๓ การเมืองชีวิต: ความสัมพันธ ของการเมือง และชีวิตในงานของ Foucault, Agamben และ Deleuze เกงกิจ กิติเรียงลาภ1 และกาญจนานนท สันติสุข2
บทนํา Thomas Lemke3 ชี้วา หากจะนิยาม “การเมืองชีวิต” (Biopolitics) อยางเรียบงายทีส่ ดุ แลวมันก็หมายถึง “การเมืองทีเ่ ขาไปเกีย่ วพันกับชีวติ ” ซึง่ หาก นิยามเชนนี้ การเมืองชีวิตเปนสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดนับตั้งแตการเมืองกลายมาเปน สวนหนึง่ ของสังคมมนุษย อยางไรก็ดี เราจะเห็นรองรอยของการเมืองชีวติ ในฐานะ มโนทัศนหนึ่ง ก็อาจระบุไดวามันเริ่มตนขึ้นในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เมื่อ 1 2 3
อีเมลติดตอ kkengkij@gmail.com อีเมลติดตอ kanchananont@hotmail.com Thomas Lemke, Biopolitics: An Advanced Introduction (New York and London: New York University Press, 2011) 79
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
นักปรัชญาที่เนนการศึกษาชีวิตอยาง Arthur Schopenhauer, Friedrich Nietzsche และ Henri Bergson เขียนงานทางปรัชญา ตอมาในตนศตวรรษที่ 20 คําวา “การเมืองชีวติ ” ไดถกู บัญญัตขิ นึ้ โดยนักทฤษฎีเกีย่ วกับรัฐชาวสวิตเซอรแลนด ที่ชื่อวา Rudolf Kjellén 4 ซึ่งขอเสนอของเขาก็คือ รัฐก็เปรียบเสมือนชีวิต และตัวของรัฐเองก็สะทอนความเปนไปหรือรูปแบบของชีวิตในสังคมหนึ่งๆ ซึ่ง “ความสัมพันธทางสังคม การเมือง และกฎหมายทั้งหมดวางอยูบนองครวม ทั้งหมดที่มีชีวิต ความสัมพันธเหลานี้คือที่ประดิษฐานของความแทจริง ความเปน นิรนั ดร สุขภาวะทีด่ ี และคุณคาทัง้ หมด”5 เราจะเห็นวา การเมืองชีวติ ของ Kjellén นั้นแตกตางอยางสิ้นเชิงจากการมองรัฐจากมุมมองของกฎหมายที่มองวารัฐคือ ผูออกกฎหมายและบังคับใชกฎหมายซึ่งเปนความคิดที่แพรหลายในยุคสมัยนั้น และงานของ Kjellén คื อ จุ ด เริ่ ม ต น ของการเมื อ งชี วิ ต ที่ เ ราจะอภิ ป รายถึ ง ในบทความนี้ ภายหลั ง จากที่ Kjellén สร า งมโนทั ศ น เ กี่ ย วกั บ การเมื อ งชี วิ ต ขึ้ น มา ในโลกวิชาการของยุโรป รวมถึงสหรัฐอเมริกาเองไดพัฒนามโนทัศนดังกลาว ออกไปในหลายแนวทาง Lemke ชี้วา กอนหนาทศวรรษ 1970 มีแนวทาง การศึกษาการเมืองชีวิตอยู 2 แนวทางหลักที่แตกตางกัน คือ หนึง่ แนวทางแบบธรรมชาตินยิ ม (Naturalism) ซึง่ เนนทีก่ ารทําความเขาใจ ความสัมพันธระหวางนิเวศวิทยาของชีวิตในฐานะที่เปนฐานคิดใหกับการเมือง โดยเปาหมายของแนวทางนี้ก็คือ การจัดวางการเมืองและสถาบันทางการเมือง 4
5
ดูบทความทีอ่ ภิปรายความคิดของ Kjellén เพิม่ เติมใน Sven-Olov Wallenstein, “Introduction: Foucault, Biopolitics, and Governmentality,” in Jakob Nilson and Sven-Olov Wallenstein eds., Foucault, Biopolitics, and Governmentality (Stockholm: Södertörn University, 2013), pp. 7-34.; C. Abrahamson, “On the genealogy of Lebensraum,” Geographica Helvetica, 68(2013), pp. 37-44.; Timothy Campbell and Adam Sitze eds., Biopolitics: A Reader (Durham and London: Duke University Press, 2013) Thomas Lemke, Biopolitics: An Advanced Introduction, p. 10. 80
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
ใหสอดรับกับชีวิตและโลกธรรมชาติ แนวทางเชนนี้มาพรอมกับการขยายตัวขึ้น ของความรู ใ นเชิ ง ชี ว วิ ท ยาระดั บ จุ ล ภาคและการศึ ก ษาพฤติ ก รรมศาสตร ใ น สหรัฐอเมริกา และการแพรขยายของแนวคิดแบบวิวัฒนาการนิยมที่มองวา พัฒนาการของการเมืองและสถาบันทางการเมืองตองสอดคลองกับพัฒนาการ ในเชิงชีววิทยาของมนุษยในสังคมตางๆ6 และสอง แนวทางแบบการเมืองนิยม (Politicism) ซึ่งเนนการขยายกลไกอํานาจรัฐเพื่อควบคุมจัดการกับโลกธรรมชาติ และชีวิต โดยเฉพาะการที่รัฐมีสวนสําคัญในการพัฒนาและสรางเทคโนโลยีใหมๆ ในการจัดการและดูแลชีวติ ของประชากร สงผลใหรฐั สามารถอางไดวา การดูแลชีวติ ของประชากรก็คือหนาที่สําคัญของรัฐ อยางไรก็ดี Lemke มองวา ทั้งสองแนวทางมีจุดรวมกันที่สําคัญ คือ “ความคิดที่วามันมีลําดับชั้นที่ตายตัวและการที่ความสัมพันธระหวางชีวิตและ การเมืองเปนความสัมพันธทแี่ ยกขาดออกจากกันแบบคนละสิง่ ”7 ในขณะทีแ่ นวคิด แบบธรรมชาตินยิ มมองวาชีวติ เปนสิง่ ทีม่ ากอนและเปนฐานใหกบั การเมือง แนวทาง แบบการเมืองนิยมกลับมองวาการเมืองเปนสิ่งที่มากอนและเหนือกวาชีวิต และ ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 แนวทางแบบการเมืองนิยมที่เนนอํานาจรัฐได ผนวกเอาแนวทางแบบธรรมชาตินิยมเขามาเปนสวนหนึ่งของแนวทางแรก โดยรัฐ เขามาใชอํานาจในการจัดลําดับชั้นสูงตํ่าใหกับเชื้อชาติตางๆ พรอมๆ กับการใช เทคโนโลยีทางชีวภาพ (Biotechnology) เขามาสอดสองและควบคุมรางกาย และการใชชีวิตของประชากรมากขึ้นเรื่อยๆ8 การผนวกรวมกันของ 2 แนวคิดนี้ กลายมาเปนฐานคิดใหกับการใชอํานาจรัฐผานการจัดลําดับชั้นของเชื้อชาติตางๆ แบบสูงตํ่าตามแบบลัทธิการเหยียดเชื้อชาติ (Racism) และการฆาลางเผาพันธุ ของนาซีในเยอรมัน ซึ่งเปนปรากฏการณที่เราจะเห็นทั่วไปตลอดศตวรรษที่ 20 6 7 8
Thomas Lemke, Biopolitics: An Advanced Introduction, pp. 14-16. Ibid., p. 3. Ibid., p. 27. 81
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
Lemke ชี้วา ทั้งสองแนวทางลวนแลวแตลมเหลวในการมองความสัมพันธ ระหวางการเมืองและชีวิต เพราะทั้งสองแนวทางวางสมมติฐานของตนเองอยูบน การแยกขาดระหวางการเมืองกับชีวติ และเมือ่ จะตองทําความเขาใจความสัมพันธ ของ 2 สวนนี้ทั้ง 2 แนวทางก็จะเลือกเอาดานใดดานหนึ่งคือการเมืองหรือชีวิต ขึ้นมากอนแบบตายตัว มาถึงจุดนี้ Lemke ชี้วา การพัฒนามโนทัศนการเมืองชีวิต ของ Michel Foucault ในทศวรรษ 1970 ก็คือ การหาทางออกใหกับปมปญหา วาจะเอาอะไรขึ้นกอนระหวางการเมืองหรือชีวิต โดยคุณูปการของ Foucault ในความคิดของ Lemke มีอยู 2 ประการสําคัญคือ หนึ่ง การชี้ใหเห็นวา “ชีวิต ไมใชจุดอางอิงในเชิงคุณคาและในเชิงภาวะวิทยาที่ตายตัว”9 แตชีวิตเปนสิ่งที่ ลื่นไหลและเปลี่ยนแปลงไดไมตางจากการเมือง และสอง “ชีวิตไมเพียงแตไมใช วัตถุกรรมของการเมืองและก็ไมเพียงแตอยูนอกจากการตัดสินใจทางการเมือง แตชีวิตสรางผลสะเทือนตอแกนกลางของความเปนการเมือง และชีวิตที่วาก็คือ สิ่งที่เรียกวา subject ทางการเมือง”10 ในแงนี้ ชีวิตที่ Foucault พูดถึงในการเมืองชีวิตจึงไมใช subject ที่ถูก สรางขึ้นโดยกฎหมาย (Legal subject) แตเปน subject ที่หมายถึงสิ่งมีชีวิต (Living beings) ที่มีอิสระในตัวเอง และในการเมืองชีวิต “‘ชีวิต’ ไดกลายมาเปน ปจจัยที่มีอิสระ จับตองไดในเชิงวัตถุวิสัย และวัดคาได เชนเดียวกับการมอง ความเปนจริงแบบภาพรวมที่สามารถแยกขาดจากชีวิตที่เปนรูปธรรมและความ เฉพาะเจาะจงของประสบการณของปจเจกบุคคลทั้งในระดับของความรูและ ในระดับของการปฏิบัติ”11 การมองชีวิตแบบภาพรวม/นามธรรมจึงเปนเงื่อนไข พื้นฐานของการใชอํานาจและการควบคุมของอํานาจทางการเมืองแบบการเมือง ชีวิตที่ขามพนการใหความสําคัญกับรายละเอียดเชิงรูปธรรมของชีวิตคนแตละคน 9
Thomas Lemke, Biopolitics: An Advanced Introduction, p. 4. Ibid., p. 4. 11 Ibid., p. 5. 10
82
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
ซึ่ ง มี ลั ก ษณะเฉพาะเจาะจง (Singularity) แตเ ป น การใช อํ า นาจที่ ส ามารถ กวาดสายตาและมองเห็ น ในภาพรวมได ทั้ ง หมดในคราวเดี ย วผ า นเครื่ อ งมื อ จํานวนหนึ่ง เชน ขอมูลทางสถิติ แผนที่ และอัตราการเกิดและตาย เปนตน กลาวใหชัดเจนลงไปกวานั้นก็คือ อํานาจทางการเมืองแบบการเมืองชีวิตนั้นเปน อํานาจที่มองหา “ธรรมชาติ” ของประชากรทั้งหมดซึ่งมีความเปนนามธรรมสูง ไมใชความเฉพาะของปจเจกบุคคลที่เปนรูปธรรม ในบทความนีจ้ ะตัง้ ตนทีม่ โนทัศน “การเมืองชีวติ ” ของ Michel Foucault ในฐานะที่เปนจุดตัดของการมองชีวิตและความสัมพันธระหวางชีวิตและการเมือง ของแนวทางแบบมนุษยนิยมกับแนวทางแบบโครงสรางนิยมในทศวรรษ 1970 ซึ่งขอเขียนของ Foucault ไดเปดใหเกิดการศึกษาอํานาจและการตอตานอํานาจ ที่แตกตางออกไปจากเดิม โดยเฉพาะการถอยหางออกจากการวิเคราะหของ พวกมารกซิสตมนุษยนิยม12 และไดเปดทางใหกับแนวทางแบบหลังมนุษยนิยม (Post-humanism) ในโลกสั ง คมศาสตร แ ละมนุ ษ ยศาสตร ใ นเวลาต อ มา นอกจากนี้จะชี้ใหเห็นการตีความที่แตกตางสุดขั้วสองดานที่นักคิดรวมสมัยมีตอ Foucault คือ ระหวางแนวทางที่เนนอํานาจอธิปตยโดยมีงานของ Giorgio Agamben เปนหลัก กับแนวทางทีเ่ นนชีวติ ซึง่ มี Gilles Deleuze เปนนักคิดสําคัญ ตอการเปดทางไปสูทฤษฎีสังคมศาสตรและมนุษยศาสตรแบบหลังมนุษยนิยม ในตนศตวรรษที่ 21
12
ดูเพิ่มเติมขอวิจารณของมารกซิสตสายโครงสรางนิยมตอพวกมนุษยนิยมใน Louis Althusser, The Humanist Controversy and Other Writings (London and New York: Verso, 2003). 83
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
“การเมืองชีวิต” ในงานของ Michel Foucault ในบทสุดทายที่ชื่อวา “Right to Death and Power over Life” ของ หนังสือ The History of Sexuality เลม 1 (1978)13 และตอมาในการบรรยาย ในป 1975-1976 ซึ่งพิมพออกมาเปนหนังสือชื่อ Society Must Be Defended14 ถือเปนจุดเริ่มตนของการอรรถาธิบายมโนทัศนการเมืองชีวิตของ Foucault โดยเขาเริ่มตนอภิปรายถึงความเปลี่ยนแปลงสําคัญของตัวแบบอํานาจในศตวรรษ ที่ 18 และ 19 ซึ่งเกิดการเปลี่ยนตัวแบบของอํานาจจาก “อํานาจอธิปตย” (Sovereign Power) ไปสู “อํ า นาจวิ นั ย ” (Disciplinary Power) และ “ชีวะอํานาจ” (Biopower) ในทายที่สุด กอนศตวรรษที่ 18 ตัวแบบของอํานาจวางอยูบนอํานาจอธิปตย ซึ่งรัฐ ผู ก ขาดการใช อํ า นาจผ านการฆ า อํานาจของรั ฐวางอยูบนการทํ าใหผู อยู ใต การปกครองถึ ง แก ค วามตาย ดั ง นั้ น ความตายจึ ง เป น ผลผลิ ต โดยตรงหรื อ สะทอนการดํารงอยูของอํานาจรัฐ ไมวาจะเปนการประหารชีวิตหรือการสงให ไปตายในสงคราม ดังที่ Foucault ชี้วา อํานาจอธิปตยก็คือ “สิทธิ์ขาดในการ ตัดสินชีวิตและความตาย” (Right to decide life and death)15 อํานาจอธิปตย จึงเปนอํานาจของการฆาทีส่ มบูรณในตัวเองและไมมเี งือ่ นไขจํากัด การควบคุมชีวติ ของผูใตปกครองจึงตองทําผานการกดและทับ ไมใชการดูแลรักษา ดังที่เราเห็น ในรัฐโบราณทั้งหลาย 13
Michel Foucault, “Right to Death and Power over Life,” The History of Sexuality, Vol. 1: An Introduction (New York: Pantheon Books, 1978), pp. 135-159. 14 Michel Foucault, Society Must Be Defended: Lectures at the College de France, 1975-1976 (Picardo, 2003) 15 Michel Foucault, “Right to Death and Power over Life,” The History of Sexuality, p. 135. 84
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
อยางไรก็ดี ในกลางศตวรรษที่ 18 เปนตนมา รูปแบบของอํานาจได เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเฉพาะอยางยิ่ง เงื่อนไขสําคัญของการเปลี่ยนแปลง ก็ คื อ การปฏิ วั ติ วิ ท ยาศาสตร ซึ่ ง ตามมาด ว ยการปฏิ วั ติ อุ ต สาหกรรม รวมถึ ง การเกิ ด ขึ้ น ของทฤษฎี วิ วั ฒ นาการของ Darwin และความรู ท างชี ว วิ ท ยา การเปลี่ ย นแปลงของรู ป แบบการผลิ ต ที่ เ ริ่ ม เข า สู ร ะบบอุ ต สาหกรรมมากขึ้ น ทีร่ ะบบทุนนิยมตองการแรงงานจํานวนมากเขามาทํางานในโรงงานอุตสาหกรรม16 พลังการผลิตของแรงงานกลายเปนสวนสําคัญที่สุดที่รัฐและกลไกตางๆ ในระบบ ทุนนิยมตองเขามาดูแลและบริหารจัดการ ดังนั้น การรักษาและดูแลสุขภาวะ และชีวติ ของผูใ ตปกครองจึงมีความสําคัญมากขึน้ เรือ่ ยๆ เปาหมายของการปกครอง เปลี่ยนแปลงไปสูการที่รัฐตองเขามาดูแลรางกายและชีวิตของพลเมืองมากขึ้น เพราะการมีชีวิตและการมีสุขภาพที่ดีของพลเมืองคือปจจัยสําคัญของความมั่งคั่ง ทางเศรษฐกิจ การปกครองที่ดีจึงไมใชเรื่องการฆาแตเปนเรื่องของการดูแล และบริหารจัดการชีวิตของพลเมือง
1. 2. 3. 4.
16
ศตวรรษที่ 18 อํานาจอธิปตย Sovereign over (Sovereign power) death Object of power Body Scale of using power Individualization Techniques of State level / power Disciplinary power
ศตวรรษที่ 19 Regularization of life Life Massification Sub-state level / Biopowers
Thomas Lemke, Biopolitics: An Advanced Introduction, p. 35. 85
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
อํานาจแบบใหมที่เกิดขึ้นหันมาสนใจการดูแลรักษาและควบคุมบงการ รางกาย (Body) ของพลเมือง โดยเฉพาะการควบคุมผานกลไกและสถาบันหลักๆ ของสังคม เชน ครอบครัว และโรงเรียน Foucault เรียกการควบคุมแบบนี้วา “อํานาจวินัย” ซึ่งเปนชวงเปลี่ยนผานสําคัญจากอํานาจแบบเกาไปสูอํานาจ แบบใหม ภายหลังจากศตวรรษที่ 19 เปนตนมา เมื่อชีวิต (Life) กลายมาเปนสิ่งที่ สําคัญที่สุดที่การเมืองใหความสนใจ อํานาจทางการเมืองจึงเปนอํานาจที่วาง อยูบนการสรางกลไก เทคนิค และเทคโนโลยีเพื่อจัดการกับชีวิต ซึ่ง Foucault เรียกการเขามาบริหารจัดการชีวิตของรัฐและกลไกรัฐสมัยใหมที่เกิดขึ้นในชวง เวลานีว้ า “ชีวะอํานาจ” ซึง่ หมายถึง “การใชอาํ นาจเหนือมนุษยตราบเทาทีม่ นุษย เปนสิ่งที่มีชีวิต (Living being)”17 อยางไรก็ดี การเกิดขึ้นของชีวะอํานาจไมใช สิ่งใหมที่เขาแทนที่สิ่งเกาทั้งหมด แตเปนอํานาจที่วางอยูบนแนวคิดเรื่องสิทธิ แบบเกา พรอมๆ กับแทรกซึมดวยวิธีคิดแบบใหมเกี่ยวกับชีวิต อํานาจของรัฐแบบ ชีวะอํานาจจึงเปนการทีร่ ฐั ขยายกลไกของตัวเองเขามาในชีวติ ประจําวันของมนุษย มากขึ้น ภายใตการเปลี่ยนแปลงเชนนี้ ความคิดเกี่ยวกับมนุษยเองก็เปลี่ยนแปลง ไปจากเดิม ในขณะที่สังคมวินัยมองมนุษยในฐานะรางกาย (Man-as-body) แต สั ง คมที่ ป กครองด ว ยชี ว ะอํ า นาจปกครองมนุ ษ ย ใ นฐานะที่ เ ป น สิ่ ง ที่ มี ชี วิ ต (Man-as-living-being) ซึ่ ง ส ว นสํ า คั ญ ที่ สุ ด ไม ใ ช ก ารปกครองพลเมื อ งผ า น การทําใหเหมือนกัน แตเปนการปกครองและจัดการชีวิตที่มีความหลากหลาย (Multiplicity) ซึ่งไมสามารถลดทอนใหเปนปจเจกบุคคลที่เทากันเหมือนกัน ไดอีกตอไป อันเนื่องมาจากความหลากหลายคือคุณสมบัติสําคัญของการใชชีวิต ของผูคน โดยที่แตละคนมีความหลากหลายของจังหวะและรูปแบบการใชชีวิต ดังนั้น อํานาจที่จะใชในการปกครองและจัดการชีวิตจึงเปนอํานาจที่วางอยูบน การเขาปะทะและจัดการกับความหลากหลายมากกวาการจัดการกับความเหมือน 17
Michel Foucault, Society Must Be Defended, p. 240. 86
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
เทานัน้ อํานาจในการจัดการชีวติ จึงเปนอํานาจทีก่ ระทํากับมนุษยตงั้ แตเกิดจนตาย ซึ่งแทรกซึมอยูในทุกมิติตลอดชีวิต ในแงนี้ พื้นที่และเวลาแบบเดิมที่ตายตัว เชน การแยกสถานที่ทํางานกับสถานที่พักผอน การแยกเวลาทํางานกับเวลา พักผอน หรือแมแตการแยกระหวางปริมณฑลสาธารณะกับปริมณฑลสวนตัว ซึง่ หากพูดในภาษา Marx แลว การแบงแยกดังกลาวนีเ้ ปนการแยกระหวาง “งาน” กับ “ชีวิต” ไดถูกลดความสําคัญลงไป เพราะชีวะอํานาจที่เขามาปะทะกับชีวิต ทัง้ หมดของพลเมืองผานการสลายพรมแดนของชีวติ กับงานทีเ่ คยแยกออกจากกัน ใหพังทลายลงไป18 Foucault ชี้วา การเกิดขึ้นของชีวะอํานาจสงผลใหเกิดความเปลี่ยนแปลง สําคัญๆ ใน 3 มิติ คือ หนึ่ง แนวคิดเรื่องสิทธิที่แตเดิมมุงเนนไปที่สิทธิทางการเมือง ของพลเมือง ซึ่งรัฐตองคุมครองสิทธิในทางการเมือง และสิทธิในพื้นที่สาธารณะ ของผูค น รวมถึงการใหเสรีภาพในการจัดการกับชีวติ สวนตัวของแตละคน ในฐานะ ที่ทุกคนเปนมนุษยที่เปนพลเมืองของรัฐ มาสู “การมองฐานของสิทธิแบบใหม ที่วางอยูบนความหลากหลาย ความหลากหลายที่มีจํานวนอนันต สงผลใหเรา ไมสามารถนับได การเมืองชีวิตจึงเปนการจัดการกับประชากรทั้งหมดในฐานะ ที่ชีวิตของประชากรเปนปญหาทางการเมือง และวิธีการจัดการกับชีวิตก็ถูกมอง ในฐานะทีเ่ ปนเรือ่ งของวิทยาศาสตรและการเมืองพรอมๆ กัน ในฐานะทีเ่ ปนปญหา เชิงชีววิทยาพรอมๆ กับที่เปนปญหาทางการเมือง”19 สอง หากการจัดการกับ ประชากรเปนปญหาหลักทางการเมือง อํานาจทางการเมืองยอมเปนอํานาจทีต่ อ ง จัดการในระดับหนวยขนาดใหญ (Collective) ไมใชการจัดการหนวยของพลเมือง แบบปจเจกบุคคลอีกตอไป และสาม ในการที่จะจัดการประชากรซึ่งเปนปญหา ภาพรวมขนาดใหญ กลไกของอํานาจแบบใหมจึงตองถูกสรางขึ้น เชน การทํานาย คาดการณ การเก็บขอมูลทางสถิติ และการใชเกณฑหรือตัวชีว้ ดั ทีส่ ามารถใชไดกบั 18 19
Michel Foucault, Society Must Be Defended, pp. 242-243. Ibid., p. 245. 87
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
ทุกคนในภาพรวม ในแงนี้เราจะเห็นบทบาทของรัฐในการเก็บขอมูลเชิงสถิติ อยางละเอียดเกี่ยวกับประชากร และขอมูลสวนใหญไมใชขอมูลเชิงกายภาพ ภายนอกเทานั้น แตเปนขอมูลในระดับชีวภาพภายในรางกายและการใชชีวิต ประจําวัน รวมถึงขอมูลของการสือ่ สารในโลกอินเทอรเน็ตทีล่ ะเอียดมากขึน้ เรือ่ ยๆ ผานภาษาแบบใหม เชน ภาษาดิจิตอลที่ตัวเลข 0 และ 1 สามารถถอดและใสรหัส การสื่อสารทุกอยางได ชีวะอํานาจจึงไมใชอํานาจที่ควบคุมปจเจกบุคคลแบบ รายคน แตเปนการใชอํานาจในระดับทั่วไป (Generality)20 กลาวโดยสรุปแลว เปาหมายของชีวะอํานาจก็คือ การจัดการกับความ หลากหลายอยางไมมีจํากัดของชีวิต เมื่อชีวิตที่ประกอบไปดวยความหลากหลาย แบบไมจํากัดกลายมาเปนวัตถุของอํานาจ อํานาจจึงตองยกระดับตัวเองใหมี ความเป น นามธรรมและทั่ ว ไปมากขึ้ น ดั ง ที่ เ ราเห็ น ในภาษาสถิ ติ แ ละภาษา คณิ ต ศาสตร ซึ่ ง กลายมาเป น เครื่ อ งมื อ สํ า คั ญ ของรั ฐ สมั ย ใหม การจั ด การกั บ ความหลากหลายของชีวิตนั้นมีเปาหมายเพื่อสรางความสมดุล (Equilibrium) สถาปนาคา เฉลี่ ย (Average) และการดํ า รงอยู ด ว ยกั น ไดข องสว นตา งๆ ที่ แตกตางกัน (Homeostasis) ใหแกประชากร21 เพราะการใชอํานาจในระดับนี้ เทานั้นที่จะสามารถทําใหรัฐสมัยใหมควบคุมชีวิตทั้งหมดไดในเวลาเดียวกัน ผานเครื่องมือแบบเดียวกัน ในขณะที่ชีวิตที่ถูกดึงเขาสูการเมืองเปนชีวิตที่เปดไปสู ความหลากหลายมากขึ้น แตอํานาจกลับตองการตัวชี้วัดหรือกลไกที่เปนภาพรวม ทั้งหมด (ซึ่งประเด็นนี้จะกลาวถึงตอไปเมื่อพูดถึงงานของ Deleuze) Foucault ชี้วา เมื่ออํานาจเปลี่ยนเขาสูชีวะอํานาจ ความหมายของ ความตายก็ เ ปลี่ ย นแปลงไปด ว ย ในขณะที่ ใ นสั ง คมก อ นสมั ย ใหม รั ฐ หรื อ อํานาจอธิปตยจะสําแดงอํานาจของตนเองผานการทําใหตาย ซึ่งความตายของ ผูถ กู ปกครองและความตายของศัตรูคอื เครือ่ งบงชีอ้ าํ นาจของรัฐ แตในชีวะอํานาจ 20 21
Michel Foucault, Society Must Be Defended, p. 246. Ibid., p. 246. 88
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
“ความตายกลายมาเปนปญหาและอุปสรรคทีถ่ าวรของอํานาจ ความตายเปนสิง่ ที่ เขามาหาชีวติ แบบไมทนั ตัง้ ตัว และความตายคือการลดทอนและทําใหชวี ติ ออนแอ ลงไปแบบถาวร”22 ความตายเปนภาพสะทอนของความลมเหลวของการปกครอง ของรัฐที่ไมสามารถปกครองประชากรได ในแงนี้อํานาจรัฐแบบชีวะอํานาจเปน อํานาจที่ตองใหและรักษาชีวิตมากกวาอํานาจที่จะทําใหตาย ดังที่ Foucault ชี้วา ชีวะอํานาจไมใชอํานาจที่จะพรากชีวิต แต “เปนความสามารถที่จะเขามาสราง และปรับแตงชีวิต เปนอํานาจที่มีเปาหมายหลักอยูที่การปรับปรุงชีวิตผานการ ลดทอนและกําจัดสิ่งที่คาดเดาไมได ความไมแนนอน และความไมเพียงพอ ในแงนี้ความตายในฐานะที่เปนการทําใหชีวิตถึงจุดสิ้นสุดจึงมีความหมายเทากับ เวลาที่จํากัด ขีดจํากัด หรือแมแตความตายก็หมายถึงการสิ้นสุดของอํานาจดวย ในสภาวะเชนนี้ ความตายจึงเปนสิ่งที่อยูภายนอกจากความสัมพันธทางอํานาจ”23 นอกจากนี้ เทคนิ ค ของการปกครองของอํ า นาจก็ ยั ง เปลี่ ย นไปด ว ย ในขณะที่ ใ นสั ง คมก อนสมัยใหม และในสัง คมวินัย เทคนิค ของการใช อํานาจ แสดงออกผานการควบคุมและสรางปจเจกบุคคล โดยเขาไปสรางวินัยใหแก พลเมืองเพื่อควบคุมรางกายของพลเมืองจากบนลงลางผานสถาบันตางๆ ที่เปน ทางการ แตในชีวะอํานาจ อํานาจจะทํางานในแนวระนาบมากขึ้น โดยมุงเนน ทีก่ ารควบคุมประชากรทัง้ หมดในลักษณะทีเ่ ปนนามธรรม เปาหมายก็คอื การทําให ประชากรรับเอาความรูต า งๆ เขามาควบคุมตนเองจากภายใน ผานการทํางานของ สถาบันที่ไมไดผูกกับรัฐโดยตรง เชน สถาบันทางการแพทย และผูเชี่ยวชาญตางๆ หรือแมแตสถาบันเสริมความงาม รานอาหารสุขภาพ และสื่อโฆษณาตางๆ ที่เราเห็นในปจจุบัน เทคนิคของอํานาจแบบชีวะอํานาจจึงไมใชการควบคุมหรือ กดบังคับจากภายนอก แตเปนการแทรกซึมเขาไปอยูภายในจิตใจของพลเมือง ใหพลเมืองรูจักควบคุมตนเองภายใตชุดความรูที่ไหลเวียนอยูในทุกมิติของชีวิต 22 23
Michel Foucault, Society Must Be Defended, p. 244. Ibid., p. 248. 89
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
ในชีวะอํานาจ การรักษาชีวิตของตนเองกลายมาเปนภารกิจอันหนึ่งที่ พลเมืองจะละเลยไมได การละเลยการดูแลชีวิตของตนเองอาจนํามาซึ่งโรคราย หรือภยันตรายตอชีวิตของพลเมืองคนอื่นๆ ในแงนี้ ชีวะอํานาจจะทํางานผาน การสรางบรรทัดฐาน (Norm) ที่ไมไดอยูในรูปของกฎหมาย แตอยูในรูปของความ เขาใจรวมกันวาอะไรเปนสิ่งที่ดีและควรจะเปน และเพื่อที่จะทําใหการดูแลชีวิต ของพลเมืองเป นไปได รัฐจําเปนอย างยิ่งที่จะตองลดทอนความหลากหลาย จํานวนมากของพลเมืองใหกลายมาเปนตัวเลขหรือรหัสภาษาที่แทนคาความ หลากหลายทั้งหมดได ดังที่ Foucault ชี้วา ภาษาของชีวะอํานาจนั้นเปนภาษา ทางสถิติและตัวเลขที่ตองแทนคาและวัดคาสิ่งตางๆ ที่แตกตางกันใหมาอยูใน ระนาบของความเขาใจและการคิดคํานวณเดียวกันได การมีตัวเลขและสถิติ เกีย่ วกับประชากรคือเครือ่ งมือสําคัญของรัฐในการบริหารจัดการประชากรจํานวนมาก และยังสามารถนําไปสูการคาดการณและทํานายโอกาสและความนาจะเปนของ พฤติกรรมของประชากรที่อาจเปนภัยตอสวนรวมไดดวย การระแวดระวังหรือ จับจองกันเองของพลเมืองจึงเปนกลไกและเทคนิคใหมๆ ทีถ่ กู สรางขึน้ เพือ่ ควบคุม พฤติกรรมการใชชีวิตของประชากร กลาวโดยสรุปก็คอื ชีวะอํานาจคือตัวแบบของการปกครองแบบใหมทเี่ กิดขึน้ ในศตวรรษที่ 19 ซึ่ ง มี เ ป า หมายเพื่ อ ควบคุ ม และบริ ห ารจั ด การชี วิ ต ทั้ ง หมด ของประชาชนในภาพรวม ผานเทคนิคตางๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้น ไมวาจะเปนความรู ทางวิทยาศาสตรการแพทย ชีววิทยา สาธารณสุข และตัวเลขทางสถิติ รูปแบบของ การปกครองแบบชีวะอํานาจไมใชการกดบังคับจากภายนอก แตเปนการทําให ประชากรรับเอาความรูตางๆ เหลานี้เขามาควบคุมและจัดการชีวิตตัวเอง รวมถึง สอดสองจับจองกันเอง ดังนั้น เราจะเห็นวาชีวะอํานาจไมใชอํานาจที่อิงอยูกับรัฐ และกลไกอํานาจรัฐที่เปนทางการในแบบเดิมที่วางอยูบนตัวแบบของกฎหมาย แตเปนอํานาจที่กระจายออกไปในแนวระนาบผานชุดความรูตางๆ และสถาบัน ต า งๆ ที่ ไ ม เ ป น ทางการ ซึ่ ง เป น ความรู แ ละสถาบั น ที่ ร ายรอบประชากรใน ชีวิตประจําวัน 90
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
อยางไรก็ดี งานเขียนของ Foucault ไดถูกตีความอยางหลากหลายมาก โดยนั ก คิ ด รุ น หลั ง ส ง ผลให ม โนทั ศ น ก ารเมื อ งชี วิ ต มี ค วามหมายที่ แ ตกต า ง หลากหลายกันไปและถูกนําไปวิจัยในกรณีศึกษาหลายแบบ Paul Rabinow และ Nikolas Rose24 ชี้วา มีอยางนอย 2 แนวทางที่สุดขั้วของการตีความการเมือง ชีวิตของ Foucault คือ ระหวางแนวทางของ Giorgio Agamben ซึ่งเนนที่ การอธิบายชีวะอํานาจผานองคอธิปตยของรัฐสมัยใหมกับแนวทางของ Antonio Negri ซึ่งเนนที่อํานาจที่เกิดจากการสรางขึ้นของ Multitude ในฐานะที่เปน การผลิตแบบการเมืองชีวติ (Biopoilitical production) จากขางลางในแนวระนาบ อยางไรก็ดี Negri เองนําเอาวิธีการตีความการเมืองชีวิตแบบที่เนนมุมของ “ชีวิต” มาจากการตีความของ Gilles Deleuze ในขณะที่ Agamben เลือกมองการเมือง ชีวิตแบบที่เนนมุมของ “การเมือง” ซึ่งหมายถึงอํานาจอธิปตยและรัฐเพื่อทํา ความเขาใจชีวติ หรือทีเ่ รียกวาชีวะอํานาจ แต Deleuze และ Negri กลับเลือก มองที่ “ชีวติ ” ในฐานะศักยภาพ การตอตาน และพลังอิสระซึง่ มากอนการใชอาํ นาจ ของอํานาจอธิปตย โดยในสวนตอไปจะอภิปรายใหเห็นความแตกตางของมุมมอง ทั้งสองดาน โดยเนนไปที่งานของ Agamben และ Deleuze
Giorgio Agamben กับ “การเมือง” ชีวิต ในหนังสือที่ชื่อวา Homo Sacer: Sovereign Power and Bare Life Giorgio Agamben25 มองวา การแบงแยกชีวิตออกเปนชีวิตตามธรรมชาติ (Zoe) กับชีวิตทางสังคม (Bios) คือฐานคิดที่สําคัญที่สุดของการทําความเขาใจแนวคิด 24
Paul Rabinow and Nikolas Rose, “Biopower Today,” BioSocieties (2001), 1, p. 198. 25 Giorgio Agamben, Homo Sacer: Sovereign Power and Bare Life (Stanford: Stanford University Press, 1998) 91
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
ทางสังคมการเมืองของโลกตะวันตกทั้งหมดที่ตกทอดมาจากยุคกรีก Agamben ชี้วา ในความเปนจริง เราไมเคยสามารถแบงแยกชีวิตสองประเภทนี้ออกจากกัน ไดอยางสมบูรณ โดยเฉพาะรัฐสมัยใหมนั้นใชอํานาจของตนเองผานการสราง ความพรามัวระหวางชีวิตทั้งสองประเภท ในที่นี้ Agamben กลับไปหาคําอธิบาย ของ Foucault เรื่องการเมืองชีวิตซึ่งไมใชการเมืองที่มีแตชีวิตที่มีคุณภาพหรือ ชีวติ ทางสังคมแบบ Aristotle เทานัน้ แตเปนการเมืองทีร่ วมเอาชีวติ ตามธรรมชาติ เขามาเปนสวนหนึ่งของการเมืองดวย เชน การที่รัฐสมัยใหมใหความสนใจ ตอสุขภาพที่ดีของประชากร26 รัฐสมัยใหมที่เขามายุงกับชีวิตประจําวัน หรือชีวิต ตามธรรมชาติที่เปนสวนตัว (Private life) นั้นเปนอํานาจที่ควบคุมชีวิตตั้งแตเกิด จนตาย จนถึงกระทัง่ การมีอาํ นาจทีจ่ ะสามารถปกปองชีวติ หรือแมแตประหารชีวติ ก็ได อํานาจอธิปตยจึงอยูเหนือและทําหนาที่ตัดสินใหมีชีวิตและใหตายได สําหรับ Agamben การแยกชีวิตตามธรรมชาติออกจากชีวิตทางสังคมแทบจะเปนไปไมได ในโลกแหงความเปนจริง เสนแบงระหวางชีวิตตามธรรมชาติ/ชีวิตทางสังคม การเมือง รวมถึงพื้นที่สวนตัว/พื้นที่สาธารณะจึงเปนเพียงภาพลวงตาของการ ปกครองในสังคมสมัยใหม โดยเฉพาะการใชอาํ นาจขององคอธิปต ยกค็ อื การเขามา จัดการชีวติ ทีห่ มายถึงการสลายเสนแบงระหวางชีวติ ตามธรรมชาติซงึ่ อยูใ นสภาวะ ของสงครามทีท่ กุ คนฆาทุกคนไดกบั ชีวติ ทางการเมืองทีร่ ฐั ตองทําหนาทีป่ กปองชีวติ ของพลเมือง ขอเสนอสําคัญของ Agamben ก็คือ อํานาจขององคอธิปตย ในรัฐสมัยใหมก็คืออํานาจที่ทําใหเสนแบงระหวางชีวิตสองประเภทพรามัวลงไป และสามารถฆาได Agamben ไดยืมความคิดเรื่องชีวะอํานาจ27 ของ Foucault 26
คําวา ประชากร (population) เปนที่เกิดขึ้นในสภาวะสมัยใหม ดูไดใน Michael Foucault, “Security, Territory, and Population” in Ethics: Subjectivity and Truth (New York: The New Press, 1997), pp. 67-71. 27 Michael Hardt กลาววา ตนเองมีความเห็นพองกับ Agamben ในหลายเรือ่ ง โดยเฉพาะการวิเคราะห ชีวะอํานาจและอํานาจอธิปตย แตมองวา Agamben นั้นเนนเรื่องอํานาจที่กระทําจากขางบน มากเกินไป โดยไมเปดโอกาสใหกับการตอบโตดวยชีวะอํานาจจากขางลางของ multitude ได 92
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
มาอธิบายอํานาจขององคอธิปตยในฐานะที่ชีวะอํานาจเปนอํานาจที่ทะลุทะลวง เขาไปใน subject28 ซึ่งเปนอํานาจที่ทั้งผนวกคนทุกคนเขามา (Totalization) และสรางความเปนปจเจก (Individualization) ให แก subject แตละคน พรอมๆ กัน29 ชีวิตที่ถูกทะลุทะลวงและขึ้นกับอํานาจภายนอกเชนนี้ไมมีความ แนนอนโดยตัวของมันเอง เปนชีวิตที่ไมสามารถกําหนดการตายและการมีชีวิตอยู ของตัวเองได หรือที่ Agamben เรียกวา “ชีวิตที่เปลือยเปลา” (Bare life/ Homo sacer) ซึ่งเปนผลผลิตของชีวะอํานาจที่ถูกใชโดยอํานาจขององคอธิปตย การสรางชีวิตที่เปลือยเปลาโดยตัวมันเองจึงเปนกิจกรรมพื้นฐานที่สุดของอํานาจ อธิปตย30 ในการควบคุมชีวิต องคอธิปตยไดทําใหชีวิตของมนุษยที่อยูภายใตสังคม การเมืองหนึ่งๆ กลายมาเปนชีวิตที่เปลือยเปลา ซึ่งเปนชีวิตที่ตองถูกกีดกันออกไป และไม ค วรอยู ร วมกับ ชีวิตที่มีคุ ณค าหรือชีวิ ตทางการเมือง ดังที่ Aristotle กลาวไววา ใน Polis นัน้ จะมีกแ็ ตชวี ติ ทีด่ ี ไมใชชวี ติ ของคนปาหรือชีวติ ตามธรรมชาติ ในแงนี้ ภายใตองคอธิปตยที่ใชชีวะอํานาจ ชีวิตคือวัตถุหรือเปาหมายของการใช อํานาจและการควบคุมอยางสมบูรณ และชีวิตนั้นถูกทําใหเกี่ยวพันกับการเมือง และสัมพันธกับอํานาจของอธิปตยอยางถึงที่สุดผานการที่องคอธิปตยขับไลหรือ เบียดขับชีวิตแบบนี้ออกไปจากปริมณฑลของการเมืองปกติไปสูปริมณฑลของ ดู “Sovereignty, Multitude, Absolute Democracy: A Discussion between Michael Hardt and Thomas L. Dumm about Hardt’s and Negri’s Empire” in Paul A. Passavant and Jodi Dean eds., Empire’s New Clothes: Reading Hardt and Negri (Routledge, 2004), pp. 166-167. 28 ดูแนวคิดเรือ่ ง ซับเจค (subject) โดยเฉพาะของ Foucault ไดใน ธเนศ วงศยานนาวา, การวิเคราะห ซับเจค (subject) ทฤษฎีที่ใชทฤษฎีวาดวยอํานาจของ มิเชล ฟูโก (ศูนยวิจัยคณะรัฐศาสตร, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร, 2532) 29 Giorgio Agamben, Homo Sacer, p. 5. 30 Ibid., pp. 6, 83. 93
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
“สภาวะยกเวน” (State of Exception) ที่พรมแดนของโลกธรรมชาติหรือ ความเปนสัตวกับโลกทางสังคมหรือความเปนมนุษยถูกทําใหพรามัวไป31 เมื่อพิจารณาเสนแบงหรือขอบเขตระหวางความเปนการเมืองและพื้นที่ ที่มิใชการเมืองแลว ชีวิตที่เปลือยเปลาที่แมจะดูเสมือนวาอยูขางนอก แตเราก็ไม สามารถกลาวไดวาชีวิตเปนสิ่งที่อยูขางนอก แตชีวิตที่เปลือยเปลาเปนชีวิตที่อยู “ระหวาง” (Threshold) ขางในและขางนอก เปนสภาพที่เสนแบงระหวาง ขางในและขางนอกปริมณฑลของการเมืองไมมีความชัดเจน แมจะถูกเบียดขับ (Exclusion) แตก็เปนการเบียดขับในลักษณะที่ดึงเขามาอยูภายใตอํานาจที่ กําหนดวาใครควรถูกเบียดขับแมแตการดึงเขามาเพือ่ ทีจ่ ะฆาได (To be included to be killed)32 มากกวาที่อยูอิสระจากอํานาจทางการเมือง หรือที่เรียกวา Inclusive Exclusion33 การทํางานขององคอธิปตยจึงไมจํากัดตัวอยูที่การเมือง แบบปกติเทานั้น หากการสรางพื้นที่หรือสภาวะฉุกเฉินที่ไมใชสภาวะปกติก็เปน การใชอํานาจแบบหนึ่งขององคอธิปตยเชนกัน ในแงนี้การสรางสภาวะฉุกเฉิน ก็คือการสรางพื้นที่ระหวางซึ่งเปนพื้นที่พิเศษที่พรมแดนของสิ่งตางๆ ถูกทําให พรามัวลงไป ชีวะอํานาจเปนอํานาจที่อยูบนการมีอํานาจเหนือชีวิตและความตายของ สิง่ มีชวี ติ ในรัฐ อํานาจทางการเมืองของรัฐสมัยใหมจงึ ไมใชอาํ นาจเชิงสถาบันเทานัน้ แตเปนชีวะอํานาจที่ควบคุมชีวิตตั้งแตเกิดจนตาย เปนอํานาจที่สอดสองดูแล ทุกยางกาวของชีวิต ในทัศนะของ Agamben สภาวะสมัยใหมหรือรัฐสมัยใหม เปนสภาวะทีส่ รางความเปลือยเปลาใหแกชวี ติ มากทีส่ ดุ อุดมการณของการจัดการ ชีวติ โดยรัฐกลายเปนอุดมการณสงู สุดของรัฐสมัยใหม ไมวา จะอยูใ นรูปของสุขภาพ ความรู หรือแมแตศีลธรรม อํานาจอธิปไตยจึงเปนอํานาจที่ Agamben เรียกวา 31
Giorgio Agamben, Homo Sacer, p. 7. Ibid., p. 82. 33 Ibid., p. 7. 32
94
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
องคอธิปต ยแหงการเมืองชีวติ (Biopolitical Sovereignty) ทีม่ ชี วี ติ และความตาย เปนเปาหมายหรือวัตถุของอํานาจ34 ในทัศนะของ Foucault เหตุผลของรัฐ (Reason of state) ซึ่งถูก สถาปนาขึ้นอันเปนสวนหนึ่งของศิลปะแหงการปกครอง (Governmentality) ตัง้ แตปลายศตวรรษที่ 16 และตกผลึกในตนศตวรรษที่ 1735 และนับตัง้ แตศตวรรษ ที่ 18 เหตุผลของรัฐวาดวย ความมั่นคง (Security) ไดกลายมาเปน เหตุผลของรัฐ ในสภาวะสมัยใหมซึ่งมีสถานะสูงสง ที่ใครจะแตะตองไมได ความมั่นคงแบบนี้ได พัฒนามาควบคูกับวิธีคิดแบบเสรีนิยมจนกลายเปนกระบวนทัศนสําคัญของโลก สมัยใหม36 ซึ่งการคิดถึงความมั่นคงแบบนี้นําไปสูการคิดถึง “ภัย” ไมวาจะเปนภัย จากลัทธิการเมืองที่เปนปฏิปกษกับความคิดแบบเสรีนิยม เชน ลัทธิคอมมิวนิสต ภัยจากขบวนการแบงแยกดินแดน หรือแมแตภยั จากโรคระบาดและแผนดินไหว37 ก็เปนเหตุผลของรัฐในการประกาศภาวะฉุกเฉินไดทั้งหมด ความมั่นคงอันเกิดจาก การไมมีภัย “ภายใน” จึงเปนสิ่งสําคัญกวาภัยจาก “ภายนอก” ในความคิดของ Agamben ความจําเปน (Necessity) จึงกลายเปนตนกําเนิดของกฎหมายทัง้ ปวง38 ทั้งนี้ทั้งนั้น การประกาศวาอะไรคือ “ภัย” หรือ ใครคือ “ศัตรู” ผูคุกคาม “ความ มั่นคง” ไดกลายเปนหนาที่ที่สําคัญแตผูเดียวขององคอธิปตย คือ รัฐสมัยใหม ไปโดยปริยาย ภัยทีเ่ กิดขึน้ จึงกลายมาเปนขออางขององคอธิปต ยแหงการเมืองชีวติ หรือชีวะอํานาจที่จะใชในการแทรกแซงและควบคุมชีวิตของพลเมือง
34
Giorgio Agamben, Homo Sacer, p. 114. 35 มิเชล ฟูโก, “วาดวยการปกครอง (On Governmentality)”, แปลโดย ธเนศ วงศยานนาวา ใน วารสารสังคมศาสตร, ปที่ 30 ฉบับที่ 3, หนา 116-7. 36 Giorgio Agamben, “Security and Terror” tr. Carolin in Theory & Event, 5:4, 2002. 37 Giorgio Agamben, State of Exception, p. 17. 38 Ibid., p. 17, 24, 26-28. 95
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
ในแงนี้ สภาวะฉุกเฉินที่องคอธิปตยสรางขึ้นไมใชสภาวะที่อยูนอกเหนือ จากอาณาบริเวณของการใชอาํ นาจ (Nomos) แตเปนสวนสําคัญของ Nomos เอง ซึ่ง Agamben กลาววา การประกาศสภาวะฉุกเฉินเปน “ธรรมชาติ” ของการใช อํานาจอธิปต ยทดี่ าํ รงอยูใ นหลักการของ Nomos แมวา จะไมระบุไวเปนลายลักษณ อักษรในกฎหมายก็ตาม ตัวอยางที่เราเห็นไดในปจจุบันมีมากมายที่ประเทศ ทีป่ กครองดวยระบอบรัฐสภาหรือระบอบเสรีประชาธิปไตย ประกาศสภาวะฉุกเฉิน หรือกฎอัยการศึกเพื่อใหอํานาจเบ็ดเสร็จแกรัฐหรือฝายบริหารในการปราบปราม “ผูกอการราย” นั้นระบุชัดเจนวา ใหอํานาจแกฝายบริหารในการออกคําสั่ง และตัดสินใจ และทีน่ า สนใจก็คอื มีการระบุวา ใหอาํ นาจแกเจาหนาทีซ่ งึ่ อาจจะเปน ทหารหรือตํารวจในการจับกุมหรือตัดสินใจไดวา จะจัดการอยางไร รวมไปถึงอํานาจ ในการตัดสินใจวา ใครคือ “ผูต อ งสงสัย” หรือ “ผูก อ การราย” อํานาจในการตัดสินใจ วาใครเปนหรือไมเปนชีวิตที่เปลือยเปลาผานการบอกวาใครคือ “ผูกอการราย” นัน้ เปนสิง่ ที่ Agamben กลาววา เปนอํานาจการตัดสินใจแบบองคอธิปต ยทที่ าํ งาน บนชีวิตและความตาย โดยอํานาจเชนนี้เองเปนปรากฏการณที่อํานาจอธิปตย สามารถปรากฏตัวไดทุกหนทุกแหง ในกรณีนี้ตํารวจ ทหาร หรือแมแตแพทย จะกลายเปนองคอธิปตยชั่วคราว อํานาจอธิปตยที่ประกาศความเปนศัตรูหรือ ชีวิตที่เปลือยเปลาจึงอยูท่ีปรากฏอยูในมือของเจาหนาที่รัฐในการตัดสินใจจับกุม หรือฆาในแตละครั้งนั่นเอง39 กล า วโดยสรุป แล ว Agamben ได นําเอามโนทั ศ น การเมืองชีวิ ตของ Foucault มาใชในการอธิบายรัฐสมัยใหม โดยมุงเนนไปที่การใชอํานาจรัฐ หรือที่เรียกวา “ชีวะอํานาจ” ซึ่งเปนอํานาจในการควบคุมยึดจับพลเมืองแบบบน ลงลางมากกวาที่จะใหความสําคัญกับการผลิตแบบการเมืองชีวิตซึ่งเปนดาน ของการตอตานและการสรางชีวิตที่อยูในงานของ Foucault ซึ่งสําหรับนักคิด อี ก จํ า นวนหนึ่ ง ด า นของการต อ ต า นและการสร า งชี วิ ต เป น สิ่ ง ที่ สํ า คั ญ กว า 39
Giorgio Agamben, “Sovereign Police” in Means without End (Minneapolis: University of Minnesota Press, 2000), pp. 102-106. 96
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
และมากอนดานของการควบคุมและการใชอํานาจ ดังที่เราจะเห็นในงานของ Gilles Deleuze
Gilles Deleuze กับการเมือง “ชีวิต” ภายหลังจากที่ Foucault เสียชีวิตในป 1984 Gilles Deleuze เขียนงาน ที่ชื่อวา Foucault40 เพื่อทบทวนมโนทัศนพื้นฐานและคุณูปการของ Foucault โดยเฉพาะมโนทัศนเกี่ยวกับอํานาจ ชีวิต และการตอตาน นอกจากนี้ยังมีบทความ ขนาดสั้นอีก 2 ชิ้น คือ “Postscript on the Societies of Control”41 และ บทความ “Immanence: A Life”42 ในชิ้นแรก Deleuze ไดพัฒนามโนทัศน เรื่องชีวะอํานาจของ Foucault มาอีกขั้นหนึ่งโดย Deleuze เรียกสังคมที่ ปกครองดวยชีวะอํานาจวา “สังคมแหงการควบคุม” หรือ society of control และงานชิ้นหลังเปนงานที่ชี้ใหเห็นความเชื่อมโยงระหวางชีวิตกับสภาวะในโลก (Immanence)43 งานเขียนกลุมนี้เปนจุดอางอิงสําคัญของการทําความเขาใจ “การเมืองชีวิต” ของ Deleuze ในสวนนี้จะอภิปรายมโนทัศนการเมืองชีวิต ของ Deleuze ผาน 3 ประเด็นหลัก คือ 1) พลัง (Force) 2) อํานาจและเทคนิค 40
Gilles Deleuze, Foucault (Minneapolis and London: University of Minnesota Press, 1988). 41 Gilles Deleuze, “Postscript on the Societies of Control,” October, Vol. 59 (Winter 1992), pp. 3-7. 42 Gilles Deleuze, “Immanence: A Life,” Pure Immanence: Essays on A Life (New York: Zone Books, 2001), pp. 25-33. 43 ดูเพิ่มเติมมโนทัศน “สภาวะในโลก” (immanence) ใน เกงกิจ กิติเรียงลาภ, “ฐานทางปรัชญาของ Antonio Negri: จาก Spinoza สู multitude,” ฟาเดียวกัน, ปที่ 11 ฉบับที่ 3 (ตุลาคม-ธันวาคม 2556), หนา 38-54. 97
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
ของอํานาจ (Power and techniques of power) 3) การตอตานและการสราง subject (Resistance and Subjectivation) เพื่อจะนําไปสูสวนสรุปของ บทความซึ่งจะชี้ใหเห็นวางานของ Deleuze นําไปสูการศึกษาการเมืองชีวิต และแนวทางการศึกษาแบบหลังมนุษยนิยมในเวลาตอมาไดอยางไร 1. “พลัง” (Force) คือที่มาของความสัมพันธทางอํานาจ Deleuze เสนอว า งานเขี ย นของ Foucault มี คุ ณู ป การสํ า คั ญ ต อ การพัฒนามโนทัศน “อํานาจ” (Power) ไปใหไกลมากขึน้ กวาทฤษฎีวา ดวยอํานาจ ในงานสังคมวิทยาแบบคลาสลิกของ Karl Marx และ Max Weber ที่สําหรับ Marxist อํานาจถือเปนเรื่องสังกัดชนชั้น (Class) สวน Weberian แลว อํานาจคือ โครงสรางการบริหารงานผานกฎระเบียบและองคกรขนาดใหญ (Bureaucratic) Deleuze ชี้วา ในทรรศนะของ Foucault อํานาจไมไดเปนวัตถุสิ่งของที่จะมีใคร หรือกลุม ใดสามารถถือครองได แตสาํ หรับ Foucault แลว เขาจําแนกการวิเคราะห อํานาจออกเปน 2 ระดับ ระดับแรก คือ พลัง และระดับที่สอง คือ อํานาจที่เกิดขึ้น จากความสัมพันธระหวางพลังตางๆ หรือพูดอีกอยางหนึ่งวา ทุกๆ ความสัมพันธ ระหวางพลังคือ “ความสัมพันธเชิงอํานาจ” (Power Relation) พลังและอํานาจ ไมใชสงิ่ ทีส่ ามารถดํารงอยูไ ดดว ยตัวเองหากแตเปนความสัมพันธระหวางพลังตางๆ ทีเ่ ชือ่ มตอเขาดวยกันไมวา การเชือ่ มตอนัน้ จะเปนความสัมพันธเชิงบวกหรือเชิงลบ และในขณะที่อํานาจคือการสถาปนาประธานและกรรม แตพลังกลับไมมีสิ่งที่ เรียกวา “ประธาน” (Subject) หรือ “กรรม” (Object) เนือ่ งจากพลังดํารงอยูแ ละ เปนความสัมพันธทที่ กุ ฝายตางก็เปนผูก ระทําหรือผูถ กู กระทํา พลังจึงเปนเพียงพลัง บริสุทธิ์ (Pure Force) เทานั้น และ “อํานาจคือความสัมพันธระหวางพลังตางๆ หรือใหชัดกวานั้น ทุกๆ ความสัมพันธระหวางพลังตางๆ ก็คือ ‘ความสัมพันธทาง อํานาจ’”44 44
Gilles Deleuze, Foucault, p. 70. 98
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
Deleuze ชี้วา เราตองเขาใจอํานาจในความหมายที่แตกตางออกไป จากทฤษฎีสงั คมศาสตรกอ นหนานีใ้ น 3 ประเด็น คือ หนึง่ อํานาจไมใชรปู แบบหนึง่ ของความสัมพันธ แตอํานาจดํารงอยูในทุกๆ ความสัมพันธระหวางสิ่งตางๆ สอง พลังหนึ่งๆ ไมไดดํารงอยูอยางเปนเอกเทศเฉพาะในตัวเอง แต “มันดํารงอยูใน ความสัมพันธกับพลังอื่นๆ”45 และสาม พลังไมมีประธานและกรรม สิ่งที่ดํารงอยูมี เพียงศักยภาพของพลังที่ไปสัมพันธกับพลังอื่นๆ “พลังจึงไมมีวัตถุแหงการกระทํา ของตัวมันเองที่แยกขาดออกจากพลังอื่นๆ แตมันเปนหรือขึ้นตอความสัมพันธกับ พลังอื่นๆ เทานั้น”46 ในแงนี้ อํานาจและความสัมพันธทางอํานาจจึงไมไดอยูลอยๆ ในสุญญากาศ แต 1) กระจายตัวอยูในพื้นที่ 2) ถูกจัดระเบียบผานเวลา และ 3) อํานาจประกอบขึ้นในกาละและเทศะที่เฉพาะเจาะจงบางอยาง47 ในแงนี้เราจึง ไมสามารถวิเคราะหอํานาจแบบเหมารวมผานลักษณะทั่วไปได แตตองชี้ใหเห็น ความสัมพันธทางอํานาจที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธที่เฉพาะเจาะจงของพลังตางๆ ในกาละและเทศะหนึ่งๆ สําหรับ Deleuze แลว อํานาจมีลักษณะที่สําคัญ48 ดังนี้ 1) อํานาจไมใช การควบคุมหรือการกดทับ (Repression) ที่มีความหมายเฉพาะการกดทับหรือ ปด กั้ น เทา นั้ น แตอํ านาจเปนสิ่ง ที่สั่ ง สม สร างขึ้น และขยับขยายออกไปได 2) อํานาจนัน้ เปนปฏิบตั กิ าร (Practice) หรือเปนการกระทํา (Action) และอํานาจ วิ่งไลตามเพื่อยึดจับและควบคุมจัดการการดํารงอยูและเคลื่อนที่ไปของพลัง อยูเสมอ อํานาจจึงเปนสิ่งที่มาทีหลังพลังเสมอ ในแงนี้ อํานาจจึงไมไดมีลักษณะ เปนกลุมกอนหรือทรัพยากรที่ชนชั้นใดชนชั้นหนึ่งจะยึดครองได แตอํานาจเปน เรื่องของการปฏิบัติ/ปฏิบัติการของพลังตางๆ ที่มาสัมพันธและปะทะกัน และ 45
Gilles Deleuze, Foucault, p. 70. Ibid., p. 70. 47 Ibid., p. 71. 48 Ibid., p. 71. 46
99
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
3) อํานาจนัน้ อยูใ นมือผูป กครองพอๆ กับทีอ่ ยูใ นมือของผูถ กู ปกครอง อํานาจไมใช สิ่งของหรือทรัพยากรที่รวมเปนหนึ่งเดียว อํานาจสรางจากการยินยอม/ตอรอง/ ขัดขืนหรือปฏิบัติการที่ทําใหคนอื่นหรือสิ่งอื่นเกิดมีหรือแมแตดูเหมือนมีอํานาจ ในอีกดานหนึ่ง อํานาจเกิดขึ้นจากการเชื่อมตอของพลังตางๆ ที่ชวยเพิ่มอํานาจ ใหแกกนั และกัน ในขณะทีห่ ากพลังตางๆ ไมสามารถเชือ่ มตอกับพลังอืน่ ๆ ไดอาํ นาจ ก็จะลดลง ในแงนี้ พลังจึงเปนเรื่องของศักยภาพ (Potentiality) ที่ทั้งสามารถ สรางแรงกระทบ (To affect) ตอพลังอื่นๆ และทั้งที่เปนศักยภาพที่จะไดรับ หรือรับรูถ งึ การถูกกระทบ (To be affected) จากพลังอืน่ ๆ สิง่ ใดก็ตามทีถ่ กู สิง่ อืน่ มากระทบใหเกิดความเปลี่ยนแปลง แสดงวาสิ่งนั้นมีศักยภาพในการเชื่อมตอกับ พลังอื่นหรือสิ่งอื่นอันจะนําไปสูการเปลี่ยนแปลงตัวเอง49 อํานาจจึงไมไดมีลักษณะ ของการปฏิเสธหรือกดทับเทานัน้ แตอาํ นาจเปนเรือ่ งของการสรางผานปฏิสมั พันธ ที่พลังตางๆ มาเชื่อมตอกระทบและถูกกระทบ อํานาจจึงมีลักษณะที่เปนเชิงบวก และสรางสรรคดวย การมองอํานาจแบบนี้แตกตางจากการมองอํานาจในทฤษฎี สังคมศาสตรเดิมที่เห็นวา สิ่งใดก็ตามที่ถูกกระทบหรือถูกเปลี่ยนแปลงเปนเพราะ สิง่ นัน้ มีอาํ นาจนอย แตสาํ หรับ Deleuze แลว Foucault มองวา การเปลีย่ นแปลง ตัวเองของพลังตางๆ เมื่อกระทบและถูกกระทบจากพลังอื่นๆ นั้นเปนเพราะ พลังนั้นมีศักยภาพที่จะกอใหเกิดความเปลี่ยนแปลง ความสัมพันธทางอํานาจจึงไมไดเปนเรื่องที่เปนทางการหรือเปนเรื่อง ของสถาบันขนาดใหญเทานั้น แตยังดํารงอยูในรูปแบบที่ไมเปนทางการดวย และ หากจะมีความสัมพันธที่เปนสถาบันหรือเปนทางการ มันก็ยอมมาทีหลังจาก ความสัมพันธที่ไมเปนทางการ หรือพูดอยางถึงที่สุด ความสัมพันธทางอํานาจ เปนเรือ่ งทีไ่ มเปนทางการในแงทมี่ นั เปนความสัมพันธของพลังตางๆ นอกโครงสราง ของอํานาจทีเ่ ปนทางการ ซึง่ หากความสัมพันธไมสามารถถูกรองรับดวยความเปน 49
Gilles Deleuze, Foucault, p. 71. 100
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
สถาบันที่เปนทางการ อํานาจก็ไมใชสิ่งที่เสถียร หยุดนิ่ง หรือมีขอบเขตตายตัว ชัดเจน โดยเฉพาะอยางยิ่ง ตัวแบบของอํานาจแบบ “ชีวะอํานาจ” ที่ Foucault เสนอวาเปนตัวแบบที่แตกตางจากอํานาจแบบอธิปตยซึ่งเปนตัวแบบของการใช อํานาจที่มีศูนยกลาง แตชีวะอํานาจเปนปฏิบัติการของอํานาจที่เคลื่อนที่อยู ตลอดเวลา โดยเฉพาะการเคลื่อนไปในสนามของพลังตางๆ ที่อยูนอก/หางจาก ศูนยกลางอํานาจ การวิเคราะหชีวะอํานาจจึงไมไดเรียกรองใหเราสนใจรัฐหรือ สถาบันที่เปนทางการแตเพียงดานเดียว แตเรียกรองใหเราสนใจปฏิบัติการของ อํานาจในปริมณฑลตางๆ ที่ดูเสมือนวาไมมีเปนการเมืองหรือไมมีอํานาจ นั่นคือ ปริมณฑลของชีวิตที่อยูในสนามพลังตางๆ50 ในลําดับตอมา Deleuze กลับมาตีความ ความสัมพันธระหวางอํานาจ กับความรูในงานของ Foucault โดยชี้วา ในปฏิบัติการของอํานาจ อํานาจ จะเขามาจัดการกับพลังตางๆ ผานการสรางความรูที่ในตัวความรูเองกลายเปน สถาบันแบบหนึ่ง ซึ่งอาจไมไดขึ้นตอหรือเปนกลไกที่เปนทางการของรัฐ แตความรู กลายมาเปนปฏิบัติการที่ “ไมจําเปนตองมีรัฐ มันเปนกลไกการควบคุมของรัฐ และมันก็เปนเชนนี้ในทุกๆ กรณี”51 ในทรรศนะของ Deleuze รัฐจึงไมไดมี ความหมายแคบแบบที่ Marx เรียกวาเปนโครงสรางสวนบน หรือแบบที่ Weber พูดถึงรัฐในฐานะสถาบันที่ผูกขาดความรุนแรง แตรัฐหมายถึง กลไกการยึดจับ และควบคุมความสัมพันธของพลังตางๆ ที่เคลื่อนที่อยู ซึ่ง Foucault แทนที่คําวา “รัฐ” (State) ดวยคําวา “การปกครอง” (Government) ซึ่งมีความหมาย กวางกวา เปาหมายของการปกครองก็คอื การเปลีย่ นสิง่ ทีไ่ มมรี ปู ราง ไรทที่ าง และ อยูน อกกลไกของมันใหกลายมาเปนสิง่ ทีก่ าํ หนดรูปรางได มีทมี่ ที าง และอยูภ ายใน การจัดลําดับชวงชั้นของโครงสรางอํานาจ ซึ่งการยึดจับสิ่งที่ไรที่ทาง ไรรูปราง อยูสิ่งที่อยูภายนอกใหเขามาเปนการเปลี่ยนสิ่งที่ไรระบบระเบียบใหมาอยูใน 50 51
Gilles Deleuze, Foucault, p. 73. Ibid., p. 75. 101
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
“ระบบของการจัดการความแตกตางที่เปนทางการ” (System of formal differentiation)52 พูดอีกอยางก็คือ อํานาจจะทํางานบนการเชื่อมความสัมพันธ ระหวางรหัสที่มีรูปแบบตายตัวและเปนทางการกับสิ่งที่ยังไมถูกนับวาเปนรหัส ซึ่งเคลื่อนไหวอยางอิสระผานการสรางชุดความรูขึ้นมา และนี่คือความสําคัญ ของความรูใ นฐานะทีเ่ ปนเครือ่ งมือหรือกลไกในการยึดจับหรือแปลสิง่ ทีย่ งั ไมมรี หัส ใหเขามาอยูในระบบระเบียบของความรูที่จัดการได และเมื่อมันถูกจัดการได มันก็ยอมถูกควบคุมได ในแง นี้ อํ า นาจจึ ง เป น สิ่ ง ที่ ม าก อ นความรู เ สมอ เพราะลํ า พั ง ความรู โดยตัวมันเองไมสามารถผนวกหรือยึดจับเอาสิ่งใดเขามาได หากปราศจากความ สัมพันธทางอํานาจระหวางพลังตางๆ ความรูมีทั้งที่อยูในรูปของการจัดระเบียบ สิ่งยอยๆ ใหอยูภายในโครงสรางขนาดใหญในฐานะที่เปนระบบความรูกับความรู ในฐานะทีเ่ ปนเครือ่ งกําหนดขอบเขตของความเปนไปไดในการทําความเขาใจสิง่ ใด สิ่งหนึ่ง (Curve) โดยเฉพาะในมิติของภาษา ความรูเปนเครื่องมือที่ทําใหสิ่งตางๆ สามารถถูกพูดถึงไดในฐานะทีเ่ ปนประโยคและวลี ในแงนภี้ าษาก็คอื ชุดของอํานาจ ที่เขามาจัดการกับสิ่งที่ยังไมถูกพูดถึงและการจัดการกับสิ่งที่ถูกพูดถึงไดใหอยูในที่ ในทางหรือในโครงสรางลําดับชั้นของภาษา53 สํ า หรั บ Deleuze พลั ง เป น การเคลื่ อ นที่ แ ละเปลี่ ย นรู ป ไปอย า งไม หยุดยั้ง “การกําเนิดขึ้นของพลังใหมๆ จึงเทากับการสรางและเปลี่ยนแปลง ประวัติศาสตรใหกาวกระโดดทวีคูณ”54 การเคลื่อนที่ของพลังจึงมีลักษณะคลาย Diagram หรือการวาดแผนที่ (Cartography) คือ อยูในแนวระนาบแบบหาจุด เริม่ ตนและจุดจบไมได พืน้ ทีแ่ บบ Diagram เปนพืน้ ทีแ่ บบไรสถานที่ (Non-place) คือ เปนพื้นที่ที่ยังไมกลายมาเปนสิ่งที่ถูกใหความหมายในฐานะที่เปนสถานที่ 52
Gilles Deleuze, Foucault, p. 76. Ibid., pp. 78-83. 54 Ibid., p. 85. 53
102
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
(Place) ในมุมของอํานาจ พื้นที่แบบไรสถานที่เชนนี้จึงเปนพื้นที่ที่เปดใหเกิดการ เปลี่ยนความหมายและกลายเปนสิ่งอื่นไดอยูตลอดเวลา พื้นที่ที่ไรสถานที่ซึ่งเปน พื้นที่เอกพจนเฉพาะตัวเองและเปนพื้นที่ที่อยูในโลกเชนนี้เปนสิ่งที่อยูภายนอก (Outside) ของอํานาจ เปนพื้นที่ที่ไมถูกจัดลําดับชวงชั้นโดยอํานาจ ไมมีรูปราง ไมมจี ดุ เริม่ ตนและจุดจบ มีแตสภาวะระหวาง (Interstices/In-between/Middle) ที่เปดใหสิ่งตางๆ เกิดขึ้นไดและเปนไปได และเมื่อสิ่งที่เปนไปไดซึ่งเปนสิ่งที่อยู ภายนอกเคลื่อนที่ มันจะมีโอกาสและศักยภาพในการเขามากอกวนและยกสลาย องคประกอบของภายในทีม่ รี ะเบียบใหขยับเคลือ่ นออกไปจากเดิม55 การกลายเปน สิ่งอื่น (Becoming) ที่เกิดจากการเคลื่อนที่ใน Diagram จึงไมใชความตอเนื่อง ของตัวตนหรืออัตลักษณ แตเปนการกาวกระโดดและเปลี่ยนแปลงตัวเองของ ตัวตนตางๆ56 ลักษณะของการเชื่อมตอกันของพลังตางๆ ที่อยูภายนอกจาก โครงสรางของอํานาจจึงมีสภาวะทีเ่ ปนเอกพจนในแงทมี่ นั มีกฎเกณฑของตัวมันเอง พร อ มๆ กั บ ที่ มั น ก็ ไ ม ขึ้ น ต อ อะไรอย า งอื่ น ที่ อ ยู น อกตั ว มั น หรื อ ที่ เ รี ย กว า สภาวะในโลก การที่ พ ลั ง เคลื่ อ นที่ แ บบไร ส ถานที่ ห รื อ เคลื่ อ นที่ ใ นพื้ น ที่ แ บบ Diagram ศักยภาพของมันจึงไมใชการผลิตสรางความหมายทีม่ อี ยูแ ลว แตเปนการ ผลิตสรางสิ่งที่ไมถูกนับวามีความหมาย (Non-sense) ซึ่งเปนสิ่งที่อยูภายนอก การสร า งสิ่ ง ที่ ไ ร ค วามหมายจํ า นวนมากจากศั ก ยภาพของพลั ง ในตั ว มั น เอง จึงเปนการตอตานอํานาจที่ยึดอยูกับระบบความหมายและภาษาที่ตายตัว รวมถึง การสรางสิ่งที่ไรความหมายยังสะทอนวา เราไมสามารถนิยามมนุษยวาเปนมนุษย คือผูมีความสามารถในการพูดภาษาและการใชเหตุผล เพราะศักยภาพไมใช การสรางสิง่ ทีเ่ ปนเหตุเปนผล แตเปนการผลิตสรางสิง่ ทีเ่ ลยพนจากกรอบของเหตุผล ปกติ และเราไมสามารถนิยามสังคมวาเปนชุมชนของมนุษยที่เชื่อมโยงกันดวย กฎเกณฑกติกาทีเ่ ปนเหตุผลผานภาษาได แตสงั คมคือการเคลือ่ นไปอยางไมสนิ้ สุด 55 56
Gilles Deleuze, Foucault, p. 87. Ibid., p. 85. 103
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
ของศักยภาพของพลังตางๆ ทีส่ รางสิง่ ใหมอยูเ สมอ สิง่ ทีน่ า สนใจสําหรับ Deleuze จึงไมใชระบบภาษาและเหตุผล หรือแมแตความเปนมนุษย แตกลับเปนความ สัมพันธของพลังตางๆ ที่ประกอบกันเขาเปนสิ่งตางๆ ซึ่งลวนแลวแตผลิตสราง สิ่งที่ไรความหมาย รวมถึงการสรางกฎเกณฑกติกาของตัวเองแบบไมมีระบบ ระเบียบ และไมสามารถถูกเขาใจไดดวยเหตุผลของความเปนมนุษย เราจะเห็นวา สิ่งที่ Deleuze สนใจจึงไมใชมนุษย และความรูก็ไมใช เรื่องของศาสตรแหงมนุษยแบบมนุษยศาสตรหรือสังคมศาสตร แตความรูแบบนี้ เปนการทําความเขาใจและเปดใหเห็นการเชื่อมตอของความหลากหลายของ พลังตางๆ ที่หลากหลายและเปนอนันตที่เขามาประกอบกันเปนรูปรางตางๆ ไมวารูปรางนั้นจะเปนมนุษย สัตว หรือรูปรางที่ไมสามารถจัดประเภทวาเปนอะไร ไดจากระบบความรูที่มีอยู ความรูจึงเปนเรื่องของการศึกษาการประกอบกันเขา และการเคลื่อนไปอยางไมสิ้นสุดของพลังซึ่งเปนสสารพื้นฐานของการเคลื่อนไป และดํารงอยูของสรรพสิ่งมากกวาจะเปนการศึกษาตัวมนุษยท่ีมีแกนแทและ เปนสากลแบบมนุษยนิยม การขามใหพน มนุษยนิยมจึงเปนความพยายามทีจ่ ะเปด ใหเราเห็นสิ่งใหมและความเปนไปไดของการเกิดสิ่งใหม ซึ่งทั้งหมดนี้เปนเรื่อง ของความสัมพันธแบบอนันตของพลังตางๆ มากกวา วัตถุแหงการศึกษาแบบ Deleuzean จึงไมใชมนุษย แตเปนการประกอบกันเขาของพลัง ซึ่งขามพน การศึกษาแบบเทววิทยาที่สนใจพระเจา และขามพนความรูแบบสมัยใหมที่ยึดกับ ความเปนมนุษยแบบมนุษยนิยม57 2. อํานาจและเทคนิคของอํานาจ เมือ่ การดํารงอยูข องอํานาจเปนสิง่ ทีม่ าทีหลังจากปฏิสมั พันธของพลังตางๆ อํานาจจึงเปนกลไกของการเขาไปควบคุม จับยึด และจัดการกับศักยภาพของ พลังตางๆ ที่เชื่อมตอกัน ในที่นี้ Deleuze ชี้วา ปฏิบัติการของอํานาจมีอยู 57
Gilles Deleuze, Foucault, p. 88. 104
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
2 รูปแบบ คือ หนึ่ง ปฏิบัติการของการจัดลําดับชวงชั้น (Stratification) ไดแก อํานาจรัฐ อํานาจกฎหมาย อํานาจของภาษา และอํานาจศีลธรรม ที่จัดลําดับชั้น ใหกับสิ่งตางๆ ในรูปของโครงสรางที่มีลําดับสูงตํ่าและบริหารจัดการองคประกอบ ตางๆ แบบแนวดิ่ง องคประกอบที่อยูในโครงสรางจึงเปนองคประกอบที่ถูกจับยึด และควบคุมไดโดยอํานาจ และสอง ปฏิบตั กิ ารแบบ Diagram ซึง่ เปนความสัมพันธ ระหวางพลังตางๆ ซึ่งเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ไมเสถียร และไมปรากฏในรูปของความ เปนจริง (Virtual) ตราบเทาที่มันไมถูกผนวกเขาไปในลําดับชั้นเชิงโครงสราง แบบแนวดิ่ง ดังที่กลาวไปแลววาอํานาจเปนสิ่งที่มาทีหลังจากพลัง ศักยภาพของพลัง เปนสิ่งที่ดํารงอยูกอนและลนเกินไปกวาโครงสรางของอํานาจที่มีอยู Deleuze ชี้ ว า มั น มี สิ่ ง ที่ อ ยู ข า งนอกจากตั ว โครงสร า งที่ ซึ่ ง อํ า นาจไม ส ามารถผนวก องคประกอบหรือพลังเหลานี้หรือที่เรียกวา “สิ่งที่ยังไมถูกจัดลําดับชั้น” (Nonstratified) เขามาอยูในโครงสรางได วิธีการจัดการสิ่งที่อยูขางนอกจึงมีทั้ง การกีดกันออกไป พรอมๆ กับที่ดึงมันเขามา เปาหมายของอํานาจก็คือการ ขยายตัวออกไปจัดการกับสิง่ ทีจ่ ดั การไมไดนนั่ คือพลังทีม่ ากอนและอยูน อกขอบเขต ของมัน การวิเคราะหปฏิบัติการของอํานาจ 2 รูปแบบนี้แตกตางกันที่ปฏิบัติการ ของการจัดลําดับชั้นนั้นเปนไปเพื่อรักษาเสถียรภาพของการควบคุมปกครองสิ่งที่ ถูกปกครองและจัดลําดับชัน้ ไวแลวโดยโครงสรางใหหยุดนิง่ อยูก บั ที่ สวนปฏิบตั กิ าร ของอํานาจแบบ Diagram นัน้ เปนรูปแบบของการใชอาํ นาจออกไปในแนวระนาบ เพื่อจัดการกับสิ่งที่อยูขางนอกซึ่งยังไมถูกจัดลําดับชั้น ผานการแทรกซึมออกไป ตามเส น ของการเชื่ อ มต อ ระหว า งพลั ง ต า งๆ ที่ อ ยู ใ นพื้ น ที่ ที่ ยั ง จั ด การไม ไ ด แลวทําการยึดจับและพยายามควบคุมกํากับความหมาย (Overcoding) ตอสิ่ง ที่ยังไรความหมาย ซึ่งอยูขางนอก และเมื่ออํานาจสามารถจับยึดหรือแปลสิ่งที่ ไรความหมายใหเขามาอยูในชวงชั้นของโครงสรางสําเร็จ สิ่งที่ ไรความหมาย จะถูกจัดการโดยอํานาจทัง้ ทีผ่ า นการกีดกันออกไปในฐานะสิง่ ทีเ่ ปนภัยและไรสาระ 105
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
และในอีกดาน อํานาจจะเขาจัดการสิ่งที่ไรความหมายโดยการสรางความหมาย ที่ตายตัวใหแกพลังตางๆ ที่ถูกดึงเขามา ในแงนี้ อํานาจจึงไมไดแคทํางานผานสถาบันที่เปนทางการเทานั้นแบบที่ เกิดขึ้นผานการจัดลําดับชั้นของสิ่งตางๆ แตปฏิบัติการของอํานาจแบบ Diagram ซึง่ Deleuze ตีความวานีค่ อื กลไกของชีวะอํานาจในงานของ Foucault นัน้ ทํางาน อยูในทุกมิติของชีวิต ผานการเขามากํากับสิ่งเล็กๆ นอยๆ ที่ยังไมถูกจัดระเบียบ (Order of things) อํานาจแบบ Diagram จึงสามารถปรากฏอยูในหลายรูปแบบ ที่ไมตายตัวและยืดหยุน โดยวิ่งตามความหลากหลาย (Multiplicities) ของพลัง และปฏิสัมพันธของพลังตางๆ ที่มาเชื่อมตอกัน ในขณะที่พลังมีการเชื่อมตอ (Connect) ไปเรื่อยๆ ตามศักยภาพของมันในรูปแบบที่ไมมีกฎเกณฑหรือถูกมอง วาไรกฎเกณฑโดยมุมมองของอํานาจ การเชื่อมตอของพลังตางๆ ที่อยูขางนอก ก็อาจจะสรางกฎเกณฑของตัวเองขึ้นมาในชวงเวลาหนึ่งเพื่อใชเปนวิธีและรูปแบบ ของการเชื่อมตอกับพลังอื่นๆ กฎเกณฑที่เกิดขึ้นจึงมีลกั ษณะเฉพาะเจาะจงขึ้นตอ องคประกอบตางๆ ทีเ่ ขามาปฏิสมั พันธกนั โดยไมตอ งพึง่ พิงกฎเกณฑของโครงสราง ที่อยูภายนอกหรือเหนือออกไปจากชุดความสัมพันธของตัวมันเอง ในแงนี้เมื่อ กาละและเทศะซึ่งหมายถึงการที่องคประกอบของการเชื่อมตอเปลี่ยนแปลงไป กฎเกณฑเดิมก็อาจถูกสลายไป (หรือไมสลายไปแตพัฒนาและขยายตัว) ได กฎเกณฑดังกลาวจึงแตกตางจากกฎที่อยูในโครงสรางอํานาจ เพราะกฎของการ เชือ่ มตอของพลังตางๆ นัน้ ไมไดมงุ ไปทีก่ ารรักษาระเบียบแตมงุ ไปทีก่ ารเชือ่ มตอไป เรื่อยๆ และการสราง/ขยายกฎใหมๆ อยางไมจํากัด การเชื่อมตออยางไมจํากัด จึงขัดแยงกับการยึดมั่น รักษา และขยายอัตลักษณและความเปนตัวตน (Being) ที่ตายตัวในแบบที่เกิดขึ้นกับโครงสรางอํานาจ แตทุกๆ ครั้งที่พลังเชื่อมตอกัน มันจะกลายเปนสิง่ อืน่ ทีแ่ ตกตางและแตกตัวออกไปอยางไมจาํ กัด การเชือ่ มตอของ พลังจึงมีลักษณะที่ไมเปนทางการ (Informal) พรอมๆ กับที่การเชื่อมตอของมัน ก็ อ ยู ใ นแนวระนาบ ไม ใ ช แ นวดิ่ ง แบบบนลงล า งดั ง ที่ เ กิ ด กั บ การควบคุ ม ของ โครงสรางลําดับชัน้ 106
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
กลาวโดยสรุปแลว ความสัมพันธระหวางอํานาจและพลังก็คือ พลังมากอน อํานาจ อํานาจเปนปฏิกริ ยิ าตอศักยภาพทีเ่ กิดจากการเชือ่ มตอของพลังตางๆ ทีอ่ ยู นอกอํานาจ Diagram ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่พลังเคลื่อนไป และเทคนิคของอํานาจ แบบไดอะแกรมก็หมายถึงการขยายตัวของอํานาจออกไปในแนวระนาบจึงเปนการ วิง่ ตามเพือ่ ยึดจับศักยภาพของพลังตางๆ ทีอ่ ยูส งิ่ ทีอ่ ยูภ ายนอกโครงสรางลําดับชัน้ ของตัวมัน หากอํานาจสามารถยึดจับความสัมพันธในแนวระนาบไดมันจะพลิก ความสัมพันธกลับไปอยูในแนวตั้งหรืออยูในระบบระเบียบที่ซึ่งความสัมพันธแบบ ลําดับชั้นนั้นขึ้นอยูกับอํานาจที่มีศูนยกลาง (Central power) ทีจ่ ะเขามากํากับ และจัดระเบียบกฎเกณฑภายใน มากไปกวานั้น เมื่อ Deleuze พูดถึงพลังที่อยู ขางนอก พลังขางนอกจึงวิ่งไปมาในรูปแบบที่ไรระเบียบและโกลาหลอลหมาน ซึ่งใน A Thousand Plateaus Deleuze และ Guattari เรียกลักษณะของการ เชื่อมตอและเคลื่อนที่ไปมาเชนนี้วา “ไรโซม” (Rhizome)58 ไรโซมเปนรูปแบบ ของความสัมพันธที่เคลื่อนที่อยางอิสระ ไมมีกฎเกณฑกํากับที่ชัดเจน (หรือ มี ก ฎของตั ว มั น เอง) และเปลี่ ย นแปลงได เ มื่ อ ความสั ม พั น ธ เ ปลี่ ย นแปลงไป ผลของการเชื่อมตอที่เกิดขึ้นจึงไมสามารถคาดเดาไดจากกฎหรือสมการใดๆ การเชื่อมตอนี้จะผลิตความสัมพันธชุดใหมอยางตอเนื่องตามวิถีแหงการเคลื่อนที่ ความสั ม พั น ธ เ ช น นี้ ไ ม ไ ด เ ป น เชิ ง บวก/ลบหรื อ ดี / ชั่ ว แต ผ ลของการ เชื่อมตอเปนเรื่องการเพิ่มหรือลดลงของศักยภาพของพลังตางๆ ที่เชื่อมตอกัน หากศักยภาพเพิ่มขึ้น การเชื่อมตอจะขยายตัวและลงลึกเขมขนตอไปแตหาก การเชือ่ มตอสงผลใหศกั ยภาพลดลง การเชือ่ มตออาจจะเปลีย่ นรูปหรือสลายตัวไป ดังนั้น การดํารงอยูของเครือขายของการเชื่อมตอจะขึ้นอยูกับวาเมื่อเชื่อมตอ กันแลว มันไดเพิ่มหรือลดอํานาจใหเครือขายอยางไร ถาเครือขายเชื่อมตอกันแลว 58
Gilles Deleuze and Félix Guattari, “Introduction: Rhizome,” A Thousand Plateaus: Capitalism and Schizophrenia (Minneapolis and London: University of Minnesota, 1987), pp. 3-25. 107
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
ทําใหองคประกอบตางๆ ออนแอลง องคประกอบตางๆ จะผละออกไปเชื่อมกัน ในรูปแบบอื่นหรืออาจยังคงเชื่อมกันเทาที่มีประโยชน หรือหากผละออกไปแลว ถามีประโยชนใหรวมกันอีกก็อาจจะกลับมาเชื่อมกัน โดยที่การเชื่อมกันแตละครั้ง เครือขายจะสรางความสัมพันธชุดใหม ความคิดใหม กติกาขอตกลงใหมเสมอ กลาวโดยสรุปแลว อํานาจและการพัฒนาเทคนิคของอํานาจนัน้ มีเปาหมาย เพื่อยึดจับและผนวกเอาสวนตางๆ ที่ Deleuze เรียกวาพลังใหเขามาอยูใน โครงสรางที่จัดลําดับชั้น นอกจากอํานาจจะทํางานผานการรักษาลําดับชั้นสูงตํ่า ในโครงสรางไวแลว อํานาจยังวิ่งออกไปจากโครงสรางเพื่อยึดจับศักยภาพของ พลังที่อยูนอกโครงสรางดวย ปฏิบัติการของอํานาจจึงมีทั้งปฏิบัติการในแนวดิ่ง หรือการจัดลําดับชวงชั้นและในแนวระนาบหรือ Diagram 3. การตอตานและการสราง Subject ในทรรศนะของ Deleuze การคิดเกี่ยวกับ “สิ่งที่อยูภายนอก” (The Outside) คือฐานของการทําความเขาใจการตอตาน (Resistance) สิ่งที่อยู ภายนอกคือความสัมพันธที่จัดระเบียบไมได/ยังไมถูกจัดระเบียบของพลังตางๆ ซึ่งเปนที่สถิตของชีวิตและศักยภาพในการสรางชีวิต “สิ่งที่อยูภายนอกไมใช ขอบเขตที่ตายตัว แตเปนวัตถุที่เคลื่อนที่ซึ่งมีทิศทางที่หลากหลาย พับตัวเองเขา คลายตัวเองออกเพื่อสรางสิ่งที่อยูภายใน ภายในจึงไมใชอะไรอื่น นอกจาก จะเปนการเคลื่อนที่ไปของสิ่งที่อยูภายนอก ในแงนี้ ภายในจึงเปนภายในของสิ่งที่ อยูภายนอก”59 ซึ่งสําหรับ Deleuze ภายนอกมี “ความเปนสังคม” (Social) มากกวาสิ่งที่นักสังคมวิทยาเรียกวาสังคม (Society) เพราะสําหรับนักสังคมวิทยา สังคมคือสิง่ ทีถ่ กู จัดระเบียบโดยอํานาจและสังคมยังถูกกํากับไวดว ยความรูช ดุ หนึง่ ที่นิยามวาอะไรคือสังคมซึ่งมีโครงสรางและลําดับชั้น รวมถึงกฎระเบียบที่ตายตัว แตความเปนสังคมหมายถึงความสัมพันธที่ไมเปนทางการ ไมมีรูปราง ยังไมถูก 59
Gilles Deleuze, Foucault, p. 97. 108
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
จัดระเบียบ หรือยังไมนับวาเปนระเบียบ ในแงนี้ ในสังคมจึงไมมีชีวิตแตเปนพื้นที่ ของสิ่งที่ไรชีวิต ในทางกลับกัน ความเปนสังคมซึ่งอยูภายนอกกลับเปนพื้นที่ ที่พลังตางๆ สามารถประกอบสรางชีวิตอยางอิสระ ดังนั้น การศึกษาความเปน สังคมเทานัน้ ทีเ่ ราจะเรียกไดวา เปนการศึกษาชีวติ และการมีชวี ติ และการสรางชีวติ ในแงนี้ก็คือการตอตานอํานาจ เมือ่ ภายในเปนสิง่ ทีว่ งิ่ ไลตามและพยายามยึดจับภายนอก ภายในจึงเปนผล ของการเคลื่อนที่ของภายนอก มากกวาที่ภายในจะดํารงอยูอยางสัมบูรณในตัว มันเองแบบที่เรามักจะวิเคราะหรัฐและกลไกรัฐ Deleuze เรียกการทํางานของ ภายนอกวา การมวนพับ (Fold)60 โดยการมวนพับเปนการสรางเสนแบงระหวาง ภายในและสิ่งที่อยูภายนอกที่เกิดจากการเคลื่อนที่อยางไมหยุดยั้งของสิ่งที่อยู ภายนอก ตัวตน (Self) ที่เกิดขึ้นจึงถูกสรางจากสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดที่เคลื่อนที่ใน แผนพื้นของสภาวะในโลก (Plane of immanence) ในแงนี้ “สิ่งที่เปนตัวตน มีชีวิตอยูภายในฉันในฐานะที่ตัวตนเปนการทวีคูณแบบกําลังสองของสิ่งอื่น... และนีค่ อื การทีฉ่ นั คนพบคนอืน่ ภายในตัวฉัน”61 ตัวตนจึงไมใชสงิ่ ทีด่ าํ รงอยูแ ยกขาด จากสิ่งที่อยูภายนอกหรือคนอื่น แตเปนการเชื่อมตอสัมพันธและถูกมวนพับ กลับเขามาและคลี่คลายออกไปของภายนอกและภายใน การมวนพับจึงหมายถึง การกลับเขามาสรางความเปนภายในของสิง่ ทีอ่ ยูภ ายนอก ซึง่ ภายนอกในตัวมันเอง เปนสภาวะสัมบูรณ “ที่สรางใหสิ่งที่อยูภายนอกกลายมาเปนองคประกอบแหง พลังชีวิตที่เกิดขึ้นซํ้าแลวซํ้าอีก”62
60
Gilles Deleuze, Foucault, p. 97. และดูเพิ่มเติมใน Gilles Deleuze, The Fold: Leibniz and the Baroque (Minneapolis: University of Minnesota Press, 1993) 61 Ibid., p. 98. 62 Ibid., p. 99. 109
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
มาถึงจุดนี้ Deleuze ชี้วา subject ที่มีอิสระสามารถเกิดขึ้นได โดยการ สราง subject (Subjectivation) เปนผลจากการมวนกลับและวิ่งตัดผานของ ภายนอกตอภายใน การสราง subject ที่เปนอิสระไมไดเกิดบนสุญญากาศ ที่ปราศจากอํานาจที่กดทับ แตเปนการมวนกลับเขาไปของภายนอกเพื่อสราง ตัวเองใหมในเสนตัดภายในโครงสรางอํานาจ subject ที่เกิดขึ้นจึงเปนเสน (Line) มากกวาจะเปนจุด (Point) เพราะหาก subject เปนเรือ่ งการเคลือ่ นทีแ่ ละเชือ่ มตอ ไมสิ้นสุด เราก็ไมสามารถหาจุดที่หยุดนิ่งตายตัวของ subject ได แต subject เปนการเชื่อมสัมพันธกับสิ่งอื่นทั้งที่อยูภายในและภายนอก เปนการวิ่งกลับเขามา ที่ ภ ายในของภายนอก ซึ่ ง ในการม ว นตั ว กลั บ เข า มาของเส น นั้ น นอกจากจะ เปลีย่ นแปลงหรือบอนเซาะโครงสรางแลวมันยังเปน “อํานาจทีจ่ ะสรางแรงกระทบ ตอตัวเอง เปนการกระทบของตัวตนตอตัวตนของเรา... มิติของการสราง subject กอตัวขึ้นจากความสัมพันธที่เรามีตออํานาจและความรูโดยไมพึ่งพิงหรือขึ้น ตอมัน”63 ในแงนี้ สิ่งที่อยูภายนอกที่เคลื่อนไปจึงไมใชสิ่งที่เปลือยเปลา แตคือ การปะทะกันและการดํารงอยูดวยกันของ หนึ่ง ความรู สอง อํานาจ และสาม การสราง subject64 Deleuze ชี้วา การมวนพับ (Foldings) เพื่อสราง subject สามารถเกิดได ใน 4 รูปแบบ คือ หนึ่ง เกิดจากสวนที่เปนวัตถุของตัวเรา นั่นคือ ความปรารถนา (Desire) ที่ถูกผลิตสรางขึ้น สอง การมวนพับของความสัมพันธและการเชื่อมตอ ที่เกิดขึ้นระหวางพลังตางๆ โดยที่ความสัมพันธนี้จะสรางกฎของตัวมันเองขึ้นมา เพื่อไปกําหนดความสัมพันธที่มีตอตัวตนของเรา สาม การมวนพับของความรู ซึง่ เปนการสถาปนาและสรางความสัมพันธระหวางความจริง (Truth) กับอัตตภาวะ และสี่ การมวนพับของสิ่งที่อยูภายนอกเอง ซึ่งรูปแบบนี้เปนรูปแบบที่สัมบูรณ ในตัวเอง และสรางความเปนภายในซึง่ หมายถึงการสราง subject เพือ่ ให subject 63 64
Gilles Deleuze, Foucault, p. 101. Ibid., p. 114. 110
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
ตระหนั ก หรื อ ใช เ สรี ภ าพและการปลดปลอ ยตั ว เองออกจากโครงสร า งเดิ ม65 กลาวโดยสรุปแลว การมวนพับก็คอื กระบวนการสราง subject ทีข่ บั เคลือ่ นไปดวย ความปรารถนา subject จึงไมใชสงิ่ ทีต่ ายตัวและหยุดนิง่ แบบทีถ่ กู สรางจากภายใน ที่ มี ข อบเขตของตั ว เอง แต ก ารสร า ง subject เป น เรื่ อ งความสั ม พั น ธ แ ละ การตอตาน ในแงนกี้ ระบวนการสราง subject จึงเปนการเคลือ่ นกลับเขาไปภายใน โครงสรางของความสัมพันธทางอํานาจที่มีอยูเดิม ดังนั้น “subject ตองถูก สรางขึ้นในรูปแบบที่แตกตางกันไปในแตละสภาวการณ นั่นคือ เกิดขึ้นจากจุดยืน ที่มั่นของการตอตาน”66 (ดูแผนภาพขางลางประกอบ) outside (active subject) inflection point
consumer
fold
communicator
encounter
ที่มา: Matt Rodda, “The Diagrammatic Spectator,” Ephemera: Theory & Politics in Organization, Vol. 14(2) (2014), pp. 221-244.
65 66
Gilles Deleuze, Foucault, p. 104. Ibid., p. 105. 111
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
การเคลื่อนที่และการกอรูปของ subject ผานการมวนพับในพื้นที่แบบ ไดอะแกรมจึงเปนการเคลื่อนที่เพื่อจะเปลี่ยนตัวเองแบบกาวกระโดด (Mutation) การมวนพับ การสราง subject และการตอตานจึงเปนกระบวนการเดียวกัน ที่เกิดขึ้นผานการปะทะกับอํานาจในพื้นที่แบบไดอะแกรม กระบวนการดังกลาว จึงเปนกระบวนการคลายสิง่ ทีพ่ บั อยูแ ละสรางการมวนพับใหม เพือ่ สลับสับเปลีย่ น ภายในกับสิ่งที่อยูภายนอก และในการสลับสับเปลี่ยนแตละครั้งมันจะสราง ภายในขึ้นมาใหมที่เปนผลจากการคลายและมวนพับในแตละครั้งของการสราง subject สําหรับ Deleuze แลว ภารกิจของการตอตานก็คือ “การปนขึ้นไปให เหนือชวงชั้นแหงอํานาจ เพื่อที่จะไปใหถึงสิ่งที่อยูภายนอก... ซึ่งเปนสิ่งที่ยังไมถูก จัดชวงชั้น (Non-stratified)”67 ในแงนี้ “สิ่งที่อยูภายนอกที่ไมเปนทางการจึงเปน พื้นที่ของการปะทะตอสู เปนโซนแหงการรบพุงอยางบาคลั่งที่จุดเฉพาะตางๆ ภายในชวงชั้นกับความสัมพันธระหวางพลังตางๆ จะถูกทดสอบ” และเมื่อเรา เดินทางไปสูสิ่งที่อยูภายนอก ก็เทากับ “เรากําลังเขาสูปริมณฑลของการทวีคูณ อยางเอาแนเอานอนไมไดและจะนําไปสูความตายที่เกิดขึ้นนับครั้งไมถวนของ สิ่งตางๆ และเมื่อบางสิ่งถือกําเนิดขึ้นและหายไปอยางตอเนื่อง” นี่แหละคือสิ่งที่ Deleuze เรียกวา ‘การเมืองแบบจุลภาค’ (Micropolitics)68 กลาวโดยสรุปแลว เมื่อ Foucault เสนอวา “ที่ใดมีอํานาจ ที่นั้นมีการ ตอตาน” ฐานคิดของเขาก็คือ การวิเคราะหความสัมพันธระหวางพลังซึ่งอยู ภายนอกอํานาจซึ่งอํานาจเปนเรื่องของโครงสรางที่อยูภายใน ในการวิเคราะห การตอตานหรือการสรางชีวติ ก็คอื การชีใ้ หเห็นการเชือ่ มตอและเคลือ่ นทีข่ องพลัง ที่ตัดผาน/มวนกลับเขาไปในโครงสรางของอํานาจ ดังที่กลาวไวแลววา ลักษณะ ของพลังหรือภายนอกหรือชีวิตก็คือ ศักยภาพในการสรางชีวิตผานการเชื่อมตอ 67 68
Gilles Deleuze, Foucault, p. 121. Ibid., p. 121. 112
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
ไมสิ้นสุด ในแงนี้ ยิ่งมีการเชื่อมตอมากเทาไร มันจะนําไปสูการสรางสิ่งใหมที่ แปลกปลอมจากโครงสรางและลําดับชั้นของอํานาจมากเทานั้น การสรางอํานาจ ของชีวิตจึงไมจําเปนตองอยูในรูปของการปฏิเสธ แตกลับอยูในรูปของการสราง ใหปรากฏ/เกิดขึ้น/ขยายตัว การสรางขึ้นของความสัมพันธชุดใหมที่ไมไดเกิดขึ้น ภายในโครงสรางอํานาจในตัวมันเองก็คอื ความหมายของการตอตาน เพราะผลและ รูปแบบของความสัมพันธที่เกิดขึ้นใหมไมเคยสอดคลองกับลําดับชั้นและระเบียบ ของความสัมพันธชดุ เดิม ในแงนี้ อํานาจจึงไมเคยเปนสิง่ ทีส่ มั บูรณ แตอาํ นาจทํางาน อยูบนการยึดจับชีวิตที่อยูภายนอกเพื่อเปลี่ยนใหมันกลับเขามาอยูขางในลําดับ ชั้นเดิม และชีวิตเองก็เปนสิ่งที่มีความหลากหลายภายในตัวเองอยางไรขีดจํากัด ซึ่งสามารถผลิตสรางสิ่งตางๆ แบบเปนอนันต โดยเฉพาะการสรางชีวิตของตัวเอง ผานการเชื่อมตอของความหลากหลายจํานวนมากเขามาดวยกัน อํานาจจะถูก บอนเซาะดวยการเกิดขึ้นของความสัมพันธใหมๆ อยูเสมอ เมื่อการมวนพับ กลับเขามาภายในของภายนอกผานเสนตางๆ จากภายนอกที่ตัดเขามาภายใน โครงสรางคือการตอตาน การตอตานจึงไมเคยเกิดขึ้นในสุญญากาศ แตเปนการ เคลือ่ นทีข่ องเสนและศักยภาพของชีวติ ทีก่ ลับเขามาทาทายและระเบิดตัวโครงสราง ภายในผานการสรางชีวิต และชีวิตที่ถูกสรางก็ไมใชชีวิตในแบบเดิม แตเปนชีวิต ที่กลายเปนสิ่งอื่นๆ อยูตลอดเวลา ดังนั้น สําหรับ Deleuze การเมืองชีวิตไมใชเรื่องของอํานาจอธิปตยแบบที่ Agamben เสนอ แตการเมืองชีวิตคือกระบวนการสราง subject ที่เปนอิสระ ผานการมวนพับกลับเขาไปภายในของสิ่งที่อยูภายนอก ในแงนี้ พลังคือความ หลากหลายที่มากอนและกํากับวิธีหรือเทคนิคของการใชอํานาจ พลังจึงเปนสิ่งที่ อยูภ ายนอก สิ่งทีอ่ ยูภ ายนอกในที่นี้ก็คือชีวิต ศักยภาพในการสรางชีวิตซึง่ เชือ่ มตอ และเคลือ่ นทีไ่ มสนิ้ สุด และการสรางชีวติ ในตัวมันเองซึง่ หมายถึงการสราง subject ขึ้นมาใหมก็คือตอตาน
113
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
บทสรุป: อภิมนุษย (Superman) และทางออกจากกับดัก ของอํานาจแบบหลังมนุษยนิยม การตีความการเมืองชีวิตของ Deleuze (และงานที่เขาเขียนรวมกับ Félix Guattari) ถือเปนการเปดพรมแดนใหมใหกับการศึกษาทางสังคมศาสตรและ มนุษยศาสตร โดยเฉพาะอยางยิ่ง การเคลื่อนจากการศึกษามนุษย (Human) ไปสูการศึกษาสิ่งที่ไมใชมนุษย (Non-human) ซึง่ เปนกระแสคิดที่เราเรียกกันวา “หลังมนุษยนิยม” สิ่งที่ Deleuze สนใจและเรียกวาชีวิตไมไดมีความหมายถึง มนุษย แตเปนสิ่งที่เล็กกวาและใหญกวามนุษยในเวลาเดียวกัน สิ่งที่เล็กกวา หมายถึงการดํารงอยู การเชื่อมตอ และการเคลื่อนที่ขององคประกอบยอยๆ ที่เขา เรียกวาเปนศักยภาพขององคประกอบตางๆ ที่เปนพลังแหงชีวิต (Vital force) ในภาษาของ Henri Bergson ซึ่ง Deleuze ชี้วา “ภายในมนุษย พลังแหงชีวิต กําลังเดินเขาสูชุดความสัมพันธที่ประกอบขึ้นใหมและกําลังกอรูปรางใหม”69 สําหรับสิ่งที่ใหญกวาก็คือ การเชื่อมตอในหลายระดับของสวนยอยๆ ที่เปนพลัง แหงชีวิตจํานวนมหาศาลกับสิ่งอื่นๆ ทั้งที่เปนมนุษยและไม ใชมนุษย ดังนั้น ภาววิทยาของ Deleuze จึงไมใชภาววิทยาแบบมนุษยนิยมที่มองมนุษยแบบมี สารัตถะในตัวเอง แตเปนองคประกอบหรือพลังอันเปนอนันตและหลากหลาย อยูภายในตัวเองซึ่งมีศักยภาพออกไปเชื่อมตอกับสิ่งอื่นๆ เพื่อสรางความสัมพันธ ชุดใหมแบบไมจํากัดพื้นที่และเวลา มโนทัศนชีวิตของ Deleuze จึงไมไดหมายถึงมนุษย เพราะสิ่งที่เรียกวา มนุษยเปนเพียงการประกอบสรางของอํานาจและความรูชุดหนึ่งในยุคสมัยหนึ่ง เทานั้น70 และนี่คือความตายของมนุษย (The death of man) ในโลกของความรู 69
Gilles Deleuze, Foucault, p. 91. 70 ดูที่ Foucault วิวาทะกับ Noam Chomsky ใน Noam Chomsky and Michel Foucault, The Chomsky-Foucault Debate: On Human Nature (New York: The New Press, 2006). 114
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
ทางสังคมศาสตรและมนุษยศาสตรหลังทศวรรษ 1970 เปนตนมา ที่ “เมื่อเทคนิค แบบไดอะแกรมของอํานาจปฏิเสธตัวแบบองคอธิปตย และหันไปใชตัวแบบของ สังคมวินัย และเมื่อมันกลายมาเปน ‘ชีวะอํานาจ’ หรือ ‘ชีวะการเมือง’ แหงการ บริหารจัดการประชากร รวมถึงการควบคุมและการจัดการชีวิตแลว ชีวิตนั่นเองที่ กลายมาเปนวัตถุใหมของการใชอาํ นาจ”71 และผลของการทีช่ วี ะอํานาจเปลีย่ นชีวติ ใหกลายมาเปนวัตถุของอํานาจ “การตอตานตออํานาจจะวางตัวเองอยูบ นดานของ ชีวติ และการมีชวี ติ และจะเปลีย่ นชีวติ ทัง้ หมดใหกลายมาเปนปฏิปก ษตอ อํานาจ”72 นัยสําคัญของการเคลื่อนจากมนุษยมาสูชีวิตทั้งที่มองจากมุมของอํานาจ และมุมของการตอตานก็คือ ในขณะที่มนุษยเปนสภาวะแบบหนึ่งเดียวสากล ชีวิตก็คือสภาวะของความหลากหลาย เปนอนันต และเปนเอกพจนที่ขึ้นกับ ตัวมันเองภายในผานการสรางตัวเองและกลายเปนสิ่งอื่นๆ ในทุกๆ ครั้งที่เชื่อมตอ กับสิ่งอื่น ความหลากหลายจึงกลายมาเปนอาวุธของการตอตาน สวนความเปน หนึ่งเดียวกลับกลายมาเปนปญหาและการครอบงํา ยิ่งชีวิตมีความหลากหลาย และขยายความหลากหลายผานการเชื่อมตอออกไปมากเทาไร ความเปนมนุษย ยิ่งพราเลือนลงไปเทานั้น ในที่นี้ Deleuze ดําเนินรอยตามสิ่งที่ Friedrich Nietzsche เสนอวา เรากําลังไมไดกําลังพูดถึงมนุษยแบบอภิปรัชญา แตเราตองไปใหถึงสภาวะที่ เรียกวา “อภิมนุษย” ในฐานะการปลดปลอยออกจากความเปนมนุษย ซึ่ง “อภิมนุษยไมไดหมายถึงอะไรอยางอื่น แตหมายถึงวา เราตองปลดปลอยชีวิต จากภายในความเปนมนุษยเอง เมือ่ ความเปนมนุษยคอื รูปแบบหนึง่ ทีใ่ ชคมุ ขังมนุษย ชี วิ ต จะกลายมาเป น การต อ ต า นต อ อํ า นาจ เมื่ อ อํ า นาจทํ า ให ชี วิ ต ทั้ ง หมด กลายมาเปนวัตถุหรือเปาหมายแหงการใชอํานาจ”73 การมองเปาหมายของชีวิต 71
Gilles Deleuze, Foucault, p. 92. Ibid., p. 92. 73 Ibid., p. 92. 72
115
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
แบบอภิมนุษยทปี่ ฏิเสธและตอตานความเปนมนุษยเชนนีก้ ค็ อื การปลดปลอยมนุษย ออกจากความเปนมนุษย ทีซ่ งึ่ เปาหมายของการตอตานก็คอื การสรางความสัมพันธ ชุดใหมระหวางพลังตางๆ ที่ซึ่ง “มนุษยมุงไปสูการปลดปลอยชีวิต แรงงาน และ ภาษาภายในตัวเอง อภิมนุษย.. ก็คือ มนุษยที่อาจกลายเปนสัตว อภิมนุษยจึงไมใช การหายไปของชีวิตของมนุษย และก็ไมใชแคเพียงการเปลี่ยนแปลงความเขาใจ ตอสิ่งตางๆ แตมันคือการเผชิญหนาของรูปแบบของชีวิตแบบใหมที่ไมไดเปน ทัง้ พระเจาและก็ไมใชมนุษย แตเราตองหวังวา เราจะกลายเปนสิง่ อืน่ ทีไ่ มแยไปกวา รูปแบบที่เราเคยเชื่อวาเราเปน นั่นคือ พระเจาและมนุษย”74 ทั้งหมดนี้คือคุณูปการของมโนทัศนการเมืองชีวิตของ Foucault รวมถึง การตีความที่แตกตางกันนําไปสูการมองอํานาจที่แตกตางกันออกไป ขอเสนอ ของบทความนี้ก็คือ การตีความการเมืองชีวิตใหมโดย Deleuze เปนจุดตัดสําคัญ ของการยายฐานคิดทางสังคมศาสตรและมนุษยศาสตรจากฐานคิดแบบมนุษยนิยม มาสูห ลังมนุษยนิยมทีใ่ หความสําคัญกับชีวติ มากกวามนุษย ขอเสนอของ Deleuze ชวยเปดพรมแดนการคิดและการศึกษาของเราใหไปไกลกวาความเปนมนุษยและ ตัวมนุษย แตมุงใหเราเห็นความเชื่อมตอของสิ่งตางๆ โดยเฉพาะการศึกษาความ สัมพันธระหวางมนุษยกับสัตว พืช และเทคโนโลยี และนี่คือสิ่งที่นักคิดรุนหลัง นํามาตอยอดไปอีกหลายทิศทางตั้งแตการศึกษาแรงงานอวัตถุและโลกดิจิตอล ของพวก Marxism สาย Autonomia75 งานที่อิงอยูกับแนวคิดของ Gilbert Simondon76 ที่หันมาสนใจเทคโนโลยี หรือแมแตทฤษฎีผูกระทําการ-เครือขาย ของ Bruno Latour และงานศึกษาอื่นๆ อีกมากมาย 74
Gilles Deleuze, Foucault, p. 132. ดู เกงกิจ กิติเรียงลาภ, “‘เราทุกคนคือศิลปน’: อวัตถุวิทยาของการศึกษาแรงงาน,” วารสาร สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา, 33(2) (กรกฎาคม-ธันวาคม 2557), หนา 129-158. 76 ดูเพิ่มเติมใน บทที่ 2 ของ ไชยรัตน เจริญสินโอฬาร, เอกภาวะในทฤษฎีสังคมรวมสมัย (กรุงเทพฯ: วิภาษา, 2558) 75
116
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
บรรณานุกรม ภาษาไทย
เกงกิจ กิติเรียงลาภ. 2556. “ฐานทางปรัชญาของ Antonio Negri: จาก Spinoza สู multitude.” ฟาเดียวกัน. ปที่ 11 ฉบับที่ 3 ตุลาคม-ธันวาคม 2556. หนา 38-54. . 2557. “‘เราทุกคนคือศิลปน’: อวัตถุวิทยาของการศึกษาแรงงาน.” วารสาร สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา 33(2). กรกฎาคม-ธันวาคม 2557. หนา 129-158. ไชยรัตน เจริญสินโอฬาร. 2558. เอกภาวะในทฤษฎีสังคมรวมสมัย. กรุงเทพฯ: วิภาษา. ธเนศ วงศ ย านนาวา (แปล). มิ เ ชล ฟู โ ก. 2543. “ว า ด ว ยการปกครอง (On Governmentality),” วารสารสังคมศาสตร. ปที่ 30 ฉบับที่ 3 หนา 116-117. ธเนศ วงศยานนาวา. 2532. การวิเคราะหซับเจค (subject) ทฤษฎีที่ใชทฤษฎีวาดวย อํานาจของ มิเชล ฟูโก. ศูนยวิจัยคณะรัฐศาสตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.
ภาษาอังกฤษ
Abrahamson, C.. 2013. “On the Genealogy of Lebensraum,” Geographica Helvetica 68. pp. 37-44. Agamben, Giorgio. 1998. Homo Sacer: Sovereign Power and Bare Life. Stanford: Stanford University Press. . 2000. “Sovereign Police”. In Means without End, pp. 102-106. Minneapolis: University of Minnesota Press. . 2002. “Security and Terror,” Theory & Event 5: 4. Campbell, Timothy and Sitze, Adam (eds.). 2013. Biopolitics: A Reader. Durham and London: Duke University Press. Chomsky, Noam and Foucault, Michel. 2006. The Chomsky-Foucault Debate: On Human Nature. New York: The New Press.
117
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
Deleuze, Gilles. 1992. “Postscript on the Societies of Control,” October Vol. 59. pp. 3-7. . 1993. The Fold: Leibniz and the Baroque. Minneapolis: University of Minnesota Press. . 2001. “Immanence: A Life,” Pure Immanence: Essays on A Life, New York: Zone Books. pp. 25-33. Deleuze, Gilles and Guattari, Félix. 1987. “Introduction: Rhizome,” A Thousand Plateaus: Capitalism and Schizophrenia, pp. 3-25. Minneapolis and London: University of Minnesota. Foucault, Michel. 1978. “Right to Death and Power over Life,” The History of Sexuality, Vol. 1: An Introduction. New York: Pantheon Books. pp. 135-159. . 1997. “Security, Territory and Population” In Ethics: Subjectivity and Truth. New York: The New Press. pp. 67-71. . 2003. Society Must Be Defended: Lectures at the College de France, 1975-1976. Picardo. Hardt, Michael. 2004. “Sovereignty, Multitude, Absolute Democracy: A Discussion between Michael Hardt and Thomas L. Dumm about Hardt’s and Negri’s Empire”. In Paul A. Passavant and Jodi Dean (eds.). Empire’s New Clothes: Reading Hardt and Negri. New York: Routledge. Lemke, Thomas. 2011. Biopolitics: An Advanced Introduction. New York and London: New York University Press. Rabinow, Paul and Rose Nikolas. 2001. “Biopower Today,” BioSocieties 1, p. 198.
118
อาเซียนปริทัศน ASEAN Annual Review
Rodda, Matt. 2014. “The Diagrammatic Spectator,” Ephemera: Theory & Politics in Organization Vol.14(2). pp. 221-244. Wallenstein, Sven-Olov. 2013. “Introduction: Foucault, Biopolitics, and Governmentality,” In Jakob Nilson and Sven-Olov Wallenstein (eds.). Foucault, Biopolitics, and Governmentality, pp. 7-34. Stockholm: Södertörn University.
119