ขุม พระคัมภีรตามลาหาะนาตื่นเตนผานพระคําของพระเจา ระเภท สนสนุกแล ไปสูการเดินทางที่แินทางนอง ๆ จะไดพบกับผูคนหลายป เด าร งก า ๆ ในระหว ไดเห็นสถานที่ตาง กี่ยวกับพระคําภีร งเ า อย าย หล ง ่ ิ และไดเรียนรูหลายส นอง ๆ สิ่งที่สําคัญที่สุดก็คบือพระเจามากขึ้นดวย กั ด ิ ช กล ธใ จะไดมีความสัมพัน อดทั้งเลม • เต็มไปดวยสีสันตลมภีรทุกเลม คั ระ • มีบทนําในพ มลาหาขุมทรัพยจะสอนนอง ๆ งพระองคแกนอ ง ๆ • คายฝกอบรมตา ของพระเจา ในการแสดงความรกั ขอ เกย่ี วกบั แผนการ ยการพูด ผานพระคัมภีร ยตามธรรมชาติ การลาหาขุมทรัพยดพั วยดว ยการใชส ายตา • การลาหาขุมทรพััพยดว ยการใชค วามคดิ การลา หาขุมทรทรัพยแบบสวนตัว การลา หาขุมทร ยดวยการมีมิตรภาพ การลาหาขุม ขุมทรัพยดวยการรอง การลาหาขุมทรัพ ยดวยการใชความรูสึก และการลาหาาตื่นเตนผานพระคัมภีร การลาหาขุมทรัพ รําจะนํานอง ๆ ไปสูการผจญภัยที่น ที่พบในพระคัมภีร เพลงและการเตน ับขุมทรัพยจะบอกเราเกี่ยวกับขอมูล • ขอเท็จจริงเกี่ยวก ใจ และเปนสิ่งที่นอง ๆ ตองรูเอาไว ื่น ๆ อีกมากมายหลาย ซึ่งเปนสิ่งที่นาสน าน เกม ปริศนา งานฝมือ และอ • มีกิจกรรมที่สนุกสน ตลอดทั้งเลม
ISBN 9781623371630 THB THAI NT (4/14)
9 781623 371630
พระคัมภีร์ตามล่าหาขุมทรัพย์
ย์ ั พ ร ท ุ ม ข า ห ่ า ล ์ าม ั ภรี ต พระคม ทรัพยจะนํานอง ๆ
พระคัมภีรต ์ ามล่าหาขุมทรัพย์ ภาคพันธสัญญาใหม่
พระคัมภีร์ตามล่าหาขุมทรัพย์ พระคัมภีร์เล่มนี้เป็นของ:
1
2
พระคัมภีร์ตามล่าหาขุมทรัพย์
3
พระคัมภีร์ตามล่าหาขุมทรัพย์ พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ สงวนลิขสิทธิ์ © 2016 โดยองค์การอมตธรรม สงวนลิขสิทธิ์ทั่วโลก ข้อความที่ใช้ในพระคัมภีร์ฉบับนี้อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย สงวนลิขสิทธิ์ © 1999, 2001, 2007 โดยองค์การอมตธรรม สงวนลิขสิทธิ์ทั่วโลก องค์การอมตธรรมยินดีสนับสนุนทุกท่านที่สนใจจะนําข้อความในพระคัมภีร์อมต ธรรมร่วมสมัยไปใช้อ้างอิงในงานอื่นๆ โดยที่ท่านไม่ต้องขออนุญาตในกรณีดังต่อ ไปนี้ 1) งานนั้นมีข้อความที่อ้างอิงมาจากพระคัมภีร์อมตธรรมร่วมสมัยไม่เกิน 500 ข้อ (ห้าร้อยข้อ) หรือ 2) งานนั้นมีข้อความที่อ้างอิงมาจากพระคัมภีร์อมตธรรมร่วมสมัยไม่ เกินร้อยละ 25 ของเนื้อหาทั้งหมด ทั้งนี้ผลงานดังกล่าวจะต้องระบุลิขสิทธิ์ที่ปกในหรือที่หน้าแสดงลิขสิทธิ์ ดังต่อไปนี้ คัดลอกหรืออ้างอิงข้อพระคัมภีร์จาก พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับ อมตธรรมร่วมสมัย สงวนลิขสิทธิ์โดยองค์การอมตธรรม ใช้โดยได้รับอนุญาตจากองค์การอมตธรรม Biblica เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้าให้กับผู้คนผ่านการ แปลพระคัมภีร์, การเผยแพร่พระคัมภีร์ และการมีส่วนร่วม ในงานที่เกี่ยวกับพระคัมภีร์ในทวีปแอฟริกา, เอเชียแปซิฟิก ตะวันออก, ยุโรป, ละตินอเมริกา, ตะวันออกกลาง, อเมริกาเหนือ และเอเชียใต้ Biblica เข้าถึงผู้คนโดยการใช้พระวจนะของพระเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตผ่านการมี ความสัมพันธ์กับองค์พระเยซูคริสต์ 978-1-62337-163-0 THAI THB 4/14 978-1-62337-164-7 THAI THB SuperBook 978-1-62337-165-4 THAI THB COMP
4
ขอความถึงผูปกครอง
พระคัมภีร์ตามล่าหาขุมทรัพย์เสนอรูปแบบการเรียนรู้ด้วยการฟังและการลงมือ ปฏิบัติ เราเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้พูดกับทุกคนผ่านสิ่งที่เป็นของพวก เขาทั้งหมด นั้นคือ จิตใจ, จิตวิญญาณ และสติปัญญา (มาระโก 12:30) เราต้องการเข้าถึงจิตใจ, จิตวิญญาณ และสติปัญญาของผู้อ่านวัยเยาว์ผ่าน พระคัมภีร์ตามล่าหาขุมทรัพย์นี้ โดยการมุ่งเน้นทางด้านตรรกะ, การมองเห็น, ภาษา, ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล, การรู้จักกับตัวเอง, อารมณ์, การเรียนรู้ จากการสัมผัสหรือเคลื่อนไหวร่างกาย, ธรรมชาติ และความสามารถในการ ได้ยินของพวกเขา พระคัมภีร์ที่เราใช้เป็นพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ฉบับ New International Reader (NIrV) ซึ่งผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ง่ายมาก และมี แบบฝึกหัดเพื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ รวมอยู่ในพระคัมภีร์เล่มนี้ด้วย ในรูปแบบ ของรายการสั้น ๆ และข้อพระคัมภีร์ที่ต่อเนื่องกัน สิ่งเหล่านี้จะอยู่ ในรูปแบบของเกมการโต้ตอบ, กิจกรรม และบล็อกความรู้ต่าง ๆ เราเรียกกิจกรรมเหล่านี้ภารกิจการตามล่า ผู้อ่านจะได้ร่วม ภารกิจการตามล่า ไปกับชาวเวยี ผู้เป็นมิตร พวกเขาคือตัวละครสัตว์ทม่ี ที ง้ั หมดเก้าตัว แต่ละตัวถูกออกแบบมาเพือ่ ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านจิตใจ, จิตวิญญาณ หรือสติปัญญาของเด็ก โดยเน้นเก้าจุดดังต่อไปนี้ ภาษา, การให้เหตุผล, การจินตนาการ, ร่างกาย, ดนตรี, คนอื่น, ตัวเอง, กลางแจ้ง และอารมณ์ สิ่งมีชีวิตที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ถูกตั้งชื่อว่า ชาวเวยี เพราะพวก เขาคอยช่วยให้เด็ก ๆ เดินอยู่ใน 'ทางนั้น' ซึ่งอาจจะเป็นชื่อแรก ที่ถูกมอบให้กับศาสนาคริสต์ (ดูกิจการ 9:2) คําอธิบายเกี่ยวกับ ชาวเวยีแต่ละตัว และภารกิจที่เฉพาะเจาะจงที่พวกเขาได้รับ จะอยู่ในหน้าที่ 8 5
สารบัญ มาทักทายชาวเวยีกันเถอะ ชาวเวยี วงล้อสีของอุ่นใจ วงออร์เคสตราของตัวโน๊ต พระกิตติคุณมัทธิว พระกิตติคุณมาระโก พระกิตติคุณลูกา พระกิตติคุณยอห์น กิจการของอัครทูต จดหมายของเปาโลถึงคริสตจักรในกรุงโรม จดหมายของเปาโลถึงคริสตจักรในเมืองโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง จดหมายของเปาโลถึงคริสตจักรในเมืองโครินธ์ ฉบับที่สอง จดหมายของเปาโลถึงคริสตจักรในแคว้นกาลาเทีย จดหมายของเปาโลถึงคริสตจักรในเมืองเอเฟซัส จดหมายของเปาโลถึงคริสตจักรในเมืองฟิลิปปี จดหมายของเปาโลถึงคริสตจักรในเมืองโคโลสี จดหมายของเปาโลถึงคริสตจักรในเมืองเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง จดหมายของเปาโลถึงคริสตจักรในเมืองเธสะโลนิกา ฉบับที่สอง จดหมายของเปาโลถึงทิโมธี ฉบับที่หนึ่ง จดหมายของเปาโลถึงทิโมธี ฉบับที่สอง จดหมายของเปาโลถึงทิตัส จดหมายของเปาโลถึงฟีเลโมน จดหมายถึงชาวฮีบรู จดหมายของยากอบ จดหมายของเปโตร ฉบับที่หนึ่ง จดหมายของเปโตร ฉบับที่สอง จดหมายของยอห์น ฉบับที่หนึ่ง จดหมายของยอห์น ฉบับที่สอง จดหมายของยอห์น ฉบับที่สาม จดหมายของยูดา วิวรณ์ 6
7 8 11 12 16 68 102 154 196 244 270 294 310 320 332 342 350 358 364 374 382 388 392 412 422 432 440 448 452 456 462
มาทักทายชาวเวยีกันเถอะ
ในป่าลึกแห่งหนึ่ง มีชนเผ่าของสิ่งมีชีวิตที่แสนจะน่ากอด ชือ่ เวยีอาศัยอยู่ พวกเขากําลังอยูใ่ นระหว่างการเดินทางที่ เรียกว่า ทางนั้น ระหว่างทางพวกเขาจะออกไปทํา ภารกิจตามล่าหาขุมทรัพย์โดยใช้แผนที่ที่เรียก ว่า “หนังสือ” การตามล่าหาขุมทรัพย์เหล่า นี้มักจะนําชาวเวยีไปในเส้นทางอันศักดิ์สิทธิ์ เสมอ การผจญภัยที่ยิ่งใหญ่กําลังรอพวกเขาอยู่บน เส้นทางอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้! และทุกคนที่ร่วมเดินทางไปกับพวกเขา ก็จะได้พบกับการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นด้วยกันกับพวกเขา! ชาวเวยีเป็นผู้ที่มีความอยากรู้อยากเห็น, รักความสงบ, สนุกสนาน และชอบช่วยเหลือผู้อื่น ถึงแม้ว่าลักษณะภายนอกของพวกเขาจะดู ไม่เหมือนกัน หรือมีความคิดที่ไม่เหมือนกัน แต่พวกเขาก็อยู่ ร่วมกันได้อย่างสันติและมีความสามัคคีกันทั้งกับผู้คนบน โลก และกับพระเจ้า ชาวเวยีให้กําลังใจซึ่งกันและกัน และให้ กําลังใจผู้อื่นด้วยถ้อยคําดังต่อไปนี้ “อย่าพยายามที่จะเป็นเหมือนคนอื่น เพราะเราเกิดมาเพื่อสร้าง ความแตกต่าง!” หากน้อง ๆ มองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง น้อง ๆ จะเห็นว่าพวกเขา อยู่ในทุกที่ และใช่แล้วที่พวกเขามีความแตกต่างและไม่เหมือนใคร!
7
ชาวเวยี
ต้นไม้
ต้นไม้ เป็นละมั่งที่มีญาติอยู่หลายแห่งในโลก ต้นไม้ ชอบเดินทางไปในถิ่นทุรกันดารพร้อมกับกล้องส่องทางไกลและแว่นขยาย ของเธอ เธอรักสิ่งสวยงามที่พระเจ้าทรงสร้าง! เมื่อเธอออกไปเดินเล่นชม ธรรมชาติ เธอจะเก็บก้อนหิน, ระบุชื่อพืชต่าง ๆ, มองดูแมลง และส่องนก ในเวลากลางคืนเธอจะศึกษาดวงดาว เธอรู้ว่าภารกิจตามล่าหาขุมทรัพย์แห่งธรรมชาติจะช่วยทําให้เธอเข้าใจ เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม และช่วยให้เธอนมัสการพระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เธอเห็น
จ๊ะจ๋า
จ๊ะจ๋า เป็นลิงที่มีญาติกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก น้อง ๆ จะจําจ๊ะจ๋าได้เพราะ เขาจะพูด พูด และพูดอยู่ตลอดเวลา น้อง ๆ มักจะได้ยินเสียงของจ๊ะจ๋าก่อนที่จะเห็นตัวของเขาเสมอ ถ้าเขา ไม่พูดถึงบางสิ่ง เขาก็จะอ่านหนังสือให้ชาวเวยีคนอื่น ๆ ฟังอย่างเสียง ดังฟังชัด น้อง ๆ อาจจะได้ยินเขาเล่าเรื่องราวให้เพื่อน ๆ ฟังด้วย จ๊ะจ๋าปรารถนาที่จะ เห็นชาวเวยีทุกคนอ่านและจดจําเรื่องราวต่าง ๆ ที่อยู่ในพระคัมภีร์ได้และนํา มาพูดคุยกัน ภารกิจพูดคุยเกี่ยวกับการตามล่าหาขุมทรัพย์นั้นช่วยให้จ๊ะจ๋ามีความเฉลียว ฉลาดในการใช้คําพูด 8
อิคคิว
อิคคิว เป็นช้างแอฟริกันที่มีญาติอยู่ในทวีปเอเชีย เธอมักจะคิดและแก้ไข ปัญหาต่าง ๆ อยู่เสมอ อิคคิว เป็นผู้แก้ปัญหาที่มีชื่อเสียง ทุกคนจะขอความช่วยเหลือจากเธอ ใน เวลาที่พวกเขาต้องใช้วิจารณญาณในการคิด, รวบรวมข้อมูล หรือทําการ ทดลองต่าง ๆ อิคคิว มีวิธีผ่อนคลายด้วยการเล่นเกมตรรกะและเกมแก้ปริศนา เธอเชื่อว่าภารกิจการคิดเกี่ยวกับการตามล่าหาขุมทรัพย์นั้นสอนให้คนมี เหตุผล
พู่กัน
พู่กัน เป็นเมียร์แคตจากทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา เธอเดินทางผ่าน ภูมิประเทศต่างๆโดยใช้มือข้างหนึ่งถือพู่กัน และมืออีกข้างหนึ่งถือกระดาษ เพื่อมองหาสิ่งที่ทําให้เกิดแรงบันดาลใจ พู่กัน มักจะเห็นภาพและโครงการต่าง ๆ ในหัวของเธออยู่เสมอ และเมื่อเวลา ผ่านไปความคิดเหล่านี้จะกลายเป็นภาพวาดที่ส่องนําทางให้พวกเขาและมีความ สวยงาม, ภาพวาด และแผนภูมิต่าง ๆ ภารกิจเกี่ยวกับการมองหาขุมทรัพย์ทําให้พู่กันมองเห็นภาพต่าง ๆ ได้ ดีขึ้น
9
บัดดี้
บัดดี้ เป็นฮิปโปโปเตมัสจากทวีปแอฟริกา บัดดี้ จะพูดอยู่เสมอว่า “ให้ เรามาพบเจอกันหน่อยเถอะ” ชาวเวยีผู้นี้ชอบงานสังสรรค์ เธอมักจะ ก่อตั้งชมรมหรือทีมต่าง ๆ อยู่เสมอ เพื่อที่ชาวเวยีทุกคนจะได้มารวม ตัวกันและทําการเรียนรู้, เล่น และแบ่งปันซึ่งกันและกัน เธอมีความ สามารถในด้านการทําความรู้จักกับเพื่อนใหม่ และช่วยให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มต่าง ๆ ทํางานร่วมกันได้เป็นอย่างดี บัดดี้ เรียกกิจกรรมเหล่า นี้ทั้งหมดว่าเป็นภารกิจตามล่าหาขุมทรัพย์แห่งมิตรภาพ ซึ่งจะช่วยให้ ชาวเวยีทุกคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่น
ไบร์ท
ไบร์ท เป็นเสือจากทวีปเอเชีย เขาเป็นตัวละครที่อ่านและเขียนบันทึกลง ในสมุดบันทึกของเขาอยู่เสมอ โดยส่วนใหญ่แล้ว ไบร์ท มักจะใช้เวลาส่วนตัวของเขาทําการศึกษา หรือทําโครงการต่าง ๆ เขามีความเชื่อว่าน้อง ๆ ทุกคนจําเป็นต้องอ่านหนังสือเพียงลําพังและ กําหนดเป้าหมายสําหรับตัวเอง เพื่อน้อง ๆ จะสามารถเข้าใจในสิ่งที่อยู่ ในหัวของน้อง ๆ เองได้ ไบร์ท ชอบอยู่ตามลําพัง แต่เขาก็มีความเป็น มิตรมาก และชอบที่จะแบ่งปันสิ่งที่เขาได้เรียนรู้กับเพื่อน ๆ น้อง ๆ จะพลาดโอกาสที่ดีหากน้อง ๆ ไม่เข้าร่วมทําภารกิจตามล่าหา ขุมทรัพย์แบบส่วนตัวของไบร์ท!
อาสา
อาสา เป็นเสือจากัวร์จากทวีปอเมริกาใต้ ชาวเวยีผู้นี้เดินทางอยู่เกือบตลอด เวลา! สําหรับเขาแล้วที่ใดก็สามารถเป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการทําบางสิ่ง บางอย่าง, ทําอะไรบางอย่าง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้ อาสา สามารถทําอะไรก็ได้ในป่าใหญ่ เขาชอบที่จะได้รับประสบการณ์จากการ ลงมือปฏิบัติ และมักจะเล่นกับบางสิ่งบางอย่าง หรือกับใครบางคนอยู่ ตลอด เมื่อใดที่ อาสา ไม่สามารถแก้ไขปัญหาบางอย่างได้ เขาจะคิดค้น สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อนํามาใช้ในการแก้ปัญหานั้น น้อง ๆ สามารถมอง หาเขาได้ง่ายมากเพราะเขาจะอยู่ติดกับกล่องใส่เครื่องมือเสมอ อาสา มีความสามารถในการขอให้คนจับกลุ่มเพื่อทํางานร่วมกัน โดยการ เชิญชวนพวกเขามาร่วมทําภารกิจตามล่าหาขุมทรัพย์ด้วยกัน
10
อุ่นใจ
อุ่นใจ เป็นหมีจากขั้วโลกเหนือ น้อง ๆ จะลืมเขาไปไม่ได้เลย เขาไม่เคยกลัว ที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเอง เขามักจะถามอยู่เสมอว่า “เธอรู้สึกหรือ เปล่า?” หรือ “เธอรู้สึกอย่างไร?” หรือ “มันทําให้เธอรู้สึกอย่างไร?” อุ่นใจ เป็นตัวละครที่พยายามค้นหาเพื่อนและมิตรภาพ เขาชอบที่จะกอด เพื่อน ๆ ของเขาแบบหมีอย่างแน่นเพื่อแสดงความรัก เพราะเขาเข้าใจความ รู้สึกของตัวเองได้เป็นอย่างดี อุ่นใจ สามารถเผชิญกับความปีติยินดีและความสุขได้ และยังสามารถเผชิญ กับความโศกเศร้า, ความเจ็บปวด และการต่อสู้ได้อีกด้วย เขามักจะออกเดิน ทางไปตามอารมณ์ของเขา, ระลึกถึงเรื่องราวที่ดีต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ ภารกิจตามล่าหาขุมทรัพย์แห่งความรู้สึกของอุ่นใจช่วยให้เขามีความเข้าใจ เกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง และความรู้สึกของเพื่อนของเขาด้วย
จ ใ น ่ ุ อ ง อ ข ี ส วงล้อ
ณ์ความรู้สึก ม ร า อ ง ด ส แ ร า ก ชอบใช้ใน ดูสีต่าง ๆ ที่อุ่นี่แใจตกต่างกันออกไปของเขา: ท น่าย ตาล: ความเบื่อห า ํ ้ น ี ส ธ สีแดง: ความโกร สีเทา: ความเหงา ว ย ี สีม่วง: ความฉุนเฉ ีเหลือง: ความสุข ส ร้า สีฟ้า: ความโศกเศ ีส้ม: ความตื่นเต้น ส ฉา สีเขียว: ความอิจ ัน มรู้สึกกับอุ่นใจก า ว ค ง ่ ห แ ์ ย พ ั ร ท กิจตามล่าหาขุม พื่อแสดงความ มาร่วมกันทําภาร น้อง ๆ ให้เลือกสีจากรายการนี้เละทํากิจกรรมของ เถอะ เขาจะชวนในขณะที่กําลังอ่านพระคัมภีร์ แ รู้สึกของน้อง ๆ าขุมทรัพย์ต่าง ๆ ภารกิจตามล่าห 11
ตัวโน๊ต
ตัวโน๊ต เป็นม้าลายจากทวีปแอฟริกา เธอมีชีวิตอยู่เพื่อเสียงเพลง เสียงเพลง และเสียงเพลงเท่านั้น ถ้าตัวโน๊ต อยู่ใกล้จะไม่มีความ เงียบเกิดขึ้นเลย! เธอเป็นนักดนตรีที่แท้จริง เธอสามารถเล่นเครื่อง ดนตรีประเภทใดก็ได้ที่น้อง ๆ สามารถนึกถึง และเสียงร้องของ เธอก็เหมือนกับเสียงของฑูตสวรรค์ที่กําลังร้องเพลง น้อง ๆ จะได้ยินเสียงเคาะเป็นจังหวะดนตรี เสียงบทกวี เสียง ร้องเพลง และแน่นอนที่สุดคือเสียงฮัมเพลงของเธออยู่เสมอในภารกิจการ ร้องเพลงและเต้นรําเพื่อตามล่าหาขุมทรัพย์ของเธอ
วงออร์เคสตราของตัวโน๊ต ตัวโน๊ต ได้แสดงวิธีการสร้างเครื่องดนตรีด้วยตัวเองจากวัสดุที่น้อง ๆ มีอยู่แล้วได้อย่าง ง่ายดาย ให้น้อง ๆ สร้างและสะสมเครื่องดนตรีไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีเครื่องดนตรีเพียงพอ สําหรับเพื่อนทุกคนในกลุ่ม อย่าลืมสร้างเครื่องดนตรีพื้นบ้านของน้อง ๆ เองด้วยล่ะ! แล้วเก็บเครื่องดนตรีทั้งหมดไว้้ให้ ดีในหีบสมบัติเพลงที่มีขนาดใหญ่
ไม้ตี ให้น้อง ๆ นําไม้ตีหรือกิ่งไม้สองแท่งมาตีกระทบกัน ลองใช้ไม้ที่มีความหนาต่างกันดูสิ เช่น ดินสอไม้, ไม้กระดานขนาดเล็ก, บล็อกไม้ หรือไม้ลูกกลึงรอบ นอกจากนี้น้อง ๆ ยังสามารถใช้ตะปูเหล็ก, ส้อม หรือช้อนได้อีกด้วย
ฉาบ ให้น้อง ๆ นําฝาหม้อสองฝามาตีกระทบกัน ลองพยายามหาฝาอื่นด้วย (ฝากระป๋องสีเก่า ๆ ก็ได้) แล้วขอให้ผู้ใหญ่ช่วยเจาะฝานั้นให้เป็นรู จากนั้นนําเชือกที่มีความทนทานสอดเข้าไปใน รูและขมวดปม เพื่อไม่ให้เชือกหลุดออกมา วางมือของน้อง ๆ ให้แบนใกล้กับรูที่เจาะไว้ ทิ้ง พื้นที่เล็กน้อยระหว่างมือกับรู แล้วให้ทําเครื่องหมายไว้บนฝา เจาะรูอีกหนึ่งรู แล้วสอดเชือก เข้าไปในรูนั้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเชือกมีความยาวพอที่จะผูกปมได้อีกหนึ่งปม ทําแบบ เดียวกันกับฝาอื่นด้วย นอกจากนี้น้อง ๆ ยังสามารถนําไม้สองชิ้นมาทําเป็นฉาบได้อีกด้วย
12
เชคเกอร์ ความเป็นไปได้นั้นไม่มีที่สิ้นสุด ให้น้อง ๆ ทําเชคเกอร์โดยการนําหินขนาดเล็กมาใส่ลงใน ภาชนะ จากนั้นให้ปิดภาชนะแล้วเขย่ามัน ลองใช้ภาชนะที่มีขนาดและประเภทที่แตกต่าง กันออกไปดูสิ เช่น กระป๋อง, ขวด, ภาชนะที่เป็นพลาสติก, กล่องยา หรือกระดาษแข็งม้วน แล้วให้นําเมล็ดพืช, ถั่ว, ถั่วเลนทิล, ข้าว, เศษข้าวโพด หรือก้อนกรวดขนาดเล็ก มาใส่ลงใน ภาชนะของน้อง ๆ
เชคเกอร์ใส่ที่ข้อเท้าและข้อมือ ให้น้อง ๆ ใช้วัตถุแข็งขนาดเล็กที่จะเกิดเสียงดังในเวลาที่เขย่ามัน ฝาขวดที่ทําจากโลหะนั้น มักจะใช้งานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้น้อง ๆ สามารถใช้ลูกกระพรวน, เมล็ดพืชขนาดใหญ่, ลูกปัดที่ทํามาจากไม้หรือแก้ว และเปลือกหอยได้ ให้เจาะรูบนสิ่งเหล่านี้แล้วนําเชือกมาผูก แต่ละอันไว้ จากนั้นให้นํามาผูกกับชิ้นส่วนที่เป็นยางยืดหรือเชือก เพื่อให้มันเคลื่อนไหวไปมา ได้อย่างอิสระ ผูกเชือก/ยางยืดไว้ที่รอบข้อเท้าและข้อมือของน้อง ๆ จากนั้นให้น้อง ๆ เขย่า มือและกระทืบเท้า! น้อง ๆ สามารถใช้เศษไม้หรือแม้กระทั่งหญ้าแห้งที่เขย่าแล้วเกิดเสียงได้ นอกจากการใช้เชือก หรือยางยืดแล้ว น้อง ๆ สามารถผูกเชือกกับเส้นลวดได้ ให้ดัดลวดเชื่อมกันไว้แล้วถือเชคเกอร์ ของน้อง ๆ ไว้ในมือ
กลอง น้อง ๆ สามารถใช้ภาชนะต่าง ๆ จากห้องครัวได้ เช่น หม้อ, กระทะ, ภาชนะที่เป็นพลาสติก และกระป๋องที่ว่างเปล่า ให้คว่ําภาชนะเหล่านั้นลง ลองใช้ภาชนะที่มีความหนาแตกต่างกัน เพื่อให้ได้เสียงที่แตกต่างกันออกไปดูสิ สําหรับชนิดของหนังกลองที่แตกต่างกันนั้น ให้น้อง ๆ นําเทปกาวที่มีความแข็งแกร่งมาแปะ ด้านที่เปิดของภาชนะในรูปแบบกากบาท นอกจากนี้น้อง ๆ ยังสามารถนําถังขยะมาคว่ําทํา เป็นกลองขนาดใหญ่ได้อีกด้วย น้อง ๆ สามารถตีที่ฐานและที่ด้านข้างของถังเป็นจังหวะได้
ไม้กลอง ให้น้อง ๆ เจาะจุกไม้ก๊อกหรือลูกบอลยางขนาดเล็กด้วยไม้ที่ย่างด้วยไฟ (น้อง ๆ สามารถใช้ แท่งไม้อื่นที่มีปลายแหลมคมได้) นอกจากนี้น้อง ๆ ยังสามารถใช้มือตีที่กลองให้เป็นจังหวะได้ อีกด้วย
13
แทมบูรีน ให้น้อง ๆ เจาะรูที่ด้านข้างของถาดฟอยล์ที่ใช้อบพาย จากนั้นให้นํา ลูกกระพรวน, ฝาขวดที่เป็นโลหะ หรือเมล็ดพืชที่แข็งมาผูกกับเชือกแล้ว รอยผ่านรูที่เจาะไว้ข้างถาดฟอยล์ที่ใช้อบพาย (หากน้อง ๆ เลือกใช้ ฝาขวดหรือเมล็ดพืช ควรขอให้ผู้ใหญ่ช่วยเจาะรูให้) ใช้ฝาขวดสอง ฝาหรือเมล็ดพืชสองเมล็ดต่อเชือกหนึ่งเส้น นอกจากนี้น้อง ๆ สามารถเย็บจานกระดาษสองแผ่นติดกันแล้ว นําลูกกระพรวน, ฝาขวดที่เป็นโลหะ หรือเมล็ดพืชมาผูกไว้ ด้วยกันได้อีกด้วย
14
กีตาร์นิ้วหัวแม่มือ ให้น้อง ๆ นําชิ้นไม้ที่มีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ความกว้าง 20 เซนติเมตรมา แล้วตอกตะปูที่ยาว 2 เซนติเมตร ลงบนไม้นั้น 5 ตัว โดยตะปูแต่ละตัวให้มี ระยะห่างกัน 3 เซนติเมตร ตามแนวความกว้างที่ด้าน ล่างของไม้นั้น ตอกให้ตะปูเหลือยื่นออกมาจากไม้ 1 เซนติเมตร จากนั้นให้ตอกตะปูไว้ที่ด้านบนของไม้ โดยให้อยู่ตรงข้ามและอยู่ในแนวเดียวกันกับตะปูตัว แรกที่ตอกไว้ด้านล่างของไม้ (ซึ่งจะห่างกันประมาณ 30 เซนติเมตร) แล้วตอกตะปูตัวต่อไปให้อยู่ตรงกับ ตะปูตัวที่สองที่ตอกไว้ด้านล่าง แต่ให้อยู่ต่ํากว่าตะปู ตัวแรกที่อยู่ด้านบนของไม้ 5 เซนติเมตร (ระยะห่าง จากแนวตะปูด้านล่าง 25 เซนติเมตร) ทําแบบนี้ไป เรื่อย ๆ ลดระยะห่างของตะปูแต่ละตัวลงไปตัวละ 5 เซนติเมตร จากนั้นให้นําสายเอ็นตกปลามาผูกกับตะปูที่อยู่ด้าน บนและด้านล่างให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทําได้! ใช้นิ้วมือหรือปิกกีตาร์ของน้อง ๆ ดึงหรือดีดสายเอ็น เหล่านั้น
15
พระกิตติคุณมัทธิว น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● มัทธิวเป็นหนึ่งในผู้ติดตามพระเยซู (มัทธิว 9:9) ● มัทธิวมี 2 ชื่อ: ภาษากรีกชื่อ มัทธิว และภาษายิวชื่อ เลวี (มาระโก 2:14, ลูกา 5:27) ● เขาเป็นคนเก็บภาษี เขาต้องเก็บภาษีให้กับจักรพรรดิโรมัน ● ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบเล่ม มัทธิวได้บอกว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเราในตอนนี้และตลอดไป
(มัทธิว 1:23, 28:20)
ทําไมมัทธิวต้องเขียนพระกิตติคุณ?
● 50 ปีหลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์มีคริสเตียนจํานวนมากในเมืองแอนติออก
เมืองใหญ่ในประเทศซีเรีย
● ชีวิตของพวกเขาลําบากมาก มัทธิวจึงเขียนพระกิตติคุณขึ้น เพื่อย้ําเตือนทุกคนว่า
พระเยซูเป็นพระเจ้า (พระผู้ช่วย) พระเยซูลงมาบนโลก เพื่อช่วยไถ่ความผิดบาปให้ พวกเรา (มัทธิว 1:21) ● มัทธิวบอกพวกเขาว่าพระเจ้ามีอํานาจเหนือความเจ็บป่วย ความตาย และซาตาน
5 สิ่งสําคัญ: 5 คําสอนสําคัญที่พระเยซูได้บอกไว้ในพระกิตติคุณมัทธิว ● การเทศนาบนภูเขา (มัทธิว 5 – 7) ● พระเยซูทรงส่งสาวกออกไปสั่งสอน (มัทธิว 10) ● คําอุปมาที่สําคัญ 7 ประการ (มัทธิว 13) ● คริสตจักร (มัทธิว 18) ● พระเยซูกําลังจะเสด็จกลับมา (มัทธิว 24 – 25)
น้อง ๆ เคยได้ยินข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ในพระกิตติคุณ มัทธิวไหม?
● พระเยซูทรงถูกทดลอง (มัทธิว 4:1–11) ● พระเยซูทรงทําการอัศจรรย์ (มัทธิว 8 – 9) ● พระเยซูทรงเลี้ยงคน 5 พันคน (มัทธิว 14:13–21) ● พระเยซูถูกตรึงที่บนไม้กางเขนและฟื้นคืนชีพ (มัทธิว 26 – 28)
16
มัทธิว
ลําดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์
1 มีบัดนังทึนีก้ ลําดับวงศ์ตระกูลของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม 2
อับราฮัมเป็นบิดาของอิสอัค อิสอัคเป็นบิดาของยาโคบ ยาโคบเป็นบิดาของยูดาห์กับพี่น้องของเขา ยูดาห์เป็นบิดาของเปเรศกับเศราห์ มารดาของพวกเขาคือนางทามาร์ เปเรศเป็นบิดาของเฮสโรน เฮสโรนเป็นบิดาของราม รามเป็นบิดาของอัมมีนาดับ อัมมีนาดับเป็นบิดาของนาโชน นาโชนเป็นบิดาของสัลโมน สัลโมนเป็นบิดาของโบอาส มารดาของเขาคือนางราหับ โบอาสเป็นบิดาของโอเบด มารดาของเขาคือนางรูธ โอเบดเป็นบิดาของเจสซี และเจสซีเป็นบิดาของกษัตริย์ดาวิด ดาวิดเป็นบิดาของโซโลมอน มารดาของโซโลมอนเคยเป็นภรรยาของอุรียาห์มาก่อน โซโลมอนเป็นบิดาของเรโหโบอัม เรโหโบอัมเป็นบิดาของอาบียาห์ อาบียาห์เป็นบิดาของอาสา อาสาเป็นบิดาของเยโฮชาฟัท เยโฮชาฟัทเป็นบิดาของเยโฮรัม เยโฮรัมเป็นบิดาของอุสซียาห์ อุสซียาห์เป็นบิดาของโยธาม โยธามเป็นบิดาของอาหัส อาหัสเป็นบิดาของเฮเซคียาห์ เฮเซคียาห์เป็นบิดาของมนัสเสห์ มนัสเสห์เป็นบิดาของอาโมน อาโมนเป็นบิดาของโยสิยาห์ 3
4
5
6
7
8
9
10
มัทธิว 1:1–17 แผนภูมิแสดงลําดับเครือญาติของน้อง ๆ ถูกสร้างขึ้นจากบรรพบุรุษของน้อง ๆ เอง จงเขียนชื่อเครือญาติทุกคนที่น้อง ๆ รู้จักย้อนไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ (น้อง ๆ สามารถถามคุณพ่อคุณแม่ของน้อง ๆ ได้) หลังจากนั้นให้นับรายชื่อเครือญาติทั้งหมดของพระเยซูว่ามีทั้งหมดกี่ชื่อ? และนับทุกรุ่นอายุ แล้วอย่าลืมว่ายังมีเยโคนิยาห์กับพวกพี่น้องของท่านด้วย (ข้อที่ 11 และ 12) รวมทั้งรายชื่อผู้หญิงทุกคนในครอบครัวของพระเยซูด้วย 18 | มัทธิว 1:1
และโยสิยาห์เป็นบิดาของเยโคนิยาห์กับพี่น้องของเขาเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลน หลังจากตกเป็นเชลยที่บาบิโลนแล้ว เยโคนิยาห์เป็นบิดาของเชอัลทิเอล เชอัลทิเอลเป็นบิดาของเศรุบบาเบล เศรุบบาเบลเป็นบิดาของอาบียุด อาบียุดเป็นบิดาของเอลียาคิม เอลียาคิมเป็นบิดาของอาซอร์ อาซอร์เป็นบิดาของศาโดก ศาโดกเป็นบิดาของอาคิม อาคิมเป็นบิดาของเอลีอูด เอลีอูดเป็นบิดาของเอเลอาซาร์ เอเลอาซาร์เป็นบิดาของมัทธาน มัทธานเป็นบิดาของยาโคบ และยาโคบเป็นบิดาของโยเซฟสามีของมารีย์ผู้ให้กําเนิดพระเยซูที่เรียกกันว่า พระคริสต์ ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิดมีสิบสี่ชั่วคน ตั้งแต่ดาวิดมาจนถึงเมื่อครั้งตกเป็นเชลยที่ บาบิโลนมีสิบสี่ชั่วคน และตั้งแต่ครั้งตกเป็นเชลยที่บาบิโลนจนถึงพระคริสต์มีสิบสี่ชั่วคน 11
12
13
14
15
16
17
การประสูติของพระเยซูคริสต์
เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสต์มีดังนี้ มารีย์มารดาของพระองค์เป็นคู่หมั้นของ โยเซฟ แต่ก่อนที่ทั้งสองจะอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน ปรากฏว่ามารีย์ได้ตั้งครรภ์โดยฤทธิ์เดชของ พระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื่องจากโยเซฟคู่หมั้นของนางเป็นคนดีมีคุณธรรมและไม่ประสงค์จะ แพร่งพรายเรื่องนี้ให้นางต้องอับอายต่อหน้าธารกํานัล เขาจึงคิดที่จะถอนหมั้นอย่างเงียบๆ แต่หลังจากที่เขาคิดจะทําเช่นนั้น ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาในความ ฝันและกล่าวว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาเลยเพราะว่าผู้ที่ปฏิสนธิใน ครรภ์ของนางนั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ นางจะให้กําเนิดบุตรชาย จงตั้งชื่อพระกุมารนั้นว่า เยซู เพราะว่าพระองค์จะทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้พ้นจากบาปทั้งหลายของเขา” ทั้งหมดนี้เป็นจริงตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะซึ่งกล่าวว่า 18
19
20
21
22
มัทธิว 1 และ 2 อิคคิว พบว่าทูตสวรรค์ได้ไปเยี่ยมโยเซฟมากกว่าหนึ่งครั้ง น้อง ๆ ลองดูซิว่าทูตสวรรค์ ไปเยี่ยมโยเซฟทั้งหมดกี่ครั้ง อ่านข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ แล้วจดบันทึกว่าเกิดอะไรขึ้นใน ตอนที่ทูตสวรรค์พูดกับโยเซฟ และทูตสวรรค์บอกให้โยเซฟทําอะไรบ้าง มัทธิว 1:20 มัทธิว 2:13 และมัทธิว 2:19–20 มัทธิว 1:22 | 19
มัทธิว 2:1–12 ต้นไม้ ค้นพบว่าเนือ่ งจากมีชาวยิวจํานวนมากอาศัยอยูใ่ นอียปิ ต์ จึงเป็นเรือ่ งง่ายสําหรับ โยเซฟในการหาที่พักและหางานทําที่นั่น น้อง ๆ เคยเห็นรูปภาพพีระมิดในประเทศอียิปต์ไหม? ฟาโรห์ทรงรับสั่งให้สร้างมันขึ้น เมื่อหลายพันปีก่อน เพื่อเป็นที่ฝั่งศพของพระองค์หลังสิ้นพระชนม์แล้ว ก่อนที่ หอไอเฟลจะถูกสร้างขึ้นในกรุงปารีส ปีค.ศ. 1889 มหาพีระมิดแห่งกิซ่าเป็นสิ่งปลูก สร้างที่สูงที่สุดในโลก “หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายและเขาจะเรียกท่านว่า อิมมานูเอล” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา” เมื่อโยเซฟตื่นขึ้นก็ทําตามที่ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ คือรับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่เขาไม่ได้ร่วมหลับนอนกับนางจนกระทั่งมารีย์ให้กําเนิดบุตรชาย และเขาตั้งชื่อบุตรนั้นว่า เยซู
23
24
25
โหราจารย์มาเข้าเฝ้าพระกุมารเยซู
งจากพระเยซูประสูติที่เบธเลเฮมแคว้นยูเดียในสมัยของกษัตริย์เฮโรด มีโหราจารย์จาก 2 หลั ตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม และถามว่า “ผู้ที่มาบังเกิดเป็นกษัตริย์ของชาวยิวนั้นอยู่ที่ไหน? 2
เราได้เห็นดาวของพระองค์เมื่อเราอยู่ที่ตะวันออกจึงมาเพื่อนมัสการพระองค์” เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นก็ว้าวุ่นพระทัย ทั่วทั้งเยรูซาเล็มก็พลอยว้าวุ่นไปด้วย เฮโรดทรง เรียกประชุมหัวหน้าปุโรหิตทั้งปวงและบรรดาธรรมาจารย์ของประชาชน และตรัสถามพวกเขา ว่าพระคริสต์จะประสูติที่ใด คนเหล่านั้นกราบทูลว่า “ที่เบธเลเฮมในแคว้นยูเดียเพราะผู้เผยพระ วจนะได้เขียนไว้ว่า “ ‘ส่วนเจ้า เบธเลเฮมในดินแดนยูดาห์ ไม่ได้ต่ําต้อยในหมู่ผู้ปกครองแห่งยูดาห์ 3
4
5
6
มัทธิว 2:1–12 เหล่านักปราชญ์ได้มอบของขวัญให้แก่พระเยซู เป็นทองคํา กํายาน และมดยอบ ซึ่ง เป็นของที่มีค่ามากในสมัยที่พระเยซูทรงบังเกิด กํายานและมดยอบมีลักษณะคล้ายยางไม้หรือกาวเหนียว ๆ ที่ได้มาจากต้นไม้ที่หายาก ใช้ทําน้ําหอม ยารักษาโรค และน้ํามัน เพื่อใช้ในพิธีการเจิมศักดิ์สิทธิ์ จงวาดภาพของขวัญที่เหล่านักปราชญ์นํามา แล้ววาดภาพของขวัญล้ําค่าอีก 3 อย่าง ที่น้อง ๆ คิดว่าคนทั่วไปอยากจะมอบให้กับพระเยซูในวันเกิดวันนี้ 20 | มัทธิว 1:23
เพราะจะมีผปู้ กครองผูห้ นึง่ ออกมาจากเจ้า ซึง่ จะเป็นผูเ้ ลีย้ งประชากรอิสราเอลของเรา’” แล้วเฮโรดจึงเรียกพวกโหราจารย์มาพบอย่างลับๆ ไต่ถามจนทราบถึงเวลาที่แน่นอนที่ดาวนั้นปรากฏขึ้น แล้วส่งพวกเขาไปยังเบธเลเฮมพร้อมทั้งรับสั่งว่า “จง ไปค้นหาพระกุมารนั้น เมื่อพบแล้วจงแจ้งเราทันทีเพื่อ เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย” เมื่อได้ฟังรับสั่งของกษัตริย์แล้ว โหราจารย์เหล่า นั้นก็เดินทางต่อไป และดวงดาวที่พวกเขาได้เห็นเมื่อ อยู่ที่ตะวันออกนําทางพวกเขาไปจนมาหยุดอยู่เหนือที่ ประทับของพระกุมาร เมื่อพวกเขาเห็นดาวดวงนั้นก็ ปีติยินดียิ่งนัก เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นพระกุมารกับ มารีย์มารดาของพระองค์ จึงกราบนมัสการพระองค์ แล้วเปิดหีบนําเครื่องบรรณาการออกมาถวาย คือ ทองคํา กํายาน และมดยอบ พวกเขาได้รับคําเตือน ในความฝันไม่ให้กลับไปพบเฮโรด พวกเขาจึงกลับ ประเทศของตนโดยใช้เส้นทางอื่น 7
8
9
10
11
12
มัทธิว 2
เฮโรดทรงเป็นกษัตริย์ที่มีอํานาจมาก พระองค์ได้สร้างท่าเรือซีซาเรีย ซึ่ง กลายเป็นเมืองหลวงของโรมันใน แคว้นยูเดียในเวลาต่อมา กษัตริย์ เฮโรดยังได้ขยายวิหารในกรุง เยรูซาเล็ม และตกแต่งอย่างงดงาม เพื่อที่จะได้ รับการสนับสนุนจากชาวยิว แต่ถึง อย่างนั้นพระองค์ก็ยังทรงเป็นพระ มหากษัตริย์ที่โหดร้าย ทรงฆ่าผู้คน มากมาย รวมทั้งลูกชายของพระองค์ เอง และลูกหลานของชาวเบธเลเฮม ด้วย พระเยซูทรงเรียกกษัตริย์เฮโรด ว่าเป็นสุนัขจิ้งจอก (ลูกา 13:32)
หนีไปอียิปต์
เมื่อพวกโหราจารย์กลับไปแล้ว ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟในความ ฝันและสั่งว่า “จงลุกขึ้น พาพระกุมารและมารดาหนีไปยังอียิปต์และอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกให้ กลับมา เพราะเฮโรดกําลังจะค้นหาพระกุมารเพื่อประหาร” ในคืนนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้นพามารีย์กับพระกุมารเดินทางไปยังอียิปต์ และอยู่ที่นั่นจนเฮโรด สิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เป็นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “เราเรียกบุตร ของเราออกจากอียิปต์” เมื่อเฮโรดตระหนักว่าพวกโหราจารย์หลอกพระองค์ พระองค์ก็กริ้วนัก จึงบัญชาให้ประหาร เด็กผู้ชายทั้งปวงในเบธเลเฮมและละแวกใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา คะเนตามระยะเวลา ที่ทราบจากพวกโหราจารย์ ทั้งนี้จึงเป็นจริงตามที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าวไว้ว่า 13
14
15
16
17
มัทธิว 2:13–15 ต้นไม้ ค้นพบว่านักปราชญ์ทั้งหลายได้ทําการศึกษาเล่าเรียนและอาศัยอยู่ในเปอร์เซีย (ปัจจุบันเรียกว่าอิหร่าน) พวกเขาได้ติดตามดวงดาวไปเพื่อตามหาพระเยซู ทางช้างเผือกมีดาวนับพันล้าน น้อง ๆ จะเห็นดวงดาวหลายพันดวงบนท้องฟ้ายาม กลางคืนในชนบท แต่ในเมืองใหญ่น้อง ๆ จะเห็นเพียง 70 กว่าดวงเท่านั้น ลองดูซิว่า คืนนี้น้อง ๆ จะหาทางช้างเผือกเจอหรือไม่? มันดูคล้ายกับสายเคเบิลที่พาดผ่านบนท้องฟ้า มัทธิว 2:17 | 21
18
“ได้ยินเสียงหนึ่งในรามาห์ เสียงสะอึกสะอื้นคร่ําครวญ ราเชลร่ําไห้ถึงบรรดาบุตรของนาง และไม่ยอมรับคําปลอบโยนใดๆ เพราะบุตรทั้งหลายจากไปเสียแล้ว”
กลับมานาซาเร็ธ
เมื่อเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟที่ อียิปต์ และกล่าวว่า “จงลุกขึ้นพาพระกุมารและมารดากลับไปยังอิสราเอลเถิด เพราะบรรดาผู้ที่ พยายามเอาชีวิตพระกุมารนั้นตายแล้ว” ดังนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้นพาพระกุมารกับมารดามายังดินแดนอิสราเอล แต่เมื่อเขาได้ยินว่า อารเคลาอัสขึน้ ครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผูเ้ ป็นบิดาเขาก็กลัวและไม่กล้าไปทีน่ น่ั เมือ่ ได้รบั คําเตือน ในความฝันจึงเลยไปยังแคว้นกาลิลี และอาศัยอยู่ที่เมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ จึงเป็นจริงตามที่กล่าว ไว้ผ่านทางบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า “เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ” 19
20
21
22
23
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเตรียมทาง
ครั้งนั้นยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้มาเทศนาในถิ่นกันดารแห่งแคว้นยูเดีย และกล่าวว่า “จงกลับใจ 3 ใหม่ เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว” ยอห์นผู้นี้แหละที่ถูกกล่าวถึงผ่านทางผู้เผยพระวจนะ 2
3
อิสยาห์ว่า “เสียงของผู้หนึ่งร้องในถิ่นกันดารว่า ‘จงเตรียมทางสําหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า จงทําทางสําหรับพระองค์ให้ตรงไป’ ” เสื้อผ้าของยอห์นทําจากขนอูฐ เขาคาดเอวด้วยเข็มขัดหนัง อาหารของเขาคือตั๊กแตนกับน้ําผึ้ง ป่า ประชาชนจากกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดียและทั่วแถบแม่น้ําจอร์แดนพากันมาหาเขา เมื่อ พวกเขาสารภาพบาปทั้งหลายของตนแล้ว ยอห์นก็ให้พวกเขารับบัพติศมาในแม่น้ําจอร์แดน แต่เมื่อยอห์นเห็นพวกฟาริสีและพวกสะดูสีมายังที่ซึ่งเขาให้บัพติศมาอยู่ ยอห์นก็กล่าวแก่พวก เขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครตักเตือนพวกเจ้าให้หนีจากพระพิโรธที่จะมาถึง? จงเกิดผลให้สมกับที่ กลับใจใหม่ และอย่านึกในใจว่า ‘เรามีอับราฮัมเป็นบรรพบุรุษของเรา’ เราบอกท่านว่าพระเจ้า ทรงสามารถทําให้ลูกหลานของอับราฮัมเกิดจากก้อนหินเหล่านี้ได้ ขวานนั้นอยู่ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่ให้ผลดีจะถูกโค่นและโยนลงในไฟ “เราให้บัพติศมาด้วยน้ําแก่พวกท่านแสดงถึงการกลับใจใหม่ แต่ภายหลังเราจะมีผู้หนึ่งทรง ฤทธิ์อํานาจยิ่งกว่าเราเสด็จมา เราไม่คู่ควรแม้แต่จะถือฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรง ให้ท่านทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ พระองค์ถือพลั่วอยู่ในพระหัตถ์ พร้อมแล้วและจะทรงเก็บกวาดลานนวดข้าว รวบรวมข้าวซึ่งเป็นของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง และเผา แกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ” 4
5
6
7
8
9
10
11
12
พระเยซูทรงรับบัพติศมา
แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมายังแม่น้ําจอร์แดนเพื่อรับบัพติศมาจากยอห์น แต่ยอห์น พยายามทูลทัดทานว่า “ข้าพระองค์ต่างหากที่ต้องขอรับบัพติศมาจากพระองค์ ควรหรือที่พระองค์ เสด็จมาหาข้าพระองค์?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ขณะนี้ให้เป็นไปตามนั้นเถิด สมควรแล้วที่พวกเราจะทําเช่นนี้เพื่อให้ ความชอบธรรมทุกประการสําเร็จครบถ้วน” แล้วยอห์นจึงยอมทําตาม เมื่อพระเยซูทรงรับบัพติศมาแล้ว ทันทีที่พระองค์เสด็จขึ้นจากน้ํา ฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก และ 13
15
16
22 | มัทธิว 2:18
14
มัทธิว 3:13–17 ยอหนผูใหรับบัพติศมาไดใหบัพติศมาแกผูที่ตองการมีชีวิตอยูเพื่อองคพระผูเปนเจา วันหนึ่งพระเยซูมาหายอหนเพื่อรับบัพติศมา ในตอนนั้นยอหนรูสึกอยางไร? ทําไมเขา ถึงไมอยากใหบัพติศมาแกพระเยซู? แตเมื่อพระเยซูทรงยืนยันและไดรับการบัพติศมา จากยอหนแลว หลังจากนั้นไมนานพระวิญญาณบริสุทธิ์ขององคพระผูเปนเจาก็เสด็จ ลงมาในรูปของนกพิราบและพระเจาทรงตรัสวา “ทานผูนี้เปนบุตรที่รักของเรา เรา ชอบใจทานมาก” ถานอง ๆ อยูในเหตุการณนั้น นอง ๆ จะรูสึกอยางไร? พระองค์ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบลงมาประทับอยู่กับพระองค์ และมีพระ สุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า “นี่เป็นลูกของเรา ผู้ที่เรารัก เราพอใจเขายิ่งนัก” 17
พระเยซูถูกมารทดลอง
้นพระวิญญาณทรงนําพระเยซูไปยังถิ่นกันดารเพื่อให้มารทดลอง หลังจากอดอาหาร 4 สีจากนั ่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว พระเยซูทรงหิว มารผู้ทดลองได้มาหาพระองค์และทูลว่า “ถ้าท่านเป็น 2
3
พระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง” พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคําเขียนไว้ว่า ‘มนุษย์ไม่อาจดํารงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวแต่ ดํารงชีวิตด้วยทุกถ้อยคําจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’” แล้วมารนําพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์และให้พระองค์ประทับยืนที่จุดสูงสุดของพระวิหาร แล้ว ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าจงกระโดดลงไปเถิด เพราะมีคําเขียนไว้ว่า “ ‘พระองค์จะทรงบัญชาทูตสวรรค์ของพระองค์ให้ดูแลท่าน ทูตเหล่านั้นจะยื่นมือประคองท่าน เพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “มีคําเขียนไว้เช่นกันว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของ ท่าน’” อีกครั้งหนึ่งมารนําพระองค์มายังภูเขาที่สูงมาก แล้วแสดงอาณาจักรทั้งปวงของโลกกับความ โอ่อ่าตระการของอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วทูลว่า “ทั้งหมดนี้เราจะยกให้ ท่านหากท่านกราบนมัสการเรา” พระเยซูตรัสว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น! เพราะมีคําเขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’” แล้วมารก็ละพระองค์ไปและเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์ 4
5
6
7
8
9
10
11
พระเยซูทรงเริ่มเทศนา
เมื่อพระเยซูทรงทราบว่ายอห์นถูกจับขังคุก พระองค์จึงเสด็จกลับไปยังแคว้นกาลิลี ทรงย้าย จากเมืองนาซาเร็ธมาประทับที่เมืองคาเปอรนาอุมซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบบริเวณเขตแดนเศบูลุนและ นัฟทาลี เพื่อให้เป็นไปตามที่กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “ดินแดนเศบูลุนกับดินแดนนัฟทาลี เส้นทางสู่ทะเลเลียบแม่น้ําจอร์แดน กาลิลีแห่งชนต่างชาติ 12
13
14
15
มัทธิว 4:15 | 23
ประชากรผู้อยู่ในความมืด ได้เห็นแสงสว่างยิ่งใหญ่ บรรดาผู้อาศัยในดินแดนแห่งเงาของความตาย แสงสว่างเริ่มสาดต้องพวกเขาแล้ว” ตั้งแต่นั้นมาพระเยซูทรงเริ่มต้นเทศนาว่า “จงกลับใจใหม่เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว” 16
17
ทรงเรียกสาวกกลุ่มแรก
ขณะพระเยซูทรงดําเนินอยู่ริมทะเลกาลิลี ทรงเห็นชาวประมงสองพี่น้องคือซีโมนที่เรียกกันว่า เปโตรกับอันดรูว์น้องชายของเขากําลังทอดแหอยู่ที่ทะเลสาบ พระเยซูตรัสว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” ทั้งสองก็ละแหแล้วติดตามพระองค์ไปทันที เมื่อเสด็จต่อไปทรงพบพี่น้องอีกสองคน คือยากอบบุตรเศเบดีกับยอห์นน้องชายของเขากําลัง ชุนอวนอยู่ในเรือร่วมกับเศเบดีบิดาของพวกเขา พระเยซูทรงเรียกพวกเขา ทั้งสองก็ละเรือและ บิดา แล้วติดตามพระองค์ไปทันที 18
19
20
21
22
พระเยซูทรงรักษาคนเจ็บป่วย
พระเยซูเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขา ประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงในหมู่ประชาชน กิตติศัพท์ของ พระองค์เลื่องลือไปทั่วแคว้นซีเรีย และประชาชนนําคนเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ มาให้พระเยซูทรง รักษา มีทั้งคนที่เจ็บปวดทรมาน คนถูกผีสิง คนเป็นโรคลมชัก คนเป็นอัมพาต และพระองค์ทรง รักษาพวกเขาให้หาย คนเป็นอันมากจากแคว้นกาลิลี แคว้นเดคาโปลิส กรุงเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดียและจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ําจอร์แดนก็ติดตามพระองค์ไป 23
24
25
คําเทศนาบนภูเขา
่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นฝูงชนมากมายก็เสด็จขึ้นเนินเขาและประทับนั่ง เหล่าสาวกของ 5 เมืพระองค์ พากันมาหาพระองค์ และพระองค์ทรงเริ่มต้นสั่งสอนพวกเขาว่า 2
3
4
5
“ความสุขมีแก่ผู้ที่สํานึกว่าตนขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว ความสุขมีแก่ผู้ที่โศกเศร้า เพราะเขาจะได้รับการปลอบประโลม ความสุขมีแก่ผู้ที่ถ่อมสุภาพ เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
มัทธิว 5:1–12 เราจะมีความสุขเมื่อเราได้สัมผัสกับพระคุณความรักของพระเจ้า โดยพระคุณของ พระองค์จึงทําให้เรามีความสุขที่แท้จริง แล้วใครล่ะที่พระเจ้าทรงอวยพระพร? พระพรข้อใดที่น้อง ๆ ชอบมากที่สุดในพระธรรมมัทธิว 5:1–12? ลองดูซิว่าน้อง ๆ จะสามารถหาความหมายของการอวยพรจากพระเจ้าได้ไหม และจากนั้นให้น้อง ๆ วาดภาพของการอวยพร แล้วติดมันไว้ที่ฝาผนัง เพื่อให้น้อง ๆ สามารถจดจําได้ว่าต้องปฏิบัติอย่างไร 24 | มัทธิว 4:16
ความสุขมีแก่ผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม เพราะเขาจะได้อิ่มบริบูรณ์ ความสุขมีแก่ผู้ที่เมตตากรุณา เพราะเขาจะได้รับความเมตตากรุณา ตอบแทน ความสุขมีแก่ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า ความสุขมีแก่ผู้ที่สร้างสันติ เพราะเขาจะได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า ความสุขมีแก่ผู้ที่ถูกข่มเหงเพราะความชอบ ธรรม เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว “ความสุขมีแก่ท่านเมื่อคนทั้งหลายสบประมาท ข่มเหง และใส่ร้ายป้ายสีท่านเพราะเรา จงชื่นชมยินดี เถิดเพราะบําเหน็จของท่านในสวรรค์ยิ่งใหญ่นัก เพราะ พวกเขาได้ข่มเหงบรรดาผู้เผยพระวจนะที่อยู่ก่อนท่าน เหมือนกัน
มัทธิว 5:1–12
6
7
8
9
10
11
12
พระคัมภีร์ส่วนนี้เป็นส่วนที่รู้จักกัน ดีว่าเป็นความสุข 8 ประการหรือ พระพร ซึ่งพระเยซูได้อธิบายถึง วิธีการที่เราสามารถได้รับพระพร จากพระเจ้า (จริงนะ เป็นความสุข จริง ๆ) บางครั้งมันจะถูกเรียกว่าธรรม บัญญัติแห่งอาณาจักรของพระเจ้า และมีบางคนที่คิดว่าการได้รับ พระพรข้อแรกสําคัญกว่าข้ออื่น ทุกข้อ “ความสุขเป็นของผู้ที่หิว กระหายฝ่ายวิญญาณ” พวกเขารู้ดี ว่าเขาต้องการพระเจ้าในชีวิตของ พวกเขา
เกลือและแสงสว่าง
“ท่านทั้งหลายเป็นเกลือของโลก แต่ถ้าเกลือนั้นหมดความเค็มแล้วจะทําให้กลับเค็มอีกได้ อย่างไร? มันก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป มีแต่จะถูกสาดทิ้งให้คนเหยียบย่ํา “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้ เช่นเดียวกัน เมื่อ คนจุดตะเกียงแล้วย่อมไม่เอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียงให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน ใน ทํานองเดียวกัน จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของ ท่านและสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ 13
14
15
16
บทบัญญัติสําเร็จ
“อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติหรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทําให้สําเร็จครบถ้วน เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้ อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่งหรือขีดๆ หนึ่งก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติจนกว่าทุกสิ่ง 17
18
มัทธิว 5:16 นักดนตรีทม่ี ชี อ่ื เสียงเคยกลาวไววา “จิตรกรวาดภาพบนผืนผาใบทีว่ า งเปลา เมือ่ นอง ๆ แตงเพลง นอง ๆ กําลังวาดภาพในความเงียบ.” ใหนอง ๆ วาดภาพในความเงียบโดยการสรรเสริญพระเจา และรองเพลงที่นอง ๆ รองได จําไววา นอง ๆ สามารถสรรเสริญพระเจาไดดว ยชีวติ ของนอง ๆ เอง ทัง้ ชีวติ ของนอง ๆ ควรจะเป็นภาพวาดที่แสดงให้คนอื่นเห็นว่าพระเจ้าทรงดีแค่ไหน มัทธิว 5:18 | 25
ทุกอย่างจะสําเร็จครบถ้วน ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเหล่านี้แม้ข้อเล็กน้อยที่สุดและสอนคนอื่นให้ทํา เช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสั่งสอน ตามคําบัญชาเหล่านี้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ เพราะเราบอกท่านว่าหากความ ชอบธรรมของท่านไม่มากกว่าของพวกฟาริสีและเหล่าธรรมาจารย์แล้วท่านจะไม่ได้เข้าอาณาจักร สวรรค์อย่างแน่นอน 19
20
ฆาตกรรม
“ท่านทั้งหลายได้ยินคําซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า ‘อย่าฆ่าคนและถ้าผู้ใดฆ่าคนจะถูกตัดสิน ลงโทษ’ แต่เราบอกท่านว่าถ้าผู้ใดโกรธเคืองพี่น้องของตนจะถูกตัดสินลงโทษ ถ้าผู้ใดพูดดูหมิ่นพี่ น้องของตนจะต้องถูกนําตัวขึ้นศาลแซนเฮดริน และถ้าผู้ใดพูดว่า ‘ไอ้โง่!’ อาจจะต้องโทษถึงไฟนรก “ดังนั้นถ้าท่านกําลังถวายเครื่องบูชาที่แท่นบูชาและนึกขึ้นได้ว่าพี่น้องมีเหตุขุ่นเคืองใดๆ กับ ท่าน จงละเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นแล้วไปคืนดีกับพี่น้องก่อน จึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชา “จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วขณะที่เขากําลังพาท่านไปศาล มิฉะนั้นเขาอาจจะมอบท่านให้ แก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วท่านอาจจะถูกขังในเรือนจํา เรา บอกความจริงแก่ท่านว่าท่านจะออกมาไม่ได้จนกว่าจะใช้หนี้ครบถ้วนทุกบาททุกสตางค์ 21
22
23
24
25
26
การล่วงประเวณี
“ท่านทั้งหลายได้ยินคําซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘อย่าล่วงประเวณี’ แต่เราบอกท่านว่าผู้ใดมองดูผู้หญิง ด้วยใจกําหนัดก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจของเขาแล้ว หากตาข้างขวาของท่านเป็นเหตุให้ ทําบาป จงควักทิ้งเสีย ถึงจะเสียอวัยวะส่วนหนึ่งไปก็ยังดีกว่าทั้งตัวต้องตกนรก และถ้ามือขวา ของท่านเป็นเหตุให้ทําบาปก็จงตัดทิ้งเสีย ถึงจะเสียอวัยวะส่วนหนึ่งไปก็ยังดีกว่าทั้งตัวต้องตกนรก 27
28
29
30
การหย่าร้าง
“มีคํากล่าวไว้ว่า ‘ผู้ใดหย่าภรรยาของตนต้องเขียนหนังสือหย่าให้นาง’ แต่เราบอกท่านว่า ชายใดหย่าขาดจากภรรยาของตนด้วยเหตุอื่นนอกเหนือจากการผิดศีลธรรมทางเพศ ย่อมเป็นเหตุ ให้นางกลายเป็นคนล่วงประเวณี และผู้ใดแต่งงานกับผู้หญิงที่ถูกหย่าร้างเช่นนั้นก็ล่วงประเวณีด้วย 31
32
การสาบาน
“อนึ่ง ท่านได้ยินคําซึ่งกล่าวไว้แก่คนในสมัยก่อนว่า ‘อย่าผิดคําสาบาน แต่จงทําตามที่ได้ ถวายปฏิญาณแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แต่เราบอกท่านว่าจงอย่าสาบานเลย ไม่ว่าจะอ้างสวรรค์ เพราะสวรรค์เป็นพระที่นั่งของพระเจ้า หรืออ้างแผ่นดินโลกเพราะโลกเป็นแท่นวางพระบาทของ พระองค์ หรืออ้างกรุงเยรูซาเล็มเพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นนครขององค์จอมราชัน และอย่าสาบาน โดยอ้างศีรษะของตนเพราะท่านไม่สามารถทําให้ผมกลายเป็นสีขาวหรือดําได้แม้แต่เพียงเส้นเดียว ใช่ก็จงว่า ‘ใช่’ ไม่ก็จงว่า ‘ไม่’ พูดเกินนี้ไปก็มาจากมาร 33
34
35
36
37
ตาแทนตา
“ท่านทั้งหลายได้ยินคํากล่าวไว้ว่า ‘ตาแทนตาและฟันแทนฟัน’ แต่เราบอกท่านว่าอย่าต่อสู้ กับคนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย และถ้าใครต้องการฟ้อง ร้องเอาเสื้อของท่าน จงให้เสื้อคลุมของท่านแก่เขาด้วย ถ้ามีผู้บังคับให้ท่านไปหนึ่งกิโลเมตรก็จง ไปกับเขาสองกิโลเมตร จงให้แก่ผู้ที่ขอท่านและอย่าเมินหนีผู้ที่ต้องการจะขอยืมจากท่าน 38
39
40
41
42
รักศัตรู
“ท่านทั้งหลายได้ยินคํากล่าวไว้ว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านและเกลียดชังศัตรู’ แต่เราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่านและอธิษฐานเผื่อบรรดาผู้ที่ข่มเหงท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดา ของท่านในสวรรค์ พระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ขึ้นแก่ทั้งคนชั่วและคนดี และทรงให้ฝนตกแก่ทั้งคน ชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่ผู้ที่รักท่านท่านจะได้บําเหน็จอะไร? แม้แต่คนเก็บภาษีก็ 43
44
45
46
26 | มัทธิว 5:19
ทําเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? ถ้าท่านทักทายเฉพาะพวกพี่น้องของตนท่านทําอะไรมากกว่าคนอื่นเล่า? ถึง คนต่างศาสนาก็ทําเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? เหตุฉะนั้นจงดีพร้อมเหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรง ดีพร้อม 47
48
เอื้อเฟื้อแก่คนขัดสน
ง อย่าทําดีเพื่อเอาหน้า ถ้าทําเช่นนั้นท่านจะไม่ได้รับบําเหน็จจากพระบิดาของท่านใน 6 “จงระวั สวรรค์
“ดังนัน้ เมือ่ ท่านให้ทานแก่คนขัดสน อย่าตีฆอ้ งร้องป่าวเหมือนทีค่ นหน้าซือ่ ใจคดทําในธรรมศาลา และตามถนนหนทางเพื่อให้ผู้คนยกย่องชมเชย เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบําเหน็จ ของตนเต็มที่แล้ว แต่เมื่อท่านหยิบยื่นแก่คนขัดสน อย่าให้มือซ้ายรู้สิ่งที่มือขวาทํา เพื่อการให้ของ ท่านเป็นความลับ แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทําเป็นการลับจะประทานบําเหน็จแก่ท่าน 2
3
4
การอธิษฐาน
“และเมื่อท่านอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคดเพราะพวกเขาชอบยืนอธิษฐานใน ธรรมศาลาและตามมุมถนนเพื่อให้คนเห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่าพวกเขาได้รับบําเหน็จของ ตนเต็มที่แล้ว เมื่อท่านอธิษฐาน จงเข้าไปในห้อง ปิดประตู และอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ไม่ ปรากฏแก่ตา แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทําอย่างลับๆ จะประทานบําเหน็จแก่ท่าน และ เมื่อท่านอธิษฐาน ไม่ต้องพูดพร่ําซ้ําซากเหมือนคนต่างศาสนา เพราะเขาคิดว่าพูดมากๆ พระจึงจะ ได้ยิน อย่าทําอย่างเขาเลยเพราะพระบิดาของท่านทรงทราบว่าท่านต้องการอะไรก่อนที่ท่านจะ ทูลขอต่อพระองค์ “ฉะนั้น ท่านควรจะอธิษฐานดังนี้ว่า “ ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูนสักการะ ขอให้อาณาจักรของพระองค์ได้รับการสถาปนาไว้ ขอให้พระประสงค์ของพระองค์สําเร็จในโลกเช่นเดียวกับในสวรรค์ ขอโปรดประทานอาหารประจําวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้ ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลงเมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากมารร้าย’ เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทําผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยให้ท่านด้วย แต่ ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่นพระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน 5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
การถืออดอาหาร
“เมื่อท่านถืออดอาหาร อย่าทําหน้าเศร้าเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาปั้นหน้าเพื่อให้คน เห็นว่าพวกเขากําลังถืออดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบําเหน็จของตนเต็มที่แล้ว ส่วนท่านเมื่อถืออดอาหาร จงล้างหน้า เอาน้ํามันชโลมศีรษะ เพื่อจะไม่เป็นที่สะดุดตาใครว่า ท่านกําลังถืออดอาหารนอกจากพระบิดาของท่านผู้ไม่ปรากฏแก่ตา และพระบิดาของท่านผู้ทรง เห็นสิ่งที่ทําเป็นการลับจะประทานบําเหน็จแก่ท่าน 16
17
18
ทรัพย์สมบัติในสวรรค์
“อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สําหรับตนในโลกที่ซึ่งแมลงและสนิมอาจทําลายได้และที่ซึ่งโจรอาจ งัดแงะเข้าไปขโมยได้ แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สําหรับตนในสวรรค์ที่ซึ่งแมลงและสนิมไม่อาจ 19
20
มัทธิว 6:20 | 27
ทําลายได้และที่ซึ่งโจรไม่อาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้ เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของ ท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย “ดวงตาคือประทีปของกาย หากตาของท่านดี ทั้งกายของท่านก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง แต่ ถ้าตาของท่านเสีย ทั้งกายของท่านก็จะเต็มไปด้วยความมืด หากความสว่างในท่านเป็นความมืดมน ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใด! “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาย่อมเกลียดนายคนหนึ่งและรักนายอีกคนหนึ่ง หรือภักดีต่อนายคนหนึ่งและดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านจะรับใช้ทั้งพระเจ้าและเงินทองไม่ได้ 21
22
23
24
อย่าวิตกกังวล
“เพราะฉะนั้นเราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกินหรือเอา อะไรดื่ม หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสําคัญยิ่งกว่าอาหารและ ร่างกายสําคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ? จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่านหรือเก็บเกี่ยวหรือ สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูหมู่นก ท่านไม่ล้ําค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้น หรือ? ใครบ้างในพวกท่านที่กังวลแล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งได้? “แล้วทําไมท่านจึงกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม? จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย กระนั้นเราบอกท่านว่าแม้แต่กษัตริย์โซโลมอนเมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความ โอ่อ่าตระการ ก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่าเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง ในเมื่อพระเจ้าทรง ตกแต่งต้นหญ้าในท้องทุ่งถึงเพียงนั้น ต้นหญ้าซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้และพรุ่งนี้ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่าน ผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ? ฉะนั้นอย่ากังวลว่า ‘เราจะ เอาอะไรกิน?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรดื่ม?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม?’ เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้า ขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงทราบว่าท่านจําเป็นต้องมีสิ่งเหล่า นี้ แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะ ประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย เพราะฉะนั้นอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เพราะพรุ่งนี้ก็จะ มีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีความเดือดร้อนของมันพออยู่แล้ว 25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
ตัดสินผู้อื่น
“อย่าตัดสิน มิฉะนั้นท่านเองจะถูกตัดสินด้วย เพราะท่านตัดสินผู้อื่นอย่างไร ท่านจะถูกตัดสิน 7 อย่ างนั้น ท่านตวงให้ไปด้วยทะนานอันใด ท่านก็จะได้รับเท่ากับทะนานอันนั้น 2
“เหตุใดท่านมองดูผงขี้เลื่อยในตาของพี่น้อง แต่ไม่ใส่ใจกับไม้ทั้งท่อนในตาของท่านเอง? ท่าน พูดกับพี่น้องได้อย่างไรว่า ‘ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่านเถิด’ ในเมื่อตลอดเวลานั้นท่านเองมีไม้ ทั้งท่อนอยู่ในตา? เจ้าคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาเจ้าเองก่อน แล้วเจ้าจะเห็นชัด เพื่อจะเขี่ยผงออกจากตาของพี่น้องได้ “อย่าให้ของบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกร มิฉะนั้นมันจะเหยียบย่ําไว้ใต้เท้า แล้วหันมาฉีกท่านเป็นชิ้นๆ 3
4
5
6
จงขอ จงหา จงเคาะ
“จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงหาแล้วท่านจะพบ จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะทุก คนที่ขอก็ได้รับ คนที่แสวงหาก็พบ และคนที่เคาะประตูก็จะเปิดให้แก่เขา “ใครบ้างในพวกท่านถ้าบุตรขอขนมปังจะให้ก้อนหิน? หรือถ้าบุตรขอปลาจะให้งูแก่เขา? ถ้า แม้ท่านเองซึ่งเป็นคนชั่วยังรู้จักให้สิ่งดีๆ แก่บุตรของท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะประทาน สิ่งดีแก่บรรดาผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด! ฉะนั้นในทุกสิ่งจงทําต่อผู้อื่นอย่างที่ท่าน อยากให้เขาทําต่อท่าน เพราะนี่สรุปสาระของหนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะ 7
9
8
10
12
28 | มัทธิว 6:21
11
ประตูแคบและประตูกว้าง
“จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูใหญ่และทางกว้างนําไปสู่ความพินาศและคนเป็นอัน มากเข้าไปทางนั้น ส่วนประตูเล็กและทางแคบนําไปสู่ชีวิตและมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ 13
14
ต้นไม้และผลของมัน
“จงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ เขามาหาพวกท่านในคราบแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย ท่านจะรู้จักเขาโดยผลของเขา กอหนามจะออกผลเป็นองุ่นและพุ่มหนามจะออกผลเป็นมะเดื่อ ได้หรือ? ในทํานองเดียวกัน ต้นไม้ที่ดีทุกต้นย่อมให้ผลที่ดี ส่วนต้นไม้เลวย่อมให้ผลที่เลว ต้นไม้ ดีไม่อาจให้ผลเลวและต้นไม้เลวไม่อาจให้ผลดี ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ให้ผลดีก็ถูกโค่นและโยนลงในไฟ ฉะนั้นท่านจะรู้จักเขาได้จากผลของเขา “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่ คนที่ทําตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้นที่จะได้เข้า หลายคนจะพูด กับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์เผยพระวจนะในพระนามของ พระองค์ ขับผีในพระนามของพระองค์ และทําการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะ บอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทําชั่ว จงไปให้พ้น!’ 15
16
17
18
19
20
21
22
23
คนโง่และคนฉลาด
“ฉะนั้นทุกคนที่ได้ยินคําเหล่านี้ของเราและนําไปปฏิบัติก็เป็นเหมือนคนฉลาดที่สร้างบ้านของ ตนบนศิลา ถึงฝนตก กระแสน้ําท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ําบ้านนั้นแต่บ้านก็ไม่ได้พังลง เพราะมีฐานรากอยู่บนศิลา ส่วนผู้ที่ได้ยินคําเหล่านี้ของเราแต่ไม่ได้นําไปปฏิบัติก็เป็นเหมือนคนโง่ ที่สร้างบ้านของตนบนทราย เมื่อฝนตก กระแสน้ําท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ําบ้านนั้นบ้าน ก็พังทลายลง” เมื่อพระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้จบแล้ว ฝูงชนก็พากันเลื่อมใสในคําสอนของพระองค์ เพราะ พระองค์ทรงสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอํานาจต่างจากพวกธรรมาจารย์ของพวกเขา 24
25
26
27
28
29
พระเยซูทรงรักษาคนเป็นโรคเรื้อน
เมื่อพระองค์เสด็จลงมาจากภูเขา คนเป็นอันมากติดตามพระองค์มา ชายคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อน 8 มาคุ กเข่ากราบทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้หายได้ถ้า 2
พระองค์เต็มใจ” พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์แตะต้องชายผู้นั้นและตรัสว่า “เราเต็มใจจะรักษา จงหายโรคเถิด!” ทันใดนั้นเขาก็หายจากโรคเรื้อน แล้วพระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงระวังอย่าบอกผู้ใดเลย แต่จงไป แสดงตัวต่อปุโรหิตและถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสสั่งไว้เพื่อเป็นพยานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหาย โรคแล้ว” 3
4
ความเชื่อของนายร้อย
เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม มีนายร้อยคนหนึ่งมาทูลขอความช่วยเหลือจาก พระองค์ เขากล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า คนรับใช้ของข้าพระองค์นอนป่วยเป็นอัมพาตอยู่ที่บ้าน ทนทุกข์ทรมานยิ่งนัก” พระเยซูตรัสแก่นายร้อยนั้นว่า “เราจะไปรักษาเขา” เขาทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่คู่ควรที่จะให้พระองค์เสด็จมาใต้ชายคาบ้านของข้า พระองค์ เพียงแต่พระองค์ตรัสสั่งเท่านั้น คนรับใช้ของข้าพระองค์ก็จะหายป่วย เพราะข้าพระองค์ เองมีทั้งผู้บังคับบัญชาและมีทหารใต้บังคับบัญชา ข้าพระองค์สั่งคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป สั่งคนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพระองค์สั่งคนรับใช้ว่า ‘จงทําสิ่งนี้’ เขาก็ทํา” เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนั้นก็ทรงประหลาดพระทัยและตรัสกับบรรดาผู้ติดตามพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเราไม่เคยพบใครสักคนในอิสราเอลที่มีความเชื่อยิ่งใหญ่เพียงนี้ เรา 5
6
7 8
9
10
11
มัทธิว 8:11 | 29
บอกท่านว่าคนเป็นอันมากจากตะวันออกและตะวันตกจะมาเข้าประจําที่ของตนในงานเลี้ยงร่วม กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบในอาณาจักรสวรรค์ แต่พลเมืองของอาณาจักรนั้นจะถูกโยนออก มาสู่ความมืดมิดภายนอกที่ซึ่งจะมีการร่ําไห้และการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” แล้วพระเยซูตรัสกับนายร้อยนั้นว่า “จงไปเถิด จะเป็นไปตามที่ท่านเชื่อ” และคนใช้ของเขาก็ หายโรคในชั่วโมงนั้นเอง 12
13
พระเยซูทรงรักษาคนเป็นอันมาก
เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้านของเปโตรก็ทรงเห็นแม่ยายของเปโตรนอนเป็นไข้อยู่บนเตียง พระองค์ทรงจับมือของนางอาการไข้ก็พลันหายไป นางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติรับใช้พระองค์ พอตกเย็นคนถูกผีสิงหลายคนถูกนํามาหาพระองค์ และพระองค์ทรงขับผีเหล่านั้นออกด้วยคํา ตรัสและทรงรักษาคนเจ็บป่วยทั้งปวง การนี้เป็นจริงตามที่ได้กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ อิสยาห์ว่า “พระองค์ทรงรับความอ่อนแอทั้งหลายของเรา และแบกรับโรคต่างๆ ของเราไว้” 14
15
16
17
การติดตามพระเยซู
เมื่อพระเยซูทรงเห็นว่าประชาชนมาห้อมล้อมพระองค์ จึงตรัสสั่งให้ข้ามทะเลสาบไปยังอีกฟาก หนึ่ง แล้วมีธรรมาจารย์คนหนึ่งมาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะติดตามท่านไม่ว่าท่าน จะไปที่ใด” พระเยซูตรัสตอบว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวาง ศีรษะ” สาวกอีกคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาก่อน” แต่พระเยซูตรัสว่า “จงตามเรามา ปล่อยให้คนตายฝังผู้ตายของพวกเขาเองเถิด” 18
19
20
21 22
พระเยซูทรงห้ามพายุ
แล้วพระองค์เสด็จลงเรือและเหล่าสาวกของพระองค์ตามพระองค์ไป ทันใดนั้นเกิดพายุร้าย กลางทะเลสาบ คลื่นซัดท่วมเรือ แต่พระเยซูบรรทมอยู่ เหล่าสาวกมาปลุกพระองค์พร้อมทั้งทูล ว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยเราด้วย! เรากําลังจะจมน้ําตายอยู่แล้ว!” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านผู้มีความเชื่อน้อย เหตุใดจึงตื่นตกใจถึงเพียงนี้?” แล้วพระองค์ทรง ลุกขึ้นห้ามลมและคลื่น มันก็สงบราบเรียบ 23
24
25
26
มัทธิว 8:28–34 จ๊ะจ๋า เกิดข้อสงสัยว่าน้อง ๆ จะทําอย่างไรหากได้พบกับคนเหล่านี้ก่อนที่พระเยซูจะ ชวยพวกเขา พวกเขาจะมีท่าทางอย่างไรหลังจากที่พระเยซูขับผีออกให้? นอง ๆ จะรูสึกอยางไรหากนอง ๆ เจอพวกเขาหลังจากนั้น? ให้พูดคุยกับเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ ถึงความรู้สึกของน้อง ๆ เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้ว 30 | มัทธิว 8:12
เหล่าสาวกประหลาดใจและพูดกันว่า “พระองค์ทรงเป็นใครกันหนอ? แม้แต่ลมและคลื่นก็ยัง เชื่อฟังพระองค์!” 27
การรักษาคนถูกผีสิงสองคน
เมื่อข้ามฟากมาถึงแดนกาดาราชายสองคนซึ่งมีผีสิงออกจากอุโมงค์ฝังศพมาหาพระองค์ ทั้ง สองดุร้ายมากจนไม่มีใครกล้าผ่านเข้าไปแถวนั้น ชายทั้งสองตะโกนว่า “พระบุตรของพระเจ้า พระองค์ต้องการอะไรจากเราหรือ? ทรงมาที่นี่เพื่อทรมานเราก่อนถึงกําหนดเวลาหรือ?” ไม่ไกลจากที่นั่นมีสุกรฝูงใหญ่หากินอยู่ ผีนั้นจึงทูลอ้อนวอนพระเยซูว่า “ถ้าจะทรงขับพวกเรา ออก ขอให้เราไปสิงในสุกรฝูงนั้นเถิด” พระองค์ตรัสสั่งพวกมันว่า “ไป!” ผีนั้นจึงเข้าไปสิงในสุกร สุกรทั้งฝูงก็กระโจนจากหน้าผาลง ทะเลสาบจมน้ําตายหมด บรรดาคนเลี้ยงสุกรวิ่งเข้าไปในเมืองเล่าเรื่องทั้งหมดรวมทั้งเหตุการณ์ที่ เกิดกับคนที่มีผีสิงทั้งสองคนนั้น แล้วคนทั้งเมืองออกมาหาพระเยซูและเมื่อพวกเขาพบพระองค์ก็ ทูลขอร้องให้ทรงออกจากเขตแดนของเขา 28
29
30
31
32
33
34
พระเยซูทรงรักษาคนเป็นอัมพาต
จึงเสด็จลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองของพระองค์ มีผู้หามคนเป็นอัมพาตซึ่งนอนอยู่บน 9 ทีพระเยซู ่นอนมาหาพระเยซู เมื่อทรงเห็นความเชื่อของพวกเขาก็ตรัสกับคนเป็นอัมพาตนั้นว่า “ลูกเอ๋ย 2
จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” พวกธรรมาจารย์บางคนได้ยินเช่นนั้นก็คิดในใจว่า “ชายคนนี้กําลังพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า!” พระเยซูทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “เหตุใดพวกท่านจึงคิดชั่วอยู่ในใจ? ที่จะพูดว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ กับ ‘จงลุกขึ้นเดินไป’ อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน? แต่ทั้งนี้ก็เพื่อ ให้พวกท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอํานาจในโลกที่จะอภัยบาป” แล้วพระองค์ตรัสกับคนเป็นอัมพาต ว่า “จงลุกขึ้นแบกที่นอนกลับไปบ้านเถิด” และชายคนนั้นก็ลุกขึ้นกลับไปบ้าน เมื่อฝูงชนเห็นดังนี้ ก็ยําเกรงและสรรเสริญพระเจ้าผู้ประทานสิทธิอํานาจเช่นนี้แก่มนุษย์ 3 4
5
6
7
8
ทรงเรียกมัทธิว
เมื่อพระเยซูเสด็จจากที่นั่น พระองค์ทรงเห็นชาย คนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา” มัทธิวก็ลุกขึ้นติดตามพระองค์ไป ขณะพระเยซูเสวยพระกระยาหารที่บ้านของ มัทธิว คนเก็บภาษีและ “คนบาป” หลายคนมาร่วม รับประทานกับพระองค์และเหล่าสาวก เมื่อพวก ฟาริสีเห็นเช่นนั้นก็ถามสาวกของพระองค์ว่า “ทําไม อาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บ ภาษีและ ‘คนบาป’?” เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนี้จึงตรัสว่า “คนสุขภาพ ดีไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ จงไปศึกษาให้ เข้าใจความหมายของข้อความที่ว่า ‘เราประสงค์ความ เมตตา ไม่ใช่เครื่องบูชา’ เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียก คนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป” 9
10
11
12
13
มัทธิว 9:9
มัทธิวได้ขโมยเงินก้อนใหญ่จากเงิน ภาษีที่เขาเก็บสําหรับส่งให้จักรพรรดิ โรมัน เขาเป็นหัวขโมยและคนโกหก แต่พระเยซูยังทรงเรียกมัทธิวให้มา เป็นสาวกของพระองค์ มัทธิวรู้ว่าเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อ ไปได้เหมือนเมื่อก่อนจนกระทั่งเขา พบพระเยซู ในฐานะที่เขาได้เป็นสาวกของพระ เยซูเขาจึงได้รับชีวิตใหม่ และเขา เลือกที่จะใช้ชีวิตใหม่!
ถามพระเยซูเรื่องการถืออดอาหาร
ฝ่ายสาวกของยอห์นมาทูลถามพระองค์ว่า “พวกข้าพระองค์กับพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่ ทําไมสาวกของพระองค์ไม่ถืออดอาหาร?” 14
มัทธิว 9:14 | 31
พระเยซูทรงตอบว่า “จะให้แขกของเจ้าบ่าวทุกข์โศกขณะเจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไร? สักวัน หนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกนําตัวไปจากเขาแล้วพวกเขาจะอดอาหาร “ไม่มีใครเอาผ้าใหม่ที่ยังไม่หดไปปะเสื้อผ้าเก่าเพราะผ้าใหม่จะหดรั้งผ้าเก่าให้ขาดมากกว่าเดิม และไม่มีใครเทเหล้าองุ่นใหม่ใส่ถุงหนังเก่า ถ้าทําเช่นนั้นถุงหนังจะขาด เหล้าองุ่นจะไหลออกมา หมด และถุงหนังจะเสียหาย ไม่หรอก เขาย่อมเทเหล้าองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่และเก็บรักษาไว้ได้ ทั้งสองอย่าง” 15
16
17
เด็กที่เสียชีวิตและหญิงที่ป่วย
ขณะที่พระองค์ตรัสอยู่นั้น นายธรรมศาลาคนหนึ่งมาคุกเข่าทูลพระองค์ว่า “ลูกสาวของข้า พระองค์เพิ่งเสียชีวิต แต่ขอโปรดเสด็จไปทรงวางมือให้แล้วเธอจะเป็นขึ้นมา” พระเยซูทรงลุกขึ้น ไปกับเขาเหล่าสาวกก็ไปด้วย ขณะนั้นเองหญิงคนหนึ่งซึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้วได้เข้ามาข้างหลังพระองค์และแตะ ชายฉลองพระองค์ นางคิดในใจว่า “ถ้าเพียงแต่เราแตะฉลองพระองค์ เราก็จะหายโรค” พระเยซูทรงหันมาเห็นนางจึงตรัสว่า “ลูกสาวเอ๋ย จงชื่นใจเถิด ความเชื่อของเจ้าทําให้เจ้าหาย โรคแล้ว” นางก็หายโรคตั้งแต่วินาทีนั้น เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้านของนายธรรมศาลาแล้วทรงเห็นพวกเป่าปี่และผู้คนส่งเสียง อึกทึก พระองค์ก็ตรัสว่า “ไปเสียเถิด เด็กหญิงนี้ยังไม่ตาย เพียงแต่หลับอยู่” แต่พวกเขาพากัน หัวเราะเยาะพระองค์ หลังจากผู้คนออกไปแล้ว พระองค์ทรงเข้ามาจับมือเด็กน้อย เด็กหญิงนั้นก็ ลุกขึ้น ข่าวนี้จึงเลื่องลือไปทั่วแคว้น 18
19
20
21
22
23
24
25
26
พระเยซูทรงรักษาคนตาบอดและคนใบ้
ขณะพระเยซูเสด็จจากที่นั่น มีชายตาบอดสองคนเดินตามพระองค์มาพลางร้องว่า “บุตรดาวิด เจ้าข้า เมตตาพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด!” เมื่อทรงเข้าไปในบ้านแล้ว คนตาบอดทั้งสองก็มาหาพระองค์ พระเยซูตรัสถามเขาว่า “ท่าน เชื่อหรือว่าเราสามารถทําการนี้ได้?” ทั้งสองทูลตอบว่า “เชื่อ พระเจ้าข้า” พระองค์จึงทรงแตะตาของพวกเขาและตรัสว่า “ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด” ทั้งสองก็กลับ มัทธิว 10:1–4 มองเห็นได้ พระเยซูทรงกําชับเขาอย่างหนักแน่นว่า “อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้” แต่เขาก็ออกไปป่าวประกาศ ในขณะนั้นพระเยซูทรงมีสาวก 12 ข่าวเกี่ยวกับพระองค์ทั่วแคว้น คน เชนเดียวกับที่อิสราเอลมี 12 ขณะที่พวกเขากําลังจะพากันออกไป มีคนนําชาย ชนเผา ผู้หนึ่งซึ่งถูกผีสิงและพูดไม่ได้มาพบพระเยซู และเมื่อ ทรงขับผีออกแล้ว ชายที่เคยเป็นใบ้ก็พูดได้ ประชาชน สาวกทั้ง 12 คน เปนจุดเริ่มตนของ ผูเชื่อใหม และคริสตจักร เมื่อครั้งที่ พากันประหลาดใจและพูดว่า “ไม่เคยพบเห็นอะไร พระเยซูทรงอยูบนโลก พระองคได เช่นนี้เลยในอิสราเอล” ทรงฝกฝนเหลาสาวกของพระองค แต่พวกฟาริสีพูดว่า “เขาขับผีออกด้วยฤทธิ์ของ และกอนที่พระองคจะเสด็จกลับขึ้น นายผี” สูสวรรค คนงานยังน้อยอยู่ พระองคทรงมอบภาระหนาที่ใหแก พระเยซูเสด็จไปตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ทรง พวกเขา โดยใหพวกเขาออกไปสั่ง เทศนาในธรรมศาลา ประกาศข่าวประเสริฐเรื่อง สอนชนทุกชาติ ใหเปนสาวกของ อาณาจักรของพระเจ้า และรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้ง พระองคเชนกัน (มัทธิว 28:19–20) ปวง เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรง 27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
32 | มัทธิว 9:15
สงสารเขาเพราะพวกเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งเหมือนลูกแกะขาดคนเลี้ยง แล้วพระองค์ก็ตรัส กับเหล่าสาวกว่า “งานเก็บเกี่ยวมีมากแต่คนงานมีน้อยนัก เพราะฉะนั้นจงทูลขอพระองค์ผู้ทรง เป็นเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวให้ส่งคนงานมายังทุ่งแห่งการเก็บเกี่ยวของพระองค์” 37
38
พระเยซูทรงส่งอัครทูตทั้งสิบสองคนออกไป
ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาและประทานสิทธิอํานาจแก่เขาที่จะขับไล่ 10 พระเยซู วิญญาณชั่วและบําบัดโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่าง
นี่คือรายชื่อของอัครทูตสิบสองคน คนแรกคือซีโมน (ที่เรียกกันว่า เปโตร) กับอันดรูว์น้องชาย ของเขา ยากอบกับยอห์นน้องชายของเขา ทั้งสองเป็นบุตรเศเบดี ฟีลิปและบารโธโลมิว โธมัสและ มัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟอัสและธัดเดอัส ซีโมนพรรคชาตินิยมและยูดาสอิสคาริโอทผู้ ทรยศพระองค์ พระเยซูทรงส่งทั้งสิบสองคนนี้ออกไปพร้อมกับกําชับว่า “อย่าไปในหมู่คนต่างชาติหรือเข้าไปใน เมืองใดของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะที่หลงหายของอิสราเอล ขณะที่ไปจงประกาศข่าวสาร ที่ว่า ‘อาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว’ จงรักษาคนเจ็บป่วย ให้คนตายฟื้นขึ้น รักษาคนโรคเรื้อนให้ หาย และขับผีออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ ก็จงให้เปล่าๆ ไม่ต้องพกเงิน ทอง หรือทองแดงไว้ ในเข็มขัด ไม่ต้องเอาย่าม หรือเสื้ออีกตัวหนึ่ง หรือรองเท้า หรือไม้เท้าไปในการเดินทางเพราะคน งานควรได้รับสิ่งตอบแทน “เมื่อเข้าสู่เมืองใดหมู่บ้านใด จงหาคนที่เหมาะสมที่นั่นและพักที่บ้านของเขาจนกว่าจะจาก ไป เมื่อเข้าไปในบ้าน จงอวยพรเขา หากบ้านนั้นต้อนรับท่านอย่างดีก็ให้สันติสุขของท่านอยู่กับ บ้านนั้น แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นก็ให้สันติสุขนั้นกลับคืนมาสู่ท่าน หากผู้ใดไม่ต้อนรับหรือฟังคําของ ท่านจงสะบัดฝุ่นออกจากเท้าเมื่อออกจากบ้านนั้นหรือเมืองนั้น เราบอกความจริงแก่ท่านว่าในวัน พิพากษาโทษของเมืองโสโดมและโกโมราห์ยังเบากว่าโทษของเมืองนั้น เราส่งท่านไปเหมือนลูก แกะในหมู่สุนัขป่า ฉะนั้นจงเฉลียวฉลาดเหมือนงูและสุภาพไม่มีพิษภัยเหมือนนกพิราบ “จงระวังตัวให้ดี เพราะผู้คนจะส่งตัวท่านขึ้นศาลและเฆี่ยนท่านในธรรมศาลาของเขา ท่าน จะถูกนําตัวไปพบบรรดาผู้ว่าการและกษัตริย์ในฐานะพยานแก่พวกเขาและคนต่างชาติเพราะเรา แต่เมื่อพวกเขาจับกุมท่าน อย่าวิตกกังวลว่าจะพูดอะไรหรือพูดอย่างไร ถึงตอนนั้นจะประทานสิ่ง ที่ต้องพูดให้แก่ท่าน เพราะไม่ใช่ท่านเองที่กําลังพูด แต่พระวิญญาณของพระบิดาของท่านกําลัง ตรัสผ่านท่าน “พี่น้องจะทรยศกันถึงตาย และพ่อจะทรยศลูก ลูกจะกบฏต่อพ่อแม่และเป็นเหตุให้พวกเขาถึง ตาย คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะเรา แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงที่สุดจะรอด เมื่อท่านถูกข่มเหง 2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
มัทธิว 10:26–31 ไบร์ท รู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าน้อง ๆ เป็นคนตัวเล็กและอายุน้อยกว่าเด็กคนอื่น พระเยซูบอกกับเราว่า เราไม่จําเป็นต้อง เกรงกลัวคนเหล่านั้น พระองค์ทรงรักเราและดูแลเรา ลองดึงเส้นผมจากศีรษะของเรา ออกมาแล้วทิ้งมันลงพื้นดูซิ พระเยซูได้บอกอะไรกับเราในข้อที่ 30 ซึ่งเกี่ยวกับเส้นผมของเรา? เราเป็นคนสําคัญ ของพระเยซู! ฉะนั้นอย่ากลัวเลยที่จะยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง มัทธิว 10:23 | 33
ในที่หนึ่งจงหนีไปยังอีกที่หนึ่ง เราบอกความจริงแก่ท่านว่าก่อนที่ท่านจะหนีไปครบทุกเมืองของ อิสราเอลบุตรมนุษย์ก็มาแล้ว “ศิษย์ไม่เหนือกว่าครูของตน บ่าวไม่เหนือกว่านายของตน ศิษย์เสมอครูและบ่าวเสมอนายก็ พอแล้ว ถ้าเจ้าบ้านถูกเรียกว่าเบเอลเซบุบคนในครัวเรือนของเขาจะยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด! “ฉะนั้นอย่ากลัวพวกเขา ไม่มีสิ่งใดที่ถูกปิดบังไว้จะไม่ได้รับการเปิดเผยหรือที่ซ่อนไว้จะไม่ถูก ทําให้ประจักษ์แจ้ง สิ่งซึ่งเราบอกพวกท่านในที่มืดจงกล่าวในที่แจ้ง สิ่งซึ่งกระซิบที่หูของท่านจง ประกาศจากหลังคาบ้าน อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงเกรงกลัว พระองค์ผู้ทรงสามารถทําลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรก นกกระจาบสองตัวขายกันบาทเดียว ไม่ใช่หรือ? ถึงกระนั้นก็ไม่มีสักตัวเดียวที่ตกถึงพื้นนอกเหนือจากพระประสงค์ของพระบิดา และ แม้แต่ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านก็ทรงนับไว้ทั้งหมดแล้ว ฉะนั้นอย่ากลัวเลย ท่านมีค่ายิ่งกว่านก กระจาบหลายตัว “ผู้ใดยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับเขาต่อหน้าพระบิดาของเราในสวรรค์เช่นกัน แต่ผู้ใดไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อหน้าพระบิดาของเราในสวรรค์ “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนําสันติสุขมาสู่โลก เราไม่ได้นําสันติสุขแต่นําดาบมา เพราะเรามาเพื่อ จะทําให้ “ ‘ชายหนุ่มขัดแย้งกับพ่อ ลูกสาวขัดแย้งกับแม่ ลูกสะใภ้ขัดแย้งกับแม่สามี ศัตรูของเขาจะเป็นคนในครัวเรือนของเขาเอง’ “ผู้ใดรักบิดามารดายิ่งกว่าเราก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ใดรักบุตรชายบุตรสาวยิ่งกว่าเราก็ไม่คู่ควรกับ เรา และผู้ใดไม่รับกางเขนของตนแบกตามเรามาก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่ใฝ่หาชีวิตจะเสียชีวิตและ ผู้ใดเสียชีวิตของตนเพื่อเห็นแก่เราจะได้ชีวิต “ผู้ที่รับพวกท่านก็รับเราและผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้ใดรับผู้เผยพระวจนะ เพราะเป็นผู้เผยพระวจนะก็จะได้รับบําเหน็จอย่างผู้เผยพระวจนะ และผู้ใดรับคนชอบธรรมเพราะ เป็นคนชอบธรรมก็จะได้รับบําเหน็จอย่างคนชอบธรรม และถ้าผู้ใดเอาน้ําเย็นถ้วยหนึ่งให้ผู้เล็ก น้อยเหล่านี้คนหนึ่งคนใดเพราะเขาเป็นสาวกของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้นั้นจะไม่ขาด บําเหน็จของตน” 24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
พระเยซูกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา
สสั่งสาวกทั้งสิบสองคนจบแล้ว พระเยซูก็เสด็จจากที่นั่นไปสั่งสอนและเทศนาใน 11 เมืหลัองงต่จากตรั างๆ ของแคว้นกาลิลี
ขณะนั้นยอห์นถูกจองจําอยู่ในคุก เขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับพระราชกิจของพระคริสต์ เขาก็ส่ง สาวกของเขา มาทูลถามพระองค์ว่า “ท่านคือผู้ที่จะมานั้นหรือเราจะต้องคอยผู้อื่น?” พระเยซูตรัสตอบว่า “จงกลับไปรายงานสิ่งที่ท่านได้ยินได้เห็นแก่ยอห์น คือคนตาบอดมองเห็น ได้ คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกกลับได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าว ประเสริฐได้ประกาศแก่คนยากไร้ คนที่ไม่สูญเสียความเชื่อไปเพราะเราก็เป็นสุข” ขณะที่สาวกของยอห์นกําลังจะจากไป พระเยซูก็เริ่มตรัสกับประชาชนเกี่ยวกับยอห์นว่า “พวก ท่านออกไปดูอะไรในถิ่นกันดาร? ดูต้นอ้อลู่ตามลมหรือ? หากไม่ใช่ ท่านออกไปดูอะไร? ดูคนนุ่ง ห่มผ้าเนื้อดีหรือ? ไม่ใช่ คนนุ่งห่มผ้าเนื้อดีย่อมอยู่ในวังของกษัตริย์ ถ้าเช่นนั้นท่านออกไปดูอะไร? ผู้เผยพระวจนะหรือ? ใช่แล้ว เราบอกท่านว่ายอห์นเป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะเสียอีก นี่แหละคือ ผู้ที่มีเขียนถึงไว้ว่า “ ‘ดูเถิด เราจะส่งทูตของเรามาก่อนท่าน เพื่อเตรียมทางไว้ให้ท่านล่วงหน้า’ 2
3
4
5
6
7
8
9
10
34 | มัทธิว 10:24
เราบอกความจริงแก่ทา่ นว่าในบรรดาผูท้ เ่ี กิดจากผูห้ ญิงไม่มคี นไหนยิง่ ใหญ่กว่ายอห์นผูใ้ ห้บพั ติศมา กระนั้นผู้ต่ําต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น ตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้บัพติศมา จนถึงทุกวันนี้ อาณาจักรสวรรค์กําลังตกอยู่ในความรุนแรงและพวกใช้ความรุนแรงพยายามจะ เข้ายึดมัน เพราะว่าหนังสือผู้เผยพระวจนะและหนังสือบทบัญญัติทั้งปวงได้พยากรณ์มาจนถึง ยอห์น และหากพวกท่านเต็มใจจะรับยอห์นนี่แหละคือเอลียาห์ซึ่งจะมานั้น ใครมีหูที่จะฟังก็จง ฟังเถิด “เราจะเปรียบคนในชั่วอายุนี้กับสิ่งใดดี? เขาเป็นเหมือนเด็กๆ ที่นั่งอยู่กลางตลาดและร้องบอก คนอื่นๆ ว่า “ ‘เราเป่าปี่ให้ พวกเธอก็ไม่เต้นรํา เราร้องเพลงไว้อาลัย พวกเธอก็ไม่ทุกข์โศก’ เพราะยอห์นมาไม่กินไม่ดื่ม พวกเขาก็กล่าวว่า ‘เขามีผีสิง’ บุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่ม พวก เขาก็กล่าวว่า ‘นี่คือคนตะกละและขี้เมา สหายของคนเก็บภาษีและ “คนบาป” ’ แต่ปัญญาของ พระเจ้าก็ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องโดยผลของมันเอง” 11
12
13
14
15
16
17
18
19
วิบัติแก่เมืองที่ไม่กลับใจใหม่
แล้วพระเยซูทรงเริ่มกล่าวโทษเมืองต่างๆ เพราะพวกเขาไม่ยอมกลับใจใหม่ทั้งที่พระองค์ได้ ทรงกระทําการอัศจรรย์ส่วนใหญ่ในเมืองเหล่านั้น “วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซิน! วิบัติแก่เจ้า เมือง เบธไซดา! หากการอัศจรรย์ที่ทําในเมืองของเจ้าได้ทําในเมืองไทระและเมืองไซดอน พวกเขาคงนุ่ง ห่มผ้ากระสอบนั่งจมขี้เถ้าและกลับใจใหม่นานแล้ว แต่เราบอกพวกเจ้าว่าในวันพิพากษาโทษของ เมืองไทระและเมืองไซดอนจะเบากว่าโทษของเจ้า ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะถูกยกขึ้น เทียมฟ้าหรือ? ไม่เลย เจ้าจะต้องลงไปในเหวลึกต่างหาก ถ้าการอัศจรรย์ที่ทําในเมืองของเจ้าได้ทํา ที่เมืองโสโดม เมืองนั้นคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ แต่เราบอกพวกเจ้าว่าในวันพิพากษาโทษของเมือง โสโดมก็ยังเบากว่าโทษของเจ้า” 20
21
22
23
24
มัทธิว 11:29
การพักสงบสําหรับผู้เหนื่อยล้า
ขณะนั้นพระเยซูตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา องค์พระ ผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ข้าพระองค์ สรรเสริญพระองค์เพราะทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้จากคน ฉลาดและผู้รู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาเด็กเล็กๆ ข้า แต่พระบิดา พระองค์ทรงเห็นชอบเช่นนั้น “พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งทั้งปวงแก่เรา ไม่มี ใครรู้จักพระบุตรนอกจากพระบิดาและไม่มีใครรู้จัก พระบิดานอกจากพระบุตรกับบรรดาผู้ที่พระบุตรทรง เลือกที่จะเปิดเผยพระบิดาแก่เขา “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมา หาเรา และเราจะให้ท่านพักสงบ จงรับแอกของเรา แบกไว้และเรียนรู้จากเราเพราะเราสุภาพและถ่อมใจ แล้วจิตวิญญาณของท่านจะพักสงบ เพราะแอกของ เรานั้นพอเหมาะและภาระของเราก็เบา” 25
26
27
28
29
30
ในสมัยพระคัมภีร์นั้น พวกสัตว์ อย่างเช่น วัว ลา และอูฐ ต้องแบก สัมภาระหนักแทนเจ้าของของมัน ในบางครั้งลาต้องแบกสัมภาระที่ ใหญ่กว่าตัวมันหลายเท่า พระเยซูทรงเห็นว่ามีหลายคนที่แบก ข้อปฎิบัติธรรมบัญญัติเอาไว้เหมือน กับแบกสัมภาระหนัก และสิ่งเหล่า นี้ทําให้เขาเหน็ดเหนื่อย พระเยซู บอกกับเราว่า ถ้าเรารับใช้พระองค์ พระองค์จะไม่ให้เราแบกภาระที่หนัก เกินไป ภาระของพระองค์ก็เบา และ พระองค์จะทรงให้เราได้พักผ่อน มัทธิว 11:30 | 35
เจ้าเหนือวันสะบาโต
้นพระเยซูเสด็จผ่านทุ่งนาในวันสะบาโต สาวกของพระองค์หิวจึงเด็ดรวงข้าวมากิน 12 ครัเมื้ง่อนัพวกฟาริ สีเห็นก็ทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด! พวกศิษย์ของท่านทําสิ่งที่ผิดบัญญัติในวัน 2
สะบาโต” พระองค์ตรัสตอบว่า “พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่าดาวิดทําอะไรเมื่อเขากับพรรคพวกหิวโหย? ดาวิดเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าและเขากับพวกกินขนมปังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติ เพราะมีแต่ปุโรหิตเท่านั้นที่รับประทานขนมปังศักดิ์สิทธิ์ได้ ท่านไม่ได้อ่านในหนังสือบทบัญญัติ หรือที่ว่าในวันสะบาโตปุโรหิตในพระวิหารทํางานของตนซึ่งเป็นการละเมิดกฎวันสะบาโต แต่ ไม่มีความผิด? เราบอกท่านว่า ผู้ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่ หากท่านเข้าใจความหมายของ ข้อความที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ใช่เครื่องบูชา’ ท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษผู้ที่ไม่มีความผิด เพราะบุตรมนุษย์ทรงเป็นเจ้าเหนือวันสะบาโต” จากที่นั่นพระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาของพวกเขา และชายมือลีบคนหนึ่งอยู่ที่นั่น พวก เขาหาเหตุที่จะจับผิดพระองค์จึงทูลถามว่า “การรักษาโรคในวันสะบาโตผิดบัญญัติหรือไม่?” พระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า “หากใครในพวกท่านมีแกะตัวหนึ่งและแกะนั้นตกบ่อใน วันสะบาโต เขาจะไม่ฉุดดึงแกะขึ้นจากบ่อหรือ? คนๆ หนึ่งมีค่ายิ่งกว่าแกะตัวหนึ่งสักเพียงใด ฉะนั้นการทําความดีในวันสะบาโตก็ถูกต้องตามบทบัญญัติแล้ว” แล้วพระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกมา” เขาจึงเหยียดมือออกและมือนั้นก็ กลับเป็นปกติดีเหมือนมืออีกข้างหนึ่ง แต่พวกฟาริสีออกไปวางแผนกันว่าจะฆ่าพระเยซูได้อย่างไร 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
ผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือก
พระเยซูทรงทราบเช่นนี้จึงปลีกพระองค์ไปจากที่นั่น คนเป็นอันมากติดตามพระองค์มา และพระองค์ทรงรักษาคนป่วยของพวกเขาให้หายโรคทุกคน พระองค์ทรงเตือนพวกเขาไม่ให้ แพร่งพรายว่าพระองค์คือใคร ทั้งนี้เป็นจริงตามที่ได้กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “นี่คือผู้รับใช้ของเราซึ่งเราเลือกสรรไว้ ผู้ที่เรารักและชื่นชม เราจะส่งวิญญาณของเราลงมาเหนือเขา และเขาจะประกาศความยุติธรรมแก่บรรดาประชาชาติ เขาจะไม่วิวาทหรือส่งเสียงร้อง จะไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงของเขาที่ถนน ไม้อ้อช้ําแล้วเขาจะไม่หัก และไส้ตะเกียงที่ริบหรี่เขาจะไม่ดับ จนกว่าเขาจะนําความยุติธรรมไปสู่ชัยชนะ บรรดาประชาชาติจะหวังใจในนามของเขา” 15
16
17
18
19
20
21
พระเยซูกับเบเอลเซบุบ
แล้วเขาพาชายที่มีผีสิงคนหนึ่งซึ่งทั้งตาบอดและเป็นใบ้มาหาพระองค์ พระเยซูทรงรักษาคนนั้น เขาจึงพูดและมองเห็นได้ คนทั้งปวงก็ประหลาดใจและพูดกันว่า “เป็นไปได้ไหมที่คนนี้คือบุตร ดาวิด?” แต่เมื่อพวกฟาริสีได้ยินก็พูดว่า “คนนี้ขับผีออกโดยอาศัยเบเอลเซบุบเจ้าแห่งผีเท่านั้นเอง” พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขาจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ทุกๆ อาณาจักรที่แตกแยก กันเองย่อมถูกทําลาย และทุกๆ บ้านเมืองหรือครัวเรือนที่แตกแยกกันเองย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ หาก ซาตานขับไล่ซาตาน มันก็แตกแยกกับตัวเอง แล้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร? และหาก เราขับผีออกโดยอาศัยเบเอลเซบุบ คนของพวกท่านเล่าขับผีออกโดยอาศัยใคร? ฉะนั้นพวกเขาจะ 22
23
24 25
26
27
36 | มัทธิว 12:1
ตัดสินท่าน แต่หากเราขับผีออกโดยพระวิญญาณของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงพวก ท่านแล้ว “หรือคนจะสามารถเข้าไปในบ้านของคนที่แข็งแรงและขนเอาทรัพย์สินของเขาไปได้อย่างไร ถ้าไม่จับคนแข็งแรงนั้นมัดไว้ก่อน? จากนั้นจึงปล้นบ้านของเขาได้ “ผู้ใดไม่อยู่ฝ่ายเราก็เป็นปฏิปักษ์กับเรา และผู้ใดไม่รวบรวมไว้ให้เราก็ทําให้กระจัดกระจาย ไป ฉะนั้นเราบอกท่านว่าบาปและการหมิ่นประมาททุกอย่างทรงอภัยให้มนุษย์ได้ แต่การหมิ่น ประมาทพระวิญญาณทรงอภัยให้ไม่ได้ ผู้ใดกล่าวล่วงเกินบุตรมนุษย์จะทรงอภัยให้ แต่ผู้ใดกล่าว ล่วงเกินพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงอภัยให้ไม่ว่าในยุคนี้หรือในยุคหน้า “ถ้าต้นไม้ดีผลก็จะดี ถ้าต้นไม้เลวผลก็จะเลว เพราะจะรู้จักต้นไม้ได้ก็โดยผลของมัน เจ้าชาติ งูร้าย เจ้าที่เป็นคนชั่วจะพูดสิ่งที่ดีได้อย่างไร? เพราะปากพูดสิ่งที่ล้นออกมาจากใจ คนดีนําสิ่งดีๆ ออกมาจากความดีที่สะสมไว้ในตัวเขา ส่วนคนชั่วนําสิ่งชั่วๆ ออกมาจากความชั่วที่สะสมอยู่ในตัว เขา แต่เราบอกท่านว่าในวันพิพากษามนุษย์จะต้องให้การเกี่ยวกับถ้อยคําพล่อยๆ ทุกคําที่เขาพูด ออกมา เพราะท่านจะพ้นผิดหรือถูกลงโทษก็ขึ้นอยู่กับถ้อยคําของท่าน” 28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
หมายสําคัญของโยนาห์
แล้วมีบางคนในพวกฟาริสีและธรรมาจารย์มาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เราอยากเห็น หมายสําคัญจากท่าน” พระองค์ตรัสว่า “คนในยุคที่ชั่วร้ายและทรยศต่อพระเจ้า ขอแต่หมายสําคัญ! แต่เขาจะไม่ได้ รับหมายสําคัญอื่นยกเว้นหมายสําคัญของผู้เผยพระวจนะโยนาห์ เพราะโยนาห์อยู่ในท้องปลา ใหญ่สามวันสามคืนฉันใด บุตรมนุษย์ก็จะอยู่ในใจกลางแผ่นดินโลกสามวันสามคืนฉันนั้น ในวัน พิพากษาชาวนีนะเวห์จะยืนขึ้นพร้อมกับคนในยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขาเพราะชาวนีนะเวห์ได้ กลับใจใหม่โดยคําเทศนาของโยนาห์และบัดนี้ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่ ในวันพิพากษาราชินี แห่งแดนใต้จะลุกขึ้นพร้อมกับคนในยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา เพราะพระนางมาจากสุดโลกเพื่อ รับฟังสติปัญญาของโซโลมอน และบัดนี้ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโซโลมอนก็อยู่ที่นี่ “เมื่อวิญญาณชั่วออกจากผู้ใดแล้ว มันก็ไปทั่วถิ่นแล้ง แสวงหาที่พักและไม่พบ มันจึงว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา’ พอมาถึงก็พบว่าบ้านนั้นว่างอยู่ เก็บกวาดสะอาด และจัดเป็น ระเบียบเรียบร้อย จึงไปพาผีอื่นๆ อีกเจ็ดตนซึ่งชั่วร้ายยิ่งกว่ามันเข้ามาอาศัยที่นั่นด้วย และใน ที่สุดสภาพของคนนั้นก็เลวร้ายยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก คนในยุคที่ชั่วร้ายนี้ก็จะเป็นเช่นนั้น” 38
39
40
41
42
43
44
45
มัทธิว 12:33–37 คําพูดของเรามักจะแสดงให้เห็นว่าภายในของเราเป็นอย่างไร แสดงให้เห็นในสิ่งที่เรา คิดและความรู้สึกของเรา น้อง ๆ ต้องการที่จะเป็นคนดี และสวยจากภายในไหม? ให้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กับ คนที่น้อง ๆ ไว้วางใจ บอกเขาว่าน้อง ๆ ต้องการที่จะเป็นคนดีและสวยจากภายใน อธิษฐานร่วมกับเขา และขอให้พระเจ้าช่วยให้น้อง ๆ เป็นคนที่มีความคิดที่ดี มัทธิว 12:45 | 37
มารดาและน้องชายของพระเยซู
ขณะพระเยซูกําลังตรัสอยู่กับฝูงชน มารดาและบรรดาน้องชายของพระองค์มายืนอยู่ด้านนอก ต้องการจะพูดกับพระองค์ มีผู้ทูลพระเยซูว่า “มารดาและน้องชายของท่านมายืนอยู่ด้านนอก ต้องการจะพูดกับท่าน” พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า “ใครคือมารดาและใครคือพี่น้องของเรา?” พระองค์ทรงชี้ไป ที่เหล่าสาวกของพระองค์และตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา เพราะผู้ใดทําตามพระ ประสงค์ของพระบิดาของเราในสวรรค์ ผู้นั้นคือมารดาและพี่น้องชายหญิงของเรา” 46
47
48
49
50
คําอุปมาเรื่องผู้หว่าน
ในวันเดียวกันนั้นพระเยซูเสด็จจากบ้านไปประทับที่ริมทะเลสาบ มีฝูงชนมากมายยิ่งนัก 13 มารุ มล้อมพระองค์ พระองค์จึงทรงลงไปประทับในเรือขณะที่ประชาชนทั้งปวงยืนอยู่บน 2
ฝั่ง แล้วพระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขาเป็นคําอุปมาเช่น “ชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทางและนกมาจิกกินไปหมด บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อ ดินน้อยจึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตก กลางพงหนามโดนหนามงอกคลุม แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดีซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือ สามสิบเท่าของที่หว่าน ใครมีหู จงฟังเถิด” เหล่าสาวกมาหาพระองค์และทูลถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงตรัสกับประชาชนเป็นคําอุปมา?” พระเยซูทรงตอบว่า “ความลับของอาณาจักรสวรรค์ทรงให้พวกท่านรู้ แต่ไม่ทรงให้พวกเขารู้ ผู้ใดมีอยู่แล้วจะได้รับเพิ่มขึ้นจนมีล้นเหลือ ส่วนผู้ที่ไม่มีแม้ซึ่งเขามีอยู่ก็จะถูกริบไปจากเขา ด้วย เหตุนี้เราจึงกล่าวกับพวกเขาเป็นคําอุปมาคือ “แม้ได้ดู แต่พวกเขาก็ไม่เห็น แม้ได้ฟัง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยินหรือไม่เข้าใจ เป็นจริงตามคําพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า “ ‘เจ้าจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่มีวันเข้าใจ เจ้าจะดูแล้วดูเล่า แต่จะไม่มีวันประจักษ์ เพราะจิตใจของชนชาตินี้ดื้อด้านไป พวกเขาไม่ยอมเปิดหูเปิดตา มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะได้เห็นกับตา ได้ยินกับหู เข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมา แล้วเราจะรักษาพวกเขาให้หาย’ แต่ตาของท่านเป็นสุขเพราะได้เห็น หูของท่านเป็นสุขเพราะได้ยิน เพราะเราบอกความจริง แก่ท่านว่าผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมมากมายปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นแต่ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยินแต่ก็ไม่ได้ยิน “จงฟังความหมายของคําอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักร ของพระเจ้าและไม่เข้าใจ มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป นี่คือเมล็ดพืชที่หว่าน ตามทาง เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมากคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความ ยินดี แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระ วจนะนั้นก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนามคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแต่ถูกความ พะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสียทําให้ไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดพืชซึ่ง ตกในดินดีนั้นคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะและเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่ หว่านลงไป” 3
4
5
6
7
8
9
10 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
38 | มัทธิว 12:46
คําอุปมาเรื่องวัชพืช
พระเยซูทรงยกคําอุปมาอีกว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนคนหว่านเมล็ดพันธุ์ดีในนาของ ตน แต่ขณะที่ทุกคนหลับอยู่ศัตรูของเขามาหว่านวัชพืชแทรกปนกับข้าวสาลีแล้วก็จากไป เมื่อ ข้าวสาลีงอกและออกรวง วัชพืชก็ปรากฏขึ้นด้วย “คนรับใช้มาบอกเจ้าของนาว่า ‘นายขอรับ ท่านหว่านข้าวดีในนาไม่ใช่หรือ? ก็แล้ววัชพืชมา จากไหน? “นายตอบว่า ‘ฝีมือของศัตรู’ “คนรับใช้ถามว่า ‘ให้พวกเราไปถอนทิ้งดีไหม?’ “นายตอบว่า ‘อย่าเลย เพราะขณะถอนวัชพืชเจ้าอาจจะถอนข้าวสาลีขึ้นมาด้วย ให้ทั้งคู่งอก ขึ้นไปด้วยกันจนถึงเวลาเกี่ยว ถึงตอนนั้นเราจะบอกคนเกี่ยวให้เก็บวัชพืชก่อนและมัดเป็นฟ่อนนํา ไปเผาไฟ แล้วเก็บข้าวสาลีนํามาไว้ในยุ้งฉางของเรา’” 24
25
26
27
28
29
30
คําอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดและเชื้อขนม
พระองค์ทรงยกคําอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีคน เอาไปเพาะในทุ่งของตน แม้เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นก็ใหญ่ที่สุดในสวนและ กลายเป็นต้นให้นกในอากาศมาเกาะกิ่ง” แล้วทรงยกคําอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อขนมซึ่งผู้หญิงเอาไป ผสมในแป้งกองใหญ่จนแป้งทั้งก้อนฟูขึ้น” ทั้งหมดนี้พระเยซูตรัสแก่ฝูงชนเป็นคําอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งใดกับพวกเขาเลยนอกจาก คําอุปมา ทั้งนี้เป็นจริงตามที่กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “ข้าพเจ้าจะเอื้อนเอ่ยคําอุปมา จะเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ตั้งแต่ครั้งทรงสร้างโลก” 31
32
33
34
35
ทรงอธิบายคําอุปมาเรื่องวัชพืช
จากนั้นทรงละฝูงชนเข้าไปในบ้าน เหล่าสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ขอทรงอธิบายคําอุปมาเรื่อง วัชพืชด้วยเถิด” พระเยซูตรัสตอบว่า “ผู้ที่หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรมนุษย์ นาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีหมายถึง พลเมืองของอาณาจักรของพระเจ้า ส่วนวัชพืชหมายถึงพลเมืองของมาร ศัตรูที่หว่านวัชพืชนั้นคือ มาร เวลาเก็บเกี่ยวคือเมื่อสิ้นยุค และผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์ “วัชพืชถูกถอนมาเผาไฟอย่างไร เมื่อสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น บุตรมนุษย์จะส่งทูตสวรรค์ของ พระองค์มากําจัดทุกสิ่งอันเป็นต้นเหตุของบาปและกําจัดทุกคนที่ทําชั่วออกจากอาณาจักรของ พระองค์ แล้วโยนลงในเตาไฟลุกโชนที่ซึ่งจะมีการร่ําไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วผู้ชอบธรรมจะ ส่องสว่างเหมือนดวงตะวันในอาณาจักรของพระบิดาของพวกเขา ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด” 36
37
38
39
40
41
42
43
คําอุปมาเรื่องขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่และไข่มุกล้ําค่า
“อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา เมื่อมีผู้พบเข้าก็กลับซ่อนไว้และ ด้วยความตื่นเต้นยินดีจึงไปขายทุกสิ่งที่มีแล้วมาซื้อทุ่งนานั้น “อนึ่งอาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อเขาได้พบไข่มุกล้ําค่า เม็ดหนึ่งจึงไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อไข่มุกนั้น 44
45
46
คําอุปมาเรื่องอวน
“อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับอวนซึ่งทอดลงในทะเลและจับปลาได้สารพัดชนิด พอเต็ม แล้วชาวประมงก็ลากอวนขึ้นฝั่งแล้วคัดเอาแต่ปลาที่ดีใส่ตะกร้า ส่วนที่ไม่ดีก็ทิ้งไป เมื่อสิ้นยุคก็จะ 47
48
49
มัทธิว 13:49 | 39
เป็นเช่นนี้ คือทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วช้าออกจาก คนชอบธรรม และนําไปทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโชนที่ ซึ่งจะมีการร่ําไห้และการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” พระเยซูตรัสถามว่า “ทั้งหมดนี้พวกท่านเข้าใจ หรือไม่?” พวกเขาทูลตอบว่า “เข้าใจพระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสว่า “เพราะฉะนั้นธรรมาจารย์ทุกคน ที่รับคําสอนเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ก็เป็นเหมือน เจ้าของบ้านซึ่งนําสมบัติใหม่และสมบัติเก่าออกมาจาก คลังของตน” 50
51
52
ผู้เผยพระวจนะซึ่งไม่มีใครนับถือ
มัทธิว 13:53–55
พระเยซูไม่ได้เป็นลูกคนเดียว พระองค์ทรงเป็นบุตรคนโตในบรรดา พี่น้องที่อาจจะรวมกันเป็นจํานวน ทั้งหมด 7 คน พระองค์เติบโตใน เมืองนาซาเร็ธซึ่งเป็นเมืองที่โยเซฟ บิดาของพระองค์มีอาชีพเป็นช่างไม้ อาชีพช่างไม้ต้องทํางานกับไม้ เหล็ก และหิน ดังนั้นคนที่เป็นช่างไม้จึงต้อง เป็นคนที่แข็งแรงมาก พวกเราคิดว่า โยเซฟน่าจะเสียชีวิตก่อนที่พระเยซู จะมีพระชนมายุครบ 30 ปี และเริ่ม ทําพันธกิจ
เมื่อพระเยซูตรัสคําอุปมาเหล่านี้จบแล้วก็เสด็จ ออกจากที่นั่น เมื่อมาถึงบ้านเกิดของพระองค์ พระองค์ทรงสั่งสอนประชาชนในธรรมศาลาและพวก เขาก็ประหลาดใจและพูดกันว่า “คนนี้ได้สติปัญญา และฤทธิ์อํานาจอัศจรรย์เหล่านี้มาจากไหน? เขาเป็น ลูกช่างไม้ไม่ใช่หรือ? แม่ของเขาชื่อมารีย์และน้องชายของเขาคือยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาส ไม่ใช่หรือ?” น้องสาวของเขาทุกคนก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ? แล้วเขาได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหนกัน? เขาทั้งหลายจึงไม่พอใจพระองค์ ฝ่ายพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระวจนะขาดคนนับถือก็แต่เฉพาะในบ้านเดิมและใน ครอบครัวของตนเอง” และพระองค์ไม่ได้ทรงกระทําการอัศจรรย์ที่นั่นมากนักเนื่องจากพวกเขาไม่มีความเชื่อ 53
54
55
56
57
58
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกตัดศีรษะ
าผูค้ รองแคว้นได้ยนิ กิตติศพั ท์ของพระเยซู จึงกล่าวแก่บริวารว่า “นีค่ อื ยอห์น 14 ผูครัใ้ ห้ง้ นับน้ พั เฮโรดเจ้ ติศมาซึง่ ได้เป็นขึน้ จากตาย! จึงทําให้เขามีฤทธิอ์ าํ นาจทําการอัศจรรย์ตา่ งๆ ได้” 2
เฮโรดได้จับยอห์นจองจําไว้ในคุก ด้วยสาเหตุจากนางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตน เนื่องจากยอห์นเคยพูดกับเขาว่า “เป็นการผิดธรรมบัญญัติที่ท่านรับนางมาเป็นภรรยา” เฮโรด อยากจะฆ่ายอห์น แต่ก็กลัวประชาชนเพราะพวกเขาถือว่ายอห์นคือผู้เผยพระวจนะ 3
4
5
มัทธิว 14:13–21 เมื่อพระเยซูทรงทอดพระเนตรเห็นประชาชนกลุมใหญที่เหน็ดเหนื่อยและหิวโซ หัวใจของพระองคก็เต็มไปดวยความสงสาร และพระองคทรงรูสึกเห็นใจพวกเขา นอง ๆ ทราบหรือไมวาพระเยซูก็ทรงมีความรูสึกเห็นใจคน? น้อง ๆ เคยรู้สึกเห็นใจใครบ้างไหม? และน้อง ๆ ทําอย่างไรเมื่อมีความรู้สึกแบบนั้น? แลววันนี้นอง ๆ จะชวยคนนั้นไดอยางไร? จงมองไปที่วงล้อสี (หน้า 11) และเลือกสีที่บ่งบอกถึง “ความรู้สึกเห็นใจคนบางคน” 40 | มัทธิว 13:50
ในงานฉลองวันเกิดของเฮโรด บุตรีของนางเฮโรเดียสได้มาเต้นรําให้ชมและทําให้เฮโรดพอใจ มาก เขาจึงสัญญาโดยปฏิญาณว่าจะให้ทุกอย่างที่นางขอ นางจึงทูลตามที่มารดาชี้แนะว่า “ขอ ศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เถิด” กษัตริย์ก็เป็นทุกข์ แต่ขัดไม่ได้เพราะได้ ปฏิญาณไว้และเห็นแก่หน้าแขกเหรื่อ จึงบัญชาให้เป็นไปตามที่นางขอ ยอห์นจึงถูกตัดศีรษะในคุก เขาเอาศีรษะของยอห์นใส่ถาดแล้วนํามาให้หญิงนั้น นางก็ยกไปให้มารดา สาวกของยอห์นมารับ ศพไปฝัง แล้วมาทูลพระเยซู 6
7
8
9
10
11
12
พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน
เมื่อพระเยซูทรงทราบสิ่งที่เกิดขึ้นก็ลงเรือเสด็จจากที่นั่นไปยังที่สงบเงียบเป็นการส่วนพระองค์ ประชาชนจากเมืองต่างๆ ได้ยินเช่นนี้ก็เดินไปหาพระองค์ เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือและทรง เห็นคนกลุ่มใหญ่ พระองค์ก็ทรงสงสารเขาและทรงรักษาคนเจ็บป่วยในหมู่พวกเขา พอตกเย็นเหล่าสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่ห่างไกลมากและตกเย็นแล้ว ขอทรงให้ประชาชน ไป เขาจะได้ไปซื้อหาอาหารกินตามหมู่บ้านต่างๆ” พระเยซูตรัสตอบว่า “พวกเขาไม่จําเป็นต้องไป พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” เหล่าสาวกทูลว่า “ที่นี่เรามีเพียงขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” พระองค์ตรัสว่า “เอามาให้เราทีน่ ”่ี แล้วทรงให้คนทัง้ หลายนัง่ ลงบนหญ้า ทรงรับขนมปังห้าก้อน และปลาสองตัวนั้นมา เงยพระพักตร์ขึ้นมองฟ้าสวรรค์ ขอบพระคุณพระเจ้า และหักขนมปัง ส่งให้เหล่าสาวก เหล่าสาวกก็แจกจ่ายให้แก่ประชาชน พวกเขาทุกคนได้กินอิ่มหนํา และเหล่า สาวกเก็บเศษที่เหลือได้สิบสองตะกร้าเต็ม จํานวนคนที่รับประทานอาหารนั้นมีผู้ชายประมาณ ห้าพันคนไม่นับผู้หญิงและเด็ก 13
14
15
16 17 18
19
20
21
พระเยซูทรงดําเนินบนน้ํา
พระเยซูทรงให้เหล่าสาวกลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปทันทีขณะที่พระองค์ทรงรอส่งฝูงชน หลังจากทรงส่งพวกเขาไปหมดแล้ว พระองค์เสด็จขึ้นภูเขาโดยลําพังเพื่ออธิษฐาน เมื่อค่ําลง พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเพียงผู้เดียว ส่วนเรือออกจากฝั่งมาไกลพอสมควรแล้วและถูกคลื่นกระหน่ํา เพราะลมพัดปะทะเรือ เมื่อใกล้รุ่งพระเยซูทรงดําเนินบนทะเลสาบไปหาพวกเขา เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ดําเนิน มาบนทะเลสาบก็ตระหนกตกใจบอกว่า “ผี” และพากันร้องอึงเพราะความกลัว แต่ทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ทําใจเข้มแข็งไว้! นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” เปโตรทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า หากใช่พระองค์ ขอทรงบอกให้ข้าพระองค์เดินบนน้ําไปหา พระองค์” พระเยซูตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือแล้วเดินบนน้ําไปหาพระเยซู แต่พอเขาเห็นว่าลมพัดแรงก็กลัวและเมื่อ กําลังจะจมก็ร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยด้วย!” พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์จับเขาไว้ทันทีและตรัสว่า “ท่านผู้มีความเชื่อน้อย เหตุใดท่านจึง สงสัย?” เมื่อพระองค์กับเปโตรขึ้นเรือแล้ว ลมก็หยุดพัด แล้วบรรดาผู้ที่อยู่ในเรือจึงกราบนมัสการ พระองค์พร้อมทั้งทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ” เมื่อข้ามฟากแล้ว พวกเขาก็มาขึ้นฝั่งที่เยนเนซาเรท และเมื่อคนที่นั่นจําพระเยซูได้ก็ส่งข่าว ไปทั่วแคว้น ประชาชนนําบรรดาคนเจ็บป่วยมาหาพระองค์ และทูลขอให้คนป่วยนั้นได้แตะชาย ฉลองพระองค์ก็พอและทุกคนที่ได้แตะพระองค์ก็หายป่วย 22
23
24
25
26
27 28
29
30
31
32
34
33
35
36
มัทธิว 14:36 | 41
สิ่งที่เป็นมลทิน
วพวกฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาทูลถามพระเยซูว่า “เหตุใดสาวกของ 15 ท่แล้านจึ งละเมิดธรรมเนียมของผู้อาวุโส? พวกเขาไม่ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร!” 2
พระเยซูตรัสว่า “แล้วทําไมพวกท่านละเมิดพระบัญชาของพระเจ้าด้วยเห็นแก่ธรรมเนียมเล่า? เพราะพระเจ้าตรัสว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’ และ ‘ผู้ใดแช่งด่าบิดามารดาจะต้องมี โทษถึงตาย’ แต่พวกท่านบอกว่าหากใครพูดกับบิดามารดาว่า ‘สิ่งใดๆ จากข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็น ประโยชน์แก่ท่านก็เป็นของที่ได้อุทิศถวายแด่พระเจ้าแล้ว’ เขาจึงไม่ได้ ‘ให้เกียรติบิดา’ ด้วยสิ่งนั้น เหตุนี้ท่านจึงทําให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะไปเพราะเห็นแก่ธรรมเนียมของท่าน เจ้าคน หน้าซื่อใจคด อิสยาห์พูดถูกแล้วเมื่อเขาเผยพระวจนะเกี่ยวกับพวกเจ้าว่า “ ‘ประชากรเหล่านี้ยกย่องเราแต่ปาก แต่ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์ คําสอนของพวกเขาเป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สอนกันมา’” พระเยซูทรงเรียกฝูงชนเข้ามาหาพระองค์และตรัสว่า “จงฟังและเข้าใจเถิดว่า สิ่งที่เข้าไป ในปากมนุษย์ไม่ได้ทําให้เขา ‘เป็นมลทิน’ แต่สิ่งที่ออกจากปากของเขาต่างหากที่ทําให้เขา ‘เป็น มลทิน’ ” แล้วเหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าพวกฟาริสีขัดเคืองยิ่งนัก เมื่อได้ยินเช่นนี้?” พระองค์ตรัสว่า “ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาของเราในสวรรค์ไม่ได้ปลูกไว้จะถูกขุดรากถอนโคน ช่างเขาเถิด เขาเป็นคนนําทางที่ตาบอด ถ้าคนตาบอดนําทางให้คนตาบอด ทั้งคู่ก็จะตกหลุมตก บ่อ” เปโตรทูลว่า “ขอทรงอธิบายคําอุปมานี้แก่พวกข้าพระองค์เถิด” พระเยซูตรัสถามพวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ไม่เห็นหรือว่าสิ่งใดๆ ที่เข้าไปใน ปากมนุษย์ก็ลงท้องแล้วออกจากร่างกาย? แต่สิ่งที่ออกมาจากปากนั้นออกมาจากใจ และสิ่งเหล่า นี้ทําให้มนุษย์ ‘เป็นมลทิน’ เพราะความคิดชั่ว การเข่นฆ่า การล่วงประเวณี การผิดศีลธรรมทาง เพศ การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การนินทาว่าร้าย ล้วนออกมาจากจิตใจ สิ่งเหล่านี้ทําให้ มนุษย์ ‘เป็นมลทิน’ ส่วนการรับประทานอาหารโดยไม่ได้ล้างมือไม่ได้ทําให้ ‘เป็นมลทิน’ ” 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15 16
17
18
19
20
ความเชื่อของหญิงชาวคานาอัน
จากที่นั่นพระเยซูเสด็จเข้าสู่เขตเมืองไทระและเมืองไซดอน มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งจาก ละแวกนั้นมาร้องทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด! ลูกสาวของข้าพระองค์ถูกผีสิงทรมานเหลือเกิน” พระเยซูไม่ทรงตอบนางสักคํา เหล่าสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ไล่นางไปเถิดเพราะนางมาร้อง เซ้าซี้เรา” พระองค์ทรงตอบว่า “เราถูกส่งมาเพื่อแกะหลงของอิสราเอลเท่านั้น” หญิงนั้นมาคุกเข่าทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย!” พระองค์ตรัสตอบว่า “ที่จะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัขก็ไม่ถูกต้อง” หญิงนั้นทูลว่า “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขยังได้กินเศษอาหารที่หล่นจากโต๊ะของนาย” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “หญิงเอ๋ย เจ้ามีความเชื่อยิ่งใหญ่นัก! ให้เป็นไปตามที่เจ้าขอเถิด” และ บุตรสาวของนางก็หายป่วยในขณะนั้นเอง 21
22
23
24 25 26 27 28
พระเยซูทรงเลี้ยงคนสี่พันคน
พระเยซูเสด็จจากที่นั่นไปตามชายฝั่งทะเลกาลิลี แล้วทรงขึ้นไปบนเนินเขาและประทับนั่ง
29
42 | มัทธิว 15:1
ผู้คนมากมายมาเข้าเฝ้าพระองค์ นําคนง่อย คนตาบอด คนพิการ คนใบ้ และคนป่วยอื่นๆ หลาย คนมาวางแทบพระบาท และพระองค์ก็ทรงรักษาพวกเขา ประชาชนล้วนประหลาดใจเมื่อเห็น คนใบ้พูดได้ คนพิการหายเป็นปกติ คนง่อยเดินได้ และคนตาบอดมองเห็น เขาทั้งหลายพากัน สรรเสริญพระเจ้าแห่งอิสราเอล พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกของพระองค์มาและตรัสว่า “เราสงสารคนเหล่านี้เพราะเขามาอยู่ กับเราสามวันแล้วและไม่มีอะไรรับประทาน เราไม่อยากให้พวกเขากลับไปทั้งที่ยังหิวอยู่ พวกเขา อาจจะหมดแรงกลางทาง” เหล่าสาวกทูลว่า “ในที่กันดารอย่างนี้จะหาขนมปังที่ไหนมาพอเลี้ยงคนมากมายเช่นนี้?” พระเยซูตรัสถามว่า “พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน?” เขาทูลว่า “เจ็ดก้อนกับปลาเล็กๆ สองสามตัว” พระองค์ทรงบอกฝูงชนให้นั่งลงที่พื้น แล้วทรงรับขนมปังเจ็ดก้อนกับปลามา เมื่อทรง ขอบพระคุณพระเจ้าแล้วก็หักส่งให้เหล่าสาวก พวกเขาจึงแจกให้ประชาชน ทุกคนได้รับประทาน จนอิ่ม หลังจากนั้นเหล่าสาวกเก็บเศษที่เหลือได้เจ็ดตะกร้าเต็ม จํานวนผู้ที่รับประทานอาหารนั้น มีสี่พันคนยังไม่นับผู้หญิงและเด็ก เมื่อพระเยซูทรงให้ฝูงชนกลับไปแล้วก็เสด็จลงเรือไปยังละแวก มากาดาน 30
31
32
33 34
35
36
37
38
39
ขอหมายสําคัญ
สีและสะดูสีมาหาพระเยซูและทดสอบพระองค์โดยขอให้ทรงแสดงหมายสําคัญจาก 16 พวกฟาริ ฟ้าสวรรค์
พระเยซูทรงตอบว่า “ตอนเย็นท่านพูดว่า ‘อากาศจะปลอดโปร่งเพราะฟ้าแดง’ และตอนเช้า ท่านพูดว่า ‘วันนี้จะเกิดพายุเพราะฟ้าแดงและครึ้มฝน’ ท่านยังพยากรณ์อากาศได้จากลักษณะของ ท้องฟ้า แต่หมายสําคัญของวาระต่างๆ ท่านกลับตีความไม่ออก คนในยุคที่ชั่วร้ายและทรยศต่อ พระเจ้ามองหาหมายสําคัญ แต่จะไม่ได้รับหมายสําคัญใดๆ ยกเว้นหมายสําคัญของโยนาห์” แล้ว พระเยซูทรงละจากพวกเขาไป 2
3
4
เชื้อของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี
เมื่อข้ามฟากเหล่าสาวกลืมเอาขนมปังมาด้วย พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงระวังเชื้อของ พวกฟาริสีและสะดูสี” เขาจึงหารือกันว่า “เป็นเพราะเราลืมเอาขนมปังมาด้วย” พระเยซูทรงทราบสิ่งที่พวกเขาพูดกันจึงตรัสถามว่า “ผู้มีความเชื่อน้อย ทําไมพวกท่านจึงพูดกัน เรื่องไม่มีขนมปัง? ท่านยังไม่เข้าใจหรือ? จําไม่ได้หรือว่าขนมปังห้าก้อนเลี้ยงคนห้าพันคนแล้วท่าน เก็บที่เหลือได้กี่ตะกร้า? หรือขนมปังเจ็ดก้อนเลี้ยงคนสี่พันคนแล้วท่านก็เก็บที่เหลือได้กี่ตะกร้า? เหตุใดท่านจึงไม่เข้าใจว่าเราไม่ได้พดู ถึงขนมปัง? แต่พวกท่านจงระวังเชือ้ ของพวกฟาริสแี ละสะดูส”ี แล้วพวกเขาจึงเข้าใจว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเตือนให้ระวังเชื้อที่ใช้ในขนมปัง แต่ให้ระวังคําสอน ของพวกฟาริสีและสะดูสี 5
6
7 8
9
10
11
12
เปโตรรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์
เมื่อมาถึงเขตซีซารียาฟีลิปปี พระองค์ตรัสถามเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ผู้คนพูดกันว่าบุตร มนุษย์เป็นใคร?” สาวกทูลว่า “บางคนก็ว่าเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ ยังมีบางคนว่าเป็น เยเรมีย์หรือผู้เผยพระวจนะคนใดคนหนึ่ง” พระองค์ทรงถามว่า “แล้วพวกท่านเล่า พวกท่านว่าเราเป็นใคร?” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” พระเยซูตรัสว่า “ความสุขมีแก่ท่าน ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย เพราะมนุษย์ไม่ได้สําแดงเรื่องนี้แก่ 13
14
15 16 17
มัทธิว 16:17 | 43
ท่าน แต่พระบิดาของเราในสวรรค์ทรงสําแดง เราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้เราจะ สร้างคริสตจักรของเราและประตูแดนมรณาจะเอาชนะคริสตจักรนั้นไม่ได้เลย เราจะมอบกุญแจ แห่งอาณาจักรสวรรค์แก่ท่าน ท่านผูกมัดสิ่งใดในโลกสิ่งนั้นจะถูกผูกมัดในสวรรค์ ท่านปลดปล่อย สิ่งใดในโลกสิ่งนั้นจะถูกปลดปล่อยในสวรรค์” แล้วพระองค์ทรงเตือนเหล่าสาวกของพระองค์ไม่ ให้บอกใครว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ 18
19
20
พระเยซูทรงทํานายถึงการสิ้นพระชนม์
มัทธิว 16:24
นับแต่นั้นมาพระเยซูทรงเริ่มชี้แจงแก่เหล่าสาวก ของพระองค์ว่าพระองค์จะต้องไปยังเยรูซาเล็ม ต้อง กฏการปกครองของอาณาจักรโรมัน ทนทุกข์หลายประการด้วยน้ํามือของบรรดาผู้อาวุโส นั้นโหดรายมาก หนึ่งในวิธีที่พวกเขา และพวกหัวหน้าปุโรหิตกับเหล่าธรรมาจารย์ พระองค์ ใชลงโทษผูกระทําความผิดคือ การ จะต้องถูกประหาร และในวันที่สามจะทรงมีชีวิตกลับ ตรึงไวบนไมกางเขน นักโทษตองแบก เป็นขึ้นมาใหม่ ทอนไมกางเขนจากสถานที่ที่พวกเขา เปโตรดึงพระองค์เลี่ยงไปอีกทางหนึ่งและทูลติติง ถูกตัดสินจําคุกไปยังสถานที่ที่พวก พระองค์ว่า “ไม่มีทางพระองค์เจ้าข้า! สิ่งนี้ไม่มีทางจะ เขาจะถูกตรึงกางเขน เกิดขึ้นกับพระองค์!” เมื่อนอง ๆ ตัดสินใจติดตามพระเยซู พระเยซูทรงหันมาตรัสกับเปโตรว่า “ถอยไปเจ้า นอง ๆ จะตองยอมแบกไมกางเขน ซาตาน! เจ้าเป็นหินให้เราสะดุด เจ้าไม่ได้คิดอย่าง ซึง่ หมายความวาชีวติ ทัง้ ชีวติ ของนอง ๆ พระเจ้าแต่คิดอย่างมนุษย์” นั้นเปนของพระองค แล้วพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “หากผู้ใด ปรารถนาจะเป็นสาวกของเราให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบก และตามเรามา เพราะผู้ใด ต้องการเอาชีวิตรอดผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเราผู้นั้นจะได้ชีวิต จะมีประโยชน์อะไร ถ้าคนๆ หนึ่งจะได้โลกนี้ทั้งโลกแต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน? หรือใครจะเอาอะไรมาแลกกับ จิตวิญญาณของตนได้? เพราะบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยพระเกียรติสิริของพระบิดาพร้อมกับทูต สวรรค์ของพระองค์ เมื่อนั้นพระองค์จะปูนบําเหน็จแก่แต่ละคนตามการกระทําของเขา เราบอก ความจริงแก่ท่านว่าบางคนซึ่งยืนอยู่ที่นี่จะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในอาณาจักรของพระองค์ก่อน ที่จะลิ้มรสความตาย” 21
22
23
24
25
26
27
28
ทรงจําแลงพระกาย
นต่อมาพระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบขึ้นไปบนภูเขาสูง 17 หกวั ตามลําพัง ณ ที่นั่นพระวรกายก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา พระพักตร์ฉายแสงเจิดจ้าดั่งดวง 2
อาทิตย์ และฉลองพระองค์ขาวดุจแสงสว่าง ขณะนั้นเองโมเสสกับเอลียาห์ก็มาปรากฏต่อหน้าพวก เขาและสนทนากับพระเยซู เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า ดีจริงที่พวกข้าพระองค์ได้มาอยู่ที่นี่ หากทรงประสงค์ข้า พระองค์จะสร้างเพิงขึ้นสามหลัง สําหรับพระองค์หลังหนึ่ง สําหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสําหรับ เอลียาห์หลังหนึ่ง” เปโตรทูลยังไม่จบก็มีเมฆสุกใสมาปกคลุมพวกเขาและมีพระสุรเสียงดังจากเมฆว่า “คนนี้คือลูก ที่รักของเรา เราพอใจเขามาก จงเชื่อฟังเขาเถิด!” เมื่อสาวกทั้งสามได้ยินเช่นนั้นก็ล้มลงซบหน้าถึงดินตกใจกลัวยิ่งนัก แต่พระเยซูเสด็จมา แตะต้องพวกเขาและตรัสว่า “ลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นก็ไม่เห็นใครอื่น นอกจากพระเยซู 3
4
5
6
7
8
44 | มัทธิว 16:18
มัทธิว 17:14–21 การเล่นเกมลูกคลื่น คือการที่คนหนึ่งคนทําเสียงดังขึ้น (เช่น เสียงปรบมือ ย่ําเท้า หรือ การฮัมเพลง เป็นต้น) จากนั้นคนถัดไปก็ทําตาม และจะทําตามกันต่อไปจนครบทุกคน โดยจะเริ่มจากเสียงที่เบาก่อน แล้วค่อย ๆ ดังขึ้น และดังขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์แล้ว การประกาศพระกิตติคุณก็เบา แต่เมื่อพระ วิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสถิตอยู่กับเหล่าสาวก การประกาศพระกิตติคุณก็เริ่มดังขึ้น และ ดังขึ้นอีก ขณะลงจากภูเขา พระเยซูทรงกําชับพวกเขาว่า “อย่าเล่าสิ่งที่พวกท่านเห็นให้ใครฟังจนกว่า บุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นจากตายแล้ว” เหล่าสาวกทูลถามพระองค์ว่า “ทําไมพวกธรรมาจารย์จึงว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน?” พระเยซูทรงตอบว่า “ถูกแล้ว เอลียาห์ต้องมาก่อนและจะทําให้ทุกสิ่งคืนสู่สภาพดี แต่เรา บอกพวกท่านว่าเอลียาห์ได้มาแล้วและพวกเขาไม่รู้จักท่าน แต่ทํากับท่านทุกอย่างตามใจชอบ เช่น เดียวกัน บุตรมนุษย์ก็จะทนทุกข์ด้วยน้ํามือของพวกเขา” แล้วเหล่าสาวกก็เข้าใจว่าพระองค์กําลัง ตรัสถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมา 9
10 11
12
13
ทรงรักษาเด็กผู้ชายที่ถูกผีสิง
เมื่อพวกเขามาพบกับฝูงชน ชายคนหนึ่งมาคุกเข่าต่อหน้าพระเยซู และทูลว่า “พระองค์ เจ้าข้า โปรดเมตตาลูกชายของข้าพระองค์ด้วยเถิด เขาเป็นโรคลมชักและทรมานมาก เขาตกน้ํา ตกไฟบ่อยๆ ข้าพระองค์พาเขามาหาสาวกของพระองค์ แต่พวกเขารักษาไม่ได้” พระเยซูตรัสตอบว่า “คนในยุคที่ขาดความเชื่อและวิปริต เราจะอยู่กับท่านนานเท่าใด? เราจะ ต้องทนพวกท่านนานเท่าใด? จงนําเด็กนั้นมาพบเราที่นี่” พระเยซูทรงกําราบผี มันจึงออกจาก ร่างของเด็กคนนั้น เขาก็หายโรคทันที แล้วเหล่าสาวกมาเข้าเฝ้าพระเยซูเป็นการส่วนตัวและทูลถามว่า “เหตุใดพวกข้าพระองค์จึงไม่ สามารถขับผีนั้นได้?” พระองค์ตรัสว่า “เพราะพวกท่านมีความเชื่อน้อย เราบอกความจริงแก่ท่านว่าหากท่านมีความ เชื่อสักนิดเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ท่านสามารถสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเคลื่อนจากที่นี่ไปที่นั่น’ มันก็จะเคลื่อน ไป จะไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นไปไม่ได้สําหรับพวกท่าน” เมื่อพวกเขาพากันมาถึงกาลิลี พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “บุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้ตกอยู่ ในมือมนุษย์ พวกเขาจะฆ่าพระองค์และในวันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย” และเหล่าสาวก พากันทุกข์โศกยิ่งนัก 14
15
16
17
18
19
20
22
23
ค่าบํารุงพระวิหาร
เมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์มาถึงเมืองคาเปอรนาอุมแล้ว ผู้เก็บค่าบํารุงพระวิหาร มาถามเปโตรว่า “อาจารย์ของท่านไม่เสียค่าบํารุงพระวิหารหรือ?” เปโตรตอบว่า “เสีย” เมื่อเปโตรเข้าไปในบ้าน พระเยซูตรัสขึ้นก่อนว่า “ซีโมนเอ๋ย ท่านคิดอย่างไร กษัตริย์เก็บภาษี อากรจากใคร จากบรรดาโอรสของพระองค์หรือจากคนอื่น?” เปโตรทูลตอบว่า “จากคนอื่น” 24
25
26
มัทธิว 17:26 | 45
พระเยซูตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นบรรดาโอรสก็ได้รับการยกเว้น แต่เพื่อว่าเราจะไม่ทําให้พวกเขาขุ่น เคืองใจ ท่านจงไปวางเบ็ดที่ทะเลสาบ จงอ้าปากปลาตัวแรกที่ตกได้แล้วจะพบเหรียญสี่แดรกมา จง นําเงินนั้นไปชําระค่าบํารุงพระวิหารสําหรับเราและท่านเถิด” 27
ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์
18
ครั้งนั้นเหล่าสาวกมาทูลถามพระเยซูว่า “ใครเป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์?” พระองค์ทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขา และตรัสว่า “เราบอกความจริง แก่ท่านว่าถ้าท่านไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะไม่มีวันได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ ฉะนั้นผู้ใดถ่อมตัวลงเป็นเหมือนเด็กคนนี้ก็เป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ “และผู้ใดต้อนรับเด็กน้อยเช่นนี้ในนามของเราก็ต้อนรับเรา แต่ผู้ที่เป็นเหตุให้เด็กน้อยเหล่านี้ที่ เชื่อในเราสักคนหนึ่งทําบาป ให้เอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นแล้วโยนเขาลงทะเลลึกก็ยังดีกว่า “วิบัติแก่โลกเนื่องด้วยสิ่งต่างๆ ที่เป็นเหตุให้ผู้คนทําบาป! ถึงแม้สิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้น แต่วิบัติ แก่ผู้ที่เป็นต้นเหตุให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น! ถ้ามือหรือเท้าของท่านเป็นเหตุให้ท่านทําบาปจงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตโดยที่มือเท้าด้วนหรือพิการก็ยังดีกว่ามีสองมือสองเท้าแต่ต้องถูกทิ้งลงในไฟนิรันดร์ และถ้าตาของท่านเป็นเหตุให้ทําบาปจงควักทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตโดยมีตาข้างเดียวยังดีกว่ามีสอง ตาแต่ต้องถูกทิ้งลงในไฟนรก 2
3
4
5
6
7
8
9
คําอุปมาเรื่องแกะหลงหาย
“จงระวัง อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งเพราะเราบอกท่านว่าบรรดาทูตสวรรค์ประจํา ตัวของพวกเขาเฝ้าอยู่ต่อหน้าพระบิดาของเราในสวรรค์เสมอ “ท่านคิดเห็นอย่างไร? ถ้าผู้หนึ่งมีแกะร้อยตัวและแกะตัวหนึ่งหลงหายไป เขาจะไม่ละแกะทั้ง เก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขาแล้วไปตามหาตัวที่หายนั้นหรือ? เราบอกความจริงแก่ท่านว่าถ้าเขาพบ แกะตัวที่หลงไป เขาจะมีความสุขเพราะแกะตัวเดียวนั้นยิ่งกว่าเพราะแกะเก้าสิบเก้าตัวที่ไม่ได้หลง หายไป เช่นกัน พระบิดาของท่านในสวรรค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหลงหายไป 10
12
13
14
พี่น้องที่ทําผิดต่อเรา
“หากพี่น้องทําบาปต่อท่านจงไปชี้แจงแก่เขาสองต่อสอง ให้เขาเห็นความผิดของตน หากเขา รับฟัง ท่านจะได้พี่น้องนั้นคืนมา แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับฟัง จงพาอีกสักคนสองคนไปด้วยเพื่อว่า ‘ทุก คดีจะได้มีพยานยืนยันสองสามปาก’ หากเขายังยืนกรานไม่ฟัง จงแจ้งแก่คริสตจักร และหากเขา ยังไม่ยอมฟังแม้กระทั่งคริสตจักรก็ให้ปฏิบัติต่อเขาเสมือนเป็นคนต่างศาสนาหรือคนเก็บภาษี “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าพวกท่านผูกมัดสิ่งใดๆ ในโลก สิ่งนั้นจะถูกผูกมัดในสวรรค์ และ พวกท่านปลดปล่อยสิ่งใดๆ ในโลกสิ่งนั้นจะถูกปลดปล่อยในสวรรค์ “เราบอกท่านอีกว่าหากท่านสักสองคนในโลกเห็นชอบร่วมกันในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ท่านทูลขอ พระบิดาของเราในสวรรค์จะทรงกระทําสิ่งนั้นให้แก่พวกท่าน เพราะที่ไหนมีสองสามคนมาร่วม ชุมนุมกันในนามของเรา เราก็อยู่กับพวกเขาที่นั่น” 15
16
17
18
19
20
คําอุปมาเรื่องข้าราชบริพารใจร้าย
แล้วเปโตรมาทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องทําบาปต่อข้าพระองค์ ข้าพระองค์ควรจะยกโทษให้เขากี่ครั้งดี? สักเจ็ดครั้งหรือ?” พระเยซูตรัสว่า “เราบอกท่านว่าไม่ใช่เจ็ดครั้ง แต่เจ็ดสิบเจ็ดครั้ง “เหตุฉะนั้นอาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่งซึ่งประสงค์จะสะสางบัญชีกับ ข้าราชบริพาร เมื่อเริ่มสะสาง คนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้อยู่หลายสิบล้านเหรียญเดนาริอันถูกนําตัวมาพบ เนื่องจากเขาไม่สามารถชําระหนี้ กษัตริย์จึงสั่งให้เอาตัวเขากับภรรยาและบุตรตลอดจนข้าวของ ทุกอย่างไปขายเพื่อมาใช้หนี้ 21
22 23
24
25
46 | มัทธิว 17:27
“ข้าราชบริพารคนนั้นก็คุกเข่าลงวิงวอนต่อหน้าพระองค์ว่า ‘ขอทรงผัดผ่อนให้ข้าพระองค์เถิด แล้วข้าพระองค์จะใช้หนี้ให้จนครบ’ กษัตริย์ทรงสงสารจึงยกหนี้ให้และปล่อยตัวไป “แต่เมื่อข้าราชบริพารผู้นั้นออกมาพบเพื่อนข้าราชบริพารด้วยกันซึ่งติดหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อย เหรียญเดนาริอัน จึงจับคนนั้นเค้นคอและขู่เข็ญว่า ‘จงจ่ายหนี้คืนมา!’ “เพื่อนข้าราชบริพารนั้นก็คุกเข่าอ้อนวอนเขาว่า ‘ขอผัดผ่อนหนี้ให้ก่อนแล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ ให้’ “แต่เขาไม่ยอม กลับนําคนนั้นไปเข้าคุกจนกว่าเขาจะใช้หนี้ เมื่อข้าราชบริพารคนอื่นๆ เห็น เหตุการณ์ก็สลดใจนัก จึงพากันไปเข้าเฝ้ากษัตริย์และกราบทูลทุกอย่างที่เกิดขึ้น “กษัตริย์จึงตรัสเรียกข้าราชบริพารคนนั้นมาและตรัสว่า ‘ไอ้ข้าชั่วช้า เรายกหนี้ของเจ้าทั้งหมด ให้ก็เพราะเจ้าวอนขอต่อเรา ไม่ควรหรือที่เจ้าจะเมตตาเพื่อนข้าราชบริพารด้วยกันเหมือนที่เรา เมตตาเจ้า?’ กษัตริย์กริ้วนักจึงทรงมอบตัวเขาให้พัศดีไปทรมานจนกว่าจะใช้หนี้ครบ “เช่นนี้แหละพระบิดาของเราในสวรรค์จะทรงกระทําแก่ท่านแต่ละคนเช่นนั้นหากท่านไม่ยก โทษให้พี่น้องจากใจของท่าน” 26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
การหย่าร้าง
ตรัสถ้อยคําเหล่านี้จบก็เสด็จจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในเขตยูเดียอีกฟากหนึ่งของ 19 เมืแม่่อนพระเยซู ้ําจอร์แดน ฝูงชนกลุ่มใหญ่ติดตามพระองค์มาและพระองค์ทรงรักษาพวกเขาที่นั่น 2
พวกฟาริสีบางคนมาทดสอบพระองค์ พวกเขาทูลถามว่า “ผิดบัญญัติหรือไม่ที่ผู้ชายจะขอหย่า ภรรยาเพราะเหตุหนึ่งเหตุใดก็ตาม?” พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านหรือที่ว่าในปฐมกาลพระผู้สร้าง ‘ทรงสร้างพวกเขาเป็น ผู้ชายและผู้หญิง’ และกล่าวว่า ‘เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของตนไปผูกพันเป็นหนึ่ง เดียวกับภรรยาและทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน’? ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นหนึ่ง เดียว ฉะนั้นที่พระเจ้าทรงผูกพันเข้าด้วยกันแล้วอย่าให้มนุษย์มาพรากจากกันเลย” พวกเขาทูลว่า “ก็แล้วทําไมโมเสสสั่งให้ผู้ชายทําหนังสือหย่าและให้ภรรยาไปได้?” พระเยซูตรัสว่า “โมเสสอนุญาตให้ท่านหย่าภรรยาของท่านเพราะใจของท่านทั้งหลายแข็ง กระด้าง แต่ไม่ได้เป็นเช่นนี้ตั้งแต่ต้น เราบอกท่านว่าผู้ใดหย่าภรรยาของตนด้วยเหตุอื่นๆ ยกเว้น การผิดศีลธรรมทางเพศ แล้วไปแต่งงานกับหญิงอื่น ชายผู้นั้นก็ล่วงประเวณี” เหล่าสาวกทูลว่า “ถ้าสภาพระหว่างสามีและภรรยาเป็นอย่างนี้ก็อย่าแต่งงานเลยดีกว่า” พระเยซูทรงตอบว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่รับข้อนี้ได้เว้นแต่บรรดาผู้ที่ประทานให้ เพราะบางคนก็ เกิดมาเป็นขันที บางคนก็ถูกมนุษย์ทําให้เป็นเช่นนั้น และที่ครองตัวเป็นโสดเพื่ออาณาจักรสวรรค์ก็ มี ใครยอมรับเช่นนี้ได้ก็จงรับเถิด” 3
4
5
6
7 8
9
10 11
12
พระเยซูกับเด็กเล็กๆ
แล้วมีผู้พาเด็กเล็กๆ มาหาพระเยซูเพื่อให้วางพระหัตถ์และอธิษฐานเผื่อ แต่เหล่าสาวกตําหนิผู้ ที่พาเด็กๆ มา พระเยซูตรัสว่า “จงให้เด็กเล็กๆ มาหาเรา อย่าขัดขวางเขาเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็น ของคนที่เป็นเหมือนเด็กเหล่านี้” เมื่อพระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนพวกเขาแล้วก็เสด็จไปจากที่ นั่น 13
14
15
เศรษฐีหนุ่ม
ชายคนหนึ่งมาทูลถามพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทําดีอะไรบ้างจึงจะได้ชีวิต นิรันดร์?” พระเยซูทรงตอบว่า “เหตุใดท่านจึงมาถามเราว่าอะไรดี? มีอยู่เพียงผู้เดียวที่ดี หากท่าน ปรารถนาจะเข้าสู่ชีวิต จงเชื่อฟังบทบัญญัติ” 16
17
มัทธิว 19:17 | 47
เขาทูลว่า “ข้อไหนบ้าง?” พระเยซูตรัสว่า “ ‘อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณีอย่า ลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงให้เกียรติบิดามารดา ของเจ้า’ และ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’” ชายหนุ่มคนนั้นทูลว่า “ทุกข้อเหล่านี้ข้าพเจ้าถือ รักษามาตลอด ยังขาดอะไรอีกบ้าง?” พระเยซูตรัสตอบว่า “หากท่านปรารถนาจะเป็น คนดีพร้อม จงไปขายทุกสิ่งที่มีและแจกจ่ายให้คน ยากจนแล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้นจง ตามเรามา” เมื่อชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็จากไปด้วยความเศร้า เพราะเขาร่ํารวยมาก แล้วพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเป็นการยากที่คนรวยจะ เข้าอาณาจักรสวรรค์ เราบอกอีกว่าให้อูฐลอดรูเข็มก็ ยังง่ายกว่าที่คนรวยจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า” เมื่อเหล่าสาวกได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจนักจึง ทูลถามว่า “ถ้าเช่นนั้นใครจะรอดได้?” พระเยซูทรงมองดูพวกเขาและตรัสว่า “สําหรับ มนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ แต่สําหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไป ได้” เปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ละทิ้งทุกสิ่งมาติดตามพระองค์! แล้วข้าพระองค์ทั้ง หลายจะได้อะไรบ้าง?” พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า “เราบอกความจริง แก่ท่านว่าขณะที่ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อบุตรมนุษย์ ประทับบนบัลลังก์อันรุ่งเรืองของพระองค์ พวกท่าน ที่ตามเรามาก็จะนั่งบนบัลลังก์ทั้งสิบสองพิพากษาชน อิสราเอลสิบสองเผ่าด้วย และทุกคนที่ละทิ้งบ้าน พี่ น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราจะได้รับการตอบแทนร้อยเท่าและ จะได้ชีวิตนิรันดร์ แต่หลายคนที่เป็นคนต้นจะเป็นคน สุดท้ายและหลายคนที่เป็นคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น 18
19
20
21
22
มัทธิว 20:2
ในสมัยพันธสัญญาใหม่ คนหนึ่งจะ มีรายได้หนึ่งเดนาริอัน (เงินเหรียญ ของกรีก) ต่อการทํางานหนึ่งวัน เดนาริอันเป็นเหรียญเงินขนาดเล็ก ซึ่งน้อง ๆ สามารถนํามาซื้ออาหาร และจ่ายค่าที่พักได้หนึ่งคืน เหรียญ เดนาริอันมีน้ําหนักน้อยกว่า 4 กรัม โดยปกติมักจะสลักใบหน้าของ จักรพรรดิโรมันลงบนเหรียญด้วย
23
24
25
26
27
28
29
มัทธิว 20:3
บรรดาคนที่ไปยืนอยู่ตามตลาดนั้น ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาขี้เกียจทํางาน แต่พวกเขามายืนอยู่ในตลาดพร้อม กับอุปกรณ์การทํางาน เพื่อรอให้มี คนมาจ้างไปทํางานในแต่ละวัน บางครั้งงานก็หายาก ทําให้พวกเขา ต้องยืนรอไปจนถึงสาย เมื่อมีคนมา จ้างงาน พวกเขาก็มีความพร้อมที่จะ ทํางานอะไรก็ได้ที่ทําแล้วได้เงินมา เลี้ยงชีพ
30
คําอุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น
วยว่าอาณาจักรสวรรค์เป็นเช่นเจ้าของสวน 20 ซึ“ด้่งออกไปแต่ เช้าเพื่อจ้างคนมาทํางานในสวน
องุ่นของตน เมื่อเขาตกลงว่าจะจ่ายค่าจ้างวันละหนึ่ง เดนาริอันแล้วก็ให้พวกเขามาทํางานในสวนองุ่น “ราวสามโมงเช้าเขาออกไปเห็นหลายคนยืนอยู่ ว่างๆ ที่ตลาด จึงชวนว่า ‘มาทํางานในสวนองุ่นของ เราสิ เราจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ พวกเขาก็มา 2
3
4
5
48 | มัทธิว 19:18
มัทธิว 20:1–16
มีเพียงมัทธิวเท่านั้นที่เขียนคําอุปมา เกี่ยวกับคนทํางานในสวนองุ่น เรื่องนี้สอนเราเกี่ยวกับความเมตตา และพระคุณของพระเจ้า เราได้เรียน รู้ว่าพระเจ้าทรงมีพระเมตตากับทุก คนที่เข้ามาหาพระองค์
มัทธิว 20:20–28 พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่าพวกเขาต้องไม่เป็นอย่างบางคนที่ต้องการเป็นคนที่สําคัญ ที่สุด หรือคนที่ต้องการอยู่ในที่ที่ดีที่สุด หรือได้รับสิ่งของที่ดีที่สุด สาวกของพระเยซู ต้องเป็นเหมือนคนรับใช้และทาส ไบร์ท สงสัยว่าคนรับใช้และทาสมีลักษณะอย่างไร ลองคิดดูซิว่างานที่คนรับใช้และทาสต้องทํามีอะไรบ้าง เมื่อไหร่ที่น้อง ๆ จะเป็นเหมือนคนรับใช้? ก็เมื่อน้อง ๆ ได้ยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่น น้อง ๆ เป็นคนรับใช้ที่บ้านของน้อง ๆ หรือเปล่า? “ตอนเที่ยงวันและบ่ายสามโมงเจ้าของสวนออกไปทําเช่นเดิมอีก ราวห้าโมงเย็นเขาออกไปพบ คนยืนอยู่จึงถามว่า ‘ทําไมมายืนอยู่ว่างๆ ทั้งวันที่นี่?’ “พวกนั้นตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครจ้างเรา’ “เขาจึงพูดว่า ‘มาทํางานที่สวนของเราสิ’ “พอพลบค่ําเจ้าของสวนองุ่นก็สั่งหัวหน้าคนงานว่า ‘ไปเรียกคนงานมารับค่าจ้าง ตั้งแต่คนหลัง สุดไปจนถึงคนแรกสุด’ “ลูกจ้างที่มาเริ่มทํางานตอนประมาณห้าโมงเย็นรับเงินไปคนละหนึ่งเดนาริอัน ฝ่ายคนที่มา ก่อนนึกว่าตนจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน เมื่อพวกเขารับเงินแล้วจึง บ่นต่อว่าเจ้าของสวน ‘คนมาทีหลังทํางานแค่ชั่วโมงเดียวกลับได้เท่าๆ กับเราที่ตรากตรํากรําแดด มาทั้งวัน’ “แต่เจ้าของสวนตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงนะ ก็ตกลงกันไว้ว่าหนึ่ง เดนาริอันไม่ใช่หรือ? รับค่าจ้างและไปเถิด เราพอใจจะให้คนมาทีหลังได้เท่าๆ กันกับท่าน เงินของเรา เราไม่มีสิทธิ์ใช้ตามใจชอบหรือ? หรือว่าท่านอิจฉาเพราะเห็นเราใจกว้าง?’ “ดังนั้นคนสุดท้ายจะเป็นคนต้นและคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย” 6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
ทรงพยากรณ์อีกว่าจะต้องสิ้นพระชนม์
ขณะพระเยซูกําลังเสด็จไปเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงพาสาวกสิบสองคนเลี่ยงออกมาและตรัสว่า “พวกเรากําลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกทรยศและมอบให้พวกหัวหน้าปุโรหิต กับธรรมาจารย์ พวกเขาจะตัดสินประหารพระองค์ และจะมอบพระองค์ให้คนต่างชาติเยาะเย้ย โบยตีและตรึงตายบนไม้กางเขน แล้วในวันที่สามพระเจ้าจะทรงให้พระองค์คืนพระชนม์!” 17
18
19
คําทูลขอของมารดาคนหนึ่ง
แล้วภรรยาของเศเบดีพาบุตรชายทั้งสองของนางมาคุกเข่าทูลขอพระเยซู พระองค์ตรัสว่า “ท่านประสงค์สิ่งใด?” นางทูลว่า “ขอให้ลูกชายของข้าพระองค์ได้นั่งในราชอาณาจักรของพระองค์ คนหนึ่งอยู่ข้างขวา อีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย” พระเยซูตรัสว่า “ท่านไม่รู้ว่ากําลังขออะไร ถ้วยที่เรากําลังจะดื่มท่านดื่มได้หรือ?” พวกเขาทูลตอบว่า “ได้พระเจ้าข้า” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ท่านจะได้ดื่มจากถ้วยของเราแน่ แต่ที่จะได้นั่งซ้ายมือหรือขวามือของ เราไม่ใช่เราจัดให้ แต่ที่นั้นเป็นของผู้ที่พระบิดาของเราทรงเตรียมไว้แล้ว” เมื่อสาวกอีกสิบคนได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่พอใจพี่น้องสองคนนั้น พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกมา 20 21
22
23
24
25
มัทธิว 20:25 | 49
พร้อมหน้ากันและตรัสว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าผู้ปกครองของคนต่างชาติเป็นเจ้าเหนือเขาและ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ใช้อํานาจเหนือพวกเขา แต่สําหรับพวกท่านไม่เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้าม ใครอยากเป็นใหญ่ในพวกท่านต้องรับใช้พวกท่าน และผู้ใดปรารถนาที่จะเป็นเอกต้องยอมเป็น ทาสของพวกท่าน เหมือนกับที่บุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติและ ประทานชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่เพื่อคนเป็นอันมาก” 26
27
28
ชายตาบอดสองคนมองเห็นได้
ขณะที่พระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์กําลังจะออกจากเมืองเยรีโค ฝูงชนหมู่ใหญ่ตาม พระองค์มา ชายตาบอดสองคนนั่งอยู่ริมทางได้ยินว่าพระเยซูกําลังเสด็จผ่านก็ร้องตะโกนว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด!” ฝูงชนจึงตําหนิและบอกให้เขาเงียบ แต่ทั้งสองยิ่งร้องดังขึ้นว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า บุตรดาวิด เจ้าข้า เมตตาพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด!” พระเยซูทรงหยุดและเรียกทั้งสองมาตรัสถามว่า “ท่านต้องการให้เราทําอะไรให้?” เขาทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยากมองเห็น” พระเยซูทรงสงสารเขาและทรงแตะตาของเขา ทันใดนั้นทั้งสองก็มองเห็นและตามพระองค์ไป 29
30
31
32 33 34
เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต
ครั้นพวกเขามาใกล้กรุงเยรูซาเล็มถึงหมู่บ้านเบธฟายีบนภูเขามะกอกเทศ พระเยซูทรงส่ง 21 สาวกสองคนไป พร้อมตรัสสั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้านั้น และในทันทีพวกท่านจะ 2
พบแม่ลาตัวหนึ่งผูกอยู่กับลูกของมัน จงแก้เชือกจูงมาให้เรา หากมีใครถาม จงบอกว่าองค์พระผู้ เป็นเจ้าต้องการลาเหล่านี้ แล้วเขาจะปล่อยให้มาทันที” ทั้งนี้เป็นจริงตามที่กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “จงบอกธิดาแห่งศิโยนว่า ‘ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้าเสด็จมาหาเจ้า ทรงอ่อนโยน ประทับมาบนหลังลา ทรงลูกลาเสด็จมา’ ” สาวกทั้งสองก็ไปทําตามที่พระเยซูบัญชา พวกเขานําแม่ลากับลูกลามา เอาเสื้อคลุมของตนปู บนหลังลาเหล่านั้นให้พระเยซูประทับ ฝูงชนเป็นอันมากเอาเสื้อคลุมปูบนทาง บางคนก็ตัดกิ่งไม้มา ปูบนถนน ฝูงชนทั้งที่นําเสด็จและตามเสด็จโห่ร้อง ว่า “โฮซันนาแด่บุตรดาวิด! “สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า!” “โฮซันนาในที่สูงสุด!” เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็ม ทั่วทั้งกรุงแตกตื่นถามกันว่า “คนนี้คือใคร?” ประชาชนตอบว่า “นี่คือพระเยซู ผู้เผยพระวจนะจากนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี” 3
4
5
6
7
8
9
10 11
พระเยซูที่พระวิหาร
พระเยซูเสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหารและทรงขับไล่บรรดาผู้ที่ซื้อขายของกันที่นั่น ทรงคว่ํา โต๊ะของผู้รับแลกเงินและม้านั่งของคนขายนกพิราบ พระองค์ตรัสกับคนเหล่านั้นว่า “มีคําเขียนไว้ ว่า ‘นิเวศของเราจะได้ชื่อว่านิเวศแห่งการอธิษฐาน’ แต่พวกเจ้ามาทําให้กลายเป็น ‘ซ่องโจร’” คนตาบอดและคนง่อยพากันมาเข้าเฝ้าพระเยซูที่พระวิหารและพระองค์ทรงรักษาพวกเขา แต่เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์เห็นการอัศจรรย์ต่างๆ ที่ทรงกระทําและที่พวกเด็กๆ ร้องตะโกนในเขตพระวิหารว่า “โฮซันนาแด่บุตรดาวิด” ก็พากันไม่พอใจ 12
13
14
15
50 | มัทธิว 20:26
มัทธิว 21:28–32 เรามาพูดถึงเวลาที่น้อง ๆ สัญญาว่าจะทําบางสิ่งบางอย่างแล้วลืมมันไป เกิดอะไรขึ้น? ให้นอ้ ง ๆ เล่าให้เพือ่ น ๆ ฟังถึงเวลาทีน่ อ้ ง ๆ ปฏิเสธทีจ่ ะทําบางสิง่ ในตอนแรก แต่แล้วก็ ตัดสินใจที่จะทํามัน เกิดอะไรขึ้น? พิจารณาดูบุตรสองคนและตัดสินว่าคนไหนที่ทําให้บิดาของเขาผิดหวัง และคนไหนที่ ทําใหบิดาของเขามีความสุข พวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “ท่านไม่ได้ยินสิ่งที่เด็กๆ เหล่านี้กําลังพูดกันหรือ?” พระเยซูตรัสว่า “ได้ยินสิ พวกท่านไม่เคยอ่านพบบ้างหรือ? ที่ว่า “ ‘พระองค์ทรงสถาปนาคําสรรเสริญ จากริมฝีปากของเด็กและทารก’” แล้วพระองค์ทรงละจากพวกเขาเสด็จออกจากกรุงไปยังหมู่บ้านเบธานีและประทับแรมที่นั่น
16
17
ต้นมะเดื่อเหี่ยวเฉา
ตอนเช้าขณะกําลังเสด็จกลับมาที่กรุงอีก พระองค์ทรงหิว เมื่อทรงเห็นต้นมะเดื่ออยู่ริมทางก็ ทรงดําเนินเข้าไปใกล้ แต่พบว่ามะเดื่อต้นนั้นมีแต่ใบไม่มีผลจึงตรัสว่า “เจ้าอย่าได้ออกผลอีกเลย!” ทันใดนั้นต้นมะเดื่อก็เหี่ยวเฉาไป เมื่อเหล่าสาวกเห็นเช่นนั้นก็ประหลาดใจแล้วพูดว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่ต้นมะเดื่อเหี่ยวเฉาไป อย่างรวดเร็วเช่นนี้” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่าน มัทธิว 21 – 25 ว่าหากท่านมีความเชื่อและไม่สงสัย ท่านไม่เพียงแต่ สามารถทําสิ่งที่เกิดขึ้นกับมะเดื่อต้นนี้ แต่ท่านยัง พระเยซูอาศัยอยู่ในแคว้นกาลิลี ใน สามารถสั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘จงทิ้งตัวลงทะเลไป’ แล้วก็จะ ช่วงแรกพระองค์เริ่มสั่งสอนผู้คนและ เป็นเช่นนั้น ถ้าท่านเชื่อ ท่านก็จะได้รับทุกอย่างตาม ทําการอัศจรรย์ ที่อธิษฐานขอ” แต่หลังจากนั้น 3 ปี พระองค์ก็เสด็จ ปัญหาเรื่องสิทธิอํานาจของพระเยซู ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม กลุ่มผู้นําทาง พระเยซูเสด็จเข้าไปในลานพระวิหาร ขณะทรง ศาสนาในกรุงเยรูซาเล็มเกลียดชัง สั่งสอนอยู่ พวกหัวหน้าปุโรหิตและผู้อาวุโสในหมู่ พระองค์ ประชาชนมาทูลถามพระองค์ว่า “ท่านทําสิ่งเหล่านี้ และพวกเขาได้วางแผนที่จะฆ่า โดยอาศัยสิทธิอํานาจใด? และใครให้สิทธิอํานาจนี้แก่ พระองค์ ท่าน?” พระเยซูตรัสว่า “เราจะถามท่านข้อหนึ่งเช่นกัน ถ้าท่านตอบเรา เราก็จะบอกว่าเราอาศัยสิทธิอํานาจใดที่ทําสิ่งเหล่านี้ คือบัพติศมาของยอห์นมา จากไหน? จากสวรรค์หรือจากมนุษย์?” พวกเขาหารือกันว่า “ถ้าตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทําไมท่านไม่เชื่อยอห์น?’ 18
19
20
21
22
23
24
25
มัทธิว 21:25 | 51
แต่ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ เราก็กลัวประชาชนเพราะพวกเขาล้วนถือว่ายอห์นเป็นผู้เผย พระวจนะ” ดังนั้นพวกเขาจึงทูลตอบพระเยซูว่า “เราไม่ทราบ” พระองค์จึงตรัสว่า “เราก็จะไม่บอกพวกท่านเช่นกันว่าเราอาศัยสิทธิอํานาจใดที่ทําสิ่งเหล่านี้
26
27
คําอุปมาเรื่องบุตรสองคน
“พวกท่านคิดอย่างไร? ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน เขาไปหาบุตรคนโตและพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย วันนี้ จงไปทํางานในสวนองุ่นเถิด’ “บุตรคนนั้นตอบว่า ‘ไม่ไป’ แต่ตอนหลังเปลี่ยนใจและไปทํางาน “แล้วบิดาไปหาบุตรอีกคนบอกอย่างเดียวกัน บุตรนั้นตอบว่า ‘จะไปขอรับ’ แต่เขาไม่ได้ไป “ถามว่าบุตรคนไหนทําตามใจบิดา?” พวกเขาทูลว่า “คนแรก” พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีพากันเข้าอาณาจักร ของพระเจ้าก่อนหน้าพวกท่าน เพราะยอห์นมาเพื่อชี้ทางชอบธรรมแก่ท่านและท่านไม่เชื่อ แต่คน เก็บภาษีและหญิงโสเภณีเชื่อ และแม้ได้เห็นสิ่งนี้แล้วพวกท่านก็ยังไม่ยอมกลับใจมาเชื่อเขา 28
29 30 31
32
คําอุปมาเรื่องผู้เช่าสวน
“จงฟังคําอุปมาอีกเรื่อง คือเจ้าของสวนแห่งหนึ่งทําสวนองุ่น เขาล้อมรั้วกั้นสวน สกัดบ่อย่ํา องุ่น และสร้างหอไว้เฝ้า จากนั้นให้ชาวสวนเช่าแล้วเดินทางจากไปต่างแดน เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว เขาก็ส่งคนรับใช้ไปหาผู้เช่าเพื่อรับผลผลิตของเขา “พวกผู้เช่าก็จับเหล่าคนรับใช้ของเขามาทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง และเอาหินขว้างคนที่ สามจนตาย เจ้าของสวนจึงส่งคนไปอีก มากยิ่งกว่าครั้งแรก แต่ก็ถูกผู้เช่าเล่นงานเหมือนครั้งก่อน สุดท้ายเจ้าของสวนส่งลูกชายไปหาพวกเขากล่าวว่า ‘พวกเขาคงจะเคารพบุตรของเรา’ “แต่เมื่อผู้เช่าเห็นลูกชายเจ้าของสวนก็พูดกันว่า ‘นี่ไงทายาท ให้เราฆ่าเขาแล้วยึดเอามรดก ของเขา’ พวกนั้นจึงจับลูกชายเจ้าของสวนองุ่นโยนออกมานอกสวนแล้วฆ่าเสีย “เหตุฉะนั้นเมื่อเจ้าของสวนองุ่นมา เขาจะทําอย่างไรกับผู้เช่าเหล่านั้นดี?” พวกเขาทูลตอบว่า “เจ้าของสวนย่อมจะจัดการกับคนเลวๆ เช่นนั้นอย่างสาสม และให้ผู้เช่า รายอื่นที่ยอมส่งส่วนแบ่งของผลผลิตให้เขาเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวมาเช่าสวนองุ่นนี้” พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า “พวกท่านไม่เคยอ่านพระคัมภีร์หรือที่ว่า 33
34
35
36
37
38
39
40 41
42
มัทธิว 22:1–14 ขอให้น้อง ๆ ร่วมกันทํางาน เพื่อแสดงความรักของพระเจ้ากับคนอื่น ๆ วางแผนจัดงานเลีย้ งฉลอง หรือออกไปทํากิจกรรมนอกบ้านด้วยกัน เชิญคนทีป่ กตินอ้ ง ๆ ไม่เคยเชิญมางาน ซึ่งคนนั้นอาจจะเป็นคนใหม่ ๆ หรือเด็ก ๆ จากกลุ่มอื่นหรือชั้นอื่น นอกจากนี้น้อง ๆ ยังสามารถเลือกที่จะดูแลเด็กบางคนที่อายุน้อยกว่า น้อง ๆ จะทําอย่างไรเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนรู้สึกเหมือนเป็นแขกคนสําคัญ? 52 | มัทธิว 21:26
“ ‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทําการนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา’ “ฉะนั้นเราบอกท่านว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกริบไปจากท่านและยกให้แก่ชนชาติที่จะ ผลิตผลของมัน ผู้ใดตกทับศิลานี้จะแหลกเป็นชิ้นๆ และศิลานี้ตกทับผู้ใด ผู้นั้นจะแหลกลาญ” เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกฟาริสีได้ยินคําอุปมาของพระเยซูก็รู้ว่าพระองค์กําลังตรัสถึง พวกตน พวกเขาหาทางจะจับกุมพระองค์แต่ก็กลัวประชาชน เพราะคนทั้งหลายถือว่าพระองค์ ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะ 43
44
45
46
คําอุปมาเรื่องงานอภิเษก
พระเยซูตรัสแก่พวกเขาเป็นคําอุปมาอีกว่า “อาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนกษัตริย์ผู้ทรง 22 เตรี ยมงานเลี้ยงฉลองพิธีอภิเษกสมรสให้โอรสของพระองค์ พระองค์ทรงส่งคนไปเรียก 2
3
บรรดาผู้ที่เชิญไว้ให้มาร่วมงานเลี้ยง แต่พวกเขาไม่ยอมมา “แล้วพระองค์จึงทรงส่งคนไปอีกและสั่งว่า ‘ไปบอกพวกที่รับเชิญไว้ว่าเราเตรียมงานเลี้ยง เรียบร้อย วัวและโคขุนก็ชําแหละเสร็จ ทุกอย่างพร้อมแล้ว มาร่วมงานเลี้ยงเถิด’ “แต่คนเหล่านั้นไม่สนใจและไปเสีย บางคนไปที่นา บางคนไปทําธุรกิจของตน คนอื่นๆ นอก นั้นก็จับข้าราชบริพารมาทําร้ายและฆ่าทิ้งเสีย กษัตริย์จึงกริ้วนัก พระองค์ทรงส่งกองทัพมา ประหารพวกฆาตกรและเผาเมืองของพวกเขา “แล้วพระองค์ตรัสกับคนของพระองค์ว่า ‘งานเลี้ยงพร้อมแล้วแต่ผู้ที่เราเชิญไว้ไม่คู่ควร จง ไปที่มุมถนน เจอใครก็เชิญมางาน’ ดังนั้นข้าราชบริพารจึงออกไปตามท้องถนนและรวบรวมคน ทั้งหมดที่พบมาไม่ว่าดีหรือเลว และท้องพระโรงงานอภิเษกก็มีแขกเหรื่อคับคั่ง “แต่เมื่อกษัตริย์เสด็จมาทอดพระเนตรแขกเหรื่อ ก็ทรงเห็นคนหนึ่งที่นั่นไม่ได้สวมชุดสําหรับ งานแต่งงาน จึงตรัสถามว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรโดยไม่สวมชุดสําหรับงาน แต่งงาน?’ เขาก็อ้ําอึ้งพูดไม่ออก “แล้วกษัตริย์จึงสั่งมหาดเล็กว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าเขาและโยนออกไปยังที่มืดภายนอกที่ซึ่งจะมี การร่ําไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’ “เพราะหลายคนได้รับเชิญ แต่น้อยคนนักที่ได้รับเลือก” 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
การเสียภาษีแก่ซีซาร์
แล้วพวกฟาริสีจึงออกไปวางแผนกันเพื่อจับผิดถ้อยคําของพระองค์ เขาจึงส่งสาวกของตนกับ กลุ่มผู้สนับสนุนเฮโรดมาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เรารู้ว่าท่านเป็นคนซื่อตรงและสอนทางของ พระเจ้าตามความจริง ท่านไม่เอนเอียงไปตามมนุษย์เพราะท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร โปรดบอกเรา เถิดว่าท่านคิดเห็นอย่างไร? เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะเสียภาษีให้แก่ซีซาร์?” แต่พระเยซูทรงรู้ทันเจตนาชั่วของพวกเขาจึงตรัสว่า “เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าพยายามมา จับผิดเราทําไม? ไหนเอาเหรียญที่ใช้เสียภาษีมาให้เราดูซิ” พวกเขาจึงนําเหรียญหนึ่งเดนาริอันมา ถวาย และพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “รูปนี้เป็นของใคร? คําจารึกเป็นของใคร?” พวกเขาทูลตอบว่า “ของซีซาร์” แล้วพระองค์จึงตรัสแก่พวกเขาว่า “ของของซีซาร์จงให้แก่ ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า” เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกพิศวงจึงละจากพระองค์ไป 15
16
17
18
19
20
21
22
ปัญหาเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย
ในวันเดียวกันนั้นพวกสะดูสีซึ่งกล่าวว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายมาทูลถามพระองค์ว่า “ท่าน อาจารย์ โมเสสสั่งพวกเราไว้ว่าถ้าชายใดเสียชีวิตไปโดยไม่มีบุตร พี่ชายหรือน้องชายของเขาต้อง 23
24
มัทธิว 22:24 | 53
แต่งงานกับภรรยาม่ายของเขาเพื่อจะมีบุตรให้ผู้นั้น คราวนี้มีพี่น้องเจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงาน แล้วตายไปและเพราะเขาไม่มีบุตรจึงทิ้งภรรยาไว้ให้น้องชาย คนที่สองที่สามก็เช่นเดียวกัน จนมา ถึงคนที่เจ็ด ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็ตาย แล้วเมื่อเป็นขึ้นจากตาย ผู้หญิงคนนี้จะเป็นภรรยาของ ใครในเจ็ดคนนั้นเพราะทุกคนล้วนได้นางเป็นภรรยา?” พระเยซูทรงตอบว่า “พวกท่านผิดแล้วเพราะพวกท่านไม่รู้พระคัมภีร์และฤทธิ์เดชของพระเจ้า เมื่อเป็นขึ้นจากตาย ผู้คนจะไม่แต่งงานหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่จะเป็นเหมือนทูต สวรรค์ ส่วนที่เกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากตายนั้น พวกท่านยังไม่ได้อ่านหรือที่พระเจ้าตรัสแก่ท่านว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’? พระองค์ไม่ใช่พระเจ้า ของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น” เมื่อประชาชนได้ยินดังนี้ก็เลื่อมใสในคําสอนของพระองค์ 25
26
27
28
29
30
31
32
33
พระบัญญัติข้อใหญ่สุด
เมื่อพวกฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูทรงทําให้พวกสะดูสีนิ่งอึ้งไปจึงรวมหัวกัน คนหนึ่งในพวก เขาซึ่งรอบรู้ในบทบัญญัติมาทดสอบพระเยซูโดยทูลถามว่า “ท่านอาจารย์ พระบัญญัติข้อใดใน หนังสือบทบัญญัติที่สําคัญที่สุด?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านอย่างสุดใจ สุดจิต และสุด ความคิดของท่าน’ นี่เป็นพระบัญญัติข้อสําคัญที่สุดและข้อแรก ข้อที่สองก็เช่นกันคือ ‘จงรัก เพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ หนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะล้วนขึ้นกับบทบัญญัติ สองข้อนี้” 34
35
36
37
38
39
40
พระคริสต์เป็นบุตรของใคร
ขณะพวกฟาริสีมาชุมนุมกัน พระเยซูทรงถามว่า “พวกท่านคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพระ คริสต์? พระองค์ทรงเป็นบุตรของใคร?” พวกเขาทูลว่า “บุตรของดาวิด” พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเมื่อกล่าวโดยพระวิญญาณดาวิดจึงเรียกพระองค์ว่า ‘องค์ พระผู้เป็นเจ้า’? เพราะดาวิดบอกว่า “ ‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า “จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะสยบศัตรูของเจ้า ไว้ใต้เท้าของเจ้า” ’ ในเมือ่ ดาวิดเรียกพระองค์วา่ ‘องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า’ แล้วพระองค์จะเป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร?” ไม่มใี ครสามารถตอบพระองค์ได้สกั คําและตัง้ แต่วนั นัน้ ไม่มผี ใู้ ดกล้ามาทูลถามพระองค์อกี เลย 41
42
43
44
45 46
วิบัติทั้งเจ็ด
แล้วพระเยซูตรัสกับประชาชนและเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “เหล่าธรรมาจารย์กับพวก 23 ฟาริ สีนั่งอยู่บนที่นั่งของโมเสส ดังนั้นท่านต้องเชื่อฟังเขาและทําทุกอย่างที่เขาบอก แต่อย่า 2
3
ทําสิ่งที่เขาทําเพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งที่เขาสอน เขาผูกภาระหนักวางไว้บนบ่าคนทั้งหลาย ส่วนพวกเขาเองไม่ยอมแม้แต่ใช้สักนิ้วเดียวช่วยยก “ทุกสิ่งที่เขาทําล้วนเพื่ออวดให้คนเห็น เขาคาดกลักพระธรรมขนาดใหญ่ พู่ห้อยอย่างยาวที่ชาย เสื้อ เขาชอบที่อันทรงเกียรติในงานเลี้ยงและที่นั่งสําคัญที่สุดในธรรมศาลา เขาชอบให้ผู้คนมา คํานับทักทายในย่านตลาดและเรียกเขาว่า ‘รับบี’ “ส่วนท่านอย่าให้ใครเรียกว่า ‘รับบี’ เลยเพราะท่านมีพระอาจารย์เพียงองค์เดียวและท่าน ทั้งหมดล้วนเป็นพี่น้องกัน และอย่าเรียกผู้ใดในโลกว่า ‘บิดา’ เพราะท่านมีพระบิดาเพียงองค์เดียว 4
5
6
7
8
9
54 | มัทธิว 22:25
และพระองค์สถิตในสวรรค์ ทั้งอย่าให้ใครมาเรียกท่านว่า ‘ครู’ เพราะท่านมีพระครูเพียงองค์ เดียวคือพระคริสต์ ผู้เป็นใหญ่ที่สุดท่ามกลางท่านจะเป็นผู้รับใช้ท่าน เพราะผู้ใดยกตัวเองขึ้นจะ ถูกทําให้ต่ําลงและผู้ใดถ่อมตัวลงจะได้รับการเชิดชูขึ้น “วิบัติแก่เจ้า เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าปิดอาณาจักรสวรรค์ใส่ หน้าเพื่อนมนุษย์ ตัวเจ้าเองไม่เข้าไปและเจ้าไม่ยอมให้คนที่พยายามจะเข้าได้เข้าไป “วิบัติแก่เจ้า เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าข้ามน้ําข้ามทะเลเพื่อ นําเพียงคนหนึ่งมาเข้าศาสนา และเมื่อได้มาก็ทําให้เขาเป็นเด็กนรกยิ่งกว่าเจ้าเองสองเท่า “วิบัติแก่เจ้า คนนําทางตาบอด! เจ้าพูดว่า ‘ใครสาบานโดยอ้างพระวิหารก็ไม่มีผลอะไร แต่ถ้า สาบานโดยอ้างทองคําของพระวิหารก็ต้องทําตามที่สาบานไว้’ เจ้าคนโง่มืดบอด! อย่างไหนสําคัญ กว่ากัน ทองคําหรือพระวิหารที่ทําให้ทองคําศักดิ์สิทธิ์? และเจ้าพูดด้วยว่า ‘ถ้าใครสาบานโดยอ้าง แท่นบูชาก็ไม่มีผลอะไร แต่ถ้าอ้างของถวายบนแท่นนั้นก็ต้องทําตามที่สาบานไว้’ เจ้าคนตาบอด! อย่างไหนสําคัญกว่า ของถวายหรือแท่นบูชาที่ทําให้ของถวายนั้นศักดิ์สิทธิ์? ฉะนั้นผู้ที่สาบาน โดยอ้างแท่นบูชาก็สาบานโดยอ้างแท่นบูชาและทุกสิ่งบนแท่นนั้น ผู้ที่สาบานโดยอ้างพระวิหาร ก็สาบานโดยอ้างพระวิหารและองค์ผู้สถิตในวิหารนั้น และผู้ที่สาบานโดยอ้างฟ้าสวรรค์ก็สาบาน โดยอ้างพระบัลลังก์ของพระเจ้าและพระองค์ผู้ประทับบนบัลลังก์นั้น “วิบัติแก่เจ้า เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าถวายสิบลดของเครื่อง เทศของเจ้า คือสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า แต่ละเลยเรื่องที่สําคัญกว่านั้นในบทบัญญัติ คือ ความยุติธรรม ความเมตตา และความสัตย์ซื่อ เจ้าควรปฏิบัติอย่างหลังโดยไม่ละเลยอย่างแรก เจ้าคนนําทางตาบอด! เจ้ากรองลูกน้ําออกแต่กลืนอูฐทั้งตัวเข้าไป “วิบัติแก่เจ้า เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าล้างถ้วยชามแต่ ภายนอก ส่วนภายในเต็มไปด้วยความโลภและความมัวเมาในกิเลส เจ้าฟาริสีตาบอด! จงล้างถ้วย ชามภายในเสียก่อน แล้วภายนอกก็จะสะอาดหมดจดด้วย “วิบัติแก่เจ้า เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝัง ศพฉาบปูนขาว ภายนอกแลดูสวยงามแต่ภายในเต็มไปด้วยซากกระดูกและสิ่งโสโครกทั้งปวง ใน ทํานองเดียวกันเปลือกนอกผู้คนมองว่าเจ้าชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและ ความชั่วร้าย “วิบัติแก่เจ้า เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าสร้างอุโมงค์ฝังศพให้ เหล่าผู้เผยพระวจนะและตกแต่งหลุมศพของผู้ชอบธรรม และเจ้าพูดว่า ‘ถ้าเราอยู่ในสมัยเดียว กับบรรพบุรุษ เราจะไม่ร่วมในการเข่นฆ่าผู้เผยพระวจนะเลย’ นั่นคือเจ้ายืนยันตัวเองว่าเจ้าเป็น ลูกหลานของคนที่สังหารผู้เผยพระวจนะ เช่นนั้นแล้วจงสานต่อบาปของบรรพบุรุษของเจ้าให้ถึงที่ สุดเถิด! “เจ้างูร้าย! เจ้าฝูงงูพิษ! เจ้าจะรอดพ้นจากการพิพากษาให้ลงนรกได้อย่างไร? เราส่งผู้เผย พระวจนะ นักปราชญ์ และครูอาจารย์มา บางคนเจ้าก็ฆ่าและจับตรึงไม้กางเขน บางคนเจ้าก็เฆี่ยน ตีในธรรมศาลา และไล่ล่าจากเมืองนั้นไปเมืองนี้ ฉะนั้นโลหิตของผู้ชอบธรรมทั้งปวงที่หลั่งชโลม ดินจะตกอยู่แก่เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่โลหิตของอาแบลผู้ชอบธรรมไปจนถึงโลหิตของเศคาริยาห์บุตร เบเรคิยาห์ซึ่งเจ้าฆ่าตายระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชา เราบอกความจริงแก่เจ้าว่าทั้งหมดนี้จะ เกิดขึ้นแก่คนในชั่วอายุนี้ “โอ เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าผู้เข่นฆ่าเหล่าผู้เผยพระวจนะและเอาหินขว้างบรรดาผู้ที่ ทรงส่งมาหาเจ้า เราปรารถนาอยู่เนืองๆ ที่จะรวบรวมลูกๆ ของเจ้ามาเหมือนแม่ไก่ที่กกลูกๆ ไว้ใต้ ปีก แต่เจ้าไม่ยอมเลย ดูเถิด นิเวศของเจ้าถูกทิ้งร้าง เพราะเราบอกเจ้าว่าเจ้าจะไม่ได้เห็นเราอีก จนกว่าเจ้าจะพูดว่า ‘สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า’” 10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
มัทธิว 23:39 | 55
หมายสําคัญแห่งวาระสิ้นยุค
ขณะพระเยซูทรงดําเนินออกจากพระวิหาร เหล่าสาวกเข้ามาหาพระองค์ ชวนให้พระองค์ 24 ชมอาคารต่ างๆ ในบริเวณพระวิหาร พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านเห็นสิ่งทั้งปวงนี้ใช่ไหม? 2
เราบอกความจริงแก่ท่านว่าศิลาที่นี่จะไม่เหลือซ้อนทับกันสักก้อนเดียว ทุกก้อนจะถูกโยนทิ้งลงมา หมด” ขณะพระเยซูประทับอยู่บนภูเขามะกอกเทศ เหล่าสาวกมาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวและทูล ว่า “ขอทรงบอกพวกข้าพระองค์เถิด เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อใดและอะไรเป็นหมายสําคัญว่า พระองค์จะเสด็จมาและเป็นหมายสําคัญว่าจะสิ้นยุค?” พระเยซูตรัสตอบว่า “จงระวัง อย่าให้ใครมาล่อลวงท่าน เพราะหลายคนจะมาในนามของ เราและอ้างว่า ‘เราเป็นพระคริสต์’และล่อลวงคนเป็นอันมาก ท่านจะได้ยินข่าวสงครามและข่าว ลือเรื่องสงคราม จงระวัง อย่าตื่นตกใจ สิ่งเหล่านั้นต้องเกิดขึ้นแต่ยังไม่ถึงจุดจบ ประชาชาติต่อ ประชาชาติ อาณาจักรต่ออาณาจักรจะสู้รบกัน จะเกิดการกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ สิ่งทั้งปวงนี้คือขั้นเริ่มต้นของความเจ็บปวดก่อนคลอดบุตร “แล้วท่านจะถูกมอบไว้ให้เขาข่มเหงและประหัตประหาร ชนชาติทั้งปวงจะเกลียดชังท่าน เพราะเรา ครั้งนั้นหลายคนจะหันเหจากความเชื่อ จะทรยศหักหลังและเกลียดชังซึ่งกันและกัน และจะมีผู้เผยพระวจนะเท็จมากมายมาหลอกลวงประชาชนเป็นอันมาก เนื่องจากความชั่วร้าย เพิ่มทวีขึ้น ความรักของคนส่วนใหญ่จะเย็นชาลง แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงที่สุดจะได้รับการช่วยให้ รอด และข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลกเป็นพยานแก่มวล ประชาชาติแล้วยุคนี้จะสิ้นสุด “ฉะนั้นเมื่อท่านเห็น ‘สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติ’ในสถานบริสุทธิ์ดังที่ได้ ตรัสไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะดาเนียล (ให้ผู้อ่านทําความเข้าใจเอาเถิด) แล้วให้ผู้ที่อยู่ในยูเดีย หนีไปที่ภูเขา ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้านของตน อย่าลงมาหยิบสิ่งใดออกจากบ้าน ผู้ที่อยู่ตาม ทุ่งนา อย่ากลับมาเอาเสื้อคลุม วันเหล่านั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนักสําหรับหญิงมีครรภ์และแม่ลูกอ่อน จงอธิษฐานเพื่อการหนีของท่านจะไม่เกิดในฤดูหนาวหรือในวันสะบาโต เพราะครั้งนั้นจะเกิด ความทุกข์เข็ญครั้งใหญ่ ไม่มีครั้งไหนๆ เทียบเท่านับตั้งแต่เริ่มมีโลกจนถึงบัดนี้ และจะไม่มีครั้งใด เทียบเท่าอีกแล้ว ถ้าไม่ได้ทรงร่นวันเหล่านั้นให้สั้นเข้าจะไม่มีใครเหลือรอดเลย แต่เพราะเห็นแก่ผู้ ที่ทรงเลือกสรรไว้จะทรงทําให้วันเหล่านั้นสั้นลง ในเวลานั้นหากมีใครมาบอกท่านว่า ‘ดูเถิด พระ คริสต์อยู่ที่นี่!’ หรือ ‘พระองค์ทรงอยู่ที่นั่น!’ อย่าไปเชื่อเลย เพราะพระคริสต์ปลอมและผู้เผย พระวจนะเท็จจะปรากฏขึน้ และแสดงหมายสําคัญและการอัศจรรย์ยง่ิ ใหญ่เพือ่ ลวงแม้กระทัง่ ผูท้ ท่ี รง เลือกสรรไว้ถ้าเป็นไปได้ ดูเถิด เราบอกท่านไว้ล่วงหน้าแล้ว “ฉะนั้นหากใครมาบอกท่านว่า ‘ผู้นั้นอยู่ที่นั่นในถิ่นกันดาร’ อย่าออกไปเลย หรือบอกว่า ‘ผู้ นั้นอยู่ที่นี่ในห้องชั้นใน’ อย่าเชื่อเลย เพราะฟ้าแลบซึ่งมาจากตะวันออกมองเห็นได้แม้กระทั่งที่ ตะวันตกฉันใด การมาของบุตรมนุษย์ก็ฉันนั้น ซากศพอยู่ที่ไหน แร้งกาจะออกันอยู่ที่นั่น “ในทันทีทันใด หลังจากวันแห่งความทุกข์ลําเค็ญเหล่านี้ “ ‘ดวงอาทิตย์จะมืดมิด ดวงจันทร์จะไม่ทอแสง ดวงดาวทั้งหลายจะร่วงจากท้องฟ้า และฟ้าสวรรค์จะถูกเขย่า’ “เมื่อนั้นหมายสําคัญของบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้าและมวลประชาชาติแห่งพื้นพิภพ จะร้องไห้คร่ําครวญ พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนหมู่เมฆในท้องฟ้าด้วยเดชานุภาพและ พระเกียรติสริ อิ นั ยิง่ ใหญ่ พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาพร้อมกับเสียงแตรดังสนัน่ ทูตสวรรค์นน้ั จะรวบรวมผูท้ ท่ี รงเลือกสรรไว้จากทัง้ สีท่ ศิ จากสุดขอบฟ้าข้างหนึง่ จดขอบฟ้าอีกข้างหนึง่ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
56 | มัทธิว 24:1
“จงเรียนรู้บทเรียนนี้จากต้นมะเดื่อ ทันทีที่มันแตกกิ่งผลิใบ ท่านก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว เช่นเดียวกันเมื่อท่านเห็นสิ่งสารพัดเหล่านี้ท่านก็รู้ว่าสิ่งนี้ใกล้เข้ามาแล้ว อยู่ที่ประตูนี่เอง เรา บอกความจริงแก่ท่านว่าคนในยุคนี้ยังไม่ทันล่วงลับไป สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ก็เกิดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไปแต่ถ้อยคําของเราไม่มีวันสูญสิ้น 32
33
34
35
วันเวลาที่ไม่มีใครรู้
“ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดา เท่านั้นที่ทรงทราบ ในสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์มาก็เป็นอย่างนั้น เพราะใน วันเวลาก่อนน้ําท่วมโลกผู้คนกินดื่ม แต่งงาน และยกให้เป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าใน เรือ พวกเขาไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นจนถูกน้ําท่วมกวาดล้างไปหมด เมื่อบุตรมนุษย์มาก็จะเป็น เช่นนั้นแหละ ชายสองคนอยู่ในทุ่งนา คนหนึ่งจะถูกรับไปและอีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสอง คนโม่แป้งอยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไปและอีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ “ฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่เพราะท่านไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะมาวันไหน แต่จงเข้าใจ ข้อนีค้ อื หากเจ้าของบ้านล่วงรูว้ า่ ขโมยจะมาตอนกีท่ มุ่ กีย่ าม เขาจะคอยเฝ้าระวังไม่ปล่อยให้ใครบุกเข้า มาในบ้านได้ ดังนัน้ ท่านก็ตอ้ งเตรียมพร้อมไว้เช่นกันเพราะบุตรมนุษย์จะมาในยามทีท่ า่ นไม่คาดคิด “ใครเป็นคนรับใช้ที่สัตย์ซื่อและฉลาดซึ่งนายตั้งให้ดูแลคนรับใช้ในครัวเรือนของท่าน เพื่อคอย แจกจ่ายอาหารให้พวกเขาตามเวลา? เมื่อนายกลับมาพบว่าเขาทําตามหน้าที่ก็เป็นการดีสําหรับ คนรับใช้ผู้นั้น เราบอกความจริงแก่ท่านว่านายจะตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สินทั้งปวงของนาย แต่ถ้า คนรับใช้นั้นเป็นคนชั่วร้ายและคิดในใจว่า ‘อีกนานกว่านายจะกลับมา’ จึงเริ่มทุบตีเพื่อนคนรับ ใช้ด้วยกันและกินดื่มกับเพื่อนขี้เมา นายของคนรับใช้ผู้นั้นจะกลับมาในวันที่เขาไม่คาดคิดและใน เวลาที่เขาไม่รู้ตัว นายจะสับเขาเป็นชิ้นๆ และส่งเขาไปอยู่ในที่ของคนหน้าซื่อใจคด ที่นั่นจะมีการ ร่ําไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
คําอุปมาเรื่องหญิงพรหมจารีสิบคน
“ครั้งนั้นอาณาจักรสวรรค์จะเป็นเหมือนหญิง 25 พรหมจารี สิบคนถือตะเกียงออกไปรับเจ้าบ่าว
มัทธิว 25
ในบทนี้พระเยซูไดบอกสาวกของ มีคนโง่ห้าคน คนฉลาดห้าคน คนโง่เอาตะเกียงไป แต่ พระองคเพิ่มเติมเกี่ยวกับวันที่ ไม่ได้เอาน้ํามันไปด้วย ส่วนคนฉลาดเอาน้ํามันใส่กาถือ พระองคจะเสด็จกลับมาบนโลกอีก ไปพร้อมตะเกียง เป็นเวลานานกว่าเจ้าบ่าวจะมา ทั้ง ครั้ง สิบคนจึงง่วงและหลับไป ไมมีใครรูวาเมื่อไหร ฉะนั้นเหลา “พอเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องขึ้นว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว! สาวกของพระองคจึงตองเตรียม ออกมารับเถิด!’ พรอมอยูเสมอ และตั้งตารอคอยวัน “แล้วหญิงพรหมจารีทั้งสิบคนจึงตื่นขึ้นแต่งไส้ ตะเกียง พวกที่โง่พูดกับพวกที่ฉลาดว่า ‘แบ่งน้ํามันให้ ที่พระองคจะเสด็จกลับมา ในขณะที่ กําลังคอยอยูนั้น นอง ๆ ตองใชของ เราสักหน่อย ตะเกียงของเราจวนจะดับแล้ว’ ประทานที่พระองคทรงมอบใหเพื่อ “พวกฉลาดตอบว่า ‘ไม่ได้หรอก น้ํามันไม่พอ ชวยเหลือผูอื่น สําหรับทั้งเราและท่าน ไปซื้อจากคนขายน้ํามันเอง เหลาสาวกของพระเยซูมีชีวิตอยูเพื่อ เถิด’ ผูอื่น ไมใชเพื่อตัวเอง “ขณะกําลังไปซื้ออยู่นั้นเจ้าบ่าวก็มาถึง หญิง พรหมจารีที่พร้อมอยู่ก็ไปงานเลี้ยงพร้อมกับเจ้าบ่าว และประตูก็ปิด “หลังจากนั้นอีกห้าคนก็มาร้องเรียก ‘ท่านเจ้าข้า! ท่านเจ้าข้า! เปิดประตูให้เราด้วย’ “แต่เขาตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่เจ้าว่าเราไม่รู้จักเจ้าเลย’ “ฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่เพราะท่านไม่รู้ว่าเป็นวันใดหรือเวลาใด 2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12 13
มัทธิว 25:13 | 57
คําอุปมาเรื่องเงินตะลันต์
“และอาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบเหมือนชายคนหนึ่งจะออกเดินทาง จึงเรียกคนรับใช้มามอบ หมายทรัพย์สินให้ดูแล เขาให้เงินคนหนึ่งห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์และอีกคนหนึ่งตะลันต์ เดียว ตามความสามารถของแต่ละคนแล้วเขาก็ไป คนที่ได้รับห้าตะลันต์นําเงินไปลงทุนทันทีและ ได้กําไรมาอีกห้าตะลันต์ คนที่รับสองตะลันต์ก็เช่นกันได้กําไรมาอีกสองตะลันต์ ส่วนคนที่ได้รับ ตะลันต์เดียวไปขุดหลุมเอาเงินของนายซ่อนไว้ “อีกนานหลังจากนั้นนายก็กลับมาและสะสางบัญชีกับคนรับใช้ คนที่ได้รับห้าตะลันต์นําอีก ห้าตะลันต์มาเรียนว่า ‘นายเจ้าข้า! ท่านให้ไว้ห้าตะลันต์ ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กําไรมาอีกห้าตะลันต์’ “เจ้านายของเขาตอบว่า ‘ดีมาก เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ! เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เรา จะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก มาร่วมยินดีในความสุขกับนายของเจ้าเถิด!’ “คนที่ได้รับสองตะลันต์ก็มาเรียนว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านให้ไว้สองตะลันต์ ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กําไร มาอีกสองตะลันต์’ “เจ้านายของเขาตอบว่า ‘ดีมาก เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ! เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เรา จะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก มาร่วมยินดีในความสุขกับนายของเจ้าเถิด!’ “แล้วคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาเรียนว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนใจแข็งซึ่งเก็บ เกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้เพาะปลูกและรวบรวมผลที่ท่านไม่ได้หว่าน ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินไปซ่อนไว้ ในดิน ดูเถิด นี่คือเงินของท่าน’ “เจ้านายของเขาตอบว่า ‘ไอ้บ่าวเลวแสนขี้เกียจ! เจ้าก็รู้ว่าเราเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราไม่ได้เพาะปลูก และรวบรวมผลที่เราไม่ได้หว่าน เช่นนั้นแล้วก็น่าจะเอาเงินของเราไปฝากธนาคารไว้ เพื่อเวลาที่ เรากลับมา เราจะได้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยด้วย “ ‘จงริบเงินหนึ่งตะลันต์นี้ไปให้คนที่มีสิบตะลันต์ เพราะทุกคนที่มีจะได้รับเพิ่มและเขาจะมี เหลือเฟือ ส่วนผู้ที่ไม่มี แม้ที่เขามีอยู่ก็จะถูกริบไปจากเขา โยนไอ้บ่าวไร้ค่าคนนั้นออกไปที่มืดข้าง นอกที่ซึ่งจะมีการร่ําไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’ 14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
แกะและแพะ
“เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์พร้อมด้วยทูตสวรรค์ทั้งหมด พระองค์ จะประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ด้วยพระเกียรติสิริแห่งฟ้าสวรรค์ มวลประชาชาติจะมาชุมนุม กันต่อหน้าพระองค์ และพระองค์จะทรงแยกประชากรออกจากกันเหมือนคนเลี้ยงแยกแกะออก จากแพะ แกะนั้นจะทรงให้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย “แล้วองค์ราชันจะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาของพระองค์ว่า ‘ท่านผู้ได้รับพรจากพระบิดา ของเรามารับมรดกของท่านเถิด คืออาณาจักรที่เตรียมไว้สําหรับท่านตั้งแต่ทรงสร้างโลก เพราะ เมื่อเราหิวท่านก็ให้เรากิน เรากระหายท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นคนแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับเราไว้ เราต้องการเครื่องนุ่งห่ม ท่านก็ให้เรา เราเจ็บป่วยท่านก็ดูแล เราอยู่ในคุกท่านก็มาเยี่ยม’ “แล้วผู้ชอบธรรมจะทูลพระองค์ว่า ‘พระองค์เจ้าข้า เมื่อใดกันที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรง หิวและได้เลี้ยงดูพระองค์ หรือเห็นพระองค์ทรงกระหายและได้ให้พระองค์ทรงดื่ม? เมื่อใดกัน ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์เป็นคนแปลกหน้าและได้ต้อนรับไว้ หรือถวายฉลองพระองค์เมื่อทรง ประสงค์? เมื่อใดกันที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรืออยู่ในคุกและได้ไปเยี่ยมพระองค์?’ “องค์ราชันจะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านว่าสิ่งใดที่ท่านทําให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคน หนึ่งในพวกพี่น้องของเรา ท่านก็ได้ทําให้เราด้วย’ “แล้วพระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายของพระองค์ว่า ‘จงไปเสียจากเรา เจ้าทั้งหลาย ผู้ถูกสาปแช่ง จงไปยังไฟนิรันดร์ที่เตรียมไว้สําหรับมารร้ายกับสมุนของมัน เพราะเมื่อเราหิว เจ้า ก็ไม่ได้ให้เรากิน เรากระหาย เจ้าก็ไม่ได้ให้เราดื่ม เราเป็นคนแปลกหน้ามา เจ้าก็ไม่ได้ต้อนรับ เรา ต้องการเครื่องนุ่งห่ม เจ้าก็ไม่ได้ให้ เราเจ็บป่วยและอยู่ในคุก เจ้าก็ไม่ได้ดูแล’ 31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
58 | มัทธิว 25:14
“พวกเขาก็ทูลเช่นกันว่า ‘พระองค์เจ้าข้าเมื่อใดกันที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือ กระหาย หรือเป็นคนแปลกหน้า หรือต้องการฉลองพระองค์ หรือประชวร หรืออยู่ในคุก แล้วข้า พระองค์ไม่ได้ช่วยเหลือ?’ “พระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่เจ้าว่าสิ่งใดที่เจ้าไม่ได้ทําให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุด คนหนึ่งในคนเหล่านี้ เจ้าก็ไม่ได้ทําให้เราด้วย’ “แล้วคนเหล่านี้ก็ต้องออกไปรับโทษนิรันดร์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์” 44
45
46
แผนกําจัดพระเยซู
จบคําอุปมาทั้งปวงนี้แล้ว พระเยซูก็ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “พวกท่านก็รู้ว่า 26 อีเมืก่อสองวั นจะถึงเทศกาลปัสกาและบุตรมนุษย์จะถูกมอบให้เขาตรึงตายที่ไม้กางเขน” 2
ครั้งนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสในหมู่ประชาชนมาประชุมกันที่คฤหาสน์ของมหา ปุโรหิตชื่อคายาฟาส และพวกเขาคบคิดกันหาอุบายที่จะจับพระเยซูมาฆ่าเสีย เขาพูดกันว่า “แต่ อย่าลงมือในช่วงเทศกาลเลย มิฉะนั้นจะเกิดจลาจลในหมู่ประชาชน” 3
4
5
พระเยซูทรงรับการชโลมที่เบธานี
ที่หมู่บ้านเบธานี ขณะพระเยซูประทับอยู่ในบ้านของซีโมนคนโรคเรื้อน หญิงคนหนึ่งถือผอบ น้ํามันหอมราคาแพงมากเข้ามารินรดพระเศียรขณะที่พระองค์ทรงนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ อาหาร เมื่อเหล่าสาวกเห็นดังนั้นก็ไม่พอใจจึงกล่าวว่า “ทําไมทําให้เสียของเปล่าๆ? น้ํามันหอมนี้ถ้า ขายจะได้ราคาดี เอาเงินให้คนยากจนได้” พระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ไปกวนใจหญิงนี้ทําไม? นางได้ทําสิ่งดีงามให้แก่เรา ท่านจะมีคนยากจนอยู่กับท่านเสมอ แต่เราจะไม่ได้อยู่กับท่านเสมอไป ที่นางรินน้ําหอมนี้บน กายเราก็เพื่อเตรียมตัวเราสําหรับการฝังศพ เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่ว่าข่าวประเสริฐจะ เผยแผ่ไปที่ใดๆ ทั่วโลก เขาจะเล่าขานถึงสิ่งที่หญิงนี้ได้ทําเพื่อเป็นการระลึกถึงนาง” 6
7
8
9
10
11
12
13
ยูดาสตกลงใจจะทรยศพระเยซู
แล้วยูดาสอิสคาริโอท หนึ่งในสาวกสิบสองคน ไปพบพวกหัวหน้าปุโรหิต ถามว่า “พวก ท่านจะให้อะไรแก่ข้าพเจ้าถ้าข้าพเจ้ามอบพระองค์ให้แก่ท่าน?” พวกเขาจึงนับเหรียญเงินสามสิบ เหรียญส่งให้ยูดาส นับตั้งแต่นั้นยูดาสก็จ้องหาโอกาสที่จะมอบพระเยซูให้แก่คนเหล่านั้น 14
15
16
พระเยซูเสวยปัสกากับเหล่าสาวก
วันแรกของเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อเหล่าสาวกมาทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์ทรงประสงค์ จะให้เราจัดเตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน?” พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าไปหาคนหนึ่งในเมือง บอกเขาว่า ‘พระอาจารย์ตรัสดังนี้ว่าใกล้จะถึง กําหนดเวลาของเราแล้ว เราจะฉลองปัสการ่วมกับเหล่าสาวกของเราที่บ้านของท่าน’ ” ดังนั้น เหล่าสาวกจึงไปทําตามที่พระเยซูทรงบัญชาและจัดเตรียมปัสกา พอพลบค่ําพระเยซูทรงนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะอาหารร่วมกับสาวกสิบสองคน ระหว่าง รับประทานอาหารกันอยู่นั้นพระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าคนหนึ่งในพวกท่านจะ ทรยศเรา” เหล่าสาวกเสียใจมากต่างทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ไม่ใช่ข้าพระองค์แน่ใช่ไหม?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ผู้ที่หยิบอาหารจุ่มในชามเดียวกับเราคือผู้ที่จะทรยศเรา บุตรมนุษย์ จะไปตามที่เขียนไว้ แต่วิบัติแก่ผู้นั้นที่ทรยศบุตรมนุษย์! ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาเลยยังจะดีกับตัวเขา มากกว่า” แล้วยูดาสผู้ที่จะทรยศต่อพระองค์ทูลว่า “รับบี ไม่ใช่ข้าพระองค์แน่ใช่ไหม?” พระเยซูตรัสตอบว่า “คือท่านเอง” 17
18
19
20
21
22 23
24
25
มัทธิว 26:25 | 59
มัทธิว 26:31–56 พระเยซูและสาวกของพระองค์พากันร้องเพลงสดุดี ในบทที่ 118 เป็นบทเพลงที่พวก ยิวจะร้องกันในช่วงท้ายของเทศกาลปัสกา พวกเขาร้องว่า “จงขอบพระคุณองค์พระผู้ เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงแสนดี ความรักมั่นคงของพระองค์ดํารงนิรันดร์” ให้รวมกลุ่มกับเพื่อน อ่านพระคําบทนั้น แล้วร้องเพลงที่น้อง ๆ ร้องได้ เพื่อขอบคุณ พระเจ้าสําหรับความดีของพระองค์ที่มีต่อน้อง ๆ พิธีมหาสนิท
ขณะรับประทานอาหารพระเยซูทรงหยิบขนมปัง ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักส่งให้เหล่า สาวกและตรัสว่า “จงรับไปรับประทานเถิด นี่เป็นกายของเรา” แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วยื่นให้กับพวกเขาและตรัสว่า “ท่าน ทุกคนจงรับไปดื่มเถิด นี่คือโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งหลั่งรินเพื่ออภัยโทษบาป แก่คนเป็นอันมาก เราบอกท่านว่าเราจะไม่ดื่มน้ําจากผลองุ่นนี้อีกตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะ ถึงวันนั้นที่เราดื่มร่วมกับท่านใหม่ในอาณาจักรของพระบิดาของเรา” เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้วพวกเขาก็ออกไปยังภูเขามะกอกเทศ 26
27
28
29
30
พระเยซูทรงทํานายว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์
แล้วพระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกว่า “ในคืนวันนี้เอง พวกท่านจะทิ้งเราไปกันหมด เพราะมีเขียนไว้ว่า “ ‘เราจะฟาดฟันคนเลี้ยงแกะ และฝูงแกะจะกระจัดกระจายไป’ แต่หลังจากที่เราเป็นขึ้น เราจะไปยังกาลิลีก่อนหน้า ท่าน” เปโตรทูลตอบว่า “ถึงใครๆ ทิ้งพระองค์ไปหมด ข้าพระองค์ก็จะไม่มีวันทิ้งพระองค์” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในคืนนี้เองก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราถึงสามครั้ง” แต่เปโตรประกาศว่า “ถึงแม้ข้าพระองค์ต้องตาย กับพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่มีวันปฏิเสธพระองค์” แล้วสาวกที่เหลือก็พูดแบบเดียวกัน 31
32
33
34
35
เกทเสมนี
มัทธิว 26:17–35
ในช่วงเทศกาลปัสกา ชาวยิวจะ ระลึกถึงการเดินทางที่แสนยาวนาน ในอียิปต์ พวกเขาฆ่าลูกแกะสําหรับ เทศกาลปัสกา เพื่อเตือนพวกเขาถึง การทรงช่วยของพระเจ้า เมื่อพระเยซูทรงเสวยปัสกากับเหล่า สาวก พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า พระองค์เป็นเหมือนลูกแกะที่จะต้อง ถูกฆ่า เพื่อช่วยไถ่คนทั้งหลาย เหล่าสาวกของพระเยซูควรระลึกถึง การตายของพระองค์เมื่อพวกเขา เฉลิมฉลองเทศกาลปัสกา (อีสเตอร์)
แล้วพระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์มายังที่ แห่งหนึ่งเรียกว่า เกทเสมนี พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะที่เราไปอธิษฐานที่นั่น” พระองค์ ทรงพาเปโตรกับบุตรชายทั้งสองคนของเศเบดีไปกับพระองค์ด้วย พระองค์ทรงโศกเศร้าและเป็น ทุกข์ยิ่งนัก จึงตรัสกับพวกเขาว่า “จิตวิญญาณของเราท่วมท้นด้วยความทุกข์โศกแทบจะตาย จง เฝ้าระวังอยู่กับเราที่นี่” 36
37
38
60 | มัทธิว 26:26
พระองค์ทรงดําเนินไปได้สักหน่อยก็ทรงซบพระพักตร์ลงที่พื้นและทรงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระ บิดา หากเป็นไปได้ขอให้ถ้วยนี้พ้นไปจากข้าพระองค์เถิด อย่างไรก็ตามอย่าให้เป็นไปตามใจของข้า พระองค์ แต่ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์” แล้วพระองค์ทรงกลับมาหาสาวกของพระองค์ และพบว่าพวกเขากําลังนอนหลับอยู่จึงตรัส ถามเปโตรว่า “พวกท่านจะคอยเฝ้าอยู่กับเราสักชั่วโมงเดียวก็มิได้หรือ? จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ตกเข้าไปอยู่ในการทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริงแต่กายยังอ่อนกําลัง” พระองค์เสด็จไปอธิษฐานเป็นครั้งที่สองว่า “ข้าแต่พระบิดา หากถ้วยนี้ไม่อาจพ้นไปและข้า พระองค์ต้องดื่ม ก็ขอให้สําเร็จดังพระประสงค์ของพระองค์” เมื่อพระองค์ทรงกลับมาก็ทรงพบว่าพวกเขายังคงหลับอยู่เพราะพวกเขาง่วงมากจนลืมตาไม่ ขึ้น พระองค์จึงทรงละพวกเขาไว้ แล้วเสด็จไปอธิษฐานเป็นครั้งที่สามและอธิษฐานเรื่องเดิม จากนั้นพระองค์ทรงกลับมาหาเหล่าสาวกและตรัสว่า “พวกท่านยังนอนหลับพักผ่อนอยู่อีก หรือ? ดูเถิด ใกล้จะถึงเวลาแล้วและบุตรมนุษย์ถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือของคนบาป ลุกขึ้นไปกัน เถิด! ผู้ทรยศเรามาแล้ว!” 39
40
41
42
43
44
45
46
พระเยซูถูกจับกุม
พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคํา ยูดาสหนึ่งในสาวกสิบสองคนก็มาถึงพร้อมกับคนหมู่ใหญ่ซึ่งถือ ดาบถือกระบอง คนเหล่านี้เป็นพวกที่บรรดาหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสของประชาชนส่งมา ผู้ทรยศได้กําหนดอาณัติสัญญาณกับพวกเขาว่า “คนที่เราจูบคือผู้นั้น จงจับกุมเขา” ยูดาสตรง เข้ามาหาพระเยซูและทูลว่า “ขอคํานับรับบี!” แล้วจูบพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “เพื่อนเอ๋ย จะมาทําอะไรก็ทําเถิด” แล้วคนเหล่านั้นก็ตรงเข้าจับกุมพระเยซู คนหนึ่งในพวกที่อยู่กับพระองค์เอื้อมมือคว้าดาบชัก ออกมาฟันหูบ่าวของมหาปุโรหิตขาด พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เก็บดาบเสียเถิดเพราะคนทั้งปวงที่ชักดาบจะตายด้วยดาบ ท่านคิด ว่าเราไม่อาจทูลขอพระบิดาหรือ? พระองค์จะให้ทูตสวรรค์กว่าสิบสองกองแก่เราทันที แต่ถ้าเช่น นั้นจะเป็นจริงตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้หรือว่าต้องเป็นไปตามนี้?” แล้วพระองค์ตรัสกับคนกลุ่มนั้นว่า “เราก่อการกบฏหรือ? พวกท่านจึงได้ถือดาบถือกระบองมา จับเรา เรานั่งสอนอยู่ในลานพระวิหารทุกวันและท่านก็ไม่ได้จับกุมเรา แต่ทั้งหมดนี้เป็นไปตามที่ผู้ เผยพระวจนะได้เขียนไว้” แล้วสาวกทั้งหมดก็ละทิ้งพระองค์แล้วหนีไป 47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
ต่อหน้าสภาแซนเฮดริน
ผู้ที่จับพระเยซูนําพระองค์มาพบมหาปุโรหิต คายาฟาสในที่ซึ่งพวกธรรมาจารย์และผู้อาวุโสมา ชุมนุมกัน ฝ่ายเปโตรตามพระองค์มาห่างๆ จนถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต เขาเข้าไปนั่งกับพวก ยามเพื่อคอยดูผลที่จะเกิดขึ้น พวกหัวหน้าปุโรหิตและทั้งสภาแซนเฮดรินค้นหา หลักฐานเท็จมามัดตัวพระเยซูเพื่อจะได้ประหาร พระองค์ แต่ก็ไม่พบอะไรเลยแม้จะมีพยานเท็จ หลายคนมากล่าวหาพระองค์ ในที่สุดมีสองคนออกมา ให้การว่า “คนนี้พูดว่า ‘ข้าพเจ้าสามารถทําลายพระ วิหารของพระเจ้าและสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวัน’” แล้วมหาปุโรหิตจึงยืนขึ้นกล่าวกับพระเยซูว่า “ท่านจะไม่ตอบอะไรหรือ? คําให้การที่คนเหล่านี้กล่าว หาท่านเป็นเรื่องอะไรกัน?” แต่พระเยซูทรงนิ่งอยู่ 57
58
59
60
61
62
มัทธิว 26:57–27:2
หลังจากที่พระเยซูถูกจับกุมแล้ว พระเยซูทรงถูกปรักปรําโดยมหา ปุโรหิตประจําการ ซึ่งเป็นสภาสูงสุด ของชาวยิว อันที่จริงแล้วสภาควร จะดําเนินการพิจารณาคดีอย่างเป็น ธรรม แต่พระเยซูทรงไม่ได้รับความ เป็นธรรมเลย สมาชิกของสภาให้ สินบนประชาชนเพื่อให้พวกเขาเป็น พยานเท็จ พวกเขาโกหกเพื่อให้ พระเยซูถูกลงโทษ
63
มัทธิว 26:63 | 61
มหาปุโรหิตจึงกล่าวกับพระองค์ว่า “ภายใต้คํา สาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เราสั่งท่าน ว่าถ้าท่านคือพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าก็จงบอก เรามา” พระเยซูตรัสว่า “ใช่อย่างที่ท่านพูด เราขอบอก ท่านทุกคนว่าในอนาคตท่านจะเห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่ เบื้องขวาพระหัตถ์ขององค์ทรงฤทธิ์และเสด็จมาบนหมู่ เมฆแห่งฟ้าสวรรค์” มหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนและพูดว่า “เขาได้พูด หมิ่นประมาทพระเจ้า! เราจะต้องหาพยานอีกทําไม? ดูเถิด บัดนี้ท่านทั้งหลายได้ยินคําหมิ่นประมาทแล้ว ท่านคิดเห็นอย่างไร?” พวกนั้นตอบว่า “เขาสมควรตาย” แล้วพวกเขาถ่มน้ําลายใส่พระพักตร์และต่อย พระองค์ คนอื่นๆ ก็ตบพระองค์ และว่า “เจ้าพระ คริสต์ ทํานายให้เราฟังสิ ใครตบเจ้า?” 64
65
66
มัทธิว 26:69–75
เปโตรผู้น่าสงสาร! ก่อนหน้านั้นไม่ นาน เปโตรสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้ง พระเยซู แต่เปโตรกลับหวาดกลัว และบอกทุกคนว่าเขาไม่รู้จักพระเยซู จากนั้นเรื่องก็เลวร้ายขึ้นอีก เมื่อ เปโตรปฏิเสธพระเยซูเป็นครั้งที่ 2 และเมือ่ พวกเขาถามเปโตรเป็นครัง้ ที่ 3 ว่ารู้จักพระเยซูไหม เปโตรคิดว่า เขาจะถูกจับกุมตัวจึงสาบานว่าเขา ไม่รู้จักพระเยซู
67
68
เปโตรปฏิเสธพระเยซู
ฝ่ายเปโตรนั่งอยู่ที่ลานบ้าน สาวใช้คนหนึ่งมา พูดกับเปโตรว่า “เจ้าก็อยู่กับเยซูแห่งกาลิลีด้วย” แต่เปโตรปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า “เจ้าพูด อะไร? ข้าไม่รู้เรื่อง” แล้วเปโตรออกไปที่ประตูรั้ว สาวใช้อีกคนหนึ่งเห็น เขาก็พูดกับคนที่นั่นว่า “คนนี้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธ” เปโตรปฏิเสธอีกพร้อมทัง้ สาบานว่า “ข้าไม่รจู้ กั คน นั้น!” สักครู่ผู้คนที่อยู่แถวนั้นมาพูดกับเปโตรว่า “ใช่แน่ๆ เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้น ฟังจากสําเนียงของเจ้าก็รู้” แล้วเปโตรจึงสบถสาบานเป็นการใหญ่ว่า “ข้าไม่รู้ จักคนนั้น!” ทันใดนั้นไก่ก็ขัน เปโตรจึงนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่พระเยซู ตรัสไว้ว่า “ก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราถึงสามครั้ง” เขาจึงออกไปข้างนอกและร้องไห้อย่างขมขื่น 69
70
71
72
73
74
75
มัทธิว 27:3–10
มีเพียงมัทธิวเท่านั้นที่บอกเราว่าเกิด อะไรขึ้นกับยูดาสหลังจากที่เขาทรยศ พระเยซู เพื่อเงิน 30 เหรียญ นั่น เท่ากับเงินค่าจ้างสําหรับ 30 วันเลย ทีเดียว ถ้าหากน้อง ๆ ต้องการที่จะ ซื้อของบางอย่างกลับคืนมาหลังจาก ที่ขายมันไปแล้ว เหมือนกับน้อง ๆ ได้วางสิ่งนั้นไว้ในพระวิหาร ถ้าคนซื้อ เอาเงินคืนไป คนขายก็สามารถเอา ของกลับมาเป็นของตัวเองได้ ยูดาส จึงพยายามที่จะคืนเงิน เพื่อทดแทน ในสิ่งที่เขาได้กระทํา
ยูดาสผูกคอตาย
พอรุ่งเช้าบรรดาหัวหน้าปุโรหิตและผู้อาวุโสในหมู่ประชาชนได้ตกลงกันว่าจะประหารพระ 27 เยซู พวกเขามัดพระองค์พาไปมอบตัวแก่ผู้ว่าการปีลาต 2
เมื่อยูดาสผู้ทรยศพระเยซูเห็นว่าพระองค์ถูกตัดสินลงโทษก็รู้สึกผิดจับใจ เขาจึงนําเงินสามสิบ เหรียญมาคืนแก่พวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโส และกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ทําบาปไปแล้ว ด้วยการทรยศผู้บริสุทธิ์ ทําให้เขาถึงตาย” พวกนั้นตอบว่า “แล้วเราเกี่ยวอะไรด้วย? นั่นเป็นความรับผิดชอบของเจ้า” ดังนั้นยูดาสจึงขว้างเงินนั้นเข้าไปในพระวิหาร แล้วออกไปผูกคอตาย พวกหัวหน้าปุโรหิตเก็บเงินมาแล้วกล่าวว่า “ผิดบทบัญญัติที่จะเก็บเงินนี้เข้าคลังพระวิหาร เพราะเป็นเงินค่าโลหิต” เขาจึงตกลงกันว่าจะใช้เงินนั้นซื้อที่ดินซึ่งรู้จักกันว่า ทุ่งช่างปั้นหม้อ ไว้ 3
4
5 6
7
62 | มัทธิว 26:64
เป็นที่ฝังศพคนต่างด้าว ฉะนั้นทุ่งดังกล่าวจึงได้ชื่อว่า ทุ่งโลหิต มาจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็เป็นจริง ตามที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าวไว้ว่า “เขาทั้งหลายนําเงินสามสิบเหรียญซึ่งเป็นค่าตัวของเขา ตามที่ชนอิสราเอลตั้งให้ ไปซื้อที่ดินของช่างปั้นหม้อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้า ไว้” 8
9
10
พระเยซูต่อหน้าปีลาต
ขณะเดียวกันพระเยซูทรงยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าการและผู้ว่าการถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาว ยิวหรือ?” พระเยซูตรัสว่า “ใช่อย่างที่ท่านว่า” พระองค์ไม่ได้ทรงตอบข้อกล่าวหาของพวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสเลย ปีลาตจึงถาม ว่า “ท่านไม่ได้ยินข้อหาที่พวกเขาฟ้องท่านหรือ?” แต่พระองค์ไม่ตรัสตอบข้อกล่าวหาใดๆ เลย ทําให้ผู้ว่าการประหลาดใจยิ่งนัก ในช่วงเทศกาลเป็นธรรมเนียมที่ผู้ว่าการจะปล่อยตัวนักโทษคนหนึ่งตามที่ประชาชนเลือก ครั้งนั้นมีนักโทษอุกฉกรรจ์ชื่อเยซูบารับบัส เมื่อประชาชนมารวมตัวกันแล้วปีลาตจึงถามว่า “พวกท่านต้องการให้เราปล่อยคนไหน เยซูบารับบัสหรือเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?” เพราะ ปีลาตรู้ว่าพวกเขาจับพระเยซูมาด้วยความอิจฉา ขณะปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์พิพากษา ภรรยาของท่านส่งคนมาเรียนท่านว่า “อย่าไปเกี่ยวข้อง กับผู้บริสุทธิ์คนนี้เลยเนื่องจากวันนี้ดิฉันฝันร้ายไม่สบายใจมากเพราะท่านผู้นี้” แต่พวกหัวหน้าปุโรหิตและเหล่าผู้อาวุโสยุยงประชาชนว่าให้พวกเขาขอปีลาตให้ปล่อย บารับบัสและให้ประหารพระเยซู ผู้ว่าการถามว่า “ท่านต้องการให้ปล่อยคนไหนในสองคนนี้?” พวกเขาตอบว่า “บารับบัส” ปีลาตถามว่า “แล้วจะให้เราทําอย่างไรกับเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?” พวกนั้นทั้งหมดพากันร้องว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!” ปีลาตถามว่า “ทําไม? เขาทําผิดอะไร?” แต่ทุกคนร้องตะโกนดังขึ้นอีกว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!” เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การมีแต่จะลุกฮือขึ้น เขาจึงเอาน้ําล้างมือต่อหน้าฝูงชนและกล่าวว่า “เรา ไม่มีความผิดเรื่องการตายของชายผู้นี้ เป็นความรับผิดชอบของพวกท่าน!” คนทั้งปวงตอบว่า “ให้เลือดของเขาตกอยู่กับเราและลูกหลานของเราเถิด!” แล้วปีลาตจึงปล่อยบารับบัสให้พวกเขา แต่ให้คนโบยตีพระเยซูและมอบตัวให้ไปตรึงที่ไม้ กางเขน 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25 26
พวกทหารเยาะเย้ยพระเยซู
จากนัน้ ทหารของผูว้ า่ การนําพระเยซูเข้าไปในศาลปรีโทเรียมและระดมทหารทัง้ กองมารายล้อม พระองค์ พวกเขาเปลื้องเสื้อผ้าของพระองค์ออก แล้วเอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมให้พระองค์ จากนั้นจึงสานมงกุฎหนามสวมที่พระเศียร หยิบไม้ใส่พระหัตถ์ขวา แล้วคุกเข่าต่อหน้าพระองค์ และเยาะเย้ยว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของชาวยิว ขอจงทรงพระเจริญ!” เขาถ่มน้ําลายรดพระองค์และ เอาไม้นั้นตีพระเศียรครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากเยาะเย้ยพระองค์แล้ว ก็ถอดเสื้อนั้นออก เอาเสื้อผ้า ของพระองค์เองมาสวมให้ แล้วนําพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่ไม้กางเขน 27
28
29
30
31
การตรึงที่ไม้กางเขน
ขณะออกไปก็พบชายคนหนึ่งจากไซรีนชื่อซีโมน พวกทหารจึงเกณฑ์ให้เขาแบกไม้กางเขนนั้น เมื่อพวกเขามาถึงที่ซึ่งเรียกว่า กลโกธา ซึ่งแปลว่า สถานแห่งหัวกะโหลก ก็เอาเหล้าองุ่นผสม น้ําดีมีรสขมมาถวาย พระเยซูทรงชิมแล้วก็ไม่เสวย เมื่อเขาตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขนแล้ว ก็นํา 32
33
34
35
มัทธิว 27:35 | 63
มัทธิว 27:27–31 ไบร์ท รูด้ วี า่ ความรูส้ กึ ทีถ่ กู ล้อเลียนเป็นอย่างไร น้อง ๆ เคยถูกล้อเลียนบ้างไหม? น้อง ๆ รู้สึกอย่างไร? แล้วน้อง ๆ ทําอย่างไร? น้อง ๆ เคยล้อเลียนหรือว่าพูดทําร้ายจิตใจ คนอื่นบ้างไหม? น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรหลังจากนั้น? ไบร์ท สงสัยว่าพระเยซูรู้สึกอย่างไรเมื่อพวกทหาร ล้อเลียนพระองค์ น้อง ๆ รูส้ กึ อย่างไรเมือ่ อ่านพระคําเหล่านี?้ ให้นอ้ ง ๆ เขียนจดหมายถึง พระเยซูบอกพระองค์เกี่ยวกับความรู้สึกของน้อง ๆ ในเวลาที่ล้อเลียนคนอื่น ฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน และพวกเขานั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น เหนือพระเศียรมีข้อหา เขียนติดไว้ว่า “นี่คือเยซูกษัตริย์ของชาวยิว” โจรสองคนถูกตรึงที่ไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ คนหนึ่งอยู่ข้างซ้ายและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างขวาของพระองค์ ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างส่ายหน้าพูดสบ ประมาทพระองค์ และกล่าวว่า “เจ้าผู้จะทําลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นใหม่ในสามวัน จงช่วยตัว เองให้รอด! ลงมาจากกางเขนสิถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า!” เช่นเดียวกันพวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และเหล่าผู้อาวุโส ก็เยาะเย้ยพระองค์ว่า “เขา ช่วยคนอื่นให้รอด แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้! เขาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล! ให้เขาลงมาจาก กางเขนเดี๋ยวนี้สิแล้วเราจะเชื่อเขา เขาวางใจในพระเจ้าก็ให้พระเจ้าช่วยเขาตอนนี้สิถ้าพระองค์ ยังต้องการเขาอยู่ เพราะเขาพูดว่า ‘เราเป็นพระบุตรของพระเจ้า’ ” พวกโจรที่ถูกตรึงพร้อมกับ พระองค์ก็พากันพูดดูถูกดูหมิ่นพระองค์ต่างๆ นานาด้วย 36
37
38
39
40
41
42
43
44
พระเยซูสิ้นพระชนม์
แล้วเกิดความมืดมัวไปทั่วแผ่นดินตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง ราวบ่ายสามโมงพระเยซู ทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี?” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้า มัทธิว 27:32–44 พระองค์ ทําไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?” บางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินก็พูดว่า “เขาร้อง มัทธิวกล่าวว่าพระเยซูถูกตรึงกางเขน เรียกเอลียาห์” เป็นไปตามคําพยากรณ์ในพันธสัญญา ทันใดนั้นคนหนึ่งในพวกเขาก็วิ่งไปเอาฟองน้ําจุ่ม เดิม (อ่านอิสยาห์ 53:3-6) นอกจากนี้ เหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบไม้ส่งให้พระเยซูเสวย คนอื่นๆ พูดว่า “อย่าไปยุ่งกับเขา ให้เราดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วย มัทธิวยังบอกอีกว่า ประชาชนได้ สบประมาทพระเยซู โดยพูดว่า “ลง เขาหรือไม่” และเมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้ง พระองค์ก็ มาจากกางเขนซิ ถ้าเจ้าเป็นพระ บุตรของพระเจ้า!" เมื่อครั้งที่มารมา สิ้นพระชนม์ ล่อลวงพระเยซูในทะเลทราย มาร ขณะนั้นเองม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วน ตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน ก็ยังใช้ประโยคว่า “ถ้าเจ้าเป็นพระ อุโมงค์ฝังศพเปิดออกและร่างของวิสุทธิชนหลายคนที่ บุตรของพระเจ้า ... ” ตายแล้วก็ฟื้นคืนชีวิต พวกเขาออกมาจากอุโมงค์และ หลังจากพระเยซูคืนพระชนม์แล้ว พวกเขาก็เข้าสู่นคร บริสุทธิ์และปรากฏแก่คนเป็นอันมาก 45
46
47
48
49
50
51
52
53
64 | มัทธิว 27:36
ส่วนนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกัน เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตื่นตกใจร้อง ว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า!” ผูห้ ญิงหลายคนอยูท่ น่ี น่ั เฝ้าดูอยูห่ า่ งๆ พวกเขา ติดตามพระเยซูมาจากกาลิลเี พือ่ คอยปรนนิบตั พิ ระองค์ ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของ ยากอบกับโยเซฟ และมารดาของบุตรเศเบดี 54
55
56
การฝังพระศพพระเยซู
เมื่อเวลาเย็นใกล้เข้ามาเศรษฐีคนหนึ่งมาจาก อาริมาเธียชื่อโยเซฟ เขาเองก็เป็นสาวกของพระเยซู เขาไปพบปีลาตเพื่อขอพระศพพระเยซูและปีลาตก็สั่ง ให้มอบพระศพแก่เขา โยเซฟเชิญพระศพมา เอาผ้า ลินินสะอาดพันพระศพ แล้วนําไปวางไว้ในอุโมงค์ใหม่ ของตนซึ่งสกัดไว้ในศิลาและกลิ้งหินใหญ่ปิดทางเข้า อุโมงค์ แล้วเขาก็ไป มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีก คนหนึ่งนั่งอยู่ที่นั่นตรงข้ามอุโมงค์ 57
58
59
60
61
ทหารยามที่อุโมงค์
วันรุง่ ขึน้ ถัดจากวันเตรียมพวกหัวหน้าปุโรหิตและ พวกฟาริสไี ปพบปีลาต และเรียนว่า “ใต้เท้าขอรับ พวกข้าพเจ้าจําได้วา่ ขณะทีเ่ จ้านักล่อลวงคนนัน้ ยังมีชวี ติ อยูพ่ ดู ว่า ‘หลังจากสามวันเราจะเป็นขึน้ มาอีก’ ฉะนัน้ ขอให้ใต้เท้าสัง่ ให้คนเฝ้าอุโมงค์อย่างแน่นหนาจนถึงวัน ทีส่ าม มิฉะนัน้ แล้วสาวกของเขาอาจจะมาลักศพไปและ บอกประชาชนว่าเขาเป็นขึน้ จากตายแล้ว การล่อลวง ครัง้ นีจ้ ะเลวร้ายยิง่ กว่าครัง้ แรก” ปีลาตบอกว่า “เอายามไปเถิด คอยเฝ้าอุโมงค์ อย่างแน่นหนาตามที่พวกท่านทําได้” ดังนั้นพวกเขา จึงไปดูแลอุโมงค์ให้แน่นหนาโดยการประทับตราที่หิน และวางยามประจําอยู่
มัทธิว 27:45–56
“และเมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีก ครั้ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์” มัทธิว บอกเราว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์บน ไม้กางเขนด้วยความเต็มใจ แม้ว่า พระองค์จะสามารถร้องขอให้พระ บิดาทรงช่วย แต่พระเยซูก็เลือกที่ จะสละชีวิตของพระองค์เองเพื่อเรา ทั้งหลาย เมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ก็เกิด แผ่นดินไหว อุโมงค์ฝังศพเปิดออก และศพของธรรมมิกชนที่ล่วงหลับไป แล้วได้กลับฟื้นขึ้นมา การตายของ พระเยซูเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะพรึง กลัวมาก มันเหมือนกับว่าโลกกําลัง จะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
62
63
64
65
66
การคืนพระชนม์
28
มัทธิว 27:57–66
พระเยซูทรงถูกฝงโดยผูติดตามของ พระองคในหลุมฝงศพของโยเซฟแหง อาริมาเธีย โยเซฟเปนเศรษฐี และเปนสาวกลับ ของพระเยซู ความจริงที่วาพระเยซูถูกฝงอยูแสดง ใหเห็นวาพระองคไดตายแลวจริง ๆ มัทธิวบอกเราวามีทหารยามเฝาอยูที่ อุโมงคอยางแนนหนา เพื่อปองกันไม ใหเหลาสาวกมาลักเอาศพไป
หลังวันสะบาโตตอนรุ่งสางวันต้นสัปดาห์มารีย์ ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งไปดูที่อุโมงค์ เกิดแผ่นดินไหวใหญ่เพราะทูตองค์หนึ่งขององค์ พระผู้เป็นเจ้าลงมาจากสวรรค์ กลิ้งหินออกจากปากอุโมงค์แล้วนั่งบนหินนั้น ลักษณะของทูตนั้น เหมือนแสงฟ้าแลบ เสื้อผ้าขาวเหมือนหิมะ ยามที่เฝ้าอยู่กลัวทูตนั้นจนตัวสั่นและเป็นเหมือนคน ตาย ทูตนัน้ กล่าวแก่หญิงทัง้ สองว่า “อย่ากลัวเลยเพราะเรารูว้ า่ พวกเจ้ามาหาพระเยซูผถู้ กู ตรึงตายบน ไม้กางเขน พระองค์ไม่ได้อยูท่ น่ี ่ี พระองค์ทรงเป็นขึน้ แล้วดังทีพ่ ระองค์ได้ตรัสไว้ มาดูทซ่ี ง่ึ เขาวางร่าง ของพระองค์เถิด แล้วรีบไปบอกเหล่าสาวกของพระองค์วา่ ‘พระองค์ทรงเป็นขึน้ จากตายแล้วและ กําลังเสด็จไปกาลิลลี ว่ งหน้าพวกท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ทน่ี น่ั ’ บัดนีเ้ ราได้บอกเจ้าแล้ว” หญิงนั้นก็ไปจากอุโมงค์โดยเร็ว พวกนางกลัวแต่ก็ดีใจยิ่งนักและวิ่งไปบอกเหล่าสาวกของ 2
3
4
5
6
7
8
มัทธิว 28:8 | 65
มัทธิว 28:1–20 พวกเราอ่านซ้ําอีกครั้งเกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่มีความกลัว และอ่านซ้ําตรงคําว่า “อย่า กลัวเลย” คนเหล่านั้นคือใครกัน? (หาคําตอบได้จากข้อที่ 4 และ 8) บางครั้งน้อง ๆ ก็ รู้สึกกลัวใช่ไหม? เมื่อไหร่? น้อง ๆ ทําอย่างไรเมื่อมีความกลัวเกิดขึ้น? อ่านพระคําของพระเยซูในข้อ 18, 19 และ 20 น้อง ๆ เห็นไหมว่าทําไมน้อง ๆ จึงไม่จําเป็นที่จะต้องกลัว? พระองค์ ทันใดนั้นพระเยซูมาพบพวกเขาและตรัสทักทายพวกเขา พวกเขาก็เข้ามากอดพระบาท ของพระองค์และกราบนมัสการพระองค์ แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงไป บอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี พวกเขาจะพบเราที่นั่น” 9
10
คํารายงานของยาม
เมื่อหญิงเหล่านั้นกําลังเดินทางไป ยามบางคนเข้าเมืองไปรายงานทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต่อพวก หัวหน้าปุโรหิต เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตได้หารือและวางแผนกับเหล่าผู้อาวุโสแล้ว เขาก็มอบเงิน ก้อนใหญ่ให้พวกทหาร พร้อมทั้งสั่งว่า “พวกเจ้าจงพูดว่า ‘ตอนกลางคืนขณะที่เรานอนหลับอยู่ เหล่าสาวกมาขโมยศพไป’ หากความนี้รู้ไปถึงผู้ว่าการเราจะพูดแก้ต่างไม่ให้ มัทธิว 28:16–18 เจ้าเดือดร้อน” ดังนั้นพวกทหารจึงรับเงินและทํา ตามที่พวกเขาสั่ง เรื่องนี้ลือกระฉ่อนไปในหมู่ชาวยิว พระกิตติคุณมัทธิวจบลงอย่างมี จนถึงทุกวันนี้ ความสุข พระเยซูทรงฟื้นจากความ พระมหาบัญชา ตาย! พระเยซูอธิบายให้เหล่าสาวก สาวกทั้งสิบเอ็ดคนจึงไปยังกาลิลี ไปที่ภูเขาซึ่งพระ ของพระองค์ว่าการฟื้นคืนพระชนม์ เยซูทรงบอกไว้ เมื่อเห็นพระองค์พวกเขาก็กราบลง ของพระองค์แสดงให้เห็นว่าพระองค์ นมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่ พระเยซูทรงเข้ามา ทรง เอาชนะความตายได้ แล้ว หาพวกเขาและตรัสว่า “สิทธิอํานาจทั้งสิ้นในสวรรค์ พระองค์ก็ส่งเหล่าสาวกของพระองค์ และในแผ่นดินโลกทรงมอบไว้แก่เราแล้ว ดังนั้นจง ไปทั่วทุกมุมโลก เพื่อที่จะบอกข่าวดี ไปสร้างสาวกจากมวลประชาชาติ ให้เขารับบัพติศมา นี้กับทุกคน ใน พระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ บริสุทธิ์ สอนเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ และแน่นอน เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปตราบ จนสิ้นยุค” 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
66 | มัทธิว 28:9
พระกิตติคุณมาระโก น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● มาระโกและเปโตรเป็นเพื่อนกันมาก่อน (1 เปโตร 5:13) ● บางครั้งมาระโกก็ถูกเรียกว่า ยอห์น (กิจการ 15:37) ● แม่ของมาระโกชื่อมารีย์ คริตสเตียนกลุ่มแรกเปิดบ้านของเธอเป็นที่นัดพบ
(กิจการ 12:12)
● มาระโกออกเดินทางไปกับเปาโลและบารนาบัสเมื่อตอนที่พวกเขาออกไปประกาศ
ข่าวประเสริฐครั้งแรก เพื่อเล่าถึงข่าวดีของพระเยซู ● มาระโกได้เขียนพระกิตติคุณในปีคริสต์ศักราชที่ 65 (หรือราว ๆ นั้น) ในกรุงโรม
ข้อแตกต่างระหว่างพระกิตติคุณมัทธิวกับพระกิตติคุณมาระโก
● มัทธิวเขียนขึ้นเพื่อชาวยิว ส่วนมาระโกเขียนขึ้นเพื่อคนที่ไม่ได้เป็นชาวยิวเพราะข่าวดี
เกี่ยวกับพระเยซู เป็นข่าวดีสําหรับทุกคน
● มัทธิวเขียนถึงคําพูดของพระเยซูว่าทรงพูดอย่างไร ส่วนมาระโกเขียนว่าพระเยซูทรง
ทําอะไร และเขียนถึงเรื่องราวพระราชกิจของพระเยซู
สิ่งสําคัญที่มาระโกต้องการจะบอกเรา
● มาระโกบอกข่าวดีกับเราว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า (มาระโก 1:11,
มาระโก 9:7, มาระโก 15:39)
● มาระโกบอกว่าพระเยซูต้องการที่จะแสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้
ปกครองของจักรวาล และมาระโกอยากให้เราเชื่อในข่าวดีที่เขานํา มาบอก (มาระโก 1:15) ● พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยชีวิตผู้คน ผู้เผยพระวจนะ อิสยาห์ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง (อิสยาห์ 9:6–7)
ขอให้น้อง ๆ อ่านเรื่องราวเหล่านี้!
● พระเยซูได้ทรงเรียกคนมากมายมายให้มาติดตามพระองค์
(มาระโก 1:16–20) ● พระเยซูทรงรักษาลูกสาวของไยรัส (มาระโก 5:21–43) ● พระเยซูทรงอวยพรเด็ก ๆ (มาระโก 10:13–16) ● พระเยซูทรงทําให้บารทิเมอัสผู้ตาบอดได้มองเห็นอีกครั้ง (มาระโก 10:46–52)
68
มาระโก
ยอห์นผู้ให้บัพติศมา
ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เริ่มต้นดังนี้ ในพระธรรมอิสยาห์ผู้เผย 1 พระวจนะมี เขียนไว้ว่า 2
“ดูเถิด เราจะส่งทูตของเรามาก่อนท่าน เพื่อเตรียมทางไว้ให้ท่าน” “เสียงของผู้หนึ่งร้องในถิ่นกันดารว่า ‘จงเตรียมทางสําหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า จงทําทางสําหรับพระองค์ให้ตรงไป’ ” แล้วยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็ได้ปรากฏตัวในถิ่นกันดารและเทศนาเรื่องบัพติศมาอันแสดงถึงการกลับ ใจใหม่เพื่อรับการอภัยโทษบาป ผู้คนทั่วแคว้นยูเดียและชาวกรุงเยรูซาเล็มพากันมาหายอห์น เมื่อ สารภาพบาปทั้งหลายของตนแล้ว ยอห์นก็ให้เขาทั้งหลายรับบัพติศมาในแม่น้ําจอร์แดน ยอห์น สวมเสื้อผ้าที่ทําจากขนอูฐ คาดเข็มขัดหนัง และกินตั๊กแตนกับน้ําผึ้งป่าเป็นอาหาร เขาประกาศ ว่า “ภายหลังเราจะมีผู้หนึ่งเสด็จมา ทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้แต่จะโน้มกายลงแก้สาย ฉลองพระบาทของพระองค์ เราให้ท่านทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ําแต่พระองค์จะทรงให้ท่านทั้ง หลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” 3
4
5
6
7
8
พระเยซูทรงรับบัพติศมาและถูกมารทดลอง
ครั้งนั้นพระเยซูเสด็จจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี ทรงรับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ํา จอร์แดน ขณะที่พระเยซูขึ้นจากน้ํา พระองค์ทรงเห็นท้องฟ้าแหวกออกและพระวิญญาณดุจนก พิราบลงมาประทับบนพระองค์ แล้วมีพระสุรเสียงจากฟ้าสวรรค์ว่า “เจ้าคือลูกของเรา ผู้ที่เรารัก เราพอใจเจ้ายิ่งนัก” ทันใดนั้นพระวิญญาณทรงส่งพระองค์ไปยังถิ่นกันดาร และพระองค์ทรงถูกซาตานทดลอง ตลอดสี่สิบวันสี่สิบคืนที่ทรงอยู่ที่นั่น พระองค์ทรงอยู่กับสัตว์ป่าและเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติ พระองค์ 9
10
11
12
13
ทรงเรียกสาวกกลุ่มแรก
หลังจากยอห์นถูกขังคุก พระเยซูเสด็จสู่แคว้นกาลิลี ทรงประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระองค์ตรัสว่า “ถึงเวลาแล้ว อาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้แล้ว จงกลับใจใหม่และเชื่อข่าว ประเสริฐ!” ขณะพระเยซูทรงดําเนินอยู่ริมทะเลสาบกาลิลี พระองค์ทรงเห็นซีโมนกับน้องชายชื่ออันดรูว์ 14
15
16
มาระโก 1:9–11 ต้นไม้ พบว่ามีนกพิราบจํานวนมากอาศัยอยู่บริเวณพื้นที่รอบ ๆ แม่น้ําจอร์แดนซึ่งเป็น ที่ที่ยอห์นได้ให้บัพติศมาแก่พระเยซูที่นั่น พระเยซูทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาเพื่อช่วยเรา นําทางเรา สอนเรา และปลอบ ประโลมใจเรา พระคัมภีร์กล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเหมือนนกพิราบ นอกจากนี้ยังกล่าวว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์เปรียบเหมือนลม ลมหายใจ หรือไฟ 70 | มาระโก 1:1
มาระโก 1 – 2 พวกเราอ่านซ้ําอีกครั้งเกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่มีความกลัว และอ่านซ้ําตรงนั้น ต้นไม้ "อ่านซ้ําตรงนั้น ต้นไม้" ค้นพบว่าพระเยซูมักจะไปที่เมืองคาเปอรนาอุมบ่อยครั้งนัก และขณะที่กําลังค้นหาข้อมูลอยู่นั้น ต้นไม้ยังรู้อีกว่า เมืองคาเปอรนาอุมอยู่บนชายฝั่งของทะเลสาบกาลิลี พระเยซูได้อาศัยอยู่ที่นั่นระยะ หนึ่งและประชาชนก็อยากให้พระองค์อยู่ที่นั่น เมืองคาเปอรนาอุม อาจยังเป็นเมืองที่มี ทหารโรมันประจําการอยู่ด้วย กําลังทอดแหอยู่ที่ทะเลสาบ ทั้งสองเป็นชาวประมง พระเยซูตรัสว่า “จงตามเรามาเถิด แล้วเรา จะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” ทั้งสองก็ละแหติดตามพระองค์ไปทันที เมื่อเสด็จต่อไปอีกหน่อยก็ทรงเห็นยากอบบุตรเศเบดีกับยอห์นผู้เป็นน้องชายของยากอบกําลัง ชุนอวนอยู่ในเรือ พระองค์ทรงเรียกเขาทันทีโดยไม่รอช้า ทั้งสองก็ละเศเบดีผู้เป็นบิดาไว้ที่เรือกับ ลูกจ้างและติดตามพระองค์ไป 17
18
19
20
พระเยซูทรงขับไล่วิญญาณชั่ว
พระเยซูกับสาวกมายังเมืองคาเปอรนาอุม เมื่อถึงวันสะบาโตพระองค์ทรงเข้าไปในธรรมศาลา และทรงเริ่มเทศนาสั่งสอน ประชาชนล้วนทึ่งในคําสอนของพระองค์ยิ่งนัก เพราะพระองค์ทรง สอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอํานาจ ผิดกับพวกธรรมาจารย์ ขณะนั้นชายคนหนึ่งในธรรมศาลาซึ่งถูก วิญญาณชั่วตนหนึ่งเข้าสิงได้ร้องขึ้นมาว่า “พระเยซูแห่งนาซาเร็ธ ท่านต้องการอะไรจากพวกเรา? ท่านมาเพื่อทําลายพวกเราหรือ? ข้ารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า!” พระเยซูตรัสสั่งอย่างเฉียบขาดว่า “เงียบ! ออกมาจากเขาเดี๋ยวนี้!” วิญญาณชั่วก็ทําให้คนนั้น ชักอย่างรุนแรง แล้วกรีดร้องและออกมาจากเขา ประชาชนล้วนประหลาดใจจนพูดกันว่า “อะไรกันนี่? เป็นคําสอนใหม่ ทั้งยังมีสิทธิอํานาจ! พระองค์ถึงขนาดสั่งวิญญาณชั่วและมันก็ทําตามคําสั่ง” กิตติศัพท์ของพระองค์จึงเลื่องลือไปทั่ว แคว้นกาลิลีอย่างรวดเร็ว 21
22
23
24
25
26
27
28
พระเยซูทรงรักษาคนเป็นอันมาก
เมื่อออกมาจากธรรมศาลาพระเยซูกับสาวกรวมทั้งยากอบและยอห์นก็ไปยังบ้านของซีโมนกับ อันดรูว์ แม่ยายของซีโมนนอนเป็นไข้อยู่พวกเขาจึงทูลพระเยซู พระองค์จึงทรงเข้าไปจับมือนาง ช่วยพยุงให้ลุกขึ้น อาการไข้ก็หายไป นางจึงปรนนิบัติพระองค์กับสาวก เย็นวันนั้นหลังจากดวงอาทิตย์ตกดิน ประชาชนนําบรรดาคนป่วยและคนถูกผีสิงมาหาพระเยซู คนทั้งเมืองมาออกันอยู่ที่ประตู และพระเยซูได้ทรงรักษาคนจํานวนมากที่ป่วยด้วยโรคต่างๆ พระองค์ยังทรงขับผีออกหลายตน แต่ทรงห้ามผีเหล่านั้นไม่ให้พูดเพราะพวกมันรู้ว่าพระองค์คือใคร 29
30
31
32
33
34
พระเยซูทรงอธิษฐานในที่เงียบสงบ
ครัน้ เวลาเช้ามืดพระเยซูทรงลุกขึน้ แล้วเสด็จออกจากบ้านไปยังทีส่ งบเงียบและอธิษฐาน ซีโมน กับเพื่อนๆ ออกตามหาพระองค์ เมื่อพบแล้วจึงร้องทูลว่า “ใครต่อใครกําลังตามหาพระองค์!” พระเยซูตรัสตอบว่า “ให้เราไปที่อื่นๆ ในละแวกใกล้เคียงกันเถิดเพื่อเราจะได้ไปเทศนาที่นั่น ด้วย ที่เรามาก็เพื่อการนี้แหละ” ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงเทศนาใน ธรรมศาลาของพวกเขาและทรงขับผีออกหลายตน 35
36
37
38
39
มาระโก 1:39 | 71
พระเยซูทรงรักษาคนโรคเรื้อน
มาระโก 1:40–45
คนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาคุกเข่าทูลวิงวอนพระองค์ ว่า “พระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้หายได้ถ้า พระองค์เต็มใจ” พระเยซูทรงสงสารเขาจึงทรงยื่นพระหัตถ์แตะต้อง เขาและตรัสว่า “เราเต็มใจจะรักษา จงหายโรคเถิด!” ทันใดนั้นโรคเรื้อนที่เป็นอยู่ก็หายไปและเขาก็กลับ เป็นปกติ พระเยซูทรงส่งเขาไปทันทีพร้อมกับกําชับว่า “จงระวัง อย่าบอกเรื่องนี้แก่ผู้ใดเลยแต่จงไปแสดงตัว ต่อปุโรหิตและถวายเครื่องบูชาสําหรับการที่ท่านหาย จากโรคเรื้อนตามที่โมเสสสั่งไว้ เพื่อเป็นพยานแก่คนทั้ง หลายว่าท่านหายโรคแล้ว” แต่เขาเที่ยวป่าวประกาศ เรื่องนี้ไปทั่วจนพระเยซูไม่สามารถเข้าเมืองอย่างเปิด เผยได้ แต่ประทับในที่เปลี่ยวนอกเมือง กระนั้นผู้คน จากทุกหนทุกแห่งก็ยังมาเข้าเฝ้าพระองค์ 40
โรคเรื้อนเป็นโรคที่เกี่ยวกับผิวหนัง คนที่เป็นโรคเรื้อนจะถูกประกาศว่า เป็นคนที่ “มีมลทิน” และต้องอยู่ ห่างจากคนอื่น ๆ พวกเขาจะต้องฉีก เสื้อผ้าของเขาเมื่อเข้าใกล้ผู้อื่น พวก เขาต้องตะโกนว่า “ไม่สะอาด! มี มลทิน!” คนที่เป็นโรคเรื้อนจะไม่ได้ รับอนุญาตให้พูดคุย หรือทักทาย กับคนอื่น ๆ เราสามารถหาอ่าน กฎหมายพิเศษที่กี่ยวกับคนที่เป็นโรค เรื้อน และโรคผิวหนังอื่น ๆ ในเลวี นิติ 13:45–46
41
42
43
44
45
พระเยซูทรงรักษาคนเป็นอัมพาต
นต่อมาเมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุมอีก ประชาชนได้ข่าวว่าพระองค์ 2 สองสามวั มาประทับที่บ้าน ดังนั้นคนเป็นอันมากจึงหลั่งไหลมาอยู่ที่นั่นจนไม่มีที่ว่างแม้แต่ที่นอกประตู 2
และพระองค์ทรงเทศนาข่าวนั้นให้พวกเขาฟัง มีชายสี่คนหามคนเป็นอัมพาตคนหนึ่งมาหา พระองค์ แต่พวกเขาไม่อาจเข้าถึงพระเยซูได้เพราะคนแน่นมาก จึงรื้อหลังคาตรงที่ประทับแล้ว หย่อนที่นอนซึ่งคนเป็นอัมพาตนอนอยู่ลงมา เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของพวกเขาก็ตรัสกับ คนเป็นอัมพาตนั้นว่า “ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” ฝ่ายพวกธรรมาจารย์บางคนซึ่งนั่งอยู่ที่นั่นคิดในใจว่า “ทําไมพูดอย่างนี้? เขากําลังพูดหมิ่น ประมาทพระเจ้านี่ นอกจากพระเจ้าแล้วใครจะอภัยบาปได้?” พระเยซูทรงทราบในพระทัยทันทีว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ในใจจึงตรัสว่า “ทําไมพวกท่านจึง คิดเช่นนั้น? ที่จะพูดกับคนเป็นอัมพาตว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ กับ ‘จงลุกขึ้นแบก ที่นอนเดินไป’ อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน? แต่ทั้งนี้ก็เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอํานาจใน โลกที่จะอภัยบาป” แล้วพระองค์ก็ตรัสกับคนเป็นอัมพาตว่า “เราสั่งเจ้าว่าลุกขึ้น จงแบกที่นอน กลับไปบ้านเถิด” เขาก็ลุกขึ้นแบกที่นอนเดินกลับบ้านต่อหน้าคนทั้งปวง ทุกคนต่างประหลาดใจ และสรรเสริญพระเจ้าว่า “เราไม่เคยพบเห็นอะไรเช่นนี้เลย!” 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
ทรงเรียกเลวี
พระเยซูเสด็จไปที่ริมทะเลสาบอีก ฝูงชนกลุ่มใหญ่พากันมาเข้าเฝ้าและพระองค์ทรงสั่งสอน พวกเขา ขณะพระองค์ทรงดําเนินไปตามทางทรงเห็นเลวีบุตรอัลเฟอัสนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษีจึง ตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา” เลวีก็ลุกขึ้นติดตามพระองค์ไป ขณะพระเยซูเสวยพระกระยาหารค่ําที่บ้านของเลวี มีคนเก็บภาษีและ “คนบาป” หลายคน รับประทานอาหารร่วมกับพระองค์และเหล่าสาวกเพราะมีคนมากมายได้ติดตามพระองค์มา เมื่อ พวกธรรมาจารย์ที่เป็นฟาริสีเห็นพระองค์ทรงร่วมโต๊ะกับ “คนบาป” และคนเก็บภาษีก็ถามสาวก ของพระองค์ว่า “ทําไมเขาจึงร่วมโต๊ะกับคนเก็บภาษีและ ‘คนบาป’?” เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนี้จึงตรัสกับพวกเขาว่า “คนสุขภาพดีไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วย ต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรมแต่มาเพื่อเรียกคนบาป” 13
14
15
16
17
72 | มาระโก 1:40
ถามพระเยซูเรื่องการถืออดอาหาร
ขณะนั้นศิษย์ของยอห์นและพวกฟาริสีกําลังถืออดอาหารอยู่ มีบางคนมาทูลถามพระเยซูว่า “ทําไมศิษย์ของยอห์นกับศิษย์ของพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่ถือ?” พระเยซูทรงตอบว่า “จะให้แขกของเจ้าบ่าวอดอาหารขณะเจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไร? ตราบใด ที่เจ้าบ่าวยังอยู่ด้วยพวกเขาก็ทําเช่นนั้นไม่ได้ แต่สักวันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกนําตัวไปจากเขาและใน วันนั้นพวกเขาจะอดอาหาร “ไม่มีใครเอาผ้าใหม่ไปปะเสื้อผ้าเก่า ถ้าทําเช่นนั้นผ้าใหม่จะหดรั้งผ้าเก่าให้ขาดมากกว่าเดิม และไม่มีใครเทเหล้าองุ่นใหม่ใส่ถุงหนังเก่า ถ้าทําเช่นนั้นเหล้าองุ่นจะทําให้ถุงนั้นขาด ก็จะเสียทั้ง เหล้าองุ่นและถุงด้วย เขาย่อมเทเหล้าองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่เท่านั้น” 18
19
20
21
22
เจ้าเหนือวันสะบาโต
ในวันสะบาโตหนึ่งพระเยซูเสด็จผ่านทุ่งนา ขณะเดินไปตามทางสาวกของพระองค์ก็เด็ดรวง ข้าว พวกฟาริสีจึงทูลพระองค์ว่า “ดูนั่น ทําไมพวกเขาทําสิ่งที่ผิดบัญญัติวันสะบาโต?” พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านไม่เคยอ่านหรือว่าดาวิดทําอะไรเมื่อเขากับพรรคพวกหิวโหยและ ขัดสน? ในสมัยของมหาปุโรหิตอาบียาธาร์ดาวิดเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าและกินขนมปัง ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตามบทบัญญัติแล้วมีแต่ปุโรหิตเท่านั้นที่จะกินได้ และดาวิดยังแบ่งขนมปังนี้ให้พรรค พวกกินด้วย” แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “วันสะบาโตมีขึ้นเพื่อมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์มีขึ้นเพื่อวันสะบาโต ดังนั้นบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเหนือวันสะบาโตด้วย” อีกครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเข้าไปในธรรมศาลาและมีชายมือลีบคนหนึ่งอยู่ที่นั่น บางคนกําลัง 3 หาเหตุ ที่จะกล่าวโทษพระเยซู จึงคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าพระองค์จะรักษาชายคนนั้นในวัน สะบาโตหรือไม่ พระเยซูตรัสกับชายที่มือลีบนั้นว่า “มายืนข้างหน้านี่สิ” แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ทําดีหรือทําชั่ว ช่วยชีวิตหรือทําลายชีวิต อย่างไหนที่ถูกต้อง ตามบทบัญญัติในวันสะบาโต?” แต่เขาทั้งหลายก็นิ่งอยู่ พระองค์ทอดพระเนตรพวกเขาโดยรอบด้วยพระพิโรธ ทรงเศร้าพระทัยนักที่พวกเขาใจแข็ง กระด้าง พระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกมา” เขาก็ทําตามและมือของเขาก็กลับ เป็นปกติทุกอย่าง พวกฟาริสีจึงออกไปเริ่มคบคิดกับกลุ่มผู้สนับสนุนเฮโรดว่าจะฆ่าพระเยซูได้ อย่างไร 23
24
25
26
27
28
2
3
4
5
6
ฝูงชนติดตามพระเยซู
พระเยซูกับสาวกปลีกตัวจากที่นั่นไปยังทะเลสาบ มีฝูงชนกลุ่มใหญ่จากแคว้นกาลิลีติดตามมา เมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ คนเป็นอันมากจากแคว้นยูเดีย กรุงเยรูซาเล็ม แคว้นอิดูเมอา และอีกฟากหนึ่งของแม่น้ําจอร์แดน ตลอดจนแถบเมืองไทระและเมืองไซดอนพากันมาหาพระองค์ เพราะฝูงชนเหล่านี้พระเยซูจึงตรัสสั่งสาวกให้เตรียมเรือเล็กพร้อมไว้สําหรับพระองค์ เพื่อไม่ให้ ผู้คนมาเบียดเสียดพระองค์ เนื่องจากพระเยซูได้ทรงรักษาคนเป็นอันมาก ผู้ที่ป่วยด้วยโรคต่างๆ จึงเบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อจะได้แตะต้องพระองค์ ทุกครั้งที่วิญญาณชั่วเห็นพระองค์ พวกมันจะ หมอบกราบและร้องว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่พระองค์ทรงห้ามพวกมัน เด็ดขาดไม่ให้บอกว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด 7
8
9
10
11
12
การแต่งตั้งอัครทูตสิบสองคน
พระเยซูเสด็จขึ้นบนภูเขาและทรงเรียกบรรดาผู้ที่ทรงประสงค์มาพบ และพวกเขาก็มาหา พระองค์ พระองค์ทรงแต่งตั้งคนสิบสองคนเป็นอัครทูตให้อยู่กับพระองค์ และพระองค์จะทรงส่ง พวกเขาออกไปเทศนา และทรงให้พวกเขามีฤทธิ์อํานาจที่จะขับผี สาวกทั้งสิบสองคนนี้ได้แก่ ซีโมน (ประทานชื่อให้ว่า เปโตร) ยากอบบุตรเศเบดีกับยอห์นผู้เป็นน้องชาย (ประทานชื่อให้ทั้งคู่ 13
14
15
16
17
มาระโก 3:17 | 73
ว่า โบอาเนอเย หมายถึง ลูกฟ้าร้อง) อันดรูว์ ฟีลิป บารโธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมนพรรคชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอทผู้ทรยศพระองค์ 18
19
พระเยซูกับเบเอลเซบุบ
แล้วพระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้าน ฝูงชนก็มาชุมนุมกันอีกจนพระองค์กับสาวกไม่มีเวลาแม้แต่จะ รับประทานอาหาร เมื่อครอบครัวของพระองค์ได้ยินเรื่องนี้ก็มาเพื่อจะรั้งพระองค์ไว้ เพราะพวก เขาพูดว่า “เขาเสียสติไปแล้ว” และพวกธรรมาจารย์ซึ่งมาจากกรุงเยรูซาเล็มพูดว่า “เขาถูกเบเอลเซบุบเข้าสิง! จึงขับผีออกได้ โดยอาศัยเจ้าแห่งผี” พระเยซูจึงทรงเรียกพวกเขามาและตรัสกับพวก มาระโก 3:28–30 เขาโดยยกคําอุปมาว่า “ซาตานจะไล่ซาตานออกได้ อย่างไร? หากอาณาจักรใดแตกแยกกันเองอาณาจักร พระเจาทรงยกโทษความผิดบาปของ นั้นย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ หากครอบครัวใดแตกแยกกันเอง เราทั้งหลาย แตมีความบาปอยาง ครอบครัวนั้นย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ และถ้าซาตานต่อต้าน หนึ่งที่พระเจาทรงไมใหอภัย คือการ ตัวเองและแตกแยกกัน มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ จุดจบของมัน พูดจาหมิ่นประมาทพระวิญญาณ ก็มาถึงแล้ว อันที่จริงไม่มีใครจะสามารถเข้าไปในบ้าน บริสุทธิ์ ทําไมถึงเปนเชนนั้น? เพราะ ของคนที่แข็งแรงและขนเอาทรัพย์สินของเขาไป เว้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทําใหเราสํานึก แต่จะจับคนแข็งแรงนั้นมัดไว้ก่อนแล้วจึงปล้นบ้านของ ไดวา เขาได้ เราบอกความจริงแก่ท่านว่าบาปและการหมิ่น เราเปนคนบาปที่ตองการไดรับการ ประมาททุกอย่างของมนุษย์ทรงอภัยให้ได้ แต่ผู้ใด ยกโทษบาป เมื่อเราพูดหมิ่นประมาท หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่มีวันได้รับการ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เหมือนกับวา อภัย เขาได้ทําความผิดอันเป็นบาปที่ติดตัวไปตลอด เรากําลังปฏิเสธที่จะเชื่อในสิ่งที่พระ กาล” เยซูกําลังบอกเรา ถาเรายังไมมีความ พระองค์ตรัสเช่นนี้เพราะพวกเขากล่าวว่า “เขามี เชื่อ เราก็จะไมขอการใหอภัยบาป วิญญาณชั่วเข้าสิง” ของเรา 20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
มารดากับน้องชายของพระเยซู
แล้วมารดากับน้องๆ ของพระเยซูก็มาถึง พวกเขายืนอยู่ด้านนอกและให้คนเข้าไปเรียก พระองค์ ฝูงชนนั่งอยู่รอบพระองค์ พวกเขาทูลพระองค์ว่า “มารดากับน้องชายของท่านมารอพบ ท่านอยู่ด้านนอก” พระองค์ตรัสถามว่า “ใครคือมารดาหรือพี่น้องของเรา?” แล้วพระองค์ทรงมองดูบรรดาผู้ที่นั่งอยู่รอบพระองค์และตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของ เรา! ผู้ใดทําตามพระทัยของพระเจ้าผู้นั้นแหละคือมารดาและพี่น้องชายหญิงของเรา” 31
32
33 34
35
คําอุปมาเรื่องผู้หว่าน
วพระเยซูทรงสอนที่ริมทะเลสาบอีก ฝูงชนรุมล้อมพระองค์แน่นขนัดจนพระองค์ต้องเสด็จ 4 แล้ ลงไปประทับนั่งในเรือ ขณะที่ประชาชนอยู่ที่ชายฝั่ง พระองค์ทรงยกคําอุปมาสอนหลายสิ่งแก่ 2
พวกเขาว่า “ฟังเถิด! ชาวนาผู้หนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่หว่านบางเมล็ดก็ตกตามทางและ นกมาจิกกินหมด บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหินซึ่งมีเนื้อดินน้อยจึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินตื้น แต่ เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกกลางพงหนาม ต้นหนามก็งอกคลุมจึงไม่เกิดผล แต่ยังมีเมล็ดบางส่วนตกบนดินดี งอกขึ้นมา เติบโตและเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า หรือถึงร้อย เท่า” แล้วพระเยซูตรัสว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” เมื่อทรงอยู่ตามลําพัง สาวกทั้งสิบสองคนกับคนอื่นที่แวดล้อมพระองค์อยู่ทูลถามพระองค์เกี่ยว 3
4
5
6
7
8
9
10
74 | มาระโก 3:18
กับคําอุปมาเหล่านั้น พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “ความลับของอาณาจักรของพระเจ้าทรงโปรด ให้พวกท่านรู้ ส่วนคนนอกนั้นทุกอย่างจะใช้คําอุปมา เพื่อว่า “ ‘พวกเขาจะดูแล้วดูเล่าแต่จะไม่มีวันประจักษ์ และจะฟังแล้วฟังเล่าแต่จะไม่มีวันเข้าใจ มิฉะนั้นแล้วเขาจะหันกลับมาและได้รับการอภัย!’” แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจคําอุปมานี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นจะเข้าใจคํา อุปมาทั้งหลายได้อย่างไร? ชาวนาได้หว่านพระวจนะ บางคนก็เป็นเหมือนเมล็ดพืชที่ตกตามทาง ทันทีที่เขาได้ยิน ซาตานก็มาฉวยเอาพระวจนะที่หว่านลงในเขาไป บางคนก็เหมือนเมล็ดพืชที่ หว่านลงบนพื้นหิน เมื่อได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี แต่เนื่องจากไม่ได้หยั่งราก ลึกจึงคงอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้นพวกเขาก็เลิกราไป อย่างรวดเร็ว บางคนเหมือนเมล็ดพืชที่หว่านลงกลางพงหนาม คือได้ยินพระวจนะ แต่ถูกความ พะวักพะวนในชีวิตนี้ ความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติ และความอยากได้ใคร่มีในสิ่งต่างๆ เข้ามา รัดพระวจนะนั้นทําให้ไม่เกิดผล คนอื่นๆ เหมือนเมล็ดพืชที่หว่านลงบนดินดี คือผู้ที่ได้ยินพระ วจนะแล้วรับไว้และเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า หรือถึงร้อยเท่าของที่หว่านลงไป” 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
ตะเกียงบนเชิงตะเกียง
พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านไม่เอาตะเกียงวางไว้ใต้ถังหรือวางไว้ใต้เตียงใช่ไหม? ตรงกัน ข้าม ท่านย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียงไม่ใช่หรือ? เพราะสิ่งที่ซ่อนเร้นจะถูกเปิดเผย สิ่งที่ปิดบังไว้จะ ถูกเปิดโปง ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด” พระองค์ตรัสอีกว่า “จงพิจารณาสิ่งที่ท่านได้ยินอย่างถี่ถ้วน ท่านตวงให้ไปด้วยทะนานอันใด ท่านก็จะได้รับเท่ากับทะนานอันนั้น และได้รับมากยิ่งกว่านั้นอีก ผู้ใดมีอยู่แล้วจะได้รับเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่มีแม้ที่เขามีอยู่ก็จะถูกริบเอาไปจากเขา” 21
22
23
24
25
คําอุปมาเรื่องเมล็ดพืชที่งอกขึ้น
พระองค์ตรัสด้วยว่า “อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนคนหนึ่งหว่านเมล็ดพืชลงในดิน ทั้ง วันทั้งคืนไม่ว่าเขาหลับหรือตื่น เมล็ดพืชก็งอกและเติบโตขึ้นแม้เขาไม่รู้ว่ามันงอกขึ้นได้อย่างไร ดินทําให้มันงอกเป็นต้นอ่อนแล้วออกรวง จากนั้นมีเมล็ดข้าวเต็มรวง เมื่อข้าวสุกแล้ว เขาก็ใช้ เคียวเกี่ยวเพราะถึงฤดูเกี่ยวแล้ว” 26
27
28
29
คําอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด
พระองค์ตรัสอีกว่า “พวกเราจะเปรียบอาณาจักรของพระเจ้ากับอะไรดี หรือจะยกอุปมาใดมา อธิบาย? อาณาจักรของพระเจ้านัน้ ก็เหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึง่ เป็นเมล็ดทีเ่ ล็กทีส่ ดุ เมือ่ เพาะลงในดิน แต่เมือ่ งอกขึน้ ก็เป็นต้นใหญ่ทส่ี ดุ ในสวน แผ่กง่ิ ก้านสาขาจนนกในอากาศมาพักอาศัยในร่มเงาได้” พระเยซูทรงยกคําอุปมาที่คล้ายกันนี้อีกหลายเรื่องมาตรัสกับพวกเขาเท่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้ พระองค์ตรัสกับพวกเขาเป็นคําอุปมาทั้งสิ้น แต่เมื่อพระองค์ทรงอยู่กับเหล่าสาวกตามลําพังก็ทรง อธิบายทุกสิ่ง 30
31
32
33
34
พระเยซูทรงห้ามพายุ
เย็นวันนั้นพระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ให้เราข้ามไปอีกฟากหนึ่งเถิด” พวกเขาก็พา พระองค์ไปในเรือที่ประทับอยู่นั้น โดยละฝูงชนไว้ข้างหลังและมีเรืออื่นๆ หลายลําตามพระองค์ไป ด้วย เกิดพายุร้าย คลื่นซัดท่วมจนเรือจวนจะจมแล้ว พระเยซูทรงหนุนหมอนบรรทมอยู่ท้ายเรือ เหล่าสาวกมาปลุกพระองค์และทูลว่า “พระอาจารย์ พระองค์ไม่ทรงห่วงว่าเราจะจมน้ําตายหรือ?” พระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและคลื่นว่า “เงียบ! จงสงบนิ่งเดี๋ยวนี้!” แล้วลมก็หยุดพัด ทุกอย่าง ก็สงบนิ่งอย่างสิ้นเชิง 35
36
37
38
39
มาระโก 4:39 | 75
มาระโก 4:35–41 มาระโกบอกเราว่าแม้พายุร้ายและคลื่นที่ซัดเข้าท่วมเรือ มันก็ยังเชื่อฟังคําของพระเยซู พระเยซูทรงมีสิทธิอํานาจยิ่งใหญ่ เพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า ต้นไม้ ตัดสินใจที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคลื่นทะเล เขาพบว่าคลื่นที่สูงสุดที่เคย บันทึกไว้ เกิดขึ้นในปีค.ศ. 1933 ในมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ มันเป็นคลื่นที่มีความสูง ถึง 34 เมตร ซึ่งเป็นความสูงที่เท่ากับความสูงของอาคาร 10 ชั้น พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ทําไมจึงกลัวนัก? พวกท่านยังไม่มีความเชื่ออีกหรือ?” เหล่าสาวกแตกตื่นตกใจ ต่างถามกันว่า “พระองค์ทรงเป็นใครหนอ? แม้แต่ลมและคลื่นก็ยัง เชื่อฟังพระองค์!” 40 41
ทรงรักษาคนถูกผีสิง
พวกเขาข้ามฟากมาถึงดินแดนเกราซา เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือมีชายคนหนึ่งซึ่งถูก 5 วิเมืญ่อญาณชั ่วเข้าสิงออกจากอุโมงค์ฝังศพมาหาพระองค์ เขาอาศัยอยู่ตามอุโมงค์ ใครๆ ก็มัดเขา 2
3
ไว้ไม่อยู่แม้จะใช้โซ่ตรวนก็ตาม เพราะเคยล่ามโซ่ใส่ตรวนมือเท้าของเขาหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ กระชากโซ่ตรวนขาด ไม่มีใครแข็งแรงพอจะทําให้เขาสิ้นพยศ เขาร้องอึงอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพและ ตามเนินเขาทั้งวันทั้งคืนและเอาหินกรีดเนื้อตัวเอง เมื่อเขาเห็นพระเยซูแต่ไกลก็วิ่งมาคุกเข่าต่อหน้าพระองค์ และตะโกนสุดเสียงว่า “พระเยซู พระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระองค์ต้องการอะไรจากข้าพระองค์หรือ? ขอทรงสาบานต่อพระเจ้า ว่าจะไม่ทรมานข้าพระองค์!” เพราะพระเยซูได้ตรัสกับมันว่า “เจ้าวิญญาณชั่ว จงออกมาจากชาย คนนี้!” แล้วพระเยซูตรัสถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?” มันตอบว่า “ชื่อกอง เพราะเรามีด้วยกันหลายตน” และมันพร่ําอ้อนวอนพระเยซูไม่ให้ขับไล่ พวกมันออกจากถิ่นนั้น 4
5
6
7
8
9
10
มาระโก 4:35–41 แบ่งกลุ่มออกเป็น 4 กลุ่ม 1 เป็น ลมแรง พวกเขาร้องว่า “ วู…” 3 เป็น เม็ดฝน พวกเขาตบมือลงบนพืน้ แข็ง 2 เป็น คลื่นร้าย พวกเขาร้องว่า “ ซู…” 4 เป็น เสียงฟ้าผ่า พวกเขาปรบมือเสียงดัง เลือกเพื่อนมา 1 คน เพื่ออ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้น จากนั้นหัวหน้าทีมก็เอาพายุเข้ามา แล้วคลื่นร้ายมาเป็นอย่างแรก จากนั้นก็ตามด้วยลมแรง และเม็ดฝน แล้วเสียงฟ้าผ่า ตามมาเป็นอันสุดท้าย จากนั้นผู้อ่านก็จะบอกว่า พระเยซูตรัสว่า “เงียบ! จงสงบเงียบ เดี๋ยวนี้!” ทุกคนก็ต้องนั่งเงียบสงบ 76 | มาระโก 4:40
ไม่ไกลจากที่นั่นมีสุกรฝูงใหญ่หากินอยู่บนเนินเขา พวกผีจึงทูลวิงวอนพระเยซูว่า “ขอให้พวก ข้าพระองค์ไปสิงในสุกรฝูงนั้นเถิด” เมื่อทรงอนุญาต วิญญาณชั่วเหล่านั้นก็ออกจากชายผู้นั้นและ เข้าไปสิงในสุกร แล้วสุกรทั้งฝูงราวสองพันตัวก็กระโจนจากหน้าผาลงทะเลสาบจมน้ําตายหมด บรรดาคนเลี้ยงสุกรวิ่งเข้าไปเล่าเรื่องนี้ในเมืองและในชนบทโดยรอบ ผู้คนพากันออกมาดู ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพวกเขามาหาพระเยซูก็เห็นชายที่เคยถูกผีทั้งกองเข้าสิงนั่งอยู่ที่นั่นสวมใส่ เสื้อผ้าและมีสติดี พวกเขาก็กลัว ผู้ที่เห็นเหตุการณ์จึงเล่าเรื่องที่เกิดกับคนที่ถูกผีสิงและสุกรนั้นให้ ประชาชนฟัง พวกเขาจึงทูลวิงวอนพระเยซูให้ไปจากเขตแดนของเขา ขณะพระเยซูจะเสด็จลงเรือ คนที่เคยถูกผีสิงนั้นอ้อนวอนขอไปกับพระองค์ พระเยซูไม่ทรง อนุญาต แต่ตรัสว่า “จงกลับบ้านไปหาครอบครัวของท่าน และบอกพวกเขาว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงกระทําการเพื่อท่านมากเพียงใดและทรงเมตตาต่อท่านอย่างไร” เขาจึงทูลลาไปป่าวประกาศ ในแคว้นเดคาโปลิสว่าพระเยซูทรงกระทําการเพื่อเขามากเพียงไร คนทั้งปวงก็ประหลาดใจ 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
เด็กที่เสียชีวิตและหญิงที่ป่วย
เมื่อพระเยซูทรงนั่งเรือข้ามฟากกลับมาอีกครั้ง ขณะที่พระองค์ทรงอยู่ที่ริมทะเลสาบ ฝูงชน กลุ่มใหญ่พากันมาห้อมล้อมพระองค์ มีนายธรรมศาลาคนหนึ่งชื่อไยรัสมาที่นั่น เมื่อเห็นพระเยซู ก็หมอบลงแทบพระบาทพระองค์ แล้วทูลอ้อนวอนด้วยความร้อนใจว่า “ลูกสาวเล็กๆ ของข้า พระองค์กําลังจะตาย โปรดเสด็จไปทรงวางมือให้ด้วยเถิดเพื่อเขาจะหายและไม่ตาย” ดังนั้นพระ เยซูจึงเสด็จไปกับเขา ผู้คนคับคั่งตามมาเบียดเสียดกันอยู่รอบพระองค์ ที่นั่นมีหญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสอง ปีแล้ว นางทุกข์ทรมานมาก เสียเงินหาหมอมาหลายคนจนหมดตัว แต่แทนที่จะดีขึ้นอาการกลับ ทรุดลง เมื่อนางได้ยินเรื่องพระเยซูจึงเดินปะปนกับฝูงชนตามมาข้างหลังพระองค์และแตะฉลอง พระองค์ เพราะนางคิดว่า “ขอเพียงได้แตะฉลองพระองค์เท่านั้นเราก็จะหายโรค” ทันใดนั้นเอง เลือดก็หยุดไหลและนางรู้สึกว่าตนหายโรคแล้ว พระเยซูทรงทราบทันทีว่าฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์ พระองค์จึงทรงหันกลับมาทางฝูงชนและ ตรัสถามว่า “ใครแตะต้องเสื้อผ้าของเรา?” เหล่าสาวกทูลว่า “พระองค์ทรงเห็นอยู่แล้วว่าผู้คนเบียดเสียดพระองค์กันแน่นแล้วพระองค์ยัง จะทรงถามอีกหรือว่า ‘ใครมาแตะต้องเรา?’ ” แต่พระเยซูยังทอดพระเนตรไปรอบๆ ดูว่าใครเป็นผู้ทําเช่นนั้น หญิงนั้นซึ่งรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น กับนางก็กลัวจนตัวสั่น เข้ามาหมอบลงแทบพระบาท แล้วกราบทูลความจริงทั้งหมด พระองค์ ตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าทําให้เจ้าหายโรค จงกลับไปด้วยสันติสุขและพ้นจาก ความทุกข์ทรมานเถิด” พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคําก็มีคนจากบ้านของไยรัสนายธรรมศาลามาบอกว่า “ลูกสาวของ ท่านเสียชีวิตแล้ว จะรบกวนพระอาจารย์อีกทําไม?” พระเยซูไม่ทรงฟังแต่ตรัสกับนายธรรมศาลาว่า “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้น” พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครติดตามไปยกเว้นเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ เมื่อมาถึงบ้านของนายธรรมศาลาพระเยซูทรงเห็นความอึกทึกวุ่นวาย ผู้คนร้องไห้สะอึกสะอื้นกัน เสียงดัง พระองค์ทรงเข้าไปข้างในและตรัสกับพวกเขาว่า “ร้องไห้วุ่นวายกันไปทําไม? เด็กน้อยยัง ไม่ตายเพียงแต่หลับอยู่” แต่พวกเขาพากันหัวเราะเยาะพระองค์ หลังจากพระองค์ทรงให้ผู้คนออกไปแล้วก็ทรงพาพ่อแม่ของเด็กกับเหล่าสาวกที่อยู่กับพระองค์ เข้าไปหาเด็กนั้น พระองค์ทรงจับมือเด็กน้อยตรัสว่า “ทาลิธา คูม!” (ซึ่งแปลว่า “แม่หนูเอ๋ย เรา บอกเจ้าให้ลุกขึ้น!”) ทันใดนั้นเด็กหญิงก็ลุกขึ้นเดินไปรอบๆ (เด็กคนนี้อายุสิบสองขวบ) คนทั้งปวง ตกตะลึงพรึงเพริด พระองค์ทรงกําชับเด็ดขาดไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใครและตรัสสั่งให้นําอาหารมา ให้เด็กรับประทาน 21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36 37
38
39
40
41
42
43
มาระโก 5:43 | 77
มาระโก 6:2–3 รอยเปื้อนจากโคลนหรือดินที่มือของเรา ถ้าเราปล่อยให้มันแห้ง มันทําให้มือของเรา แห้งตึง คนที่ต้องใช้มือในการทํางาน มือของเขามักจะสาก ผิวหยาบกร้าน น้อง ๆ รู้จักใครที่มี มือเป็นแบบนี้บ้างไหม? พระเยซูทรงเป็นช่างไม้เช่นเดียวกับบิดาของพระองค์ พระองค์ทํางานกับไม้ อาสา คิดว่ามือของพระเยซูต้องแข็งแรง และหยาบกร้านแน่ ๆ ผู้เผยพระวจนะซึ่งไม่มีใครนับถือ
พระเยซูเสด็จจากที่นั่นไปยังบ้านเกิดของพระองค์โดยมีเหล่าสาวกติดตามไปด้วย เมื่อถึงวัน 6 สะบาโตพระองค์ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลา หลายคนที่ได้ฟังพระองค์ก็ประหลาดใจ 2
พวกเขาถามว่า “คนนี้ได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? สติปัญญาที่เขาได้รับเป็นสติปัญญาอย่างไหน กัน? ถึงกับทําการอัศจรรย์ได้! เขาเป็นช่างไม้มิใช่หรือ? เขาเป็นลูกนางมารีย์ เป็นพี่ชายของยากอบ โยเซฟ ยูดาส กับซีโมนไม่ใช่หรือ? พวกน้องสาวของเขาก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ?” เขาทั้งหลาย จึงไม่พอใจพระองค์ พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระวจนะจะขาดคนนับถือก็แต่เฉพาะในบ้านเกิด ในหมู่ญาติ และในบ้านของตนเอง” พระองค์ไม่อาจทําการอัศจรรย์ใดๆ ที่นั่นเว้นแต่ทรงวางมือบนคนป่วย บางคนและรักษาพวกเขาให้หาย และพระองค์ทรงแปลกใจที่พวกเขาขาดความเชื่อ 3
4
5
6
พระเยซูทรงส่งสาวกทัง้ สิบสองคนออกไป
มาระโก 6:7–8 จากนั้นพระเยซูเสด็จไปสั่งสอนตามหมู่บ้านโดยรอบ ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา ส่งพวกเขาออกไปเป็น เหล่าสาวกออกไปประกาศกันเป็น คู่ๆพร้อมทั้งประทานฤทธิ์อํานาจเหนือวิญญาณชั่วให้ คู่ ๆ เพราะการเดินทางนั้นอันตราย แก่พวกเขา และยากลําบากเกินกว่าที่จะไปคน พระองค์ทรงกําชับว่า “ไม่ต้องนําสิ่งใดติดตัวไปใน เดียวได้ อีกเหตุผลหนึ่งที่ต้องมีเพื่อน การเดินทางนอกจากไม้เท้า ไม่ต้องเอาอาหาร ย่าม ร่วมเดินทางไปด้วย เพราะชาวยิว หรือเงินติดตัวไป ให้สวมรองเท้าแต่ไม่ต้องเตรียมเสื้อ บอกว่า พวกเขาจะเชื่อก็ต่อเมื่อมี อีกตัวหนึ่ง เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงพักที่บ้านนั้น พยานอย่างน้อยสองคนที่เห็นด้วยกับ จนกว่าจะไปจากเมืองนั้น หากที่ไหนไม่ต้อนรับหรือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รับฟัง เมื่อจะไปจากที่นั่นก็จงสะบัดฝุ่นออกจากเท้า เพื่อเป็นพยานปรักปรําเขา” เหล่าสาวกจึงออกไปและเทศนาให้ประชาชนกลับใจใหม่ พวกเขาขับผีออกหลายตนและเจิม คนป่วยมากมายด้วยน้ํามันและรักษาพวกเขาให้หาย 7
8
9
10
11
12
13
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกประหาร
กษัตริยเ์ ฮโรดได้ยนิ เรือ่ งของพระเยซูเพราะชือ่ เสียงของพระองค์เลือ่ งลือไปทัว่ บางคนพูดว่าพระ เยซูคอื ยอห์นผูใ้ ห้บพั ติศมาซึง่ เป็นขึน้ จากตาย ดังนัน้ เขาจึงมีฤทธิอ์ าํ นาจทําการอัศจรรย์ตา่ งๆ ได้ บางคนก็ว่า “เขาคือเอลียาห์” และยังมีคนอื่นๆ ที่อ้างว่า “เขาคือผู้เผยพระวจนะเหมือนเหล่า ผู้เผยพระวจนะในอดีต” 14
15
78 | มาระโก 6:1
แต่เมื่อเฮโรดได้ยินก็กล่าวว่า “นี่คือยอห์นที่เราสั่งให้ตัดศีรษะไป เขาเป็นขึ้นจากตายแล้ว!” เพราะเฮโรดเองสั่งให้จับยอห์นมาล่ามโซ่ขังไว้ในคุก ด้วยสาเหตุจากนางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชาย มาระโก 6:20 ของตนซึ่งเฮโรดได้นางมาเป็นภรรยา เนื่องจากยอห์น เคยพูดกับเฮโรดว่า “ท่านทําผิดบัญญัติที่เอาน้องสะใภ้ กษัตริย์เฮโรดได้จับกุมยอห์นผู้ให้ มาเป็นภรรยา” ดังนั้นนางเฮโรเดียสจึงอาฆาตยอห์น บัพติศมาไว้ ชื่อเต็มของพระองค์คือ และอยากจะฆ่าเขาแต่ก็ทําไม่ได้ เพราะเฮโรดยําเกรง เฮโรด อันทิพาส ยอห์นและคอยปกป้องเขาเพราะรู้ว่าเขาเป็นผู้ชอบ พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรส ธรรมและบริสุทธิ์ เมื่อเฮโรดได้ฟังยอห์นพูดก็งุนงงสงสัย ของกษัตริย์เฮโรดผู้ปกครองกรุง ยิ่งนักแต่ก็ยังอยากฟัง เยรูซาเล็มในเวลาที่พระเยซูทรงเป็น ในที่สุดโอกาสก็มาถึง ในงานฉลองวันเกิดเฮโรดจัด ทารกอยู่ งานเลี้ยงขุนนาง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และบรรดาคน เฮโรด อันทิพาส เป็นราชาแห่งแคว้น สําคัญๆ ในแคว้นกาลิลี เมื่อบุตรีของนางเฮโรเดียส กาลิลี พระองค์ได้สมรสกับภรรยา ออกมาเต้นรําก็เป็นที่ถูกใจเฮโรดกับแขกเหรื่อยิ่งนัก ของพระเชษฐาของพระองค์ คือนาง กษัตริย์จึงกล่าวกับหญิงสาวนั้นว่า “จงขอสิ่งที่เจ้า เฮโรเดีย เธอเกลียดยอห์นผู้ให้ ต้องการแล้วเราจะให้ตามที่เจ้าขอ” และสัญญาโดย บัพติศมา เพราะยอห์นไม่ได้เก็บ ปฏิญาณว่า “ไม่ว่าเจ้าจะขออะไร เราก็จะให้ทั้งนั้น ความผิดบาปของเธอเป็นความลับ จนถึงครึ่งหนึ่งของอาณาจักร” เธออยากให้เขาตาย! นางจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขออะไรดี?” มารดาบอกว่า “ขอศีรษะยอห์นผู้ให้บัพติศมาสิ” นางรีบมาทูลกษัตริย์ทันทีว่า “ขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เดี๋ยว นี้เถิด” กษัตริยเ์ ฮโรดเป็นทุกข์ยง่ิ นักแต่กข็ ดั ไม่ได้เพราะได้ปฏิญาณไว้และเพราะเห็นแก่หน้าแขกเหรือ่ จึงบัญชาในทันทีทันใดให้เพชฌฆาตนําศีรษะของยอห์นมา เขาก็ไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก แล้วนําศีรษะใส่ถาดมาให้หญิงนั้นและนางเอาไปให้มารดา เมื่อศิษย์ของยอห์นทราบข่าวจึงมา รับศพเขาไปฝังในอุโมงค์ 16 17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27 28
29
พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน
ฝ่ายอัครทูตมาเข้าเฝ้าพระเยซูและทูลรายงานสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาได้ทําและสั่งสอน เนื่องจาก ขณะนั้นมีผู้คนไปๆ มาๆ กันแน่นขนัดจนพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะรับประทานอาหาร พระองค์จึง ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงตามเราไปหาที่สงบพักกันสักหน่อยเถิด” ดังนั้นพระองค์กับเหล่าสาวกจึงลงเรือไปยังที่สงบเงียบ แต่หลายคนเห็นพวกเขาก็จําได้และ พากันวิ่งจากเมืองต่างๆ ไปถึงที่นั่นก่อน เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือและเห็นคนหมู่ใหญ่ก็ทรง สงสารเพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง ดังนั้นพระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง พอตกเย็นเหล่าสาวกจึงมาทูลว่า “ที่นี่ห่างไกลนักและตกเย็นแล้ว ขอทรงให้ประชาชนเหล่านี้ ไปเสียเถิดเพื่อเขาจะได้ซื้อหาอาหารกินกันเองตามหมู่บ้านรอบๆ” แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” เหล่าสาวกทูลว่า “นี่ต้องใช้เงินเท่ากับค่าจ้างคนงานคนหนึ่งถึงแปดเดือนทีเดียว! เราต้องใช้เงิน มากขนาดนั้นไปซื้อหาอาหารมาให้เขากินหรือ?” พระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน? ไปดูซิ” เมื่อรู้แล้วพวกเขาจึงกลับมาทูลว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” แล้วพระเยซูตรัสสั่งสาวกให้ไปบอกประชาชนให้นั่งกันเป็นกลุ่มบนพื้นหญ้าเขียวขจี พวกเขา ก็นั่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง พระเยซูทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสอง 30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
มาระโก 6:41 | 79
มาระโก 6:45–52 เราเคยสงสัยเหมือนอย่างจ๊ะจ๋าไหมว่าผีมีจริงหรือไม่? เมื่อเหล่าสาวกอยู่บนเรือใน ทะเลสาบกาลิลี พวกเขาคิดว่าเขาเห็นผีเดินบนน้ํา พวกเขาจึงมีความหวาดกลัวยิ่งนัก จนกระทั่งเขาเห็นว่าเป็นพระเยซูดําเนินมาบนทะเล น้อง ๆ พอรู้เรื่องผีบ้างไหม? มันทําให้น้อง ๆ กลัวหรือเปล่า? อาจจะกลัวนิดหน่อย? จริง ๆ แล้วน้อง ๆ กลัวอะไรกันแน่? ให้เล่าให้เพื่อนในกลุ่มฟัง ตัวนั้นมา ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมองฟ้าสวรรค์แล้วขอบพระคุณพระเจ้าและหักขนมปังส่งให้เหล่า สาวก พวกเขาก็แจกจ่ายให้ประชาชน พระองค์ยังทรงแบ่งปลาสองตัวให้คนทั้งปวงโดยทั่วกันด้วย พวกเขาทุกคนได้กินอิ่มหนํา เหล่าสาวกเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้สิบสองตะกร้าเต็ม จํานวนผู้ชายที่รับประทานอาหารนั้นมีห้าพันคน 42
43
44
พระเยซูทรงดําเนินบนน้ํา
แล้วพระเยซูทรงให้เหล่าสาวกลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปยังเมืองเบธไซดาทันทีขณะที่พระองค์ ทรงรอส่งฝูงชน หลังจากแยกจากพวกเขาแล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐาน เมื่อค่ําลง เรือของเหล่าสาวกอยู่กลางทะเลสาบและพระองค์ประทับอยู่ที่ริมฝั่งแต่ผู้เดียว ทรง เห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงทวนลมที่ปะทะอยู่ ในช่วงใกล้รุ่งพระเยซูก็ทรงดําเนินบนน้ําไปหาพวกเขา พระองค์กําลังจะเสด็จเลยพวกเขาไป แต่เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ดําเนินมาบนทะเลสาบก็คิด ว่าเป็นผีจึงร้องลั่น เพราะทุกคนเห็นพระองค์และตกใจกลัว ทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เข้มแข็งไว้! นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” แล้วเสด็จขึ้นเรือของ พวกเขา ลมก็สงบ พวกเขาประหลาดใจยิ่งนัก เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง จิตใจของ พวกเขาแข็งกระด้าง เมื่อข้ามฟากมาแล้วพวกเขาก็จอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเรท ทันทีที่พวกเขาขึ้นจากเรือ ประชาชนก็จําพระเยซูได้ คนเหล่านั้นจึงวิ่งไปทั่วแคว้นนําบรรดาคนเจ็บป่วยวางบนที่นอนและ หามไปยังทุกที่ที่ได้ยินว่าพระองค์เสด็จไป ไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ไหน ทั้งในหมู่บ้าน ในเมือง หรือในชนบท พวกเขาจะหามคนป่วยมาที่ย่านชุมชน แล้วทูลขอให้คนป่วยนั้นได้แตะต้องแม้แต่ เพียงชายฉลองพระองค์ก็พอและทุกคนที่ได้แตะต้องพระองค์ก็หายป่วย 45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
สิ่งที่เป็นมลทิน
ฝ่ายพวกฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาห้อมล้อมพระเยซู และเห็นสาวกบางคน 7 ของพระองค์ รับประทานอาหารโดยไม่ได้ล้างมือซึ่งถือว่า “เป็นมลทิน” (พวกฟาริสีและชาว 2
3
ยิวทั้งปวงถือตามประเพณีที่สืบทอดจากบรรพบุรุษว่าจะไม่รับประทานอาหารจนกว่าจะได้ล้างมือ ตามระเบียบพิธีก่อน เมื่อกลับจากตลาดต้องล้างมือก่อนจะรับประทานอาหาร และยังมีธรรมเนียม อื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่นการล้างถ้วย เหยือก และภาชนะต่างๆ) ฉะนั้นพวกฟาริสีและธรรมาจารย์จึงทูลถามพระเยซูว่า “เหตุใดสาวกของท่านจึงไม่ทําตาม ธรรมเนียมของผู้อาวุโส แต่กลับรับประทานอาหารด้วยมือที่ ‘เป็นมลทิน’?” พระองค์ตรัสตอบว่า “อิสยาห์พูดถูกแล้วเมื่อเผยพระวจนะเกี่ยวกับคนหน้าซื่อใจคดอย่างพวก เจ้าดังที่มีคําเขียนไว้ว่า 4
5
6
80 | มาระโก 6:42
“ ‘ประชากรเหล่านี้ยกย่องเราแต่ปาก แต่ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์ คําสอนของเขาเป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สอนกันมา’ พวกท่านละเลยพระบัญชาของพระเจ้าและไปยึดถือธรรมเนียมของมนุษย์” และพระองค์ตรัสว่า “พวกท่านมีวิธีเลี่ยงพระบัญชาของพระเจ้าไปทําตามธรรมเนียมของตนได้ ดีจริงนะ! เพราะโมเสสกล่าวว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’ และ ‘ผู้ใดแช่งด่าบิดามารดาจะ ต้องมีโทษถึงตาย’ แต่พวกท่านบอกว่าหากใครพูดกับบิดามารดาว่า ‘สิ่งใดๆ จากข้าพเจ้าซึ่งอาจ เป็นประโยชน์แก่ท่านก็คือโกระบาน’ (คือของที่ได้ถวายแด่พระเจ้าแล้ว) แล้วท่านจึงไม่ให้เขาทํา สิ่งใดให้บิดามารดาอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ท่านจึงทําให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะไปโดยการ ยึดธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาและพวกท่านยังทําอีกหลายอย่างในทํานองนี้” แล้วพระเยซูทรงเรียกฝูงชนเข้ามาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่งและตรัสว่า “ทุกคนจงฟังและเข้าใจ ข้อนี้ ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในมนุษย์แล้วทําให้เขา ‘เป็นมลทิน’ แต่สิ่งที่ออกจากตัวเขา ต่างหากที่ทําให้เขา ‘เป็นมลทิน’” เมื่อละจากฝูงชนเข้ามาในบ้านแล้ว เหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์เกี่ยวกับคําอุปมานี้ พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ท่านไม่เห็นหรือว่าไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไป ในตัวคนแล้วทําให้คน ‘เป็นมลทิน’ ได้? เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วออกจาก ร่างกาย” (ที่พระเยซูตรัสเช่นนี้เป็นการประกาศว่าอาหารทั้งปวง “ปราศจากมลทิน”) พระองค์ตรัสต่อไปว่า “สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์ต่างหากที่ทําให้เขา ‘เป็นมลทิน’ เพราะที่ออก มาจากภายในจากใจคนเราคือ ความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การเข่นฆ่า การ ล่วงประเวณี ความโลภ การมุ่งร้าย การฉ้อฉล ราคะตัณหา ความอิจฉา การนินทาว่าร้าย ความ หยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา สารพัดความชั่วนี้มาจากภายในและทําให้มนุษย์ ‘เป็นมลทิน’ ” 7
8
9
10
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
23
ความเชื่อของหญิงชาวซีเรียฟีนิเซีย
จากที่นั่นพระเยซูเสด็จเข้าสู่เขตเมืองไทระ ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งและไม่ประสงค์ให้ใครรู้ แต่ก็ปิดไว้ไม่อยู่ หญิงคนหนึ่งซึ่งลูกสาวเล็กๆ ของนางมีวิญญาณชั่วสิง เมื่อได้ทราบข่าวเกี่ยวกับ พระองค์ก็มาหมอบกราบแทบพระบาทของพระองค์ หญิงผู้นี้เป็นชาวกรีกเกิดในซีเรียฟีนิเซีย นาง มาทูลอ้อนวอนพระเยซูให้ทรงช่วยขับผีออกจากลูกสาวของนาง พระองค์ตรัสบอกนางว่า “ต้องให้ลูกๆ กินอิ่มก่อน เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเอาอาหารของ ลูกโยนให้สุนัข” หญิงนั้นทูลว่า “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขใต้โต๊ะยังได้กินเศษอาหารที่เหลือจากลูก” แล้วพระองค์จึงตรัสบอกนางว่า “ไปเถิด เพราะคําตอบของเจ้า ผีนั้นออกจากลูกสาวของเจ้า แล้ว” หญิงนั้นก็กลับไปบ้านและพบว่าลูกสาวนอนอยู่บนเตียงและผีนั้นได้ออกไปแล้ว 24
25
26
27
28
29
30
ทรงรักษาคนหูหนวกและเป็นใบ้
แล้วพระเยซูเสด็จจากเขตเมืองไทระผ่านเมืองไซดอนไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลีเข้าสู่แคว้น เดคาโปลิส ที่นั่นมีคนพาชายผู้หนึ่งซึ่งหูหนวกพูดเกือบไม่ได้เลย มาทูลอ้อนวอนให้ทรงวางมือบน ชายผู้นั้น พระเยซูทรงพาเขาเลี่ยงออกไปจากฝูงชน เอานิ้วพระหัตถ์สอดเข้าไปในหูของชายผู้นั้น แล้ว ทรงบ้วนน้ําลายเอาไปแตะที่ลิ้นของเขา พระองค์ทรงเงยพระพักตร์มองฟ้าสวรรค์ ถอนพระทัย ยาว และตรัสกับเขาว่า “เอฟฟาธา!” (ซึ่งแปลว่า “จงเปิดออก!”) แล้วหูของชายคนนั้นก็หาย หนวก ลิ้นของเขาก็หายขัด เขาเริ่มพูดได้ชัดเจน 31
32
33
34
35
มาระโก 7:35 | 81
มาระโก 7:31–35 พระเยซูทรงรักษาชายผู้หูหนวกและเป็นใบ้ จ๊ะจ๋าคิดว่ามันเป็นเรื่องเลวร้ายมากที่ไม่ สามารถได้ยิน หรือพูดได้ ให้พูดคุยกับเพื่อนว่าถ้าเราไม่ได้ยิน หรือพูดไม่ได้จะเป็นอย่างไร ลองเล่นเป็นละครใบ้เกีย่ วกับชายผูท้ ถ่ี กู รักษา โปรดจําไว้วา่ เราจะต้องไม่ใช้คาํ พูด น้อง ๆ ต้องเล่าเรื่องราวโดยใช้ท่าทาง การเคลื่อนไหว และการแสดงออกผ่านทางสีหน้า เท่านั้น พระเยซูทรงกําชับพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องนี้แก่ใคร แต่ยิ่งพระองค์ทรงห้ามพวกเขาก็ยิ่งเล่าลือ เรื่องนี้ไปทั่ว ประชาชนประหลาดใจยิ่งนักและพูดว่า “พระองค์ทรงกระทําแต่สิ่งดีๆ ทั้งนั้น พระองค์ถึงกับทรงกระทําให้คนหูหนวกได้ยินและคนใบ้พูดได้” 36
37
พระเยซูทรงเลี้ยงคนสี่พันคน
มีฝงู ชนกลุม่ ใหญ่อกี กลุม่ หนึง่ มาชุมนุมกัน เนือ่ งจากพวกเขาไม่มอี าหารรับประทาน พระ 8 ครัเยซูง้ จนังึ น้ ทรงเรี ยกเหล่าสาวกมาและตรัสว่า “เราสงสารคนเหล่านี้ พวกเขามาอยูก่ บั เราสามวันแล้ว 2
และไม่มอี ะไรกิน ถ้าให้เขากลับไปทัง้ ทีย่ งั หิวอยูก่ ลัวว่าจะหมดแรงกลางทางเพราะบางคนก็มาไกล” เหล่าสาวกทูลว่า “แต่ในที่ห่างไกลแบบนี้จะหาขนมปังที่ไหนมาพอเลี้ยงพวกเขา?” พระเยซูตรัสถามว่า “พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน?” เขาทูลว่า “เจ็ดก้อน” พระองค์ทรงบอกฝูงชนให้นั่งลงที่พื้น เมื่อทรงรับขนมปังเจ็ดก้อนและขอบพระคุณพระเจ้า แล้ว พระองค์ก็ทรงหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวกแจกประชาชน พวกเขามีปลาเล็กๆ สองสามตัว ด้วย พระองค์ก็ทรงขอบพระคุณพระเจ้าสําหรับปลาเหล่านี้และทรงให้เหล่าสาวกนําไปแจกเช่นกัน ประชาชนได้รับประทานจนอิ่มหนํา หลังจากนั้นเหล่าสาวกเก็บเศษที่เหลือได้เจ็ดตะกร้าเต็ม มี ผู้ชายราวสี่พันคนที่นั่น และเมื่อทรงให้พวกเขากลับไปแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงเรือกับเหล่าสาวก ไปยังเขตเมืองดาลมานูธา 3
4 5
6
7
8
9
10
มาระโก 8:8 ใส่แผ่นขนมปังไว้ในชาม น้อง ๆ คิดว่าขนมปังจะเต็มชามหรือเปล่า? ตอนนี้ลองหัก ขนมปังออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และใส่มันกลับลงไปในชาม ทําไมชามมันดูเต็มล้นกว่าเดิม? พระเยซูทรงเริ่มต้นด้วยขนมปังเจ็ดก้อน และจบลงด้วยขนมปังเจ็ดตะกร้า สิ่งนี้บอก อะไรกับเราเกี่ยวกับพระเยซู? หากน้อง ๆ ยังไม่เคยรู้มาก่อน! น้อง ๆ จะพบคําตอบใน ช่วงแรก ๆ ของหนังสือพระกิตติคุณมาระโก ในหน้าบทนํา! 82 | มาระโก 7:36
พวกฟาริสีมาหาพระเยซูและเริ่มซักถามพระองค์ พวกเขาขอให้ทรงแสดงหมายสําคัญจาก สวรรค์เพื่อทดสอบพระองค์ พระองค์ทรงถอนพระทัยยาวและตรัสว่า “ทําไมคนในยุคนี้ถาม หาหมายสําคัญ? เราบอกความจริงแก่ท่านว่าคนในยุคนี้จะไม่ได้รับหมายสําคัญใดๆ เลย” แล้ว พระองค์ก็ทรงละจากพวกเขา เสด็จลงเรือ และข้ามฟากไป 11
12
13
เชื้อของพวกฟาริสีและเฮโรด
เหล่าสาวกลืมเอาขนมปังมาด้วยและในเรือก็มีขนมปังอยู่เพียงก้อนเดียว พระเยซูได้ตรัส เตือนพวกเขาว่า “จงระวังเชื้อของพวกฟาริสีและเฮโรด” พวกเขาจึงหารือกันและพูดว่า “ที่พระองค์ตรัสเช่นนี้เพราะเราไม่มีขนมปัง” พระเยซูทรงทราบจึงตรัสว่า “ทําไมพวกท่านจึงพูดกันเรื่องไม่มีขนมปัง? พวกท่านยังไม่เห็นไม่ เข้าใจหรือ? ใจท่านแข็งกระด้างใช่ไหม? หรือท่านมีตาแต่มองไม่เห็น มีหูแต่ไม่ได้ยินหรือ? และ ท่านจําไม่ได้หรือ? เมื่อเราหักขนมปังห้าก้อนให้คนห้าพันคน พวกท่านเก็บที่เหลือได้กี่ตะกร้า?” พวกเขาทูลว่า “สิบสองตะกร้า” พระองค์ทรงถามว่า “และเมื่อเราหักขนมปังเจ็ดก้อนให้คนสี่พันคน พวกท่านเก็บได้กี่ตะกร้า?” พวกเขาทูลว่า “เจ็ดตะกร้า” พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ?” 14
15
16 17
18
19
20
21
ทรงรักษาคนตาบอดที่เบธไซดา
เมื่อมาถึงเมืองเบธไซดามีคนพาชายตาบอดมาทูลอ้อนวอนให้พระเยซูทรงแตะต้อง พระองค์ ทรงจูงมือคนตาบอดออกไปนอกหมู่บ้าน ทรงบ้วนน้ําลายลงที่ตาของคนนั้น และวางพระหัตถ์เหนือ เขาและตรัสถามว่า “ท่านเห็นอะไรบ้างไหม?” เขาเงยหน้าขึ้นมองและทูลว่า “ข้าพเจ้าเห็นคนเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมา” พระเยซูทรงวางพระหัตถ์ที่ตาของเขาอีกครั้งหนึ่ง แล้วตาของเขาก็เปิด สายตากลับเป็นปกติ และมองเห็นทุกอย่างชัดเจน พระเยซูจึงทรงให้เขากลับบ้านโดยกําชับว่า “อย่าเข้าไปในหมู่บ้าน” 22
23
24 25
26
เปโตรรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์
พระเยซูกับเหล่าสาวกไปยังหมู่บ้านต่างๆ แถบซีซารียาฟีลิปปี ระหว่างทางพระองค์ทรงถาม สาวกว่า “ผู้คนเขาพูดกันว่าเราเป็นใคร?” สาวกทูลว่า “บางคนก็ว่าเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนก็ว่าเป็นเอลียาห์ และบางคนก็ว่าเป็น ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง” พระองค์ตรัสถามว่า “แล้วพวกท่านเล่า? พวกท่านว่าเราเป็นใคร?” เปโตรทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์” พระเยซูทรงเตือนพวกเขาไม่ให้บอกใคร 27
28
29
30
พระเยซูทรงทํานายถึงการสิ้นพระชนม์
นับแต่นั้นมาพระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนเหล่าสาวกว่าบุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์หลายประการ บรรดาผู้อาวุโส พวกหัวหน้าปุโรหิต กับเหล่าธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ และพระองค์จะ ต้องถูกประหารและในวันที่สามจะทรงเป็นขึ้นมาอีก พระองค์ตรัสเรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง ฝ่ายเปโตร ดึงพระองค์เลี่ยงไปอีกทางหนึ่งและทูลติติงพระองค์ แต่เมื่อพระเยซูทรงหันมามองดูเหล่าสาวก พระองค์ทรงตําหนิเปโตรว่า “ถอยไปเจ้าซาตาน! เจ้าไม่ได้มีความคิดอย่างพระเจ้าแต่คิดอย่างมนุษย์” แล้วพระองค์ทรงเรียกฝูงชนกับเหล่าสาวกเข้ามาและตรัสว่า “หากผู้ใดต้องการจะตามเรามา เขาต้องปฏิเสธตัวเอง รับกางเขนของตนแบก และตามเรามา เพราะผู้ใดต้องการเอาชีวิตรอดผู้ นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเราและข่าวประเสริฐผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด จะมีประโยชน์อะไรที่ คนๆ หนึ่งจะได้โลกนี้ทั้งโลกแต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน? หรือใครจะเอาอะไรมาแลกกับจิต 31
32
33
34
35
36
37
มาระโก 8:37 | 83
มาระโก 8:34–38 ให้วาดรูปเท้าของเราลงบนแผ่นกระดาษ น้อง ๆ คิดว่าการเดินตามรอยเท้าของพระเยซูนั้นมีกี่วิธี? ให้เขียนมันลงไปในแผ่น กระดาษที่มีรูปเท้าของน้อง ๆ ถ้าต้องการ เมื่อไหร่ที่มันเป็นเรื่องง่ายในการติดตามพระเยซู? และเมื่อไหร่ที่ยาก? พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้เราติดตามพระเยซูได้อย่างไร? วิญญาณของตนได้? ในชั่วอายุที่บาปหนาและเอาใจออกห่างจากพระเจ้านี้ ถ้าผู้ใดอับอายในตัว เราและถ้อยคําของเรา บุตรมนุษย์ก็จะอับอายในตัวเขาเมื่อพระองค์เสด็จมาด้วยพระเกียรติสิริแห่ง พระบิดาพร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์” ตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าบางคนซึ่งยืนอยู่ที่นี่ยังไม่ทันจะได้ 9 และพระองค์ ลิ้มรสความตายก็ได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงพร้อมด้วยฤทธิ์อํานาจแล้ว” 38
ทรงจําแลงพระกาย
หกวันต่อมาพระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูงตามลําพัง พระวรกายก็ เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขาที่นั่น ฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จะหาใครในโลกฟอกให้ขาวปาน นั้นไม่มีเลย และโมเสสกับเอลียาห์ก็ปรากฏกายต่อหน้าพวกเขาและสนทนากับพระเยซู เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงที่พวกข้าพระองค์ได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราสร้างเพิงขึ้น สามหลัง สําหรับพระองค์หลังหนึ่ง สําหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสําหรับเอลียาห์อีกหลังหนึ่ง” (เขา ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเพราะพวกเขาตกใจกลัวมาก) แล้วก็มีเมฆปรากฏขึ้นปกคลุมพวกเขาและมีพระสุรเสียงจากเมฆว่า “คนนี้คือลูกที่รักของเรา จงเชื่อฟังเขาเถิด!” ทันใดนั้นพวกเขามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นใครอื่นนอกจากพระเยซู ขณะลงจากภูเขาพระเยซูทรงกําชับพวกเขาไม่ให้เล่าเหตุการณ์ที่ได้เห็นให้ใครฟังจนกว่าบุตร มนุษย์จะเป็นขึ้นจากตายแล้ว ทั้งสามเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวโดยหารือกันถึงความหมายของคําว่า “เป็นขึ้นจากตาย” และพวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “ทําไมพวกธรรมาจารย์จึงบอกว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน?” พระเยซูทรงตอบว่า “ถูกแล้ว เอลียาห์มาก่อนจริงๆ และทําให้ทุกอย่างคืนสู่สภาพเดิม แล้ว เหตุใดจึงมีเขียนไว้ว่าบุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์แสนสาหัสและถูกปฏิเสธ? แต่เราบอกพวกท่านว่า เอลียาห์มาแล้วและคนเหล่านั้นทํากับเขาตามใจชอบทุกอย่างเหมือนที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับเขา” 2
3
4
5
6
7
8 9
10
11
12
13
ทรงรักษาเด็กผู้ชายที่ถูกวิญญาณชั่วสิง
เมื่อพระเยซูกับสาวกทั้งสามคนมาหาสาวกคนอื่นๆ ก็เห็นฝูงชนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมคนเหล่านั้น อยู่และกลุ่มธรรมาจารย์กําลังถกเถียงกับเหล่าสาวก ทันทีที่ประชาชนทั้งปวงเห็นพระเยซู พวก เขาก็แปลกใจยิ่งนักและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์ พระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านกําลังถกเถียงเรื่องอะไรกันหรือ?” คนหนึ่งในฝูงชนทูลว่า “พระอาจารย์ข้าพระองค์พาลูกชายมาหาพระองค์ เขาถูกผีสิงทําให้เป็น ใบ้ เวลาผีเข้าสิงมันก็ทําให้ล้มลงที่พื้น น้ําลายฟูมปาก กัดฟันแน่น ตัวแข็ง ข้าพระองค์ขอให้สาวก ของพระองค์ขับผีนี้ออกแต่พวกเขาก็ทําไม่ได้” 14
15
16 17
18
84 | มาระโก 8:38
พระเยซูตรัสตอบว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะอยู่กับพวกท่านนานเท่าใด? เราจะ ทนพวกท่านนานเท่าใด? จงพาเด็กนั้นมาหาเรา” พวกเขาจึงพามา เมื่อผีที่สิงอยู่เห็นพระเยซู ทันใดนั้นมันก็ทําให้เด็กชัก ล้มลงกลิ้งไปมาที่พื้น น้ําลายฟูมปาก พระเยซูตรัสถามพ่อของเด็กว่า “เขาเป็นอย่างนี้มานานเท่าใด?” เขาทูลว่า “ตั้งแต่เด็ก มันทําให้เขาตกน้ําตกไฟบ่อยๆ เพื่อฆ่าเขา แต่ถ้าพระองค์ทรงช่วยได้ ขอโปรดโปรดสงสารเราและช่วยเราด้วยเถิด” พระเยซูตรัสว่า “ ‘ถ้าช่วยได้’ น่ะหรือ? ทุกสิ่งเป็นไปได้สําหรับคนที่เชื่อ” พ่อของเด็กร้องทูลทันทีว่า “ข้าพระองค์เชื่อ ที่ยังขาดความเชื่ออยู่นั้นขอทรงช่วยให้เชื่อด้วย เถิด!” พระเยซูทรงเห็นฝูงชนกรูกันเข้ามาจึงตรัสสําทับวิญญาณชั่วว่า “เจ้าผีใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้า ออกมาจากเขาและอย่ากลับเข้าไปสิงเขาอีก” ผีนั้นก็หวีดร้องทําให้เด็กชักดิ้นอย่างรุนแรงแล้วออกมา เด็กนั้นแน่นิ่งเหมือนคนตายจนหลาย คนพูดว่า “เขาตายแล้ว” แต่พระเยซูทรงจับมือของเขาและพยุงขึ้น เขาก็ลุกขึ้นยืน หลังจากพระเยซูทรงเข้าไปในบ้าน เหล่าสาวกมาเข้าเฝ้าพระองค์เป็นการส่วนตัวและทูลถาม ว่า “เหตุใดพวกข้าพระองค์จึงไม่สามารถขับผีนั้นได้?” พระองค์ตรัสว่า “ผีแบบนี้จะขับออกได้ก็โดยการอธิษฐานเท่านั้น” พระเยซูกับสาวกออกจากที่นั่นผ่านไปทางแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครรู้ว่าทรง อยู่ที่ไหน เพราะทรงสั่งสอนพวกสาวกอยู่ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “บุตรมนุษย์จะถูกทรยศ ให้ตกอยู่ในมือมนุษย์ พวกเขาจะฆ่าพระองค์ และหลังจากนั้นสามวันพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย” แต่เหล่าสาวกไม่เข้าใจว่าทรงหมายความว่าอย่างไรและไม่กล้าทูลถามพระองค์ 19
20
21
22
23 24
25
26
27
28
29 30
31
32
ผู้ใดเป็นใหญ่ที่สุด
เมื่อพวกเขามาถึงเมืองคาเปอรนาอุม ขณะพระองค์อยู่ในบ้านพระองค์ทรงถามพวกเขาว่า “ระหว่างทางพวกท่านถกเถียงกันเรื่องอะไร?” แต่พวกเขานิ่งอยู่เพราะระหว่างทางพวกเขาเถียง กันเรื่องใครเป็นใหญ่ที่สุด พระเยซูประทับนั่งแล้วทรงเรียกสาวกทั้งสิบสองคนมาและตรัสว่า “หากผู้ใดอยากเป็นที่หนึ่ง เขาต้องเป็นคนสุดท้ายและเป็นคนรับใช้ของคนทั้งปวง” พระองค์ทรงนําเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขา ทรงอุ้มเด็กนั้นไว้แล้วตรัสกับพวก เขาว่า “ผู้ใดต้อนรับเด็กน้อยเช่นนี้ในนามของเราก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเราก็ไม่ได้ต้อนรับ เราเท่านั้นแต่ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาด้วย” 33
34
35
36
37
ผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านเราก็อยู่ฝ่ายเรา
ยอห์นทูลว่า “พระอาจารย์ พวกข้าพระองค์เห็นชายคนหนึ่งขับผีออกในพระนามของพระองค์ พวกข้าพระองค์จึงห้ามเขาเพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มของเรา” พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามเขาเลย ไม่มีใครหรอกที่ทําการอัศจรรย์ในนามของเราแล้วครู่ต่อ มาก็พูดไม่ดีเกี่ยวกับเรา เพราะผู้ใดไม่ได้ต่อต้านเราก็อยู่ฝ่ายเรา เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ ใดเอาน้ําเย็นถ้วยหนึ่งให้ท่านในนามของเราเนื่องจากท่านเป็นคนของพระคริสต์ ผู้นั้นจะไม่ขาด บําเหน็จอย่างแน่นอน” 38
39
40
41
ต้นเหตุให้ทําบาป
“และหากผู้ใดเป็นเหตุให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้ที่เชื่อในเราสักคนหนึ่งทําบาป ให้เอาหินโม่ผูกคอผู้ นั้นแล้วโยนเขาลงทะเลก็ยังจะดีกว่า หากมือของท่านเป็นเหตุให้ทําบาปจงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ ชีวิตทั้งๆ ที่มือด้วนก็ยังดีกว่ามีสองมือครบแต่ต้องตกนรกซึ่งมีไฟไม่รู้ดับ และหากเท้าของท่านเป็น 42
43
45
มาระโก 9:45 | 85
มาระโก 9:43–47 พระเยซูทรงบอกเราให้หลีกเลี่ยงการกระทําบาปทั้งสิ้น น้อง ๆ จะทําอย่างไรถ้าหาก มือของน้อง ๆ ทําผิด? ให้พยายามทําทุกอย่างด้วยมือเพียงข้างเดียวในเวลาหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นให้เขียน ทุกสิ่งที่ทําได้ยากถ้าต้องใช้มือทําเพียงข้างเดียว แล้วเขียนลงไปว่ารู้สึกอย่างไรที่ทําทุก อย่างด้วยมือข้างเดียว พระเยซูกล่าวว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่มีมือเพียงข้างเดียวแทนการมีครบทั้งสองมือ แล้วใช้มือของเราทําในสิ่งที่ผิด เหตุให้ทําบาปจงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตทั้งๆ ที่ขาพิการยังดีกว่ามีสองเท้าครบแต่ต้องถูกโยนลง นรก และหากตาของท่านเป็นเหตุให้ทําบาปจงควักทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าโดยมี ตาข้างเดียวก็ยังดีกว่ามีสองตาแต่ต้องถูกโยนลงนรก ที่ซึ่ง “ ‘หนอนของคนเหล่านั้นไม่มีวันตาย และไฟก็ไม่รู้ดับ’ ทุกคนจะถูกเคล้าเกลือชําระด้วยไฟ “เกลือเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามันหมดความเค็มแล้วจะทําให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร? ท่านจงมีเกลือ อยู่ในตัวและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข” 47
48
49
50
การหย่าร้าง
่นั่นพระเยซูเสด็จไปยังแคว้นยูเดียและอีกฟากของแม่น้ําจอร์แดน ฝูงชนมากมายหลาย 10 จากที กลุ่มติดตามพระองค์มาอีกและพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาเหมือนเช่นเคย
ฟาริสีบางคนมาทดสอบพระองค์โดยทูลถามว่า “ผิดบัญญัติหรือไม่ที่ผู้ชายจะขอหย่าภรรยา?” พระองค์ตรัสว่า “โมเสสได้สั่งไว้ว่าอย่างไร?” พวกเขาทูลว่า “โมเสสอนุญาตให้ผู้ชายเขียนหนังสือหย่าและส่งภรรยาไป” พระเยซูตรัสว่า “เพราะพวกท่านใจแข็งกระด้างโมเสสจึงเขียนบทบัญญัติข้อนี้ให้ แต่เริ่มแรก ในการทรงสร้างนั้นพระเจ้า ‘ทรงสร้างพวกเขาเป็นผู้ชายและผู้หญิง’ ‘เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะละจาก บิดามารดาของตนไปผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน’ ดังนั้นเขาจึง ไม่ได้เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นหนึ่งเดียว ฉะนั้นที่พระเจ้าทรงผูกพันเข้าด้วยกันแล้วก็อย่าให้มนุษย์ แยกออกจากกันเลย” เมื่อกลับเข้าไปในบ้านอีกเหล่าสาวกทูลถามพระเยซูถึงเรื่องนี้ พระองค์ทรงตอบว่า “ผู้ใดหย่า ภรรยาแล้วไปแต่งงานกับหญิงอื่นก็ล่วงประเวณีต่อนาง และหากนางหย่าจากสามีแล้วไปแต่งงาน กับชายอื่นนางก็ล่วงประเวณี” 2 3 4 5
6
7
8
9
10
11
12
พระเยซูกับเด็กเล็กๆ
ประชาชนพาเด็กเล็กๆ มาให้พระเยซูทรงแตะต้องแต่เหล่าสาวกตําหนิพวกเขา เมื่อพระเยซู ทรงเห็นก็ไม่พอพระทัยจึงตรัสกับพวกเขาว่า “จงให้เด็กเล็กๆ มาหาเรา อย่าขัดขวางเขาเลย เพราะ อาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็กๆ เหล่านี้ เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใด ไม่รับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะไม่มีวันได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้าเลย” แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กๆ ทรงวางพระหัตถ์บนพวกเขาและอวยพร 13
14
15
16
86 | มาระโก 9:47
เศรษฐีหนุ่ม
ขณะพระเยซูเสด็จออกไปชายคนหนึ่งวิ่งมาคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์แล้วทูลถามว่า “ท่าน อาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะต้องทําอะไรบ้างจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?” พระเยซูทรงตอบว่า “ทําไมท่านจึงว่าเราประเสริฐ? นอกจากพระเจ้าแล้วไม่มีใครอื่นที่ ประเสริฐ ท่านก็รู้บทบัญญัติที่ว่า ‘อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’” เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมาตั้งแต่เด็ก” พระเยซูทอดพระเนตรมาที่เขา ทรงรักเขาและตรัสว่า “ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จงไปขายทุก สิ่งที่มี แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้นจงตามเรามา” เขาได้ยินเช่นนั้นก็หน้าสลดแล้วจากไปด้วยความทุกข์เพราะเขาร่ํารวยมาก พระเยซูทอดพระเนตรไปรอบๆ แล้วตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ยากนักที่คนรวยจะเข้าอาณาจักร ของพระเจ้า!” เหล่าสาวกแปลกใจในพระดํารัส แต่พระเยซูตรัสอีกว่า “ลูกเอ๋ย ยากยิ่งนักที่จะเข้าอาณาจักร ของพระเจ้า! ให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าที่คนรวยจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า” เหล่าสาวกก็ยิ่งประหลาดใจจึงพูดกันว่า “ถ้าเช่นนั้นใครจะรอดได้?” พระเยซูทอดพระเนตรที่พวกเขาและตรัสว่า “สําหรับมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ แต่สําหรับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้” เปโตรทูลว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละทิ้งทุกสิ่งมาติดตามพระองค์!” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดา มารดา หรือลูกๆ หรือไร่นาเพื่อเราและเพื่อข่าวประเสริฐ เขาจะได้รับผลตอบแทนร้อยเท่าในยุค นี้ (ไม่ว่าบ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูก ไร่นา รวมทั้งการข่มเหง) และในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์ แต่หลายคนที่เป็นคนต้นจะกลับไปเป็นคนสุดท้ายและคนสุดท้ายจะกลับไปเป็นคนต้น” 17
18
19
20 21
22 23
24
25
26 27
28
29
30
31
ทรงพยากรณ์อีกว่าจะต้องสิ้นพระชนม์
พวกเขากําลังเดินทางขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มโดยมีพระเยซูทรงนําหน้าและเหล่าสาวก ประหลาดใจ ส่วนคนที่ตามมารู้สึกกลัว อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูทรงพาสาวกทั้งสิบสองคนเลี่ยงออก มาและทรงบอกถึงสิ่งที่กําลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์ว่า “พวกเรากําลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มและ บุตรมนุษย์จะถูกทรยศและถูกมอบให้พวกหัวหน้าปุโรหิตกับธรรมาจารย์ พวกเขาจะตัดสินประหาร พระองค์และจะมอบพระองค์ให้คนต่างชาติ คนเหล่านั้นจะเยาะเย้ยพระองค์และถ่มน้ําลายรด พระองค์ โบยตีพระองค์และฆ่าพระองค์ หลังจากนั้นสามวันพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย” 32
33
34
คําทูลขอของยากอบกับยอห์น
แล้วยากอบกับยอห์นบุตรชายของเศเบดีมาทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ข้าพระองค์ทั้งสอง ปรารถนาให้พระองค์กระทําตามคําขอของข้าพระองค์” พระองค์ตรัสว่า “ท่านอยากให้เราทําอะไรให้?” เขาทูลว่า “เมื่อพระองค์ทรงได้รับพระเกียรติสิริ ขอให้ข้าพระองค์คนหนึ่งนั่งข้างขวาและอีก คนหนึ่งนั่งข้างซ้ายของพระองค์” พระเยซูตรัสว่า “ท่านไม่รู้ว่ากําลังขออะไร ถ้วยที่เราดื่มท่านดื่มได้หรือ? และบัพติศมาที่เรารับ ท่านรับได้หรือ?” พวกเขาตอบว่า “ได้พระเจ้าข้า” พระเยซูตรัสว่า “ท่านจะได้ดื่มจากถ้วยที่เราดื่มและรับบัพติศมาที่เรารับ แต่ไม่ใช่เราที่จะจัดให้ ใครนั่งซ้ายมือหรือขวามือของเรา แต่ที่ตรงนั้นเป็นของผู้ที่ทรงเตรียมไว้แล้ว” เมื่อสาวกอีกสิบคนได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่พอใจยากอบกับยอห์น พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกมา พร้อมหน้ากันและตรัสว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าบุคคลที่ถือกันว่าเป็นผู้ปกครองของคนต่างชาติ 35
36 37
38
39
40
41
42
มาระโก 10:42 | 87
ย่อมเป็นเจ้าเหนือพวกเขา และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ใช้อํานาจเหนือพวกเขา แต่สําหรับพวกท่าน ไม่เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้าม ใครต้องการเป็นใหญ่ในพวกท่านผู้นั้นต้องรับใช้พวกท่าน และผู้ใด ต้องการเป็นที่หนึ่งผู้นั้นต้องเป็นทาสของคนทั้งปวง เพราะแม้แต่บุตรมนุษย์ก็ไม่ได้มาเพื่อรับการ ปรนนิบัติแต่มาเพื่อปรนนิบัติและประทานชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่สําหรับคนเป็นอันมาก” 43
44
45
ชายตาบอดชื่อบารทิเมอัสมองเห็นได้
จากนั้นพระเยซูกับเหล่าสาวกมาถึงเมืองเยรีโคพร้อมกับฝูงชนกลุ่มใหญ่ ขณะกําลังจะออกจาก เมือง ชายตาบอดคนหนึ่งชื่อบารทิเมอัส (คือบุตรทิเมอัส) นั่งขอทานอยู่ริมทาง เมื่อเขาได้ยินว่า พระเยซูแห่งนาซาเร็ธเสด็จมา เขาก็ตะโกนขึ้นว่า “พระเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ ด้วยเถิด!” หลายคนตําหนิและบอกให้เขาเงียบ แต่เขายิ่งร้องดังขึ้นว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้า พระองค์ด้วยเถิด!” พระเยซูทรงหยุดและตรัสสั่งว่า “จงเรียกเขามา” ผู้คนจึงบอกชายตาบอดว่า “จงชื่นใจเถิด! ลุกขึ้น! พระองค์กําลังเรียกเจ้า” เขาก็สลัดเสื้อคลุม ทิ้งแล้วลุกพรวดขึ้นไปหาพระเยซู พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ท่านต้องการให้เราทําอะไรให้?” ชายตาบอดนั้นทูลว่า “รับบี ข้าพระองค์อยากมองเห็น” พระเยซูตรัสว่า “ไปเถิด ความเชื่อของท่านทําให้ท่านหายแล้ว” ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นได้และ ตามพระเยซูไปตามทาง 46
47
48
49
50
51
52
เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต
พระเยซูและเหล่าสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็มถึงหมู่บ้านเบธฟายีและหมู่บ้านเบธานีที่ 11 เมืภูเ่อขามะกอกเทศ พระเยซูทรงส่งสาวกสองคนไป ตรัสสั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้า 2
นั้น พอเข้าเขตหมู่บ้านจะพบลูกลาตัวหนึ่งซึ่งยังไม่เคยมีใครขี่เลยผูกอยู่ จงแก้เชือกและจูงมาที่ นี่ หากมีใครถามว่า ‘ท่านทําเช่นนี้ทําไม?’ จงบอกว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการลูกลานี้และ ประเดี๋ยวจะส่งกลับคืนให้ที่นี่’ ” เขาทั้งสองก็ไปและพบลูกลาผูกอยู่นอกประตูที่ถนน ขณะกําลังแก้เชือก บางคนซึ่งยืนอยู่แถว นั้นถามขึ้นมาว่า “ทําอะไร? เจ้าแก้เชือกผูกลูกลานั้นทําไม?” เขาก็ตอบตามที่พระเยซูทรงสั่งไว้ พวกนั้นจึงยอมให้มา เขานําลูกลามาให้พระเยซู แล้วเอาเสื้อคลุมของตนปูบนหลังลาให้พระองค์ 3
4
5
6
7
มาระโก 10:46–52 เมื่อบารทิเมอัสมองเห็น เขาต้องคิดว่าโลกนี้เป็นสถานที่ที่สวยงามมาก บ่อยครั้งที่เรามักจะมองข้ามสิ่งสวยงามที่เราเห็นอยู่ทุกวัน เสียงดนตรีสามารถทําให้ เรานึกถึงความสวยความงามในโลก และยังทําให้เรานึกถึงความมหัศจรรย์ของพระเจ้า มีเพลงไหนไหมที่ทําให้น้อง ๆ นึกถึงสิ่งเหล่านี้? ให้ร้องเพลงนั้นด้วยกันเลย 88 | มาระโก 10:43
ประทับ ฝูงชนเป็นอันมากเอาเสื้อคลุมปูบนทาง บาง คนตัดกิ่งไม้จากท้องทุ่งมาปู ฝูงชนทั้งที่นําเสด็จและ ตามเสด็จต่างโห่ร้องว่า “โฮซันนา! “สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาใน พระนามของ องค์พระผู้เป็นเจ้า!” “ขอให้อาณาจักรของดาวิดบรรพบุรุษของเราที่ จะมานี้ จงเจริญ!” “โฮซันนาในที่สูงสุด!” พระเยซูเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มและไปยังพระ วิหาร พระองค์ทอดพระเนตรทุกสิ่งแต่เนื่องจากใกล้ ค่ําแล้วจึงทรงออกไปยังหมู่บ้านเบธานีกับสาวกทั้งสิบ สองคน 8
9
10
11
พระเยซูทรงชําระพระวิหาร
มาระโก 11:1–11
พระเยซูไมไดนั่งบนมาเขาไปในเมือง เพราะมันจะทําใหประชาชนนึกถึง กษัตริยผูชนะสงคราม แตในทาง กลับกันพระองคทรงขี่ลา เพราะ แมวาพระองคจะทรงเปนบุตร ของพระเจาและทรงฤทธานุภาพ พระองคก็ทรงออนนอมถอมตน พระองคเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพราะพระองคยินดีที่จะตายเชน เดียวกับโจรผูรายบนไมกางเขน พระเยซูทรงนําสันติสุขมาใหแกเรา เพราะพระองคทรงจากไปอยางสงบ และมีสันติสุข
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะออกจากหมู่บ้านเบธานีพระเยซู ทรงหิว พระองค์ทรงเห็นต้นมะเดื่อใบดกแต่ไกลก็ มาระโก 11:15–19 เสด็จเข้าไปดูว่ามีผลหรือไม่ เมื่อทรงพบว่ามีแต่ใบไม่มี ผลเพราะยังไม่ถึงฤดูออกผล จึงตรัสแก่ต้นมะเดื่อนั้น สําหรับชาวยิว พระวิหารเปนที่ที่ ว่า “ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าเลย” และ สําคัญที่สุดในโลก เพราะเปนที่ที่ เหล่าสาวกได้ยินพระดํารัสนี้ พวกเขานําเครื่องเผาบูชามาถวาย เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็มพระเยซูเสด็จเข้าไปใน พระเจา บริเวณพระวิหาร ทรงขับไล่บรรดาผู้ที่ซื้อขายของกันที่ และยังเปนที่รวมตัวกันเพื่องานเลี้ยง นั่น ทรงคว่ําโต๊ะของผู้รับแลกเงินและม้านั่งของบรรดา ฉลองดวย คนขายนกพิราบ และทรงห้ามไม่ให้ผู้ใดขนสินค้าผ่าน พระเยซูกลาววาพระวิหารเปนสถาน ลานพระวิหาร พระองค์ทรงสอนพวกเขาว่า “มีคํา ที่ที่ผูคนจากทุกเชื้อชาติสามารถ เขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า เขาไปและทําการอธิษฐานได แต “ ‘นิเวศของเราจะได้ชื่อว่า ชาวยิวไดเปลี่ยนมันใหเปนสถานที่ นิเวศแห่งการอธิษฐานสําหรับมวล สําหรับการซื้อและการขายของ หรือ ประชาชาติ’? แมกระทั่งเปนที่สําหรับการขโมยจาก แต่พวกเจ้ามาทําให้กลายเป็น ‘ซ่องโจร’” คนอื่น ๆ บรรดาหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์ได้ยินดังนั้น ก็เริ่มหาช่องทางที่จะฆ่าพระเยซู เพราะพวกเขากลัว พระองค์เนื่องจากประชาชนทั้งปวงเลื่อมใสในคําสอนของพระองค์ พอตกเย็นพระเยซูกับสาวกก็ออกจากกรุง 12
13
14
15
16
17
18
19
ต้นมะเดื่อเหี่ยวเฉา
ในเวลาเช้าขณะมาตามทางพวกเขาเห็นต้นมะเดื่อเหี่ยวเฉาไปจนถึงราก เปโตรนึกขึ้นได้จึงทูล พระเยซูว่า “รับบี ดูสิ! มะเดื่อที่ทรงสาบเหี่ยวเฉาไปแล้ว!” พระเยซูตรัสตอบว่า “จงเชื่อพระเจ้า เราบอกความจริงแก่ท่านว่าหากผู้ใดสั่งภูเขาลูกนี้ ว่า ‘จงทิ้งตัวลงทะเลไป’ และใจไม่สงสัยเลยแต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่เขาพูดก็จะเป็นจริงตามนั้น 20
22
21
23
มาระโก 11:23 | 89
เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่าไม่ว่าท่านอธิษฐานทูลขอสิ่งใดจงเชื่อว่าจะได้รับแล้วท่านจะได้สิ่งนั้น เมื่อท่านยืนอธิษฐาน จงให้อภัยคนที่ท่านไม่พอใจ เพื่อพระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัย บาปของท่าน”
24 25
ปัญหาเรื่องสิทธิอํานาจของพระเยซู
เมื่อพวกเขามาถึงกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้ง ขณะพระเยซูทรงดําเนินอยู่ในลานพระวิหาร พวก หัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และเหล่าผู้อาวุโสมาทูลถามพระองค์ว่า “ท่านทําสิ่งเหล่านี้โดยอาศัย สิทธิอํานาจใด? และใครให้สิทธิอํานาจท่านทําเช่นนี้?” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราก็จะถามท่านสักข้อหนึ่ง จงตอบมาแล้วเราจะบอกว่าเราอาศัยสิทธิ อํานาจใดทําสิ่งเหล่านี้ บัพติศมาของยอห์นมาจากสวรรค์หรือจากมนุษย์? จงบอกเรามา!” พวกเขาหารือกันว่า “ถ้าตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทําไมท่านไม่เชื่อ ยอห์น?’ แต่ถ้าจะว่า ‘มาจากมนุษย์’…” (พวกเขากลัวประชาชนเพราะทุกคนถือว่ายอห์นเป็นผู้ เผยพระวจนะจริงๆ) ดังนั้นพวกเขาจึงทูลพระเยซูว่า “พวกเราไม่ทราบ” พระเยซูตรัสว่า “เราก็จะไม่บอกพวกท่านเช่นกันว่าเราอาศัยสิทธิอํานาจใดทําสิ่งเหล่านี้” 27
28
29
30
31
32
33
คําอุปมาเรื่องผู้เช่าสวน
วพระองค์ตรัสคําอุปมาแก่พวกเขาว่า “ชายคนหนึ่งทําสวนองุ่น เขาล้อมรั้วกั้นสวน สกัด 12 แล้ บ่อย่ําองุ่น และสร้างหอไว้เฝ้า จากนั้นให้ชาวสวนเช่าแล้วเดินทางจากไปต่างแดน เมื่อถึงฤดู 2
เก็บเกี่ยวเขาส่งคนรับใช้มาหาผู้เช่าเพื่อรับส่วนแบ่งของผลผลิตจากสวนองุ่น แต่พวกผู้เช่าก็จับคน รับใช้นั้นทุบตีและไล่ให้กลับไปมือเปล่า เขาจึงส่งคนรับใช้อีกคนหนึ่งมาก็ถูกพวกนั้นฟาดหัวและ ทําให้อับอายขายหน้า เจ้าของยังส่งอีกคนหนึ่งมา พวกเขาก็ฆ่าคนนั้นเสีย เจ้าของส่งคนอื่นๆ มา อีกหลายคน บางคนก็ถูกทุบตี บางคนก็ถูกฆ่า “เหลืออยู่อีกคนเดียวที่จะส่งมาคือลูกชายที่เขารัก เขาส่งมาเป็นคนสุดท้ายเพราะคิดว่า ‘พวก เขาคงจะเคารพบุตรของเรา’ “แต่พวกผู้เช่าพูดกันว่า ‘นี่ไงทายาท ให้เราฆ่าเขาแล้วมรดกจะตกเป็นของเรา’ พวกนั้นจึงจับ เขาฆ่าแล้วโยนออกมานอกสวนองุ่น “แล้วเจ้าของสวนจะทําอย่างไร? เขาย่อมจะมาฆ่าผู้เช่าเหล่านั้นและให้คนอื่นเช่าสวนองุ่นนี้ แทน พวกท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือที่ว่า “ ‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทําการนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา’” พวกเขารู้ว่าพระองค์ตรัสคําอุปมาต่อว่าพวกเขา พวกเขาจึงหาทางจับกุมพระองค์แต่ก็กลัว ประชาชน ดังนั้นจึงละจากพระองค์ไป 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
การเสียภาษีแก่ซีซาร์
ต่อมาพวกเขาส่งฟาริสีบางคนกับกลุ่มผู้สนับสนุนเฮโรดมาหาพระเยซูเพื่อจับผิดถ้อยคําของ พระองค์ พวกนั้นมาทูลว่า “ท่านอาจารย์ เรารู้ว่าท่านเป็นคนซื่อตรงไม่เอนเอียงไปตามมนุษย์ เพราะท่านไม่เห็นแก่หน้าใครแต่สอนทางของพระเจ้าตามความจริง เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะเสีย ภาษีให้แก่ซีซาร์? เราควรเสียหรือไม่ควรเสีย?” แต่พระเยซูทรงรู้ทันความหน้าซื่อใจคดของเขาจึงตรัสว่า “พวกท่านมาจับผิดเราทําไม? เอา เหรียญหนึ่งเดนาริอันมาให้เราดูซิ” พวกเขาก็นําเหรียญมาถวายและพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “รูปนี้เป็นของใคร? และคําจารึกเป็นของใคร?” 13
14
15
16
90 | มาระโก 11:24
เขาทูลตอบว่า “ของซีซาร์” แล้วพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ของของ ซีซาร์จงให้แก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่ พระเจ้า” พวกเขาก็ทึ่งในพระองค์ยิ่งนัก
มาระโก 12:28–34
17
ปัญหาเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย
ธรรมาจารยคนหนึ่งไดซักไซถาม พระเยซู “ในบรรดาพระบัญญัติทั้ง สิ้นขอไหนสําคัญที่สุด?” พระเยซูตรัสตอบวา “‘อิสราเอลเอย จงฟงเถิด องคพระผูเปนเจาทรงเปน พระเจาของเรา” นอง ๆ สามารถอานพระคําเหลานี้ได ในเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4 ชนชาติอื่น ๆ อาจจะมีพระเจา มากมายที่เขานับถึอ แตชาวยิว สรรเสริญองคพระผูเปนเจาเพียงองค เดียวเทานั้น
ฝ่ายพวกสะดูสีซึ่งกล่าวว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากตาย มาทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ โมเสสเขียนสั่ง พวกเราไว้ว่าถ้าชายใดเสียชีวิตไปโดยไม่มีบุตร ให้พี่ชาย หรือน้องชายของเขาแต่งงานกับภรรยาม่ายเพื่อจะมี บุตรสืบสกุลให้ผู้นั้น คราวนี้มีพี่น้องเจ็ดคน พี่ชายคน โตแต่งงานแล้วตายไปโดยไม่มีบุตร คนที่สองจึงรับพี่ สะใภ้มาเป็นภรรยา แต่แล้วก็ตายไปโดยไม่มีบุตร คนที่ สามก็เช่นเดียวกัน จนมาถึงคนที่เจ็ด ทั้งหมดล้วนจาก ไปโดยไม่มีบุตร ท้ายที่สุดหญิงนั้นก็ตายด้วย เมื่อเป็น ขึ้นจากตายหญิงผู้นี้จะเป็นภรรยาของใครในเมื่อทั้งเจ็ด คนล้วนได้นางเป็นภรรยา?” พระเยซูทรงตอบว่า “ท่านผิดแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์และไม่รู้จักฤทธิ์ เดชของพระเจ้าไม่ใช่หรือ? เมื่อเป็นขึ้นจากตายนั้นจะไม่มีการแต่งงานหรือยกให้เป็นสามีภรรยา กันอีก แต่จะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ ส่วนที่เกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากตายนั้นพวกท่านยังไม่ได้อ่าน หนังสือของโมเสสเรื่องพุ่มไม้นั้นหรือ? ที่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’? พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนตายแต่เป็นพระเจ้า ของคนเป็น พวกท่านเข้าใจผิดไปมาก!” 18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
พระบัญญัติข้อใหญ่ที่สุด
ธรรมาจารย์คนหนึ่งได้ฟังการซักไซ้ไล่เลียงกันก็เห็นว่าพระเยซูทรงตอบได้ดี จึงทูลถามว่า “ใน บรรดาพระบัญญัติทั้งสิ้นข้อไหนสําคัญที่สุด?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ข้อที่สําคัญที่สุดคือ ‘อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นหนึ่ง จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านอย่างสุดใจ 28
29
30
มาระโก 12:28–31 เราควรรักพระเจ้ามากขนาดไหน? พระเยซูทรงได้ให้คําตอบไว้ในข้อที่ 30 ซึ่งน้อง ๆ ควรพยายามที่จะเรียนรู้มันด้วยหัวใจ ให้อ่านพระคัมภีร์ข้อนี้ทุกเช้าเมื่อตอนเราตื่น ท่องพระคัมภีร์ข้อนี้ตอนที่น้อง ๆ กําลัง จะออกจากบ้าน และท่องอีกทีในระหว่างทางไปโรงเรียน น้อง ๆ ต้องแน่ใจว่าน้อง ๆ หมายความในสิ่งที่ท่องออกมาจริง ๆ! อ่านพระคัมภีร์ข้อนี้ก่อนเข้านอน และให้นึกถึง ผลของความเปลี่ยนแปลงที่ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้มีต่อชีวิตของเรา มาระโก 12:30 | 91
สุดจิต สุดความคิด และสุดกําลังของท่าน’ ส่วนข้อที่สองคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ ไม่มีบทบัญญัติใดใหญ่กว่าสองข้อนี้” คนนั้นทูลว่า “ท่านอาจารย์ตอบได้ดี ถูกอย่างที่ท่านกล่าวคือ พระเจ้าทรงเป็นหนึ่งและไม่มีใคร อื่นนอกจากพระองค์ การรักพระองค์ด้วยสุดใจ สุดความเข้าใจ และสุดกําลังของท่าน และการรัก เพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองก็สําคัญยิ่งกว่าเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาใดๆ ทั้งปวง” เมื่อพระเยซูทรงเห็นว่าเขาตอบอย่างมีปัญญาก็ตรัสกับเขาว่า “ท่านไม่ไกลจากอาณาจักรของ พระเจ้า” ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครกล้ามาตั้งคําถามกับพระองค์อีก 31
32
33
34
พระคริสต์เป็นบุตรของใคร
ขณะพระเยซูทรงสอนอยู่ในลานพระวิหาร พระองค์ตรัสถามว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่พวก ธรรมาจารย์บอกว่าพระคริสต์เป็นบุตรดาวิด? ดาวิดเองเมื่อกล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ประกาศว่า “ ‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า “จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะสยบศัตรูของเจ้า ไว้ใต้เท้าของเจ้า” ’ ในเมื่อดาวิดเองเรียกพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แล้วพระองค์จะเป็นบุตรของดาวิดได้ อย่างไร?” ฝูงชนกลุ่มใหญ่ฟังพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี ขณะที่พระเยซูทรงสอนพระองค์ตรัสว่า “จงระวังพวกธรรมาจารย์ เขาชอบสวมเสื้อชุดยาว เดินไปมา ชอบให้ผู้คนมาคํานับทักทายในย่านตลาด ชอบนั่งในที่สําคัญที่สุดในธรรมศาลาและที่ อันทรงเกียรติในงานเลี้ยง เขาริบเรือนของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานยืดยาวให้คนเห็น คนเช่น นี้จะถูกลงโทษอย่างหนักที่สุด” 35
36
37
38
39
40
เงินถวายของหญิงม่าย
พระเยซูประทับอยู่ตรงหน้าที่รับเงินถวายของพระวิหาร ทรงเฝ้าดูฝูงชนนําเงินมาใส่ คนรวย หลายคนเอาเงินจํานวนมากมาเทลงไป แต่หญิงม่ายยากจนคนหนึ่งเอาเหรียญสองเหรียญมูลค่า แค่เศษเสี้ยวสตางค์มาถวาย พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกมาและตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าหญิงม่าย ยากจนคนนี้ถวายเข้าคลังพระวิหารมากกว่าคนอื่นๆ ทั้งหมด เพราะพวกเขาทั้งปวงล้วนเอาส่วน หนึ่งจากความมั่งคั่งของเขามาถวาย แต่หญิงม่ายนี้ทั้งที่ยากจนก็ยังเอาทุกสิ่ง คือทั้งหมดที่นางมีไว้ เลี้ยงชีพมาถวาย” 41
42
43
44
หมายสําคัญแห่งวาระสิ้นยุค
เสด็จออกจากพระวิหาร สาวกคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ดูสิ พระอาจารย์! หิน 13 ขณะพระเยซู ก้อนมหึมาทั้งนั้น! ช่างเป็นอาคารที่งามตระการตายิ่งนัก!”
พระเยซูตรัสตอบว่า “พวกท่านเห็นอาคารใหญ่โตมโหฬารเหล่านี้ใช่ไหม? ศิลาที่นี่จะไม่เหลือ ซ้อนทับกันสักก้อนเดียว ทุกก้อนจะถูกโยนทิ้งลงมาหมด” ขณะพระเยซูประทับอยู่บนภูเขามะกอกเทศตรงข้ามกับพระวิหาร เปโตร ยากอบ ยอห์น และ อันดรูว์มาทูลถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ขอทรงบอกพวกข้าพระองค์เถิด สิ่งเหล่านี้จะเกิด ขึ้นเมื่อใด? และอะไรเป็นหมายสําคัญว่าสิ่งทั้งปวงนั้นกําลังจะสําเร็จ?” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงระวัง อย่าให้ใครมาล่อลวงท่าน หลายคนจะมาในนามของ เราและอ้างตัวว่า ‘เราคือผู้นั้น’ แล้วล่อลวงคนเป็นอันมาก เมื่อท่านได้ยินข่าวสงครามและข่าว ลือเรื่องสงคราม อย่าตื่นตกใจ เพราะสิ่งเหล่านั้นต้องเกิดขึ้นแต่ยังไม่ถึงจุดจบ ประชาชาติต่อ ประชาชาติและอาณาจักรต่ออาณาจักรจะสู้รบกัน จะเกิดแผ่นดินไหวและการกันดารอาหารในที่ ต่างๆ เหตุการณ์เหล่านี้คือขั้นเริ่มต้นของความเจ็บปวดก่อนคลอดบุตร 2
3
4
5
6
7
8
92 | มาระโก 12:31
“ท่านต้องเฝ้าระวัง ท่านจะถูกคุมตัวไปยังที่ว่าการในท้องที่และถูกโบยตีในธรรมศาลา ท่านต้อง ไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าการและกษัตริย์แล้วเป็นพยานแก่พวกเขาเพื่อเรา ข่าวประเสริฐต้องประกาศ แก่มวลประชาชาติก่อน เมื่อใดก็ตามที่ท่านถูกจับกุมและส่งตัวขึ้นศาล อย่าวิตกกังวลไปก่อนว่าจะ พูดอะไรดี จงพูดไปตามถ้อยคําที่ประทานแก่ท่านในเวลานั้นเพราะไม่ใช่ตัวท่านเองที่เป็นผู้พูดแต่ เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ “พี่น้องจะทรยศกันเองถึงตายและพ่อจะทรยศลูก ลูกจะกบฏต่อพ่อแม่และเป็นเหตุให้พวกเขา ถึงตาย คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะเรา แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงที่สุดจะรอด “เมื่อใดที่ท่านเห็น ‘สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติ’ ตั้งอยู่ในที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของ มัน (ให้ผู้อ่านทําความเข้าใจเอาเถิด) เมื่อนั้นให้ผู้ที่อยู่ในยูเดียหนีไปที่ภูเขา ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้า หลังคาบ้านอย่าลงมาหรือเข้าบ้านมาหยิบสิ่งใดออกไป ผู้ที่อยู่ตามทุ่งนาก็อย่ากลับไปเอาเสื้อ คลุมของท่าน วันเหล่านั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนักสําหรับหญิงมีครรภ์หรือแม่ลูกอ่อน จงอธิษฐานให้ เหตุการณ์นี้ไม่เกิดในฤดูหนาว เพราะเวลานั้นจะเป็นวาระแห่งความทุกข์ลําเค็ญอย่างที่ไม่มีครั้งใด เทียบเท่าตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกจนถึงบัดนี้ และจะไม่มีครั้งใดเทียบเท่าอีก หาก องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงร่นวันเหล่านั้นให้สั้นเข้าก็จะไม่มีใครเหลือรอดเลย แต่เพราะเห็นแก่ผู้ที่ ทรงเลือกสรรไว้พระองค์จึงทรงทําให้วันเหล่านั้นสั้นลง เมื่อเวลานั้นมาถึงหากมีใครมาบอกท่านว่า ‘ดูเถิด พระคริสต์อยู่ที่นี่!’ หรือ ‘ดูเถิด พระองค์อยู่ที่นั่น!’ อย่าไปเชื่อเลย เพราะจะมีพระคริสต์ ปลอมและผู้เผยพระวจนะเท็จปรากฏขึ้น พวกเขาจะแสดงหมายสําคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ เพื่อ ลวงผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้หากเป็นไปได้ ฉะนั้นจงระวัง เราบอกทุกอย่างแก่ท่านไว้ล่วงหน้าแล้ว “แต่ในวาระนั้นหลังจากความทุกข์เข็ญ “ ‘ดวงอาทิตย์จะถูกดับ ดวงจันทร์จะไม่ทอแสง ดวงดาวทั้งหลายจะร่วงจากท้องฟ้า และฟ้าสวรรค์จะถูกเขย่า’ “เมื่อนั้นคนทั้งหลายจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆด้วยเดชานุภาพและพระเกียรติสิริอัน ยิ่งใหญ่ พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มารวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้จากทั้งสี่ทิศ จาก ปลายแผ่นดินโลกถึงสุดขอบฟ้าสวรรค์ “จงเรียนรู้บทเรียนนี้จากต้นมะเดื่อ คือทันทีที่มันแตกกิ่งและผลิใบท่านก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้า มาแล้ว เช่นเดียวกันเมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ท่านก็รู้ว่าสิ่งนี้ใกล้เข้ามาแล้ว อยู่ที่ประตูนี่เอง เราบอกความจริงแก่ท่านว่าคนในยุคนี้ยังไม่ทันล่วงลับไป สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ก็เกิดขึ้นแล้วอย่าง แน่นอน ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไปแต่ถ้อยคําของเราจะไม่มีวันสูญสิ้น 9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
วันเวลาที่ไม่มีใครรู้
“ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดา เท่านั้นที่ทรงทราบ จงระวัง! จงตื่นตัว! ท่านไม่รู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อใด ก็เหมือนชายคนหนึ่ง ออกจากบ้านไป เขาตั้งคนรับใช้ให้รับผิดชอบหน้าที่ต่างๆ ตามที่แต่ละคนได้รับมอบหมายและบอก คนเฝ้าประตูให้เฝ้าระวังไว้ “ฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่เพราะท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะกลับมาเมื่อใด อาจจะกลับมาเวลาค่ํา หรือเวลาเที่ยงคืน เวลาไก่ขัน หรือเวลารุ่งสาง ถ้าเขากลับมากระทันหันก็อย่าให้เขาพบว่าท่าน กําลังหลับอยู่ สิ่งที่เราบอกกับท่านเราก็บอกกับทุกๆ คนว่า ‘จงเฝ้าระวัง!’” 32
33
34
35
36
37
พระเยซูทรงรับการชโลมที่เบธานี
กสองวันจะถึงเทศกาลปัสกาและเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ พวกหัวหน้าปุโรหิตกับ 14 อีธรรมาจารย์ กําลังหาอุบายที่จะจับพระเยซูมาฆ่า เขาพูดกันว่า 2
“แต่อย่าลงมือช่วงเทศกาลเลยมิฉะนั้นประชาชนจะก่อการจลาจล”
มาระโก 14:2 | 93
ที่หมู่บ้านเบธานีขณะพระเยซูทรงนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะอาหารในบ้านของซีโมนคน โรคเรื้อน หญิงคนหนึ่งถือขวดน้ํามันหอมราคาแพงมากมา น้ํามันหอมนั้นทําจากเครื่องหอมบริสุทธิ์ นางเปิดขวดและรินน้ํามันหอมลงบนพระเศียรของพระองค์ บางคนที่นั่นไม่พอใจ ต่างพูดกันว่า “ทําให้น้ํามันหอมเสียไปเปล่าๆ ทําไม? ถ้านําไปขายคงจะ ได้เงินมากกว่าค่าจ้างคนงานทั้งปี จะได้เอาเงินไปให้คนยากจน” และพวกเขาตําหนินางอย่าง รุนแรง พระเยซูตรัสว่า “อย่ายุ่งกับนาง ไปกวนใจนางทําไม? หญิงคนนี้ได้ทําสิ่งดีงามให้เรา ท่านจะมี คนยากจนอยู่กับท่านเสมอและท่านสามารถช่วยพวกเขาได้ทุกเวลาตามที่ท่านต้องการ แต่เราจะไม่ ได้อยู่กับท่านเสมอไป หญิงคนนี้ทําเท่าที่นางทําได้ นางรินน้ําหอมลงบนกายของเราเป็นการเตรียม สําหรับพิธีศพของเราไว้ล่วงหน้า เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่ว่าข่าวประเสริฐจะเผยแผ่ไปที่ใดๆ ทั่วโลก สิ่งที่นางได้ทําก็จะถูกเล่าขานไปเป็นการระลึกถึงนาง” แล้วยูดาสอิสคาริโอทหนึ่งในสาวกสิบสองคนก็ไปพบพวกหัวหน้าปุโรหิตเพื่อจะมอบพระเยซูให้ คนเหล่านั้น พวกหัวหน้าปุโรหิตฟังแล้วก็ดีใจ และสัญญาจะให้เงินแก่ยูดาส เขาจึงจ้องหาโอกาสที่ จะมอบพระองค์แก่พวกนั้น 3
4
5
6
7
8
9
10
11
พระเยซูเสวยปัสกากับเหล่าสาวก
วันแรกของเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อซึ่งตามธรรมเนียมจะถวายแกะปัสกา เหล่าสาวกของพระ เยซูมาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงประสงค์ให้จัดเตรียมปัสกาสําหรับเสวยที่ไหน?” พระองค์จึงทรงส่งสาวกสองคนไปพร้อมทั้งตรัสว่า “จงเข้าไปในเมือง จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อ น้ํามาพบท่าน จงตามคนนั้นไป จงบอกเจ้าของบ้านที่ชายคนนั้นเดินเข้าไปว่า ‘พระอาจารย์ตรัส ถามว่าห้องรับรองแขกที่พระองค์จะเสวยปัสการ่วมกับเหล่าสาวกอยู่ที่ไหน?’ เขาจะพาไปดูห้อง ใหญ่ชั้นบนซึ่งตกแต่งเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จงเตรียมปัสกาให้เราที่นั่น” สาวกทั้งสองก็เข้าไปในเมืองและได้พบสิ่งต่างๆ ตามที่พระเยซูตรัส เขาจึงเตรียมปัสกา พอพลบค่ําพระเยซูเสด็จมาพร้อมกับสาวกทั้งสิบสองคน ขณะที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ โต๊ะอาหารพระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าคนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา คือผู้ที่ กําลังรับประทานอาหารกับเรา” เหล่าสาวกก็เสียใจและทูลพระองค์ทีละคนว่า “ไม่ใช่ข้าพระองค์แน่ใช่ไหม?” พระเยซูตรัสว่า “เขาเป็นหนึ่งในสาวกสิบสองคน เป็นคนที่หยิบอาหารจุ่มในชามเดียวกับเรา บุตรมนุษย์จะต้องไปตามที่มีเขียนไว้แต่วิบัติแก่ผู้นั้นที่ทรยศบุตรมนุษย์! ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาก็ยังจะ ดีกับตัวเขาเองมากกว่า” 12
13
14
15
16 17
18
19 20
21
มาระโก 14 และ 15 ใหใสสิ่งของเหลานี้ลงในกลองหรือถุง: ขวดน้ํามันหรือขวดน้ําหอมขนาดเล็ก ก้อนหินขนาดเล็กที่มีลักษณะแบนและกลม ขนมปัง ลูกเต๋า สิ่งของที่มีหนาม ตะปู เหรียญ เชือก ผ้าสีขาว ผ้าสีม่วง ไม้กางเขน ฟองน้ํา เศษผ้า
ให้ผลัดกันเลือกสิง่ ของทีอ่ ยูใ่ นกล่องหรือถุงและส่งต่อให้กบั คนทีอ่ ยูด่ า้ นขวาของเรา แล้ว ให้อธิบายว่าสิง่ ของเหล่านัน้ บอกอะไรกับเราเกีย่ วกับการทีพ่ ระเยซูทรงถูกตรึงบนกางเขน 94 | มาระโก 14:3
มาระโก 14 และ 15 อ่านในมาระโก 14 และ 15 แบ่งหน้ากระดาษออกเป็น 3 ช่อง ในช่องแรกให้เขียน เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพระธรรมทั้ง 2 บท ในช่องที่ 2 ใส่ชื่อสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น และในช่องที่ 3 รายชื่อของคนที่อยู่กับ พระเยซูในเวลานั้น น้องๆ สามารถเพิ่มช่องที่ 4 ได้ และให้วาดภาพขนาดเล็กของแต่ละเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นลงในช่อง พิธีมหาสนิท
ขณะรับประทานอาหารพระเยซูทรงหยิบขนมปัง ทรงขอบพระคุณพระเจ้าแล้วหักส่งให้เหล่า สาวกพร้อมทั้งตรัสว่า “จงรับไปรับประทานเถิด นี่เป็นกายของเรา” แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ทรงขอบพระคุณพระเจ้าและยื่นให้กับพวกเขา และพวกเขาทุกคน ก็ดื่ม พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่คือโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งหลั่งรินเพื่อคน เป็นอันมาก เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเราจะไม่ดื่มน้ําจากผลองุ่นนี้อีกจนกว่าจะถึงวันนั้นที่เรา ดื่มใหม่ในอาณาจักรของพระเจ้า” เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้วพวกเขาก็ออกไปยังภูเขามะกอกเทศ 22
23
24
25
26
พระเยซูทรงทํานายว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์
พระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกว่า “พวกท่านจะทิ้งเราไปกันหมด เพราะมีเขียนไว้ว่า “ ‘เราจะฟาดฟันคนเลี้ยงแกะ และแกะจะกระจัดกระจายไป’ แต่หลังจากที่เราเป็นขึ้นเราจะไปยังกาลิลีก่อนหน้าท่าน” เปโตรประกาศว่า “ถึงใครๆ ทิ้งพระองค์ไปหมดแต่ข้าพระองค์จะไม่ทิ้งพระองค์” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าวันนี้คืนนี้ก่อนไก่ขันสองหนท่านเองจะ ปฏิเสธเราสามครั้ง” แต่เปโตรยังยืนยันแข็งขันว่า “ถึงแม้ข้าพระองค์ต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่มีวัน ปฏิเสธพระองค์” แล้วสาวกที่เหลือก็พูดแบบเดียวกัน 27
28
29 30
31
เกทเสมนี
พวกเขามายังที่แห่งหนึ่งเรียกว่าเกทเสมนี พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะที่ เราไปอธิษฐาน” พระองค์ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นไปกับพระองค์ด้วย ทรงเศร้าโศกและ เป็นทุกข์ยิ่งนัก พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จิตวิญญาณของเราท่วมท้นด้วยความเศร้าโศกทุกข์ หนักแทบจะตาย จงเฝ้าระวังอยู่ที่นี่” พระองค์ทรงดําเนินเลยไปอีกหน่อยหนึ่งแล้วซบลงที่พื้นและทรงอธิษฐานว่าหากเป็นไปได้ขอ ให้ชั่วโมงนั้นผ่านพ้นไปจากพระองค์ พระองค์ทรงทูลว่า “อับบา พระบิดาเจ้าข้า ทุกสิ่งเป็นไป ได้สําหรับพระองค์ ขอทรงเอาถ้วยนี้ไปจากข้าพระองค์ อย่างไรก็ตามอย่าให้เป็นไปตามใจของข้า พระองค์แต่ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์” 32
33
34
35
36
มาระโก 14:36 | 95
แล้วพระองค์ทรงกลับมาหาสาวกเหล่านั้นและพบว่าพวกเขานอนหลับอยู่จึงตรัสกับเปโตร ว่า “ซีโมน ท่านหลับอยู่หรือ? จะคอยเฝ้าระวังอยู่สักชั่วโมงเดียวไม่ได้เชียวหรือ? จงเฝ้าระวัง และอธิษฐานเพื่อท่านจะไม่ตกเข้าไปอยู่ในการทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริงแต่กายยังอ่อน กําลัง” แล้วพระองค์เสด็จไปอธิษฐานอย่างเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเสด็จกลับมาก็พบว่าพวกเขายัง คงหลับอยู่เพราะเขาง่วงมากจนลืมตาไม่ขึ้น พวกเขาไม่รู้จะทูลพระองค์ว่าอย่างไร เมื่อทรงกลับมาเป็นครั้งที่สามพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านยังนอนหลับพักผ่อนอยู่ อีกหรือ? พอเถอะ! ถึงเวลาแล้ว ดูเถิด บุตรมนุษย์กําลังจะถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือของคนบาปแล้ว ลุกขึ้น! ไปกันเถิด! ผู้ทรยศเรามาแล้ว!” 37
38
39
40
41
42
พระเยซูถูกจับกุม
พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคํา ยูดาสหนึ่งในสาวกสิบสองคนก็ปรากฏตัวขึ้น มีคนกลุ่มใหญ่ถือ ดาบถือกระบองมากับเขาด้วย พวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และเหล่าผู้อาวุโสเป็นผู้ส่งคน เหล่านี้มา ผู้ทรยศได้ตกลงเรื่องอาณัติสัญญาณกับพวกเขาว่า “ผู้ที่เราจูบคือผู้นั้น ให้จับกุมและคุมตัวเขา ไป” ยูดาสตรงเข้ามาหาพระเยซูทันทีและทูลว่า “รับบี!” แล้วจูบพระองค์ พวกนั้นจึงจับกุม พระเยซู แล้วคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ชักดาบออกมาฟันหูบ่าวของมหาปุโรหิตขาด พระเยซูตรัสว่า “เราก่อการกบฏหรือ? ท่านจึงได้ถือดาบถือกระบองมาจับเรา ทุกวันเราอยู่ กับพวกท่าน สั่งสอนอยู่ในลานพระวิหารท่านก็ไม่มาจับกุมเรา แต่จะต้องเป็นจริงตามพระคัมภีร์” แล้วทุกคนก็ทิ้งพระองค์และหนีกันไปหมด ชายหนุ่มคนหนึ่งมีแต่ผ้าลินินห่มกายได้ติดตามพระเยซูไป เมื่อคนเหล่านั้นจับกุมเขา เขาก็ สลัดผ้าทิ้งแล้วหนีไปทั้งๆ ที่เปลือยกาย 43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
ต่อหน้าสภาแซนเฮดริน
พวกเขานําพระเยซูมาพบมหาปุโรหิต ขณะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และเหล่าผู้ อาวุโสมาชุมนุมกันอยู่ เปโตรตามพระเยซูมาห่างๆ จนถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต เขาก็เข้าไปนั่ง ผิงไฟกับพวกยามพระวิหาร พวกหัวหน้าปุโรหิตและทั้งสภาแซนเฮดรินพยายามค้นหาหลักฐานมามัดตัวพระเยซูเพื่อจะได้ ประหารพระองค์ แต่พวกเขาไม่พบเลย มีหลายคนเป็นพยานเท็จปรักปรําพระองค์ แต่คําให้การ ของพวกเขาไม่สอดคล้องกัน แล้วมีบางคนยืนขึ้นเป็นพยานเท็จกล่าวหาพระองค์ว่า “พวกเราได้ยินเขากล่าวว่า ‘เราจะ ทําลายวิหารนี้ซึ่งสร้างขึ้นด้วยน้ํามือมนุษย์ แล้วในสามวันจะสร้างอีกวิหารหนึ่งขึ้นซึ่งไม่ได้สร้าง ด้วยมือมนุษย์’ ” ถึงกระนั้นคําพยานของพวกเขาก็ขัดกันเอง มหาปุโรหิตจึงยืนขึ้นต่อหน้าที่ประชุมและถามพระเยซูว่า “ท่านจะไม่ตอบอะไรหรือ? ท่านจะ ว่าอย่างไรกับข้อกล่าวหาของพยานเหล่านี้?” แต่พระเยซูทรงนิ่งอยู่ ไม่ได้ตรัสตอบ มหาปุโรหิตจึงถามพระองค์อีกครั้งว่า “ท่านคือพระคริสต์ พระบุตรขององค์ผู้ทรงเป็นที่ สรรเสริญหรือ?” พระเยซูตรัสว่า “เราเป็น และท่านจะเห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรง ฤทธิ์และเสด็จมาบนหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์” มหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนและพูดว่า “เราจะต้องหาพยานอีกทําไม? ท่านทั้งหลายได้ยิน เขาพูดหมิ่นประมาทแล้ว ท่านคิดเห็นอย่างไร?” พวกเขาทั้งหมดเห็นพ้องกันว่าพระองค์ควรรับโทษถึงตาย แล้วบางคนก็ถ่มน้ําลายรดพระองค์ 53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
96 | มาระโก 14:37
พวกเขาเอาผ้าปิดพระเนตร ต่อยพระองค์ แล้วพูดว่า “ทายมาสิ!” พวกยามก็นําพระองค์ไปและ ทุบตีพระองค์ เปโตรปฏิเสธพระเยซู
ขณะเปโตรอยู่ข้างล่างที่ลานบ้าน มีสาวใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตผ่านมา เมื่อนางเห็นเปโตร ผิงไฟอยู่ก็จ้องมองและพูดว่า “เจ้าก็อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย” แต่เปโตรปฏิเสธว่า “เจ้าพูดอะไรข้าไม่รู้เรื่อง” แล้วออกไปที่ทางเข้า สาวใช้คนนั้นเห็นเขาที่นั่นก็พูดกับคนที่ยืนอยู่แถวนั้นอีกว่า “คนนี้ก็เป็นคนหนึ่งในพวกนั้น” เปโตรปฏิเสธอีก ครู่หนึ่งต่อมาคนที่ยืนใกล้ๆ พูดกับเปโตรว่า “ใช่แน่ๆ เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นเพราะเจ้าเป็น ชาวกาลิลี” เปโตรจึงเริ่มสบถสาบานเป็นการใหญ่ว่า “ข้าไม่รู้จักคนที่พวกเจ้าพูดถึง” ทันใดนั้นไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สอง เปโตรจึงนึกขึ้นได้ที่พระเยซูตรัสกับเขาไว้ว่า “ก่อนไก่ขันสอง หนท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” เปโตรก็ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ 66
67
68
69
70
71 72
พระเยซูต่อหน้าปีลาต
รุ่งขึ้นพวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ เหล่าผู้อาวุโส และทั้งสภาแซนเฮดรินก็ได้ 15 เช้ข้อาสรุตรูป่วันพวกเขามั ดพระเยซูแล้วนําตัวมามอบให้แก่ปีลาต
ปีลาตถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ใช่อย่างที่ท่านว่า” พวกหัวหน้าปุโรหิตฟ้องพระองค์หลายข้อหา ดังนั้นปีลาตจึงทูลถามพระองค์อีกครั้งว่า “ท่าน จะไม่ตอบเลยหรือ? ดูสิ เขาฟ้องร้องท่านหลายข้อหาแค่ไหน” แต่พระเยซูก็ยังคงไม่ตรัสตอบ ปีลาตประหลาดใจอย่างมาก มีธรรมเนียมว่าในเทศกาลนั้นผู้ว่าการจะปล่อยตัวนักโทษหนึ่งคนตามที่ประชาชนขอ มีคน หนึ่งในคุกชื่อบารับบัส อยู่ในกลุ่มกบฏซึ่งฆ่าคนในการจลาจล ฝูงชนได้ขึ้นมาขอปีลาตให้ทําตามที่ เคยปฏิบัติเสมอมา ปีลาตถามว่า “พวกท่านต้องการให้เราปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?” เพราะรู้ว่าพวก หัวหน้าปุโรหิตจับพระเยซูมามอบแก่เขาเพราะอิจฉา แต่พวกหัวหน้าปุโรหิตยุยงฝูงชนให้เรียก ร้องปีลาตให้ปล่อยบารับบัสแทน ปีลาตถามพวกเขาว่า “แล้วจะให้ทําอย่างไรกับคนที่พวกท่านเรียกกันว่ากษัตริย์ของชาวยิว?” พวกเขาตะโกนว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!” ปีลาตถามว่า “ทําไม? เขาก่ออาชญากรรมอะไร?” แต่พวกนั้นร้องตะโกนดังขึ้นอีกว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!” เพื่อเอาใจฝูงชนปีลาตจึงปล่อยบารับบัสให้พวกเขา แล้วให้คนโบยตีพระเยซูและมอบตัวให้ไป ตรึงที่ไม้กางเขน 2
3
4
5 6
7
8
9
10
11
12 13 14
15
พวกทหารเยาะเย้ยพระเยซู
พวกทหารจึงนําพระเยซูเข้าไปในวังของผู้ว่าการ (คือศาลปรีโทเรียม) และระดมทหารทั้งกอง มา พวกเขาเอาเสื้อคลุมสีม่วงมาสวมให้พระองค์และสานมงกุฎหนามสวมที่พระเศียร แล้วร้อง ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของชาวยิว ขอจงทรงพระเจริญ!” เขาเอาไม้ฟาดพระเศียรครั้งแล้วครั้งเล่า ถ่ม น้ําลายรดพระองค์ และคุกเข่าถวายคํานับพระองค์ เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้ว พวกเขาก็ถอดเสื้อ สีม่วงนั้นและเอาฉลองพระองค์มาสวมให้ แล้วนําพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่ไม้กางเขน 16
17
18
19
20
มาระโก 15:20 | 97
มาระโก 15:21–41 ใหตดั หรือฉีกภาพใบหนาจากนิตยสารเกาหรือหนังสือพิมพ นอกจากนีน้ อ ง ๆ ยังสามารถ ใช้ภาพถ่าย หรือวาดภาพใบหน้าขึ้นมาเองได้ ทากาวบนหน้านั้นแล้วแปะมันลงบน กระดาษที่มีภาพของไม้กางเขนอยู่ เพื่อจะให้เราระลึกถึงว่าพระเยซูทรงตายเพื่อบาปของมนุษย์ทุกคน การตรึงบนไม้กางเขน
ชายคนหนึ่งจากเมืองไซรีนชื่อซีโมน ซึ่งเป็นบิดาของอเล็กซานเดอร์กับรูฟัส เดินทางจากนอก เมืองผ่านมาพอดี พวกทหารจึงเกณฑ์ให้เขาแบกไม้กางเขน พวกเขานําพระเยซูมาถึงที่ซึ่งเรียกว่า กลโกธา (แปลว่า สถานแห่งหัวกะโหลก) แล้วพวกเขาก็เอาเหล้าองุ่นเจือมดยอบมาถวาย แต่พระ เยซูไม่ทรงดื่ม พวกเขาตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขน แล้วนําฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน เมื่อเขาตรึงพระองค์นั้นเป็นเวลาสามโมงเช้า มีป้ายเขียนข้อหาที่ลงโทษพระองค์ว่า “กษัตริย์ ของชาวยิว” พวกเขาตรึงโจรสองคนที่ไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ คนหนึ่งอยู่ข้างซ้ายและอีก คนหนึ่งอยู่ข้างขวาของพระองค์ ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างส่ายหน้าและสบประมาทพระองค์ว่า “เป็น อย่างไร! เจ้าคนที่จะทําลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นใหม่ในสามวัน จงลงมาจากไม้กางเขนและช่วย ตัวเองให้รอดสิ!” พวกหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์ก็เยาะเย้ยพระองค์เช่นกันว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่กลับช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้! ให้พระคริสต์กษัตริย์ของอิสราเอลผู้นี้ลงมาจากไม้กางเขนเดี๋ยว นี้สิ เราจะได้เห็นแล้วเชื่อ” บรรดาผู้ที่ถูกตรึงไม้กางเขนพร้อมกับพระองค์ก็พากันพูดดูถูกดูหมิ่น พระองค์ต่างๆ นานาด้วย 21
22
23
24
25
26
27
29
30
31
32
พระเยซูสิ้นพระชนม์
ตั้งแต่เที่ยงวันถึงบ่ายสามโมงเกิดมืดมัวไปทั่ว แผ่นดิน เวลาบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี?” แปลว่า “พระเจ้า ของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทําไมทรง ทอดทิ้งข้าพระองค์?” บางคนซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ได้ยินก็พูดว่า “ฟังสิ เขา ร้องเรียกเอลียาห์” มีคนหนึ่งวิ่งไปเอาฟองน้ําจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบ ไม้ส่งให้พระองค์เสวยและพูดว่า “อย่าไปยุ่งกับเขา ให้ เราดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยปล่อยเขาลงหรือไม่” พระเยซูทรงร้องเสียงดังแล้วสิ้นพระชนม์ ม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วนตั้งแต่บนจรด ล่าง เมื่อนายร้อยซึ่งยืนอยู่ต่อหน้าพระเยซูได้ยินเสียง 33
34
35
36
37 38
39
98 | มาระโก 15:21
มาระโก 15:37
ทําไมพระเยซูต้องตายบนไม้กางเขน? เพราะพระเจ้าทรงตรัสว่า พระองค์ จะลงโทษทุกคนสําหรับความผิดของ เขา การลงโทษคือความตาย พระ เยซูได้สิ้นพระชนม์เพื่อช่วยโลกไว้ บนไม้กางเขนพระเยซูทรงรับโทษใน ส่วนที่เป็นของเรา หากเราเชื่ออย่างนั้นพระเจ้าจะทรง ให้อภัยเรา พระเยซูทรงรับโทษแทน เรา
ร้องของพระองค์และเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างไรก็กล่าวว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตร ของพระเจ้า!” มีผู้หญิงบางคนเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา สะโลเม และมารีย์มารดาของ ยากอบน้อยและโยเสส ผู้หญิงเหล่านี้ติดตามพระเยซูและปรนนิบัติพระองค์ในแคว้นกาลิลี ผู้หญิงอื่นๆ อีกหลายคนซึ่งตามเสด็จพระองค์มายังเยรูซาเล็มก็อยู่ที่นั่นด้วย 40
41
การฝังพระศพพระเยซู
วันนั้นเป็นวันเตรียม (คือวันก่อนวันสะบาโต) ดังนั้นเมื่อเวลาเย็นใกล้เข้ามา โยเซฟจาก อาริมาเธีย หนึ่งในสมาชิกคนสําคัญของสภาผู้กําลังรอคอยอาณาจักรของพระเจ้า ได้เข้าพบปีลาต อย่างองอาจเพื่อขอรับพระศพพระเยซู ปีลาตประหลาดใจที่ได้ยินว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วจึง เรียกนายร้อยผู้นั้นมาถามว่าทรงสิ้นพระชนม์แล้วหรือ เมื่อทราบจากนายร้อยว่าเป็นเช่นนั้นก็ มอบพระศพแก่โยเซฟ ดังนั้นโยเซฟจึงเชิญพระศพลงมา เอาผ้าลินินที่ซื้อไว้พันพระศพ และวาง ไว้ในอุโมงค์ซึ่งสกัดไว้ในศิลา แล้วเขากลิ้งหินก้อนหนึ่งปิดปากอุโมงค์ มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์ มารดาของโยเซฟได้เห็นที่วางพระศพ 42
43
44
45
46
47
การคืนพระชนม์
่อวันสะบาโตผ่านไปมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ และสะโลเมซื้อเครื่อง 16 เมืหอมมาเพื ่อชโลมพระศพพระเยซู เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์พอดวงอาทิตย์ขึ้นพวกเขามายัง 2
อุโมงค์ และถามกันว่า “ใครจะช่วยกลิ้งหินจากปากอุโมงค์?” แต่เมื่อมองไปก็เห็นหินก้อนนั้นซึ่งใหญ่มากถูกกลิ้งออกไปแล้ว เมื่อเข้าไปในอุโมงค์ก็เห็นชาย หนุ่มคนหนึ่งสวมชุดสีขาวนั่งอยู่ทางขวาพวกนางก็ตกใจกลัว ผู้นั้นกล่าวว่า “อย่าตื่นตกใจไปเลย พวกเจ้ามาหาพระเยซูแห่งนาซาเร็ธผู้ถูกตรึงตายบนไม้ กางเขน พระองค์ทรงเป็นขึ้นแล้ว! พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ จงดูที่ที่เขาวางพระศพเถิด จงไปบอกพวก สาวกรวมทั้งเปโตรว่า ‘พระองค์กําลังเสด็จไปแคว้นกาลิลีก่อนหน้าพวกท่าน ท่านจะพบพระองค์ที่ นั่นดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้’ ” ผู้หญิงเหล่านั้นตกตะลึงกลัวจนตัวสั่น จึงพากันออกจากอุโมงค์อย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ได้พูด อะไรกับใครเพราะกลัว 3
4
5
6
7
8
มาระโก 15 และ 16 สร้างสรรค์การแสดงในแบบที่เราชอบ อ่านมาระโก บทที่ 15 และ 16 และแบ่ง บทบาทการแสดงกัน เขียนบทพูดของเราสําหรับการแสดงนั้น เตรียมเครื่องแตงกายที่ หาไดจากที่บานของเรา ฝกซอมการแสดง ถาหากใครมีโทรศัพทมือถือ ก็สามารถถาย วิดีโอการแสดงเอาไวได และเอามาแสดงใหคนอื่นดู แสดงใหเพื่อนและครอบครัวของ เราดู วิธีนี้จะชวยใหเราประกาศขาวดีวาพระเยซูทรงสิ้นพระชนมเพื่อบาปของเรา และ หลังจากนั้นพระองคทรงฟนขึ้นจากความตาย มาระโก 16:8 | 99
(สําเนาต้นฉบับเก่าแก่ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดและหลักฐานโบราณบางฉบับไม่มีพระธรรมมาระโก 16:9–20)
เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์เมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้น พระองค์ทรงปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลาเป็น คนแรก คือมารีย์คนที่พระเยซูทรงขับผีออกเจ็ดตน มารีย์จึงไปบอกบรรดาผู้ที่อยู่กับพระองค์ พวกเขากําลังร้องไห้ทุกข์โศกอยู่ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่และมารีย์ได้เห็น พระองค์ พวกเขาก็ไม่เชื่อ ภายหลังพระเยซูทรงปรากฏในพระกายอีกรูปหนึ่งแก่สาวกสองคนขณะที่พวกเขาเดินอยู่นอก เมือง ทั้งสองกลับมาเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง แต่พวกนั้นก็ไม่เชื่ออีกเหมือนกัน ต่อมาพระเยซูทรงปรากฏแก่สาวกสิบเอ็ดคนนั้นขณะที่พวกเขากําลังรับประทานอาหาร พระองค์ทรงตําหนิพวกเขาที่ขาดความเชื่อและดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อผู้ที่เห็นพระองค์หลังจากพระองค์ ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนทั้งปวง ผู้ใดเชื่อ และรับบัพติศมาจะรอด ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินโทษ ผู้ที่เชื่อจะมีหมายสําคัญดังนี้คือ เขาทั้ง หลายจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาใหม่ๆ เขาจะจับงูด้วยมือเปล่า และเมื่อดื่มพิษ ร้ายเขาจะไม่เป็นอันตรายเลย เขาจะวางมือให้คนเจ็บคนป่วยและคนเหล่านั้นจะหายโรค” เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสจบแล้วพระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์และประทับนั่งที่เบื้องขวา พระหัตถ์ของพระเจ้า ฝ่ายเหล่าสาวกออกไปเทศนาทุกหนทุกแห่ง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงร่วมงาน กับเขาและรับรองพระดํารัสของพระองค์โดยหมายสําคัญที่เกิดขึ้น 9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
100 | มาระโก 16:9
มาระโก 16:14–20 บรรดาสาวกทั้ง 11 คน มารับประทานอาหารร่วมกัน เดี๋ยวก่อน! สาวกมีทั้งหมด 12 คนไมใชหรอ? ใครที่ไมไดอยูที่นี่? ทําไมเขาถึงไมไดอยูที่นี่? เกิดอะไรขึ้นกับเขา? น้อง ๆ จําชื่อของเหล่าสาวกได้ไหม? (อ่านมาระโก 3:16–19 ถ้าจําไม่ได้) ภาระหน้าที่อะไรที่พระเยซูทรงมอบให้กับเหล่าสาวกของพระองค์? น้อง ๆ คิดว่าพวก เขาทํามันสําเร็จไหม? ให้อ่านในบทสุดท้ายเพื่อค้นหาคําตอบ!
มาระโก | 101
พระกิตติคุณลูกา น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● ลูกาไม่ได้เป็น 1 ใน 12 สาวกของพระเยซู ● ลูกาเป็นชาวกรีก ● ลูกาเป็นแพทย์ และมักจะร่วมเดินทางไปกับเปาโล เพื่อประกาศข่าวประเสริฐ
(โคโลสี 4:14, 2 ทิโมธี 4:11, ฟีเลโมน 24)
● ลูกาได้เขียนหนังสือพระกิตติคุณขึ้นในประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 85 เพื่อชายที่ชื่อ
เธโอฟีลัส ● เธโอฟีลัส หมายความว่า “เพื่อนของพระเจ้า” ● ลูกายังได้เขียนพระคัมภีร์กิจการขึ้น เพื่อเล่าให้เธโอฟีลัสฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ พระเยซู ทรงกลับขึ้นสู่สวรรค์ (กิจการ 1:1–2)
ทําไมลูกาจึงเขียนพระกิตติคุณ?
● ลูกาอยากจะเล่าให้เธโอฟีลัสฟังถึงทุกสิ่งที่พระเยซูทรงได้กระทําและสอนในขณะที่
พระองค์ทรงอยู่บนโลก (ลูกา 1:1–3) ● ลูกาต้องการที่จะบอกอะไรกับเราเกี่ยวกับพระเยซู? ● พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราทุกคนบนโลก ● พระเยซูทรงเยี่ยมเยียนคนบาป และคนที่ถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยาม ● พระเยซูทรงรักเด็ก ๆ ● หากไม่มีใครรักเรา ให้เรามั่นใจในความรักของพระเยซู!
น้อง ๆ เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ไหม?
● การประสูติของพระเยซู (ลูกา 1:26–2:14) ● พระเยซูทรงช่วยชายคนหนึ่งให้ฟื้นขึ้นจากความตาย
(ลูกา 7:11–17) ● พระเยซูและศักเคียส (ลูกา 19:1–10) ● การตรึงกางเขนของพระเยซู และการฟื้นคืนชีพ (ลูกา 22 – 24) ● พระเยซูทรงปรากฏตัวแก่เหล่าสาวก และทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ (ลูกา 24:13–53)
102
ลูกา
บทนํา
หลายคนได้ประมวลเรื่องราวต่างๆ ที่ได้สําเร็จท่ามกลางพวกเรา ตามที่สืบทอดมาถึงเราจาก 1 บรรดาผู ้ที่ได้เห็นกับตาตั้งแต่ต้นและเป็นผู้รับใช้แห่งพระวจนะ เนื่องจากข้าพเจ้าเองได้สืบสวน 2
3
ทุกสิ่งอย่างถี่ถ้วนมาตั้งแต่ต้น จึงเห็นควรที่จะบันทึกสิ่งเหล่านี้ให้เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อท่าน เธโอฟีลัสที่เคารพยิ่ง จะได้ทราบแน่ชัดว่าเรื่องต่างๆ ที่เรียนรู้มานั้นจริงแท้แน่นอน 4
พยากรณ์ถึงการกําเนิดของยอห์นผู้ให้บัพติศมา
ในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโรดแห่งยูเดียมีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อเศคาริยาห์ อยู่ในสังกัดกองเวรปุโรหิต อาบียาห์ เอลีซาเบธภรรยาของเขาก็สืบเชื้อสายมาจากอาโรนด้วย ทั้งคู่เป็นคนชอบธรรมในสาย พระเนตรของพระเจ้า ยึดถือบทบัญญัติและกฎเกณฑ์ทั้งปวงขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่มีที่ติ แต่พวกเขาไม่มีบุตรเพราะเอลีซาเบธเป็นหมันและทั้งสองก็ชราแล้ว ครั้งหนึ่งเมื่อกองเวรของเศคาริยาห์เข้าประจําการและเขากําลังปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิตต่อหน้า พระเจ้า เขาได้รับเลือกโดยการจับฉลากตามธรรมเนียมของปุโรหิตที่จะเข้าไปเผาเครื่องหอมบูชา ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเมื่อถึงเวลาเผาเครื่องหอม ผู้นมัสการทั้งปวงที่ชุมนุมกันก็ กําลังอธิษฐานอยู่ข้างนอก แล้วทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาโดยยืนอยู่ด้านขวาของแท่นเผาเครื่อง หอม เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็ตกใจกลัว แต่ทูตนั้นกล่าวกับเขาว่า “เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย พระเจ้าทรงได้ยินคําอธิษฐานของท่านแล้ว เอลีซาเบธภรรยาของท่านจะคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อ เขาว่ายอห์น เขาจะเป็นความชื่นชมยินดีและความสุขใจแก่ท่านและคนทั้งหลายจะปีติยินดีที่ เขาเกิดมา เพราะเขาจะยิ่งใหญ่ในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะไม่ดื่มเหล้าองุ่น และของมึนเมาเลย และเขาจะเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่เกิด เขาจะนําชนอิสราเอล มากมายกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของพวกเขา และเขาจะนําหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยจิตใจและฤทธิ์อํานาจของเอลียาห์ เพื่อให้จิตใจของบิดาหันมาหาบุตรและให้คนดื้อด้านหันมาสู่ สติปัญญาของผู้ชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้สําหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า” เศคาริยาห์ถามทูตนัน้ ว่า “ข้าพเจ้าจะแน่ใจในเรือ่ งนี้ ได้อย่างไร? ตัวข้าพเจ้าก็ชราและภรรยาก็อายุมากแล้ว” ลูกา 1 และ 2 ทูตนั้นตอบว่า “เราคือกาเบรียล เรายืนอยู่ต่อหน้า พระเจ้า พระองค์ทรงใช้เรามาพูดกับท่านและให้มา การกําเนิดของยอห์นผู้ให้บัพติศมา บอกข่าวดีนี้แก่ท่าน บัดนี้ท่านจะเป็นใบ้ตราบจนวันที่ และพระเยซูมีความคล้ายกันใน สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะท่านไม่เชื่อคําของเราซึ่งจะเป็นจริง หลาย ๆ ด้าน ฑูตสวรรค์ที่บอก เมื่อถึงเวลาที่กําหนด” เศคาริยาห์ว่าเขากําลังจะมีบุตรชาย ขณะเดียวกันนั้นผู้คนกําลังรอเศคาริยาห์และสงสัย ยังได้บอกเขาถึงเหตุผลที่พระเยซู ว่าทําไมเขาจึงอยู่ในพระวิหารนานนัก เมื่อเขาออก ทรงมาบังเกิด ในพันธสัญญาเดิมได้ มาก็พูดกับใครไม่ได้ และเนื่องจากเขาพยายามแสดง ทํานายถึงการกําเนิดของทั้งยอห์น ท่าทางต่างๆ แก่พวกเขาแต่ก็ยังคงพูดไม่ได้ คนทั้ง และพระเยซู หลายจึงตระหนักว่าเขาได้เห็นนิมิตในพระวิหาร เมื่อเขาทําหน้าที่จนครบกําหนดเวลาแล้ว เขาก็กลับบ้าน หลังจากนั้นเอลีซาเบธภรรยาของ เขาตั้งครรภ์และเก็บตัวอยู่ห้าเดือน นางกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทําการนี้เพื่อข้าพเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงสําแดงความโปรดปรานและทรงขจัดความอดสูของข้าพเจ้าในหมู่ผู้คนไป” 5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
พยากรณ์ถึงการประสูติของพระเยซู
ในเดือนที่หกพระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี ให้มาหา หญิงพรหมจารีชื่อมารีย์คู่หมั้นของโยเซฟผู้สืบเชื้อสายมาจากดาวิด ทูตสวรรค์นั้นไปหามารีย์และ กล่าวว่า “หญิงเอ๋ย พระเจ้าทรงโปรดปรานเธอยิ่งนัก! องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเธอ” 26
27
28
104 | ลูกา 1:1
มารีย์ฟังคํานี้แล้วก็วุ่นวายใจนักและสงสัยว่าการทักทายเช่นนี้หมายถึงอะไร แต่ทูตนั้นกล่าว ว่า “มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เธอเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู พระองค์จะทรงยิ่งใหญ่และได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้า จะประทานบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์แก่พระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครอง พงศ์พันธุ์ของยาโคบตลอดไป อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุดเลย” มารีย์ถามทูตสวรรค์นั้นว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี?” ทูตนั้นตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอและฤทธิ์อํานาจขององค์ผู้สูงสุดจะ ปกคลุมเธอ ดังนั้นองค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมาจะได้ชื่อว่า พระบุตรของพระเจ้า แม้แต่เอลีซาเบธญาติ ของเธอยังจะได้บุตรชายทั้งๆ ที่ชราแล้ว และนางซึ่งใครๆ ว่าเป็นหมันก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้สําหรับพระเจ้า” มารีย์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าตามที่ท่าน กล่าวเถิด” แล้วทูตสวรรค์นั้นก็จากนางไป 29
30
31
32
33
34 35
36
37
38
มารีย์ไปเยี่ยมเอลีซาเบธ
ในเวลานั้นมารีย์เตรียมตัวและรีบรุดไปยังเมืองหนึ่งในแดนเทือกเขาแห่งยูเดีย นางเข้าไปใน บ้านของเศคาริยาห์และกล่าวทักทายเอลีซาเบธ เมื่อเอลีซาเบธได้ยินคําทักทายของมารีย์ ทารก ในครรภ์ของนางก็ดิ้น และนางเอลีซาเบธเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงร้องเสียงดังว่า “ใน หมู่สตรีท่านได้รับพระพรและลูกที่ท่านจะคลอดออกมาก็ได้รับพระพร! แต่เหตุใดข้าพเจ้าจึงได้ รับความโปรดปรานถึงเพียงนี้ที่มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้ามาเยี่ยมข้าพเจ้า? ทันที ที่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงทักทายของท่าน ทารกในครรภ์ของข้าพเจ้าก็ดิ้นด้วยความชื่นชมยินดี ความ สุขมีแก่หญิงที่เชื่อว่าสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับนางนั้นจะสําเร็จ!” 39
40
41
42
43
44
45
บทเพลงของมารีย์
ลูกา 1:46–55 มารีย์จึงกล่าวว่า “จิตใจของข้าพเจ้าสรรเสริญยกย่องพระเจ้า นางมารีย์ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า และจิตวิญญาณของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีใน ถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ บทเพลงนั้นมี 2 ส่วน ในส่วนแรก พระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า (ข้อ 47–50) เพราะพระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ ฐานะอัน เธอบอกว่าพระเจ้าได้ทรงกระทําสิ่ง ต่ําต้อยของผู้รับใช้ของพระองค์ นับแต่นี้ไปคนทุกชั่วอายุจะเรียกข้าพเจ้าว่าผู้ได้ ที่ดีสําหรับเธอ แม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็น คนที่สําคัญ และในส่วนที่สอง (ข้อ รับพร 51–55) เธอร้องเพลงเกี่ยวกับสิ่งดีที่ เพราะว่าองค์ทรงฤทธิ์ได้ทรงกระทําสิ่งที่ยิ่ง พระเจ้าทรงกระทําเพื่อคนอิสราเอล ใหญ่เพื่อข้าพเจ้า พระนามของพระองค์บริสุทธิ์ พระเมตตาของพระองค์แผ่มาถึงบรรดาผู้ที่ยําเกรงพระองค์ ทุกชั่วอายุสืบไป พระองค์ทรงประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ด้วยพระกรของพระองค์ พระองค์ทรงกระทําให้ผู้ที่ผยองอยู่ในส่วนลึกของความคิดกระจัดกระจายไป พระองค์ทรงปลดเจ้านายลงจากบัลลังก์ แต่ทรงยกผู้ต่ําต้อยขึ้น พระองค์ทรงให้ผู้หิวโหยอิ่มเอมด้วยสิ่งดี แต่ทรงส่งคนมั่งมีไปมือเปล่า พระองค์ทรงช่วยอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ ทรงไม่ลืมที่จะเมตตา ต่ออับราฮัมและวงศ์วานของเขาตลอดไป ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้กับบรรพบุรุษของเรา” มารีย์พักอยู่กับเอลีซาเบธราวสามเดือนแล้วจึงกลับบ้าน
46
47
48
49
50
51
52 53 54 55
56
ลูกา 1:56 | 105
กําเนิดของยอห์นผู้ให้บัพติศมา
เมื่อถึงกําหนดคลอด เอลีซาเบธก็ให้กําเนิดบุตรชาย ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านได้ยินว่าองค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงสําแดงความเมตตายิ่งใหญ่แก่นาง พวกเขาก็มาร่วมยินดี ในวันที่แปดพวกเขามาร่วมพิธีเข้าสุหนัตของทารกนั้น และพวกเขากําลังจะตั้งชื่อให้ทารกนั้น ว่าเศคาริยาห์ตามบิดา แต่มารดาของเขาท้วงติงว่า “ไม่ได้! จะต้องเรียกเด็กคนนี้ว่ายอห์น” พวกเขาบอกนางว่า “ในหมู่ญาติของท่านไม่มีใครใช้ชื่อนั้น” แล้วพวกเขาทําท่าทางถามบิดาของทารกว่าต้องการตั้งชื่อลูกว่าอะไร เขาจึงขอแผ่นกระดาน มาเขียนลงไปว่า “ชื่อของเขาคือยอห์น” สร้างความประหลาดใจแก่คนทั้งหลาย ทันใดนั้นปาก ของเขาก็เปิด ลิ้นของเขาก็หายติดขัด แล้วเขาก็เริ่มกล่าวสรรเสริญพระเจ้า เพื่อนบ้านของเขา ล้วนเต็มไปด้วยความเกรงกลัวและผู้คนพากันโจษจันเรื่องนี้ทั่วแดนเทือกเขาแห่งยูเดีย ทุกคนที่ ได้ยินเรื่องนี้ก็ประหลาดใจและถามกันว่า “ต่อไปทารกนี้จะเป็นอย่างไรหนอ?” เพราะพระหัตถ์ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา 57
58
59
60
61 62
63
64
65
66
บทเพลงของเศคาริยาห์
ฝ่ายเศคาริยาห์ผู้เป็นบิดาก็เปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และกล่าวพยากรณ์ว่า “สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล เพราะพระองค์เสด็จมาไถ่ประชากรของพระองค์ พระองค์ทรงชูเขาสัตว์แห่งความรอดสําหรับเรา ในพงศ์พันธุ์ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ (ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ผ่านเหล่าผู้เผยพระวจนะผู้บริสุทธิ์ในโบราณกาล) เป็นความรอดจากเหล่าศัตรู และจากเงื้อมมือของคนทั้งปวงผู้ชิงชังเรา เพื่อทรงสําแดงพระเมตตาแก่บรรพบุรุษของเรา และเป็นการรําลึกถึงพันธสัญญาอันบริสุทธิ์ของพระองค์ คือคําปฏิญาณที่ทรงให้ไว้แก่อับราฮัมบรรพบุรุษของเรา เพื่อช่วยเราให้พ้นจากเงื้อมมือของเหล่าศัตรู และให้เราสามารถรับใช้พระองค์โดยปราศจากความกลัว ในความบริสุทธิ์และความชอบธรรมต่อหน้าพระองค์ตลอดวันคืนของเรา “ส่วนเจ้า ลูกของพ่อ เจ้าจะได้ชื่อว่าผู้เผยพระวจนะขององค์ผู้สูงสุด เพราะเจ้าจะนําหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเตรียมทางสําหรับพระองค์ เพื่อให้ประชากรของพระองค์รู้ถึงความรอด ผ่านการทรงอภัยบาปของพวกเขา เพราะโดยพระเมตตาอันอ่อนโยนของพระเจ้าของเรา รุ่งอรุณจากฟ้าสวรรค์จึงมาเยือนเรา ส่องสว่างแก่บรรดาผู้อยู่ในความมืด และในเงาของความตาย เพื่อนําย่างเท้าของเราสู่ทางแห่งสันติสุข” ฝ่ายทารกนั้นก็เติบโตขึ้นมีความเข้มแข็งด้านจิตวิญญาณ และเขาอาศัยอยู่ในถิ่นกันดารจวบจน มาปรากฏตัวแก่สาธารณชนอิสราเอล 67
68
69
70 71 72
73 74
75 76
77 78
79
80
การประสูติของพระเยซูคริสต์
อกัสตัสทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ทําทะเบียนสํามะโนครัวทั่วทั้งจักรวรรดิ 2 ครัโรมั้งนนั้น(นีซีซ่เาร์ป็นอการขึ ้นทะเบียนครั้งแรกในสมัยที่คีรินิอัสเป็นผู้ว่าการแคว้นซีเรีย) ทุกคนต่างไป 2
3
ยังเมืองของตนเพื่อขึ้นทะเบียน ดังนั้นโยเซฟจึงเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลีขึ้นไปยังเบธเลเฮมเมืองของดาวิดใน แคว้นยูเดีย เพราะเขาสืบเชื้อสายมาจากดาวิด เขาไปขึ้นทะเบียนที่นั่นกับมารีย์คู่หมั้นซึ่งกําลังตั้ง 4
5
106 | ลูกา 1:57
ลูกา 2:1–20 ต้นไม้ ค้นพบสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกําเนิดของพระเยซู • เมืองนาซาเร็ธห่างจากเมืองเบธเลเฮม 112 กิโลเมตร • ในคอกสัตว์ที่พระเยซูประสูตินั้น น่าจะมีลักษณะคล้ายอุโมงค์ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเอาไว้ขัง สัตว์ของพวกเขา • ทุ่งหญ้าที่คนเลี้ยงแกะใช้เลี้ยงแกะอยู่นั้น เป็นทุ่งหญ้าเดียวกันกับที่กษัตริย์ดาวิดใช้เลี้ยง แกะของเขา เมื่อหลายปีก่อน ครรภ์ ขณะพวกเขาอยู่ที่นั่นก็ถึงกําหนดที่มารีย์จะคลอดบุตร นางให้กําเนิดบุตรชายหัวปี นางเอา ผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้าเพราะในบ้านไม่มีที่ว่างให้พวกเขา 6
7
คนเลี้ยงแกะกับทูตสวรรค์
ลูกา 2:11 และในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่กลางทุ่งเฝ้าฝูงแกะ ของเขายามค่ําคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้ เป็นเจ้ามาปรากฏ และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็น ฑูตสวรรคที่บอกคนเลี้ยงแกะเกี่ยว เจ้าส่องล้อมรอบพวกเขาทําให้คนเหล่านั้นตกใจกลัวยิ่ง กับการประสูติของพระเยซู เรียก พระเยซูดวยชื่อที่ตางกันถึง 3 ชื่อ นัก แต่ทูตนั้นกล่าวแก่พวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เรา ไดแก พระผูชวยใหรอด, นําข่าวดีมา เป็นความเปรมปรีดิ์ใหญ่หลวงสําหรับคน ทั้งปวง ในวันนี้ที่เมืองของดาวิดองค์พระผู้ช่วยให้รอด พระคริสต และพระผูเปนเจา ลูกา มักจะเรียกพระองควา พระเยซูคริสต ได้มาบังเกิดเพื่อท่าน พระองค์คือพระคริสต์ผู้ทรงเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้า นี่เป็นหมายสําคัญแก่ท่าน คือท่าน ชื่อพระคริสตนั้น หมายความวา พระ จะพบพระกุมารพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า” เยซูไดรับการแตงตั้งจากพระเจาเพื่อ ทันใดนั้นมีชาวสวรรค์หมู่ใหญ่มาปรากฏพร้อมกับ มาชวยไถบาปคนของพระองค ทูตสวรรค์องค์นั้นร่วมกันสรรเสริญพระเจ้าและกล่าวว่า “ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด และสันติสุขจงมีแก่มวลมนุษย์บนโลก ผู้ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปราน” เมื่อเหล่าทูตสวรรค์จากพวกเขากลับสู่สวรรค์แล้ว คนเลี้ยงแกะก็พูดกันว่า “ให้เราไปยังเมือง เบธเลเฮมและดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งแก่เรา” ดังนั้นพวกเขาจึงรีบรุดมาและพบมารีย์ โยเซฟ กับพระกุมารซึ่งนอนอยู่ในรางหญ้า เมื่อพวก เขาได้เห็นพระองค์แล้วก็กระจายข่าวเรื่องที่ทูตสวรรค์นั้นมาบอกเกี่ยวกับพระกุมาร และคน ทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจในสิ่งที่คนเลี้ยงแกะกล่าวแก่พวกเขา ส่วนมารีย์เก็บเรื่องทั้งหมดนี้ ใคร่ครวญอยู่ในใจ คนเลี้ยงแกะกลับไปและยกย่องสรรเสริญพระเจ้าสําหรับทุกสิ่งที่พวกเขาได้ยิน และได้เห็นซึ่งเป็นเหมือนที่ทูตสวรรค์ได้แจ้งพวกเขาทุกประการ 8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
ถวายพระกุมารในพระวิหาร
เมื่อครบแปดวันก็ได้เวลาที่พระกุมารต้องเข้าสุหนัต พวกเขาตั้งชื่อพระองค์ว่า เยซู ซึ่งเป็นชื่อที่ ทูตสวรรค์ได้บอกไว้ตั้งแต่ยังไม่ทรงปฏิสนธิ เมื่อครบกําหนดเวลาการชําระตัวของมารีย์ตามบทบัญญัติของโมเสสแล้ว โยเซฟกับมารีย์ 21
22
ลูกา 2:22 | 107
ก็นําพระกุมารมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า (ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือ บทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “บุตรชายหัวปีทุกคนต้องถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า”) และ ถวายเครื่องบูชาตามที่กล่าวไว้ในหนังสือบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือ “นกเขาหรือนกพิราบ รุ่นสองตัว” มีชายคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มชื่อสิเมโอน เขาเป็นคนชอบธรรมและยําเกรงพระเจ้า เขากําลัง รอคอยเวลาที่ชนอิสราเอลจะได้รับการปลอบประโลมและพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับเขา พระ วิญญาณได้ทรงสําแดงแก่เขาว่าเขาจะได้เห็นพระคริสต์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าส่งมาก่อนที่เขาจะตาย พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนําเขามายังลานพระวิหาร เมื่อบิดามารดานําพระกุมารเยซูมาประกอบ พิธีให้แก่พระองค์ตามธรรมเนียมที่บทบัญญัติกําหนดไว้ สิเมโอนก็อุ้มพระกุมารและสรรเสริญ พระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เจ้าชีวิต ดังที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ บัดนี้พระองค์ทรงให้ผู้รับใช้ของพระองค์ไปอย่างเป็นสุข เพราะตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์ ความรอดซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าประชากรทั้งปวง เป็นแสงสว่างเพื่อสําแดงแก่คนต่างชาติ และเพื่อเป็นศักดิ์ศรีแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์” บิดามารดาของพระกุมารก็ประหลาดใจในถ้อยคําที่เขากล่าวเกี่ยวกับพระกุมาร จากนั้น สิเมโอนอวยพรพวกเขาและกล่าวกับมารีย์มารดาของพระองค์ว่า “พระกุมารนี้ถูกกําหนดไว้ให้เป็น สาเหตุของการล้มลงหรือลุกขึ้นของชาวอิสราเอลจํานวนมากและถูกกําหนดให้เป็นหมายสําคัญที่ จะถูกต่อต้าน เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะถูกเปิดเผยและดาบจะแทงทะลุจิตใจของ ท่านเองด้วย” ยังมีผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่งชื่ออันนา บุตรีฟานูเอลตระกูลอาเชอร์ นางชรามาก นางอยู่ กินกับสามีได้เจ็ดปี แล้วเป็นม่ายมาจนถึงอายุ 84 ปี นางไม่เคยออกจากพระวิหารเลยทุกวันคืน เฝ้านมัสการ อดอาหาร และอธิษฐาน ขณะนั้นนางเข้ามาหาพวกเขาแล้วขอบพระคุณพระเจ้า และกล่าวถึงพระกุมารให้บรรดาผู้ที่รอคอยการไถ่กรุงเยรูซาเล็มฟัง เมื่อโยเซฟกับมารีย์ได้ทําทุกอย่างครบถ้วนตามที่กําหนดไว้ในหนังสือบทบัญญัติขององค์พระผู้ เป็นเจ้าแล้ว เขาทั้งสองก็กลับมายังนาซาเร็ธเมืองของตนในแคว้นกาลิลี และพระกุมารทรงเติบโต แข็งแรง เปี่ยมด้วยสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้าอยู่เหนือพระองค์ 23
24
25
26
27
28
29
30 31 32
33
34
35
36
37
38
39
40
พระกุมารเยซูที่พระวิหาร
บิดามารดาของพระองค์จะไปกรุงเยรูซาเล็มทุกปีเพื่อร่วมเทศกาลปัสกา เมื่อพระองค์ทรงมี พระชนมายุสิบสองพรรษา พวกเขาก็มาร่วมเทศกาลตามธรรมเนียม เมื่อเทศกาลสิ้นสุดลงแล้ว ขณะบิดามารดาของพระองค์กําลังเดินทางกลับบ้านพระกุมารเยซูยังอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม แต่พวก เขาไม่รู้ คิดว่าทรงอยู่ในกลุ่มคนที่มาด้วยกัน เมื่อเดินทางมาได้หนึ่งวันเขาก็เริ่มหาพระกุมารในหมู่ ญาติมิตร เมื่อไม่พบพระองค์ พวกเขาก็กลับไปค้นหาที่กรุงเยรูซาเล็ม สามวันต่อมาจึงพบพระ กุมารที่ลานพระวิหาร พระองค์ทรงนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ กําลังฟังและซักถามอาจารย์เหล่านั้น ทุก คนที่ได้ฟังพระองค์ล้วนประหลาดใจในความเข้าใจและคําตอบของพระองค์ เมื่อบิดามารดาเห็น พระองค์ก็ประหลาดใจ มารดาจึงกล่าวแก่พระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทําไมทํากับเราอย่างนี้? พ่อกับแม่ ร้อนใจเที่ยวตามหาลูกอยู่” พระกุมารตรัสว่า “ตามหาเราทําไม? ไม่รู้หรือว่าเราต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดาของเรา?” แต่พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสกับพวกเขา แล้วพระกุมารก็กลับมายังเมืองนาซาเร็ธกับพวกเขาและทรงอยู่ในโอวาทของพวกเขา ส่วน 41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
108 | ลูกา 2:23
ลูกา 2:52 ไบรท รูวาเด็ก ๆ มีอยูหลายประเภท นอง ๆ รูหรือเปลาวาตัวเองอยากจะเปนเด็ก ประเภทไหน? ในพระคัมภีรลูกา 2:52 ไดบอกเราวาพระเยซูทรงเปนเด็กประเภทไหน? เขียนลงไปวาเราอยากจะเปนเด็กแบบไหน ใหเริ่มตนประโยคของเราแบบนี้ “ฉันอยากจะเปนเด็กประเภท...” นอง ๆ คิดวาเราสามารถที่จะเปนเหมือนพระเยซูเมื่อครั้งที่พระองคทรงเปนเด็กได หรือไม? มารดาเก็บเรื่องทั้งหมดนี้ไว้ในใจ และพระเยซูทรงเติบโตขึ้นทั้งในด้านสติปัญญาและด้านร่างกาย และทรงเป็นที่ชื่นชมทั้งของพระเจ้าและของคนทั้งหลาย 52
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเตรียมทาง
ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลทิเบริอัสซีซาร์ ขณะนั้นปอนทิอัสปีลาตเป็นผู้ว่าการแคว้นยูเดีย เฮโรด 3 ครองแคว้ นกาลิลี ส่วนฟีลิปน้องชายของเฮโรดครองแคว้นอิทูเรียและตราโคนิติส ลีซาเนียส
ครองแคว้นอาบีเลน ในสมัยที่อันนาสกับคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิต พระวจนะของพระเจ้าก็ได้ มาถึงยอห์นบุตรเศคาริยาห์ในถิ่นกันดาร เขาไปทั่วแถบลุ่มแม่น้ําจอร์แดน ประกาศบัพติศมาแห่ง การกลับใจใหม่เพื่อรับการอภัยบาป ดังที่เขียนไว้ในหนังสือของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “เสียงของผู้หนึ่งร้องในถิ่นกันดารว่า ‘จงเตรียมทางสําหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า จงทําทางสําหรับพระองค์ให้ตรงไป หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมให้เต็ม ภูเขาและเนินเขาทุกแห่งจะถูกทําให้ต่ําลง ทางคดเคี้ยวจะกลายเป็นทางตรง ทางขรุขระจะกลับราบเรียบ และมวลมนุษยชาติจะเห็นความรอดของพระเจ้า’ ” ยอห์นกล่าวกับฝูงชนที่มารับบัพติศมาจากเขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย! ใครตักเตือนพวกเจ้าให้หนี จากพระพิโรธที่จะมาถึง? จงเกิดผลให้สมกับที่กลับใจใหม่และอย่านึกว่า ‘พวกเรามีอับราฮัมเป็น บรรพบุรุษ’ เพราะเราบอกท่านว่าพระเจ้าทรงสามารถทําให้ลูกหลานของอับราฮัมเกิดจากก้อนหิน เหล่านี้ได้ ขวานนั้นอยู่ที่โคนต้นไม้แล้วและทุกต้นที่ไม่ให้ผลดีจะถูกโค่นและโยนลงในไฟ” ประชาชนถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเราควรทําอย่างไร?” ยอห์นตอบว่า “ผู้ที่มีเสื้อสองตัวจงแบ่งให้ผู้ที่ไม่มีและคนที่มีอาหารก็ควรแบ่งปันเช่นกัน” คนเก็บภาษีมาขอรับบัพติศมาด้วย พวกเขาถามว่า “ท่านอาจารย์ เราควรทําอย่างไร?” เขาตอบว่า “อย่าเก็บภาษีเกินพิกัด” แล้วพวกทหารก็มาถามด้วยว่า “และเราควรทําอย่างไร?” เขาตอบว่า “อย่าข่มขู่เอาเงินและอย่าใส่ร้ายใคร จงพอใจกับค่าจ้างของตน” ประชาชนกําลังใจจดใจจ่อรอคอยและทุกคนล้วนสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ยอห์นจะเป็นพระ คริสต์ ยอห์นตอบพวกเขาทั้งหมดว่า “เราให้ท่านรับบัพติศมาด้วยน้ํา แต่ผู้หนึ่งซึ่งทรงฤทธิ์อํานาจ ยิ่งกว่าเราจะเสด็จมาซึ่งเราไม่คู่ควรแม้แต่จะแก้สายฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้ 2
3
4
5
6
7
8
9
10 11
12 13 14
15
16
ลูกา 3:16 | 109
ลูกา 3:21–23 เราจะเจอฝูงนกพิราบไดทุกที่ในโลก ยกเวนในสถานที่ที่เย็นหรือแหงมาก นกพิราบมี อยูมากกวา 300 สายพันธุ นกพิราบสีขาวมักจะถูกใชเปนสัญลักษณของสันติภาพ และนกพิราบยังเปนสัญลักษณ ของพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกดวย ท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ พระองค์ทรงถือพลั่วพร้อมอยู่ในพระหัตถ์ เพื่อจะทรงเก็บกวาดลานนวดข้าวและเพื่อจะรวบรวมข้าวไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์ จะทรงเผาแกลบด้วยไฟอันไม่รู้ดับ” ยอห์นได้แนะนําตักเตือนประชาชนอีกหลายประการและ ประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา แต่เมื่อยอห์นตําหนิเฮโรดผู้ครองแคว้นเรื่องนางเฮโรเดียสภรรยาของน้องชายเฮโรดและสารพัด การชั่วอื่นๆ ที่เฮโรดได้ทํา เฮโรดก็ทําชั่วหนักขึ้นโดยจับยอห์นขังคุก 17
18
19
20
พระเยซูทรงรับบัพติศมาและลําดับวงศ์ตระกูลของพระองค์
เมื่อคนทั้งหลายกําลังรับบัพติศมาอยู่ พระเยซูก็ทรงรับบัพติศมาด้วย ขณะที่พระองค์ทรง อธิษฐาน ท้องฟ้าก็เปิดออก และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในรูปลักษณ์เหมือนนกพิราบเสด็จลงมา ประทับเหนือพระองค์และมีพระสุรเสียงจากฟ้าสวรรค์ว่า “เจ้าคือลูกของเรา ผู้ที่เรารัก เราพอใจ เจ้ายิ่งนัก” พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจเมื่อมีพระชนมายุราวสามสิบพรรษา เป็นที่เข้าใจกันว่าพระองค์ ทรงเป็นบุตรของโยเซฟ ผู้เป็นบุตรของเฮลี ผู้เป็นบุตรของมัทธัต ผู้เป็นบุตรของเลวี ผู้เป็นบุตรของเมลคี ผู้เป็นบุตรของยันนาย ผู้เป็นบุตรของโยเซฟ ผู้เป็นบุตรของมัทธาธีอัส ผู้เป็นบุตรของอาโมส ผู้เป็นบุตรของนาฮูม ผู้เป็นบุตรของเอสลี ผู้เป็นบุตรของนักกาย ผู้เป็นบุตรของมาอาท ผู้เป็นบุตรของมัทธาธีอัส ผู้เป็นบุตรของเสเมอิน ผู้เป็นบุตรของโยเสค ผู้เป็นบุตรของโยดา ผู้เป็นบุตรของโยอานัน ผู้เป็นบุตรของเรซา ผู้เป็นบุตรของเศรุบบาเบล ผู้เป็นบุตรของเชอัลทิเอล ผู้เป็นบุตรของเนรี ผู้เป็นบุตรของเมลคี ผู้เป็นบุตรของอัดดี ผู้เป็นบุตรของโคสัม ผู้เป็นบุตรของเอลมาดัม ผู้เป็นบุตรของเอร์ ผู้เป็นบุตรของโยชูวา ผู้เป็นบุตรของเอลีเยเซอร์ ผู้เป็นบุตรของโยริม ผู้เป็นบุตรของมัทธัต ผู้เป็นบุตรของเลวี ผู้เป็นบุตรของสิเมโอน 21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
110 | ลูกา 3:17
31
ผู้เป็นบุตรของยูดาห์ ผู้เป็นบุตรของโยเซฟ ผู้เป็นบุตรของโยนาม ผู้เป็นบุตรของเอลียาคิม ผู้เป็นบุตรของเมเลอา ผู้เป็นบุตรของเมนนา ผู้เป็นบุตรของมัทตะธา ผู้เป็นบุตรของนาธัน ผู้เป็นบุตรของดาวิด ผู้เป็นบุตรของเจสซี ผู้เป็นบุตรของโอเบด ผู้เป็นบุตรของโบอาส ผู้เป็นบุตรของสัลโมน ผู้เป็นบุตรของนาโชน ผู้เป็นบุตรของอัมมีนาดับ ผู้เป็นบุตรของราม ผู้เป็นบุตรของเฮสโรน ผู้เป็นบุตรของเปเรศ ผู้เป็นบุตรของยูดาห์ ผู้เป็นบุตรของยาโคบ ผู้เป็นบุตรของอิสอัค ผู้เป็นบุตรของอับราฮัม ผู้เป็นบุตรของเทราห์ ผู้เป็นบุตรของนาโฮร์ ผู้เป็นบุตรของเสรุก ผู้เป็นบุตรของเรอู ผู้เป็นบุตรของเปเลก ผู้เป็นบุตรของเอเบอร์ ผู้เป็นบุตรของเชลาห์ ผู้เป็นบุตรของไคนาน ผู้เป็นบุตรของอารฟาซัด ผู้เป็นบุตรของเชม ผู้เป็นบุตรของโนอาห์ ผู้เป็นบุตรของลาเมค ผู้เป็นบุตรของเมธูเสลาห์ ผู้เป็นบุตรของเอโนค ผู้เป็นบุตรของยาเรด ผู้เป็นบุตรของมาหะลาเลล ผู้เป็นบุตรของเคนาน ผู้เป็นบุตรของเอโนช ผู้เป็นบุตรของเสท ผู้เป็นบุตรของอาดัม ผู้เป็นบุตรของพระเจ้า 32
33
34
35
36
37
ลูกา 3:23–38
ลูกาไม่ได้เขียนเริ่มต้นเชื้อสาย ครอบครัวของพระเยซูจากฮับราฮัม (เหมือนที่มัทธิวได้เขียนไว้) แต่เริ่ม ต้นเชื้อสายจากอดัม ลูกาต้องการที่ จะแสดงให้เราเห็นว่าพระเยซูทรง เป็นมนุษย์อย่างแท้จริง ต้นตระกูลของพระเยซูยงั แสดงให้เรา เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นลูกหลานของ กษัตริย์ดาวิด เหมือนดั่งที่พระเจ้าได้ สัญญาไว้
38
พระเยซูถูกมารทดลอง
ทรงเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์เสด็จกลับมาจากแม่น้ําจอร์แดนและพระ 4 พระเยซู วิญญาณทรงนําพระองค์ไปยังถิ่นกันดาร พระองค์ทรงถูกมารทดลองที่นั่นเป็นเวลาสี่สิบวัน ใน 2
ระหว่างนั้นพระองค์ไม่ได้เสวยอะไรเลย เมื่อสิ้นสี่สิบวันแล้วพระองค์ก็ทรงหิว มารทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าก็จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง” พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคําเขียนไว้ว่า ‘มนุษย์ไม่อาจดํารงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียว’” มารนําพระองค์ขึ้นไปยังที่สูงและสําแดงให้พระองค์เห็นอาณาจักรทั้งหมดของโลกในคราวเดียว 3 4 5
ลูกา 4:1–11 พระเยซูทรงทําอยางไรที่จะแสดงใหประชาชนรูวาพระองคทรงเปนบุตรของพระเจา? พวกมารมีไอเดียมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้! มันรูวาพระเยซูทรงหิว และมันบอกใหพระองคเปลี่ยนกอนหินใหเปนขนมปง (ขอ 3) จากนั้นมันก็บอกพระเยซูวาถาพระองคตองการความมั่งคั่งทั้งหมดในโลกนี้ พระองค จะตองนมัสการมัน (ขอ 5–7) และสุดทายมันพูดวา ถาพระเยซูทรงเปนพระบุตรของ พระเจา พระองคจะตองแสดงฤทธานุภาพของพระองคใหพวกมันเห็น (ขอ 9–11) จง เขียนสิ่งที่พระเยซูทรงตรัสกับมารหลังจากที่ทรงถูกทดลองในทุกครั้ง ลูกา 4:5 | 111
ลูกา 4:1–13 เราสามารถทําตามแบบอยางของพระเยซูไดและใชขอพระคัมภีรชวยเรา เมื่อเราถูก ทดลองใหทําในสิ่งที่ไมถูกตอง ใหเขียนรายการของสิ่งที่เราตองการจะทําถึงแมวามัน จะไมถูกตองก็ตาม ตัวอยางเชน การโกหก วาดรูปดาบไวขาง ๆ แตละรายการ จากนั้น ใหเขียนขอพระคัมภีรที่จะชวยเราไดลงในดาบนั้น ตอไปนี้คือตัวอยาง 4 ขอ การโกหก - โคโลสี 3:9 การบ่นต่อว่า - ฟิลิปปี 2:14 การลักขโมย - เอเฟซัส 4:28 การไม่เชื่อฟังพ่อแม่ - เอเฟซัส 6:1 และทูลพระองค์ว่า “สิทธิอํานาจและความโอ่อ่าตระการทั้งหมดนี้เราจะยกให้ท่าน เพราะสิ่งเหล่า นี้ได้ถูกมอบไว้แก่เราแล้วและเราจะยกให้ใครก็ได้ตามใจชอบ ฉะนั้นหากท่านนมัสการเรา ทั้งหมด นี้จะเป็นของท่าน” พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคําเขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านและ ปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’” มารนําพระองค์มายังกรุงเยรูซาเล็มและให้พระองค์ประทับยืนที่จุดสูงสุดของพระวิหารแล้วทูล ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไปจากที่นี่เถิด เพราะมีคําเขียนไว้ว่า “ ‘พระองค์จะทรงบัญชาทูตสวรรค์ของพระองค์ ให้ระแวดระวังพิทักษ์รักษาท่าน ทูตเหล่านั้นจะยื่นมือประคองท่าน เพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’” พระเยซูตรัสตอบว่า “มีกล่าวไว้ว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน’” เมื่อมารทดลองทุกอย่างนี้แล้ว ก็ละพระองค์ไปจนถึงโอกาสเหมาะ 6
7
8
9
10
11
12 13
นาซาเร็ธไม่ต้อนรับพระเยซู
พระเยซูเสด็จกลับไปยังแคว้นกาลิลี ทรงเปี่ยมด้วยฤทธิ์อํานาจของพระวิญญาณ และกิตติศัพท์ ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วแถบนั้น พระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาต่างๆ ของเขา ทุกคนพากัน สรรเสริญพระองค์ พระองค์เสด็จมายังเมืองนาซาเร็ธที่ซึ่งทรงเติบโตขึ้น และในวันสะบาโตพระองค์เสด็จเข้าไปใน ธรรมศาลาอย่างที่ปฏิบัติเป็นประจําและทรงยืนขึ้นอ่านพระธรรม เขาส่งม้วนพระคัมภีร์อิสยาห์ให้ พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่ออกมาก็พบข้อความที่เขียนไว้ว่า “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้ พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่ผู้ถูกจองจํา และให้คนตาบอดมองเห็น ให้ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” จากนัน้ พระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนแก่เจ้าหน้าทีแ่ ล้วประทับนัง่ ลง สายตาทุกคูใ่ นธรรมศาลา ก็จ้องมองมาที่พระองค์ พระเยซูทรงเอ่ยขึ้นว่า “ในวันนี้พระคัมภีร์ตอนนี้เป็นจริงแล้วตามที่ ท่านได้ฟัง” คนทั้งปวงกล่าวยกย่องพระองค์และประหลาดใจในพระดํารัสอันทรงพระคุณจากพระโอษฐ์ ของพระองค์ พวกเขาถามกันว่า “คนนี้เป็นลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ?” 14
15
16
17
18
19
20
21
22
112 | ลูกา 4:6
พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า “แน่นอน ท่านคงจะยกภาษิตนี้กล่าวกับเราว่า ‘หมอจงรักษาตัวเอง เถิด! สิ่งที่เราได้ยินว่าท่านทําที่เมืองคาเปอรนาอุมจงทําในเมืองของตนที่นี่ด้วย’ ” พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะสักคนที่ได้รับการ ยอมรับในบ้านเกิดของตน เรายืนยันกับท่านว่ามีหญิงม่ายมากมายในอิสราเอลสมัยเอลียาห์เมื่อ ฟ้าถูกปิดไม่ให้ฝนตกเป็นเวลาสามปีครึ่งและเกิดการกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแผ่นดิน กระนั้น เอลียาห์ก็ไม่ได้ถูกส่งไปหาใครยกเว้นหญิงม่ายที่ศาเรฟัทในเขตไซดอน และในสมัยผู้เผยพระ วจนะเอลีชาก็มีคนโรคเรื้อนมากมายในอิสราเอล แต่ไม่มีคนไหนหายจากโรคยกเว้นนาอามานคน ซีเรีย” เมื่อคนทั้งปวงในธรรมศาลาได้ยินเช่นนี้ก็โกรธจัด เขาจึงลุกขึ้นผลักไสพระองค์ออกจากเมือง มาถึงชะง่อนเขาที่ตั้งเมืองเพื่อจะผลักพระองค์ลงไปจากหน้าผา แต่พระองค์ทรงดําเนินฝ่าฝูงชน ออกไปและเสด็จไปตามทางของพระองค์ 23
24
25
26
27
28
29
30
พระเยซูทรงขับวิญญาณชั่ว
จากนั้นพระองค์เสด็จมายังเมืองคาเปอรนาอุมซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี และพระองค์ ทรงเริ่มสั่งสอนประชาชนในวันสะบาโต พวกเขาเลื่อมใสในคําสอนของพระองค์เพราะถ้อยคําของ พระองค์มีสิทธิอํานาจ ชายคนหนึ่งในธรรมศาลามีวิญญาณชั่วเข้าสิง เขาร้องสุดเสียงว่า “พระเยซูแห่งนาซาเร็ธ ท่านต้องการอะไรจากพวกเรา? ท่านมาเพื่อทําลายพวกเราหรือ? ข้ารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ บริสุทธิ์ของพระเจ้า!” พระเยซูตรัสสั่งอย่างเฉียบขาดว่า “เงียบ! ออกมาจากเขาเดี๋ยวนี้!” แล้วผีก็ทําให้คนนั้นล้มลง ต่อหน้าคนทั้งปวงและออกมาโดยไม่ได้ทําอันตรายเขาแต่อย่างใด ประชาชนล้วนประหลาดใจและพูดกันว่า “คําสอนอะไรกันนี่? ท่านผู้นี้สั่งวิญญาณชั่วด้วยสิทธิ อํานาจและฤทธิ์เดช มันก็ออกมา!” กิตติศัพท์ของพระองค์จึงเลื่องลือไปทั่วแถบนั้น 31
32
33
34
35
36
37
พระเยซูทรงรักษาคนเป็นอันมาก
พระเยซูเสด็จจากธรรมศาลาและทรงเข้าไปในบ้านของซีโมน ขณะนั้นแม่ยายของซีโมนกําลัง ป่วยมีไข้สูง พวกเขาจึงทูลขอให้พระเยซูทรงช่วยนาง ดังนั้นพระองค์จึงทรงโน้มพระกายลงและ ตรัสสั่งไข้ให้หายไป ไข้ก็หายไป นางจึงลุกขึ้นทันทีและมาปรนนิบัติพระองค์กับสาวก เมื่อตะวันกําลังลับฟ้าประชาชนนําคนป่วยเป็นโรคต่างๆ มาเฝ้าพระเยซู พระองค์ก็ทรงวาง พระหัตถ์ให้แต่ละคน รักษาพวกเขาให้หาย ยิ่งไปกว่านั้น มีผีออกมาจากหลายคนและร้องว่า “ท่านคือพระบุตรของพระเจ้า!” แต่พระเยซูตรัสสั่งพวกมันไม่ให้พูดเพราะพวกผีรู้ว่าพระองค์คือ พระคริสต์ พอรุ่งเช้าพระเยซูเสด็จไปยังที่สงบเงียบ ประชาชนเที่ยวตามหาพระองค์ เมื่อพบแล้วก็พยายาม หน่วงเหนี่ยวไม่ให้เสด็จไปจากพวกเขา แต่พระองค์ตรัสว่า “เราต้องประกาศข่าวประเสริฐเรื่อง อาณาจักรของพระเจ้าแก่เมืองอื่นๆ ด้วยเพราะเราถูกส่งมาก็เพื่อเหตุนี้” และพระองค์ทรงเทศนา ในธรรมศาลาต่างๆ ทั่วแคว้นยูเดีย 38
39
40
41
42
43
44
ทรงเรียกสาวกกลุ่มแรก
ขณะพระเยซูทรงยืนอยู่ริมทะเลสาบเยนเนซาเรทโดยมีประชาชนกําลังรุมล้อมพระองค์ 5 วัเพืน่อหนึฟัง่งพระวจนะของพระเจ้ า พระองค์ทรงเห็นเรือสองลําจอดอยู่ริมน้ํา ส่วนชาวประมงขึ้น 2
จากเรือแล้วกําลังซักอวนอยู่ พระองค์จึงเสด็จลงเรือลําหนึ่งซึ่งเป็นเรือของซีโมนและทรงขอให้เขา ถอยเรือไปจากฝั่งเล็กน้อย จากนั้นทรงนั่งลงและทรงสอนประชาชนจากบนเรือ หลังจากพระองค์ทรงสอนจบ พระองค์ตรัสกับซีโมนว่า “จงถอยออกไปที่น้ําลึก แล้วจงหย่อน อวนลงจับปลา” 3
4
ลูกา 5:4 | 113
ซีโมนทูลตอบว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ตรากตรํามาทั้งคืนแต่จับปลาไม่ได้เลย แต่เพราะพระองค์ทรงสั่งเช่นนั้น ข้าพระองค์ก็จะหย่อนอวนลง” เมื่อพวกเขาหย่อนอวนลงก็จับปลาได้มากมายจนอวนของพวกเขาเริ่มจะขาด ดังนั้นพวกเขา จึงส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมงานในเรืออีกลํามาสมทบ พวกเขาก็มาช่วยและได้ปลาเต็มเรือทั้งสองลํา จนเรือเริ่มจะจม เมื่อซีโมนเปโตรเห็นเช่นนี้ก็กราบลงที่เข่าของพระเยซูและทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า เสด็จไปจาก ข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์เป็นคนบาป!” เพราะเขากับเพื่อนพ้องประหลาดใจที่จับปลาได้มาก ขนาดนั้น เพื่อนของซีโมนคือยากอบและยอห์นบุตรชายของเศเบดีก็ประหลาดใจเช่นกัน แล้วพระเยซูตรัสกับซีโมนว่า “อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไปท่านจะเป็นผู้จับคน” ดังนั้นพวกเขาจึง ลากเรือขึ้นฝั่ง แล้วละทิ้งทุกสิ่งและติดตามพระองค์ไป 5
6
7
8
9
10
11
คนโรคเรื้อน
ขณะพระเยซูทรงอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง มีคนเป็นโรคเรื้อนทั้งตัวเดินมาตามทาง เมื่อเขาเห็น พระองค์ เขาก็หมอบซบหน้าลงกับพื้นทูลวิงวอนพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงรักษา ข้าพระองค์ให้หายได้ถ้าพระองค์เต็มใจ” พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์แตะต้องเขาและตรัสว่า “เราเต็มใจจะรักษา จงหายโรคเถิด!” ทันใด นั้นโรคเรื้อนที่เขาเป็นอยู่ก็หายไป แล้วพระเยซูทรงกําชับเขาว่า “อย่าบอกผู้ใดเลย แต่จงไปแสดงตัวต่อปุโรหิตและถวายเครื่อง บูชาสําหรับการที่เจ้าหายจากโรคเรื้อนตามที่โมเสสสั่งไว้ เพื่อเป็นพยานแก่คนทั้งหลายว่าเจ้าหาย โรคแล้ว” ถึงกระนั้นกิตติศัพท์ของพระองค์กลับเลื่องลือออกไปมากยิ่งขึ้นจนฝูงชนมากมายพากันมาฟัง พระองค์และรับการรักษาโรค แต่พระเยซูมักจะทรงปลีกตัวไปอยู่ในที่สงบและอธิษฐาน 12
13
14
15
16
พระเยซูทรงรักษาคนเป็นอัมพาต
วันหนึ่งขณะพระองค์ทรงสอนอยู่ พวกฟาริสีกับธรรมจารย์จากทุกหมู่บ้านแถบกาลิลี และจาก แคว้นยูเดีย และกรุงเยรูซาเล็มมานั่งอยู่ที่นั่นด้วย ฤทธิ์อํานาจขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับพระองค์ เพื่อรักษาผู้ป่วย มีผู้หามคนเป็นอัมพาตมาบนที่นอน พยายามจะเข้ามาในบ้านเพื่อวางเขาลงต่อ หน้าพระเยซู แต่เมื่อหมดช่องทางเพราะคนแน่นมาก พวกเขาจึงขึ้นไปบนหลังคาบ้านแล้วหย่อน ที่นอนซึ่งคนเป็นอัมพาตนอนอยู่ผ่านช่องหลังคาลงมากลางฝูงชน ตรงหน้าพระเยซูพอดี เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของพวกเขาก็ตรัสว่า “เพื่อนเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัย แล้ว” พวกฟาริสีกับธรรมาจารย์คิดในใจว่า “คนที่พูดหมิ่นประมาทพระเจ้าคนนี้เป็นใครกัน? นอกจากพระเจ้าแล้วใครจะอภัยบาปได้?” พระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่และตรัสถามพวกเขาว่า “ทําไมพวกท่านจึงคิดในใจ เช่นนั้น? ที่จะพูดว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ กับ ‘จงลุกขึ้นเดินไป’ อย่างไหนจะง่าย กว่ากัน? แต่ทั้งนี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอํานาจในโลกที่จะอภัยบาป” แล้วพระองค์ ตรัสกับคนเป็นอัมพาตว่า “เราสั่งเจ้าว่าลุกขึ้น จงแบกที่นอนของเจ้าและกลับบ้านไปเถิด” ทันใด นั้นเขาก็ลุกขึ้นต่อหน้าคนทั้งปวงแล้วแบกที่นอนและเดินร้องสรรเสริญพระเจ้ากลับบ้านไป ทุกคน พากันตื่นเต้นและสรรเสริญพระเจ้า พวกเขาเกรงกลัวจนกล่าวว่า “วันนี้เราได้เห็นเรื่องเหลือเชื่อ” 17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
ทรงเรียกเลวี
จากนั้นพระเยซูเสด็จออกไปและทรงเห็นคนเก็บภาษีชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์จึง ตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา” เลวีก็ลุกขึ้นและละทิ้งทุกสิ่งแล้วติดตามพระองค์ไป แล้วเลวีก็จัดงานเลี้ยงใหญ่ถวายพระเยซูที่บ้านของเขา มีคนเก็บภาษีกลุ่มใหญ่และคนอื่นๆ มา 27
28
29
114 | ลูกา 5:5
ร่วมรับประทานอาหารกับพวกเขา ฝ่ายพวกฟาริสีกับธรรมาจารย์ของพวกเขาบ่นติเตียนกับเหล่า สาวกของพระองค์ว่า “ทําไมท่านจึงกินและดื่มกับคนเก็บภาษีและ ‘คนบาป’?” พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “คนสุขภาพดีไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ เราไม่ได้มา เพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาปให้กลับใจใหม่” 30
31
32
ถามพระเยซูเรื่องการถืออดอาหาร
พวกเขาทูลพระองค์ว่า “ศิษย์ของยอห์นมักถืออดอาหารและอธิษฐานอยู่เสมอ ศิษย์ของพวก ฟาริสีก็เช่นกัน แต่ศิษย์ของท่านทั้งกินทั้งดื่ม” พระเยซูทรงตอบว่า “ท่านจะให้แขกของเจ้าบ่าวอดอาหารขณะเจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้หรือ? แต่ สักวันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกนําตัวไปจากเขาและในวันนั้นพวกเขาจะอดอาหาร” พระองค์ตรัสคําอุปมานี้ให้เขาฟังว่า “ไม่มีใครฉีกผ้าจากเสื้อใหม่ไปปะเสื้อเก่า ถ้าทําเช่นนั้นเขา จะทําให้เสื้อใหม่ฉีกขาด ทั้งเศษผ้าใหม่ก็เข้ากับเสื้อเก่าไม่ได้ และไม่มีใครเทเหล้าองุ่นใหม่ใส่ถุง หนังเก่า ถ้าทําเช่นนั้นเหล้าองุ่นใหม่จะทําให้ถุงนั้นปริขาด เหล้าองุ่นจะไหลออกมาและถุงหนังก็จะ เสียหาย ไม่หรอก เหล้าองุ่นใหม่จะต้องใส่ในถุงหนังใหม่ และไม่มีใครดื่มเหล้าองุ่นเก่าแล้วอยาก ได้เหล้าหมักใหม่เพราะเขากล่าวว่า ‘ของเก่าดีกว่า’ ” 33
34
35
36
37
38
39
ทรงเป็นเจ้าเหนือวันสะบาโต
นสะบาโตหนึ่งพระเยซูกําลังเสด็จผ่านทุ่งนาและเหล่าสาวกของพระองค์ก็เริ่มเด็ดรวงข้าวมา 6 ในวั ขยี้เอาเมล็ดข้าวกิน พวกฟาริสีบางคนจึงถามขึ้นว่า “ทําไมพวกท่านทําสิ่งที่ผิดบัญญัติใน 2
วันสะบาโต?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “พวกท่านไม่เคยอ่านหรือว่าดาวิดทําอะไรเมื่อเขากับพรรคพวก หิวโหย? ดาวิดเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าและกินขนมปังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตามบทบัญญัติแล้วมีแต่ ปุโรหิตเท่านั้นที่จะกินได้ และดาวิดยังแบ่งขนมปังนี้ให้พรรคพวกกินด้วย” แล้วพระเยซูตรัสแก่ พวกเขาว่า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเหนือวันสะบาโต” อีกวันสะบาโตหนึ่งพระองค์ทรงเข้าไปสั่งสอนในธรรมศาลา ที่นั่นมีชายคนหนึ่งมือขวาลีบ พวก ฟาริสีกับธรรมาจารย์กําลังหาเหตุที่จะกล่าวโทษพระเยซู จึงคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าพระองค์จะ รักษาโรคในวันสะบาโตหรือไม่ แต่พระเยซูทรงทราบ ว่าพวกเขากําลังคิดอะไรอยู่ จึงตรัสกับชายที่มือลีบนั้น ลูกา 6:12–16 ว่า “ลุกขึ้นมายืนข้างหน้านี่สิ” เขาจึงลุกขึ้นมายืนที่นั่น แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราถามท่านว่าทํา ก่อนที่พระเยซูจะทรงเลือกเหล่า สาวกของพระองค์ พระองค์ได้ทรง ดีหรือทําชั่ว ช่วยชีวิตหรือทําลายชีวิต อย่างไหนที่ถูก อธิษฐานตลอดทั้งคืน ต้องตามบทบัญญัติในวันสะบาโต?” พระองค์ทรงกวาดสายตามองดูพวกเขาทุกคนและ คําว่า ‘สาวก’ มาจากคําภาษา น “Discipulus” ซึ่งหมายถึง ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกมา” เขาก็ทํา ละติ “นักเรียน” หรือ “ลูกศิษย์” ตามและมือของเขาก็กลับเป็นปกติทุกอย่าง แต่พวก งจากที่พระเยซูทรงเสด็จขึ้นสู่ นั้นโกรธมากและเริ่มปรึกษากันว่าจะทําอย่างไรกับพระ หลั สวรรค์แล้ว เหล่าสาวกได้ถูกเรียกว่า เยซูดี อัครสาวก คํานี้มาจากภาษากรีกว่า “Apostolos” หมายถึง ผู้ที่ถูกส่ง ทรงแต่งตั้งอัครทูตสิบสองคน ออกไปทํางาน วันหนึ่งพระเยซูเสด็จไปที่ภูเขาเพื่ออธิษฐานและ ทรงสั่งสอนเหล่าสาวกของ ใช้เวลาอธิษฐานต่อพระเจ้าทั้งคืน พอรุ่งเช้าพระองค์ พระเยซู พระองค์ก่อน แล้วพระองค์ทรงส่ง ทรงเรียกเหล่าสาวกมาหาพระองค์และเลือกสิบสอง พวกเขาออกไปทํางานเพื่ออาณาจักร คนจากพวกเขา ทรงแต่งตั้งให้เป็นอัครทูต ได้แก่ ของพระองค์ ซีโมน (ซึ่งทรงเรียกว่า เปโตร) อันดรูว์น้องชายของ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
ลูกา 6:14 | 115
ลูกา 6:21 บอยครั้งที่พระเยซูไดทรงพูดถึงสิ่งที่ขัดแยงกัน เมื่อพระองคตองการที่จะสอนบางสิ่ง บางอยาง เราเห็นอะไรที่ขัดแยงกันบางในขอพระคัมภีร ลูกา 6:21? มาเลนเกมกัน โดยใหแตละคนผลัดกันยกตัวอยางสิ่งที่ขัดแยงกันที่พระเยซูทรงนํามา ใชในการสอน ตัวอยางเชน แสงสวาง และ..., ชีวิต และ..., ความรัก และ ……, และการให และ ….... สวนคนที่เหลือใหชวยกันเติมคําลงในชองวางเหลานั้น เปโตร ยากอบ ยอห์น ฟีลิป บารโธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมนที่เรียกว่านัก ชาตินิยม ยูดาสบุตรยากอบ และยูดาสอิสคาริโอทผู้กลายเป็นคนทรยศ 15
16
พระพรและวิบัติ
พระองค์เสด็จลงมากับพวกเขาและยืนอยูใ่ นทีร่ าบ มีสาวกกลุม่ ใหญ่อยูท่ น่ี น่ั รวมทัง้ ประชาชน มากมายจากทัว่ แคว้นยูเดีย กรุงเยรูซาเล็ม และชายฝัง่ เมืองไทระและเมืองไซดอน ผูซ้ ง่ึ มาเพือ่ จะ ฟังและเพือ่ จะรับการรักษาโรค บรรดาผูท้ ถ่ี กู วิญญาณชัว่ รบกวนก็ได้รบั การรักษาให้หาย คนทัง้ ปวง พยายามแตะต้องพระองค์เพราะฤทธิอ์ าํ นาจออกมาจากพระองค์และรักษาพวกเขาทุกคนให้หาย พระเยซูทอดพระเนตรเหล่าสาวกและตรัสว่า “ความสุขมีแก่ท่านผู้ขัดสน เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่านแล้ว ความสุขมีแก่ท่านผู้หิวโหยอยู่ในขณะนี้ เพราะท่านจะได้อิ่มเอม ความสุขมีแก่ท่านผู้ร่ําไห้อยู่ในขณะนี้ เพราะท่านจะได้หัวเราะ ความสุขมีแก่ท่านเมื่อมนุษย์เกลียดชังท่าน เมื่อเขาอเปหิและลบหลู่ท่าน และปฏิเสธนามของท่านประหนึ่งเป็นสิ่งชั่วช้าเพราะบุตรมนุษย์ “ในวันนั้นจงชื่นชมยินดีและโลดเต้นด้วยความเปรมปรีดิ์เถิดเพราะบําเหน็จของท่านในสวรรค์ ยิ่งใหญ่นัก เนื่องจากบรรพบุรุษของเขาได้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนั้นกับบรรดาผู้เผยพระวจนะ “แต่วิบัติแก่เจ้าผู้มั่งมี เพราะเจ้าได้รับความสุขสบายแล้ว วิบัติแก่เจ้าผู้อิ่มหมีพีมันอยู่ในขณะนี้ เพราะเจ้าจะหิวโหย วิบัติแก่เจ้าผู้หัวเราะอยู่ในเวลานี้ เพราะเจ้าจะโศกเศร้าและร่ําไห้ วิบัติแก่เจ้าเมื่อคนทั้งปวงยกย่องเจ้า เพราะบรรพบุรุษของเขาได้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนั้นกับบรรดาผู้เผยพระวจนะเท็จ 17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
116 | ลูกา 6:15
จงรักศัตรู
“แต่เราบอกท่านที่ฟังอยู่ว่าจงรักศัตรูของท่าน จงทําดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน จงอวยพรคนที่ แช่งด่าท่าน จงอธิษฐานเผื่อผู้ที่ทําร้ายท่าน ถ้าผู้ใดตบแก้มท่าน จงหันแก้มอีกข้างให้เขาด้วย ถ้าผู้ ใดเอาเสื้อคลุมของท่านไป จงยอมให้เขาเอาเสื้อของท่านไปด้วย จงให้แก่ทุกคนที่ขอท่าน และถ้า ใครเอาสิ่งที่เป็นของท่านไป อย่าเรียกร้องสิ่งนั้นกลับคืน จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนา ให้เขาปฏิบัติต่อท่าน “ถ้าท่านรักแต่ผู้ที่รักท่าน ท่านจะน่าสรรเสริญที่ตรงไหน? แม้แต่ ‘คนบาป’ ก็รักคนที่รักเขา และถ้าท่านทําดีแก่ผู้ที่ดีต่อท่าน ท่านจะน่าสรรเสริญที่ตรงไหน? แม้แต่ ‘คนบาป’ ก็ทําเช่นนั้น และถ้าท่านให้ยืมเฉพาะผู้ที่ท่านคาดว่าจะได้คืนจากเขา จะน่าสรรเสริญที่ตรงไหน? แม้แต่ ‘คน บาป’ ก็ให้ ‘คนบาป’ ยืม โดยคาดหวังว่าจะได้คืนครบถ้วน แต่จงรักศัตรูของท่าน จงทําดีต่อเขา และให้เขายืมโดยไม่หวังจะได้อะไรคืนมา แล้วท่านจะได้รับบําเหน็จใหญ่หลวงและจะได้เป็นบุตร ขององค์ผู้สูงสุดเพราะพระองค์ทรงกรุณาต่อคนอกตัญญูและคนชั่ว จงเมตตากรุณาเช่นเดียวกับที่ พระบิดาของท่านทรงเมตตากรุณา 27
28
29
30
31
32
33 34
35
36
การตัดสินผู้อื่น
“อย่าตัดสินแล้วท่านจะไม่ถูกตัดสิน อย่ากล่าวหาแล้วท่านจะไม่ถูกกล่าวหา จงให้อภัยแล้ว ท่านจะได้รับการอภัย จงให้แล้วท่านจะได้รับ และทะนานที่ตวงเต็มยัดสั่นแน่นพูนล้นจะถูกเทลง ในตักของท่าน เพราะท่านใช้ทะนานอันใดก็จะใช้ทะนานอันเดียวกันนั้นตวงแก่ท่าน” พระองค์ยังตรัสคําอุปมานี้แก่เขาอีกว่า “คนตาบอดจะนําทางคนตาบอดได้หรือ? ทั้งคู่จะไม่ ตกหลุมหรือ? ศิษย์ย่อมไม่เหนือกว่าครูของตน แต่ทุกคนที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างสมบูรณ์แล้ว จะเป็นเหมือนครูของตน “เหตุใดท่านมองดูผงขี้เลื่อยในตาของพี่น้องแต่ไม่ใส่ใจกับไม้ทั้งท่อนในตาของท่านเอง? ท่าน พูดกับพี่น้องได้อย่างไรว่า ‘พี่น้องเอ๋ย ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน’? ในเมื่อตัวท่านเองไม่เห็น ไม้ทั้งท่อนในตาของตนเอง เจ้าคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของตนก่อนแล้วเจ้าจะ เห็นชัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาของพี่น้องได้ 37
38
39
40
41
42
ต้นไม้และผล
“ต้นไม้ดีย่อมไม่ให้ผลเลวและต้นไม้เลวย่อมไม่ให้ผลดี เราจะรู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้ด้วยผล ของมัน พุ่มหนามย่อมไม่ออกผลเป็นมะเดื่อ หรือกอหนามย่อมไม่ออกผลเป็นองุ่น คนดีย่อมนําสิ่ง ดีออกจากความดีที่สะสมไว้ในใจของตน ส่วนคนชั่วก็นําสิ่งชั่วออกจากความชั่วที่สะสมไว้ในใจของ ตน เพราะปากย่อมเอ่ยสิ่งที่เอ่อล้นออกมาจากใจ 43
44
45
คนโง่และคนฉลาด
“เหตุใดท่านจึงเรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ แต่ไม่ทําตามที่เราบอก? เราจะ แสดงให้ท่านเห็นว่าผู้ที่มาหาเรา ฟังคําของเรา แล้วนําไปปฏิบัตินั้นเป็นเช่นไร เขาเป็นเหมือนคน ที่สร้างบ้านผู้ขุดลึกลงไปวางฐานรากบนศิลา เมื่อน้ําท่วมและกระแสน้ําเชี่ยวซัดใส่บ้าน บ้านนั้นก็ ไม่สั่นไหวเพราะสร้างไว้อย่างดี ส่วนผู้ที่ได้ยินคําของเราแต่ไม่ได้นําไปปฏิบัติก็เป็นเหมือนคนที่ สร้างบ้านบนพื้นโดยไม่วางฐานราก เมื่อกระแสน้ําเชี่ยวซัดใส่บ้าน บ้านนั้นก็ล้มครืนและถูกทําลาย ราบคาบ” 46
47
48
49
ความเชื่อของนายร้อย
ตรัสทั้งหมดนี้ให้ประชาชนฟังจนจบแล้ว พระองค์ก็เสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม 7 เมืที่อ่นพระเยซู ั่นมีคนรับใช้ของนายร้อยคนหนึ่งป่วยหนักใกล้จะตาย นายร้อยรักคนรับใช้ผู้นั้นมาก เมื่อ 2
3
ได้ยินเรื่องของพระเยซูแล้ว เขาก็ส่งผู้อาวุโสชาวยิวบางคนมาทูลเชิญพระเยซูไปรักษาคนรับใช้ ของเขา เมื่อคนเหล่านั้นมาถึงก็ทูลอ้อนวอนพระเยซูด้วยความร้อนใจว่า “นายร้อยผู้นี้เป็นคนที่ 4
ลูกา 7:4 | 117
ลูกา 7:18–23 สาวกสองคนของยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้ออกเดินทางไปเพื่อพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็น บุตรของพระเจ้าจริงหรือไม่ พระเยซูบอกพวกเขาให้กลับไปบอกยอห์นเกี่ยวกับสิ่งที่ พวกเขาได้เห็น และค่อยตัดสินใจว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด อ่านข้อ 21 และ 22 และ เขียนสิ่งที่พระเยซูทรงได้กระทํา น้อง ๆ สังเกตไหมว่าพระเยซูทรงช่วยคนในแบบที่คน ธรรมดาไม่สามารถทําได้? มีเพียงพระเยซูเท่านั้นที่มีอํานาจที่จะทําสิ่งเหล่านั้นได้ มี เพียงพระบุตรของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นห่วงเป็นใยคนยากจน คนที่ไม่มีความสุข และ คนที่มีความทุกข์ทรมาน และพระองค์ทรงสามารถช่วยพวกเขาได้ พระองค์ทรงสมควรจะไปช่วยอย่างยิ่ง เพราะเขารักชนชาติของเราและสร้างธรรมศาลาให้เรา” ดังนั้นพระเยซูจึงเสด็จไปกับพวกเขา เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงบ้านนั้น นายร้อยก็ให้เพื่อนๆ มาทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า อย่าลําบากพระองค์เลยเพราะข้าพระองค์ไม่คู่ควรที่จะให้พระองค์เสด็จมาใต้ชายคาบ้านของข้า พระองค์ เพราะเหตุนี้ข้าพระองค์จึงคิดว่าตนเองไม่คู่ควรแม้แต่จะมาเข้าเฝ้าพระองค์ เพียงแต่ พระองค์ตรัสสั่งเท่านั้นคนรับใช้ของข้าพระองค์ก็จะหายป่วย เพราะข้าพระองค์เองมีทั้งผู้บังคับ บัญชาและมีทหารใต้บังคับบัญชา ข้าพระองค์สั่งคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป สั่งคนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพระองค์สั่งคนรับใช้ว่า ‘จงทําสิ่งนี้’ เขาก็ทํา” เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนี้ก็ทรงประหลาดใจในตัวเขา แล้วหันมาตรัสกับฝูงชนที่ติดตาม พระองค์ว่า “เราบอกท่านว่าเราไม่เคยพบความเชื่อที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แม้แต่ในอิสราเอล” แล้วคน เหล่านั้นที่นายร้อยส่งมาก็กลับไปบ้านและพบว่าคนรับใช้นั้นหายดีแล้ว 5
6
7
8
9
10
พระเยซูทรงให้บุตรชายของหญิงม่าย เป็นขึ้นจากตาย
หลังจากนัน้ ไม่นานพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองนาอิน เหล่าสาวกและประชาชนกลุ่มใหญ่ติดตามพระองค์ ไป เมื่อพระองค์เสด็จมาเกือบถึงประตูเมือง มีคน หามศพชายหนุ่มคนหนึ่งมา เขาเป็นลูกชายคนเดียว ของหญิงม่าย ชาวเมืองมากมายมากับหญิงนั้น เมื่อ พระองค์ทรงเห็นนางก็ทรงสงสารนางยิ่งนักและตรัสว่า “อย่าร้องไห้เลย” แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปแตะโลงศพ คนหามก็ยืน นิ่ง พระองค์ตรัสว่า “พ่อหนุ่ม เราสั่งเจ้าว่าจงลุกขึ้น เถิด!” ผู้ตายก็ลุกขึ้นนั่งและเริ่มพูดจา พระเยซูจึงทรง มอบเขาคืนให้มารดา คนทั้งปวงเต็มไปด้วยความเกรงกลัวและสรรเสริญ พระเจ้าว่า “ผู้เผยพระวจนะยิ่งใหญ่มาปรากฏในหมู่ เรา พระเจ้าเสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์แล้ว” กิตติศัพท์เรื่องนี้ของพระเยซูก็เลื่องลือไปทั่วแคว้น ยูเดียและดินแดนโดยรอบ 11
12
13
14
15
16
17
118 | ลูกา 7:5
ลูกา 7:11–17
ช่วงเวลาในพระคัมภีร์ ผู้หญิงไม่มี สิทธิเท่าเทียมกับผู้ชาย แต่พระเยซู ทรงปฏิบัติกับพวกเธออย่างเท่าเทียม กันและให้ความเคารพ พระองค์ ทรงแสดงให้เราเห็นว่าทั้งผู้ชายและ ผู้หญิงนั้นมีคุณค่าเท่ากัน ลูกาได้เขียนบทสนทนา 5 บทที่พระ เยซูได้ทรงพูดคุยกับผู้หญิง นักเขียนพระกิตติคุณคนอื่น ๆ ไม่ได้ เขียนเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้เลย
พระเยซูกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา
พวกสาวกของยอห์นมาเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านั้น ยอห์นจึงเรียกศิษย์สอง คนมา และส่งเขาไปทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ท่านคือผู้ที่จะมานั้นหรือเราจะต้องคอยผู้อื่น?” เมื่อคนทั้งสองมาถึงก็ทูลพระองค์ว่า “ยอห์นผู้ให้บัพติศมาส่งพวกข้าพเจ้ามาทูลถามท่านว่า ‘ท่านคือผู้ที่จะมานั้นหรือเราจะต้องคอยผู้อื่น?’ ” ในขณะนั้นพระเยซูทรงรักษาคนเจ็บคนป่วยหลายคนให้หายจากโรคและจากวิญญาณชั่ว และ ทรงทําให้คนตาบอดหลายคนมองเห็นได้ ดังนั้นพระองค์จึงตรัสกับสองคนนั้นว่า “จงกลับไป รายงานสิ่งที่ท่านได้เห็นได้ยินแก่ยอห์น คือคนตาบอดมองเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหาย จากโรค คนหูหนวกกลับได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐได้ประกาศแก่คนยากไร้ คนที่ไม่สูญเสียความเชื่อไปเพราะเราก็เป็นสุข” เมื่อศิษย์ของยอห์นไปแล้ว พระเยซูจึงเริ่มตรัสกับประชาชนเกี่ยวกับยอห์นว่า “พวกท่านออก ไปดูอะไรในถิ่นกันดาร? ดูต้นอ้อลู่ตามลมหรือ? หากไม่ใช่ ท่านออกไปดูอะไร? ดูคนนุ่งห่มผ้าเนื้อ ดีหรือ? ไม่ใช่เลย เพราะบรรดาผู้ที่สวมเสื้อผ้าราคาแพงและชอบฟุ้งเฟ้อย่อมอยู่ในวัง แต่ท่านออก ไปดูอะไร? ผู้เผยพระวจนะหรือ? ใช่แล้ว เราบอกพวกท่านว่าชายผู้นี้เป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะเสีย อีก ยอห์นนี่แหละคือผู้ที่มีเขียนถึงไว้ว่า “ ‘ดูเถิด เราจะส่งทูตของเรามาก่อนท่าน เพื่อเตรียมทางไว้ให้ท่านล่วงหน้า’ เราบอกท่านว่าในบรรดาคนที่เกิดจากผู้หญิงไม่มีคนไหนยิ่งใหญ่กว่ายอห์น กระนั้นผู้เล็กน้อยที่สุด ในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น” (คนทั้งปวงแม้แต่คนเก็บภาษีเมื่อได้ยินคําตรัสของพระเยซูก็รับว่าทางของพระเจ้าถูกต้อง เพราะพวกเขาได้รับบัพติศมาจากยอห์นแล้ว แต่พวกฟาริสีและผู้เชี่ยวชาญในบทบัญญัติไม่ ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าสําหรับพวกเขา เพราะพวกเขาไม่ได้รับบัพติศมาจากยอห์น) “แล้วเราจะเปรียบคนในยุคนี้กับอะไรดี? พวกเขาเป็นเช่นไร? เขาเป็นเหมือนเด็กๆ ที่นั่งอยู่ กลางตลาดและร้องบอกกันและกันว่า “ ‘เราเป่าปี่ให้ พวกเธอก็ไม่เต้นรํา เราร้องเพลงไว้อาลัย พวกเธอก็ไม่ร้องไห้’ เพราะยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่กินขนมปังและไม่ดื่มเหล้าองุ่น พวกท่านก็กล่าวว่า ‘เขามีผีสิง’ ส่วนบุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่มและพวกท่านก็กล่าวว่า ‘นี่คือคนตะกละและขี้เมา เป็นมิตรของ คนเก็บภาษีและ “คนบาป” ’ แต่พระปัญญาก็ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้องโดยคนทั้งปวงที่ ปฏิบัติตามพระปัญญานั้น” 18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33 34
35
พระเยซูทรงรับการชโลมจากหญิงชั่ว
ฟาริสีคนหนึ่งเชิญพระเยซูไปรับประทานอาหารมื้อค่ํา พระองค์จึงเสด็จไปที่บ้านของเขาและ ทรงนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ หญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นเคยเป็นหญิงชั่วเมื่อรู้ว่าพระเยซู กําลังเสวยพระกระยาหารที่บ้านฟาริสีคนนั้น ก็นําขวดน้ํามันหอมเข้ามา และมายืนอยู่ข้างหลัง พระองค์ที่พระบาท นางร่ําไห้หลั่งน้ําตารดพระบาทแล้วเอาผมเช็ด จูบพระบาท และรินน้ํามันหอม ชโลมพระบาทของพระองค์ เมื่อฟาริสีที่เชิญพระเยซูเห็นเช่นนั้นก็นึกในใจว่า “หากคนนี้เป็นผู้เผยพระวจนะ เขาก็น่าจะรู้ว่า ผู้ที่มาแตะต้องเขาเป็นใครและเป็นผู้หญิงประเภทไหนเพราะนางเป็นคนบาป” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรามีอะไรจะบอกท่าน” 36
37
38
39
40
ลูกา 7:40 | 119
เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ ว่าไปเถิด” ลูกา 7:36–50 พระองค์ตรัสว่า “คนปล่อยเงินกู้คนหนึ่งมีลูกหนี้ สองราย รายหนึ่งเป็นหนี้ห้าร้อยเหรียญเดนาริอัน อีก ในสมัยนั้นผู้หญิงถูกห้ามไม่ให้เข้า รายหนึ่งเป็นหนี้ห้าสิบเหรียญ ทั้งสองคนไม่มีเงินใช้ องในขณะที่ผู้ชายกําลังรับ หนี้ เขาจึงยกหนี้ให้ทั้งคู่ ในสองคนนี้คนไหนจะรักเจ้า มาในห้ ประทานอาหารกันอยู่ พวกเขาถือว่า หนี้มากกว่ากัน?” มันเป็นมารยาทที่แย่มาก! ผู้หญิงไม่ ซีโมนทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่ได้รับการยก ได้รับอนุญาตให้เอาผ้าโพกศีรษะของ พวกเธอออก หรือปล่อยผมต่อหน้า หนี้มากกว่า” พวกผู้ชาย พวกเขาถือว่ามันเป็นสิ่ง พระเยซูตรัสว่า “ท่านตัดสินถูกแล้ว” ที่ผิด! แล้วพระองค์ทรงหันไปทางหญิงนั้นและตรัสกับ มารีย์ต้องการที่จะแสดงให้พระเยซู ซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงคนนี้หรือไม่ เราเข้ามาใน เห็นว่าเธอรักพระองค์มากเพียงใด บ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ํามาให้เราล้างเท้า ส่วน และเธอไม่ได้สนใจในสิ่งที่คนอื่นคิด นางเอาน้ําตาล้างเท้าของเราและเช็ดด้วยผมของนาง ท่านไม่ได้จูบเรา แต่หญิงนี้จูบเท้าเราไม่หยุดตั้งแต่ เราเข้ามาในบ้าน ท่านไม่ได้รินน้ํามันรดศีรษะของเรา แต่นางรินน้ํามันหอมรดเท้าของเรา เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้รับการอภัย แล้วตามที่ได้เห็นจากความรักมากมายของนาง แต่ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็รักน้อย” แล้วพระเยซูตรัสกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” แขกรับเชิญคนอื่นๆ เริ่มพูดกันว่า “ผู้นี้เป็นใครหนอจึงให้อภัยบาปได้?” พระเยซูตรัสกับหญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าได้ทําให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด” 41
42
43
44
45
46
47
48
49 50
คําอุปมาเรื่องผู้หว่าน
งจากนั้นพระเยซูเสด็จไปตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่อง 8 หลั อาณาจักรของพระเจ้า สาวกทั้งสิบสองคนอยู่กับพระองค์ พร้อมกับพวกผู้หญิงซึ่งทรงรักษา 2
ให้หายจากวิญญาณชั่วและโรคต่างๆ ผู้หญิงเหล่านี้ได้แก่ มารีย์ (ที่เรียกว่าชาวมักดาลา) ที่ทรงขับ ผีออกจากนางเจ็ดตน โยอันนาภรรยาของคูซาคนต้นเรือนของเฮโรด สูสันนา และคนอื่นๆ อีก มากมาย ผู้หญิงเหล่านี้ช่วยสนับสนุนพวกเขาด้วยทรัพย์สินของตน ขณะผู้คนจํานวนมากมาชุมนุมกันอยู่และประชาชนจากเมืองนั้นเมืองนี้กําลังพากันมาเข้าเฝ้า พระเยซู พระองค์ตรัสคําอุปมานี้ว่า “ชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่หว่าน บางเมล็ด ก็ตกตามทาง ถูกเหยียบย่ําและนกในอากาศก็มาจิกกินไปหมด บางเมล็ดตกบนกรวดหิน เมื่องอก ขึ้นมาก็เหี่ยวเฉาเพราะขาดความชุ่มชื้น บางเมล็ดก็ตกกลางพงหนาม ถูกหนามงอกขึ้นมาปกคลุม แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี งอกขึ้นมาแล้วเกิดผลมากกว่าที่หว่านไว้ร้อยเท่า” เมื่อพระองค์กล่าวถึงตรงนี้ก็ทรงพูดเสียงดังว่า “ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด” เหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์ถึงความหมายของคําอุปมานี้ พระองค์ตรัสว่า “ความลับของ อาณาจักรของพระเจ้า ทรงโปรดให้พวกท่านรู้ แต่กับคนอื่นนั้นเรากล่าวเป็นคําอุปมาเพื่อว่า “ ‘แม้ได้ดูพวกเขาก็ไม่เห็น แม้ได้ฟังพวกเขาก็ไม่เข้าใจ’ “ความหมายของคําอุปมาก็คือ เมล็ดที่หว่านคือพระวจนะของพระเจ้า ที่หล่นตามทางคือผู้ ที่ได้ยิน แล้วมารก็มาชิงพระวจนะไปจากใจของเขาเพื่อไม่ให้เขาเชื่อและได้รับความรอด ที่ตกลง บนหินคือผู้ที่ได้ยิน แล้วรับพระวจนะด้วยความยินดีแต่ไม่หยั่งรากลึก เขาเชื่อเพียงชั่วระยะหนึ่ง แต่ เมื่อถูกทดลองก็เลิกราไป เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนามคือผู้ที่ได้ยิน แต่ขณะที่เขาดําเนินชีวิตไป ตามทางของเขาก็ถูกความพะวักพะวน ทรัพย์สมบัติ และความสนุกบันเทิงในชีวิตกีดขวาง เขาจึง ไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เมล็ดที่ตกบนดินดีนั้นคือผู้ที่จิตใจดีงามสูงส่ง ผู้ได้ยินพระวจนะแล้วรับไว้ และเกิดผลด้วยความอดทนบากบั่น 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
120 | ลูกา 7:41
ตะเกียงบนเชิงตะเกียง
“ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วซ่อนไว้ในถังหรือวางไว้ใต้เตียง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อคนที่ เข้ามาเห็นแสงสว่าง เพราะไม่มีสักสิ่งที่ซ่อนไว้แล้วจะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสักสิ่งที่ปิดบังไว้จะไม่มี ใครรู้หรือไม่ถูกเปิดโปง เหตุฉะนั้นจงเอาใจใส่สิ่งที่เจ้าได้ยินได้ฟังให้ดี ผู้ใดที่มีอยู่แล้วจะได้รับเพิ่ม ขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่มี แม้สิ่งที่เขาคิดว่าเขามีก็จะถูกเอาไปจากเขา” 16
17
18
มารดากับน้องชายของพระเยซู
ขณะนั้นมารดากับน้องๆ ของพระเยซูมาหาพระองค์ แต่ไม่สามารถเข้าใกล้พระองค์ได้เพราะ คนแน่นมาก มีบางคนมาทูลพระองค์ว่า “มารดากับน้องชายของท่านยืนอยู่ข้างนอกต้องการจะ พบท่าน” พระองค์ทรงตอบว่า “มารดาและน้องชายของเราคือบรรดาผู้ที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า และนําไปปฏิบัติ” 19
20
21
พระเยซูทรงห้ามพายุ
วันหนึ่งพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ให้เราข้ามทะเลสาบไปอีกฟากหนึ่งเถิด” พวกเขาจึงพา กันลงเรือไป ขณะที่เขาแล่นเรือไปพระเยซูบรรทมหลับ เกิดพายุใหญ่กลางทะเลสาบ น้ําซัดเข้า เรือ และพวกเขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง เหล่าสาวกเข้ามาปลุกพระองค์และทูลว่า “พระอาจารย์ พระอาจารย์ เรากําลังจะจมแล้ว!” พระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและคลื่น พายุก็สงบลงและทุกอย่างก็สงบเงียบ พระองค์ทรงถาม เหล่าสาวกว่า “ความเชื่อของพวกท่านอยู่ที่ไหน?” พวกเขากลัวและประหลาดใจ ต่างถามกันว่า “นี่คือใครหนอ? แม้แต่ลมและคลื่นก็ยังเชื่อฟังคํา สั่งของพระองค์” 22
23
24
25
การรักษาคนถูกผีสิง
พวกเขาแล่นเรือมาถึงแดนเกราซาซึ่งอยู่คนละฟากกับกาลิลี เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือ พระองค์ทรงพบชายคนหนึ่งจากเมืองนั้นซึ่งถูกผีเข้าสิง นานแล้วที่ชายคนนี้ไม่สวมเสื้อผ้าไม่อยู่ใน บ้าน แต่อาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็ส่งเสียงร้องและซบลงแทบพระบาทแล้ว ตะโกนสุดเสียงว่า “พระเยซู พระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระองค์ต้องการอะไรจากข้าพระองค์? ขอโปรดอย่าทรมานข้าพระองค์เลย!” เพราะพระเยซูได้ตรัสสั่งวิญญาณชั่วให้ออกมาจากชายผู้นี้ ผีได้สิงเขาหลายครั้งแล้ว แม้เอาโซ่ล่ามมือเท้าของเขาและวางยามเฝ้า เขาก็หักโซ่ตรวนเสียและผี ขับไสเขาให้ออกไปอยู่ในที่เปลี่ยว พระเยซูตรัสถามเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร?” เขาทูลว่า “ชื่อกอง” เพราะมีผีหลายตนสิงอยู่ในตัวเขา และพวกมันพร่ําอ้อนวอนพระองค์ไม่ ให้ทรงสั่งให้มันกลับไปยังนรกขุมลึก แถวนั้นมีสุกรฝูงใหญ่หากินอยู่แถบเนินเขา พวกผีจึงทูลวิงวอนพระเยซูให้ทรงอนุญาตให้พวก มันไปสิงในฝูงสุกรและพระองค์ทรงอนุญาต พวกผีจึงออกจากชายคนนั้นเข้าไปสิงในสุกร แล้ว สุกรทั้งฝูงก็กระโจนจากหน้าผาลงทะเลสาบจมน้ําตายหมด เมื่อบรรดาคนเลี้ยงสุกรเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็วิ่งเข้าไปเล่าเรื่องนี้ในเมืองและหมู่บ้าน ผู้คนพากัน ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพวกเขามาหาพระเยซูก็พบว่าผีได้ออกจากชายคนนั้นไปแล้ว เขานั่งอยู่ แทบพระบาทพระเยซูสวมใส่เสื้อผ้าและมีสติดี พวกเขาก็กลัว ผู้ที่เห็นเหตุการณ์จึงเล่าให้ผู้คนฟัง ว่าชายซึ่งถูกผีสิงหายเป็นปกติได้อย่างไร ชาวเกราซาทั้งปวงจึงขอร้องพระเยซูให้ทรงไปจากพวก เขาเพราะพวกเขากลัวมาก พระองค์จึงเสด็จลงเรือจากไป ชายคนที่ผีได้ออกไปจากเขาแล้วนั้นอ้อนวอนขอไปกับพระองค์ แต่พระเยซูทรงส่งเขากลับไป และตรัสสั่งว่า “จงกลับไปบ้านและเล่าให้ใครๆ ฟังว่าพระเจ้าทรงกระทําการเพื่อท่านมากเพียง ใด” คนนั้นจึงไปเล่าให้คนทั่วเมืองฟังว่าพระเยซูทรงกระทําการเพื่อเขามากเพียงใด 26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
ลูกา 8:39 | 121
เด็กผู้หญิงที่เสียชีวิตและหญิงที่ป่วย
เมื่อพระเยซูทรงข้ามฟากกลับมา ฝูงชนพากันต้อนรับพระองค์เพราะพวกเขากําลังรอคอย พระองค์อยู่ แล้วมีชายคนหนึ่งชื่อไยรัสเป็นนายธรรมศาลา มาหมอบลงแทบพระบาทพระเยซู และทูลอ้อนวอนให้พระองค์เสด็จไปที่บ้านของเขา เพราะลูกสาวคนเดียวของเขากําลังจะตาย เด็กหญิงนี้อายุราวสิบสองขวบ ขณะพระเยซูเสด็จไปผู้คนเบียดเสียดพระองค์แน่นขนัด ที่นั่นมีหญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมา สิบสองปีแล้ว แต่ไม่มีใครรักษานางให้หายได้ นางมาข้างหลังพระองค์และแตะชายฉลองพระองค์ ทันใดนั้นเลือดก็หยุดไหล พระเยซูตรัสถามว่า “ใครแตะต้องเรา?” คนทั้งปวงต่างก็ปฏิเสธ เปโตรทูลว่า “พระอาจารย์ ผู้คนรุมล้อมเบียดเสียดพระองค์” แต่พระเยซูตรัสว่า “มีคนแตะเรา เรารู้ว่าฤทธิ์อํานาจซ่านออกจากตัวเรา” ฝ่ายหญิงนั้นเห็นว่าไม่อาจหลบเลี่ยงไปได้ก็กลัวจนตัวสั่นและเข้ามาหมอบลงแทบพระบาท นาง กราบทูลพระองค์ต่อหน้าคนทั้งปวงถึงสาเหตุที่แตะต้องพระองค์และที่นางหายโรคทันที พระองค์ จึงตรัสกับนางว่า “ลูกสาวเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าทําให้เจ้าหายโรค จงกลับไปด้วยสันติสุขเถิด” พระเยซูตรัสยังไม่ทันขาดคําก็มีคนจากบ้านของไยรัสนายธรรมศาลามาบอกว่า “ลูกสาวของ ท่านเสียชีวิตแล้ว อย่ารบกวนพระอาจารย์อีกเลย” พระเยซูทรงได้ยินก็ตรัสกับไยรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้นแล้วลูกสาวจะหาย” เมื่อมา ถึงบ้านของไยรัส พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครติดตามเข้าไปยกเว้นเปโตร ยากอบกับยอห์น และ บิดามารดาของเด็ก ขณะนั้นคนทั้งปวงกําลังร้องไห้ไว้อาลัยแก่เด็กนั้น พระเยซูตรัสว่า “หยุด ร้องไห้เถิด เด็กน้อยยังไม่ตายเพียงแต่หลับอยู่” พวกเขาหัวเราะเยาะพระองค์เพราะรู้ว่าเด็กตายแล้ว แต่พระเยซูทรงจับมือเด็กน้อยและตรัส ว่า “ลูกเอ๋ย ลุกขึ้นเถิด!” วิญญาณของเด็กก็กลับมา ทันใดนั้นเด็กหญิงก็ลุกขึ้นยืน แล้วพระเยซู ตรัสสั่งให้นําอาหารมาให้เด็กรับประทาน บิดามารดาของเด็กต่างประหลาดใจ แต่พระองค์ทรงสั่ง พวกเขาไม่ให้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นนี้กับใคร 40
41
42
43
44
45
46 47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
พระเยซูทรงส่งสาวกสิบสองคนออกไป
ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมาพร้อมกัน พระองค์ประทานฤทธิ์เดชและสิทธิอํานาจที่จะ 9 ขัพระเยซู บไล่ผีทั้งปวงและรักษาโรคต่างๆ ให้แก่พวกเขา และพระองค์ทรงส่งพวกเขาออกไปประกาศ 2
เรื่องอาณาจักรของพระเจ้าและรักษาคนเจ็บคนป่วย พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “ไม่ต้องนําสิ่ง ใดติดตัวไปในการเดินทางไม่ว่าจะเป็นไม้เท้า ย่าม อาหาร เงิน หรือเสื้ออีกตัวหนึ่ง เมื่อท่านเข้าไป ในบ้านใดจงพักที่บ้านนั้นจนกว่าจะออกจากเมืองนั้น หากผู้คนไม่ต้อนรับท่าน เมื่อออกจากเมือง นั้นจงสะบัดฝุ่นออกจากเท้าเพื่อเป็นพยานกล่าวโทษเขา” เหล่าสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อประกาศข่าวประเสริฐและรักษาผู้คนทุกหนทุกแห่ง ฝ่ายเฮโรดผู้ครองแคว้นได้ยินเรื่องราวทั้งปวงที่เกิดขึ้นก็สับสนว้าวุ่นเพราะบางคนก็พูดกันว่า ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นขึ้นจากตาย บางคนก็พูดว่าเอลียาห์มาปรากฏตัว ทั้งยังมีคนอื่นๆ ที่บอก ว่าผู้เผยพระวจนะสมัยก่อนคนหนึ่งได้เป็นขึ้นจากตาย แต่เฮโรดกล่าวว่า “เราตัดศีรษะยอห์นไป แล้ว แล้วคนที่เราได้ยินกิตติศัพท์นี่เป็นใครกัน?” เฮโรดจึงพยายามที่จะพบพระองค์ 3
4
5
6
7
8
9
พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน
เมื่ออัครทูตกลับมาก็ทูลรายงานพระเยซูถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทํา พระองค์จึงทรงพาพวกเขาปลีก ตัวไปยังเมืองเบธไซดา แต่ประชาชนรู้เข้าก็ติดตามพระองค์มา พระองค์ทรงต้อนรับพวกเขา ตรัส กับเขาเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และทรงรักษาโรคให้บรรดาผู้ที่จําเป็นต้องได้รับการรักษา เมื่อบ่ายคล้อยสาวกทั้งสิบสองคนจึงมาทูลว่า “ขอทรงให้ประชาชนกลับไปเพื่อพวกเขาจะได้ หาอาหารและหาที่พักตามหมู่บ้านและตามชนบทแถบนี้ เพราะเราอยู่ในที่ห่างไกล” 10
11
12
122 | ลูกา 8:40
พระองค์ตรัสตอบว่า “พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขา เถิด” เหล่าสาวกทูลว่า “เรามีเพียงขนมปังห้าก้อนกับปลา สองตัว เว้นแต่เราจะไปซื้ออาหารมาให้ฝูงชนทั้งหมด นี้” (ที่นั่นมีผู้ชายประมาณห้าพันคน) แต่พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ให้พวกเขานั่ง กันเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณห้าสิบคน” เหล่าสาวก ก็ทําตามนั้น ทุกคนจึงนั่งลง พระเยซูทรงรับขนมปัง ห้าก้อนและปลาสองตัวมา แล้วเงยพระพักตร์ขึ้นมอง ฟ้าสวรรค์ ทรงขอบพระคุณพระเจ้า และหักส่งให้เหล่า สาวกแจกจ่ายแก่ประชาชน พวกเขาทุกคนได้กินอิ่ม หนําและเหล่าสาวกเก็บเศษที่เหลือได้ถึงสิบสองตะกร้า เต็ม
ลูกา 9:7–36
13
14
15
16
17
เปโตรรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์
กษัตริย์เฮโรดทรงอยากรู้ว่าพระเยซู คือใคร ลูกาได้บอกเราถึงสิ่งที่พระเยซูทรง เป็น และสิ่งที่พระเยซูทรงทํา • พระเยซูใส่ใจผู้คน และช่วยเหลือ พวกเขา (ลูกา 9:11–17) • พระเยซูทรงเป็นพระบุตร ของพระเจ้าที่ถูกประหาร ชีวิต (ลูกา 9:18–22) • พระเยซูจะทรงเสด็จกลับมา เพื่อผู้ที่ไม่อับอายในพระองค์ (ลูกา 9:26) • พระเยซูทรงเป็นบุตรที่พระเจ้า ทรงเลือก (ลูกา 9:35)
ครั้งหนึ่งขณะพระเยซูทรงกําลังอธิษฐานเป็นการ ส่วนพระองค์และเหล่าสาวกอยู่ด้วย พระองค์ตรัสถาม พวกเขาว่า “ผู้คนพูดกันว่าเราเป็นใคร?” พวกเขาทูลตอบว่า “บางคนก็ว่าเป็นยอห์นผู้ให้ บัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ และยังมีบางคนว่า เป็นผู้เผยพระวจนะในสมัยเก่าก่อนคนหนึ่งที่ได้เป็นขึ้นมาจากตาย” พระองค์ตรัสถามว่า “แล้วพวกท่านเล่า? พวกท่านว่าเราเป็นใคร?” เปโตรทูลตอบว่า “ทรงเป็นพระคริสต์ของพระเจ้า” พระเยซูทรงกําชับพวกเขาอย่างเคร่งครัดไม่ให้บอกเรื่องนี้แก่ใคร และตรัสว่า “บุตรมนุษย์ ต้องทนทุกข์หลายประการ ถูกบรรดาผู้อาวุโสและพวกหัวหน้าปุโรหิตกับธรรมาจารย์ปฏิเสธ พระองค์จะต้องถูกประหาร และในวันที่สามจะทรงมีชีวิตกลับเป็นขึ้นมาใหม่” จากนั้นพระองค์ตรัสกับเขาทั้งปวงว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะตามเรามา เขาต้องปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา เพราะผู้ใดต้องการเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเรา ผู้นั้นจะมีชีวิตรอด จะมีประโยชน์อะไรที่คนๆ หนึ่งจะได้โลกนี้ทั้งโลกแต่ ต้องสูญเสียตัวของเขาเอง? ถ้าผู้ใดอับอายในตัวเราและถ้อยคําของเรา บุตรมนุษย์ก็จะอับอายใน ตัวเขาเมื่อพระองค์เสด็จมาด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์และพระเกียรติสิริของพระบิดา พร้อม ทั้งศักดิ์ศรีของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์ เราบอกความจริงแก่ท่านว่าบางคนซึ่งยืนอยู่ที่นี่จะได้เห็น อาณาจักรของพระเจ้าก่อนที่จะลิ้มรสความตาย” 18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
ทรงจําแลงพระกาย
ราวแปดวันหลังจากที่พระเยซูตรัสดังนั้น พระองค์ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์น ขึ้นไป บนภูเขาเพื่ออธิษฐาน ขณะพระองค์ทรงกําลังอธิษฐาน พระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไปและ ฉลองพระองค์สว่างสุกใสดังแสงฟ้าแลบ มีชายสองคนคือโมเสสกับเอลียาห์ มาปรากฏกายอย่าง เปี่ยมด้วยสง่าราศีและสนทนากับพระเยซู พวกเขาพูดถึงการจากไปของพระองค์ซึ่งพระองค์กําลัง จะทําให้สําเร็จที่กรุงเยรูซาเล็ม เปโตรกับเพื่อนๆ ง่วงมาก แต่เมื่อตาสว่างเต็มที่พวกเขาก็เห็นพระ เกียรติสิริของพระองค์และเห็นชายสองคนยืนอยู่กับพระองค์ ขณะคนทั้งสองกําลังจะจากไป เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงที่พวกข้าพระองค์ได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราสร้างเพิงขึ้นสามหลัง สําหรับพระองค์หลังหนึ่ง สําหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสําหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” (เขาไม่รู้ว่าตนเอง กําลังพูดอะไรอยู่) 28
29
30
31
32
33
ลูกา 9:33 | 123
ขณะที่เขากําลังพูดอยู่นั้น เมฆก็ปรากฏขึ้นปกคลุมพวกเขา เมื่ออยู่ในเมฆพวกเขากลัวมาก มี พระสุรเสียงดังจากเมฆว่า “คนนี้คือลูกของเราซึ่งเราได้เลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังเขาเถิด” เมื่อสิ้น เสียงนั้น พวกเขาเห็นว่ามีพระเยซูอยู่เพียงผู้เดียว สาวกทั้งสามเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัว และในเวลานั้น พวกเขาไม่เล่าสิ่งที่ตนเห็นให้ใครฟัง 34
35
36
ทรงรักษาเด็กผู้ชายที่ถูกวิญญาณชั่วสิง
วันรุ่งขึ้น เมื่อพวกเขาลงมาจากภูเขาแล้ว มีฝูงชนกลุ่มใหญ่มาพบพระเยซู ชายคนหนึ่งใน ฝูงชนร้องทูลว่า “พระอาจารย์ ขอพระองค์โปรดมาทอดพระเนตรลูกชายของข้าพระองค์ด้วยเถิด เพราะเขาเป็นลูกคนเดียวของข้าพระองค์ มีวิญญาณเข้าสิงเขาและเขาจะกรีดร้องทันที มันทําให้ เขาชักทุรนทุราย น้ําลายฟูมปาก มันแทบจะไม่เคยออกจากตัวเขาเลย และมันกําลังทําลายเขา ข้าพระองค์ขอร้องสาวกของพระองค์ให้ขับมันออก แต่พวกเขาก็ทําไม่ได้” พระเยซูตรัสว่า “คนในยุคที่ขาดความเชื่อและวิปริต เราจะอยู่กับพวกท่านและต้องทนพวก ท่านไปนานเท่าใด? พาลูกของท่านมาที่นี่เถิด” แม้ขณะที่เด็กกําลังมา ผีก็ยังทําให้เขาล้มชักบนพื้น แต่พระเยซูทรงกําราบวิญญาณชั่ว และ รักษาเด็กคนนั้นแล้วส่งคืนให้บิดา เขาทั้งหลายล้วนศรัทธาในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ขณะที่ทุกคนกําลังประหลาดใจในการทั้งปวงที่พระเยซูได้ทรงกระทํา พระองค์ตรัสกับเหล่า สาวกว่า “จงตั้งใจฟังสิ่งที่เราจะบอกท่านให้ดี คือบุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือมนุษย์” แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าทรงหมายความว่าอะไร เพราะความข้อนี้ถูกเก็บงําจากเขาเพื่อเขาจะไม่ เข้าใจ และเขาก็ไม่กล้าทูลถามพระองค์เรื่องนี้ 37
38
39
40
41
42
43
44
45
ผู้ใดจะเป็นใหญ่ที่สุด
เกิดการโต้เถียงกันในหมู่สาวกว่าใครจะเป็นใหญ่ที่สุด พระเยซูทรงทราบความคิดของพวก เขา จึงทรงนําเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนอยู่ข้างพระองค์ แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้ใดต้อนรับเด็ก น้อยนี้ในนามของเรา ก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา เพราะผู้ เล็กน้อยที่สุดในหมู่พวกท่านทั้งปวง ก็คือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ยอห์นทูลว่า “พระอาจารย์ พวกข้าพระองค์เห็นชายคนหนึ่งขับผีออกในพระนามของพระองค์ และพวกเราพยายามห้ามเขา เพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มของเรา” พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามเขาเลย เพราะผู้ใดก็ตามที่ไม่ได้ต่อต้านท่าน ก็อยู่ฝ่ายท่าน” 46
47
48
49
50
ชาวสะมาเรียต่อต้านพระเยซู
เมื่อใกล้ถึงเวลาที่พระเยซูจะทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะไปยังกรุง เยรูซาเล็ม และพระองค์ทรงส่งคนไปล่วงหน้า พวกเขาก็เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาว สะมาเรีย เพื่อเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อมสําหรับพระองค์ แต่ผู้คนที่นั่นไม่ต้อนรับพระองค์ เพราะ ทรงมุ่งหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อยากอบกับยอห์นสาวกของพระองค์เห็นเช่นนี้ก็ทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงต้องการให้พวกข้าพระองค์ขอไฟจากสวรรค์ลงมาทําลายพวกเขา หรือไม่?” แต่พระเยซูทรงหันมาตําหนิพวกเขา แล้ว พวกเขาพากันไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง 51
52
53
54
55
56
การติดตามพระเยซู
ขณะที่พวกเขาเดินไปตามทาง มีชายคนหนึ่งมาทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์จะติดตามพระองค์ ไม่ว่าจะทรงไปยังที่ใด” พระเยซูตรัสตอบว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวาง ศีรษะ” พระองค์ตรัสกับชายอีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามา” แต่เขาทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาก่อน” 57
58
59
124 | ลูกา 9:34
พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้คนตายฝังผู้ตายของพวกเขาเองเถิด ส่วนท่านจงไปประกาศ เรื่องอาณาจักรของพระเจ้า” อีกคนทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะติดตามพระองค์ แต่ขอกลับไปร่ําลาครอบครัวของ ข้าพระองค์ก่อน” พระเยซูตรัสว่า “ผู้ที่มือจับคันไถแล้วยังเหลียวมองข้างหลังก็ไม่เหมาะกับการรับใช้ใน อาณาจักรของพระเจ้า” 60
61
62
พระเยซูทรงส่งสาวก 72 คนออกไป
งจากนี้พระเยซูทรงตั้งสาวกอีก 72 คนให้เขาออกไปเป็นคู่ๆ ล่วงหน้าพระองค์ไปยังทุก 10 หลั เมืองและทุกแห่งที่พระองค์จะเสด็จ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “งานเก็บเกี่ยวมีมากแต่คนงาน 2
มีน้อยนัก เหตุฉะนั้นจงทูลขอต่อพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวให้ส่งคนงานมายังทุ่งแห่ง การเก็บเกี่ยวของพระองค์ ไปเถิด! เราส่งท่านออกไปเหมือนลูกแกะท่ามกลางสุนัขป่า อย่าเอาถุง ใส่เงิน หรือย่าม หรือรองเท้าไป และไม่ต้องแวะทักทายใครระหว่างทาง “เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใด ก่อนอื่นจงพูดว่า ‘สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้’ ถ้าผู้รักสันติอยู่ที่นั่น สันติสุขของท่านก็ดํารงอยู่กับเขา ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น สันติสุขก็กลับคืนมาสู่ท่าน จงพักอยู่ที่บ้านนั้น และดื่มกินสิ่งที่เขาจัดมาให้ท่าน เพราะคนงานสมควรได้รับค่าจ้างของตน อย่าเที่ยวย้ายจากบ้านนี้ ไปบ้านนั้น “เมื่อท่านเข้าไปในเมืองใดและได้รับการต้อนรับ จงกินสิ่งที่เขาจัดให้ท่าน จงรักษาคนเจ็บป่วย ที่นั่นและบอกพวกเขาว่า ‘อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้พวกท่านแล้ว’ แต่เมื่อไปยังเมืองใดที่ ไม่มีใครต้อนรับ จงไปที่กลางถนนและกล่าวว่า ‘แม้แต่ฝุ่นของเมืองของท่านซึ่งติดอยู่ที่เท้าของเรา เรายังเช็ดออกเป็นการกล่าวโทษท่าน แต่กระนั้นจงแน่ใจในข้อนี้ คืออาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ แล้ว’ เราบอกท่านว่า ในวันนั้นโทษของเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษของเมืองนั้น” “วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซิน! วิบัติแก่เจ้า เมืองเบธไซดา! เพราะหากการอัศจรรย์ที่ทําในเมือง ของเจ้าได้ทําในเมืองไทระและเมืองไซดอน พวกเขาคงนุ่งห่มผ้ากระสอบนั่งจมกองขี้เถ้าและกลับ ใจใหม่นานแล้ว แต่ในวันพิพากษา โทษของเมืองไทระและเมืองไซดอนจะเบากว่าโทษของเจ้า ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะถูกยกขึ้นเทียมฟ้าหรือ? ไม่เลย เจ้าจะต้องลงไปในเหวลึกต่าง หาก “ผู้ที่ฟังพวกท่านก็ฟังเรา ผู้ที่ไม่ยอมรับพวกท่าน ก็ไม่ยอมรับเรา ผู้ที่ไม่ยอมรับเรา ก็ไม่ยอมรับ พระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
ลูกา 10:21 จะจา รูสึกดีใจที่ในพระคัมภีร พระเจาทรงแสดงใหเราเห็นวา พระองคทรงเต็มไปดวย ฤทธิ์อํานาจ และพระเยซูทรงเปนพระบุตรของพระองค พระองคทรงไมไดแสดงให เพียงแตผูใหญที่มีสติปญญาและชาญฉลาดเห็นเทานั้น แตทรงรวมถึงเด็กเล็ก ๆ ทั้ง หลายดวย พระเจาแสดงใหเราเห็นวาพระองคทรงมีฤทธิ์อํานาจในดานตาง ๆ ที่แตก ตางกันไปทุกวัน ใหนอง ๆ พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งเหลานี้ - ใหแนใจวาเราจะไมเพียงแตพูด ถึงปาฏิหาริยที่ยิ่งใหญของพระเยซูเทานั้น! ลูกา 10:16 | 125
สาวกทั้ง 72 คนกลับมาด้วยความยินดีและทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า โดยพระนามพระองค์ แม้แต่ผีก็สยบต่อพวกข้าพระองค์” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าสวรรค์เหมือนฟ้าแลบ เราให้สิทธิอํานาจแก่ พวกท่านที่จะเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และที่จะพิชิตฤทธิ์อํานาจทั้งปวงของศัตรู ไม่มีสิ่งใดจะทํา อันตรายพวกท่านได้ อย่างไรก็ตาม อย่าชื่นชมยินดีที่วิญญาณต่างๆ ยอมสยบให้พวกท่าน แต่จง ชื่นชมยินดีที่ชื่อของพวกท่านถูกจดไว้ในสวรรค์” ขณะนั้นพระเยซูทรงเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ และตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้จากคนฉลาดและผู้รู้ และทรงเปิดเผยแก่บรรดาเด็กเล็กๆ ข้าแต่ พระบิดา เพราะพระองค์ทรงเห็นชอบเช่นนั้น” “พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งทั้งปวงแก่เรา ไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตรกับบรรดาผู้ที่พระบุตรทรงเลือกที่จะเปิดเผย พระบิดาแก่เขา” จากนั้นพระองค์ทรงหันมาทางเหล่าสาวกและตรัสกับพวกเขาเป็นการส่วนพระองค์ว่า “ความ สุขมีแก่ดวงตาทั้งหลาย ซึ่งได้เห็นสิ่งที่พวกท่านเห็น เพราะเราบอกพวกท่านว่า ผู้เผยพระวจนะ มากมายและกษัตริย์หลายองค์ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่พวกท่านเห็น แต่ไม่ได้เห็น และอยากได้ยินสิ่ง ที่พวกท่านได้ยินแต่ไม่ได้ยิน” 17
18
19
20
21
22
23
24
คําอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี
ครั้งหนึ่งมีผู้เชี่ยวชาญทางบทบัญญัติคนหนึ่งยืนขึ้นทดสอบพระเยซู โดยทูลถามว่า “ท่าน อาจารย์ ข้าพเจ้าต้องทําอย่างไรจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?” พระองค์ตรัสว่า “หนังสือบทบัญญัติเขียนไว้ว่าอย่างไร? ท่านอ่านได้ว่าอย่างไร?” เขาทูลว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดใจ สุดจิต สุดกําลัง และสุด ความคิดของท่าน’และ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’” พระเยซูตรัสว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงไปทําเช่นนั้น แล้วท่านจะได้ชีวิต” แต่คนนั้นอยากจะพิสูจน์ว่าตนเองถูกต้อง จึงทูลถามพระเยซูว่า “แล้วใครคือเพื่อนบ้านของ ข้าพเจ้า?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ชายคนหนึ่งถูกโจรปล้นระหว่างเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปเมืองเยรีโค พวกโจรชิงเอาเสื้อผ้าจากตัวเขา ทุบตีเขาปางตายแล้วจากไป ปุโรหิตคนหนึ่งบังเอิญผ่านมาทาง นั้น เมื่อเห็นชายคนนั้นก็เลี่ยงไปอีกฟากหนึ่ง คนเลวีก็เช่นกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นเขา ก็เลี่ยง 25
26 27
28
29
30
31
32
ลูกา 10:25–37 ให้น้อง ๆ อ่านเรื่องราวของชาวสะมาเรียผู้ใจดี และลองจินตนาการดูว่าหากเรื่องนี้เกิด ขึ้นในยุคปัจจุบัน ที่ชาวสะมาเรียใจดีสามารถช่วยคนคนหนึ่งได้ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด ยกตัวอย่างเช่น ที่ โรงเรียน ในงานเลี้ยง ในสนามกีฬา โรงเรียนสอนศาสนาวันอาทิตย์ ที่บ้าน หรือ ตามท้องถนน ให้ทําการแสดงบทบาทสมมุติกับเพื่อน ๆ แล้วแสดงถึงวิธีการที่เราจะ สามารถเป็นชาวสะมาเรียใจดีได้ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม 126 | ลูกา 10:17
ลูกา 10:38–40 พระเยซูทรงไดไปเยี่ยมเยียนนางมารธาที่บาน และนางมารธากําลังเตรียมอาหารแสน อรอยอยู นางมารียอยากจะฟงคําสอนของพระเยซู เธอจึงไปนั่งขาง ๆ พระองค แตนางมารธาตองการใหนางมารียเขาไปชวยเธอในครัว จะจา สงสัยวานางมารธาทําในสิ่งที่ถูกตองหรือไม นอง ๆ คิดอยางไร? ใหเราพูดถึง ความเห็นที่ตางกันของนางมารธาและนางมารีย และชวยกันหาวิธีแกปญหาใหพวก เธอไดไหม? พระเยซูทรงกลาวเกี่ยวกับเรื่องนี้อยางไร? ไปอีกฟากหนึ่ง แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่งเดินทางมาถึงที่ที่คนนั้นอยู่ เมื่อเห็นเขาก็สงสาร เขา เข้าไป แล้วเอาเหล้าองุ่นกับน้ํามันเทใส่แผลและพันแผลให้ แล้วประคองชายผู้นั้นขึ้นขี่ลาของตน พามาที่โรงแรม และดูแลเขา วันรุ่งขึ้นเขามอบเหรียญเงินสองเหรียญให้ผู้ดูแลโรงแรม พร้อมกับ กล่าวว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย และเมื่อข้าพเจ้ากลับมาจะคืนค่าใช้จ่ายส่วนที่เกินกว่านี้ให้’ “ท่านคิดว่าในสามคนนี้ คนไหนคือเพื่อนบ้านของชายที่ถูกโจรปล้น?” ผู้เชี่ยวชาญทางบทบัญญัติทูลตอบว่า “คนที่เมตตาเขา” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงไปทําเช่น เดียวกัน” 33
34
35
36 37
ที่บ้านของมารธากับมารีย์
ในระหว่างการเดินทาง พระเยซูกับเหล่าสาวกมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีผู้หญิงชื่อมารธา เปิดบ้านของนางต้อนรับพระองค์ มารีย์น้องสาวของมารธานั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็น เจ้า และฟังคําตรัสของพระองค์ ฝ่ายมารธาวุ่นอยู่กับการตระเตรียมสิ่งทั้งปวงที่ต้องทํา นางมาทูล พระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ไม่ทรงห่วงใยบ้างหรือที่น้องสาวปล่อยให้ข้าพระองค์ทํางาน อยู่คนเดียว โปรดบอกให้นางมาช่วยข้าพระองค์เถิด!” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธาเอ๋ย เธอว้าวุ่นกังวลในหลายสิ่งนัก แต่มีเพียง สิ่งเดียวเท่านั้นที่จําเป็น มารีย์ได้เลือกสิ่งที่ดีกว่า และไม่มีใครจะเอาสิ่งนั้นไปจากนางได้” 38
39
40
41
42
คําสอนของพระเยซูเรื่องการอธิษฐาน
่งขณะพระเยซูทรงอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่อพระองค์ทรงอธิษฐานจบ สาวกคน 11 วัหนึนหนึ ่งมาทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐานเหมือนที่ยอห์นสอน
สาวกของเขา” พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เมื่อพวกท่านอธิษฐาน จงทูลว่า “ ‘ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูนสักการะ ขอให้อาณาจักรของพระองค์ได้รับการสถาปนาไว้ ขอโปรดประทานอาหารประจําวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงอภัยบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายอภัยให้ทุกคนที่ทําผิดบาปต่อข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลงเมื่อถูกทดลอง’ ” แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “สมมุติว่าคนหนึ่งในพวกท่านมีเพื่อนมาหาตอนเที่ยงคืนและ 2
3 4
5
ลูกา 11:5 | 127
บอกว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด เพราะมีเพื่อนคนหนึ่งเพิ่งเดินทางมาถึง และข้าพเจ้า ไม่มีอะไรให้เขากิน’ “แล้วคนที่อยู่ในบ้านก็ตอบว่า ‘อย่ามากวนใจเรา เลย ประตูก็ปิดลงกลอนแล้ว และลูกๆ ของเราก็นอน อยู่กับเราบนเตียง เราลุกขึ้นไปหยิบอะไรให้ท่านไม่ ได้หรอก’ เราบอกท่านว่า แม้เขาไม่ยอมลุกไปหยิบ ขนมปังให้เพราะเป็นเพื่อนกัน แต่เพราะกลัวขายหน้า เขาก็จะลุกขึ้นไปหยิบทุกสิ่งให้ตามที่คนนั้นต้องการ “ฉะนั้นเราบอกท่านว่า จงขอแล้วท่านจะได้รับ จง หาแล้วท่านจะพบ จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะทุกคนที่ขอก็ได้รับ คนที่แสวงหาก็พบ และคน ที่เคาะประตูก็จะเปิดให้แก่เขา “ใครบ้างในพวกท่านที่เป็นบิดา เมื่อบุตรขอปลา ก็จะเอางูให้แทน? หรือถ้าเขาขอไข่ก็จะเอาแมงป่อง ให้? ถ้าแม้ท่านเองซึ่งเป็นคนชั่วยังรู้จักให้สิ่งดีๆ แก่ บุตรของท่าน ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด พระบิดาของท่าน ในสวรรค์ย่อมประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่บรรดา ผู้ที่ทูลขอพระองค์!”
ลูกา 11:1–13
6
7
8
9
10
11
12
เมื่อเหล่าสาวกขอให้พระเยซูสอน พวกเขาอธิษฐาน น้อง ๆ สามารถ อ่านเกี่ยวกับการที่พระองค์ทรงสอน เหล่าสาวกให้อธิษฐานได้ในข้อ 1–4 เราเรียกมันว่า “คําอธิษฐานถึงพระ บิดา” นอกจากนี้พระองค์ยังบอกอีก ว่าการอธิษฐานนั้น เป็นสิ่งที่สําคัญ มาก และพวกเขาจะต้องอธิษฐาน เป็นประจํา (ข้อ 5–10) พระองค์ทรง รับประกันว่าพระบิดาผู้ทรงอยู่บนฟ้า สวรรค์ จะได้ยินเสียงอธิษฐานของ พวกเขาอย่างแน่นอน (ข้อ 11–13)
13
พระเยซูกับเบเอลเซบุบ
พระเยซูทรงกําลังขับผีใบ้ เมื่อผีออกแล้วคนใบ้นั้นจึงพูดได้ ประชาชนก็เลื่อมใส แต่บางคนพูด ว่า “คนนี้ขับผีออกโดยอาศัยเบเอลเซบุบเจ้าแห่งผี” บางคนก็ทดสอบพระองค์โดยขอหมายสําคัญ จากฟ้าสวรรค์ พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขาและตรัสกับพวกเขาว่า “อาณาจักรใดๆ แตกแยก กันเองย่อมถูกทําลาย และครอบครัวไหนที่แตกแยกกันเองย่อมพังทลาย หากซาตานแตกแยกกับ ตัวเอง อาณาจักรของมันจะตัง้ อยูไ่ ด้อย่างไร? เราพูดเช่นนีเ้ พราะท่านว่าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบุบ หากเราขับผีออกโดยเบเอลเซบุบ แล้วสาวกของพวกท่านเล่า ขับผีออกโดยอาศัยใคร? ฉะนั้น พวกเขาจะตัดสินท่าน แต่หากเราขับผีออกโดยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็ มาถึงพวกท่านแล้ว 14
15
16
17
18
19
20
ลูกา 11:9 ให้แต่ละคนเลือกเครื่องดนตรีจากกล่องใส่เครื่องดนตรี (ดูที่หน้า 12 เกี่ยวกับวิธีการ ทําเครื่องดนตรี) และให้หมายเลขไว้ ให้ปิดตาหนึ่งคนและคนที่ถูกปิดตาต้องเรียกหนึ่งหมายเลขออกมา หมายเลขที่ถูกเรียก ต้องเล่นเครื่องดนตรีของตัวเอง 3 ครั้ง และคนที่ถูกปิดตาจะต้องพยายามหาผู้ที่เล่น เพลงนั้น พระเยซูทรงสัญญาว่าเราจะพบพระองค์เมื่อเราแสวงหาพระองค์ เราต้อง เรียนรู้ที่จะตั้งใจฟังเสียงของพระองค์อย่างระมัดระวัง 128 | ลูกา 11:6
“เมื่อคนแข็งแรงถืออาวุธพร้อมและเฝ้าระวังบ้านของตน ทรัพย์สินของเขาก็ปลอดภัย แต่ เมื่อคนที่แข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขา ก็เอาอาวุธที่เจ้าของบ้านวางใจไปและแบ่งสิ่งของ ที่ยึดมาได้ “ผู้ใดไม่อยู่ฝ่ายเราก็เป็นปฏิปักษ์กับเรา และผู้ใดไม่รวบรวมไว้กับเราก็ทําให้กระจัดกระจายไป “เมื่อวิญญาณชั่วออกจากผู้ใดแล้ว มันก็ไปทั่วถิ่นแล้ง แสวงหาที่พักและไม่พบ มันจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา’ พอมาถึงก็พบว่าบ้านนั้นเก็บกวาดสะอาดและจัดเป็นระเบียบ เรียบร้อย มันจึงไปพาผีอื่นๆ อีกเจ็ดตนซึ่งร้ายกว่ามันอีกเข้ามาอาศัยที่นั่น และในที่สุดสภาพของ คนนั้นก็เลวร้ายยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก” ขณะพระเยซูกําลังตรัสสิ่งเหล่านี้อยู่ หญิงคนหนึ่งในฝูงชนก็ร้องขึ้นว่า “ความสุขมีแก่มารดาผู้ ให้กําเนิดและเลี้ยงดูท่าน” พระองค์ตรัสตอบว่า “ความสุขมีแก่บรรดาผู้ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อฟังต่างหาก” 21
22
23 24
25
26
27
28
หมายสําคัญของโยนาห์
ขณะที่ฝูงชนหลั่งไหลมามากขึ้น พระเยซูตรัสว่า “คนในยุคนี้ชั่วช้า ขอแต่หมายสําคัญ แต่เขา จะไม่ได้รับหมายสําคัญอื่นยกเว้นหมายสําคัญของโยนาห์ เพราะโยนาห์เป็นหมายสําคัญแก่ชาว นีนะเวห์ฉนั ใด บุตรมนุษย์กเ็ ป็นหมายสําคัญแก่คนยุคนีฉ้ นั นัน้ ในวันพิพากษา ราชินแี ห่งแดนใต้จะ ลุกขึ้นพร้อมกับคนยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา เพราะพระนางมาจากสุดโลกเพื่อรับฟังสติปัญญา ของโซโลมอน และบัดนี้ผู้ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าโซโลมอนก็อยู่ที่นี่ ในวันพิพากษา ชาวนีนะเวห์จะยืนขึ้น พร้อมกับคนยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจใหม่โดยคําเทศนาของโยนาห์ และบัดนี้ผู้ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่ 29
30
31
32
ประทีปของกาย
“ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้ววางไว้ในที่ซ่อนเร้นหรือเอาฝาครอบ แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อ คนทั้งหลายที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่าง ดวงตาของท่านคือประทีปของกาย หากตาของท่านดี กาย ของท่านทั้งกายก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง แต่เมื่อตาของท่านเสีย กายของท่านก็จะเต็มไปด้วย ความมืด ดังนั้น จงคอยดูอย่าให้ความสว่างในท่านกลับมืดมิด เพราะฉะนั้นถ้ากายของท่านทั้ง กายเต็มไปด้วยความสว่าง และไม่มีส่วนใดมืด ทั้งกายของท่านก็จะสว่างไสวเหมือนเมื่อแสงตะเกียง ส่องท่าน” 33
34
35
36
วิบัติหกประการ
เมื่อพระเยซูตรัสจบ ฟาริสีคนหนึ่งเชิญพระองค์รับประทานอาหารกับเขา พระองค์จึงทรง เข้าไปนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะ แต่ฟาริสีคนนั้นสังเกตเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ล้างพระหัตถ์ก่อน เสวยก็แปลกใจ แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “เจ้าพวกฟาริสี ล้างถ้วยชามแต่ภายนอก แต่ภายในเต็ม ไปด้วยความโลภและความชั่วช้า เจ้าพวกคนเขลา! ผู้ที่สร้างข้างนอกก็สร้างข้างในด้วยไม่ใช่หรือ? แต่จงให้สิ่งที่มีอยู่ในชามแก่ผู้ยากไร้ แล้วทุกสิ่งจะสะอาดสําหรับพวกเจ้า “วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี เจ้าถวายสิบลดของสะระแหน่ ขมิ้น และเครื่องเทศทั้งปวงของเจ้า แด่พระเจ้า แต่เจ้าละเลยความยุติธรรมและความรักของพระเจ้า เจ้าควรปฏิบัติอย่างหลังโดยไม่ ละเลยอย่างแรก “วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี เพราะเจ้าชอบที่นั่งที่สําคัญที่สุดในธรรมศาลา และชอบให้ผู้คนมา คํานับทักทายในย่านตลาด “วิบัติแก่เจ้า เพราะเจ้าเป็นเหมือนหลุมฝังศพที่ไม่ได้ทําเครื่องหมายไว้ ซึ่งผู้คนเดินย่ําโดยไม่รู้ ว่าเป็นหลุมฝังศพ” 37
38
39
40
41
42
43
44
ลูกา 11:44 | 129
ผู้เชี่ยวชาญทางบทบัญญัติคนหนึ่งทูลว่า “ท่านอาจารย์ ท่านพูดอย่างนี้ก็สบประมาทพวกเรา ด้วย” พระเยซูตรัสตอบว่า “และเจ้า พวกผู้เชี่ยวชาญทางบทบัญญัติ วิบัติแก่เจ้า เพราะเจ้าวางภาระ หนักที่แบกแทบไม่ไหวให้ผู้คน ส่วนตัวเจ้าเองแม้แต่นิ้วๆ เดียวก็ไม่ขยับช่วยพวกเขา “วิบัติแก่เจ้าเพราะเจ้าสร้างอุโมงค์ฝังศพให้เหล่าผู้เผยพระวจนะ และบรรพบุรุษของเจ้าเอง นั่นแหละที่ฆ่าพวกเขา ดังนั้นเจ้าพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเห็นชอบกับสิ่งที่บรรพบุรุษของตนทําไว้ พวก เขาเข่นฆ่าผู้เผยพระวจนะ ส่วนพวกเจ้าสร้างหลุมฝังศพให้ เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงตรัสโดยพระ ปัญญาของพระองค์ว่า ‘เราจะส่งผู้เผยพระวจนะและอัครทูตไปหาพวกเขา ซึ่งบางคนจะถูกพวก เขาฆ่า และบางคนจะถูกพวกเขาข่มเหง’ ฉะนั้นคนยุคนี้จะต้องรับผิดชอบโลหิตของผู้เผยพระ วจนะทั้งปวงซึ่งหลั่งรินตั้งแต่แรกสร้างโลก คือจากโลหิตของอาแบลจนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ผู้ ถูกฆ่าระหว่างแท่นบูชากับสถานนมัสการ เราบอกท่านว่า คนยุคนี้จะต้องรับผิดชอบสิ่งนี้ทั้งหมด “วิบัติแก่เจ้า พวกผู้เชี่ยวชาญทางบทบัญญัติ เพราะเจ้าได้เอากุญแจแห่งความรู้ไป ตัวเจ้าเอง ไม่เข้าไป แล้วยังขัดขวางคนอื่นที่กําลังเข้าไป” เมื่อพระเยซูเสด็จไปจากที่นั่น พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์เริ่มต่อต้านพระองค์อย่างรุนแรง และเริ่มรุมกันตั้งคําถามใส่พระองค์ คอยจับผิดสิ่งที่พระองค์ตรัส 45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
คําเตือนและคําให้กําลังใจ
้นเมื่อประชาชนหลายพันคนมาชุมนุมเบียดเสียดกันอยู่ พระเยซูทรงเริ่มตรัสกับเหล่า 12 ขณะนั สาวกของพระองค์ว่า “จงระวัง เชื้อของพวกฟาริสี คือความหน้าซื่อใจคด ไม่มีสิ่งใดที่ถูก 2
ปิดบังไว้จะไม่ได้รับการเปิดเผย หรือที่ซ่อนไว้ซึ่งจะไม่ถูกทําให้ประจักษ์แจ้ง สิ่งที่ท่านกล่าวในที่มืด จะได้ยินในที่แจ้ง และสิ่งที่ท่านกระซิบใส่หูในห้องชั้นในจะถูกป่าวประกาศจากหลังคาบ้าน “เพื่อนเอ๋ย เราบอกท่านว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แล้วหลังจากนั้นก็ทําอะไรไม่ได้อีก แต่เรา จะบอกให้ว่าท่านควรกลัวผู้ใด จงเกรงกลัวพระองค์ผู้ทรงมีฤทธิ์อํานาจที่จะโยนท่านลงนรกหลังจาก ได้ฆ่ากายของท่านแล้ว ใช่ เราบอกท่านว่าจงเกรงกลัวพระองค์ นกกระจาบขายกันห้าตัวสองบาท ไม่ใช่หรือ? ถึงกระนั้นก็ไม่มีสักตัวที่พระเจ้าทรงลืม อันที่จริงผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านก็ทรงนับ ทั้งหมดไว้แล้ว อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ายิ่งกว่านกกระจาบหลายตัว “เราบอกท่านว่าผู้ใดยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์จะยอมรับผู้นั้นต่อหน้าเหล่าทูต สวรรค์ของพระเจ้าเช่นกัน แต่ผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ ก็จะไม่ได้รับการยอมรับต่อหน้า เหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า และทุกคนที่กล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะทรงอภัยให้ แต่ผู้ใดหมิ่น ประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะไม่ทรงอภัยให้ “เมื่อท่านถูกนําตัวไปไต่สวนในธรรมศาลาและถูกนําตัวไปอยู่ต่อหน้าผู้ปกครองและผู้ทรง อํานาจ อย่าวิตกกังวลว่าท่านจะแก้ต่างให้กับตนเองอย่างไรหรือจะพูดอะไร เพราะในเวลานั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนท่านว่าท่านควรพูดอะไร” 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
คําอุปมาเรื่องเศรษฐีโง่
คนหนึ่งในฝูงชนทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์เจ้าข้า ช่วยบอกพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมรดก แก่ข้าพเจ้าด้วย” พระเยซูตรัสตอบว่า “พ่อหนุ่มเอ๋ย ใครตั้งเราให้เป็นตุลาการหรือเป็นผู้แบ่งสมบัติให้เจ้า?” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงระวังให้ดี! จงระวังตนจากความโลภทุกชนิด ชีวิตคนเรา ไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพย์สิ่งของเหลือเฟือ” และพระองค์ตรัสคําอุปมานี้แก่พวกเขาว่า “ที่ดินของเศรษฐีคนหนึ่งให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ เขาคิดในใจว่า ‘เราจะทําอย่างไรดี? เราไม่มีที่ที่จะเก็บพืชผล’ “แล้วเขากล่าวว่า ‘เราจะทําอย่างนี้ คือรื้อยุ้งฉางของเรา แล้วสร้างให้ใหญ่ขึ้นจะได้เอาไว้เก็บ 13
14
15
16
17
18
130 | ลูกา 11:45
ลูกา 12:23–34 เมื่อเราพูดว่าคนนี้รวย เรามักจะหมายความว่าพวกเขามีเงินหรือมีทรัพย์สมบัติ มากมาย ไบรท์ สงสัยว่าความรวยในสวรรค์มีลักษณะอย่างไร น้องๆ คิดอย่างไร? น้อง ๆ คิดว่าการเป็นคนรวยมันสําคัญไหม? และการที่เรามีทรัพย์สมบัติในสวรรค์นั้น มันสําคัญหรือเปล่า? ให้น้อง ๆ เขียนความรู้สึกของตนเองเกี่ยวกับการเป็นคนที่ร่ํารวย และเขียนลงไปว่าที่ ไหนที่เราคิดว่าเรามีความร่ํารวยจริง ๆ ในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลก? พืชผลและข้าวของทุกอย่าง จากนั้นเราก็จะบอกตัวเองว่า “เจ้ามีของดีมากมายเก็บไว้พอสําหรับ หลายปี ใช้ชีวิตให้สบาย กินดื่ม และรื่นเริงเถิด” ’ “แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘เจ้าคนโง่! คืนนี้ชีวิตของเจ้าจะถูกเรียกคืนจากเจ้า แล้วใครเล่าจะ เป็นผู้ที่ได้รับสิ่งที่เจ้าเตรียมไว้สําหรับตัวเอง?’ “ผู้ใดสะสมสิ่งของไว้สําหรับตนแต่ไม่ได้มั่งมีต่อหน้าพระเจ้าก็เป็นเช่นนี้” 19
20
21
อย่าวิตกกังวล
แล้วพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “เพราะฉะนั้นเราบอกท่านว่า อย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิต ของท่านว่าจะเอาอะไรกิน หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตมีค่ายิ่ง กว่าอาหาร และร่างกายมีค่ายิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม จงพิจารณาดูนกกา มันไม่ได้หว่าน ไม่ได้เกี่ยว ไม่มีที่เก็บของ ไม่มียุ้งฉาง กระนั้นพระเจ้าก็ทรงเลี้ยงดูนกกาเหล่านี้ และท่านก็มีค่ายิ่งกว่านกมาก นัก! ใครบ้างในพวกท่านที่กังวลแล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งได้? ในเมื่อ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ท่านยังทําไม่ได้ แล้วท่านจะกังวลเรื่องอื่นๆ ไปทําไม? “จงพิจารณาว่าดอกไม้เติบโตขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย กระนั้นเราบอกท่านว่า แม้แต่กษัตริย์โซโลมอน เมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการ ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่าเท่า ดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง ในเมื่อพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าในท้องทุ่งถึงเพียงนี้ หญ้าซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้ และพรุ่งนี้ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อย! พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่า นั้นหรือ? และอย่าใจจดใจจ่อว่าท่านจะเอาอะไรกินเอาอะไรดื่ม อย่ากังวลไปเลย เพราะคนไม่มี พระเจ้าทั่วโลกต่างขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านทรงทราบว่าท่านจําเป็นต้องมีสิ่ง เหล่านี้ แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า แล้วพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน ด้วย “แกะฝูงน้อยเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงพอพระทัยที่จะประทานอาณาจักร นั้นแก่ท่าน จงขายทรัพย์สินของท่านและบริจาคแก่คนยากไร้ จงจัดเตรียมถุงเงินที่ไม่มีวันฉีกขาด ไว้ให้ตนเอง คือทรัพย์สมบัติในสวรรค์ซึ่งไม่รู้จักหมดสิ้น ในที่ซึ่งไม่มีขโมยมาเฉียดใกล้ และไม่มีมอด แมลงมาทําลาย เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย 22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
จงเฝ้าระวังอยู่
“จงแต่งกายให้พร้อมที่จะรับใช้ และดูแลให้บรรดาตะเกียงของท่านส่องสว่างอยู่ เหมือนคน งานผู้คอยรับนายของตนซึ่งจะกลับจากงานเลี้ยงฉลองพิธีแต่งงาน เพื่อเมื่อนายกลับมาเคาะประตู เขาจะเปิดประตูรับนายได้ทันที เป็นการดีสําหรับคนรับใช้เหล่านั้นที่นายกลับมาแล้วพบว่าพวก เขาเฝ้าคอยอยู่ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า นายจะแต่งกายของตนให้พร้อมที่จะรับใช้ และให้คน 35
36
37
ลูกา 12:37 | 131
รับใช้เหล่านั้นนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะ แล้วนายจะมาคอยปรนนิบัติ เป็นการดีสําหรับคนรับใช้ เหล่านั้นที่นายพบว่าพวกเขาพร้อมอยู่ แม้ว่านายจะมาตอนสองยามหรือสามยามของคืนนั้น แต่ จงเข้าใจข้อนี้ คือหากเจ้าของบ้านล่วงรู้ว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาย่อมไม่ปล่อยให้ใครบุกเข้ามาใน บ้านได้ พวกท่านก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เช่นกัน เพราะบุตรมนุษย์จะมาในยามที่ท่านไม่คาดคิด” เปโตรทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ตรัสคําอุปมานี้กับพวกข้าพระองค์หรือกับทุกคน?” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ใครเป็นคนต้นเรือนที่สัตย์ซื่อและฉลาด ซึ่งนายตั้งให้ดูแลคน รับใช้เพื่อคอยแจกจ่ายอาหารให้พวกเขาตามเวลา? เป็นการดีสําหรับคนรับใช้ผู้นั้นเมื่อนายกลับ มาพบว่าเขาทําตามหน้าที่ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า นายจะตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สินทั้งปวงของ นาย แต่ถ้าเขาคิดในใจว่า ‘อีกนานกว่านายของเราจะกลับมา’ เขาจึงเริ่มทุบตีเพื่อนคนรับใช้ชาย หญิงและกินดื่มเมามาย นายของคนรับใช้ผู้นั้นจะกลับมาในวันที่เขาไม่คาดคิด และในเวลาที่เขา ไม่รู้ตัว นายจะสับเขาเป็นชิ้นๆ และส่งเขาไปอยู่ในที่ของคนที่ไม่เชื่อ “คนรับใช้ที่รู้ใจนายแล้วไม่เตรียมพร้อมและทําตามความประสงค์ของนายจะถูกเฆี่ยนอย่าง หนัก ส่วนคนที่ไม่รู้และทําสิ่งที่ควรแก่การลงโทษย่อมจะถูกเฆี่ยนน้อย ทุกคนที่ได้รับมากจะถูก เรียกร้องมาก และคนที่ได้รับมอบหมายไว้มากจะถูกเรียกร้องมากยิ่งกว่า 38
39
40
41 42
43
44
45
46
47
48
ไม่ใช่สันติสุขแต่เป็นการแบ่งแยก
“เรามาเพื่อนําไฟมาสู่โลก และเราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้ไฟนั้นจุดขึ้นแล้ว! แต่เราจะต้อง ผ่านบัพติศมาอย่างหนึ่ง และเราเป็นทุกข์ยิ่งนักจนกว่าบัพติศมานั้นจะสําเร็จครบถ้วน! ท่านคิดว่า เรามาเพื่อนําสันติภาพมาสู่โลกหรือ? เปล่าเลย เราขอบอกว่าเรานําการแบ่งแยกมาต่างหาก นับ แต่นี้ไป ในครอบครัวหนึ่ง ห้าคนจะแตกแยกกัน สามต่อสองหรือสองต่อสาม พวกเขาจะแตกแยก กัน พ่อจะแตกแยกกับลูกชาย และลูกชายจะแตกแยกกับพ่อ แม่จะแตกแยกกับลูกสาว และ ลูกสาวจะแตกแยกกับแม่ แม่สามีจะแตกแยกกับลูกสะใภ้ และลูกสะใภ้จะแตกแยกกับแม่สามี” 49
50
51
52
53
เข้าใจยุคสมัย
พระองค์ตรัสกับฝูงชนว่า “เมื่อท่านเห็นเมฆลอยขึ้นทางทิศตะวันตก ท่านก็บอกทันทีว่า ‘ฝน จะตก’ และฝนก็ตก และเมื่อลมใต้พัดมา ท่านบอกว่า ‘อากาศจะร้อน’ และก็เป็นเช่นนั้น เจ้า พวกหน้าซื่อใจคด! เจ้ารู้ว่าลักษณะของดินฟ้าอากาศหมายความว่าอย่างไร? แล้วทําไมเจ้าไม่รู้ว่าสิ่ง ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหมายความว่าอย่างไร? “เหตุใดท่านจึงไม่ตัดสินเองว่าอะไรถูกต้อง? ขณะท่านกับคู่ความไปพบผู้พิพากษา จง ขวนขวายหาทางตกลงกับเขาให้ได้ระหว่างทาง มิฉะนั้น เขาจะลากท่านไปพบผู้พิพากษา และผู้ พิพากษาจะมอบตัวท่านแก่เจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่จะจับท่านเข้าคุก เราบอกท่านว่า ท่านจะ ออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าจะใช้หนี้ครบถ้วนทุกบาททุกสตางค์” 54
55
56
57
58
59
จงกลับใจใหม่ มิฉะนั้นจะพินาศ
้นมีบางคนทูลพระเยซูเรื่องชาวกาลิลีกลุ่มหนึ่งซึ่งปีลาตเอาเลือดของพวกเขาผสมกับ 13 ขณะนั เครื่องบูชาของพวกเขา พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านั้นเป็นคนบาปยิ่ง 2
กว่าชาวกาลิลีคนอื่นๆ เพราะเขาเผชิญทุกข์ภัยเช่นนี้หรือ? เราบอกท่านว่า ไม่ใช่! แต่หากพวกท่าน ไม่กลับใจใหม่ พวกท่านก็จะพินาศเช่นกัน หรืออย่างสิบแปดคนนั้นที่ถูกหอสิโลอัมพังลงมาทับตาย ท่านคิดว่าเขามีความผิดมากกว่าคนอื่นๆ ทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ? เราบอกท่านว่า ไม่ใช่! แต่หากท่านไม่กลับใจใหม่ พวกท่านก็จะพินาศเช่นกัน” จากนั้นพระองค์ตรัสคําอุปมาดังนี้ “ชายคนหนึ่งปลูกมะเดื่อต้นหนึ่งไว้ในสวนองุ่น เขาไปหาดู ผลแต่ไม่พบ เขาจึงบอกคนดูแลสวนองุ่นว่า ‘เรามาหาผลจากต้นมะเดื่อนี้สามปีแล้ว แต่ไม่เคยพบ เลย จงโค่นมันทิ้ง! จะปลูกมันให้ดินจืดไปทําไม?’ 3
4
5
6
7
132 | ลูกา 12:38
“แต่คนดูแลสวนตอบว่า ‘นายเจ้าข้า ขอปล่อยมันไว้อีกปีหนึ่ง ข้าพเจ้าจะพรวนดินใส่ปุ๋ย ถ้าปี หน้าให้ผลก็ดีอยู่! แต่ถ้าไม่มีผลก็จะโค่นมันลง’ ” 8
9
หญิงหลังโกงหายโรคในวันสะบาโต
ในวันสะบาโตหนึ่ง ขณะพระเยซูทรงสั่งสอนอยู่ในธรรมศาลา ที่นั่นมีหญิงคนหนึ่งถูกผีสิงมา สิบแปดปี หลังโกงยืดตัวตรงไม่ได้เลย เมื่อพระเยซูทรงเห็นนางก็ทรงเรียกนางออกมาข้างหน้า และตรัสว่า “หญิงเอ๋ย ท่านหายจากความพิการนี้แล้ว” จากนั้นพระองค์ทรงวางพระหัตถ์ทั้งสอง บนนาง ทันใดนั้นนางก็ยืดตัวตรงและสรรเสริญพระเจ้า นายธรรมศาลาไม่พอใจที่พระเยซูทรงรักษาโรคในวันสะบาโตจึงกล่าวกับประชาชนว่า “มีหก วันให้ทํางาน ดังนั้นจงมารับการรักษาในวันเหล่านั้นสิ ไม่ใช่ในวันสะบาโตอย่างนี้” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าแต่ละคนก็ปล่อยวัวหรือลาของเจ้า จากคอกและพามันออกไปกินน้ําในวันสะบาโตไม่ใช่หรือ? ก็แล้วหญิงคนนี้ผู้เป็นลูกหลานของ อับราฮัมถูกซาตานผูกมัดมาตลอดสิบแปดปี ไม่ควรหรือที่จะปลดปล่อยนางให้เป็นอิสระในวัน สะบาโต?” เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ก็ทําให้ปฏิปักษ์ทั้งปวงของพระองค์อับอายขายหน้า แต่ประชาชนยินดี กับสิ่งอัศจรรย์ทั้งปวงที่ทรงกระทํา 10
11
12
13
14
15
16
17
คําอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดและเชื้อขนม
แล้วพระเยซูตรัสถามว่า “อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนอะไร? เราจะเปรียบเทียบกับอะไร ดี? ก็เหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีคนเอาไปเพาะในสวนของตน มันเติบโตขึ้นเป็นต้นให้นกในอากาศ มาเกาะที่กิ่ง” พระองค์ตรัสถามอีกครั้งว่า “เราจะเปรียบอาณาจักรของพระเจ้ากับอะไรดี? ก็เป็นเหมือน เชื้อขนมซึ่งผู้หญิงเอาไปผสมในแป้งกองใหญ่ จนแป้งทั้งก้อนฟูขึ้น” 18
19
20
21
ประตูแคบ
จากนั้นพระเยซูเสด็จไปสั่งสอนทั่วหมู่บ้านและเมืองต่างๆ ขณะทรงมุ่งหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็ม บางคนทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรอดหรือ?” พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าไปทางประตูแคบ เพราะเราบอก ท่านว่า คนเป็นอันมากจะพยายามเข้าไป แต่เข้าไม่ได้ เมื่อเจ้าของบ้านตื่นและปิดประตูแล้ว ท่าน จะยืนเคาะประตูอยู่ข้างนอกและอ้อนวอนว่า ‘นายเจ้าข้า ขอเปิดประตูให้เราด้วย’ “แต่เขาจะตอบว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า และไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน’ “เมื่อนั้นท่านจะกล่าวว่า ‘เราเคยกินดื่มกับท่าน และท่านมาสั่งสอนที่ถนนของพวกเรา’ “แต่เขาจะตอบว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า และไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน จงไปให้พ้น เจ้าคนทําชั่วทั้งปวง!’ “ที่นั่นจะมีการร่ําไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อท่านเห็นอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ กับผู้เผย พระวจนะทั้งปวงในอาณาจักรของพระเจ้า แต่ตัวท่านเองถูกโยนออกมา ผู้คนจากทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตก จะเข้ามาประจําที่ของตนที่งานฉลองในอาณาจักรของพระเจ้า อันที่จริง บรรดาผู้ที่เป็นคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย” 22
23
24
25
26 27 28
29
30
พระเยซูทรงสงสารกรุงเยรูซาเล็ม
ครั้งนั้นพวกฟาริสีบางคนมาทูลพระเยซูว่า “ท่านจงออกจากที่นี่ไปที่อื่นเถิด เฮโรดต้องการจะ ฆ่าท่าน” พระองค์ตรัสว่า “ไปบอกเจ้าสุนัขจิ้งจอกนั้นว่า ‘เราจะขับผีและรักษาโรคให้ผู้คนในวันนี้และ วันพรุง่ นี้ และในวันทีส่ ามเราจะบรรลุเป้าหมายของเรา’ อย่างไรก็ตามเราต้องดําเนินต่อไปในวันนี้ วันพรุ่งนี้ และวันถัดไป เพราะย่อมไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดตายนอกกรุงเยรูซาเล็ม! 31
32
33
ลูกา 13:33 | 133
“โอ เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าผู้เข่นฆ่าเหล่าผู้เผยพระวจนะและเอาหินขว้างบรรดาผู้ที่ทรง ส่งมาหาเจ้า เราปรารถนาอยู่เนืองๆ ที่จะรวบรวมลูกๆ ของเจ้ามาเหมือนแม่ไก่ที่กกลูกๆ ไว้ใต้ปีก แต่เจ้าไม่ยอมเลย! ดูเถิด นิเวศของเจ้าถูกทิ้งร้าง เราบอกเจ้าว่า เจ้าจะไม่ได้เห็นเราอีกจนกว่าเจ้า จะพูดว่า ‘สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า’” 34
35
พระเยซูที่บ้านของฟาริสีคนหนึ่ง
นสะบาโตหนึง่ เมือ่ พระเยซูเสด็จไปเสวยในบ้านของฟาริสรี ะดับผูน้ าํ คนหนึง่ พระองค์ทรง 14 ในวั ถูกจับตาดูอย่างใกล้ชดิ มีชายคนหนึง่ ป่วยด้วยโรคท้องมานมาอยูต่ อ่ หน้าพระองค์ พระเยซู 2
3
จึงตรัสถามพวกฟาริสี และผูเ้ ชีย่ วชาญทางบทบัญญัตวิ า่ “ผิดบทบัญญัตหิ รือไม่ทจ่ี ะรักษาโรคในวัน สะบาโต?” แต่พวกเขานิง่ อยู่ พระองค์จงึ ทรงพยุงชายคนนัน้ แล้วรักษาเขาให้หายและให้เขาไป จากนั้นพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “หากลูกชายหรือวัวของพวกท่านคนหนึ่งตกบ่อในวัน สะบาโต ท่านจะไม่ฉุดขึ้นมาทันทีหรอกหรือ?” พวกเขาก็ไม่มีอะไรจะพูด เมื่อพระองค์ทรงสังเกตเห็นว่าบรรดาผู้รับเชิญเลือกที่นั่งอันมีเกียรติ ก็ตรัสคําอุปมาว่า “เมื่อมีผู้ เชิญท่านไปยังงานเลี้ยงสมรส ไม่ต้องเลือกที่นั่งอันมีเกียรติ เพราะเขาอาจเชิญคนที่สําคัญกว่าท่าน หากเป็นเช่นนั้น เจ้าภาพผู้เชิญท่านทั้งสองจะมาบอกท่านว่า ‘ขอยกที่นั่งของท่านให้ท่านผู้นี้เถิด’ แล้วท่านจะต้องเสียหน้าและต้องเลื่อนลงมานั่งในที่ที่สําคัญน้อยที่สุด แต่เมื่อท่านได้รับเชิญ จง ไปนั่งในที่ที่ต่ําต้อยที่สุด เพื่อว่าเมื่อเจ้าภาพมาจะบอกท่านว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เลื่อนขึ้นมานั่งที่ที่ดีกว่านี้ เถิด’ แล้วท่านก็จะได้รับเกียรติต่อหน้าแขกเหรื่อทั้งปวง เพราะทุกคนที่ยกตนเองขึ้นจะถูกทําให้ ต่ําลง และผู้ที่ถ่อมตนลงจะได้รับการเชิดชูขึ้น” จากนั้นพระเยซูตรัสกับผู้ที่ทูลเชิญพระองค์ว่า “เมื่อท่านจะจัดเลี้ยงมื้อกลางวันหรือมื้อค่ํา อย่าเชิญมิตรสหาย ญาติ พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่ร่ํารวย ถ้าท่านทําอย่างนั้น พวกเขาอาจจะเชิญท่านกลับคืนบ้าง เป็นอันว่าท่านได้รับการตอบแทนแล้ว แต่เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคนจน คนพิการ คนง่อยและคนตาบอด แล้วท่านจะเป็นสุข ถึง แม้พวกเขาไม่อาจตอบแทนท่าน แต่ท่านจะได้รับผลตอบแทนเมื่อผู้ชอบธรรมเป็นขึ้นจากตาย” 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
คําอุปมาเรื่องงานเลี้ยงใหญ่
คนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะเสวยได้ฟังดังนั้น ก็ทูลว่า “ความสุขมีแก่ผู้ที่ได้ร่วมรับประทานที่งานเลี้ยงใน อาณาจักรของพระเจ้า” พระเยซูตรัสตอบว่า “ชายคนหนึ่งกําลังจัดเตรียมงานเลี้ยงใหญ่ และได้เชิญแขกเหรื่อมากมาย เมื่อได้เวลาเริ่มงาน จึงส่งคนรับใช้ไปแจ้งผู้รับเชิญว่า ‘เชิญมาร่วมงานเถิด เพราะบัดนี้ทุกอย่าง พร้อมแล้ว’ 15
16
17
ลูกา 14:15–24 ให้น้อง ๆ ทําบัตรเชิญเพื่อไปงานเลี้ยงในอาณาจักรของพระเจ้า มันจะเป็นงานเลี้ยงที่ ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา! แล้วให้วาดรูปหรือระบายสีของสถานที่จัดเลี้ยงไว้ด้านหน้าบัตร และเขียนคําเชิญไว้ ด้านในบัตร ใครจะได้รับเชิญไปงานเลี้ยงบ้าง? (อ่านข้อที่ 21 และ 23) ให้เขียนคําตอบไว้ด้านล่าง บัตรเชิญ เราต้องการที่จะไปร่วมในงานเลี้ยงของพระเจ้าไหม? 134 | ลูกา 13:34
“แต่พวกนั้นทั้งหมดพากันขอตัว คนแรกบอกว่า ‘ข้าพเจ้าเพิ่งซื้อที่นา จําเป็นต้องไปดู ขออภัย ข้าพเจ้าไปงานเลี้ยงไม่ได้’ “อีกคนหนึ่งบอกว่า ‘ข้าพเจ้าเพิ่งซื้อวัวมาห้าคู่ และกําลังจะไปลองดู ขออภัย ข้าพเจ้าไปงาน เลี้ยงไม่ได้’ “ยังมีอีกคนหนึ่งกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน ดังนั้นจึงมาไม่ได้’ “คนรับใช้นั้นกลับมารายงานนาย นายก็โกรธและสั่งคนรับใช้นั้นว่า ‘จงรีบไปตามถนนและ ตรอกซอกซอยในเมือง พาคนจน คนพิการ คนตาบอด และคนง่อยมา’ “คนรับใช้ตอบว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ทําตามที่ท่านสั่งแล้ว แต่ก็ยังมีที่ว่างอีก’ “แล้วนายจึงบอกคนรับใช้ว่า ‘จงไปตามถนนหนทางในชนบท และระดมพวกเขามาให้เต็ม บ้านของเรา เราบอกท่านว่าไม่มีสักคนที่เราเชื้อเชิญไว้จะได้ลิ้มรสงานเลี้ยงของเราเลย’ ” 18
19
20 21
22 23
24
การเป็นสาวก
ฝูงชนกลุ่มใหญ่ร่วมเดินทางไปกับพระเยซู พระองค์ทรงหันมาตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าผู้ใดมา หาเราและไม่ได้รักเรามากกว่า บิดามารดา บุตร ภรรยา และพี่น้องชายหญิงของตน หรือแม้แต่ ชีวิตของเขาเอง ผู้นั้นก็เป็นสาวกของเราไม่ได้ และผู้ใดที่ไม่ได้แบกกางเขนของตนและตามเรามา ก็เป็นสาวกของเราไม่ได้ “สมมุติว่าใครในพวกท่านต้องการสร้างหอคอย เขาจะไม่นั่งลงประมาณค่าใช้จ่ายก่อนหรือว่ามี เงินพอจะสร้างให้เสร็จหรือไม่? เพราะถ้าเขาวางฐานรากแล้วไม่อาจสร้างให้เสร็จ ทุกคนที่เห็นจะ เยาะเย้ยเขา ว่า ‘คนนี้เริ่มก่อสร้างแต่ไม่สามารถทําให้สําเร็จ’ “หรือสมมุติว่ากษัตริย์องค์หนึ่งกําลังจะทําสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง พระองค์จะไม่ทรง นั่งลงคิดดูก่อนหรือว่าตนมีกําลังหนึ่งหมื่นคนจะสู้กับอีกฝ่ายซึ่งมีสองหมื่นคนได้หรือไม่? หากสู้ไม่ ได้ จะได้ส่งทูตไปเจรจาขอสงบศึกตั้งแต่อีกฝ่ายยังอยู่แต่ไกล ในทํานองเดียวกัน ไม่ว่าใครในพวก ท่านที่ไม่ได้สละทุกสิ่งที่ตนมี เขาก็เป็นสาวกของเราไม่ได้ “เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้ามันหมดความเค็มแล้ว จะทําให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร? จะนําไปใส่ดิน หรือใส่กองปุ๋ยคอกก็ไม่เหมาะ เกลือนั้นย่อมถูกสาดทิ้งไป “ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด” 25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
คําอุปมาเรื่องแกะหลงหาย
ครั้งนั้นคนเก็บภาษีและ “คนบาป” มาชุมนุมกันเพื่อฟังพระเยซู แต่พวกฟาริสีและ 15 ธรรมาจารย์ บ่นพึมพําว่า “ชายคนนี้ต้อนรับคนบาปและร่วมรับประทานกับพวกเขา” 2
พระเยซูจึงตรัสคําอุปมาให้พวกเขาฟังว่า “สมมุติว่าพวกท่านคนหนึ่งมีแกะหนึ่งร้อยตัวและตัว หนึ่งหายไป เขาจะไม่ละแกะทั้งเก้าสิบเก้าตัวไว้กลางทุ่ง แล้วไปตามหาแกะตัวที่หายไปนั้นจนกว่า จะพบหรือ? เมื่อเขาพบแล้วก็แบกแกะนั้นใส่บ่าด้วยความชื่นชมยินดี และกลับบ้าน จากนั้นเขา ก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมกัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบแกะ ตัวที่หายไปนั้นแล้ว’ เราบอกท่านว่าทํานองเดียวกัน ในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดีในคนบาปคน หนึ่งซึ่งกลับใจใหม่ มากยิ่งกว่าในคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนซึ่งไม่ต้องการกลับใจใหม่” 3
4
5
6
7
คําอุปมาเรื่องเหรียญหาย
“หรือสมมุติว่าหญิงคนหนึ่งมีเหรียญเงินสิบเหรียญ และหายไปเหรียญหนึ่ง หญิงนั้นจะไม่จุด ตะเกียงกวาดเรือนและค้นหาอย่างถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ? และเมื่อพบแล้ว นางก็เรียกมิตร สหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมหน้ากันและกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบเหรียญที่หาย ไปนั้นแล้ว’ เราบอกท่านว่าในทํานองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของ พระเจ้าในคนบาปคนเดียวซึ่งกลับใจใหม่” 8
9
10
ลูกา 15:10 | 135
ลูกา 15:3–7 ไบรท์ สงสัยว่าถ้าเราเกิดหลงทางขึ้นมา เราจะรู้สึกกลัวไหม? เราจะกลัวไหมว่าเราจะ หาคนในครอบครัวหรือเพื่อน ๆ ของเราไม่เจอ? เกิดอะไรขึ้น? จะมีใครตามหาเราไหม? น้อง ๆ จะรู้สึกอย่างไรเมื่อถูกตามหาจนพบ? เมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถแสวงหาพระเจ้าได้ ให้เราแน่ใจได้ว่าพระองค์จะทรง ตามหาเรา พระองค์ทรงรักเรา และทรงต้องการให้เราอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ คําอุปมาเรื่องบุตรที่หลงหาย
พระเยซูตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน บุตรชายคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘บิดา เจ้าข้า ขอยกสมบัติส่วนของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าเถิด’ ดังนั้นบิดาจึงแบ่งทรัพย์สมบัติของตนให้บุตร ทั้งสอง “ต่อมาไม่นาน บุตรชายคนเล็กนี้ก็รวบรวมสมบัติทั้งหมดของตนแล้วไปเมืองไกล และผลาญ ทรัพย์ของตนด้วยการใช้ชีวิตเสเพล พอเขาหมดตัว ก็เกิดการกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน ดังนั้นเขาจึงไปรับจ้างชาวเมืองคนหนึ่ง และคนนั้นใช้เขาออกไปเลี้ยงหมูในทุ่ง นา เขาอยากจะอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกิน แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากิน “เมื่อเขาคิดขึ้นได้จึงกล่าวว่า ‘บิดาของเรามีลูกจ้างหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่นี่ เรากําลังจะอดตาย! เราจะกลับไปหาบิดาของเราและกล่าวกับท่านว่า บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทําบาป ต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็น เหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด’ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชายแล้วสวมกอดและจูบเขา “เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทําบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควร จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป’ “แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนําเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของ เขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา จงนําลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง เพราะบุตรชาย คนนี้ของเราได้ตายไปแล้วและกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้วและได้พบกันอีก’ ดังนั้นเขาทั้ง หลายจึงเริ่มเฉลิมฉลองกัน “ฝ่ายบุตรคนโตอยู่ที่ทุ่งนา เมื่อกลับมาใกล้ถึงบ้าน เขาได้ยินเสียงดนตรีและเสียงเต้นรํา ดัง นั้นเขาจึงเรียกคนรับใช้คนหนึ่งมาถามว่ามีอะไร คนรับใช้ตอบว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาแล้ว บิดาของท่านจึงให้ฆ่าลูกวัวขุน เพราะท่านได้เขากลับมาโดยสวัสดิภาพ’ “บุตรคนโตก็โกรธและไม่ยอมเข้าบ้าน บิดาจึงออกมาขอร้องเขา แต่เขาตอบบิดาว่า ‘ดูเถิด! หลายปีมานี้ข้าพเจ้าตรากตรํารับใช้ท่าน และไม่เคยขัดคําสั่งของท่านเลย แต่ลูกแพะสักตัวท่านก็ ยังไม่เคยยกให้ข้าพเจ้าเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ แต่เมื่อลูกคนนี้ของท่านกลับมาบ้านทั้งๆ ที่ได้ ผลาญสมบัติของท่านหมดไปกับหญิงโสเภณี ท่านยังฆ่าลูกวัวขุนให้เขา!’ “บิดากล่าวว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับพ่อตลอดมา และทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของเจ้า แต่ที่เราต้อง เฉลิมฉลองและยินดีกัน เพราะน้องคนนี้ของเจ้าได้ตายไปแล้วและกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไป แล้วและได้พบกันอีก’ ” 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
136 | ลูกา 15:11
32
คําอุปมาเรื่องผู้ดูแลเจ้าเล่ห์
ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “มีเศรษฐีคนหนึ่งซึ่งผู้ดูแลของเขาถูกกล่าวหาว่าผลาญ 16 พระเยซู ทรัพย์สินของเขา เขาจึงเรียกคนนั้นมา ถามว่า ‘จะว่าอย่างไรในสิ่งที่เราได้ยินมาเกี่ยวกับ 2
เจ้า? จงส่งบัญชีที่เจ้าดูแลมา เพราะเจ้าจะเป็นผู้ดูแลไม่ได้อีกต่อไป’ “ผู้ดูแลนั้นคิดในใจว่า ‘จะทําอย่างไรดี? นายจะปลดเราออกจากงาน จะไปขุดดินก็ไม่มีแรง จะ ไปขอทานก็อายเขา เรารู้แล้วว่าเราจะทําอะไรดี เพื่อว่าเมื่อเราตกงานแล้วจะได้มีคนรับเราเข้า บ้านของเขา’ “เขาจึงเรียกลูกหนี้ของนายมาทีละคน เขาถามคนแรกว่า ‘ท่านติดหนี้นายของข้าพเจ้าอยู่ เท่าไร?’ “เขาตอบว่า ‘น้ํามันมะกอกหนึ่งร้อยถัง’ “ผู้ดูแลนั้นบอกเขาว่า ‘จงนําเอกสารมา รีบนั่งลงแก้ให้เป็นห้าสิบ’ “จากนั้นเขาถามคนที่สองว่า ‘และท่านติดหนี้นายของข้าพเจ้าอยู่เท่าไร?’ “คนนั้นตอบว่า ‘ข้าวสาลีหนึ่งร้อยกระสอบ’ “ผู้ดูแลนั้นบอกเขาว่า ‘จงนําเอกสารมาและแก้ให้เป็นแปดสิบ’ “นายจึงชมผู้ดูแลไม่ซื่อคนนี้เพราะเขาทําไปอย่างชาญฉลาด เพราะคนของโลกนี้ฉลาดกว่าคน ของความสว่างในการทําธุรกิจการงานกับคนประเภทเดียวกับเขา เราบอกท่านว่าจงใช้ทรัพย์ สมบัติฝ่ายโลกหาเพื่อน เพื่อเมื่อหมดเงินท่านจะได้รับการต้อนรับเข้าสู่ที่พํานักอันถาวร “คนที่ไว้ใจได้ในสิ่งเล็กน้อย ก็ไว้ใจได้ในสิ่งใหญ่ด้วย และคนที่ไม่สัตย์ซื่อในสิ่งเล็กน้อย ก็ไม่ สัตย์ซื่อในสิ่งใหญ่ด้วย ดังนั้นถ้าไว้ใจท่านในการจัดการกับทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกไม่ได้ ใครจะไว้ใจ มอบทรัพย์สมบัติอันแท้จริงให้ท่านดูแลเล่า? และถ้าไว้ใจให้ท่านดูแลทรัพย์สมบัติของคนอื่นไม่ได้ ใครจะมอบทรัพย์สมบัติให้เป็นของท่านเล่า? “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาย่อมชังนายคนหนึ่งและรักนายอีกคนหนึ่ง หรือ ภักดีคนหนึ่งและดูหมิ่นอีกคนหนึ่ง ท่านไม่อาจรับใช้ทั้งพระเจ้าและเงินทองได้” ฝ่ายพวกฟาริสีที่รักเงินได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ก็เย้ยหยันพระเยซู พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านทําตัวเป็นคนชอบธรรมในสายตามนุษย์ แต่พระเจ้าทรงทราบจิตใจของท่าน สิ่งที่ถือว่า สูงค่าในหมู่มนุษย์ก็น่ารังเกียจในสายพระเนตรของพระเจ้า” 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
คําสอนเพิ่มเติม
“หนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะได้รับการประกาศเรื่อยมาจนถึงสมัยของ ยอห์น นับตั้งแต่นั้นข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าก็ได้รับการประกาศ และทุกคนก็ กําลังพยายามเบียดเสียดกันเข้าไปในอาณาจักรนั้น ฟ้าและดินจะหายไป ยังง่ายกว่าสักจุดหนึ่งใน หนังสือบทบัญญัติจะตกไป “ผู้ใดหย่าภรรยาและไปแต่งงานกับหญิงอื่นก็ล่วงประเวณี และผู้ชายที่แต่งงานกับหญิงที่หย่า กับสามีก็ล่วงประเวณี” 16
17
18
เศรษฐีกับลาซารัส
“ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งสวมชุดสีม่วงและผ้าลินินเนื้อดี ใช้ชีวิตอย่างหรูหราทุกวัน ที่ประตูบ้าน ของเศรษฐีมีขอทานคนหนึ่งชื่อลาซารัส เขามีแผลเต็มตัวนอนอยู่ และอยากกินอาหารที่ตกจาก โต๊ะของเศรษฐี แม้แต่สุนัขก็มาเลียแผลของเขา “อยู่มาขอทานนั้นก็ตาย และเหล่าทูตสวรรค์นําเขาไปอยู่ข้างอับราฮัม ฝ่ายเศรษฐีก็ตายเช่นกัน และถูกฝังไว้ เมื่ออยู่ในนรกซึ่งทุกข์ทรมานมาก เศรษฐีแหงนมองเห็นอับราฮัมอยู่ไกลๆ มีลาซารัส เคียงข้าง จึงร้องบอกว่า ‘ท่านบรรพบุรุษอับราฮัม สงสารข้าพเจ้าด้วยเถิด โปรดส่งลาซารัสมา ให้ เขาเอาปลายนิ้วจุ่มน้ําแตะลิ้นข้าพเจ้าให้เย็นลง เพราะข้าพเจ้าอยู่ในไฟนี้ทุกข์ทรมานเหลือเกิน’ 19
20
21
22
23
24
ลูกา 16:24 | 137
“แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย จําได้ไหม ในชั่วชีวิตของเจ้า เจ้าได้รับแต่สิ่งดีๆ ขณะที่ลาซารัส รับสิ่งเลวๆ แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับการปลอบประโลมอยู่นี่แล้ว ส่วนเจ้าทุกข์ทรมาน นอกจากนี้แล้ว ระหว่างเรากับเจ้ามีเหวใหญ่ขวางอยู่ ใครอยากจะข้ามจากที่นี่ไปหาเจ้าก็ไม่ได้ หรือจะข้ามจากที่ โน่นมาหาเราก็ไม่ได้’ “เขาจึงตอบว่า ‘ท่านบรรพบุรุษ ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของ ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ามีพี่น้องห้าคน ให้ลาซารัสไปเตือนเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้ไม่ต้องมาที่ ทรมานนี้ด้วย’ “อับราฮัมตอบว่า ‘พวกเขามีโมเสสกับเหล่าผู้เผยพระวจนะอยู่แล้ว ก็ให้พวกเขาฟังคนเหล่า นั้นเถิด’ “เศรษฐีนั้นจึงกล่าวว่า ‘หามิได้ ท่านบรรพบุรุษอับราฮัม แต่หากมีใครเป็นขึ้นจากตายไปหา เขาจะกลับใจ’ “อับราฮัมกล่าวกับเขาว่า ‘ถ้าพวกเขาไม่ฟังโมเสสกับเหล่าผู้เผยพระวจนะ ต่อให้ใครเป็นขึ้น จากตาย เขาก็จะไม่ยอมเชื่อ’ ” 25
26
27
28
29
30
31
บาป ความเชื่อ และหน้าที่
ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “สิ่งที่เป็นต้นเหตุให้ผู้คนทําบาปจะมีมาแน่ แต่วิบัติแก่คนนั้น 17 พระเยซู ที่เป็นต้นเหตุให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ให้เอาหินโม่ผูกคอเขาโยนลงทะเล ยังดีกว่าปล่อยให้เขา 2
เป็นต้นเหตุให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งทําบาป ฉะนั้นจงระวังตัวให้ดี “ถ้าพี่น้องของท่านทําผิด จงตักเตือนเขา และถ้าเขากลับใจ จงอภัยให้เขา แม้เขาทําบาปต่อ ท่านถึงเจ็ดครั้งในวันเดียว และกลับมาหาท่านเจ็ดครั้งบอกว่า ‘เรากลับใจแล้ว’ ก็จงยกโทษให้เขา” ฝ่ายอัครทูตทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอทรงเพิ่มพูนความเชื่อของข้าพระองค์ทั้งหลาย!” พระองค์ตรัสตอบว่า “ถ้าท่านมีความเชื่อเล็ก เท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง ท่านสามารถสั่งต้น หม่อนนี้ว่า ‘จงถอนรากไปปักในทะเล’ และมันก็จะเชื่อฟังท่าน “สมมุติว่าพวกท่านคนหนึ่งมีบ่าวไถนาหรือดูแลแกะ เมื่อบ่าวกลับจากทุ่งนา เขาจะบอกหรือว่า ‘มาเถิด มานั่งรับประทานอาหาร’? เขาน่าจะพูดว่า ‘จงเตรียมอาหารให้เราและเตรียมตัวให้พร้อม คอยรับใช้เราขณะที่เรากินและดื่ม หลังจากนั้นเจ้าจึงค่อยกินและดื่ม’ มิใช่หรือ? เขาจะขอบใจ ที่บ่าวทําตามที่เขาสั่งหรือ? ท่านก็เช่นกัน เมื่อทําทุกอย่างตามที่รับคําสั่งแล้ว ควรกล่าวว่า ‘เรา เป็นคนรับใช้ที่ไร้ค่า เราเพียงทําตามหน้าที่ของเราเท่านั้น’ ” 3
4
5 6
7
8
9
10
ลูกา 17:3–4 น้อง ๆ จําคนที่โกรธเราเพียงเพราะสิ่งที่เราพูด หรือสิ่งที่เราทําได้หรือไหม? น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรเมื่อมีคนให้อภัยเรา และบอกเราว่าเขาจะไม่โกรธเราอีกต่อไป? มันเหมือน กับว่าภาระหนักได้ถูกยกออกจากบ่าของเราใช่ไหม? เรารู้สึกเบาและเป็นอิสระ พระเยซูทรงบอกเราให้เราให้อภัยคนอื่น ๆ เพื่อที่พวกเขา จะรู้สึกเบาและเป็นอิสระ 138 | ลูกา 16:25
ลูกา 17:11–19 คนที่เปนโรคเรื้อนไมไดรับอนุญาตใหอยูรวมกับคนอื่น ๆ เพราะคนที่มีสุขภาพแข็งแรง อาจจะติดเชื้อไดงาย พวกเขาจึงกลัวมาก ในปจจุบันเราหาคนที่เปนโรคเรื้อนไดยากมาก แตเรายังคงปฏิบัติกับบางคนเหมือนกับ วาพวกเขามีโรคเรื้อน มีเด็กคนไหนไหมที่นอง ๆ ไมอยากเลนดวย เพียงเพราะวาเขา แตกตางจากเรา? ตนไม บอกวาบางทีเราอาจจะตองลองพูดคุยกับพวกเขา เพือ่ ทีเ่ ราจะ ไดรูจักเขามากขึ้น ทรงรักษาคนโรคเรื้อนสิบคน
ระหว่างทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูเสด็จเลียบเขตแดนของแคว้นสะมาเรียกับกาลิลี ขณะทรงเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชายโรคเรื้อนสิบคนยืนรอพบพระองค์อยู่แต่ไกล พวกเขา ร้องเสียงดังว่า “พระเยซู พระอาจารย์เจ้าข้า เวทนาเราด้วยเถิด!” เมื่อพระองค์ทรงเห็นพวกเขาก็ตรัสว่า “จงไปแสดงตัวต่อปุโรหิต” ขณะกําลังเดินไป พวกเขาก็ หายโรค คนหนึ่งในพวกนั้นเมื่อเห็นว่าตนหายจากโรคก็กลับมาสรรเสริญพระเจ้าเสียงดัง เขาทิ้งตัวลง แทบพระบาทของพระเยซูและขอบพระคุณพระองค์ เขาเป็นชาวสะมาเรีย พระเยซูตรัสถามว่า “มีสิบคนหายโรคไม่ใช่หรือ? อีกเก้าคนอยู่ที่ไหน? ไม่มีสักคนกลับมา สรรเสริญพระเจ้า นอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ?” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “ลุกขึ้นไปเถิด ความเชื่อของเจ้าทําให้เจ้าหายโรค” 11
12
13
14
15
16
17
18
19
การมาของอาณาจักรพระเจ้า
คราวหนึ่งพวกฟาริสีมาทูลถามว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด พระเยซูตรัสตอบว่า “อาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ ทั้งผู้คนจะไม่กล่าวว่า ‘อาณาจักรนั้นอยู่ที่ นี่’ หรือ ‘อยู่ที่นั่น’ เพราะอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในพวกท่าน” จากนั้นพระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “เวลานั้นจะมาถึงเมื่อท่านอยากจะเห็นวันแห่งบุตร มนุษย์สักวันเดียว แต่ท่านจะไม่เห็น ผู้คนจะบอกท่านว่า ‘พระองค์อยู่ที่นั่น!’ หรือ ‘พระองค์อยู่ที่ นี่!’ อย่าไปวิ่งตามเขา เพราะในวันของพระองค์ บุตรมนุษย์จะทรงเป็นเหมือนฟ้าแลบซึ่งส่องแสง วาบ ทําให้ท้องฟ้าสว่างจากขอบฟ้าด้านหนึ่งจนจดอีกด้านหนึ่ง แต่ก่อนอื่นพระองค์ต้องทนทุกข์ หลายประการและถูกคนยุคนี้ปฏิเสธ “วาระของบุตรมนุษย์จะเป็นเหมือนสมัยโนอาห์ ผู้คนกินดื่ม แต่งงาน และยกให้เป็นสามี ภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าในเรือ จากนั้นน้ําก็ท่วมทําลายล้างพวกเขา “และเช่นเดียวกับในสมัยโลท ผู้คนกินดื่ม ซื้อ ขาย ปลูกสร้าง แต่ในวันที่โลทออกจากเมือง โสโดม ไฟและกํามะถันจากฟ้าสวรรค์เทลงมาทําลายพวกเขา “จะเป็นเช่นนี้แหละในวันที่บุตรมนุษย์ปรากฏ ในวันนั้นผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน อย่า ลงมาเก็บข้าวของที่อยู่ในบ้าน เช่นเดียวกัน คนที่อยู่ในทุ่งนาไม่ควรกลับมาเอาสิ่งใด จงระลึกถึง ภรรยาของโลท! ผู้ใดดิ้นรนเอาชีวิตรอดจะเสียชีวิต และผู้ที่พลีชีวิตจะรักษาชีวิตไว้ได้ เราบอก ท่านว่า คืนนั้น สองคนนอนร่วมเตียงกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป และอีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสอง คนโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป และอีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้” 20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
ลูกา 17:35 | 139
เขาทั้งหลายทูลถามว่า “ที่ไหน พระเจ้าข้า?” พระองค์ตรัสว่า “ซากศพอยู่ที่ไหน แร้งกาจะชุมนุมกันอยู่ที่นั่น”
37
คําอุปมาเรื่องหญิงม่ายผู้ไม่ลดละ
18
แล้วพระเยซูตรัสคําอุปมาสอนเหล่าสาวกให้อธิษฐานเสมออย่างไม่ลดละ พระองค์ตรัสว่า “ในเมืองหนึ่งมีผู้พิพากษาคนหนึ่งซึ่งไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่เห็นแก่หน้ามนุษย์คนใด ใน เมืองนั้นมีหญิงม่ายคนหนึ่งที่เพียรมาหาเขา และพร่ําวิงวอนว่า ‘กรุณาให้ความยุติธรรมในคดีของ ข้าพเจ้าด้วยเถิด’ “ผู้พิพากษานั้นปฏิเสธนางอยู่ระยะหนึ่ง แต่ในที่สุดเขานึกในใจว่า ‘ถึงแม้เราไม่เกรงกลัว พระเจ้า และไม่เห็นแก่หน้ามนุษย์คนใด แต่เพราะหญิงม่ายคนนี้คอยกวนใจเราอยู่ตลอดเวลา เรา จะให้ความยุติธรรมแก่นาง เพื่อนางจะได้ไม่มารบกวนให้เราระอาใจ!’ ” และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงฟังคําพูดของผู้พิพากษาอยุติธรรมคนนี้ แล้วพระเจ้าจะไม่ให้ ความยุติธรรมแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรหรือ? ในเมื่อเขาร้องทูลพระองค์ทั้งวันทั้งคืน พระองค์ จะทรงผัดผ่อนเขาอยู่ร่ําไปหรือ? เราบอกท่านว่า พระองค์จะทรงดูแลให้พวกเขาได้รับความ ยุติธรรมโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา พระองค์จะพบความเชื่อในโลกหรือ?” 2
3
4
5
6
7
8
คําอุปมาเรื่องฟาริสีกับคนเก็บภาษี
สําหรับบางคนที่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเองและดูถูกคนอื่นทั้งปวงนั้น พระเยซูตรัสคํา อุปมานี้ว่า “ชายสองคนไปที่พระวิหารเพื่ออธิษฐาน คนหนึ่งเป็นฟาริสี และอีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บ ภาษี ฟาริสีคนนั้นยืนขึ้นอธิษฐานเกี่ยวกับ ตนเองว่า ‘ข้าแต่พระเจ้าขอบพระคุณพระองค์ ที่ข้า พระองค์ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่เป็นโจรปล้น ทําชั่ว ล่วงประเวณี หรือเป็นอย่างคนเก็บภาษีคนนี้ ข้า พระองค์ถืออดอาหารสัปดาห์ละสองครั้ง และถวายสิบลดจากทุกสิ่งที่ได้มา’ “แต่คนเก็บภาษีนั้นยืนไกลออกไป เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นฟ้า แต่ทุบตีอกของตนและ พูดว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปด้วยเถิด’ “เราบอกท่านว่า คนนี้ต่างหากที่กลับบ้านไปโดยถือว่าเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า เพราะ ทุกคนที่ยกตนเองขึ้นจะถูกทําให้ต่ําลง และผู้ที่ถ่อมตนลงจะได้รับการเชิดชูขึ้น” 9
10
11
12
13
14
พระเยซูกับเด็กเล็กๆ
ประชาชนอุ้มทารกมาให้พระเยซูทรงแตะต้อง เมื่อเหล่าสาวกเห็นก็ตําหนิพวกเขา แต่พระ เยซูทรงเรียกเด็กๆ เข้ามาหาพระองค์และตรัสว่า “จงให้เด็กเล็กๆ มาหาเราและอย่าขัดขวางเขา เลย เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็กๆ เหล่านี้ เราบอกความจริงแก่ 15
16
17
ลูกา 18:15–17 บางคนคิดว่าเด็ก ๆ ไม่มีความสําคัญ น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรเมื่อมันเกิดขึ้นกับตัวน้อง ๆ เอง? อุ่นใจ คิดว่ามันจะทําให้เรารู้สึกเศร้า หรือโกรธ เหล่าสาวกก็คิดว่าพวกเด็ก ๆ และพ่อแม่ของพวกเขาควรหยุดรบกวนพระเยซู และไป ให้ไกล ๆพระเยซูทรงทําอย่างไร? พระเยซูทรงคิดว่าเด็ก ๆ นั้นมีความสําคัญ เรารู้สึก อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้? 140 | ลูกา 17:37
ท่านว่า ผู้ใดไม่รับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะไม่มีวันได้เข้าอาณาจักรพระเจ้า เลย” ขุนนางผู้ร่ํารวย
ขุนนางคนหนึ่งทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะต้องทําอะไรบ้างจึงจะ ได้ชีวิตนิรันดร์?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ทําไมท่านจึงบอกว่าเราประเสริฐ? นอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครอื่นที่ ประเสริฐ ท่านก็รู้บทบัญญัติที่ว่า ‘อย่าล่วงประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’” เขาทูลว่า “ทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมาตั้งแต่เด็ก” เมื่อพระเยซูทรงได้ยินดังนั้น ก็ตรัสกับเขาว่า “ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จงขายทุกสิ่งที่มีและ แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้นจงตามเรามา” เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นก็เศร้าสลด เพราะเขาร่ํารวยมาก พระเยซูทรงมองดูเขาและตรัสว่า “ยากนักที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า! อันที่จริง ให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าที่คนรวยจะ เข้าอาณาจักรของพระเจ้า” บรรดาผู้ที่ได้ฟังเช่นนี้ทูลถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ใครจะรอดได้?” พระเยซูตรัสตอบว่า “สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สําหรับมนุษย์ เป็นไปได้สําหรับพระเจ้า” เปโตรทูลว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละทุกสิ่งที่มีมาติดตามพระองค์!” พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ไม่มีผู้ใดที่ละทิ้งบ้านเรือน หรือ ภรรยา หรือพี่น้อง หรือบิดามารดา หรือลูกๆ เพื่ออาณาจักรของพระเจ้า แล้วจะไม่ได้รับผล ตอบแทนหลายเท่าในยุคนี้ และชีวิตนิรันดร์ในยุคหน้า” 18
19
20
21 22
23
24
25
26 27 28
29
30
ทรงพยากรณ์อีกว่าจะต้องสิ้นพระชนม์
พระเยซูทรงพาสาวกทั้งสิบสองคนเลี่ยงออกมาและตรัสบอกพวกเขาว่า “พวกเรากําลังขึ้น ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และทุกอย่างที่บรรดาผู้เผยพระวจนะเขียนไว้เกี่ยวกับบุตรมนุษย์จะสําเร็จ พระองค์จะถูกมอบให้คนต่างชาติ พวกเขาจะเยาะเย้ย ดูหมิ่น ถ่มน้ําลายรด โบยตี และฆ่า พระองค์ ในวันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นมาใหม่” เหล่าสาวกไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลย ความหมายของสิ่งเหล่านี้ถูกปิดบังจากพวกเขาและพวกเขา ไม่รู้ว่าพระองค์กําลังตรัสถึงเรื่องอะไร 31
32
33
34
ขอทานตาบอดมองเห็น
เมื่อพระเยซูเสด็จมาใกล้เมืองเยรีโค มีชายตาบอดคนหนึ่งกําลังนั่งขอทานอยู่ริมทาง เมื่อ ได้ยินเสียงฝูงชนเดินผ่าน เขาจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น คนเหล่านั้นบอกเขาว่า “พระเยซูแห่ง นาซาเร็ธกําลังเสด็จผ่าน” ชายตาบอดคนนั้นจึงร้องขึ้นว่า “พระเยซูบุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด!” บรรดาผู้ที่เดินนําหน้าตําหนิและบอกให้เขาเงียบ แต่เขายิ่งร้องดังขึ้นอีกว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด!” พระเยซูทรงหยุดและตรัสสั่งให้คนพาเขามาหาพระองค์ เมื่อเขาเข้ามาใกล้พระเยซูตรัสถามว่า “ท่านต้องการให้เราทําอะไรให้?” เขาทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยากมองเห็น” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงมองเห็นเถิด ความเชื่อของท่านทําให้ท่านหายแล้ว” ทันใดนั้นเขา ก็มองเห็นได้และตามพระเยซูไป พร้อมกับสรรเสริญพระเจ้า เมื่อคนทั้งปวงเห็นเช่นนั้นก็สรรเสริญ พระเจ้าด้วย 35
36
37
38
39
40
41
42
43
ลูกา 18:43 | 141
ลูกา 19:4 ศักเคียสปีนขึ้นต้นไม้มะเดื่อ มันเป็นต้นไม้ที่เหมาะแก่การปีน และมันก็มีร่มเงา มากมาย ต้นไม้ ค้นพบว่าต้นสนเรดวูด (ไจแอนท์ซีคัวญ่า) เป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลก ต้นไม้เหล่า นี้จะพบได้เฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนียประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อมันโตมันจะสูงกว่า 100 เมตร และบางต้นมีอายุมากกว่า 2,000 ปี ต้นไม้ที่สูงที่สุดในประเทศของน้อง ๆ คือ ต้นอะไร? พระเยซูทรงทําอย่างไร? พระเยซูทรงคิดว่าเด็ก ๆ นั้นมีความสําคัญ เรารู้สึก อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้? ศักเคียสคนเก็บภาษี
พระเยซูเสด็จเข้าเมืองเยรีโค ขณะกําลังผ่านไป ชายคนหนึ่งที่นั่นชื่อศักเคียส เป็นหัวหน้า 19 คนเก็ บภาษีผู้ร่ํารวย เขาอยากเห็นว่าพระเยซูเป็นใคร แต่มองไม่เห็นเนื่องจากเขาเตี้ยและ 2
3
เพราะคนแน่นมาก เขาจึงวิ่งขึ้นหน้าแล้วปีนขึ้นต้นมะเดื่อเพื่อดักมองพระองค์ เพราะพระเยซูกําลัง เสด็จไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่น ทรงแหงนพระพักตร์แล้วตรัสกับเขาว่า “ศักเคียสเอ๋ย รีบลงมาเถิด วันนี้เราต้องพักที่บ้านท่าน” เขาจึงลงมาทันที และต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี คนทั้งปวงเห็นดังนั้นก็เริ่มบ่นพึมพํากันว่า “พระองค์ไปเป็นแขกของ ‘คนบาป’ ” แต่ศักเคียสยืนขึ้นทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า ดูเถิด! ที่นี่เวลานี้ ข้าพระองค์ขอยก ทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนยากจน และหากข้าพระองค์ได้โกงอะไรใคร จะใช้คืนให้สี่เท่า” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “วันนี้ความรอดมาถึงบ้านนี้แล้ว เพราะชายผู้นี้ก็เป็นบุตรของอับราฮัม ด้วย เพราะบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อเสาะหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปให้รอด” 4
5
6
7 8
9
10
คําอุปมาเรื่องเงินสิบมินา
ขณะคนทั้งหลายกําลังฟังอยู่ พระองค์ตรัสคําอุปมาต่อไป เนื่องจากพระองค์เสด็จมาใกล้กรุง เยรูซาเล็มแล้ว และผู้คนคิดว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะปรากฏทันที พระองค์ตรัสว่า “ชายคน หนึ่งในราชตระกูลไปแดนไกลเพื่อรับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ แล้วจะกลับมา เขาจึงเรียกคนรับ ใช้สิบคนมามอบเงินให้คนละหนึ่งมินา และสั่งว่า ‘จงนําเงินนี้ไปประกอบกิจการจนกว่าเราจะกลับ มา’ “แต่คนในปกครองของเขาเกลียดชังเขา พวกเขาจึงส่งทูตตามหลังเขาไปแจ้งว่า ‘เราไม่ ต้องการให้ชายผู้นี้มาเป็นกษัตริย์ปกครองเรา’ “อย่างไรก็ตามเขาผู้นี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์และได้กลับมาบ้าน แล้วเขาให้ไปตามคน รับใช้ที่เขามอบเงินให้นั้นมาพบ เพื่อดูว่าพวกเขาทํากําไรมาได้เท่าใด “คนแรกมาทูลว่า ‘ข้าแต่ฝ่าพระบาท เงินหนึ่งมินาของพระองค์ได้กําไรมาอีกสิบมินา’ “เจ้านายตรัสว่า ‘ดีมาก คนรับใช้ที่ดีของเรา! เพราะเจ้าซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ในสิ่งเล็กน้อย จงดูแล สิบเมืองเถิด’ “คนที่สองมาทูลว่า ‘ข้าแต่ฝ่าพระบาท เงินหนึ่งมินาของพระองค์ได้กําไรมาอีกห้ามินา’ “เจ้านายตรัสตอบว่า ‘ให้เจ้าดูแลห้าเมือง’ “จากนั้นคนรับใช้อีกคนมาทูลว่า ‘ข้าแต่ฝ่าพระบาท นี่คือเงินหนึ่งมินาของพระองค์ ข้า 11
12
13
14
15
16 17
18
19 20
142 | ลูกา 19:1
พระบาทได้เอาผ้าห่อเก็บไว้ ข้าพระบาทกลัวฝ่าพระบาท เพราะฝ่าพระบาทเป็นคนไร้ความปรานี ยึดเอาสิ่งที่ไม่ได้ให้ไว้ และเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ได้หว่าน’ “เจ้านายตรัสตอบว่า ‘เจ้าคนรับใช้ชั่วช้า! เราจะตัดสินโทษเจ้าจากคําพูดของเจ้าเอง เจ้ารู้ใช่ ไหมว่าเราเป็นคนไร้ความปรานี ยึดเอาสิ่งที่ไม่ได้ให้ไว้และเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ได้หว่าน? ก็แล้วทําไม ไม่นําเงินไปฝากไว้ เพื่อว่าเมื่อเรากลับมาจะได้รับเงินคืนพร้อมดอกเบี้ย?’ “แล้วเขาก็สั่งคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่า ‘จงเอาเงินมินานั้นไปจากเขาและมอบให้แก่คนที่มีสิบมินา’ “พวกเขาทูลว่า ‘ข้าแต่ฝ่าพระบาท คนนั้นมีอยู่ตั้งสิบมินาแล้ว!’ “เขาตอบว่า ‘เราบอกพวกเจ้าว่า ทุกคนที่มีจะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่มี แม้ที่เขามีอยู่ก็จะถูก ยึดไป สําหรับเหล่าศัตรูที่ไม่ต้องการให้เราเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเขานั้น จงนําตัวมาที่นี่และฆ่า ต่อหน้าเรา’ ” 21
22
23
24 25 26
27
เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต
หลังจากพระเยซูตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็เสด็จนําหน้าขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม เมื่อเสด็จมาใกล้ หมู่บ้านเบธฟายีและเบธานีบนภูเขามะกอกเทศ พระองค์ทรงส่งสาวกสองคนไป พร้อมตรัสสั่งว่า “จงไปที่หมู่บ้านข้างหน้านั่น เมื่อเข้าไปท่านจะพบลูกลาซึ่งยังไม่เคยมีใครขึ้นขี่เลยตัวหนึ่งผูกอยู่ จงแก้เชือก จูงมาที่นี่ หากใครถามท่านว่า ‘ปล่อยลูกลาทําไม?’ จงบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ต้องการลูกลานี้’ ” ทั้งสองก็ไปและพบตามที่พระองค์ทรงบอกพวกเขาไว้ ขณะที่เขากําลังแก้เชือกที่ผูกลูกลา เจ้าของก็ถามว่า “ปล่อยลูกลาทําไม?” พวกเขาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องการลูกลานี้” ทั้งสองนําลูกลามาให้พระเยซู เขาเอาเสื้อคลุมของตนปูบนหลังลาให้พระเยซูประทับ ขณะ พระเยซูเสด็จไป ประชาชนก็เอาเสื้อคลุมของตนปูลงบนทาง เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ที่ซึ่งเป็นทางลงจากภูเขามะกอกเทศ เหล่าสาวกกลุ่มใหญ่ต่างพากัน สรรเสริญพระเจ้าเสียงดังด้วยความชื่นชมยินดีในการอัศจรรย์ทั้งสิ้นที่พวกเขาได้เห็นว่า “สรรเสริญกษัตริย์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า!” “ขอจงมีสันติสุขในสวรรค์ และพระเกียรติสิริในที่สูงสุด!” ฝ่ายฟาริสีบางคนในฝูงชนทูลพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ จงห้ามสาวกของท่าน!” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราบอกท่านว่า ถ้าพวกเขานิ่งเสีย ก้อนหินทั้งหลายก็จะเปล่งเสียงร้อง” เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้และเห็นกรุงเยรูซาเล็ม ก็ทรงร้องไห้สงสารกรุงนั้น และตรัสว่า “ถ้า เพียงแต่เจ้าได้รู้ในวันนี้ว่าอะไรจะนําสันติสุขมาสู่เจ้า แต่บัดนี้สิ่งนั้นถูกซ่อนจากสายตาของเจ้าแล้ว วาระนั้นจะมาถึง เมื่อศัตรูของเจ้าก่อเชิงเทินโจมตีและล้อมเจ้าไว้ทุกด้าน พวกเขาจะเหวี่ยงเจ้า ลงกับพื้น ทั้งเจ้ากับลูกหลานภายในกําแพงของเจ้า เขาจะไม่ปล่อยให้ศิลาเหลือซ้อนทับกันสักก้อน เพราะเจ้าไม่ได้ตระหนักถึงเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาหาเจ้า” 28
29
30
31
32
33
34 35
36
37
38
39 40 41
42
43
44
พระเยซูที่พระวิหาร
จากนั้นพระองค์ทรงเข้าสู่บริเวณพระวิหารและเริ่มขับไล่บรรดาผู้ที่กําลังค้าขายอยู่ออกไป พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “มีคําเขียนไว้ว่า ‘นิเวศของเราจะได้ชื่อว่านิเวศแห่งการอธิษฐาน’ แต่พวกเจ้ามาทําให้กลายเป็น ‘ซ่องโจร’” พระองค์ทรงสั่งสอนที่พระวิหารทุกวัน ฝ่ายพวก หัวหน้าปุโรหิต เหล่าธรรมาจารย์ และผู้นําในหมู่ประชาชน พยายามหาทางจะฆ่าพระองค์ แต่เขา ไม่พบช่องทางที่จะลงมือ เพราะประชาชนทั้งปวงสนใจฟังพระดํารัสของพระองค์อย่างมาก 45 46
47
48
ลูกา 19:48 | 143
ปัญหาเรื่องสิทธิอํานาจของพระเยซู
่งขณะพระเยซูทรงสอนประชาชนอยู่ในลานพระวิหารและประกาศข่าวประเสริฐ พวก 20 หัวันวหนึ หน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และผู้อาวุโสมาหาพระองค์ และทูลว่า “จงบอกเราว่าท่านทํา 2
สิ่งเหล่านี้โดยอาศัยสิทธิอํานาจใด? ใครให้สิทธิอํานาจนี้แก่ท่าน?” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะถามท่านสักข้อเช่นกัน จงบอกเราว่า บัพติศมาของยอห์นมาจาก สวรรค์หรือจากมนุษย์?” พวกเขาหารือกันว่า “ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาก็จะถามว่า ‘ทําไมท่านไม่เชื่อยอห์น?’ แต่ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ ประชาชนทั้งปวงก็จะเอาหินขว้างเรา เพราะพวกเขาเชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ” ดังนั้นพวกเขาจึงทูลตอบว่า “เราไม่ทราบว่ามาจากไหน” พระเยซูตรัสว่า “เราก็จะไม่บอกพวกท่านเช่นกันว่าเราอาศัยสิทธิอํานาจใดที่ทําสิ่งเหล่านี้” 3
4
5
6
7 8
คําอุปมาเรื่องผู้เช่าสวน
แล้วพระองค์ตรัสคําอุปมาให้ประชาชนฟังว่า “ชายคนหนึ่งทําสวนองุ่นให้ชาวสวนเช่า แล้วจาก ไปต่างแดนเสียนาน เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว เขาก็ส่งคนรับใช้ไปหาผู้เช่าเพื่อรับส่วนแบ่งของผลผลิต จากสวนองุ่น แต่พวกผู้เช่าทุบตีและไล่คนรับใช้นั้นกลับมามือเปล่า เขาส่งคนรับใช้อีกคนไป พวก เขาก็ทุบตีคนรับใช้นั้น ทําให้อับอายขายหน้า และไล่กลับมามือเปล่าอีก เขายังส่งคนที่สามไปอีก พวกนั้นก็ทําร้ายคนรับใช้นั้นและโยนออกมา “แล้วเจ้าของสวนองุ่นจึงกล่าวว่า ‘เราจะทําอย่างไรดี? เราจะส่งบุตรชายที่รักของเราไป บางที พวกนั้นจะเคารพเขา’ “แต่เมื่อผู้เช่าเห็นบุตรชายของเจ้าของสวนก็ปรึกษากันว่า ‘นี่ไงทายาท ให้เราฆ่าเขา แล้วมรดก จะตกเป็นของเรา’ ดังนั้นพวกเขาจึงจับบุตรชายเจ้าของสวนโยนออกมานอกสวนองุ่นแล้วฆ่า “แล้วเจ้าของสวนจะทําอย่างไรกับคนพวกนั้น? เขาย่อมจะมาฆ่าพวกผู้เช่าเหล่านั้น และให้คน อื่นเช่าสวนองุ่นนี้” เมื่อประชาชนได้ยินดังนี้ก็ทูลว่า “ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย!” พระเยซูทอดพระเนตรตรงไปที่พวกเขาและตรัสว่า “ก็แล้วที่เขียนไว้นั้นหมายความว่าอย่างไร? ที่ว่า “ ‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก’ ทุกคนที่ตกทับศิลานั้นจะแหลกเป็นชิ้นๆ แต่ศิลานี้ตกทับผู้ใด ผู้นั้นจะแหลกลาญ” พวกธรรมาจารย์และพวกหัวหน้าปุโรหิตหาทางจะจับกุมพระองค์ทันที เพราะรู้ว่าพระองค์ตรัส คําอุปมานี้ว่าพวกตน แต่พวกเขากลัวประชาชน 9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
การเสียภาษีแก่ซีซาร์
พวกเขาจับตาดูพระองค์อย่างใกล้ชิดโดยส่งคนสอดแนมซึ่งแสร้งทําเป็นคนซื่อตรงมา หวัง จะจับผิดถ้อยคําของพระเยซู จะได้มอบพระองค์ไว้ในอํานาจและการพิพากษาของผู้ว่าการ คน สอดแนมนั้นจึงมาทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เรารู้ว่าท่านพูดและสอนสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เข้า ข้างใคร แต่สอนทางของพระเจ้าตามความจริง เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่เราจะเสียภาษีให้แก่ ซีซาร์?” พระเยซูทรงรู้ทันอุบายของพวกเขา จึงตรัสว่า “ไหนเอาเงินหนึ่งเหรียญเดนาริอันมาให้เราดูซิ รูปและคําจารึกบนเหรียญเป็นของใคร?” พวกเขาทูลว่า “ของซีซาร์” พระองค์จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์จงให้แก่ซีซาร์ และของของ พระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า” พวกเขาไม่สามารถจับผิดสิ่งที่พระองค์ตรัสต่อสาธารณชนได้ และต้องนิ่งอึ้งเพราะประหลาดใจ ในคําตอบของพระองค์ 20
21
22
23
25
26
144 | ลูกา 20:1
24
เรื่องการเป็นขึ้นจากตายและการแต่งงาน
บางคนในพวกสะดูสีซึ่งกล่าวว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากตาย มาทูลถามพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ โมเสสเขียนสั่งพวกเราไว้ว่า ถ้าชายใดเสียชีวิตไปโดยไม่มีบุตร พี่ชายหรือน้องชายของเขาต้อง แต่งงานกับภรรยาม่ายเพื่อจะมีบุตรสืบสกุลให้ผู้นั้น คราวนี้มีพี่น้องเจ็ดคน พี่คนโตแต่งงานแล้ว ตายไปโดยไม่มีบุตร คนที่สอง และจากนั้นคนที่สามได้รับนางมาเป็นภรรยา และเป็นอย่างนั้น ถัดมาเรื่อยๆ จนถึงคนที่เจ็ด ทั้งหมดล้วนตายโดยไม่มีบุตร ในที่สุดหญิงนั้นก็ตายด้วย แล้วเมื่อ เป็นขึ้นจากตาย หญิงนี้จะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้งเจ็ดคนล้วนได้นางเป็นภรรยา?” พระเยซูทรงตอบว่า “คนยุคนี้แต่งงาน ยกให้เป็นสามีภรรยากัน แต่ผู้ที่สมควรมีส่วนในยุคนั้น และในการเป็นขึ้นจากตาย จะไม่แต่งงานหรือยกให้เป็นสามีภรรยากัน และพวกเขาจะไม่ตายอีก เลย เพราะจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ พวกเขาเป็นบุตรของพระเจ้าเนื่องจากเป็นบุตรแห่งการเป็น ขึ้นจากตาย แต่ในเรื่องพุ่มไม้นั้น แม้กระทั่งโมเสสยังแสดงให้เห็นว่าคนตายเป็นขึ้นมาใหม่ เพราะ เขาเรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ‘พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’ พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น เพราะสําหรับพระองค์แล้ว คนทั้ง ปวงเป็นอยู่” ธรรมาจารย์บางคนทูลว่า “ท่านอาจารย์ ท่านพูดดีแล้ว!” และไม่มีใครกล้าทูลถามพระองค์ อีก 27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
พระคริสต์เป็นบุตรของใคร
จากนั้นพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาบอกว่าพระคริสต์เป็นบุตรของ ดาวิด? ดาวิดเองได้ประกาศไว้ในพระธรรมสดุดีว่า “ ‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ของข้าพเจ้าว่า “จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะทําให้ศัตรูของเจ้า เป็นแท่นวางเท้าของเจ้า” ’ ในเมื่อดาวิดเรียกพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แล้วพระองค์จะเป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร?” ขณะประชาชนทั้งปวงกําลังฟังอยู่ พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงระวังพวก ธรรมาจารย์ พวกเขาชอบใส่เสื้อชุดยาวเดินไปมา ชอบให้ผู้คนมาคํานับทักทายในย่านตลาด ชอบ นั่งในที่ที่สําคัญที่สุดในธรรมศาลาและที่อันทรงเกียรติในงานเลี้ยง เขาริบบ้านของหญิงม่าย และ แสร้งอธิษฐานยืดยาวให้คนเห็น คนเช่นนี้จะถูกลงโทษอย่างหนักที่สุด” 41
42
43
44
45
46
47
เงินถวายของหญิงม่าย
่อพระเยซูทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมอง ทรงเห็นพวกคนรวยเอาเงินใส่ที่รับเงินถวายของ 21 เมืพระวิ หาร และพระองค์ยังทรงเห็นหญิงม่ายยากจนคนหนึ่งหย่อนเหรียญทองแดงเล็กๆ 2
สองเหรียญถวายด้วย พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าหญิงม่ายยากจนคนนี้ถวาย มากกว่าคนอื่นๆ ทั้งหมด เพราะคนเหล่านั้นล้วนเอาส่วนเล็กน้อยจากความมั่งคั่งของเขามาถวาย แต่หญิงม่ายนี้ทั้งที่ยากจนยังเอาทั้งหมดที่นางมีไว้เลี้ยงชีพมาถวาย” 3
4
หมายสําคัญแห่งวาระสิ้นยุค
บางคนในหมู่สาวกของพระองค์ตั้งข้อสังเกตถึงการที่พระวิหารประดับประดาด้วยศิลางดงาม และของถวายต่างๆ ที่อุทิศแด่พระเจ้า แต่พระเยซูตรัสว่า “สิ่งต่างๆ ที่ท่านเห็นอยู่นี้ สักวันหนึ่งจะ ไม่เหลือศิลาซ้อนทับกันสักก้อนเดียว ทุกก้อนจะถูกโยนทิ้งลงมาหมด” พวกเขาทูลถามว่า “พระอาจารย์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด? และอะไรเป็นหมายสําคัญว่าสิ่ง เหล่านี้กําลังจะเกิดขึ้น?” พระองค์ตรัสว่า “จงระวัง เพื่อท่านจะไม่ถูกล่อลวง เพราะหลายคนจะมาในนามของเรา อ้างตัว 5
6
7
8
ลูกา 21:8 | 145
ว่า ‘เราคือผู้นั้น’ และอ้างว่า ‘วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว’ อย่าไปตามคนพวกนี้ เมื่อท่านได้ยินข่าว สู้รบและการปฏิวัติ อย่าตื่นตกใจ สิ่งเหล่านั้นต้องเกิดขึ้นก่อน แต่วาระสุดท้ายยังไม่มาในทันที” แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ประชาชาติต่อประชาชาติ อาณาจักรต่ออาณาจักรจะสู้รบ กัน จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่หลายครั้ง การกันดารอาหารและโรคระบาดในที่ต่างๆ ตลอดจน เหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวและหมายสําคัญยิ่งใหญ่จากฟ้าสวรรค์ “แต่ก่อนเหตุการณ์ทั้งปวงนี้ พวกเขาจะจับกุมท่านและข่มเหงท่าน เขาจะส่งตัวท่านไปยัง ธรรมศาลาและคุกตะราง ท่านจะถูกคุมตัวไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ ไปพบผูว้ า่ การ และทัง้ หมดนีเ้ ป็นเพราะ นามของเรา การนี้จะส่งผลให้ท่านได้เป็นพยานแก่พวกนั้น แต่ท่านจงตัดสินใจที่จะไม่กังวลไป ก่อนว่าจะพูดแก้ต่างให้ตนเองอย่างไร เพราะเราจะให้ถ้อยคําและสติปัญญาแก่ท่าน อย่างที่เหล่า ปฏิปักษ์ของท่านไม่สามารถต่อต้านหรือโต้แย้งได้เลย แม้กระทั่งพ่อแม่ พี่น้อง ญาติมิตรของท่าน ก็จะทรยศท่านด้วย และพวกท่านบางคนจะถูกฆ่า คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะเรา แต่ผม บนศีรษะของท่านสักเส้นเดียวก็จะไม่พินาศ โดยการยืนหยัดอย่างมั่นคง ท่านจะได้รับชีวิต “เมือ่ ท่านเห็นกองทัพต่างๆ ล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ท่านก็จะรูว้ า่ หายนะของกรุงนัน้ ใกล้เข้ามาแล้ว เมือ่ นัน้ ให้ผทู้ อ่ี ยูใ่ นยูเดียหนีไปทีภ่ เู ขา ให้ผทู้ อ่ี ยูใ่ นกรุงออกไป และผูท้ อ่ี ยูใ่ นชนบทอย่าเข้ามาในกรุง เพราะนีเ่ ป็นวาระแห่งการลงโทษ เพือ่ ให้สง่ิ ทัง้ ปวงสําเร็จตามทีม่ เี ขียนไว้ วันเหล่านัน้ น่าหวาด กลัวยิง่ นักสําหรับหญิงมีครรภ์และแม่ลกู อ่อน! จะเกิดทุกข์เข็ญครัง้ ใหญ่ในแผ่นดินและจะมีพระพิโรธ ต่อชนชาติน้ี เขาทัง้ หลายจะล้มตายด้วยคมดาบ จะถูกจับกุมเป็นนักโทษ และถูกนําตัวไปยัง ประชาชาติทง้ั ปวง คนต่างชาติจะเหยียบย่าํ กรุงเยรูซาเล็ม จนครบวาระกําหนดของคนต่างชาติ “จะมีหมายสําคัญที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลาย ในโลกนี้ประชาชาติต่างๆ จะ ตกอยู่ในความทุกข์ทรมานและความฉงนสนเท่ห์ที่เกิดเสียงกึกก้องและเกิดความปั่นป่วนในท้อง ทะเล ผู้คนจะสลบไสลเพราะความสยองขวัญและหวาดหวั่นเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลก เพราะ สิ่งต่างๆ ในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน วาระนั้นเขาทั้งหลายจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆ ด้วยฤทธิ์อํานาจและพระเกียรติสิริอันยิ่งใหญ่ เมื่อสิ่งเหล่านี้เริ่มขึ้น จงยืนขึ้นและเชิดศีรษะขึ้น เพราะท่านใกล้จะได้รับการไถ่แล้ว” พระองค์ตรัสคําอุปมานี้ให้เขาฟังว่า “จงมองดูต้นมะเดื่อและต้นไม้ทั้งปวงเถิด เมื่อมันผลิใบ ท่านก็เห็นและรู้ด้วยตนเองว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว เช่นเดียวกัน เมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ท่านก็รู้ว่าอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า คนยุคนี้ยังไม่ทันล่วงลับไป สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ก็เกิดขึ้นแล้วอย่าง แน่นอน ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป แต่ถ้อยคําของเราไม่มีวันสูญสิ้น “จงระวังให้ดี มิฉะนัน้ ใจของท่านจะจมอยูก่ บั ความสนุกบันเทิงฝ่ายโลก การเมามาย และความ วิตกกังวลต่างๆ ในชีวติ และวาระนัน้ จะมาถึงตัวท่านอย่างไม่คาดคิดเหมือนกับดัก เพราะวันนัน้ จะมาถึงคนทัง้ ปวงทีใ่ ช้ชวี ติ อยูบ่ นพืน้ โลก จงเฝ้าระวังอยูเ่ สมอและอธิษฐาน เพือ่ ท่านจะสามารถ รอดพ้นจากสิง่ ทัง้ ปวงทีก่ าํ ลังจะเกิดขึน้ และเพือ่ ท่านจะสามารถยืนอยูต่ อ่ หน้าบุตรมนุษย์ได้” พระเยซูทรงสอนที่พระวิหารทุกวัน และทุกค่ําคืนก็เสด็จไปประทับแรมที่ภูเขามะกอกเทศ คนทั้งปวงจะมาที่พระวิหารตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อฟังพระองค์ 9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21 22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
ยูดาสตกลงใจจะทรยศพระเยซู
บัดนี้ใกล้จะถึงเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อที่เรียกว่าปัสกาแล้ว พวกหัวหน้าปุโรหิตกับ 22 ธรรมาจารย์ กาํ ลังหาช่องทางทีจ่ ะกําจัดพระเยซูเพราะพวกเขากลัวประชาชน แล้วซาตานเข้า 2
3
ดลใจยูดาสที่เรียกว่าอิสคาริโอท หนึ่งในสาวกสิบสองคน และยูดาสจึงได้ไปพบกับพวกหัวหน้า ปุโรหิตและหัวหน้ากองยามพระวิหาร และหารือกันว่าเขาจะมอบพระเยซูให้พวกนั้นได้อย่างไร พวกนั้นดีใจและตกลงจะให้เงินเขา ยูดาสจึงเห็นชอบและจ้องหาโอกาสที่จะมอบพระองค์ให้พวก เขาเมื่อปลอดคน 4
5
146 | ลูกา 21:9
6
อาหารเย็นมื้อสุดท้าย
เมื่อถึงวันเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อซึ่งจะต้องถวายแกะปัสกา พระเยซูทรงสั่งเปโตรกับยอห์นว่า “จงไปจัดเตรียมปัสกาสําหรับพวกเรา” พวกเขาทูลถามว่า “พระองค์ทรงประสงค์ให้จัดเตรียมปัสกาถวายที่ไหน?” พระองค์ตรัสตอบว่า “เมื่อท่านเข้าไปในเมือง จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ํามาพบท่าน จงตาม คนนั้นไปในบ้านที่เขาเข้าไป และกล่าวแก่เจ้าของบ้านว่า ‘พระอาจารย์ตรัสถามว่าห้องรับรอง แขกที่เราจะรับประทานปัสการ่วมกับเหล่าสาวกของเราอยู่ที่ไหน?’ เขาจะให้ดูห้องใหญ่ชั้นบนซึ่ง ตกแต่งเตรียมไว้เรียบร้อย จงเตรียมปัสกาที่นั่น” ทั้งสองก็ไปและได้พบสิ่งต่างๆ ตามที่พระเยซูตรัสไว้ พวกเขาจึงเตรียมปัสกา เมือ่ ถึงเวลา พระเยซูกบั เหล่าอัครทูตก็นง่ั ลงรับประทานทีโ่ ต๊ะ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เรา ปรารถนาเป็นอย่างยิง่ ทีจ่ ะรับประทานปัสกานีร้ ว่ มกับพวกท่านก่อนทีเ่ ราจะทนทุกข์ เพราะเราบอก ท่านว่า เราจะไม่รบั ประทานปัสกานีอ้ กี จนกว่าปัสกานีส้ าํ เร็จครบถ้วนในอาณาจักรของพระเจ้า” พระองค์ทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วตรัสว่า “จงรับถ้วยนี้แบ่งกันดื่ม เพราะเรา บอกท่านว่า เราจะไม่ดื่มน้ําจากผลองุ่นอีกจนกว่าอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง” และพระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักส่งให้พวกเขาและตรัสว่า “นี่คือ กายของเราซึ่งให้แก่ท่าน จงทําเช่นนี้เป็นการระลึกถึงเรา” หลังจากรับประทานแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยและกระทําอย่างเดียวกัน แล้วตรัสว่า “ถ้วย นี้คือพันธสัญญาใหม่ด้วยโลหิตของเราซึ่งหลั่งรินออกเพื่อท่าน แต่มือของผู้ที่จะทรยศเราก็อยู่บน โต๊ะนี้ด้วยกันกับเรา บุตรมนุษย์จะไปตามที่กําหนดไว้ แต่วิบัติแก่ผู้ที่ทรยศต่อบุตรมนุษย์” เหล่า สาวกจึงเริ่มถามกันเองว่าใครในพวกเขาที่จะทําเช่นนั้น ทั้งมีการโต้เถียงกันในหมู่พวกเขาด้วยว่าใครที่นับว่าเป็นใหญ่ที่สุด พระเยซูตรัสกับพวกเขา ว่า “กษัตริย์ของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเป็นนายเขา และผู้ที่ใช้อํานาจเหนือเขาเรียกตนเองว่าเจ้า บุญนายคุณ แต่พวกท่านไม่ควรเป็นเช่นนั้น ตรงกันข้าม ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พวกท่านควรเป็น เหมือนผู้เยาว์ที่สุด และผู้ที่ปกครองเสมือนเป็นผู้รับใช้ เพราะคนที่นั่งโต๊ะกับคนที่คอยรับใช้ ใคร ยิ่งใหญ่กว่ากัน? คนที่นั่งโต๊ะไม่ใช่หรือ? แต่เราอยู่ท่ามกลางพวกท่านเหมือนคนรับใช้ พวกท่านคือ ผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างเราในยามที่เราเผชิญการทดลอง และเรายกอาณาจักรหนึ่งให้แก่ท่าน เหมือน ที่พระบิดาทรงยกอาณาจักรหนึ่งให้เรา เพื่อท่านจะร่วมกินและดื่มที่โต๊ะของเราในอาณาจักรของ เรา และนั่งบนบัลลังก์ตัดสินชนอิสราเอลสิบสองเผ่า “ซีโมน ซีโมนเอ๋ย ซาตานได้ขอไว้ที่จะฝัดร่อนท่านเหมือนข้าวสาลี แต่ซีโมนเอ๋ย เราได้ 7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
ลูกา 22:13–20 ใหทุกคนนอนราบกับพื้นแลวหลับตาลง คนนําจะเลนเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด จากกลองใสเครื่องดนตรี หลังจากนั้นใหนอง ๆ บอกชื่อเครื่องดนตรีที่ถูกเลนทั้งหมด เทาที่จะจําได ดูซิวานอง ๆ จะสามารถจําชื่อเครื่องดนตรีทั้งหมดไดถูกตองตามลําดับ ที่ถูกเลนหรือเปลา? เรื่องราวของการตรึงกางเขนเปนเรื่องที่นาเศรามาก แตพระเยซู ตองการใหเราจดจํามัน เพราะมันบอกเราวาพระองคทรงรักเรามากแคไหน เราจะระลึกถึงเรื่องราวที่วานี้ เมื่อเราเฉลิมฉลองพิธีศีลมหาสนิท ลูกา 22:32 | 147
อธิษฐานเผื่อท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ล้มเหลว และเมื่อท่านหันกลับมาแล้ว จงช่วยให้พี่ น้องของท่านเข้มแข็งขึ้น” แต่เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์พร้อมที่จะไปกับพระองค์ ไม่ว่าจะไปติดคุก หรือไปตาย” พระเยซูตรัสตอบว่า “เปโตรเอ๋ย เราบอกท่านว่าวันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักเราถึง สามครั้ง” จากนั้นพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “เมื่อครั้งที่เราส่งท่านไปโดยไม่มีถุงเงิน ย่าม หรือรองเท้า ท่านขาดสิ่งใดหรือไม่?” พวกเขาทูลว่า “ไม่ขาดสิ่งใดเลย” พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “แต่ตอนนี้ถ้าท่านมีถุงเงิน จงเอาไป พร้อมทั้งย่ามด้วย และถ้า ท่านไม่มีดาบ จงขายเสื้อคลุมไปซื้อดาบมา มีคําเขียนไว้ว่า ‘และเขาถูกนับเป็นพวกเดียวกับคน ล่วงละเมิด’ เราบอกท่านว่าข้อความนี้จะต้องเป็นจริงกับตัวเรา ถูกแล้ว สิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรา กําลังจะสําเร็จ” เหล่าสาวกทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ดูเถิด นี่มีดาบสองเล่ม” พระองค์ตรัสตอบว่า “พอแล้ว” 33
34
35
36
37
38
พระเยซูทรงอธิษฐานบนภูเขามะกอกเทศ
พระเยซูเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศเช่นเคยและเหล่าสาวกก็ตามพระองค์ไป เมื่อมาถึงที่นั่น พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ตกเข้าไปอยู่ในการทดลอง” แล้วทรง เลี่ยงห่างจากเขาออกไปประมาณระยะขว้างหินตก ทรงคุกเข่าลงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดา ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอทรงเอาถ้วยนี้ไปจากข้าพระองค์ อย่างไรก็ตามอย่าให้เป็นไปตามใจของ ข้าพระองค์ แต่ขอให้สําเร็จดังพระประสงค์ของพระองค์” ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาปรากฏ และ ช่วยให้พระองค์มีกําลังขึ้น พระเยซูทรงเป็นทุกข์ยิ่งนัก พระองค์ทรงอธิษฐานอย่างจริงจังยิ่งขึ้น และเหงื่อเหมือนเลือดหยดลงที่พื้น เมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นจากการอธิษฐานและกลับมาหาพวกสาวก พระองค์ทรงพบว่าพวกเขา นอนหลับกันอยู่ ต่างสิ้นแรงเพราะความโศกเศร้า พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ทําไมพวกท่าน ยังหลับอยู่? จงลุกขึ้นอธิษฐานเถิด เพื่อท่านจะไม่ตกอยู่ในการทดลอง” 39
40
41
42
43
44
45
46
พระเยซูทรงถูกจับกุม
พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคํา มีฝูงชนกลุ่มหนึ่งเข้ามา นําโดยยูดาสหนึ่งในสาวกสิบสองคน ยูดาสเข้ามาใกล้พระเยซูเพื่อจูบพระองค์ แต่พระเยซูตรัสถามเขาว่า “ยูดาส ท่านกําลังจะทรยศ บุตรมนุษย์ด้วยการจูบหรือ?” เมื่อบรรดาผู้ติดตามพระเยซูเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า เราเอาดาบฟัน เลยดีไหม?” แล้วสาวกคนหนึ่งฟันหูขวาของคนรับใช้ของมหาปุโรหิตขาด แต่พระเยซูตรัสตอบว่า “พอแล้ว!” และทรงแตะต้องหูของคนนั้นและทรงรักษาเขาให้หาย แล้วพระเยซูตรัสกับพวกหัวหน้าปุโรหิต เจ้าหน้าที่ดูแลพระวิหาร และพวกผู้อาวุโสที่มานั้นว่า “เราก่อการกบฏหรือท่านถึงได้ถือดาบถือกระบองมา? เราอยู่กับพวกท่านในลานพระวิหารทุก วันและท่านก็ไม่ได้จับกุมเรา แต่นี่เป็นเวลาของท่าน คือเมื่อความมืดครองอํานาจ” 47
48
49
50
51 52
53
เปโตรปฏิเสธพระเยซู
พวกเขาจับพระเยซูแล้วคุมตัวมาที่บ้านของมหาปุโรหิต เปโตรตามมาห่างๆ แต่เมื่อเขาก่อไฟ ที่กลางลานบ้านและนั่งลงด้วยกัน เปโตรก็นั่งกับพวกเขา สาวใช้คนหนึ่งเห็นเปโตรนั่งอยู่ในแสง ไฟก็จ้องมองเขาและพูดว่า “ชายคนนี้ก็อยู่กับเขาด้วย” แต่เปโตรปฏิเสธว่า “หญิงเอ๋ย ข้าไม่รู้จักเขา” สักครู่หนึ่ง มีอีกคนเห็นเปโตรก็พูดว่า “เจ้าก็เป็นคนหนึ่งในพวกนั้นด้วย” 54
55
56
57 58
148 | ลูกา 22:33
เปโตรปฏิเสธว่า “ท่านเอ๋ย ข้าไม่ได้เป็น!” ประมาณอีกชั่วโมงหนึ่ง มีอีกคนยืนยันว่า “คนนี้อยู่กับเขาแน่ๆ เพราะเป็นชาวกาลิลี” เปโตรตอบว่า “ท่านเอ๋ย ข้าไม่รู้ว่าท่านกําลังพูดอะไร!” เปโตรพูดยังไม่ทันขาดคําไก่ก็ขัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหันมามองตรงไปที่เปโตร เขาจึงนึกถึงคําที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับเขา ไว้ว่า “วันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” เขาจึงออกไปข้างนอกและร้องไห้อย่างขมขื่น 59 60
61
62
ยามพระวิหารเยาะเย้ยพระเยซู
บรรดาผู้ที่คุมตัวพระเยซูเริ่มเยาะเย้ยและทุบตีพระองค์ พวกเขาเอาผ้าปิดพระเนตรและว่า “ทํานายสิ! ใครตีเจ้า?” และพวกเขาพูดลบหลู่พระองค์ต่างๆ นานา 63
64
65
พระเยซูต่อหน้าปีลาตและเฮโรด
พอรุง่ เช้าสภาของเหล่าผูอ้ าวุโสในหมูป่ ระชาชนรวมทัง้ พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ มาประชุมกัน พระเยซูถูกนําตัวมาต่อหน้าที่ประชุม พวกเขาพูดว่า “ถ้าท่านคือพระคริสต์ ก็จง บอกเรามา” พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าเราบอกท่าน ท่านก็จะไม่เชื่อเรา และถ้าเราถามท่าน ท่านก็จะไม่ ตอบ แต่นับจากนี้ไป บุตรมนุษย์จะนั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์” แล้วทั้งสภาก็ถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านคือบุตรของพระเจ้าหรือ?” พระองค์ตรัสว่า “ท่านพูดถูกแล้วว่าเราเป็น” แล้วพวกเขาจึงว่า “เราจะต้องการพยานอื่นอีกทําไม? เราได้ยินสิ่งนี้จากปากของเขาเองแล้ว” ้นที่ประชุมทั้งหมดจึงลุกขึ้น นําพระองค์มาพบปีลาต และฟ้องว่า “เราพบว่าชายผู้นี้ 23 ยุจากนั ยงคนในชาติของเรา เขาคัดค้าน การเสียภาษีให้ซีซาร์และอ้างตัวเป็นพระคริสต์กษัตริย์ องค์หนึ่ง” ดังนั้นปีลาตจึงถามพระเยซูว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?” พระเยซูตรัสว่า “ใช่อย่างที่ท่านว่า” แล้วปีลาตจึงประกาศแก่พวกหัวหน้าปุโรหิตและฝูงชนว่า “เราไม่พบมูลเหตุใดๆ ว่าชายผู้นี้ทํา ผิดตามข้อกล่าวหา” แต่พวกนั้นยืนกรานว่า “เขาใช้คําสอนปลุกปั่นประชาชนทั่วแคว้นยูเดีย เริ่มตั้งแต่กาลิลีตลอด ทางมาจนถึงที่นี่” ปีลาตได้ฟังเช่นนั้นจึงถามว่าชายผู้นี้เป็นชาวกาลิลีหรือ เมื่อทราบว่าพระเยซูเป็นคนในท้องที่ ของเฮโรด เขาจึงส่งพระองค์ไปพบเฮโรด ซึ่งเวลานั้นอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มด้วย เมื่อเฮโรดเห็นพระเยซูก็ดีใจมาก เพราะอยากเห็นพระองค์มานานแล้ว จากที่ได้ยินมาเฮโรด หวังจะเห็นพระองค์ทําการอัศจรรย์บ้าง เฮโรดซักถามพระองค์หลายประการ แต่พระเยซูไม่ได้ ตรัสตอบเลย พวกหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์ยืนอยู่ที่นั่นและฟ้องร้องพระองค์อย่างเอาเป็น เอาตาย จากนั้นเฮโรดกับเหล่าทหารก็เยาะเย้ยดูหมิ่นพระองค์ เอาเสื้อชุดงามสง่ามาให้พระองค์ สวม แล้วส่งพระองค์กลับมาหาปีลาต ในวันนั้นเฮโรดกับปีลาตกลายเป็นมิตรกันทั้งที่ก่อนหน้านี้ พวกเขาเป็นศัตรูกัน ปีลาตเรียกพวกหัวหน้าปุโรหิต พวกผู้นํา และประชาชนมาพร้อมหน้ากัน แล้วกล่าวกับพวก เขาว่า “ท่านทั้งหลายนําตัวชายผู้นี้มาพบเราในฐานะผู้ยุยงประชาชนให้กบฏ เราได้ไต่สวนต่อหน้า พวกท่านแล้ว และไม่พบมูลเหตุใดๆ ว่าชายผู้นี้ผิดตามข้อกล่าวหาของพวกท่าน เฮโรดก็เช่นกัน เพราะเฮโรดส่งเขากลับมาหาเราดังที่ท่านเห็นอยู่ เขาไม่ได้ทําอะไรที่สมควรรับโทษถึงตาย ฉะนั้น เราจะลงโทษเขาและปล่อยเขาไป” พวกนั้นร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “กําจัดคนนี้เสีย! ปล่อยบารับบัสให้เรา!” (บารับบัสถูกจับ เข้าคุก ข้อหาก่อการจลาจลในกรุงเยรูซาเล็มและฆ่าคน) 66
67
68
69
70
71
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
ลูกา 23:19 | 149
ปีลาตอยากปล่อยพระเยซูจึงพูดโน้มน้าวพวกเขาอีก แต่พวกนั้นเฝ้าร้องตะโกนว่า “ตรึงเขาที่ ไม้กางเขน! ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!” ปีลาตกล่าวกับพวกเขาเป็นครั้งที่สามว่า “ทําไม? เขาทําผิดอะไร? เราไม่พบว่าเขาทําผิดอะไร ที่สมควรมีโทษถึงตาย ฉะนั้นเราจะลงโทษและปล่อยเขา” แต่พวกเขายังยืนกราน ตะโกนเรียกร้องเสียงดังให้ตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขน และเสียงตะโกน ของพวกเขาชนะ ดังนั้นปีลาตจึงตัดสินใจที่จะทําตามข้อเรียกร้องของพวกเขา เขาปล่อยคนที่ พวกเขาขอ คือนักโทษที่ก่อการกบฏและฆ่าคน แล้วมอบพระเยซูให้พวกเขาไปจัดการตามใจชอบ 20
21
22
23
24
25
การตรึงที่ไม้กางเขน
ขณะพวกเขานําพระเยซูออกไป เขาเกณฑ์ซีโมนจากไซรีนที่เดินทางมาจากชนบทให้แบกไม้ กางเขนตามหลังพระเยซู ผู้คนมากมายติดตามพระองค์มา รวมทั้งพวกผู้หญิงซึ่งร้องไห้คร่ําครวญ เสียงดังเพราะพระองค์ พระเยซูทรงหันมาตรัสกับพวกผู้หญิงนั้นว่า “ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่า ร้องไห้เพื่อเราเลย จงร้องไห้เพื่อตนเองและเพื่อลูกๆ ของตนเถิด เพราะวาระนั้นจะมาถึงเมื่อพวก ท่านจะกล่าวว่า ‘ความสุขมีแก่หญิงผู้เป็นหมัน แก่ครรภ์ที่ไม่ได้คลอด และอกที่ไม่ได้ให้นมลูก!’ เมื่อนั้น “ ‘เขาจะกล่าวแก่ภูเขาทั้งหลายว่า “ล้มมาทับเราเถิด!” และบอกเนินเขาทั้งหลายว่า “ปกคลุมเราไว้เถิด!” ’ เพราะถ้าเขายังทําอย่างนี้กับต้นไม้เขียวสด อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไม้แห้งเล่า?” มีอาชญากรอีกสองคนถูกนําตัวมาประหารพร้อมกับพระองค์ เมื่อมาถึงที่ซึ่งเรียกว่า หัว กะโหลก เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่ไม้กางเขนพร้อมกับอาชญากรสองคน คนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย อีกคน หนึ่งอยู่ข้างขวาของพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “พระบิดา ขอทรงยกโทษให้พวกเขา เพราะพวก เขาไม่รู้ว่ากําลังทําอะไร” และพวกเขาเอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน ประชาชนพากันยืนดูและพวกผู้นําพูดถากถางพระองค์ว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ถ้าเขา เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า เป็นผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้ก็ให้เขาช่วยตนเองให้รอดเถิด” พวกทหารก็มาเยาะเย้ยพระองค์ด้วย พวกเขาเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวส่งให้พระองค์ แล้วพูดว่า “ถ้าท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวก็จงช่วยตนเองให้รอดเถิด” เหนือพระองค์มีป้ายเขียนติดไว้ว่า “นี่คือกษัตริย์ของชาวยิว” อาชญากรคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่ที่นั่นพูดสบประมาทพระองค์ว่า “เจ้าเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? จงช่วยตนเองกับเราให้รอด!” แต่อีกคนตําหนิเขาว่า “เจ้าไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือในเมื่อเจ้าเองก็ต้องโทษสถานเดียวกัน? เราถูกลงโทษอย่างยุติธรรมเพราะเราได้รับสิ่งที่สมควรกับการกระทําของเราแล้ว แต่ท่านผู้นี้ไม่ ได้ทําอะไรผิด” แล้วเขาทูลว่า “พระเยซูเจ้าข้า ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเข้าสู่ราช อาณาจักรของพระองค์” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุข เกษม” 26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู
เวลานั้นประมาณเที่ยงวัน เกิดมืดมัวไปทั่วแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง เพราะดวงอาทิตย์ หยุดส่องแสงและม่านในพระวิหารขาดเป็นสองท่อน พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “พระบิดา ข้าพระองค์ขอมอบจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ตรัสดังนี้แล้วก็ สิ้นพระชนม์ นายร้อยได้เห็นเหตุการณ์ก็สรรเสริญพระเจ้าและกล่าวว่า “แน่ทีเดียว ท่านผู้นี้เป็นผู้ชอบ 44
45
46
47
150 | ลูกา 23:20
ธรรม” เมื่อคนทั้งปวงที่มาชุมนุมกันเพื่อเป็นพยานในเหตุการณ์นี้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ทุบตีอกด้วย ความเสียใจและจากไป แต่คนทั้งปวงที่รู้จักพระองค์ รวมทั้งพวกผู้หญิงที่ติดตามพระองค์มาจาก กาลิลี ยืนเฝ้าดูสิ่งเหล่านี้อยู่ห่างๆ 48
49
การฝังพระศพพระเยซู
มีชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ เป็นสมาชิกสภา เขาเป็นคนดีและเที่ยงธรรม ซึ่งไม่เห็นด้วยกับมติ และการกระทําของคนเหล่านั้น เขามาจากอาริมาเธียแคว้นยูเดีย และเขากําลังรอคอยอาณาจักร ของพระเจ้า โยเซฟไปพบปีลาตเพื่อขอพระศพของพระเยซู จากนั้นเขาเชิญพระศพลงมา เอา ผ้าลินินพัน และวางพระศพไว้ในอุโมงค์ซึ่งสกัดไว้ในศิลา และอุโมงค์ฝังศพนี้ยังไม่เคยวางศพของ ใครเลย วันนั้นเป็นวันเตรียม และวันสะบาโตกําลังจะเริ่มขึ้น พวกผู้หญิงจากกาลิลีที่มากับพระเยซูตามโยเซฟมาและได้เห็นอุโมงค์ ตลอดจนได้เห็นว่าเขา วางพระศพไว้ในอุโมงค์อย่างไร จากนั้นพวกเขาก็กลับบ้านไปเตรียมเครื่องหอมกับน้ํามันหอม แต่ พวกเขาหยุดพักในวันสะบาโตอันเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติ 50
51
52
53
54
55
56
การคืนพระชนม์
ลูกา 24
พวกผูห้ ญิงนําเครือ่ งหอม 24 เช้ทีเ่ าตรีมืดยวัมไว้นต้มนาทีสัปอ่ ดาห์ โุ มงค์ พวกนางพบว่าก้อนหิน 2
พระกิตติคุณทั้งหมดที่บอกเราเกี่ยว ถูกกลิง้ ออกจากปากอุโมงค์แล้ว แต่เมือ่ เข้าไป พวก กับการที่พระเยซูทรงฟื้นจากความ นางก็ไม่พบพระศพขององค์พระเยซูเจ้า ขณะทีก่ าํ ลัง ตาย เราสามารถอ่านได้ในลูกา แปลกใจในเรือ่ งนี้ ทันใดนัน้ ชายสองคนสวมเสือ้ ผ้าซึง่ 24:1–12, มัทธิว 28:1–10, ส่องประกายเหมือนฟ้าแลบมายืนอยูข่ า้ งๆ พวกเขา มาระโก 16:1–8, และยอห์น 20:1–10 พวกผูห้ ญิงน้อมกายซบหน้าลงกับพืน้ ด้วยความตกใจ ลูกาบอกเราว่าคนแรกที่ค้นพบว่า แต่ชายทัง้ สองพูดกับพวกนางว่า “เหตุใดพวกท่านมา มองหาคนเป็นในหมูค่ นตาย? พระองค์ไม่ได้ทรงอยูท่ น่ี ่ี พระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงเป็นขึน้ แล้ว! จงระลึกถึงสิง่ ทีพ่ ระองค์ทรง นั้นเป็นผู้หญิง และลูกายังบอกอีกว่า บอกพวกท่านไว้ขณะทีย่ งั อยูใ่ นแคว้นกาลิลที ว่ี า่ ‘บุตร ในวันเดียวกัน พระเยซูทรงปรากฏ มนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของคนบาป ถูกตรึงตายที่ กายให้ชายสองคนได้เห็น ในขณะ ไม้กางเขน และในวันทีส่ ามจะทรงให้เป็นขึน้ มาใหม่’ ” ที่กําลังเดินทางไปยังเมืองเอมมาอูส และหลังจากนั้นได้ทรงปรากฏกาย แล้วพวกเขาจึงระลึกถึงพระดํารัสของพระองค์ กับเหล่าสาวกทั้งหมดที่อยู่ในกรุง เมื่อพวกนางกลับมาจากอุโมงค์แล้วพวกนางก็เล่า เยรูซาเล็ม เรื่องทั้งหมดนี้ให้สาวกสิบเอ็ดคนและคนอื่นๆ ทั้งปวง ฟัง ผู้ที่เล่าเรื่องนี้ให้เหล่าอัครทูตฟังคือ มารีย์ชาว มักดาลา โยอันนา มารีย์มารดาของยากอบ และผู้หญิง คนอื่นๆ ที่อยู่กับพวกเขา แต่พวกเขาไม่เชื่อผู้หญิงเหล่านี้ เพราะฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ เปโตรลุกขึ้นวิ่งไปที่อุโมงค์แล้วก้มลงมอง เขาเห็นแต่แถบผ้าลินินกองอยู่ จึงกลับไปครุ่นคิดด้วย ความประหลาดใจในสิ่งที่เกิดขึ้น 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
บนเส้นทางไปเอมมาอูส
ในวันนั้นสาวกสองคนกําลังจะไปหมู่บ้านเอมมาอูสซึ่งห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 11 กิโลเมตร ทั้งสองสนทนากันเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะที่เขากําลังพูดคุยเรื่องต่างๆ กันอยู่นั้น พระเยซูเองได้เสด็จมาและทรงดําเนินไปกับพวกเขา แต่ทรงบันดาลให้ทั้งคู่จําพระองค์ไม่ได้ พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ระหว่างเดินมาตามทาง พวกท่านถกเถียงเรื่องอะไรกันอยู่ หรือ?” ทั้งสองยืนนิ่งหน้าตาโศกเศร้า คนหนึ่งชื่อเคลโอปัสทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นเพียง แขกเมืองมากรุงเยรูซาเล็มหรือ จึงไม่รู้เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่นั่นในช่วงนี้?” 13
14
15
16
17
18
ลูกา 24:18 | 151
ลูกา 24:13–33 ทําไมชายที่เดินทางจากเมืองเอมมาอูสจึงรีบร้อนที่จะไปให้ถึงกรุงเยรูซาเล็ม? น้อง ๆ คิดว่าพวกเขาใช้เวลาเดินทางนานแค่ไหน? ในข้อที่ 13 บอกเราว่าเมืองเอมมาอูสกับ กรุงเยรูซาเล็มอยู่ห่างกันมากเท่าไร ลองคํานวณดูซิว่าหากเขาวิ่ง 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พวกเขาจะใช้เวลานานเท่าไหร่ใน การเดินทาง น้อง ๆ คิดว่าพวกเขาสามารถรักษาความเร็วให้อยู่ในระดับนี้ตลอดการ เดินทางหรือไม่? “เรื่องอะไรหรือ?” พระองค์ตรัสถาม ทั้งสองจึงทูลว่า “เรื่องพระเยซูแห่งนาซาเร็ธ พระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะ ทรงฤทธิ์อํานาจ ในวาจาและการกระทําทั้งต่อหน้าพระเจ้า และต่อหน้าประชาชนทั้งปวง พวกหัวหน้าปุโรหิตกับ ผู้นําของเรามอบพระองค์ให้รับโทษประหาร พวกเขาตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขน แต่พวกเราหวังไว้ ว่าพระองค์คือผู้ที่จะมาไถ่ชนชาติอิสราเอล และยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นวันที่สามนับตั้งแต่เรื่องทั้งหมด นี้เกิดขึ้น นอกจากนั้นผู้หญิงบางคนในพวกเรายังทําให้เราประหลาดใจ คือเช้ามืดวันนี้พวกนาง ไปที่อุโมงค์ แต่ไม่พบพระศพของพระองค์ พวกนางกลับมาบอกเราว่าเห็นนิมิตมีทูตสวรรค์มา บอกว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ แล้วเพื่อนของเราบางคนไปที่อุโมงค์และได้พบเหมือนอย่างที่ พวกผู้หญิงบอกไว้แต่ไม่เห็นพระองค์” พระเยซูตรัสกับทั้งสองว่า “พวกท่านช่างเขลาจริงหนอ และจิตใจช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อสิ่งทั้ง ปวงซึ่งบรรดาผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้! พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยสิ่งเหล่านั้น แล้วเข้า สู่พระเกียรติสิริของพระองค์ไม่ใช่หรือ?” จากนั้นพระองค์ทรงอธิบายทุกอย่างที่กล่าวไว้ในพระ คัมภีร์เกี่ยวกับพระองค์เองให้เขาทั้งสองฟังตั้งแต่โมเสสตลอดจนผู้เผยพระวจนะทั้งปวง เมื่อเข้ามาใกล้หมู่บ้านที่เขาทั้งสองจะไปนั้น พระเยซูทรงทําทีว่าจะเลยไป แต่ทั้งคู่ทูล คะยั้นคะยอว่า “แวะอยู่กับเราก่อนเถิด เพราะใกล้ค่ําจวนจะหมดวันแล้ว” ดังนั้นพระองค์จึงทรง พักอยู่กับพวกเขา เมื่อพระองค์ทรงร่วมโต๊ะกับพวกเขา ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณพระเจ้าและหักส่งให้พวก เขา แล้วตาของพวกเขาก็สว่างและจําพระองค์ได้ แล้วพระองค์ทรงหายไปจากสายตาของพวก เขา พวกเขาจึงพูดกันว่า “ใจของเราเร่าร้อนอยู่ภายในไม่ใช่หรือขณะพระองค์ตรัสกับเรากลาง ทางและยกพระคัมภีร์มาอธิบายให้เราฟัง?” ทั้งสองลุกขึ้นกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มทันที พวกเขาพบสาวกสิบเอ็ดคนกับพวกชุมนุมกันอยู่ และกําลังพูดกันว่า “เป็นความจริง! องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นขึ้นแล้ว ทรงปรากฏแก่ซีโมน” ทั้งสองจึงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลางทางและที่พวกเขาจําพระเยซูได้เมื่อทรงหักขนมปัง 19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31 32
33
34 35
152 | ลูกา 24:19
ลูกา 24:46–53 พระเยซูเสด็จกลับสูสวรรค แตเหลาสาวกของพระองคก็ไมเศราอีกตอไป ทําไม? พวก เขามีความสุข เพราะพวกเขารูวาพระองคจะเสด็จกลับมาอีกครั้งในวันหนึ่ง พระองค ทรงมอบหมายงานใหกับพวกเขา ในขณะที่พวกเขารอคอยพระองคอยู ใหนอง ๆ เชิญ ชวนเพื่อน ๆ นําอาหารและเครื่องดื่มมา จากนั้นใหเฉลิมฉลองรวมกันถึงการที่พระเยซู ทรงกําลังจะเสด็จกลับมา และใหนอง ๆ พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่พระองคตองการใหเราทํา ในขณะที่เรากําลังรอคอยการกลับมาของพระองค พระเยซูทรงปรากฏแก่เหล่าสาวก
ขณะพวกเขากําลังพูดเรื่องนี้อยู่ พระเยซูเองทรงมายืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาและตรัสว่า “สันติสุขจงดํารงอยู่กับท่านทั้งหลาย” พวกเขาสะดุ้งตกใจกลัว คิดว่าเห็นผี พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เหตุใดพวกท่านจึงวุ่นวาย ใจ? ทําไมเกิดข้อสงสัยขึ้นในใจ? จงดูมือและเท้าของเรา นี่เราเอง! มาจับต้องเราดู ผีไม่มีเนื้อและ กระดูกอย่างที่ท่านเห็นอยู่ว่าเรามี” เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงให้พวกเขาดูพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ และขณะ ที่พวกเขายังไม่เชื่อเพราะความตื่นเต้นยินดีและประหลาดใจ พระองค์ก็ตรัสถามพวกเขาว่า “ที่นี่ มีอะไรให้กินไหม?” พวกเขาก็นําปลาย่างชิ้นหนึ่งมาถวาย และพระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้า เขาทั้งหลาย พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เราบอกไว้เมื่อยังอยู่กับท่านทั้งหลาย คือทุกสิ่งต้อง สําเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราในหนังสือบัญญัติของโมเสส หนังสือผู้เผยพระวจนะ และใน หนังสือสดุดี” จากนั้นพระองค์ทรงเปิดใจเขาเพื่อพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ พระองค์ตรัสบอก พวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือพระคริสต์ต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม และให้ ประกาศการกลับใจใหม่และการอภัยบาปในพระนามของพระองค์แก่มวลประชาชาติเริ่มตั้งแต่ที่ เยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายคือพยานของสิ่งเหล่านี้ เรากําลังจะส่งสิ่งที่พระบิดาของเราทรงสัญญา ไว้มาให้พวกท่าน แต่จงคอยอยู่ในกรุงนี้จนกว่าท่านจะได้รับฤทธิ์อํานาจจากเบื้องบน” 36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
การเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
เมื่อพระองค์ทรงนําพวกเขาออกมาที่ละแวกเบธานีแล้ว ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพรเขาทั้ง หลาย ขณะที่ทรงอวยพรอยู่ พระองค์ก็เสด็จจากพวกเขาไปและทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ เขาทั้ง หลายจึงนมัสการพระองค์และกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มด้วยความชื่นชมยินดีอย่างใหญ่หลวง และ พวกเขาอยู่ที่พระวิหารเป็นประจํา พากันสรรเสริญพระเจ้า 50
51
52
53
ลูกา 24:53 | 153
พระกิตติคุณยอห์น น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● ยอห์นและยากอบเป็นพี่น้องกัน บิดาของพวกเขาชื่อเศเบดี ● ทั้งยอห์นและยากอบเป็นสาวกของพระเยซู ● ยอห์นเขียนพระกิตติคุณขึ้นในขณะที่เขาอยู่ในเมืองเอเฟซัสเมื่อประมาณปี
คริสต์ศักราชที่ 90
● ยอห์นคิดถึงความหมายของทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเยซูได้ทรงกระทํา
ทําไมยอห์นถึงตัดสินใจเขียนพระกิตติคุณ?
● เพื่อทุกคนจะหันมาเชื่อในพระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้าและมีชีวิตนิรันดร์
(ยอห์น 20:31) ● เขียนเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ของพระเยซูเพื่อทุกคนจะได้รู้ว่าพระเยซูคือพระผู้ช่วยให้ รอดและพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
ปาฏิหาริย์ของพระเยซูแสดงให้เห็นว่าพระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า
● พระเยซูทรงมีชัยชนะเหนือโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง (ยอห์น 4:43–54, ยอห์น 9:1–12) ● พระเยซูทรงเลี้ยงคนหลายพันคน (ยอห์น 6:1–15) ● พระเยซูทรงมีชัยชนะเหนือลมพายุและคลื่นทะเล (ยอห์น 6:16–21) ● พระเยซูทรงมีชัยชนะเหนือความตาย (ยอห์น 11:1–44)
พระเยซูทรงตรัสว่า “เราเป็น …” ถึงเจ็ดครั้งด้วยกัน ● “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต” (ยอห์น 6:35) ● “เราเป็นแสงสว่างของโลก” (ยอห์น 8:12) ● “เราเป็นประตู” (ยอห์น 10:7, 9) ● “เราเป็นคนเลี้ยงแกะที่ดี” (ยอห์น 10:11) ● “เราเป็นผู้ที่ทําให้คนเป็นขึ้นจากตายและให้ชีวิตแก่เขา”
(ยอห์น 11:25) ● “เราเป็นทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิต” (ยอห์น 14:6) ● “เราเป็นเถาองุ่นแท้” (ยอห์น 15:1)
ห้าเหตุการณ์สําคัญในพระกิตติคุณยอห์น
154
● ปาฏิหาริย์ครั้งแรกของพระเยซู (ยอห์น 2:1–11) ● พระเยซูทรงสอนนิโคเดมัส (ยอห์น 3:1–21) ● พระเยซูทรงสนทนากับหญิงชาวสะมาเรีย (ยอห์น 4:1–42) ● พระเยซูทรงล้างเท้าให้เหล่าสาวก (ยอห์น 13:1–17) ● พระเยซูทรงอธิษฐานเพื่อเหล่าสาวก (ยอห์น 17:1–26)
ยอห์น
ยอห์น 1:1–18 ให้น้อง ๆ อ่านข้อพระคัมภีร์นี้กับเพื่อน ๆ น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่าบางส่วนของคําเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเพลงที่ผู้คนนํามาร้อง กันในโบสถ์ยุคแรก? ยอห์นได้เปลี่ยนคําพูดเล็กน้อยเพื่อนํามาใช้เขียนเป็นจุดเริ่มต้น ในพระกิตติคุณเขา ซึ่งเกี่ยวกับพระเยซู และบอกเราถึงพระเมตตาคุณและความรัก ของพระเจ้าที่มีต่อเรา น้อง ๆ สามารถนึกถึงเพลงที่เกี่ยวกับพระคุณและความรักของ พระเจ้าที่มีต่อเราทุกคนได้กี่เพลง? ให้น้อง ๆ ร้องเพลงเหล่านั้นร่วมกัน พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์
ในปฐมกาลพระวาทะทรงดํารงอยู่และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็น 1 พระเจ้ า พระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้าตั้งแต่ปฐมกาล 2
สรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์ ในบรรดาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ไม่ได้ถูก สร้างขึ้นโดยทางพระองค์ ในพระองค์คือชีวิตและชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ ความสว่าง ส่องเข้ามาในความมืด แต่ความมืดไม่ได้เข้าใจความสว่างนั้น มีชายผู้หนึ่งที่พระเจ้าทรงส่งมา เขาชื่อยอห์น เขามาในฐานะพยานเพื่อยืนยันเกี่ยวกับความ สว่างนั้น เพื่อว่าคนทั้งปวงจะได้เชื่อผ่านทางเขา เขาเองไม่ใช่ความสว่างนั้น เขาเป็นเพียงแค่ พยานของความสว่างนั้น ความสว่างแท้ซึ่งให้ความสว่างแก่มนุษย์ทุกคนกําลังเข้ามาในโลก พระองค์ทรงอยู่ในโลก และแม้ว่าโลกถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์ แต่โลกก็ไม่ได้รู้จักพระองค์ พระองค์ทรงเข้ามาในดินแดนของพระองค์เอง แต่คนของพระองค์เองไม่ยอมรับพระองค์ ส่วน คนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตร ของพระเจ้า คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของ มนุษย์ หรือจากเจตจํานงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
ยอห์น 1:16 น้อง ๆ เคยคิดไหมว่าเราไม่สมควรที่จะได้รับพระเมตตาคุณจากพระเจ้า? สิ่งที่เรา สมควรจะได้รับคือการลงโทษเนื่องจากความผิดบาปของเรา แต่พระเจ้าได้ส่งพระเยซู ผู้เป็นพระบุตรของพระองค์ลงมาเพื่อรับการลงโทษแทนเรา และพระเจ้าทรงทําให้เรา มีสิทธิในการเป็นบุตรของพระองค์ถ้าเราเชื่อในพระองค์ ให้น้อง ๆ คิดถึงความดีของ พระเจ้าเกี่ยวกับพระคุณของพระองค์ และอย่าลืมที่จะขอบคุณสําหรับพระคุณของ พระองค์ น้อง ๆ ได้รับพระคุณของพระเจ้าอยู่ทุก ๆ นาทีของทุกวัน 156 | ยอหน 1:1
และความจริง เราได้เห็นพระเกียรติสิริของพระองค์ คือพระเกียรติสิริของพระบุตรองค์เดียวผู้ทรง มาจากพระบิดา ยอห์นเป็นพยานเกี่ยวกับพระองค์ เขาร้องประกาศว่า “นี่คือผู้ซึ่งเราได้บอกไว้ว่า ‘พระองค์ผู้ เสด็จมาภายหลังเราทรงยิ่งใหญ่กว่าเราเพราะพระองค์ทรงดํารงอยู่ก่อนเรา’ ” เราทั้งปวงได้รับ พระพรครั้งแล้วครั้งเล่าจากความบริบูรณ์แห่งพระคุณของพระองค์ เพราะบทบัญญัติประทานมา ทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า แต่พระเจ้า คือพระบุตรองค์เดียวผู้ทรงอยู่เคียงข้างพระบิดาได้ทรงทําให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์แล้ว 15
16
17
18
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่พระคริสต์
นี่คือคําพยานของยอห์น เมื่อชาวยิวที่กรุงเยรูซาเล็มส่งพวกปุโรหิตและคนเลวีมาถามว่าเขา เป็นใคร เขาไม่ได้ปิดบังความจริง เขายอมรับอย่างเปิดเผยว่า “เราไม่ใช่พระคริสต์” พวกนั้นจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นใคร? ท่านเป็นเอลียาห์หรือ?” เขาบอกว่า “ไม่ใช่” เมื่อถามว่า “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะนั้นหรือ?” เขาก็ตอบว่า “ไม่ใช่” ในที่สุดพวกเขาจึงกล่าวว่า “ท่านเป็นใคร? จงตอบมาเถิด เราจะได้ไปบอกผู้ที่ส่งเรามา ท่าน อ้างว่าตัวท่านเองเป็นใคร?” ยอห์นตอบโดยยกคําของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “เราคือเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นกันดารว่า ‘จงทําทางสําหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’ ” พวกฟาริสีบางคนที่ถูกส่งมา จึงถามเขาว่า “ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่เอลียาห์ หรือผู้เผย พระวจนะนั้น ทําไมท่านจึงให้บัพติศมา?” ยอห์นตอบว่า “เราให้บัพติศมาด้วยน้ํา แต่มีผู้หนึ่งในหมู่พวกท่านซึ่งพวกท่านไม่รู้จัก พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะมาภายหลังเรา เราไม่คู่ควรแม้แต่จะแก้สายรัดฉลองพระบาทของ พระองค์” ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานีที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ําจอร์แดน ที่ซึ่งยอห์นกําลังให้ บัพติศมา 19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
พระเยซูผู้ทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า
วันต่อมายอห์นเห็นพระเยซูเสด็จมาทางเขา จึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป! นี่แหละคือผู้ที่เราหมายถึง เมื่อเรากล่าวว่า ‘พระองค์ผู้ทรงมาภายหลัง เราทรงยิ่งใหญ่กว่าเราเพราะพระองค์ทรงดํารงอยู่ก่อนเรา’ เราเองไม่รู้จักพระองค์ แต่เหตุผลที่ เรามาให้บัพติศมาด้วยน้ําก็เพื่อให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่อิสราเอล” แล้วยอห์นเป็นพยานดังนี้ว่า “เราเห็นพระวิญญาณลงมาจากสวรรค์ดั่งนกพิราบและสถิตกับ พระองค์ เราคงไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใคร แต่ผู้ที่ทรงใช้ให้เรามาให้บัพติศมาด้วยน้ําตรัสบอกเราไว้ ว่า ‘เจ้าเห็นพระวิญญาณลงมาสถิตกับผู้ใด ผู้นั้นคือผู้ที่จะให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราได้เห็นแล้ว และเราเป็นพยานได้ว่าผู้นี้คือพระบุตรของพระเจ้า’ ” 29
30
31
32
33
34
สาวกกลุ่มแรกของพระเยซู
วันรุ่งขึ้น ยอห์นกับสาวกสองคนก็อยู่ที่นั่นอีก เมื่อเขาเห็นพระเยซูเสด็จผ่านไป จึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า!” เมื่อสาวกทั้งสองได้ยินเขากล่าวเช่นนั้นจึงติดตามพระเยซูไป พระเยซูทรงหันมาเห็นพวกเขา ตามมา จึงตรัสถามว่า “ท่านต้องการอะไร?” พวกเขาทูลว่า “รับบี (ซึ่งแปลว่าอาจารย์) ท่านพักอยู่ที่ไหน?” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด แล้วท่านจะเห็น” 35
37
36
38
39
ยอหน 1:39 | 157
พวกเขาจึงไปและเห็นที่ซึ่งพระองค์ประทับและอยู่กับพระองค์ในวันนั้นตั้งแต่เวลาประมาณสี่ โมงเย็น หนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นกล่าวและได้ติดตามพระเยซูไปนั้นคือ อันดรูว์น้องชายของ ซีโมนเปโตร สิ่งแรกสุดที่อันดรูว์ทําคือไปหาซีโมนผู้เป็นพี่ชายและบอกว่า “เราพบพระเมสสิยาห์ แล้ว” (คือ พระคริสต์) และพาเขามาเข้าเฝ้าพระเยซู พระเยซูทอดพระเนตรเขาและตรัสว่า “ท่านคือซีโมนบุตรยอห์น ท่านจะได้ชื่อว่า เคฟาส” (ซึ่งแปลว่า เปโตร) 40
41
42
พระเยซูตรัสเรียกฟีลิปและนาธานาเอล
รุ่งขึ้นพระเยซูตัดสินพระทัยที่จะไปแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงพบฟีลิปและตรัสกับเขาว่า “จง ตามเรามา” ฟีลิปมาจากเมืองเบธไซดาเช่นเดียวกับอันดรูว์และเปโตร ฟีลิปพบนาธานาเอลและบอกเขา ว่า “เราพบผู้ซึ่งโมเสสเขียนถึงในหนังสือบทบัญญัติและซึ่งบรรดาผู้เผยพระวจนะก็เขียนถึงด้วย คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ” นาธานาเอลถามว่า “นาซาเร็ธ! จะมีอะไรดีมาจากที่นั่นได้หรือ?” ฟีลิปบอกว่า “มาดูเถิด” เมื่อพระเยซูทรงเห็นนาธานาเอลเข้ามาหาก็ตรัสถึงเขาว่า “นี่คืออิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มี เล่ห์เหลี่ยมอันใดเลย” นาธานาเอลทูลว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร?” พระเยซูตรัสว่า “เราเห็นท่านขณะที่ท่านยังนั่งอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน” นาธานาเอลจึงร้องว่า “รับบี พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ ของอิสราเอล” พระเยซูตรัสว่า “ท่านเชื่อเพราะเราบอกว่าเราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น ท่านจะเห็นสิ่งที่ยิ่ง ใหญ่กว่านั้นอีก” แล้วพระองค์ตรัสต่อไปว่า “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า พวกท่านจะเห็น ฟ้าสวรรค์เปิดออก และเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงเหนือบุตรมนุษย์” 43
44
45
46
47
48
49
50
51
พระเยซูทรงเปลี่ยนน้ําเป็นเหล้าองุ่น
นที่สาม มีงานสมรสที่เมืองคานาในแคว้นกาลิลี มารดาของพระเยซูอยู่ที่นั่น และพระเยซู 2 กัในวับสาวกของพระองค์ ได้รับเชิญไปงานสมรสด้วย เมื่อเหล้าองุ่นหมด มารดาของพระเยซูทูล 2
3
พระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่นเหลือแล้ว”
ยอห์น 2:1–11 บัดดี้ชอบงานสมรสเพราะเธอจะได้เล่นกับเพื่อน ๆ ของเธอ ปาฏิหาริย์ครั้งแรกของ พระเยซูเกิดขึ้นในงานสมรสซึ่งเป็นสถานที่ที่ทุกคนมีความสุข พระเจ้าทรงประทาน ให้ชีวิตแก่เราและพระองค์ต้องการที่จะเห็นเรามีความสุขเพลิดเพลินกับสิ่งดี ๆ ที่ พระองค์ทรงประทานให้แก่เรา ให้น้อง ๆ วาดภาพปาฏิหาริย์ครั้งแรกของพระเยซูใน งานสมรสที่เมืองคานา เมื่อวาดเสร็จแล้วให้น้อง ๆ หันไปมองภาพวาดของเพื่อน ๆ แล้วพูดพร้อมกันว่า “มาสนุกกับชีวิตของเรากันเถอะ!” 158 | ยอหน 1:40
ยอห์น 2:23–24 จะจารูวาเราไมควรไววางใจทุกคน พระเยซูก็ทรงรูเชนกัน มีใครเคยใหสัญญากับนอง ๆ แลวไมทําตามสัญญาบางไหม? มีใครบางที่นอง ๆ สามารถไววางใจได? นอง ๆ คิดวานอง ๆ จะสามารถไวใจพระเจาไดตลอดหรือไม? พระเจาทรงรักษาพระ สัญญาของพระองคหรือไม? ใหนอง ๆ พูดคุยกับเพื่อน ๆ เกี่ยวกับการไววางใจใน พระเจา นอง ๆ จําพระสัญญาของพระเจาไดหรือไม? ใหนอง ๆ คนหาพระสัญญาของ พระเจาในยอหน 1:12 และยอหน 3:16 พระเยซูตรัสว่า “หญิงที่รักเอ๋ย ท่านให้เราไปเกี่ยวข้องด้วยทําไม? ยังไม่ถึงเวลาของเรา” มารดาของพระองค์บอกพวกคนรับใช้ว่า “จงทําทุกอย่างตามที่ท่านสั่ง” ที่นั่นมีโอ่งหินอยู่หกใบ เป็นชนิดที่ใช้ในพิธีชําระของชาวยิว แต่ละใบจุน้ําได้ประมาณ 75 ถึง 115 ลิตร พระเยซูตรัสสั่งพวกคนรับใช้ว่า “จงตักน้ําใส่โอ่งให้เต็ม” เขาจึงตักน้ําใส่จนเต็มเสมอปากโอ่ง แล้วพระองค์ตรัสสั่งพวกเขาว่า “จงตักส่งให้เจ้าภาพเถิด” พวกเขาก็ทําตาม และเจ้าภาพก็ชิมน้ําซึ่งกลายเป็นเหล้าองุ่น เขาไม่รู้เลยว่าเหล้านี้มาจากไหน แต่พวกคนรับใช้ที่ตักน้ํารู้ว่ามาจากไหน เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา และพูดว่า “ใครๆ ก็เอาเหล้า องุ่นชั้นดีมาให้ดื่มก่อน พอแขกเหรื่อดื่มกันมากแล้วจึงค่อยเอาเหล้าองุ่นราคาถูกกว่ามาให้ แต่ท่าน เก็บเหล้าองุ่นที่ดีที่สุดไว้จนถึงบัดนี้” พระเยซูทรงกระทําสิ่งนี้ซึ่งเป็นหมายสําคัญครั้งแรกของพระองค์ที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้ทรงสําแดงพระเกียรติสิริของพระองค์ และเหล่าสาวกของพระองค์ก็มี ความเชื่อในพระองค์ 4 5 6
7 8
9
10
11
พระเยซูทรงชําระพระวิหาร
หลังจากนี้พระองค์เสด็จไปยังเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับมารดา น้องชาย และเหล่าสาวก ของพระองค์ พวกเขาพักอยู่ที่นั่นสองสามวัน เมื่อใกล้ถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิว พระเยซูเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ในลานพระวิหาร พระองค์ทรงพบคนขายวัว แกะ และนกพิราบ และมีบางคนนั่งอยู่ที่โต๊ะรับแลกเงิน พระองค์จึง ทรงใช้เชือกทําเป็นแส้ แล้วทรงไล่พวกเขาทั้งหมดรวมทั้งแกะและวัวออกจากบริเวณพระวิหาร พระองค์ทรงเทเหรียญและคว่ําโต๊ะของคนรับแลกเงิน พระองค์ตรัสกับคนขายนกพิราบว่า “เอา ของพวกนี้ออกไปจากที่นี่! ท่านกล้าดีอย่างไรมาทําให้นิเวศของพระบิดาของเรากลายเป็นตลาด!” เหล่าสาวกนึกถึงคําที่เขียนไว้ว่า “ความร้อนใจเพื่อพระนิเวศของพระองค์จะท่วมท้นข้า พระองค์” แล้วพวกยิวเรียกร้องกับพระองค์ว่า “ท่านมีหมายสําคัญอะไรที่แสดงให้เราเห็นเพื่อพิสูจน์ว่า ท่านมีสิทธิอํานาจที่จะทําสิ่งทั้งปวงนี้?” พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “ทําลายวิหารนี้ แล้วเราจะยกขึ้นมาใหม่ในสามวัน” พวกยิวทูลตอบว่า “วิหารนี้ต้องใช้เวลาสร้างถึงสี่สิบหกปี ท่านจะยกขึ้นใหม่ในสามวันหรือ?” แต่วิหารที่ทรงกล่าวถึงคือพระกายของพระองค์ หลังจากที่พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้วเหล่า สาวกจึงระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ แล้วพวกเขาจึงเชื่อพระคัมภีร์และถ้อยคําที่พระเยซูตรัส 12
13
14
15
16
17
18
19 20
21
22
ยอหน 2:22 | 159
ขณะพระองค์ประทับที่กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกา ผู้คนมากมายเห็นหมายสําคัญที่ ทรงกระทําและเชื่อในพระนามของพระองค์ แต่พระเยซูไม่ได้ทรงไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขาเพราะ พระองค์ทรงรู้จักมวลมนุษย์ พระองค์ไม่จําเป็นต้องให้คนมาเป็นพยานเรื่องมนุษย์เพราะพระองค์ ทรงทราบว่าอะไรอยู่ในมนุษย์ 23
24
25
พระเยซูทรงสอนนิโคเดมัส
มีฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส เป็นสมาชิกสภาการปกครองของยิว เขามาหาพระเยซูในเวลา 3 กลางคื นและทูลว่า “รับบี เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นครูผู้มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครสามารถทํา 2
หมายสําคัญที่ท่านทําอยู่หากพระเจ้าไม่ได้สถิตกับเขา” พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีใครเห็นอาณาจักรของ พระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว? แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปใน ครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สองเพื่อเกิดออกมาใหม่!” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้า ได้ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ําและพระวิญญาณ มนุษย์ให้กําเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณ ให้กําเนิด วิญญาณ ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่าน ต้องเกิดใหม่ ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่าน ได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหนหรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เช่นกัน” นิโคเดมัสทูลถามว่า “สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?” พระเยซูตรัสว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของคนอิสราเอล แล้วท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ? เรา บอกความจริงแก่ท่านว่า เราพูดสิ่งที่เรารู้ และเราเป็นพยานถึงสิ่งที่เราเห็นมา แต่ถึงกระนั้นพวก ท่านก็ไม่ยอมรับคําพยานของเรา เราได้พูดกับท่านถึงสิ่งในโลกนี้และท่านไม่เชื่อ แล้วถ้าเราพูดถึง สิ่งในสวรรค์ท่านจะเชื่อได้อย่างไร? ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ เว้นแต่ผู้ที่มาจากสวรรค์คือบุตร มนุษย์ โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น เพื่อทุกคนที่เชื่อ ในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์ “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อ ในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มา ในโลกเพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอดโดยทางพระบุตรนั้น ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตร องค์เดียวของพระเจ้า คําตัดสินเป็นดังนี้คือ ความสว่างได้เข้ามาในโลก แต่มนุษย์รักความมืด 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
ยอห์น 3:16 พระคัมภีร์ข้อนี้บอกเราเกี่ยวกับสิ่งที่สําคัญที่สุดที่เราต้องรู้เกี่ยวกับพระเจ้า น้อง ๆ รู้จักมันดีพอหรือไม่? เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมามีดาวกีฬาผู้เป็นคริสเตียนในประเทศ สหรัฐอเมริกาได้ทาสีคําว่า 'ยอห์น 3:16' ไว้บนใบหน้าของพวกเขา พวกเขาต้องการ บอกคนอื่น ๆ เกี่ยวกับพระคริสต์และแบ่งปันความรักของพระองค์ ให้น้อง ๆ เขียน 'ยอห์น 3:16' ในที่ที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้ (ควรจะเป็นตัวหนังสือ ขนาดเล็ก) แล้วเตรียมพร้อมที่จะอธิบายถึงความหมายของมันเมื่อมีคนถาม! 160 | ยอหน 2:23
ยอห์น 3:22–28 จะจา สังเกตเห็นวาการโตเถียงกันจะเกิดขึ้นเมื่อผูคนมีความคิดเห็นไมตรงกัน มีกลุม คนที่ถกเถียงกับผูติดตามของยอหนผูใหบัพติศมาจนไมมีใครรูวาใครผิดใครถูก แต ยอหนไดชวยใหพวกเขาเห็นวาสิ่งที่สําคัญที่สุดคือ พระเยซู ใหนอง ๆ จับกลุมกันและแสดงบทบาทสมมุติการโตเถียงกันขึ้น แลวพูดคุยเกี่ยวกับวิธี การที่นอง ๆ จะปองกันหรือหยุดการโตเถียงกัน แทนที่จะรักความสว่าง เพราะการกระทําของพวกเขาชั่วร้าย ทุกคนที่ทําชั่วก็เกลียดความสว่าง และจะไม่เข้ามาในความสว่างเพราะกลัวว่าการกระทําของตนจะถูกเปิดโปง แต่ผู้ใดที่มีชีวิตอยู่ โดยความจริงย่อมมาสู่ความสว่าง เพื่อให้เห็นชัดเจนว่าสิ่งที่ตนทํานั้นได้ทําไปโดยพึ่งพระเจ้า” 20
21
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นพยานเรื่องพระเยซู
หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปยังแถบชนบทของแคว้นยูเดียพร้อมกับเหล่าสาวกของพระองค์ ที่ นั่นพระองค์ทรงใช้เวลาอยู่กับพวกเขาและให้บัพติศมา ยอห์นก็กําลังให้บัพติศมาอยู่เช่นกันที่ อายโนนใกล้หมูบ่ า้ นสาลิมเพราะทีน่ น่ั มีนาํ้ มาก และประชาชนมารับบัพติศมาไม่ขาดสาย (นีเ่ ป็นช่วง ก่อนที่ยอห์นจะถูกขังคุก) เกิดการโต้เถียงขึ้นระหว่างสาวกบางคนของยอห์นกับชาวยิวคนหนึ่ง เรื่องการชําระตามระเบียบพิธี พวกเขามาหายอห์นและกล่าวแก่เขาว่า “รับบี ชายผู้ซึ่งเคยอยู่กับ ท่านที่อีกฟากแม่น้ําจอร์แดน ชายคนที่ท่านเป็นพยานถึงนั้นกําลังให้บัพติศมาอยู่ และทุกคนกําลัง ไปหาเขา” ยอห์นตอบคํากล่าวนี้ว่า “มนุษย์ได้รับก็แต่เพียงสิ่งที่ประทานให้เขาจากสวรรค์ พวกท่านเอง ก็เป็นพยานได้ถึงคําพูดของเราที่ว่า ‘เราไม่ใช่พระคริสต์ แต่เราถูกส่งมานําเสด็จพระองค์’ เจ้า สาวย่อมเป็นของเจ้าบ่าว เพื่อนผู้ดูแลเจ้าบ่าวก็คอยฟังเขาอยู่ และเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีเมื่อ ได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว เราก็มีความชื่นชมยินดีเช่นนั้น และบัดนี้ความชื่นชมยินดีนั้นก็เต็มบริบูรณ์ แล้ว พระองค์จะต้องยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนเราต้องด้อยลง “ผู้มาจากเบื้องบนนั้นย่อมอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง ผู้ที่มาจากโลกย่อมเป็นของโลกและพูดอย่างคน ที่มาจากโลก พระองค์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ทรงอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง พระองค์ทรงเป็นพยานถึงสิ่ง ที่พระองค์ทรงเห็นและทรงสดับ แต่ไม่มีใครรับคําพยานของพระองค์ ผู้ที่รับคําพยานนั้นก็ให้การ รับรองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง เพราะผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาย่อมกล่าวพระวจนะของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าประทานพระวิญญาณโดยไม่จํากัด พระบิดาทรงรักพระบุตรและทรงมอบทุกสิ่ง ไว้ในพระหัตถ์ของพระบุตร ผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระบุตรก็ จะไม่ได้เห็นชีวิต เพราะพระพิโรธของพระเจ้ายังอยู่กับเขา” 22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
พระเยซูทรงสนทนากับหญิงชาวสะมาเรีย
พวกฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูทรงมีสาวกและให้บัพติศมามากกว่ายอห์น อันที่จริงไม่ใช่พระเยซู 4 แต่ สาวกของพระองค์ต่างหากที่ให้บัพติศมา เมื่อพระเยซูทรงทราบเช่นนี้ก็เสด็จจากแคว้น 2
3
ยูเดียกลับไปยังแคว้นกาลิลีอีก พระองค์ต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย จึงเสด็จมายังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียชื่อสิคาร์ ใกล้ 4
5
ยอหน 4:5 | 161
ที่ดินแปลงที่ยาโคบยกให้โยเซฟบุตรชายของเขา บ่อน้ําของยาโคบอยู่ที่นั่น และพระเยซูทรง เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางจึงประทับนั่งข้างๆ บ่อ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยง เมื่อหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ํา พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ําให้เราดื่มหน่อยได้ ไหม?” (สาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง) หญิงชาวสะมาเรียทูลว่า “ท่านเป็นยิว ส่วนดิฉันเป็นหญิงชาวสะมาเรีย ท่านมาขอน้ําจากดิฉัน ได้อย่างไร?” (เพราะชาวยิวไม่คบหากับชาวสะมาเรีย) พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเจ้ารู้จักของที่พระเจ้าประทานและรู้จักผู้ที่ขอน้ําจากเจ้า เจ้า คงจะขอจากผู้นั้นและผู้นั้นจะให้น้ําซึ่งให้ชีวิตแก่เจ้า” หญิงนั้นทูลว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านไม่มีอะไรที่จะใช้ตักน้ําและบ่อก็ลึก ท่านจะได้น้ําซึ่งให้ชีวิตมา จากไหน? ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ซึ่งให้บ่อนี้แก่เราหรือ? และยาโคบเองกับ ลูกหลานตลอดจนฝูงสัตว์ก็ดื่มน้ําจากบ่อนี้” พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ํานี้จะกระหายอีก แต่ผู้ใดดื่มน้ําที่เราให้จะไม่กระหายอีก เลย อันที่จริงน้ําซึ่งเราให้เขานั้นจะกลายเป็นน้ําพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นสู่ชีวิตนิรันดร์” หญิงนั้นทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า โปรดให้น้ํานั้นแก่ดิฉันเพื่อดิฉันจะไม่กระหายอีกและไม่ ต้องกลับมาตักน้ําที่นี่เสมอๆ” พระเยซูตรัสบอกนางว่า “จงไปเรียกสามีของเจ้ามา” นางทูลว่า “ดิฉันไม่มีสามี” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เจ้าพูดถูกที่ว่าไม่มีสามี อันที่จริงเจ้ามีสามีห้าคนแล้ว และชายคนที่ เจ้าอยู่ด้วยขณะนี้ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดไปนั้นก็ออกจะจริงทีเดียว” หญิงนั้นทูลว่า “ท่านเจ้าข้า ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ บรรพบุรุษของเรา นมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านชาวยิวอ้างว่าเราต้องนมัสการที่กรุงเยรูซาเล็ม” พระเยซูประกาศว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด ใกล้ถึงเวลาแล้ว เมื่อพวกท่านจะนมัสการพระ บิดาไม่ใช่ที่ภูเขานี้หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกท่านชาวสะมาเรียนมัสการสิ่งที่ท่านไม่รู้จัก ส่วนเรา นมัสการสิ่งที่เรารู้จักเพราะความรอดมาจากพวกยิว กระนั้นก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงเวลา แล้วที่ผู้นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะพวกเขา เป็นผู้นมัสการแบบที่พระบิดาทรงแสวงหา พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” หญิงนั้นทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) กําลังเสด็จมา เมื่อพระองค์ เสด็จมาแล้ว จะทรงอธิบายทุกสิ่งแก่เรา” แล้วพระเยซูทรงประกาศว่า “เราที่พูดอยู่กับเจ้าคือผู้นั้น” 6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16 17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
ยอห์น 4:1–42 ให้น้อง ๆ แสดงบทบาทสมมุติเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่บ่อน้ํา แบ่งข้อพระคัมภีร์ให้ เท่ากันเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสได้อ่าน แล้วกําหนดบทบาทของแต่ละคน น้อง ๆ สามารถ สวมหน้ากากในการแสดงบทบาทที่แตกต่างกันได้ถ้าต้องการ และให้ฝึกซ้อมการแสดง จนช่ําชอง และจากนั้นให้ดําเนินการแสดง จําไว้ว่าการแสดงของน้อง ๆ เป็นการช่วยให้ผู้ชมรําลึกว่าพระเยซูทรงรักเราทุกคนไม่ ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม 162 | ยอหน 4:6
เหล่าสาวกกลับมาสมทบกับพระเยซู
ขณะนั้นเองเหล่าสาวกก็กลับมาถึง และพากันประหลาดใจที่พบพระองค์ทรงสนทนาอยู่กับ ผู้หญิง แต่ไม่มีใครทูลถามว่า “พระองค์ทรงประสงค์สิ่งใด?” หรือ “ทําไมพระองค์ทรงสนทนากับ นาง?” แล้วหญิงนั้นก็ทิ้งหม้อน้ํา กลับเข้าเมือง และบอกกับผู้คนว่า “มาเถิด มาดูชายผู้หนึ่งซึ่งบอก ทุกสิ่งที่ดิฉันเคยทํา ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” พวกเขาจึงออกจากเมืองมุ่งหน้ามาหา พระองค์ ขณะนั้นเหล่าสาวกทูลรบเร้าพระองค์ว่า “รับบี รับประทานอาหารบ้างเถิด” แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เรามีอาหารรับประทานซึ่งพวกท่านไม่รู้” เหล่าสาวกจึงพูดกันว่า “มีใครเอาอาหารมาถวายพระองค์แล้วหรือ?” พระเยซูตรัสว่า “อาหารของเราคือการทําตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา และ ทําพระราชกิจของพระองค์ให้สําเร็จ ท่านพูดไม่ใช่หรือว่าอีกสี่เดือนก็จะถึงฤดูเก็บเกี่ยว? เราบอก ท่านว่าจงลืมตาดูท้องนาเถิด! ข้าวสุกพร้อมจะเก็บเกี่ยวแล้ว เวลานี้ผู้เกี่ยวก็กําลังรับค่าจ้าง เวลา นี้เขากําลังเก็บเกี่ยวพืชผลสําหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อผู้หว่านและผู้เกี่ยวจะยินดีด้วยกัน ดังนี้จึงเป็น จริงตามคํากล่าวที่ว่า ‘คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว’ เราส่งพวกท่านไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่พวก ท่านไม่ได้ลงแรง คนอื่นได้ตรากตรําทํางานหนัก และพวกท่านได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการ ลงแรงของเขา” 27
28
29
30
31 32 33 34
35
36
37
38
ชาวสะมาเรียมากมายเชื่อพระเยซู
ชาวสะมาเรียมากมายจากเมืองนั้นเชื่อในพระองค์เพราะคําพยานของหญิงนั้นที่ว่า “พระองค์ ทรงบอกทุกสิ่งที่ดิฉันเคยทํา” ฉะนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาหาพระองค์ พวกเขาจึงรบเร้าให้ พระองค์ประทับอยู่กับพวกเขา พระองค์ก็ทรงอยู่ที่นั่นสองวัน และเนื่องด้วยพระดํารัสของ พระองค์คนอื่นๆ อีกมากมายได้หันมาเชื่อในพระองค์ พวกเขาบอกหญิงนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไป เราไม่ได้เชื่อเพียงเพราะคําพูดของเจ้า เดี๋ยวนี้เราได้ยิน ด้วยตัวของเราเอง และเรารู้ว่าพระองค์นี่แหละคือพระผู้ช่วยให้รอดของโลกจริงๆ” 39
40
41
42
พระเยซูทรงรักษาบุตรชายของข้าราชการ
หลังจากสองวันนั้น พระเยซูเสด็จจากที่นั่นไปยังแคว้นกาลิลี (พระองค์เองทรงชี้ให้เห็นว่าผู้ เผยพระวจนะไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองของตนเอง) เมื่อพระองค์มาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีก็ ต้อนรับพระองค์ พวกเขาเคยเห็นสิ่งสารพัดที่ทรงกระทําในกรุงเยรูซาเล็มเมื่อเทศกาลปัสกาเพราะ พวกเขาอยู่ที่นั่นด้วย พระองค์เสด็จมายังหมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง หมู่บ้านนี้คือที่ซึ่งพระองค์ได้ทรง เปลี่ยนน้ําให้เป็นเหล้าองุ่น และมีข้าราชการคนหนึ่งซึ่งบุตรชายของเขานอนป่วยอยู่ที่เมือง คาเปอรนาอุม เมื่อชายผู้นี้ได้ยินว่าพระเยซูเสด็จจากแคว้นยูเดียมาถึงแคว้นกาลิลีแล้ว จึงมาทูล อ้อนวอนพระเยซูให้ไปรักษาลูกชายของเขาซึ่งใกล้จะตายแล้ว พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าพวกท่านไม่เห็นหมายสําคัญและปาฏิหาริย์ พวกท่านก็ไม่มีวันเชื่อ” ข้าราชการผู้นั้นทูลว่า “ท่านเจ้าข้า โปรดมาก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะตาย” พระเยซูตรัสตอบว่า “กลับไปเถิด บุตรของท่านจะรอดชีวิต” ชายคนนั้นเชื่อคําที่พระเยซูตรัสและลากลับไป ขณะที่พวกเขายังอยู่ระหว่างทาง ก็พบกับ คนรับใช้ของเขาที่มาบอกข่าวว่าลูกชายของเขารอดชีวิต เมื่อเขาถามถึงเวลาที่บุตรชายของเขา อาการดีขึ้น คนเหล่านั้นบอกว่า “เขาหายไข้เมื่อวานนี้ตอนบ่ายโมง” แล้วบิดาจึงตระหนักว่าเป็นเวลาเดียวกันกับที่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “บุตรของท่านจะรอด ชีวิต” ดังนั้นเขาและคนในครัวเรือนของเขาทั้งหมดจึงเชื่อ นีค่ อื หมายสําคัญครัง้ ทีส่ องซึง่ พระเยซูได้ทรงกระทํา เมือ่ เสด็จจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี 43
44
45
46
47
48
49 50
51
52
53
54
ยอหน 4:54 | 163
ยอห์น 5:5 ชายผู้อยู่ที่ข้างสระน้ําเบเธสดาป่วยมากี่วันแล้ว? เขารอเป็นเวลานานมากก่อนที่คํา อธิษฐานของเขาได้รับการตอบ น้อง ๆ เคยรอเป็นเวลานานก่อนที่คําอธิษฐานของน้อง ๆ จะได้รับการตอบไหม? พระเจ้าทรงรู้เสมอว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสําหรับเรา ทําไมน้อง ๆ ถึงคิดว่าบางครั้ง พระเจ้าปล่อยให้เรารอก่อนที่พระองค์จะทรงตอบคําอธิษฐานของเรา? ทําไมบางครั้งมันดูเหมือนว่าคําอธิษฐานของเราจะไม่ได้รับการตอบ? การรักษาโรคที่สระน้ํา
ต่อมาพระเยซูเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมเทศกาลของชาวยิว ในกรุงเยรูซาเล็ม ใกล้ 5 ประตู แกะมีสระน้ําแห่งหนึ่ง เรียกตามภาษาอารเมคว่า เบเธสดา สระนี้รายล้อมด้วยศาลาห้า 2
หลัง ที่นี่มีคนพิการมากมายนอนอยู่ ไม่ว่าคนตาบอด คนง่อย คนเป็นอัมพาต ที่นั่นมีชายคนหนึ่ง ป่วยมา 38 ปีแล้ว เมื่อพระเยซูทรงเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบว่าเขาตกอยู่ในสภาพนี้มานาน ก็ตรัสกับเขาว่า “ท่านต้องการจะหายโรคหรือไม่?” คนป่วยนั้นทูลว่า “ท่านเจ้าข้า เวลาน้ํากระเพื่อมไม่มีใครช่วยข้าพเจ้าลงสระ ขณะที่ข้าพเจ้า พยายามจะลงไป คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น! ยกที่นอนเดินไปเถิด” ชายผู้นี้ก็หายโรคทันที เขายก ที่นอนเดินไป วันที่เกิดเหตุการณ์นี้เป็นวันสะบาโต พวกยิวจึงพูดกับคนที่หายโรคนั้นว่า “นี่เป็นวันสะบาโต บทบัญญัติห้ามเจ้าแบกที่นอน” แต่เขาตอบว่า “ชายผู้ที่รักษาข้าพเจ้าให้หายบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงยกที่นอนเดินไปเถิด’ ” พวกเขาจึงถามว่า “คนที่บอกให้เจ้ายกที่นอนเดินไปนั้นคือใคร?” คนที่หายโรคไม่ทราบว่าพระองค์คือใคร เพราะพระเยซูได้เสด็จปะปนหายไปในฝูงชนที่นั่น ต่อมาพระเยซูทรงพบเขาที่พระวิหารและตรัสว่า “ดูเถิด ท่านสบายดีแล้ว จงเลิกทําบาป มิฉะนั้นสิ่งเลวร้ายกว่าเดิมอาจจะเกิดกับท่าน” เขาก็ไปและบอกพวกยิวว่า พระเยซูคือผู้ที่รักษา เขาให้หายโรค 3
5
6
7
8
9
10
11
12 13 14
15
ชีวิตที่ผ่านมาทางพระบุตร
ฉะนั้นพวกยิวจึงข่มเหงพระเยซูเพราะพระองค์ทรงกระทําสิ่งเหล่านั้นในวันสะบาโต พระเยซู ตรัสกับพวกเขาว่า “พระบิดาของเราทรงกระทําพระราชกิจของพระองค์เสมอตราบจนทุกวันนี้ และเราก็กําลังทํางานเช่นกัน” ด้วยเหตุนี้พวกยิวจึงยิ่งพยายามทุกวิถีทางที่จะฆ่าพระเยซู เพราะ พระองค์ไม่เพียงแต่ทรงละเมิดบทบัญญัติวันสะบาโต แต่ยังทรงเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาของตนอัน เป็นการยกตนเองเสมอพระเจ้า พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นว่า พระบุตรไม่อาจทําสิง่ ใดโดยลําพัง พระองค์เอง พระองค์สามารถทําได้แต่เพียงสิง่ ทีเ่ ห็นพระบิดาของพระองค์ทรงกระทํา เพราะพระ บิดาทรงกระทําสิง่ ใด พระบุตรก็กระทําสิง่ นัน้ ด้วย เพราะพระบิดาทรงรักพระบุตร และสําแดง ทุกสิง่ ทีท่ รงกระทําให้พระบุตรเห็น ท่านจะประหลาดใจทีพ่ ระองค์จะสําแดงให้พระบุตรเห็นสิง่ ทีย่ ง่ิ ใหญ่กว่านีอ้ กี เพราะพระบิดาทรงให้คนทีต่ ายแล้วกลับมีชวี ติ ขึน้ มาใหม่อย่างไร พระบุตรก็จะให้ 16
17
18
19
20
21
164 | ยอหน 5:1
ยอห์น 5:16–17 ไบรท มักจะรูสึกวาเขาตองการที่จะทําบางสิ่งบางอยางเพื่อคนอื่น แตไมเคยรูวาเมื่อ ไหรเปนเวลาที่เหมาะสม เมื่อพระเยซูทรงรักษาชายผูปวยใหหายเปนปกติ ชาวยิวคิดวาพระองคควรจะทําการ รักษาโรคในวันอื่น แตพระเยซูทรงตรัสวาทุกเวลาเปนเวลาที่ดีเสมอในการใหความชวย เหลือแกผูอื่น ใหดูวานอง ๆ จะสามารถหาวิธีชวยเหลือผูอื่นในชวงสองวันขางหนานี้ได หรือไม และอยาลืมคนในครอบครัวของนอง ๆ ละ! ชีวติ แก่ผทู้ พ่ี ระบุตรพอพระทัยอย่างนัน้ ยิง่ กว่านัน้ พระบิดาไม่ได้ทรงพิพากษาใครแต่ทรงมอบการ พิพากษาทัง้ หมดแก่พระบุตร เพือ่ คนทัง้ ปวงจะได้ถวายเกียรติแด่พระบุตรเหมือนทีไ่ ด้ถวายเกียรติ แด่พระบิดา ผูท้ ไ่ี ม่ถวายเกียรติแด่พระบุตรก็ไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระบิดาผูท้ รงส่งพระบุตรมา “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ใดฟังคําของเราและเชื่อพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ผู้นั้นก็มีชีวิต นิรันดร์และจะไม่ถูกลงโทษ เขาได้ผ่านพ้นความตายเข้าสู่ชีวิตแล้ว เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ใกล้ถึงเวลาแล้ว และบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่คนตายจะได้ยินเสียงพระบุตรของพระเจ้าและบรรดาผู้ที่ ได้ยินจะมีชีวิต เพราะพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองฉันใด พระองค์ก็ทรงให้พระบุตรมีชีวิตใน พระองค์เองฉันนั้น และพระองค์ทรงให้พระบุตรมีสิทธิอํานาจที่จะพิพากษาเพราะว่าพระองค์คือ บุตรมนุษย์ “อย่าประหลาดใจในข้อนี้ เพราะจะถึงเวลาที่คนทั้งปวงซึ่งอยู่ในหลุมฝังศพของตนจะได้ยิน เสียงของพระบุตร และจะออกมา ผู้ที่ทําดีจะฟื้นขึ้นสู่ชีวิต ผู้ที่ทําชั่วจะฟื้นขึ้นรับการลงโทษ เรา ทําสิ่งใดโดยลําพังตัวเราเองไม่ได้เลย เราพิพากษาตามที่เราได้ยินเท่านั้น และคําพิพากษาของเรา ยุติธรรม เพราะเราไม่ได้มุ่งทําให้ตนเองพอใจแต่มุ่งให้พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาพอพระทัย 22
23
24
25
26
27
28
29
30
พยานรับรองพระเยซู
“ถ้าเราเป็นพยานให้ตนเอง คําพยานของเราก็ไม่น่าเชื่อถือ มีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานให้เรา และเรารู้ว่าคําพยานของผู้นั้นเกี่ยวกับเราก็เชื่อถือได้ “ท่านส่งคนไปหายอห์น และยอห์นได้เป็นพยานถึงความจริง ไม่ใช่ว่าเรายอมรับคําพยาน ของมนุษย์ แต่เราเอ่ยถึงเรื่องนี้เพื่อท่านจะรอด ยอห์นเป็นตะเกียงที่ลุกอยู่และให้แสงสว่าง และ พวกท่านเลือกที่จะชื่นชมความสว่างของยอห์นชั่วขณะหนึ่ง “เรามีคําพยานที่หนักแน่นยิ่งกว่าคําพยานของยอห์น เพราะงานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้ เราทําให้สําเร็จและเรากําลังทําอยู่นั้นเองเป็นพยานว่าพระบิดาทรงส่งเรามา ทั้งพระบิดาผู้ทรงส่ง เรามาพระองค์เองได้ทรงเป็นพยานให้เรา ท่านไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงหรือเห็นรูปพรรณสัณฐาน ของพระองค์ ทั้งพระดํารัสของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ในท่านเพราะท่านไม่เชื่อผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา ท่านขยันศึกษาพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าโดยพระคัมภีร์ท่านจะได้ชีวิตนิรันดร์ พระธรรมเหล่า นั้นคือพระคัมภีร์ที่เป็นพยานเกี่ยวกับเรา กระนั้นพวกท่านก็ไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต “เราไม่ยอมรับการสรรเสริญจากมนุษย์ แต่เรารู้จักพวกท่าน เรารู้ว่าท่านไม่ได้มีความรักของ พระเจ้าอยู่ในใจ เราได้มาในพระนามของพระบิดาของเราและท่านไม่ยอมรับเรา แต่ถ้าผู้อื่นมา ในนามของเขาเอง ท่านจะยอมรับผู้นั้น ท่านจะเชื่อได้อย่างไร ถ้าหากท่านยอมรับคําสรรเสริญ กันเอง แต่ไม่ขวนขวายหาคําสรรเสริญจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว? 31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
ยอหน 5:44 | 165
“แต่อย่าคิดว่าเราจะฟ้องท่านต่อพระบิดา ผู้ที่ฟ้องท่านคือโมเสสซึ่งท่านได้ตั้งความหวังไว้กับ เขา หากท่านเชื่อโมเสส ท่านควรจะเชื่อเราเพราะโมเสสได้เขียนเกี่ยวกับเรา แต่เพราะท่านไม่ เชื่อสิ่งที่โมเสสเขียนไว้ ท่านจะเชื่อสิ่งที่เราพูดได้อย่างไร?” 45
46
47
พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน
ทรงข้ามทะเลกาลิลี (คือทะเลทิเบเรียส) ไปยังอีกฟากหนึ่ง ประชาชนกลุ่มใหญ่ 6 ติต่ดอมาพระเยซู ตามพระองค์ไปเพราะพวกเขาเห็นหมายสําคัญที่ได้ทรงกระทําแก่คนป่วย แล้วพระเยซูทรง 2
3
ขึ้นไปบนเนินเขาและประทับนั่งกับเหล่าสาวกของพระองค์ ขณะนั้นใกล้ถึงเทศกาลปัสกาของชาว ยิวแล้ว เมื่อพระเยซูทรงมองไปเห็นคนหมู่ใหญ่มาหาพระองค์ก็ตรัสกับฟีลิปว่า “เราจะไปซื้อหาอาหาร ที่ไหนมาให้คนเหล่านี้รับประทาน?” พระองค์ตรัสถามเช่นนี้เพียงเพื่อทดสอบฟีลิป เพราะ พระองค์ทรงดําริไว้แล้วว่าจะทําอะไร ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “เงินค่าแรงแปดเดือนยังซื้อขนมปังได้ไม่พอให้คนเหล่านี้กินกันคนละ คํา!” สาวกอีกคนหนึ่งคืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรทูลขึ้นว่า “เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังข้าว บาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาเล็กๆ สองตัว แต่จะพออะไรกับคนมากมายขนาดนี้?” พระเยซูตรัสว่า “ให้ประชาชนนั่งลง” ที่นั่นมีหญ้ามาก พวกผู้ชายจึงนั่งลง พวกเขามีราวห้า พันคน แล้วพระเยซูทรงรับขนมปังมา ขอบพระคุณพระเจ้า และแจกจ่ายให้ผู้ที่นั่งอยู่ได้กินกัน มากเท่าที่เขาต้องการ พระองค์ทรงหยิบปลามาทําเช่นเดียวกัน เมื่อทุกคนอิ่มแล้ว พระองค์ตรัสสั่งเหล่าสาวกว่า “จงเก็บรวบรวมเศษที่เหลือ อย่าให้เสียของ” พวกเขาจึงเก็บเศษที่เหลือจากขนมปังข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนได้เต็มสิบสองตะกร้า หลังจากประชาชนเห็นหมายสําคัญที่พระเยซูได้ทรงกระทํา ก็เริ่มพูดกันว่า “นี่คือผู้เผยพระ วจนะนั้นที่จะเข้ามาในโลกอย่างแน่นอน” พระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาตั้งใจจะมาใช้กําลังบังคับ ให้พระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ จึงเสด็จเลี่ยงขึ้นไปบนภูเขาแต่ลําพังอีก 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
พระเยซูทรงดําเนินบนน้ํา
พอพลบค่าํ เหล่าสาวกของพระองค์มาทีท่ ะเลสาบ แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองคาเปอรนาอุม ขณะนั้นมืดแล้วและพระเยซูยังไม่ได้เสด็จไปสมทบกับพวกเขา ทะเลปั่นป่วนเพราะลมพัดจัด พวกเขาตีกรรเชียงไปได้ประมาณ 5 หรือ 6 กิโลเมตร ก็เห็นพระเยซูทรงดําเนินบนน้ําเข้ามาหา เรือ พวกเขาจึงตกใจกลัว แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” แล้วพวกเขา จึงเต็มใจรับพระองค์ขึ้นเรือ และทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่กําลังมุ่งหน้าไป 16
17
18
19
20
21
ยอห์น 6:1–13 เด็กชายคนนั้นอาจได้กินปลาแห้งที่ถูกจับได้ในทะเลกาลิลี ชาวยิวชอบกินปลาและ ปลาแห้งเป็นอาหารที่ดีที่เหมาะสําหรับการพกพาไปด้วยเมื่อมีการเดินทาง ปลาและอาหารทะเลอื่น ๆ เป็นส่วนสําคัญของการรับประทานอาหารของผู้คนทั่วทุก มุมโลกเสมอมา แต่น่าเสียดายที่ปลากําลังจะกลายเป็นสิ่งที่หายากมาก น้อง ๆ กิน ปลาที่บ้านหรือเปล่า? และน้อง ๆ ชอบปลาชนิดไหน? 166 | ยอหน 5:45
วันรุ่งขึ้นประชาชนที่อยู่อีกฟากเห็นว่าก่อนหน้านั้นที่นั่นมีเรืออยู่ลําเดียว และพระเยซูก็ไม่ได้ ลงเรือลํานั้นไปกับเหล่าสาวก พวกสาวกไปกันเองตามลําพัง มีเรือลําอื่นๆ จากทิเบเรียสมาจอด ใกล้ๆ ที่ซึ่งประชาชนได้กินขนมปังหลังจากพระเยซูได้ทรงขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว เมื่อพวกเขา เห็นว่าพระเยซูกับเหล่าสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น จึงลงเรือมายังเมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซู 22
23
24
พระเยซูคืออาหารแห่งชีวิต
เมื่อประชาชนพบพระองค์ที่อีกฟากของทะเลสาบก็ทูลถามพระองค์ว่า “รับบี ท่านมาถึงที่นี่ เมื่อใด?” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า พวกท่านตามหาเราไม่ใช่เพราะเห็นหมาย สําคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม อย่าขวนขวายหาอาหารที่เน่าเสียได้ แต่จงหาอาหารที่คง อยู่ถึงชีวิตนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน พระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรารับรองบุตรมนุษย์ แล้ว” แล้วพวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “พวกเราต้องทําประการใด เพื่อจะทํางานที่พระเจ้าทรง ประสงค์?” พระเยซูตรัสตอบว่า “งานของพระเจ้าคือ จงเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา” ดังนั้นพวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “ท่านจะให้หมายสําคัญอะไรเพื่อเราจะได้เห็นและ เชื่อท่าน? ท่านจะทําอะไรบ้าง? บรรพบุรุษของเราได้กินมานาในถิ่นกันดารตามที่มีเขียนไว้ว่า ‘พระองค์ประทานอาหารจากสวรรค์ให้พวกเขารับประทาน’” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่ใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์ นั้นแก่ท่าน แต่เป็นพระบิดาของเราที่ประทานอาหารแท้จากสวรรค์แก่ท่าน เพราะอาหารจาก พระเจ้า คือผู้ที่ลงมาจากสวรรค์และให้ชีวิตแก่โลก” พวกเขาทูลว่า “ท่านเจ้าข้า จากนี้ไปโปรดให้อาหารนี้แก่เราเถิด” แล้วพระเยซูประกาศว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่มีวันหิวโหยและผู้ที่เชื่อ ในเราจะไม่มีวันกระหายอีกเลย แต่ตามที่เราได้บอกท่านไว้แล้ว ท่านได้เห็นเราแต่ก็ยังไม่เชื่อ คนทั้งปวงที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่มีวันขับไล่เขา ไป เพราะเราได้ลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อทําตามใจของเราเองแต่เพื่อทําตามพระประสงค์ของ พระองค์ผู้ทรงส่งเรามา และพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาคือ ไม่ให้เราสูญเสียคน ทั้งปวงที่พระองค์ประทานแก่เราไปแม้สักคนเดียว แต่จะให้คนเหล่านี้เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะพระบิดาของเราทรงประสงค์ให้ทุกคนที่เห็นและเชื่อในพระบุตรมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะ ให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” แล้วพวกยิวจึงเริ่มพากันบ่นเกี่ยวกับพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารที่ลงมา จากสวรรค์” พวกเขาพูดว่า “นี่คือเยซูลูกชายของโยเซฟไม่ใช่หรือ? เราก็รู้จักพ่อแม่ของเขา เขา พูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์’?” พระเยซูตรัสตอบว่า “หยุดบ่นกันได้แล้ว ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่ง เรามานั้นทรงชักนําเขามาหาเรา และเราจะให้เขาเป็นขึ้นในวันสุดท้าย มีเขียนไว้ในหนังสือผู้ เผยพระวจนะว่า ‘เขาทั้งหลายจะรับการสอนจากพระเจ้า’ ทุกคนที่ฟังพระบิดาและเรียนรู้จาก พระองค์ก็มาหาเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา เว้นแต่ผู้ซึ่งมาจากพระเจ้าเท่านั้นที่ได้เห็นพระบิดา เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ที่เชื่อก็มีชีวิตนิรันดร์ เราเป็นอาหารแห่งชีวิต บรรพบุรุษของ ท่านได้กินมานาในถิ่นกันดาร ถึงกระนั้นพวกเขาก็ตาย แต่นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ซึ่งคนใด ได้กินแล้วจะไม่ตาย เราเป็นอาหารซึ่งให้ชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดได้กินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมี ชีวิตอยู่ตลอดไป อาหารนี้คือเนื้อของเราซึ่งเราจะให้เพื่อโลกนี้จะได้มีชีวิต” แล้วชาวยิวจึงเริ่มทุ่มเถียงกันอย่างรุนแรงว่า “ผู้นี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร?” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าหากท่านไม่กินเนื้อของบุตรมนุษย์ 25
26
27
28
29 30
31
32
33
34 35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52 53
ยอหน 6:53 | 167
และดื่มโลหิตของพระองค์ ท่านก็ไม่มีชีวิตอยู่ภายในตัวท่าน ผู้ใดกินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้ นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้และ โลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ ผู้ใดกินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตอยู่เพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเราก็จะมี ชีวิตอยู่เพราะเราฉันนั้น นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ บรรพบุรุษของท่านกินมานาและตายไป แต่ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” พระองค์ตรัสสิ่งเหล่านี้ขณะทรงสั่งสอนอยู่ในธรรมศาลา ในเมืองคาเปอรนาอุม 54
55
56
57
58
59
สาวกหลายคนเลิกติดตามพระเยซู
สาวกของพระองค์หลายคนได้ฟังเช่นนั้นก็พูด ว่า “คําสอนนี้ยากจริง ใครจะรับได้?” พระเยซูทรงทราบว่าเหล่าสาวกของพระองค์กําลังบ่นกันเรื่องนี้ ก็ตรัสกับพวกเขาว่า “เรื่องนี้ ทําให้พวกท่านขุ่นเคืองใจหรือ? จะว่าอย่างไรถ้าท่านเห็นบุตรมนุษย์ขึ้นสู่สถานที่ซึ่งพระองค์เคย อยู่มาก่อน! พระวิญญาณประทานชีวิต เนื้อหนังไม่สําคัญอะไรเลย ถ้อยคําที่เรากล่าวกับท่านเป็น วิญญาณและเป็นชีวิต ถึงกระนั้นก็มีบางคนในพวกท่านที่ไม่เชื่อ” เนื่องจากพระเยซูทรงทราบ ตั้งแต่แรกว่าคนใดในพวกเขาที่ไม่เชื่อและใครจะทรยศพระองค์ พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เพราะ เหตุนี้เราจึงได้บอกท่านว่า ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาจะทรงโปรดให้เขามา” ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็หันกลับและเลิกติดตามพระองค์ พระเยซูตรัสถามสาวกทั้งสิบสองคนว่า “แล้วพวกท่านจะจากไปด้วยหรือ?” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า เราจะไปหาใคร? พระองค์ทรงมีถอ้ ยคําแห่งชีวติ นิรนั ดร์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเชื่อและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า” แล้วพระเยซูจึงตรัสตอบว่า “เราได้เลือกพวกท่านทั้งสิบสองคนไม่ใช่หรือ? ถึงกระนั้นคนหนึ่ง ในพวกท่านคือมารร้าย!” (พระองค์ทรงหมายถึงยูดาสผู้เป็นบุตรของซีโมนอิสคาริโอท ถึงแม้ ยูดาสเป็นหนึ่งในสาวกสิบสองคน แต่ภายหลังเขาก็ทรยศพระองค์) 60 61
62
63
64
65
66 67 68
69
70
71
พระเยซูในเทศกาลอยู่เพิง
หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี แต่พระองค์ทรงเจตนาเลี่ยงให้ห่างจากแคว้นยูเดีย 7 เพราะพวกยิ วที่นั่นคอยที่จะฆ่าพระองค์ แต่เมื่อใกล้ถึงเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิว บรรดาน้อง 2
3
ชายของพระเยซูทูลพระองค์ว่า “ท่านควรจะออกจากที่นี่ไปยังแคว้นยูเดียเพื่อสาวกของท่านจะได้ เห็นการอัศจรรย์ต่างๆ ที่ท่านทํา ไม่มีใครอยากเป็นที่รู้จักของสาธารณชนแล้วยังทําอะไรเงียบๆ ในเมื่อท่านกําลังทําสิ่งเหล่านี้ก็จงแสดงตัวต่อโลก” เพราะแม้แต่บรรดาน้องชายของพระองค์เองก็ ไม่เชื่อพระองค์ เหตุฉะนั้นพระเยซูจึงตรัสบอกพวกเขาว่า “เวลาที่เหมาะสมสําหรับเรายังมาไม่ถึง สําหรับพวก ท่านเวลาใดก็เหมาะสม โลกไม่อาจเกลียดชังพวกท่านแต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่า สิ่งที่โลกทํานั้นชั่ว พวกท่านไปร่วมเทศกาลเถิดแต่เรายังไม่ไป เพราะเวลาที่เหมาะสมสําหรับเรา ยังมาไม่ถึง” เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็ยังคงประทับที่แคว้นกาลิลี แต่หลังจากที่พวกน้องชายของพระองค์ไปงานเทศกาลแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปด้วยอย่าง เงียบๆ โดยไม่เปิดเผย ที่งานเทศกาล พวกยิวมองหาพระองค์และถามว่า “คนนั้นอยู่ที่ไหน?” ประชาชนพากันซุบซิบถึงพระองค์กันใหญ่ บางคนก็ว่า “เขาเป็นคนดี” บางคนแย้งว่า “ไม่ใช่ เขาล่อลวงประชาชนต่างหาก” แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงพระองค์อย่างเปิด เผยเพราะกลัวพวกยิว 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
พระเยซูตรัสสั่งสอนในเทศกาล
เมื่อล่วงไปถึงกลางเทศกาลแล้ว พระเยซูก็เสด็จไปที่ลานพระวิหารและเริ่มต้นสั่งสอน พวก ยิวประหลาดใจและถามกันว่า “คนนี้ได้ความรู้เช่นนี้มาได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่ได้เรียนมา?” 14
168 | ยอหน 6:54
15
พระเยซูตรัสตอบว่า “คําสอนของเราไม่ใช่ของเราเองแต่มาจากพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ถ้าผู้ ใดเลือกที่จะทําตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นจะรู้ว่าคําสอนของเรามาจากพระเจ้าหรือเราพูด เอาเอง คนที่พูดเอาเองก็พูดเพื่อหาเกียรติใส่ตัว แต่ผู้ที่ทํางานเพื่อพระเกียรติของพระองค์ผู้ทรง ส่งเขามาก็เป็นคนของความจริง ในตัวเขาไม่มีความเท็จเลย โมเสสได้ให้บทบัญญัติแก่พวกท่าน ไม่ใช่หรือ? แต่ในพวกท่านไม่มีสักคนที่รักษาบทบัญญัติ ทําไมพวกท่านพยายามที่จะฆ่าเรา?” ฝูงชนตอบว่า “เจ้ามีผีสิงอยู่ ใครพยายามจะฆ่าเจ้า?” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราได้ทําการอัศจรรย์อย่างหนึ่ง และพวกท่านทั้งปวงพากัน ประหลาดใจ ถึงกระนั้นเพราะโมเสสให้พวกท่านเข้าสุหนัต (ถึงแม้ว่าอันที่จริงแล้ว การเข้าสุหนัต ไม่ได้มาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ) พวกท่านก็ให้ทารกเข้าสุหนัตในวันสะบาโต ในเมื่อเด็ก ยังเข้าสุหนัตในวันสะบาโตได้เพื่อไม่ให้ละเมิดบทบัญญัติของโมเสส ก็แล้วทําไมพวกท่านโกรธเราที่ รักษาคนทั้งคนให้หายโรคในวันสะบาโตเล่า? จงเลิกตัดสินตามที่เห็นเพียงภายนอก แต่จงตัดสิน ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง” 16
17
18
19
20 21
22
23
24
พระเยซูคือพระคริสต์หรือ
เมื่อถึงตอนนี้ ชาวเยรูซาเล็มบางคนเริ่มถามขึ้นว่า “ชายคนนี้ไม่ใช่หรือที่พวกเขาพยายามจะ ฆ่า? เขาอยู่ที่นี่และกําลังพูดอยู่อย่างเปิดเผย แต่พวกนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาสักคํา พวกผู้มีอํานาจ สรุปแน่นอนแล้วใช่ไหมว่าเขาคือพระคริสต์? แต่เรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน เมื่อพระคริสต์เสด็จมา จะไม่มีใครรู้ว่าพระองค์ทรงมาจากไหน” ดังนั้นขณะพระเยซูกําลังสอนอยู่ในลานพระวิหาร พระองค์ก็ตะโกนว่า “ใช่ พวกท่านรู้จัก เราและรู้ว่าเรามาจากไหน เราไม่ได้มาเอง แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามานั้นทรงสัตย์จริง ท่านไม่รู้จัก พระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ทรงส่งเรามา” เมื่อได้ฟังดังนั้นพวกเขาก็พยายามจะจับพระเยซูแต่ไม่มีใครลงมือกับพระองค์ เพราะยังไม่ถึง เวลาของพระองค์ แต่ประชาชนหลายคนก็มีความเชื่อในพระองค์ พวกเขาพูดว่า “เมื่อพระคริสต์ เสด็จมา พระองค์จะทรงกระทําหมายสําคัญมากมายยิ่งกว่าท่านผู้นี้หรือ?” พวกฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบกันเรื่องพระองค์เช่นนั้น พวกหัวหน้าปุโรหิตกับฟาริสีจึงส่ง ยามพระวิหารมาจับพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “เราอยู่กับพวกท่านเพียงชั่วระยะสั้นๆ แล้วเราจะไปหาพระองค์ผู้ทรงส่งเรา มา พวกท่านจะหาเราแต่ไม่พบ และที่ซึ่งเราอยู่ ท่านไม่สามารถไปได้” พวกยิวจึงพูดกันว่า “ชายผู้นี้ตั้งใจจะไปที่ไหนที่เราไม่อาจหาเขาพบ? เขาจะไปหาคนของเราที่ กระจัดกระจายอยู่ในหมู่ชาวกรีก และไปสอนพวกกรีกหรือ? เขาหมายความว่าอย่างไรเมื่อพูดว่า ‘พวกท่านจะหาเราแต่ไม่พบ’ และ ‘ที่ซึ่งเราอยู่ ท่านไม่สามารถไปได้’?” ในวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันสําคัญที่สุดของเทศกาล พระเยซูทรงยืนขึ้นและตรัสเสียงดังว่า “ถ้าผู้ใด กระหาย ให้เขามาหาเราและดื่มเถิด ดังที่พระคัมภีร์เขียนไว้ ผู้ใดก็ตามที่เชื่อในเรา สายธารซึ่งมี น้ําที่ให้ชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น” ที่ตรัสดังนี้พระองค์ทรงหมายถึงพระวิญญาณ ซึ่งผู้ที่ เชื่อในพระองค์จะได้รับในภายหลัง เวลานั้นยังไม่ได้ประทานพระวิญญาณให้ เนื่องจากพระเยซูยัง ไม่ได้รับพระเกียรติสิริ เมื่อได้ยินคําตรัสของพระองค์ ประชาชนบางคนพูดว่า “ชายผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะนั้นอย่าง แน่นอน” บางคนก็วา่ “ท่านผูน้ เ้ี ป็นพระคริสต์” แต่ยงั มีคนอืน่ ๆ อีกถามว่า “พระคริสต์จะมาจาก กาลิลไี ด้อย่างไร? พระคัมภีรบ์ อกไว้ไม่ใช่ หรือว่า พระคริสต์จะมาจากครอบครัวของดาวิดและจากเบธเลเฮมเมืองทีด่ าวิดอยู?่ ” ด้วยเหตุน้ี ประชาชนจึงแตกแยกกันเพราะพระเยซู บางคนต้องการจับพระองค์ แต่ไม่มใี ครลงมือจับพระองค์ 25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
ยอหน 7:44 | 169
พวกผู้นํายิวไม่เชื่อในพระเยซู
ในที่สุดพวกยามพระวิหารจึงกลับไปหาพวกหัวหน้าปุโรหิตและฟาริสี คนเหล่านั้นถามยาม พระวิหารว่า “ทําไมพวกเจ้าไม่จับเขามา?” พวกยามประกาศว่า “ไม่เคยมีใครพูดแบบชายผู้นี้เลย” พวกฟาริสีย้อนว่า “พวกเจ้าหมายความว่าเขาได้ล่อลวงพวกเจ้าให้หลงไปด้วยหรือ? มีผู้นํา หรือฟาริสีคนไหนบ้างที่เชื่อเขา? ไม่มีเลย! ฝูงชนพวกนี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบทบัญญัติเลย พวกเขา ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว” นิโคเดมัสซึ่งก่อนหน้านั้นมาหาพระเยซูและเป็นคนหนึ่งในพวกเขาถามขึ้นว่า “กฎหมายของ เราลงโทษใครโดยไม่ฟังเขาก่อนว่าเขาทําอะไรหรือ?” พวกนั้นตอบว่า “ท่านก็มาจากกาลิลีด้วยหรือ? จงไปค้นพระคัมภีร์ดู แล้วท่านจะพบว่าผู้เผย พระวจนะ ไม่ได้มาจากกาลิลี” 45
46 47
48
49
50
51
52
(ต้นฉบับที่เก่าแก่และน่าเชื่อถือที่สุดหลายสําเนา ตลอดจนหลักฐานอื่นๆ ไม่มียอห์น 7:53—8:11)
จากนั้นต่างคนต่างกลับบ้านของตน แต่พระเยซูเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ พอรุ่งสาง 8 พระองค์ ทรงมาที่ลานพระวิหารอีก คนทั้งปวงพากันมาชุมนุมอยู่รอบพระองค์และพระเยซู 53
2
ประทับนั่งเพื่อสั่งสอนพวกเขา เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสีนําตัวหญิงคนหนึ่งมา นางถูก จับฐานล่วงประเวณี พวกเขาให้นางยืนอยู่ต่อหน้าคนกลุ่มนั้น แล้วทูลพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ หญิงผู้นี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในหนังสือบทบัญญัติโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างหญิงที่ทําอย่างนี้ ท่านจะว่าอย่างไร?” เขาใช้คําถามนี้เป็นกับดักเพื่อหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ แต่พระเยซูทรงโน้มพระกายลงและทรงใช้นิ้วพระหัตถ์เขียนที่พื้น เมื่อพวกเขายังถามไม่หยุด พระองค์ก็ทรงยืดพระกายขึ้นแล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าผู้ใดในพวกท่านไม่มีบาป ให้ผู้นั้นเอาหิน ขว้างนางเป็นคนแรก” แล้วทรงโน้มพระกายลงเขียนที่พื้นอีก ถึงตรงนี้พวกที่ได้ยินก็ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่จนเหลือแต่พระเยซูกับหญิง คนนั้นซึ่งยังคงยืนอยู่ พระเยซูก็ทรงยืดพระกายขึ้นตรัสถามว่า “หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนกัน หมด? ไม่มีใครเอาโทษเจ้าเลยหรือ?” นางทูลว่า “ไม่มีเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูประกาศว่า “เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเช่นกัน บัดนี้จงไปเถิด และจงทิ้งวิถีชีวิตที่ผิดบาปของ เจ้า” 3
4
5
6
7
8
9
10
11
คําพยานของพระเยซูเชื่อถือได้
เมื่อพระเยซูตรัสกับประชาชนอีก พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินในความมืดเลยแต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” พวกฟาริสจี งึ ท้าทายพระองค์วา่ “นัน่ ไง ท่านเป็นพยานให้ตวั เอง คําพยานของท่านเชือ่ ถือไม่ได้” พระเยซูตรัสตอบว่า “แม้เราเป็นพยานให้ตัวเอง คําพยานของเราก็เชื่อถือได้ เพราะเรารู้ว่าเรา มาจากไหนและจะไปไหน แต่พวกท่านไม่รู้เลยว่าเรามาจากไหนหรือจะไปไหน ท่านตัดสินตาม มาตรฐานของมนุษย์ ส่วนเราไม่ตัดสินใคร แต่ถ้าเราตัดสิน คําตัดสินของเราก็ถูกต้องเพราะเราไม่ ได้ทําไปโดยลําพัง พระบิดาผู้ทรงส่งเรามาสถิตกับเรา ในหนังสือบทบัญญัติของท่านเองก็เขียนไว้ ว่าคําพยานของคนสองคนเชื่อถือได้ เราเป็นพยานให้ตัวเอง และพยานอีกผู้หนึ่งของเราคือพระ บิดาผู้ทรงส่งเรามา” พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “บิดาของท่านอยู่ที่ไหน?” พระเยซูตรัสว่า “ท่านไม่รู้จักเราหรือพระบิดาของเรา ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านย่อมรู้จักพระบิดา ของเราด้วย” พระเยซูตรัสดังนี้ขณะทรงสอนอยู่ในบริเวณพระวิหารใกล้กับที่วางของถวาย แต่ก็ ไม่มีใครจับพระองค์เพราะยังไม่ถึงเวลาของพระองค์ 12
13 14
15
16
17
18
19
20
170 | ยอหน 7:45
พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “เรากําลังจะไป พวกท่านจะหาเรา และพวกท่านจะ ตายในบาปของพวกท่าน ที่ซึ่งเราไปนั้นพวกท่านไม่สามารถไปได้” คําตรัสนี้ทําให้พวกยิวถามกันว่า “เขาจะฆ่าตัวตายหรือ? เพราะเหตุนั้นใช่ไหมเขาจึงพูดว่า ‘ที่ ซึ่งเราไปนั้นพวกท่านไม่สามารถไปได้’?” แต่พระองค์ตรัสต่อไปว่า “พวกท่านมาจากเบื้องล่าง เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ เราบอกแล้วว่าท่านจะตายในบาปของท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น ท่านจะตายในบาปของท่านอย่างแน่นอน” พวกเขาทูลถามว่า “ท่านเป็นใคร?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ก็อย่างที่เราอ้างมาโดยตลอด เรามีหลายอย่างที่จะพูดในการตัดสินท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามานั้นเชื่อถือได้ และสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระองค์นั้นเราก็แจ้งแก่โลก” พวกเขาไม่เข้าใจที่พระองค์กําลังบอกพวกเขา เกี่ยวกับพระบิดาของพระองค์ ดังนั้นพระเยซู จึงตรัสว่า “เมื่อท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้นตรึงบนไม้กางเขนแล้ว แล้วท่านจะรู้ว่าเราเป็นผู้ที่เราอ้างว่า เราเป็น และเราไม่ได้ทําอะไรโดยลําพังแต่พูดตามที่พระบิดาได้ทรงสอนไว้ พระองค์ผู้ทรงส่งเรา มาสถิตกับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลําพังเพราะเราทําสิ่งที่พระองค์พอพระทัยเสมอ” เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็มีความเชื่อในพระองค์ 21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
ลูกหลานของอับราฮัม
พระเยซูตรัสกับชาวยิวที่ได้เชื่อพระองค์ว่า “ถ้าท่านยึดมั่นในคําสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวก ของเราจริงๆ แล้วท่านจะรู้จักความจริงและความจริงจะทําให้ท่านเป็นไท” พวกเขาตอบว่า “เราเป็นลูกหลานของอับราฮัมไม่เคยเป็นทาสใคร ท่านพูดมาได้อย่างไรว่าเรา จะเป็นไท?” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าทุกคนที่ทําบาปก็เป็นทาสของบาป ทาส ไม่ได้อยู่ในครอบครัวตลอดไปแต่บุตรต่างหากที่เป็นของครอบครัวตลอดไป ฉะนั้นหากพระบุตร ช่วยให้ท่านเป็นไท ท่านก็จะเป็นไทอย่างแท้จริง เรารู้ว่าท่านเป็นลูกหลานของอับราฮัม กระนั้น ท่านก็พร้อมที่จะฆ่าเราเพราะท่านไม่เชื่อคําพูดของเราเลย เรากําลังบอกท่านถึงสิ่งที่เราได้เห็น เมื่ออยู่กับพระบิดา และท่านก็ทําสิ่งที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่าน” พวกเขาทูลตอบว่า “อับราฮัมคือบิดาของเรา” พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านเป็นลูกหลานของอับราฮัม ท่านคงจะทําสิ่งที่อับราฮัมได้ทํา แต่นี่ท่าน ตั้งใจแน่วแน่จะฆ่าเราผู้บอกความจริงซึ่งเราได้ยินจากพระเจ้าแก่ท่าน อับราฮัมไม่ทําเช่นนี้ ท่าน กําลังทําสิ่งที่บิดาของท่านเองทํา” 31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
ยอห์น 8:12 นอง ๆ เคยอยูในหองมืดและอยู ๆ ก็มีคนมาเปดไฟหรือจุดเทียนหรือไม? เกิดอะไร ขึ้น? นอง ๆ สามารถมองเห็นวาของทุกสิ่งอยูตรงไหนและทุกคนอยูที่ไหนไดในทันที ทันใด ใหนอง ๆ วาดภาพเทียนที่มีเปลวไฟสีเหลืองสดใส แลวเขียนยอหน 8:12 ไวใต ภาพและทองจํามันไว เมื่อพระเยซูทรงสถิตอยูกับเรา มันจะเหมือนกับวามีแสงสอง สวางสดใส พระองคทรงแสดงใหเราเห็นวาเราจะตองทําอะไรบาง หากเราติดสนิทอยู กับพระองคแลว เราก็จะอยูในแสงไฟสวางเสมอ ยอหน 8:41 | 171
พวกเขาคัดค้านว่า “เราไม่ใช่ลูกนอกสมรส เรามีพระบิดาองค์เดียวคือพระเจ้าเท่านั้น” ลูกของมาร
พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “หากพระเจ้าเป็นพระบิดาของท่าน ท่านก็คงจะรักเราเพราะเรา มาจากพระเจ้าและบัดนี้เราอยู่ที่นี่แล้ว เราไม่ได้มาเองแต่พระองค์ทรงส่งเรามา ทําไมท่านจึงไม่ เข้าใจคําพูดของเรา? ก็เพราะท่านไม่สามารถรับฟังสิ่งที่เราพูด ท่านเป็นของมารผู้เป็นบิดาของ ท่านและท่านต้องการทําตามความประสงค์ของบิดาของท่าน มารเป็นผู้ฆ่าคนมาตั้งแต่แรก มัน ไม่ได้ยึดมั่นในความจริงเพราะไม่มีความจริงอยู่ในมาร เมื่อพูดโกหกมันก็พูดตามสันดานของมัน เพราะมารเป็นผู้มุสาและเป็นบิดาแห่งคํามุสา แต่เพราะเราพูดความจริง ท่านจึงไม่เชื่อเรา! มี ใครในพวกท่านที่พิสูจน์ได้ว่าเราทําผิดบาป? ถ้าเราพูดความจริงทําไมท่านจึงไม่เชื่อเรา? ผู้ที่เป็น คนของพระเจ้าย่อมรับฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัส เหตุที่พวกท่านไม่ยอมรับฟังก็เพราะพวกท่านไม่ได้เป็น ของพระเจ้า” 42
43
44
45
46
47
พระเยซูตรัสเกี่ยวกับพระองค์เอง
พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า “เราพูดถูกไม่ใช่หรือว่าท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิง?” พระเยซูตรัสว่า “เราไม่ได้ถูกผีสิง แต่เราถวายพระเกียรติแด่พระบิดาของเราและท่านหลู่ เกียรติเรา เราไม่ได้แสวงหาเกียรติให้ตัวเองแต่มีผู้หนึ่งหาให้เราและพระองค์ทรงเป็นผู้ตัดสิน เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดประพฤติตามคําของเรา ผู้นั้นก็จะไม่พบกับความตายเลย” เมื่อพวกยิวได้ยินเช่นนี้ก็ร้องว่า “เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าท่านถูกผีสิง! อับราฮัมตายไปแล้ว เหล่าผู้ เผยพระวจนะก็ตายไปแล้วเช่นกัน กระนั้นท่านยังมาพูดว่าถ้าผู้ใดประพฤติตามคําของท่านผู้นั้นจะ ไม่ลิ้มรสความตายเลย ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราหรือ? อับราฮัมตายไปแล้ว เหล่าผู้ เผยพระวจนะก็เช่นกัน แล้วท่านคิดว่าตัวเองเป็นใคร?” พระเยซูตรัสตอบว่า “หากเรายกย่องตัวเองเกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย พระบิดาของเรา ซึ่งท่านบอกว่าเป็นพระเจ้าของท่านคือผู้ที่ยกย่องเรา ถึงแม้ว่าท่านไม่รู้จักพระองค์แต่เรารู้จัก พระองค์ หากเราพูดว่าเราไม่รู้จักเราก็เป็นคนโกหกเหมือนท่าน แต่นี่เรารู้จักพระองค์และทําตาม พระดํารัสของพระองค์ อับราฮัมบิดาของท่านปีติยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา เขาก็ได้เห็นแล้วและ มีความยินดี” พวกยิวทูลพระองค์ว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ยอห์น 9:1–5 และท่านได้เห็นอับราฮัมแล้วเชียวหรือ!” พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เรามักต้องการที่จะรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ ก่อนอับราฮัมเกิด เราก็เป็นอยู่แล้ว!” เมื่อได้ยินเช่น นี้พวกเขาจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์แต่พระ มาจากไหน และเรามักจะถามว่า ‘ทําไม?’ และ ‘อย่างไร?’ เยซูทรงเลี่ยงหลบและเสด็จออกไปจากบริเวณพระ ชาวยิวเชื่อว่าการเจ็บป่วยและความ วิหาร ทุกข์นั้นเกิดจากความผิดบาป ถ้า พระเยซูทรงรักษาชายตาบอดแต่กา ํ เนิด น้อง ๆ ป่วยหรือประสบกับความ ขณะเสด็จไปตามทางพระองค์ทรงเห็นชายตาบอด ยากลําบาก ก็หมายความว่าน้อง ๆ 9 แต่กําเนิดคนหนึ่ง เหล่าสาวกทูลถามพระองค์ว่า ได้ทําอะไรผิดซักอย่าง “รับบี ใครกันที่ทําบาป ชายผู้นี้หรือบิดามารดาของ พระเยซูตรัสว่ามันไม่ใช่ความจริง เขา เขาจึงเกิดมาตาบอด?” พระเยซูตรัสว่า “ไม่ใช่คนนี้หรือบิดามารดาของเขา และในตอนที่พระองค์ทรงรักษาโรค ให้กับผู้ป่วย พระองค์ได้แสดงให้เรา ที่ทําบาป แต่การนี้เกิดขึ้นเพื่อสําแดงพระราชกิจของ พระเจ้าในชีวิตของเขา ตราบใดที่ยังเป็นเวลากลางวัน เห็นว่าพระองค์ทรงมีชัยชนะเหนือ ความเจ็บป่วย อยู่พวกเราต้องทํางานของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา 48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
2
3
4
172 | ยอหน 8:42
จวนจะถึงเวลากลางคืนแล้ว เวลานั้นไม่มีใครทํางานได้ ขณะที่เราอยู่ในโลก เราเป็นความสว่าง ของโลก” เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้แล้วก็ทรงบ้วนน้ําลายลงที่พื้นทําเป็นโคลนทาที่ตาของคนนั้น พระองค์ ตรัสสั่งเขาว่า “จงไปล้างออกที่สระสิโลอัมเถิด” (สิโลอัมแปลว่า ส่งไป) ชายคนนั้นจึงไปล้างโคลน ออกและขณะกลับบ้านก็มองเห็นได้ เพื่อนบ้านของเขาและผู้ที่เคยเห็นเขานั่งขอทานถามกันว่า “นี่เป็นชายคนเดียวกับคนที่เคยนั่ง ขอทานไม่ใช่หรือ?” บางคนก็ว่าใช่ บางคนก็ว่า “ไม่ใช่ เพียงแต่หน้าตาคล้ายๆ กัน” แต่ตัวเขาเองยืนยันว่า “ข้าพเจ้าคือชายคนนั้น” พวกเขาคาดคั้นว่า “แล้วตาของท่านหายบอดได้อย่างไร?” เขาตอบว่า “ชายคนที่เรียกกันว่าพระเยซูเอาโคลนทาที่ตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้าและสั่งให้ ข้าพเจ้าไปล้างออกที่สระสิโลอัม ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไปล้างออกแล้วข้าพเจ้าก็มองเห็นได้” พวกเขาถามว่า “ชายคนนั้นอยู่ที่ไหน?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ” 5
6
7
8
9
10 11
12
พวกฟาริสีสอบสวนเรื่องการรักษาคนตาบอด
พวกเขานําคนทีเ่ คยตาบอดมาพบพวกฟาริสี วันทีพ่ ระเยซูทรงทําโคลนรักษาตาของคนนัน้ ให้ หายบอดเป็นวันสะบาโต ดังนัน้ พวกฟาริสจี งึ ถามด้วยว่าเขามองเห็นได้อย่างไร คนนัน้ บอกว่า “เขา ผูน้ น้ั เอาโคลนทาทีต่ าทัง้ สองข้างของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไปล้างออกและเดีย๋ วนีข้ า้ พเจ้าก็มองเห็น” ฟาริสีบางคนพูดว่า “ชายผู้นี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเขาไม่ถือรักษาวันสะบาโต” แต่คนอื่นๆ ถามว่า “คนบาปจะทําหมายสําคัญเช่นนี้ได้อย่างไร?” พวกเขาจึงแตกแยกกัน ในที่สุดพวกเขาหันมาถามชายตาบอดอีกว่า “เจ้าจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับคนนั้น? ในเมื่อเขา ทําให้ตาของเจ้าหายบอด” เขาตอบว่า “เขาเป็นผู้เผยพระวจนะ” พวกยิวยังไม่เชื่อว่าเขาเคยตาบอดและกลับมองเห็นได้จนกระทั่งได้เรียกบิดามารดาของเขา มา พวกเขาถามว่า “นี่คือลูกชายของเจ้าใช่ไหม? นี่คือคนที่เจ้าบอกว่าตาบอดแต่กําเนิดใช่ไหม? เดี๋ยวนี้เขามองเห็นได้อย่างไร?” บิดามารดาของเขาตอบว่า “เรารู้ว่าเขาเป็นลูกของเราและเรารู้ว่าเขาตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เราไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เขามองเห็นได้อย่างไร หรือใครรักษาตาของเขาให้หายบอด จงถามเขาเถิด เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาพูดเองได้” บิดามารดาของเขาพูดเช่นนั้นเพราะกลัวพวกยิวเพราะพวกเขา ได้ตกลงกันไว้ว่าใครยอมรับพระเยซูเป็นพระคริสต์จะถูกอเปหิจากธรรมศาลา ฉะนั้นบิดามารดา ของเขาจึงบอกว่า “เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว จงถามเขาเถิด” พวกนั้นจึงเรียกตัวคนที่เคยตาบอดมาพบเป็นครั้งที่สองและพูดว่า “จงถวายพระเกียรติสิริแด่ พระเจ้าด้วยการพูดความจริง เรารู้ว่าคนนั้นเป็นคนบาป” เขาตอบว่า “เขาเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบก็คือข้าพเจ้าเคย ตาบอดแต่เดี๋ยวนี้มองเห็นแล้ว!” แล้วพวกเขาจึงถามว่า “เขาทําอะไรกับเจ้า? เขาทําอย่างไรตาของเจ้าจึงหายบอด?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าก็บอกไปแล้วและพวกท่านไม่ฟัง ทําไมท่านอยากฟังอีก? ท่านอยากเป็น สาวกของเขาด้วยหรือ?” แล้วพวกนั้นจึงพากันประณามเขาเป็นการใหญ่และกล่าวว่า “เจ้าเป็นสาวกของคนนั้น! ส่วน เราเป็นสาวกของโมเสส! เรารู้ว่าพระเจ้าตรัสกับโมเสส แต่ส่วนคนนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ําว่าเขามาจาก ไหน” ชายคนนั้นตอบว่า “แปลกจริงๆ! ท่านไม่รู้ว่าเขามาจากไหนแต่เขาก็รักษาตาของข้าพเจ้าให้ 13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26 27
28
29
30
ยอหน 9:30 | 173
ยอห์น 9:25 เมื่อชายตาบอดผู้ได้รับการรักษาจากพระเยซูถูกซักถามโดยชาวยิว เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้มองเห็นแล้ว!” จอห์น นิวตันได้นําคําเหล่านี้มาใช้ในตอนที่เขาเขียนเพลง “Amazing Grace” เขา บอกว่าก่อนที่เขาจะรู้จักกับพระเยซูเขาเหมือนกับคนตาบอด และเมื่อเขาค้นพบพระ คุณของพระเจ้า มันเหมือนกับว่าดวงตาของเขาได้ถูกเปิดออก ให้น้อง ๆ หาเนื้อเพลง ของเพลงนี้แล้วร้องมัน หายบอด พวกเรารู้ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงฟังคนบาป พระองค์ทรงฟังคนที่อยู่ในทางพระเจ้าผู้ทํา ตามพระประสงค์ของพระองค์ ไม่เคยมีใครได้ยินถึงการรักษาคนตาบอดแต่กําเนิดให้มองเห็นได้ หากชายผู้นั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาย่อมไม่สามารถทําอะไรได้เลย” พวกนั้นตอบโต้เขาว่า “เจ้าจมปลักอยู่ในบาปมาตั้งแต่เกิด เจ้ากล้าดีอย่างไรมาสั่งสอนเรา!” แล้วอเปหิเขาจากธรรมศาลา 31
32
33
34
ความมืดบอดฝ่ายจิตวิญญาณ
พระเยซูทรงได้ยินว่าพวกนั้นได้อเปหิเขา เมื่อทรงพบเขาพระองค์จึงตรัสว่า “ท่านเชื่อในบุตร มนุษย์หรือไม่?” ชายคนนั้นถามว่า “ท่านเจ้าข้า ใครคือบุตรมนุษย์? โปรดบอกเถิด ข้าพเจ้าจะได้เชื่อใน พระองค์” พระเยซูตรัสว่า “บัดนี้ท่านก็ได้เห็นพระองค์แล้ว อันที่จริงพระองค์คือผู้ที่กําลังพูดกับท่าน” คนนั้นจึงทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อ” และเขาก็กราบนมัสการพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “เราเข้ามาในโลกนี้เพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนตาบอดมองเห็นได้และให้คนที่ มองเห็นได้กลับตาบอด” ฟาริสีบางคนที่อยู่กับพระองค์ได้ยินเช่นนั้นก็ทูลถามว่า “อะไรกัน? เราตาบอดด้วยหรือ?” พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านตาบอดท่านก็คงจะไม่มีความผิดบาป แต่นี่ท่านอ้างว่าตัวเองมองเห็น บาปผิดของท่านจึงยังคงอยู่ 35
36
37 38
39
40 41
คนเลี้ยงแกะกับฝูงแกะของเขา
งแก่ท่านว่า คนที่ไม่ได้เข้าคอกแกะทางประตูแต่ปีนเข้าทางอื่นนั้นก็เป็น 10 “เราบอกความจริ ขโมยและเป็นโจร ส่วนคนที่เข้าทางประตูคือคนเลี้ยงแกะ ยามเปิดประตูให้คนนั้นและ 2
3
แกะฟังเสียงของเขา เขาเรียกแกะของเขาตามชื่อของมันและนําฝูงแกะออกไป เมื่อเขานําแกะ ทั้งหมดของเขาออกมาแล้วเขาก็เดินนําหน้า และแกะของเขาตามเขาไปเพราะรู้จักเสียงของเขา แต่แกะจะไม่มีวันตามคนแปลกหน้า อันที่จริงพวกมันจะวิ่งหนีเขาเพราะพวกมันไม่รู้จักเสียงของ คนแปลกหน้า” พระเยซูทรงใช้โวหารเปรียบเทียบนี้แต่เขาทั้งหลายไม่เข้าใจว่าพระองค์ทรงบอก อะไร ฉะนั้นพระเยซูจึงตรัสอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราเป็นประตูสําหรับแกะ คนทั้ง ปวงที่มาก่อนหน้าเราเป็นขโมยและโจร แต่แกะไม่ฟังพวกเขา เราเป็นประตูนั้น ผู้ใดเข้ามาทางเรา จะรอด เขาจะเข้าออกและพบทุ่งหญ้า ขโมยนั้นมาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทําลาย เราได้มาเพื่อเขา ทั้งหลายจะมีชีวิตและมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์ 4
5
6
7
8
9
10
174 | ยอหน 9:31
“เราเป็นคนเลี้ยงแกะที่ดี คนเลี้ยงที่ดีนั้นยอมพลีชีวิตเพื่อฝูงแกะ คนรับจ้างไม่ใช่คนเลี้ยงซึ่ง เป็นเจ้าของแกะ ดังนั้นเมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาก็ละทิ้งฝูงแกะและหนีไป แล้วสุนัขป่าก็เข้าทําร้ายฝูง แกะและทําให้แตกกระจัดกระจายไป คนนั้นหนีเพราะเขาเป็นคนรับจ้างและไม่ได้ห่วงแกะเลย “เราเป็นคนเลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเรารู้จักเรา เช่นเดียวกับที่พระบิดา ทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา และเราพลีชีวิตของเราเพื่อแกะนั้น เรามีแกะอื่นซึ่งไม่ใช่ของ คอกนี้เราต้องพามาด้วย แกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเราเช่นกันและจะรวมกันเป็นฝูงเดียว มีคน เลี้ยงคนเดียว เหตุที่พระบิดาของเราทรงรักเราก็เพราะเราพลีชีวิตของเราเพียงเพื่อจะรับชีวิตนั้น คืนมาอีก ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราแต่เราพลีชีวิตโดยสมัครใจ เรามีสิทธิ์ที่จะสละชีวิตและมีสิทธิ์ ที่จะรับชีวิตคืนมาอีก เราได้รับคําบัญชานี้จากพระบิดาของเรา” พระดํารัสเหล่านี้ทําให้พวกยิวแตกแยกกันอีกครั้ง หลายคนพูดว่า “เขาถูกผีสิงและคลุ้มคลั่ง ไปฟังเขาทําไม?” แต่คนอื่นๆ พูดว่า “นี่ไม่ใช่คําพูดของคนที่ถูกผีสิง ผีจะทําให้คนตาบอดมองเห็นได้หรือ?” 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
พวกยิวไม่เชื่อ
แล้วก็ถึงเทศกาลฉลองพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม ขณะนั้นเป็นช่วงฤดูหนาว และพระเยซูทรง ดําเนินอยู่ที่เฉลียงของโซโลมอนในลานพระวิหาร พวกยิวมาห้อมล้อมพระองค์และทูลว่า “ท่าน จะให้เราข้องใจอยู่นานเท่าใด? ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ก็บอกเรามาตรงๆ เถิด” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราได้บอกพวกท่านแล้วแต่พวกท่านไม่เชื่อ การอัศจรรย์ต่างๆ ที่เรา ทําในพระนามของพระบิดาของเราเป็นพยานให้แก่เรา แต่พวกท่านไม่เชื่อเพราะพวกท่านไม่ใช่ แกะของเรา แกะของเราฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะนั้นและแกะนั้นตามเรา เราให้ชีวิตนิรันดร์ แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้ พระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะนั้นแก่เราทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง ไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะนั้นจากพระหัตถ์พระ บิดาของเราได้ เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกยิวหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราได้สําแดงสิ่งดีมากมายจากพระบิดาให้พวกท่านเห็น พวกท่านหยิบก้อนหินจะขว้างเราเพราะ เหตุใด?” พวกยิวตอบว่า “ที่เราจะขว้างก้อนหินใส่ท่านไม่ใช่เพราะสิ่งดีที่ท่านทําแต่เพราะท่านพูดหมิ่น ประมาทพระเจ้า เนื่องจากท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่อ้างตัวเป็นพระเจ้า” พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “มีเขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติของท่านไม่ใช่หรือว่า ‘เราได้ กล่าวว่าพวกเจ้าเป็นเทพเจ้า’? คนเหล่านั้นที่พระวจนะของพระเจ้ามีมาถึงถูกเรียกว่าเทพเจ้า และถ้าพระคัมภีร์ถูกต้องเสมอ แล้วท่านจะว่าเราพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าได้อย่างไร เมื่อเรา กล่าวว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’ ในเมื่อพระบิดาเป็นผู้เลือกและส่งเราเข้ามาในโลกนี้? ถ้าเรา ไม่ได้ทําสิ่งที่พระบิดาของเราทรงกระทําก็อย่าเชื่อเราเลย แต่ถ้าเราทําสิ่งนั้น แม้ท่านไม่เชื่อเราก็ จงเชื่อสิ่งที่เราทําเถิด เพื่อท่านจะได้รู้และเข้าใจว่าพระบิดาทรงอยู่ในเราและเราอยู่ในพระบิดา” อีกครั้งหนึ่งที่พวกเขาพยายามจะจับพระองค์แต่ทรงรอดพ้นเงื้อมมือของเขาไป จากนั้นพระเยซูทรงข้ามแม่น้ําจอร์แดนกลับไปยังที่ซึ่งเมื่อก่อนยอห์นเคยให้บัพติศมา พระองค์ ประทับอยู่ที่นั่น ผู้คนมากมายมาหาพระองค์และพูดว่า “ถึงแม้ยอห์นไม่เคยทําหมายสําคัญใดๆ เลย แต่ทุกอย่างที่ยอห์นบอกเกี่ยวกับท่านผู้นี้ล้วนเป็นจริง” และที่นั่นมีหลายคนเชื่อในพระเยซู 22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
ลาซารัสสิ้นชีวิต
่งชื่อลาซารัสป่วยอยู่ เขามาจากเบธานี หมู่บ้านที่มารีย์กับมารธาพี่สาวของนาง 11 ชายคนหนึ อยู่ มารีย์ซึ่งลาซารัสน้องชายของนางป่วยอยู่นี้ เป็นคนเดียวกับหญิงที่รินน้ํามันหอมชโลม 2
พระเยซูและใช้ผมของนางเช็ดพระบาทของพระองค์ ดังนั้นพี่สาวทั้งสองจึงให้คนมาทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้ที่พระองค์ทรงรักนั้นกําลังป่วยอยู่” 3
ยอหน 11:3 | 175
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วพระเยซูก็ตรัสว่า “ความเจ็บป่วยนี้ไม่ถึงตายแต่เกิดขึ้นเพื่อพระเกียรติสิริ ของพระเจ้า เพื่อให้พระบุตรของพระเจ้าได้รับเกียรติสิริโดยการนี้” พระเยซูทรงรักมารธากับน้อง สาวของนางและลาซารัส กระนั้นเมื่อทรงได้ข่าวว่าลาซารัสป่วยก็ยังประทับอยู่ที่เดิมอีกสองวัน จากนั้นพระองค์จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ให้เรากลับไปที่แคว้นยูเดียกันเถิด” พวกเขาทูลว่า “แต่รับบี เมื่อไม่นานมานี้เองพวกยิวพยายามจะเอาหินขว้างพระองค์แล้ว พระองค์ยังจะทรงกลับไปที่นั่นอีกหรือ?” พระเยซูตรัสตอบว่า “กลางวันมีสิบสองชั่วโมงไม่ใช่หรือ? ผู้ที่เดินในเวลากลางวันจะไม่สะดุด เพราะเขามองเห็นโดยความสว่างของโลกนี้ เขาสะดุดเมื่อเขาเดินตอนกลางคืนเพราะเขาไม่มี ความสว่าง” หลังจากที่พระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ตรัสบอกพวกเขาต่อไปว่า “ลาซารัสเพื่อนของเรา หลับไปแล้วแต่เราจะไปที่นั่นเพื่อปลุกเขาขึ้นมา” เหล่าสาวกของพระองค์ทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า หากเขาหลับอาการก็คงจะดีขึ้น” พระ เยซูได้ตรัสถึงความตายของลาซารัสแต่พวกสาวกคิดว่าทรงหมายถึงการนอนหลับธรรมดา ดังนั้นพระองค์จึงทรงบอกพวกเขาตรงๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว เพราะเห็นแก่พวกท่านเราจึง ดีใจที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อท่านจะได้เชื่อ แต่ให้พวกเราไปหาเขากันเถิด” โธมัสที่เรียกกันว่า ดิไดมัส พูดกับเหล่าสาวกคนอื่นๆ ว่า “ให้เราไปด้วยกันเถิด เพื่อเราจะได้ ตายกับพระองค์” 4
5
6
7 8
9
10
11
12
13
14
15
16
พระเยซูทรงปลอบใจพี่สาวทั้งสองของลาซารัส
เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงก็พบว่าลาซารัสอยู่ในหลุมฝังศพสี่วันแล้ว หมู่บ้านเบธานีห่างจาก กรุงเยรูซาเล็มไม่ถึง 3 กิโลเมตร ชาวยิวหลายคนมาหามารธากับมารีย์เพื่อปลอบใจพวกนางที่ สูญเสียน้องชาย เมื่อมารธาได้ยินว่าพระเยซูกําลังเสด็จมาก็ออกไปต้อนรับพระองค์ แต่มารีย์ยัง อยู่ที่บ้าน มารธาทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพระองค์ทรงอยู่ที่นี่น้องชายของข้าพระองค์คงไม่ ตาย แต่ข้าพระองค์รู้ว่าแม้ขณะนี้สิ่งใดๆ ที่ทรงขอ พระเจ้าก็จะประทานแก่พระองค์” พระเยซูตรัสกับนางว่า “น้องชายของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีก” มารธาทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ทราบว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในการเป็นขึ้นจากตายในวัน สุดท้าย” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราคือผู้ที่ทําให้คนเป็นขึ้นจากตายและให้ชีวิตแก่เขา ผู้ที่เชื่อในเรา จะมีชีวิตอยู่แม้ว่าเขาตายไป และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่และเชื่อในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ หรือไม่?” นางทูลว่า “เชื่อพระเจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์คือพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ เสด็จเข้ามาในโลก” หลังจากทูลดังนั้นแล้วนางก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาวและบอกว่า “พระอาจารย์มาที่นี่แล้ว และกําลังทรงถามหาเจ้า” เมื่อมารีย์ได้ฟังเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นมาหาพระองค์ ขณะนั้นพระเยซูยัง ไม่ได้เข้ามาในหมู่บ้านแต่ยังทรงอยู่ในที่ซึ่งมารธามาพบพระองค์ เมื่อพวกยิวที่คอยปลอบใจมารีย์ อยู่ที่บ้านเห็นว่านางรีบลุกขึ้นออกไป พวกเขาก็ตามนางมาเพราะคิดว่านางจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ฝัง ศพ เมื่อมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูประทับและเห็นพระองค์ นางก็หมอบลงแทบพระบาทและทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพระองค์ทรงอยู่ที่นี่น้องชายของข้าพระองค์คงไม่ตาย” เมื่อพระเยซูทรงเห็นนางร้องไห้และพวกยิวที่มากับนางร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงเป็นทุกข์ และสะเทือนพระทัยยิ่งนัก และตรัสถามว่า “พวกท่านวางเขาไว้ที่ไหน?” พวกเขาทูลว่า “มาทอดพระเนตรเถิด พระเจ้าข้า” 17
18
19
20
21
22
23 24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
176 | ยอหน 11:4
พระเยซูทรงร้องไห้ แล้วพวกยิวจึงพูดว่า “ดูสิ พระองค์ทรงรักเขามาก แค่ไหน!” แต่บางคนพูดว่า “พระองค์ผู้ทําให้คนตาบอดเห็น ได้ จะทําให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?”
ยอห์น 11:35
35 36
พระคัมภีร์ข้อนี้เป็นหนึ่งในข้อพระ คัมภีร์ที่สั้นที่สุดในพระคัมภีร์ และ เป็นข้อหนึ่งที่ง่ายต่อการจดจํา พระเยซูทรงให้ลาซารัสเป็นขึน ้ จากตาย น้ําตาเป็นของขวัญจากพระเจ้าที่จะ ช่วยให้เราแสดงออกในเวลาที่เราได้ อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูทรงสะเทือนพระทัยยิ่งนัก รับบาดเจ็บหรือรู้สึกโศกเศร้า พระองค์เสด็จมาที่อุโมงค์ฝังศพซึ่งเป็นถ้ําที่มีหินก้อน หนึ่งปิดทางเข้า พระองค์ตรัสว่า “เอาหินออก” พระเยซูทรงร้องไห้เพราะพระองค์ มารธาพี่สาวของผู้ตายทูลว่า “แต่พระองค์เจ้าข้า ทรงโศกเศร้าที่เพื่อนของพระองค์ได้ ป่านนี้คงมีกลิ่นเหม็นแล้วเพราะเขาอยู่ในอุโมงค์มาสี่ เสียชีวิตลง พวกเรา - ทั้งชายและ วันแล้ว” หญิง - ไม่จําเป็นต้องรู้สึกอายหรือ จากนั้นพระเยซูจึงตรัสว่า “เราบอกเจ้าแล้ว ละอายใจที่จะแสดงออกในเวลาที่ ไม่ใช่หรือว่าถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าจะเห็นพระเกียรติสิริของ เราได้รับบาดเจ็บหรือรู้สึกโศกเศร้า พระเจ้า?” เสียใจ ดังนั้นพวกเขาจึงเอาหินออก แล้วพระเยซูทรง แหงนพระพักตร์ขึ้นและตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงสดับฟังข้าพระองค์ ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงฟัง ข้าพระองค์เสมอ แต่ที่ทูลเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์ของผู้คนซึ่งยืนอยู่ที่นี่ เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่า พระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา” เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูทรงเรียกด้วยเสียงอันดังว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด!” ผู้ตายก็ออก มามีแถบผ้าลินินพันมือและเท้าของเขาและมีผ้าผืนหนึ่งคลุมศีรษะเว้นแต่ใบหน้าของเขาไว้ พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เอาผ้าพันศพออกและปล่อยเขาเถิด” 37
38
39
40
41
42
43
44
แผนสังหารพระเยซู
ดังนั้นชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์และได้เห็นสิ่งที่พระเยซูทรงกระทําก็เชื่อพระองค์ แต่ พวกเขาบางคนไปพบพวกฟาริสีและเล่าสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทําให้พวกนั้นฟัง แล้วบรรดา หัวหน้าปุโรหิตกับพวกฟาริสีจึงเรียกประชุมสภาแซนเฮดริน พวกเขาถามกันว่า “เราทําอะไรได้บ้าง? ชายคนนี้กําลังทําหมายสําคัญหลายอย่าง ถ้าเราขืน ปล่อยให้เขาทําแบบนี้ต่อไปทุกคนก็จะพากันเชื่อเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาเอาทั้งพระวิหารและ ชาติของเราไป” จากนั้นคนหนึ่งในพวกเขาชื่อคายาฟาสผู้เป็นมหาปุโรหิตประจําการในปีนั้นจึงพูดขึ้นว่า “พวก ท่านไม่รู้อะไรเลย! พวกท่านไม่ได้ตระหนักว่า สําหรับพวกท่านแล้ว การให้คนหนึ่งตายเพื่อ ประชาชนยังดียิ่งกว่าให้ทั้งชาติต้องพินาศ” เขาไม่ได้กล่าวดังนี้ตามความคิดของเขาเองแต่ในฐานะมหาปุโรหิตประจําการในปีนั้น เขา พยากรณ์ว่าพระเยซูจะตายเพื่อชนชาติยิว และไม่เพียงแต่ชนชาตินั้นแต่ยังตายเพื่อบุตรของ พระเจ้าที่กระจัดกระจายอยู่เพื่อนําพวกเขาเข้ามารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นมา พวกเขาจึงวางแผนจะเอาชีวิตของพระองค์ เพราะฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จในหมู่ชาวยิวอย่างเปิดเผยอีกต่อไปแต่ทรงปลีกตัวไปอยู่ที่หมู่ บ้านเอฟราอิมใกล้ถิ่นกันดาร พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นกับเหล่าสาวกของพระองค์ เมื่อใกล้ถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิว ผู้คนมากมายจากชนบทเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อ ร่วมชําระตนตามระเบียบพิธีก่อนเทศกาลปัสกา เขาทั้งหลายเฝ้ามองหาพระเยซู ขณะยืนอยู่ใน 45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
ยอหน 11:56 | 177
บริเวณพระวิหารพวกเขาถามกันว่า “ท่านคิดเห็นอย่างไร? พระองค์จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาล นี้เลยหรือ?” ฝ่ายพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกฟาริสีสั่งไว้ว่าถ้าผู้ใดรู้ว่าพระเยซูอยู่ที่ไหนให้มา รายงาน พวกเขาจะได้ไปจับพระองค์ 57
พระเยซูทรงรับการชโลมที่เบธานี
นก่อนถึงเทศกาลปัสกา พระเยซูเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานีถิ่นที่อยู่ของลาซารัสผู้ซึ่งพระ 12 หกวั เยซูทรงให้ฟื้นขึ้นจากตาย ที่นั่นมีงานเลี้ยงเป็นเกียรติแด่พระเยซู มารธาคอยปรนนิบัติอยู่ 2
ขณะนั้นลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะกับพระองค์ มารีย์นําน้ํามันหอมบริสุทธิ์ราคาแพงประมาณ ครึ่งลิตร มารินรดพระบาทของพระเยซูและใช้ผมของนางเช็ด กลิ่นน้ํามันหอมตลบอบอวลทั่วทั้ง บ้าน แต่สาวกคนหนึ่งของพระองค์คือยูดาสอิสคาริโอทซึ่งภายหลังทรยศพระองค์ได้คัดค้านขึ้นมาว่า “ทําไมไม่ขายน้ํามันหอมนี้และนําเงินไปแจกจ่ายให้คนยากจน? น้ํามันหอมนี้มีมูลค่าเท่ากับค่าแรง หนึ่งปีทีเดียว” เขาพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะห่วงใยคนจนแต่เพราะเขาเป็นขโมย ในฐานะผู้ถือกระเป๋า เงินเขาเคยยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในนั้นไป พระเยซูตรัสตอบว่า “ปล่อยนางเถิด {ตั้งใจไว้ว่า}นางควรจะเก็บน้ํามันหอมนี้ไว้สําหรับวันฝัง ศพของเรา จะมีคนจนอยู่ในหมู่ท่านเสมอแต่ท่านจะไม่มีเราอยู่ด้วยเสมอไป” ขณะเดียวกันมีชาวยิวหมู่ใหญ่รู้ว่าพระเยซูทรงอยู่ที่นั่นจึงพากันมา พวกเขาไม่ได้มาเพียงเพราะ พระองค์เท่านั้นแต่เพื่อจะได้เห็นลาซารัสผู้ซึ่งพระเยซูทรงให้เป็นขึ้นจากตายด้วย ฉะนั้นพวก หัวหน้าปุโรหิตจึงวางแผนจะฆ่าลาซารัสด้วย เพราะลาซารัสเป็นเหตุให้ชาวยิวหลายคนเปลี่ยนไป เชื่อพระเยซู 3
4
5
6
7
8
9
10
11
เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต
วันรุ่งขึ้นผู้คนมากมายที่มางานเทศกาลได้ข่าวว่าพระเยซูกําลังเสด็จมากรุงเยรูซาเล็ม พวก เขาถือทางอินทผลัมออกมารับเสด็จและโห่ร้องว่า “โฮซันนา!” “สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า!” “สรรเสริญองค์กษัตริย์แห่งอิสราเอล!” พระเยซูทรงพบลูกลาตัวหนึ่ง จึงทรงลานั้นเหมือนที่มีเขียนไว้ว่า 12
13
14
ยอห์น 12:1–7 ต้นไม้ พบว่านาร์ด (หรือโกฐชฎามังสี) ซึ่งเป็นน้ํามันที่มาจากรากของพืชที่เติบโตขึ้นใน ประเทศอินเดีย มันมีราคาแพงมากเพราะผู้คนต้องเดินทางออกไปไกลเพื่อค้นหามัน มันมีค่ามากกว่าเงินค่าแรงที่คนงานจะได้รับในหนึ่งปี ผู้คนได้ทําการผลิตน้ําหอมมา เป็นเวลาหลายพันปี ในตอนแรกพวกเขาใช้เพียงดอกไม้และเครื่องเทศเท่านั้น แต่ต่อ มาพวกเขาได้ใส่น้ํามันชนิดต่าง ๆ และเครื่องหอมเพิ่มลงไปด้วย 178 | ยอหน 11:57
“ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้ากําลังเสด็จมา ประทับนั่งมาบนลูกลา” ตอนแรกเหล่าสาวกไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ แต่เมื่อพระเยซูทรงได้รับพระเกียรติสิริแล้ว พวกเขาจึงตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้มีเขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์และเขาทั้งหลายได้กระทําเช่นนั้นถวาย พระองค์ ฝ่ายคนทั้งปวงที่อยู่ด้วยกับพระองค์เมื่อครั้งทรงเรียกลาซารัสออกจากหลุมฝังศพและทรงให้ เขาเป็นขึ้นจากตายก็แพร่ข่าวสืบต่อกันไป ประชาชนมากมายพากันมาเข้าเฝ้าพระองค์เพราะ ได้ยินมาว่าพระองค์ทรงกระทําหมายสําคัญนี้ ดังนั้นพวกฟาริสีจึงพูดกันว่า “เห็นไหม เราทํา อะไรไม่ได้เลย ดูสิ โลกทั้งโลกได้ตามเขาไปแล้ว!” 15
16
17
18
19
พระเยซูทํานายถึงการที่จะต้องสิ้นพระชนม์
ในหมู่ประชาชนที่ขึ้นไปเพื่อนมัสการในเทศกาลนั้นมีบางคนเป็นชาวกรีก พวกเขาไปหาฟีลิป ซึ่งมาจากเบธไซดาในแคว้นกาลิลีและขอร้องเขาว่า “ท่านเจ้าข้า พวกเราอยากเห็นพระเยซู” ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟีลิปมาทูลพระเยซู พระเยซูตรัสตอบว่า “ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระเกียรติสิริ เราบอกความจริงแก่ ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวสาลีไม่ได้ตกลงไปในดินและตายไปก็จะคงอยู่เพียงเมล็ดเดียว แต่ถ้าตายแล้วก็ จะเกิดผลให้มีเมล็ดอื่นๆ มากมาย ผู้ที่รักชีวิตจะสูญเสียชีวิต ส่วนผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ก็จะ รักษาชีวิตไว้และมีชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่รับใช้เราต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ ที่นั่นด้วย พระบิดาของเราจะให้เกียรติแก่ผู้ที่รับใช้เรา “ขณะนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์และเราจะว่าอย่างไร? จะว่า ‘ข้าแต่พระบิดา ขอทรงช่วยข้า พระองค์ให้พ้นจากยามนี้ไปเถิด’ อย่างนั้นหรือ? ไม่เลยเพราะเรามาถึงยามนี้ก็เพื่อเหตุนี้ ข้าแต่ พระบิดา ขอทรงทําให้พระนามของพระองค์ได้รับพระเกียรติสิริ!” แล้วมีพระสุรเสียงจากฟ้าสวรรค์ว่า “เราได้ทําให้พระนามนั้นรับพระเกียรติสิริแล้วและจะทําให้ พระนามนั้นรับพระเกียรติสิริอีก” ฝูงชนซึ่งอยู่ที่นั่นและได้ยินเสียงนี้ก็กล่าวว่าเกิดฟ้าร้อง คน อื่นๆ พูดว่าทูตสวรรค์องค์หนึ่งพูดกับพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “เสียงนี้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของพวกท่านมิใช่เพื่อเรา บัดนี้ได้เวลา พิพากษาโลกนี้แล้ว บัดนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกขับไล่ออกไป แต่เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินตรึง บนไม้กางเขน แล้วเราจะชักนําคนทั้งปวงมาหาเรา” พระองค์ตรัสดังนี้เพื่อสําแดงว่าพระองค์จะ สิ้นพระชนม์อย่างไร ฝูงชนพูดขึ้นว่า “พวกข้าพเจ้าทราบจากหนังสือบทบัญญัติว่า พระคริสต์จะทรงดํารงนิรันดร์ เหตุใดท่านจึงพูดว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น?’ ใครคือ ‘บุตรมนุษย์’ ผู้นี้?” แล้วพระเยซูตรัสบอกพวกเขาว่า “ท่านจะมีความสว่างอีกเพียงชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง จงเดินต่อไป ขณะที่ยังมีแสงสว่างก่อนที่ความมืดจะจู่โจมเข้ามา ผู้ที่เดินในความมืดไม่รู้ว่าตนกําลังไปไหน จง วางใจในความสว่างขณะที่ท่านยังมีความสว่างเพื่อท่านจะได้กลายเป็นลูกของความสว่าง” เมื่อ ตรัสจบแล้วพระเยซูก็เสด็จไปและทรงซ่อนตัวให้พ้นจากพวกเขา 20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
ชาวยิวยังคงไม่เชื่อ
แม้พระเยซูได้กระทําหมายสําคัญทั้งปวงนี้ต่อหน้าพวกเขา พวกเขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์ ทั้งนี้ เป็นไปตามคําของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ที่ว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าได้เชื่อถ้อยคําของเรา และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สําแดงแก่ผู้ใด?” 37
38
ยอหน 12:38 | 179
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่อาจเชื่อเพราะตามที่อิสยาห์กล่าวไว้อีกตอนหนึ่งว่า “พระองค์ได้ทําให้ตาของพวกเขามืดบอดและทําให้จิตใจของพวกเขาตายด้าน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเห็นด้วยตา ไม่เข้าใจด้วยจิตใจ ทั้งไม่ยอมหันกลับมา แล้วเราจะรักษาพวกเขาให้หาย” อิสยาห์กล่าวเช่นนี้เพราะเขาเห็นพระเกียรติสิริของพระเยซูและกล่าวถึงพระองค์ กระนั้นในเวลาเดียวกันแม้ในหมู่ผู้นําก็มีหลายคนที่เชื่อในพระองค์ แต่พวกเขาไม่กล้าแสดงตัว เพราะกลัวจะถูกพวกฟาริสีอเปหิจากธรรมศาลา เนื่องจากพวกเขารักการสรรเสริญจากมนุษย์ มากกว่าการสรรเสริญจากพระเจ้า แล้วพระเยซูทรงร้องว่า “เมื่อผู้ใดเชื่อในเรา เขาไม่เพียงเชื่อในเราเท่านั้นแต่ยังเชื่อในพระองค์ ผู้ทรงส่งเรามา เมื่อเขามองดูเราเขาก็เห็นพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา เราเข้ามาในโลกในฐานะที่ เป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่เชื่อในเราจะไม่อยู่ในความมืด “ส่วนผู้ที่ได้ยินคําของเราแล้วไม่ปฏิบัติตามเราไม่พิพากษาเขา เพราะเราไม่ได้มาเพื่อพิพากษา โลกแต่เพื่อช่วยโลกให้รอด มีผู้พิพากษาสําหรับคนที่ปฏิเสธเราและไม่ยอมรับถ้อยคําของเราอยู่ แล้ว คือถ้อยคําที่เรากล่าวนั้นเองจะตัดสินลงโทษเขาในวันสุดท้ายนั้น เพราะเราไม่ได้พูดตามใจ ของเราเองแต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามาได้ทรงบัญชาเราว่าจะพูดอะไรและพูดอย่างไร เรารู้ว่าพระ บัญชาของพระองค์นําไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ฉะนั้นสิ่งใดๆ ที่เราพูดก็คือสิ่งที่พระบิดาได้ตรัสบอกให้เรา พูด” 39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
พระเยซูทรงล้างเท้าให้เหล่าสาวก
่อจวนจะถึงเทศกาลปัสกาพระเยซูทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ 13 เมืไปหาพระบิ ดา เนื่องจากพระองค์ทรงรักคนของพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้ บัดนี้พระองค์จึงทรง
สําแดงที่สุดแห่งความรักของพระองค์แก่พวกเขา พระเยซูและสาวกกําลังรับประทานอาหารเย็นและเมื่อถึงเวลานั้นมารได้ดลใจยูดาสบุตรของ ซีโมนอิสคาริโอทให้เขาคิดทรยศพระองค์แล้ว พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาได้ทรงมอบทุกสิ่งไว้ ใต้อํานาจของพระองค์ ทั้งทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระเจ้าและกําลังกลับไปหาพระเจ้า ดังนั้นพระองค์จึงทรงลุกขึ้นจากโต๊ะเสวย ถอดฉลองพระองค์ชั้นนอกออก เอาผ้าเช็ดตัวคาดเอว ของพระองค์ จากนั้นทรงเทน้ําใส่อ่างและเริ่มล้างเท้าให้เหล่าสาวกของพระองค์และเช็ดด้วย ผ้าเช็ดตัวซึ่งทรงคาดเอวไว้ 2
3
4
5
ยอห์น 13:1–16 ตนไม พบวาเทาของเรามีตอมเหงื่อมากกวา 250,000 แหง มันนาแปลกใจหรือไมที่ เทาของเรามีกลิ่นในบางครั้ง? ในยุคพระคัมภีร ทุกคนสวมรองเทาแตะ ถนนก็เต็มไป ดวยฝุนจึงทําใหเทาของทุกคนสกปรก ผูคนจะลางเทาและมือของพวกเขากอนการรับ ประทานอาหาร แตไมมีใครชอบทํามันเพราะมันเปนงานที่สกปรก ดังนั้นทาสจึงมักจะ ทํามัน พระเยซูทรงบอกอะไรกับเราเกี่ยวกับลางเทา? 180 | ยอหน 12:39
ยอห์น 13:12–17 ถึงแม้ว่าพระเยซูจะทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงลงมาบนโลกเพื่อรับใช้ เรา และหากเราเป็นสาวกของพระเยซู เราจะต้องรับใช้ผู้อื่นด้วยเช่นเดียวกับพระองค์ เมื่อเราให้ความรักและใจดีต่อผู้อื่น มันเป็นวิธีการที่เราแสดงออกถึงการเคารพและ บูชาพระเจ้า ให้น้อง ๆ คิดถึงสิ่งที่ตัวเองสามารถทําให้แก่คนที่บ้าน สิ่งที่น้อง ๆ ไม่ค่อยชอบทํา สิ่งที่ อาจจะทําได้ยาก จากนั้นให้น้อง ๆ ออกไปทํามัน! เมื่อมาถึงซีโมนเปโตร เขาทูลว่า “พระองค์เจ้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์หรือ?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ขณะนี้ท่านไม่เข้าใจในสิ่งที่เรากําลังทําอยู่ แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ” เปโตรทูลว่า “ไม่ พระองค์จะทรงล้างเท้าข้าพระองค์ไม่ได้” พระเยซูตรัสว่า “ถ้าเราไม่ล้างให้ท่าน ท่านจะไม่มีส่วนในเรา” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าเช่นนั้นไม่เพียงเท้าของข้าพระองค์แต่ทั้งมือกับ ศีรษะของข้าพระองค์ด้วย!” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “ผู้ที่อาบน้ําแล้วล้างแต่เท้าก็พอเพราะทั้งกายสะอาดอยู่แล้ว ท่านทั้ง หลายก็สะอาดถึงแม้ว่าไม่ทุกคน” เพราะพระองค์ทรงทราบว่าใครจะทรยศพระองค์จึงตรัสว่า ไม่ใช่ทุกคนที่สะอาด เมื่อทรงล้างเท้าพวกเขาเสร็จแล้วก็ทรงฉลองพระองค์แล้วกลับไปประทับยังที่ของพระองค์ และตรัสถามเขาทั้งหลายว่า “พวกท่านเข้าใจสิ่งที่เราได้ทําให้พวกท่านหรือไม่? พวกท่านเรียก เราว่า ‘พระอาจารย์’ และ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ ซึ่งถูกต้องแล้วเพราะเราเป็นเช่นนั้น ในเมื่อเราผู้ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระอาจารย์ของท่านยังล้างเท้าให้พวกท่าน พวกท่านก็ควรล้างเท้า ให้กันและกันด้วย เราได้วางแบบอย่างไว้เพื่อพวกท่านจะทําเหมือนที่เราได้ทําเพื่อพวกท่าน เรา บอกความจริงแก่พวกท่านว่าบ่าวย่อมไม่เหนือกว่านายของตน ทั้งผู้ส่งข่าวย่อมไม่เหนือกว่าผู้ที่ส่ง เขาไป ในเมื่อพวกท่านทราบสิ่งเหล่านี้ หากพวกท่านปฏิบัติตามพวกท่านก็จะเป็นสุข 6 7 8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
พระเยซูทรงทํานายถึงการทรยศพระองค์
“เราไม่ได้หมายถึงทุกคนในพวกท่าน เรารู้จักบรรดาผู้ที่เราเลือกสรร แต่ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไป ตามพระคัมภีร์ที่ว่า ‘ผู้ที่รับประทานอาหารร่วมกับเรา ยังได้ทรยศหักหลังเรา’ “เดี๋ยวนี้เรากําลังบอกพวกท่านก่อนที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้น เพื่อเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นพวกท่านจะได้เชื่อ ว่าเราคือผู้นั้น เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้ใดรับคนที่เราส่งไปก็รับเราและผู้ที่รับเราก็รับ พระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” เมื่อพระเยซูตรัสดังนี้แล้วก็ทรงทุกข์พระทัยและตรัสยืนยันว่า “เราบอกความจริงแก่พวกท่าน ว่าคนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา” เหล่าสาวกจ้องมองกัน ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงหมายถึงคนใดในพวกเขา สาวกที่พระเยซูทรง รักกําลังนั่งเอนกายรับประทานอาหารถัดจากพระองค์ ซีโมนเปโตรพยักหน้าบอกสาวกผู้นี้และ กล่าวว่า “จงทูลถามพระองค์ว่าทรงหมายถึงคนไหน” ขณะเอนกายพิงพระเยซูอยู่ เขาหันหน้าไปถึงอกของพระเยซูและทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า คนนั้นคือใคร?” 18
19
20
21
22
23
24
25
ยอหน 13:25 | 181
ยอห์น 13:18–30 ใหนอง ๆ วาดรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ซึ่งจะเปนโตะอาหารที่พระเยซูและสาวกของพระองค รวมรับประทานอาหารดวยกัน จากนั้นใหนอง ๆ คนหาชื่อของทุกคนที่รวมรับ ประทานอาหารกันบนโตะนั้น อยาลืมชื่อของพระเยซูละ! นอง ๆ จะคนพบชื่อเหลา นั้นไดในมัทธิว 10:2–4 และใหนอง ๆ วาดรูปคนเหลานั้นไวรอบ ๆ โตะ ใครที่ไดนั่งติด กับพระเยซู? (คนหาคําตอบไดในยอหน 13:23) ใครคือผูทรยศพระเยซู? (คําตอบอยู ในยอหน 13:26–27) ทําไมการรับประทานอาหารมื้อนี้ถึงมีความสําคัญและเราควรที่ จะจดจํามันไว? พระเยซูตรัสตอบว่า “คือคนที่เราจะหยิบขนมปังชิ้นนี้จุ่มแล้วส่งให้” แล้วทรงหยิบขนมปัง ชิ้นหนึ่งจุ่มและส่งให้แก่ยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท ทันทีที่ยูดาสรับขนมปังนั้นซาตานก็เข้า ครอบงําเขา พระเยซูตรัสบอกเขาว่า “ท่านกําลังจะทําอะไรก็ไปทําโดยเร็ว” แต่ไม่มีสักคนที่ร่วมโต๊ะเสวย เข้าใจว่าทําไมพระเยซูจึงตรัสกับเขาเช่นนี้ เนื่องจากยูดาสเป็นคนถือเงินบางคนจึงคิดว่าพระเยซู ทรงบอกให้เขาไปซือ้ ของจําเป็นสําหรับงานฉลองเทศกาล หรือไม่กใ็ ห้ทานแก่คนยากจน เมือ่ ยูดาส รับขนมปังชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน 26
27
28
29
30
พระเยซูทรงทํานายว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์
เมื่อเขาไปแล้ว พระเยซูตรัสว่า “บัดนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติสิริแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับ เกียรติสิริเพราะบุตรมนุษย์ด้วย ถ้าพระเจ้าทรงได้รับเกียรติสิริเพราะบุตรมนุษย์ พระเจ้าเองก็จะ ทรงให้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติสิริ และพระองค์จะทรงให้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติสิริในทันที “ลูกของเราเอ๋ย เราจะอยู่กับพวกท่านอีกเพียงไม่นาน พวกท่านจะหาเรา แต่เหมือนที่เราได้ บอกพวกยิวไว้และจะบอกพวกท่านในเวลานี้ คือที่ซึ่งเราจะไปนั้น พวกท่านไม่สามารถไปได้ “เราให้บัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลายคือ จงรักซึ่งกันและกัน พวกท่านต้องรักซึ่งกันและกัน เหมือนที่เราได้รักพวกท่าน ถ้าพวกท่านรักซึ่งกันและกันคนทั้งปวงจะรู้ว่าพวกท่านเป็นสาวกของ เรา” ซีโมนเปโตรทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะเสด็จไปยังที่ใด?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ที่ซึ่งเราจะไปนั้น ในขณะนี้ท่านยังไม่สามารถติดตามไปได้ แต่ท่านจะตาม ไปในภายหลัง” เปโตรทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า ทําไมข้าพระองค์จึงไม่สามารถติดตามพระองค์ไปในเวลานี้ ได้? ข้าพระองค์ยอมพลีชีวิตเพื่อพระองค์” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “ท่านจะพลีชีวิตเพื่อเราจริงหรือ? เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนไก่ ขันท่านจะปฏิเสธเราถึงสามครั้ง! 31
32
33
34
35
36
37
38
พระเยซูทรงปลอบประโลมใจเหล่าสาวก
“อย่าให้ใจของท่านทั้งหลายเป็นทุกข์ จงวางใจในพระเจ้าและจงวางใจในเราด้วย ในนิเวศ 14 ของพระบิ ดาของเรามีห้องมากมาย ถ้าไม่มีเราคงได้บอกพวกท่านแล้ว เรากําลังไปที่นั่นเพื่อ 2
เตรียมที่สําหรับพวกท่าน และเมื่อเราไปเตรียมที่สําหรับพวกท่าน เราจะกลับมารับพวกท่านไปอยู่ กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านก็จะได้อยู่ที่นั่นด้วย พวกท่านรู้จักทางไปสู่ที่ซึ่งเรากําลังจะไป” 3
4
182 | ยอหน 13:26
ยอห์น 14:1–3, 16 เหล่าสาวกรู้สึกโกรธและเศร้าใจเมื่อพระเยซูทรงบอกพวกเขาว่าพระองค์กําลังจะจาก พวกเขาไป เคยมีคนที่น้อง ๆ รักจากไปในระยะเวลาสั้น ๆ หรือถาวรหรือไม่? มัน ทําให้น้อง ๆ รู้สึกอย่างไร? พระเยซูทรงปลอบประโลมใจเหล่าสาวกของพระองค์ โดย การกล่าวกับพวกเขาว่าในวันหนึ่งพวกเขาจะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์ และในเวลา เดียวกันนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงลงมาสถิตอยู่กับพวกเขา คํากล่าวของพระ เยซูนั้นหมายถึงน้อง ๆ ด้วย เมื่อน้อง ๆ ทราบเรื่องนี้แล้วน้อง ๆ มีความรู้สึกเปลี่ยนไป หรือไม่? อย่างไร? พระเยซูทรงเป็นทางไปสู่พระบิดา
โธมัสทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน ดังนั้นพวกข้า พระองค์จะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร?” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางเรา ถ้าพวกท่านรู้จักเราจริงๆ พวกท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย นับแต่นี้ไป พวกท่านก็รู้จักพระบิดาจริงๆ และได้เห็นพระองค์แล้ว” ฟีลิปทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงสําแดงพระบิดาแก่เหล่าข้าพระองค์และนั่นก็เพียงพอ สําหรับข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว” พระเยซูตรัสตอบว่า “ฟีลิปเอ๋ย เราอยู่กับพวกท่านนานขนาดนี้แล้วท่านยังไม่รู้จักเราหรือ? ผู้ ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา เหตุใดท่านจึงบอกว่า ‘ขอทรงสําแดงพระบิดาแก่เหล่าข้าพระองค์’? พวกท่านไม่เชื่อหรือว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา? ถ้อยคําที่เรากล่าวกับพวก ท่านนั้นไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคําของเราเองแต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงดํารงอยู่ในเราและทรงกระทํา พระราชกิจของพระองค์ เมื่อเรากล่าวว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา ก็จงเชื่อ เราเถิดหรืออย่างน้อยก็เชื่อเพราะสิ่งต่างๆ ที่เราทํา เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้ที่เชื่อใน เราจะทําสิ่งที่เรากําลังทําอยู่ เขาจะทําแม้กระทั่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก เพราะเรากําลังจะไปหาพระ บิดา และเราจะทําสิ่งใดๆ ที่พวกท่านขอในนามของเราเพื่อพระบุตรจะได้ถวายพระเกียรติสิริแด่ พระบิดา สิ่งใดที่พวกท่านขอจากเราในนามของเรา เราจะทําสิ่งนั้น 5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
ยอห์น 14:6 ให้น้อง ๆ ทําป้ายถนน น้อง ๆ สามารถเลือกแบบไหนก็ได้ที่ต้องการหรือจะออกแบบ เองก็ได้ ทําให้ป้ายขนาดใหญ่และทาสีให้สดใส แล้วเขียนพระคําของพระเยซูในยอห์น 14:6 ลงไป พระเยซูทรงหมายความว่าอย่างไรเมื่อพระองค์ทรงบอกว่าเราเป็นทางนั้น? พระองค์ทรงเป็นผู้แสดงให้เราเห็นวิธีที่จะทําให้เราได้ขึ้นสวรรค์ และแสดงให้เราเห็น วิธีการใช้ชีวิต นอกจากนี้พระองค์ยังทรงแสดงให้เราได้เห็นถึงความจริงเกี่ยวกับโลก และชีวิตของเรา ยอหน 14:14 | 183
พระเยซูทรงสัญญาจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์
“ถ้าพวกท่านรักเราพวกท่านจะเชื่อฟังสิ่งที่เราบัญชา และเราจะทูลขอต่อพระบิดาและ พระองค์จะประทานที่ปรึกษาอีกองค์หนึ่งให้มาอยู่กับพวกท่านตลอดนิรันดร์ คือองค์พระ วิญญาณแห่งความจริง โลกไม่อาจรับพระองค์เพราะ โลกไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ แต่ท่านทั้งหลายรู้จัก ยอห์น 14:15–31 พระองค์เพราะพระองค์ทรงดํารงอยู่กับพวกท่านและ จะอยู่ในพวกท่าน เราจะไม่ทิ้งพวกท่านให้เป็นลูก กําพร้า เราจะมาหาพวกท่าน อีกไม่นานนักโลกก็จะ พระเยซูยังทรงสถิตอยู่กับเราถึง ไม่ได้เห็นเราอีกแต่พวกท่านจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิต แม้ว่าพระองค์จะทรงเสด็จกลับขึ้นสู่ อยู่ท่านทั้งหลายก็จะมีชีวิตอยู่ด้วย ในวันนั้นพวกท่าน สวรรค์ไปแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะตระหนักว่าเราอยู่ในพระบิดาของเราและพวกท่าน ของพระองค์สถิตอยู่กับสาวกทุกคน อยู่ในเราและเราอยู่ในพวกท่าน ผู้ใดที่ยึดถือและเชื่อ ของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ฟังคําบัญชาของเรา ผู้นั้นก็คือผู้ที่รักเรา พระบิดาของ จะคอยอยู่เป็นเพื่อนของเรา ปลอบ ใจเรา และคอยแนะนําเรา พระ เราจะทรงรักผู้ที่รักเราและเราเองก็จะรักเขาและจะ วิญญาณบริสุทธิ์จะร้องขอให้พระ สําแดงตัวเราเองแก่เขาด้วย” บิดาอภัยความผิดบาปของเราและ แล้วยูดาส (ไม่ใช่ยูดาสอิสคาริโอท) ทูลว่า ให้โอกาสใหม่กับเราอีกครั้ง และ “พระองค์เจ้าข้า เหตุใดพระองค์จึงทรงเจตนาที่จะ สําแดงพระองค์เองแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายแต่ไม่สําแดง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะคอยให้กําลัง ใจเรา แก่โลก?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเราเขาจะเชื่อฟัง น้อง ๆ สามารถอ่านเกี่ยวกับพระ คําสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระ วิญญาณบริสุทธิ์ได้ในยอห์น 15:26 บิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา ผู้ที่ไม่รักเรา และยอห์น 16:13–14 จะไม่เชื่อฟังคําสอนของเรา ถ้อยคําซึ่งพวกท่านได้ยินนี้ ไม่ใช่คําของเราเองแต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงส่งเรามา “ทั้งหมดนี้เราได้กล่าวไว้ขณะที่เรายังอยู่กับพวกท่าน แต่องค์ที่ปรึกษาคือพระวิญญาณ บริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเราจะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวก ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน เรามอบสันติสุขแก่พวกท่าน สันติสุขที่เราให้ไม่ เหมือนที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านทุกข์ร้อนและอย่ากลัวเลย “พวกท่านได้ยินเราพูดว่า ‘เรากําลังจะจากไปและเรากําลังจะกลับมาหาพวกท่าน’ หากพวก ท่านรักเรา พวกท่านก็จะดีใจที่เรากําลังไปหาพระบิดาเพราะพระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา เรา บอกพวกท่านขณะนี้ก่อนที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น เพื่อเมื่อเกิดขึ้นจริงๆ พวกท่านจะได้เชื่อ เราจะพูด กับพวกท่านได้อีกไม่นานเพราะผู้ครองโลกนี้กําลังจะมา เขาไม่อาจยับยั้งขัดขวางเราได้ แต่เขามา เพื่อโลกนี้จะได้เรียนรู้ว่าเรารักพระบิดาและทําสิ่งที่พระบิดาได้ทรงบัญชาเราไว้อย่างเคร่งครัด” ให้ เราลุกขึ้นไปกันเถิด 15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
เถาองุ่นกับแขนง
“เราเป็นเถาองุ่นแท้และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา พระองค์ทรงตัดทุกแขนงใน 15 เราที ่ไม่เกิดผลทิ้ง ส่วนทุกแขนงที่เกิดผลพระองค์ทรงลิดเพื่อให้เกิดผลมากยิ่งขึ้น ท่านทั้ง 2
3
หลายสะอาดแล้วเพราะถ้อยคําที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน จงคงอยู่ในเราและเราจะคงอยู่ในพวก ท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้มันต้องติดอยู่กับเถาองุ่น ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน จะเกิดผลเองไม่ได้ นอกจากจะคงอยู่ในเรา “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ถ้าผู้ใดคงอยู่ในเราและเราคงอยู่ในเขาผู้นั้นจะเกิดผล มาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านไม่อาจทําสิ่งใดได้เลย ถ้าผู้ใดไม่ได้คงอยู่ในเราผู้นั้นจะเป็น 4
5
6
184 | ยอหน 14:15
ยอห์น 15:1–8 ให้น้อง ๆ ออกไปข้างนอกและเลือกดอกไม้มาสองชนิด ชนิดแรกต้องมีลําต้นยาว และ ชนิดที่สองต้องมีลําต้นสั้น จากนั้นให้นํามันมาใส่ไว้ในภาชนะที่บรรจุน้ํา เพื่อให้ลําต้น ยาวมันอยู่ในน้ํา แต่ลําต้นสั้นอยู่เหนือน้ํา เกิดอะไรขึ้นกับดอกไม้ที่มีลําต้นสั้น? นี่คือสิ่ง ที่จะเกิดขึ้นกับเราหากเราไม่ได้ยึดติดอยู่กับพระเยซู เราก็จะเหี่ยวเฉาไปในที่สุด เหมือนแขนงที่ถูกโยนทิ้งและเหี่ยวเฉา แขนงเหล่านี้จะถูกเก็บไปโยนทิ้งให้ไฟเผา ถ้าพวกท่านคง อยู่ในเราและถ้อยคําของเราคงอยู่ในพวกท่าน จงขอสิ่งใดๆ ที่พวกท่านปรารถนาแล้วพวกท่านจะ ได้รับสิ่งนั้น เมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมากก็เป็นการถวายเกียรติสิริแด่พระบิดาของเราและเป็นการ สําแดงว่าตัวท่านเองคือสาวกของเรา “พระบิดาทรงรักเราอย่างไร เราก็รักพวกท่านอย่างนั้น บัดนี้จงคงอยู่ในความรักของเรา ถ้า พวกท่านเชื่อฟังคําบัญชาของเราพวกท่านก็จะคงอยู่ในความรักของเรา ดังที่เราได้เชื่อฟังพระ บัญชาของพระบิดาของเราและคงอยู่ในความรักของพระองค์ เราบอกท่านไว้เช่นนี้เพื่อว่าความ ชื่นชมยินดีของเราจะอยู่ในพวกท่าน และเพื่อว่าความชื่นชมยินดีของพวกท่านจะเต็มบริบูรณ์ คํา บัญชาของเราก็คือ จงรักซึ่งกันและกันเหมือนที่เราได้รักพวกท่าน ไม่มีผู้ใดมีความรักยิ่งใหญ่กว่า นี้คือ การที่เขายอมสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตนเอง ถ้าพวกท่านทําตามสิ่งที่เราบัญชา พวกท่านก็เป็นมิตรสหายของเรา เราไม่เรียกพวกท่านว่าบ่าวอีกต่อไปเพราะบ่าวไม่รู้ว่านายทํา อะไร ตรงกันข้ามเรากลับเรียกพวกท่านว่ามิตรสหาย เพราะทุกสิ่งที่เราเรียนรู้จากพระบิดาของ เรา เราได้สําแดงให้พวกท่านรู้แล้ว พวกท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกพวกท่านและแต่งตั้งให้ พวกท่านไปและเกิดผล เป็นผลซึ่งจะอยู่ถาวร แล้วสิ่งใดที่พวกท่านทูลขอในนามของเรา พระบิดา จะประทานแก่พวกท่าน นี่คือคําบัญชาของเรา คือจงรักซึ่งกันและกัน 7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
โลกเกลียดชังเหล่าสาวก
“ถ้าโลกเกลียดชังพวกท่าน จงจําไว้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน ถ้าพวกท่านเป็นของโลก โลก ก็จะรักพวกท่านในฐานะที่เป็นของโลก แต่ตามที่เป็นอยู่พวกท่านไม่ได้เป็นของโลกเพราะเราได้ เลือกพวกท่านออกมาจากโลกแล้ว ฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังพวกท่าน จงระลึกถึงคําที่เราได้กล่าว แก่พวกท่านไว้ว่า ‘บ่าวย่อมไม่เหนือกว่านายของตน’ ถ้าเขาข่มเหงเราพวกเขาย่อมจะข่มเหงพวก ท่านด้วย ถ้าพวกเขาเชื่อฟังคําสอนของเราพวกเขาย่อมจะเชื่อฟังคําสอนของพวกท่านด้วย พวก เขาจะปฏิบัติต่อพวกท่านเช่นนี้เนื่องด้วยนามของเรา เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ทรงส่งเรา มา หากเราไม่ได้มาบอกกล่าวแก่พวกเขา พวกเขาก็คงจะไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้พวกเขาไม่มี ข้อแก้ตัวให้กับบาปของตนแล้ว ผู้ที่เกลียดชังเราก็เกลียดชังพระบิดาของเราด้วย เราได้ทําการ งานต่างๆ ซึ่งไม่เคยมีใครทํามาก่อนท่ามกลางพวกเขา ถ้าเราไม่ได้ทําสิ่งเหล่านี้พวกเขาก็คงจะ ไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้พวกเขาได้เห็นการอัศจรรย์เหล่านี้แล้ว กระนั้นพวกเขายังเกลียดชังทั้ง เรากับพระบิดาของเรา แต่นี่เพื่อให้เป็นจริงตามที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติของพวกเขาที่ว่า ‘พวกเขาได้เกลียดชังเราโดยไม่มีเหตุผล’ “เราจะส่งองค์ที่ปรึกษาจากพระบิดามาหาพวกท่าน คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งออกมา 18
19
20
21
22
23
24
25
26
ยอหน 15:26 | 185
ยอห์น 16:5–7 จะจา เกลียดที่จะถูกทิ้งไวขางหลัง บรรดาเหลาสาวกตางพากันโศกเศราเสียใจ เมื่อ พวกเขาไดยินวาพระเยซูกําลังจะจากพวกเขาไป นอง ๆ รูสึกอยางไรเวลาที่ถูกทิ้งไว ขางหลัง? ใหนอง ๆ เลาใหเพื่อนฟงถึงเวลาที่นอง ๆ ถูกทิ้งไวขางหลังและตองอยูเพียง ลําพังคนเดียว และใหพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการที่พระเยซูทรงปลอบประโลมใจเหลาสาวก ของพระองค พระองคทรงบอกขาวดีแกพวกเขา อะไรคือขาวดีของพระเยซู? พระ วิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสถิตอยูกับเราดวยหรือเปลา? นอง ๆ ทราบเรื่องนี้ไดอยางไร? จากพระบิดา เมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา และท่านทั้งหลายก็ต้องเป็น พยานด้วยเพราะท่านได้อยู่กับเรามาตั้งแต่ต้น “ทั้งหมดนี้เราบอกพวกท่านไว้เพื่อพวกท่านจะไม่หลงทางไป พวกเขาจะอเปหิพวกท่าน 16 จากธรรมศาลา แท้จริงสักวันหนึ่งผู้ที่ฆ่าพวกท่านจะคิดว่าเขากําลังรับใช้พระเจ้าอยู่ พวก เขาจะทําเช่นนั้นเพราะไม่รู้จักพระบิดาและไม่รู้จักเรา เราบอกสิ่งนี้แก่พวกท่าน เพื่อว่าเมื่อถึง เวลานั้น พวกท่านจะได้ระลึกว่าเราเตือนพวกท่านไว้แล้ว เราไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่พวกท่านไว้แต่ แรก เพราะขณะนั้นเรายังอยู่กับพวกท่าน 27
2
3
4
พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
“บัดนี้เรากําลังจะไปหาพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนในพวกท่านที่ถามเราว่า ‘พระองค์กําลังจะเสด็จไปไหน?’ เพราะเราได้บอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่านไว้แล้วพวกท่านจึงเต็ม ไปด้วยความทุกข์โศก แต่เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า การที่เราจะจากพวกท่านไปก็เพื่อผลดี ของพวกท่าน ถ้าเราไม่ไปองค์ที่ปรึกษาก็จะไม่มาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไปเราจะส่งพระองค์มาหา พวกท่าน เมื่อพระองค์เสด็จมาพระองค์จะทรงทําให้โลกสํานึกในความผิดในเรื่องบาป ความชอบ ธรรม และการพิพากษา ในเรื่องบาปก็เพราะมนุษย์ไม่เชื่อในเรา ในเรื่องความชอบธรรมก็เพราะ เรากําลังจะไปหาพระบิดาในที่ซึ่งพวกท่านไม่สามารถเห็นเราอีกต่อไป และในเรื่องการพิพากษา เพราะบัดนี้ผู้ครองโลกนี้ถูกพิพากษาลงโทษแล้ว “ยังมีอีกมากที่เราจะกล่าวกับพวกท่าน มากเกินกว่าที่พวกท่านจะรับได้ในตอนนี้ แต่เมื่อ พระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาพระองค์จะทรงนําพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะ ไม่ตรัสโดยลําพังพระองค์เองแต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยินและจะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งที่จะ เกิดขึ้น พระองค์จะทรงนําเกียรติสิริมาให้เราโดยการนําสิ่งที่เป็นของเรามาสําแดงแก่พวกท่าน ทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดาก็เป็นของเรา ฉะนั้นเราจึงกล่าวว่าพระวิญญาณจะทรงนําสิ่งที่เป็นของ เรามาสําแดงแก่พวกท่าน “อีกไม่นาน ท่านจะไม่เห็นเรา และจากนั้นไม่นานท่านจะเห็นเรา” 5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
ความทุกข์โศกของเหล่าสาวกจะกลับกลายเป็นความยินดี
สาวกของพระองค์บางคนพูดกันว่า “พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรที่ตรัสว่า ‘อีกไม่นาน พวกท่านจะไม่เห็นเรา และจากนั้นไม่นานพวกท่านจะเห็นเรา’? และที่ว่า ‘เพราะเรากําลังจะไป หาพระบิดา’?” พวกเขาเฝ้าถามกันว่า “ที่พระองค์ตรัสว่า ‘อีกไม่นาน’ นั้นหมายความว่าอะไร? เราไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสเลย” 17
18
186 | ยอหน 15:27
พระเยซูทรงเห็นว่าพวกเขาอยากทูลถามพระองค์เรื่องนี้ จึงตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่าน ถามกันอยู่ใช่ไหมว่าเราหมายความว่าอะไรที่พูดว่า ‘อีกไม่นาน พวกท่านจะไม่เห็นเรา และจาก นั้นไม่นานพวกท่านจะเห็นเรา’? เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า พวกท่านจะร้องไห้คร่ําครวญ ขณะที่โลกเปรมปรีดิ์ พวกท่านจะทุกข์โศกแต่ความทุกข์โศกของพวกท่านจะกลับกลายเป็นความ ชื่นชมยินดี ผู้หญิงที่จะคลอดลูกย่อมเจ็บปวดเพราะถึงกําหนดแล้ว แต่เมื่อทารกคลอดออกมา นางก็ลืมความเจ็บปวดทรมานเพราะชื่นชมยินดีที่เด็กคนหนึ่งได้เกิดมาในโลก พวกท่านก็เช่นกัน ขณะนี้คือเวลาทุกข์โศกของพวกท่านแต่เราจะมาหาพวกท่านอีกและพวกท่านจะชื่นชมยินดี และ จะไม่มีใครเอาความชื่นชมยินดีของพวกท่านไปได้ ในวันนั้นพวกท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก เรา บอกความจริงแก่พวกท่านว่า สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่พวกท่าน จนถึงบัดนี้พวกท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเราเลย จงขอเถิดแล้วพวกท่านจะได้และความ ชื่นชมยินดีของพวกท่านจะเต็มบริบูรณ์ “แม้เราเคยพูดเป็นโวหารเปรียบเทียบมาตลอดแต่อีกไม่นานเราจะไม่ใช้ภาษาแบบนี้อีกต่อ ไป แต่เราจะบอกพวกท่านตรงๆ เกี่ยวกับพระบิดาของเรา ในวันนั้นพวกท่านจะทูลขอพระบิดา ในนามของเรา เราไม่ได้พูดว่าเราจะทูลขอพระบิดาแทนพวกท่าน เปล่าเลย พระบิดาเองทรงรัก พวกท่าน เพราะพวกท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า เรามาจากพระบิดาและเข้ามาใน โลก บัดนี้เรากําลังจะไปจากโลกและกลับไปหาพระบิดา” แล้วเหล่าสาวกของพระเยซูจึงทูลว่า “บัดนี้พระองค์ตรัสตรงๆ โดยไม่มีโวหารเปรียบเทียบ เดี๋ยวนี้พวกข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง และพระองค์ไม่จําเป็นต้องให้ผู้ใดมาทูลถาม พระองค์ สิ่งนี้ทําให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า” พระเยซูตรัสว่า “ในที่สุดพวกท่านก็เชื่อ! แต่วาระนั้นกําลังจะมาและได้มาถึงแล้ว เมื่อพวก ท่านแต่ละคนจะกระจัดกระจายไปยังบ้านของตน พวกท่านจะทิ้งเราไว้คนเดียว กระนั้นเราก็ไม่ได้ อยู่แต่ลําพังเพราะพระบิดาของเราสถิตกับเรา “เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่านเพื่อพวกท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้พวกท่านจะมีความ ทุกข์ยากแต่จงชื่นใจเถิด! เราได้ชนะโลกแล้ว” 19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
พระเยซูทรงอธิษฐานเพื่อพระองค์เอง
งจากพระเยซูตรัสสิง่ เหล่านีแ้ ล้ว พระองค์ทรง 17 หลั แหงนพระพักตร์ขน้ึ สูฟ่ า้ สวรรค์และอธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถึงเวลาแล้ว ขอทรงให้พระ บุตรของพระองค์ได้รับเกียรติสิริเพื่อว่าพระบุตรจะ ได้ถวายเกียรติสิริแด่พระองค์ เพราะพระองค์ทรง ให้พระบุตรมีสิทธิอํานาจเหนือคนทั้งปวง เพื่อพระ บุตรจะได้ให้ชีวิตนิรันดร์แก่คนทั้งปวงที่พระองค์ได้ ประทานแก่พระบุตร นี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือ ที่เขารู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่ องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งพระองค์ทรง ส่งมา ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติสิริแด่พระองค์ ในโลกโดยกระทํากิจที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ แก่ข้าพระองค์จนสําเร็จครบถ้วน และบัดนี้ ข้าแต่ พระบิดา ขอทรงให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติสิริต่อ หน้าพระองค์ คือเกียรติสิริซึ่งข้าพระองค์มีร่วมกับ พระองค์ตั้งแต่ก่อนโลกเริ่มขึ้น 2
3
4
5
ยอห์น 17
วันที่พระเยซูจะถูกตรึงบนกางเขน นั้นใกล้เข้ามาทุกวัน และอีกไม่นาน พระองค์จะไม่ได้อยู่กับสาวกของ พระองค์อีกต่อไป ในบทนี้น้อง ๆ จะ ได้อ่านในสิ่งที่เรียกว่า คําอธิษฐาน พระชั้นสูงของพระเยซู พระชั้น สูงเคยอธิษฐาน (ในนามของหรือ ขอร้อง) ให้ประชาชน พระเยซู ได้ทรงอธิษฐานในนามของเหล่า สาวกและผู้ติดตามพระองค์ ทรง ขอให้พระเจ้าทรงปกป้องพวกเขา ให้ปลอดภัย มีความซื่อสัตย์ และ จริงใจกับพระองค์ ยอหน 17:5 | 187
พระเยซูทรงอธิษฐานเพื่อเหล่าสาวก
“ข้าพระองค์ได้สําแดงพระองค์แก่บรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์จากโลก นี้ พวกเขาเป็นของพระองค์ พระองค์ได้ประทานพวกเขาแก่ข้าพระองค์และพวกเขาได้เชื่อ ฟังพระดํารัสของพระองค์ บัดนี้พวกเขารู้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น มาจากพระองค์ เพราะข้าพระองค์ได้ให้พระดํารัสที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นแก่ พวกเขาและพวกเขารับไว้ เขาทั้งหลายรู้แน่ว่าข้าพระองค์มาจากพระองค์และเชื่อว่าพระองค์ ทรงส่งข้าพระองค์มา ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขา ข้าพระองค์ไม่ได้กําลังอธิษฐานเพื่อ โลกแต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์เพราะพวกเขาเป็นของพระองค์ ทุกสิ่งที่ข้าพระองค์มีก็เป็นของพระองค์และทุกสิ่งที่พระองค์มีก็เป็นของข้าพระองค์ และ ข้าพระองค์ได้รับเกียรติสิริผ่านทางพวกเขา ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกอีกต่อไปแต่พวกเขา ยังอยู่ในโลกและข้าพระองค์กําลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอทรงปกป้อง คุ้มครองพวกเขาไว้โดยฤทธานุภาพแห่งพระนามของพระองค์ พระนามซึ่งพระองค์ประทาน แก่ข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่ง เดียวกัน ขณะข้าพระองค์อยู่กับพวกเขาข้าพระองค์ได้ปกป้องและรักษาพวกเขาไว้ให้ ปลอดภัยโดยนามซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ ไม่มีสักคนที่สูญเสียไป ยกเว้นผู้เดียว นั้นที่จะต้องพินาศเพื่อจะเป็นจริงตามพระคัมภีร์ “บัดนีข้ า้ พระองค์กาํ ลังไปหาพระองค์ แต่ทข่ี า้ พระองค์กล่าวสิง่ เหล่านีข้ ณะยังอยูใ่ นโลก เพือ่ ว่าพวกเขาจะได้รบั ความชืน่ ชมยินดีของข้าพระองค์อย่างเต็มเปีย่ มอยูภ่ ายในพวกเขา ข้า พระองค์ได้มอบพระดํารัสของพระองค์แก่พวกเขา และโลกได้เกลียดชังพวกเขาเพราะพวก เขาไม่ได้เป็นของโลกเหมือนทีข่ า้ พระองค์ไม่ได้เป็นของโลก ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานขอให้ พระองค์ทรงเอาพวกเขาออกไปจากโลก แต่ขอให้พระองค์ทรงปกป้องพวกเขาให้พน้ จากผูช้ ว่ั ร้าย พวกเขาไม่เป็นของโลกเหมือนทีข่ า้ พระองค์ไม่ได้เป็นของโลก ขอทรงชําระพวกเขาให้ บริสทุ ธิโ์ ดยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง ข้าพระองค์ได้สง่ พวกเขาเข้าไป ในโลกเหมือนทีพ่ ระองค์ทรงส่งข้าพระองค์เข้ามาในโลก เพราะเห็นแก่พวกเขาข้าพระองค์จงึ ชําระตนให้บริสทุ ธิ์ เพือ่ ว่าพวกเขาจะได้รบั การชําระให้บริสทุ ธิอ์ ย่างแท้จริงด้วย 6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
พระเยซูทรงอธิษฐานเพื่อผู้เชื่อทั้งปวง
“ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อพวกเขาเท่านั้น แต่ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อบรรดาผู้ที่จะ เชื่อในข้าพระองค์ผ่านทางถ้อยคําของพวกเขาด้วย เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดาเจ้าพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร ก็ขอให้พวก เขาอยู่ในพระองค์และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้า พระองค์มา เกียรติสิริซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขา แล้ว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกันคือ ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มาและทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์ “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ปรารถนาให้บรรดาผู้ที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ นั้นอยู่กับข้าพระองค์ในที่ซึ่งข้าพระองค์อยู่ และให้พวกเขาเห็นเกียรติสิริของข้าพระองค์ คือ เกียรติสิริซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ตั้งแต่ก่อน ที่พระองค์ทรงสร้างโลก “ข้าแต่พระบิดาผู้ชอบธรรม แม้โลกไม่รู้จักพระองค์แต่ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ และพวก เขาก็รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา ข้าพระองค์ได้ทําให้พวกเขารู้จักพระองค์และจะ ทําให้พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักต่อไปอีก เพื่อความรักซึ่งพระองค์ทรงมีต่อข้าพระองค์จะอยู่ใน พวกเขาและเพื่อข้าพระองค์เองจะอยู่ในพวกเขา” 20
21
22
23
24
25
26
188 | ยอหน 17:6
พระเยซูถูกจับกุม
18
เมื่อพระองค์อธิษฐานจบแล้วพระเยซูทรงไปกับเหล่าสาวก ข้ามหุบเขาขิดโรนไปยังสวน มะกอกเทศแห่งหนึ่ง พระองค์ทรงเข้าไปใน สวนนั้นพร้อมกับเหล่าสาวกของพระองค์ ฝ่ายยูดาสผู้ทรยศพระองค์ก็รู้จักที่แห่งนี้เพราะพระเยซูทรงมาพบเหล่าสาวกที่นี่บ่อยๆ ดังนั้น ยูดาสจึงนํากองทหารกับเจ้าหน้าที่จากพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีมาที่สวนนี้ พวกเขาถือ คบไฟ ตะเกียง และอาวุธมาด้วย พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งที่กําลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงเสด็จออกมาและตรัสถามพวกเขาว่า “พวกท่านต้องการตัวใคร?” พวกเขาตอบว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ” พระเยซูตรัสว่า “เราคือผู้นั้น” (และยูดาสผู้ทรยศยืนอยู่กับพวกนั้น) เมื่อพระเยซูตรัสว่า “เรา คือผู้นั้น” พวกเขาก็ผงะถอยล้มลงกับพื้น พระเยซูตรัสถามพวกเขาอีกครั้งว่า “พวกท่านต้องการตัวใคร?” และเขาทั้งหลายทูลว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ” พระเยซูตรัสว่า “เราบอกท่านแล้วว่าเราคือผู้นั้น หากท่านกําลังหาตัวเราก็ปล่อยคนเหล่านี้ไป เถิด” ทั้งนี้เพื่อจะเป็นจริงตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า “เราไม่ได้สูญเสียคนเหล่านั้นที่พระองค์ได้ ประทานแก่เราไปแม้สักคนเดียว” แล้วซีโมนเปโตรก็ชักดาบของเขาออกมาฟันบ่าวของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาขาด (บ่าวคน นั้นชื่อมัลคัส) พระเยซูตรัสสั่งเปโตรว่า “เก็บดาบของท่าน! เราจะไม่ดื่มถ้วยซึ่งพระบิดาได้ประทานแก่เรา หรือ?” 2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
พระเยซูทรงถูกนําตัวไปพบอันนาส
แล้วกองทหารกับผู้บังคับกองและเจ้าหน้าที่ของพวกยิวจึงจับพระเยซูมัดไว้ และนําพระองค์ ไปหาอันนาสก่อน เขาเป็นพ่อตาของคายาฟาสผู้เป็นมหาปุโรหิตประจําการในปีนั้น คายาฟาสคือ ผู้ที่เคยแนะนําพวกยิวว่า จะเป็นการดีถ้าให้ชายคนเดียวตายเพื่อประชาชน 12
13
14
เปโตรปฏิเสธพระเยซูครั้งแรก
ซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งตามพระเยซูมา สาวกผู้นี้ตามพระเยซูไปจนถึงลานบ้านของ มหาปุโรหิตเพราะเขารู้จักกับมหาปุโรหิต แต่เปโตรต้องคอยอยู่ข้างนอกที่ประตู สาวกคนนี้ที่รู้จัก กับมหาปุโรหิตกลับออกมาพูดกับหญิงซึ่งทําหน้าที่อยู่ที่ประตูและพาเปโตรเข้าไปข้างใน หญิงที่ประตูคนนั้นถามเปโตรว่า “เจ้าเป็นสาวกคนหนึ่งของเขามิใช่หรือ?” เขาตอบว่า “ไม่ ข้าไม่ได้เป็น” ขณะนั้นอากาศหนาวเย็น พวกคนรับใช้กับพวกเจ้าหน้าที่ยืนอยู่รอบกองไฟที่จุดขึ้นเพื่อให้อุ่น เปโตรก็ยืนผิงไฟกับพวกเขาด้วย 15
16
17
18
มหาปุโรหิตไต่สวนพระเยซู
ขณะเดียวกันมหาปุโรหิตถามพระเยซูเกี่ยวกับเหล่าสาวกและคําสอนของพระองค์ พระเยซูตรัสตอบว่า “เรากล่าวกับโลกอย่างเปิดเผย เราสอนในธรรมศาลาหรือในพระวิหาร เสมอ สถานที่เหล่านี้เป็นที่ซึ่งคนยิวทั้งปวงมาชุมนุมกัน เราไม่ได้พูดสิ่งใดอย่างลับๆ เลย มาสอบ สวนเราทําไม? ถามคนที่ฟังเราเถิด แน่นอน พวกเขาย่อมรู้ว่าเราพูดอะไรบ้าง” เมื่อพระเยซูตรัสเช่นนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ก็ตบพระพักตร์พระองค์และถามว่า “เจ้าตอบมหาปุโรหิตอย่างนี้หรือ?” พระเยซูตรัสว่า “ถ้าเราพูดอะไรผิดก็จงเป็นพยานสิว่าผิดตรงไหน แต่ถ้าเราพูดความจริงท่าน ตบเราทําไม?” แล้วอันนาสจึงให้นําพระเยซูซึ่งยังถูกมัดอยู่ไปพบมหาปุโรหิตคายาฟาส 19 20
21
22
23
24
ยอหน 18:24 | 189
ยอห์น 18:25–27 ตนไม สงสัยวานอง ๆ เคยไดยินไกขันในตอนเชาที่นอง ๆ ตื่นขึ้นมาบางหรือเปลา ใน สมัยกอนที่ยังไมมีนาิกาปลุก ผูคนจะรูวามันเปนเวลาที่จะตองตื่นแลว เมื่อพวกเขา ไดยินเสียงไกขัน ลูกไกจะเริ่มขันเมื่อมีอายุไดหาเดือน ตนไม ตองการที่จะทาทายใหนอง ๆ นึกถึงพระเยซูเมื่อใดก็ตามที่นอง ๆ ไดยินขันไก หรือเสียงนาิกาปลุก แลวสัญญากับพระองควานอง ๆ จะติดตามพระองคไปอยาง สัตยซื่อ เปโตรปฏิเสธพระเยซูอีก
ขณะซีโมนเปโตรยืนผิงไฟอยู่ มีคนถามว่า “เจ้าเป็นสาวกคนหนึ่งของเขามิใช่หรือ?” เปโตร ปฏิเสธว่า “ข้าไม่ได้เป็น” คนรับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ซึ่งเป็นญาติกับคนที่ถูกเปโตรฟันหูขาดก็ยืนยันว่า “ข้าเห็น เจ้าอยู่กับเขาในสวนมะกอกเทศมิใช่หรือ?” เปโตรปฏิเสธอีกและทันใดนั้นไก่ก็เริ่มขัน 25
26
27
พระเยซูต่อหน้าปีลาต
จากนั้นพวกยิวนําพระเยซูจากบ้านคายาฟาสไปยังวังของผู้ว่าการชาวโรมัน เมื่อถึงตอนนี้ก็ เป็นเวลาเช้าตรู่พวกยิวจึงไม่เข้าไปในวังเพื่อจะได้ไม่เป็นมลทินตามระเบียบพิธี พวกเขาต้องการให้ ตนเองเข้าร่วมรับประทานปัสกาได้ ดังนั้นปีลาตจึงออกมาพบพวกเขาและถามว่า “พวกท่านฟ้อง ร้องชายผู้นี้ด้วยข้อหาอะไร?” พวกนั้นตอบว่า “ถ้าเขาไม่ใช่อาชญากร เราคงไม่นําตัวเขามามอบให้แก่ท่าน” ปีลาตกล่าวว่า “พวกท่านนําตัวเขาไปตัดสินตามกฎหมายของท่านเองเถิด” พวกยิวคัดค้านว่า “แต่เราไม่มีสิทธิ์ประหารใคร” สิ่งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะเป็นจริงตามที่พระเยซู ตรัสไว้ว่าพระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์อย่างไร ปีลาตจึงกลับเข้าไปในวังแล้วสั่งให้นําตัวพระเยซูมา และถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิว หรือ?” พระเยซูตรัสถามว่า “นั่นเป็นความคิดของท่านเองหรือคนอื่นมาบอกท่านเกี่ยวกับเรา?” ปีลาตตอบว่า “เราเป็นยิวหรือ? คนร่วมชาติของท่านกับพวกหัวหน้าปุโรหิตของท่านนําตัว ท่านมามอบให้แก่เรา ท่านไปทําอะไรมา?” พระเยซูตรัสว่า “อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้ มิฉะนั้นคนของเราย่อมต่อสู้เพื่อ ป้องกันไม่ให้พวกยิวจับกุมเรา แต่นี่อาณาจักรของเรามาจากที่อื่น” ปีลาตกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็เป็นกษัตริย์น่ะสิ!” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านพูดถูกที่ว่าเราเป็นกษัตริย์ อันที่จริงเพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเรา เข้ามาในโลกเพื่อเป็นพยานถึงความจริง ทุกคนที่อยู่ฝ่ายความจริงย่อมฟังเรา” ปีลาตถามว่า “อะไรคือความจริง?” แล้วก็กลับออกมาหาพวกยิวอีกครั้งและกล่าวว่า “เราพบ ว่าเขาไม่ได้ทําอะไรผิดตามข้อกล่าวหา แต่ธรรมเนียมของพวกท่านกําหนดให้เราปล่อยตัวนักโทษ หนึ่งคนให้แก่พวกท่านในเทศกาลปัสกา ท่านต้องการให้เราปล่อยตัว ‘กษัตริย์ของชาวยิว’ หรือ?” พวกเขาตะโกนกลับไปว่า “ไม่ ไม่ใช่คนนี้! ปล่อยบารับบัสให้เรา!” บารับบัสนั้นได้มีส่วนร่วม ในการกบฏ 28
29
30 31
32
33
34 35
36
37
38
39
40
190 | ยอหน 18:25
ตัดสินให้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน
้นปีลาตจึงให้เอาตัวพระเยซูไปโบยตี พวกทหารเอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระ 19 จากนั เศียรของพระเยซู และให้ทรงเสื้อคลุมสีม่วง แล้วเขาเข้ามาหาพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าและ 2
3
กล่าวว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของชาวยิว ขอจงทรงพระเจริญ!” และพวกเขาตบพระพักตร์ของพระองค์ ปีลาตออกมาอีกครั้งหนึ่งและกล่าวกับพวกยิวว่า “ดูเถิด เรากําลังนําตัวเขาออกมาให้ท่าน ท่าน จะได้รู้ว่าเราไม่พบว่าเขาทําอะไรผิดตามข้อกล่าวหา” เมื่อพระเยซูออกมา พระองค์ทรงสวมมงกุฎ หนามและเสื้อคลุมสีม่วง ปีลาตกล่าวกับพวกเขาว่า “เขาอยู่ที่นี่แล้ว!” ทันทีที่พวกหัวหน้าปุโรหิตและเจ้าหน้าที่เห็นพระองค์ก็ร้องตะโกนว่า “ตรึงกางเขน! ตรึง กางเขน!” แต่ปีลาตตอบว่า “พวกท่านรับตัวเขาไปตรึงที่ไม้กางเขนเถิด สําหรับเรา เราไม่พบว่าเขาทํา อะไรผิด” พวกยิวยืนกรานว่า “เรามีบทบัญญัติและตามบทบัญญัตินั้นเขาต้องตายเพราะเขาอ้างตัวเป็น พระบุตรของพระเจ้า” เมื่อปีลาตได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งตกใจกลัว จึงกลับเข้ามาในวังและทูลถามพระเยซูว่า “ท่านมาจาก ไหน?” แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสตอบ ปีลาตกล่าวว่า “ท่านไม่ยอมพูดกับเราหรือ? ท่านไม่รู้หรือว่า เรามีอํานาจที่จะปล่อยตัวท่านหรือตรึงท่านให้ตายที่ไม้กางเขนก็ได้?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านไม่อาจมีอํานาจเหนือเราหากเบื้องบนไม่ประทานลงมา ฉะนั้นผู้ที่ นําตัวเรามามอบให้ท่านก็มีความผิดบาปร้ายแรงกว่า” นับแต่นั้นปีลาตก็หาทางปล่อยพระเยซูแต่พวกยิวตะโกนไม่หยุดว่า “ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ ใครที่อ้างตัวเป็นกษัตริย์ก็เป็นปฏิปักษ์กับซีซาร์” เมื่อปีลาตได้ยินเช่นนั้นก็นําตัวพระเยซูออกมาและนั่งบนบัลลังก์พิพากษาในบริเวณที่เรียกกัน ว่า ลานศิลา (ภาษาอารเมคเรียกว่า กับบาธา) วันนั้นเป็นวันเตรียมของสัปดาห์ปัสกา เป็นเวลา ราวเที่ยงวัน ปีลาตกล่าวกับพวกยิวว่า “นี่คือกษัตริย์ของพวกท่าน” แต่พวกเขาร้องตะโกนว่า “เอาตัวเขาไป! เอาตัวเขาไป! ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!” ปีลาตถามว่า “จะให้เราตรึงกษัตริย์ของท่านที่ไม้กางเขนหรือ?” พวกหัวหน้าปุโรหิตตอบว่า “นอกจากซีซาร์แล้วเราไม่มีกษัตริย์” ในที่สุดปีลาตก็มอบพระเยซูให้พวกเขาไปตรึงที่ไม้กางเขน 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
การตรึงที่ไม้กางเขน
ดังนั้นพวกทหารจึงคุมตัวพระเยซูไป พระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ไปยังสถานแห่งหัว กระโหลก (ซึ่งในภาษาอารเมคเรียกว่า กลโกธา) ที่นั่นเขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขนกับอีกสอง คนขนาบข้างและพระเยซูทรงอยู่ตรงกลาง ปีลาตให้เขียนป้ายติดไว้บนกางเขนว่า เยซูชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว พวกยิวหลายคน ได้อ่านป้ายนี้เพราะที่ซึ่งพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนนั้นอยู่ใกล้กรุงและป้ายนั้นเขียนไว้เป็นภาษา อารเมค ลาติน และกรีก พวกหัวหน้าปุโรหิตของชาวยิวจึงคัดค้านปีลาตว่า “อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ ของชาวยิว’ แต่เขียนว่าชายคนนี้อ้างตัวเป็นกษัตริย์ของชาวยิว” ปีลาตตอบว่า “สิ่งที่เราได้เขียนแล้ว ก็ให้เป็นไปตามนั้น” เมื่อพวกทหารตรึงพระเยซูที่ไม้กางเขนแล้วก็นําฉลองพระองค์มาแบ่งเป็นสี่ส่วน ได้ไปคนละ ส่วน เหลือไว้แต่ฉลองพระองค์ชั้นในซึ่งไม่มีตะเข็บทอเป็นผืนเดียวตั้งแต่บนจรดล่าง เขาพูดกันว่า “อย่าฉีกแบ่งเลย ให้เราจับฉลากกันว่าใครจะได้เสื้อตัวนี้” ทั้งนี้เพื่อจะเป็นจริง ตาม พระคัมภีร์ที่ว่า “เขาทั้งหลายเอาเครื่องนุ่งห่มของข้าพระองค์มาแบ่งกัน และเอาเสื้อผ้าของข้าพระองค์มาจับฉลาก” 17
18
19
20
21
22 23
24
ยอหน 19:24 | 191
พวกทหารทําเช่นนี้แหละ ผู้ที่ยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระเยซูได้แก่มารดาของพระองค์ น้าสาวของพระองค์ มารีย์ ภรรยาของโคลปัส และมารีย์ชาวมักดาลา เมื่อพระเยซูทรงเห็นมารดาของพระองค์และสาวกที่ ทรงรักยืนอยู่ใกล้ๆ พระองค์จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงที่รักเอ๋ย นี่คือบุตรชายของ ท่าน” และตรัสกับสาวกคนนั้นว่า “นี่คือมารดาของท่าน” ตั้งแต่นั้นมาสาวกคนนี้ก็รับมารดาของ พระองค์มาอยู่ที่บ้านของตน 25
26
27
พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์
หลังจากนั้นเมื่อพระองค์ทรงทราบว่าทุกสิ่งสําเร็จครบถ้วนแล้วและเพื่อจะเป็นจริงตามพระ คัมภีร์ พระเยซูจึงตรัสว่า “เรากระหายน้ํา” ที่นั่นมีภาชนะใส่น้ําองุ่นเปรี้ยวตั้งอยู่ พวกเขาจึงเอา ฟองน้ําชุบน้ําองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้หุสบชูขึ้นถึงพระโอษฐ์ของพระเยซู เมื่อทรงรับน้ํานั้นแล้ว พระเยซูก็ตรัสว่า “สําเร็จแล้ว” จากนั้นพระองค์ก้มพระเศียรลงและสิ้นพระชนม์ วันนั้นเป็นวันเตรียมและรุ่งขึ้นจะเป็นวันสะบาโตพิเศษ เนื่องจากพวกยิวไม่ต้องการให้ศพค้าง บนไม้กางเขนในช่วงวันสะบาโต จึงขอปีลาตให้ทุบขาผู้ที่ถูกตรึงให้หักและเอาศพลงมา ดังนั้น พวกทหารจึงมาทุบขาของชายคนแรกที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนด้วยกันกับพระเยซูให้หัก แล้วทุบขา ของอีกคนหนึ่งให้หักด้วย แต่เมื่อมาถึงพระเยซูพวกเขาพบว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วจึงไม่ได้ ทุบขาของพระองค์ แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระเยซูโลหิตกับน้ําก็ไหลออกมา ทันที ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ได้เป็นพยานและคําพยานของเขาเป็นความจริง เขารู้ว่าเขาพูดความจริง และเขาเป็นพยานเพื่อว่าท่านทั้งหลายจะเชื่อด้วย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อจะเป็นจริงตามพระคัมภีร์ ที่ว่า “กระดูกของเขาจะไม่ถูกหักสักชิ้นเดียว” และพระคัมภีร์อีกตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “เขาทั้ง หลายจะมองดูผู้ที่พวกเขาได้แทง” 28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
การฝังพระศพพระเยซู
หลังจากนั้นโยเซฟชาวอาริมาเธียได้ไปขอพระศพพระเยซูจากปีลาต โยเซฟเป็นสาวกของ พระเยซูแต่ไม่กล้าแสดงตัวเพราะกลัวพวกยิว เมื่อปีลาตอนุญาตแล้วเขาก็มาเชิญพระศพไป นิโคเดมัสผูซ้ ง่ึ ก่อนหน้านีเ้ คยมาเข้าเฝ้าพระเยซูในเวลากลางคืนก็มาร่วมด้วยพร้อมทัง้ นําเครือ่ งหอม คือมดยอบผสมกับกฤษณาหนักประมาณ 34 กิโลกรัมมา ทั้งสองเชิญพระศพของพระเยซูลงมา แล้วเอาแถบผ้าลินินพันพระศพพร้อมกับเครื่องหอมตามธรรมเนียมการฝังศพของชาวยิว สถานที่ ซึ่งพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนนั้นมีสวนแห่งหนึ่งและในสวนนั้นมีอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่เคยฝังใคร มาก่อน เนื่องจากวันนั้นเป็นวันเตรียมของพวกยิวและอุโมงค์ก็อยู่ใกล้ๆ เขาจึงวางพระศพพระ เยซูไว้ที่นั่น 38
39
40
41
42
อุโมงค์ว่างเปล่า
มืดวันต้นสัปดาห์ขณะยังมืดอยู่ มารีย์ชาวมักดาลามาที่อุโมงค์ฝังศพและเห็นว่าก้อนหิน 20 ถูเช้กาเคลื ่อนออกจากปากอุโมงค์แล้ว ดังนั้นนางจึงวิ่งมาบอกซีโมนเปโตรกับสาวกคนที่พระ 2
เยซูทรงรักว่า “พวกเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกจากอุโมงค์แล้วและเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไป ไว้ที่ไหน!” ดังนั้นเปโตรกับสาวกคนนั้นจึงมาที่อุโมงค์ ทั้งสองคนวิ่งมาแต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึง มาถึงอุโมงค์ก่อน เขาก้มลงมองเข้าไปเห็นแถบผ้าลินินวางอยู่แต่เขาไม่ได้เข้าไป แล้วซีโมนเปโตร ซึ่งตามมาข้างหลังก็วิ่งตรงเข้าไปในอุโมงค์ เขาเห็นแถบผ้าลินินวางอยู่ พร้อมกับผ้าพันพระเศียร ของพระเยซูพับวางไว้ต่างหาก ในที่สุดสาวกคนนั้นซึ่งมาถึงอุโมงค์ก่อนก็เข้ามาข้างในด้วย เขาได้ เห็นและเชื่อ (พวกเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่ว่าพระเยซูต้องเป็นขึ้นจากตาย) 3
4
5
6
7
8
9
192 | ยอหน 19:25
ยอห์น 20 น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่าพระเยซูทรงปรากฏแก่ประชาชนหลายร้อยคน หลังจากที่ พระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย? ให้อ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมดได้ในมัทธิว 28, มาระโก 16, ลูกา 24, ยอห์น 20 และ 21, กิจการของอัครทูต 1 และ 1 โครินธ์ 15 พระเยซูทรงปรากฏแก่เหล่าสาวกของพระองค์, ผู้หญิงที่หลุมฝังศพ, สาวกสองคนผู้ กําลังเดินทางไปหมู่บ้านเอมมาอูส, ประชาชน 500 คน, ยากอบน้องชายของพระเยซู และทุกคนที่อยู่ในขณะที่พระองค์ทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ น้อง ๆ นับได้กี่คน? พระเยซูทรงปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลา
แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปบ้านของตน แต่มารีย์ยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะร้องไห้อยู่นาง ก้มลงมองเข้าไปในอุโมงค์ เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมชุดสีขาวนั่งอยู่ตรงที่ซึ่งพวกเขาเคยวางพระ ศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร อีกองค์อยู่เบื้องพระบาท ทูตทั้งสองถามมารีย์ว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทําไม?” มารีย์ตอบว่า “พวกเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปแล้วและข้าพเจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาเอา พระองค์ไปไว้ที่ไหน” แล้วมารีย์ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่ที่นั่นแต่นางไม่ทราบว่า เป็นพระเยซู พระองค์ตรัสว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทําไม? เจ้ากําลังตามหาใครหรือ?” มารีย์คิดว่าพระองค์เป็นคนสวนจึงตอบว่า “ท่านเจ้าข้า หากท่านเอาพระองค์ไปขอบอกข้าพเจ้า ว่าท่านเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ข้าพเจ้าจะได้รับพระองค์ไป” พระเยซูตรัสกับนางว่า “มารีย์เอ๋ย” มารีย์หันกลับมาหาพระองค์และร้องออกมาเป็นภาษาอารเมคว่า “รับโบนี!” (ซึ่งแปลว่า พระ อาจารย์) พระเยซูตรัสว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เพราะเรายังไม่ได้กลับไปหาพระบิดา จงไปหาพวกพี่ น้องของเราและบอกพวกเขาว่า ‘เรากําลังจะกลับไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของท่านทั้ง หลาย ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย’ ” มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวแก่เหล่าสาวกว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว!” และเล่าถึงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสกับนาง 10
11
12
13
14
15
16
17
18
พระเยซูทรงปรากฏแก่เหล่าสาวก
ค่ําวันต้นสัปดาห์นั้นเมื่อพวกสาวกมาอยู่ด้วยกันพวกเขาปิดประตูลงกลอนเพราะกลัวพวกยิว พระเยซูก็เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาและตรัสว่า “สันติสุขจงดํารงอยู่กับท่านทั้ง หลายเถิด!” เมื่อตรัสแล้วพระองค์ทรงสําแดงพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ให้พวกเขาดู เมื่อ เหล่าสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็ชื่นชมยินดีเป็นล้นพ้น พระเยซูตรัสอีกว่า “สันติสุขจงดํารงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด! พระบิดาได้ทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งพวกท่านไปฉันนั้น” เมื่อตรัสดังนั้นแล้วพระองค์ทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาพร้อม ทั้งตรัสว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด ถ้าท่านอภัยบาปของผู้ใดผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ถ้าท่าน ไม่อภัยให้เขาก็ไม่ได้รับการอภัย” 19
20
21
22
23
ยอหน 20:23 | 193
ทรงปรากฏแก่โธมัส
ฝ่ายโธมัส (ที่เรียกกันว่า ดิไดมัส) หนึ่งในสาวกสิบสองคนไม่ได้อยู่ด้วยในตอนที่พระเยซูเสด็จ มา ดังนั้นสาวกคนอื่นๆ จึงบอกเขาว่า “เราได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว!” แต่โธมัสกล่าวกับพวกเขาว่า “ถ้าเราไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ ไม่ได้เอานิ้วแยงที่รูตะปูนั้น และไม่ได้เอามือแยงที่สีข้างของพระองค์ เราก็จะไม่ยอมเชื่อ” สัปดาห์ต่อมาเหล่าสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านหลังนั้นอีก โธมัสก็อยู่กับพวกเขา ทั้งๆ ที่ปิดประตูลงกลอนอยู่แต่พระเยซูก็เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาและตรัสว่า “สันติสุขจงดํารงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด!” จากนั้นพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “ยื่นนิ้วมาที่นี่ ดูมือ ของเรา ยื่นมือมาแยงที่สีข้างของเรา จงเลิกสงสัยและจงเชื่อเถิด” โธมัสทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์!” แล้วพระเยซูตรัสบอกเขาว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อ ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่ได้เห็นแต่ก็ ยังเชื่อ” พระเยซูทรงกระทําหมายสําคัญอื่นๆ อีกมากมายต่อหน้าเหล่าสาวกของพระองค์ซึ่งไม่ได้ บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ แต่ที่บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่าพระเยซูทรง เป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และโดยความเชื่อท่านจะได้มีชีวิตในพระนามของพระองค์ 24
25
26
27
28
29
30
31
พระเยซูกับการจับปลาอย่างอัศจรรย์
ทรงปรากฏแก่เหล่าสาวกของพระองค์อีกครั้งที่ทะเลทิเบเรียส เหตุการณ์ 21 เป็ต่อนมาพระเยซู ไปดังนี้คือ ซีโมนเปโตร โธมัส (ที่เรียกกันว่า ดิไดมัส) นาธานาเอลจากหมู่บ้านคานาใน 2
แคว้นกาลิลี บุตรชายทั้งสองของเศเบดีและสาวกอีกสองคนอยู่ด้วยกัน ซีโมนเปโตรบอกพวกเขา ว่า “เราจะออกไปจับปลา” พวกนั้นพูดว่า “เราจะไปด้วย” พวกเขาจึงออกไปและลงเรือแต่ทั้งคืน ไม่ได้อะไรเลย พอรุ่งเช้าพระเยซูทรงยืนอยู่ที่ฝั่งแต่เหล่าสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู พระเยซูทรงตะโกนถามว่า “เพื่อนเอ๋ย ไม่มีปลาเลยหรือ?” พวกเขาทูลว่า “ไม่มี” พระองค์ตรัสว่า “ทอดอวนลงที่ด้านขวาของเรือเถิด พวกท่านจะได้ปลาบ้าง” เมื่อพวกเขาทอด อวนลงก็ได้ปลามากมายจนลากอวนไม่ขึ้น แล้วสาวกคนที่พระเยซูทรงรักจึงพูดกับเปโตร ว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า!” ทันทีที่ซีโมนเปโตร ได้ยินว่าเขาพูดว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” เปโตรก็คว้าเสื้อตัวนอกมาสวม (เพราะตอนแรกถอด ไว้) แล้วกระโดดลงน้ํา สาวกคนอื่นๆ นั่งเรือตามมาพร้อมทั้งลากอวนที่มีปลาติดเต็มมาด้วยเพราะ 3
4 5
6
7
8
ยอห์น 21:1–14 ชาวประมงในทะเลกาลิลีมักจะใชอวนหาปลา พวกเขาทําอวนหาปลาขึ้นดวยตัวเอง และซอมแซมและทําความสะอาดมันหลังจากที่พวกเขาตกปลาเสร็จแลว เหลาสาวกจับปลาได 153 ตัวในอวนหาปลา พวกเขาไมสามารถดึงอวนหาปลาขึ้นเรือ ไดเนื่องจากอวนหนักมาก พวกเขาจึงตองลากอวนตามขางหลังเรือไปที่ฝง ปลาเหลานั้นทําให ตนไม ระลึกถึงคริสตจักรของพระเยซูที่มีที่สําหรับทุกคน และยินดี ตอนรับทุกคน! 194 | ยอหน 20:24
พวกเขาอยู่ไม่ไกลจากฝั่งคือประมาณ 200 ศอกเท่านั้น พอพวกเขาขึ้นฝั่งก็เห็นถ่านติดไฟมีปลาปิ้ง อยู่ข้างบนและมีขนมปัง พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เอาปลาที่ท่านเพิ่งจับได้มาบ้าง” ซีโมนเปโตรปีนขึ้นเรือแล้วลากอวนมาที่ฝั่ง มีปลาใหญ่เต็มอวนนับได้ 153 ตัว แม้มีปลา มากมายขนาดนั้นอวนก็ไม่ขาด พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “มากินอาหารเช้ากันเถิด” ไม่มีสาวก คนไหนกล้าทูลถามว่า “ท่านเป็นใคร?” พวกเขารู้อยู่แล้วว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูเสด็จ มาหยิบขนมปังและยื่นให้พวกเขา พระองค์ทรงหยิบปลาและทําอย่างเดียวกัน นี่เป็นครั้งที่สามที่ พระเยซูทรงปรากฏแก่เหล่าสาวกของพระองค์หลังจากพระเจ้าทรงให้พระองค์คืนพระชนม์แล้ว 9
10 11
12
13
14
พระเยซูทรงให้เปโตรกลับมารับใช้ดงั เดิม
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับ ยอห์น 21:15–19 ซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเรายิ่งกว่า พระเยซูตรัสถามเปโตรถึงสามครั้งว่า สิ่งเหล่านี้จริงๆ หรือ?” เขารักพระองค์หรือไม่ อาจจะเป็น เขาทูลว่า “ใช่พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้า เพราะว่าเปโตรได้ปฏิเสธพระเยซูถึง พระองค์รักพระองค์” สามครั้ง จําไว้ว่าเปโตรได้ประกาศถึง พระเยซูตรัสว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเรา” สามครั้งว่าเขาไม่รู้จักพระเยซู ตอนนี้ พระเยซูตรัสอีกครั้งหนึ่งว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เขามีโอกาสสามครั้งที่จะพูดว่าเขารัก ท่านรักเราจริงๆ หรือ?” พระเยซู พระเยซูทรงแสดงให้เปโตร เขาทูลว่า “ใช่พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้า เห็นว่าพระองค์ทรงให้อภัยเขาอย่าง พระองค์รักพระองค์” สมบูรณ์แล้ว พระเยซูตรัสว่า “จงดูแลลูกแกะของเรา” พระองค์ตรัสกับเขาเป็นครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตร ยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?” เปโตรรู้สึกเสียใจ เพราะพระเยซูทรงถามเขาเป็นครั้งที่สามว่า “ท่านรักเราหรือ?” เขาทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกอย่าง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสว่า “จงเลี้ยงแกะของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่มท่านแต่ง ตัวของท่านเองและไปไหนๆ ตามที่ท่านต้องการ แต่เมื่อท่านแก่แล้วท่านจะเหยียดมือออกมีคนอื่น มาแต่งตัวให้และนําท่านไปยังที่ซึ่งท่านไม่ต้องการไป” พระเยซูตรัสเช่นนี้เพื่อบ่งบอกว่าเปโตร จะถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าด้วยการตายอย่างไร แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา เถิด!” เปโตรหันมาเห็นสาวกที่พระเยซูทรงรักกําลังตามมา (นี่เป็นสาวกคนเดียวกับที่เอนกายพิงพระ เยซูในระหว่างอาหารค่ํามื้อนั้นและทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า ใครคือผู้ที่จะทรยศพระองค์?”) เมื่อเปโตรเห็นเขาก็ทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า แล้วคนนี้เล่า?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าเราต้องการให้เขามีชีวิตอยู่จนเรากลับมา จะเกี่ยวอะไรกับท่าน? ท่าน ต้องตามเรามา” เพราะเหตุนี้จึงมีคําร่ําลือไปในหมู่พวกพี่น้องว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย ที่จริงพระ เยซูไม่ได้ตรัสว่าเขาจะไม่ตาย พระองค์เพียงแต่ตรัสว่า “ถ้าเราต้องการให้เขามีชีวิตอยู่จนเรากลับ มา จะเกี่ยวอะไรกับท่าน?” สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้และบันทึกไว้ เราทราบว่าคําพยานของเขา นั้นจริง พระเยซูได้ทรงกระทําสิ่งอื่นๆ อีกมากมายหลายอย่าง ถ้าจะเขียนไว้ทั้งหมดข้าพเจ้าคิดว่าแม้ โลกทั้งโลกก็ไม่มีที่พอสําหรับหนังสือที่จะเขียนขึ้นนั้น 15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
ยอหน 21:25 | 195
กิจการของอัครทูต น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● ลูกาเขียนหนังสือพันธสัญญาใหม่ 2 เล่ม ได้แก่ พระกิตติคุณลูกา และกิจการของ
อัครทูต ● ในกิจการ ลูกาได้บอกกับเธโอฟีลัสถึงสิ่งที่เหล่าสาวกของพระเยซูได้ทําหลังจากที่ พระองค์ถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ ● ลูกาเขียนหนังสือกิจการขึ้นในระหว่างคริสต์ศักราชที่ 60 และ 64 ● พระกิตติคุณลูกาจบลงด้วยพระสัญญาของพระเยซูเจ้าว่า พระองค์จะส่งพระ วิญญาณบริสุทธิ์มาอยู่กับเหล่าสาวกของพระองค์ (ลูกา 24:49) ● หนังสือกิจการเริ่มต้นด้วยการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา เหมือนดั่งที่พระเยซูได้ ทรงสัญญาไว้
หนังสือกิจการบอกเราเกี่ยวกับการเริ่มต้นของคริสตจักร
● พระเยซูบอกเหล่าสาวกให้เป็นพยานเกี่ยวกับเรื่องราวของพระองค์แก่คนทั้งหลาย
พระองค์ทรงสอนวิธีการประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา (กิจการ 1:8) ● หลังจากการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหล่าสาวกประกาศข่าวประเสริฐใน กรุงเยรูซาเล็มในที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ (กิจการ 1 – 8) ● แล้วเหล่าสาวกก็ออกไปประกาศข่าวประเสริฐในส่วนที่เหลือของประเทศ (กิจการ 8 – 11) ● เหล่าสาวกเดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐในประเทศใกล้เคียง (กิจการ 11 – 15) ● จากนั้นเปาโลและคริสเตียนคนอื่น ๆ ได้ไปยังประเทศที่ห่างไกล ออกไป เพื่อที่จะเล่าถึงเรื่องราวของพระเยซู ในเวลาไม่นาน ก็มีคริสตจักรเกิดขึ้นมากมาย ในทุกที่ของอาณาจักรโรมัน (กิจการ 15 – 28)
เรื่องที่น้อง ๆ ต้องอ่าน!
● พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมา (กิจการ 2:1–13) ● สเทเฟนถูกฆ่าตายเพราะเขาเชื่อในพระเยซู (กิจการ 7:54–60) ● เปาโลกลายเป็นสาวกของพระเยซู (กิจการ 9:1–31) ● คนต่างชาติเชื่อในพระเยซู (กิจการ 10:1 – 11:18)
196
กิจการของอัครทูต
กิจการ 1 มาทดสอบความรูของเรากันเถอะ! ใหเขียนคําตอไปนี้จากพระธรรมกิจการ บทที่1 ลง บนกระดาษ: เยรูซาเล็ม, พระวิญญาณบริสุทธิ์, ภูเขามะกอกเทศ, สิทธิอํานาจ, นําขึ้น สูสวรรค, เสื้อผาสีขาว, การกลับมา, นางมารีย, ยูดาส อิสคาริโอท, เปโตร, มัทธีอัส, พระเยซู, สวรรค, สี่สิบวัน, กอนเมฆ, การชําระเงิน, อัครสาวก เอาคําเหลานั้นใสไวใน ถุง ผลัดกันเลือกคําเหลานั้น นองๆ รูอะไรเกี่ยวกับคําเหลานั้นไหม? ถานอง ๆ ไมรูวามันหมายถึงอะไร ใหสงตอใหเพื่อนได พระเยซูถูกรับขึ้นสู่สวรรค์
เรียนท่านเธโอฟีลัส ในหนังสือเล่มก่อนข้าพเจ้าได้เขียนถึงสิ่งทั้งปวงซึ่งพระเยซูได้ทรงเริ่มกระทํา 1 และสั ่งสอน จนถึงวันที่ทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์หลังจากตรัสสั่งโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ 2
แก่เหล่าอัครทูตที่ได้ทรงเลือกสรร ภายหลังที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์ ก็ได้ทรงสําแดงพระองค์ แก่คนเหล่านั้นและให้ข้อพิสูจน์หลายประการที่ยืนยันว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรง ปรากฏแก่พวกเขาในช่วงสี่สิบวันและตรัสเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า ครั้งหนึ่งขณะทรงร่วม รับประทานอาหารกับพวกเขาพระองค์ทรงบัญชาพวกเขาว่า “อย่าออกจากกรุงเยรูซาเล็มแต่จงรอ คอยของประทานที่พระบิดาของเราได้ทรงสัญญาไว้ ดังที่พวกท่านได้ยินเรากล่าวไว้ ด้วยว่ายอห์น ให้บัพติศมาด้วยน้ําแต่อีกไม่กี่วันพวกท่านจะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” ดังนั้นเมื่อมาประชุมพร้อมหน้ากันพวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า บัดนี้ พระองค์จะทรงกอบกู้อาณาจักรอิสราเอลขึ้นใหม่หรือ?” พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ไม่ใช่ธุระของพวกท่านที่จะรู้วันเวลาซึ่งพระบิดาทรงกําหนดไว้ ตามสิทธิอํานาจของพระองค์ แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์อํานาจเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จ มาเหนือพวกท่าน และพวกท่านจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม และทั่วแคว้นยูเดียกับ สะมาเรียจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก” หลังจากตรัสดังนี้แล้วพระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาและมีเมฆมาปกคลุม พระองค์จนพวกเขามองไม่เห็นพระองค์ พวกเขากําลังแหงนหน้าเขม้นดูฟ้าขณะที่พระองค์เสด็จไป ทันใดนั้นมีชายสองคนสวมชุดขาว มายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา และกล่าวว่า “ชนชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุใดพวกท่านจึงยืนมองท้องฟ้าอยู่ที่ นี่? พระเยซูองค์นี้ซึ่งถูกรับไปจากพวกท่านเข้าสู่สวรรค์นั้นจะเสด็จกลับมาอีกในแบบเดียวกันกับที่ พวกท่านเห็นพระองค์เสด็จเข้าสู่สวรรค์” 3
4
5
6
7
8
9
10
11
เลือกมัทธีอัสขึ้นแทนยูดาส
จากนั้นพวกเขาก็ลงมาจากภูเขามะกอกเทศแล้วกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่ห่างออกไป เท่ากับระยะทางที่อนุญาตให้เดินในวันสะบาโต เมื่อมาถึงพวกเขาก็ขึ้นไปยังห้องชั้นบนที่พักกัน อยูม่ เี ปโตร ยอห์น ยากอบ อันดรูว์ ฟีลปิ โธมัส บารโธโลมิว มัทธิว ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมนพรรค ชาตินิยม และยูดาสบุตรยากอบ พวกเขาทั้งหมดร่วมใจกันขะมักเขม้นอธิษฐานพร้อมกับพวกผู้ หญิง กับมารีย์มารดาของพระเยซู และพวกน้องชายของพระองค์ ครั้งนั้นเปโตรยืนขึ้นท่ามกลางเหล่าผู้เชื่อ (ประมาณ 120 คน) และกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย พระคัมภีร์ต้องเป็นจริงตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสไว้เมื่อนานมาแล้วผ่านพระโอษฐ์ของ 12
13
14
15
198 | กิจการของอัครทูต 1:1
16
กษัตริย์ดาวิดเกี่ยวกับยูดาสผู้ซึ่งนําพวกเขามาจับพระเยซู เขาได้เป็นคนหนึ่งในพวกเราและมีส่วน ร่วมในพันธกิจนี้” (ยูดาสนําเงินรางวัลที่ได้จากความชั่วช้าของตนไปซื้อที่ดิน ที่นั่นเขาล้มลงศีรษะกระแทกพื้น ลําตัวแตกไส้พุงทะลักออกมาหมด ทุกคนในเยรูซาเล็มได้ยินเรื่องนี้ จึงเรียกที่ดินแปลงนั้นตาม ภาษาของตนว่า อาเคลดามา คือทุ่งโลหิต) เปโตรกล่าวว่า “เพราะมีเขียนไว้ในพระธรรมสดุดีว่า “ ‘ขอให้ที่อยู่ของเขาเริศร้าง อย่าให้มีผู้ใดอาศัยอยู่ที่นั่น’ และ “ ‘ให้คนอื่นขึ้นมาเป็นผู้นําแทนตําแหน่งของเขา’ ฉะนั้นจึงจําเป็นต้องเลือกคนหนึ่งซึ่งได้อยู่กับพวกเราตลอดช่วงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงดําเนินอยู่ ท่ามกลางพวกเรา ตั้งแต่บัพติศมาของยอห์นจนถึงเวลาที่พระเยซูถูกรับขึ้นไปจากเรา เพราะคนนี้ จะต้องเป็นพยานร่วมกับเราว่าพระองค์ได้คืนพระชนม์แล้ว” ดังนั้นพวกเขาจึงเสนอชื่อชายสองคนคือ โยเซฟที่เรียกกันว่าบารซับบาส (และอีกชื่อหนึ่งคือ ยุสทัส) กับมัทธีอัส จากนั้นพวกเขาอธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบจิตใจของทุก คน ขอทรงสําแดงว่าทรงเลือกคนไหนในสองคนนี้ ให้รับพันธกิจแห่งอัครทูตแทนยูดาสผู้ได้ละทิ้ง ไปสู่ที่ของตน” แล้วพวกเขาจับฉลากได้มัทธีอัสดังนั้นจึงรวมเขาเข้ากับอัครทูตสิบเอ็ดคน 17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
พระวิญญาณเสด็จมาในวันเพ็นเทคอสต์
เมื่อถึงวันเพ็นเทคอสต์ พวกเขาทั้งหมดมารวมอยู่ในที่เดียวกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงจากฟ้าสวรรค์ 2 เหมื อนเสียงพายุกล้าดังก้องไปทั่วทั้งบ้านที่เขานั่งอยู่ พวกเขาเห็นสิ่งที่ดูเหมือนเปลวไฟรูปร่าง 2
3
คล้ายลิ้นกระจายออกและมาอยู่เหนือพวกเขาแต่ละคน ทุกคนเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และ เริ่มพูดภาษาต่างๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พวกเขาสามารถพูดได้ ขณะนั้นมีพวกยิวผู้ยําเกรงพระเจ้าจากทุกชาติทั่วใต้ฟ้าสวรรค์มาพักอยู่ที่เยรูซาเล็ม เมื่อได้ยิน เสียงนี้ฝูงชนก็มาชุมนุมกันด้วยความงุนงงสงสัยเพราะแต่ละคนต่างก็ได้ยินพวกเขาพูดภาษาของ ตน พวกเขาจึงถามด้วยความอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งว่า “คนเหล่านี้ที่กําลังพูดอยู่ล้วนเป็นชาวกาลิลี ไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดเราแต่ละคนจึงได้ยินพวกเขาพูดภาษาท้องถิ่นของเรา? ไม่ว่าชาวปารเธีย ชาวมีเดีย และชาวเอลาม คนที่อยู่ในแถบเมโสโปเตเมีย ยูเดีย คัปปาโดเซีย ปอนทัสและเอเชีย 4
5
6
7
8
9
กิจการ 1:9–11 ใหนอง ๆ ออกไปขางนอก นอนหงาย และมองดูกอนเมฆบนทองฟา ตนไม พบวากอนเมฆที่บดบังพระเยซูไวในตอนที่พระองคทรงเสด็จขึ้นสูฟาสวรรคนั้น แสดงใหเหลาสาวกเห็นวาพระเจาทรงเสด็จมารับพระบุตรของพระองคดวยพระองค เอง เมื่อชาวอิสราเอลเดินทางไปยังดินแดนแหงพันธสัญญา มีกอนเมฆนําหนาพวกเขา มัน แสดงใหเห็นวาพระเจาทรงอยูกับพวกเขาเชนกัน กิจการของอัครทูต 2:9 | 199
ฟรีเจียและปัมฟีเลีย อียิปต์และส่วนต่างๆ ของลิเบียแถวไซรีน ผู้มาเยือนจากกรุงโรม (ทั้งชาว ยิวกับผู้เข้าจารีตยิว) ชาวเกาะครีต และชาวอาหรับ พวกเราได้ยินเขาประกาศความอัศจรรย์ของ พระเจ้าด้วยภาษาของเราเอง!” เขาทั้งหลายล้วนอัศจรรย์ใจและฉงนสนเท่ห์จึงถามกันว่า “นี่ หมายความว่าอย่างไร?” แต่บางคนก็ล้อเลียนพวกเขาว่า “พวกนั้นดื่มเหล้าองุ่นมากเกินไป” 10
11
12
13
เปโตรกล่าวกับฝูงชน
แล้วเปโตรจึงยืนขึ้นกับอัครทูตสิบเอ็ดคนและกล่าวกับฝูงชนด้วยเสียงอันดังว่า “พี่น้องชาวยิว และท่านทั้งปวงที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าขอชี้แจงเรื่องนี้แก่ท่านทั้งหลาย โปรดตั้งใจฟังสิ่งที่ ข้าพเจ้าจะกล่าว คนเหล่านี้ไม่ได้เมาเหล้าอย่างที่ท่านคิด นี่เพิ่งเก้าโมงเช้า! แต่ทั้งนี้เป็นไปตามที่ ผู้เผยพระวจนะโยเอลกล่าวไว้ว่า “ ‘พระเจ้าตรัสว่า ในวาระสุดท้าย เราจะเทพระวิญญาณของเราลงเหนือประชากรทั้งปวง บุตรชายบุตรสาวของเจ้าจะเผยพระวจนะ คนหนุ่มของเจ้าจะเห็นนิมิต คนชราของเจ้าจะฝันเห็น เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเทวิญญาณของเรา ลงมาเหนือผู้รับใช้ของเราทั้งชายและหญิง และพวกเขาจะเผยพระวจนะ เราจะสําแดงการอัศจรรย์ในฟ้าสวรรค์เบื้องบน และหมายสําคัญที่แผ่นดินโลกเบื้องล่าง มีเลือด ไฟ และกลุ่มควัน ดวงอาทิตย์จะถูกเปลี่ยนเป็นความมืด และดวงจันทร์จะกลายเป็นเลือด ก่อนวันอันยิ่งใหญ่และเปี่ยมด้วยพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึง และทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด’ “ชนอิสราเอลเอ๋ย ขอจงฟังสิ่งนี้ พระเยซูแห่งนาซาเร็ธคือผู้ที่พระเจ้าทรงรับรองโดยปาฏิหาริย์ การอัศจรรย์ และหมายสําคัญต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทําผ่านพระองค์ท่ามกลางพวกท่านตาม ที่ท่านเองทราบอยู่แล้ว พระเยซูผู้นี้ทรงถูกมอบให้พวกท่าน ตามที่พระเจ้าได้ทรงกําหนดไว้และ ทรงทราบล่วงหน้า และโดยความช่วยเหลือของเหล่าคนอธรรม ท่านได้จับพระองค์ไปประหารด้วย การตอกตรึงที่ไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย พ้นจากความทุกข์ทรมาน แห่งความตาย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ความตายจะยึดครองพระองค์ไว้ ดาวิดได้กล่าวถึงพระองค์ว่า “ ‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ เพราะพระองค์ประทับอยู่ที่ด้านขวามือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว ฉะนั้น จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดีและลิ้นของข้าพเจ้าก็ปรีดา กายของข้าพเจ้าก็จะอยู่ด้วยความหวังเช่นกัน เพราะพระองค์จะไม่ทรงทิ้งข้าพระองค์ไว้กับหลุมฝังศพ ทั้งจะไม่ทรงปล่อยให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์เน่าเปื่อย พระองค์ได้ทรงสําแดงหนทางแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์ พระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีต่อหน้าพระองค์’ “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าบอกท่านได้อย่างมั่นใจว่าดาวิดบรรพบุรุษของเราสิ้นชีพและถูกฝัง 14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
200 | กิจการของอัครทูต 2:10
ไปแล้ว สุสานของเขาก็อยู่ที่นี่ตราบจนทุกวันนี้ แต่เขาเป็นผู้เผยพระวจนะและรู้ว่าพระเจ้าทรง สัญญากับเขาด้วยคําปฏิญาณว่าพระองค์จะทรงตั้งผู้หนึ่งในวงศ์วานของเขาให้ขึ้นครองบัลลังก์ ของเขา เขาทราบล่วงหน้าจึงได้กล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ว่า พระเจ้าจะไม่ทรง ทิ้งพระองค์ไว้ในหลุมฝังศพ ทั้งไม่ให้กายของพระองค์ต้องเน่าเปื่อย พระเจ้าทรงให้พระเยซูผู้ นี้คืนพระชนม์และพวกเราทั้งหมดเป็นพยานในความจริงข้อนี้ เมื่อทรงรับการเชิดชูสู่เบื้องขวา พระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามพระสัญญา และได้ทรงเทลงมาตามที่ท่านเห็นและได้ยินอยู่นี้ เพราะดาวิดไม่ได้ขึ้นสู่สวรรค์แต่ยังกล่าวว่า “ ‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า “จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะทําให้ศัตรูของเจ้า เป็นแท่นวางเท้าของเจ้า” ’ “ฉะนั้นให้ชนอิสราเอลทั้งปวงแน่ใจในข้อนี้ คือพระเจ้าทรงตั้งพระเยซูผู้นี้ซึ่งพวกท่านได้ตรึงที่ ไม้กางเขนให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์” เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเสียดแทงใจยิ่งนักและกล่าวกับเปโตรและอัครทูตคนอื่นๆ ว่า “พี่น้องเอ๋ย เราจะทําอย่างไรดี?” เปโตรตอบว่า “พวกท่านทุกคนจงกลับใจใหม่และ กิจการ 2:37–47 รับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์เพื่อรับการ ทรงอภัยโทษบาปของท่าน และพวกท่านจะได้รับพระ หลังจากการเทศนาครัง้ แรกของเปโตร วิญญาณบริสุทธิ์เป็นของประทาน พระสัญญานั้นมี ผู้คนหลายพันคนกลายเป็นผู้เชื่อ แก่ท่านทั้งหลายและลูกหลานของพวกท่านตลอดจน พวกเขากลับใจใหม่ และดําเนินชีวิต คนทั้งปวงที่อยู่ไกล คือคนทั้งปวงที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ในทางใหม่ เช่นเดียวกับที่พระเยซู พระเจ้าของเราจะทรงเรียก” ได้ทรงสอนพวกเขา พวกเขาเปรียบ เปโตรกล่าวเตือนและวิงวอนพวกเขาอีกหลายคําว่า เหมือนครอบครัวใหญ่ พวกเขามัก “จงรักษาตัวท่านให้พน้ จากคนในยุคทีเ่ สือ่ มทรามนีเ้ ถิด” จะรับประทานอาหาร และอธิษฐาน บรรดาผูท้ ย่ี อมรับถ้อยคําของเปโตรได้รบั บัพติศมา ร่วมกัน และในวันนั้นมีคนราวสามพันคนเข้าร่วมเป็นสาวก 30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
การสามัคคีธรรมของผู้เชื่อ
เขาทั้งหลายอุทิศตนในคําสอนของเหล่าอัครทูตและในการร่วมสามัคคีธรรม ในการหักขนมปัง และในการอธิษฐาน และเหล่าอัครทูตทําหมายสําคัญและปาฏิหาริย์หลายอย่าง ทุกคนจึงเต็ม ไปด้วยความยําเกรง ผู้เชื่อทั้งปวงอยู่รวมกันและถือครองทุกอย่างร่วมกัน พวกเขาขายทรัพย์ สิ่งของและนํามาแบ่งปันให้แต่ละคนตามความต้องการ ทุกๆ วันพวกเขามาประชุมกันที่ลานพระ วิหาร หักขนมปังตามบ้านของตน และรับประทานร่วมกันด้วยความยินดีและจริงใจ พวกเขาพา กันสรรเสริญพระเจ้าและเป็นที่ชื่นชมของคนทั้งปวง ในแต่ละวันองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้คนทั้ง หลายที่กําลังจะได้รับความรอดมาเข้ากับพวกเขา 42
43
44
45
46
47
เปโตรรักษาขอทานง่อย
่งขณะเปโตรกับยอห์นกําลังขึ้นไปยังพระวิหารในเวลาอธิษฐาน คือประมาณบ่ายสามโมง 3 วัมีนชหนึายคนหนึ ่งเป็นง่อยมาตั้งแต่เกิด ทุกวันเขาจะถูกหามมาที่ประตูพระวิหารที่เรียกว่าประตู 2
งามเพื่อขอทานจากคนที่จะเข้าไปในลานพระวิหาร เมื่อคนนั้นเห็นเปโตรกับยอห์นจะเข้าไปก็ขอ เงินพวกเขา เปโตรกับยอห์นเพ่งดูเขา แล้วเปโตรจึงกล่าวว่า “จงมองดูเราเถิด!” ดังนั้นเขาจึง เขม้นมองโดยหวังว่าจะได้อะไรจากคนทั้งสอง แล้วเปโตรกล่าวว่า “เงินหรือทองเราไม่มี แต่สิ่งที่เรามีเราให้ท่านในพระนามพระเยซูคริสต์แห่ง นาซาเร็ธ จงเดินเถิด” เปโตรจับมือขวาของเขาช่วยพยุงขึ้น ทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของชายผู้นี้ 3
4
5
6
7
กิจการของอัครทูต 3:7 | 201
ก็มีแรง เขากระโดดลุกขึ้นยืนและเริ่มเดิน จากนั้นจึงเข้าไปในลานพระวิหารกับเปโตรและยอห์น เขาเดินไปกระโดดโลดเต้นไปและสรรเสริญพระเจ้า เมื่อประชาชนทั้งปวงเห็นเขาเดินไปสรรเสริญ พระเจ้าไป ก็จําได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่เคยนั่งขอทานที่ประตูงามของพระวิหาร พวกเขาจึง ประหลาดใจและอัศจรรย์ใจยิ่งนักในสิ่งที่เกิดขึ้นกับชายผู้นี้ 8
9
10
เปโตรกล่าวกับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์
ขณะขอทานคนนั้นยึดมือเปโตรกับยอห์นอยู่ คนทั้งปวงต่างประหลาดใจและพากันวิ่งมาหา พวกเขาในบริเวณที่เรียกว่าเฉลียงของโซโลมอน เปโตรเห็นเช่นนั้นก็กล่าวกับคนเหล่านี้ว่า “ชน อิสราเอลเอ๋ย เหตุใดท่านจึงประหลาดใจในเรื่องนี้? เหตุใดจึงจ้องมองราวกับว่าเราทําให้คนนี้เดิน ได้ด้วยฤทธิ์อํานาจหรือความชอบธรรมของเราเอง? พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ พระเจ้าของบรรพบุรุษของเราประทานพระเกียรติสิริแก่พระเยซูผู้รับใช้ของพระองค์ซึ่งท่านมอบ ไว้ให้ประหารและปฏิเสธพระองค์ต่อหน้าปีลาต แม้ปีลาตตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป พวกท่าน ปฏิเสธองค์บริสุทธิ์และชอบธรรมและขอให้ปล่อยฆาตกรแก่พวกท่านแทน ท่านประหารองค์ ผู้ลิขิตชีวิตแต่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย เราเป็นพยานในเรื่องนี้ โดยความเชื่อใน พระนามของพระเยซูชายผู้นี้ซึ่งพวกท่านเห็นและรู้จักจึงมีแรงขึ้น โดยพระนามของพระเยซูและ ความเชื่อที่มาทางพระองค์ทําให้คนนี้หายเป็นปกติดังที่ท่านทั้งปวงเห็น “พีน่ อ้ งเอ๋ย ข้าพเจ้ารูว้ า่ พวกท่านทําลงไปด้วยความไม่รู้ ผูน้ าํ ของท่านก็เช่นกัน แต่พระเจ้าทรง ให้สง่ิ นีเ้ กิดขึน้ เพือ่ จะเป็นจริงตามทีไ่ ด้ตรัสไว้ลว่ งหน้าผ่านทางผูเ้ ผยพระวจนะทัง้ ปวงว่า พระคริสต์ ของพระองค์ตอ้ งทนทุกข์ทรมาน ฉะนัน้ จงกลับใจใหม่และหันมาหาพระเจ้าเพือ่ บาปทัง้ หลายของ ท่านจะถูกลบล้างไป และวาระแห่งการฟืน้ ใจจะมาจากองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และเพือ่ พระองค์จะได้ ทรงส่งพระเยซูผทู้ ท่ี รงแต่งตัง้ ไว้ให้เป็นพระคริสต์เพือ่ ท่านทัง้ หลายมา พระองค์จะต้องอยูใ่ นสวรรค์ จนกว่าจะถึงวาระทีพ่ ระเจ้าทรงให้สง่ิ สารพัดคืนสูส่ ภาพดีตามทีไ่ ด้ทรงสัญญาไว้นานมาแล้วผ่านทาง เหล่าผูเ้ ผยพระวจนะบริสทุ ธิข์ องพระองค์ เพราะโมเสสกล่าวไว้วา่ ‘องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของ ท่านจะทรงตัง้ ผูเ้ ผยพระวจนะเช่นข้าพเจ้าขึน้ มาคนหนึง่ สําหรับท่านจากหมูป่ ระชากรของพวกท่าน เอง ท่านต้องรับฟังทุกสิง่ ทีเ่ ขาบอก ผูใ้ ดไม่ฟงั จะถูกตัดขาดจากชนชาติของเขา’ “อันที่จริง ผู้เผยพระวจนะทั้งปวงตั้งแต่ซามูเอลมาล้วนพยากรณ์ถึงวันเวลาเหล่านี้ และ ท่านทั้งหลายคือทายาทของบรรดาผู้เผยพระวจนะและพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงกระทํากับเหล่า บรรพบุรุษของท่าน พระองค์ได้ตรัสกับอับราฮัมว่า ‘ประชาชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางวงศ์ วานของเจ้า’ เมื่อพระเจ้าทรงยกผู้รับใช้ของพระองค์ขึ้นมาแล้วก็ทรงส่งพระองค์มายังพวกท่าน ก่อนเพื่ออวยพรท่านโดยทําให้แต่ละคนหันจากวิถีชั่วของตน” 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
กิจการ 3:19–20 มีพระสัญญาที่ซอนอยูในขอพระคัมภีรขอนี้อยู 3 อยาง นองๆ หามันเจอหรือเปลา? นั่นคือ พระเจาจะทรงชําระบาปของเรา พระองคจะทําใหทุกอยางเหมือนใหม และ พระเยซูทรงเปนพระคริสต ผูทรงไถบาปแทนเราทุกคน ใหนอง ๆ ศึกษาขอ 19 ดวย หัวใจ ลองทําวิธีดังตอไปนี้ หมุนตัวตามเข็มนาิกาในขณะที่เราทบทวนประโยคแรก สัก 2–3 ครั้ง จากนั้นหมุนทวนเข็มนาิกาและทบทวนประโยคที่ 2 ใหเอามือแตะ หัวแมเทาในขณะที่ทบทวนประโยคที่ 3 ใหเขยงปลายเทา และยืดแขนออกขณะที่ ทบทวนประโยคที่ 4 202 | กิจการของอัครทูต 3:8
เปโตรกับยอห์นต่อหน้าสภาแซนเฮดริน
บยอห์นกล่าวแก่ประชาชนอยู่ พวกปุโรหิต หัวหน้ายามพระวิหาร และพวกสะดูสี 4 ขณะเปโตรกั ก็มาหา พวกเขางุ่นง่านใจมากเพราะอัครทูตสั่งสอนและประกาศแก่คนทั้งหลายถึงการเป็นขึ้น 2
จากตายโดยอ้างถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซู เขาได้จับเปโตรและยอห์นไว้และเนื่องจากเย็น แล้วจึงขังทั้งสองคนไว้ในคุกจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น แต่หลายคนที่ได้ยินคําสอนก็เชื่อ จํานวนของผู้เชื่อ เพิ่มขึ้นเป็นห้าพันคนโดยประมาณ วันรุ่งขึ้นพวกผู้นํา ผู้อาวุโส และเหล่าธรรมาจารย์มาประชุมกันในกรุงเยรูซาเล็ม ทั้งมหา ปุโรหิตอันนาส คายาฟาส ยอห์น อเล็กซานเดอร์และคนอื่นๆ ในครอบครัวของมหาปุโรหิตก็อยู่ที่ นั่น พวกเขาให้นําตัวเปโตรกับยอห์นมาอยู่ต่อหน้าและถามว่า “พวกเจ้าทําเช่นนี้โดยฤทธิ์อํานาจ หรือในนามของผู้ใด?” แล้วเปโตรซึ่งเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็กล่าวแก่พวกเขาว่า “เรียนท่านผู้นําและเหล่า ผู้อาวุโสของประชาชน! หากเราถูกเรียกตัวมาให้การในวันนี้เพราะเรื่องที่แสดงความเมตตาแก่ คนง่อยและถูกสอบสวนว่าเขาหายพิการได้อย่าง ไร ทั้งท่านและปวงประชากรอิสราเอลก็จง ทราบเถิดว่าสิ่งนี้เป็นโดยพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธซึ่งท่านได้ตรึงตายที่ไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายโดยพระนามของพระองค์นั้นเอง ชายผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้า ท่านนี้จึงได้รับการรักษาให้หาย พระองค์ทรงเป็น “ ‘ศิลาที่ท่านทั้งหลายผู้ก่อได้ทอดทิ้ง ซึ่งได้กลับกลายเป็นศิลามุมเอกแล้ว’ ในผู้อื่นไม่มีความรอดเลยเพราะไม่ได้ประทานนามอื่นที่จะช่วยให้เราทั้งหลายรอดแก่มนุษย์ทั่วใต้ ฟ้า” เมื่อพวกเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์นและตระหนักว่าคนทั้งสองเป็นชาวบ้าน ธรรมดาไร้การศึกษาก็ประหลาดใจและนึกขึ้นได้ว่าคนเหล่านี้เคยอยู่กับพระเยซู แต่เพราะเขา ได้เห็นชายที่หายโรคยืนอยู่กับคนเหล่านี้เขาก็พูดอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงสั่งให้คนทั้งสองออกไป จากสภาแซนเฮดรินจากนั้นจึงหารือกันว่า “เราจะทําอย่างไรกับพวกนี้ดี? ทุกคนที่อยู่ในกรุง เยรูซาเล็มรู้ว่าพวกเขาได้ทําการอัศจรรย์อันโดดเด่นประการหนึ่งและเราไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เพื่อ ยุติเรื่องนี้ไม่ให้เลื่องลือไปอีกในหมู่ประชาชนเราต้องสั่งห้ามพวกนี้ไม่ให้เอ่ยนามนั้นกับใครอีก” จากนั้นพวกเขาจึงเรียกตัวคนทั้งสองมาอีกและสั่งห้ามไม่ให้พูดหรือสอนในพระนามพระเยซู อีกเลย แต่เปโตรกับยอห์นกล่าวตอบว่า “พวกท่านตัดสินเอาเองเถิดว่าเป็นการถูกต้องแล้วหรือ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
กิจการ 4:13–20 เปโตร และยอหน ไดเห็นพระเยซูทรงทําหมายสําคัญ และการอัศจรรยมากมาย พวก เขาไมสามารถเก็บเงียบไวไดเกี่ยวกับการอัศจรรยที่พวกเขาไดเห็นและไดยิน จะจา รู วาทุกวันนี้พระเยซูยังคงทําการอัศจรรยอยูอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่พระเยซูทรงกระทําให แกเราทุกคน? เชนเดียวกับเปโตร และยอหน จะจา ก็ตองการที่จะบอกคนอื่น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่พระ เยซูทรงทําในวันนี้ ใหแบงปนกับเพื่อน ๆ ถึงสิ่งที่เราเคยเห็น หรือไดยินมาเกี่ยวกับการ อัศจรรยของพระเยซู กิจการของอัครทูต 4:19 | 203
ในสายพระเนตรของพระเจ้าที่จะเชื่อฟังพวกท่านยิ่งกว่าเชื่อฟังพระเจ้า? เพราะพวกเราต้องพูด ในสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินมา” หลังจากขู่สําทับแล้วพวกเขาก็ปล่อยคนทั้งสองไป พวกเขาตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลงโทษคนพวกนี้ ได้อย่างไรเพราะประชาชนทั้งปวงพากันสรรเสริญพระเจ้าสําหรับสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากชายคนที่ ได้รับการรักษาให้หายอย่างอัศจรรย์นั้นอายุกว่าสี่สิบปีแล้ว 20
21
22
คําอธิษฐานของผู้เชื่อ
เมื่อได้รับการปล่อยตัวแล้วเปโตรกับยอห์นก็กลับมาหาพวกพ้องของตน แล้วเล่าทุกอย่างตาม ที่พวกหัวหน้าปุโรหิตกับผู้อาวุโสได้กล่าวกับพวกเขา เมื่อพวกเขาได้ฟังแล้วก็พร้อมใจกันเปล่ง เสียงอธิษฐานทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เจ้าชีวิต พระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ท้องทะเลและสรรพสิ่งในนั้น พระองค์ตรัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านปากผู้รับใช้ ของพระองค์ คือดาวิดบรรพบุรุษของเราว่า “ ‘เหตุใดประชาชาติทั้งหลายจึงลุกฮือ ชนชาติต่างๆ จะวางแผนให้ป่วยการไปทําไม? เหล่ากษัตริย์ของโลกตั้งตนขัดขืน บรรดาผู้ปกครองรวมตัวกันเพื่อวางแผนต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า และต่อต้านผู้หนึ่งซึ่งพระองค์ทรงเจิมตั้งไว้’ อันทีจ่ ริงเฮโรดกับปอนทิอสั ปีลาตร่วมกับคนต่างชาติและประชาชนชนชาวอิสราเอลในกรุงนีค้ บคิด กันต่อต้านองค์พระเยซูผรู้ บั ใช้บริสทุ ธิข์ องพระองค์ผซู้ ง่ึ พระองค์ได้ทรงเจิมตัง้ ไว้นน้ั สิง่ ทีพ่ วกเขา ได้ทาํ ไปนัน้ เป็นสิง่ ทีฤ่ ทธานุภาพและพระดําริของพระองค์ได้กาํ หนดไว้กอ่ นแล้วว่าจะเกิดขึน้ บัดนี้ พระองค์เจ้าข้า ขอทรงพิจารณาคําข่มขูข่ องเขา และขอให้ผรู้ บั ใช้ของพระองค์สามารถกล่าวพระ วจนะของพระองค์ดว้ ยใจกล้าหาญอย่างมาก ขอทรงเหยียดพระหัตถ์ออกรักษาโรคและกระทํา หมายสําคัญและปาฏิหาริยต์ า่ งๆ โดยพระนามของพระเยซูผรู้ บั ใช้บริสทุ ธิข์ องพระองค์เถิด” หลังจากพวกเขาอธิษฐานจบสถานที่ซึ่งพวกเขาประชุมกันอยู่นั้นก็สะเทือนสะท้านและพวก เขาล้วนเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และกล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้า 23
24
25
26
27
28
29
30
31
ผู้เชื่อแบ่งปันสิ่งที่ตนมี
ผู้เชื่อทั้งปวงมีความคิดจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกันไม่มีใครอ้างว่าทรัพย์สินที่มีอยู่เป็นของตนเองแต่ พวกเขาแบ่งปันทุกสิ่งที่ตนมี โดยฤทธิ์อํานาจอันยิ่งใหญ่ เหล่าอัครทูตเป็นพยานอย่างต่อเนื่องถึง การคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้าและพระคุณมากล้นมีแก่พวกเขาทุกคน ในหมู่พวกเขาไม่มี ใครขัดสนเพราะบางครั้งบางคราวผู้ที่มีบ้านหรือที่ดินก็นําไปขายและนําเงินที่ได้ มาวางแทบเท้า ของอัครทูตจากนั้นจึงแจกจ่ายให้ทุกคนตามความจําเป็น โยเซฟคนเลวีจากเกาะไซปรัสซึ่งอัครทูตเรียกว่าบารนาบัส (แปลว่าลูกแห่งการให้กําลังใจ) ได้ขายที่ดินของเขาและนําเงินมาวางแทบเท้าของอัครทูต 32
33
34
35
36
37
อานาเนียกับสัปฟีรา
ายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับสัปฟีราภรรยาของเขาก็ได้ขายที่ดินผืนหนึ่งด้วย เขาได้เก็บเงิน 5 ส่มีวชนหนึ ่งไว้เพื่อตนเองซึ่งภรรยาของเขาก็รู้ดีแต่นําเงินที่เหลือมาวางแทบเท้าของอัครทูต 2
แล้วเปโตรจึงกล่าวว่า “อานาเนียเอ๋ย เหตุใดซาตานจึงครอบงําใจของท่าน จนท่านมุสาต่อพระ วิญญาณบริสุทธิ์และเก็บเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้เพื่อตัวท่านเอง? ก่อนที่จะขายที่ดินนี้เป็นของท่าน ไม่ใช่หรือ? เมื่อขายแล้วเงินก็อยู่ในอํานาจของท่านไม่ใช่หรือ? อะไรหนอทําให้ท่านคิดทําเช่นนี้? ท่านไม่ได้มุสาต่อมนุษย์แต่มุสาต่อพระเจ้า” เมื่ออานาเนียได้ยินเช่นนี้ก็ล้มลงสิ้นชีวิต คนทั้งปวงที่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกรงกลัวยิ่งนัก แล้ว พวกคนหนุ่มจึงออกมาห่อศพเขาและนําออกไปฝัง 3
4
5
204 | กิจการของอัครทูต 4:20
6
หลังจากนั้นราวสามชั่วโมงภรรยาของเขาก็เข้ามาโดยที่ยังไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้น เปโตรถามนาง ว่า “จงบอกเราเถิด ท่านกับอานาเนียขายที่ดินได้เงินเท่านี้หรือ?” นางตอบว่า “ใช่ ได้เท่านี้เจ้าค่ะ” เปโตรจึงกล่าวกับนางว่า “เหตุใดท่านจึงเห็นพ้องกันที่จะลองดีกับพระวิญญาณขององค์พระผู้ เป็นเจ้า? ดูเถิด! เท้าของบรรดาผู้ฝังศพสามีของท่านก็อยู่ที่ประตูและพวกเขาจะหามท่านออกไป ด้วย” ทันใดนั้นเองนางก็ล้มลงสิ้นชีพแทบเท้าเปโตร เมื่อเห็นว่านางตายแล้วพวกคนหนุ่มก็เข้ามา หามศพออกไปฝังข้างสามีของนาง ทั่วทั้งคริสตจักรและคนทั้งปวงที่ได้ยินเหตุการณ์เหล่านี้พากัน เกรงกลัวยิ่งนัก 7
8
9
10
11
อัครทูตรักษาคนเป็นอันมาก
อัครทูตทําหมายสําคัญและปาฏิหาริย์หลายอย่างท่ามกลางประชาชน และผู้เชื่อทั้งปวงมัก มาชุมนุมกันที่เฉลียงของโซโลมอน คนอื่นๆ ไม่มีใครกล้ามาร่วมกับพวกเขาแม้ว่าพวกเขาเป็นที่ เคารพของประชาชนยิ่งนัก อย่างไรก็ตามมีชายหญิงมากมายเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและมาร่วม กับพวกเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผลก็คือประชาชนหามคนเจ็บป่วยมาที่ถนน ให้นอนบนที่นอนหรือแคร่ เพื่ออย่างน้อยเมื่อเปโตรเดินผ่าน เงาของเขาจะได้พาดลงบนคนป่วยบ้าง มีฝูงชนจากเมืองต่างๆ รอบกรุงเยรูซาเล็มมาชุมนุมกัน พาคนป่วยและคนที่ถูกวิญญาณชั่วทรมานมาด้วยและพวกเขา ทั้งหมดก็ได้รับการรักษาให้หาย 12
13
14
15
16
อัครทูตถูกข่มเหง
ฝ่ายมหาปุโรหิตและพวกพ้องซึ่งอยู่ในกลุ่มสะดูสีก็อิจฉายิ่งนัก พวกเขาจับเหล่าอัครทูตขังใน คุกสาธารณะ แต่ในเวลากลางคืนทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปิดประตูต่างๆ ในคุกแล้วพา พวกเขาออกมา และบอกว่า “จงไปยืนในลานพระวิหารและบอกเรื่องชีวิตใหม่นี้อย่างครบถ้วน ให้แก่ประชาชน” พอรุ่งเช้าอัครทูตจึงเข้าไปยังลานพระวิหารตามที่ได้รับการบอกกล่าวมาและเริ่มสั่งสอน ประชาชน เมื่อมหาปุโรหิตกับพวกพ้องมาถึงก็เรียกประชุมสภาแซนเฮดริน คือกลุ่มผู้อาวุโสทั้งหมดของ อิสราเอลและให้คนไปทีค่ กุ เพือ่ นําตัวอัครทูตออกมา แต่เมือ่ พวกเจ้าหน้าทีไ่ ปถึงคุกก็ไม่พบอัครทูต จึงกลับมารายงานว่า “พวกข้าพเจ้าเห็นคุกปิดไว้แน่นหนาและยามก็ยืนเฝ้าที่ประตูแต่พอเปิด ออกกลับไม่มีใครสักคนอยู่ข้างใน” หัวหน้ายามพระวิหารกับพวกหัวหน้าปุโรหิตฟังแล้วก็งุนงง และฉงนสนเท่ห์ว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แล้วมีคนหนึ่งมาบอกว่า “ดูเถิด! พวกนั้นที่ท่านขังไว้ในคุกกําลังยืนสอนประชาชนอยู่ในลาน พระวิหาร” หัวหน้ายามพระวิหารกับเจ้าหน้าที่จึงไปนําตัวอัครทูตมา พวกเขาไม่กล้าใช้กําลัง เพราะกลัวถูกประชาชนเอาหินขว้าง พวกเขาคุมตัวเหล่าอัครทูตมายืนอยู่ต่อหน้าสภาแซนเฮดรินเพื่อให้มหาปุโรหิตไต่สวน พวกเขา ซักว่า “เราสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้พวกเจ้าสอนในนามนี้ แต่เจ้าก็แพร่คําสอนของเจ้าไปทั่วทั้งกรุง เยรูซาเล็มตั้งใจทําให้เรามีความผิดเนื่องด้วยความตายของชายผู้นี้” เปโตรกับอัครทูตอื่นๆ ตอบว่า “พวกข้าพเจ้าต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์! พระ เยซูซึ่งพวกท่านประหารโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเราได้ทรงให้เป็นขึ้นจาก ตาย พระเจ้าทรงเชิดชูพระเยซูให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในฐานะองค์เจ้านายและ พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อพระองค์จะให้อิสราเอลกลับใจใหม่และได้รับการอภัยโทษบาป ข้าพเจ้าทั้ง หลายเป็นพยานในเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระเจ้าประทานแก่บรรดาผู้ที่เชื่อฟัง พระองค์นั้นก็ทรงเป็นพยานด้วย” 17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
กิจการของอัครทูต 5:32 | 205
กิจการ 6:8 สเทเฟน เปนหนึ่งในผูนําที่ไดรับเลือกในการแจกจายอาหารใหกับสมาชิกที่ยากจนของ คริสตจักร เพราะเขาไดเลาเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูในทุกที่ที่เขาไป คนที่ตอตานเขา เอาหินขวางเขาจนตาย เขาเปนคนแรกที่ยอมสละชีพ (คนที่ถูกฆาตายเพราะความเชื่อ ของเขา) หลังจากการตายของเขา คริสเตียนก็ถูกขมเหง และหลายคนก็หนีไปจากกรุง เยรูซาเล็ม แตนี้เปนอีกสาเหตุหนึ่งที่ทําใหผูคนจํานวนมากทั่วประเทศไดยินถึงขาว ประเสริฐของพระเยซู เมือ่ พวกเขาได้ยนิ เช่นนีก้ โ็ กรธจัดและต้องการจะฆ่าพวกอัครทูต แต่ฟาริสคี นหนึง่ ชือ่ กามาลิเอล เป็นธรรมาจารย์ที่คนทั้งปวงนับถือ ได้ยืนขึ้นในสภาแซนเฮดริน แล้วสั่งให้นําตัวพวกอัครทูต ออกไปข้างนอกชั่วครู่ จากนั้นเขาจึงกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “ชนอิสราเอลเอ๋ย จงพิจารณาสิ่งที่ ท่านตั้งใจจะทํากับคนเหล่านี้ให้ดี เมื่อไม่นานมานี้ธุดาสปรากฏตัวขึ้นแอบอ้างเป็นคนสําคัญและมี ราวสี่ร้อยคนเข้าพวกด้วย พอเขาถูกฆ่าพรรคพวกของเขาก็กระจัดกระจายสลายตัวไปหมด หลัง จากนั้นยูดาสชาวกาลิลีปรากฏขึ้นมาในช่วงจดทะเบียนสํามะโนประชากรและนํากลุ่มประชาชน ก่อการจลาจล เขาเองถูกฆ่าตายเช่นกัน พรรคพวกของเขาก็แตกฉานซ่านเซ็นไป ฉะนั้นในกรณี นี้ข้าพเจ้าขอแนะนําท่านทั้งหลายว่าอย่าไปทําอะไรคนพวกนี้เลย! ปล่อยเขาไปเถิด! เพราะถ้าเป้า หมายหรือกิจการของพวกเขาเกิดจากมนุษย์ก็จะเลิกล้มไปเอง แต่ถ้ามาจากพระเจ้า พวกท่านก็ ไม่อาจหยุดยั้งคนเหล่านี้ได้ จะกลายเป็นว่าท่านเองนั่นแหละที่ต่อสู้กับพระเจ้า” เขาทั้งหลายฟังแล้วก็คล้อยตามจึงเรียกตัวเหล่าอัครทูตเข้ามา ให้โบยตีพวกเขา และสั่งไม่ให้ กล่าวในพระนามของพระเยซู จากนั้นก็ปล่อยตัวพวกเขาไป พวกอัครทูตออกจากสภาแซนเฮดรินด้วยความชื่นชมยินดีเพราะเห็นว่าพวกเขาได้รับเกียรติให้ ทนรับความอับอายเพื่อพระนามนั้น ทุกๆ วันในลานพระวิหารและตามบ้านต่างๆ เขาทั้งหลาย ไม่เคยหยุดสั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ 33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
การเลือกคนทั้งเจ็ด
้งนั้นเมื่อสาวกเพิ่มจํานวนขึ้นชาวยิวผู้ถือธรรมเนียมกรีกบ่นไม่พอใจชาวยิวผู้ถือธรรมเนียม 6 ครัยิวเพราะแม่ ม่ายในหมู่พวกตนถูกละเลยในการแจกจ่ายอาหารประจําวัน ดังนั้นอัครทูตทั้ง 2
สิบสองคนจึงเรียกสาวกทั้งปวงมาประชุมพร้อมหน้ากันและกล่าวว่า “เป็นการไม่ถูกต้องที่เราจะ ละเลยพันธกิจแห่งพระวจนะของพระเจ้าเพื่อไปรับใช้ที่โต๊ะอาหาร พี่น้องทั้งหลาย จงเลือกคนเจ็ด คนในพวกท่านซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าเต็มด้วยพระวิญญาณและสติปัญญา เราจะได้มอบความรับผิด ชอบนี้แก่พวกเขา ส่วนเราจะได้เอาใจใส่ในการอธิษฐานและพันธกิจแห่งพระวจนะ” ที่ประชุมทั้งหมดเห็นชอบกับข้อเสนอนี้จึงเลือกสเทเฟน ชายผู้เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระ วิญญาณบริสุทธิ์ พร้อมทั้งฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปารเมนัส และนิโคลัสจากเมืองอันทิโอก ซึ่งมาเข้าจารีตยิว พวกเขานําทั้งเจ็ดคนนี้มาหาอัครทูต อัครทูตก็อธิษฐานและวางมือให้ ดังนั้นพระวจนะของพระเจ้าจึงแพร่ออกไปจํานวนสาวกในกรุงเยรูซาเล็มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีปุโรหิตจํานวนมากมารับเชื่อ 3
4
5
6
7
206 | กิจการของอัครทูต 5:33
สเทเฟนถูกจับ
ฝ่ายสเทเฟนผู้เปี่ยมด้วยพระคุณและฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้ทําหมายสําคัญและปาฏิหาริย์ ที่ยิ่งใหญ่หลายอย่างในหมู่ประชาชน แต่ถูกต่อต้านโดยสมาชิกของธรรมศาลาแห่งทาสที่ได้รับ อิสรภาพ (ตามที่เขาเรียกกัน) คือพวกยิวจากเมืองไซรีน เมืองอเล็กซานเดรีย ทั้งจากแคว้นซิลีเซีย และเอเชีย คนเหล่านี้โต้เถียงกับสเทเฟน แต่ไม่สามารถเอาชนะสติปัญญาของเขาหรือพระ วิญญาณผู้ตรัสผ่านเขา พวกเขาจึงลอบยุบางคนให้พูดว่า “เราได้ยินสเทเฟนกล่าวลบหลู่โมเสสและพระเจ้า” ดังนั้นพวกเขาได้ปลุกปั่นประชาชนตลอดจนเหล่าผู้อาวุโสและพวกธรรมาจารย์ให้ลุกฮือขึ้น พวกเขาจับสเทเฟนและนําตัวมาต่อหน้าสภาแซนเฮดริน พวกเขาสร้างพยานเท็จมาให้การว่า “ชายคนนี้พูดลบหลู่สถานบริสุทธิ์และบทบัญญัติไม่หยุดเลย เพราะเราได้ยินเขาพูดว่าพระเยซู แห่งนาซาเร็ธนั้นจะทําลายสถานที่นี้และเปลี่ยนธรรมเนียมซึ่งโมเสสได้ให้สืบทอดมาจนถึงเรา” คนทั้งปวงที่นั่งอยู่ในสภาแซนเฮดรินก็จ้องมองสเทเฟนเห็นใบหน้าของเขาเหมือนใบหน้าของ ทูตสวรรค์ 8
9
10
11
12
13
14
15
คําให้การของสเทเฟนต่อสภาแซนเฮดริน
มหาปุโรหิตจึงถามเขาว่า “จริงตามคําฟ้องร้องนี้หรือ?” 7 แล้วสเทเฟนตอบว่ า “พี่น้องและผู้อาวุโสทั้งหลาย โปรดฟังข้าพเจ้า! พระเจ้าผู้ทรงเกียรติสิริ 2
ทรงปรากฏแก่อับราฮัมบรรพบุรุษของเราขณะที่เขายังอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมียก่อนจะมาอาศัย ในเมืองฮาราน พระเจ้าตรัสว่า ‘จงละบ้านเมืองของเจ้าและชนชาติของเจ้าไปยังดินแดนที่เราจะ สําแดงแก่เจ้า’ “ดังนั้นเขาจึงออกจากดินแดนของชาวเคลเดียไปตั้งรกรากที่เมืองฮาราน เมื่อบิดาของเขาสิ้น ชีวิตแล้วพระเจ้าทรงส่งเขามายังดินแดนนี้ที่พวกท่านอาศัยอยู่ในปัจจุบัน พระเจ้าไม่ได้ประทาน กรรมสิทธิ์ใดๆ ให้เขาที่นี่แม้แต่ที่ดินเท่าฝ่าเท้า แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าเขากับลูกหลานของเขาจะ ครอบครองดินแดนนี้ทั้งๆ ที่ขณะนั้นอับราฮัมยังไม่มีบุตร พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘ลูกหลานของ เจ้าจะเป็นคนต่างด้าวในต่างแดนและจะตกเป็นทาสถูกกดขี่รังแกสี่ร้อยปี แต่เราจะลงโทษชนชาติ ที่เขาเป็นทาสรับใช้ และหลังจากนั้นเขาจะออกจากดินแดนนั้นมานมัสการเราที่นี่’ แล้วพระองค์ ประทานพันธสัญญาแห่งการเข้าสุหนัตให้อับราฮัม และต่อมาอับราฮัมก็ได้บุตรชื่ออิสอัคและ ท่านให้เขาเข้าสุหนัตเมื่ออายุแปดวัน หลังจากนั้นอิสอัคมีบุตรชื่อยาโคบและยาโคบเป็นบิดาของ บรรพบุรุษทั้งสิบสองนั้น “เพราะบรรพบุรุษเหล่านั้นอิจฉาโยเซฟจึงขายเขาไปเป็นทาสอยู่ที่ประเทศอียิปต์ แต่พระเจ้า สถิตกับเขา และช่วยให้เขาพ้นจากความทุกข์ร้อนทั้งปวง ทรงให้เขามีสติปัญญาและได้รับความดี ความชอบจากฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ถึงกับตั้งให้ครอบครองทั้งอียิปต์และราชสํานัก “ต่อมาเกิดการกันดารอาหารทั่วทั้งอียิปต์และคานาอันทําให้เกิดความทุกข์เข็ญครั้งใหญ่และ บรรพบุรุษของเราหาอาหารไม่ได้เลย เมื่อยาโคบได้ข่าวว่าที่อียิปต์มีข้าวจึงให้เหล่าบรรพบุรุษ ของเราไปที่นั่นเป็นครั้งแรก พอครั้งที่สองโยเซฟแสดงตัวต่อพี่น้องและฟาโรห์ทรงทราบเกี่ยวกับ ครอบครัวของโยเซฟ หลังจากนั้นโยเซฟจึงส่งคนไปรับยาโคบบิดาของเขาและครอบครัวของเขา ทั้งหมด 75 คนมา ยาโคบจึงลงไปอยู่ประเทศอียิปต์ เขาและเหล่าบรรพบุรุษของเราได้สิ้นชีวิต ที่นั่น ศพของพวกเขาถูกนํากลับมาไว้ในสุสานที่เชเคมซึ่งอับราฮัมได้จ่ายเงินจํานวนหนึ่งซื้อจาก บุตรของฮาโมร์ “เมื่อใกล้ถึงกําหนดที่พระเจ้าจะทรงให้เป็นจริงตามพระสัญญาซึ่งทรงให้ไว้กับอับราฮัม จํานวนประชากรของเราในอียิปต์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก แล้วกษัตริย์อีกองค์หนึ่งซึ่งไม่รู้จักโยเซฟเลย ได้ขึ้นครองอียิปต์ พระองค์ทรงใช้อุบายเล่นงานชนชาติของเรากดขี่เหล่าบรรพบุรุษของเราบังคับ ให้ทิ้งทารกเกิดใหม่ของเราให้ตายไป 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
กิจการของอัครทูต 7:19 | 207
“ครั้งนั้นโมเสสเกิดมามีลักษณะพิเศษกว่าเด็กทั่วไป จึงได้รับการเลี้ยงดูในบ้านบิดาของเขาจน อายุสามเดือน เมื่อถูกนําไปทิ้งไว้นอกบ้านพระธิดาของฟาโรห์ก็ได้รับไปเลี้ยงดูเป็นโอรสของตน โมเสสได้รับการศึกษาในวิชาความรู้ทั้งปวงของอียิปต์ ทรงอํานาจทั้งด้านวาจาและการกระทํา “เมื่อโมเสสอายุสี่สิบปีก็ตัดสินใจไปเยี่ยมเยียนอิสราเอลพี่น้องร่วมชาติ เขาเห็นชาวอิสราเอล คนหนึ่งถูกชาวอียิปต์รังแกก็เข้าไปป้องกันและแก้แค้นแทนโดยฆ่าชาวอียิปต์คนนั้น โมเสสคิดว่า พี่น้องร่วมชาติของตนจะตระหนักว่าพระเจ้าทรงใช้เขาให้มาช่วยพวกเขาแต่พวกเขาไม่ได้ตระหนัก เช่นนั้น วันรุ่งขึ้นโมเสสพบชาวอิสราเอลสองคนกําลังต่อสู้กันจึงพยายามไกล่เกลี่ยโดยกล่าวว่า ‘เพื่อนเอ๋ย พวกท่านเป็นพี่น้องกัน มาทําร้ายกันเองทําไม?’ “แต่คนที่กําลังทําร้ายอีกคนหนึ่งอยู่กลับผลักโมเสสออกไปและกล่าวว่า ‘ใครตั้งเจ้าเป็นเจ้า นายปกครองและเป็นตุลาการตัดสินพวกเรา? เจ้าอยากจะฆ่าฉันอย่างที่ฆ่าชาวอียิปต์เมื่อวานนี้ หรือ?’ เมื่อโมเสสได้ยินเช่นนั้นจึงหนีไปมีเดียน เขาตั้งรกรากที่นั่นในฐานะคนต่างด้าวและมีบุตร ชายสองคน “สี่สิบปีผ่านไป ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาปรากฏแก่โมเสสในพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟในถิ่นกันดารใกล้ ภูเขาซีนาย โมเสสเห็นแล้วก็อัศจรรย์ใจ ขณะเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้ เป็นเจ้าว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ’ โมเสสกลัวจนตัวสั่นและไม่กล้าที่จะมอง “แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘จงถอดรองเท้าออกเพราะเจ้ากําลังยืนอยู่บนที่บริสุทธิ์ เราได้เห็นความทุกข์เข็ญของประชากรของเราในอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงคร่ําครวญของเขา เรา จึงลงมาเพื่อปลดปล่อยเขาทั้งหลายให้เป็นอิสระ มาเถิด บัดนี้เราจะส่งเจ้ากลับไปยังอียิปต์’ “โมเสสคนเดียวกันนี้ที่ถูกพวกเขาปฏิเสธว่า ‘ใครตั้งเจ้าให้เป็นผู้ปกครองและเป็นตุลาการ?’ พระเจ้าเองได้ทรงส่งเขามาเป็นผู้ปกครองและเป็นผู้ปลดปล่อยของพวกเขาผ่านทางทูตสวรรค์ผู้ได้ ปรากฏแก่เขาในพุ่มไม้ โมเสสนําพวกเขาออกจากอียิปต์ และได้ทําหมายสําคัญและปาฏิหาริย์ ต่างๆ ในอียิปต์ที่ทะเลแดงและตลอดสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดาร “โมเสสคนนี้เองที่บอกชนอิสราเอลว่า ‘พระเจ้าจะทรงส่งผู้เผยพระวจนะเช่นข้าพเจ้ามาคน หนึ่งสําหรับท่านจากหมู่ประชากรของพวกท่านเอง’ เขาอยู่กับชุมนุมชนในถิ่นกันดาร อยู่กับทูต สวรรค์ที่กล่าวกับเขาบนภูเขาซีนาย และอยู่กับบรรพบุรุษของเราทั้งหลาย และเขาได้รับพระวจนะ อันทรงชีวิตซึ่งสืบทอดมาถึงเรา “แต่เหล่าบรรพบุรุษไม่ยอมเชื่อฟัง กลับปฏิเสธเขา และมีใจปรารถนาจะกลับไปอียิปต์ พวก เขาบอกอาโรนว่า ‘ช่วยสร้างเทพเจ้าขึ้นมานําพวกเราไป เพราะเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสสผู้ ที่พาพวกเราออกมาจากอียิปต์!’ ครั้งนั้นเหล่าประชากรได้ทําเทวรูปลูกวัว พวกเขาถวายเครื่อง บูชาแก่เทวรูปนั้นและเฉลิมฉลองเพื่อเป็นเกียรติแก่สิ่งที่สร้างขึ้นด้วยน้ํามือของตน แต่พระเจ้า ทรงหันหลังให้พวกเขาและทรงปล่อยให้พวกเขานมัสการสิ่งต่างๆ ในท้องฟ้า เป็นจริงตามที่เขียน ไว้ในหนังสือของบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า “ ‘พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ตลอดสี่สิบปีในถิ่นกันดาร เจ้าได้ถวายเครื่องบูชาและมอบของถวายแก่เราหรือ? เจ้าตั้งสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งพระโมเลค และดวงดาวแห่งเรฟานเทพเจ้าของเจ้า คือรูปเคารพต่างๆ ซึ่งเจ้าสร้างขึ้นกราบไหว้ ฉะนั้นเราจะส่งเจ้าไปเป็นเชลย’ในดินแดนที่ไกลยิ่งกว่าบาบิโลน “บรรพบุรุษของเรามีพลับพลาแห่งพันธสัญญาอยู่ด้วยในถิ่นกันดาร ซึ่งสร้างขึ้นตามที่พระเจ้า ทรงบัญชาโมเสสตามแบบที่โมเสสได้เห็น เมื่อได้รับพลับพลาแล้วบรรพบุรุษของเราภายใต้การ 20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
208 | กิจการของอัครทูต 7:20
กิจการ 7:48–49 พระเจาทรงอยูที่ไหน? ไบรท รูดีวาไมมีตึกไหนที่จะมีขนาดใหญพอที่พระเจาจะอยูได พระเจาไมไดอาศัยอยูในตึกที่สรางจากมือมนุษย ตึกที่สูงที่สุดที่นอง ๆ รูจักอยูที่ไหน? ภูเขาที่สูงที่สุดที่นอง ๆ รูจักคือภูเขาอะไร? นอง ๆ เห็นไหมวาพระเจาทรงสรางภูเขาที่ มีความสูงมากกวาตึกที่สูงที่สุดอีก? ภูเขา และทองฟา ก็ยังมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับพระเจา บังคับบัญชาของโยชูวาก็นําพลับพลานั้นไปกับพวกเขาเมื่อเข้ายึดครองดินแดนจากชนชาติต่างๆ ที่พระเจ้าทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าพวกเขา พลับพลาคงอยู่ในดินแดนจนถึงสมัยของดาวิด ผู้ เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าและดาวิดทูลขอที่จะสร้างที่ประทับถวายพระเจ้าของยาโคบ แต่ เป็นโซโลมอนที่สร้างพระนิเวศถวายพระองค์ “อย่างไรก็ดี องค์ผู้สูงสุดไม่ได้ประทับในนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้นตามที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และโลกเป็นที่วางเท้าของเรา ก็แล้วนิเวศที่เจ้าจะสร้างให้เราเป็นแบบไหนเล่า? หรือที่พํานักสําหรับเราอยู่ที่ไหน? มือของเราเองมิใช่หรือที่ได้สร้างสิ่งทั้งปวงเหล่านี้?’ “ท่านเหล่าประชากรผู้หัวแข็ง ผู้มีจิตใจและหูที่ไม่ได้เข้าสุหนัต! ท่านก็เป็นเหมือนบรรพบุรุษ ของท่าน พวกท่านต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ! มีผู้เผยพระวจนะคนไหนบ้างที่ไม่ถูก บรรพบุรุษของท่านข่มเหง? พวกเขาฆ่าแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่พยากรณ์ถึงการเสด็จมาขององค์ผู้ชอบ ธรรมและบัดนี้พวกท่านได้ทรยศและประหารพระองค์ ท่านผู้ได้รับบทบัญญัติซึ่งประทานผ่านทูต สวรรค์แต่ไม่ได้เชื่อฟังบทบัญญัตินั้น” 46
47
48
49
50
51
52
53
สเทเฟนถูกหินขว้างตาย
เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินเช่นนี้ก็โกรธจัดและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน ฝ่ายสเทเฟนเต็ม ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เงยหน้าขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ เห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า และเห็นพระเยซู ประทับยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เขากล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นฟ้าสวรรค์เปิดออก และบุตรมนุษย์ประทับยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” ถึงตรงนี้พวกเขาอุดหูพร้อมกับตะโกนสุดเสียงและพากันกรูเข้าใส่สเทเฟน แล้วลากเขาออก จากกรุงและรุมขว้างก้อนหินใส่ ขณะเดียวกันเหล่าพยานผู้ปรักปรําสเทเฟนถอดเสื้อวางไว้แทบเท้า ชายหนุ่มที่ชื่อเซาโล ขณะพวกเขาเอาหินขว้างใส่นั้นสเทเฟนอธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระเยซูเจ้า ขอทรงรับจิต วิญญาณของข้าพระองค์” แล้วคุกเข่าลงพร้อมกับร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า ขออย่าทรงถือโทษ พวกเขาเนื่องด้วยบาปนี้” แล้วเขาก็ขาดใจตาย และเซาโลอยู่ที่นั่นก็เห็นชอบกับการตายของสเทเฟน 54
55
56
57
58
59
60
8
กิจการของอัครทูต 8:1 | 209
กิจการ 8:1–4 ในครั้งแรกที่คริสเตียนถูกขมเหง พวกเขาหลบหนีออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาได เลาเรื่องราวของพระเยซู ไมวาพวกเขาจะไปที่ไหนก็ตาม ใหนอง ๆ สรางตัวอักษรลับ ขึ้น เพื่อที่เราจะสามารถเขียนขอความลับถึงกลุมคริสเตียน ใหเขียนตัวอักษรนั้นพรอมรหัสลับ ตัวอยางเชน A = # แลวเขียนขอความอธิบายรหัส ลับของเรา เพื่อหนุนใจพวกเขา คริสตจักรถูกข่มเหงและกระจัดกระจายไป
ครั้งนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ที่กรุงเยรูซาเล็ม สาวกทั้งปวงยกเว้นพวกอัครทูตได้ กระจัดกระจายไปทั่วแคว้นยูเดียและสะมาเรีย บรรดาผู้อยู่ในทางพระเจ้าจัดการฝังศพสเทเฟน และอาลัยถึงเขาอย่างยิ่ง ฝ่ายเซาโลเริ่มทําลายล้างคริสตจักร เขาเข้าไปบ้านนั้นบ้านนี้ฉุดลากชาย หญิงไปขังไว้ในคุก 2
3
ฟีลิปในสะมาเรีย
บรรดาผู้กระจัดกระจายไปนั้นก็เที่ยวประกาศพระวจนะในทุกแห่งหนที่พวกเขาไป ส่วนฟีลิป ลงไปยังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียและประกาศเรื่องพระคริสต์ที่นั่น เมื่อฝูงชนได้ฟังฟีลิปและ ได้เห็นหมายสําคัญที่เขาทําก็ล้วนตั้งใจฟังสิ่งที่เขากล่าว วิญญาณชั่วกรีดร้องแล้วออกมาจากหลาย คน และคนเป็นอัมพาตและคนพิการหลายคนก็หาย ดังนั้นจึงมีความชื่นชมยินดีใหญ่หลวงใน เมืองนั้น 4
5
6
7
8
ซีโมนนักอาคม
ในเมืองนั้นมีชายคนหนึ่งชื่อซีโมน เขาได้เล่นคาถาอาคมมาระยะหนึ่งแล้วและได้ทําให้ชาว สะมาเรียทั้งปวงอัศจรรย์ใจ เขายกตัวว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และประชาชนทุกคนทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยต่าง สนใจฟังเขาและพากันยกย่องว่า “ชายผู้นี้คือฤทธิ์อํานาจของพระเจ้าที่รู้จักกันในนามว่าองค์ผู้ทรง 9
10
กิจการ 8 ให้น้อง ๆ นั่งเป็นแถวยาว แล้วเล่นเกมลูกคลื่นด้วยเสียง โดยให้คนแรกทําเสียงโดย การย้ําเท้า ฮัมเพลง หรือพูดว่า “ชู่ว…” คนต่อไปก็ทําตาม และทําตามกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะทําครบทุกคน น้อง ๆ จะต้องเริ่มทําเสียงเมื่อคนที่อยู่ข้าง ๆ ได้เริ่มทําไปแล้ว ให้ลองฟังเสียงที่ กระจายออกไป นี่คือวิธีที่ผู้เชื่อกระจายข่าวประเสริฐของพระเยซู พวกเขาได้ทํามันมา นานกว่า 2,000 ปีแล้ว และไม่มีใครที่จะหยุดพวกเขาได้ 210 | กิจการของอัครทูต 8:2
มหิทธิฤทธิ์” คนเหล่านี้ติดตามเขาเพราะอัศจรรย์ใจในวิทยาคมของเขามานาน แต่เมื่อฟีลิป ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าและพระนามของพระเยซูคริสต์ พวกเขาก็เชื่อ ฟีลปิ และรับบัพติศมาทัง้ ชายและหญิง ซีโมนเองก็เชือ่ และรับบัพติศมา เขาติดตามฟีลปิ ไปทุกแห่ง และรู้สึกประหลาดใจในหมายสําคัญและการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ต่างๆ ที่ได้เห็น เมื่ออัครทูตในกรุงเยรูซาเล็มได้ข่าวว่าชาวสะมาเรียรับพระวจนะของพระเจ้าแล้วก็ส่งเปโตร กับยอห์นมาหาพวกเขา เมื่อทั้งสองมาถึงก็อธิษฐานเผื่อพวกเขาให้ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะยังไม่มีใครในพวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพียงแต่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระนาม ขององค์พระเยซูเจ้า จากนั้นเปโตรกับยอห์นวางมือบนพวกเขาและพวกเขาก็ได้รับพระวิญญาณ บริสุทธิ์ เมื่อซีโมนเห็นคนได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยอัครทูตวางมือให้จึงนําเงินมาเสนอให้พวกเขา และกล่าวว่า “ขอมอบความสามารถนี้ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเพื่อว่าทุกคนที่ข้าพเจ้าวางมือให้จะได้ รับพระวิญญาณบริสุทธิ์” เปโตรตอบว่า “ให้เงินของท่านพินาศไปพร้อมกับตัวท่านเพราะท่านคิดจะใช้เงินซื้อของ ประทานจากพระเจ้า! ท่านไม่มีส่วนร่วมในพันธกิจนี้เพราะใจของท่านไม่ได้ซื่อตรงต่อพระเจ้า จงกลับใจใหม่จากการชั่วร้ายนี้และอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์อาจจะอภัยให้ท่านที่ คิดเช่นนี้อยู่ในใจ เพราะเราเห็นว่าท่านเต็มไปด้วยความขมขื่นและตกเป็นเชลยของบาป” แล้วซีโมนจึงตอบว่า “โปรดอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเผื่อข้าพเจ้าด้วยเพื่อสิ่งที่ท่านกล่าว จะไม่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า” หลังจากเปโตรกับยอห์นเป็นพยานและประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วทั้งสองก็ กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ระหว่างนั้นก็ได้ประกาศข่าวประเสริฐในหมู่บ้านของชาวสะมาเรียหลาย แห่ง 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
ฟีลิปกับขันทีชาวเอธิโอเปีย
ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งฟีลิปว่า “จงลงใต้ ไปยังถนนที่เรียกว่าทางกันดารซึ่งเชื่อม ระหว่างกรุงเยรูซาเล็มกับเมืองกาซา” ดังนั้นฟีลิปก็ออกเดินทางไป ในระหว่างทางเขาพบขันที ชาวเอธิโอเปีย เป็นขุนนางคนสําคัญดูแลคลังทรัพย์ของพระนางคานดาสีราชินีแห่งเอธิโอเปีย ขันที ผู้นี้ได้มานมัสการที่เยรูซาเล็ม ระหว่างเดินทางกลับบ้านเขานั่งอ่านหนังสือผู้เผยพระวจนะ อิสยาห์อยู่ในรถม้า พระวิญญาณตรัสบอกฟีลิปว่า “จงเข้าไปใกล้ๆ รถม้านั้นเถิด” แล้วฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้รถนั้น เขาได้ยินเสียงคนอ่านหนังสือผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ก็ถามว่า “ท่านเข้าใจสิ่งที่ท่านอ่านหรือ?” ขันทีนั้นตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบาย ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร?” ดังนั้นเขาจึงเชิญฟีลิปขึ้น มานั่งด้วยกัน พระคัมภีร์ที่ขันทีกําลังอ่านอยู่นั้นคือ “เขาถูกนําตัวไปเหมือนแกะที่ถูกนําไปฆ่า และเหมือนลูกแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขน เขาก็ไม่ได้ปริปากเช่นกัน เมื่อเขาถูกย่ํายีนั้นเขาไม่ได้รับความยุติธรรมเลย ใครเล่าจะพูดถึงเชื้อสายของเขาได้? เพราะชีวิตของเขาถูกพรากไปจากโลก” ขันทีถามฟีลิปว่า “โปรดบอกเราเถิด ผู้เผยพระวจนะกําลังพูดถึงใคร ตัวผู้เผยพระวจนะเอง หรือใครอื่น?” แล้วฟีลิปจึงเริ่มจากข้อพระคัมภีร์ตอนนั้นและเล่าถึงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูให้ เขาฟัง 26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
กิจการของอัครทูต 8:35 | 211
กิจการ 8:26–40 ใหนอง ๆ ลองหาเอธิโอเปยบนแผนที่โลก เอธิโอเปยเปนประเทศที่สวยงาม ตั้งอยูทาง ภาคเหนือของทวีปแอฟริกา ชายจากเอธิโอเปย ผูที่ฟลิปแบงปนขาวประเสริฐดวยนั้น ไดเดินทางกลับไปยังประเทศ ของเขา และเริ่มคริสตจักรที่นั่น ตนไม พบวาเอธิโอเปยเปนประเทศแรกในโลกที่ใหศาสนาคริสต เปนศาสนาประจํา ชาติ และยังเปนประเทศแรกที่พิมพรูปไมกางเขนลงบนเหรียญอีกดวย ขณะเดินทางไปตามถนน พวกเขามาพบแอ่งน้ํา ขันทีจึงเอ่ยว่า “ดูเถิด ที่นี่มีน้ํา มีอะไรขัดข้อง ไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมาเล่า?” และเขาสั่งให้หยุดรถ จากนั้นฟีลิปกับขันทีก็ลงไปในน้ําและฟีลิป ให้ขันทีรับบัพติศมา เมื่อขึ้นจากน้ําพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไปทันที ขันที ไม่เห็นเขาอีกเลยแต่เดินทางต่อไปด้วยความชื่นชมยินดี อย่างไรก็ดีฟีลิปได้มาปรากฏตัวที่เมือง อาโซทัสและเดินทางไปทั่วเพื่อประกาศข่าวประเสริฐในทุกเมืองจนมาถึงเมืองซีซารียา 36
38
39
40
เซาโลกลับใจ
ขณะเดียวกันเซาโลยังข่มขู่จะเข่นฆ่าสาวกขององค์ 9 พระผู ้เป็นเจ้า เซาโลเข้าพบมหาปุโรหิต และขอ
กิจการ 9:1–31
2
จดหมายถึงธรรมศาลาต่างๆ ในเมืองดามัสกัสเพื่อว่า เปาโลได้เรียนหนังสือกับกามาลิเอล ถ้าเขาพบใครก็ตามที่ถือ “ทางนั้น” ไม่ว่าชายหรือ หญิงจะได้คุมตัวเป็นนักโทษมายังกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อ ผู้เป็นอาจารย์ที่ได้รับการยกย่องว่า เขาเดินทางมาเกือบถึงเมืองดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสง เป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ และเยี่ยม สว่างจากฟ้าสวรรค์ส่องแวบวาบรอบตัวเซาโล เขาล้ม ยอดในยุคสมัยนั้น ลงกับพื้นและได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับเขาว่า “เซาโล เปาโลเป็นคนที่เฉลียวฉลาดมาก เขา เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทําไม?” เป็นพวกฟาริสี และรู้จักพันธสัญญา เซาโลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็น เดิมเป็นอย่างดี ผู้ใด?” ในตอนแรกเขาคิดว่าการที่ชาว พระองค์ตรัสตอบว่า “เราคือเยซูผู้ที่เจ้ากําลัง คริสเตียนสอนเรื่องราวของพระเจ้า ข่มเหง บัดนี้จงลุกขึ้นเข้าไปในเมืองและจะมีผู้บอกให้ นั้นเป็นเรื่องหลอกลวง ดังนั้นเปาโล เจ้ารู้ว่าเจ้าต้องทําประการใด” จึงตามล่าพวกเขาแล้วจับขังคุกไว้ ผู้คนที่ร่วมทางมากับเซาโลยืนนิ่งพูดไม่ออก พวก เขาได้ยินเสียงนั้นแต่ไม่เห็นใคร เซาโลลุกขึ้นจากพื้น แต่หลังจากที่พระเยซูทรงปรากฏแก่ เขา เขาก็กลายเป็นสาวกของพระ แต่เมื่อเขาลืมตาก็มองอะไรไม่เห็น ดังนั้นพวกเขาจึง จูงมือเซาโลเข้าเมืองดามัสกัส เซาโลตาบอดและไม่ได้ เยซู เขาได้ประกาศข่าวประเสริฐของ พระเยซูแก่ผู้คนหลายพันคน กินดื่มอะไรเลยเป็นเวลาสามวัน ในเมืองดามัสกัสมีสาวกคนหนึ่งชื่ออานาเนีย องค์ พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกเขาในนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย!” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสบอกเขาว่า “จงไปที่บ้านยูดาสบนถนนที่เรียกว่าถนนตรง แล้วถามหา 3
4
5
6
7
8
9
10
11
212 | กิจการของอัครทูต 8:36
คนชื่อเซาโลจากเมืองทาร์ซัส เพราะเขากําลังอธิษฐานอยู่ และในนิมิตเขาเห็นคนหนึ่งชื่อ อานาเนียมาวางมือบนเขาเพื่อให้สายตาของเขากลับเป็นปกติ” อานาเนียทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินมามากมายเกี่ยวกับคนนี้และการร้าย สารพัดที่เขาได้ทําต่อประชากรของพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็ม และเขาก็มาที่นี่พร้อมด้วยสิทธิ อํานาจจากหัวหน้าปุโรหิตเพื่อจับกุมคนทั้งปวงที่ร้องออกพระนามของพระองค์” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอานาเนียว่า “ไปเถิด! ชายผู้นี้คืออุปกรณ์ที่เราได้เลือกสรรไว้เพื่อ นํานามของเราไปยังคนต่างชาติและบรรดากษัตริย์ของพวกเขาตลอดจนประชากรอิสราเอล เรา จะแสดงให้เขาเห็นว่าเขาต้องทนทุกข์มากมายเพียงใดเพื่อนามของเรา” แล้วอานาเนียจึงไปที่บ้านนั้น วางมือบนเซาโล และกล่าวว่า “พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูผู้ทรงปรากฏแก่ท่านระหว่างทางที่จะมาที่นี่ได้ทรงส่งข้าพเจ้ามาเพื่อท่านจะมองเห็นได้ อีกและเพื่อท่านจะได้เปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” ทันใดนั้นมีบางอย่างเหมือนเกล็ดหล่นจาก ตาของเซาโลและเขาก็มองเห็นได้อีก เขาจึงลุกขึ้นและรับบัพติศมา หลังจากรับประทานอาหาร แล้วเขาก็กลับมีกําลังขึ้น 12
13
14
15
16
17
18
19
เซาโลในดามัสกัสและเยรูซาเล็ม
เซาโลพักอยู่กับพวกสาวกในเมืองดามัสกัสหลายวัน เขาเริ่มเทศนาในธรรมศาลาต่างๆ ทันทีว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทุกคนที่ได้ยินก็ประหลาดใจและพูดกันว่า “ชายคนนี้ไม่ใช่ หรือที่ทําลายล้างบรรดาผู้ที่ร้องออกพระนามนี้ในกรุงเยรูซาเล็ม? และเขามาที่นี่ก็เพื่อจับคนพวก นั้นเป็นนักโทษส่งให้หัวหน้าปุโรหิตไม่ใช่หรือ?” กระนั้นเซาโลก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้นและทําให้ชาวยิวใน เมืองดามัสกัสจนปัญญาโดยพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ หลายวันผ่านไปพวกยิวคบคิดกันจะฆ่าเขา แต่เซาโลล่วงรู้แผนการของพวกเขา พวกยิวเฝ้า อยู่ที่ประตูเมืองทั้งวันทั้งคืนเพื่อจะฆ่าเขา แต่ศิษย์ของเซาโลพาเขาออกมาตอนกลางคืนโดยให้ เขาซุกตัวในเข่งแล้วหย่อนลงมาจากช่องกําแพงเมือง เมื่อเซาโลมาถึงเยรูซาเล็มก็พยายามเข้าร่วมกับเหล่าสาวกแต่เขาเหล่านั้นล้วนกลัวเซาโลไม่ เชื่อว่าเขาเป็นสาวกจริงๆ แต่บารนาบัสพาเขาไปพบเหล่าอัครทูตและเล่าให้ฟังว่าที่กลางทาง เซาโลได้เห็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าและพระองค์ตรัสกับเขาอย่างไร และเขาได้เทศนาทีเ่ มืองดามัสกัสใน พระนามของพระเยซูโดยไม่เกรงกลัวอย่างไรบ้าง ดังนั้นเซาโลจึงได้พักกับพวกเขาและเข้านอก ออกในอย่างอิสระในกรุงเยรูซาเล็มและกล่าวในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความอาจหาญ เขาพูดและโต้แย้งกับพวกยิวผู้ถือธรรมเนียมกรีกแต่พวกนั้นพยายามจะฆ่าเขา เมื่อพวกพี่น้อง ทราบเรื่องจึงพาเซาโลมายังเมืองซีซารียาและส่งไปเมืองทาร์ซัส 20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
กิจการ 9:9 ใครคือผูที่อยูในทองปลาเปนเวลา 3 วัน? ใครที่เสียชีวิตเปนเวลา 3 วัน? เปาโลตาบอด นานเทาไหร? ในชวงระยะเวลาที่พระคัมภีรไดถูกเขียนขึ้นนั้น ผูคนมีความคิดวาเวลา 3 วัน นั้นเปน เวลาที่ดีที่สุดในการเตรียมความพรอมสําหรับงานสําคัญตาง ๆ พระเจาทรงประทานงานสําคัญใหแกเปาโล นอง ๆ รูหรือไมวางานสําคัญของเปาโล คืออะไร? ใหอานในโรม 1:5 แลวดูวาเปาโลไดเขียนไววาอยางไร กิจการของอัครทูต 9:30 | 213
กิจการ 9:32–41 จ๊ะจ๋า ค้นพบว่าเปโตรผู้เป็นสาวกของพระเยซูนั้น สามารถทําการอัศจรรย์แบบเดียว กับที่พระเยซูทรงทําได้ พระเยซูทรงสัญญาว่าเหล่าสาวกของพระองค์จะมีฤทธิ์อํานาจ เช่นเดียวกับที่พระองค์มี ให้น้อง ๆ เลือกเหตุการณ์การอัศจรรย์ของอัครสาวกมา 1 เหตุการณ์ แล้วแสดง บทบาทนั้นกับเพื่อน ๆ แล้วขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้ พระองค์ยังคงใช้เหล่าสาวกของ พระองค์ ให้ทําหมายสําคัญและการอัศจรรย์ในพระนามของพระองค์อยู่ จากนั้นคริสตจักรทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลี และสะมาเรียจึงมีสันติสุข คริสตจักรได้รับการเสริม สร้างขึ้นและเพิ่มจํานวนมากขึ้น เนื่องจากพวกเขาดําเนินชีวิตด้วยความยําเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้รับการปลอบโยนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 31
ไอเนอัสและโดรคัส
ขณะเปโตรเดินทางไปยังที่ต่างๆ เขาได้ไปเยี่ยมประชากรของพระเจ้าในเมืองลิดดา ที่นั่นเขา พบชายคนหนึ่งชื่อไอเนอัสนอนเป็นอัมพาตมาแปดปี เปโตรกล่าวกับเขาว่า “ไอเนอัสเอ๋ย พระ เยซูคริสต์ทรงรักษาท่าน จงลุกขึ้นเก็บที่นอนเถิด” ทันใดนั้นไอเนอัสก็ลุกขึ้น คนทั้งปวงในเมือง ลิดดาและในที่ราบชาโรนเห็นแล้วก็กลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ในเมืองยัฟฟามีสาวกคนหนึ่งชื่อทาบิธา (ซึ่งแปลว่า โดรคัส) ซึ่งประกอบคุณงามความดีและ ช่วยเหลือผู้ยากไร้อยู่เสมอ ระหว่างนั้นนางล้มป่วยและเสียชีวิต ร่างของนางได้รับการชําระและ วางอยู่ในห้องชั้นบน เมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา ฉะนั้นเมื่อพวกสาวกได้ข่าวว่าเปโตรอยู่ใน เมืองลิดดาจึงส่งชายสองคนมาหาเขาและรบเร้าว่า “ขอโปรดมาในทันที!” เปโตรมากับคนทั้งสอง เมื่อมาถึงพวกเขาก็พาเปโตรขึ้นไปยังห้องชั้นบนนั้น บรรดาหญิงม่าย มาห้อมล้อมเปโตร ร้องไห้ และให้เขาดูเสื้อผ้าต่างๆ ที่โดรคัสทําให้ขณะยังมีชีวิตอยู่ เปโตรให้คนทั้งปวงออกไปจากห้องแล้วคุกเข่าลงอธิษฐาน เขาหันมาทางหญิงผู้ตายและกล่าว ว่า “ทาบิธาเอ๋ย ลุกขึ้นเถิด” นางก็ลืมตา เมื่อเห็นเปโตรนางก็ลุกขึ้นนั่ง เขาจึงจับมือนางพยุงให้ ยืนขึ้นแล้วเรียกบรรดาผู้เชื่อและพวกหญิงม่ายนั้นมามอบหญิงซึ่งเป็นขึ้นนั้นให้พวกเขา เรื่องนี้ แพร่ไปทั่วเมืองยัฟฟาและคนเป็นอันมากได้มาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เปโตรพักอยู่กับซีโมนช่าง ฟอกหนังในเมืองยัฟฟาระยะหนึ่ง 32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
โครเนลิอัสส่งคนมาเชิญเปโตร
องซีซารียามีนายร้อยคนหนึ่งชื่อโครเนลิอัส อยู่ในกองทหารที่เรียกว่ากองอิตาลี เขากับ 10 ทัที้ง่เมืครอบครั วของเขาเคร่งศาสนาและยําเกรงพระเจ้า เขาช่วยเหลือเจือจานผู้ขัดสนด้วยใจ 2
กว้างขวางและอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่เสมอ วันหนึ่งราวบ่ายสามโมงเขาได้รับนิมิตเห็นทูตสวรรค์ องค์หนึ่งของพระเจ้าอย่างชัดเจน ทูตนั้นเข้ามาหาเขาและกล่าวว่า “โครเนลิอัสเอ๋ย!” โครเนลิอัสจ้องมองทูตนั้นด้วยความกลัวและถามว่า “ท่านเจ้าข้ามีอะไรหรือ?” ทูตสวรรค์ตอบว่า “คําอธิษฐานของท่านและสิ่งที่ท่านเจือจานแก่ผู้ยากไร้นั้นขึ้นไปเป็นเครื่อง บูชาให้ระลึกถึงต่อหน้าพระเจ้าแล้ว บัดนี้จงส่งคนไปยังเมืองยัฟฟาแล้วรับตัวชายชื่อซีโมนที่เรียก กันว่าเปโตรมาเถิด เขาพักอยู่กับซีโมนช่างฟอกหนังซึ่งบ้านอยู่ริมทะเล” 3
4
5
6
214 | กิจการของอัครทูต 9:31
เมื่อทูตสวรรค์ที่มาบอกนั้นไปแล้วโครเนลิอัสจึงเรียกบ่าวสองคนกับทหารรับใช้คนหนึ่งซึ่งเป็น คนเคร่งศาสนามา แล้วเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟังและส่งพวกเขาไปยัฟฟา 7
8
นิมิตของเปโตร
วันรุ่งขึ้นราวเที่ยงวันขณะที่คนพวกนั้นกําลังเดินทางมาจนเกือบจะถึงเมืองนั้นแล้ว เปโตรขึ้น ไปบนดาดฟ้าเพื่ออธิษฐาน เขาหิวและอยากจะได้อะไรมารับประทาน ระหว่างที่คนกําลังเตรียม อาหารอยู่เปโตรก็เข้าสู่ภวังค์ เขาเห็นฟ้าสวรรค์เปิดออก มีสิ่งหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่หย่อนลงมา บนโลกทั้งสี่มุม ในนั้นมีสัตว์สี่เท้าสารพัดชนิดตลอดจนสัตว์เลื้อยคลานของแผ่นดินโลกและนกใน อากาศ แล้วมีเสียงหนึ่งบอกเขาว่า “เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด” เปโตรตอบว่า “ไม่ได้พระเจ้าข้า! ข้าพระองค์ไม่เคยรับประทานสิ่งที่เป็นมลทินหรือไม่สะอาด เลย” เสียงนั้นพูดกับเขาเป็นครั้งที่สองว่า “อย่าเรียกสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงชําระแล้วว่าเป็นมลทิน” เป็นเช่นนี้ถึงสามครั้ง ทันใดนั้นผ้าผืนนั้นก็ถูกรับขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ ขณะที่เปโตรกําลังฉงนสนเท่ห์เกี่ยวกับความหมายของนิมิตนี้ คนที่โครเนลิอัสส่งมาก็พบบ้าน ของซีโมนและมายืนอยู่ที่ประตู แล้วร้องถามว่าซีโมนที่เรียกกันว่าเปโตรอยู่ที่นี่หรือไม่ ฝ่ายเปโตรกําลังครุน่ คิดเรือ่ งนิมติ นัน้ พระวิญญาณก็ตรัสกับเขาว่า “ซีโมนเอ๋ย ชายสามคนกําลัง ตามหาท่านอยู่ ฉะนัน้ จงลุกขึน้ ลงไปข้างล่าง อย่าลังเลทีจ่ ะไปกับพวกเขาเพราะเราส่งเขามา” เปโตรจึงลงมาบอกชายเหล่านั้นว่า “ข้าพเจ้าคือคนที่ท่านถามหาอยู่ พวกท่านมาทําไมหรือ?” พวกเขาตอบว่า “พวกเรามาจากนายร้อย โครเนลิอัส เขาเป็นผู้ชอบธรรมและยําเกรงพระเจ้า กิจการ 10 เป็นที่เคารพนับถือของชาวยิวทั้งปวง ทูตสวรรค์ผู้ บริสุทธิ์ได้บอกนายร้อยให้มาเชิญท่านไปที่บ้านเพื่อจะ บทนี้เป็นตอนที่สําคัญ เพราะเป็นบท ได้ฟังสิ่งที่ท่านกล่าว” แล้วเปโตรจึงเชิญคนเหล่านั้น ที่บอกเราว่าพระเยซูเสด็จมาบนโลก เข้ามาเป็นแขกพักค้างคืนในบ้านของเขา เพื่อช่วยทุกคนบนโลกนี้ ไม่ใช่เพียง แต่ชาวยิวเท่านั้น เปโตรที่บ้านโครเนลิอัส วันรุ่งขึ้นเปโตรก็ออกเดินทางไปกับพวกเขาและมีพี่ พระเจ้าทรงรวบรวมผู้คนจากทุก น้องบางคนจากเมืองยัฟฟาไปด้วย วันต่อมาเปโตรก็ ชนชาติเข้ามาในคริสตจักรของ มาถึงเมืองซีซารียา โครเนลิอัสกําลังคอยต้อนรับพวก พระองค์ และพวกเขาก็กลายเป็น เขาอยู่และได้เชิญญาติตลอดจนเพื่อนสนิทมาชุมนุม ครอบครัวเดียวกัน สมาชิกใน กัน พอเปโตรเข้าไปในบ้านโครเนลิอัสก็ออกมาพบ คริสตจักรรักซึ่งกัน และเป็นห่วงเป็น และหมอบลงแทบเท้าด้วยความยําเกรง แต่เปโตรรั้ง ใยซึ่งกันและกัน เขาให้ลุกขึ้นพร้อมทั้งกล่าวว่า “ยืนขึ้นเถิด ข้าพเจ้าเอง ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง” เปโตรสนทนาพลางเดินเข้าไปข้างในและพบคนมากมายชุมนุมกันอยู่ จึงกล่าวกับพวกเขาว่า “ท่านทัง้ หลายย่อมทราบดีวา่ เป็นการขัดบทบัญญัตขิ องเราทีช่ าวยิวจะคบหาหรือเยีย่ มเยียนคนต่าง ชาติ แต่พระเจ้าได้ทรงสําแดงแก่ขา้ พเจ้าว่าไม่ควรเรียกใครว่าเป็นมลทินหรือไม่สะอาด ฉะนัน้ เมือ่ มีคนไปเชิญข้าพเจ้าก็มาโดยไม่คดั ค้านประการใด ขอถามว่าเหตุใดจึงไปเชิญข้าพเจ้ามา?” โครเนลิอัสตอบว่า “เมื่อสี่วันก่อนข้าพเจ้าอธิษฐานอยู่ในบ้านราวๆ ตอนนี้คือบ่ายสามโมง ทันใดนั้นมีชายคนหนึ่งสวมชุดเป็นประกายวาววับมายืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า และกล่าวว่า ‘โครเนลิอัสเอ๋ย พระเจ้าทรงได้ยินคําอธิษฐานของท่านและระลึกถึงสิ่งที่ท่านได้เจือจานแก่คน ยากไร้แล้ว จงส่งคนไปเมืองยัฟฟาแล้วรับตัวซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมาเถิด เขาเป็นแขกพักอยู่ใน บ้านของซีโมนช่างฟอกหนังซึ่งอยู่ริมทะเล’ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงส่งคนไปเชิญท่านมาทันทีและท่าน 9
10
11
12
13
14
15 16 17
18
19
20
21 22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
กิจการของอัครทูต 10:33 | 215
ก็เมตตามาแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายอยู่พร้อมหน้ากันต่อหน้าพระเจ้าเพื่อรับฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ท่านกล่าวแก่เรา” แล้วเปโตรจึงกล่าวว่า “บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่าพระเจ้ามิได้ทรงเลือกที่รักมักที่ชัง แต่ ทรงรับคนจากทุกชาติที่ยําเกรงพระองค์และทําสิ่งที่ถูกต้อง ท่านย่อมทราบเรื่องราวที่พระเจ้า ทรงมีไปถึงประชากรอิสราเอลซึ่งเป็นการแจ้งข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขโดยทางพระเยซูคริสต์ผู้ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง ท่านย่อมทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นยูเดียเริ่ม ตั้งแต่ในแคว้นกาลิลีภายหลังบัพติศมาที่ยอห์นประกาศ คือที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูแห่ง นาซาเร็ธด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพ และที่พระองค์เสด็จไปทั่ว ทรงทําความดี และรักษาคนทั้งปวงที่ตกอยู่ใต้อํานาจของมารเพราะพระเจ้าสถิตกับพระองค์ “พวกข้าพเจ้าเป็นพยานถึงสิ่งสารพัดที่พระองค์ทรงกระทําในดินแดนของชาวยิวและใน กรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาฆ่าพระองค์โดยแขวนพระองค์บนต้นไม้ แต่ในวันที่สามพระเจ้าทรงให้ พระองค์เป็นขึ้นจากตายและให้พระองค์ปรากฏแก่สายตาของผู้คน ไม่ใช่ทุกคนได้เห็นพระองค์ มีแต่พยานทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้เท่านั้นที่เห็น คือพวกข้าพเจ้าซึ่งได้กินดื่มกับพระองค์ หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ทรงบัญชาพวกข้าพเจ้าให้ประกาศแก่คนทั้งปวง และเป็นพยานว่าพระองค์คือผู้ที่พระเจ้าทรงตั้งให้เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย ผู้เผย พระวจนะทั้งปวงล้วนยืนยันเกี่ยวกับพระองค์ว่า ทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะได้รับการอภัยบาปโดย ทางพระนามของพระองค์” ขณะเปโตรยังกล่าวถ้อยคําเหล่านี้อยู่พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาเหนือคนทั้งปวงที่ได้ยิน เรื่องราวนี้ เหล่าผู้เชื่อที่เข้าสุหนัตแล้วซึ่งมากับเปโตรพากันประหลาดใจที่พระเจ้าทรงเทพระ วิญญาณบริสุทธิ์ลงมาเป็นของประทานแก่คนต่างชาติด้วย เพราะพวกเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูด ภาษาแปลกๆ และสรรเสริญพระเจ้า แล้วเปโตรกล่าวว่า “ใครจะห้ามคนเหล่านี้ไม่ให้รับบัพติศมาด้วยน้ํา? พวกเขาได้รับพระ วิญญาณบริสุทธิ์เช่นเดียวกับเราแล้ว” ดังนั้นเปโตรจึงสั่งให้คนเหล่านั้นรับบัพติศมาในพระนาม ของพระเยซูคริสต์ จากนั้นพวกเขาเชิญเปโตรให้พักอยู่ด้วยสองสามวัน 34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
เปโตรชี้แจงการกระทําของเขา
าอัครทูตและพวกพี่น้องทั่วแคว้นยูเดียได้ยินว่าคนต่างชาติก็ได้รับพระวจนะของพระเจ้า 11 เหล่ ด้วย ดังนั้นเมื่อเปโตรกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มพวกผู้เชื่อซึ่งเข้าสุหนัตแล้วจึงวิพากษ์วิจารณ์ 2
เขา และกล่าวว่า “ท่านเข้าไปในบ้านของผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตและรับประทานอาหารกับเขา” เปโตรจึงชี้แจงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟังตามลําดับว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่เมืองยัฟฟา ขณะกําลังอธิษฐาน และตกอยู่ในภวังค์ข้าพเจ้าก็ได้รับนิมิต เห็นสิ่งหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ทั้งสี่มุมหย่อนจากฟ้าสวรรค์ ลงมายังที่ซึ่งข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้ามองเข้าไปเห็นสัตว์สี่เท้าของแผ่นดินโลก สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศ แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงหนึ่งบอกข้าพเจ้าว่า ‘เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด’ “ข้าพเจ้าตอบว่า ‘ไม่ได้พระเจ้าข้า! ไม่เคยมีสิ่งเป็นมลทินหรือไม่สะอาดเข้าปากของข้าพระองค์ เลย’ “เสียงนั้นพูดจากฟ้าสวรรค์เป็นครั้งที่สองว่า ‘อย่าเรียกสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงชําระให้สะอาดแล้วว่า เป็นมลทิน’ เป็นเช่นนี้ถึงสามครั้ง แล้วทั้งหมดนั้นก็ถูกรับขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์อีก “ทันใดนั้นเองชายสามคนจากเมืองซีซารียาที่เขาส่งมาหาข้าพเจ้าก็มาหยุดอยู่ที่บ้านซึ่งข้าพเจ้า พักอยู่ พระวิญญาณทรงสั่งให้ข้าพเจ้าไปกับพวกเขาโดยไม่ต้องลังเล พี่น้องหกคนนี้ก็ไปด้วยและ เราเข้าไปในบ้านของชายผู้นั้น เขาเล่าให้เราฟังว่าได้เห็นทูตสวรรค์มาปรากฏในบ้านของเขาและ กล่าวว่า ‘จงส่งคนไปเมืองยัฟฟา แล้วรับตัวซีโมนที่เรียกกันว่าเปโตรมาเถิด เขาจะแจ้งเรื่องราว แก่เจ้าแล้วเจ้ากับทั้งครัวเรือนของเจ้าจะได้รับความรอดผ่านเรื่องราวนั้น’ “พอข้าพเจ้าเริ่มพูดพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาเหนือพวกเขาเหมือนที่ได้เสด็จมาเหนือ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
216 | กิจการของอัครทูต 10:34
กิจการ 11:19–26 ในขอนี้เราจะไดอานถึงการที่คนจากที่ตาง ๆ กลายเปนคริสเตียน ใหนอง ๆ ลองหาดู วามีประเทศไหนในโลกบานที่มีคริสเตียนอาศัยอยู ในประเทศของนอง ๆ มีคริสเตียนเยอะไหม? อะไรที่คริสเตียนในประเทศของนอง ๆ สามารถทําได เพื่อใหโลกนี้เปนโลกที่นาอยูสําหรับทุกคน? นอง ๆ มีวิธีไหนบางที่จะ ชวยคนที่มีชีวิตลําบาก? เราทัง้ หลายในตอนแรก แล้วข้าพเจ้าจึงนึกขึน้ ได้ทอ่ี งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสไว้วา่ ‘ยอห์นให้บพั ติศมา ด้วยน้ํา แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ ดังนั้นถ้าพระเจ้าทรงให้ ของประทานอย่างเดียวกันแก่พวกเขาเหมือนที่ทรงให้แก่พวกเราผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า แล้วข้าพเจ้าเป็นใครกันเล่าที่คิดว่าจะขัดขวางพระเจ้าได้?” เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ก็ไม่มีข้อคัดค้านใดอีกและพากันสรรเสริญพระเจ้าว่า “ถ้าอย่างนั้น แม้ คนต่างชาติพระเจ้าก็ทรงโปรดให้กลับใจใหม่เข้าสู่ชีวิตด้วย” 16
17
18
คริสตจักรในอันทิโอก
ฝ่ายบรรดาผู้ที่กระจัดกระจายไปเนื่องจากการข่มเหงอันเกี่ยวโยงกับสเทเฟน ก็เดินทางไปไกล ถึงเมืองฟีนิเซีย เกาะไซปรัสและเมืองอันทิโอก และเล่าเรื่องราวนั้นแก่พวกยิวเท่านั้น แต่ก็มีบาง คนในพวกเขาที่มาจากเกาะไซปรัสและจากเมืองไซรีนได้ไปที่เมืองอันทิโอกและเล่าข่าวประเสริฐ เรื่ององค์พระเยซูเจ้าแก่ชาวกรีกด้วย พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับเขาเหล่านั้น ผู้คนมากมายเชื่อ และกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ข่าวนีม้ าถึงคริสตจักรทีก่ รุงเยรูซาเล็มพวกเขาจึงส่งบารนาบัสไปยังเมืองอันทิโอก เมือ่ บารนาบัส มาถึงและได้เห็นพยานหลักฐานที่แสดงถึงพระคุณของพระเจ้าก็ชื่นชมยินดีและให้กําลังใจ พวกเขาทุกคนให้สัตย์ซื่อมั่นคงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดใจ บารนาบัสเป็นคนดี เต็มด้วยพระ วิญญาณบริสุทธิ์และความเชื่อ คนจํานวนมากก็มาเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วบารนาบัสจึงไปตามหาเซาโลที่เมืองทาร์ซัส เมื่อพบแล้วก็พาเขามาเมืองอันทิโอก บารนาบัสกับเซาโลร่วมประชุมกับคริสตจักรและสั่งสอนคนเป็นอันมากตลอดหนึ่งปีเต็ม และที่ เมืองอันทิโอกนั้นเองพวกสาวกได้ชื่อว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรก ครั้งนั้นมีผู้เผยพระวจนะบางคนจากกรุงเยรูซาเล็มมาที่อันทิโอก พวกเขาคนหนึ่งชื่ออากาบัส ยืนขึ้นพยากรณ์โดยพระวิญญาณว่าจะเกิดการกันดารอาหารอย่างรุนแรงทั่วจักรวรรดิโรมัน (เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในสมัยของคลาวดิอัส) เหล่าสาวกจึงตัดสินใจว่าจะร่วมกันช่วยเหลือพวก พี่น้องที่อยู่ในแคว้นยูเดียตามกําลังของแต่ละคน พวกเขาทําตามนั้นโดยฝากความช่วยเหลือของ พวกเขาให้บารนาบัสกับเซาโลนํามาให้เหล่าผู้ปกครองคริสตจักร 19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
เปโตรพ้นจากคุกอย่างอัศจรรย์
งนั้นกษัตริย์เฮโรดได้จับกุมคนของคริสตจักรไปโดยเจตนาจะข่มเหงพวกเขา เฮโรดให้ 12 ฆ่ช่วายากอบพี ช่ ายของยอห์นด้วยดาบ เมือ่ เห็นว่าพวกยิวพอใจกับการกระทํานัน้ ก็สง่ั จับเปโตร 2
3
ด้วย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ หลังจากจับกุมเปโตรแล้วก็ให้จําคุกไว้ 4
กิจการของอัครทูต 12:4 | 217
โดยมีทหารสี่หมู่ หมู่ละสี่คนคอยเฝ้า เฮโรดตั้งใจจะนําเขาออกมาไต่สวนต่อหน้าประชาชนหลัง เทศกาลปัสกา ดังนั้นเปโตรจึงถูกคุมขังอยู่ในคุกแต่คริสตจักรได้อธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อเขาอย่างจริงจัง ในคืนก่อนที่เฮโรดจะนําเปโตรมาไต่สวน เขากําลังหลับอยู่ระหว่างทหารสองคน ถูกล่ามด้วยโซ่ สองเส้นและทหารยามยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูคุก ทันใดนั้นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาปรากฏและมี แสงสว่างส่องเข้ามาในห้องขัง ทูตนั้นตบที่สีข้างของเปโตรและปลุกเขาตื่นแล้วกล่าวว่า “เร็วๆ เข้า ลุกขึ้น!” โซ่ก็หลุดจากข้อมือของเปโตร แล้วทูตนั้นกล่าวกับเขาว่า “จงสวมเสื้อผ้าและรองเท้า” เปโตรก็ทําตาม ทูตบอกว่า “สวมเสื้อ คลุมแล้วตามเรามาเถิด” เปโตรก็ตามออกไปจากคุก เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทูตนั้นทําอยู่เป็นเรื่องจริง เขาคิดว่าตนเองกําลังเห็นนิมิต เมื่อพวกเขาออกไปพ้นทหารยามชุดที่หนึ่งและชุดที่สองแล้วก็มา ถึงประตูเหล็กที่จะเข้าเมือง ประตูนั้นเปิดออกเองให้พวกเขาผ่านไป เมื่อเดินมาตามถนนได้ระยะ หนึ่งทันใดนั้นทูตสวรรค์องค์นั้นก็จากเขาไป เปโตรจึงรู้สึกตัวและกล่าวว่า “เดี๋ยวนี้เรารู้แน่แล้วว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งทูตของพระองค์ มาช่วยเราให้พ้นจากเงื้อมมือของเฮโรดและการปองร้ายทั้งปวงของพวกยิว” เมื่อเกิดความเข้าใจเช่นนี้แล้วเขาก็ไปยังบ้านของมารีย์ผู้เป็นมารดาของยอห์นซึ่งเรียกอีกชื่อ หนึ่งว่ามาระโก บ้านนั้นเป็นที่ซึ่งหลายคนประชุมอธิษฐานกันอยู่ เปโตรเคาะประตูชั้นนอกสาวใช้ คนหนึ่งชื่อโรดาจึงมาที่ประตู พอจําได้ว่าเป็นเสียงของเปโตรนางก็ดีใจมากจนวิ่งกลับไปโดยไม่ได้ เปิดประตูพลางร้องว่า “เปโตรอยู่ที่ประตู!” คนเหล่านั้นจึงว่า “เธอเสียสติไปแล้ว” แต่เมื่อนางยืนกรานว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกเขาก็พูด ว่า “ต้องเป็นทูตสวรรค์ประจําตัวเขา” แต่เปโตรยังเคาะประตูไม่หยุด เมื่อพวกเขาเปิดประตูมาพบเปโตรพวกเขาก็แปลกใจมาก แต่เปโตรโบกมือให้พวกเขาสงบแล้วเล่าว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนําเขาออกมาจากคุกได้อย่างไร พร้อมกับสั่งว่า “จงบอกเรื่องนี้แก่ยากอบและพวกพี่น้องอื่นๆ” แล้วเขาก็จากไปยังอีกที่หนึ่ง พอรุ่งเช้าพวกทหารก็แตกตื่นตกใจกันใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเปโตร หลังจากเฮโรดให้ค้นหา ตัวเปโตรจนทั่วแต่ไม่พบจึงไต่สวนพวกทหารยามและสั่งประหารชีวิต 5 6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
เฮโรดสิ้นพระชนม์
จากนั้นเฮโรดออกจากแคว้นยูเดียไปพักอยู่ที่เมืองซีซารียาระยะหนึ่ง ก่อนหน้านี้เฮโรดมี เรื่องบาดหมางกับชาวไทระและไซดอน บัดนี้พวกเขารวมตัวกันมาขอเข้าเฝ้าโดยอาศัยบลัสทัส มหาดเล็กคนสนิทของเฮโรด พวกเขามาขอคืนดีเพราะต้องพึ่งเสบียงอาหารจากดินแดนของเฮโรด ในวันนัดเฮโรดแต่งตัวเต็มยศนั่งบนบัลลังก์และกล่าวปราศรัยต่อประชาชน เขาทั้งหลาย ร้องตะโกนว่า “นี่เป็นเสียงเทพเจ้าไม่ใช่เสียงมนุษย์” เนื่องจากเฮโรดไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทันใดนั้นทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงให้เฮโรดล้มป่วยและถูกหนอนกัดกินจนสิ้นชีพ แต่พระวจนะของพระเจ้ายังคงทวียิ่งขึ้นและแพร่กระจายไป เมื่อบารนาบัสกับเซาโลทําพันธกิจเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับจากกรุงเยรูซาเล็มและพายอห์น ซึ่งมีอีกชื่อว่ามาระโกไปด้วย 20
21
22
23
24 25
ส่งบารนาบัสกับเซาโลออกไป
นทิโอกมีผู้เผยพระวจนะและอาจารย์ได้แก่ บารนาบัส สิเมโอนที่เรียกกัน 13 คริว่านิสเตจักอร์กรทีลูส่เมืิออัสงอัชาวไซรี น มานาเอน (ผู้เติบโตมากับเฮโรดผู้ครองแคว้น) และเซาโล ขณะ 2
เขาทั้งหลายกําลังนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและอดอาหารพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตรัสว่า “จงตั้ง บารนาบัสกับเซาโลไว้สําหรับเราเพื่องานซึ่งเราได้เรียกให้พวกเขาทํา” ดังนั้นหลังจากอดอาหาร และอธิษฐานแล้วพวกเขาจึงวางมือบนเขาทั้งสองแล้วส่งออกไป 3
218 | กิจการของอัครทูต 12:5
บนเกาะไซปรัส
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงส่งเขาทั้งสองลงมาที่เมืองเซลูเคียและนั่งเรือจากที่นั่นมายังเกาะ ไซปรัส เมื่อมาถึงเมืองซาลามิสพวกเขาก็ประกาศพระวจนะของพระเจ้าในธรรมศาลาของพวกยิว ยอห์นก็อยู่เป็นผู้ช่วยของพวกเขาด้วย พวกเขาเดินทางไปทั่วเกาะจนมาถึงเมืองปาโฟส ที่นั่นพวกเขาพบนักคาถาอาคมชาวยิว ซึ่งเป็น ผู้พยากรณ์เท็จชื่อบารเยซู เขาเป็นคนของผู้ตรวจการเสอร์จีอัสพอลัส ผู้ตรวจการคนนี้เป็นคน เฉลียวฉลาด เขาส่งคนมาตามบารนาบัสกับเซาโลไปพบเพราะต้องการฟังพระวจนะของพระเจ้า แต่เอลีมาสนักคาถาอาคม (เพราะชื่อของเขาหมายความว่าอย่างนั้น) ขัดขวางและพยายามดึงผู้ ตรวจการให้หันเหจากความเชื่อ แล้วเซาโลผู้มีอีกชื่อหนึ่งว่าเปาโลเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มองตรงไปที่เอลีมาสและกล่าวว่า “เจ้าเป็นลูกของมารร้ายเป็นศัตรูต่อทุกสิ่งที่ถูกต้อง! เจ้ามีแต่ ความหลอกลวงและเล่ห์เพทุบาย เจ้าจะไม่หยุดบิดเบือนวิถีอันถูกต้องขององค์พระผู้เป็นเจ้าเลย หรือ? บัดนี้พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะจัดการกับเจ้า เจ้าจะตาบอดมองไม่เห็นแสงตะวัน ตลอดช่วงหนึ่ง” ทันใดนั้นความมืดมัวเกิดแก่เอลีมาสและเขาต้องคลําหาคนให้จูงมือไป เมื่อผู้ตรวจการเห็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เชื่อเพราะอัศจรรย์ใจในคําสอนเกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า 4
5
6
7
8
9
10
11
12
ในเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสิเดีย
เปาโลกับพวกนั่งเรือจากเมืองปาโฟสไปยังเมืองเปอร์กาในแคว้นปัมฟีเลีย ที่นั่นยอห์นจากพวก เขากลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม จากเมืองเปอร์กาพวกเขาเดินทางต่อมายังเมืองอันทิโอกในแคว้น ปิสิเดีย ในวันสะบาโตก็เข้ามานั่งในธรรมศาลา หลังจากอ่านหนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผย พระวจนะแล้วเหล่านายธรรมศาลาก็ให้คนมาบอกพวกเขาว่า “พี่น้องเอ๋ย หากมีอะไรจะให้กําลัง ใจแก่ที่ประชุมก็เชิญกล่าวเถิด” เปาโลยืนขึ้นโบกมือและกล่าวว่า “ชนอิสราเอลและท่านชาวต่างชาติผู้นมัสการพระเจ้าโปรด ฟังข้าพเจ้า! พระเจ้าของชนชาติอิสราเอลทรงเลือกสรรบรรพบุรุษของเรา ทรงให้เหล่าประชากร เจริญรุ่งเรืองขณะอยู่ในอียิปต์ ทรงนําพวกเขาออกมาจากประเทศนั้นด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงอดทนต่อความประพฤติของเหล่าบรรพบุรุษเป็นเวลาสี่สิบปีในถิ่นกันดาร ทรงโค่น ล้มเจ็ดประชาชาติในคานาอัน และประทานดินแดนของพวกเขาให้เป็นกรรมสิทธิ์ของประชากร ของพระองค์ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ในช่วง 450 ปี “หลังจากนั้นพระเจ้าได้ประทานเหล่าผู้วินิจฉัยให้เขาจนถึงสมัยของผู้เผยพระวจนะซามูเอล จากนั้นเหล่าประชากรขอมีกษัตริย์และพระองค์ประทานซาอูลบุตรของคีชแห่งตระกูลเบนยามิน 13
14
15
16
17
18
19
20
21
กิจการ 13 และ 14 อาสา พบวาเปาโลไดเดินทางไปเยี่ยมเยียนสถานที่ตาง ๆ มากมายเพื่อประกาศขาว ประเสริฐของพระเยซู อาสา อยากจะบันทึกสถานที่เหลานั้นไวทั้งหมด ใหนอง ๆ อานกิจการบทที่ 13 และ 14 และขีดเสนใตทุกสถานที่ที่เปาโลไดไปเยี่ยมเยียน ทําไมเราไมทําแผนที่เสนทางการเดินทางของเปาโลเองเลยละ? จากนั้นเราก็จะ สามารถดูเสนทางที่เปาโลเดินทางได เมื่อเราอานบทเหลานี้ในครั้งหนา กิจการของอัครทูต 13:21 | 219
ซึ่งปกครองอยู่สี่สิบปี หลังจากพระเจ้าทรงปลดซาอูลพระองค์ก็ทรงตั้งดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์และ ทรงเป็นพยานเกี่ยวกับดาวิดว่า ‘เราพบว่าดาวิดบุตรเจสซีเป็นผู้ที่เราชอบใจยิ่งนัก เขาจะทําทุกสิ่ง ที่เราต้องการให้เขาทํา’ “จากวงศ์วานของดาวิดนี้เองพระเจ้าทรงนําพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดตามที่ทรงสัญญาไว้มาสู่ อิสราเอล ก่อนพระเยซูเสด็จมายอห์นประกาศเรื่องการกลับใจใหม่และการรับบัพติศมาแก่ปวง ชนอิสราเอล เมื่อยอห์นทํางานของตนใกล้จะเสร็จแล้วเขากล่าวว่า ‘พวกท่านคิดว่าข้าพเจ้าเป็น ใคร? ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ที่พวกท่านกําลังมองหาอยู่ แต่มีผู้หนึ่งกําลังจะมาภายหลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ คู่ควรแม้แต่จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์’ “พี่น้องทั้งหลายผู้เป็นลูกหลานของอับราฮัมและท่านชาวต่างชาติผู้ยําเกรงพระเจ้า พวกเรานี่ แหละคือผู้ที่เรื่องราวแห่งความรอดนี้มีมาถึง ชาวกรุงเยรูซาเล็มกับพวกผู้นําของเขาไม่รู้ว่าพระ เยซูทรงเป็นผู้ใด ถึงกระนั้นที่เขาตัดสินลงโทษพระองค์ก็เป็นไปตามคําของผู้เผยพระวจนะซึ่งอ่าน กันอยู่ทุกวันสะบาโต ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่พบมูลเหตุใดที่จะเอาผิดถึงตายก็ยังขอให้ปีลาตประหาร พระองค์ เมื่อเขาทั้งหลายได้ทําตามสิ่งทั้งปวงที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์แล้วก็นําพระศพลงจาก ต้นไม้ไปวางไว้ในอุโมงค์ แต่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย และบรรดาผู้ที่ได้ตามเสด็จ พระองค์จากแคว้นกาลิลีมายังกรุงเยรูซาเล็มได้เห็นพระองค์เป็นเวลาหลายวัน บัดนี้พวกเขาเป็น พยานเรื่องพระองค์แก่ประชาชนของเรา “พวกเราแจ้งข่าวประเสริฐนี้แก่ท่าน คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับเหล่าบรรพบุรุษของ เรา พระองค์ได้ทรงกระทําให้สําเร็จแล้วเพื่อพวกเราผู้เป็นลูกหลานของคนเหล่านั้นโดยทรงให้ พระเยซูเป็นขึ้นตามที่เขียนไว้ในสดุดีบทที่สองว่า “ ‘เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้เป็นบิดาของเจ้า’ ความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจาก กิจการ 13 และ 14 ตาย ไม่ต้องเน่าเปื่อยเลย ระบุไว้ในข้อความที่ว่า “ ‘เราจะให้พรอันบริสุทธิ์และแน่นอนแก่เจ้า ในบทนี้นอง ๆ จะไดอานเกี่ยวกับ ตามที่ได้สัญญาไว้กับดาวิด’ การเดินทางออกไปประกาศขาว ประเสริฐเปนครั้งแรกของเปาโล และอีกตอนหนึ่งที่ว่า คริสตจักรขนาดใหญในเมือง “ ‘พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้องค์บริสุทธิ์ของ อันทิโอกไดสงเปาโลและบารนาบัส พระองค์เน่าเปื่อย’ ออกไปประกาศเรื่องราวของพระ “เพราะเมื่อดาวิดได้ทําตามพระประสงค์ของ เยซูกับคนในภูมิภาคอื่น พวกเขา พระเจ้าในชั่วอายุของเขาแล้วเขาก็ล่วงลับไปและถูก ไปที่เกาะไซปรัสเปนแหงแรก และ ฝังไว้กับเหล่าบรรพบุรุษและร่างกายของเขาก็เน่า จากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปยัง เปื่อยไป แต่พระองค์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นจาก เมืองตาง ๆ ในทวีปเอเชียตะวันตก ตายนั้นไม่เคยเน่าเปื่อย เฉียงใต (ปจจุบันเรียกวา ประเทศ “ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรู้ว่า ตุรกี) เปาโลไดเดินทางไปประกาศ โดยทางพระเยซูนี้จึงมีการประกาศการอภัยโทษบาป ขาวประเสริฐ 3 ครั้งดวยกัน ซึ่งเปน แก่ท่านทั้งหลาย โดยทางพระองค์ทุกคนที่เชื่อก็ถูก ระยะทางมากกวา 16,000 กิโลเมตร นับว่าเป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากโทษทุกอย่างซึ่งไม่อาจ โดยสวนใหญแลวเปาโลจะเดินทาง พ้นได้โดยอาศัยบทบัญญัติของโมเสส จงระวังให้ดี ดวยการเดินเทา อย่าให้สิ่งที่บรรดาผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้เกิดขึ้นแก่ ท่าน คือที่ว่า 22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
220 | กิจการของอัครทูต 13:22
“ ‘ดูเถิด เจ้าพวกคนชอบเยาะเย้ย จงฉงนสนเท่ห์และพินาศไป เพราะเรากําลังจะทําบางสิ่งในสมัยของเจ้า ซึ่งถึงแม้มีใครบอกเจ้า เจ้าก็จะไม่มีวันเชื่อ’” ขณะเปาโลกับบารนาบัสออกจากธรรมศาลาคนทัง้ หลายก็เชือ้ เชิญเขาให้กล่าวเรือ่ งเหล่านีต้ อ่ ไป ในวันสะบาโตหน้า เมือ่ เลิกประชุมแล้วชาวยิวและคนเข้าจารีตยิวซึง่ เคร่งศาสนาหลายคนก็ตดิ ตาม เปาโลกับบารนาบัสไป คนทัง้ สองพูดคุยและกําชับพวกเขาให้อยูใ่ นพระคุณของพระเจ้าต่อไป ในวันสะบาโตต่อมาคนเกือบทั้งเมืองมาชุมนุมกันเพื่อฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อพวกยิวเห็นผู้คนมากมายก็อิจฉาริษยายิ่งนักจึงพูดให้ร้ายต่อต้านสิ่งที่เปาโลกําลังกล่าว แล้วเปาโลกับบารนาบัสจึงโต้ตอบพวกเขาด้วยใจกล้าว่า “เราต้องประกาศพระวจนะของ พระเจ้าแก่พวกท่านก่อน ในเมื่อท่านปฏิเสธและไม่เห็นว่าตัวเองคู่ควรกับชีวิตนิรันดร์บัดนี้เราก็จะ หันไปหาพวกต่างชาติ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาเราไว้ว่า “ ‘เราได้ทําให้เจ้าเป็นแสงสว่างสําหรับชนต่างชาติ เพื่อเจ้าจะนําความรอดไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก’” ฝ่ายคนต่างชาติเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจและยกย่องพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า และบรรดาผู้ ที่ถูกกําหนดไว้ให้มีชีวิตนิรันดร์ก็เชื่อ พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแพร่ไปทั่วภูมิภาคนั้น แต่ พวกยิวยุยงสตรีสูงศักดิ์ผู้ยําเกรงพระเจ้าและเหล่าบุรุษที่เป็นผู้นําในเมืองนั้น พวกเขาปลุกปั่นให้ คนเหล่านี้ข่มเหงเปาโลกับบารนาบัสและขับไล่คนทั้งสองออกจากภูมิภาคนั้น ดังนั้นทั้งสองจึง สะบัดฝุ่นจากเท้าเป็นการประท้วงพวกเขาแล้วไปยังเมืองอิโคนียูม และเหล่าสาวกก็เปี่ยมด้วย ความชื่นชมยินดีและพระวิญญาณบริสุทธิ์ 41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
ในเมืองอิโคนียูม
่เมืองอิโคนียูมเปาโลกับบารนาบัสเข้าไปในธรรมศาลาของพวกยิวตามปกติ พวกเขา 14 ทีประกาศอย่ างเกิดผลจนมีชาวยิวและชาวต่างชาติมากมายมาเชื่อ แต่พวกยิวที่ไม่ยอมเชื่อ 2
ก็ปลุกปั่นคนต่างชาติและทําให้พวกเขามีใจคิดร้ายต่อพวกพี่น้อง ฝ่ายเปาโลกับบารนาบัสใช้เวลา อยู่ที่นั่นนานพอสมควร พวกเขาประกาศด้วยใจกล้าเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงยืนยันเรื่องราว แห่งพระคุณของพระองค์โดยให้เขาทั้งสองทําหมายสําคัญและปาฏิหาริย์ต่างๆ ชาวเมืองนั้นแยก เป็นสองฝ่าย พวกหนึ่งอยู่ฝ่ายพวกยิว อีกพวกอยู่ฝ่ายอัครทูต คนต่างชาติกับพวกยิวและหัวหน้า ของพวกเขาคบคิดกันจะทําร้ายและเอาหินขว้างเปาโลกับบารนาบัส แต่เขาทั้งสองล่วงรู้แผนการ นี้จึงหนีไปยังแคว้นลิคาโอเนีย ที่เมืองลิสตรา เมืองเดอร์บีกับแถบใกล้เคียงโดยรอบ และได้ ประกาศข่าวประเสริฐที่นั่นต่อไป 3
4
5
6
7
ในเมืองลิสตราและเมืองเดอร์บี
ที่เมืองลิสตรามีชายขาพิการคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาเป็นง่อยมาตั้งแต่เกิด ไม่เคยเดินเลย คนนั้นนั่ง ฟังเปาโลพูด เปาโลมองตรงไปที่เขาเห็นว่าเขามีความเชื่อที่จะได้รับการรักษาให้หายได้ จึงร้องว่า “จงลุกขึ้นยืน!” คนนั้นก็กระโดดขึ้นยืนและเริ่มเดินไป เมื่อฝูงชนเห็นสิ่งที่เปาโลได้ทําก็ร้องตะโกนเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า “เหล่าเทพเจ้าได้จําแลง เป็นมนุษย์ลงมาหาพวกเราแล้ว!” พวกเขาเรียกบารนาบัสว่าเทพเจ้าซุสและเรียกเปาโลว่า เทพเจ้าเฮอร์เมสเพราะส่วนใหญ่เปาโลเป็นผู้พูด ปุโรหิตของเทพเจ้าซุสซึ่งวิหารอยู่นอกเมืองไป เล็กน้อยได้นําโคและพวงมาลามาที่ประตูเมืองเพราะเขากับฝูงชนประสงค์จะถวายเครื่องบูชาแก่ เปาโลกับบารนาบัส 8
9
10
11
12
13
กิจการของอัครทูต 14:13 | 221
แต่เมื่ออัครทูตบารนาบัสกับเปาโลได้ยินเรื่องนี้ก็ฉีกเสื้อผ้าแล้วถลันเข้าไปกลางฝูงชนและ ตะโกนว่า “ท่านทั้งหลาย เหตุใดจึงทําเช่นนี้? เราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเช่นเดียวกับพวกท่าน เรานําข่าวประเสริฐมาเพื่อให้ท่านหันจากสิ่งไร้ค่าเหล่านี้มาหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรง สร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และสรรพสิ่งในนั้น ในอดีตพระองค์ทรงปล่อยประชาชาติทั้ง ปวงไปตามทางของเขา กระนั้นพระองค์โปรดให้มีพยานหลักฐานถึงพระองค์เอง คือทรงสําแดง พระคุณโดยประทานฝนจากฟ้าสวรรค์และพืชผลตามฤดูกาล พระองค์ประทานอาหารอันอุดม สมบูรณ์แก่ท่านและให้จิตใจของท่านเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี” แม้กล่าวเช่นนี้แล้วก็ยังยากที่ เขาทั้งสองจะห้ามฝูงชนไม่ให้ถวายเครื่องบูชาแก่พวกเขา แล้วพวกยิวบางคนมาจากเมืองอันทิโอกและเมืองอิโคนียูมและชักจูงฝูงชนให้มาเป็นพวกตน ได้สําเร็จ พวกเขาเอาหินขว้างเปาโลและลากออกนอกเมืองเพราะคิดว่าเขาตายแล้ว แต่หลังจาก ที่เหล่าสาวกเข้ามาห้อมล้อมเขาเปาโลก็ลุกขึ้นและกลับเข้าไปในเมือง วันรุ่งขึ้นเขากับบารนาบัสก็ ออกเดินทางไปเมืองเดอร์บี 14
15
16
17
18
19
20
กลับมายังเมืองอันทิโอกในแคว้นซีเรีย
พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐในเมืองนั้นและมีคนมากมายมาเป็นสาวก จากนั้นพวกเขากลับ ไปยังเมืองลิสตรา เมืองอิโคนียูม และเมืองอันทิโอก เพื่อช่วยให้พวกสาวกเข้มแข็งขึ้นและให้ กําลังใจพวกเขาให้สัตย์ซื่อมั่นคงในความเชื่อ พวกเขากล่าวว่า “เราต้องเผชิญความยากลําบาก มากมายเพื่อเข้าอาณาจักรของพระเจ้า” เปาโลกับบารนาบัสแต่งตั้งเหล่าผู้ปกครอง ในแต่ละ คริสตจักรและอดอาหารอธิษฐานเพื่อมอบพวกเขาไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งพวกเขาเชื่อวางใจ หลังจากไปทั่วแคว้นปิสิเดียแล้วพวกเขามายังแคว้นปัมฟีเลีย และเมื่อประกาศพระวจนะใน เมืองเปอร์กาแล้วก็ลงไปที่เมืองอัททาลิยา และจากเมืองอัททาลิยาพวกเขาลงเรือกลับมายังเมืองอันทิโอกที่ซึ่งพวกเขาถูกมอบไว้ใน พระคุณของพระเจ้าให้ทํางานซึ่งบัดนี้พวกเขาได้ทําสําเร็จแล้ว เมื่อมาถึงที่นั่นพวกเขาเรียก ประชุมคริสตจักรและรายงานสิง่ ทัง้ ปวงทีพ่ ระเจ้าได้ทรงกระทําผ่านพวกเขาตลอดจนการทีท่ รงเปิด ประตูแห่งความเชื่อแก่คนต่างชาติ และพวกเขาอยู่กับเหล่าสาวกที่นั่นเป็นเวลานาน 21
22
23
24
25
26
27
28
การประชุมสภาที่เยรูซาเล็ม
บางคนจากแคว้นยูเดียมาที่เมืองอันทิโอกและสอนพวกพี่น้องว่า “ถ้าท่านไม่เข้าสุหนัต 15 มีตามธรรมเนี ยมที่โมเสสสอนไว้ ท่านก็จะไม่ได้รับความรอด” คําสอนนี้ทําให้เปาโลกับ 2
บารนาบัสโต้แย้งถกเถียงกับพวกเขาอย่างรุนแรง ดังนั้นเปาโลและบารนาบัสจึงได้รับการแต่งตั้ง พร้อมกับผู้เชื่อบางคนให้ขึ้นไปพบเหล่าอัครทูตและผู้ปกครองที่เยรูซาเล็มเกี่ยวกับปัญหานี้ คริสตจักรได้ส่งพวกเขาไป และขณะเดินทางผ่านแคว้นฟีนิเซียกับสะมาเรียพวกเขาก็ได้เล่าเรื่องที่ คนต่างชาติกลับใจใหม่ ข่าวนี้ทําให้พี่น้องทั้งปวงยินดียิ่งนัก เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็มพวกเขาก็ได้ รับการต้อนรับจากคริสตจักร เหล่าอัครทูตและผู้ปกครองและได้รายงานทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรง กระทําผ่านพวกเขาให้คนเหล่านั้นฟัง จากนั้นผู้เชื่อบางคนซึ่งอยู่ในกลุ่มพวกฟาริสียืนขึ้นกล่าวว่า “คนต่างชาติต้องเข้าสุหนัตและ ปฏิบัติตามบทบัญญัติของโมเสส” เหล่าอัครทูตและผู้ปกครองประชุมกันเพื่อพิจารณาปัญหานี้ หลังจากอภิปรายกันมากแล้ว เปโตรก็ลุกขึ้นกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย ท่านทราบอยู่แล้วว่าก่อนหน้านี้พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร ข้าพเจ้าจากพวกท่านให้ประกาศเรื่องราวของข่าวประเสริฐแก่คนต่างชาติเพื่อพวกเขาจะได้ยิน และเชื่อ พระเจ้าผู้ทรงทราบจิตใจได้ทรงสําแดงว่าทรงรับพวกเขาโดยประทานพระวิญญาณ บริสุทธิ์แก่เขาเหมือนที่พระองค์ประทานแก่เรา พระองค์ไม่ได้ทรงแยกว่าพวกเขากับพวกเรา แตกต่างกันเพราะพระองค์ทรงชําระจิตใจของพวกเขาโดยความเชื่อ ก็แล้วบัดนี้เหตุใดท่านจึง 3
4
5
6
7
8
9
10
222 | กิจการของอัครทูต 14:14
พยายามลองดีกับพระเจ้าโดยวางแอกลงบนคอของสาวกเหล่านั้น? แอกซึ่งไม่ว่าเราหรือบรรพบุรุษ ของเราล้วนแบกไม่ไหว อย่าเลย! เราเชื่อว่าที่เรารอดก็โดยพระคุณขององค์พระเยซูเจ้าของเรา เช่นเดียวกับพวกเขา” ทุกคนในที่ประชุมนิ่งฟังบารนาบัสกับเปาโลเล่าถึงหมายสําคัญและปาฏิหาริย์ต่างๆ ที่พระเจ้า ได้ทรงกระทําท่ามกลางคนต่างชาติผ่านพวกเขา เมื่อพวกเขาพูดจบแล้วยากอบกล่าวขึ้นว่า “พี่ น้องทั้งหลาย โปรดฟังข้าพเจ้า ซีโมน ได้อธิบายให้เราฟังแล้วว่าตั้งแต่แรกพระเจ้าทรงแสดงความ ห่วงใยของพระองค์ โดยเลือกคนต่างชาติบางคนมาเป็นประชากรของพระองค์ ทั้งนี้สอดคล้อง กับคําของผู้เผยพระวจนะซึ่งเขียนไว้ว่า “ ‘หลังจากนี้เราจะกลับมา และจะสร้างเต็นท์ของดาวิดที่ล้มลงแล้วขึ้นมาใหม่ เราจะสร้างสิ่งปรักหักพังขึ้นมาใหม่ และเราจะทําให้สิ่งเหล่านั้นคืนสู่สภาพดี เพื่อบรรดาผู้ที่เหลืออยู่และชนต่างชาติทั้งปวงที่ได้ชื่อตามนามของเรา จะแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกระทําสิ่งเหล่านี้’ ซึ่งเป็นที่ทราบกันมาหลายยุคสมัย “ดังนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าเราไม่ควรสร้างความลําบากให้กับคนต่างชาติที่หันมาหาพระเจ้า แต่ ให้เราเขียนไปบอกพวกเขาว่าให้ละเว้นจากอาหารที่เป็นมลทินโดยรูปเคารพ จากการผิดศีลธรรม ทางเพศ จากการกินเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และจากการกินเลือด เพราะตั้งแต่โบราณกาลมีการ เทศนาและอ่านธรรมบัญญัติของโมเสสในธรรมศาลาทุกวันสะบาโตในทุกๆ เมือง” 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
จดหมายจากที่ประชุมถึงผู้เชื่อชาวต่างชาติ
แล้วเหล่าอัครทูตและผู้ปกครองกับทุกคนใน คริสตจักรได้ตดั สินใจให้เลือกบางคนในพวกเขาและส่ง ไปยังอันทิโอกกับเปาโลและบารนาบัส ที่ประชุมได้ เลือกยูดาส (ที่เรียกกันว่าบารซับบาส) กับสิลาส ชาย ทั้งสองนี้เป็นผู้นําในหมู่พวกพี่น้อง แล้วฝากพวกเขา ถือจดหมายไปด้วย มีใจความว่า จดหมายฉบับนี้จากเหล่าอัครทูตและผู้ปกครอง ผู้ เป็นพี่น้องของท่าน เรียน ท่านผู้เชื่อซึ่งเป็นชาวต่างชาติในเมือง อันทิโอก ในแคว้นซีเรีย และในแคว้นซิลีเซีย ขอคํานับ ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ยินว่ามีพวกเราบางคนไป หาท่านโดยไม่ได้รับมอบหมาย พวกเขาไปรบกวน ท่านโดยกล่าวสิ่งที่ทําให้ท่านไม่สบายใจ ฉะนั้น เราทุกคนเห็นพ้องต้องกันที่จะเลือกบางคนและส่ง มาหาพวกท่านพร้อมกับบารนาบัสและเปาโลเพื่อน ที่รักของเรา ผู้ซึ่งยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อพระนามของ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยเหตุนี้เราจึงส่ง ยูดาสกับสิลาสมาเพื่อยืนยันด้วยวาจาในสิ่งที่เรา เขียน พระวิญญาณบริสุทธิ์และพวกข้าพเจ้าเห็น 22
23
24
25
26
27
กิจการ 15
ผู้คนจากหลากหลายชนชาติกลาย มาเป็นคริสเตียน และหลังจากนั้น ไม่นาน พวกเขาก็ได้โต้เถียงกันเกี่ยว กับวิธีที่จะประพฤติตัวให้เหมาะสม ดังนั้น พวกเขาจึงจัดการประชุมขึ้น ในกรุงเยรูซาเล็ม ที่ที่พวกเขาพูดคุย เกี่ยวกับปัญหาจนกระทั่งได้ข้อสรุป ทําไมพวกเขาถึงโต้เถียงกัน? พวกเขา อยากรู้ว่าชาวต่างชาติจะต้องทําตาม วิธีการของชาวยิวหรือไม่ ในท้ายที่สุด พวกเขาตัดสินใจว่า ชาว ต่างชาติไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตาม ขนบธรรมเนียมและประเพณีของ ชาวยิว สิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือ การ ทีช่ าวต่างชาติเชือ่ ว่าพวกเขาได้รบั การ ไถ่บาปโดยพระคุณของพระเยซูเจ้า
28
กิจการของอัครทูต 15:28 | 223
ชอบที่จะไม่วางภาระใดๆ บนพวกท่านเว้นแต่ข้อกําหนดต่อไปนี้คือ ท่านทั้งหลายจงงดเว้น จากอาหารที่เซ่นสังเวยรูปเคารพ งดจากการกินเลือด การกินเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และงด จากการผิดศีลธรรมทางเพศ หากพวกท่านงดสิ่งเหล่านี้ได้จะเป็นการดี ขอความสุขสวัสดีมีแก่ท่าน คนเหล่านั้นจึงออกเดินทางมายังเมืองอันทิโอก พวกเขาเรียกประชุมคริสตจักรที่นั่นและมอบ จดหมายให้ เมื่อผู้คนที่นั่นอ่านจดหมายแล้วก็เกิดกําลังใจ ยูดาสกับสิลาสเองซึ่งเป็นผู้เผยพระ วจนะได้กล่าวหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้กําลังใจและเสริมสร้างพวกพี่น้องให้เข้มแข็ง หลังจากใช้ เวลาอยู่ที่นั่นระยะหนึ่งพวกพี่น้องก็ส่งพวกเขากลับไปหาบรรดาผู้ที่ส่งพวกเขามาพร้อมทั้งอวยพร ให้มีสันติสุข ส่วนเปาโลกับบารนาบัสยังคงอยู่ที่เมืองอันทิโอก พวกเขาสั่งสอนและประกาศพระ วจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าร่วมกับอีกหลายคน 29
30
31
32
33
35
เปาโลแยกจากบารนาบัส
ต่อมาเปาโลกล่าวกับบารนาบัสว่า “ให้เรากลับไปเยี่ยมพี่น้องในทุกเมืองที่เราได้ประกาศพระ วจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดูว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง” บารนาบัสต้องการจะพายอห์นที่มี อีกชื่อว่ามาระโกไปด้วย แต่เปาโลเห็นว่าไม่ควรที่จะพาเขาไปด้วยเพราะครั้งก่อนยอห์นได้ละทิ้ง พวกเขาที่แคว้นปัมฟีเลียและไม่ได้ร่วมงานต่อไป เขาทั้งสองขัดแย้งกันอย่างรุนแรงจนต้องแยก กัน บารนาบัสพามาระโกลงเรือไปเกาะไซปรัส แต่เปาโลเลือกสิลาสและออกเดินทางไปโดยพี่ น้องได้มอบพวกเขาไว้ในพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาไปทั่วแคว้นซีเรียและซิลีเซีย เสริม สร้างคริสตจักรต่างๆ ให้เข้มแข็ง 36
37
38
39
40
41
ทิโมธีสมทบกับเปาโลและสิลาส
งเมืองเดอร์บี จากนั้นไปยังเมืองลิสตรา ที่นั่นมีสาวกคนหนึ่งชื่อทิโมธีอาศัยอยู่ 16 เขามาถึ มารดาของเขาเป็นผู้เชื่อชาวยิวแต่บิดาของเขาเป็นชาวกรีก ทิโมธีมีชื่อเสียงดีในหมู่พี่น้อง 2
ที่เมืองลิสตราและเมืองอิโคนียูม เปาโลต้องการจะพาทิโมธีไปด้วยจึงให้เขาเข้าสุหนัตเพราะเห็น แก่ชาวยิวที่อยู่แถบนั้นเนื่องจากใครๆ ก็รู้ว่าบิดาของเขาเป็นคนกรีก ขณะเดินทางไปยังเมืองต่างๆ พวกเขาก็ถ่ายทอดมติของเหล่าอัครทูตและพวกผู้ปกครองที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อให้คนทั้งหลาย ปฏิบัติตาม ดังนั้นคริสตจักรต่างๆ จึงได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งในความเชื่อและสมาชิกก็เพิ่ม ขึ้นทุกวัน 3
4
5
ชาวมาซิโดเนียในนิมิตของเปาโล
เนือ่ งจากพระวิญญาณบริสทุ ธิย์ งั ไม่ให้ประกาศพระวจนะในแคว้นเอเชียเปาโลกับคณะจึงเดิน ทางไปทัว่ ภูมภิ าคฟรีเจียและกาลาเทีย เมือ่ มาถึงชายแดนแคว้นมิเซียพวกเขาก็พยายามจะเข้าไปใน แคว้นบิธเี นียแต่พระวิญญาณของพระเยซูไม่ทรงอนุญาต พวกเขาจึงผ่านแคว้นมิเซียลงไปยังเมือง โตรอัส ในเวลากลางคืนเปาโลได้รบั นิมติ เห็นชาวมาซิโดเนียคนหนึง่ ยืนอ้อนวอนว่า “โปรดมาช่วย พวกข้าพเจ้าทีแ่ คว้นมาซิโดเนียด้วยเถิด” หลังจากเปาโลเห็นนิมติ เราก็เตรียมพร้อมทันทีทจ่ี ะไปยัง แคว้นมาซิโดเนียเพราะเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกเราให้ไปประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา 6
7
8
9
10
นางลิเดียกลับใจในฟีลิปปี
จากเมืองโตรอัสเราลงเรือแล่นตรงไปยังเกาะสาโมธรัสและรุ่งขึ้นก็ถึงเมืองเนอาโปลิส เราเดิน ทางจากที่นั่นไปยังเมืองฟีลิปปีซึ่งเป็นอาณานิคมของโรมันและเป็นเมืองเอกเมืองหนึ่งของแคว้น มาซิโดเนีย เราพักอยู่ที่นั่นหลายวัน ในวันสะบาโตเราออกนอกประตูเมืองไปที่แม่น้ําคาดว่าจะพบที่สําหรับอธิษฐาน เรานั่งลง พูดคุยกับพวกผู้หญิงที่ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น มีหญิงคนหนึ่งในพวกที่ฟังอยู่ชื่อลิเดีย เป็นคนค้าผ้าสี ม่วงมาจากเมืองธิยาทิรา นางเป็นผู้นมัสการพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดใจนางให้ตอบรับ 11
12
13
14
224 | กิจการของอัครทูต 15:29
ถ้อยคําของเปาโล เมื่อนางกับสมาชิกในครัวเรือน ของนางได้รับบัพติศมานางก็เชิญเราเข้าไปในบ้าน โดย กล่าวว่า “หากท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เชื่อในองค์ พระผู้เป็นเจ้า เชิญมาพักที่บ้านของข้าพเจ้าเถิด” นาง พูดชักชวนจนเราตกลง 15
เปาโลกับสิลาสในคุก
กิจการ 16:11–15
นางลิเดีย เป็นนักธุรกิจหญิงที่ร่ํารวย มากในเมืองฟีลิปปี และเป็นหนึ่งใน คนกลุ่มแรกในยุโรปที่เชื่อพระเยซู หลังจากที่เธอได้รู้จักกับเปาโล เธอ เชิญเปาโลและเพื่อน ๆ ของเขาไป พักที่บ้านของเธอ คริสเตียนในสมัยนั้นมักจะเปิดบ้าน ของพวกเขาให้คริสเตียนคนอื่น ๆ ใน วันนี้ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ยังคงเป็น สิ่งสําคัญสําหรับคริสเตียน เพราะ พระเจ้าทรงยินดีต้อนรับให้เราเข้า ในอาณาจักรของพระองค์ เราก็ควร จะยินดีให้คนอื่นเข้ามาในบ้านของ เราด้วย
ครั้งหนึ่งขณะเรากําลังจะไปยังที่อธิษฐานทาส หญิงคนหนึ่งซึ่งมีผีหมอดูสิงอยู่มาพบเรา หญิงนี้ทําเงิน ให้นายมากมายจากการทํานายโชคชะตา นางตาม เปาโลกับพวกเรามาและร้องว่า “คนเหล่านี้เป็นผู้รับ ใช้ของพระเจ้าสูงสุด พวกเขามาบอกทางรอดให้ท่าน ทั้งหลาย” นางทําเช่นนี้อยู่หลายวันเป็นการรบกวน เปาโลอย่างมากจนในที่สุดเขาหันไปสั่งผีนั้นว่า “ใน พระนามพระเยซูคริสต์ เราสั่งให้เจ้าออกมาจากนาง!” ผีนั้นก็ออกมาจากนางทันที เมื่อเจ้าของทาสนั้นเห็นว่าหมดหวังที่จะหาเงิน แล้วก็จับเปาโลกับสิลาสและลากตัวมาที่ย่านชุมชน เพื่อพบเจ้าหน้าที่ พวกเขานําคนทั้งสองมาต่อหน้า คณะผู้ปกครองเมืองแล้วเรียนว่า “คนเหล่านี้เป็นยิวและกําลังก่อกวนบ้านเมืองให้วุ่นวาย โดย แนะนําสั่งสอนธรรมเนียมอันผิดกฎหมายที่เราชาวโรมันไม่อาจยอมรับหรือปฏิบัติตาม” ฝูงชนเข้าร่วมเล่นงานเปาโลกับสิลาส คณะผู้ปกครองเมืองสั่งให้กระชากเสื้อผ้าของพวกเขา ออกและโบยตีพวกเขา หลังจากโบยตีอย่างหนักแล้วก็โยนพวกเขาเข้าห้องขังและกําชับพัศดีให้ ดูแลอย่างเข้มงวด เมื่อได้รับคําสั่งเช่นนั้นพัศดีก็จองจําพวกเขาไว้ในห้องขังชั้นในและใส่ขื่อที่เท้า ของพวกเขา ราวเที่ยงคืนเปาโลกับสิลาสกําลังอธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าและนักโทษอื่นๆ ฟัง อยู่ ทันใดนั้นเกิดแผ่นดินไหวใหญ่จนฐานรากของคุกสั่นคลอน ประตูคุกทุกบานเปิดออกทันที และโซ่ตรวนหลุดจากทุกคน พัศดีตื่นขึ้นมาและเห็นประตูคุกเปิดก็ชักดาบออกมาจะฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่านักโทษหนีไปแล้ว แต่เปาโลตะโกนว่า “อย่าทําร้ายตัวเอง! เราทุกคนอยู่ที่นี่!” 16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
กิจการ 16:16–40 ใหนอง ๆ เลนเกมวงกลมดนตรี (ทําวงกลมสําหรับผูเลนแตละคน) บนพื้น ใหเดินไป รอบ ๆ วงกลมพรอมกับรองเพลง เมื่อคนนําตบมือ ใหทุกคนหยุดรองเพลงและมอง หาวงกลม จากนั้นคนนําจะเอาวงกลมออกไป แลวทุกคนก็เริ่มเดินอีกครั้ง ในขณะที่ ทุกคนกําลังเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ คนนําก็จะทําวงกลมวงใหมขึ้น เมื่อคนนําตบมืออีกครั้ง ผูเลน 2 คนสามารถยืนอยูภายในวงกลมใหมได เพื่อที่จะไมมีใครเหลืออยูนอกวงกลม! อาณาจักรของพระเจาก็เปนเหมือนเกมนี้ จะไมมีใครถูกทิ้งให “อยูขางนอก” และมีที่ สําหรับทุกคน กิจการของอัครทูต 16:28 | 225
กิจการ 16:30–34 ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีความสําคัญสําหรับคริสเตียนเสมอ หลังจากที่ผู้คุมได้รับความ รอดแล้ว เขาพาเปาโลและสิลาสไปที่บ้านของเขา เขาล้างบาดแผลให้เปาโลและสิลาส และเลี้ยงอาหารพวกเขา และเขาก็เริ่มที่จะต้อนรับคริสเตียนคนอื่น ๆ เข้ามาในบ้าน ของเขา เราจะสามารถเป็นคนมีเมตตา และยินดีที่จะต้อนรับผู้อื่นได้อย่างไร? จําไว้ว่าเราสามารถเป็นคนมีเมตตา และยินดีต้อนรับผู้อื่นได้ในสถานที่อื่นนอกจากใน บ้านของเรา! พัศดีเรียกให้จุดไฟแล้ววิ่งเข้ามาหมอบลงตัวสั่นต่อหน้าเปาโลกับสิลาส จากนั้นก็พาพวกเขา ออกมาแล้วถามว่า “ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าต้องทําอย่างไรจึงจะได้รับความรอด?” พวกเขาตอบว่า “จงเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า แล้วท่านกับครัวเรือนของท่านจะได้รับความรอด” แล้วพวกเขาก็ประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแก่พัศดีและแก่คนทั้งปวงที่อยู่ในบ้านของ เขา กลางดึกชั่วโมงเดียวกันนั้นเองพัศดีก็พาพวกเขาไปล้างแผล แล้วพัศดีกับทั้งครอบครัวก็รับ บัพติศมาทันที พัศดีพาพวกเขาเข้าไปในบ้านและจัดอาหารมาเลี้ยงพวกเขา พัศดีชื่นชมยินดียิ่ง นักที่ตัวเขาและทุกคนในครอบครัวของเขาได้มาเชื่อพระเจ้า พอรุ่งเช้าคณะผู้ปกครองเมืองส่งเจ้าหน้าที่มาหาพัศดีสั่งว่า “ปล่อยตัวคนเหล่านั้นไป” พัศดี บอกเปาโลว่า “คณะผู้ปกครองเมืองได้สั่งให้ปล่อยตัวท่านกับสิลาส บัดนี้เชิญท่านออกไปอย่างมี สันติสุขเถิด” แต่เปาโลกล่าวกับเจ้าหน้าที่พวกนั้นว่า “พวกเขาโบยเราต่อหน้าประชาชนโดยไม่มีการไต่สวน ทั้งๆ ที่เราเป็นพลเมืองโรมันและโยนเราเข้าคุก แล้วบัดนี้พวกเขาจะมาเสือกไสเราออกไปอย่าง เงียบๆ หรือ? ไม่ได้! ให้พวกเขาเองนั่นแหละมาพาเราออกไป” พวกเจ้าหน้าที่กลับไปรายงานเรื่องนี้แก่คณะผู้ปกครองเมือง เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเปาโลกับ สิลาสเป็นพลเมืองโรมันก็ตกใจ พวกเขามาเอาใจเปาโลกับสิลาสและพาออกจากคุกแล้วขอร้องให้ ออกไปจากเมืองนั้น หลังจากเปาโลและสิลาสออกจากคุกแล้วก็มาที่บ้านของนางลิเดีย เขาทั้ง สองได้พบกับพวกพี่น้องและให้กําลังใจพวกเขาแล้วลาจากไป 29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ในเธสะโลนิกา
เมื่อผ่านเมืองอัมฟีโปลิสและเมืองอปอลโลเนียแล้วพวกเขาก็มาถึงเมืองเธสะโลนิกาซึ่งมี 17 ธรรมศาลาของพวกยิ ว เปาโลเข้าไปในธรรมศาลาตามทีเ่ ขาเคยปฏิบตั มิ า และในวันสะบาโต 2
ทั้งสามสัปดาห์เปาโลได้ยกข้อพระคัมภีร์มาอภิปรายกับพวกเขา ชี้แจงและพิสูจน์ว่า พระคริสต์ ต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตาย เปาโลกล่าวว่า “พระเยซูผู้นี้ที่ข้าพเจ้าประกาศแก่พวกท่านคือ พระคริสต์” ชาวยิวบางคนเห็นด้วยและเข้าร่วมกับเปาโลและสิลาสเช่นเดียวกับชาวกรีกผู้ยําเกรง พระเจ้าจํานวนมากและสตรีคนสําคัญๆ อีกไม่น้อย แต่พวกยิวอิจฉาริษยาจึงระดมนักเลงจากตลาดรวมกลุม่ กันก่อการจลาจลในเมือง พวกเขาบุก เข้าไปหาตัวเปาโลกับสิลาสในบ้านของยาโสนเพือ่ นําออกมาให้ฝงู ชน แต่เมือ่ ไม่พบก็ลากตัวยาโสน กับพวกพีน่ อ้ งบางคนมาพบเจ้าหน้าทีข่ องเมืองและร้องตะโกนว่า “คนพวกนีท้ ไ่ี ด้สร้างปัญหามาทัว่ โลก บัดนีไ้ ด้มาทีน่ ่ี และยาโสนก็ตอ้ นรับพวกเขาไว้ในบ้านของตน คนพวกนีท้ ง้ั หมดท้าทายกฤษฎีกา ของซีซาร์ พวกเขากล่าวว่ามีกษัตริยอ์ กี องค์หนึง่ ทีเ่ รียกว่าพระเยซู” เมือ่ ประชาชนและเจ้าหน้าที่ ของเมืองได้ฟงั ดังนัน้ ก็ไม่พอใจลุกฮือขึน้ พวกเขาจึงให้ยาโสนกับคนอืน่ ๆ ประกันตัวแล้วปล่อยไป 3
4
5
6
7
8
9
226 | กิจการของอัครทูต 16:29
ในเบเรอา
ทันทีที่มืดค่ําพวกพี่น้องก็ส่งเปาโลกับสิลาสไปยังเมืองเบเรอา เมื่อพวกเขามาถึงก็เข้าไปใน ธรรมศาลาของพวกยิว ชาวเมืองเบเรอามีจิตใจสูงกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกาเพราะพวกเขารับ เรื่องนี้ด้วยความกระตือรือร้นและค้นพระคัมภีร์ทุกวันเพื่อตรวจสอบว่าสิ่งที่เปาโลกล่าวเป็นจริง หรือไม่ ชาวยิวหลายคนเชื่อเช่นเดียวกับสตรีคนสําคัญชาวกรีกจํานวนหนึ่งและบุรุษชาวกรีกอีก หลายคน เมื่อพวกยิวในเมืองเธสะโลนิกาทราบว่าเปาโลกําลังประกาศพระวจนะของพระเจ้าที่เมือง เบเรอา พวกเขาก็มาที่นั่นด้วย พวกเขาปลุกปั่นฝูงชนให้ลุกฮือขึ้น พวกพี่น้องจึงส่งเปาโลไปที่ ชายฝั่งทันทีส่วนสิลาสกับทิโมธียังอยู่ที่เมืองเบเรอา ผู้คนที่คุ้มกันเปาโลนําเขาไปยังกรุงเอเธนส์ จากนั้นก็รับคําสั่งกลับมาบอกสิลาสกับทิโมธีให้ไปสมทบกับเปาโลทันทีที่เป็นไปได้ 10
11
12
13
14
15
ในกรุงเอเธนส์
ขณะรอสิลาสกับทิโมธีอยู่ในกรุงเอเธนส์เปาโลก็ทุกข์ใจยิ่งนักที่เห็นเมืองนี้เต็มไปด้วยรูปเคารพ ดังนั้นเขาจึงยกเหตุผลมาอภิปรายกับพวกยิวและชาวกรีกที่ยําเกรงพระเจ้าในธรรมศาลาและกับ ผู้คนซึ่งเขาพบที่ย่านตลาดแต่ละวัน มีนักปรัชญาแนวเอปิคูเรียนและสโตอิกกลุ่มหนึ่งมาถกเถียง กับเขา บางคนเอ่ยว่า “เจ้าคนนี้มาพล่ามอะไร?” คนอื่นๆ กล่าวว่า “ดูเหมือนเขาจะนําเทพเจ้า ต่างชาติมาเผยแพร่” ที่พวกเขาพูดเช่นนี้เพราะเปาโลประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูและการ คืนพระชนม์ พวกเขาจึงนําตัวเปาโลมาที่สภาอาเรโอปากัสและกล่าวว่า “พวกเราขอทราบคํา สอนใหม่ที่ท่านกําลังนําเสนอได้ไหม? ท่านนําความคิดแปลกๆ เข้ามา เราเลยอยากรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ มีความหมายอย่างไร” (ชาวเอเธนส์และชาวต่างชาติที่นั่นวันๆ ไม่ทําอะไรนอกจากพูดคุยและรับ ฟังความคิดใหม่ๆ) เปาโลจึงยืนขึ้นต่อหน้าที่ประชุมสภาอาเรโอปากัสแล้วกล่าวว่า “ชาวเอเธนส์ทั้งหลาย! ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกท่านเคร่งศาสนามากในทุกด้าน เพราะขณะที่ข้าพเจ้าเดินไปทั่วและได้สังเกต ดูสิ่งที่ท่านนมัสการข้าพเจ้าถึงกับพบแท่นบูชาแท่นหนึ่งที่มีคําจารึกไว้ว่า ‘แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก’ บัดนี้ข้าพเจ้ามาประกาศแก่ท่านถึงสิ่งที่ท่านนมัสการทั้งที่ไม่รู้จัก “พระเจ้าองค์นี้ผู้ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งในโลกทรงเป็นเจ้าเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน โลก พระองค์ไม่ได้ประทับในวิหารที่สร้างขึ้นด้วยน้ํามือมนุษย์ และไม่ได้พึ่งการปรนนิบัติจาก มือมนุษย์เสมือนหนึ่งว่าทรงต้องการสิ่งใดเพราะพระองค์เองคือผู้ประทานชีวิต ลมปราณ และสิ่ง อื่นๆ ทั้งปวงแก่มนุษย์ จากมนุษย์เพียงคนเดียวพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติให้อาศัยทั่วพิภพ พระองค์ทรงกําหนดเวลาและเขตแดนที่พวกเขาควรจะอยู่ พระเจ้าทรงทําเช่นนี้เพื่อมนุษย์จะได้ 16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
กิจการ 17:22 เมื่อเปาโลเดินไปรอบ ๆ กรุงเอเธนส เขาเห็นหลายสถานที่ที่ผูคนสามารถทําการ นมัสการพระเจาได มีสถานนมัสการที่อยูบริเวณแถวบานนองๆ ไหม? ดูซิวาบริเวณใกล ๆ บานของเรามี คริสตจักรอยูกี่แหง ดูวาคริสตจักรของเราแตกตางจากคริสตจักรอื่นที่นมัสการพระเยซูอยางไร? ใหนอง ๆ เลาใหเพื่อนฟงเกี่ยวกับคริสตจักรนอง ๆ กิจการของอัครทูต 17:27 | 227
กิจการ 17:22–23, 30–34 ไม่ใช่ทุกคนในละแวกบ้านของน้อง ๆ จะเป็นคริสเตียนทั้งหมด น้อง ๆ รู้สึกอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้? เปาโลมักจะพูดคุยกับคนที่ไม่เชื่อในพระเยซู เขามักจะแสดงความ สุภาพ และความเคารพนับถือต่อคนที่เขาได้พูดคุยด้วยเกี่ยวกับเรื่องราวของพระ เยซู บางครั้งพวกเขาก็ฟังเปาโล แต่บางครั้งพวกเขาก็หัวเราะเยาะเปาโล น้องๆ คิดว่า เปาโลรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น? และเปาโลรู้สึกอย่างไรเมื่อมีคนอยากจะรู้ เกี่ยวกับเรื่องราวของพระเยซูมากขึ้น? แสวงหาพระองค์ เผื่อว่าพวกเขาจะไขว่คว้าหาพระองค์ และพบพระองค์ แต่ว่าพระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ไกลจาก เราแต่ละคนเลย ‘เพราะว่าในพระองค์เรามีชีวิต เคลื่อนไหว และเป็นอยู่’ เหมือนที่กวีบางคนในพวก ท่านเองกล่าวว่า ‘เราเป็นเชื้อสายของพระองค์’ “ฉะนั้นในเมื่อเราเป็นเชื้อสายของพระเจ้าเราก็ไม่ ควรคิดว่าพระเจ้าทรงเป็นเหมือนทอง เงิน หรือหิน คือ เป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้นโดยการออกแบบและฝีมือ ของมนุษย์ ในอดีตพระเจ้าทรงมองข้ามความเขลา เช่นนั้น แต่บัดนี้ทรงบัญชามนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้ กลับใจใหม่ เพราะพระองค์ได้ทรงกําหนดวันหนึ่งไว้ วันซึ่งจะทรงพิพากษาโลกด้วยความยุติธรรมโดยผู้หนึ่ง ที่ได้ทรง แต่งตั้งไว้ พระองค์ทรงยืนยันข้อนี้แก่คนทั้ง ปวงโดยให้ผู้นั้นเป็นขึ้นจากตาย” เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องการเป็นขึ้นจากตายบาง คนก็เย้ยหยันแต่บางคนกล่าวว่า “เราอยากฟังท่าน พูดเรื่องนี้อีก” แล้วเปาโลก็ออกจากสภา มีบาง คนติดตามเปาโลไปและได้เชื่อ เช่น ดิโอนิสิอัสผู้เป็น สมาชิกคนหนึ่งของสภาอาเรโอปากัส หญิงคนหนึ่งชื่อ ดามาริส และคนอื่นๆ อีกจํานวนหนึ่ง
กิจการ 17:32–34
28
29
30
31
32
33
34
ในโครินธ์
18
เปาโลไดประกาศขาวประเสริฐของ พระเยซู แตมีหลายคนที่หัวเราะเยาะ ในคําพูดของเขา อิคคิว ไดอานเกี่ยวกับดิโอนิสิอัส และดามาริส ซึ่งเปนสวนหนึ่งของ คัมภีรเลมนี้ พวกเขาตอบสนองตอคํา พูดของเปาโลอยางไร? ดิโอนิสิอัส เปนสมาชิกคนหนึ่ง ของสภาอาเรโอปากัส ซึ่งเปนศาล ยุติธรรม มีเพียงคนสําคัญไมกี่คน เทานั้น ที่ไดรับเลือกใหเปนสมาชิก ของศาลนี้ เราไมรูวาดามาริสเปนใคร มีผูหญิงชาวกรีกนอยคนนักที่จะเคย ไปสภาอาเรโอปากัส นอง ๆ ลองคิดดูซิวา ในความเปน จริงที่วาพระเจาทรงทําใหแนใจวามี บุคคลที่สําคัญ และผูหญิงที่ไมมีใคร รูจักอยูที่นั้น เพื่อที่พวกเขาจะไดรู เรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซู
หลังจากนั้นเปาโลออกจากกรุงเอเธนส์ ไปยัง เมืองโครินธ์ ที่นั่น เขาพบชาวยิวคนหนึ่งชื่อ อาควิลลาชาวแคว้นปอนทัส เพิ่งมาจากอิตาลีพร้อมกับ ภรรยาชื่อปริสสิลลา เนื่องจากจักรพรรดิคลาวดิอัส ออกคําสั่งให้ชาวยิวทั้งปวงออกจากกรุงโรม เปาโลไปพบคนทั้งสอง และเนื่องจากเปาโลเป็นช่าง ทําเต็นท์เช่นเดียวกับพวกเขา จึงได้พักอาศัยและทํางานอยู่กับพวกเขา ทุกวันสะบาโต เปาโลยก เหตุผลมาอภิปรายในธรรมศาลาเพื่อชักชวนทั้งชาวยิวและชาวกรีก เมื่อสิลาสกับทิโมธีมาจากแคว้นมาซิโดเนียเปาโลก็อุทิศตัวทั้งหมดให้กับการเทศนาเป็นพยาน 2
3
4
5
228 | กิจการของอัครทูต 17:28
แก่ชาวยิวว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ แต่เมื่อพวกยิวต่อต้านและทําต่อเปาโลอย่างหยาบช้า เขา ก็สะบัดเสื้อผ้าแสดงการประท้วงและกล่าวว่า “ให้พวกท่านรับผิดชอบการตัดสินใจของท่านเอง เถิด! ข้าพเจ้าพ้นความรับผิดชอบแล้วตั้งแต่นี้ต่อไปข้าพเจ้าจะไปหาคนต่างชาติ” แล้วเปาโลก็ออกจากธรรมศาลาไปยังบ้านของทิทีอัสยุสทัสซึ่งอยู่ถัดไป เขาเป็นคนหนึ่งที่ นมัสการพระเจ้า ฝ่ายคริสปัสนายธรรมศาลากับทั้งครัวเรือนได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและชาว โครินธ์หลายคนที่ได้ฟังเขาก็เชื่อและรับบัพติศมา คืนหนึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเปาโลในนิมิตว่า “อย่ากลัวเลย จงประกาศต่อไป อย่าเงียบ เลย เพราะเราอยู่กับเจ้า และไม่มีใครจะเล่นงานและทําร้ายเจ้าได้เพราะคนของเราในเมืองนี้มี มาก” ดังนั้นเปาโลจึงอยู่สั่งสอนพระวจนะของพระเจ้าที่นั่นตลอดปีครึ่ง ขณะที่กัลลิโอเป็นผู้ตรวจการแคว้นอาคายา พวกยิวรวมตัวกันโจมตีเปาโลและนําเขาขึ้นศาล พวกเขาฟ้องร้องว่า “ชายผู้นี้ชักจูงให้ผู้คนนมัสการพระเจ้าในทางที่ขัดต่อกฎหมาย” พอเปาโลจะเอ่ยปากกัลลิโอก็กล่าวกับพวกยิวว่า “หากท่านชาวยิวจะร้องทุกข์คดีอาญาไม่ว่า สถานหนักหรือสถานเบาก็สมควรที่เราจะรับฟังพวกท่าน แต่นี่เป็นปัญหาเรื่องถ้อยคํา เรื่องชื่อ และบทบัญญัติของพวกท่านเอง ไปตกลงกันเองเถิด เราจะไม่ตัดสินในเรื่องเหล่านี้” ว่าแล้วก็ให้ พวกเขาออกไปจากศาล เขาทั้งหลายจึงจับโสสเธเนสนายธรรมศาลาไปโบยตีหน้าศาลแต่กัลลิโอ ก็ไม่สนใจ 6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
ปริสสิลลา อาควิลลา และอปอลโล
เปาโลพักอยูใ่ นเมืองโครินธ์ชว่ั ระยะหนึง่ แล้วก็จากพวกพีน่ อ้ งลงเรือไปแคว้นซีเรียโดยมีปริสสิลลา กับอาควิลลาไปด้วย ก่อนทีจ่ ะลงเรือเขากล้อนผมทีเ่ มืองเคนเครียเพราะได้สาบานตนไว้ เมือ่ มา ถึงเมืองเอเฟซัสเปาโลก็ละปริสสิลลากับอาควิลลา ส่วนเขาเองเข้าไปในธรรมศาลาและยกเหตุผลมา อภิปรายกับพวกยิว เมือ่ พวกนัน้ ขอให้เขาอยูต่ อ่ ไปอีกเขาก็ปฏิเสธ แต่ตอนจากกันเปาโลสัญญา ว่า “หากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะกลับมาอีก” แล้วเขาก็ลงเรือไปจากเมืองเอเฟซัส เมือ่ ขึน้ ฝัง่ ทีเ่ มืองซีซารียา เขาขึน้ ไปทักทายคริสตจักรจากนัน้ ลงไปทีเ่ มืองอันทิโอก หลังจากอยู่ที่เมืองอันทิโอกชั่วระยะหนึ่งเปาโลเดินทางจากที่นั่นไปยังที่ต่างๆ ทั่วแคว้น กาลาเทียและฟรีเจียเพื่อเสริมสร้างสาวกทั้งปวงให้เข้มแข็งขึ้น ขณะเดียวกันมีชาวยิวคนหนึ่งชื่ออปอลโลพื้นเพเป็นชาวอเล็กซานเดรียมาที่เมืองเอเฟซัส เขา เป็นผู้คงแก่เรียนและรู้พระคัมภีร์อย่างดี เขาได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขา พูดด้วยใจร้อนรนและสอนเรื่องพระเยซูอย่างถูกต้อง แม้ว่าเขาจะรู้จักแต่เพียงบัพติศมาของยอห์น เขาพูดในธรรมศาลาด้วยใจกล้า เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาได้ฟังเขาแล้วก็เชิญมาที่บ้านและ อธิบายเรื่องทางของพระเจ้าให้เขาเข้าใจมากยิ่งขึ้น เมื่ออปอลโลอยากจะไปแคว้นอาคายาพวกพี่น้องก็ให้กําลังใจเขาและเขียนจดหมายถึงสาวก ที่นั่นให้ต้อนรับเขา เมื่อเขาไปถึงก็ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างมากมายแก่บรรดาผู้ที่ได้มาเชื่อโดย พระคุณของพระเจ้า เพราะเขาโต้แย้งอย่างแข็งขันกับพวกยิวต่อหน้าสาธารณชนโดยยกข้อพระ คัมภีร์มาพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ 18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
เปาโลในเมืองเอเฟซัส
่ที่เมืองโครินธ์เปาโลเดินทางไปตามถนนที่ผ่านดินแดนด้านในและมาที่ 19 ขณะอปอลโลอยู เมืองเอเฟซัส เขาพบสาวกบางคนที่นั่น และถามว่า “เมื่อ ท่านเชื่อท่านได้รับพระวิญญาณ 2
บริสุทธิ์หรือไม่?” พวกเขาตอบว่า “ไม่ เราไม่เคยแม้แต่ได้ยินว่ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์” ดังนั้นเปาโลจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านได้รับบัพติศมาอะไร?” 3
กิจการของอัครทูต 19:3 | 229
พวกเขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น” เปาโลจึงกล่าวว่า “บัพติศมาของยอห์นคือบัพติศมาที่แสดงการกลับใจใหม่ ยอห์นได้บอก ประชาชนให้เชื่อในพระองค์ผู้ซึ่งมาภายหลังท่านคือให้เชื่อในพระเยซู” เมื่อได้ฟังเช่นนี้พวกเขา ก็รับบัพติศมาเข้าในพระนามขององค์พระเยซูเจ้า เมื่อเปาโลวางมือบนพวกเขาพระวิญญาณ บริสุทธิ์ก็เสด็จมายังคนเหล่านี้ พวกเขาก็พูดภาษาแปลกๆและพยากรณ์ คนทั้งหมดนี้เป็นผู้ชายมี ประมาณสิบสองคน เปาโลเข้าไปในธรรมศาลาและกล่าวด้วยใจกล้าเป็นเวลาสามเดือน ชี้แจงเรื่องอาณาจักรของ พระเจ้าด้วยเหตุผลอย่างน่าเชื่อถือ แต่บางคนใจดื้อด้านไม่ยอมเชื่อและพูดให้ร้าย “ทางนั้น” ต่อ หน้าสาธารณชน ดังนั้นเปาโลจึงพาพวกสาวกแยกไปและพวกเขาไปอภิปรายกันที่ห้องประชุมของ ทีรันนัสทุกวัน เขาทําเช่นนี้อยู่สองปีจนชาวยิวและชาวกรีกทั้งปวงในแคว้นเอเชียได้ยินพระวจนะ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าทรงกระทําการอัศจรรย์ที่พิเศษกว่าปกติผ่านทางเปาโล กระทั่งเมื่อนําผ้าเช็ดหน้า กับผ้ากันเปื้อนที่แตะถูกตัวเขาไปวางบนตัวคนเจ็บป่วย คนเหล่านั้นก็จะหายโรคและวิญญาณชั่วก็ ออกไปจากเขา ชาวยิวบางคนไปตามที่ต่างๆ แล้วขับไล่วิญญาณชั่วโดยพยายามออกพระนามขององค์พระเยซู เจ้าเหนือคนที่ถูกผีสิง พวกเขาจะสั่งว่า “ในพระนามพระเยซูซึ่งเปาโลประกาศ เราสั่งเจ้าให้ออก มา” บุตรชายเจ็ดคนของเสวาหัวหน้าปุโรหิตชาวยิวก็ทําเช่นนี้ วันหนึ่งวิญญาณชั่วตอบพวก เขาว่า “พระเยซูน่ะข้ารู้จักและข้าก็เคยได้ยินเรื่องเปาโลแต่พวกเจ้าเป็นใครกัน?” แล้วคนที่มี วิญญาณชั่วสิงก็กระโจนเข้าใส่และเอาชนะพวกเขาทั้งหมด คนนั้นทุบตีพวกเขาจนต้องเผ่นหนีจาก บ้านทั้งๆ ที่เปลือยกายและเลือดไหล เมื่อเรื่องนี้ไปถึงหูชาวยิวและชาวกรีกในเมืองเอเฟซัสพวกเขาทั้งปวงพากันเกรงกลัวจับใจและ พระนามขององค์พระเยซูเจ้าก็เป็นที่ยกย่องอย่างสูง บัดนี้หลายคนที่เชื่อมาสารภาพการกระทํา ที่ชั่วร้ายอย่างเปิดเผย คนที่ใช้เวทมนตร์คาถานําม้วนตําราของตนมาเผาทิ้งต่อหน้าสาธารณชน ตําราเหล่านั้นรวมแล้วคิดเป็นเงินถึง 50,000 แดรกมา โดยเหตุนี้พระวจนะขององค์พระผู้เป็น เจ้าจึงแพร่ออกไปอย่างกว้างไกลและเกิดผลมากยิ่งขึ้น ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้เปาโลตกลงใจว่าจะไปกรุงเยรูซาเล็มโดยผ่านทางแคว้นมาซิโดเนีย และอาคายา เขากล่าวว่า “หลังจากได้ไปที่นั่นแล้วเราต้องไปเยี่ยมกรุงโรมด้วย” เปาโลส่งผู้ช่วย ของเขาสองคนคือทิโมธีกับเอรัสทัสไปแคว้นมาซิโดเนียขณะที่เขาอยู่ในแคว้นเอเชียต่ออีกหน่อย หนึ่ง 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
กิจการ 18 – 21 อิคคิว กําลังศึกษาทุกอย่างเกีย่ วกับการเดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐครัง้ ที่ 3 ของ เปาโล เปาโลเดินทางไปทัว่ ทวีปเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และประเทศกรีซ และได้ไป เยีย่ มเยียนคริสตจักรต่าง ๆ ทีเ่ ขาเริม่ ต้นไว้ ระหว่างทางกลับ เปาโลอยูใ่ นเมืองเอเฟซัส เป็นเวลาถึงสามปี เขาสัง่ สอนคริสเตียน และเขียนจดหมายถึงคริสตจักรต่าง ๆ ในเมือง โครินธ์ ให้นอ้ ง ๆ เขียนจดหมายถึงเพือ่ น และบอกเขาให้รกั ษาความเชือ่ และติดตาม พระเยซูอย่างสัตย์ซอ่ื แบ่งปันกับพวกเขารูว้ า่ พระเจ้าทรงรักพวกเขา และสิง่ ทีพ่ ระเยซู ได้ทาํ เพือ่ พวกเขา จากนัน้ ให้อา่ นมันด้วยเสียงดัง หรือคัดลอกไว้แล้วแจกให้เพือ่ นทุกคน 230 | กิจการของอัครทูต 19:4
การจลาจลในเมืองเอเฟซัส
ครั้งนั้นเกิดเหตุวุ่นวายครั้งใหญ่เกี่ยวกับ “ทางนั้น” ช่างเงินคนหนึ่งชื่อเดเมตริอัสเป็นคน ทํารูปจําลองสถานบูชาของเทวีอารเทมิสด้วยเงิน ซึ่งทํารายได้ให้พวกช่างฝีมือไม่น้อย เขาเรียก ประชุมช่างเหล่านั้นกับคนงานในธุรกิจที่เกี่ยวข้องมาและกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย ท่านย่อมทราบ อยู่ว่าธุรกิจนี้สร้างรายได้ให้เราอย่างมาก ท่านก็ได้เห็นและได้ยินที่เปาโลคนนี้ชักจูงผู้คนมากมาย ให้หลงทางทั้งในเอเฟซัสนี้กับทั่วแคว้นเอเชียก็ว่าได้ เขาพูดว่ารูปเคารพที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่ได้เป็น เทพเจ้าเลย สิ่งนี้เป็นอันตรายเพราะไม่เพียงแต่จะทําให้การค้าของเราเสียชื่อ ยังทําให้ผู้คนเสื่อม ศรัทธาในวิหารของเทวีอารเทมิสผู้ยิ่งใหญ่ด้วย และเทวีเองที่ผู้คนกราบไหว้ทั่วแคว้นเอเชียและทั่ว โลกจะถูกปล้นความยิ่งใหญ่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระนางไป” เมื่อพวกเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้นก็โกรธจัดและเริ่มตะโกนว่า “เทวีอารเทมิสของชาวเอเฟซัส นั้นยิ่งใหญ่!” ไม่ช้าทั่วทั้งเมืองก็โกลาหล ผู้คนจับกายอัสกับอาริสทารคัสผู้เป็นเพื่อนร่วมทางของ เปาโลจากแคว้นมาซิโดเนียและพากันกรูเข้าไปในที่ซึ่งคนทั้งเมืองใช้ประชุมกัน เปาโลอยากจะ แสดงตัวต่อหน้าฝูงชนแต่พวกสาวกไม่ยอม แม้แต่เจ้าหน้าที่บางคนของแคว้นนั้นซึ่งเป็นเพื่อนของ เปาโลยังส่งข่าวมาขอร้องไม่ให้เขาเข้าไปในสถานที่นั้น ที่ประชุมวุ่นวายมากบางคนตะโกนว่าอย่างนี้บางคนว่าอย่างนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วย ซ้ําว่าตัวเองไปที่นั่นทําไม พวกยิวผลักอเล็กซานเดอร์ให้ออกไปข้างหน้าและบางคนในฝูงชนก็ ตะโกนแนะว่าเขาควรพูดอะไร เขาโบกมือให้เงียบเพื่อจะแก้ต่างต่อหน้าประชาชน แต่เมื่อพวก นั้นเห็นว่าเขาเป็นยิวก็ร้องเป็นเสียงเดียวกันราวสองชั่วโมงว่า “เทวีอารเทมิสของชาวเอเฟซัสนั้น ยิ่งใหญ่!” เจ้าหน้าที่ของเมืองนั้นทําให้ฝูงชนเงียบแล้วกล่าวว่า “ชนชาวเอเฟซัส ใครๆ ก็รู้ไม่ใช่หรือว่า เมืองเอเฟซัสคือผู้ดูแลวิหารของเทวีอารเทมิสผู้ยิ่งใหญ่ตลอดจนเทวรูปของพระนางซึ่งตกลงมา จากฟ้าสวรรค์? ฉะนั้นในเมื่อข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่อาจปฏิเสธได้ท่านทั้งหลายก็ควรนิ่งสงบ ไม่ทํา อะไรวู่วาม พวกท่านนําตัวคนเหล่านี้มาที่นี่ทั้งๆ ที่พวกเขาก็ไม่ได้ปล้นวิหารต่างๆ หรือลบหลู่เทวี ของเรา แล้วถ้าเดเมตริอัสกับพวกพ้องช่างฝีมือมีเรื่องจะร้องทุกข์เกี่ยวกับใครคนใดคนหนึ่งศาลก็ เปิดอยู่และผู้ตรวจการก็มี พวกเขาสามารถฟ้องร้องได้ หากท่านมีข้อหาอื่นใดก็ต้องตกลงกันในที่ ประชุมตามกฎหมาย เหตุการณ์วันนี้ทําให้เราเสี่ยงต่อการตกเป็นผู้ก่อการจลาจลเพราะเราไม่มี เหตุผลที่จะอธิบายความวุ่นวายครั้งนี้” หลังจากกล่าวเช่นนี้แล้วเขาก็ให้เลิกชุมนุม 23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
ผ่านแคว้นมาซิโดเนียและประเทศกรีซ
ความวุ่นวายสงบลงเปาโลก็ให้ตามพวกสาวกมา หลังจากให้กําลังใจพวกเขาแล้วก็กล่าว 20 อํเมืา่อลาและออกเดิ นทางไปมาซิโดเนีย เขาเดินทางไปทั่วแถบนั้น พูดถ้อยคํามากมายให้กําลัง 2
ใจคนทั้งหลาย และในที่สุดได้มาถึงประเทศกรีซ และพักอยู่ที่นั่นสามเดือนเนื่องจากพวกยิวคบคิด กันจะเล่นงานเขาขณะทีเ่ ขากําลังจะลงเรือไปแคว้นซีเรีย เขาจึงตัดสินใจกลับไปทางแคว้นมาซิโดเนีย ผู้ที่ร่วมทางกับเปาโลได้แก่โสปาเทอร์บุตรปีรัสจากเมืองเบเรอา อาริสทารคัสและเสคุนดัส จากเมืองเธสะโลนิกา กายอัสจากเมืองเดอร์บี ทิโมธีรวมทั้งทีคิกัสกับโตรฟีมัสจากแคว้นเอเชีย คน เหล่านี้เดินทางล่วงหน้าไปคอยเราที่เมืองโตรอัส แต่หลังจากผ่านเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อไปแล้ว เราก็ลงเรือจากเมืองฟิลิปปี และอีกห้าวันก็มาสมทบกับพวกเขาที่เมืองโตรอัส เราอยู่ที่นั่นเจ็ดวัน 3
4
5
6
ยุทิกัสเป็นขึ้นจากตายที่โตรอัส
ในวันต้นสัปดาห์เรามาประชุมกันเพื่อหักขนมปัง เปาโลกล่าวแก่คนทั้งหลายและเนื่องจากเขา ตั้งใจจะจากไปในวันรุ่งขึ้นจึงพูดต่อเนื่องไปจนถึงเที่ยงคืน ในห้องชั้นบนที่เราประชุมกันมีตะเกียง หลายดวง ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อยุทิกัสนั่งอยู่ที่หน้าต่าง ยิ่งเปาโลพูดนานขึ้นเขาก็ยิ่งง่วงนอนมาก ขึ้นทุกที เมื่อเขาหลับสนิทก็พลัดตกจากชั้นที่สามถึงพื้นดิน พอประคองขึ้นมาก็พบว่าตายแล้ว เปาโลเดินลงไปแล้วทิ้งตัวโอบเขาไว้และกล่าวว่า “ไม่ต้องตกใจ เขายังมีชีวิตอยู่!” จากนั้นเขา 7
8
9
10
11
กิจการของอัครทูต 20:11 | 231
กลับขึ้นมาที่ห้องชั้นบนอีก แล้วหักขนมปังรับประทานและสนทนากันต่อจนถึงรุ่งเช้าจึงลาไป คน ทั้งหลายพาชายหนุ่มคนนั้นซึ่งยังมีชีวิตอยู่กลับบ้านไปและรู้สึกสบายใจอย่างมาก 12
เปาโลอําลาผู้ปกครองชาวเอเฟซัส
เราลงเรือแล่นไปยังเมืองอัสโสส จะไปรับเปาโลตามที่ได้นัดไว้ เนื่องจากเขาจะมาทางบก เมื่อพบกันที่เมืองอัสโสสก็รับเขาลงเรือและเดินทางต่อไปยังเมืองมิทิเลนี ออกจากที่นั่นได้หนึ่ง วันก็มาถึงที่ตรงข้ามเกาะคิโอส อีกวันมาถึงเกาะสามอส วันรุ่งขึ้นมาถึงมิเลทัส เปาโลตั้งใจจะ แล่นเลยเมืองเอเฟซัสไปจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอยู่ที่แคว้นเอเชีย เพราะหากเป็นไปได้เขาจะรีบไป กรุงเยรูซาเล็มให้ทันวันเพ็นเทคอสต์ จากเมืองมิเลทัส เปาโลส่งคนไปเชิญเหล่าผู้ปกครองคริสตจักรเอเฟซัสมา เมื่อพวกเขามาถึง เปาโลก็กล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายทราบอยู่ว่าตลอดเวลานับตั้งแต่วันแรกที่ข้าพเจ้า มายังแคว้นเอเชียข้าพเจ้าใช้ชีวิตอยู่กับพวกท่านอย่างไร ข้าพเจ้ารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย ความถ่อมใจอย่างยิ่งและด้วยน้ําตาแม้เผชิญการทดสอบอย่างหนักหน่วงโดยแผนการของพวก ยิว ท่านรู้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้รีรอที่จะเทศนาสิ่งใดๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อท่านแต่ได้สั่งสอนทั้งในที่ สาธารณะและตามบ้านต่างๆ ข้าพเจ้าประกาศแก่ทั้งคนยิวและคนกรีกว่าพวกเขาต้องกลับใจใหม่ หันมาหาพระเจ้าและเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าของเรา “และบัดนี้พระวิญญาณทรงบังคับให้ข้าพเจ้าไปกรุงเยรูซาเล็ม ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ ข้าพเจ้าที่นั่น รู้เพียงแต่ว่าในทุกๆ เมืองพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเตือนว่าคุกและความยาก ลําบากรอคอยข้าพเจ้าอยู่ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าถือว่าชีวิตของข้าพเจ้าไม่ได้มีคุณค่าอันใดสําหรับตน ขอเพียงแต่ข้าพเจ้าวิ่งให้ถึงหลักชัยและทําภารกิจซึ่งองค์พระเยซูเจ้าทรงมอบหมายให้สําเร็จก็แล้ว กัน คือภารกิจในการเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้า “บัดนี้ข้าพเจ้าทราบว่าไม่มีสักคนในพวกท่านซึ่งข้าพเจ้าได้เที่ยวป่าวประกาศอาณาจักรของ พระเจ้าให้ฟังนั้นจะได้เห็นหน้าข้าพเจ้าอีก ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอประกาศแก่พวกท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าพ้นจากความรับผิดชอบต่อความตายของทุกคน เพราะข้าพเจ้าไม่ได้รีรอที่จะประกาศ พระประสงค์ทั้งสิ้นของพระเจ้าแก่ท่าน ท่านทั้งหลาย จงเฝ้าระวังตัวของท่านเองและฝูงแกะทั้ง สิ้นที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งให้ท่านเป็นผู้ปกครองดูแล จงเป็นคนเลี้ยงแกะสําหรับคริสตจักร ของพระเจ้าซึ่งทรงซื้อมาด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง ข้าพเจ้าทราบว่าเมื่อข้าพเจ้าจากไปสุนัข ป่าร้ายกาจจะเข้ามาในหมู่พวกท่านและจะไม่ปล่อยฝูงแกะทั้งสิ้นไว้เลย แม้ในหมู่ท่านเองก็จะมี คนลุกขึ้นมาบิดเบือนความจริงเพื่อจะดึงเหล่าสาวกไปติดตามพวกเขา ฉะนั้นจงเฝ้าระวังให้ดี! จง ระลึกว่าทั้งวันทั้งคืนตลอดสามปีข้าพเจ้าไม่เคยหยุดยั้งที่จะเตือนท่านแต่ละคนด้วยน้ําตา “บัดนี้ข้าพเจ้าขอมอบท่านไว้กับพระเจ้าและพระวจนะแห่งพระคุณของพระองค์ซึ่งสามารถ เสริมสร้างท่านและให้ท่านมีมรดกร่วมกับคนทั้งปวงที่ได้รับการชําระให้บริสุทธิ์ ข้าพเจ้าไม่ได้โลภ เงินหรือทองหรือเสื้อผ้าของใคร ท่านเองทราบว่าด้วยสองมือของข้าพเจ้านี้ได้จัดหาปัจจัยสําหรับ ตนเองและคนที่อยู่กับข้าพเจ้า ทุกอย่างที่ข้าพเจ้าทําไป ข้าพเจ้าแสดงให้ท่านเห็นแล้ว ว่าโดย การทํางานหนักเช่นนี้ เราต้องช่วยผู้อ่อนแอ จงระลึกถึงพระดํารัสที่องค์พระเยซูเจ้าเองตรัสไว้ว่า ‘การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ’ ” เมื่อกล่าวจบแล้ว เปาโลก็คุกเข่าลงอธิษฐานร่วมกับพวกเขา พวกเขาทั้งปวงร่ําไห้ขณะ สวมกอดและจูบลาเปาโล สิ่งที่ทําให้พวกเขาโศกเศร้าที่สุด คือที่เปาโลกล่าวว่าพวกเขาจะไม่ได้ เห็นหน้าเปาโลอีก จากนั้นพวกเขาก็พากันมาส่งเปาโลที่เรือ 13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
ไปกรุงเยรูซาเล็ม
านั้นแล้วเราก็ออกทะเล แล่นตรงมาที่เกาะโขส ถึงเกาะโรดส์ในวัน 21 รุเมื่ง่อขึเราแยกจากคนเหล่ ้น และจากที่นั่นมาถึงเมืองปาทารา เราพบเรือลําหนึ่งกําลังข้ามไปยังเมืองฟีนิเซียจึง 2
ลงเรือลํานั้นไป หลังจากเห็นเกาะไซปรัสและล่องผ่านทางใต้ของเกาะลงมาถึงแคว้นซีเรีย เรือก็ 3
232 | กิจการของอัครทูต 20:12
เทียบท่าและขนสินค้าลงที่เมืองไทระ เราพบพวกสาวกที่นั่นและพักอยู่กับพวกเขาเจ็ดวัน พวกเขา รบเร้าเปาโลโดยการทรงนําของพระวิญญาณไม่ให้เขาไปกรุงเยรูซาเล็ม แต่เมื่อถึงเวลาเราก็อําลา และออกเดินทางต่อ สาวกทั้งปวงตลอดจนภรรยากับลูกๆ ของพวกเขามาส่งเราออกจากเมืองและ เราคุกเข่าลงอธิษฐานกันที่ชายหาด หลังจากร่ําลากันแล้วเราก็ลงเรือส่วนพวกเขาก็กลับบ้าน จากเมืองไทระเราเดินทางต่อมาขึ้นฝั่งที่เมืองทอเลมาอิส ที่นั่นเราได้ทักทายพวกพี่น้องและพัก อยู่กับพวกเขาหนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นเราออกจากที่นั่นและมาถึงเมืองซีซารียา เราพักอยู่ที่บ้านของฟีลิป ผู้ประกาศข่าวประเสริฐซึ่งเป็นหนึ่งในคณะเจ็ดคน ฟีลิปมีบุตรสาวที่ยังไม่ได้สมรสสี่คนเป็นผู้ พยากรณ์ หลังจากเราอยู่ที่นั่นหลายวันแล้วก็มีผู้พยากรณ์คนหนึ่งชื่ออากาบัส มาจากแคว้นยูเดีย เขา เข้ามาหาเรา เอาสายคาดเอวของเปาโลมัดมือมัดเท้าของตนและกล่าวว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรัสว่า ‘ชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็มจะมัดเจ้าของสายคาดเอวนี้อย่างนี้แหละและจะมอบเขาให้คน ต่างชาติ’ ” เมื่อได้ฟังเช่นนี้เรากับคนที่นั่นจึงอ้อนวอนเปาโลไม่ให้ไปกรุงเยรูซาเล็ม เปาโลตอบว่า “พวก ท่านร้องไห้และทําให้ข้าพเจ้าชอกช้ําใจทําไมเล่า? อย่าว่าแต่ถูกมัดเลย ต่อให้ต้องตายในเยรูซาเล็ม เพื่อพระนามขององค์พระเยซูเจ้า ข้าพเจ้าก็พร้อมแล้ว” เมื่อเขาไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามเราจึง เลิกอ้อนวอนและกล่าวว่า “ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า” หลังจากนั้นเราก็เตรียมตัวและขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม สาวกบางคนจากเมืองซีซารียามากับ เราด้วยและนําเรามาพักที่บ้านของมนาสัน เขามาจากเกาะไซปรัสและเป็นสาวกรุ่นแรกๆ 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
เปาโลมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม
เมื่อเรามาถึงกรุงเยรูซาเล็มพวกพี่น้องต้อนรับเราอย่างอบอุ่น วันรุ่งขึ้นเปาโลกับพวกเราไป พบยากอบและผู้ปกครองทั้งปวงก็อยู่พร้อมหน้ากันที่นั่น เปาโลทักทายพวกเขาและรายงานสิ่งที่ พระเจ้าได้ทรงกระทําในหมู่คนต่างชาติผ่านทางพันธกิจของเขาอย่างละเอียด เมื่อพวกเขาได้ฟังแล้วก็สรรเสริญพระเจ้าและกล่าวกับเปาโลว่า “พี่เอ๋ย ท่านก็เห็นชาวยิว หลายพันคนได้เชื่อและพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เคร่งครัดร้อนรนในบทบัญญัติ พวกเขาได้ข่าวว่า ท่านสอนบรรดาชาวยิวที่อยู่ในหมู่คนต่างชาติให้หันหนีจากโมเสสโดยบอกพวกเขาว่าไม่ต้องให้ลูก หลานเข้าสุหนัตหรือยึดถือธรรมเนียมของเรา จะให้พวกเราทําอย่างไร? พวกเขาย่อมรู้ว่าท่านมา แล้ว ดังนั้นจงทําตามที่เราบอก เรามีสี่คนที่สาบานตัวไว้ ท่านจงพาคนเหล่านี้ไปทําพิธีชําระตัว ร่วมกับเขาและจ่ายค่าธรรมเนียมให้พวกเขาเพื่อเขาจะได้โกนผม แล้วทุกคนจะได้รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินมา เกี่ยวกับท่านนั้นไม่เป็นความจริง ที่แท้ท่านเองดําเนินชีวิตตามบทบัญญัติต่างหาก สําหรับผู้เชื่อ ชาวต่างชาติเราได้เขียนจดหมายแจ้งมติของเราที่ให้พวกเขางดจากอาหารที่เซ่นสังเวยแก่รูปเคารพ จากเลือด จากเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และจากการผิดศีลธรรมทางเพศ” วันรุ่งขึ้นเปาโลจึงพาสี่คนนั้นไปชําระตนร่วมกับเขา แล้วเขาเข้าไปในพระวิหารเพื่อประกาศวัน ครบกําหนดการชําระตนและจะถวายเครื่องบูชาสําหรับพวกเขาแต่ละคน 17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
เปาโลถูกจับกุม
เมื่อใกล้ครบเจ็ดวันชาวยิวบางคนจากแคว้นเอเชียเห็นเปาโลที่พระวิหารก็ปลุกปั่นฝูงชนทั้ง ปวงแล้วจับเปาโล พวกเขาร้องตะโกนว่า “ชนอิสราเอลเอ๋ย มาช่วยเราเถิด! นี่คือคนที่เสี้ยมสอน คนทั้งปวงทุกหนทุกแห่งให้ต่อต้านชนชาติของเรา ให้ต่อต้านธรรมบัญญัติของเราและสถานที่ แห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้พาชาวกรีกเข้ามาในบริเวณพระวิหารทําให้สถานบริสุทธิ์นี้เป็นมลทิน” (ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นโตรฟีมัสชาวเอเฟซัสอยู่กับเปาโลในเมืองจึงคิดว่าเปาโลได้พาเขาเข้าไป ในบริเวณพระวิหาร) คนทั้งเมืองจึงลุกฮือขึ้นและผู้คนจากทุกสารทิศวิ่งเข้ามาจับเปาโลลากตัวเขาออกจากพระ วิหารแล้วประตูก็ปิดทันที ขณะพวกเขากําลังหาทางจะฆ่าเปาโล ข่าวก็ไปถึงผู้บังคับกองพัน 27
28
29
30
31
กิจการของอัครทูต 21:31 | 233
ทหารโรมันว่าทั่วทั้งกรุงเยรูซาเล็มอยู่ในความวุ่นวาย เขาจึงนําเจ้าหน้าที่กับทหารวิ่งมาที่ฝูงชน ทันที เมื่อพวกก่อความวุ่นวายเห็นนายพันกับทหารมาก็หยุดทุบตีเปาโล นายพันตรงเข้ามาจับเปาโลสั่งให้เอาโซ่สองเส้นล่ามไว้ แล้วถามว่าเขาเป็นใครและทําอะไรลง ไป บางคนในหมู่ชนตะโกนว่าอย่างนี้ อีกคนว่าอย่างนั้น วุ่นวายจนนายพันจับความไม่ได้ว่าความ จริงเป็นอย่างไรกันแน่จึงสั่งให้นําตัวเปาโลเข้าไปในกองทหาร เมื่อมาถึงบันไดต้องให้ทหารหาม ตัวเปาโลไปเนื่องจากฝูงคนกําลังบ้าคลั่ง ฝูงชนที่ตามมาเอาแต่ตะโกนว่า “ฆ่ามัน!” 32
33
34
35
36
เปาโลกล่าวกับประชาชน
ขณะที่พวกทหารจะนําเปาโลเข้าไปในกองทหารเขาถามนายพันว่า “ข้าพเจ้าขอพูดอะไรกับ ท่านสักหน่อยได้ไหม?” นายพันถามว่า “เจ้าพูดภาษากรีกได้หรือ? เจ้าไม่ใช่คนอียิปต์ที่ก่อนหน้านี้ได้ก่อกบฏและนําผู้ ก่อการร้ายสี่พันคนเข้าไปในถิ่นกันดารหรอกหรือ?” เปาโลตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนยิวจากเมืองทาร์ซัสในแคว้นซิลีเซีย เป็นพลเมืองจากเมือง สําคัญ โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้ากล่าวกับประชาชน” เมื่อนายพันอนุญาตแล้ว เปาโลจึงยืนอยู่ที่บันไดและโบกมือให้ฝูงชน เมื่อคนทั้งปวงเงียบลง เปาโลจึงกล่าวเป็นภาษาอารเมคว่า “พ่อแม่พี่น้อง บัดนี้โปรดฟังคําชี้แจงของข้าพเจ้า” เมื่อพวกนั้นได้ยินเขากล่าวเป็นภาษา 22 อารเมคก็ เงียบงัน แล้วเปาโลจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นยิว เกิดทีเ่ มืองทาร์ซสั ในแคว้นซิลเี ซีย แต่เติบโตขึ้นในเมืองนี้ ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์กามาลิเอลได้รับการอบรมสั่งสอนใน ด้านบทบัญญัติของบรรพบุรุษของเราเป็นอย่างดีและมีใจร้อนรนเพื่อพระเจ้าเช่นเดียวกับที่ท่านทั้ง หลายเป็นอยู่ทุกวันนี้ ข้าพเจ้าได้ข่มเหงบรรดาผู้ติดตาม ‘ทางนี้’ ถึงตาย ได้จับกุมทั้งชายหญิงและ โยนพวกเขาเข้าคุก มหาปุโรหิตกับสมาชิกสภาทั้งปวงก็เป็นพยานได้ ข้าพเจ้าถึงกับขอจดหมาย จากพวกเขาเหล่านี้ไปถึงพวกพี่น้องของพวกเขาในเมืองดามัสกัส แล้วเดินทางไปที่นั่นเพื่อจับคน พวกนี้เป็นนักโทษและพามาที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อลงโทษ “ประมาณเที่ยงขณะที่ข้าพเจ้ามาเกือบจะถึงเมืองดามัสกัสแล้ว ทันใดนั้นมีแสงสว่างจ้าจากฟ้า สวรรค์ส่องแวบวาบรอบตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าล้มลงกับพื้นและได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล! เซาโลเอ๋ย! เจ้าข่มเหงเราทําไม?’ “ข้าพเจ้าถามว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด?’ “พระองค์ตรัสตอบว่า ‘เราคือเยซูแห่งนาซาเร็ธผู้ที่เจ้ากําลังข่มเหง’ คนที่ไปกับข้าพเจ้าเห็น แสงสว่างนั้นแต่ไม่เข้าใจพระสุรเสียงที่ตรัสกับข้าพเจ้า “ข้าพเจ้าทูลถามว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ควรทําเช่นไร?’ “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘จงลุกขึ้น เข้าไปในเมืองดามัสกัส ที่นั่นจะมีผู้บอกให้รู้ทุกสิ่งที่เจ้า ได้รับมอบหมายให้ทํา’ คนที่ไปด้วยจูงมือข้าพเจ้าพาเข้าเมืองดามัสกัสเพราะแสงจ้านั้นทําให้ ข้าพเจ้าตาบอด “มีคนหนึ่งชื่ออานาเนียมาหาข้าพเจ้า เขาเคร่งครัดในบทบัญญัติและเป็นที่นับถืออย่างยิ่งของ ชาวยิวทั้งปวงที่นั่น เขายืนข้างๆ ข้าพเจ้าและกล่าวว่า ‘พี่เซาโลเอ๋ย จงมองเห็นเถิด!’ วินาทีนั้น เอง ข้าพเจ้าก็สามารถมองเห็นเขา “แล้วเขากล่าวว่า ‘พระเจ้าของบรรพบุรุษของเราได้ทรงเลือกสรรท่านให้ทราบพระประสงค์ ของพระองค์และให้ได้เห็นองค์ผู้ชอบธรรมและให้ได้ยินพระดํารัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ท่านจะเป็นพยานฝ่ายพระองค์แก่คนทั้งปวงถึงสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยิน และบัดนี้ท่านมัว รีรออะไร? จงลุกขึ้นรับบัพติศมาและชําระล้างบาปทั้งหลายของท่านโดยร้องออกพระนามของ พระองค์’ 37
38
39
40
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
234 | กิจการของอัครทูต 21:32
16
“เมื่อข้าพเจ้ากลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มขณะกําลังอธิษฐานอยู่ในพระวิหารข้าพเจ้าก็เข้าสู่ภวังค์ และเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เร็วเข้า! จงออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มทันทีเพราะพวกเขาจะ ไม่ยอมรับคําพยานของเจ้าเกี่ยวกับเรา’ “ข้าพเจ้าทูลตอบว่า ‘พระองค์เจ้าข้า คนเหล่านี้รู้อยู่ว่าข้าพระองค์ได้ไปยังธรรมศาลาต่างๆ เพื่อจับกุมคุมขังและโบยตีบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ และเมื่อสเทเฟนพยานของพระองค์ถูกฆ่า ตาย ข้าพระองค์ก็ยืนอยู่ที่นั่นเห็นชอบในการนั้นและเฝ้าเสื้อผ้าให้คนที่ฆ่าสเทเฟน’ “แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘ไปเถิด เราจะส่งเจ้าไปไกลไปยังคนต่างชาติ’ ” 17
18
19
20
21
เปาโลพลเมืองโรมัน
ฝูงชนฟังเปาโลพูดมาถึงตอนนี้ก็ร้องตะโกนว่า “กําจัดเขาเสียจากแผ่นดิน! คนเช่นนี้ไม่ควรมี ชีวิตอยู่!” ขณะที่พวกเขากําลังร้องตะโกนถอดเสื้อคลุมออกและซัดฝุ่นขึ้นไปในอากาศ นายพันสั่ง ให้นําเปาโลเข้าไปในกองทหาร เขาสั่งให้เฆี่ยนเปาโลและไต่สวนหาสาเหตุที่ทําให้ประชาชนร้อง ตะโกนใส่เปาโลเช่นนั้น เมื่อพวกเขาจับเปาโลขึงจะเฆี่ยนเปาโลกล่าวกับนายร้อยซึ่งยืนอยู่ที่นั่นว่า “เป็นการถูกต้องตามกฎหมายหรือที่จะเฆี่ยนพลเมืองโรมันซึ่งยังไม่ได้ถูกตัดสินว่ามีความผิด?” เมื่อนายร้อยได้ยินเช่นนั้นก็ไปรายงานนายพันพร้อมกับถามว่า “ท่านจะทําอะไรกันนี่? ชายผู้นี้ เป็นพลเมืองโรมัน” นายพันไปหาเปาโลและถามว่า “จงบอกเรามา ท่านเป็นพลเมืองโรมันหรือ?” เปาโลตอบว่า “ใช่” นายพันจึงว่า “เราต้องจ่ายเงินจํานวนมากกว่าจะได้สัญชาติโรมัน” เปาโลตอบว่า “แต่ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองโรมันโดยกําเนิด” บรรดาผู้ที่จะไต่สวนเปาโลจึงผละไปทันที นายพันเองก็ตกใจที่ได้สั่งล่ามโซ่เปาโลซึ่งเป็น พลเมืองโรมัน 22
23
24
25
26
27
28
29
ต่อหน้าสภาแซนเฮดริน
วันรุ่งขึ้นเนื่องจากอยากรู้ให้แน่ชัดว่าทําไมพวกยิวกล่าวหาเปาโลนายพันจึงสั่งปล่อยเขาและ เรียกประชุมพวกหัวหน้าปุโรหิตกับทั้งสภาแซนเฮดรินจากนั้นก็นําเปาโลมายืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา เปาโลมองตรงไปที่สมาชิกสภาแซนเฮดรินและกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ทํา 23 หน้ าที่ของตนต่อพระเจ้าด้วยจิตสํานึกอันดีมาจนทุกวันนี้” ถึงตรงนี้มหาปุโรหิตอานาเนีย สั่งให้คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตบปากเปาโล แล้วเปาโลจึงกล่าวกับเขาว่า “พระเจ้าจะทรงตบท่านผู้เป็น ผนังฉาบปูนขาว! ท่านนั่งอยู่ที่นั่นเพื่อตัดสินข้าพเจ้าตามบทบัญญัติแล้วยังละเมิดบทบัญญัติโดยสั่ง ให้ตบข้าพเจ้า!” บรรดาผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เปาโลกล่าวว่า “เจ้าบังอาจลบหลู่มหาปุโรหิตของพระเจ้าหรือ?” เปาโลตอบว่า “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ทราบว่านี่คือมหาปุโรหิตเพราะมีคําเขียนไว้ว่า ‘อย่า พูดล่วงเกินผู้มีอํานาจปกครองในหมู่พวกเจ้า’” เมื่อเปาโลเห็นว่าบางคนในพวกนั้นเป็นพวกสะดูสี บางคนก็เป็นฟาริสี เขาจึงร้องขึ้นต่อหน้า สภาแซนเฮดรินว่า “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นฟาริสี เป็นลูกของฟาริสี ที่ต้องถูกพิจารณาคดี ก็ เพราะข้าพเจ้ามีความหวังในการเป็นขึ้นจากตาย” พอเขากล่าวเช่นนั้น พวกฟาริสีกับพวกสะดูสีก็ ถกเถียงกัน ที่ประชุมแบ่งเป็นสองฝ่าย (พวกสะดูสีบอกว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากตาย ไม่มีทูตสวรรค์ และไม่มีวิญญาณ ส่วนพวกฟาริสียอมรับว่ามีสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด) จึงเกิดโกลาหลกันใหญ่ พวกธรรมาจารย์ที่เป็นฟาริสีบางคนลุกขึ้นโต้แย้งอย่างแข็งขันว่า “เรา เห็นว่าชายผู้นี้ไม่มีความผิดจะว่าอย่างไรหากวิญญาณหรือทูตสวรรค์ได้พูดกับเขา?” การโต้เถียง ดุเดือดขึ้นจนนายพันเกรงว่าเปาโลจะถูกพวกเขาฉีกเป็นชิ้นๆ จึงสั่งทหารให้ลงไปใช้กําลังเอาตัว เปาโลออกมาจากพวกนั้นและนําเขาไปที่กองทหาร 30
2
3
4 5
6
7
8
9
10
กิจการของอัครทูต 23:10 | 235
ในคืนต่อมาองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับยืนใกล้เปาโลและตรัสว่า “จงกล้าหาญเถิด! เจ้าได้เป็น พยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็มอย่างไร เจ้าจะต้องเป็นพยานในกรุงโรมด้วยอย่างนั้น” 11
แผนสังหารเปาโล
เช้าวันต่อมาพวกยิวคบคิดกันและสาบานตัวว่าจะไม่กินไม่ดื่มจนกว่าจะได้ฆ่าเปาโล มีชาย สี่สิบกว่าคนที่ร่วมในแผนการนี้ เขาเหล่านั้นไปพบพวกหัวหน้าปุโรหิตและผู้อาวุโสแล้วเรียนว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายสาบานตนเด็ดขาดว่าจะไม่กินหรือดื่มอะไรจนกว่าจะได้ฆ่าเปาโล ฉะนั้นบัดนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายกับสภาแซนเฮดรินยื่นคําขอต่อนายพันเพื่อนําตัวเปาโลมาต่อหน้าท่านโดยทํา เป็นว่าต้องการไต่สวนหาข้อมูลเกี่ยวกับคดีของเขาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น พวกข้าพเจ้าพร้อมที่จะฆ่าเขา ก่อนที่เขาจะมาถึงที่นี่” แต่บุตรชายของน้องสาวเปาโลล่วงรู้แผนการนี้จึงเข้าไปบอกเปาโลที่กองทหาร แล้วเปาโลก็เรียกนายร้อยคนหนึ่งมาและบอกว่า “โปรดนําเด็กหนุ่มผู้นี้ไปพบท่านนายพัน เขา มีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ” ดังนั้นนายร้อยผู้นี้จึงพาเขาไปพบนายพัน นายร้อยเรียนว่า “นักโทษเปาโลเรียกหาข้าพเจ้าขอให้พาเด็กหนุ่มผู้นี้มาพบท่านเพราะเขามี เรื่องจะเรียนให้ท่านทราบ” นายพันจึงจูงมือเด็กหนุ่มคนนั้นเลี่ยงออกมาและถามว่า “เจ้าต้องการจะบอกอะไรเรา?” เขาตอบว่า “พวกยิวตกลงกันจะขอท่านให้นําตัวเปาโลลงไปต่อหน้าสภาแซนเฮดรินวันพรุ่งนี้ ทําทีว่าอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ขอท่านอย่าอนุมัติเพราะพวกเขากว่าสี่สิบ คนกําลังซุ่มดักฆ่าเปาโล พวกเขาสาบานตัวไว้ว่าจะไม่กินหรือดื่มอะไรจนกว่าจะได้ฆ่าเปาโล ตอนนี้ พวกเขาพร้อมแล้วรอแต่ท่านอนุมัติตามคําขอของพวกเขา” นายพันจึงให้เด็กหนุ่มนั้นไปและกําชับเขาว่า “อย่าบอกใครว่าเจ้ามารายงานเราเรื่องนี้” 12
13
14
15
16 17
18
19 20
21
22
ส่งตัวเปาโลไปยังเมืองซีซารียา
จากนั้นนายพันก็เรียกนายร้อยสองคนมาและสั่งว่า “เตรียมกําลังทหารสองร้อยนาย พลม้า เจ็ดสิบนาย และพลทวนสองร้อยนายไปเมืองซีซารียาตอนสามทุ่มคืนนี้ จัดพาหนะให้เปาโลขี่เพื่อ จะได้คุ้มกันตัวเขาไปส่งให้ผู้ว่าการเฟลิกส์อย่างปลอดภัย” นายพันเขียนจดหมายซึ่งมีใจความดังนี้ จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้า คลาวดิอัส ลีเซียส เรียน ท่านผู้ว่าการเฟลิกส์ ขอคํานับ พวกยิวจับตัวคนนี้ไว้และเกือบจะฆ่าเขาแต่ข้าพเจ้านําทหารเข้าช่วยไว้ได้เพราะทราบมา ว่าเขาเป็นพลเมืองโรมัน ข้าพเจ้าต้องการทราบข้อกล่าวหาจึงนําตัวเขาไปยังสภาแซนเฮดริน ของพวกยิว พบว่าข้อกล่าวหาเป็นเรื่องบทบัญญัติของพวกนั้นแต่ไม่มีข้อหาใดสมควรสั่ง ประหารหรือจําคุก เมื่อข้าพเจ้าได้รับแจ้งว่ามีแผนกําจัดชายคนนี้จึงส่งเขาตรงมายังใต้เท้า ทันทีทั้งสั่งให้โจทก์มาว่าความกันต่อหน้าใต้เท้า คืนนั้นพวกทหารจึงนําตัวเปาโลไปตามคําสั่งจนถึงเมืองอันทิปาตรีส์ วันรุ่งขึ้นก็ให้กองทหาร ม้านําตัวเขาต่อไปส่วนพวกเขากลับมายังกองทหาร เมื่อกองทหารม้าไปถึงเมืองซีซารียาก็ยื่น จดหมายต่อผู้ว่าการและมอบตัวเปาโลแก่เขา ผู้ว่าการอ่านจดหมายแล้วจึงถามเปาโลว่ามาจาก แคว้นใด เมื่อทราบว่ามาจากซิลีเซีย ก็กล่าวว่า “เราจะฟังคดีของเจ้าเมื่อโจทก์มาพร้อมหน้ากันที่ นี่” จากนั้นสั่งให้คุมตัวเปาโลไว้ที่วังของเฮโรด 23
24
25 26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
236 | กิจการของอัครทูต 23:11
ไต่สวนคดีต่อหน้าเฟลิกส์
ห้าวันต่อมามหาปุโรหิตอานาเนีย กลุ่มผู้อาวุโส และทนายเทอร์ทูลลัส มายังเมืองซีซารียา 24 และยื ่นฟ้องเปาโลต่อผู้ว่าการ เมื่อเบิกตัวเปาโลเข้ามาเทอร์ทูลลัสก็แถลงคดีต่อหน้าผู้ 2
ว่าการดังนี้ “กราบเรียนใต้เท้า พวกข้าพเจ้าสงบสุขกันมานานภายใต้การปกครองของใต้เท้าและ การที่ใต้เท้าเห็นการณ์ไกลได้ทําให้มีการปฏิรูปต่างๆ ขึ้นในชนชาตินี้ ใต้เท้าเฟลิกส์ พวกข้าพเจ้า น้อมรับสิ่งนี้ด้วยความสํานึกในบุญคุณอย่างยิ่งในทุกหนทุกแห่งและในทุกๆ ด้าน แต่เพื่อไม่ให้ เป็นการรบกวนใต้เท้ามากไปกว่านี้ ข้าพเจ้าขอวิงวอน ใต้เท้าได้โปรดรับฟังเราโดยสังเขปดังนี้ “พวกข้าพเจ้าพบว่าชายผู้นี้เป็นตัวก่อกวนปลุกปั่นให้เกิดการจลาจลในหมู่ชาวยิวทั่วโลก เขา เป็นแกนนําคนหนึ่งของพวกนิกายนาซาเร็ธ และถึงกับพยายามจะทําให้พระวิหารเสื่อมความ ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกข้าพเจ้าจึงจับกุมตัวเขาไว้ ขอใต้เท้าไต่สวนเขาเอง แล้วใต้เท้าจะทราบความ จริงเกี่ยวกับข้อกล่าวหาทั้งปวงที่พวกข้าพเจ้าฟ้องเขา” พวกยิวร่วมในการกล่าวหาด้วยยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง เมื่อผู้ว่าการโบกมือให้เปาโลพูดเขาจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าใต้เท้าตัดสินความให้ชนชาติ นี้มาตลอดหลายปี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงยินดีที่จะขอแก้ข้อกล่าวหา ใต้เท้าสามารถตรวจสอบได้โดย ง่ายดายว่าเมื่อไม่เกินสิบสองวันมานี้ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปนมัสการที่กรุงเยรูซาเล็ม โจทก์ไม่ได้พบเห็น ข้าพเจ้าโต้เถียงกับใครที่พระวิหารหรือปลุกปั่นฝูงชน ไม่ว่าในธรรมศาลาต่างๆ หรือที่ใดๆ ในกรุง และพวกเขาก็ไม่อาจหาข้อพิสูจน์รับรองคํากล่าวหาทั้งปวงที่ฟ้องร้องข้าพเจ้าอยู่นี้ อย่างไร ก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยอมรับว่าข้าพเจ้านมัสการพระเจ้าของบรรพบุรุษในฐานะสาวกของ ‘ทางนั้น’ ซึ่ง พวกเขาเรียกว่านิกายหนึ่ง ข้าพเจ้าเชื่อทุกสิ่งที่สอดคล้องกับบทบัญญัติและทุกสิ่งที่ได้เขียนไว้ใน หนังสือผู้เผยพระวจนะ และข้าพเจ้าเองมีความหวังในพระเจ้าเช่นเดียวกับคนเหล่านี้ว่าทั้งคน ชอบธรรมและคนชั่วจะเป็นขึ้นจากตาย ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพากเพียรทุกวิถีทางที่จะรักษาจิตสํานึก อันดีงามทั้งต่อหน้าพระเจ้าและต่อหน้ามนุษย์ “หลังจากหายหน้าไปหลายปีข้าพเจ้ามายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อนําความช่วยเหลือผู้ยากไร้มา ให้พี่น้องร่วมชาติและเพื่อถวายเครื่องบูชา เมื่อพวกเขาพบข้าพเจ้าทําสิ่งนี้อยู่ที่ลานพระวิหาร ข้าพเจ้าได้ชําระตัวให้สะอาดตามระเบียบพิธีแล้ว ไม่มีฝูงชนอยู่กับข้าพเจ้าเลย อีกทั้งข้าพเจ้าไม่ได้ เกี่ยวข้องกับการวุ่นวายใดๆ แต่มีชาวยิวบางคนจากแคว้นเอเชียซึ่งควรจะอยู่ที่นี่ต่อหน้าใต้เท้า ถ้าเขามีข้อหาใดๆ ที่จะฟ้องร้องข้าพเจ้า หรือคนเหล่านี้ที่อยู่ที่นี่ควรจะระบุความผิดใดที่พบใน ตัวข้าพเจ้าเมื่อครั้งข้าพเจ้ายืนอยู่ต่อหน้าสภาแซนเฮดริน นอกจากเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ข้าพเจ้า ได้ตะโกนเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาว่า ‘ที่ข้าพเจ้าต้องถูกดําเนินคดีต่อหน้าท่านในวันนี้ก็เพราะ ข้าพเจ้าเชื่อในการเป็นขึ้นจากตาย’ ” ฝ่ายเฟลิกส์ซึ่งคุ้นเคยดีกับเรื่อง “ทางนั้น” จึงสั่งเลื่อนการพิจารณาคดีและกล่าวว่า “เราจะ ตัดสินคดีของท่านเมื่อนายพันลีเซียสมาถึง” เฟลิกส์สั่งนายร้อยให้คุมตัวเปาโลไว้แต่ผ่อนผันให้มี อิสระบางประการและอนุญาตให้เพื่อนฝูงดูแลช่วยเหลือเขาในสิ่งที่จําเป็น หลังจากนั้นหลายวันเฟลิกส์มาพร้อมกับดรูสิลลาภรรยาของเขาซึ่งเป็นชาวยิว เขาได้เรียกตัว เปาโลมาพบและฟังเปาโลพูดถึงความเชือ่ ในพระเยซูคริสต์ ขณะเปาโลบรรยายถึงความชอบธรรม การควบคุมตน และการพิพากษาที่จะมาถึง เฟลิกส์ก็กลัวและกล่าวว่า “พอแค่นี้ก่อน! ท่าน ไปได้ ไว้มีโอกาสเราจะเรียกท่านมาอีก” ขณะเดียวกันเฟลิกส์ก็หวังว่าเปาโลจะให้สินบนจึงเรียก ตัวเขามาสนทนาบ่อยๆ สองปีผ่านไปปอรสิอัส เฟสทัสมารับตําแหน่งแทนเฟลิกส์ แต่เฟลิกส์อยากเอาใจพวกยิวจึงทิ้ง เปาโลไว้ในคุก 3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
กิจการของอัครทูต 24:27 | 237
การไต่สวนต่อหน้าเฟสทัส
่อเฟสทัสมาถึงแคว้นนั้นได้สามวันเขาก็ออกจากเมืองซีซารียาขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 25 เมืพวกหั วหน้าปุโรหิตและเหล่าผูน้ าํ ชาวยิวมายืน่ ฟ้องเปาโลต่อเขาทีน่ น่ั พวกเขาขอร้องเฟสทัส 2
3
ให้เห็นแก่พวกเขาโดยให้ย้ายเปาโลมายังกรุงเยรูซาเล็มเพราะว่าพวกเขาเตรียมซุ่มดักฆ่าเปาโล กลางทาง เฟสทัสตอบว่า “เปาโลถูกคุมตัวอยู่ที่เมืองซีซารียาและเราเองกําลังจะไปที่นั่นในไม่ช้านี้ ถ้าเขาได้ทําผิดประการใดก็ให้ผู้นําของพวกท่านบางคนไปกับเราและยื่นฟ้องเขาที่นั่น” หลังจากพักอยู่กับพวกเขาได้แปดหรือสิบวันเฟสทัสก็ไปยังเมืองซีซารียา ในวันรุ่งขึ้นเฟสทัส เปิดศาลพิจารณาคดีและสั่งให้นําตัวเปาโลเข้ามา เมื่อเปาโลปรากฏตัวพวกยิวที่ลงมาจากกรุง เยรูซาเล็มก็เข้าไปยืนห้อมล้อมและฟ้องร้องเขาด้วยข้อหาร้ายแรงหลายประการซึ่งหาข้อพิสูจน์ไม่ ได้ แล้วเปาโลจึงแก้ข้อกล่าวหาว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้ทําสิ่งใดผิดต่อบทบัญญัติของยิวหรือต่อพระ วิหารหรือต่อซีซาร์” เฟสทัสอยากเอาใจพวกยิวจึงกล่าวกับเปาโลว่า “เจ้าเต็มใจจะขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อสู้คดีตาม ข้อกล่าวหาเหล่านี้ต่อหน้าเราที่นั่นหรือไม่?” เปาโลตอบว่า “ขณะนี้ข้าพเจ้าก็ยืนอยู่ต่อหน้าศาลของซีซาร์ที่ซึ่งข้าพเจ้าสมควรจะถูกไต่สวน อยู่แล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้ทําสิ่งใดผิดต่อพวกยิวตามที่ใต้เท้าเองก็ทราบดี อย่างไรก็ตามหากว่า ข้าพเจ้าได้ทําผิดใดๆ อันควรแก่โทษประหารข้าพเจ้าก็ยอมตายโดยไม่ขัดขืนเลย แต่หากข้อกล่าว หาใดๆ ของชาวยิวเหล่านี้ไม่เป็นความจริงก็ไม่มีใครมีสิทธิ์มอบตัวข้าพเจ้าให้พวกเขา ข้าพเจ้าขอ ถวายฎีกาถึงซีซาร์!” หลังจากหารือกับคณะที่ปรึกษาแล้วเฟสทัสก็ประกาศว่า “เจ้าได้ถวายฎีกาถึงซีซาร์เจ้าก็ต้อง ไปเข้าเฝ้าซีซาร์!” 4
5
6
7
8
9
10
11
12
เฟสทัสหารือกับกษัตริย์อากริปปา
หลังจากนั้นสองสามวันกษัตริย์อากริปปากับพระนางเบอร์นิสเสด็จมาเยี่ยมคารวะเฟสทัส ที่เมืองซีซารียา เนื่องจากอากริปปาประทับอยู่ที่นั่นหลายวันเฟสทัสจึงปรึกษาเรื่องเปาโลกับ กษัตริย์ว่า “ที่นี่มีนักโทษคนหนึ่งซึ่งเฟลิกส์ขังทิ้งไว้ เมื่อข้าพเจ้าไปที่กรุงเยรูซาเล็มพวกหัวหน้า ปุโรหิตและผู้อาวุโสของพวกยิวยื่นฟ้องเขาและขอให้ข้าพเจ้าตัดสินลงโทษเขา “ข้าพเจ้าบอกพวกนั้นว่าตามธรรมเนียมโรมันจะมอบตัวจําเลยก็ต่อเมื่อโจทก์กับจําเลยมา พร้อมหน้ากันและจําเลยมีโอกาสแก้ข้อหาเสียก่อน เมื่อพวกเขามาที่นี่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่ รอช้าแต่เปิดศาลพิจารณาคดีในวันรุ่งขึ้นและสั่งให้นําตัวชายผู้นี้เข้ามา พอโจทก์ลุกขึ้นพูดก็ไม่ได้ ฟ้องร้องเรื่องอาชญากรรมใดๆ ตามที่ข้าพเจ้าคาดหมายไว้ แต่พวกเขากลับโต้แย้งกันในประเด็น ต่างๆ เกี่ยวกับศาสนาของพวกเขาเองและเกี่ยวกับคนหนึ่งที่ตายไปแล้วชื่อเยซูผู้ซึ่งเปาโลอ้างว่ายัง มีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะไต่สวนเรื่องนี้อย่างไรดี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงถามจําเลยว่าเต็มใจจะขึ้นไป กรุงเยรูซาเล็มเพื่อสู้คดีที่นั่นตามข้อกล่าวหาเหล่านี้หรือไม่ เมื่อเปาโลได้ถวายฎีกาขออยู่รอการ ตัดสินขององค์จักรพรรดิข้าพเจ้าจึงสั่งให้คุมตัวเขาไว้จนกว่าจะส่งตัวไปเข้าเฝ้าซีซาร์ได้” แล้วอากริปปาจึงตรัสกับเฟสทัสว่า “ข้าพเจ้าเองก็ประสงค์จะฟังชายผู้นี้ด้วย” เฟสทัสตอบว่า “พรุ่งนี้ท่านจะได้ฟังเขา” 13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
เปาโลต่อหน้าอากริปปา
วันรุ่งขึ้นกษัตริย์อากริปปากับพระนางเบอร์นิสเสด็จเข้ามายังห้องพิจารณาคดีอย่างโอ่อ่า ตระการพร้อมข้าราชการระดับสูงและชนชั้นผู้นําของเมืองนั้น เฟสทัสสั่งเบิกตัวเปาโลเข้ามา เฟสทัสกล่าวว่า “กษัตริย์อากริปปาและท่านทั้งหลายซึ่งอยู่กับเราที่นี่ ท่านก็ได้เห็นชายผู้นี้แล้ว! ชุมนุมชนชาวยิวทัง้ ปวงได้รอ้ งขอต่อข้าพเจ้าเกีย่ วกับตัวเขาทัง้ ในกรุงเยรูซาเล็มและในเมืองซีซารียา แห่งนี้ พวกเขาร้องตะโกนว่าชายผู้นี้ไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าพเจ้าพบว่าเขาไม่ได้ทําสิ่งใด 23
24
25
238 | กิจการของอัครทูต 25:1
ที่สมควรกับโทษประหาร แต่เพราะเขาได้ถวายฎีกาถึงองค์จักรพรรดิข้าพเจ้าจึงตัดสินใจส่งเขา ไปโรม แต่ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดแน่ชัดที่จะเขียนเป็นรายงานถวายถึงองค์จักรพรรดิเกี่ยวกับชายผู้ นี้ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงนําตัวเขามาอยู่ต่อหน้าท่านทั้งหลายโดยเฉพาะต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ กษัตริย์อากริปปา เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้ข้อมูลที่จะถวายรายงานจากผลการไต่สวนครั้งนี้ เพราะ ข้าพเจ้าคิดว่าหากส่งตัวนักโทษไปโดยไม่ได้ระบุข้อหาที่แน่ชัดก็จะเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล” ริย์อากริปปาจึงตรัสกับเปาโลว่า “เจ้าได้รับอนุญาตให้พูดแก้คดีเองได้” 26 แล้ดัวงกษันั้นตเปาโลจึ งโบกมือของตนและเริ่มแก้คดีว่า “ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา ข้าพระบาท ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ยืนแก้ข้อกล่าวหาทั้งปวงของพวกยิวอยู่เฉพาะพระพักตร์ฝ่าพระบาทในวันนี้ ที่ข้าพระบาทรู้สึกเช่นนี้ก็เพราะฝ่าพระบาททรงคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมและข้อขัดแย้งต่างๆ ทั้ง มวลของชาวยิวเป็นอย่างดี ฉะนั้นขอทรงอดทนฟังข้าพระบาทเถิด “ชาวยิวล้วนทราบแนวทางการดําเนินชีวิตของข้าพระบาทมาตั้งแต่เด็ก นับแต่ถือกําเนิดใน บ้านเมืองของข้าพระบาทเองและทั้งในกรุงเยรูซาเล็มด้วย พวกเขาได้รู้จักข้าพระบาทมาเนิ่นนาน และหากพวกเขายินยอมพวกเขาก็สามารถเป็นพยานได้ว่าข้าพระบาทใช้ชีวิตตามนิกายที่เคร่งครัด ที่สุดในศาสนาของพวกข้าพระบาทคือเป็นฟาริสี และบัดนี้ที่ข้าพระบาทถูกไต่สวนในวันนี้ก็เพราะ ข้าพระบาทมีความหวังในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับเหล่าบรรพบุรุษ เป็นพระสัญญาที่พวก ข้าพระบาทสิบสองตระกูลคาดหวังว่าจะเป็นจริง ขณะพากเพียรปรนนิบัติพระเจ้าทั้งกลางวันกลาง คืน ข้าแต่กษัตริย์ เพราะความหวังนี้เองพวกยิวจึงกล่าวหาข้าพระบาท เหตุใดพวกท่านจึงเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงให้คนตายเป็นขึ้นมา? “ข้าพระบาทเองก็เคยเชื่อว่าควรทําทุกวิถีทางเท่าที่เป็นไปได้เพื่อต่อต้านพระนามของพระ เยซูแห่งนาซาเร็ธ และนั่นแหละคือสิ่งที่ข้าพระบาทได้ทําในกรุงเยรูซาเล็ม ข้าพระบาทได้จับ ประชากรของพระเจ้าหลายคนเข้าคุกโดยอาศัยสิทธิอํานาจของพวกหัวหน้าปุโรหิต และเมื่อพวก นั้นถูกฆ่าข้าพระบาทก็เห็นดีด้วย หลายครั้งข้าพระบาทไปตามธรรมศาลาต่างๆ เพื่อลงโทษคน พวกนั้นและพยายามบีบบังคับให้เขากล่าวคําหมิ่นประมาทพระเยซู ข้าพระบาทโกรธเกลียดเขายิ่ง นักถึงกับตามไปข่มเหงพวกเขาที่เมืองต่างๆ ในดินแดนอื่นๆ “ในการเดินทางคราวหนึ่ง ข้าพระบาทกําลังจะไปยังเมืองดามัสกัสโดยได้รับสิทธิอํานาจและ การมอบหมายจากพวกหัวหน้าปุโรหิต ข้าแต่กษัตริย์ ประมาณเที่ยงวันขณะอยู่ระหว่างทางข้า พระบาทเห็นแสงสว่างจากฟ้าสวรรค์ แสงนั้นเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ส่องรอบข้าพระบาทกับ เพื่อนร่วมทาง พวกข้าพระบาททั้งหมดล้มลงกับพื้น และข้าพระบาทได้ยินเสียงหนึ่งพูดกับข้า พระบาทเป็นภาษาอารเมคว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทําไม? เป็นการยากที่เจ้าจะขัดขืน ความประสงค์ของเรา’ “แล้วข้าพระบาทถามว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด?’ “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า ‘เราคือเยซูผู้ที่เจ้ากําลังข่มเหง บัดนี้จงลุกขึ้นยืนเถิด เราได้ ปรากฏแก่เจ้าก็เพื่อแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้รับใช้และเป็นพยานถึงสิ่งที่เจ้าได้เห็นเกี่ยวกับเราและสิ่งที่เรา จะสําแดงแก่เจ้า เราจะช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากพี่น้องร่วมชาติของเจ้าเองและจากชาวต่างชาติ เรา จะส่งเจ้าไปหาพวกเขา เพื่อเปิดตาของพวกเขาและหันพวกเขาจากความมืดมาสู่ความสว่างและ จากอํานาจของซาตานมาหาพระเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษบาปและได้อยู่ในหมู่ผู้ที่ได้ รับการชําระให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อในเรา’ “นับแต่นั้น ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา ข้าพระบาทจึงไม่ขัดขืนต่อนิมิตจากสวรรค์นั้น เริ่มแรก ข้าพระบาทประกาศแก่คนทั้งหลายในเมืองดามัสกัส จากนั้นแก่คนทั้งหลายในกรุงเยรูซาเล็มและ ทั่วแคว้นยูเดียและแก่ชาวต่างชาติด้วย ข้าพระบาทประกาศว่าพวกเขาควรกลับใจใหม่ หันมา หาพระเจ้า และพิสูจน์การกลับใจใหม่ด้วยการกระทําของตน ด้วยเหตุนี้เองพวกยิวจึงจับกุมข้า พระบาทที่ลานพระวิหารและพยายามจะฆ่าข้าพระบาท แต่เพราะพระเจ้าทรงช่วยข้าพระบาท 26
27
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
กิจการของอัครทูต 26:22 | 239
กิจการ 26:24–25 เฟสทัสเป็นบุคคลทีส่ าํ คัญ เขาเป็นผูว้ า่ การ แต่เขาคิดว่าเปาโลเป็นคนโง่เขลา เพราะ เปาโลเชือ่ ในพระเยซู เปาโลได้พดู อะไรกับเขา? น้อง ๆ คิดว่าเปาโลพูดความจริงหรือเปล่า? น้อง ๆ จะรูส้ กึ อย่างไรถ้ามีคนบอกว่าน้อง ๆ เป็นคนโง่เขลาเพราะน้อง ๆ เชือ่ ในพระเยซู? ให้ลองคิดเกีย่ วกับเรือ่ งนีส้ กั พัก แล้วหลังจากนัน้ เขียนคําตอบลงไปว่าเราจะโต้ตอบคน ๆ นัน้ อย่างไร มาจนถึงทุกวันนี้ข้าพระบาทจึงได้มายืนอยู่ที่นี่และเป็นพยานต่อทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย ข้าพระบาทไม่ได้ พูดเรื่องอื่นใดนอกเหนือจากสิ่งที่บรรดาผู้เผยพระวจนะและโมเสสกล่าวไว้ว่าจะเกิดขึ้น คือที่พระ คริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมานและจะทรงสําแดงความสว่างแก่ประชากรของพระองค์เองและแก่คน ต่างชาติในฐานะที่ทรงเป็นผู้แรกซึ่งเป็นขึ้นจากตาย” เปาโลกล่าวแก้คดีถึงตรงนี้เฟสทัสก็ตะโกนขัดขึ้นว่า “เปาโล เจ้าเสียสติไปแล้ว! เจ้าร่ําเรียน มากทําให้คลุ้มคลั่งไป” เปาโลตอบว่า “ใต้เท้าเฟสทัส ข้าพเจ้าไม่ได้คลุ้มคลั่ง สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดเป็นความจริงและมีเหตุ มีผล กษัตริย์ทรงคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้ดีและข้าพเจ้าสามารถทูลได้อย่างเปิดเผย ข้าพเจ้าเชื่อแน่ ว่าไม่มสี กั สิง่ ทีพ่ น้ พระเนตรพระกรรณเพราะสิง่ เหล่านีไ้ ม่ได้ทาํ กันอย่างลับๆ ข้าแต่กษัตริยอ์ ากริปปา ฝ่าพระบาททรงเชื่อเหล่าผู้เผยพระวจนะหรือไม่? ข้าพระบาททราบว่าฝ่าพระบาททรงเชื่อ” แล้วอากริปปาจึงตรัสกับเปาโลว่า “เจ้าคิดว่าในเวลาสั้นๆ เท่านี้เจ้าก็จะชักชวนให้เราเป็น คริสเตียนได้หรือ?” เปาโลทูลตอบว่า “ไม่ว่าในเวลาสั้นหรือยาวข้าพระบาทก็อธิษฐานต่อพระเจ้าว่าไม่เพียงฝ่า พระบาทเท่านั้นแต่ขอให้คนทั้งปวงที่ฟังข้าพระบาทอยู่ในวันนี้เป็นอย่างข้าพระบาท เว้นแต่ไม่ได้ ถูกล่ามโซ่อย่างนี้” กษัตริย์ทรงลุกขึ้น ผู้ว่าการ พระนางเบอร์นิส และคนทั้งปวงที่นั่งอยู่ด้วยก็ลุกขึ้นพร้อมกับ พระองค์ พวกเขาออกไปจากห้องนั้นและพูดกันว่า “คนนี้ไม่ได้ทําสิ่งใดที่สมควรรับโทษถึง ประหารหรือจําคุก” กษัตริย์อากริปปาตรัสกับเฟสทัสว่า “ถ้าชายคนนี้ไม่ได้ถวายฎีกาถึงซีซาร์ก็ปล่อยเขาไปได้” 23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
เปาโลลงเรือไปโรม
อ่ มีมติให้เราลงเรือไปยังอิตาลีเปาโลและนักโทษอืน่ ๆ บางคนจึงถูกส่งตัวให้นายร้อยยูเลียส 27 เมืจากกองจั กรวรรดิ เรามาลงเรือลําหนึ่งจากเมืองอัดรามิททิยุมซึ่งกําลังจะแล่นไปยังท่า 2
ต่างๆ ตามชายฝั่งของแคว้นเอเชีย แล้วเรือก็ออกทะเลอาริสทารคัส ชาวมาซิโดเนียจากเมือง เธสะโลนิกาอยู่กับเราด้วย วันรุ่งขึ้นเราแวะที่เมืองไซดอน ฝ่ายยูเลียสมีความกรุณาต่อเปาโลจึงอนุญาตให้เขาไปหาเพื่อน ฝูงเพื่อคนเหล่านั้นจะได้จัดหาสิ่งที่จําเป็นให้เขา จากที่นั่นเราออกทะเลอีกแล้วแล่นไปทางด้าน ปลอดลมของเกาะไซปรัสเนื่องจากเราแล่นทวนกระแสลม เมื่อแล่นข้ามทะเลนอกชายฝั่งแคว้น ซิลเี ซียกับปัมฟีเลียเราก็มาแวะทีเ่ มืองมิราในแคว้นลีเซีย ทีน่ น่ั นายร้อยพบเรือจากเมืองอเล็กซานเดรีย กําลังจะไปอิตาลีจึงให้เราลงเรือลํานั้น เราแล่นช้าๆ อยู่หลายวันก็มาถึงเมืองคนีดัสอย่างยาก 3
4
5
6
7
240 | กิจการของอัครทูต 26:23
กิจการ 27:13–44 ตนไม ชอบทะเล และเธอชอบเรื่องราวในพระคัมภีรนี้ เธอคนพบวาลมตะวันออกเฉียง เหนือที่กลาวถึงในเรื่องที่ถูกเรียกวา “ยุระกิโล” ลมนี้ทําใหเกิดพายุจํานวนมากในทะเล และทําใหเรือหลายลําจมลง มันซัดเรือของเปาโลขามไปอีกฝงทะเลเปนเวลานานถึง 14 วัน เรื่องนี้ทําให ตนไม นึกถึงเรือไททานิค ผูสรางเรือนี้ไดโออวดวาแมแตพระเจาก็จะไม สามารถทําใหมันจมลงไปได แตเรือไททานิคจมลงเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ.1912 ใน ระหวางการเดินเรือเปนครั้งแรก ลําบาก เมื่อลมไม่อํานวยเราจึงแล่นมาทางด้านปลอดลมของเกาะครีตตรงข้ามเมืองสัลโมเน เรา แล่นเรือเลียบฝั่งอย่างยากเย็นและมาถึงที่แห่งหนึ่งเรียกกันว่าท่างามใกล้เมืองลาเซีย เมื่อเสียเวลา ไปมากและการเดินเรือก็อันตรายเพราะบัดนี้เป็นช่วงหลังวันอดอาหารแล้ว ดังนั้นเปาโลจึงเตือนว่า “ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเห็นว่าการเดินทางของเราจะประสบหายนะและเพิ่มความเสียหายอย่าง ใหญ่หลวงแก่ทั้งเรือและสินค้าตลอดจนชีวิตของเราเองด้วย” แต่นายร้อยไม่ฟังเปาโลกลับคล้อย ตามคําแนะนําของต้นหนและเจ้าของเรือมากกว่า เนื่องจากท่างามนั้นไม่เหมาะที่จะจอดในฤดู หนาวคนส่วนใหญ่จึงตกลงให้เราแล่นเรือต่อไป หวังว่าจะไปถึงเมืองฟีนิกซ์และจอดพักในฤดูหนาว ที่นั่น ฟีนิกซ์เป็นเมืองท่าของเกาะครีต หันหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือกับตะวันตกเฉียงใต้ 8
9
10
11
12
พายุ
เมื่อลมใต้พัดมาเบาๆ พวกเขาก็คิดว่าเป็นไปตามที่ปรารถนาแล้ว จึงถอนสมอแล้วแล่นเรือ เลียบชายฝั่งเกาะครีต ไม่นานเรือก็ถูกลมซึ่งแรงพอๆ กับพายุหมุนที่เรียกกันว่า “ลมตะวันออก เฉียงเหนือ” ซัดออกจากเกาะ เรือติดอยู่ในพายุและต้านลมไม่ไหวดังนั้นเราจึงปล่อยเรือไปตาม กระแสลม ขณะเรากําลังผ่านด้านปลอดลมของเกาะเล็กๆ ที่ชื่อว่าคาวดาเราก็แทบจะรักษาเรือ ชูชีพไว้ไม่ได้ เมื่อชักรอกเรือชูชีพขึ้นมาไว้บนเรือแล้วพวกเขาก็เอาเชือกลอดใต้เรือใหญ่เพื่อยึดเรือ ไว้ เนื่องจากเกรงว่าจะเกยสันดอนเสอร์ทิสจึงหย่อนสมอเรือและปล่อยเรือไปตามกระแสลม พายุ ซัดกระหน่ําเรืออย่างหนักจนวันรุ่งขึ้นเราต้องทยอยทิ้งสินค้าลงทะเล ในวันที่สามพวกเขาต้องทิ้ง อุปกรณ์ประจําเรือด้วยมือของพวกเขาเอง เมื่อไม่เห็นแสงตะวันแสงดาวตลอดหลายวันและพายุ ยังพัดกระหน่ําไม่หยุด ในที่สุดเราก็ไม่เหลือความหวังที่จะรอดชีวิต หลังจากผู้คนอดอาหารมานานเปาโลก็ยืนขึ้นต่อหน้าพวกเขาและกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย ท่านน่าจะฟังคําแนะนําของข้าพเจ้าที่ไม่ให้แล่นเรือออกจากเกาะครีตจะได้ไม่เจอภยันตรายและ การสูญเสียเช่นนี้ แต่บัดนี้ข้าพเจ้าขอให้พวกท่านทําใจเข้มแข็งไว้ เพราะจะไม่มีสักคนในพวกท่าน ต้องเสียชีวิต มีแต่เรือเท่านั้นที่จะอับปาง เมื่อคืนนี้เองทูตองค์หนึ่งของพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าของ ตัวข้าพเจ้าผู้ซึ่งข้าพเจ้ารับใช้อยู่มายืนข้างๆ ข้าพเจ้า และบอกว่า ‘เปาโลเอ๋ย อย่ากลัวเลย เจ้า ต้องยืนให้การต่อหน้าซีซาร์และพระเจ้าทรงเมตตาเจ้าให้คนทั้งปวงที่อยู่ในเรือกับเจ้ารอดชีวิต’ ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายเข้มแข็งไว้เถิดเพราะข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้าว่าจะเป็นตามที่พระองค์ตรัส บอกข้าพเจ้าไว้ อย่างไรก็ตามเราจะต้องเกยตื้นที่เกาะแห่งหนึ่ง” 13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
เรืออับปาง
คืนที่สิบสี่เรายังถูกพายุพัดข้ามทะเลอาเดรียติค ราวๆ เที่ยงคืนพวกลูกเรือรู้สึกว่ามาใกล้แผ่น ดินแล้ว พวกเขาจึงหยั่งระดับน้ําดู พบว่าลึกประมาณ 37 เมตร หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ 27
28
กิจการของอัครทูต 27:28 | 241
หยั่งระดับน้ําดูอีกและพบว่าลึกประมาณ 27 เมตร เรากลัวว่าเรือจะกระแทกกับหินโสโครกจึงทิ้ง สมอท้ายเรือสี่ตัวและอธิษฐานขอให้ถึงรุ่งเช้าโดยเร็ว พวกลูกเรือหาทางหนีจากเรือใหญ่ จึงหย่อน เรือชูชีพลงทะเลทําทีว่าจะทอดสมอจากหัวเรือ เปาโลจึงบอกนายร้อยกับพวกทหารว่า “ถ้าคน เหล่านี้ไม่อยู่ในเรือพวกท่านก็จะไม่รอด” ดังนั้นพวกทหารจึงตัดเชือกที่ยึดเรือชูชีพอยู่และปล่อย ให้หล่นลงน้ําไป จวนรุ่งสางเปาโลชักชวนคนทั้งปวงให้รับประทานอาหาร เขากล่าวว่า “ตลอดสิบสี่วันที่ผ่านมา พวกท่านเฝ้าแต่คอยและไม่มีอะไรตกถึงท้อง พวกท่านไม่ได้รับประทานอะไรเลย บัดนี้ข้าพเจ้า ขอให้ท่านรับประทานอาหารบ้างจะได้ประทังชีวิตไว้จะไม่มีใครในพวกท่านต้องเสียผมสักเส้น บนศีรษะ” ว่าแล้วเปาโลก็หยิบขนมปัง ขอบพระคุณพระเจ้าต่อหน้าพวกเขาทั้งปวง แล้วหักรับ ประทาน ผู้คนได้รับกําลังใจและเริ่มรับประทานอาหาร เรามีด้วยกันทั้งหมด 276 คนบนเรือ เมื่อพวกเขารับประทานอาหารอิ่มแล้วก็โยนข้าวสาลีทิ้งลงทะเลเรือจะได้เบาขึ้น พอรุ่งเช้าพวกเขาจําไม่ได้ว่าเป็นที่ไหนแต่เห็นอ่าวมีหาดทราย จึงตัดสินใจว่าจะแล่นเรือให้เข้า เกยหาดถ้าทําได้ พวกเขาจึงตัดสมอเรือปล่อยลงทะเลและในเวลาเดียวกันก็แก้เชือกที่มัดหางเสือ แล้วชักใบหัวเรือขึ้นให้กินลมแล่นตรงเข้าหาฝั่ง แต่เรือชนสันดอนและเกยตื้น หัวเรือติดแน่นขยับ ไม่ได้และท้ายเรือก็แตกเป็นชิ้นๆ เพราะแรงคลื่นซัด พวกทหารคิดจะฆ่านักโทษเพื่อป้องกันไม่ให้คนใดว่ายน้ําหนี แต่นายร้อยต้องการจะช่วยชีวิต เปาโลจึงไม่ให้พวกนั้นทําตามที่คิดและสั่งคนที่ว่ายน้ําเป็นให้กระโดดลงน้ําว่ายเข้าฝั่งก่อน ส่วนที่ เหลือก็เกาะกระดานหรือชิ้นส่วนของเรือไป โดยวิธีนี้ทุกคนจึงขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย 29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
บนเกาะมอลตา
28
เมื่อขึ้นฝั่งโดยปลอดภัยแล้วเราจึงรู้ว่าเกาะนั้นชื่อเกาะมอลตา ชาวเกาะกรุณาเราเป็นพิเศษ พวกเขาก่อไฟต้อนรับเราทุกคนเพราะฝนตกและหนาว เปาโลเก็บกิ่งไม้มาหอบหนึ่งขณะ เขากําลังเอาไม้หอบนั้นใส่ไฟมีงูพิษตัวหนึ่งถูกความร้อนจึงพุ่งออกมากัดติดที่มือของเขา เมื่อชาว เกาะเห็นงูห้อยอยู่ที่มือของเปาโลก็พูดกันว่า “คนนี้ต้องเป็นฆาตกรแน่ๆ เพราะถึงแม้ว่าเขารอด ตายจากทะเลเจ้าแห่งความยุติธรรมก็ยังไม่ปล่อยให้มีชีวิต” แต่เปาโลสะบัดงูทิ้งลงในไฟและไม่ เป็นอันตรายแต่อย่างใด พวกเขาคาดว่าเปาโลจะบวมขึ้นหรือล้มตายทันทีแต่หลังจากคอยดูอยู่ นานและไม่เห็นเขาเป็นอะไรจึงเปลี่ยนความคิดและพูดว่าเปาโลเป็นเทพเจ้า มีที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ใกล้ๆ ที่นั่นเป็นของปูบลิอัสหัวหน้าชาวเกาะ เขาต้อนรับขับสู้เราอย่าง ดีตลอดสามวัน บิดาของปูบลิอัสป่วยมีไข้และเป็นบิดนอนซมอยู่ เปาโลเข้าไปเยี่ยม หลังจาก อธิษฐานแล้วก็วางมือบนเขา รักษาเขาให้หาย เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นคนป่วยอื่นๆ ที่เกาะนั้นก็มาและรับ การรักษาให้หาย พวกเขาให้เกียรติเราหลายๆ ด้านและเมื่อเราพร้อมที่จะออกเรือเขาก็นําสิ่งของ ที่จําเป็นมาให้เรา 2
3
4
5
6
7
8
9
10
ถึงกรุงโรม
สามเดือนต่อมาเราลงเรือซึ่งมาพักหนาวอยู่ที่เกาะนี้ เรือนั้นมาจากเมืองอเล็กซานเดรีย มีรูป แกะสลักเทพเจ้าแฝด คือคาสเตอร์และพอลลักซ์ที่หัวเรือ เราจอดแวะที่เมืองไซราคิวส์สามวัน จากที่นั่นเราแล่นเรือมาถึงเมืองเรยีอูม วันรุ่งขึ้นลมใต้พัดมาและในวันต่อมาก็ถึงเมืองโปทิโอลี เราพบพี่น้องบางคนที่นั่น เขาเชิญให้เราพักอยู่ด้วยหนึ่งสัปดาห์แล้วเราก็มากรุงโรม พวกพี่น้อง ที่กรุงโรมได้ข่าวว่าเราจะมาจึงออกมารับเราไกลถึงย่านอัปปีอัสและบ้านสามโรงแรม เมื่อได้เห็น คนเหล่านี้เปาโลก็ขอบพระคุณพระเจ้าและมีกําลังใจขึ้น เมื่อเรามาถึงกรุงโรมเปาโลได้รับอนุญาต ให้อยู่ตามลําพังโดยมีทหารคนหนึ่งคอยคุมเขาไว้ 11
12
13 14
15
16
242 | กิจการของอัครทูต 27:29
เปาโลเทศนาในกรุงโรม
สามวันต่อมาเปาโลเชิญบรรดาผู้นําชาวยิวมาประชุม เมื่อพวกเขามาพร้อมหน้ากันเปาโล ก็กล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้ทําผิดอะไรต่อพี่น้องร่วมชาติของเราหรือผิด ธรรมเนียมของเหล่าบรรพบุรุษ ข้าพเจ้าก็ถูกจับกุมในกรุงเยรูซาเล็มและส่งตัวให้พวกโรมัน พวก เขาไต่สวนข้าพเจ้าแล้วก็ต้องการจะปล่อยตัวไปเพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทําสิ่งใดผิดสมควรแก่โทษ ประหาร แต่เมื่อพวกยิวคัดค้านข้าพเจ้าจึงจําต้องถวายฎีกาถึงซีซาร์ไม่ใช่ว่ามีข้อหาอะไรจะฟ้อง ร้องพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงเชิญท่านทั้งหลายมาพูดคุยกันเพราะที่ ข้าพเจ้าถูกล่ามโซ่อยู่นี้ก็เนื่องด้วยความหวังของชนชาติอิสราเอล” พวกเขาตอบว่า “เราไม่ได้รับจดหมายใดๆ จากแคว้นยูเดียพาดพิงถึงท่านและก็ไม่มีพี่น้องคน ใดที่มาจากที่นั่นได้รายงานหรือพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับท่าน แต่เราอยากฟังความคิดเห็นของท่าน เพราะเรารู้อยู่ว่าผู้คนทุกแห่งหนพูดติเตียนนิกายนี้” พวกเขานัดหมายวันที่จะพบกับเปาโลและคนเป็นอันมากพากันมายังที่พักของเขา ตั้งแต่เช้า จดเย็นเปาโลอธิบายและประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าแก่พวกเขาและพยายามยกเหตุผล จากหนังสือบทบัญญัติของโมเสสและหนังสือผู้เผยพระวจนะมาทําให้พวกเขาเชื่อพระเยซู สิ่ง ที่เขากล่าวทําให้บางคนเชื่อแต่บางคนก็ไม่เชื่อ พวกเขาไม่เห็นพ้องกันและเริ่มจากไปหลังจากที่ เปาโลกล่าวทิ้งท้ายว่า “เป็นจริงตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับบรรพบุรุษของพวกท่านผ่าน ทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า กิจการ 28:30–31 “ ‘จงไปหาชนชาตินี้และบอกพวกเขาว่า “เจ้าจะฟังแล้วฟังเล่าแต่จะไม่มีวันเข้าใจ ลูกาเริ่มเรื่องราวของเขากับพระเยซู เจ้าจะดูแล้วดูเล่าแต่จะไม่มีวันประจักษ์” โดยกล่าวว่าเหล่าสาวกจะประกาศ เพราะจิตใจของชนชาตินี้ดื้อด้านไป ข่าวประเสริฐจากสุดปลายแผ่นดิน พวกเขาแทบจะไม่เอียงหูฟัง โลกไปยังที่อื่น ๆ เขาสิ้นสุดเรื่องราว และพวกเขาได้ปิดตาตนเองเสีย ของเขาตรงที่เปาโลได้ทําตามแบบ มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะได้เห็นกับตา นั้นสําเร็จ ลูกาคิดว่าโรมนั้นเป็น ได้ยินกับหู เมืองที่อยู่ห่างไกล อยู่สุดปลายแผ่น เข้าใจด้วยจิตใจ ดินโลก และหันกลับมา แล้วเราจะรักษาพวกเขา ให้หาย’ เปาโลถูกกักขังไว้ในบ้าน เขาไม่ได้รับ อนุญาตให้ออกไปไหน แต่ผู้คนต่างก็ “ฉะนั้นข้าพเจ้าอยากให้ท่านรู้ว่าความรอดของ ไปเยี่ยมเยียนเขาที่นั่น พระเจ้าได้แผ่ไปถึงชาวต่างชาติแล้วและพวกเขาจะ ฟัง!” เขาได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซู ตลอดสองปีเต็มเปาโลพักอยู่ในบ้านซึ่งเขาเช่าไว้ ให้แก่คนที่มาเยี่ยมเยียนและพวก และต้อนรับคนทั้งปวงที่มาหาเขา เขาประกาศเรื่อง ทหารยามฟัง ข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซู อาณาจักรของพระเจ้าและสอนเรื่ององค์พระเยซูคริสต์ ยังคงแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก เจ้าอย่างกล้าหาญโดยไม่ถูกขัดขวาง 17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
30
31
กิจการของอัครทูต 28:31 | 243
จดหมายของเปาโลถึง คริสตจักรในกรุงโรม เปาโลและคริสเตียนในกรุงโรม
● เปาโลเขียนจดหมายถึงกลุ่มคริสเตียนที่อยู่ในกรุงโรมในคริสต์ศักราชที่ 55 และ 56 ● เปาโลไม่ได้เขียนจดหมายด้วยตัวเอง เพื่อนของเปาโล เทอร์ทิอัส เป็นผู้เขียนจดหมาย
นี้ เปาโลบอกเขาถึงสิ่งที่จะเขียน (โรม16:22) ● ตอนที่เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ เขายังไม่เคยไปกรุงโรมเลย ● เราคิดว่าหญิงที่ชื่อ เฟบีี เป็นคนนําจดหมายไปยังกรุงโรม
เปาโลเขียนจดหมายถึงใครบ้าง?
● เปาโลเขียนถึงคริสเตียนทุกคนในกรุงโรม พวกเขามารวมกันในบ้านหลังหนึ่งของ
สมาชิก (โรม 16:5, 14–15) ● เปาโลตั้งชื่อให้กับพี่น้องคริสเตียน 26 ชื่อ ซึ่งเป็นชาวยิวอย่างน้อย 10 คน (โรม 16)
ทําไมเปาโลถึงเขียนจดหมายถึงชาวโรม?
● เปาโลเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และเปาโลบอกพวกเขาว่าอยากที่จะไปเยี่ยมพวก
เขาหลังจากนั้น ต่อมาเปาโลวางแผนที่จะไปสเปนด้วย (โรม 15:23–24, 28) ● เปาโลอธิบายว่าทําไมพระเยซูต้องสิ้นพระชนม์ และทําไมการรู้ว่าพระเยซูทรงฟื้นขึ้น จากความตายนั้นถึงได้สําคัญนัก ● เปาโลยังได้อธิบายให้กับเหล่าสาวกของพระเยซูว่าควรจะดําเนินชีวิตอย่างไร
สิ่งสําคัญที่เปาโลได้อธิบายไว้
● ทุกคนเป็นคนบาป (โรม 3:9–12) ● พระเจ้าทรงให้อภัยทุกคนที่เชื่อในพระเยซู (โรม 3:21–31) ● พระเจ้าทรงอภัยบาปของเรา เพราะพระเยซูทรงได้จ่ายราคาค่าบาปแทนเรา
(โรม 5:1–11) ● พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ชีวิตใหม่กับเรา (โรม 8:1–17) ● พระเจ้าทรงรักเราเสมอ (โรม 8:31–39) ● คริสเตียนควรดําเนินชีวิตอย่างไร (โรม 12)
244
โรม
จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโล ผู้เป็นผู้รับใช้ 1 ของพระเยซู คริสต์ เป็นผู้ที่ได้รับการทรงเรียกให้
โรม
เป็นอัครทูต และทรงแยกไว้เพื่อข่าวประเสริฐของ ในช่วงที่เปาโลเขียนจดหมายของเขา พระเจ้า คือข่าวประเสริฐซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ล่วง นั้น คนส่วนใหญ่จะใช้นักเขียนผู้มี หน้าผ่านทางเหล่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ในพระ ความชํานาญเป็นพิเศษในการเขียน คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ข่าวประเสริฐนั้นเกี่ยวกับพระบุตรของ จดหมายให้แก่พวกเขา นักเขียนผู้มี พระองค์ ผู้ซึ่งในฐานะมนุษย์ทรงเป็นวงศ์วานของดาวิด ความชํานาญเหล่านี้สามารถเขียน และผู้ซึ่งโดยทางพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ จดหมายได้อย่างเรียบร้อยและ พระองค์ได้รับการประกาศด้วยฤทธานุภาพว่าทรงเป็น รวดเร็ว มีนักเขียนหลายคนที่เป็น พระบุตรของพระเจ้าโดยการเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ ทาส พวกเขามักจะเป็นคนที่มีการ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พวกเรา ศึกษา ที่ถูกจับมาเป็นเฉลยในช่วง ได้รับพระคุณและถูกแต่งตั้งให้เป็นอัครทูตโดยทาง สงคราม และนําไปขายเป็นทาส พระองค์และเพื่อพระนามของพระองค์ เพื่อเรียกผู้คน นักเขียนจดหมายของเปาโล คือ จากชนต่างชาติทั้งมวลมาสู่ความเชื่อฟังซึ่งมาจากความ เพื่อนร่วมงานของเขา และเพื่อน ๆ เชื่อ และท่านทั้งหลายก็ร่วมอยู่ในบรรดาผู้ซึ่งทรงเรียก ของเขาเอง ให้เป็นคนของพระเยซูคริสต์ด้วย ถึงทุกท่านที่อยู่ในกรุงโรม ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงรักและทรงเรียกให้เป็นประชากรของพระองค์ ขอพระคุณและสันติสขุ จากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้า จงมีแก่ทา่ น 2
3
4
5
6
7
เปาโลปรารถนาที่จะมายังกรุงโรม
ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์เนื่องด้วยท่านทุกคน เพราะความเชื่อของท่านเลื่องลือไปทั่วโลก พระเจ้าซึ่งข้าพเจ้ารับใช้ด้วยสุดใจในการประกาศข่าว ประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์นั้น ทรงเป็นพยานให้ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าระลึกถึงท่านเสมอ ในคําอธิษฐานทุกครั้ง และข้าพเจ้าอธิษฐานว่าในที่สุดนี้หากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ขอให้ ข้าพเจ้ามีโอกาสมาหาท่าน ข้าพเจ้าอยากพบท่านเพื่อจะได้แบ่งปันของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ เพื่อทําให้ท่านเข้มแข็ง คือที่ท่านและข้าพเจ้าจะได้ให้กําลังใจซึ่งกันและกันโดยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย พี่น้องทั้ง หลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่าข้าพเจ้าวางแผนไว้หลายครั้งที่จะมาหาท่าน (แต่จนบัดนี้ก็ยังมี เหตุขัดข้องอยู่) เพื่อข้าพเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผลท่ามกลางพวกท่าน เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้ทํา ท่ามกลางชนต่างชาติอื่นๆ ข้าพเจ้ามีพันธะหน้าที่ต่อทั้งชาวกรีกและผู้ที่ ไม่ใช่กรีก ต่อทั้งคนมีปัญญาและคนเขลา ด้วย โรม 1:16–17 เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงกระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะประกาศ ในจดหมายฉบับนี้ เปาโลได้อธิบาย ข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรมด้วย ถึงทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับพระเยซู ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าว ประเสริฐคือฤทธิ์อํานาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่ เปาโลไม่เคยหยุดเล่าเรื่องราวที่เกี่ยว เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย กับพระคุณของพระเจ้า และทุกสิ่งที่ เพราะในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมจาก พระเยซูทรงทําเพื่อเรา พระเจ้าก็ได้รับการเปิดเผย เป็นความชอบธรรมซึ่งเริ่ม ต้นด้วยความเชื่อและนําไปสู่ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้ เปาโลอยากจะเล่าถึงเรื่องราวเหล่า นี้ เพราะเขาไม่ละอายใจเกี่ยวกับข่าว แล้วว่า “คนชอบธรรมจะดํารงชีวิตโดยความเชื่อ” ประเสริฐที่เขาได้รับ 8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
246 | โรม 1:1
พระพิโรธของพระเจ้าต่อมนุษยชาติ
พระเจ้าทรงสําแดงพระพิโรธจากสวรรค์ต่อบรรดาความอธรรมและความชั่วร้ายทั้งปวงของ มนุษย์ ผู้ใช้ความชั่วร้ายของตนปิดกั้นความจริง เนื่องจากสิ่งที่อาจจะรู้ได้เกี่ยวกับพระเจ้าก็ ปรากฏชัดแก่พวกเขา ด้วยว่าพระเจ้าทรงกระทําให้สิ่งเหล่านี้ปรากฏชัดแก่พวกเขา เพราะตั้งแต่ ทรงสร้างโลก เราก็เห็นและเข้าใจสภาวะทีเ่ ราไม่อาจมองเห็นได้ของพระเจ้า คือฤทธานุภาพนิรนั ดร์ และเทวสภาพของพระองค์อย่างชัดเจนจากสิ่งที่ทรงสร้าง ดังนั้นมนุษย์จึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะแม้ว่าพวกเขารู้จักพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรง เป็นพระเจ้า ทั้งไม่ได้ขอบพระคุณพระองค์ แต่กลับ คิดในสิ่งที่ไร้สาระ และจิตใจอันโง่เขลาของพวกเขาก็ โรม 1 – 4 มืดมัวไป แม้เขาอ้างว่าตนมีปัญญา เขาก็กลับกลาย เป็นคนโง่ และเอาพระเกียรติสิริของพระเจ้าผู้เป็น อมตะไปแลกกับรูปเคารพ ซึ่งสร้างขึ้นตามแบบของ เปาโลได้เขียนไว้วา่ เราทุกคนมีความ มนุษย์ที่ต้องตาย สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ บาป ทุกคนรูส้ กึ ผิดในความบาปของ ต่างๆ ตน แต่พระเจ้าทรงให้อภัยทุกคนที่ ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ทําบาปทางเพศ เชือ่ ในพระเยซู พระเจ้าได้ประกาศว่า ตามตัณหาชั่วในใจของเขา ทําสิ่งที่น่าอัปยศทางกาย พวกเขาไม่มคี วามผิด หรือชอบธรรม ต่อกัน เขาเอาความจริงของพระเจ้ามาแลกกับความ พระองค์ทรงยกโทษให้พวกเขา เท็จ นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่ทรงสร้างแทนพระเจ้า มันก็เหมือนกับกรณีของศาล ที่ผู้ ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญตลอดนิรันดร์ อาเมน พิพากษาได้ตัดสินผู้ถูกกล่าวหา แต่ เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาไว้ในกิเลส ก่อนที่เขาจะได้รับโทษนั้น มีบางคน ตัณหาอันน่าอับอาย แม้กระทั่งพวกผู้หญิงของเขาก็ บอกว่าได้รับโทษทั้งหมดแทนแล้ว เปลี่ยนจากการมีความสัมพันธ์ตามธรรมชาติให้ผิด ดังนั้นผู้พิพากษาจึงกล่าวว่า “คุณ ธรรมชาติไป เช่นเดียวกันพวกผู้ชายก็เลิกมีความ ได้รับการอภัยโทษ ฉันจะประกาศ สัมพันธ์ตามธรรมชาติกับผู้หญิง หันมาเร่าร้อนด้วยไฟ ว่าคุณไม่มีความผิด คุณได้รับอิสระ ราคะต่อกัน ผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันประกอบกิจอันน่า แล้ว!” อดสู เขาจึงได้รับโทษทัณฑ์อันสมควรกับความวิปริต ของตน ยิ่งกว่านั้นเนื่องจากเขาไม่เห็นคุณค่าของการรู้จักพระเจ้า พระองค์จึงทรงปล่อยเขาให้มีจิตใจ เสื่อมทราม ให้ทําสิ่งที่ไม่สมควร พวกเขาจึงเต็มไปด้วยความเลว ความชั่วร้าย ความโลภโมโทสัน และความเสื่อมทรามสารพัดชนิด พวกเขามีแต่ความอิจฉาริษยา การเข่นฆ่า การแก่งแย่งชิงดี การ ล่อลวงและการคิดร้าย พวกเขาชอบนินทา ใส่ร้ายป้ายสี เกลียดชังพระเจ้า หยาบคาย หยิ่งยโส และโอ้อวด พวกเขาคิดหาทางใหม่ๆ ในการทําชั่ว พวกเขาไม่เชื่อฟังบิดามารดาของตน พวกเขา เป็นคนไร้สติ ไร้สัตย์ ไร้หัวใจ ไร้ความปรานี แม้เขารู้กฎเกณฑ์อันชอบธรรมของพระเจ้าว่าผู้ที่ทํา เช่นนั้นสมควรตาย เขาไม่เพียงยังคงทําสิ่งเหล่านี้ต่อไป แต่ยังเห็นชอบกับผู้ที่ทําสิ่งเหล่านี้ด้วย 18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
การพิพากษาอันชอบธรรมของพระเจ้า
นที่ตัดสินคนอื่น ท่านก็ไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะไม่ว่าท่านตัดสินผู้อื่นด้วยประเด็น 2 ใดเหตุท่ฉาะนันก็้นพท่ิพาากษาลงโทษตนเองด้ วย เพราะท่านผู้เป็นคนตัดสินก็ยังทําอย่างเดียวกัน เรารู้อยู่ 2
ว่าพระเจ้าทรงตัดสินลงโทษผู้ที่ทําเช่นนี้ตามความเป็นจริง ดังนั้นเมื่อท่านผู้เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชน ตัดสินคนอื่น แต่ตัวเองยังทําแบบเดียวกับเขา ท่านคิดหรือว่าจะพ้นจากการพิพากษาลงโทษของ พระเจ้าได้? หรือท่านหมิ่นประมาทพระกรุณาคุณ ความอดกลั้น และความอดทนอันล้นเหลือของ พระองค์ ท่านไม่รู้หรือว่าพระกรุณาคุณของพระเจ้ามุ่งชักนําท่านให้กลับใจใหม่? 3
4
โรม 2:4 | 247
แต่เพราะท่านใจแข็งดือ้ ด้านและไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงส่าํ สมพระพิโรธให้แก่ตนเองไว้สาํ หรับ วันแห่งพระพิโรธของพระเจ้า เมือ่ พระองค์ทรงสําแดงการพิพากษาอันชอบธรรม พระเจ้า “จะ ทรงตอบแทนแต่ละคนตามการกระทําของเขา” สําหรับผูท้ พ่ี ากเพียรทําความดี คือคนทีแ่ สวงหา ศักดิศ์ รี เกียรติ และความเป็นอมตะนัน้ พระองค์จะประทานชีวติ นิรนั ดร์ แต่ผทู้ ม่ี งุ่ หาประโยชน์ใส่ ตัวและผูท้ ป่ี ฏิเสธความจริงและติดตามความชัว่ จะได้รบั พระอาชญาและพระพิโรธ ความทุกข์รอ้ น ลําเค็ญจะมีแก่ทกุ คนทีท่ าํ ชัว่ พวกยิวก่อน แล้วคนต่างชาติดว้ ย แต่ศกั ดิศ์ รี เกียรติ และสันติสขุ จะ มีแก่ทกุ คนทีท่ าํ ดี พวกยิวก่อน แล้วคนต่างชาติดว้ ย เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงเลือกทีร่ กั มักทีช่ งั คนทั้งปวงที่ไม่มีบทบัญญัติและได้ทําบาปจะพินาศโดยไม่ต้องอ้างถึงบทบัญญัติ และคนทั้ง ปวงที่อยู่ภายใต้บทบัญญัติและได้ทําบาปจะถูกตัดสินตามบทบัญญัติ เพราะผู้ชอบธรรมในสาย พระเนตรพระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังบทบัญญัติ แต่ผู้ที่ทําตามบทบัญญัติต่างหากที่พระเจ้าจะทรง ประกาศว่าเป็นผู้ชอบธรรม (อันที่จริงเมื่อคนต่างชาติผู้ไม่มีบทบัญญัติได้ทําสิ่งที่บทบัญญัติ กําหนดไว้โดยปกติวิสัยของเขา เขาก็เป็นบทบัญญัติให้ตนเองแม้ว่าเขาไม่มีบทบัญญัติ เพราะ เขาแสดงให้เห็นว่าข้อกําหนดต่างๆ ของบทบัญญัติได้จารึกอยู่ในใจของเขา จิตสํานึกของเขาก็ เป็นพยานด้วยและความคิดของเขานั่นแหละที่ฟ้องร้องหรือปกป้องเขา) สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในวันที่ พระเจ้าจะทรงพิพากษาความลับของมนุษย์โดยทางพระเยซูคริสต์ ตามที่ระบุไว้ในข่าวประเสริฐซึ่ง ข้าพเจ้าประกาศ 5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
พวกยิวและบทบัญญัติ
แต่ถ้าท่านเรียกตนเองว่ายิว ถ้าท่านพึ่งบทบัญญัติและโอ้อวดว่าท่านมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด กับพระเจ้า ถ้าท่านรู้พระประสงค์ของพระองค์และเห็นชอบในสิ่งที่ยอดเยี่ยม เพราะท่านได้ รับการสั่งสอนจากบทบัญญัติ ถ้าท่านมั่นใจว่าตนเป็นผู้นําทางให้คนตาบอด เป็นแสงสว่างแก่ผู้ ตกอยู่ในความมืด เป็นผู้สอนคนโง่ เป็นครูสอนเด็ก เพราะท่านมีความรู้และความจริงทั้งมวลที่ อยู่ในบทบัญญัติ แล้วท่านผู้สอนคนอื่น ท่านไม่สอนตัวเองบ้างหรือ? ท่านผู้เทศนาว่าไม่ควรลัก ขโมย ท่านลักขโมยหรือไม่? ท่านผู้กล่าวว่าอย่าล่วงประเวณี ท่านเองล่วงประเวณีหรือไม่? ท่านผู้ รังเกียจรูปเคารพ ท่านปล้นพระวิหารหรือไม่? ท่านผู้โอ้อวดในบทบัญญัติ ท่านเองลบหลู่พระเจ้า โดยละเมิดบทบัญญัติหรือไม่? ตามที่มีเขียนไว้ว่า “พระนามของพระเจ้าถูกลบหลู่ท่ามกลางชน ต่างชาติก็เพราะพวกท่าน” การเข้าสุหนัตมีคุณค่าถ้าท่านรักษาบทบัญญัติ แต่ถ้าท่านละเมิดบทบัญญัติ ท่านก็จะเหมือน ไม่ได้เข้าสุหนัตเลย ถ้าผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตทําตามข้อกําหนดของบทบัญญัติจะไม่ถือเสมือนว่า พวกเขาได้เข้าสุหนัตแล้วหรือ? ผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตทางกายแต่ยังทําตามบทบัญญัตินั่นแหละจะ ปรับโทษท่านผู้ซึ่งทั้งๆ ที่มีบทบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรและได้เข้าสุหนัตแล้วก็ยังเป็นผู้ละเมิด บทบัญญัติ ผู้ที่เป็นยิวแท้ ไม่ใช่คนที่เป็นยิวแต่เพียงภายนอก ทั้งการเข้าสุหนัตแท้ก็ไม่ใช่การเข้าสุหนัต แต่เพียงภายนอกและทางร่างกายเท่านั้น แต่คนที่เป็นยิวแท้คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้า สุหนัตแท้คือการเข้าสุหนัตทางใจโดยพระวิญญาณ ไม่ใช่โดยบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร คํา สรรเสริญที่คนเช่นนี้ได้รับไม่ได้มาจากมนุษย์แต่มาจากพระเจ้า 17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ
ถ้าเช่นนั้นการเป็นยิวมีข้อได้เปรียบอย่างไร? หรือการเข้าสุหนัตมีคุณค่าอะไร? มีคุณค่าอย่าง 3 มากในทุ กด้าน! ประการแรกสุด พวกเขาได้รับมอบหมายให้รักษาพระดํารัสของพระเจ้า 2
แล้วถ้าบางคนไม่มีความเชื่อเล่าจะเป็นอย่างไร? การที่เขาขาดความเชื่อจะทําให้ความสัตย์ซื่อ ของพระเจ้าเป็นโมฆะหรือ? ไม่เลย! แม้ทุกคนจะเป็นคนโกหก แต่พระเจ้าทรงสัตย์จริง ตามที่มี เขียนไว้ว่า 3
4
248 | โรม 2:5
“พระองค์จะได้รับการพิสูจน์ว่าทรงเป็นฝ่ายถูกเมื่อตรัส และชนะเมื่อทรงพิพากษา” แต่จะว่าอย่างไรถ้าความอธรรมของเราทําให้ความชอบธรรมของพระเจ้าโดดเด่นชัดเจนยิ่ง ขึ้น? จะว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรมหรือที่ทรงให้พระพิโรธลงมาเหนือเรา? (นี่ข้าพเจ้าโต้แย้งแบบมนุษย์) ไม่ใช่อย่างแน่นอน! เพราะหากเป็นเช่นนั้นพระเจ้าจะทรงพิพากษาโลกได้อย่างไร? บางคนอาจ แย้งว่า “ในเมื่อความอสัตย์ของข้าพเจ้าทําให้เห็นความสัตย์จริงของพระเจ้าเด่นชัดยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงเป็นการเพิ่มพูนพระเกียรติสิริของพระองค์ แล้วทําไมข้าพเจ้ายังถูกตัดสินลงโทษว่าเป็นคนบาป เล่า?” ทําไมไม่กล่าวว่า “ให้เราทําชั่วเพื่อความดีจะได้เกิดขึ้น”? อย่างที่มีบางคนใส่ร้ายว่าเราพูด เช่นนั้น การลงโทษคนแบบนี้ก็สมควรแล้ว 5
6
7
8
ไม่มีใครชอบธรรมสักคน
เช่นนี้แล้วเราจะสรุปว่าอย่างไร? พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ? ไม่เลย! เราชี้ให้เห็นแล้วว่า ทั้งคนยิวและคนต่างชาติล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด ตามที่มีเขียนไว้ว่า “ไม่มีสักคนที่ชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทําดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว” “ลําคอของพวกเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อน” “พิษงูร้ายอยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา” “ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยคําสาปแช่งและคําเผ็ดร้อน” “เท้าของเขาว่องไวในการทําให้นองเลือด เขาก่อหายนะและทุกข์เข็ญไว้ตามรายทางของเขา ไม่มีความยําเกรงพระเจ้าในสายตาของพวกเขา” “เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย” เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บทบัญญัติกล่าวไว้ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคนไม่ ให้มีข้อแก้ตัวและให้ทั้งโลกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า ฉะนั้นไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบ ธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าโดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทําให้เรารู้ตัวว่ามี บาป 9
10
11
12
13
14 15 16 17 18
19
20
ความชอบธรรมโดยทางความเชื่อ
แต่บัดนี้ความชอบธรรมจากพระเจ้าซึ่งอยู่นอกเหนือบทบัญญัตินั้นเป็นที่ประจักษ์แล้ว เป็น ความชอบธรรมซึ่งหนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะได้เป็นพยานถึง ความชอบ ธรรมจากพระเจ้านี้ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ ไม่มีข้อแตกต่างกัน เพราะว่าทุกคนทําบาปและเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่พวก เขา พระเจ้าทรงให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาป แก่ผู้ที่มีความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าทรงกระทําเช่นนี้เพื่อสําแดงความยุติธรรมของพระองค์ เพราะโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ทรงลงโทษบาปที่ทําไปก่อนหน้านั้น พระองค์ทรงกระทําเช่นนี้เพื่อสําแดงความ 21
22
23
24
25
26
โรม 3:26 | 249
โรม 3:21–26 พระเยซูเต็มใจที่จะรับการลงโทษแทนเรา นั่นเป็นเหตุผลที่พระองค์ทรงสามารถให้ อภัยเราได้ และนั่นทําให้เรากลายเป็นลูกของพระองค์ น้อง ๆ เคยถูกลงโทษในสิง่ ทีน่ อ้ ง ๆ ไม่ได้ทาํ บ้างไหม? น้อง ๆ เคยยอมรับผิดเพือ่ ทีจ่ ะ ปกป้องคนอืน่ ไหม? ให้พดู คุยถึงความรูส้ กึ ของเรา ถ้าเราถูกลงโทษแทนคนทีท่ าํ ผิดจริง ๆ นั่นคือสิ่งที่พระเยซูทรงทําเพื่อเรา ยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน เพื่อว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้เที่ยงธรรมและเป็นผู้ที่ให้บรรดา คนที่มีความเชื่อในพระเยซูถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมด้วย เช่นนี้แล้วเรามีอะไรที่จะอวดได้? ไม่มีเลย จะอ้างอะไรเป็นหลัก? อ้างว่าโดยการรักษา บทบัญญัติหรือ? ไม่เลย แต่โดยการอ้างความเชื่อเป็นหลักต่างหาก เพราะเรายืนยันว่ามนุษย์นับ ว่าเป็นคนชอบธรรมได้ก็โดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยการรักษาบทบัญญัติ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ของพวกยิวเท่านั้นหรือ? พระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนต่างชาติด้วยหรือ? แน่นอนพระองค์ทรง เป็นพระเจ้าของคนต่างชาติด้วย เนื่องจากมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว พระองค์จะทรงนับว่าผู้เข้า สุหนัตเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ และจะทรงนับว่าผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตเป็นคนชอบธรรมโดย ทางความเชื่อเดียวกันนั้น ถ้าเช่นนั้นเราทําให้บทบัญญัติเป็นโมฆะโดยความเชื่อนี้หรือ? เปล่าเลย! เรากลับสนับสนุนบทบัญญัติเสียอีก 27
28
29
30
31
อับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ
าอย่างไรเกี่ยวกับอับราฮัมบรรพบุรุษของเราในเรื่องนี้? อันที่จริงถ้านับว่าอับราฮัม 4 เป็แล้นวผูเราจะว่ ้ชอบธรรมโดยการประพฤติ เขาก็มีข้อที่จะอวดได้ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นเลยต่อหน้าพระเจ้า 2
พระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไร? “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้พระองค์ทรงถือว่าเป็นความ ชอบธรรมของเขา” เมื่อคนคนหนึ่งทํางาน ค่าจ้างของเขาย่อมไม่ถือว่าเป็นของขวัญ แต่เป็นสิ่งที่เขาพึงได้รับ ส่วน คนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่วางใจพระเจ้าผู้ทรงทําให้คนชั่วเป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ทรง ถือว่าความเชื่อของเขาเป็นความชอบธรรม ดาวิดกล่าวเช่นเดียวกันนี้ เมื่อเขาพูดถึงความสุขของผู้ ที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นคนชอบธรรมโดยไม่ได้อาศัยการประพฤติว่า “ความสุขมีแก่ ผู้ที่ได้รับการอภัยในการล่วงละเมิดของพวกเขา ผู้ที่บาปทั้งหลายของเขาได้รับการกลบเกลื่อน ความสุขมีแก่ ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ถือโทษบาปของเขาอีก” ความสุขนี้มีแก่ผู้ที่ได้เข้าสุหนัตเท่านั้นหรือ? หรือมีแก่ผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตด้วย? เราได้กล่าวแล้ว ว่าพระเจ้าทรงถือว่าความเชื่อของอับราฮัมเป็นความชอบธรรมของเขา สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อใด? ก่อน หรือหลังจากที่เขาเข้าสุหนัต? ไม่ใช่หลังเข้าสุหนัต แต่เกิดขึ้นก่อนเข้าสุหนัตต่างหาก! และเขา ได้เข้าสุหนัตเป็นเครื่องหมาย ซึ่งเป็นตราแห่งความชอบธรรมที่เขาได้มาโดยความเชื่อขณะที่เขา 3
4
5
6
7
8
9
10
11
250 | โรม 3:27
โรม 4:21–25 เปาโลกล่าวว่าพระเจ้าได้ยอมรับอับราฮัม เพราะเขาเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า เป็นเพราะความเชื่อของเขา พระเจ้าจึงทรงให้อภัยเขา เขาทําในสิ่งที่ถูกต้องในสาย พระเนตรพระเจ้า พระเจ้าทรงยอมรับเรา เมื่อเรามีความเชื่อในพระเยซู ให้น้อง ๆ อ่านบทที่ 25 สัก 2–3 รอบ แล้วเขียนบันทึกโดยใช้คําพูดของน้อง ๆ เอง นี่ เป็นข่าวดีที่สุดที่เคยได้ยิน! ทําไมไม่เขียนมันลงบนการ์ด แล้วทําเป็นที่คั่นหนังสือล่ะ? ยังไม่ได้เข้าสุหนัต ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นบิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อแต่ยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อพระเจ้า จะทรงถือว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ชอบธรรมด้วย และเขายังเป็นบิดาของผู้ที่เข้าสุหนัตแล้ว คน เหล่านี้ไม่เพียงเข้าสุหนัตเท่านั้น แต่ยังดําเนินตามรอยความเชื่อที่อับราฮัมบรรพบุรุษของเรามี ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้าสุหนัต ไม่ใช่โดยบทบัญญัติ แต่โดยความชอบธรรมอันเนื่องมาจากความเชื่อ อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ ของเขาจึงได้รับพระสัญญาให้เป็นทายาทที่จะได้รับโลกนี้เป็นมรดก เพราะถ้าบรรดาผู้ที่ยึดถือ บทบัญญัติได้เป็นทายาท ความเชื่อก็ไร้ค่าและพระสัญญาก็เปล่าประโยชน์ เพราะบทบัญญัติย่อม นําพระพิโรธมาถึง และที่ใดไม่มีบทบัญญัติ ที่นั่นก็ไม่มีการล่วงละเมิด เหตุฉะนัน้ พระสัญญาจึงมาทางความเชือ่ เพือ่ พระสัญญาจะได้เป็นไปโดยพระคุณ และเพือ่ พงศ์ พันธุท์ กุ คนของอับราฮัมจะได้รบั ตามพระสัญญาอย่างแน่นอน ไม่เพียงผูท้ ถ่ี อื บทบัญญัตเิ ท่านัน้ แต่ผู้ ทีม่ คี วามเชือ่ แบบเดียวกับอับราฮัมด้วย เขาเป็นบิดาของพวกเราทัง้ หมด ตามทีม่ เี ขียนไว้วา่ “เรา ได้ให้เจ้าเป็นบิดาของหลายชนชาติ” เขาเป็นบิดาของเราในสายพระเนตรพระเจ้าผูท้ เ่ี ขาเชือ่ คือ พระเจ้าผูป้ ระทานชีวติ แก่คนทีต่ ายแล้วและทรงเรียกสิง่ ทีไ่ ม่มเี สมือนว่าสิง่ นัน้ มีอยูแ่ ล้ว ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะมีความหวังใดๆ อับราฮัมก็ยังเชื่อ เพราะเขามีความหวัง เขาจึงได้เป็นบิดาของ หลายชนชาติ เหมือนที่ได้ตรัสกับเขาไว้แล้วว่า “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะเป็นเช่นนั้นแหละ” ความ เชื่อของเขาไม่ได้ถดถอยเลยเมื่อเขาเผชิญกับความจริงที่ว่าร่างกายของเขาเหมือนได้ตายไปแล้ว เพราะเขามีอายุราวร้อยปีแล้ว และความจริงที่ว่าซาราห์ก็ไม่สามารถมีบุตร กระนั้นเขาก็ไม่ได้ หวั่นไหวคลางแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่มั่นคงในความเชื่อและถวายพระเกียรติสิริ แด่พระเจ้า เพราะเชื่อมั่นเต็มที่ว่าพระเจ้าทรงมีฤทธิ์อํานาจที่จะทําสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญา ไว้ นี่คือเหตุผลที่ “พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” คําว่า “ถือว่าเป็นความ ชอบธรรมของเขา” นี้ ไม่ใช่เขียนไว้สําหรับเขาเพียงคนเดียว แต่สําหรับเราทั้งหลายผู้ซึ่งพระเจ้า จะทรงถือว่าเป็นผู้ชอบธรรมด้วย สําหรับเราผู้ซึ่งเชื่อในพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูองค์พระผู้เป็น เจ้าของเราเป็นขึ้นจากตาย พระเยซูทรงถูกมอบไว้ให้สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา และทรงคืน พระชนม์เพื่อให้เราเป็นผู้ชอบธรรม 12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
สันติสุขและความชื่นชมยินดี
เหตุฉะนั้นเมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าโดย 5 ทางองค์ พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่นี้ด้วย 2
ความเชื่อ และเราจึงชื่นชมยินดีในความหวังที่จะได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า ไม่เพียง เท่านั้นแต่เรายังชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นก่อให้เกิด 3
โรม 5:3 | 251
โรม 5:1 พระคัมภีร์ข้อนี้บอกเราว่าเราจะมีสันติสุขในพระเจ้าได้อย่างไร การมีสันติสุขท่ามกลาง คนหมู่มากเป็นเรื่องที่ดี จ๊ะจ๋า สงสัยว่าน้อง ๆ รู้เรื่องเกี่ยวกับคนที่นําสันติสุขมาให้เรา บ้างหรือเปล่า มีใครเคยนําสันติสุขมาให้แก่น้อง ๆ บ้างไหม? ให้น้อง ๆ เล่าให้เพื่อนฟังถึงสิ่งที่น้อง ๆ เคยได้ยินเกี่ยวกับคนที่นําสันติสุขมาให้แก่ผู้อื่น และถ้าน้อง ๆ ได้นําสันติสุขมาให้กับใครสักคน ขอให้เล่าเรื่องนั้นด้วย น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรหลังจากที่ได้นําสันติสุขมาให้แก่ผู้นั้น? ความบากบั่น ความบากบั่นทําให้เรามีอุปนิสัยที่พิสูจน์แล้วว่าใช้การได้ และอุปนิสัยเช่นนั้นทําให้ มีความหวัง และความหวังไม่ทําให้เราผิดหวัง เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์เข้ามาใน จิตใจของเราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา เมื่อเรายังไร้กําลัง พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อคนบาปในเวลาอันเหมาะ น้อยนักที่จะมี ใครตายเพื่อคนชอบธรรม แม้ว่าอาจจะมีบางคนกล้าที่จะตายเพื่อคนดีก็ได้ แต่พระเจ้าทรง สําแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ สิ้นพระชนม์เพื่อเรา ในเมื่อบัดนี้เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นเราจะ รอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าโดยพระองค์อย่างแน่นอน! เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อ เราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน! ไม่เพียงเท่านี้แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้าโดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทําให้เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว 4
5
6
7
8
9
10
11
ความตายมาทางอาดัม ชีวิตมาทางพระคริสต์
ฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียวและบาปนําความตายมา และโดย ทางนี้เองความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์เพราะทุกคนได้ทําบาป เพราะก่อนมีบทบัญญัติบาปก็อยู่ 12
13
โรม 5:1–8 น้องๆ จะรู้สึกอย่างไรถ้าน้อง ๆ และเพื่อนกําลังโกรธกันอยู่? มันแตกต่างจากเมื่อตอน ที่เรามีสันติสุขใช่ไหม? การมีสันติสุขมันรู้สึกอย่างไร? เลือกรูปหน้าที่เหมาะสมกับการมีสันติสุข (หน้า 11 ) โรมบทที่ 5 บอกเราถึงวิธีการที่เราจะมีสันติสุขกับพระเจ้าเนื่องจากสิ่งที่พระเยซูทรง ได้กระทําลงไป พระเยซูทรงจ่ายราคาของความบาปของเรา ให้น้อง ๆ บอกกับคนอื่น ว่าความรู้สึกของการมีสันติสุขในพระเจ้านั้นเป็นอย่างไร 252 | โรม 5:4
ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีบทบัญญัติก็ไม่ถือว่าบาป อย่างไรก็ตามความตายก็ครอบครองมาตั้งแต่ สมัยของอาดัมจนถึงสมัยของโมเสส แม้แต่คนที่ไม่ได้ทําบาปโดยละเมิดพระบัญชาเหมือนอาดัมผู้ เป็นแบบของพระองค์ซึ่งจะเสด็จมาภายหลัง แต่ของประทานนั้นต่างจากการล่วงละเมิด เพราะถ้าคนเป็นอันมากตายเพราะการล่วงละเมิด ของมนุษย์เพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระคุณของพระเจ้าและของประทานโดยพระคุณ ของพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวนั้นย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก! และของประทานจากพระเจ้า ก็ต่างจากผลของบาปของมนุษย์คนเดียว กล่าวคือการพิพากษาเกิดขึ้นหลังจากการทําบาปเพียง ครั้งเดียวและนําไปสู่การลงโทษ แต่ของประทานเกิดขึ้นหลังจากการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้งและ นําไปสู่การนับเป็นผู้ชอบธรรม เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้ความ ตายได้ครอบครองผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดบรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณและ ของประทานแห่งความชอบธรรมซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้นย่อมครอบครองในชีวิต ผ่านทางมนุษย์คนเดียวคือพระเยซูคริสต์ ฉะนั้นการล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียวส่งผลให้คนทั้งปวงถูกลงโทษฉันใด การกระทําอันชอบ ธรรมเพียงครั้งเดียวก็ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น ซึ่งการนับเป็นผู้ชอบธรรมนี้ นําชีวิตมาให้คนทั้งปวงเหล่านั้น เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวทําให้คนเป็นอันมากเป็น คนบาปฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวก็ทําให้คนเป็นอันมากเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น บทบัญญัติถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อที่การล่วงละเมิดจะมีมากขึ้น แต่ที่ใดมีบาปมากขึ้น พระคุณก็มี มากขึ้นยิ่งกว่านั้น เพื่อว่าบาปได้ครอบครองในความ ตายฉันใด พระคุณจะได้ครอบครองผ่านทางความ โรม 5 – 8 ชอบธรรมเพื่อชีวิตนิรันดร์จะมาทางพระเยซูคริสต์องค์ พระผู้เป็นเจ้าของเราฉันนั้น ทําไมคนที่เชื่อในพระเยซูจึงเต็มไป ด้วยความชื่นชมยินดี และมีสันติสุข? ตายต่อบาป แต่มีชีวิตในพระคริสต์ เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? เราควรจะทําบาปต่อ เปาโลได้ให้เหตุผลไว้ 2–3 ข้อ พวก 6 ไปเพื ่อพระคุณจะได้มีมากยิ่งขึ้นหรือ? อย่าให้เป็น เขารู้ว่าพวกเขาได้รับความรอด พวก เช่นนั้นเลย! เราได้ตายต่อบาปแล้ว เราจะดําเนินชีวิต เขาทําในสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการ ในบาปต่อไปได้อย่างไร? ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่ ให้เขาทํา พวกเขาเป็นอิสระจากกฏ เกณฑ์ต่าง ๆ พวกเขาเป็นบุตรของ รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ก็ได้รับบัพติศมาเข้า พระเจ้า พระเยซูทรงสถิตอยู่กับ ในความตายของพระองค์? ฉะนั้นเราจึงถูกฝังไว้กับ พวกเขาเมื่อชีวิตของพวกเขาต้องทน พระองค์แล้วโดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อ ทุกข์ยากลําบาก และไม่มีอะไรจะ ว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระ สามารถแยกพวกเขาออกจากความ คริสต์เป็นขึ้นจากตายโดยพระเกียรติสิริของพระบิดา รักของพระเจ้าได้ ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือน พระองค์ แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจาก ตายเหมือนพระองค์ เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้วเพื่อกายบาปนั้นจะถูก ขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้วก็เป็นอิสระจากบาป ถ้าเราตายกับพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย เพราะเรารู้ว่าในเมื่อทรง ให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายแล้ว พระองค์จะไม่มีวันตายอีก ความตายไม่มีอํานาจเหนือพระองค์ อีกต่อไป ที่พระองค์ทรงตายนั้นทรงตายต่อบาปครั้งเดียวเป็นพอ แต่ที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่นั้น ทรงมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า ในทํานองเดียวกันจงถือว่าตัวท่านเองตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เหตุฉะนั้นอย่าให้บาปครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทําให้ท่านต้องยอมทําตามความ ปรารถนาชั่วของกายนั้น อย่ายกส่วนต่างๆ ในกายของท่านให้แก่บาปเป็นเครื่องมือของความชั่ว 14
15
16
17
18
19
20
21
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
โรม 6:13 | 253
โรม 6:23 บางครั้งเราพูดว่า "สมน้ําหน้าแล้ว!" เมื่อเรารู้สึกว่าบางคนได้รับในสิ่งที่พวกเขาสมควร ได้? หากเราทําบาป เราก็สมควรได้รบั สิง่ นัน้ เราต้องรับผิดชอบกับผลทีต่ ามมา ให้นอ้ ง ๆ แสดงละครร่วมกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลของความบาป ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อไปนี้ • โกงในการสอบ • การโกหก
• การลักขโมย • การพูดให้ร้ายผู้อื่น
ร้าย แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้าในฐานะผู้ที่ทรงให้มีชีวิต เป็นขึ้นจากตาย และถวายส่วน ต่างๆ ในกายของท่านแด่พระองค์ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม เพราะบาปจะไม่เป็นนาย ของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติแต่อยู่ใต้พระคุณ 14
ทาสของความชอบธรรม
เช่นนี้แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป? เราจะทําบาปเพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติแต่อยู่ใต้พระคุณ หรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย! ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็ เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น? ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาปซึ่งนําไปสู่ความตาย หรือเป็นทาส ของการเชื่อฟังซึ่งนําไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่แม้ท่านเคยเป็นทาส ของบาป ท่านก็เชื่อฟังคําสอนซึ่งทรงมอบหมายแก่ท่านนั้นอย่างสุดใจ ท่านได้รับการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากบาปและได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ตามประสามนุษย์ก็เพราะท่านอ่อนแอตามปกติวิสัยของท่าน เมื่อก่อนท่าน เคยให้ส่วนต่างๆ ในกายของท่านเป็นทาสของความโสโครกและความชั่วร้ายที่เพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด อย่างไร บัดนี้ก็จงให้ส่วนต่างๆ นั้นเป็นทาสของความชอบธรรมซึ่งนํามาสู่ความบริสุทธิ์อย่างนั้น เมื่อท่านเป็นทาสของบาป ท่านก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของความชอบธรรม ครั้งนั้นท่าน ได้เก็บเกี่ยวประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านั้นซึ่งบัดนี้ท่านก็ละอายแก่ใจ? ผลลัพธ์ของสิ่งเหล่านั้นคือ ความตาย! แต่บัดนี้ท่านเป็นอิสระจากบาปและได้กลายมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ประโยชน์ที่ ท่านได้เก็บเกี่ยวนําไปสู่ความบริสุทธิ์ และผลลัพธ์คือชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จาก บาปคือความตาย แต่ของขวัญจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของ เรา 15
16
17
18
19
20
21
22
23
ตัวอย่างจากชีวิตสมรส
านไม่รู้หรือว่าบทบัญญัตินั้นมีอํานาจเหนือมนุษย์ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่ 7 เท่พี่นานั้องทั้น?้งทีหลายท่ ่ข้าพเจ้าถามเช่นนี้เพราะข้าพเจ้ากําลังพูดกับผู้ที่รู้บทบัญญัติ ตัวอย่างเช่น ตาม 2
บทบัญญัติผู้หญิงที่แต่งงานแล้วย่อมมีข้อผูกมัดกับสามีของนางตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้า สามีของนางตายไป นางก็พ้นจากกฎของการสมรสนี้ ดังนั้นถ้านางไปแต่งงานกับชายอื่นขณะที่ สามี ของนางยังมีชีวิตอยู่ นางก็ได้ชื่อว่าเป็นหญิงล่วงประเวณี แต่ถ้าสามีของนางตายไป นางก็พ้น จากกฎนั้น แม้นางไปแต่งงานกับชายอื่นก็ไม่เป็นการล่วงประเวณี ดังนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าท่านเองก็ตายจากบทบัญญัติแล้วโดยทางพระกายของพระ คริสต์ เพื่อท่านจะเป็นของอีกผู้หนึ่ง คือเป็นของพระองค์ผู้ทรงเป็นขึ้นจากตาย เพื่อเราจะเกิดผล ถวายแด่พระเจ้า เพราะเมื่อก่อนเราถูกวิสัยบาปควบคุมอยู่จึงถูกบทบัญญัติกระตุ้นตัณหาชั่วให้ 3
4
5
254 | โรม 6:14
ออกฤทธิ์ในกายของเรา เพื่อให้เราเกิดผลอันนําไปสู่ความตาย แต่บัดนี้โดยการตายต่อสิ่งที่ครั้ง หนึ่งเคยผูกมัดเรา เราก็ได้รับการปลดปล่อยจากบทบัญญัติแล้ว เพื่อรับใช้ตามแนวทางใหม่คือ ตามพระวิญญาณ ไม่ใช่ตามแนวทางเดิมคือตามบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร 6
ต่อสู้กับบาป
เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? บทบัญญัติคือบาปหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน! อันที่จริงถ้าไม่ใช่ เพราะบทบัญญัติ ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าอะไรคือบาป เพราะถ้าบทบัญญัติไม่ได้กล่าวว่า “อย่าโลภ” ข้าพเจ้าคงไม่รู้ว่าอะไรคือความโลภ แต่บาปฉวยโอกาสจากพระบัญญัติมาก่อความโลภทุกชนิด ขึ้นในตัวข้าพเจ้า เพราะถ้าไม่มีบทบัญญัติ บาปก็ตายแล้ว ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าดําเนินชีวิตโดยไม่มี บทบัญญัติ แต่พอมีพระบัญญัติ บาปก็มีชีวิตขึ้นมาและข้าพเจ้าก็ตาย ข้าพเจ้าพบว่าพระบัญญัติ นั้นเองที่มุ่งหมายให้นําชีวิตมาแท้จริงกลับนําความตายมา เพราะบาปฉวยโอกาสจากพระบัญญัติ มาล่อลวงข้าพเจ้า และบาปทําให้ข้าพเจ้าตายโดยทางพระบัญญัตินั้น ดังนั้นแล้วบทบัญญัติจึง บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และพระบัญญัติก็บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ชอบธรรม และดีงาม ก็แล้วสิ่งที่ดีงามกลับเป็นความตายสําหรับข้าพเจ้าหรือ? เปล่าเลย! แต่เพื่อให้รู้จักว่าบาปคือ บาป บาปจึงก่อความตายขึ้นในข้าพเจ้าผ่านทางสิ่งที่ดี เพื่อว่าโดยทางพระบัญญัติจะได้เห็นว่าบาป นั้นเลวร้ายอย่างยิ่ง เรารู้อยู่ว่าบทบัญญัติเป็นเรื่องจิตวิญญาณ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ ข้าพเจ้าถูกขาย ให้เป็นทาสบาป ข้าพเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองทํา เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทํา ข้าพเจ้าไม่ ทํา แต่ข้าพเจ้ากลับทําสิ่งที่ตนเองเกลียด และถ้าข้าพเจ้าทําสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทํา ข้าพเจ้า ก็เห็นด้วยว่าบทบัญญัตินั้นดี ดังที่เป็นอยู่จึงไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่เป็นผู้ทําสิ่งนี้อีกต่อไป แต่เป็น บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าที่ทํา ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่มีสิ่งดีอะไรอยู่ในตัวข้าพเจ้า คือในวิสัยบาปของ ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าปรารถนาจะทําสิ่งที่ดีแต่ทําไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทําสิ่งดีที่ข้าพเจ้า ต้องการทํา แต่สิ่งชั่วซึ่งข้าพเจ้าไม่ต้องการทํา ข้าพเจ้ากลับทําเรื่อยไป ถ้าข้าพเจ้าทําสิ่งที่ตนเอง ไม่ต้องการจะทําย่อมไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่ทํา แต่เป็นบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าต่างหากที่ทํา ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพบว่ามีกฎนี้อยู่คือ เมื่อข้าพเจ้าต้องการจะทําดี ความชั่วก็อยู่กับข้าพเจ้าที่นั่น แล้ว เพราะในส่วนลึกข้าพเจ้าชื่นชมในบทบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าเห็นกฎอีกข้อหนึ่งอยู่ ในกายของข้าพเจ้า กฎนี้ต่อสู้กับกฎภายในจิตใจของข้าพเจ้า และทําให้ข้าพเจ้าเป็นนักโทษของกฎ แห่งบาปซึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสังเวชอะไรเช่นนี้! ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้น จากกายแห่งความตายนี้ได้? ขอบพระคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าพ้นได้โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระ ผู้เป็นเจ้าของเรา! 7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
โรม 7:15, 18–19 บางครั้งเราต้องการที่จะทําในสิ่งที่ถูกต้อง แต่แล้วเรากลับลืม แล้วทําในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันเกิดขึ้นกับเปาโลเหมือนกัน มันไม่ง่ายเลยที่จะทําในสิ่งที่ถูกต้อง ลองคิดถึงทุกสิ่งที่ เราทําในวันนี้ แล้วขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยให้เราทําในสิ่งที่ถูกต้อง ขอพระองค์ให้อภัยสําหรับ ความผิดที่เราได้ทําด้วย โรม 7:25 | 255
ดังนั้นแล้วในด้านจิตใจข้าพเจ้าเองเป็นทาสของกฎแห่งพระเจ้า แต่ในด้านวิสัยบาปข้าพเจ้าเป็น ทาสของกฎแห่งบาป โรม 8:1
ชีวิตโดยทางพระวิญญาณ
เหตุฉะนั้นบัดนี้จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ 8 ในพระเยซู คริสต์ เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ 2
ในขอนี้เปนขาวที่ดีมาก ๆ สําหรับ เรา หากเราเชื่อในพระเยซู ทําไมมัน ถึงเปนขาวดีละ? พระเจาทรงใหอภัย เรา เราไมไดอยูภายใตการพิพากษา ของพระองค พระวิญญาณบริสุทธิ์ ของพระองคสถิตอยูในเรา และบอก เราวาตองทําอะไร ตอนนี้เราไดเปน บุตรของพระเจาแลว และวันหนึ่งเรา จะมีชีวิตอยูกับพระเยซูในสวรรค – ตลอดไป
กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่านให้ เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย เพราะสิ่ง ที่บทบัญญัติทําไม่ได้เนื่องจากวิสัยบาปทําให้อ่อนแอ นั้นพระเจ้าทรงกระทําแล้ว โดยส่งพระบุตรของ พระองค์เองมาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นคน บาปเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทํา เช่นนี้พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาปในมนุษย์ที่เป็นคน บาป เพื่อข้อกําหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติจะได้ สําเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลายผู้ไม่ดําเนินชีวิตตาม วิสัยบาป แต่ดําเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ผู้ที่ดําเนินชีวิตตามวิสัยบาปก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ แต่ผู้ที่ดําเนินชีวิตตามพระ วิญญาณก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ จิตใจของคนบาปนําไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่ พระวิญญาณทรงควบคุมนําไปสู่ชีวิตและสันติสุข จิตใจที่เต็มไปด้วยบาปก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ทั้งไม่สามารถอยู่ได้ด้วย บรรดาผู้ที่วิสัยบาปควบคุมอยู่ไม่อาจ เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้ อย่างไรก็ตามถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาปแต่ โดยพระวิญญาณ และถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์ แต่ ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไปเพราะบาป ถึงกระนั้นจิตวิญญาณของท่านก็มีชีวิต อยู่เพราะความชอบธรรม และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตายสถิต ในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจะประทานชีวิตแก่กายซึ่งต้องตายของท่าน ด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้นโดยทางพระวิญญาณของพระองค์ผู้สถิตในท่าน เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธะต่อวิสัยบาปที่จะต้องดําเนินชีวิตตาม นั้น เพราะถ้าท่านดําเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านได้ประหารการกระทําอันชั่ว ร้ายของกายของท่านโดยพระวิญญาณ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรง นําผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านไม่ได้รับวิญญาณซึ่งทําให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทําให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบา พ่อ” พระวิญญาณเองทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเรา ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า บัดนี้ ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาทคือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาท ร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของ พระองค์ด้วย 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
สง่าราศีในภายหน้า
ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบันเทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริซึ่งจะทรง สําแดงในเรา สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจดจ่อรอคอยให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ถูกทําให้ผิดเพี้ยนไร้ค่าไป ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมัน เอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มันต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว ด้วยมีความหวัง ว่าสรรพ สิ่งเหล่านั้นจะได้รับการปลดปล่อยจากการผูกมัดให้ต้องเสื่อมสลาย และจะถูกนําเข้าสู่เสรีภาพอัน รุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า 18
19
20
21
256 | โรม 8:1
โรม 8:24–25 เปาโลเขียนไว้ว่าคริสเตียนกําลังมีความหวังในบางอย่างที่ยังไม่เกิดขึ้น เรามีความหวัง ว่าพระเยซูจะทรงเสด็จกลับมา เราพูดว่า "เราหวังว่าทีมของเราจะชนะในวันพรุ่งนี้!" เราสามารถมั่นใจได้ไหมว่ามันจะเกิดขึ้น? ไม่เลย อย่างไรก็ตาม เราสามารถแน่ใจได้ ว่าพระเยซูจะทรงเสด็จกลับมา เรามั่นใจได้เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้ ให้พูดคุยกับ เพื่อนเกี่ยวกับความหวังของคริสเตียนในวันปกติธรรมดา และความหวังแบบวันต่อวัน อะไรคือความแตกต่างระหว่างความหวังทั้งสองแบบนี้? เรารู้ว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างกําลังคร่ําครวญราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตรจนถึงปัจจุบัน นี้ ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่เราเอง ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณก็ยังคร่ําครวญอยู่ภายในขณะที่เรา จดจ่อรอคอยการทรงรับเราเป็นบุตร คือการไถ่ร่างกายของเราให้รอด เพราะว่าในความหวังนี้เรา ได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้นไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ แล้ว? แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้นด้วยความอดทน ในทํานองเดียวกันพระวิญญาณทรงช่วยเราในยามเราอ่อนแอ เราไม่รู้ว่าเราควรอธิษฐานขอ สิ่งใด แต่พระวิญญาณเองทรงอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วยการคร่ําครวญที่ไม่อาจหาถ้อยคําใดมา บรรยาย และพระเจ้าผู้ทรงชันสูตรใจของเราทรงรู้พระทัยของพระวิญญาณเพราะพระวิญญาณ ทรงอธิษฐานวิงวอนแทนประชากรของพระเจ้าตามพระประสงค์ของพระเจ้า 22
23
24
25
26
27
ยิ่งกว่าผู้พิชิต
และเรารู้ว่าในทุกๆ สิ่งพระเจ้าทรงทําให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์คือผู้ที่ได้ทรงเรียก ตามพระประสงค์ของพระองค์ เพราะบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว พระองค์ก็ ทรงกําหนดไว้ก่อนแล้วให้เป็นเหมือนพระบุตรของ พระองค์ เพื่อพระบุตรจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพี่ โรม 8:31–39 น้องมากมาย และบรรดาผู้ที่ทรงกําหนดไว้ก่อนนั้น พระองค์ก็ทรงเรียกด้วย บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเรียก พระคัมภีรในตอนนี้มักจะถูกเรียกวา พระองค์ก็ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมด้วย บรรดาผู้ที่ เปน เพลงแหงชัยชนะ ถึงแมวาบุตร ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงให้รับพระ เกียรติสิริด้วย ของพระเจาจะตองประสบกับความ เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ ยากลําบากหลายอยาง ฝ่ายเราใครเล่าจะต่อสู้เราได้? พระองค์ผู้ไม่ได้ทรง แตพวกเขาก็ยังเปนผูชนะ เพราะ หวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทาน พระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตา พระเยซูทรงอยูกับพวกเขา พระองค ประทานสิ่งสารพัดแก่เราพร้อมกับพระบุตรหรือ? ไมเคยหยุดรักพวกเขา ความรักที่ ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็ ซื่อสัตยของพระองคจะโอบกอด พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม ใครจะ กล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์และ บรรดาลูก ๆ ของพระองคไว ยิ่งกว่านั้นพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 28
29
30
31
32
33
34
โรม 8:34 | 257
โรม 8:35–39 เปาโลมั่นใจว่าพระเยซูไม่เคยหยุดรักเรา พระองค์จะทรงอยู่กับเราเสมอ ให้น้อง ๆ เขียนรายการของทุกสิ่งที่ไม่สามารถแยกเราออกจากความรักของพระเยซู ได้ แล้วนับจํานวนดู สิ่งเหล่านี้มีเขียนไว้ในข้อ 35, 38 และ 39 เมื่อเกิดความยากลําบากในชีวิต และเมื่อเราไม่มีความสุข เรายังสามารถมั่นใจได้ว่า พระเยซูทรงสถิตอยู่กับเรา และพระองค์ทรงรักเรา และทรงกําลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลําบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือ คมดาบอย่างนั้นหรือ? ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ํา ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตโดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบัน หรืออนาคต หรือฤทธิ์อํานาจใดๆ ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้า ทรงสร้างล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้ เป็นเจ้าของเราได้ 35
36
37 38
39
พระเจ้าทรงอํานาจสูงสุดในการเลือกสรร
ข้าพเจ้าพูดความจริงในพระคริสต์ ข้าพเจ้าไม่ได้กําลังมุสา จิตสํานึกของข้าพเจ้ายืนยันโดย 9 พระวิ ญญาณบริสุทธิ์ว่า ข้าพเจ้าทุกข์โศกยิ่งนักและปวดร้าวใจไม่หยุดหย่อน เพราะข้าพเจ้า 2
3
ปรารถนาว่าถ้าเป็นไปได้ให้ข้าพเจ้าเองถูกสาปแช่งและถูกตัดขาดจากพระคริสต์เพื่อพี่น้องของ ข้าพเจ้าผู้เป็นคนเชื้อชาติเดียวกับข้าพเจ้า คือประชากรอิสราเอล พวกเขาได้เป็นบุตรของพระเจ้า ได้รับพระเกียรติสิริของพระเจ้า ได้รับพันธสัญญา บทบัญญัติ พิธีนมัสการในพระวิหาร และพระ สัญญาต่างๆ พวกเขามีบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ และเมื่อพระคริสต์ทรงเป็นมนุษย์ พระองค์ก็สืบเชื้อสาย มาจากพวกเขา พระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งทรงได้รับการสรรเสริญเป็นนิตย์! อาเมน ไม่ใช่ว่าพระดํารัสของพระเจ้าได้ล้มเหลวไป เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สืบเชื้อสายจากอิสราเอลเป็น อิสราเอล ทั้งไม่ใช่ทุกคนที่สืบเชื้อสายของอับราฮัมจะเป็นลูกหลานของอับราฮัม แต่ตรงกันข้าม “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะนับทางอิสอัค” กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าบุตรของพระเจ้าไม่ใช่บุตรตามสายเลือด แต่เป็นบุตรตามพระสัญญาจึงถือว่าเป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม เพราะพระสัญญาระบุไว้ว่า “เมื่อ ถึงเวลาที่กําหนดเราจะกลับมาและซาราห์จะให้กําเนิดบุตรชายคนหนึ่ง” ไม่เพียงเท่านั้น แต่บุตรทั้งหลายของเรเบคาห์ก็มีบิดาคนเดียวกันคืออิสอัคบรรพบุรุษของเรา แต่ก่อนที่บุตรฝาแฝดนั้นจะเกิดมา หรือก่อนที่พวกเขาจะทําสิ่งดีหรือชั่วใดๆ ทั้งนี้เพื่อว่าพระ ประสงค์ของพระเจ้าในการทรงเลือกจะคงอยู่ คือไม่ใช่โดยการประพฤติ แต่โดยพระองค์ผู้ทรง เรียก พระองค์จึงตรัสกับนางว่า “พี่จะรับใช้น้อง” ตามที่มีเขียนไว้ว่า “ยาโคบนั้นเรารัก ส่วน เอซาวเราชัง” 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
258 | โรม 8:35
เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? พระเจ้าไม่ยุติธรรมหรือ? ไม่ใช่เลย! เพราะพระองค์ตรัสกับ โมเสสว่า “เราประสงค์จะเมตตาใคร ก็จะเมตตาคนนั้น เราประสงค์จะกรุณาใคร ก็จะกรุณาคนนั้น” ฉะนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความปรารถนาหรือความพยายามของมนุษย์ แต่ขึ้นอยู่กับพระเมตตา ของพระเจ้า เพราะในพระคัมภีร์ พระเจ้าตรัสแก่ฟาโรห์ว่า “เรายกเจ้าให้เป็นใหญ่ก็เพื่อจุด ประสงค์ข้อนี้เอง คือเพื่อเราจะได้สําแดงฤทธิ์อํานาจของเราให้ปรากฏทางเจ้า และเพื่อนามของ เราจะเลื่องลือไปทั่วโลก” ฉะนั้นพระเจ้าทรงเมตตาผู้ที่ทรงประสงค์จะเมตตา และผู้ที่ทรง ประสงค์จะให้มีใจแข็งกระด้าง พระองค์ก็ทรงทําให้ใจของเขาแข็งกระด้าง พวกท่านบางคนอาจจะกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “ถ้าเช่นนั้นทําไมพระเจ้ายังทรงตําหนิเรา? เพราะ ใครเล่าจะขัดขืนพระประสงค์ของพระองค์ได้?” แต่มนุษย์เอ๋ย ท่านเป็นใครเล่าที่จะย้อนพระเจ้า ได้? “ควรหรือที่สิ่งที่ถูกปั้นจะพูดกับช่างปั้นว่า ‘ทําไมถึงสร้างฉันอย่างนี้’?” ช่างปั้นไม่มีสิทธิ์เอา ดินก้อนเดียวกันมาปั้นเป็นภาชนะสวยงามและปั้นเป็นภาชนะใช้สอยทั่วไปหรือ? ในเรื่องการเลือกจะสําแดงพระพิโรธและให้ฤทธานุภาพของพระองค์เป็นที่ประจักษ์นั้น จะว่า อย่างไรถ้าพระเจ้าทรงอดกลั้นพระทัยอย่างยิ่งต่อผู้ที่เป็นเป้าของพระพิโรธ ผู้ซึ่งเตรียมไว้เพื่อความ พินาศ? จะว่าอย่างไรถ้าพระองค์ทรงกระทําเช่นนี้เพื่อสําแดงพระเกียรติสิริอันอุดมแก่ผู้ที่ได้รับ พระเมตตาคุณของพระองค์ ผู้ซึ่งทรงเตรียมไว้ล่วงหน้าเพื่อพระเกียรติสิริ? แม้กระทั่งเรา ทั้งหลายก็เป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกไว้ด้วย ไม่ใช่จากพวกยิวเท่านั้น แต่จากคนต่างชาติเช่นกัน ตามที่พระองค์ตรัสในหนังสือโฮเชยาว่า “เราจะเรียกผู้ที่ไม่ใช่ประชากรของเราว่า ‘ประชากรของเรา’ เรียกผู้ที่เราไม่รักว่า ‘ผู้ที่เรารัก’ ” และ “สิ่งนี้จะเกิดขึ้นที่นั่นเอง ที่ซึ่งเราบอกพวกเขาว่า ‘เจ้าไม่ใช่ประชากรของเรา’ พวกเขาจะได้ชื่อว่า ‘บุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่’ ” อิสยาห์ประกาศเกี่ยวกับอิสราเอลว่า “แม้ชนชาติอิสราเอลจะมากมายเหมือนทรายริมทะเล ก็จะมีชนหยิบมือเดียวที่เหลืออยู่เท่านั้นที่จะได้รับการช่วยให้รอด เพราะพระเจ้าจะทรงพิพากษา ลงโทษโลกโดยฉับไวและเฉียบขาด” เหมือนที่อิสยาห์กล่าวไว้ก่อนนี้ว่า “หากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ไม่เหลือวงศ์วานไว้ให้เราบ้าง เราก็คงกลายเป็นเหมือนเมืองโสโดม เราก็คงเป็นเหมือนเมืองโกโมราห์” 14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
อิสราเอลไม่เชื่อ
เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? คนต่างชาติที่ไม่ได้ขวนขวายหาความชอบธรรมกลับได้ความชอบ ธรรม คือความชอบธรรมโดยความเชื่อ แต่ชนอิสราเอลที่ขวนขวายหาบทบัญญัติแห่งความชอบ ธรรมกลับไม่ได้รับ ทําไมจึงไม่ได้? ก็เพราะพวกเขาไม่ได้ขวนขวายหาด้วยความเชื่อ แต่ทําราวกับ ว่าจะได้มาโดยการประพฤติ พวกเขาสะดุด “ก้อนหินที่ทําให้สะดุด” ตามที่มีเขียนไว้ว่า 30
31
32
33
โรม 9:33 | 259
โรม 10:9 ให้น้อง ๆ ยืนเรียงแถว คนที่หนึ่งบอกคนที่สองว่า "พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า!" แล้วให้ คนที่สองพูดซ้ําให้คนที่สามฟัง และทําต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงคนสุดท้าย จากนั้นให้ทุกคน ตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อคริสเตียนพูดออกมาดัง ๆ ว่าพวกเขาเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ข่าวประเสริฐ ของพระเยซูจะแพร่กระจายจากบุคคลหนึ่งไปถึงอีกบุคคลหนึ่งจนกว่าจะได้ยินกันทั่ว ทุกมุมโลก “ดูเถิด เราวางหินก้อนหนึ่งไว้ในศิโยน ซึ่งทําให้ผู้คนสะดุด และศิลาที่ทําให้เขาทั้งหลายล้มลง และผู้ที่วางใจในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอายเลย” ้องทั้งหลาย ความปรารถนาในใจและคําอธิษฐานของข้าพเจ้าต่อพระเจ้าเพื่อชนชาติ 10 อิพีส่นราเอลคื อ ขอให้เขาทั้งหลายได้รับความรอด เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าพวกเขา ร้อนรนเพื่อพระเจ้า แต่ความร้อนรนของพวกเขาไม่ได้ตั้งอยู่บนความรู้ เนื่องจากพวกเขาไม่รู้จัก ความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้าและพยายามตั้งความชอบธรรมของตนเองขึ้นมา พวกเขาจึงไม่ ยอมรับความชอบธรรมของพระเจ้า พระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของบทบัญญัติเพื่อจะมีความชอบ ธรรมสําหรับทุกคนที่เชื่อ โมเสสบรรยายถึงความชอบธรรมโดยบทบัญญัติไว้อย่างนี้คือ “ผู้ใดที่ทําสิ่งเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่ โดยสิ่งเหล่านี้” แต่ความชอบธรรมโดยความเชื่อกล่าวว่า “อย่านึกในใจว่า ‘ใครเล่าจะขึ้นไปบน สวรรค์?’” (คือเชิญพระคริสต์ลงมา) “หรือ ‘ใครจะลงสู่เบื้องลึก?’” (คือเชิญพระคริสต์ขึ้นจาก ความตาย) แต่ความชอบธรรมนั้นว่าอย่างไร? “ถ้อยคํานี้อยู่ใกล้ตัวท่าน อยู่ในปากและอยู่ในใจ ของท่าน” คือถ้อยคําแห่งความเชื่อที่เรากําลังประกาศอยู่ นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของ ท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์ เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดที่วางใจใน พระองค์จะไม่ได้รับความอับอายเลย” เพราะไม่ว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติก็ไม่ต่างกันเลย พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวงและทรงอวยพรอย่างอุดมแก่ คนทั้งปวงที่ร้องเรียกพระองค์ เพราะว่า “ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้ รับการช่วยให้รอด” แล้วผู้ที่ยังไม่เชื่อจะร้องเรียกพระองค์ได้อย่างไร? และผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องของพระองค์จะ เชื่อได้อย่างไร? และหากไม่มีใครประกาศเรื่องของพระองค์ พวกเขาจะได้ยินได้อย่างไร? และถ้า ไม่มีใครส่งเขาไป เขาจะประกาศได้อย่างไร? ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เท้าของผู้นําข่าวดีมาช่างงดงาม ยิ่งนัก!” แต่ไม่ใช่ว่าคนอิสราเอลทั้งปวงจะยอมรับข่าวประเสริฐ เพราะอิสยาห์กล่าวไว้ว่า “พระองค์ เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อถ้อยคําของเรา?” ฉะนั้นความเชื่อจึงเกิดขึ้นจากการได้ยินเรื่องราวนั้น และ เรื่องราวที่ได้ยินนั้นคือพระวจนะของพระคริสต์ แต่ข้าพเจ้าขอถามว่า “พวกเขาไม่ได้ยินหรือ?” แน่นอนพวกเขาได้ยินแล้ว 2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
260 | โรม 10:1
“เสียงของพวกเขาได้ออกไปทั่วโลก ถ้อยคําของพวกเขาไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก” ข้าพเจ้าขอถามอีกว่าชนอิสราเอลไม่เข้าใจหรือ? ตอนแรกโมเสสกล่าวว่า “เราจะทําให้เจ้าอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ประชาชาติ เราจะยั่วโทสะเจ้าด้วยประชาชาติที่ไม่มีความเข้าใจ” และอิสยาห์กล้ากล่าวว่า “บรรดาผู้ที่ไม่ได้แสวงหาเราก็พบเรา เราสําแดงตนเองแก่บรรดาผู้ที่ไม่ได้เรียกหาเรา” แต่ท่านกล่าวถึงพวกอิสราเอลว่า “ตลอดวันเราได้ยื่นมือออก ให้แก่ชนชาติที่ไม่เชื่อฟังและดื้อด้าน”
19
20
21
ชนอิสราเอลที่เหลืออยู่
เช่นนั้นข้าพเจ้าขอถามว่าพระเจ้าทรงละทิ้งประชากรของพระองค์แล้วหรือ? เปล่าเลย! 11 ข้ถ้าาพเจ้ าเองก็เป็นชาวอิสราเอล เป็นเชื้อสายของอับราฮัมจากตระกูลเบนยามิน พระเจ้าไม่ 2
ได้ทรงละทิ้งประชากรของพระองค์ผู้ซึ่งทรงเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว ท่านไม่รู้พระคัมภีร์ตอนที่กล่าว ถึงเอลียาห์หรือที่เขาร้องเรียนต่อพระเจ้าเกี่ยวกับอิสราเอลว่า “พระองค์เจ้าข้า เขาทั้งหลาย สังหารเหล่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ รื้อแท่นบูชาของพระองค์ลง เหลือข้าพระองค์เพียงคน เดียวและพวกเขากําลังพยายามฆ่าข้าพระองค์”? และพระเจ้าตรัสตอบเขาว่าอย่างไร? “เราได้ สงวนคนไว้สําหรับเราเจ็ดพันคนซึ่งไม่ได้คุกเข่ากราบไหว้พระบาอัล” เช่นนั้นแหละ ในปัจจุบันนี้ ก็ยังมีคนที่เหลืออยู่ซึ่งทรงเลือกสรรไว้โดยพระคุณ และถ้าทรงเลือกโดยพระคุณย่อมไม่ใช่โดยการ ประพฤติอีกต่อไป เพราะถ้าโดยการประพฤติ พระคุณจะไม่ใช่พระคุณอีกต่อไป แล้วเป็นอย่างไร? อิสราเอลไม่ได้สิ่งที่เขาขวนขวายหา แต่ผู้ที่ทรงเลือกกลับได้รับ คนอื่นๆ นอกจากนั้นถูกทําให้มีใจแข็งกระด้าง ตามที่มีเขียนไว้ว่า “พระเจ้าทรงให้เขามีจิตใจที่มึนชา มีตาที่ไม่อาจมองเห็น และหูที่ไม่อาจได้ยิน จนถึงทุกวันนี้” 3
4
5
6
7
8
โรม 10:10–13 เคยมีคนที่สัญญาบางสิ่งบางอย่างกับน้อง ๆ แล้วเขาผิดสัญญาไหม? มันรู้สึกอย่างไร (เลือกสีจากกราฟสีของอุ่นใจ ในหน้า 11)? อุ่นใจ คิดว่าน้อง ๆ ต้องรู้สึกผิดหวังและ โกรธมาก ข้อความในตอนนี้บอกเราว่าคนที่เชื่อในพระเยซูจะไม่ผิดหวัง พระองค์ทรงช่วยทุก คนที่เชื่อในพระองค์ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม อะไรที่ตรงข้ามกับความผิดหวัง? เลือกสีจากกราฟสีของอุ่นใจ เพื่ออธิบายคําตอบของเรา โรม 11:8 | 261
และดาวิดตรัสว่า “ขอให้สํารับของพวกเขากลายเป็นบ่วงแร้วและเป็นกับดัก เป็นหินสะดุดและเป็นการลงโทษสําหรับพวกเขา ขอให้ดวงตาของพวกเขามืดมัวไป พวกเขาจะได้มองไม่เห็น และขอให้หลังของพวกเขาค้อมลงตลอดไป”
9
10
กิ่งที่นํามาต่อเข้ากับต้น
ข้าพเจ้าถามอีกว่าพวกเขาสะดุดล้มจนลุกไม่ขึ้นหรือ? ไม่ใช่เลย! แต่เพราะการล่วงละเมิดของ เขา ความรอดจึงมาถึงคนต่างชาติเพื่อให้อิสราเอลอิจฉา แต่ถ้าการล่วงละเมิดของเขาหมายถึง ความไพบูลย์สําหรับโลก และการสูญเสียของเขาหมายถึงความไพบูลย์สําหรับคนต่างชาติแล้ว ความบริบูรณ์ของเขาจะยิ่งนําความไพบูลย์มาให้มากมายเพียงใด! ข้าพเจ้ากําลังพูดกับพวกท่านซึ่งเป็นคนต่างชาติ และในฐานะอัครทูตมายังคนต่างชาติ ข้าพเจ้าให้ความสําคัญกับพันธกิจของตน โดยหวังว่าข้าพเจ้าอาจจะกระตุ้นพี่น้องร่วมชาติให้ เกิดความอิจฉาและช่วยพวกเขาบางคนให้รอดได้ เพราะถ้าการที่พระเจ้าทรงละทิ้งพวกเขา เป็น เหตุให้โลกกลับคืนดีกับพระองค์แล้ว การที่พระองค์ทรงรับพวกเขากลับมาอีกนั้น จะเป็นอะไร นอกจากการมีชีวิตเป็นขึ้นจากตาย? ถ้าแป้งส่วนที่ถวายเป็นผลแรกนั้นบริสุทธิ์ แป้งทั้งก้อนย่อม บริสุทธิ์ ถ้ารากบริสุทธิ์ กิ่งทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วย หากบางกิ่งถูกหักออกไป และแม้ท่านจะเป็นหน่อมะกอกป่า ก็ถูกนํามาต่อเข้าท่ามกลางกิ่ง อื่นๆ และบัดนี้ได้รับน้ําหล่อเลี้ยงจากรากมะกอก ก็อย่าโอ้อวดข่มกิ่งเหล่านั้น ถ้าท่านโอ้อวด จง ระลึกเถิดว่า ท่านไม่ได้ค้ําชูราก แต่รากค้ําชูท่าน แล้วท่านอาจจะพูดว่า “กิ่งพวกนั้นถูกหักออก เพื่อจะได้นําเรามาต่อกิ่งเข้าไป” ก็จริงอยู่ แต่ที่พวกเขาถูกหักออกไปเพราะไม่เชื่อ ส่วนท่านอยู่ได้ ก็เพราะความเชื่อ อย่าหยิ่งผยองเลย แต่จงเกรงกลัว เพราะถ้าพระเจ้ายังไม่ทรงละเว้นกิ่งเดิมไว้ พระองค์จะไม่ทรงละเว้นท่านไว้เช่นกัน ฉะนั้นจงพิจารณาทั้งความกรุณาและความเข้มงวดของพระเจ้าคือ ทรงเข้มงวดกับพวกนั้นที่ ล้มไป แต่ทรงกรุณาท่านก็ต่อเมื่อท่านคงอยู่ในความกรุณาของพระองค์ มิฉะนั้นท่านก็จะถูกตัด ออกด้วย และถ้าพวกเขาไม่ดื้อรั้นอยู่ในความไม่เชื่อ ก็จะทรงนําพวกเขามาต่อกิ่งเข้าไป เพราะว่า พระเจ้าทรงสามารถนําพวกเขามาต่อกิ่งเข้าอีกได้ ในที่สุดถ้าท่านถูกตัดจากต้นซึ่งตามธรรมชาติ เป็นมะกอกป่า และนํามาต่อกิ่งเข้ากับต้นมะกอกสวนซึ่งเป็นการขัดกับธรรมชาติ จะง่ายยิ่งกว่านั้น สักเท่าใดที่จะนํากิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติมาต่อเข้ากับต้นเดิมของมันเอง! 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
อิสราเอลทั้งหมดจะรอด
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่รู้เรื่องข้อล้ําลึกนี้ เพื่อท่านจะได้ไม่ทะนงตน คือ อิสราเอลบางส่วนจะมีใจแข็งกระด้างจนกว่าคนต่างชาติได้เข้ามาครบจํานวน เมื่อนั้นอิสราเอล ทั้งหมดจะรอด ตามที่มีเขียนไว้ว่า “องค์ผู้ช่วยกู้จะเสด็จมาจากศิโยน พระองค์จะทรงขจัดความอธรรมให้พ้นจากยาโคบ และนี่เป็นพันธสัญญาของเรากับพวกเขา เมื่อเรายกบาปผิดของพวกเขาไป” ในแง่ของข่าวประเสริฐ พวกเขาเป็นศัตรูเพื่อเห็นแก่พวกท่าน แต่ในแง่ของการทรงเลือก พวกเขาเป็นที่รักเพื่อเห็นแก่เหล่าบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ เพราะของประทานและการทรงเรียกของ พระเจ้านั้นไม่ผันแปร เหมือนที่พวกท่านเองผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยไม่เชื่อฟังพระเจ้า บัดนี้ได้รับพระ เมตตาอันเป็นผลมาจากการไม่เชื่อฟังของพวกเขา เช่นเดียวกัน บัดนี้พวกเขาเองไม่เชื่อฟัง เพื่อ 25
26
27
28
29
30
31
262 | โรม 11:9
บัดนี้ พวกเขาก็จะได้รับพระเมตตาอันเป็นผลมาจากพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อพวกท่าน เพราะว่าพระเจ้าทรงปล่อยให้มนุษย์ทั้งปวงไม่เชื่อฟังเพื่อพระองค์จะทรงเมตตาพวกเขาทั้งปวง 32
เพลงสรรเสริญ
โอ ความมั่งคั่งแห่งพระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้าช่างล้ําลึกยิ่งนัก! ข้อวินิจฉัยของพระองค์สุดที่จะหยั่งคะเน และวิถีทางของพระองค์เกินกว่าจะสืบเสาะ! “ใครเล่าจะหยั่งรู้พระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า? หรือใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์?” “ใครเล่าเคยถวายสิ่งใดให้พระเจ้า โรม 12:1–2 ที่พระเจ้าจะต้องชดใช้เขา?” เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์ ในพันธสัญญาเดิม ผู้คนจะนําสัตว์มา และเพื่อพระองค์ เป็นเครื่องบูชาถวายแด่พระเจ้า พวก ขอพระเกียรติสิริจงมีแด่พระองค์ตลอด เขาถวายสัตว์เหล่านี้แก่พระเจ้า เพื่อ นิรันดร์! อาเมน แสดงให้เห็นว่าชีวิตของพวกเขาเป็น เครื่องบูชาอันมีชีวิต ของพระองค์ คริสเตียนไม่นําสัตว์มา เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อพิจารณาถึงพระ ทําเป็นเครื่องบูชา แต่ถวายตัวเองแด่ 12 เมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้ง พระเจ้า หลายถวายตัวของท่านแด่พระเจ้าเป็นเครื่องบูชาที่มี นี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนของ ชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการ นมัสการที่แท้จริง อย่าดําเนินชีวิตตามอย่างคนในโลก พระเจ้า และพวกเขาเชื่อฟังพระองค์ ในทุกอย่างที่พวกเขาทํา นี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้ว ท่านจึงจะสามารถพิสูจน์และยืนยันได้ว่าสิ่งใดคือพระ ประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัยและสมบูรณ์พร้อมของพระองค์ เพราะโดยพระคุณซึ่งได้ประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่พวกท่านทุกคนว่าอย่าคิด ประเมินตนเองสูงกว่าที่ควร แต่จงคิดประเมินตนอย่างมีสติตามระดับความเชื่อที่พระเจ้าได้ ประทานแก่ท่าน เราแต่ละคนมีกายเดียวซึ่งประกอบด้วยอวัยวะหลายอย่าง และอวัยวะเหล่านั้น ล้วนมีหน้าที่ไม่เหมือนกันฉันใด ในพระคริสต์พวกเราซึ่งมีกันหลายคนก็ประกอบเข้าเป็นกายเดียว และแต่ละอวัยวะก็เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะทั้งหมดฉันนั้น เรามีของประทานแตกต่างกันตาม พระคุณที่ได้ประทานแก่เรา ถ้าผู้ใดมีของประทานด้านการเผยพระวจนะ ก็ให้ผู้นั้นใช้ของประทาน นี้ตามขนาดความเชื่อที่เขามี ถ้ามีด้านการปรนนิบัติรับใช้ ก็ให้เขาปรนนิบัติรับใช้ ถ้ามีด้านการสั่ง สอน ก็ให้เขาสั่งสอน ถ้ามีด้านการให้กําลังใจ ก็ให้เขาให้กําลังใจ ถ้ามีด้านการช่วยเหลือในสิ่งที่ผู้ อื่นขัดสน ก็ให้เขาให้ด้วยใจกว้างขวาง ถ้ามีด้านการเป็นผู้นํา ก็ให้เขาปกครองด้วยความเอาใจใส่ ถ้ามีด้านการแสดงความเมตตา ก็ให้เขาทําด้วยใจยินดี 33
34
35
36
2
3
4
5
6
7
8
ความรัก
จงรักด้วยใจจริง จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี จงรักกันฉันพี่น้อง จงให้เกียรติกัน และกันโดยถือว่าผู้อื่นดีกว่าตน อย่าขาดความกระตือรือร้น แต่จงรักษาความร้อนรนฝ่ายจิต วิญญาณของท่านไว้และรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า จงชื่นชมยินดีในความหวัง อดทนต่อความทุกข์ ยากและสัตย์ซื่อในการอธิษฐาน จงแบ่งปันแก่ประชากรของพระเจ้าที่ขาดแคลน จงสําแดงน้ําใจ รับรองแขก จงอวยพรแก่ผู้ที่ข่มเหงท่าน จงอวยพรและอย่าแช่งด่าเลย จงชื่นชมยินดีร่วมกับผู้ที่ชื่นชม ยินดี จงเศร้าโศกร่วมกับผู้ที่เศร้าโศก จงอยู่ร่วมกันด้วยความกลมเกลียว อย่าหยิ่งผยอง แต่จง เต็มใจคบหาสมาคมกับคนที่มีฐานะต่ํา อย่าทะนงตน 9
10
11
12
13
14
15
16
โรม 12:16 | 263
โรม 12:18 การเป็นเพื่อนนั้นย่อมดีกว่าการเป็นศัตรู ไบรท์ สงสัยว่าเราสามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกับ ทุกคนอย่างสงบสุขได้อย่างไร มีใครไหมที่น้อง ๆ ต้องพยายามที่จะอยู่กับเขาอย่างสงบ สุข? ดูซิว่าน้อง ๆ สามารถหาทางที่จะอยู่กับเขาอย่างสงบสุขได้หรือไม่ เมตตาต่อพวกเขา ช่วยเหลือพวกเขา เมือ่ หมดหนึง่ วันแล้ว ให้นอ้ ง ๆ เขียนความรูส้ กึ ของน้อง ๆ เมือ่ น้อง ๆ สามารถควบคุมตัวให้มีความเมตตา และช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างสําเร็จ อย่าทําชั่วตอบแทนคนที่ทําชั่ว จงใส่ใจที่จะทําสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของทุกคน ถ้าเป็นได้ เท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่ร่วมกับทุกคนอย่างสงบสุข เพื่อนเอ๋ย อย่าแก้แค้น แต่จงปล่อย ให้พระเจ้าทรงสําแดงพระพิโรธ เพราะมีเขียนไว้ว่า “การแก้แค้นเป็นหน้าที่ของเราเอง เราจะคืน สนอง” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ อย่าแก้แค้นเลย ตรงกันข้าม “หากศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารแก่เขา เมื่อเขากระหาย จงให้เขาดื่ม การทําเช่นนี้ ท่านจะสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา” อย่าพ่ายแพ้แก่ความชั่ว แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี 17
18
19
20
21
การยอมเชื่อฟังผู้มีอํานาจปกครอง
ทุกคนต้องยอมตนเชื่อฟังผู้มีอํานาจปกครอง 13 เพราะไม่ มีผู้ใดมีอํานาจเว้นแต่พระเจ้าได้ทรง
โรม 12 – 13
สถาปนา ผู้มีอํานาจต่างๆ ที่มีอยู่ ล้วนได้รับการแต่ง เราแสดงใหเห็นวาเรารักพระเจา เมื่อ ตั้งจากพระเจ้า ฉะนั้นผู้ที่กบฏต่อผู้มีอํานาจก็กําลัง กคนที่อยูรอบขางตัวเรา เปาโล กบฏต่อผู้ที่พระเจ้าได้ทรงสถาปนา และผู้ที่ทําเช่นนั้น เรารั บอกเราวิธีการแสดงความรักตอ จะนําโทษมาสู่ตนเอง เพราะว่าผู้ปกครองบ้านเมือง คริสเตียนคนอื่น ๆ และคนที่ไมเชื่อ นั้นไม่น่ากลัวสําหรับคนที่ทําถูก แต่น่ากลัวสําหรับคน ในพระเยซู ทั้งชีวิตของเราควรจะ ที่ทําผิด ท่านอยากจะพ้นจากความกลัวผู้มีอํานาจใช่ สองประกายดวยความรักของพระ ไหม? ถ้าเช่นนั้นก็จงทําสิ่งที่ถูกต้อง แล้วเขาจะชมเชย เยซู ถึงแมวาเราจะไมเห็นดวยกับ เราตองจําไววาเราจะไมหยุด ท่าน เพราะเขาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ บางคน รักพวกเขา สุขของท่าน แต่ถ้าท่านทําผิดก็จงกลัวเถิด เพราะ เขาไม่ได้ถือดาบไว้เฉยๆ เขาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า เป็นตัวแทนของพระพิโรธที่จะนําการลงโทษมาสู่ผู้กระทําผิด ฉะนั้นเราจึงต้องยอมเชื่อฟังผู้มี อํานาจไม่เพียงเพราะกลัวการลงโทษ แต่เพราะเห็นแก่จิตสํานึกด้วย และนี่คือเหตุผลที่ท่านเสียภาษี เพราะผู้มีอํานาจเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ให้เวลาทั้งหมดของ ตนในการปกครองบ้านเมือง จงให้แก่ทุกคนในสิ่งที่ท่านติดค้างเขาคือ ถ้าท่านติดค้างส่วยสาอากร จงเสียส่วยสาอากร ถ้าติดค้างภาษี จงเสียภาษี ถ้าควรให้ความเคารพ จงให้ความเคารพ ถ้าควรให้ เกียรติ จงให้เกียรติ 2
3
4
5
6
7
264 | โรม 12:17
จงรักกันเพราะวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
อย่าติดค้างเป็นหนี้ใคร เว้นแต่หนี้ซึ่งไม่อาจจ่ายคืนได้หมด คือความรักที่มีต่อกันและกัน เพราะ ผู้ที่รักเพื่อนมนุษย์ก็ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติอย่างครบถ้วนแล้ว พระบัญญัติที่ว่า “อย่าล่วง ประเวณี” “อย่าฆ่าคน” “อย่าลักขโมย” “อย่าโลภ” และพระบัญญัติอื่นๆ ล้วนรวมอยู่ในข้อนี้คือ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” ความรักไม่ทําร้ายเพื่อนบ้านของตน ฉะนั้นการมีความรักจึง เป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติอย่างครบถ้วนแล้ว และจงทําอย่างนี้ด้วยเข้าใจว่าปัจจุบันเป็นเวลาอะไร ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะตื่นจากหลับเพราะ บัดนี้ความรอดของเราใกล้เข้ามามากยิ่งกว่าเมื่อเราแรกเชื่อ กลางคืนเกือบจะจบสิ้นลง จวนจะ รุ่งเช้าแล้ว ดังนั้นให้เราถอดพฤติการณ์ของความมืดออกไปและสวมยุทธภัณฑ์ของความสว่าง ให้ เราประพฤติตนอย่างเหมาะสมเหมือนอยู่ในเวลากลางวัน ไม่เที่ยวมั่วสุม เสพสุราเมามาย ไม่ทําผิด ศีลธรรมทางเพศและเสเพล ไม่แตกก๊กแตกเหล่าและอิจฉาริษยากัน แต่จงประดับกายด้วยองค์ พระเยซูคริสต์เจ้า และอย่าคิดว่าจะสนองความปรารถนาของวิสัยบาปอย่างไรดี 8
9
10
11
12
13
14
ผู้อ่อนแอและผู้เข้มแข็ง
บผู้ที่อ่อนแอในความเชื่อโดยไม่ตัดสินเขาในเรื่องที่มีความเห็นแตกต่างกัน คนหนึ่ง 14 เชืจงยอมรั ่อว่ากินได้ทุกอย่าง แต่อีกคนหนึ่งซึ่งมีความเชื่ออ่อนแอกินแต่ผักเท่านั้น คนที่กินทุกอย่าง 2
3
อย่าดูถูกคนที่ไม่กิน และคนที่ไม่กินก็อย่ากล่าวโทษคนที่กิน เพราะพระเจ้าทรงยอมรับเขาแล้ว ท่านเป็นใครเล่าที่จะตัดสินบ่าวของคนอื่น? เขาจะได้ดีหรือล้มเหลวก็แล้วแต่นายของเขา และเขา จะได้ดีเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสามารถทําให้เขาได้ดี คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งศักดิ์สิทธิ์กว่าอีกวันหนึ่ง ส่วนอีกคนถือว่าทุกวันเหมือนกันหมด แต่ละคน ควรแน่ใจในความคิดเห็นของตนอย่างเต็มที่ ผู้ที่ถือวันหนึ่งวันใดเป็นพิเศษก็ถือเพื่อองค์พระผู้เป็น เจ้า ผู้ที่กินเนื้อก็กินเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะเขาขอบพระคุณพระเจ้า และผู้ที่ไม่กินก็ไม่กินเพื่อ องค์พระผู้เป็นเจ้าและขอบพระคุณพระเจ้า เพราะไม่มีพวกเราสักคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองเท่านั้น และไม่มีพวกเราสักคนที่ตายเพื่อตัวเองเท่านั้น ถ้าเราอยู่ เราก็อยู่เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และถ้า เราตาย เราก็ตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นไม่ว่าเราจะอยู่หรือตาย เราก็เป็นขององค์พระผู้เป็น เจ้า เพราะเหตุนี้เองพระคริสต์จึงสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์ เพื่อพระองค์จะทรงเป็นองค์พระ ผู้เป็นเจ้าของทั้งคนตายและคนเป็น แล้วท่านเล่าทําไมจึงตัดสินพี่น้องของตน? เหตุใดจึงดูถูกพี่ น้องของตน? เพราะพวกเราทั้งหมดจะต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า ตามที่มีเขียน ไว้ว่า 4
5
6
7
8
9
10
11
โรม 14:1–13 ต้นไม้ สังเกตเห็นว่าชาวคริสเตียนในกรุงโรมเถียงกันเรื่องอาหารที่พวกเขาควรจะกิน เปาโลบอกว่าประเภทของอาหารที่เรากินมันเป็นเรื่องส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม เรามี ชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมันเป็นสิ่งสําคัญที่จะให้เกียรติพระองค์ด้วยอาหารที่เรากิน นั่นหมายถึงการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ควรกินมากเกินไป และอย่ากินทิ้งกินขว้าง แบ่งอาหารของเราให้กับบุคคลที่หิวโหย นี่คือสิ่งที่สําคัญ ไม่ใช่ประเภทของอาหารที่อยู่บนจานของเรา! โรม 14:11 | 265
โรม 12–16 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เรามีชีวิตอยู่แน่ ฉันใด ในส่วนแรกของจดหมาย เปาโล ทุกคนจะคุกเข่ากราบลงต่อหน้าเรา อธิบายถึงสิ่งที่เราเชื่อ และในส่วนที่ ทุกลิ้นจะสารภาพต่อพระเจ้า’ ” สอง เปาโลอธิบายว่าเราต้องดําเนิน ดังนั้นแล้วพวกเราแต่ละคนจะต้องทูลให้การเรื่องราว ชีวิตอย่างไร ถ้าเราต้องการแสดงให้ ของตนเองต่อพระเจ้า คนอื่นเห็นว่าเรารักพระเยซูเจ้า เหตุฉะนั้นให้เราเลิกตัดสินกัน แต่จงตัดสินใจว่าจะ ไม่วางสิ่งที่ทําให้สะดุดหรือวางเครื่องกีดขวางในทาง ของพี่น้อง ในฐานะผู้ที่อยู่ในองค์พระเยซูเจ้า ข้าพเจ้าแน่ใจอย่างเต็มที่ว่าไม่มีอาหารใดเป็นมลทิน ในตัวของมันเอง แต่ถ้าใครถือว่าสิ่งใดเป็นมลทิน สิ่งนั้นก็เป็นมลทินสําหรับเขา ถ้าพี่น้องของ ท่านลําบากใจเพราะสิ่งที่ท่านกิน ท่านก็ไม่ได้ประพฤติตนด้วยความรักอีกต่อไป อย่าให้การกินของ ท่านทําลายพี่น้องซึ่งพระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเขา อย่าให้สิ่งที่ท่านเห็นว่าดีถูกกล่าวขวัญว่า เป็นสิ่งชั่วร้าย เพราะอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของการกินการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรม สันติสุขและความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะผู้ใดรับใช้พระคริสต์เช่นนี้ก็เป็นที่พอ พระทัยพระเจ้าและเป็นที่พอใจมนุษย์ ฉะนั้นให้เราพยายามทุกวิถีทางที่จะทําสิ่งซึ่งนําไปสู่ความสงบสุขและการเสริมสร้างซึ่งกันและ กัน อย่าทําลายการงานของพระเจ้าเพราะเห็นแก่อาหารเลย จริงอยู่อาหารทุกอย่างปราศจาก มลทิน แต่ถ้ารับประทานสิ่งใดแล้วทําให้คนอื่นสะดุดก็ผิด เป็นการดีกว่าที่จะไม่รับประทานเนื้อ สัตว์ หรือดื่มเหล้าองุ่น หรือทําสิ่งอื่นใดซึ่งจะเป็นเหตุให้พี่น้องล้มลง ดังนั้นสิ่งใดๆ ก็ตามที่ท่านเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ จงเก็บไว้เป็นเรื่องระหว่างท่านเองกับ พระเจ้าเถิด ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่กล่าวโทษตนเองในสิ่งที่เขาเห็นชอบ แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขา กินก็มีความผิด เพราะเขาไม่ได้กินตามความเชื่อ และการกระทําใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อก็ เป็นบาป เราที่เข้มแข็งควรอดทนต่อความพลั้งพลาดของผู้ที่อ่อนแอและไม่ทําตามใจชอบของเรา 15 เอง เราแต่ละคนควรทําให้เพื่อนบ้าน พอใจอันเป็นผลดีแก่เขา เพื่อเสริมสร้างเขาขึ้น เพราะแม้แต่พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงทําสิ่งที่พระองค์เองพอพระทัย แต่ตามที่มีเขียนไว้ว่า “การหมิ่น ประมาทของผู้ที่สบประมาทพระองค์ได้ตกอยู่แก่ข้าพระองค์” เพราะทุกสิ่งที่เขียนไว้ในอดีตก็ เขียนขึ้นเพื่อสอนเรา เพื่อว่าเราจะได้มีความหวังโดยความทรหดอดทนและการให้กําลังใจจากพระ คัมภีร์ ขอพระเจ้าผู้ประทานความทรหดอดทนและกําลังใจทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายติดตามพระเยซู คริสต์ด้วยความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าด้วย ปากและใจเดียวกัน พระองค์คือพระเจ้าและพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ฉะนั้นจงยอมรับซึ่งกันและกันเหมือนที่พระคริสต์ทรงยอมรับท่าน เพื่อจะนําการสรรเสริญ มาถวายแด่พระเจ้า เพราะข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าพระคริสต์ได้กลายเป็นผู้รับใช้ของพวกยิว อัน เป็นการสําแดงความสัตย์จริงของพระเจ้า เพื่อยืนยันพระสัญญาที่ทรงให้ไว้กับเหล่าบรรพชนผู้ยิ่ง ใหญ่ เพื่อว่าคนต่างชาติจะถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้า เนื่องด้วยพระเมตตาของพระองค์ ตาม ที่มีเขียนไว้ว่า “ด้วยเหตุนี้ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางคนต่างชาติ จะร้องบทเพลงสรรเสริญแด่พระนามของพระองค์” และกล่าวอีกว่า 12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
2
3
4
5
6
7
8
9
10
266 | โรม 14:12
“คนต่างชาติทั้งหลายเอ๋ย จงชื่นชมยินดีร่วมกับประชากรของพระองค์เถิด” และอีกตอนหนึ่งที่ว่า “คนต่างชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ชนชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงร้องเพลงสรรเสริญพระองค์” และอิสยาห์กล่าวด้วยว่า “รากแห่งเจสซีจะผุดขึ้น ผู้ซึ่งจะขึ้นมาเพื่อครอบครองนานาประชาชาติ คนต่างชาติทั้งหลายจะหวังในพระองค์” ขอพระเจ้าแห่งความหวังทรงให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดีและสันติสุขทั้งปวงเมื่อท่าน วางใจในพระองค์ เพื่อว่าท่านจะเปี่ยมล้นด้วยความหวังโดยฤทธิ์อํานาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ 11
12
13
เปาโลผู้รับใช้มายังคนต่างชาติ
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเองแน่ใจว่าพวกท่านเองบริบูรณ์ด้วยความดี เพียบพร้อมด้วยความรู้ และสามารถสั่งสอนกันและกันได้ ที่ข้าพเจ้ากล้าเขียนบางเรื่องถึงท่านราวกับว่าเพื่อจะเตือนท่าน ในเรื่องเหล่านั้นอีกครั้ง ก็เพราะพระคุณที่พระเจ้าได้ประทานแก่ข้าพเจ้า ให้เป็นผู้รับใช้ของพระ เยซูคริสต์มายังคนต่างชาติ ทําหน้าที่ปุโรหิตประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพื่อว่าคนต่างชาติ จะได้กลายเป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงยอมรับ ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงชําระให้บริสุทธิ์แล้ว ฉะนั้นในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าภูมิใจในสิ่งต่างๆ ที่ได้ทําให้แก่พระเจ้า ข้าพเจ้าไม่กล้ากล่าว ถึงสิ่งใดนอกเหนือจากสิ่งที่พระคริสต์ทรงกระทําผ่านทางข้าพเจ้า ในการนําคนต่างชาติมาเชื่อ ฟังพระเจ้าด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดและทํา คือด้วยฤทธิ์อํานาจแห่งหมายสําคัญและการอัศจรรย์ ต่างๆ โดยทางฤทธิ์อํานาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าจึงได้ประกาศข่าวประเสริฐของ พระคริสต์อย่างครบถ้วนในทุกที่ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มไปทั่วจนจดเมืองอิลลีริคุม ข้าพเจ้ามุ่งมาด ปรารถนาเสมอมาว่าจะประกาศข่าวประเสริฐในที่ซึ่งไม่มีใครรู้จักพระคริสต์ เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้ ไม่ก่อขึ้นบนฐานรากที่คนอื่นวางไว้ ตามที่มีเขียนไว้ว่า “ผู้ที่ไม่เคยมีใครบอกเรื่องพระองค์จะได้เห็น และผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนจะเข้าใจ” นี่คือเหตุที่ขัดขวางข้าพเจ้าอยู่เสมอ ทําให้ข้าพเจ้าไม่ได้มาหาพวกท่าน 14
15
16
17
18
19
20
21
22
เปาโลวางแผนจะไปกรุงโรม
แต่บัดนี้ไม่มีที่ใดเหลือให้ข้าพเจ้าทํางานในภูมิภาคเหล่านี้แล้ว และเนื่องจากข้าพเจ้าปรารถนา ที่จะมาพบพวกท่านหลายปีแล้ว ข้าพเจ้าจึงวางแผนจะมาพบท่านตอนไปประเทศสเปน ข้าพเจ้า หวังว่าจะได้มาเยี่ยมเยียนท่านขณะเดินทางผ่านไป และหวังจะให้ท่านช่วยเหลือข้าพเจ้าในการ เดินทางไปที่นั่น หลังจากได้สังสรรค์อยู่กับพวกท่านสักระยะหนึ่ง แต่ขณะนี้ข้าพเจ้ากําลังเดิน ทางไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อช่วยเหลือประชากรของพระเจ้าที่นั่น เพราะพี่น้องในแคว้นมาซิโดเนีย และแคว้นอาคายายินดีที่จะบริจาคให้ผู้ยากไร้ในหมู่ประชากรของพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม พวก เขายินดีที่จะทําเช่นนั้น และอันที่จริงพวกเขาก็เป็นหนี้พี่น้อง เหล่านั้นด้วย เพราะถ้าคนต่างชาติ มีส่วนร่วมในพระพรฝ่ายจิตวิญญาณของชาวยิว พวกเขาก็เป็นหนี้พี่น้องชาวยิว เขาควรที่จะแบ่ง ปันพระพรฝ่ายวัตถุให้พี่น้องเหล่านั้น ดังนั้นหลังจากเสร็จภารกิจนี้ และดูแลจนแน่ใจว่าพวกพี่ น้องได้รับผลนี้เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไปประเทศสเปนและแวะเยี่ยมพวกท่านระหว่างทาง ข้าพเจ้ารู้ว่าเมื่อมาหาท่าน ข้าพเจ้าจะมาพร้อมด้วยพระพรอันเต็มบริบูรณ์ของพระคริสต์ 23
24
25
26
27
28
29
โรม 15:29 | 267
โรม 12:13 ซีโมนมาจากเมืองไซรีน เป็นบุคคลที่ช่วยพระเยซูแบกไม้กางเขน เขามีลูกชาย 2 คน ชื่อว่า อเล็กซานเดอร์ และรูฟัส (มาระโก 15:21) เปาโลกําลังเขียนถึงใครบางคนที่ชื่อ ว่า รูฟัส เขาใช่ลูกชายของซีโมนหรือเปล่า? เราคิดว่าซีโมนและครอบครัวของเขากลายเป็นสาวกของพระเยซู และเป็นส่วนหนึ่ง ของคริสตจักรในกรุงโรม ต้นไม้ ยังพบอีกว่าไซรีน เป็นเมืองที่อยู่ในประเทศลิเบีย ใน ทวีปแอฟริกาเหนือ น้องๆ ลองหาประเทศลิเบียบนแผนที่ของทวีปแอฟริกาดูซิ? พี่น้องทั้งหลาย โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราและโดยความรักจากพระวิญญาณข้าพเจ้า ขอให้พวกท่านร่วมในการดิ้นรนต่อสู้ของข้าพเจ้าด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อข้าพเจ้า ขอ อธิษฐานให้ข้าพเจ้าได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากผู้ไม่เชื่อทั้งหลายในแคว้นยูเดีย และขอให้ ประชากรของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็มยอมรับความช่วยเหลือของข้าพเจ้า เพื่อว่าโดยพระ ประสงค์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะได้มาหาพวกท่านด้วยความชื่นชมยินดีและได้รับความชื่นใจร่วม กันกับพวกท่าน ขอพระเจ้าแห่งสันติสุขสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด อาเมน 30
31
32
33
คําทักทายส่วนตัว
ข้าพเจ้าขอฝากเฟบีน้องสาวของเราซึ่งเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักรในเมืองเคนเครีย ข้าพเจ้า 16 ขอให้ ท่านรับนางไว้ในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างที่สมควรแก่ประชากรของพระเจ้า และช่วย 2
เหลือนางตามความจําเป็น เพราะนางได้ช่วยเหลือคนมากมายรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย ขอฝากความคิดถึงมายังปริสสิลลากับอาควิลลาเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าในพระเยซู คริสต์ ทั้งสองเสี่ยงชีวิตเพื่อข้าพเจ้า ไม่เพียงข้าพเจ้าเท่านั้น แต่คริสตจักรทั้งปวงของ คนต่างชาติก็สํานึกในบุญคุณของพวกเขาด้วย ขอฝากความคิดถึงมายังคริสตจักรซึ่งมาประชุมกันที่บ้านของทั้งสองด้วย ฝากความคิดถึงมายังเอเปเนทัสเพื่อนที่รักของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคนแรกในแคว้นเอเชียที่ กลับใจมาเชื่อในพระคริสต์ ขอฝากความคิดถึงมายังมารีย์ผู้ตรากตรําทํางานเพื่อท่านทั้งหลาย ขอฝากความคิดถึงมายังอันโดรนิคัสกับยูนีอัสญาติของข้าพเจ้าซึ่งเคยติดคุกกับข้าพเจ้า พวกเขาทั้งสองโดดเด่นในหมู่อัครทูต และมาเชื่อในพระคริสต์ก่อนข้าพเจ้า ขอฝากความคิดถึงมายังอัมพลีอาทัสผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอฝากความคิดถึงมายังอูรบานัส เพื่อนร่วมงานของเราในพระคริสต์ และสทาคิสเพื่อน ที่รักของข้าพเจ้า ขอฝากความคิดถึงมายังอาเป็ลเลสผู้ถูกทดสอบและได้รับการรับรองแล้วในพระคริสต์ ขอฝากความคิดถึงมายังบรรดาผู้ที่อยู่ในครัวเรือนของอาริสโทบูลลัส ขอฝากความคิดถึงมายังเฮโรดิโอนญาติของข้าพเจ้า ขอฝากความคิดถึงมายังครัวเรือนของนารซิสซัสผู้อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอฝากความคิดถึงมายังตรีเฟนาและตรีโฟสา สตรีผู้ตรากตรําทํางานในองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอฝากความคิดถึงมายังเปอร์ซิสเพื่อนที่รักของข้าพเจ้า สตรีอีกท่านผู้ตรากตรําทํางานใน องค์พระผู้เป็นเจ้า 3
4
5
6 7
8 9
10
11
12
268 | โรม 15:30
ขอฝากความคิดถึงมายังรูฟัสผู้ที่ทรงเลือกไว้ในองค์พระผู้เป็นเจ้า และมารดาของเขาผู้ได้ เป็นมารดาของข้าพเจ้าด้วย ขอฝากความคิดถึงมายังอาสินครีทัส ฟเลโกน เฮอร์เมส ปัทโรบัส เฮอร์มาส และบรรดาพี่ น้องที่อยู่กับพวกเขา ขอฝากความคิดถึงมายังฟีโลโลกัส ยูเลีย เนเรอัสกับน้องสาวของเขา และโอลิมปัสกับ ประชากรของพระเจ้าทุกคนที่อยู่กับพวกเขา จงทักทายกันด้วยการจุมพิตอันบริสุทธิ์ คริสตจักรทั้งปวงของพระคริสต์ขอฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่านระวังบรรดาผู้ที่เป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกและเป็นเหตุให้ พวกท่านสะดุด ซึ่งขัดกับหลักคําสอนที่ท่านเรียนรู้มา จงหลีกห่างจากคนพวกนั้น เพราะคนเช่นนี้ ไม่ได้รับใช้องค์พระคริสต์เจ้าของเรา แต่พวกเขาทําเพื่อปากท้องของตนเอง เขาล่อลวงคนซื่อด้วย วาจารื่นหูและคําป้อยอ คนทั้งปวงได้ยินถึงความเชื่อฟังของท่านทั้งหลายแล้ว ข้าพเจ้าจึงชื่นชม ยินดีในพวกท่านอย่างยิ่ง แต่ข้าพเจ้าก็อยากให้ท่านฉลาดในทางที่ดีและไม่ประสีประสาในทางชั่ว ในไม่ช้าพระเจ้าแห่งสันติสุขจะบดขยี้ซาตานไว้ใต้เท้าของท่าน ขอพระคุณของพระเยซูเจ้าของเราอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด ทิโมธีเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้ากับลูสิอัส ยาโสนและโสสิปาเทอร์ ญาติๆ ของข้าพเจ้าขอฝาก ความคิดถึงมายังท่านทั้งหลายด้วย ข้าพเจ้าเทอร์ทิอัสผู้เขียนจดหมายนี้ตามคําบอก ขอฝากความคิดถึงมายังท่านในองค์พระผู้ เป็นเจ้า กายอัสผู้มีน้ําใจไมตรีรับรองข้าพเจ้ากับทั้งคริสตจักรที่นี่ ขอฝากความคิดถึงมายังท่าน เอรัสทัสผู้อํานวยการฝ่ายกิจการสาธารณะของเมืองนี้ และควารทัสพี่น้องของเรา ขอฝากความ คิดถึงมายังท่าน บัดนี้แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถให้ท่านตั้งมั่นโดยข่าวประเสริฐของข้าพเจ้าและการประกาศ เรื่องพระเยซูคริสต์ตามการทรงสําแดงข้อล้ําลึก ซึ่งได้ทรงปิดบังไว้ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา แต่บัดนี้ได้ทรงสําแดงและเปิดเผยให้รู้ทั่วกันผ่านทางข้อเขียนต่างๆ ของผู้เผยพระวจนะตาม พระบัญชาของพระเจ้าองค์นิรันดร์ เพื่อปวงประชาชาติจะได้เชื่อวางใจและเชื่อฟังพระองค์ คือแด่พระเจ้าผู้ทรงพระปัญญาแต่ผู้เดียวโดยทางพระเยซูคริสต์ ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระองค์ เป็นนิตย์! อาเมน 13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
25
26
27
โรม 16:27 | 269
จดหมายของเปาโลถึง คริสตจักรในเมืองโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● เปาโลได้ไปเยี่ยมเยียนเมืองโครินธ์ในช่วงปีคริสต์ศักราชที่ 49 หลังจากที่พระเยซูทรง
ประสูติ ขณะที่ท่านเดินทางทําพันธกิจครั้งที่สอง ● ท่านพักอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นเวลา 18 เดือน ● เปาโล สิลาส และทิโมธี เริ่มก่อตั้งคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ ● เปาโลพักอาศัยอยู่กับอาควิลลาและปริสสิลลา พวกเขาเป็นช่างทําเต็นท์เช่นเดียวกับ เปาโล (กิจการ 18:2–3) ● โสสเธเนสเป็นผู้คัดลอก เป็นคนเขียนจดหมายฉบับนี้ให้กับเปาโล (1 โครินธ์ 1:1, 16:21) ● โสสเธเนสเป็นคริสเตียนชาวยิว (กิจการ 18:17) ● เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้เมื่อขึ้นในปีคริสต์ศักราชที่ 54 หลังจากที่พระเยซูทรง ประสูติ ในขณะที่อาศัยอยู่ในเมืองเอเฟซัส
ทําไมเปาโลจึงเขียนจดหมายถึงชาวเมืองโครินธ์?
● คริสเตียนที่เมืองโครินธ์อาศัยอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีความเชื่อที่หลากหลาย ● เปาโลบอกพวกเขาว่าผู้ใดที่เชื่อพระเจ้าต้องดําเนินชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น
(1 โครินธ์ 6:19–20) พวกเขาเชื่อพระเจ้าในทุกสิ่ง มีชีวิตอยู่เพื่อทําให้พระเจ้าทรงพอ พระทัยไม่ใช่ผู้อื่น พวกเขาใช้ร่างกายของเขาในทางที่ให้พระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติ ● เปาโลตอบคําถามของชาวโครินธ์เกี่ยวกับการดําเนินชีวิตในฐานะคริสเตียนว่าต้องทํา อย่างไรบ้าง (1 โครินธ์ 7:1)
สิ่งสําคัญที่เปาโลได้กล่าวถึง
● ท่านกล่าวว่าชาวเมืองโครินธ์ควรติดตามพระเยซู ไม่ใช่มนุษย์ (1 โครินธ์ 2:6 - 4:21) ● ท่านเขียนถึงชีวิตการแต่งงาน (1 โครินธ์ 7) ● ท่านเขียนถึงการรับใช้ในคริสตจักร (1 โครินธ์ 11) ● ท่านเขียนถึงของประทานฝ่ายวิญญาณและบอกว่าสิ่งที่สําคัญที่สุดคือ ความรัก
(1 โครินธ์ 12- 14) ● ท่านกล่าวอีกว่าพระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย (1 โครินธ์ 15) 270
1 โครินธ์
จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้ซึ่งได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ 1 ตามพระประสงค์ ของพระเจ้า กับโสสเธเนสพี่น้องของเรา ถึงคริสตจักรของพระเจ้าที่เมืองโครินธ์ผู้ได้รับการทรงชําระให้บริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ และ ได้รับการทรงเรียกให้เป็นประชากรของพระเจ้าด้วยกันกับคนทั้งปวงทุกหนทุกแห่งที่ร้องออก พระนามองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาและของพวกเรา ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจงมีแก่ท่าน ทั้งหลายเถิด 2
3
ขอบพระคุณพระเจ้า
ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าสําหรับพวกท่านเสมอ เนื่องด้วยพระคุณของพระองค์ซึ่งประทาน แก่ท่านในพระเยซูคริสต์ เพราะในพระองค์นั้นท่านทั้งหลายได้รับความจําเริญขึ้นในทุกด้าน คือ ในวาจาทั้งสิ้นและในความรู้ทุกอย่างของท่าน เพราะว่าคําพยานของพวกเราเกี่ยวกับพระคริสต์ ได้รับการยืนยันในพวกท่าน ฉะนั้นท่านจึงไม่ขาดของประทานใดๆ ในด้านจิตวิญญาณเลยขณะที่ ท่านจดจ่อรอคอยการปรากฏขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา พระองค์จะทรงให้ท่านหนักแน่น มั่นคงจนถึงวันสุดท้าย เพื่อท่านจะปราศจากที่ติในวันแห่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา พระเจ้า ผู้ทรงเรียกท่านให้เข้าร่วมในสามัคคีธรรมกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้ เป็นเจ้าของเรานั้นทรงสัตย์ซื่อ 4
5
6
7
8
9
ความแตกแยกในคริสตจักร
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่านในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของพวกเราว่า ให้ ท่านทุกคนปรองดองกันเพื่อจะไม่มีความแตกแยกใดๆ ในหมู่พวกท่าน และเพื่อท่านจะเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ทั้งในความคิดและจิตใจ พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า มีบางคนใน ครัวเรือนของนางคะโลเอบอกข้าพเจ้าว่ามีการโต้เถียงกันหลายครั้งในหมู่พวกท่าน ข้าพเจ้า หมายความว่าคนหนึ่งในพวกท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าติดตามเปาโล” อีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติด ตามอปอลโล” อีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามเคฟาส” และอีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามพระ คริสต์” พระคริสต์ถูกแบ่งแยกแล้วหรือ? เปาโลถูกตรึงตายบนไม้กางเขนเพื่อพวกท่านหรือ? ท่านได้ รับบัพติศมาเข้าในนามเปาโลหรือ? ขอบพระคุณ พระเจ้าที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้บัพติศมาแก่ใครในพวกท่าน 1 โครินธ์ 1:18 ยกเว้นคริสปัสกับกายอัส จึงไม่มีใครพูดได้ว่าเขาได้ รับบัพติศมาเข้าในนามของข้าพเจ้า (ใช่ ข้าพเจ้าให้ พระเยซูทรงวายพระชนม์ที่ไม้ บัพติศมาแก่คนในครอบครัวของสเทฟานัสด้วย นอก กางเขนเพื่อเราทุกคนจะได้เป็นบุตร เหนือจากนั้นข้าพเจ้าจําไม่ได้ว่าได้ให้บัพติศมาแก่ใคร ของพระเจ้า แต่คนบางกลุ่มกลับมอง อีก) เพราะพระคริสต์ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามาเพื่อให้ ว่ามันเป็นสิ่งโง่เขลา บัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ใช่ด้วย วาทะคมคายตามสติปัญญาของมนุษย์เพราะเกรงว่าไม้ สําหรับผู้ที่เชื่อนั้น ข้อความนี้ เป็นข่าวดีอย่างที่สุด เขารู้ว่านี่คือ กางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์อํานาจ แผนการพิเศษของพระเจ้าเพื่อให้ทุก พระคริสต์คือพระปัญญาและฤทธิ์ คนได้รับความรอด นี่คือสิ่งที่พระเจ้า อํานาจของพระเจ้า สําแดงแก่เราว่าพระองค์ทรงมีฤทธิ์ คนที่กําลังจะพินาศก็เห็นว่าเรื่องราวของไม้ อํานาจและทรงแสนดี กางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่พวกเราที่กําลังจะรอดเห็นว่า เป็นฤทธิ์อํานาจของพระเจ้า เพราะมีคําเขียนไว้ว่า 10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
272 | 1 โครินธ 1:1
“เราจะทําลายสติปัญญาของคนมีปัญญา โครินธ์ เราจะทําให้ความฉลาดของคนฉลาดไร้ผล” โครินธ์เป็นเมืองหลวงของแคว้น ไหนล่ะปราชญ์? ไหนล่ะผู้รู้? นักปรัชญาของยุค อาคายา (ปัจจุบันคือภาคใต้ของ นี้อยู่ที่ไหนกัน? พระเจ้าได้ทรงกระทําให้สติปัญญา ประเทศกรีซ) เป็นเมืองท่าที่สําคัญ ของโลกโง่เขลาไปไม่ใช่หรือ? โดยพระปัญญาของ และถือว่าเป็นศูนย์กลางทางการค้า พระเจ้า โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตน ที่มั่งคั่ง ผู้คนมากมายจากทั่วทุกมุม ดังนั้นพระเจ้าจึงพอพระทัยที่จะช่วยบรรดาผู้เชื่อให้ โลกต่างอาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นที่นี่จึงมี รอดโดยคําเทศนาเรื่องโง่ๆ พวกยิวเรียกร้องหมาย ความหลากหลายของความเชื่อต่าง สําคัญ และพวกกรีกมองหาสติปัญญา แต่เราเทศนา ศาสนา ชาวเมืองโครินธ์ใช้ชีวิตอย่าง เรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ซึ่งเป็น เสื่อมทรามทางศีลธรรม หินสะดุดสําหรับพวกยิวและเป็นเรื่องโง่ๆ สําหรับ พวกต่างชาติ แต่สําหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกทั้งพวก ยิวและพวกกรีก พระคริสต์คือฤทธิ์อํานาจและพระปัญญาของพระเจ้า เพราะความเขลาของ พระเจ้าก็ยังฉลาดกว่าสติปัญญาของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังเข้มแข็งกว่ากําลัง ของมนุษย์ พี่น้องทั้งหลาย จงคิดดูว่าท่านเคยเป็นเช่นไรเมื่อทรงเรียกท่าน ในพวกท่านมีไม่กี่คนที่ฉลาด ตามมาตรฐานของมนุษย์ มีไม่กี่คนที่มีอิทธิพล มีไม่กี่คนที่มีชาติกําเนิดสูงส่ง แต่พระเจ้าทรงเลือก สิ่งที่โลกเห็นว่าโง่เขลาเพื่อให้คนฉลาดอับอาย ทรงเลือกสิ่งที่โลกเห็นว่าอ่อนแอเพื่อให้คนแข็งแรง อับอาย ทรงเลือกสิ่งที่ต่ําต้อยของโลก สิ่งที่เขาดูหมิ่นและสิ่งที่ไม่สําคัญเพื่อล้มล้างสิ่งที่ถือว่า สําคัญ เพื่อว่าจะไม่มีใครโอ้อวดได้ต่อหน้าพระองค์ เพราะพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ทรงเป็นพระปัญญาจากพระเจ้าเพื่อเรา นั่นคือทรงเป็นความชอบธรรม ความบริสุทธิ์และการ ไถ่ของเรา ฉะนั้นจึงเป็นไปตามที่มีเขียนไว้ว่า “ผู้ที่อวด จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้า” งทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่าน ข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วยคําพูดสละสลวยหรือสติปัญญาเลอ 2 เลิพี่นศ้อขณะที ่ข้าพเจ้าประกาศคําพยานเกี่ยวกับพระเจ้าให้แก่ท่าน เพราะข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่าขณะ อยู่กับท่าน ข้าพเจ้าจะไม่รู้อะไรอื่นเลยนอกจากเรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึง ตายบนไม้กางเขน ข้าพเจ้ามาหาท่านด้วยความอ่อนแอกับความกลัวจนตัวสั่นอย่างมาก คําพูด และคําเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่ถ้อยคําโน้มน้าวใจด้วยสติปัญญา แต่เป็นการสําแดงถึงฤทธิ์อํานาจ ของพระวิญญาณ เพื่อว่าความเชื่อของท่านจะไม่อาศัยสติปัญญาของมนุษย์ แต่พึ่งฤทธิ์อํานาจ ของพระเจ้า 20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
2
3
4
5
1 โครินธ์ 2:2 จ๊ะจ๋า พบว่าคนทั่วโลกนึกถึงองค์พระเยซูเจ้าและเหล่าคริสเตียนเมื่อใดก็ตามที่เขาเห็น ไม้กางเขน นี่เป็นสิ่งที่ย้ําเตือนถึงความรักของพระเยซูที่มีต่อเราทุกคน และเป็นสิ่งที่ เปาโลต้องการจะบอกแก่เราเสมอ น้อง ๆ ชอบพูดเกี่ยวกับไม้กางเขนและความรัก ของพระเยซูที่มีต่อเรามั้ย? จักรพรรดิโรมัน คอนสแตนตินมหาราช สิ้นสุดการฆ่าโดย การตรึงคริสเตียนบนไม้กางเขน 300 ปี หลังจากการวายพระชนม์ของพระเยซูที่บนไม้ กางเขน ต่อมาหลังจากที่คอนสแตนตินสิ้นพระชนม์ ศาสนาคริสต์ได้กลายเป็นศาสนา ประจําชาติของจักรวรรดิโรมัน 1 โครินธ 2:5 | 273
สติปัญญาจากพระวิญญาณ
อย่างไรก็ดีพวกเรากล่าวถ้อยคําแห่งสติปัญญากับบรรดาผู้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ไม่ใช่สติปัญญา ของยุคนี้หรือสติปัญญาของผู้ครอบครองของยุคนี้ผู้ซึ่งกําลังจะเสื่อมสูญไป แต่พูดถึงพระปัญญา อันล้ําลึกของพระเจ้า พระปัญญาซึ่งทรงปิดบังและซึ่งพระเจ้าทรงกําหนดไว้เพื่อศักดิ์ศรีของเรา ตั้งแต่ก่อนเริ่มสร้างโลก ไม่มีผู้ครอบครองคนใดของยุคนี้ที่เข้าใจพระปัญญา เพราะหากเข้าใจ ย่อมจะไม่ตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระเกียรติสิริไว้ที่ไม้กางเขน ตามที่มีเขียนไว้ว่า “ไม่เคยมีใครได้เห็น ไม่เคยมีใครได้ยิน ไม่เคยมีจิตใจใดหยั่งรู้ สิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้บรรดาผู้ที่รักพระองค์” แต่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งนั้นแก่เราโดยพระวิญญาณของพระองค์ พระวิญญาณทรงสืบทราบทุกสิ่งแม้แต่สิ่งล้ําลึกของพระเจ้า ความคิดของมนุษย์ใครไหนเล่าจะ รู้เว้นแต่จิตวิญญาณของคนนั้นเอง? เช่นเดียวกันไม่มีใครหยั่งรู้พระดําริของพระเจ้าได้นอกจากพระ วิญญาณของพระเจ้า เราไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อเรา จะเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เราอย่างไม่จํากัด นี่คือสิ่งที่พวกเราพูด ไม่ใช่ด้วยถ้อยคําซึ่งสติ ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่ด้วยถ้อยคําซึ่งพระวิญญาณทรงสอน เป็นการสําแดงความจริงด้านจิต วิญญาณด้วยถ้อยคําฝ่ายจิตวิญญาณ ผู้ปราศจากพระวิญญาณไม่อาจรับสิ่งที่มาจากพระวิญญาณ ของพระเจ้าเพราะเห็นเป็นเรื่องโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านั้นเพราะต้องอาศัยการ แยกแยะฝ่ายจิตวิญญาณจึงจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ ผู้ที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณวินิจฉัยทุกสิ่งได้ แต่ตัว เขาเองไม่ตกอยู่ในการวินิจฉัยของใคร “เพราะใครเล่าจะหยั่งรู้พระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่จะสั่งสอนพระองค์ได้?” แต่เรามีพระทัยของพระคริสต์ 6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
เรื่องความแตกแยกในคริสตจักร
หลาย ข้าพเจ้าไม่อาจพูดกับท่านแบบผู้ที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ต้องพูดกับท่านแบบ 3 ผูพี้ท่นี่อ้อยูงทั่ฝ่า้งยโลก คือเป็นเพียงทารกในพระคริสต์ ข้าพเจ้าได้ป้อนนมให้ท่าน ไม่ใช่อาหารแข็ง 2
เพราะท่านยังไม่พร้อมจะรับ อันที่จริงจนเดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่พร้อม ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก เพราะยังมี การอิจฉาริษยาและการทุ่มเถียงกันในหมู่พวกท่าน เช่นนี้แล้วท่านก็อยู่ฝ่ายโลกไม่ใช่หรือ? ท่านก็ ประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดาไม่ใช่หรือ? ในเมื่อคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามเปาโล” และอีกคน หนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามอปอลโล” พวกท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดาไม่ใช่หรือ? อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใครกัน? ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่นําท่านมาเชื่อตามที่องค์พระผู้ เป็นเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ํา แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต ดังนั้นไม่ว่าคนปลูกหรือคนรดน้ําก็ไม่สําคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตต่างหากที่สําคัญ คน ปลูกและคนรดน้ํามีเป้าหมายเดียวกัน และต่างก็ได้รับบําเหน็จตามการงานของตน ด้วยว่าเราเป็น ผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นตึกของพระเจ้า โดยพระคุณซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างผู้ชํานาญและ คนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น กระนั้นแต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร เพราะใครจะมาวาง ฐานรากอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์ ถ้าใครจะใช้ทองคํา เงิน เพชร พลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟางก่อขึ้นบนฐานรากนั้น ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็น อย่างไร เพราะวันนั้นสิ่งนี้จะถูกทําให้เป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะ ทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบําเหน็จของตน ถ้า สิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
274 | 1 โครินธ 2:6
15
1 โครินธ์ 3:9 11 เปาโลกล่าวว่าคริสเตียน (คริสตจักร) เป็นดั่งตึกหลังหนึ่ง ให้น้อง ๆ วาดรูปตึก เริ่มจากรากฐาน ใครคือรากฐานของคริสตจักร? (อ่านข้อ 11) แล้วเขียนชื่อผู้นั้นลงที่รากฐาน จากนั้นให้วาดกําแพงของตึกนั้น ใครคือกําแพงของตึกซึ่งเป็นคริสตจักรล่ะ? (อ่านคํา ตอบจากข้อ 9) เขียนชื่อของบุคคลที่น้อง ๆ รู้จักว่าพวกเขาคือส่วนหนึ่งของตึกนี้ลงบน กําแพง ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้าและพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตภายใน ท่าน? ผู้ใดทําลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทําลายผู้นั้นเพราะวิหารของพระเจ้าบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ และท่านคือวิหารนั้น อย่าหลอกตัวเอง หากใครในพวกท่านคิดว่าตนฉลาดตามมาตรฐานของยุคนี้ เขาควรจะเป็น “คนโง่” เพื่อจะได้เป็นคนฉลาด เพราะสติปัญญาของโลกนี้เป็นความโง่เขลาในสายพระเนตร พระเจ้า ตามที่มีเขียนไว้ว่า “พระองค์ทรงจับคนฉลาดด้วยเล่ห์เหลี่ยมของเขาเอง” และมีเขียน อีกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบว่าความคิดของคนฉลาดนั้นเปล่าประโยชน์” ดังนั้นแล้ว อย่ายกมนุษย์มาโอ้อวดอีกเลย! สิ่งสารพัดล้วนเป็นของพวกท่าน ไม่ว่าเปาโล หรืออปอลโล หรือ เคฟาส หรือโลก หรือชีวิต หรือความตาย หรือปัจจุบัน หรืออนาคต ทั้งหมดล้วนเป็นของพวกท่าน และพวกท่านเป็นของพระคริสต์ และพระคริสต์ทรงเป็นของพระเจ้า 16
17
18
19
20
21
22
23
อัครทูตของพระคริสต์
้งหลายจึงควรถือว่าพวกเราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ และควรถือว่าพวกเรา 4 เป็ดังนนัผู้น้ทแล้ี่ได้วรคนทั ับมอบหมายสิ่งล้ําลึกของพระเจ้า ผู้ได้รับมอบหมายนั้นต้องเป็นคนที่พิสูจน์แล้วว่า 2
สัตย์ซื่อ ข้าพเจ้าไม่ค่อยใส่ใจหากถูกท่านหรือใครคนไหนมาตัดสิน อันที่จริงข้าพเจ้าไม่ตัดสินตัว เองด้วยซ้ํา จิตสํานึกของข้าพเจ้าไม่ได้ฟ้องว่าข้าพเจ้าทําผิด แต่นั่นไม่ทําให้ข้าพเจ้าไร้ผิด องค์พระ ผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นผู้ตัดสินข้าพเจ้า ฉะนั้นอย่าด่วนตัดสินก่อนกําหนด จงรอคอยจนกว่าองค์พระ 3
4
5
1 โครินธ์ 4:5 ไบรท์ ชอบที่จะได้ยินคนพูดกับตัวเขาเองว่า “เยี่ยมมาก!” เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา พระองค์จะทรงมองทุกสิ่งที่พวกเราได้ทําเพื่อพระองค์ เปาโลกล่าวว่าเราควรดําเนิน ชีวิตในแบบที่พระเจ้าจะทรงตรัสกับเราว่า “ เยี่ยมมาก!” เมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรง มองมาที่ชีวิตของเรา มีอะไรบ้างที่น้อง ๆ สามารถทําได้เพื่อให้พระเจ้าทรงพอพระทัย? ให้เขียนสิ่งที่น้อง ๆ สามารถทําได้ และในคืนนี้ดูว่าน้อง ๆ สามารถจําและทําสิ่งเหล่านั้นได้หรือไม่! 1 โครินธ 4:5 | 275
ผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงนําสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในความมืดมาสู่ความสว่างและจะเผยแรง จูงใจทั้งหลายซึ่งอยู่ในใจของคนทั้งปวง เมื่อนั้นแต่ละคนจะได้รับคําชมเชยจากพระเจ้า พี่น้องทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้ายกเรื่องตัวเองกับอปอลโลมาพูดก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อท่าน จะได้เรียนรู้จากพวกเราถึงความหมายของคํากล่าวที่ว่า “อย่าไปไกลกว่าที่เขียนไว้” แล้วท่านจะ ไม่ยกคนนั้นมาข่มคนนี้ เพราะใครเล่าทําให้ท่านผิดแผกจากคนอื่น? สิ่งที่ท่านมีอยู่นั้นมีอะไรบ้าง ที่ท่านไม่ได้รับมา? และถ้าท่านได้รับสิ่งเหล่านั้นมาจริงแล้ว ทําไมจึงพูดโอ้อวดราวกับว่าท่านไม่ได้ รับมา? ท่านมีทุกสิ่งที่ท่านต้องการแล้ว! ท่านมั่งมีแล้ว! ท่านเป็นราชาแล้วโดยที่ไม่มีพวกเรา! ข้าพเจ้า ปรารถนาให้ท่านเป็นราชาจริงๆ เพื่อพวกเราจะได้เป็นราชาร่วมกับท่าน! เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า พระเจ้าทรงให้เราเหล่าอัครทูตปรากฏอยู่ท้ายขบวน เหมือนผู้ที่ถูกลงโทษให้ถึงตายในสังเวียน ตก เป็นเป้าสายตาของทั้งจักรวาลทูตสวรรค์และมนุษย์ พวกเราเป็นคนโง่เขลาเพื่อเห็นแก่พระคริสต์ แต่ท่านฉลาดนักในพระคริสต์! เราอ่อนแอ แต่ท่านเข้มแข็ง! ท่านทรงเกียรติ เราเสื่อมศักดิ์ศรี! จวบจนบัดนี้เราหิวโหยและกระหาย พันกายด้วยผ้าขี้ริ้ว ถูกทารุณ เราไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เราตรากตรําทํางานด้วยมือของเราเอง เมื่อถูกแช่งด่าเราก็ให้พร เมื่อถูกข่มเหงเราก็ทนเอา เมื่อ ถูกใส่ร้ายป้ายสีเราก็ชี้แจงอย่างอ่อนโยน ตราบจนวินาทีนี้เราเป็นเหมือนกากเดนของพิภพ เป็น ขยะของโลก ที่ข้าพเจ้าเขียนมาเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อให้ท่านอับอาย แต่เพื่อเตือนท่านในฐานะลูกที่รักของข้าพเจ้า ถึงแม้ว่าท่านมีผู้ปกครองดูแลนับหมื่นในพระคริสต์ แต่ท่านมีบิดาคนเดียว เพราะในพระเยซู คริสต์ข้าพเจ้าได้เป็นบิดาของท่านโดยทางข่าวประเสริฐ ฉะนั้นข้าพเจ้าขอให้ท่านเลียนแบบ ข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้ากําลังจะส่งทิโมธีลูกที่รักของข้าพเจ้าซึ่งสัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ มาหาท่าน เพื่อเตือนท่านให้ระลึกถึงวิถีชีวิตของข้าพเจ้าในพระเยซูคริสต์ อันสอดคล้องกับทุกสิ่งที่ ข้าพเจ้าสอนทุกหนทุกแห่งในทุกคริสตจักร บางคนในพวกท่านได้หยิ่งผยองขึ้นมาราวกับข้าพเจ้าจะไม่มาหาท่าน แต่ถ้าเป็นพระประสงค์ ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะมาหาท่านในไม่ช้านี้แล้ว เมื่อนั้นข้าพเจ้าจะได้รู้ไม่เพียงสิ่งที่คนยโสพวก นั้นพูด แต่ฤทธิ์อํานาจที่เขามีด้วย เพราะอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของคําพูด แต่เป็นเรื่อง ฤทธิ์อํานาจ ท่านชอบแบบไหนมากกว่า? จะให้ข้าพเจ้าถือแส้มาหาท่าน หรือมาด้วยความรักและ ด้วยใจอ่อนโยน? 6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
ขับพี่น้องที่ผิดศีลธรรมออก!
มีข่าวแจ้งว่าในพวกท่านมีการผิดศีลธรรมทางเพศ ชนิดที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นแม้แต่ในหมู่คนต่าง 5 ศาสนา ก็คือคนหนึ่งเอาภรรยาของบิดามาเป็นภรรยาของตน และพวกท่านยังผยอง! ท่านน่า 2
จะโศกเศร้าเสียใจและเลิกคบคนที่ทําเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? แม้กายของข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย แต่ใจ ของข้าพเจ้าก็อยู่กับท่าน และข้าพเจ้าได้ตัดสินคนที่ทําอย่างนั้นเสมือนว่าข้าพเจ้าได้อยู่ด้วย เมื่อ ท่านประชุมกันในพระนามพระเยซูเจ้าของเราและใจของข้าพเจ้าอยู่ร่วมกับท่านด้วยพร้อมทั้งฤทธิ์ อํานาจของพระเยซูเจ้าของเรา จงมอบคนนั้นไว้กับซาตาน เพื่อวิสัยบาปของเขาจะถูกทําลายและ จิตวิญญาณของเขาจะรอดได้ในวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ท่านโอ้อวดนั้นก็ไม่ดีเลย ท่านไม่รู้หรือว่าเชื้อเพียงนิดเดียวทําให้แป้งทั้งก้อนฟูขึ้น? จงชําระ เชื้อเก่าเพื่อท่านจะได้เป็นแป้งดิบก้อนใหม่ไร้เชื้ออย่างที่ท่านเป็นอยู่จริงๆ เพราะพระคริสต์ผู้ทรง เป็นลูกแกะปัสกาของเราถูกถวายบูชาแล้ว ฉะนั้นให้เราถือเทศกาลนี้ไม่ใช่ด้วยเชื้อเก่าอันเป็นเชื้อ ของความชั่วร้ายเลวทราม แต่ด้วยขนมปังไม่มีเชื้อคือขนมปังแห่งความจริงใจและสัจจะ ข้าพเจ้าได้เขียนจดหมายมาห้ามไม่ให้ท่านคบคนผิดศีลธรรมทางเพศ แต่ไม่ได้หมายถึงชาว โลกที่ผิดศีลธรรม หรือโลภและฉ้อฉล หรือกราบไหว้รูปเคารพ มิฉะนั้นท่านต้องออกไปจากโลก นี้ แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเพื่อจะบอกว่าอย่าไปคบคนที่เรียกตนเองว่าพี่น้องแต่ยังผิด 3
4
5
6
7
8
9
11
276 | 1 โครินธ 4:6
10
ศีลธรรมทางเพศ หรือโลภ กราบไหว้รูปเคารพหรือชอบนินทาว่าร้าย ขี้เมาหรือฉ้อฉล คนแบบนี้ แม้แต่ร่วมรับประทานอาหารก็อย่าเลย เป็นธุระอะไรของข้าพเจ้าที่จะไปตัดสินคนนอกคริสตจักร? ท่านต้องตัดสินคนในคริสตจักร ไม่ใช่หรือ? พระเจ้าจะทรงตัดสินคนนอกคริสตจักรเหล่านั้น “จงขับคนชั่วร้ายออกไปจากหมู่พวก ท่าน” 12
13
คดีความในหมู่ผู้เชื่อ
านเป็นความกัน เขากล้าไปสู้ความกันต่อหน้าคนอธรรมแทนที่จะชําระความ 6 กัหากใครในพวกท่ นต่อหน้าประชากรของพระเจ้าหรือ? ท่านไม่รู้หรือว่าประชากรของพระเจ้าจะพิพากษาโลก? 2
และถ้าท่านจะเป็นผู้พิพากษาโลก ท่านไม่มีความสามารถจะตัดสินคดีเล็กน้อยเหล่านี้หรือ? ท่าน ไม่รู้หรือว่าเราจะพิพากษาทูตสวรรค์? เช่นนี้แล้วเรายิ่งสมควรจะจัดการกับเรื่องราวต่างๆ ของชีวิต นีได้ดีกว่านั้นสักเพียงใด! ฉะนั้นหากท่านเป็นความกันในเรื่องดังกล่าว แม้ตั้งคนที่ไม่สําคัญใน คริสตจักรเป็นตุลาการก็ยงั ได้! ข้าพเจ้าพูดเช่นนีเ้ พือ่ ให้ทา่ นละอายใจ เป็นไปได้หรือทีไ่ ม่มสี กั คนใน พวกท่านเลยที่ฉลาดพอจะชําระความในหมู่ผู้เชื่อ? แต่พี่น้องกลับไปสู้ความกันในศาลต่อหน้าผู้ไม่ เชื่อ! อันที่จริงที่ท่านเป็นคดีความกันในหมู่พวกท่านก็หมายความว่าท่านได้พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ทําไมไม่เป็นฝ่ายถูกรังแก? ทําไมไม่เป็นฝ่ายถูกโกง? แต่ท่านเองกลับโกงและรังแก ท่านทําสิ่งเหล่า นี้กับพี่น้องของท่าน ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่วจะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า? อย่าหลงผิดเลย ไม่ว่าคนผิด ศีลธรรมทางเพศ หรือคนกราบไหว้รูปเคารพ หรือคนคบชู้ หรือผู้ชายขายตัว หรือคนรักร่วมเพศ หรือขโมย หรือคนโลภ หรือคนขี้เมา หรือคนชอบนินทาว่าร้าย หรือคนฉ้อฉล จะไม่มีส่วนใน อาณาจักรของพระเจ้า และพวกท่านบางคนเคยเป็นเช่นนั้น แต่ท่านได้รับการล้าง ได้รับการ ชําระให้บริสุทธิ์ และได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้าและโดยพระวิญญาณ ของพระเจ้าของเรา 3
4
5
6
7
8
9
10
11
การผิดศีลธรรมทางเพศ
“ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตให้ทําทุกสิ่งได้” แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ “ข้าพเจ้าได้รับอนุญาต ให้ทําทุกสิ่งได้” แต่ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาเป็นนาย “อาหารมีไว้สําหรับท้อง และท้องมีไว้ สําหรับอาหาร” แต่พระเจ้าจะทรงทําลายทั้งสองสิ่ง ร่างกายไม่ได้มีไว้เพื่อการผิดศีลธรรมทางเพศ แต่มีเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และองค์พระผู้เป็นเจ้ามีเพื่อกายนั้น โดยฤทธิ์อํานาจของพระองค์ 12
13
14
1 โครินธ์ 5:6 8 เมื่อเราอบขนมปัง เราใส่ยีสต์ลงในแป้งเพียงเล็กน้อย ยีสต์ที่ผสมลงกับแป้งนั้น ทําให้ ก้อนแป้งฟูขึ้น เปาโลกล่าวอีกว่าความบาปเปรียบเหมือนยีสต์ ทําไมท่านกล่าวเช่นนั้น? เราควรทํา อย่างไรกับยีสต์ (ความบาป) ในชีวิตของเรา? ปัญหาคือเราไม่สามารถแยกยีสต์ออก จากแป้งได้ เมื่อเราได้ผสมมันลงไปแล้ว และเราไม่สามารถขจัดความบาปของเราด้วย ตัวเราเอง ใครที่สามารถช่วยเหลือเราได้? 1 โครินธ 6:14 | 277
1 โครินธ์ 6:19 20 ใครที่อาศัยอยู่ในชีวิตของน้อง ๆ ? ชีวิตเราเป็นของใคร? เปาโลกล่าวว่าเราควรใช้ร่างกายของเราในทางที่จะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า น้อง ๆ สามารถทํามันได้อย่างไร? ลองนึกถึงหลาย ๆ วิธีที่เราสามารถถวายพระเกียรติแด่ พระเจ้า และเขียนสิ่งเหล่านั้นลงไป อธิษฐานและขอให้พระเจ้าทรงช่วยเหลือเรา เพื่อ เราจะได้ถวายพระเกียรติพระเจ้าผ่านการดําเนินชีวิตของเราในทุก ๆ วัน พระเจ้าทรงให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นขึ้นจากตาย และพระองค์จะทรงให้เราทั้งหลายเป็นขึ้นใหม่ ด้วย พวกท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระคริสต์? เช่นนี้แล้ว ควรหรือที่ข้าพเจ้าจะนําร่างกายไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโสเภณี? ไม่เป็นเช่นนั้นแน่! ท่านไม่รู้หรือ ว่าผู้ที่ไปหลับนอนกับโสเภณีก็เป็นหนึ่งเดียวกับหญิงนั้นทางร่างกาย? เพราะมีคํากล่าวไว้ว่า “ทั้ง สองจะเป็นเนื้อเดียวกัน” แต่คนที่รวมตนเองเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียว กับพระองค์ในจิตวิญญาณ จงหลีกหนีจากการผิดศีลธรรมทางเพศ บาปอื่นทั้งปวงที่มนุษย์ทําล้วนเป็นบาปนอกกายของ ตน แต่คนที่ทําบาปทางเพศก็ทําบาปต่อร่างกายของตนเอง ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็น วิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่านซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า? ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่าน เอง พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้นจงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่าน เถิด 15
16
17
18
19
20
การแต่งงาน
่องที่ท่านเขียนมานั้น เป็นการดีที่ผู้ชายจะไม่แต่งงาน แต่เพราะมีการผิดศีลธรรมเกิดขึ้น 7 อย่ส่วานเรืงมาก ผู้ชายแต่ละคนก็ควรมีภรรยาของตนเอง และผู้หญิงแต่ละคนก็ควรมีสามีของตนเอง 2
สามีควรทําหน้าที่สามีต่อภรรยาของตนอย่างสมบูรณ์ และเช่นกันภรรยาก็ควรทําหน้าที่ภรรยาต่อ สามีของตนอย่างสมบูรณ์ด้วย ร่างกายของภรรยาไม่ได้เป็นของนางคนเดียว แต่เป็นของสามีด้วย ในทํานองเดียวกันร่างกายของสามีไม่ได้เป็นของเขาคนเดียว แต่เป็นของภรรยาด้วย อย่าปฏิเสธ การอยู่ร่วมกัน เว้นแต่เห็นพ้องกันเป็นการชั่วคราวเพื่ออุทิศตนในการอธิษฐาน จากนั้นจึงมาอยู่ ร่วมกันอีก เพื่อซาตานจะไม่ล่อลวงท่านให้ทําผิดเนื่องจากขาดการควบคุมตนเอง ข้าพเจ้ากล่าว เช่นนี้ในเชิงอนุญาต ไม่ใช่คําสั่ง ข้าพเจ้าปรารถนาให้ทุกคนเป็นเหมือนข้าพเจ้า แต่ของประทานที่ แต่ละคนได้รับจากพระเจ้านั้นต่างกัน คนหนึ่งมีของประทานนี้ อีกคนหนึ่งมีของประทานนั้น สําหรับคนโสดและผู้ที่เป็นม่าย ข้าพเจ้าขอบอกว่าเป็นการดีแล้วที่จะไม่แต่งงานเหมือนกับ ข้าพเจ้า แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ พวกเขาก็ควรแต่งงานเพราะแต่งงานไปก็ยังดี กว่าถูกเผาเร่าร้อนด้วยราคะ สําหรับคนที่แต่งงานแล้ว ข้าพเจ้าขอสั่ง (ไม่ใช่ข้าพเจ้าสั่งเอง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาไว้) ว่าภรรยาอย่าแยกจากสามีของนาง แต่ถ้านางทําเช่นนั้น นางต้องไม่แต่งงานอีก หรือไม่ก็ต้อง กลับมาคืนดีกับสามีของนาง และสามีอย่าได้หย่าร้างภรรยาของตนเลย สําหรับคนอื่นๆ นอกจากนี้ ข้าพเจ้าขอบอกว่า (ไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส) หากพี่น้องคนใด มีภรรยาที่ไม่ใช่ผู้เชื่อ และนางเต็มใจจะอยู่กับสามี เขาต้องไม่หย่าร้างกับนาง และหากฝ่ายหญิงมี 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
278 | 1 โครินธ 6:15
สามีที่ไม่ใช่ผู้เชื่อและเขาเต็มใจจะอยู่กับนาง นางจะต้องไม่หย่าร้างจากเขา เพราะสามีที่ไม่เชื่อได้ รับการทรงชําระให้บริสุทธิ์แล้วผ่านทางภรรยา และภรรยาที่ไม่เชื่อได้รับการทรงชําระให้บริสุทธิ์ แล้วผ่านทางสามีที่เชื่อ มิฉะนั้นลูกๆ จะเป็นมลทิน แต่นี่พวกเขาบริสุทธิ์ แต่ถ้าฝ่ายที่ไม่เชื่อแยกตัวไป ก็ปล่อยเขาไปเถิด ในกรณีเช่นนั้นฝ่ายที่เชื่อทั้งชายและหญิงจะ ไม่ถูกผูกมัด พระเจ้าทรงเรียกเราให้อยู่อย่างสงบสุข ท่านผู้เป็นภรรยาจะรู้ได้อย่างไรว่าจะช่วยให้ สามีรอดได้หรือไม่? หรือท่านผู้เป็นสามีจะรู้ได้อย่างไรว่าจะช่วยให้ภรรยารอดได้หรือไม่? อย่างไรก็ตามแต่ละคนควรจะคงสถานภาพที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายและที่พระเจ้า ได้ทรงเรียกเขา นี่เป็นกฎที่ข้าพเจ้าวางไว้ในคริสตจักรทั้งปวง ถ้าชายคนใดได้รับการทรงเรียก เมื่อเขาเข้าสุหนัตแล้ว เขาก็ไม่ควรลบล้างการเข้าสุหนัต ถ้าชายคนใดได้รับการทรงเรียกเมื่อเขายัง ไม่ได้เข้าสุหนัต เขาก็ไม่ควรเข้าสุหนัต ความสําคัญไม่ได้อยู่ที่เข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัต แต่อยู่ที่ การรักษาพระบัญชาของพระเจ้า แต่ละคนควรจะคงสถานะที่เขาอยู่เมื่อพระเจ้าทรงเรียก ถ้า ท่านได้รับการทรงเรียกเมื่อท่านเป็นทาสอยู่ ก็อย่าให้สิ่งนี้รบกวนท่าน แต่ถ้าท่านสามารถไถ่ตัว เป็นอิสระได้ก็จงทําเถิด เพราะผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเมื่อเขายังเป็นทาสอยู่ก็เป็นเสรีชน ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในทํานองเดียวกันคนที่เป็นไทขณะที่ได้รับการทรงเรียกก็เป็นทาสของพระ คริสต์ พระองค์ทรงซื้อท่านในราคาสูง อย่าเป็นทาสของมนุษย์เลย พี่น้องทั้งหลาย ในเมื่อแต่ละ คนต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า เขาก็ควรคงอยู่ในสถานะที่พระเจ้าได้ทรงเรียก เกี่ยวกับผู้ที่เป็นพรหมจารีนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้รับพระบัญชาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ขอวินิจฉัย ในฐานะของผู้ซึ่งได้รับพระเมตตาของพระเจ้าให้เป็นผู้ที่ไว้ใจได้ เนื่องจากวิกฤติการณ์ในปัจจุบัน ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นการดีที่ท่านจะคงอยู่อย่างที่เป็นอยู่ ท่านแต่งงานแล้วหรือ? ก็อย่าหาทางหย่า ร้างเลย ท่านยังไม่ได้แต่งงานหรือ? ก็อย่าเสาะหาภรรยาเลย แต่ถ้าท่านจะแต่งงานก็ไม่บาป และ ถ้าหญิงพรหมจารีจะแต่งงานก็ไม่บาป แต่คนที่แต่งงานแล้วจะเผชิญความยุ่งยากหลายอย่างใน ชีวิตนี้ และข้าพเจ้าประสงค์จะให้ท่านพ้นจากสิ่งนี้ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่าเวลาก็เหลือน้อยแล้ว ตั้งแต่นี้ไปคนที่มีภรรยาแล้วควร ดําเนินชีวิตเสมือนไม่มี ผู้ที่ทุกข์โศกเสมือนไม่ได้ทุกข์โศก ผู้ที่มีความสุขเสมือนไม่มีความสุข ผู้ที่ ซื้อเสมือนไม่ได้เป็นเจ้าของ ผู้ที่ใช้สิ่งต่างๆ ของโลกเสมือนไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่ เพราะโลกนี้อย่างที่ เป็นอยู่ในปัจจุบันกําลังจะผ่านพ้นไป ข้าพเจ้าอยากให้ท่านพ้นจากความพะวักพะวน คนที่ไม่แต่งงานก็สาละวนอยู่กับการงานของ องค์พระผู้เป็นเจ้า มุ่งให้องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย ส่วนคนที่แต่งงานแล้วก็สาละวนอยู่กับเรื่องของโลกนี้ มุ่งให้ภรรยาพอใจ และความสนใจ ของเขาก็แบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ส่วนหญิงที่ไม่แต่งงานหรือสาวพรหมจารีก็สาละวนอยู่กับการ งานขององค์พระผู้เป็นเจ้า มุ่งที่จะอุทิศตนแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งกายและจิตวิญญาณ ส่วนหญิงที่ แต่งงานแล้วก็สาละวนอยู่กับการงานของโลกนี้ มุ่งให้สามีพอใจ ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพื่อเป็นผลดี แก่ท่านเอง ไม่ใช่เพื่อควบคุมจํากัดท่าน แต่เพื่อท่านจะได้ดําเนินชีวิตในทางที่ถูกต้อง ด้วยการอุทิศ ตนเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยปราศจากใจสองฝักสองฝ่าย หากผู้ใดคิดว่าตนปฏิบัติต่อคู่หมั้นสาวพรหมจารีอย่างไม่เหมาะสม และถ้านางอายุมากขึ้น ทุกที และเขารู้สึกว่าตนเองควรแต่งงาน เขาก็ควรทําตามที่ต้องการ เขาไม่ได้ทําอะไรผิดบาป พวก เขาควรจะแต่งงานกัน แต่ชายผู้ที่ตั้งใจแน่วแน่ไม่ถูกผลักดัน แต่ควบคุมความตั้งใจของตนเอง ได้และตัดสินใจที่จะไม่แต่งงาน เขาก็ทําสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ดังนั้นแล้วคนที่แต่งงานกับคู่หมั้นสาว พรหมจารีก็ทําถูก แต่คนที่ไม่แต่งงานก็ทําดียิ่งกว่า ตราบใดที่สามียังมีชีวิตอยู่ ภรรยาต้องอยู่กับสามี แต่หากสามีตาย นางจะแต่งงานกับใครก็ได้ ตามใจปรารถนา แต่ต้องเป็นผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ตามความเห็นของข้าพเจ้า นางอยู่ คนเดียวจะเป็นสุขกว่า และข้าพเจ้าคิดว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่กับข้าพเจ้าด้วยในการ กล่าวเช่นนี้ 14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
1 โครินธ 7:40 | 279
อาหารที่เซ่นไหว้รูปเคารพ
วกับอาหารที่เซ่นไหว้รูปเคารพเป็นดังนี้ เรารู้ว่าเราทั้งหลายล้วนมีความรู้ ความรู้นั้นทําให้ 8 ลํเกีา่ยพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น ผู้ใดที่คิดว่าตนเองรู้บางสิ่งแล้ว ผู้นั้นยังไม่รู้อย่างที่เขาควรจะ 2
รู้ แต่ผู้ที่รักพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงรู้จักผู้นั้น ดังนั้นแล้วเกี่ยวกับการกินอาหารที่ได้เซ่นไหว้รูปเคารพ เรารู้อยู่ว่ารูปเคารพนั้นไม่มีความหมาย อะไรในโลกนี้และมีพระเจ้าแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าจะมีสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้า มากมาย ไม่ว่าในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลก (จริงอยู่ มี “พระ” และ “เจ้า” มากมาย) แต่สําหรับ พวกเรามีพระเจ้าองค์เดียว คือพระบิดาผู้ทรงเป็นที่มาของสิ่งสารพัด เรามีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ และมีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวคือพระเยซูคริสต์ สิ่งสารพัดเป็นมาโดยทางพระองค์ และเรามี ชีวิตอยู่โดยทางพระองค์ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่รู้เช่นนี้ บางคนยังคุ้นเคยกับรูปเคารพ เมื่อพวกเขากินอาหารนั้นก็ถือว่าเป็น ของที่เซ่นไหว้รูปเคารพ และเพราะจิตสํานึกของพวกเขายังอ่อนจึงเป็นมลทิน แต่อาหารไม่ได้ ทําให้เราเข้าใกล้พระเจ้า ถ้าไม่รับประทานเราก็ไม่แย่ลง ถ้ารับประทานเราก็ไม่ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามจงระวังอย่าให้การกระทําโดยอิสระเสรีของเรากลายเป็นหินสะดุดของพี่น้องที่ อ่อนแอ เพราะหากผู้ที่จิตสํานึกยังอ่อนเห็นท่านผู้มีความรู้นั่งรับประทานอาหารอยู่ในวิหารของ รูปเคารพเหล่านี้ เขาจะไม่ฮึกเหิมรับประทานของที่เซ่นไหว้รูปเคารพบ้างหรือ? ดังนั้นกลายเป็น ว่าความรู้ของท่านทําลายพี่น้องที่อ่อนแอคนนั้น ทั้งที่พระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพื่อเขา เมื่อ ท่านทําบาปต่อพวกพี่น้องเช่นนี้และทําร้ายจิตสํานึกที่อ่อนแอของพวกเขา ท่านก็ทําบาปต่อพระ คริสต์ ฉะนั้นหากสิ่งที่ข้าพเจ้ารับประทานทําให้พี่น้องตกลงในบาป ข้าพเจ้าจะไม่รับประทานเนื้อ สัตว์อีกเลย เพื่อว่าข้าพเจ้าจะไม่เป็นเหตุให้เขาล้มลง 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
สิทธิของอัครทูต
าไม่มีเสรีภาพหรือ? ข้าพเจ้าไม่เป็นอัครทูตหรือ? ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นพระเยซูองค์พระผู้ 9 เป็ข้านพเจ้ เจ้าของเราหรือ? พวกท่านไม่ใช่ผลงานของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ? แม้ข้าพเจ้า 2
อาจไม่ใช่อัครทูตสําหรับคนอื่น แต่ข้าพเจ้าเป็นอัครทูตสําหรับท่านทั้งหลายอย่างแน่นอน! เพราะ ท่านคือตราแห่งความเป็นอัครทูตของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า หากใครมาพิพากษาข้าพเจ้า ข้อแก้ต่างของข้าพเจ้ามีดังนี้ พวกเราไม่มีสิทธิ์กินดื่มหรือ? พวก เราไม่มีสิทธิ์พาภรรยาซึ่งเป็นผู้เชื่อไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนที่อัครทูตอื่นๆ กับน้องๆ ขององค์ พระผู้เป็นเจ้าและเคฟาส ทําหรือ? หรือมีแต่ข้าพเจ้ากับบารนาบัสเท่านั้นที่ต้องทํางานหาเลี้ยง ชีพ? ใครบ้างที่เป็นทหารโดยเสียค่าใช้จ่ายเอง? ใครบ้างปลูกองุ่นและไม่ได้กินผลองุ่นจากสวน นั้น? ใครบ้างเลี้ยงปศุสัตว์และไม่ได้กินนม? ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ตามทัศนะของมนุษย์เท่านั้นหรือ? บทบัญญัติไม่ได้กล่าวไว้อย่างเดียวกันหรือ? เพราะธรรมบัญญัติของโมเสสเขียนไว้ว่า “อย่า เอาตะกร้อครอบปากวัวซึ่งนวดข้าวอยู่” พระเจ้าทรงห่วงใยแต่วัวเท่านั้นหรอกหรือ? แน่นอน พระองค์ตรัสเช่นนี้ก็เพื่อเราไม่ใช่หรือ? ถูกแล้วข้อนี้เขียนขึ้นเพื่อเราทั้งหลาย เพราะเมื่อคนไถนา และนวดข้าว พวกเขาย่อมทําหน้าที่โดยหวังจะได้รับส่วนแบ่งตอนเก็บเกี่ยว หากเราได้หว่าน เมล็ดฝ่ายจิตวิญญาณในหมู่พวกท่าน จะเกินไปหรือถ้าเราจะเก็บเกี่ยววัตถุจากพวกท่านบ้าง? ถ้า คนอื่นๆ ยังมีสิทธิ์ได้รับการสนับสนุนจากท่าน เราก็ควรจะได้รับมากยิ่งกว่าไม่ใช่หรือ? แต่เราก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์นี้เลย ในทางตรงกันข้ามเราสู้ทนทุกอย่างเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคขัดขวาง ข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์ได้ ท่านไม่รู้หรือว่าผู้ที่ทํางานในพระวิหารก็ได้รับอาหารของตนจาก พระวิหาร และผู้ซึ่งปรนนิบัติอยู่ที่แท่นบูชาก็รับส่วนแบ่งจากเครื่องบูชาบนแท่น? เช่นกันองค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาไว้ว่าผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับปัจจัยเลี้ยงชีพจากข่าวประเสริฐ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยใช้สิทธิ์ใดๆ เหล่านี้เลย และที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้หวังให้ท่าน 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
280 | 1 โครินธ 8:1
ทําเช่นนั้นแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายอมตายเสียดีกว่าให้ใครมาพรากสิ่งเชิดหน้าชูตาข้อนี้ไป กระนั้น เมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าก็ไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะข้าพเจ้าจําต้องประกาศ วิบัติแก่ข้าพเจ้าหากข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐ! หากข้าพเจ้าประกาศด้วยความสมัคร ใจ ข้าพเจ้าย่อมได้รับรางวัลตอบแทน หากข้าพเจ้าประกาศโดยไม่สมัครใจ ข้าพเจ้าก็เพียงแต่ทํา หน้าที่ไปตามที่ได้รับมอบหมาย แล้วข้าพเจ้าได้อะไรเป็นรางวัล? รางวัลก็คือในการประกาศข่าว ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะได้ประกาศโดยไม่คิดค่าตอบแทน และด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงไม่ใช้สิทธิ์ของตน เมื่อประกาศข่าวประเสริฐ แม้ข้าพเจ้าเป็นอิสระและไม่ขึ้นกับใคร ข้าพเจ้าก็ยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวงเพื่อชนะ ใจผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนยิวเพื่อชนะใจคนยิว ต่อ บรรดาผู้อยู่ใต้บทบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนผู้อยู่ใต้บทบัญญัติ (แม้ตัวข้าพเจ้าเองไม่ได้อยู่ใต้ บทบัญญัติ) เพื่อจะได้ชนะใจผู้อยู่ใต้บทบัญญัติ ต่อบรรดาผู้ที่ไม่มีบทบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นเหมือน ผู้ที่ไม่มีบทบัญญัติ (ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอิสระจากบทบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้บทบัญญัติ ของพระคริสต์) เพื่อจะได้ชนะใจผู้ที่ไม่มีบทบัญญัติ ต่อผู้อ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นผู้อ่อนแอ เพื่อจะได้ชนะ 1 โครินธ์ 9:24–27 ใจผู้อ่อนแอ ข้าพเจ้าได้เป็นคนทุกแบบต่อคนทั้งปวง โอลิมปิกเกมส์ถูกจัดขึ้นเมื่อ 776 เพื่อว่าข้าพเจ้าจะช่วยบางคนให้รอดโดยทุกวิถีทาง ปีก่อนที่พระเยซูจะทรงประสูติ ที่เป็นไปได้ ข้าพเจ้าทําทุกสิ่งนี้เพราะเห็นแก่ข่าว อิสธเมียนเกมส์เป็นกีฬาที่มีชื่อเสียง ประเสริฐ เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนร่วมในพระพรแห่ง เช่นเดียวกับโอลิมปิก กีฬานี้ถูก ข่าวประเสริฐ ท่านไม่รู้หรือว่าในการแข่งขัน นักวิ่งทุกคนออกวิ่ง จัดขึ้นในเมืองโครินธ์ก่อนและหลัง แต่มีเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัล? จงวิ่งอย่างนั้นเพื่อให้ โอลิมปิกเกมส์ ได้รางวัลมา ผู้เข้าแข่งขันทุกคนผ่านการฝึกซ้อมอย่าง ชาวเมืองโครินธ์มีความเคยชินกับ เข้มงวด เขาทําอย่างนั้นเพื่อมงกุฎอันไม่ยืนยง ส่วนเรา การได้ดูนักกีฬาฝึกซ้อมเพือการ ทําเพื่อมงกุฎอันยืนยงเป็นนิตย์ เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึง แข่งขัน เมื่อเปาโลบอกพวกเขา ว่า คริสเตียนควรทําการฝึกฝน ไม่ได้วิ่งอย่างไม่มีจุดหมาย ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อสู้เหมือน คนชกลม เปล่าเลย ข้าพเจ้าฝึกฝนตนเองให้อยู่ในการ อย่างพากเพียรในการดําเนินชีวิต ควบคุม เพื่อว่าหลังจากที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่คนอื่น คริสเตียน พวกเขารู้ทันทีว่าเปาโล หมายความว่าอย่างไร แล้ว ข้าพเจ้าเองจะไม่ขาดคุณสมบัติที่จะรับรางวัล 16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
ข้อเตือนใจจากประวัติศาสตร์อิสราเอล
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าบรรพบุรุษของเราล้วนได้อยู่ใต้ 10 เมฆและได้ ผ่านทะเลไปทุกคน พวกเขาล้วนได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในโมเสส ในเมฆและใน 2
ทะเล พวกเขาล้วนได้รับประทานอาหารทิพย์เหมือนกัน และได้ดื่มน้ําทิพย์เหมือนกัน พวกเขาได้ ดื่มน้ําจากศิลาทิพย์ ซึ่งร่วมทางมากับพวกเขา และศิลานั้นคือพระคริสต์ อย่างไรก็ตามพระเจ้าไม่ พอพระทัยพวกเขาเกือบทั้งหมด บรรพบุรุษเหล่านั้นจึงล้มตายเกลื่อนกลาดในถิ่นกันดาร สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่าง ไม่ให้จิตใจของเราฝักใฝ่ในสิ่งชั่วร้ายเหมือนที่คนเหล่านั้น ได้ทํา อย่านับถือรูปเคารพเหมือนบางคน ดังที่มีเขียนไว้ว่า “ประชากรนั่งล้อมวงกินดื่มและลุก ขึ้นระเริงในงานเลี้ยงอย่างคนนอกศาสนา” เราไม่ควรทําผิดศีลธรรมทางเพศเหมือนที่บางคนได้ ทําแล้วล้มตายถึง 23,100 คนในวันเดียว เราไม่ควรลองดีกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนที่พวกเขา บางคนได้ทําแล้วถูกงูกัดตาย และอย่าพร่ําบ่นเหมือนที่พวกเขาบางคนได้ทําแล้วถูกทูตมรณะ ประหาร สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแก่พวกเขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และบันทึกไว้เพื่อเตือนใจเราผู้ซึ่งอยู่ในยุคที่ พระราชกิจของพระเจ้าจะสําเร็จ ดังนั้นถ้าท่านคิดว่าตนยืนหยัดมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดีเพื่อ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
1 โครินธ 10:12 | 281
1 โครินธ์ 10:13 อะไรบ้างที่ทําให้น้อง ๆ อยากทําสิ่งที่ไม่ถูกต้อง? ให้ลองคิดถึงสิ่งเหล่านี้ดู เช่น การดู โทรทัศน์มากกว่าการทําการบ้าน, การโกหก หรือการไม่เชื่อฟัง ให้วาดรูปห้องในบ้านของน้อง ๆ และเขียนการทดลองที่เราจะพบในแต่ละห้อง เขียนพระสัญญาของพระเจ้าสองข้อที่อยู่ใน 1 โครินธ์ 10:13 ลงไปในรูปที่น้อง ๆ วาด แล้วให้จํามันไว้ให้ดี! ท่านจะไม่ล้มลง! ไม่มีการทดลองใดๆ มาถึงท่านนอกจากการทดลองที่เกิดกับมนุษย์ทั่วไป และ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ แต่เมื่อท่าน ถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้ท่านมีทางออกด้วยเพื่อท่านจะยืนหยัดได้ภายใต้การทดลอง 13
งานเลี้ยงของรูปเคารพกับพิธีมหาสนิท
เหตุฉะนั้นท่านที่รัก จงหลีกห่างการนับถือรูปเคารพ ข้าพเจ้าพูดกับคนที่มีสามัญสํานึก ท่าน จงวินิจฉัยคําพูดของข้าพเจ้าเอาเองเถิด ถ้วยน้ําองุ่นซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณคือการเข้าร่วม ในพระโลหิตของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? และขนมปังซึ่งเราหักนั้นคือการเข้าร่วมในพระกายของพระ คริสต์ไม่ใช่หรือ? เนื่องจากมีขนมปังก้อนเดียว เราหลายคนจึงเป็นกายเดียวกัน เพราะทุกคนร่วม รับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน จงพิจารณาชนชาติอิสราเอลผู้ที่กินของถวายบูชาก็มีส่วนร่วมในแท่นบูชาไม่ใช่หรือ? นี่ ข้าพเจ้าหมายความว่ารูปเคารพกับของที่เซ่นไหว้มีความสําคัญอย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย แต่ หมายความว่าของเซ่นไหว้ของคนนอกศาสนานั้นสังเวยแก่ผีมาร ไม่ใช่ถวายแด่พระเจ้า และ ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไปเข้าร่วมกับพวกผีมาร ท่านจะดื่มทั้งจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและ ถ้วยของผีมารไม่ได้ จะร่วมโต๊ะทั้งขององค์พระผู้เป็นเจ้าและของพวกผีมารด้วยไม่ได้ เรากําลัง พยายามยั่วยุองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงริษยาหรือ? เราเข้มแข็งกว่าพระองค์หรือ? 14
15
16
17
18
19
20
21
22
1 โครินธ์ 10:12, 31 33 บางครั้งเราคิดว่าเราควรทําหรือได้รับสิ่งที่เราต้องการ เราคิดว่าเราเป็นที่หนึ่ง เราคิด ว่าเราไม่เคยทําบาป เปาโลกล่าวว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่เราจะทําในสิ่ง ที่ผิดและนําไปสู่ความวุ่นวาย น้อง ๆ คิดว่าเราจะมีวิธีป้องกันสิ่งนี้ไม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เปาโลได้ให้คําแนะนําที่ดี ในข้อ 31–33 ให้เขียนคําแนะนําของท่าน และลองคิดวิธีที่น้อง ๆ จะสามารถทําตาม ข้อแนะนําของเปาโลได้ 282 | 1 โครินธ 10:13
เสรีภาพของผู้เชื่อ
1 โครินธ์ 10:23–33
“เราได้รับอนุญาตให้ทําทุกสิ่งได้” แต่ไม่ใช่ว่าทุก สิ่งจะเป็นประโยชน์ “เราได้รับอนุญาตให้ทําทุกสิ่งได้” คริสเตียนชาวโครินธ์บางคนคิดว่า แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น ทุกคนไม่ พวกเขาไม่ควรกินเนื้อ เนื่องจาก ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ ถวายแก่รูปเคารพ บางคนไม่เห็นว่า ของผู้อื่น สิ่งนี้เป็นปัญหา สิ่งใดที่วางขายตามตลาดเนื้อก็ให้รับประทานไป เปาโลได้บอกว่าสิ่งเดียวที่สําคัญ คือ เถิดโดยไม่ต้องถามตนเองว่าผิดหรือไม่ เพราะ “แผ่น การใส่ใจต่อความสนใจของแต่ละ ดินโลกและทุกสิ่งในโลกเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า” บุคคล นั้นคือเราต้องเป็นคนที่รักผู้ หากผู้ไม่เชื่อบางคนเชิญท่านไปร่วมรับประทาน อื่นและจิตใจดี ความรู้สึกของผู้อื่น อาหารและท่านประสงค์จะไป จงรับประทานสิ่งที่ นั้นสําคัญกว่าเรื่องของตนเอง น้องๆ วางอยู่ตรงหน้าท่านไปเถิดโดยไม่ต้องถามว่าผิดหรือ ไม่ควรทําสิ่งใดที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มี ไม่ แต่ถ้ามีใครมาบอกว่า “ของนี้ได้นําไปเซ่นไหว้ ความสุข หรือเป็นสาเหตุทําให้เขา แล้ว” ก็อย่ารับประทานเพื่อเห็นแก่ทั้งคนที่บอกและ เหล่านั้นทําบาป จิตสํานึกผิดชอบ ข้าพเจ้าหมายถึงจิตสํานึกของ คนนั้นไม่ใช่ของท่าน ทําไมเสรีภาพของข้าพเจ้าจึง ถูกตัดสินโดยจิตสํานึกของคนอื่นเล่า? ถ้าข้าพเจ้ารับประทานโดยขอบพระคุณพระเจ้า ทําไม ข้าพเจ้าจึงถูกตําหนิเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว? ดังนั้นไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทําอะไรก็ตาม จงทําทุกสิ่งเพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า อย่าเป็นต้นเหตุให้ใครสะดุดไม่ว่า จะเป็นคนยิว คนกรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้า เหมือนที่ข้าพเจ้าเองพยายามทําให้ทุกคนพอใจ ในทุกด้านเพราะข้าพเจ้าไม่ได้แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว แต่แสวงหาประโยชน์ของคนทั้งหลายเพื่อ ให้พวกเขารอด จงทําตามอย่างข้าพเจ้าเหมือนที่ข้าพเจ้าทําตามแบบอย่างของพระคริสต์ 23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
11
วางตัวให้เหมาะสมในการนมัสการ
ข้าพเจ้าขอชมเชยพวกท่านที่ระลึกถึงข้าพเจ้าในทุกเรื่องและยึดถือคําสั่งสอนตามที่ข้าพเจ้า ถ่ายทอดให้แก่ท่าน แต่ขอให้ท่านตระหนักว่าพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของชายทุกคนและชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์ ชายทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระวจนะโดยมีผ้าคลุม 2
3
4
1 โครินธ์ 11:1 ให้เล่นเกมส์นี้กับเพื่อน เปิดเพลงพระเจ้าที่น่าชื่นชมยินดี เปลี่ยนกันเป็นผู้นํา ให้ทําท่า ต่าง ๆ ตามจังหวะของดนตรี จากนั้นก็สลับกันเลียนแบบท่าเต้นของอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ทําตามฉันสิ!” หลังสิ้นสุดการเล่นเกมส์ ให้แต่ละคนพูดว่า “เราต้องเลียนแบบพระเยซูในทุกสิ่งที่เรา ทํา” และเราต้องดําเนินชีวิตเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่น” 1 โครินธ 11:4 | 283
ศีรษะอยู่ก็สร้างความอัปยศแก่ศีรษะของเขา และหญิงทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระวจนะโดย ไม่มีผ้าคลุมศีรษะก็สร้างความอัปยศแก่ศีรษะของนางประหนึ่งว่านางได้โกนศีรษะ ถ้าผู้หญิงไม่ คลุมศีรษะ นางก็เหมือนได้กล้อนผมไปแล้ว แต่เป็นเรื่องน่าอายที่ผู้หญิงจะกล้อนหรือโกนผม นาง ก็ควรคลุมศีรษะ ผู้ชายไม่ควรคลุมศีรษะ เพราะเขาคือพระฉายและศักดิ์ศรีของพระเจ้า แต่ผู้หญิง คือศักดิ์ศรีของผู้ชาย เพราะผู้ชายไม่ได้มาจากผู้หญิง แต่ผู้หญิงมาจากผู้ชาย และไม่ได้ทรงสร้าง ผู้ชายขึ้นสําหรับผู้หญิง แต่ทรงสร้างผู้หญิงขึ้นสําหรับผู้ชาย ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงจึงควรมีสิทธิอํานาจ เหนือศีรษะของนางเพราะเหล่าทูตสวรรค์ อย่างไรก็ตามในองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้หญิงไม่เป็นอิสระจากผู้ชายและผู้ชายไม่เป็นอิสระจากผู้ หญิง เพราะว่าผู้หญิงมาจากผู้ชายและผู้ชายเกิดมาจากผู้หญิง แต่ทุกสิ่งมาจากพระเจ้า พวก ท่านจงวินิจฉัยเองเถิดว่าควรหรือไม่ที่ผู้หญิงจะอธิษฐานต่อพระเจ้าโดยไม่คลุมศีรษะของนาง? ธรรมชาติไม่สอนหรือว่าที่ผู้ชายจะไว้ผมยาวนั้นก็น่าอาย แต่ถ้าหากผู้หญิงไว้ผมยาวก็สมศักดิ์ศรี เพราะผมยาวมีไว้ให้คลุมศีรษะ ใครจะโต้แย้งข้อนี้ เรากับคริสตจักรต่างๆ ของพระเจ้าไม่มีข้อ ปฏิบัติเป็นอย่างอื่น 5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
1 โครินธ์ 11:17
พิธีมหาสนิท
ในข้อปฏิบัติต่อไปนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจชมเชยพวก ท่านเพราะการประชุมของพวกท่านมีผลเสียมากกว่า เมื่อเราฉลองอาหารมื้อสุดท้ายของ พระเจ้า เราระลึกถึงการที่พระเยซู ผลดี ประการแรกข้าพเจ้าได้ยินว่าเมื่อพวกท่าน ทรงวายพระชนม์เพื่อเรา ขนมปังที่ ประชุมกันในฐานะที่เป็นคริสตจักร มีการแบ่งพรรค แบ่งพวกในหมู่พวกท่าน และข้าพเจ้าเชื่อว่ามีมูลความ เรากิน ทําให้เราระลึกถึงพระกาย จริงอยู่บ้าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในพวกท่านย่อมมีข้อ ของพระองค์ที่ได้แตกหักเพื่อเรา แตกต่างกัน เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าฝ่ายไหนที่พระเจ้า และน้ําองุ่นที่เราดื่ม ทําให้เราระลึก ถึงพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่า ทรงเห็นชอบด้วย เมื่อพวกท่านมาประชุมกัน ที่ นั้นเราจําได้ถึงการที่พระเยซูทรงฟื้น ท่านรับประทานไม่ใช่งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระชนม์ขึ้นมาจากความตาย เพราะต่างรับประทานโดยไม่รอคนอื่นเลย คนหนึ่ง ยังหิว ส่วนอีกคนเมามาย พวกท่านไม่มีบ้านที่จะนั่ง เมื่อใดที่เราฉลองอาหารมื้อสุดท้าย กินดื่มหรืออย่างไร? หรือว่าพวกท่านลบหลู่คริสตจักร ของพระเยซู เรายังระลึกว่าพวกเรา ของพระเจ้าด้วยการทําให้คนที่ขัดสนอับอาย? ข้าพเจ้า ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว พระเจ้า และพระเยซูคือผู้นํา จะพูดอะไรกับพวกท่านดี? จะให้ข้าพเจ้าชมเชยพวก ครอบครัว ท่านเพราะสิ่งนี้หรือ? ไม่อย่างแน่นอน! เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดแก่พวกท่านนั้น ข้าพเจ้ารับมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูเจ้านั้นพระองค์ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณพระเจ้าแล้วทรงหักและตรัสว่า “นี่คือกายของเราซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทํา เช่นนี้เป็นที่รําลึกถึงเรา” เมื่อรับประทานแล้วทรงหยิบถ้วยขึ้นกระทําอย่างเดียวกันและตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดที่พวกท่านดื่ม จงทําเช่นนี้เป็นที่รําลึกถึงเรา” เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกท่านรับประทานขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้ พวกท่านก็ประกาศการ วายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา ฉะนั้นใครก็ตามที่กินขนมปังหรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่สมควร ก็ได้ทําผิด บาปต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ละคนควรจะตรวจสอบตนเองก่อนรับ ประทานขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ เพราะผู้ที่รับประทานและดื่มโดยไม่ตระหนักถึงพระกายของ องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็รับประทานและดื่มสิ่งที่เป็นเหตุให้ตนเองถูกพิพากษาลงโทษ นี่คือสาเหตุที่ พวกท่านหลายคนอ่อนแอและเจ็บป่วย บางคนก็ล่วงลับไป แต่ถ้าเราได้วินิจฉัยตนเอง เราก็จะไม่ 17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
284 | 1 โครินธ 11:5
1 โครินธ์ 12:4 11 พระเจ้าทรงมอบของประทานให้แก่ลูกทุก ๆ คน ของประทานของแต่ละคนนั้นจะ แตกต่างกันออกไป ให้น้อง ๆ อ่านเกี่ยวกับของประทานที่เปาโลได้กล่าวถึง น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่าของประทานของตัวเองคืออะไร? น้อง ๆ ทําอะไรเก่ง? น้อง ๆ มีความ สุขกับของประทานที่พระเจ้ามอบให้หรือไม่? พระเจ้าทรงมอบของประทานเหล่านี้ ให้แก่เรา เพื่อที่เราจะได้ใช้มันในการช่วยเหลือผู้อื่น ( 1โครินธ์ 14:26 ) ลองคิดถึงสิ่ง เหล่านี้ และลองดูสิว่าน้อง ๆ จะสามารถหาวิธีช่วยเหลือผู้อื่นโดยการใช้ของประทาน ของตัวเองได้หรือไม่ ต้องตกอยู่ในการพิพากษา เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาลงโทษเรานั้น พระองค์ทรงตีสอน เราเพื่อไม่ให้เราต้องรับโทษร่วมกับโลก ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อท่านเข้ามาพร้อมกันเพื่อรับประทานในพิธีมหาสนิท จงรอซึ่งกันและ กัน ถ้าใครหิวก็ควรรับประทานที่บ้านเพื่อว่าเวลาพวกท่านมาประชุมกันจะได้ไม่จบลงด้วยการ พิพากษาลงโทษ และเมื่อข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะให้ข้อแนะนําอื่นๆ 1 โครินธ์ 12:7–11 32
33
34
ของประทานฝ่ายวิญญาณ
หลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่รู้เรื่อง 12 เกีพี่น่ย้อวกังทับ้งของประทานฝ่ ายจิตวิญญาณ ท่านก็ 2
พระเจ้าทรงมอบของประทานให้แก่ ลูก ๆ ของพระองค์ เปาโลกล่าวถึง ของประทาน 3 กลุ่ม • ของประทานเกี่ยวกับความ นึกคิด: ข้อความแห่งสติปัญญา, ข้อความแห่งความรู้ และความ สามารถในการพยากรณ์ • ของประทานฝ่ายวิญญาณ: ความ เชื่อ, การรักษาโรค, การทําการ อัศจรรย์ และความสามารถในการ รู้ได้ว่าการประพฤติบางอย่างนั้น มาจากพระเจ้าหรือสิ่งอื่น • ของประทานการพูดและการฟัง: ความสามารถในการพูดได้หลาก หลายภาษา และความสามารถ ในการถอดความหมายของภาษา เหล่านี้
รู้อยู่ว่าเมื่อท่านยังไม่เชื่อพระเจ้า ท่านได้ถูกชักจูงโดย ทางหนึ่งทางใดให้หลงผิดไปพึ่งรูปเคารพที่พูดไม่ได้ ฉะนั้นข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าไม่มีใครที่กล่าวโดยพระ วิญญาณของพระเจ้าจะพูดว่า “ขอให้พระเยซูถูกแช่ง” และไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์ พระผู้เป็นเจ้า” นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณ บริสุทธิ์ ของประทานมีหลายชนิด แต่พระวิญญาณองค์ เดียวกันเป็นผู้ประทาน งานรับใช้มีหลายประเภท แต่ รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน การงานมีต่างๆ กัน แต่พระเจ้าองค์เดียวกันทรงกระทําการทั้งหมดใน คนทั้งปวง การสําแดงของพระวิญญาณมีแก่แต่ละคนเพื่อ ประโยชน์ร่วมกัน คนหนึ่งได้รับถ้อยคําแห่งสติปัญญา โดยพระวิญญาณ ส่วนอีกคนหนึ่งได้รับถ้อยคําแห่ง ความรู้โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน อีกคนได้รับของ ประทานแห่งความเชื่อโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ส่วนอีกคนมีของประทานในการรักษาโรคโดยพระวิญญาณองค์เดียวกันนั้น คนหนึ่งได้รับฤทธิ์ เดชอันอัศจรรย์ อีกคนเผยพระวจนะได้ คนหนึ่งสังเกตแยกแยะวิญญาณต่างๆ ได้ ส่วนอีกคน สามารถพูดภาษาแปลกๆ และอีกคนแปลภาษาแปลกๆได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการงานของพระ วิญญาณองค์เดียวกัน และพระองค์ประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่แต่ละคนตามที่ทรงกําหนดไว้ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
1 โครินธ 12:11 | 285
1 โครินธ์ 12:14 28 คริสตจักรเปรียบดั่งร่างกาย แต่ละส่วนของร่างกายมีหน้าที่พิเศษ น้อง ๆ เคยแขนหรือ ขาหักไหม? ถ้าเคย น้อง ๆ คงพอรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะอยู่โดยขาดบางส่วนของ ร่างกาย ให้ทุกคนยืนเป็นวงกลมและร้องเบา ๆ ว่า “ พวกเราเป็นร่างกายเดียวกัน!” เมือ่ ผูน้ าํ ให้สญ ั ญาณ ทุกคนเคลือ่ นไปข้างหน้าตรงจุดกลางของวงกลม จนกระทัง่ น้อง ๆ ยืนใกล้กัน ร้องเสียงดังขี้นอีกในขณะที่ขยับเข้าไปข้างใน หลายส่วนในกายเดียวกัน
กายนั้นเป็นกายเดียวแม้จะประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน และแม้อวัยวะทั้งหมดจะมีหลาย ส่วนก็ประกอบกันเป็นกายเดียว พระคริสต์ก็เช่นกัน เพราะเราทั้งหมดก็รับบัพติศมาโดยพระ วิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นยิวหรือกรีก เป็นทาสหรือเป็นไท และเรา ทั้งหมดก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน กายนั้นไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะเดียว แต่ประกอบด้วยหลายอวัยวะ หากเท้าจะพูดว่า “เพราะฉันไม่ใช่มือ ฉันจึงไม่ได้เป็นของร่างกายนั้น” นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทําให้เท้าเลิกเป็นอวัยวะของ ร่างกายนั้น และหากหูจะพูดว่า “เพราะฉันไม่ใช่ตา ฉันจึงไม่ได้เป็นของร่างกายนั้น” นั่นไม่ใช่ เหตุผลที่ทําให้หูเลิกเป็นอวัยวะของร่างกายนั้น หากทั้งร่างกายเป็นตา การได้ยินจะอยู่ที่ไหน? หากทั้งร่างกายเป็นหู การได้กลิ่นจะอยู่ที่ไหน? แต่ที่จริงพระเจ้าทรงจัดอวัยวะต่างๆ ทุกๆ ส่วนไว้ ในร่างกายตามที่ทรงประสงค์ ถ้าทั้งหมดเป็นอวัยวะเดียว ร่างกายจะมีที่ไหน? เช่นนั้นแหละมี หลายอวัยวะแต่เป็นกายเดียวกัน ตาไม่อาจพูดกับมือว่า “ฉันไม่ต้องการเธอ!” และศีรษะไม่อาจพูดกับเท้าว่า “ฉันไม่ต้องการ เธอ!” ในทางตรงกันข้ามอวัยวะต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าอ่อนแอกว่าก็เสียไม่ได้ และอวัยวะที่เรา คิดว่าไม่ค่อยมีเกียรติ เรายังให้เกียรติเป็นพิเศษ และอวัยวะที่ไม่น่าดู เราก็ดูแลเป็นพิเศษ ส่วน อวัยวะที่น่าดูอยู่แล้วไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษ แต่พระเจ้าทรงรวมอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเข้าด้วย กัน และอวัยวะที่ไร้เกียรตินั้นพระองค์ทรงให้เกียรติมากขึ้น เพื่อจะไม่มีการแตกแยกกันใน ร่างกาย แต่เพื่อให้อวัยวะต่างๆ ห่วงใยกันอย่างเท่าเทียมกัน ถ้าอวัยวะหนึ่งเจ็บ ทุกส่วนก็พลอย เจ็บด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งมีเกียรติ ทุกส่วนก็ร่วมชื่นชมยินดีด้วย ท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ พวกท่านแต่ละคนเป็นส่วนหนึ่งของกายนั้น และใน คริสตจักร พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งอัครทูตเป็นอันดับแรก อันดับที่สองคือผู้เผยพระวจนะ อันดับที่ สามคือผู้สอน จากนั้นคือผู้ทําการอัศจรรย์ ผู้มีของประทานในการรักษาโรค ผู้สามารถช่วยเหลือ ผู้อื่น ผู้มีของประทานในการบริหารงาน และผู้พูดภาษาแปลกๆ ทุกคนเป็นอัครทูตหรือ? ทุก คนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ? ทุกคนเป็นผู้สอนหรือ? ทุกคนทําการอัศจรรย์หรือ? ทุกคนมีของ ประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆหรือ? ทุกคนแปลได้หรือ? แต่ให้เราใฝ่หา ของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ 12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
ความรัก
และบัดนี้ข้าพเจ้าจะสําแดงหนทางที่ดีเยี่ยมที่สุดแก่ท่าน ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆได้ทั้งภาษามนุษย์และภาษาทูตสวรรค์ แต่ถ้าปราศจากความรัก 13 ข้แม้าพเจ้ าก็เป็นแค่ฆ้องหรือฉิ่งฉาบที่กําลังส่งเสียง หากข้าพเจ้ามีของประทานในการเผยพระ 2
286 | 1 โครินธ 12:12
1 โครินธ์ 13:4 8 สิ่งสําคัญที่สุดของคริสเตียนที่สามารถทําได้ คือรักกันและกัน นักศาสนศาสตร์ คาร์ล บาร์ธ กล่าวว่าเราสามารถใช้คําว่า “ความรัก” และ “พระ เยซู” แทนกันได้ เมื่อเราอ่านในบทที่ 13 เพราะพระเยซูทรงสอนเราถึงวิธีการรักกัน ให้น้อง ๆ อ่านพระคัมภีร์บทนี้อย่างเสียงดัง และอ่านซ้ําอีกครั้ง ในแต่ละครั้งให้พูด ว่า “พระเยซู” แทนคําว่า “ความรัก” และให้น้อง ๆ พูดถึงการดําเนินชีวิตตามแบบที่ พระเยซูทรงได้เป็นแบบอย่างให้แก่เรา วจนะ สามารถหยั่งถึงข้อล้ําลึกทั้งปวงและความรู้ทั้งสิ้น และถ้าข้าพเจ้ามีความเชื่อที่เคลื่อนภูเขา ได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไร แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้และยอม พลีกายให้เอาไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก ก็เปล่าประโยชน์ ความรักย่อมอดทนนาน ความรักคือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบ คาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจําความผิด ความรักไม่ปีติยินดีในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีใน ความจริง ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอและอดทนบากบั่น อยู่เสมอ ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะจะเลิกรา การพูดภาษาแปลกๆ จะเงียบหาย ความรู้จะล่วงพ้นไป เพราะเรารู้เพียงบางส่วนและเราเผยพระวจนะเพียงบางส่วน แต่เมื่อ ความสมบูรณ์พร้อมมาถึง สิ่งที่ไม่สมบูรณ์ก็จะหมดสิ้นไป เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูด อย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใช้เหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็ทิ้งวิถีทางอย่าง เด็กไว้เบื้องหลัง เวลานี้เราเห็นแต่เงาสะท้อนเลือนรางเหมือนมองในกระจก แต่เวลานั้นเราจะ เห็นกันหน้าต่อหน้า เวลานี้ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนที่ทรงรู้จัก ข้าพเจ้าอย่างแจ่มแจ้ง ฉะนั้นสามสิ่งนี้ยังคงอยู่คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
1 โครินธ์ 13:7 ให้ใช้มือสาธิตในข้อต่อไปนี้ ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ: จับมือประสานกันให้เหมือนว่าเรากําลังจับผีเสื้ออยู่ใน มือ ความรักวางใจเสมอ: แบมือ ยกฝ่ามือขึ้นให้เหมือนว่าเรากําลังอุ้มเด็กอยู่ ความรัก มีความหวังอยู่เสมอ: ใช้มือป้องไว้ที่ตาเราแล้วมองไกลไปที่เส้นขอบฟ้า ความรักอดทน บากบั่นอยู่เสมอ: กําหมัดและยกมือสูงขึ้นในอากาศ ให้น้อง ๆ เรียนรู้พระคัมภีร์ข้อนี้ ด้วยหัวใจ 1 โครินธ 13:13 | 287
ของประทานในการเผยพระวจนะและการพูดภาษาแปลกๆ
จงดําเนินในวิถีแห่งความรักและใฝ่หาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณอย่างกระตือรือร้น โดย 14 เฉพาะการเผยพระวจนะ เพราะผู้ที่พูดภาษาแปลกๆไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า 2
อันที่จริงไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลย เขากล่าวข้อล้ําลึกด้วยจิตวิญญาณของเขา แต่ทุกคนที่เผย พระวจนะนั้นกล่าวแก่คนทั้งหลายเพื่อทําให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้กําลังใจและเพื่อปลอบโยน ผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ เสริมสร้างตัวเอง ส่วนผู้ที่เผยพระวจนะเสริมสร้างคริสตจักร ข้าพเจ้าอยาก ให้ท่านทุกคนพูดภาษาแปลกๆ ได้ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าอยากให้ท่านเผยพระวจนะได้ ผู้ที่เผย พระวจนะนั้นยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ เว้นแต่เขาแปลภาษานั้นๆ ได้เพื่อคริสตจักรจะได้รับ เสริมสร้าง พี่น้องทั้งหลาย หากข้าพเจ้ามาหาท่านพร้อมกับพูดภาษาแปลกๆ ข้าพเจ้าจะอํานวยประโยชน์ อันใดแก่ท่าน? นอกจากว่าข้าพเจ้าจะนําการทรงสําแดง หรือความรู้ หรือการเผยพระวจนะ หรือ ถ้อยคําสั่งสอนมาให้ แม้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็เปล่งเสียงได้ ตัวอย่างเช่นขลุ่ยหรือพิณ ใครจะรู้ว่าเขา กําลังบรรเลงทํานองอะไรหากไม่เล่นตามโน้ตให้ชัดเจน? และถ้าแตรศึกเป่าเรียกไม่ชัดเจนใคร จะเตรียมพร้อมออกรบ? ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน หากท่านพูดด้วยถ้อยคําที่คนไม่เข้าใจ ใครจะรู้ ว่าท่านกําลังพูดอะไร? ท่านก็ได้แต่พูดลมๆ แล้งๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในโลกย่อมมีภาษาสารพัด แบบ แต่ไม่มีภาษาไหนที่ปราศจากความหมาย หากข้าพเจ้าจับใจความที่เขาพูดอยู่ไม่ได้ ข้าพเจ้า กับผู้พูดก็เป็นคนต่างภาษากัน ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน ในเมื่อท่านใฝ่หาของประทานฝ่ายจิต วิญญาณ ก็จงพยายามที่จะเป็นเลิศในของประทานซึ่งเสริมสร้างคริสตจักร ด้วยเหตุนผ้ี ใู้ ดพูดภาษาแปลกๆ ได้ ควรอธิษฐานขอให้เขาแปลสิง่ ทีเ่ ขาพูดได้ดว้ ย เพราะถ้า ข้าพเจ้าอธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าอธิษฐาน แต่ไม่มผี ลต่อความคิดของ ข้าพเจ้า ฉะนัน้ ข้าพเจ้าควรทําอย่างไร? ข้าพเจ้าจะอธิษฐานด้วยจิตวิญญาณ แต่ขา้ พเจ้าก็จะ อธิษฐานด้วยความคิดเช่นกัน ข้าพเจ้าจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณ แต่ขา้ พเจ้าก็จะร้องเพลงด้วย ความคิดเช่นกัน ถ้าท่านสรรเสริญพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณของท่าน คนทีไ่ ม่รไู้ ม่เข้าใจจะกล่าว “อาเมน” ขานรับการขอบพระคุณของท่านได้อย่างไรในเมือ่ เขาไม่รวู้ า่ ท่านพูดอะไร? ท่านอาจจะ ขอบพระคุณได้อย่างดีเยีย่ ม แต่ไม่ได้เสริมสร้างคนอืน่ ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าพูดภาษา 1 โครินธ์ 13–14 แปลกๆ มากกว่าพวกท่านทั้งหมด แต่ในคริสตจักร ข้าพเจ้าขอพูดสักห้าคําที่คนฟังเข้าใจได้เพื่อสอนคนอื่น เปาโลบอกเราว่าของประทานที่ สําคัญที่สุดคือ การรักซึ่งกันและกัน ดีกว่าพูดหมื่นคําเป็นภาษาแปลกๆ พี่น้องทั้งหลาย เลิกคิดแบบเด็กๆ เสียเถิด ในเรื่อง ถ้าเราไม่รักกันแล้ว ของประทาน ความชั่วจงเป็นทารก แต่ในด้านความคิดจงเป็นผู้ใหญ่ ทั้งหมดในโลกนี้ก็ไม่มีคุณค่า เรา สามารถแบ่งบทที่ 13 ออกเป็นสาม ตามที่มีเขียนไว้ในบทบัญญัติว่า ส่วน ดังนี้: องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า • ถ้าเราไม่รักกันและกันแล้ว เราก็ “เราจะพูดกับชนชาตินี้ผ่านทางคนต่าง ถือว่าไม่มีสิ่งใดเลย (ข้อ 1–3) ภาษา • ความรักนั่นคือนึกถึงคนอื่นก่อน ผ่านริมฝีปากของคนต่างชาติ (ข้อ 4–7) แต่กระนั้นเขาก็ยังจะไม่ฟังเรา” • ความรักไม่เคยล้มเหลว (ข้อ 8–13) ฉะนั้นการพูดภาษาแปลกๆ จึงเป็นหมายสําคัญ เปาโลบอกเราถึงการแสดงความรัก ไม่ใช่สําหรับผู้เชื่อ แต่สําหรับผู้ที่ไม่เชื่อ แต่การเผย ใน 1 โครินธ์ 14 พระวจนะนั้นสําหรับผู้เชื่อ ไม่ใช่ผู้ที่ไม่เชื่อ ด้วยเหตุ นี้หากทั้งคริสตจักรมาประชุมกันและทุกคนพูดภาษา แปลกๆ แล้วคนที่ไม่เข้าใจ หรือผู้ที่ไม่เชื่อเข้ามา จะ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
288 | 1 โครินธ 14:1
ไม่หาว่าท่านเสียสติไปหรือ? แต่ถ้าหากผู้ที่ไม่เชื่อหรือคนที่ไม่เข้าใจเข้ามาขณะที่ทุกคนกําลังเผย พระวจนะ ทั้งหมดนี้ก็จะทําให้เขาสํานึกว่าเขาเป็นคนบาปและทั้งหมดนี้จะพิพากษาเขา และ ความลับต่างๆ ในใจเขาจะถูกตีแผ่ ดังนั้นเขาจะกราบลงนมัสการพระเจ้าและร้องว่า “พระเจ้าสถิต ท่ามกลางพวกท่านจริงๆ!” 24
25
การนมัสการอย่างมีระเบียบ
พี่น้องทั้งหลาย แล้วเราจะว่าอย่างไรดี? เมื่อพวกท่านมาประชุมกัน ทุกคนมีเพลงสดุดี หรือคํา สัง่ สอน การทรงสําแดง ภาษาแปลกๆ หรือการแปลภาษาแปลกๆ ทัง้ หมดนีต้ อ้ งทําเพือ่ ให้คริสตจักร เข้มแข็งขึ้น หากใครจะพูดภาษาแปลกๆ จงพูดแค่สองคนหรืออย่างมากที่สุดสามคน โดยพูด ทีละคนและต้องมีคนแปลความ หากไม่มีคนแปล ผู้พูดควรอยู่เงียบๆ ในคริสตจักร พูดกับตัวเอง และทูลต่อพระเจ้า ส่วนผู้เผยพระวจนะควรพูดสักสองหรือสามคน และให้คนอื่นๆ ไตร่ตรองสิ่งที่เขาพูดให้ดี หากมีการทรงสําแดงแก่บางคนที่นั่งอยู่ ให้ผู้พูดคนแรกนิ่งก่อน เพราะว่าพวกท่านทั้งหมดจะ ได้เผยพระวจนะทีละคน เพื่อให้ทุกคนได้รับคําสอนและคําให้กําลังใจ จิตวิญญาณของผู้เผยพระ วจนะย่อมอยู่ในบังคับของผู้เผยพระวจนะ เพราะพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย แต่ทรง เป็นพระเจ้าแห่งความสงบสุข ตามที่ปฏิบัติกันในที่ประชุมทั้งปวงของประชากรของพระเจ้า ผู้หญิงควรนิ่งเสียในคริสตจักร ไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ต้องนอบน้อมยอมจํานนตามที่บทบัญญัติระบุ ถ้าอยากถามเรื่องใด ควรถามสามีที่บ้าน เป็นเรื่องน่าอายที่ผู้หญิงจะพูดขึ้นมาในคริสตจักร พระวจนะของพระเจ้าเกิดมาจากพวกท่านหรือ? พระวจนะมีมาถึงท่านพวกเดียวหรือ? ถ้า ใครคิดว่าตนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือมีของประทานฝ่ายจิตวิญญาณก็ให้เขายอมรับว่าข้อความที่ ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนี้เป็นพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเขาละเลยเรื่องนี้ ตัวเขาเองจะ ถูกละเลย เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า จงกระตือรือร้นในการเผยพระวจนะ และอย่าห้ามการ พูดภาษาแปลกๆ เลย แต่ควรทําทุกสิ่งอย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบ 26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
พระเยซูคริสต์ทรงคืนพระชนม์
ข้าพเจ้าอยากเตือนท่านให้ระลึกถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ 15 ท่พีา่นน้องทัซึ่งท่้งหลาย านได้รับไว้และตั้งมั่นอยู่บนฐานนี้ ถ้าท่านยึดมั่นในถ้อยคําที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ 2
ท่าน ท่านก็จะรอดโดยข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้นท่านก็เชื่อโดยเปล่าประโยชน์
1 โครินธ์ 15:1–8 ในข้อที่ 3 และ 4 เปาโลได้บอกเราถึงข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูอย่างย่อ ๆ ลองดู สิว่าน้อง ๆ จะสามารถค้นหาสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซูได้ 3 อย่างหรือไม่ หลังจากการ ฟืน้ พระชนม์ พระเยซูทรงปรากฎแก่คนมากมาย ให้นบั ชือ่ บุคคลทีเ่ ปาโลกล่าวถึง น้อง ๆ ทราบไหมว่ามีคนเป็นจํานวนมากที่ได้เห็นพระองค์? และน้อง ๆ คิดไหมว่าคน เหล่านั้นจะโกหกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น? (ยากอบเป็นน้องชายของพระเยซู) 1 โครินธ 15:2 | 289
เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้นเป็นเรื่องที่สําคัญที่สุด และข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้ท่านคือ พระ คริสต์ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ ทรงถูกฝังไว้และในวันที่ สามพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ และทรงปรากฏแก่เปโตร จากนั้นปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสองคน ต่อมาพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคนใน คราวเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แม้บางคนได้ล่วงลับไปแล้ว จากนั้นพระองค์ทรงปรากฏแก่ ยากอบและแก่อัครทูตทั้งปวง และในท้ายที่สุดพระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้าด้วย ผู้เป็นเหมือน ทารกที่คลอดผิดปกติ เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยที่สุดในหมู่อัครทูตและไม่คู่ควรแม้กระทั่งจะได้ชื่อว่าอัครทูต เพราะ ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้า แต่โดยพระคุณของพระเจ้าข้าพเจ้าจึงเป็นอย่างที่เป็น อยู่นี้ และพระคุณของพระองค์ที่มีต่อข้าพเจ้านั้นไม่ใช่ว่าจะไร้ผล ข้าพเจ้าทํางานหนักยิ่งกว่าพวก เขาทั้งปวง แต่ไม่ใช่ข้าพเจ้าเองเป็นคนทํา พระคุณของพระเจ้าซึ่งดํารงอยู่กับข้าพเจ้าต่างหากที่ทํา ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นข้าพเจ้าหรือพวกเขา นี่คือสิ่งที่เราประกาศและนี่คือสิ่งที่ท่านได้เชื่อ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
การเป็นขึ้นจากตาย
แต่ถ้าเราประกาศว่าพระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากตาย เหตุใดพวกท่านบางคนยังกล่าวว่าไม่มี การเป็นขึ้นจากตาย? ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายแล้ว พระคริสต์เองก็ไม่ได้เป็นขึ้นจากตายด้วย และถ้าพระคริสต์ไม่ได้เป็นขึ้นจากตาย คําเทศนาของเราก็ไร้ค่าและความเชื่อของท่านก็ไร้ค่า ยิ่งไปกว่านั้นกลายเป็นว่าเราเป็นพยานเท็จเรื่องพระเจ้า เพราะเราเป็นพยานว่าพระเจ้าทรงให้ พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย แต่ถ้าความจริงคือพระเจ้าไม่ได้ทรงให้คนตายเป็นขึ้นมา พระองค์ก็ไม่ ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา เพราะถ้าพระเจ้าไม่ทรงให้คนตายเป็นขึ้นแล้ว พระองค์ย่อมไม่ ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นเช่นกัน และถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย ความ เชื่อของท่านก็ไร้ผล ท่านยังคงอยู่ในบาปของตน แล้วบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปในพระคริสต์ก็พินาศไป ด้วย ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงเพื่อชีวิตนี้ เราก็น่าสมเพชกว่าคนทั้งปวง แต่นี่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป เพราะ ในเมื่อความตายสืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตายก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คน เดียวเช่นกัน เพราะว่าในอาดัมคนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตฉันนั้น แต่จะเป็นไปตามลําดับคือ พระคริสต์ผู้เป็นผลแรก จากนั้นบรรดาคนของพระองค์เมื่อพระองค์ เสด็จมา แล้วจุดจบก็มาถึงเมื่อพระองค์ทรงถวาย อาณาจักรแด่พระเจ้าพระบิดา หลังจากที่ทรงทําลาย 1 โครินธ์ 15 เทพผู้ปกครองอาณาจักร เทพผู้ทรงอํานาจ และเทพ บางคนไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงฟื้นขึ้น ผู้ทรงเดชานุภาพทั้งปวง เพราะพระองค์จะต้อง จากความตายจริง ๆ ชาวเมือง ครอบครองจนกว่าพระองค์จะได้สยบศัตรูทั้งสิ้นไว้ โครินธ์สงสัยเช่นเดียวกันว่ามันเป็นไป ใต้พระบาทของพระองค์ ศัตรูตัวสุดท้ายที่ต้องทรง ได้อย่างไร ทําลายคือความตาย เพราะพระองค์ “ได้ทรงทําให้ ทุกสิ่งอยู่ใต้พระบาทของพระองค์” ที่ว่า “ทุกสิ่ง” ดังนั้นเปาโลจึงได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ อยู่ใต้พระองค์นี้เป็นที่ชัดเจนว่าไม่รวมถึงพระเจ้าเอง เกิดขึ้นหลังจากที่พระเยซูทรงถูกฝัง ผู้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ภายใต้พระคริสต์ เมื่อพระองค์ทรง ท่านกล่าวว่ามีคนจํานวนหลายร้อย กระทําเช่นนี้แล้ว พระบุตรเองจะอยู่ภายใต้พระเจ้า คนที่เห็นพระเยซูหลังจากพระองค์ ผู้ทรงทําให้ทุกสิ่งอยู่ภายใต้พระองค์ เพื่อพระเจ้าจะ ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย และท่าน ทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง ยังกล่าวอีกว่าวันหนึ่งผู้เชื่อทุกคน เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายแล้ว จะฟื้นขึ้นมาจากความตายและไป บรรดาผู้ที่รับบัพติศมาสําหรับคนตายจะทําอย่างไร? สวรรค์ เช่นเดียวกันกับพระองค์ ถ้าคนตายไม่คืนชีวิต ทําไมยังมีคนรับบัพติศมาเพื่อผู้ 12
13
14 15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
290 | 1 โครินธ 15:3
1 โครินธ์ 15:35–38 ให้วางถั่ว 1 เม็ดลงบนแผ่นสําสีที่เปียกน้ําสองแผ่น รักษาให้มันมีความชุ่มชื้น อีกไม่ นานหน่อก็จะเริ่มงอกจากเมล็ดถั่วที่แห้ง ให้น้อง ๆ ทําการปลูกถั่วและคอยดูการ เติบโตของมัน ถั่วที่ปลูกจะเริ่มเปลี่ยนแปลง หลังจากนั้นไม่นาน มันจะดูแตกต่างจาก เมล็ดถั่วแห้งอย่างสิ้นเชิง เมื่อพระเยซูทรงเสด็จกลับมา เราจะได้รับร่างกายใหม่ มัน จะถูกเปลี่ยนแปลงและมีความแตกต่างจากร่างกายที่เรามีอยู่ตอนนี้อย่างสิ้นเชิง มันจะ สมบูรณ์แบบและจะคงอยู่แบบนั้นตลอดไป (1โครินธ์ 15:53) ตาย? และสําหรับเรา ทําไมเราจึงต้องเผชิญภยันตรายอยู่ทุกเวลา? ข้าพเจ้าตายทุกวัน พี่น้อง ทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความเช่นนั้น สิ่งนี้แน่นอนเหมือนที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจในพวกท่านในพระ เยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ถ้าข้าพเจ้าต่อสู้กับพวกสัตว์ป่าในเอเฟซัสเพียงเพื่อเหตุผล ของมนุษย์ ข้าพเจ้าได้อะไร? หากพระเจ้าไม่ได้ให้คนตายเป็นขึ้นมา “ให้เรากินและดื่ม เพราะพรุ่งนี้เราก็ตายแล้ว” อย่าให้ใครชักจูงให้หลงผิดเลย “เพื่อนเลวย่อมทําให้อุปนิสัยที่ดีเสื่อมทรามไป” จงกลับมี สติสัมปชัญญะอย่างที่ควรเถิดและเลิกทําบาป เพราะมีบางคนไม่รู้จักพระเจ้าเลย ที่ข้าพเจ้าพูดเช่น นี้ก็เพื่อให้ท่านละอายใจ 30
31
32
33
34
กายที่เป็นขึ้นจากตาย
แต่บางคนอาจจะถามว่า “คนตายเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อเป็นขึ้นร่างกายของเขาจะเป็น แบบไหน?” ช่างเขลาเสียจริง! สิ่งที่ท่านหว่านลงจะไม่มีชีวิตขึ้นมา ถ้าสิ่งนั้นไม่ตายเสียก่อน เมื่อท่านหว่าน ท่านไม่ได้ปลูกต้นที่โตเต็มที่แล้ว แต่ท่านปลูกแค่เมล็ด ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดข้าวสาลี หรือเมล็ดพืชใดๆ แต่พระเจ้าประทานลําต้นตามที่ได้ทรงกําหนดไว้ และพระองค์ประทานลําต้น ของมันเองให้แก่เมล็ดแต่ละชนิด เนื้อทั้งปวงไม่เหมือนกัน เนื้อมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง สัตว์ต่างๆ ก็อีก อย่างหนึ่ง สัตว์ปีกสัตว์น้ําก็อีกอย่างหนึ่ง กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่า ราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง สง่าราศี ของดวงอาทิตย์เป็นแบบหนึ่ง ดวงจันทร์ก็อีกแบบหนึ่ง และดวงดาวก็อีกแบบหนึ่ง อันที่จริงสง่า ราศีของดาวแต่ละดวงก็ต่างกัน การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เช่นกัน กายที่หว่านลงนั้นเสื่อมสลายได้ ที่เป็นขึ้นมาใหม่จะไม่ เสื่อมสลาย ที่หว่านลงนั้นไร้ศักดิ์ศรี ที่เป็นขึ้นเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี ที่หว่านลงนั้นอ่อนแอ ที่เป็นขึ้น ทรงพลัง ที่หว่านลงนั้นเป็นกายธรรมชาติ ที่เป็นขึ้นเป็นกายวิญญาณ ถ้ามีกายธรรมชาติย่อมมีกายวิญญาณด้วย จึงมีเขียนไว้ว่า “อาดัมมนุษย์คนแรกจึงกลายเป็น ผู้มีชีวิต” ส่วนอาดัมคนหลังเป็นวิญญาณผู้ให้ชีวิต กายวิญญาณไม่ได้มาก่อน แต่กายธรรมชาติ มาก่อนและกายวิญญาณมาทีหลัง มนุษย์คนแรกมาจากธุลีดินของโลกนี้ มนุษย์คนที่สองมาจาก สวรรค์ คนฝ่ายโลกเป็นอย่างไร ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น คนจากสวรรค์เป็นอย่างไร ชาวสวรรค์ก็ เป็นอย่างนั้น และเราเกิดมามีลักษณะเหมือนกับคนฝ่ายโลกอย่างไร เราก็จะมีลักษณะเหมือนกับ คนจากสวรรค์อย่างนั้น พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอประกาศว่าเนื้อและเลือดไม่อาจรับอาณาจักรของพระเจ้าเป็น 35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
1 โครินธ 15:50 | 291
มรดก และสิ่งที่เสื่อมสลายไม่อาจรับสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายเป็นมรดก ฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกข้อล้ํา ลึกแก่ท่าน คือเราจะไม่ล่วงลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง ชั่วแวบ เดียวในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทําให้เป็นขึ้น แบบไม่เสื่อมสลายและเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง เพราะที่เสื่อมสลายต้องสวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้ต้องสวมที่ไม่มีวันตาย เมื่อที่เสื่อมสลายนั้นสวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้นั้นสวม ที่ไม่มีวันตายแล้ว คํากล่าวที่ได้บันทึกไว้ก็จะเป็นจริงคือ “ความตายก็พ่ายแพ้ถูกกลืนหายไป” “ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า? ความตายเอ๋ย ไหนล่ะเหล็กไนของเจ้า?” เหล็กไนของความตายคือบาป และอานุภาพของบาปคือบทบัญญัติ แต่ขอบพระคุณพระเจ้า! พระองค์ประทานชัยชนะแก่เราโดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา เหตุฉะนั้นพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงตั้งมั่นอยู่ อย่าให้สิ่งใดทําให้ท่านหวั่นไหว จงทุ่มเทอย่าง เต็มที่ให้กับงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะท่านรู้ว่าในองค์พระผู้เป็นเจ้า การงานของท่านจะไม่ สูญเปล่า 51
52
53
54
55
56
57
58
การเรี่ยไรเพื่อประชากรของพระเจ้า
่ยไรเพื่อประชากรของพระเจ้านั้น ขอให้ท่านทําเหมือนที่ข้าพเจ้าบอกแก่ 16 คริเกี่ยสวกัตจับกการเรี รต่างๆ ในกาลาเทีย ทุกวันต้นสัปดาห์ท่านแต่ละคนควรแยกเงินจํานวนหนึ่งตาม 2
ความเหมาะสมกับรายได้ของตน เก็บสะสมเงินนี้ไว้เพื่อเมื่อข้าพเจ้ามาจะได้ไม่ต้องเรี่ยไร แล้ว เมื่อข้าพเจ้ามาก็จะมอบจดหมายแนะนําตัวให้กับคนที่ท่านเห็นชอบ และส่งพวกเขาไปยังกรุง เยรูซาเล็มพร้อมกับเงินถวายของท่าน หากเป็นการเหมาะสมที่ข้าพเจ้าจะไปด้วย คนเหล่านั้นก็จะ ไปพร้อมกับข้าพเจ้า 3
4
คําขอร้องส่วนตัว
เมื่อข้าพเจ้าผ่านแคว้นมาซิโดเนียแล้วจะมาหาท่าน เพราะข้าพเจ้าจะเดินทางผ่านมาซิโดเนีย ข้าพเจ้าอาจจะพักอยู่กับพวกท่านระยะหนึ่งหรืออยู่จนสิ้นฤดูหนาวก็เป็นได้ เพื่อท่านจะได้ช่วย เหลือข้าพเจ้าในการเดินทางไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม ตอนนี้ข้าพเจ้าแค่ผ่านมาและไม่อยากพบปะ กับท่านเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ถ้าพระเจ้าทรงอนุญาต ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้ใช้เวลาอยู่กับพวกท่านสักระยะหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าจะ อยู่ที่เมืองเอเฟซัสต่อจนถึงเทศกาลเพ็นเทคอสต์ เพราะประตูได้เปิดกว้างให้ข้าพเจ้าทํางานอย่าง เกิดผล แต่คนต่อต้านข้าพเจ้าก็มีมาก หากทิโมธีมา ขอท่านช่วยดูแลไม่ให้เขาหวั่นเกรงสิ่งใดขณะที่เขาอยู่กับท่าน เพราะเขาก็ทํางาน ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนกับข้าพเจ้า ฉะนั้นอย่าให้ใครปฏิเสธที่จะยอมรับเขา ช่วยส่งเขาเดิน ทางต่อไปอย่างสันติเพื่อเขาจะได้กลับมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากําลังคอยเขากับพวกพี่น้องอยู่ เกี่ยวกับอปอลโลพี่น้องของเรานั้น ข้าพเจ้าคะยั้นคะยอให้เขามาหาท่านพร้อมกับพวกพี่น้อง แต่เขายังไม่ประสงค์จะมาตอนนี้ เขาจะมาเมื่อมีโอกาส ท่านทั้งหลายจงระมัดระวัง ยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ เด็ดเดี่ยวกล้าหาญและเข้มแข็ง จงทํา ทุกสิ่งด้วยความรัก ท่านทั้งหลายทราบอยู่ว่าครอบครัวของสเทฟานัสเป็นผู้กลับใจกลุ่มแรกในแคว้นอาคายา และ พวกเขาถวายตัวรับใช้ประชากรของพระเจ้า พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่าน ยอมเชื่อฟังคน เหล่านี้และทุกคนที่ร่วมงานร่วมตรากตรํา ข้าพเจ้าดีใจเมื่อสเทฟานัส ฟอร์ทูนาทัส กับอาคายคัส มาถึง เพราะพวกเขาได้ให้สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ได้รับจากท่าน พวกเขาได้ฟื้นจิตใจของข้าพเจ้าและของ ท่านทั้งหลายขึ้นใหม่ด้วย คนเช่นนี้สมควรได้รับการนับถือ 5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
292 | 1 โครินธ 15:51
คําลงท้าย
คริสตจักรต่างๆ ในแถบแคว้นเอเชียฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย อาควิลลากับ ปริสสิลลา และคริสตจักรในบ้านของพวกเขาฝากความคิดถึงในองค์พระผู้เป็นเจ้ามายังท่าน พี่น้องทั้งปวงที่นี่ฝากความคิดถึงมายังท่าน จงทักทายกันด้วยการจุมพิตอันบริสุทธิ์ คําลงท้ายนี้ข้าพเจ้าเปาโลเขียนด้วยมือของข้าพเจ้าเอง ถ้าผู้ใดไม่รักองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเสด็จมา เถิด! ขอพระคุณขององค์พระเยซูเจ้าดํารงอยู่กับท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอส่งความรักมายังท่านทุกคนในพระเยซูคริสต์ อาเมน 19
20
21 22
23 24
1 โครินธ 16:24 | 293
จดหมายของเปาโลถึง คริสตจักรในเมืองโครินธ์ ฉบับที่สอง น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● มีจดหมายสองฉบับที่เขียนถึงชาวเมืองโครินธ์ในพระคัมภีร์ แต่เรารู้ว่าเปาโลได้เขียน
จดหมายฉบับอื่น ๆ ถึงพวกเขาด้วย ● ท่านได้จบการเขียนจดหมายฉบับแรกโดยกล่าวว่า ท่านต้องการไปเยี่ยมคริสตจักรที่ เมืองโครินธ์ ● แต่เมื่อท่านไปเยี่ยมแล้วนั้น มีความขัดแย้งเกิดขึ้นที่นั้น และท่านไม่ได้จากไปอย่าง สันติสุข ดังนั้นท่านจึงเขียนจดหมายถึงพวกเขาเพื่อแก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่ชาว เมืองโครินธ์ไม่ได้พอใจในจดหมายของท่านเลย (จดหมายฉบับนั้นได้สูญหายไป) ● เปาโลได้เขียนจดหมายซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า จดหมายถึงคริสตจักรเมืองโครินธ์ ฉบับที่ 2 เพื่อพยายามที่จะสร้างสันติภาพกับชาวเมืองอีกครั้งหนึ่ง ● ท่านเขียนจดหมายนี้ในปีคริสต์ศักราชที่ 52 หลังจากที่พระเยซูทรงประสูติ จาก มาซิโดเนีย (ประเทศกรีซ)
ทําไมเปาโลจึงเขียนจดหมายถึงชาวเมืองโครินธ์?
● ท่านต้องการบอกชาวโครินธ์ว่าท่านรักพวกเขา ● ท่านกล่าวว่าใครก็ตามที่ทํางานเพื่อพระเจ้า ต้องรักพระองค์และเชื่อฟังพระองค์ใน
ทุกสิ่ง ● ท่านสัญญาว่าจะนําเงินที่ชาวเมืองโครินธ์ถวายไปให้กับคนยากจนในกรุงเยรูซาเล็ม (2 โครินธ์ 8–9) ● เปาโลเขียนเกี่ยวกับคนโกหกบางคนที่เล่าเรื่องของพระเยซู และเรื่องที่เกี่ยวกับท่าน เอง (2 โครินธ์ 11)
อ่านข้อความบางส่วนเพิ่มเติม
● เมื่อชีวิตเจอความยากลําบาก (2 โครินธ์ 1:3–11) ● ทีมแห่งชัยชนะของพระเยซู (2 โครินธ์ 2:14–17) ● สมบัติในแจกันดิน (2 โครินธ์ 4:7–15) ● ให้ด้วยใจกว้างขวาง (2 โครินธ์ 9:6–15)
294
2 โครินธ์
จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นอัครทูตของ 1 พระเยซู คริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้ากับ ทิโมธีน้องของเรา ถึงคริสตจักรของพระเจ้าที่เมืองโครินธ์และ ประชากรของพระเจ้าทุกคนทั่วแคว้นอาคายา ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของ เราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่ท่านทั้งหลาย 2
พระเจ้าแห่งการปลอบประโลมใจทัง้ ปวง
2 โครินธ์
เปาโลเขียนถึงชาวเมืองโครินธ์เพื่อที่ จะพยายามและโน้มน้าวพวกเขาว่า ท่านเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ ท่านได้ เป็นอัครทูตเพียงเพราะพระเจ้าทรง เจิมท่าน พระเจ้าทรงส่งท่านออกไป ประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู ให้คนทั่วโลกได้รับรู้ และคําโกหกที่ คนอื่นกล่าวถึงตัวท่านนั้นไม่ได้เป็น ความจริงเลย
สรรเสริญพระเจ้าและพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์ เจ้าของเรา พระบิดาแห่งความเมตตาเอ็นดู และ พระเจ้าแห่งการปลอบประโลมใจทั้งปวง ผู้ทรงปลอบ ประโลมใจเราในความทุกข์ร้อนทั้งสิ้นของเรา เพื่อเราจะสามารถปลอบประโลมใจบรรดาผู้ทุกข์ ร้อนในเรื่องใดๆ ด้วยการปลอบประโลมใจซึ่งเราเองได้รับจากพระเจ้า เพราะการทนทุกข์ของพระ คริสต์หลั่งล้นเข้ามาในชีวิตของเราฉันใด การปลอบประโลมใจของเราก็ท่วมท้นโดยทางพระคริสต์ ฉันนั้น หากเราทนทุกข์ ก็เพื่อการปลอบประโลมใจและเพื่อความรอดของท่าน หากเราได้รับการ ปลอบประโลมใจ ก็เพื่อให้ท่านได้รับการปลอบประโลมใจ ซึ่งส่งผลให้ท่านมีความอดทนอดกลั้น ในความทุกข์ยากเดียวกันกับที่เราทนทุกข์อยู่ และเราหวังใจมั่นคงในท่านเพราะรู้ว่าท่านร่วมใน ความทุกข์ยากกับเราฉันใด ท่านย่อมร่วมในการปลอบประโลมใจกับเราด้วยฉันนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านทราบถึงความยากลําบากที่เราได้เผชิญในแคว้นเอเชีย เราถูก บีบคั้นหนักหน่วงสุดจะทานทนจนหมดหวังที่จะเอาชีวิตรอด อันที่จริงเรารู้สึกในใจประหนึ่งว่าได้ ถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อเราจะไม่พึ่งตัวเอง แต่พึ่งพระเจ้าผู้ทรงให้คนตายเป็น ขึ้น พระองค์ได้ทรงช่วยเราพ้นจากมรณภัยและจะทรงช่วยเราอีก เราตั้งความหวังในพระองค์ว่า จะทรงช่วยเราต่อไป เช่นเดียวกับที่ท่านช่วยเราโดยคําอธิษฐานของท่าน แล้วคนมากมายก็จะ ขอบพระคุณพระเจ้าเนื่องจากเรา สําหรับความกรุณาที่ประทานแก่เราอันเป็นการตอบคําอธิษฐาน ของคนมากมาย 3
4
5
6
7
8
9
10
11
เปาโลเปลี่ยนแผน
สิ่งที่เราโอ้อวดได้ คือจิตสํานึกของเรายืนยันว่าเราประพฤติตนในโลกโดยเฉพาะในความ สัมพันธ์กับท่านด้วยความบริสุทธิ์และความจริงใจซึ่งมาจากพระเจ้า เราไม่ได้ประพฤติตามปัญญา ฝ่ายโลก แต่ตามพระคุณของพระเจ้า เพราะเราไม่ได้เขียนถึงท่านในสิ่งที่ท่านไม่สามารถอ่านหรือ เข้าใจได้ และข้าพเจ้าหวังว่า ในเมื่อท่านเข้าใจเราบางส่วนแล้ว ท่านจะได้เข้าใจโดยตลอดว่าท่าน ก็สามารถโอ้อวดเกี่ยวกับเราเหมือนที่เราจะโอ้อวดเกี่ยวกับท่านในวันแห่งองค์พระเยซูเจ้า เนื่องจากข้าพเจ้ามั่นใจในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจึงวางแผนว่าจะมาเยี่ยมท่านก่อนเพื่อให้ท่านได้ ประโยชน์สองต่อ คือข้าพเจ้าได้วางแผนมาเยี่ยมพวกท่านเมื่อจะไปแคว้นมาซิโดเนีย และขากลับ จากแคว้นมาซิโดเนียก็แวะมาเยี่ยมท่านอีก จากนั้นให้ท่านส่งข้าพเจ้าเดินทางไปยังแคว้นยูเดีย เมื่อข้าพเจ้าได้วางแผนเช่นนี้ ข้าพเจ้าทําไปอย่างไม่จริงจังหรือ? ข้าพเจ้าวางแผนแบบชาวโลกที่ พร้อมจะรับปากส่งๆ ไปว่า “มา” และ “ไม่มา” หรือ? แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อแน่นอนฉันใด คําของเราถึงท่านก็ไม่ใช่ “มา” และ “ไม่มา” ส่งๆ ไป แน่ฉันนั้น เพราะพระบุตรของพระเจ้าคือพระเยซูคริสต์ซึ่งข้าพเจ้ากับสิลาสและทิโมธีประกาศ แก่พวกท่านนั้นไม่ใช่ทั้ง “จริง” และ “ไม่จริง” ในเวลาเดียวกัน แต่ในพระองค์เป็น “จริง” เสมอ เพราะไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้มากมายเท่าใด สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็น “จริง” ในพระคริสต์ ดังนั้นโดยทางพระองค์เราจึงขานรับว่า “อาเมน” เพื่อเทิดพระเกียรติสิริของพระเจ้า พระเจ้านี่ 12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
296 | 2 โครินธ 1:1
2 โครินธ์ 1:21–22 พระเจ้าทรงสัญญาว่าวันหนึ่งเราจะได้ไปอยู่กับพระองค์ที่บนสวรรค์ ในขณะเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงอยู่ในชีวิตเราจะคอยย้ําเตือนเราถึงพระสัญญาของพระเจ้า จ๊ะจ๋า สงสัยว่าน้อง ๆ เชื่อคําสัญญาของผู้อื่นเสมอหรือเปล่า ลองคุยกันกับเพื่อน ๆ เกี่ยวกับพระสัญญาของพระเจ้า มันเป็นสิ่งง่ายหรือยากที่เราจะเชื่อพระสัญญาของ พระองค์? มีสิ่งใดบ้างที่จะช่วยทําให้เราเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นความจริง? แหละทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงในพระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเจิมเรา ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเราเป็นมัดจําค้ํา ประกันในสิ่งที่จะมาถึง ข้าพเจ้าขออ้างพระเจ้าให้ทรงเป็นพยานแก่ข้าพเจ้าว่า ที่ขากลับข้าพเจ้าไม่ได้มาเมืองโครินธ์ ก็เพื่องดเว้นโทษพวกท่านไว้ก่อน เราไม่ใช่นายควบคุมความเชื่อของท่าน แต่เราทํางานร่วมกับ ท่านเพื่อความชื่นชมยินดีของท่าน เพราะโดยความเชื่อท่านจึงยืนหยัดมั่นคง พเจ้าจึงตัดสินใจว่าจะไม่แวะมาทําให้ทา่ นต้องเจ็บปวดอีกครัง้ หนึง่ เพราะถ้าข้าพเจ้า 2 ทํดัางให้นัน้ ทข้า่ านเศร้ าใจ จะเหลือใครทําให้ขา้ พเจ้าดีใจ? ก็มแี ต่พวกท่านซึง่ ข้าพเจ้าทําให้เศร้าเสียใจนัน่ แหละ ทีข่ า้ พเจ้าเขียนไปนัน้ เพือ่ ว่าเมือ่ ข้าพเจ้ามาถึงจะได้ไม่ตอ้ งทุกข์ใจเนือ่ งด้วยคนทีค่ วรทําให้ ข้าพเจ้าชืน่ ชมยินดี ข้าพเจ้ามัน่ ใจในพวกท่านทุกคนว่าท่านทุกคนจะร่วมชืน่ ชมยินดีกบั ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเขียนมาด้วยความทุกข์ใจอย่างใหญ่หลวง ด้วยความทรมานใจและทัง้ น้าํ ตา ไม่ใช่ เพือ่ ทําให้ทา่ นเศร้าเสียใจ แต่เพือ่ ให้ทา่ นรูว้ า่ ข้าพเจ้ารักพวกท่านอย่างลึกซึง้ มากเพียงใด 22
23
24
2
3
4
ให้อภัยคนที่ทําบาป
ถ้ามีคนใดก่อให้เกิดความเศร้าเสียใจ เขาไม่ได้ทําให้ข้าพเจ้าเศร้าเสียใจมากเท่ากับที่ทําให้ท่าน ทั้งหมดเศร้าเสียใจในระดับหนึ่ง ที่ว่าในระดับหนึ่งเพราะข้าพเจ้าไม่อยากพูดแรงเกินไป โทษทัณฑ์ ที่เขาได้รับจากคนส่วนใหญ่นั้นก็เพียงพอแล้ว พวกท่านน่าจะให้อภัยและปลอบโยนเขาดีกว่าเพื่อ 5
6
7
2 โครินธ์ 2:5–8 เราเกิดความเสียใจเมื่อมีคนที่ใจร้ายหรือโหดร้ายกับเรา จะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนนั้นที่ โหดร้ายหรือใจร้ายบ้าง? คนนั้นจะรู้สึกอย่างไร? น้อง ๆ จะปฏิบัติกับคนนั้นที่ทําให้น้อง ๆ เสียใจเพราะพวกเขาโหดร้ายหรือใจร้าย อย่างไร? ลองดูที่ข้อความเหล่านี้ว่ามันบอกอะไรเกี่ยวกับการปฏิบัติกับคนอื่นแบบนั้น น้อง ๆ สามารถหาคําตอบได้ในข้อ 7–8 2 โครินธ 2:7 | 297
2 โครินธ์ 2:14 ให้น้อง ๆ ฉีดสเปรย์ที่มีกลิ่นหอมในห้อง หลังจากนั้นให้เดินไปรอบ ๆ ห้องเพื่อดม กลิ่นหอม ที่ฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง เมื่อเราเล่าเรื่องราวของพระเยซูให้แก่ผู้อื่น ข่าว ประเสริฐก็จะกระจายไปทุก ๆ ที่ เช่นเดียวกับกลิ่นหอมที่กระจายออกไปทั่วห้องนั้น และหากทุกคนร่วมกันแบ่งปันข่าวประเสริฐ อีกไม่นานข่าวประเสริฐก็จะไปถึงทุกคน ทั่วโลกใบนี้ น้อง ๆ สามารถช่วยกันประกาศข่าวประเสริฐถึงเรื่องราวขององค์พระ เยซูได้อย่างไร? น้อง ๆ พอทราบไหมว่ามีใครที่เราสามารถบอกเรื่องราวของพระเยซู แก่เขาได้? เขาจะได้ไม่ทุกข์โศกเกินเหตุ ฉะนั้นข้าพเจ้าขอร้องท่านให้ยืนยันในความรักที่มีต่อเขาอีกครั้ง เหตุ ที่ข้าพเจ้าเขียนมานั้นก็เพื่อจะดูว่าพวกท่านยืนหยัดมั่นคงต่อการทดลองและเชื่อฟังทุกประการ หรือไม่ หากท่านยกโทษให้ใคร ข้าพเจ้าก็จะยกโทษให้คนนั้นด้วย และถ้ามีสิ่งใดให้ยกโทษ ข้าพเจ้าก็ยกโทษให้เพราะเห็นแก่พวกท่านโดยรู้ว่าพระคริสต์ทอดพระเนตรอยู่ เพื่อว่าเราจะได้ไม่ เสียทีซาตาน เพราะเรารู้ทันอุบายของมัน 8
9
10
11
พันธกรแห่งพันธสัญญาใหม่
เมื่อข้าพเจ้าไปเมืองโตรอัสเพื่อประกาศพระกิตติคุณของพระคริสต์ และพบว่าองค์พระผู้เป็น เจ้าทรงเปิดทางให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยังไม่มีสันติสุขในใจเลยเพราะไม่พบน้องทิตัสที่นั่น ข้าพเจ้า จึงกล่าวลาพวกเขา แล้วเดินทางไปแคว้นมาซิโดเนีย แต่ขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงนําเราในขบวนแห่งความมีชัยในพระคริสต์เสมอมา และทรงให้ กลิ่นหอมแห่งความรู้ถึงพระองค์ฟุ้งกระจายผ่านทางเราไปทุกหนแห่ง เพราะเราคือกลิ่นหอมของ พระคริสต์ที่ถวายแด่พระเจ้าในท่ามกลางหมู่คนทั้งที่กําลังจะรอดและที่กําลังจะพินาศ เป็นกลิ่น แห่งความตายสําหรับคนพวกหนึ่ง และเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตสําหรับคนอีกพวกหนึ่ง และใครเล่า คู่ควรกับงานเช่นนี้? เราไม่เหมือนหลายคนที่เร่ขายพระวจนะของพระเจ้าหากําไร แต่ตรงกันข้าม ในพระคริสต์ เรากล่าวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยความจริงใจอย่างคนที่พระเจ้าส่งมา 12
13
14
15
16
17
2 โครินธ์ 3:3–4 ชีวิตเราเปรียบเหมือนกับจดหมาย คนอื่นจะ ‘อ่าน’ จดหมายฉบับนั้นเมื่อพวกเขาเจอ เราและมีปฏิสัมพันธ์กับเรา ชีวิตของน้อง ๆ เป็นเหมือนจดหมายที่บอกเล่าถึงองค์พระ เยซูไหม? ลองมองดูผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราสิ น้อง ๆ สามารถอ่านเรื่องราวขององค์ พระเยซูผ่านพวกเขาได้หรือไม่? น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรเมื่อเราสามารถอ่านเรื่องราวของพระเยซูในชีวิตของใครบางคน ได้? น้อง ๆ สามารถทําอย่างไรได้บ้าง เพื่อที่เราจะเป็นจดหมายที่คนอื่น ๆ สามารถ อ่านเรื่องราวพระเยซู ผ่านชีวิตของเรา? 298 | 2 โครินธ 2:8
าลังจะชมตนเองอีกแล้วหรือ? หรือเราเป็นเหมือนบางคนที่ต้องการจดหมายรับรองจาก 3 ท่นีา่เรากํ นหรือถือจดหมายรับรองมาหาท่าน? ตัวท่านเองคือจดหมายของเรา จารึกอยู่ที่ดวงใจของ 2
เราให้ทุกคนได้รู้และได้อ่าน ท่านแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นจดหมายจากพระคริสต์ เป็นผลจาก พันธกิจของเรา ไม่ใช่เขียนด้วยหมึกแต่เขียนขึ้นด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ไม่ได้จารึกบนแผ่นศิลาแต่จารึกบนดวงใจมนุษย์ นี่คือความมั่นใจของเราโดยทางพระคริสต์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่ใช่ว่าเราเองมีความ สามารถที่จะอ้างสิทธิ์ในสิ่งใด แต่ความสามารถของเรามาจากพระเจ้า พระองค์ทรงให้เรามีความ สามารถที่จะเป็นพันธกรแห่งพันธสัญญาใหม่ ไม่ใช่พันธสัญญาแห่งบทบัญญัติที่จารึกไว้ แต่เป็น พันธสัญญาแห่งพระวิญญาณ เพราะบทบัญญัติประหารชีวิตแต่พระวิญญาณประทานชีวิต 3
4
5
6
รัศมีแห่งพันธสัญญาใหม่
ถ้าพันธกิจซึ่งนําความตายมา ที่จารึกด้วยตัวอักษรบนแผ่นศิลา ยังมากับรัศมี แม้รัศมีนี้จะจาง หายไป แต่ก็เป็นเหตุทําให้ชนอิสราเอลไม่กล้ามองหน้าโมเสส แล้วพันธกิจแห่งพระวิญญาณจะไม่ ยิ่งเปี่ยมด้วยรัศมีกว่านั้นหรือ? หากพันธกิจที่ตัดสินโทษมนุษย์ยังเปล่งรัศมี พันธกิจที่นําความชอบ ธรรมมาให้จะเปล่งรัศมีเจิดจ้ายิ่งกว่านั้นสักเท่าใด! เพราะสิ่งที่เคยมีรัศมีเจิดจ้า บัดนี้ก็อับแสงไป เมื่อเทียบกับรัศมีอันเจิดจ้ายิ่งกว่า และถ้าสิ่งที่กําลังเลือนหายยังมากับรัศมี รัศมีของสิ่งที่ยืนยงจะ ยิ่งใหญ่เหนือกว่านั้นสักเท่าใด! เหตุฉะนั้นเพราะเรามีความหวังใจเช่นนี้ เราจึงมีใจกล้า เราไม่เหมือนโมเสสซึ่งเอาผ้าคลุม หน้าเพื่อไม่ให้ชนอิสราเอลมองเห็นรัศมีที่กําลังจางหายไป แต่ครั้งนั้นจิตใจของพวกเขาก็ดื้อด้าน เพราะจนถึงทุกวันนี้ผ้าคลุมหน้าเดียวกันนั้นก็ยังคงอยู่เมื่อเขาอ่านพันธสัญญาเดิม ผ้าคลุมหน้านี้ยัง ไม่ได้ถูกเอาออกไป เพราะในพระคริสต์เท่านั้นที่ผ้านี้จะถูกเอาออกไปได้ กระทั่งทุกวันนี้เมื่ออ่าน บัญญัติของโมเสส ผ้าก็ยังคลุมใจของพวกเขาอยู่ แต่เมื่อใดที่มีใครหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็น เจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะถูกนําออกไป องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ที่ใดมีพระวิญญาณ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่นั่นก็มีเสรีภาพ และเราทั้งหลายผู้ไม่มีผ้าคลุมหน้าล้วนใคร่ครวญพระ เกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า เรากําลังรับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระองค์ด้วยรัศมีที่ เพิ่มพูนขึ้นทุกที อันเป็นรัศมีซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ 7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
ของล้ําค่าในภาชนะดิน
เหตุฉะนั้นเพราะเรามีพันธกิจนี้โดยพระเมตตา 4 ของพระเจ้ า เราจึงไม่ท้อใจ แทนที่จะเป็นเช่น
2 โครินธ์ 4:7–10
2
นั้น เราละทิ้งกลวิธีแยบยลและน่าละอาย เราไม่ใช้เล่ห์ เพทุบายและไม่ได้บิดเบือนพระวจนะของพระเจ้า ตรง กันข้ามเราเสนอตนเองต่อจิตสํานึกของทุกคนในสาย พระเนตรของพระเจ้า ด้วยการสําแดงความจริงอย่าง ตรงไปตรงมา และถ้าหากว่าข่าวประเสริฐของเราถูก ปิดบังก็ถูกปิดบังไว้จากบรรดาผู้กําลังจะพินาศ พระ ของยุคนี้ทําให้จิตใจของผู้ไม่เชื่อมืดบอดไป เพื่อพวก เขาจะไม่สามารถเห็นแสงสว่างแห่งข่าวประเสริฐอัน ทรงพระเกียรติสิริของพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระฉาย ของพระเจ้า เพราะเราไม่ได้ประกาศตัวเอง แต่ ประกาศพระเยซูคริสต์ว่าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และตัวเราเองเป็นผู้รับใช้ของท่านทั้งหลายโดยเห็นแก่ พระเยซู เพราะพระเจ้าผู้ตรัสสั่งว่า “ให้ความสว่าง ส่องออกมาจากความมืดมิด” ทรงให้แสงสว่างของ 3
4
5
6
เมื่อเราบอกใครบางคนเกี่ยวกับข่าว ประเสริฐขององค์พระเยซู เราเปรียบ เหมือนกับแจกันดินที่มีสมบัติอัน ล้ําค่าอยู่ในนั้น แจกันดินสามารถแตกได้ง่าย พวก เราทุกคนอ่อนแอและไม่ได้รับใช้ พระเจ้าอย่างที่เราควรจะทํา แต่ ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะส่งผลกระทบต่อ สมบัติอันล้ําค่าในแจกัน (นั้นคือข่าว ประเสริฐของพระเยซู) มันจะยังคง อยู่เป็นสมบัติอันล้ําค่าที่ยิ่งใหญ่อยู่ เสมอ 2 โครินธ 4:6 | 299
2 โครินธ์ 4:7–9 ถ้าน้อง ๆ มีแจกันที่ทํามาจากดินเหนียวในบ้าน คงพอทราบว่ามันแตกได้ง่ายมาก เปาโลกล่าวว่าเราเหมือนกับแจกันดินที่ไม่ได้แข็งแรงและแตกง่าย หลาย ๆ ครั้งที่เรา ทําหรือพูดในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หลายครั้งที่เราหวาดกลัว ถึงกระนั้นพระเจ้ายังทรงใช้เรา เพื่ออาณาจักรของพระองค์ พระเจ้าทรงช่วยเหลือเราและให้เรามีพลังที่จะทําสิ่งที่ถูก ต้องและมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ ให้ลองคิดถึงวิธีการที่พระเจ้าทรงช่วยเหลือเราในแต่ละวัน พระองค์ส่องเข้ามาในใจของเรา เพื่อให้เรามีความสว่างแห่งความรู้ถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้าใน พระพักตร์ของพระคริสต์ แต่เรามีของล้ําค่านี้ในภาชนะดินเพื่อแสดงว่าฤทธานุภาพอันล้ําเลิศนี้มาจากพระเจ้า ไม่ใช่มา จากตัวเราเอง เราถูกบีบคั้นอย่างหนักทุกด้าน แต่ไม่ถึงกับถูกบดขยี้ สับสนแต่ไม่ถึงกับสิ้นหวัง ถูกข่มเหงแต่ไม่ถึงกับถูกทอดทิ้ง ถูกฟาดล้มลงแล้วแต่ไม่ถึงกับถูกทําลาย เราแบกความตายของ พระเยซูไว้ในกายของเราเสมอเพื่อชีวิตของพระเยซูจะสําแดงในกายของเราด้วย เพราะเราผู้มี ชีวิตอยู่นี้ถูกมอบให้แก่ความตายเพื่อพระเยซูอยู่เสมอ เพื่อว่าพระชนม์ชีพของพระองค์จะได้สําแดง ในกายซึ่งต้องตายของเรา ดังนั้นแล้วความตายจึงกําลังทํากิจอยู่ในเรา แต่ชีวิตก็กําลังทํากิจอยู่ใน ท่านทั้งหลาย มีเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้ายังเชื่อ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้พูด” ด้วยใจเชื่อแบบเดียวกันเราก็เชื่อเช่น นั้นจึงพูดออกมา เพราะเรารู้ว่าพระองค์ผู้ทรงให้องค์พระเยซูเจ้าคืนพระชนม์จากความตาย นั้นจะทรงให้เราเป็นขึ้นกับพระเยซูด้วย และจะทรงให้เราเข้าเฝ้าพระองค์ร่วมกับท่านทั้งหลาย ทั้งหมดนี้เพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อพระคุณที่กําลังไปถึงคนจํานวนมากยิ่งๆ ขึ้นจะเป็นเหตุ ให้การขอบพระคุณท่วมท้นขึ้นเป็นการเทิดพระเกียรติสิริของพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากําลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของ เรากําลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน เพราะความทุกข์ลําบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเราทําให้เรา 7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
2 โครินธ์ 4:7–9 น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อพบว่าเราไม่สามารถทําทุกสิ่งอย่างที่เราอยากจะทําได้? เปาโลมีข่าวดีสําหรับน้อง ๆ ! ถ้าเราเป็นของพระเจ้า พระองค์จะทรงประทานฤทธิ์ อํานาจของพระองค์ให้แก่เรา และเราจะสามารถอยู่เพื่อพระองค์ได้ถึงแม้เราจะรู้สึก อ่อนแอหมดกําลัง น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรบ้างในตอนนี้? ให้เลือกใบหน้าที่แผ่นอารมณ์ ความรู้สึก เพื่อแสดงถึงความรู้สึกของเรา แล้วบอกกับพระเจ้าว่าเรารู้สึกอย่างไร พระเจ้าสามารถใช้เราเพื่ออาณาจักรพระองค์และทรงสามารถช่วยเหลือเราได้ 300 | 2 โครินธ 4:7
2 โครินธ์ 4:16–18 เพราะพระเจ้าทรงอยู่ในชีวิตของเรา เราจึงไม่ยอมแพ้ พระองค์ทรงให้จิตวิญญาณ ใหม่แก่เราทุก ๆ วัน และเรายังคงมองไปข้างหน้าเรื่อย ๆ รอคอยวันที่เราจะได้อยู่กับ พระองค์บนสวรรค์ ให้น้อง ๆ ท่องข้อ 16 ก่อนนอนคืนนี้ พูดซ้ําเบา ๆ เมื่อเราจะเข้านอน พูดซ้ําอีกสอง สามครั้ง ในขณะที่เรานอนลงบนเตียง ลองดูสิว่าน้อง ๆ จะสามารถจดจําข้อความนี้ เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าได้หรือไม่ ได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก ดังนั้นเราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่ง ที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้นไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็น นั้นถาวรนิรันดร์ 18
ที่อยู่ของเราในสวรรค์
้อยู่ว่าหากเต็นท์ฝ่ายโลกนี้ที่เราอาศัยอยู่ถูกทําลายลง เราก็มีบ้านจากพระเจ้า คือบ้าน 5 นิบัรดันนีดร์้เรารูในสวรรค์ ซึ่งไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ ในขณะเดียวกันเราคร่ําครวญใฝ่หาที่จะรับ 2
การคลุมกายด้วยที่อาศัยจากสวรรค์ของเรา เพราะเมื่อเราได้รับการคลุมกายแล้ว เราจะไม่ต้องถูก พบว่าเปลือยเปล่า เพราะขณะเรายังอยู่ในเต็นท์นี้ เราคร่ําครวญเป็นทุกข์ เพราะเราไม่ปรารถนา ที่จะเปลือยเปล่า แต่ปรารถนาที่จะรับการคลุมกายด้วยที่อาศัยจากสวรรค์ของเรา เพื่อชีวิตจะกลืน กลบกายที่ต้องตายนั้น พระเจ้านี่แหละคือผู้ทรงเตรียมเราสําหรับจุดมุ่งหมายนี้ และได้ประทาน พระวิญญาณเป็นมัดจําค้ําประกันสิ่งที่จะมาถึง ฉะนั้นเราจึงมั่นใจเสมอแม้จะรู้ว่าตราบใดที่เรายัง อยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจึงดําเนินชีวิตโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่ มองเห็น ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วว่า เรามั่นใจ และเราปรารถนาที่จะพ้นจากกายนี้ไปอยู่กับองค์ พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า ฉะนั้นเราจึงตั้งเป้าที่จะทําให้พระองค์พอพระทัยไม่ว่าเราจะอยู่ในกายนี้ หรือพ้นจากกายนี้ไป เพราะพวกเราล้วนต้องเข้าเฝ้าต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อ แต่ละคนจะได้รับสิ่งซึ่งสมกับที่เขาได้ทําขณะอยู่ในกายนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว 3
4
5
6
7
8
9
10
พันธกิจแห่งการคืนดีกับพระเจ้า
เช่นนั้นแล้วเมื่อเรารู้ว่าความเกรงกลัวพระเจ้านั้นคืออะไร เราจึงพยายามโน้มน้าวใจคน ทั้งหลาย เราเป็นเช่นไรนั้นย่อมปรากฏชัดต่อพระเจ้า และข้าพเจ้าหวังว่าสิ่งนี้จะปรากฏชัดต่อ จิตสํานึกของพวกท่านด้วย เราไม่ได้กําลังชมตัวเองต่อพวกท่านอีก แต่กําลังเปิดโอกาสให้พวก ท่านภูมิใจในเรา เพื่อพวกท่านจะสามารถตอบบรรดาผู้ที่ภูมิใจในสิ่งที่มองเห็นแทนที่จะภูมิใจในสิ่ง ที่อยู่ในใจ ถ้าเราเสียสติก็เพื่อพระเจ้า ถ้าเราสติดีก็เพื่อท่านทั้งหลาย เพราะความรักของพระ คริสต์ผลักดันเราอยู่ เพราะเรามั่นใจว่าผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง ฉะนั้นคนทั้งปวงจึงตายแล้ว และในเมื่อพระองค์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง บรรดาผู้มีชีวิตอยู่จึงไม่ควรอยู่เพื่อตัวเองอีกต่อ ไป แต่อยู่เพื่อพระองค์ผู้สิ้นพระชนม์เพื่อพวกเขาและคืนพระชนม์ขึ้นมาอีก ดังนั้นตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะไม่พิจารณาใครตามทัศนะของโลก แม้ครั้งหนึ่งเราเคยพิจารณาพระ คริสต์แบบนั้น แต่เราก็จะไม่ทําเช่นนั้นอีกต่อไป เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้าง ใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา! ทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้าผู้ทรงให้เราคืนดี กับพระองค์โดยทางพระคริสต์ และทรงมอบหมายพันธกิจแห่งการคืนดีนี้แก่เรา คือพระเจ้าได้ 11
12
13
14
15
16
17
18
19
2 โครินธ 5:19 | 301
ทรงให้โลกคืนดีกับพระองค์ในพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษบาปของมนุษย์ และพระองค์ทรงมอบ หมายเรื่องราวแห่งการคืนดีนี้ไว้กับเรา ฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์เสมือนหนึ่งพระเจ้าทรง ร้องเรียกท่านทั้งหลายผ่านทางเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ว่า จงคืนดีกับพระเจ้า พระเจ้าทรงกระทําพระองค์ผู้ปราศจากบาปให้เป็นบาปเพื่อเรา เพื่อในพระองค์เราจะกลายเป็น ความชอบธรรมของพระเจ้า ในฐานะผู้ร่วมงานของพระเจ้า เราวิงวอนท่านว่าอย่าสักแต่รับพระคุณของพระเจ้า เพราะ 6 พระองค์ ตรัสว่า “ในวาระแห่งความโปรดปรานเราได้ฟังเจ้า และในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า” ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าบัดนี้คือวาระแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า บัดนี้คือวันแห่งความรอด 20
21
2
ความทุกข์ยากที่เปาโลเผชิญ
เราไม่ทําให้ใครสะดุดเพื่อไม่ให้พันธกิจของเราเสียความเชื่อถือ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ในฐานะ ผู้รับใช้ของพระเจ้าเราพิสูจน์ตัวเองในทุกทาง ไม่ว่าในการอดทนอดกลั้น ในความทุกข์ร้อน ความ ยากเข็ญและความลําเค็ญ ในการถูกเฆี่ยนตี การถูกจองจําและการจลาจล ในการตรากตรํา ทํางาน การอดหลับอดนอน และความหิวโหย ในความบริสุทธิ์ ความเข้าใจ ความอดทน และ ความกรุณา ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ และในความรักจริงใจ ในคําพูดสัตย์จริง และในฤทธานุภาพ ของพระเจ้า ด้วยอาวุธแห่งความชอบธรรมทั้งในมือขวาและมือซ้าย ทั้งในยามทรงเกียรติและ ไร้เกียรติ ในยามที่เขาว่าชั่วและในยามที่เขาว่าดี จริงแท้แต่ถูกมองว่าเป็นคนหลอกลวง เป็นที่ รู้จักแต่ถูกมองว่าไม่มีใครรู้จัก กําลังจะตายแต่เราก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ถูกเฆี่ยนตีแต่ก็ยังไม่ถึงตาย ทุกข์โศกแต่ก็ยังชื่นชมยินดีเสมอ ยากจนแต่ก็ยังทําให้หลายคนมั่งคั่ง และไม่มีอะไรแต่ก็ยังเป็น เจ้าของทุกสิ่ง พี่น้องชาวโครินธ์ เราพูดกับท่านอย่างตรงไปตรงมาและเปิดใจของเราให้แก่ท่าน เราไม่ได้ เป็นฝ่ายระงับความรักจากท่าน แต่ท่านเป็นฝ่ายระงับจากเรา เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนอย่าง ยุติธรรม เราขอพูดกับท่านเสมือนพูดกับบุตรว่าจงเปิดใจของท่านด้วย 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
อย่าเข้าเทียมแอกกับผู้ไม่เชื่อ
อย่าเข้าเทียมแอกกับผู้ไม่เชื่อเพราะความชอบธรรมกับความชั่วจะมีอะไรร่วมกันได้? หรือ ความสว่างกับความมืดจะมีสามัคคีธรรมอะไรกันเล่า? พระคริสต์กับเบลีอัลจะกลมเกลียวอะไร กันได้? ผู้เชื่อกับผู้ไม่เชื่อจะมีอะไรร่วมกันได้เล่า? วิหารของพระเจ้ากับวิหารของรูปเคารพจะมี ข้อตกลงอะไรกันได้? เพราะเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ตามที่พระเจ้าตรัสว่า “เรา จะอยู่กับพวกเขาและดําเนินท่ามกลางพวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขาและพวกเขาจะ เป็นประชากรของเรา” “ดังนั้นจงออกมาจากพวกเขา และแยกตัวออก องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส อย่าแตะต้องสิ่งมลทิน แล้วเราจะรับเจ้า” “เราจะเป็นบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรสาวของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนี้แหละ” ่รัก ในเมื่อเรามีพระสัญญาเช่นนี้ก็ขอให้เราชําระตนเองจากทุกสิ่งที่ทําให้ร่างกายและจิต 7 วิท่ญานที ญาณแปดเปื้อน จงทําให้ความบริสุทธิ์สมบูรณ์พร้อมด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า 14
15
16
17
18
302 | 2 โครินธ 5:20
ความชื่นชมยินดีของเปาโล
จงเปิดใจของท่านรับเราเถิด เราไม่ได้ทําผิดต่อใคร เราไม่ได้เป็นเหตุให้ใครทําบาป เราไม่ได้ ฉกฉวยหาประโยชน์จากใคร ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้เพื่อตําหนิท่าน ข้าพเจ้าเคยพูดไว้ก่อนแล้วว่า ท่านทั้งหลายอยู่ในดวงใจของเรา ถึงขนาดที่เราร่วมเป็นร่วมตายกับท่านได้ ข้าพเจ้ามั่นใจในพวก ท่านยิ่งนัก ข้าพเจ้าภูมิใจในตัวท่านอย่างมาก ข้าพเจ้าได้รับกําลังใจอย่างใหญ่หลวงในความยาก ลําบากทั้งสิ้นของเรา ความชื่นชมยินดีของข้าพเจ้าไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเมื่อมาถึงแคว้นมาซิโดเนียเราไม่ได้พักกายเลย หันไปทางไหนก็ถูกก่อกวน ภายนอกมี ความขัดแย้งภายในมีความหวาดหวั่น แต่พระเจ้าผู้ทรงปลอบประโลมใจคนท้อแท้ก็ทรงปลอบ ประโลมใจเราโดยการมาของทิตัส และไม่เพียงแต่โดยการมาของทิตัสเท่านั้น แต่โดยการปลอบ ประโลมใจที่ท่านทั้งหลายให้กับเขาอีกด้วย เขาบอกเราว่าพวกท่านปรารถนาจะพบเรา รู้สึกเศร้า เสียใจอย่างลึกซึ้งและห่วงใยเราอย่างมาก ทําให้ข้าพเจ้ายิ่งชื่นชมยินดีมากขึ้นกว่าก่อน แม้จดหมายของข้าพเจ้าทําให้ท่านเศร้าใจ ข้าพเจ้าก็ไม่เสียใจ แม้จะเคยเสียใจที่เห็นว่า จดหมายนั้นทําให้ท่านไม่สบายใจ แต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะ เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าสุขใจ ไม่ใช่เพราะทําให้ ท่านเสียใจ แต่เพราะความเสียใจนั้นทําให้ท่านกลับใจใหม่ เพราะท่านเศร้าเสียใจอย่างที่พระเจ้า ทรงประสงค์ เราจึงไม่ได้ทําร้ายท่านแต่อย่างใด ความเศร้าเสียใจอย่างที่อยู่ในทางพระเจ้าส่งผล ให้กลับใจใหม่อันนําไปสู่ความรอดและไม่เหลือความเสียใจไว้ ส่วนความเศร้าเสียใจอย่างโลกนําไป สู่ความตาย ดูเถิด ความเศร้าเสียใจอย่างที่อยู่ในทางพระเจ้านี้ส่งผลอะไรในตัวท่านบ้าง เป็นต้น ว่าความเอาจริงเอาจัง ความกระตือรือร้นที่จะสะสางตนเอง ความโกรธ ความตื่นตัว ความอาลัย หา ความห่วงใย ความพร้อมที่จะให้เกิดความยุติธรรม ท่านได้พิสูจน์ตัวเองในทุกประเด็นแล้วว่า ท่านไม่ผิดในเรื่องนี้ ดังนั้นถึงแม้ข้าพเจ้าได้เขียนมาถึงท่าน ก็ไม่ใช่เพราะเห็นแก่คนที่ทําผิดหรือ ฝ่ายที่เสียหาย แต่เพื่อว่าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าท่านจะได้เห็นเองว่าท่านทุ่มเทให้กับเราเพียงใด ด้วยเหตุทั้งหมดนี้เราจึงได้รับกําลังใจ นอกจากเราเองได้รับกําลังใจแล้ว เรายังดีใจเป็น พิเศษที่เห็นว่าทิตัสสุขใจเพียงไร เพราะพวกท่านทั้ง 2 โครินธ์ 8:1–8 ปวงทําให้จิตวิญญาณของทิตัสได้ชุ่มชื่นขึ้นมาใหม่ ข้าพเจ้าได้อวดพวกท่านกับเขาและพวกท่านไม่ได้ คริสเตียนในกรุงเยรูซาเล็มยากจน ทําให้ข้าพเจ้าอับอาย แต่ทุกอย่างซึ่งเราได้บอกท่าน มาก ชีวิตของพวกเขาเต็มไปดวย นั้นเป็นความจริงฉันใด สิ่งที่เราได้อวดทิตัสเกี่ยวกับ ความยากลําบาก ดังนั้นคริสตจักร พวกท่านก็พสิ จู น์แล้วว่าเป็นความจริงฉันนัน้ และทิตสั ใหม ๆ หลายแหงจึงตัดสินใจที่จะ ยิ่งรักท่านทั้งหลายมากขึ้นเมื่อระลึกว่าพวกท่านล้วน รวบรวมเงินเพื่อพวกเขา เปาโลทราบ เชื่อฟังและต้อนรับเขาด้วยความเกรงกลัวจนตัวสั่น วาคริสเตียนในเมืองโครินธไดสัญญา ข้าพเจ้าดีใจที่สามารถมั่นใจในพวกท่านได้เต็มที่ ที่จะรวมกันทําสิ่งเดียวกัน และทาน ส่งเสริมให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไดบอกพวกเขาวาทานจะสงทิตัสไป และบัดนี้พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านทราบ 8 ถึงพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่บรรดาคริสตจักร รับของขวัญนั้น องคพระเยซูทรงไดมอบชีวิตของ ในแคว้นมาซิโดเนีย จากการทดลองอย่างหนักหน่วง พระองคใหเปนของขวัญสําหรับ ที่สุด ความชื่นชมยินดีอันล้นพ้นและความยากไร้เป็น คริสเตียนเมืองโครินธ เพราะเหตุนี้ อย่างยิ่งของพวกเขานั้นก็เอ่อล้นเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อ เองพวกเขาจึงสํานึกในความกรุณา แผ่ เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าพวกเขาถวายสุด ของพระองค และจึงอยากชวยเหลือ ความสามารถ ที่จริงเกินความสามารถก็ว่าได้ และด้วย ผูอื่นดวย ความสมัครใจของเขาเอง เขาได้คะยั้นคะยอขอรับ สิทธิพิเศษที่จะมีส่วนร่วมในการรับใช้นี้เพื่อประชากร 2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
2
3
4
2 โครินธ 8:4 | 303
2 โครินธ์ 8:1–15 คริสเตียนชาวเมืองโครินธ์ได้ถวายเงินให้กับคริสเตียนที่ยากจนในกรุงเยรูซาเล็ม เราทุกคนสามารถช่วยเหลือคนที่มีน้อยกว่าเราได้ โดยเฉพาะเมื่อเราระลึกถึงทุกสิ่งที่ พระเยซูทรงได้มอบให้แก่เราและทําเพื่อเรา เด็ก ๆ ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในงานเหล่านี้ได้ ให้น้อง ๆ ถามคุณพ่อคุณแม่หรือ คุณครูสอนพระคัมภีร์ในวันอาทิตย์ว่า มีสิ่งใดบ้างที่เราสามารถทําได้ แล้วก็ออกไปและ ลงมือทําได้เลย! ของพระเจ้า และเขาไม่ได้ทําอย่างที่เราคาดคิดไว้ แต่เขาถวายตัวแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าก่อนและ จากนั้นอุทิศตัวให้เราตามพระประสงค์ของพระเจ้า ดังนั้นเราจึงกระตุ้นทิตัสซึ่งเป็นผู้ริเริ่มงานนี้ให้ สานต่อการจุนเจือด้วยใจเมตตาในส่วนของพวกท่านจนลุล่วง แต่เหมือนที่ท่านเป็นเลิศในทุกด้าน ไม่ว่าในความเชื่อ ในวาจา ในความรู้ ในความกระตือรือร้นอย่างเต็มเปี่ยมและในความรักที่ท่านมี ต่อเรา ก็ขอให้ท่านเป็นเลิศในการให้ด้วยใจเมตตานี้เช่นกัน ข้าพเจ้าไม่ได้สั่งท่าน แต่ข้าพเจ้าต้องการทดสอบความจริงใจในความรักของท่านโดยการ เปรียบเทียบกับความกระตือรือร้นของคนอื่น เพราะท่านย่อมทราบถึงพระคุณขององค์พระเยซู คริสต์เจ้าของเราว่า แม้พระองค์ทรงมั่งคั่งก็ทรงยอมยากไร้ เพราะเห็นแก่พวกท่านเพื่อว่าท่านจะ ได้มั่งคั่งโดยทางความยากไร้ของพระองค์ และข้าพเจ้าขอแนะนําสิ่งดีที่สุดในเรื่องนี้แก่ท่าน คือปีที่แล้วท่านทั้งหลายไม่เพียงแต่เป็นพวก แรกที่ถวาย แต่ยังเป็นพวกแรกซึ่งมีใจที่จะถวาย บัดนี้จงทําให้สําเร็จสมกับใจร้อนรนที่จะถวาย โดยทําตามความสามารถของท่าน เพราะถ้ามีความเต็มใจพร้อมอยู่แล้ว ของถวายก็เป็นที่ยอมรับ ตามที่เขามีอยู่ ไม่ใช่ตามที่เขาไม่มี เราไม่ปรารถนาที่จะลดภาระของคนอื่น แล้วมาให้ภาระหนักหน่วงแก่ท่าน แต่เพื่อที่จะให้มี ความเท่าเทียมกัน ขณะนี้ท่านมีบริบูรณ์ก็ควรเกื้อกูลสิ่งที่พวกเขาขัดสน เพื่อว่าในคราวที่เขามี บริบูรณ์ก็จะเกื้อกูลสิ่งที่พวกท่านขัดสน แล้วจะได้มีความเท่าเทียมกัน เหมือนที่มีเขียนไว้ว่า “ผู้ที่เก็บมากก็ไม่มีเหลือ และผู้ที่เก็บน้อยก็ไม่ขาด” 5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
ส่งทิตัสไปเมืองโครินธ์
ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงให้ทิตัสมีใจเป็นห่วงพวกท่านเหมือนกับที่ข้าพเจ้ามี เพราะทิตสั ไม่เพียงแต่ตอบรับคําขอร้องของเรา แต่เขายังมาหาท่านด้วยใจกระตือรือร้นอย่างมาก และด้วยความคิดริเริ่มของเขาเอง นอกจากนี้เราได้ส่งพี่น้องคนหนึ่งมากับทิตัสด้วย เขาได้รับ การยกย่องจากคริสตจักรทั้งปวงในด้านการประกาศข่าวประเสริฐ ยิ่งกว่านั้นคริสตจักรต่างๆ ได้ เลือกพี่น้องคนนี้ให้ร่วมเดินทางกับเราขณะนําเงินถวายไป เราได้ดูแลรับผิดชอบเงินถวายนี้เพื่อ เทิดพระเกียรติองค์พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อแสดงว่าเราเองก็มีใจกระตือรือร้นที่จะช่วย เราต้องการ ป้องกันไม่ให้ใครมาติเตียนวิธีจัดการแจกจ่ายของบริจาคอันมากมายนี้ได้ เพราะเราพยายาม อย่างยิ่งยวดที่จะทําสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เพียงในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ในสายตาของ คนทั้งปวงด้วย นอกจากนี้เรายังส่งพี่น้องอีกคนหนึ่งร่วมคณะมาด้วย พี่น้องผู้นี้ได้พิสูจน์ให้เราเห็นในหลายๆ ด้านแล้วว่า เขากระตือรือร้นยิ่งนักและบัดนี้ยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้นเพราะเขามั่นใจในพวกท่าน มาก สําหรับทิตัส เขาเป็นหุ้นส่วนและเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าท่ามกลางพวกท่าน ส่วนพี่น้อง 16
17
18
19
20
21
22
23
304 | 2 โครินธ 8:5
เหล่านั้นของเรา พวกเขาเป็นตัวแทนของบรรดาคริสตจักรและเป็นเกียรติแด่พระคริสต์ เหตุ ฉะนั้นจงพิสูจน์ให้คนเหล่านั้นเห็นถึงความรักของท่าน และเห็นถึงสาเหตุที่พวกเราภาคภูมิใจใน พวกท่าน เพื่อว่าคริสตจักรทั้งหลายจะได้เห็นถึงสิ่งนี้ด้วย พเจ้าไม่จําเป็นต้องเขียนถึงท่านเกี่ยวกับการรับใช้เพื่อประชากรของพระเจ้าครั้งนี้ เพราะ 9 ข้ข้าาพเจ้ ารู้ว่าท่านกระตือรือร้นอยู่แล้วที่จะช่วย และข้าพเจ้าได้อวดเรื่องนี้ต่อชาวมาซิโดเนียว่า ตั้งแต่ปีที่แล้วพวกท่านที่แคว้นอาคายาก็พร้อมจะถวายแล้ว และความกระตือรือร้นของท่านทั้ง หลายได้กระตุ้นพวกเขาส่วนใหญ่ให้ลงมือทําตาม แต่ที่ข้าพเจ้าส่งพี่น้องเหล่านั้นมา เพื่อว่าสิ่งที่ เราอวดไว้เกี่ยวกับท่านในเรื่องนี้จะไม่สูญเปล่า แต่เพื่อท่านก็จะได้พร้อมอยู่สมกับที่ข้าพเจ้าได้บอก ไว้ เพราะถ้าชาวมาซิโดเนียคนใดที่มากับข้าพเจ้าพบว่าพวกท่านไม่พร้อม อย่าว่าแต่ท่านเลย เรา เองก็จะอับอายที่มีความมั่นใจเสียเหลือเกิน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่าจําเป็นต้องกําชับพี่น้องเหล่า นั้นให้มาหาท่านล่วงหน้า และจัดเตรียมของบริจาคด้วยใจกว้างขวางตามที่ท่านได้สัญญาไว้ให้ เรียบร้อย เมื่อถึงเวลาก็มีของบริจาคไว้พร้อม เป็นของที่ให้ด้วยใจกว้างขวาง ไม่ใช่เป็นของที่ให้ด้วย การฝืนใจ 24
2
3
4
5
หว่านด้วยใจกว้างขวาง
จงจําไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตระหนี่ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวางก็จะเก็บเกี่ยว ได้มาก แต่ละคนควรให้ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเลหรือเพราะถูกผลักดัน เพราะ พระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้น เหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จําเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือสําหรับการดีทุก อย่าง เหมือนที่มีเขียนไว้ว่า “เขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดํารงอยู่นิรันดร์” บัดนี้พระองค์ผู้ประทานเมล็ดแก่ผู้หว่านประทานอาหารแก่ผู้คน จะประทานและเพิ่มพูนยุ้งฉาง ของท่านเช่นกัน และจะทรงขยายการเก็บเกี่ยวความชอบธรรมของท่าน พระองค์จะทรงให้ท่าน มั่งคั่งในทุกด้านเพื่อท่านจะสามารถเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้ในทุกโอกาส และโดยทางเราความเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ของท่านส่งผลให้มีการขอบพระคุณพระเจ้า การรับใช้ที่ท่านทําอยู่นี้ไม่เพียงจุนเจือประชากรของพระเจ้าเท่านั้น ยังเป็นเหตุให้มีการ ขอบพระคุณพระเจ้าอย่างล้นพ้นด้วย ท่านได้พิสูจน์ตนเองด้วยการรับใช้นี้ และเพราะการรับ ใช้นี้ ผู้คนจะสรรเสริญพระเจ้าเนื่องด้วยการเชื่อฟังของท่านซึ่งมาพร้อมกับการประกาศตัวว่าเชื่อ ข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และเนื่องด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่านในการแบ่งปันแก่พวกเขา และแก่คนอื่นๆ ทั้งปวง และใจของพวกเขาจะคิดถึงพวกท่านขณะอธิษฐานเพื่อท่าน เนื่องด้วย พระคุณล้นพ้นที่พระเจ้าประทานแก่ท่าน ขอบพระคุณพระเจ้าสําหรับของประทานอันสุดจะ พรรณนาของพระองค์! 6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
เปาโลกล่าวปกป้องพันธกิจของเขา
าขอวิงวอนท่านด้วยความถ่อมสุภาพและอ่อนโยนของพระคริสต์ ข้าพเจ้าเปาโลผู้ 10 ซึข้่งาท่พเจ้านบอกว่ า “ขลาดกลัว” เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน แต่ “ห้าวหาญ” เมื่ออยู่ไกล! ข้าพเจ้า 2
ขอร้องว่าเมื่อข้าพเจ้ามา อย่าให้ข้าพเจ้าต้องห้าวหาญอย่างที่ข้าพเจ้าคาดหมายจะทําต่อบางคนที่ คิดว่าเราดําเนินชีวิตตามมาตรฐานของโลกนี้ เพราะแม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบตบมืออย่าง ที่โลกทํา อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อํานาจของพระเจ้า สามารถทําลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ เราทําลายล้างประเด็นโต้แย้งและคําแอบอ้างทั้งปวงที่ตั้งตัวขัด ขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิดให้ยอมจํานนเชื่อฟังพระคริสต์ และเราพร้อมที่ จะลงโทษทุกการกระทําที่ไม่เชื่อฟังหลังจากท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว 3
4
5
6
2 โครินธ 10:6 | 305
ท่านกําลังมองสิ่งต่างๆ เพียงผิวเผิน หากผู้ใดมั่นใจ 2 โครินธ์ 10:10 ว่าเขาเป็นคนของพระคริสต์ ก็ควรพิจารณาอีกว่าเรา คริสเตียนชาวโครินธ์จํานวนมาก ก็เป็นคนของพระคริสต์เช่นเดียวกับเขา เพราะถึง รักเปาโลและติดตามการสอนของ แม้ว่าเราอวดมากไปสักหน่อยเรื่องสิทธิอํานาจที่องค์ ท่าน แต่ก็ยังมีบางคนที่พูดเรื่องโกหก พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เราในการเสริมสร้างท่าน เกี่ยวกับท่าน คนเหล่านั้นพูดว่าท่าน ขึ้นมาแทนที่จะฉุดท่านลง ข้าพเจ้าก็ไม่ละอายในข้อ เก่งในเรื่องการเขียนจดหมาย แต่ไม่ สามารถเทศนาได้อย่างดี สิ่งนี้ทําให้ นั้น ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ดูเหมือนว่ากําลังพยายาม ข่มขวัญท่านด้วยจดหมายของข้าพเจ้า เพราะบางคน เปาโลมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง พูดว่า “จดหมายของเขาหนักแน่นทรงอํานาจ แต่ตัว เขาไม่น่าประทับใจและการพูดของเขาก็ใช้ไม่ได้” คนเช่นนั้นควรจะตระหนักว่าเราเป็นอย่างไรใน จดหมายเมื่อเราไม่อยู่ เราก็จะเป็นอย่างนั้นในการกระทําของเราเมื่อเรามา เราไม่กล้าจัดชั้นหรือเปรียบเทียบตัวเรากับคนที่ยกย่องตนเอง เมื่อพวกเขาเอาตนเองเป็น เครื่องวัดและเปรียบเทียบกันเอง พวกเขาก็ไม่ฉลาด อย่างไรก็ตามเราจะไม่อวดเกินขอบเขตที่ เหมาะสม แต่เราจะอวดเท่าที่พระเจ้าทรงขีดวงให้ และพวกท่านก็รวมอยู่ในนั้น เราไม่ได้โอ้อวด เกินเลยไปเพราะเราได้นําพระกิตติคุณของพระคริสต์มาถึงท่าน แต่จะเป็นการเกินเลยไปถ้าเรา ไม่ได้มาหาท่าน ทั้งเราไม่ได้ออกนอกขอบเขตไปอวดอ้างผลงานที่คนอื่นทําไว้ เราหวังแต่เพียง ว่าขณะที่ความเชื่อของท่านเติบโตต่อไป ขอบข่ายงานของเราท่ามกลางพวกท่านก็จะขยายวงไป อย่างกว้างขวาง เพื่อเราจะได้ประกาศข่าวประเสริฐในดินแดนต่างๆ ที่อยู่ไกลจากท่านออกไป เพราะเราไม่ประสงค์จะอวดงานที่ทําไว้แล้วในเขตแดนของคนอื่น แต่ “ผู้ที่อวดจงอวดองค์พระผู้ เป็นเจ้า” เพราะผู้ที่น่านิยมนับถือคือผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชมเชย ไม่ใช่คนที่ยกย่องตัวเอง 7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
เปาโลกับอัครทูตเท็จ
าหวังว่าท่านจะอดทนกับความเขลาของข้าพเจ้าสักหน่อยหนึ่ง ที่จริงท่านก็ทนอยู่ 11 แล้ข้าวพเจ้เพราะข้ าพเจ้าหวงแหนท่านด้วยความหวงแหนที่มาจากพระเจ้า ข้าพเจ้าหมั้นหมาย 2
ท่านไว้สําหรับสามีคนเดียวคือพระคริสต์ เพื่อจะได้ถวายท่านในฐานะที่เป็นพรหมจารีบริสุทธิ์ แด่พระองค์ แต่ข้าพเจ้าเกรงว่าใจท่านจะถูกชักจูงให้เขวไปจากความจงรักภักดีต่อพระคริสต์ อย่างจริงใจและบริสุทธิ์ เหมือนที่เอวาถูกล่อลวงด้วยอุบายของงูนั้น เพราะถ้าใครมาเทศนาเรื่อง พระเยซูต่างจากที่เราได้เทศนาไว้ ให้ท่านรับวิญญาณอื่นต่างจากที่ท่านเคยได้รับ และให้ยึดข่าว ประเสริฐอื่นต่างจากที่ท่านเคยยอมรับ ท่านก็ทนรับสิ่งเหล่านั้นได้ง่ายดายเสียจริง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ คิดว่าตัวเองด้อยกว่า “ยอดอัครทูต” เหล่านั้นแม้แต่น้อย ถึงจะไม่ใช่นักพูดที่ได้รับการฝึกฝน แต่ ข้าพเจ้านั้นมีความรู้ซึ่งเราก็ได้แสดงแก่พวกท่านอย่างแจ่มชัดแล้วในทุกทาง ผิดหรือที่ข้าพเจ้าลดตัวลงเพื่อยกชูท่านขึ้นด้วยการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่ท่าน โดยไม่คิดมูลค่า? ข้าพเจ้าปล้นคริสตจักรอื่นๆ ด้วยการรับเงินสนับสนุนจากเขาเพื่อมารับใช้พวก ท่าน และเมื่ออยู่กับท่าน เวลาขาดแคลนสิ่งใดข้าพเจ้าก็ไม่เป็นภาระแก่ใคร เพราะพี่น้องผู้มาจาก แคว้นมาซิโดเนียได้เกื้อกูลสิ่งจําเป็นให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ระวังตัวไม่ให้เป็นภาระใดๆ แก่พวก ท่านและจะทําเช่นนั้นต่อไป ความจริงของพระคริสต์อยู่ในข้าพเจ้าแน่นอนฉันใด ข้าพเจ้าก็ไม่ ให้สิ่งใดมาหยุดการโอ้อวดเรื่องนี้ในแคว้นอาคายาฉันนั้น เพราะอะไร? เพราะข้าพเจ้าไม่รักพวก ท่านหรือ? พระเจ้าทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักท่าน! ข้าพเจ้าจะทําเหมือนที่ทําอยู่นี้ต่อไป เพื่อหยุด ยั้งคนเหล่านั้นที่กําลังหาโอกาสให้ได้รับการยอมรับเสมอกับเราในสิ่งที่เขาโอ้อวด เพราะพวกนั้นเป็นอัครทูตเท็จ เป็นคนงานที่ล่อลวง ผู้ปลอมตัวเป็นอัครทูตของพระคริสต์ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร ในเมื่อซาตานเองยังปลอมตัวเป็นทูตแห่งความสว่างได้ จึงไม่แปลกที่สมุน ของซาตานจะปลอมตัวเป็นผู้รับใช้แห่งความชอบธรรมด้วย จุดจบของพวกเขาจะสาสมกับการ กระทําของเขา 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
306 | 2 โครินธ 10:7
15
เปาโลอวดเรื่องการทนทุกข์
ข้าพเจ้าขอย้าํ ว่าอย่าคิดว่าข้าพเจ้าโง่ แต่ถา้ ท่านคิดเช่นนัน้ ก็ขอให้รบั ข้าพเจ้าเหมือนทีท่ า่ นรับคน โง่ เพือ่ ข้าพเจ้าจะได้อวดบ้าง เมือ่ ข้าพเจ้าอวดอย่างมัน่ ใจในตัวเองเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้ทาํ ตามอย่าง องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า แต่ขา้ พเจ้าทําอย่างคนโง่ ในเมือ่ หลายคนโอ้อวดแบบชาวโลก ข้าพเจ้าก็ขออวด บ้าง ทีท่ า่ นทนรับคนโง่เหล่านีเ้ พราะท่านช่างฉลาดเสียจริง! อันทีจ่ ริงท่านถึงกับทนรับคนทีม่ า เอาท่านไปเป็นทาส คนทีข่ ดู รีดท่าน คนทีเ่ อารัดเอาเปรียบท่าน คนทีย่ กตนเป็นใหญ่เหนือท่าน หรือ แม้แต่คนทีต่ บหน้าท่าน ข้าพเจ้าละอายใจทีต่ อ้ งยอมรับว่าเราอ่อนแอเกินกว่าทีจ่ ะทําเช่นนี!้ ใครกล้าอวดเรือ่ งอะไร ข้าพเจ้าขอพูดอย่างคนโง่วา่ ข้าพเจ้าก็กล้าอวดเรือ่ งนัน้ เช่นกัน เขาเป็น ชาวฮีบรูหรือ? ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นกัน เขาเป็นชนอิสราเอลหรือ? ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นกัน เขาเป็นวงศ์ วานของอับราฮัมหรือ? ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นกัน เขาเป็นผูร้ บั ใช้ของพระคริสต์หรือ? (ข้าพเจ้าเสียสติ ทีพ่ ดู เช่นนี)้ ข้าพเจ้าเป็นยิง่ กว่าเสียอีก ข้าพเจ้าตรากตรําทํางานหนักกว่า ติดคุกบ่อยกว่า ถูกเฆีย่ นตี สาหัสกว่า และเผชิญกับความตายครัง้ แล้วครัง้ เล่า ข้าพเจ้าถูกพวกยิวเฆีย่ นห้าครัง้ ครัง้ ละสามสิบ เก้าที ถูกฟาดด้วยไม้ตะบองสามครัง้ ถูกเอาหินขว้างหนึง่ ครัง้ เรือแตกสามครัง้ ลอยคออยูก่ ลาง ทะเลหนึง่ คืนหนึง่ วัน ข้าพเจ้าย้ายทีอ่ ยูเ่ สมอๆ เผชิญภัยในแม่นาํ้ ภัยจากโจรผูร้ า้ ย ภัยจากพีน่ อ้ ง ร่วมชาติของตัวเอง ภัยจากคนต่างชาติ เผชิญภัยในเมือง ภัยนอกเมือง ภัยในทะเล และภัยจากพี่ น้องจอมปลอม ข้าพเจ้าต้องเหน็ดเหนือ่ ย ทํางานด้วยความยากลําบาก อดหลับอดนอนอยูเ่ รือ่ ย ต้องหิวโหย อดข้าวอดน้าํ บ่อยๆ ต้องหนาวเหน็บและเปลือยกาย นอกจากทัง้ หมดนีแ้ ล้วข้าพเจ้ายัง เผชิญความกดดันจากความห่วงใยทีข่ า้ พเจ้ามีตอ่ คริสตจักรทัง้ ปวงอยูท่ กุ วัน ใครบ้างอ่อนกําลังแล้ว ข้าพเจ้าไม่ออ่ นกําลังไปด้วย? ใครบ้างถูกชักนําให้ทาํ บาปแล้วข้าพเจ้าไม่เดือดเนือ้ ร้อนใจ? ถ้าข้าพเจ้าต้องอวด ข้าพเจ้าก็จะอวดสิ่งที่แสดงถึงความอ่อนแอของข้าพเจ้า พระเจ้าและ พระบิดาของพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญตลอดนิรันดร์ทรงทราบว่าข้าพเจ้าไม่ได้โกหก ที่ เมืองดามัสกัส เจ้าเมืองผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของกษัตริย์อาเรทัสได้ให้ทหารเฝ้าไว้ทั่วเมืองเพื่อจะ จับกุมข้าพเจ้า แต่เขาเอาข้าพเจ้าใส่เข่งหย่อนลงมาจากช่องกําแพงเมือง ข้าพเจ้าจึงรอดพ้นเงื้อม มือเขามาได้ 16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
นิมิตและหนามยอกกายเปาโล
ข้าพเจ้าต้องโอ้อวดต่อไปถึงแม้จะไม่เกิด 12 ประโยชน์ อะไรขึ้นมา ข้าพเจ้าก็ขอเล่าถึงนิมิต และการทรงสําแดงต่างๆ จากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ารู้จักชายคนหนึ่งในพระคริสต์ ผู้ซึ่งสิบสี่ปีที่ แล้วถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม จะไปในกายหรือ นอกกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ ข้าพเจ้าไม่รู้ ว่าเขาไปในกายนี้หรือนอกกาย พระเจ้าทรงทราบ แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าชายผู้นี้ ถูกรับขึ้นไปถึงเมืองบรมสุข เกษม เขาได้ยินสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่อาจจะพรรณนาได้ สิ่ง ซึ่งไม่อนุญาตให้มนุษย์บอกเล่า ข้าพเจ้าจะอวดถึงคน เช่นนี้แหละ แต่ข้าพเจ้าจะไม่อวดตนเอง เว้นแต่เรื่อง ความอ่อนแอของข้าพเจ้า ถ้าหากว่าข้าพเจ้าเลือกที่ จะอวด ข้าพเจ้าก็จะไม่เป็นเช่นคนโง่ เพราะข้าพเจ้าจะ พูดความจริง แต่ข้าพเจ้ายับยั้งไว้เพื่อไม่ให้ใครยกย่อง ข้าพเจ้าเกินเลยจากสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดหรือทํา เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าผยองเนื่องด้วยการทรงสําแดง อันยิ่งใหญ่เลิศล้ําเหล่านี้ จึงทรงให้มีหนามในเนื้อของ 2
3
4
5
6
7
2 โครินธ์ 12:6–10
เปาโลมีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม มากมาย เขามีสิ่งที่สามารถกล่าว อ้างได้มากมายแต่พระเจ้าทรงระงับ ไม่ให้มันเกิดขึ้น เปาโลมีปัญหาซึ่ง เป็นเหตุทําให้เขาได้รับความทรมาน จากความเจ็บปวดภายในร่างกาย ของเขา สิ่งนี้ทําให้ร่างกายของท่าน อ่อนแอลง และท่านเรียนรู้ที่จะเชื่อ มั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงผู้เดียว พระองค์ไม่ได้เอาความเจ็บปวดออก ไป แต่ทรงสัญญาว่าจะช่วยให้เปาโล สามารถทนมันได้ หลายครั้งที่เรารู้สึกอ่อนแอ แต่ให้เรา จําไว้ว่าพระเจ้าทรงมีพลัง พระองค์ ทรงสถิตอยู่กับเรา 2 โครินธ 12:7 | 307
2 โครินธ์ 12:10 ความเจ็บปวดทําให้เปาโลอ่อนกําลังลง ท่านตระหนักว่าความอ่อนแอนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันสอนท่านให้เชื่อและไว้วางใจในพระเจ้าให้ช่วยเหลือท่าน ให้น้อง ๆ ลองคิดถึงเวลาที่เราอ่อนแอและมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย แล้วคิดถึงการที่ความ อ่อนแอกลับกลายเป็นสิ่งที่ดีไปซะ ลองคุยกันถึงการที่เปาโลมองเห็นความอ่อนแอของ ท่าน น้อง ๆ เห็นด้วยกับท่านไหม? ข้าพเจ้า เป็นทูตของซาตานคอยทรมานข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอ สําหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อํานาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงอวด ความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อํานาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้ แหละเพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลําบาก ใน การกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง 8
9
10
เปาโลห่วงใยพี่น้องชาวโครินธ์
ข้าพเจ้าได้ทําตนเองให้เป็นคนโง่ไปแล้วสิ แต่พวกท่านก็เป็นผู้ผลักดันให้ข้าพเจ้าเป็นอย่าง นี้ ท่านทั้งหลายน่าจะชมเชยข้าพเจ้า เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่มีอะไรดีเด่น แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ ด้อยไปกว่า “ยอดอัครทูต” เหล่านั้น สิ่งต่างๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็นอัครทูตเช่น หมายสําคัญ การอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ต่างๆ ก็ทําแล้วท่ามกลางพวกท่านด้วยความพากเพียรอดทนบากบั่น ท่านด้อยกว่าคริสตจักรอื่นๆ ตรงไหน? ยกเว้นที่ข้าพเจ้าไม่เคยเป็นภาระแก่ท่าน โปรดอภัย ข้าพเจ้าในความผิดข้อนี้! บัดนี้ข้าพเจ้าพร้อมที่จะมาเยี่ยมพวกท่านเป็นครั้งที่สาม และข้าพเจ้าจะไม่เป็นภาระแก่ท่าน เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการคือตัวท่านไม่ใช่ทรัพย์สินของท่าน ควรหรือที่ลูกๆ จะเก็บออมให้พ่อ แม่? พ่อแม่ต่างหากที่ควรสะสมไว้ให้ลูก ดังนั้นข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะใช้ทุกสิ่งที่มีและทุ่มเทตัวเอง เพื่อท่าน ถ้าข้าพเจ้ารักท่านมากขึ้น ท่านจะรักข้าพเจ้าน้อยลงหรือ? อย่างที่เป็นมาข้าพเจ้าไม่ เคยเป็นภาระแก่พวกท่าน แต่คนเจ้าเล่ห์อย่างข้าพเจ้าใช้กลเม็ดดักจับท่าน! ข้าพเจ้าฉกฉวย ประโยชน์จากพวกท่านผ่านทางใครคนใดที่ข้าพเจ้าได้ส่งมาหรือ? ข้าพเจ้าขอให้ทิตัสมาหาท่าน และข้าพเจ้าก็ส่งพี่น้องคนหนึ่งมากับเขาด้วย ทิตัสไม่ได้ฉกฉวยอะไรจากท่านใช่ไหม? เราไม่ได้ทํา หน้าที่ด้วยใจแบบเดียวกันและดําเนินตามแนวทางเดียวกันหรอกหรือ? ตลอดมานี้ท่านคิดว่าเรา แก้ตัวอยู่ใช่ไหม? ที่จริงเราพูดในสายพระเนตรของพระเจ้าอย่างคนที่อยู่ในพระคริสต์ ท่านที่รักทุก สิ่งที่เราทําก็ทําเพื่อเสริมสร้างพวกท่าน เนื่องจากข้าพเจ้าเกรงว่าเมื่อมาถึงข้าพเจ้าจะไม่เห็นท่าน เป็นอย่างที่ข้าพเจ้าอยากให้เป็น และท่านก็จะไม่เห็นข้าพเจ้าเป็นอย่างที่ท่านอยากให้เป็น ข้าพเจ้า กลัวว่าอาจจะมีการทะเลาะเบาะแว้ง อิจฉาริษยา ฉุนเฉียว แตกแยก นินทาว่าร้าย หยิ่งลําพอง และความวุ่นวาย ข้าพเจ้าเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้ามาอีกครั้ง พระเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงทําให้ข้าพเจ้า ต่ําลงต่อหน้าพวกท่าน และข้าพเจ้าจะเศร้าเสียใจเนื่องด้วยหลายคนที่ได้ทําบาปและยังไม่ยอม กลับใจละทิ้งความเสื่อมทราม ความบาปทางเพศ และการเสเพลซึ่งเขาได้ปล่อยตัวลุ่มหลง 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
308 | 2 โครินธ 12:8
คําเตือนสุดท้าย
นครั้งที่สามที่ข้าพเจ้ามาเยี่ยมท่าน “ทุกคดีจะต้องมีพยานยืนยันสองสามปาก” 13 นีข้่จาะเป็ พเจ้าได้เตือนท่านไว้แล้วเมื่อ 2
ข้าพเจ้ามาเยี่ยมท่านครั้งที่สอง บัดนี้ขอย้ําอีกครั้งขณะไม่อยู่ว่า เมื่อข้าพเจ้ากลับมา ข้าพเจ้า จะไม่ละเว้นบรรดาผู้ที่ได้ทําบาปก่อนหน้านี้หรือใครคนใดในพวกเขา ในเมื่อพวกท่านเรียกร้อง นักให้พิสูจน์ว่าพระคริสต์กําลังตรัสผ่านทางข้าพเจ้า พระคริสต์ไม่ได้ทรงอ่อนแอในการจัดการ กับพวกท่าน แต่ทรงอานุภาพยิ่งนักท่ามกลางพวกท่าน เป็นความจริงที่ว่าพระองค์ทรงถูกตรึง ตายบนไม้กางเขนในความอ่อนแอ กระนั้นพระองค์ก็ทรงพระชนม์อยู่โดยฤทธิ์อํานาจของพระเจ้า เช่นเดียวกันพวกเราอ่อนแอในพระองค์ แต่โดยฤทธิ์อํานาจของพระเจ้า พวกเราจะมีชีวิตอยู่กับ พระองค์เพื่อรับใช้พวกท่าน จงสํารวจตนเองว่าท่านตั้งมั่นในความเชื่อหรือไม่ จงทดสอบตัวเอง ท่านไม่ประจักษ์หรือว่าพระ เยซูคริสต์ทรงอยู่ในท่าน แน่นอนนอกจากว่าท่านไม่ผ่านการทดสอบ? และข้าพเจ้ามั่นใจว่าท่าน จะพบว่าเราผ่านการทดสอบ เราอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อท่านจะไม่ทําผิด ไม่ใช่เพื่อผู้คนจะเห็นว่า เราผ่านการทดสอบ แต่เพื่อท่านจะทําสิ่งที่ถูกต้องแม้จะดูเหมือนว่าเราไม่ผ่านการทดสอบ เพราะ เราไม่อาจทําสิ่งใดที่ขัดกับความจริงได้ แต่ทําเพื่อความจริงเท่านั้น เราดีใจทุกครั้งที่เราอ่อนแอ แต่ท่านเข้มแข็ง และเราอธิษฐานขอให้ท่านสมบูรณ์พร้อม ด้วยเหตุนี้เองระหว่างที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ ข้าพเจ้าจึงเขียนสิ่งเหล่านี้ถึงท่าน เพื่อเมื่อข้าพเจ้ามาถึงจะได้ไม่ต้องใช้อํานาจอย่างเข้มงวดกับท่าน อํานาจซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้าเพื่อสร้างท่านขึ้น ไม่ใช่เพื่อทําลายท่านลง 3
4
5
6
7
8
9
10
คําลงท้าย
ท้ายสุดนี้ลาก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านจงมุ่งมาดให้ถึงความสมบูรณ์พร้อม โปรดฟังคําขอร้อง ของข้าพเจ้า จงเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน จงอยู่อย่างสงบสุข และพระเจ้าแห่งความรักและสันติสุขจะ สถิตกับท่าน จงทักทายกันด้วยจุมพิตอันบริสุทธิ์ ประชากรของพระเจ้าทุกคนฝากความคิดถึงมายังท่าน ทั้งหลาย ขอพระคุณขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ความรักของพระเจ้า และสามัคคีธรรมจากพระ วิญญาณบริสุทธิ์ ดํารงอยู่กับท่านทั้งปวงเถิด 11
12
13
14
2 โครินธ 13:14 | 309
จดหมายของเปาโลถึง คริสตจักรในแคว้น กาลาเทีย เปาโลและชาวกาลาเทีย
● เปาโลเคยไปยังแคว้นกาลาเทียเมื่อท่านเดินทางไปประกาศพระกิตติคุณครั้งที่ 2
(กิจการ 13–14) ● กาลาเทียอยู่ในเขตปกครองเอเชียไมเนอร์ (ปัจจุบันคือประเทศตุรกี) ● จดหมายฉบับนี้เขียนถึงคริสตจักรทุกแห่งในแคว้นกาลาเทีย ● เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยมือของท่านเอง (กาลาเทีย 6:11) ● ท่านเขียนจดหมายฉบับนี้ในเดือนสิงหาคม ปีคริสต์ศักราชที่ 50 หลังจากที่พระเยซู ทรงประสูติ ในเมืองโครินธ์
ทําไมเปาโลถึงเขียนจดหมายนี้ไปยังกาลาเทีย
● เปาโลได้รับข่าวร้ายจากบรรดาคริสตจักรในกาลาเทีย ● มีบางคนที่บอกทุกคนในคริสตจักรว่าเพียงแค่เชื่อในพระเยซูนั้นมันง่ายเกินไป
(กาลาเทีย 1:6–18) ● พวกเขาต้องการให้คริสเตียนทุกคนทําตามบทบัญญัติของพวกเขา แล้วจึงจะถือว่า เป็นคริสเตียนที่แท้จริง ● เปาโลกล่าวว่า ไม่จริง สิ่งที่จะทําให้ท่านทั้งหลายรอดคือการเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ (กาลาเทีย 3:26, 5:6 และ 6:15) ● พระคริสต์ทรงปลดปล่อยเราให้เป็นไท (กาลาเทีย 5:1,13) ● พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยให้เรารักซึ่งกันและกัน (กาลาเทีย 5:22–25, 6:2) ● ในคริสตจักรของพระเจ้า ทุกคนเท่าเทียมกันไม่มีใครดีกว่าใคร (กาลาเทีย 3:28)
ลองอ่านพระคําของพระเจ้า!
● ทางรอดมีทางเดียว (กาลาเทีย 1–2) ● คริสเตียนทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเยซู (กาลาเทีย 3:15–29) ● พระคริสต์ทรงปลดปล่อยเราให้เป็นไท (กาลาเทีย 5:1–15) ● พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยให้เราทําในสิ่งที่ถูกต้อง (กาลาเทีย 5:16–26)
310
กาลาเทีย
บนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นอัครทูต ข้าพเจ้าไม่ได้ถูกส่งมาจากมนุษย์หรือโดยมนุษย์ 1 แต่จดหมายฉบั โดยพระเยซูคริสต์และพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย และบรรดาพี่น้อง 2
ที่อยู่กับข้าพเจ้า ถึงคริสตจักรต่างๆ ในแคว้นกาลาเทีย ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของ เราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่ท่านทั้งหลาย พระเยซูทรงสละพระองค์เองเพื่อบาปของเราทั้ง หลาย ทั้งนี้เพื่อช่วยเราจากยุคอันชั่วร้ายนี้ตามพระ ประสงค์ของพระเจ้าและพระบิดาของเรา ขอถวาย พระเกียรติสิริแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน 3
4
5
ไม่มีข่าวประเสริฐอื่น
กาลาเทีย
เมื่อชาวโรมันได้รับชัยชนะในการ สู้รบในที่หนึ่ง พวกเขาจะแบ่งเขต ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้พวกเขาทําการ ปกครองได้ง่ายขี้น กาลาเทียก็เป็น หนี่งในแควันหรือจังหวัดใหม่ที่ตั้ง อยู่ใจกลางเอเชียไมเนอร์ (ปัจจุบัน คือประเทศตุรกี) ระบบของชาว โรมันนั้นดีมาก พวกเขาสร้างถนน ที่ดีเพื่อจะเคลื่อนกองทัพจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว และ ประชาชนก็ใช้ถนนเหล่านี้ในการ สัญจรและค้าขายด้วย
ข้าพเจ้าประหลาดใจที่ท่านทั้งหลายทิ้งพระองค์ ผู้ทรงเรียกท่านโดยพระคุณของพระคริสต์ไปอย่าง รวดเร็ว และหันไปหาข่าวประเสริฐอื่น ซึ่งไม่ใช่ข่าว ประเสริฐเลย เห็นได้ชัดว่าบางคนกําลังทําให้ท่าน สับสนวุ่นวายและพยายามบิดเบือนข่าวประเสริฐของ พระคริสต์ ไม่ว่าเราหรือทูตสวรรค์ หากประกาศข่าว ประเสริฐอื่นซึ่งต่างจากข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่ท่าน ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์! ดังที่เราได้บอกไว้แล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าขอกล่าวย้ําอีกครั้งว่าหากใครประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่าน นอกเหนือจากที่ท่านได้รับไว้แล้ว ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์! นี่ข้าพเจ้ากําลังมุ่งให้มนุษย์หรือพระเจ้ายอมรับกันแน่? หรือว่าข้าพเจ้ากําลังพยายามทําให้ มนุษย์พอใจ? หากข้าพเจ้ากําลังพยายามทําให้มนุษย์พอใจ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์ 6
7
8
9
10
พระเจ้าทรงเรียกเปาโล
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่าข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศนั้นไม่ใช่เรื่องที่ มนุษย์แต่งขึ้น ข้าพเจ้าไม่ได้รับข่าวประเสริฐนี้จากมนุษย์คนใดหรือมีคนมาสอน แต่รับการทรง สําแดงจากพระเยซูคริสต์ ในเมื่อท่านก็ทราบว่าเมื่อก่อนขณะยังถือศาสนายิวข้าพเจ้าใช้ชีวิตอย่างไร ข้าพเจ้าได้ข่มเหง คริสตจักรของพระเจ้าอย่างรุนแรงและพยายามจะทําลายให้สิ้น เมื่ออยู่ในศาสนายิวข้าพเจ้า ก้าวหน้ากว่าพี่น้องยิวหลายคนในรุ่นเดียวกัน และหัวรุนแรงอย่างยิ่งในการยึดถือประเพณีตาม บรรพบุรุษของข้าพเจ้า แต่เมื่อพระเจ้าทรงเลือกข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่กําเนิด และทรงเรียกข้าพเจ้า โดยพระคุณของพระองค์ พระองค์พอพระทัย ที่จะสําแดงพระบุตรของพระองค์ในข้าพเจ้า เพื่อ ให้ข้าพเจ้าประกาศพระบุตรนั้นท่ามกลางชาวต่างชาติ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ปรึกษามนุษย์คนใด ทั้ง ไม่ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อพบบรรดาคนที่เป็นอัครทูตก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าตรงไปยัง ประเทศอาระเบียทันที และภายหลังได้กลับมายังเมืองดามัสกัส สามปีต่อมาข้าพเจ้าขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อทําความรู้จักกับเปโตร และพักอยู่กับเขาสิบห้า วัน ข้าพเจ้าไม่ได้พบอัครทูตคนอื่นๆ เลยนอกจากยากอบน้องขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้า ขอยืนยันต่อหน้าพระเจ้าว่าที่เขียนมานี้ไม่ได้โกหก หลังจากนั้นข้าพเจ้าไปยังเขตแดนซีเรียและ ซิลีเซีย คริสตจักรต่างๆ ในพระคริสต์ที่แคว้นยูเดียไม่รู้จักข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว พวกเขาเพียง แต่ได้ข่าวว่า “คนที่แต่ก่อนเคยข่มเหงเราเดี๋ยวนี้ประกาศความเชื่อซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพยายาม ทําลาย” และพวกเขาสรรเสริญพระเจ้าเนื่องด้วยข้าพเจ้า 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
312 | กาลาเทีย 1:1
เหล่าอัครทูตยอมรับเปาโล
สิบสี่ปีต่อมาข้าพเจ้าไปที่กรุงเยรูซาเล็มอีกพร้อมกับบารนาบัส ข้าพเจ้าพาทิตัสไปด้วย ข้าพเจ้า 2 ไปตามการทรงสํ าแดง และได้ชี้แจงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่คนต่างชาติให้พวกเขา 2
ฟัง แต่ข้าพเจ้าก็ได้ชี้แจงเป็นการส่วนตัวให้บรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเป็นผู้นําฟัง เนื่องจากเกรงว่าที่ ข้าพเจ้ากําลังวิ่งแข่งหรือได้วิ่งแข่งไปแล้วจะเปล่าประโยชน์ แต่กระนั้นทิตัสซึ่งอยู่กับข้าพเจ้า แม้ เขาจะเป็นกรีกก็ไม่ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต เรื่องนี้ลุกลามขึ้นมาเพราะพี่น้องจอมปลอมบางคนที่ แทรกซึมเข้ามาในหมู่เรา เพื่อสืบดูเสรีภาพที่เรามีในพระเยซูคริสต์และเพื่อจะทําให้เราเป็นทาส แต่เราไม่อ่อนข้อให้เขาแม้สักขณะหนึ่ง เพื่อความจริงของข่าวประเสริฐจะได้คงอยู่กับท่าน สําหรับบรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเป็นคนสําคัญ ซึ่งเขาจะเป็นอย่างไรนั้นไม่มีความหมายอะไร สําหรับข้าพเจ้า พระเจ้าไม่ได้ทรงพิจารณาที่รูปลักษณ์ภายนอก พวกเขาไม่ได้เพิ่มเติมอะไรแก่ ถ้อยคําที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้เลย ตรงกันข้ามเขาเห็นว่าข้าพเจ้าได้รับมอบหมายภารกิจในการ ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนต่างชาติเช่นเดียวกับที่เปโตรประกาศแก่คนยิว เพราะพระเจ้าผู้ทรง ดําเนินการในพันธกิจของเปโตรผู้เป็นอัครทูตไปยังคนยิวก็ทรงดําเนินการในพันธกิจของข้าพเจ้า ผู้เป็นอัครทูตไปยังคนต่างชาติด้วย เมื่อยากอบ เปโตรและยอห์นซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเสาหลักเห็นถึง พระคุณที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า ก็จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัสเพื่อแสดงว่าเราร่วมงานกัน เขา เหล่านี้เห็นด้วยว่าเราควรไปยังคนต่างชาติ ส่วนพวกเขาไปหาคนยิว เขาทั้งสามขอแต่เพียงให้เรา คิดถึงคนจนเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะทําอยู่แล้ว 3
4
5
6
7
8
9
10
เปาโลคัดค้านเปโตร
เมื่อเปโตรมาที่อันทิโอก ข้าพเจ้าคัดค้านเขาซึ่งๆ หน้าเนื่องจากเขาได้ทําผิดอย่างชัดเจน คือ ก่อนที่คนของยากอบบางคนจะมาถึง เปโตรเคยร่วมรับประทานอาหารกับคนต่างชาติเสมอ แต่ เมื่อพวกนั้นมาถึง เขาก็ถอยห่างและปลีกตัวจากคนต่างชาติเพราะกลัวพวกที่เข้าสุหนัต ชาวยิว อื่นๆ พลอยหน้าซื่อใจคดไปกับเขาด้วย และด้วยความหน้าซื่อใจคดของพวกเขา แม้บารนาบัสเอง ก็ยังถูกชักจูงให้หลงทําตามด้วย เมื่อข้าพเจ้าเห็นพวกเขาทําตัวไม่สอดคล้องกับความจริงของข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าจึงพูดกับ เปโตรต่อหน้าพวกเขาทั้งปวงว่า “ท่านเป็นยิวยังใช้ชีวิตเหมือนคนต่างชาติ ไม่เหมือนชาวยิว แล้ว ทําไมจึงบังคับคนต่างชาติให้ถือธรรมเนียมยิวเล่า? “เราซึ่งเป็นคนยิวโดยกําเนิด ไม่ใช่ ‘คนบาปต่างชาติ’ ยังรู้ว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม ได้โดยการถือรักษาบทบัญญัติ แต่เป็นได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้นเราเองจึงเชื่อใน พระเยซูคริสต์เพื่อจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการทําตาม บทบัญญัติ เพราะว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยการทําตามบทบัญญัติเลย “ถ้าขณะที่เรามุ่งจะให้พระเจ้าทรงนับเราเป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสต์ ก็ปรากฏชัดว่าเราเอง เป็นคนบาป นั่นหมายความว่าพระคริสต์ส่งเสริมบาปหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! หากข้าพเจ้า สร้างสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทําลายลงแล้วขึ้นใหม่ ก็แสดงว่าข้าพเจ้าเป็นคนละเมิดบทบัญญัติ เพราะโดย ทางบทบัญญัติข้าพเจ้าได้ตายต่อบทบัญญัติแล้ว เพื่อว่าจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า ข้าพเจ้าถูก ตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดําเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดําเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรัก ข้าพเจ้าและประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง เพราะถ้า ความชอบธรรมสามารถได้มาโดยทางบทบัญญัติ พระคริสต์ก็วายพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์!” 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
ความเชื่อหรือการทําตามบทบัญญัติ
ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย! ใครสะกดท่านให้หลงไปเสียแล้วเล่า? ภาพพระเยซูคริสต์ถูกตรึง 3 ตายบนไม้ กางเขนก็ชัดเจนอยู่ต่อหน้าต่อตาท่าน สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากรู้จากท่านคือท่านได้ 2
รับพระวิญญาณโดยการทําตามบทบัญญัติหรือโดยการเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน? ท่านโง่เขลาปานนี้ 3
กาลาเทีย 3:3 | 313
กาลาเทีย 3:26 ให้น้อง ๆ ลองเรียงประโยคใหม่จากพระคัมภีร์ข้อ 26 ดูสิ บุตรของพระเจ้า / โดยความเชื่อ / ในพระเยซูคริสต์ / ท่านทั้งหลายล้วนเป็น พระสัญญานี้หมายความว่าอย่างไร? น้อง ๆ สามารถเป็นบุตรของพระเจ้าได้หรือไม่? และน้อง ๆ ต้องทําอย่างไรเพื่อที่จะได้เป็นบุตรของพระองค์? หรือ? หลังจากที่เริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ บัดนี้ท่านกําลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่านด้วย การขวนขวายของมนุษย์หรือ? ท่านได้ทนทุกข์มากมายโดยเปล่าประโยชน์หรือ? สิ่งนี้เป็นการ เปล่าประโยชน์จริงๆ หรือ? พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน และทรงทําการ อัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น ก็เพราะท่านรักษาบทบัญญัติหรือเพราะท่านเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน? จงพิจารณาดูอับราฮัม “เขาเชื่อพระเจ้าและความเชื่อนี้พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรม ของเขา” ฉะนั้นจงเข้าใจเถิดว่าคนที่เชื่อก็เป็นวงศ์วานของอับราฮัม พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงนับว่าคนต่างชาติเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ และประกาศข่าวประเสริฐล่วงหน้า แก่อับราฮัมว่า “ทุกประชาชาติจะได้รับพรผ่านทางเจ้า” ฉะนั้นผู้ที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับ อับราฮัมบุรุษแห่งความเชื่อ คนทั้งปวงที่พึ่งการทําตามบทบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคนที่ ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ” เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้าไม่มีใครถูก นับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยบทบัญญัติ เพราะว่า “คนชอบธรรมจะดํารงชีวิตโดยความเชื่อ” บทบัญญัติไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ แต่ “ผู้ใดที่ทําสิ่งเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่โดยสิ่งเหล่า นี้” พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคําสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคําสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ก็ถูกแช่งสาปแล้ว” พระองค์ทรงไถ่เราเพื่อว่า พระพรที่มีแก่อับราฮัมจะมาถึงคนต่างชาติโดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าโดยความเชื่อเราจะได้รับ พระวิญญาณตามพระสัญญา 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
บทบัญญัติกับพระสัญญา
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างจากชีวิตประจําวัน พันธสัญญาของมนุษย์เมื่อตกลงกัน แล้วก็ไม่มีใครยกเลิกหรือเพิ่มเติมได้ฉันใด กรณีนี้ก็ฉันนั้น พระเจ้าทรงทําพระสัญญาต่างๆ กับ อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของเขา พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่า “แก่บรรดาพงศ์พันธุ์” อันหมายถึงผู้คน มากมาย แต่ระบุว่า “แก่พงศ์พันธุ์ของเจ้า” อันหมายถึงคนเพียงคนเดียวคือพระคริสต์ ข้าพเจ้า หมายความว่าอย่างนี้คือ บทบัญญัติซึ่งมีมาภายหลัง 430 ปีไม่ได้ล้มล้างพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ ทรงตั้งไว้ก่อนแล้ว และด้วยเหตุนี้บทบัญญัติจึงไม่ได้ยกเลิกพระสัญญา เพราะหากการรับมรดก ขึ้นกับบทบัญญัติก็ไม่ได้ขึ้นกับพระสัญญาอีกต่อไป แต่โดยพระคุณของพระองค์ พระเจ้าประทาน มรดกแก่อับราฮัมผ่านทางพระสัญญา ถ้าเช่นนั้นบทบัญญัติมีไว้เพื่ออะไร? การที่มีบทบัญญัติเพิ่มขึ้นมาก็เพราะการล่วงละเมิดทั้ง หลาย และบทบัญญัตินี้คงอยู่จนกว่า “พงศ์พันธุ์” นั้นซึ่งพระสัญญาระบุไว้มาถึง บทบัญญัติมีผล บังคับใช้ผ่านทางเหล่าทูตสวรรค์โดยคนกลาง อย่างไรก็ตามคนกลางไม่ได้เป็นตัวแทนของฝ่าย เดียวเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียว 15
16
17
18
19
20
314 | กาลาเทีย 3:4
ถ้าเช่นนั้นบทบัญญัติขัดกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! เพราะถ้าทรง ให้มีบทบัญญัติซึ่งให้ชีวิต ความชอบธรรมย่อมมีได้โดยบทบัญญัติ แต่พระคัมภีร์ประกาศว่าทั้ง โลกตกเป็นนักโทษของบาป เพื่อว่าสิ่งที่ทรงสัญญาไว้นั้นจะประทานแก่บรรดาผู้เชื่อโดยทางความ เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่ความเชื่อนี้จะมีมา เราตกเป็นนักโทษของบทบัญญัติ ถูกกักขังไว้จนกว่าความเชื่อจะ ถูกเปิดเผย ดังนั้นบทบัญญัติได้รับมอบหมายหน้าที่ให้นําเรามาถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้ถูกนับ เป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ บัดนี้ความเชื่อนั้นมาถึงแล้ว เราจึงไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของ บทบัญญัติอีกต่อไป 21
22
23
24
25
บุตรของพระเจ้า
ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะพวกท่านทั้ง ปวงผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้วได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ ไม่มียิวหรือ กรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวงเป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์ ถ้าท่าน เป็นของพระคริสต์ ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมและเป็นทายาทตามพระสัญญา ากําลังกล่าวอยู่นี้ก็คือ ตราบใดที่ทายาทยังเด็กอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับทาส แม้เขาจะ 4 เป็สิ่งนทีเจ้่ข้าาพเจ้ ของทรัพย์สินทั้งหมด เขาก็ยังอยู่ในบังคับของผู้ปกครองและผู้ดูแลทรัพย์สิน จนกว่า จะถึงเวลาที่บิดากําหนด เช่นกันเมื่อเรายังเด็ก เราเป็นทาสอยู่ใต้บังคับของหลักการพื้นฐานทั้ง หลายของโลก แต่เมื่อถึงกําหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาประสูติจากครรภ์ของ ผู้หญิง ถือกําเนิดภายใต้บทบัญญัติ เพื่อไถ่คนทั้งปวงซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของ บุตรอย่างสมบูรณ์ ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจเรา พระวิญญาณผู้ทรงร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ” ฉะนั้นท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และเพราะท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้ท่านเป็นทายาทด้วย 26
27
28
29
2
3
4
5
6
7
เปาโลห่วงใยพี่น้องชาวกาลาเทีย
เมื่อก่อนท่านยังไม่รู้จักพระเจ้า ท่านเป็นทาสของผู้ซึ่งโดยสภาพแล้วไม่ใช่เทพเจ้าเลย แต่เดี๋ยว นี้ท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกคือพระเจ้าทรงรู้จักท่านแล้ว ท่านยังจะหวนกลับไปหาหลักการ เก่าๆ ซึ่งอ่อนแอและน่าสังเวชหรือ? ท่านอยากตกเป็นทาสด้วยสิ่งทั้งปวงนี้อีกหรือ? ท่านกําลัง ถือวันเดือนฤดูและปี! ข้าพเจ้าหวาดหวั่นแทนท่าน เกรงว่าที่ข้าพเจ้าบากบั่นทุ่มเทให้ท่านนั้นจะ เปล่าประโยชน์ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ขอให้เป็นเหมือนข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าได้เป็นเหมือน 8
9
10
11
12
กาลาเทีย 4:6–7 ให้น้อง ๆ ลองนึกถึงคนที่เรารักมากที่สุด น้อง ๆ ทําอย่างไรบ้างเมื่อน้อง ๆ ต้องการ ความช่วยเหลือจากเขา? และน้อง ๆ รู้สึกอย่างไรเมื่อเขาช่วยเหลือเรา? เราสามารถ อธิษฐานร้องขอกับพระเจ้าได้ในเวลาที่น้อง ๆ ต้องการพระองค์ เพราะพระองค์ทรง เป็น อับบา พระบิดา เป็นพ่อที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะสามารถจินตนาการได้ น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเรา? ลองเลือกสีแทนความรู้สึกของ อุน่ ใจ (หน้า 11) จากนัน้ ลองเขียนจดหมายถึงพระเจ้าโดยใช้กระดาษสีนน้ั ให้มนั เป็นคํา อธิษฐานพิเศษของน้อง ๆ วันนี้ กาลาเทีย 4:12 | 315
กาลาเทีย 4:7 เราทุกคนไม่ใช่ทาส แต่เราทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า ทาสคืออะไร? อะไรคือความแตกต่างระหว่างบุตรกับทาส? ทาสรู้สึกอย่างไรต่อเจ้านายของเขา? บุตรรู้สึกอย่างไรต่อบิดามารดาของเขา? ให้น้อง ๆ เขียนความรู้สึกของน้อง ๆ เกี่ยวกับการได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของ พระเจ้า ท่าน ท่านไม่ได้ทําผิดอะไรต่อข้าพเจ้า ท่านก็ทราบอยู่ตอนแรกที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ แก่ท่านนั้นก็เพราะความเจ็บป่วย แม้ว่าความเจ็บป่วยของข้าพเจ้าเป็นการทดลองสําหรับท่าน ท่านก็ไม่ได้ดูถูกหรือสบประมาทข้าพเจ้าเลย กลับต้อนรับราวกับข้าพเจ้าเป็นทูตของพระเจ้า ราวกับข้าพเจ้าเป็นองค์พระเยซูคริสต์เอง ความชื่นชมยินดีของท่านหายไปไหนหมดแล้ว? ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าถ้าท่านทําได้ ท่านก็คงจะควักตาของท่านให้ข้าพเจ้าแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าได้ กลายเป็นศัตรูของท่านเพราะบอกความจริงแก่ท่านหรือ? คนพวกนั้นร้อนรนเพื่อชนะใจท่าน แต่ไม่ใช่เพราะหวังดี สิ่งที่เขาต้องการคือแยกท่านออกไป จากเรา เพื่อให้ท่านร้อนรนเพื่อพวกเขา ถ้าร้อนรนเพราะหวังดีก็ดีอยู่ ขอให้เป็นเช่นนั้นตลอด ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่าน ลูกที่รักเอ๋ย ข้าพเจ้ายังต้องเจ็บปวดราวกับคลอดบุตร เพื่อท่านอีกจนกว่าพระคริสต์จะทรงก่อร่างขึ้นในท่าน ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งที่จะอยู่กับท่าน ตอนนี้ และเปลี่ยนน้ําเสียงของข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าข้องใจในตัวท่าน! 13
14
15
16
17
18
19
20
นางฮาการ์กับนางซาราห์
ท่านที่อยากอยู่ใต้บทบัญญัติ บอกข้าพเจ้าเถิด ท่านไม่ตระหนักถึงสิ่งที่บทบัญญัติกล่าวไว้ หรือ? เพราะมีเขียนไว้ว่าอับราฮัมมีบุตรชายสองคน คนหนึ่งเกิดจากหญิงที่เป็นทาส อีกคนเกิด จากหญิงที่เป็นไท บุตรจากหญิงที่เป็นทาสเกิดตามปกติธรรมดา ส่วนบุตรจากหญิงที่เป็นไทเกิด ตามพระสัญญา เรื่องนี้ถือเป็นการเปรียบเทียบได้ หญิงทั้งสอง หมายถึงสองพันธสัญญา พันธสัญญาหนึ่งมาจากภูเขา กาลาเทีย 3–4 ซีนาย คือ นางฮาการ์ให้กําเนิดลูกทาส นางฮาการ์ หมายถึงภูเขาซีนายในประเทศอาระเบีย เล็งถึงกรุง คริสเตียนได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เยรูซาเล็มปัจจุบัน เพราะนางกับบรรดาบุตรของนาง ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาทําหรือเพราะ เป็นทาสอยู่ ส่วนเยรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบนนั้นเป็นไท พวกเขาเชื่อฟัง แต่เป็นเพราะพวก เป็นมารดาของเราทั้งหลาย ตามที่มีเขียนไว้ว่า เขามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ “จงยินดีเถิด หญิงหมันเอ๋ย ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูก็เป็นบุตร ผู้ไม่เคยมีลูก ของพระเจ้า น้อง ๆ ก็เป็นลูกของ จงเปล่งเสียงโห่ร้องเถิด พระเจ้าได้ ถ้าน้อง ๆ เชื่อในพระองค์ เจ้าผู้ไม่เคยเจ็บครรภ์ เพราะลูกของหญิงที่โดดเดี่ยว ก็ยังมีมากกว่าลูกของหญิงผู้มีสามี” 21
22
23
24
25
26
27
316 | กาลาเทีย 4:13
พี่น้องทั้งหลาย ฝ่ายท่านเป็นบุตรแห่งพระสัญญาเช่นเดียวกับอิสอัค ครั้งนั้นบุตรที่เกิดตาม ปกติธรรมดารังแกบุตรที่เกิดโดยฤทธิ์อํานาจของพระวิญญาณ บัดนี้ก็เช่นกัน แต่พระคัมภีร์กล่าว ว่าอย่างไร? “ขอให้ไล่เมียทาสกับลูกของนางไปเถิด เพราะลูกของเมียทาสนั้นจะไม่มีวันมีส่วนร่วม ในมรดกกับลูกของหญิงที่เป็นไท” ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เราไม่ใช่บุตรของหญิงที่เป็นทาส แต่ เป็นบุตรของหญิงที่เป็นไท 28
29
30
31
เสรีภาพในพระคริสต์
พระคริสต์ทรงปลดปล่อยเราเป็นไทเพื่อเสรีภาพ ฉะนั้นจงยืนหยัด อย่ายอมตกอยู่ใต้แอกแห่ง 5 ความเป็ นทาสอีก
จงจดจําคําพูดของข้าพเจ้า! ข้าพเจ้าเปาโลขอบอกท่านว่า หากท่านยอมตัวเข้าสุหนัต พระ คริสต์จะไร้ค่าสําหรับท่านอย่างสิ้นเชิง ข้าพเจ้าขอประกาศอีกครั้งแก่ทุกคนที่ยอมตัวเข้าสุหนัตว่า เขาจําเป็นต้องทําตามบทบัญญัติทั้งหมด ท่านที่ขวนขวายจะให้พระเจ้าทรงนับว่าท่านเป็นผู้ชอบ ธรรมโดยบทบัญญัติก็ขาดจากพระคริสต์ ท่านได้หล่นพ้นจากพระคุณไปเสียแล้ว แต่โดยความเชื่อ เราจดจ่อรอคอยที่จะได้รับความชอบธรรมผ่านทางพระวิญญาณตามที่เรามุ่งหวังไว้ เพราะในพระ เยซูคริสต์การเข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัตก็ไม่มีค่าอันใด สิ่งเดียวที่สําคัญคือความเชื่ออันแสดงออก ด้วยความรัก ท่านกําลังวิ่งแข่งด้วยดีอยู่แล้ว ใครมาขัดจังหวะทําให้ท่านเลิกเชื่อฟังความจริง? การโน้ม น้าวแบบนั้นไม่ได้มาจากพระองค์ผู้ทรงเรียกท่าน “เชื้อขนมนิดเดียวทําให้แป้งดิบฟูขึ้นทั้งก้อน” ข้าพเจ้ามั่นใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ท่านจะไม่ยอมรับทัศนะอื่นๆ ผู้ที่มาทําให้ท่านสับสนวุ่นวาย นั้นจะต้องรับโทษ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม พี่น้องทั้งหลาย หากข้าพเจ้ายังประกาศให้เข้าสุหนัต ทําไมข้าพเจ้ายังถูกข่มเหงอยู่อีก? ถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องไม้กางเขนก็ไม่ถูกต่อต้านแล้ว สําหรับนัก ก่อกวนพวกนั้น ข้าพเจ้าอยากให้เขาตอนตัวเองเสียเลย! 2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
ชีวิตโดยพระวิญญาณ
พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้นก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่านเพื่อปล่อย ตัวตามวิสัยบาป แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก บทบัญญัติทั้งหมดสรุปรวมเป็นข้อเดียว ว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดีจะย่อยยับไป ตามๆ กัน ดังนั้นข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดําเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป เพราะตัณหาของวิสัยบาปขัดกับพระวิญญาณ และพระวิญญาณขัดกับวิสัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็น ศัตรูกัน สิ่งที่ท่านอยากทําจึงไม่ได้ทํา แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนําท่าน ท่านก็ไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ 13
14
15
16
17
18
กาลาเทีย 5:1, 13–15 น้อง ๆ มีกฎที่บ้าน โรงเรียน หรือคริสตจักรไหม? น้อง ๆ ไม่ชอบกฎข้อไหนบ้าง? กฎ ข้อไหนเป็นกฎที่ดีบ้าง? พระคริสต์ทรงปลดปล่อยให้เราเป็นไท หมายความว่าเราไม่ ต้องทําตามกฎก็ได้ใช่ไหม? เปล่าเลย น้อง ๆ ต้องรักษากฎของพระเจ้า โดยเฉพาะ ข้อที่ว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ข้อแตกต่างมีอยู่ว่า การที่เรารักษากฎของ พระเจ้านั้นไม่ใช่เพราะเรากลัวการลงโทษ แต่เป็นเพราะเรารักพระเยซู กาลาเทีย 5:18 | 317
กาลาเทีย 5:22–23 ให้น้อง ๆ ลองเขียนผลพระวิญญาณลงไปในการ์ดหรือกระดาษเล็ก ๆ ทีละแผ่น เมื่อ เขียนเสร็จแล้วให้นํามันไปใส่ถุง จากนั้นให้แบ่งกลุ่มกับเพื่อน ๆ และให้แต่ละกลุ่มสุ่ม หยิบกระดาษขึ้นมาคนละหนึ่งใบ เมื่อได้แล้วให้ทําท่าทางเพื่อใบ้คําในใบกระดาษที่ น้อง ๆ ได้กับเพื่อนในกลุ่มอื่น ตัวอย่างเช่น ใบที่เขียนว่า การมีความอดทน น้อง ๆ สามารถทําท่าทางโดยการต่อแถวแล้วไม่ยืนแตกแถว และไม่ผลักไสคนที่ยืนอยู่ข้าง หน้า น้อง ๆ ห้ามบอกว่าตัวเองกําลังแสดงท่างทางถึงผลพระวิญญาณใด ลองดูสิว่า เพื่อน ๆ ในกลุ่มอื่นจะทายถูกไหมว่าน้อง ๆ มีผลพระวิญญาณข้อไหน พฤติกรรมของวิสัยบาปนั้นเห็นได้ชัดคือ การผิดศีลธรรมทางเพศ ความไม่บริสุทธิ์ และการ ลามก การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้คาถาอาคม ความเกลียดชัง ความบาดหมาง ความริษยา หึงหวง ความโมโหโทโส ความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรคแบ่ง พวก และการอิจฉากัน การเมามาย การมั่วสุมเสพสุราและกาม และอื่นๆ ในทํานองนี้ ข้าพเจ้า ขอเตือนท่านเหมือนที่เคยเตือนแล้วว่า ผู้ที่ประพฤติเช่นนี้จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็น มรดก ส่วนผลของพระวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความ ชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปรานี ความดี กาลาเทีย 5:19–26 ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยนและการควบคุม ตนเอง สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย ผู้ บางครั้ง ๆ เราก็คิดว่าเราสามารถ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหา ทําอะไรก็ได้เพราะพระเยซูทรงอภัย ของวิสัยบาปไว้ที่กางเขนแล้ว ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่ ความผิดบาปแก่เราเสมอ เปาโล โดยพระวิญญาณก็ให้เราดําเนินตามพระวิญญาณเถิด กล่าวว่า เมื่อเราเข้าใจถึงสิ่งที่พระ เราอย่าอวดดี ยั่วโมโห และอิจฉากันเลย เยซูทรงได้ทําเพื่อเราแล้ว เราจะ ทําดีต่อคนทั้งปวง ต้องการทําให้พระองค์พอพระทัย พี่น้องทั้งหลาย หากใครถูกจับได้ว่าทําบาป ท่าน อง ๆ สามารถทําให้พระเยซูพอ 6 ที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณควรช่วยเขาอย่างสุภาพอ่อน น้พระทั ยได้โดย การทําดีต่อผู้อื่น โยนให้เขากลับตั้งตัวใหม่ แต่จงระวังตัวท่านเอง น้อง ๆ สามารถทําสิ่งเหล่านี้ได้ มิฉะนั้นท่านเองจะถูกล่อลวงให้ทําบาปไปด้วย จงช่วย อย่างไร? ลองอธิษฐานขอพระ รับภาระของกันและกัน ทําดังนี้แล้วท่านก็ได้ปฏิบัติ วิญญาณบริสุทธิ์ให้ทรงช่วยเราดูสิ ตามบทบัญญัติของพระคริสต์ หากผู้ใดคิดว่าตน พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา และจะ สําคัญทั้งๆ ที่ไม่สําคัญ ผู้นั้นก็หลอกตัวเอง แต่ละคน ทรงช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน ควรสํารวจการกระทําของตนเองจึงจะมีข้อภาคภูมิใจ ในตัวเอง โดยไม่ต้องเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะว่าแต่ละคนต้องแบกภาระของตัวเอง ผู้ที่รับคําสั่งสอนจงแบ่งสิ่งดีทั้งปวงแก่ผู้สอน อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไรย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ผู้ที่หว่านเพื่อ วิสัยบาปของเขาจะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณจะเก็บเกี่ยว ชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ อย่าให้เราอ่อนล้าในการทําดี เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ เราก็จะเก็บ 19
20
21
22
23
24
25
26
2
3
4
5
6 7
8
9
318 | กาลาเทีย 5:19
กาลาเทีย 5:22–23 น้อง ๆ จําผลพระวิญญาณทั้ง 9 ประการได้ไหม? ให้น้อง ๆ ลองวาดพวงองุ่นที่มี ลูกองุ่นอยู่ 9 ลูก แล้วเขียนผลพระวิญญาณลงไปในแต่ละลูก น้อง ๆ คิดว่าน้อง ๆ สามารถแสดงผลพระวิญญาณในชีวิตได้อย่างไร? ลองให้คะแนนตัวเองจาก 1–10 ใน แต่ละประการ ให้น้อง ๆ เขียนคะแนนลงบนผลพระวิญญาณแต่ละลูกอย่างชัดเจน ผล พระวิญญาณในข้อใดที่น้อง ๆ คิดว่ายังขาดอยู่? ให้น้อง ๆ อธิษฐานขอการช่วยเหลือ จากพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่กับเรา และจะทรงประทานผลพระ วิญญาณนั้นให้กับเรา เกี่ยวในเวลาอันเหมาะสม เหตุฉะนั้นเมื่อมีโอกาส ให้เราทําดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อ คนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ 10
ไม่ใช่เข้าสุหนัตแต่รับการทรงสร้างใหม่
ดูเถิด ข้าพเจ้าใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่เพียงไร เมื่อเขียนถึงท่านด้วยมือของข้าพเจ้าเอง! บรรดาผู้ที่อยากสร้างความประทับใจแต่เพียงเปลือกนอกพยายามบังคับให้ท่านเข้าสุหนัต เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองถูกข่มเหงเพราะเรื่องไม้กางเขนของพระคริสต์ แม้แต่คนที่เข้า สุหนัตแล้วยังไม่เชื่อฟังบทบัญญัติ แต่พวกเขาต้องการให้ท่านเข้าสุหนัตจะได้อวดอ้างเนื้อหนัง ของท่าน ขออย่าให้ข้าพเจ้าอวดอะไรเว้นแต่ไม้กางเขนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา โดยไม้ กางเขนนั้น โลกถูกตรึงไว้จากข้าพเจ้าแล้วและข้าพเจ้าถูกตรึงไว้จากโลกแล้ว เข้าสุหนัตหรือไม่ เข้าสุหนัตก็ไม่มีความหมาย ความสําคัญอยู่ที่การได้รับการทรงสร้างใหม่ สันติสุขและพระเมตตา คุณจงมีแก่คนทั้งปวงที่ทําตามกฎนี้ คือแก่ชนอิสราเอลของพระเจ้า สุดท้ายนี้อย่าให้ใครมาก่อความเดือดร้อนแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ามีเครื่องหมายของพระเยซู อยู่บนกายของข้าพเจ้า พี่น้องทั้งหลาย ขอให้พระคุณขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราดํารงอยู่กับวิญญาณจิตของ ท่านทั้งหลายเถิด อาเมน 11
12
13
14
15
16
17
18
กาลาเทีย 6:1–2 ให้นอ้ งๆแต่ละคนหยิบเครือ่ งดนตรีมาคนละหนึง่ อย่าง ให้เพือ่ นคนหนึง่ ปิดตาไว้ คนอืน่ ๆ ให้ยนื กระจายกันทัว่ ๆห้อง จากนัน้ ให้เพือ่ นทีป่ ดิ ตาเดินไปรอบๆห้อง ห้ามให้ชนใคร เมื่อเพื่อนจะเข้ามาใกล้น้องๆ ให้น้องๆ เล่นเครื่องดนตรีนั้น เพื่อไม่ให้เพื่อนเดินมาชน เมื่อเพื่อนได้ยินเสียงเครื่องดนตรีแล้ว เพื่อนของน้องๆ จะรู้ว่าเขาเข้าใกล้เกินไป เราต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะเมื่อเราอยู่ในความทุกข์ยากลําบาก บางครั้ง เราเองสามารถมองเห็นในอุปสรรคที่เพื่อนของเรามองไม่เห็น กาลาเทีย 6:18 | 319
จดหมายของเปาโลถึง คริสตจักรในเมือง เอเฟซัส น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● เอเฟซัสเป็นเมืองสําคัญทางฝั่งทะเลตะวันตกของเอเชียไมเนอร์
(ปัจจุบันเรียกว่า ตุรกี) ● เปาโลเดินทางไปเยี่ยมเมืองนี้ระหว่างการเดินทางไปทําพันธกิจครั้งที่สอง (กิจการ18:18–19) ● ท่านยังได้อาศัยอยู่ที่นั้นถึง 3 ปี ระหว่างการเดินทางไปทําพันธกิจครั้งที่สาม (กิจการ 18:18–19) ● เมื่อท่านย้ายออกจากเมืองนี้ ท่านได้แต่งตั้งทิโมธีให้เป็นผู้นําของคริสตจักร ● จากเมืองเอเฟซัส เปาโลเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็ม ที่ซึ่งท่านได้ถูกจับกุม ท่านได้ถูก จองจําในคุกที่ซีซาเรีย (กิจการ 24) และท่านได้เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นที่นั้น เมื่อปี คริสต์ศักราชที่ 56 หลังจากที่พระเยซูทรงประสูติ ● ทิคิกัสได้นําจดหมายฉบับนี้ไปมอบให้แก่เมืองเอเฟซัส (เอเฟซัส 6:21) ● จดหมายฉบับนี้ยังเขียนถึงคริสตจักรอีกหลายแห่งที่อยู่รอบเมืองเอเฟซัสอีกด้วย
เปาโลบอกสิ่งใดแก่ชาวเมืองเอเฟซัส?
● เปาโลอธิบายถึงแผนการของพระเจ้าสําหรับโลกนี้ ● พระเจ้าทรงตัดสินพระทัยมายาวนานแล้วว่า พระเยซูจะเป็นผู้ซึ่งครอบครอง มี
อํานาจเหนือสรรพสิ่งทั้งปวงในจักรวาลนี้ ● พระเยซูทรงเสด็จลงมาบนโลกเพื่อเราจะได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพระองค์ ● ลูก ๆ ของพระเจ้า – คริสตจักร – เป็นดั่งพระกายของพระเยซูบนโลกนี้ ● มารซาตานคือ ศัตรูของพระเจ้าและปรปักษ์ของคริสตจักร พวกเราต้องต่อสู้พวกมัน โดยการสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า
ดูตรงนี้สิ!
● พระเจ้าทรงทําอะไรเพื่อเราบ้าง (เอเฟซัส 1:3–23) ● ความรักของพระเจ้า (เอเฟซัส 3:14–21) ● คริสเตียนได้ถูกสร้างใหม่แล้ว (เอเฟซัส 4:25 – 5:2) ● จงพร้อมที่จะต่อสู้ (เอเฟซัส 6:10–20)
320
เอเฟซัส
จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นอัครทูตของ 1 พระเยซู คริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ถึงประชากรของพระเจ้าที่เมืองเอเฟซัส ผู้สัตย์ซื่อใน พระเยซูคริสต์ ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของ เราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่ท่านทั้งหลาย 2
พระพรฝ่ายจิตวิญญาณในพระคริสต์
เอเฟซัส
เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงชาว เมืองเอเฟซัสเมื่อท่านถูกจองจําอยู่ใน คุก ท่านเขียนจดหมายสี่ฉบับในคุก มีสามฉบับที่เขียนถึงชาวเมืองโคโลสี ชาวเมืองฟิลิปปี และฟีเลโมน แม้ท่านถูกจองจําในคุก เปาโลไม่ได้ โศกเศร้าและหมดกําลังใจ ท่านเต็ม ไปด้วยความหวังและความชื่นชม ยินดี ท่านบอกทุกคนว่าท่านได้ พบพระเยซู เปาโลรู้ว่าพระเจ้าทรง สถิตอยู่ด้วยและจะทรงดูแลท่าน
สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์ เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณ นานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรค สถาน เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกให้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติใน สายพระเนตรพระองค์ ด้วยความรัก พระองค์ทรง กําหนดไว้ล่วงหน้าที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์อันดี ของพระองค์ เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณสูงส่งซึ่งพระองค์ประทานให้เราเปล่าๆ อย่างเหลือล้น ในพระองค์ผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า ในพระเยซู เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาปตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่เราอย่าง เหลือล้นด้วยสติปัญญาและความเข้าใจทั้งปวง และพระองค์ทรงให้เรารู้ความล้ําลึกแห่งพระดําริ ของพระองค์ตามที่พอพระทัยซึ่งทรงมุ่งหมายไว้ในพระคริสต์ พระดําริของพระองค์ก็คือ เมื่อถึง กําหนดเวลา พระองค์จะทรงรวมสิ่งสารพัดทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกไว้ภายใต้พระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะ ในพระองค์ เรายังได้รับการทรงเลือก ตามที่ทรงกําหนดไว้ล่วงหน้าตามแผนการของพระองค์ ผู้ทรงกระทําให้ทุกสิ่งเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อเราทั้งหลายซึ่ง เป็นพวกแรกที่มีความหวังในพระคริสต์จะได้สรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์ และท่านทั้ง หลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริงคือข่าวประเสริฐแห่ง ความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ด้วยดวงตราคือพระวิญญาณ บริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้ ผู้เป็นมัดจําค้ําประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเราจนกว่าคนของ พระเจ้าจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
ขอบพระคุณและทูลขอ
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ยินถึงความเชื่อของท่านในพระเยซูเจ้า และความรักของท่านที่มี ต่อประชากรทุกคนของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้งเพราะท่านและ เฝ้าอธิษฐานเผื่อท่าน ข้าพเจ้าเพียรทูลขอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราคือพระ บิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีพระวิญญาณแห่งสติปัญญาและการสําแดงเพื่อท่านจะรู้จัก พระองค์ดียิ่งขึ้น ข้าพเจ้ายังขอให้ตาใจของท่านสว่าง เพื่อท่านจะได้รู้ถึงความหวังที่ทรงเรียกท่าน มานั้น รู้ถึงความมั่งคั่งแห่งมรดกอันรุ่งเรืองของพระองค์สําหรับประชากรของพระองค์ และรู้ถึง ฤทธานุภาพอันยิง่ ใหญ่สดุ หาใดเทียบสําหรับเราทัง้ หลายทีเ่ ชือ่ ฤทธานุภาพนีเ้ ป็นเหมือนพระราชกิจ แห่งพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งทรงกระทําในพระคริสต์เมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และให้ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน สูงส่งยิ่งเหนือเทพผู้ครองและเทพ ผู้ทรงอํานาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ครองอาณาจักรทั้งสิ้น และเหนือทุกนามที่เขาเอ่ย ขึ้น ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคหน้าด้วย และพระเจ้าทรงให้สิ่งสารพัดอยู่ใต้พระบาทพระ 15
16
17
18
19
20
21
22
322 | เอเฟซัส 1:1
เอเฟซัส 2:10 ไบรท์ ได้อ่านพบว่าจดหมายที่เปาโลเขียนขึ้นนั้นเป็นภาษากรีก เปาโลได้กล่าวว่า พวก เราคือสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และในภาษากรีกนั้น ท่านได้กล่าวไว้ว่าพระเจ้าทรง สร้างเราขึ้นมาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เมื่อเรามองไปรอบ ๆ เราจะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ มากมายที่พระเจ้าทรงสร้าง ให้น้อง ๆ เขียนทุกสิ่งที่น้อง ๆ คิดว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น คริสต์ และทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือทุกสิ่งเพื่อคริสตจักร อันเป็นพระกายของพระองค์ ซึ่งบริบูรณ์ด้วยพระองค์ผู้ทรงให้ทุกสิ่งบริบูรณ์ในทุกทาง 23
มีชีวิตในพระคริสต์
านทั้งหลายได้ตายแล้วในการล่วงละเมิดและในบาปทั้งหลาย ซึ่งท่านเคยทําเมื่อดําเนิน 2 ชีส่ววิตนท่ตามวิ ถีของโลกนี้ และวิถีของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ทําการอยู่ใน 2
บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง ครั้งหนึ่งเราเคยใช้ชีวิตร่วมกับพวกนั้นบําเรอตัณหาแห่งวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมันตามวิสัย เราจึงควรแก่พระพิโรธเหมือนคนอื่น แต่เนื่องด้วย ความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่ กับพระคริสต์แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ และ พระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค สถานกับพระคริสต์ เพื่อในยุคต่อๆ ไปพระองค์จะได้ทรงสําแดงความอุดมแห่งพระคุณอันหาใด เปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับ ความรอดโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทาน จากพระเจ้า ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ เพราะเราทั้งหลายเป็นผล งานของพระเจ้าซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทําการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้ เราทํา 3
4
5
6
7
8
9
10
หนึ่งเดียวกันในพระคริสต์
เพราะฉะนั้นจงระลึกว่าแต่ก่อนท่านเป็นคนต่างชาติโดยกําเนิด และบรรดาผู้ที่เรียกตนเองว่า “พวกที่เข้าสุหนัต” (ซึ่งกระทําทางกายด้วยมือมนุษย์) เรียกท่านว่า “พวกไม่เข้าสุหนัต” จงระลึก ว่าครั้งนั้นท่านแยกจากพระคริสต์ ไม่ได้เป็นพลเมืองอิสราเอลและเป็นคนต่างด้าวอยู่นอก พันธสัญญาทีท่ รงสัญญาไว้ ไม่มคี วามหวังและอยูใ่ นโลกโดยปราศจากพระเจ้า แต่บดั นีใ้ นพระเยซู คริสต์ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกลได้เข้ามาใกล้แล้วโดยพระโลหิตของพระคริสต์ เพราะพระองค์เองทรงเป็นสันติสุขของเรา ผู้ทรงทําให้สองพวกกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน และ ทรงทําลายสิ่งกีดขวาง คือกําแพงแห่งความเกลียดชังที่กีดกั้นลง โดยทรงล้มเลิกบทบัญญัติ ทั้งหมดของชาวยิวซึ่งประกอบด้วยข้อบังคับและกฎระเบียบต่างๆ ด้วยพระกายของพระองค์ จุด ประสงค์ของพระองค์ก็เพื่อยุบสองฝ่ายและสร้างขึ้นใหม่เป็นหนึ่งเดียวในพระองค์ เช่นนี้แหละ จึงทรงทําให้มีสันติสุข และในกายเดียวนี้ทั้งสองพวกจึงกลับคืนดีกับพระเจ้าโดยไม้กางเขน ซึ่ง พระองค์ทรงใช้ทําลายความเป็นศัตรูกันให้หมดสิ้นไป พระองค์เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่าน 11
12
13
14
15
16
17
เอเฟซัส 2:17 | 323
ทั้งหลายที่อยู่ไกลและสันติสุขแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ เพราะ โดยพระองค์เราทั้งสองพวกสามารถเข้าถึงพระบิดา โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ดังนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวแปลกถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้าและ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ท่านได้รับการ สร้างขึ้นบนฐานรากของเหล่าอัครทูตและผู้เผยพระ วจนะโดยมีพระเยซูคริสต์เองเป็นศิลามุมเอก ใน พระองค์ ทุกส่วนของอาคารทั่วทั้งหมดต่อกันสนิท และประกอบกันขึ้นเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ในองค์พระ ผู้เป็นเจ้า และในพระองค์ ท่านก็เช่นกันกําลังรับการ ทรงสร้างขึ้นด้วยกันให้เป็นที่ประทับซึ่งพระเจ้าสถิตอยู่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ 18
19
20
21
22
เอเฟซัส 2:11–22
เปาโลกล่าวว่าพระเยซูเป็นดั่งศรีษะ ของคริสตจักร นั่นหมายถึงพระองค์ ทรงปกครองเหนือคริสตจักร คริสตจักรเป็นเหมือนร่างกาย ส่วน ต่างๆของร่างกายที่แตกต่างนั้นมี ความสําคัญต่อกันและกัน และช่วย เหลือกันและกันอีกด้วย พระเจ้าทรง มอบของประทานให้แต่ละส่วนนั้น (คริสเตียนในคริสตจักร) เพื่อเราทุก คนจะสามารถช่วยเหลือกันและกัน ได้ (เอเฟซัส 4:11–13)
พันธกิจของเปาโลเพื่อคนต่างชาติ
นี้ข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นนักโทษเพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์เพื่อท่านผู้เป็นคนต่างชาติ 3 ด้วยเหตุ แน่ทีเดียวท่านทั้งหลายย่อมได้ยินถึงภารกิจแห่งพระคุณของพระเจ้าซึ่งประทานแก่ข้าพเจ้า 2
เพื่อท่านแล้ว อันได้แก่ข้อล้ําลึกซึ่งทรงสําแดงแก่ข้าพเจ้าตามที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ก่อนหน้านี้อย่าง ย่อๆ เมื่อท่านอ่านแล้วจะสามารถเข้าใจถึงความรู้แจ้งของข้าพเจ้าในข้อล้ําลึกของพระคริสต์ ซึ่ง ในยุคก่อนๆ ไม่ได้ทรงเปิดเผยแก่มนุษย์เหมือนที่บัดนี้ทรงสําแดงโดยพระวิญญาณแก่เหล่าอัครทูต และผู้เผยพระวจนะผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า ข้อล้ําลึกนี้คือ โดยทางข่าวประเสริฐนั้นคนต่างชาติก็ เป็นทายาทร่วมกับชนอิสราเอล เป็นอวัยวะร่วมในกายเดียวกันและเป็นผู้มีส่วนร่วมในพระสัญญา ในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าได้เป็นผูร้ บั ใช้แห่งข่าวประเสริฐนีโ้ ดยพระคุณซึง่ พระเจ้าประทานแก่ขา้ พเจ้าผ่านทางการ ทํางานของฤทธิอ์ าํ นาจของพระองค์ แม้ขา้ พเจ้าต่าํ ต้อยกว่าผูเ้ ล็กน้อยทีส่ ดุ ในประชากรทัง้ หมดของ พระเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้รบั พระคุณนี้ คือได้ประกาศแก่ คนต่างชาติถงึ ความไพบูลย์อนั สุดจะหยัง่ ได้ของพระ เอเฟซัส 1 และ 3 คริสต์ และได้แสดงให้คนทัง้ ปวงเห็นถึงภารกิจแห่งข้อ มีคําอธิษฐานสองหัวข้อในพระธรรม ล้าํ ลึกนีอ้ ย่างชัดเจน ซึง่ ตลอดยุคทีผ่ า่ นๆ มาได้ถกู ปิด เล่มนี้ ซ่อนไว้ในพระเจ้าผูท้ รงสร้างสรรพสิง่ เพือ่ บัดนีเ้ หล่า เทพผูค้ รองและเทพผูท้ รงอํานาจในสวรรคสถานจะได้ •ในเอเฟซัส 1:15–23 เปาโล เห็นถึงพระปรีชาญาณอันลึกซึง้ ของพระเจ้าผ่านทาง อธิษฐานขอให้ชาวเมืองเอเฟซัส คริสตจักร ตามพระประสงค์นริ นั ดร์ของพระองค์ซง่ึ ได้ รู้จักพระเจ้ามากขึ้น และจะรู้ถึง ทรงกระทําให้สาํ เร็จในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ใน ฤทธิ์อํานาจที่พระเจ้าทํางานใน พระองค์และโดยความเชือ่ ในพระองค์เราจึงเข้ามาหา พวกเขา พระเจ้าได้ดว้ ยเสรีภาพและความมัน่ ใจ ฉะนัน้ ข้าพเจ้า •ในเอเฟซัส 3:14–19 เปาโล จึงขอท่านอย่าท้อใจเนือ่ งด้วยความทุกข์ยากของ อธิษฐานขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าเพือ่ พวกท่าน ซึง่ เป็นสง่าราศีของท่าน เสริมกําลังพวกเขา ท่านอธิษฐาน ให้พวกเขารู้ว่าพระเยซูทรงรัก ทูลอธิษฐานเพื่อพี่น้องชาวเอเฟซัส พวกเขามากเพียงใด ท่านจบการ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลงต่อหน้าพระ อธิษฐานด้วยการสรรเสริญพระเจ้า บิดา ผู้ทรงเป็นที่มาของนามแห่งตระกูลทั้งมวล (ข้อ 20–21) ของพระองค์ในสวรรค์และในแผ่นดินโลก ข้าพเจ้า อธิษฐานว่าจากความไพบูลย์อันทรงเกียรติสิริของ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
324 | เอเฟซัส 2:18
เอเฟซัส 4:2–3 ให้เล่นเกมส์นี้ข้างนอก จงเป่าลูกโป่งหนึ่งลูก ยืนใกล้ ๆ กันเป็นวงกลม ให้เพื่อนคน หนึ่งยืนตรงกลางวง เพื่อจะได้เป็นคนโยนลูกโป่งไปให้เพื่อนคนอื่น ๆ เมื่อส่งครบรอบ วงกลมแล้ว ให้น้อง ๆ ถอยหลังไปหนึ่งก้าวใหญ่ ๆ เพื่อขยายวงให้กว้างออกไปอีก จาก นั้นให้ทําซ้ําตั้งแต่แรกจนกระทั่งลูกโป่งระเบิดแตก ความรู้สึกเราเปรียบเสมือนกับลูกโป่ง – พวกเราถูกทําให้เจ็บปวดได้ง่าย นั้นเป็น เหตุผลว่าทําไมเราจึงต้องมีใจเมตตาและอดทนต่อกันและกัน พระองค์ ขอให้พระองค์ทรงทําให้ท่านเข้มแข็งขึ้นด้วยฤทธานุภาพผ่านทางพระวิญญาณของ พระองค์ที่อยู่ภายในท่าน เพื่อพระคริสต์จะสถิตในใจของท่านโดยทางความเชื่อ และข้าพเจ้า อธิษฐานว่าเมื่อท่านหยั่งรากและตั้งมั่นคงในความรักแล้ว ตัวท่านพร้อมกับประชากรทั้งหมด ของพระเจ้าจะได้สามารถหยั่งถึงความรักของพระคริสต์ว่ากว้างยาวสูงลึกปานใด และซาบซึ้งใน ความรักนี้ซึ่งเหนือกว่าความรู้ เพื่อท่านจะบริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า บัดนี้ขอเทิดพระเกียรติพระองค์ผู้ทรงสามารถกระทําเกินกว่าที่เราจะทูลขอหรือคาดคิดได้ตาม ฤทธานุภาพของพระองค์ซึ่งกระทําการอยู่ภายในเรา ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระองค์ในคริสตจักร และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุสืบๆ ไปเป็นนิตย์! อาเมน 17
18
19
20
21
เป็นหนึ่งเดียวกันในพระกายพระคริสต์
าผู้เป็นนักโทษเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงขอให้ท่านดําเนินชีวิตให้สมกับการทรง 4 เรีฉะนัยกที้นข้่ทา่าพเจ้ นได้รับ จงถ่อมใจและสุภาพอ่อนโยนในทุกด้าน จงอดทนอดกลั้นต่อกันและกันด้วย 2
ความรัก จงเพียรพยายามรักษาความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันในพระวิญญาณโดยมีสันติสุขเป็น เครื่องผูกพัน มีกายเดียวและพระวิญญาณองค์เดียวเหมือนกับที่ทรงเรียกท่านมาสู่ความหวังเดียว เมื่อทรงเรียกท่าน มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว มีพระเจ้าองค์ เดียวผู้ทรงเป็นพระบิดาของทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือทั้งมวล ทั่วทั้งสิ้น และในทั้งหมด แต่พระคุณนั้นประทานแก่เราแต่ละคนตามที่พระคริสต์ทรงแบ่งสรร ฉะนั้นจึงมีกล่าวไว้ว่า 3
4
5
6
7
8
เอเฟซัส 4:7 สร้างเครื่องจังหวะดนตรี ให้มีผู้นําเป็นคนเริ่มต้นตีจังหวะ(กระทืบเท้า, ตบมือ, เคาะ) ให้เพื่อน ๆ เข้าร่วมวงทีละหนึ่งคนโดยทําเสียงดนตรีของตัวเอง แต่ยังคงทําตามจังหวะ ของผู้นําอยู่ เมื่อทุกคนเข้ามาร่วมวงหมดแล้ว ให้หยุดทําทีละคน น้อง ๆ สามารถ ได้ยินเสียงความแตกต่างในเสียงของคนหนึ่งคนที่เข้ามาร่วมในกลุ่ม หรือหยุดทําเสียง นั้นหรือไม่? คริสเตียนต้องทํางานร่วมกันเพื่อให้มั่นใจได้ว่าโลกนี้ได้ยินเสียงของ คริสตจักร ไม่ว่าเราจะเล็กน้อยอย่างไร ทุกคนสามารถสร้างความแตกต่างได้ เอเฟซัส 4:8 | 325
เอเฟซัส 4:11–13 เราได้อ่านเกี่ยวกับของประทานฝ่ายวิญญาณในพระธรรมหลายเล่มในพระคัมภีร์ ให้ เขียนของประทานฝ่ายวิญญาณที่เปาโลได้กล่าวไว้ที่นี่ จากนั้นให้อ่านโรม 12:6–8 และ 1 โครินธ์ 12:7–11 และเพิ่มของประทานฝ่ายวิญญาณที่น้องค้นเจอ ทําไมพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงมอบของประทานให้แก่เรา? น้อง ๆ จะพบคําตอบใน เอเฟซัส 4:12 เราควรทําสิ่งต่าง ๆ โดยการใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณ “เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง ทรงนําเชลยไปด้วย และประทานของประทานแก่มนุษย์” (ที่ว่า “พระองค์เสด็จขึ้น” นั้นย่อมไม่อาจหมายความเป็นอื่น นอกจากว่าพระองค์ได้เสด็จลง สู่เบื้องต่ําของโลกด้วย พระองค์ผู้เสด็จลงคือองค์เดียวกับที่เสด็จขึ้นสูงเหนือฟ้าสวรรค์ทั้งมวล เพื่อทรงเติมทั่วทั้งจักรวาลให้สมบูรณ์) พระองค์เองทรงให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผย พระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียม ประชากรของพระเจ้าสําหรับงานรับใช้ เพื่อว่าพระกายของพระคริสต์จะได้รับการเสริมสร้างขึ้น จนกว่าเราทั้งหมดจะบรรลุความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของ พระเจ้า จนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์ เมื่อนั้นเราจะไม่เป็นทารกอีกต่อไป ถูกกระแสซัดไปซัดมา ถูกพัดไปทางโน้นทางนี้โดยลมปาก แห่งคําสอนและโดยกลลวงอันฉ้อฉลแยบยลของมนุษย์ แต่โดยการพูดความจริงด้วยความรัก เรา จะเติบโตขึ้นในทุกสิ่งสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์ จากพระองค์ทั่วทั้งกายซึ่งประสานและ ยึดเข้าด้วยกันโดยเส้นเอ็นทุกเส้นนั้นเจริญเติบโตและเสริมสร้างตัวเองขึ้นในความรัก ขณะที่แต่ละ ส่วนทําหน้าที่ของตน 9
10
11
12
13
14
15
16
เอเฟซัส 4:14–16 ให้ถือไม้ยาว 2 เมตร โดยใช้สองมือชูไว้บนอากาศ มองดูบนหัวไม้ขณะที่เราค่อย ๆ หมุนตัวไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ อะไรจะเกิดขึ้น? มันรู้สึกเหมือนกับว่าเรากําลังส่ายไปมา และเหมือนว่าเรากําลังจะล้มลง เปาโลกล่าวว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นหากเราไม่ยึดมั่นในพระเยซู แต่ถ้าเราอยู่กับพระเยซู เราจะได้รับการเสริมสร้างในความรัก เราจะสามารถทําการงานที่รับผิดชอบใน คริสตจักรได้ 326 | เอเฟซัส 4:9
เอเฟซัส 4:26 จ๊ะจ๋า รู้ว่าเราไม่ทําหรือพูดในสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป บางครั้งพวกเราก็มีความโกรธ พระคัมภีร์ข้อนี้ได้บอกเราว่าต้องทําอย่างไรบ้าง ไม่ให้อยู่กับความโกรธเคือง ไปพูดกับ คน ๆ นั้น ขอการให้อภัย ให้เราสร้างสันติภาพก่อนที่จะหมดวัน ถ้าน้อง ๆ รู้สึกถึงความยากลําบากในการรู้สึกโกรธเคือง ให้พูดคุยกับคนที่เราไว้วางใจ ได้ และขอให้เขาคนนั้นอธิษฐานเผื่อ และขอพระเจ้าช่วยเหลือเราในเรื่องนี้ ดําเนินชีวิตสมกับเป็นลูกของความสว่าง
ฉะนั้นข้าพเจ้าขอบอกและยืนยันกับท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า แต่นี้ไปท่านอย่าดําเนินชีวิต แบบคนต่างชาติอีกเลย ซึ่งคิดแต่สิ่งไร้สาระ ความเข้าใจของเขามืดมัวไปและเขาแยกห่างจาก ชีวิตฝ่ายพระเจ้า เนื่องด้วยความไม่รู้อันเนื่องมาจากจิตใจที่แข็งกระด้างของเขา เขาปราศจาก ความยั้งคิดใดๆ ปล่อยตัวตามกามราคะ ลุ่มหลงมัวเมาในความโสมมทุกแบบด้วยตัณหาไม่สิ้นสุด แต่ท่านไม่ได้เรียนรู้จักพระคริสต์อย่างนั้น แน่ทีเดียวท่านได้ฟังเรื่องของพระองค์และรับคํา สอนในพระองค์ตามความจริงซึ่งอยู่ในพระเยซู เกี่ยวกับวิถีชีวิตเดิมนั้น ท่านได้รับการสอนให้ทิ้ง ตัวตนเก่าของท่านซึ่งกําลังถูกทําให้เสื่อมโทรมไปโดยตัณหาอันล่อลวงของมัน เพื่อรับการสร้าง ท่าทีความคิดจิตใจขึ้นใหม่ และเพื่อสวมตัวตนใหม่ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้นให้เป็นเหมือนพระองค์ ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายต้องทิ้งสิ่งจอมปลอมและพูดความจริงต่อเพื่อนบ้านของตน เพราะ เราทั้งปวงล้วนเป็นอวัยวะในกายเดียวกัน “ในยามโกรธ ท่านอย่าทําบาป” อย่าให้ถึงดวงอาทิตย์ ตกแล้วท่านยังโกรธอยู่ และอย่าให้โอกาสแก่มาร ผู้ที่เคยลักขโมยก็อย่าลักขโมยอีก แต่จง ทํางาน ใช้มือของตนทําสิ่งที่มีประโยชน์ เผื่อจะมีอะไร แบ่งปันให้คนขัดสน เอเฟซัส 4:23–24 อย่าหลุดปากเอ่ยสิ่งที่ไม่สมควร แต่จงกล่าววาจา อันเป็นประโยชน์เพื่อเสริมสร้างผู้อื่นขึ้นตามความ คริสเตียนถูก “สร้างใหม่” พวก จําเป็นของเขา จะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง และอย่าทําให้ เขาถูกสร้างให้มีความสวยงามและ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย โดย บริสุทธิ์เช่นเดียวกับพระเจ้า ตั้งแต่ พระวิญญาณนี้ท่านได้รับการประทับตราแล้วสําหรับ เริ่มสร้างโลกพระเจ้าทรงต้องการให้ วันแห่งการทรงไถ่ให้รอด จงขจัดความขมขื่นทั้งสิ้น มนุษย์เป็นเหมือนพระองค์ ใน ความเกรี้ยวกราด และความโกรธแค้น การทะเลาะ ปฐมกาล 1:26 พระเจ้าตรัสว่า “จงให้ และการใส่ร้ายป้ายสี พร้อมทั้งการมุ่งร้ายทุกรูปแบบ พวกเราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายา จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกัน ของพวกเรา” พวกเราควรมีลักษณะ เหมือนที่พระเจ้าทรงอภัยแก่ท่านในพระคริสต์ ชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า พวกเรา เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้าให้ ต้องปฎิบัติเช่นเดียวกับพระองค์ 5 สมกับเป็นบุตรที่รัก และจงดําเนินชีวิตในความรัก พวกเราต้องเลียนแบบพระองค์ในทุก เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย และประทาน สิ่งที่เราทํา พระองค์เองเพื่อเราเป็นเหมือนของถวายอันมีกลิ่น หอมและเครื่องบูชาแด่พระเจ้า 17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
2
เอเฟซัส 5:2 | 327
แต่อย่าเอ่ยถึงสิ่งที่ส่อถึงการผิดศีลธรรมทางเพศและความไม่บริสุทธิ์ใดๆ หรือความโลภในหมู่ ท่านทั้งหลาย เพราะเป็นสิ่งไม่เหมาะสมสําหรับประชากรบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทั้งอย่าพูดหยาบ โลนลามก เฮฮาไร้สาระ หรือตลกหยาบช้า ซึ่งไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณพระเจ้าดีกว่า ท่าน แน่ใจได้เลยว่าคนผิดศีลธรรม คนไม่บริสุทธิ์ หรือคนโลภ คนเช่นนี้เป็นผู้กราบไหว้รูปเคารพ เขาจะ ไม่ได้รับมรดกใดๆ ในอาณาจักรของพระคริสต์และของพระเจ้า อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยวาจา ไร้สาระ เพราะเนื่องด้วยสิ่งเหล่านั้นพระพิโรธของพระเจ้าจึงมาถึงบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง ฉะนั้นอย่า เป็นหุ้นส่วนกับคนเหล่านั้นเลย เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดําเนิน ชีวิตอย่างลูกของความสว่าง (เพราะผลของความสว่างประกอบด้วยความดีทั้งปวง ความชอบ ธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น) จงหาให้พบว่าอะไรเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า อย่า เข้าส่วนใดๆ กับกิจกรรมของความมืดอันไร้ผล แต่จงเปิดเผยการเหล่านั้นดีกว่า เพราะเพียงเอ่ย ถึงสิ่งซึ่งพวกที่ไม่ยอมเชื่อฟังแอบทํากันนั้นก็ยังน่าอาย แต่ทุกสิ่งที่ถูกเปิดเผยโดยความสว่างก็เห็น กันแจ่มแจ้ง เนื่องจากความสว่างทําให้เห็นทุกสิ่งชัดแจ้ง ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวกันว่า “โอ ผู้ที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น จงฟื้นขึ้นจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน” เพราะฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดําเนินชีวิต อย่าดําเนินชีวิตแบบคนไร้ปัญญา แต่จง ดําเนินชีวิตแบบคนมีปัญญา จงรู้จักใช้ทุกโอกาสเพราะเวลานี้เป็นยุคอันเลวร้าย ฉะนั้นจงอย่า โง่เขลา แต่จงเข้าใจพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นเช่นใด และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่ง จะทําให้เสียคน แต่จงเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ จงสนทนากันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญและ บทเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ จงร้องและบรรเลงเพลงในใจถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงขอบพระคุณ พระเจ้าพระบิดาสําหรับทุกสิ่งอยู่เสมอในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา จงยอมเชื่อฟังกันและกันเนื่องด้วยใจเคารพยําเกรงพระคริสต์ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
สามีภรรยา
ผู้ที่เป็นภรรยาจงยอมเชื่อฟังสามีเหมือนที่ยอมเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะสามีเป็น ศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ ทั้ง พระองค์ยังทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักรด้วย คริสตจักรยอมเชื่อฟังพระคริสต์อย่างไร ภรรยาก็ควรยอมเชื่อฟังสามีทุกเรื่องอย่างนั้น 22
23
24
เอเฟซัส 5:19–20 จงร้องและบรรเลงเพลงในใจถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้ยืนเป็นวงกลม เลือกเครื่อง ดนตรีคนละชิ้น และให้แต่ละคนเล่นดนตรีไปตามจังหวะของตนโดยทําทีละคน หลัง จากนั้นให้ทุกคนหยุดและพูดว่า “พระบิดา พวกเราขอบพระคุณพระองค์สําหรับ...” (ตัวอย่างเช่น “พระบิดา พวกเราขอบพระคุณพระองค์สําหรับความรักของพระองค์”) ให้ทุกคนในกลุ่มพูดตาม ทําแบบนี้ไปรอบ ๆ วงกลมจนกระทั่งทําครบทุกคน ถ้าน้อง ๆ รู้จักเพลงสรรเสริญพระเจ้าที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการขอบพระคุณ น้อง ๆ สามารถนํามา ร้องด้วยกันได้เลย 328 | เอเฟซัส 5:3
เอเฟซัส 6:1–4 ต้นไม้ ได้ค้นพบว่าในช่วงเวลาของพระคัมภีร์ ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย และลูกพี่ลูก น้องมักจะอาศัยอยู่ด้วยกัน โดยมีบิดาเป็นผู้นําของครอบครัว และทุกคนต้องเชื่อฟัง ท่าน ทุกคนในครอบครัวดูแลซึ่งกันและกัน บทบาทในครอบครัวของน้อง ๆ คืออะไร? น้อง ๆ สามารถอ่านคําตอบในข้อที่ 1 บิดามารดาควรทําสิ่งใดบ้าง? อ่านคําตอบได้ในข้อ 4 ทั้งบิดามารดาและบุตรควร เคารพซึ่งกันและกันเสมอ ผู้ที่เป็นสามีจงรักภรรยาของตนเช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และประทาน พระองค์เองแก่คริสตจักร เพื่อทรงทําให้คริสตจักรบริสุทธิ์โดยการชําระด้วยน้ําผ่านทางพระ วจนะ และเพื่อพระองค์จะได้มีคริสตจักรอันงามผ่องแผ้วปราศจากมลทินหรือริ้วรอยหรือตําหนิ ใดๆ แต่บริสุทธิ์และไม่มีที่ติ เช่นนั้นแหละสามีจึงควรรักภรรยาของตนเหมือนรักกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาก็รักตนเอง ท้ายที่สุดไม่มีใครเกลียดชังกายของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูทะนุถนอม เหมือนที่พระคริสต์ทรงกระทําแก่คริสตจักร เพราะเราทั้งหลายเป็นอวัยวะในพระกายพระองค์ “เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของตนไปผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยา และทั้งสองจะ เป็นเนื้อเดียวกัน” ตรงนี้เป็นความลึกลับอันลึกซึ้ง แต่ข้าพเจ้ากําลังพูดถึงพระคริสต์กับคริสตจักร อย่างไรก็ตามพวกท่านแต่ละคนต้องรักภรรยาของตนเหมือนที่รักตนเองด้วย และภรรยาก็ต้อง เคารพสามีของตน 25
26
27
28
29
30
31
32
33
บุตรกับบิดามารดา
ี่เป็นบุตรจงเชื่อฟังบิดามารดาในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะนี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง “จงให้เกียรติ 6 บิผูด้ทามารดาของเจ้ า” นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย “เพื่อเจ้าจะอยู่เย็น 2
3
เป็นสุขและมีชีวิตยืนยาวในโลก” ผู้ที่เป็นบิดาอย่ายั่วโทสะบุตรของตน แต่จงอบรมเลี้ยงดูโดยการฝึกฝนและสั่งสอนตามแนวของ องค์พระผู้เป็นเจ้า 4
ทาสกับนาย
ผู้ที่เป็นทาสจงเชื่อฟังเจ้านายฝ่ายโลกด้วยความเคารพยําเกรงและด้วยความจริงใจ เหมือน ที่ท่านเชื่อฟังพระคริสต์ ไม่เพียงแต่เชื่อฟังเจ้านายต่อหน้าเพื่อให้เขาพึงพอใจ แต่ให้เป็นเหมือน ทาสของพระคริสต์ คือทําตามพระประสงค์ของพระเจ้าจากใจของท่าน จงรับใช้ด้วยความเต็มใจ ราวกับกําลังรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่มนุษย์ เพราะท่านรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปูน บําเหน็จความดีความชอบแก่ทุกคนที่ทําดี ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นทาสหรือเป็นไท ผู้ที่เป็นนายจงปฏิบัติต่อทาสในทํานองเดียวกัน อย่าข่มขู่เขาในเมื่อรู้อยู่ว่าพระองค์ผู้ทรงเป็น องค์เจ้านายทั้งของเขาและของท่านนั้นอยู่ในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงลําเอียงเข้าข้างใคร 5
6
7
8
9
ยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า
สุดท้ายนี้จงเข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้าและในฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ จงสวม ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อท่านจะยืนหยัดต่อสู้แผนการทั้งหลายของมารได้ เพราะเราไม่ ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเหล่าเทพผู้ครอง เทพผู้ทรงอํานาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพ 10
11
12
เอเฟซัส 6:12 | 329
เอเฟซัส 6:10–20 ให้ทําเสื้อเกราะของตัวเอง จับคู่ทําด้วยกัน โดยใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เก่า, กล่อง, เศษผ้า หรือถุงกระดาษ น้อง ๆ สามารถนํากรรไกร, กระดาษกาว,หรือกาวมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ และ น้อง ๆ สามารถตกแต่งเสื้อเกราะด้วยการระบายสีหรือใช้สีเทียนได้ ให้ใส่เสื้อเกราะของน้อง ๆ และอธิบายถึงความแตกต่างของแต่ละส่วน และบอกว่าสิ่ง นั้นใช้ทําอะไรได้บ้าง ของโลกอันมืดมนนี้ และต่อสู้กับเหล่าวิญญาณชั่วในย่านฟ้าอากาศ ฉะนั้นจงสวมยุทธภัณฑ์ทั้ง ชุดของพระเจ้าเพื่อท่านจะยืนหยัดรับมือได้เมื่อถึงวันอันชั่วร้าย และหลังจากท่านได้ผ่านทุกอย่าง แล้ว ท่านก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ ด้วยเหตุนี้จงยืนหยัดมั่นคง โดยคาดเอวด้วยเข็มขัดแห่งความจริง สวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรม สวมรองเท้าที่ทําให้พร้อมประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จงยึดโล่แห่งความเชื่อ ซึ่งพวกท่านใช้ดับลูกศรเพลิงทั้งปวงของ มารร้ายได้ จงสวมหมวกเกราะแห่งความรอด และถือดาบแห่งพระวิญญาณคือพระวจนะของ พระเจ้า และจงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกโอกาสด้วยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกรูปแบบ โดยคํานึงถึงสิ่งนี้จงเฝ้าระวังด้วยความมานะอดทนและด้วยการวิงวอนเผื่อประชากรทั้งปวงของ พระเจ้าเสมอ และเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเมื่อใดที่ข้าพเจ้าเอ่ยปากพระเจ้าจะประทานถ้อยคําให้ข้าพเจ้า สําแดงข้อล้ําลึกแห่งข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญ เพราะข่าวประเสริฐนี้ข้าพเจ้าจึงเป็นทูตที่ถูก ล่ามโซ่อยู่ เพื่อว่าข้าพเจ้าจะประกาศข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญตามที่ข้าพเจ้าสมควรจะทํา 13
14
15
16
17
18
19
20
330 | เอเฟซัส 6:13
คําลงท้าย
ทีคิกัสน้องที่รัก ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง เพื่อท่านจะได้ ทราบด้วยว่าข้าพเจ้าเป็นอย่างไร และกําลังทําอะไรอยู่ ข้าพเจ้าจะส่งเขาไปหาท่านก็เพราะจุด ประสงค์ข้อนี้เอง คือเพื่อให้ท่านทราบว่าพวกเราเป็นอยู่อย่างไรและเพื่อเขาจะได้ให้กําลังใจท่าน ขอสันติสุขและความรักด้วยความเชื่อจากพระเจ้าพระบิดาและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่ พี่น้องทั้งหลาย ขอพระคุณดํารงอยู่กับคนทั้งปวงที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วยความรัก อันไม่เสื่อมสลาย 21
22
23
24
เอเฟซัส 6:24 | 331
จดหมายของเปาโลถึง คริสตจักรในเมืองฟิลิปปี คริสตจักรในเมืองฟิลิปปี
● ฟิลิปปีเป็นเมืองสําคัญในมาซิโดเนีย (ปัจจุบันคือประเทศกรีซ) ● เปาโลเคยไปเยี่ยมเมืองนี้ในการเดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐครั้งที่สองของเขา
หลังจากมีนิมิตให้ไปยังมาซิโดเนีย (กิจการ 16:9–10) ● ฟิลิปปีเป็นเมืองแรกที่เปาโลได้ก่อตั้งคริสตจักรในทวีปยุโรป ● ผู้เชื่อกลุ่มแรกที่กลับใจมาเป็นคริสเตียนคือ นางลิเดียและครอบครัว ● นางลิเดียขายผ้าสีม่วง ซึ่งเป็นสินค้าที่หายากและมีราคาสูง (กิจการ 16:14)
เปาโลบอกอะไรแก่ชาวฟิลิปปี?
● ในปีคริสต์ศักราชที่ 62 หลังจากที่พระเยซูทรงประสูติ เปาโลได้ถูกจองจําในโรม ● เปาโลและคริสเตียนในเมืองฟิลิปปีเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และพวกเขาส่งของฝากมาให้
เปาโลเสมอ ● เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อขอบคุณชาวฟิลิปปีสําหรับของฝาก (ฟิลิปปี 4:18) ● ถึงแม้ว่าเปาโลจะอยู่ในคุกแต่ท่านก็ยังมีความชื่นชมยินดี ท่านบอกชาวฟิลิปปีว่า พวก เขาควรชื่นชมยินดีด้วยเช่นกัน (ฟิลิปปี 4:4) ● เปาโลบรรยายถึงพระเยซูโดยเฉพาะเรื่องความถ่อมใจและความรัก ● เปาโลกล่าวว่าท่านอยากไปอยู่กับพระเยซู ● ท่านอธิบายถึงวิธีการที่ชาวฟิลิปปีจะเป็นเหมือนพระเยซูได้
ดูตรงนี้สิ!
● การถูกจองจําของเปาโลทําให้ข่าวประเสริฐแพร่ออกไป (ฟิลิปปี 1:12–26) ● ถ่อมใจอย่างพระคริสต์ (ฟิลิปปี 2:1–11) ● เห็นแก่พระคริสต์ (ฟิลิปปี 3:7–11) ● จงชื่นชมยินดี (ฟิลิปปี 4:4–9)
332
ฟีลิปปี
บนี้จากข้าพเจ้าเปาโลกับทิโมธีผู้เป็น 1 ผูจดหมายฉบั ้รับใช้ของพระเยซูคริสต์
ฟิลิปปี
จดหมายฉบับนี้มีเนื้อความเกี่ยวกับ ความชื่นชมยินดี เปาโลกล่าวว่าท่าน เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี และชาว ฟิลิปปีก็มีควรชื่นชมยินดีด้วยเช่นกัน เปาโลได้กล่าวถึงความชื่นชมยินดี 14 ครั้งในจดหมายฉบับนี้ ขอบพระคุณและทูลขอ เปาโลมีความชื่นชมยินดี แม้ว่าท่าน ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าทุกครั้งที่ระลึกถึงพวก ได้ถูกจองจําในคุก ท่านทราบว่าไม่ว่า ท่าน ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเผื่อพวกท่านทั้งปวง ท่านจะอยู่แห่งหนใด พระเยซูจะทรง ข้าพเจ้าก็อธิษฐานด้วยความชื่นชมยินดีเสมอ เพราะ สถิตอยู่กับท่านเสมอ ดังนั้นท่านจึง ท่านมีส่วนร่วมในข่าวประเสริฐตั้งแต่แรกจวบจนบัดนี้ สามารถมีความชื่นชมยินดีได้ ไม่ว่า ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่าน จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม นั้นจะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์จนถึงวันแห่งพระ เยซูคริสต์ สมควรแล้วที่ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนี้เกี่ยวกับพวกท่านทุกคน เนื่องจากพวกท่านอยู่ในดวงใจของ ข้าพเจ้า เพราะไม่ว่าข้าพเจ้าจะถูกจองจําหรือกําลังกล่าวปกป้องและยืนยันข่าวประเสริฐนั้น พวกท่านก็มีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในงานที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพยานได้ว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะพบพวกท่านทั้งปวงมากเพียงใด ข้าพเจ้ารักท่าน ด้วยความรักของพระเยซูคริสต์ และข้าพเจ้าอธิษฐานว่าขอให้ความรักของท่านทวียิ่งๆ ขึ้น มีความรู้และความเข้าใจอันลึกซึ้ง เพื่อท่านจะสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรดีที่สุด และเพื่อท่านจะได้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติจนกว่าจะ ถึงวันแห่งพระคริสต์ และเปี่ยมด้วยผลแห่งความชอบธรรมซึ่งมาทางพระเยซูคริสต์ อันเป็นการ ถวายพระเกียรติสิริและการสรรเสริญแด่พระเจ้า ถึงประชากรทุกคนของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ที่เมืองฟีลิปปี ตลอดจนคณะผู้ปกครอง และคณะ มัคนายก ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของ เราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่พวกท่าน 2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
การถูกจองจําของเปาโลทําให้ข่าวประเสริฐแพร่ออกไป
พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เกิดกับข้าพเจ้ากลับ ทําให้ข่าวประเสริฐแพร่ออกไป จนทหารทั้งปวงที่รักษาวัง และคนอื่นๆ ทุกคนประจักษ์ทั่ว กันว่าข้าพเจ้าถูกจองจําเพื่อพระคริสต์ เพราะการที่ข้าพเจ้าถูกจองจําทําให้พี่น้องส่วนใหญ่ใน 12
13
14
ฟิลิปปี 1:6 ไบร์ท ชอบเรียนรู้พระคัมภีร์โดยการเคลื่อนไหวไปด้วย น้อง ๆ ลองเรียนรู้พระคัมภีร์ แบบนี้ดูสิ ลองเดินไปช้า ๆ และท่องข้อพระคัมภีร์ไปด้วย ให้น้อง ๆ เดินเร็วขึ้น แล้ว ท่องข้อพระคัมภีร์ให้เร็วขึ้นไปด้วย ลองเดินถอยหลังและท่องพระคัมภีร์ไปด้วยสิ ให้ น้อง ๆ ลองนึกถึงท่าทางการเคลื่อนไหวอื่น ๆ เพื่อนํามาทําในระหว่างที่น้อง ๆ ท่องจํา พระคัมภีร์ไปด้วยสิ 334 | ฟี ลป ิ ปี 1:1
ฟิลิปปี 1:6 เปาโลได้กล่าวถึงพระสัญญาอันแสนวิเศษ ลองอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้ออกเสียงดู สิ พระเจ้าทรงสัญญาอะไรกับคนของพระองค์? ถ้าน้อง ๆ เป็นคริสเตียน น้อง ๆ สามารถพูดได้ว่า “ฉันเป็นงานที่กําลังอยู่ในกระบวนการ ได้โปรดอดทนกับฉัน เพราะ พระเจ้ายังทรงกําลังสร้างชีวิตฉันอยู่” ลองคุยกับเพื่อนของน้อง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ดูสิ ข้อความนี้หมายความว่าอย่างไร? ทําไมการงานในชีวิตของน้องจึงยังไม่เสร็จสมบูรณ์? อะไรที่พระเจ้ายังทรงต้องทําต่อในชีวิตของน้อง ๆ? องค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับกําลังใจให้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าอย่างกล้าหาญและไม่หวั่นเกรง มากขึ้น จริงอยู่บางคนประกาศพระคริสต์ด้วยจิตใจที่อิจฉาและชิงดีชิงเด่น แต่คนอื่นๆ ประกาศด้วย เจตนาดี คนกลุ่มหลังทําด้วยความรักโดยรู้ว่าข้าพเจ้าถูกจับมาที่นี่ก็เพราะปกป้องข่าวประเสริฐ ส่วนพวกแรกนั้นประกาศพระคริสต์ด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ด้วยใจจริง หวัง สร้างความเดือดร้อนให้ข้าพเจ้าขณะถูกจองจํา แต่จะเป็นไรเล่า? ไม่ว่าจะทําด้วยแรงจูงใจที่ผิด หรือถูก สิ่งสําคัญคือเขาได้ประกาศพระคริสต์ก็แล้วกัน เพราะสิ่งนี้ทําให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดี และข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีต่อไป เพราะรู้ว่าโดยคําอธิษฐานของท่านและโดยความช่วย เหลือที่พระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ประทาน สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าจะทําให้ข้าพเจ้ารอดพ้น ข้าพเจ้ามาดมั่นและมุ่งหวังไว้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ทําสิ่งใดให้เป็นที่ละอายเลย แต่จะมีความกล้าหาญ เพียงพอ เพื่อบัดนี้พระคริสต์จะได้รับเกียรติเพราะกายของข้าพเจ้าเหมือนที่เคยได้รับเสมอมา ไม่ ว่าข้าพเจ้าจะอยู่หรือจะตาย เพราะสําหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์และการตาย ก็ได้กําไร ถ้ายังมีชีวิตอยู่ในกายนี้ต่อไปก็หมายความว่าข้าพเจ้าจะทํางานอย่างเกิดผล แต่ข้าพเจ้า ไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนดี? ยังลังเลใจอยู่ระหว่างสองทาง ใจหนึ่งอยากจากไปเพื่ออยู่กับพระ คริสต์ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก แต่การที่ข้าพเจ้ามีชีวิต อยู่ก็จําเป็นสําหรับพวกท่านมากกว่า เมื่อแน่ใจอย่าง ฟิลิปปี 1:12–14 นี้ข้าพเจ้าก็รู้ว่าจะยังอยู่กับพวกท่านทั้งปวงต่อไป เพื่อ ความก้าวหน้าและความชื่นชมยินดีของท่านในความ เปาโลเคยถูกจองจําในคุก แต่ภาย เชื่อ เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าได้อยู่กับพวกท่านอีก พวก หลังได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ใน ท่านก็จะชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์อย่างเปี่ยมล้น บ้าน มันเป็นลักษณะคล้ายกับการถูก เนื่องด้วยข้าพเจ้า กักตัวอยู่ภายในบริเวณบ้าน เปาโล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านจงประพฤติตนให้สมกับ จะถูกล่ามโซ่ไว้ตลอดทั้งกลางวันและ ข่าวประเสริฐของพระคริสต์ แล้วไม่ว่าข้าพเจ้าจะมา กลางคืนโดยทหารจากในวัง ทหาร หาท่านหรือเพียงแต่ได้ยินข่าวของท่าน ข้าพเจ้าก็รู้ว่า เหล่านี้จะเปลี่ยนเวรยามกันทุกสี่ ท่านยืนหยัดมั่นคงเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ต่อสู้เหมือน ชั่วโมง เปาโลจึงใช้โอกาสนี้ในการ เป็นคนเดียวกันเพื่อความเชื่อแห่งข่าวประเสริฐ และ เผยแพร่ข่าวประเสริฐของพระเยซู การที่ท่านไม่หวาดกลัวผู้ที่ต่อต้านท่านเลยนั้นก็จะเป็น และทหารเหล่านี้หลายคนก็ได้มา เครื่องหมายให้พวกนั้นรู้ว่าพวกเขาจะถูกทําลาย แต่ เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจะทรงช่วยพวกท่านให้รอด เพราะพระเจ้า ได้ประทานสิทธิพิเศษแก่ท่านเพื่อปรนนิบัติพระคริสต์ 15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
ฟี ลป ิ ปี 1:29 | 335
ฟิลิปปี 2:1–2 เปาโลกล่าวถึงคุณลักษณะสี่ประการในข้อ 1 ที่คริสเตียนในเมืองฟิลิปปีได้ทําอยู่แล้ว แต่เปาโลอยากให้คริสเตียนในเมืองฟิลิปปีทําอีกหนึ่งอย่าง น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า คุณลักษณะทั้งสี่ประการนั้นมีอะไรบ้าง? เปาโลต้องการให้คริสเตียนในเมืองฟิลิปปีทําอะไร? และน้อง ๆ สามารถทําได้หรือไม่? น้อง ๆ สามารถแสดงคุณลักษณะนี้ทุกวันที่บ้านและโรงเรียนได้อย่างไร? ไม่เพียงให้ท่านเชื่อในพระองค์เท่านั้น แต่ให้ทนทุกข์เพื่อพระองค์ด้วย เพราะท่านเองก็กําลังต่อสู้ ฝ่าฟันแบบเดียวกับที่ท่านได้เห็นข้าพเจ้าฝ่าฟันมาแล้ว และบัดนี้ท่านก็ได้ยินว่าข้าพเจ้ายังต่อสู้อยู่ 30
ถ่อมใจอย่างพระคริสต์
ในเมื่อท่านได้รับกําลังใจจากการเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ได้รับการปลอบโยนจากความรัก 2 ของพระองค์ ได้สามัคคีธรรมกับพระวิญญาณ ได้รับความอ่อนโยนและความสงสาร ก็จงทําให้ 2
ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีอย่างบริบูรณ์โดยมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีใจเดียวกัน และมีเป้าหมายเดียวกัน อย่าทําสิ่งใดด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างเห็นแก่ตัว หรือด้วยความถือดี แต่จงทําด้วยความถ่อมใจ ถือว่าคนอื่นดีกว่าตน แต่ละคนไม่ควรมุ่งหาประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่ควรคิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย ท่านควรมีท่าทีแบบเดียวกับพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพพระเจ้า แต่ไม่ได้ทรงยึดติดในความเท่าเทียมกับพระเจ้า พระองค์กลับทรงสละทุกสิ่ง มารับสภาพทาส บังเกิดเป็นมนุษย์ 3
4
5
6
7
ฟิลิปปี 2:3–4 เปาโลไม่อยากให้ชาวฟิลิปปีนั้นหยิ่งผยอง ท่านได้เตือนคริสเตียนในเมืองฟิลิปปีให้ ปฏิบัติต่อกันและกันดังนี้
• ถ่อมใจ (ข้อ 3) • ให้เกียรติคนอื่นมากกว่าตน - ถือว่าคนอื่นดีกว่าตน (ข้อ 3) • แต่ละคนไม่ควรมุ่งหาประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว - แต่ควรคิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย (ข้อ 4)
ให้น้อง ๆ ลองคิดดูว่าในวันนี้น้อง ๆ จะทําสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร 336 | ฟี ลป ิ ปี 1:30
ฟิลิปปี 2:5–11 พระเยซูนั้นทรงปกครองทั้งสวรรค์และแผ่นดินโลก และในวันหนึ่งทุก ๆ คนจะเข้ามา กราบนมัสการพระองค์ ให้น้อง ๆ ทําธงนมัสการ โดยลองใช้กระดาษที่ยาว (กระดาษ หนังสือพิมพ์หรือกระดาษสีน้ําตาล) จากนั้นให้ใช้สี, สีเทียน และปากกา ให้น้อง ๆ เปิดเพลงนมัสการพระเจ้า จากนั้นให้ลงมือเขียนหรือวาดอะไรก็ได้ลงบนธงนมัสการ เช่น คําอธิษฐาน ข้อพระคัมภีร์ พระนามของพระเยซู หรือคุณลักษณะของพระองค์ จากนั้นตกแต่งธงของน้อง ๆ ให้สวยงาม น้อง ๆ สามารถชูธงนี้ได้ในทุกครั้งที่น้อง ๆ นมัสการพระเยซู 8
9
10
11
และเมื่อทรงปรากฏเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง และยอมเชื่อฟังแม้ต้องตายบนไม้กางเขน! ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงเชิดชูพระองค์ขึ้นสู่ที่สูงสุด และประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงแก่พระองค์ เพื่อทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก และใต้แผ่นดินโลก จะคุกเข่าลงนมัสการพระนามของพระเยซู และทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าพระบิดา
ส่องสว่างดั่งดวงดาว
ฉะนั้นเพื่อนที่รักทั้งหลาย ในเมื่อท่านได้เชื่อฟังเสมอมา ไม่เพียงขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ด้วย แต่ยิ่ง เชื่อฟังมากขึ้นขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย ก็จงบากบั่นต่อไปด้วยความเกรงกลัวจนตัวสั่นจนกระทั่ง ความรอดของท่านบรรลุผล เพราะพระเจ้าคือผู้ทรงกระทํากิจภายในท่าน ให้ท่านตั้งใจและทํา ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์ จงทําทุกสิ่งโดยปราศจากการบ่นว่าหรือทุ่มเถียงกัน เพื่อท่านจะปราศจากตําหนิและบริสุทธิ์ 12
13
14
15
ฟิลิปปี 2:5 ให้น้อง ๆ ยืนเรียงกันเป็นวงกลม แล้วให้คนหนึ่งเป็นคนควบคุมวง จากนั้นให้คน ควบคุมวง เดินไปข้างหลังทุกคนแล้วร้องโน๊ตออกมาหนึ่งตัว เมื่อเพื่อนของน้องรับโน๊ต ไปแล้วอย่าลืมให้เพื่อนทวนซ้ําด้วย เมื่อทุก ๆ คนในวงได้รับโน๊ตแล้ว คนควบคุมวงจะ เดินไปรอบวง และดูว่าใครที่สามารถจําโน๊ตของพวกเขาได้ เปาโลกล่าวว่าพระเยซูก็ ทรงเป็นเหมือนกับคนควบคุมวง พระองค์บอกว่าเราต้องทําอะไรบ้าง และเราควรที่จะ ฟังพระองค์อย่างตั้งใจและทําตามพระองค์ เราควรรักพระองค์เนื่องจากพระองค์ทรง รักเรา เราควรให้อภัยคนอื่นเหมือนกับที่พระองค์ทรงให้อภัยเราด้วย ฟี ลป ิ ปี 2:15 | 337
ฟิลิปปี 3:13–14 น้อง ๆ เคยเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งแข่งหรือไม่? น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรเมื่อวิ่งเข้าใกล้เส้น ชัย? บางคนได้กล่าวว่าพวกเขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างยกเว้นแต่เส้นชัยที่ตั้งอยู่ข้างหน้า พวกเขา เปาโลกล่าวว่านี้คือการใช้ชีวิตของท่าน ข้าพเจ้ารุดหน้าไปสู่หลักชัยเพื่อคว้า รางวัล ซึ่งพระเจ้าได้ทรงเรียกข้าพเจ้าจากสวรรค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ให้ไปรับใน การแข่งขันนี้ เปาโลไม่ได้บอกว่าผู้ชนะนั้นคือคนแรกที่วิ่งเข้าสู่เส้นชัย แต่ผู้ชนะคือทุก คนที่สามารถวิ่งไปถึงหลักชัยของพระเยซู เป็นบุตรของพระเจ้าผู้ปราศจากข้อบกพร่องในยุคอันคดโกงและเสื่อมทราม ส่องสว่างท่ามกลาง พวกเขาดั่งดวงดาวในจักรวาล ขณะที่ท่านยึดมั่นในพระวจนะแห่งชีวิตเพื่อข้าพเจ้าจะอวดได้ใน วันแห่งพระคริสต์ว่าข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งหรือลงแรงโดยเปล่าประโยชน์ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้ากําลังถูกเทลง บนเครื่องบูชาและการรับใช้ที่มาจากความเชื่อของท่านดั่งเป็นเครื่องดื่มบูชา ข้าพเจ้าก็ยังดีใจและ ชื่นชมยินดีร่วมกับพวกท่านทั้งปวง ดังนั้นท่านเองก็ควรจะดีใจและชื่นชมยินดีร่วมกับข้าพเจ้า ด้วย 16
17
18
ทิโมธีกับเอปาโฟรดิทัส
ข้าพเจ้าคาดหวังในองค์พระเยซูเจ้าว่าอีกไม่นานจะส่งทิโมธีไปหาท่าน เพื่อข้าพเจ้าเองจะ ได้ชื่นใจเมื่อได้รับข่าวเกี่ยวกับท่าน ข้าพเจ้าไม่มีใครอื่นที่เหมือนทิโมธีผู้ซึ่งเอาใจใส่ทุกข์สุขของ ท่านอย่างแท้จริง เพราะทุกคนมุ่งหาประโยชน์ของตนเอง ไม่ได้คํานึงถึงพระเยซูคริสต์ แต่ ท่านทราบอยู่ว่าทิโมธีได้พิสูจน์ตนเองแล้วเพราะเขาได้ร่วมรับใช้กับข้าพเจ้าในการประกาศข่าว ประเสริฐเหมือนบุตรรับใช้บิดา ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงหวังจะส่งเขามาทันทีที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าจะลงเอยอย่างไร และข้าพเจ้ามั่นใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าข้าพเจ้าเองจะมาหา ท่านในไม่ช้า แต่ข้าพเจ้าคิดว่าจําเป็นต้องส่งเอปาโฟรดิทัสกลับมาหาท่าน เขาเป็นพี่น้อง เป็นเพื่อนร่วมงาน และเป็นเพื่อนทหารของข้าพเจ้า ทั้งยังเป็นผู้ที่พวกท่านส่งมาเพื่อปรนนิบัติข้าพเจ้าในยามขัดสน เนื่องจากเขาคิดถึงพวกท่านทั้งปวงมากและทุกข์ใจเพราะท่านได้ข่าวว่าเขาป่วย ที่จริงเขาป่วย หนักเกือบตาย แต่พระเจ้าทรงเมตตาเขา และไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่ยังทรงเมตตาข้าพเจ้าด้วย เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยิ่งรีบส่งเขามาเพื่อพวกท่านจะได้ดีใจที่เจอ เขาอีกและข้าพเจ้าเองจะได้คลายความกระวนกระวายใจ ขอให้ท่านต้อนรับเขาในองค์พระผู้เป็น เจ้าด้วยความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง และจงให้เกียรติคนเช่นนี้ เพราะเขาเกือบตายเพื่องานของพระ คริสต์ เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือข้าพเจ้าในสิ่งที่ท่านไม่สามารถทําได้ 19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
อย่ามั่นใจในเนื้อหนัง
้พี่น้องทั้งหลาย จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า! ไม่ลําบากสําหรับข้าพเจ้าเลยที่จะ 3 เขีสุดยท้นเรืายนี่องเดี ยวกันถึงท่านอีก ทั้งสิ่งนี้ยังเป็นการป้องกันท่านด้วย จงระวังพวกสุนัข จงระวัง 2
พวกคนทําชั่ว จงระวังพวกเชือดเนื้อเถือหนัง เพราะว่าพวกเราคือผู้เข้าสุหนัตแท้ เรารับใช้พระเจ้า ด้วยพระวิญญาณของพระองค์ เราอวดอ้างพระเยซูคริสต์ และเราไม่มั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย แม้ ข้าพเจ้ามีเหตุผลหลายประการที่มั่นใจเช่นนั้น ถ้าคนใดคิดว่าเขามีเหตุผลที่จะมั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย ข้าพเจ้าก็มีมากยิ่งกว่าคือ ข้าพเจ้า 3
4
5
338 | ฟี ลป ิ ปี 2:16
เกิดมาได้แปดวันก็เข้าสุหนัต ข้าพเจ้าเป็นคนอิสราเอลตระกูลเบนยามิน เป็นชาวฮีบรูแท้ ในด้าน บทบัญญัติข้าพเจ้าเป็นฟาริสี ในด้านความเคร่งศาสนาข้าพเจ้าเคยข่มเหงคริสตจักร ในด้านความ ชอบธรรมตามบทบัญญัติข้าพเจ้าก็ไม่มีที่ติ แต่สิ่งใดๆ ที่เคยเป็นกําไรของข้าพเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าถือว่าขาดทุนเพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ยิ่งกว่า นั้นอีกข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งไร้ค่าเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ล้ําเลิศในการที่ได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์ พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพื่อพระองค์ข้าพเจ้าได้สละทุกสิ่ง ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเศษ ขยะเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ และอยู่ในพระองค์ ตัวข้าพเจ้าเองไม่มีความชอบธรรมที่ได้มา โดยบทบัญญัติ มีแต่ความชอบธรรมที่ได้มาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมา จากพระเจ้าและได้มาโดยความเชื่อ ข้าพเจ้าต้องการรู้จักพระคริสต์และมีประสบการณ์ในฤทธิ์ อํานาจแห่งการคืนพระชนม์ของพระองค์และร่วมสามัคคีธรรมในการทนทุกข์ของพระองค์ เป็น เหมือนพระองค์ในการสิ้นพระชนม์ เพื่อจะได้เป็นขึ้นจากตายโดยทางใดทางหนึ่ง 6
7
8
9
10
11
บากบั่นสู่หลักชัย
ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้ทั้งหมดนี้แล้วหรือได้รับการปรับปรุงให้เป็นคนดีพร้อมแล้ว แต่ข้าพเจ้ารุด หน้าไปเพื่อฉวยเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงตั้งไว้สําหรับข้าพเจ้าเมื่อทรงฉวยข้าพเจ้ามาเป็นของ พระองค์ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าตนเองฉวยสิ่งนี้มาได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทําอย่างหนึ่ง คือ ลืมสิ่งที่ผ่านมาและโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้ารุดหน้าไปสู่หลักชัยเพื่อคว้ารางวัลซึ่ง พระเจ้าได้ทรงเรียกข้าพเจ้าจากสวรรค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ให้ไปรับ พวกเราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วควรมีทัศนะเช่นนี้ และถ้าท่านคิดเห็นแตกต่างไปในบาง ประเด็น พระเจ้าจะทรงให้ท่านเข้าใจเรื่องนั้นอย่างแจ่มแจ้งด้วย ขอแต่เพียงให้เราดําเนินชีวิตให้ สมกับสิ่งที่เราได้รับมาแล้ว พี่น้องทั้งหลายจงร่วมกันทําตามแบบอย่างของข้าพเจ้าและเลียนแบบผู้ที่ดําเนินชีวิตตาม แบบอย่างที่เราได้ให้ท่านไว้ เพราะว่าดังที่ข้าพเจ้าเคยพร่ําเตือนท่านและบัดนี้ก็เตือนอีกด้วย น้ําตาว่า มีหลายคนที่ใช้ชีวิตอย่างเป็นศัตรูต่อไม้กางเขนของพระคริสต์ ปลายทางของพวกเขา คือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขาภูมิใจในสิ่งที่ควรอับอาย ปักใจอยู่แต่กับสิ่งฝ่ายโลก แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์คือองค์พระเยซูคริสต์ เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ําต้อยของเราให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของ พระองค์โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อํานาจของพระองค์ ้นพี่น้องทั้งหลายผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักและอาลัยหา ผู้เป็นความชื่นชมยินดีและเป็นมงกุฎของ 4 ข้ฉะนั าพเจ้า เพื่อนที่รัก ท่านควรจะยืนหยัดมั่นคงในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างนั้น! 12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
ฟิลิปปี 4:4 มีบางคนเคยกล่าวว่า เราจะรู้สึกดีขึ้นเสมอเมื่อเราเล่นหรือฟังดนตรี เมื่อไรก็ตามที่น้อง ๆ มีความชื่นชมยินดี น้อง ๆ อาจจะอยากร้องเพลงไปด้วย น้อง ๆ ร้องเพลงตอนที่มีความสุขหรือไม่? มันเป็นนิสัยที่ดีมาก! น้อง ๆ ควรร้องเพลงบ่อย ๆ เพราะว่ามันเป็นการแสดงถึงความชื่นชมยินดี เมื่อไร ก็ตามที่น้อง ๆ รู้สึกเศร้าใจ การร้องเพลงก็สามารถทําให้น้องรู้สึกดีขึ้นได้เหมือนกัน ฟี ลป ิ ปี 4:1 | 339
ฟิลิปปี 4:8 เราต้องระมัดระวังที่จะไม่เติมเต็มความคิดของเราถึงสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ความคิดไม่เป็นประโยชน์เหล่านี้มาจากไหน? ทําไมการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่เป็น ประโยชน์จึงเป็นสิ่งที่ไม่ดี? เปาโลบอกให้เราคิดถึงแต่สิ่งที่ดี ให้น้อง ๆ ส่งกระดาษให้ เพื่อนแต่ละคน แล้วจับกลุ่ม ๆ ละ 3 คน ให้แต่ละคนในกลุ่มเขียนถึงสิ่งที่ดีเกี่ยวกับ เพื่อนในกลุ่มลงบนกระดาษของตัวเอง จากนั้นให้เอาไปยื่นให้กับเพื่อนคนนั้น แล้วให้ ทุกคนอ่านออกมาดัง ๆ น้อง ๆ ควรเติมความคิดของน้อง ๆ ด้วยสิ่งที่ดี ตักเตือน
ข้าพเจ้าขอวิงวอนนางยูโอเดียและนางสินทิเคให้ปรองดองกันในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้า ขอร้องท่านผู้เป็นเพื่อนร่วมแบกภาระที่สัตย์ซื่อของข้าพเจ้าให้ช่วยหญิงเหล่านี้ผู้ร่วมฝ่าฟันเพื่อข่าว ประเสริฐเคียงข้างข้าพเจ้า พร้อมทั้งเคลเมนท์กับเพื่อนร่วมงานอื่นๆ ของข้าพเจ้า คนเหล่านี้มีชื่อ อยู่ในหนังสือแห่งชีวิตแล้ว จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ําอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด! ให้ความ สุภาพอ่อนโยนของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่า กระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจ ของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศหรือสิ่งที่ควรสรรเสริญคือ สิ่งที่จริง สิ่งที่ น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง ทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้ ได้รับ ได้ยิน จากข้าพเจ้า หรือได้เห็นจากข้าพเจ้า จงนําไปปฏิบัติและพระเจ้าแห่งสันติสุขจะสถิตกับท่าน 2
3
4
5
6
7
8
9
ขอบคุณสําหรับของฝากจากพี่น้องชาวฟีลิปปี
ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้ายิ่งนักเนื่องจากในที่สุดพวกท่านก็กลับมาห่วงใย ข้าพเจ้าอีกครั้ง อันที่จริงท่านห่วงใยข้าพเจ้ามาตลอด แต่ไม่มีโอกาสที่จะแสดงออก ข้าพเจ้าพูด 10
11
ฟิลิปปี 4:8 ให้น้อง ๆ ลองวาดรูปหัวคนที่มีสมองอยู่ในนั้น เขียนทุกอย่างที่น้อง ๆ ควรจะนึกถึงลง ไปบนสมองนั้น (ให้ดูที่ข้อ 8) และเขียนข้อพระคัมภีร์ฟิลิปปี 4:8 ไว้ใต้รูปนี้ ระบายสีรูปนี้ด้วยสีสดใสแล้วนําไปติดไว้ที่บนผนัง สิ่งนี้จะช่วยย้ําเตือนว่าน้อง ๆ เรา ควรคิดถึงสิ่งใดบ้าง 340 | ฟี ลป ิ ปี 4:2
ฟิลิปปี 4:10–20 พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อเราดูแลซึ่งกันและกัน ให้น้อง ๆ และคุณพ่อคุณแม่ หรือ เพื่อน ๆ ทํางานด้วยกันเป็นกลุ่ม ลองดูสิว่าคริสตจักรของเรามีโครงการอะไรบ้าง และเราสามารถช่วยเหลือคริสตจักรได้อย่างไร ไม่แน่นะว่าน้อง ๆ อาจสามารถช่วย จัดเตรียมซุป อบขนม หรือรวบรวมอาหารสําหรับนําไปบริจาค บางทีน้อง ๆ อาจจะ ไปช่วยเล่นกับเด็ก ๆ ที่สถานรับเลี้ยงเด็กหรือศูนย์รับเลี้ยงเด็กได้ หรือไม่ก็ลองเขียน จดหมายถึงลูก ๆ ของมิชชันนารี น้อง ๆ สามารถทําสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย อย่างนี้ไม่ใช่เพราะกําลังขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมีไม่ว่าสภาพการณ์จะ เป็นเช่นไร ข้าพเจ้ารู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร และรู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร ข้าพเจ้า รู้จักเคล็ดลับที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมีในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะอิ่มหนําหรือหิวโหย มั่งมีหรือขัดสน ข้าพเจ้าทําทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ประทานกําลังแก่ข้าพเจ้า กระนั้นก็เป็นความกรุณาของท่านที่ได้แบ่งปันให้ในยามที่ข้าพเจ้าเดือดร้อน ยิ่งกว่านั้น ตามที่พวกท่านชาวฟีลิปปีทราบอยู่ว่า ในตอนที่ท่านเพิ่งรู้จักข่าวประเสริฐ เมื่อข้าพเจ้าออก เดินทางต่อจากแคว้นมาซิโดเนีย ไม่มีคริสตจักรไหนมีส่วนร่วมในรายรับรายจ่ายของข้าพเจ้า เลย มีแต่พวกท่านเท่านั้น แม้เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเมืองเธสะโลนิกา ท่านก็ยังส่งความช่วยเหลือ มาให้ข้าพเจ้าในยามขัดสนครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าอยากได้ของกํานัล แต่ข้าพเจ้า อยากให้ตัวเลขในบัญชีของท่านเพิ่มขึ้น ข้าพเจ้าได้รับครบถ้วน ที่จริงได้มากเกินพอเสียด้วย ซ้ํา บัดนี้ข้าพเจ้าได้รับของที่ท่านฝากมากับเอปาโฟรดิทัสแล้ว พวกท่านจัดหาให้ข้าพเจ้าอย่าง เหลือเฟือ สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายอันหอมหวล เป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงรับและพอพระทัย และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งที่จําเป็นทุกอย่างแก่ท่านจากความมั่งคั่งอันเลอเลิศของ พระองค์ในพระเยซูคริสต์ ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระเจ้าพระบิดาของเราสืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน 12
13
14
15
16
17
18
19
20
คําลงท้าย
ข้าพเจ้าขอฝากความคิดถึงมายังประชากรทุกคนของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ บรรดาพี่น้องที่ อยู่กับข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงมายังท่าน ประชากรทุกคนของพระเจ้าโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในราช สํานักของซีซาร์ ฝากความคิดถึงมายังพวกท่านด้วย ขอพระคุณองค์พระเยซูคริสต์เจ้าดํารงอยู่กับวิญญาณจิตของท่านทั้งหลายเถิด อาเมน 21
22
23
ฟี ลป ิ ปี 4:23 | 341
จดหมายของเปาโลถึง คริสตจักรในเมืองโคโลสี น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● เมืองโคโลสีอยู่ในเอเชียไมเนอร์ (ปัจจุบันคือประเทศตุรกี) และอยู่ห่างจากเมือง
เอเฟซัสไปทางตะวันออกประมาณ 160 กิโลเมตร ● เมื่อเปาโลอยู่ในเมืองเอเฟซัส มีผู้คนมากมายเดินทางมาจากแดนไกลเพื่อมาฟังท่าน บรรยาย หนึ่งในนั้นคือเอปาฟรัส ผู้อาศัยอยู่ในเมืองโคโลสี ● เอปาฟรัสตัดสินใจเชื่อพระเจ้าและได้ก่อตั้งคริสตจักรในเมืองโคโลสี ● เปาโลไม่เคยไปที่เมืองโคโลสีมาก่อน (โคโลสี 2:1) ● ไทคิคัสและโอเนซิมุสน่าอาจเป็นผู้นําจดหมายของเปาโลไปส่งที่เมืองโคโลสี (โคโลสี 4:7–9)
ทําไมเปาโลถึงเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงชาวโคโลสี?
● เอปาฟรัสได้ไปเยี่ยมเปาโลในคุกที่กรุงโรม ● เขาได้รายงานเปาโลว่า มีบางคนในเมืองโคโลสีที่กล่าวเทียมเท็จในเรื่องของพระเยซู ● พวกเขาสอนว่า หากเราต้องการที่จะเป็นคริสเตียน เราต้องเชื่อฟังและทําตาม
บัญญัติหลายประการ พวกเขายังกล่าวอีกว่าบรรดาทูตสวรรค์นั้นมีความสําคัญ มากกว่าพระเยซู ● เปาโลเขียนจดหมายถึงชาวโคโลสีเพื่อบอกว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์ ทรงสร้างจักรวาลนี้ร่วมกับพระเจ้า และพระเจ้าทรงช่วยกู้ทุกคนผ่านทางพระเยซู (โคโลสี 4:15–20) ● พระเยซูทรงเป็นผู้ปกครองจักรวาล พระองค์มีฐานะสูงกว่าบรรดาทูตสวรรค์และ มนุษย์ ● เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราต้องใช้ชีวิตเหมือนอย่างที่พระเยซูใช้เวลาที่ พระองค์ทรงอยู่บนโลก (โคโลสี 3:1–25)
ลองอ่านพระวจนะเหล่านี้ดูสิ!
● พระบัญญัติของพระเยซู (โคโลสี 1:15–23) ● การดําเนินชีวิตอย่างพระคริสต์ (โคโลสี 3:5–17)
342
โคโลสี
จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นอัครทูตของ 1 พระเยซู คริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้ากับ
ทิโมธีน้องของเรา ถึงประชากรของพระเจ้าที่เมืองโคโลสีผู้เป็นพี่น้องที่ สัตย์ซื่อในพระคริสต์ ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา มีแก่ท่านทั้งหลาย 2
โคโลสี
เปาโลบอกสิ่งที่สําคัญมากใน จดหมายสั้น ๆ ฉบับนี้ พระเยซูทรง เป็นพระเจ้า! พระองค์เท่านั้นที่ทรง ช่วยกู้เราได้ ท่านยังบอกชาวโคโลสี อีกว่า จงรักซึ่งกันและกัน
ขอบพระคุณและทูลขอ
เราขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสมอเมื่ออธิษฐานเผื่อท่าน เพราะเราได้ยินถึงความเชื่อของท่านในพระเยซูคริสต์และความรักที่ท่านมีต่อประชากรทั้งปวง ของพระเจ้า คือความเชื่อและความรักอันเกิดจากความหวังซึ่งสะสมไว้สําหรับท่านในสวรรค์ และ ซึ่งท่านได้ยินมาแล้วในถ้อยคําแห่งความจริงคือข่าวประเสริฐ ซึ่งมาถึงท่าน ข่าวประเสริฐนี้กําลัง เกิดผลและเจริญขึ้นทั่วโลก เหมือนที่กําลังเป็นอยู่ท่ามกลางพวกท่านตั้งแต่วันที่ท่านได้ยินข่าว ประเสริฐและเข้าใจพระคุณของพระเจ้าตามความจริงทั้งสิ้นที่อยู่ในข่าวประเสริฐนี้ ท่านได้เรียน รู้ข่าวประเสริฐจากเอปาฟรัสเพื่อนร่วมรับใช้ที่รักของเรา ผู้ปรนนิบัติพระคริสต์อย่างสัตย์ซื่อเพื่อ พวกเรา และเขายังเล่าถึงความรักของท่านในพระวิญญาณให้เราฟัง ด้วยเหตุนี้นับตั้งแต่วันที่เราได้ยินเรื่องราวของพวกท่าน เราก็อธิษฐานเผื่อท่านตลอดมาไม่เคย หยุด ขอพระเจ้าทรงให้ท่านเปี่ยมด้วยความรู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์โดยทางสติปัญญาและ ความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณทั้งปวง เพื่อท่านจะได้ดําเนินชีวิตอย่างสมกับที่เป็นคนขององค์พระ ผู้เป็นเจ้า และจะได้เป็นที่พอพระทัยในทุกด้าน คือ เกิดผลในการดีทุกอย่าง รู้จักพระเจ้าดียิ่งขึ้น ได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งขึ้นด้วยฤทธิ์อํานาจทั้งมวลตามฤทธานุภาพอันทรงเกียรติสิริของ พระองค์ เพื่อท่านจะทรหดอดทนอย่างยิ่งและมีความชื่นชมยินดี ในการขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทําให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้าในอาณาจักรแห่ง ความสว่าง เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนําเราเข้า มาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ ในพระบุตรนี้เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษ บาปของเรา 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
พระคริสต์ผู้สูงสุด
พระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้าผู้ที่เราไม่อาจมองเห็นได้ เป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่ง ที่ทรงสร้าง เพราะโดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่ มองเห็นได้และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ หรือ เทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอํานาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ ทรงดํารงอยู่ ก่อนทุกสิง่ และในพระองค์ทกุ สิง่ ประสานเข้าด้วยกัน พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกายคือคริสตจักร ทรงเป็นจุดเริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัยที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ในพระบุตร และให้ทุก สิ่งทั้งบนแผ่นดินโลกและในสวรรค์กลับคืนดีกับพระองค์ผ่านทางพระบุตร สันติภาพนี้มีขึ้นโดย พระโลหิต 15
16
17
18
19
20
ของพระบุตรซึ่งหลั่งรินที่กางเขน
ครั้งหนึ่งพวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้าและเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจเพราะพฤติการณ์ ชั่วของท่าน แต่บัดนี้ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวาย ท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตําหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหาต่อหน้าพระองค์ ทั้งนี้ท่านเองต้อง 21
22
23
344 | โคโลสี 1:1
โคโลสี 1:15–20 พระเยซูทรงเป็นเหมือนพระเจ้า ทรงเป็นเหมือนพระฉายของพระเจ้า ถ้าน้อง ๆ อยาก รู้จักพระเจ้ามากขึ้น น้อง ๆ ต้องดูที่พระเยซู ในโคโลสี 3:10 เปาโลกล่าวว่าคริสเตียน นั้นเหมือนกับพระเยซู ตัวเรานั้นเป็นภาพสะท้อนว่าพระเยซูทรงเป็นอย่างไร ให้น้อง ๆ ลองเขียนลงบนกระดาษว่า “พระเยซูทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า” และเขียนพระ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ลงไปด้วย หลังจากน้อง ๆ ได้อ่านพระคัมภีร์ในตอนนี้ จาก นั้น ให้น้อง ๆ ลองเขียนด้านหลังของกระดาษแผ่นนี้ว่า “คริสเตียนเป็นเหมือนพระ เยซู” แล้วติดรูปของน้อง ๆ ลงไปบนกระดาษ ดําเนินต่อไปในความเชื่อของท่าน ตั้งมั่นและหนักแน่นมั่นคง ไม่คลอนแคลนจากความหวังซึ่งมี อยู่ในข่าวประเสริฐ นี่คือข่าวประเสริฐที่ท่านได้ยินและได้ประกาศแก่ทุกชีวิตใต้ฟ้าสวรรค์ และ ข้าพเจ้าเปาโลเป็นผู้รับใช้ของข่าวประเสริฐนี้ เปาโลบากบั่นเพื่อคริสตจักร
บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งชื่นชมยินดีในสิ่งที่ได้ทนทุกข์เพื่อพวกท่าน และข้าพเจ้ากําลังเติมการทนทุกข์ ของพระคริสต์ที่ยังขาดอยู่ให้เต็มในร่างกายข้าพเจ้า เพื่อเห็นแก่พระกายของพระองค์คือคริสตจักร ข้าพเจ้ามาเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักรตามภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้าทําในหมู่ พวกท่านคือการให้พระวจนะของพระเจ้าประจักษ์แจ้งอย่างสมบูรณ์ พระวจนะนี้คือข้อล้ําลึก ซึ่งถูกปิดบังไว้ตลอดหลายยุคหลายชั่วอายุ แต่บัดนี้ทรงสําแดงแก่ประชากรของพระเจ้า สําหรับ พวกเขา พระเจ้าได้ทรงประสงค์ที่จะสําแดงความมั่งคั่งอันทรงเกียรติสิริของข้อล้ําลึกนี้ในหมู่คน ต่างชาติ คือพระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลายซึ่งเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เราประกาศพระองค์ เราตักเตือนสั่งสอนทุกคนด้วยสติปัญญาทั้งสิ้นเพื่อจะถวายทุกคนให้เป็น ผู้ที่ดีพร้อมในพระคริสต์ เพื่อจุดหมายนี้ข้าพเจ้าจึงบากบั่นฝ่าฟันด้วยเรี่ยวแรงกําลังทั้งสิ้นของ พระองค์ซึ่งกําลังทํากิจอย่างเข้มแข็งในข้าพเจ้า าอยากให้ท่านทราบว่าข้าพเจ้ากําลังต่อสู้ดิ้นรนขนาดไหนเพื่อท่าน เพื่อพวกพี่น้องที่ 2 เมืข้าอพเจ้ งเลาดีเซียและเพื่อคนทั้งปวงที่ยังไม่เคยพบหน้าข้าพเจ้าเลย จุดมุ่งหมายของข้าพเจ้าก็คือ 24
25
26
27
28
29
2
โคโลสี 1:26–27 น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรเมื่อมีคนมาบอกความลับกับน้อง ๆ? ให้เลือกสีแทนความรู้สึก ของน้อง ๆ พระเจ้าทรงรักษาความลับไว้เป็นเวลานาน แต่เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระเจ้า ทรงได้บอกเรือ่ งเหล่านีแ้ ก่สาวกของพระเยซู น้อง ๆ สามารถหาความลับนีใ้ นข้อ 26–27 ได้หรือไม่? นี่คือความลับของพระเจ้า พระเยซูทรงอยู่ภายในเรา ลองปิดตาและ คิดถึงความลับนี้ น้อง ๆ รู้สึกอย่างไร? ให้เขียนบันทึกความรู้สึกของน้อง ๆ โคโลสี 2:2 | 345
ให้กําลังใจพวกเขา ให้พวกเขาประสานรวมกันด้วยความรักและด้วยความเชื่อมั่นอันเต็มเปี่ยมซึ่ง เกิดจากความเข้าใจที่แท้จริง เพื่อว่าพวกเขาจะได้รู้ถึงความล้ําลึกของพระเจ้า คือพระคริสต์ ซึ่ง คลังสติปัญญาและความรู้ทั้งมวลซ่อนอยู่ในพระองค์ ข้าพเจ้าบอกอย่างนี้เพื่อไม่ให้ใครมาล่อลวง ท่านด้วยถ้อยคําที่ฟังน่าเชื่อถือ เพราะถึงแม้ตัวข้าพเจ้าไม่อยู่กับท่านแต่ใจก็อยู่กับท่าน และดีใจที่ เห็นว่าท่านอยู่กันอย่างเรียบร้อยและเชื่อมั่นคงในพระคริสต์ 3
4
5
ความบริบูรณ์ในพระคริสต์
ดังนั้นในเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็จงดําเนินชีวิตในพระองค์ต่อ ไป ด้วยการหยั่งรากและรับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ มั่นคงขึ้นในความเชื่อตามที่ได้รับการ สอนมาและเต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ จงระวังให้ดีอย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาสด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ซึ่งอาศัย ธรรมเนียมปฏิบัติที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมาและหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ แทนที่จะอาศัยพระ คริสต์ เพราะในพระคริสต์พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้าดํารงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของ พระองค์ และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ผู้ทรงเป็นศีรษะเหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ทรงอํานาจทั้งสิ้น ในพระองค์ท่านยังได้เข้าสุหนัตคือการสลัดวิสัยบาปทิ้ง เป็นสุหนัต ที่ไม่ได้ทําด้วยมือมนุษย์แต่ทําโดยพระคริสต์ ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา และทรง ให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ผ่านทางความเชื่อของท่านในฤทธิ์อํานาจของพระเจ้าผู้ทรงให้ พระองค์เป็นขึ้นจากตาย เมื่อท่านตายแล้วในบาปของท่านและในวิสัยบาปของท่านซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต พระเจ้าได้ทรง ให้ท่านมีชีวิตด้วยกันกับพระคริสต์ พระองค์ทรงอภัยโทษบาปทั้งสิ้นของเรา ทรงยกเลิกหนังสือ สัญญาที่ผูกมัดเราด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งขัดขวางและต่อต้านเรา พระองค์ทรงเอาหนังสือนี้ออกไป ตรึงที่กางเขน และทรงปลดเทพผู้ทรงเดชานุภาพและเทพผู้ทรงอํานาจต่างๆ ลง พระองค์ได้ทรง ประจานและพิชิตพวกนี้โดยกางเขนนั้น เพราะฉะนั้นอย่าให้ใครมาตัดสินท่านจากสิ่งที่ท่านกินหรือดื่มหรือเกี่ยวกับเทศกาลทาง ศาสนา ไม่ว่าวันฉลองขึ้นหนึ่งค่ําหรือวันสะบาโต สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของสิ่งที่จะมาภายหลัง ส่วนความจริงแท้พบอยู่ในพระคริสต์ อย่าให้ใครที่ชื่นชอบการแสร้งถ่อมตัวและการกราบไหว้ ทูตสวรรค์มาทําให้ท่านหมดสิทธิ์รับรางวัล คนเช่นนี้เพ้อพล่ามถึงสิ่งที่ตนเห็น ผยองขึ้นด้วยความ คิดไร้สาระตามจิตใจฝ่ายเนื้อหนัง เป็นเหมือนร่างกายที่ไม่ได้ยึดติดกับองค์ผู้ทรงเป็นศีรษะซึ่ง 6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
โคโลสี 2:14 น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรเมื่อมีคนเป็นหนี้ก้อนใหญ่กับน้อง ๆ และพวกเขาไม่สามารถที่จะ จ่ายคืนได้? พระเยซูทรงกล่าวว่า ความบาปของเรานั้นเหมือนหนี้ที่เราติดค้างไว้กับพระเจ้า เรามี หนี้ก้อนใหญ่มากจนเราไม่สามารถจ่ายคืนได้ แต่พระเยซูทรงกล่าวว่า “เมื่อเราถูกตรึง บนไม้กางเขน เราได้จ่ายหนี้ทั้งหมดของเจ้าแล้ว พวกเจ้าจะไม่ติดหนี้ใครอีก” น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรกับข้อความนี้? 346 | โคโลสี 2:3
โคโลสี 3:1–4 ต้นไม้ พบว่าในสมองของมนุษย์มีเซลล์อยู่ถึง 90 พันล้านเซลล์ ถ้าน้อง ๆ สามารถ สร้างเซลล์หนึ่งได้ภายในหนึ่งวินาที น้อง ๆ ต้องใช้เวลาถึง 32 ปีในการสร้างเซลล์ 1 พันล้านเซลล์ และน้อง ๆ ต้องใช้เวลาถึงหลายพันปีในการสร้างเซลล์ 90 พันล้านเซลล์ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีเซลล์สมองกว่าพันล้านเซลล์ในระยะเวลาเพียง 9 เดือน เปาโลกล่าวว่าเราควรใช้สมองอันแสนอัศจรรย์นี้เพื่อนึกถึงพระเจ้าและสิ่งต่าง ๆ บน สวรรค์ บํารุงเลี้ยงและประสานทั้งร่างกายไว้ด้วยข้อและเอ็นต่างๆ และให้ร่างกายนี้เจริญเติบโตขึ้นตามที่ พระเจ้าทรงให้เติบโต ในเมื่อท่านตายกับพระคริสต์ พ้นจากหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ ทําไมยังยอมอยู่ใต้กฎ ต่างๆ ราวกับว่าท่านยังเป็นของโลก เช่นกฎที่ว่า “ห้ามหยิบ! ห้ามชิม! ห้ามแตะต้อง!” สิ่งทั้ง ปวงเหล่านี้ถูกกําหนดให้เสื่อมสูญไปเมื่อใช้มัน เพราะตั้งอยู่บนคําสั่งและคําสอนของมนุษย์ ที่จริง กฎเกณฑ์พวกนี้ดูเหมือนมีปัญญา พวกเขานมัสการตามแนวที่กําหนดขึ้นเอง เสแสร้งถ่อมตัวและ ทรมานร่างกายของตน แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อการควบคุมกิเลสตัณหาเลย 20
21
22
23
การดําเนินชีวิตอันบริสุทธิ์
ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้อง 3 บนที ่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่ 2
กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระ คริสต์ในพระเจ้า เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับ พระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย เหตุฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยของท่านคือ การผิดศีลธรรมทางเพศ ความโสมม ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่วและความโลภ ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้พระพิโรธของ พระเจ้ากําลังจะมาถึง ครั้งหนึ่งท่านเคยดําเนินชีวิตในทางเหล่านี้ แต่บัดนี้ท่านจงกําจัดสิ่งทั้งปวง 3
4
5
6
7
8
โคโลสี 3:8–14 ให้น้อง ๆ เขียนรายชื่อของสิ่งที่เราไม่ควรทํา (ข้อ 8–9) จากนั้นให้เขียนรายชื่อของสิ่ง ที่เราต้องทําในฐานะที่เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก (ข้อ 12–14) เราไม่สามารถหยุดทําในสิ่งที่ไม่ดีได้ทั้งหมด หรือทําแต่สิ่งที่ดีตลอดเวลา แต่เราจะทํา ในสิ่งที่ไม่ดีน้อยลงและทําสิ่งที่ดีมากขึ้น เมื่อเราเติบโตไปกับพระเยซู ยิ่งเราเป็นเหมือน พระเยซูมากขึ้นเท่าไร เราก็จะอยากทําในสิ่งที่พระองค์ทรงพอพระทัยมากขึ้นเท่านั้น โคโลสี 3:8 | 347
โคโลสี 3:16 เปาโลกล่าวว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์นั้นควรอยู่ในใจเราเสมอ น้อง ๆ สามารถร้องเพลงเกี่ยวกับพระคริสต์เพื่อจดจําเรื่องราวเหล่านี้ ให้น้อง ๆ ลองร้องเพลงเพื่อขอบคุณพระเจ้า ร้องเพลงสรรเสริญ และเรียนรู้เพลงใหม่ ๆ อย่างเป็นประจํา จําไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีและสวยงามนั้นเป็นของพระเจ้า รวมไปถึงบทเพลงที่ไพเราะ งดงามด้วย ต่อไปนี้ให้หมดจากตัวท่านคือ ความโกรธ ความเกรี้ยวกราด การคิดปองร้าย การกล่าวร้าย และ วาจาหยาบช้าจากปากของท่าน อย่าโกหกกันในเมื่อท่านสลัดทิ้งตัวตนเก่าๆ พร้อมกับความ ประพฤติเดิมๆ แล้ว และสวมตัวตนใหม่ซง่ึ กําลังทรงสร้างขึน้ ใหม่ตามพระฉายขององค์พระผูส้ ร้าง ขณะที่ท่านเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น จึงไม่มีกรีกหรือยิว เข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัต คนชาติ อื่นๆ คนป่า ทาสหรือไท แต่พระคริสต์ทรงเป็นทุกสิ่งและทรงอยู่ในทุกคน ฉะนั้นในฐานะประชากรที่พระเจ้าทรงเลือก ผู้บริสุทธิ์และเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ จงสวม ความสงสาร ความกรุณา ความอ่อนโยน ความถ่อมสุภาพ และความอดทน จงอดทนอดกลั้นต่อ กันและกัน และไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกันก็จงยกโทษให้กัน ท่านจงยกโทษ ให้กันเหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยกโทษให้ท่าน และจงสวมความรักทับคุณความดีทั้งหมด นี้ ความรักผูกพันสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ จงให้สันติสุขของพระคริสต์ครองใจท่านเพราะพระเจ้าทรงเรียกท่านมาเป็นอวัยวะของกาย เดียวกัน เพื่อท่านจะได้รับสันติสุขนี้ และจงมีใจขอบพระคุณ จงให้พระวจนะของพระคริสต์เปี่ยม ล้นอยู่ในท่านขณะที่ท่านสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น และขณะที่ท่านร้องเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และบทเพลงฝ่ายวิญญาณด้วยใจกตัญญูต่อพระเจ้า และไม่ว่าท่านจะทําสิ่งใด จะ เป็นวาจาหรือการกระทําก็ตาม จงทําทุกสิ่งในพระนามขององค์พระเยซูเจ้า ขอบพระคุณพระเจ้า พระบิดาโดยทางพระเยซู 9
10
11
12
13
14
15
16
17
กฎเกณฑ์สําหรับครอบครัวคริสเตียน
ภรรยาทั้งหลายจงยอมเชื่อฟังสามีของท่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะสมในองค์พระผู้เป็นเจ้า สามีทั้งหลายจงรักภรรยาของท่านและอย่ารุนแรงต่อนาง บุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของท่านทุกอย่าง เพราะสิ่งนี้ทําให้องค์พระผู้เป็นเจ้าพอ พระทัย บิดาทั้งหลายอย่าทําให้บุตรของท่านขมขื่นใจ มิฉะนั้นพวกเขาจะท้อใจ ทาสทั้งหลายจงเชื่อฟังเจ้านายฝ่ายโลกของท่านทุกอย่าง และจงทําอย่างนี้ไม่ใช่เพียงต่อหน้า หรือเพื่อประจบเอาใจ แต่ด้วยใจจริงและด้วยความยําเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าท่านทั้งหลาย จะทําสิ่งใดจงทุ่มเททําอย่างสุดใจเหมือนทําเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อมนุษย์ เพราะท่านรู้ ว่าท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นรางวัล องค์พระคริสต์เจ้านี่แหละคือผู้ที่ท่านกําลัง รับใช้อยู่ ผู้ใดทําผิดก็จะได้รับผลตอบสนองตามความผิดและไม่มีการลําเอียงเข้าข้างใครเลย นายทั้งหลายจงปฏิบัติต่อทาสของท่านอย่างถูกต้องและยุติธรรม เพราะท่านรู้อยู่ว่าท่านก็มี 4 เจ้เจ้าานายองค์ หนึ่งในสวรรค์เช่นกัน 18 19 20
21 22
23
24
25
348 | โคโลสี 3:9
คําสอนเพิ่มเติม
จงอุทิศตนในการอธิษฐาน จงเฝ้าระวังและมีใจขอบพระคุณ และอธิษฐานเผื่อเราด้วย ขอให้ พระเจ้าทรงเปิดประตูให้เรื่องราวที่เราเผยแพร่ เพื่อเราจะได้ประกาศข้อล้ําลึกแห่งพระคริสต์ ที่ ข้าพเจ้าถูกจองจําอยู่ก็เนื่องด้วยข้อล้ําลึกนี้ โปรดอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าจะได้ประกาศเรื่องราวอย่าง แจ่มชัดตามที่ควร จงปฏิบัติต่อคนภายนอกอย่างเฉลียวฉลาด จงใช้ทุกโอกาสให้เป็นประโยชน์ ที่สุด จงให้คําสนทนาของท่านเปี่ยมด้วยพระคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะรู้ว่าควร ตอบทุกคนอย่างไร 2
3
4
5
6
คําลงท้าย
ทีคิกัสจะแจ้งข่าวทุกอย่างเกี่ยวกับข้าพเจ้าแก่ท่าน เขาเป็นน้องที่รัก เป็นผู้ปรนนิบัติที่สัตย์ซื่อ และเป็นเพื่อนร่วมรับใช้ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ากําลังจะส่งเขามาหาท่าน เพื่อท่านจะได้ ทราบถึงสถานการณ์ของเรา และเพื่อเขาจะให้กําลังใจท่านทั้งหลาย เขาจะมาพร้อมกับโอเนสิมัส น้องที่รักและสัตย์ซื่อของเราซึ่งเป็นคนหนึ่งในพวกท่าน คนทั้งสองจะเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ให้ ท่านฟัง อาริสทารคัสเพื่อนนักโทษของข้าพเจ้าและมาระโกลูกพี่ลูกน้องของบารนาบัส ขอฝาก ความคิดถึงมายังท่าน (ข้าพเจ้าเคยกําชับท่านไว้ว่าให้ต้อนรับมาระโกถ้าเขามาหาท่าน) เยซู ซึ่งมีอีกชื่อว่ายุสทัสฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย มีเพียงสามคนนี้ที่เป็นยิวในหมู่เพื่อนร่วมงาน ของข้าพเจ้าเพื่ออาณาจักรของพระเจ้า และพวกเขาได้ปลอบใจข้าพเจ้ามาก เอปาฟรัสผู้เป็น คนหนึ่งในพวกท่านและเป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ฝากความคิดถึงมายังท่าน เขาได้ปล้ําสู้ อธิษฐานเพื่อท่านเสมอ เพื่อท่านจะยืนหยัดมั่นคงในพระประสงค์ทั้งสิ้นของพระเจ้า เป็นผู้ใหญ่ และมั่นใจเต็มที่ ข้าพเจ้ารับรองได้ว่าเขาตรากตรําทํางานหนักเพื่อพวกท่าน และเพื่อคนทั้ง หลายที่เมืองเลาดีเซียและเมืองฮีเอราโปลิส นายแพทย์ลูกาเพื่อนที่รักของเรากับเดมาสฝาก ความคิดถึงมายังท่าน ข้าพเจ้าขอฝากความคิดถึงไปยังพี่น้องทั้งหลายที่เมืองเลาดีเซีย รวมถึงนางนุมฟากับคริสตจักร ในบ้านของนาง หลังจากอ่านจดหมายนี้แล้วช่วยดูแลให้เขาอ่านจดหมายนี้ในคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซียด้วย และขณะเดียวกันให้ท่านรับจดหมายจากเมืองเลาดีเซียมาอ่านเช่นกัน ฝากบอกอารคิปปัสว่า “ท่านจงทํางานที่ได้รับมอบหมายในองค์พระผู้เป็นเจ้าให้สําเร็จ” ข้าพเจ้าเปาโลเขียนคําแสดงความคิดถึงนี้ด้วยมือของข้าพเจ้าเอง โปรดระลึกถึงโซ่ตรวนของ ข้าพเจ้า ขอพระคุณดํารงอยู่กับท่านทั้งหลาย 7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17 18
โคโลสี 4:6 เปาโลกล่าวว่าคําพูดของเรานั้นควรเป็นเหมือนในเวลาที่เราพูดกับคนอื่นถึงเรื่องราว ของพระเยซู เปาโลกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไร? ในจดหมายต้นฉบับนั้น (ซึ่งถูกเขียนเป็นภาษากรีก) เปาโลได้กล่าวว่า เราควรปรุงคําพูดของเราด้วยเกลือเพื่อให้มีรสชาติ ทําไมเราจึงใส่ เกลือลงไปในอาหาร? คําพูดของเราจะเป็นอย่างไรเมื่อเราปรุงด้วยเกลือให้มีรสชาติ? โคโลสี 4:18 | 349
จดหมายของเปาโลถึง คริสตจักรในเมือง เธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● เมืองเธสะโลนิกาเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิหนึ่งของโรมันที่เรียกว่ามาซิโดเนีย
(ปัจจุบันคือประเทศกรีซ) ● เป็นเมืองติดทะเลหรือเมืองท่าที่ใช้จอดเรือ ● มีประชากรประมาณ 200,000 คน ● เปาโลเคยเยี่ยมเยียนที่นั้นเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ระหว่างการเดินทางไปพันธกิจ ● เปาโลพักอยู่กับชายคนหนึ่งชื่อ เจสัน ( กิจการ 17:1–9 ) ● จดหมายฉบับนี้เป็นหนึ่งในจดหมายฉบับแรก ๆ ที่เปาโลเริ่มเขียนถึงโบสถ์ ● เปาโลเริ่มเขียนจดหมายหลังจากที่พระเยซูทรงประสูติได้ 50 ปีแล้ว ในขณะที่เขาอยู่ ในเมืองโครินธ์
ทําไมเปาโลจึงเขียนจดหมายถึงชาวเมืองเธสะโลนิกา?
● หลังจากการไปเยี่ยมเยียนที่นั้นได้ 1 ปี เปาโลได้ส่งทิโมธีไปที่เมืองนั้น เพื่อถามไถ่
ความเป็นอยู่ของพวกเขาทุกคนว่าเป็นอย่างไร ● ทิโมธีกลับมาด้วยข่าวที่น่ายินดี เขาได้บอกเปาโลเกี่ยวกับความเชื่อและความรักของ ชาวเมืองเธสะโลนิกา และกล่าวถึงการยืนหยัดในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ( 1 เธสะโลนิกา 3:6, 8) ● เปาโลเขียนจดหมายแสดงถึงความภูมิใจที่มีต่อชาวเมืองเธสะโลนิกาและหนุนใจพวก เขา ● เปาโลยังได้บอกพวกเขาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้ง
ข้อความสําคัญของพระธรรมเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง
● เราควรเตรียมตัวอย่างไรเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา (1 เธสะโลนิกา 4:1–9 ) ● วันของพระเจ้า (1 เธสะโลนิกา 5:1–11) ● คริสเตียนควรดําเนินชีวิตอย่างไรบนโลกนี้ (1 เธสะโลนิกา 5:14–24 )
350
1 เธสะโลนิกา
1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโล สิลาส และทิโมธี ถึงคริสตจักรของชาวเธสะโลนิกาในพระเจ้าพระ บิดาและองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ขอพระคุณและสันติสุขมีแก่ท่านทั้งหลาย ขอบพระคุณและทูลขอ
1 เธสะโลนิกา 1:2–3
เปาโลรู้ได้อย่างไรว่าชาวเมือง เธสะโลนิกายังรักษาความเชือ่ ใน พระเจ้าและจริงจังต่อพระเยซู? เปาโล ได้ยนิ ถึงความเชือ่ ความรัก และความ หวังใจในพระเยซูของพวกเขา สามสิง่ นีเ้ ป็นสิง่ ทีค่ วรมีในชีวติ ของคริสเตียน ทุกคน
เราขอบพระคุณพระเจ้าเนื่องด้วยพวกท่านทั้งปวง และอธิษฐานเผื่อท่านเสมอ ต่อหน้าพระเจ้าพระบิดา ของเรา เราระลึกอยู่เสมอไม่ได้ขาดถึงการงานของท่าน ที่เกิดจากความเชื่อ ถึงการลงแรงทํางานหนักของท่าน ที่เป็นผลจากความรัก และถึงการสู้ทนของท่านที่รับ แรงบันดาลใจจากความหวังในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา พี่น้องทั้งหลายผู้เป็นที่รักของพระเจ้า เรารู้ว่าพระองค์ทรงเลือกสรรท่าน เพราะข่าวประเสริฐ ของเรามาถึงท่านไม่ใช่เพียงด้วยถ้อยคําเท่านั้น แต่ด้วยฤทธิ์อํานาจ ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และ ด้วยความเชื่อมั่นอันลึกซึ้ง ท่านทราบว่าเราใช้ชีวิตอย่างไรในหมู่พวกท่านเพื่อเห็นแก่ท่าน ท่านได้ ทําตามอย่างเราและองค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งๆ ที่ต้องทนทุกข์อย่างหนักท่านก็รับข่าวประเสริฐด้วย ความชื่นชมยินดีซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทาน ดังนั้นท่านจึงเป็นแบบอย่างแก่ผู้เชื่อทั้งปวงใน แคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายา ข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้าเลื่องลือจากพวกท่าน ออกไป ไม่เฉพาะในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายา ความเชื่อในพระเจ้าของท่านยังโด่งดัง ไปทั่วทุกหนแห่ง ฉะนั้นเราจึงไม่ต้องพูดถึงอีก เพราะเขาเหล่านั้นเองเล่าขานว่าพวกท่านต้อนรับ เราอย่างไร และยังบอกว่าท่านได้หันจากรูปเคารพมาหาพระเจ้าเพื่อรับใช้พระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรง พระชนม์อยู่ และรอคอยพระบุตรของพระองค์จากสวรรค์ผู้ซึ่งพระองค์ทรงให้เป็นขึ้นจากตาย คือพระเยซูผู้ทรงช่วยเราทั้งหลายจากพระพิโรธที่จะมาถึง 2
3
4
5
6
7
8
9
10
พันธกิจของเปาโลที่เมืองเธสะโลนิกา
พี่น้องทั้งหลาย ท่านทราบอยู่ว่าการที่เรามาเยี่ยมท่านทั้งหลายนั้นก็ไม่ได้สูญเปล่า ก่อนหน้านี้ 2 เราเผชิ ญความทุกข์ยากและถูกสบประมาทที่เมืองฟีลิปปีตามที่ท่านทราบอยู่ แต่โดยการทรง 2
ช่วยของพระเจ้าของเรา เราจึงกล้าประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์แก่ท่านทั้งๆ ที่ถูกต่อต้าน อย่างหนัก เพราะคําสอนของเราไม่ได้มาจากแรงจูงใจผิดๆ หรือเสื่อมทราม ทั้งเราไม่พยายาม 3
1 เธสะโลนิกา 1:2–5 ให้น้อง ๆ อ่านข้อความเหล่านี้อย่างรอบคอบ พวกเรามักคิดว่าความเชื่อ ความหวัง และความรักเป็นความรู้สึก แต่เปาโลกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องทํา
• น้อง ๆ ทําสิ่งใดบ้างเมื่อมีความเชื่อ? สิ่งที่น้อง ๆ ทําอยู่นั้นแสดงถึงความเชื่อของน้อง ๆ อย่างไรบ้าง? • ทําไมความรักจึงนํามาซึง่ การช่วยเหลือผูอ้ น่ื ? น้อง ๆ สามารถแสดงความรักต่อผูอ้ น่ื ได้ อย่างไร? • ความหวังใจของน้อง ๆ นํามาซึ่งกําลังที่เข้มแข็งที่ยังคงเชื่อในพระเยซูได้อย่างไร? น้อง ๆ มีความหวังใจในเรื่องอะไรบ้าง? 352 | 1 เธสะโลนิกา 1:1
หลอกล่อท่าน แต่ในทางตรงกันข้ามเราประกาศใน 1 เธสะโลนิกา 2:3–7 ฐานะผู้ที่พระเจ้าทรงเห็นชอบที่จะมอบหมายข่าว ประเสริฐให้ เราไม่ได้พยายามเอาใจมนุษย์ แต่มุ่งให้ เปาโลบอกชาวเธสะโลนิกาถึงสิ่งที่ พระเจ้าผู้ทรงตรวจสอบจิตใจเรานั้นพอพระทัย ท่าน เปาโลไม่ได้ทําเมื่อเขาอยู่กับชาวเมือง ทราบว่าเราไม่เคยประจบเอาใจหรือใส่หน้ากากกลบ เธสะโลนิกา เกลื่อนความโลภ พระเจ้าทรงเป็นพยานให้เราได้ เรา •เขาไม่ได้สอนเรื่องโกหก ไม่ได้ใฝ่หาการยกย่องจากมนุษย์ไม่ว่าจากพวกท่าน •เขาไม่ได้รับเงินจากผู้อื่น และ หรือใครอื่น •เขาไม่ได้ชักจูงผู้คนให้ติดตามเขา ในฐานะอัครทูตของพระคริสต์เราอาจจะเป็นภาระ สิ่งเดียวที่เปาโลต้องการทําคือสอน แก่ท่านก็ได้ แต่เราก็อ่อนโยนเมื่ออยู่ท่ามกลางพวก พวกเขาเกี่ยวกับเรื่องราวของพระ ท่าน เหมือนแม่ถนอมดูแลลูกน้อย เรารักท่านทั้ง เยซู เพื่อที่พวกเขาจะเป็นสาวกของ หลายมากจนเรายินดีที่จะแบ่งปันกับท่านไม่เฉพาะ พระองค์ และการงานที่เปาโลได้ ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเท่านั้น แม้ชีวิตของเราเองก็ กระทํานั้น ประสบผลสําเร็จเพราะ ยังพลีให้ได้ ในเมื่อท่านเป็นที่รักของเรายิ่งนัก พี่น้อง ชาวเมืองเธสะโลนิกาได้เชื่อในพระ ทั้งหลาย เรามั่นใจว่าท่านจดจําความลําบากตรากตรํา เยซู ของเราได้ เราทํางานหามรุ่งหามค่ําเพื่อจะไม่ต้อง เป็นภาระแก่ผู้ใดเลยขณะประกาศข่าวประเสริฐของ พระเจ้าแก่ท่าน ท่านและพระเจ้าเป็นพยานได้ว่าเราบริสุทธิ์ เที่ยงธรรมและไม่มีที่ติเพียงไรเมื่ออยู่ท่ามกลาง พวกท่านที่เชื่อ เพราะท่านรู้ว่าเราได้ปฏิบัติต่อท่านแต่ละคนเหมือนพ่อปฏิบัติต่อลูกของตนเอง เราให้กําลังใจ ปลอบใจ และกําชับท่านให้ดําเนินชีวิตที่คู่ควรต่อพระเจ้าผู้ทรงเรียกท่านมาสู่ อาณาจักรและพระเกียรติสิริของพระองค์ และเราขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอเพราะเมื่อท่านรับพระวจนะของพระเจ้าซึ่งได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างถ้อยคําของมนุษย์ แต่รับไว้ตามที่เป็นจริงคือ เป็นพระวจนะของพระเจ้าซึ่ง กําลังทํากิจอยู่ภายในท่านทั้งหลายที่เชื่อ พี่น้องทั้งหลาย ท่านก็เหมือนกับคริสตจักรของพระเจ้า ที่แคว้นยูเดียซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ คือท่านต้องเผชิญความทุกข์ยากจากพี่น้องร่วมถิ่นของตนเอง เหมือนที่คริสตจักรเหล่านั้นได้รับจากพวกยิว พวกเขาได้ประหารองค์พระเยซูเจ้า เข่นฆ่าเหล่าผู้ เผยพระวจนะและขับไล่พวกเราออกมา เขาทําให้พระเจ้าไม่พอพระทัยและเป็นศัตรูกับคนทั้งปวง โดยการพยายามขัดขวางไม่ให้เราประกาศแก่คนต่างชาติเพื่อให้คนเหล่านั้นได้รับความรอด ด้วย 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
1 เธสะโลนิกา 2:7, 11–12 เปาโลรักชาวเมืองเธสะโลนิกาเช่นเดียวกับที่พ่อและแม่รักลูกของพวกเขา แม่ทําอะไรให้เราบ้าง? ดูที่ข้อ 7 พ่อทําอะไรให้เราบ้าง? อ่านเพิ่มเติมในข้อ 11 และ 12 ให้เด็ก ๆ พูดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทําที่เป็นการแสดงความรักต่อลูกของพวกเขา 1 เธสะโลนิกา 2:16 | 353
1 เธสะโลนิกา 2:19–20 เปาโลบอกชาวเธสะโลนิกาเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเยซู ตอนนี้พวกเขาเป็นความ ชื่นชมยินดีและความหวังใจของเปาโล เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา พวกเขาจะเปรียบ เสมือนมงกุฎที่อยู่บนศีรษะของเปาโล อีกทั้งเปาโลมีความสุขเต็มเปี่ยมในชาวเมือง เธสะโลนิกาในความเชื่อต่อองค์พระเยซู เปาโลมีความภาคภูมิใจในพวกเขาที่มีความ เข้มแข็งในความเชื่อ ให้น้อง ๆ ลองนึกถึงสิ่งที่น้อง ๆ สามารถทําได้เพื่อช่วยผู้อื่นให้เชื่อในองค์พระเยซู และ เลือกทําหนึ่งอย่าง! การกระทําเหล่านี้พวกเขาได้พอกพูนบาปผิดให้เต็มพิกัด พระพิโรธของพระเจ้าจึงมาถึงพวกเขาใน ที่สุด เปาโลอยากมาเยี่ยมพี่น้องชาวเธสะโลนิกา
พี่น้องทั้งหลาย เมื่อเราต้องพรากจากท่านไปชั่วระยะหนึ่ง (ตัวไปแต่ใจยังอยู่) ด้วยความ ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะพบท่าน เราจึงพยายามทําทุกวิถีทางที่จะมาพบกับท่านอีก เพราะ เราอยากมาหาท่านจริงๆ ข้าพเจ้าเปาโลอยากจะมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ซาตานได้ขัดขวางเราไว้ เพราะอะไรเล่าเป็นความหวังของเรา? อะไรเล่าเป็นความชื่นชมยินดีของเรา หรือเป็นมงกุฎซึ่ง เราจะภาคภูมิใจต่อหน้าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเมื่อพระองค์เสด็จมา? ไม่ใช่พวกท่านหรอกหรือ? เพราะท่านเป็นความภาคภูมิใจและเป็นความชื่นชมยินดีของเราอย่างแท้จริง อไปไม่ไหว จึงเห็นควรให้ปล่อยเราไว้ที่กรุงเอเธนส์ตามลําพัง และเราได้ส่ง 3 ทิดัโงมธีนั้นผเมืู้เป็่อนเราทนต่ น้องของเรา และเป็นเพื่อนร่วมรับใช้พระเจ้า ในการเผยแพร่ข่าวประเสริฐของพระ คริสต์ มาให้กําลังใจท่านให้เข้มแข็งขึ้นในความเชื่อ เพื่อจะไม่มีใครสั่นคลอนไปกับการกดขี่ข่มเหง เหล่านี้ ท่านย่อมทราบดีว่าพวกเราถูกกําหนดไว้แล้วเพื่อการนั้น อันที่จริงเมื่อเราอยู่กับท่าน เรา พร่ําบอกท่านไว้แล้วว่าเราจะถูกกดขี่ข่มเหง แล้วก็เป็นจริงตามนั้นดังที่ท่านทราบดีอยู่แล้ว ด้วย เหตุนี้เมื่อข้าพเจ้าทนคอยต่อไปอีกไม่ได้จึงส่งคนมาดูความเชื่อของท่าน ข้าพเจ้ากลัวว่าซาตานอาจ จะล่อลวงท่านในทางใดทางหนึ่งเข้าแล้ว และความพยายามของเราก็อาจจะสูญเปล่า 17
18
19
20
2
3
4
5
รายงานที่น่าชื่นใจของทิโมธี
แต่บัดนี้ทิโมธีได้กลับมาถึงแล้วและได้แจ้งข่าวดีเกี่ยวกับความเชื่อและความรักของท่าน เขา บอกเราว่าท่านระลึกถึงเราในด้านดีเสมอและอยากเห็นหน้าเราเหมือนที่เราก็อยากเห็นหน้าท่าน เช่นกัน ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย ในการทนทุกข์และถูกข่มเหงทั้งสิ้นของเรา ความเชื่อของท่านก็เป็น กําลังใจให้เรา ตอนนี้เรามีชีวิตชีวาจริงๆ เพราะท่านยืนหยัดมั่นคงในองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจะ ขอบพระคุณพระเจ้าสําหรับพวกท่านอย่างไรดีหนอจึงจะสมกับความชื่นชมยินดีทั้งปวงที่เรามีต่อ หน้าพระเจ้าของเราเนื่องด้วยพวกท่าน? เราขะมักเขม้นอธิษฐานทั้งวันทั้งคืนขอให้พบท่านอีก จะได้เพิ่มเติมความเชื่อส่วนที่ยังขาดอยู่ของท่านให้เต็มบริบูรณ์ บัดนี้ขอพระเจ้าพระบิดาของเราและพระเยซูเจ้าของเราทรงเปิดทางให้เรามาพบท่าน ขอ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ความรักของท่านเพิ่มพูนขึ้นจนล้นไหลไปถึงซึ่งกันและกันและถึงคนอื่นๆ ทั้งปวงด้วยเหมือนที่เรารักท่าน ขอทรงทําให้จิตใจของท่านเข้มแข็งขึ้นเพื่อท่านจะบริสุทธิ์ไร้ที่ติ ต่อหน้าพระเจ้าพระบิดาของเรา เมื่อองค์พระเยซูเจ้าของเราเสด็จมาพร้อมกับประชากรทั้งปวง ของพระองค์ 6
7
8
9
10
11
12
13
354 | 1 เธสะโลนิกา 2:17
ดําเนินชีวิตเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย
เราได้สั่งสอนท่านแล้วว่าจะดําเนินชีวิตเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัยได้ 4 อย่สุดาท้งไรายนีอั้พนี่นที้อ่จงทัริงท่้งหลาย านก็ทําเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่บัดนี้เราขอวิงวอนท่านและหนุนใจท่านในองค์
พระเยซูเจ้าให้ทําสิ่งนี้มากยิ่งๆ ขึ้น เพราะท่านทราบถึงคําสั่งสอนต่างๆ ที่เรามอบให้ท่านโดยสิทธิ อํานาจขององค์พระเยซูเจ้า พระเจ้าทรงประสงค์ให้ท่านได้รับการชําระให้ 1 เธสะโลนิกา 4:13–14 บริสุทธิ์คือ ให้ท่านหลีกห่างจากการผิดศีลธรรมทาง เพศ ให้ท่านแต่ละคนรู้จักควบคุมร่างกายของตนใน เมื่อสาวกของพระเยซูเสียชีวิต พวก ทางที่บริสุทธิ์น่านับถือ ไม่ใช่มัวเมาในราคะตัณหา เขาจะได้ไปอยู่กับพระองค์ตลอดไป เหมือนคนนอกศาสนาซึ่งไม่รู้จักพระเจ้า อย่าให้ผู้ใด พระเยซูทรงสัญญาว่าพระองค์จะ ล่วงเกินหรือทําผิดต่อพี่น้องในเรื่องนี้ องค์พระผู้เป็น ทรงไปจัดเตรียมสถานที่สําหรับพวก เจ้าจะทรงลงโทษคนที่ทําบาปอย่างนั้นตามที่เราได้ เขาบนสวรรค์ (ยอห์น 14:1–4) กล่าวเตือนท่านแล้ว เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกเรา ยอห์นได้กล่าวไว้ในวิวรณ์ 21:1–5 ให้เป็นคนมีมลทิน แต่ทรงให้เราดําเนินชีวิตอันบริสุทธิ์ ว่าจะไม่มีการร้องไห้ และการโศก ฉะนั้นคนที่ละเลยคําสอนนี้ไม่ได้ปฏิเสธมนุษย์ แต่ เศร้าในสวรรค์ ทุกอย่างจะถูกสร้าง ปฏิเสธพระเจ้าผู้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของ ขึ้นใหม่และดีเยี่ยม พระองค์แก่ท่านทั้งหลาย เราไม่จําเป็นต้องเขียนถึงท่านเกี่ยวกับความรักฉัน น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรเมื่อนึกถึง พี่น้อง เพราะพระเจ้าทรงสอนท่านเองอยู่แล้วให้รักกัน สวรรค์? ให้เขียน 3 สิ่งที่ดีบนสวรรค์ และที่จริงท่านก็รักพี่น้องทั้งปวงทั่วแคว้นมาซิโดเนีย ที่น้อง ๆ เฝ้ารอคอยที่จะพบ ถึงกระนั้นพี่น้องทั้งหลาย เราขอให้ท่านรักพี่น้อง ยิ่งๆ ขึ้นอีก ท่านจงมุ่งมาดว่าจะดําเนินชีวิตอันสงบ จะเอาใจใส่ธุรกิจของตน และจะลงมือทํางานเอง เหมือนที่เราได้บอกท่านไว้ เพื่อชีวิตประจําวันของท่านจะเป็นที่นับถือของคนภายนอกและไม่ ต้องพึ่งพาใคร 2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับคนที่ล่วงลับไปหรือทุกข์โศกเหมือน คนอื่นๆ ซึ่งไม่มีความหวัง เราเชื่ออยู่ว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์และทรงเป็นขึ้นอีก เราจึงเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงให้ผู้ที่ล่วงลับไปในพระเยซูมากับพระเยซูอีก เราขอบอกท่านตามพระดํารัสของ 13
14
15
1 เธสะโลนิกา 4:13–14 น้อง ๆ เคยรู้สึกเศร้าใจเวลาที่มีคนเสียชีวิตมั้ย? เรามักคิดถึงคนเหล่านั้นเป็นระยะเวลา ยาวนาน เปาโลเขียนเกี่ยวกับคนที่คิดถึงคนรักที่จากไป และย้ําเตือนว่าคริสเตียนที่เสียชีวิตจะ ได้ไปอยู่กับองค์พระเยซูบนสวรรค์ตลอดไป ให้น้อง ๆ เขียนจดหมายถึงคนที่น้อง ๆ คิดถึง บอกเขาหรือเธอว่าน้อง ๆ รู้สึกอย่างไร และให้วาดรูปหน้าที่แสดงถึงความรู้สึก ขอน้อง ๆ เอง ลองดูสีบนแผนภาพของอุ่นใจเพื่อหาสีที่ตรงกับความรู้สึกของตัวเรา 1 เธสะโลนิกา 4:15 | 355
องค์พระผู้เป็นเจ้าเองว่า พวกเราผู้ที่ยังมีชีวิต ผู้ซึ่งเหลืออยู่จนองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่นํา หน้าไปก่อนผู้ที่ล่วงลับไปอย่างแน่นอน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ด้วย พระบัญชากึกก้อง ด้วยเสียงแห่งเทพบดีและเสียงแตร ของพระเจ้า และผู้ที่ตายในพระคริสต์จะเป็นขึ้นก่อน 1 เธสะโลนิกา 4:16–18 จากนั้นพวกเราผู้ที่ยังมีชีวิตและเหลืออยู่ก็จะถูกรับ ขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อไปเฝ้าองค์พระ จะเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อพระเยซูทรง ผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศและเราจะอยู่กับองค์พระผู้เป็น เสด็จกลับมา? เหล่าผู้นําฑูตสวรรค์ เจ้าตลอดนิรันดร์ ฉะนั้นจงให้กําลังใจกันและกันด้วย จะป่าวประกาศในวันนั้น และพวก ข้อความเหล่านี้เถิด เราจะได้ยินเสียงเป่าแตรขององค์ พี่น้องทั้งหลาย เราไม่จําเป็นต้องเขียนบอกท่านว่า พระผู้เป็นเจ้า ขณะนั้นเององค์พระ 5 เป็นวันเวลาใด เพราะท่านรู้ดีว่าวันขององค์พระ เยซูจะทรงเสด็จลงมาจากสวรรค์ ผู้เป็นเจ้าจะมาถึงเหมือนขโมยในยามวิกาล ขณะที่ พระองค์จะทรงรวบรวมลูก ๆ ของ ผู้คนกําลังพูดกันว่า “สงบสุขและปลอดภัย” ขณะนั้น พระองค์และรับพวกเขาขึ้นไปสู่ หายนะก็จะมาถึงพวกเขาในฉับพลันเหมือนการเจ็บ สวรรค์ ผู้ที่เชื่อนั้นจะอยู่กับพระองค์ ท้องจะคลอดที่เกิดขึ้นกับหญิงมีครรภ์ และคนเหล่านั้น ตลอดไปเป็นนิตย์ จะหนีไม่พ้น แม้ว่าเราทุกคนจะมีความเศร้าโศก แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดเพื่อ เสียใจเมื่อเราไปร่วมงานศพ พวก ว่าวันนั้นจะไม่ทําให้ท่านประหลาดใจเหมือนขโมย เราสามารถหนุนใจกันและกัน และ มา พวกท่านล้วนเป็นลูกของความสว่าง เป็นลูกของ คิดถึงวันที่องค์พระเยซูจะเสด็จกลับ กลางวัน เราไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของความมืด มารับพวกเราทุกคนให้ไปอยู่ร่วมกัน ฉะนั้นเราอย่าเหมือนคนอื่นๆ ที่หลับใหล แต่จงตื่นตัว บนสวรรค์ และควบคุมตนเอง เพราะผู้ที่หลับก็หลับเวลากลาง คืน ผู้ที่เมามายก็เมามายตอนกลางคืน แต่เพราะเรา อยู่ฝ่ายกลางวัน ให้เรารู้จักบังคับตน สวมความเชื่อและความรักเป็นเกราะกําบังอก มีความหวัง ใจในความรอดเป็นหมวกเหล็ก เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงกําหนดให้เราเผชิญพระพิโรธ แต่ทรงให้ รับความรอดโดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา พระองค์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อไม่ว่าเรา จะอยู่หรือตายก็จะมีชีวิตกับพระองค์ เหตุฉะนั้นจงให้กําลังใจกันและเสริมสร้างซึ่งกันและกันขึ้น เหมือนที่ท่านก็กําลังทําอยู่แล้ว 16
17
18
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
1 เธสะโลนิกา 4:16–18 คริสเตียนต้องทํา 3 สิ่ง คือมีความชื่นชมยินดี อธิษฐาน และขอบพระคุณ ให้น้อง ๆ พูดถึง 3 วิธีที่จะปฏิบัติในสามสิ่งนี้ โดยให้แบ่งกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่ม แต่ละกลุ่มทําโปสเตอร์ของ 1 ใน 3 สิ่งนี้ (ชื่นชมยินดี, อธิษฐาน และขอบพระคุณ) ให้เขียนคําถาม 3 ข้อ ในแต่ละหัวข้อใหญ่ด้วยคําถามต่อ ไปนี้ ทําไม? เมื่อไหร่? อย่างไร? ตอบคําถามดังกล่าวลงในโปสเตอร์ ตกแต่งโปสเตอร์ ให้สวยงาม แล้วนําโปสเตอร์ติดบนผนังห้องที่ ๆ น้อง ๆ สามารถมองเห็นได้ 356 | 1 เธสะโลนิกา 4:16
1 เธสะโลนิกา 5:17 คริสเตียนไม่ควรหยุดอธิษฐาน ให้น้อง ๆ เขียนคําว่า “อย่าหยุดอธิษฐาน” ลงบน กระดาษ วาดรูปหัวใจบนหน้ากระดาษ แล้วเขียนชื่อของคนที่น้อง ๆ ต้องการอธิษฐาน เผื่อไว้ในรูปหัวใจที่วาดไว้ วาดรูปหน้าเล็ก ๆ ถัดจากชื่อเพื่อแสดงถึงความรู้สึกของ แต่ละบุคคล ตกแต่งรูปหัวใจ แล้วเก็บไว้ในที่ ๆ น้อง ๆ สามารถมองเห็นได้ทุกวัน เพื่อ เตือนเราให้อธิษฐานเผื่อผู้อื่น คําสั่งสอนตอนสุดท้าย
พี่น้องทั้งหลาย เราขอให้ท่านนับถือผู้ที่ทํางานหนักในหมู่พวกท่าน ผู้ที่ปกครองดูแลพวกท่าน ในองค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้ที่ตักเตือนท่าน จงรักและเคารพเขาเหล่านั้นอย่างสูงเนื่องด้วยการงาน ที่เขาทํา จงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข พี่น้องทั้งหลาย เราขอให้ท่านตักเตือนคนที่เกียจคร้าน ให้ กําลังใจผู้ที่ขลาดอาย ช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอ อดทนกับทุกคน จงสอดส่องดูแลอย่าให้ใครทําชั่ว ตอบแทนการชั่ว แต่จงพากเพียรทําดีต่อกันและดีต่อคนอื่นๆ ทุกคนเสมอ จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ จงอธิษฐานอยู่เสมอ จงขอบพระคุณในทุกสถานการณ์เพราะนี่คือ พระประสงค์ของพระเจ้าสําหรับท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์ อย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ อย่าลบหลู่คําเผยพระวจนะ จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ ดี จงหลีกห่างความชั่วทุกชนิด ขอพระเจ้าเองผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชําระท่านให้บริสุทธิ์หมดจด ขอให้ทั้ง วิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่านไร้ที่ติเมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสด็จมา พระองค์ ผู้ทรงเรียกท่านนั้นทรงสัตย์ซื่อและพระองค์จะทรงกระทําตามที่ตรัสไว้ พี่น้องทั้งหลาย โปรดอธิษฐานเผื่อเรา จงทักทายพี่น้องทุกคนด้วยการจุมพิตอันบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าขอกําชับท่านต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าให้อ่านจดหมายนี้ให้พี่น้องทั้งปวงฟัง ขอพระคุณขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราดํารงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด 12
13
14
15
16
19
17
18
20
21
22
23
24
25
26
27
28
1 เธสะโลนิกา 5:28 | 357
จดหมายของเปาโลถึง คริสตจักรในเมือง เธสะโลนิกา ฉบับที่สอง น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● เปาโลเขียนจดหมายฉบับที่สองถึงชาวเมืองเธสะโลนิกา หลังจากที่เขียนจดหมาย
ฉบับแรกเพียงไม่กี่เดือน ● เปาโลยังคงอยู่ที่เมืองโครินธ์ขณะที่เขียนจดหมายฉบับนี้
ทําไมเปาโลจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงชาวเมืองเธสะโลนิกา?
● เปาโลได้ข่าวว่าคริสเตียนชาวเมืองเธสะโลนิกากําลังเผชิญความยากลําบาก พวกเขา
ถูกข่มเหงรังแกเพราะความเชื่อในองค์พระเยซู (2 เธสะโลนิกา 1:4) ● เปาโลหนุนใจพวกเขาว่าต้องรักษาความเชื่อในพระเยซู แล้วพระองค์จะทรงช่วยพวก เขา ● มีบางคนพูดโกหกเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซู (2 เธสะโลนิกา 2:2) ● เปาโลเขียนว่าพวกเขาต้องจดจําความจริงที่ท่านได้แบ่งปันให้แก่พวกเขา (2 เธสะโลนิกา 2:15) ● คนบางกลุ่มคาดหวังว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาในตอนนี้ พวกเขาจึงหยุดทํางาน ● เปาโลบอกพวกเขาให้เริ่มทํางานอีกครั้ง ใครก็ตามที่ปฏิเสธไม่ทํางาน ก็ไม่ควรได้รับ อนุญาตให้กิน (2 เธสะโลนิกา 3:10)
ดูตรงนี้ซิ!
● พระเจ้าทรงรักเรามาก (2 เธสะโลนิกา 2:13–17) ● ทํางานอย่างพากเพียร (2 เธสะโลนิกา 3:6–17)
358
2 เธสะโลนิกา
1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโล สิลาสและทิโมธี ถึงคริสตจักรของชาวเธสะโลนิกาในพระเจ้าพระ บิดาของเราและองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาและ พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่ท่านทั้งหลาย 2
ขอบพระคุณและทูลขอ
1 และ 2 เธสะโลนิกา
ในจดหมายถึงชาวเธสะโลนิกาฉบับ ที่หนึ่งและสอง เปาโลได้เขียนถึงการ เสด็จกลับมาของพระเยซู เราอาจจะ รู้ถึงบางสิ่งเกี่ยวกับวันนั้น แต่ไม่มีผู้ ใดรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด มันจะเป็น สิ่งที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง สําหรับผูเชื่อในองคพระเยซู วันนั้น จะเปนวันที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา และสําหรับผูที่ไมเชื่อวางใจในพระ เยซู วันนั้นจะเปนวันที่เลวราย และ นาหวาดกลัว
พี่น้องทั้งหลาย เราควรขอบพระคุณพระเจ้าเพราะ ท่านเสมอและเป็นการถูกต้องแล้วที่ทําเช่นนั้น เนื่อง ด้วยความเชื่อของท่านจําเริญยิ่งๆ ขึ้นและความรักที่ ท่านทุกคนมีตอ่ กันก็เพิม่ พูนขึน้ ฉะนัน้ ในหมูค่ ริสตจักร ต่างๆ ของพระเจ้า เราจึงอวดถึงความทรหดอดทน และความเชื่อของท่านท่ามกลางการข่มเหงและการ ทดลองนานัปการที่ท่านเผชิญอยู่ ทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานว่าการพิพากษาของพระเจ้านั้นถูกต้อง และผลก็คือท่านจะได้รับ การนับว่าคู่ควรกับอาณาจักรของพระเจ้าซึ่งท่านยอมทนทุกข์เพื่ออาณาจักรนั้น พระเจ้าทรง ยุติธรรม พระองค์จะทรงเอาความลําบากคืนสนองแก่บรรดาผู้ทําให้ท่านลําบากยากเข็ญ และ จะทรงบรรเทาทุกข์ให้แก่ท่านที่ได้รับความลําบากและแก่เราด้วย เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อองค์ พระเยซูเจ้าทรงปรากฏจากสวรรค์ในเปลวไฟเจิดจ้าพร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์ผู้มีฤทธิ์ของพระองค์ พระองค์จะทรงลงโทษบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าและไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐขององค์พระเยซู เจ้าของเรา พวกเขาจะถูกลงโทษด้วยความพินาศนิรันดร์ จะถูกแยกจากเบื้องพระพักตร์องค์พระ ผู้เป็นเจ้า และแยกจากพระบารมีแห่งฤทธานุภาพของพระองค์ ในวันนั้นพระองค์จะเสด็จมาเพื่อ รับพระเกียรติสิริในหมู่ประชากรของพระองค์ และเพื่อเป็นที่อัศจรรย์ใจท่ามกลางผู้เชื่อทุกคนซึ่ง รวมท่านทั้งหลายด้วย เพราะท่านได้เชื่อคําพยานของเราที่กล่าวแก่ท่าน โดยคํานึงถึงสิ่งเหล่านี้เราจึงอธิษฐานเผื่อท่านเสมอไม่ได้ขาด ขอให้พระเจ้าของเรานับว่าท่าน คู่ควรกับการทรงเรียกของพระองค์ และขอทรงให้ความมุ่งหมายอันดีทุกอย่างของท่านและการ กระทําทุกอย่างที่เกิดจากความเชื่อของท่านสําเร็จลุล่วงโดยฤทธิ์อํานาจของพระองค์ เราทูลขอ เช่นนี้เพื่อพระนามขององค์พระเยซูเจ้าของเราจะได้รับการเทิดพระเกียรติสิริในท่านทั้งหลาย และ ท่านจะได้รับศักดิ์ศรีในพระองค์ตามพระคุณของพระเจ้าและองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
2 เธสะโลนิกา 1:1 อิคคิว ค้นพบว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ช่วงเวลาเดียวกันกับเปาโลจะเขียนขึ้นต้นจดหมายใน แบบเดียวกัน ผู้เขียนจดหมายจะเริ่มต้นด้วยการบอกว่าเขาคือใคร และเขียนถึงผู้ใด หลังจากนั้นก็จะเป็นคําทักทาย ให้นอ้ ง ๆ มองไปทีจ่ ดหมายทัง้ สองฉบับ (1 เธสะโลนิกา 1:1 และ 2 เธสะโลนิกา 1:1–2) น้อง ๆ สามารถบอกถึงความแตกต่างของจดหมายทั้งสองฉบับได้หรือไม่? 360 | 2 เธสะโลนิกา 1:1
2 เธสะโลนิกา 1:11 ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเลือกทําในสิ่งที่ถูกต้อง แต่พระเจ้าทรงเสริมกําลังเราเมื่อเรา จําเป็น น้อง ๆ คิดไหมว่าน้อง ๆ จะได้รับโอกาสทําสิ่งที่ดีในวันนี้? ให้มองหาโอกาสตลอดทั้ง วันนี้ ! เมื่อน้อง ๆ เห็นโอกาส ให้ขอพระเจ้าให้เรามีกําลังในการทําสิ่งเหล่านี้ พระองค์ จะทรงช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน! คนนอกกฎหมาย
บการเสด็จมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราและการที่จะทรงรวบรวมเราทั้งหลายไป 2 อยูเกี่ย่กวกัับพระองค์ นั้น พี่น้องทั้งหลาย เราขอให้ท่าน อย่าหวั่นไหวง่ายๆ หรือตื่นตระหนกไปกับ 2
คําพยากรณ์ รายงาน หรือจดหมายที่อ้างว่ามาจากเรา ระบุว่าวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงแล้ว อย่าให้ใครมาล่อลวงท่านไม่ว่าในทางใดๆ เพราะยังจะไม่ถึงวันนั้นจนกว่าจะเกิดการกบฏและ คนนอกกฎหมายซึ่งถูกกําหนดให้พินาศนั้นปรากฏตัว มันจะต่อต้านและยกตนขึ้นข่มทุกสิ่งที่ได้ชื่อ ว่าพระเจ้าหรือเป็นที่เคารพบูชา เพื่อว่ามันจะตั้งตนขึ้นครองพระวิหารของพระเจ้าและประกาศตัว เป็นพระเจ้า ท่านจําไม่ได้หรือ? ตอนที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่านข้าพเจ้าเคยบอกเรื่องนี้แก่ท่านแล้ว? และบัดนี้ ท่านรู้ว่าอะไรเหนี่ยวรั้งมันไว้เพื่อให้มันปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสม เพราะอํานาจลับๆ ของ คนนอกกฎหมายนี้กําลังทํางานอยู่แล้ว แต่ผู้ที่เหนี่ยวรั้งมันไว้ในขณะนี้จะเหนี่ยวรั้งมันไว้ต่อ ไปจนกว่าเขาจะถูกรับไปพ้นทาง เมื่อนั้นคนนอกกฎหมายนี้จะปรากฏตัว องค์พระเยซูเจ้าจะ ทรงโค่นล้มมันด้วยลมจากพระโอษฐ์ และทําลายล้างมันด้วยความรุ่งโรจน์ของการเสด็จมาของ พระองค์ คนนอกกฎหมายนี้จะมาโดยฤทธิ์อํานาจของซาตานซึ่งแสดงออกในการอัศจรรย์ หมาย สําคัญ และปาฏิหาริย์สารพัดชนิดซึ่งล้วนแต่จอมปลอม และในความชั่วร้ายทุกชนิดอันล่อลวง บรรดาผู้กําลังจะพินาศ พวกเขาพินาศเพราะปฏิเสธที่จะรักความจริงซึ่งนําไปสู่ความรอด ด้วย 3
4
5
6
7
8
9
10
11
2 เธสะโลนิกา 2:15 ให้น้อง ๆ เลือกเพลงโปรดมาหนึ่งเพลง ร้องมันซ้ําไปมาสองสามรอบ จากนั้นให้เล่น ดนตรีอื่น ๆ ด้วย ลองดูว่าน้อง ๆ สามารถร้องเพลงได้ต่อไปในขณะที่มีดนตรีอื่น บรรเลงอยู่ด้วย โดยที่เราไม่สับสนได้หรือไม่ บ่อยครั้งที่เราอยากร้องเพลง “พระเยซู” แต่ในขณะเดียวกันโลกภายนอกก็ร้องเพลง ที่ดังมากเข้าในหูของเรา มันเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลยที่จะจ้องมองไปที่องค์พระเยซู เราต้อง ยึดมั่นในทุกสิ่งที่พระองค์ได้สอนเรา 2 เธสะโลนิกา 2:11 | 361
2 เธสะโลนิกา 2:15–17 มันเป็นสิ่งไม่ง่ายเสมอไปที่จะติดตามพระเยซู บางครั้งไม่มีใครสังเกตเวลาที่น้อง ๆ พยายามทําในสิ่งที่ถูกต้องและดี น้อง ๆรู้สึกอย่างไรเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น? บางครั้งมัน อาจดูเหมือนว่าเราไม่สามารถทําในสิ่งที่ถูกต้องได้เลย เปาโลได้กล่าวว่าพระเจ้าจะทรง หนุนใจเรา ปลอบประโลมเรา และพระองค์ให้ความหวังแก่เรา สีอะไรที่ตรงกับการ ปลอบประโลมและความหวัง? น้อง ๆ สามารถจดจําความรักที่พระเยซูทรงมีต่อเรา และพระองค์ต้องการจะปลอบประโลมเราอย่างไรบ้าง? เหตุนี้พระเจ้าจึงทรงส่งความลุ่มหลงมาครอบงําเขาทั้งหลายเพื่อเขาจะเชื่อคําโกหก และเพื่อคน ทั้งปวงที่ไม่ยอมเชื่อความจริงแต่กลับชื่นชมความชั่วร้ายจะถูกตัดสินลงโทษ 12
ยืนหยัดมั่นคง
แต่เราควรขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านเสมอพี่น้องทั้งหลายผู้เป็นที่รักขององค์พระผู้เป็น เจ้า เพราะพระเจ้าทรงเลือกท่านมาตั้งแต่ต้นให้ได้รับความรอดโดยการทรงชําระให้บริสุทธิ์จาก พระวิญญาณและโดยการเชื่อความจริง พระองค์ได้ทรงเรียกท่านมาสู่สิ่งนี้ผ่านทางข่าวประเสริฐ ที่เราประกาศ เพื่อท่านจะร่วมในพระเกียรติสิริของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ฉะนั้นพี่น้องทั้ง หลาย จงยืนหยัดและยึดมั่นในคําสั่งสอน ที่เราถ่ายทอดให้ท่าน ไม่ว่าโดยทางวาจาจากปากของเรา หรือทางจดหมาย ขอองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเองและพระเจ้าพระบิดาของเราผู้ทรงรักเราและได้ประทานกําลังใจ นิรันดร์และความหวังใจอันดีแก่เราโดยพระคุณนั้น ทรงให้กําลังใจและทําให้ท่านเข้มแข็งขึ้นเพื่อ ทําและพูดในสิ่งที่ดีทุกอย่าง 13
14
15
16
17
ขอให้อธิษฐานเผื่อ
สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย โปรดอธิษฐานเผื่อเราเพื่อพระกิตติคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้แผ่ 3 ไปอย่ างรวดเร็ว และเป็นที่เทิดทูนเหมือนที่เป็นไปในหมู่พวกท่าน และจงอธิษฐานเพื่อเราจะ 2
ได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากคนชั่วและคนเลว เพราะไม่ใช่ทุกคนมีความเชื่อ แต่องค์พระผู้เป็น เจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์จะทรงทําให้ท่านเข้มแข็งขึ้นและปกป้องท่านให้พ้นจากคนชั่วร้าย เรา มั่นใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ท่านกําลังปฏิบัติตามที่เราบัญชาอยู่และจะทําเช่นนั้นต่อไป ขอองค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงนําใจท่านทั้งหลายเข้าในความรักของพระเจ้าและในความมานะอดทนของพระ คริสต์ 3
4
5
ตักเตือนไม่ให้เกียจคร้าน
พี่น้องทั้งหลาย เราขอสั่งท่านในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า จงหลีกห่างจากพี่น้องทุก คนที่เกียจคร้านและไม่ยอมดําเนินชีวิตตามคําสอนที่ท่านได้รับจากเรา เพราะท่านเองย่อมทราบ ว่าควรทําตามแบบอย่างของเรา เมื่อเราอยู่กับท่านเราไม่ได้เกียจคร้านเลย ทั้งไม่ได้รับเลี้ยงจาก ใครโดยไม่ตอบแทน ในทางตรงกันข้ามเราทํางานหามรุ่งหามค่ํา ลงแรงตรากตรําเพื่อจะไม่เป็น ภาระแก่ใครๆ ในพวกท่าน ที่เราทําไปเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเราไม่มีสิทธิ์รับความช่วยเหลือเหล่านั้น 6
7
8
9
362 | 2 เธสะโลนิกา 2:12
2 เธสะโลนิกา 3:14–15 เปาโลอธิบายในสิ่งที่คริสตจักรต้องทํากับคนที่ไม่เชื่อฟัง พวกเขาควรทําโทษคน ๆ นั้น แต่ยังคงรักเขาต่อไป ทั้งนี้พวกเขาต้องการจะให้ผู้นั้นกลับมาเป็นคนที่เชื่อฟังอีกครั้ง หนึ่ง ให้น้อง ๆ เล่าถึงสิ่งที่น้อง ๆ สามารถทําได้หากมีใครบางคนไม่เชื่อฟัง จําไว้ว่า น้อง ๆ ไม่ต้องการให้ผู้นั้นหมดกําลังใจ เพียงแต่ต้องการให้เขาเรียนรู้ที่จะทํา สิ่งที่ดีในครั้งต่อไป แต่เพื่อทําตนเป็นแบบอย่างให้ท่านปฏิบัติตาม เพราะแม้ขณะอยู่กับท่านเราวางกฎไว้ให้ท่านว่า “ถ้าใครไม่ทํางานก็ไม่ต้องกิน” เราได้ยินว่าบางคนในพวกท่านเกียจคร้าน ไม่ยอม ทํางาน เอาแต่ยุ่งเรื่องของคนอื่น เราขอสั่งกําชับใน 2 เธสะโลนิกา 3:6–10 องค์พระเยซูคริสต์เจ้าให้คนเช่นนี้ทํางานสร้างเนื้อสร้าง ตัวหาเลี้ยงตนเอง และสําหรับท่านพี่น้องทั้งหลาย ชาวเมืองเธสะโลนิกาบางคนตื่นเต้น อย่าอ่อนล้าที่จะทําสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อพวกเขาได้อ่านจดหมายฉบับ ผู้ใดไม่เชื่อฟังคําสั่งสอนของเราในจดหมายนี้ จง แรกจากเปาโล ที่ได้กล่าวว่าพระเยซู เพ่งเล็งเขา อย่าไปคบหาด้วยเพื่อเขาจะได้ละอายแก่ จะเสด็จกลับมา พวกเขาหยุดทํางาน ใจ กระนั้นก็อย่าถือว่าเขาเป็นศัตรู แต่จงเตือนสติเขา และนั่งรอคอยพระเยซู ฉันพี่น้อง เปาโลกล่าวว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูก คําลงท้าย ต้องเลย! หากใครบางคนละเลยการ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสันติสุขเองประทาน ทํางาน คนอื่นจะต้องทํางานหนัก สันติสุขแก่ท่านทั้งหลายทุกด้านทุกเวลา ขอองค์พระผู้ มากขึ้นเพื่อดูแลคนที่ไม่ได้ทําอะไร เป็นเจ้าสถิตกับพวกท่านทั้งปวง เลย ทุกคนควรทําในสิ่งที่ตนรับผิด ข้าพเจ้าเปาโลลงมือเขียนคําลงท้ายนี้เอง เป็น ชอบเพื่อแบ่งเบาภาระกันและกัน เครื่องหมายเฉพาะในจดหมายของข้าพเจ้าทุกฉบับ นี่ คือวิธีเขียนของข้าพเจ้า ขอพระคุณขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรามีแก่ พวกท่านทั้งปวง 10
11
12
13
14
15
16
17
18
2 เธสะโลนิกา 3:18 | 363
จดหมายของเปาโลถึง ทิโมธี ฉบับที่หนึ่ง น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● เปาโลได้เขียนจดหมายถึงคริสตจักรอยู่หลายฉบับ และเขาก็ยังเขียนจดหมายถึง
เพื่อนคนอื่น ๆ ของเขาด้วย ● น้อง ๆ สามารถอ่านจดหมายทั้งสี่ฉบับที่เปาโลเขียนถึงเพื่อนในพระคัมภีร์ ภาค พันธสัญญาใหม่: ทิโมธี ฉบับที่หนึ่ง, ทิโมธี ฉบับที่สอง, ทิตัส และฟีเลโมน ● เปาโลเขียนจดหมายถึงทิโมธีในช่วงปีคริสต์ศักราชที่ 62 หลังจากที่พระเยซูทรง ประสูติ ในขณะที่เขาอยู่ที่มาซิโดเนีย (ประเทศกรีซ)
ทิโมธีคือใคร?
● ทิโมธีเติบโตที่เมืองลิสตรา ดินแดนที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ที่เรียกว่า
เอเชียไมเนอร์ บริเวณที่อยู่ระหว่างทะเลดํากับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ปัจจุบันคือ ประเทศตุรกี) ● บิดาของทิโมธีเป็นชาวกรีกและมารดาเป็นชาวยิว ยายของเขาชื่อโลอิส และมารดา ชื่อ ยูนีส ทั้งสองท่านก็เป็นคริสเตียนด้วย (กิจการ 16:1 และ 2 ทิโมธี 1:15) ● เปาโลได้พบทิโมธีเมือ ่ ครัง้ ทีเ่ ปาโลอยูใ่ นเมืองลิสตรา ระหว่างการเดินทางไปทําพันธกิจ ครั้งที่ 2 และเปาโลได้ชักชวนให้ทิโมธีมาทํางานร่วมกัน ● เมื่อเปาโลเดินทางออกจากเมืองเอเฟซัส ท่านได้แต่งตั้งทิโมธีให้เป็นผู้นําคริสตจักร ในเมืองนั้น (1 ทิโมธี 1:3 และ กิจการ 17:14)
ทําไมเปาโลจึงเขียนจดหมายถึงทิโมธี?
● เปาโลได้ยินว่ามีผู้คนในเมืองเอเฟซัสปล่อยข่าวที่บิดเบือนความจริงออกไปในกลุ่ม
คริสเตียน ● เปาโลขอร้องให้ทิโมธีตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น และทําให้มั่นใจว่าชาวเอเฟซัสรู้ถึง ความจริง ● เปาโลให้คําแนะนําแก่ทิโมธีเกี่ยวกับการคัดเลือกผู้นําในคริสตจักร ● เปาโลพูดอีกว่าถึงแม้ว่าทิโมธีมีอายุน้อยอยู่ แต่เขาต้องทําตนให้เป็นแบบอย่างแก่ชาว เอเฟซัส (1 ทิโมธี 4:12)
ดูตรงนี้สิ!
364
● พระเจ้าสําแดงความรักแก่คนที่ทําผิด (1 ทิโมธี 1:12–17) ● คริสเตียนต้องทําอะไรบ้าง (1 ทิโมธี 2:1–7) ● ให้รับใช้พระเยซูผ่านทุกสิ่งที่เรากระทํา (1 ทิโมธี 4:4–16) ● จงต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อความเชื่อ (1 ทิโมธี 6:11–19)
1 ทิโมธี
จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นอัครทูต 1 ของพระเยซู คริสต์ตามพระบัญชาของพระเจ้าพระ
ผู้ช่วยให้รอดของเรา และของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็น ความหวังของเรา ถึงทิโมธีลูกแท้ของข้าพเจ้าในความเชื่อ ขอพระคุณ พระเมตตา และสันติสุขจากพระเจ้า พระบิดาและพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา มีแก่ท่าน 2
คําเตือนเกี่ยวกับผู้สอนผิด
ทิโมธี
ทุกคนที่รู้จักทิโมธีต่างก็ชอบเขา (กิจการ 16:1–2) เพราะเขาเป็นคน ไม่เห็นแก่ตัว และเป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อ ถือได้ ทิโมธีเป็นดั่งลูกชายของเปาโล เขา เป็นเพื่อนร่วมงานของเปาโล หลาย ครั้งที่เปาโลมอบหมายงานที่ยากให้ แก่ทิโมธี เพราะเขาเป็นคนที่เข้ากับ ผู้อื่นได้ง่าย
ตามที่ข้าพเจ้าได้กําชับท่านเมื่อข้าพเจ้าไปยังแคว้น มาซิโดเนียว่าให้ท่านอยู่ที่เอเฟซัส เพื่อท่านจะได้กําชับ บางคนไม่ให้สอนหลักข้อเชื่อผิดๆ อีกต่อไป ทั้งไม่ให้ หมกมุ่นกับนิยายปรัมปราและลําดับวงศ์ตระกูลอันไม่รู้จบ ซึ่งเป็นการคาดเดาแบบส่งเดชมากกว่า จะส่งเสริมพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งเป็นไปโดยความเชื่อ เป้าหมายของการกําชับนี้คือความรัก อันมาจากใจบริสุทธิ์ จากจิตสํานึกที่ดีและจากความเชื่ออย่างจริงใจ บางคนหลงเตลิดไปจากสิ่ง เหล่านี้ หันไปพูดจาไร้สาระ พวกเขาอยากจะเป็นครูสอนบทบัญญัติทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไร หรือยืนยันอย่างหนักแน่นถึงเรื่องอะไร เรารู้อยู่ว่าบทบัญญัตินั้นดีหากใช้ในทางที่ถูก ซึ่งหมายความว่าบทบัญญัติไม่ได้มีขึ้นเพื่อผู้ ชอบธรรม แต่มีขึ้นเพื่อคนชอบแหกกฎกับคนกบฏ คนอธรรมกับคนบาป คนไม่บริสุทธิ์กับคนไม่มี ศาสนา คนฆ่าพ่อกับคนฆ่าแม่ ฆาตกร คนสําส่อนและคนรักร่วมเพศ เพื่อคนค้าทาสกับคนโกหก และคนให้การเท็จ และเพื่อสิ่งอื่นๆ อีกสารพัดที่ขัดกับคําสอนอันมีหลัก ซึ่งสอดคล้องกับข่าว ประเสริฐอันรุ่งโรจน์ของพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญ คือข่าวประเสริฐที่ทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้า ประกาศนี้ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
พระคุณของพระเจ้าต่อเปาโล
ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราผู้ทรงประทานกําลังแก่ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเห็นว่าข้าพเจ้าสัตย์ซื่อจึงทรงแต่งตั้งข้าพเจ้าให้รับใช้พระองค์ ถึงแม้ว่าครั้ง หนึ่งข้าพเจ้าเคยหมิ่นประมาทพระองค์ ข่มเหงผู้เชื่อและก่อความรุนแรง แต่พระองค์ทรงกรุณา 12
13
1 ทิโมธี 1:1–2 ให้น้อง ๆ สมมุติว่าตัวเองเป็นเปาโล และน้อง ๆ ก็คิดถึงเพื่อนของน้องที่ชื่อทิโมธี เพื่อนคนนี้มีอายุน้อยกว่า และเป็นเพื่อนร่วมงาน น้องมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยาก บอกเขา และน้องอยากไปเยี่ยมเยียนเขา แต่ไม่สามารถทําได้ น้อง ๆ จะรู้สึกอย่างไร? น้อง ๆ จะทําอย่างไร? น้อง ๆ คิดว่าทิโมธีรู้สึกอย่างไรเมื่อเขาได้รับจดหมายจากเปาโล? 366 | 1 ทิโมธี 1:1
1 ทิโมธี 1:15 มีความจริงที่สําคัญมากที่ปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์ข้อนี้ ลองดูซิว่าน้อง ๆ จะหามันเจอ หรือไม่ จากนั้นให้เขียนคําแห่งความจริงที่พบลงในแผ่นการ์ด แล้วมอบให้คนบางคนเพื่อใช้เป็นที่คั่นหนังสือ ข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าได้ทําไปด้วยความไม่รู้และไม่เชื่อ พระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ หลั่งลงมาแก่ข้าพเจ้าอย่างเหลือล้น พร้อมด้วยความเชื่อและความรักซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ ข้อความนี้เป็นความจริงซึ่งสมควรแก่การยอมรับโดยไม่มีข้อกังขา คือพระเยซูคริสต์เสด็จเข้า มาในโลกเพื่อช่วยคนบาปให้รอด และในบรรดาคนบาปข้าพเจ้าเป็นตัวร้ายที่สุด แต่เนื่องด้วยเหตุ นี้เองจึงทรงกรุณาข้าพเจ้าผู้เป็นตัวร้ายที่สุดในบรรดาคนบาป เพื่อพระเยซูคริสต์จะได้ทรงสําแดง ความอดกลัน้ พระทัยอันไม่จาํ กัดให้เป็นตัวอย่างแก่คนทัง้ ปวงทีจ่ ะเชือ่ ในพระองค์และรับชีวติ นิรนั ดร์ บัดนี้ขอพระเกียรติและพระสิริมีแด่จอมราชันองค์นิรันดร์ผู้ทรงอมตะและเราไม่อาจมองเห็น ได้ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่ผู้เดียวนั้นตลอดกาลสืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน ทิโมธีลูกชายของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้ากําชับท่านเช่นนี้ก็สอดคล้องกับคําเผยพระวจนะที่เคยมี มาเกี่ยวกับท่าน เพื่อเมื่อท่านปฏิบัติตามท่านจะได้ต่อสู้อย่างเข้มแข็ง จงยึดมั่นในความเชื่อและ จิตสํานึกอันดี บางคนละทิ้งข้อนี้ทําให้ความเชื่อของตนอับปาง ในหมู่คนเหล่านี้ได้แก่ฮีเมเนอัส กับอเล็กซานเดอร์ ซึ่งข้าพเจ้ามอบไว้แก่ซาตานเพื่อเขาจะได้เรียนรู้ที่จะไม่หมิ่นประมาทพระเจ้า 14
15
16
17
18
19
20
คําสั่งสอนเกี่ยวกับการนมัสการ
้นก่อนอื่นข้าพเจ้าขอกําชับท่านให้ทูลขอ อธิษฐาน วิงวอน และขอบพระคุณพระเจ้าเพื่อ 2 ทุฉะนั กคน เพื่อเหล่ากษัตริย์และผู้มีอํานาจทั้งปวง เพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้อยู่อย่างสงบสุข ใช้ 2
ชีวิตอย่างเงียบๆ ในทางพระเจ้าและความบริสุทธิ์ทุกอย่าง การกระทําเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดีและเป็น 3
1 ทิโมธี 1:19 เปาโลหมายความว่าอย่างไร เมื่อเขาได้กล่าวเปรียบเทียบถึงคนบางคนที่หลงหายไป จากความเชื่อ ว่าเป็นเหมือนดั่งเรือที่จมน้ํา? ทําไมมันจึงเกิดขึ้นกับบางคน? ให้น้อง ๆ พับเรือกระดาษ แล้ววางลงในน้ํา หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ใส่หินลงไปในเรือจนกระทั่งเรือ จม ถ้าเราไม่ยึดมั่นในความรู้สึกว่าอะไรผิดและอะไรถูก ความบาปจะเข้ามาในชีวิตเรา ได้ แล้วความเชื่อของเราก็จะจมลงเช่นเดียวกับเรือกระดาษ ให้น้อง ๆ รักษาความเชื่อ ให้เข้มแข็งโดยการอ่านพระคัมภีร์ พระวจนะของพระเจ้าสอนเราถึงวิธีการดําเนินชีวิต ที่พระองค์ทรงพอพระทัย 1 ทิโมธี 2:3 | 367
1 ทิโมธี 2:3–6 พระเจ้าต้องการให้เราทุกคนได้รับความรอด ให้น้อง ๆ ทําแผ่นพับที่จะช่วยเผยแพร่ ข่าวประเสริฐของพระเยซู ให้น้อง ๆ พับกระดาษขนาด A5 ทีละครึ่ง จนมีครบทั้งหมด 4 หน้าด้วยกัน จากนั้น ให้เขียนคําว่า “ข่าวดี” ไว้ด้านหน้าของแผ่นพับนั้น เขียนข้อพระคัมภีร์ ข้อ 5 และ 6 ลงบนด้านในของแผ่นพับ น้อง ๆ สามารถเพิ่มเติมข้อพระคัมภีร์ได้ เช่น ยอห์น 1:2, ยอห์น 3:16 และ กิจการ 16:31 แล้วตกแต่งแผ่นพับให้สวยงาม น้อง ๆ ลองนึกถึงใคร บางคนที่น้อง ๆ อยากจะมอบแผ่นพับนี้ให้กับเขา ที่พอพระทัยพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ทรงประสงค์ให้คนทั้งปวงได้รับความรอดและรู้ ถึงความจริง เพราะมีพระเจ้าเพียงองค์เดียวและมี คนกลางผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซู 1 ทิโมธี 2:1–7 คริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์ ผู้ทรงสละพระองค์เองเป็นค่า ไถ่บาปสําหรับมวลมนุษย์ พระองค์ประทานพยานนี้ให้ คริสเตียนมีงานที่สําคัญต้องทํา พวก ในเวลาอันเหมาะสม และเพื่อการนี้ข้าพเจ้าจึงได้รับ แต่งตั้งให้เป็นผู้ป่าวประกาศและเป็นอัครทูต ข้าพเจ้า เราต้องบอกเรื่องข่าวประเสริฐของ พระเยซูเแก่ทุกคน เพราะว่าพระเจ้า กําลังพูดจริง ไม่ได้โกหกเลย และข้าพเจ้าได้รับการ แต่งตั้งให้เป็นครูสอนความเชื่ออันแท้จริงแก่บรรดาคน ต้องการให้ทุกคนได้รับความรอด นี่ คือแผนการของพระองค์สําหรับโลก ต่างชาติ นี้ และพระองค์ทรงต้องการให้เรา ข้าพเจ้าอยากให้ผู้ชายทั่วทุกแห่งชูมืออันบริสุทธิ์ ทุกคนร่วมมือกันทําให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ในการอธิษฐาน โดยปราศจากความโกรธหรือการโต้ เถียงกัน และข้าพเจ้าอยากให้ผู้หญิงแต่งกายแต่พองาม ด้วยความสุภาพเรียบร้อยและเหมาะสม ไม่ใช่ ด้วยการถักผม ประดับกายด้วยทองหรือไข่มุก หรือสวมเสื้อผ้าราคาแพง แต่ด้วยการกระทําดีซึ่ง เหมาะสมกับสตรีผู้ประกาศตัวว่านมัสการพระเจ้า ผู้หญิงควรเรียนรู้อย่างเงียบๆ และยอมจํานนอย่างเต็มที่ ข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสั่งสอน หรือมีสิทธิอํานาจเหนือผู้ชาย แต่ให้สงบเงียบ เพราะพระเจ้าทรงสร้างอาดัมก่อน จากนั้นจึงทรง สร้างเอวา ทั้งอาดัมไม่ได้ถูกล่อลวง แต่หญิงนั้นถูกล่อลวงและกลายเป็นคนบาป แต่ผู้หญิงก็ จะรอดได้โดยการคลอดบุตร หากว่ายังคงอยู่ในความเชื่อ ความรัก และความบริสุทธิ์ ด้วยความ เหมาะสม 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
ผู้ปกครองและมัคนายก
นี่เป็นคํากล่าวที่น่าเชื่อถือ คือถ้าผู้ใดมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ปกครอง ในคริสตจักร ผู้นั้นก็ปรารถนา 3 งานอั นมีเกียรติ ส่วนผู้ปกครองในคริสตจักรนั้นต้องปราศจากที่ติ เป็นสามีของภรรยาคนเดียว 2
รู้จักประมาณตน รู้จักควบคุมตนเอง น่านับถือ มีน้ําใจรับรองแขก สามารถที่จะสอนคนอื่นได้ ไม่ ดื่มสุราเมามาย ไม่ก้าวร้าวแต่สุภาพอ่อนโยน ไม่ชอบทะเลาะวิวาท ไม่เป็นคนรักเงิน เขาต้องดูแล จัดการครอบครัวของตนได้ดี อบรมบุตรหลานให้เชื่อฟังและเคารพเขาอย่างที่ควร (ถ้าใครไม่รู้ วิธีดูแลจัดการครอบครัวของตนเอง เขาจะมาดูแลคริสตจักรของพระเจ้าได้อย่างไร?) เขาต้องไม่ เป็นผู้ที่เพิ่งกลับใจมาเชื่อ มิฉะนั้นอาจจะจองหองลืมตัวและต้องรับโทษเหมือนมารนั้น เขาต้อง 3
4
5
6
7
368 | 1 ทิโมธี 2:4
มีชื่อเสียงดีในหมู่คนภายนอก เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ตกใน 1 ทิโมธี 2 – 4 ความเสื่อมเสียและตกในกับดักของมาร เปาโลบอกทิโมธีว่าทุกคนที่คริสจักร ฝ่ายมัคนายกก็เช่นกัน ควรเป็นคนที่น่านับถือ จริงใจ ไม่ขี้เหล้าเมายา ไม่หาประโยชน์ในทางที่ไม่ซื่อ มีงานทําด้วยกันทุกคน และทุกคน เขาต้องยึดมั่นในความจริงอันลึกซึ้งของความเชื่อด้วย ในคริสตจักรควรทํางารร่วมกันใน การประกาศข่าวประเสริฐของพระ จิตสํานึกว่าตนชอบ จงตรวจสอบคนเหล่านี้ดูก่อน เยซู ทุกคนควรแบ่งเบาภาระซึ่งกัน เมื่อเห็นว่าไม่มีข้อบกพร่องจึงให้ทําหน้าที่มัคนายกได้ ในทํานองเดียวกันภรรยาของพวกเขาต้องเป็นสตรี และกัน ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง ผู้นํา และ สมาชิกในคริสจักร งานที่ทิโมธีรับผิด ที่น่านับถือ ไม่พูดว่าร้ายคนอื่น แต่รู้จักประมาณตน ชอบคือ การสอนสมาชิกว่าพวกเขา และเชื่อถือได้ในทุกเรื่อง ต้องทําอะไรบ้าง (1 ทิโมธี 4:11) มัคนายกต้องเป็นสามีของภรรยาคนเดียว และ ต้องดูแลบุตรหลานและครัวเรือนได้เป็นอย่างดี ผู้ที่ ปรนนิบัติได้อย่างดีก็ได้รับเกียรติมากและมีความมั่นใจ อย่างมากในความเชื่อของเขาในพระเยซูคริสต์ แม้ว่าข้าพเจ้าหวังจะมาหาท่านในไม่ช้า แต่ข้าพเจ้าก็เขียนคําสั่งสอนเหล่านี้มา เพื่อว่า หาก ข้าพเจ้าล่าช้า ท่านก็จะได้รู้ว่าคนทั้งหลายควรทําตัวอย่างไรในครอบครัวของพระเจ้า คือคริสตจักร ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่อันเป็นเสาหลักและรากฐานแห่งความจริง ข้อล้ําลึกแห่งทาง พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่เหนือข้อข้องใจทั้งมวล นั่นคือ พระองค์ได้ทรงปรากฏในกายมนุษย์ พระวิญญาณได้ทรงพิสูจน์แล้ว เหล่าทูตสวรรค์ได้เห็น มีผู้ประกาศพระองค์ท่ามกลางประชาชาติ ชาวโลกเชื่อในพระองค์ พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่พระเกียรติสิริ 8
9
10
11
12
13
14
15
16
เปาโลกําชับทิโมธี
ญญาณตรัสไว้ชัดเจนว่า ในภายหลังจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ หันไปติดตามวิญญาณ 4 ล่พระวิ อลวงและคําสอนของผีมาร คําสอนเช่นนี้ผ่านมาทางเหล่าคนโกหกหน้าซื่อใจคด ผู้ซึ่ง 2
จิตสํานึกตายด้าน เขาห้ามผู้คนแต่งงาน และสั่งให้งดอาหารบางชนิดซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ให้ผู้ 3
1 ทิโมธี 4:7–8 เปาโลบอกทิโมธีว่า เขาต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นคนที่ดีของพระเจ้า ทิโมธีต้องฝึกตัวเอง ให้ดําเนินชีวิตในแบบที่พระเจ้าปราถนาให้เขาทํา น้อง ๆ จะทําอย่างนั้นได้อย่างไร? มีกิจกรรมใดบ้างที่น้อง ๆ สามารถทําได้ทุกวันเพื่อ ช่วยให้น้อง ๆ เป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น? ให้เขียน 3 สิ่งที่จะช่วยให้น้อง ๆ มีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งและแข็งแรง 1 ทิโมธี 4:3 | 369
1 ทิโมธี 4:6–16 เปาโลสอนทิโมธีเกี่ยวกับวิธีการดําเนินชีวิตที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า และ วิธีการติดตามพระองค์ เปาโลได้วางแบบแผนให้ทิโมธี ใครที่เป็นแบบอย่างให้แก่น้อง ๆ ในคริสจักร? ให้เราพูดคุยกับใครบางคนว่า เราอยาก จะดําเนินชีวิตแบบใครในคริสจักร ถามคน ๆ นั้นถึงเคล็ดลับของเขาในการเดินติดตาม พระเยซู แล้วให้น้อง ๆ พูดคุยถึงวิธีการที่จะช่วยให้น้อง ๆ สามารถทําตามคําแนะนํา เหล่านั้นได้ ที่เชื่อและรู้ความจริงรับประทานด้วยการขอบพระคุณ เพราะทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นดี ถ้า รับด้วยการขอบพระคุณก็ไม่ห้ามเลยสักสิ่งเดียว เนื่องจากผ่านการชําระแล้วด้วยพระวจนะของ พระเจ้าและด้วยคําอธิษฐาน หากท่านชี้แจงสิ่งเหล่านี้แก่พวกพี่น้อง ท่านก็จะเป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเยซูคริสต์ซึ่งเติบโตขึ้น ในความจริงแห่งความเชื่อและหลักคําสอนอันดีที่ท่านยึดถือปฏิบัติตาม อย่าไปข้องเกี่ยวกับเทว ตํานานหรือนิยายปรัมปรา จงฝึกตนในทางพระเจ้าดีกว่า การฝึกทางกายนั้นมีคุณค่าอยู่บ้าง แต่ ทางพระเจ้าย่อมทรงคุณค่าในทุกด้าน เพราะทรงไว้ซึ่งพระสัญญาทั้งสําหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิต ในเบื้องหน้าด้วย นี่เป็นคํากล่าวที่เชื่อถือได้และควรที่จะรับไว้โดยไม่มีข้อกังขา (ที่เราตรากตรําและฟันฝ่าก็เพื่อ สิ่งนี้) คือเราหวังใจในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษย์ โดย เฉพาะผู้ที่เชื่อ จงกําชับและสั่งสอนสิ่งเหล่านี้ อย่าให้ใครมาดูหมิ่นท่านเพราะว่าท่านยังหนุ่มแน่น แต่จงเป็น แบบอย่างสําหรับผู้เชื่อทั้งในด้านวาจา การดําเนินชีวิต ความรัก ความเชื่อและความบริสุทธิ์ จง อุทิศตนในการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม ในการเทศนาและในการสั่งสอนจนกว่าเราจะมา อย่า ละเลยของประทานของท่านซึ่งประทานแก่ท่านผ่านทางคําเผยพระวจนะเมื่อคณะผู้ปกครอง วางมือบนท่าน 4
5
6
7
8
9
11
10
12
13
14
1 ทิโมธี 4:14 พระวิญญาณบริสุทธิ์มอบของประทานให้แก่คริสเตียน หนึ่งในของประทานนั้นคือ ดนตรี น้อง ๆ สามารถร้องเพลงหรือเล่นดนตรีได้หรือไม่? น้อง ๆ สามารถใช้ของประทานนี้ ที่โรงเรียนและคริสจักรในการสรรเสริญพระเจ้าและ เสริมสร้างอาณาจักรของพระองค์ จําไว้ว่าเราจะต้องไม่ลืมที่จะใช้ของประทานและรักษามันไว้ให้คงอยู่ น้อง ๆ ต้องพัฒนาของประทานโดยการฝึกฝนอย่างสม่ําเสมอ 370 | 1 ทิโมธี 4:4
จงขยันขันแข็งในงานเหล่านี้ ทุ่มเทให้สุดตัวเพื่อทุกคนจะเห็นถึงความก้าวหน้าของท่าน จง เอาใจใส่ดูแลชีวิตและคําสอนของท่านอย่างใกล้ชิด จงบากบั่นในสิ่งเหล่านี้ เพราะถ้าทําเช่นนั้น แล้วท่านจะช่วยทั้งตัวท่านและผู้ที่ฟังท่านให้รอดได้ 15
16
คําแนะนําเกี่ยวกับแม่ม่าย ผู้อาวุโส และทาส
อย่าตําหนิผู้อาวุโสอย่างรุนแรง แต่จงขอร้องเขาเสมือนว่าเป็นบิดาของท่าน จงปฏิบัติต่อชาย 5 หนุ ่มที่อ่อนวัยกว่าเสมือนเป็นน้องชาย ต่อหญิงที่สูงวัยเสมือนเป็นมารดา และต่อหญิงสาวที่ 2
อ่อนวัยกว่าเสมือนเป็นน้องสาวด้วยความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง จงนับถือเอาใจใส่หญิงม่ายผู้ขัดสนตามสมควร แต่ถ้าหญิงม่ายคนใดมีลูกหลาน ก่อนอื่นใดให้ ลูกหลานเหล่านั้นพึงปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา โดยการเอาใจใส่ดูแลครอบครัวของตนเอง อันเป็นการตอบแทนคุณบิดามารดาปู่ย่าตายาย เพราะการทําเช่นนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า หญิงม่ายผู้ขัดสนจริงๆ และอยู่ลําพังคนเดียวนั้นก็ตั้งความหวังไว้ในพระเจ้า นางพร่ําอธิษฐานและ ทูลขอพระเจ้าทั้งวันทั้งคืนให้ทรงช่วยเหลือ แต่หญิงม่ายที่อยู่เพื่อหาความสนุกเพลิดเพลินก็ตาย ทั้งเป็น จงสั่งสอนสิ่งเหล่านี้ด้วยเพื่อจะไม่มีใครถูกตําหนิได้ ถ้าผู้ใดไม่จุนเจือญาติพี่น้องของตน โดยเฉพาะคนในครอบครัวของตนเอง ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธความเชื่อแล้วและเลวยิ่งกว่าผู้ไม่เชื่อ อย่าบันทึกชื่อหญิงม่ายคนใดในทะเบียนรับการอุปถัมภ์ เว้นแต่นางจะมีอายุเกินหกสิบปีและ สัตย์ซื่อต่อสามีของนาง และเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในการทําความดีเช่น เลี้ยงดูลูกๆ มีน้ําใจรับรอง แขก ล้างเท้าให้ประชากรของพระเจ้า ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากและอุทิศตนในการทําดีทุกอย่าง ส่วนหญิงม่ายสาวๆ นั้น อย่ารับขึ้นทะเบียน เพราะเมื่อความปรารถนาทางร่างกายมีชัยเหนือ การอุทิศตัวแด่พระคริสต์ พวกนางก็อยากแต่งงานอีก อันเป็นเหตุให้นางถูกพิพากษาเพราะ ละเมิดคําปฏิญาณที่ให้ไว้แต่แรก นอกจากนี้พวกนางจะกลายเป็นคนเกียจคร้านเที่ยวไปบ้านนั้น บ้านนี้ และไม่เพียงเกียจคร้านเท่านั้นแต่ยังชอบซุบซิบนินทาและยุ่งเรื่องชาวบ้าน พูดสิ่งที่ไม่ควร พูด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอแนะนําหญิงม่ายสาวๆ ให้แต่งงาน ให้มีลูกหลาน ให้ดูแลบ้านช่องเพื่อปิด โอกาสไม่ให้ศัตรูว่าร้ายได้ อันที่จริงบางคนได้เตลิดตามซาตานไปแล้ว ถ้าหญิงผู้เชื่อคนใดมีคนในครอบครัวเป็นม่ายก็จงช่วยเหลือจุนเจือ อย่าปล่อยให้เป็นภาระของ คริสตจักร คริสตจักรจะได้ช่วยเหลือหญิงม่ายอื่นๆ ซึ่งขัดสนจริงๆ คณะผู้ปกครองที่บริหารกิจการของคริสตจักรได้ดีควรได้รับเกียรติเป็นสองเท่า โดยเฉพาะ บรรดาผู้ทําหน้าที่เทศนาและสั่งสอน เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า “อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัวซึ่ง นวดข้าวอยู่” และ “คนงานสมควรได้รับค่าจ้างของตน” อย่ารับพิจารณาคํากล่าวหาผู้ปกครอง คนใดเว้นแต่จะมีพยานสองสามคน จงว่ากล่าวตักเตือนผู้ที่ทําบาปต่อหน้าคนทั้งหลายเพื่อคน อื่นๆ จะได้ไม่กล้าเอาอย่าง ข้าพเจ้าขอกําชับท่านในสายพระเนตรพระเจ้าและพระเยซูคริสต์และต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ที่ ทรงเลือก ให้ยึดถือข้อปฏิบัติเหล่านี้โดยไม่ลําเอียงและอย่าทําสิ่งใดโดยเลือกที่รักมักที่ชัง อย่าผลีผลามวางมือให้ใครและอย่ามีส่วนร่วมในบาปของผู้อื่น จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์ ตั้งแต่นี้ไปอย่าดื่มแต่น้ํา จงเจือเหล้าองุ่นเล็กน้อย เนื่องด้วยกระเพาะอาหารของท่านและ ความเจ็บป่วยที่ท่านเป็นอยู่บ่อยๆ บาปของบางคนก็ชัดแจ้งนําหน้าเขาไปสู่สถานพิพากษา ส่วนบาปของบางคนตามเขามาใน ภายหลัง ในทํานองเดียวกันการทําดีย่อมปรากฏชัด แม้ที่ไม่ปรากฏชัดก็ไม่อาจซ่อนได้ ้งปวงที่อยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาส พึงถือว่าเจ้านายของตนสมควรได้รับความเคารพ 6 นัคนทั บถืออย่างเต็มที่ เพื่อจะไม่มีใครมาว่าร้ายพระนามของพระเจ้าและคําสอนของเราได้ ส่วน คนที่มีเจ้านายเป็นผู้เชื่อ ก็ไม่ควรจะแสดงความนับถือต่อเจ้านายน้อยลงเพราะเหตุที่เป็นพี่น้องกัน ตรงกันข้ามเขาควรจะรับใช้เจ้านายให้ดียิ่งขึ้น เพราะคนที่ได้ประโยชน์จากการรับใช้ของเขานั้น เป็นผู้เชื่อและเป็นที่รักของเขา 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22 23
24
25
2
1 ทิโมธี 6:2 | 371
1 ทิโมธี 6:10–12 น้อง ๆ เคยฝันอยากจะเป็นคนร่ํารวยในสักวันหนึ่งไหม? เปาโลบอกเราว่า การรัก เงินเป็นสาเหตุของความเลวร้ายหลายอย่าง มันจะฉุดดึงให้คนจมลงและสามารถ ทําลายพวกเขาได้ เปาโลยังบอกอีกว่าเราควรทําในสิ่งที่ถูกต้องและชอบธรรมในสาย พระเนตรพระเจ้า และต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อความเชื่อของเรา เพราะเมื่อเราได้ทํา แบบนั้นแล้ว เราจะได้รางวัลที่สวยงามคือชีวิตนิรันดร์บนสวรรค์กับองค์พระเยซู ให้ น้อง ๆ คุยกับคุณพ่อคุณแม่เรื่องการรักเงิน และการต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อความเชื่อ ของเรา สิ่งไหนที่จะทําให้เรามีความสุขและนํามาซึ่งรางวัลที่ดีที่สุด? การรักเงิน
ท่านจงสั่งสอนและกําชับให้เขาทําเช่นนี้ ถ้าผู้ใดสอนหลักข้อเชื่อเท็จและขัดกับคําสอนอันมี หลักขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราและคําสอนในทางพระเจ้า ผู้นั้นก็จองหองลืมตัวและไม่ เข้าใจอะไรเลย เขามัวแต่หมกมุ่นกับการถกเถียงโต้แย้งเรื่องคําต่างๆ ซึ่งทําให้เกิดการอิจฉา การ แก่งแย่งชิงดี การใส่ร้าย การระแวงกันอันร้ายกาจ และการบาดหมางแตกร้าวระหว่างผู้มีใจ เสื่อมทรามซึ่งถูกฉกชิงความจริงไป และคิดว่าทางพระเจ้าเป็นช่องทางหาเงินทองทํากําไร แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมีย่อมเป็นกําไรงาม เพราะเราเข้ามาในโลกตัว เปล่า เมื่อออกจากโลกก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้าก็ให้เราพอใจกับสิ่ง เหล่านั้น คนที่อยากรวยก็ตกหล่มเย้ายวนให้ทําบาป ติดกับและตกในความปรารถนาต่างๆ อัน โง่เขลาและอันตราย ซึ่งดึงมนุษย์ดิ่งลงในห้วงแห่งความพินาศย่อยยับ เพราะการรักเงินเป็นราก เหง้าของความชั่วทั้งปวง เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละบางคนจึงเตลิดจากความเชื่อและทําให้ตัวเอง ต้องปวดร้าวด้วยความทุกข์โศกนานา 3
4
5
6
7
8
9
10
372 | 1 ทิโมธี 6:3
1 ทิโมธี 6:11–12 เปาโลบอกทิโมธีให้เขาต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อความเชื่อนี้ นั้นหมายความว่า เราต้อง รักษาความเชื่อที่มีต่อพระเยซูตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ น้อง ๆ สามารถทําสิ่งใดเพื่อ เป็นการรักษาความเชื่อได้บ้าง? อะไรหรือใครที่คอยช่วยให้น้อง ๆ เดินต่อไปข้างหน้า ได้ จนกระทั่งน้องทําในสิ่งที่น้อง ๆ เริ่มต้นทําจนสําเร็จ? เปาโลได้ให้คําแนะนําอะไร แก่เราในข้อ 11, 18 และ 20? เราจะได้อะไรเมื่อเราต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อความเชื่อ ของเราจนถึงวันสุดท้าย? เปาโลกําชับทิโมธี
ส่วนท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดและใฝ่หาความชอบธรรม ใฝ่ หาทางพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทนและความสุภาพอ่อนโยน จงต่อสู้อย่างเข้มแข็ง เพื่อความเชื่อนี้ จงยึดมั่นชีวิตนิรันดร์ซึ่งทรงเรียกท่านมารับเมื่อท่านประกาศตนรับเชื่อต่อหน้า พยานหลายคน ในสายพระเนตรของพระเจ้าผู้ประทานชีวิตแก่สรรพสิ่ง และในสายพระเนตร ของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงประกาศความเชื่ออย่างหนักแน่นขณะให้การต่อปอนทัสปีลาต ข้าพเจ้า ขอกําชับท่าน ให้ถือรักษาคําสั่งนี้ไว้อย่าให้ด่างพร้อยหรือมีที่ติจนกว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของ เราจะมาปรากฏ พระเจ้าจะทรงให้การมาปรากฏเป็นไปในวาระของพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงเป็น ที่เทิดทูนสรรเสริญ ทรงเป็นผู้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว จอมราชันเหนือมวลราชา จอมเจ้านาย เหนือเจ้านายทั้งปวง พระองค์แต่ผู้เดียวทรงเป็นอมตะและประทับอยู่ในความสว่างอันไม่อาจ เข้าถึง เป็นผู้ที่ไม่มีใครเคยเห็นหรือสามารถเห็นพระองค์ได้ ขอพระเกียรติและเดชานุภาพมีแด่ พระองค์ตลอดนิรันดร์ อาเมน จงกําชับบรรดาผู้ร่ํารวยในโลกปัจจุบันนี้ไม่ให้หยิ่งทะนงหรือฝากความหวังไว้กับทรัพย์สมบัติ ซึ่งไม่จีรังยั่งยืน แต่จงหวังใจในพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งให้เราอย่างบริบูรณ์เพื่อความเบิกบาน ใจของเรา จงกําชับเขาเหล่านั้นให้ทําดี ร่ํารวยในการทําความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เต็มใจแบ่งปัน การทําเช่นนี้จะเป็นการสะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้ตนเอง เป็นรากฐานมั่นคงสําหรับยุคหน้า เพื่อเขา จะได้รับชีวิตอันเป็นชีวิตแท้ ทิโมธีเอ๋ย จงพิทักษ์รักษาสิ่งที่ท่านได้รับมอบหมาย จงหลีกหนีจากการพูดคุยอันไร้สาระ และ ความคิดขัดแย้งที่สําคัญผิดว่าเป็นความรู้ ซึ่งบางคนได้รับไว้จึงหลงเตลิดไปจากความเชื่อ ขอพระคุณดํารงอยู่กับพวกท่าน 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
1 ทิโมธี 6:21 | 373
จดหมายของเปาโลถึง ทิโมธี ฉบับที่สอง น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● เปาโลถูกจองจําในคุก เพราะเขาบอกทุกคนเกี่ยวกับพระเยซู
(2 ทิโมธี 1:8, 16–17, 2:9) ● เปาโลแน่ใจว่าอีกไม่นานเขาก็จะเสียชีวิต เพราะ เนโร ผู้เป็นจักรพรรดิโรมัน ได้เข่นฆ่า คริสเตียนมากขึ้นเรื่อย ๆ ● เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงทิโมธีผู้เป็นเพื่อนที่ดีของเขา ในปลายคริสต์ศักราชที่ 63 หลังจากที่พระเยซูทรงประสูติ
เปาโลบอกอะไรกับทิโมธี?
● เปาโลบอกทิโมธีว่าผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูควรดําเนินชีวิตอย่างชอบธรรมแม้ในขณะที่
พวกเขาเผชิญกับความยากลําบาก ● เปาโลบอกทิโมธีให้ยังคงทํางานที่ได้ริเริ่มไว้ต่อไป ● เปาโลบอกทิโมธียึดมั่นในความเชื่อของเขา ถึงแม้ว่าอาจจะมีบางคนที่ละทิ้งความเชื่อ ไป (2 ทิโมธี 3:1–5) ● ทิโมธีต้องจําไว้เสมอว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะคอยช่วยเหลือเขาอยู่ตลอดเวลา (2 ทิโมธี 1:7) และจะทรงสถิตอยู่ในชีวิตเขา (2 ทิโมธี 1:14) ● พระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า เปาโลบอกทิโมธีว่า เขาต้องศึกษาและสอนพระ คําของพระเจ้า (2 ทิโมธี 3:14 – 4:5)
ดูตรงนี้สิ!
● จงยึดมั่นในความเชื่อ แม้ชีวิตจะเผชิญกับความยากลําบาก (2 ทิโมธี 1:1–14) ● คริสเตียนเปรียบเหมือนกับทหาร (2 ทิโมธี 2:1–4), นักกีฬา (2 ทิโมธี 2:5) และ
ชาวนา (2 ทิโมธี 2:6–7)
● จงรักษาความเชื่อในพระเยซู (2 ทิโมธี 3:10–17)
374
2 ทิโมธี
2 ทิโมธี 1:5 ยายของทิโมธีชื่อโลอิส และมารดาขอเขาชื่อยูนีส ทั้งสองคนรักองค์พระเยซูเจ้า พวก เขาสอนทิโมธีเกี่ยวกับพระเยซูเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็ก ให้น้อง ๆ เขียนชื่อคนที่สอน เราเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเยซู วาดกรอบเพื่อเขียนชื่อบุคคลนั้นลงในกรอบ หรือ วาดรูปคนนั้นลงในกรอบ แล้วขอบพระคุณพระเจ้าสําหรับทุกสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นได้ สอนน้อง ๆ อย่าลืมที่จะขอบคุณพวกเขาด้วยล่ะ! จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์โดยพระประสงค์ของพระเจ้า 1 ตามพระสั ญญาแห่งชีวิตซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ ถึงทิโมธีลูกที่รักของข้าพเจ้า ขอพระคุณ พระเมตตา และสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็น เจ้าของเรามีแก่ท่าน 2
ให้กําลังใจให้สัตย์ซื่อ
เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงท่านในคําอธิษฐานอยู่เสมอทั้งวันทั้งคืน ข้าพเจ้าก็ขอบพระคุณพระเจ้าผู้ ซึ่งข้าพเจ้ารับใช้อยู่ด้วยจิตสํานึกอันใสสะอาดเช่นเดียวกับบรรพบุรุษของข้าพเจ้า เมื่อหวนนึกถึง น้ําตาของท่าน ข้าพเจ้าก็อยากจะมาหาท่านเพื่อข้าพเจ้าจะได้เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี ข้าพเจ้า คิดถึงความเชื่ออันจริงใจของท่าน ซึ่งตั้งแต่แรกนั้นก็มีอยู่ในโลอิสยายของท่านและในยูนีสมารดา ของท่าน และข้าพเจ้าเชื่อว่าบัดนี้มีอยู่ในท่านเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงขอเตือนท่านว่าจง ทําให้ของประทานของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในตัวท่านผ่านทางการวางมือของข้าพเจ้านั้นรุ่งเรืองขึ้น เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงให้เรามีใจขลาดอาย แต่ประทานใจอันเปี่ยมด้วยฤทธิ์อํานาจ ความรัก และการรู้จักบังคับตนเองแก่เรา ดังนั้นอย่าละอายที่จะเป็นพยานเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือละอายในตัวของข้าพเจ้า 3
4
5
6
7
8
2 ทิโมธี 1:6–7 ถ้าน้อง ๆ เคยดูใครสักคนจุดไฟโดยที่ไม้ยังชื้นอยู่ น้อง ๆ คงเคยเห็นเขาเป่าลมลงบน ไม้ที่ไหม้อย่างช้า ๆ จนกระทั่งมีเปลวไฟเกิดขึ้น อันนี้แหละที่ทําให้ไฟกําเนิดขึ้น เมื่อไฟเริ่มค่อย ๆ ดับลง น้อง ๆ สามารถทําให้มันติดไฟได้อีกครั้งโดยการเป่าลมลงไป บนถ่านที่ยังมีไฟอยู่ เปาโลบอกทิโมธีให้รักษาของประทานฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้า ทรงมอบให้แก่เขา เช่นเดียวกับการรักษาไฟให้ลุกโชติช่วงอยู่เสมอ น้อง ๆ คิดว่าเปาโล หมายความว่าอย่างไร? แล้วน้อง ๆ จะรักษาของประทานฝ่ายวิญญาณที่มีในชีวิตของ น้อง ๆ ได้อย่างไร? 376 | 2 ทิโมธี 1:1
ผู้ถูกจองจําเพื่อพระองค์ แต่จงร่วมทนทุกข์กับข้าพเจ้า 2 ทิโมธี 2:1–6 เพื่อข่าวประเสริฐโดยฤทธิ์อํานาจของพระเจ้า ผู้ทรง ช่วยเราให้รอดและทรงเรียกเรามาสู่ชีวิตอันบริสุทธิ์ คริสเตียนเปรียบเหมือนทหาร ทหาร ไม่ใช่เพราะการกระทําใดๆ ของเราแต่เพราะพระ นั้นเชื่อฟังคําสั่งของผู้บังคับบัญชา ประสงค์และพระคุณของพระองค์เอง พระคุณนี้ได้ คริสเตียนเปรียบเหมือนนักกีฬา ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้น นักกีฬาต้องเล่นกีฬาตามกฎกติกา ของเวลา แต่บัดนี้ทรงให้ประจักษ์แจ้งโดยการเสด็จ เพื่อที่พวกเขาจะชนะการแข่งขัน มาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ ทรงทําลายความตายและทรงนําชีวิตกับความเป็น คริสเตียนเปรียบเหมือนชาวนา อมตะมาสู่ความสว่างโดยทางข่าวประเสริฐ และทรง ชาวนาทํางานหนัก เพื่อที่พวกเขาจะ แต่งตั้งข้าพเจ้าให้เป็นผู้ป่าวประกาศ เป็นอัครทูต และ เก็บเกี่ยวผลผลิตที่ดีได้ เป็นผู้สอนข่าวประเสริฐนี้ นั่นเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าทน ทุกข์อย่างที่เป็นอยู่ กระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอายเพราะ ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าเชื่อ และมั่นใจว่าพระองค์ทรงสามารถรักษาสิ่งที่ข้าพเจ้ามอบไว้กับ พระองค์จนถึงวันนั้นได้ จงยึดถือแบบอย่างของคําสอนอันมีหลักที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้าด้วยความเชื่อและความรักใน พระเยซูคริสต์ สําหรับความจริงแห่งข่าวประเสริฐที่ท่านได้รับมอบหมายไว้นั้น จงพิทักษ์รักษาไว้ โดยการช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในเราทั้งหลาย ท่านก็ทราบว่าทุกคนในแคว้นเอเชียทิ้งข้าพเจ้าไปหมด รวมทั้งฟีเจลัสกับเฮอร์โมเกเนส ขอพระเจ้าทรงสําแดงพระเมตตาแก่ครอบครัวของโอเนสิโฟรัสเพราะเขาทําให้ข้าพเจ้าชื่น ใจบ่อยครั้งและไม่ละอายเลยที่ข้าพเจ้าถูกจองจําอยู่ ตรงกันข้ามเมื่อเขาอยู่ในกรุงโรม เขาพยายามเที่ยว 2 ทิโมธี 2:6–7 สืบหาข้าพเจ้าจนพบ ขอพระเจ้าทรงให้เขาได้รับ พระเมตตาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าในวันนั้นด้วยเถิด! ทิโมธีอาจเหน็ดเหนื่อยจากการ ท่านก็ทราบดีว่าเมื่ออยู่ที่เมืองเอเฟซัสเขาได้ช่วยเหลือ ทํางานหนัก หรือหมดกําลังใจเพราะ ข้าพเจ้าในหลายๆ ด้าน ความทุกข์ยากลําบากของเขา เหตุฉะนั้นลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย ท่านจงเข้มแข็งใน 2 พระคุณซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ สิ่งต่างๆ ที่ท่าน คําแนะนําของเปาโลคือ อย่าคิดถึง สิ่งที่ยาก หรือความกลัวและความ ได้ยินข้าพเจ้าพูดต่อหน้าพยานหลายคนจงมอบหมาย อ่อนแอของเรา แต่ให้แทนที่ด้วยการ แก่ผู้ที่เชื่อถือได้ ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะสอนผู้อื่น พัฒนาของประทานที่มาจากพระเจ้า ด้วย จงทนต่อความยากลําบากร่วมกับเราเยี่ยงทหาร ให้น้อง ๆ คิดถึงสิ่งที่น้อง ๆ สามารถ ที่ดีของพระเยซูคริสต์ ไม่มีทหารคนใดเข้าประจํา ทําได้ดีและหมั่นฝึกฝนมันไว้ พระ การแล้วยังยุ่งเกี่ยวกับเรื่องฝ่ายพลเรือน เขาย่อมมุ่ง วิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเสริมกําลัง ทําให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ เช่นกันนักกีฬาย่อมไม่ได้ รับมงกุฎแห่งชัยชนะหากไม่แข่งขันตามกติกา กสิกร เรา จะทรงมอบความรักให้แก่ ผู้ตรากตรําควรได้รับส่วนแบ่งของพืชผลก่อนใคร จง เรา และช่วยทําให้เราบังคับตนเอง ได้ – พระองค์จะทรงให้ในทุกสิ่งที่ ใคร่ครวญสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดมา เพราะองค์พระผู้เป็น เราจําเป็น เจ้าจะประทานความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งทั้งปวง เหล่านี้แก่ท่าน จงระลึกถึงพระเยซูคริสต์ซึ่งทรงให้เป็นขึ้นจากตาย ทรงสืบเชื้อสายจากดาวิด นี่คือข่าว ประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศ เพื่อข่าวประเสริฐนี้ข้าพเจ้าจึงทนทุกข์อยู่ ถึงขนาดถูกล่ามโซ่เหมือน โจรผู้ร้าย แต่ไม่มีใครเอาโซ่ล่ามพระวจนะของพระเจ้าไว้ได้ ฉะนั้นข้าพเจ้ายอมทนทุกอย่างเพื่อ 9
10
11
12
13
14
15 16
17
18
2
3
4
5
6
7
8
9
10
2 ทิโมธี 2:10 | 377
2 ทิโมธี 2:1–10 เปาโลอธิบายถึงการใช้ชีวิตของคริสเตียน ให้น้อง ๆ ทํางานร่วมกันกับเพื่อน ๆ ลองดู ว่าน้อง ๆ สามารถค้นหาการใช้ชีวิตแบบคริสเตียนในข้อพระคัมภีร์ดังต่อไปนี้ 2 ทิโมธี 2:1–2 2 ทิโมธี 2:3–14 2 ทิโมธี 2:5 2 ทิโมธี 2:6 น้อง ๆ สามารถทําสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง? ให้พูดคุยกับเพื่อนในกลุ่มว่าเราสามารถ นําสิ่งเหล่านั้นมาฝึกปฏิบัติในชีวิตเราได้อย่างไร เห็นแก่ผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้ เพื่อว่าคนเหล่านั้นจะได้รับความรอดซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์พร้อมด้วย ศักดิ์ศรีนิรันดร์ นี่เป็นคํากล่าวที่เชื่อถือได้คือ ถ้าเราตายกับพระองค์ เราก็จะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย ถ้าเราอดทน เราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ด้วย ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ก็จะทรงปฏิเสธเราด้วย ถ้าเราไม่สัตย์ซื่อ พระองค์ก็ยังคงสัตย์ซื่อ เพราะพระองค์ปฏิเสธพระองค์เองไม่ได้ 11
12
13
คนงานที่พระเจ้าพอพระทัย
จงหมั่นเตือนประชากรทั้งหลายให้ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ จงตักเตือนพวกเขาต่อหน้าพระเจ้าไม่ ให้โต้เถียงกันเรื่องคําต่างๆ ซึ่งไร้ค่า มีแต่จะทําลายผู้ฟัง จงพยายามอย่างสุดกําลังที่จะให้ตัวท่าน 14
15
2 ทิโมธี 2:15 เปาโลบอกว่าเราคือคนงานของพระเจ้า เราจะต้องทําอะไรบ้างเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้อง ละอายใจ? เปาโลได้กล่าวในพระธรรมโคโลสี 3:17 ว่า เราควรจะทําทุกสิ่งทุกอย่างให้ เหมือนกับที่เราทําถวายแด่องค์พระเยซูเจ้า น้อง ๆ มีงานที่ต้องรับผิดชอบที่บ้านหรือโรงเรียนหรือไม่? เลือกงานของน้องมา 1 อย่าง แล้วลงมือทํางานนั้นเพื่อให้พระเจ้าทรงพอพระทัย คุยกับพระองค์ในขณะที่เรา ทํางานอยู่ และบอกความรู้สึกของเราที่มีต่องานที่เรากําลังทําอยู่ 378 | 2 ทิโมธี 2:11
2 ทิโมธี 3:14–15 หลายครั้งที่คนเรามักมีความขัดแย้งกันเมื่อพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า บางครั้งพวก เขาก็โกรธและตะโกนออกใส่กัน น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์เหล่านี้? ข้อความนี้ ได้สอนอะไรกับน้อง ๆ บ้าง? และมันช่วยน้อง ๆ ได้อย่างไร? ให้น้อง ๆ เลือกหนึ่งหน้าจาก (หน้า 11) เพื่อแสดงถึงความรู้สึกของน้อง ๆ เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรับรอง เป็นคนงานที่ไม่ต้องอับอาย และใช้ถ้อยคําแห่งความจริงอย่างถูกต้อง จงหลีกห่างจากการพูดจาไร้สาระไม่ยําเกรงพระเจ้าซึ่งจะนําผู้ที่หมกมุ่นให้ยิ่งต่ําทรามลง คํา สอนของพวกเขาแพร่ลามเหมือนเนื้อร้าย ฮิเมเนอัสกับฟีเลทัสก็อยู่ในพวกนี้ เขาทั้งสองเตลิดจาก ความจริง พวกเขากล่าวว่าการเป็นขึ้นจากตายได้ผ่านพ้นไปแล้ว และได้ทําลายความเชื่อของบาง คนลง แต่รากฐานมั่นคงของพระเจ้าตั้งอยู่อย่างไม่คลอนแคลน ประทับตราด้วยข้อความที่ว่า “พระเจ้าทรงรู้จักบรรดาผู้ที่เป็นของพระองค์” และ “ทุกคนที่เอ่ยพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงหลีกหนีจากความชั่วร้าย” ในบ้านหลังใหญ่ไม่ใช่มีแต่ภาชนะทองและเงินเท่านั้น แต่มีภาชนะไม้และดินด้วย บางชิ้นใช้ ในงานที่ทรงเกียรติ บางชิ้นเพื่อใช้สอยธรรมดา ถ้าผู้ใดชําระตนให้พ้นจากสิ่งไร้ค่า เขาก็จะเป็น ภาชนะอันทรงเกียรติ ได้รับการชําระให้บริสุทธิ์ มีประโยชน์สําหรับองค์เจ้านาย และถูกเตรียมไว้ พร้อมเพื่อจะทําการดีทุกประการ ท่านจงหนีจากราคะตัณหาของคนหนุ่มและจงใฝ่หาความชอบธรรม ความเชื่อ ความรัก และ สันติสุขร่วมกับบรรดาผู้ที่ร้องเรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์ อย่าข้องแวะกับการโต้แย้ง ต่างๆ อันโง่เขลาไร้สาระเพราะท่านรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์ พระผู้เป็นเจ้าต้องไม่ทะเลาะวิวาท แต่เขาต้องสุภาพอ่อนโยนต่อทุกคน สามารถสอนผู้อื่นได้ ไม่เจ้า อารมณ์ เขาต้องชี้แจงอย่างสุภาพแก่บรรดาผู้ที่ต่อต้านเขาโดยหวังว่าพระเจ้าจะทรงให้คนเหล่านี้ กลับใจเพื่อจะรู้ถึงความจริง และโดยหวังว่าคนเหล่านี้จะได้สติและหลุดพ้นจากกับดักของมารซึ่ง ได้จับพวกเขาไว้เป็นเชลยให้ทําตามความประสงค์ของมัน 16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
ความอธรรมในวาระสุดท้าย
แต่จงรู้ไว้ด้วยว่าจะเกิดกลียุคในวาระสุดท้าย ผู้คนจะรักตนเอง รักเงิน ชอบโอ้อวด หยิ่ง 3 ยโส ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อกตัญญู ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีความรัก ไม่ให้อภัย ชอบนินทาว่า 2
3
ร้าย ไม่มีการควบคุมตนเอง โหดร้าย ไม่รักความดี ทรยศหักหลัง หุนหันพลันแล่น ถือดี รักสนุก มากกว่ารักพระเจ้า ยึดถือทางพระเจ้าเพียงเปลือกนอกแต่กลับปฏิเสธฤทธิ์อํานาจของพระเจ้า อย่าไปคบคนแบบนี้ พวกเขาคืบคลานไปตามบ้านต่างๆ จูงจมูกหญิงเบาปัญญาผู้บาปหนาซึ่งโอนเอนไปกับสารพัด ตัณหาชัว่ หญิงเหล่านีใ้ ฝ่เรียนแต่ไม่สามารถรูถ้ งึ ความจริงได้เลย เช่นเดียวกับทีย่ นั เนสกับยัมเบรส์ ต่อต้านโมเสส คนเหล่านี้ก็ต่อต้านความจริง พวกเขาเป็นคนใจทราม ความเชื่อของเขาก็ไม่เป็น ที่ยอมรับ แต่เขาจะไปได้ไม่ไกลเพราะความโง่เขลาของคนเหล่านี้จะปรากฏชัดแก่ทุกๆ คนเหมือน ในกรณีของสองคนนั้น 4
5
6
7
8
9
2 ทิโมธี 3:9 | 379
2 ทิโมธี 3:14 ให้น้อง ๆ ยืนเป็นสองแถว แล้วจับประสานมือกันให้เหมือนอุโมงค์กับเพื่อนที่อยู่ฝั่ง ตรงข้าม จากนั้นให้น้อง ๆ และเพื่อนที่เป็นคู่ของน้อง ๆ เลือกเพลงนมัสการพระเจ้า 1 เพลง ทุกคนร้องเพลงที่เลือกพร้อม ๆ กัน มันเหมือนเสียงที่ดังเท่านั้นใช่หรือไม่? ตอน นี้ให้คู่ของทุกคนเปลี่ยนกันวิ่งผ่านเข้าไปในอุโมงค์ ขณะที่ทุกคนยังคงร้องเพลงของตัว เองไปเรื่อย ๆ เมื่อคู่ของเราวิ่งมาถึงอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์ พวกเขาต้องพยายามที่จะ ร้องเพลงของตัวเองอีกครั้ง มันเป็นสิ่งที่ยากจริง ๆ! ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเสมอไปที่จะจําเพลง สรรเสริญพระเจ้าท่ามกลางเสียงรบกวนจากโลกข้างนอก เปาโลกําชับทิโมธี
แต่ท่านรู้ถึงคําสอนทั้งปวงของข้าพเจ้า วิถีชีวิตของข้าพเจ้า เป้าหมายของข้าพเจ้า ความเชื่อ ความอดทน ความรัก ความเด็ดเดี่ยวมั่นคง การกดขี่ข่มเหง ความทุกข์ยาก ท่านรู้ถึงการถูก ข่มเหงนานาประการที่เกิดกับข้าพเจ้าในเมืองอันทิโอก เมืองอิโคนียูม และเมืองลิสตรา ถึงกระนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ อันที่จริงบรรดาผู้ที่ปรารถนา จะดําเนินชีวิตตามทางพระเจ้าในพระเยซูคริสต์จะถูกข่มเหง ขณะที่คนชั่วและคนหลอกลวงจะ เสื่อมทรามลง ทั้งล่อลวงคนอื่นและถูกคนอื่นล่อลวง แต่ส่วนท่านจงดําเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านได้ เรียนรู้และได้เชื่อมั่น เพราะท่านรู้จักคนเหล่านั้นที่ท่านเรียนรู้จากเขา และรู้ว่าตั้งแต่เด็กมาแล้ว ท่านก็ได้รู้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถทําให้ท่านมี ปัญญาที่จะมาถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซู 2 ทิโมธี 3:14–17 คริสต์ พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน การว่ากล่าวตัก มี 2 เหตุผลที่บ่งบอกว่าทําไมพระ เตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง และการฝึกฝนในความ คัมภีร์ถึงมีความสําคัญ ชอบธรรม เพื่อเตรียมคนของพระเจ้าให้พรักพร้อม •พระคัมภีร์สอนเราเกี่ยวกับพระเจ้า สําหรับการดีทุกอย่าง (ข้อ 15) และแสดงให้เราเห็นว่า าพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ผู้จะทรง ความจริงว่าคืออะไร 4 พิต่พอหน้ ากษาทั้งคนเป็นและคนตาย และโดยคํานึงถึง •พระคัมภีร์แสดงวิธีการดําเนินชีวิต การเสด็จมาและราชอาณาจักรของพระองค์ ข้าพเจ้า ที่ชอบธรรมให้แก่เรา (ข้อ 16) ขอกําชับท่านว่า จงประกาศพระวจนะ จงเตรียมตัว ให้พร้อมทั้งขณะที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส จงแก้ไข ข้อผิดพลาด จงตักเตือน และให้กําลังใจด้วยความ อดทนอย่างยิ่งและด้วยการสั่งสอนอย่างถี่ถ้วน เพราะวาระนั้นจะมาถึง เมื่อผู้คนจะทนคําสอนอัน มีหลักไม่ได้ ตรงกันข้ามเขาจะรวบรวมครูจํานวนมากไว้พูดอย่างที่หูของเขาอยากได้ยิน เพื่อสนอง ความอยากของเขาเอง พวกเขาจะไม่ฟังความจริงและหันไปหานิยายปรัมปราต่างๆ แต่ท่านจง มีสติสัมปชัญญะในทุกสถานการณ์ จงอดทนต่อความยากลําบาก จงทําหน้าที่ของผู้ประกาศข่าว ประเสริฐ จงทําหน้าที่ทุกอย่างในพันธกิจของท่านให้สําเร็จ เพราะว่าข้าพเจ้ากําลังถูกเทออกแล้วเหมือนเครื่องดื่มบูชาและถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจะจากไป ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเข้มแข็ง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งมาจนถึงเส้นชัย ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว บัดนี้มงกุฎแห่งความชอบธรรมรอข้าพเจ้าอยู่ องค์พระผู้เป็นเจ้าตุลาการผู้เที่ยงธรรมจะประทาน 10
11
12
13
14
15
16
17
2
3
4
6
7
8
380 | 2 ทิโมธี 3:10
5
มงกุฎนี้เป็นรางวัลแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และไม่ใช่แก่ ข้าพเจ้าคนเดียว แต่จะประทานแก่คนทั้งปวงที่เฝ้า คอยการเสด็จมาของพระองค์ด้วย
2 ทิโมธี 4:6–8
จดหมายฉบับนี้เป็นฉบับสุดท้าย ที่เปาโลเขียนถึงทิโมธี เขารู้ว่า ขอให้ท่านพยายามมาหาข้าพเจ้าโดยเร็วที่สุด เขากําลังจะเสียชีวิตในอีกไม่ช้า เพราะเดมาสได้ทง้ิ ข้าพเจ้าไปยังเมืองเธสะโลนิกาแล้ว จดหมายฉบับนี้จึงเปรียบเสมือน เนื่องจากเขาได้รักโลกนี้ เครสเซนส์ได้ไปยังแคว้น กาลาเทีย และทิตสั ได้ไปยังเมืองดาลมาเทีย เหลือลูกา พินัยกรรมฉบับสุดท้ายที่ใครบาง คนได้เขียนขึ้นในช่วงสมัยของ อยู่กับข้าพเจ้าเพียงผู้เดียว ท่านจงพามาระโกมาด้วย เปาโล เขาได้ให้คําแนะนําสุดท้าย เพราะเขาช่วยข้าพเจ้าได้มากในพันธกิจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ส่งทีคิกัสไปยังเมืองเอเฟซัส เมื่อท่านมา แก่ทิโมธีเกี่ยวกับการดําเนินชีวิต ในทางพระเจ้า เขาบอกทิโมธีอีก หาข้าพเจ้าจงนําเสื้อคลุมซึ่งข้าพเจ้าฝากคารปัสไว้ที่ ครั้งหนึ่งว่าทุกคนที่รักษาความ เมืองโตรอัสกับม้วนหนังสือของข้าพเจ้ามาด้วย โดย เฉพาะอย่างยิ่งหนังสือที่เขียนบนแผ่นหนัง เชื่อจนถึงวันสุดท้ายจะได้อยู่กับ อเล็กซานเดอร์ช่างโลหะได้ทําร้ายข้าพเจ้าอย่าง องค์พระเยซูตลอดไปเป็นนิตย์ สาหัส องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบแทนเขาตาม บนสววรค์ คํากําชับส่วนตัว 9
10
11
12
13
14
การกระทําของเขา ท่านเองพึงระวังเขาให้ดีเพราะ เขาต่อต้านถ้อยคําของเราอย่างรุนแรง ในการสู้คดีครั้งแรกของข้าพเจ้า ไม่มีใครอยู่ฝ่ายข้าพเจ้าเลย ทุกคนทิ้งข้าพเจ้าไปหมด ขออย่า ให้พวกเขาต้องรับโทษ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เคียงข้างข้าพเจ้า ประทานกําลังแก่ข้าพเจ้า เพื่อว่าโดยทางข้าพเจ้าเรื่องราวจะถูกประกาศไปอย่างครบบริบูรณ์และคนต่างชาติทั้งปวงก็จะ ได้ยินเรื่องราวนี้ ทั้งข้าพเจ้ายังได้รับการช่วยให้รอดจากปากสิงห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วย ข้าพเจ้าให้พ้นจากการโจมตีที่ชั่วช้าทุกอย่างและจะทรงนําข้าพเจ้าเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ของ พระองค์อย่างปลอดภัย ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน 15
16
17
18
คําลงท้าย
ข้าพเจ้าขอฝากความคิดถึงมายังปริสสิลลากับอาควิลลา และครอบครัวของโอเนสิโฟรัส เอรัสทัสยังอยูท่ เ่ี มืองโครินธ์ และข้าพเจ้าละโตรฟีมสั ซึง่ ป่วยอยูไ่ ว้ทเ่ี มืองมิเลทัส ขอให้ทา่ นพยายาม มาถึงทีน่ ก่ี อ่ นฤดูหนาว ยูบลู สั ปูเดนส์ ลีนสั คลาวเดีย และพีน่ อ้ งทัง้ ปวงฝากความคิดถึงมายังท่าน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับจิตวิญญาณของท่าน ขอพระคุณดํารงอยู่กับพวกท่าน 19
20
21
22
2 ทิโมธี 4:7 ใน 1 ทิโมธี 6:12 เปาโลกล่าวถึงรางวัลสําหรับการสิ้นสุดการแข่งขันคือชีวิตนิรันดร์บน สวรรค์ เปาโลได้บอกทิโมธีว่าท่านได้สิ้นสุดการแข่งขันแล้ว และกําลังรอคอยที่จะได้ รับรางวัล จ๊ะจ๋า สงสัยว่าน้อง ๆ เคยคิดว่าชีวิตของน้อง ๆ จะจบสิ้นบ้างหรือไม่ มันคงเป็นเวลา อีกยาวไกล! ให้พูดคุยเกี่ยวกับคนที่รู้สึกว่าการแข่งขันของเขากําลังจะสิ้นสุดลงนั้น เขา มีความรู้สึกอย่างไร 2 ทิโมธี 4:22 | 381
จดหมายของเปาโลถึง ทิตัส ทิตัสเป็นใคร?
● ทิตัสเป็นชาวกรีก (กาลาเทีย 2:3) ● เปาโลบอกทิตัสเกี่ยวกับพระเยซู (ทิตัส 1:4) ● ทิตัสร่วมเดินทางกับเปาโล เขาเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมงานของเปาโล ● ทิตัสยังได้ไปประชุมคริสตจักรครั้งสําคัญในกรุงเยรูซาเล็มกับเปาโลด้วย
(กิจการ 15, กาลาเทีย 2:1) ● เปาโลส่งทิตัสไปยังคริสตจักร เมื่อท่านไม่สามารถไปได้ด้วยตัวเอง (2 โครินธ์ 8:16–24) ● เปาโลได้แต่งตั้งทิตัสให้เป็นผู้นําของคริสตจักรในเกาะครีต ● เปาโลเขียนถึงทิตัสในปีคริสต์ศักราชที่ 63 หลังจากที่พระเยซูทรงประสูติ
เกาะครีต
● กาะครีตเป็นหนึ่งในเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มันเคยอยู่ในการ
ปกครองของโรมัน ● ซากปรักหักพังของพระราชวังโบราณของ คนอสซอส ก็ยังอยู่บนเกาะอยู่ ● หลายคนคิดว่าชาวครีตเป็นพวกชอบโกหก และพวกเขาก็ยังขี้เกียจมากอีกด้วย
ทําไมเปาโลถึงเขียนจดหมายถึงทิตัส?
● เปาโลอยากให้คําแนะนําทิตัสเกี่ยวกับวิธีการสอนคริสเตียนในเกาะครีตให้ดําเนินชีวิต
อยู่ในพระเจ้า
● นอกจากนี้เปาโลยังให้คําแนะนําทิตัสเกี่ยวกับ คนประเภทต่าง ๆ ที่ทิตัสควรจะแต่ง
ตั้งให้เป็นผู้นําอาวุโส และผู้ช่วยในคริสตจักร
ดูตรงนี้สิ!
● ลักษณะของผู้นําที่ดี (ทิตัส 1:5–9) ● คริสเตียนสามารถแสดงให้เห็นว่าการเป็นสาวกของพระเยซูนั้นทําได้อย่างไร
(ทิตัส 3:1–7)
382
ทิตัส
จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าและอัครทูตของพระเยซูคริสต์ เพื่อ 1 ความเชื ่อของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและเพื่อความรู้ถึงความจริงอันนําไปสู่ทางพระเจ้า คือ 2
ความเชื่อและความรู้ที่ตั้งอยู่บนความหวังในชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระเจ้าผู้ไม่ทรงมุสาได้ทรงสัญญา ไว้ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา และเมื่อถึงวาระที่ทรงกําหนดพระองค์ได้ทรงให้พระวจนะของ พระองค์เป็นที่ทราบทั่วกันผ่านทางการประกาศที่ได้ทรงมอบหมายไว้แก่ข้าพเจ้าตามพระบัญชา ของพระเจ้าองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ถึงทิตัสลูกแท้ของข้าพเจ้าในความเชื่อเดียวกัน ทิตัส 1:5 ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาและ เกาะครีตเป็นเกาะที่อยู่ในทะเล พระเยซูคริสต์องค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรามีแก่ท่าน เมดิเตอร์เรเนียน มีท่าเรือที่เหมาะ ภารกิจของทิตัสที่เกาะครีต สําหรับเรือที่แล่นอยู่ในทะเล เหตุที่ข้าพเจ้าละท่านไว้ที่เกาะครีตก็เพื่อให้ท่าน เมดิเตอร์เรเนียน และยังมีโจรสลัด สะสางงานที่ยังคั่งค้างและแต่งตั้งคณะผู้ปกครองของ จํานวนมากอาศัยอยู่บนเกาะในก่อน คริสตจักรในทุกเมืองตามที่ข้าพเจ้าได้สั่งท่านไว้ ผู้ ถึงสมัยของเปาโลอีกด้วย ชาวโรมัน ปกครองนั้นต้องปราศจากที่ติ เป็นสามีของภรรยาคน พยายามที่จะจัดการปราบปรามพวก เดียว บุตรของเขาต้องเป็นผู้เชื่อและไม่มีพฤติกรรม เขา เกาะครีตจึงตกเป็นเมืองขึ้นของ ที่ใครจะกล่าวหาได้ว่าเป็นคนพาลเกเรและไม่เชื่อฟัง โรมัน และได้ส่งออกสินค้าพวกไวน์ เนื่องจากผู้ปกครองดูแลคริสตจักรได้รับมอบหมาย มะกอก และสมุนไพร ไปยังรัฐอื่นๆ งานของพระเจ้า เขาจึงต้องไม่มีที่ติ ไม่ใช้อํานาจบาตร ของโรมันด้วย ใหญ่ ไม่เลือดร้อนเจ้าโทสะ ไม่ดื่มสุราเมามาย ไม่ ก้าวร้าวใช้กําลัง ไม่หาประโยชน์ในทางทุจริต แต่เขา ต้องเป็นผู้มีน้ําใจรับรองแขก รักสิ่งที่ดี ควบคุมตัวเองได้ ยุติธรรม บริสุทธิ์ และมีวินัย เขาต้องยึด มั่นในหลักคําสอนอันเชื่อถือได้ตามที่เรียนรู้มา เพื่อเขาจะสามารถให้กําลังผู้อื่นด้วยคําสอนอันมี หลักและโต้แย้งผู้ที่ต่อต้านคําสอนนั้น เพราะมีหลายคนที่มักขัดขืนไม่เชื่อฟังพวกเขา เป็นคนดีแต่พูดและหลอกลวงโดยเฉพาะคน เหล่านั้นจากกลุ่มเข้าสุหนัต ต้องทําให้พวกนี้สงบปากสงบคํา เพราะหลายครัวเรือนกําลังถูกเขา ทําลายทั้งครอบครัวโดยการสอนสิ่งที่เขาไม่ควรสอนและการสอนนั้นก็เพื่อหาประโยชน์ในทาง ทุจริต แม้แต่ผู้พยากรณ์คนหนึ่งของพวกเขาเองยังกล่าวว่า “ชาวครีตเป็นคนโกหกเสมอ เป็น สัตว์ป่าชั่วร้าย เป็นคนตะกละตะกลามที่เกียจคร้าน” และคําพูดนี้ก็เป็นความจริง ฉะนั้นจง 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
ทิตัส 1:8 เปาโลได้กําหนดสิ่งที่ผู้นําคริสตจักรต้องทําไว้หกสิ่ง ดูซิว่าน้อง ๆ จะสามารถหามันเจอ ไหม และเขียนบันทึกมันลงไป น้อง ๆ คิดว่าการเป็นผู้นํานั้นเป็นเรื่องง่ายไหม? ทําไมเราถึงคิดว่าผู้คนจะมีชีวิตที่ดีขึ้น หากบรรดาผู้นําปฏิบัติตาม หก สิ่งนี้ที่เปาโลได้เขียนบอกเอาไว้? ให้น้อง ๆ จําข้อเหล่านี้ไว้ เพื่อใช้ในการเลือกผู้นําในโรงเรียน หรือในคริสตจักรของ น้อง ๆ 384 | ทิตส ั 1:1
ทิตัส 1:11 มีคนในเกาะครีตที่บอกเรื่องโกหกให้คริสเตียน เพราะพวกเขาต้องการที่จะหลอกเอา เงิน ให้น้อง ๆ คิดถึงการโกหกที่เราเคยพูดในอดีตที่ผ่านมา น้องๆ รู้ตัวไหมว่ามันมักจะเกิดปัญหามากมายเมื่อเราพูดโกหกแทนการพูดความจริง? มีสิ่งใด (หรือใคร) ที่จะช่วยไม่ให้เราพูดโกหก ถึงแม้ว่าการโกหกมันจะเป็นทางออกที่ ง่ายที่สุดก็ตาม? ว่ากล่าวเขาอย่างเข้มงวดเพื่อเขาจะไม่มีข้อบกพร่องในความเชื่อนั้น และจะไม่ใส่ใจกับนิยาย ปรัมปราของยิวหรือกฎเกณฑ์ของพวกที่ปฏิเสธความจริง สําหรับผู้บริสุทธิ์นั้นทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่ สําหรับผู้เสื่อมทรามและไม่เชื่อแล้ว ไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์เลย อันที่จริงความคิดและจิตสํานึกของเขา ก็เสื่อมทราม เขาอ้างว่ารู้จักพระเจ้า แต่ปฏิเสธพระองค์ด้วยการกระทําของเขา เขาเป็นคนน่า รังเกียจ ไม่เชื่อฟัง ไม่เหมาะสําหรับการทําดีใดๆ 14
15
16
สิ่งที่ต้องสอนกลุ่มต่างๆ
ท่านต้องสอนสิ่งที่สอดคล้องกับคําสอนอันมีหลัก พึงสอนชายผู้สูงอายุให้เป็นผู้รู้จักประมาณ 2 ตน น่านับถือ ควบคุมตนเองได้ เข้มแข็งในความเชื่อ ในความรัก และในความอดทน 2
เช่นเดียวกันพึงสอนหญิงสูงอายุให้ดําเนินชีวิตด้วยความยําเกรง ไม่ใส่ร้ายป้ายสี หรือติดเหล้า แต่ให้สอนสิ่งที่ดีงาม แล้วนางจะสามารถฝึกฝนบรรดาหญิงสาวให้รักสามีและลูกๆ ของตน ให้ เป็นผู้ควบคุมตนเองได้และเป็นผู้บริสุทธิ์ ให้เอาใจใส่ดูแลบ้านเรือน ให้มีเมตตาและให้ยอมเชื่อฟัง สามีของตน เพื่อจะไม่มีใครว่าร้ายพระวจนะของพระเจ้าได้ ในทํานองเดียวกันพึงให้กําลังใจบรรดาชายหนุ่มให้รู้จักควบคุมตนเอง ท่านจงประพฤติตนเป็น แบบอย่างในทุกด้านโดยการทําสิ่งที่ดี ในการสอนของท่านจงสําแดงความซื่อตรง ความเอาจริงเอา จัง และถ้อยคําอันมีหลักซึ่งไม่มีใครตําหนิได้ เพื่อผู้ที่ต่อต้านท่านจะได้ละอายใจเพราะไม่มีข้อไหน จะติว่าเราได้ 3
4
5
6
7
8
ทิตัส 2:1–8 ถ้าเราอ่านข้อความเหล่านี้ด้วยความระมัดระวัง เราจะสังเกตเห็นว่า เปาโลคิด ว่าการควบคุมตัวเองนั้นเป็นสิ่งสําคัญสําหรับทุกคน การควบคุมตัวเองคืออะไร? มัน หมายความว่า ก่อนที่เราจะทําบางสิ่งบางอย่าง เราหยุดสักครู่ และคิดว่าเรากําลัง จะทําอะไร เราถามตัวเราเองว่า มันถูกต้องหรือเปล่า? มันดีหรือเปล่า? มันเป็นสิ่ง ที่พ่อแม่อยากให้เราทําไหม? มันเป็นสิ่งที่พระเยซูทรงอยากให้เราทําไหม? ให้น้อง ๆ พยายามคิดก่อนที่จะลงมือทําอะไร เพราะมันจะช่วยให้เราสามารถเลือกทําสิ่งที่ถูก ต้อง ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย! ทิตส ั 2:8 | 385
ทิตัส 2:11–13 ให้ทํารายการสิ่งของห้าอย่างที่น้อง ๆ ไม่อยากซื้อในตอนที่น้อง ๆ ออกไปซื้อของกับ ครอบครัวหรือเพื่อน ๆ ครั้งล่าสุด ให้พูดคุยเกี่ยวกับเหตุผลที่มันเป็นเรื่องง่ายที่จะพูด ว่า “ไม่” กับสิ่งที่เราไม่อยากได้ เปาโลบอกว่าเราควรพูดว่า “ไม่” กับชีวิตที่ไม่เชื่อพระเจ้าและเต็มไปด้วยความ บาป ทําไมบางครั้งมันถึงยากนัก? อะไรเป็นสิ่งที่จะช่วยเราให้ดําเนินชีวิตในทางของ พระเจ้า? คําตอบอยู่ในข้อ 11 และ 13 จงสอนพวกทาสให้เชื่อฟังนายของตนทุกสิ่ง พยายามทําให้นายพอใจ ไม่โต้เถียง และไม่ ยักยอก แต่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ไว้ใจได้เต็มที่ เพื่อว่าเขาจะทําให้คําสอนเรื่องพระเจ้าองค์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรานั้นน่าเลื่อมใสในทุกๆ ทาง เพราะพระคุณของพระเจ้าซึ่งนําความรอดมานั้นได้ปรากฏแก่คนทั้งปวง สิ่งนี้สอนให้เรา ปฏิเสธความอธรรมและโลกียตัณหา และสอนเราให้ดําเนินชีวิตในยุคนี้อย่างคนที่รู้จักควบคุม ตนเอง เป็นคนยุติธรรมและอยู่ในทางพระเจ้า ขณะที่เรารอคอยความหวังอันเปี่ยมด้วยพระพร คือการปรากฏพระองค์อย่างทรงพระเกียรติสิริของพระเจ้าองค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้ยิ่งใหญ่ของเรา คือพระเยซูคริสต์ ผู้ประทานพระองค์เองแก่เราเพื่อไถ่เราให้พ้นจากความชั่วทั้งปวง และเพื่อ ชําระเราให้บริสุทธิ์ไว้สําหรับพระองค์ เป็นประชากรของพระองค์เพียงผู้เดียว เป็นผู้กระตือรือร้น ที่จะทําสิ่งดี ฉะนั้นท่านควรสอนเรื่องเหล่านี้ จงให้กําลังใจและตักเตือนด้วยสิทธิอํานาจทั้งปวง อย่าให้ใคร ดูแคลนท่านได้ 9
10
11
12
13
14
15
กระทําสิ่งที่ดี
จงเตือนประชากรเหล่านั้นให้อยู่ในบังคับของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและผู้มีอํานาจ ให้เชื่อฟัง 3 และพร้ อมจะทําสิ่งที่ดี ไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร รักสงบ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และถ่อมสุภาพต่อคน 2
ทั้งปวง
ทิตัส 2:13 น้องๆ รู้สึกอย่างไรเมื่อเรากําลังคาดหวังรอคอยในบางสิ่งบางอย่างที่ดี? ให้เลือกสี แสดงความรู้สึกของน้องๆ ที่หน้า 19 มันเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่งที่เรามีความคาดหวังในสิ่งที่ดี โดยเฉพาะในเวลาที่เราเจอ อุปสรรค ให้เรานึกถึงช่วงเวลาที่จะช่วยให้เราสามารถทําบางอย่างได้ในเวลาที่ยาก ลําบาก? ข้อความเหล่านี้บอกให้คริสเตียนมีความคาดหวังถึงวันที่ดี คือวันที่พระเยซู ทรงเสด็จกลับมา การที่เรามีความคาดหวังรอคอยถึงวันนั้นจะช่วยให้เราดําเนินชีวิตใน ทางของพระเจ้า 386 | ทิตส ั 2:9
ทิตัส 3:1–2 ในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ เปาโลบอกทิตัสให้เตือนชาวครีตถึงบางสิ่งบางอย่าง ให้น้อง ๆ ทํารายการของสิ่งที่พวกเขาต้องจดจํา ลองคิดรายการของเราดู ให้เราเขียนถึงสิ่งที่คริสเตียนทุกคนควรจะทํา เราจะทําตาม สิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร? ถ้ามี 10 คะแนนในแต่ละข้อ เราจะให้คะแนนกับตัวเองเท่า ไหร่? มีตรงไหนที่เราต้องปรับปรุง? โดยปกติแล้ว เราทุกคนยังต้องปรับปรุงตัวในทุก ข้อด้วยซ้ํา! ครั้งหนึ่งเราเองก็โง่เขลา ไม่เชื่อฟัง หลงผิด ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาและความสนุกบันเทิง ทุกชนิด เราใช้ชีวิตแบบเลวร้าย อิจฉา เป็นที่ชิงชังและเกลียดชังกันและกัน แต่เมื่อพระกรุณา และความรักของพระเจ้าองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเราปรากฏ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดไม่ใช่ เพราะความชอบธรรมที่เราได้ทํา แต่เพราะพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ผ่านทางการชําระแห่งการบังเกิดใหม่ และการทรงสร้างขึ้นใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้า ทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ลงมาบนเราอย่างล้นเหลือผ่านทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้ช่วยให้ รอดของเรา เพื่อว่าเมื่อเราถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยพระคุณของพระองค์แล้ว เราก็จะกลายเป็น ทายาท มีความหวังในชีวิตนิรันดร์ ที่กล่าวมานี้ควรแก่การเชื่อถือ และข้าพเจ้าขอให้ท่านเน้นใน เรื่องเหล่านี้เพื่อผู้ที่วางใจในพระเจ้าจะได้ใส่ใจในการอุทิศตนทําสิ่งที่ดี สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งดีเลิศและ เป็นประโยชน์แก่ทุกคน แต่จงหลีกห่างจากความขัดแย้งอันโง่เขลาเรื่องลําดับวงศ์ตระกูล การถกเถียงและการทะเลาะ วิวาทเกี่ยวกับบทบัญญัติ เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ไม่มีประโยชน์และไร้ค่า จงตักเตือนคนที่ก่อให้ เกิดความแตกแยกครั้งหนึ่งก่อน แล้วจึงตักเตือนซ้ําเป็นครั้งที่สอง หลังจากนั้นก็ให้เลิกเกี่ยวข้องกับ เขา ท่านแน่ใจได้ว่าคนแบบนี้เป็นคนนอกลู่นอกทางและบาปหนา การกระทําของเขาพิพากษา ตัวเขาเอง 3
4
5
6
7
8
9
10
11
คําลงท้าย
เมื่อข้าพเจ้าส่งอารเทมัสหรือทีคิกัสมาถึงท่านแล้ว ขอให้ท่านพยายามรีบไปพบข้าพเจ้าที่เมือง นิโคโปลิสให้ได้ เพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะอยู่ที่นั่นจนสิ้นฤดูหนาว ขอให้ท่านทําทุกสิ่งเท่าที่ทําได้ เพื่อช่วยเหลือการเดินทางของเศนาสนักกฎหมายกับอปอลโล และดูแลพวกเขาให้มีทุกสิ่งที่จําเป็น คนของเราต้องเรียนรู้ที่จะอุทิศตนทําสิ่งที่ดี เพื่อเขาจะได้จัดหาสิ่งจําเป็นในชีวิตประจําวันให้ผู้อื่น และเพื่อจะไม่ดําเนินชีวิตอย่างไร้ผล ทุกคนที่อยู่กับข้าพเจ้าฝากความคิดถึงมายังท่าน ข้าพเจ้าขอฝากความคิดถึงมายังบรรดาคน ที่รักเราในความเชื่อนั้น ขอพระคุณดํารงอยู่กับท่านทั้งปวง 12
13
14
15
ทิตส ั 3:15 | 387
จดหมายของเปาโลถึง ฟีเลโมน ทาสในสมัยของเปาโล
● มีทาสจํานวนมากในจักรวรรดิโรมัน ● ทาสถือเป็นทรัพย์สินส่วนหนึ่งของนายจ้าง โดยเฉพาะทาสบางคนที่มีทักษะพิเศษ
พวกเขาจะมีค่ามาก ● ทาสที่หลบหนีไปจะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรงเมื่อถูกจับได้ บางคนถูกฆ่าตายโดย นายจ้างของพวกเขา
ฟีเลโมนเป็นใคร?
● ฟีเลโมนเป็นนักธุรกิจที่ร่ํารวยมากในเมืองโคโลสี ● เปาโลได้เล่าเรื่องราวของพระเยซูให้เขาฟัง และทั้งสองคนได้กลายเป็นเพื่อนกัน ● โอเนสิมัสเป็นหนึ่งในทาสของฟีเลโมน ● เขาได้หลบหนีไป และอาจจะขโมยของบางอย่างของฟีโลโมนไปด้วย (ข้อ 18)
ทําไมเปาโลถึงได้เขียนจดหมายถึงฟีเลโมน?
● โอเนสิมัสไปที่กรุงโรม และได้พบกับเปาโล ● เปาโลได้บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเยซู และเขาก็กลับใจมาเป็นคริสเตียน ● เปาโลบอกโอเนสิมัสว่าเขาต้องกลับไปหาฟีเลโมน และแก้ไขเรื่องระหว่างพวกเขาให้
ถูกต้อง ● เปาโลเขียนจดหมายถึงฟีเลโมนเพื่ออธิบายทุกอย่าง ● ในจดหมาย เปาโลได้ขอให้ฟีเลโมนยกโทษให้กับโอเนสิมัส เพราะโอเนสิมัสได้กลาย เป็นพี่น้องในพระคริสต์แล้ว และทั้งคู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระเจ้า ● เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นเมื่อปีคริสต์ศักราชที่ 62 หลังจากที่พระเยซูทรงประสูติ
อ่านตรงนี้ดูสิ!
● ความรักและความเชื่อของฟีเลโมน (ฟีเลโมน4–7) ● โอเนสิมัสเป็นพี่น้องในพระคริสต์กับฟีเลโมน (ฟีเลโมน 8–17) ● เปาโลเต็มใจที่จะจ่ายในสิ่งที่โอเนสิมัสติดหนี้ฟีเลโมนอยู่ (ฟีเลโมน18–22)
388
ฟีเลโมน
จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นนักโทษเพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์ กับทิโมธีน้อง 1 ของเรา ถึงฟีเลโมนเพื่อนและผู้ร่วมงานที่รัก ถึงอัปเฟียน้องสาวของเรา ถึงอารคิปปัสเพื่อนทหารของ เรา และถึงคริสตจักรซึ่งมาประชุมกันที่บ้านของท่าน ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของ ฟีเลโมน เราและองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่ท่าน บ่อยครั้งที่เปาโลมักจะเขียนจดหมาย ขอบพระคุณและทูลขอ ถึงทาสและนายจ้าง เปาโลอธิบาย เมื่อข้าพเจ้านึกถึงท่านในคําอธิษฐาน ข้าพเจ้า ถึงทาสและนายจ้างต้องปฏิบัติตน ขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ เพราะข้าพเจ้าได้ยินถึง ต่อกันและกันอย่างไรในฐานะที่เป็น ความเชื่อของท่านในองค์พระเยซูเจ้าและความรัก คริสเตียนด้วยกัน ทาสต้องทํางานให้ ที่ท่านมีต่อประชากรทั้งปวงของพระเจ้า ข้าพเจ้า อธิษฐานขอให้ท่านแบ่งปันความเชื่ออย่างแข็งขัน เพื่อ เหมือนกับว่าพวกเขากําลังทํางานให้ ท่านจะเข้าใจอย่างถี่ถ้วนถึงสิ่งดีทั้งปวงซึ่งเรามีในพระ กับพระเยซู คริสต์ พี่น้องเอ๋ย ความรักของท่านเป็นกําลังใจให้ นายจ้างต้องจําไว้ว่าพวกทาสเป็น ข้าพเจ้าและทําให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดียิ่งนัก เพราะท่าน พี่น้องของตนเอง และให้ปฏิบัติต่อ ทําให้ประชากรของพระเจ้าชื่นใจ พวกเขาด้วยความเคารพ หลาย ศตวรรษต่อมา คริสเตียนตระหนัก เปาโลขอร้องเรื่องโอเนสิมัส ฉะนั้นแม้ว่าในพระคริสต์ข้าพเจ้าอาจจะกล้าสั่งให้ ว่าการมีทาสเป็นเรื่องที่ผิด และได้ เลิกล้มระบบทาสไป แต่น่าเสียดาย ท่านทําสิ่งที่ควรทํา แต่กระนั้นข้าพเจ้าขออ้อนวอน ท่านบนพื้นฐานของความรัก ข้าพเจ้าเปาโลผู้เฒ่าชรา ที่ในทุกวันนี้ ยังมีหลายประเทศที่มี การค้าและบังคับเด็กให้ทํางานเป็น และบัดนี้ยังเป็นนักโทษเพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์ ทาส เราต้องทําในสิ่งที่เราสามารถ ด้วย ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านเรื่องโอเนสิมัสลูกของ ข้าพเจ้า เขาได้มาเป็นลูกของข้าพเจ้าขณะข้าพเจ้าถูก ทําได้เพื่อยับยั้งมัน จองจํา เมื่อก่อนเขาไม่เป็นประโยชน์แก่ท่าน แต่เดี๋ยว นี้เขาเป็นประโยชน์ทั้งแก่ท่านและข้าพเจ้า ข้าพเจ้าส่งเขาผู้เป็นดวงใจของข้าพเจ้ากลับมาหาท่าน ข้าพเจ้าอยากเก็บเขาไว้กับตัวเพื่อเขา จะได้คอยช่วยเหลือข้าพเจ้าแทนท่านในขณะที่ข้าพเจ้าถูกจําจองเพื่อข่าวประเสริฐ แต่ข้าพเจ้าไม่ ประสงค์จะทําสิ่งใดโดยปราศจากความเห็นชอบของท่าน เพื่อว่าไมตรีจิตใดๆ ที่ท่านแสดงจะเป็น 2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
ฟีเลโมน 4–5 สิ่งดีที่เปาโลได้ยินเกี่ยวกับฟิเลโมนนั้นทําให้ท่านมีความสุขมาก ไบรท์ สงสัยว่าเราจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเราได้ยินข่าวดี? ข่าวประเภทไหนที่ทําให้เรามีความสุข? ให้น้อง ๆ ลองคิดดูว่าในระหว่างสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้ยินข่าวดีอะไรบ้าง เขียนมันลง ไป และเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย น้อง ๆ สามารถเอามันขึ้นมาดูได้ในวันที่ชีวิตของน้อง ๆ ไม่ราบรื่น 390 | ฟี เลโมน 1:1
ฟีเลโมน 14 เปาโลไม่ต้องการให้ฟิเลโมนรับโอเนสิมัสกลับไปเพราะเขารู้สึกว่าเขาต้องทํามัน แต่ให้ เป็นสิ่งที่เขาต้องการที่จะทํา บางครั้งเราทําบางอย่างเพื่อคนอื่นเพราะเราจําเป็นต้องทํา และบางครั้งเพราะเรา ต้องการทํา อะไรคือความแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้? ให้น้อง ๆ พูดคุยกันว่า ทําไมในบางครั้งมันเป็นสิ่งสําคัญที่เราทําอะไรบางอย่าง ถึง แม้ว่าเราไม่ต้องการที่จะทํามัน ไปโดยสมัครใจ ไม่ใช่ถูกบีบบังคับ อาจเป็นได้ว่าเหตุผลที่เขาจากท่านไปชั่วระยะหนึ่งก็เพื่อท่าน จะได้เขากลับคืนมาอย่างถาวร ไม่ใช่ในฐานะทาสอีกต่อไป แต่ดียิ่งกว่าทาสอีกคือเป็นพี่น้องที่รัก เขาเป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้าและเขาจะเป็นที่รักของท่านมากยิ่งกว่า ทั้งในฐานะเพื่อนมนุษย์และใน ฐานะพี่น้องในองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นหากท่านถือว่าข้าพเจ้าเป็นหุ้นส่วน ก็ขอให้ต้อนรับเขาเหมือนที่ท่านจะต้อนรับข้าพเจ้า หากเขาทําผิดหรือติดค้างเป็นหนี้อะไรท่านก็จงมาเรียกคืนเอาจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเปาโล เขียนข้อความนี้ด้วยมือของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะชดใช้ให้โดยไม่เอ่ยถึงที่ตัวท่านเองเป็นหนี้ชีวิต ข้าพเจ้า น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งว่าข้าพเจ้าจะได้ประโยชน์จากท่านบ้างในองค์พระผู้ เป็นเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้ชื่นใจในพระคริสต์ ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านด้วยความมั่นใจว่าท่านจะเชื่อ ฟังเพราะรู้ว่าท่านจะทํามากยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าขอ อีกอย่างหนึ่งก็คือขอให้ท่านจัดเตรียมห้องพักไว้สําหรับข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าหวังว่าจะ ได้กลับมาหาท่านอีกตามคําอธิษฐานของท่าน เอปาฟรัสเพื่อนนักโทษของข้าพเจ้าในพระเยซูคริสต์ฝากความคิดถึงมายังท่าน บรรดาเพื่อน ร่วมงานของข้าพเจ้าคือ มาระโก อาริสทารคัส เดมาส และลูกาฝากความคิดถึงมายังท่านเช่นกัน ขอพระคุณขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าดํารงอยู่กับวิญญาณจิตของท่าน 15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
ฟีเลโมน 17 ฟิเลโมนอาจจะยังโกรธอยู่ที่ทาสของเขาหลบหนีไป แต่อย่างไรก็ตามเปาโลก็ขอให้เขา ยกโทษให้แก่ทาสของเขา และเปาโลมีความมัน่ ใจว่า ฟิเลโมนจะทําในสิง่ ทีท่ า่ นขอเพราะ พวกเขาเป็นเพื่อน ให้น้อง ๆ หาเหตุผลว่าทําไมเปาโลและฟิเลโมนจึงเป็นเพื่อนที่ดีต่อ กัน ดูได้ในข้อ 4, 5, 7, 8 และ 9 ให้น้อง ๆ พูดคุยเกี่ยวกับการเป็นเพื่อน บอกสามสิ่ง ที่เราอยากเห็นในเพื่อนของเรา น้องๆ คิดว่าเพื่อน ๆ สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ในตัว ของน้อง ๆ ไหม? ฟี เลโมน 1:25 | 391
จดหมายถึงชาวฮีบรู น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● เราไม่ทราบว่าใครคือผู้เขียนจดหมายถึงชาวฮีบรู ● จดหมายนี้เป็นเหมือนกับคําเทศนาที่ยาว ● จดหมายฉบับนี้มีการอ้างอิงและยกตัวอย่างจากพันธสัญญาเดิมเป็นจํานวนมาก
จดหมายถึงชาวฮีบรูพูดเกี่ยวกับอะไรบ้าง?
● จดหมายถูกเขียนขึ้นถึงผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากเพราะพวกเขาเชื่อในองค์พระเยซู ● พวกเขาหมดกําลังใจและต้องการที่จะเลิกติดตามพระเยซู ● ผู้เขียนจดหมายได้เตือนพวกเขาถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเยซูทรงได้กระทําเพื่อพวก
เขา ● ผู้เขียนจดหมายได้กล่าวว่าพระเยซูทรงมีความสําคัญยิ่งกว่าฑูตสวรรค์ อับราฮัม โมเสส และมหาปุโรหิต ● พระเยซูทรงมอบของขวัญที่ดีเลิศกับพวกเรา (การสละชีพของพระองค์) ● การสละชีพของพระเยซูบนไม้กางเขนนั้นช่วยให้เรามีชีวิตนิรันดร์
ข้อความสําคัญในจดหมายถึงชาวฮีบรู
● พระบุตรของพระเจ้าทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง (ฮีบรู 1) ● เป็นเพราะการสิ้นพระชนม์ขององค์พระเยซู สันติสุขจึงเกิดขึ้นระหว่างพระเจ้าและ
มนุษย์ (ฮีบรู 4–8) ● ของขวัญจากพระเยซู (การเสียสละชีวิตของพระองค์) เป็นของขวัญที่ดีที่สุดเท่าที่เคย มีมา (ฮีบรู 9:23–28) ● พระเยซูทรงถวายชีวิตของพระองค์เพียงชีวิตเดียวเป็นเครื่องบูชาต่อพระเจ้าเพื่อ ไถ่บาปทั้งสิ้นและตลอดไป (ฮีบรู 10:11–18) ● เป็นเพราะการเสียสละของพระเยซู ผู้เชื่อสามารถเข้ามาใกล้กับพระเจ้าและเป็นส่วน หนึ่งในครอบครัวของพระองค์ (ฮีบรู 10:19–25) ● ความเชื่อก่อให้เกิดการกระทํา (ฮีบรู 11) ● ให้เราเพ่งมองที่พระเยซู (ฮีบรู 12:1–3) ● ดําเนินชีวิตในทางของพระเจ้า (ฮีบรู 13:1–9)
392
ฮีบรู
พระบุตรทรงยิง่ ใหญ่เหนือเหล่าทูตสวรรค์
ฮีบรู 1:1–3
ในอดีตพระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราผ่านทางผู้ 1 เผยพระวจนะหลายครั ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าไม่ได้ตรัส ้งหลายคราด้วยวิธีการต่างๆ กับทุกคน พระองค์ทรงตรัสผ่านวิธี แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสกับเราทั้งหลาย โดยพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ได้แต่งตั้งให้เป็น การต่าง ๆ กับคนที่พระองค์ทรงตรัส ด้วย พระองค์ทรงตรัสผ่านความฝัน ทายาทครอบครองทุกสิ่งและได้ทรงสร้างจักรวาลโดย และทรงส่งข้อความมากับทูตสวรรค์ พระบุตรนี้ พระบุตรคือรัศมีเจิดจ้าแห่งพระเกียรติสิริ พระองค์ทรงกําหนดพระบัญญัติของ ของพระเจ้า ทรงเป็นเหมือนพระเจ้าทุกประการ และ พระองค์ และทรงตรัสผ่านผู้เผยพระ ทรงผดุงสรรพสิ่งไว้ด้วยพระดํารัสอันทรงฤทธานุภาพ ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ได้ทรงชําระบาปแล้ว วจนะ และบางครั้งก็ทรงตรัสผ่าน พระองค์จึงได้ประทับลงที่เบื้องขวาขององค์ผู้ทรงบารมี คนอื่น ๆ โมเสสได้ยินพระสุรเสียง ในสวรรค์ ฉะนั้นพระองค์จึงทรงยิ่งใหญ่เหนือเหล่าทูต ของพระเจ้าในพุ่มไม้ไฟลุกโชน และ พระเจ้าทรงตรัสกับเอลียาห์ด้วยเสียง สวรรค์ เพราะพระนามที่พระองค์ได้รับสูงส่งกว่านาม กระซิบอันอ่อนโยน ของเหล่าทูตสวรรค์ เพราะพระเจ้าเคยตรัสกับทูตสวรรค์องค์ไหนอย่างนี้ บ้าง? ที่ว่า “เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้เป็นบิดาของเจ้า” และตรัสว่า “เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา” และอีกครั้งเมื่อพระเจ้าทรงนําบุตรหัวปีของพระองค์เข้ามาในโลก พระองค์ตรัสว่า “ให้ทูตสวรรค์ทั้งสิ้นของพระเจ้านมัสการเขา” พระองค์ตรัสถึงเหล่าทูตสวรรค์ว่า “พระองค์ทรงทําให้ทูตสวรรค์ของพระองค์เป็นสายลม ให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นเปลวไฟ” แต่ส่วนพระบุตรนั้น พระองค์ตรัสว่า ฮีบรู “ข้าแต่พระเจ้า ราชบัลลังก์ของพระองค์จะ ดํารงนิจนิรันดร์ บางคนคิดว่าเปาโลเป็นผู้เขียน พระองค์จะทรงปกครองราชอาณาจักรของ จดหมายฉบับนี้ แต่ก็มีบางคนที่ พระองค์ด้วยคทาแห่งความชอบธรรม อ้างว่าจดหมายฉบับนี้แตกต่างจาก พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและทรงเกลียด จดหมายฉบับอื่น ๆ ของท่าน ผู้เขียน ชังความชั่ว จดหมายได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องใน ฉะนั้นพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าของ หัวข้ออื่น และรูปแบบในการเขียนก็ พระองค์จึงทรงตั้งพระองค์ไว้เหนือพระ แตกต่างออกไป จดหมายฉบับนี้ถูก สหายทั้งปวง เขียนได้ดีมากเป็นภาษากรีก มันเป็น โดยทรงเจิมพระองค์ด้วยน้ํามันแห่งความ จดหมายภาษากรีกที่ดีที่สุดที่อยู่ใน ชื่นชมยินดี” พันธสัญญาใหม่ และพระองค์ตรัสด้วยว่า 2
3
4
5
6
7
8
9
10
394 | ฮีบรู 1:1
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ทรงวางฐานรากของแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นพระหัตถกิจของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นจะพินาศไป แต่พระองค์ทรงดํารงอยู่ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดจะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม พระองค์จะทรงม้วนสิ่งเหล่านั้นขึ้นเหมือนเสื้อคลุม สิ่งเหล่านั้นจะถูกเปลี่ยนไปเหมือนเสื้อผ้า แต่พระองค์เองยังคงเดิม และปีเดือนของพระองค์จะไม่สิ้นสุด” มีทูตสวรรค์องค์ไหนบ้างที่พระเจ้าตรัสว่า “จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะทําให้ศัตรูของเจ้า เป็นแท่นวางเท้าของเจ้า”? ทูตสวรรค์ทั้งปวงคือวิญญาณผู้ปรนนิบัติซึ่งพระเจ้าทรงส่งไปรับใช้บรรดาผู้ที่จะได้รับความรอด เป็นมรดกไม่ใช่หรือ? 11
12
13
14
การตักเตือนให้เอาใจใส่
ฉะนั้นเราต้องเอาใจใส่สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังให้มากยิ่งขึ้นเพื่อเราจะไม่เตลิดไป เพราะในเมื่อ 2 ข้เหตุอความที ่พระเจ้าตรัสผ่านทูตสวรรค์ยังผูกมัด และการละเมิดกับการไม่เชื่อฟังทุกอย่างยังได้ 2
รับการลงโทษอย่างยุติธรรม แล้วเราจะรอดพ้นไปได้อย่างไรหากเราละเลยความรอดอันยิ่งใหญ่ถึง เพียงนี้? แรกสุดองค์พระผู้เป็นเจ้าเองทรงประกาศความรอดนี้ และบรรดาผู้ได้ยินจากพระองค์ได้ ยืนยันแก่เราทั้งหลาย พระเจ้าเองก็ทรงรับรองด้วยหมายสําคัญ การอัศจรรย์ และปาฏิหาริย์ต่างๆ และของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งโปรดประทานตามพระประสงค์ของพระองค์ 3
4
ทรงทําให้พระเยซูเหมือนกับพี่น้องของพระองค์
พระองค์ไม่ได้ทรงให้ทูตสวรรค์ปกครองดูแลโลกในอนาคตที่เรากําลังกล่าวถึง แต่มีผู้กล่าว ยืนยันไว้ตอนหนึ่งว่า “มนุษย์เป็นใครหนอ พระองค์จึงทรงพะวงถึง? บุตรของมนุษย์เป็นผู้ใด พระองค์จึงทรงห่วงใยดูแล? พระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ํากว่าทูตสวรรค์เพียงเล็กน้อย พระองค์ทรงสวมมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีและเกียรติให้แก่เขา และทรงทําให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เท้าของเขา” ในการทําให้ทกุ สิง่ อยูใ่ ต้อาํ นาจของเขานัน้ พระเจ้าไม่ให้มสี ง่ิ ใดเลยทีไ่ ม่อยูใ่ ต้อาํ นาจของเขา แต่ใน ขณะนีเ้ รายังไม่เห็นว่าทุกสิง่ อยูใ่ ต้อาํ นาจของเขา แต่เราเห็นพระเยซูผทู้ รงถูกทําให้ตาํ่ กว่าทูตสวรรค์ เพียงเล็กน้อยบัดนีไ้ ด้ทรงมงกุฎแห่งศักดิศ์ รีและเกียรติแล้ว เพราะพระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมาน จนถึงสิน้ พระชนม์ เพือ่ ว่าโดยพระคุณของพระเจ้าพระองค์จะได้ทรงลิม้ รสความตายเพือ่ ทุกคน ในการนําบุตรมากมายมาสูพ่ ระเกียรติสริ ิ เป็นการเหมาะสมแล้วทีพ่ ระเจ้าผูซ้ ง่ึ สรรพสิง่ มีอยูเ่ พือ่ พระองค์และโดยทางพระองค์จะทรงทําให้ผลู้ ขิ ติ ความรอดของเขาทัง้ หลายนัน้ สมบูรณ์พร้อมโดย การทนทุกข์ ทัง้ พระองค์ผทู้ ท่ี าํ ให้มนุษย์ทง้ั หลายบริสทุ ธิก์ บั บรรดาผูท้ ท่ี รงทําให้บริสทุ ธิน์ น้ั เป็น ครอบครัวเดียวกัน ฉะนัน้ พระเยซูจงึ ไม่ทรงละอายทีจ่ ะเรียกเขาเหล่านัน้ ว่าพีน่ อ้ ง พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์จะประกาศพระนามพระองค์แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ จะร้องสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าที่ประชุม” และตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าจะไว้วางใจในพระองค์” 5
6
7
8
9
10
11
12
13
ฮีบรู 2:13 | 395
ฮีบรู 2:12 ให้น้อง ๆ ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เลือกทําสัญญาณสําหรับคําบางคําในบทเพลง เช่น ไขว้แขนสําหรับคําว่า “กางเขน” หรือ “พระเยซู” หรือยกแขนขึ้นในอากาศ สําหรับคําว่า “สรรเสริญ” ให้น้อง ๆ ทําสัญญาณแทนคําพูดเมื่อเราร้องเพลง บทเพลงมันฟังดูไม่สมบูรณ์ใช่ไหม? หากเราไม่ได้อยู่ในคริสตจักร คริสตจักรก็จะไม่สมบูรณ์ เพราะเสียงของเราได้หายไป และพระองค์ตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อ พระองค์จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อ ว่าโดยการสิ้นพระชนม์พระองค์จะได้ทรงทําลายผู้กุมอํานาจแห่งความตายคือมาร และปลด ปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิตตกเป็นทาสเนื่องจากกลัว ความตาย เพราะแน่นอนว่าพระองค์ ไม่ได้ทรงช่วยทูตสวรรค์ แต่ทรงช่วยวงศ์วานของอับราฮัม ด้วยเหตุนี้เองพระองค์จึงต้องเป็น เหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิตผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและ ความสัตย์ซื่อในการรับใช้พระเจ้าและเพื่อจะได้ทรงลบมลทินบาปของปวงประชากร เพราะ พระองค์เองทรงทนทุกข์เมื่อได้ทรงถูกลองใจ พระองค์จึงทรงสามารถช่วยบรรดาผู้ที่กําลังถูก ลองใจได้ 14
15
16
17
18
พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าโมเสส
้นพี่น้องทั้งหลายผู้เป็นประชากรของพระเจ้า ผู้ร่วมในการทรงเรียกจากสวรรค์ จงให้ความ 3 คิฉะนั ดจดจ่อที่พระเยซูองค์อัครทูตและมหาปุโรหิตซึ่งเรารับเชื่อ พระองค์ทรงสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า 2
ผู้ทรงแต่งตั้งพระองค์เช่นเดียวกับที่โมเสสสัตย์ซื่อในทุกเรื่องเกี่ยวกับบ้านของพระเจ้า เป็นที่ ประจักษ์แล้วว่าพระเยซูทรงสมควรได้รับเกียรติยิ่งกว่าโมเสส เหมือนกับที่ผู้สร้างบ้านทรงเกียรติยิ่ง 3
ฮีบรู 3:12–15 จ๊ะจ๋า สงสัยว่าน้อง ๆ เคยที่จะต้องทําอะไรบางอย่างแล้วหมดเวลาก่อนไหม ให้บอก กับคนอื่นว่าเกิดอะไรขึ้น น้อง ๆ จะทํางานให้เสร็จในเวลาที่มีจํากัดได้อย่างไร? เราได้อ่านในตอนนี้ว่า เราจะต้องยืนหยัดในการเดินติดตามพระเยซูในขณะที่เรายังมี เวลาอยู่ ทําอย่างไรเราถึงจะมั่นใจได้ว่าเวลาของเราจะไม่หมดไปซะก่อน? 396 | ฮีบรู 2:14
กว่าตัวบ้านเอง เพราะทุกบ้านย่อมมีผู้สร้างและพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง โมเสสสัตย์ซื่อใน ฐานะผู้รับใช้ในทุกเรื่องเกี่ยวกับบ้านของพระเจ้า เป็นพยานถึงสิ่งที่จะตรัสในภายหน้า ส่วนพระ คริสต์ทรงสัตย์ซื่อในฐานะพระบุตรผู้ทรงครอบครองบ้านของพระเจ้า และเราทั้งหลายก็คือบ้าน ของพระองค์ หากเรายืนหยัดในความกล้าหาญและความหวังซึ่งเราอวดนั้น 4
5
6
การตักเตือนเรื่องความไม่เชื่อ
ฉะนั้นตามที่พระวิญญาณตรัสไว้ว่า “วันนี้หากท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าทําใจแข็งกระด้าง เหมือนเมื่อครั้งกบฏ ในช่วงการลองดีในถิ่นกันดาร ที่ซึ่งบรรพบุรุษของพวกเจ้าได้ลองดีและทดลองเรา และได้เห็นสิ่งที่เรากระทําตลอดสี่สิบปี ด้วยเหตุนี้เราจึงโกรธคนในชั่วอายุนั้น และเรากล่าวว่า ‘ใจของเขาหลงเตลิดอยู่เสมอ และพวกเขาไม่รู้จักวิถีทางของเรา’ ดังนั้นเราจึงสาบานด้วยความโกรธของเราว่า ‘พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักสงบของเรา’ ” พี่น้องทั้งหลายจงระวังให้ดี เพื่อจะไม่มีสักคนในพวกท่านมีใจบาปชั่ว ไม่ยอมเชื่อแล้วหันเหไป จากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ จงให้กําลังใจกันและกันทุกวันตราบเท่าที่ยังเรียกว่า “วันนี้” เพื่อ จะไม่มีใครในพวกท่านดื้อด้านไปเพราะกลลวงของบาป เราได้มามีส่วนร่วมในพระคริสต์ หากเรา แน่วแน่ในความเชื่อมั่นที่เรามีตั้งแต่แรกนั้นจนถึงที่สุด ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า “วันนี้หากท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าทําใจแข็งกระด้างเหมือนเมื่อครั้งกบฏ” ใครคือผู้ที่ได้ยินแล้วยังกบฏ? ก็คือคนทั้งปวงที่โมเสสพาออกมาจากอียิปต์ไม่ใช่หรือ? ใคร เล่าที่พระองค์ทรงพระพิโรธตลอดสี่สิบปี? ก็คือบรรดาผู้ที่ทําบาปซึ่งได้ทิ้งร่างของตนอยู่ในถิ่น กันดารไม่ใช่หรือ? และใครกันเล่าที่พระเจ้าทรงปฏิญาณว่าเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักสงบ ของพระองค์ถ้าไม่ใช่บรรดาคนที่ไม่เชื่อฟัง? ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่าเขาเหล่านั้นไม่สามารถเข้าไปก็ เพราะพวกเขาไม่เชื่อ 7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
สะบาโตแห่งการพักสงบสําหรับประชากรของพระเจ้า
้นในเมื่อพระสัญญาว่าด้วยการเข้าสู่การพักสงบของพระองค์นั้นยังคงอยู่ ก็ให้เรา 4 เพราะฉะนั ทั้งหลายระวังไม่ให้สักคนในพวกท่านพลาดจากการพักสงบนี้ เพราะเราทั้งหลายได้รับข่าว 2
ประเสริฐเช่นเดียวกับคนเหล่านั้น แต่ข้อความที่ได้ยินนั้นไม่เป็นประโยชน์แก่เขา เพราะคนเหล่า นั้นที่ได้ยินไม่ได้เชื่อสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเขา บัดนี้เราผู้ที่เชื่อก็ได้เข้าสู่การพักสงบตามที่พระเจ้าได้ ตรัสไว้ว่า “ดังนั้นเราจึงสาบานด้วยความโกรธของเราว่า ‘พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักสงบของเรา’ ” แม้ว่างานของพระองค์เสร็จแล้วตั้งแต่การทรงสร้างโลก เพราะมีตอนหนึ่งที่พระองค์ได้ตรัสถึงวัน ที่เจ็ดว่า “ในวันที่เจ็ดพระเจ้าทรงหยุดพักจากพระราชกิจทั้งปวงของพระองค์” และอีกครั้งหนึ่ง ในข้อความข้างต้น พระองค์ตรัสว่า “พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักสงบของเรา” 3
4
5
ฮีบรู 4:5 | 397
ฮีบรู 4:12–13 น้อง ๆ เคยเห็นคนกําลังหั่นเนื้อด้วยมีดที่คมไหม? ลองขอให้คุณพ่อหรือคุณแม่ของ น้อง ๆ หรือผู้ใหญ่คนอื่น ช่วยตัดอะไรบางอย่างด้วยมีดทื่อ แล้วหลังจากนั้นให้ตัดมัน อีกทีด้วยมีดคม การใช้มีดสองแบบในการตัดนั้นแตกต่างกันอย่างไร? ให้บอกคนข้าง ๆ ว่าพระดํารัสของพระเจ้าเปรียบเสมือนมีดที่คมมาก พระวจนะของ พระเจ้า “ตัด” อย่างไร? และ “ตัด” อะไรได้บ้าง? สิ่งนี้ได้บอกอะไรให้แก่เรา? และก็ยังคงเป็นเช่นนี้คือบางคนจะได้เข้าสู่การพักสงบ และบรรดาผู้ที่เคยได้ยินข่าวประเสริฐ ในครั้งก่อนนั้นไม่ได้เข้าก็เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟัง ฉะนั้นพระเจ้าได้ทรงกําหนดวันหนึ่งขึ้นมาอีก ครั้ง คือวันที่เรียกว่า “วันนี้” หลังจากนั้นอีกช้านานพระองค์ได้ตรัสเรื่องนี้ผ่านทางดาวิดเหมือนที่ ได้ตรัสไว้ก่อนแล้วว่า “วันนี้หากท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าทําใจแข็งกระด้าง” เพราะถ้าโยชูวาได้ให้พวกเขาเข้าสู่การพักสงบ พระเจ้าก็คงไม่ต้องตรัสถึงอีกวันหนึ่งในภายหลัง สะบาโตแห่งการพักสงบสําหรับประชากรของพระเจ้าจึงยังคงอยู่ เพราะว่าผู้ที่ได้เข้าสู่การพัก สงบของพระเจ้าย่อมได้หยุดพักจากงานของตน เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงหยุดพักจากพระราชกิจ ของพระองค์ ฉะนั้นให้เราขวนขวายทุกวิถีทางที่จะได้เข้าสู่การพักสงบนั้น เพื่อจะไม่มีใครพลาด ไปทําตามอย่างการไม่เชื่อฟังของพวกเขา เพราะว่าพระดํารัสของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงอานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทง ทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณ ข้อต่อและไขกระดูก วินิจฉัยความคิดและท่าทีในใจ ไม่มีสิ่งใดที่ ทรงสร้างไว้จะซ่อนเร้นจากสายพระเนตรของพระเจ้าได้ ทุกสิ่งถูกเปิดเผยและถูกตีแผ่ต่อพระเนตร ของพระองค์ผู้ซึ่งเราทั้งหลายต้องกราบทูลรายงาน 6
7
8 9
10
11
12
13
ฮีบรู 4:13 ในฮีบรู 4:13 กล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่จะถูกซ่อนเร้นจากพระเจ้าได้ พระองค์ทรงเห็น ทุกอย่าง ไบรท์ สงสัยว่าเรารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรามีความยินดีหรือเปล่าที่ พระเจ้าทรงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรา หรือเรารู้สึกกลัวเมื่อเมื่อเราคิดถึงเรื่องนี้? พระเจ้ารู้สึกกับเราอย่างไร? จําไว้ว่าพระองค์ทรงไม่ได้รักเราน้อยลงเพียงเพราะ พระองค์รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรา ไม่มีสิ่งใดจะสามารถแยกเราออกจากความรักของ พระองค์ได้ (โรม 8:38–39) 398 | ฮีบรู 4:6
ฮีบรู 4:14–16 น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรเมื่อได้ทําความผิดหรือทําผิดพลาดไป? คนอื่น ๆ จะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้? ให้เลือกสีจากหน้า 11 ที่ตรง กับใบหน้าของพวกเขา พระเยซูทรงรู้ดีว่าการเป็นเด็กนั้นเป็นอย่างไร พระองค์ทรงรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไรในเวลา ที่เราอ่อนแอและเจ็บปวด (ข้อ 15) ให้เลือกสีจากหน้า 11 ที่ตรงกับใบหน้าของพระ เยซู ให้น้อง ๆ บอกข่าวดีนี้กับเพื่อนที่กําลังรู้สึกเศร้าใจ พระเยซูมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่
เหตุฉะนั้นในเมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ผู้ทรงผ่านฟ้าสวรรค์แล้วคือพระเยซูพระบุตรของ พระเจ้า ก็ให้เรายึดมั่นในความเชื่อที่เราได้ประกาศรับไว้ เพราะเราไม่ได้มีมหาปุโรหิตซึ่งไม่อาจ เห็นใจในความอ่อนแอต่างๆ ของเรา แต่ทรงถูกลองใจเช่นเดียวกับเราทุกประการ กระนั้นก็ทรง ปราศจากบาป ฉะนั้นขอให้เราเข้ามาใกล้พระบัลลังก์แห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ เพื่อเราจะได้ รับพระเมตตาและจะพบพระคุณที่จะช่วยเหลือเราเมื่อถึงคราวจําเป็น โรหิตทุกคนถูกเลือกจากมนุษย์ และได้รับการแต่งตั้งให้ทําหน้าที่แทนมนุษย์ในสิ่งสารพัด 5 มหาปุ ที่เกี่ยวกับพระเจ้า คือการถวายเครื่องบูชาและของถวายสําหรับการทรงอภัยโทษบาป มหา ปุโรหิตสามารถปฏิบัติต่อผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และกําลังหลงผิดไปนั้นอย่างเห็นอกเห็นใจเพราะเขา เองก็ตกอยู่ในความอ่อนแอ ด้วยเหตุนี้มหาปุโรหิตจึงต้องถวายเครื่องบูชาสําหรับบาปของตนเอง เช่นเดียวกับบาปของประชาชน ไม่มีใครเอาตําแหน่งอันมีเกียรตินี้มาเป็นของตนเองได้ เขาต้องเป็นผู้ที่ได้รับการทรงเรียกจาก พระเจ้าเหมือนที่อาโรนได้รับ ดังนั้นพระคริสต์ก็เช่นกัน พระองค์ไม่ได้ทรงยกพระองค์เองขึ้นรับ พระเกียรติสิริแห่งการเป็นมหาปุโรหิต แต่พระเจ้าตรัสกับพระองค์ว่า “เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้เป็นบิดาของเจ้า” และพระองค์ตรัสไว้ในอีกตอนหนึ่งว่า “เจ้าเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์ ตามแบบของเมลคีเซเดค” ในระหว่างที่พระเยซูทรงอยู่ในโลก พระองค์ได้ถวายคําอธิษฐานและคําร้องทูลอ้อนวอนด้วย เสียงอันดังและด้วยน้ําตาไหลต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์จากความตาย และพระเจ้า ทรงสดับเพราะพระเยซูทรงยอมเชื่อฟังพระเจ้าด้วยความยําเกรง แม้ทรงเป็นพระบุตร พระองค์ ก็ทรงเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังจากความทุกข์ยากที่พระองค์เผชิญ และเมื่อพระเจ้าทรงทําให้พระเยซู เพียบพร้อมสมบูรณ์แล้ว พระองค์จึงทรงเป็นแหล่งความรอดนิรันดร์สําหรับคนทั้งปวงที่เชื่อฟัง พระองค์ และพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระองค์เป็นมหาปุโรหิตตามแบบของเมลคีเซเดค 14
15
16
2
3
4
5
6
7
8
9
10
คําเตือนไม่ให้หลงไป
ยังมีอีกมากที่เราจะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยากที่จะอธิบายเพราะท่านได้กลายเป็นคนเฉื่อย ช้าในการเรียนรู้ อันที่จริงแม้ขณะนี้ท่านน่าจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านยังต้องให้คนมาสอนหลัก 11
12
ฮีบรู 5:12 | 399
ความจริงเบื้องต้นของพระวจนะของพระเจ้าซ้ําอีก ท่านยังต้องการนม ไม่ใช่อาหารแข็ง! ใครที่ยัง กินนมก็ยังเป็นทารก ไม่คุ้นกับคําสอนเรื่องความชอบธรรม แต่อาหารแข็งนั้นสําหรับผู้ใหญ่ผู้ได้ ฝึกฝนตนเองที่จะแยกแยะดีชั่วโดยการปฏิบัติอยู่เสมอ ้นให้เราผ่านหลักคําสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์และเดินหน้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ 6 เพราะฉะนั อย่าให้เราต้องวางพื้นฐานซ้ําอีกในเรื่องการกลับใจจากการกระทําอันนําไปสู่ความตายและ เรื่องความเชื่อในพระเจ้า คําสอนเรื่องบัพติศมา เรื่องการวางมือ เรื่องการเป็นขึ้นจากตาย และ เรื่องการพิพากษาลงโทษนิรันดร์ และถ้าพระเจ้าทรงอนุญาตเราก็จะเดินหน้าต่อไป สําหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์ ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมใน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้าและอานุภาพของ ยุคหน้า หากยังเตลิดไปก็สุดวิสัยที่จะนําเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะการหลงไปของเขาได้ตรึง พระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ําอีกครั้งและทําให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกํานัล ผืนแผ่นดินซึ่งได้รับฝนชุ่มฉ่ําเสมอและให้พืชผลอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เพาะปลูกนั้นก็ได้รับ พระพรจากพระเจ้า แต่ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กหนามใหญ่ก็ไร้ค่าและตกอยู่ในอันตรายจาก การถูกสาปแช่ง ในที่สุดก็จะถูกเผาทิ้ง เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มา พร้อมกับความรอด พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทําและความรักที่ ท่านแสดงให้พระองค์เห็น คือการที่ท่านช่วยเหลือประชากรของพระองค์และยังช่วยพวกเขาต่อ ไป เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคนสําแดงความพากเพียรนี้จนถึงที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวัง ไว้จะเป็นจริง เราไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้นซึ่งได้รับ มรดกตามพระสัญญาโดยอาศัยความเชื่อและความอดทน 13
14
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
พระสัญญาของพระเจ้านั้นแน่นอน
เมื่อครั้งพระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัม เนื่องจากไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าที่พระองค์จะทรงอ้างถึง ในคําสาบาน พระองค์จึงทรงสาบานโดยอ้างพระองค์เอง โดยตรัสว่า “เราจะอวยพรเจ้าแน่นอน และจะให้เจ้ามีลูกหลานมากมาย” ดังนั้นหลังจากอดทนรอคอยอับราฮัมจึงได้รับตามที่ทรง สัญญาไว้ มนุษย์นั้นสาบานโดยอ้างผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าตน คําสาบานยืนยันสิ่งที่กล่าวและทําให้การโต้เถียง ทั้งสิ้นจบลง เนื่องจากพระเจ้าทรงประสงค์จะให้บรรดาทายาทผู้จะได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้รู้อย่าง ชัดเจนว่าความมุ่งหมายของพระองค์นั้นไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์จึงทรงยืนยันพระสัญญานั้นด้วย คําสาบาน พระเจ้าทรงกระทําเช่นนี้เพื่อว่าเราผู้ได้หนีมายึดความหวังซึ่งทรงหยิบยื่นให้ จะได้รับ กําลังใจอย่างใหญ่หลวงโดยสองสิ่งนี้ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะตรัสมุสา เรามีความหวังนี้เป็นสมออันมั่นคงและแน่นอนของจิตใจ ความหวังนี้เข้าสู่อภิสุทธิสถานหลังม่าน นั้น ที่ซึ่งพระเยซูผู้ได้เสด็จนําหน้าเราทรงเข้าไปก่อนแล้วเพื่อเรา พระองค์จึงได้เป็นมหาปุโรหิต ชั่วนิรันดร์ตามแบบของเมลคีเซเดค 13
14
15
16
17
18
19
20
ปุโรหิตเมลคีเซเดค
เมลคีเซเดคผู้นี้ทรงเป็นกษัตริย์เมืองซาเลมและเป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด พระองค์ได้ทรง 7 พบอั บราฮัมและให้พรเขาหลังจากเขากลับจากการรบชนะเหล่ากษัตริย์ อับราฮัมได้ถวายหนึ่ง 2
ในสิบจากของทั้งหมดแด่เมลคีเซเดค ประการแรกพระนามเมลคีเซเดคมีความหมายว่า “กษัตริย์ แห่งความชอบธรรม” และประการต่อมา “กษัตริย์แห่งซาเลม” ก็หมายถึง “กษัตริย์แห่งสันติสุข” ไม่มีบันทึกว่าใครเป็นบิดามารดา ไม่มีบันทึกลําดับวงศ์ตระกูล ไม่มีบันทึกวันเริ่มต้นหรือวันสิ้นสุด ชีวิต เมลคีเซเดคทรงเป็นปุโรหิตตลอดกาลเหมือนพระบุตรของพระเจ้า คิดดูเถิดเมลคีเซเดคทรงยิ่งใหญ่เพียงใด ที่แม้แต่อับราฮัมบรรพบุรุษของเรายังได้ถวายหนึ่งใน สิบจากของที่ริบมาได้แด่พระองค์! บทบัญญัติระบุให้วงศ์วานเลวีผู้เป็นปุโรหิตนั้นรับสิบลดจาก 3
4
5
400 | ฮีบรู 5:13
ประชาชน นั่นคือจากพี่น้องของเขา ถึงแม้ว่าพี่น้องของเขาจะสืบเชื้อสายจากอับราฮัม ส่วน เมลคีเซเดคนีไ้ ม่ได้สบื เชือ้ สายจากเลวี แต่กร็ บั สิบลดจากอับราฮัมและอวยพรให้เขาผูไ้ ด้รบั พระสัญญา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ใหญ่ย่อมให้พรผู้น้อย ในกรณีหนึ่งผู้รับสิบลดเป็นมนุษย์ซึ่งต้องตาย ส่วนอีก กรณีหนึ่งผู้รับสิบลดคือผู้ที่ได้รับการประกาศว่าทรงพระชนม์อยู่ อาจกล่าวได้ว่าเลวีผู้รับสิบลด นั้นได้ถวายสิบลดผ่านทางอับราฮัม เพราะเมื่อเมลคีเซเดคได้พบกับอับราฮัมนั้น เลวียังอยู่ในกาย ของอับราฮัมบรรพบุรุษของเขา 6
7
8
9
10
พระเยซูทรงเป็นเหมือนเมลคีเซเดค
หากมนุษย์มาถึงความครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเจ้าได้โดยทางระบอบปุโรหิตตามแบบของเลวี แล้ว (เพราะโดยพื้นฐานของระบอบนี้บทบัญญัติจึงมีมาถึงเหล่าประชากร) ทําไมยังต้องมีปุโรหิต อีกผู้หนึ่งซึ่งเป็นปุโรหิตตามแบบของเมลคีเซเดค ไม่ใช่ตามแบบของอาโรน? เพราะเมื่อมีการ เปลี่ยนแปลงระบอบปุโรหิตก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติด้วย พระองค์ผู้ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่า นี้บ่งถึงนั้นมาจากตระกูลอื่น และไม่มีใครจากตระกูลนั้นเคยปรนนิบัติที่แท่นบูชา เนื่องจากเห็น ชัดเจนอยู่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงสืบสายจากตระกูลยูดาห์ ซึ่งเป็นตระกูลที่โมเสสไม่ได้ กล่าวพาดพิงถึงเลยในเรื่องปุโรหิต และสิ่งที่เราได้กล่าวนั้นจะเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นถ้าปุโรหิตอีกผู้ หนึ่งเฉกเช่นเมลคีเซเดคปรากฏขึ้น ผู้ที่เป็นปุโรหิตโดยไม่ได้อาศัยกฎระเบียบการสืบทอดตาม บรรพบุรุษของเขา แต่โดยอาศัยอานุภาพแห่งชีวิตซึ่งไม่อาจทําลายได้ ตามที่ประกาศไว้ว่า “ท่านเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์ ตามแบบของเมลคีเซเดค” กฎระเบียบเดิมถูกล้มเลิกไปเนื่องจากไม่มีประสิทธิภาพและเปล่าประโยชน์ (เพราะ บทบัญญัติไม่ได้ทําให้สิ่งใดครบถ้วนสมบูรณ์ได้เลย) และมีการหยิบยื่นความหวังที่ดียิ่งกว่าซึ่งช่วย ให้เราเข้าใกล้พระเจ้าได้ และพระเจ้าทรงยืนยันเรื่องนี้ด้วยคําสาบาน! ขณะ ที่คนอื่นๆ ขึ้นเป็นปุโรหิตโดยไม่มีคําสาบานใดๆ แต่ ฮีบรู 4:14 – 12:3 พระเยซูทรงขึ้นเป็นปุโรหิตด้วยคําสาบานเมื่อพระเจ้า ตรัสกับพระองค์ว่า ในพันธสัญญาเดิม มหาปุโรหิตจะนํา เครื่องสักการบูชามาถวายต่อพระ “พระเจ้าได้ทรงปฏิญาณแล้ว พักตร์พระเจ้าเพื่อชาวอิสราเอลทุกปี และจะไม่ทรงเปลี่ยนพระทัย คือ ‘ท่านเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์’ ” เมื่อท่านทําอย่างนั้น ท่านขอให้ เพราะด้วยคําสาบานนี้พระเยซูจึงทรงเป็นผู้ค้ํา พระเจ้าทรงยกโทษความผิดบาปของ ประกันพันธสัญญาซึ่งดียิ่งกว่า พวกเขา ปุโรหิตตระกูลเลวีนั้นต้องรับหน้าที่สืบทอดกัน พระเยซูทรงเป็นมหาปุโรหิตของเรา หลายคน เพราะความตายขัดขวางพวกเขาไม่ให้อยู่ใน พระองค์ทรงถวายเครื่องสักการบูชา ตําแหน่งนั้นตลอดไป แต่เพราะพระเยซูทรงพระชนม์ เพื่อความบาปของเรา - โดยการสละ อยู่เป็นนิตย์จึงทรงเป็นปุโรหิตถาวรนิรันดร์ ฉะนั้น ชีวิตของพระองค์เอง ซึ่งแตกต่าง พระองค์จึงทรงสามารถช่วยบรรดาผู้ที่มาถึงพระเจ้า จากมหาปุโรหิต พระเยซูทรงกระทํา โดยทางพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะพระองค์ทรง เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะการ พระชนม์อยู่เสมอเพื่อที่จะทูลวิงวอนเพื่อเขาทั้งหลาย ตายของพระองค์บนไม้กางเขน ได้ มหาปุโรหิตเช่นนีแ้ หละทีต่ อบสนองความจําเป็น ปลดปล่อยเราจากความบาป และ ของเราได้ คือปุโรหิตผูท้ รงบริสทุ ธิไ์ ร้ทต่ี ิ ปราศจาก เพื่อทุกคน มลทิน แยกจากคนบาป เป็นทีเ่ ทิดทูนเหนือฟ้าสวรรค์ พระเยซูไม่จาํ เป็นต้องถวายเครือ่ งบูชาทุกๆ วัน 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
ฮีบรู 7:27 | 401
เหมือนมหาปุโรหิตอืน่ ๆ ซึง่ ตอนแรกต้องถวายเครือ่ งบูชาสําหรับบาปของตนเอง จากนัน้ จึงถวาย เครือ่ งบูชาสําหรับบาปของประชาชน พระเยซูทรงถวายพระองค์เองเป็นเครือ่ งบูชาสําหรับบาปของ เขาทัง้ หลายเพียงครัง้ เดียวเป็นพอ บทบัญญัตนิ น้ั แต่งตัง้ มนุษย์ผอู้ อ่ นแอให้เป็นมหาปุโรหิต แต่คาํ ปฏิญาณของพระเจ้าซึง่ มาภายหลังบทบัญญัตไิ ด้แต่งตัง้ พระบุตรผูซ้ ง่ึ ทรงทําให้สมบูรณ์แล้วเป็นนิตย์ 28
มหาปุโรหิตแห่งพันธสัญญาใหม่
นที่เรากําลังกล่าวถึงก็คือเรามีมหาปุโรหิตอย่างนี้ ผู้ซึ่งประทับเบื้องขวาพระที่นั่งขององค์ 8 ผูประเด็ ้ทรงบารมีในสวรรค์ และผู้ทรงปฏิบัติหน้าที่ในสถานนมัสการอันเป็นพลับพลาแท้ซึ่งองค์พระ 2
ผู้เป็นเจ้าทรงตั้งขึ้น ไม่ใช่มนุษย์ตั้ง มหาปุโรหิตทุกคนได้รับการแต่งตั้งให้ถวายทั้งเครื่องบูชาและของถวาย ฉะนั้นมหาปุโรหิตองค์ นี้ทรงจําเป็นต้องมีสิ่งที่จะถวายด้วย หากทรงอยู่ในโลกพระองค์จะไม่ได้เป็นปุโรหิต เพราะมีคน ที่จะถวายของถวายต่างๆ ตามที่บทบัญญัติกําหนดอยู่แล้ว ปุโรหิตเหล่านั้นปรนนิบัติในสถาน นมัสการอันเป็นแบบจําลองและเงาของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ ด้วยเหตุนี้เมื่อโมเสสจะสร้างพลับพลา จึงได้รับคําเตือนว่า “จงทําทุกอย่างตามแบบที่เราได้สําแดงแก่เจ้าบนภูเขานั้น” แต่พันธกิจที่พระ เยซูทรงได้รับมอบหมายนั้นยิ่งใหญ่เหนือพันธกิจของพวกเขา เช่นเดียวกับที่พันธสัญญาซึ่งพระองค์ ทรงเป็นสื่อกลางก็เหนือกว่าพันธสัญญาเดิม และตั้งอยู่บนพระสัญญาต่างๆ ที่ดียิ่งกว่า เพราะหากพันธสัญญาแรกไม่มีข้อบกพร่องก็ไม่จําเป็นต้องเสาะหาอีกพันธสัญญาหนึ่ง แต่ พระเจ้าทรงเห็นข้อผิดพลาดของเหล่าประชากรและตรัสว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เวลานั้นจะมาถึง เมื่อเราจะทําพันธสัญญาใหม่ กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์ เป็นพันธสัญญาซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญา ที่เราได้ทําไว้กับบรรพบุรุษของเขา เมื่อเราจูงมือพวกเขา นําออกมาจากดินแดนอียิปต์ เพราะพวกเขาไม่ได้คงความสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญาของเรา และเราเมินหนีจากพวกเขาองค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทํากับพงศ์พันธุ์อิสราเอลหลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด เพราะเราจะอภัยความชั่วช้าของเขา และจะไม่จดจําบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป” โดยการตรัสเรียกพันธสัญญานี้ว่า “พันธสัญญาใหม่” พระองค์ทรงทําให้พันธสัญญาแรกพ้น สมัยไป สิ่งที่พ้นสมัยหรือเก่าย่อมจะสูญสิ้นไปในไม่ช้า 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
402 | ฮีบรู 7:28
ฮีบรู 8:10 พระเจ้าทรงมีแผนการให้เหล่าสาวกเสมอ ให้น้อง ๆ อ่านพันธสัญญาของพระองค์ใน ฮีบรู 8:10 ให้นั่งเป็นวงกลมและพูดข้อความเหล่านี้ด้วยกัน พูดซ้ําอีกครั้งในขณะที่ทุกคนลุกขึ้น ยืน แล้วให้จับมือกันและพูดข้อความนี้อีกครั้งหนึ่ง และตอนนี้ให้บอกกับเพื่อนว่าเราคิดว่าพันธสัญญานี้หมายถึงอะไร การนมัสการในพลับพลาของโลกนี้
้นมีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการนมัสการและมีสถานนมัสการของโลกนี้ พลับพลา 9 ถูพักนตัธสั้งขึญ้นญาแรกนั ในห้องแรกมีคันประทีป โต๊ะและขนมปังเบื้องพระพักตร์ เรียกห้องนี้ว่าวิสุทธิสถาน 2
หลังม่านชั้นที่สองคือห้องซึ่งเรียกว่า อภิสุทธิสถาน ในห้องนี้มีแท่นทองคําสําหรับเผาเครื่องหอม และหีบพันธสัญญาหุ้มด้วยทองคํา ซึ่งภายในหีบมีภาชนะทองคําบรรจุมานา ไม้เท้าของอาโรน ซึ่งผลิตาออกมา และแผ่นศิลาแห่งพันธสัญญา เหนือหีบนั้นมีรูปปั้นของเครูบแห่งองค์ผู้ทรงพระ เกียรติสิริ ปีกของเครูบกางออกคลุมฝาหีบซึ่งเป็นที่ลบมลทินบาป แต่เราไม่อาจจะกล่าวถึงราย ละเอียดของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ในตอนนี้ เมื่อจัดทุกสิ่งตามนี้แล้ว เหล่าปุโรหิตก็เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในห้องชั้นนอกเป็นกิจวัตร แต่มีเพียง มหาปุโรหิตเท่านั้นที่เข้าสู่ห้องชั้นในปีละครั้ง และต้องนําเลือดเข้าไปถวายเพื่อตัวเองและเพื่อบาป โดยไม่เจตนาของเหล่าประชากร พระวิญญาณทรงสําแดงโดยสิ่งเหล่านี้ว่า ตราบใดที่พลับพลา แรกยังตั้งอยู่ ทางเข้าสู่อภิสุทธิสถานก็ยังไม่เปิด นี่เป็นภาพสําหรับยุคปัจจุบัน บ่งชี้ว่าของถวาย และเครื่องบูชาเหล่านั้นไม่สามารถชําระจิตสํานึกของผู้นมัสการได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องของ อาหาร เครื่องดื่ม และการชําระต่างๆ ตามระเบียบพิธี ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติภายนอกจนกว่าจะถึงเวลา ของระบบใหม่ 3
4
5
6
7
8
9
10
พระโลหิตของพระคริสต์
เมื่อพระคริสต์ทรงมาในฐานะมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐต่างๆ ซึ่งได้มาถึงแล้ว พระองค์ทรง ผ่านเข้าสู่พลับพลาที่ยิ่งใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่า ซึ่งไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ กล่าวคือไม่ได้เป็น ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทรงสร้างนี้ พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไปด้วยเลือดแพะหรือเลือดวัว แต่พระองค์ ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถานด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงกระทําเช่นนี้เพียงครั้งเดียว เป็นพอและได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา เลือดแพะเลือดวัวหรือเถ้าถ่านจากวัวตัวเมียที่ประพรม ลงบนผู้มีมลทินตามระเบียบพิธีได้ชําระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะสะอาดภายนอก แล้วยิ่งกว่านั้น สักเพียงใดพระโลหิตของพระคริสต์ผู้ถวายพระองค์เองอย่างปราศจากตําหนิแด่พระเจ้าโดยทาง พระวิญญาณนิรันดร์ ย่อมชําระจิตสํานึกของเราจากการกระทําอันนําไปสู่ความตาย เพื่อเราจะได้ รับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่! ด้วยเหตุนี้พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อบรรดาผู้ที่ทรงเรียกนั้นจะได้ รับมรดกนิรันดร์ซึ่งทรงสัญญาไว้ เพราะพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เป็นค่าไถ่เพื่อปลดปล่อยเขา ให้เป็นอิสระจากบาปซึ่งได้ทําภายใต้พันธสัญญาแรก ในกรณีของพินยั กรรม จําเป็นต้องพิสจู น์วา่ ผูท้ าํ พินยั กรรมนัน้ สิน้ ชีวติ แล้ว เพราะพินยั กรรม จะมีผลบังคับใช้กต็ อ่ เมือ่ ผูท้ าํ ตายแล้ว หากผูน้ น้ั ยังมีชวี ติ อยูพ่ นิ ยั กรรมจะไม่มผี ลอะไร ด้วยเหตุน้ี 11
12
13
14
15
16
17
18
ฮีบรู 9:18 | 403
แม้แต่พนั ธสัญญาแรกจะมีผลบังคับใช้กต็ อ้ งมีเลือด เมือ่ โมเสสประกาศบทบัญญัตทิ กุ ข้อแก่เหล่า ประชากรทัง้ ปวงแล้ว เขาก็นาํ เลือดลูกวัวพร้อมด้วยน้าํ ขนแกะสีแดงและกิง่ หุสบมาประพรมหนังสือ ม้วนและเหล่าประชากร เขากล่าวว่า “นีค่ อื เลือดแห่งพันธสัญญาซึง่ พระเจ้าทรงบัญชาให้ทา่ นทัง้ หลายรักษา” และเขาใช้เลือดประพรมพลับพลาและทุกสิง่ ทีใ่ ช้ในพิธตี า่ งๆ เช่นเดียวกัน อันทีจ่ ริง บทบัญญัตริ ะบุให้ชาํ ระแทบทุกสิง่ ด้วยเลือด และถ้าไม่มกี ารหลัง่ เลือดก็ไม่มกี ารอภัยบาป ฉะนั้นจึงจําเป็นต้องชําระสิ่งต่างๆ อันเป็นแบบจําลองของสวรรค์ด้วยเครื่องบูชาเหล่านี้ ส่วน ของในสวรรค์เองต้องชําระด้วยเครื่องบูชาที่ดียิ่งกว่า เพราะพระคริสต์ไม่ได้เข้าสู่สถานนมัสการที่ มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งเป็นเพียงแบบจําลองมาจากของแท้ พระองค์ทรงเข้าสู่สวรรค์โดยตรง บัดนี้ทรง ปรากฏต่อหน้าพระเจ้าเพื่อเราทั้งหลาย ทั้งไม่ได้ทรงเข้าสู่สวรรค์เพื่อถวายพระองค์เองซ้ําแล้ว ซ้ําอีกแบบที่มหาปุโรหิตเข้าสู่อภิสุทธิสถานทุกๆ ปีพร้อมด้วยเลือดซึ่งไม่ใช่เลือดของตัวเอง หาก เป็นเช่นนั้นพระคริสต์คงต้องทนทุกข์ทรมานหลายครั้งนับตั้งแต่ทรงสร้างโลก แต่บัดนี้พระองค์ ทรงปรากฏในปลายยุคเพียงครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อกําจัดบาปให้หมดสิ้นโดยถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชา เหมือนที่มนุษย์ถูกกําหนดให้ตายครั้งเดียว หลังจากนั้นต้องพบกับการพิพากษา พระคริสต์ก็ทรงถวายพระองค์เองครั้งเดียวเพื่อลบล้างบาปของประชาชนเป็นอันมาก และ พระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อรับแบกบาปแต่เพื่อนําความรอดมายังบรรดาผู้ซึ่ง รอคอยพระองค์ 19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
พระคริสต์ทรงเป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวพอ
ญญัติเป็นแต่เพียงเงาของสิ่งประเสริฐซึ่งจะมาถึง ไม่ใช่ของจริง เพราะเหตุนี้จึงไม่ 10 บทบั สามารถทําให้ผู้เข้าเฝ้านมัสการสมบูรณ์พร้อมด้วยเครื่องบูชาเดิมๆ ซึ่งถวายซ้ําแล้วซ้ําเล่า
ทุกๆ ปีไม่มีสิ้นสุด เพราะถ้าทําเช่นนั้นได้ เขาจะไม่หยุดถวายเครื่องบูชาหรือ? เพราะผู้นมัสการ จะได้รับการชําระให้บริสุทธิ์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ และจะไม่รู้สึกผิดกับบาปของเขาอีกต่อไป แต่ เครื่องบูชาเหล่านั้นเป็นสิ่งเตือนให้สํานึกบาปทุกปี เพราะเลือดแพะเลือดวัวไม่สามารถลบล้าง บาปให้สิ้นไป ฉะนั้นเมื่อพระคริสต์ทรงเข้ามาในโลก พระองค์ตรัสว่า “พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์เครื่องบูชาและของถวาย แต่ทรงเตรียมกายหนึ่งไว้สําหรับข้าพระองค์ พระองค์ไม่ได้พอพระทัยเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาไถ่บาป แล้วข้าพระองค์ทูลว่า ‘ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ในหนังสือม้วนได้เขียนถึงข้าพระองค์ไว้ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มาแล้วเพื่อทําตามพระประสงค์ของพระองค์’ ” พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า “พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์เครื่องบูชาและของถวาย เครื่องเผา บูชาและเครื่องบูชาไถ่บาป ทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงพอพระทัยในสิ่งเหล่านั้น” (แม้บทบัญญัติกําหนด ให้ทําเช่นนั้น) จากนั้นจึงตรัสว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ข้าพระองค์มาแล้วเพื่อทําตามพระประสงค์ ของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกระบบแรกเพื่อตั้งระบบที่สอง และโดยพระประสงค์นี้เราทั้ง หลายจึงได้รับการทรงชําระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องบูชา เพียงครั้งเดียวเป็นพอ วันแล้ววันเล่าที่ปุโรหิตทุกคนยืนปฏิบัติศาสนกิจ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาถวายเครื่องบูชาแบบ เดียวกันซึ่งไม่สามารถลบล้างบาปให้สิ้นไปได้เลย แต่เมื่อปุโรหิตองค์นี้ถวายเครื่องบูชาลบล้าง บาปครั้งเดียวสําหรับตลอดไปแล้ว ก็ประทับลงที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า นับแต่นั้นมา พระองค์ทรงรอคอยจนกว่าเหล่าศัตรูของพระองค์จะถูกทําให้เป็นแท่นวางพระบาทของพระองค์ เพราะพระองค์ได้ทรงกระทําให้บรรดาผู้ที่กําลังรับการทรงชําระให้บริสุทธิ์นั้นบรรลุความ สมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์โดยการถวายบูชาครั้งเดียว 2
3
4
5
6 7
8
9
10
11
12
13
14
404 | ฮีบรู 9:19
พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังทรงยืนยันข้อนี้แก่เราด้วย พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า “นีค่ อื พันธสัญญาทีเ่ ราจะทํากับเขาทัง้ หลายหลังจากสมัยนัน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนัน้ คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้นบนจิตใจของพวกเขา” “บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจําอีกต่อไป” และเมื่อทรงอภัยบาปให้แล้วก็ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาสําหรับไถ่บาปอีกเลย 15
16
17
18
เรียกร้องให้บากบั่น
เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย ในเมื่อเรามั่นใจที่จะเข้าสู่อภิสุทธิสถานโดยพระโลหิตของพระเยซู โดยหนทางใหม่อันมีชีวิตซึ่งเปิดให้เราผ่านม่านคือพระกายของพระองค์ และในเมื่อเรามีองค์ ปุโรหิตยิ่งใหญ่เหนือพระนิเวศของพระเจ้า ก็ให้เราเข้าใกล้พระเจ้าด้วยใจจริงและมั่นใจอย่าง เต็มที่ในความเชื่อ โดยที่จิตใจของเราได้รับการประพรมเพื่อชําระเราให้หมดจดจากจิตสํานึกที่ ฟ้องร้องว่าตนผิด และกายของเราได้รับการชําระล้างด้วยน้ําบริสุทธิ์แล้ว ให้เรายึดมั่นอย่างไม่ คลอนแคลนในความหวังใจซึ่งเราประกาศรับไว้เพราะพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ และ ให้เราพิจารณาดูว่าเราจะปลุกใจซึ่งกันและกันให้มุ่งสู่ความรักและการกระทําที่ดีได้อย่างไร อย่า ให้เราขาดการประชุมเหมือนที่บางคนทําเป็นประจํา แต่ให้เราให้กําลังใจกันมากยิ่งขึ้น และทําเช่น นั้นให้มากยิ่งขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าวันนั้นใกล้เข้ามาทุกที หลังจากรู้ความจริงแล้ว ถ้าเรายังขืนทําบาปโดยเจตนาต่อไปอีกก็จะไม่เหลือเครื่องบูชาลบ บาปใดๆ มีแต่รอคอยด้วยความหวาดกลัวถึงการพิพากษาและไฟร้อนแรงซึ่งจะเผาผลาญบรรดา ศัตรูของพระเจ้า คนใดฝ่าฝืนบทบัญญัติของโมเสส หากมีพยานสองหรือสามคนยังต้องตายโดย ปราศจากความเมตตา ท่านคิดว่าผู้ที่เหยียบย่ําพระบุตรของพระเจ้า ทําราวกับว่าพระโลหิตแห่ง พันธสัญญาซึ่งชําระเขาให้บริสุทธิ์นั้นไม่ศักดิ์สิทธิ์และลบหลู่พระวิญญาณแห่งพระคุณ สมควรจะ รับโทษหนักมากกว่านั้นสักเพียงใด? เพราะเรารู้จักพระองค์ผู้ตรัสว่า “การแก้แค้นเป็นหน้าที่ ของเราเอง เราจะคืนสนอง” และว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์” การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่นั้นน่ากลัวนัก จงระลึกถึงวันก่อนๆ หลังจากท่านได้รับความสว่าง เมื่อท่านยืนหยัดมั่นคงยามถูกต่อต้าน อย่างหนักในท่ามกลางความทุกข์ยาก บางครั้งท่านถูกประจานให้ได้อายและถูกข่มเหง บางที ท่านก็ยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ที่ถูกเขาทําเช่นนั้นด้วย ท่านเห็นใจผู้ที่ถูกจองจํา และเมื่อถูก 19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
ฮีบรู 10:24 ให้ทําโปสเตอร์เกี่ยวกับพระธรรมฮีบรู 10:24 อะไรที่น้อง ๆ สามารถทําได้เพื่อเป็นการ แสดงความรักต่อผู้อื่น? การดีที่พวกเขาได้ทํานั้นคืออะไร? ให้วาดภาพหรือปะติด รูปภาพของน้อง ๆ ที่เป็นการแสดงความรักและการทําความดีให้แก่ผู้อื่น แล้วเขียนคํา ที่สําคัญที่อยู่ในข้อพระคัมภีร์ลงในโปสเตอร์ของเรา เราสามารถหนุนใจกันและกันให้แสดงความรักและทําดีต่อกันได้อย่างไร? ฮีบรู 10:34 | 405
ยึดทรัพย์สินท่านก็ยอมรับอย่างชื่นบาน เพราะท่านรู้ว่าท่านเองมีทรัพย์สมบัติถาวรซึ่งดียิ่งกว่านั้น อีก ฉะนั้นอย่าทิ้งความมั่นใจของท่าน สิ่งนี้จะได้รับบําเหน็จอันยิ่งใหญ่ ท่านทั้งหลายต้องอดทน บากบั่น เพื่อว่าเมื่อท่านได้ทําตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว ท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ทรง สัญญาไว้ เพราะ “เพียงครู่เดียว พระองค์ผู้กําลังเสด็จมาจะเสด็จมาและจะไม่ทรงล่าช้า แต่ผู้ชอบธรรมของเราจะดํารงชีวิตโดยความเชื่อ และหากเขาเสื่อมถอย เราจะไม่พอใจเขา” ส่วนพวกเราไม่ใช่ผู้ที่เสื่อมถอยและถูกทําลาย แต่เป็นผู้ที่เชื่อและได้รับการช่วยให้รอด 35
36
37
38
39
โดยความเชื่อ
ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น เพราะความเชื่อนี้ 11 เองที ่คนในสมัยก่อนได้รับการทรงชมเชย 2
โดยความเชื่อเราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้นโดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นอยู่จึง ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา โดยความเชื่ออาแบลถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าซึ่งดีกว่าของคาอิน โดยความเชื่ออาแบลได้รับ การยกย่องว่าเป็นผู้ชอบธรรมเมื่อพระเจ้าทรงชมเชยสิ่งที่เขาถวาย และโดยความเชื่อเขาจึงยังพูด อยู่ทั้งๆ ที่เขาตายแล้ว โดยความเชื่อเอโนคจึงถูกรับขึ้นไปเพื่อจะไม่ต้องประสบความตาย ไม่มีผู้ใดพบเขาเพราะ พระเจ้าทรงรับเขาไปแล้ว เพราะก่อนหน้านั้นเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่พระเจ้าพอพระทัย ถ้าไม่มีความเชื่อก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทําให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้าต้องเชื่อว่า พระองค์ทรงดํารงอยู่และประทานบําเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง โดยความเชื่อเมื่อโนอาห์ได้รับคําเตือนถึงเรื่องต่างๆ ที่ยังมองไม่เห็น ด้วยความเกรงกลัว พระเจ้าเขาจึงได้ต่อเรือใหญ่เพื่อช่วยครอบครัวให้รอด โดยความเชื่อของเขา เขาได้ตัดสินโทษโลก และได้กลายเป็นทายาทแห่งความชอบธรรมที่มีมาโดยความเชื่อ โดยความเชื่อเมื่ออับราฮัมได้รับการทรงเรียกให้ไปยังสถานที่ซึ่งเขาจะได้รับเป็นมรดกในภาย หลัง เขาก็เชื่อฟังและออกเดินทางถึงแม้เขาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน โดยความเชื่อเขาอาศัยในดิน 3
4
5
6
7
8
9
ฮีบรู 11 ให้น้อง ๆ ทํารายชื่อทุกชื่อของวีรบุรุษแห่งความเชื่อที่ถูกกล่าวถึงในบทนี้ คนไหน คือวีรบุรุษแห่งความเชื่อที่น้อง ๆ ชื่นชอบ? ให้เขียนคําตอบเป็นประโยค อย่างเช่น “วีรบุรุษแห่งความเชื่อของฉันคือ ... เพราะ ... ” และตอนนี้ให้เราคิดถึงวีรบุรุษแห่ง ความเชื่อในสมัยนี้ มีวีรบุรุษแห่งความเชื่อในคริสตจักรของเราบ้างไหม? น้อง ๆ ทราบ เกีย่ วกับวีรบุรษุ แห่งความเชือ่ คนอืน่ ไหม? ใครช่วยเราให้เดินติดตามพระเยซู? ให้นอ้ ง ๆ ขอบคุณพระเจ้าสําหรับการที่พวกเขาได้เป็นแบบอย่างให้แก่เรา 406 | ฮีบรู 10:35
แดนพระสัญญาเยี่ยงคนต่างด้าวในต่างแดน ใช้ชีวิตอยู่ในเต็นท์เช่นเดียวกับอิสอัคและยาโคบผู้ เป็นทายาทร่วมในพระสัญญาเดียวกันกับเขา เพราะเขาหมายมุ่งนครซึ่งตั้งอยู่บนฐานรากอันมี พระเจ้าทรงเป็นสถาปนิกและผู้สร้าง โดยความเชื่อแม้อับราฮัมชรามากแล้วและซาราห์เองก็เป็นหมัน เขาก็ยังสามารถมีบุตรได้ เพราะเขาถือว่าพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นสัตย์ซื่อ ดังนั้นจากชายคนเดียวนี้ซึ่งเป็นเหมือนคนที่ตาย แล้วก็เกิดมีลูกหลานสืบเชื้อสายมากมายดั่งดวงดาวในท้องฟ้า และดั่งเม็ดทรายนับไม่ถ้วนที่ชายฝั่ง ทะเล คนทั้งปวงเหล่านี้ตายไปขณะที่ดําเนินชีวิตโดยความเชื่อ พวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ เพียงแต่ได้เห็นและเตรียมรับแต่ไกลและยอมรับว่าพวกเขาเป็นเพียงคนต่างถิ่นและคนแปลกหน้า ในโลกนี้ คนที่พูดอย่างนี้แสดงให้เห็นว่ากําลังมองหาบ้านเมืองที่จะเป็นของตน หากพวกเขา คิดถึงบ้านเมืองที่จากมาก็ย่อมมีโอกาสที่จะกลับไปได้ แต่นี่พวกเขาใฝ่หาบ้านเมืองซึ่งดีกว่าคือเมืองสวรรค์ ฮีบรู 11 เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงไม่ได้ทรงละอายเมื่อพวกเขา เรียกพระองค์ว่าพระเจ้าของพวกเขา เพราะพระองค์ ในข้อ 1 อธิบายว่าความเชือ่ คือ ทรงจัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้ให้พวกเขาแล้ว อะไร มันคือความแน่ใจในสิง่ ทีย่ งั โดยความเชื่อเมื่อพระเจ้าทรงทดสอบอับราฮัม ไม่เกิดขึน้ และสิง่ ทีเ่ รามองไม่เห็น เขาก็ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา เขาผู้ได้รับพระสัญญา เราไว้วางใจพระเจ้าว่าพระองค์ พร้อมที่จะถวายบุตรชายเพียงคนเดียวของตน แม้ ทรงพูดความจริงเกีย่ วกับสิง่ เหล่า พระเจ้าได้ตรัสกับเขาว่า “วงศ์วาน ของเจ้าจะนับทาง นี้ ส่วนทีเ่ หลือของบทนี้ บอกเรา สายอิสอัค” อับราฮัมเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถให้ เกีย่ วกับผูค้ นในพันธสัญญาเดิม คนตายกลับเป็นขึ้นมาได้ กล่าวเปรียบเทียบได้ว่าเขา ทีม่ คี วามเชือ่ พวกเขาไว้วางใจใน ได้อิสอัคคืนมาจากความตาย พระเจ้า (ความเชือ่ ของเขา) ช่วย โดยความเชื่ออิสอัคอวยพรให้ยาโคบกับเอซาว ให้พวกเขาเชือ่ ฟังพระองค์ในทุกสิง่ สําหรับอนาคตของพวกเขา และทําในสิง่ ทีพ่ ระองค์ทรงรับสัง่ โดยความเชื่อเมื่อยาโคบกําลังจะตายจึงอวยพร บุตรแต่ละคนของโยเซฟ และนมัสการขณะยันกายบน ให้พวกเขาทํา หัวไม้เท้าของเขา โดยความเชื่อเมื่อใกล้ตายโยเซฟจึงกล่าวถึงการอพยพออกจากอียิปต์ของชนอิสราเอล และสั่ง ความเรื่องกระดูกของเขา โดยความเชื่อบิดามารดาของโมเสสซ่อนเขาไว้ถึงสามเดือนหลังจากคลอด เนื่องจากเห็นว่าเขา แตกต่างจากเด็กอื่นทั่วไป และทั้งสองไม่กลัวคําสั่งของกษัตริย์เลย โดยความเชื่อเมื่อโมเสสเติบโตขึ้นก็ปฏิเสธฐานะบุตรของธิดาฟาโรห์ เขาเลือกที่จะถูกข่มเหง ร่วมกับเหล่าประชากรของพระเจ้าแทนการเริงสําราญเพียงชั่วคราวในบาป เขาถือว่าการยอม เสื่อมเสียเพื่อพระคริสต์ยังล้ําค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายของอียิปต์ เพราะเขามองไปข้าง หน้าถึงบําเหน็จของเขา โดยความเชื่อเขาออกจากอียิปต์โดยไม่กลัวพระพิโรธของกษัตริย์ เขา อดทนบากบั่นเพราะเขาได้เห็นพระเจ้าผู้ซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ โดยความเชื่อเขาถือปัสกาและการ ประพรมเลือด เพื่อเพชฌฆาตผู้ประหารบุตรหัวปีจะไม่มาแตะต้องลูกหัวปีของอิสราเอล โดยความเชื่อเหล่าประชากรข้ามทะเลแดงราวกับเดินบนพื้นแห้ง แต่เมื่อชาวอียิปต์พยายาม จะข้ามบ้าง พวกเขาก็จมน้ําตาย โดยความเชือ่ กําแพงเมืองเยรีโคจึงพังลงหลังจากเหล่าประชากรเดินรอบกําแพงเป็นเวลาเจ็ดวัน โดยความเชื่อราหับหญิงโสเภณีจึงไม่ถูกฆ่าไปพร้อมกับบรรดาผู้ไม่เชื่อฟัง เพราะนางได้ ต้อนรับสายสืบ 10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30 31
ฮีบรู 11:31 | 407
และข้าพเจ้าจะว่าอะไรอีก ข้าพเจ้าไม่มีเวลาพอที่จะกล่าวถึงกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด ซามูเอล และบรรดาผู้เผยพระวจนะต่างๆ ผู้ซึ่งโดยทางความเชื่อได้พิชิตอาณาจักรต่างๆ ได้ให้ความยุติธรรม และได้รับสิ่งซึ่งทรงสัญญาไว้ ผู้ได้ปิดปากสิงห์ ได้ดับเปลวไฟร้อนแรง และ ได้แคล้วคลาดจากคมดาบ ผู้ซึ่งความอ่อนแอของเขากลับเป็นความเข้มแข็ง และผู้ได้กลายเป็นคน แข็งกล้าในการสงคราม และได้ไล่ล่ากองทัพจากต่างแดน พวกผู้หญิงได้รับคนของพวกนางซึ่ง เป็นขึ้นจากตาย คนอื่นๆ ถูกทรมานและไม่ยอมรับการปลดปล่อยเพื่อจะได้การเป็นขึ้นจากตายที่ดี ยิ่งกว่า บางคนถูกเย้ยเยาะโบยตี ขณะที่บางคนถูกตีตรวนและจําคุก บางคนถูกขว้างด้วยก้อน หินจนตาย บางคนถูกเลื่อยเป็นสองท่อน บางคนตายด้วยคมดาบ บางคนนุ่งห่มหนังแพะหนังแกะ สิ้นเนื้อประดาตัว ถูกข่มเหงและถูกย่ํายี แผ่นดินโลกไม่ควรค่ากับคนเช่นนี้เลย พวกเขาร่อนเร่ไป ตามถิ่นกันดาร ตามภูเขาต่างๆ หรือในถ้ําในโพรง คนเหล่านี้ล้วนได้รับการยกย่องในความเชื่อของพวกเขา แต่ก็ยังไม่มีคนใดได้รับสิ่งที่ทรง สัญญาไว้ พระเจ้าทรงวางแผนเตรียมสิ่งที่ดีกว่าไว้สําหรับเรา เพื่อพวกเขาจะได้รับความสมบูรณ์ พร้อมร่วมกับเราทั้งหลายเท่านั้น ้นในเมื่อเรามีพยานหมู่ใหญ่พรั่งพร้อมรอบด้านเช่นนี้แล้ว ก็ให้เราละทิ้งทุกอย่าง 12 เพราะฉะนั ที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น ให้เราวิ่งด้วยความอดทนบากบั่นไปตามลู่ที่ทรงกําหนดไว้ สําหรับเรา ให้เราเพ่งมองที่พระเยซูผู้ทรงลิขิตความเชื่อและทรงทําให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ทรงทนรับกางเขนและไม่ใส่พระทัยในความอัปยศของไม้กางเขนเพราะเห็นแก่ความ ชื่นชมยินดีที่อยู่เบื้องหน้า และพระองค์ได้ประทับที่เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า ท่านทั้งหลาย จงใคร่ครวญถึงพระองค์ผู้ทรงทนการต่อต้านเช่นนั้นจากคนบาป เพื่อว่าท่านจะได้ไม่อ่อนล้าและ ท้อแท้ใจ 32
33
34
35
36
37
38
39
40
2
3
พระเจ้าทรงตีสอนบุตรของพระองค์
ในการขับเคี่ยวกับบาป ท่านยังไม่ได้ต่อสู้จนถึงกับหลั่งเลือด และท่านได้ลืมถ้อยคําให้กําลังใจ ซึ่งมีมาถึงท่านในฐานะบุตรว่า “ลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจเมื่อพระองค์ทรงตําหนิท่าน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร” จงทนความทุกข์ยากโดยถือเสมือนว่าเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะบุตร เพราะบุตรคนไหนบ้างที่บิดาไม่เคยตีสอน? หากท่านไม่ถูกตีสอน (และทุกคนได้รับการตีสอน) ท่านก็เป็นบุตรนอกกฎหมายและไม่ใช่บุตรแท้ ยิ่งไปกว่านั้นเราทั้งปวงล้วนมีบิดาซึ่งเป็นมนุษย์ ผู้ตีสอนเราและเราเคารพนับถือท่านที่ทําเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใดที่เราควรอยู่ในโอวาทของ พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเราและมีชีวิตอยู่! บิดาของเราตีสอนเราชั่วระยะหนึ่งตามที่คิดเห็น ว่าดีที่สุด แต่พระเจ้าทรงตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อเราจะได้มีส่วนในความบริสุทธิ์ของ พระองค์ ไม่มีการตีสอนใดดูน่าชื่นใจในเวลานั้น มีแต่จะเจ็บปวด แต่ภายหลังจะเกิดผลเป็นความ ชอบธรรมและสันติสุขแก่บรรดาผู้รับการฝึกฝนโดยการตีสอนนั้น เพราะฉะนั้นจงทําให้แขนที่อ่อนแรงและเข่าที่อ่อนล้าเข้มแข็งขึ้น “จงทําทางที่ราบเรียบ สําหรับเท้าของท่าน” เพื่อคนง่อยจะไม่พิการแต่กลับเป็นปกติดี 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
เตือนไม่ให้ปฏิเสธพระเจ้า
จงเพียรพยายามที่จะอยู่อย่างสงบสุขร่วมกับคนทั้งปวงและเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจาก ความบริสุทธิ์แล้วก็ไม่มีใครจะได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย จงระวังอย่าให้ใครพลาดไปจาก พระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมาสร้างความเดือดร้อน และทําให้คนเป็นอัน 14
15
408 | ฮีบรู 11:32
มากแปดเปื้อนมลทิน จงระวัง อย่าให้ใครผิดศีลธรรมทางเพศ หรือไม่อยู่ในทางพระเจ้าแบบ เอซาวผู้ขายสิทธิบุตรหัวปีแลกกับอาหารมื้อเดียว ท่านทั้งหลายทราบอยู่ว่าในภายหลังเมื่อเอซาว ต้องการรับพรนี้เป็นมรดกก็ถูกปฏิเสธ เขาไม่อาจแก้ไขอะไรได้แม้เขาจะแสวงหาพรนั้นด้วยน้ําตา ท่านทั้งหลายไม่ได้มายังภูเขาที่จับต้องได้และที่ลุกเป็นไฟ ไม่ได้มายังความมืด ความมืดมน และพายุ ไม่ได้มายังเสียงแตรกระหึ่มหรือพระสุรเสียงตรัสซึ่งบรรดาผู้ที่ได้ยินแล้ววอนขออย่าได้ ตรัสคําใดๆ กับเขาอีก เพราะพวกเขาไม่อาจทนกับคําบัญชาที่ว่า “แม้แต่สัตว์ที่แตะต้องภูเขานั้น ก็จะต้องถูกหินขว้างตาย” สิ่งที่เห็นนั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนักจนโมเสสกล่าวว่า “ข้าพเจ้ากลัวจนตัว สั่น” แต่ท่านทั้งหลายได้มาถึงภูเขาศิโยน คือถึงนครของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ คือเยรูซาเล็ม แห่งสวรรค์ ท่านได้มาถึงที่ซึ่งทูตสวรรค์มากมายได้ชุมนุมกันอย่างร่าเริงยินดี มาสู่คริสตจักรแห่ง บุตรหัวปีผู้มีชื่อจารึกไว้ในสวรรค์ ท่านได้มาถึงพระเจ้าผู้ทรงพิพากษามวลมนุษย์ มายังวิญญาณจิต ของคนชอบธรรมซึ่งทรงทําให้สมบูรณ์แล้ว มาสู่พระเยซูผู้ทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ และมาถึงโลหิตประพรมซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่ดียิ่งกว่าโลหิตของอาแบล จงระวังอย่าปฏิเสธพระองค์ผู้ตรัสอยู่ ถ้าพวกเขายังหนีไม่พ้นเมื่อปฏิเสธพระองค์ผู้ตรัสเตือน ในโลก เราย่อมจะหนีไม่พ้นยิ่งขึ้นเพียงใดหากเราหันหนีพระองค์ผู้ทรงเตือนเราจากสวรรค์? ครั้ง นั้นพระสุรเสียงของพระองค์ทําให้โลกสะเทือนสะท้าน แต่บัดนี้พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่า “เราจะไม่ เพียงเขย่าโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง แต่จะเขย่าฟ้าสวรรค์ด้วย” คําว่า “อีกครั้งหนึ่ง” บ่งบอกว่าสิ่งที่สั่น คลอนได้คือสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นนั้นจะถูกขจัดทิ้ง เพื่อให้เหลืออยู่แต่สิ่งที่ไม่สั่นคลอน เพราะฉะนั้นในเมื่อเรากําลังได้รับอาณาจักรอันไม่อาจสั่นคลอนได้ ก็ให้เราขอบพระคุณและ นมัสการพระเจ้าอย่างที่ทรงพอพระทัย ด้วยความยําเกรงและด้วยความครั่นคร้าม เพราะว่า “พระเจ้าทรงเป็นไฟอันเผาผลาญ” 16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
คําแนะนําสุดท้าย
กกันฉันพี่น้องสืบต่อไป อย่าลืมที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะโดยการทําเช่นนั้น 13 จงรั บางคนได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว จงระลึกถึงบรรดาผู้ถูกจองจําอยู่เสมือนว่าท่านถูก 2
3
จองจําร่วมกันกับเขา และจงระลึกถึงคนทั้งหลายที่ถูกข่มเหงราวกับว่าท่านเองกําลังทนทุกข์อยู่ จงให้การแต่งงานเป็นที่นับถือสําหรับคนทั้งปวงและรักษาเตียงสมรสให้บริสุทธิ์ เพราะพระเจ้า จะทรงพิพากษาโทษคนล่วงประเวณีและคนทั้งปวงที่ผิดศีลธรรมทางเพศ จงรักษาชีวิตของท่าน ให้เป็นอิสระจากการรักเงินทองและจงพอใจในสิ่งที่ตนมี เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า 4
5
ฮีบรู 13:1–2 เมื่อเรายินดีต้อนรับผู้อื่น เราทําให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาอยู่บ้านตัวเอง หลายคนมีพรมเช็ดเท้าอยู่หน้าประตูบ้านที่มีคําว่า “ยินดีต้อนรับ” เขียนไว้บนนั้น ให้น้อง ๆ ออกแบบพรมเช็ดเท้าของเราเองเพื่อนํามาใช้ที่หน้าประตูบ้าน หรือ ออกแบบแผ่นโลหะที่สามารถนํามาแขวนไว้ที่หน้าประตูบ้านได้ จําไว้ว่าให้ใช้วัสดุที่มี ความทนทานต่อสภาพอากาศ! ฮีบรู 13:5 | 409
“เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน ฮีบรู 12 – 13 เราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน” ในบทสุดท้ายของจดหมาย เราจะได้ ดังนั้นเราจึงกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า อ่านถึงสิ่งที่คริสเตียนต้องทําในการ “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยเหลือ เดินติดตามพระเจ้า ต่อไปนี้คือบาง ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว ส่วนที่เราจะต้องทํา มนุษย์จะทําอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?” •เพงมองที่พระเยซู (ฮีบรู 12:1–2) •เลียนแบบความเชื่อของผูนําของ จงระลึกถึงบรรดาผู้นําของท่าน ผู้ได้กล่าวพระ เรา (ฮีบรู 13:7) วจนะของพระเจ้าแก่ท่าน จงพิจารณาดูผลลัพธ์ของ •เชื่อฟงพระเจาและไมยอมแพ วิถีชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นแล้วตามอย่างความเชื่อ (ฮีบรู 12) ของพวกเขา พระเยซูคริสต์ทรงเป็นเหมือนเดิมเสมอ •รักซึ่งกันและกัน และดูแลผูที่ตก ทุกขไดยาก (ฮีบรู 13:1–3) ทั้งเมื่อวานนี้ วันนี้ และสืบไปนิรันดร์ •อย าโลภ (ฮีบรู 13:5–6) อย่าหลงไปตามสารพันคําสอนแปลกๆ เป็นการดี ที่จะให้ใจเราเข้มแข็งขึ้นด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยอาหาร ตามระเบียบพิธีซึ่งไม่ได้ให้คุณค่าใดๆ แก่ผู้รับประทาน เรามีแท่นบูชาซึ่งผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพลับพลาไม่มีสิทธิ์รับประทานอาหารจากแท่นนั้น มหาปุโรหิตนําเลือดของสัตว์ต่างๆ เข้าไปในอภิสุทธิสถานเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป แต่ร่างของ สัตว์เหล่านั้นถูกนําไปเผานอกค่ายพัก พระเยซูก็เช่นกัน พระองค์ทรงทนทุกข์นอกประตูเมืองเพื่อ ชําระเหล่าประชากรให้บริสุทธิ์ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง ฉะนั้นให้เราทั้งหลายออกไปหา พระองค์ที่นอกค่าย ทนรับความอัปยศที่พระองค์ทรงแบกรับ เพราะที่นี่เราไม่มีนครอันถาวร แต่ เรากําลังมองหานครซึ่งจะมาถึง เพราะฉะนั้นให้เราถวายการสรรเสริญเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าโดยทางพระเยซูตลอดไป คือ ถวายผลแห่งริมฝีปากที่กล่าวยอมรับพระนามของพระองค์ อย่าลืมที่จะทําความดีและแบ่งปัน ร่วมกับผู้อื่นเพราะพระเจ้าพอพระทัยเครื่องบูชาเช่นนี้ ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาผู้นําของท่านซึ่งเฝ้าดูแลท่านในฐานะเป็น ผู้ที่ต้องรายงาน จงเชื่อฟังเขาเพื่อเขาจะทําหน้าที่ด้วยความชื่นใจ ไม่ใช่จําใจรับภาระซึ่งไม่เป็น ประโยชน์อันใดแก่ท่าน จงอธิษฐานเผื่อเรา เราแน่ใจว่าเรามีจิตสํานึกที่บริสุทธิ์และปรารถนาจะดําเนินชีวิตอย่างน่า 6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
ฮีบรู 13:8 ต้นไม้ ค้นพบว่ากิ้งก่าบางชนิดมีความสามารถในการเปลี่ยนสี พวกมันทําเช่นนี้ก็เพื่อ ทําให้ตัวมันกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ในเวลาที่พวกมันรู้สึกว่าถูกคุกคามและเมื่อ พวกมันรู้สึกเย็น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นการแสดงออกถึงอารมณ์ของพวกมัน เมื่อ พวกมันรู้สึกก้าวร้าวหรือต้องการที่จะต่อสู้ ตัวมันจะกลายเป็นสีเข้ม และเมื่อพวกมัน พบกิ้งก่าตัวอื่นที่พวกมันต้องการนํามาเป็นคู่ของมัน ตัวมันจะสว่างและมีสีสันมากขึ้น ผู้คนนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปตามความรู้สึกของตน แต่พระเยซูทรงเป็นเหมือนเดิมเสมอ พระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงอยู่กับเราเสมอและทรงรักเราตลอดไป 410 | ฮีบรู 13:6
ฮีบรู 13:15–16 เมื่อเรากําลังมีความสุขและสนุกสนาน เราสรรเสริญพระเจ้า อะไรคือสิ่งที่น้อง ๆ ควร ทําเมื่อน้อง ๆ กําลังโกรธหรือเศร้า? • ให้บอกกับพระเจ้าว่าเรารู้สึกอย่างไร พระองค์ทรงต้องการให้เราพูดคุยกับพระองค์ถึง ความรู้สึกของเรา • ให้พยายามสรรเสริญพระเจ้า ถึงแม้ว่าเราอาจจะรู้สึกว่าไม่อยากทํามัน • ให้ขอบคุณพระองค์สําหรับสิ่งดีทุกอย่างที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เราทุกวัน • ให้ทําอะไรเพื่อคนอื่น มันจะทําให้เรารู้สึกดีขึ้นอย่างแน่นอน! นับถือในทุกด้าน ข้าพเจ้าขอร้องท่านเป็นพิเศษให้อธิษฐานขอให้ข้าพเจ้าได้กลับมาหาท่านในไม่ ช้านี้ ขอพระเจ้าแห่งสันติสุขผู้ซึ่งโดยโลหิตแห่งพันธสัญญานิรันดร์ได้ทรงให้พระเยซูเจ้าของเราผู้ เป็นองค์พระผู้เลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝูงแกะของพระเจ้าเป็นขึ้นจากตายนั้น ทรงให้ท่านทั้งหลายพรั่ง พร้อมด้วยทุกสิ่งที่ดีเพื่อจะทําตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอทรงกระทําการในเราทั้งหลาย ตามที่ชอบพระทัยพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระองค์เสมอไปเป็นนิตย์ อาเมน พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่านอดทนรับฟังคําเตือนสติของข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าเขียน จดหมายเพียงสั้นๆ มาถึงท่าน ข้าพเจ้าขอเรียนให้ท่านทราบว่าทิโมธีน้องของพวกเราได้รับการปล่อยตัวแล้ว หากเขามาถึง เร็วๆ นี้ข้าพเจ้าจะมาหาท่านทั้งหลายพร้อมกับเขา ข้าพเจ้าขอฝากความคิดถึงมายังบรรดาผู้นําของท่านตลอดจนประชากรทั้งปวงของพระเจ้า พวกพี่น้องจากอิตาลีฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย ขอพระคุณดํารงอยู่กับท่านทั้งปวง 19
20
21
22
23
24
25
ฮีบรู 13:25 | 411
จดหมายของยากอบ น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● เราเรียกจดหมายที่เขียนโดย ยากอบ เปโตร ยอห์น และยูดา ว่าจดหมายฝากทั่วไป
เนื่องจากไม่ได้ระบุว่าเขียนถึงคริสจักรใด ● เราคาดว่ายากอบผู้เขียนจดหมายนี้ คือยากอบผู้เป็นน้องชายของพระเยซู ● จดหมายฉบับนี้มีเนื้อความคล้ายคลึงกับคําเทศนาบนภูเขาของพระเยซู (มัทธิว 5–7) ● หลังจากที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงปรากฏให้ยากอบเห็น จาก นั้นเขาจึงเชื่อในพระคริสต์ (1โครินธ์ 15:7) ● ยากอบเป็นผู้นําของคริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็ม
ทําไมยากอบถึงเขียนจดมายฉบับนี้?
● ยากอบเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงชาวยิวที่เชื่อในพระคริสต์ที่หนีกระจัดกระจายจาก
กรุงเยรูซาเล็มไปในที่ต่าง ๆ เนื่องจากการข่มเหง
● ยากอบเรียกพวกเขาว่า ชนสิบสองเผ่าที่อยู่ท่ามกลางประชาชาติ ● ยากอบอธิบายให้เห็นว่าพวกเขาสามารถดําเนินชีวิตตามน้ําพระทัยพระเจ้าได้ ไม่ว่า
พวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม
ดูตรงนี้สิ!
● ความทุกข์ลําบากทําให้เราหนักแน่นมั่นคง (ยากอบ 1:2–4) ● คําพูดและการกระทํา (ยากอบ 1:19–25) ● การกระทําพิสูจน์ถึงความเชื่อได้อย่างไร (ยากอบ 2:14–26) ● ให้ระวังคําพูด (ยากอบ 3:1–12) ● จงอธิษฐานอยู่เสมอ (ยากอบ 5:13–18)
412
ยากอบ
จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้ายากอบผู้เป็นผู้รับใช้ 1 ของพระเจ้ าและขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า
ยากอบ
เปาโลเรียกยากอบว่าเป็นเสา หลัก (ผู้นํา) ของคริสตจักรในกรุง เยรูซาเล็ม (กาลาเทีย 2:9) ยากอบ รักความดีและความถูกต้อง เขาดูแล คนยากไร้ และช่วยเหลือแม่หม้าย และเด็กกําพร้า แต่บรรดาคนมั่งมี ต่างไม่ชอบเขา เนื่องจากเขาไม่ช่วย คนเหล่านั้นปิดบังความผิดที่พวกเขา ทําลงไป
ถึงชนสิบสองเผ่าซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในชาติต่างๆ การทดสอบและการทดลอง
พี่น้องทั้งหลายเมื่อใดที่ท่านเผชิญความทุกข์ยาก นานาประการ จงถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ เพราะ ท่านรู้ว่าการทดสอบความเชื่อของท่านนั้นทําให้เกิด ความอดทนบากบั่น จงอดทนบากบั่นให้ถึงที่สุดเพื่อ ท่านจะเติบโตเต็มที่และสมบูรณ์เพียบพร้อมและไม่มี สิ่งใดบกพร่องเลย ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา จงทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานด้วยพระทัยกว้างขวาง แก่คนทั้งปวงโดยไม่ตําหนิ แล้วผู้นั้นจะได้รับ แต่เมื่อ เขาทูลขอ เขาต้องเชื่อและไม่สงสัยเลย เพราะผู้ใดที่สงสัยก็เป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งซัดไปซัดมา ตามแรงลม ผู้นั้นอย่าคิดว่าเขาจะได้รับสิ่งใดจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย เขาเป็นคนสองใจเอาแน่ อะไรไม่ได้ พี่น้องที่ต่ําต้อยควรภูมิใจในฐานะอันสูงส่งของตน แต่ผู้ที่ร่ํารวยควรภูมิใจในฐานะอันต่ําต้อย ของตนเพราะเขาจะต้องสูญสิ้นไปเหมือนดอกหญ้า เพราะเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ความร้อนก็แผด เผาต้นหญ้าให้เหี่ยวแห้งไป ดอกหญ้าก็ร่วงโรย สูญสิ้นความงาม เช่นเดียวกันคนร่ํารวยก็จะเสื่อม สูญไปแม้ขณะดําเนินกิจการของตน ความสุขมีแก่ผู้ที่อดทนบากบั่นเมื่อถูกทดลอง เพราะเมื่อเขายืนหยัดผ่านการทดสอบก็จะได้รับ มงกุฎแห่งชีวิตซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับผู้ที่รักพระองค์ ขณะถูกทดลองให้ทําบาป อย่าให้ใครพูดว่า “พระเจ้าทรงทดลองข้าพเจ้า” เพราะความชั่วไม่ อาจล่อลวงพระเจ้าให้ทําบาปและพระองค์ก็ไม่ทรงล่อลวงผู้ใดเลย ทว่าแต่ละคนถูกทดลองเมื่อ ตัณหาชั่วของตนเองชักจูงไปให้ติดกับ หลังจากมีตัณหาแล้วก็ก่อให้เกิดบาป และเมื่อบาปโตเต็ม ที่ก็ก่อให้เกิดความตาย พี่น้องที่รัก อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านเลย ของประทานทุกอย่างที่ดีและล้ําเลิศล้วนมาจากเบื้อง บน จากพระบิดาแห่งดวงสว่างทั้งหลายในฟ้าสวรรค์ ผู้ไม่ได้ทรงผันแปรเหมือนเงาที่แปรเปลี่ยน 2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
ยากอบ 1:12 คริสเตียนไม่ได้มีชีวิตที่ราบรื่นเสมอไป ยากอบบอกเราว่าอย่าท้อใจ ถ้าเราตั้งใจใช้ชีวิต แม้ว่าจะยากลําบากเพียงใด พระเจ้าจะทรงประทานมงกุฎ (รางวัล) ให้แก่เรา รางวัล ของเรานั้นอยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์ ชั่วนิรันดร์ ให้น้อง ๆ ลองคิดถึงคนที่เคยได้รับ มงกุฏมาแล้ว น้อง ๆ เรียนรูอ้ ะไรจากพวกเขา? ให้จดบันทึกเอาไว้ แล้วขอบคุณพระเจ้า ที่ส่งพวกเขามาเป็นแบบอย่างให้แก่เรา 414 | ยากอบ 1:1
พระองค์ทรงเลือกที่จะให้เราบังเกิดผ่านทางข่าว ประเสริฐ เพื่อเราจะได้เป็นเหมือนผลแรกอันดีเลิศของ สรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
ยากอบ 1:19–25
18
จงฟังและทําตาม
ยากอบบอกเราว่า เราต้องไวในการ ฟังช้าในการพูด เราไม่ควรพูดก่อน คิด เราควรฟังว่าพระคําของพระเจ้า ว่าอย่างไรและปฏิบัติตาม เราควร พยายามที่จะไม่โกรธ เพราะว่าถ้าเรา โกรธแล้วเราจะไม่สามารถรับฟังได้
พี่น้องที่รักพึงทราบข้อนี้คือ ทุกคนควรไวในการ ฟัง ช้าในการพูด และช้าในการโกรธ เพราะความ โกรธของมนุษย์ไม่ได้ก่อให้เกิดชีวิตอันชอบธรรมที่ พระเจ้าทรงประสงค์ เหตุฉะนั้นจงขจัดสารพัดความ โสมมทางศีลธรรมและความชั่วอันดาษดื่น และถ่อมใจ น้อมรับพระวจนะที่ได้ปลูกฝังไว้ในท่านซึ่งสามารถช่วยท่านให้รอดได้ อย่าเพียงแต่ฟังพระวจนะซึ่งเป็นการหลอกตัวเอง แต่จงปฏิบัติตามพระวจนะนั้น ผู้ใดที่ฟัง พระวจนะแต่ไม่ได้ทําตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ส่องกระจกมองหน้าตัวเอง หลังจากส่องดูแล้ว ก็ไปและทันใดนั้นก็ลืมว่าหน้าตาตนเองเป็นอย่างไร ส่วนผู้ที่พินิจดูบทบัญญัติอันสมบูรณ์ซึ่งให้ เสรีภาพและทําสิ่งนี้ต่อไปโดยไม่ลืมสิ่งที่เขาได้ยิน แต่ปฏิบัติตาม เขาก็จะได้รับพรในสิ่งที่ตนทํา ถ้าผู้ใดคิดว่าตนเองเคร่งศาสนาแต่ไม่ควบคุมลิ้นของตนให้ดีก็หลอกตัวเอง ศาสนาของเขาก็ไร้ ค่า ศาสนาที่พระเจ้าพระบิดาของเรายอมรับว่าบริสุทธิ์และไร้ตําหนิคือ การดูแลลูกกําพร้าและ หญิงม่ายที่ทุกข์ร้อนและการรักษาตนเองให้พ้นจากมลทินฝ่ายโลก 19
20
21
22
23
24
25
26
27
อย่าลําเอียง
ในฐานะที่ท่านเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าผู้ทรงพระเกียรติสิริของเรา 2 พีอย่่นา้อลํงทัาเอี้งหลาย ยงเลย สมมุติว่ามีคนหนึ่งใส่แหวนทอง แต่งกายโก้หรูมาในที่ประชุมของพวกท่าน 2
และมีคนยากจนแต่งตัวซอมซ่อเข้ามาเช่นกัน ถ้าท่านให้ความสนใจคนที่แต่งกายโก้หรูเป็นพิเศษ และกล่าวว่า “เชิญท่านนั่งที่ดีๆ ตรงนี้เถิด” แต่กล่าวกับคนยากจนว่า “จงไปยืนที่นั่น” หรือ กล่าวว่า “จงนั่งที่พื้นแทบเท้าของเรา” ท่านก็แบ่งชนชั้นและตัดสินคนด้วยความคิดอธรรมไม่ใช่ หรือ? พี่น้องที่รักจงฟังเถิด พระเจ้าทรงเลือกผู้ยากไร้ในสายตาชาวโลกให้ร่ํารวยในความเชื่อ และ ให้ครองอาณาจักรที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ไม่ใช่หรือ? แต่นี่ท่านกลับดูถูกคนจน คนรวยไม่ใช่หรือที่ขูดรีดจากท่าน? ไม่ใช่พวกเขาหรอกหรือที่ลากตัวท่านขึ้นโรงขึ้นศาล? คนพวก นี้ไม่ใช่หรือที่พูดลบหลู่พระนามอันทรงเกียรติของพระองค์? และพวกท่านก็เป็นของพระองค์ 3
4
5
6
7
ยากอบ 2:1-4 ไบร์ทสังเกตเห็นว่า บางคนนั้นก็ชอบคนที่แต่งตัวดูดีและมีสิ่งของที่มีระดับมากกว่าคน ที่แต่งตัวธรรมดา และใช้ของทั่วไป ยากอบกล่าวว่าสิ่งที่อยู่ภายนอกนั้นไม่สําคัญเลย น้อง ๆ ปฏิบัติต่อคนร่ํารวยที่มีแต่สิ่งของดี ๆ อย่างไร? และน้อง ๆ ปฏิบัติตนกับคนที่ ใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ และดูไม่ดีอย่างไร? วันนี้ให้น้อง ๆ ลองสังเกตดูว่าคนเหล่านี้มีท่าทีในใจอย่างไร มองดูว่าเขาปฏิบัติกับคน อื่น ๆ อย่างไร ยากอบ 2:7 | 415
หากท่านปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าใน พระคัมภีร์อย่างแท้จริงที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือน รักตนเอง” ท่านก็ทําถูกแล้ว แต่ถ้าท่านลําเอียงท่าน ก็ทําบาป และบทบัญญัติก็ได้ตัดสินแล้วว่าท่านเป็น ผู้ละเมิดบทบัญญัติ เพราะผู้ใดทําตามบทบัญญัติ ทั้งหมดแต่พลาดไปจุดเดียวก็มีความผิดเท่ากับละเมิด บทบัญญัติทั้งหมด เนื่องจากพระองค์ผู้ตรัสว่า “อย่า ล่วงประเวณี” นั้นยังตรัสด้วยว่า “อย่าฆ่าคน” แม้ ท่านไม่ได้ล่วงประเวณี แต่ได้ฆ่าคน ท่านก็ละเมิด บทบัญญัติ จงพูดและทําอย่างคนที่จะรับการตัดสินด้วยกฎ ซึ่งให้เสรีภาพ เพราะผู้ที่ไร้ความเมตตาจะถูกตัดสิน ลงโทษโดยไร้ความเมตตาปรานี ความเมตตาย่อมมีชัย เหนือการพิพากษา! 8
9
10
11
12
13
ความเชื่อและการกระทํา
ยากอบ 1:22–25
ในสมัยของยากอบ ผู้คนมีแค่กระจก เล็ก ๆ ที่พกติดตัวได้ ซึ่งส่วนใหญ่มัก จะทําจากโลหะขัดมัน เช่นทองแดง ทองเหลือง เงิน หรือ ทอง ชาวโรมัน ได้ทํากระจกเลนส์โค้งขึ้น แต่ภาพ สะท้อนไม่ค่อยดีนัก หลายคนส่อง กระจกแล้วก็เดินจากไป และลืมว่า ตนเองได้เห็นอะไรในกระจก มีผู้คน จํานวนมากอ่านพระคัมภีร์และเชื่อ ว่าเป็นความจริง แต่หลังจากนั้นพวก เขาก็เดินจากไป และลืมในสิ่งที่ เขาได้อ่านไปทั้งหมด
พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อแต่ไม่สําแดงเป็นการกระทําจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ? สมมุติว่าพี่น้องชายหญิงคนใดขาดแคลนเสื้อผ้าและ อาหารประจําวัน ถ้าผู้ใดในพวกท่านพูดกับเขาว่า “ไปเถิด ขอให้ท่านเป็นสุข รักษาตัวให้อบอุ่น และอิ่มหนําเถิด” แต่ไม่เอื้อเฟื้อปัจจัยเลี้ยงชีพแก่เขาจะมีประโยชน์อันใด? เช่นกันความเชื่อเพียง อย่างเดียวโดยไม่มีการกระทําก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ แต่บางคนจะกล่าวว่า “ท่านมีความเชื่อส่วนข้าพเจ้ามีการกระทํา” จงแสดงความเชื่อของท่าน ที่ไม่มีการกระทํามา แล้วข้าพเจ้าจะแสดงความเชื่อของข้าพเจ้าด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทํา ท่านเชื่อ ว่ามีพระเจ้าองค์เดียวก็ดีแล้ว! แม้พวกผีมารก็ยังเชื่อเช่นนั้นและกลัวจนตัวสั่น คนเขลาเอ๋ย ท่านต้องการหลักฐานว่าความเชื่อโดยปราศจากการกระทํานั้นเปล่าประโยชน์ใช่ ไหม? พระเจ้าทรงถือว่าอับราฮัมบรรพบุรุษของเราเป็นผู้ชอบธรรมก็เพราะการกระทําของเขา ที่ถวายอิสอัคบุตรชายบนแท่นบูชาไม่ใช่หรือ? ท่านก็เห็นแล้วว่าความเชื่อและการกระทําของ เขาทํางานควบคู่กัน ความเชื่อของเขาครบถ้วนสมบูรณ์โดยสิ่งที่เขาได้ทํา และเป็นจริงตามพระ คัมภีร์ที่ว่า “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” 14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
ยากอบ 2:14–18 ต้นไม้ ได้ค้นพบว่า กิ้งก่าบาซิลิสก์ บางครั้งก็ถูกเรียกว่ากิ้งก่าพระคริสต์ เมื่อมันวิ่ง อย่างรวดเร็ว มันสามารถวิ่งได้ไกลถึง 20 เมตรบนผิวน้ํา พวกมันทําให้หลายคนนึกถึง เวลาที่พระเยซูทรงดําเนินบนผิวน้ํา ยากอบได้ย้ํากับเราว่า เราควรเป็นสิ่งที่ย้ําเตือน ผู้คนถึงพระคริสต์ แม้ว่าเราจะไม่สามารถเดินบนน้ําได้ แต่เราสามารถที่จะรักและแบ่ง ปันแก่คนอื่น ๆ ได้ 416 | ยากอบ 2:8
ยากอบ 3:5 อะไรบ้างที่เป็นสิ่งเล็กน้อยแต่สามารถควบคุมสิ่งใหญ่ ๆ ได้ อิคคิว นึกถึงพวงมาลัยของ รถบรรทุกขนาดใหญ่ หรือระเบิดแท่งไดโนไมต์ น้อง ๆ มีตัวอย่างอื่นอีกไหม? ยากอบ กล่าวว่ามนุษย์สามารถควบคุมสิ่งใหญ่ได้ แต่ไม่มีใครสามารถควบคุมลิ้นของตนได้ ทําไมการควบคุมสิ่งที่เราพูดจึงเป็นสิ่งสําคัญ? คําพูดที่ไม่ดีสามารถสร้างความเสียหาย ได้อย่างไรบ้าง? และเขาได้ชื่อว่าเป็นสหายของพระเจ้า จะเห็นได้ว่าผู้ใดจะถูกนับว่าชอบธรรมก็ด้วยการกระทํา ของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว เช่นกันแม้แต่ราหับหญิงโสเภณียังถูกนับว่าชอบธรรมเพราะการกระทําของนางไม่ใช่หรือ? เมื่อนางให้ที่พักแก่คนสอดแนมและช่วยส่งพวกเขาไปอีกทางหนึ่ง ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณ ตายแล้วฉันใด ความเชื่อที่ปราศจากการกระทําก็ตายแล้วฉันนั้น 24
25
26
ฝึกลิ้นให้เชื่อง
้องทั้งหลาย อย่าตั้งตัวเป็นอาจารย์กันให้มากนักเลยเพราะรู้อยู่ว่าเราทั้งหลายที่เป็นผู้สอน 3 นัพี้น่นจะถู กตัดสินอย่างเข้มงวดกว่าผู้อื่น เราทุกคนล้วนพลั้งพลาดในหลายๆ ทาง ผู้ที่ไม่เคยทํา 2
ผิดทางวาจาก็เป็นคนดีเพียบพร้อม สามารถควบคุมร่างกายทั้งหมดของตนได้ เมื่อเราเอาบังเหียนใส่ปากม้าเพื่อให้มันเชื่อฟัง เราก็บังคับให้ม้าไปทางไหนๆ ได้ทั้งตัว หรือให้ ดูเรือเป็นตัวอย่าง ถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดใหญ่และแล่นไปตามแรงลม แต่มันก็มีหางเสือเล็กๆ คอย คัดท้ายเรือให้ไปในที่ต่างๆ ตามที่นายท้ายต้องการ ลิ้นก็เช่นกันเป็นอวัยวะเล็กๆ แต่ชอบคุยโว โอ้อวด คิดดูเถิด ประกายไฟนิดเดียวอาจเผาป่าใหญ่ได้ ลิ้นก็เป็นเช่นไฟ เป็นโลกแห่งความชั่วร้าย ท่ามกลางอวัยวะทั้งหลาย ลิ้นทําให้คนทั้งคนเสื่อมทรามไป ทําให้ชีวิตทั้งชีวิตลุกเป็นไฟและตัวมัน เองก็ลุกเป็นไฟโดยนรก 3
4
5
6
ยากอบ 3:5–8 เมื่อเราโกรธ เราอาจจะอยากตะโกนและทําลายข้าวของ มันเปรียบเหมือนกับไฟที่ สามารถเผาผลาญทุกอย่างในทางที่มันไป ลองทําแบบนี้ดูสิ เมื่อไรที่น้อง ๆ รู้สึกโกรธใครบางคน ให้น้อง ๆ ลองหายใจเข้าลึก ๆ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ให้เดินออกไปจากตรงนั้นจนกว่าจะรู้สึกใจเย็นลง จากนั้นให้ พยายามอธิบายให้คนที่ทําให้น้อง ๆ โกรธด้วยความสุภาพอ่อนน้อมถึงเหตุผลที่ทําให้ น้อง ๆ โกรธ แล้วอย่าลืมให้โอกาสเขาอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยล่ะ ยากอบ 3:6 | 417
ยากอบ 3:9–10 จ๊ะจ๋า ชอบการพูดคุย และเขาคิดว่ามันเป็นการยากที่จะควบคุมลิ้นของเขา เขามักจะ พูดก่อนคิดเสมอ น้อง ๆ เป็นเหมือนจ๊ะจ๋าไหม? ลองคุยกับคนที่น้อง ๆ ไว้ใจได้และขอคําปรึกษาดู อย่าลืมอธิษฐานกับพระเจ้าในเรื่องนี้ด้วยล่ะ และให้ขอบคุณพระองค์สําหรับของ ประทานแห่งการพูดและคําพูด อธิษฐานขอให้พระองค์ทรงช่วยเราให้ใช้ของประทาน นี้ในการช่วยเหลือผู้อื่น และทําให้พระองค์ทรงพอพระทัย สัตว์ทุกชนิด นก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ทะเลยังถูกฝึกให้เชื่องได้และคนก็ได้ฝึกให้เชื่องมา แล้ว แต่ไม่มีใครฝึกลิ้นให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เต็มด้วยพิษร้ายทําลายชีวิต เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระบิดาของเราด้วยลิ้น และเราก็ใช้ลิ้นแช่งด่า มนุษย์ซึ่งทรงสร้างขึ้นตามแบบของพระองค์ คําสรรเสริญและคําแช่งด่าต่างก็ออกมาจากปาก เดียวกัน พี่น้องทั้งหลายอย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย น้ําจืดและน้ําเค็ม ไหลออกมาจากตาน้ําเดียวกัน ได้หรือ? พี่น้องทั้งหลาย ต้นมะเดื่อจะออกผลเป็นมะกอก หรือเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้ หรือ? เช่นกันตาน้ําเค็มก็ไม่อาจให้น้ําจืดได้ 7
8
9
10
11
12
สติปัญญาสองแบบ
ถ้าผู้ใดในพวกท่านฉลาดและมีความเข้าใจ ก็ให้เขาแสดงออกมาโดยการดําเนินชีวิตที่ดี โดย การกระทําอันถ่อมสุภาพซึ่งมาจากสติปัญญา แต่ถ้าท่านขมขื่นด้วยใจอิจฉาและทะเยอทะยาน อย่างเห็นแก่ตัวก็อย่าโอ้อวดหรือปฏิเสธความจริง “สติปัญญา” แบบนั้นไม่ได้มาจากสวรรค์ แต่เป็นแบบโลก ไม่อยู่ฝ่ายวิญญาณและเป็นของมาร เพราะที่ใดมีความอิจฉาและความ ทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทําที่ชั่วร้ายทุกชนิด แต่สติปัญญาจากสวรรค์ประการแรกนั้นคือบริสุทธิ์ จากนั้นคือรักสันติ เห็นอกเห็นใจ ยอมเชื่อ ฟัง เต็มด้วยความเมตตาและผลดี ไม่ลําเอียงและจริงใจ ผู้สร้างสันติหว่านในสันติย่อมเก็บเกี่ยว ผลแห่งความชอบธรรม 13
14
15
16
17
18
ยากอบ 3:10-12 คําสรรเสริญและคําแช่งด่าต่างก็ออกมาจากปากเดียวกัน เราสามารถสาปแช่งผู้อื่นได้ ในหลาย ๆ ทาง เราพูดคําหยาบ พูดในสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้อื่น และหยาบคายกับผู้อื่น เราสามารถใช้คําพูดของเราทําร้ายผู้อื่นได้ แทนการให้กําลังใจผู้อื่น ให้น้อง ๆ คิดถึงวิธี การที่จะใช้คําพูดของน้อง ๆ ในการให้กําลังใจเพื่อน ๆ และคนในครอบครัว ให้น้อง ๆ พูดให้กําลังใจใครสักคนอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง 418 | ยากอบ 3:7
จงยอมจํานนต่อพระเจ้า
อต้นเหตุของการต่อสู้และการทะเลาะวิวาทในหมู่พวกท่าน? สิ่งเหล่านี้มาจากตัณหาซึ่ง 4 อะไรคื ขับเคี่ยวกันภายในท่านไม่ใช่หรือ? ท่านอยากได้แต่ไม่ได้ ท่านฆ่าและละโมบของผู้อื่น ท่านไม่ 2
ได้สิ่งที่ตนต้องการก็วิวาทและต่อสู้กัน ท่านไม่มีเพราะไม่ได้ทูลขอพระเจ้า เมื่อท่านทูลขอท่านไม่ ได้รับเพราะท่านขอด้วยแรงจูงใจผิดๆ เพื่อจะนําไปปรนเปรอตนเอง พวกไม่ซื่อต่อพระเจ้า ท่านไม่รู้หรือว่าการเป็นมิตรกับโลกคือการเกลียดชังพระเจ้า? ผู้ใดเลือก ที่จะเป็นมิตรกับโลกก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า ท่านคิดหรือว่าพระคัมภีร์กล่าวอย่างไร้เหตุผลที่ว่า จิต วิญญาณซึ่งพระเจ้าทรงให้อยู่ในเรานั้นอยากให้เราเป็นของพระเจ้าเท่านั้น? แต่พระองค์ประทาน พระคุณแก่เรามากยิ่งกว่านั้นอีก ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์จึงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ” ดังนั้นแล้วท่านจงยอมจํานนต่อพระเจ้า จงยืนหยัดต่อสู้กับมารและมันจะหนีไปจากท่าน จง เข้ามาใกล้พระเจ้า แล้วพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลายจงล้างมือให้สะอาด คน สองใจจงชําระใจให้บริสุทธิ์ จงเศร้าเสียใจ คร่ําครวญและร้องไห้ จงเปลี่ยนจากหัวเราะเป็นร้องไห้ จากชื่นชมยินดีเป็นเศร้าหมอง ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์จะ ทรงยกชูท่านขึ้น พี่น้องทั้งหลายอย่าใส่ร้ายกัน ผู้ใดกล่าวร้ายหรือตัดสินพี่น้องก็กล่าวร้ายและ ตัดสินบทบัญญัติ เมื่อท่านตัดสินบทบัญญัติ ท่านก็ไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัตินั้นแต่ตั้งตนเป็นผู้ ตัดสิน มีผู้ประทานบทบัญญัติและผู้พิพากษาเพียงผู้เดียวคือ พระองค์ผู้ทรงสามารถช่วยให้รอด และทําลายก็ได้ แต่ท่านคือใครเล่าที่จะตัดสินเพื่อนบ้านของท่าน? 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
การอวดถึงพรุ่งนี้
ฟังเถิดท่านที่พูดว่า “ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้เราจะไปเมืองนั้นเมืองนี้ จะอยู่ที่นั่นหนึ่งปี ทํามาค้าขาย ได้กําไร” ท่านไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ชีวิตของท่านเป็นเช่นไร? ท่านเป็นเหมือนหมอก ซึง่ ปรากฏอยูเ่ พียงชัว่ ครูแ่ ล้วก็เลือนหาย แทนทีจ่ ะกล่าวเช่นนัน้ ท่านควรพูดว่า “ถ้าเป็นพระประสงค์ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเราจะมีชีวิตอยู่ทําสิ่งนั้นสิ่งนี้” แต่เท่าที่เป็นอยู่ท่านทั้งหลายคุยโวโอ้อวด การโอ้อวดเช่นนี้ล้วนเป็นความชั่ว ดังนั้นแล้วผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งดีที่ควรทําแต่ไม่ทําก็บาป 13
14
15
16
17
ตักเตือนคนมั่งมีผู้รังแกคนจน
ท่านทั้งหลายที่ร่ํารวยจงฟังเถิด จงร่ําไห้คร่ําครวญเนื่องด้วยทุกข์เข็ญที่จะเกิดกับท่าน ทรัพย์ 5 สมบั ติของท่านก็ผุพังไปแล้วและแมลงได้กัดกินเสื้อผ้าของท่าน เงินและทองของท่านขึ้น 2
3
สนิม สนิมนั้นเป็นพยานปรักปรําและกัดกินเลือด เนื้อท่านดั่งไฟ ท่านกักตุนทรัพย์สมบัติไว้ใน วาระสุดท้าย ดูเถิด! ค่าจ้างที่ท่านโกงคนงานเกี่ยวข้าวในนาของท่านนั้นกําลังร้องกล่าวโทษท่าน อยู่ เสียงร้องทุกข์ของผู้เก็บเกี่ยวได้ขึ้นถึงพระกรรณขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์แล้ว ท่านได้ ใช้ชีวิตในโลกอย่างหรูหราและปรนเปรอตนเองตามใจชอบ ท่านขุนตนเองไว้รอวันประหาร ท่าน ตัดสินลงโทษและเข่นฆ่าคนที่ไม่มีความผิดผู้ไม่ได้ต่อต้านท่าน 4
5
6
อดทนในความทุกข์ยาก
เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนตราบจนองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จงดูชาวนารอคอยพืช ผลล้ําค่าจากแผ่นดิน ดูเถิดว่าเขาอดทนรอคอยฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดูขนาดไหน ท่านทั้งหลาย ก็เช่นกันจงอดทนและยืนหยัดอย่างมั่นคง เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้จะเสด็จมาแล้ว พี่น้องทั้ง หลายอย่าบ่นว่ากันเพื่อจะไม่ถูกตัดสินโทษ องค์ผู้พิพากษาทรงยืนอยู่ที่ประตูแล้ว! พี่น้องทั้งหลายจงยึดถือเหล่าผู้เผยพระวจนะในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นแบบอย่าง ในการอดทนเมื่อเผชิญความทุกข์ยาก ดังที่ท่านทราบกันอยู่ เราถือว่าผู้ที่อดทนบากบั่นก็เป็นสุข 7
8
9
10
11
ยากอบ 5:11 | 419
ยากอบ 5:13 เราต้องทําอย่างไรบ้างเมื่อเรามีความสุข? ให้น้อง ๆ คิดถึง 10 สิ่งที่ทําให้น้อง ๆ สามารถสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้าได้ ตัวโน๊ต เชื่อว่าน้อง ๆ สามารถนึกได้มากกว่า 10 สิ่งแน่เลย น้อง ๆ ลองคิดถึงเพลงสรรเสริญพระเจ้าดูหน่อยสิ แล้วร้องเพลงเหล่านี้ดู การเริ่มต้น เช้าวันใหม่ด้วยการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเป็นนิสัยที่ดี น้อง ๆ ควรจะลองทําดู! ท่านก็ได้ยินถึงความอดทนบากบั่นของโยบและได้เห็นว่าในที่สุดองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้เกิดอะไร ขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณา พี่น้องทั้งหลาย เหนือสิ่งอื่นใดอย่าสาบาน ไม่ว่าอ้างสวรรค์ อ้างพิภพโลก หรืออ้างสิ่งอื่นใด ใช่ ก็ว่า “ใช่” ไม่ก็ว่า “ไม่” มิฉะนั้นท่านจะถูกตัดสินลงโทษ 12
คําอธิษฐานด้วยความเชื่อ
ถ้าผู้ใดในพวกท่านเดือดร้อนผู้นั้นควรจะอธิษฐาน ถ้าผู้ใดมีความสุขให้ผู้นั้นร้องเพลงสรรเสริญ พระเจ้า ถ้าผู้ใดในพวกท่านเจ็บป่วยผู้นั้นควรเชิญบรรดาผู้ปกครองคริสตจักรมาอธิษฐานเผื่อและ เจิมด้วยน้ํามันในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า คําอธิษฐานด้วยความเชื่อจะทําให้ผู้ป่วยหายดี องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงรักษาเขา ถ้าเขาทําบาปพระองค์ก็จะทรงอภัยให้เขา ฉะนั้นจงสารภาพ บาปของท่านต่อกันและอธิษฐานเผื่อกันและกัน เพื่อท่านจะได้รับการรักษาให้หาย คําอธิษฐาน ของผู้ชอบธรรมทรงอานุภาพและเกิดผล เอลียาห์ก็เป็นมนุษย์เหมือนเราทั้งหลาย เขาทุ่มเทอธิษฐานขออย่าให้ฝนตก ฝนก็ไม่ตกรดแผ่น ดินตลอดสามปีครึ่ง เขาอธิษฐานอีก แล้วฟ้าก็ให้ฝนและแผ่นดินให้พืชผล พี่น้องทั้งหลายหากใครในพวกท่านหลงไปจากความจริงและมีบางคนนําเขากลับมา จงจําไว้ ว่าผู้ที่พาคนบาปหันจากทางผิดของเขา จะช่วยเขาพ้นจากความตาย และความผิดบาปมากมายจะ ได้รับการลบล้างโดยการให้อภัย 13
14
15
16
17
18
19
420 | ยากอบ 5:12
420
20
จดหมายของเปโตร ฉบับที่หนึ่ง น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● เปโตรเป็นหนึ่งในบรรดาเหล่าสาวกของพระเยซู (มัทธิว 4:18–20) ● เปโตรมีชื่อในภาษายิวว่าซีโมน พระเยซูตั้งชื่อที่เป็นภาษากรีกให้แก่ท่านว่าเปโตร
ซึ่งแปลว่า “ศิลา” ● ผู้ช่วยบันทึกจดหมายนี้ให้เปโตรชื่อว่า สิลาส (1 เปโตร 5:12) ● เปโตรอ้างถึงข้อความในพันธสัญญาเดิม 34 ครั้ง โดยมาจากหนังสืออิสยาห์ 20 ครั้ง ● จดหมายนี้ถูกส่งถึงคริสเตียนผู้อาศัยอยู่ในเขตปกครองเอเชียไมเนอร์ของโรม (ปัจจุบันคือประเทศตุรกี)
ทําไมเปโตรต้องเขียนจดหมายนี้?
● จักรพรรดิเนโรสังหารคริสเตียนจํานวนมาก ● การมีชีวิตเป็นคริสเตียนนั้นต้องทนทุกข์ลําบาก เปโตรจึงต้องการหนุนใจทุกคนให้เข้ม
แข็ง (1 เปโตร 5:12) ● เปโตรย้ําเตือนว่าชีวิตบนโลกนี้นั้นแสนสั้น แต่เราทุกคนกําลังอยู่บนเส้นทางกลับบ้าน ที่แท้จริงบนสวรรค์กับพระเจ้า (1 เปโตร 2:11) ● เปโตรย้ําเตือนถึงพระคุณของพระเจ้า ● ท่านยังกล่าวอีกว่า คริสเตียนทุกคนควรใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง แม้ว่าจะยากลําบาก ก็ตาม (1 เปโตร 2:15–19, 3:17, 4:14)
ดูตรงนี้สิ!
● เราทุกคนนั้นปราศจากบาปเนื่องจากการไถ่โดยโลหิตของพระคริสต์
(1 เปโตร 1:13–25) ● เราทุกคนควรใช้ชีวิตให้ถูกต้องตามหลักการของพระเจ้า (1 เปโตร 2:11–25) ● คริสเตียนควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามของประทานและความสามารถที่พระเจ้า ได้ประทาน (1 เปโตร 4:7–11) ● ทําอย่างไรเมื่อชีวิตเผชิญกับความทุกข์ยากลําบาก (1 เปโตร 4:12–19) ● มารเป็นดั่งสิงห์คําราม (1 เปโตร 5:8–9)
422
1 เปโตร
จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปโตรผู้เป็นอัครทูตของ 1 พระเยซู คริสต์ ถึงบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ ท่านทั้งหลาย คือคนแปลกหน้าที่อาศัยในโลกเพียงชั่วคราว ผู้ได้ กระจัดกระจายไปทั่วแคว้นปอนทัส กาลาเทีย คัปปาโดเซีย เอเชียและบิธเี นีย พระเจ้าพระบิดาได้ทรง เลือกสรรพวกท่านตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้า แล้วผ่านทางการทรงชําระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ เพื่อให้พวกท่านมาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์และรับการ ประพรมด้วยพระโลหิตของพระองค์ ขอพระคุณและสันติสุขมีแด่พวกท่านอย่างล้นเหลือ 2
สรรเสริญพระเจ้าสําหรับความหวังอัน ยืนยง
1 เปโตร
จดหมายฉบับนี้มีคําเชื้อเชิญอยู่สี่ ประการ ได้แก่ •คําเชื้อเชิญสู่ความหวัง เพราะ พระเจ้าทรงเมตตาเรา (1 เปโตร 1:3–5) •คําเชื้อเชิญสู่การเติบโต (1 เปโตร 2:1–10) •คําเชื้อเชิญสู่การเป็นเหมือนพระ คริสต์ แม้ว่าชีวิตต้องทนทุกข์ ลําบาก (1 เปโตร 2:20–23) •คําเชื้อเชิญสู่การช่วยเหลือและ หนุนใจพี่น้องคริสเตียนคนอื่น ๆ (1 เปโตร 4:7-11)
สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์ เจ้าของเรา! ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่พระองค์ทรงให้ เราทั้งหลายบังเกิดใหม่เข้าในความหวังอันยืนยงโดย การเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ และเข้าในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสียหรือเลือน หายไปซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อพวกท่าน โดยความเชื่อพระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์จนถึงความรอดซึ่งพร้อมแล้วที่จะทรงสําแดงในยุคสุดท้าย พวก ท่านชื่นชมยินดียิ่งนักในเรื่องนี้ แม้ขณะนี้ท่านต้องทนความทุกข์โศกชั่วระยะหนึ่งจากการทดลอง สารพัดอย่าง สิ่งเหล่านี้มีมาเพื่อพิสูจน์ว่าท่านมีความเชื่อแท้ ความเชื่อนี้ล้ําค่ายิ่งกว่าทองคําซึ่ง เสื่อมสลายไปแม้ได้ทําให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟ ความเชื่อนี้ก่อให้เกิดคําสรรเสริญ เกียรติและศักดิ์ศรี เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ แม้ท่านยังไม่เห็นพระองค์แต่ก็รักพระองค์ แม้ขณะนี้ท่านไม่ เห็นพระองค์ แต่ก็เชื่อในพระองค์และเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีอันยิ่งใหญ่สุดจะพรรณนา เพราะ ท่านกําลังรับความรอดแห่งจิตวิญญาณของท่านอันเป็นเป้าหมายแห่งความเชื่อของท่าน บรรดาผู้เผยพระวจนะผู้ได้กล่าวถึงพระคุณที่จะมีมาถึงท่านนั้น ได้ตั้งใจสืบเสาะค้นหาอย่าง ถี่ถ้วนที่สุดเกี่ยวกับความรอดนี้ พวกเขาพยายามพิเคราะห์ดูว่าสิ่งที่พระวิญญาณของพระคริสต์ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
1 เปโตร 1:1–2 บางคนมักจะไม่ชอบคบกับคริสเตียน และบ่อยครั้งที่คริสเตียนถูกทําไม่ดีด้วย เปโตร ได้หนุนใจคริสเตียนทุกคนในจดหมายของท่าน น้อง ๆ เคยรู้สึกว่าเราไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่? น้อง ๆ เคยถูกทําไม่ดีหรือปฏิเสธในการเข้าร่วมสังคมด้วยหรือไม่? น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์เหล่านี้? ให้เลือกสีแทนความรู้สึกของน้อง ๆ จากหน้าที่ 11 เปโตรกล่าวไว้ว่า เราควรจําไว้เสมอว่าพระเจ้าทรงเลือกเราให้เป็นลูกของพระองค์ น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรเมื่ออ่านข้อความนี้? ให้เลือกสีแทนความรู้สึกของน้อง ๆ จาก หน้าที่ 11 424 | 1 เปโตร 1:1
ในพวกเขาได้บ่งชี้ไว้นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใดและจะเกิดขึ้นอย่างไร เมื่อพระองค์ได้ทํานายถึงการทน ทุกข์ของพระคริสต์และบรรดาพระเกียรติสิริที่จะตามมา พวกเขาได้รับการสําแดงว่าสิ่งต่างๆ ที่ ได้พยากรณ์ถึงนั้นไม่ใช่เพื่อพวกเขาเอง แต่เพื่อพวกท่าน บัดนี้บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐได้ แจ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้แก่ท่านแล้วโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งส่งมาจากสวรรค์ แม้แต่ทูตสวรรค์ยัง ปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ 12
จงบริสุทธิ์
เพราะฉะนั้นจงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม จงรู้จักบังคับตนเอง จงตั้งความหวังแน่วแน่ใน พระคุณซึ่งจะประทานแก่ท่านเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ ในฐานะลูกที่เชื่อฟัง อย่าดําเนิน ตามตัณหาชั่วซึ่งท่านเคยมีเมื่อใช้ชีวิตอย่างผู้ที่ไม่รู้ความจริง แต่ท่านทั้งหลายจงบริสุทธิ์ในการทุก อย่างที่ท่านทําเหมือนอย่างที่พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นบริสุทธิ์ เพราะมีเขียนไว้ว่า “จงบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” ในเมื่อท่านทูลต่อพระบิดาผู้ทรงตัดสินการกระทําของแต่ละคนโดยไม่ลําเอียง ก็จงดําเนินชีวิต ด้วยความเคารพยําเกรงในฐานะที่เป็นคนแปลกหน้าในโลกนี้ เพราะท่านรู้ว่าพระองค์ได้ทรงไถ่ ท่านพ้นจากวิถีชีวิตอันไร้แก่นสารซึ่งท่านรับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ พระองค์ไม่ได้ทรงไถ่ท่าน ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้เช่นเงินหรือทอง แต่ด้วยพระโลหิตล้ําค่าของพระคริสต์ผู้เป็นลูกแกะอัน ปราศจากตําหนิหรือข้อบกพร่องใดๆ พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพระคริสต์ไว้ตั้งแต่ก่อนทรงสร้าง โลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้เพื่อท่านทั้งหลาย โดยทางพระคริสต์ท่านจึง เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายและประทานพระเกียรติสิริให้แก่พระองค์ ดังนั้น ความเชื่อและความหวังของท่านจึงอยู่ในพระเจ้า บัดนี้เมื่อท่านได้ชําระตัวให้บริสุทธิ์ด้วยการเชื่อฟังความจริงเพื่อจะรักพี่น้องอย่างจริงใจแล้ว ก็จงรักกันอย่างลึกซึ้งด้วยใจจริง เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่เกิดจากเมล็ดพันธุ์อันเสื่อม สลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์อันไม่รู้เสื่อมสลายคือพระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและยืนยงถาวร เพราะ “มวลมนุษยชาตินั้นเหมือนหญ้า และเกียรติทั้งปวงของพวกเขาเหมือนดอกไม้ในท้องทุ่ง ต้นหญ้าเหี่ยวเฉาและดอกไม้ร่วงโรยไป แต่พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้ายืนยงนิรันดร์” และพระวจนะนั้นคือข่าวประเสริฐซึ่งได้ประกาศแก่ท่านแล้ว ้นท่านทั้งหลายจงขจัดสารพัดความมุ่งร้าย การฉ้อฉล ความหน้าซื่อใจคด ความ 2เพราะฉะนั อิจฉาริษยา และการว่าร้ายทุกอย่างไปจากตัวท่าน จงกระหายหาน้ํานมฝ่ายวิญญาณอัน บริสุทธิ์เหมือนทารกแรกเกิด เพื่อสิ่งนี้จะช่วยท่านให้เติบโตขึ้นในความรอดของท่าน ในเมื่อบัดนี้ ท่านได้ลิ้มรสแล้วว่าพระเจ้าประเสริฐ 13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
2
3
ศิลาอันทรงชีวิตและประชากรที่ทรงเลือกสรร
เมื่อท่านทั้งหลายมาหาพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระศิลาอันทรงชีวิต มนุษย์ไม่ยอมรับพระองค์แต่ พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรและถือว่าพระองค์ล้ําค่า ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน ท่านเป็นเหมือนศิลาอันมี ชีวิตซึ่งกําลังได้รับการก่อขึ้นเป็นวิหารฝ่ายวิญญาณ เพื่อเป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ผู้ทําหน้าที่ถวายเครื่อง บูชาฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าทรงยอมรับผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า “ดูเถิด เราวางศิลาก้อนหนึ่งไว้ในศิโยน เป็นศิลาหัวมุมล้ําค่าซึ่งได้รับการเลือกสรรแล้ว และผู้ที่วางใจในพระองค์ จะไม่มีวันอับอายเลย” 4
5
6
1 เปโตร 2:6 | 425
1 เปโตร 2:6 ส่วนประกอบหลักที่ขาดไม่ได้เลยในการก่อสร้างบ้านหรือตึก คือ หินมุมตึก (ข้อ6) หิน นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อสร้างทั้งหมดโดยนายช่างจะเริ่มก่ออิฐจากจุดนี้ หินมุมตึก เป็นองค์ประกอบที่รักษาโครงสร้างของตึกให้ตั้งตรงอยู่ได้ พระเยซูทรงเป็นศิลามุม เอกของเรา เมื่อไรที่เราสร้างชีวิตของเราบนพระองค์ ชีวิตของเราจะเป็นที่พอพระทัย พระเจ้า ให้น้อง ๆ ลองหาหินรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วเขียนลงบนหินนั้นว่า ‘พระเยซู ทรงเป็นศิลามุมเอก’ จากนั้นให้วางไว้ในที่ ๆ น้อง ๆ สามารถมองเห็นมันได้ง่ายและ บ่อยครั้ง บัดนี้สําหรับพวกท่านที่เชื่อ พระศิลานี้ก็ล้ําค่า แต่สําหรับบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ “ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก” และ “เป็นก้อนหินซึ่งทําให้ผู้คนสะดุด และเป็นศิลาที่ทําให้พวกเขาล้มลง” พวกเขาสะดุดก็เพราะไม่เชื่อฟังถ้อยคํานั้น ซึ่งก็เป็นไปตามที่พวกเขาได้ถูกกําหนดไว้ แต่พวกท่านเป็นประชากรที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็น พลเมืองของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้ประกาศพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ผู้ทรงเรียกท่าน ออกจากความมืดเข้าสู่ความสว่างอันล้ําเลิศของพระองค์ ครั้งหนึ่งพวกท่านไม่ได้เป็นประชากร ของพระเจ้า แต่บัดนี้ท่านเป็นประชากรของพระองค์ ครั้งหนึ่งพวกท่านไม่ได้รับพระเมตตา แต่ บัดนี้ท่านได้รับพระเมตตาแล้ว เพื่อนที่รักผู้อยู่ในฐานะคนต่างด้าวและคนแปลกหน้าในโลกนี้ ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้ละทิ้ง ตัณหาชั่วซึ่งต่อสู้กับวิญญาณจิตของท่าน จงดําเนินชีวิตให้ดีเมื่ออยู่ในหมู่ผู้ไม่นับถือพระเจ้า เพื่อแม้เขากล่าวหาว่าท่านทําผิด เขาก็จะเห็นการดีของท่านและถวายเกียรติแด่พระเจ้าในวันที่ พระองค์เสด็จมาหาเรา 7
8
9
10
11
12
ยอมเชื่อฟังผู้ปกครองและเจ้านาย
โดยเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกท่านจงยอมอยู่ใต้อํานาจการปกครองทั้งปวงที่ตั้งขึ้นใน หมู่มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ในฐานะผู้มีอํานาจสูงสุด หรือบรรดาผู้ว่าการซึ่งกษัตริย์ส่งมาเพื่อ ลงโทษผู้กระทําผิดและยกย่องผู้กระทําดี เพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้พวกท่าน สงบปากคําของคนโง่ด้วยการกระทําดี จงดําเนินชีวิตอย่างเสรีชน แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน เป็นข้ออ้างกลบเกลื่อนความชั่ว จงดําเนินชีวิตอย่างทาสของพระเจ้า จงให้เกียรติทุกคนตาม สมควรคือ จงรักพี่น้องในพระคริสต์ จงยําเกรงพระเจ้า จงถวายเกียรติแด่กษัตริย์ ทาสทั้งหลายจงยอมเชื่อฟังเจ้านายของตนด้วยความเคารพ ไม่เฉพาะต่อเจ้านายที่ดีและเห็น อกเห็นใจเท่านั้น แต่ต่อเจ้านายที่ร้ายกาจด้วย เพราะผู้ที่ยอมทนทุกข์อย่างที่ไม่เป็นธรรมเพราะ ตระหนักถึงพระเจ้านั้นน่ายกย่อง หากว่าท่านถูกโบยเนื่องจากทําผิด ถึงท่านยอมทนจะนับเป็น ความดีความชอบได้อย่างไร? แต่ถ้าท่านต้องทุกข์ยากเพราะทําดีและท่านยอมทนเอา นี่เป็นสิ่งน่า 13
14
15
16
17
18
19
20
426 | 1 เปโตร 2:7
1 เปโตร 2:13–17 เราควรเชื่อฟังผู้ที่มีอํานาจเหนือกว่าเรา และอธิษฐานเผื่อพวกเขาให้ทําหน้าที่อย่างถูก ต้องและเป็นที่พอพระทัยแก่พระเจ้า ลองเขียนรายชื่อของผู้นําที่น้อง ๆ ต้องการอธิษฐานเผื่อ ให้นําชื่อเหล่านี้ไปเขียนไว้ บนธงที่เตรียมไว้ น้อง ๆ สามารถวาดรูปภาพหรือนํารูปภาพของพวกเขามาติดไว้บน ธงด้วยก็ได้ จากนั้นให้นําธงไปประดับไว้ที่บนกําแพง และอธิษฐานเผื่อพวกเขาอย่าง สม่ําเสมอ ยกย่องต่อหน้าพระเจ้า พระองค์ทรงเรียกพวกท่านมาสู่สภาพการณ์เช่นนี้ เพราะพระคริสต์ได้ ทรงทนทุกข์เพื่อท่าน ทรงวางแบบอย่างไว้ให้ท่านดําเนินตามรอยพระบาท “พระองค์ไม่ได้ทรงทําบาป และไม่เคยตรัสคําโกหกหลอกลวง” เมื่อพวกเขารุมสบประมาท พระองค์ก็ไม่ได้ทรงตอบโต้ ขณะทรงทนทุกข์พระองค์ก็ไม่ได้ทรง อาฆาต แต่ทรงมอบพระองค์เองไว้กับพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม พระองค์เองทรงรับ แบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย เพราะพวก ท่านเป็นเหมือนแกะที่พลัดหลงไป แต่บัดนี้ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยงและพระผู้ทรงดูแลวิญญาณจิต ของท่านแล้ว 21
22
23
24
25
สามีภรรยา
ในทํานองเดียวกันภรรยาทั้งหลายจงยอมเชื่อฟังสามีของตน เพื่อว่าแม้สามีบางคนไม่เชื่อพระ 3 วจนะของพระเจ้ า แต่ความประพฤติของภรรยาก็อาจชนะใจเขา ทําให้เขาหันกลับมาเชื่อโดย
ไม่ต้องเอ่ยปาก เมื่อเขาเห็นความบริสุทธิ์และความยําเกรงพระเจ้าในชีวิตของท่าน ความงามของ ท่านไม่ควรมาจากการตกแต่งภายนอกเช่น ถักผม สวมเครื่องทองและเสื้อผ้าสวยงาม แต่ให้ออก 2
3
4
1 เปโตร 3:1–2 ลองเล่นเกมทายคํากันเถอะ ให้น้อง ๆ แสดงท่าทางเล่นเครื่องดนตรีชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่ห้ามส่งเสียงให้เพื่อน ๆ รู้ ส่วนเพื่อน ๆ ก็ต้องลองทายดูว่า เครื่องดนตรีที่เราเล่นคือ เครื่องดนตรีชนิดใด ถึงแม้ว่าเราจะไม่ส่งเสียง แต่เพื่อนทุกคนก็สามารถเห็นท่าทางของ เรา เปโตรกล่าวว่า ชีวิตคริสเตียนก็ควรจะเป็นแบบนี้ ผู้คนที่อยู่รอบตัวเราต้องสามารถ เห็นได้ว่าเรามีชีวิตที่ติดตามพระเยซู โดยที่เราไม่ต้องพูดออกไป แต่การกระทําของเรา ควรแสดงออกให้ทุกคนเห็น 1 เปโตร 3:4 | 427
1 เปโตร 3:8–9 เปโตรกล่าวว่า อย่าทําชั่วตอบแทนการชั่ว อย่าด่าว่าผู้ที่ด่าว่าท่านแต่จงให้พรเขาแทน ให้น้อง ๆ กับเพื่อนเขียนคําพูดหยาบคายที่เคยได้ยินคนอื่นพูดว่ากันลงในกระดาษ และให้เขียนคําพูดสุภาพอ่อนโยนสองคําไว้ข้าง ๆ คําหยาบคายทุกคําด้วย น้อง ๆ สามารถใช้คําพูดสุภาพเหล่านี้ตอบโต้กับคนที่พูดไม่สุภาพกับน้อง ๆ มาจากตัวตนภายใน คือความงามอันไม่รู้จางหายของจิตใจที่อ่อนโยนและสงบเยือกเย็น ซึ่งจิตใจ เช่นนี้ทรงคุณค่ายิ่งนักในสายพระเนตรพระเจ้า เพราะนี่เป็นแนวทางที่สตรีผู้บริสุทธิ์ในอดีตซึ่งหวัง ใจในพระเจ้าเคยทําให้ตนเองงดงาม พวกนางยอมเชื่อฟังสามีของตน เหมือนนางซาราห์ผู้เชื่อฟัง อับราฮัมและเรียกเขาว่านาย ถ้าท่านทําสิ่งที่ถูกต้องและไม่หวาดหวั่นสิ่งร้ายอันใด ท่านทั้งหลายก็ เป็นลูกหลานของนางซาราห์ ในทํานองเดียวกันสามีทั้งหลายจงอยู่กับภรรยาด้วยความเห็นอกเห็นใจ จงให้เกียรติภรรยา ในฐานะเป็นผู้ที่อ่อนแอกว่าและในฐานะทายาทผู้รับชีวิตซึ่งเป็นของประทานอันทรงพระคุณจาก พระเจ้าร่วมกับท่าน เพื่อจะไม่มีสิ่งใดขัดขวางคําอธิษฐานของท่านทั้งสอง 5
6
7
ทนทุกข์เพราะการทําดี
สุดท้ายนี้ท่านทั้งปวงจงเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน จงเห็นอกเห็นใจกัน จงรักกันฉันพี่น้อง จงมี ใจอ่อนโยนและถ่อมสุภาพ อย่าทําชั่วตอบแทนการชั่ว อย่าด่าว่าผู้ที่ด่าว่าท่าน แต่จงให้พรเขา แทนเพราะพระเจ้าได้ทรงเรียกท่านให้ทําเช่นนี้ เพื่อท่านจะได้รับพระพรเป็นมรดก เพราะ “ผู้ใดรักชีวิต และปรารถนาจะเห็นวันคืนอันผาสุก ต้องรักษาลิ้นให้พ้นจากความชั่ว รักษาริมฝีปากให้พ้นจากคําพูดหลอกลวง เขาต้องหันจากความชั่วร้ายและทําความดี เขาต้องใฝ่หาสันติภาพและมุ่งมั่นเพื่อให้ได้มา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าดูคนชอบธรรม และทรงเงี่ยพระกรรณฟังคําอธิษฐานของพวกเขา แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหันพระพักตร์เข้าต่อต้านคนที่กระทําชั่ว” ถ้าท่านมุ่งมั่นทําดี ใครจะมาทําร้ายท่าน? แต่ถึงแม้ท่านต้องทนทุกข์ทั้งๆ ที่ทําสิ่งที่ถูกต้อง ท่านก็ได้รับพระพร “อย่ากลัวสิ่งที่พวกเขากลัว อย่าตกใจกลัวเลย” แต่ในใจของท่านจงเทิดทูน พระคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมพร้อมเสมอที่จะตอบทุกคนซึ่งถามถึงเหตุผลที่ท่านมี ความหวังใจเช่นนี้ แต่จงตอบอย่างสุภาพอ่อนโยนและให้เกียรติ จงรักษาจิตสํานึกให้บริสุทธิ์ เพื่อผู้ที่กล่าวร้ายความประพฤติดีของท่านในพระคริสต์จะได้ละอายใจที่มาใส่ร้ายท่าน เพราะ หากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าให้ท่านทนทุกข์เนื่องจากการทําดีก็ดีกว่าทนทุกข์เนื่องจากทํา ชั่ว เพราะพระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อลบล้างบาปเพียงครั้งเดียวเป็นพอ คือคนชอบธรรมตายเพื่อ 8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
428 | 1 เปโตร 3:5
คนอธรรมเพื่อนําเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า พระองค์ทรงถูกประหารทางกาย แต่พระองค์ทรงเป็น ขึ้นในพระวิญญาณ ในสภาวะนั้นพระองค์ยังได้เสด็จไปประกาศแก่วิญญาณทั้งหลายที่ถูกจองจํา อยู่ด้วย วิญญาณซึ่งในอดีตไม่เชื่อฟังเมื่อครั้งพระเจ้าทรงอดทนรอคอยในสมัยของโนอาห์ขณะ ที่เขาต่อเรือ ในเรือนี้มีคนเพียงไม่กี่คนคือแปดคนเท่านั้นที่พระเจ้าทรงใช้น้ําช่วยพวกเขาให้รอด ชีวิต น้ํานี้เล็งถึงบัพติศมาซึ่งบัดนี้ช่วยท่านทั้งหลายให้รอดเช่นกัน บัพติศมาไม่ใช่เป็นการขจัด สิ่งสกปรกออกจากร่างกาย แต่เป็นการปฏิญาณต่อพระเจ้าว่าจะรักษาจิตสํานึกที่ดี บัพติศมาช่วย ท่านให้รอดโดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ ผู้ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์และบัดนี้ประทับ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าโดยมีเหล่าทูตสวรรค์ ผู้ทรงอํานาจ และผู้ทรงเดชานุภาพอยู่ใต้ อํานาจของพระองค์ 19
20
21
22
มีชีวิตเพื่อพระเจ้า
้นในเมื่อพระคริสต์ทรงทนทุกข์ทางพระกายแล้ว พวกท่านเองก็จงเตรียมตัวให้พร้อมด้วย 4 ฉะนั ท่าทีอย่างเดียวกัน เพราะผู้ที่ทนทุกข์ทางกายก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่ทําบาปอีกแล้ว ผลก็คือเขา 2
จะไม่ดําเนินชีวิตที่เหลืออยู่ในโลกนี้ตามตัณหาชั่วของมนุษย์ แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะในอดีตท่านได้ใช้เวลาไปมากพอแล้วในการทําสิ่งที่คนไม่รู้จักพระเจ้าเลือกที่จะทํากันคือ หมกมุ่นในการเสเพล ราคะตัณหา การเมามาย การมั่วสุมเสพสุรากามารมณ์และการกราบไหว้ รูปเคารพอันน่าชิงชัง พวกเขาแปลกใจที่บัดนี้ท่านไม่กระโจนเข้าร่วมสํามะเลเทเมากับพวกเขา จึงด่าว่าท่าน แต่พวกเขาจะต้องให้การต่อพระองค์ผู้ทรงพร้อมแล้วที่จะพิพากษาทั้งคนเป็นและ คนตาย ด้วยเหตุนี้ข่าวประเสริฐจึงถูกประกาศออกไปแม้แก่คนที่ตายแล้ว เพื่อว่าในทางกายเขา จะถูกตัดสินตามความเห็นของมนุษย์ แต่ในทางจิตวิญญาณเขามีชีวิตอยู่ตามพระประสงค์ของ พระเจ้า อวสานของสิ่งทั้งปวงใกล้จะมาถึงแล้ว เพราะฉะนั้นจงมีสติสัมปชัญญะและรู้จักบังคับตนเพื่อ ท่านจะสามารถอธิษฐานได้ เหนือสิ่งอื่นใดจงรักกันอย่างลึกซึ้ง เพราะความรักลบความผิดบาป มากมายได้โดยการให้อภัย จงต้อนรับเลี้ยงดูกันโดยไม่บ่นว่า แต่ละคนควรรับใช้ผู้อื่นตามของ ประทานที่ได้รับมา บริหารของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้าในรูปแบบต่างๆ ที่ได้รับมาอย่าง สัตย์ซื่อ ถ้าผู้ใดจะพูดก็ควรพูดประหนึ่งเป็นผู้กล่าวพระดํารัสของพระเจ้า ถ้าผู้ใดจะรับใช้ก็ควร ทําตามกําลังที่พระเจ้าประทาน เพื่อว่าในทุกสิ่งพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญโดยทางพระเยซู คริสต์ ขอพระเกียรติสิริและเดชานุภาพมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน 3
4
5
6
7
8
9
10
11
1 เปโตร 4:8 ไบร์ท รูว้ า่ มันยากนักทีจ่ ะรักคนทีไ่ ม่นา่ รัก เมือ่ ไหร่ทม่ี คี นทําไม่ดกี บั น้อง ๆ ขอให้นอ้ ง ๆ ออกไปข้างนอกและเขียนสิ่งที่เขาพูดหรือทํากับเราลงไปบนดินหรือทราย แล้ว อธิษฐานขอพระเจ้าให้ช่วยทําให้เรารักคน ๆ นั้นให้ได้ เสร็จแล้วให้น้อง ๆ ลบสิ่งที่เขียนลงบนทรายออกไป ตอนนี้คําเหล่านี้ได้ถูกลบให้หายไปแล้ว ความรักของน้อง ๆ สามารถช่วยละเว้นสิ่งที่คนอื่น ๆ ได้ทําผิดพลาดไป เช่น คําพูด หรือการกระทํา จากนี้ไปขอให้เราทําแต่สิ่งที่ดีและมีความสุภาพต่อทุกคน 1 เปโตร 4:11 | 429
ทนทุกข์เพราะเป็นคริสเตียน
เพื่อนที่รัก อย่าแปลกใจกับการทดลองอันเจ็บปวดที่ท่านเผชิญอยู่ราวกับว่าสิ่งแปลก ประหลาดได้เกิดขึ้นกับท่าน แต่จงชื่นชมยินดีที่ได้ร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์ เพื่อ ท่านจะได้ชื่นชมยินดีเป็นล้นพ้นเมื่อพระเกียรติสิริของพระองค์ปรากฏ ถ้าท่านถูกดูหมิ่นเนื่อง ด้วยพระนามของพระคริสต์ท่านก็เป็นสุข เพราะพระวิญญาณอันทรงพระเกียรติสิริคือพระ วิญญาณของพระเจ้าประทับอยู่กับท่าน ถ้าท่านทนทุกข์ก็อย่าให้ทนทุกข์ในฐานะที่เป็นฆาตกร ขโมย หรืออาชญากรประเภทต่างๆ หรือแม้แต่เป็นคนชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น แต่ถ้าท่านทนทุกข์ ในฐานะที่เป็นคริสเตียนก็อย่าละอาย แต่จงสรรเสริญพระเจ้าที่ท่านได้รับการเรียกขานตาม พระนามนั้น เพราะถึงเวลาแล้วที่การพิพากษาจะเริ่มขึ้นที่ครอบครัวของพระเจ้า และถ้าการ พิพากษาเริ่มต้นที่พวกเราแล้วผลลัพธ์ของบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะเป็น อย่างไร? และ “ถ้าคนชอบธรรมยังยากที่จะได้รับความรอด แล้วคนอธรรมกับคนบาปจะเป็นอย่างไรเล่า?” ฉะนั้นผู้ที่ทนทุกข์ตามพระประสงค์ของพระเจ้าควรมอบตนเองไว้กับพระผู้สร้างผู้สัตย์ซื่อของ พวกเขา และทําความดีต่อไป 12
13
14
15
16
17
18
19
ผู้อาวุโสและผู้อ่อนอาวุโส
งผู้อาวุโสทั้งหลายในหมู่พวกท่าน ข้าพเจ้าขอร้องท่านในฐานะที่เป็นเพื่อนผู้อาวุโส เป็นพยาน 5 ถึคนหนึ ่งในเรื่องการทนทุกข์ของพระคริสต์ และเป็นผู้หนึ่งที่จะร่วมในพระเกียรติสิริซึ่งจะทรง
สําแดงนั้นว่า จงเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของท่าน พวกท่านรับใช้ ในฐานะผู้ปกครองดูแล ไม่ใช่เพราะท่านต้องทําแต่เพราะท่านเต็มใจทําตามที่พระเจ้าทรงประสงค์ ให้ท่านเป็น ไม่ใช่โลภเงินทองแต่กระตือรือร้นที่จะรับใช้ ไม่ใช่วางอํานาจเหนือบรรดาผู้ที่ทรงมอบ หมายแก่ท่าน แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น และเมื่อหัวหน้าของผู้เลี้ยงทั้งปวงทรงปรากฏท่าน ทั้งหลายจะได้รับมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีซึ่งไม่มีวันเสื่อมสลาย ในทํานองเดียวกันท่านผู้อ่อนอาวุโส จงยอมเชื่อฟังบรรดาผู้ที่อาวุโสกว่า อันที่จริงให้ท่านทุกคน ถ่อมใจต่อกันและกัน เพราะว่า “พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ” เพราะฉะนั้นพวกท่านจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าเพื่อพระองค์จะทรง ยกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร จงละความกังวลทั้งสิ้นของท่านไว้กับพระองค์เพราะพระองค์ทรง ห่วงใยท่าน จงรู้จักบังคับตนเองและตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะมารผู้เป็นศัตรูของท่านวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์ คําราม เที่ยวหาเหยื่อเพื่อขย้ํากิน จงต่อต้านมาร ยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ ด้วยรู้ว่าพี่น้องทั่วโลก กําลังเผชิญความทุกข์ยากแบบเดียวกัน และหลังจากพวกท่านทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง พระเจ้าแห่งพระคุณทั้งปวงผู้ทรงเรียกท่านมา สู่พระเกียรติสิรินิรันดร์ของพระองค์ในพระคริสต์ พระองค์เองจะทรงให้พวกท่านกลับคืนสู่สภาพดี และให้ท่านเข้มแข็ง มั่นคง และแน่วแน่ ขอเดชานุภาพมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน 2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
430 | 1 เปโตร 4:12
1 เปโตร 5:8 เปโตรกล่าวว่า มารผู้เป็นศัตรูของท่านวนเวียนอยู่รอบ ๆ ดุจสิงห์คําราม เที่ยวหาเหยื่อ เพื่อขย้ํากิน น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่าสิงโตล่าเหยื่ออย่างไร? ลองคิดถึงวิธีการที่มันย่องตามและฆ่า เหยื่อดูสิ แล้วให้ลองคิดถึงวิธีการที่มารจะใช้หลอกลวงเรา เปโตรได้ให้คําแนะนําอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้? ข้อพระคัมภีร์ในตอนนี้ได้กล่าวไว้ อย่างไร? อะไรคือาวุธที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับมาร? เปโตรได้บอกเราไว้ในข้อที่ 9 คําลงท้าย
ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านสั้นๆ ด้วยความช่วยเหลือของสิลาส ผู้ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นพี่น้องที่สัตย์ ซื่อ ข้าพเจ้าเขียนมาให้กําลังใจท่านและเป็นพยานว่าทั้งหมดนี้คือพระคุณที่แท้จริงของพระเจ้า จง ยืนหยัดมั่นคงในพระคุณนี้ คริสตจักรที่เมืองบาบิโลนผู้ได้รับการเลือกสรรด้วยกันกับท่านฝากความคิดถึงมายังท่าน และ มาระโกบุตรของข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย จงทักทายกันด้วยจุมพิตแห่งความรัก ขอสันติสุขมีแด่พวกท่านทุกคนผู้อยู่ในพระคริสต์ 12
13
14
1 เปโตร 5:14 | 431
จดหมายของเปโตร ฉบับที่สอง น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● เปโตรเขียนจดหมายฉบับที่สองนี้ถึงคริสเตียนที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองเอเชียไมเนอร์
(ปัจจุบันคือประเทศตุรกี) (2 เปโตร 3:1) ● จักรพรรดิเนโรยังคงเป็นจักรพรรดิแห่งกรุงโรม ท่านขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ปี คริสต์ศักราชที่ 64–68 หลังจากที่พระเยซูทรงประสูติ ● เราคิดว่าเปโตรถูกจําคุกอยู่ในกรุงโรมในช่วงเวลานั้น และจักรพรรดิเนโรได้สั่งให้ ประหารชีวิตของท่านด้วย ● หลายคนเชื่อว่าเปโตรถูกตรึงบนไม้กางเขนในลักษณะกลับหัว เนื่องจากเปโตรได้ กล่าวว่า ท่านไม่ควรค่าต่อการตายแบบพระคริสต์
ทําไมเปโตรจึงเขียนจดหมายฉบับนี้?
● เปโตรต้องการหนุนใจให้ผู้อ่านยึดมั่นในความเชื่ออย่างหนักแน่น ● เปโตรกล่าวเตือนไม่ให้เราหลงเชื่อผู้เผยพระวจนะเท็จที่มาชักนําให้เราออกนอกทาง
ของพระคริสต์ (2 เปโตร 3:17) ● เปโตรย้ําเตือนว่า พระคริสต์จะทรงเสด็จกลับมาในอนาคต และเราควรเตรียมตัวของ เราให้พร้อมสําหรับวันที่จะมาถึงนั้น ● ท่านยังกล่าวอีกว่า เหตุผลที่พระเยซูทรงยังไม่ได้เสด็จกลับมานั้น เป็นเพราะพระเจ้า ทรงอดทนรอคอยให้คนหันกลับมาเชื่อในพระองค์มากขึ้นก่อน (2 เปโตร 3:18–11)
ดูตรงนี้สิ!
● ใช้ชีวิตให้ถูกต้องตามพระทัยพระเจ้า (2 เปโตร 1:3–11) ● อย่าฟังคนที่ต้องการทําให้ท่านหลงไปจากทางของพระเจ้า (2 เปโตร 2:1) ● จงเตรียมพร้อมเพราะพระเยซูใกล้เสด็จกลับมาแล้ว (2 เปโตร 3:10–13)
432
2 เปโตร
2 เปโตร 1:3 พระเจ้าทรงได้ประทานทุกสิ่งที่จําเป็นแก่เราที่จะดําเนินชีวิตในทางพระเจ้า เมื่อไรที่ เราไม่สามารถทําได้ ให้อธิษฐานขอกําลังจากพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงช่วยเหลือ เรา ต่อไปนี้คือข้อพระคัมภีร์ที่น้อง ๆ สามารถนํามาใช้ได้ในวันที่น้อง ๆ รู้สึกถึงความ ยากลําบาก สดุดี 27:1 (เมื่อน้อง ๆ รู้สึกกลัว) มัทธิว 28:20 (เมื่อน้อง ๆ รู้สึกเหงา)
โยชูวา 1:9 (เมื่อน้อง ๆ ต้องทําบางอย่างที่ยากมาก) 1เปโตร 5:7 (เมื่อน้อง ๆ รู้สึกกังวลใจ)
1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าซีโมนเปโตรผู้เป็นผู้รับใช้และอัครทูตของพระเยซูคริสต์
ถึงบรรดาผู้ได้รับความเชื่ออันล้ําค่าเช่นเดียวกับที่เราได้รับโดยทางความชอบธรรมของพระเยซู คริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ขอพระคุณและสันติสุขมีแด่พวกท่านอย่างล้นเหลือผ่านทางการรู้จักพระเจ้าและรู้จักพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 2
มั่นใจในการทรงเรียกและทรงเลือก
ฤทธิ์อํานาจของพระองค์ได้ประทานทุกสิ่งที่จําเป็นแก่เราที่จะดําเนินชีวิตในทางพระเจ้า ผ่าน ทางการรู้จักพระองค์ผู้ทรงเรียกเราด้วยพระเกียรติสิริและคุณความดีของพระองค์เอง โดยสิ่ง เหล่านี้พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ําค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระ สัญญาเหล่านี้พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้าและพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว ด้วยเหตุนี้ท่านจงพยายามทุกวิถีทางที่จะเพิ่มความดีเข้ากับความเชื่อ เพิ่มความรู้เข้ากับความ ดี เพิ่มการบังคับตนเข้ากับความรู้ เพิ่มความอดทนบากบั่นเข้ากับการบังคับตน เพิ่มการดําเนิน ในทางพระเจ้าเข้ากับความอดทนบากบั่น เพิ่มความรักฉันพี่น้องเข้ากับการดําเนินในทางพระเจ้า และเพิ่มความรักเข้ากับความรักฉันพี่น้อง เพราะถ้าท่านมีคุณสมบัติเหล่านี้มากยิ่งๆ ขึ้นก็จะทําให้ 3
4
5
6
7
8
2 เปโตร 1:3–4 น้อง ๆ รูส้ กึ อย่างไรเมือ่ มีคนพูดว่าน้อง ๆ ไม่ดพี อ? ให้เลือกสีแทนความรูส้ กึ ของน้อง ๆ จากหน้า 11 พระเจ้าทรงได้จัดเตรียมทุกสิ่งที่จําเป็นเพื่อที่เราจะใช้ชีวิตในทางของ พระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่กับน้อง ๆ ทุกคน พระเจ้าทรงเสริมกําลังเรา พระองค์ ทรงช่วยทําให้เรามีความเชื่อฟังและใช้ชีวิตของเราตามน้ําพระทัยของพระองค์ น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรเมื่ออ่านข้อความนี้? ให้เลือกสีแทนความรู้สึกของน้อง ๆ จากหน้า 11 434 | 2 เปโตร 1:1
2 เปโตร 1:12 ให้น้อง ๆ ลองฟังเพลงใหม่ แล้วร้องตามสักสองสามครั้ง จากนั้นให้เปลี่ยนไปร้องเพลง อื่น ดูซิว่าน้อง ๆ จะสามารถจําเนื้อเพลงใหม่นั้นได้หรือไม่ เราเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ อย่างไร? น้อง ๆ สามารถเรียนรู้ได้โดยการทําซ้ํา ๆ กัน ยิ่งเราทําบ่อยมากเท่าไหร่เรา ก็จะยิ่งจําได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น เปโตรกล่าวว่า เราควรย้ําเตือนตัวเองถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ ทรงกระทําเพื่อเราอยู่เสมอ เพื่อที่เราจะได้ไม่ลืมสิ่งเหล่านั้น ท่านมีประสิทธิภาพและเกิดผลในการรู้จักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา แต่ถ้าผู้ใดขาดคุณสมบัติ เหล่านี้ก็ตาบอดตาสั้น และลืมว่าตนได้รับการทรงชําระจากบาปในอดีตแล้ว เพราะฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า จงขวนขวายให้มากยิ่งขึ้นที่จะประพฤติตนในทางซึ่ง แสดงว่าพระเจ้าทรงเรียกและทรงเลือกท่านอย่างแน่นอน เพราะถ้าท่านทําสิ่งเหล่านี้ท่านจะไม่มี วันล้มลง และท่านจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นสู่อาณาจักรนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์องค์พระ ผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา 9
10
11
คําพยากรณ์ของพระคัมภีร์
ดังนั้นข้าพเจ้าจะเตือนท่านให้ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ 2 เปโตร 1:16–21 เสมอแม้ว่าท่านทราบเรื่องนี้แล้วและตั้งมั่นในความ จริงที่มีอยู่ก็ตาม ข้าพเจ้าคิดว่าถูกต้องแล้วที่จะเตือน เปโตรได้อยูก่ บั พระเยซูบนภูเขา ใน ความจําของท่านตราบเท่าที่ข้าพเจ้ายังอยู่ในเรือนกาย ตอนทีพ่ ระองค์ทรงจําแลงพระกาย นี้ เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าอีกไม่นานจะต้องจากเรือนกาย ขณะทีพ่ ระองค์ทรงกําลังอธิษฐาน นี้ไปตามที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราได้ทรงสําแดง พระพักตร์ของพระองค์กเ็ ปลีย่ น ไว้แก่ข้าพเจ้าอย่างชัดเจน และข้าพเจ้าจะพยายาม ไป และฉลองพระองค์สว่างสุกใสดัง ทําทุกวิถีทางให้พวกท่านสามารถระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ แสงฟ้าแลบ (ลูกา 9:28–36) เปโตร เสมอหลังจากข้าพเจ้าจากไปแล้ว ได้เห็นทุกสิง่ แม้กระทัง่ ได้ยนิ เสียง เมื่อเราบอกพวกท่านถึงฤทธิ์อํานาจและการจะ ของพระเจ้าทีต่ รัสลงมาจากสวรรค์ เสด็จมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา พวกเรา มันเป็นวันทีด่ ที ส่ี ดุ และเปโตรจะ ไม่ได้กุเรื่องขึ้นมาอย่างแยบยล แต่เราเป็นพยานผู้ได้ ไม่มวี นั ลืมมันเลย ในตอนนี้ เปโตร เห็นพระบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เพราะพระ เยซูทรงได้รับพระเกียรติและพระสิริจากพระเจ้าพระ ได้ยาํ้ เตือนผูอ้ า่ นว่า การเสด็จกลับ บิดา เมื่อมีพระสุรเสียงจากองค์ผู้ทรงเกียรติสิริยิ่งใหญ่ มาอีกครัง้ ของพระเยซูจะดียง่ิ กว่าวัน ตรัสกับพระองค์ว่า “คนนี้คือลูกที่รักของเรา เราพอใจ นัน้ เสียอีก เขามาก” พวกเราเองได้ยินพระสุรเสียงนี้จากสวรรค์ ขณะอยู่กับพระองค์ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกเราจึงมั่นใจในถ้อยคําของผู้เผยพระวจนะมากยิ่งขึ้น จะเป็นการดีถ้าพวกท่านเอาใจ ใส่ถ้อยคําเหล่านี้ซึ่งเป็นเหมือนแสงสว่างส่องในที่มืดจนกว่าจะถึงรุ่งเช้าและดาวแห่งรุ่งอรุณจะ ปรากฏขึ้นในใจท่าน เหนือสิ่งอื่นใดท่านต้องเข้าใจว่าไม่มีคําพยากรณ์ใดในพระคัมภีร์ที่มาจาก ความเข้าใจของตัวผู้เผยพระวจนะเอง เพราะคําของผู้เผยพระวจนะนั้นไม่เคยเกิดจากเจตจํานง ของมนุษย์ แต่มนุษย์กล่าวถ้อยคําซึ่งมาจากพระเจ้าตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจเขา 12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
2 เปโตร 1:21 | 435
2 เปโตร 2:5 ไบร์ท สงสัยว่าน้อง ๆ จําเรื่องราวของโนอาห์ได้หรือไม่ น้อง ๆ สามารถอ่านเรื่องของ เขาได้จากพระธรรมปฐมกาล 6:5–9 ทําไมพระเจ้าจึงเลือกที่จะช่วยโนอาห์? พระเจ้าทรงช่วยเหลือโนอาห์และครอบครัว ของท่านอย่างไร? เปโตรได้พูดถึงโนอาห์อย่างไรบ้าง? ผู้สอนผิดและความพินาศที่เขานํามา
ก็มีผู้เผยพระวจนะเท็จในหมู่ประชากรเช่นเดียวกับที่จะมีผู้สอนผิดท่ามกลางพวกท่าน พวก 2 แต่ เขาจะแอบนําคําสอนผิดซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายเข้ามา พวกเขาถึงกับปฏิเสธองค์พระผู้เป็น
เจ้าองค์เจ้าชีวิตผู้ได้ทรงไถ่พวกเขา ซึ่งการทําอย่างนี้นําความพินาศมาสู่พวกเขาเองอย่างรวดเร็ว หลายคนจะเดินตามแนวทางอันน่าละอายของเขา สร้างความเสื่อมเสียแก่ทางแห่งความจริง ด้วยความโลภผู้สอนผิดเหล่านี้จะแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อตักตวงผลประโยชน์จากท่าน คําตัดสินโทษ คนเหล่านี้แขวนอยู่เหนือหัวของเขามาเนิ่นนานแล้ว ความพินาศกําลังจะมาถึงเขาแล้ว เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงละเว้นทูตสวรรค์ที่ทําบาป แต่ทรงส่งลงนรกเข้าคุกมืดรอการพิพากษา พระองค์ไม่ได้ทรงละเว้นโลกในสมัยโบราณเมื่อทรงให้น้ําท่วมคนอธรรมที่อยู่ในโลก แต่ทรง ปกป้องโนอาห์ผู้ประกาศความชอบธรรมกับคนอื่นๆ อีกเจ็ดคน พระองค์ได้ทรงลงโทษเมือง โสโดมกับโกโมราห์โดยเผาให้วอดวายเป็นเถ้าถ่านเพื่อเป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะเกิดแก่คนอธรรม และพระองค์ได้ทรงช่วยโลทผูช้ อบธรรมซึง่ ทุกข์ยากลําบากใจเนือ่ งด้วยชีวติ โสมมของคนไร้ศลี ธรรม (เพราะผู้ชอบธรรมคนนี้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเขา จิตวิญญาณอันชอบธรรมของเขาย่อมทุกข์ ทรมานเนื่องจากได้เห็นได้ยินพฤติกรรมที่ชั่วร้ายอยู่วันแล้ววันเล่า) ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพระเจ้า ย่อมทรงทราบว่าจะช่วยคนชอบธรรมให้รอดพ้นจากการทดลองได้อย่างไร และจะกักคนอธรรมไว้ รอวันพิพากษา ขณะเดียวกันก็ลงโทษพวกเขาไปเรื่อยๆ ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้า จะทรงลงโทษคนที่ปล่อยตัวไปตามความปรารถนาของวิสัยบาปที่ทําให้เป็นมลทินและลบหลู่ผู้ทรง อํานาจ คนเหล่านี้กล้าบ้าบิ่นและอวดดี สบประมาทเทพเบื้องบนโดยไม่สะทกสะท้าน ซึ่งแม้แต่ทูต สวรรค์ผู้มีพละกําลังและฤทธิ์อํานาจเหนือกว่ายังไม่ได้กล่าวสบประมาทเมื่อกล่าวโทษเทพเหล่า นี้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่คนเหล่านี้สบประมาทสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ พวกเขาเป็นเช่นสัตว์ เดรัจฉานที่ทําอะไรตามสัญชาตญาณ เกิดมาเพียงเพื่อถูกล่าทําลาย และเขาจะพินาศไปเหมือน สัตว์เดรัจฉานอย่างแน่นอน สิ่งเลวร้ายที่เขาได้ทําจะคืนสนองเขา คนเหล่านี้ถือว่าการมั่วสุมเสเพลเฮฮาทั้งกลางวันแสกๆ เป็นความบันเทิง เขาเป็นสิ่งแปดเปื้อนและรอยด่างพร้อย เขาหาความสําราญใส่ตนขณะร่วมงาน เลี้ยงกับพวกท่าน แววตาของเขาเปี่ยมด้วยการล่วงประเวณี เขาทําบาปไม่เลิกรา เขาล่อลวงคน ที่ไม่หนักแน่น เขาช่ําชองในความโลภ พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ที่ถูกสาปแช่ง! เขาละทิ้งทางที่ถูกและ เตลิดไปตามทางของบาลาอัมบุตรเบโอร์ผู้รับสินจ้างทุจริต แต่ผู้เผยพระวจนะคนนี้ถูกลาตําหนิ สัตว์ซึ่งพูดไม่ได้กลับเอ่ยออกมาเป็นเสียงมนุษย์และได้ยับยั้งความบ้าคลั่งของเขา 2 3
4
5
6
7 8
9
10
11
12
13
14
15
16
436 | 2 เปโตร 2:1
คนเหล่านี้คือบ่อแล้งน้ํา คือหมอกที่ถูกพายุพัดไป นรกมืดมิดรอพวกเขาอยู่ เพราะเขาพูดจา โอ้อวดลมๆ แล้งๆ และใช้ราคะตัณหาตามวิสัยมนุษย์บาปหนามาล่อลวงคนทั้งหลายที่เพิ่งหนีพ้น จากบรรดาผู้ที่ดําเนินชีวิตในทางที่ผิด พวกเขาสัญญาว่าจะให้คนเหล่านั้นเป็นอิสระ แต่ตัวเขาเอง ยังเป็นทาสของความเสื่อมทราม เพราะคนเราถูกสิ่งใดครอบงําย่อมเป็นทาสของสิ่งนั้น ถ้าพวก เขาได้หนีพ้นมลทินโลกมาแล้วโดยการรู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด ของเรา แล้วยังหวนกลับไปข้องเกี่ยวและพ่ายแพ้แก่มัน บั้นปลายของพวกเขาก็กลับเลวร้ายยิ่งกว่า เริ่มแรก ถ้าพวกเขาไม่รู้จักทางแห่งความชอบธรรมเสียเลยก็ยังดีกว่าได้รู้จักแล้วหันหลังให้พระ บัญชาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสืบทอดมาถึงพวกเขา พวกเขาก็เป็นไปตามสุภาษิตที่ว่า “สุนัขหวนกลับไปหา สิ่งที่มันสํารอกออกมา” และที่ว่า “สุกรที่อาบน้ําแล้วย้อนกลับไปเกลือกกลั้วในปลักโคลน” 17
18
19
20
21
22
วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
่รักทั้งหลายนี่เป็นจดหมายฉบับที่สองของข้าพเจ้าถึงท่าน ข้าพเจ้าเขียนมาทั้งสองฉบับ 3 เป็เพืน่อนที เครื่องเตือนใจเพื่อกระตุ้นให้ท่านคิดในทางที่บริสุทธิ์ ข้าพเจ้าอยากให้ท่านระลึกถึงถ้อยคํา 2
ที่เหล่าผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์กล่าวไว้ในอดีต และระลึกถึงพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและ พระผู้ช่วยให้รอดของเราที่ประทานผ่านทางเหล่าอัครทูต ก่อนอื่นท่านต้องเข้าใจว่าในยุคสุดท้ายจะมีคนชอบเยาะเย้ยมาเยาะเย้ยและทําตามตัณหา ชั่วของตนเอง พวกเขาจะกล่าวว่า “ไหนล่ะ ‘การเสด็จมา’ ที่ทรงสัญญาไว้? นานมาแล้วตั้งแต่ บรรพบุรุษของเราตายไปทุกอย่างก็ดําเนินไปเหมือนที่เป็นมาตั้งแต่เริ่มสร้างโลก” แต่เขาจงใจลืม ความจริงที่ว่า นานมาแล้วโดยพระดํารัสของพระเจ้าฟ้าสวรรค์ก็มีขึ้นและแผ่นดินโลกก็ก่อตัวขึ้นมา จากน้ําโดยมีน้ําล้อมรอบ น้ําเหล่านี้เองที่ท่วมทําลายโลกในครั้งนั้น โดยพระดํารัสเดียวกันนี้ ฟ้า สวรรค์และโลกปัจจุบันก็ถูกสงวนไว้ให้ไฟเผาผลาญ ถูกเก็บไว้เพื่อวันแห่งการพิพากษาและความ หายนะของคนอธรรม แต่อย่าลืมข้อนี้เพื่อนที่รัก คือสําหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วหนึ่งวันก็เหมือนหนึ่งพันปี และหนึ่ง พันปีก็เหมือนหนึ่งวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเชื่องช้าที่จะทําตามพระสัญญาอย่างที่บางคน คิด แต่ทรงอดทนต่อท่านเพราะพระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ผู้ใดพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคน กลับใจใหม่ กระนั้นวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนขโมยที่ลอบเข้ามาโดยไม่มีใครคาดคิด ฟ้าสวรรค์ จะหายวับไปด้วยเสียงกัมปนาทและโลกธาตุทั้งหลายจะถูกไฟเผาทําลาย นั่นคือแผ่นดินโลกกับ สรรพสิ่งในนั้นจะถูกทําลายสิ้น ในเมื่อทุกสิ่งจะถูกทําลายลงเช่นนี้ พวกท่านควรจะเป็นคนแบบไหน? พวกท่านควรดําเนินชีวิต 3
4
5
6
7
8
9
10
11
2 เปโตร 3:8 หนึ่งวันของพระเจ้าเหมือนกับหนึ่งพันปี และหนึ่งพันปีก็เป็นเหมือนกับหนึ่งวัน น้อง ๆ ลองคํานวณดูสิว่าโนอาห์อยู่บนเรือนานเท่าไร? 40,000 ปี! แล้วชาวอิสราเอลอยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลานานเท่าไร? เพียงแค่ 58นาทีเท่านั้น! น้อง ๆ ลองคิดดูซิว่าเราคิดคําตอบเหล่านี้ได้อย่างไร? เปโตรไม่ได้ต้องการสอนเรา ให้คิดคํานวณด้วยวิธีใหม่! แต่ท่านต้องการบอกเราถึงข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับ พระเจ้ากับเรา แล้วมันคืออะไรกันนะ? 2 เปโตร 3:11 | 437
อย่างบริสุทธิ์และอยู่ในทางพระเจ้า ขณะที่พวกท่านเฝ้ารอและเร่งวันแห่งพระเจ้าให้มาโดยเร็ว วันนั้นฟ้าสวรรค์จะล่มสลายด้วยไฟและโลกธาตุต่างๆ จะหลอมละลายในความร้อน แต่ด้วยการ ยึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์ พวกเรากําลังเฝ้ารอฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ซึ่งเป็นที่พํานัก ของความชอบธรรม เช่นนั้นแล้วเพื่อนที่รัก ในเมื่อท่านกําลังเฝ้ารอสิ่งนี้อยู่ จงพยายามทุกวิถีทางที่จะให้พระองค์ ทรงเห็นว่าท่านปราศจากข้อด่างพร้อย ไร้ตําหนิและมีสันติสุขในพระองค์ จงระลึกว่าที่องค์พระ ผู้เป็นเจ้าของเราทรงอดกลั้นพระทัยไว้ก็เพื่อให้คนทั้งหลายมีโอกาสได้รับความรอด เหมือนที่น้อง เปาโลที่รักของเราได้เขียนจดหมายมาถึงท่านด้วยสติปัญญาที่พระเจ้าประทาน จดหมายทุกฉบับ ของเขาได้กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ไว้ในทํานองเดียวกัน ในจดหมายของเขามีบางอย่างที่เข้าใจยากซึ่ง พวกที่รู้ไม่จริงและไม่หนักแน่นได้บิดเบือนไป เช่นเดียวกับที่ได้บิดเบือนพระคัมภีร์ข้ออื่นๆ และนํา ความพินาศมาสู่ตนเอง เพราะฉะนั้นเพื่อนที่รัก ในเมื่อท่านทราบเช่นนี้แล้วก็จงระวังระไวเพื่อท่านจะไม่ถูกชักจูงให้ หลงผิดไปตามคนไร้ศีลธรรมเหล่านี้ และไม่ตกจากที่อันมั่นคงของท่าน แต่จงเจริญขึ้นในพระคุณ ของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเราและรู้จักพระองค์มากขึ้น ขอพระ เกียรติสิริจงมีแด่พระองค์ทั้งบัดนี้และตลอดนิรันดร์! อาเมน 12
13
14
15
16
17
18
438 | 2 เปโตร 3:12
จดหมายของยอห์น ฉบับที่หนึ่ง น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● ยอห์นได้เขียนพระธรรมภาคพันธสัญญาใหม่ทั้งหมดห้าเล่ม พระกิตติคุณยอห์น,
จดหมายทั้งสามฉบับของท่าน (1–3 ยอห์น) และพระธรรมวิวรณ์ ● ยอห์นเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระเยซู เป็นหนึ่งในพระสหายสนิท และเป็นชาวประมง ● ยอห์นกล่าวว่า ท่านสามารถพูดถึงความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเยซู เพราะว่า ท่านได้เห็นพระองค์ ได้ฟังพระองค์ และยังได้สัมผัสพระกายของพระองค์อีกด้วย (1 ยอห์น 1:1)
ทําไมยอห์นจึงเขียนจดหมายฉบับนี้?
● มีบางคนได้กําลังพูดถึงพระเยซูว่าพระองค์ไม่ได้เป็นพระบุตรของพระเจ้า ● ยอห์นต้องการบอกกับทุกคนว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าโดยแท้จริง
พระองค์ทรงเสด็จลงมาประสูติเป็นมนุษย์ และทรงวายพระชนม์เพื่อเราทุกคนจะได้ รับชีวิตนิรันดร์ (1 ยอห์น 1:1–4) ● ผู้ที่รักพระเจ้าจะต้องเชื่อวางใจในพระองค์ (1 ยอห์น 2:5) ● พระเจ้าทรงมอบของประทานแห่งความรักต่อผู้อื่นให้กับลูก ๆ ของพระองค์ และ พระองค์ทรงสําแดงวิธีการแสดงความรักต่อผู้อื่นให้แก่เราทุกคน (1 ยอห์น 3:11–18) ● ทุกคนที่เชื่อวางใจในองค์พระเยซูจะได้เป็นลูกของพระเจ้า และได้รับของประทาน แห่งการมีชีวิตนิรันดร์ (1 ยอห์น 5:6–13)
ดูข้อพระคัมภีร์เหล่านี้สิ!
● พระเจ้าทรงอภัยบาปของเรา (1 ยอห์น 1:6–10) ● พระเจ้าทรงเรียกเราว่าเป็นบุตรของพระองค์ (1 ยอห์น 3:1–6) ● พระเจ้ามอบความรักของพระองค์ให้แก่เราเพื่อให้เรารักซึ่งกันและกัน
(1 ยอห์น 4:7–21)
● พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา (1 ยอห์น 5:11)
440
1 ยอห์น
เราประกาศแก่ท่านถึงพระวาทะแห่งชีวิตซึ่งดํารง 1 อยู ่ตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้
1 ยอห์น
ยอห์นเป็นผู้สูงอายุที่มีสติปัญญาล้ํา เลิศ ท่านมีสิ่งสําคัญที่ต้องการจะ บอกแก่คนหนุ่มสาวผู้ติดตามพระ เยซู ท่านได้ย้ําถึงทุกสิ่งสองถึงสาม ครั้ง เพื่อผู้ที่อ่านจะจดจําในสิ่งที่ท่าน ได้กล่าวไว้ ท่านกล่าวว่า •พระเจ้าทรงเป็นความรัก พระองค์ ได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของ พระองค์ เพื่อแสดงถึงความรัก มากมายที่พระองค์ทรงมีต่อเรา ทุกคน ดําเนินในความสว่าง •พระบุตรของพระเจ้าทรงสําแดงวิธี นี่เป็นเรื่องราวซึ่งเราได้ยินจากพระองค์และ การดําเนินชีวิตให้แก่เรา เราต้อง ประกาศแก่ท่าน คือพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง ใน ทําตามแบบอย่างของพระองค์ พระองค์ไม่มีความมืดเลย ถ้าเราอ้างว่ามีสามัคคีธรรม •ผู้ที่อยู่ในพระบุตรจะมีชีวิต กับพระองค์แต่ยังดําเนินในความมืด เราก็โกหกและ ไม่ได้ดําเนินชีวิตโดยความจริง แต่ถ้าเราดําเนินใน ความสว่างเหมือนอย่างที่พระองค์ประทับในความ สว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมกันและพระโลหิตของพระเยซูพระบุตรของพระองค์ก็ชําระเราพ้นจาก บาปทั้งปวง ถ้าเราอ้างว่าไม่มีบาป เราก็หลอกตัวเองและความจริงไม่ได้อยู่ในเราเลย ถ้าเราสารภาพบาป ของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมจะทรงอภัยบาปของเราและชําระเราให้พ้นจากความ อธรรมทั้งสิ้น ถ้าเราอ้างว่าไม่ได้ทําบาปก็เท่ากับหาว่าพระองค์เป็นผู้มุสา และพระดํารัสของ พระองค์ไม่ได้อยู่ในชีวิตของเราเลย กที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเช่นนี้เพื่อท่านจะไม่ทําบาป แต่ถ้าผู้ใดทําบาป 2 ลูเราก็ มีพระองค์ผู้ทูลแก้ต่างต่อพระบิดาเพื่อเราทั้งหลาย คือพระเยซูคริสต์องค์ผู้ชอบธรรม พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปของเราเท่านั้นแต่บาป ของคนทั้งโลกด้วย พินิจดู และได้สัมผัสด้วยมือของเรา ชีวิตนี้ได้ปรากฏ ขึ้นแล้ว เราได้เห็นและได้เป็นพยาน และเราประกาศ ให้ท่านทราบถึงชีวิตนิรันดร์นี้ซึ่งดํารงอยู่กับพระบิดา และได้ปรากฏแก่เรา เราประกาศให้ท่านทราบถึง สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินเพื่อท่านจะได้ร่วมสามัคคี ธรรมกับเราด้วย และการสามัคคีธรรมกับเราคือ การสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระบุตรของ พระองค์คือพระเยซูคริสต์ เราเขียนข้อความเหล่า นี้มาเพื่อให้ความชื่นชมยินดีของเราทั้งหลายเต็ม บริบูรณ์ 2
3
4
5
6
7
8
9
10
2
1 ยอห์น 1:9 เขียนข้อความนี้โดยใช้คําพูดของน้อง ๆ เอง ตกแต่งโดยการวาดรูปสบู่และฟองสบู่ หรือวาดสิ่งที่แสดงให้เราเห็นว่า บางสิ่งบางอย่างที่เปื้อนสกปรกนั้นสามารถถูกชําระให้ สะอาดได้ ลองนึกถึงบางสิ่งที่น้อง ๆ เคยทํา และมันทําให้น้อง ๆ รู้สึกเสียใจมาก ให้บอกพระเจ้า ถึงความรู้สึกของน้อง ๆ และขอพระองค์ทรงยกโทษความผิดนั้นให้แก่เรา ให้ใช้ข้อ พระคัมภีร์ที่น้อง ๆ เขียนลงไปโดยใช้คําพูดของน้อง ๆ เองเป็นคําอธิษฐาน 442 | 1 ยอหน 1:1
1 ยอห์น 2:10–11 เมื่อเรารักผู้อื่น มันเปรียบเหมือนแสงไฟส่องสว่างรอบ ๆ ตัวเรา เมื่อเราเกลียดชังผู้อื่น มันเปรียบเหมือนความมืดรอบตัวเรา มีสิ่งใดบ้างที่น้อง ๆ สามารถทําเพื่อเป็นการแสดงความรักต่อผู้อื่นได้? ให้น้อง ๆ เอ่ยชื่อคนห้าคนที่น้อง ๆ รักมาก แล้วเขียนชื่อพวกเขาลงไปในกระดาษ ถัด จากชื่อของพวกเขา ให้น้อง ๆ เขียนสิ่งที่น้อง ๆ สามารถทําให้พวกเขาได้ลงไปเพื่อ แสดงความรักของเราที่มีต่อพวกเขา ถ้าเราเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ เราก็รู้แน่ว่าเรารู้จักพระองค์ ผู้ที่พูดว่า “เรารู้จัก พระองค์” แต่ไม่ทําตามสิ่งที่ทรงบัญชา ผู้นั้นก็โกหกและความจริงไม่ได้อยู่ในเขาเลย แต่ถ้าผู้ใด เชื่อฟังพระดํารัสของพระองค์ ความรักของพระเจ้า ก็เต็มบริบูรณ์อยู่ในผู้นั้น ด้วยวิธีนี้เราจึงรู้ว่า เราอยู่ในพระองค์คือ ผู้ใดอ้างว่าอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นต้องดําเนินชีวิตอย่างที่พระเยซูได้ทรงดําเนิน เพื่อนที่รัก ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ถึงท่าน นี่เป็นบัญญัติเก่าซึ่งท่านมีมาตั้งแต่แรก บัญญัติเก่านี้คือเรื่องราวที่ท่านเคยได้ยินมาแล้ว แต่จะว่าข้าพเจ้าเขียนบัญญัติใหม่ถึงท่านก็ได้ ท่านเห็นบัญญัตินี้เป็นจริงในพระองค์และในท่านเอง เพราะความมืดกําลังผ่านพ้นไปและความ สว่างแท้กําลังส่องแสงอยู่แล้ว ผูใ้ ดทีอ่ า้ งว่าอยูใ่ นความสว่างแต่เกลียดชังพีน่ อ้ งของตนก็ยงั อยูใ่ นความมืด ผูท้ ร่ี กั พีน่ อ้ งของตน ก็อยูใ่ นความสว่าง และไม่มอี ะไรในผูน้ น้ั ทีท่ าํ ให้ตวั เขาสะดุด แต่ผทู้ เ่ี กลียดชังพีน่ อ้ งของตนก็อยูใ่ น ความมืดและเดินวนเวียนในความมืด เขาไม่รวู้ า่ ตนกําลังไปไหนเพราะความมืดทําให้เขาตาบอด ลูกที่รัก ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลาย เพราะบาปของท่านได้รับการอภัยแล้วเนื่องด้วยพระนามของพระองค์ บิดาทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน เพราะท่านได้รู้จักพระองค์ผู้ทรงดํารงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล หนุ่มสาวทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน เพราะท่านได้ชนะมารร้ายนั้น ลูกที่รัก ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลาย เพราะท่านได้รู้จักพระบิดา บิดาทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน เพราะท่านได้รู้จักพระองค์ผู้ทรงดํารงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล หนุ่มสาวทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน เพราะท่านเข้มแข็ง และพระวจนะของพระเจ้าดํารงอยู่ในท่าน และท่านได้ชนะมารร้ายนั้น 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
อย่ารักโลก
อย่ารักโลกหรือสิ่งใดๆ ในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักของพระบิดาก็ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น เพราะ ทุกสิ่งในโลกไม่ว่าจะเป็นตัณหาของเนื้อหนัง ตัณหาของตา และความทะนงในสิ่งที่ตนมีหรือทํา 15
16
1 ยอหน 2:16 | 443
ไม่ได้มาจากพระบิดาแต่มาจากโลก โลกกับความ ปรารถนาต่างๆ ของโลกก็ล่วงไป แต่ผู้ที่ทําตามพระ ประสงค์ของพระเจ้าดํารงอยู่ตลอดกาล
1 ยอห์น 2:18–27
17
เตือนให้ระวังปฏิปักษ์ของพระคริสต์
ยอห์นเขียนถึงปฏิปักษ์ของพระ คริสต์ เขาเหล่านั้นออกไปจากชุมชน ผู้เชื่อ พวกเขาเป็นคนโกหก คน เหล่านี้พูดว่าพระเยซูไม่ใช่พระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า หรือพระผู้ช่วย ให้รอด พวกเขาปฏิเสธพระบิดาและ พระบุตร ถ้าทุกคนไม่ได้เป็นเพื่อนของพระ คริสต์ เขาก็เป็นปฏิปักษ์ต่อพระ คริสต์ แต่ละคนจะต้องตัดสินใจ แล้ว น้อง ๆ ต้องการเป็นอะไร?
ลูกที่รัก บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้วและตามที่ท่าน ได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์กําลังมานั้น แม้ กระทั่งเดี๋ยวนี้ปฏิปักษ์พระคริสต์ก็มีมามากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย พวกเขาออก ไปจากพวกเรา แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ใช่พวกเรา เพราะ ถ้าใช่เขาก็คงอยู่กับเราต่อไป แต่การที่เขาจากไปแสดง ว่าในพวกเขาไม่มีสักคนเดียวที่เป็นพวกเรา แต่ท่านทั้งหลายได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์แล้ว และพวกท่านทุกคนก็รู้ความจริง ที่ข้าพเจ้าเขียนมา นี้ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านรู้และ เพราะไม่มีความเท็จใดๆ มาจากความจริง ใครเล่าคือคนโกหก? ก็คือคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซู เป็นพระคริสต์ คนเช่นนี้แหละคือปฏิปักษ์ของพระคริสต์ เขาปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร ผู้ใด ปฏิเสธพระบุตรก็ไม่มีพระบิดา ผู้ใดรับพระบุตรก็มีพระบิดาด้วย จงให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรกดํารงอยู่ในท่าน หากสิ่งนี้ดํารงอยู่ในท่าน ท่านก็จะดํารงอยู่ ในพระบุตรและในพระบิดาด้วย และนี่คือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กับเรา คือชีวิตนิรันดร์ นั่นเอง ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้มาถึงท่านเกี่ยวกับบรรดาผู้พยายามชักจูงให้ท่านหลงผิด ส่วน ท่านทั้งหลาย การเจิมที่ท่านได้รับจากพระองค์ก็ดํารงอยู่ในท่าน จึงไม่จําเป็นต้องมีใครสอนท่าน แต่เพราะการเจิมของพระองค์สอนท่านทุกสิ่ง และเพราะการเจิมนั้นจริงแท้ไม่ปลอมแปลง จง ดํารงอยู่ในพระองค์ตามที่การเจิมได้สอนท่านไว้แล้ว 18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
บุตรของพระเจ้า
และบัดนี้ลูกที่รัก จงดํารงอยู่ในพระองค์สืบไปเพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราทั้งหลายจะ มั่นใจและไม่ละอายต่อหน้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมา หากท่านรู้ว่าพระองค์ทรงชอบธรรม ท่านย่อมรู้ว่าทุกคนที่ทําสิ่งที่ถูกต้องได้บังเกิดจากพระองค์ 28
29
1 ยอห์น 2:24–27 ยอห์นกล่าวว่าผู้ที่ได้ยินความจริงเรื่องพระเยซูมาตั้งแต่ต้นนั้น พวกเขาจะต้องไม่ลืมสิ่ง ที่ได้ยินมา พวกเขาได้ยินสิ่งใดเกี่ยวกับพระเยซู? น้อง ๆ จะค้นพบสิ่งสําคัญที่พวกเขาได้ยินมา 2 ข้อ ในข้อ 12 และข้อ 13 ให้ขีดเส้นใต้ที่ความจริงเหล่านี้ในพระคัมภีร์ของน้อง ๆ และท่องจําข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ไว้! มีความจริงที่สําคัญอีกข้อหนึ่งที่เกี่ยวกับพระเยซู มันอยู่ในข้อที่ 25 ให้น้อง ๆ ขีดเส้นใต้ที่ข้อนี้ด้วย 444 | 1 ยอหน 2:17
ความรักที่พระบิดาทรงมีต่อเราทั้งหลายนั้นใหญ่ 3 หลวงปานใดในการที ่เราได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า!
1 ยอห์น 3:1, 4:9
และเราก็เป็นเช่นนั้น! เหตุที่โลกไม่รู้จักเราก็เพราะ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรง โลกไม่รู้จักพระองค์ เพื่อนที่รัก บัดนี้เราเป็นลูกของ รักเราอย่างแท้จริง? เพราะว่า พระเจ้า ภายหน้าเราจะเป็นอย่างไรเรายังไม่อาจรู้ได้ •พระเจ้าทรงสร้างเราให้เป็นส่วน แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏเราจะเป็นเหมือน หนึ่งในครอบครัวของพระองค์ พระองค์ เพราะเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ พวกเราจึงถูกเรียกว่าเป็นบุตรของ ทรงเป็น ทุกคนที่มีความหวังในพระองค์เช่นนี้ย่อม พระเจ้า ชําระตนเองให้บริสุทธิ์เหมือนที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์ •พระเจ้าทรงส่งพระเยซูคริสต์เจ้าผู้ ทุกคนที่ทําบาปย่อมละเมิดบทบัญญัติ อันที่จริง เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ บาปก็คือการละเมิดบทบัญญัติ แต่ท่านทั้งหลายรู้ว่า พระองค์ได้มาเพื่อขจัดบาปของเราและในพระองค์ไม่มี ลงมาสิ้นพระชนม์ บาป ไม่มีใครที่อยู่ในพระองค์แล้วยังทําบาปต่อไป คน เพื่อเราทั้งหลายจะมีชีวิตนิรันดร์ เป็นเพราะสิ่งที่พระเยซูทรงได้กระทํา ที่ทําบาปต่อไปก็ยังไม่ได้เห็นและไม่ได้รู้จักพระองค์ ลูกที่รัก อย่าปล่อยให้ใครมาชักจูงท่านให้หลงผิด ผู้ พวกเราจึงจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าบน ที่ทําสิ่งที่ถูกต้องก็เป็นคนชอบธรรมเหมือนที่พระองค์ สวรรค์์ ทรงชอบธรรม ผู้ที่ทําบาปก็มาจากมารเพราะมาร ทําบาปมาตั้งแต่ปฐมกาล เหตุที่พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาก็คือเพื่อทําลายกิจการของมาร ไม่มี ใครที่เกิดจากพระเจ้าแล้วยังคงทําบาปต่อไป เพราะเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าดํารงอยู่ในเขา เขาไม่ อาจทําบาปต่อไปเพราะเขาได้บังเกิดจากพระเจ้า เช่นนี้แหละเราจึงรู้ว่าใครเป็นบุตรของพระเจ้า และใครเป็นบุตรของมาร กล่าวคือผู้ใดไม่ทําสิ่งที่ถูกต้อง ผู้ใดไม่รักพี่น้องของตน ผู้นั้นไม่ใช่บุตร ของพระเจ้า 2
3
4
5
6
7
8
9
10
รักซึ่งกันและกัน
นี่เป็นข้อความที่ท่านทั้งหลายได้ยินมาตั้งแต่แรกคือ เราควรรักซึ่งกันและกัน อย่าเป็นเหมือน คาอินผู้เป็นฝ่ายมารและฆ่าน้องชายของตน ทําไมเขาจึงฆ่าน้อง? ก็เพราะการกระทําของตนชั่วร้าย และการกระทําของน้องชอบธรรม พี่น้องทั้งหลาย อย่าแปลกใจถ้าโลกนี้เกลียดชังท่าน เรารู้ว่า เราผ่านพ้นความตายเข้าสู่ชีวิตเพราะเรารักพี่น้องของเรา ผู้ใดไม่รักผู้นั้นยังคงอยู่ในความตาย ผู้ ใดเกลียดชังพี่น้องของตนผู้นั้นเป็นฆาตกร ท่านทั้งหลายรู้ว่าไม่มีฆาตกรคนไหนมีชีวิตนิรันดร์ใน พระองค์ เช่นนี้เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร คือที่พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อเรา และเราควรสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สิ่งของ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแต่ ยังไม่สงสารเขา ความรักของพระเจ้าจะอยู่ในผู้นั้นได้อย่างไร? ลูกที่รัก อย่าให้เรารักกันด้วยคํา พูดและด้วยปากเท่านั้น แต่ให้เรารักกันด้วยการกระทําและด้วยความจริง ดังนี้แหละเราจึงรู้ว่า เราอยู่ฝ่ายความจริงและทําให้ใจเราสงบต่อหน้าพระเจ้า แม้ในยามที่ใจของเรากล่าวโทษตนเอง เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเราและพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง เพื่อนที่รัก ถ้าใจของเราไม่กล่าวโทษตัวเอง เราก็มั่นใจต่อหน้าพระเจ้า และได้รับทุกสิ่งที่เรา ทูลขอจากพระองค์ เพราะเราเชื่อฟังพระบัญชาและทําสิ่งที่พระองค์พอพระทัย พระบัญชาของ พระองค์คือ ให้เชื่อในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และรักซึ่งกันและกันตามที่ทรง บัญชาเราไว้ ผู้ใดเชื่อฟังพระบัญชา ผู้นั้นก็อยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงอยู่ในผู้นั้น เช่นนี้เราจึง รู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา คือเรารู้โดยพระวิญญาณที่พระองค์ได้ประทานแก่เรา 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
1 ยอหน 3:24 | 445
1 ยอห์น 4:7–8 ครอบครัวและเพื่อน ๆ ของน้อง ๆ ทําสิ่งใดบ้างที่เป็นการแสดงความรักต่อน้อง ๆ ? น้อง ๆ รูส้ กึ อย่างไรเมือ่ พวกเขาทําสิง่ นี?้ สีใดทีแ่ สดงถึงความรูส้ กึ ของน้อง ๆ (หน้า 11)? ยอห์นบอกพวกเราว่าพระเจ้าเป็นความรัก และพระเจ้าทรงรักเรามาก พระองค์จึงส่ง พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาเพื่อจ่ายราคาความบาปของเรา ทุกคนที่เชื่อใน พระบุตรของพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์ น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรบ้างกับสิ่งนี้? สีใดที่แสดงถึง ความรู้สึกของน้อง ๆ (หน้า 11)? ทดสอบวิญญาณต่างๆ
่อนที่รัก อย่าเชื่อหมดทุกวิญญาณ แต่จงทดสอบดูว่าวิญญาณนั้นๆ มาจากพระเจ้าหรือไม่ 4 เพืเพราะมี ผู้พยากรณ์เท็จมากมายเข้ามาในโลก นี่คือวิธีที่จะทําให้ท่านรู้ว่าเป็นพระวิญญาณของ 2
พระเจ้า คือทุกวิญญาณที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ก็มาจากพระเจ้า แต่ทุก วิญญาณที่ไม่ยอมรับพระเยซูก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่เป็นวิญญาณแห่งปฏิปักษ์ของพระคริสต์ ซึ่ง ท่านทั้งหลายได้ยินว่าจะมาและบัดนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว ลูกที่รัก ท่านมาจากพระเจ้าและได้ชนะคนพวกนั้น เพราะพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านยิ่งใหญ่กว่า ผู้นั้นซึ่งอยู่ในโลก คนพวกนั้นมาจากโลกจึงพูดตามมุมมองของโลกและโลกก็ฟังเขา ส่วนเรามา จากพระเจ้า ผู้ใดรู้จักพระเจ้าย่อมฟังเรา แต่ผู้ที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าย่อมไม่ฟังเรา เช่นนี้เราจึงรู้ว่า เป็นพระวิญญาณแห่งความจริงหรือวิญญาณแห่งความเท็จ 3
4
5
6
ความรักของพระเจ้ากับความรักของเรา
เพือ่ นทีร่ กั ทัง้ หลาย ให้เรารักซึง่ กันและกันเพราะความรักมาจากพระเจ้า ทุกคนทีร่ กั ก็ได้บงั เกิด จากพระเจ้าและรูจ้ กั พระเจ้า ผูท้ ไ่ี ม่รกั ก็ไม่รจู้ กั พระเจ้าเพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก นีค่ อื วิธี ทีพ่ ระเจ้าทรงสําแดงความรักของพระองค์ทา่ มกลางเราทัง้ หลาย คือพระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์ เดียวของพระองค์เข้ามาในโลกเพือ่ เราจะได้มชี วี ติ โดยทางพระบุตรนัน้ นีค่ อื ความรัก ไม่ใช่ทเ่ี รารัก พระเจ้า แต่ทพ่ี ระเจ้าทรงรักเราและทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครือ่ งบูชาลบบาปของเรา 7
8
9
10
1 ยอห์น 4:7–10 จ๊ะจ๋า รู้ว่าความรักเป็นสิ่งสําคัญ ยอห์นกล่าวว่าความรักนั้นมาจากพระเจ้า พระเจ้า เป็นความรัก ให้เลือก 2 คน มาเปลี่ยนกันอ่านข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ในขณะที่เพื่อนคน อื่น ๆ อ่านตามจากพระคัมภีร์ของตัวเอง (ถ้าน้องคนไหนไม่มีพระคัมภีร์ ให้แบ่งกัน อ่านกับเพื่อนคนอื่น ๆ) ครั้งแรกที่มีการอ่านมาถึงคําว่า “ความรัก” ให้ทุกคนตะโกน พร้อมกันว่า “ความรัก” พอครั้งที่สองที่มีคนอ่านมาถึงคําว่า “ความรัก” ทุกคนก็ต้อง ตะโกนพร้อมกันว่า “ความรัก” อีกแล้วยืนขึ้นพร้อมกัน 446 | 1 ยอหน 4:1
เพือ่ นทีร่ กั ในเมือ่ พระเจ้าทรงรักเราเช่นนัน้ เราก็ควรรักซึง่ กันและกัน ไม่มใี ครเคยเห็นพระเจ้า แต่ถา้ เรารักซึง่ กันและกัน พระเจ้าก็ทรงอยูใ่ นเราและความรักของพระองค์กเ็ ต็มบริบรู ณ์ในเรา เรารู้ว่าเราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงอยู่ในเรา เพราะพระองค์ได้ประทานพระวิญญาณ ของพระองค์แก่เรา เราได้เห็นและได้เป็นพยานว่าพระบิดาได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก ถ้าผู้ใดยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรง อยู่ในผู้นั้นและเขาก็อยู่ในพระเจ้า เช่นนี้เราจึงรู้และเชื่อมั่นในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ใดอยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าทรงอยู่ภายในเขา เช่น นี้ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ท่ามกลางเราทั้งหลายเพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะใน โลกนี้เราเป็นเหมือนพระองค์ ในความรักไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์ย่อมขจัดความกลัว ออกไป เพราะความกลัวเกี่ยวข้องกับการลงโทษ ผู้ที่กลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์ เรารักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน ถ้าผู้ใดพูดว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” แต่ยังเกลียดพี่ น้องของตน ผู้นั้นก็โกหก เพราะผู้ที่ไม่รักพี่น้องซึ่งตนมองเห็นย่อมไม่สามารถรักพระเจ้าซึ่งตนมอง ไม่เห็น และพระองค์ทรงบัญชาเราไว้ว่าผู้ที่รักพระเจ้าต้องรักพี่น้องของตนด้วย 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
ความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า
ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูคือพระคริสต์ก็บังเกิดจากพระเจ้า และทุกคนที่รักบิดาย่อมรักบุตรของ 5 เขาด้ วย เช่นนี้แหละเราจึงรู้ว่าเรารักคนทั้งหลายที่เป็นบุตรของพระเจ้า คือโดยการรักพระเจ้า 2
และทําตามพระบัญชาของพระองค์ การรักพระเจ้าคือการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า และ พระบัญชาของพระองค์ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าย่อมชนะโลก และ ความเชื่อของเรานี่แหละคือชัยชนะที่พิชิตโลก ใครเล่าชนะโลก? ก็มีแต่ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระ บุตรของพระเจ้าเท่านั้น พระเยซูคริสต์คือผู้ที่เสด็จมาโดยน้ําและพระโลหิต พระองค์ไม่ได้เสด็จมาโดยน้ําเพียงอย่าง เดียว แต่โดยน้ําและพระโลหิต และพระวิญญาณทรงเป็นพยานให้เพราะพระวิญญาณทรง เป็นความจริง เพราะมีสามสิ่งที่เป็นพยานคือ พระวิญญาณ น้ํา และพระโลหิต และทั้งสามนี้ สอดคล้องกัน ถ้าเรารับคําพยานของมนุษย์ คําพยานของพระเจ้าย่อมยิ่งใหญ่กว่าเพราะเป็นคํา พยานจากพระเจ้าเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้าก็มีคําพยาน นี้อยู่ในใจ ผู้ที่ไม่เชื่อก็หาว่าพระเจ้ามุสาเพราะไม่เชื่อคําพยานที่พระเจ้าให้เกี่ยวกับพระบุตรของ พระองค์ คําพยานนี้ก็คือพระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้อยู่ในพระบุตรของ พระองค์ ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระองค์ก็ไม่มีชีวิต 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
บทสรุป
ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้มาถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านจะรู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์ นี่คือความมั่นใจที่เรามีเมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า คือถ้าเราทูลขอสิ่ง ใดที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเรา และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟัง เรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่าจะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์ ถ้าผู้ใดเห็นพี่น้องของตนทําบาปอย่างหนึ่งอย่างใดที่ไม่นําไปสู่ความตาย ผู้นั้นควรอธิษฐานขอ และพระเจ้าจะประทานชีวิตแก่ผู้ที่ทําบาป ข้าพเจ้าหมายถึงคนที่ทําบาปซึ่งไม่นําไปสู่ความตาย บาปที่นําไปสู่ความตายก็มี ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวว่าให้อธิษฐานขอสําหรับคนที่ทําบาปเช่นนั้น การ อธรรมทั้งปวงล้วนเป็นบาป แต่บาปที่ไม่นําไปสู่ความตายก็มีอยู่ เรารู้ว่าผู้ที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทําบาปต่อไป แต่พระองค์ผู้บังเกิดจากพระเจ้าทรงคุ้มครองเขาไว้ ให้ปลอดภัยและมารร้ายไม่อาจทําอันตรายเขา เรารู้ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้าและทั่วทั้งโลกอยู่ ใต้การควบคุมของมารร้าย เรายังรู้ด้วยว่าพระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาและได้ประทานความ เข้าใจแก่เรา เพื่อเราจะรู้จักพระเจ้าที่แท้จริงและเราอยู่ในพระเจ้าที่แท้จริง คืออยู่ในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้และเป็นชีวิตนิรันดร์ ลูกที่รัก จงรักษาตนเองให้พ้นจากรูปเคารพเถิด 13
14
15
16
17
18
19
20
21
1 ยอหน 5:21 | 447
จดหมายของยอห์น ฉบับที่สอง น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● ยอห์นเป็น “ผู้อาวุโส” (ข้อ 1) ซึ่งเป็นชื่อของตําแหน่งที่ใช้เรียกผู้นําในคริสตจักรสมัย
นั้น ● ยอห์นเขียนจดหมายของท่านถึงคริสตจักร ท่านเรียกคริสตจักรว่า สุภาพสตรีที่ทรง เลือกไว้โดยพระเจ้า (2 ยอห์น 1:1) บุตรทั้งหลายของท่านเป็นผู้เชื่อในคริสตจักร ● ยอห์นเป็นชายผู้สูงอายุมากเมื่อท่านได้เขียนจดหมายฉบับนี้ เป็นช่วงเวลาประมาณปี คริสต์ศักราชที่ 95 หลังจากที่พระเยซูทรงประสูติ
ทําไมยอห์นจึงเขียนจดหมายฉบับนี้?
● ยอห์นต้องการหนุนใจสาวกของพระเยซูให้รักษาความเชื่ออย่างมั่นคง มีหลายคนใน
คริสตจักรกล่าวว่าพระเยซูคริสต์ทรงไม่ได้ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์จริง (ข้อ 7) ● แม้ว่าคริสเตียนควรต้อนรับผู้อื่นเข้าบ้าน พวกเขาไม่ควรต้อนรับคนล่อหลวงเหล่านั้น เข้าบ้าน (ข้อ 10) ● ยอห์นบอกผู้อ่านว่า ให้ดําเนินชีวิตด้วยการรักซึ่งกันและกัน นั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรง ต้องการให้เราทํา (ข้อ 6)
ดูตรงนี้สิ!
● รักซึ่งกันและกัน (ข้อ 5 และ 6) ● ให้ระวังผู้ล่อลวงและเป็นปฏิปักษ์ของพระเยซูคริสต์ (ข้อ 7)
448
2 ยอห์น
2 ยอห์น 1–6 ยอห์นรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับคริสตจักรที่ท่านเขียนจดหมายถึง? อ่านข้อ 1 และ 4 เพื่อ หาคําตอบ สีใดเหมาะสมกับข้อความในข้อ 4 ในแผ่นสีของอุ่นใจ? (หน้า 11) ทําไม ยอห์นจึงรู้สึกแบบนี้กับผู้เชื่อ? ยอห์นมีความชื่นชมยินดีที่เห็นว่าผู้เชื่อดําเนินชีวิตอยู่ในความจริง ท่านอธิบายว่าการ ดําเนินชีวิตอยู่ในความจริงนั้นหมายความว่าอย่างไร โดยการเชื่อฟังพระบัญญัติของ พระเจ้าคือ การรักซึ่งกันและกัน น้อง ๆ อยากดําเนินชีวิตแบบนั้นหรือไม่?
1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าผู้อาวุโส ถึงท่านสุภาพสตรีที่ทรงเลือกไว้กับบุตรทั้งหลายของท่าน ข้าพเจ้ารักพวกท่านทุกคนในความ จริง และไม่ใช่เพียงข้าพเจ้าเท่านั้นแต่คนทั้งปวงที่รู้จักความจริงด้วย ข้าพเจ้ารักพวกท่านเพราะ ความจริงซึ่งอยู่ในเราทั้งหลายและซึ่งจะคงอยู่กับเราตลอดไป ขอพระคุณ พระเมตตา และสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาและจากพระเยซูคริสต์ผู้เป็น พระบุตรของพระบิดาดํารงอยู่กับเราทั้งหลายในความจริงและในความรัก ข้าพเจ้าชื่นชมยินดียิ่งนักที่เห็นว่าบุตรของท่านบางคนดําเนินในความจริงเหมือนที่พระบิดา ได้ทรงบัญชาเรา และบัดนี้ท่านสุภาพสตรีที่รัก ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนถึงท่านเกี่ยวกับบัญญัติใหม่ แต่เป็นบัญญัติที่เรามีมาตั้งแต่แรกคือ ข้าพเจ้าขอให้เรารักซึ่งกันและกัน และความรักคือการ ที่เราดําเนินชีวิตตามบัญญัติของพระองค์ด้วยความเชื่อฟัง ตามที่ท่านได้ยินมาแล้วตั้งแต่ต้น บัญญัติของพระองค์นั้นคือให้ท่านดําเนินชีวิตในความรัก มีผู้ล่อลวงหลายคนเข้าไปในโลก คนเหล่านี้ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงมาบังเกิดเป็น มนุษย์ คนเช่นนี้เป็นผู้ล่อลวงและเป็นปฏิปักษ์ของพระคริสต์ จงระวังไว้เถิดเพื่อท่านจะไม่สูญ 2
3
4
5
6
7
8
2 ยอห์น 4–6 ให้น้อง ๆ นั่งเป็นวงกลม แล้วโยนลูกบอลไปให้เพื่อน ก่อนที่น้อง ๆ จะโยนลูกบอลไป ให้เพื่อนนั้น ให้พูดชื่ออะไรมาหนึ่งอย่างที่เพื่อนคนนั้นชอบ เมื่อทุกคนได้เวียนกันทํา จนครบแล้ว ให้น้อง ๆ โยนลูกบอลอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ให้น้อง ๆ เปลี่ยนเป็นการพูด ถึงบางสิ่งที่ดีเกี่ยวกับเพื่อนคนที่น้องโยนลูกบอลไปให้ ให้น้อง ๆ พูดเกี่ยวกับการรักผู้อื่น มีวิธีใดบ้างที่เราได้แสดงความรักถึงเพื่อน ๆ ของ เรา? น้อง ๆ สามารถทําสิ่งนี้ตลอดทั้งวันได้อย่างไร? 450 | 2 ยอหน 1:1
2 ยอห์น 7 หลายครั้งมีบางคนพยายามล่อลวงคริสเตียนให้เชื่อในสิ่งที่ไม่จริงเกี่ยวกับองค์พระเยซู ไบรท์ไม่ชอบให้คนพูดโกหก เคยมีใครสักคนโกหกน้อง ๆ ไหม? ให้น้อง ๆ เขียนว่ามันทําให้น้อง ๆ รู้สึกอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อน้อง ๆ พูดโกหกแล้วถูกจับได้? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าน้อง ๆ โกหกแล้ว ไม่มีใครจับได้? ให้เรานึกถึงการทําตามสัญญานี้ “ฉันจะพูดความจริงเสมอ” น้อง ๆ ต้องการเขียนสิ่งนี้ลงไป และลงมือทํามันหรือไม่? เสียสิ่งที่ท่านได้ทําไว้และเพื่อท่านจะได้รับรางวัล เต็มที่ ผู้ใดวิ่งล้ําหน้าไปและไม่ทําตามคําสั่งสอนของ พระคริสต์ต่อไปก็ไม่มีพระเจ้า ส่วนผู้ที่ทําตามคําสั่ง สอนต่อไปก็มีทั้งพระบิดาและพระบุตร ถ้าผู้ใดมา หาท่านโดยไม่นําคําสั่งสอนนี้มาด้วยก็อย่ารับเขาเข้า บ้านหรือต้อนรับเขา ผู้ที่ต้อนรับเขาก็ร่วมในกิจการ ชั่วของเขา ข้าพเจ้ามีหลายเรื่องจะเขียนถึงท่านแต่ไม่อยาก ใช้กระดาษและหมึก ข้าพเจ้าหวังจะมาพบปะพูด คุยกับท่านเองเพื่อความชื่นชมยินดีของเราจะเต็ม บริบูรณ์ พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรน้องสาวของท่านไว้ บุตร ทั้งหลายของนางฝากความคิดถึงมายังท่าน
2 ยอห์น 1:6
9
10
11
12
13
ยอห์นเขียนเกี่ยวกับความจริงหลาย ประการ คําว่า “ความจริง” ปรากฎ ถึงหกครั้งในสี่ข้อแรก ความจริงนั้น คือ พระเยซูทรงลงมาบังเกิดบนโลก ในร่างกายมนุษย์ สิ่งที่ขัดแย้งกับความจริงคือ คํา ล่อลวงจากปฏิปักษ์ของพระคริสต์ ปฏิปักษ์ของพระเยซูนั้นปฏิเสธที่จะ เชื่อว่าพระองค์ทรงลงมาบังเกิดเป็น มนุษย์บนโลก
2 ยอห์น 12 น้อง ๆ ชอบอะไรมากที่สุด การได้รับข้อความ หรือการเยี่ยมเยียน? อธิบายให้เพื่อนของน้อง ๆ ฟังว่า ทําไมน้อง ๆ ชอบสิ่งหนึ่งมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง น้อง ๆ มีเพื่อนที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานานแล้วหรือไม่? ให้พยายามไปเยี่ยมเยียนหรือ ส่งข้อความไปให้พวกเขา น้อง ๆ ต้องการพูดกับพวกเขาเกี่ยวกับอะไรบ้าง? 2 ยอหน 1:13 | 451
จดหมายของยอห์น ฉบับที่สาม น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● ยอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงเพื่อนของท่านผู้ชื่อ กายอัส (ข้อ 1) ● กายอัสเป็นที่นับถืออย่างมากโดยคริสเตียนคนอื่น ๆ ที่ในคริสตจักรของเขา ● ดิโอเตรเฟสเป็นสมาชิกคนหนึ่งของคริสตจักรเดียวกัน เขาต้องการจะเป็นผู้นําใน
คริสตจักร แต่เขาปฏิเสธไม่ยอมรับสิทธิอํานาจของยอห์น (ข้อ 9)
● ในเวลานั้น คริสเตียนเดินทางจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งเพื่อประกาศข่าว
ประเสริฐของพระเยซู พวกเขามักจะพักอยู่กับคริสเตียนคนอื่น ๆ ในขณะที่อยู่ใน เมืองนั้น ผู้เดินทางจะนําจดหมายจากคนที่รู้จักกับเจ้าของบ้านผู้เป็นคริสเตียนมาด้วย ซึ่งจดหมายเหล่านี้จะเป็นจดหมายแนะนําผู้มาเยี่ยม และมีข้อความยืนยันว่าพวกเขา สามารถไว้ใจได้
ทําไมยอห์นจึงเขียนจดหมายถึงกายอัส?
● ยอห์นต้องการยกย่องกายอัส เพราะว่าเขายินดีต้อนรับคริสเตียนคนอื่น ๆ ให้มาพักที่
บ้านของเขาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสเตียนที่เป็นนักเดินทาง (ข้อ5 และ 6) ● ท่านขอให้เขาทําสิ่งนี้ต่อไป (ข้อ 6–8) เพราะมันเป็นสิ่งที่คริสเตียนทุกคนควรทํา ● ท่านยังได้เขียนเกี่ยวกับดิโอเตรเฟส ผู้ไม่ยอมต้อนรับบุคคลอื่นเข้าในบ้านของตน ● และท่านก็ยังได้บอกกายอัสเกี่ยวกับคริสเตียนอีกคนหนึ่งที่ชื่อ เดเมตริอัส ซึ่งเป็นผู้ที่ ได้รับคําชมเชยจากประชาชน
ลองอ่านสิ่งนี้ดูสิ!
● ให้ช่วยเหลือผู้ที่ออกไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู (ข้อ 5–8) ● ให้ทําในสิ่งที่ดี เพื่อแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเราเป็นคนของพระเจ้า (ข้อ 11–12)
452
3 ยอห์น
3 ยอห์น 1:1–8 ค้นหาคําในบทความนี้ที่จะบอกน้อง ๆ ถึงความรู้สึกของยอห์น? อะไรที่ทําให้ท่านรู้สึก เช่นนั้น? น้อง ๆ จะรู้สึกอย่างไร หากมีใครสักคนเขียนจดหมายเกี่ยวกับเราแบบเดียวกับที่ ยอห์นได้เขียนเกี่ยวกับกายอัส? เลือกสีที่แสดงถึงความรู้สึกของน้อง ๆ (หน้า 11) อ่านบทความนี้ แต่ให้เปลี่ยนชื่อของกายอัสเป็นชื่อของน้อง ๆ แทน มันทําให้น้อง ๆ รู้สึกอย่างไร? เลือกสีที่แสดงถึงความรู้สึกของน้อง ๆ (หน้า 11)
1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าผู้อาวุโส ถึงกายอัสเพื่อนที่รักผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักในความจริง เพื่อนที่รัก ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ท่านมีสุขภาพดีและให้ทุกอย่างดําเนินไปด้วยดี เช่นเดียวกับ ที่จิตวิญญาณของท่านกําลังดําเนินไปด้วยดี ข้าพเจ้าชื่นชมยินดียิ่งนักเมื่อพี่น้องบางคนมาเล่า ถึงความสัตย์ซื่อต่อความจริงของท่าน และเล่าถึงการที่ท่านดําเนินในความจริงต่อไป ไม่มีอะไร ทําให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีมากไปกว่าการที่ได้ยินว่าลูกๆ ของข้าพเจ้ากําลังดําเนินในความจริง เพื่อนที่รัก ท่านสัตย์ซื่อในการปฏิบัติต่อพวกพี่น้อง แม้พวกเขาเป็นคนแปลกหน้าสําหรับท่าน คนเหล่านี้เล่าให้คริสตจักรฟังถึงความรักของท่าน เป็นการดีหากท่านจะช่วยเหลือให้พวกเขา เดินทางต่อไปอย่างสมพระเกียรติพระเจ้า พวกเขาออกไปเพื่อพระคริสต์ โดยไม่ได้รับความ อนุเคราะห์ใดๆ จากคนนอกศาสนาเลย ฉะนั้นเราควรต้อนรับและช่วยเหลือคนเช่นนี้เพื่อว่าเราจะ ได้ทํางานเพื่อความจริงร่วมกัน ข้าพเจ้าได้เขียนถึงคริสตจักร แต่ดิโอเตรเฟสผู้ชอบเป็นใหญ่เป็นโตไม่ยอมรับสิทธิอํานาจของ เรา ดังนั้นหากข้าพเจ้ามาข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เขาได้ทําคือ นินทาว่าร้ายเรา เท่านั้นยังไม่ พอเขายังไม่ต้อนรับพวกพี่น้อง ซ้ํายังห้ามคนที่อยากต้อนรับและไล่คนนั้นออกจากคริสตจักรด้วย 2
3
4
5
6
7
8
9
10
3 ยอห์น 5 กายอัสช่วยเหลือผู้อื่นถึงแม้ว่าเขาไม่รู้จัก ไบรท์สงสัยว่า น้อง ๆ ทําอะไรที่เป็นการช่วย เหลือคนที่ขัดสนในสิ่งที่จําเป็น ทางคริสตจักรอาจมีโครงการช่วยเหลือผู้อื่นที่น้อง ๆ สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ให้ ลองถามคุณพ่อคุณแม่หรือผู้นําคริสเตียนให้บอกเราเกี่ยวกับโครงการที่คริสตจักรได้จัด ทําขึ้น ลองดูว่าน้อง ๆ สามารถช่วยได้อย่างไร 454 | 3 ยอหน 1:1
3 ยอห์น 9 จ๊ะจ๋า สงสัยว่าน้อง ๆ รู้จักใครสักคนที่ต้องการเป็นที่หนึ่งเสมอหรือไม่ ดิโอเตรเฟสมี ลักษณะแบบเดียวกัน มีบางครั้งที่น้อง ๆ อยากจะบอกผู้อื่นว่าเขาต้องทําอะไรบ้างหรือไม่? บ่อยครั้งไหมที่ น้อง ๆ พูดมากจนผู้อื่นไม่มีโอกาสที่จะได้พูด? ให้น้อง ๆ พูดคุยกับใครสักคนที่น้อง ๆ ไว้ใจได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอให้เขาหรือเธอบอกเคล็ดลับในการที่จะเป็นคนฟังก่อนที่เรา จะพูด หรือการยอมให้ผู้อื่นเริ่มพูดก่อนบ้าง แล้วขอให้คน ๆ นั้นอธิษฐานเผื่อเรา เพื่อนที่รัก อย่าเลียนแบบสิ่งที่ชั่วแต่จงเลียนแบบ สิ่งที่ดี ผู้ที่ทําดีก็มาจากพระเจ้า ผู้ที่ทําชั่วก็ไม่เคยเห็น พระเจ้า ทุกๆ คนล้วนกล่าวชมเชยเดเมตริอัสและ กระทั่งความจริงก็บ่งบอกเช่นนั้น เราเองก็ชมเขา และท่านรู้ว่าคําพยานของเรานั้นจริง ข้าพเจ้ามีหลายเรื่องจะเขียนถึงท่านแต่ไม่อยาก ใช้ปากกาและหมึก ข้าพเจ้าหวังว่าจะมาพบท่าน เร็วๆ นี้เพื่อจะได้พบปะพูดคุยกัน ขอสันติสุขจงมีแก่ท่าน เพื่อนๆ ที่นี่ฝากความคิดถึง มายังท่าน ข้าพเจ้าขอฝากความคิดถึงมายังเพื่อนๆ แต่ละคนที่นั่นด้วย 11
12
13
14
3 ยอห์น
กายอัสและเดเมตริอัสได้เป็นแบบ อย่างแก่คริสตียนคนอื่น ๆ กายอัสมี ความสัตย์ซื่อในความจริง(เกี่ยวกับ องค์พระเยซู) และเขาช่วยเหลือผู้ อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ออกไป ประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู ทุกคนได้พูดถึงแต่สิ่งที่ดีเกี่ยวกับ เดเมตริอัส ดิโอเตรเฟสไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดี เขาต้องการที่จะเป็นผู้นําแต่เขาพูด โกหก เขาไม่ได้ต้อนรับคริสเตียนผู้ เดินทางให้เข้าไปพักในบ้านของเขา และเขาไม่อนุญาตให้คริสเตียนเหล่า นั้นเข้าไปพูดเกี่ยวกับเรื่องราวของ พระเยซูในคริสตจักร
3 ยอหน 1:14 | 455
จดหมายของยูดา น้อง ๆ ทราบหรือไหมว่า?
● ยูดา เป็นชื่อของชาวยิวที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และยังมีอีกหลายคนที่อยู่ใน
พันธสัญญาใหม่ที่มีชื่อว่ายูดา ● เราคิดว่ายูดา ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ เป็นหนึ่งในบรรดาพี่น้องของพระเยซู และท่าน ยังเป็นพี่ชายของยากอบ (ผู้เขียนจดหมายของยากอบ) อีกด้วย ● จดหมายฉบับนี้ทําให้เรานึกถึงจดหมายฉบับที่สองของเปโตร ยูดาและเปโตรได้เขียน ถึงหัวข้อเดียวกัน ● ดูตัวอย่างได้ในพระธรรมยูดา 4–13 และ 2 เปโตร 2:1–18 ● ยูดาเขียนถึงคริสเตียน แต่ท่านไม่ได้บอกเราว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
ทําไมยูดาถึงเขียนจดหมาย?
● ยูดาเตือนพวกเขาว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขาและพระองค์ต้องการให้พวกเขาปลอดภัย
เพราะพระองค์ทรงมีฤทธิ์อํานาจสูงสุด (ยูดา 1, 24) ● ยูดาขอให้ผู้ที่อ่านจดหมายของเขายืนหยัดในความเชื่อ (ยูดา 3) ● ยูดาต้องการที่จะเตือนคริสเตียนให้ต่อสู้กับคนอธรรมที่พูดโกหก (ยูดา 4)
ลองอ่านสิ่งนี้ดูสิ!
● ระวังคนที่อยู่ในคริสตจักรที่พูดโกหกเกี่ยวกับพระเยซู (ยูดา 8–16) ● ความรักของพระเจ้ายังคงอยู่ (ยูดา 17–23)
456
ยูดา
จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้ายูดาผู้เป็นผู้รับใช้ของ 1 พระเยซู คริสต์และเป็นน้องชายของยากอบ ถึงบรรดาผู้ที่ทรงเรียกซึ่งเป็นที่รักของพระเจ้าพระ บิดาและได้รับการปกป้องไว้โดยพระเยซูคริสต์ ขอพระเมตตา สันติสุข และความรักมีแก่ท่านทั้ง หลายอย่างล้นเหลือ 2
บาปและความพินาศของคนอธรรม
ยูดา
ยูดาเป็นน้องชายของพระเยซู (มาระโก 6:3) แต่เขาไม่ได้บอกเราใน จดหมายของเขา เขาบอกเพียงว่า เขารับใช้พระเยซู เขาไม่ได้คิดว่าเขา เป็นคนสําคัญเพราะว่าเขาเป็นน้อง ชายของพระเยซู เขาเป็นเหมือน คริสเตียนคนอื่น ๆ หน้าที่ของเขาคือ การรับใช้และติดตามพระเยซู
เพื่อนที่รักทั้งหลาย แม้ข้าพเจ้ากระตือรือร้นอย่าง ยิ่งที่จะเขียนถึงท่านเกี่ยวกับความรอดที่เรามีร่วมกัน ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าจําเป็นต้องเขียนมาให้กําลังใจท่านให้ ต่อสู้เพื่อความเชื่อซึ่งได้ทรงมอบหมายแก่ประชากรของพระเจ้าเพียงครั้งเดียวเป็นพอ เนื่องจาก มีบางคนได้แอบแฝงเข้ามาในหมู่พวกท่าน คําพิพากษาของคนพวกนี้ได้ถูกบันทึก ไว้นานแล้ว พวกเขาเป็นคนอธรรมไม่ยําเกรงพระเจ้า พลิกผันพระคุณของพระองค์มาเป็นใบเบิกทางให้ทํา ผิดศีลธรรม และปฏิเสธพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นองค์เจ้าชีวิตและเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ผู้เดียว ของเรา แม้ท่านทราบความทั้งสิ้นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ยังอยากเตือนให้ท่านระลึกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงปลดปล่อยประชากรของพระองค์ออกจากอียิปต์ แต่ต่อมาก็ทรงทําลายบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ และเหล่าทูตสวรรค์ที่ไม่พอใจในอํานาจหน้าที่ซึ่งพระเจ้าประทาน แต่ได้ละทิ้งถิ่นที่อยู่ของ ตนเอง พระองค์ได้ทรงกักขังทูตสวรรค์เหล่านี้ไว้ในที่มืด ล่ามด้วยโซ่อันเป็นนิรันดร์เพื่อรอการ พิพากษาในวันอันยิ่งใหญ่นั้น เช่นเดียวกัน เมืองโสโดม เมืองโกโมราห์ และเมืองต่างๆ โดยรอบ ได้ปล่อยตัวมัวเมาทําผิดศีลธรรมทางเพศและกามวิปริต พวกนี้เป็นตัวอย่างของบรรดาผู้ที่จะรับ โทษในไฟนิรันดร์ พวกเพ้อฝันเหล่านี้ก็เป็นแบบเดียวกันไม่มีผิด เขาปล่อยตัวแปดเปื้อน ปฏิเสธสิทธิอํานาจ กล่าวสบประมาทเทพเบื้องบน แม้แต่เทพบดีมีคาเอล เมื่อโต้แย้งกับมารเรื่องศพของโมเสสก็ยัง ไม่กล้าล่วงเกินกล่าวหามารเลย พูดเพียงว่า “ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดการกับเจ้า!” กระนั้น คนเหล่านี้ก็กล่าวจาบจ้วงล่วงเกินสิ่งที่ตนไม่เข้าใจและสิ่งที่เขาเข้าใจโดยสัญชาตญาณเยี่ยง เดรัจฉานที่ไม่รู้จักใช้เหตุผล สิ่งเหล่านี้เองที่ทําลายล้างพวกเขา 3
4
5
6
7
8
9
10
ยูดา ยูดาได้กล่าวถึงบางคนจากพันธสัญญาเดิม ให้นอ้ ง ๆ ทํารายชือ่ ของพวกเขา หากน้อง ๆ สามารถหาพระคัมภีร์ที่มีความสอดคล้องกันได้ ขอให้ผู้ใหญ่สอนวิธีการใช้มันให้ กับน้อง ๆ จากนั้นให้หาหนังสือและบทความในพระภีร์ที่คนเหล่านี้ถูกกล่าวถึง และ นี่คือคําใบ้ อดัม คาอิน และเอโนคอยู่ในพระธรรมปฐมกาล และบาลาอัมอยู่ในพระ ธรรมกันดารวิถี นอกจากนี้น้อง ๆ ยังได้อ่านเกี่ยวกับโคราห์ในพระธรรมกันดารวิถี น้อง ๆ จะเจอโมเสสในพระธรรมอพยพ และอัครทูตสวรรค์มีคาเอลอยู่ในพระธรรม แดเนียล 458 | ยูดา 1:1
ยูดา 3 เมื่อยูดาตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับนี้ ท่านได้วางแผนที่จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่อง หนึ่งอย่างเจาะจง แต่แล้วก็มีเรื่องอื่นที่สําคัญเกิดขึ้น ดังนั้นท่านจึงเขียนเกี่ยวกับเรื่อง นั้นแทน ไบรท์ สงสัยว่าน้อง ๆ มีอะไรบางอย่างที่สําคัญที่ต้องทําวันนี้หรือไม่? ให้เขียน ลงไปว่ามีอะไรบ้าง อะไรที่น้อง ๆ เลือกที่จะไม่ทําเพื่อน้อง ๆ จะได้ทําในสิ่งที่สําคัญ กว่าสิ่งนั้นแทน? มันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่? มันทําให้วันของน้อง ๆ ดีขึ้นหรือแย่ลง? ให้ เขียนคําตอบของเราลงไป วิบัติแก่พวกเขา! เขาได้ดําเนินตามแนวทางของคาอิน เขาได้ทุ่มตัวเข้าสู่ความผิดพลาดของ บาลาอัมเพราะเห็นแก่ได้ เขาจะถูกทําลายล้างไปเหมือนอย่างการกบฏของโคราห์ คนเหล่านี้เป็นรอยด่างพร้อยในงานเลี้ยงแห่งความรักของท่าน พวกเขาร่วมกินดื่มกับท่าน อย่างตะกละตะกลามโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย เป็นเหมือนคนเลี้ยงแกะที่เลี้ยงแต่ตัวเอง เขาเป็น เมฆไร้ฝนที่ลอยไปตามลม เป็นต้นไม้ที่ไม่ให้ผลตามฤดูกาลและถูกถอนรากถอนโคนตายซ้ําสอง เขาเป็นคลื่นคะนองในทะเลที่ซัดความน่าอับอายของตนเป็นฟองฟู่ เขาเป็นดาวที่เตลิดจากวง โคจร ความมืดมิดได้ถูกสงวนไว้ให้เขาตลอดกาล เอโนคซึ่งเป็นคนในชั่วอายุที่เจ็ดนับจากอาดัมได้พยากรณ์เกี่ยวกับคนเหล่านี้ไว้ว่า “ดูเถิด องค์ พระผู้เป็นเจ้ากําลังเสด็จมาพร้อมด้วยผู้บริสุทธิ์นับแสนนับล้านของพระองค์ เพื่อพิพากษาทุกคน และเพื่อให้คนอธรรมทั้งปวงสํานึกในการอธรรมทั้งสิ้นที่ได้ทําไปตามแนวทางอธรรม และสํานึกใน คําจาบจ้วงที่คนบาปคนอธรรมได้กล่าวร้ายพระองค์” คนเหล่านี้มักพร่ําบ่นและชอบจับผิด เขา ทําตามตัณหาชั่วของตน เขายกตนเองและประจบสอพลอคนอื่นเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว 11
12
13
14
15
16
เรียกร้องให้มานะอดทน
แต่เพื่อนที่รักทั้งหลาย จงระลึกถึงสิ่งที่เหล่าอัครทูตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราได้บอก ไว้ล่วงหน้า พวกเขากล่าวกับท่านว่า “ในยุคสุดท้ายจะมีคนชอบเยาะเย้ยซึ่งทําตามตัณหาชั่ว 17
18
ยูดา 17–21 พวกเรามีความแข็งแกร่งหากเราอยู่ด้วยกัน ยูดาบอกว่ามีคนที่ต้องการทําให้เรา อ่อนแอลง โดยการแยกเราออกจากคริสเตียนคนอื่น ๆ (ข้อ 19) ให้น้อง ๆ กับเพื่อน อีก 2 คน ออกไปที่ไหนสักแห่งที่เสียงดัง หรือเล่นดนตรีดัง แล้วผลัดกันร้องเพลงคน เดียว มันง่ายไหมที่จะจดจําเนื้อเพลงและร้องเพลงของเราต่อไปในสถานที่ที่เสียงดัง หรือมันทําให้น้อง ๆ ไม่มีสมาธิ? แล้วจากนั้นให้ร้องเพลงเดียวกันกับเพื่อน ๆ มันง่ายกว่าไหมในการร้องเพลงเมื่อเราได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนของเรา? ยูดา 1:18 | 459
ยูดา 22 จ๊ะจ๋า รู้ว่าบางครั้งมันเป็นเรื่องยากที่เราจะยืนหยัดในความเชื่อ เราเริ่มที่จะสงสัยว่า พระเจ้าทรงรักเราจริงหรือเปล่า ยูดาบอกว่าคริสเตียนควรแสดงความเมตตาต่อผู้ที่ต้องต่อสู้เพื่อความเชื่อและควรช่วย เหลือพวกเขา เมื่อเราต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อความเชื่อของเรา เราควรจะพูดกับใครบาง คนเกี่ยวกับมัน ให้บอกกับคน ๆ นั้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา และขอให้เขาอธิษฐานกับ เราและช่วยเหลือเรา ของตนเอง” คนเหล่านี้ทําให้พวกท่านแตกแยกกัน เขาทําตามสัญชาตญาณเท่านั้นและไม่มีพระ วิญญาณ ส่วนท่านเพื่อนที่รักทั้งหลาย จงเสริมสร้างกันขึ้นในความเชื่ออันบริสุทธิ์ที่ท่านมีอยู่ และจง อธิษฐานในพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงรักษาตัวไว้ในความรักของพระเจ้าขณะที่ท่านรอคอยพระ เมตตาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราให้นําท่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์ จงสําแดงความเมตตาแก่ผู้ที่สงสัย จงฉุดผู้อื่นออกมาจากไฟและช่วยพวกเขาให้รอด จง สําแดงความเมตตาแก่ผู้อื่น แต่จงกลัวที่จะเป็นมลทิน คือจงรังเกียจแม้แต่เสื้อผ้าที่แปดเปื้อนด้วย โลกีย์ 19
20
21
22
23
บทสดุดี
แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถคุ้มครองไม่ให้ท่านล้มลง และนําท่านเข้าสู่เบื้องพระพักตร์อันเปี่ยม ด้วยพระเกียรติสิริอย่างปราศจากตําหนิและด้วยความชื่นชมยินดีอย่างใหญ่หลวง คือแด่พระเจ้า องค์เดียวผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ขอพระเกียรติสิริ พระบารมี เดชานุภาพ และอํานาจ มีแด่พระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา แด่พระเจ้าผู้ทรงดํารงตลอดมาทุก ยุค ในอดีต ในปัจจุบัน และสืบๆ ไปเป็นนิตย์! อาเมน 24
25
ยูดา 24–25 ให้วางหมอนไว้บนพื้นโดยให้อยู่ข้างหลังเรา ให้ยืนอยู่ด้านหน้าหมอนด้วยเท้าทั้ง 2 ข้าง และมือแนบลําตัว นั่งลงเบา ๆ บนหมอนโดยไม่ต้องใช้มือหรือขยับเท้าของเรา มันไม่ ง่ายเลยใช่ไหม? ยืนหันหลังชนกันกับเพื่อน และเอาหมอนไว้ตรงกลาง จากนั้นให้นั่งลง บนหมอนโดยไม่ต้องใช้มือ หรือห้ามขยับเท้าของเรา มันง่ายขึ้นหรือไม่? ให้คุยกันว่า ทําไมครั้งที่สองถึงทําง่ายกว่าครั้งแรก ยูดาบอกว่าพระเจ้าทรงปกป้องเราไม่ให้ล้มลงใน ความบาปได้อย่างไร? พวกเราต้องทําอะไรบ้างเมื่อถูกล่อลวงให้ทําบาป? 460 | ยูดา 1:19
วิวรณ์ น้อง ๆ ทราบหรือไม่ว่า?
● ยอห์นเป็นผู้นําคนสําคัญในคริสตจักร ● จักรพรรดิโดมิเซียน (ในปีคริสต์ศักราชที่ 81–96) ได้ทรงเนรเทศยอห์นให้ไปอยู่ที่
เกาะปัทมอส พระองค์ทรงต้องการให้ยอห์นเลิกสอนพระวจนะของพระเจ้า และเลิก ประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู (วิวรณ์ 1:9) ● ยอห์นไม่สามารถสั่งสอนประชาชนถึงเรื่องราวของพระเยซูได้อีกต่อไป แต่ท่านได้ เขียนจดหมายถึงพวกเขาแทน หนังสือเล่มนี้เป็นข้อความที่ท่านได้รับจากพระเจ้า และมีคนอ่านมันเป็นเวลาเกือบ 2,000 ปีแล้ว ● ท่านได้ส่งจดหมายไปถึงคริสตจักรเจ็ดแห่งในเอเชียไมเนอร์ (ปัจจุบันคือประเทศตุรกี) ● คริสเตียนหลายคนถูกฆ่าตายโดยจักรพรรดิ เพราะพระองค์ทรงต้องการให้ทุกคน เรียกพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า”
ยอห์นได้เขียนเกี่ยวกับอะไรในหนังสือเล่มนี้?
● บรรดาคริสเตียนกําลังท้อใจ พวกเขามีชีวิตที่ยากลําบากเพราะพวกเขาเชื่อในพระ
เยซู และดูเหมือนว่าพวกมารซาตานและคนชั่วร้ายกําลังได้เปรียบ ● ยอห์นอยากให้กําลังใจพวกเขา ดังนั้นท่านจึงส่งต่อถ้อยคําพิเศษที่มาจากพระเจ้าให้ แก่พวกเขา ● ยอห์นอยากให้คริสเตียนจําไว้ว่าพระเจ้าทรงประทับอยู่บนบัลลังก์ พระองค์ทรง ปกครองและทรงดูแลลูก ๆ ของพระองค์ ● โลกนี้อยู่ในความดูแลของพระเจ้า รวมทั้งประวัติศาสตร์ของโลกด้วย ● พระเจ้าทรงมีชัยชนะ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และทรงปกครอง โลกจากสวรรค์เบื้องบน ● เมื่อเราเชื่อในพระเยซู ชัยชนะจะเป็นของเราอย่างแน่นอน! ● เหตุฉะนั้นเราจึงต้องยึดมั่นในความเชื่อของเรา
อ่านข้อพระคําเหล่านี้ในวิวรณ์
● พระเยซูทรงประทับอยู่บนบัลลังก์ (วิวรณ์ 1) ● จดหมายเจ็ดฉบับถึงคริสตจักรทั้งเจ็ด (วิวรณ์ 2 และ 3) ● ในแผ่นดินสวรรค์ (วิวรณ์ 4 และ 5) ● พระเยซูจะทรงเสด็จกลับมา พระองค์จะมาอย่างผู้มีชัย (วิวรณ์ 19) ● พระเจ้าทรงมีชัยชนะเหนือศัตรู (วิวรณ์ 20) ● ฟ้าใหม่และโลกใหม่ (วิวรณ์ 21 และ 22)
462
วิวรณ์
อารัมภบท
นี่คือการสําแดงของพระเยซูคริสต์ซึ่งพระเจ้า 1 ประทานแก่ พระองค์ เพื่อแสดงให้บรรดาผู้รับใช้
วิวรณ์
ปัทมอส เป็นเกาะในทะเลอีเจียน ตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือของเมือง เอเฟซัส มีความยาวเป็นระยะทาง 12 กิโลเมตร และความกว้าง 10 กิโลเมตร ในขณะที่ยอห์นอาศัยอยู่ ที่นั่น เกาะปัทมอสช่างเงียบเหงา และเต็มไปด้วยโขดหิน และในสถาน ที่ที่เงียบเหงานี้เอง ที่พระเจ้าทรง ปรากฏแก่ยอห์น และสําแดงให้เขา คําทักทายและบทสรรเสริญ รู้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้ายอห์น ปัทมอส เป็นสถานที่ที่ยอห์นได้รับ ถึงคริสตจักรทั้งเจ็ดในแคว้นเอเชีย ความทุกข์เป็นอย่างมาก อย่างไร ก็ตาม เมื่อพระเจ้าทรงปรากฏแก่ ขอพระคุณและสันติสุขมีแก่ท่านทั้งหลายจาก พระองค์ผู้ทรงดํารงอยู่ในปัจจุบันและดํารงอยู่ในอดีต ยอห์นในสถานที่ที่แสนจะเงียบเหงา และจะเสด็จมา และจากวิญญาณทั้งเจ็ด หน้าพระที่นั่ง นี้ ปัทมอสก็กลายเป็นสถานที่ที่ดี ของพระองค์ และจากพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพยาน ที่สุดเท่าที่จะเป็นได้สําหรับท่าน ที่สัตย์ซื่อ เป็นคนแรกที่เป็นขึ้นมาจากตาย และเป็นผู้ ปกครองเหนือกษัตริย์ทั้งหลายของโลก แด่พระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลายและได้ทรงให้เราพ้นจากบาปของเราโดยพระโลหิตของ พระองค์ และได้ทรงตั้งเราให้เป็นอาณาจักรและเป็นปุโรหิตเพื่อรับใช้พระเจ้าและพระบิดาของ พระองค์ ขอพระเกียรติสิริและฤทธิ์อํานาจมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์! อาเมน ดูเถิด พระองค์กําลังเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และทุกนัยน์ตาจะเห็นพระองค์ วิวรณ์ 1 แม้กระทั่งคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์ และประชาชาติทั้งมวลทั่วโลกจะเศร้าโศก นักแต่งเพลงผู้มีชื่อเสียงโด่งดังได้ แต่งเพลงอันไพเราะให้แก่คริสตจักร เนื่องด้วยพระองค์ แล้วจะเป็นไปเช่นนั้น! อาเมน กล่าวว่าบทเพลงมีเพียงจุดประสงค์ เดียวเท่านั้น คือ เพื่อสรรเสริญ พระเจ้าผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราเป็น อัลฟาและโอเมกา ผู้ดํารงอยู่ในปัจจุบันและดํารงอยู่ใน พระเจ้า ในวิวรณ์ได้บอกเราว่า จะ เกิดอะไรขึ้นระหว่างการเสด็จขึ้นสู่ อดีตและจะเสด็จมา เราคือองค์ทรงฤทธิ์” สวรรค์ของพระเยซู และการกลับ ผู้หนึ่งคล้ายบุตรมนุษย์ มาในครั้งที่สองของพระองค์ สิ่งที่ดี ข้าพเจ้ายอห์นผู้เป็นพี่น้องและเพื่อนของท่าน และไม่ดีจะเกิดขึ้น และบางครั้งก็ดู ผู้ร่วมในการทนทุกข์และร่วมในอาณาจักรและในการ เหมือนว่าสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นจะได้ อดทนอดกลั้นทั้งหมดซึ่งเกิดขึ้นกับเราในพระเยซู เปรียบ แต่ในวิวรณ์ ทําให้เรามั่นใจ ข้าพเจ้ามาอยู่ที่เกาะปัทมอสเพราะประกาศพระวจนะ ว่าพระเจ้าจะทรงได้รับชัยชนะทั้งสิ้น ของพระเจ้าและคําพยานเรื่องพระเยซู ในวันของ ในวันนั้น ทั่วทั้งจักรวาลจะสรรเสริญ องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ในพระวิญญาณและ พระเจ้าด้วยเสียงเพลงและการร้อง ได้ยินเสียงคล้ายเสียงแตรดังก้องขึ้นด้านหลังข้าพเจ้า เพลง กล่าวว่า “จงเขียนสิ่งที่เห็นลงในหนังสือม้วนและ
ของพระองค์เห็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า พระองค์ ทรงให้ทูตสวรรค์ของพระองค์ไปสําแดงแก่ยอห์นผู้รับ ใช้ของพระองค์ ยอห์นยืนยันทุกอย่างที่ท่านเห็น คือ พระวจนะของพระเจ้าและคําพยานเรื่องพระเยซูคริสต์ ความสุขมีแก่ผู้ที่อ่านคําพยากรณ์นี้และความสุขมีแก่ ผู้ที่ฟังแล้วจดจําใส่ใจในสิ่งที่เขียนไว้เพราะเวลานั้นใกล้ เข้ามาแล้ว 2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
464 | วิวรณ 1:1
วิวรณ์ 1:11 ต้นไม้ สงสัยว่าทําไมต้องเป็นคริสตจักรทั้งเจ็ดด้วย ยอห์นรับใช้พระเจ้าในเมืองเอเฟซัส และท่านรู้จักคริสตจักรอีกหกแห่งเป็นอย่างดี คริสตจักรทั้งหกตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเอเฟซัส และอยู่บนถนนสายหลักที่ไปเอเชียไมเนอร์ (ปัจจุบันคือประเทศตุรกี) จดหมายได้ถูกจัดเตรียมไว้ตามลําดับก่อนที่จะถูกส่งออกไป คริสตจักรทั้งเจ็ด ยังเป็นสัญลักษณ์ของคริสตจักรทุกยุคสมัย เลข 7 นั้นเป็นตัวเลขที่ดี ที่สุด และเป็นสัญลักษณ์ของความเสร็จสมบูรณ์ ส่งไปยังคริสตจักรทั้งเจ็ดคือ คริสตจักรที่เอเฟซัส สเมอร์นา เปอร์กามัม ธิยาทิรา ซาร์ดิส ฟีลาเดลเฟีย และเลาดีเซีย” ข้าพเจ้าเหลียวมาดูว่าใครพูดกับข้าพเจ้า และเมื่อหันมาข้าพเจ้าเห็นคันประทีปทองคําเจ็ด คัน ท่ามกลางคันประทีปเหล่านั้นมีผู้หนึ่ง “เหมือนบุตรมนุษย์” ทรงฉลองพระองค์ยาวกรอม พระบาทและมีแถบทองคําคาดรอบพระอุระ พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวเหมือน สําลี ขาวดุจหิมะ พระเนตรของพระองค์ดั่งเปลวไฟช่วงโชติ พระบาทของพระองค์ราวกับทอง สัมฤทธิ์สุกปลั่งในเบ้าหลอม พระสุรเสียงของพระองค์ดุจเสียงน้ําเชี่ยวกราก พระองค์ทรงถือดาว เจ็ดดวงไว้ในพระหัตถ์ขวา และมีดาบสองคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ พระพักตร์ของ พระองค์ประหนึ่งดวงตะวันฉายแสงเจิดจ้า เมื่อเห็นพระองค์ข้าพเจ้าก็ล้มลงแทบพระบาทเสมือนกับตายแล้ว จากนั้นพระองค์ทรงวาง พระหัตถ์ขวาบนข้าพเจ้าและตรัสว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย เราเป็นองค์ ผู้ดํารงชีวิตอยู่ เราตายแล้ว และดูเถิดเรายังมีชีวิตอยู่สืบๆ ไปเป็นนิตย์! และเราถือกุญแจแห่งความ ตายและแดนมรณา “ฉะนั้นจงเขียนสิ่งที่เจ้าได้เห็น สิ่งที่เป็นอยู่ขณะนี้ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า ความล้ํา ลึกของดาวเจ็ดดวงที่เจ้าเห็นอยู่ในมือขวาของเราและความล้ําลึกของคันประทีปทองคําทั้งเจ็ดมี ดังนี้ ดาวเจ็ดดวงคือทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรทั้งเจ็ด และคันประทีปเจ็ดคันคือคริสตจักรทั้งเจ็ด 12
13
14
15
16
17
18
19
20
ถึงคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัส
2 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสว่า
พระองค์ผู้ทรงถือดาวทั้งเจ็ดไว้ในพระหัตถ์ขวาและทรงดําเนินอยู่ท่ามกลางคันประทีป ทองคําทั้งเจ็ดนั้นตรัสว่า เรารู้ถึงการกระทําของเจ้า ความเหนื่อยยากตรากตรําของเจ้า และ ความอดทนของเจ้า เรารู้ว่าเจ้าไม่อาจทนต่อคนชั่ว เจ้าได้ทดสอบบรรดาผู้อ้างตัวเป็นอัครทูต แต่ไม่ได้เป็น เจ้าจับได้ว่าเขาโกหก เรารู้ว่าเจ้าได้อดทนบากบั่นและได้ทนความยากเข็ญเพื่อ นามของเรา และเจ้าไม่ได้ระย่อท้อแท้ แต่เรามีข้อติติงเจ้าคือ เจ้าได้ละทิ้งความรักดั้งเดิมของเจ้า จงระลึกว่าเจ้าได้ร่วงหล่นลงมา มากเพียงใด! จงกลับใจใหม่และทําสิ่งที่เจ้าเคยทําตั้งแต่แรก ถ้าเจ้าไม่กลับใจใหม่เราจะมาหา เจ้าและยกคันประทีปของเจ้าออกจากที่ แต่เจ้ายังมีข้อดีอยู่บ้างตรงที่เจ้าชิงชังข้อปฏิบัติของ พวกนิโคเลาส์นิยมซึ่งเราก็ชิงชังด้วย ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ใดมีชัยชนะเราจะให้เขามี สิทธิ์รับประทานผลจากต้นไม้แห่งชีวิตในอุทยานสวรรค์ของพระเจ้า 2
3
4
5
6
7
วิวรณ 2:7 | 465
ถึงคริสตจักรที่เมืองสเมอร์นา
“จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองสเมอร์นาว่า พระองค์ผู้ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย ผู้ได้สิ้นพระชนม์และกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกตรัสว่า เรารู้ถึงการทนทุกข์และความยากไร้ของเจ้า กระนั้นเจ้าก็มั่งมี! เรารู้ถึงคําให้ร้ายของบรรดา ผู้ที่อ้างว่าตนเป็นยิวและไม่ได้เป็น แต่เป็นธรรมศาลาของซาตาน อย่ากลัวการทนทุกข์ที่เจ้า กําลังจะเผชิญ เราบอกเจ้าว่ามารจะขังพวกเจ้าบางคนไว้ในคุกเพื่อทดสอบเจ้า และเจ้าจะทน ทุกข์เพราะการข่มเหงถึงสิบวัน จงสัตย์ซื่อแม้ต้องตายและเราจะมอบมงกุฎแห่งชีวิตให้แก่เจ้า ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ใดมีชัยชนะจะไม่ถูกทําร้าย โดยความตายครั้งที่สองเลย
8
9
10
11
ถึงคริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัม
“จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมือง เปอร์กามัมว่า พระองค์ผู้ทรงถือดาบสองคมตรัสว่า เรารู้ว่าเจ้า อาศัยอยู่ที่ไหน ที่นั่นเป็นที่ซึ่งซาตานครองบัลลังก์ กระนั้นเจ้าก็ยังคงภักดีต่อนามของเรา เจ้าไม่ได้ ละทิ้งความเชื่อที่เจ้ามีในเราแม้ในช่วงที่อันทีพาสผู้ เป็นพยานให้เราอย่างสัตย์ซื่อถูกฆ่าตายในเมืองของ เจ้า คือที่ซึ่งซาตานอยู่ กระนั้นเรามีบางข้อที่จะติติงเจ้าคือ พวกเจ้าบาง คนยึดถือคําสอนของบาลาอัมซึ่งเสี้ยมสอนบาลาค ให้มาล่ออิสราเอลให้ทําบาปด้วยการกินอาหารที่ ได้เซ่นไหว้แก่รูปเคารพและการทําผิดศีลธรรมทาง เพศ เช่นเดียวกันนั้นก็มีบางคนที่ยึดถือคําสอนของ พวกนิโคเลาส์นิยม เพราะฉะนั้นจงกลับใจใหม่! มิฉะนั้นอีกไม่นานเราจะมาหาเจ้าและสู้กับคนเหล่า นั้นด้วยดาบแห่งปากของเรา ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่ คริสตจักรทั้งหลาย ผู้ใดมีชัยชนะเราจะให้มานาที่ ซ่อนอยู่ และให้หินขาวอันมีนามใหม่จารึกไว้ซึ่งผู้ที่ รับเท่านั้นจึงจะรู้
วิวรณ์ 2 – 3
12
สาสน์ 7 ฉบับที่ถูกส่งไปยังคริสตจักร ทั้งเจ็ดนั้นได้ถูกส่งไปยังคริสตจักรทุก แห่งด้วย ไม่ได้ถูกส่งไปยัง คริสตจักรที่ถูกเขียนจ่าหน้าซอง จดหมายถึงเท่านั้น แต่คริสตจักรทุก แห่งก็สามารถอ่านจดหมายทัง้ หมดได้ นี่แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าสาสน์ จะถูกส่งไปถึงแต่ละคริสตจักรอย่าง เฉพาะเจาะจง แต่สาสน์เหล่านั้น ได้ถูกเขียนขึ้นมาสําหรับคริสตจักร ทั้งหมดด้วย ในช่วงเวลาหนึ่งหรือ เวลาอื่น คริสตจักรทุกแห่งบนโลกก็ จะเป็นเหมือน 1 ใน 7 คริสตจักรที่ ยอห์นได้เขียนถึง พระเจ้าต้องการ ให้คริสตจักรของพระองค์ยืนหยัดใน ความเชื่อ และมั่นคง อยู่ในพระองค์
13
14
15
16
17
ถึงคริสตจักรที่เมืองธิยาทิรา 18
“จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองธิยาทิราว่า พระบุตรของพระเจ้าผู้ซึ่งมีพระเนตรดั่งเปลวไฟโชติช่วงและพระบาทดั่งทองสัมฤทธิ์สุกปลั่ง ตรัสว่า เรารู้ถึงการกระทําของเจ้า ความรักและความเชื่อของเจ้า การรับใช้และความอดทน บากบั่นของเจ้า และเรารู้ว่าปัจจุบันเจ้ากําลังทําสิ่งเหล่านี้มากยิ่งกว่าตอนแรก กระนั้นเรามีข้อที่จะติติงเจ้าคือ เจ้าทนฟังเยเซเบลผู้หญิงที่เรียกตนเองว่าผู้เผยพระวจนะ คําสอนของนางทําให้ผู้รับใช้ของเราหลงไปประพฤติผิดทางเพศและกินของที่เซ่นไหว้แก่รูป เคารพ เราให้โอกาสหญิงนั้นกลับใจจากความสําส่อนของนาง แต่นางก็ไม่ยอม ดังนั้นเรา จะโยนนางลงบนเตียงแห่งความทุกข์ทรมาน และให้บรรดาผู้ล่วงประเวณีกับหญิงนั้นทนทุกข์ แสนสาหัส เว้นแต่พวกเขาจะกลับใจจากวิถีของนาง เราจะประหารลูกๆ ของหญิงนั้น แล้ว คริสตจักรทั้งปวงจะได้รู้ว่าเราคือผู้พิเคราะห์ความคิดจิตใจ และเราจะตอบแทนเจ้าแต่ละคน 19
20
21
22
23
466 | วิวรณ 2:8
วิวรณ์ 2:25 เป็นข้อความถึงคริสตจักรในธิยาทิรา บอกว่าพวกเขาจะต้องยึดมั่นในสิ่งที่พวกเขามี มันทําให้ ไบรท์ คิดถึงทุกสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่พระเจ้าทรงได้ประทานให้กับลูก ๆ ของ พระองค์ น้องๆ สามารถยกตัวอย่างสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่น้อง ๆ ซักอย่างสองอย่างได้ ไหม? ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่เราอย่างมากมาย และจําไว้ว่าจะ ต้องยืดมั่นในสิ่งเหล่านี้ และไม่ลืมสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทําให้แก่เรา ตามการกระทําของเจ้า บัดนี้เรากล่าวกับพวกเจ้าที่เหลืออยู่ในธิยาทิรากับพวกเจ้าที่ไม่ยึดถือ คําสอนของนาง และไม่ได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกกันว่าความลี้ลับของซาตานนั้น (เราจะไม่มอบภาระ อื่นแก่เจ้า) เพียงแต่จงยึดมั่นในสิ่งที่เจ้ามีอยู่จนกว่าเราจะมา ผู้ใดมีชัยชนะและทําสิ่งที่เราประสงค์จนถึงที่สุด เราจะให้ผู้นั้นมีสิทธิอํานาจเหนือ ประชาชาติต่างๆ ‘เขาจะปกครองคนเหล่านั้นด้วยคทาเหล็ก จะฟาดพวกเขาให้แหลกเป็นชิ้นๆ เหมือนหม้อดิน’ เช่นเดียวกับที่เราได้รับสิทธิอํานาจจากพระบิดาของเรา เราจะมอบดาวแห่งรุ่งอรุณให้แก่ เขาด้วย ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย 24
25
26
27
28
29
ถึงคริสตจักรที่เมืองซาร์ดิส
3 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองซาร์ดิสว่า พระองค์ผทู้ รงครองวิญญาณทัง้ เจ็ดของพระเจ้าและดาวทัง้ เจ็ดนัน้ ตรัสว่า เรารูถ้ งึ การกระทํา ของเจ้า เจ้าได้รับการยกย่องว่ามีชีวิตอยู่แต่เจ้าตายแล้ว จงตื่นขึ้น! เสริมกําลังส่วนที่เหลือ อยู่และจวนจะตายนั้น เพราะเราพบว่าการกระทําของเจ้าไม่สมบูรณ์พร้อมในสายพระเนตร พระเจ้าของเรา เพราะฉะนั้นจงระลึกถึงสิ่งที่เจ้าได้รับไว้และได้ฟังมา จงทําตามสิ่งนั้นและ กลับใจใหม่ แต่ถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้นเราจะมาอย่างขโมย และเจ้าไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าเวลาใด แต่ก็มีพวกเจ้าสองสามคนในซาร์ดิสที่ไม่ได้ทําให้เสื้อผ้าของตนแปดเปื้อน พวกเขาจะสวม ชุดสีขาวเดินไปกับเราเพราะพวกเขาสมควรแล้วที่จะได้ทําเช่นนั้น ผู้ใดมีชัยชนะจะได้สวม ชุดสีขาวเช่นเดียวกับพวกเขา เราจะไม่ลบชื่อผู้นั้นจากหนังสือแห่งชีวิตเลย แต่จะรับรองชื่อผู้ นั้นต่อหน้าพระบิดาของเราและต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระ วิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย 2
3
4
5
6
ถึงคริสตจักรที่เมืองฟีลาเดลเฟีย
“จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองฟีลาเดลเฟียว่า พระองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์และสัตย์จริง ผู้ทรงถือกุญแจของดาวิด สิ่งที่พระองค์ทรงเปิดแล้วไม่มี ใครปิดได้และสิ่งที่พระองค์ทรงปิดแล้วไม่มีใครเปิดได้ พระองค์ตรัสว่า เรารู้ถึงการกระทํา ของเจ้า ดูเถิดเราได้เปิดประตูไว้ต่อหน้าเจ้าซึ่งไม่มีใครปิดได้ เรารู้ว่าเจ้ามีกําลังน้อย กระนั้น เจ้าก็ได้ประพฤติตามคําของเราและไม่ได้ปฏิเสธนามของเรา เราจะทําให้บรรดาผูเ้ ป็นธรรมศาลา ของซาตาน ผู้อ้างตัวเป็นยิวทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็น แต่เป็นคนโกหก เราจะทําให้พวกเขามาล้ม
7
8
9
วิวรณ 3:9 | 467
ลงแทบเท้าของเจ้าและรับรู้ว่าเรารักพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าได้อดทนอย่างยิ่งตามที่เราได้สั่ง ไว้ เราก็จะปกป้องเจ้าให้พ้นจากวาระแห่งการทดลองที่กําลังมาเหนือโลกทั้งโลกเพื่อทดสอบ บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในโลก เราจะมาในไม่ช้า จงยึดมั่นในสิ่งที่เจ้ามีอยู่เพื่อว่าจะไม่มีใครชิงมงกุฎของเจ้าไปได้ ผู้ใดมี ชัยชนะเราจะตั้งผู้นั้นให้เป็นเสาหนึ่งในพระวิหารของพระเจ้าของเรา ผู้นั้นจะไม่จากพระวิหาร ไปอีกเลย บนตัวผู้นั้นเราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเราและชื่อนครของพระเจ้าของเราคือ เยรูซาเล็มใหม่ซึ่งพระเจ้าของเรากําลังทรงส่งลงมาจากสวรรค์ และเราจะจารึกชื่อใหม่ของเรา ไว้บนตัวผู้นั้นด้วย ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย 10
11
12
13
ถึงคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซีย
“จงเขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซียว่า พระองค์ผทู้ รงเป็นพระอาเมน เป็นพยานทีส่ ตั ย์ซอ่ื และเทีย่ งแท้ เป็นผูป้ กครองเหนือสรรพสิง่ ทีพ่ ระเจ้าทรงสร้างตรัสว่า เรารูถ้ งึ การกระทําของเจ้า เจ้าไม่รอ้ นไม่เย็น เราอยากให้เจ้าร้อน หรือเย็นไปอย่างใดอย่างหนึง่ ! เพราะเจ้าอุน่ ๆ ไม่รอ้ นไม่เย็น ดังนัน้ เรากําลังจะถ่มเจ้าออก จากปาก เจ้ากล่าวว่า ‘ข้าร่าํ รวย ได้ทรัพย์สมบัตมิ ากมาย และไม่ขดั สนสิง่ ใดเลย’ แต่เจ้าไม่รู้ ว่าตนเองเป็นคนน่าสังเวชน่าสงสาร ยากไร้ ตาบอด และเปลือยกายอยู่ เราแนะนําเจ้าให้ซอ้ื ทองคําทีห่ ลอมให้บริสทุ ธิแ์ ล้วด้วยไฟจากเราเพือ่ เจ้าจะได้มง่ั คัง่ ซือ้ เสือ้ ผ้าสีขาวมาสวมใส่เพือ่ ปกปิดความเปลือยเปล่าอันน่าละอาย และซือ้ ยามาทาตาของเจ้าเพือ่ เจ้าจะได้มองเห็น เราว่ากล่าวและตีสอนผู้ที่เรารัก ดังนั้นจงกระตือรือร้นและกลับใจใหม่ เราอยู่ที่นี่แล้ว! เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปรับประทาน อาหารกับผู้นั้นและเขาจะรับประทานร่วมกับเรา ผู้ใดมีชัยชนะเราจะให้เขามีสิทธิ์นั่งกับเราบนบัลลังก์ของเรา เหมือนที่เราได้มีชัยชนะและ ได้นั่งกับพระบิดาของเราบนบัลลังก์ของพระองค์ ใครมีหูก็จงฟังสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่ คริสตจักรทั้งหลาย”
14
15
16
17
18
19
20
21
22
พระที่นั่งในสวรรค์
งจากนั้นข้าพเจ้ามองไปเห็นประตูหนึ่งเปิดไว้ในสวรรค์ต่อหน้าข้าพเจ้า และพระสุรเสียง 4 หลั คล้ายเสียงแตรซึ่งข้าพเจ้าได้ยินเมื่อตอนต้นนั้นตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “ขึ้นมาที่นี่เถิด เราจะสําแดง
สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นหลังจากนี้แก่เจ้า” ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็อยู่ในพระวิญญาณและตรงหน้าข้าพเจ้า มีพระที่นั่งตั้งอยู่ในสวรรค์ มีผู้หนึ่งประทับบนพระที่นั่งนั้น ผู้ประทับอยู่นั้นทรงโอ่อ่าตระการตา ดั่งเพชรนิลจินดา สายรุ้งดุจมรกตล้อมรอบพระที่นั่ง รายรอบพระที่นั่งนั้นมีอีกยี่สิบสี่ที่นั่งซึ่งมีผู้ อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่ ทุกคนนุ่งห่มขาว สวมมงกุฎทองคําบนศีรษะ มีฟ้าแลบแวบวาบ เสียงฟ้า คํารนครืนๆ จากพระที่นั่งนั้น ตรงหน้าพระที่นั่งมีคบเพลิงเจ็ดอันลุกโชติช่วงอยู่คือวิญญาณทั้งเจ็ด ของพระเจ้า และหน้าพระที่นั่งมีสิ่งซึ่งคล้ายทะเลแก้วใสเหมือนแก้วผลึก บริเวณตรงกลางรอบพระที่นั่งมีสิ่งมีชีวิตสี่ตนซึ่งมีดวงตาเต็มไปหมดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตนแรกคล้ายสิงโต ตนที่สองคล้ายวัว ตนที่สามมีใบหน้าคล้ายคน ตนที่สี่คล้ายนกอินทรีที่กําลัง บิน สิ่งมีชีวิตทั้งสี่นี้ แต่ละตนมีหกปีกและมีดวงตาทั่วไปหมดแม้แต่ใต้ปีก ต่างร้องขานทั้งวันทั้งคืน ไม่หยุดว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ คือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ผู้ทรงดํารงอยู่ในอดีตและดํารงอยู่ในปัจจุบัน และจะเสด็จมา” 2
3
4
5
6
7
8
468 | วิวรณ 3:10
ทุกครั้งที่สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ถวายพระสิริ พระเกียรติ และคําขอบพระคุณแด่พระองค์ผู้ประทับบน พระที่นั่ง ผู้ทรงดํารงอยู่ตลอดกาล ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็หมอบกราบพระองค์ผู้ประทับบน พระที่นั่งนั้น นมัสการพระองค์ผู้ทรงดํารงอยู่ตลอดกาล พวกเขาวางมงกุฎของตนลงหน้าพระที่นั่ง นั้นและทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของเรา พระองค์ทรงสมควรที่จะรับพระสิริ พระเกียรติและเดชานุภาพ เพราะพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่ง และโดยพระดําริของพระองค์ สิ่งเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้น และเป็นอยู่” 9
10
11
หนังสือม้วนและพระเมษโปดก
วข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนในพระหัตถ์ขวาของ 5 แล้ พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง หนังสือนี้เขียนไว้
ทั้งสองด้านและปิดผนึกด้วยตราประทับเจ็ดดวง และ ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ทรงฤทธิ์องค์หนึ่งประกาศเสียง ดังว่า “ผู้ใดสมควรที่จะแกะตราและเปิดหนังสือม้วน นี้?” แต่ไม่มีใครในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก หรือใต้แผ่น ดินโลกสามารถเปิดหนังสือม้วนออกหรือแม้แต่มองดู ข้างในได้ ข้าพเจ้าได้แต่ร้องไห้เพราะไม่มีใครสมควร ที่จะเปิดหนังสือม้วนออกหรือดูข้างในได้ แล้วหนึ่ง ในเหล่าผู้อาวุโสนั้นกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าร้องไห้! ดูเถิด สิงห์แห่งเผ่ายูดาห์ ทายาทของดาวิดทรงชนะ แล้ว พระองค์ทรงสามารถเปิดหนังสือม้วนและตราทั้ง เจ็ดได้” จากนั้นข้าพเจ้าเห็นพระเมษโปดกดูประหนึ่งว่าได้ ถูกฆ่าแล้ว พระองค์ประทับยืนอยู่ตรงกลางพระที่นั่ง รายล้อมด้วยสิ่งมีชีวิตทั้งสี่และเหล่าผู้อาวุโส พระองค์ ทรงมีเขาเจ็ดเขาและมีตาเจ็ดดวงซึ่งเป็นวิญญาณทั้ง เจ็ดของพระเจ้าที่ทรงส่งออกไปทั่วโลก พระเมษโปดก เสด็จเข้ามารับหนังสือม้วนจากพระหัตถ์ขวาของ พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง เมื่อทรงรับแล้ว สิ่งมี ชีวิตทั้งสี่กับเหล่าผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็หมอบกราบ ลงเบื้องหน้าพระเมษโปดก ต่างถือพิณกับขันทองคํา ที่เต็มด้วยเครื่องหอมซึ่งเป็นคําอธิษฐานของประชากร ของพระเจ้า และขับร้องเพลงบทใหม่ว่า “พระองค์ทรงสมควรที่จะรับหนังสือม้วน และเปิดผนึกตราของหนังสือนั้นออก เพราะพระองค์ทรงถูกประหารแล้ว และด้วยพระโลหิตของพระองค์ได้ทรงซื้อ มนุษย์ทั้งหลายถวายแด่พระเจ้า จากทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกหมู่ชน และทุกชาติ
วิวรณ์ 4 – 5
2
3
4
5
6
7
8
ต่อไปนี้คือความหมายของสัญลักษณ์ บางอย่างที่อยู่ในบทเหล่านี้: นิล เป็นสัญลักษณ์ของความ ศักดิ์สิทธิ์ และความบริสุทธิ์ ทับทิม เป็นสัญลักษณ์ของความ ยุติธรรม และมรกต เป็นสัญลักษณ์ ของความสง่างามและความดี ยอห์น พยายามจะอธิบายว่าพระเจ้าทรงใช้ สัญลักษณ์เหล่านี้ (วิวรณ์ 4:2–4) เราคิดว่าผู้อาวุโสทั้ง 24 คน (วิวรณ์ 4:4) เป็นสัญลักษณ์ของคริสตจักร หนังสือม้วนทั้งเจ็ด (วิวรณ์ 5:1) บาง ครั้งถูกเรียกว่าพระวิญญาณทั้งเจ็ด ของพระเจ้า มันเป็นสัญลักษณ์ของ พระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งมีชีวิตที่ทั้งสี่ (วิวรณ์ 5:6) เป็น สัญลักษณ์ของการทรงสร้างของ พระเจ้า
9
วิวรณ 5:9 | 469
วิวรณ์ 5:13 ในข้อนี้เราจะได้อ่านเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมด ทําการสรรเสริญพระเยซู เจ้า น้อง ๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงสร้าง ให้เราอ่านข้อ 13 ด้วยกัน จากนั้นให้แต่งทํานองเพลงขึ้นมาสําหรับประโยคที่ว่า “ขอถวายคําสรรเสริญพระเกียรติพระสิริ และเดชานุภาพ แด่พระองค์ผู้ประทับบน พระที่นั่ง และแด่พระเมษโปดก สืบ ๆ ไปเป็นนิตย์!” แล้วร้องไปพร้อมกันกับเพื่อน ๆ ทรงโปรดให้เขาทั้งหลายเป็นอาณาจักรและเป็นปุโรหิตรับใช้พระเจ้าของเรา และพวกเขาจะครอบครองโลก” แล้วข้าพเจ้ามองดูและได้ยินเสียงทูตสวรรค์นับแสนนับล้านมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งรายล้อม พระที่นั่งกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่และเหล่าผู้อาวุโส ทูตสวรรค์เหล่านั้นขับร้องเสียงดังว่า “พระเมษโปดกผู้ถูกประหาร ทรงสมควรได้รับเดชานุภาพ ราชสมบัติ ปัญญา พลัง พระเกียรติ พระสิริ และคําสรรเสริญ!” จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดินโลก และในมหาสมุทร ตลอดจนสรรพสิ่งในนั้นขับร้องว่า “ขอถวายคําสรรเสริญ พระเกียรติ พระสิริ และเดชานุภาพ แด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งและแด่พระเมษโปดก สืบๆ ไปเป็นนิตย์!” สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ร้องว่า “อาเมน” และเหล่าผู้อาวุโสหมอบกราบนมัสการ 10
11
12
13
14
ตราทั้งเจ็ด
ามองดูขณะพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงที่หนึ่งของตราทั้งเจ็ดออก แล้วข้าพเจ้าได้ยิน 6 ข้หนึาพเจ้ ่งในสิ่งมีชีวิตทั้งสี่กล่าวขึ้นด้วยเสียงเหมือนฟ้าร้องว่า “มาเถิด!” ข้าพเจ้ามองไปเห็นม้าขาว 2
ตัวหนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า! ผู้ขี่ม้านี้ถือธนู เขาได้รับมงกุฎแล้วควบม้าไปอย่างผู้พิชิตที่ตั้งใจออกไป พิชิตศึก เมื่อพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงที่สอง ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตตนที่สองกล่าวขึ้นว่า “มา เถิด!” แล้วม้าอีกตัวหนึ่งก็ออกมาเป็นสีแดงเพลิง ผู้ขี่ม้านี้ได้รับอํานาจที่จะนําสันติภาพไปจากโลก และทําให้มนุษย์เข่นฆ่ากัน ผู้นี้ได้รับดาบเล่มใหญ่ เมื่อพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงที่สาม ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตตนที่สามกล่าวขึ้นว่า “มา เถิด!” ข้าพเจ้ามองไปก็เห็นม้าดําตัวหนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า! ผู้ขี่ม้านี้ถือตราชูอยู่ในมือ แล้ว ข้าพเจ้าได้ยินเสียงซึ่งดูเหมือนดังขึ้นจากท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ว่า “ข้าวสาลีลิตรละหนึ่งเดนาริอัน ข้าวบาร์เลย์สามลิตรหนึ่งเดนาริอัน แต่อย่าทําให้น้ํามันและเหล้าองุ่นเสียหาย!” เมื่อพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงที่สี่ ข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตตนที่สี่กล่าวว่า “มาเถิด!” ข้าพเจ้ามองไปเห็นม้าสีเขียวหม่นตัวหนึ่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า! ผู้ขี่ม้านี้ชื่อว่าความตาย และแดน 3
4
5
6
7
8
470 | วิวรณ 5:10
มรณาตามหลังผู้นี้มาติดๆ ทั้งสองได้รับอํานาจที่จะเข่น วิวรณ์ 6:1–17; 8:1 ฆ่าหนึ่งในสี่ของโลกด้วยดาบ การกันดารอาหาร และ โรคระบาด และด้วยสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน พระเยซูทรงแกะตราทั้งเจ็ดดวง เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่ห้า ข้าพเจ้าเห็น พระองค์ทรงสําแดงให้ยอห์นเห็นถึง ภายใต้แท่นบูชามีดวงวิญญาณของบรรดาผู้ถูกฆ่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นบนโลก และจะไม่มี เพราะพระวจนะของพระเจ้าและคําพยานที่เขายึดถือ อะไรเกิดขึ้นได้ เว้นแต่ว่าพระเจ้า พวกเขาร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์ จะทรงอนุญาตให้มันเกิด ม้าสีขาว เจ้าชีวิต ผู้ทรงบริสุทธิ์และทรงสัตย์จริง อีกนานเท่าใด เป็นสัญลักษณ์ของสงคราม ม้าสีแดง กว่าพระองค์จะทรงพิพากษาชาวโลกและแก้แค้นให้ เพลิงเป็นสัญลักษณ์ของการนอง พวกเราผู้หลั่งเลือดพลีชีวิต?” จากนั้นแต่ละคนได้ เลือด ม้าสีดําเป็นสัญลักษณ์ของ รับชุดสีขาวและพระองค์ตรัสบอกให้พวกเขารอต่อไป ความอดอยาก และม้าสีเขียวหม่น อีกหน่อยจนกว่าเพื่อนผู้รับใช้และพี่น้องซึ่งถูกฆ่าแบบ เป็นสัญลักษณ์ของความตาย ม้าทั้งสี่ เดียวกับพวกเขาจะครบจํานวน ตัวนั้นมาจากตราสี่ดวงแรก ตราดวง ข้าพเจ้าเฝ้าดูขณะที่พระองค์ทรงแกะตราดวงที่ ที่ห้าแสดงให้เห็นถึงการที่คริสเตียน หก เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ดวงอาทิตย์กลับมืดดํา จะถูกทรมาน และต้องเสียชีวิต เหมือนผ้ากระสอบขนแพะ ดวงจันทร์เต็มดวงกลาย เพราะความเชื่อของพวกเขา ตรา เป็นสีเลือด และดวงดาวในท้องฟ้าร่วงลงสู่พื้นโลกดั่ง ดวงที่หกแสดงให้เห็นถึงภัยพิบัติทาง มะเดื่ออ่อนร่วงลงจากต้นเมื่อถูกพายุพัด ท้องฟ้าม้วน ธรรมชาติ เมื่อตราดวงที่เจ็ดถูกแกะ ตัวขึ้นไปดั่งหนังสือม้วน ภูเขาทุกลูกและเกาะทุกเกาะ ออก ก็จะเกิดความเงียบงันไปใน ถูกเคลื่อนย้ายไปจากที่เดิม สวรรค์ (วิวรณ์ 8:1) จากนั้นบรรดากษัตริย์ของโลก เจ้านาย ขุนพล เศรษฐี ผู้ยิ่งใหญ่ และทุกผู้ทุกคนไม่ว่าทาสหรือไท ต่าง มุดซ่อนในถ้ํา ในหลืบหินตามภูเขา พวกเขาร้องบอก ภูเขาและหินผาว่า “จงถล่มลงมากลบเราและซ่อนเรา ให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น และพ้นจากพระพิโรธของ พระเมษโปดก! เพราะวันยิง่ ใหญ่แห่งพระพิโรธของทัง้ สองพระองค์มาถึงแล้วและใครเล่าจะทนได้?” 9
10
11
12
13
14
15
16
17
ประทับตรา 144,000 คน
หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์สี่องค์ยืนอยู่ที่สี่มุมโลก ห้ามลมทั้งสี่ทิศไม่ให้พัดบนบก บน 7 ทะเล หรือบนต้นไม้ใดๆ แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์ขึ้นมาจากทางตะวันออกถือดวง 2
ตราของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทูตนั้นร้องบอกเสียงดังแก่ทูตสวรรค์ทั้งสี่ซึ่งได้รับอํานาจให้ทํา อันตรายแก่แผ่นดินและทะเลว่า “อย่าทําอันตรายแก่แผ่นดิน ทะเล หรือต้นไม้จนกว่าเราจะได้ ประทับตราบนหน้าผากบรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้าของเราเสียก่อน” แล้วข้าพเจ้าได้ยินว่าจํานวน ผู้รับการประทับตราคือ 144,000 คนจากทุกเผ่าของอิสราเอล จากเผ่ายูดาห์ 12,000 คน ได้รับการประทับตรา จากเผ่ารูเบน 12,000 คน จากเผ่ากาด 12,000 คน จากเผ่าอาเชอร์ 12,000 คน จากเผ่านัฟทาลี 12,000 คน จากเผ่ามนัสเสห์ 12,000 คน จากเผ่าสิเมโอน 12,000 คน จากเผ่าเลวี 12,000 คน จากเผ่าอิสสาคาร์ 12,000 คน 3
4
5
6
7
วิวรณ 7:7 | 471
8
จากเผ่าเศบูลุน 12,000 คน จากเผ่าโยเซฟ 12,000 คน จากเผ่าเบนยามิน 12,000 คน
วิวรณ์ 7:1–8
ผู้คนมากมายสวมชุดสีขาว
ตอนนี้เราจะได้อ่านเกี่ยวกับคน 144,000 คน ตัวเลข 144,000 มา จากผลคูณของ 12 x 12 x 1,000 และเป็นสัญลักษณ์ของจํานวนบุตร ของพระเจ้า ผู้เชื่อทุกคนจะได้รับการ ทําเครื่องหมายที่มีตราประทับของ พระเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าพวก เขาเหล่านั้นเป็นใคร พระองค์ทรง รู้จักชื่อของพวกเขา และพระองค์ จะทรงปกป้องให้พวกเขาปลอดภัย จนกว่าจะถึงวันที่พระเยซูเสด็จ กลับมา พระเยซูตรัสว่าพระเจ้า ทรงปกป้องลูก ๆ ของพระองค์ให้ ปลอดภัยอยู่อ้อมแขนของ พระองค์ (ยอห์น 10:28)
หลังจากนั้นข้าพเจ้ามองไปและตรงหน้าข้าพเจ้า มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนจากทุกชาติ ทุกเผ่า ทุกหมู่ ชน และทุกภาษายืนอยู่หน้าพระที่นั่งและต่อหน้า พระเมษโปดก พวกเขาสวมชุดสีขาวและถือทาง อินทผลัม และพวกเขาร้องเสียงดังว่า “ความรอดมาจากพระเจ้าของเรา ผู้ประทับบนพระที่นั่ง และมาจากพระเมษโปดก” ทูตสวรรค์ทั้งปวงยืนอยู่รอบพระที่นั่ง รอบเหล่าผู้ อาวุโสและสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ พวกเขาหมอบกราบซบหน้า ลงต่อหน้าพระที่นั่งและนมัสการพระเจ้า ร้องว่า “อาเมน! ขอให้คําสรรเสริญ พระสิริ ปัญญา คําขอบพระคุณ พระเกียรติ เดชานุภาพ และกําลัง มีแด่พระเจ้าของเราสืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน!” จากนั้นผู้อาวุโสคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า “คนเหล่านี้ที่สวมชุดสีขาวคือใครและพวกเขามาจาก ไหน?” ข้าพเจ้าตอบว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านย่อมทราบอยู่แล้ว” และเขาพูดว่า “คนเหล่านี้คือผู้ที่มาจากความทุกข์ลําเค็ญครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชําระล้างเสื้อผ้า ของตนในพระโลหิตของพระเมษโปดกจนขาวสะอาดแล้ว เหตุฉะนั้น 9
10
11
12
13
14
15
วิวรณ์ 7:9–12 ยอห์นได้เห็นฝูงชนขนาดใหญ่กําลังนมัสการพระเจ้าอยู่ พวกเขากล่าวถึงพระเจ้า อย่างไรบ้าง? น้องๆ ทราบไหมว่าพระลักษณะของพระเจ้ามีกี่แบบ? (ตัวอย่างเช่น ทรง ฤทธานุภาพ และทรงอํานาจ) ให้ระดมความคิดกัน บอกถึงพระลักษณะของพระเจ้า ให้ได้มากที่สุดเท่าที่น้อง ๆ จะทําได้ และจดทั้งหมดลงไป น้อง ๆ นึกได้ทั้งหมดกี่ข้อ? ให้ใช้รายการที่น้อง ๆ เขียนไว้ ในเวลาที่เราอธิษฐานร่วมกันและในเวลาที่เราสรรเสริญ พระเจ้า 472 | วิวรณ 7:8
16
17
“พวกเขาอยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า และรับใช้พระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนในพระวิหารของพระองค์ และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งจะทรงกางเต็นท์ของพระองค์เหนือพวกเขา พวกเขาจะไม่หิวโหยอีก พวกเขาจะไม่กระหายอีกแล้ว ทั้งดวงอาทิตย์และความร้อนแรงกล้า จะไม่แผดเผาพวกเขาอีกเลย เพราะพระเมษโปดกผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะเป็นพระผู้เลี้ยงของเขา พระองค์จะทรงนําพวกเขาไปยังน้ําพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ําตาทุกหยดจากตาของเขา”
ตราดวงที่เจ็ดและกระถางไฟทองคํา
8 เมื่อพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงที่เจ็ด ก็เกิดความเงียบงันไปในสวรรค์ราวครึ่งชั่วโมง
และข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์เจ็ดองค์ยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ทูตสวรรค์เหล่านั้นได้รับแตรเจ็ดคัน ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งถือกระถางไฟทองคําเข้ามาและยืนที่แท่นบูชา ทูตนั้นได้รับเครื่องหอม มากมายสําหรับเผาถวายบนแท่นบูชาทองคําหน้าพระที่นั่งร่วมกับคําอธิษฐานของประชากรทั้ง ปวงของพระเจ้า ควันเครื่องหอมจากมือของทูตนั้นลอยขึ้นไปพร้อมกับคําอธิษฐานของประชากร ของพระเจ้าสู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ แล้วทูตนั้นนํากระถางไฟไปบรรจุไฟจากแท่นบูชาและโยน ลงบนแผ่นดินโลก ทําให้เกิดเสียงฟ้าร้องกึกก้อง เสียงครืนๆ ฟ้าแลบแวบวาบ และแผ่นดินไหว 2 3
4
5
แตรทั้งเจ็ด
จากนั้นทูตสวรรค์เจ็ดองค์ผู้ถือแตรเจ็ดคันก็เตรียมพร้อมที่จะเป่า ทูตสวรรค์องค์แรกเป่าแตร ลูกเห็บและไฟปนเลือดก็ถูกโยนลงมาบนแผ่นดิน หนึ่งในสามของ โลกถูกเผาไป ต้นไม้มอดไหม้ไปหนึ่งในสาม และหญ้าเขียวก็ถูกไฟไหม้หมดสิ้น ทูตสวรรค์องค์ที่สองเป่าแตร และมีสิ่งหนึ่งเหมือนภูเขาใหญ่ที่ติดไฟลุกโชนถูกโยนลงทะเล หนึ่ง ในสามของทะเลกลายเป็นเลือด หนึ่งในสามของสิ่งมีชีวิตในทะเลตายสิ้น หนึ่งในสามของเรือทั้ง หลายถูกทําลายไป ทูตสวรรค์องค์ที่สามเป่าแตรและดาวใหญ่ดวงหนึ่งที่ติดไฟลุกโชติช่วงดั่งคบเพลิงก็ตกจาก ท้องฟ้าลงบนหนึ่งในสามของแม่น้ําทั้งหลายและลงบนบ่อน้ําพุต่างๆ ดาวดวงนั้นชื่อว่าบอระเพ็ด ทําให้หนึ่งในสามของน้ํามีรสขมและผู้คนมากมายล้มตายไปเนื่องจากน้ํากลายเป็นน้ําขม 6 7
8
9
10
11
วิวรณ์ 8:1–4 เมื่อตราคันที่เจ็ดถูกแกะออก จะเกิดความเงียบงันไปในสวรรค์ราวครึ่งชั่วโมง ไบรท์ สงสัยว่าเราจะสามารถเงียบงันเป็นเวลาหนึ่งนาทีได้ไหม ให้จับเวลาดูด้วย แล้วตอน นี้ให้ปิดตาของเราและนั่งอยู่อย่างเงียบ ๆ ให้นานที่สุดเท่าที่จะทําได้ ตอนนี้เป็นเวลา เท่าไหร่แล้ว? น้อง ๆ สามารถอยู่อย่างเงียบ ๆ ได้นานเท่าใด? เมื่อเกิดความเงียบงันใน สวรรค์ พระเจ้าทรงฟังคําอธิษฐานของลูก ๆ ของพระองค์ น้อง ๆ ดีใจไหมที่พระเจ้า ทรงฟังคําอธิษฐานของเรา? อย่าลืมที่จะพูดคุยกับพระองค์ให้บ่อยขึ้นล่ะ วิวรณ 8:11 | 473
ทูตสวรรค์องค์ที่สี่เป่าแตร หนึ่งในสามของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ ถูก ทําลายลงจนมืดไป ทําให้เวลาหนึ่งในสามของกลางวันและกลางคืนไม่มีแสงสว่าง ขณะที่ข้าพเจ้าเฝ้าดูก็ได้ยินเสียงนกอินทรีบินไปกลางอากาศร้องเสียงดังว่า “วิบัติ! วิบัติ! วิบัติ แก่ชาวโลกเพราะเสียงแตรที่ทูตสวรรค์อีกสามองค์กําลังจะเป่า!” องค์ที่ห้าเป่าแตรและข้าพเจ้าเห็นดาวดวงหนึ่งตกจากฟ้าลงมาบนโลก ดาวนั้นได้ 9 รัทูบตกุสวรรค์ ญแจไขนรกขุมลึก ซึ่งเมื่อเปิดออกควันก็พุ่งออกมาดั่งควันจากเตาหลอมมหึมาบดบัง ดวงอาทิตย์และท้องฟ้าให้มืดไป มีฝูงตั๊กแตนออกจากควันนั้นบินลงมายังโลก พระเจ้าประทาน พิษร้ายให้แก่พวกมันเช่นเดียวกับพิษแมงป่องในโลก พวกมันถูกสั่งห้ามไม่ให้ทําลายหญ้า ต้นไม้ พืชพันธุ์ในโลก แต่ให้ทําร้ายเฉพาะผู้คนที่ไม่มีตราประทับของพระเจ้าบนหน้าผาก พระองค์ไม่ ได้ให้อํานาจที่จะฆ่าคนเหล่านั้น เพียงแต่ให้ทรมานพวกเขาเป็นเวลาห้าเดือน เป็นความเจ็บปวด ทรมานเหมือนถูกแมงป่องต่อย ตลอดช่วงนั้นพวกเขาจะร้องหาความตายแต่จะไม่พบ อยากตาย แต่ความตายจะหลบลี้หนีหน้าไปจากเขา ตั๊กแตนนั้นดูคล้ายม้าศึกจะออกรบ ที่หัวมีสิ่งหนึ่งเหมือนมงกุฎทองคํา ใบหน้าคล้ายหน้ามนุษย์ ผมเหมือนผมผู้หญิง ฟันราวกับฟันสิงโต แผงกําบังอกคล้ายเกราะเหล็ก เสียงปีกขยับเหมือน เสียงกึกก้องของฝูงม้าศึกและเสียงรถม้าศึกทะยานสู่สงคราม พวกมันมีหางและเหล็กในเหมือน แมงป่อง หางของมันมีพิษสงทรมานมนุษย์เป็นเวลาห้าเดือน เจ้าเหนือหัวของพวกมันคือทูตแห่ง นรกขุมลึกซึ่งมีชื่อในภาษาฮีบรูว่าอาบัดโดน และมีชื่อในภาษากรีกว่า อปอลลิโยน วิบัติที่หนึ่งผ่านไปแล้ว ยังมีอีกสองวิบัติที่จะมาถึง ทูตสวรรค์องค์ที่หกเป่าแตร และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากเชิงงอนของแท่นบูชาทองคําซึ่ง ตั้งอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เสียงนั้นสั่งทูตองค์ที่หกซึ่งถือแตรอยู่ว่า “จงแก้มัดทูตสวรรค์ทั้งสี่ที่ถูกมัด ไว้ที่แม่น้ําใหญ่ชื่อยูเฟรติส” และทูตสวรรค์ทั้งสี่ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้พร้อมแล้วสําหรับชั่วโมง วัน เดือน และปีนี้ ก็ถูกปล่อยให้ไปฆ่ามนุษย์เสียหนึ่งในสาม ข้าพเจ้าได้ยินว่าจํานวนพลทหารม้า มีสองร้อยล้าน ม้าและผู้ขี่ที่ข้าพเจ้าเห็นในนิมิตนั้นมีลักษณะดังนี้คือ ผู้ขี่นั้นสวมเกราะกําบังอกสีแดงเพลิง สีน้ําเงินเข้ม และสีเหลืองกํามะถัน หัวของม้าคล้ายหัวสิงโต มีไฟ ควัน และกํามะถันพุ่งออกมาจาก ปากของพวกมัน หนึ่งในสามของมนุษย์ถูกฆ่าด้วยภัยพิบัติสามอย่างคือ ไฟ ควัน และกํามะถันที่ พุ่งออกมาจากปากม้า พิษสงของม้าอยู่ที่ปากและหางเพราะหางของมันเหมือนงูและมีหัวหลาย หัวซึ่งมันใช้ทําร้ายคน มนุษย์ทั้งหลายที่ไม่ถูกฆ่าด้วยภัยพิบัตินี้ยังไม่ยอมสํานึกกลับใจจากการ กระทําของตน ไม่เลิกกราบไหว้ภูติผีและรูปเคารพที่ทําด้วยทองคํา เงิน ทองสัมฤทธิ์ หิน และไม้ รูปเคารพซึ่งไม่สามารถเห็น ได้ยิน หรือเดิน ทั้งพวกเขาไม่ได้สํานึกผิด กลับใจจากการฆ่าฟันกัน การใช้ไสยศาสตร์ เวทมนตร์ การผิดศีลธรรมทางเพศ และการลักขโมยที่ทําอยู่ 12
13
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12 13
14
15
16
17
18
19
20
21
ทูตสวรรค์กับม้วนหนังสือเล็ก
้นข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ทรงฤทธิ์อีกองค์หนึ่งลงมาจากฟ้าสวรรค์ มีเมฆคลุมกาย มี 10 จากนั รุ้งเหนือศีรษะ ใบหน้าดั่งดวงอาทิตย์ และขาดุจเสาที่มีไฟลุกโชติช่วง มือถือม้วนหนังสือ 2
เล็กๆ ซึ่งคลี่ออก เท้าขวายืนอยู่บนทะเล เท้าซ้ายเหยียบบนแผ่นดิน ทูตนั้นตะโกนเสียงดัง ดุจสิงห์คําราม เมื่อท่านตะโกนเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดก็กล่าวตอบ เมื่อเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังขึ้น ข้าพเจ้าขยับจะเขียนก็ได้ยินเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “จงเก็บสิ่งที่ฟ้าร้องทั้งเจ็ดได้กล่าวไว้ให้เป็น ความลับ อย่าเขียนลงไป” แล้วทูตสวรรค์ซึ่งข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่บนทะเลและบนแผ่นดินนั้นก็ชูมือขวาขึ้นฟ้าสวรรค์ และ ปฏิญาณโดยอ้างพระองค์ผู้ทรงดํารงอยู่ตลอดกาล ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และสรรพสิ่งในนั้น ผู้ทรง สร้างโลกกับสรรพสิ่งในนั้น ตลอดจนทะเลและสรรพสิ่งในนั้นว่า “จะไม่ล่าช้าอีกต่อไปแล้ว! แต่ ในวันที่ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดจะเป่าแตรนั้น แผนการอันล้ําลึกของพระเจ้าก็จะสําเร็จตามที่พระองค์ 3
4
5
6
7
474 | วิวรณ 8:12
ได้ทรงประกาศไว้แก่เหล่าผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของ พระองค์” แล้วเสียงจากสวรรค์นั้นกล่าวกับข้าพเจ้าอีกครั้งว่า “จงไปรับม้วนหนังสือที่คลี่ออกในมือทูตสวรรค์ผู้ยืนอยู่ บนทะเลและบนแผ่นดินนั้นเถิด” ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไปขอม้วนหนังสือเล็กๆ จากทูต นั้น เขากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “จงรับไปกินเถิด มันจะ ทําให้ท้องของเจ้าเปรี้ยว แต่เมื่ออยู่ในปากของเจ้าจะ หวานปานน้ําผึ้ง” ข้าพเจ้ารับม้วนหนังสือเล็กๆ จาก มือทูตสวรรค์มากิน เมื่ออยู่ในปากของข้าพเจ้าก็มีรส หวานเหมือนน้ําผึ้ง แต่เมื่อกลืนลงไปท้องของข้าพเจ้า กลับเปรี้ยว แล้วมีผู้บอกข้าพเจ้าว่า “เจ้าจะต้องเผย พระวจนะอีกเกี่ยวกับผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ ชนชาติต่างๆ ภาษาทั้งหลาย และกษัตริย์จํานวนมาก” 8
9
10
11
พยานทั้งสอง
วิวรณ์ 8 – 11
ทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดองค์ได้เป่าแตร เจ็ดคัน เพื่อเตือนประชาชนว่าพระ เยซูกําลังจะเสด็จกลับมา และวัน พิพากษาของพระเจ้าใกล้มาถึงแล้ว แตรหกคันแรกนั้น ประกาศถึงภัย พิบัติบนบก ทะเล และในอากาศ มัน เป็นส่วนหนึ่งของการพิพากษาของ พระเจ้าสําหรับโลกมนุษย์ เป็นการ เตือนพวกเราให้กลับมาหาพระองค์ แตรคันที่เจ็ดประกาศว่าพระเจ้าจะ ได้รับการนมัสการในฐานะกษัตริย์ ของเราทุกคน
าพเจ้าได้รับไม้อ้ออันหนึ่ง รูปร่างเหมือนไม้วัด และได้รับคําสั่งว่า “จงไปวัดพระวิหารของ 11 ข้พระเจ้ ากับแท่นบูชาและนับจํานวนผู้นมัสการที่นั่น แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกเนื่องจาก 2
ที่นั่นยกให้คนต่างชาติแล้ว เขาทั้งหลายจะเหยียบย่ํานครศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลา 42 เดือน เราจะ มอบฤทธิ์อํานาจให้แก่พยานทั้งสองของเรา พวกเขาจะนุ่งห่มผ้ากระสอบและเผยพระวจนะเป็น เวลา 1,260 วัน พยานทั้งสองคือต้นมะกอกสองต้นและคันประทีปสองคันซึ่งอยู่ต่อหน้าองค์พระ ผู้เป็นเจ้าของโลก” ไฟจะพุ่งออกจากปากพยานทั้งสอง เผาผลาญผู้คิดจะมาทําร้าย ผู้ใดคิดจะ ทําอันตรายพยานทั้งสองจะต้องตายเช่นนี้ ทั้งสองมีฤทธิ์อํานาจที่จะปิด ท้องฟ้าไม่ให้ฝนตกขณะ กําลังเผยพระวจนะและมีฤทธิ์ทําให้น้ํากลายเป็นเลือด ตลอดจนบันดาลภัยพิบัติทุกชนิดมา กระหน่ําโลกกี่ครั้งก็ได้ตามที่ประสงค์ และเมื่อทั้งสองเป็นพยานเสร็จแล้ว สัตว์ร้ายจากนรกขุมลึกจะขึ้นมาทําร้ายพวกเขา มันจะ เอาชนะเขาและฆ่าเขา ซากศพของพยานทั้งสองจะถูกทิ้งอยู่กลางถนนแห่งมหานครซึ่งได้รับ สมญานามว่า โสโดมและอียิปต์ ที่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาถูกตรึงบนไม้กางเขน ตลอด สามวันครึ่งผู้คนจากทุกหมู่ชน ทุกตระกูล ทุกภาษา และทุกชนชาติจะมาจ้องมองซากศพของเขา และไม่ยอมให้ฝังศพนั้น ชาวโลกทั้งหลายจะมองศพของเขาด้วยความยินดีและจะเฉลิมฉลองให้ ของขวัญแก่กัน เพราะผู้เผยพระวจนะทั้งสองได้ทรมานบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในโลก แต่หลังจากสามวันครึ่งแล้วพระเจ้าทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิตเข้าในร่างนั้น เขาทั้งสองจึง ลุกขึ้นยืน คนที่พบเห็นก็หวาดกลัวยิ่งนัก แล้วพวกเขาได้ยินเสียงดังจากฟ้าสวรรค์กล่าวว่า “จง ขึ้นมาที่นี่” พยานนั้นก็ขึ้นไปในเมฆสู่สวรรค์ขณะที่เหล่าศัตรูของเขามองดูอยู่ ในชั่วโมงนั้นเองเกิดแผ่นดินไหวร้ายแรง และหนึ่งในสิบของเมืองนั้นถล่มลง มีคนตายเจ็ด พันคนในแผ่นดินไหวครั้งนี้ ส่วนผู้ที่รอดชีวิตตกใจกลัวและถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าแห่งฟ้า สวรรค์ วิบัติที่สองได้ผ่านพ้นไป วิบัติที่สามจะมาถึงในไม่ช้านี้ 3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
แตรคันที่เจ็ด
ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเป่าแตรและมีเสียงดังหลายเสียงในสวรรค์กล่าวว่า “ราชอาณาจักรของโลกนี้ได้กลับมาเป็นราชอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรากับ พระคริสต์ของพระองค์แล้ว และพระองค์จะทรงครองอาณาจักรเป็นนิตย์”
15
วิวรณ 11:15 | 475
แล้วผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนซึ่งนั่งบนบัลลังก์ของตนต่อหน้าพระเจ้าก็หมอบซบหน้าลงนมัสการ พระเจ้า ทูลว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายขอบคุณพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ผู้ทรงดํารงอยู่ในปัจจุบันและผู้ทรงดํารงอยู่ในอดีต เพราะพระองค์ได้ทรงสําแดงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ และได้ทรงเริ่มครอบครองอาณาจักรแล้ว บรรดาประชาชาติโกรธกริ้ว แต่พระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว และเวลานั้นได้มาถึงแล้ว เวลาที่จะทรงพิพากษาคนที่ได้ตายไป เวลาที่จะประทานบําเหน็จแก่เหล่าผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ และแก่ประชากรของพระองค์และบรรดาผู้ยําเกรงพระนามของพระองค์ ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย และเวลาที่จะทรงทําลายบรรดาผู้ที่ทําลายโลก” แล้วพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ก็เปิดออก และข้าพเจ้าเห็นหีบพันธสัญญาภายในพระ วิหารของพระองค์ และเกิดฟ้าแลบแวบวาบ เสียงครืนๆ เสียงฟ้าร้องกึกก้อง แผ่นดินไหว และพายุ ลูกเห็บครั้งร้ายแรง 16
17
18
19
ผู้หญิงและพญานาค
าคัญอันอัศจรรย์และยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นในสวรรค์คือ หญิงคนหนึ่งมีดวงอาทิตย์ 12 มีเป็หนมายสํ อาภรณ์ ดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า และดาวสิบสองดวงเป็นมงกุฎบนศีรษะ หญิงนั้นตั้งครรภ์ 2
และร้องด้วยความเจ็บปวดเพราะจวนจะคลอดแล้ว จากนั้นมีหมายสําคัญอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นใน สวรรค์คือ พญานาคใหญ่สีแดงตัวหนึ่ง มีเจ็ดหัวและสิบเขา ทั้งเจ็ดหัวสวมมงกุฎ หางของมันตวัด หนึ่งในสามของดวงดาวในท้องฟ้าทิ้งลงมาบนโลก พญานาคนั้นยืนอยู่หน้าหญิงที่กําลังจะคลอด เพื่อมันจะได้กินทารกในทันทีที่เกิดมา หญิงนั้นคลอดบุตรชายผู้ซึ่งจะปกครองมวลประชาชาติด้วย คทาเหล็ก บุตรนั้นถูกฉวยออกมาและนําขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า ไปยังพระที่นั่งของพระองค์ ส่วน หญิงนั้นหนีไปยังถิ่นกันดารสู่ที่พํานักซึ่งพระเจ้าทรงเตรียมไว้สําหรับนาง ที่นั่นนางจะได้รับการ เลี้ยงดูเป็นเวลา 1,260 วัน และเกิดสงครามขึ้นในสวรรค์ มีคาเอลกับทูตสวรรค์ของเขาสู้รบกับพญานาคและสมุนของมัน ฝ่ายของพญานาคพ่ายแพ้ ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ พญานาคใหญ่ถูกเหวี่ยงลงมา พญานาคนี้คือ งูดึกดําบรรพ์ที่เรียกกันว่า มาร หรือ ซาตาน ผู้ล่อลวงคนทั้งโลกให้หลงผิด มันถูกเหวี่ยงลงมาบน โลกพร้อมกับทูตสวรรค์ของมัน แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังในสวรรค์กล่าวว่า “บัดนี้ความรอด เดชานุภาพ และราชอาณาจักรของพระเจ้าของเรา และสิทธิอํานาจแห่งพระคริสต์ของพระองค์มาถึงแล้ว เพราะผู้กล่าวโทษบรรดาพี่น้องของเรา ซึ่งกล่าวโทษเขาต่อหน้าพระเจ้า ของเราทั้งวันทั้งคืน ได้ถูกเหวี่ยงลงไปแล้ว พวกเขาชนะพญามาร โดยพระโลหิตของพระเมษโปดก และโดยคําพยานของตน 3
4
5
6
7
8
9
10
11
476 | วิวรณ 11:16
พวกเขาไม่กลัวตาย วิวรณ์ 12 – 14 ไม่เสียดายชีวิต เพราะฉะนั้นสวรรค์และชาวสวรรค์เอ๋ย บทเหล่านีไ้ ด้บอกเราเกีย่ วกับสงคราม จงชื่นชมยินดีเถิด! ระหว่างคริสตจักรและซาตาน หญิง แต่วิบัติแก่แผ่นดินและทะเล สาวหรือเจ้าสาวนัน้ เป็นสัญลักษณ์ เพราะมารได้ลงไปหาเจ้า! ของคริสตจักร และพญานาคเป็น ด้วยความโกรธยิ่งนัก สัญลักษณ์ของซาตาน สัตว์รา้ ยจาก เนื่องจากรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย” ทะเล คือศัตรูของพระเยซูคริสต์ สัตว์ ร้ายทีอ่ อกมาจากแผ่นดินโลก เป็น เมื่อพญานาคเห็นว่าตนถูกทิ้งลงบนโลกก็ไล่ล่า สัญลักษณ์ของผูพ้ ยากรณ์เทียมเท็จ หญิงซึ่งคลอดบุตรชายนั้น หญิงนั้นได้รับปีกพญา ทีต่ ดิ ตามศัตรูของพระคริสต์ มันจะ อินทรีสองปีกเพื่อจะได้บินไปยังที่ซึ่งจัดเตรียมไว้ให้ นางในถิ่นกันดาร ที่นั่นนางจะได้รับการปกป้องเลี้ยงดู เป็นสงครามทีน่ า่ กลัวมาก และคน ให้พ้นจากพญานาคตลอดหนึ่งวาระ สองวาระและครึ่ง ของพระเจ้าจะต้องอดทนและซือ่ สัตย์ เพราะว่าท้ายทีส่ ดุ แล้วพระเยซูจะทรง วาระ พญานาคนั้นก็พ่นน้ําออกมามากมายเหมือน มีชยั ชนะเหนือมารซาตาน แม่น้ําเพื่อซัดนางให้ลอยไปตามกระแสน้ํา แต่แผ่น ดินช่วยนางไว้ มันแยกออกสูบเอาแม่น้ําซึ่งพญานาค พ่นออกจากปากลงไป แล้วพญานาคก็โกรธแค้นหญิง นั้นและไปทําสงครามกับลูกหลานของนางที่เหลือคือ คนเหล่านั้นที่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า และยึดมั่นในคําพยานเรื่องพระเยซู ส่วนพญานาค ยืนอยู่ริมหาด 12
13
14
15
16
17
13
สัตว์ร้ายจากทะเล
และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา แต่ละเขามีมงกุฎสวม อยู่และแต่ละหัวมีชื่อที่เป็นคําหมิ่นประมาทพระเจ้า สัตว์ร้ายที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นคล้ายเสือดาว แต่ มีตีนเหมือนตีนหมีและมีปากเหมือนปากสิงโต พญานาคยกบัลลังก์กับอํานาจยิ่งใหญ่ของมันให้แก่ สัตว์ร้ายนั้น หัวหนึ่งของสัตว์ร้ายนั้นดูเหมือนเคยมีแผลฉกรรจ์ปางตายแต่หายสนิทแล้ว ทั้งโลก ติดตามสัตว์ร้ายนั้นไปด้วยความอัศจรรย์ใจ ผู้คนกราบนมัสการพญานาคเพราะมันให้อํานาจแก่ สัตว์ร้ายและกราบนมัสการสัตว์ร้ายด้วย พวกเขาถามกันว่า “ใครเล่าจะเหมือนสัตว์นี้? ผู้ใดจะสู้รบ กับมันได้?” สัตว์ร้ายนั้นได้รับอนุญาตให้กล่าวถ้อยคํายโสโอหังและหมิ่นประมาทพระเจ้า มันได้รับอนุญาต ให้ใช้อํานาจของมันเป็นเวลา 42 เดือน มันเอ่ยปากลบหลู่พระเจ้า กล่าวร้ายพระนามของ พระองค์ตลอดจนที่ประทับและชาวสวรรค์ มันได้รับอํานาจที่จะสู้รบกับประชากรของพระเจ้า และมีชัยชนะ มันได้รับสิทธิอํานาจเหนือทุกเผ่า ทุกหมู่ชน ทุกภาษา และทุกชนชาติ ชาวโลกทั้ง มวลจะกราบนมัสการสัตว์ร้ายนั้น คือคนทั้งปวงที่ไม่ได้มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของ พระเมษโปดกผู้ถูกประหารตั้งแต่แรกทรงสร้างโลก ใครมีหูก็จงฟังเถิด ถ้าผู้ใดถูกกําหนดให้เป็นเชลย ผู้นั้นก็จะตกเป็นเชลย ถ้าผู้ใดถูกกําหนดให้ตายด้วยดาบ ผู้นั้นก็จะถูกดาบปลิดชีวิต ในเรื่องนี้ประชากรของพระเจ้าต้องมีความทรหดอดทนและความสัตย์ซื่อ 2
3
4
5
6
7
8
9
10
วิวรณ 13:10 | 477
สัตว์ร้ายจากแผ่นดิน
แล้วข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน มีสองเขาเหมือนลูกแกะแต่พูดเหมือน พญานาค มันเป็นตัวแทนใช้อํานาจทั้งสิ้นของสัตว์ร้ายตัวแรกนั้น และทําให้โลกกับชาวโลก กราบไหว้สัตว์ร้ายตัวแรกซึ่งมีรอยแผลฉกรรจ์ที่หายสนิทแล้ว มันแสดงหมายสําคัญที่ยิ่งใหญ่ ถึง ขนาดให้ไฟตกจากฟ้าสวรรค์ลงมาสู่โลกต่อหน้าต่อตาผู้คน เนื่องด้วยหมายสําคัญเหล่านี้ที่มันได้ รับอํานาจให้ทําการแทนสัตว์ร้ายตัวแรก มันล่อลวงชาวโลก สั่งให้พวกเขาสร้างรูปจําลองขึ้นเพื่อ เป็นเกียรติแก่สัตว์ร้ายที่ถูกฟันด้วยดาบแต่ยังไม่ตายนั้น มันได้รับอํานาจที่จะให้ลมหายใจแก่รูป จําลองของสัตว์ร้ายตัวแรกเพื่อให้รูปจําลองนั้นพูดได้และทําให้คนทั้งปวงที่ไม่ยอมบูชารูปจําลอง ถูกฆ่าตาย มันยังบังคับทุกๆ คนไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย คนรวยคนจน ทาสหรือไทให้รับเครื่องหมาย ไว้ที่มือขวาหรือหน้าผาก เพื่อไม่ให้ผู้ใดทําการซื้อขายได้ เว้นแต่จะมีเครื่องหมายซึ่งเป็นชื่อหรือ หมายเลขประจําชื่อของสัตว์ร้ายนั้น ในเรื่องนี้ต้องใช้ปัญญา ผู้ใดมีความเข้าใจก็จงตรึกตรองหมายเลขของสัตว์ร้ายนั้น เพราะ หมายเลขนั้นแทนชื่อบุคคลหนึ่ง หมายเลขของเขาคือ 666 11
12
13
14
15
16
17
18
พระเมษโปดกกับชน 144,000 คน
วข้าพเจ้ามองไปเห็นพระเมษโปดกประทับยืนอยู่บนภูเขาศิโยนกับชน 144,000 คนซึ่ง 14 แล้ มีพระนามของพระองค์และพระบิดาเขียนไว้บนหน้าผาก และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจาก 2
สวรรค์เหมือนเสียงน้ําเชี่ยวกรากและเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง เสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินนั้นเหมือนเสียง เพลงที่เหล่านักพิณบรรเลง และเขาทั้งหลายขับร้องเพลงบทใหม่หน้าพระที่นั่งต่อหน้าสิ่งมีชีวิต ทั้งสี่และเหล่าผู้อาวุโส ไม่มีใครสามารถร้องเพลงบทนั้นได้ นอกจากชน 144,000 คนที่ทรงไถ่ไว้ จากแผ่นดินโลก คนเหล่านี้ไม่ข้องแวะกับสตรีเพศให้เป็นมลทินเพราะพวกเขารักษาตัวให้บริสุทธิ์ พวกเขาตามเสด็จพระเมษโปดกไปทุกแห่ง พวกเขาเป็นผู้ที่ทรงไถ่ไว้จากมวลมนุษย์เพื่อเป็นผลแรก ถวายแด่พระเจ้าและพระเมษโปดก ไม่มีคํามุสาจากปากของเขา พวกเขาไม่มีตําหนิด่างพร้อยเลย 3
4
5
ทูตสวรรค์ทั้งสาม
แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเหาะขึ้นไปกลางอากาศและประกาศข่าวประเสริฐ นิรันดร์แก่ชาวโลกทุกชนชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกหมู่ชน ทูตนั้นประกาศเสียงดังว่า “จงยําเกรงพระเจ้าและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์เพราะวาระแห่งการทรงพิพากษามาถึงแล้ว จงกราบนมัสการพระองค์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเลและบ่อน้ําพุทั้งหลาย” ทูตสวรรค์องค์ที่สองติดตามมาและประกาศว่า “ล่มแล้ว! บาบิโลนมหานครซึ่งทําให้มวล ประชาชาติมัวเมาเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของมันได้ล่มสลายแล้ว” ทูตสวรรค์องค์ที่สามติดตามมาและประกาศเสียงดังว่า “ถ้าผู้ใดบูชาสัตว์ร้ายกับรูปจําลองของ มันและรับเครื่องหมายของมันที่หน้าผากหรือที่มือ ผู้นั้นจะต้องดื่มเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธของ พระเจ้าซึ่งเทลงในถ้วยแห่งพระพิโรธของพระองค์โดยไม่ผสมสิ่งอื่นใด เขาจะถูกทรมานด้วยไฟ กํามะถันต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์และต่อหน้าพระเมษโปดก ควันแห่งการทรมานของเขา พลุ่งขึ้นสืบๆ ไปเป็นนิตย์ คนทั้งหลายที่กราบนมัสการสัตว์ร้ายกับรูปจําลองของมันหรือผู้ที่ได้รับ เครื่องหมายชื่อของมันจะไม่ได้หยุดพักเลยไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน” ในเรื่องนี้ประชากรของ พระเจ้าผู้เชื่อฟังบทบัญญัติของพระองค์และยังคงสัตย์ซื่อต่อพระเยซูต้องมีความทรหดอดทน จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “จงเขียนดังนี้นับแต่นี้ไปความสุขมีแก่บรรดาผู้ ที่พลีชีพเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า” พระวิญญาณตรัสว่า “ใช่แล้วเขาทั้งหลายจะหยุดพักจากการตรากตรําของตนเพราะผลงานของ เขาจะติดตามเขาไป” 6
7
8
9
10
11
12
13
478 | วิวรณ 13:11
การเก็บเกี่ยวโลก
ข้าพเจ้ามองไปเห็นเมฆขาวและผู้หนึ่ง “เหมือนบุตรมนุษย์” ประทับนั่งอยู่บนเมฆนั้น สวม มงกุฎทองคําบนพระเศียรและในพระหัตถ์มีเคียวคมกริบ แล้วทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกมาจาก พระวิหารร้องบอกผู้นั่งอยู่บนเมฆนั้นด้วยเสียงอันดังว่า “ใช้เคียวของท่านเกี่ยวไปเถิด ได้เวลาเก็บ เกี่ยวแล้วเพราะผลที่จะเก็บเกี่ยวจากโลกก็สุกดีแล้ว” ดังนั้นผู้นั่งอยู่บนเมฆจึงตวัดเคียวไปเหนือ โลกและโลกก็ถูกเก็บเกี่ยว ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกมาจากพระวิหารในสวรรค์ ถือเคียวคมกริบเช่นกัน และยังมีทูต สวรรค์อีกองค์หนึ่งซึ่งดูแลไฟออกมาจากแท่นบูชา และร้องเสียงดังบอกทูตผู้ถือเคียวคมกริบว่า “ใช้เคียวคมกริบของท่านเกี่ยวเก็บพวงองุ่นแห่งแผ่นดินโลกเถิดเพราะผลองุ่นสุกได้ที่แล้ว” ทูต สวรรค์ผู้ถือเคียวจึงตวัดเคียวไปบนโลกเก็บเกี่ยวผลองุ่นและโยนลงในบ่อใหญ่ซึ่งเป็นบ่อย่ําองุ่นแห่ง พระพิโรธของพระเจ้า พวกเขาถูกเหยียบย่ําในบ่อย่ําองุ่นนอกเมือง เลือดทะลักท่วมจากบ่อย่ําสูง ถึงระดับบังเหียนม้า ไหลนองไปเป็นระยะทาง 1,600 ซทาดิออน 14
15
16
17
18
19
20
ทูตสวรรค์เจ็ดองค์กับวิบัติทั้งเจ็ด
าเห็นหมายสําคัญอันอัศจรรย์และยิ่งใหญ่อีกอย่างในสวรรค์คือ ทูตสวรรค์เจ็ดองค์กับ 15 ข้วิบาพเจ้ ัติทั้งเจ็ดอันเป็นภัยพิบัติครั้งสุดท้ายเพราะพระพิโรธของพระเจ้าสิ้นสุดลงที่ภัยพิบัติเหล่า
นี้ ข้าพเจ้าแลเห็นสิ่งหนึ่งคล้ายทะเลแก้วปนไฟ บรรดาผู้มีชัยชนะเหนือสัตว์ร้ายกับรูปจําลองและ หมายเลขประจําชื่อของมันยืนอยู่ข้างๆ ทะเลนั้น เขาทั้งหลายถือพิณซึ่งพระเจ้าประทาน และขับ ร้องบทเพลงของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้าและบทเพลงของพระเมษโปดกว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ พระราชกิจของพระองค์ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ยิ่งนัก ข้าแต่องค์ราชันของทุกยุคสมัย วิถีของพระองค์ล้วนเที่ยงธรรมและเที่ยงแท้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะไม่เกรงกลัวพระองค์ และไม่เทิดทูนพระนามของพระองค์ เพราะพระองค์แต่ผู้เดียวทรงบริสุทธิ์ มวลประชาชาติจะเข้ามา และกราบนมัสการต่อหน้าพระองค์ เพราะกิจอันชอบธรรมของพระองค์เป็นที่ประจักษ์แล้ว” หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นพระวิหารในสวรรค์เปิดออก พระวิหารนั้นคือพลับพลาแห่งสักขีพยาน ทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่ถือภัยพิบัติทั้งเจ็ดออกมาจากพระวิหาร นุ่งห่มผ้าลินินสะอาดสุกใส คาดแถบ ทองคําที่อก แล้วหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทั้งสี่หยิบขันทองคําเจ็ดใบซึ่งเต็มด้วยพระพิโรธของพระเจ้าผู้ทรง พระชนม์อยู่ตลอดกาลส่งให้ทูตสวรรค์ทั้งเจ็ด และแล้วควันจากพระเกียรติสิริและเดชานุภาพ ของพระเจ้าก็ปกคลุมไปทั่วพระวิหาร ไม่มีผู้ใดเข้าไปในพระวิหารได้จนกว่าภัยพิบัติทั้งเจ็ดจากทูต สวรรค์เจ็ดองค์จะเสร็จสมบูรณ์ 2
3
4
5
6
7
8
ขันทั้งเจ็ดแห่งพระพิโรธของพระเจ้า
้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังออกมาจากพระวิหารสั่งทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดว่า “จงไปเทพระ 16 จากนั พิโรธของพระเจ้าที่อยู่ในขันทั้งเจ็ดลงบนโลกเถิด”
ทูตสวรรค์องค์แรกออกไปเทขันของตนลงบนแผ่นดินโลก แผลร้ายน่าเกลียดที่สร้างความเจ็บ ปวดก็เกิดขึ้นที่ตัวของบรรดาผู้มีเครื่องหมายของสัตว์ร้ายและกราบนมัสการรูปจําลองของมัน ทูตสวรรค์องค์ที่สองเทขันของตนลงบนทะเล ทะเลก็กลายเป็นเลือดดั่งเลือดของคนตาย สิ่งมี ชีวิตในนั้นจึงตายหมด 2
3
วิวรณ 16:3 | 479
ทูตสวรรค์องค์ที่สามเทขันของตนลงบนแม่น้ําและบ่อน้ําพุทั้งหลาย น้ําก็กลายเป็นเลือด แล้ว ข้าพเจ้าได้ยินทูตสวรรค์ผู้ดูแลห้วงน้ํากล่าวว่า “ข้าแต่องค์ผู้บริสุทธิ์ พระองค์ผู้ทรงดํารงอยู่ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน พระองค์ทรงพิพากษาลงโทษอย่างยุติธรรมแล้ว เนื่องจากพวกเขาทําให้ประชากรของพระเจ้า และผู้เผยพระวจนะของพระองค์ต้องหลั่งเลือด สมควรแล้วที่พระองค์ทรงให้พวกเขาดื่มเลือด” และข้าพเจ้าได้ยินแท่นบูชาขานรับว่า “จริงเช่นนั้นข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ การพิพากษาของพระองค์เที่ยงแท้และเที่ยงธรรม” ทูตสวรรค์องค์ที่สี่เทขันของตนลงบนดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ก็ได้รับอํานาจที่จะแผดแสงเผา มนุษย์ พวกเขาถูกความร้อนแรงกล้าแผดเผาและพวกเขาแช่งด่าพระนามของพระเจ้าผู้ทรง ควบคุมภัยพิบัติเหล่านี้ แต่พวกเขาไม่ยอมกลับใจสํานึกผิดและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์ ทูตสวรรค์องค์ที่ห้าเทขันของตนลงบนบัลลังก์ของสัตว์ร้ายนั้น อาณาจักรของมันก็จมดิ่งสู่ ความมืดมิด ผู้คนกัดลิ้นด้วยความทุกข์ทรมาน และแช่งด่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์เพราะความเจ็บ ปวดรวดร้าวและแผลร้ายของตน แต่พวกเขาไม่ยอมกลับใจจากบาปที่ได้ทําไป ทูตสวรรค์องค์ที่หกเทขันของตนลงบนแม่น้ําใหญ่ชื่อยูเฟรติส น้ําก็เหือดแห้งเพื่อเตรียมทางไว้ สําหรับกษัตริย์ทั้งหลายจากตะวันออก แล้วข้าพเจ้าเห็นวิญญาณชั่วสามตนรูปร่างคล้ายกบ ออก มาจากปากพญานาค จากปากของสัตว์ร้าย และจากปากของผู้เผยพระวจนะเท็จ พวกมันเป็น วิญญาณของผีมารที่ทําหมายสําคัญต่างๆ มันออกไปหาปวงกษัตริย์ทั่วโลกเพื่อระดมกษัตริย์เหล่า นั้นมาทําสงครามในวันยิ่งใหญ่แห่งพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ “ดูเถิด เราจะมาเหมือนขโมยที่มาโดยไม่มีใครคาดคิด ความสุขมีแก่ผู้ที่ตื่นอยู่และแต่งตัว เตรียมพร้อมเพื่อพวกเขาจะได้ไม่ต้องเดินเปลือยกายให้อับอายขายหน้า” แล้ววิญญาณชั่วทั้งสามก็ระดมกษัตริย์ทั้งหลายมาชุมนุมกันในที่ซึ่งภาษาฮีบรูเรียกว่า อารมาเกดโดน ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเทขันของตนลงในอากาศและมีเสียงมาจากพระที่นั่งในพระวิหารว่า “สําเร็จแล้ว!” จากนั้นเกิดฟ้าแลบแวบวาบ เสียงครืนๆ เสียงฟ้าร้องกึกก้อง และแผ่นดินไหว ครั้งรุนแรงนับตั้งแต่มนุษย์อยู่บนโลกมาไม่เคยมีแผ่นดินไหวร้ายแรงเช่นครั้งนี้เลย มหานครแยก ออกเป็นสามส่วน เมืองใหญ่ๆ ของประเทศต่างๆ พังทลายลง พระเจ้าทรงจดจําบาปของบาบิโลน มหานครได้ พระองค์ทรงให้มันดื่มจากถ้วยที่เต็มด้วยเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธอันใหญ่หลวงของ พระองค์ เกาะทุกเกาะและภูเขาทุกลูกจมหายไปหมด ลูกเห็บมหึมาตกจากฟ้าใส่ผู้คน แต่ละ ก้อนหนักราว 50 กิโลกรัม และพวกเขาแช่งด่าพระเจ้าเพราะภัยพิบัติจากลูกเห็บนี้ร้ายแรงยิ่งนัก 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนสัตว์ร้าย
่งในทูตสวรรค์เจ็ดองค์ซึ่งถือขันทั้งเจ็ดนั้นมาบอกข้าพเจ้าว่า “มาเถิด จะให้ดูการลงโทษ 17 หนึ หญิงโสเภณีตัวฉกาจผู้นั่งบนห้วงน้ํา มากหลาย บรรดากษัตริย์ทั่วโลกล่วงประเวณีกับนาง 2
และชาวโลกทั้งหลายก็มัวเมาไปกับเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของนาง” แล้วทูตสวรรค์องค์นน้ั ได้ให้ขา้ พเจ้าเห็นนิมติ พระวิญญาณทรงนําข้าพเจ้าเข้าไปในถิน่ กันดาร ที่ นัน่ ข้าพเจ้าเห็นผูห้ ญิงคนหนึง่ นัง่ อยูบ่ นสัตว์รา้ ยสีแดงเข้ม สัตว์นม้ี ชี อ่ื อันเป็นคําหมิน่ ประมาทพระเจ้า เต็มไปทัง้ ตัว มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา หญิงนัน้ นุง่ ห่มผ้าสีมว่ งและสีแดงเข้ม ตัวนางแพรวพราวไป ด้วยเครือ่ งทอง เพชรนิลจินดาและไข่มกุ นางถือถ้วยทองคําอันเต็มไปด้วยสิง่ น่าสะอิดสะเอียนและ ของโสโครกแห่งการล่วงประเวณีของนาง มีสมญานามเขียนไว้ทห่ี น้าผากของนางว่า 3
4
5
480 | วิวรณ 16:4
ความลี้ลับ บาบิโลนมหานคร มารดาแห่งหญิงโสเภณี และสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหลายของโลก ข้าพเจ้าเห็นหญิงนั้นเมามายด้วยเลือดของประชากรของพระเจ้าและเลือดของผู้ที่เป็นพยานเพื่อ พระเยซูเมื่อข้าพเจ้าเห็นนางแล้วก็ประหลาดใจยิ่งนัก แล้วทูตนั้นกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เหตุใด ท่านจึงประหลาดใจ? ข้าพเจ้าจะอธิบายความลี้ลับของหญิงนั้นกับสัตว์ร้ายเจ็ดหัวสิบเขาที่นางขี่ให้ ฟัง สัตว์ร้ายที่ท่านได้เห็นนั้น ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอยู่ แต่บัดนี้ไม่มี มันจะขึ้นมาจากนรกขุมลึกและ ไปสู่ความพินาศของมัน ชาวโลกทั้งหลายซึ่งไม่มีชื่ออยู่ในหนังสือแห่งชีวิตนับตั้งแต่ทรงสร้างโลก จะประหลาดใจเมื่อเห็นสัตว์ร้ายนี้ เพราะครั้งหนึ่งมันเคยมีชีวิตอยู่และบัดนี้ไม่มี แต่มันจะมาใน อนาคต “ในเรื่องนี้ต้องใช้ปัญญาตริตรอง เจ็ดหัวคือเนินเขาเจ็ดยอดที่หญิงนั้นนั่งอยู่ ทั้งยังหมายถึง กษัตริย์เจ็ดองค์ ซึ่งห้าองค์ล่วงไปแล้ว องค์หนึ่งเป็นอยู่ อีกองค์หนึ่งยังไม่มา แต่เมื่อมาแล้วจะอยู่ เพียงชั่วระยะหนึ่ง สัตว์ร้ายซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอยู่แต่บัดนี้ไม่มีคือกษัตริย์องค์ที่แปด มันร่วมใน กลุ่มของกษัตริย์ทั้งเจ็ดองค์ด้วยและกําลังจะไปสู่ความพินาศของมัน “ส่วนเขาทั้งสิบที่เห็นนั้นคือกษัตริย์สิบองค์ที่ยังไม่ได้ครองราชย์ แต่จะได้รับอํานาจในฐานะ กษัตริย์ร่วมกับสัตว์ร้ายนั้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาจะมีมติเป็นเอกฉันท์ให้มอบฤทธิ์เดชและ อํานาจแก่สัตว์ร้ายนั้น พวกเขาจะทําศึกกับพระเมษโปดก แต่พระเมษโปดกจะทรงพิชิตพวกเขา เพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและสาวก ผู้สัตย์ซื่อที่พระองค์ทรงเรียกและทรงเลือกไว้จะอยู่กับพระองค์” แล้วทูตนั้นกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “น้ํามากหลายที่ท่านเห็นหญิงโสเภณีนั้นนั่งอยู่คือเผ่าพันธุ์ หมู่ คน ชนชาติ และภาษาต่างๆ สัตว์ร้ายและสิบเขาที่ท่านได้เห็นจะเกลียดชังหญิงโสเภณีนั้น พวก มันจะทําลายและปล่อยให้นางเปลือยเปล่า จะกินเนื้อของนางและเผานางด้วยไฟ เพราะพระเจ้า ทรงดลใจพวกเขาให้ทําตามพระดําริของพระองค์ โดยให้พวกเขาเห็นพ้องกันที่จะมอบอํานาจการ ปกครองของเขาให้แก่สัตว์ร้ายนั้นจนกว่าจะเป็นจริงตามพระวจนะของพระเจ้า หญิงที่ท่านได้ เห็นนั้นคือนครใหญ่ซึ่งปกครองบรรดากษัตริย์ของโลก” 6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
บาบิโลนล่ม
18
หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ทูตนี้มีอํานาจยิ่งใหญ่และ รัศมีของท่านทําให้โลกสว่างไสว ท่านประกาศด้วยเสียงกึกก้องว่า “ล่มแล้ว! บาบิโลนมหานครได้ล่มสลายแล้ว! นครนี้ได้กลายเป็นเรือนปีศาจ วิวรณ์ 15 – 19 และเป็นที่สิงสู่ของวิญญาณชั่ว เป็นที่สิงสู่ของนกทุกชนิดที่เป็นมลทินและ ในบทนีเ้ ราจะได้อา่ นเกีย่ วกับการ น่าชิงชัง พิพากษาของพระเจ้า วิบตั ทิ ง้ั เจ็ด เพราะมวลประชาชาติได้ดื่มเหล้าองุ่นแห่งการ (หรือขันทองทัง้ เจ็ดแห่งพระพิโรธ ล่วงประเวณีของมัน ของพระเจ้า) เป็นสัญลักษณ์แห่งการ ซึ่งทําให้คลุ้มคลั่งไป พิพากษาของพระเจ้า (การลงโทษ บรรดากษัตริย์ของโลกร่วมประเวณีกับมัน ของพระองค์) และพ่อค้าทั้งหลายของโลกร่ํารวยขึ้นด้วย ความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยของมัน” 2
3
วิวรณ 18:3 | 481
แล้วข้าพเจ้าได้ยินอีกเสียงหนึ่งดังมาจากสวรรค์ ว่า “ประชากรของเราเอ๋ย ออกมาจากนครนั้นเถิด เพื่อเจ้าจะได้ไม่มีส่วนร่วมในบาปผิดของมัน เพื่อเจ้าจะได้ไม่ต้องรับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับมัน เพราะบาปของนครนั้นกองสูงขึ้นถึงสวรรค์แล้ว พระเจ้าทรงจดจําความผิดอันชั่วร้ายของมันได้ จงคืนให้แก่มันเหมือนกับที่มันได้ให้ผู้อื่น จงคืนสนองมันสองเท่าของสิ่งที่มันได้ทํา จงผสมเหล้าให้แรงเป็นสองเท่าของถ้วยที่มันให้คนอื่น มันฟุ้งเฟ้อบํารุงบําเรอตัวเองเท่าใด จงให้ทุกข์โศกความทรมานแก่มันเท่านั้น มันลําพองใจว่า ‘ข้านั่งบัลลังก์เป็นราชินี ข้าไม่ใช่หญิงม่าย ข้าจะไม่มีวันทุกข์โศก’ ฉะนั้นภายในวันเดียวภัยพิบัติต่างๆ จะจู่โจมนครนั้น คือความตาย ความทุกข์โศก และความอดอยาก มันจะถูกไฟเผาวอดวาย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพิพากษามันนั้นทรงฤทธิ์ “เมื่อบรรดากษัตริย์ของโลกที่ร่วมประเวณีและร่วมฟุ้งเฟ้อกับนครนั้นเห็นควันไฟที่เผามัน พวก เขาจะร่ําไห้และไว้อาลัยให้นครนั้น พวกเขากลัวภัยแห่งความทุกข์ทรมานของมันจึงยืนอยู่ห่างๆ และร้องว่า “ ‘วิบัติ! วิบัติแล้ว โอ มหานคร โอ บาบิโลน นครซึ่งเรืองอํานาจ! เพียงชั่วโมงเดียวความพินาศย่อยยับก็มาถึงเจ้า!’ “พ่อค้าทั้งหลายของโลกจะร่ําไห้ไว้อาลัยนครนั้นเพราะไม่มีใครซื้อสินค้าของเขาอีกแล้ว คือ ทองคํา เงิน เพชรพลอยและไข่มุก ผ้าลินินเนื้อดี ผ้าสีม่วง ผ้าไหมและผ้าสีแดงเข้ม ไม้หอมทุกชนิด และผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากงาช้าง ไม้ราคาแพง ทองสัมฤทธิ์ เหล็กและหินอ่อน สินค้าอื่นๆ คือ อบเชย เครื่องเทศ เครื่องหอม มดยอบ กํายาน เหล้าองุ่น น้ํามันมะกอก แป้งละเอียด ข้าวสาลี วัว แกะ ม้า รถม้า ร่างกายและวิญญาณมนุษย์ “เขาทั้งหลายจะกล่าวว่า ‘ผลที่เจ้าใฝ่หาได้พ้นมือเจ้าไปแล้ว ทรัพย์สมบัติและความหรูหรา ทั้งปวงของเจ้าได้สูญสิ้นไปแล้ว มันไม่มีวันฟื้นตัวขึ้นมาอีกแล้ว’ บรรดาพ่อค้าที่ร่ํารวยจากการ ขายสินค้าให้นครนั้นจะยืนอยู่ห่างๆ เพราะกลัวภัยแห่งความทุกข์ทรมานของมัน พวกเขาจะร่ําไห้ ไว้อาลัย และร้องว่า “ ‘วิบัติ! วิบัติแล้ว โอ มหานคร เจ้านุ่งห่มผ้าลินินเนื้อดี ผ้าสีม่วง และผ้าสีแดงเข้ม แพรวพราวด้วยทองคํา เพชรพลอย และไข่มุก เพียงชั่วโมงเดียวทรัพย์สมบัติอลังการทั้งหลายก็ได้ถูกทําลายย่อยยับไป!’ “นายเรือทุกคน ผู้โดยสาร ลูกเรือ และคนทั้งปวงที่หาเลี้ยงชีพจากทะเลจะยืนอยู่ห่างๆ เมื่อ เห็นควันที่เผานครนั้นพวกเขาจะร้องว่า ‘เคยมีนครไหนบ้างที่เหมือนนครยิ่งใหญ่นี้?’ พวกเขาจะ โปรยผงคลีใส่ศีรษะของตน ร่ําไห้คร่ําครวญ และร้องว่า 4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
482 | วิวรณ 18:4
“ ‘วิบัติ! วิบัติแล้ว โอ มหานคร ที่นี่ทําให้ทุกคนผู้มีเรือเดินทะเล ร่ํารวยด้วยความมั่งคั่งของมัน เพียงชั่วโมงเดียวมันก็ถูกทําลายย่อยยับไป!’ “สวรรค์เอ๋ย จงชื่นชมยินดีเนื่องด้วยนครนี้! ประชากรของพระเจ้า อัครทูต และผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย จงเปรมปรีดิ์เถิด! พระเจ้าทรงพิพากษา ลงโทษนครนี้ให้ท่านแล้ว” จากนั้นทูตสวรรค์ผู้ทรงฤทธิ์องค์หนึ่งยกหินก้อนขนาดเท่าหินโม่ใหญ่ทุ่มลงในทะเลแล้วกล่าว 20
21
ว่า
22
23
24
“บาบิโลนมหานครจะถูกทุ่มลง ด้วยความรุนแรงเช่นนี้แหละ จะไม่มีใครพบเห็นมันอีกเลย จะไม่มีใครได้ยินเสียงดนตรีจากนักพิณและ นักดนตรี คนเป่าขลุ่ยและคนเป่าแตรในนครนี้อีกเลย จะไม่พบช่างสาขาใดๆ ในนครนี้อีกแล้ว จะไม่มีเสียงโม่แป้งให้ได้ยิน ในนครนี้อีกต่อไป จะไม่มีแสงตะเกียง ในนครนี้อีกแล้ว จะไม่ได้ยินเสียงของบ่าวสาว ในนครนี้อีกต่อไป สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะพ่อค้าทั้งหลายของเจ้าได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของโลก เจ้าได้ใช้มนต์สะกดมวลประชาชาติให้หลงไป ในนครนี้เขาได้พบเลือดของเหล่าผู้เผยพระวจนะและเลือดของประชากรของพระเจ้า และเลือดของคนทั้งปวงที่ถูกฆ่าบนแผ่นดินโลก”
สรรเสริญพระเจ้า!
19 จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงกึกก้องราวกับเสียงผู้คนเป็นอันมากในสวรรค์ร้องตะโกนว่า “ฮาเลลูยา! ความรอดมาจากพระเจ้าของเรา พระองค์ทรงพระเกียรติสิริและเดชานุภาพ เพราะบรรดาการพิพากษาของพระองค์เที่ยงธรรมและเที่ยงแท้ พระองค์ทรงตัดสินโทษหญิงโสเภณีตัวฉกาจนั้นแล้ว ผู้ซึ่งทําให้โลกเสื่อมทรามด้วยการล่วงประเวณีของนาง พระองค์ทรงให้นางชดใช้เลือดของผู้รับใช้ของพระองค์แล้ว” และพวกเขาร้องตะโกนอีกครั้งว่า “ฮาเลลูยา! ควันไฟจากนครนั้นพลุ่งขึ้นสืบๆ ไปเป็นนิตย์” 2
3
วิวรณ 19:3 | 483
วิวรณ์ 19:7 หลังจากที่พระเยซูทรงเสด็จกลับมา จะมีการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ จ๊ะจ๋า คิดว่ามันอาจจะเหมือนกับงานแต่งงานก็ได้ ให้น้อง ๆ พูดคุยเกี่ยวกับงาน แต่งงานที่สวยงามที่น้อง ๆ เคยเข้าร่วม แล้วให้นึกถึงการเฉลิมฉลองในสวรรค์ ทําไม การเฉลิมฉลองนี้จึงเปรียบเหมือนกับงานแต่งงาน? จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง? ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่หมอบกราบนมัสการพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่ง และ ร้องว่า “อาเมน ฮาเลลูยา!” แล้วมีเสียงหนึ่งดังจากพระที่นั่งกล่าวว่า “ท่านทั้งปวงที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ที่ยําเกรงพระองค์ ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย จงสรรเสริญพระเจ้าของเรา” จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงคล้ายเสียงผู้คนมากมายเหมือนเสียงน้ําเชี่ยวกรากและเหมือนเสียง ฟ้าร้องกึกก้องตะโกนว่า “ฮาเลลูยา! เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ของเราทรงครอบครองอยู่ ให้เราทั้งหลายชื่นชมยินดีและเปรมปรีดิ์ และถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์! เพราะถึงกําหนดอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์เตรียมตัวพร้อมแล้ว ทรงให้เจ้าสาวสวมชุดผ้าลินินเนื้อดี ที่สะอาดสดใสแล้ว” (ผ้าลินินเนื้อดีหมายถึงการประพฤติอันชอบธรรมของประชากรของพระเจ้า) แล้วทูตสวรรค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่า “จงเขียนว่า ‘ความสุขมีแก่บรรดาผู้ที่ได้รับเชิญมายังงาน เลี้ยงฉลองอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก!’ ” และทูตนั้นกล่าวอีกว่า “สิ่งเหล่านี้เป็นพระวจนะ แท้ของพระเจ้า” ถึงตรงนี้ข้าพเจ้าหมอบลงแทบเท้าทูตสวรรค์เพื่อนมัสการ แต่ทูตนั้นกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “อย่า ทําเช่นนั้น! เราเป็นเพื่อนผู้รับใช้ร่วมกับท่านและร่วมกับพี่น้องของท่านที่ยึดมั่นในคําพยานเรื่อง พระเยซู จงนมัสการพระเจ้า! เพราะคําพยานเรื่องพระเยซูนั้นคือหัวใจของการเผยพระวจนะ” 4
5
6
7
8
9
10
484 | วิวรณ 19:4
ผู้ทรงม้าขาว
ข้าพเจ้าเห็นฟ้าสวรรค์เปิดอยู่และมีม้าขาวตัวหนึ่งยืนอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ ผู้ทรงม้านั้นคือพระผู้สัตย์ซื่อและเที่ยงแท้ พระองค์ทรงพิพากษาและสู้ศึกด้วยความยุติธรรม พระเนตรของพระองค์ดุจไฟโชติช่วง บนพระเศียรมีมงกุฎหลายอัน ทรงมีพระนามจารึกไว้ บนพระกาย ไม่มีผู้ใดรู้จักพระนามนั้นเลยนอกจากพระองค์เอง ทรงฉลองพระองค์ซึ่งได้จุ่มใน เลือด และพระนามของพระองค์คือพระวาทะของพระเจ้า บรรดากองทัพสวรรค์สวมอาภรณ์ผ้า ลินินเนื้อดีขาวสะอาดนั่งบนหลังม้าขาวกําลังตามเสด็จพระองค์ไป พระแสงคมกริบออกมาจาก พระโอษฐ์ของพระองค์ ทรงใช้พระแสงนี้ฟาดฟันประชาชาติ “พระองค์จะทรงปกครองพวกเขา ด้วยคทาเหล็ก” พระองค์ทรงเหยียบย่ําองุ่นในบ่อย่ําแห่งพระพิโรธเกรี้ยวกราดของพระเจ้าผู้ทรง ฤทธิ์ ที่เสื้อคลุมและต้นขาจารึกพระนามของพระองค์ว่า กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย เจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งยืนอยู่ที่ดวงอาทิตย์ร้องเสียงดังประกาศแก่นกทั้งมวลซึ่ง บินอยู่กลางอากาศว่า “จงมาร่วมชุมนุมกันในงานเลี้ยงใหญ่ของพระเจ้า เพื่อเจ้าจะได้กินเนื้อของ กษัตริย์ เนื้อของขุนพลและนายทหาร เนื้อม้าและเนื้อคนขี่ม้า และเนื้อประชาชนทั้งปวง เนื้อของ ทาสและไท เนื้อของผู้ใหญ่และผู้น้อย” แล้วข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายนั้นกับบรรดากษัตริย์ของโลกพร้อมทั้งกองทัพของพวกเขามาชุมนุม กันเพื่อรบกับพระองค์ผู้ทรงม้าขาวและกองทัพของพระองค์ แต่สัตว์ร้ายนั้นถูกจับพร้อมด้วย ผู้เผยพระวจนะเท็จซึ่งได้ทําหมายสําคัญแทนสัตว์ร้ายนั้น ด้วยหมายสําคัญเหล่านี้เขาได้ล่อลวง บรรดาผู้ที่ได้รับเครื่องหมายของสัตว์ร้ายนั้นและได้กราบนมัสการรูปจําลองของมัน ทั้งสัตว์ร้าย และผู้เผยพระวจนะเท็จถูกโยนลงในบึงไฟกํามะถันลุกโชนทั้งเป็น ส่วนพวกที่เหลือถูกฆ่าด้วย พระแสงดาบซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ผู้ทรงม้าขาว แล้วนกทั้งปวงก็รุมทึ้งกินเนื้อคน เหล่านั้น 11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
ช่วงพันปี
ทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ถือกุญแจนรกขุมลึกและโซ่เส้นใหญ่ในมือ 20 ข้ทูาตพเจ้นั้นาจัเห็บนพญานาคคื องูดึกดําบรรพ์ผู้เป็นมารหรือซาตานล่ามมันไว้พันปี ท่านโยนมันลง 2
3
ในนรกขุมลึก ลั่นกุญแจประทับตราเพื่อไม่ให้มันออกมาล่อลวงประชาชาติต่างๆ ได้อีกจนกว่าจะ ครบพันปี หลังจากนั้นต้องปล่อยมันออกมาชั่วระยะสั้นๆ ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์ต่างๆ ซึ่งผู้ที่นั่งบนบัลลังก์นั้นคือบรรดาผู้ได้รับอํานาจให้พิพากษา และ 4
วิวรณ์ 20:1–3 น้อง ๆ คิดว่าเราจะรู้สึกอย่างไรถ้ามีสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่กําลังโกรธวิ่งเข้ามาหาเรา? สี อะไรที่แสดงถึงความรู้สึกของน้อง ๆ? (หน้า 11) แล้วเราจะรู้สึกอย่างไรถ้าเจ้าของสุนัขล่ามโซ่มันไว้? มันแตกต่างกับสุนัขที่ไม่ได้ล่ามโซ่ ไว้อย่างไร? สีอะไรที่แสดงถึงความรู้สึกของน้อง ๆ? (หน้า 11) พระเยซูทรงมีชัยชนะเหนือมารและล่ามมันไว้ด้วยโซ่ น้อง ๆ รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับสิ่ง นี้? สีอะไรที่แสดงถึงความรู้สึกของน้อง ๆ? (หน้า 11) วิวรณ 20:4 | 485
ข้าพเจ้าเห็นดวงวิญญาณของบรรดาผู้ถูกตัดหัวเนื่องจากเป็นพยานเพื่อพระเยซูและเนื่องด้วย พระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้กราบนมัสการสัตว์ร้ายหรือรูปจําลองของมันและไม่ได้รับ เครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือ คนเหล่านี้คืนชีวิตเป็นขึ้นมาใหม่และครอบครองร่วมกับ พระคริสต์พันปี (ส่วนผู้ตายอื่นๆ ยังไม่กลับมีชีวิตจนกว่าจะสิ้นพันปีนั้น) นี่คือการเป็นขึ้นจากตาย ครั้งแรก ผู้ร่วมในการเป็นขึ้นจากตายครั้งแรกนี้ก็เป็นสุขและบริสุทธิ์ ความตายครั้งที่สองจะไม่มี อํานาจเหนือคนเหล่านี้ พวกเขาจะเป็นปุโรหิตของพระเจ้าและของพระคริสต์ และจะครอบครอง ร่วมกับพระองค์เป็นเวลาพันปี 5
6
วิวรณ์ 20 – 22
ซาตานพินาศ
เมื่อพันปีล่วงไปแล้ว ซาตานจะถูกปล่อยออกจากที่ คุมขัง มันจะออกไปล่อลวงบรรดาประชาชาติทั่วสี่มุม โลกที่เรียกว่าโกกและมาโกก ระดมพวกเขามาทําศึก คนพวกนี้มีจํานวนมากมายเหมือนเม็ดทรายที่ชายฝั่ง ทะเล พวกเขากรีธาทัพข้ามโลกมาล้อมค่ายของ ประชากรของพระเจ้า คือนครซึ่งพระองค์ทรงรักนั้น แต่ไฟจากสวรรค์ลงมาเผาผลาญพวกเขาเสียสิ้น และ พญามารที่ล่อลวงพวกเขาก็ถูกโยนลงในบึงไฟกํามะถัน ที่ลุกโชน ที่ซึ่งสัตว์ร้ายกับผู้เผยพระวจนะเท็จถูกโยน ลงไปก่อนแล้ว พวกมันจะทนทุกข์ทรมานทั้งกลางวัน กลางคืนสืบๆ ไปเป็นนิตย์ 7
8
9
10
เมื่อพระเยซูทรงเสด็จกลับมาและ จะทรงพิพากษาทุกคนบนโลกนี้ ทุก สิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไป มารซาตาน จะได้รับการลงโทษ พระองค์จะทรง โยนมันลงไปในบึงไฟ และพระเจ้า จะทรงสร้างท้องฟ้าใหม่และแผ่นดิน โลกใหม่ ลูก ๆ ของพระองค์จะได้ อยู่กับพระเยซูบนแผ่นดินโลกใหม่ที่ สวยงาม มันจะสวยงามเกินกว่าที่เรา สามารถจินตนาการได้
การพิพากษาคนตาย
แล้วข้าพเจ้าเห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาวพร้อมทั้งผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งนั้น เมื่อพระองค์ทรง ปรากฏ แผ่นดินโลกและท้องฟ้าก็หายไป ไม่มีที่สําหรับทั้งสองสิ่งนี้แล้ว และข้าพเจ้าเห็นบรรดา ผู้ตายทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง หนังสือเล่มต่างๆ เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิด ออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต และผู้ที่ตายแล้วทั้งหมดก็ถูกพิพากษาตามการกระทําของตนตามที่ บันทึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น ทะเลคืนคนตายที่อยู่ในทะเล ความตายและแดนมรณาก็คืนคนตาย ที่อยู่ในนั้นและแต่ละคนถูกพิพากษาตามการกระทําของตน แล้วความตายและแดนมรณาก็ถูก โยนลงในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละคือความตายครั้งที่สอง ถ้าผู้ใดไม่ได้มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตผู้ นั้นต้องถูกทิ้งลงในบึงไฟ 11
12
13
14
15
เยรูซาเล็มใหม่
าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มี 21 อีและข้ กแล้ว ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจาก 2
สวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี และข้าพเจ้า ได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิต กับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและ เป็นพระเจ้าของพวกเขา พระองค์จะทรงซับน้ําตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือ การคร่ําครวญ หรือการร่ําไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไป แล้ว” พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นตรัสว่า “เรากําลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่!” และตรัสอีกว่า “จง เขียนสิ่งนี้ลงไปเพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้” พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สําเร็จแล้ว เราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใด กระหาย เราจะให้ผู้นั้นดื่มจากธารน้ําพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย ผู้ที่มีชัยชนะจะได้รับ 3
4
5
6
7
486 | วิวรณ 20:5
วิวรณ์ 21:9–22:5 ยอห์นเรียกแผ่นดินโลกใหม่ว่ากรุงเยรูซาเล็มใหม่ ท่านคิดว่าแผ่นดินโลกใหม่จะมี ลักษณะเหมือนกับเมืองใหม่ที่สวยงาม อ่านวิวรณ์ 21:9–27 และวิวรณ์ 22:1–5 ให้น้อง ๆ วาดรูปเมืองที่มีแม่น้ําของชีวิต น้องๆ รู้หรือเปล่าว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดของเมืองนี้? พระเยซูกําลังจะไปอยู่กับลูก ๆ ของพระองค์ และที่นั่นจะไม่มีความโศกเศร้า ความเจ็บป่วย หรือความทุกข์อีกต่อไป (วิวรณ์ 21:3–4) ทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของเขาและเขาจะเป็นบุตรของเรา ส่วนคนขี้ขลาด ตาขาว คนที่ไม่เชื่อ คนชั่วช้า ฆาตกร คนผิดศีลธรรมทางเพศ คนใช้คาถาอาคม คนกราบไหว้รูป เคารพ และคนทั้งปวงที่พูดโกหก ที่ของเขาคือบึงไฟกํามะถันลุกโชน นั่นคือความตายครั้งที่สอง” หนึ่งในทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่ถือขันแห่งภัยพิบัติเจ็ดประการสุดท้ายนั้นมาบอกข้าพเจ้าว่า “มา เถิด เราจะให้ท่านดูเจ้าสาว คู่อภิเษกของพระเมษโปดก” โดยพระวิญญาณทูตนั้นนําข้าพเจ้า ไปที่ภูเขาสูงใหญ่ และสําแดงให้ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอย ลงมาจากสวรรค์ นครนั้นเปล่งประกายด้วยพระเกียรติสิริของพระเจ้าส่องแสงเจิดจ้าดั่งแสง อัญมณีล้ําค่าเช่นโมราใสกระจ่างดั่งแก้ว นครนั้นมีกําแพงสูงใหญ่ มีสิบสองประตู แต่ละประตู มีทูตสวรรค์หนึ่งองค์ประจําอยู่ บนประตูแต่ละประตูจารึกชื่อตระกูลหนึ่งในอิสราเอลสิบสองเผ่า ด้านตะวันออกมีสามประตู ด้านเหนือมีสามประตู ด้านใต้มีสามประตูและด้านตะวันตกมีสาม ประตู กําแพงนครนั้นมีสิบสองฐานและบนฐานเหล่านั้นจารึกชื่ออัครทูตทั้งสิบสองคนของ พระเมษโปดก ทูตสวรรค์องค์ที่พูดกับข้าพเจ้าถือไม้วัดทองคําเพื่อวัดขนาดของนครนั้นและประตูกับกําแพง นครนั้นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวเท่ากัน เขาเอาไม้วัดระยะนครนั้นได้ 12,000 ซทาดิออน ความกว้างความสูงเท่ากับความยาว เขาวัดความหนาของกําแพงได้ 144 ศอกตามมาตรา วัดของมนุษย์ซึ่งทูตสวรรค์ใช้ กําแพงก่อด้วยโมรา ส่วนนครนั้นสร้างจากทองคําบริสุทธิ์ สุกใส ดั่งแก้ว ฐานรากของกําแพงประดับด้วยอัญมณีล้ําค่านานาชนิด ฐานที่หนึ่งคือโมรา ฐานที่สอง คือพลอยสีน้ําเงิน ฐานที่สามคือพลอยสีเขียว ฐานที่สี่คือมรกต ฐานที่ห้าคือโกเมน ฐานที่หกคือ พลอยหลากสี ฐานที่เจ็ดคือพลอยสีเขียวเหลือง ฐานที่แปดคือพลอยสีน้ําเงินเขียว ฐานที่เก้าคือ บุษราคัม ฐานที่สิบคือหยก ฐานที่สิบเอ็ดคือพลอยสีแดงส้ม ฐานที่สิบสองคือพลอยสีม่วง ประตู ทั้งสิบสองทําด้วยไข่มุกขนาดใหญ่ประตูละเม็ด ถนนในเมืองทําด้วยทองคําเนื้อดีสุกปลั่งดั่งแก้วใส ข้าพเจ้าไม่เห็นพระวิหารในนครนี้เลยเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์และ พระเมษโปดกคือวิหารแห่งนคร นครนี้ไม่ต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ เพราะ พระเกียรติสิริของพระเจ้าคือแสงสว่าง และพระเมษโปดกคือดวงประทีปแห่งนครนี้ นานา ประชาชาติจะดําเนินในแสงสว่างของนครนี้ และเหล่ากษัตริย์ของโลกจะนําความโอ่อ่าอลังการ ของตนเข้ามาในนครนี้ ประตูนครไม่เคยปิดเลยสักวันเพราะที่นั่นไม่มีกลางคืน ประชาชาติทั้ง หลายจะนําเกียรติและศักดิ์ศรีเข้ามาในนคร สิ่งใดๆ ที่เป็นมลทิน หรือผู้ทําสิ่งที่น่าละอายหรือ โป้ปดมุสาจะไม่มีวันได้เข้าในนครนั้นเลย เฉพาะผู้มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดก เท่านั้นจึงจะเข้าได้ 8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
วิวรณ 21:27 | 487
วิวรณ์ 22:12–15 เมื่อครั้งที่พระเยซูทรงอยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงได้อธิบายถึงสิ่งที่พระองค์ กระทําเพื่อเรา ในพระกิตติคุณยอห์น พระเยซูได้กล่าวถึงเจ็ดครั้งว่า “เราเป็น” และ ยอห์นยังได้เพิ่มคําว่า “เราเป็น” นี้ลงไปอีกสามครั้งในวิวรณ์บทที่ 22 ให้น้อง ๆ เขียน รายชื่อของคํากล่าวของพระเยซู แล้ววาดภาพในแต่ละข้อ อย่าลืมใส่หนังสืออ้างอิงล่ะ น้อง ๆ สามารถค้นพบได้ใน ยอห์น 6:35, 8:12, 10:9, 10:11, 11:25, 14:6, 15:5 วิวรณ์ 22:13, 22:16, 22:16
แม่น้ําแห่งชีวิต
วทูตนั้นสําแดงให้ข้าพเจ้าเห็นแม่น้ําที่มีน้ําแห่งชีวิตใสดั่งแก้วไหลจากพระที่นั่งของ 22 แล้ พระเจ้าและพระเมษโปดก ลงมากลางถนนใหญ่ของนครนั้น สองฟากแม่น้ํามีต้นไม้แห่ง 2
ชีวิตซึ่งออกผลสิบสองครั้ง คือออกผลทุกๆ เดือน และใบของต้นไม้นั้นใช้รักษาบรรดาประชาชาติ ให้หาย ไม่มีการสาปแช่งใดๆ อีกต่อไป พระที่นั่งของพระเจ้าและพระเมษโปดกจะตั้งอยู่ในนคร นั้นและบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะปรนนิบัติพระองค์ เขาทั้งหลายจะเห็นพระพักตร์ของ พระองค์และมีพระนามของพระองค์ประทับบนหน้าผากของพวกเขา จะไม่มีกลางคืนอีกแล้ว เขา ทั้งหลายไม่ต้องการแสงตะเกียงหรือแสงแดดเพราะพระเจ้าผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทาน ความสว่างแก่พวกเขาและพวกเขาจะครอบครองสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ทูตนั้นกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “ข้อความเหล่านี้จริงแท้และเชื่อถือได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า แห่งดวงวิญญาณของเหล่าผู้เผยพระวจนะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาสําแดงแก่บรรดาผู้รับ ใช้ของพระองค์ให้เห็นสิ่งต่างๆ ที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้านี้” 3
4
5
6
พระเยซูกําลังจะเสด็จมา
“ดูเถิด เราจะมาในไม่ช้า! ความสุขมีแก่ผู้ที่ยึดถือคําเผยพระวจนะในหนังสือนี้” ข้าพเจ้ายอห์นคือผู้ได้ยินได้เห็นสิ่งเหล่านี้ และเมื่อเห็นแล้วได้ยินแล้วข้าพเจ้าก็หมอบลงเพื่อ นมัสการแทบเท้าทูตสวรรค์ผู้สําแดงแก่ข้าพเจ้า แต่ทูตนั้นบอกข้าพเจ้าว่า “อย่าทําเช่นนี้! เราเป็น เพื่อนผู้รับใช้ร่วมกับท่านและร่วมกับพี่น้องของท่าน คือเหล่าผู้เผยพระวจนะและคนทั้งปวงที่ถือ รักษาถ้อยคําในหนังสือนี้ จงนมัสการพระเจ้าเถิด!” 7 8
9
488 | วิวรณ 22:1
แล้วทูตนั้นบอกข้าพเจ้าว่า “อย่าปิดผนึกคําเผย วิวรณ์ 22:20–21 พระวจนะในหนังสือนี้เพราะใกล้จะถึงเวลาแล้ว ผู้ที่ ทําผิดก็ให้ทําผิดต่อไป ผู้ที่ชั่วช้าก็ให้ชั่วช้าต่อไป ผู้ที่ทํา หนังสือเล่มสุดท้ายในพระคัมภีร์จะ สิ่งที่ถูกต้องก็ให้ทําสิ่งที่ถูกต้องต่อไป และผู้ที่บริสุทธิ์ก็ เริ่มต้นและจบลงด้วยพันธสัญญา ให้รักษาตัวให้บริสุทธิ์ต่อไป” •ว่าผู้ที่อ่านมันและรับไปด้วยหัวใจ “ดูเถิด เราจะมาในไม่ช้านี้! บําเหน็จอยู่ที่เราและ จะได้รับการอวยพร (วิวรณ์ 1:3) •พระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกครั้ง เราจะให้แก่ทุกคนตามการกระทําของเขา เราคือ เป็นเรื่องที่มั่นใจได้! อัลฟาและโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็น •พระคุณและความเมตตาของพระ ปฐมและอวสาน “ความสุขมีแก่บรรดาผู้ชําระเสื้อผ้าของตนเพื่อเขา เยซูจะอยู่กับเราเสมอ ความรักและ ความเมตตาของพระองค์ไม่มีวัน จะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิตและผ่านประตูเข้าสู่นคร สิ้นสุด พระองค์ทรงอภัยบาปของ นั้นได้ พวกที่อยู่ภายนอกคือสุนัข คนที่ใช้คาถาอาคม เรา และเราจะกลายเป็นลูกของ คนที่ผิดศีลธรรมทางเพศ ฆาตกร คนกราบไหว้รูป พระองค์เมื่อเราเชื่อในพระองค์ เคารพ และทุกคนที่รักการมุสาและประพฤติตามนั้น พระองค์อยู่กับลูก ๆ ของพระองค์ “เรา เยซู ส่งทูตสวรรค์ของเรามาเป็นพยานถึงสิ่ง เสมอ เหล่านี้แก่ท่านเพื่อคริสตจักรต่างๆ เราเป็นทายาทและ นี ่แหละคือความจริง! เป็นเชื้อสายของดาวิดและเราเป็นดาวแห่งรุ่งอรุณอัน สุกใส” พระวิญญาณและเจ้าสาวตรัสว่า “มาเถิด!” และให้ผู้ที่ได้ยินกล่าวว่า “มาเถิด!” ผู้ใดกระหาย ให้ผู้นั้นเข้ามาและผู้ใดปรารถนาให้ผู้นั้นมารับน้ําแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย ข้าพเจ้าขอเตือนทุกคนที่ได้ยินคําเผยพระวจนะในหนังสือนี้ ผู้ใดเพิ่มเติมสิ่งใดลงไป พระเจ้า จะทรงเพิ่มภัยพิบัติที่บรรยายไว้ในหนังสือนี้แก่เขา และถ้าผู้ใดตัดทอนข้อความจากคําเผยพระ วจนะนี้ พระเจ้าจะทรงตัดส่วนแบ่งของเขาในต้นไม้แห่งชีวิตและในนครบริสุทธิ์นั้นซึ่งบรรยายไว้ใน หนังสือนี้ พระองค์ผู้ทรงเป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้ตรัสว่า “แน่นอนเราจะมาในไม่ช้า” อาเมน องค์พระเยซู เจ้า โปรดเสด็จมาเถิด ขอให้พระคุณขององค์พระเยซูเจ้าดํารงอยู่กับประชากรของพระเจ้าเถิด อาเมน 10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
วิวรณ 22:21 | 489
บันทึก
บันทึก
บันทึก
บันทึก
บันทึก
บันทึก
บันทึก
á´‹¹ŒÍ§æ ·Õè໚¹à´ç¡áÅÐÇÑÂÃØ‹¹
¨Ø´àÃÔèÁµŒ¹¢Í§¤ÍÁá¾ÊªÑè¹
• ¾ÃФÑÁÀÕà ÀÒ¤¾Ñ¹¸ÊÑÞÞÒ ãËÁ‹àÅ‹Á¹Õé ¨Ñ´·íÒ¢Öé¹à»š¹¾ÔàÈÉ ÊíÒËÃѺà´ç¡áÅÐÇÑÂÃØ‹¹â´Â੾ÒÐ • à¾ÃÒÐà´ç¡áÅÐÇÑÂÃØ‹¹ ໚¹ ¤¹·ÕèÁÕ¤ÇÒÁÊíÒ¤ÑÞÁÒ¡ã¹ ¤Ãͺ¤ÃÑÇ ã¹âçàÃÕ¹ áÅÐã¹Êѧ¤Á • ÍÂ‹Ò¤Ô´Ç‹Ò µÑÇàͧäÁ‹ÊíÒ¤ÑÞ • ¾ÃФÑÁÀÕà àÅ‹Á¹Õé¨Ð·íÒãËŒ¹ŒÍ§¾ºÊÔ觴ÕÁÒ¡ÁÒ àÁ×è͹ŒÍ§Í‹Ò¹ • ᵋ¡‹Í¹Í×è¹ ÁÕÊÔè§ÊíÒ¤ÑÞÁÒ¡ 3 Í‹ҧ·ÕèÍÂÒ¡ ºÍ¡ãËŒ¹ŒÍ§ÃÙŒ ¹Ñ蹤×Í
Í‹ҧáá ¤×Í ¾ÃÐ਌ÒÃÑ¡¹ŒÍ§ • äÁ‹Ç‹Ò¹ŒÍ§¨ÐÁÕÍÒÂØà·‹ÒäËË ໚¹à´ç¡µÑÇàÅç¡ ËÃ×Í໚¹ÇÑÂÃØ‹¹áÅŒÇ ¾ÃÐ਌ҡçÃÑ¡ • äÁ‹Ç‹Ò¹ŒÍ§¨ÐÁÕ˹ŒÒµÒÂÑ§ä§ ÊÕ¼ÔÇÍÐäà ¹ÔÊÑÂ໚¹Í‹ҧäà ÍÂÙ‹ã¹ÀÒ¤ä˹ ÈÒʹÒÍÐäà ¾ÃÐ਌ҡçÃÑ¡ • ¨íÒäÇŒÇ‹Ò ¹ŒÍ§à»š¹·ÕèÃÑ¡¢Í§¾ÃÐà¨ŒÒ áÅР໚¹¤¹ÊíÒ¤ÑÞÊíÒËÃѺ¾ÃÐ਌ÒàÊÁÍ
ThaiBIBLE_Insert_4to14_2b.indd 2
6/28/16 7:19 AM
ThaiBIBL
16 7:19 AM
ThaiBIBLE_Insert_4to14_2b.indd 3
6/28/16 7:19 AM
Í‹ҧ·ÕèÊͧ ¤×Í ¾ÃÐ਌ÒãËŒ¹ŒÍ§ÁÕ¤ÇÒÁÊÒÁÒö ËÅÒÂÍ‹ҧ • • • •
áÁŒà´ç¡¨ÐµÑÇàÅç¡¡Ç‹Ò¼ÙŒãËÞ‹ ·íÒÍÐäêŒÒ¡Ç‹Ò¼ÙŒãËÞ‹ äÁ‹à¡‹§à·‹Ò¼ÙŒãËÞ‹ ᵋ·Õè¨ÃÔ§ ¾ÃÐ਌ҷçãËŒà´ç¡·Ø¡¤¹ÁÕ¤ÇÒÁÊÒÁÒö ¨íÒäÇŒÇ‹Ò ¾ÃÐ਌ÒÁÑ¡¨ÐãËŒà´ç¡áÅÐÇÑÂÃØ‹¹·íÒ§Ò¹ÊíÒ¤Ñޢͧ¾ÃÐͧ¤ ¹ŒÍ§¨Ð¤‹ÍÂæ ¤Œ¹¾º¤ÇÒÁÊÒÁÒö㹵ÑÇàͧà¾ÔèÁÁÒ¡¢Öé¹ àÁ×èÍÍ‹Ò¹ ¾ÃФÑÁÀÕà áÅзíÒµÒÁ·Õè¾ÃФÑÁÀÕà ºÍ¡
ThaiBIBLE_Insert_4to14_2b.indd 4
6/28/16 7:19 AM
ThaiBIBLE
16 7:19 AM
Í‹ҧ·ÕèÊÒÁ ¤×Í ¹ŒÍ§à»š¹µÑÇÍ‹ҧ·Õè´Õá¡‹¤¹Í×è¹ä´Œ • àÁ×è͹ŒÍ§Í‹Ò¹¾ÃФÑÁÀÕà àª×èÍ¿˜§¾ÃÐà¨ŒÒ ·íÒµÒÁ·Õè¾ÃФÑÁÀÕà Ê͹ ¹ŒÍ§¨Ð໚¹¤¹´Õã¹·Ò§¢Í§¾ÃÐà¨ŒÒ • ໚¹µÑÇÍ‹ҧ·Õè´Õ·Ñé§ã¹¤íÒ¾Ù´ ¤ÇÒÁ¤Ô´ áÅÐ ¡ÒáÃзíÒ • áÅÐÊÒÁÒö·íÒãËŒà¡Ô´ÊÔ觴յ‹Í¤¹Í×è¹·ÕèÍÂÙ‹Ãͺ¢ŒÒ§ä´Œ ·Ñ駡Ѻà¾×è͹ ¾Õè ¹ŒÍ§ ¾‹ÍáÁ‹ ªØÁª¹ áÅлÃÐà·ÈªÒµÔ • ¨íÒäÇŒÇ‹Ò àÁ×è͹ŒÍ§·íÒµÒÁ¾ÃФÑÁÀÕà ¾ÃÐ਌ҨзíÒãËŒªÕÇÔµ¢Í§¹ŒÍ§à»š¹ ¾ÃãËŒ¡Ñº¤¹Í×è¹ æ ä´Œ
ThaiBIBLE_Insert_4to14_2b.indd 5
6/28/16 7:19 AM
¾ÃÐ਌Òʹã¨áÅÐãËŒ¤ÇÒÁÊíÒ¤ÑÞã¹ µÑÇà´ç¡áÅÐÇÑÂÃØ‹¹áµ‹ÅФ¹¨ÃÔ§ æ • à´ç¡áÅÐÇÑÂÃØ‹¹·Õèàª×èÍ¿˜§¾ÃÐà¨ŒÒ ¨ÐÁÕ͹Ҥµ ·Õè´Õ áÅФ¹Ãͺ¢ŒÒ§¡ç¨Ðä´ŒÃѺÊÔ觴մŒÇ • ÊÔ觷ÕèºÍ¡ÁÒ·Ñé§ËÁ´¹Õé ¡çÁÕÍÂÙ‹ã¹¾ÃФÑÁÀÕà àÅ‹Á¹Õé • Í‹Ò¹¾ÃФÑÁÀÕà º‹Í æ áŌǹŒÍ§¨Ðä´ŒÃÙŒÇ‹Ò ¾ÃÐ਌ÒÃÑ¡¹ŒÍ§Áҡᤋä˹ ¾ÃÐ਌ÒãËŒ ¤ÇÒÁÊÒÁÒöÍÐäáѺ¹ŒÍ§ºŒÒ§ áÅйŒÍ§¨Ð ໚¹µÑÇÍ‹ҧ·Õè´Õá¡‹¤¹Í×è¹ä´ŒÍ‹ҧäúŒÒ§ • ¢Íãˌ͋ҹʹء·Ø¡Çѹ áÅÐÍ‹ÒÅ×Á àÅ‹ÒãËŒ à¾×è͹¿˜§´ŒÇÂÅ‹Ð
ThaiBIBLE_Insert_4to14_2b.indd 6
6/28/16 7:19 AM
ThaiBIBL
16 7:19 AM
ThaiBIBLE_Insert_4to14_2b.indd 7
6/28/16 7:19 AM
ขุม พระคัมภีรตามลาหาะนาตื่นเตนผานพระคําของพระเจา ระเภท สนสนุกแล ไปสูการเดินทางที่แินทางนอง ๆ จะไดพบกับผูคนหลายป เด าร งก า ๆ ในระหว ไดเห็นสถานที่ตาง กี่ยวกับพระคําภีร งเ า อย าย หล ง ่ ิ และไดเรียนรูหลายส นอง ๆ สิ่งที่สําคัญที่สุดก็คบือพระเจามากขึ้นดวย กั ด ิ ช กล ธใ จะไดมีความสัมพัน อดทั้งเลม • เต็มไปดวยสีสันตลมภีรทุกเลม คั ระ • มีบทนําในพ มลาหาขุมทรัพยจะสอนนอง ๆ งพระองคแกนอ ง ๆ • คายฝกอบรมตา ของพระเจา ในการแสดงความรกั ขอ เกย่ี วกบั แผนการ ยการพูด ผานพระคัมภีร ยตามธรรมชาติ การลาหาขุมทรัพยดพั วยดว ยการใชส ายตา • การลาหาขุมทรพััพยดว ยการใชค วามคดิ การลา หาขุมทรทรัพยแบบสวนตัว การลา หาขุมทร ยดวยการมีมิตรภาพ การลาหาขุม ขุมทรัพยดวยการรอง การลาหาขุมทรัพ ยดวยการใชความรูสึก และการลาหาาตื่นเตนผานพระคัมภีร การลาหาขุมทรัพ รําจะนํานอง ๆ ไปสูการผจญภัยที่น ที่พบในพระคัมภีร เพลงและการเตน ับขุมทรัพยจะบอกเราเกี่ยวกับขอมูล • ขอเท็จจริงเกี่ยวก ใจ และเปนสิ่งที่นอง ๆ ตองรูเอาไว ื่น ๆ อีกมากมายหลาย ซึ่งเปนสิ่งที่นาสน าน เกม ปริศนา งานฝมือ และอ • มีกิจกรรมที่สนุกสน ตลอดทั้งเลม
ISBN 9781623371630 THB THAI NT (4/14)
9 781623 371630
พระคัมภีร์ตามล่าหาขุมทรัพย์
ย์ ั พ ร ท ุ ม ข า ห ่ า ล ์ าม ั ภรี ต พระคม ทรัพยจะนํานอง ๆ
พระคัมภีรต ์ ามล่าหาขุมทรัพย์ ภาคพันธสัญญาใหม่