บทที่ 1 วิวัฒนาการเว็บ ในปจจุบันจะเห็นไดวาคุณประโยชนของอินเทอรเน็ตและอิทธิพลของอินเทอรเน็ตที่มีตอโลก มีอยูมากจนกลาวกันวา “อินเทอรเ น็ต จะเปลี่ยนวิถีการดํ ารงชีวิตของเรา อินเทอรเ น็ตจะเปลี่ยนวิธีการศึกษาหา ความรูของเราอินเทอรเน็ตจะเปลี่ยนวิธีการทํางานของเรา อินเทอรเน็ตจะเปลี่ยนวิธีการหาความสุข สนุกสนานของเราอินเทอรเน็ตจะเปลี่ยน ทุกสิ่งทุกอยางและทุกสิ่งทุกอยางก็จะมาเชื่อมโยงกันอยูที่ อินเทอรเน็ต” (Bill Gate, 2005) อยางแนนอนวาอินเทอรเน็ตไดสงผลตอการศึกษา โดยที่ผูเรียนมีโอกาสที่จะหาความรูไดดวย ตนเองโดยการใชอินเทอรเน็ต ฉะนั้นรูปแบบของการเรียนการสอนควรเนนสอนวิธีการเรียนใหผูเรียน ไมใชสอนแตเนื้อหาวิชาเพียงอยางเดียว (Teaching how to learn - not what to learn!) และการ เรียนการสอนในรูปแบบนี้ยังเปนการสงเสริมการเรียนรูตลอดชีวิต (Lifelong learning) อีกดวย
1.1 วิวฒ ั นาการของเว็บ (Web Technology) เว็บเทคโนโลยี (Web Technology) คือ บริการหนึ่งในรูปแบบตางๆของการใหบริการของ อิน เตอร เ น็ต สํ า หรั บผู พัฒนาเว็ บ หรือผูที่ตองการเขียนโปรแกรมเพื่อติดตอสื่อสารผานเว็บ หรือ อินเตอรเน็ต แลวจะตองรูและเขาใจเรื่องเกี่ยวกับโปรโตคอล (Protocal) ปจจุบันเว็บเปรียบเสมือนกับจักรวาลที่กําลังขยายตัวอยางตอเนื่อง ซึ่งประกอบไปดวยหนา เว็บตางๆ ที่โยงใยเขาดวยกัน รวมถึงเว็บแอปพลิเคชันจํานวนมากที่เต็มไปดวยวิดีโอ รูปถาย และ เนื้อหาแบบอินเตอรแอคทีฟ โดยสิ่งที่ผูใชทั่วไปไมสามารถมองเห็นได ก็คือการทํางานรวมกันระหวาง เทคโนโลยีเว็บและเบราวเซอร ซึ่งถือเปนสวนสําคัญในการผลักดันใหทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได การนําเสนอขอมูลในระบบ WWW (World Wide Web) พัฒนาขึ้นมาในชวงปลายป 1989 โดยทีมงานจากหองปฏิบัติการทางจุลภาคฟสิกสแหงยุโรป (European Particle Physics Labs) หรือ ที่รูจักกันในนาม CERN (Conseil European pour la Recherche Nucleaire) การเผยแพรขอมูลทางอินเทอรเน็ตผานสื่อประเภทเว็บเพจ (Webpage) เปนที่นิยมกันอยาง สูงในปจจุบัน ไมเฉพาะขอมูลโฆษณาสินคา ยังรวมไปถึงขอมูลทางการแพทย การเรียน งานวิจัยตางๆ เพราะเขาถึงกลุมผูสนใจไดทั่วโลก ตลอดจนขอมูลที่นําเสนอออกไป สามารถเผยแพรไดทั้งขอมู ล ตัวอักษร ขอมูลภาพ ขอมูลเสียง และภาพเคลื่อนไหว มีลูกเลนและเทคนิคการนําเสนอที่หลากหลาย อัน ส งผลให ร ะบบ WWW เติ บ โตเปน หนึ่งในรูป แบบบริการที่ไดรับ ความนิย มสูงสุดของระบบ อิน เทอร เ น็ตการนํ า เสนอขอมู ล เว็ บ เพจ คือ สามารถเชื่อมโยงขอมูล ไปยังจุดอื่นๆ บนหนาเว็บ ได ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บอื่นๆ ในระบบเครือขาย อันเปนที่มาของคําวา HyperText หรือ ขอความที่มีความสามารถมากกวาขอความปกตินั่นเอง จึงมีลักษณะคลายกับวาผูอานเอกสารเว็บ
2 สามารถโตตอบกับเอกสารนั้นๆ ดวยตนเอง ตลอดเวลาที่มีการใชงานนั่นเอง ดวย ความสามารถดังกลาวขางตน จึงมีผูใหคํานิยาม Web ไวดังนี้ - The Web is a Graphical Hypertext Information System. การ นําเสนอขอมูลผานเว็บ เปน การนําเสนอดวยขอมูลที่สามารถเรียกหรือโยงไปยังจุดอื่นๆ ในระบบกราฟก ซึ่งทําใหขอมูลนั้นๆ มีจุด ดึงดูดใหนาเรียกดู - The Web is Cross-Platform. ขอมูลบนเว็บไมยึดติดกับ ระบบปฏิบัติการ (Operating System: OS) เนื่องจากขอมูลนั้นๆ ถูกจัดเก็บเปน Text File ดังนั้นไมวาจะถูกเก็บไวในคอมพิวเตอรที่ใช OS เปนUNIX หรือ Windows NT ก็สามารถเรียกดูจากคอมพิวเตอรที่ใช OS ตางจากคอมพิวเตอรที่เปน เครื่องแมขายได - The Web is distributed. ขอมูลในเครือขายอินเทอรเน็ตมีปริมาณมากจากทั่วโลก และผูใชจาก ทุกแหงหนที่สามารถตอเขาระบบอินเทอรเน็ตได ก็สามารถเรียกดูขอมูลไดตลอดเวลา ดังนั้นขอมูลใน ระบบอินเทอรเน็ตจึงสามารถเผยแพรไดรวดเร็ว และกวางไกล - The Web is interactive. การทํางานบนเว็บเปนการทํางาน แบบโตตอบกับผูใชโดยธรรมชาติอยู แลว ดังนั้นเว็บจึงเปนระบบ Interactive ในตัวมันเอง เริ่มตั้งแตผูใชเปดโปรแกรมดูผลเว็บ (Browser) พิมพชื่อเรียกเว็บ (URL: Uniform Resource Locator) เมื่อเอกสารเว็บแสดงผลผานเบราวเซอร ผูใชก็สามารถคลิกเลือกรายการ หรือขอมูลที่สนใจ อันเปนการทํางานแบบโตตอบไปในตัวนั่นเอง
รูปที่ 1.1 เทคโนโลยี web 1.0 – web 4.0 Web 1.0 คือ การใชงานอินเทอรเน็ต (Internet) ในอดีต เปนการใชขอมูลดานเดียว(One way Communication) ระหวางเว็บ 1 เว็บจะมีผูใช 1 คนคือ web master หรือผูสรางเว็บเปนผูให ขอมูล และ ผูเขาชมเว็บเปนผูรับขอมูล จะรูจักแค E-Mail, Chat Room, Download, Search Engine, Web board สวนมากจะใชภาษา HTML (HyperText Markup Language ) ตอมาเริ่มมี การนําเอา Java Script และภาษา PHP (HyperText preprocessor) มาใชงาน
3
รูปที่ 1.2 Web 2.0 = Read/Write, Dynamic Data through Web Services Web 2.0 คือ เครือขายทางสังคม (Social network) ที่เนนการแบงปน (Sharing) รูปภาพ สื่อตางๆ (Multimedia) รวมทั้งขอมูลที่สมาชิกภายในกลุมเครือขายสังคมนั้นมีอยูอยางแทจริง Web 2.0 เปนการติดตอ 2 ทาง (Two-way Communication) และผูใชยังมีสวนรวมในการ สรางสรรค (Co-Creation) และนําเสนอ Content ไมใช Content Provider (ผูนําเสนอเนื้อหา ขอมูล ความรู) อีกตอไป ตัวอยางเว็บไซตยุค Web 2.0 ที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกMySpace
รูปที่ 1.3 การเปรียบเทียบความแตกตางระหวาง Web 1.0 และ Web 2.0
4
รูปที่ 1.4 แสดงแนวคิดของ Web 1.0 กับ Web 2.0 Web 3.0 เปนการนําแนวคิดของ Web 2.0 มาทําให Web นั้นสามารถจัดการขอมูลจํานวน มากๆ ใหอยูในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึงขอมูลที่บอกรายละเอียดของขอมูล (Data about data) ทําใหเว็บกลายเปน Semantic Web คือ ตัว Web จะทําหนาที่ประมวลผลขอมูลและ วิเคราะหขอมูลเหลานั้น แลวให Tags ตามความเหมาะสมใหเราแทน โดยขอมูลแตละ Tag จะมี
5 ความสัมพันธกับอีก Tag หนึ่งโดยปริยาย ทําใหอินเตอรเน็ตกลายเปนฐานขอมูล ความรูขนาดใหญ ที่ ขอมูลทุกอยางถูกเชื่อมตอกันอยางเปนระบบมากขึ้น Web 3.0 จะพัฒนาไปในลักษณะ Segment of One คือ Segment ที่มีบุคคลแคคนเดียว หรือ ตอบโจทย ความเป นสว นบุ คคล เช น อยากไปเที่ย วภู เขาไฟฟู จิ เมื่อคนข อมูล แล วเว็ บไซตจ ะ เชื่อมโยงขอมูลทั้งหมดออกมา ไมวาจะจากสายการบินตางๆ แพ็กเกจไหนดีที่สุด และนํามาเช็ค กับ ตารางของผู ใช ว า ตารางเวลาตรงกัน ไหม หรือจะนําไปเช็คกั บ ตารางของเพื่อ นที่ ญี่ปุ น ใน Social Network เพื่อนัดเวลาที่ตรงกันเพื่อพบปะทานขาวรวมกันก็ได ในยุ ค สื่ อ ดิ จิ ต อล โลกอิ น เทอร เ น็ ต เป น เครื่ อ งมื อ สํ า คั ญ ในการประยุ ก ต ใ ช ไ อที เ พราะ อินเทอรเน็ตชวยให เขาถึงขอมูลขาวสารรอบโลกไดอยางรวดเร็วชวยใหติดตอกับคนหรือหนวยงาน ภายในและนอกประเทศได ภายในพริบตา รูปแบบที่ผูบริโภคสามารถเขาถึง (view ,create ,copy ,share etc.) ไดทุกที่ ทุกเวลา ดวย อุปกรณใดๆที่ เชื่อมตออินเทอรเน็ตได กาวตอไปของสื่อใหมจะ เปนการเชื่อมโยงและผสมผสาน Digital content เหลานั้นเขาดวยกันที่เรียกวา Mash Up อันเปน พื้นฐานของเว็บ 3.0 ที่ไดรับการพัฒนาใหมี ความฉลาดรู หรือ มี AI (Artificial Intelligence) สามารถคนหา และคาดเดาความตองการของผูบริโภค แตละคนได อุปกรณไอที Gadget ตางๆ ไม วาจะเปน Notebook/ Netbook/ Smart Phone / MID (Mobile Internet Device), Digital Photo frame, Ebook หรือแมแตอุปกรณเครื่องใชไฟฟาภายในบาน (Digital home appliance)จะไดรับการ พัฒนาใหมีความฉลาดในการทํางานมากขึ้น ทั้งขนาด คุณสมบัติ การทํางาน และราคา
รูปที่ 1.5 การเปรียบเทียบพัฒนาการตั้งแต Web 1.0 - Web 3.0
6
รูปที่ 1.6 การเปรียบเทียบแนวคิดของ Web 1.0 - Web 3.0 web 4.0 หรือที่เรียกกันวา “A Symbiotic web” (Ubiquitous Web) คือ web ที่มี ทํางานแบบ Artificial Intelligence (AI) หมายถึง การสรางใหคอมพิวเตอรใหสามารถคิดได (Human mind & Machines หรือ Human & Robot coexistence) มีความฉลาดมากขึ้น ในการ อานทั้งเนื้อหา (text) และรูปภาพ (graphic) และสามารถตอบสนองดวยการคํานวณ หรือ สามารถ ตัดสินใจไดวาจะ load ขอมูลใดที่จะใหประสิทธิภาพดีที่สุดมาใหกอน และมีรูปแบบการนํามาแสดงที่ รวดเร็ว
7 Web 4.0 นั้นประกอบดวย 3 องคประกอบ Ubiquity, Identity และ Connection กลาวคือ จะพบไดทุกหนทุกแหง ไมจํากัดวาจะเปน Device ใด สามารถระบุตัวตนของผูใชงานได อยางแนชัด รวมถึงอาจจะ Integrate ไปกับอุปกรณอื่นๆ ที่ชวยในการระบุตัวตน เชน GPS และก็ สามารถใชงาน ไดทุกหนทุกแหง สามารถเชื่อมตอไดงายจนไมรูสึกถึงความยุงยากใด ในระหวางการ ทํา งานหนึ่ งๆ อาจจะมี ขอความแทรกขึ้น มาทันทีก็ได ลักษณะของ Web 4.0 จะไมได มองไปที่ “ขอมูล” อีกตอไป เพราะจะกาวขามกลายเปน Activity หรือกิจกรรมแทน เพราะไดผานจุดของ Web 3.0 ที่สามารถ สื่อสารกันไปแลว ขอมูลทุกอยางจึงแลกเปลี่ยนไดอยางอิสระจนมองขามมันไปได วา ข อมู ล อยู ที่ไหนหรื อมาจากไหน แตกลับ ไปสนใจแทนวา หากจะทํากิจ กรรมหนึ่งๆ มีที่ไหนที่มี Application ที่จะสนับสนุนกิจกรรม ที่ผูใชงานตองการได เชน หากตองการจะซื้อเสื้อ ขอมูลเสื้อจาก ทุกๆ แหลงที่รองรับกิจกรรมนี้ก็ จะถูกสงมารวมกัน โดยอาจมีขอมูลประกอบวารานอยูที่ไหนจาก Application ดานขอมูลสถานที่ และสามารถเลือกผูสงสินคาได จาก Application จากผูใหบริการ ดานการสง เปนตน ลักษณะของ Web 4.0 1) More access to data (สามารถเขาถึง data ไดมากขึ้น) 1.1 Access to more products (เขาถึงผลิตภัณฑไดหลายตัวมากขึ้น) อยางเชน เสื้อผา เครื่องประดับ อุปกรณการกีฬา 1.2 Access to more images (เขาถึงรูปภาพไดมากขึ้น) 1.3 All customer reviews (สามารถดึงคําติชมของลูกคาทุกคน) 1.4 More product attributes (สามารถเขาถึงขอมูลของสินคามากขึ้น) 2) Extended cabilities (มีความสามารถมากขึ้น) 2.1 Extended Search functionality (คนหาขอมูลดวยรายละเอียดมากขึ้น) 2.2 Save for Later remote shopping cart (เลือกสินคาโดยที่ไมใสตะกราได) 2.3 Wish list search (สามารถคนหาสินคาในรายการที่ผูอื่นตองการ) 3) Improved usability 3.1 More documentation and code samples (มีคูมือการใชและโปรแกรมตัวอยาง มากขึ้น) 3.2 Localized error messages. New error messages include very specific information about errors in your requests and provide troubleshooting guidelines (error messagesมีขอมูลมากขึ้นที่บอกถึงความผิดพลาดและชวยบอกถึงวิธีแก) 3.3 Built-in help functionality ทําใหผูพัฒนาสามารถเขาถึง API ไดงาย ชวยในการ เรียนรูและการนําไปใช
8
รูปภาพแสดงแนวคิดของ Web 1.0 - Web 4.0
รูปที่ 1.7 แสดงเสนทางพัฒนาการของ Web 1.0 - Web 4.0
สรุป
วิวัฒนาการและเทคโนโลยีดานอีเลิรนนิ่งมีมาตั้งแตสมัยอดีต และปจจุบัน วิวัฒนาการและ เทคโนโลยีดานอีเลิรนนิ่งยังคงมีพัฒนาการที่กาวตอไปอยางไมหยุดนิ่ง วิวัฒนาการและเทคโนโลยีดานอีเลิรนนิ่งจะแบงออกเปนทั้งหมด 5 ยุด ยุคที่ 1. เริ่มขึ้นชวงปลายป พ.ศ. 2442 และตนป พ.ศ. 2443 ซึ่งรูจักกันในชื่อ“การเรียน โดยใชจดหมาย”คือสามารถทําผานอินเทอรเน็ตไดโดยสงทางไปรษณียอิเล็กทรอนิกสหรืออีเมลแทนที่ จะสงทางจดหมายธรรมดา ยุคที่ 2 คือทุกคนสามารถที่จะลงทะเบียนเรียนโดยไมตองดูจากประสบการณกอนหนานี้ หรือการศึกษา โดยผานทางสื่อวิทยุและโทรทัศนความหมายอยางกวางๆ ของ “ใครทุกคน ทุกหนแหง และทุกเวลา” ยุคที่ 3 เมื่อประมาณป พ.ศ. 2523 เปนยุคที่มาพร อมกับวิดีโอเทป การกระจายเสีย ง ดาวเทียม และสายเคเบิ้ล องคกรใหญๆ ผานทางโทรทัศน ผานดาวเทียมสําหรับการพัฒนาอาชีพ การ รูหนังสือของผูใหญและหัวขอตางๆ สําหรับการศึกษาทางไกล
9 ยุคที่ 4 สวนยุคนี้คือการเรียนการสอนผานทางเว็บ หรือผานทางอินเทอรเน็ตนั่นเอง โดย การใหความรูผานทางเวิลด ไวด เว็บ (World Wide Web) ยุคที่ 5 ยุคนี้จะพัฒนามาจากยุคที่ 4 โดยใชเทคโนโลยีทุกประเภทของอินเทอรเน็ต อาทิ เวิลด ไวด เว็บ (WWW) อีเมล (Email), หองสนทนา (Chat), หองประชุม (Forum), กลุมผูสนใจ (Mailing List), ปายประกาศ (Bulletin Board) หองสมุดดิจิทัล(Digital Library) ฯลฯ ยุคนี้จะเนนที่ การเรียนการสอนที่ผูเรียนมีสวน Web 1.0 ผูเขาชมสามารถอานไดอยางเดียว (Read-only) เปนเทคโนโลยีที่สามารถที่ สามารถแกไขขอมูล หนาตาของเว็บไซตไดเฉพาะผูดูแลเว็บไซต (Webmaster) เปนเว็บที่ผูเขาเยี่ยม ชมไมสามารถมีสว นรวมกับเว็บดังกลาวได ถือวาเปนเว็บรุนแรกของเทคโนโลยีเว็บไซต สวนมากจะใช ภาษา html เปนภาษาสําหรับการพัฒนา Web 2.0 ผูเขาชมสามารถอานและเขียนได (Read-Write) เปนเทคโนโลยีเว็บไซตที่พัฒนา ตอจาก web 1.0 เปนเทคโนโลยีเว็บไซตที่สามารถโตตอบกับผูใชงานได เชน เว็บบอรด เว็บบล็อก วิพี เดีย เปนตน ซึ่งจะใชฐานขอมูลมาเกี่ยวขอกับเทคโนโลยีนี้ดวย web 3.0 ผูชมสามารถอาน เขียน จัดการ ( Read-Write-Execute ) คือจากที่ผูเขาไปใช อาน และเพิ่มขอมูล ผูใชก็สามารถปรับแตงขอมูลหรือระบบไดเองอยางอิสระมากขึ้น สําหรับเมืองไทย นั้นจะนําเขามาใชในอนาคต เทคโนโลยีบางอยางที่คาดวาจะถูกนํามาใชใน web 3.0 ไดแก Artificial Intelligent (AI) เรียกวา ปญญาประดิษฐ หรือสมองกล,Semantic Web and SOA (Serviceoriented architecture)เปนเรื่องของการแลกเปลี่ยนขอมูลที่ตางระบบกัน, 3D หรือ Web3D Consortium เปนเว็บรูปแบบ 3 มิติ, Composite Applications เปนการผสมบริการระหวางกัน เชน การดึงบริการจากเว็บรูปแบบหนึ่งมาใชงานในเว็บไซตรูปแบบอื่นๆ ไดดวยเสมือนเปนเว็ปไซต เดียวกัน, Scalable Vector Graphic (SVG) เปนเทคโนโลยีที่เมื่อเราจะยอหรือขยายรูปภาพก็ไมแตก เปนเม็ดๆ,Semantic Wiki เปนการแสดงขอมูลของภาพที่เรากําลังอานอยู, Metadata ( Data about Data)เปนการอธิบายขอมูลดวยขอมูลในเชิงสัมพันธกัน จะเห็นไดวาวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเว็บไดชวยใหนักพัฒนาสามารถสรางประสบการณการ ใชเว็บในรูปลักษณใหมที่มีความครอบคลุมและเปนประโยชนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เว็บในปจจุบันเปนผล พวงมาจากความพยายามอยางตอเนื่องของชุมชนบนเว็บที่ชวยกําหนดทิศทางใหกับเทคโนโลยีเว็บ เชน HTML5, CSS3 และWebGL รวมทั้งยังชวยใหแนใจดวยวาเทคโนโลยีดังกลาวจะสามารถใชไดกับ เว็บเบราวเซอรที่มีอยูทั้งหมดแถบสีในการแสดงขอมูลนี้จะแทนการสื่อสารระหวางเทคโนโลยี เว็บกับเบราวเซอร ซึ่งชวยใหเว็บแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพจํานวนมากที่เราใชงานอยูในทุกวันนี้มี ชีวิตชีวายิ่งขึ้น. ดังนั้นการใชประโยชนของขอมูลบนเครือขายอินเทอรเน็ตจึงตอบสนองความตองการของ ผูเรียนในพื้นที่หางไกลสามารถที่จะเขามาสูการเรียนแบบนี้ได ไมวาจะอยู ณ ที่ใด และเวลาใดก็ไดจึง ถือไดวาอินเทอรเน็ตนี้เองที่ชวยสรางโอกาสในการศึกษาทางไกลสําหรับ ใครทุกคน ทุกหนแหง และ ทุกเวลา 0
0
10 เอกสารอางอิง http://website-quality.blogspot.com/2010/01/web-40-newhttp://sethgodin.typepad.com/seths_blog/2007/01/web4.html http://samarn.multiply.com/journal/item/84/84 http://sethgodin.typepad.com/seths_blog/2007/01/web4.html http://www.zdnet.com/blog/btl/from-semantic-web-30-to-the-webos-40/4499 http://goo.gl/aRA2P http://goo.gl/0VMUS http://goo.gl/Q216Q http://www.blogger.com/goog_649426735 http://jonmell.co.uk/web-20-web-30-web-40-web-50-where-will/ http://www.techcrunch.com http://www.computers.co.th http://catadmin.cattelecom.com http://janyassattanako.blogspot.com/2011/03/web-10-web-40.html