: ระบบการศึกษาของพระพุทธเจา
จัดพิมพและเผยแพรโดย ธรรมสถาน สํานักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย ดร.สันติ ฉันทวิลาสวงศ เอื้ อเฟ อมอบภาพดอกบัว
"ไตรสิกขา : ระบบการศึกษาของพระพุทธเจา” เรียบเรียง : เภสัชกรสุรพล ไกรสราวุฒิ
พิมพครั้งที่ 1 : กุมภาพันธ พ.ศ. 2560 ธรรมสถาน สํานักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย จํานวน 4,000 เลม หลวงพอปฏิจจะ สัมมัตตะ10 (พระวินัย สิริธโร) จํานวน
ขอมูลทางบรรณานุกรมของสํานักหอสมุดแหงชาติ เภสัชกรสุรพล ไกรสราวุฒ.ิ ไตรสิกขา : ระบบการศึกษาของพระพุทธเจา.-- กรุงเทพฯ : ธรรมสถานจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2560. 78 หนา. 1. พุทธศาสนา -- หัวขอธรรม. I. ชื่อเรือ่ ง. 294.315 ISBN 978-616-407-121-68-616-551-989-2 บรรณาธิการอํานวยการ : ศาสตราจารยกิตติคุณ ดร.ระวี ภาวิไล, รองศาสตราจารย ดร.สันติ ฉันทวิลาสวงศ, นายกรรชิต จิตระทาน บรรณาธิการ : เภสัชกรสุรพล ไกรสราวุฒิ ออกแบบปก : นายพงศศักดิ์ สุวรรณมณี พิสูจนอกั ษร : นางปาลิดา จิรภาธงชัย ประสานงาน : นายจาตุรนต กิตติสุรินทร นายมาโนช กลิ่นทรัพย, นางนิติพร ใบเตย พิมพที่ : โรงพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย 254 ถนนพญาไท เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทร.0-2215-1991-2 ลิขสิทธิ์ : ธรรมสถานจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย โทร. 0-2218-3018 Website : http://www.dharma-centre.chula.ac.th Email : dharma-centre@chula.ac.th จัดทําโดย : ธรรมสถานจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
คํานํา โดย รองศาสตราจารย ดร.สันติ ฉันทวิลาสวงศ ที่ปรึกษาอธิการบดี (ดานศิลปวัฒนธรรม) **************************************************** “ไตรสิ กขา” ถือไดวาเปนหั วใจหลักของพระพุ ทธศาสนาที่ สําคัญ หากพิจารณาโดยผิวเผินอาจไมเห็นความลึกซึง้ และสาระสําคัญ อืน่ ๆ อันประกอบกันอยูก เ็ ปนได เป นเรื่ องที่ นายิ นดี อย างยิ่ งที่ ทานผู อํา นวยการธรรมสถาน จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย เห็นความสําคัญและพิจารณานํา “ไตรสิกขา” ขึน้ มาเขียนขยายความใหเกิดความเขาใจทีก่ วางขวาง แกสาธุชนทีส่ นใจ ใครรู สาระทีเ่ รียบเรียงเขียนขึน้ นี้ กลายเปนหนังสือเลมกะทัดรัด พกพา สะดวก นับวาชวนหยิบอานเพือ่ การศึกษาไดเปนอยางดี “ไตรสิกขา” แมเปนประเด็นทีค่ ุนๆ กันโดยทั่วไป แตการทีจ่ ะ อธิบายใหรอบดานไมผดิ พลาด ทั้งมีความลึกซึง้ ยึดโยงกับสาระสําคัญ อื่ นๆ ทางศาสนา เอาเขาจริง ก็คงไม งายอย างที่ หลายคนคาดคิ ด ดวยเหตุทพี่ ระพุทธศาสนามีมติ อิ นั ลุม ลึก เปรียบไดดงั หาดทรายทีค่ อ ยๆ ลาดเอียงเทลงสูท อ งทะเลอันประหนึง่ วายากจะหยัง่ ไปใหไดถึงทีส่ ุด และโดยที่ทานผูเขียนมีจิตอันเปนกุศล ดวยการทํางานดาน ศาสนามานาน จึงยอมไดมโี อกาสพบปะพูดคุยและฟงการบรรยายจาก ปราชญ นักการศาสนา รวมถึงวิทยากรผูร อู ยางตอเนือ่ ง ทําใหไดเห็นถึง แงมุมตางๆ อีกทั้งทานยังมีโอกาสออกฝกปฏิบัติใหเกิดความแจมชัด ในโอกาสตางๆ ดวยตนเอง จนเกิดความมัน่ ใจ จึงลงมือเขียน เรียบเรียง สามารถยกหมวดธรรมทีเ่ กือ้ กัน สนับสนุนกัน มารอยเรียงเขาไว ยอมทําให
ผูอ า นเห็นและเขาใจไดทงั้ ภาพรวมและความลุม ลึกของพระพุทธศาสนา ไดเปนอยางดี จะโดยตัง้ ใจหรือไมก็ตาม หนังสือเลมนีย้ อมถือไดวาเปนความ พยายามสืบตออายุพระพุทธศาสนาใหยนื ยาวออกไป ในดินแดนทีเ่ ปน พระพุทธภูมิ คือประเทศไทยนี้ ใหพุทธศาสนิกไดอานไดเขาใจกันอยาง กวางขวาง โดยประการนี้ จึงขอถือโอกาสอนุโมทนาในความตัง้ ใจดีของ ผูเขียนไว ณ ที่นี้ และเชื่ออยางยิง่ วาเปนหนังสือที่เปยมไปดวยคุณคา สมควรทีเ่ ยาวชนผูใ ครศกึ ษา ควรไดอา นกัน 10 มกราคม 2560
คําบอกเลา ของผูเ รียบเรียงหนังสือ ***************************** หนัง สือ “ไตรสิกขา : ระบบการศึกษาของพระพุ ทธเจ า” ที่ เรียบเรียงนี้ มีจุ ดเริ่ มต นมาจากการสะดุ ดใจในคําวา “สิกขา” ซึ่งมี ความหมายเดียวกันกับ “ศึกษา” และเมือ่ พิจารณาหลักธรรมทีพ่ ระพุทธเจา ตรัสสอนในหมวดตาง ๆ ทีน่ ําไปสูค วามหลุดพน ก็ไมพบวามีหมวดธรรม อืน่ ใดทีท่ รงใชคําวา “สิกขา” เลย ซึง่ เห็นวามีความนาสนใจมาก และเมื่ อไดพิจารณาตอไปว า โดยเนื้ อแทของไตรสิ กขานั้ น พระพุทธเจาไดทรงนํามาจากอริยมรรค มีองค 8 โดยไดนาํ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ จัดเปนศีลขันธ (กองศีล) นําสัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ จัดเปนสมาธิขันธ (กองสมาธิ) และนําสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ จัดเปนปญญาขันธ (กองปญญา) ก็ยิ่งทําใหเกิดความนาสนใจมากยิ่งขึ้ นไปอีก ทั้ง ๆ ที่ในชวงตนของ การตรัสรู พระพุทธเจาสอนแตเรือ่ งของอริยมรรค มีองค 8 ในอริยสัจ 4 ซึง่ นับวาไดผลดี มีสาวกรูต ามและบรรลุเปนพระอริยบุคคลเปนจํานวนมาก แตตอมาในภายหลังทําไมจึงทรงนําอริยมรรค มีองค 8 มาจัดใหมเปน ไตรสิกขา ซึ่งโดยทัว่ ไปแลวหากเปนเรือ่ งเดียวกัน มีจุดมุง หมายอยาง เดียวกัน การจัดในระบบใหมยอมจะตองมีอะไรที่แปลกไปกวา มากไป กวา หรือพิเศษออกไปกวา หลังจากทีไ่ ดตงั้ ประเด็นทีเ่ ปนขอสังเกตขางตน จึงไดพยายาม พิจารณาหาขอมูล ซึ่งสวนใหญจากพระสูตรตาง ๆ ในพระไตรปฎกที่ พระพุทธเจาตรัสแสดงเกีย่ วกับเรือ่ งไตรสิกขา มาเพือ่ ศึกษาและวิเคราะห ทําใหไดพบวา การจัดระบบคําสอนใหมเปนไตรสิกขา ทําใหเห็นลําดับ
ขัน้ ตอนและวิธกี ารปฏิบตั ติ งั้ แตเบือ้ งตน จนถึงจุดหมายคือความหลุดพน จากทุกขอ ยางชั ดเจน นอกจากนั้ นยั งทําให เห็ นความเชื่ อมโยงและ สอดคลองกันของหลักธรรมในหมวดตาง ๆ หรือภาพรวมของระบบคําสอน ทีพ่ ระพุทธเจาตรัสสอนทัง้ หมด อยางทีไ่ มปรากฏในหมวดธรรมอืน่ ๆ ที่ นําไปสูค วามหลุดพนเชนเดียวกัน ในหนังสือนีไ้ ดวเิ คราะหไววา มีอยางนอย 5 ประเด็น ซึง่ ไดนําเสนอไวใหทา นผูอ านไดชว ยกันพิจารณาตอไป จากความรูค วามเขาใจทีไ่ ดรบั จากการศึกษาและวิเคราะหในการ เรียบเรียงหนังสือ ทําใหเกิดความเชือ่ มัน่ อยางสูงวา ไตรสิกขาทีพ่ ระพุทธเจา จัดขึน้ ใหมจากอริยมรรค มีองค 8 นี้ นาจะทรงมีจดุ มุง หมายใหเปนระบบ การศึกษาที่เปนมาตรฐาน หรือระบบกลางของการศึกษาคําสอนใน พระพุทธศาสนา ซึง่ เหมาะสําหรับบุคคลทัว่ ไป หรือผูเ ริม่ ตนสนใจ รวมทัง้ การนําไปเผยแผเพือ่ ใหบงั เกิดประโยชนและความสุขแกมหาชนอยาง กวางขวาง หนังสือ “ไตรสิกขา : ระบบการศึกษาของพระพุทธเจา” ที่ เรียบเรียงนี้ นอกจากจะเนนในเรื่องการทําความเขาใจในหลักธรรม คําสอนแลว ยังมุง จะแสดงใหเห็นวาเรือ่ งไตรสิกขาเปนระบบการศึกษา และปฏิบตั ทิ คี่ รบถวนและสมบูรณแบบอยางไร มีความเหมาะสมสําหรับ การจัดเปนหลักสูตรการศึกษาและปฏิบัตธิ รรมสําหรับคนทัว่ ไปเพียงใด เพือ่ บรรลุอดุ มคติของชีวิตตามทีพ่ ระพุทธเจาตรัสสอน อนึ่ ง เนื่ องจากช วงเวลาที่เ ขียนหนัง สือ อยู ในชวงเวลาแหง การถวายราชสักการะและทําบุญอุทิศเพื่ อถวายเปนพระราชกุศลแด พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช ซึง่ เสด็จสูส วรรคาลัย จึงขอนอมเกลานอมกระหมอมรวมถวายบุญใด ๆ ทัง้ หมดอันจะเกิดขึน้ จาก การเรียบเรียงหนังสือนี้ แดพระเจาอยูห วั ในพระบรมโกศพระองคนนั้ . 28 ธันวาคม 2559
สารบัญ
.............................................................. คํานํา โดย รองศาสตราจารย ดร.สันติ ฉันทวิลาสวงศ ที่ปรึกษาอธิการบดี (ดานศิลปวัฒนธรรม) คําบอกเลาของผูเรียบเรียงหนังสือ
เรื่องทั่วไปเกีย่ วกับ “ไตรสิกขา” ที่มาและความหมายของ “ไตรสิกขา” จาก “อริยมรรคมีองค 8” มาจัดระบบใหมเปน “ไตรสิกขา” มีขอดีหรือขอพิเศษอะไรเพิม่ ขึ้น ? ไตรสิกขา ทําใหเห็น : การปฏิบตั ิธรรมที่เปนไปตามลําดับ ไตรสิกขา ทําใหเห็น : เสนแบงของภพภูมิในวัฏสงสาร ไตรสิกขา ทําใหเห็น : เครือ่ งมือและขั้นตอนในการละสังโยชน ไปตามลําดับ ไตรสิกขา ทําใหเห็น : การละกิเลสจากหยาบไปหาละเอียด ไตรสิกขา ทําให : เขาถึงความสุขที่ยั่งยืนในทุกระดับ การปฏิบตั ิ “ไตรสิกขา” การปฏิบตั ิ “ศีล” การปฏิบตั ิศีลไดอยางถูกตอง จะตองรูจักและจําแนกได ถึงความแตกตางระหวางศีลทีเ่ ปนวินัย กับศีลที่เปนธรรม ศีลที่เปนวินัยและศีลทีเ่ ปนธรรม แตกตางกันอยางไร ? ในกรณีศลี ที่เปนธรรม ยังจะตองรูจักปฏิบัตใิ หถูกตอง จึงจะไดรบั ผลที่นําไปสูค วามดับทุกขอยางแทจริง กลาวโดยสรุป ศีลที่เปนธรรม และการปฏิบตั ิใหถกู ตอง ในแบบของธรรม จึงทําใหเกิดศีลในองคมรรค ทีเ่ ปน องคประกอบนําไปสูความดับทุกขไดจริง สัมมาทิฏฐิเปนพื้นฐานของการปฏิบัตศิ ีลทีเ่ ปนธรรม
หนา
1 4 6 8 11 13 15 16 19 19 20 20 22 23 24
สารบัญ
หนา
สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งชีวิต สัมมาทิฏฐิในเรื่องปจจัย 4 สัมมาทิฏฐิในเรื่องสิง่ อํานวยความสะดวกสบาย สัมมาทิฏฐิในเรื่องการเรียน สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งการมีครอบครัว สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งการทํางาน สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งตําแหนง สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งเกียรติ เคล็ดวิธีปฏิบตั ิตอสัมมาทิฏฐิที่มากมาย สรุปการปฏิบัติศีลใหครบถวน จะตองมีทั้งศีลที่เปนธรรม และศีลที่เปนวินัย การปฏิบตั ิ “สมาธ”ิ ทําไมจึงตองปฏิบตั ิสมาธิ อานิสงสในดานตาง ๆ ของการปฏิบัติสมาธิ เปรียบไดกับการใชเชือกผูกวัวปาไวกับหลัก วัวปาจะคอย ๆ สงบ และนิ่งอยูกับหลัก เปรียบไดกับการจับแกวที่ภายในบรรจุน้ําทีม่ ีตะกอน ใหนงิ่ ไว จะไดน้ําใสในทีส่ ุด เปรียบไดกับการใชเลนสนูนรับแสง ทําใหได จุดรวมแสง ทีส่ วางและมีพลังสูง เปรียบไดกับการสรางบานใหกับจิต เปรียบไดกับการฝกหัดควบคุมจิตใหอยูใ น อํานาจของสติ เปรียบไดกับการพักผอนทางจิตทีด่ ีที่สดุ เปรียบไดกับการสรางความสุขแกชวี ิต
24 30 30 30 31 31 32 32 33 34 35 35 37 37 38 39 40 41 42 43
สารบัญ
หนา
วิธีปฏิบัติสมาธิ การปฏิบตั ิ “ปญญา” ปญญาในไตรสิกขา เปนปญญาที่มงุ ถอนอุปาทาน พิจารณาปญญาในแงเพื่อละสังโยชน จะเห็นไดชัดเจนกวา การปฏิบตั ิปญญา 3 ระดับ จําแนกตามระดับของการ ละสังโยชน การปฏิบตั ิปญญาพอประมาณ ในระดับพระโสดาบัน และพระสกทาคามี การปฏิบตั ิปญญาพอประมาณ ในระดับ พระอนาคามี การปฏิบตั ิปญญาสมบูรณในระดับพระอรหันต การปฏิบัติไตรสิกขาแบบประยุกต การปฏิบัติโดยอาศัยสติเปนแกนนําในการปฏิบัติ บทสรุป ดรรชนีคนคํา รายชื่อหนังสือที่ไดจดั พิมพแลวของผูเ รียบเรียง ทายเลม โดย นายกรรชิต จิตระทาน ผูอํานวยการสํานักบริหารศิลปวัฒนธรรม
44 47 47 48 49 50 56 58 60 60 63 64 65 67
เปนศูนยกิจกรรมทางศาสนาของมหาวิทยาลัย เปนแหลง รวมของศาสนิกในศาสนาตาง ๆ ที่สามารถอยูรวมกันโดยไมมี ความขัดแยง เพื่อนําพลังแหงคําสอนของพระศาสดาทั้งหลาย มาบูรณาการใหเกิดสันติสุขและสันติภาพแกบุคคลและสังคม มุงมั่นปฏิบัติภารกิจ เพื่อตอบสนองปณิธานจุฬาลงกรณมหาวิ ทยาลั ย ที่ เน นเรื่ องความรู แ ละคุ ณธรรม โดยอาศั ย หลักศาสนธรรม ตลอดจนจัดกิจกรรมผสมผสาน โดยไมจํากัด แบ งแยกพื้ นฐานความเชื่ อทางศาสนา และมุ งหวั งให เป น ที่พึ่งแกสังคมในด านการเสริมสรางสันติสุขและสันติภาพ
: ระบบการศึกษาของพระพุทธเจา ******************************
เรือ่ งทัว่ ไปเกีย่ วกับ “ไตรสิกขา” “ไตรสิกขา” หรือ “ขอปฏิบตั ิทตี่ องศึกษา 3 ประการในพระพุทธศาสนา” คือเรือ่ ง ศีล สมาธิ และปญญา อยางทีร่ ูจกั กันโดยทั่วไป แตหากจะใหมคี วามหมายที่รัดกุมและเฉพาะเจาะจงวาเปน ศีล สมาธิ ปญญาทีส่ ามารถนําไปปฏิบัตเิ พือ่ ผลคือความดับทุกขดบั กิเลสไดอยาง เด็ดขาด ซึง่ เปนอุดมคติของพระพุทธศาสนาอยางแทจริงนัน้ พระพุทธเจาไดใชคําอีกชุดหนึ่งวา อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปญ ญาสิกขา ดังทีป่ รากฏในพระไตรปฎก เลมที่ 20 ขอที่ 529 คําวา “สิกขา” เปนภาษาบาลี ตรงกับคําวา “ศึกษา” ในภาษา สันสกฤต แปลวา “ขอปฏิบตั ทิ ตี่ อ งศึกษา” มีความหมายแตกตางจาก คําวา “ศึกษา” ทีน่ ํามาใชในภาษาไทยปจจุบนั ซึง่ ใชจนกรอนลงมาเหลือ ความหมายเปนเพียงการเลาเรียนใหมีความรูตามหนังสือหรือตําราที่ เรียนเทานัน้ ในภาษาไทยจึงตองมีคาํ วา “ศึกษาและปฏิบตั ”ิ ใชควบคู กัน เพือ่ ใหมีเรือ่ งของการปฏิบัตริ วมเขามาดวย แตคํา “สิกขา” ที่ใชใน หมายเหตุ : พระไตรปฎกทีใ่ ชอางอิงในหนังสือนี้ คือ ฉบับหลวง ป 2521
1
พระพุทธศาสนาจริง ๆ มีความหมายเทากับการศึกษาและปฏิบัตติ ามที่ ใชในภาษาไทยรวมกัน กลาวคือ จะตองลงมือฝกฝนปฏิบัตจิ นสามารถ ทําอยางทีเ่ ลาเรียนมาไดดว ย เปนที่นา สังเกตวา คําสอนเกีย่ วกับระบบปฏิบัตทิ ี่พระพุทธเจา ตรัสสอน เพื่อใหเหมาะสมกับบุคคลหรือชุมชน ซึ่งเปนที่รจู ักกันอยาง แพรหลายในแวดวงพุทธบริษัท อาทิ อริยมรรค มีองค 8, ไตรสิกขา, สติปฏฐาน 4 และสมถวิปส สนา มีเพียงหมวดธรรม คือ ไตรสิกขา เทานัน้ ทีท่ รงใชคําวา “สิกขา” การที่ พระพุทธเจาทรงใชคําวา “สิกขา” ในหมวดธรรม คือ “ไตรสิกขา” ทําใหสนั นิษฐานไดวา ทรงมีจดุ มุง หมายตรัสสอน “ไตรสิกขา” ใหเปนระบบหรือหลักสูตรกลางหรือหลักสูตรมาตรฐานสําหรับการศึกษา และปฏิบตั ธิ รรมในพระพุทธศาสนา อาจกลาวไดวา เปนระบบทีเ่ หมาะสม ที่สดุ ที่จะแนะนําแกบุคคลทั่วไปทีเ่ ริ่มสนใจและตองการศึกษาปฏิบัติ ธรรมในพระพุทธศาสนา ในระบบของ “ไตรสิกขา” นอกจากจะเปนหลักสูตรทีม่ ีเนือ้ หา ครบถวนและสมบูรณแบบแลว ยังไดแสดงวิธีการศึกษาและปฏิบัตใิ ห เห็นอยางเปนขัน้ เปนตอน ตั้งแตระดับเบื้องตนจนถึงระดับสูงสุด และ ยังเปนระบบทีแ่ สดงใหเห็นความเชือ่ มโยงกับหมวดธรรมทีส่ ําคัญอืน่ ๆ อยางกวางขวาง เชน สังโยชน 10, อริยบุคคล 4, เรือ่ งกิเลส, เรือ่ งภพภูม,ิ เรื่องความสุขประเภทตาง ๆ ทําใหผูศึกษาและปฏิบัติตามระบบของ ไตรสิกขา เกิดความเขาใจและชัดเจนในทุกขัน้ ตอน ตลอดจนเห็นความ เชื่อมโยงและสอดคลองกันในคําสอนของพระพุทธเจาทั้งหมด ซึ่งจะ สงผลใหเกิดความราบรืน่ ความมัน่ ใจ และความกาวหนาในการศึกษา และปฏิบัตเิ ปนอยางดีและอยางมีประสิทธิภาพ 2
หนังสือ “ไตรสิกขา : ระบบการศึกษาของพระพุทธเจา” ที่ เรียบเรียงขึน้ นี้ มีวตั ถุประสงคจะนําเสนอเรือ่ งของ “ไตรสิกขา” หรือ “ศีล สมาธิ ปญญา”ในแงมมุ ตาง ๆ อยางกวางขวาง ใหเหมาะกับคนรุน ใหม ที่ไดรับการฝกฝนอบรมมาในระบบการศึกษาปจจุ บัน ซึ่งเนนความ เปนเหตุเปนผล และชมชอบกระบวนวิธวี ิเคราะห - สังเคราะหใหเห็น ความสัมพันธและความเชือ่ มโยงกันของหลักธรรมตาง ๆ อยางรอบดาน เพื่อแสดงใหเห็นวา “ไตรสิกขา” ที่พระพุทธเจาตรัสสอนและจัดขึ้นนี้ เปนระบบการศึกษาและปฏิบัติที่ครบถวนและสมบูรณแบบอยางไร มีความเหมาะสมสําหรับการจัดเปนหลักสูตรการศึกษาและปฏิบัติธรรม สําหรับคนทัว่ ไปเพียงใด เพือ่ บรรลุอดุ มคติทพี่ ระพุทธเจาตรัสสอน ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓ นี้ ๓ เปนไฉน คือ อธิศลี สิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปญ ญาสิกขา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อธิศีลสิกขาเปนไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เปนผูมีศีล ฯลฯ สมาทานศึกษาอยูในสิกขาบท ทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกวาอธิศีลสิกขา ดูกรภิกษุทงั้ หลาย ก็อธิจติ ตสิกขาเปนไฉน ดูกรภิกษุทงั้ หลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย นี้เรียกวาอธิจิตตสิกขา ดู กรภิ กษุ ทั้ งหลาย ก็ อธิ ป ญญาสิ กขาเป นไฉน ดู กรภิ กษุ ทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยอมรูชัดตามความเปนจริงวา นี้ทุกข ฯลฯ นี้ขอปฏิบัติใหถึงความดับทุกข ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย นี้เรียกวา อธิปญญาสิกขา ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓ นี้แล ฯ พระไตรปฎก เลมที่ ๒๐ ขอที่ ๕๒๙
3
ทีม่ าและความหมายของ “ไตรสิกขา” ไตรสิกขา เปนระบบการศึกษาและปฏิบัติที่พระพุทธเจาทรง จัดขึน้ ใหมภายหลังจากการตรัสรู ไดทรงนําเอาอริยมรรค มีองค 8 ใน อริยสัจ 4 กลาวคือ สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความ ดําริชอบ) สัมมาวาจา (วาจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (การกระทําชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ) สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) และสัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ) มาสรางเปนระบบใหมและใหคําเรียกวา “ไตรสิกขา” โดยไดนําอริยมรรค มีองค 8 มาจัดรวมกลุม ใหม เปน ศีล สมาธิ และปญญา ตามที่ ปรากฏในพระไตรปฎกเลมที่ 12 ขอที่ 508 ดังนี้ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ จัดเปนเรือ่ ง ปญญา สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ จัดเปนเรือ่ ง ศีล สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ จัดเปนเรือ่ ง สมาธิ การรูว า ไตรสิกขา มีทมี่ าจาก อริยมรรค มีองค 8 มีนยั สําคัญยิง่ ทําใหเขาใจชัดเจนถึงจุดมุงหมายของไตรสิกขา วามิไดจัดขึน้ เพือ่ วัตถุประสงคอื่นเลย แตมีจดุ มุงหมายใหเปนวิธปี ฏิบัติเพื่อเขาถึงความดับ ทุกขเปนหลัก แมวา ไตรสิกขาจะสามารถกอใหเกิดอานิสงสทพี่ เิ ศษอืน่ ๆ ไดมากมาย และในทางกลับกันการจัดอริยมรรค มีองค 8 ใหเปนกลุม และรวมลงเปนไตรสิกขา ทําใหรูชัดเจนยิ่งขึ้นวาการปฏิบัติองคมรรค ทัง้ หมดมีวตั ถุประสงคแทจริงเพือ่ อะไร ? ศีล มีทมี่ าจากสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ ในอริยมรรค มีองค 8 ซึ่งเกี่ยวของกับเรือ่ งคําพูด การกระทําทางกาย และการเลีย้ งชีวติ ดังนัน้ จึงสรุปไดวา ศีลเปนขอปฏิบตั เิ พือ่ การฝกฝน 4
พัฒนาพฤติกรรมการแสดงออกทางกายและทางวาจาทีไ่ ปกระทํา ตอสิง่ ตาง ๆ ภายนอก ทั้งทีเ่ ปนบุคคล สิง่ ของ และสิง่ แวดลอม ใหถูกตอง ความหมายของคําวา “ถูกตอง” ในที่นี้ คือ ไมกอใหเกิด ความเดือดรอน หรือความรอนใจทัง้ ตอตนเองและสังคม สมดังพระพุทธพจนที่ตรัสไวในพระไตรปฎก เลมที่ 24 ขอที่ 1 วา “ศีลมีอวิปปฏิสาร (คือความไมเดือดรอน, ความไมรอ นใจ) เปนอานิสงส” สมาธิ มีทมี่ าจากสัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ใน อริยมรรค มีองค 8 และเมือ่ พิจารณาจากคําวา “อธิจติ ตสิกขา” ที่เปน คูเ ทียบของคําวา “สมาธิ” แลว ทําใหทราบชัดเจนยิง่ ขึน้ ถึงจุดมุงหมาย ของการปฏิบตั สิ มาธิวา เพือ่ ปรับปรุงพัฒนาใหเกิดคุณภาพของจิตทีพ่ ึง ประสงค ดังนั้ นจึงสรุปไดวา สมาธิเปนข อปฏิ บัติ เพื่อการฝกฝน พัฒนาจิตใหมี คุณภาพที่ เหมาะสม กล าวคือ มีพ ลัง มีค วาม รอบคอบ ไมประมาท มีความมั่นคง ทําใหจิ ตมีสภาวะดีงาม มีประสิทธิภาพ และมีสขุ ภาวะ ปญญา มีทมี่ าจากสัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ ในอริยมรรค มีองค 8 ซึง่ เปนเรือ่ งของความรูค วามเขาใจ การรูเ ทาทันความเปนจริง รวมถึงทาทีหรือความคิดตองการตอสิง่ ตาง ๆ ดังนัน้ จึงสรุปไดวา ปญญา เปนขอปฏิบตั เิ พือ่ การฝกฝนพัฒนาในดานการรอบรูแ ละรูเ ทาทัน ความเปนจริงของสิง่ ตาง ๆ จนสามารถนําความรูม าใชเปนเครือ่ ง นําทางในการดําเนินชีวิต ทําใหมคี วามคิดหรือความตองการตอ สิง่ ตาง ๆ อยางถูกตอง และทีเ่ ปนจุดมุง หมายสูงสุด คือการฝกฝน ใหมีทา ทีที่ถูกตองในการรับรูตอ สิง่ ตาง ๆ จนไมมสี ิ่งใดทีจ่ ิตรับรู แลว จะสามารถรอยรัดเสียดแทงจิต ทําใหจติ เกิดความทุกขได อีกตอไป 5
จาก “อริยมรรค มีองค 8” มาจัดระบบใหมเปน “ไตรสิกขา” มีขอ ดีหรือขอพิเศษอะไรเพิม่ ขึน้ ? ดังที่ไดกลาวไปแลววา อริยมรรค มีองค 8 คือขอปฏิบตั ิทเี่ ปน ไปเพือ่ ความดับทุกขดับกิเลส เปนหัวขอหนึง่ ในอริยสัจ 4 ทีพ่ ระพุทธเจา ตรัสรู มีเรือ่ งทีน่ าสนใจและนาพิเคราะหมากวา อริยมรรค มีองค 8 ซึง่ เปนขอธรรมที่พระพุทธเจาตรัสรู และทรงตรัสสอนไดผลดีมา ตั้งแตแสดงปฐมเทศนา แตทําไมจึงมาทรงจัดระบบใหมขึ้นมา เปนไตรสิกขาอีก หรือวาการศึกษาและปฏิบัติในระบบไตรสิกขามี ขอดีหรือพิเศษกวาระบบของอริยมรรค มีองค 8 อยางไร ? ในระบบปฏิบตั ิ อริยมรรค มีองค 8 มีความสมบูรณในแงมมุ ทีว่ าใหปฏิบัตใิ นทุกเรือ่ งทีเ่ กีย่ วของกับการกระทํา (ความเห็น ความคิด คําพูด การกระทําทางกาย การเลีย้ งชีพ ความเพียร การระลึก และการ ทําจิตใหตั้งมัน่ )ใหถูกตอง ซึ่งจะเห็นไดวา อริยมรรค มีองค 8 ทุกองค ขึน้ ตนดวย “สัมมา” แปลวา “ถูกตอง” แตในระบบของอริยมรรค มีองค 8 ไมไดแสดงใหเห็นถึงความเชือ่ มโยงหรือความสัมพันธกบั หลักธรรมใน หมวดตาง ๆ เทาใด นอกจากนั้นไมไดแสดงใหเห็นวาจะตองมีกําลัง หรือคุณภาพขององคมรรคแตละองค แก - ออน ตางกันอยางไร จึงจะ ทําใหสามารถละสังโยชนในแตละระดับ เพื่อใหบรรลุความเปนพระ อริยบุคคลไปตามลําดับได แมวาจะมีคําทีแ่ สดงใหเห็นถึงองคมรรคใน แตละระดับ กลาวคือ โสดาปตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค แตก็ไมไดแสดงใหเห็นถึงความแตกตางกันขององค ประกอบในมรรคแตละระดับเลย แมแตการปฏิบตั ิในระบบอืน่ ๆ เชน สติปฏฐาน 4 ก็เชนกัน 6
มีความสมบูรณในแงที่แสดงใหรวู ิธรี ะลึกรูต ออารมณหรือสิ่งตาง ๆ ให ถูกตอง ซึ่งทั้งหมดประมวลลงในการใหมีสติระลึ กใหถูกตองในกาย เวทนา จิต และธรรม ดังเชนพระพุทธพจนทตี่ รัสไวในพระไตรปฎก เลมที่ 19 ข อที่ 700 ว า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปใน อารมณ ซึง่ เปนของบิดาตน อันเปนโคจร เมื่อเธอทั้งหลายเทีย่ วไปใน อารมณ ซึง่ เปนของบิดาตน อันเปนโคจร มารจักไมไดชอง มารจักไมได อารมณ ก็อารมณอนั เปนของบิดา อันเปนของโคจร คืออะไร? คือสติปฏฐาน 4” แตในระบบของสติปฏฐาน 4 ก็เชนเดียวกันกับในระบบของ อริยมรรค มีองค 8 คือ ไมไดบอกใหชัดวา จะตองปฏิบตั ิเทาใด หรือใหมี คุณภาพเพียงใด ทัง้ ในสวนของสติและอารมณของสติปฏ ฐานทัง้ 4 หมวด จึงจะทําใหสามารถละสังโยชนไปตามลําดับ และบรรลุเปนพระอริยบุคคลไปตามลําดับ ในกรณีของ สมถะและวิปสสนา ก็เชนเดียวกัน การปฏิบัติ สมถะมีจดุ มุง หมายใหจติ เกิดความสงบ ตัง้ มัน่ และแนวแน นําไปสูผ ลคือ สมาธิในระดับตาง ๆ ตัง้ แตขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ สวนวิปสสนาซึง่ ในประเทศไทยนิยมการปฏิบัตใิ นระบบวิปสสนาญาณ 16 ไดแสดงใหเห็นการปฏิบตั ทิ เี่ ปนขัน้ ตอนไว 16 ขัน้ ตอน แตกไ็ มไดแสดง ใหเห็นวา การปฏิบัติเพื่อละสังโยชน และบรรลุเปนพระอริยบุคคลไป ตามลําดับ มีคณ ุ ภาพหรือความแกออนของการปฏิบัตใิ น 16 ขัน้ ตอน ในแตละรอบทีนํ่ าไปสูค วามเปนพระอริยบุคคลแตละระดับนัน้ แตกตางกัน อยางไร ตอจากนี้ไป จะไดแสดงใหเห็นถึงนัยตาง ๆ ที่เปนความพิเศษ ของไตรสิกขา วาเปนระบบที่มีความพิเศษและสมบูรณแบบ ทั้งใน สวนของการศึกษาและปฏิบัติ ทีเ่ ปนไปตามลําดับ ตัง้ แตระดับเบื้องตน 7
ไปจนถึงระดับสูงสุด รวมทั้งความสัมพันธและเชือ่ มโยงกับหมวดธรรม อืน่ ๆ อยางกวางขวาง ไตรสิกขา ทําใหเห็น : การปฏิบัติธรรมที่เปนไปตามลําดับ ขอพิเศษประการแรกของไตรสิกขา คือ แสดงใหเห็นถึง การปฏิบตั ธิ รรมทีเ่ ปนไปตามลําดับอยางชัดเจน กลาวคือ เริม่ จาก ศีลกอน จากนั้นจึงไปสูส มาธิ และปญญา สมดังพระพุทธพจนทตี่ รัสไวในพระไตรปฎก เลมที่ 10 ขอที่ 75 วา สมาธิอันศีลอบรมแลว ยอมมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ ปญญา อันสมาธิอบรมแลว ยอมมีผลใหญ มีอานิสงสใหญ และในพระไตรปฎกเลมที่ 22 ขอที่ 22 ที่วา “...ขอที่ภกิ ษุไม รักษาศีลขันธใหบริบรู ณแลว จักเจริญสมาธิขันธใหบริบรู ณไดนนั้ ไมใช ฐานะที่จะมีได ขอที่ภกิ ษุไมเจริญสมาธิขนั ธใหบริบรู ณแลว จักบําเพ็ญ ปญญาขันธใหบริบูรณไดนนั้ ไมใชฐานะทีจ่ ะมีได...” การเริม่ ตนที่ ศีล กอน มีความหมายวาการปฏิบัตธิ รรมในพระพุทธศาสนา เริม่ ตนจากการฝกฝนการกระทําทางกายและทางวาจาตอ สิ่งตาง ๆ ที่อยูภ ายนอกกอน ไมวา จะเปนบุคคล สิ่งมีชีวติ อืน่ สิ่งของ หรือแมแตสงิ่ แวดลอมในธรรมชาติ กลาวโดยสรุปคือสิ่งทีเ่ ปนรูปธรรม ภายนอกทั้งหลายใหถูกตอง ซึง่ อันที่จริงก็คือเรือ่ งราวในชีวติ ประจําวัน ทั่วไปของบุคคลนั่นเอง ตัง้ แตในเรือ่ งพืน้ ฐาน เชน การรูจ ักกิน - อยู ให ถูกตอง การเกีย่ วของกับปจจัย 4, สิง่ อํานวยความสะดวกสบาย ตลอดจน การทําหนาทีต่ อ กันระหวางบุคคลในสังคม รวมไปถึงกิจกรรมตาง ๆ เชน การเรียน, การทํางาน, การมีครอบครัว ฯลฯ 8
จะเห็นไดวา พระพุทธเจาทรงวางหลักการปฏิบตั ธิ รรมใน ลําดับแรก คือศีล โดยใหฝก หัดปฏิบตั ติ นกระทําสิง่ ตาง ๆ ในชีวติ ประจําวันใหถูกตองเสียกอน ซึง่ ชาวพุทธจํานวนมากอาจเขาใจ ผิดและมองขามเรื่องนี้ไป ไมเห็นวาการใชชีวิตประจําวันหรือ การทํากิจการงานตาง ๆ ใหถกู ตอง วาเปนการปฏิบตั ธิ รรม หากในขัน้ ตนคือศีลนีย้ งั ไมสามารถปฏิบตั หิ รือกระทําใหถกู ตอง ใหเกิดความเรียบรอยและราบรืน่ อยางเพียงพอแลว นัน่ ยอมเปนเครือ่ ง แสดงวา บุคคลนัน้ ยังไมพรอมหรือไมสามารถทีจ่ ะปฏิบัตธิ รรมในลําดับ ถัดไป คือ สมาธิและปญญาใหบงั เกิดผลสําเร็จตอไปได เพราะเปนเรือ่ ง ที่เกี่ยวเนื่องกับจิตที่เปนนามธรรมที่ ละเอียดและประณีตยิ่งกว า ใน พระไตรปฎก เลมที่ 19 ขอที่ 264 พระพุทธเจาจึงไดตรัส เปรียบศีลเปน เสมือนแผนดินทีเ่ ปนทีร่ องรับกุศลธรรมทัง้ หลาย หากไมมศี ลี เปนพืน้ ฐาน กอนแลว การปฏิบตั เิ พือ่ บรรลุกศุ ลธรรมอืน่ ๆ ทีล่ ะเอียดประณีตยิง่ ขึน้ ไป ยอมไมสามารถกระทําได เมือ่ ปฏิบตั ิในขัน้ ศีล คือเรือ่ งของกายและวาจาที่ไปกระทําตอ สิง่ ตาง ๆ ทีอ่ ยูภ ายนอกไดถกู ตองและเรียบรอยพอสมควร กลาวคือไมทํา ใหเกิดผลของการกระทําทีเ่ ปนความเดือดรอน หรือความกระทบกระทัง่ จากภายนอกทีม่ ารบกวนจิตใจแลว จึงทําใหมพี นื้ ฐานหรือความพรอมที่ จะปฏิบตั ใิ หมคี วามกาวหนาในธรรมขัน้ สูงหรือประณีตยิง่ ขึน้ ตอไป ขั้นตอนปฏิบัติในขั้นถัดไป คือ สมาธิ ซึ่งเนนเขามาที่ตัวจิต โดยตรง มุงฝกฝนปรับปรุงจิตใหมีคุณภาพที่เหมาะสม คือมีลกั ษณะ ปริสุทโฺ ธ (ผองใส), สมาหิโต (ตั้งมั่น) และ กมฺมนีโย (คลองแคลวควร แกการงาน) มีสุขภาวะ และอยูในอํานาจการควบคุม จึงจะนําจิตที่ 9
ไดรับการฝกฝนอบรมแลวนี้ ไปใชงาน สรางสรรคหรือแกปญ หาตาง ๆ ไดอยางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตอไป ขั้นตอนการปฏิบตั ิในลําดับสุดทาย คือปญญา เปนขั้นตอน ฝกฝนการใชจิตที่ไดรบั การฝกอบรมในขัน้ ตอนของสมาธิ ไปเรียนรูเ พือ่ ใหรเู ทาทันความเปนจริงของสิง่ ตาง ๆ เพือ่ จะไดนําความรูน ั้นไปสรางสรรค แกปญ หา และอุปสรรคตาง ๆ ของชีวติ และที่เปนเปาหมายหรือ อุดมคติในพระพุทธศาสนา คือการดับทุกขดบั กิเลสใหหมดสิน้ ไปอยาง เด็ดขาด หรือการทําใหจิตเปนอิสระอยูเหนืออิทธิพลรอยรัดเสียดแทง จากสิง่ ทัง้ ปวง มีอปุ มาทีท่ ําใหเห็นภาพและความเชือ่ มโยงของศีล สมาธิ และ ปญญา ที่ทาํ หนาทีต่ อเนือ่ งไปตามลําดับ ทีช่ ัดเจนยิง่ ขึน้ โดยเปรียบกับ การตัดตนไมใหขาด ซึง่ ในลําดับแรกจะตองหาทีย่ ืนใหเหมาะ ๆ หรือที่ มั่นคงเสียกอน จากนั้นก็ใหเลือกเครือ่ งมือใหเหมาะสม เชน ขวาน หรือ มีดพรา ซึง่ ตองมีขนาดหรือน้ําหนักใหมากพอ ไมใชมดี เล็กทีใ่ ชทําครัว หรือมีดผาตัดทีม่ ขี นาดเล็ก ในลําดับสุดทายเปนขัน้ ตอนทีจ่ ะใชเครือ่ งมือ ตัดหรือกรีดเขาไปในเนือ้ ไมเพือ่ ทําใหตน ไมขาดออกจากกันจริง ๆ ขึน้ กับ ความคมของเครือ่ งมือ ซึง่ หากยิง่ มีความคมมากเทาไร ก็ยงิ่ ทําใหขาด ออกจากกันไดงายขึน้ แตหากเปนเครือ่ งมือทีท่ อื่ ก็ยอมตัดตนไมใหขาด ไมได หรือไดกอ็ าจจะยาก อุปมาทีก่ ลาวนี้ เปรียบพืน้ ทีย่ ืนที่เหมาะ ๆ ไดกับศีล ; น้ําหนัก ของเครือ่ งมือเปรียบไดกับสมาธิ และความคมของเครือ่ งมือเปรียบได กับปญญา
10
ไตรสิกขา ทําใหเห็น : เสนแบงของภพภูมิในวัฏสงสาร ขอพิเศษประการที่ 2 การจัดระบบ “ไตรสิกขา” ทําใหเห็นแง มุมทีเ่ ชือ่ มโยงและสอดคลองกับหมวดธรรมอืน่ ๆ อีกหลายหมวด ซึง่ จะ ทําใหเขาใจถึงวัตถุประสงคของการปฏิบัตธิ รรมในระบบไตรสิกขาอยาง รอบดานยิง่ ขึน้ สําหรับในบทนี้จะชี้ใหเห็นถึงความเชื่อมโยงของระบบ ไตรสิกขากับการจัดแบงภพภูมใิ นพระพุทธศาสนา หลักธรรมในพระพุทธศาสนา จัดแบงภพภูมเิ ปน 3 ระดับใหญ ๆ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ แตหากแจกแจงใหละเอียดก็จัดไดเปน 31 ภพภูมิ ซึ่งภพภูมิในทีน่ ี้อาจหมายถึงทีเ่ ปนสถานทีใ่ นมิติตา ง ๆ หรือ เปนภาวะระดับตาง ๆ ของจิตก็ได ดังนี้ 1. กามภพ คือภพทีย่ นิ ดีพอใจในกามคุณ หรือ รูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัสทางกาย ที่นารักนาใคร จําแนกยอยเปน 2 ระดับ คือ กามภพที่เปนทุคติ (เรียกอีกชื่อวาอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตวเดรัจฉาน) และกามภพทีเ่ ปนสุคติ (คือภพที่เปนมนุษย และ เทวดาซึง่ จําแนกเปน 6 ชัน้ ) 2. รูปภพ คือภพที่ยนิ ดีพอใจในภาวะของรูปฌาน หรือภพ ทีเ่ ปนรูปพรหม ซึง่ จําแนกเปน 16 ชัน้ 3. อรูปภพ คือภพทีย่ ินดีพอใจในภาวะของอรูปฌาน หรือ ภพทีเ่ ปนอรูปพรหม ซึง่ จําแนกเปน 4 ชัน้ ความหมายของคํา ว า “วั ฏ สงสาร” คื อจิ ตของบุ คคลยั ง เพลิดเพลินยินดีและติดของหรือเวียนวายอยูในภาวะของภพภูมิทงั้ 3 นีเ้ อง ไมสามารถหลุดพนหรือเปนอิสระจากภพภูมเิ หลานี้ 11
การจัดระบบไตรสิกขา ซึง่ จําแนกเปนศีล สมาธิ ปญญา ในแง ที่ เนื่ องดวยภพภูมินี้ ทําให เห็ นเสนแบ งหรื อเขตแดนที่ ชัดเจน ของสิ่งที่นําไปสูภ พภูมิตา ง ๆ แมกระทัง่ การจะหลุดพน ไปจากภพภูมติ า ง ๆ ไปตามลําดับ โดย ศีล เปนเสนแบงเขตแดนระหวางกามภพทีเ่ ปนทุคติ กับ กามภพทีเป ่ นสุคติ โดยศีลในทีน่ หี้ มายรวมถึงศีลทีเ่ ปนธรรมซึง่ มีสมั มาทิฏฐิ เปนพื้นฐาน และศีลที่เปนวินัย หรือสิกขาบททัง้ หลาย ซึง่ จะไดอธิบาย ใหชดั เจนตอไปในบททีว่ า ดวย การปฏิบตั ิ “ศีล” สมาธิ ในระดับทีเ่ ปนฌาน เปนเสนแบงเขตแดนระหวางกามภพทัง้ หมด กับภพในระดับของฌาน คือรูปภพและอรูปภพ ปญญา เปนเสนแบงเขตแดนระหวางภพในระดับของฌาน คือรูปภพและอรูปภพ กับนิพพาน หมายความวา ... : หากบุคคลกระทําผิดศีล โดยเฉพาะศีล 5 ซึ่งเปนศีลพืน้ ฐาน จะนําบุคคลใหตกไปสูภ พภูมิในระดับกามภพทีเ่ ปนทุคติ หรือภพภูมิที่ เปนอบาย : หากบุคคลไมกระทําผิดศีล หรือปฏิบัติตนอยูในศีล จะนํา บุคคลไปสูภ พภูมทิ เี่ ปนกามสุคติ คือภพทีเ่ ปนมนุษยและเทวดา : หากบุคคลสามารถทําสมาธิจนถึงระดับรูปฌานหรืออรูปฌาน ก็จะนําบุคคลใหพน จากกามภพทัง้ หมด ไปสูร ปู ภพและอรูปภพ กลายเปน รูปพรหมและอรูปพรหม : และทีส่ ดุ หากบุคคลเจริญปญญาจนรูแ จงในอริยสัจ ก็จะทําให พนจากทัง้ รูปภพและอรูปภพ คือพนจากภพภูมทิ ั้งหมด บรรลุนิพพาน ซึง่ เปนอุดมคติสงู สุดตามหลักพระพุทธศาสนา 12
ไตรสิกขา ทําใหเห็น : เครื่องมือและขั้นตอนในการละสังโยชนไปตามลําดับ ขอพิเศษประการที่ 3 ไตรสิกขาไดแสดงใหเห็นวาจะตอง ปฏิบตั ไิ ตรสิกขาอยางไร จึงจะทําใหสามารถละสังโยชนไปไดตาม ลําดับ ในพระไตรปฎก เลมที่ 20 ขอที่ 526 พระพุทธเจาไดตรัสสอน ไวอยางชัดเจนวา การจะละสังโยชนซงึ่ เปนเครือ่ งผูกมัดบุคคลใหจมอยู ในกองทุกข หรือเวียนวายอยูในวัฏสงสาร ซึง่ มี 10 ประการนัน้ จะตอง อาศัยกําลังของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปญญา ทั้งหมดรวมกัน ไมใชเพียงอยางหนึง่ อยางใดเทานั้น นอกจากนั้นยังตองการคุณภาพที่ แตกตางกันไปตามความหยาบและละเอียดของสังโยชนที่จะละดวย โดยไดแสดงใหเห็นวา : การปฏิบตั ทิ ที่ ําให ศีลบริบรู ณ สมาธิพอประมาณ ปญญา พอประมาณ จะทําใหมีกําลังที่ ทําให สังโยชน 3 คือสักกายทิ ฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส หมดสิ้นไปได และทําใหบุคคลบรรลุ เปนพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน : การปฏิบตั ทิ ที่ ําให ศีลบริบรู ณ สมาธิพอประมาณ ปญญา พอประมาณ และหากสามารถทําใหราคะ โทสะ และโมหะ เบาบางลง จะทําใหมกี ําลังทีท่ ําใหสงั โยชน 3 หมดสิน้ ไปได และทําใหบคุ คลบรรลุ เปนพระอริยบุคคลระดับสกทาคามี : การปฏิบตั ทิ ที่ ําให ศีลบริบรู ณ สมาธิบริบรู ณ ปญญาพอ ประมาณ จะทําใหมีกาํ ลังทีท่ ําใหสังโยชน 5 หมดสิน้ ไปได กลาวคือ เพิม่ สังโยชนอกี 2 ขอ คือกามราคะ และปฏิฆะ และทําใหบคุ คลบรรลุ เปนพระอริยบุคคลระดับอนาคามี 13
: การปฏิบตั ทิ ที่ ําให ศีลบริบรู ณ สมาธิบริบรู ณ ปญญาบริบรู ณ จะทําใหมีกําลังที่ทาํ ใหสังโยชน 10 หมดสิน้ ไปได กลาวคือ เพิม่ สังโยชนอีก 5 ขอ คือรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา และทําใหบุคคลบรรลุเปนพระอริยบุคคลระดับอรหันต จะเห็นไดวาการปฏิบัตทิ จี่ ะทําใหเกิดคุณภาพจนถึงระดับทีล่ ะ สังโยชนใหหมดสิ้นนั้น จะตองฝกปฏิบัติใน ศีล สมาธิ และปญญา ทัง้ 3 เรือ่ งไปพรอม ๆ กัน แตในขัน้ แรกจะตองปฏิบตั ใิ นศีลใหบริบรู ณกอ น เพือ่ ละจากกามภพทีเ่ ปนทุคติหรืออบายภูมิ จากนัน้ จึงปฏิบตั ิสมาธิให บริบูรณ เพื่อละจากกามภพทั้งหมดแมที่เปนกามภพทีเ่ ปนสุคติ และ สุดทายคือปฏิบัตปิ ญญาใหบริบูรณ เพือ่ ละรูปภพและอรูปภพทัง้ หมด คําวา “บริบรู ณ” ของศีล สมาธิ และปญญา มีความสําคัญมาก มีความหมายวาจะต องทําใหไดถึงระดับที่ ไมมีความผิดพลาดใด ๆ เกิดขึน้ เชน - ศีลบริบรู ณ หมายความวา จะไมมกี ารปฏิบตั ิทผี่ ิดศีลใด ๆ เกิดขึน้ อีก - สมาธิบริบรู ณ หมายความวา จะไมมคี วามยินดีในกามใด ๆ เกิดขึน้ อีก - ปญญาบริบรู ณ หมายความวา จะไมมคี วามยินดีในรูปฌาน และอรูปฌานใด ๆ เกิดขึน้ อีก สําหรับวิธปี ฏิบัตเิ พือ่ ละสังโยชนแตละระดับนัน้ จะกลาวถึงอีก ครัง้ หนึง่ ในบททีว่ า ดวยการปฏิบตั ไิ ตรสิกขา
14
ไตรสิกขา ทําใหเห็น : การละกิเลสจากหยาบไปหาละเอียด ขอพิ เศษประการที่ 4 ของไตรสิกขา ทําใหเห็นความ เชือ่ มโยงของ ศีล สมาธิ และปญญา กับการละกิเลสระดับตาง ๆ ในคัมภีรชั้นอรรกถา ไดจําแนกกิเลสจากหยาบไปหาละเอียด เปน 3 ระดับ ดังนี้ 1. กิเลสอยางหยาบ มีชื่อเรียกวา “วีติกกมกิเลส” เปน กิเลสทีก่ าวลวงออกมา จนแสดงออกทางกายและวาจา ทําใหเกิดกายกรรมและวจีกรรมทีท่ ศุ ลี หรือลวงละเมิดศีล 2. กิเลสอยางกลาง มีชื่อเรียกวา “ปริยุฏฐานกิเลส” เปน กิเลสที่กําลังกลุมรุมจิตใจ ตัวอยางของกิเลสในระดับกลาง ในคัมภีร อรรถกถาไดแสดงไววา คือนิวรณ 5 ซึ่งจะอธิบายใหละเอียดในบทของ การปฏิบตั สิ มาธิ 3. กิเลสอยางละเอียด มีชื่อเรียกวา “อนุสยกิเลส” คัมภีร อรรถกถาแสดงไววา เปนกิเลสทีน่ อนเนือ่ งอยูใ นสันดานอันยังไมถกู กระตุน ใหพลุงขึน้ มา หรืออาจอธิบายใหเขาใจงายขึน้ วาแมในขณะทีจ่ ิตยังไม ถูกกิเลสกลุมรุม ก็ยังไมไดเปนเครื่องยืนยันวาจะไมมีกิเลสเกิดขึ้นอีก ในอนาคต กิเลสทีย่ ังไมไดเกิดกลุม รุมจิตในปจจุบัน แตยงั มีโอกาสเกิด ขึน้ อีกในอนาคต เรียกกิเลสประเภทนีว้ า กิเลสอยางละเอียด หรือ “อนุสยกิเลส” การจัดกิเลสเปน 3 ระดับ ทําใหเห็นนัยเกีย่ วกับการละกิเลส ทีส่ ําคัญยิง่ หมายความวาการจะละกิเลสใหหมดสิน้ ไปอยางแทจริงนัน้ จะตองละกิเลสไปจนถึงระดับ “อนุสยกิเลส” และยังจะตองละใหอยาง 15
หมดจดและสิ้ นเชิง จนไม มีโอกาสที่จะเกิดกิเลสในอนาคตอีกอยาง เด็ดขาด จึงจะนับวาเปนผูบ รรลุธรรมอยางแทจริง การทีค่ มั ภีรอ รรถกถาไดแสดงวา : - อาศัยศีลในการละวีติกกมกิเลส - อาศัยสมาธิในการละปริยฏุ ฐานกิเลส - อาศัยปญญาในการละอนุสยกิเลส มีความหมายวา กิเลสในระดับตาง ๆ สามารถอาศัยไตรสิกขา ในแตละขอทีเ่ ปนคูป รับในการละ หรือขม หรือทําใหไมเกิดขึน้ ในปจจุบนั ได แตจะละจนหมดจดและสิน้ เชิง จนไมมโี อกาสทีจ่ ะเกิดขึน้ อีกตอไป ในอนาคต ยังทําไมได ในกรณีทอี่ รรถกถาแสดงไววา อาศัยปญญาในการ ละอนุสยกิเลสนั้น ตองทําความเขาใจใหดี แมวาปญญาจะเปนตัวทีล่ ะ หรือตัดกิเลสที่แทจริง แตมิไดหมายความวาอาศัยปญญาเพียงอยาง เดียวแลวจะละอนุ สยกิเลสไดอยางเด็ดขาด จะตองมี ศีลและสมาธิ เปนเครื่องสนับสนุนดวย นอกจากนัน้ ยังจะตองทําใหมคี ณ ุ ภาพถึงระดับ ทีบ่ ริบรู ณในแตละระดับดวย เชน ศีลบริบรู ณกอ นในขัน้ ตน สมาธิบริบรู ณ ในลําดับถัดไป และปญญาบริบูรณในขัน้ สุดทาย จึงจะทําให อนุสยกิเลสในแตละระดับหมดไป ๆ อยางสิน้ เชิงจริง ๆ ไตรสิกขา ทําให : เขาถึงความสุขที่ยั่งยืนในทุกระดับ ขอพิ เศษประการที่ 5 ของไตรสิกขา ทําใหเห็นความ เชือ่ มโยงกับความสุขระดับตาง ๆ และเปนพืน้ ฐานทีจ่ ะทําใหเกิด ความสุขทีย่ งั่ ยืนในทุกระดับ 16
หลักธรรมในพระพุทธศาสนา แสดงเรือ่ งความสุขไวหลายแงมุม แตในแงมมุ ทีเ่ กีย่ วของกับไตรสิกขาที่คอ นขางชัดเจน จําแนกไดเปน 3 ประเภท ดังนี้ คือ 1. กามสุข เปนความสุขทีเ่ กิดขึน้ จากการสัมผัสรับรูใ น รูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัสทางกาย ที่นา ใครนา พอใจ 2. ฌานสุข เปนความสุขทีไ่ มเนื่องดวยรูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัสทางกาย แตเกิดขึน้ จากการสัมผัสรับรูใ นอารมณของสมาธิ 3. วิมตุ ติสขุ เปนความสุขทีเ่ กิดขึน้ เนือ่ งจากความหลุดพน จากกิเลสและกองทุกข เปนความสุขที่เกิดขึ้นจากจิตที่เปนอิสระ ไมมี สิ่งใดที่จติ สัมผัสรับรูแลว สามารถมีอทิ ธิพลครอบงําหรือรอยรัดเสียด แทงจิตใหเกิดความทุกขได ศีล สมาธิ และปญญาในไตรสิกขาจริง ๆ มีจุดมุงหมายเพื่อ วิมุตติสุข โดยจะตองมีป ญญาเปนแกนและอาศัยศีลและสมาธิเปน เครือ่ งสนับสนุน แตก็สามารถนํามาปรับใชเพือ่ สนับสนุนสําหรับบุคคล ทัว่ ไปทีย่ งั มุง หวังความสุขในระดับตาง ๆ ทีก่ ลาวขางตนไดเปนอยางดี กามสุข เปนความสุขทีเ่ กิดขึน้ จากการสัมผัสรับรูใ น รูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัสทางกาย ที่นาใครนาพอใจ กลาวคือจะตองมีอารมณ หรือสิง่ ทีก่ ลาวนีใ้ หสมั ผัสรับรู จึงจะเกิดเปนกามสุขขึน้ มาได และเนือ่ งจาก สิง่ ทีเ่ ปนที่ตงั้ ของความสุขประเภทนี้ เปนสิง่ ทีอ่ ยูภ ายนอก ซึง่ ตองแสวง หาเพือ่ ใหไดมา ดังนั้น เรือ่ งของความสุขประเภทนี้ นอกจากจะขึน้ อยู กับ รูป เสียง ที่อยูภ ายนอกเปนตนแลว ยังขึน้ ตอวิธที ี่แสวงหาเพือ่ ใหได มาด วย กลาวไดว าความยั่งยืน มั่ นคง และปลอดภัยของความสุข ประเภทนี้ ขึ้นอยูก ับศีล หรือการกระทําทางกายและวาจาเพื่อใหไดมา ซึ่ งกามสุ ขเปนสําคัญ บุคคลหากแสวงหามาได ดวยการผิดศีลแล ว 17
ยอมไมสามารถมีกามสุขไดอยางสนิทใจ เพราะจะถูกรบกวนดวยความ เดือดรอนใจ และความระแวงถึงโทษหรือผลรายที่จะเกิดขึ้นจากการ ที่ทําผิดศีลนั้น จึงอาจเรียกกามสุขที่ยั่งยืน ดีงาม และพึงประสงควา เปน ความสุขทีเ่ กิดจากศีล สําหรับ ฌานสุข เปนความสุขทีไ่ มเนื่องดวยรูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัสทางกาย ใด ๆ แตเปนความสุขทีเ่ กิดจากการรับรูแ ละสัมผัส อารมณของสมาธิทเี่ กิดจากการฝกอบรมจิตโดยเฉพาะ ความสุขประเภทนี้ เมือ่ พิจารณาในแงของไตรสิกขาจึงอาจเรียกไดวา เปน ความสุขทีเ่ กิด จากสมาธิ ในสวนของ วิมตุ ติสขุ เปนความสุขที่เกิดขึน้ เนื่องจากความ หลุดพนจากกิเลสและกองทุกข เปนความสุขทีไ่ มไดเกิดจากการสัมผัส รับรูต ออารมณที่เปนทีต่ ั้งของความสุข ทั้งที่เปน รูป เสียง กลิน่ รส และ สิง่ ตองกาย ที่ทาํ ใหเกิดกามสุข หรืออารมณของสมาธิในระดับรูปฌาน และอรูปฌาน ที่ทําใหเกิดฌานสุข วิมุตติสุขนีเ้ ปนความสุขที่ไมไดขนึ้ ตออารมณหรือสิง่ ทีส่ มั ผัสรับรู แตขนึ้ กับปญญาหรือการมีทา ทีทถี่ กู ตอง ในการรับรูข องจิตตอสิง่ ตาง ๆ จนไมมสี งิ่ ใด ๆ ทีจ่ ิตรับรูแ ลวจะสามารถ ทําใหจติ เกิดกิเลสหรือความทุกขขนึ้ มาได ความสุขประเภทนีเ้ มือ่ พิจารณา ในแงของไตรสิกขา จึงอาจเรียกไดวา เปน ความสุขทีเ่ กิดจากปญญา กลาวไดวา ระบบไตรสิกขาทีพ่ ระพุทธเจาไดจดั ขึ้นนี้ มีความ เชือ่ มโยงกับเรือ่ งความสุขอยางแนบแนน และอันทีจ่ ริงเปนพืน้ ฐานของ ความสุขในทุกระดับอีกดวย บุคคลผูห วังในความสุขไมวา จะเปนประเภท ใดหรือระดับใด หากมุง หวังจะมีความสุขทีย่ งั่ ยืน มัน่ คง และปลอดภัย ที่นาพึงพอใจอยางแทจริงแลว ก็จะตองประพฤติปฏิบัตติ นอยูใ นหลัก ของไตรสิกขาอยางทีจ่ ะขาดเสียมิได 18
การปฏิบตั ิ ไตรสิกขา ตอจากนี้ไป จะไดอธิบายรายละเอียดของไตรสิกขาและการ ปฏิบัตไิ ตรสิกขาแตละหัวขอใหกวางขวางและรอบดาน เพื่อจะไดรูจกั และไดรับประโยชนจากไตรสิกขาใหมากทีส่ ุด ครอบคลุมไปในทุกเรือ่ ง ราวและทุกสถานการณของชีวติ การปฏิบตั ิ ศีล การปฏิบตั ศิ ลี ในพระพุทธศาสนา แมในแวดวงพุทธบริษทั เองยังมี ความเขาใจทีค่ ลาดเคลือ่ นอยูม าก สวนใหญเขาใจวาเปนเรือ่ งของขอหาม หรือการสํารวมระวังไมใหไปกระทําในสิงที ่ เ่ ปนขอหามเทานัน้ ดังเชนการสอน ในเรือ่ งของศีล 5 ทีห่ า มไมใหฆา สัตว ลักทรัพย ประพฤติผดิ ในกาม พูดเท็จ และดืม่ สุราหรือของมึนเมาตาง ๆ ซึง่ อันทีจ่ ริงก็เปนความเขาใจทีถ่ กู ตอง ในระดับหนึง่ แตยงั เปนการสอนทีไ่ มครบถวนและเปนระดับทีห่ ยาบทีส่ ดุ หรือเลวรายทีส่ ดุ เทานัน้ ยกตัวอยางเชนศีลในขอที่ 1 ทีห่ า มการฆาหรือทํา ชีวติ ใหตกลวงไป ตองนับวาเปนสิง่ ทีห่ ยาบทีส่ ดุ และเลวรายทีส่ ดุ อันทีจ่ ริง แมแตไมถงึ ขนาดฆา เพียงแตทาํ รายใหบาดเจ็บ หรือการกลัน่ แกลงในบริบท ตาง ๆ ทีเ่ นือ่ งดวยรางกาย ก็ควรจะไดสอนกัน และควรจะรวมการกระทํา เหลานี้ วาผิดศีลขอที่ 1 ดวย การสอนเรือ่ งศีลเพียงนัยดังทีก่ ลาวมา จึงเปน สาเหตุสาํ คัญประการหนึง่ ทีท่ าํ ใหการสอนในเรือ่ งศีลไมคอ ยไดผล และยังมี พฤติกรรมการผิดศีลในระดับตาง ๆ ปรากฏใหเห็นคอนขางบอยและมาก การปฏิบตั ใิ นเรือ่ งศีล ทีย่ งั คลาดเคลือ่ นอยูน ี้ เพราะคําวา ศีลมีปรากฏใชอยูท ั้งในแงของ “วินยั ” และในแงของ “ธรรม” ซึง่ ทัง้ 2 นัยนี้ มีจดุ มุง หมายและวิธีปฏิบัตทิ แี่ ตกตางกัน 19
การปฏิบัตศิ ีลไดอยางถูกตอง จะตองรูจ ักและจําแนกได ถึงความแตกตางระหวางศีลทีเ่ ปนวินัย กับศีลทีเ่ ปนธรรม เพื่ อความเข าใจในประเด็นที่ กลาวนี้ ใหชัดเจนยิ่ งขึ้น ขอให พิจารณาพระพุทธพจนที่พระพุทธเจาตรัสแกพระสารีบุตร เมื่อทูลขอ ใหบญ ั ญัตพิ ระปาฏิโมกข ซึง่ เปนศีลทีเ่ ปนวินยั สําหรับกํากับความประพฤติ ของพระภิกษุ ภายหลังจากทีไ่ ดทราบจากพระพุทธองควา การบัญญัติ พระปาฏิโมกขเปนเหตุปจ จัยประการหนึง่ ทีจ่ ะทําใหพระศาสนาตังมั ้ น่ ยืนยาว ตามที่ปรากฏในพระไตรปฎก เลมที่ 1 ขอที่ 7 แตพระพุทธเจาไดตรัส ตอบเปนใจความโดยสรุปวา ในขณะนี้พระสงฆสาวกขั้นต่ําเปนพระ อริยบุคคลระดับโสดาบัน ซึง่ จะไมมีการกระทําผิดวินัยเปนปกติ จึงไมมี ความจําเปนใด ๆ ที่จะตองบัญญัติปาฏิโมกขในขณะนี้ แตตอไปใน ภายหนา เมื่อคณะสงฆมีจํานวนมากขึ้น มีลาภสักการะเกิดมากขึ้น และธรรมอันเปนอาสวะเริม่ ปรากฏ ทรงรูก าลอันควรทีจ่ ะบัญญัติ จะเห็นไดวาในสมัยตน ๆ ของการประกาศธรรม พระพุทธเจา ยังไมไดทรงบัญญัติศีลที่เปนวินัยเลย แตพระสาวกทัง้ หลายยอมตองมี ศีลทีเ่ ปนธรรมอยูแ ลว คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ ในอริยมรรค มีองค 8 จึงจะบรรลุเปนพระอริยบุคคลได ดังนั้นในสมัยที่ พระสงฆสาวกลวนเปนพระอริยบุคคลนัน้ จึงมีแตศีลทีเ่ ปนธรรม ยังไม จําเป นต องมีศี ลที่ เป นวิ นัยหรื อปาฏิ โมกข เพราะผู มีศีลที่ เป นธรรม โดยธรรมชาติแลวจะไมมีเจตนาใด ๆ ทีจ่ ะกระทําผิดศีลทีเ่ ปนวินัยเลย ศีลทีเ่ ปนวินัยและศีลทีเ่ ปนธรรม แตกตางกันอยางไร ? กลาวในแงของวัตถุประสงค ศีลที่เปนวินัย หรือเรียกอีกชือ่ 20
หนึง่ วา สิกขาบท มุงความเปนระเบียบเรียบรอยในการอยูร วมกันของ หมูค ณะเปนใหญ สวนศีลที่เปนธรรม มุงหมายใหเปนองคประกอบใน องคมรรค เพือ่ การดับทุกขดบั กิเลสในจิตเปนสําคัญ ในแงของวิธปี ฏิบตั ิ ศีลทีเ่ ปนวินยั จะถือตามขอทีบ่ ญ ั ญัตอิ ยาง เครงครัด โดยเอาขอหามตาง ๆ เปนตัวตัง้ และคอยระมัดระวังการกระทํา ทางกายและวาจา ไมใหกา วลวงหรือละเมิดขอหามนัน้ ๆ สวนการปฏิบตั ิ ศีลทีเ่ ปนธรรม มีวธิ กี ารปฏิบตั ทิ แี่ ตกตางออกไป จะอาศัยสัมมาทิฏฐิหรือ ความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตองตอสิง่ ตาง ๆ เปนหลักหรือตัวนําในการกระทํา กลาวอีกนัยหนึง่ การปฏิบตั ศิ ลี ทีเ่ ปนธรรมตองมีสมั มาทิฏฐิเปนพืน้ ฐาน นอกจากนัน้ ยังมีความแตกตางกันในเรื่องผลลัพธที่เกิดขึน้ ในกรณีของศีลทีเ่ ปนวินยั เรียกผลของการทําผิดศีลทีเ่ ปนวินยั วา “อาบัต”ิ และจะมีบทลงโทษตามขอบัญญัตทิ กี่ ําหนดไวหรือตกลงกันไวลว งหนา สวนในกรณีของศีลทีเ่ ปนธรรม เรียกผลของการทําผิดศีลทีเ่ ปนธรรมวา “วิบากกรรม” ซึง่ จะใหผลเปนไปตามกฎของธรรมชาติ พนจากกฎเกณฑ ทีม่ นุษยตงั้ ไว ยกตัวอยาง หากพระภิกษุฆา มนุษย ในแงทผี่ ิดศีลทางวินัย จะ ถูกกําหนดโทษไวเปนอาบัตทิ เี่ รียกวา “ปาราชิก” ตองถูกบังคับใหลาสิกขา ไป โดยไมมบี ทลงโทษอยางอืน่ แตในแงทผี่ ิดศีลทางธรรม จะเกิดเปน “วิบากกรรม” ทําใหอายุสนั้ และมีโรคภัยไขเจ็บเบียดเบียนมาก ในเรือ่ งศีลทีเ่ ปนวินัย กับศีลทีเ่ ปนธรรม อาจยกตัวอยางใหเห็น งายขึน้ ชัดเจนขึน้ ดวยการเปรียบเทียบกับเรือ่ งของกฎหมาย จะเห็นวา ในกฎหมายไดตราไวชดั เจนวาหามไมใหทาํ อะไร และหากมีการกระทํา ลวงละเมิดในสิ่งที่หา ม จะถูกจับและนําตัวไปลงโทษ ตามบทลงโทษ ทีไ่ ดกาํ หนดไว (=ศีลทีเ่ ปนวินยั ) แตจะเห็นไดวา บุคคลทัว่ ไป ทีม่ จี ติ สํานึก 21
ที่ดี คือรูว าอะไรควร อะไรไมควร แมไมไดรตู ัวบทกฎหมาย หรือไมตอง เอาตัวบทกฎหมายทีบ่ ญ ั ญัตไิ วมากมาย มาทองหรือจดจํา แตกไ็ มไดทํา ผิดกฎหมาย หรือไมเกรงกลัววาจะทําผิดกฎหมาย (=ศีลทีเ่ ปนธรรม) ในกรณีศลี ทีเ่ ปนธรรม ยังจะตองรูจ ักปฏิบตั ิใหถกู ตอง จึงจะไดรับผลทีน่ ําไปสูค วามดับทุกขอยางแทจริง ในการปฏิบัติศลี ที่เปนธรรมนี้ หากไมไดพิจารณาใหละเอียด และแยบคายจริง ๆ แลว ก็ยงั อาจปฏิบตั ิไมถกู ตองตามทีพ่ ระพุทธเจา ตรัสสอน ทําใหไมไดรบั ผลทีจ่ ะนําไปสูค วามดับทุกข ทัง้ นี้ เพราะเวลาทีท่ รงใหอรรถาธิบายถึงศีล 5 ไดใหความหมาย ไววา คือการเวนจากการฆาสัตว ลักทรัพย ประพฤติผดิ ในกาม พูดคําเท็จ และเสพสุราเมรัยของมึนเมาอันเปนทีต่ งั้ ทําใหเกิดความประมาท หรือ แมแตสัมมาวาจา และสัมมากัมมันตะ เปนตนในองคมรรค ก็ไดให อรรถาธิบายโดยใชคําชุดเดียวกับทีบ่ ัญญัตใิ นศีล 5 นั่นเอง กลาวคือ สัมมาวาจา ใหเวนจากการพูดคําเท็จ คําหยาบ คําสอเสียด คําเพอเจอ และสัมมากัมมันตะ ใหเวนจากการฆาสัตว ลักทรัพย และประพฤติผิด ในกาม ซึ่งบุคคลทัว่ ไปเมื่อไดยินไดฟง แลว มักจะเขาใจวาวิธีปฏิบัตใิ น เรื่องนี้ คือตั้งใจระมัดระวังไมใหกายและวาจาลวงละเมิดในสิ่งที่ตรัส หามเพียงแคนนั้ ซึง่ ไดอธิบายไปแลววาการปฏิบตั ศิ ลี แบบนีเ้ ปนการปฏิบตั ิ ในแบบของวินยั จะใหผลลัพธในแงทําใหเกิดความเปนระเบียบเรียบรอย ในสังคมเทานั้น แตจะไมทําใหเกิดผลเปนศีลในองคมรรคทีจ่ ะนําไปสู ความดับทุกข การปฏิบัติศีลที่เปนธรรม ที่จะนําไปสูผ ลคือความดับทุกขได 22
อยางแทจริงนั้น ตองรูจ ักปฏิบัติใหถูกตองในแบบของธรรม กลาวคือ จะตองแสวงหาสัมมาทิฏฐิหรือความรูค วามเขาใจที่ถูกตอง โดยเฉพาะ เรือ่ งคุณคาความหมายทีแ่ ทจริงของสิง่ นัน้ ๆ ที่มตี อชีวติ ใหไดเสียกอน แลวจึงกระทําไปตามความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตองนัน้ จึงจะทําใหเกิดศีลที่ เปนธรรมขึ้น ซึ่งเปนศีลที่เปนองคประกอบในองคมรรค ที่จะสงผลให เกิดการดับทุกขได สวนขอหามทีร่ ะบุในสัมมาวาจา และสัมมากัมมันตะนั้น โดยนัยจริง ๆ แลว ไมใชเปนสิง่ ทีจ่ ะใหปฏิบัตติ ามโดยตรง แตจะใชเปน เครือ่ งมือตรวจสอบความถูกตองของการกระทําทีเ่ ปนไปตามสัมมาทิฏฐิ ตางหาก ซึ่งหากเปนการกระทําทีถ่ ูกตอง ที่จะสงผลใหเกิดเปนศีลใน องคมรรคจริง จะตองไมมีผลใด ๆ ออกมาตามทีร่ ะบุหามไวในสัมมาวาจาและสัมมากัมมันตะนัน้ เลย กลาวโดยสรุป ศีลทีเ่ ปนธรรม และการปฏิบตั ิใหถกู ตอง ในแบบของธรรม จึงทําใหเกิดศีลในองคมรรค ทีเ่ ปน องคประกอบนําไปสูค วามดับทุกขไดจริง กลาวโดยสรุป ศีล มี 2 ประเภท คือ ศีลทีเ่ ปนวินยั และศีลที่ เปนธรรม เฉพาะศีลทีเ่ ปนธรรมเทานั้น (คือศีลตามนัยของสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ) จึงเปนศีลในองคมรรค ที่เปนองค ประกอบนําไปสูค วามดับทุกข นอกจากนัน้ ยังจะตองรูจักปฏิบัติตอ ศีลที่เปนธรรมใหถูกตอง ดวย กลาวคือปฏิบัติในแบบของธรรม โดยจะตองมีสัมมาทิฏฐิหรือ ความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตอง โดยเฉพาะคุณคาความหมายของสิง่ ตาง ๆ ทีม่ ตี อ ชีวติ เปนพืน้ ฐาน จึงทําใหไมมคี วามคิดอานทีผ่ ดิ ๆ เกิดขึน้ จึงทําให 23
ไมมีการกระทําทีผ่ ดิ ๆ ปรากฏออกมาทางกายและวาจา จึงไมตองมีแม การมาคอยระวังหรือยับยัง้ ไมใหเกิดการกระทําผิดทีล่ ว งหรือละเมิดออก มาทางกายและวาจา ศีลที่เปนธรรมเชนทีว่ านีแ้ หละ คือศีลในองคมรรค ทีเ่ ปนองคประกอบทีจ่ ะนําไปสูค วามดับทุกขดบั กิเลสไดแทจริง สัมมาทิฏฐิเปนพืน้ ฐานของการปฏิบตั ศิ ลี ทีเ่ ปนธรรม เมือ่ ไดรจู ักศีลที่เปนธรรมแลว ตอจากนีไ้ ปจะไดอธิบายถึงการ ปฏิบัตศิ ลี ในแงนตี้ อ ไป ดังทีไ่ ดกลาวแลว ศีลทีเ่ ปนธรรม มีสมั มาทิฏฐิหรือความรูค วาม เขาใจทีถ่ กู ตองตอสิง่ ตาง ๆ เปนพืน้ ฐาน บุคคลจึงจะมีการกระทําทางกาย และวาจาที่ถูกตอง เปนสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ ที่เปนองคมรรค ดังนั้นการจะปฏิบตั ิศลี ทีเ่ ปนธรรมไดถูกตอง จึงจําเปน ตองแสวงหาสัมมาทิฏฐิในเรือ่ งตาง ๆ ทีช่ ีวติ จะตองเขาไปเกีย่ วของกอน แลวปฏิบตั ไิ ปตามสัมมาทิฏฐินนั้ ศีลทีเ่ ปนธรรมก็จะปรากฏขึน้ สัมมาทิฏฐิ ในเรือ่ งชีวิต หลักการทั่วไป การจะทําหนาที่หรือเกี่ยวของกับอะไรก็ตาม เพื่อใหบรรลุผลดีและไมกอใหเกิดโทษหรือปญหาตาง ๆ ติดตามมา ประการแรกทีส่ ุด จะตองทําความรูค วามเขาใจถึงธรรมชาติตลอดจน เรื่องราวของสิ่งนั้น ๆ ใหถูกตองและเพียงพอเสียกอน โดยเฉพาะกฎ ธรรมชาติทคี่ วบคุมความเปนไปของสิง่ นัน้ ๆ ดังนัน้ เมือ่ บุคคลมีชีวติ ขึน้ มา ประการแรกสุดทีจ่ ะตองกระทํา กอน คือ การทําความรูค วามเขาใจเกีย่ วกับธรรมชาติของชีวติ โดยเฉพาะ 24
ในประเด็นทีว่ า ชีวติ คืออะไร ตองการอะไร เพือ่ อะไร และเกิดมา ทําไม เพราะหากยังไมรูถูกตองในประเด็นเหลานี้อยางเพียงพอแลว ก็ยอ มไมสามารถทําหนาทีห่ รือปฏิบัตติ อตัวชีวติ ตลอดจนตอสิ่งตาง ๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ใหถกู ตองได กลาวโดยสรุปตามหลักพระพุทธศาสนา ชีวติ คือ กายและจิต ดังนัน้ จึงควรมาทําความเขาใจเปนเบือ้ งตนกอนวา กายคืออะไร ตองการอะไร เพือ่ อะไร และ จิตคืออะไร ตองการอะไร เพือ่ อะไร คําตอบในประเด็นขางตนนี้ ขอเสนอวา ไมสามารถหาไดดว ย การใชความคิด หรือใชกรอบของทฤษฎีตา ง ๆ มาอธิบาย แตคําตอบ นัน้ มีอยูแ ลวพรอมมูลในตัวธรรมชาติเอง กลาวคือ ตัวธรรมชาติทงั้ กาย และจิตนัน้ เอง กําลังปาวประกาศคําตอบนัน้ อยูท กุ ขณะ เพียงแตมนุษย เราอาจจะไมไดสงั เกตเพียงพอ หรือมัวแตไปสังเกตทีอ่ นื่ จึงไมพบคําตอบ ทีม่ าจากตัวธรรมชาติแท ๆ มาลองสังเกตและเฝาดูชวี ิตในสวนกายและชีวติ ในสวนจิต เริม่ จากชีวติ ในสวนกายกอน เมือ่ สังเกตและเฝาดูจะพบวา ธรรมชาติของกาย มีสว นทีแ่ ข็ง สวนทีเ่ หลว สวนทีเ่ คลือ่ นไหวลอยไปมาได และสวนทีร่ อน-เย็น ซึ่งใน ภาษาธรรมะเรียกวา ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุลม และธาตุไฟ ธรรมชาติ ของชีวติ ฝายกาย คือ การประกอบกันเขาของธาตุทั้ง 4 นีเ้ อง ชีวติ ฝายกายมีความตองการไหม ? เรายอมสามารถสังเกตไดดวยตนเองวา ชีวติ ฝายกายมีความ ตองการตามธรรมชาติแนนอน กลาวโดยสรุป คือ ตองการธาตุดนิ ธาตุนา้ํ ธาตุลม และธาตุไฟ จากธรรมชาติภายนอก ซึง่ อยูใ นรูปของปจจัย 4 25
(อาหาร, เครือ่ งนุง หม, ที่อยูอ าศัย และยารักษาโรค) เพือ่ อะไร ? เพือ่ หลอเลีย้ งและค้ําจุนชีวติ ฝายกาย ใหสามารถดํารงอยูแ ละ ทําหนาที่ไดเปนปกติ เพราะหากชีวิตฝายกายไมไดรับปจจัย 4 จาก ธรรมชาติภายนอกแลว ก็ไมสามารถดํารงอยูไ ด หรือดํารงอยูไ ดก็อยาง ยากลําบาก เมื่อเขาใจชีวิตฝายกายวา คืออะไร ตองการอะไร เพื่ออะไร ที่เปนจริงตามธรรมชาติแลว ประเด็นสําคัญก็มาอยูทตี่ ัวความตองการ นี้เอง และเนื่องจากชีวิตฝายกายมีความตองการดังกลาวที่เปนความ ตองการแท ๆ ของธรรมชาติ จึงบังคับใหเกิดสิง่ ทีเ่ รียกวา “หนาที”่ ขึน้ กลาวคือ มีหนาที่ทจี่ ะตองรูจ ัก แสวงหา บริโภค ใชสอย และเกีย่ วของ กับปจจัย 4 ใหถูกตอง คําวาถูกตองในที่นกี้ ็คือ ใหผลกับชีวิตฝายกาย ทําใหสามารถดํารงอยูแ ละทําหนาทีไ่ ดเปนปกติ ดังนัน้ คุณคาของชีวติ ฝายกายก็อยูที่ตรงนี้เอง คือ การมีกายที่สมบูรณแข็งแรงและ สามารถทําหนาทีไ่ ดเปนปกติ ในสวนของชีวติ ฝายจิตบาง เมื่ อสังเกตและเฝา ดูจะพบว า ในตัว ชีวิตยังมี ธรรมชาติ อีก ประเภทหนึง่ เปนธรรมชาติรู ทีส่ ามารถรูส งิ่ ตาง ๆ ได ธรรมชาติรนู ี้ ก็คือ จิต นัน่ เอง จิตหรือธรรมชาติรูนี้ มีความตองการแท ๆ ตามธรรมชาติ เชนเดียวกันกับชีวติ ฝายกายทีก่ ลาวไปแลวขางตนไหม? คําตอบในทีน่ กี้ ค็ อื มี ; แตจะคืออะไรนัน้ อาจสังเกตไดยากกวา ชีวิตในฝายกาย ในที่นี้จะขอกลาวโดยสรุปเลยวา เนื่องจากจิตเปน ธรรมชาติรู ดังนัน้ สิง่ ทีจ่ ติ ตองการก็คอื ความรูท ถี่ ูกตอง 26
เพือ่ อะไร ? เพื่อหยุดความสงสัย หยุดความดิ้นรนกระวนกระวาย หรือ หยุดปญหาที่เกิดขึ้นจากความไมรูของตัวจิตเอง เพราะตราบใดที่จิต ยังไมรถู กู ตองหรือไมรแู จงในเรือ่ งใด เรือ่ งนัน้ ก็ยงั มีอนั พันพัวจิตใหดนิ้ รน ดวยความงุนงงสงสัย ไมสามารถสงบ นิง่ เปนปกติได ตัวอยางในชีวติ จริงทีท่ ุกคนคงเคยประสบมาแลว คือ ในยาม ทีม่ ีปญ หาทําใหเกิดความกังวลหรือหนักใจ ตราบใดทีจ่ ิตยังมองไมเห็น ทางออกหรือไมรคู ําตอบในการแกปญหานัน้ จิตก็จะยังทุกขและกังวล อยูตราบนั้ น แตในขณะใดที่ เห็ นทางออกและรู คําตอบในการแกไข ปญหาแลว จิตจะเกิดภาวะโลงใจ อยางที่มคี ํากลาววา เหมือนยกภูเขา ออกจากอก นี่ยอมเปนเครื่องแสดงวา สิ่งที่จิตตองการจริง ๆ คือ ความรูท ถี่ กู ตอง นัน่ เอง หรือหากจะพิจารณาจากพระพุทธประวัติ ซึ่งมีเรื่องเลาไววา พระพุทธเจาทรงบําเพ็ญบารมีนานถึง 4 อสงไขยกับแสนกัปป หลังจากที่ ไดรับพุทธพยากรณจากพระพุทธเจาทีปงกร ที่ทรงบําเพ็ญมาทั้งหมด ตองการอะไร ? คําตอบ คือ ตองการโพธิญาณหรือการตรัสรู รูแ จง เห็นจริงในสรรพสิง่ นีย่ อ มเปนสิง่ ยืนยันใหเห็นชัดเจนวา สิง่ ทีจ่ ติ ตองการ ตามธรรมชาติแท ๆ คือความรูแ จง หรือความรูท ถี่ กู ตอง ความตองการของชีวิตในฝายจิตนี้ เชนเดียวกับที่กลาวไวใน ฝายกาย คือ ทําใหเกิด “หนาที”่ ขึน้ กลาวคือ มีหนาทีต่ อ งศึกษาและแสวง หาความรูท ถี่ กู ตองใหกบั จิต ซึง่ หากนําหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเปน เกณฑ ก็คอื การศึกษาและแสวงหาความรูอ ยางทีไ่ ดทรงแสดงไววา เปนใบไม ในกํามือ คือเรือ่ งของความทุกขและความสิน้ ไปแหงทุกขในชีวติ ไมจาํ เปน 27
ตองไปศึกษาและแสวงหาความรูอยางที่ทรงแสดงวาเปนใบไมทั้งปา ดังนัน้ คุณคาของชีวติ ฝายจิต ก็คอื การทีจ่ ติ มีความรูถ กู ตอง จน ความทุกขในจิตหมดสิน้ ไป หรือเกิดขึน้ รบกวนจิตไมไดอกี ตอไป เมือ่ รูเ ขาใจธรรมชาติของ “ชีวติ ” ถูกตอง ตามทีไ่ ดกลาว ไปแลว จะทําให :...รูว า การมีชวี ต ิ นัน้ ธรรมชาติไดกาํ หนดสิง่ ทีเ่ รียกวา “หนาที”่ มาใหพรอมแลวกับตัวชีวติ ซึง่ อันทีจริ ่ งก็คอื เรือ่ งเดียวกันกับ “ความตองการ” ของชีวิ ตในแตละฝายนั่นเอง กลาวคือ “ความตองการ” ที่วานี้เปน ความตองการแท ๆ ของธรรมชาติ ที่บงั คับบุคคลใหมี “หนาที”่ ที่ตอง กระทําเพื่อตอบสนอง ไมทําไมได หากไมทํา ชีวิตก็จะประสบปญหา และความยากลําบาก ทําใหไมสามารถดํารงอยูไ ดในทีส่ ดุ เมื่อรูถึง “ความตองการ” ที่แทจริงของธรรมชาติ จะทําให :...รูถ ึง “ความตองการ” ของบุคคลที่คิดนึกไปเองดวยความ หลงหรือความเขาใจผิด อยางที่เรียกวา “ตัณหา” เรื่องนี้สําคัญมาก หลักธรรมในพระพุทธศาสนาแสดงไววา “ตัณหา” หรือ “ความทะยานอยาก” นีค้ อื “เหตุแหงทุกข” หมายความวาปญหาหรือความทุกขทมี่ นุษยประสบ ลวนมีสาเหตุสําคัญมาจาก “ตัณหา” หรือ “ความตองการ” ที่บุคคล เขาใจผิดไปเอง คือไปตองการในสิง่ ทีช่ ีวติ จริง ๆ ไมไดมคี วามตองการ จึงทําใหบุคคลรูจักกระทําและแสวงหาสิ่งตาง ๆ ตรงตอที่ธรรมชาติ ตองการจริง ๆ ไมไปหลงกระทําหรือมัวแสวงหาในสิง่ ทีธ่ รรมชาติแท ๆ ไมไดมคี วามตองการ เมือ่ ชีวติ ไดรบั สิง่ ทีธ่ รรมชาติของชีวติ ตองการจริง ๆ จึงทําใหชีวิตอิ่ม เต็ม สมบูรณ และบรรลุอุดมคติของชีวิต กลาวคือ มีสขุ ภาวะเต็มเปย มทัง้ ทางกายและทางใจอยางแทจริง 28
...การรูถ ึงความตองการทีแ่ ทจริงของธรรมชาติ ยังทําใหรถู ึง คุณคาและความหมายของสิง่ ตาง ๆ ที่มีตอชีวิตอยางถูกตองดวย เชน อาหารเปนสิ่งหลอเลีย้ งและค้ําจุนใหกายดํารงอยูไ ด ไมใชเปนสิง่ ตอบ สนองเพือ่ ความเอร็ดอรอย หรือความโกเก ซึ่งเปนคุณคาความหมายที่ ไมถกู ตอง ดังนัน้ ไมวา อาหารนัน้ จะมีรสชาติเปนอยางไร จะจัดวางอยางไร หรืออยูใ นบรรยากาศแบบใด ขอใหอาหารนัน้ เพียงแตไมเปนโทษหรือมี พิษตอกายแลว จะเห็นวามีคณ ุ คาความหมายเหมือนกันหมด จึงไมเกิด ความรูส กึ ฟูหรือแฟบไปกับอาหาร และจึงทําใหสามารถเขาไปทําหนาที่ และเกีย่ วของกับเรือ่ งของอาหารไดถูกตอง ไมกอใหเกิดปญหาใด ๆ ที่ เนือ่ งดวยกับเรือ่ งของอาหาร สําหรับเรือ่ งอืน่ ๆ ก็เปนเชนเดียวกัน นอกจากนัน้ ยังทําให :...รูและเขาใจเปาหมายของชีวต ิ อยางถูกตอง รูคําตอบของ ชีวติ ทีว่ า “เกิดมาทําไม” ซึง่ กลาวโดยสรุป ก็คือ “การมีสขุ ภาพทางกาย ที่สมบูรณ เพื่อใหเปนฐานรองรับการแสวงหาความรูที่ถูกตองของจิต จนกวาจิตจะรูถ ูกตองอยางสมบูรณ ทําใหจิตมีภาวะปลอดโปรงจาก ความทุกขหรือความบีบคัน้ จากสิง่ ทัง้ ปวง" สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งชีวติ นี้ เปนพืน้ ฐานสําคัญทีท่ ําใหรแู ละเขาใจ สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งอืน่ ๆ ตอไปไดงาย หากยังไมเขาใจสัมมาทิฏฐิในเรือ่ ง ชีวติ ใหถูกตองและเพียงพอแลว ก็ยากทีจ่ ะเขาใจสัมมาทิฏฐิในแงอื่น ๆ ทีจ่ ะกลาวตอไปใหถกู ตองได
29
สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งปจจัย 4 คือเรือ่ ง อาหาร เครือ่ งนุง หม ที่อยูอ าศัย และยารักษาโรค ซึง่ เปนสิง่ จําเปนพืน้ ฐานสําหรับการดํารงชีวติ สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งปจจัย 4 นี้ กลาวโดยสรุป คือความเห็นว า เป นธาตุ 4 จากภายนอกที่ นํา มา หลอเลี้ยงค้ําจุนธาตุ 4 ของชีวิตฝายกาย โดยใหผลสูงสุด คือทําให ดํารงอยูไ ดเปนปกติ ใหมีสขุ ภาพแข็งแรง ไมใหเจ็บปวย หรือเกิดความ พิกลพิการ ไมเห็นผิดหรือใหคุณคาความหมายผิด ๆ เกินเลยไปจาก ความจริงทีเ่ ปนอยู สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งสิง่ อํานวยความสะดวกสบาย เชน รถยนต อุปกรณเครือ่ งใชตาง ๆ มีสาระโดยสรุปไดวา เปน สิ่งที่ทําใหบุคคลไดรับความสะดวกสบายหรือรวดเร็วมากขึ้น ทําให เหน็ดเหนื่อยนอยลง ไมเห็นผิดวาเปนเครื่องวัดความสําเร็จ หรือวัด สถานภาพสูง - ต่ําของบุคคล เปนตน สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งการเรียน มีสาระโดยสรุปคือ เพือ่ สรางเสริมความรูค วามสามารถทีจ่ ะไป ประกอบวิชาชีพ และสิง่ ทีเ่ ปนผลลัพธสงู สุดของการเรียนจริง ๆ คือการ เสริมสร างสติ สมาธิ และป ญญาของบุ คคลให แก กล าและมี มาก เพียงพอ ซึง่ ทัง้ 3 สิง่ นีเ้ ปนเครือ่ งมือสําคัญที่นาํ ไปใชในทุกสถานการณ ของชีวิ ต เพื่ อให ชีวิตดําเนินไปดว ยดี และบรรลุเ ปาหมายที่ แทจริง ไมเห็นผิดไปวาเรียนเพือ่ จะไดเปนเจาคนนายคน เปนตน 30
สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งการมีครอบครัว ในกรณีของบุคคลทัว่ ไป มีความเขาใจวา เพือ่ ความสุข ความ อบอุน และความมัน่ คงของชีวติ แตในกรณีของบุคคลผูม เี ปาหมายชีวติ เพือ่ ความดับทุกขดบั กิเลส และยังประสงคจะมีครอบครัว ก็สามารถมี ครอบครัวได เพราะแมแตพระอริยบุคคลในระดับตน คือพระโสดาบัน และพระสกทาคามี ก็ไมมีขอ หามหรือขอจํากัดในเรื่องการมีครอบครัว แตประการใด แตบุคคลต องปรับความรู ความเขาใจถึ งคุณค าและ ความหมายของการมีครอบครัวใหม ดวยการยอมรับวาตนยังมีจิตใจ และปญญาไมเขมแข็งพอ ยังไมสามารถเอาชนะหรืออยูเ หนือสังโยชน เบื้องกลาง คือ กามราคะและปฏิฆะได ดังนั้น สาระสําคัญของการมี ครอบครัวในแบบหลังนี้ จึงไมไดมเี ปาหมายอยูท คี่ วามสุขและความมัน่ คง ของชีวติ เปนตน อยางในบุคคลทัว่ ไป แตกลับมี เปาหมายอยูท กี่ ารศึกษา และเรียนรูเ พือ่ ใหเกิดความรูแ จงในเรือ่ งกามราคะและปฏิฆะเปนสําคัญ จนเกิดปญญาและสามารถเอาชนะสังโยชนทงั้ 2 นี้ไดในทีส่ ุด สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งการทํางาน คุณคาความหมายในขัน้ พืน้ ฐานของการทํางานทีแ่ ทจริง เปน วิธแี สวงหาใหไดมาซึง่ ปจจัย 4 อันเปนปจจัยพืน้ ฐานสําหรับการดํารงชีวติ หากเปนคุณคาความหมายในขัน้ สูง “การทํางานคือการปฏิบตั ธิ รรม” กลาวคือ อาศัยการทํางานนี้เองเปนแบบฝกหัดเบือ้ งตนในการปฏิบัติ ธรรม หากบุคคลสามารถปฏิบัตงิ านไดเรียบรอยและใหลุลว งไปดวยดี ก็เปนเครือ่ งแสดงใหเห็นวาเปนผูม ีสติ สมาธิ ปญญา ในระดับเบือ้ งตน เพียงพอทีจ่ ะปฏิบตั ธิ รรมในระดับสูงใหมคี วามกาวหนาไดตอ ไป 31
สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งตําแหนง ใหรเู ขาใจวา ตําแหนงเปนเพียงสิง่ ทีบ่ อกใหรวู า ใครมีหนาทีอ่ ะไร ตองทําอะไรในระบบงานเทานัน้ ซึง่ อันทีจ่ ริงทุกตําแหนงมีความสําคัญ ดวยกันทัง้ นัน้ เปนเสมือนฟนเฟองนอยใหญทชี่ ว ยกันทําใหงานทัง้ ระบบ ดําเนินไปได ไมเขาใจผิดตอเรือ่ ง “ตําแหนง” โดยไปเห็นวาเปนสิง่ หรือ เครือ่ งวัดทีบ่ อกใหรวู า ใครใหญกวาใคร หรือใครประสบความสําเร็จมากกวา ใคร ทั้ง ๆ ที่โดยความเปนจริงแลว จะขาดตําแหนงใด ๆ ไปไมไดเลย สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งเกียรติ ใหรแู ละเขาใจวา ไมไดมไี วเพือ่ ใหนําไปยกหูชูหาง หรือสําคัญ ผิดวาตนอยูส ูงกวาบุคคลอืน่ แตอยางใด แตเปนสิง่ ทีส่ ังคมแสดงความ ยกยองบุคคลใหเปนที่ปรากฏ เพื่อใหเปนตัวอยางแกบุคคลทัว่ ไป ที่จะ เอาแบบอยางและทําตาม สัมมาทิฏฐิทนี่ ํามาแสดงไวขา งตน เปนสัมมาทิฏฐิเกีย่ วกับเรือ่ ง ใหญ ๆ ในชีวิตของบุคคลที่จะตองพบเจอเปนประจํา เปนตัวอยางให เห็นถึงการทําหนาทีข่ องสัมมาทิฏฐิ ที่เปนเครือ่ งนําทางใหบคุ คลเขาไป ทําหนาทีแ่ ละเกีย่ วของกับสิง่ ตาง ๆ ดวยความถูกตอง โดยไมกอใหเกิด ความทุกขและความเดือดรอนทัง้ ตอตนเองและผูอ นื่ ในกรณีทเี่ ปนเรือ่ ง อืน่ ๆ นอกจากทีก่ ลาวไปแลวนีก้ ็เชนเดียวกัน กอนทีจ่ ะเขาไปทําหนาที่ และเกี่ยวของ ใหแสวงหาสัมมาทิฏฐิในเรือ่ งนัน้ ๆ ใหถกู ตองเสียกอน จากนัน้ จึงคอยกระทําไปตามสัมมาทิฏฐิ ก็จะทําใหชีวติ ดําเนินอยูบน เสนทางที่ไมทุกข ปลอดพนจากความบีบคัน้ และรอยรัดเสียดแทงจิต อยางแทจริงได 32
เคล็ดวิธีปฏิบัตติ อ สัมมาทิฏฐิทมี่ ากมาย ในเรือ่ งการปฏิบตั ศิ ลี ทีเ่ ปนธรรม ดังทีไ่ ดอธิบายไปแลวนี้ อาจมี ทานผูอ า นบางทานมีความเห็นวา นาจะเปนเรือ่ งทีค่ อ นขางยุง ยาก เพราะ จะตองไปแสวงหาสัมมาทิฏฐิ หรือทําความรูค วามเขาใจทีถ่ กู ตองตอเรือ่ ง ตาง ๆ ทีเ่ ขาไปเกีย่ วของดวย ซึง่ มีมากมายอยางทีเ่ รียกวาครอบจักรวาล และอาจเห็นวาทําไดยาก ในประเด็นนี้ ขอชีแ้ จงวาโดยหลักการแลว การจะเขาไปเกีย่ วของ กับสิง่ ใดหรือเรื่องใดอยางไร ขึ้นอยูกบั ความรูความเขาใจของบุคคลที่ มีตอ สิง่ นัน้ หรือเรือ่ งนัน้ เปนสําคัญ โดยเฉพาะการใหคณ ุ คาความหมาย ของสิ่งนั้น ๆ ที่มีตอชีวิต ดังนั้นการแสดงออกทางกายและวาจาตอ สิง่ ตาง ๆ ทีอ่ ยูภ ายนอกใหถกู ตอง ทีจ่ ะทําใหเกิดศีลทีเ่ ปนธรรม จึงจําเปน จะตองแสวงหาสัมมาทิฏฐิหรือทําความเขาใจที่ถูกตองตอสิ่งนั้นหรือ เรื่องนั้น ใหเพียงพอเสียกอน จึงจะทําใหสามารถเกี่ยวของไดถูกตอง และไดรับประโยชนอยางเต็มที่ โดยไมกอใหเกิดโทษ หรือผลเสียใด ๆ ติดตามมา เปรี ยบเสมือนการจะไขกุ ญแจเขาไปในห องใดหองหนึ่ง ก็จะตองรูจักเลือกใชลูกกุญแจที่ถูกตองและตรงกัน จึงจะไขและเปด เขาไปได แตนายชางกุญแจผูฉ ลาด สามารถทํากุญแจทีเ่ รียกวา Master Key เพียงดอกเดียว และสามารถไขเปดเขาไปในทุกหองได ในกรณีนี้ เปรียบการทําความเขาใจเรือ่ ง สัมมาทิฏฐิในเรือ่ งชีวิต (หนา 24 - 29 ) เปนเสมือนสัมมาทิฏฐิทเี่ ปน Master Key ซึง่ หากเขาใจในประเด็นนีด้ ี แลว สัมมาทิฏฐิในประเด็นอืน่ ๆ ก็จะพลอยเขาใจไดโดยปริยายไปดวย ทําใหการปฏิบตั ศิ ลี ทีเ่ ปนธรรมงายขึน้ สะดวกขึน้ 33
สรุปการปฏิบตั ิศลี ใหครบถวน จะตองมีทงั้ ศีลทีเ่ ปนธรรม และศีลทีเ่ ปนวินยั การปฏิบัติศลี ดังทีไ่ ดแสดงมา เพื่อใหครบถวนและไดผลของ การปฏิบัตศิ ีลอยางสมบูรณ จําเปนจะตองมีการปฏิบัตศิ ีลทัง้ 2 แบบ คือศีลทีเ่ ปนธรรม และศีลที่เปนวินัย โดยจะขาดอยางหนึง่ อยางใดไปไมได ในกรณีปกติ การปฏิบตั จิ ะเนนไปทีศ่ ลี ทีเ่ ปนธรรมเปนสําคัญ คือ การแสวงหาสัมมาทิฏฐิ หรือระลึกถึงสัมมาทิฏฐิในเรือ่ งทีเ่ กีย่ วของ แลว กระทําทางกายและวาจาไปตามแนวของสัมมทิฏฐินนั้ ก็จะทําใหการเกีย่ วของเปนไปโดยเรียบรอย ไมกอ ใหเกิดปญหาหรือความเดือดรอนใด ๆ ขึน้ สวนศีลทีเ่ ปนวินยั จะปฏิบตั ิในกรณีทจี่ ิตไมไดตงั้ อยูใ นสัมมาทิฏฐิ หรือในขณะทีจ่ ิตมีมจิ ฉาทิฏฐิหรืออกุศลครอบงํา และกําลังสงผล ออกมาเปนการกระทําทางกายหรือวาจาที่จะกาวลวงหรือละเมิดตอ ขอหามตาง ๆ ในกรณีนใี้ หตงั้ ใจระมัดระวังทีก่ ายและวาจาใหดี อยาให มีการกระทําที่กาวลวง หรือละเมิดตอขอหามตาง ๆ ที่บญ ั ญัติไว แลว แสดงออกมาทางกายและวาจา การทําเชนนี้ จะทําใหปญหาตาง ๆ ถูกจํากัดขอบเขตอยูแ ตภายในใจ ไมลกุ ลามออกมาสูภ ายนอก เพราะ หากศีลที่เปนวินัยไมสามารถควบคุมใหจํากัดอยูภายในใจ แลวลวง ออกมาเปนการกระทําทางกายและวาจา จะทําใหเรือ่ งราวบานปลาย ออกไป และยากที่จะจัดการใหเรียบรอยไดโดยงาย เรียกภาวะที่ลว ง ละเมิดแลวแสดงออกมาทางกายและวาจาที่ ทุศีลนี้ วา “อบายภูมิ” ปญหาความเดือดรอนและความเสือ่ มตาง ๆ ก็จะเกิดรุมเราเขามา
34
การปฏิบัติ “สมาธิ” บุคคลเมือ่ ปฏิบตั ิศลี คือการใชกายและวาจาในการทําหนาที่ เกี่ยวของหรือกระทําตอสิ่งภายนอกไดถูกตองแลว หมายความวาจะ ไมมกี ารกระทําใด ๆ จากกายและวาจาที่จะนําผลเปนความเดือดรอน มาสูชีวิตอีกตอไป ทําใหการดํารงชีวิตเปนไปดวยความราบรื่น หาก เปรียบเทียบก็เหมือนกับการขับรถอยูบ นถนนซุปเปอรไฮเวย ซึง่ ราบเรียบ กวางขวาง ไมมหี ลุมบอทีร่ บกวน หรือกอใหเกิดอันตรายในการขับแต ประการใด ทําให สามารถขับรถไดอยางสะดวกสบายและปลอดภั ย ชีวติ ทีไ่ มมีความเดือดรอน ไมถกู รบกวนจากผลของการกระทําดวยกาย และวาจาตอสิง่ ภายนอกอยางผิด ๆ หรือชีวติ ทีป่ ฏิบตั ถิ กู ตองในศีล จึงเปน ปจจัยอยางดีทจี่ ะเกือ้ กูลแกการปฏิบตั ิในขัน้ ตอไป คือสมาธิ ใหเปนไป ดวยความราบรืน่ มีความกาวหนา และบรรลุผลสําเร็จดวยดี ทําไมจึงตองปฏิบัตสิ มาธิ การปฏิบตั สิ มาธิ เปนการปฏิบตั ทิ ตี่ วั จิตโดยตรง เปนการ ปฏิ บัติเพื่ อตระเตรียมหรือฝกฝนจิตใหมี คุณภาพที่เหมาะสม ดังทีก่ ลาวไปแลว กลาวคือ มีพลัง มีความรอบคอบ ไมประมาท มีความมั่นคง ทําใหจิตมีสภาวะดีงาม มีประสิทธิภาพ และมีสขุ ภาวะ พรอมทีจ่ ะนําไปใชทําหนาทีต่ า ง ๆ ไดเปนอยางดี จิตที่ยงั ไมไดรบั การฝกฝนและอบรม เปรียบไดกับมาปาที่ยัง ไมไดรับการฝก ยอมจะยังไมสามารถใชขี่หรือทํางานตาง ๆ ใหเกิด ประโยชนไดเทาไร และยังอาจพยศทําใหผูขบั ขีเ่ กิดอันตรายได ตอเมือ่ ไดรบั การฝกจนเชื่องและเรียนรูที่จะรับและทําตามคําสัง่ ของผูฝ กแลว 35
จึงจะสามารถขับขี่และใชงานตาง ๆ ไดเปนอยางดี จิตก็เชนเดียวกัน โดยธรรมชาติ เป นสิ่ งที่ มีศักยภาพสูง สามารถกระทําสิ่ งต าง ๆ ได หลากหลายและมากมาย แตเนือ่ งจากยังไมไดรับการฝกฝนและอบรม อยางเพียงพอ จึงไมสามารถใชประโยชนจากจิตไดอยางเต็มที่ และยัง อาจถูกจิตของตนทํารายตัวเอง จนเกิดความทุกขแสนสาหัส สิ่งที่ เปนเครื่องกั้ นหรื อบั่ นทอนจิต ทําใหจิ ตไม มีคุ ณภาพที่ เหมาะสม หลักธรรมในพระพุทธศาสนาแสดงไววา คือนิวรณ 5 ซึ่ง จําแนกไดดงั นี้ 1. กามฉันท (ความพอใจใฝกาม) 2. พยาบาท (ความแคนเคืองคิดรายเขา) 3. ถีนมิทธะ (ความหดหูแ ละซึมเซา) 4. อุทธัจจะกุกกุจจะ (ความฟุ งซานและรําคาญใจ คําวา “รําคาญใจ” มีความหมายวา หงุดหงิด กระสับกระสาย เปนตน) 5. วิจกิ ิจฉา (ความลังเลสงสัย) เพื่อที่จะใหเกิดความเขาใจเรื่องนิวรณ 5 ไดชดั เจนยิ่งขึ้น ขอ หยิบยกขอความจากพระไตรปฎก เลมที่ 19 ขอที่ 601 - 613 ทีไ่ ดแสดง นิวรณ 5 โดยเปรียบเทียบกับสิง่ เจือปนหรือสิง่ รบกวนน้าํ ทีบ่ รรจุในภาชนะ ซึง่ ทําใหบคุ คลมองเห็นสิง่ ตาง ๆ ที่อยูในน้ําผิดพลาดคลาดเคลือ่ นจาก ความเปนจริง ดังนี้ 1. กามฉันท เปรียบไดกบั สีตาง ๆ ที่เจือกับน้ํา 2. พยาบาท เปรียบไดกบั น้ําทีก่ ําลังเดือด 3. ถีนมิทธะ เปรียบไดกบั สาหรายหรือจอกแหนทีเ่ จือกับน้ํา 4. อุทธัจจะกุกกุจจะ เปรียบไดกบั น้ําทีถ่ กู ลมพัดใหพริว้ ไหว 5. วิจกิ จิ ฉา เปรียบไดกบั เปอกตมทีเ่ จือกับน้ํา 36
หากน้ําในภาชนะ มีสงิ่ เจือปนหรือมีสงิ่ รบกวนอยางทีก่ ลาวมา ยอมทําใหไมสามารถเห็นสิง่ ตาง ๆ ทีอ่ ยูใ นน้าํ ตามทีเ่ ปนจริงได การปฏิบตั ิ ุ ภาพทีเ่ หมาะสม สามารถ สมาธิจะทําใหนวิ รณ 5 สงบลง ทําใหจติ มีคณ รูเ ห็นสิง่ ตาง ๆ ไดตามความเปนจริง นอกจากนั้นยังเปนจิตที่เหมาะสม ทีจ่ ะนําไปใชในการกระทํากิจหรือการงานทุกอยาง เพือ่ ใหบงั เกิดผลดี ดังนัน้ วัตถุประสงคหลักของการปฏิบัตสิ มาธิ ก็คอื การทําให นิวรณ 5 สงบลง เมือ่ จิตไมมีนวิ รณ 5 รบกวน จิตจะอยูใ นสภาพผองใส (ปริสทุ โฺ ธ) ตัง้ มัน่ (สมาหิโต) และคลองแคลวควรแกการงาน (กมฺมนีโย) เปนจิตที่ตั้งมั่น แนวแน ประกอบอยูด วยความสุข เปนจิตที่พรอมจะนํา ไปใชในการกระทํากิจทัง้ ปวงเปนอยางดี อานิสงสในดานตาง ๆ ของการปฏิบตั ิสมาธิ การปฏิบตั ิสมาธิ อันทีจ่ ริงมีหลักในการปฏิบตั ิงา ย ๆ กลาวคือ ใหมสี ติรบั รูอ ยูก บั เรือ่ งใดเรือ่ งหนึง่ หรือสิง่ ใดสิง่ หนึง่ และรับรูใ หตอ เนือ่ ง ในสิ่งที่กําหนดนั้น โดยไมไปรับรูในสิง่ อื่น การปฏิบัติสมาธิโดยทั่วไป นอกจากจะมีจดุ ประสงคหลักคือการทําใหนวิ รณ 5 สงบลงแลว อันทีจ่ ริง ยังมีอานิสงสอนื่ ๆ อีกมากมายทีจ่ ะบังเกิดขึน้ ซึง่ จะกลาวถึงในบทตอ ๆ ไป โดยจะนํามาแสดงในรูปแบบของการอุปมาเพือ่ ใหเห็นประโยชนในแงมมุ ตาง ๆ ของสมาธิไดชดั เจนยิง่ ขึน้ ซึง่ จะเปนเครือ่ งชักจูงใหเกิดความสนใจ และตัง้ ใจในการปฏิบตั สิ มาธิมากขึน้ เปรียบไดกบั การใชเชือกผูกวัวปาไวกับหลัก วัวปาจะคอย ๆ สงบ และนิง่ อยูก ับหลัก อุปมาแรกที่ จะกลาวตอไป เป นอุปมาหลักเพื่ อทําใหทราบ 37
หลักการ เขาใจวิธี การ ตลอดจนรูถึงอานิ สงส ของการปฏิ บัติ สมาธิ เปนอุปมาทีใ่ ชกนั มาก โดยเฉพาะในคัมภีรว สิ ทุ ธิมรรค อุปมาแรกนี้ เปรียบการปฏิบตั ิสมาธิ ไดกับการนําเอาเชือกมา ผูกวัวปาทีย่ งั ไมไดรบั การฝก ไวกบั เสาหลัก ในตอนตนวัวปาจะหงุดหงิด งุนงาน เดินกระชากเชือกไปมา แตในที่สุดก็จะคอย ๆ สงบลง และ หมอบนิง่ อยูก บั เสาหลักนัน้ เอง ในกรณีการปฏิบตั สิ มาธิกเ็ ชนเดียวกัน มีหลักการอยูว า ใหมีสติ กําหนดระลึกอยูใ นอารมณใดอารมณเดียว โดยจะเรียกอารมณนั้นวา “อารมณกรรมฐาน” ในตอนแรก ๆ จิตจะยังไมสงบ และจะมีอาการ หงุดหงิด ฟุง ไปกับการระลึกถึงอารมณอนื่ ๆ ทีไ่ มไดกาํ หนด หรือทีเ่ รียกวา มีนิวรณรบกวน แตเมือ่ มีความเพียรคอยตามระลึกถึงอารมณกรรมฐาน ไปเรือ่ ย ๆ ในทีส่ ุดจิตก็จะสงบ ตั้งมัน่ อยูก ับอารมณกรรมฐานนัน้ เอง ทําใหจติ สงบและเปนสมาธิ ในกรณีนี้ เปรียบวัวปาทีย่ ังไมไดรบั การฝก = จิตที่มนี ิวรณ 5 รบกวน ; เชือก = สติ ; เสาหลัก = อารมณของกรรมฐาน ; วัวทีห่ มอบ สงบนิง่ = จิตทีเ่ ปนสมาธิ เปรียบไดกับการจับแกวทีภ่ ายในบรรจุนา้ํ ทีม่ ีตะกอน ใหนงิ่ ไว จะไดนา้ํ ใสในทีส่ ุด อุปมาที่ 2 นี้ อันทีจ่ ริงมีนยั เชนเดียวกับอุปมาแรกทีไ่ ดอธิบายไป โดยเปรียบการปฏิบตั สิ มาธิไดกบั การจับแกวทีบ่ รรจุน้ําทีม่ ตี ะกอนฟุง อยู ใหนิ่งไว จะทําใหตะกอนคอย ๆ ตกลงไปอยูท ี่กนแกว ทําใหไดน้ําใสที่ อยูด านบน น้ําทีใ่ สนีจ้ ึงจะเปนน้ําทีเ่ หมาะสมในการนําไปใชในกิจการ 38
งานตาง ๆ ไดเปนอยางดี หรือทําใหมองเห็นสิ่งตาง ๆ ที่อยูในน้ําได ชัดเจนและตรงตามความเปนจริง ในกรณีนี้ เปรี ยบน้ําที่ มีตะกอนฟุ งอยู = จิตของบุคคลที่มี นิวรณ 5 รบกวน ; การจับแกวใหนงิ่ ไว = สติทตี่ งั้ มัน่ ในอารมณกรรมฐาน และน้ําทีใ่ ส = จิตทีเ่ ปนสมาธิ เปรียบไดกับการใชเลนสนนู รับแสง ทําใหไดจดุ รวมแสงทีส่ วางและมีพลังสูง สําหรับการอุปมาตามนัยนี้ เปนการชี้ใหเห็นถึงอานิสงสของ การปฏิบัตสิ มาธิในแงมุมอืน่ ๆ ทีน่ อกเหนือไปจากอานิสงสหลักคือการ ทํานิวรณใหสงบลง การปฏิบตั สิ มาธิแมมหี ลักการปฏิบตั พิ นื้ ฐานงาย ๆ สั้น ๆ คือการมีสติตั้งมัน่ ในอารมณกรรมฐานเพียงแคนั้น แตสามารถ กอใหเกิดอานิสงสทมี่ ากมายและหลากหลายอยางทีน่ กึ ไมถงึ อานิสงส ที่ ได รับจากการปฏิ บัติสมาธิที่ จะกล าวถึงใน หัวขอนี้ คือ การเสริมสรางจิตใหมพี ลัง การปฏิบัตสิ มาธิ ทําใหจติ มีพลังไดอยางไร ? เพื่อใหเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น เปรียบจิตไดกับแสงแดดที่สาด สองอยูท ั่วไป ซึ่งปกติก็มพี ลังงานอยูในระดับหนึง่ แตหากนําเลนสนูน มารับแสง แลวปรับโฟกัสใหมารวมอยูที่จุด ๆ เดียว จะทําใหไดจุด สวางทีเ่ ขมขึน้ และมีพลังงานความรอนเพิม่ มากขึน้ จนสามารถเผาไหม กระดาษได การปฏิบตั สิ มาธิกเ็ ชนเดียวกัน เปนการรวบรวมกระแสจิตทีแ่ ผ ซานไปรับรูอ ารมณทางชองทางการรับรูต าง ๆ กลาวคือ ตา หู จมูก ลิน้ 39
กายประสาท และใจ ใหรวมและมารับรูเ ฉพาะอารมณกรรมฐานทีก่ าํ หนด เพียงเรือ่ งเดียวและณ ทีจ่ ุดเดียว ซึง่ จะมีผลทําใหจิตมีพลังเพิม่ มากขึน้ โดยเฉพาะหากสามารถปฏิบัตไิ ดจนถึงสมาธิในระดับทีเ่ รียกวารูปฌาน ซึ่ งพระพุ ทธเจาตรั สสรรเสริญว าเปนอธิจิต คือจิตที่ ควรแก การงาน ทุกอยาง จิตในระดับนีจ้ ะมีพลังเต็มเปย ม สามารถนําไปใชเรียนรูห รือ พิสจู นความจริงของธรรมชาติไดในทุกระดับ ทัง้ ในเรือ่ งทีเ่ หนือวิสยั ของ บุคคลทัว่ ไป เชน ตาทิพย หูทพิ ย อิทธิปาฏิหาริย ฯลฯ ตลอดจนใชเปน ฐานของการเจริญปญญา เพือ่ การบรรลุถงึ ความดับทุกขดบั กิเลส เปรียบไดกบั การสรางบานใหกบั จิต อุปมาตามนัยนี้ ทําใหเห็นอานิสงสของการปฏิบตั ิสมาธิในอีก แงมมุ หนึง่ โดยพิจารณาวาในขณะของการปฏิบัตสิ มาธิ จิตจะรับรูใ น อารมณทกี่ ําหนดเทานัน้ จะไมรับรูอ ารมณอื่น ๆ หรืออารมณอนื่ จะเกิด สอดแทรกเขามาใหจติ รับรูไ มไดเลย ดังนั้น จึงอาศัยผลของการปฏิบตั ิสมาธิในแงนี้ มาใชเพือ่ เสริม สรางความปลอดภัยใหกบั จิต กลาวคือ หากมีอารมณใดทีเ่ กิดขึน้ แลว รบกวนจิต ก็สามารถอาศัยการปฏิบัติสมาธิ โดยใหจติ รับรูในอารมณ กรรมฐานทีบ่ คุ คลคุน เคยหรือมีความชํานาญ อารมณอนื่ ๆ ก็ไมสามารถ เกิดแทรกเขามา ทําใหไมสามารถรบกวนจิตได จึงมีอุปมาถึงอานิสงส ในแงนขี้ องสมาธิวาเปน “บานทางจิต” หรือทีพ่ ระพุทธเจาทรงใชคําวา “วิหารธรรม” ซึง่ เปรียบไดกบั บานทางกายของชีวติ ในฝายกาย ทีจ่ าํ เปน ตองมีบานอาศัย เพื่อคอยปกปองคุมครองกายจากภยันตรายตาง ๆ ที่อยูภายนอก คราวใดที่กายไดกลับเขาไปอยูในบาน จะทําใหรูสึกมี 40
ความปลอดภัย ไมตอ งกลัววาจะถูกสิง่ ตาง ๆ ทีอ่ ยูภ ายนอกทําอันตราย หากบุคคลไมมบี า นอยูอ าศัยเปนหลักแหลงแลว ยอมอยูเ ปนสุขไดยาก บุคคลที่ฝก สมาธิจนชํานาญ กลาวเปรียบไดวา ไดสรางบาน ทางจิตสําหรับตนไว หากมีอารมณใดที่เกิดขึ้นรบกวนจิต ทําใหจิตมี ความทุกขหรือความเดือดรอน และหากยังไมรูวาจะจัดการอยางไรดี ก็สามารถหลบเขาไปอยูใ นบานทางจิตคืออารมณของสมาธิเสีย อารมณ ตาง ๆ ทีเ่ ปนสิง่ รบกวนนัน้ ยอมปรากฏขึน้ ในจิตไมได จึงทําใหไมสามารถ รบกวนจิตหรือทําอันตรายตอจิตได และเมื่อจิตไดหลบมาอยูในบาน ทางจิต จนตัง้ มัน่ เปนสมาธิดแี ลว จึงออกจากบานทางจิตหรืออารมณ ของสมาธิ แลวมาเผชิญกับอารมณหรือเรื่องราวทีเ่ ปนปญหาทีเ่ ขามา รบกวนนัน้ เปรียบไดกบั การฝกหัดควบคุมจิตใหอยูใ นอํานาจของสติ อานิสงสของการปฏิ บัติสมาธิ ที่สําคัญอีกประการหนึ่ง คือ การฝกหัดควบคุมจิตใหอยูใ นอํานาจของตน หรือกลาวใหรัดกุมคืออยู ในอํานาจการควบคุมของสติ จิตที่ อยู ในอํานาจการควบคุมของสติ มีความหมายวาสติ ประสงคจะใหรบั รูอ ะไรหรือสิง่ ใด จิตก็จะรับรูเ รือ่ งนัน้ หรือสิง่ นัน้ ในทาง ตรงกันขาม หากไมประสงคจะใหรับรูอะไรหรือสิ่งใด จิตก็จะไมไปรับรู เรื่องนั้นหรือสิ่งนั้น สวนจิตที่ไมอยูในอํานาจการควบคุมของสติจะมี ลักษณะในทางตรงกันขาม การปฏิบตั ิสมาธิในทุกรูปแบบ มีหลักการอันเดียวกัน คือใหมี สติประคองจิตใหรับรูอ ยูใ นอารมณของสมาธิที่กําหนด เชนการปฏิบตั ิ 41
แบบอานาปานสติ จะมีสติประคองจิตใหรบั รูอ ยูแ ตกบั ลมหายใจเขาและ ออกเทานัน้ หากเผลอสติไปรับรูอ ารมณอนื่ ก็ใหมสี ติดงึ จิตกลับมารับรูอ ยู กับลมหายใจ การทีบ่ คุ คลสามารถมีสติกําหนดรูอ ยูก บั ลมหายใจไดมาก เทาใดและไดตอเนื่องเทาใด ยอมแสดงวาจิตของบุคคลอยูใ นอํานาจ การควบคุมของสติมากยิง่ ขึน้ เทานัน้ สวนบุคคลทีท่ ั้ง ๆ ที่ตงั้ ใจใหมีสติ กําหนดรูอยูที่ลมหายใจ แตจิตก็ยังเผลอออกไปรับรูในเรื่องอื่นสิ่งอื่น นั่นยอมแสดงวาจิตของบุคคลไมไดอยูในอํานาจการควบคุมของสติ จิตที่ไมอยูในอํานาจการควบคุมของสติ จึงทําใหไมสามารถใชจิตไป กระทําหรือทําหนาทีต่ อ สิง่ ตาง ๆ ไดอยางมีประสิทธิภาพ เมือ่ จิตไดรับการฝกปฏิบตั ิสมาธิ จะทําใหจิตอยูใ นอํานาจการ ควบคุมของสติ จึงทําใหบุคคลสามารถใชจิตไปกระทําหรือทําหนาที่ ตอเรื่องหรือสิง่ ตาง ๆ ไดเปนอยางดี จะใหจิตทําหรือไมทําอะไร จิตก็ พรอมจะทําตามดวยดี จึงทําใหจิตมีประสิทธิภาพ สมรรถภาพ และ พรอมหรือควรแกการนําไปใชในกิจงานทุกอยาง เปรียบไดกบั การพักผอนทางจิตทีด่ ีทสี่ ุด อานิสงสของการปฏิบัตสิ มาธิอีกแงหนึง่ คือ เปนการพักผอน ทางจิตทีด่ มี ากวิธหี นึง่ กลาวไดวา ดียงิ่ กวาการนอนหลับพักผอนเสียอีก ทัง้ นีเ้ พราะจิตทีอ่ ยูใ นสมาธิ จะไมถกู อารมณอนื่ ใดรบกวน ทัง้ อารมณที่ จะทําใหจติ ฟูหรือแฟบก็ตาม เพราะในขณะนัน้ จิตจะรับรูอ ยูแ ตอารมณของ สมาธิทกี่ ําหนดเทานั้น อารมณอื่น ๆ จะเกิดแทรกขึน้ มาในความรับรู ไมไดเลย และอารมณขณะทีอ่ ยูใ นสมาธินนั้ ก็เปนอารมณทสี่ ง เสริมจิตใหมี แตสภาวะของ ปราโมทย ปติ สุข มีความผองใส ตัง้ มัน่ และควรแกการงาน จึงทําใหจติ ทีอ่ ยูใ นสมาธิไดรบั การพักผอนอยางดีและอยางเต็มที่ 42
เปรียบไดกับการสรางความสุขแกชีวติ อานิสงสของการปฏิบตั สิ มาธิทสี่ ําคัญอีกประการหนึง่ คือทําให จิตเกิดความสุข ซึ่งมีคําเรียกความสุขที่เกิดจากสมาธิวา “ฌานสุข” หรือเรียกอีกชือ่ หนึง่ วา “สุขเวทนาทีไ่ มมีอามิส” (อามิส แปลวา เหยือ่ ในทีน่ ี้มคี วามหมายวา ไมตองอิงอาศัย รูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัส ทางกายใด ๆ) เปนความสุขที่เกิดขึน้ จากความสงบของจิตโดยเอกเทศ ดังที่มีพระพุทธพจนตรัสถึงภาวะของจิตที่ปฏิบัติจนไดบรรลุในฌาน ขั้นแรกหรือขั้นที่ 1 วา เปนภาวะที่สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม ทัง้ หลาย และประกอบพรอมไปดวยวิตก วิจาร ปติ สุข และเอกัคคตา เรือ่ ง “ฌานสุข”เปนภาวะที่สําคัญมากในการปฏิบตั ิธรรมทาง พระพุทธศาสนา ในพระไตรปฎก เลมที่ 13 ขอที่ 183 พระพุทธเจาได ตรัสสรรเสริญวา เปนความสุขที่ควรเสพ เปนความสุขที่ไมควรกลัว ผูทไี่ ดฌาน เปนผูอ ยูใ กลพระนิพพาน ซึง่ แตกตางจาก “กามสุข” ที่อิง อยูกับรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกาย ที่นาใครนายินดีพอใจ พระพุทธเจากลับตรัสสอนวาเปนความสุขทีม่ ีคณ ุ นอย มีโทษมาก เปน ความสุขทีไ่ มควรเสพ และเปนความสุขทีค่ วรกลัว นอกจากนั้น “ฌานสุข” ยังเปนความสุขทีส่ นับสนุนใหจิตของ บุคคลสามารถละหรืออยูเ หนือการครอบงําจากกามได ดังพระพุทธพจน ที่ตรัสไวในพระไตรปฎก เลมที่ 12 ขอที่ 211 วา เมื่อครั้งยังเปนพระ โพธิสตั ว ทรงรูอ ยูว ากามมีคณ ุ นอย มีโทษมาก แตตราบใดทีย่ ังไมบรรลุ ปตแิ ละสุขที่ละเอียดประณีตยิง่ กวากาม ก็ยงั ตองเวียนกลับมาหากาม อีก การทีบ่ ุคคลปฏิบัติสมาธิ จนไดรบั ความสุขอันเกิดจากสมาธิ 43
ซึ่งเปนความสุขที่ละเอียดประณีตยิ่งกวาความสุขที่มาจาก รูป เสียง ฯลฯ จึงทําใหจติ ไมหวัน่ ไหว และสามารถยืนหยัดตานทาน ไมถกู บีบคัน้ จากกระแสวัตถุและโลกธรรม หรือทีเ่ รียกรวมวากามคุณหรือกามสุขได อยางมัน่ คง วิธีการปฏิบัติ “สมาธิ” ตอจากนีไ้ ป จะขอแนะนําวิธีการปฏิบัตสิ มาธิ ในรูปแบบของ อานาปานสติ คือการมีสติกําหนดตามระลึกถึงลมหายใจเขาและออก ซึ่งเปนวิธีทรี่ ูจักและไดรบั ความนิยมอยางแพรหลายในหมูพุทธบริษทั เพือ่ การเขาถึงภาวะรูปฌาน 4 โดยสังเขป พอใหรเู ปนแนวทางคราว ๆ กอนการปฏิบตั คิ วรตัดปลิโพธ หรือเครือ่ งกังวลใจตาง ๆ ออกไป กอน หาสถานที่ทสี่ งบ ปลอดจากการรบกวนของผูคน จากนั้นนัง่ ขัด สมาธิที่เรียกวา “ทาดอกบัว” หรือ “ทาขัดสมาธิเพชร” ทาเหลานีท้ ําให กายมีความมัน่ คง ไมเกิดการโยกคลอนอันจะสงผลรบกวนจิต ทําใหไม สามารถเขาถึงภาวะของรูปฌานได เพราะเมือ่ เขาถึงภาวะของรูปฌาน แลว จะไมมกี ารรับรูท างประสาทตาง ๆ ทีเ่ นือ่ งกับกายทัง้ หมด คือ ตา หู จมู ก ลิ้ น และกายประสาท จะมี การรั บรู แต ทางใจหรื อมโนเพี ยง อยางเดียวเทานัน้ การโยกคลอนของกายจะทําใหจติ ตองมารับรูท างกาย และทําใหไมสามารถรับรูอ ยูแ ตเพียงทางใจอยางเดียวได ตอจากนั้นให ตั้งกายใหตรง ดํารงสติอยูเ ฉพาะหนา เมื่อหายใจเขาและหายใจออก ก็ใหมีสติตามรูลมหายใจที่เขาและออกนั้นไปตามที่เปนอยูจ ริง ไมวา ลมหายใจจะยาวหรือสัน้ ก็ปลอยใหเปนไปตามธรรมชาติ ในตอนตนของการปฏิบตั ิ ใหมสี ติตามรูลมทีเ่ ขาและออก โดย 44
ทําเหมือนวิง่ ตามลม ระหวางปลายจมูกกับบริเวณหนาทอง เมือ่ สามารถ ตามรูไ ดสม่าํ เสมอพอสมควรแลว ใหเปลีย่ นมารับรูเ ฉพาะตรงจุดสัมผัส ของลมทีก่ ระทบปลายจมูกเพียงอยางเดียว ตอจากนีก้ ใ็ หรกั ษาการรับรู เฉพาะสัมผัสของลมตรงนีเ้ ทานั้น เมือ่ สามารถรับรูต รงจุดทีล่ มกระทบสัมผัสไดตอ เนือ่ ง ไมวอกแวก ไปทีอ่ นื่ หมายความวา กําลังของสมาธิดขี ึ้นตามลําดับ จนถึงจุดหนึง่ ที่ สมาธิเริม่ มีความแนบแนนขึน้ และถึงระดับทีจ่ ะเขาสูภ าวะของรูปฌานได จะมีสงิ่ ทีเ่ รียกวา “อุคคหนิมิต” ปรากฏขึน้ เองตามธรรมชาติ ซึง่ อาจมี ลักษณะเปนดวงสวาง เปนรูปทรงกลม หรือเปนรูปหยดน้าํ หรือคลาย ใยแมงมุม เปนตน ในกรณีนี้ อาจเปรียบไดกบั การใชเลนสนูนรับแสง จากดวงอาทิตย เพือ่ รวมแสงอาทิตยทกี่ ระจัดกระจายใหมาอยูใ นจุดเดียว จะทําใหเห็นเปนจุดหรือดวงสวางเกิดขึน้ มีความรอนสูงและสามารถเผา ไหมกระดาษใหลกุ เปนไฟได การทําสมาธิก็เชนเดียวกัน เปนการรวม กระแสจิตทีก่ ระจัดกระจายไปกับการรับรูอ ารมณในชองทางตาง ๆ ใหมาอยู ทีจ่ ดุ เดียว เมือ่ รวมไดแนวแนกจ็ ะเกิดเปนดวงสวางทีเ่ รียกวา “อุคคหนิมติ ” ขึ้น ตอจากนัน้ ใหรักษาการเห็นอุคคหนิมิตนีไ้ ว จนจิตมีความแนบ แนน และเปลีย่ นการรับรูท ั้งหมดจากสัมผัสของลมกระทบทีป่ ลายจมูก มารับรูท ี่อุคคหนิมิตเพียงอยางเดียว และเพือ่ ทดสอบวากําลังสมาธิใน ขณะนีม้ คี วามมัน่ คง แนบแนนเพียงพอสําหรับการเขาสูภ าวะของรูปฌาน หรือยัง ก็ทําไดโดยการลองยอ-ขยายอุคคหนิมิต หรือเลือ่ นใหใกลเขามา หรือใหไกลออกไป ซึง่ หากสามารถทําได ก็จะเรียกชือ่ ใหมวา “ปฏิภาคนิมติ ” ตอจากนีไ้ ป ใหเลือกปฏิภาคนิมติ ที่มขี นาด-สีสนั -อยูในระยะ ใกลหรือไกล ทีม่ คี วามรูส กึ พอดีกบั จิต มาใหจติ รับรูอ ยูแ ตในปฏิภาคนิมติ 45
นัน้ เมือ่ องคฌาน คือ วิตก วิจาร ปติ สุข และเอกัคคตา เกิดขึน้ ครบถวน สมบูรณเมือ่ ใด จิตก็จะเขาถึงสมาธิทเี่ รียกวารูปฌานที่ 1 และหากรักษา การกําหนดรูอ ยูในปฏิภาคนิมิตอยูตอเนือ่ งไปเรือ่ ย ๆ ก็จะคอย ๆ ละ องคฌานที่หยาบไปตามลําดับ จนเมื่อเขาถึงภาวะของรูปฌานที่ 4 จะเหลือแตองคฌาน คือ อุเบกขา และเอกัคคตา ภาวะของจิตทีเ่ ขาถึงรูปฌานนัน้ เปนจิตทีส่ งัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรมทัง้ หลาย ไมมนี ิวรณเกิดขึ้นรบกวน ไมมดี ําริใด ๆ เกีย่ วกับ กาม หรือรูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัสทางกาย เกิดขึน้ เวทนาทั้งหลาย ที่เกิดขึน้ ในระดับนี้ เรียกวา เวทนาทางใจทีไ่ มมีอามิส เปนจิตที่พระ ุ ภาพพรอมและเหมาะสม ควรแกการงาน พุทธเจาตรัสวาเปน อธิจติ มีคณ และนําไปใชพิสจู นความจริงของธรรมชาติไดทุกอยางและทุกระดับ แต สิ่งทีเ่ ปนจุดมุงหมายสําคัญทีส่ ุดทีพ่ ระพุทธเจาตรัสสอนคือ นําไปเปน ฐานสําหรับการคนควาทางปญญา เพือ่ การลด ละ เลิก อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เพือ่ เขาถึงภาวะความดับทุกขดบั กิเลส ซึง่ เปนอุดมคติตามหลัก พระพุทธศาสนาตอไป
46
การปฏิบัติ “ปญญา” การปฏิบตั ิในลําดับสุดทายคือปญญา ดังที่ไดกลาวแลววา มี จุดหมายหลักเพือ่ ยกจิตใหอยูเ หนืออิทธิพลความรอยรัดเสียดแทงจาก สิ่งตาง ๆ ที่จะทําใหจิตเกิดความทุกข ดังนั้น หนังสือนี้จะเลือกกลาว แตการปฏิบตั ปิ ญ ญาในแงมมุ นี้ การทีจ่ ติ ตกอยูภ ายใตอทิ ธิพลของสิง่ ใด หรือสิง่ ใดทีจ่ ะสามารถ รอยรัดเสียดแทงใหจติ เกิดความทุกขไดนนั้ หลักธรรมในพระพุทธศาสนา แสดงไววา เกิดขึน้ เนือ่ งจาก “อุปาทาน” หรือความยึดมัน่ ถือมัน่ ดังที่ได แสดงทุกขในอริยสัจวา คืออุปาทานขันธ 5 ยึดมัน่ มาก.....ก็ทกุ ขมาก ยึดมัน่ นอย.....ก็ทกุ ขนอ ย ไมยดึ มัน่ .....ก็ไมทกุ ข ปญญาในไตรสิกขา เปนปญญาทีม่ งุ ถอนอุปาทาน ปญญาที่พระพุทธเจาตรัสสอน หรือปญญาในไตรสิกขา จึง เปนปญญาทีม่ ุงจะลด ละ เลิก อุปาทานโดยเฉพาะ ไมใชปญ ญาทีเ่ ปน ไปเพือ่ คิดคน สรางสรรค เพือ่ การอืน่ ใดเลย ดังนัน้ การจะปฏิบตั ิปญ ญา ในไตรสิกขาไดถกู ตอง จึงตองทําความรูค วามเขาใจในเรือ่ งของอุปาทาน เสียกอน ซึง่ พระพุทธเจาตรัสไววามี 4 ประการ ดังนี้ 1. กามุปาทาน เปนอุปาทานทีเ่ นือ่ งดวยกาม หรือรูป เสียง กลิน่ รส สัมผัสทางกาย ที่นา ใครนา พอใจ 2. ทิฏุปาทาน เปนอุปาทานที่เนื่องดวยความเห็นผิด โดย เฉพาะในเรือ่ งของชีวติ และเปาหมายทีแ่ ทจริงของชีวติ 47
3. สีลัพพตุปาทาน เปนอุปาทานทีเ่ นื่องดวยศีลและพรต โดยเชือ่ วาดวยเพียงการกระทําตามศีลและพรตบางอยาง จะทําใหบรรลุ สิ่งสูงสุด 4. อัตตวาทุปาทาน เปนอุปาทานที่เนื่องดวยความรูสึกที่ เปนตัวตน หรือความรูส ึกวา “เรา” โดยมุงหวังทําใหตัวตนไดบรรลุใน สิง่ ทีด่ ีทสี่ ุด ประเสริฐสูงสุด พิจารณาปญญาในแงเพือ่ ละสังโยชน จะเห็นไดชัดเจนกวา ในพระไตรปฎก พระพุทธเจาไมไดตรัสถึงการละอุปาทานทีเ่ ปน ไปตามลําดับ แตไดแสดงไวชัดในเรือ่ งของสังโยชน 10 หรือสิง่ ทีผ่ ูกมัด บุคคลไวกับทุกข 10 ประการ ซึง่ อันทีจ่ ริงมีนัยอันเดียวกันกับอุปาทาน 4 ทําใหเห็นถึงการละสังโยชนจากระดับหยาบไปจนถึงระดับละเอียด และ ทําใหบุคคลบรรลุความเปนพระอริยบุคคลไปตามลําดับ ดังนั้น จึงเห็น วาควรนําเรือ่ งของสังโยชน มาแสดงไว ณ ทีน่ ดี้ วย พระพุทธเจาตรัสจําแนกสังโยชน เปน 10 ประการ คือ 1. สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดวาเปนตัวของตน 2.วิ จิ กิ จฉา ความลั ง เลสงสั ย ในพระรั ต นตรั ย หรื อ ความลังเลสงสัยในชีวติ หรือขาดความมัน่ ใจในการดําเนินชีวติ 3. สีลพั พตปรามาส ความถือมัน่ ในศีลและพรตอยางงมงาย 4. กามราคะ ความกําหนัดในกาม หรือรูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัสทางกายทีน่ ารักนาพอใจ 5. ปฏิฆะ ความหงุดหงิดขัดเคือง 6. รูปราคะ ความติดใจในอารมณแหงรูปฌาน 48
7. อรูปราคะ ความติดใจในอารมณแหงอรูปฌาน 8. มานะ ความสําคัญตนดวยการเปรียบเทียบกับผูอ นื่ 9. อุทธัจจะ ความฟุง ซาน 10. อวิชชา ความไมรใู นอริยสัจ กลาวอยางถึงทีส่ ดุ ในระบบของไตรสิกขา ปญญาเปนสิง่ สําคัญ ที่สุดและเปนตัวการหลักในการละสังโยชนใหหมดสิน้ ไปอยางเด็ดขาด สวนศีลและสมาธิไมไดทําหนาที่เปนตัวการละสังโยชนโดยตรง แตก็ เปนสวนสนับสนุนซึง่ จะขาดเสียมิได เพือ่ ใหปญ ญาสามารถละสังโยชน หมดสิน้ ไปไดอยางเด็ดขาด พระโสดาบัน เปนผูมีศีลบริบูรณ สมาธิพอประมาณ และ ปญญาพอประมาณ สามารถละสังโยชน 3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกจิ ฉา และสีลพั พตปรามาส ไดอยางเด็ดขาด และหากสามารถทําราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางลง จะทําใหบรรลุระดับพระสกทาคามี พระอนาคามี เปนผูม ศี ลี บริบรู ณ สมาธิบริบรู ณ และปญญา พอประมาณ สามารถละสังโยชนไดเพิ่มขึ้นอีก 2 คือกามราคะ และ ปฏิฆะ ไดอยางเด็ดขาด พระอรหันต เปนผูม ีศลี บริบูรณ สมาธิบริบูรณ และปญญา บริบูรณ สามารถละสังโยชน ไดเพิม่ ขึน้ อีก 5 คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา ไดอยางเด็ดขาด การปฏิบตั ิปญ ญา 3 ระดับ จําแนกตามระดับของการละสังโยชน ดังนัน้ การปฏิบตั ปิ ญ ญา จึงกลาวไดวา มีการปฏิบตั ใิ น 3 ระดับ 49
คือ
1. ป ญญาพอประมาณ ที่ สามารถละสั งโยชน 3 คื อ สักกายทิฏฐิ วิจกิ ิจฉา และสีลพั พตปรามาส ไดอยางเด็ดขาด 2. ปญญาพอประมาณ ที่สามารถละสังโยชน 5 ไดอยาง เด็ดขาด คือเพิม่ สังโยชนทเี่ ปน กามราคะ และปฏิฆะ 3. ปญญาบริบูรณ ที่สามารถละสังโยชน 10 หรือสังโยชน ทัง้ หมดไดอยางเด็ดขาด คือเพิม่ สังโยชนทเี่ ปน รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา การปฏิบตั ิปญ ญาพอประมาณ ในระดับพระโสดาบันและพระสกทาคามี การจะปฏิบตั ิปญ ญาในขัน้ ตนนี้ไดถกู ตอง จําเปนตองรูเ ขาใจ ใหชัดเจนกอนวา ปญญาพอประมาณในระดับพระโสดาบันและ พระสกทาคามี คืออะไร ? ในพระไตรปฎก เลมที่ 16 ขอที่ 90 มีพระพุทธพจนตรัสไวชดั วา พระโสดาบันเปนผูส มบูรณดว ยทิฏฐิ หรือมีสมั มาทิฏฐิสมบูรณ จึงทําให ไดความชัดเจนวาปญญาพอประมาณในระดับของพระโสดาบัน และพระสกทาคามี คือสัมมาทิฏฐิในองคมรรคขอแรก หรือความรู ความเขาใจหรือความเห็นทีถ่ กู ตองในเรือ่ งอริยสัจ 4 นัน่ เอง ดังนั้นปญญาในขั้นตนที่สดุ ทีจ่ ะตองปฏิบัตใิ หเกิดขึน้ กอน คือ ปญญาที่รูเขาใจถูกตองในอริยสัจ 4 ซึ่งวิธีการปฏิบัติก็คือการนําเอา อริยสัจ 4 ที่พระพุทธเจาตรัสสอนและใหอรรถาธิบายไว มาอาน ศึกษา พิจารณาและใครครวญตามจนเขาใจ เห็นตามและลงใจทุกประการ จนไมมอี ะไรทีข่ ดั แยงหรือไมเห็นดวยแตประการใด 50
อริยสัจ คือ ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ ความจริงทีท่ ําใหผเู ขาถึงกลายเปนพระอริยะ หรือความจริงทีท่ ําใหพน ไปจากขาศึกศัตรู ซึ่งในทีน่ ี้หมายถึงกิเลส หรือเครือ่ งเศราหมองทัง้ ปวง จําแนกไดเปน 4 ประการ คือ 1. ทุกข ทุกขในอริยสัจ กลาวโดยสรุปคืออุปาทานขันธ 5 หรือ ขันธ 5 ทีป่ ระกอบดวยอุปาทานหรือความยึดมัน่ ถือมัน่ (ขันธ 5 คือองค ประกอบของชีวติ จําแนกไดเปน 5 อยาง คือ (1)รูปขันธ หมายถึงรางกาย รวมถึงพฤติกรรมตาง ๆ ทีเ่ กิดจากกาย (2) เวทนาขันธ คือความรูสึ กสุข ทุกข หรือเฉย ๆ (3) สัญญาขันธ คือความจําไดหมายรู (4) สังขารขันธ คือความคิดปรุงแตงตอสิง่ ทีร่ บั รู (5) วิญญาณขันธ คือความรูแ จงอารมณ เชน รูร ูป เสียง กลิน่ รส สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ) ทุกขในอริยสัจเปนทุกขที่เกิดจากอุปาทาน หรือความยึดมั่น ถือมัน่ ในขันธ 5 กลาวใหชดั เปนทุกขทเี่ กิดขึน้ จากความขัดแยงของใจที่ ยึดมัน่ ถือมัน่ คือตองการใหสงิ่ ตาง ๆ ไมเปลีย่ นแปลง (นิจจัง) ใหดาํ รงอยู ในสภาพเดิมอยางทีต่ อ งการ (สุขงั ) และอยูใ นอํานาจการบังคับของตน (อัตตา) กับความจริงทีเ่ ปนอยู คือสิง่ ตาง ๆ อยูใ นสภาพทีเ่ ปลีย่ นแปลง ตลอดเวลา (อนิจจัง) ทนอยูใ นสภาพเดิมไมได (ทุกขัง) และไมอยูใ น อํานาจการบังคับของใคร (อนัตตา) ดังนัน้ ทุกขในอริยสัจจึงเปนทุกขที่ บุคคลหลงสรางขึ้นมาเองและทํารายตนเอง เปนความทุกขทสี่ ามารถ ทําใหหมดสิน้ ไปไดอยางเด็ดขาดดวย มีกิจทีต่ องกระทํา คือ กําหนดรู หรือรูส ภาวะของทุกขในอริยสัจใหถกู ตอง เพือ่ ความเขาใจในเรือ่ งนี้ อาจเปรียบขันธ 5 ไดกับรางกายและ อุปาทานเหมือนกับเชือ้ โรค เมือ่ มีเชื้อโรคเขาสูร างกาย จึงทําใหเกิดโรค ตาง ๆ ขึน้ กับรางกาย ภาวะของกายทีเ่ กิดโรค เปรียบไดกบั อุปาทานขันธ5 51
หรืออาจอธิบายเพือ่ ความเขาใจ ดวยตัวอยางงาย ๆ เชน เรา จอดรถไวที่หนาบาน แลวไดยนิ เสียงโครมของรถถูกชน เมื่อออกไปดู แลวเห็นวาเปนรถของเราทีถ่ กู ชน จะเกิดความรูส กึ โกรธไมพอใจ แตหาก เห็นวาไมใชรถของเรา จะรูส ึกเฉย ๆ เปนตน 2. สมุทัย สมุทยั ในอริยสัจ หรือสาเหตุของทุกข กลาวโดยสรุป คือ ตัณหา หรือความทะยานอยาก ซึง่ จําแนกเปน 3 อยางคือ กามตัณหา (ความทะยานอยากใน รูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัสทางกาย อันนาใคร นาพอใจ) ภวตัณหา (ความทะยานอยากในภพ อยากเปนนั่นเปนนี่ คัมภีรอ รรถกถาแสดงไววา คือความทะยานอยากทีป่ ระกอบดวยสัสสตทิฏฐิ ซึง่ เห็นผิดวาเทีย่ ง เห็นวามีอตั ตาและโลกทีเ่ ทีย่ งแท ยัง่ ยืน และคงอยู ตลอดไป) และวิภวตัณหา (ความทะยานอยากในวิภพ อยากไมเปนนัน่ ไมเปนนี่ อยากพรากพนดับสูญไปเสีย คัมภีรอ รรถกถาแสดงไววา คือ ความทะยานอยากที่ประกอบดวยอุจเฉททิฏฐิ ซึ่งเปนความเห็นผิดวา ขาดสูญ เห็นวาคนและสัตวจตุ ิจากอัตภาพนีแ้ ลวขาดสูญ) การอธิบายความหมายของตัณหา 3 ประการนี้ ยังมีวธิ อี ธิบายอีก แบบหนึง่ โดยเฉพาะความหมายของภวตัณหาและวิภวตัณหา ซึง่ เห็นวามี ความนาสนใจ จึงขอนําเอามาเขียนไว ณ ทีน่ ดี้ ว ย โดยไดอธิบายวาในแตละ คนลวนมีทงั้ ภวตัณหาและวิภวตัณหาประกอบอยูท งั้ 2 อยาง ตามภาวะ ของธรรมชาติทเี่ ปนอยู ซึง่ มีทงั้ ภาวะทีต่ อ งการและไมตอ งการ ซึง่ ภาวะที่ ตองการจะแตกตางกันไปในแตละบุคคล เชน ตองการเปนเศรษฐี พระราชา เทวดา รูปพรหม อรูปพรหม เปนตน สวนภาวะทีไ่ มตอ งการ คือไมตอ งการ ไปเกิดเปนสัตวในอบายภูมิ ไมตอ งการภาวะของความแก เจ็บ ตาย เปนตน หรืออยากจะเกิดเปนนัน่ เปนนี่(=ภวตัณหา) แตไมอยากจะแก เจ็บ และตาย จากภาวะนัน้ ๆ หรือไมอยากเกิดในอบายภูมิ เปนตน(=วิภวตัณหา) 52
เมื่ อมีตัณหาหรือความทะยานอยากเกิดขึ้ น ยอมทําใหเกิ ด อุปาทานหรือความยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้นตามมา สมดังที่พระพุทธเจา ตรัสแสดงไวในปฏิจจสมุปบาทวา “ตัณหาเปนปจจัยใหเกิดอุปาทาน” เมือ่ มีอปุ าทานเกิดขึน้ ยอมทําใหอปุ าทานขันธหรือทุกขอริยสัจเกิดขึน้ ดวย ั หาหมดสิน้ ไป มีกิจทีต่ อ งกระทํา คือ ใหละ หรือทําใหตณ การจะรูถ ึงสภาวะของตัณหาวาเปนอยางไร ในทีน่ ี้ขอเสนอวา จําเปนจะตองรูว า ความตองการทีแ่ ทจริงของธรรมชาติชวี ิต ทัง้ ฝายกาย และฝายจิต คืออะไรเสียกอน จึงจะสามารถจําแนกไดวาตัณหาหรือ ความทะยานอยากนั้นคืออะไร ซึ่งกลาวโดยสรุป คือความตองการที่ บุคคลคิดไปเองหรือใสลงไปเอง โดยทีธ่ รรมชาติแท ๆ ของชีวติ นัน้ ไมได มีความตองการนัน้ เลย ในประเด็นนี้ ขอใหอา นทบทวนเรือ่ งชีวติ คืออะไร ? ตองการอะไร ? เพือ่ อะไร ?ในหนา 24- 29 ของหนังสือนี้ 3. นิโรธ นิโรธในอริยสัจ คือ ภาวะที่ไมมที ุกข หรือภาวะที่ ตัณหาดับสิน้ ไป มีกจิ ทีต่ องกระทํา คือ ทําใหแจง หรือทําใหปรากฏ เปนภาวะทีจ่ ะปรากฏขึน้ มาเอง ภายหลังจากทีท่ ําใหตณ ั หาหมดสิน้ ไป 4. มรรค มรรคในอริยสัจคือ อริยมรรคมีองค 8 เปนขอปฏิบตั ิ ใหบรรลุภาวะทีไ่ มมที ุกข มีกจิ ที่ตองกระทํา คือ ใหเจริญ หรือฝกฝน ปฏิบตั ใิ หเกิดขึน้ โดยสาระสําคัญขององคมรรคทัง้ หมดคือ ความถูกตอง ในการกระทํา 8 เรือ่ ง ซึง่ สรุปรวมลงเปนไตรสิกขา หรือ ศีล สมาธิ และ ปญญา โดยไดอธิบายรายละเอียดวิธกี ารปฏิบัตไิ ปแลวในเรือ่ ง ศีล และ สมาธิ สําหรับในบทนีแ้ ละบทตอ ๆ ไป จะอธิบายวิธีปฏิบตั ใิ นเรือ่ งปญญา การรูเ ขาใจในอริยสัจ 4 ทําใหเกิดอะไรขึน้ ? กลาวโดยสรุป ทําใหเห็นเสนทางการดําเนินชีวิตทัง้ หมด ทัง้ สิน้ ของมนุษย วามี 2 เสนทางใหญ คือ 53
(1) เสนทางชีวิตทุกข (คือ ทุกข - สมุทัย) เปนเสนทาง การดําเนินชีวติ ทีเ่ อาตัณหาหรือความตองการของตนหรือตัวตนเปนหลัก จึงเปนการดําเนินชีวติ ทีข่ ัดแยงกับความเปนจริงของธรรมชาติ ดังที่ได อธิบายไปแลว ทําใหเกิดผลเปนอุปาทานขันธ หรือทุกขในอริยสัจ ซึง่ จะ ประสบทุกขทหี่ ยาบหรือละเอียดเพียงใด ขึน้ กับตัณหาหรือความตองการ นั้น วาจะหยาบหรือละเอียดอยางไร เปนเสนทางชีวติ ทีเ่ วียนวายอยูใ น วัฏสงสารหรือใน 31 ภพภูมิ อยางทีไ่ ดกลาวไปแลว (2) เสนทางชีวติ ทีไ่ มทกุ ข (คือ นิโรธ - มรรค) เปนเสนทาง การดําเนินชีวติ ทีเ่ อาสัมมาหรือความถูกตองเปนหลักในการดําเนินชีวติ (อริยมรรค มีองค 8 ซึง่ เปนวิธปี ฏิบตั ิเพื่อความดับทุกข ทุกองคขนึ้ ตน ดวยสัมมาทีแ่ ปลวา “ถูกตอง” โดยมีรายละเอียดตามที่พระพุทธเจาได ใหอรรถาธิบายไว หรือตามหลักของไตรสิกขาที่ไดอธิบายในหนังสือนี)้ บนเสนทางการดําเนินชีวิตนี้ จึงไมมีความขัดแยงระหวางสิ่งที่ตัวตน ตองการ กับความเปนจริงทีเ่ ปนอยู จึงไมมอี ปุ าทานขันธหรือทุกขในอริยสัจ เกิดขึ้ น เปนเสนทางที่ออกจากวัฏสงสาร และนําใหบรรลุความเปน พระอริยบุคคล และหมดสิน้ ทุกขในอริยสัจไปตามลําดับ บุคคลเมื่อรูชัดถึงเสนทางการดําเนินชีวิตทั้งหมดทั้งสิน้ เชนนี้ แลว จึงรูจ กั ทีจ่ ะละการดําเนินชีวติ ทีน่ ําไปสูท ุกข และเลือกดําเนินชีวติ ที่ จะนําไปสูค วามไมมีทกุ ข กลาวคือ จะไมดาํ เนินชีวิตดวยตัณหาไปตาม ความอยากของตัวตน เพือ่ ตอบสนองตัวตน แตจะดําเนินชีวิตไปตาม ความถูกตอง เอาความถูกตองเปนเครือ่ งนําในการดําเนินชีวติ แทน การทีบ่ คุ คลรูจ กั ละการดําเนินชีวติ ทีเ่ ปนไปตามตัณหาหรือ ความอยากเพือ่ ตอบสนองตัวตน นีแ้ หละคือการละสักกายทิฏฐิ ซึง่ จะเกิดขึน้ ไดเพราะรูแ ละเห็นแลววาเสนทางการดําเนินชีวติ ทีเ่ ปนไปโดย 54
สัมมาหรือถูกตองนั้น คืออะไร หากยังไมรูไมเห็น ก็ยังไมสามารถละ สักกายทิฏฐิได การรูแ ละเห็นเสนทางชีวติ ทีไ่ มทุกขนี้ ยังทําใหบคุ คลเกิดความ มั่นใจในการดําเนินชีวิตที่จะบรรลุถึงเปาหมายที่เปนอุดมคติทแี่ ทจริง อยางเต็มเปย ม จึงทําใหละวิจกิ จิ ฉา คือความลังเลสงสัยในการดําเนิน ชีวติ ใหหมดสิ้นไปดวย และที่สุดคือทําใหไมตองไปพึง่ สิง่ ศักดิส์ ิทธิ์หรือ หวังผลดลบันดาลจากสิ่งอืน่ ใดทัง้ หมด แตจะพึง่ ความรูค วามเขาใจใน เสนทางชีวติ ทีถ่ กู ตองนัน้ เองเปนเครือ่ งนําทางในการดําเนินชีวติ จึงทําให ละสีลพั พตปรามาสหรือความงมงายตาง ๆ ไปดวยทัง้ หมด การมีสมั มาทิฏฐิทรี่ เู สนทางการดําเนินชีวติ ทัง้ หมดนี้ อาจเปรียบ ไดกับการไดแผนที่ทถี่ ูกตองอยูใ นมือ และทําการศึกษาเสนทางตาง ๆ บนแผนที่ จนมีความรูความเขาใจในเสนทางบนแผนที่อยางช่ําชอง เมื่อถึงคราวที่จะตองเดินทางไปยังจุดหมายที่ใดที่หนึ่ง ก็จะรูจักที่จะ เลือกเฟนเดินทางบนเสนทางที่ถูกตองบนแผนที่ (=ละสักกายทิฏฐิ) ทําใหมคี วามมัน่ ใจในการเดินทางวาจะไมหลง ชาหรือเร็ว ยอมถึงจุดหมาย ปลายทางอยางแนนอน (ละวิจกิ จิ ฉา) และไมตอ งรูส กึ กลัวหรือระแวงตอ การเดินทางจนตองหาทีพ่ งึ่ ทางใจมาคอยปลอบใจ (=ละสีลพั พตปรามาส) เพราะมีและมัน่ ใจในแผนทีท่ เี่ ปนเครือ่ งนําทาง เปรียบเทียบกับบุคคลทีไ่ มมสี มั มาทิฏฐิ หรือไมมแี ผนทีท่ ถี่ กู ตอง อยูใ นมือ เมือ่ คิดจะเดินทางไปที่ใดทีห่ นึง่ ก็จะยึดเอาความรูส ึกของตน เปนทีต่ งั้ วานาจะเปนเสนทางนีเ้ สนทางนัน้ (=สักกายทิฏฐิ) เมือ่ เปนเชนนี้ ยอมทําใหมีความหวาดหวัน่ และไมมีความมัน่ ใจจริง ๆ ในการเดินทาง (=วิจิกิจฉา) และเพื่อที่จะขจัดความหวาดหวั่นหรือความกลัวที่คอย รบกวนจิตใจ จึงตองนึกพึ่งพิงและออนวอนตอสิง่ ศักดิส์ ิทธิ์ทตี่ นศรัทธา 55
ใหคอยคุมครอง และดลบันดาลใหการตัดสินใจเลือกเสนทางในการ เดินทาง เปนไปโดยถูกตอง (=สีลพั พตปรามาส) การมีสมั มาทิฏฐิในอริยสัจ 4 ทําใหบุคคลมีแผนที่ทถี่ ูกตองอยู ในมือ ซึง่ เปนเครือ่ งมือทีจ่ ะทําใหสงั โยชน 3 หมดสิน้ ไปได บุคคลเมื่อมีสัมมาทิฏฐิเปนเครือ่ งนําทาง ยอมทําใหเกิดศีลที่ เปนธรรมเกิดขึ้นไปดวยดังทีไ่ ดอธิบายไปแลว และเมื่อสามารถปฏิบตั ิ จนทําใหศีลบริบูรณไดเมื่อไร ก็จะทําใหบรรลุเปนพระโสดาบั นและ หากทําราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบาง ก็จะบรรลุพระสกทาคามีในทีส่ ุด การปฏิบตั ิปญ ญาพอประมาณ ในระดับพระอนาคามี การปฏิบตั ิปญ ญาในลําดับถัดไป คือ ปญญาพอประมาณใน ระดับพระอนาคามี เพือ่ ละกามราคะและปฏิฆะสังโยชน การจะเกิดปญญาพอประมาณในระดับอนาคามีไดนนั้ นอกจาก จะตองมีศีลที่บริบูรณในระดับพระโสดาบันแลว ยังจะตองมีสมาธิที่ บริบรู ณ เปนองคประกอบรวมทีส่ ําคัญอีกองคประกอบหนึง่ ดวย สมาธิที่บริบรู ณ เมือ่ พิจารณาในบริบททีพ่ ระพุทธเจาตรัสแลว นาจะหมายถึงภาวะของสมาธิในระดับฌาน ตัง้ แตปฐมฌานเปนตนไป เพราะเปนภาวะที่ “สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทัง้ ปวง” เรือ่ งของ กามไมสามารถแทรกซึมเขามาในภาวะจิตระดับนีไ้ ด ภาวะของจิตทีไ่ ดฌาน มีนยั สําคัญอยางนอย 2 ประการ ทีเ่ ปน เครื่องสนับสนุนจิตใหสามารถปฏิบัติจนเกิดปญญา แลวละสังโยชน คือกามราคะ และปฏิฆะได คือ 1. ความสุขจากฌาน ทีเ่ รียกวา “ฌานสุข” ทําใหจติ มีความ 56
แนวแน และมัน่ คง ไมเกิดความอาลัยอาวรณใน “กามสุข” อีกตอไป สมดังพระพุทธพจนทตี่ รัสไวในพระไตรปฎก เลมที่ 12 ขอที่ 211 วา “...ดูกรมหานาม ถา แม วา อริยสาวกเล็ งเห็นด วยปญญา โดยชอบตามเปนจริงวา กามใหความยินดีนอย มีทุกขมาก มีความ คับแคนมาก โทษในกามนีย้ งิ่ ดังนี้ แตอริยสาวกนัน้ เวนจากกาม เวนจาก อกุศลธรรม ยังไมบรรลุ ปติและสุข หรือกุศลธรรมอื่นที่สงบกวา นั้น เธอจะยังเปนผูไ มเวียนมาในกามไมไดกอน แตเมือ่ ใด อริยสาวกไดเล็ง เห็นดวยปญญาโดยชอบ ตามความเปนจริงอยางนี้วา กามใหความ ยินดีนอย มีทุกขมาก มีความคับแคนมาก โทษในกามนีย้ งิ่ ดังนี้ และเธอ ก็เวนจากกาม เวนจากอกุศลธรรม บรรลุปต ิและสุข หรือกุศลธรรมอืน่ ทีส่ งบกวานัน้ เมือ่ นัน้ เธอยอมเปนผูไ มเวียนมาในกามเปนแท...” 2. ภาวะของจิตในฌานโดยเฉพาะทีแ่ สดงไววา “สงัดจาก กาม” กลาวคือเปนภาวะทีไ่ มมเี รือ่ งของกามเกิดขึน้ รบกวนเลย การปฏิบตั ปิ ญ ญาเพือ่ ละกามราคะและปฏิฆะนัน้ จะตองปฏิบตั ิ จนเกิดปญญาเห็นแจงตนตอการเกิดขึ้นของกามราคะและปฏิฆะนั้น ซึง่ พระพุทธเจาไดตรัสแนะแนวทางใหแลวในพระไตรปฎก เลมที่ 22 ขอ 334 วา “อารมณอนั วิจติ รทั้งหลายในโลกไมชื่อวากาม ความกําหนัด ทีเ่ กิดขึน้ ดวยสามารถแหงความดําริของบุคคล ชือ่ วากาม” ภาวะของจิตทีอ่ ยูใ นฌาน เปนภาวะทีย่ งั ไมมีดําริใด ๆ เกีย่ วกับ กาม เพราะเปนภาวะทีส่ งัดจากกาม จึงทําใหบคุ คลประจักษชดั วาภาวะ ที่ยังไมเกิดความรูสึกที่เปนกามนั้นเปนอยางไร ตอเมื่อออกจากฌาน จิตจึงเริม่ มารวมรับรูก บั ประสาท 5 คือ ตา หู จมูก ลิน้ และกายประสาท และเกิดความรับรู รูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัสทางกาย ขึน้ ความดําริ ดวยความกําหนัดทีม่ ตี อ รูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัสทางกาย จึงเกิดขึน้ 57
โดยเมือ่ ดําริวา เปนสิง่ ทีน่ ารักนาใคร จะทําใหเกิดกามราคะ หากดําริวา เปนสิง่ ทีน่ าขัดเคืองไมนาพอใจ ก็จะทําใหเกิดปฏิฆะ บุคคลเมื่อเกิดปญญาเห็นเชนนี้ จึงประจักษแจงวา ที่แททั้ง เรื่ องของกามและกามสุขเป นของหลอกที่ เกิดขึ้ นจากจิ ตของบุ คคล ดําริหรือจินตนาการไปเอง จึงทําใหไมหลงใหล ไมยนิ ดีรวมถึงไมยนิ ราย ในเรือ่ งของกามและกามสุขอีกตอไป ประกอบกับจิตทีไ่ ดฌานมีนริ ามิสสุข เกิดขึน้ ดวย จึงไดอาศัยความสุขทีเ่ กิดขึน้ นี้ ทดแทนความสุขทีเ่ ปนกามสุข ทําใหไมมคี วามอาลัยอาวรณตอ กามสุขอีกตอไป ทัง้ หมดทีไ่ ดกลาวไปนี้ จึงทําใหสามารถละสังโยชนคอื กามราคะและปฏิฆะ ไดอยางเด็ดขาด การปฏิบตั ิปญ ญาสมบูรณในระดับพระอรหันต การปฏิบตั ิปญ ญาในระดับสุดทาย คือระดับพระอรหันต เพือ่ ละสังโยชนทเี่ หลือทัง้ หมดอีก 5 ประการ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา ซึง่ กลาวโดยสรุป คือความยินดีพอใจหรือความ ยึดติดถือมัน่ ในความสุขทีเ่ กิดจากฌาน และภาวะตางๆ ทีเ่ กีย่ วเนือ่ งใน ระดับฌาน ซึง่ รวบยอดมาอยูท เี่ รือ่ งของความรูส กึ วาเราทีอ่ ยูล กึ ทีส่ ดุ การปฏิบตั ิปญ ญาในระดับนี้ เปนการปฏิบัตเิ พือ่ ทําปญญาให บริบูรณโดยตรง เพราะองคประกอบทีเ่ ปนสิกขา อีก 2 เรือ่ งคือศีลและ สมาธินั้น ไดปฏิบัติจนบริบูรณแลว การปฏิบัติปญญาใหบริบูรณใน ระดับนี้ จึงเนนการพิจารณาในไตรลักษณ คือพิจารณาใหเห็นอนิจจัง (ความไมเทีย่ ง) ทุกขัง (ความทีท่ นอยูใ นสภาพเดิมไมได) และอนัตตา (ความไมใชตวั ตน) ในภาวะของฌาน จนสามารถถอนความยินดีพอใจ และความยึดติดถือมั่นในฌานและภาวะตาง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องในระดับ 58
ฌาน รวมทั้งความรูส ึกที่เปนเราทีล่ ะเอียดทีส่ ุดไดอยางเด็ดขาด ทําให ละสังโยชนคอื รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชาไดหมดสิน้ บรรลุเปนพระอรหันต ซึ่งเปนอุดมคติสูงสุดตามคําสอนในพระพุทธศาสนา เปนผูที่สามารถดับทุกขดับกิเลสไดอยางหมดจดและสิ้นเชิง เปนพระอเสขะ ที่ไมมีกิจใด ๆ ที่จะตองปฏิบัติเพื่อความดับทุกขดับ กิเลสอีกตอไป
59
การปฏิบัติไตรสิกขาแบบประยุกต ตอจากนี้ จะขอนําเสนอการปฏิบัตไิ ตรสิกขาในแบบประยุกต เพือ่ ใหสามารถปฏิบตั ไิ ดตลอดเวลา ในทุกสถานการณ และเปนอันหนึง่ อันเดียวกันกับชีวติ ประจําวัน ซึง่ สามารถทําไดโดยอาศัย “สติ” เปนแกน ของการปฏิบตั ิ การปฏิบตั โิ ดยอาศัยสติเปนแกนกลางในการปฏิบตั ิ จากเรือ่ งของไตรสิกขาทีไ่ ดอธิบายไปแลว ทําใหเห็นรายละเอียด และหัวใจของสวนที่เปนแกนหรือแกนของไตรสิกขาในแตละเรื่อง จึง ทําใหสามารถประยุกตการปฏิบตั ิไตรสิกขา โดยอาศัย “สติ” เปนแกน กลางของการปฏิบตั ไิ ดดงั นี้ 1. ใหมี "สติ" ระลึกใน "สัมมาทิฏฐิ" (= ความรูค วามเขาใจ ในเรือ่ งของชีวติ ตลอดจนคุณคาความหมายของสิง่ ตางๆทีถ่ กู ตอง) แลวไปเกีย่ วของกับสิง่ ตางๆ เหลานั้นดวยกายและวาจาตามนัย ของ “สัมมาทิฏฐิ” นั้น จะทําใหเกิดสิ่งที่เรียกวา “ศีล” หรืออาจแตก ออกไปไดเปน สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ 2. ให มี "สติ" ระลึกตั้งมั่นแนวแนอยูใ นอารมณหรือสิง่ ที่ กําหนด จะทําใหเกิดสิง่ ทีเ่ รียกวา ”สมาธิ” หรืออาจแตกออกไปไดเปน สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ 3. ให มี "สติ" ระลึกพิจารณาหรือไตสวนอารมณหรือสิง่ ที่ รับรู เพือ่ ใหรูเทาทันความจริง โดยอาศัยอริยสัจ 4 เปนกรอบในการ พิจารณา วาการรับรูต อสิง่ ตางๆ อยางไรที่จะทําใหเกิดทุกข และรับรู อยางไร จึงจะไมเกิดทุกข จะทําใหเกิดสิง่ ทีเ่ รียกวา “ปญญา” หรืออาจ 60
แตกออกไปไดเปน สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ การจะปฏิบตั ิ สติ อยางไรใน 3 ลักษณะทีก่ ลาวขางตน ขึน้ อยู กับสถานการณของชีวติ ในขณะนัน้ เปนสําคัญ ในภาวะปกติ ทั่ วไป การปฏิ บั ติ จะหนั กไปในทางศี ล กลาวคือใหมีสติระลึกในสัมมาทิฏฐิ หรือความรูค วามเขาใจในคุณคา ความหมายที่ถูกตองของเรือ่ งตาง ๆ ทัง้ ทีเ่ ปนบุคคล สิง่ ของ กฎ กติกา มรรยาท ฯลฯ แลวจึงใชกายและวาจาไปทําหนาทีเ่ กีย่ วของใหถูกตอง ตามสัมมาทิฏฐินนั้ ๆ ก็จะทําใหเกิดผลเปนการกระทําถูกตอง ไมกอให เกิดปญหาหรือความทุกข ทีจ่ ะมาสรางความเดือดรอน ใหเกิดขึน้ ทัง้ แก ตนเองและสังคม ในภาวะทีจ่ ิตรูส ึกเหน็ดเหนือ่ ย ไมมีพลัง วุนวาย หรือมี อารมณตา ง ๆ รบกวนจิตใจ การปฏิบตั ิจะหนักไปในทางสมาธิ กลาวคือ ให มี "สติ" ระลึกตัง้ มัน่ แนวแนอยูใ นสิง่ หรืออารมณที่กําหนด ก็จะทําใหอารมณทั้งหลายที่รบกวนจิตสงบลง ทําใหจิตมีภาวะสงบ ผองใส ตั้งมั่น เต็มเปย มดวยพลัง และเมื่อจิตมีความพรอมเชนนี้แลว จึงออกจากสมาธิ แลวมาทําหนาทีต่ า ง ๆ ทีจ่ ะตองทําตอไป ในภาวะทีจ่ ติ ประสบปญหา ไมวา จะเปนปญหาอะไรก็ตาม ทัง้ ทีเ่ ปนปญหาเกีย่ วของกับบุคคล สังคม การงาน ฯลฯ หรือปญหา ของตัวจิตเอง เชน ความทุกข ความไมสบายใจ ความวิตกกังวล การปฏิบตั ใิ นสถานการณแบบนีจ้ ะหนักไปในทางปญญา ซึง่ ปญญา ในทีน่ ี้อยางทีไ่ ดกลาวไปแลว คือ เปนปญญาทีม่ ุงถอนหรือละอุปาทาน หรือยกจิตใหอยูเ หนืออิทธิพลรอยรัดเสียดแทงจากสิง่ ทีจ่ ติ รับรู ดังนัน้ “สติ” ในกรณีนจี้ ะทําหนาที่ตามระลึก พิจารณา ไตสวน วาจิตไปมีทาทีรับรู ตอสิ่งนั้นผิดอยางไร สิ่งนั้นจึงทําใหจิตเกิดทุกขได และจะตองมีทาที 61
รับรูใ หถกู ตองอยางไร จึงไมทําใหเกิดทุกข เมือ่ เกิดปญญารูเขาใจ ก็จะ คอย ๆ ปรับใหจติ มีทาทีการรับรูท ถี่ กู ตองยิง่ ขึน้ ๆ ความทุกขในชีวติ ก็จะ นอยลง ๆ ตามลําดับ กลาวโดยสรุป สถานการณตา ง ๆ ของชีวติ มีอยู 3 สถานการณ ใหญ ๆ ดังทีก่ ลาวมาแลว การปฏิบตั ธิ รรมของบุคคลจึงขึน้ อยูก บั สถานการณเปนหลัก แลวปรับเปลีย่ นไปมาอยูต ลอดเวลา ขึน้ กับวาสถานการณ ตาง ๆ จะแปรเปลีย่ นไปอยางไร หากบุคคลสามารถปฏิบตั สิ ติไดถกู ตอง และสอดคลองกับสถานการณจริง นัน่ หมายความวาจะทําใหทกุ สถานการณของชีวิต เปนไปดวยดี และยังทําใหกิเลสและทุกขในอริยสัจของ บุคคลไดรบั การบรรเทาและทําใหหมดสิน้ ไปพรอม ๆ กัน กลาวเพิ่มเติมในกรณีประสบปญหา หรือมีปญหาเกิดขึน้ และ บุคคลไดใชวิธปี ฏิบัติสติเพื่อใหเกิดปญญาตามที่ไดรับคําแนะนํานี้ แตในขณะนัน้ หากไมเกิดปญญา ปญหาตาง ๆ ก็ยงั เกิดขึน้ รบกวนจิต คราวนี้แนะนําใหปฏิบตั ิสติเพือ่ ใหเกิดสมาธิ ปญหาตาง ๆ ก็จะถูก ทําใหสงบลง ไมรบกวนจิตเปนการชัว่ คราว แตหากในขณะนัน้ ก็ยังไม สามารถทําสมาธิใหเกิดขึน้ ได ในขัน้ นี้ขอแนะนําใหปฏิบตั ิสติเพือ่ ให เกิดศีล ปญหาตาง ๆ จะถูกจํากัดใหอยูแ ตภายในใจ ไมลุกลามบาน ปลายออกมาภายนอกโดยทางกายและวาจา ทําใหสามารถจํากัดขอบเขต ของปญหา ใหอยูแ ตภายในใจ ทําใหแกไขไดงา ยขึน้ ในภายหลัง แตหาก ไมสามารถปฏิบตั ใิ หเกิดศีล ปญหาก็จะลุกลามออกมาภายนอกทางกาย และวาจา ทําใหยากตอการควบคุมและแกไขมากขึน้ สิง่ ทีเ่ รียกวาอบาย หรือความเสือ่ มตาง ๆ มากมายจะเกิดขึน้ ติดตามมา
62
บทสรุป หนังสือ “ไตรสิกขา : ระบบการศึกษาของพระพุทธเจา” ขอยุติ ไวเพียงนี้ ดวยหวังเปนอยางยิง่ วา จะชวยใหทานผูอ านเขาใจและเห็น ประโยชนของไตรสิกขาในแงมมุ ตาง ๆ เพิม่ มากขึน้ จนทําใหเกิดความ มัน่ ใจในการศึกษาและปฏิบตั ติ ามหลักของไตรสิกขา เพือ่ บรรลุจดุ หมาย ที่เปนอุดมคติของชีวิตตามที่พระพุทธเจาตรัสสอนมากยิง่ ขึน้ ตลอดจน เห็นความสมบูรณแบบของระบบไตรสิกขาทีจ่ ะใชเปนหลักในการเผยแผ คําสอนของพระพุทธเจา เพื่อใหบังเกิดประโยชนแกมหาชนไดอยาง กวางขวางและมีประสิทธิภาพยิง่ ขึน้ และทีม่ งุ หวังเปนพิเศษ คือสามารถ อาศัยนํามาใชเปนคูม อื ในการศึกษาและปฏิบตั แิ กผเู ริม่ ตนไดเปนอยางดี ขอความเจริญในธรรม จงมีแกทานผูอ า นทุกทาน.
63
ดรรชนีคนคํา Master Key 33 กมฺมนีโย 9, 37 กาม 43, 57, 58 กามคุณ 44 กามฉันท 36 กามตัณหา 52 กามภพ 11, 12 กามภพทีเ่ ปนทุคติ 11, 12 กามภพทีเ่ ปนสุคติ 11, 12 กามราคะ 13, 48, 49, 50, 56, 57, 58 กามสุข 17, 43, 44, 57, 58 กามุปาทาน 47 กิเลส 2 ขณิกสมาธิ 7 ขันธ5 51, ความสุ ข 2, 16, 17 ความสุขที่เกิดจากปญญา 18 ความสุขที่เกิดจากศีล 18 ความสุขที่เกิดจากสมาธิ 18 ฌานสุข 17, 18, 43, 56 ตัณหา 28, 52, 53 ไตรลักษณ 58 ไตรสิกขา 1, 2, 3, 6, 8, 11, 12, 13, 14, 15, 16, 19, 53, 60 ถีนมิทธะ 36 ทิฏุปาทาน 47 ทุกขในอริยสัจ 51, 53, 54 ทุกขัง 51, 58 โทสะ 13, 49 ธาตุดิ น 25 ธาตุน้ํา 25 ธาตุไฟ 25 ธาตุลม 25 นรก 1 นิจจัง 51 นิพพาน 12, 43 นิโรธในอริยสัจ 52, 53
นิวรณ5 36, 37, 39 บานทางจิต 40, 41 ปฏิฆะ 13, 48, 49, 50, 56, 57, 58 ปฏิภาคนิมิต 45 ปริยุฏฐานกิเลส 15, 16 ปริสุทฺโธ 9, 37 ปลิโพธ 44 ปญญา 1, 4, 5, 8, 10, 12, 13, 14, 15,16, 47, 49, 53, 60, 61 ปญญาบริบูรณ 14, 49, 50 ปญญาพอประมาณ 13, 49, 50 ปาฏิโมกข 20 ปาราชิก 21 เปรต 11 พยาบาท 36 โพธิญาณ 27 ภพภูมิ 2, 11, 12, 54 ภวตัณหา 52 มรรคในอริยสัจ 53 มานะ 49, 50, 58 โมหะ 13, 49 ราคะ 13, 49 รูปราคะ 48, 49, 50, 58 รูปขันธ 51 รูปฌาน 11, 14, 44, 45 46 รูปพรหม 11, 12 รูปภพ 11, 12 วัฏสงสาร 11, 54 วิจิกิจฉา 13, 36, 48, 49, 50, 55 วิญญาณขันธ 51 วิติกกมกิเลส 15, 16 วินัย 12 วิบากกรรม 21 วิปสสนา 7 วิปสสนาญาณ16 7 วิภวตัณหา 52 วิมุตติสุข 17, 18
เวทนาขันธ 51 ศีล 1, 4, 5, 8, 9, 10, 12 13, 14, 15, 16, 19, 49, 53, 60, 61 ศีลที่เปนธรรม 20, 21, 22, 33, 34 ศีลที่เปนวินัย 20, 21, 23, 34 ศีลบริบูรณ 13, 14, 49, 56 สกทาคามิ มรรค 6 สกทาคามี 13, สติปฏ ฐาน 4 2, 6, 7 สมถวิปสสนา 2 สมถะ 7 สมาธิ 1, 4, 5, 8, 9, 10, 12, 13, 14, 15, 16, 49, 53, 60, 61 สมาธิบริบูรณ 13, 14, 49, 56 สมาธิพอประมาณ 13, 49 สมาหิโต 9, 37 สมุทัยในอริยสัจ 52, สักกายทิฏฐิ 13, 48, 49, 50, 54, 55 สังขารขั นธ 51 สังโยชน 2, 7, 13, 14, 48, 49, 50 สัญญาขันธ 51 สัตวเดรัจฉาน 11 สัมมากันมันตะ 4, 20, 60 สัมมาทิฏฐิ 4, 5, 21, 23 24-34, 55, 60, 61 สัมมาทิฏฐิสมบูรณ 50 สัมมาวาจา 4, 20, 60 สัมมาวายามะ 4, 5, 60 สัมมาสติ 4, 5, 60 สัมมาสมาธิ 4, 5, 35, 60 สัมมาสังกัปปะ 4, 5, 61 สัมมาอาชีวะ 4, 20, 60 สัสสตทิฏฐิ 52
64
สิกขาบท 12, 21 สีลัพพตปรามาส 13, 48, 50, 55, 56 สีลัพพตุปาทาน 48 สุขัง 51 โสดาบัน 13, 20, 49, 50 56 โสดาปตติมรรค 6 หนาที่ 26, 27, 28 อธิจิต 40, 46 อธิจิตตสิกขา 1, 3, 5 อธิปญญาสิกขา 1, 3 อธิศีลสิกขา 1, 3 อนัตตา 51, 58 อนาคามี 13, 49, 56 อนิจจัง 51, 58 อนุสยกิเลส 15, 16 อบายภูมิ 11, 52 อรหันต 13, 49 อริยบุคคล 2, 6, 7, 54 อริยมรรคมีองค8 2, 3, 5, 6, 53 อริยสัจ 3, 6, 12, 51, 53 อรูปฌาน 11, 14 อรูปพรหม 11, 12 อรูปภพ 11, 12 อรูปราคะ 49, 50, 58 อวิชชา 49, 50, 58 อสุรกาย 11 อัตตวาทุปาทาน 48 อัตตา 51 อัปปนาสมาธิ 7 อาบัติ 21 อารมณกรรมฐาน 38, 39, 40 อุคคหนิมิต 45 อุจเฉททิฏฐิ 52 อุทธัจจะ 49, 50, 58 อุทธัจจะกุกกุจจะ 36 อุปจารสมาธิ 7 อุปาทาน 47, 51, 53 อุปาทานขันธ5 51, 53
รายชือ่ หนังสือทีไ่ ดจดั พิมพมาแลวของผูเ รียบเรียง พ.ศ. 2548 “ความหมายคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ และการพัฒนาชีวิ ตที่ สมบู รณ แบบ” พ.ศ. 2549 “ความพอเพียง คือทางรอดของมนุษยและสังคม”
พ.ศ. 2550 “หลั กธรรมพื้นฐานที่ ชาวพุทธพึงรู ”
พ.ศ. 2551 “คูมือบัณฑิตของแผนดิน”
พ.ศ. 2552 “คูมือปญญา ในพระพุทธศาสนา”
พ.ศ. 2553 “ปฏิจจสมุปบาท ฉบับวิเคราะห-สังเคราะห”
65
รายชือ่ หนังสือทีไ่ ดจดั พิมพมาแลวของผูเ รียบเรียง
พ.ศ. 2554 “สติปฏฐาน 4 ฉบับวิเคราะห-สังเคราะห”
พ.ศ. 2555 “อริ ยสัจสําหรับทุกคน”
พ.ศ. 2556 “ความสุขทุกมิตติ ามหลักพระพุทธศาสนา”
พ.ศ. 2557 “ชีวิตติ ดป ญญา”
พ.ศ. 2558 - 2559 “ปฏิบัติธรรม (ทําไม? - อยางไร?)”
66
ทายเลม หลักธรรม คําสัง่ สอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจานัน้ หากมองแบบผาน ๆ ไปอาจจะรูส กึ วาเขาถึงและเขาใจไดยาก แตถา ลองเพียรพยายามสักนิด จะพบวาเกิดความเขาใจไดงา ยกวาทีค่ ดิ ไวมาก เพราะธรรมทีท่ รงแสดงไว จริง ๆ แลวเปนเรือ่ งใกลตัว และเปนปจจุบนั ทัง้ สิน้ หวังวาเมือ่ ทุกทานไดอา น ไตรสิกขา : ระบบการศึกษาของพระพุทธเจา มาจนถึงหนาสุดทายนีแ้ ลว คงจะมีความเขาใจและสามารถนําไปปฏิบตั ิ เพือ่ การเริม่ ตนสูค วามหลุดพน หรือใชประคับประคองการดําเนินชีวติ อยางมีปกติสขุ ตามแนวทางของพระพุทธองค กรรชิต จิตระทาน ผูอ ํานวยการสํานักบริหารศิลปวัฒนธรรม
67