จัดทาโดย นักศึกษาหลักสูตรสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
เอกสารประกอบการศึกษาภาคสนามนอกภูมิภาค
พระนครศรีอยุธยา ระว่างวันที่ ๑๘ – ๒๔ มกราคม ๒๕๕๘ ณ ภาคตะวันตกและภาคกลางของประเทศไทย
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
เอกสารเล่มนี้จัดทาขึ้นเพื่อเป็นให้ความรู้ และเพื่อเป็นประโยชน์สาหรั บ นักศึกษา ในการศึ ก ษานอกภู มิ ภ าค ประจ าปี ก ารศึ ก ษา ๒๕๕๘ ที่ อุ ท ยานประวั ติ ศ าสตร์
พระนครศรีอยุธยา ไว้อย่างกระชับและน่าสนใจ เอกสารเล่มนี้ประกอบด้วยเนื้อหาทางด้านประวัติศาสตร์ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แม่ น้ าสายส าคั ญ และ บริ เ วณอุ ท ยานประวั ติ ศ าสตร์ พ ระนครศรี อ ยุ ธ ยา ประกอบด้ ว ย พิพิ ธ ภัณ ฑสถานแห่ ช าติ เ จ้าสามพระยา วัด มหาธาตุ วั ด หน้ า พระราม วิห ารมงคลบพิ ต ร วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระราชวังโบราณ วัดใหญ่ชัยมงคล และวัดพนัญเชิง เพื่อให้นักศึกษา และผู้ที่สนใจได้ศึกษาและนาความรู้ที่ได้รับไปบู รณาการในชั้นเรียนและนาแปรับใช้ในการ เรียนการสอนได้ อย่างเหมาะสม หวั ง เป็ น อย่ า งยิ่ ง ว่ า เอกสารประกอบการศึ ก ษาภาคสนามนอกภู มิ ภ าค ประจ าปี การศึ ก ษา ๒๕๕๘ ที่ อุ ท ยานประวั ติ ศ าสตร์ พ ระนครศรี อ ยุ ธ ยา เล่ ม นี้ จะเป็ น ประโยชน์ กับศึกษา และผู้ที่สนใจ
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
สารบัญ ประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา แม่นาเจ้าพระยา แม่นาลพบุรี แม่นาป่าสัก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา วัดมหาธาตุ วัดหน้าพระราม พระวิหารมงคลบพิตร วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระราชวังโบราณ วัดใหญ่ชัยมงคล วัดพนัญเชิง
๑ ๒ ๓ ๔ ๖ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๓ ๑๕ ๒๐ ๒๒
เอกสารประกอบการศึกษาภาคสนามนอกภูมิภาค
พระนครศรีอยุธยา ระว่างวันที่ ๑๘ – ๒๔ มกราคม ๒๕๕๘ ณ ภาคตะวันตกและภาคกลางของประเทศไทย
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๑
พระนครศรีอยุธยา นครประวัตศิ าสตร์มรดกโลก
อยุธยาเป็นเมืองหลวงของสยามเป็นเวลาทั้งสิ้น ๔๑๗ ปี สมเด็จพระรามธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอยู่ทอง) ทรง สถาปนากรุงศรีอยุธยา เมื่อวันศุกร์ที่ ๔ มีนาคม พ.ศ.๑๘๙๓ และล่มสลายลงในสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๑๐ อยุธยามีกษัตริย์ปกครองทั้งหมด ๓๔ พระองค์ จาก ๕ ราชวงศ์ (มีราชวงศ์ อู่ทอง สุพรรณบุรี สุ โ ขทั ย ปราสาททอง และบ้ า นพลู ห ลวง) มี พ ระพุ ท ธศาสนาแบบหิ น ยานเป็ น ศาสนาประจ าอาณาจั ก ร แต่ ใ น ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อด้านวิญญาณและพระพุทธศาสนาแบบมหายานเจือปนอยู่ด้วย สาหรับในสถาบันกษัตริย์ของ อยุธยา ก็ยังใช้พิธีกรรมที่เป็นพราหมณ์เป็นการสร้างอานาจและความศักดิ์สิทธิ์ เป็นการผสมระหว่างหลัก ธรรมราชา และ เทวราชา
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๒
กรุ ง ศรอยุ ธ ยาตั้ ง อยู่ บ นเกาะที่ มี แม่น้า ๓ สาย ล้อมรอบ ซึ่งทาหน้าที่เป็นคู เมือง ได้แก่ แม่น้าเจ้าพระยา เป็นคูเมือง ด้านทิศตะวันตก และแม่น้าลพบุรี เป็นคู เมืองด้านทิศเหนือ และแม่น้าป่าศักดิ์ เป็น คูเมืองด้านทิ ศตะวันออก ภูมิศาสตร์ของ ที่ตั้งกรุงที่มีแม่น้า ๓ สายล้อมรอบนี้ ทาให้ อยุธยาสามารถควบคุมเส้นทางคมนาคมที่ สาคัญของราชอาณาจักรไว้ได้ อันส่งผลให้ ควบคุมกลไกทางการเมืองการปกครอง หัวเมือง ทหาร และการค้าไว้ที่ศูนย์กลางของราชอาณาจักร ยิ่งไปกว่านั้น ที่ราบลุ่มแม่น้าเจ้าพระยาและที่ราบลุ่มแม่น้าสายต่างๆ ในที่ราบภาคกลาง ทั้งแม่น้าแม่กลอง ท่าจีน บางปะกง ทาให้พื้นที่แถบนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย ข้าวปลาอาหาร
แม่นาเจ้าพระยา แม่น้าเจ้าพระยามีความยาวประมาณ ๓๖๐ กิโลเมตร โดยมีจุดเริ่มต้นที่ปากแม่น้าโพ ในเขตอาเภอเมือง จังหวัดนครสรรค์ ซึ่งเป็นจุดบรรจบของแม่น้าปิงและแม่น้าน่าน แม่น้าปิง มีต้นกาเนิดมาจากดอยถ้วยในเทือกเขาแดนลาว อาเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นแม่น้า สายเล็ก ๆ ไหลลงสู่ทางใต้เฉลีดใกล้เมืองหริภุณชัย ผ่านอาเภอจอมทอง อาเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านเข้าสู่ จังหวัดตาก กาแพงเพชร และนครสวรรค์ ไปสิ้นสุดที่ปากน้าโพ รวมความยาวประมาณ ๗๑๕ กิโลเมตร แม่น้าน่าน แม่น้านี้โบราณเรียกว่า แควใหญ่ มีต้นกาเนิดมาจากเทือกเขาหลวงพระบาง ในเขตอาเภอ ปั ว จั ง หวัด น่ าน ไหลผ่ า นจั งหวั ดน่ า น สุ โ ขทั ย อุ ตรดิ ต ถ์ พิษ ณุ โ ลก พิ จิ ตร แล้ ว จึ งไหลไปรวมกับ แม่น้ าปิ ง
ที่ปากน้าโพ จังหวัดนครสวรรค์ รวมความยาวประมาณ ๗๔๐ กิโลเมตร แม่น้ายม มีต้นกาเนิดมาจากทิวเขาผีปันน้า บริเวณดอยภูรังกา อาเภอปง จังหวัดพะเยา ไหลผ่านที่ ราบในอาเภอปง ผ่านอาเภอม่ ว น จั งหวัดพระเยา มาบรรจบกับล าน้างาวที่สบงาว อาเภอสอง จังหวัดแพร่ จากนั้ นไหลวกไปทางตะวัน ตก ผ่ านจังหวัดสุโขทัย แล้ วไหลไปทางตะวันออกเฉียงใต้ใกล้แม่น้าน่าน ก่อนที่ จะบรรจบกั น ที่ ป ากน้ าเกยไชย บ้ า นเกยไชย อ าเภอชุ ม แสง จั ง หวั ด นครสวรรค์ รวมความยาวประมาณ ๗๐๐ กิโลเมตร
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๓
แม่น้าวัง เป็นแม่น้าอยู่ในภาคเหนือของไทย เกิดในเทือกเขาผีปันน้าในเขตจังหวัดเชียงราย มีความยาว ๓๘๒ กิโลเมตร ไหลไปรวมกับแม่น้าปิง ที่อาเภอบ้านตาก จังหวัดตาก ก่อนจะไหลไปที่แม่น้าเจ้าพระยา ลุ่มน้าวัง เป็นลุ่มน้าในลาดับที่ ๗ จากจานวนลุ่มน้าทั้งหมด ๒๕ ลุ่มน้าของประเทศมีพื้นที่ประมาณ ๑๐,๗๙๑ ตาราง กิโลเมตร หรือ ๖,๗๔๖,๒๕๐ ไร่ เป็นแควที่มีขนาดเล็กและสั้นที่สุดของแม่น้าเจ้าพระยา มีความยาวตามลาน้า ประมาณ ๔๖๐ กิโลเมตร เกิดจากเทือกเขาผีปันน้า บริเวณดอยหลวง บ้านป่าหุ่ง อาเภอพาน จังหวัดเชียงราย ที่ตั้งของเมืองหลวงอยุธยาอยู่ห่างจากปากแม่น้าหรืออ่าวไทยประมาณ ๑๔๓ กิโลเมตร (ตามเส้นทาง ของแม่น้า) ระยะทางที่เหยียดยาวนี้สืบเนื่องจากการที่แม่น้าไหลคดเคี้ยวเลี้ยวลดผ่านปทุมธานี นนทบุรี บากกอก (กรุงธนบุรีและกรุงรัตนสินทร์) ออกสู่ทะเลที่สมุทรปราการ ดังนั้น ในสมัยที่อ ยุธยาต้องการที่จะส่งเสริมการค้า และการคมนาคมระหว่างเมืองหลวงกับต่างอาณาจักรอื่นๆ โดยทางทะเล จึงได้มีการขุดคลองลัดเพื่อย่นระยะทาง ของแม่น้ารวม ๔ ช่วงด้วยกัน คือ คลองลัด บางกอก (ขุดเมื่อ พ.ศ.๒๐๗๗ – ๒๐๘๐ สมัยพระไชยราชาธิราช) คลองลัดเชียงราก (ปทุมธานี ขุดเมื่อ พ.ศ.๒๑๕๑ สมัยพระเจ้าทรงธรรม) คลองลัด บางกรวย (หรือลัดเมืองนนท์ ขุ ด เมื่ อ พ.ศ.๒๑๗๘ สมั ย พระเจ้ า ปราสาททอง) และลั ด เกร็ ด (ปากเกร็ ด นนทบุ รี ขุ ด เมื่ อ พ.ศ.๒๒๖๕ สมัยพระเจ้าท้ายสระ)
แม่นาลพบุรี แม่น้าลพบุรีเป็นแม่น้าสายสั้นๆ มีความยาวประมาณ ๘๕ กิโลเมตร โดยเป็นแม่น้าที่แยกออกมาขาก แม่น้าเจ้าพระยาทางฝั่งตะวันออก แยกตัวตั้งแต่ตอนใต้ของอาเภอเมืองสิงห์ บุรีไหลเข้าสู่เขตจังหวัดลพบุรี เมือง ลพบุรีเป็นเมืองสาคัญและเก่าแก่ที่ปรากฏร่องรอยชุมชนมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เป็นเมืองใหญ่ใน อาณาจักรเขมร และเป็นเสมือนเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่งในสมัยพระนารายณ์ แม่น้าลพบุรีไหลเข้าสู่เขตเมืองลพบุรี เป็นระยะทางไม่มากนักทางด้านใต้ของจังหวัดแล้วจึงไหลเข้าสู่อยุธยาผ่านอาเภอบ้านแพรก อาเภอมหาราช อาเภอบางปะหัง แล้วจึงไหลเป็น คลองเมือง ด้านทิศเหนือของเกาะกรุงศรีอยุธยา แล้งไหลไปบรรจบกับแม่น้า เจ้าพระยาที่ หัวแหลม ด้านตะวันตกของกรุง แม่น้าลพบุรีมีน้าน้อยในหน้าแล้ง
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๔
แม่นาป่าสัก แม่น้ าป่ าสักมีต้นน้ าในเขตเทือกเขาเพชรบูรณ์ ไหลผ่านอาเภอต่างๆ เกือ บจะทุกอาเภอของจังหวัด เพชรบูรณ์ แล้วไหลผ่านพื้นที่ด้านตะวันออกของลพบุรี และเป็นแม่น้าสานสาคัญของจังหวัดสระบุรี ไหลเข้าสู่ อยุธยาไหลบรรจบกับแม่น้าเจ้าพระยาที่ คุ้งสาเภาล่ม หรือบางกะจะหน้าป้อมเพชรและหน้าวัดพนัญเชิง อนึ่ง แม่น้าป่าสักที่เป็นคูเมืองด้านทิศตะวันออกนั้น เดิมทีนั้นแม่น้าป่าสักไหลรวมกั บแม่น้าลพบุรีด้านคู เมืองทิศเหนือ แต่เนื่องในคราวป้องกันสงครามกับพม่าในช่วงสงครามก่อนเสียกรุงครั้งที่ ๑ จึงได้มีการขยาย
อาณาเขตกรุงออกมาด้านตะวันออก และให้ขุด คูเมืองขื่อหน้า ตั้งแต่หัวรอไปจนถึง บางกะจะขึ้นเพื่อเป็นคูเมือง ซึ่งในปัจจุบันก็เรียกชื่อคลองคูขื่อหน้านี้ว่า แม่น้าป่าสัก แม่น้าป่าสักมีความยาวประมาณ ๕๐๐ กิโลเมตร เป็น แม่น้าที่มีเกาะแก่งมากไม่สะดวกต่อการเดินเรือ
คลอง คลองสาคัญในเกาะกรุงศรีอยุธยา ส่วนใหญ่เป็นคลองที่เชื่อมแม่น้าลพบุรีกับแม่น้าเจ้าพระยาหรือเชื่อม จากเหนือลงใต้ทั้งนี้เพื่อดึงน้าเข้ามาใช้ในเมืองด้วย คลองในกรุงมีมากกว่า ๑๐ สาย ที่ยังทราบชื่อได้แก่ คลองในไก่ (หรือคลองมะขามเรียง เชื่อมจากวังหน้า
แถวหัวรอลงมาถึงแถวป้อมเพชร) คลองประตูจีน (ตัดผ่านหน้าวัดราชบูรณะและวัดมหาธาตุ ซึ่งคลองช่วงหน้าวัด นี้จนถึงแม่น้าลพบุรีบางทีเรียกชื่อว่าคลองประตูข้าวเปลือก) คลองประตูเทพหมี คลองฉะไกรน้อย คลองฉะไกร ใหญ่ (หรือคลองท่อ ซึ่งเป็นคลองที่ตัดผ่านด้านท้ายพระราชวังโบราณ และเป็นแหล่งน้าสาหรับใช้สอยที่สาคัญ ของพระบรมมหาราชวังด้วย) ขณะเดียวกันก็มีคลองอีกหลานสายที่วางแนวขวาง เชื่อตะวันออก-ตะวันตก เพื่อ เชื่อมคลองทุกสายในกรุงเข้าด้วยกัน ส่วนพื้นที่ฝั่งนอกกรุงศรีอยุธยาโดยรอบนั้น ก็มีคลองสายสาคัญๆ เช่น พื้นที่ด้านตะวันออก เช่น คลองวัด เดิม (คลองหันตรา หรือแม่เบีย้ ) คลองวัดประดู่ คลองบ้านบาตร (หรือคลองกะมัง) คลองข้าวสาร และคลองสวน พลู ทุกคลองเชื่อมต่อกันเป็นแหล่งชุมชนหนาแน่นและหลากหลายเชื้อชาติในสมัยอยุธยา ทั้งยังเป็นตลาดการค้า ของสินค้าจากหัวเมืองและต่างอาณาจักร เป็นเขตโรงต้มกลั่นสุรา โรงเลียงหมู และแหล่งขายข้าวเปลือก และท่า จอดเรือสาเภา เป็นต้น
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๕
พื้นที่นอกเกาะกรุงด้านใต้มี คลองคูจาม เป็นเส้นทางลัดสาหรับเรือเล็กที่ไม่สามารถพายทวนกระแสน้า ของแม่น้าเจ้าพระยาได้ โดยเข้าทางปากคลองตะเคียนฝั่ งตะวันตกของแม่น้าเจ้าพระยา พานทวนน้าตามคลอง ขึ้นมาแล้วออกแม่น้าเจ้าพระยาบริเวณวัดพุทไธษวรรย์ ชุมชนในเขตคลองคูจามเป็น แขก ทั้งชาวชวาและมลายู นับถือศาสนาอิสลามเป็นสาคัญ พื้นที่นอกเกาะกรุงด้านเหนือ มีคลองมหานาค ที่ขุดเชื่อมเกาะกรุงกับทุ่งภูเขาทองและคลองสระบัว ซึ่ง เป็นคลองที่อยู่ด้านเหนือของพระราชวังหลวง ที่ใช้เป็นเส้นทางไปยังเพนียดคล้องช้างและแม่น้าลพบุรี โดย คลองสระบัวมีชุมชนบ้านหม้อย่านวัดครุฑที่ทา นางเลิ้ง โอ่งน้าดินเผาสีแดงไม่เคลือบทาขายในสมัยอยุธยา
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๖
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา เป็นพิพิธ ภัณฑ์ที่ ส าคัญที่สุ ดในจังหวัดอยุธ ยา และจัดแสดงศิลปวัตถุสมัยอยุธยาที่สาคัญ ๆ พิพิธภัณฑ์ แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒ จากเงินที่ประชาชนขอ เช่ า พระพิ ม พ์จ ากกรมศิ ล ปากรที่ขุ ด ได้ จากกรุวั ด ราช บูรณะ เป็นจานวนเงินทั้งสิ้น ๓,๔๑๖,๙๒๘ บาท เปิดให้ เข้าชมเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ และโดยเหตุ ที่ วั ด ราชบู ร ณะสร้ า งขึ้ น ในสมั ย เจ้ า สามพระยา พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ แ ห่ ง นี้ จึ ง ใช้ พ ระนามของพระองค์ เ ป็ น ชื่ อ พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ด้ ว ย ตั ว พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ตั ว พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ประกอบด้วย อาคารหลัก ๓ อาคาร ๑. หมู่อาคารเรือนไทย สร้างคร่อมอยู่บนสระ จัดแสดงเพื่อรักษารูปแบบเรือนไทยแบบภาคกลาง และจัดแสดงสิ่งของเครื่อง ใช้ต่าง ๆ ภายในเรือนอาศัยของคนไทยภาคกลางในอดีต ๒. อาคารศิลปะในประเทศไทย เป็นอาคาร ๒ ชั้น จัดแสดงศิลปวัตถุสมัยต่าง ๆ ที่รวบรวมได้จากจังหวัดอยุธยา เช่น สมัยทวารวดี (พระพุทธรูปหินประทับยืนบนหัวของพนัสบดี พระพุท ธรูปสาริดประทับยืนปางประทานพร) สมัยศรีวิชัย (เศียรพระ สาริด) สมัยลพบุรี (พระพุทธรูปสาริดปางประทานพร ปางนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร) สมัยสุโขทัย (เครื่อง กระเบื้องเคลือบต่าง ๆ โดยเฉพาะตุ๊กตา) สมัยเชียงแสน สมัยอยุธยา (ฐานพระพุทะรูปทาจากดินเผา มีรูปพระแม่ธรณี และเศียรพระพุทธสาวกที่ทาจากดินเผา) สมัยรัตนโกสินทร์ (แผ่นหินอ่อนจาหลักเรื่อง รามเกียรติ์ จากวัดโพธิ์)
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๗
๓. อาคารตึกเจ้าสามพระยา เป็นอาคารหลักที่สาคัญที่สุด เพราะเก็บศิลปวัตถุอยุธยาชิ้นที่ถือว่าสาคัญ ๆ
ชั้นล่าง - เศียรพระพุทธรูปสาริดขนาดใหญ่จากวัดธรรมิกราช เป็นศิลปะแบบอู่ทอง ซึ่งนอกจากแสดงให้เห็นการบรรลุ ถึงความงดงามตามลักษณะพุทธศิลป์แล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความรู้ความสามารถในเรื่องโลหะและ การหล่อโลหะ ของอยุธยา - แนวตู้กระจกทางด้านขวามือของห้องโถงชั้นล่างจัดแสดงพระพุทธรูปหลายสกุลช่าง และหลายแบบที่พบใน องค์พระมงคลบพิตร และที่ได้มาจากวัดราชบูรณะ เศษปูนปั้นศิลปะแบบอยุธยาที่ประดับเจดีย์วัดมหาธาตุ (เช่น ครุฑ
และสุครีพถอนต้นรัง) - พระพุทธรูปทวารวดีขนาดใหญ่ ที่เคลื่อนย้ายมาจากวัดหน้าพระเมรุ เช่นเดียวกับพระประธานในวิหารเขียน ของวัดหน้าพระเมรุ
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๘
- เครื่องปั้นดินเผาชิ้นขนาดเล็กที่จัดแสดงอยู่อย่างเช่น คนอุ้มเด็กและไก่ ชาวต่างชาติ (ดัทช์) กับสุนัข เป็นต้น - ส่วนแนวด้านซ้ายมือของโถงชั้นล่าง จัดแสดงเครื่องไม้จาหลักต่าง ๆ เช่น ทวารบาล ประตูไม้จากวัดพระศรี สรรเพชญ์ บานประตูไม้ลายพรรณพฤกษาจากวัดวิหารทอง และหน้าบันไม้จาหลักรูปนารายณ์ทรงสุ บรรณแวดล้อม ด้วยอสูร เป็นต้น - เชิงบันไดสุดห้องโถง จัดแสดงหัวเรือรูปครุฑไม้แกะสลัก เป็นตัวอย่างของหัวเรือรูปสัตว์ต่าง ๆ ที่ใช้กันอยู่ใน สมัยอยุธยา
ชั้นบน จัดแสดงข้าวของต่าง ๆ ตั้งแต่เครื่องเคลือบหลายสกุล จากหลายประเทศ เศียรพระและพระพุทธรูป แบบจาลองอาคาร เครื่องปั้นดินเผาภาพพระบฏเขียนสี ธรรมาสน์ไม้แกะสลัก และตู้พระธรรมที่งดงามอยู่หลายใบ แต่ ที่สาคัญที่สุดคือ ห้องที่อยู่ปลายโถงทั้งสองอัน ได้แก่ ห้องมหาธาตุ จัดแสดงเครื่องทอง และพระบรมสารีริกธาตุที่พบอยู่กับกรุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีแผนภาพอธิบายให้ เข้าใจถึงลักษณะการประดิษฐานพระธาตุที่ถือกันว่าสาคัญที่สุดของอาณาจักรอยุธยา อีกทั้งยังได้จัดแสดงผอบทั้งเจ็ด ชั้นที่บรรจุพระธาตุ และที่สาคัญที่สุดคือ จะได้เห็นองค์พระธาตุอีกด้วย ห้องราชบูรณะ จัดแสดงศิลปวัตถุที่ค้นพบภายในกรุของวัดราชบูรณะ ซึ่งเป็นทองคาและอั ญมณีทั้งหมด อันมีพระแสงขรรค์ชัย ศรี แผ่นทองดุนลายนูนประกอบกันเป็นองค์จาลองของตัวพระปรางค์ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ขนาดย่อส่วน กรองพระศอ สังวาลทับทรวง สร้อยพาหุรัด ทองพระกร ซึ่งเป็นทองประดับอัญมณี จุลมงกุฎใช้ครอบมุ่นมวยผมของบุรุษ ส่วนของ สตรีนั้นเป็นเส้นทองขนาดเล็กมาก ถักเป็นตาข่ายโปร่งครอบศีรษะของสตรี
หมวดเครื่องราชูปโภคย่อส่วน มีทั้งเป็นรูปภาชนะต่าง ๆ เช่น ผอบ กระปุก ถาด พาน หีบ ภาชนะ รูปหงส์ ทั้งตัว ตลับขนาดเล็กเป็นแมลงทับและช้างทรงเครื่องนั่งหมอบ ชูงวงเป็นพวงอุบะหรือช่อดอกไม้ เครื่องทองเหล่านี้ นอกจากความงดงามในเชิงศิลปะแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นความมั่งคั่งของราชสานักอยุธยาอีกด้วย อาคาร 2
Chao Sam Phraya National Museum อาคาร 3
อาคาร 1
๙
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
วัดมหาธาตุ
พระนครศรีอยุธยา วัดมหาธาตุ กรุงศรีอยุธยา เป็น ๑ ในวัดที่จัดอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์ พระนครศรี อ ยุ ธ ยาเป็ น ศู น ย์ ก ลางทาง ศาสนาที่ ส าคั ญ ที่ สุ ด ในกรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา เ พ ร า ะ น อ ก จ า ก เ ป็ น ที่ ป ร ะ ดิ ษ ฐ า น พระบรมธาตุ ก ลางเมื อ งแล้ ว ยั ง เป็ น ที่ พ านั ก ของ สมเด็ จ พระสั ง ฆราช ฝ่ า ย คามวาสี วั ด แห่ ง นี้ จึ ง ได้ รั บ การก่ อ สร้ า ง และ ดูแลตลอดเวลาวัดแห่งนี้จึงได้รับการ ก่อสร้างและดูแลตลอดเวลา
ประวั ติ สั น นิ ษ ฐานว่ า วั ด นี้ ไ ด้ ริ เ ริ่ ม สร้ า งองค์ พ ระมหาธาตุ ขึ้ น ในแผ่ น ดิ น สมเด็ จ บรมราชาธิ ร าชที่ ๑ (ขุนหลวงพระงั่ว) แต่อาจจะยังไม่สาเร็จในรัชกาลของพระองค์ จนถึงรัชกาของสมเด็จพระราเมศวรจึงทรงสร้างเพิ่มเติม จนเสร็จบริบูรณ์เป็นพระอาราม แล้วขนานนามว่า ”วัดมหาธาตุ” ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.๒๑๕๓-๒๑๗๑) พระปรางค์เคยพังลงมาเกือบครึ่งองค์ถึงชั้นครุฑ ต่อมาสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงบูรณะใหม่โดยเสริมพระมหาธาตุ ให้สูงยิ่งขึ้น รวมเป็นความสูง ๒๕ วา ดังปรากฏในพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า “ศักราช ๙๙๕ (พ.ศ.๒๑๗๖) ปี ร ะกา เบญจศก ทรงพระกรุ ณ าให้ ส ถาปนาพระปรางค์วัดพระมหาธาตุ อันทาลายลง เก่ าเดิม ในองค์สู ง ๑๙ วา ยอดนภศูลสูง ๓ วา จึงดารัสว่าทรงเก่าล่านัก ให้ก่อใหม่ไห้องค์สูงเส้น ๒ วา ยอดนภศูลคงไว้ เข้ากันเป็นเส้น ๕ วา ก่อ แล้วเห็นเพรียวอยู่ ให้เอาไว้มะค่ามาแทรก ตามอิฐเอาปูนบวก ๙ เดือนสาเร็จให้กระทาการฉลองเป็นอันมาก” หลังจาก รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแล้ว ก็ไม่ปรากฏเรื่องราวของวัดมหาธาตุอีกเลยครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่ข้าศึก ครั้งหลังใน พ.ศ.๒๓๑๐ ในคราวนั้นวัดมหาธาตุถูกไฟไหม้เสียหายมาก พระอุโบสถและวิหาร ตลอดจนกุฏิสงฆ์ถูกเผา ผลาญยับเยิน คงเหลือแต่ซากผนังและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วัดมหาธาตุก็ได้กลายเป็นวัดร้าง จนกระทั่งพระยาไชยวิชิต (เผือก) ผู้รักษาการกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลที่ ๓ ทาการซ่อมวัดหน้าพระเมรุที่ริมครองสระบัวขึ้นใหม่หมดทั้งวัด จึงได้ เชิญพระพุทธรูปองค์นั่งห้องพระบาทไปประดิษฐานไว้ในวิหารน้อย ซึ่งอยู่ในวัดหน้าพระเมรุจนบัดนี้
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๑๐
วัดพระราม
พระนครศรีอยุธยา วัดพระราม ตั่งอยู่นอกเขตพระราชวัง
ไปทางด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามกับวิหารพระ มงคลบพิ ต ร ปั จ จุ บั น คื อ “สวนสาธารณะ บึงพระราม” ซึ่งใช้เป็นที่สาหรับพั กผ่ อนของ นักท่องเที่ยวและชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ประวัติ วัดพระรามนั้น คาดว่าถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ ในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวร ซึ่งเป็นบริเวณที่ ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) พระราชบิดาแต่พระองค์ทรงครองราชย์ ได้เพียง แค่ปีเดียว จึงเข้าใจกันว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ทรงได้ช่วยเหลือให้สร้าง จนสาเร็จก็ได้ หรืออาจจะสร้างเสร็จ เมื่อสมเด็จพระราเมศวรเสวยราชย์ครั้งที่ ๒ ก็เป็นไปได้
จุดทีน่ า่ จนใจ พระปรางค์ พระปรางค์อ งค์ ใหญ่ ตั้ง อยู่ บนฐานสี่ เ หลี่ ย ม สู ง แหลมขึ้ น ไปด้ า นบนทางด้ า นทิ ศ ตะวั น ออก มีพระปรางค์องค์ขนาดกลางองค์ส่วนทางตะวันตกทาเป็นซุ้มประตู มีบันไดสูงจากฐานขึ้นไปทั้งสองข้างที่มุมปรางค์ ประกอบด้วยรูปสัตว์หิมพาน มีปรางค์ขนาดเล็กตั้งอยู่ทางทิศเหนือ และ ใต้รอบๆปรางค์เล็กมีเจดีย์ล้อมรอบอีก ๔ ด้าน นอกจากนี้ยังมีเจดีย์เล็กบ้าง ใหญ่บ้างอยู่รอบๆ องค์พระปรางค์ประมาณ ๒๘ องค์วัดพระรามนี้เป็นที่น่าสังเกตอย่าง หนึ่ง คือ กาแพงวัดพระรามด้านเหนือ มีแนวเหลื่อมกันอยู่กาแพงด้านตะวันออก ตะวันตก และด้านใต้ มีซุ้มประตูค่อน ไปทางทิศตะวันตกได้ระดับกับมุมระเบียงด้านตะวันตกเฉียงเหนือของปรางค์ส่วนแนวเหลื่อมนั้นได้ระดับกับมุมระเบียง ตะวันออกเฉียงเหนือของปรางค์ ไม่มีซุ้มประตู คล้ายเจตนาสร้างไว้เพื่อประสงค์อะไรอย่างหนึ่ง
๑๑
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
วิหารพระมงคลบพิตร พระนครศรีอยุธยา
วิหารพระมงคลบพิตร ตั้งอยู่ติดกับพระราชวังโบราณ ทางทิศใต้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นโบราณสถาน สาคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สันนิษฐานกันว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นราวแผ่นดินสมเด็จพระ บรมไตรโลกนาถ ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมายหลายครั้ง เช่น ยอดมณฑปต้องอสนีบาต (ฟ้าผ่า) ไฟไหม้เครื่องบน มณฑปหักพังลงมาต้องพระเศียรพระพุทธรูปหัก(สมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ) เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 วิหารและ พระพุทธรูปถูกไฟไหม้ ชารุดทรุดโทรม เครื่องบนวิหารหักลงมาต้องพระเมาฬีและพระกรข้างขวาหัก กระทั่งรัฐบาล สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงได้เริ่มการบูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารและองค์พระพุทธเสียใหม่ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามานมัสการหลวงพ่อมงคลบพิตรก่อนจะเข้าชมพระราชวังโบราณ
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๑๒
พ ร ะ ม ง ค ล บ พิ ต ร เ ป็ น พระพุ ท ธรู ป ปางมารวิ ชั ย ครองจี ว รห่ ม เฉี ย ง เปิ ด พระอั ง สาขวามี สั ง ฆาฏิ พ าด เหนือ พระอั งสาซ้ าย ชายยาวลงมาจรด พระนาภี ภายในองค์ก่ออิฐเป็นแกนแล้วบุ ด้ ว ยทองสั ม ฤทธิ์ มี ข นาดหน้ า ตั ก กว้ า ง ๙.๕๕ เมตร ส่วนสูงเฉพาะองค์พระไม่รวม ฐานบั ว ๑๒.๔๕ เมตร ส่ ว นฐานบั ว สู ง ๔.๕๐ เมตร พระเศี ย รวั ด โดยรอบตรง บริเวณเหนือพระกรรณ ๗.๒๕ เมตร พระพักตร์กว้าง ๒.๓๒ เมตร บัวหงายระหว่างพระรัศมีกับพระเกศาเมาลีสูง ๔๓ เซนติเมตร พระรัศมีเหนือ บัวหงายสูง ๑.๓๐ เมตร พระกรรณยาวข้างละ ๑.๘๑ เมตรพระเนตรยาวข้างละ ๑.๐๕ เมตร พระนาสิกยาว ๑.๒๐ เมตร พระโอษฐ์ยาว ๑.๑๖ เมตรและเป็นพระพุทธรูปหล่อขนาดใหญ่องค์เดียวในประเทศไทย สันนิษฐานกันว่า สร้าง ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นราวแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
๑๓
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยา
เป็ น วั ด พุ ท ธาวาสที่ ไ ม่ มี พระสงฆ์จาพรรษาเพื่อประกอบ พิ ธี ส าคั ญ ต่ า ง ๆ ของบ้ า นเมื อ ง และเก็บอัฐิ ของพระมหากษัตริย์ เปรี ย บได้ กั บวั ด พระศ รี รั ต น ศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง ในกรุงเทพมหานคร
วัดพระศรีสรรเพชญ ตั้งอยู่ในเขตพระราชวังโบราณ เป็นวัดพุทธาวาสที่ไม่มีพระสงฆ์จาพรรษาเพื่อ ประกอบพิธีสาคัญต่าง ๆ ของบ้านเมือง และเก็บอัฐิของพระมหากษัตริย์เปรียบได้กับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพมหานครปัจจุบันเหลือเพียงซากอิฐปูนและเจดีย์สามองค์ที่ตั้งต ระหง่านเป็น จุดเด่น เดิมในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ใช้เป็นที่ประทับ ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้าง พระ ราชมณเฑียรขึ้นใหม่ทางตอนเหนือ แล้วจึงโปรดฯให้ยกเป็นเขตพุทธาวาส เพื่อประกอบพิธีสาคัญต่าง ๆ ของ บ้านเมือง จึงเป็นวัดในเขตพระราชวังที่ไม่มีพระสงฆ์จาพรรษา แตกต่างกับวัดมหาธาตุสุโขทัย ที่มีพระสงฆ์จา พรรษา ทั้งวัดมหาธาตุ สุโขทัย วัดพระศรีสรรเพชญ์ อยุธยา และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่างก็ถูกสถาปนาขึ้น
ในมูลเหตุการณ์สร้างวัดเดียวกันนั่นคือ "สร้างเพื่อ เป็นวัดประจาพระราชวัง"
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๑๔
ต่อ มาในปี พ .ศ. ๒๐๓๕ รั ช สมัย ของสมเด็จ พระรามาธิ บ ดี ที่ ๒ พระองค์ ท รงโปรดเกล้ าฯ ให้ ส ร้ า ง พระสถูปเจดีย์องค์ตะวันออก เพื่อบรรจุพระอัฐิของพระราชบิดา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และพระสถูปเจดีย์ องค์กลางเพื่อบรรจุพระอัฐิ ของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ ผู้เป็นพระเชษฐาหลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๐๔๒ พระองค์โปรดให้สร้างพระวิหารหลวงขึ้นในปีต่อ มาพ.ศ. ๒๐๔๓ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ทรงสร้างพระวิหาร ทรงหล่ อพระพุท ธรู ป ยื น สู ง ๘ วา (ประมาณ ๑๖ เมตร) หุ้ ม ด้ว ยทองค า หนัก ๒๘๖ ชั่ง (ประมาณ ๑๗๑ กิโลกรัม) ประดิษฐานไว้ในวิหาร ถวายพระนามว่าพระศรีสรรเพชญดาญาณซึ่งภายหลังเมื่อเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ องค์พระพังยับเยินรัชกาลที่ ๑ จึงโปรดเกล้าฯให้ย้ายมาประดิษฐานวัดพระเชตุพนและ บรรจุชิ้นส่วนซึ่งบูรณะ ไม่ได้เหล่านั้นไว้ในเจดีย์องค์ใหญ่ที่สร้างขึ้นแล้วพระราชทานชื่อเจดีย์ว่า เจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณเจดีย์ องค์ที่ ๓ ถัดมาจากด้านทิศตะวัน ตกเป็ น เจดีย์ บ รรจุพระอัฐิ ของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ซึ่งสมเด็จพระบรม ราชาธิราชที่ ๔ (พระหน่อพุทธางกูร) พระราชโอรสได้โปรดให้สร้างขึ้น เจดีย์ทั้งสามองค์นี้เป็นเจดีย์แบบลังกา ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมพระองค์โปรดเกล้าฯให้สร้าง พระที่นั่งจอมทองตั้งอยู่ใกล้ๆ กาแพงทางด้าน ติดกับวิหารพระมงคลบพิตร เพื่อ ให้เป็นสถานที่ให้พระสงฆ์บอกเล่าหนังสือพระสงฆ์ ราวรัชสมัยสมเด็จ พระ เจ้าอยู่หัวบรมโกศมีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดหลวง แห่งนี้เป็นครั้งแรก ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวพระยาโบราณราชธานินทร์สมุห เทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า ได้ดาเนิน การขุดสมบัติจากกรุภายในเจดีย์
พบพระพุทธรูปเครื่องทองมากมาย และในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามได้มีการบูรณะ วัดนี้จนมีสภาพที่เห็นอยู่ ในปัจจุบัน
๑๕
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
พระราชวังโบราณ พระนครศรีอยุธยา พระราชวั ง โบราณมี วั ด พระศรี ส รรเพชญ์ อ ยู่ ท างทิ ศ ใต้ ทิศเหนือจรดคลองเมือ ง (แมน้ า ลพบุรี) ซึ่งฝั่งตรงข้ามคลองคือวัด ห น้ า พ ร ะ เ ม รุ ด้ า น ห น้ า ข อ ง พระราชวั ง เป็ น ท้ อ งสนามหน้ า พระที่นั่งจักรวรรดิ ไพชยนต์ หรือ สนามหลวง ซึ่ ง ใช้ ใ นการชุ ม นุ ม
ขนาดใหญ่ทางการทหาร ด้านทิศตะวันออกมีวัดธรรมิกราช บึงพระราม และมีโรงม้าหลวงเรียงรายตามถนนหน้าวังด้านทิศตะวันตก เป็นเขตท้ายวัง มีคลองและแนวถนนดินกั้นเป็นลาดับชั้นก่อนที่จะมาถึงแนวกาแพงวัง ๒ ชั้น แต่ละชั้นสูง ๘ ศอก และ มีทางเดินอยู่บนแนวกาแพงสาหรับทหารประจายาม พระราชวังโบราณแบ่ งเขตพื้น ที่เป็ น ๓ ส่ว น ส่ ว นแรกเป็นพระราชฐานชั้นนอก พื้นที่ส่ วนใหญ่เป็นท้อง สนามหลวง ส่วนที่สอง เป็นเขตพระราชฐานชั้นกลาง มีอาคารสาคัญๆ ได้แก่ พระที่นั่งวิหารสมเด็จมหาปราสาททอง พระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์มหาปราสาท และส่วนที่สาม เป็นเขตพระราชฐานชั้นใน อาคารที่สาคัญคือพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์มหาปราสาท พระนั่งตรีมุข และพระที่นั่งทรงปืน
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๑๖
พระราชวังโบราณ พระที่นั่งตรีมุข พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์
ท่าวาสุกรี
พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์
พื้นที่ของฝ่ายในสร้างด้วยไม้ จึงสูญสลายไป
วัดพระศรีสรรเพชญ์
บริเวณหน่วยงานราชการ พระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์
และศาลาขุนนาง
พระที่นั่งวิหารสมเด็จ
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๑๗
พระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ สร้างในสมัยพระเจ้าปราสาททอง เมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๕ เป็นอาคาร ๓ ชั้นคร่อมอยู่บนกาแพงพระราชวังด้านทิศ ตะวันออก ค่อนลงไปทางทิศใต้ ริมท้องสนามหลวง ใช้ประทับทอดพระเนตรการยกทัพพยุหยาตรา และการมหรสพ พระที่นั่งวิหารสมเด็จมหาปราสาท พระที่นั่งองค์นี้อยู่ทางทิศใต้ของพระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท มียอดปรางค์ห้ายอดหลังคามุงดีบุก ยอดหุ้ม
ดีบุกปิดทอง เป็นพระที่นั่งที่สร้างขึ้นแทนพระที่นั่งมังคลาภิเษกในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากเกิดฟ้าผ่า ไฟไหม้ ใน พ.ศ. ๒๑๘๖ ที่พระที่นั่งเรือนหน้าและหลัง ตบอดจนห้องคลัง ต่อเนื่องกันถึง ๑๑๐ เรือน พระเจ้าปราสาท ทองจึงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อมหาปราสาทขึ้นใหม่ใช้เวลา ๑ ปี พระที่นั่งองค์นี้ใช้ในการประกอบพระราชพิธีต่างๆ เช่น พระ ราชพิธีราชาภิเษก พระราชพิธีโสกันต์ เป็นต้น พระที่นั่งองค์นี้ได้รับการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่อี กครั้ง โดยเปลี่ยนเครื่องบน ทั้งหมดในสมัยพระเจ้าบรมโกศ โดยโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ซึ่งเป็นกรมพระราชวังบวรฯ (วังหน้า) เป็นแม่ งานควบคุมการบูรณะ ใช้เวลา ๑๐ เดือน จึงแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๒๘๕ ตรงพระที่นั่งมังคลาภิเษก พระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท
สร้างในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นพระที่นั่งองค์กลางของหมู่มหาปราสาท ๓ องค์ วางตัวยาวตาม แนวตะวันออก-ตะวันตก มีหลังคา ๕ ชั้น ยอดหุ้มดีบุกปิดทอง พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระที่นั่งองค์นี้ตามพระราช ประสงค์ เช่น รับรองคณะทูตเคยใช้รับรองราชทูตโปรตุเกสในสมัยพระรามาธิบดีที่ ๒ รับรองราชทูตกัมพุชประเทศ ใน สมัยพระเพทราชารับรองราชทูตจากกรุงศรีสัตนาคนหุต และราชทูตจากลังกาในสมัยพระบรมโกศ พระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท ยังใช้ในพระราชพิธีปราบดาภิเษกในสมัยพระเพทราชา พระเจ้าเสือ พระเจ้า ท้ายสระ พระราชพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าเอกทัศ พระราชพิธีอุปราชาภิเษก และปราบดาภิเษกของพระเจ้าอุทุมพร ใช้ในพระราชพิธีโสกันต์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ สมัยพระเพทราชา พระที่นั่งองค์นี้ได้รับการบูรณะในสมัยพระเจ้าบรมโกศ โดยปรับปรุงเครื่องบนทั้งหมด แล้วปิดทองทั้งสิ้น
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๑๘
พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์มหาปราสาท ชื่อว่าสร้างสมัยสมเด็จพระนารายณ์ โดยสร้างทับพระที่นั่งองค์เดิม คือ พระที่นั่งเบญจรัตนมหาปราสาท ซึ่ ง สร้ า งในสมั ย สมเด็ จ พระบรมไตรโลกนาถ พระที่ นั่ ง มี ลั ก ษณะเป็ น จั ตุ ร มุ ข ตั ว อาคารทอดยาวไปทางทิ ศ ตะวันออก-ตะวันตก ส่วนด้านทิศเหนือ-ใต้ มีมุขสั้นๆ ยื่นออกมา อาคารก่ออิฐถือปูน สูง ๒๕ วา ยอดเป็นพรหม พักตร์ เหนือขึ้นไปมีฉัตรปิดทอง ๕ ชั้น เครื่องบินทั้งหมดปิดทอง ส่วนหลังคานั้นมุงด้วยกระเบื้องซึ่งทาจากดีบุก ตรงกลางของพระที่นั่งตั้งพระบัลลังก์ พระที่นั่งองค์นี้เคยใช้ประดิษฐานพระบรมศพของพระนารายณ์ และยังเป็น พระนามที่เรียกขานกันอีกชื่อหนึ่งของพระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์องค์สุดท้ายของอยุธยา พระที่นั่งองค์นี้ได้รับการ บูรณปฏิสังขรณ์เครื่องบนครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าบรมโกศ และทาเครื่องบนใหม่อีกครั้งในสมัยพระเจ้าเอกทัศ ซึ่ง พังทลายลงโดยปืนใหญ่ของกองทัพพม่าคราวศึกพระเจ้าอลองพญา พระที่นั่งบรรยงค์รัตนาสน์มหาปราสาท หรือ “พระที่นั่งท้ายสระ” สร้างในสมัยสมเด็จพระเพทราชา เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ อยู่บริเวณฝ่ายในด้านท้ายวัง ใช้เป็นที่ประทับของ กษัตริย์หลายพระองค์ ได้แก่ พระเพทราชา พระเจ้าท้ายสระ พระเจ้าบรมโกศ เป็นพระที่นั่งที่ตั้งอยู่บนเกาะที่มี
สระน้ากว้าง ๖ วา ล้อมรอบขอบสระ ด้านนอกมีกาแพงแก้วสูง ๖ ศอก ล้อมรอบอาคารพระที่นั่งเป็นทรงจัตุรมุข เครื่องยอดเป็นมณฑป มีพรหมพักตร์ หลังคามุงด้วยกระเบื้องดีบุก กลางสระด้านเหนือมีพระตาหนักที่ให้พระมา เทศน์มหาชาติคาหลวงทุกปี กลางสระด้านตะวันออกเป็นพระที่นั่งไม่มีหลังคา เป็นพระที่นั่งทรงดาว กลางสระ ด้านใต้เป็นพระที่นั่งโถง เพื่อประทับโปรยข้าวตอกเลี้ยงปลาในสระ ด้านตะวันตกมีอ่างแก้ว มีภูเขาจาลอง มีน้าตก อาคารหลังนี้ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าบรมโกศ พระที่นั่งตรีมุข ไม่ ท ราบว่ า สร้ า งในสมั ย ใดและถู ก ท าลายลงเมื่ อ ใด พบแต่ ซ ากฐาน ในสมั ย พระบาทสมเด็ จ พ ระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงให้สร้างพลับพลาตรีมุข เพื่อประกอบพระราชพิธี บวงสรวงบรรพกษัตริย์ในวาระที่พระองค์ครองราชย์ครบ ๔๐ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ ซึ่งเป็นเวลายาวนานเท่ากับพระ บรมไตรโลกนาถ แห่งอยุธยา
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๑๙
นอกเหนือจากพระที่นั่งสาคัญที่ สุด ๓ องค์ และที่รองลงมาอีก ๔ องค์แล้ว ในบริเวณพระราชวังยังมี ปราสาทต่างๆ อีกมากมาย ตามคาให้การชาวกรุงเก่าและคาให้การขุนหลวงหาวัด ยังมีอาคารที่อยู่อาศัยของพระ บรมวงศานุวงศ์อีกมาก รวมไปถึงหน่วยงานต่างๆ และอาคารหลากชนิด เช่น หอพระราชสาสน์ ศาลาลูกขุน หอ ไตร โรงช้าง โรงม้า โรงรถ โรงปืนใหญ่ อาคารต่างๆ นั้นได้ประดับประดาไปด้วยลวดลายปิดทอง ล่องกระจก ล่องชาด มีประติมากรรมรูปสัตว์ต่างๆ ทั้งในจินตนาการ และในธรรมชาติ ตลอดรวมไปถึงการจัดต้นไม้นานาพันธุ์ ประดับประดาสลับกับสวน และสระน้าใหญ่น้อย หลังสงครามเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๑๐ พระราชวังโบราณนี้
ก็ถูกทิ้งร้าง ซึ่งในสมัยต่อมาได้มีการขนย้ายซากอิฐจากอยุธยาลงมาเป็นวัสดุพื้นฐานในการสร้างกรุงเทพทวารวดีศรี อยุธยา หรืออยุธยา ให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง (กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์) พระที่นั่งทรงปืน อยู่ท้ายวังด้านทิศตะวันตก ต่อจากพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ พระที่นั่งองค์นี้ไม่ทราบแน่ชัดว่าสร้างสมัย ใด ใช้เป็นท้องพระโรงสาหรับเสด็จออกว่าราชการแผ่นดินในสมัยที่กษัตริย์ราชวงศ์บ้านพลูหลวง นิยมประทับที่ พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ เมื่อคราวที่พระเจ้าบรมโกศประชวรหนักก็ทรงมอบราชสมบัติแก่กรมพระราชวังบวรฯ (กรมขุนพรพินิต) แล้วเสด็จสวรรคตบนพระที่นั่งองค์นี้
พระเจ้าตากก็เคยเสด็จมาประทับ ณ พระที่นั่งองค์นี้หลังจากได้รับชัยชนะในการรบกับก๊กสุกี้พระนายกอง ที่ค่ายโพธิ์สามต้น และน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทาให้พระองค์ทรงตัดสินพระทัยเลือกเมืองธนบุรีให้เป็นศูนย์กลางทาง การเมืองใหม่แทนอยุธยา ทั้งนี้เพราะได้สุบินว่าบูรพกษัตริย์อยุธยามิได้มีพระราชประสงค์ให้พระองค์ประทับอยู่ที่นี่
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘ เจดี ย์ วั ด ใหญ่ ชั ย มงคล เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นมองเห็น แต่ ไ กลทางด้ า นตะวั น ออกของ
๒๐
วัดใหญ่ชัยมงคล
พระนครศรีอยุธยา
กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาขณะที่ เจดี ย์ ภู เ ขา ทอ ง เป็ น สั ญ ลั ก ษณ์ ที่ โ ด เ ด่ น ทางด้านทิศตะวันตก กระเบื้องเชิงชาย ทาหน้าที่ปิดปลายกระเบื้องแผ่นสุดท้าย ด้านล่างทาเป็นขามาสอดเข้าไปในกระเบื้องคว่าตัวสุดท้าย
สั น นิ ษ ฐานว่ า วั ด ใหญ่ ชั ย มงคล เป็ น วั ด ที่ สร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่ทองหลังการสร้างกรุง
วัดป่าแก้ว เป็นวัดของพระสงฆ์ที่สืบมาจากสานักของ
ศรี อ ยุ ธ ยาเมื่ อ ปี พ .ศ .๑๘๙๓ ไม่ น านนั ก โดย
พระวันรัตนมหาเถระในลังกา ที่เน้นทางวิปัสสนาธุร ะถือการ
พระองค์ ไ ด้ ขุ ด พระศพของเจ้ า แก้ ว เจ้ า ไทยที่
บ าเพ็ ญ ภ าวนาเป็ น ส าคั ญ สมเด็ จ พระวั น รั ต น์ เป็ น
สิ้นพระชนม์ด้วยอหิวาตกโรค เอาขึ้นมาเผาเสียและ
พระสังฆราชฝ่ายขวา (ส่วนพระสังฆราชฝ่ายซ้ายหรือคันถธุระ
ที่ ป ลงพระศพนั้ น ให้ ส ถาปนาพระเจดี ย์ แ ละพระ
คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ที่เน้นการศึกษาพระไตรปิฎก)
วิหาร แล้วให้นามว่า วัดป่าแก้ว
วัดป่าแก้ว ในพงศาวดารอาจเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า วัดเจ้าพระยาไทย หรือวัดพระยาไทย ชาวบ้านเรียกวัดนี้ว่า วัดใหญ่ ซึ่งเกี่ยวกับการสร้าง มหาเจดีย์ เมื่อ คราวที่พ ระนเรศวรรบชนะพระ มหาอุปราชาแห่งพม่า ทาให้อยุธยาประกาศเป็น อาณาจักรอิส ระได้อีกครั้ง พระองค์จึงได้
ผังมหาเจดีย์
สร้างมหาเจดีย์ ชัยมงคล องค์นี้ขึ้นมาที่วัด นี้ และชื่อวัดจึงเปลี่ยนจากวัดป่าแก้ว มาเป็น วัดใหญ่ชัยมงคล
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๒๑
วัดใหญ่ชัยมงคล หันหน้าไปทางทิศตะวันออกมีกาแพงล้อมรอบเป็นสี่เหลี่ยม (๑๓๐.๘๐ x ๑๘๓.๗๐ เมตร) ในปัจจุบันทางวัดได้ขยายพื้นที่ไปทางตะวันออกจัดทาเป็นสวนเฉลิมพระเกียรติพระนเรศวรมหาราช ทางเข้าวัดในปัจจุบันถูกบังคับโดยถนนที่ตัดผ่านด้านหลังของวัด โดยมีลานจอดรถทางด้านทิศเหนือ ดังนั้นผู้ ที่มาทาบุญและมาเยือนยังวัดนี้จึงต้องเข้าทางประตูทิศเหนือ ทาให้ต้องเดินผ่านเขตสังฆวาสหรือที่อยู่ของพระสงฆ์ จึง เข้าสู่เขตพุทธาวาส ด้านซ้ายมือเป็นวิหารพระนอนขนาดใหญ่ที่ปรักหักพัง มีพระนอนหรือพระไสยาสน์หันพระพักตร์ไปทางทิศ ตะวันออก พระเศียรไปทางทิศใต้ ซึ่งองค์เดิมนั้นได้ถูกนักแสวงโชคขุดทาลายจนพังไปหมดแล้ว องค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ สร้างขึ้นมาใหม่ ถัดมาเป็นเขตพระอุโบสถ (๑๕.๙๐ x ๔๔ เมตร) ที่อยู่ด้านหน้าของพระมหาเจดีย์ กาแพงด้านข้างทั้งสองของ พระอุโบสถหลังเดิมยังได้รับการรักษาไว้โดยสร้างอุโบสถหลังใหม่ซ้อนขึ้นมา เชื่อกันว่านี่คือพระอุโบสถที่เหล่าขุนนาง และพระเฑียรราชา (ต่อมาคือพระมหาจักรพรรดิ) ได้มาชุมนุมกันเสี่ยงเทียน เพื่อตัดสินใจว่าจะร่วมกันทาการยึด อานาจจากองค์กษัตริย์ขุนวรวงศาธิราชและพระแม่เจ้าอยู่หัวศรีสุดาจันทร์หรือไม่
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๒๒
วัดพนัญเชิง
พระนครศรีอยุธยา
วัดพนัญเชิง (เดิมเรียกวัดพระเจ้าพแนงเชิง) ตั้งอยู่นอกเกาะเมืองทางทิศใต้ ริมแม่น้าเจ้าพระยาทางทิศ ตะวันออก ตรงบริเวณปากน้าขนาดใหญ่ซึ่งแม่น้าป่าสักและแม่น้าเจ้าพระยามาบรรจบกันในสมัยอยุธยาเป็นราธานี
วัดพนัญเชิงและชุมชนโดยรอบ เชื่อกันว่ามีอยู่ตั้งแต่ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะเป็นราธานีใน พ.ศ.๑๘๙๓ ถึง ๒๖ ปีสิ่งที่สาคัญที่สุดก็คือพระพุทธรูปปางสมาธิ ขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง ๒๐ เมตร ๗ เซนติเมตร สูง ๑๙ เมตร ซึ่งแต่ เดิมนั้น ประทับนั่ งอยู่กลางแจ้ง ชาวบ้านเรีย กว่า หลวงพ่อโต หรือชาวไทยเชื้อสายจีนเรียกว่า ซ้าปอกง และ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามว่า พระพุทธไตรรัตนนายก
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๒๓
ตานานกล่าวว่าเมื่อคราวจะเสียกรุงครั้งที่ ๒ มรน้าพระเนตรไหลลงมาถึงพระนาภี วัดและองค์พระชารุด เนื่องจากไฟไหม้ใน พ.ศ.๒๔๔๔ จึงได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ในบริเวณนั้นมีอาคารสาคัญอยู่ ๔ อาคาร คือ พระอุโบสถภายในมีพระพุทธรูป ๓ องค์ ซึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า พระเงิน พระทอง พระนาก เป็นพรุทะรูปแบบสุโขทัย ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง พระวิหารน้อย คู่ขนานกับพระอุโบสถ น่าจะเป็นอาคารคู่กันมาตั้งแต่ดั้งเดิมโดยตั้งอยู่ข้างหน้าพระพุทธรูป ใหญ่ ภายในพระวิหารน้อยมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยใหม่ที่วาดเป็นรูปโต๊ะหมู่บูชาแบบจีน วิหารใหญ่ ซึ่งมีหลวงพ่อโตเป็นพระประธาน สิ่งที่น่าชม คือ ไม้แกะสลักซึ่งจาหลักเป็นลวดลายพรรณไม้ สัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ซึ่งโผล่หรือหลบซ่อนหยอกล้อกันอยู่ในลวดลายต้นไม้ ทาให้เกิดชีวิตชีวาและความสนุกสนาน ส่วนตรงกลางบานแกะสลักเป็นลายดอกไม้ขนาดใหญ่ประดับด้วยเทพพนมและสัตว์ในเทพนิยาย ลายแกะสลักที่ งดงามเหล่านี้เป็นไปตามจารีตเดิมของบานประตูวังทั้งหลายในสมัยอยุธยา ผนังโดยรอบของวิหารใหญ่เจาะเป็นซุ้มขนาดเล็กตามศิลปะแบบเปอร์เซีย ภายในซุ้มมีพระพุทธรูปขนาด เล็กๆบรรจุไว้ซุ้มละองค์หรือสององค์ให้ความรู้สึ กเหมือนพระประธานขนาดใหญ่ประดับอยู่กลางพุทธจักรวาล สันนิษฐานว่าตัวอาคารน่าจะได้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปราสาททองหรือสมัยพระนารายณ์ อาคารหลังที่สี่ คือ เก๋งจีนขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ทางด้านข้างของพระวิหารใหญ่ ชาวบ้านเรียกอาคารเก๋งจีนนี้ว่า ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ตัวอาคารเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมแบบจีนซึ่งล้อมลานขนาดเล็กไว้ตรงกลาง ด้านหลังเป็นเรือนสองชั้น ชั้นบนประดิษฐานรูปเคารพ ซึ่งชาวบ้านเรี ยกว่า เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ตามตานานที่ เล่าสืบต่อกันมา
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๒๔
เอกสารอ้างอิง คู่มือท่องเที่ยว พระนครศรีอยุธยา นครประวัติศาสตร์มรดกโลก . (๒๕๔๗). สถาบันอยุธาศึกษา. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา. พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา . สืบค้นวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๘. จาก http://www.ayutthayastudies.aru.ac.th/content/view/356/116/.
๒๕
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
บันทึก ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………….………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๒๖
บันทึก ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………….………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒๗
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
บันทึก ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ภาคสนามนอกภูมภิ าค ประจาปีการศึกษา ๒๕๕๘
๒๘
บันทึก ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เอกสารประกอบการศึกษาภาคสนามนอกภูมิภาค
พระนครศรีอยุธยา ระว่างวันที่ ๑๘ – ๒๔ มกราคม ๒๕๕๘ ณ ภาคตะวันตกและภาคกลางของประเทศไทย