เรื่องลับในที่แจ้ง

Page 1

เรื่องลับในที่แจ้ง กรณีการมีกิจกรรมทางเพศของเพศชายในพื้นที่สาธารณะโดยรอบสถานศึกษา เรื่องโดย แทนทัต วชิรโอภาส ————————————————————————————————————————————————————————————— : เอกสารฉบับนี้ดำเนินเรื่องด้วยชื่อบุคคล ข้อมูลส่วนตัว และแอคเคาท์สมมติ หากแต่อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงทั้งสิ้น
 อาจมีถ้อยคำที่รุนแรง ไม่เหมาะสม และภาษาแสลง แต่คงข้อความดังกล่าวไว้เพื่ออรรถรสและความสมจริงของเหตุการณ์และบทสนทนา

“ดีครับ”
 “ชื่อไร” “เจม”
 “แถวไหน”
 “อย นน สส1” “แทนหาไร" “มาหาผมมั้ย ผมอยู่สยาม”
 “เอาท์ดอกัน”

“แทนครับ”
 “นี่ใครอ่า”

“20 62 170”
 “ราชเทวีครับ” “ไม่รู้เหมือนกัน” “อ่า...” ผมเงียบไปแค่นั้น... และปล่อยให้เวลาผ่านไป ก่อนจะลบบทสนทนานั้นออกจากสมาร์ทโฟน ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชินกับ การตอบชุดคำถามเหล่านี้เท่าไหร่ อยู่ที่ไหน? ทำอะไร? เจอกันไหม? คืนนี้ไปหาได้หรือเปล่า? ได้ยินทีไรก็พาลนึก สะอิดสะเอียนในความกระสันที่แผ่ซ่านออกมาผ่านคำพูดพวกนั้น แอคเคาท์ไลน์ของผมโลดแล่นอยู่ในมิติลี้ลับที่มีชื่อเล่นว่า ‘กวดวิชา จุฬาฯ สยาม’ เป็นเวลาเกือบๆ สัปดาห์แล้ว อันที่ จริงนอกจากกรุ๊ปนี้แล้ว ยังมี ‘ร่วมด้วยช่วย...คัน’ ‘Sex หมู่ มันส์ๆ’ และ ‘เด็กเรียนสามย่าน’ ทั้งหมดเป็นไลน์กรุ๊ปที่ผม พยายามแทรกตัวเข้าไปเพื่อศึกษาพฤติกรรมของพวกเขา โดยการโพสต์ไอดีไลน์ลงในเว็บบอร์ดเกย์ชื่อดังของเมืองไทย ‘ปาล์ม พลาซ่า’ ภายในกรุ๊ปมีการพูดคุยเรื่องเสียว แชร์ประสบการณ์ รูปภาพและคลิปวิดีโอ ร่วมถึงมีการนัดเล่น ‘เซ็กส์’ ในรูปแบบ ต่างๆ ตามแต่จุดประสงค์ของกรุ๊ปนั้นๆ นอกจากไลน์แอพพลิเคชั่นแล้ว โซเชี่ยลมีเดียอื่นๆ ก็สามารถผันตัวมาเป็น ‘แหล่งเสียว’ สำหรับเกย์ได้ ไม่ว่าจะเป็น แอคเคาท์ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กจำนวนมาก ที่มีใว้โพสต์หรือทวีตรูปโชว์อวัยวะเพศและข้อความเชิญชวนมีเพศสัมพันธ์โดย เฉพาะ รูปภาพพวกนี้จะถูกแชร์และรีทวีตมากขึ้นเมื่อเป็นการกระทำแบบ ‘เอาท์ดอร์’ จุดขายส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นคำว่า ‘นักเรียน’ หรือ ‘มหา’ลัย’ เพราะเครื่องแบบมันล่อใจเสียเหลือเกิน ในแอพพลิเคชั่นสำหรับเกย์ที่ได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็น แจ็กดี (Jack’d) ฮอร์เน็ต (Hornet) หรือ ไกรน์เดอร์ (Grindr) ก็มีการเขียนข้อมูลส่วนตัวเพื่อแสวงหาคนที่ชอบ ‘เอาท์ดอร์’ โดยเฉพาะ ผมไม่ได้คุยกับพวกเขาตรงๆ เหรอก ได้แต่ ‘ส่อง’ ดูข้อมูลแต่ละคนประกอบกับรูป ที่มีทั้งเห็นหน้า ไม่เห็นหน้า เน้นหุ่น เน้นเป้า ไปจนถึงโชว์อวัยวะเพศให้เห็นเลยก็มี ใครจะไปคิดว่ารอบๆ ตัวเรามีเรื่องพวกนี้อยู่จริงๆ การนัดมีเพศสัมพันธ์ในเขตสถานศึกษา โพสต์รูปโชว์อวัยวะเพศ ตามสถานที่ต่างๆ นัด ‘เอาท์ดอร์’ ทั้งเดี่ยว คู่ และหมู่กันอยู่ทุกวี่ทุกวัน เราไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่าคนที่นั่งอ่านหนังสือในห้อง สมุดข้างๆ เรา เพิ่งไปเสร็จกิจในห้องน้ำกับใครมาหรือเปล่า หรือคนที่เดินสวนกับเราเมื่อครู่ อาจกำลังมุ่งหน้าไป ‘ช่วย’ ใคร ที่ไหนก็ได้ แม้แต่ใน ‘มหา’ลัยสีชมพู’ ที่ผมเรียนอยู่เช่นกัน 1

อย นน สส. = อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง


I’m Park จุฬาฯเงี่ยนๆ

เงี่ยน (guest)
 มีป่ะครับวันนี้ตอนนี้? new (guest)
 ใส่เสื้อสีไรครับ ชั้นไหน กี่โมง Both (guest)
 เจอกัน 13.30 หน้าห้องน้ำไดโซะ เราใส่เสื้อสีขาว POP (guest)
 กำลังไป อยู่ไหน อยู่ชั้นสอง Both (guest)
 ห้องน้ำชั้นสอง เจอกันข้างใน Sitti (guest)
 > ห้องน้ำชั้นสอง เจอกันข้างใน ยังอยู่มั้ยครับ เงี่ยน อยากเอาน้ำออก “พี่ไม่เคยเจอนะ” พี่ยามประจำศูนย์การค้าแอมพาร์คเอ่ยขึ้น ผมมุ่งหน้ามาที่นี่ ตามลายแทงที่พวกเขาทิ้งไว้ใน ‘ปาล์มพลาซ่า’ เว็บบอร์ดที่มีมายาวนานหลายสิบปี เป็นแหล่งแลก เปลี่ยนพูดคุยออนไลน์ที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของชาวสีรุ้งเมืองไทย ปาล์มพลาซ่าแบ่งออกเป็นห้องย่อยๆ อีกหลายห้อง อย่าง ห้องเลิฟเวอร์ (Lover) ที่เป็นจุดชุมนุมหลักที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง หรือห้องอีวิล (Evil) ที่ใช้เป็นจุดนัดพบกันระหว่างชาว เกย์ ทั้งโพสต์นัดแนะเวลาสถานที่ร่วมเพศ และตั้งกรุ๊ปไลน์สำหรับพูดคุยตามรสนิยมเฉพาะ ซึ่งในห้องอีวิลนี่เองที่ทำให้พบกับ สถานที่หฤหรรษ์แห่งนี้ จากที่ผมสังเกตในห้องอีวิล สถานที่ที่ถูกใช้เป็นแหล่งนัดหมาย มักจะเป็นห้องน้ำที่ไม่มีคนพลุกพล่าน ตามอาคารหรือ สถานที่ต่างๆ อย่างที่นิยมกันโดยรอบจุฬาฯ ก็จะมี จามจุรีสแควร์ แอมพาร์ค สยามกิตติ์ สยามสแควร์วัน หรือแม้แต่ในห้าง สรรพสินค้าชื่อดังอย่างสยามพารากอน นอกจากนี้ยังมีการนัดหมายในเขตพื้นที่สถานศึกษาอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น อาคารจามจุรี ๙ หอสมุดกลาง และสปอร์ตคอมเพล็กซ์ “เออ! แต่จะมีประเภท มีน้ำเนี่ย น้ำอสุจินี่แหละ เต็มห้องเลย ต้องไปถามแม่บ้าน เพราะว่าแม่บ้านเคยแจ้ง เขาทำกะ กลางวัน ประมาณเก้าโมงสิบโมง แต่อาจจะไม่เห็นนะครับ มันอยู่ในห้องน้ำ รู้สึกจะมีคราบมีน้ำอสุจิป้ายตามผนังเต็มไปหมด” เขาให้รายละเอียดก่อนจะขอตัวไปทำงาน นี่เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ชี้ว่าโดยรอบจุฬาฯ เองก็มีการนัดเอาท์ดอร์อยู่จริงๆ ในทางกฏหมายนั้น เอาท์ดอร์ ผิดกฏหมายหรือไม่? โกวิท ทาตะรัตน์ อธิบายความหมายของคำว่า อนาจาร ลงในบทความทางกฏหมายเรื่อง ‘แค่ไหนถึงจะเรียก ว่า...อนาจาร’ ไว้ดังนี้ “กฎหมายกำหนดความผิดฐานอนาจารไว้ว่า การกระทำใดที่ควรขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล โดยการ เปลือยหรือเผยร่างกาย หรือทำการลามกอย่างอื่น โดยไม่มีโทษจำคุกแต่อย่างใด มีแต่เพียงโทษปรับไม่เกิน 500 บาท คือ อนาจารยังไงก็เสียไม่เกิน 500 บาทนั่นเอง” การเอาท์ดอร์นั้น โดยหลักการแล้วหากเป็นการกระทำนอกสถานที่ที่ผู้กระทำควรรู้สึกอับอาย นับว่าเข้าข่ายการกระ ทำอนาจารทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะเอาผิดได้ต้องดูที่เจตนาเป็นหลัก หากกระทำโดยตั้งใจละเมิดพื้นที่สาธารณะ หรือสายตา สาธารณะ ก็มีโทษทั้งนั้น อนึ่ง พื้นที่สาธารณะ อาทิ มหาวิทยาลัย หรือห้างสรรพสินค้า นับเป็นพื้นที่ภายใต้การดูแลของนิติบุคคล การกระทำ ใดใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายย่อมถือเป็นการละเมิดในเขตพื้นที่นิติบุคคล จริงๆ แล้วคำว่า ‘เอาท์ดอร์’ เป็นเพียงชื่อเรียกกันเฉพาะในหมู่คนไทยเท่านั้น ในต่างประเทศมีการนิยามพฤติกรรม ของกลุ่มเพศชายที่แสวงหาเซ็กส์ในพื้นที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นตามสวนสาธารณะ ห้องน้ำ ซอกตึก หรือตามท้องถนน ว่า ‘ครูซซิ่ง’ (Cruising) ซึ่งเป็นศัพท์ที่เริ่มมีมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 ยุคที่ศาสนาคริสต์ยังเป็นตัวกำหนดความถูกผิดในอเมริกา


“คำว่าครูซซิ่ง ก็คือว่าพฤติกรรมของผู้ชาย ที่ไม่ได้นิยามตัวเองเป็นเกย์ด้วย แต่มีความต้องการปลดปล่อยอารมณ์ทาง เพศกับคนเพศเดียวกัน ซึ่งเขาไม่สามารถจะไปหาที่ปลดปล่อยในบาร์ ในผับ หรืออะไรที่เป็นของเกย์ได้” อ.นฤพนธ์ ทองด้วง อธิบายความหมายอย่างง่ายของการเอาท์ดอร์ให้ผมฟัง เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบาง ผมปาดเป๋พอเข้าทรง เชิ้ตกึ่ง ลำลองสีเทาหม่นกับกางเกงแสลคสีดำเข้ารูป สถานะนักวิจัยและอาจารย์พิเศษในหลักสูตรเพศวิถีทำให้ผมตัดสินใจมาพบกับ เขาที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ด้วยความจำเป็นทางศาสนาที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้น ทำให้ชายผู้นิยมชายในอเมริกาต้องหาวิธีระบายแบบหลบๆ ซ่อนๆ ห้องน้ำสาธารณะเลยกลายมาเป็นจุดนัดพบที่รู้กัน “เขาก็จะต้องมีสัญลักษณ์บางอย่างเป็นที่รู้กัน เป็นภาษาลับๆ เช่นในห้องน้ำ ในอังกฤษ เขาจะไม่พูดคำว่าห้องน้ำ เขาจะพูดคำว่า ‘กระท่อม’ ไปกระท่อม หรือในภาษาอังกฤษก็เรียก ค็อทเทจ (Cottage) เป็นภาษาแสลงเขา แล้วในกระท่อมเนี่ยเขาจะรู้กันว่าใครที่เข้าในมาพื้นที่นี้ก็คือต้องการหาคู่ หาเซ็กส์” “ส่วนใหญ่คนพวกนี้จะไม่พูดอะไรกัน ลักษณะก็คือมองตา แล้วก็มีภาษากาย ยิ้มให้กัน เข้ามาคุยกัน แล้วก็ทำอะไร กัน แทบไม่ต้องถามชื่ออะไรกันเลย ไม่ต้องรู้จักอะไรกันเลย ก็แค่ปลดปล่อยอย่างเดียว ก็เสร็จกันก็เสร็จไป” อาจารย์เล่า ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ซึ่งผมไม่เข้าใจเอาเสียเลย ผมไม่เข้าใจว่าคนเราจะสามารถมีสัมพันธ์สัมผัสกับคนที่ไม่รู้จักมักจี่ได้ยังไง โดยเฉพาะกับคนที่เจอกันในห้องน้ำ ใน สวน หรือข้างถนน สำหรับผมโอกาสมันแทบจะเป็นศูนย์ นี่มันคนแปลกหน้านะ คนที่เราไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเลยด้วยซ้ำ! ————————————————————————————— “ตอนกลางคืนดึกๆ ดึกมากเลย นัดเจอกันตรงยิมเนเซียม2” “อันนี้คือคนรู้จัก?” “ไม่รู้จัก” ย้ง เป็นชายผิวสองสีหน้าตาธรรมดาที่มีรูปร่างล่ำตามแบบฉบับเกย์นิยม ผมนัดกับเขาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านสีลม เขาเล่าประสบการณ์เซ็กส์ในที่แจ้งกับคนแปลกหน้าให้ผมฟัง ในฐานะเพื่อนต่างมหาวิทยาลัยที่รู้จักกันโดยบังเอิญผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยรู้ว่ามันมีประสบการณ์แนวนี้มาบ้าง แต่ไม่คิดว่ามันจะถลำลึกถึงขนาดนี้ “เอาท์ดอร์เลย ข้างๆ ยินเนเซียมใหญ่” เขาเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนภูมิใจที่ได้อวดให้ผมฟัง “ครั้งนั้นถ้าถามว่าตื่น เต้นมั้ย ก็ไม่นะ มันตื่นเต้นแค่ช่วงแรกๆ แต่ว่าหลังๆ ก็ไม่ค่อย เพราะยังไงตรงนั้นเหมือนอยู่กันแค่สองคน มันมืดมาก มันไม่มี อะไรเลย” ย้งเล่าย้อนให้ฟังว่าครั้งแรกที่มีประสบการณ์เสียวนั้นเกิดขึ้นตอนมอปลายที่โรงเรียนของเขาเอง บนตึกเรียนชั้นหกใน ช่วงปิดเทอมคงทำให้อะไรๆ ก็สะดวกในการแอบ ทำ กับแฟนคนแรกของเขา “ก็มันอยาก แล้วมันก็ไม่มีคนเห็นแน่ๆ” เขาว่า อย่างนั้น ภายหลังประสบการณ์เอาท์ดอร์โดยไม่ตั้งใจกับแฟนตัวเองแล้ว เขาก็เริ่มมีประสบการณ์เอาท์ดอร์โดยตั้งใจกับคน แปลกหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ “ก็มีที่โรงเรียน ที่มหา’ลัย กับที่ห้าง กับคนแปลกหน้า ... โอ้! บนบีทีเอสด้วย!” ช่วงที่ย้งฝึกงานที่บริษัทบัญชีย่านลาดพร้าว เขาโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นประจำ ทำให้เขาได้พบกับเหตุการณ์ชวน ตื่นเต้นหลายต่อหลายครั้ง “บีทีเอสถ้าไปตู้หลังสุด โบกี้หลังสุดแล้วยืนอยู่หลังสุด มันก็จะมีพวกที่เขาอยากจับ คือถ้าเราแค่ยืน เฉยๆ แล้วเขาถูกใจเราเขาก็จะมาจับเลย” พื้นที่บริเวณนั้นถูกเรียกว่า จีโซน (G Zone) หากใครไปยืนบริเวณโบกี้หลังสุดโดยไม่หลบเลี่ยงหรือปิดเป้าตัวเอง ก็ จะตกเป็นเป้าของเหล่าเกย์ที่รอหาเศษหาเลยได้ไม่ยาก ชื่อนี้ถูกเผยแพร่ผ่านทางเว็บบอร์ดชื่อดัง (แน่นอน! ปาล์มพลาซ่า) ด้วยวลีว่า เสียวทุกวัน ทุกเวลา ที่จีโซน ย้งเองก็ตั้งใจจะไปแอบดูตามวิสัยคนอยากรู้อยากเห็น แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นเขาที่ เป็นฝ่ายถูกลวนลามเสียเอง 2

Gymnasium สนามกีฬาในร่มขนาดใหญ่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต


“เขาก็แอบเดินเนียนๆ มา แล้วก็เอามือมาโดน ถ้าเห็นว่าเราไม่ได้ตอบโต้อะไรเขาก็จะขย้ำ” “แล้วไม่ตอบโต้?” “ทำไมต้องตอบโต้วะ ตลกดี” ย้งติดใจการถูกคลำคลึงบนบีทีเอสทันที ทุกครั้งที่มีโอกาสเดินทางด้วยบีทีเอส เขามักจะเลือกยืนที่บริเวณโบกี้สุดท้าย เสมอ เขาว่ามันตื่นเต้นกว่าที่จะเป็นคนถูกกระทำจากใครก็ไม่รู้ เหมือนต้องเสี่ยงดวง เพราะคนบนบีทีเอสมีหลายแบบมาก มี หลายคนที่ดูไม่คล้ายเกย์เลยด้วยซ้ำ “รู้สึกเสพติด เหมือนแค่ one night stand ครั้งเดียวผ่าน ครั้งเดียวผ่าน ไม่ติดต่อต่อ” นอกจากบีทีเอสแล้ว การฝึกงานที่ลาดพร้าวยังพาให้ย้งไปเจอกับแหล่งชุมนุมเอาท์ดอร์ที่ใหญ่มากอีกแห่งหนึ่ง นั่นก็ คือห้องน้ำชั้นโรงหนัง ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว “คือเราก็เหมือนเดิม แค่อยากไปดูคนอื่น” “แล้วได้ดูมั้ย” “ไม่ได้ดู คือมันก็มียืนที่โถ่ใช่มั้ย แล้วก็จะมีคนยืนเยอะๆ แทนที่จะเห็นคนอื่นเขาอะไรกัน พวกนั้นก็ดันเข้ามาหาเรา ทั้งที่เราอยากดูคนอื่นมากกว่า” วิธีการง่ายๆ เริ่มจากสังเกตโดยรอบว่ามีคนไม่พึงประสงค์มั้ย อาทิ แม่บ้าน ยาม ถ้าไม่มีก็เริ่มเล็งเป้าหมาย บางคน ถึงขนาดยืนเฝ้า ยืนกันอยู่ในนั้นนานจนกว่าจะเจอคนที่พึงใจ พวกเขาจึงเริ่มโชว์อวัยวะเพศ รูดขึ้นลงเป็นจังหวะคล้ายจะเชื้อเชิญ ผู้พบเห็น “ตรงไหน” “ยืนตรงโถเหมือนกัน” “ต่างคนต่างมอง?” “ใช่ แล้วบางทีเขาก็ขยับมาหาเรา ถึงขั้นบางทีไม่ไหว เขาก็ออรัล3 ให้เราตรงนั้นเลย ไม่ได้เข้าในห้องน้ำ แล้วตอนนั้น ก็ไม่มีแค่สองคนนะ มีคนอื่นยืนด้วย ซึ่งเขาก็มอง บางทีคนที่มองก็เดินเข้ามารุมด้วย" ห้องน้ำที่ย้งแนะนำให้ผมไป (ซึ่งผมคงไม่กล้าเสี่ยง) ได้แก่ ห้องน้ำเสียเงินที่อนุเสาวรีย์ฝั่งวินรถตู้ เขาบอกว่าเป็น ห้องน้ำที่ค่อนข้างใหญ่และโด่งดังพอสมควร ส่วนใหญ่คนที่อยู่ในห้องน้ำเองก็จะรู้กันว่าต่างคนต่างก็ต้องการปลดปล่อย อีกทั้งยัง มีคนเยอะ ทำให้คราวนี้เขาสามารถรับบทเป็นผู้สังเกตการณ์แบบไม่ต้องเสียน้ำเองได้ ผมลืมบอกไปหรือเปล่าว่าขณะที่เขากระทำการทั้งหมดนี้ เขามีแฟนอยู่แล้วทั้งคน! “เราแยกกันเรื่องเซ็กส์กับเรื่องความรัก เรายังรักแฟนอยู่ ยังคงมีความสุขที่อยู่ด้วยกัน หรือว่าทำอะไรกับเขาก็ยังมี ความสุข เรารู้สึกว่าเราแยกกัน” “ที่มาหาข้างนอกเพราะแฟน?” “ไม่ เพราะแฟนก็เป็นคนที่มีความต้องการสูง แต่เราไม่ค่อยมีความต้องการกับแฟน” “แสดงว่ากับแฟนคือทำเพื่อรักษาความสัมพันธ์” “ใช่ กับแฟนทำเพื่อรักษาความสัมพันธ์ ส่วนคนอื่นทำเพื่อรักษาความต้องการของตัวเอง ... เราชอบอะไรที่มันตื่นเต้น มากกว่า” แน่นอน ชีวิตคู่พอถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่าความเบื่อหน่าย นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผลักให้ย้งเริ่มคน หาความตื่นเต้นใหม่ๆ ให้กับชีวิต ถึงขนาดที่พาแฟนไปหาประสบการณ์เสียวถึงญี่ปุ่น

3

Oral Sex = การร่วมเพศทางปาก กิจกรรมทางเพศที่ใช้ปาก ซึ่งรวมถึงการใช้ลิ้น ฟัน และในลำคอ เพื่อเล้าโลมอวัยวะเพศ ส่วนการเล้าโลมด้วย ปากกับส่วนอื่นของร่างกาย เช่นจูบ หรือเลีย ไม่ถือว่าเป็นออรัลเซ็กซ์


“เราคบกับแฟนมานานแล้ว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติว่าบางทีมันอาจจะรู้สึกเบื่อกัน ตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน เราก็เลยลองดู เขาเรียกว่า ฮัตเตนบะ ของญี่ปุ่น คล้ายๆ ซาวน่าตามสีลม เราตกลงว่าจะแยกกันไป คือไปแบบไม่รู้จักกัน แฟนก็เลยได้อีก คน” ผมตั้งคำถามทันที่ว่าทำไมถึงยอม “ก็แค่อยากลอง จริงๆ อยากลองหมู่ด้วย” “แล้วแฟนเข้าใจมั้ย” “ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็เห็นเขาก็เปิดเรื่องด้านนี้เหมือนกัน เขาก็เคยบอกว่าถ้าเราจะไปมีอะไรกับคนอื่นก็ได้นะ บ้าง ก็ได้นะ เพราะเขาก็เข้าใจว่าถ้าอยู่ด้วยกันตลอดก็เบื่อ” ผมเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ของสองคนนี้ ผมเริ่มสงสัยใน เซ็กส์ ของสองคนนี้ ถ้าต้องการแค่เซ็กส์ ทำไมถึงยังไปมี อะไรกับคนอื่น ทั้งๆที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน ระยะเวลาไม่ถึงปี นับตั้งแต่ย้งเริ่มเข้าสู่วงการเอาท์ดอร์อย่างเต็มตัว ทำให้เขาค้นพบว่าตัวเองไม่ใช่ประเภทติดเซ็กส์ เขาแค่เสพติดความตื่นเต้น ... ไม่ได้โหยหาว่าต้องมี แต่ถ้ามีโอกาสก็จะทำ เพราะมันตื่นเต้น! “พอมีเซ็กส์มาหลายรูปแบบ เราค้นพบว่าการดูหนังโป๊แล้วช่วยตัวเองมันสนุกกว่ามีเซ็กส์กับแฟน” นั่นทำให้ผมสงสัย “เพราะมีเซ็กส์มันมีอะไรแปลกๆ ไม่ได้ไง แต่ในหนังโป๊มันชอบว่ามีอะไรมากกว่าปกติ” ผมพอจะเข้าใจคนที่ทำเพราะแสวงหาเซ็กส์อยู่บ้าง แต่กับคนที่แสวงหาความตื่นเต้น มันแค่ความตื่นเต้นจริงหรือ? “ทางด้านจิตเวช ‘เซ็กส์แฟนตาซี’4 เนี่ย ถูกจัดเป็นอาการเบี่ยงเบนอย่างหนึ่ง เช่นมีอะไรกับสัตว์ มีอะไรกับสิ่งของ ชอบโชว์ ชอบแสดง สวิงกิ้งหรืออะไรอย่างนี้” อ.นพพันธ์ตั้งต้นอธิบายอีกครั้ง “แต่ในทางวัฒนธรรมเนี่ย ไม่ได้มองว่าเรื่องนี้ผิด ปกติ ในทางวัฒนธรรมมองว่าจินตนาการทางเพศของมนุษย์ ตั้งแต่มนุษย์ดึกดำบรรพ์ยุคหลายล้ายปีมาแล้วเนี่ย ก็มี จินตนาการทางเพศหลายรูปแบบ มนุษย์ไปมีเซ็กส์กับคนสัตว์สิ่งของ อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้” อาจารย์เล่าต่อว่า การเข้ามาของชุดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ตะวันตกทำให้พฤติกรรมทางเพศที่ไม่ได้เป็นไปตาม ‘ครรลองครองธรรม’ ถือเป็นสิ่งที่ผิดปกติ การมีเซ็กส์กับเพศเดียวกันเป็นสิ่งผิดปกติ การมีเซ็กส์กับสัตว์เป็นสิ่งผิดปกติ การมี เซ็กส์กับสิ่งของเป็นสิ่งผิดปกติ นั่นเพราะเราถูกบรรทัดฐานของความรู้ชุดนั้นครอบไว้ ทั้งที่จริงแล้วจินตนาการทางเพศไม่ควร เป็นเรื่องผิด “จินตนาการทางเพศของมนุษย์ไม่มีอะไรถูก ไม่มีอะไรผิด ถ้าคนคนนั้นรู้จักประมาณตัวเอง ควบคุมตัวเอง และใช้ มันอย่างพอดี ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ... ทุกคนมีสิทธิที่จะมีจินตนาการทางเพศได้เหมือนกัน” เย็นวันนั้นหลังจากบอกลาย้ง ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ แต่ผมตัดสินใจขึ้นบีทีเอสโบกี้สุดท้ายเพื่อกลับบ้าน ————————————————————————————— ผมนั่งอยู่ในศาลาไม้ริมน้ำแห่งหนึ่งเพื่อบันทึกเรื่องลับๆ อีกครั้ง “ก็เคย” “กี่ครั้งแล้ว” “ครั้งเดียว ครั้งแรกด้วยมั้ง เออ! ใช่ ครั้งแรกของเราก็เป็นเอาท์ดอร์เลย” ภูมิ เด็กหนุ่มวัยมหา’ลัย ที่มีรูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นกรอบหนานั้นเคร่งขรึมเสียจนผมไม่คิดว่าเขาจะมีประสบการณ์นอกสถานที่เหมือนเด็กคนอื่นๆ “มันไม่เชิงแฟน คือตอนนั้นก็มีคุยกับคนอื่นมาบ้าง ส่วนใหญ่เจอในแจ็กดีก็คุยแบบงุงิๆ เราไม่ได้คุยพิสดารอะไร” แจ็กดี (Jack’d) เป็นแอพพลิเคชั่นหาคู่สำหรับชาย–ชาย โดยจะแสดงภาพ ข้อมูลส่วนตัว และพิกัดระยะทางใกล้ ไกลในรัศมี 5 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังสามารถค้นหาสมาชิกจากพิกัดในแผนที่ได้อีกด้วย ปัจจุบันแอพพลิเคชั่นดังกล่าวเป็นที่

4

Sex Fantasy = จินตนาการทางเพศ


นิยมมากในกลุ่มชายรักชาย เพราะง่ายและสะดวกกว่าการสุ่มเดินหาตามท้องถนน อีกทั้งยังสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความ ต้องการได้ก่อนจะพบกันจริงๆ นอกจากแจ็กดีแล้ว ยังมีฮอร์เน็ต และไกรน์เดอร์ ที่ทำหน้าที่คล้ายกัน “เคยคุยกับนักศึกษาแพทย์คนนึง คุยอยู่นานนะ มีวันหนึ่งเขาก็บอกว่าออกมาเจอกันหน่อยมั้ย” เป็นครั้งแรกที่ภูมิตัดสินใจออกไปเจอกับคนในแจ็กดี เขาเล่าว่าคืนนั้นเมากันพอสมควร ทั้งคู่เดินเล่นไปจนถึงสนาม หลวง เดินๆ อยู่นักศึกษาแพทย์คนนั้นก็พูดขึ้นว่า “ตรงนี้ละกัน!” มันเป็นป้ายรถเมล์ที่มืดสนิท ภูมิในตอนนั้นยังไม่รู้ความหมายของการชวนออกมาข้างนอก จึงได้แต่นั่งคุยกันเงียบๆ สุดท้ายต่างคนก็ต่างแยกย้ายกลับบ้าน “คือตอนนั้นเราไม่ได้คิดเลยว่าเขาชวนไปทำอะไร คือถ้าทำจริงๆ ก็คงจะตรงนั้น ที่ข้าง ถนนเลย!” ครั้งแรกของเขาดูเหมือนจะพลาด แต่ประสบการณ์ครั้งแรกจริงๆ ของภูมิก็เด็ดไม่ใช่น้อย (แม้อาจจะไม่ได้มาจากแอพ พลิเคชั่นพวกนี้เสียทีเดียว) “อยู่ดีๆ เพื่อนคนนึงก็ทักมา บอกว่ามีน้องคนนึง แอดไลน์ไปหน่อย น้องเป็นเพื่อนกับน้องคณะอีกคนนึงที่อยู่กลุ่ม เดียวกัน เหมือนเห็นรูปเราในไอจีแล้วมันชอบมั้ง ก็เลยได้คุยกัน” ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองก็ได้เจอกันในชีวิตจริง “เจอกันที่มาบุญครอง กินข้าวกันอยู่ น้องก็แสดงอาการอยากทันที จับขาบ้าง เตะขาบ้าง เราก็ อืม!” ผมสงสัยจริงๆ ว่าวิธีการพวกนี้มันสามารถใช้ในชีวิตจริงได้ด้วย! ภูมิเล่าต่อว่า เขาสองคนก็ย้ายไปนั่งที่ม้านั่งชั้นโรงหนัง พื้นที่บริเวณนั้นเป็นเหมือนลานกว้างๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ ทำให้คน ไม่พลุกพล่านมากนัก แต่ก็เป็นที่เปิดที่ใครก็สามารถสังเกตเห็นได้ “ตอนนั้นยังไม่ได้ถึงขั้นนั้น คือแค่จูบ ล้วงๆ นิดหน่อย ไปนั่งกันตรงนั้นคือมันเปิดมากเลยนะ เราไม่เคยทำแบบนี้มา ก่อน เลยรู้สึกว่า ไอ้เหี้ย! ขนาดนี้เลยเหรอ” “มีคนเห็นมั้ย” “ก็มี น้องเลยลากเราไปที่อื่นแทน” จุดพลอดรักต่อมาของเขาคือซอกบริเวณข้างร้านอาหารซิสเลอร์ พื้นที่ตรงนั้นยังคงปิดปรับปรุง รอให้มีผู้ประกอบการ มาเช่า “ที่ตอนนั้นมันยังไม่มีประตูอะไรเลยนะ เราก็นัว นัวแบบจริงๆ จังๆ มันล้วงเข้าไปเลย” แต่ด้วยความเปิดโล่งของสถาน ที่ สุดท้ายทั้งสองเลยไปจบกันที่ห้องน้ำหอศิลป์ (หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร) “เราคุยกันว่าไปที่ไหนดี ตอนนั้นเพื่อนยังอยู่ที่หอ สุดท้ายเราก็เลยบอกว่า เออ! ไปหอศิลป์มั้ย ก็นั่นแหละในห้องน้ำ หอศิลป์ ตอนแรกชั้นสาม แต่ก็ไม่ได้เสร็จ ก็เลยลงมาที่ชั้นห้องสมุดเพราะว่ามันเงียบ จบ นั่นคือครั้งแรก” “รู้สึกยังไง” “กลัวสิ ถามว่าเราอยากมั้ยตอนนั้นมันก็อยากนะ แต่ถามว่ากลัวมั้ย กลัว! กลัวมีคนมาเห็น เพราะเราไม่ได้ชอบ ไม่ ได้อยากมีประสบการณ์ที่ตื่นเต้นขนาดนั้น ถ้าเกิดว่าเพื่อนไม่อยู่ที่หอก็จะลากมันไปแล้วล่ะ” “น้องดูชำนาญนะ” “มันเชี่ยว! มันเชี่ยว! น้องดูเป็นคนที่เป็นงาน เพราะว่าหลังจากนั้นน้องก็โทรมาตอนกลางคืน แล้วก็เซ็กส์โฟนกัน” แต่ไม่นานหลังจากนั้น ภูมิก็ไม่ได้คุยกับน้องเขาอีก เขาจึงหันกลับมาเล่นแจ็กดีอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ในฐานะเด็กหนุ่มไร้ เดียงสาอีกต่อไป “มันก็อาจจะมีบ้างที่ลงไว้เพื่อหาความสัมพันธ์ที่จริงจัง แต่ส่วนใหญ่เราก็รู้สึกว่านัดเย็ดนั่นแหละ” ภูมิบอก อย่างนั้น “คนทักเยอะมั้ย” “ไม่เยอะ ไม่ค่อยเยอะมาก ส่วนใหญ่ทักมาก็หน้าเหี้ย ก็เลยไม่เอา” พอการหาคู่มาอยู่ในรูปแบบแอพพลิเคชั่นที่สามารถ ‘เลือกคู่’ จากรูปโปรไฟล์ได้ หน้าตาและรูปร่างภายนอกจึงกลาย มาเป็นปัจจัยสำคัญในการ ‘ทัก’ หรือ ‘ไม่ทัก’ บางทีหน้าตาในรูปก็อาจตัดสินไปถึงพฤติกรรมของคนคนนั้นเลย


“เราก็มีมาตรการในการดูคนระดับนึง หน้าแย่มั้ย ดูมั่วมั้ย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า รูปโปรไฟล์มีผลมากเลย แต่ก็มี ครั้งนึง ดูในรูปโปรไฟล์ดูดี แต่พอมาเจอตัวจริงหน้าเหี้ย ก็เลยเลือกจะใส่ถุง5” “ตัดสินความมั่วไม่มั่วจากหน้าตา?” “ใช่! ทำไมเหรอ? เรารู้สึกว่าการที่เราเล่นแอพฯ พวกนี้ ตอนแรกก็รู้สึกว่าจะหาแฟนนะ แต่ว่าอยู่ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึก ว่าการที่มีอะไรกันมันก็แค่ความสนุก ก็จบกันไป ธรรมดา คนอื่นอาจจะมองว่าไม่ธรรมดา หยี! มึงมั่ว! แต่เรารู้สึกว่าถ้าแค่เจอ กัน นัดกัน แค่มีอะไรกันแล้วมันก็จบกันไป อาจจะเป็นความคิดที่มันเปลี่ยนไปด้วยมั้ง เจอกันคุยกันนัดกัน จบ! น้ำแตกแล้ว แยกทาง!” ถึงตอนนี้ ภูมิดูจะเชี่ยวชาญในสนามนี้กว่าที่ผมคิดไว้เยอะ นับจากวันที่เขาเริ่มเล่นแจ็กดีเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน ความคิดของเขาได้เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มใสๆ มาเป็นชายที่พอใจในความสนุกชั่วข้ามคืน ผมตัดสินใจกลับไปหา อ.นพพันธ์ อีกครั้ง “ยุคคอมพิวเตอร์เนี่ย ยุคอินเตอร์เน็ตปัจจุบันครูซซิ่งมันก็ปรากฏอยู่ในสังคมเสมือนมากขึ้น” อาจารย์วิเคราะห์ให้เห็น ว่า การหาคู่สมัยนี้ไม่ได้อยู่ในเฉพาะพื้นที่สาธารณะทั่วๆ ไปอีกต่อไปแล้ว แต่พื้นที่สาธารณะในโลกออนไลน์ก็มีการแสวงหาเซ็ก ส์กันอยู่ตลอดเวลา แอพพลิเคชั่นที่เกิดขึ้นก็นับเป็นวิวัฒนาการของการครูซซิ่ง รวมถึงการโพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก การ แชท การทวีตรูปภาพหาคู่ในลักษณะต่างๆ ก็คือการแสวงหาเซ็กส์ในพื้นที่สาธารณะทั้งหมด “ในที่สาธารณะจริงๆ อย่างพวกสวนลุมฯ หรือตามห้องน้ำก็ยังมีอยู่ แต่คิดว่าตอนนี้ทางเลือกมันเยอะ ในพื้นที่ สาธารณะมันเสี่ยงต่อการไปเจอเจ้าพนักงาน หรือพวกมิจฉาชีพ เกย์บางคนที่เขาไม่อยากเสี่ยงก็จะอาศัยออนไลน์แทนแล้ว ง่าย กว่า ประหยัดกว่า ไม่เหนื่อยด้วย” อินเตอร์เน็ตเข้ามาเติมเต็มและทำให้การหาคู่ของกลุ่มเกย์ง่ายขึ้น ก็เท่านั้น! อาจารย์เล่าต่อว่า แนวโน้มการหาคู่ในที่สาธารณะจริงๆ ดูเหมือนจะลดลงเรื่อยๆ สังเกตจากแนวทางการนัดที่เปลี่ยน ไป จากที่เมื่อก่อนจะนัดกันตามห้างสรรพสินค้า ตามห้องน้ำ หรือสวนสาธารณะ ปัจจุบันจะเปลี่ยนเป็นการนัดที่ห้องพัก หรือ โรงแรมมากขึ้น แถมการเข้ามาของแอพพลิเคชั่นเกย์นี้ทำให้พวกเขาสามารถเลือกคนที่จะมาร่วมได้มากขึ้นอีกด้วย “เท่ากับว่าพวกเขาสนใจที่ตัวบุคคลมากขึ้น?” “ใช่ เขาก็จะเช็กรูป เช็กอะไรกันไปในนั้นเลยว่าถูกใจหรือไม่ถูกใจ แต่คนที่ยังชอบตามที่สาธารณะเนี่ยน่าจะเป็น เพราะรสนิยมบางกลุ่มเท่านั้น ก็ไม่ได้หายไปหมด” กลุ่มที่หลงเหลืออยู่ส่วนใหญ่จะเป็นเกย์วัยผู้ใหญ่ที่โตมาในสมัยที่สังคมไม่ยอมรับ บางคนเป็นห่วงหน้าที่การงาน หน้าตาทางสังคม บ้างก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว คนพวกนี้มักจะไม่นิยมการไปผับเกย์ บาร์เกย์ ไม่นิยมการแชท และไม่อยาก เปิดเผยตัวตนในพื้นที่ออนไลน์ “ผมเคยเจอในปาล์มพลาซ่า” “ใช่ ปาล์มพลาซ่าส่วนใหญ่คนที่เล่นเนี่ยมักจะมีอายุนะ คิดว่านะ เพราะว่าบอร์ดปาล์มมีมานานแล้ว” เกย์วัยกลางคน ส่วนใหญ่จึงเคยชินกับการแสวงหาเซ็กส์ในพื้นที่สาธารณะ และเรื่องราวเหล่านั้นก็ยังคงถูกผลิตซ้ำอยู่ในโลกออนไลน์ จึงไม่ แปลกที่คนรุ่นใหม่จะเข้ามาพบเห็น และอยากจะออกไป ลอง ดูบ้าง เสียงไลน์ในโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้น “แทน”
 “ออกมาเจอหน่อยสิ” “ได้มั้ย?”

“…” “ที่ไหนล่ะ?” ————————————————————————————— 5

ถุงยางอนามัย


หลังจากผมนำไอดีไลน์ของผมโพสต์ลงห้องอีวิล ผมก็ได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่ผมไม่เคยพบมาก่อน... A B C A C D A D A

D C D C D

B

C B A D

GROUP : กวดวิชา จุฬาฯ สยาม “เพ่ิงเสร็จกับคนนี้มา ที่จามเก้า” sent you a photo “จู๋ใหญ่มาก กระแทกไม่ยั้ง” sent you a sticker “โห ขี้อวดๆ” “มีใครอยู่หอกลางมั้ย” “เงี่ยน” “เราๆ” “แต่วันนี้ไม่ไหวละ เครื่องในจะพัง” “วันก่อนก็เพิ่งเอากะเด็กทันตะ ตรงข้างสังกะสีเลย” “อยากๆๆๆ พาไปเอาท์ดอร์มั่ง” “เคยมีพี่วิดวะเล่าว่าพาสาวไปหมู่ที่บันไดหนีไฟจามเก้า” “น่าลองมาก” “ไม่ร้อนเหรอ” “วันนั้นไปเดินๆ ดูก็ร้อนนะ แต่เงียบมากเลย” “แอบเห็นคราบที่บันไดด้วย แสดงว่ามีมาจริง” “555555” “ช่วงนี้จามเก้าเปิดดึก” “สี่ห้าทุ่มถ้าเดินเข้าห้องน้ำเงียบๆ อาจจะเจอของดี” “วันก่อนไป กะลังรัวมือเลย” “ก็เลยอาสาให้ อิอิ” “อยากลองตรงทางเชื่อมจามเก้า กับสนามจุ๊บ” “น่ากลัว” sent you a sticker “ไม่ก้เข้าไปที่ห้องน้ำ สระเล็ก” “ห้องในสุดห้องน้ำรวมกว้างดี” “ตรงไหนอ่ะ” “สระ 25 เมตร” “ห้องในสุดจะเป็นห้องยาวแบบอาบได้สามคน กว้างดี” “แถมไม่มีไฟ มืดชะมัด” “5555” “เคยไปๆ” “มีแต่เด็กสาธิต ไม่ก้บุคลากร” “ห้องอาบน้ำยิมเก่า ก้ดีนะ” “พวกนักบาสจะอาบน้ำที่นี่ ส่องได้” “ชำนาญกันจังเบย” “เป็นเด้กชุมนุมกีฬาไงเลยรุ้บ้าง” sent you a video “ทำอะไรระวังคลิปหลุดแบบนี้นะครับ อิอิ” “นี่หอกลางปะ ชอบๆ” …


สิ่งที่ผมตกใจกว่าบทสนทนาดังกล่าว คือการพบว่ามีคนรู้จักอยู่ข้างในนั้น ... แถมเขายังดูช่ำชองเป็นพิเศษอีกด้วย! และผมก็ได้พูดคุยกับเขาในที่สุด “อืม... จะตอบว่าไม่เคยก็บาป จริงๆ มันก็เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน แต่ไม่ได้มีอะไรมากมายขนาดนั้น” เขาตอบกระอ้อม กระแอ้ม คล้ายจะยอมรับแต่ไม่เต็มปาก นนท์ เป็นเพื่อนต่างคณะที่รู้จักกันผ่านๆ ในสายตาของผมเขาดูเป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ไม่มีวี่แววว่าจะนิยม ผู้ชายด้วยกันเองแม้แต่น้อย เราไม่ได้สนิทกันขนาดจะมาพูดคุยกันในห้องส่วนตัวเหรอก แต่วันนี้เขาก็มาปรากฏตัวที่ห้องพัก ส่วนตัวของผม สองต่อสอง “ไม่รู้นะ ไม่รู้ คือมันไม่ได้มีอะไรมากมายขนาดนั้น แต่ว่าถ้าตั้งแต่ปีสองเป็นต้นมา เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน จบไปมัน ก็คือจบแล้วก็ไม่ได้จำ เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ใส่ใจ มันไม่ได้ก่อความเสี่ยงให้เรา เพราะเราไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับเขาจริงๆ” เขานั่งเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยให้ฟังบนเตียงของผม ความรู้สึกของการเอาท์ดอร์ทั้ง ภายนอกและภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “จริงๆ แล้วในจุฬาฯ เราไม่เคยเจอเท่าไหร่ ถ้ามันจะเกิดจริงๆ ก็คือต้องรู้จักกัน ก่อน อาจจะรู้จักทาง ไลน์ หรืออะไรก็ตาม แต่ว่าต้องรู้กันก่อนอยู่แล้ว” “ต้องนัดกันก่อน?” “มีทั้งที่นัดและไม่ได้นัด บางคนก็คือเจอ ก็แค่รู้ว่าเขาต้องการอะไร แล้วเราก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้ด้วยมั้ง อะ! ถ้าอยาก ก็โอเค แต่ก็ต้องรู้จักกันก่อน นัดกันหรืออะไรอย่างนี้มากกว่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะหลีกเลี่ยงในมหา’ลัยเพราะว่ามันเสี่ยง” นนท์สารภาพว่าก่อนที่เขาจะเข้ามหาวิทยาลัย นนท์เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาก่อน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็คิดว่าผู้ชาย ก็น่ารักดี เด็กหนุ่มเกิดความสับสนลึกๆ ในใจเรื่อยมา จนในที่สุดเขาตัดสินใจบอกลาแฟนสาว “ไม่ใช่อะไร เพราะสมมติว่าเขารู้ ว่าเราชอบผู้ชายเหมือนกัน มันคงลำบากใจเขา” เขาว่าอย่างนั้น “ถ้าพูดถึงเมื่อก่อนตอนเริ่มต้น เราจะรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่ค่อยโอเคกับการที่เราจะบอกว่า เราชอบผู้ชายนะ” แม้ได้ ตัดสินใจปล่อยมือจากผู้หญิง แต่เขาเองก็ยังไม่มั่นใจพอที่จะจับมือกับผู้ชาย “ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้เป็น เราไม่ได้อยากเป็น เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยากเป็น เราก็บอกว่าเราไม่เป็น ... แต่พอเราคุย กับเพื่อนผู้ชายจริงๆ ปุ๊บ เราก็ยิ่งกลัวว่าถ้าเขารู็ เขาอาจจะเห็นว่าเราโกหกหรือเปล่า ตอนเด็กก็พารานอยด์นิดนึง เราก็เลยไม่ บอกดีกว่า” เหตุการณ์ที่บรรเทาความรู้สึกนี้ให้ลดลงได้ คือการที่เขาคบกับเด็กในคณะตัวเองเป็นครั้งแรก ทำให้ความจริงที่ว่าเขา นิยมผู้ชายได้ถูกเผยแพร่ออกไปเป็นวงกว้าง “เขารู้กันเยอะเลย เราก็อึดอัดแต่ว่ามันก็ผ่านมาได้” “เรารู้สึกว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ขนาดนั้น มันไม่ได้ส่งผมกระทบต่อชีวิตเพราะว่าไม่มีใครเข้ามาทำร้ายเราหรืออะไรเรา อยู่แล้ว เราก็แค่ชอบผู้ชาย มันไม่ใช่เรื่องผิดขนาดนั้น คือเมื่อก่อนที่เราไม่อยากบอกเพราะว่าเพื่อนที่เป็นผู้ชายมันมองแปลกๆ แต่ว่าพอคนรู้ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม เราก็ไม่ได้กลายเป็นผู้หญิงหรือว่ากลายเป็นอะไรที่มันแปลกจากเดิม เราก็ยังเป็นตัวเอง” นนท์ดูผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อพูดคุยมาถึงตรงนี้ “เรารู้สึกว่าไอ้ที่เกิดขึ้นแบบนี้มันแค่ความสุขชั่วครู่แล้วมันก็จบ” เขายังคงเล่าต่อไป “พูดง่ายๆ มันก็เหมือนกับว่า คุณ ช่วยตัวเองที่บ้าน แต่อันนี้มันก็เหมือนกับว่าแค่มีคนอื่นด้วยเท่านั้นเอง” จู่ๆ ผมก็คิด ทำไมการที่คนเราจะช่วยตัวเองถึงต้องอยากให้มีคนอื่นอยู่ด้วย? “คนอื่นในที่นี้มันไม่ใช่ว่าใครก็ได้ หน้าตาก็สำคัญ สำคัญเลยแหละ เพราะถ้าพูดกันง่ายๆ มันเหมือนกับว่าเรามองหา เซ็กส์ออบเจ็กต์6 พอเราเห็นเขาเป็นเซ็กส์ออบเจ็กต์ปุ๊ป รูปร่างลักษณะภายนอกมันจึงสำคัญที่สุด แค่ความฉาบฉวย ไม่จำเป็น ต้องรู้จักชอบพอ เพราะเราไม่ได้คิดจะสานต่อ ฉะนั้นมันจึงเหมือนการมาหาเซ็กส์ออบเจ็กต์ในอุดมคติ” นนท์เล่าให้ฟังว่าส่วนใหญ่ที่เจอคือห้องน้ำในห้างสรรพสินค้าย่านสยามสแควร์ แต่บ่อยครั้งก็เกิดขึ้นในบริเวณ มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะที่คณะของเขาที่ขึ้นชื่อว่าผู้ชายน้อย ทั้งในด้านเพศสภาพและเพศวิถี ห้องน้ำหลายห้องในคณะของเขา

6

Sex Object = วัตถุทางเพศ


กลายมาเป็นจุดนัดพบประจำของ คนหาทางออกด้านเพศ เสียแล้ว “พอเรารู้ เราเคยเห็น ก็เลยรู้ว่า เออ! มันมีจริงว่ะ แล้วเรา ก็จะสังเกตได้ว่าคนที่เดินเข้าออกที่นี่เขาก็มาเพื่อการณ์นี้” จากห้องน้ำธรรมดาๆ ก็กลายมาเป็นพื้นที่ในการแสดงออกทางเพศ? “คิดว่าแต่ละคนเขามาหาอะไรจากที่นี่?” “เรา... คือเคยมันมีโมเมนท์ที่เรารู้สึกว่าเราอาจจะหาแฟนได้ง่ายขึ้นก็ได้มั้ง” “ง่ายขึ้น?” “เพราะปกติเราเป็นคนที่ไม่เปิดเผยด้วยมั้ง เราเลยรู้สึกว่าเราไม่ได้มีคนเข้ามาในชีวิตมากมายขนาดนั้น การออกมาใน พื้นที่นี้เป็นการประกาศว่า ฉันก็เป็นแบบคุณนะ! มันคือการเปิดโอกาสทางหนึ่งให้คนอื่นได้รู้ว่าเราเป็นเกย์” ในสายตาผม นนท์ดูจะเป็นคนเก็บกดคนนึง เขาเกรงกลัวการถูกสังคมตัดสิน และกลัวที่จะตัดสินตัวเองเช่นกัน “กดดัน กดดันอยู่แล้ว เพราะเราไม่รู้ว่าคนจะมอง เราไม่รู้ว่าในความคิดของคนอื่นเขาจะมองว่าเกย์เป็นยังไง แล้วเรา ก็ไม่รู้ว่าความคาดหวังของคนที่เป็นผู้ชายแต่สุดท้ายกลายเป็นเกย์มันคืออะไร” “กลัวมาตลอด?” “กลัวสิ กลัวมาก” ในความคิดของนนท์ ภาวะของความเป็นเกย์นั้น อาจส่งผลให้ถูกรังแกหรือล้อเลียนได้ เขากลัวว่า หากสังคมรู้ว่าเขาเป็น เขาอาจถูกผลักให้กลายเป็นคนชายขอบของสังคม นนท์จึงเลือกที่จะอยู่ในเซฟโซน7มากกว่า นั่นคือการ เป็น คนปกติ “เราพยายามทำตัวให้เป็นปกติ เหมือนคนปกติมากที่สุด แต่ว่าเราก็ยังรู้ลึกๆ ว่าเรานิยมผู้ชาย” “รู้สึกแย่ที่ชอบผู้ชาย?” “เปล่า ลึกๆ แล้วเราไม่คิดว่ามันแย่หรือมันผิด” ในเมื่อลึกๆ แล้ว นนท์ไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่ แล้วทำไมเขาถึงกลัวสายตาคนนอกได้ขนาดนั้น “มันดูย้อนแย้งเนอะ แต่เหมือนกับการที่คุณรู้สึกว่าเราไม่ต้องเคารพสถาบันก็ได้ แต่คุณไม่สามารถนั่งอยู่ในโรงหนังที่ คนยืนเคารพได้ เก็ตมั้ย? มันคืออย่างนั้น คุณคิดได้แต่คุณก็ทำไม่ได้ ต้องไหลไปตามสังคมก่อน แต่เมื่อไหร่ที่มีช่องว่างให้คุณ เข้าไป คุณก็เลือกที่จะเข้าไปหลบในช่องนั้นมากกว่าออกมา เพราะว่าคุณกลัวว่าถ้าออกมาแล้วมันจะอึดอัด” คืนนั้นผมเดินลงไปส่งเขาที่ด้านล่างหอพัก พลางคิดถึงสิ่งที่ อ.นพพันธ์เคยพูดไว้ “คิดว่าทฤษฎีเก็บกดทางเพศนี้อาจจะ ใช้ไม่ได้ผลแล้วในปัจจุบัน” ในปัจจุบัน สังคมมีพื้นที่ให้คนสามารถแสดงออกถึงเพศวิถีของตนมากขึ้น เราสามารถแสดงออกได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่สาธารณะทั่วไป หรือในโซเชี่ยลมีเดียเอง เขาสามารถพูดสิ่งที่เขาคิด ร้องขอสิ่งที่เขาต้องการ และ แสดงออกซึ่งตัวตนของเขาได้โดยไม่รู้สึกว่าถูกปิดกั้น ในขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับเกย์ในยุค 30 - 40 ปีก่อน คนรุ่นนั้น จะเก็บกดมากกว่า เพราะการติดต่อสื่อสารยังไม่สะดวกสบายเท่าทุกวันนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถจะรวมกลุ่ม รวมสมาคมคนที่มี ความนิยมเหมือนกันได้ ทุกวันนี้คนกลุ่มนั้นก็ยังใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าเข้ากลุ่มหรือแสดงออกถึงความเป็นเกย์ของตน “แต่เด็กรุ่นใหม่เนี่ยตั้งแต่ยุค 2000 เป็นต้นมา โห! มันคุยกันแชทกันในโลกออนไลน์มาตลอด และก็นิยามตัวเอง เป็นเกย์เร็วขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้น มีเพื่อนที่เป็นเหมือนกันมากขึ้น สื่อก็นำเสนอประเด็นพวกนี้มากขึ้น พวกเขารู้สึกว่าสังคม นำเสนอเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้นเขาจึงมีความมั่นใจที่จะเป็นตัวเองมากกว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่” แต่นั่นไม่ได้แปลว่า ทฤษฎีเก็บกดทางเพศ จะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ผมคิดว่าอย่างน้อย มันน่าจะยังใช้ได้กับนนท์... ————————————————————————————— 7

Safe Zone = จุดปลอดภัย หมายถึงสภาวะที่เราคุ้นเคยหรือรู้สึกปลอดภัย


วันต่อมาผมกลับไปที่ศาลาไม้ริมน้ำ คราวนี้ผมมีนัดกับน้องต่างคณะอีกคน วิน เป็นนิสิตปีสองมหาวิทยาลัยเดียวกับผม แววตาเป็นประกายและรอยยิ้มติดเหล็กที่ดูสดใสแบบนั้น ทำให้เรื่องราว ที่เขาจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้ดูไม่น่าเชื่อขึ้นไปอีก ประสบการณ์เอาท์ดอร์ของวินเริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่เขาเรียนมอปลาย “เคยมีบนรถ รถตู้อะพี่ นั่ง 14 คน แต่นั่งแถวหลังสุด” “ล้วงเลยหรอ?” “ใช่ครับ แล้วก็มีในโรงเรียน เคยในห้องน้ำโรงเรียน แล้วก็ห้องน้ำห้างที่แถวบ้าน กับบนรถส่วนตัว” ย้อนกลับไปที่ครั้งแรกของวิน มันเกิดขึ้นกับแฟนคนแรก ที่ห้องน้ำในโรงเรียนของพวกเขาเอง วินเล่าให้ฟังว่าครั้งนั้น เกิดขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจ เช้าวันนั้นเขาต้องรีบขึ้นรถไปเข้าค่ายที่ต่างจังหวัด ส่วนแฟนเขาก็มาทำงานที่โรงเรียนในช่วงปิดเทอม ตามปกติ ระหว่างที่กำลังจะบอกลาก็นึกพิเรนทร์อยากขอกอด แต่การกอดกันกลางโรงเรียนก็ออกจะโจ่งแจ้งไปนิด เลยพากัน ไปที่ห้องน้ำหลังตึกเรียน “ตอนแรกก็จะแค่กอด แต่จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกบางอย่าง ก็เลยมีจูบแรกในวันนั้น แล้วมันก็ค่อยๆ ลามไปจนถึงถอด เสื้อนั่นแหละ แต่ผมต้องรีบไปเข้าค่าย เลยหยุดไว้แค่นั้น” จากที่ไม่เคยพูดถึงเรื่องใต้สะดือ เขากับแฟนก็เริ่มเข้าสู่โลกแห่งเซ็กส์แฟนตาซีที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้เข้าใหม่ ต่าง คนต่างตื่นเต้นไปกับสิ่งใหม่ๆ อะไรใหม่ๆ จนกล้าที่จะทำอะไรที่เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะทำได้ “มันคงเป็นอาการของความอยากรู้อยากลองมั้งพี่ ตอนนั้นถ้ามีโอกาสก็จะทำทุกอย่างเลย ตั้งแต่เซ็กส์โฟน สไกป์ ลองมีอะไรในห้องน้ำห้าง บนรถตู้ คือตอนนั้นอยู่ด้วยกันทุกวัน เจอกันทุกวัน มันเลยมีโอกาสที่จะทำอะไรเยอะขึ้น” พอมีโอกาสได้ลองทำอะไรมากขึ้น บ่อยขึ้น จึงเพิ่มโอกาสที่จะ ‘โป๊ะ’ มากขึ้นเช่นเดียวกัน ครั้งหนึ่งวินกับแฟนเคยเข้าไปทำอะไรในห้องน้ำในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ระหว่างที่กำลังปฏิบัติภารกิจก็มีมือพร้อม กับเลนส์โทรศัพท์มือถือยื่นขึ้นมาจากห้องข้างๆ “ผมเงยหน้าไปเจอห้องข้างๆ ถือมือถืออยู่ ก็แบบ เฮ้ย! ออกมาดังๆ แล้วมันก็ รู้ตัว หนีไปก่อน” “มีคลิปหลุดมั้ย” ผมถามออกไปตรงๆ ทำวินหลุดขำออกมาดังๆ “ไม่มี ไม่มีหรอก ไม่เคยเจอ ผมรู้สึกว่ามันยังไม่ได้ถ่าย” หลังจากครั้งนั้นวินก็ยังคงเอาท์ดอร์กับแฟนตามห้องน้ำเมื่อมีโอกาส และก็ยังเจอกับเหตุการณ์แอบดูอยู่บ้าง และยิ่ง ไปกว่านั้น เคยมีคนมาขอทรีซั่ม!8 “คงจะเห็นเงาที่พื้น แล้วมันจะขอทรีซั่ม เราเลยพอเลย แต่งตัว เดินออก บาย!” ที่ผมสงสัยก็คือ ถ้าเจอบ่อยขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังทำอยู่ วินนั่งคิดพักนึงก่อนจะตอบกลับมาว่า “ตอนนั้นยังเด็กและ ยังรู้สึกตื่นเต้นกับคนแรก ครั้งแรก เราอยากลองไปหมดเลย แต่ถ้าเป็นแฟนในปัจจุบันก็อาจจะไม่” “เพราะเรามีวัยวุฒิมากขึ้น?” “เออ! มันอยู่ที่เราก็มองโลกเปลี่ยนไปด้วย แล้วรู้สึกว่าให้ผมกลับไปมองเด็กคนนั้นตอนมอปลาย ผมว่าไม่อะ สิ่งที่มึง ทำตอนนั้นก็ผิดนะ แต่ก็อยู่ที่คนที่เป็นแฟน ถ้ามันโอเคก็มีบ้างก็ได้ ไม่ได้รู้สึกว่าผิดแปลกอะไร เราไม่ได้ไปโชว์ให้ใครดูอยู่แล้ว” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ภายหลังจบความสัมพันธ์กับแฟนคนแรก วินก็ยังคงเตลิดอยู่ในโลกเซ็กส์แฟนตาซีอยู่ “เร่ิมเล่นแอพฯ ตอนมอหก อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเล่นได้เลย” “สั้นสุดที่เคยคุยแล้วออกไปหาคือ?” “ไม่กี่ชั่วโมง วันนั้นเมา ไม่ได้เมามากแต่รู้สึกว่า เขาอยาก เราอยาก ก็ไปๆ เถอะ” 8

Threesome = การมีเพศสัมพันธ์แบบหมู่สามคนในเวลาเดียวกัน


วินบอกว่า ภาวะโหยหาเซ็กส์แฟนตาซีของเขาจะมาในเวลาที่รู้สึกแย่ และต้องการอะไรสักอย่างเพื่อปลดปล่อยตัวเอง จากความรู้สึกนี้ เซ็กส์ จึงกลายมาเป็นเครื่องรับมือกับความเครียดและความหดหู่ในชีวิตเขา ในเวลาที่เขาเครียด ผิดหวัง หรือ เพิ่งอกหักมา เขาจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเจ้าพ่อคาสโนวา ที่พร้อมจะมอบและรับความสุขอย่างชั่วคราวกับใครก็ตามที่มีโอกาส “นับรวมแล้วน่าจะมีหลายสิบคนแล้วนะ ทั้งมีอะไรกัน แลกรูป เล่นกล้อง เซ็กส์โฟนหรืออะไรก็ตาม เซ็กส์โฟนกับ แลกกล้องกันนี่บ่อย ผมรู้สึกว่ามันคอนโทรลได้ เขาไม่ได้มีส่วนกับร่างกายผม ก็แค่เสร็จๆ กันไปทางโทรศัพท์แล้วก็จบ จะเล่น กล้องเล่นอะไรก็จบตรงนั้น ในพวกนี้มีตั้งแต่เพื่อนพี่น้องที่สนิทไปจนถึงคนที่แทบไม่รู้จักเลย” “ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ?” “รู้สึกนะ เอาจริงๆ ก็อี๋นะ เพราะผมก็ยังรู้สึกอี๋ตัวเองเลย แต่มันก็เริ่มไปแล้ว ทำเสร็จแล้วรู้สึกว่า ไอ้เหี้ย! ไม่ใช่ว่ะ รู้สึกอี๋ตัวเอง รู้สึกตัวเองสกปรก” วินเล่าถึงประสบการณ์การนัดเจอกันที่แย่ที่สุด เป็นคนเกาหลีที่คุยกันผ่านแอพพลิเคชั่น วันหนึ่งเขาเกิดรบเร้าที่จะมา เจอวินให้ได้ วินบอกว่าตัวจริงของชายเกาหลีกับในรูปต่างกันลิบลับ ที่แย่ไปกว่านั้นคือกลิ่นปากของเขา! “รู้สึกตั้งแต่ตอนทำแล้ว จะถีบจะไล่ก็ไม่ได้ เพราะเขาไปอยู่ในห้องเราแล้ว ก็ต้องช่วยๆ ให้มันเสร็จๆ กันไป แต่คนเกา หลีเนี่ย ทำให้รู้สึกสกปรกตัวเองมาก อาบน้ำสองสามรอบเลย เพราะมันทำเหมือนมึงมองกูเป็น Object แล้ว!” เท่าที่ฟังมา ผมกลับรู้สึกว่าวินมีประสบการณ์ที่เลวร้ายมากกว่าประสบการณ์ที่ประทับใจ แถมยังเสี่ยงต่อการมีคลิป หลุด ทั้งจากห้องน้ำสาธารณะ หรือการแลกกล้องกันก็ตาม ผมไม่รู้เลยว่าทำไมเขาถึงยังทำต่อ “ไม่รู้สิพี่ อยู่ที่ระดับจิตใจตอนนั้นด้วยว่าแข็งแรงมากแค่ไหน ถ้าอ่อนแอมาก มึงเข้ามาก็พุ่งเข้ามาเลยก็ได้” เขา พยายามหาคำอธิบาย “พออยู่ในโลกนี้ ผมรู้สึกเหมือนเป็นอะไรก็ได้ ผมมีอำนาจพอที่จะควบคุมคนอื่น เหมือนพอเราเจอเรื่อง ที่เราแพ้มามากๆ ในชีวิต ก็แค่อยากจะรู้สึกชนะบ้าง ช่วยให้ผมรู้สึกดีในเวลาที่ผมดาวน์ชีวิตมากๆ” “แสดงว่าเซ็กส์เอาไว้บำบัดจิตใจตัวเอง?” “ก็ด้วยแหละมั้ง ... ฟังดูเหี้ยจังเลย” “เหมือนเป็นเซ็กส์เพื่อการบำบัด?” ผมตั้งคำถาม ทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจในคำๆ นี้ด้วยซ้ำ ... ผมและวินนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น คล้ายกำลังหาคำตอบที่เราทั้งคู่ต่างก็ไม่รู้ เซ็กส์เพื่อการบำบัดงั้นเหรอ? เย็นวันนั้นเดินออกจากสถานีพหลโยธิน เพื่อมุ่งหน้าไปที่ศูนย์กิจกรรมสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย ผมมีนัดกับคุณ ธนชัย ไชยสาลี หรือ พี่นั่ม เพื่อถามตอบในประเด็นประเด็นเซ็กส์เอาท์ดอร์ของชาวสีรุ้ง ที่นี่เองที่ผมได้คำตอบเรื่องเซ็กส์เพื่อ การบำบัดจากปากของพี่นั่ม “อย่างที่บอกว่าการระบาย ถ้ามันคือความสุขที่เขาเป็นคนเลือกมันก็โอเค แล้วมันก็เกิดจากความอยากลองด้วย” พี่นั่มอธิบายว่า แม้จุดเริ่มต้นของหลายๆ คนจะอยู่ที่ความอยากรู้อยากลอง แต่ถ้าเกิดได้ลองแล้วมันไม่ถูกกับจริตทาง เพศของเขา มันก็จะจบแค่นั้น “ส่วนคนที่มีครั้งแรก แล้วก็มีครั้งที่สอง สาม สี่ ตามมาอย่างนี้จะเรียกว่าอะไร? ก็เรียกว่า สิ่งที่ ตนเองต้องการและปรารถนาอยู่ในใจลึกๆ อยู่แล้ว แค่มันจะเผยออกมาตอนไหนแค่นั้น” เกย์จำนวนมากที่พี่นั่นเคยลงพื้นที่และให้คำปรึกษา ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองมีพฤติกรรมดังกล่าว บ้างก็ไม่ได้คิดว่าตัว เองเป็นชายรักชายด้วยซ้ำ คิดว่าแค่ลอง แค่เล่นก็ไม่เสียหาย “บางทีพอเราถามเขา เขาก็ตอบว่าไม่ ไม่ใช่คนติดซาวน่า ไม่ได้ เป็นเจ้าแม่ซาวน่า แต่ไปบ่อยมาก เหมือนไปซาวน่าแล้วบอกว่าไม่ได้ไปหาคู่ แค่ไปผ่อนคลาย แต่ถามว่าจริงๆ แล้วไปทำไม บางทีมันไม่จำเป็นที่เขาจะต้องบอกให้ทุกคนรู้ แต่จริงๆ ตัวเขาเอง รู้หรือยัง? หรือว่ารู้แล้วบอกไม่ได้?” แล้วตอนนี้วินเองจะรู้ตัวหรือยังนะ? แล้วผมเอง รู้ตัวแล้วหรือยังนะ? —————————————————————————————


“โชว์เค โชว์อะไรอย่างนี้ใช่มั้ย มันก็เป็นวิวัฒนาการของพวกโชว์อีกแบบหนึ่งนะ” อ.นพพันธ์พูดขึ้น หลังผมเปิดรูปใน ทวิตเตอร์ให้อาจารย์ดู มันเป็นแอคเคาท์สำหรับทวีตเชิญชวนมีเพศสัมพันธ์ และเต็มไปด้วยรูปการโชว์อวัยวะเพศในที่ต่างๆ ไม่ ว่าจะตามท้องถนน อาคาร สวนสาธารณะ ห้องน้ำสาธารณะ หรือบนรถเมล์ รถแท็กซี่ “เหมือนกับภูมิใจในอวัยวะ ในขนาดของตัวเอง หรือหุ่นของตัวเอง บอดี้ของตัวเอง คนพวกนี้ก็จะรู้สึกว่าเขามีดีก็ต้อง อวด พวกผู้หญิงผู้ชายก็เป็นนะ ผู้ชายก็อวดผู้หญิง ผู้หญิงก็อวดผู้ชาย เกย์ก็อวดเกย์ด้วยกันเอง พวกไบ9ก็จะสนใจอวัยวะเพศ ชายมาก เพราะว่าคนพวกนี้ลึกๆ แล้วเขาไม่สามารถจะเปิดเผยตัวเองได้ เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องมาปลดปล่อยในพื้นที่แบบนี”้ พอเป็นโซเชี่ยลมีเดีย อะไรๆ มันก็ง่ายขึ้นซะด้วย ไม่รู้ว่าโชคเข้าข้างหรือยังไง วันนั้นมีน้องมหาวิทยาลัยเดียวกันทักแชทเฟซบุ๊กผมมา... “เล่นทวิตอีกแอคนึง ส่องผู้ไปเรื่อยๆ ส่องไปส่องมา เจอผู้อัพรูปไม่ เห็นหน้าใส่เสื้อแลปโชว์เค่อหน้ากระจกในห้องน้ำตึกภาคฉัน” “เฮ้ย! จริงดิ!!”
 “แอคเคาท์ไหนอะ” “@Bas_CU_Outdoor เชิญค่ะ”
 “ห้องน้ำกระเบื้องโมเสกเขียว ๆ นั่นล่ะค่าา” ผมเปิดไปเจอกับแอคเคาท์หนึ่งซึ่งพาดหัวชัดเจนว่าเป็นนิสิตจุฬาฯ เขาทวีตอย่างสม่ำเสมอถึงความเหนื่อยล้าในการ เรียน และความต้องการจะ ปลดปล่อย ของเขา รวมถึงพูดคุยกับเพื่อนและฟอล์โลเวอร์อย่างล่อแหลม ที่สำคัญ มีรูปภาพหลัก ฐานที่แสดงถึงพฤติกรรมเอาท์ดอร์ของเขาเต็มไปหมด ทั้งริมระเบียง ในห้องน้ำ และในอาคารเรียนของจุฬาฯ! บาส ซียู @Bas_CU_Outdoor
 กินข้าวหอยูกันมั้ย? หรืออยากกินอย่างอื่นดี น้ำข้นๆ พร้อมเสิร์ฟครัฟ ——————————————————————————————— บาส ซียู @Bas_CU_Outdoor
 วันนี้แลปน่าจะเสดไว ไปเที่ยวไหนดี สวนรถไฟ เมืองทอง ปตท หรือ R310 ดี หรือแก้ผ้าแม่งในมอเลยดี ——————————————————————————————— บาส ซียู @Bas_CU_Outdoor
 เหนน้องมอปลายละ นึกถึงตอนเรียนชอบถ่ายรูปใส่ชุดนักเรียนโชว์ควย ฟินๆ ใส่ชุดนักเรียนเยดและโดนเยด เสียวสัตว์ 5555 ——————————————————————————————— บาส ซียู @Bas_CU_Outdoor
 ไม่ได้ลงรูปนานแล้วเลยโดดเรียนมาชักว่าว ห้องน้ำตึกใหม่มหาลัยดังกลาง สยาม pic.twitter.com/CATBy8niWa ——————————————————————————————— บาส ซียู @Bas_CU_Outdoor
 เห็นลมเย็นๆ เลยออกมาแก้ผ้าโชว์ที่ดาดฟ้าตึกเรียน หนาวจนไข่แข็ง (จากมุมตึกมหาวิทยาลัยดังย่านอโศก) pic.twitter.com/maMAG6Fxs9 ถ้าเขาเป็นคนในจุฬาฯ จริงๆ ก็คงจะตามตัวได้ไม่ยาก คิดได้อย่างนั้นผมจึงรีบบอกน้องผมไป “มึง สืบให้หน่อยว่าแอค เคาท์นั้นเป็นใคร?” ไม่นาน หน่วยสืบสวนส่วนตัวของผมก็ตอบกลับมา “เจอตัวแล้ว!” 9

Bisexual = กลุ่มคนที่สนใจหรือมีพฤติกรรมทางเพศกับทั้งเพศชายและเพศหญิง

10

R3-sauna ซาวน่าเกย์ชื่อดังย่านรัชดา


เขาเป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ไม่ใช่ในระดับปริญญาตรี น้องรายงานผลการสืบสวนมา ทั้งชื่อ นามแฝง คณะและสาขาที่เรียน พร้อมด้วยรูปหลักฐานที่ยืนยันว่าเป็นคนคนเดียวกัน “ฉันไม่ต้องทำอะไรเลย แค่กระตุ้นต่อม เสือกเพื่อนในภาค ข้อมูลทุกอย่างก็เข้ามาหาฉัน” น้องพูดอย่างภูมิใจในทักษะการสอดรู้ของตัวเอง ก่อนจะจัดแจงส่งไอดีไลน์ ของเขามาให้ ผมตัดสินใช้ไลน์ส่วนตัวของผมทักเขาไป “สวัสดีครับ พี่แมนใช่มั้ยครับ?” “ครับ ใช่ครับ”
 “นี่ใครครับ?” “คือผมกำลังทำสารคดีเรื่องเกย์ที่ชอบมีเซ็กส์แบบเอาท์ดอร์ในพื้นที่ มหา’ลัยอะครับ”
 “เลยอยากจะทราบความคิดเห็นของพี่นิดนึง” “ถ้าผมจะขอนัดสัมภาษณ์ที่จะได้มั้ยครับ?”
 This message could not be sent. “พี่ครับ...”
 This message could not be sent. ความพยายามครั้งแรกล้มเหลวไม่เป็นท่า... ผมเข้าใจเหตุผลในการปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเขาดี ครั้งต่อมาผมจึง เลือกสร้างแอคเคาท์ไลน์อันใหม่ และทักพี่เขาไป ในฐานะ ผู้ติดตามผลงานในทวิตเตอร์ ของพี่เขา “พี่บาสส ผมแอดพี่มาจากในทวิตเตอร์นะครับ”
 “แหะๆๆ” “อ๋อ ว่าไงๆ”
 “ชื่อไรล่ะเรา” นับจากวันนั้นผมจึงชวนเขาคุยทุกวัน โดยเลือกที่จะไม่ถามพี่เขาตรงๆ แต่ถามในเชิงเด็กอยากรู้อยากลองคนนึง ผม สังเกตได้จากสำเนียงในการพิมพ์และตอบคำถามของเขา และพบว่าจริงๆ แล้วเขาเองก็มีมุมที่น่าสงสารเหมือนกัน ว่ากันตามตรงคือพี่เขาเป็นคนหน้าตาไม่ดี หน้าผากกว้างและดวงตาไม่เข้ารูป แต่ด้วยรูปร่างผิวพรรณที่ขาวและดูดี ตามสมัยนิยม มันทำให้ร่างกายของเขานั้นขายได้ เขาตัดสินใจใช้โซเชี่ยลมีเดียในการแสดงออกโดยไม่เปิดเผยหน้า เพราะใน ด้านมืดของทวิตเตอร์ ไม่มีใครสนใจหน้าตา เขาสนใจแค่ ‘ไอ้นั่น’ เท่านั้น! “อย่าเลย พี่หน้าตาไม่ดีหรอก แกเจอก็ไม่น่าจะชอบ” ผมแกล้งทำเป็นรบเร้าอยากเจอพี่เขา “พี่เคยไปเจอคนคนหนึ่ง แล้วเขารังเกียจ หลังจากนั้นพี่เลยไม่นัดเจอใครในทวิตเตอร์อีกเลย” พี่บาสเริ่มเข้าสู่วงการ โชว์เค ตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ตึกเรียนที่มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านอโศกก็ขึ้นชื่อในเรื่องนี้อยู่ พอตัว “ก็แล้วแต่นะ บางทีก็มีตากล้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะตั้งเวลาถ่ายเอง” ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองมั้ย แต่พี่เขาดูมีความสุขและดีใจที่มีคนชื่นชมผลงานของเขา มีคนรีทวีต มีคนทักเข้ามาคุย เข้า มาตอบ ... ลึกๆ แล้วเขาดูเป็นคนขี้เหงาและขาดความรักคนนึง “พี่ไม่เคยมีแฟนเลย” “หุ่นดีอย่างพี่เนี่ยนะไม่มีแฟน ไม่น่าเชื่อ” “หุ่นดีมันหาได้แค่เซ็กส์เท่านั้นแหละ หน้าตาอย่างพี่ 
 อย่าว่าแต่ความรักเลย แค่ความสงสารบางทีเขายังไม่มีให้” หรือนี่เป็นสาเหตุลึกๆ ของพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศของเขา เมื่อคิดได้อย่างนั้น ผมกลับรู้สึกหดหู่พิกล...


ผมหวนนึกถึงคำพูดของ อ.นพพันธ์ “สังคมเซ็กส์ที่คบกันด้วยรูปร่างหน้าตา มันเป็นสังคมที่ไม่มีความรับผิดชอบ เพราะเราไม่เคยเข้าใจมนุษย์เลย เรามองหาแต่สิ่งที่มันอยู่ข้างนอก” สังคมเกย์ในยุคทุนนิยม บริโภคนิยม ได้หล่อหลอมเรื่องวัฒนธรรมรูปร่างหน้าตารุนแรงมาก สื่อกระแสหลักต่างนำ เสนอเกย์ที่รูปร่างหน้าตาดี หล่อ ผิวขาว สมบูรณ์แบบในทุกด้าน นักแสดงที่ได้รับบทเกย์ก็ต้องเป็นคนหน้าตาดีเท่านั้น ทำให้ คนคิดว่า หน้าตาดีต้องเป็นเกย์ และ เป็นเกย์ต้องหน้าตาดี ซึ่งหากดูในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าเพศไหนๆ ก็มีทั้งคนที่หน้าตา ดี และหน้าตาไม่ดี คละกันไป “ไอ้สังคมซึ่งมันเป็นเรื่องการให้คุณค่ากับอิมเมจ วัตถุ มันมีความรุนแรง รุนแรง และรุนแรง จนกระทั่งเกย์รุ่นใหม่ๆ ก็ถูกสอนให้คบคนที่หน้าตามากกว่า!” เป็นอีกครั้งที่อาจารย์ทำให้ผมนิ่งคิด ————————————————————————————— ณ ร้านกาแฟแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชายสองคนกำลังพูดคุยกันเรื่องบนเตียง ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบนเตียง ผมมาเจอกับพี่เขาอย่างกระทันหัน จากตอนแรกที่ดูเวลาว่างเราจะไม่ตรงกัน แต่เมื่อเสียงปลายสายบอกว่าคืนนี้มา เจอกันได้ ผมก็กระโจนขึ้นรถยนต์ส่วนตัวของพี่เขา และมุ่งหน้ามาที่ร้านกาแฟยี่สิบสี่ชั่วโมงนี้ทันที พี่กาย เป็นหนุ่มตี๋หน้าตาน่ารัก รูปร่างขาวอวบหากแต่ยังดูดีภายใต้เชิ้ตสีขาวนั้น ผมจึงไม่แปลกใจว่าทำไมหนุ่มคนนี้ ถึงป็อปปูลาร์ในหมู่ชายด้วยกันเอง ผมรู้จักกับพี่เขาตั้งแต่สมัยเรียนมอปลายที่โรงเรียนเดียวกัน และนั่นน่าจะเป็นช่วงเวลาเดียว กับประสบการณ์เสียวนอกเตียงครั้งแรกของพี่กาย “นั่งกันอยู่แล้วอยู่ดีๆ มันก็ลากไป คือตอนนั้นมันปิดเทอม บนตึกเรียนก็จะมีห้องว่างที่ไม่มีคนขึ้นไป ตอนแรกไม่คิด ด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นคนที่มีรสนิยมทางนี้ หมายถึงไม่รู้ว่ามันเป็นเกย์” เอาท์ดอร์ครั้งแรกของพี่กายจึงเกิดขึ้นที่นั่น “ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความสัมพันธ์?” “ใช่ คิดว่ามันเป็นแค่อารมณ์ตอนนั้นนะ ตอนแรกไม่ได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ เหมือนนั่งอยู่ด้วยกัน นั่งคุยกันไป อยู่ดีๆ มันก็ เรียก เอ้ย! มานี่หน่อยดิ แล้วมันก็ลากเราเข้าไปเลย ถ้าถามว่ารู้สึกผิดมั้ย ก็ไม่ได้รู้สึกผิดบาปอะไร แค่ก็รู้สึกว่า เฮ้ย! มันไม่ใช่ ที่ มันแปลกจัง” พอมีครั้งแรก ก็มีครั้งที่สองที่สามตามมา พี่กายบอกว่าในทุกครั้งไม่เคยเป็นคนเริ่ม หรือเสนอก่อนเลย แต่เป็นเพื่อน เขาที่พาไป หวังจะให้พี่กายเป็นคน ช่วย ซึ่งพี่กายก็ดูจะโอเค หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้ พี่กายก็ยังคงมีประสบการณ์นอกสถานที่ติดตัวเรื่อยมา “คือมันจะมีห้องน้ำที่ตึกเก่าของ คณะ ชั้นบนๆ เงียบๆ ที่เราไม่รู้ว่าคนรู้กันมั้ย เพราะจริงๆแล้วตอนอยู่มหา’ลัย เราก็เป็นฝ่ายโดนชวนเหมือนกัน” “คนแรกเป็นพี่ที่เรียนศิลปะอยู่คณะข้างๆ เจอกันบ่อยมาก แต่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แค่มองหน้าแล้ว อ๋อ! เจอ กันอีกแล้ว แต่ไม่เคยคุย” พี่คนนั้นส่งสัญญาณให้พี่กาย นัยว่าให้ ‘ลองตามมาสิ’ ซึ่งพี่กายก็เดินตามอย่างว่าง่าย “ก็แค่นึกว่า เดินตามขึ้นมา ขึ้นมาคุยอะไรอย่างนี้ เราก็ไม่ได้อะไร แต่เขาก็พาไปห้องน้ำ ก็เลยโอเค เข้าใจ” แม้จะเคยทำในโรงเรียนมาก่อน แต่ความรู้สึกตอนทำที่มหาวิทยาลัยกลับต่างออกไป “ตื่นเต้นมั้ยก็ตื่นเต้นนะ เพราะ มันรู้สึกว่า เฮ้ย! นี่มันมหา’ลัยนะ มันเปิดเทอม มันเยอะกว่าที่โรงเรียนเยอะ” หอกลาง หรือ สำนักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ห้องสมุดขนาดใหญ่ใจกลางมหาวิทยาลัย เป็นอีก สถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องลับๆ ของนักเอาท์ดอร์ “ครั้งแรกที่หอกลางคือเราไปเข้าห้องน้ำ เราชอบไปเข้าห้องน้ำที่ชั้นสาม” ชั้นสามของหอกลาง เป็นส่วนของห้อง ประชุมและสัมมนา ไม่มีส่วนของห้องสมุดและที่นั่งอ่านหนังสือ จึงทำให้ชั้นนี้ไม่มีคนพลุกพล่าน “เขาก็ตามมา เข้ามายืนฉี่อยู่ โถข้างๆ คือเขามอง มอง... เอ่อ.. ใช่! เแล้วเขาก็ยื่นมือมาจับมือเรา ตอนนั้นก็อารมณ์ปะ มันมนุษย์อะ ก็รู้สึกว่าก็โอเคนะ พอใจดี”


“รอบนี้ไม่ตื่นเต้นแล้ว?” “คิดว่านะ เหมือนแรกๆ มันอาจจะมีทั้งความแพนิค ความตื่นเต้น แต่หลังๆ มันก็แค่ปล่อยไปตามอารมณ์เลย เสร็จ แล้วก็จบ ไม่ได้คุย ไม่ได้ติดต่อต่อ” หลังจากนั้นพี่กายก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนแลกความสนุกกับคนนู้นที คนนี้ทีในห้องน้ำหอกลางอีกหลายครั้ง ทั้งคนที่ รู้จักกันดี คุยกันมานาน หรือคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลย แต่ดูเหมือนเรื่องสนุกๆ ของพี่กายจะไม่ได้เกิดขึ้นที่หอกลางเท่านั้น “ข้างนอกก็เคย” “ต่างกันมั้ยระหว่างในกับนอกสถานศึกษา” “ความรู้สึกก็ไม่ต่างนะ” วันนั้นพี่กายเข้าไปทำธุระในห้องน้ำศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ (แน่นอนว่าเป็นห้องน้ำขึ้นชื่อ) ระหว่างที่กำลังรูดซิป ก็มีชายหน้าตาดีคนหนึ่งมายืนข้างๆ พร้อมทั้งพยักหน้าให้ตามเข้าไปในห้องน้ำ “เราก็... ตามไปก็ได้” พี่กายพูดพลางยิ้มหวาน รอยยิ้มนี้คงเป็นสิ่งที่ดึงดูดพวกชอบโชว์ให้เข้าหาพี่กายบ่อยๆ ด้วย “เจอ ครั้งแรกที่เจอถามว่าตกใจมั้ยก็ตกใจ โอเค เกย์มันก็คงเยอะแหละ มันก็คงไม่แปลก แต่ตกใจที่ว่า เฮ้ย! นี่มันข้างนอกเลยนะ แต่หลังๆ เราเจอบ่อยมาก บ่อยมากจนครั้ง หลังๆ เราชินแล้ว เจอจนไม่รู้สึกตกใจ” เขาเล่าราวกับว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกวันเป็นเรื่องปกติ นั่นทำให้ผมสงสัยว่ามันง่าย ขนาดนั้นเลยเหรอ มันง่ายมากใช่มั้ยที่เราจะไปมีอะไรกับใคร ให้เขาเข้ามาแล้วออกไป เข้ามาแล้วจบไปจากชีวิต โดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย? “จริงๆ แล้วเคยมีคนที่เรารู้สึกว่า คนนี้พิเศษจัง ทำแล้วรู้สึกอบอุ่น ทำแล้วรู้สึกว่าไม่อยากให้มันจบแค่นี้ แต่เรารู้สึกว่า มันควรจะจบแค่นี้ดีกว่า เพราะเมื่อเราเจอกันแบบนี้ มันคงไม่ดีถ้าเราจะอยากรู้จักเขามากขึ้น” “กลัว?” “กลัว กลัวจะชอบเขา เรารู้สึกว่าเราไม่ควรชอบเขา เพราะเขาทำแบบนี้กับเรา และเราก็ทำแบบนี้กับเขา” พี่กาย ยอมรับว่าเคยมีคนที่ถูกใจ ทั้งหน้าตาและนิสัย “แต่ว่าไม่ได้เป็นมากกว่าเพื่อน ไม่ยอมเป็น และไม่ยอมให้เป็น” “เสียดายมั้ย?” ผมอดสงสัยไม่ได้ “เสียดายที่มาเจอกับเขาแบบนี้ เสียดายมาก แต่ก็คงก็ไปต่อไม่ได้” หรือบางที เซ็กส์ กับ ความรัก ก็ไม่ได้เดินไปด้วยกันเสมอไป “เรามองเป็นเรื่องธรรมดาเลย มันเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ แต่บังเอิญว่าเรื่องที่เขาทำมันเป็นเรื่องที่ทุกคนจัดให้อยู่ ในหมวดที่น่ารังเกียจ เพราะว่าเราอยู่ในสังคมที่คนควรจะปิดเป็นความลับ ควรจะไปแอบทำ โอเค! มันก็ไม่ต้องถึงกับต้องเปิด เผยมาก แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ที่ถ้ามีโอกาสทำมันก็ทำ” ถ้ามีโอกาสทำมันก็ทำ ... คำนี้น่าคิด “พี่เคยทำตอนที่มีแฟนมั้ย” “เคย...” พ่ีเขาดูหน้าเสียไป “ตอนนั้นทะเลาะกับแฟน ก็คือห่างๆ กันไป แต่ก็ไม่ได้เลิกซะทีเดียวร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอน นั้นที่ทำถามว่ารู้สึกผิดมั้ย ก็รู้สึกผิดมากนะ” นั่นคือครั้งแรกที่พี่กายนอกใจแฟนตัวเอง “ถ้ามีโอกาส จะยังทำอีกมั้ย?” ผมทิ้งคำถามสุดท้ายให้กับพี่กาย … ผมยังจำคำถามสุดท้ายที่ถาม อ.นพพันธ์ ได้ เช่นเดียวกับที่ผมจำคำตอบของอาจารย์ได้ “อาจารย์เชื่อในความรักมั้ยครับ?” “เมื่อก่อนเชื่อ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเชื่อแล้ว”


อาจารย์มองว่า ความรัก เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรม เป็นหนึ่งในภาพสะท้อนของกรอบศีลธรรมที่มนุษย์ พยายามหล่อหลอมขึ้น ทุกวันนี้ความรักถูกทำให้กลายมาเป็นมาตรฐานทางศีลธรรมที่บัญญัติว่า ความรักของชายและหญิง เท่านั้นที่ถูกต้อง สังคมรักเดียวใจเดียวเท่านั้นที่ถูกต้อง “ความรักเป็นสิ่งซึ่ง มันก็มีอคติอยู่บางอย่าง” อ.นพพันธ์ กล่าว “ในชนเผ่าบางชนเผ่า ไม่มีคอนเส็ปต์เรื่องความรัก คนสามารถที่จะมีคู่ครองได้หลายๆ คน แต่คนคนนั้นก็ต้องมีความรับผิดชอบเพียงพอ” คำว่าความรับผิดชอบนี้ ก็คือการรู้จักเป็นเจ้านายตัวเอง รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปจะมีอะไรตามมา “ถ้าเรารู้จักรับผิดชอบ เรา ก็จะมีขอบเขตของตัวเอง ว่าแค่ไหนถึงจะอยู่อย่างรู้จักใช้ชีวิต โดยที่ไม่ต้องอ้างศีลธรรมอะไรเลย” ทั้ง เซ็กส์ และ ความรัก ต่างก็เติมเต็มความสุขให้กับมนุษย์ แล้วมันผิดด้วยเหรอที่เราจะโหยหาความสุขเหล่านั้น? … “ถ้ามีโอกาส จะยังทำอีกมั้ย?” ผมทิ้งคำถามสุดท้ายให้กับพี่กาย คืนนั้นพี่กายอาสาขับรถมาส่งผมที่ห้องพัก ระหว่างทางเราต่างนิ่งเงียบ ครุ่นคิดในสิ่งที่เพิ่งสนทนากันไป ก่อนที่เขาจะ จอดรถลงเงียบๆ ที่ซอยแคบหน้าห้องพักของผม “เคยรู้สึกว่าแบบ ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ด้วย ทำไมเราถึงมาทำอะไรแบบนี้ มันเห็นจะดีเลย” เขายื่นมือมาแตะที่ต้นขาของผม เป็นจังหวะเดียวกับที่เราสบตากันเงียบๆ ในรถยนต์คันนั้น “บางทีใครก็ไม่รู้ บางทีก็ไม่ใช่คนรู้จัก” ริมฝีปากเราผสานกันอย่างแผ่วเบา ดวงไฟด้านนอกดูจะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป “แต่เรารู้สึกเหมือนกับว่าอารมณ์มันพอดี” มือของผมปรับเบาะที่นั่งลงช้าๆ มือของเขาค่อยๆ ปลดกระดุมของผม “แต่ว่าทำไปก็รู้สึกผิดนะ รู้สึกผิดกับตัวเอง” ผมดันอกเขาขึ้น พลางส่งสายตาตั้งคำถามในสิ่งที่เรากำลังทำ “แต่มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทำมันจน ... เฉยๆไปแล้ว” สุดท้ายแล้ว ความต้องการก็เป็นฝ่ายที่ชนะไป … … … ถึงตอนนี้ผมอยากจะทิ้งคำถามสุดท้ายให้กับตัวเอง แทน มึงยังเชื่อในความรักมั้ย? —————————————————————————————


“โชว์น่ะโชว์ไปเถอะ แต่อย่าไปทำให้คนอื่นเขาลำบากใจ อย่างแม่บ้านอย่างเนี้ย สงสารนาง มึงมาก็มาทำเลอะเทอะ ก็เข้าใจว่าเป็นรสนิยม แต่แค่อย่าไปทำให้คนอื่น

ที่เเขาไม่ได้อยากจะเป็นภาพอะไรอย่างนี้มาเห็นแล้วเรารู้สึกภูมิใจ เขาว่ามัน อุจาดตา ไม่ใช่ทุกคนที่จะรับได้กับภาพนี้ ถ้าสมมติว่าอยากทำจริงๆ ก็ไปทำในที่เงียบๆ ไม่มีคนผ่านไปผ่านมา ำ แต่ถ้ามีคนอื่น คนปกติทั่วไปที่อยู่ ณ ขณะนั้นด้วย ก็เกรงอก เกรงใจเขาบ้างเถอะ ถ้าสมมติว่าถอดอยู่ในห้องน้ำมืดๆ คนเดียว ในออฟฟิศดึกๆ ที่ไม่มี คน แล้วถอดโชว์หมด ก็ทำไปก็ได้ มันไม่ใช่ที่ที่มีคนอยู่ไง แต่ถ้ามีคนอยู่ก็เกรงใจเขาบ้าง เถอะ นะ” — ภูมิ “ไม่รู้ดิพี่ ก็ไม่อยากจะไปตัดสินรสนิยมอะไรของเขา อย่างว่าแหละ ทำอะไรก็ ระวังตัวละกัน ระวังในแง่ที่ว่า ระวังคนอื่นเห็น ระวังสุขภาพของคุณเอง หรือระวังเรื่องว่า มันไม่ใช่ที่ๆ ดีหรือเปล่าวะ ถามว่ากลัวคนเขามองว่าเกย์ไม่ดีมั้ย ก็รู้สึกเบาๆ นะ ไม่รู้เหมือนกัน” — วิน “ก็แค่ให้ระวังตัวแค่นั้นแหละ ระวังในเรื่องโรค เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่รู้ว่าเขามีโรคอะไรหรือเปล่า แล้วก็ระวังเรื่องหน้าตาตัวเองด้วย เพราะว่าถ้า โดนจับได้หรือมีคนมาเห็นบางมีมันก็ส่งผลระยะยาว มันไม่ได้ส่งผลแค่สั้นๆ เพราะเดี๋ยวนี้ตามห้างเขาก็เข็มงวด เขามีการส่งตำรวจ ซึ่งมันก็จะบันทึกอยู่ในแฟ้มว่าเคย ทำอนาจารในที่สาธารณะ” — ย้ง “เรารู้สึกว่าจริงๆ แล้วการกระทำแบบนี้มันไม่ต้องทำก็ได้ กลับไปใช้ชีวิต

เถอะ กลับไปหาเพื่อน กลับไปหาสังคมรอบนอก ไปทำกิจกรรม เล่นกีฬา ไปทำอย่างนู้นอย่างนี้ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นให้ได้ กล้าที่จะพูดในสิ่ง ที่ตัวเองเป็น เรื่องแบบนี้ถ้ามันจะมีมันก็มี แค่นั้นเอง แต่ว่าถ้าคุณจะมองหาเซ็กส์ แล้วคุณ มองว่าที่นี่เป็นหนึ่งในช้อยส์ที่คุณจะหาได้ ก็เชิญตามสบาย ไม่รู้สิ ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณโอเค กับมันแล้วไม่ได้ทำร้ายใครก็ทำไปเถอะ แต่ถ้ามันทำร้ายใครหรือว่าทำให้ใครไม่สบายใจก็ อย่าทำดีกว่า” — นนท์ “ก็ จริงๆมันก็เป็นเรื่องของเขานะ ตราบใดที่เขาไม่ไปรุกล้ำคนอื่น ไม่ไปทำความ วุ่นวายหรือสร้างควารำคาญให้คนอื่น เพราะบางทีคนที่เขาไม่ได้อยากจะมาอะไรอย่างนี้ เขาก็โดนทำ โดนลวนลามทางสายตา ทางร่างกายไปด้วย ... จะทำอะไรก็ได้ตราบใดที่ไม่ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน บางทีมันก็ต้องคิดถึงความพอดีด้วย หรือไม่ก็คิดถึงตัว เองด้วยว่ามันปลอดภัยหรือเปล่า ก็ต้องคิดนิดนึง” — กาย

“เรื่องเพศมันเป็นพรมแดนความรู้ มันเป็นจักรวาลซึ่ง อยู่ในตัวเราเอง ไม่มีใครกล้าจะค้นหาจักรวาลตัวนี้ ยิ่งค้นหา ยิ่งมองไม่เห็นมัน เรื่องเพศไม่ใช่แค่เรื่องอวัยวะเพศ ไม่ใช่แค่ เรื่องความสัมพันธ์ มันยิ่งกว่าหลุมดำในจักรวาลจริงๆ” — อ.นพพันธ์ ด้วงวิเศษ —————————————————————————————


————————————————————————————— ผมตื่นเช้าขึ้นมาในห้องนอนของตัวเองด้วยความรู้สึกมหาศาลที่ปะทุอยู่ในหัว มันทั้งอิ่มเอมและว่างเปล่า ตื่นเต้นและ ห่อเหี่ยว ตื้นตันและรู้สึกผิด เสียงความคิดของผมเต็มไปด้วยคำถาม ทำไมถึงทำแบบนั้น? ทำไมถึงปล่อยให้เป็นแบบนั้น? นี่ ผมเป็นอะไรไป? ผมกำลังทำอะไรอยู่? ตอนนั้นคิดอะไรอยู่? ตกลงสิ่งที่เราทำมันผิดมั้ย? เสียงที่ดังที่สุดถามผมว่า “ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะยังทำเหมือนเดิมมั้ย” ผมได้แค่รำพึงเบาๆ “ผมไม่รู้” … ————————————————————————————— สารภาพตามตรงว่าสาเหตุแรกที่ผมเลือกทำสารคดีเรื่องนี้เพราะตัวผมเองมองเห็นว่า มัน เป็นปัญหาสังคมที่ต้องได้ รับการแก้ไข ผมต้องการสะท้อนภาพปัญหานี้ให้สังคมได้รับรู้ และนำเสนอแนวทางจัดการอย่าง ถูกต้องตามกฏหมาย ศีล ธรรม และประเพณี แต่ที่สุดแล้วผมเองก็ยังมองไม่เห็นทางว่าปัญหานี้จะคลี่คลายได้อย่างไร สาเหตุหลักๆ ที่เราไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย เพราะคนเหล่านี้ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นปัญหา แล้วความจริงมันเป็นปัญหาจริงๆ หรือเปล่า? เส้นทางระหว่างการทำสารคดีของผม ผมได้พบคนมากมาย ได้พูดคุย และเรียนรู้ในประสบการณ์ของทัศนคติในเรื่อง เซ็กส์ ของพวกเขา บ้างมีทั้งรับได้ รับไม่ได้ ไปจนถึงขั้นรังเกียจ หลายครั้งผมสับสน ความคิดของผมนั้นอ่อนไหวเกินกว่าจะ ปักธงลงที่ฝั่งใดได้ ผมรู้สึกเหมือนกำลังเคว้งอยู่ในหลุมดำแห่งจักรวาล อย่างที่ อ.นพพันธ์ กล่าวไว้จริงๆ น้องแทน หรือ แทนทัต วชิรโอภาส เป็นเพียงตัวละครหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อแทนทัศนะของคนนอก คนที่เคย รังเกียจ และพยายามทำให้ทุกสิ่งมันถูกต้อง โดยไม่ได้มองว่าแท้จริงแล้วพฤติกรรมทั้งหลายนั้นเกิดมาก่อนศีลธรรม เกิดมา ก่อนวัฒนธรรมประเพณีที่เราต่างมองว่าดีงาม เซ็กส์เกิดมาพร้อมกับคำว่ามนุษย์ ผมมอบหมายให้น้องแทนทำหน้าที่สะท้อนภาพของคนคนนึง ที่ได้ลองสัมผัสคนและประสบการณ์ของพวกเขา ค่อยๆ ดำดิ่งลึกลงไปในโลกที่ คนทั่วไป ไม่มีทางได้เห็น ... จนสุดท้ายเขาเองก็แทบกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน เพราะแทนเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง... ผมไม่ได้มาเรียกร้องความเป็นธรรมให้พวกเขา ผมเองยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าผมกำลังเรียกร้องอะไร แล้วมันมีคำตอบ ที่แท้จริงให้กับเรื่องนี้จริงหรือเปล่า บางที ณ ตอนนี้ คำว่า รับผิดชอบ ต่อตนเองและส่วนรวม อาจจะเป็นคำตอบที่ดีสุด —————————————————————————————

“เรื่องลับในที่แจ้ง” กรณีการมีกิจกรรมทางเพศของเพศชายในพื้นที่สาธารณะโดยรอบสถานศึกษา

เรื่องโดย ษฎาวุฒิ อุปลกะลิน


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.