Dhammaintrend ร่วมเผยแพร่และแบ่งปันเป็ นธรรมทาน
พระที่แทจริง พระพุทธเจาทานทรงมีเมตตาตอพระเรา เณรเรา ญาติโยมที่อยูวัด และอยูทางบาน หลายทานหลายคนตั้งใจบวชไมสึกนะ บวชจนตาย... เมื่อเราตั้งใจอยางนี้ ตั้งปฏิญาณอยางนี้ เราทําอยางไรเราถึงเปน “พระที่แทจริง” จะไดเปนพระหมดกิเลส สิ้นอาสวะ พระพุทธเจาทานสอนเราใหพากันประพฤติปฏิบัติเพื่อมุงมรรคผล นิพพานอยางเดียว อยาไดพากันมาติดความสุขจากปจจัย ๔ ลาภ ยศ สรรเสริ ญ เราต อ งตั ด จริ ง ๆ เหมื อ นกั บ ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นพาเราละ “ละพอ ละแม ละลูก ละหลาน พาเราละทิ้งหมดทางดานจิตดานใจ...”
๒
ถาเรายังไมละ ไมปลอย ไมวาง เราก็ไปไมได เพราะการปฏิบัติของเรามันเดินไปดวยจิตใจ
ดู ตั วอย างพระพุ ท ธเจ าของเรา ท า นสมาทานนอนตามพื้น ดิ น สมาทานนอนตามโคนไม นุ ง ห ม จี วรด วยผ า บั ง สุ กุ ล เที่ ย วภิ ก ขาจาร บิณฑบาต ชาวบานเคาถวายอะไรก็ฉันอันนั้น ฉันวันหนึ่งก็เพียงครั้งเดียว การที่ มี ป ระเพณี ฉั น เพลนี้ เป น ประเพณี ที่ อ นุ โ ลมเฉพาะภิ ก ษุ ไ ข และภิกษุเดินทางไกล ทานไมใหหวงเรื่องฉัน เรื่องอยู เรื่องนอน เรื่องอวน เรื่องผอม ฉันพออยูไดเพื่อไดทําความเพียร บวชมาแลวก็ไมมีใครคิดวาจะสิกขาลาเพศ... เรื่องเพศตรงกันขามนี่ใหตัดอยางเด็ดขาด ไมมีคําวาผูหญิง ผูชาย ตั ด ให ห มดนะ ถ า เราคิ ด ว า มี ห ญิ ง มี ช าย จิ ต ใจของเรามั น ก็ แ ย ม าก จิ ต ใจของนั ก บวชต อ งตั ด ต อ งละ ต อ งวาง จิ ต ใจถึ ง จะเป น หนึ่ ง จิตใจถึงจะเปนเอกัคคตา
๓
ความสุขในการพักผอนนี่ตัดใหหมด ใหพิจารณารางกายของเรานี่ เอาผมออก ลอกเอาหนั งออกหมด เอาเนื้อออก เพื่อจะไดทําลายนิมิ ต ความคิดที่วาเปนตัว เปนตน เปนชาย เปนหญิงนี่ออก วิธีการของเรา ที่จะต องปฏิ บัติ ที่ จ ะถอนรากถอนโคน ถอนสั กกายทิ ฏ ฐิ ที่ มั นเข าใจ วาตัววาตน เคาเปนผูชาย เคาเปนผูหญิง พระพุ ท ธเจ า ให เ ราพิ จ ารณาสลั บ กั น ไปกั บ การทํ า สมาธิ เช น ชั่ ว โมงหนึ่ ง เราอาจจะพิ จ ารณาย อ นไปย อ นมา สั ก ๑๐ นาที ๒๐ นาที ๓๐ นาที อย า งนี้ แล ว ก็ ห ยุ ด ให ใ จของเราสงบเย็ น ไม ต อ งคิ ด อะไร ถ า เราพิ จ ารณามากเกิ น สมองเรามั น จะเครี ย ด ถ า เราไม คิ ด เลย ไม พิ จ ารณาเลย ป ญ ญาจะไม เ กิ ด ธรรมะจะไม เ กิ ด มันจะไดแตสมาธิอยางเดียว เวลาออกจากสมาธิแลวมันก็เปนเหมือนคน ไมไดปฏิบัติอะไรเลย การประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจาใหเราทําสลับกันไปอยางนี้เรื่อย ๆ ...
๔
พระพุทธเจาทานไมใหเราคลุกคลี พูดมาก คุยมาก ให เราพากัน ตั้งอกตั้งใจ พากันทําความเพียรกัน พื้นฐานของจิตใจของเราตองเปนคนมีศีล... การรักษาศีลของเรามุงไปที่พระนิพพาน คือการละความเห็นแกตัว เพราะคนเรามั น เห็ น แก ตั ว มาก อยู ด ว ยการเบี ย ดเบี ย นคนอื่ น บริ โ ภคคนอื่ น ทํ า อาชี พ ต า ง ๆ ตั้ ง แต เ ด็ ก ๆ จนถึ ง ลาละสั ง ขาร อยูดวยการเบียดเบียน อยูดวยการเอาเปรียบคนอื่น ไมวาเรื่องบริโภค เรื่องตาง ๆ นั้นเต็มไปดวยการเบียดเบียนทั้งนั้น ท า นให ถื อ ศี ล ของพระอริ ย เจ า ถื อ ศี ล ของพระอรหั น ต ตั้งแตนี้จนตลอดชีวิต เราจะมีชีวิตดวยการไมเบียดเบียน ไมวาเรื่องกิน เรื่องใช เราตองมีชีวิตดวยการไมเบียดเบียน
๕
คนเรามันมีความเห็นแกตัวมาก มันเบียดเบียนเคาอยูก็บอกวา ไม เ บี ย ดเบี ย น พระพุ ท ธเจ า ท า นจึ ง ตรั ส ธรรมะในเบื้ อ งต น ไว ว า “สัพพะปาปสสะ อะกะระณัง การไมทําบาปทั้งปวง”
ถาเราเนนที่ใจ เนนที่เจตนา เราจะรูเลยวาศีลของเราบริสุทธิ์
หรื อ ไม บ ริ สุ ท ธิ์ คนเรานะมั น ปกป ด คนอื่ น ได มั น หลอกคนอื่ น ได
แตมันปกปดตัวเองไมได หลอกตัวเองไมได
การรักษาศีลของเราก็เพื่อใหตัวเองกราบตัวเองได ไหวตัวเองได
เพราะวาตัวพระพุทธเจาที่แทจริงนั้นคือ “ศีล”
“ศีล” นั้นคือความบริสุทธิ์ผุดผอง คือสภาพที่ไมมีความโลภ ความโกรธ ความหลง อาการที่มั นไม เห็นความสํ าคัญ ในศี ล คื อ อาการของตัวของตน นั ก ปฏิ บั ติ ไ ม ว า พระไม ว า โยมบางที มั น ประมาทไป เมื่ อ ศี ล มั น ไม ดี สมาธิที่มันเปนธรรมชาติที่ไมเขาไมออก ที่เปนพื้นฐานของสมาธิมันไมเกิด ถาเราศีลดี สมาธิมันก็เกิดก็มีโดยธรรมชาติ
๖
สมาธิก็แปลวาไมมีความโลภ ความโกรธ ความหลง เปนจิตใจ ที่วางจากนิวรณ ถาเราปฏิบัติถูกตอง ศีล สมาธิ ปญญา มันจะรวมกัน เปนหนึ่งไปตลอด... ถาเรามาบวช ถ าเรามาปฏิบัติ ถ าเราไม เอาจริ ง ถ าเราไมเอาจั ง เราไม ตั้ ง ใจมั น ไม ไ ด ผ ลนะ ทํ า ให เ ราเสี ย เวลา ทํ า ให เ ราแก ไ ปเปล า ๆ การมาบวชของเราก็ ไ ม มี ป ระโยชน ไม ต รงเป า หมายของพระพุ ท ธเจ า ที่ทานสั่งสอน สํ า หรั บ ผู ป ระพฤติ พ รหมจรรย พระพุ ท ธเจ า ท า นตรั ส ว า
“ทุกคนปฏิบัติไดหมด” ไมเลือกชาติ เลือกตระกูล ถาตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติ โลกนี้จะไมวางจากพระอรหันต หรือไมวางจากผูหมดกิเลส
พระนิ พ พานมั น ไม ใ ช เ รื่ อ งไกลสํ า หรั บ เราถ า ตั้ ง อกตั้ ง ใจ ประพฤติปฏิบัติ ท า นไม ใ ห เ ราลู บ ๆ คลํ า ๆ มั น เป น สี ลั พ พต ปรามาส
ท า นยั ง ตรั ส ไว ท า ยปาฏิ โ มกข ว า “บุ รุ ษ ดึ ง หญ า คาต อ งจั บ ให แ น น
๗
แลวตั้งใจถอนหญาคา หญาคาถึงจะขึ้นนะ ถาเราจับไมแนนหญาคา มันจะบาดมือ...”
สํ า หรั บ ผู ที่ บวชระยะสั้ น หรื อ ญาติ โ ยมที่ พ ากัน มาอยู วั ดถื อ ศี ล ครู บ าอาจารย ก็ ใ ห ตั้ ง อกตั้ ง ใจให ทํ า เหมื อ นกั น ให ป ฏิ บั ติ เ หมื อ นกั น ใหมุงมรรคผลนิ พพานเหมื อ นกั น อย าไปคิ ดว า อี กไม นานเราจะสึ กอยู หรืออีกไมนานเราจะกลับบาน เมื่อเรามาอยูวัดปฏิบัติธรรม เราตองปฏิบัติ ใหเต็มที่
ทุกทานทุกคนมีความอยากมีความตองการ แตไมอยากปฏิบัติ...! มันจะเกิดประโยชนอะไร เพราะการปฏิบัติของเรามันไปขอเอาไมได มันไปออนวอนเอาไมได ทุก ๆ คนแตงตั้งเราไมได เราตองปฏิบัติเอาเอง
๘
ส วนใหญ ทุ กท า นทุ ก คนเป นคนใจอ อ น ท านจะใจอ อ นไม ไ ด น ะ สัมมาสมาธิ คือความตั้งใจมั่ นชอบ การปฏิบัติของเราไม มีการถอนเข า ถอนออก "เหมือนเตา...เดี๋ยวก็โผลหัวออกเดี๋ยวก็ผลุบไปในกระดอง" พระพุทธเจาใหเราคิดอยางนี้ ใหเราปฏิบัติอยางนี้ มีความสุขมาก มีความพอใจมากในการประพฤติปฏิบัติ ถือวาเราเปนคนที่โชคดีนะ สมัยครั้งพุทธกาล ลูกชายบวชไดเปนพระอรหันต แมหวงลูกชาย ก็ บ วชตาม ลู ก ชายท า นเป น พระอรหั น ต ท า นรู ว า แม ยั ง ห ว ง ก็ เ ลยใช กลอุ บ ายเพื่ อ ให แ ม เ กลี ย ด ให แ ม ไ ม พ อใจ เพื่ อ ให แ ม ป ล อ ย แม ว าง
เพื่อใหแมไมหลงรักอีก ภิกษุณีที่เปนแมนอยอกนอยใจวา "ลูกเคาไมรัก" ก็เลยปลอยเลยวาง ไปประพฤติปฏิบัติ ไปทําความเพียร สุดทายก็ได บรรลุเปนพระอรหันต ที่ พู ด นี้ ก็ เ พื่ อ จะให ท า นทั้ ง หลายนี้ ไ ด เ ป น คติ ว า เราต อ งตั ด
“อยาเปนพระมีครอบครัวในหัวใจ”
๙
เรามาบวชแลว เราก็ยังมีครอบครัว ยังหวงพอ หวงแม หวงพี่ หวงนอง ใหตัดจริง ๆ ใหปลอยใหวางจริง ๆ เมื่อเรายังไมหมดกิเลส
"เรายั ง ไม สิ้ น อาสวะ เราจะช ว ยเหลื อ คนอื่ น ได อ ย า งไร...?"
แมแตตนเองยังเอาตัวไมรอด เราไปเมตตาคนอื่น เราไปสงสารคนอื่น ทําใหเราไปนิพพานไมไดนะ พระพุทธเจาทานใหเราเมตตาตนเอง สงสารตนเอง ตั้งจิตตั้งใจ ประพฤติปฏิบัติ เมื่อเรามีธรรมะ มีคุณธรรม เราเปนพระทางใจแลว เปนพระจริง ไม ใ ช พ ระปลอมแล ว เดี๋ ย วนี้ เ รายั ง เป น พระปลอม เป น พระแต ง ตั้ ง เค า สมมุ ติ ใ ห เ ราเป นพระเฉย ๆ แต เ รายั ง ไมเ ป น พระจริง เมื่ อ เราเป น พระจริง เราก็มีคําเทศน คําบอก คําสอน นี่ถึงวาเมตตาตนเองจริง ๆ พระพุทธเจาทานใหเราเห็นภัยในวัฏฏสงสาร การเวียนวายตายเกิด ถือวาเปนเรื่องใหญ ถ าเราไม เกิดมาปญ หาก็ ไมมี ที่ปญหามันมี เพราะว า เราเกิ ด มา มั น จะเกิ ด ได ต อ ไปก็ เ พราะว า เราไปทํ า ตามความหลง
๑๐
หลงในตัวในตน หลงในสิ่งภายนอก เดี๋ยวนี้ทุกคนถือวายังหันหลังให พระพุทธเจาอยู ถายังไมละสังโยชน ๓ ถือวายังหันหลังใหพระพุทธเจาอยู เมื่อรูวามันดี รูวามันถูก เราก็ยังไปลังเลสงสัยอยูไมไดนะ ถ า เรารู แ ล ว เราไ ม ประพฤติ ป ฏิ บั ติ ศี ล สม า ธิ ป ญ ญ า มันไมเกิดหรอก เพราะความรูที่ดูจากหนังสือ ฟงจากผูอื่น มันเปนเพียง ความรู มันเปนเพียงปริยัติ ยังไมใชขั้นปฏิบัติ ปฏิบัติกวาจะเปนปฏิเวธได ก็ไมใชเรื่องนอย ๆ พระพุ ท ธเจ า ตรั ส ว า “ธรรมทั้ ง หลายทั้ ง ปวงมั น เกิ ด ที่ เ หตุ
เราต อ งสร า งเหตุ ส ร า งป จ จั ย ให ถึ ง พร อ ม” อนาคตที่ จ ะสดใส จะก า วหน า สว า งไสว คื อ ป จ จุ บั น ที่ เ รากํ า ลั ง คิ ด ดี ทํ า ดี พู ด ดี มี ศี ล ในขณะที่ เ รากํ า ลั ง ประพฤติ ป ฏิ บั ติ นี้ เ ป น ที่ ตั้ ง อนาคตก็ คื อ ฐาน ของวั น นี้ ที่ จ ะให เ ราก า วไป เมื่ อ จิ ต ใจไม มี พ ลั ง ไม มี กํ า ลั ง เมื่ อ จิ ต ใจ มั น ตรึ ก นึ ก คิ ด ในสิ่ ง ไม ดี คื อ จิ ต ใจที่ จ ะนํ า เราไปสู ค วามตกต่ํ า
๑๑
ปฏิบัติไป...ก าวไปข างหนึ่ง แล วก็ ถอยไปข างหลัง ก าวหนึ่ ง มั นก็ แปลว า “ปฏิบัติไมไปไมมา”
ความไมละอายตอบาป เกรงกลัวตอบาปของเรานี่มันยังใชไมได มั น ยั ง มากอยู มั น ยั ง กล า คิ ด กล า ปรุ ง กล า แต ง มั น จํ า เป น ต อ งตั ด ต อ ง ล ะ ต อ ง ว า ง มั น จ ะ ไ ป อ อ น ไ ป แ อ เ ห มื อ น ที่ ผ า น ๆ ม า ใชไมไ ด
ใจของเรานั้ นที่ มันคิดไม ดี ตรึ กอะไรไมดี คนอื่ นเคาไม รู
เคาไมเห็น ตัวเรามันรู มันเห็น "มันเปนความคิดที่ไปหามพระนิพพาน..." “มรรค คือ ขอปฏิบัติ” ทานตองเดินไป กาวไปขางหนา... รูวามันผิดรูวามันคิดก็อยาไปทํา เจริญสติใหมันถี่เขา จิตที่สงออก ไปข า งนอก คื อ จิ ต ที่ จ ะนํ า เราไปเกิ ด ในวั ฏ ฏสงสาร จิ ต ที่ เ ป น หนึ่ ง เปนเอกัคคตา คือจิตที่รูจักอารมณ รูจักความคิด ใหเราตั้งมั่นไวใหดี
๑๒
คนเราคิดมากก็ทุกขมาก คิดนอยก็ทุกขนอย ฝกใหจิตใจของเรา มันเปนหนึ่ง ผูถือประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย ตองถือจิตใจที่เปนหนึ่ง การประพฤติปฏิบัติธรรมเราจะเดิน จะเหิน จะนั่ง จะนอน เราตองทําจิตให เป น หนึ่ ง จิ ต ที่ เ ป น หนึ่ ง เป น จิ ต ที่ ไ ม ป รุ ง แต ง คื อ จิ ต ที่ เ ป น มรรค เปนขอวัตร ขอปฏิบัติ ตาเห็นรูป หูฟงเสีย งที่ มันมาสัม ผัส ก็เปนสักแต วา อยาให เป น “สัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา” ฝกไว ปฏิบัติไวใหใจของเราเปนหนึ่ง
เป น เอกั ค คตา “เอโก มรรคโค” คื อ ข อ ปฏิ บั ติ คื อ ทางสายเอก
ตองจิ ต ใจเปน หนึ่ ง จิ ต ใจตั้ง มั่ น “พระพุ ทธเจ าท านตรัส ว านี้ คือ
หนทางสายเอกของเรา...”
ให ทุ ก ท า นทุ ก คนให ก ลั บ มาหาตนเอง กลั บ มาแก ไ ขตนเอง ชี วิ ต ของเราจะได เ ปลี่ ย นแปลงไปในทางที่ ดี ถึ ง จะยาก ถึ ง จะลํ า บาก ก็ชางหัวมัน เมื่อมันลําบากมันไดดีนะ ถามันสบายมันไมมีประโยชนอะไร เราจะไปสบายมันทําไม พระพุทธเจาใหเราพากันปฏิบัติอยางนี้นะ
๑๓
สําหรับผูที่บวชเปนพระที่จะไปพระนิพพานกัน ถาเราไมประพฤติ ปฏิ บั ติ เราก็ คิ ด ว า ที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นตรั ส ไว มั น คงเป น นิ ย ายมั้ ง เขี ย นมาส ง เดชเฉย ๆ มั้ ง ถ า เรามี ก ารประพฤติ ป ฏิ บั ติ มั น ก็ เ ป น เรื่องงาย ๆ เรื่องใกลตัว มันเปนเรื่องของเรา... ทุกทานทุกคนมีศักยภาพ มีความสามารถ ที่มันยังขาดอยูก็คือ "การประพฤติ การปฏิบัติ..." นั่ ง สมาธิ อ ย า งนี้ ก็ ใ ห ตั้ ง ใจให เ ข า สมาธิ ใ ห ไ ด ให มั น ข า มนิ ว รณ ความงวงเหงาหาวนอน จิตใจใหตั้งมั่นสวางไสว อยาใหมันหลับในบอย
มั น ทํ า ให จิ ต ไม มี กํ า ลั ง "พระพุ ท ธเจ า ท า นไม ใ ห เ ราเอาความสุ ข กับการงวงเหงาหาวนอน..."
ตองใหทําใจเปนหนึ่ง เปนเอกัคคตา... การเดินบิณฑบาต การทําอะไรใหมันตั้งใจตั้งมั่นกันทุก ๆ ทาน การทํากิจวั ตรต าง ๆ เราพากั นมาเน นขอ วั ตรปฏิ บัติ มาเน นมรรคผล นิพพานกั น ให มี ความสุ ขกั บการปฏิ บัติ กั นจริ ง ๆ เราจะหลบทางซ า ย
๑๔
หลบทางขวา หลบหนา หลบหลังไมได มันเปนงาน เปนหนาที่ของทุกทาน ทุกคน ตองตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผล เพื่อพระนิพพาน... ลาภ ยศ สรรเสริ ญ นี่ มั น ไม ใ ช ข องเรา มั น ไม ใ ช ข องสํ า หรั บ เรา เรานี่ จ ะตี ค า ด ว ยลาภ ยศ สรรเสริ ญ ด ว ยข า วของเงิ น ทองมั น ไม ไ ด เราไม ได ม ามุ ง มนุ ษย ส มบั ติ สวรรค ส มบั ติ เป นพระต อ งมุ ง มรรคผล นิพพาน เราเป น โยมจะคิ ด ว า มุ ง มรรคผลนิ พ พานมั น ไม ไ ด “มั น ได ” เราเป น โยมเราต อ งมุ ง มรรคผลนิ พ พาน เพราะมั น ไม ใ ช เ รื่ อ งของกาย จะบวชหรือไมบวชถาปฏิบัติตามก็ไดมรรคผลนิพพานกันทั้งนั้น การปฏิบัติมันเหมาะสําหรับพระ เราก็ปฏิบัติเปนพระได พระสมมุติ ก็เปนพระจริงได
๑๕
เราอยูบานอยูที่ทํางานก็ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ... เพราะเราหาอยู หากิน ตั้งแตอนุบาลจนถึงตาย สุดทายเราก็ไมได อะไร มาตั ว เปล า ไปตั ว เปล า ทรั พ ย ส มบั ติ ภ ายนอกก็ ทิ้ ง ไ ว สุดทายทานก็ไดแขกผูมีเกียรติมาทอดผาบังสุกุลใหทาน... ก็ใหตั้งใจประพฤติปฏิบตั ินะ ทั้งพระ ทั้งโยม ทั้งอยูว ัด อยูบาน การประพฤติปฏิบัติอยางนี้ เคาเรียกวาปฏิบัติบูชา ไมใชอามิสบูชา ตั ว ศี ล นั่ น แหละคื อ พระพุ ท ธเจ า ตั ว ไม โ ลภ ไม โ กรธ ไม ห ลงนั่ น แหละ คือพระพุทธเจา การที่เราทําความเพียร สรางสรรค สรางปญญา คือตัวที่จะทํา ใหเราเปนพระ
๑๖
ทุ ก ท า นทุ ก คนอย า ถื อ ว า ตั ว เองเก ง อย า ถื อ ว า ตั ว เองฉลาด วาไมกลัวไฟ อยากเลนกับไฟ ถาเราคิดอยางนั้น เราทําอยางนั้น ชื่อวาเรา ยังประมาทอยู หรื อ ว า มั น เป น ตั ว อย างที่ ไ ม ดีสํ าหรั บ พระใหม หรื อ ว า เพื่อน ๆ ผูประพฤติปฏิบัติเหมือนกัน เชนพระเรานี่ชอบมีโทรศัพทมือถือ ชอบโทรศัพทนะ ชอบพากันเลน คอมพิวเตอร โนตบุก นี่ก็เปนสาเหตุที่นําความเสื่อมมาสูกุลบุตรลูกหลาน ที่บวชมาเพื่อมุงมรรคผลนิพพาน ถามันยังตองการที่จะมีโทรศัพท มีคอมพิวเตอร แสดงวาจิตใจ ของเรามันสงออก มันยังยินดีทางโลกพอใจในทางโลก จิตใจมันยังมืดอยู มันยัง บด มันยั งบั ง อยู มั นบด มันบัง มันมื ดจนไม เกรงกลัวต อบาป ไมละอายตอบาป
ที่พระพุทธเจาทานทรงเมตตาสั่งสอน มันเปนการ
เหยี ย บย่ํ า มั น เป น การทํ า ลายมรรคผล ทํ า ลายพระนิ พ พาน
แล ว ยั ง ไปอวดดี อวดเก ง ว า “ไม เ ป น ไร ถ า ใช เ ป น ก็ เ ป น ประโยชน ถ า เราใช ไ ม เ ป น มั น ก็ เ ป น โทษ” มั น พู ด ออกมาได คุ ย ออกมาได น ะ
๑๗
สํา หรับ ผู ที่มุ ง หวั ง มรรคผลนิ พพานอย า ได ก ระทํ าตาม ให กระทํ า ตาม พระพุทธเจา พระพุ ทธเจ าของเราท านไม ไ ด คิดอย างนี้ ท านไม ไ ด พูดอย างนี้ คํ า พู ด ที่ พู ด อย า งนี้ เ ป น ของผู ที่ ตั้ ง อยู ใ นความประมาท ถ า ใครกํ า ลั ง คล อ ยตาม ใครกํ า ลั ง ปฏิ บั ติ ต ามพระที่ ทํ า อย า งนี้ ก็ ใ ห รี บ หยุ ด อยาไปทําลายอนาคตตัวเอง อยาไปทําลายอนาคตของกุลบุตรลูกหลาน อย า ไปทํ า ลายส ว นดี ๆ ของกุ ล บุ ต รที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น ในภายภาคหน า อยาพากันไปเลี้ยงเสือ เลี้ยงจระเข เลี้ยงจงอางไวในใจ บางคนบางท า นที่ เ ป น พระ อายเพื่ อ นพระด ว ยกั น ไม ใ ห พ ระรู ไม ใ ห พ ระเห็ น เวลาพกกั น ก็ ใ ช ร ะบบสั่ น สะเทื อ นเอา ถ า มั น ถึ ง อย า งนี้ แสดงวามันมีอะไรไมถูก ไมตอง ไมควร เราปกปดคนอื่นมันปกปดได แตมันปกปดตัวเอง มันปกปดไมได ผูที่จะปฏิบัติมุงมรรคผลนิพพาน พระพุทธเจาทานไมใหประพฤติปฏิบัติอยางนี้เปนเด็ดขาด
๑๘
เราอย า ไปคิ ด ว า เป น โลกสมั ย ใหม มั น เป น โลกยุ ค พั ฒ นา เมื่อมันเปนโลกยุคพัฒนา ธรรมะทําไมไมพัฒนา...? ธรรมวินัยของเรา ตองพัฒนาสิ ตองมีความเขมแข็ง คนไมมีความเขมแข็งปฏิบัติศีลก็ไมได ปฏิบัติสมาธิก็ไมได... ผูปฏิบัติตามรอยของพระพุทธเจาตองเขมแข็ง ตองกลาหาญชาญชัย ตองกลาทิ้ง กลาปลอย กลาวาง อยาไปกดตัวเอง ขมตัวเอง วาตัวเอง มีบุญนอย มีวาสนานอย ไมมีบารมี คงจะบําเพ็ญบารมีมาแตปางกอนนอย ถาเราไปคิดอยางนั้น มันทําใหตัวเองทอแท ถดถอย หมดกําลังใจ อดี ต เป น สิ่ ง ที่ ผ า นมาแล ว มั น จะดี มั น จะชั่ ว เราก็ แ ก ไ ขไม ไ ด ปจจุบันเปนสิ่งที่ทําได ใหเนนการประพฤติปฏิบัติในปจจุบันใหเต็มที่ กิเลสมันเกง อวิชชามันเกง มันเสี้ยม มันสอนเรา ถาเราไมจับหลัก ให ไ ด ดี ๆ นะ เดิ น ตามพระธรรมพระวิ นั ย อย า งแท จ ริ ง มั น สู กิ เ ลส สูอวิชชาไมไดนะ
๑๙
ใจของเรามั น เคยชิ น กั บเรื่ อ งเก า ๆ มั นชอบจะย อ นกลั บ ไปที่ เก า บานเคยกิน ถิ่นที่อยู ภพที่อาศัย มันอาลัยอาวรณ ให เรารู จัก รู แจ ง พยายามอยาไปคิดถึ งมั น อย าไปตรึ กถึ ง มั น ถามันตรึกขึ้นโดยเราไมไดตั้งใจ พระพุทธเจาทานก็ใหเราเห็นโทษเห็นภัย อย า ไปตรึ ก ไปนึ ก ไปคิ ด กั บ มั น อี ก อย า ไปให อ าหารมั น ความตรึ ก ความนึ ก ความคิ ด มั น ผุ ด ขึ้ น มาเราก็ อ ดไม ไ ด ปรุ ง แต ง ไปเรื่ อ ย ๆ อยางนี้ มันก็สรางปญหาใหเราไปเรื่อย ๆ ไมมีวันจบวันสิ้น มั น โผล ขึ้ น มาเหมื อ นกั บ เด็ ก คนหนึ่ ง ที่ มั น อยากได ข อง... มันขอของพ อแม เมื่ อ พ อ แม ไ ม ใ ห มั นก็ ชั ก ดิ้ น ชั กงอ มั น งอกลิ้ ง แดดิ้ น อยู ต ามพื้ น น ะ "พ อ แม ไ ม ฉ ลาด พ อ แม ไ ม เ ก ง พ อ แม ใ จอ อ น ก็ใหสิ่งของกับมันตามความตองการ..." จิตใจของเราก็เหมื อนกั น มั นตรึ ก มันนึก มันคิด มันโผลขึ้ น เมื่อไหร เราก็ไมอด ไมทน เราก็ไปปรุงไปแตงเสริมเติมตอไปไมมีที่จบ ไม มี ที่ สิ้ น เมื่ อ เด็ ก มั น ได ต ามต อ งการ วั น หลั ง มั น ก็ ทํ า อย า งนั้ น อี ก
๒๐
แตเมื่อผูใหญเขมแข็ง ผู ใหญไมใหเด็กมันก็ไมรอง เด็กมันก็ไมนอนกลิ้ ง เพราะทําแลวมันไมได
นักประพฤติ ปฏิบัติตองมีจิตใจที่หนักแน น
เขมแข็ง ไมตรึก ไมนึก ไมคิด ในสิ่งที่เปนบาป เปนอกุศล พระพุ ท ธเจ า ท า นตรั ส ไว ต อนที่ ท า นจะตรั ส รู ว า ความตรึ ก ความนึก ความคิดอยางนี้ ขารูจักเจาเสียแลว เจาจะมาทําบานทําเรือน ใหเราไมไดอีกตอไป หมายถึง วัฏฏสงสารที่มันจะเกิดในจิตในใจของเรา ใหเรารูมัน ใหเราตัดมั น ให เราหยุ ดมั น ความเอร็ดอร อย ความยินดี ตาง ๆ ใหเราหยุดมัน พระพุทธเจาพาเราประพฤติปฏิบัติ พาเราเดินอยางนี้ พาเราปฏิบัติ อย า งนี้ ทางอื่ น ไม มี เน น ที่ จิ ต ที่ ใ จ เน น ที่ ตั ว เราโดยเฉพาะ ตัดเรื่องภายนอกออกหมด มาเอาเรื่องภายใน
๒๑
ถาเราจะปฏิบัติอยางนี้ มันจะไมเครียดไปเหรอ...? เพราะเราไปจี้มันเกิน ไปบาจี้มันเกิน
ปฏิบัติธรรมมันไมมีความเครียด ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งสงบ ยิ่งใจเย็น มันยิ่งไมฟุงซาน เพราะธรรมะมันเปนความสงบ เปนความเย็น ไมมีทุกข ไมเครียด เปนการปลอย เปนการวาง เปรียบเสมือนเราวิ่งมาจากไหนแลว เราหยุดวิ่ง เปรียบเสมือนเราแบกของหนัก เราไมเคยปลอย เราไมเคยวาง นี่เราวางเราก็ไมหนัก เรามาปลอย เรามาวาง เรามาสงบ เราเอาใจมาเขาถึงพระนิพพาน เรามาเขาทางพระนิพพาน มันไมเครียด มันไมวุนวายเหมือนที่เราคิดเอา เรามาหยุดความเครียดความวุนวาย เพราะการเกิดทางรางกาย มันตั้งหลายสิบปมันถึงตาย แตการเกิดทางจิตใจวันหนึ่งตั้งหลายหน เกิดแลวก็ตาย เกิดแลวก็ตาย มันเผาเราตลอด
๒๒
นั ก ประพฤติ ป ฏิ บั ติ ถ า เราเดิ น ตามรอยของพระพุ ท ธเจ า แล ว เราไม ต อ งกลั ว เราทุ ก ข ไม ต อ งกลั ว เรายาก ไม ต อ งกลั ว เราลํ า บาก ไมตองกลัวเราเครียด เพราะเราทําเพื่อหยุด เราทําเพื่อเย็น เราทําเพื่อปลอย เราทําเพื่อวาง เราทําเพื่อไมมีตัว เราทําเพื่อไมมีตน เราทําเพื่อไมเอา เพื่อไมมี เพื่อไมเปน สิ่งที่มันมีปญหา เพราะเราเอา เพราะเรามี เพราะเราเป น เพราะมั น ได เพราะมั น เสี ย
"อวิชชาคือกิเลสมันเลยเผาเรา..."
ขอให ทุ ก ท า นทุ ก คนเข า ใจว า การปฏิ บั ติ ที่ ถู ก ต อ งมั น จะไม มี ความเครียดนะ การทํ า ความเพี ย รทางด า นจิ ต ใจของเรา พระพุ ท ธเจ า ให เ รา ประพฤติใหเราปฏิบัติอยางนี้ เนนปฏิปทาใหสม่ําเสมอ สม่ําเสมอคือไมได เดิ น นั่ ง นอน อย า งละเท า กั น ไม ใ ช อ ย า งนั้ น คื อ เน น ที่ จิ ต ใจนะ ไมวาเราจะอยูในอิริยาบถไหน
๒๓
พระพุ ท ธเจ า ท า นให เ รามี พ ระนิ พ พานในหั ว ใจ อย า ได มี เ รา อยาไดมีตัว อยาไดมีตน อยาไดมีผูหญิง อยาไดมีผูชาย ใหมีสักแตวา มั น เกิ ด ขึ้ น มั น ตั้ ง อยู มั น ดั บ ไป บางอั น ก็ ดั บ เร็ ว บางอั น ก็ ดั บ ช า มันเกิดขึ้นแลวมันก็ดับไป เพราะทุกอยางมันไมใชตัวไมใชตน ใหใจของเรา เป น หนึ่ ง ให ใ จของเราเป น เอกั ค คตารมณ ให ใ จของเราเป น วิ มุ ต ติ ใหใจของเรามันหลุดมันพน ใหการปฏิบัติของเรา ใหความเพียรของเรา ไปเรื่อย ๆ อยางสม่ําเสมอ... ปฏิปทาอยางนี้ใหทําไปทุก ๆ วัน จนกวา “เราจะไมมีเรา” การประพฤติ ป ฏิ บั ติ ถ า เราทํ า ไปทุ ก ๆ วั น มั น ก็ ยิ่ ง สบายไป มันยิ่งหมดปญหาไป ธรรมะมันเปนเรื่องธรรมดาที่คนเกียจคราน คนไมขยัน ที่ใหทํางาน หรือไมให ทํางาน เราอยาไปสนใจสําหรับนักปฏิบัติ เพราะธรรมเหลาใด เปนไปเพื่อความเกียจคราน มันไมใชคําสั่งสอนของพระพุทธเจา
๒๔
ธรรมะของพระพุ ท ธเจ า ไม มี เ หตุ ผ ลที่ จ ะมาห า ม มั น เหนื อ เหตุ เหนื อ ผลที่ จ ะมาอ า ง ถ า เรามี ม าอ า งมั น เป น เรื่ อ งของวิ ท ยาศาสตร มันไมใชเรื่องมรรคผลนิพพาน การประพฤติปฏิบัติมันตองเหนือเหตุผลที่จะเอาออกมาโตแยง ธรรมเหลาใดเป นไป เพื่ อ อยากใหญ อ ยากดั ง การกระทํ าของเรา อยางนี้ก็ไมถูกตอง ถาเรามาอยากใหญอยากดัง อยากมีชื่อเสียงเพื่อใหเคา สรรเสริญเยินยอ เพื่ออารมณสวรรค หรือเพื่อการกระทําในสิ่งที่หยาบ ๆ ในสิ่งที่ต่ําทรามก็ไมใชคําสั่งสอนของพระพุทธเจา มั น เป น ความเจริ ญ มั น เป น ความเสื่ อ ม มั น เป น ความเครี ย ด เพราะว า การคอยรั บ รางวั ล จากคนอื่ น มั น คอยให ค นอื่ น แต ง ตั้ ง "เมื่อเคาวาดีมันก็พอง เมื่อเคาวาไมดีมันก็ยุบ..." พระพุ ท ธเจ า ท านตรั ส ว า เป น การปฏิ บั ติ ไ ม ถู ก ต อ ง สํ าหรั บพระ ผูมุงนิพพาน เราพากันไปเอาความคิด ไปเอาความเขาใจในการปฏิบัติ
๒๕
เพื่อมุงมนุษยสมบัติ มุงสวรรคสมบัติ ปฏิบัติอยางนี้มันมีความเครียด มีได มีเสีย มีเจริญ มีเสื่อมนะ ถาเรามุงพระนิพพาน เพื่อปลอย เพื่อวาง มันจะมีความเครียด ไปไดอยางไร มันไมมีเหตุไมมีผลจะทําใหมันเครียด ยิ่ งทํ าไป ยิ่ ง สงบ ยิ่ ง เย็ น ... ยั ง ไม ต ายมั น ก็ ไ ด รับ ความสุ ข เหมื อ นพระอรหั น ต รู ป หนึ่ ง ตั้ ง แต ค รั้ ง พุ ท ธกาล ท า นได บ รรลุ ธ รรม ทานมีความสุข ทานเดินไปทานก็พูดออกมาวา สุขหนอ สุขหนอ... นั กประพฤติ ปฏิ บั ติ มั นเป นอย างนั้ นจริ ง ๆ จะเอาเงิ น เอาทอง เอาลาภ ยศ สรรเสริญมาตีคาตีราคากับพระนิพพาน มันเทียบกันไมไดนะ เหมือนครูบาอาจารยที่ทานมีหัวใจเปนพระนิพพาน ทานจะไมยินดี ในเรื่องโลก ๆ มีโบสถใหญ ๆ ศาลาใหญ ๆ มีอะไรมันใหญ ๆ สวย ๆ งาม ๆ เพราะว า มั นไม ใ ช เรื่ อ งพระศาสนา มั นไม ใ ช เ รื่ อ งที่ พระพุ ทธเจ า ทรงเมตตาสรางบารมีมาตั้งหลายอสงไขย มาโปรดเรา มาสอนเรา
๒๖
พระพุทธเจาทานไมยินดีกับการกระทําของเราที่เราพากันมามีมาเปน
แลวก็พากันมาหลงกัน ถาทานพูดทานคงพูดวา “นาสลดสังเวชจังเลย
ที่พวกนี้พากันมาหลงอยูนี่ เราอุตสาหพร่ําสอน เสียสละ แตพากัน
มาหั น หลั ง ให พ ระพุ ท ธเจ า ” มั น เป น เรื่ อ งน า สลดสั ง เวช น า หดหู ดูวาพระพุทธศาสนาจะเสื่อมจะหมดไป... ถาเราไมทําตามพระพุทธเจานี่มันตองหมดไป ตองเสื่อมไปจริง ๆ นะ เพราะพระผูบวชเกามีความเห็นผิด มีการกระทําผิด พากุลบุตร ลูกหลานปฏิบัติไมถูกตอง มาแขงกันไปในทางที่ไมถูก ไมไดแขงกันในการ รักษาศีล ไมไดแขงกันในการทําสมาธิ ไมไดแขงกันในการทําความเพียร ที่มันเสื่อมก็เนนไปที่ประธานสงฆ เจาอาวาส อุปชฌายอาจารย นี้ สํ า คั ญ ถ า ครู บ าอาจารย พากั น ประพฤติ ป ฏิ บั ติ เ ข ม ข น เคร ง ครั ด พระเณรมันอยูไมไดหรอก ตองปฏิบัติ
๒๗
ประธานสงฆ ก็ ดี เจ า อาวาสก็ ดี หรื อ ผู บ วชมาก อ นก็ ดี มั น ต อ งเสี ย สละให ม ากกว า นี้ เพื่ อ เป น ตั ว อย า ง เพื่ อ เป น แบบอย า ง เพราะการพู ด ให ฟ ง การเทศน ใ ห ฟ ง หลายร อ ยหลายพั น ครั้ ง ก็ ไ ม สู ก ารประพฤติ ป ฏิ บั ติ ใ ห ดู "คนดู มั น อยู ด ว ยกั น หลายวั น มันก็รูวาใครเปนอยางนูน ใครเปนอยางนี้ ไมตองอวด ไมตองคุยมันก็รู" เราอย า อยากเป น คนมี บ ารมี มี ลู ก ศิ ษ ย ลู ก หาเดิ น ตามข า งหลั ง เปนขบวน ถามีลูกศิษยลูกหาเต็มขบวน ในจิตใจของทานนั้นเปนอยางไร มันปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลงหรือ ยัง ทานทําไปเพื่ อ ตองการอะไร ยังไมกี่วัน ไมกี่เดือน ไมกี่ป ลูกศิษยลูกหาของทานก็รูเองวา ท า นไม มี อ ะไร ท า นเป น คนเก ง คนฉลาด พู ด ได ดี พู ด ได เ พราะ ทานเปนคนเรียนมาก เปนพหูสูต ท า นน า จะเอาความรู เอาความสามารถมาประพฤติ ป ฏิ บั ติ ต า ม พ ร ะพุ ท ธเ จ า จ ริ ง ๆ เ ดิ นต า ม ร อ ย พ ระ พุ ท ธ เ จ า จ ริ ง ๆ มันถึงจะมีประโยชน มันถึงจะเกิดประโยชนยั่งยืนและถาวร
๒๘
ท า นยั ง ไม มี ท า นยั ง ไม เ ป น ท า นปฏิ บั ติ ง านไปท า นก็ เ ครี ย ด เพราะใจของทานมันไมมีนิพพาน มีแตโลกธรรม หัวใจมันมีแตความเจ็บ ความช้ํา มันมีแตรอยบาดแผล
พระพุทธเจาใหทานสลัดโลกธรรมออกจากใจ ก อ นที่ พ ระพุ ท ธเจ า ท า นจะได ต รั ส รู นายโสตถิ ย พราหมณ เอาหญ า แฝก ๘ กํ า มาถวายพระพุ ท ธเจ า เพื่ อ ให นั่ ง บั ล ลั ง ก ขั ด สมาธิ
ความหมายก็ คื อ "พระพุ ท ธเจ า นั่ ง ทั บ โลกธรรมไม ใ ห โ ลกธรรม มาเหยียบย่ําหัวใจ"
สิ่งที่แลวก็แลวมา สิ่งที่แลวก็แลวไป พระพุทธเจาใหเราเอาใหม ตั้งใจใหม อยาไปทําอยางเกานะ ความเครียด ความเศราหมองมันจะได หายออกไปจากไป "ไมกี่เดือน ไมกี่ปมันก็หายจากไปได..."
๒๙
พระพุ ท ธเจ า ให เ รากลั บ ใจ กลั บ ตั ว สิ่ ง ที่ ผ า น ๆ มามั น ถื อ ว า เปนบทเรี ย น มั นเป นประสบการณ ทํ าให เราเห็ นทุ กข เห็ นภั ย เห็ นโทษ ว า การประพฤติ ป ฏิ บั ติ ข องเราผิ ด มั น เครี ย ด มั น เศร า หมอง
"ทํ า ให ค นมี ป ญ ญา กลายเป น คนไม มี ป ญ ญา" ถ า เราไม เ ห็ น ทุ ก ข ถาเราไมเจ็บ ไมช้ํา มันก็ไมจํา คนเรานะ กว า จะรู ตั ว เองมั น ก็ เ ป น ประสาทไปตั้ ง หลายครั้ ง บางทีขนาดเปนประสาทไปตั้งหลายครั้ง มันก็ยังไมจํามันยังไมเห็น... พระพุ ท ธเจ า ให เ ราทุ ก ท า นทุ ก คนให พ ากั น เห็ น ทุ ก ข เ ห็ น ภั ย ในวัฏฏสงสาร ใหเห็นเหตุแหงทุกข ใหเห็นความดับทุกข ใหตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติ ไมมีใครชวยเหลือเราได ปฏิบัติใหเราไดนอกจากเราปฏิบัติเอาเอง เป น อั น ว า เราเป น ผู มี บุ ญ มี ว าสนา มี บ ารมี เป น คนโชคดี ที่ ไ ด ป ฏิ บั ติ ต ามรอยบาทขององค พ ระศาสดาสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า ผู ใ ห แ สงสว า ง ให ค วามดั บ ทุ ก ข ดั บ โศกของมหาชนทั้ ง หลาย ทานเปนผูมีเมตตาอยางไมมีที่สุดไมมีประมาณอยางมากมาย
๓๐
เนื่ อ งในโอกาสพิ เ ศษครั้ ง นี้ พระภิ ก ษุ ส ามเณรแล ว ก็ ญ าติ โ ยม พุ ท ธบริ ษั ท ทั้ ง หลายจงได ค ติ ได ข อ คิ ด ที่ ดี ๆ นํ า ไปประพฤติ ป ฏิ บั ติ เพราะการแกไขตัวเรามันตองแกที่ความคิด ความเห็นที่ดี ที่ถูก ที่ตอง
นํ า มาประพฤติ ป ฏิ บั ติ ใ ห มั น เป น ความดี ให มั น เป น "ปฏิ ป ทา" จิ ต ใ จ ข อ ง เ ร า ก็ จ ะ เ ข า ถึ ง ค ว า ม บ ริ สุ ท ธิ์ เ ป น ม ร ร ค เ ป น ผ ล เป น เอกั ค คตารมณ เป น วิ มุ ต ติ เป น ความหลุ ด พ น ยิ่ ง ๆ ขึ้ น ไป ดวยกันทุกทานทุกคนเทอญ... พระธรรมคําสอนขององคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา ที่องคหลวงพอกัณหา สุขกาโมเมตตาใหนํามาบรรยาย วันศุกรที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
๓๑
พระพุทธเจาทานใหเราเมตตาตนเอง สงสารตนเอง ตั้งจิตตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เมื่อเรามีธรรมะ มีคุณธรรม เราเปนพระทางใจแลว เปนพระจริง ไมใชพระปลอมแลว เดี๋ยวนี้เรายังเปนพระปลอม เปนพระแตงตั้ง เคาสมมุติใหเราเปนพระเฉย ๆ แตเรายังไมเปนพระจริง เมื่อเราเปนพระจริง เราก็มีคําเทศน คําบอก คําสอน นี่ถึงวาเมตตาตนเองจริง ๆ