วารสารมดคันไฟ 3

Page 1

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ผู้ทรงเมตตากรุณาและผู้ทรงปราณียิ่ง มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก อัลฮัมดุลิลลาฮฺ วารสารมดคันไฟ 3 ฉบับนี้ จะมิอาจสำ�เร็จลุล่วงและสมบูรณ์ไปได้หาก ปราศจากความช่วยเหลือ ความเมตตาและการชี้นำ�จากพระองค์ ผู้ทรงทำ�ให้ทุกการงานสำ�เร็จ ลุล่วงด้วยความโปรดปรานและพระประสงค์ของพระองค์ ในขณะที่สายตาทุกคู่กำ�ลังกวาดไปยังทุกตัวอักษร ด้วยพระอนุมัติของผู้ทรงบังเกิด ดวงตาทุกดวง นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกให้รู้ว่าถึงเวลาแห่งการกลับมาอีกครั้งของวารสารมดคันไฟ ฉบับที่ 3 ภายใต้ความมุ่งมั่นจากหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความอิคลาสทุกดวงของพี่น้องชมรมนักศึกษา มุสลิม บางมด ที่ต้องการจะสร้างสรรค์งานเขียนเพื่อถ่ายทอดเจตนารมณ์ที่แฝงไปด้วยความรัก ความห่วงใยและหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกถ้อยคำ� ทุกตัวอักษรจะก่อให้เกิดการฉุกคิด การใคร่ครวญ หรือเพิ่มพลังให้กับดวงใจดวงน้อยๆ ของผู้อ่านทุกท่านให้เต็มไปด้วยความชุ่มชื่นแห่งอีหม่านและ กำ�ลังใจในทุกๆ ย่างก้าวของการดำ�เนินชีวิต วารสารมดคันไฟ 3 ตอน แบบไหน?...ที่ใครๆก็ “รัก” นี้ เป็นเรื่องราวที่ทีมงานมดคัน ไฟ 3 ได้รวบรวม ถ่ายทอด และเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการดำ�เนินชีวิต ความรัก หรือแง่มุมต่างๆ ที่ น่าประทับใจต่อบรรดาซอฮาบะห์ ซอฮาบียะห์ และบุคคลต้นแบบของพวกเรา ซึ่งควรค่าอย่างยิ่ง แก่การนำ�มาศึกษาและทบทวน ให้กิจวัตรของพวกเราดำ�เนินไปในแนวทางที่พระองค์พอพระทัย ประวัติและผลงานอันทรงคุณค่าของพวกเขาเหล่านั้นอาจกลายเป็นเพียงอดีตที่ได้รับ การจารึกเสมือนดั่งดวงดาวที่ไม่เคยเอื้อมถึง หรือจะเป็นแบบอย่างที่สว่างไสวแพรวพราวในดวงใจ ที่ถูกนำ�มาปฏิบัติและพัฒนาให้ก้าวล้ำ�ต่อไป เฉกเช่นพวกเขา ... วัลลอฮุอะอฺลัม ... ขอพระองค์ทรงชี้นำ�ทุกท่านให้เกิดการเรียนรู้และรับรู้ด้วยดวงใจ จากบทความงาน เขียนทุกๆ บท ทุกๆ ตอนในวารสารมดคันไฟ 3 ขอให้ดวงใจทุกดวงมีความมั่นคงและแข็งแกร่งใน ศาสนาของพระองค์ด้วยเถิด…อามีน... ด้วยรักและดุอาอฺ อัรเราเฎาะฮฺ


สารบัญ...... 5 หนึ่งในผู้ที่ยืนหยัดในอิสลาม…อับดุลลอฮฺ บินหุซาฟะฮ ฺ ขณะที่ผู้ส่งสาส์นของเหล่ามุสลิมยืนอยู่ ณ. รุสตุม 11

15

ระองค์

่อซูลของพ ะร ล แ ฺ ฮ อ ล ล ั อ า ่ ว ก ง ่ ิ ย น ่ ื รอ ใค ก ั อย่าได้ร

“ในค่ำ�คืนที่มืดที่สุด เรากลับเห็นพวกเขาได้ชัดที่สุด”

23

ประชาชาติเดียวกัน

27 แบบเดียว....ที่ต้องลอกเลียน 31 “บาดแผล”

เราลืมอะไรไปหรือเปล่า? 33

19


35“รัก” กับ “ความเป็นอยู่ในโลกอาคีเราะห์”

41

45

เหตุและผลแห่งรัก ชัยชนะที่แท้จริง

47“คนต้นแบบ” ต้นฉบับที่ต้องเลียนแบบ

51

THE LEGENDRY OF YOUTH (เยาวชนแห่งตำ�นาน)

55

59

ี้ น น ค น ั ฉ น อ ่ ื พ เ . . เธอคนนั้น

บุคคลตัวอย่าง

63 “รักแรก.... (ก่อน)พบ”

67“อัคลาก” จรรยา มารยาทในอิสลาม 71เจอยัง?_ _ _ _ความสุข



หนึ่งในผู้ที่ยืนหยัดในอิสลาม…อับดุลลอฮฺ บินหุซาฟะฮ ฺ

ด้วย

พระนามของอัลลอฮ ผู้ทรง กรุณายิ่ง ผู้ทรงเมตตาเสมอ มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ผู้ทรง อภิบาลแห่งสากลโลก พระองค์ผู้ทรงสร้าง มนุ ษ ย์ บ นพื้ น ฐานแห่ ง สามั ญ สำ � นึ ก ที่ ถู ก ต้ อ ง และอุดมคติที่เป็นจริง ขอคำ�อวยพรและความ สันติจงมีแด่ท่านร่อซูลของพระองค์ มูฮัมหมัด ครอบครัวของท่าน เหล่าสาวกของท่าน และบรรดาผู้ที่เดินตามแนวของท่าน ขึ้นต้นด้วย “ROLE MODEL” ใคร หลายคนก็ จ ะนึ ก ถึ ง บรรดานบี แ ละร่ อ ซู ล ของ อัลลอฮและบรรดาเศาะฮาบะฮฺที่กำ�เนิด ประวัติศาสตร์แห่งอิสลามมาตั้งแต่มนุษย์คน แรกของโลก นบีอดัม อาลัยฮิสลาม แต่ในที่นี้ ขอกล่าวถึงบรรดาบรรพชนรุ่นสุดท้ายของโลก ในยุคของท่านนบีมูฮัมหมัด หลังจากที่ ท่านได้วาฟัตไปแล้ว

โดย...RESHAH

เหล่าบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ริฎวานุล ลอฮิอะลัยฮิม ยังคงมีความแน่วแน่ มุ่งมั่น และตั้งใจที่จะเผยแพร่สัจธรรมสู่ประชาชาติ สานงานต่อจากท่านนบีมูฮัมหมัด เพื่อที่ จะปกป้องศาสนาที่พวกเขาได้รับ ศาสนาที่ พวกเขาเชื่อว่าเป็นศาสนาเดียวที่พวกเขาจะ ประสบความสำ�เร็จ ทั้งโลกดุนยาและอาคีเราะ ห์ และเพื่อให้บรรดาอุมมะฮฺยุคสุดท้ายนั้นได้ รับทางนำ� ได้รับสัจธรรม และเพื่อขยับขยาย ความเป็นปึกแผ่น ความแน่นแฟ้นของ “อัลอิสลาม” ให้เป็นหนึ่งเดียว ให้เป็นที่ประจักษ์ แก่เหล่าศัตรูของอิสลามว่า.... “อิสลาม คือ ศาสนาที่ได้รับการ รั บ รองจากพระเจ้ า ว่ า เป็ น ศาสนาที่ แ ท้ จ ริ ง เป็นศาสนาที่จะได้รับแสงสว่างและทางนำ� ได้ รับความเมตตา และความกรุณาปราณีจาก พระองค์ทั้งโลกดุนยาและอาคีเราะห์” แม้ว่า

5

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


สิ่งเหล่านั้นจะต้องแลกด้วยเลือดด้วยเนื้อของ พวกเขา แม้จะต้องทิ้งลูกของพวกเขาให้เป็น กำ�พร้า หรือแม้จะต้องทิ้งภรรยาของพวกเขา ให้เป็นหม้าย แต่ด้วยความเชื่อและยืนหยัด ในผลแห่งการตอบแทนจากพระเจ้าของพวก เขา พวกเขายอมที่จะทำ�เช่นนั้น พวกเขาเฟ้น หาหนทางเพื่อที่จะใกล้ชิดพระองค์ พวกเขา ขวนขวายเส้นทางที่จะได้เข้าเฝ้าพระองค์ ได้ เห็นพระพักตร์ของพระองค์ พวกเขามุ่งมั่นที่ จะหาวิธีที่ทำ�ให้พวกเขาได้รับชัยชนะ และได้ รับเกียรติ ณ พระองค์ ท่านอับดุลลอฮฺ บินหุซาฟะฮฺ เป็นเศาะฮาบะฮฺท่านหนึ่งในยุคของท่านเคาะ ลีฟะฮฺอุมัร บินอัลค็อฏฏอบ ครั้งในการทำ� สงครามแดนโรมันแต่ฝ่ายมุสลิมต้องพ่ายแพ้ และท่านอับดุลลอฮฺ บินหุซาฟะฮฺ ถูกศัตรูจับ ตัวเป็นเชลยและถูกส่งตัวเข้าเฝ้ากษัตริย์โรมัน ภายหลังกษัตริย์โรมันทราบว่าอับดุลลอฮฺ เป็น สาวกคนหนึ่งของมูฮัมหมัด จึงกล่าวขึ้นมา ต่อบรรดาเชลยศึกมุสลิมด้วยข้อต่อรองว่า... “ท่านยินดีที่จะเปลี่ยนมารับศาสนา คริสต์ไหม? แล้วข้าจะยอมมอบอำ�นาจการ ปกครองกึ่งหนึ่งของข้าให้แก่เจ้า…” เขาตอบอย่างไม่ลังเลทันทีว่า“มาตร แม้นพระองค์จะทรงยกทุกสิ่งทุกอย่างที่ครอบ ครองอยู่ และรวมทั้งสิ่งที่ชาวอาหรับทั้งหมด ครอบครองอยู่ด้วย ฉันก็จะไม่มีวันกลับออก จากศาสนาของมูฮัมหมัดแม้แต่เพียงสักกระ พริบตาเดียว…” กษัตริย์กล่าวด้วยความพิโรธ “เช่น นั้นข้าจะฆ่าเจ้าเสีย…”

6

มดคันไฟ3

“ก็แล้วแต่พระองค์จะประสงค์เถิด” อับดุลลอฮฺย้อนกลับอย่างไม่ใยดี ดังนั้นกษัตริย์จึงบัญชาให้ทหารจับ เขาไปตรึงกับไม้กางเขน และให้บรรดานักแม่น ธนู ยิงลูกธนูไปยังเป้าให้เฉียดร่างของเขาเพื่อ ให้เกิดความกลัว และลองกล่าวข้อเสนอนั้นอีก ครั้ง แต่ถูกปฏิเสธอีกเช่นเดิม เมื่ อ ทรงเห็ น ว่ า ไม่ เ ป็ น ผลจึ ง ให้ นำ � ร่างของเขาลงมา และเปลี่ยนเป็นวิธีนำ�หม้อ ขนาดใหญ่ใส่น้ำ�มัน ต้มจนเดือดพล่าน แล้วให้ ทหารจับเชลยมุสลิมคนอื่นโยนลงไปในหม้อ น้ำ�มัน เดือดตายจนร่างนั้นแหลกเหลว จึงหัน มากล่าวข้อเสนอให้อับดุลลอฮฺเปลี่ยนศาสนา อีกครั้ง แต่เขายังยืนกรานปฏิเสธเช่นเดิมอย่าง มั่นคง แล้วเขาก็ร้องไห้น้ำ�ตาไหลพราก ทหารเห็น จึ ง รี บ กล่ า วทู ล ว่ า “อั บ ดุ ล ลอฮฺ ร้ อ งไห้

แล้ว…” “คิดว่าคงเป็น

เ พ ร า ะ เ สี ย ด า ย


ชีวิตเป็นแน่” กษัตริย์จึงรีบให้ทหารนำ�ตัวอับ ดุลลอฮฺมาสอบถามเหตุผลที่ร้องไห้ อับดุลลอฮ บินหุซาฟะฮฺ จึงได้ อธิบายว่า.... “เป็ น เพราะฉั น มี เ พี ย งชี วิ ต เดี ย ว หากถูกโยนลงไปวินาทีนี้ก็จบสิ้นแค่นั้น ใน ขณะที่ฉันปรารถนาเหลือเกิน หากฉันมี หลายๆชีวิตมากเท่าจำ�นวนเส้นผมบนศรีษะ ฉันจะได้ถูกโยนลงไปในไฟ เพื่อตายในศาสนา ของอัลลอฮฺครั้งแล้วครั้งเล่า” กษัตริย์โรมันทรงได้ยินเช่นนั้น ถึง กับทึ่งและพ่ายแพ้ต่อความเด็ดเดี่ยวของเศาะ ฮาบะฮฺท่านนี้ จึงกล่าวออกมาว่า“เช่นนั้นเจ้าจงจูบ ศรีษะข้าซิ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าเป็นอิสระ…” อับดุลลอฮ บินหุซาฟะฮฺ ริฎวานุลลอ ฮิอะลัยฮิ จึงถามว่า “หมายถึง ท่านจะปล่อย บรรดาเชลยมุสลิมทั้งหมดด้วยหรือ?” “ใช่แล้ว” กษัตริย์ตอบรับรอง ดังนั้นเขาจึงยอมเข้าไปจูบศรีษะตาม คำ�ขอ ยอมลดศักดิ์ศรีเพื่อแลกเปลี่ยนชีวิตของ เชลยมุสลิมทั้งหมด ท้ายที่สุดเชลยมุสลิมทั้งหมดก็ได้รับ การปลดปล่อย ต่างเดินทางกลับกระทั่งถึงมา ดีนะฮฺ และตรงเข้าไปพบท่านเคาะลีฟะฮฺอุมัรฺ บินอัลค็อฏฏอบ พร้อมเล่าเรื่องราวที่เกิด ขึ้น เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ท่านอุมัรฺถึงกับ ลุกขึ้นยืนประกาศต่อหน้าประชาชนว่า... “มุ ส ลิ ม ทั้ ง หลายมี ห น้ า ที่ จู บ ศรี ษ ะ ของอับดุลลอฮฺทุกตน และฉันนี่แหละเป็น คนแรกที่จะจูบศรีษะเขา” (เพื่อแสดงถึงการ

ยกย่องในความเด็ดเดี่ยวของสาวกท่านนี้) เรื่ อ งราวเหล่ า นี้ เ ป็ น เพี ย งเศาะ ฮาบะฮฺท่านเดียว ที่ได้เสนอให้ผู้อ่านได้อ่าน กัน ยังมีอีกมากมายที่พวกเขาเหล่านั้นได้ แสดงถึงความศรัทธา ได้แสดงถึงความรักต่อ อัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ และการยืด หยัดในอิสลาม แม้จะได้รับการทดสอบด้วยวิธี ใดก็ตาม พวกเขาก็จะยังมั่นคงในสิ่งนั้น โดย ไม่คิดที่จะเสียดายชีวิต แต่กลับเป็นเรื่องที่น่า ยินดีสำ�หรับพวกเขา ทำ�ให้บรรดาชนเหล่านั้น ได้รับการยืนยันจากอัลลอฮฺ และได้รับการ กล่าวขานแก่บรรดาชนรุ่นหลัง ให้เป็นบรรดา ชาวสวรรค์ ด้วยกับสิ่งที่พวกเขาได้ยืนหยัด และมั่นคงในศาสนาของพระองค์ “ไม่มีบาปใด ๆ แก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอและ แก่ผู้ที่ป่วยไข้ และแก่บรรดาผู้ที่ไม่พบสิ่งที่ จะบริจาค เมื่อพวกเขาได้แนะนำ�ตักเตือนให้ จงรักภักดีต่ออัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ ไม่มีทางใดที่จะกล่าวโทษแก่บรรดาผู้กระทำ� ดีได้ (1) และอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา (91) และไม่มีบาปใด ๆ แก่บรรดาผู้ที่เมื่อพวกเขามาหาเจ้าเพื่อให้ เจ้าจัดให้พวกเขาขี่ (2) เจ้าได้กล่าวว่า ฉัน ไม่ พ บพาหนะที่ จ ะให้ พ วกท่ า นขี่ บ นมั น ได้ พวกเขาก็ผินหลังกลับโดยที่นัยน์ตาของพวก เขาท่วมท้นไปด้วยน้ำ�ตา เพราะเสียใจที่พวก เขาไม่พบสิ่งที่พวกเขาจะบริจาค (92)” [ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 91-92] บรรดาเศาะฮาบะฮฺ ริฎวานุลลอฮิ อะลัยฮิม พวกเขาจะแสดงความเศร้าสร้อย

7

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


เสียใจเป็นอย่างมาก หากพวกเขาพลาด หรือ ถูกปฏิเสธที่จะให้เข้าร่วมในญิฮาด (ต่อสู้) ใน หนทางของอัลลอฮฺ ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันอัน สูงสุดของพวกเขา และยอมที่จะแลกชาฮา ดะฮฺ (การตายในสมรภูมิอิสลาม) ด้วยชีวิต ของพวกเขา อันเนื่องมา จากการเทิดทูนและ มุ่งมั่นอย่างที่สุดที่จะเชื่อฟังอัลลอฮฺ มีความมุ่ง มาตรปรารถนาที่จะปฏิบัติตามครรลองของ พระองค์ และแนวทางของท่านนบีมูฮัมหมัด เพื่อปกป้องสิ่งที่พวกเขารักมากที่สุด นั่น คือ อิสลาม และเพราะพวกเขาศรัทธา พวก เขาจึงได้แสดงถึงพลังแห่งการศรัทธาที่มีอยู่ ในตัวออกมาเป็นที่ประจักษ์แจ้งว่า.... “ไม่มี พระเจ้ า อื่ น ใดที่ จ ะเคารพสั ก การะเว้ น เพี ย ง อัลลอฮฺองค์เดียว และมูฮัมหมัด นั้นเป็น ศาสนทูตของพระองค์” เหตุ ก ารณ์ เ หล่ า นั้ น เปรี ย บเสมื อ น เป็นตัวกระตุ้นให้บรรดาบรรพชนรุ่นสุดท้าย

8

อย่างตัวผู้เขียนและผู้อ่านเองให้รำ�ลึกนึกถึง พวกเขา ถึงการเสียสละ การปกปักรักษาใน สิ่งที่มีค่ายิ่ง ณ โลกนี้และโลกหน้า ซึ่งพวกเขา คือกลุ่มชนที่ดีเลิศ กลุ่มชนที่สูงส่งและมีเกียรติ และได้มอบบทเรียนที่พร้อมเป็นทางนำ�ในการ ใช้ชีวิตของพวกเรา เพียงแค่พวกเราค้นหาจุด เริ่มต้น ค้นหาสัจธรรมของอัล-อิสลาม และ ศรัทธาในสิ่งนั้น มอบความรักให้แก่สิ่งนั้น และเราก็จะเป็นผู้หนึ่งที่มีความยึดมั่น ความ มุ่ ง มั่ น และยื น หยั ด ที่ จ ะปกปั ก รั ก ษาอิ ส ลาม โดยมีความคิด และอุดมการณ์ ดั่งเช่นเหล่า บรรดานบีและร่อซูลของอัลลอฮฺ และบรรดา เศาะฮาบะฮฺ ริฏวานุลลอฮิอะลัยฮิม ที่พวกเขา ได้กระทำ�กัน และเป็นที่ยืนยัน ณ อัลลอฮ ว่า “บรรดาผู้ศรัทธาเท่านั้น ที่จะประสบความ สำ�เร็จ” “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงโปรด ช่วยเหลือให้เราภักดี(ฏออัต) ต่อพระองค์ และ ให้เราได้รับทางนำ�ของพระองค์ และอย่าได้ ปล่ อ ยให้ เราได้ เ ผชิ ญ กั บ ชะตากรรมของเรา เพียงลำ�พัง โอ้ผู้ทรงการุณ พระองค์คือผู้ทรง ได้ยิน ผู้ทรงรับการร้องทุกข์เสมอ”

(1) หมายถึงบรรดาผู้ยากจนที่ไม่มีเงินจะบริจาคเพื่อเป็นกำ�ลังในการสู้รบ และหน้าที่ในการแนะนำ�ตัก เตือนให้ผู้คนจงรักภักดีต่ออัลลอฮฺ และร่อซูลลุลลอฮฺ และหมายถึงคนทำ�ดีโดยทั่วไปด้วย (2) คือจัดพาหนะให้พวกเขาขี่ เพื่อไปทำ�การรบ

มดคันไฟ3


“ ขนมปังอุ่นๆ ไข่ดาวฟองโต ไส้กรอกแท่งอวบ เสิร์ฟพร้อมกับกาแฟร้อนถ้วยโปรดกลิ่นหอมกรุ่นในบางวัน หรือจะเป็นข้าวต้มทรงเครื่องทะเล ข้าวหอมมะลินุ่มๆ น้ำ�ซุปสีทองใส ปลาหมึกสดสีขาวเด้ง กุ้งแชบ๊วยตัวโตๆ สุขกรอบการันตีความสดใหม่ หรือจะเป็นอาหารเบสิคๆ อย่างขนมปังปิ้ง กับเนยสด หรือชีสคุณภาพสูงชั้นเลิศสีเหลืองอ่อนๆ ชวนรับประทาน และแยม ผลไม้หลากรสและหลากหลายสีสันให้อดใจไม่ไหวในยามเช้า ที่ตื่นขึ้นมาจากการอดอาหารมาเป็น เวลาร่วม 6-8 ชั่วโมง และยังมีเมนูหลากหลายสลับสับเปลี่ยนและพร้อมเสิร์ฟอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อัล ฮัมดุลิลลาฮฺ สำ�หรับริสกีที่ฮาลาลที่พระองค์ทรงประทานมายังเราโดยผ่านคุณแม่ซึ่งเปี่ยมไปด้วย เสน่ห์ปลายจวักอันยอดเยี่ยม...” ในขณะเดียวกัน พระนางอาอิชะห์ เคยร้องไห้ และมัสรูกได้ถามว่า เธอร้องไห้ทำ�ไม พระนางตอบว่า “ ฉันนึกถึงสภาพที่ท่านร่อซูลกลับคืนสู่พระเมตตาแห่งอัลลอฮฺ (ซบ.) ซึ่งสาบาน ต่ออัลลออฮฺ ว่า ท่านไม่เคยกินขนมปังที่ทำ�จากข้าวสาลีและเนื้อจนอิ่มท้องถึงสองครั้งในวันหนึ่ง เลย ” (รายงานโดยติรมีซีย์) มาชาอัลลอฮฺ... ย้อนมองดูท่านศาสดาของเราสิ ท่านได้ประพฤติตนเป็นแบบอย่างแก่ ประชาชาติของท่าน ทรงแสดงออกถึงความสูงส่งในเรื่องของอัซซุฮฺดุ (ความมักน้อย) ต่อโลกดุน ยาได้อย่างงดงามยิ่ง แล้วเราล่ะ ? ยังเลือกที่จะบริโภคอย่างสุรุ่ยสุร่ายโดยไม่เห็นคุณค่า ติเตียนอาหารของ พระองค์ และยังคงเลือกทานอีกหรือไม่ ? จงใช้สติปัญญาทบทวน ครุ่นคิด และไตร่ตรอง ! ... โดย...อัรเราเฎาะฮฺ


10

มดคันไฟ3

คนที่ทำ�ได้ คือ คนที่เชื่อว่าเขาทำ�ได้ โดยมิได้คำ�นึงถึง คำ�ว่า "เป็นไปไม่ได้" (( บังอริส))


ขณะที่ผู้ส่งสาส์นของเหล่ามุสลิมยืนอยู่ ณ. รุสตุม โดย...Y.zAmHareer

ครั้งที่ซะฮฺ ทรงส่งทูตริบอีย์บินอามิรไปยังดินแดนกอดีซียะฮ์ เพื่อทำ�การเจรจากับ รุสตุม (ผู้บังคับบัญชาการทหารเปอร์เซียและผู้เป็นแม่ทัพแห่งชาวเปอร์เซีย) ริบอีย์ไม่รอช้ารีบ เข้าไปดังคำ�เรียกที่ได้มา และเขาก็ได้พบกับ เหล่าบรรดาไพร่พลซึ่งได้จัดเรียงหมอนอิงชุบทอง ไว้ในพระราชวัง พร้อมตกแต่งผ้าไหม พรมอย่างอลังการ ขนัดแน่นไปด้วยหยดทับทิม ไข่มุกอัน มหาศาล เป็นเครื่องประดับอันล้ำ�ค่ายิ่ง ส่งแสงระยิบระยับงามจับตา และรุสตุมซึ่งสวมมงกุฎอัน ตระหง่าน และเสื้อผ้าอันหรูหรา นั่งบนบรรลังก์ทองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขานัก ในขณะที่ริบอีย์สวมชุดอันหยาบหนา มีเพียงดาบโล่ที่นำ�มา พร้อมกับม้าแกลบที่ใช้เป็น พาหนะ เดินทางเข้าไปโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ขณะที่เขาขี่ม้าเข้าไป พลางเหยียบย่ำ�ชายพรมจนกระทั่ง เปรอะเปื้อน สักครู่เขาก็ลงจากม้า แล้วนำ�ไปล่ามกับหมอนอิง และเดินทอดน่องเข้าไป มือ>...>จำ�เป็นต้องถืออาวุธ ร่างกาย>...>จำ�เป็นต้องสวมเกราะ ศีรษะ>..>จำ�เป็นต้องใส่กะโหลกเหล็ก เหล่านี้ = =เพือ่ ป้องกันอันตรายทีเ่ กิดจากศัตรู ทั้งสิ้น ...ทันใดนั้นเหตุการณ์ก็เริ่มขึ้นเมื่อเหล่าองครักษ์ลั่นเสียง “ จงปลดอาวุธของเจ้าไว้ตรงนี้ ” “ ข้ามิได้มาหาพวกเจ้าเอง และที่ข้ามาหาพวกเจ้านั้น ก็เพราะพวกเจ้าเรียกข้ามา ฉะนั้นก็ปล่อย ข้าเข้าไปตามวิถีทางของข้า หาไม่แล้วข้าก็จะกลับเสีย ” ...ริบอีย์ตอบ เมื่อรุสตุมได้ยินเช่นนั้น ก็สั่งองครักษ์ “อนุญาตให้เข้ามา”

11

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


ดั้งนั้นเขาก็เดินต่อไป พลางอาศัยหอกค้ำ�ยันบนหมอนอิง กระทั่งหมอนอิงขาดทะลุเสียหาย “เจ้ามาเพื่อการใด” เหล่าองครักษ์ถามอย่างสนใจ “อัลลอฮฺ ” บัญชาให้เรามาเพื่อปลดปล่อยใครก็ตามที่สักการะมนุษย์สู่การเคารพสักการะต่อ อัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว “เช่นเดียวกันจากความอัปยศแห่งโลกดุนยาสู่ความยุติธรรมของมัน และจากบรรดาศาสนาอัน จอมปลอม สู่ศาสนาอันเที่ยงแท้ สิ่งนี้แหละพระองค์บัญชาเรามา ด้วยศาสนาของพระองค์สู่มวล มนุษย์ทั้งหลาย เพื่อเรียกร้องพวกเขาสู่สัจธรรม บุคคลที่ยอมจำ�นนต่อศาสนานี้แล้วไซร้ เราก็ยินดี ต่อเขาเช่นกันและเราจะกลับทันที...หาไม่ หากมีบุคคลที่ปฏิเสธฝ่าฝืน เราก็จะทำ�สงครามกับเขา ตลอดกาล จนกระทั่งเราจะถูกจารึกในการนัดหมายที่อัลลอฮฺให้ไว้”>> ริบอีย์กล่าวอย่างศรัทธา มั่น “การนัดหมายของอัลลอฮฺคืออะไรกัน..?” >>เหล่าองครักษ์เอ่ยถาม (ด้วยความสงสัยที่มิได้มี อะไรแอบแฝงเลย) “สวนสวรรค์ สำ�หรับบุคคลที่สละชีพในการทำ�สงครามต่อผู้ปฏิเสธ ชัยชนะ แก่ผู้ที่คงอยู่” >>ริบอีย์ตอบอย่างภูมิใจอีกครั้ง หลังจากที่รุสตุมได้ยินสาส์นที่เขานำ�มา ก็กล่าวขึ้น “ข้าได้ยินสาส์นของเจ้าแล้ว พวก ท่านจะประวิงเวลาแก่ข้าได้หรือไม่ จนกว่าพวกเราจะหารือแล้วท่านก็จะได้หารือเช่นกัน”>>เขา ตอบพร้อมกับถามตอบไป ริบอีย์>> “ได้! พวกเจ้าประสงค์กี่วันเล่า หนึ่งวันหรือสองวัน” รุสตุม>> “หามิได้ ทว่าต้องรอจนกระทั่งเราเขียนสาส์นไปยังที่ปรึกษาของเราและผู้ปกครอง” ริบอีย์>> “ลักษณะสิ่งที่ท่านศาสดาได้สอนมา (ร่อซูล ) มิได้ปูแนวทางให้แก่เรา เพื่อผ่อน ปรนศัตรูต่อ ที่จะเจอกันอีกมากกว่าสามวัน ฉะนั้นก็จงไตร่ตรองหน้าที่ของเจ้าและหน้าที่ของพวก เขา และจงเลือกแค่หนึ่งจากสามทาง ภายในเวลาที่กำ�หนด” สามหนทางที่ริบอีย์ได้ให้ไว้แด่แม่ทัพเปอร์เซียนั้นคือ...เข้ารับอิสลาม หากไม่แล้วก็จ่าย ภาษี สุดท้าย...สงคราม “เจ้าเป็นนายของพวกเขากระนั้นหรือ?” >>รุสตุมถามอย่างพิศวง “มิบังอาจ! แต่ทว่ามุสลิมประดุจเรืองร่างเดียวกัน บุคคลใดที่อ่อนแอที่สุด เขาจะได้รับความช่วย เหลือให้มั่นคงจากผู้แข็งแกร่ง ” ฟังดูแล้วง่าย แต่หนักแน่นยิ่งนัก

12

มดคันไฟ3


ทันใดนั้น...รุสตุมได้รวบรวมเหล่าผู้ปกครองชนเผ่าของเขา แล้วกล่าวถึงความประหลาดใจใน ความคิดของบุรุษผู้นั้นอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน “ พวกเจ้าเคยเห็นกระนั้นหรือ ถ้อยคำ�ที่มีเกียรติ และหนักแน่นยิ่ง เยี่ยงบุรุษผู้นี้..? ” เหล่าบรรดาหัวหน้าเผ่ากล่าวแสดงความสังเวชใจภายหลังที่ได้ฟัง... “ขอความคุ้มครองจากพระเจ้า เหตุการณ์แค่นี้เจ้ากำ�ลังจะเบี่ยงเบนไปยังมันกระนั้น หรือ เจ้าจะทิ้งศาสนาของเจ้าแค่เพียงไอ้หมาตัวนี้กระนั้นหรือ เจ้ามิเห็นดอกหรือมันสวมเสื้อผ้า เช่นใด..? ” รุสตุมได้ยินเช่นนั้น ก็ได้กล่าวแก่ผู้เย่อหยิ่งจองหองเพื่อเป็นอุทาหรณ์>> “ความวิบัติจะ ประสบแก่เจ้าเป็นแน่ พวกเจ้าอย่าได้มองเพียงแค่เสื้อผ้า แต่จงมองไปยังอุดมการณ์ ถ้อยคำ� และ วิถีทางเถิด แท้จริงแล้วชาวอาหรับมิให้ความสำ�คัญกับเสื้อผ้า และอาหารที่กินนักดอก แต่มันจะ ปกปักษ์รักษาเกียรติของพวกท่านต่างหาก”

......................................................................................

13

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


จินตนาการณ์ถึงเธอดุจดั่งเห็นเธออยู่ตรงหน้า รัศมีแห่ง เธอเปล่งแสงอยู่ในสายตาฉันตลอดเวลา ความสวยงามของเธอยังคงเป็นที่หนึ่งสำ�หรับฉันตลอดกาล และ ฉันคิดถึงเธอทั้งตอนเคลื่อนไหวและอยู่นิ่ง ((Y.zAmHareer))


อย่าได้รักใครอื่นยิ่งกว่าอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ โดย... Abu Ansor

หากสิ่งที่ท่านรักและห่วงแหนมากที่สุดในชีวิตคือ “อิสลาม” ที่ท่านมีอยู่ ผมคิดว่าคงไม่มี มนุษย์คนไหนที่ควรมอบ “รัก”และห่วงแหนยิ่งไปกว่า ท่านนบีมูฮัมหมัด อีกแล้ว เนื่องจาก ท่านคือบุรุษผู้นำ�อิสลามทางนำ�ของพระเจ้ามาสู่พวกท่าน และคงต้องเป็น “รัก” ที่มากมาย มหาศาลเท่านั้นที่เราจะมอบให้กับท่านนบีมูฮัมหมัด เนื่องด้วยการที่ท่านไม่ได้นำ�อิสลามมา สู่พวกเราบนความง่ายดาย หากแต่เป็นภาระหน้าที่บนหนทางที่ยากลำ�บาก.... ท่านคือผู้ที่นำ� ชีวิตของท่านทั้งชีวิตกระโจนสู่ความยากลำ�บาก ยอมสละทิ้งบ้านเกิดของท่าน ยอมให้ผู้คนอย่าง มากมายดูถูกเหยียดหยามด้วยคำ�พูดและการกระทำ�อันน่ารังเกียจ เพื่อภารกิจที่จะนำ�อิสลามมาสู่ พวกท่าน...โดยสวัสดิภาพ... จึงไม่มีใครอีกแล้วในโลกนี้ที่เราควรจะมอบ “รัก” ให้มากไปกว่าท่าน ท่านนบีมูฮัมหมัด ได้กล่าวว่า “บ่าวคนหนึ่งจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าฉันจะกลายเป็นคนที่เขารักมากกว่าครอบครัว ของเขา มากกว่าทรัพย์สินของเขา และมากกว่ามนุษย์ทุกคน” (มุสลิม หมายเลข69, อบูยะอฺ ลาหมายเลข 3895) ....แต่....ฉันรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนักต่อความโง่เขลาเบาปัญญาของใครต่อหลายคนที่มอบ “รัก” อย่างมากมายนี้ให้กับใครอื่นที่ไม่สมควรได้รับ รู้สึกเจ็บปวดต่อการไม่ใส่ใจของใครหลายๆ คนถึงคุณค่าของ “อิสลาม” ที่ตนได้รับมา จนทำ�ให้มองไม่เห็นถึงคุณค่าและความเป็นเกียรติที่มี ท่านนบีมูฮัมหมัด เป็นศาสนฑูตของพระองค์ เราจะเห็นใครหลายๆคนมอบ “รัก” อันมากมาย

15

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


นี้ให้กับผู้ไม่สมควรได้รับมากกว่า “รัก” ที่ให้กับท่านนบีมูฮัมหมัด บางคนชื่นชอบดารานัก แสดง นักร้อง ขณะที่บางคนชื่นชอบนักกีฬา นักฟุตบอล ซึ่งส่วนมากของบุคคลที่ใครหลายๆคน ชื่นชอบเหล่านี้คือบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและบรรดาผู้ฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺ ส่งผลจนกระทั่งแสดง อากัปกิริยาของความคลั้งไคล้ชื่นชอบนี้ในรูปแบบต่างๆ บางคนศึกษารู้ประวัติของนักแสดงจน รู้อย่างละเอียดยิบ บางคนเก็บสะสมรูปภาพอย่างมากมาย (นี่ถ้ารวมรูปที่เซฟไว้ในคอมพิวเตอร์ ด้วยคงจะเยอะมาก) บางคนติดตามอับเดตข้อมูลข่าวสารในทุกย่างก้าว บางคนเห็นรูปนิดหน่อย ก็ถึงขั้นกรี๊ดกร๊าดในความหล่อ(ตามที่เค้าว่า)อย่างไม่อาย...ผมเลยเกิดข้อสงสัยว่า “มันจะอะไร นักหนา?”, “ทำ�ไมต้องชอบขนาดนี้ด้วย?” ผมลองนั่งใคร่ครวญถึงเหตุผลที่ท�ำ ให้ใครหลายคนต้องรักและชื่นชมบุคคลเหล่านี้ได้มาก ถึงขนาดนั้น คงอาจจะเป็นเพราะ... 1.ความหล่อ/สวย/น่ารัก 2.เล่นกีฬาเก่ง 3.ร้องเพลงไพเราะ 4.นิสัยดี(มารยาททั่วไป) 5.ใจดีมีจิตอาสาพัฒนาชุมชน(เช่นพวกดาราที่มีจิตอาสาช่วยเหลืองานสังคมเป็นวาระ) หลังจากที่นั่งคิดทบทวนถึงเหตุผลข้างต้นก็อดสงสัยไม่ได้อีกว่า “แค่นี้เองใช่ไหม???”, “แค่หน้าตาดีเนี่ยะหรือ???”, “แค่มีจิตอาสาบ้างเป็นวาระๆไปเนี่ยะหรือ” แค่นี้จริงหรอครับ บุคคลที่เราจะมอบความรักให้???........ ลองคิดดูนะครับว่า... เราจะมอบความรักให้กับคนที่ปฏิเสธถึงการมีอยู่ของอัลลอฮฺทั้งๆที่พระองค์คือผู้ที่เรา จักต้องถวายชีวิตทั้งชีวิตให้ เราจะมอบความรักให้กับคนที่ฝ่าฝืนอัลลอฮฺทั้งๆที่พระองค์คือผู้ที่เรา พยายามทั้งชีวิตในการยอมจำ�นน เคารพภักดี คนแบบนี้กระนั้นหรือที่เราจะมอบความรักให้??? อัลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ในอัลกรุอานโดยมีความหมายว่า “ เจ้าจะไม่พบว่า มีกลุ่มชนใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันอาคิเราะห์ จะรักใคร่ เทิดทูนผู้ที่ ต่อต้านอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์แม้ว่าพวกเขาจะเป็นบรรดาพ่อ ๆ ของพวก เขา หรือเป็นลูก ๆ ของพวกเขา หรือเป็นพี่น้องของพวกเขาหรือเป็นเครือญาติของพวกเขา ก็ตาม ” (อัลมุญาดะละฮฺ : 22) และอัลลอฮฺ ทรงข่มขู่ด้วยการลงโทษแก่ผู้ที่มีใครอื่น หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากทรัพย์สิน การค้าและที่พักอาศัย เป็นที่รักใคร่แก่เค้ามากกว่าอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ โดยมีความ หมายว่า

16

มดคันไฟ3


“จงกล่าวเถิด(มูฮัมหมัด) ว่าหากบิดาของพวกเจ้าและบรรดาลูกๆของพวกเจ้าและ บรรดาพี่น้องของพวเจ้า และบรรดาคู่ครองของพวกเจ้า และบรรดาญาติของพวกเจ้า และ บรรดาทรัพย์สินที่พวกเจ้าแสวงหาไว้ และสินค้าที่พวกเจ้ากลัวว่าจะจำ�หน่ายมันไม่ออก และ บรรดาที่อยู่อาศัยที่พวกเจ้าพึงพอใจมัน เป็นที่รักใคร่แก่พวกเจ้ายิ่งกว่าอัลลอฮฺและร่อซูลของ พระองค์ และการต่อสู้ในหนทางของพระองค์แล้วไซร้ ก็จงรอคอยเถิด จนกว่าอัลลอฮฺจะทรง นำ�มาซึ่งคำ�สั่งของพระองค์ และอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงนำ�ทาทางแก่กลุ่มชนที่ละเมิด” (อัตเตา บะฮฺ : 24)

......................................................................

17

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”



“ในค่ำ�คืนที่มืดที่สุด เรากลับเห็นพวกเขาได้ชัดที่สุด” By...ฮาฟิซุลฮัก 9 / 5 / 2555

ท่ามกลางชีวิตที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายจากภาระต่างๆที่พร้อมใจกันทับถมเข้ามาใน ชีวิตทั้งกลางวันและกลางคืน ทำ�ให้น้อยคนนักที่จะสนใจสิ่งรอบข้าง ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชีวิตจำ�ต้องหลีกหนีจากป่าเขาลำ�เนาไพร เข้ามาเร้นกายในแสงไฟแห่ง เมืองใหญ่ ทำ�ให้ในช่วงเวลาในสี่ห้าปีนี้ ไม่ค่อยได้มีโอกาสยลโฉมความงดงามของธรรมชาติรอบ กายนัก แต่นั่นก็ทำ�ให้ผมคะนึงหาที่จะสัมผัสมันอีกครั้ง ในสักวัน เมื่อได้มีโอกาสเดินทางออกไปจากเมืองใหญ่ มันก็ทำ�ให้ผมได้มีเวลาพิจารณาสิ่งรอบตัว มากขึ้น คิดคำ�นึงถึงสิ่งต่างๆมากขึ้น ทั้งย้อนกลับไปในอดีตที่ปวดร้าวและสุขสันต์ ท่องไปยังดิน แดนในอนาคตที่อยู่สุดขอบฟ้าแห่งจินตนาการ ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในยามที่เราสงบนิ่งอยู่กับตนเอง ครั้งหนึ่งผมได้แหงนหน้าขึ้นไปยังท้องฟ้าอันมืดมิด ในสถานที่ๆไฟฟ้าไม่อาจย่างกราย เข้าไปถึง ทำ�ให้ผมต้องแปลกใจยิ่งนัก ที่ดวงดาว ณ สถานที่นั้น ส่องแสงเปล่งประกายระยิบระยับ มองเห็นได้ชัดเจนเป็นที่สุด มากกว่าที่ไหนๆที่ผมเคยสัมผัสมา ผมรู้ว่าพวกเขาเหล่าดวงดาราที่ผมเห็นอยู่ ณ ขณะนี้ ก็คือดวงเดิมๆ ที่ทำ�หน้าที่ของ ตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าผมจะอยู่ในเมืองใหญ่ที่ผู้คนอื้อคะนึงหรือหมู่บ้านเล็กๆที่น้อยคน รู้จัก เพียงแต่แสงสว่างจากหลอดประดิษฐ์อันมากมายที่ส่องสะท้อนขึ้นยังฟากฟ้าในยามค่ำ�คืนนั้น ทำ�ให้ผมมองเห็นพวกเขาไม่ชัดเจนนัก แต่พวกเขาก็ยังดำ�รงอยู่ ในขณะที่แสงดาวเปล่งประกายอยู่ในดวงตาทั้งสองของผม ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา พร้อมลากอดีตตั้งแต่สมัยท่านนบีมูฮัมหมัด ให้ผมได้ครุ่นคิดว่าในขณะที่สังคมตกอยู่ในความ

19

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


งมงายอันมืดมิดจนยากที่จะงมกลับขึ้นมาได้นั้น กลับมีบุรุษผู้หนึ่งที่คอยจุดตะเกียงแห่งแสงสว่าง ขึ้นมาทีละดวงๆ คอยนำ�ทางแด่เหล่าผู้แสวงหาสัจธรรม แม้เวลาจะผ่านไปกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยปี แล้ว แต่แสงเหล่านั้นก็ยังทอประกายสืบมายังรุ่นเราให้แลเห็น ดั่งดวงดาราที่ประดับท้องฟ้าในยาม ค่ำ�คืน วีรกรรมต่างๆของพวกเขาเหล่าศอฮาบะฮฺอันเป็นที่รักของท่านนบีมูฮัมหมัด นั้น คอยตอกย้ำ� นำ�ทาง และเป็นกำ�ลังใจให้พวกเราเยาวชนรุ่นหลังอยู่เสมอ พวกเขาทำ�งานลำ�บาก กว่าเราหลายเท่านัก ประสบพบเจอบททดสอบอันหนักหน่วงกว่าพวกเรามากมายนัก แต่แสงแห่ง ศรัทธาของพวกเขาก็ไม่เคยดับลง กลับส่องแสงสว่างไสวทำ�ลายความมืดมิดที่ถามโถม จนมลาย หายไปจากคาบสมุทรอาหรับ และส่องทางนำ�โลกมาแล้วครั้งหนึ่ง พวกเราเองก็เช่นกัน ในยามที่โลกถอยหลังกลับไปยังความมืดมิดนั้น จงเป็นดั่งดวงดารา ที่ค่อยๆเด่นชัด กลับกับแสงตะวันที่ลาลับลงไป เพื่อที่ว่าในยามที่โลกกลับเข้าสู่ยุคที่มืดที่สุด ก็ยังมี พวกเจ้าที่คอยส่องแสงเพื่อนำ�โลกกลับมาสู่แสงสว่างแห่งสัจธรรมอีกครั้งหนึ่ง “เพราะอัลลอฮฺนั้นส่งเรามาเพื่อนำ�ประชาคมโลก... ออกจากการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺสู่การให้เอกภาพแด่พระองค์ และออกจากความคับแคบของชีวิตในโลกนี้สู่ความกว้างขวางของโลกหน้า และออกจากความอธรรมของเหล่าทรราชสู่ความยุติธรรมของอิสลาม”

................................................................................

20

มดคันไฟ3


อ๊าชชชชชชช ชิ่วว ว ! ... เสียงจามอันดังลั่นสนั่นหวั่นไหว ออกมา จากปาก และจมูกของเราพร้อมกับพลังลม แรงดันสูงผนวกกับนำ�้ใสๆ ที่รู้จัก กันว่า นำ�้ลายและนำ�้มูก กระเด็นออกมาเป็นละอองขนาดย่อมในบางครั้ง ภายหลังจากที่เราทำ�หน้าบู้บี้เหมือนมีสิ่งแปลก ปลอมกำ�ลังบุกเข้าไปในโพรงจมูกของเรา ยิ่งจามเสียงดังมากเท่าไหร่ดูเหมือนมันจะสร้างความ สะใจให้เราได้มากขึ้นเท่านั้น ราวกับว่าสิ่งสกปรก ไอฝุ่นหรือเชื้อจุลินทรีย์ที่เข้าไปรบกวนในเยื่อ จมูกของเราจนทำ�ให้เรารู้สึกรำ�คาญไปถึงโสตประสาทกำ�ลังกระเด็นหลุดออกไปจากชีวิตของเรา อย่างไม่หวนกลับคืนมาอีก “อัลฮัมดุลิลลาฮฺ!” คำ�กล่าวแสดงการขอบคุณอัลลอฮฺ ซึ่งเราต่างรู้กันดี อยู่แล้วว่า ขณะที่เราจาม ทุกระบบในร่างกายจะหยุดทำ�งานไปเป็นเวลาช่วงเสี้ยววินาที รวมไป ถึงการหยุดเต้นของหัวใจด้วย อัลฮัมดุลิลลาฮฺที่พระองค์ไม่ทรงปลิดชีวิตเราไปตอนนั้น พระองค์ ทรงทำ�ให้มันกลับมาทำ�งานได้อย่างปกติดังเดิม อัลฮัมดุลิลลาฮฺที่พระองค์ทรงคืนชีวิตกลับมาให้ เราอีกครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกัน มีรายงานจากท่านอบูฮุรอบเราะห์ว่า “ปรากฎว่าศาสนฑูตแห่งอัลลอฮฺ เมื่อท่านจาม ท่านจะเอามือหรือผ้าของท่านปิดปาก และมันทำ�ให้เสียงจามค่อย” (รายงานโดยบุคอรีย์และมุสลิม) มาชาอัลลอฮฺ... ย้อนมองดูท่านศาสดาของเราสิ ท่านทรงมีจรรยามารยาทที่ดีงามทรง เป็นแบบอย่างในทุกย่างก้าวของการดำ�เนินชีวิต ไม่ละเลยที่จะเป็นแบบอย่างในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดั่งเช่นการจามนี้ แล้วเราล่ะ ? ยังเลือกคงเลือกที่จะแสดงพฤติกรรมการแสดงออกที่เปิดเผยจนลืมการ วางตัวในท่าทีที่สำ�รวมอีกหรือไม่ ? จงใช้สติปัญญาทบทวน ครุ่นคิด และไตร่ตรอง ! ... โดย...อัรเราเฎาะฮฺ

21

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


22

มดคันไฟ3


ประชาชาติเดียวกัน โดย...RaiYan

หน้าที่ของคนเราทุกวันนี้ คือต้องเข้าใจถึงคุณลักษณะของ ประชาชาติเดียวกัน ส่วนหนึ่งของคุณลักษณะของประชาชาติเดียวกัน นั้นคือ ต้องมีความบริสุทธิ์ใจ มีการตักเตือนกัน มีการเชื่อมความ สัมพันธ์กันและที่สำ�คัญต้องเปิดใจให้กว้างแล้วพยายามเข้าหา อย่า ให้อารมณ์ร้อนควบคุมภายในจิตใจของเรา บางคนใครจะว่ากล่าว อะไรไม่ได้เลย ต้องรีบโต้ตอบทันที เราต้องทำ�ใจให้มีความคุ้นเคย ให้ เรามีความรู้สึกอดทนต่อสิ่งเหล่านั้น ซึ่งในอายะฮฺอัลกุรอานได้กล่าว ไว้ ซึ่งมีความว่า ดังนั้นเจ้าจงอดทนต่อสิ่งที่พวก เขากล่าวร้าย (20: 130) คนที่ใจกว้างนั้นจะไม่เกิดการทะเลาะเบาะ แว้งกัน และสำ�หรับคนที่ใจแคบเท่านั้นที่จะเกิดการทะเลาะเบาะ แว้งขึ้น ซึ่งคนประเภทนี้ไม่สามารถที่จะเข้ากับคนอื่นได้ และจะเป็น ประชาชาติเดียวกันไม่ได้อีกเช่นกัน สองสิ่งที่ต้องอยู่ด้วยกัน นั้นคือ การเปิดใจให้กว้างและ พยายามเข้าหา เมื่อเราเปิดใจกว้างแล้ว ก็จะมีความรู้สึกที่อยากเข้าหา ผู้อื่น พูดจากันก็จะเข้าใจ ไม่ใจร้อน ไม่แข็งกระด้าง ไม่ดูเหมือนหยิ่งยโส สำ�หรับปัญหาใดปัญหาหนึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มักจะมีหนทางมากมายใน

23

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


การแก้ปัญหาเหล่านั้น แต่ทำ�ไมคนเราถึงใช้หนทางที่แคบในการแก้ปัญหา เปรียบเสมือนถนน 4 เลน เราขับรถในเลนของเราอยู่ดีๆ แต่ทำ�ไมต้องอุตส่าห์ขับไปชนรถในเลนอีกฝั่งด้วย ทั้งๆที่เราก็ มีทางของเรา เขาก็มีทางของเขา ซึ่งทางสี่ทางที่ถูกสร้างมานั้นก็เพื่อความสะดวกสบายในการขับ รถอยู่แล้ว แต่สำ�หรับเหตุการณ์ประเภทนี้เรามักไม่ค่อยได้เจอสักเท่าไหร่ มีเหตุการณ์ๆหนึ่ง ซึ่งได้เกิดปัญหาขึ้นในสมัยของท่านนบีมูฮัมหมัด มีฮาดีษ หนึ่ง ได้รายงานโดยอิบนูมัสอูด ว่า มีท่านสาวกคนหนึ่ง(ถ้าพูดในสมัยนั้นก็เป็นเด็กของ ท่านนบี อายุประมาณ 11 ปี อยู่ในรุ่นของ อาลี อิบนุอุมัร อิบนุอับบาส เป็นต้น เป็น กลุ่มวัยรุ่นในสมัยนั้น ซึ่งเป็นบรรดาอุลามาอฺของซอฮาบะฮฺ) มีซอฮาบะฮฺคนหนึ่งได้อ่านอัล กุรอาน ซึ่งไม่ตรงกับที่ท่านนบีอ่าน ฉันก็ได้พาซอฮาบะฮฺคนนั้นไปพบกับท่านนบีมูฮัมหมัด แล้วเขาก็ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับชายคนนั้น (ซอฮาบะฮฺที่อ่านไม่เหมือนกับที่นบีอ่าน) ฉันได้ อธิบายให้แก่ท่านนบีว่า ฉันได้ฟังว่าเค้าอ่านแบบนี้แต่ท่านนบีอ่านอีกแบบนึ่ง ฉันไม่เคยฟัง เลย (ท่านนบีแสดงอาการไม่พอใจต่อปัญหานั้น จนนบีต้องขมวดคิ้ว) ท่านนบีได้ตอบกลับไป ว่า “เจ้าทั้งสองนั้นอ่านถูกต้อง” (คำ�อ่านของอิบนูมัสอูดก็ถูกต้อง คำ�อ่านของซอฮาบะฮฺท่าน นั้นก็ถูกต้อง) นี้คือวิธีแก้ที่กว้าง ถูกก็ว่าถูก ผิดก็ว่าผิด ในระดับซอฮาบะฮฺก็มีการอ่านที่ไม่ เหมือนกัน และท่านนบีได้กล่าวอีกว่า “และจงอย่าขัดแย้ง ถ้าเป็นไปได้ก็จงทำ�ให้เหมือนกัน อย่าขัดแย้งกัน แท้จริงแล้วอุมมะฮฺก่อนหน้าเจ้าที่ได้ขัดแย้งกันนั้นอยู่ในบรรดาพวกที่พินาศ” ดังนั้นเราจงอย่าฝึกให้มีความขัดแย้งกัน เว้นแต่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ถ้ามีความผิด พลาดเพียงเล็กน้อย เท่าที่เรารับได้ก็ปล่อยไปเท่าที่เรารับได้ ถ้ามีแนวทางสองแนวทางเราก็ต้อง นำ�เสนอทั้งสองแนวทางโดยไม่ไปยึดติดกับแนวทางใดแนวทางหนึ่ง เราต้องเป็นคนที่ใจกว้าง อย่าพึ่งรีบตัดสินใจว่าคนโน้นผิด คนนี้ผิด ในศาสนาอิสลามก็จะมี “คีลัฟซูรี” ซึ่งหมายถึง ความ ผิดพลาดในรูปธรรม แต่ในความจริงแล้วมันถูกต้อง ถ้าต้องการให้เกิดประชาชาติเดียวกันนั้น อย่าพยายามให้มีความขัดแย้งเกิดขึ้น ถ้าเป็น ความขัดแย้งเรื่องหลักๆ เช่นอากีดะฮฺ หลักความเชื่อ หลักศรัทธา หลักพื้นฐาน เราก็ต้องเข้มงวด กับสิ่งเหล่านั้น แต่ถ้าหากเป็นเรื่องปลายๆ เรื่องเล็กๆ น้อย เช่น การลูบหน้า เราก็ปล่อยมันไป เพราะมันเป็นเรื่องเล็กๆ ถ้ามีคนบอกว่าเรื่องเล็กแต่เป็นซุนนะฮฺของท่านนบี บุคคลประเภท นี้แหล่ะเราต้องระวัง (คนที่ไม่เข้าใจลึกซึ้งในเรื่องการสร้างประชาชาติเดียวกัน) ตัวอย่างเช่น เรื่อง การอ่านบิสมิลลาฮฺในละหมาดด้วยเสียงเบาหรือเสียงดัง ซึ่งรูปแบบการอ่านทั้งสองไม่เป็นที่ขัด แย้งของอุมมะฮฺอิสลามทั่วโลก และไม่เป็นความผิดพลาดที่หนักหนาสำ�หรับศาสนา เพราะวิธีการ อ่านทั้งสองนั้นถูกต้อง เพียงแค่การอ่านบิสมิลลาฮฺเบานั้นท่านนบีมูฮัมหมัด ได้กระทำ�มากกว่า ท่านนบีก็เคยอ่านบิสมิลลาฮฺดังเหมือนกันในการละหมาดของท่าน(แต่น้อยมาก) ในสมัยของท่าน นบีมูฮัมหมัด คนที่อ่านบิสมิลลาฮฺเสียงดังส่วนใหญ่แล้วเป็นบรรดาซอฮาบะฮฺผู้น้อย เช่น อิบนู

24

มดคันไฟ3


อับบาส อิบนูอูมัร เป็นต้น แต่ในซอฮาบะฮฺรุ่นใหญ่แล้ว เช่น อบูบักร อูมัร อุสมาน เขาจะอ่าน บิสมิลลาฮฺเบากัน มีฮาดีษบทหนึ่ง รายงานจากอนัส ซึ่งเขาได้กล่าวว่า “ฉันเคยละหมาดตาม หลังท่านนบี อบูบักร อุมัร อุสมาน ฉันไม่เคยได้ยินพวกเขาอ่านบิสมิลลาฮฺดังเลย”(ฮาดีษซอ เฮี้ยะบุคอรีย์) และมีอีกฮาดีษหนึ่ง รายงานโดยอัลฮากิม “ฉันเคยได้ยินท่านนบีอ่านบิสมิลลาฮฺ ดังในละหมาดของท่าน” (ซอเฮี้ยะฮากิม) ทั้งสองฮาดีษเป็นฮาดีษซอเฮี้ยะทั้งสิ้น และเป็นที่ถูก ต้องทั้งสอง ส่วนที่ไม่อ่านบิสมิลลาฮฺเลยนั้นก็เป็นที่ขัดแย้งกันว่าละหมาดของเขาจะไม่สมบูรณ์ ดังนั้นแล้วเราก็เลือกเพียงแค่จะอ่านเบาหรืออ่านดังเท่านั้น ส่วนเรื่องมัซฮับก็เป็นยุคหลังจาก ซอฮาบะฮฺท่านนบี มัซฮับที่ให้อ่านดังก็จะเป็นมัซฮับซาฟีอี ส่วนอิหม่ามอะหมัดอิบนูฮัมบัล ท่านให้อ่านเสียงเบา อีหม่ามฮานาฟีท่านไม่อ่านในละหมาด อิหม่ามมาลิกห้ามอ่านในละหมาด ดั้งนั้นส่วนมากแล้วจะอ่านเบา เราอย่าทำ�ใจของเราให้คับแคบ ต้องเปิดใจให้กว้าง สามารถที่จะเข้าหากับคนได้มากมาย ไม่ใช่แค่คนในชุมชนเท่านั้น ถ้าไม่เปิดใจให้กว้างเราก็เปรียบเสมือนอยู่ในกะลา เราอย่าทำ�เรื่องที่ กว้างขวางให้คับแคบ และอย่าทำ�สิ่งที่แคบให้กว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับความรู้ เราต้อง ศึกษาหาความรู้เพื่อให้เกิดความเข้าใจและปฏิบัติ เพื่อให้รอดพ้นจากความขัดแย้งต่างๆ (วัลลอฮุ อะลัม) ถอดความจาก..... คลิปบรรยายภาษามลายู โดย ดร.อิสมาแอลลุตฟี จะปะกียา หัวข้อ Ummatan wahidah (วันที่ 14 เมษายน 2555)

......................................................................

25

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”



แบบเดียว....ที่ต้องลอกเลียน By...อัชชุกรุลลอฮฺ

คุณเคยคิดมั๊ย? ว่าอะไรคือมาตรฐาน! ที่ใช้แยกแยะระหว่างความจริงกับความเท็จ ความ ดีกับความชั่วที่แท้จริง.... ความรู้สึก ความพึงพอใจ นะหรือ...คือคำ�ตอบของคุณ? สำ�หรับคนทั่วไป นี่อาจเป็นคำ�ตอบที่ดีที่สุด และเป็นที่ยอมรับมากที่สุดท่ามกลางสังคม ที่เปิดกว้างและให้อิสระทางความคิด เสียงส่วนมากชนะเสียงส่วนน้อยโดยไม่คำ�นึงว่าสิ่งนั้นจะขัด กับความถูกต้องหรือไม่ ขอเพียงแค่ใช้ความรู้สึก ความพึงพอใจและผลประโยชน์ส่วนตนเป็นพอ แต่........อิสลามไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นเช่นนั้น!!! ขณะที่โลกปัจจุบันมุ่งเน้นพัฒนาด้านเทคโนโลยีและความก้าวหน้านำ�สมัยทางวัตถุ แต่กลับลืมพัฒนาจิตใจของผู้คนที่ต้องใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นให้ก้าวหน้าและสูงส่งตามไปด้วย มิ หนำ�ซ้ำ�กลับตกต่ำ� แปลผกผันกับความก้าวหน้าทางวัตถุในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง สิ่งแวดล้อม ค่า นิยม ความเคยชิน และกระแสต่างๆที่พลอยทำ�ให้ระบบชีวิตมุสลิมคล้อยไปตามยฐากรรมของ สังคม คอยดึงให้หลงทางและออกห่างจากอิสลามตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ว่า เราจำ� ต้องมีแบบอย่างในการดำ�เนินชีวิต แล้วใครกัน ที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดเป็นมาตรฐาน...ที่จะจำ�แนกและแยกแยะความดี ความชั่วให้กับบรรดาผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง? สังคมวันนี้วุ่นวายเกินกว่าที่เราจะแสวงหาบุคคลที่ถูกสร้างจากอุดมคติ จากละคร จาก

27

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


นิยาย หรือจากความคลั่งไคล้ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อเป็นแบบอย่าง ในขณะที่เรามีต้นแบบที่ดี ที่สุดผู้ที่มีบุคลิกดั่งเช่น อัลกุรอานเดินได้ ที่ถูกรับรอง ณ ที่อัลลอฮฺ นั่นคือ... ท่านนบีมูฮัมหมัด ผู้ที่ควรค่ายิ่งแก่การเลียน...เพื่อเป็นแบบให้ลูกหลานต่อไป โดยแน่นอน ในร่อซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำ�หรับพวกเจ้าแล้ว สำ�หรับผู้ที่หวัง (จะ พบ) อัลลอฮฺและวันปรโลกและรำ�ลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก [อัลอะหฺซาบ : 21] ท่านนบีมูฮัมหมัด ครองใจประชาชาติของท่านด้วยจริยธรรมและมารยาทอันงดงามท่านอ่อน โยนกับทุกคน แม้กระทั่ง สาวกรับใช้ ดังปรากฏใน คำ�บอกเล่าของท่านอนัส อิบนุมาลิกว่า “ ฉันได้รับใช้ท่านนบี 10 ปี ตลอดระยะเวลานั้น ท่านไม่เคยบ่น หรือแสดงอาการไม่ พอใจเลยแม้สักครั้งเดียว ท่านไม่เคยกล่าวตำ�หนิฉันเลย ว่าทำ�ไมถึงทำ�อย่างนั้น ทำ�ไมถึงไม่ทำ� อย่างนี้ ” (บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม) ท่านนบีมูฮัมหมัด กล่าวว่า “ แท้จริง อัลลอฮ ได้ประทานวะฮีย์ ( บัญชา ) ให้ ฉันนอบน้อมถ่อมตน จนกระทั่ง ไม่ให้มีการโอ้อวด เหยียดหยามและ อธรรมต่อกัน ” (บันทึก โดยอิมาม มุสลิม ) ถ้าเปรียบบรรพชนยุคก่อนที่ถูกหล่อหลอมโดยมีท่านนบีมูฮัมหมัด เป็นแบบอย่างกับ มุสลิมในยุคปัจจุบัน พวกเราก็เหมือนคนแคระที่หาความ สมบูรณ์ใดๆไม่ได้ ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องใช้ชีวิตแบบจริงๆจังๆ ซะที ลองสำ�รวจตัวเองดูซิว่า.....ตัวเราวันนี้ มีอะไรบ้างที่เหมือนท่านนบีมูฮัมหมัด ฉันขอ เรียกร้องให้ทุกท่านโปรดหันกลับมายึดแบบอย่างจากบุคคลที่สมบูรณ์แบบอย่างท่านนบี มูฮัมหมัด เรียนรู้ชีวประวัติและนำ�มาปฏิบัติตาม ในการดำ�เนินชีวิต ผู้ที่อัลลอฮฺ ส่งมาเพื่อช่วยเหลือ บรรดาผู้ศรัทธาให้ออกห่างจากความร้อนระอุของเปลว ไฟแห่งดินแดนนรกที่น่ากลัว โอ้ บ รรดาผู้ มี ส ติ ปั ญ ญา.....แล้ ว เราจะยั ง ไม่ ใคร่ครวญกระนั้นหรือ? จากญาบิร กล่าวว่า ท่านร่อซูล ได้กล่าว ว่า : “อุ ป มาฉั น กั บ พวกท่ า นนั้ น เป็ น เสมือนชายคนหนึ่งที่จุดไฟกองหนึ่ง แล้ว แมลงเม่าและผีเสื้อก็บินเข้ามาตกลง

28

มดคันไฟ3


ในเปลวไฟ ในขณะที่เขารีบปัดป้องมันให้พ้นจากเปลวไฟนั้น และฉันคือผู้กระชากปมผ้ารัดเอว ของพวกท่านให้รอดพ้นจากไฟนรก ในขณะที่พวกท่านต่างพยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากมือ ฉัน” (บันทึกโดยมุสลิม : 2285) เชิญเถิดพี่น้องผู้ศรัทธา.........เชิญกลับมาสู่แนวทางของท่านนบีมูฮัมหมัด เพราะท่านคือบุคคล ที่ถูกรับรองจากผู้สร้างอย่างแท้จริง เพื่อที่เราจะได้ไม่เสียเวลาหลงทาง จงตะหนักเถิดว่า มุสลิมเรา นั้นมีแค่แบบเดียว… แบบเดียว....ที่ต้อง “ลอกเลียน” !!!

.....................................................................................

29

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”



“บาดแผล” By...ตัวอ้วน

มนุษย์เรา ต่างคนก็ต่างเป็นไป เรื่องราวเกิดขึ้นในทุกๆวัน ทุกๆนาที บางวันก็มีความสุข ได้พบเจอกับรอยยิ้ม บางวันก็เป็นทุกข์ ต้องนั่งจมอยู่กับน้ำ�ตา คนเรามีความทุกข์อยู่ 2 ประเภท ทุกข์กับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต และ ทุกข์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หลายต่อหลายครั้งที่คนเราเสียน้ำ�ตา .. หลายต่อหลายครั้งที่ต้องกลั้นน้ำ�ตาไว้ภายใต้หน้ากากของรอยยิ้ม ... ทรมาน .. คงเป็นคำ�เดียว ที่สามารถอธิบายได้ในทุกความรู้สึกของคนที่กำ�ลังเป็นทุกข์ ... แน่นอนการที่เราต้องเป็นแบบนั้น เกิดจากสิ่งผิดพลาดที่เราไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้น และเราก็จมอยู่กับความผิดพลาดนั้น ซ้ำ�แล้ว ซ้ำ�เล่า จนมันกลายเป็น รอยแผลในหัวใจ กรีดแทงลึกลงไป ไม่เคยแห้งสนิท ยังคงเวียนวน ให้ เจ็บให้ช้ำ�อยู่ตลอด มันเหมือนฝันร้าย ที่ทำ�ให้เราสะดุ้งตื่นกลางดึก .. อดีตของคนเรา มีเรื่องราวที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหาเรื่องครอบครัว บ้างก็เรื่องคน รัก บ้างก็เรื่องเรียน ผิดหวังเสียจนไม่กล้าที่จะหวังต่อ มันเหมือนกับมุมมืดๆ แคบๆ ในห้องที่เรา สร้างขึ้น เป็นมุมที่ไม่สามารถให้คนอื่นเห็น ไม่มีใครสามารถแตะต้องมันได้ บางทีก็ร้องไห้อยู่ใน ความมืด เพราะแม้จะยืนหน้ากระจก เราก็จะไม่เห็นความอ่อนแอของตัวเอง บางคืนต้องหลับตา ลงไปพร้อมกับคราบน้ำ�ตา บางคืนเฝ้าวิงวอนต่อพระเจ้าให้ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนี้ไป จนบางครั้งที่ หลับตาลงไป ก็ไม่อยากตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริง บาดแผลต่างๆนาๆ ที่เกิดขึ้น หากเรามองมุมกลับกัน ความทุกข์นั่น เป็นเราเองไม่ใช่ หรอกหรอ ที่เก็บมันเอาไว้ เป็นเราเองไม่ใช่หรอ ที่ไม่ปล่อยทิ้งมันไป และก็เป็นเราไม่ใช่หรอ ที่สร้าง

31

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


กำ�แพงขึ้นมาปิดกั้นตัวเอง ทำ�ไมถึงแบบนั้น ทำ�ไมถึงไม่ปล่อยมันลง ต่างคนต่างมีเหตุผลของตัว เอง แต่อย่าลืมตัวเอง อย่าให้ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ครอบครองเราจนเสียตัวตน มันไม่เคยดี สำ�หรับใครเลย ท่านศาสดามูฮำ�หมัด กล่าวว่า “ความเหน็ดเหนื่อย ความเจ็บป่วย ความเศร้า โศก ความเดือดร้อน ความหม่นหมอง แม้กระทั่งหนามตำ� ทั้งหมด เมื่อเกิดขึ้นกับมุสลิม อัลลอฮฺ จะทรงลบล้างความผิด ให้แก่เขาด้วยสาเหตุนั้น “ รายงานโดย มุสลิม บางครั้งหากเราออกมาจากมุมที่เราซ่อนตัวเองอยู่ อีกด้านของกำ�แพงที่เราสร้างขึ้นอาจ จะมีท้องฟ้าใสๆ อากาศดีๆ สถานที่ที่มีรอยยิ้มรอเราอยู่ก็ได้ ความสุขที่เราอาจจะมองข้าม คน รอบข้างที่เราอาจจะละเลยไป ลองเก็บสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นใส่กล่องดูบ้าง เดินออกมาบ้าง สิ่งดีดีที่ เรียกว่า “ความสุข” รอเราอยู่ เพียงแค่เรา “ก้าวออกไป” .. เท่านั้นเอง

..........................................................................

32

มดคันไฟ3


เราลืมอะไรไปหรือเปล่า? โดย...มนุษย์ผู้หลงลืม

เราลืมที่จะแบ่งปันผู้อื่น...แต่กลับร้องขอจากผู้อื่น เราลืมที่จะอยู่กับสิ่งที่มี...แต่กลับไขว่คว้าหาสิ่งที่ไม่มี เราลืมที่จะรักกันเพื่ออัลลอฮฺ...แต่กลับมีอคติระหว่างกัน เราลืมที่จะดูแลคนใกล้ตัว...แต่กลับใส่ใจให้กับคนไกลตัว เราลืมที่จะจับผิดตัวเอง...แต่กลับเห็นความผิดคนอื่นมากมาย เราลืมที่จะรับฟังความเห็นผู้อื่น...แต่กลับต้องการให้คนอื่นรับฟัง เราลืมที่จะมองปัญหาเล็กๆ...แต่กลับไม่คิดว่ามันอาจนำ�ไปสู่เรื่องใหญ่ เราลืมที่จะยึดอุดมการณ์ที่ถูกต้อง...แต่กลับปล่อยมันไปเมื่อเจอสังคมอื่น เราลืมที่จะมอบหมายต่ออัลลอฮฺ...แต่กลับมั่นใจอย่างหนักแน่นว่าความสำ�เร็จ เกิดจากตัวเราเอง

33

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”



“รัก” กับ “ความเป็นอยู่ในโลกอาคีเราะห์” โดย...Abu Ansor

“รัก” ..... สำ�หรับผมน่ะ ผมคิดว่ามันเป็นความรู้สึกที่มีคุณค่ามากน่ะครับ มันคือความ รู้สึกที่จะถูกมอบให้กับบางคนที่ควรค่าต่อการได้รับเท่านั้น และคิดว่าคงไม่มีใครมอบสิ่งที่ล้ำ�ค่านี้ ให้กับคนที่ไม่ควรค่าแก่การรับมัน เว้นซ่ะแต่...คนที่ “รัก” ของเค้าไม่มีคุณค่าจึงเลือกที่จะแจกจ่ายไปทั่วราวกับของแถม โดยไม่ได้ คำ�นึงว่าใครบ้างที่ควรค่าต่อการได้รับ “รัก” จากเรา ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนฺ มัสอูด ได้กล่าวว่ามีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบีมูฮัมหมัด แล้ว กล่าวว่า “โอ้ร่อซูลของอัลลอฮฺ ท่านจะว่าอย่างไร กับชายคนหนึ่งที่รักและชื่นชมกลุ่มหนึ่งซึ่ง เขาไม่ทันกับพวกเขา”ท่านนบีตอบว่า “(ในวันอาคีเราะฮฺ)แต่ละคนจะได้พำ�นักอยู่กับคนที่เขา รัก” (อัลบุคอรีย์ 6169, มุสลิม 2640) และในอีกรายงานหนึ่ง.. ท่านอนัส บิน มาลิกเล่าว่า มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบีมูฮัมหมัด แล้วกล่าวว่า “โอ้ ร่อซูลของอัลลอฮฺ เมื่อไหร่จะถึงวันกียามะฮฺ?” ท่านนบีถามเขาว่า“แล้วเจ้าได้เตรียมอะไรไว้ สำ�หรับวันกียามะฮฺ?” ชายผู้นั้นตอบว่า“ความรักที่มีต่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์” ท่าน นบีตอบว่า“ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะได้พำ�นักอยู่กับคนที่เจ้ารัก” อนัสกล่าวว่า ดังนั้นเราไม่เคยมีความ ยินดีใดๆ หลังจากการรับอิสลามของเรา มากยิ่งกว่าคำ�กล่าวของท่านนบีที่ว่า “ดังนั้นเจ้าจะ ได้อยู่พำ�นักกับคนที่เจ้ารัก” อนัสกล่าวต่อไปอีกว่า“ด้วยเหตุนี้ฉันจึงรักอัลลอฮฺ รักร่อซูลของ พระองค์ รักอบูบักร รักอุมัร เพราะฉันหวังว่าจะได้อยู่พร้อมกับพวกเขา(ในวันอาคีเราะฮฺ) ถึง

35

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


แม้ว่าฉันจะไม่ได้ปฎิบัติเฉกเช่นที่พวกเขาได้ปฎิบัติก็ตาม” (มุสลิม 2639, อัลบุคอรีย์6167 ใน ความหมายที่ใกล้เคียง) “รัก” จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมหาศาลที่ไม่อาจประเมินราคาได้ เพราะท่านนบีกล่าว ว่า “(ในวันอาคีเราะฮฺ)แต่ละคนจะได้พำ�นักอยู่กับคนที่เขารัก” นั้นหมายความว่าหากคนที่เรารัก คนนั้นคือ ท่านนบีมูฮัมหมัด และบรรดามิตรสหายของท่าน เราก็จะได้อยู่ร่วมกับท่านและ สหายของท่าน ลองจินตนาการดูซิครับว่า จะเป็นเช่นไรหากเราได้อยู่ร่วมกับท่านนบีมูฮัมหมัด และบรรดา มิตรสหายของท่าน อาทิเช่น อบูบักร อุมัร อุสมาน อาลี และท่านอื่นๆ เพราะนั่นหมายความว่า เราคือหนึ่งในบรรดาผู้ที่ได้เข้าสวรรค์ ผมถึงบอกไงครับว่า... มันคือสิ่งที่มีคุณค่าและประเมินราคา ไม่ได้.... เฮ้อ...แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ใครหลายๆคนกลับมอบสิ่งที่มีคุณค่านี้ให้กับบุคคลที่ไม่สมควรจะได้รับ เช่น บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา บรรดาผู้ฝ่าฝืนอัลลอฮฺ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้ใครคนนั้นจะต้องได้รับ ความอัปยศในโลกอาคีเราะฮฺ เพราะต้องอยู่ร่วมกับบุคคลเหล่านั้นพร้อมกับได้รับการลงโทษจาก อัลลอฮฺ เนื่องจากที่พำ�นักของผู้ปฎิเสธและผู้ฝ่าาฝืนนั้นคือนรก!! พี่น้องเห็นไหมครับคำ�ว่า “รัก” มีคุณค่ามากแค่ไหน จำ�ไว้น่ะครับ...ว่า “รัก” คือความ รู้สึกแห่งโลกนี้ที่เกี่ยวโยงต่อความเป็นอยู่ของเราในโลกอาคีเราะฮฺ ดังนั้นจะรักใครเลือกให้ดีน่ะ ครับ

..................................................................................

36

มดคันไฟ3


รู้หรือไม่ !?

... ท่านนบีมูฮัมหมัด นั้นทรงมีลักษณะทั่วไปที่ ถอดแบบมาจาก อัลกุรอ่าน ดังที่พระนางอาอิชะห์ กล่าวว่า “ ปรากฏว่าบุคลิกภาพของท่านนบีมูฮัมหมัด นั้น คืออัลกุรอ่าน ” จึงเป็นการยากที่จะนำ�มาบรรยายรายละเอียดได้ทั้งหมด ทั้งนี้เป็นเพราะความ หมายโดยละเอียดแห่งอัลกุรอ่านนั้น เราไม่สามารถนำ�มาอรรถฐาธิบาย หรือกล่าวในเชิงพิสดาร ได้ทั้งหมด และบุคลิกภาพโดยทั่วไปของท่านร่อซูล ก็เช่นกัน ร่วมเรียนรู้และซึมซับแบบฉบับแห่งมารยาทอันงดงามและสูงส่งได้จากมินิคอลัมน์ ใน วารสารมดคันไฟ 3 ฉบับนี้ โดย...อัรเราเฎาะฮฺ


ฉันรักเธอมาก เพราะเธอ รรค์อัน ว ส น ว ู่ส ทำ�ให้ฉันคิดถึงอัลลอฮฺ เมื่อไรที่ ะพาเราส ใดนั่นคือ จ ่ ี ท ง ่ ึ น ห ้ ู น ่ ื ผ อ ย ร ฉันไม่มีเธอ ฉันคงไม่มีค่าแน่นอน ชา ) ่ใค ู้นั่นมิใช า (( สองสมอง ) ผ ย า ช ง ่ ิ ร เธอคนนั้นชื่อ อัซซอลาฮ ภิรมย์ย ท่านนบีของเ ด ั ม (( บุรุษแห่งอิสลาม เพื่ออัลลอฮฺ)) มูฮัมห “หาก ห่วงแ อิสลามค หน ือส คนใ ที่สุดในช ิ่งที่ท่านรัก ดที่ท ีว ่านจ ิต คงไม และ ะ มูฮัมห รักยิ่งไ ่มีบุรุษ ปก มัด “ (( ว่า Abu

การวิ่งสู่เส้นชัย โดยไม่หลงทาง แม้แต่น้อย สามารถทำ�ได้ หากเราวิ่งให้อยู่ใน ลู่วิ่งของ อัลอิสลาม

anso

r))

((คอยรุลนิซาอฺ))

หรือจะให้แ รงบ หลังจากกา ันดาลใจเกิด... รสูญเสีย ((xso))

อุปสรร ค เพียง เ อันยิ่งใหญ ล็กน้อ ่ มักแพ ย ้ กำ�ลัง ((บ่าวผ

38

ู้ศรัทธา

))

ใจ

มดคันไฟ3

ความ

ฉลาด ใน อดทน การดำ�เน ิน ในสิ่ง ที่จำ�เป ชีวิต คือ ก ็นต้อง ารยอม ทน ((บังอ

ริส))


เธอทำ�ให้ฉันได้เห็น ได้รู้สึก ได้สัมผัส ได้เข้าใจ และอยากจะทำ�ในสิ่งนั้น สิ่งที่มันทำ�ให้ฉันมั่นใจว่า ฉันคือ ผู้ศรัทธา

“นบีของฉัน คือสดุ ยอดแบ บอย่าง แห่งทางนำ� ((แก้วใส))

((บีดายะตุตตาฆียะห์))

จุดเริ่มต้น>>>ศรัทธา>>> ความรัก>>>ความสำ�เร็จ หาใช่เป็นสิ่งอื่นไม่ มันคือสิ่งที่ฉัน ต้องการจากเธอ ผู้เป็นแรงบันดาลใจของฉัน ((piuma))

w matter happen

ไ ว้ ไ ม่ ว่ า ยิ้ ม สู้ เ ข้ า ิ ด ขึ้ น เก อ ะ ไ ร จ ะ ullfie )) ((s ก็ตาม

คิดไม่ออก ทำ�ไม่ได้ ไม่ใช่ป ัญหา แค่หันหน้าเข้าหาอัลลอฮฺ ด้วย ศรัทธา ความเมตตาก็บ ังเกิด

((นักข่าวอิสระ))

o

mile n Just s hat

ทุกก้าวที่พลั้ง ทุกครั้งที่พลาด จงมองเป็นโอกาส และบทเรียน ((มุสลิมะฮ์ผู้อ่อนโยน))

ความล้มเหล ว ท้อแ ก็แค่องค์ประ ท้ และสิ้นหวัง กอบ หากเรายังมีแร สู่ความสำ�เร็จ งบันดาลใจ ส ิ่งเหล่านั้น ก็ไม่ใช่ปัญหา ((นาม

39

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”

ปากกา))



เหตุและผลแห่งรัก โดย... HOPE

ทุกความคิด ทุกการกระทำ�ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ต่างก็มีเหตุผล มารองรับเสมอ แม้บางครั้งเหตุผลของคนๆนึง อาจจะไม่ใช่เหตุผลของ ใครอีกคนนึง…..ความรักก็เช่นกัน! เคยถามตัวเองไหมว่าเหตุผลที่เรารักใครบางคนหรือรักบางสิ่งบางอย่าง นั้น เพราะอะไร? หลากหลายประโยคที่พร้อมพรั่งพรูออกมาเพื่อจะเป็นคำ�ตอบให้กับ คำ�ถามนี้ และหนึ่งในคำ�ตอบเหล่านั้นก็คงจะหนีไม่พ้น “ความรักไม่ จำ�เป็นต้องมีเหตุผล” อาจจะใช่นะ สำ�หรับบางคนที่ยังหาเหตุผลของ ตัวเองไม่เจอ แต่สำ�หรับผู้ศรัทธา...หากยังคงคิดแบบนี้ ได้โปรดจงเปลี่ยน ความคิดใหม่เสียเถิดว่า.... “ความรักจำ�เป็นต้องมีเหตุผล”เพราะอิสลามสอนให้เรามี เป้าหมายในรัก รักของผู้ศรัทธาจึงไม่ใช่รักอันฉาบฉวย ที่คิดจะรักใคร เมื่อไหร่ยังไงก็ได้ ตามนัฟซู และไม่ใช่รักที่หวังความสุขจอมปลอมแค่ ชั่วคราวเท่านั้น เพราะความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกที่แสนจะพิเศษ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะเอามาล้อเล่น ฉะนั้น...เราจึงต้องรักให้เป็น!


ที่ผ่านมาไม่ว่าคุณจะมีความรักด้วยเหตุผลใดก็ตาม ถึงวันนี้...ยังไม่สาย หากคุณเป็นคน หนึ่งที่ยังไม่เข้าใจเหตุผลของ “ความรัก” ว่า...รักเพื่ออะไร? ลองเปิดตาและเปิดใจ บรรจุเหตุผล ของความรักต่อไปนี้ ให้ฝังลึกลงในหัวใจ เพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดและการกระทำ�ให้สอดคล้อง กับความรักในแบบฉบับของผู้ศรัทธา เพราะมันมีค่าและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของคุณ! รายงานจากท่านอบู มาลิก อัลอัชอารียฺ จากท่านร่อซูล ได้กล่าวว่า.... “โอ้ มนุษย์ทั้งหลาย พวกท่านจงฟัง พวกท่านจงเข้าใจ และจงรู้เถิดว่า แท้จริงสำ�หรับ อัลลอฮฺ มีบ่าวกลุ่มที่พวกเขาไม่ใช่บรรดานบี และไม่ใช่บรรดาผู้ที่ตายชะฮีด บรรดานบี และบรรดา ผู้ตายชะฮีดต่างมีความปรารถนา บนตำ�แหน่ง และความใกล้ชิดกับอัลลอฮฺของพวกเขา” มีชาวชนบทคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองมาดีนะฮฺได้มา เขาได้ยื่นมือของเขาไปยังท่านนบี มูฮัมหมัด แล้วกล่าวว่า.... “โอ้ท่านนบีของอัลลอฮ ฺ มีคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพวกขาไม่ใช่ บรรดานบี และไม่ใช่บรรดาผู้ ตายชะฮีด บรรดานบีและบรรดาผู้ตายชะฮีด ต่างมีความปรารถนาบนตำ�แหน่ง และความใกล้ ชิดกับอัลลอฮฺ ของพวกเขา ท่านโปรดบอกถึงลักษณะของพวกเขาแก่พวกเรา” คำ�ถามของชาวชนบทคนนั้น ทำ�ให้ความปิติยินดี ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของ ท่านร่อซูล ท่านร่อซูล ได้กล่าวว่า.... “พวกเขาเป็นคนธรรมดาจากบรรดาผู้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จากเผ่าต่าง ๆ พวกเขาไม่ได้ เป็นเครือญาติที่ใกล้ชิดกัน พวกเขารักกันด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮฺ ในวันกิยามะฮฺ อัลลอฮ ฺ จะวางมิมบัรที่ทำ�จากนูร (รัศมี) ให้กับพวกเขา แล้วจะให้พวกเขา นั่งอยู่บนนั้น หลังจากนั้น อัลลอฮ ฺ จะทรงให้ใบหน้า และเสื้อผ้าของพวกเขามีนูร ในวัน กิยามะฮฺขณะที่ผู้คนทั้งหลายอยู่ในความหวาดกลัว แต่พวกเขาไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ พวก เขาเป็นคนรักของอัลลอฮฺ ซึ่งไม่มีความหวาดกลัวใด ๆเหนือพวกเขา และพวกเขาจะไม่ เศร้าโศกเสียใจ [มุสนัดอะหฺมัด,อบูดาวูด] มาชาอัลลอฮฺ!....อะไรกันนี่ ที่ทำ�ให้บรรดานบีและบรรดา ชะฮีดต่างก็ต้องอิจฉา และปรารถนาที่จะเป็นแบบพวก เขา ในวันที่ผู้คนต่างพากันหวาดกลัว แต่พวกเขากลับ ไม่มีความหวาดกลัวใดๆเลย มิใช่เหตุผลในความรัก ของพวกเขาหรอกหรือที่ได้รับการตอบแทนเช่นนี้จาก อัลลอฮฺ แล้วจะมีอะไรควรค่าอีกเล่าที่จะขัด ขวางความต้องการของเรา ในเมื่อผลของมันในวัน


นั้นช่างหอมหวานและคุ้มค่าเหลือเกิน เหตุ คือ รักอย่างมีเป้าหมาย ผล คือ การตอบแทนอันเล่อค่าที่ใครๆต่างปรารถนา “รัก.....ด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮ ฺ ” นี่แหละคือเหตุผลที่แท้จริงของความรัก คุณต้องอดทนและพยายามต่อสู้กับความต้องพื้นฐานของหัวใจให้ได้ จนกว่าหัวใจของ คุณจะรักในคำ�สั่งใช้ของอัลลอฮฺ เพราะคุณก็รู้แล้วว่า การได้รักในสิ่งที่พระองค์พึงพอใจนั้น เรา จะได้อะไรตอบแทน! ถึงตอนนี้...ไม่ว่าคุณจะรักใครหรือรักสิ่งใดก็ตาม ขอให้รักนั้นเป็นไปเพื่ออัลลอฮฺ เถิด หากคุณ ให้อัลลอฮฺเป็นมาตรฐานในรัก ยอมจำ�นนต่อคำ�สั่ง บทบาทหน้าที่และขอบเขตแห่งรักที่อิสลามได้ วางกรอบไว้อย่างครอบคลุม คุณก็จะไม่ผิดหวัง ไม่โศกเศร้าและเสียใจให้กับความรักเหล่านั้นเลย หากวันนี้เราพยายาม ตั้งใจที่จะทำ�เพื่อพระองค์ ในวันนั้น(กิยามะหฺ)พระองค์ก็จะรักและ ช่วยเหลือเราเช่นกัน นี่คือความหวังของเรา แล้วคุณล่ะหวังอะไร? แม้ไม่ง่ายที่จะได้สวรรค์ของ อัลลอฮฺ แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถหากเราพยายาม เชื่อว่าเราต่างก็หวังที่จะเป็นที่รักของ อัลลอฮฺ เพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนอย่างงดงามจากสัญญาแห่งสัจจะของพระองค์ด้วยกันทุก คน อย่าลืมว่า...รักเพื่ออัลลอฮฺ เป็นสิ่งจำ�เป็นในอิสลาม จะรักทั้งที ก็ต้องรักให้เป็น!

.............................................................................

43

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”



ชัยชนะที่แท้จริง By...บูดูพระนคร

หากชีวิตของคนเรานั้นเปรียบเสมือนการเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ด้วยวิธีที่ ต่างกัน แน่นอนการไปถึงจุดหมายปลายทางที่วาดหวังไว้ ย่อมใช้เวลาแตกต่างกันเช่นกัน แต่ไม่ว่า จะเดินทางด้วยวิธีใดก็ตาม ความเสี่ยง ความเสียหาย อันตรายที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยว อุปสรรคที่เป็นบทเรียนสร้างความแข็งแกร่งให้กับเรา ผู้ที่ถูกขนานนามว่า “มนุษย์” ชีวิตจะไม่มี อุปสรรคเลยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ การใช้ชีวิตอยู่บนโลกดุนยาก็เช่นกัน เป็นเพียงช่วงเวลาช่วงสั้นๆ เมื่อเปรียบเทียบกับ เวลาในโลกอาคีเราะห์ ดังนั้นการเดินทางบนเส้นทางสายนี้ ย่อมมีอุปสรรคเกิดขึ้นอยู่เสมอ... อุปสรรคในที่นี้คืออะไรกัน....? มันคือเหล่ามะซียัต ต่างๆที่บรรดาชัยฏอนรังสรรค์ขึ้น เพื่อล่อลวงมนุษยชาติ มิใช่หรือ?... หนทางใดกันที่จะปลดแอกพันธนาการนี้....? หนทางเดียวจะนำ�ไปสู่อิสรภาพจากการถูกพันธนาการนี้ นั่นก็คือ การที่เราอยู่ในหนทาง แห่งคำ�สอนของอัลอิสลาม ที่มีท่านศาสดามูหัมหมัด ซึ่งท่านได้ปูแนวทางไว้เมื่อ 1400 ปีกว่า ปีก่อน เพื่อที่ไม่ให้บ่าวอันเป็นที่รักของพระองค์อัลลอฮฺ และอุมมะหฺของท่าน หลงผิดไปใน หนทางของศัตรูตัวฉกาจอย่างชัยฏอน ขณะที่ตอนนี้โลกอยู่ในยุคแห่งโลกาภิวัฒน์ ซึ่งคนส่วนใหญ่นิยมและหลงไหลในเรื่องของ วัตถุ จนหลงลืมศาสนาที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นระบอบของการดำ�เนินชีวิต สิ่งต่างๆ เหล่า นี้อาจจะทำ�ให้เราเดินผิด จนพลาดพลั้งเป็นส่วนหนึ่งของชาวนรกก็เป็นได้ จงตระหนักไว้เถิดว่าโลกที่เราอยู่ ณ ตอนนี้มันเป็นเพียงโลกแห่งการทดสอบเท่านั้น โลกที่เราจะได้อยู่อย่างแท้จริงนั้นยังมาไม่ถึง จงระลึกไว้เสมอว่าดุนยาเป็นแค่ทางผ่านของเรา เรา แค่แวะมาพักเหนื่อย ไม่ได้อยู่เพื่อที่จะวางหลักปักฐาน โลกแห่งความเป็นจริงคือโลกอาคิเราะห์ เท่านั้น อย่าหวั่นไหวกับอุปสรรคที่คอยหลอกหลอนเราอยู่ทุกเวลา เพราะมันคือบทพิสูจน์ความ ศรัทธาเพื่อนำ�ไปสู่การเป็นบ่าวที่รักใคร่ของอัลลอฮฺ ได้อย่างสวยงามและประสบความสำ�เร็จ จนเป็นหนึ่งใน “อะฮ์ลุ้ลญันนะฮฺ” อันสถาพร วัสลาม……



“คนต้นแบบ” ต้นฉบับที่ต้องเลียนแบบ By...มีม

เชื่อว่า...เมื่อครั้งพวกเรายังละอ่อน หลายๆคนคงหนีไม่พ้นเหตุการณ์ “ลอกการบ้าน เพื่อน” ซึ่งดูจะเป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่สุดสำ�หรับเรา ณ ตอนนั้น และใครอีกหลายๆ คน ณ ตอน นี้ บทความนี้ คงไม่มาพูดเรื่องความผิดถูกของการกระทำ�นี้ (ซึ่งเชื่อว่าพวกเราคงรู้ดีอยู่แล้ว ว่า มันทำ�ไม่ได้) แต่อยากจะให้มองไปถึง “ต้นฉบับการบ้าน” ของเรา ณ ตอนนั้น โดยส่วนตัว ซึ่งเชื่อ (อีกแล้ว) ว่า หลายๆ คนก็คงเป็นเหมือนกัน ก็คือ หลายๆ ครั้งที่ต้อง ลอกการบ้านเพื่อน เรามักจะมองหาเพื่อนที่ดูน่าเชื่อถือ หรือเพื่อนที่เราค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าลอกคำ� ตอบจากคนนี้แล้ว น่าจะได้คะแนนดี เป็นที่พอใจ มากกว่าเพื่อนที่...ก็ลอกเขามาอีกที เหมือนๆกับ เรา นั่นแสดงให้เห็นว่า...เรามักมองหา “ต้นฉบับที่ดีที่สุด” ในสถานการณ์ต่างๆ แม้กระทั่งใน หลายๆเหตุการณ์ของชีวิตเรา ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเท่ามด ไปถึงเรื่องใหญ่เท่าเมฆ บางคน...มองหาต้นฉบับในเรื่องของการแต่งกาย บางคน...มองหาต้นฉบับในเรื่องของการเรียน บางคน...มองหาต้นฉบับในเรื่องของการครองคู่ และอีกหลายๆคน...ที่กำ�ลังมองหาต้นฉบับเพื่อลอกเลียนแบบในเรื่องต่างๆ ซึ่งในฐานะมุสลิมแล้ว เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ต้นฉบับที่เราควรและต้องเลียนแบบนั้น ก็

47

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


คือ ผู้ชายที่เราต้องรักเขามากที่สุดอย่างท่านนบีมูฮัมหมัด แต่มีสักกี่คน...ที่นำ� คนต้นแบบ มาเป็น ต้นฉบับ?

และบรรดาสลัฟอัศศอลิฮฺ

โดยเฉพาะวัยรุ่นมุสลิมในปัจจุบัน บางคน...เลือก ดารา/นักร้องที่ตนชื่นชอบ เป็นต้นแบบ บางคน...เลือก นักกีฬาที่ตนชื่นชอบ เป็นต้นแบบ บางคน...เลือก เพื่อน/รุ่นพี่ที่ตนชื่นชอบ เป็นต้นแบบ อีกบางคน...ก็เลือก พ่อแม่ เป็นต้นแบบ เรามักเลือกคนที่เรารู้สึกชื่นชม ชื่นชอบ หรือคนที่เราประทับใจบางอย่างในตัวเขา เป็นโมเดลใน การเจริญรอยตาม ทั้งที่เขาเป็นเพียงคนที่เรารู้สึกไปว่า “เขาดีกว่าเรา” เท่านั้น และทั้งที่ผู้ที่แสดงให้เราเห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า เขาใช้ชีวิตและจบชีวิตอย่างมีเกียรติกว่าเรานั้น เรากลับลืมหรือละเลยพวกเขาไปอย่างชนิดที่เราควรต้องกลับมาถามตัวเองได้แล้วว่า “ที่บอกว่ารัก เขาน่ะ รักแบบไหน?” ความรัก/ความชื่นชมในตัวท่านนบีมูฮัมหมัด ของเราและบรรดาสหายของท่าน อยู่ส่วนไหนใน หัวใจของเรา? เราเก็บพวกท่านไว้ในฐานะ “บรรพบุรุษที่น่ายกย่อง” แค่นั้นเองหรือ? วิถีของพวกเขาไม่ใช่หรือ...ที่เป็นวิถีของชาวสวรรค์ ซึ่งผู้ปรารถนาจะพบเจอกับสวรรค์ของอัลลอฮฺ ต้องปฏิบัติตามพวกเขา? การเป็นอยู่ของพวกเขาไม่ใช่หรือ...ที่เมื่อพวกเรารับรู้หรือได้ยินแล้ว ก็เกิดความรู้สึกชื่นชมในตัว พวกเขา? ความกล้าหาญ การยืนหยัด ความอ่อนโยน ความสมถะ และแง่มุมต่างๆของชีวิตพวกเขามิใช่ หรือ... ที่เรารู้สึกประทับใจจนต้องนำ�ไปบอกต่อเพื่อให้ผู้อื่นรู้สึกรักพวกเขาเหมือนที่เรารู้สึก? แต่ทำ�ไม วิถีการเป็นอยู่ของคนต้นแบบกับเรา ช่างแตกต่างและห่างไกลกันเหลือเกิน จนเหมือนกับ ว่า เรากับเขา ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว “อิสลาม” ที่เขาแบกรับ กับที่เราได้รับ ไม่ใช่ศาสนาเดียวกันหรอกหรือ? หรือเพราะ เราได้มันมาง่ายเกินไป จนทำ�ให้น้ำ�หนักของความหนักหนาของมัน กลายเป็นเรื่องเล็ก ไปสำ�หรับพวกเรา

48

ไม่หรอก! ขอยืนยันด้วยผู้ส่งอิสลามมาเป็นทางนำ�แก่มนุษย์

มดคันไฟ3


“อิสลาม” เคยเป็นศาสนาที่สูงส่ง ยังเป็นอยู่ และก็จะเป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนกระทั่งถึงวันกิยามะฮฺ แต่ “มุสลิม” ที่ไม่เห็นค่าความสูงส่งของอิสลามต่างหาก ที่กำ�ลังตกต่ำ� “อิสลาม” ของคนต้นแบบนั้น คือ การที่เขามีชีวิตอยู่เพื่อมัน และจบชีวิตลงเพื่อมัน ในขณะที่ “อิสลาม” ของพวกเรา คือ การนำ�มันมาใช้เพียงบางส่วนที่เราพึงพอใจ และยังไม่รู้ว่า จะ กล้าและพร้อมจะจบชีวิตลงเพื่อมันจริงอย่างที่ปากพูดหรือเปล่า -นะอูซุบิลลาฮิมินซาลิกกลับมาทบทวนชีวิตของตัวเองกันได้แล้วว่า ถ้าเรายืนยันและมั่นใจว่า “คนต้นแบบ” คือต้นฉบับที่ ดีที่สุดในทุกๆด้านสำ�หรับเรามุสลิมแล้ว เรายังกล้าจะลอกเลียนแบบจากใครอื่นที่ไม่ใช่พวกเขาได้ อีกจริงหรือ? ถ้า “ต้นฉบับ” ที่เรากำ�ลังเลียนแบบอยู่ ไม่ใช่ท่านนบีมูฮัมหมัด และบรรดาศอฮาบะฮฺ คนที่เรา บอกว่ารักและชื่นชมพวกเขาแล้วก็พิจารณาคำ�ว่า “รัก” ของเราที่มีต่อพวกเขาให้หนักๆเถอะ กลัวว่า จะเป็นคำ�พูดที่มีราคาแค่ปลายลิ้น แต่หาค่าไม่ได้เลย ณ ที่อัลลอฮฺ ขออัลลอฮฺ เถิด

คุ้มครองพวกเราทุกคนให้พ้นจากการกลายเป็นคนกลับกลอก ณ ที่พระองค์ด้วย

“โดยแน่นอน ในร่อซูลของอัลลอฮฺมีแบบอย่างอันดีงามสำ�หรับพวกเจ้า สำ�หรับผู้ที่หวัง (จะพบ) อัลลอฮฺและวันโปรโลก และรำ�ลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมากมาย” (อัลอะหฺซาบ : 21)

...............................................................................

49

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


50

มดคันไฟ3


THE LEGENDRY OF YOUTH เยาวชนแห่งตำ�นาน โดย... switch on the fire

ท่ามกลางแสงสีในเมืองกรุง แสงไฟของรถที่แล่นบนถนนอย่างรวดเร็วในยามกลางคืน เยาวชนหลายคนกำ�ลังเตรียมที่จะสนุกท่ามกลางยามค่ำ�คืน ด้วยรองเท้ายี่ห้อหรู เสื้อผ้าแบรนด์ดัง บาง คนกำ�ลังยื้อแย่งมือถือรุ่นล่าสุด หรือจะเป็นนาฬิการาคาแพง หรือแม้แต่น้ำ�หอมกลิ่นโชยชวน ราวกับว่า สิ่งเหล่านี้มีค่ามากมาย เราจะเห็นพวกเขาออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆในกลุ่ม ช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ� เอ้อระเหย อยู่ในร้านค้าต่างๆอย่างไร้เป้าหมาย ซื้อของกระจุกกระจิกเพียงเพื่อขจัดความรู้สึกเบื่อหน่ายในชีวิต แม้ จะเพียงเสี้ยววินาทีก็ตาม แล้วเราก็ยังเห็นพวกเขานั่งจิบกาแฟอยู่ในร้านสตาร์บัคอยู่บ่อยๆ มองดูผู้คนเดินผ่านไปมา เล่าเรื่องตลกขบขันภายในวงสนทนาที่มีเสียงหัวเราะแหบแห้ง เบิ่งตาดูผลฟุตบอลล่าสุดบนโทรทัศน์จอ ใหญ่ นอกจากนี้เรายังเห็นพวกเขาแข่งรถกันในยามดึกๆดื่นๆด้วยความโลดโผนอย่างอันตราย พร้อมด้วยดนตรีเสียงดังสนั่น สร้างความตกใจและรำ�คาญให้กับผู้คนบริเวณรอบๆและที่สัญจรผ่านไป มา เหล่านี้ต่างเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบันบนโลกใบนี้ทุกหนแห่ง แต่ละครั้งที่ผมเห็นภาพเดิมๆเหล่านี้ ทำ�ให้ผมคิดถึงใครบางคน ใครคนนั้นที่ถูกห่อด้วยผ้าที่ ชุ่มด้วยเลือด ฝังอยู่ภายใต้พื้นดินในสมรภูมิอุฮุด เท้าของใครคนนั้นถูกห่อหุ้มด้วยหญ้า ส่วนร่างกายของ เขานั้นถูกปกคลุมด้วยผ้าขนสัตว์ทรงสี่เหลี่ยมจุตรัสที่ไม่ใหญ่พอที่จะสามารถคลุมร่างของเขาทั้งร่างได้

51

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


ใครคนนั้นที่แม่ของเขาประคบประหงม เลี้ยงดูเป็นอย่างดีในวัยเด็ก เขาสวมเสื้อผ้าที่ ดีที่สุดโดยที่แม่ของเขานั้นสามารถซื้อให้ได้อย่างสบาย น้ำ�หอมที่ตัวของเขานั้นส่งกลิ่นฟุ้งไปทั่ว ทุกแห่งที่เขาเดินผ่าน ผู้ที่เป็นที่ถูกกล่าวขานโดยสาวโสดหญิงหม้ายหรือสตรีที่มีสามีแล้วก็ตาม เด็กหนุ่มที่เนื้อหอมมากที่สุดในบรรดาเด็กหนุ่มชาวกุเรช ใครคนนั้นคือผู้ที่ยอมสละความสุข ส่วนตัวทุกอย่าง เพื่อที่จะได้รับความพึงพอพระทัยของเอกองค์อัลลอฮฺ อัซซะวะญัล แต่เพียง พระองค์เดียว ใครคนนั้นที่ผมหมายถึง เขาคือ มุซอับ บิน อุมัยร บินฮาชิม บินอับดุลมานาฟ บิน อับดุลอัดดาร บินกุซีย์ หรือที่ใครๆก็รู้จักในนาม มุซอับแห่งความดี... มุซอับ : หนทางสู่ความจริงของชีวิต ในวัยหนุ่มของมุซอับ เมื่อเขาได้ยินเรื่องการปรากฏตัวของศาสดาคนใหม่ท่ามกลาง บรรดาชาวกุเรช พร้อมกับสาส์นที่เขานำ�มา นั่นคือการเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว การมา ของศาสดาคนใหม่นี้เป็นเรื่องที่ผู้คนในเมืองมักกะห์ต่างพูดถึงกันตลอดทั้งวัน และมันทำ�ให้ เขา(มุซอับ)เกิดความสนใจเป็นอย่างมาก ความอยากรู้ของเขาถูกสบประมาทและโดนดูถูก โดยผู้คนต่างๆ และทำ�ให้พวกเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าหาและรู้จักท่าน ร่อซูลุลลอฮฺ ให้มากขึ้นด้วยตัวของเขาเอง เพื่อพิจารณาถึงความจริงของสาส์นที่ท่านนำ�มา คืนหนึ่ง แทนที่เขาจะไปเที่ยวหาความสนุกสนานกับกลุ่มเพื่อนๆของเขาตามปกติ มุซอับ ได้เดินทางไปยังบ้านของอัล อัรกอม บิน อัล อัรกอม ซึ่งต่อมามุสลิมรู้จักกันในชื่อของ บ้าน อัรกอม สถานที่แห่งนี้ เป็นที่ที่ท่าน ร่อซูล ได้นัดพบกับบรรดาผู้ศรัทธาของท่านซึ่ง ห่างไกลจากสายตาของชาวกุเรช พวกเขาจะมานั่งปรึกษาหารือกัน ฟังบางส่วนของอายะห์อัล กุรอานที่ท่านร่อซูล ได้นำ�มาจากอัลลอฮฺ และร่วมกันละหมาดตามหลังท่านร่อซูล เพื่ออัลลอฮฺ ในคืนนั้น มุซอับได้นั่งร่วมวงกับบรรดาผู้ศรัทธาพร้อมกับฟังท่านร่อซูล อ่าน อายะห์อัลกุรอาน ในขณะนั้นเอง เขาได้ลืมเรื่องราวในอดีตของชีวิตที่เคยเต็มไปด้วยความ หรูหรา ฟุ่มเฟือย ความสะดวกสบาย ความขี้เกียจและได้พบกับกุญแจสู่ชีวิตอันชั่วนิรันดร์ แต่หนทางสู่ความจริงของมุซอับก็ไม่ได้ราบรื่นง่ายดายเท่าไรนัก เนื่องจากแม่ของเขา คุนนาส บินติ มาลิก นางเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง อารมณ์ฉุนเฉียวและมีวาจาที่รุนแรงยิ่งนัก อีกทั้งนางยังเป็นปฏิปักษ์ต่อท่านร่อซูล ด้วย เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแม่ของ เขา และความไม่พอใจที่จะตามมา เขาจึงยังไม่บอก “ความจริงใหม่” ที่เขาได้รู้มาต่อแม่ของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ได้มีคนเห็นเขาไปยังบ้านอัรกอมบ่อยๆ และอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ศรัทธาของ ท่านร่อซูล ไม่นานนักเรื่องนี้ก็ถึงหูแม่ของเขา!! ด้วยความหยิ่งทระนงในเชื้อสายบรรพบุรุษและความเชื่อในพระเจ้าของนางที่มีมาแต่

52

มดคันไฟ3


อดีต นางจึงสั่งให้มุซอับกลับมาเชื่อและสำ�นึกผิดต่อพระเจ้าที่เขาได้ละทิ้งไปเพราะความโง่เขลา ของเขา แต่มุซอับได้ปฏิเสธที่จะหันกลับไป แม่ของเขาจึงจับเขาใส่กุญแจมือและขังเขาไว้อยู่ ภายในห้องมุมหนึ่งของบ้าน ในเวลาต่อมา มุซอับได้รู้ข่าวเกี่ยวกับการอพยพครั้งแรกของมุสลิมไปยังอบิสสิเนียใน ขณะที่เขาอยู่ในห้องขัง แต่หัวใจของเขาปรารถนาที่จะร่วมเดินทางไปกับพี่น้องผู้ศรัทธาในครั้ง นี้ด้วย ด้วยความฉลาดรอบรู้ของมุซอับ เขาได้จัดการวางแผนและในที่สุดเขาก็สามารถหลบหนี การกักขังของแม่และผู้ดูแล เขาได้ร่วมเดินทางไปยังอบิสสิเนียพร้อมๆ กับบรรดาผู้ศรัทธาอีก หลายคน ต่อมาไม่นานนัก มุซอับก็ได้กลับมายังมักกะห์และได้อพยพไปยังอบิสสิเนียอีกเป็นครั้ง ที่สอง และในครั้งนี้ ท่านร่อซูล ได้เลือกผู้ที่จะไปประกาศอิสลามที่เมืองยัซริบหรือมะดีนะห์ ด้วย เมื่อมุซอับได้กลับมาจากอบิสสิเนีย แม่ของเขาได้ตามหาเขาเพื่อที่จะจับเขามาขังอีก ครั้ง แต่คราวนี้ มุซอับได้ประกาศและสาบานว่า หากแม่ของเขายังพยายามที่จะทำ�เช่นนั้นอีก เขาจะสู้กับทุกคนที่พยายามจะเข้ามาจับเขา แม่ของเขารู้ถึงการตัดสินใจอันแน่วแน่ของเขา เมื่อ เขามีความตั้งใจมุ่งมั่นดีกว่าใคร นางจึงหมดหวังที่จะให้เขากลับมายังศาสนาเดิมได้อีก นางจึง บอกลาเขาพร้อมกับร้องไห้ออกมา “ไปให้พ้นซะ! ฉันไม่ใช่แม่ของแกอีกต่อไป!!” มุซอับได้เดินเข้าไปใกล้แม่ของเขาและได้พูดกับนางว่า “ โอ้ แม่ของฉัน ฉันขอเตือน ท่านด้วยกับหัวใจของฉันที่อยู่กับท่าน ได้โปรดปฏิญาณตนเถิด ว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรค่าแก่ การเคารพนอกจากอัลลอฮฺแต่เพียงองค์เดียว และมูฮัมหมัดนั้นเป็นบ่าวและเป็นศาสนทูตของ พระองค์” และนั่นทำ�ให้นางโกรธมากยิ่งขึ้น นางจึงสาบานว่า “ขอสาบานด้วยดวงดาว! ฉันจะไม่ นับถือศาสนาของแก เพื่อให้ผู้คนดูถูกและกล่าวหาว่าฉันนั้นเป็นคนไร้สติเบาปัญญาหรอก!!” มุ ซ อั บ เข้ า รั บ อิ ส ลามด้ ว ยกั บ จิ ต วิ ญ ญาณของอั ล กุ ร อานเมื่ อ มั น ถู ก กล่ า วว่ า “ (จงเข้าอยู่ในความสันติโดยทั่วทั้งหมด) ”[บากอเราะห์:208] เขา ได้ละทิ้งความสุขความสบายทุกอย่าง เพื่อความโปรดปรานแห่งอัลลอฮฺ เสื้อผ้าของเขาขาด รุ่งริ่ง อาหารของเขาก็ช่างเรียบง่าย และผืนดินผืนทรายทุกแห่งบนโลกใบนี้คือที่นอนสำ�หรับเขา วันหนึ่ง เขาเดินไปพบกับพี่น้องผู้ศรัทธาที่กำ�ลังนั่งอยู่รอบๆท่านร่อซูล เมื่อพวก เขาเห็นมุซอับ พวกเขาก็ก้มศีรษะและลดสายตาลง บางคนน้ำ�ตาไหลออกมาเพราะนึกถึงอดีตที่ มุซอับได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีเมื่อเทียบกับปัจจุบันที่เขาเป็น เมื่อมุซอับเดินออกไปจากวงสนทนา ท่านร่อซูล ได้กล่าวว่า “โดยแน่นอนฉันได้เห็นมุซอับคนนี้และในนครมักกะฮ์ ไม่มีชายหนุ่ม คนใดได้รับความโปรดปรานและความรักใคร่ ณ ที่บิดามารดาของเขามากกว่าเขา แต่เขาได้เสีย สละความสุขดังกล่าวทั้งหมด เพื่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์”

53

...............................................................................

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


ไออุ่นแรกของฉัน...คืออ้อมกอดเธอ เสียงแรกของฉัน.... ร้องเรียกเธอ ก้าวแรกของฉัน....เดินตามเธอ แบบอย่างแรกของฉัน...จึงเป็น “เธอ” ผู้หญิงคนแรกที่ฉันรู้จัก และรักแบบไม่มีเงื่อนไข “อุมมี” ((...Widad ‫دادو‬...))

54

มดคันไฟ3


เธอคนนั้น..เพื่อนฉันคนนี้

โดย... ‫حم‬

อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ขอบคุณสำ�หรับกำ�หนดของอัลลอฮฺ ที่ให้ ฉันได้พบและได้รู้จักกับใครคนหนึ่ง ใครคนนั้นคนที่คอยเติมเชื้อเพลิง แห่งอีหม่านให้กับตัวฉัน โดยที่เธอคนนั้นอาจจะไม่รู้ตัว ใครคนนั้นคนที่ ทำ�ให้ฉันได้ซึมซับอัคล๊าคที่ดีเมื่อฉันได้อยู่ใกล้ ใครคนนั้นคนที่ทำ�ให้ฉัน ได้สัมผัสกับคำ�ว่า “รัก..เพื่ออัลลอฮฺ ” ใครคนนั้นคนที่ทำ�ให้ฉันได้ รู้จักกับคำ�ว่า “สายเชือกที่เข้มมากกว่าสายเลือด” ด้วยกำ�หนดและด้วยเมตตาของพระองค์ที่ทำ�ให้เราได้มาใช้ ชีวิตอยู่ร่วมกัน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันคือช่วงเวลาที่เป็นจุดเริ่ม ต้นแห่งความรักระหว่างใจทั้ง 2 ดวงของเรา การที่ฉันได้รักเธอ ได้ใกล้ ชิดกับเธอนั้น ทำ�ให้ฉันได้รู้จักเธอมากขึ้น และได้รู้อะไรบางอย่างในตัว ของเธอแม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดมันออกมาก็ตาม.. เธอผู้ที่ได้รับโรคร้ายชนิดหนึ่งผ่านทางพันธุกรรม แต่กลับไม่เคยแสดง อาการเสียใจต่อบททดสอบที่ได้มา ซ้ำ�ยังมีแต่บอกว่า สิ่งนี้แหละที่ทำ�ให้ เธอได้ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ มากขึ้น เธอผู้ที่หยอดเงินบริจาคทุกวัน แม้ว่าจะเป็นจำ�นวนเล็กน้อย แต่ความ สม่ำ�เสมอของเธอ ทำ�ให้ยอดบริจาคนั้น..ยิ่งใหญ่มาก

55

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


เธอผู้ที่รักในการตักเตือน รักในคำ�ตักเตือน และไม่มองพี่น้องในแง่ร้ายเลยแม้แต่น้อย เธอผู้ที่ใช้ความผิดพลาดมาเป็นบทเรียนราคาแพง และพร้อมจะบอกเล่าบทเรียนนี้ทันทีหากมี ประโยชน์ เธอผู้ที่แสร้งทำ�เป็นลืมถึงความเจ็บปวดที่ไม่อยากจำ� แม้ในความเป็นจริงเธอยังจดจำ�มันอยู่ก็ตาม เธอผู้ไม่ตัดสินใจสิ่งใดด้วยตัวเอง เว้นแต่ด้วยการอิสติคอเราะห์ เธอผู้ที่จะปรึกษาอัลลอฮฺ ตลอดเวลา และจะขอดุอาอฺเสมอในทุกๆ การกระทำ� เธอผู้ไม่รักการกดดัน และไม่เคยคิดจะบังคับหรือกดดันใคร เธอผู้ที่มีความอ่อนโยนอยู่เต็มหัวใจ และจะไม่แสดงสิ่งใดเว้นแต่ด้วยความอ่อนโยน เธอผู้ที่มองทุกสิ่งแล้วจะ link (เชื่อมโยง)กับศาสนา ผู้ที่ทุกคำ�สนทนาจะไม่ออกมาอย่างไม่เกิด ประโยชน์ เธอผู้ที่ออกห่างจากสิ่งไร้สาระ และรักที่ให้สิ่งไร้สาระออกห่างจากทุกๆคน เธอผู้ที่ไม่กังวลต่อสิ่งใด พร้อมกับบอกทุกคนข้างกาย ว่าจงอย่ากังวล เธอผู้ที่มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ในระดับที่พอเหมาะและพอดี เธอผู้ที่รักในการช่วยเหลือผู้อื่น และพร้อมเสมอที่จะช่วยโดยไม่หวังสิ่งใดกลับมา เธอผู้ที่แคร์คนรอบข้าง มากกว่าตัวเอง ผู้ที่ความสุขของตัวเอง อยู่ที่ความสุขของผู้อื่น เธอผู้ที่รักในการแสวงหาความรู้ และรักที่จะยืนหยัดอยู่ในหลักการศาสนา เธอผู้ที่ชีวิตนี้จะเป็นไปเพื่องานศาสนาของอัลลอฮฺ และพร้อมจะตายลงบนงานศาสนาของ อัลลอฮฺ เธอผู้ที่รักษาอมานะห์อย่างเต็มที่ เพราะรู้ดีว่ามันเป็นการเดิมพันด้วยชีวิต เธอผู้ที่รักการทำ�ค่ายอย่างเต็มหัวใจ และให้นิยามค่ายคือ ยารักษาหัวใจ เธอผู้ที่รักญะมาอะห์ ที่ทำ�ให้ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ และเกลียดชังทุกสิ่งที่ทำ�ให้เธอห่างไกลจาก พระองค์ เธอผู้ที่เดินตามแนวทางของท่านนบี เดินตามรูปแบบวิถีที่ดีที่สุด และเธอผู้นี้ คือผู้ที่มักบอกกับฉันเสมอว่า “เธอรักฉันเพื่ออัลลอฮ ” และท้ายนี้ฉันก็อยากบอก กับเธอเช่นกันว่า “ฉันก็รักเธอเพื่ออัลลอฮ ฺ” .... “ดูแลตัวเองด้วยนะ” คำ�เล็กๆที่เธอมักทิ้งท้ายให้ฉัน และฉันก็อยากกล่าวมันซ้ำ�ให้กับเธอ

56

................................................................................

มดคันไฟ3


ในการที่มนุษย์จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้นั้น เราก็ต้องพึ่งพาระบบสังคม เรามิอาจใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวของเรา เพียงลำ�พัง ขอชุโกรแด่เอกองค์ อัลลอฮฺ (ซบ.) ที่ทรงประทานตำ�แหน่ง และหน้าที่การงานบนโลกดุนยาของเราเป็นตำ�แหน่งและหน้าที่อันทรงเกียรติในแง่ของสังคม เรามีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่เพรียบพร้อมบ่งบอกถึงถึงหน้าที่การงาน เครื่องแต่งกายนิสิตนักศึกษา สีขาวสุดโก้ หรือจะเป็นเครื่องแบบทหารสุดเนี๊ยบประดับยศนู่นนี่ ทหารบก ทหารเรือ ทหาร อากาศ ก็ว่ากันไปตามแต่ละบุคคล รวมไปถึงชุดข้าราชการสีสุภาพน่าเคารพเกรงขามทุกครั้งที่ สายตาบางคู่แวะไปพัก หรือสูทของนักธุรกิจสีเข้มเรียบหรูแต่แฝงลูกเล่นด้วยเนคไทค์แบรนด์เนม มีระดับ อัลฮัมดุลิลลาฮฺสำ�หรับความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อบ่าวแต่ละคนในทุกหน้าที่การงาน ในขณะเดียวกัน ดังปรากฎจากประวัติศาสตร์บางตอนเล่าว่าผู้ที่มีความประสงค์สังกัด ตนอยู่ในครรลองแห่งอัลอิสลามบางท่าน ไม่สามารถแยกได้ว่าคนไหนในกลุ่มชนนั้นคือท่านนบี (ซ็อลฯ) เช่นตอนที่อพยพสู่มะดินะห์ ชาวมะดินะห์บางคนก็ไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครคือท่าน นบี (ซ็อลฯ) เพราะความนอบน้อมถ่อมตนของท่าน ตลอดจนเครื่องแต่งกายของท่านที่กลมกลืน เหมือนกับคนอื่นๆ ไม่เป็นที่บ่งบอกเลยว่าเป็นท่านศาสดา จากบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ ชีวประวัติบางตอนกล่าวว่า “ ท่านนบี (ซ็อลฯ) ได้ไปพบผู้ชายคนหนึ่ง ยังผลให้ชายคนนั้นเกิด ความเกรงขามในบุคลิกของท่าน ท่านจึงกล่าวกับชายผู้นั้นว่า จงทำ�ให้สบายตัวแก่ท่านเถิด (อย่า ได้อกสั่นขวัญแขวนเลย) ฉันมิใช่กษัตริย์ ฉันเป็นเพียงลูกของหญิงคนหนึ่งที่กินเนื้อแห้ง ” (รายงานโดยฮากิมและกล่าวว่าเป็นหะดิษซอเฮี๊ยะตามเงื่อนไขของท่านอิหม่ามบุคอรีและมุสลิม) มาชาอัลลอฮฺ... ย้อนมองดูท่านศาสดาของเราสิ ทำ�ไมท่านศาสดาจึงมีความอ่อนน้อม และแสดงออกถึงการถ่อมตนได้งดงามถึงเพียงนี้ ช่างเปี่ยมไปด้วยจรรยามารยาทอันสูงส่งอย่าง แท้จริง แล้วเราล่ะ ? ยังเลือกคงเดินด้วยท่าทางอันหยิ่งผยองบนหน้าแผ่นดินนี้ ด้วยพฤติกรรมที่ แสดงออกถึงการไร้ความนอบน้อม อ่อนโยนอีกหรือไม่ ? จงใช้สติปัญญาทบทวน ครุ่นคิด และ ไตร่ตรอง ! ... โดย...อัรเราเฎาะฮฺ


58

มดคันไฟ3


บุคคลตัวอย่าง โดย... kolbun- abyad

ถ้าจะพูดถึงบุคคลตัวอย่าง หลายๆคนอาจจะมองไปต่างๆ นานาตามแนวอุดมการณ์หรือความนึกคิดในชั่วขณะหนึ่ง บ้างก็อาจ มองคนที่สังคมปัจจุบันให้การยอมรับ อาจมองบุคคลที่ได้รับรางวังโน เบล หรือจากองค์กรอื่นๆ ซึ่งก็มีมากจนนับไม่ถ้วน แต่พวกเขาเปลี่ยน อะไร ในด้านไหน และสร้างสรรค์อะไรให้กับโลกบ้าง? เป็นสัจธรรมที่ สามารถพิสูจน์ด้วยตรรกะและเหตุผลในทุกแง่มุมได้ดีสักแค่ไหน? แล้ว ถ้ามองบุคคลในอดีตล่ะ? เราจะมองใคร มองอะไร ใครกันที่สมควรเป็น บุคคลตัวอย่างอย่างแท้จริง? อย่างที่เกริ่นนำ�ไว้ข้างต้น แน่นอนว่าท่านผู้อ่านกำ�ลังคิด บางอย่างอยู่ในหัวสมอง และอาจเดาได้เลยว่าเรากำ�ลังจะนำ�ท่านไปสู่ หนทางใด ซึ่งอาจรู้ได้เลยว่าเรากำ�ลังหมายถึงใคร เพราะกับสิ่งที่เกริ่น นำ�ก็มิได้ยากเกินการคาดเดา แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ บุคคล ตัวอย่างและสิ่งที่ได้กระทำ�ไว้ให้เป็นแบบอย่างที่แท้จริงแก่ชนในยุค เดี ย วกั น สื บ เนื่ อ งไปจนถึ ง ชนรุ่ น ลู ก รุ่ น หลานต่ อ ๆได้ ไ ปตราบจนวั น อวสานของโลกซึ่งสมควรจะถูกเรียกว่าเป็น “บุคคลตัวอย่าง” อย่าง แท้จริง

59

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


มีใครบ้างถูกรักจากบรรดาสหายหรือแม้กระทั่งถูกเลียนแบบทุกๆ พฤติกรรมตั้งแต่เรื่อง ส่วนตัวไปจนถึงเรื่องราวระดับสังคมระดับโลก? มีใครบ้างที่สามารถสมานรอยร้าวที่เคยเข่นฆ่ากัน ระหว่างเผ่ามาเป็นรักใคร่เป็นปึกแผ่นได้? มีใครบ้างที่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมที่เคยเหลวแหลก อย่างสุดขีดซึ่งผู้คนต่างงมงายไร้ซึ่งการศึกษา บูชาเจว็ด ทำ�แต่สิ่งโง่งม กลายมาเป็นสังคมอุดม ปัญญาและมีเกียรติ ใครบ้างที่ทำ�ให้สังคมที่เคยกดขี่สตรีเยี่ยงสิ่งของ สังคมที่เด็กผู้หญิงถูกฆ่า เมื่อ เกิดมากลับกลายมาเป็นสังคมที่ให้สิทธิเสรีภาพกับสตรีอย่างเหมาะสม ใครบ้างที่ทำ�ให้ทาสถูก ปกครองด้วยความเป็นธรรม แล้วจะมีใคร? ลองพิสูจน์จากประวัติศาสตร์ว่าเคยมีใครทำ�ทุกอย่างนี้ ได้สำ�เร็จ ถ้าจะให้เราสรุปให้ก็คงจะหนีไม่พ้นท่านนบีมูฮัมหมัด เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนใน ประวัติศาสตร์ที่ทำ�ได้เฉกเช่นท่าน จนชาวตะวันตกบางท่านอย่าง ดร. ไมเคิล เอช. ฮาร์ต ได้เขียน หนังสือเรื่อง “100 ลำ�ดับบุคคลผู้มีอิทธิพล ที่สุด ในประวัติศาสตร์” โดยให้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ อยู่ในลำ�ดับที่ 1 ใน 100 ซึ่งท่านได้ให้เหตุผลว่า ท่านนบีมูฮัมหมัด เป็นผู้ที่ “ประสบ ความสำ�เร็จอย่างสูงสุด” ทั้งในด้านศาสนาและในด้านทางโลก ท่านยังได้กล่าวอีกว่า บทบาทของ ท่านนบีมูฮัมหมัด ในการพัฒนาของศาสนาอิสลามมีอิทธิพลมากมายกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับ บทบาทของท่านเยซู (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ในการพัฒนาคริสต์ศาสนา 1 ซึ่งจากที่ยกมาเป็น เพียงท่านเดียวเท่านั้นจากชาวตะวันตกที่พูดกล่าวขวัญถึงนบี แท้จริงยังมีอีกมากมาย เช่น นาย เบอร์นาร์ด ชอว์ ชาวอังกฤษได้แต่งหนังสือชื่อว่า “มูฮัมหมัด” แต่ถูกทางการอังกฤษได้เผาทำ�ลาย หนังสือเล่มนี้ ซึ่งเขาได้กล่าวว่า “แท้จริงแล้วโลกนี้ต้องการคนที่มีความคิดอย่างมูฮัมหมัด” หรือ นักวรรณคดีชาวเยอรมันที่ชื่อ ยูทาฮ์ ได้กล่าวว่า “แท้จริงแล้วเราชาวยุโรปด้วยความรู้ทั้งมวลที่ เรามีนั้น เรายังไม่สามารถที่จะไปถึงสิ่งที่มูฮัมหมัดไปถึง...และจะไม่มีผู้ใดไปถึง... และหลังจากที่ ฉันได้ศึกษาจากประวัติศาสตร์เพื่อค้นหาแบบอย่างอันดีเลิศต่อมนุษยชาตินั้น ฉันได้พบแล้วนั่นคือ ศาสดามูฮัมหมัด...และเช่นนี้เองที่สัจธรรมจำ�เป็นต้องปรากฏและสูงส่ง..เหมือนกับที่มูฮัมหมัดได้ ประสบความสำ�เร็จในการเป็นผู้นำ�โลก ด้วยคำ�ว่า “เตาฮีด” 2 นี่ล่ะที่ชาวตะวันตกหรือแม้กระทั่ง คนจากจากตะวันออกหรือที่อื่นๆบางคนบางกกลุ่มกลัว กลัวว่าเมื่อมีคนมองด้วยความเป็นจริง และเป็นธรรมอย่างนี้มากขึ้น ความเชื่ออันเป็นเท็จของพวกเขาที่รวมหัวกันกุขึ้นเพื่อผลประโยชน์ ที่มีค่าไม่มากไปกว่าปีกยุงนั้นจะมลายหายสิ้นจึงได้ทำ�ทุกวิถีทางที่จะทำ�ลายสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะเผา หนังสือที่พวกเขาเขียนหรือไม่ก็บิดเบือนใส่ร้ายอิสลามทุกๆ ที่ที่พวกเขาจะสอดแทรกเข้าไปได้โดย เฉพาะสื่อทั้งในข่าวของพวกเขาที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกว่า “มุสลิมก่อการร้าย” หรือ “หัวรุนแรง” หรือหนังจาก Hollywood ที่มักเอาคนอาหรับหรือมุสลิมเป็นพวกโจรหรือพันธมิตรกับโจร ส่วน พวกเขาจะวางตัวเองเป็นพระเอกให้คนดูนั้นชื่นชมเป็นการปลูกฝังอุดมการณ์ของพวกเขานั่นเอง แต่นั่นเป็นการอวดดีและโง่เขลาสิ้นดีกับการต่อกลอนกับสัจธรรมและผู้สร้าง พวกเขาจะได้รับ

60

มดคันไฟ3


ในสิ่งที่พวกเขากระทำ�อย่างสาสม ดังที่อัลลอฮฺ ทรงกล่าวว่า “ส่วนบรรดา ผู้ศรัทธา และ ประกอบสิ่งที่ดีงามทั้งหลายนั้น พระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาโดยครบถ้วน ซึ่งรางวัลของ พวกเขา และจะทรงเพิ่มให้แก่พวกเขาด้วย จากความกรุณาของพระองค์ และส่วนบรรดาผู้ที่ หยิ่งและยโสนั้น พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา ด้วยการลงโทษอันเจ็บแสบ และพวกเขาจะไม่ พบผู้คุ้มครอง และผู้ช่วยเหลือใดๆ สำ�หรับพวกเขาอื่นจากอัลลอฮเลย “ ( อันนิซาอฺ4 / 173 ) ฉะนั้น ถ้าจะบอกว่าบุคคลที่เป็นตัวอย่างอย่างแท้จริงในโลกนี้ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน นั้นไม่มีใครแล้วนอกจากท่านนบีมูฮัมหมัด ก็ไม่มีความผิดอันใดทั้งในแง่ตรรกะและเหตุผลหรือ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ มาชาอัลลอฮฺ

(1) (2)

www.mureed.com/article/IITMB/100Ranking-P01.doc www.mureed.com/article/IITMB/100Ranking-P02.doc http://kaireyah.igetweb.com/index.php?mo=14&newsid=31231

61

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


62

มดคันไฟ3


“รักแรก.... (ก่อน)พบ”

รัก

โดย...Widad ‫وداد‬

แรกกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเต็มใจลำ�บากเพื่อฉัน ทั้งๆที่ เรายังไม่เคยพบกันด้วยซ้ำ�ไป… ผู้หญิง...ที่มากด้วยความอดทน อาสาเป็นภาระทำ�ทุก อย่างให้ฉัน ตั้งแต่รับรู้ถึงการมาเยือนของฉันจนกระทั่งแรกเริ่มลืมตา ผู้หญิง...ที่คอยโอบอุ้ม ถูกเนื้อต้องตัว ให้ฉันอิ่มด้วยหยาดน้ำ�นมอุ่นๆที่ กลั่นจากอกด้วยรัก ในขณะที่ฉัน ร้องไห้ โวยวาย เหมือนจะขับไสไล่ส่งด้วย ความไม่ประสีประสาของฉัน ผู้หญิง...ที่พยายามปลอบโยน กล่อมฉันให้หลับอย่างสบาย แม้เธอจะ ตรากตรำ� ขอบตาดำ� ปวดหลัง จะเมื่อยแขนชาขามากมายก็ตามที ถึง กระนั้น...เธอก็ยังอดทนต่อไป ผู้หญิง...ที่คอยพูดคุยกับฉันอย่างไม่เป็นภาษา ฝึกให้เริ่มเตาะแตะ ล้มบ้าง เจ็บบ้างเธอก็ยังอยู่ข้างๆเสมอ ผู้หญิง...ที่คอยพยุงด้วยสองมือให้ค่อยๆก้าว ใบหน้า รอยยิ้มและดวงตา ของเธอเป็นประกายด้วยความสุข ฉันจำ�ภาพเหล่านั้นไม่ได้หรอก แต่ฉันคิดว่า........ฉันรู้ รู้ว่าเธอให้ฉันมากกว่า ที่ฉันพร่ำ�บอกให้คุณรู้ซะอีก!


แม้กระทั่ง ปัจจุบัน ซึ่งฉันคิดว่าตัวเองโตพอที่จะเดินเพียงลำ�พัง ตัดสินใจ ทำ�อะไรได้ด้วยตัวเอง แต่ เธอ....ก็ยังไม่ไปไหน ยังคอยเป็นห่วง ถามไถ่ สิ่งใดที่ฉันต้องการ แค่ฉันเอ่ยปากบอกเธอคนนี้ของ ฉัน เธอพร้อมจะทำ�ให้ฉันเสมอ...แม้จะลำ�บากแค่ไหนก็ตาม เธอคอยปลอบยาม....ฉันเหนื่อย คอยให้กำ�ลังใจยาม....ฉันท้อ คอยแนะนำ�ตักเตือนยาม.....ฉันผิด และคอยบอกคอยสะกิดยาม... ฉันเผลอ ผู้หญิงคนนี้แหละ....คือแบบอย่างแรกในชีวิตของฉัน และเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ฉันหลงรักโดย ไม่รู้ตัว ฉันไม่อาจพรรณนาความอดทน ภาระ หน้าที่ที่เธอต้องแบกรับ และทุกสิ่งที่เธอคนนี้ทำ�ให้ฉัน ออก มาได้หมด เพราะมันมาก มากซะจนตัวฉันเองที่กลับจำ�ไม่ได้ว่า...อะไรบ้างที่เธอทำ�ให้ฉัน? แต่ฉันเชื่อว่าทุกคนรู้และได้สัมผัสพบเจอกับตัวเอง ตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตา จนถึงวินาทีนี้.... “หากคุณยังมีเธออยู่” นี่แหละสิ่งที่ฉันอยากจะย้ำ�ต่อตัวเองและพี่น้องของฉัน ประโยคนี้แหละ …..“หากคุณยังมีเธออยู่”

64

ความว่า ศอฮาบะฮฺ(สาวก) ท่านหนึ่งได้ถามท่านนบีมูฮัมหมัด ว่าผู้ใดที่ฉันควรทำ�ดีต่อเขา มากที่สุด ? ท่านตอบว่า “มารดาของท่าน” ศอฮาบะฮฺผู้นั้นได้ถามต่อว่าหลังจากนั้นล่ะ ? ท่าน

มดคันไฟ3


ตอบอีกว่า “มารดาของท่าน” เขาถามท่านต่ออีกว่า หลังจากนั้นเป็นผู้ใดต่อ ? ท่านศาสนฑูต ยังตอบอีกว่า “มารดาของท่าน”ศอฮาบะฮฺผู้นั้นยังไม่หยุดถามว่า หลังจากนั้นเป็นใครอีก? ใน ที่สุดท่านศาสนฑูตจึงตอบว่า “บิดาของท่าน” (บันทึกโดย อัล-บุคอรี 5971) เห็นรึเปล่า?...พี่น้องที่รัก อิสลามให้ความสำ�คัญและให้เกียรติกับผู้หญิงคนนี้มากแค่ไหน หากวันนี้ คุณยังมีเธออยู่ลองคิดดูว่าคุณจะทำ�อะไรให้เธอพอใจและทำ�อะไรเพื่อเธอได้บ้าง? และฉันเองก็จะ คิดทบทวนและระลึกถึงบุญคุณของเธอ และพยายามทำ�ให้เธอคนนี้ของฉันมีความสุขมากที่สุดเช่น กัน อินชาอัลลอฮฺ เพราะฉันกลัวเหลือเกิน กลัวว่า...ฉันและคุณอาจจะเสียใจ เมื่อต้องพูดว่า “หากย้อนเวลากลับไป ได้” เพราะนั่นเป็นเครื่องหมายหนึ่งที่แสดงว่า หน้าที่ที่ฉันและคุณพึงมีต่อเธอบกพร่องลงไปทุกทีๆ ในขณะที่เธอไม่เคยบกพร่องต่อหน้าที่ที่มีต่อเราเลย....น่าคิดนะ! คุณว่ามั๊ย? แต่...หากคุณไม่มีเธอแล้ว...สิ่งที่คุณทำ�ได้คือเป็นบ่าวที่ตักวา เป็นลูกที่ซอและหฺขอดุอาอฺให้แก่เธอ อย่างสม่ำ�เสมอ และดุอาอฺของลูกที่ซอและหฺจะส่งถึงเธออย่างแน่นอน อินชาอัลลอฮฺ อย่าลืมว่าวันนึง...คุณเองอาจต้องเป็นแบบอย่างแรกในชีวิต...ให้ใครซักคนหนึ่งได้หลงรักโดย ไม่รู้ตัว! สุดท้ายนี้ ฉันขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺ ผู้ทรงยิ่งในความเมตตาโปรดอภัยโทษแก่เธอผู้เป็นบุพการี ของฉันขอให้มั่นคงในศาสนาของพระองค์ ให้เป็นหนึ่งในบรรดาชาวสวรรค์โดยไม่ถูกสอบสวน และให้เราได้พบกันอีกครั้ง ณ สรวงสวรรค์ของพระองค์ ดินแดนที่ทุกคนปรารถนา ฉันเชื่อมั่นใน ความเมตตาของพระองค์เสมอ อามีน...ยาร็อบบิลอาละมีน

65

....................................................................................... แบบไหน?...ที่ใครก็ ”รัก”


66

มดคันไฟ3


“อัคลาก” จรรยา มารยาทในอิสลาม By... อัร-เราเฎาะฮฺ

เราเป็นบุคคลหนึ่งหรือเปล่าที่รักในความถูกต้อง แสวงหาแนวทางที่ดำ�เนินไปยังวิถีที่ ถูกต้อง อย่างไรก็ตามมนุษย์ทุกคนล้วนต่างก็มีความผิดพลาดด้วยกันทั้งสิ้น เราจะไม่มีทางรู้ได้ เลยว่าเรากำ�ลังเผชิญอยู่กับความผิดพลาดดังกล่าว ถ้าปราศจากการตรวจสอบและการไตร่ตรอง ถึงการกระทำ�ต่างๆของเรา โดยที่เราสละเวลาให้หมดไปอย่างไร้คุณค่ากับโลกดุนยา แบ่งเวลาให้ หมดไปกับการครุ่นคิดถึงเรื่องราวอันวุ่นวายบนโลกที่แสนจะไร้ซึ่งความจีรัง ลองผ่อนคลายด้วย กับการนั่งนิ่งๆ ท่ามกลางบรรยากาศของสายลมที่พัดพลิ้วอย่างช้าๆ ทำ�ใจให้สงบ ปล่อยตัวไปตาม สบายพร้อมกับการใช้สติปัญญาร่วมกับจิตใจอันแสนบริสุทธิ์ในการพินิจพิจารณาและตรวจสอบใน ความเป็นเรา... ทุกย่างก้าวในการดำ�เนินชีวิตแต่ละวันของฉัน เต็มไปด้วย... ความยำ�เกรง ความบริสุทธิ์ใจ ความสำ�รวม ความนอบน้อม ความมีสำ�นึก ตามปกติวิสัยของฉันแล้วฉันมักเป็นคนที่... ชอบช่วยเหลือ รักในความยุติธรรม รักในการปรองดอง รักการให้อภัย รักการมีเมตตา รักการขอบคุณ บุคลิกที่มักพบอยู่สม่ำ�เสมอในตัวของฉันคือ.... มีความอาย มีวาจาสัจจะ พูดน้อย มีบุคลิกน่าเกรงขาม มีความรับผิดชอบ สิ่งที่ฉันรังเกียจที่สุดคือ... การล้างแค้นปองร้าย การทะเลาะวิวาท พฤติกรรมการนินทา ความอิจฉาริษยา

67

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


ความตระหนี่ถี่เหนียว การฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย และสิ่งสำ�คัญที่สุดสำ�หรับฉันคือ รักเพื่ออัลลอฮฺ เกลียดเพื่ออัลลออฮฺ โกรธเพื่ออัลลอฮฺ ทุกอย่างเพื่ออัลลออฮฺ สร้างกฎเกณฑ์ที่เป็นไปได้ภายใต้ความพึงพอใจของเรา ให้คะแนนตัวเรา คะแนนเป็น ของเรา ประเมินตัวเราในวันนี้โดยตัวเราที่เป็นผู้ถูกสร้าง ก่อนที่จะถูกประเมินในวันพรุ่งนี้โดย พระเจ้าที่เป็นผู้ทรงสร้าง จะต้องอับอายกับใครหน้าไหนกันถ้าคะแนนของเราออกมาต่ำ� ละอายใจ ของเราแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว จะโอ้อวดป่าวประกาศให้ใครหน้าไหนฟังกัน ถ้าคะแนนที่เราได้คือหนึ่ง ร้อยคะแนนเต็ม ยิ้มรับและยินดีด้วยความภาคภูมิใจในตัวเราแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เรามีแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอันใดเลยใช่ไหมสำ�หรับบ่าวผู้ศรัทธา คนหนึ่งที่จะละเลยและไม่ปฏิบัติตาม แท้ทริงท่านร่อซูล ทรงเป็นผู้ที่สมบูรณ์ซึ่งจริยธรรมอัน สูงส่ง แน่นอนมันยังไม่สายสำ�หรับมนุษย์คนหนึ่งที่เขาจะกลับเนื้อกลับตัว และมีการเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่เขายังคงมีลมหายใจอยู่ “ และท่านได้ถูกถามว่าอะไรคือสิ่งที่เข้าอยู่ในสรวงสวรรค์มากที่สุด ท่านตอบว่าการ ยำ�เกรงต่ออัลลอฮฺ และพฤติกรรมที่ดี ” (รายงานโดยบุคอรีย์) และยังมีรายงานอีกว่า ท่านรอซุลุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “ พึงรู้เถิดว่า ฉันขอบอกกับท่านทั้งหลายถึงชาวนรกว่า ชาวนรกคือบรรดาผู้ที่ชอบ วิวาท ชอบความประพฤติทราม ไม่มีมารยาท เป็นผู้อหังการ ” (รายงานโดยบุคอรีย์) สุดท้ายนี้อยากฝากให้พี่น้องร่วมศรัทธาระลึกอยู่เสมอว่า... การมีพฤติกรรมที่เลวทราม นั้นทำ�ได้ไม่ยาก และการมีพฤติกรรมที่ดีงามนั้นก็ทำ�ได้ไม่ยากเช่นกัน แต่ผลของมันต่างกันดุจดั่ง นรกและสวรรค์ จงใช้สติปัญญาไตร่ตรอง นึก ครุ่นคิด และใคร่ครวญ ...

.............................................................................

68

มดคันไฟ3


เสร็จสิ้นจากการทำ�ภารกิจบนโลกดุนยา การเรียน การทำ�งาน หรือกิจกรรม ต่างๆ กลับเข้าสู่บ้านอันแสนอบอุ่นหรือหอพักห้องใหญ่ด้วยความเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย ปลด กระดุม ถอดเสื้อ ถอดกางเกง ถอดกระโปรง ถอดหิญาบ ซึ่งเย็บจากผ้าที่ผ่านการเลือกสรรอย่าง พิถีพิถันก่อนซื้อแล้วว่าต้องเป็นผ้าที่มีขนาดพอดีร่าง เนื้อผ้านุ่ม เบา รู้สึกสบายตัวทุกครั้งที่ได้สวม ใส่ นำ�พาตัวเองไปสู่ห้องน้ำ� พร้อมทั้งรีบเปิดน้ำ�สาดใส่ร่างกาย ชำ�ระล้างขัดถูเหงื่อไคลทำ�ความ สะอาดด้วยความสดชื่นสบายใจ ปฏิบัติอิบาดะห์จนครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนเข้านอนด้วยชุดนอน ชุดสะอาดและพริ้วไหว กลิ่นน้ำ�ยาปรับผ้านุ่มผสมผสานกับกลิ่นสบู่อ่อนๆ ที่ติดอยู่ทั่วทั้งเรือนร่าง ก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเดี่ยวขนาด 4x7 ฟุต หมอนหนุนศีรษะใยนุ่นธรรมชาติแท้ 100% พร้อม ชุดหมอนข้างอันน่ากอดอีกสองใบ บรรยากาศชวนหลับจนแทบไม่อยากจะถอนตัวออกมาจาก ที่พักแห่งนั้น อัลฮัมดุลิลลาฮฺสำ�หรับพื้นที่พักพิงอันแสนจะสะดวกสบายแห่งนี้ ในขณะเดียวกัน จากอนัส กล่าวว่า “ท่านร่อซูล ท่านรับประทานอาหาร (ขนมปัง) หยาบ ท่านสวมเครื่องนุ่งห่มหยาบๆ ท่านสวมใส่เครื่องนุ่งห่มที่ทำ�จากขนสัตว์ ” (รายงานโดยท่านฮากิม) และจากพระนางอาอิชะห์ กล่าวว่า “ ที่นอนที่ท่านร่อซูล ใช้นอนคือหนังสัตว์” (รายงานโดยมุสลิม) มาชาอัลลอฮฺ... ย้อนมองดูท่านศาสดาของเราสิ ท่านแสดงออกถึงความมักน้อยต่อ อัลลอฮฺ ในด้านความสุขแห่งชีวิต เป็นแบบอย่างในเรื่องของความมักน้อยและสมถะในการใช้ชีวิต ได้อย่างงดงามยิ่ง แล้วเราล่ะ ? ยังเลือกที่จะไขว่คว้าหาความสะดวกสบายในชีวิตอย่างไม่ลืมหูลืมตาอีก หรือไม่ ยังคงมองบุคคลที่สูงกว่า ผู้ที่มีมากกว่า และยังไม่พอใจในสิ่งที่เรามีอีกหรือไม่ ? จงใช้สติ ปัญญาทบทวน ครุ่นคิด และไตร่ตรอง ! ... โดย...อัรเราเฎาะฮฺ

69

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


70

ถ้าทำ�ตัวเองให้เป็นแสงสว่าง ไปที่ไหนก็ย่อมทำ�ให้ คนรอบข้างสว่างตามไปด้วย... แต่หากทำ�ตัวเองให้เป็นความมืด ไม่ว่าอยู่ที่ไหนที่นั่นก็ยิ่งมี แต่ความมืด... ((แสงสว่างแห่งทางนำ�))

มดคันไฟ3


เจอยัง?_ _ _ _ความสุข By...ละอองดิน

ความสุข....นามธรรมที่จับต้องได้โดยใช้ความรู้สึก เพียงคำ�หนึ่งคำ�ที่ประกอบด้วย พยัญชนะไม่กี่พยางค์ แต่กลับมีคนเป็นแสนเป็นล้านที่ต้องการมัน และเราต่างก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยไม่อาจที่จะปฏิเสธ! แล้วอะไรล่ะคือความสุข? เราจะพบความสุขได้ยังไง? --- บางคนคิดว่า...ความสุข คือ ยศฐาบรรดาศักดิ์ ตำ�แหน่งและอำ�นาจ พวกเขาจึงขวนขวายและ พยายามทุกวิธีทางเพื่อจะได้มันมา แต่แล้ว...เขาก็ไปไม่ถึงครึ่งทางของความสุข --- บางคนคิดว่า...ความสุข แค่มีเงิน มีทอง ต้องการอะไร เงินซื้อได้ทุกอย่าง พวกเขาจึงก้มหน้า ก้มตาเก็บเงินสะสมทองจนเป็นมหาเศรษฐี แต่แล้ว...เขาก็ไม่พบกับความสุขอย่างที่คิดไว้ --- บางคนคิดว่า...ความสุขอยู่กับครึ่งหนึ่งของชีวิตที่ขาดหายไป พวกเขาจึงทำ�ทุกอย่างเพื่อให้ได้ ครึ่งชีวิตที่เหลือนั้นมาเติมเต็ม แต่แล้ว...ความสุขวูบวาบก็อยู่ได้ไม่นาน ซักพักก็ผ่านเขาไป อ้าว! งั้นจะมีใครล่ะ ที่จะพบความสุขจริงๆ นั่นซิ ลืมอะไรไปรึเปล่า? สิ่งสำ�คัญสำ�หรับเราในฐานะที่เป็นมุสลิม วิถีชีวิต ระบบความคิดของเราต้อง อยู่ในหนทางแห่งอิสลาม เพราะอิสลามคือความสันติ ถูกส่งมาเพื่อปูรากสร้างสุขตั้งแต่วินาทีแรก จน นิรันดร์ แต่นั่นก็อยู่ที่ว่า...เรายอมให้อิสลามเข้าไปมีส่วนร่วมในการใช้ชีวิตมากน้อยเพียงใดก็ เท่านั้นเอง! เราลองมาดูตัวอย่างของผู้ที่ทั้งหัวใจและชีวิตคืออิสลาม...พวกท่านเหล่านี้พบกับความสุขแบบใด

71

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


*** ความสุขส่วนหนึ่งแบบท่านนบีมูฮัมหมัด ท่านได้พบกับความสุข ขณะที่ท้องของท่านหิว... ท่านไม่เคยอิ่มจากอาหารสามคืน ติดต่อกันเลย นับตั้งแต่ระยะเวลาที่ท่านมาอยู่มะดีนะฮฺจนถึงท่านเสียชีวิต บ้านของท่านไม่มีควัน ออกจากเตาเป็นเวลาถึงสามเดือน แล้วเราล่ะ นี่คือ สุข หรือ ทุกของเรา? *** ความสุขส่วนหนึ่งแบบท่านอบูบักรฺ อัศ-ศิดดีก ท่านได้พบกับความสุข ขณะที่ท่านบริจาคทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อหนทาง ของอัลลอฮฺ ครั้นเมื่อท่านนบี ถามว่า... แล้วท่านเหลืออะไรไว้ให้ครอบครัวบ้างล่ะ? ท่านอบูบักรฺ ตอบว่า... “ฉันได้เหลือไว้แก่พวกเขาซึ่งอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์” มาชาอัลลอฮฺ แล้วเราล่ะ เราจะยอมแลกขนาดนี้ไหม ? *** ความสุขส่วนหนึ่งแบบท่านอุมัรฺ อัล-ฟารูก ท่านได้พบกับความสุข ในขณะที่ท่านอยู่บนแท่นมินบัรฺกล่าวคุฏบะฮฺ เสื้อคลุมของท่าน มีรอยปะถึงสิบกว่าที่ ซึ่งในเวลานั้นท่านเป็นถึงเคาะลีฟะฮฺผู้ยิ่งใหญ่! แล้วเราอีกล่ะแบบนี้ จะเรียก สุขได้จริงหรือ? ยากไปรึเปล่าพี่น้อง? กับการตามหาความสุขในชิวิตตามวิถีแห่งอิสลามอิสลาม ใช่ มันยาก เอาการ! หากหัวใจของเราไร้ซึ่งอีหม่านและความยำ�เกรง ไร้ซึ่งเป้าหมายและความเข้าใจของชีวิตที่แท้จริง ลองสร้างมันขึ้นมาซิ หัวใจแห่งอีหม่าน ลองลิ้มรสชาติความหอมหวานของมันดู ลองคิดแบบนบี และเหล่าศอฮาบะหฺ อย่าหลอกตัวเองเลยว่า..สุขได้ไม่ต้องใช้อิสลาม เพราะสุขเหล่านั้นมันคือสุข ที่นัฟซูเรียกร้อง ตอบสนองโดยชัยฏอน สุขของปลอม อีกเดี๋ยวเดียวก็หายไป

72

มดคันไฟ3


อย่ากลัวไปเลยว่าจะไม่พบกับความสุข ความสุขไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเราหรอก เราไม่ต้อง เหน็ดเหนื่อยถึงกับต้องเดินทางไกลเพื่อไปหา เพราะทุกๆวันเรามีโอกาสได้พบกับความสุข ความ สุข อยู่กับเรา อยู่ใกล้ๆ ตัวเรา และอยู่ในหัวใจเรา ได้พบกับความสุข...ผู้ซึ่งบริจาคทรัพย์สินของเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ มือซ้ายไม่รู้ ไร้ซึ่งความ โอ้อวด ได้พบกับความสุข...ผู้ซึ่งกิเลสตัณหา ได้เรียกร้องเชิญชวนเขา แต่เขาเมินหนี ปฏิเสธต่อข้อเรียก ร้องของมัน และแน่นอนได้พบกับความสุข...ผู้ซึ่งหัวใจของเขาอิ่มเอิบไปด้วยรัศมีของอีหม่าน หัวใจนอบน้อม เกรงกลัวและสำ�นึกผิดต่อเอกองค์อัลลอฮฺ ลองปรับเปลี่ยนวิธีคิดและการใช้ชีวิตดูใหม่นะ นอกจากสุขในดุนยาแล้ว อัลลอฮฺ สัญญาไว้ว่า เราจะพบกับความสุขที่นิรันดร์ในอาคิเราะหฺอีกด้วย “ผู้ที่เกรงกลัวผู้ทรงกรุณาปรานีโดยทางลับ และมาหา (พระองค์) ด้วยจิตใจที่สำ�นึกผิดกลับ เนื้อกลับตัว พวกเจ้าจงเข้าไปในสวนสวรรค์ด้วยความสันติ นั่นคือวันแห่งการพำ�นักอยู่ตลอด กาล” [ซูเราะห์:กอฟ:33-34] แล้วสุขใดเล่า จะสุขเท่าการได้เข้าสวรรค์ของอัลลอฮฺ เพราะนี่จะทำ�ให้เรากล้าตะโกนได้อย่างเต็มเสียงว่า... “ฉันเจอแล้วววว! ความสุขที่แท้จริง อัล ฮัมดุลิลลาหฺ”

.................................................................................

73

แบบไหน?...ที่ใครก็”รัก”


มดคันไฟ 3 ตอน:แบบไหน?...ที่ใครๆก็”รัก”

วารสารชมรมนักศึกษามุสลิมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี บรรณาธิการ ที่ปรึกษา พิสูจน์อักษร ปกและรูปเล่ม ประสานงาน

74

มดคันไฟ3

: MeJii’ra Misiam : Teerawut Muhummud : ไฟซ้อล คับ , Ruwaida Buranasin : Fursanul Haq , Wang Wn : Abu Ansor Kolbunsaleem , Krirkwit Teeravajanadet

จัดพิมพ์โดย ชมรมนักศึกษามุสลิม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 126 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร 10140


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.