยั นีเ้ ป็นค�าสอนของพระศาสดา”... เธอทัง้ หลายยังไม่พงึ ชืน่ ชม ยังไม่พงึ คัดค้านค�ากล่าวของผูน้ นั้ พึงเรียน บทและพยัญชนะเหล่านัน้ ให้ดี แล้วพึงสอบสวนลงในพระสูตร เทียบเคียง ดูในวินยั ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เทียบเข้าใน วินัยก็ไม่ได้ พึงลงสันนิษฐานว่า “นี้มิใช่พระด�ารัสของพระผู้มีพระภาค พระองค์นนั้ แน่นอน และภิกษุนรี้ บั มาผิด” เธอทัง้ หลาย พึงทิง้ ค�านัน้ เสีย ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านัน้ สอบลงในสูตรก็ได้ เทียบเข้าในวินยั ก็ได้ พึงลงสันนิษฐานว่า “นีเ้ ป็นพระด�ารัส ของพระผูม้ พี ระภาคพระองค์นนั้ แน่นอน และภิกษุนนั้ รับมาด้วยดี” เธอทัง้ หลาย พึงจ�ามหาปเทส... นีไ้ ว้. ๑๐. ทรงตรัสแก่พระอานนท์ ให้ใช้ธรรมวินัยที่ตรัสไว้เป็นศาสดาแทนต่อไป -บาลี มหา. ที. ๑๐/๑๗๘/๑๔๑. -บาลี ม. ม. ๑๓/๔๒๗/๔๖๓. -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๑๗/๗๔๐.
อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่า ‘ธรรมวินัยของ พวกเรามีพระศาสดาล่วงลับไปเสียแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา’ ดังนี้. อานนท์ ! พวกเธออย่าคิดอย่างนั้น. อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เรา แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็น ศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปแห่งเรา.
อานนท์ ! ในกาลบัดนีก้ ด็ ี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตาม จัก ต้องมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิง่ อืน่ เป็นสรณะ มีธรรมเป็น ประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่. อานนท์ ! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา ภิกษุพวกนั้น จักเป็นผู้อยู่ในสถานะ อันเลิศที่สุดแล. อานนท์ ! ความขาดสูญแห่งกัลยาณวัตรนี้ มีในยุคแห่งบุรุษใด บุรุษนั้นชื่อว่า เป็นบุรุษคนสุดท้ายแห่งบุรุษทั้งหลาย... เราขอกล่าวย�้ากะ เธอว่า... เธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายของเราเลย.
เธอทั้งหลายอย่าเป็น บุรุษคนสุดท้าย ของเราเลย -บาลี ม. ม. ๑๓/๔๒๗/๔๖๓.
¨n° µ ¹È  À ¨° oª¥ ¸ oª¥ ªµ¤¿®Æ
9Sþ*BTDb;`GRBTD;O$ MT- O*GCCVc6 CWI*$EO<OS;L;V9 CW<T;=ER7[ `GRM; T7 T*OS;= 6L;V96W b;_EĐO;DO6;Sþ; CW<SGGS*$ OS;GT66 ID> Ta$_-TI %;DTI GT66 ID_'EĐĕO*GT69lT6 ID%;`$RLW%TI GT66 ID%;_+WDC_= ;`> ;9X< CW_'EĐOĕ *GT6OD T*6W9Tl 6 IDM;S*-RC6 CW_@6T;$Sþ;b;_<YhO*<; CWMCO;`6*IT* 5 % T*9Sþ*LO*
¿ °¤¸ ·®¨ ¨º¤ ¿¤ºÇ° ¦³ ̵ µ¨³ ¥n°¤¿ oµ ¹ ¿ ¡ · µ¥®¤¼n ®¤¼n® ¹Ç
µ ¥µ¥ ¦¦¤ µ ¥µ¥ ¦¦¤
ïìĒĀŠÜíøøöìĆĚÜĀúć÷ ÷ŠĂöðøćÖäĒÖŠđíĂ ñĎšöĊÙüćöÿč×ĔîõóîĆĚî
ÿćøĊïčêø b đðøĊ÷ïđĀöČĂîLERa<$%E5W CW;Tlh OS;_Df; bLLROT6 CW9T OS;6W ; TEĐ;ĕ ECD
`GRb;9WgcC c$GLERa<$%E5W;Sþ; CW`;I= TOS;9X<
· ´ ¿ · ¹È oµ À n´ ªr ´È ¥n°¤¿ } ¼o ¦¦¨» » ª·¿«¬¿¦Æª¡¨´
úĞćéĆïîĆĚî ïčøčþñĎšöĊêĆüĂĆîÙüćöøšĂîĒñéđñć đĀîĘéđĀîČęĂ÷ Āĉü øąĀć÷ öčŠÜöćÿĎŠìĊęîĆĚîė ēé÷öøøÙćÿć÷đéĊ÷ü ïčøčþñĎšöĊÝĆÖþčđĀĘîđ×ćĒúšü óċÜÖúŠćüĂ÷ŠćÜîĊĚüŠć ĶïčøčþñĎšđÝøĉâîĊĚ ðäĉïĆêĉĂ÷ŠćÜîĆĚî éĞćđîĉîĂ÷ŠćÜîĆĚî Ēúą×ċĚîÿĎŠĀîìćÜîĆĚî ÝĆÖöćëċÜìĊęîĆĚîė ìĊđéĊ÷üķ
čæò÷ĀíæŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ
ùûā ùĘ Ĝģ ĞĢĢ ĠģĤ éāôĄ éāôĄ ùûā ùĘ Ĝģ ĞĢĢ ĠģĤ
µ ¥µ¥ ¦¦¤ ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀüēãêòÿčñÙèŞ æĘāċíĆüē êòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą øāùĈùŚ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæèØéĀ çăĎė èäś ďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùæÖöèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘāċíĆ æāÖÐāò÷ą ÐøāùĈùŚ ÐāçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæçăĎė èäś éèĄèďĔ ØéĀ ãśòéĀ èĄÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùă çăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ éċíĆüē ċëñČëŚ ĎèæćÐ ĎèÐāò×Ā Ðò⥠ĎèÐāò×Ā āúòĆüċëñČëŚ ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüüÖÑüÖÑś üðĈāôêòą ÑüÓĘ āêòąāÐèÑś øāãś äśèØéĀäśéèċíĆØéĀ üē ċëñČëŚ ĎèæćÐÐò⥠ãæĘāúòĆãüæĘċëñČëŚ čêòãĎÙś čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś ðĈô ÑüÓĘ Ðøāãś üðĈāôèÑśüðĈô èăçíă æć çčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć æçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ āċíĆüē ÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ôèăæç ēĄ íă ðĈæć ôçčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć æçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ ĎèÐāò×ĀĎèÐāò×Ā ãæĘāċíĆãüē æĘÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ã äăãäŚãü äă ďãśãæäŚ ēĄ ðĈüďãś
çăíćæçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć üāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ ðĈôèăçăíðĈćæôèăçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć âüāòĄöâòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ éëĈäś üś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äă äĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS ùĘāúòĀéùĘëĈāäś úòĀüś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äă ãäŚüďãśãæäŚ ēĄ ü ÷ĈďãśèæñŞê ēĄ ÷ĈÞăéèäĀñŞêíă Þăæć éçö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS íæŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ čæò÷Āíčæò÷Ā æŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ óæçăåăëė čùäĉ åăëæčô ďãś äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ ÓąÐóæçăÓė ąÐčùäĉ čô ďãś Ąē æĄē XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è
ØéĀé ĜĞ
&@ / !
&@ / !
XXX XBUOBQQ DPN ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX CVEEIBLPT PSH ÓôĆēè ù ö í '. .)[ æćÐöĀèíòÿ ċöôā è
æāè
éāôĄ èöÐ üĘ ĝĞ ğĞĤ ĝěĤ éāôĄ Ñć Ñć ĝĠ ĞěĠ ĝĢģ
äăãäāðÐāòċëñČëŚíòÿçòòðÓĘāùüèäāðúôĀÐíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞÓÐą óæçă ė čùäĉåëă čô ďãśæ ēĄ
13 13
14 14
15 15
16 16
ĄúĄ
ċãòĀ×ØāèöăÙā ċãòĀ×ØāèöăÙā
éāôĄ ×äćÐĉÐ üĘ ĝĜ ĝĠĜ ĜĤĜ
ðĈôèăāçùüèäāðúôĀ ăíćæçčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ äăãäāðÐāòċëñČëŚíòÿçòòðÓĘ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ ÓąÐóæçăė čùäĉåăëčô ďãś æĄē Óćâ÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ ÓćâüāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æć ùĘāúòĀéëĈäś üś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äăãäŚüďãśæ ēĄ ÷ĈÐèöĀñŞèêíòÿ ċöôā è ÞăéäĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS
ùāçñāñçòòð
äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ óæçăå ė ăëčùäĉ åëă æčô ďãś äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ ÓąÐóæçăÓÐąė čùäĉ čô ďãś Ąē æ ēĄ XXX XBUOBQQ DPN ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX CVEEIBLPT PSH XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH ēè ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è ÓôĆèē ÓôĆ ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è
ïíïĈðă
ùāçñāñçòòð ùāçñāñçòòð
éāôĄ ðĈ ð Ĝĝ ĜğĢ ĜĠĞ ĜĢě ĜĢġ
üðĈôçòòðÿèĄ āċíĆüē êòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą ùŚ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ùăæèçăĎØéĀ ė èäśéèèĄØéĀ ďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘāċíĆüē êòÿčñÙèŞæāÖÐāò÷ąÐøāùĈùŚ āçāòâÙèċêŢèçòòðæāè ôăÑùăæçăĎė èäśèØéĀéèĄďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùăæçăĎė èÐāò×ĀãæĘā×āÐ ÑśüðĈôÑśçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘā Ĕ ×ĀċíĆãüē æĘêòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą ÐøāùĈÐùŚ øāùĈ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæçăÑĎė èäś ďĔ ãśéòéĀ èĄÐāòùÖöèďöś ďðŚù Ööèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ØéĀüē éċëñČëŚ ċíĆüē ċëñČëŚ èæćÐ Ðò⥠ĎèÐāò×Ā āúòĆüċëñČëŚ čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś üðĈôā ÑüÓĘ êòąÐāøāãś äśèØéĀäśéèċíĆ ĎèæćÐĎÐò⥠ĎèÐāò×Ā ãæĘāúòĆãæĘüċëñČëŚ čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś üðĈô ÑüÓĘ êòąÐāøāãś èÑśüāðĈèÑś ô üðĈôäśèØéĀéċíĆüē ċëñČëŚĎèæćÐÐò⥠ĎèÐāò×ĀãæĘāúòĆüċëñČëŚ čêòãĎÙśÓöāðôÿċüĄñãòüéÓüéċíĆüē òĀÐøāÓöāðåĈÐäśüÖÑüÖÑśüðĈô ÑüÓĘāêòąÐøāãśāèÑśüðĈô ĎèÐāò×Ā ã äăæãçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ äŚüďãśæĄē ôèăēçüíă ÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ æć çčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć ĎèÐāò×ĀãæĘāċíĆüē ÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀã äăãäŚüďãśæ ēĄ ðĈôèăçíă æć çčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íćæçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ ĎèÐāò×ĀãæĘāċíĆüē ÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ã äăãäŚüãďãśæĘæā ēĄ ðĈċíĆ ðĈôèăçăíćæçčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ ðĈôèăçăíćæçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć âüāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ ðĈôèăçăí Ĕ ×Āćæãçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć ÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć üāòĄèöØéĀ òòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ ÑśüðĈôçòòðÿèĄ æĘāċíĆüē êòÿčñÙèŞæāÖÐāò÷ąÐøāùĈâùŚ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôăÑùăæçăâĎė èäś éèĄďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùăæçăĎė èÐāò×ĀãæĘā×āÐ Óćâ÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ ÓćâüāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ äśèØéĀéċíĆùĘüē āċëñČëŚ ÐÐò⥠ñãòüéÓüéċíĆüē òĀÐøāÓöāðåĈÐäśüÖÑüÖÑśüðĈô ÑüÓĘāêòąÐøāãśāèÑśüðĈô ùĘāúòĀéëĈäś üś ÖÐāòêÞăéäĀ çă òòòð äăãäŚüďãśæ ēĄ ÷ĈèñŞêÞăéäĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS úòĀéëĈäś Ďüś èæć ÖÐāòêÞă éäĀ ĎèÐāò×Ā çă òòòð äăããæĘäŚāüúòĆďãśüæċëñČëŚ ēĄ ÷ĈèñŞ čêòãĎÙś êÞăéäĀ íă Óæć öāðôÿċüĄ çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS ùĘāúòĀéëĈäś üś ÖÐāòêÞăéäĀ çă čæò ěģ ĤĢĤĜ ěĝĤĤ ěģ ĢĠĜĜ ģěĜě òòòð äăãäŚüďãśæ ēĄ ÷ĈèñŞêÞăéäĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS čæò÷Ā íæŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ ĎèÐāò×Ā ãæĘāċíĆēüÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀã äăãäŚüďãśæĄē čæò÷ĀíæŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ
&@&@ // !!
¦¦¤¿®¨n µ ´OS;È M;T CW ¿ } _*TM;T9X ¦¦¤°´< £· ¬» ´È ¢{ ¿ º° Å CWb<O O;`GRb<`$
ÿćøĊïčêø b đðøĊ÷ïđĀöČĂî=ETLT9 b;=ETLT9;Sþ;CW_EĐO;DO6 .Xą*,T<9T`G I
ØéĀé Ĝĝ ØéĀé Ĝĝ
éāôĄ ×äćÐĉÐ üĘ ĝĜ ĝĠĜ ĜĤĜ
ÿćøĊïčêø b đðøĊ÷ïđĀöČĂî7 ;cC _$V6b;@Y;h 9WO g ;S _LCO
&@& / / ! !
· ´ ¿ · ¹È oµ ´ ¿ · » ¹ª·È ¿«¬¿¦Æ oµ ª¡¨´ À n´ ªr ´È ¥n°¤¿ } · ¼o ¦¦¨»
_7fCc=6 ID8 T;_@GV* =ETJ+T$_=GI =ETJ+T$'IS;
õĉÖþčìĆĚÜĀúć÷ b õĉÖþčĔîíøøöüĉîĆ÷îĊĚ ÷ŠĂöđúŠćđøĊ÷îíøøö ÙČĂ ÿčêêą đÙ÷÷ą đü÷÷ćÖøèą Ùćëć Ăčìćî ĂĉêĉüčêêÖą ßćéÖ ĂĆ êíøøö đüìĆ úúą CWb<O O;`GRb<`$ OS;_<T<T* CW_*TOSó;õĎa=E *
ÿćøĊïčêø b đðøĊ÷ïđĀöČĂîMGZC'[8 GX$DVý*$I T-SýI<ZEZK _7fCc=6 ID'[8 ÿćøĊïčêø b đðøĊ÷ïđĀöČĂî7 ;cC _$V6b;@Y;h 9WO g ;S cC _LCO
&& // !!
ïìĒĀŠÜíøøöìĆĚÜĀúć÷ ÷ŠĂöðøćÖäĒÖŠđíĂ ñĎšöĊÙüćöÿč×ĔîõóîĆĚî
ØéĀé Ĝě
¿ °¤¸ ¨ ¨º ¤ ¿¤º Ç° ¦³ Ì ¿ °¤¸ · ·®®¨ ¨º ¤ ¿¤º Ç° ¦³ Ì µ µ¨³µ µ¨³ ¤¿ oµµ ¹ ¹ ¿ ¡ · µ¥®¤¼ n ®¤¼nÂn® ®¤¼ ¹Ç n® ¹Ç ¥n¥n°°¤¿ o ¿ ¡ · µ¥®¤¼
ïăÐøćæĀĔÖúôāñ b çòòðæāè ċôă÷ÐöŚāæāèæĀĔÖúôāñ
ĎèÐāò×ĀãæĘāċíĆēüÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀã äăãäŚüďãśæĄē ðĈôèăçăíćæçčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ
Óćâ÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ ÓćâüāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ ùĘāúòĀéëĈäś üś ÖÐāòêÞăéäĀ çă òòòð äăãäŚüďãśæ ēĄ ÷ĈèñŞêÞăéäĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS čæò÷ĀíæŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ
óć Ô üċ êĄĘ Ú þ ø ą õ b Ā ą ì ą î ą ì ý èć ý ô ą ëć ìĈĘ Đ ø ĀĄìíċ××øďÛöćàĐøşú êĜąĒþşôąÔĐøşú õŞĀôďîŦìÕĀÚöĜąÚĄí ďóć ÔîŦ üċìêĄĘ ÚÕþ øĀ ą Úõ î ö ăb æĈ è Ā ąďì îŦą îìą ìÕý èćĀý Úô ąďëć õĖìĈĘ Đìø í ďĀĄîŦìíċì××øďÛöć ýċ Õ úć àþĐøşąúö Đ êĜø ąăĒþşõŞôąÔĐøş Ā ô õĄú Ú ĀõŞÔċĀôďîŦ û øìÕĀÚöĜ ë ö öąÚĄô Õ Ā Ú î ĀĄöìďÔć ă çæĈÕĉĘìèĐøşú ď îŦ ì ÕĐøăďÔć Ā ÚçÕĉďĘìõĖĐøşúì ĀĄď ìîŦďîŦììíąî ď îŦĀĄ ìì èöëąìēî ýċ Õ úć þ ą ö ĐĒþĘø öăĜ ą ÚĄõŞ íĀēî ô õĄ Ú đçõ×úöĐÔė Ā Ôċ û ø ë ãöąìă ö ô ĒþĘ ú óćĀĄìÔďîŦüċìêĄíąî Ę Ú þ ø ą õ ĀĄìďÔćçÕĉb Ęì Đøşú ď î öĈ õĐøăďÔć í ď þçÕĉôĊĘìĀĐøşì ðċĒþĘ ř ìĀëċĄ ìøĈèöëąìēî òċŚ Ú ÕĉĘ ì Đ þŞ ÚĒþĘ ď çĊöĜ Āą ÚĄìíýċēî ç êş ą đçõ×úöĐÔė õ Õ Ā Ú ÷ çČ ãöşąìă Āì ď î öĈìĄõ í ď þ ôĊ Ā Ôì ðóć Ô üċ êĄĘ Ú þ ìø ą õ þb êĈðċė ř ì ëċïćøĈ òċŚ Úç ÕĉĘ ì ÷Đ þŞ ÚçČď çĊ Āèì ýċ çÔ êş ą øõ Õ ĀÚÚ ÷ çČô öş Ā ąì Ô õŞð Ā ô êĜ ą ðċ ř ìì ëċ øĈ ď þ øŞ ą þìĄ Ę ì Ē þş ĀĄ ì ìĄè ö ë ą ì ē î ą ĒêĈþşė öĜ ïćą ÚĄ íçē î ÷ē çş đ çČ ç õè × Ôú ö øĐ Ôė Úã ąô ì ă ÕĘõŞ Ā ô êĜ Āą ðċ ř ì ëċ ìĈøĈĘ ď þ øŞ ąÜĄ ìĄ Ę ì Ē þşìĀĄ ì è öĒë ą ì ē çî ÚĄ í ē b î ēĀąìąîąìýèć çş đ ç õ ý×ôąëć ú ö ĀĄìĐíċ×Ôė×øďÛöć ã ąàìĐøşúă óćĒ ÔþşüċêöĜĄĘÚąþøąõ êĜÕĘ ą Ē þĘ ô ąĀÔ Đ øĘ ú ÔĖ ďìĈîĖĘ ì Õ Ā Ú ÜĄö ă ÚĄ í ìď îĖ ì Õ Ā ÚĒ î ö ă æĈ èç óćÔìüċÕĀÚďõĖ êĄĘÚþøąõ ýôąëć ĀĄìíċ××øďÛöć Đøşú ďîŦ ì ďîŦìýċb ÕúćĀąìąîąìýèć þąö ĐøăõŞĀôõĄ ÚĀÔċ ûøëööôĀĄ ìďîŦìàíąî êĜ ą Ē þĘ ô ą Ô Đ øĘ ú ÔĖ ď îĖ ì Õ Ā Ú ö ă ÚĄ í ď îĖ ì Õ Ā Ú î ö ă æĈ è êĈė ď Ôć ç ÕĉĘ ì Đ øş ú Đ ø ă ď Ôć ç ÕĉĘ ì Đ øş ú ĒďîŦìÕĀÚďõĖ þş ìĀĄ ďîŦìýċìÕúćþąö è ĐøăõŞ ö ĀôõĄëÚĀÔċûąøëööôĀĄ ì ìďîŦē ìíąî î ĒêĈþĘė öĜď ą ÔćÚĄ íçē îÕĉēĘ çĘì Đ øşđ çúõ ×Đú öøĐ Ôėă ã ďą ìÔćă ēççĘ ÕĉĘ ì ÜĄĐì ìĄøşĘ ì ú ĀĄ ì è b ö ë ÔĖ Ā ąìąîąìýèć ą ì ēý ôąëćî óćĒ Ô üċ êþşĄĘ Ú þøąõ ĀĄĒ þĘìöĜ íċą ÚĄ×í ×ē îøē çĘď Û öć àđ çĐõ ×øş úúö Đ ÔėêĜã ąąìĒă ēþşçĘ ô ą ÔÜĄĐì ìĄøş Ę ìú b Āóć Ô üċ êõŞĄĘ Ú þøąõ ą Ú ē ö ÔĖďĀ ąìąîąìýèć øŞ ą ý ôąëć ĀĄ ì íċ × × ø ď Û öć à Đ øş ú êĈė ď îŦ ì Õ Ā Ú öĜ ą ÚĄ í ď îŦ ìêĜ Õą ĀĒ þşÚ ôî ąö Ôă ĐæĈøş èú ďĀ îŦ ìõŞ Õ Āą Ú Úď õĖ ēì ď öîŦ ì ď ýċ ÕøŞ úć þą ą ö êĈė ď ĀîŦôõĄìÚĀÔċ Õ ûĀøëööôĀĄ Ú öĜ ąìďîŦÚĄ ìííąîêĈ ď îŦėďÔćìçÕĉÕĘìĐøşĀú ĐøăďÔć Ú î ö çăÕĉĘìæĈĐøşúè ĐøăõŞ ö Ēď îŦ þĘì ÕĀĄ Ā ìÚ ď èõĖ ì ö ď îŦë ì ąýċ Õ ì úć þē ą î ìďîŦìíąîêĈđėďÔćççõÕĉĘì×Đøş ĒĐøăõŞ þĘ öĜ ąĀôõĄ ÚĄ íÚēĀÔċîûēøëööôĀĄ çĘ ú öú ĐøăďÔć Đ Ôė ã ą çìÕĉăĘìēĐøşçĘ ú ĀĄ ìb óćèÔ üċ Ē ìÔöæĈ ö ëì Ĉ Ę ąēîĐøĘìú ýČŞîė ąēÔĖ è ąôî óćĒ Ô üċ êþĘĄ Ę Ú þøąõ ēĒîþĘĐöĜøĘąúÚĄýČíė đē×îìē ēçĘôĘ ÔĖ è ą ô ē î Đ đøĘçúõýČ×ė ď öĊú Āö ìĐ Ôėúė ãą Úą ÔĖì èă ēą çĘô ìĄóćė ÔÚüċ ê×ČĄ Ę ÚĘ þøąõ Õ ą ď b ÕĘ ąóć Ôôüċ ĒąìÔöæĈ đ çì Ĉ Ę õ öēîĐøĘ Ā úíýČŞîĐė ą ÔĖøĘè ąô ú ô èĄē Ę î ÚĐ øĘÔú ýČąė đ ×õì ēèôĘ ÔĖöè ąÚ ô ē î çĜĐ øĘ ąú ýČöė ď öĊ ÚĀ ìýúė ąèćÚ ÔĖôĄèė ąì óćìĄėÔ Úüċ ìĄ×ČĘ ìĘ Õ ôĈą ý ďèć þÕĘ ą ąõ ĒôÛ ď ąÕĘ ąđ çôĈ ýõèć öþ ąĀõ ĒíÛ ĀĐĀ ÔøĘ ú èĄ Ę í Ú ą ÔøĈ ą ôõ þè ąö Úúć Ġ çĜ Ġą Ģö ĠÚ ý Ġ èćĦ ôĄħė ì óć Ô üċ ìĄ Ę ì ôĈ ý èć þ ą õ Ē Û ď ÕĘ ą ôĈ ý èć þ ą õ Ē Û Ā Ā Ô í ą øĈ ô þ ą úć Ġ Ġ Ģ Ġ Ġ Ħ ħ
Óćâ÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ ÓćâüāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ
äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ óæçăå ė ăëčùäĉ åëă æčô ďãś äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ ÓąÐóæçăÓÐąė čùäĉ čô ďãś Ąē æē Ą XXX XBUOBQQ DPN ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX CVEEIBLPT PSH XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH ēè ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è ÓôĆèē ÓôĆ ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è
ØéĀé ĜĜ
ĂĉêĉüčêêÖą ßćéÖ ĂĆóõĎêíøøö đüìĆúúą
¦¦¤¿®¨nµ ´È ¿ } ¦¦¤°´ £· ¬» ´È ¢{ ¿ º° Å ¦¦¤¿®¨nµ ´È ¿ } ¦¦¤°´ £· ¬» ´È ¢{ ¿ º° Å ¨n ¨n°° µ ¹ È Â À ¨° oª¥ ¸ oª¥ ªµ¤¿®Æ µ ¹È  À ¨° oª¥ ¸ oª¥ ªµ¤¿®Æ
ïìĒĀŠÜíøøöìĆĚÜĀúć÷ ÷ŠĂöðøćÖäĒÖŠđíĂ ñĎšöĊÙüćöÿč×ĔîõóîĆĚî
ØéĀé Ĝě ØéĀé Ĝě
äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ óæçăåăëė čùäĉ åăëæčô ďãś äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ ÓąÐóæçăÓė ąÐčùäĉ čô ďãś Ąē æĄē XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è
êßðçòòð êßðçòòð
çăíćæçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć üāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ ðĈôèăçăíðĈćæôèăçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć âüāòĄöâòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ éëĈäś üś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äă äĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS ùĘāúòĀéùĘëĈāäś úòĀüś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äă ãäŚüďãśãæäŚ ēĄ ü ÷ĈďãśèæñŞê ēĄ ÷ĈÞăéèäĀñŞêíă Þăæć éçö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS íæŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ čæò÷Āíčæò÷Ā æŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ
ðĈôèăçăíćæçčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ ðĈôèăçăíćæçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć âüāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ
ùĘāúòĀéëĈäś üś ÖÐāòêÞăéäĀ çă òòòð äăãäŚüďãśæ ēĄ ÷ĈèñŞêÞăéäĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS ùĘāúòĀéëĈäś üś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äăãäŚüďãśæ ēĄ ÷ĈèñŞêÞăéäĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS čæò÷Ā íæŞí æŞěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ čæò÷Ā ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ
äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ óæçăåăëė čùäĉ åăëæčô ďãś äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ ÓąÐóæçăÓė ąÐčùäĉ čô ďãś Ąē æĄē XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è
ÿćøĊïčêø b đðøĊ÷ïđĀöČĂîMGZC8 T;_@GV* GX$DVý*$I T-SýI<ZEZK
õĉÖþčìĆĚÜĀúć÷ b õĉÖþčĔîíøøöüĉîĆ÷îĊĚ ÷ŠĂöđúŠćđøĊ÷îíøøö ÙČ Ă ÿčêêą đÙ÷÷ą đü÷÷ćÖøèą Ùćëć Ăč ìćî õĉÖþčìĆĚÜĀúć÷ b õĉÖþčĔîíøøöüĉîĆ÷îĊĚ ĂĉêĉüčêêÖą ßćéÖ ĂĆ óõĎêíøøö đüìĆúúąì ćî ÷ŠĂöđúŠćđøĊ÷îíøøö ÙČ Ă ÿčêêą đÙ÷÷ą đü÷÷ćÖøèą Ùćëć Ăč
À n´ ªr ´È ¥n° éāôĄ¤¿ } ¼o ¦¦¨» » ª·¿«¬¿¦Æª¡¨´ ×äćÐĉÐ üĘ ĝĜ ĝĠĜ ĜĤĜ
Ů :) A :)H#ů Ů :) A ŧ H)ĉŧ H)ĉ :)H#ů
ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀüēãêòÿčñÙèŞ æĘāċíĆüē êòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą øāùĈùŚ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæèØéĀ çăĎė èäś ďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùæÖöèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘāċíĆ æāÖÐāò÷ą ÐøāùĈùŚ ÐāçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæçăĎė èäś éèĄèďĔ ØéĀ ãśòéĀ èĄÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùă çăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ éċíĆüē ċëñČëŚ ĎèæćÐ ĎèÐāò×Ā Ðò⥠ĎèÐāò×Ā āúòĆüċëñČëŚ ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüüÖÑüÖÑś üðĈāôêòą ÑüÓĘ āêòąāÐèÑś øāãś äśèØéĀäśéèċíĆØéĀ üē ċëñČëŚ ĎèæćÐÐò⥠ãæĘāúòĆãüæĘċëñČëŚ čêòãĎÙś čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś ðĈô ÑüÓĘ Ðøāãś üðĈāôèÑśüðĈô èăçíă æć çčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć æçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ āċíĆüē ÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ôèăæç ēĄ íă ðĈæć ôçčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć æçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ ĎèÐāò×ĀĎèÐāò×Ā ãæĘāċíĆãüē æĘÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ã äăãäŚãü äă ďãśãæäŚ ēĄ ðĈüďãś
çăíćæçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć üāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ ðĈôèăçăíðĈćæôèăçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć âüāòĄöâòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ éëĈäś üś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äă äĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS ùĘāúòĀéùĘëĈāäś úòĀüś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äă ãäŚüďãśãæäŚ ēĄ ü ÷ĈďãśèæñŞê ēĄ ÷ĈÞăéèäĀñŞêíă Þăæć éçö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS čæò ěģ ĤĢĤĜ ěĝĤĤ ěģ ĢĠĜĜ ģěĜě čæò ěģ ĤĢĤĜ ěĝĤĤ ěģ ĢĠĜĜ ģěĜě
ÓôĆēè ù ö í '. .)[ æćÐöĀèíòÿ ċöôā è
ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘāċíĆüē êòÿčñÙèŞæāÖÐāò÷ąÐøāùĈùŚ āçāòâÙèċêŢèçòòðæāè ôăÑùăæçăĎė èäśèØéĀéèĄďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùăæçăĎė èÐāò×ĀãæĘā×āÐ äśèØéĀéċíĆüē ċëñČëŚĎèæćÐÐò⥠ĎèÐāò×ĀãæĘāúòĆüċëñČëŚ čêòãĎÙśÓöāðôÿċüĄñãòüéÓüéċíĆüē òĀÐøāÓöāðåĈÐäśüÖÑüÖÑśüðĈô ÑüÓĘāêòąÐøāãśāèÑśüðĈô
Ćċòċôċòăîč č Ćċòċôċòăî
éāôĄ üćêòă ð Ĝğ ĜĤĠ ĝģĤ éāôĄ ċüÐ üĘ ĝě ĠĤ ĝĞĠ ĝĞĤ éāôĄ üćêòă ð Ĝğ ĜĤĠ ĝģĤ éāôĄ ċüÐ üĘ ĝě ĠĤ ĝĞĠ ĝĞĤ
üðĈôçòòðÿèĄ āċíĆüē êòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą ùŚ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ùăæèçăĎØéĀ ė èäśéèèĄØéĀ ďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ÑśüðĈôÑśçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘā Ĕ ×ĀċíĆãüē æĘêòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą ÐøāùĈÐùŚ øāùĈ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæçăÑĎė èäś ďĔ ãśéòéĀ èĄÐāòùÖöèďöś ďðŚù Ööèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ØéĀüē éċëñČëŚ ċíĆüē ċëñČëŚ èæćÐ Ðò⥠ĎèÐāò×Ā āúòĆüċëñČëŚ čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś üðĈôā ÑüÓĘ êòąÐāøāãś äśèØéĀäśéèċíĆ ĎèæćÐĎÐò⥠ĎèÐāò×Ā ãæĘāúòĆãæĘüċëñČëŚ čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś üðĈô ÑüÓĘ êòąÐāøāãś èÑśüāðĈèÑś ô üðĈô ĎèÐāò×Ā ã äăãæçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ äŚüďãśæĄē ôèăçēüíă ÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ æć çčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć ĎèÐāò×ĀãæĘāċíĆüē ÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ã äăãäŚüãďãśæĘæ ēāĄ ðĈċíĆ
üāèāêāèùäă üāèāêāèùäă
ČÐśÐòòð ČÐśÐòòð
ðòòÓöăçĄæĄēÖŚāñ
ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀüēãêòÿčñÙèŞ æĘāċíĆüē êòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą øāùĈùŚ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæèØéĀ çăĎė èäś ďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùæÖöèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘāċíĆ æāÖÐāò÷ą ÐøāùĈùŚ ÐāçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæçăĎė èäś éèĄèďĔ ØéĀ ãśòéĀ èĄÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùă çăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ éċíĆüē ċëñČëŚ ĎèæćÐ ĎèÐāò×Ā Ðò⥠ĎèÐāò×Ā āúòĆüċëñČëŚ ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüüÖÑüÖÑś üðĈāôêòą ÑüÓĘ āêòąāÐèÑś øāãś äśèØéĀäśéèċíĆØéĀ üē ċëñČëŚ ĎèæćÐÐò⥠ãæĘāúòĆãüæĘċëñČëŚ čêòãĎÙś čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś ðĈô ÑüÓĘ Ðøāãś üðĈāôèÑśüðĈô èăçíă æć çčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć æçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ āċíĆüē ÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ôèăæç ēĄ íă ðĈæć ôçčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć æçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ ĎèÐāò×ĀĎèÐāò×Ā ãæĘāċíĆãüē æĘÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ã äăãäŚãü äă ďãśãæäŚ ēĄ ðĈüďãś
čæò÷ĀíæŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ
äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ óæçă åëă æčô ďãś äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ ÓąÐóæçăÓė Ðą čùäĉ åăë ė čùäĉ čô ďãś Ąē æ ēĄ XXX XBUOBQQ DPN ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX CVEEIBLPT PSH XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH ēè ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è ÓôĆèē ÓôĆ ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è
XXX XBUOBQQ DPN ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX CVEEIBLPT PSH
ÐāòüèćċÓòāÿúŞãśöñçòòð ċêŢèċôă÷ ïăÐøćæĀĔÖúôāñ b æāè ĝ üñŚāÖċúôŚāèĄĔðĄüñĈŚ ÓĆü Ě üāðăùæāè Ě çòòðæāè ïăÐøćæĀĔÖúôāñ b éòòãāæāè ĝ üñŚāÖċúôŚāèĄĔ çòòðæāè ċêŢèċôă÷
&@&@ // !!
&@&@ // !!
&@&@ // !!
ØéĀé Ĥ &@ / ØéĀ!é Ĥ &@&@ // !! êßðçòòð
äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ óæçăå ė ăëčùäĉ åëă æčô ďãś äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ ÓąÐóæçăÓÐąė čùäĉ čô ďãś Ąē æ ēĄ XXX XBUOBQQ DPN ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX CVEEIBLPT PSH XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH ēè ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è ÓôĆèē ÓôĆ ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è
üăèæòĄñùĀÖöò üăèæòĄñùĀÖöò
ÕòāöāùÙèċôă÷ ÕòāöāùÙèċôă÷
üćêòă ð Ĝğ ĝğğ ĞĠġ Ģ éāôĄ éāôĄ üćêòă ð Ĝğ ĝğğ ĞĠġ Ģ
Óćâ÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ ÓćâüāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ
ùĘāúòĀéëĈäś üś ÖÐāòêÞăéäĀ çă òòòð äăãäŚüďãśæ ēĄ ÷ĈèñŞêÞăéäĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS ùĘāúòĀéëĈäś üś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äăãäŚüďãśæ ēĄ ÷ĈèñŞêÞăéäĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS čæò÷Ā íæŞí æŞěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ čæò÷Ā ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ
5<5<!! += +=**2929 /+/+
Óćâ÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ ÓćâüāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ
ùĘāúòĀéëĈäś üś ÖÐāòêÞăéäĀ çă òòòð äăãäŚüďãśæ ēĄ ÷ĈèñŞêÞăéäĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS ùĘāúòĀéëĈäś üś ÖÐāòêÞăéäĀ çă čæò ěģ ĤĢĤĜ ěĝĤĤ ěģ ĢĠĜĜ ģěĜě òòòð äăãäŚüďãśæ ēĄ ÷ĈèñŞêÞăéäĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS
äăãäāðÐāòċëñČëŚíòÿçòòðÓĘāùüèäāðúôĀÐíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞÓÐą óæçă ė čùäĉåëă čô ďãśæē Ą
ïăÐøćæĀĔÖúôāñ b ÐāòüèćċÓòāÿúŞ ĝ üñŚāÖċúôŚāèĄĔðĄüñĈŚ ÓĆü Ě ÐāòüèćċÓòāÿúŞãśöñüāðăù Ě ÐāòüèćċÓòāÿúŞãśöñçòòð ïăÐøćæĀĔÖúôāñ b éòòãāÐāòüèćċÓòāÿúŞ ĝ üñŚāÖċúôŚāèĄĔ
ØéĀé ġ ØéĀé ġ
ØéĀé Ġ ØéĀé Ġ
ØéĀé ğ ØéĀé ğ
ùûā ùĘ Ĝģ ĜĢĤ ĝğĠ éāôĄ ðúā æĄ Ĝě ĜĢĠ ĜĞģ éāôĄ ð ð ĜĞ ğĝĢ ğġĞ éāôĄ éāôĄ ùûā ùĘ Ĝģ ĜĢĤ ĝğĠ éāôĄ ðúā æĄ Ĝě ĜĢĠ ĜĞģ éāôĄ ð ð ĜĞ ğĝĢ ğġĞ
ĎèÐāò×Ā ã äăæçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ ãäŚüďãśæĄē Ąē ðĈôēüèăçÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ăíćæçčÕø⪠čæò ěģ ģğĤğ ģěģĞ íć ĎèÐāò×ĀãæĘāċíĆēüÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ã äăãäŚãüæĘ ďãśāæċíĆ ðĈôèăçăíćæçčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ ðĈôèăçăíćæçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć âüāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ
ČÐśõĉÖþčìĆĚÜĀúć÷ b Öć÷ÙêćÿêĉĂĆîßîđĀúŠćĔéĕöŠÿšĂÜđÿóĒúšü õĉÖþčìĆĚÜĀúć÷ b Öć÷Ùêćÿêĉ ĂĆîßîđĀúŠ ćĔéĕöŠ ÿšĂÜđÿóĒúš ĂöêąßČ ęĂüŠć ĂĆîßîđĀúŠ ćîĆĚîĕöŠ ÿšĂÜđÿóĒúš ü ü ęĂüŠć ĂĆ îÖć÷Ùêćÿêĉ ßîđĀúŠćîĆĚîĂĕöŠĆîßîđĀúŠ ÿšĂÜđÿóĒúš õĉÖĂöêąßČ þčìĆĚÜĀúć÷ b ćĔéÿšüĂ ÜđÿóĒúšü õĉÖþčìĆĚÜĀúć÷ b Öć÷Ùêćÿêĉ ĂĆîßîđĀúŠ ĂÜđÿóĒúš ĂöêąßČ ęĂüŠć ĂĆîßîđĀúŠ ćîĆĚîÿšćĔéÿš ĂÜđÿóĒúš ü ü ĂöêąßČ üŠć ĂĆîßîđĀúŠ ÿšĂÜđÿóĒúšü õĉÖþčìĆĚÜęĂĀúć÷ b ßîđĀúŠćîĆćĚîĔéðøąöćìÖć÷Ùêćÿêĉ õĉÖþčìĆĚÜĀúć÷ b ßîđĀúŠ ßîđĀúŠ ćîĆĚîßČćęĂĔéðøąöćìÖć÷Ùêćÿêĉ üŠć ðøąöćìĂöêą ćîĆĚî ßČßîđĀúŠ ęĂüŠć ðøąöćìĂöêą õĉÖþčßîđĀúŠ ìĆĚÜĀúć÷ b ćĔéĕöŠðøąöćìÖć÷Ùêćÿêĉ õĉÖþčìĆĚÜĀúć÷ b ßîđĀúŠ ćßîđĀúŠ îĆĚîßČęĂćüŠĔéĕöŠ ć ĕöŠððøąöćìÖć÷Ùêćÿêĉ øąöćìĂöêą ßîđĀúŠćîĆĚîßČęĂüŠć ĕöŠðøąöćìĂöêą
Úüüú Úüüú
ùÓā ùĘ ĜĠ ĜĞğ ĞĤĝ éāôĄ éāôĄ ùÓā ùĘ ĜĠ ĜĞğ ĞĤĝ
ÑśüðĈôçòòðÿèĄ ×Āãüē æĘêòÿčñÙèŞ āċíĆüē êòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą øāùĈùŚ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ùăæèçăØéĀ Ďė èäśéèèĄØéĀ ďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘā Ĕ ċíĆ æāÖÐāò÷ą ÐøāùĈùŚ ÐāçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæçăĎė Ñèäś ďĔ ãśòééĀ èĄÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ċíĆüē ċëñČëŚ èæćÐ ĎèÐāò×Ā Ðò⥠ĎèÐāò×Ā āúòĆüċëñČëŚ čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś üðĈôā ÑüÓĘ āêòąÐāèÑś øāãśüðĈāèÑś äśèØéĀäśéèċíĆØéĀüē éċëñČëŚ ĎèæćÐĎÐò⥠ãæĘāúòĆãüæĘċëñČëŚ čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś üðĈô ÑüÓĘ êòąÐøāãś ô üðĈô
õĉÖþčîĆĚî÷ŠĂößČęĂüŠć đðŨîñĎšêćöđĀĘîÖć÷ĔîÖć÷Ă÷ĎŠđðŨîðøąÝĞć õĉÖþčîĆĚî÷ŠĂößČęĂüŠć đðŨîñĎšêćöđĀĘîÖć÷ĔîÖć÷Ă÷ĎŠđðŨîðøąÝĞć õĉÖþčìĆĚÜĀúć÷ b ßîđĀúŠćĔéĕöŠïøĉēõÙÖć÷Ùêćÿêĉ õĉÖþčìĆĚÜĀúć÷ b ßîđĀúŠćĔéĕöŠïøĉēõÙÖć÷Ùêćÿêĉ ßîđĀúŠćîĆĚîßČęĂüŠć ÷ŠĂöĕöŠïøĉēõÙĂöêą ßîđĀúŠćîĆĚîßČęĂüŠć ÷ŠĂöĕöŠïøĉēõÙĂöêą
óćÔüċêĄĘÚþøąõ b ÝìďþøŞąĒçíöćđó×Ôąõ×èąýèć óćÔüċêĄĘÚþøąõ b ÝìďþøŞ đó×Ôąõ×èąýèć ÝìďþøŞ ąìĄĘìÝĊėĀúŞąąĒçíöć õŞĀôíöć đó×Āôèă ÝìďþøŞąìĄĘìÝĊėĀúŞąõŞĀôíöćđó×Āôèă ČÐś
Ĥ
!9M! 9 D#đ!H# D&? L5#+8F* !č M5 AL5- /:)2@ D&?L5 /:)2@
Ċ5!9 ĊM!5 9 D#đ! H# D&? L5#+8F* !č D ?M5 A-D ? D&?
5 9M 3-:*D5 -5 :-!:!Ŵ E ĉ&E ĉ / D&/ D 5 9M 3-:*D5 -5 :-!:!Ŵ
üðĈôçòòðÿèĄ āċíĆüē êòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą ùŚ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ùăæèçăĎØéĀ ė èäśéèèĄØéĀ ďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ÑśüðĈôÑśçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘā Ĕ ×ĀċíĆãüē æĘêòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą ÐøāùĈÐùŚ øāùĈ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæçăÑĎė èäś ďĔ ãśéòéĀ èĄÐāòùÖöèďöś ďðŚù Ööèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ØéĀüē éċëñČëŚ ċíĆüē ċëñČëŚ èæćÐ Ðò⥠ĎèÐāò×Ā āúòĆüċëñČëŚ čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś üðĈôā ÑüÓĘ êòąÐāøāãś äśèØéĀäśéèċíĆ ĎèæćÐĎÐò⥠ĎèÐāò×Ā ãæĘāúòĆãæĘüċëñČëŚ čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś üðĈô ÑüÓĘ êòąÐāøāãś èÑśüāðĈèÑś ô üðĈô ĎèÐāò×Ā ã äăæãçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ äŚüďãśæĄē ôèăēçüíă ÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ æć çčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć ĎèÐāò×ĀãæĘāċíĆüē ÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ã äăãäŚüãďãśæĘæā ēĄ ðĈċíĆ
ðĈôèăçăíćæçčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ ðĈôèăçăíćæçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć âüāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ
åĕöôčŸÃŸŸćĎĂęĂßõĀĀþŸ áĄďþßĖñęÞĂď
ØéĀé
5:!! č ŧ 2:/ 9 M 3-:*D+= +Ċ5 3:0:2 :D&? L5 /:)D#đ 5:!! č ŧ 2:/ 9 M 3-:*D+= * +Ċ5* 3:0:2 :D&? L5 /:)D#đ !)< + !)< + D+=*5 +Ċ L5 /:)D#đ D#đ:! H+D-ĉ 5*ĉ:: H+D-ĉ H)ĉD+=H)ĉ * +Ċ D&?5L5 D&?
/:)D#đ !09 +A! 09D#đ !+A5*ĉ ħ : ħ 5:!! č ŧ G! + = !=M 0:2 :$A ! A E2/ 3:#+8F* !č 5:!! č ŧ G! + = !=M 0:2 :$A ĊD5K! AĊD 5KE2/ 3:#+8F* !č D ?M5 A-D ?M5 A- * /:)D5K E-Ċ /E2 > E2 M 3-:*/ĉ 5:095:09 * /:)D5K ! AE!-Ċ A/ > ++)E ĉ++)E ĉ 2:/ 92:/ 9 M 3-:*/ĉ : : #đ!H#D&? L5#+8F* !č M5 A&-/ D E ĉ&5 9 / DM 3-:* 5 9M 3-:* ß2<L ß2< !=MD#đL !=!MDH#D&? L5#+8F* !č D ?M5 AD- ?E ĉ E-82< #đ!H#D&? L5 /:)2@ E ĉ&5 9 / DM 3-:*à 9 5 9M 3-:*à 9 E-82< L !=M L KD!=#đM !KDH#D&? L5 /:)2@
E ĉ& / D !=MD#đ! Ċ!=!MD #đ! Ċ!
5:!! č ŧ 2:/ 9 M 3-:*5*ĉ !=ME- 5:!! č ŧ 2:/ 9 M 3-:*5*ĉ : !=ME:- +=*5 +Ċ 3:0:2 :D&? 5 3:0:2 :D&? L5 /:)D#đ !)< D+ H)ĉ * +ĊL55 /:)D#đ D&?L5 /:)D#đ ?L5 ?/ĉL5:$A/ĉ:ĊD+=$A*ĊD +Ċ L5 /:)D#đ !)< + H)ĉ +=* +ĊD5+= D&? !09 +A !09 +A
Óćâ÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ ÓćâüāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ
ùĘāúòĀéëĈäś üś ÖÐāòêÞăéäĀ çă òòòð äăãäŚüďãśæ ēĄ ÷ĈèñŞêÞăéäĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS ùĘāúòĀéëĈäś üś ÖÐāòêÞăéäĀ çă òòòð äăãäŚüďãśæ ēĄ ÷ĈèñŞêÞăéäĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS čæò÷ĀíæŞ čæò ěģ ĤĢĤĜ ěĝĤĤ ěģ ĢĠĜĜ ģěĜě ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ
đöČęĂñĎšĂČęîđðŨîñĎšđïĊ÷éđïĊ÷î đöČęĂñĎšĂČęîđðŨîñĎšêøąĀîĊę Ÿ ęĀďåĎÞęøŇöùĖŀĝþĿę÷Ēÿñę÷ĒÿöŸ ęĀďåĎÞęøŇöùĖŀĝþĿòĀčĈöĒġ đöČęĂñĎšĂČęîÖøąìĞćðćèćêĉïćê đöČęĂñšĎĂČęîđðŨîñĎšēĂšĂüé Ÿ ęĀďåĎÞęĄŀößďñåďÞøďðďòđ÷ďòŸ Ÿ ęĀďåĎÞęøŇöùĖŀĝþĿěĊŀĊĄñŸ đöČęĂñĎšĂČęîÖøąìĞćĂìĉîîćìćî đöČęĂñĎšĂČęîđðŨîñĎšöĊöćø÷ć Ÿ ęĀďåĎÞęĄŀößďñåďÞĊôđööďôďö Ÿ ęĀďåĎÞęøŇöùĖŀĝþĿþĒþďĀÿďŸ đöČęĂñĎšĂČęîóĎéđìĘÝ óĎéÿŠĂđÿĊ÷é đöČęĂñĎšĂČęîđðŨîñĎšÖøąéšćÜ åĕöôčŸÃŸŸćĎ ĂęĂßõĀĀþŸ áĄďþßĖ ęÞĂď ĂęĂßõĀĀþŸ áĄďþßĖ óĎéÙĞćĀ÷ćï óĎéđóšĂđÝšåĕĂöôčŸÃŸŸćĎ Ÿ ęĀďåĎÞęøŇöñùĖŀĝęÞĂď þĿÞñĀčñŀ ďäŸ ćđġäåôĒŸŸġęĢäõĊôĎ ĢäĈĂďÿûē Ÿ ęĀďåĎÞęĄŀößďñåďÞÞďĀûĖ ęôĠ đöČ ęĂñĎďšĂĜöõĀĀþôĎ ČęîđðŨîĢäñĎĈĂďÿęĈĂĿ šéĎĀĢäöĉĈĂďÿęĈĂĿ ęîìŠćďî öĒĢ ďöĒĢ ęøŇöćđęøŇ ġäôĒñöġęõĊôĎ ĈĂďÿûē äÞĀčôĦäÞĀčôĦ ďĜöõĀĀþôĎ Ÿ ûĖñćĿĊęćĒÿñŸŸûĖñáĦďĈÿď÷ŸûĖñęûŀĊęåŀĊŸ Ÿ ęĀďåĎÞęøŇöùĖŀĝþĿñĖĈþđġöôĿďö đöČęęĂĂñĎñĎđöČ öćÖéš đöČęęĂĂñĎñĎđöČ đðŨñĎšĂîîČęîñĎñĎđðŨ ñĎšĂîČęîñĎđðŨ î÷ñĎéđïĊ šđïĊß÷áć éđïĊ î÷ćÖ ñĎšêøąĀîĊ đöČ ššĂĂČČęęîîęĂđðŨ šđüïĊ÷Ăõĉ î ÷î đöČ ššĂĂČČęęîîęĂđðŨ ššêüŠćøąĀîĊ ę ę Ÿ ęĀďåĎ ęøŇ ŀŀĝĝþĿþĿöþę÷ĒùĖďÞñŀ ęĀďåĎ ęøŇööÞùĖùĖęøŇ Ÿ ÞÞęĀďåĎ ę÷ĒĄÿĊýđ ÿñę÷Ē öŸ ÞÞęĀďåĎ ŀĝÿŸþĿòĀčĈöĒ ęĀďåĎ ęøŇööÞùĖùĖęøŇ ÿŀĝþĿñę÷Ē öŸ çÿéďŸ Ÿ ęĀďåĎ ęøŇ ŀŀĝĄþĿĿďöòäĿùĖďĀčĈöĒ ġ ġ đöČ ššĂĂČČęęîîęĂöĊÖøąìĞ đöČęęĂĂñšñĎđöČ đðŨñšĎĂîîČęîñĎñĎđðŨ øßĆ ñĎÝšĂĉêČęîó÷ćïćì ÖøąìĞ ćðćèćêĉ šēĂšęüĂ üé đöČęęĂĂñĎñĎđöČ ćðćèćêĉ ïćê ïćê đöČ ĎšĂĂČČęęîîęĂđðŨ ššēöĂšĊöîĂĉêñĎüé Ÿ ęĀďåĎ ęøŇ ùĖęĄŀŀĝþĿöþßďñåďÞøďðďòđ Ēåđòûÿď÷ďôŸ ęøŇööÞùĖùĖęøŇ ŸěĊŀĊĄñŸ Ÿ ÞÞęĀďåĎ Ÿ ÞÞęĀďåĎ ŀĝĊþĿĄñŸ ęĀďåĎ ęĄŀööÞßďñåďÞøďðďòđ ÷ďòŸ÷ďòŸ ŸŸ ęĀďåĎ ęĀďåĎ ęøŇ ŀŀĝþþĿĒþöěđòùĖĊŀĀñĒ đöČ ššĂĂČČęęîîęĂđðŨ šôćĂìĉ čŜÜàŠćîćî đöČ ššĂĂČČęęîîęĂđðŨ ššðöĊøąöćì ñĎšĂîČęîñĎÖøąìĞ Ăìĉîîćìćî ñĎšöĊöćø÷ć đöČęęĂĂñĎñĎđöČ ÖøąìĞ îćìćî đöČęęĂĂñĎñĎđöČ đðŨñĎšĂîîČęîñĎñĎđðŨ öîćø÷ć Ÿ ęĀďåĎ ęøŇ ùĖęĄŀŀĝþĿöüßďñåďÞĊôđ ĕĻäèĿďöŸööďôďö Ÿ ęĀďåĎ ęøŇ ŀŀĝĝþĿþĿöøþùĖĒþĀčþďô Ÿ ÞÞęĀďåĎ ööďôďö Ÿ ÞÞęĀďåĎ ŀĝďĀÿďŸ þĿþĒþďĀÿďŸ ęĀďåĎ ęĄŀööÞßďñåďÞĊôđ ęĀďåĎ ęøŇööÞùĖùĖęøŇ đöČ ššĂĂČČęęîîęĂđðŨ ēÖøí ñĎ đöČ ššĂĂČČęęîîęĂđðŨ ššĕÖöŠøąéš ČęîñĎóĎšöÝéĆÖ óĎ đìĘéÝÿŠ óĎ ĂđÿĊ÷é îöñĎĊĀšÖćĉøøąéš ćÜ ððą đöČęęĂĂñĎñĎđöČ óĎñĎéšĂîđìĘ ĂđÿĊéÖÿŠ÷ēÖøí é đöČęęĂĂñĎñĎđöČ đðŨñĎšĂîîČęîñĎñĎđðŨ Ü ĉ ĒúąēĂêêĆ öùĖéŀĝđóšþĿĂþéđÝšĎÞđóšěÞĀõŸŸùĖ ęøŇ ŀŀþĝþĿĒĈöÞđĀùĖĀčñŀ đŸŀĝŸĚĂčěĊòòĎ óĎĀ÷ćï óĎ éÙĞÞćęøŇ Ā÷ćï óĎ Ÿ ÞÞęĀďåĎ þĿÞďĀčñŀ óĎ éÙĞćęĀďåĎ Ă Ăđݚà ÞěÞĀõŸ Ÿ ęĀďåĎ ęĀďåĎ ęøŇööÞùĖùĖęøŇ äŸ ďäŸøøčŸ îęĄŀñĎöšúÞßďñåďÞÞďĀûĖ ïĀúĎ čè ñęôĠåñŸŸęôĠ域 đöČęęĂĂñĎñĎđöČ đðŨñĎšĂîîČęîñĎñĎđðŨ ŸšĂČęîđðŨÞęĀďåĎ ęĄŀöŠÙßďñåďÞÞďĀûĖ ŸđöČęĂñĎęĀďåĎ đöČ ššĂĂČČęęîîęĂđðŨ ššéöĎĊĀÿîčêöĉñĎąîš ęîšéìŠĎĀĂćöĉ÷ î ęîìŠćî Ÿ ęĀďåĎ ŀĝŸûĖþĿÿĂññŸ÷ĈĂĖ Ÿ ñęûŀĊñęåŀęûŀĊĊŸ ęåŀĊŸ Ÿ ęĀďåĎ ęøŇ ŀŀþĝþĿĒćöñĕòùĖĖĈčþďÞŸ ñćĿöÿĊùĖñŸęćĒ ñĿááĦĕðďĈÿď÷ŸûĖ Ÿ ÞÞęĀďåĎ ŀĝþđþĿġöñôĿĖĈďþđöġöôĿďö ûĖŸ ñćĿÞĊûĖęøŇ ęćĒ áĦŸďûĖĈÿď÷ŸûĖ ęĀďåĎ ęøŇööÞùĖùĖęøŇ đöČ ššĂĂČČęęîîęĂđðŨ šĒü׊÷Ăõĉ ÜéĊ ü ß÷Ăõĉ đöČ ššĂĂČČęęîîęĂđðŨ šš×üŠćĊĚđîÖĊ÷ćÖ ñĎšĂîČęîñĎöćÖéš ñĎ÷Ý šüŠć÷ćÖ đöČęęĂĂñĎñĎđöČ öćÖéš áć ßáć đöČęęĂĂñĎñĎđöČ đðŨñĎšĂîîČęîñĎñĎđðŨ ęĀďåĎ ęøŇ ŀŀĝĝþĿþĿöĚþùĖßĿďÞñŀ Ÿ ęĀďåĎ ęøŇ ŀŀøĄĿďĀďĀýáĄďþęûĒ ÞÞęĀďåĎ ŀĝäþĿñĒþĄďÞñŀ Ÿ ÞÞęĀďåĎ öäĿùĖďŀĄÿŸĿďäĿďÿŸ ÿĀŸ ęĀďåĎ ęøŇööÞùĖùĖęøŇ ÿĊýđĄçÿĊýđ éďŸçéďŸ ęĀďåĎ ęøŇööÞùĖùĖęøŇ đöČęęĂĂñĎñĎđöČ öĊšøĉÝþĉê÷ć ó÷ćïćì šöĊöęüĉê øßĆęü đöČ ššĂĂČČęęîîęĂöĊđðŨñĎÝšĂîĉêČęîñĎó÷ćïćì đöČęĂñĎđöČ šĂČęîęĂđðŨñĎšĂîČęîñĎđðŨ šöĊöîĉêñĎøßĆ éāôĄ ðĈ ð Ĝĝ Ģģ Ĝěġ Ÿ ęĀďåĎ ęĀďåĎ Þ ęøŇ ö ùĖ ŀ ĝ þĿ Ā đ Ć ÿďŸ ÞęĀďåĎ þĒåđòûÿď÷ďôŸ Ÿ ÞęĀďåĎ ŀþĒþŸđòĀñĒŸ ęøŇöÞùĖęøŇ ŀĝþĿöþùĖĒåŀĝđòþĿûÿď÷ďôŸ Ÿ ęĀďåĎ ęøŇöÞùĖęøŇ ŀþĒþöđòùĖĀñĒ îñĎšðøąöćì đöČęĂñĎđöČ šĂČęîęĂđðŨñĎšĂîČęîñĎđðŨ šôčŜÜîàŠñĎćšôî čŜÜàŠćî đöČęĂñĎđöČ šĂČęîęĂđðŨñĎšĂîČęîñĎđðŨ šðøąöćì ęĀďåĎ èäśèØéĀÞęĀďåĎ ŀĝþĿøĀčþďô ęĀďåĎ ęøŇ öÞùĖęøŇ ŀĝþĿöüæùĖāÖÐāò÷ą ĕĻäŀĝèĿþĿďüöŸĕĻäÐèĿøāùĈďöŸ þĿöøùĖĀčþďô ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘāÞċíĆ üē êòÿčñÙèŞ ùŚ āçāòâÙèċêŢèçòòðæāè ôă ÑùăæçăĎė ęĀďåĎ éęøŇèĄďĔöãśÞùĖòęøŇ éĀ ŀĝÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùăæçăĎė èÐāò×ĀãæĘā×āÐ äśèØéĀđöČ éċíĆęĂüēñĎċëñČëŚ æĘāúòĆ ċëñČëŚ čêòãĎÙśÓöāðôÿċüĄđöČ ñãòüéÓüéċíĆ ÐšĕöŠøāÓöāðåĈ ÐĊĀäśĉøüĉ ÖÑüÖÑś üððĈðą ô ÑüÓĘðāðą êòąÐøāãśāèÑśüðĈô đöČ ČęîñĎđðŨ îēÖøí ñĎ ñĎšö ĎèÐāò×Ā ĆÖēÖøí ñĎ ÖüēÖøí îöñĎĊĀšĕĉøöŠĉ ö ĒúąēĂêêĆ ĒúąēĂêêĆ šĂČęîęĂđðŨñĎšĂîĎèæć šöÐĆÖÐò⥠ÖãēÖøí ęĂñĎđöČ šĂČęîęĂđðŨñĎšĂîüē ČęîñĎòĀđðŨ æĒĈçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ ĎèÐāò×ĀãæĘāċíĆ üē ÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ãäŚüďãśæ ēĄ ðĈÞôěÞĀõŸ þĿþãĎÞ äăěÞĀõŸŸùĖ ÞęĀďåĎ đĀđŸŸĚĂčěĊòòĎ ęĀďåĎ ÞęĀďåĎ ęøŇöÞùĖęøŇ ŀĝþĿöþùĖĎÞŀĝěÞĀõŸŸùĖ ÞěÞĀõŸèăçíă æć çčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć ęĀďåĎ ęøŇöÞùĖęøŇ ŀþĒĈöđĀùĖđŸŀþŸĚĂčěĊòòĎ øøčŸøøčŸ ðĈôèăçăíćæçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óćâ÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ ÓćâüāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ îñĎšúŠÙïĀúĎ šöĊÿĂčê÷ ąîšĂ÷ đöČęĂñĎđöČ šĂČęîęĂđðŨñĎšĂîČęîñĎđðŨ šúïĀúĎ čè ŠÙčè đöČęĂñĎđöČ šĂČęîęĂđðŨñĎšĂîČęîñĎđðŨ šöĊÿîčêñĎąîš āúòĀéëĈÞäś ęøŇ äĀ çă òòòð äă ùĘÞęĀďåĎ öĂùĖ÷ĈĂĖ ŀĝþĿĂéĿá÷ĈĂĖ ÞęĀďåĎ ŀþĒćĕòčþďÞŸ ęĀďåĎ ęøŇöùĖŀĝüś þĿÖÐāòêÞă ĕðŸ ĿáĕðãŸäŚüďãśæ ēĄ ÷ĈèñŞêÞăéäĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS ęĀďåĎ ęøŇöÞùĖęøŇ ŀþĒćöĕòùĖčþďÞŸ čæò÷ĀíæŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ š×ĊĚđÖĊ÷Ý đöČęĂñĎđöČ šĂČęîęĂđðŨñĎšĂîČęîñĎđðŨ šĒ׊îÜñĎéĊšĒ ׊ÜéĊ đöČęĂñĎđöČ šĂČęîęĂđðŨñĎšĂîČęîñĎđðŨ š×ĊĚđîÖĊñĎ÷Ý ÓąÐöóæçă åăëčô ďãśæĄē ÿĀŸ ÞęĀďåĎ ÞùĖęøŇ ñĒ āùüèäāðúôĀÐíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ ÞęĀďåĎ ùĖŀøė čùäĉ ĀďĀýáĄďþęûĒ ęĀďåĎ ęøŇäăãöäāðÐāòċëñČëŚ ŀĝþĿöĚùĖßĿŀĝäþĿñĒĚßĿíäòÿçòòðÓĘ ęĀďåĎ ęøŇöÞùĖęøŇ ŀøĀďĀýáĄďþęûĒ ÿĀŸ XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH ñĎšøĉþ÷ć ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æćÐöĀèíòÿ ċöôā è đöČęĂñĎđöČ šĂČęîęĂđðŨñĎšĂîČęîñĎđðŨ šøĉþî÷ć ðĈ ð Ĝĝ Ģģ Ĝěġ Ÿ ÞęĀďåĎ þĿĀđĆÿďŸ éāôĄ éāôĄ ðĈ ð Ĝĝ Ģģ Ĝěġ Ÿ ęĀďåĎ ęøŇöÞùĖęøŇ ŀĝþĿöĀùĖđĆŀĝÿďŸ
&@&@ // !!
&@&@ // !!
äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ óæçăåăëė čùäĉ åăëæčô ďãś äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ ÓąÐóæçăÓė ąÐčùäĉ čô ďãś Ąē æĄē XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è
+=*5 +Ċ 3:0:2 :D&? 5 3:0:2 :D&? L5 /:)D#đ $AĊD+=$A*ĊD +Ċ L5 /:)D#đ !)<! )<+ +
2:/ D3-ĉ !9M! 5 0:2 : *ĉ Ċ/ * = *ĉ5)D = 2:/ D3-ĉ :!9M!: 5 0:2 : *ĉ 5)'ď5)'ď Ċ/ * = *ĉ5 )D = L*3A'L*3Aď 'ď *ĉ5M ) 9 < L5D&? 8+A L5 8+A *ĉ5) 9 < M D&? Ċ 9L/ >Ċ 9L/ > E-8H)ĉ Q:$G3Ċ< : Q $< : Q 29L 25! 5 0:2 : E-8H)ĉ E -ĊE -Ċ Q: G3Ċ :29L :25! 5 0:2 :
ðĈôèăçăíćæçčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ ðĈôèăçăíćæçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć âüāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ ãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ óæçăå ė ăëčùäĉ åëă æčô ďãś íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ čô ďãś Ąē æē Ą ęøŇäăãöäāðÐāòċëñČëŚ ćđäăXXX XBUOBQQ DPN ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX CVEEIBLPT PSH ġäôĒġęõĊôĎĢäĈĂďÿûē äÞĀčôĦ ďĜöõĀĀþôĎ ĢäĈĂďÿęĈĂĿďöĒĢ ÓąÐóæçăÓÐė ą čùäĉ XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH ēè ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è ÓôĆèē ÓôĆ ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è
5:!! č ŧ D&+:8 8!9 M! G!D+? M &/ D M 3-:* 5:!! č ŧ D&+:8 8!9 M! G!D+? L5 !=L5M != &/ D 5 9M 5 9 3-:* 5 3: : D&? L5 /:)D#đ )< +D < D+= D+= * +Ċ*5 +Ċ 3: : D&? L5 /:)D#đ !)< !+D < D+=*5 +Ċ D&?5 D&? L5 /:)D#đ 5*ĉ:5*ĉ D+=*: +Ċ L5 /:)D#đ !09 !+A09D -*+AD-*
æùÐ üĘ ĝğ Ĝģģ ĤĜ éāôĄ éāôĄ æùÐ üĘ ĝğ Ĝģģ ĤĜ
ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀüēãêòÿčñÙèŞ æĘāċíĆüē êòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą øāùĈùŚ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæèØéĀ çăĎė èäś ďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùæÖöèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘāċíĆ æāÖÐāò÷ą ÐøāùĈùŚ ÐāçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæçăĎė èäś éèĄèďĔ ØéĀ ãśòéĀ èĄÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùă çăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ éċíĆüē ċëñČëŚ ĎèæćÐ ĎèÐāò×Ā Ðò⥠ĎèÐāò×Ā āúòĆüċëñČëŚ ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüüÖÑüÖÑś üðĈāôêòą ÑüÓĘ āêòąāÐèÑś øāãś äśèØéĀäśéèċíĆØéĀ üē ċëñČëŚ ĎèæćÐÐò⥠ãæĘāúòĆãüæĘċëñČëŚ čêòãĎÙś čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś ðĈô ÑüÓĘ Ðøāãś üðĈāôèÑśüðĈô èăçíă æć çčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć æçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ āċíĆüē ÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ôèăæç ēĄ íă ðĈæć ôçčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć æçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ ĎèÐāò×ĀĎèÐāò×Ā ãæĘāċíĆãüē æĘÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ã äăãäŚãü äă ďãśãæäŚ ēĄ ðĈüďãś
üðĈôçòòðÿèĄ ×Āãüē æĘêòÿčñÙèŞ āċíĆüē êòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą ùŚ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ùăæèçăØéĀ Ďė èäśéèèĄØéĀ ďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ÑśüðĈôÑśçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘā Ĕ ċíĆ æāÖÐāò÷ą ÐøāùĈÐùŚ øāùĈ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæçăÑĎė èäś ďĔ ãśéòéĀ èĄÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ØéĀüē éċëñČëŚ ċíĆüē ċëñČëŚ èæćÐ Ðò⥠ĎèÐāò×ĀãæĘāúòĆüċëñČëŚ čêòãĎÙśÓöāðôÿċüĄñãòüéÓüéċíĆüē òĀÐøāÓöāðåĈÐäśüÖÑüÖÑśüðĈô ÑüÓĘāêòąÐøāãśāèÑśüðĈô ĎèÐāò×ĀãæĘāúòĆüċëñČëŚ čêòãĎÙśÓöāðôÿċüĄñãòüéÓüéċíĆüē òĀÐøāÓöāðåĈÐäśüÖÑüÖÑśüðĈô ÑüÓĘāêòąÐøāãśāèÑśüðĈô äśèØéĀäśéèċíĆ ĎèæćÐĎÐò⥠ĎèÐāò×Ā ã äăæãçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ äŚüďãśæĄē Ąē ðĈôēüèăÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ çăíćæçčÕø⪠čæò ěģ ģğĤğ ģěģĞ íć ĎèÐāò×ĀãæĘāċíĆēüÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ã äăãäŚãüæĘ ďãśāæċíĆ
Đĕüĕþĕüčøė Đĕüĕþĕüčøė âĕąåøĕčøė Ôąõ×èąýèć
êĄĘÚþøąõ b ďöąõŞ ĀôÔøŞ ąúøôþąõĒÛďÕş ąĐøăøôþąõĒÛĀĀÔ óćÔüċóćêÔüċĄĘÚþøąõ b ďöąõŞ ĀôÔøŞ ąúøôþąõĒÛďÕş ąĐøăøôþąõĒÛĀĀÔ úŞąďîŦìÔąõĀĄìþìĉėÚĕ ĒìíööçąÔąõêĄĘÚþøąõ úŞąďîŦìÔąõĀĄìþìĉėÚĕ ĒìíööçąÔąõêĄĘÚþøąõ
&@ / ! &&@ @ // !! &&@ @ // !! &&@ @ // !! &&@ @ // !! &&@ / !! &&@ @ // !! çăíćæçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć üāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ ðĈôèăçăíðĈćæôèăçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć âüāòĄöâòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ éëĈäś üś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äă äĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS ùĘāúòĀéùĘëĈāäś úòĀüś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äă ãäŚüďãśãæäŚ ēĄ ü ÷ĈďãśèæñŞê ēĄ ÷ĈÞăéèäĀñŞêíă Þăæć éçö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS íæŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ čæò÷Āíčæò÷Ā æŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ
ØéĀé ģ ØéĀé ģ
ØéĀé Ģ ØéĀé Ģ
ÙĀïéĊ b ÖćöēõÙĊ ÝĞćóüÖîĊ îÖćöēõÙĊ đúĉĚîýðøąđÿøĉ ßĆĚîðøąđÿøĉ ÙĀïéĊ b ÖćöēõÙĊ ÝĞćóüÖîĊ Ě đðŨîĚ đðŨ ÖćöēõÙĊ ßĆĚîđúĉßýĆĚî ßĆ å å ĀĆüćĀîš ßĆĚîïüø ÖüŠ ćÖćöēõÙĊ ìĆĚÜĀúć÷ đðøĊ ÷ïđÿöČ ßĆĚîĀĆßĆüĚîĀîš ßĆĚîćÿĎ ßĆÜĚîÿčÿĎéÜ ßĆÿčĚîéïüø ÖüŠ ćÖćöēõÙĊ ìĆĚÜĀúć÷ đðøĊ ÷ïđÿöČ Ăî Ăî îöÿéđÖĉ éÝćÖĒöŠ ēÙ îöÿš đÖĉéÝćÖîöÿé đî÷ך đÖĉéÝćÖîöÿš îöÿéđÖĉ éÝćÖĒöŠ ēÙ îöÿš öđÖĉéöÝćÖîöÿé đî÷ך îđÖĉéîÝćÖîöÿš ö ö đî÷ĔÿđÖĉ éÝćÖđî÷ך ĀĆüđî÷ĔÿđÖĉ éÝćÖđî÷Ĕÿ đî÷ĔÿđÖĉ éÝćÖđî÷ך î ĀĆîüđî÷ĔÿđÖĉ éÝćÖđî÷Ĕÿ ĀĆüđî÷ĔÿðøćÖäüŠ đúĉýćÖüŠ ćïøøéćøÿĂĆ đÖĉéÝćÖēÙìĆ ĚÜĀúć÷đĀúŠ îĆĚîî ÞĆ ĀĆüđî÷ĔÿðøćÖäüŠ ćđúĉýćÖüŠ ïøøéćøÿĂĆ îđÖĉéîÝćÖēÙìĆ ĚÜĀúć÷đĀúŠ ćîĆĚîć ÞĆ îĆĚîî îĆĚî
ÛļċĀĕôþĐ ĆÚ ðüĊ òðĆà ĄüĐ ÛļċĀÛĆà ... Ûļċ...ĀĕôþĐ ĆÚ ðüĊ ÷ûĿ ÷ ĕàčûĿò ĕàč ðĆà ĄüĐ ĆÛļċĆĀÛĆà ðĎĝĄĀàĖĄòĆûĻ ċàĘíĆûĻ ċàĄòď ðĎĝĄĀàĖĄòĆûĻ ċàĘíĆûĻ ċàĄòď ĝàúĎĆĝàûĒúĎĻ ĆûĒĻ ðċă ÚüüúÚü ÝòĘãļ ĖþĉõĒ ûÛĆàĕÛċ ðċă ÚüüúÚü ÝòĘãļ ĖþĉõĒ ļĆċāĊļĆûċāĊ ÛĆàĕÛċ ÷ďà÷ċĕĆċęôęúĻ ðĊĞàĄúí áĉîļ äďĝàÚċüþĉðč ðĊĞàĄúí ÷ďà÷ċĕĆċęôęúĻ ęíļðęĊĞàíļĄúí áĉîļ ĆàïďĆààïď äďĝààÚċüþĉðč ĞàęĀļĞàðęĀļ ĊĞàĄúí óđÝÝþðĢ ċÚüüúĘí íļ ĀûÚċû íļ ĀûĀċáċ ĄüĐ íļĀûĘá ÚĜóđÝÚĜÝþðĢ ċÚüüúĘí íļ ĀûÚċû íļ ĀûĀċáċ ĄüĐ ĆíļĀĆûĘá
ÚüüúòĊ ĞòĖĄþĉ ĕôŃ òÛĆàě ĕÛċ ĖþĉĕÛċûĻ Ćú÷ċĕĆċÚüüúòĊ ÚüüúòĊ ĞòĖĄþĉ ĕôŃ òÛĆàě ĕÛċ ĖþĉĕÛċûĻ Ćú÷ċĕĆċÚüüúòĊ ĞòęôĞòęô ĝà ÚüüúòĊ íîċúĕÛċęô ĕĄúĐ Ćòĕàċîč íîċúîòâĉòĊ ĆòďĝàĆòď ÚüüúòĊ Ğò ûĻĞòĆ ûĻ úîčĆíúîč îċúĕÛċęô ĕĄúĐ Ćòĕàċîč íîċúîòâĉòĊ Ğò Ğò ĕ÷üċĉâĉòĊ ÝÝþÝĀüðĢ ċÚüüúíĎ ăĊĝàăúęĀļ ăĢċóĄüĊ óù÷Ąòļ ĕ÷üċĉâĉòĊ Ğò óđĞòÝ óđ ÝþÝĀüðĢ ċÚüüúíĎ ăĊĝà ăúęĀļ ăĢċĄüĊ ù÷Ąòļ ċ ċ ðĊĞàĄþċû ûĻ ĝ÷ďĝàÛĆàăĊ ðĊĞàĄþċû ĘòėþÚĄòļ óđæðĊóđĞàæĄþċû ûĻ ĆúĕôŃĆòúĕôŃ ðĎĝ÷òďĝàðĎÛĆàăĊ îĀĿðîĊĞàĀĿĄþċû ĘòėþÚĄòļ ċ ċ
Ê ®¨µ¥°¥n µÁ Ȧ » ¦»¬¡ª » oµ¥ ° Á¦µÁ¨¥ Á ° ´Á ° ´ Ê ®¨µ¥°¥n µÁ È » »¬¡ª » oµ ¥ ° Á¦µÁ¨¥
éāôĄ ðúā æĄ Ĝě ĜĢģ ĜğĜ éāôĄ üć Ñć ĝĠ ģĞ ğĤ
äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ óæçăåăëė čùäĉ åăëæčô ďãś äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ ÓąÐóæçăÓė ąÐčùäĉ čô ďãś Ąē æĄē XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è
ฆราวาสชั ้นศเลิศ ฆราวาสชั ้นเลิ
Úüüú Úüüú
đøć×ĂÖúŠ ü÷ĞĚćÖąđíĂüŠ ª x w h ·³ ćwݪ h ć
éāôĄ ðúā æĄ Ĝě ĜĢģ ĜğĜ éāôĄ üć Ñć ĝĠ ģĞ ğĤ
ÐśāöñŚāÖüñŚāÖíćæçÿ ÐśāöñŚāÖüñŚāÖíćæçÿ
ðúāöāò ùĘ ðúāöāò ùĘ ĜĤ ĠĠĠ ĜĢĝğ ĜĤ ĠĠĠ ĜĢĝğ éāôĄ éāôĄ éāôĄ ðúāöāò ùĘ éāôĄ ðúāöāò ùĘ ĜĤ ĠĠĠ ĜĢĝğ ĜĤ ĠĠĠ ĜĢĝğ ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀüēãêòÿčñÙèŞ æĘāċíĆüē êòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą øāùĈùŚ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæèØéĀ çăĎė èäś ďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùæÖöèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘāċíĆ æāÖÐāò÷ą ÐøāùĈùŚ ÐāçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæçăĎė èäś éèĄèďĔ ØéĀ ãśòéĀ èĄÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùă çăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ éċíĆüē ċëñČëŚ ĎèæćÐ ĎèÐāò×Ā Ðò⥠ĎèÐāò×Ā āúòĆüċëñČëŚ ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüüÖÑüÖÑś üðĈāôêòą ÑüÓĘ āêòąāÐèÑś øāãś äśèØéĀäśéèċíĆØéĀ üē ċëñČëŚ ĎèæćÐÐò⥠ãæĘāúòĆãüæĘċëñČëŚ čêòãĎÙś čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś ðĈô ÑüÓĘ Ðøāãś üðĈāôèÑśüðĈô èăçíă æć çčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć æçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ āċíĆüē ÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ôèăæç ēĄ íă ðĈæć ôçčÕø⪠čæò ěģ ĝĝĝĝ ĠĢĤě - Ĥğ íć æçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ ĎèÐāò×ĀĎèÐāò×Ā ãæĘāċíĆãüē æĘÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ã äăãäŚãü äă ďãśãæäŚ ēĄ ðĈüďãś
äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ óæçăåăëė čùäĉ åăëæčô ďãś äăãäāðÐāòċëñČëŚ íòÿçòòðÓĘ āùüèäāðúôĀ Ðíćæçö×è čãñíòÿüā×āòñŞ ÓąÐóæçăÓė ąÐčùäĉ čô ďãś Ąē æĄē XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH XXX CVEEIBLPT PSH ] NFEJB XBUOBQBIQPOH PSH ] XXX XBUOBQQ DPN ] XXX CVEEIBXBKBOBGVOE PSH ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è ÓôĆèē ù ö í '. .)[ æć ÐöĀèíòÿ ċöôā è
¤¦¦ Ù ´ ¨¥µ ª´ ¤¦¦ Ù ´ ¨¥µ ª´ ¦ ¦
üćìąđÙøČ ęĂÜÿĂî×ĂÜóüÖĂČ ęîüŠćÜÝćÖÿöèą×ĂÜóüÖĂČ Ýªz Þ ² | Ùx |Ü w Þ ²Ù h |} w ØÝx |Ü w Þ ²Ù ęî
³Ê ç² ¹¯ ·Ê¬º Ãm º q§²
ÓĈŚðĆüčùãāéĀè ÓĈŚðĆüčùãāéĀè
çăíćæçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć üāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ ðĈôèăçăíðĈćæôèăçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć âüāòĄöâòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ éëĈäś üś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äă äĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS ùĘāúòĀéùĘëĈāäś úòĀüś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äă ãäŚüďãśãæäŚ ēĄ ü ÷ĈďãśèæñŞê ēĄ ÷ĈÞăéèäĀñŞêíă Þăæć éçö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS čæò ěģ ĤĢĤĜ ěĝĤĤ ěģ ĢĠĜĜ ģěĜě čæò ěģ ĤĢĤĜ ěĝĤĤ ěģ ĢĠĜĜ ģěĜě
äāðòüñçòòð äāðòüñçòòð
ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀüēãêòÿčñÙèŞ æĘāċíĆüē êòÿčñÙèŞ æāÖÐāò÷ą øāùĈùŚ āçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæèØéĀ çăĎė èäś ďĔ ãśòéĀ ÐāòùÖöèďöś ďðŚùæÖöèùă æçăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ ÑśüðĈôçòòðÿèĄ Ĕ ×ĀãæĘāċíĆ æāÖÐāò÷ą ÐøāùĈùŚ ÐāçāòâÙèċêŢ èçòòðæāè ôă ÑùăæçăĎė èäś éèĄèďĔ ØéĀ ãśòéĀ èĄÐāòùÖöèďöś ďðŚùÖöèùă çăĎė èÐāò×Ā ãæĘā×āÐ éċíĆüē ċëñČëŚ ĎèæćÐ ĎèÐāò×Ā Ðò⥠ĎèÐāò×Ā āúòĆüċëñČëŚ ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüüÖÑüÖÑś üðĈāôêòą ÑüÓĘ āêòąāÐèÑś øāãś äśèØéĀäśéèċíĆØéĀ üē ċëñČëŚ ĎèæćÐÐò⥠ãæĘāúòĆãüæĘċëñČëŚ čêòãĎÙś čêòãĎÙś ÓöāðôÿċüĄ ñãòüéÓüéċíĆ üē òĀÐøāÓöāðåĈ ÐäśüÖÑüÖÑś ðĈô ÑüÓĘ Ðøāãś üðĈāôèÑśüðĈô çăíćæçčÕø⪠čæò ěģ ģğĤğ ģěģĞ íć æçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ āċíĆēüÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ôèăæç Ąē ăíðĈćæôèăçčÕø⪠čæò ěģ ģğĤğ ģěģĞ íć æçö×èùðāÓð čæò ěģ ĜġğĢ ġěĞġ ĎèÐāò×ĀĎèÐāò×Ā ãæĘāċíĆãēüæĘÓöāðùÿãöÐČôÿêòÿúñĀ ã äăãäŚãü äă ďãśãæäŚ Ąē üðĈďãś
ĉÖď×÷ćǰøćÙÖď ÙÙ¦îîď ¡w¦xì zw¦ x¬ ×ē÷ Á¡¦µ³ ªµ¤· Ê Å Â®n ¤¸ ªµ¤· Ê Å Â®n ¦µ ³ Á¡¦µ³ ªµ¤· Ê Å Â®n ´ · ´ ¹ · ¤¸ ¹ ªµ¤· Ê Å Â®n ¦µ ³ zw¦ x ÙÙ¦ ¡w¦x¬ ìĉÖď×ē÷ øćÙÖď ×÷ćǰîîď Á¡¦µ³ ªµ¤· Ê Å Â®n ¦µ ³ ¹ ¤¸ ªµ¤· Ê Å Â®n ´ · ´ · Á¡¦µ³ ªµ¤· Ê Å Â®n ¦µ ³ ¹ ¤¸ ªµ¤· Ê Å Â®n ÙÙ¦îîď ¡ zw¦ x }¡ ¦ · ¤ê ďê¡ Ğǰ¤ ÿč¦ üÙ¦ĉö čê¡ ¤ďê}îď¦}ê ¡ĉǰüčÝďÝêĉ ìĉøćÙÖď ×÷ćǰÝĉ Á¡¦µ³ ªµ¤· Ê Å Â®n ´ · ´Â ¨³¦µ ³ ¨n µªÅ oµªÅ o ªnµ ªnµ Á¡¦µ³ ªµ¤· Ê Å Â®n · ¨³¦µ ³ ¨n ¡o ªÂ¨o oªw¥ ¸ v · v · ®¨» ®¨» ¡o ¨o oªª¥ ¸ çĄÚw çĄ ìĈĘ ÚìĈĘ
£ ´ ³ °¦· ¥¤¦¦ ¤¸ r Ù ®µÅ o Ä ¦¦¤ª· »£ » ´ ³ °¦· ¥¤¦¦ ¤¸ ° r° Ù ®µÅ o Ä ¦¦¤ª· ¥´ ¸ Ê ¥´ ¸Ê É Ò ¤ ³ ¸ É Ó ¤ ³ ¸ É Ô ¤ ³ ¸ ¤ ³ ¸ Ä ¦¦¤ª· É Ò ¤ ³ ¸ É Ó ¤ ³ ¸ É Ô ¤ ³ ¸ É Õ ÈÉ Õ È ¤ ³ ¸ ®µÅ o®ÄµÅ o ¦¦¤ª· ¥´ ¸ Ê ¥´ ¸Ê °µ r ¨¥µ ª´ Ê Á È °¥n µ Ŧ " ¸ Ê º ° °¦· ¥¤¦¦ ¤¸ r Ù °µ r ´ ´ ¨¥µ ª´ ¦ ¸ Ê Á Ȧ ¸ °¥n µ Ŧ " ¸ Ê º ° °¦· ¥¤¦¦ ¤¸ ° r° Ù ªµ¤ µ ¼ ´¨¥µ ª´ ¦ ¸ÄÊ ¤¸ ªµ¤ µ ¼ ®n ®n ´¨ ¥µ ª´ ¦ ¸ Ê ¤¸ ¥»Ä ¥» ®n ®n »¦»¬ »Ä ¦»¬Ä ¦»¬ » oµ¥Â®n ´ Ê ®¨µ¥ »¦»¬ » ´¦ Ê »¬ º ´É ° Ê ªn ºµÉ »°ªn¦µ»¬ » » oµ ¥Â®n »¦»¬ » ´¦ Ê »¬®¨µ¥
ÓĈŚðĆü ÓĈŚðĆü
ĥĴĔĭŁăħġĮĞ ĸĚğĮĬĸħĒĴ ĖĭŁĖĻĖĄğĐı ĜİĄĥĴĜİĔĄĭŁăħġĮĞ ĸĚğĮĬĸħĒĴ ĖĭŁĖĻĖĄğĐı ĖıŁ ĖıŁ ĚģĄĸĕĩĚIJ ăĔŅĮĀģĮĝĸĚı ğĵşĒĮĝĸŶŦ ĚģĄĸĕĩĚIJ ăĔŅĮĀģĮĝĸĚı ĞğĸĚijĞŀĩğĸĚij ĻħşğŀĩĵşĒĻħş ĮĝĸŶŦ ĖąğİăĖģŞąğİ Į ăģŞĮ ŁĸŶŦĖĻĸħĒĴ đþIJŁĖăĔĴĹħŞ ŁĸŶŦĖĀģĮĝđĭ ļĝŞĩĸħġij ĖıŁĸŶŦ Ėı ĖĔĴŁĸŶŦĄĖþŢ ĔĴĖıĄŁĸŶŦþŢĖ ĖıĸħĒĴ ħşĸĄİĻđħşþIJĸŁĖĄİĹħŞ ĄþŢă ĔĴĖıĄŁĸŶŦþŢĖ ĖıĀģĮĝđĭ ėļĝŞĸėħġij ĹħŞăĩĔĴĹħŞ ĄþŢă ĔĴĄþŢ ŁĸŶŦĖĔĮăđŅ ĸĖİēĖIJăĻħş ēIJăĀģĮĝđĭ ļĝŞĩĸħġij ĖıŁĸŶŦĖĖıĔĮăđŅ ĮĸĖİĖĮĻħş ĀģĮĝđĭ ėļĝŞĸėħġij ĹħŞăĩĔĴĹħŞ ĄþŢă ĔĴ đĭĄþŢăĖı đĭ ŁĸēİăđĖı!Łĸēİđ!
ðúā öă ğ ĞĤ Ğĝ éāôĄ éāôĄ ðúā öă ğ ĞĤ Ğĝ
èÍã´“à¸Í” “à¸Í” àÁ×àÁ× èÍã´ äÁ‹ÁäÁ‹ Õ ÁÕ àÁ× äÁ‹»äÁ‹ÃÒ¡¯ã¹âÅ¡¹Õ é àÁ×èÍè͹ѹÑé¹é¹à¸Í¡ç à¸Í¡ç »ÃÒ¡¯ã¹âÅ¡¹Õ é äÁ‹äÁ‹»» ÃÒ¡¯ã¹âÅ¡Í× è¹ è¹ ÃÒ¡¯ã¹âÅ¡Í× äÁ‹ Ò§âÅ¡·Ñ é§Êͧé§Êͧ äÁ‹»»ÃÒ¡¯ã¹ÃÐËÇ‹ ÃÒ¡¯ã¹ÃÐËÇ‹ Ò§âÅ¡·Ñ ³Ê ç² ¹¯ ·Ê¬º Ãm º q§²
&@&@ // !!
¢¢ ¢¢
¨³ ´¨³ ´ · ·
àÁ×èÍ “à¸Í” äÁ‹ÁÕ !
àÁ×èÍîøĎ“à¸Í” óćĀĉ÷ą b đöČęĂĔé đíĂđĀĘ ðĒúšü ÿĆÖäÁ‹ üŠćÁđĀĘÕ !î ĕéšôŦÜđÿĊ÷ÜĒúšü ÿĆÖüŠćôŦÜ óćĀĉĕéš ÷ą b ÖúĉđöČęîęĂ úĉ Ĕé đíĂđĀĘ ü ÿĆÖüŠüćÖć÷ ÖĘ đĀĘî ĕéšôÿŦÜĆÖđÿĊüŠ÷ćÜĒúš ü ÿĆÖĚöüŠ ÿĆ ćôŦöÜñĆÿ Ěöøÿ ÿĆîöøĎðñĆĒúš ÿìćÜñĉ éö úĉ ĕéšÖúĉęî úĉ ñĆÿìćÜñĉüÖć÷ ÖĘ öñĆÿü ĕéšĚöøøÿ ÿĆ ĎšĒÝšÜöíøøöćøöèŤ ÖĘÿÿĆÖĆÖüŠüŠćć éö úĉ ĕéšøĎšĒĚöÝš ÿĆÜĒúš ĕéšøĎšĒÝšÜíøøöćøöèŤ ÖĘÿĆÖüŠćĕéšøĎšĒÝšÜĒúšü Ěî ĶđíĂķ ÝĆ đöČđöČ ęĂîĆęĂĚîîĆ ĶđíĂķ ÝĆ ÖĕöŠöÖĊ ĕöŠöĊ
ØéĀé Ğ ØéĀé Ğ
¸ ¥¥£ ³ Á m ¬³ ¬³©q »n¥©q»n ³È©»n¥ ¸»n ³È© ¥¥£ ³ £· À |£· À |Á m
çăíćæçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć üāòĄöòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ ðĈôèăçăíðĈćæôèăçö×è čæò ěģ ĜğĠĢ ĝĞĠĝ Óć â÷òÙā čæò ěģ ĜĠĜĞ ĜġĜĜ Óć âüāòĄöâòòâ čæò ěģ ĠěĠģ ġģģģ éëĈäś üś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äă äĀ íă æć çö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS ùĘāúòĀéùĘëĈāäś úòĀüś ÖÐāòêÞă éäĀ çă òòòð äă ãäŚüďãśãæäŚ ēĄ ü ÷ĈďãśèæñŞê ēĄ ÷ĈÞăéèäĀñŞêíă Þăæć éçö×è #VEEIBXBKBOB 5SBJOJOH $FOUFS íæŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ čæò÷Āíčæò÷Ā æŞ ěĤ ĝĤĜĝ ĞġĠĢ ěĤ ĝĤĜĝ ĞĢĝĜ ěĤ ĝĤĜĝ ĞğĢĜ
ĥĴĔĭŁăħġĮĞ Ĝİ ĥĴğĵŶşĩĻđ ğĵ ĞĵŞĒĮĝĸŶŦ ĜİĄĥĴĜİĔĄĭŁăħġĮĞ Ĝİ ĄĥĴğĵŶĄĻđ ğĵ ĞĵŞĒşĩĮĝĸŶŦ ĖąğİăĖģŞąğİ Į ăģŞĮ ŁĸŶŦĖĻĸħĒĴ ŁĸŶŦĖĀģĮĝđĭ ļĝŞĩĸħġij ĩþĩăĔĴ ĖıŁĸŶŦ Ėı ĖĔĴŁĸŶŦĄĖþŢ ĔĴĖıĄŁĸŶŦþŢĖ ĖıĸħĒĴ ħşĸĄİĻđħşĔĴĸĄİĄđþŢ ĔĴĖıĄŁĸŶŦþŢĖ ĖıĀģĮĝđĭ ėļĝŞĸėħġij þĩăĔĴ ĄþŢ ĄþŢ ŁĸŶŦĖĔĮăđŅ ĸĖİēĖIJăĻħş ēIJăĀģĮĝđĭ ļĝŞĩĸħġij ĩþĩăĔĴ ĹġĬĖıĹġĬĖı ŁĸŶŦĖĔĮăđŅ ĮĸĖİĖĮĻħş ĀģĮĝđĭ ėļĝŞĸėħġij þĩăĔĴ ĄþŢ đĭĄþŢăĖı đĭ ŁĖĭŁĖăĖı ŁĖĭŁĖ ģŞĮăąĬĚIJ ėĴĀĀġĔı ŀĸŶŦĖĦĝĐĬħğij ĩĚğĮħĝĐŢ şĒşĩăĄĮğąĬĺĒş ĹĝşģŞĮĹĝş ąĬĚIJ ĝıėĴĀăĝıĀġĔı ŀĸŶŦĖĦĝĐĬħğij ĩĚğĮħĝĐŢ ĈIJŀăĸŶŦ ĈIJĖŀăĘĵĸŶŦşĒĖşĩĘĵăĄĮğąĬĺĒş ģĮĔĬ ģĮĔĬ ĸĔıŀĞģĹĦģăĀĵ ŞĺĒşģĮĔĬ ĝĮąĮĄĔİ ĖĩĩĄ ħğij ĔİĤĖĒĬģĭ ĖĒĄ ħğij ĔİĤĩĸħĖij ĄĿĒĮĝ ĸĔıŀĞģĹĦģăĀĵ ŞĺĒşģĮĔĬ ĝĮąĮĄĔİ ĤĒĬģĭĤĖĒĬģĭ ĩĩĄ ħğij ĩĔİĤĩĒĬģĭ ĒĄ ħğij ĩĔİĤĩĸħĖij ħğijĩ ħğij ĔİĤĩĻĒşĔİĄĤĿĒĻĒşĮĝ ĺđĞŶğĬĄĮĤģŞ Į ĸğĮąĭ ĄĞĄģĮĔĬþĩăĜİ ĸĦıĞăĖı đĭ ĺđĞŶğĬĄĮĤģŞ Į ĸğĮąĭ ĄĞĄģĮĔĬþĩăĜİ ĄĥĴğĵŶĄĖĭĥĴŁĖğĵŶĸĦıĖĭĞŁĖ đĭ Ł ăĖıŁ ĔıŀĦĝĐĬħğij ĩĚğĮħĝĐŢ ħģĭŀĖļħģĦĭ ŀĖĦĬĸĔij ĩĖ ħğij ĦĭŀĖģğĬğĭ þşĩĔıŀĦþşĩĝĐĬħğij ĩĚğĮħĝĐŢ ĖĭŁĖ ąĭĖĄĭŁĖĔŅ ąĭĮĜİĄĄĔŅĥĴĮĜİĖĄĭŁĖĥĴĻħşĖħĭŁĖģĭĻħşŀĖļħģĦĭ ŀĖĦĬĸĔij ĩĖ ħğij ĩĦĭŀĖĩğĬğĭ ļŶ ģļŶ ĄĕğğĝĖĭ ĸŶŦĖčĮĖĬĔı ĖļŶļđş ŁĸŶŦĖĸĚğĮĬĸħĒĴ ĺđĞēĵĺđĞēĵ ĄĕğğĝĖĭ ŁĖ ļĝŞŁĖĸŶŦ ļĝŞ ĖčĮĖĬĔı ŀąĬĸŶŦŀąĖĬĸŶŦ ļŶļđş ĸġĞ þşĸġĞ þş ĩĖıŁĸŶŦĩĖĖıĸĚğĮĬĸħĒĴ ļğĸġŞĮļğĸġŞ Į ĸĚğĮĬĸħĒĴ ĸŶŦĖĕğğĝĔı ĸħĿģĖđşĹġşģĞđı ģđş!ģĞđı! ĸĚğĮĬĸħĒĴ ĔıŀĩğİĞĔĦĭıŀĩąğİĦıĞŀĖĦĭĭŁĖąĦı ĸŶŦŀĖĖĭŁ ĕğğĝĔı ŀĜİĄĥĴŀĜĖİĄĭŁĖĥĴ ĸħĿĖĖĭŁ Ĺġş
êćöøĂ÷ êćöøĂ÷
ìĆĚÜĀúć÷ìĊ ðŨîóüÖöĊ íčúĊĔîéüÜêćĒêŠ îšĂö÷ÖĘ ÿĆêüŤÿĆìêĆĚÜüŤĀúć÷ìĊ ęđðŨîęđóüÖöĊ íčúĊĔîéüÜêćĒêŠ đúĘÖîšđúĘĂÖ÷ÖĘ ĊĂ÷ĎöŠ ĊĂ÷ĎŠ üŤóüÖîĊ Ě ÷ŠĂęĂöđÿČ ęĂöÝćÖÙč ìĊęÙüøĕéš đóøćąĕöŠ ôŦÜíøøö ÿĆêüŤÿĆóêüÖîĊ Ě ÷ŠĂöđÿČ öÝćÖÙč èìĊęÙèüøĕéš đóøćąĕöŠ ĕéšôĕŦÜéšíøøö
ÙĀïéĊ b ÖćöēõÙĊ Ûøćüćÿ
ÙĀïéĊ b ÖćöēõÙĊ Ûøćüćÿ
ñĎšĔé ñĎšĔé Ģ ĒÿüÜĀćēõÙìøĆ ÷Ťēé÷íøøö ēé÷ĕöŠ đÖĉîĕð Ýîìøöćîêî
Ģ ĒÿüÜĀćēõÙìøĆ ó÷Ťēóé÷íøøö ēé÷ĕöŠ đÙøĊ÷đÙøĊ éÙøĆ÷éÙøĆ é đÖĉéî ĕð Ýîìøöćîêî
ģ ìĞ ćêîĔĀš ÿč×Ă ĔĀš ĂĉęöćĀîĞ ģ ìĞ ćêîĔĀš đðŨîđÿčðŨ×î ĔĀš ĉęöĀîĞ ć Ĥ ĒïŠ ðŦîēõÙìøĆ ĞćđóĘ Ĥ ĒïŠ ÜðŦîÜēõÙìøĆ ó÷ŤïóĞć÷ŤđóĘïâ ïčâ ïčâ ĥ ĕöŠ ÖĞćéĀîĆ öĆüđöć ĕöŠ účŠöĀúÜ ĥ ĕöŠ ÖĞćĀîĆ ĕöŠéö ĕöŠ Ćüđöć ĕöŠ účŠöĀúÜ öĊðđĀĘÖêĉîēìþ öĊ đĀĘîēìþ öĊ ðŦââćđðŨ éĂĂÖ öĊðÖêĉ ðŦââćđðŨ îđÙøČîęĂđÙøČ ÜÿúĆęĂÜÿúĆ éĂĂÖ ïøĉēõÙēõÙìøĆ ó÷ŤćđĀúŠ îĆĚîŠ Ă÷ĎŠ ïøĉēõÙēõÙìøĆ ó÷ŤđĀúŠ îĆĚîćĂ÷Ď
&&@ @ // !! &&@ @ // !! &&@ @ // !! &&@ @ // !! &&@ @ // !! &&@ @ // !!
ĔăĭŁ ħġĮĞ ĜİĄĥĴĜİĔĄăĭŁ ĥĴħġĮĞ Ğėĸħĝij ĩĖĸĦĮħİ ĖĞĮģ ʼnŎ ĤĩĄ ęŤ Ė Ő ĤĩĄ ĺĘġŞ đİĖ Ő ĤĩĄ ĸŶğıĸŶğı Ğėĸħĝij ĩĖĸĦĮħİ ĖĞĮģ ʼnŎ ĤĩĄ ęŤ ăĩĞĵăĻŞ ĩĞĵ ĖđİĻŞ ĖĖđİ Ő ĤĩĄ ĺĘġŞ þĖIJŁ ĚşþĖIJŁ đİĚşĖ Ő ĤĩĄ ġĝĚĮĞĴ ęĖĩĞŞ ĮăĹğăĄġş ĹĝşąĹĝş ĬĝıąġĬĝı ĝĚĮĞĴ ęĖĩĞŞ ĮăĹğăĄġş Į Į ĝĮąĮĄĔİ ĤĒĬģĭ ĖĩĩĄ ħğij ĔİĤĒĬģĭ ĖĒĄ ħğij ĔİĤĸħĖij ĔİĤ ĄĿĻĒşĒ Įĝ ĄĿĒĮĝ ĝĮąĮĄĔİ ĤĒĬģĭ ĖĩĩĄ ħğij ĩĔİĤĩĒĬģĭ ĖĒĄ ħğij ĩĔİĤĩĸħĖij ĩ ħğijĩĩ ħğij ĔİĤĩĻĒş ĔŅĮĸĦĮħİ ĖĭĖŁ ħĻħş ģĭĖŀ ļħģ Ħĭ Ėŀ ĦĬĸĔij ĩĖ ħğij ĦĭĖŀ ğĬğĭ ģļŶļđş ļĝŞĚļĝŞ ăIJ ĔŅĚĮăIJ ĸĦĮħİ ĖĖĭĖŁ Ļħş ģĭĖŀ ħļħģ Ħĭ Ėŀ ĦĬĸĔij ĩĖ ħğij ĩĦĭĖŀ ĩğĬğĭ ģļŶļđş ĸġĞ ĸġĞ ŶŦĖĸĚğĮĬĸħĒĴ þşĩĖıþşĸŁ ĩŶŦĖıĖĸŁ ĸĚğĮĬĸħĒĴ ļğĸġŞļĮğĸġŞ Į ĸĚğĮĬĦŞ ġIJĄĹġĬęŤ ĆĭĖĻđĄĿ ĸĚğĮĬĦŞ ģĖĔıģęŀ ĖĔı ㍠Ėĭęŀ ĖŁ ㍠ġIJĖĭĄĖŁ ĹġĬęŤ ăĸŶŦĖăĸŶŦ ĩĞŞĖĮĩĞŞ ăđıĮ ĆĭăđıĖ ĻđĄĿ ĆĖĭ ĖĭĆĖŁ ĭ !ĖĭĖŁ !
&@&@ // !!
&@&@ // !!
Á¬ ¥¥£Ãn ´£Ã À ¹ Á¬ ¥¥£Ãn ´£Ã À ¹ ɯ nɯ n
ØéĀé ĝ ØéĀé ĝ
ØéĀé Ĝ ØéĀé Ĝ
© À ¯ ³ É §´¤ À · Ȥ© ´¥¶ © À ¯ ³ É §´¤ À · Ȥ© ´¥¶ Ä Ä È¯ ¥²Â¤ q ¬º £Á m £´ À ¹È¯À ¹ ¥²Â¤ q ¬º Á m ´ ęĂÙüćöđĂĘ ĒÖŠēúÖ đóČ ęĂðøąē÷ßîŤ ęĂÙüćöđÖČ đóČęĂđóČ ÙüćöđĂĘ îéĎĒîÖŠéĎēúÖ đóČ ęĂðøąē÷ßîŤ đóČęĂ đóČ ÙüćöđÖČ ĚĂÖĎúĚĂÖĎú ęĂÙüćöÿč ìĆĚÜđìüéć Ēúąöîč ĒÖŠđìüéć Ēúąöîč ìĆĚÜĀúć÷ đóČęĂđóČ Ùüćöÿč × ìĆĚÜ×ĒÖŠ þ÷ŤìþĆĚÜ÷ŤĀúć÷
´£Ã m ´£ §´ ´£Ã À ¹ ɯ §´¤ ´£Ã m ´£ §´ ´£Ã À ¹ ɯ §´¤ Ä ¥n ¯£ ³ É ¯¥¥ ² ¥n ¯£ ³ ² Ãn Ãn À | À |Ä ¥n ¯£ ³ É ¯¥¥ ² ¥n ¯£ ³ É ¤³É ¤³ ² »¥¬ q¶É ¬À ¶¶É À ¶ Ãn Ãn¥¶¬ º ¥¶¬ ¶º Ì ¥¶ ¶ Ì »¥¥¶ q
ความเพียรพอดี พร้อมด้วยความสามัคคี โสณะ ! ข้อนี้ก็เป็นเช่นนั้นแล กล่าวคือ
ความเพียรที่บุคคลปรารภจัดเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ย่อหย่อนเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน. โสณะ ! เพราะเหตุนั้นแล เธอจงตั้งความเพียรแต่พอดี จงเข้าใจความที่อินทรีย์ทั้งหลาย ต้องเป็นธรรมชาติที่เสมอๆ กัน จงกำาหนดหมายในความพอดีนั้นไว้เถิด. “พระเจ้าข้า ! ข้าพระองค์จักปฏิบัติอย่างนั้น”
ภิกษุทั้งหลาย ! ในทิศใด พวกภิกษุมีความพร้อมเพรียงกัน มีความบันเทิงต่อกันและกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน เข้ากันได้สนิทเหมือนนำ า้ นมกับนำ า้ มองดูกันด้วยสายตาแห่งความรักอยู่. ภิกษุทั้งหลาย ! ทิศนั้นเป็นที่ผาสุกแก่เรา แม้ต้องเดินไป (อย่�งเหน็ดเหนื่อย) จะป่วยการกล่าวไปใย ถึงการที่เพียงแต่นึกถึง. ในกรณีนี้ เราเชื่อแน่แก่ใจว่า เป็นเพราะภิกษุเหล่านั้น ได้ละทิ้งธรรม ๓ อย่างเสียแล้ว และพากันมาถือกระทำาเพิ่มพูนให้มาก ในธรรม ๓ อย่าง... ก็ธรรม ๓ อย่าง อย่างไรเล่า ? ที่พวกภิกษุเหล่านั้นพากันมาถือกระทำาเพิ่มพูนให้มาก ๓ อย่างคือ
๑. เนกขัมมวิตก ความตรึกในการหลีกออกจากความพัวพันในกาม ๒. อัพ๎ยาปาทวิตก ความตรึกในการไม่ทำาความมุ่งร้าย ๓. อวิหิงสาวิตก ความตรึกในการไม่ทำาตนและผู้อื่นให้ลำาบาก. ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้แล ที่ภิกษุเหล่านั้นพากันมาถือ กระทำาเพิ่มพูนให้มาก... -บาลี ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๒๐/๓๒๖. , -บาลี ติก. อํ. ๒๐/๓๕๕/๕๖.
จุนทะ ! สัลเลขธรรม (ความขูดเกลา)
เป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายพึงกระทำาในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้เบียดเบียน ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ตระหนี่ เราจักเป็นผู้ไม่เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ไม่ตระหนี่ ๏ เมื่อผู้อื่นกระทำ�ป�ณ�ติบ�ต ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้โอ้อวด เราจักเว้นขาดจากปาณาติบาต เราจักเป็นผู้ไม่โอ้อวด ๏ เมื่อผู้อื่นกระทำ�อทินน�ท�น ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้มีม�รย� เราจักเว้นขาดจากอทินนาทาน เราจักเป็นผู้ไม่มีมารยา ๏ เมื่อผู้อื่นพูดเท็จ ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้กระด้�ง พูดส่อเสียด พูดคำ�หย�บ พูดเพ้อเจ้อ เราจักเป็นผู้ไม่กระด้าง เราจักเว้นขาดจากการพูดเท็จ ้อื่นเป็นผู้ดูหมิ่นท่�น พูดส่อเสียด พูดค�าหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ๏ เมื่อผูเราจั กเป็นผู้ไม่ดูหมิ่นท่าน ๏ เมื่อผู้อื่นม�กด้วยอภิชฌ� ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ว่�ย�ก เราจักเป็นผู้ไม่มากด้วยอภิชฌา เราจักเป็นผู้ว่าง่าย ๏ เมื่อผู้อื่นมีจิตพย�บ�ท ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้มีมิตรชั่ว เราจักเป็นผู้ไม่มีจิตพยาบาท เราจักเป็นผู้มีมิตรดี ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ฟุ้งซ่�น ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ประม�ท เราจักเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน เราจักเป็นผู้ไม่ประมาท ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้มักโกรธ ผูกโกรธ อ้ ื่นเป็นผู้ไม่มีหิริและโอตตัปปะ เราจักเป็นผู้ไม่มักโกรธ ไม่ผูกโกรธ ๏ เมื่อผูเราจั กเป็นผู้มีหิริและโอตตัปปะ ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ลบหลู่คุณ ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้มีสุตะน้อย เราจักเป็นผู้ไม่ลบหลู่คุณ เราจักเป็นผู้มีสุตะมาก ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้แข่งดี ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ขี้เกียจ เราจักเป็นผู้ไม่แข่งดี เราจักเป็นผู้ปรารภความเพียร ๏ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ริษย� เราจักเป็นผู้ไม่ริษยา -บาลี ม. มู. ๑๒/๗๘/๑๐๖. ข้อมูลธรรมะนี้ จัดทำ�เพือ่ ประโยชน์ท�งก�รศึกษ�สูส่ �ธ�รณชนเป็นธรรมท�น ลิขสิทธิใ์ นต้นฉบับนีไ้ ด้รบั ก�รสงวนไว้ ไม่สงวนสิทธิใ์ นก�รจัดทำ�จ�ก ต้นฉบับเพือ่ เผยแผ่ในทุกกรณี ในก�รจัดทำ�หรือเผยแผ่ โปรดใช้คว�มละเอียดรอบคอบเพือ่ รักษ�คว�มถูกต้องของข้อมูล ขอคำ�ปรึกษ�ด้�นข้อมูล
ในการจัดทำาเพื่อความสะดวกและประหยัด ติดต่อได้ที่ มูลนิธิพุทธโฆษณ์ โทร.๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐ - ๙๔
คุณศรช� โทร.๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ คุณอ�รีวรรณ โทร.๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘ สำ�หรับผูต้ อ้ งก�รปฏิบตั ธิ รรรม ติดต่อได้ท่ี ศูนย์ปฏิบตั พิ ทุ ธวจน (Buddhawajana Training Center) โทรศัพท์ ๐๙ ๒๙๑๒ ๓๖๕๗, ๐๙ ๒๙๑๒ ๓๗๒๑, ๐๙ ๒๙๑๒ ๓๔๗๑ ติดต�มก�รเผยแผ่พระธรรมคำ�สอนต�มหลักพุทธวจน โดยพระอ�จ�รย์คกึ ฤทธิ์ โสตฺถผิ โล ได้ท่ี
www.watnapp.com | media.watnapahpong.org | www.buddhakos.org คลื่น ส.ว.พ. FM 91.0 MHz ทุกวันพระ เวล� 17.40 น.