THE BEST OF MOROCCO โมรอคโค ดินแดนฟ้ าจรดทราย 10 วัน 7 คืน
** นั่ง4Wheel ขี่อูฐ นอนดูดาวกลางทะเลทรายซาฮาร่า ** ** สัมผัสมนต์เสน่หแ์ ห่งโมรอคโค “เชฟ ชาอูน” เมื องโบราณที่ถูกย้อมด้วยสีฟ้า! เก่าแก่ท่ ีสุดในโมร็ อกโก ** ตื่ นตากับเมื องเฟส เมื องหลวงเก่าในศ.ต. ที่ 8 ที่ได้ช่ ื อว่ามีองที่มีตรอกมากที่สุดในโลกถึง 9,400 ตรอก ** ชมร่องรอยความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันในอดีต เมื องโรมันโบราณ “โวลูบิลิส” ** นาทริปโดย คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย **
** เดินทางวันอาทิ ตย์ที่ 5 – 14 พฤศจิ กายน 2560 **
กำหนดกำรเดินทำง 5-14 พ.ย. 60 วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2560 กรุงเทพฯ (Bangkok) – อาบูดาบี (Abu Dhabi)
17.00 น. 20.10น.
พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 เค้าท์เตอร์ สายการบิน อิทิฮัดแอร์ เวย์ส เจ้าหน้าที่บริษัทฯ ให้การต้อนรับและอานวยความสะดวกในการเช็คอิน ออกเดินทางสู่อาบูดาบี (Abu Dhabi) โดยเที่ยวบินที่ EY 401 BKK AUH 2010 – 0005 (7.00 ช.ม) เชิญ เพลิดเพลินกับจอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง พร้อมบริการอาหารและเครื่องดื่ม
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิ กายน 2560 อาบูดาบี (Abu Dhabi) – คาซาบลังก้า (Casablanca) – ราบัต (Rabat)
02.35 น.
เปลี่ยนเครื่องบินไปคาซาบลังก้า เที่ยวบิน EY 613 0230 AUH CMN 0235 - 0740 บินต่ออีกประมาณ 9.05 ชั่วโมง (รวมเวลาบิน และเปลี่ยนเครื่อง 18.30 ชม.) 07.40 น. เครื่องลงจอดที่สนามบินนานาชาติเมืองคำซำบลังก้ำ (Casablanca) ประเทศโมรอคโค (เวลาท้องถิ่น ช้ากว่า ประเทศไทย 7 ช.ม.) นาท่านผ่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร พบมัคคุเทศก์ท้องถิ่นแล้ว นาท่านสู่เมือง คาซาบลังก้า คาว่า 'คาซา' แปลว่า บ้าน และ 'บลังก้า' แปลว่า สีขาว คาซาบลังก้า เป็นเมืองที่คน ทั่วโลกรู้จัก และอาจรู้จักมากกว่า 'ราชอาณาจักรโมรอคโค' ด้วยซ้าเพราะนอกจากจะเป็นเมืองท่าและเป็นที่ตั้งของ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศแล้วยังถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง Casablanca (โดยที่ไม่ได้ถ่ายทาใน คาซาบลังก้าเลย) เป็นเรื่องราวความรักระหว่างนายทหารอเมริกันและหญิงคนรัก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทาให้ คาซาบลังก้าเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และปัจจุบันเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของโมรอคโคที่มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ เกือบ 5 ล้านคน ชมเมืองคาซาบลังก้า ผ่านย่านธุรกิจสาคัญ จัตุรัสสหประชาชาติ ผ่านชมย่านบ้านพักตากอากาศริม มหาสมุทรแอตแลนติคซึ่งเป็นย่านที่เศรษฐีและผู้มีฐานะทางสังคมนิยมมาอยู่กันรวมถึงกษัตริย์ซาอุดิอารเบียก็มา สร้างวังพร้อมทั้งมีมัสยิดและหอสมุดส่วนพระองค์ ชมวิวทิวทัศน์ของมหาสมุทรแอตแลนติค นาท่านชม บริเวณภำยนอกของ สุเหร่ำแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก เมืองเมกกะ สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง สามารถจุผู้คนที่เข้าร่วมพิธีทาง ศาสนาอิสลามได้ร่วม 80,000 คน โดยแยกเป็นภายในสุเหร่า 25,000 คน ภายนอกสุเหร่าอีก 55,000 คน ชม ทิวทัศน์รอบๆ สุเหร่าอันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่สวยงามของชาวโมรอค โคที่ชอบมาเดินเล่นหลังจากปฏิบัติศาสนกิจเสร็จแล้ว
กลางวัน
ค่า
รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร นาท่านเดินทางไปยัง ย่ำนไอน์เดียบ (Ain Diab) ที่เป็นย่านตากอากาศริมทะเลริมมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นถิ่นพานักของผู้มีฐานะทางสังคม รวมทั้งนักแสดงดาราชื่อดังของฮอลลีวู้ดบางรายก็มีบ้านพักอยู่แถบนี้ด้วย นอกจากจะมีชายหาดสาหรับพักผ่อนแล้วยังมีภัตตาคารหรูหราหลายระดับตามความสามารถในการจ่าย สถานที่ เล่นกีฬา สระว่ายน้าคอร์ทเทนนิส สนามวอลเลย์บอล และแม้แต่ดีสโกเธคก็มีบริการ หลังจากนั้นนาท่านออกเดินทางสู่เมืองรำบัต (Rabat) เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโมรอคโค (ระยะทาง 94 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.) รับประทานอาหารค่า ที่โรงแรม พักค้างคืนที่ราบัตโรงแรม Hotel Majliss หรือเทียบเท่า
วันอังคารที่ 7 พฤศจิ กายน 2560 ราบัต (Rabat) – แทนเจียร์ (Tangier) - เชฟชาอูน (Chefchaouen) เช้า
กลางวัน
รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก หลังอาหารเช้านาท่านชมเมืองราบัตเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโมรอคโคมาตั้งแต่ปีค.ศ.1956 เมื่อโมรอคโคหลุด พ้นจากการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของฝรั่งเศส เป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทาเนียบทูตานุทูตจากต่าง แดน เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดและสวยงาม นาท่านชม ป้อมอูดำยำ (Oudayas Fortress) ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้น ที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ล้อมรอบด้วยกาแพงสูงใหญ่ เป็นป้อมที่สเปนสร้างขึ้นเมื่อสมัยที่สเปนยึดครองโม รอคโค ด้านในมีสวนดอกไม้แบบสเปน และเป็น เมดิน่ำ หรือชุมชนชาวเมืองซึ่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนทาทาบด้วยสี ฟ้า-ขาว ที่สะอาดตาน่าเดินเล่น บรรยากาศริมทะเลคล้ายเมืองซานโตรินี นับเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่สาคัญของโม รอคโค ในอดีตใช้ป้องกันข้าศึกจากการรุกรานทั้งจากประเทศที่ล่าอาณานิคมและในยุคที่โจรสลัดชุกชุม จากนั้นชมสุเหร่ำหลวง และ พระรำชวังหลวง ที่ทุกเที่ยงวันศุกร์ กษัตริย์แห่งโมรอคโคจะทรงม้าจากพระราชวัง มายังสุเหร่า เพื่อประกอบศาสนกิจ ชมสุสำนของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 พระอัยกาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมี ทหารยามยืนเฝ้าสง่าทุกประตู และเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของ สุสาน คือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่ไม่สาเร็จ และพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ใน บริเวณกว้าง 183x139 เมตร จากนั้นนาท่านไปชม หอคอยฮัสซัน “Hassan Tower” ส่วนหนึ่งของมัสยิดฮัสซัน ซึ่งได้วางแผนไว้ให้เป็นสุเหร่าที่ใหญ่อันดับ 2 ของโลก สามารถบรรจุผู้ที่เข้ามาสวดมนต์ได้พร้อมกันคราวละ 40,000 คน (แต่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ) รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร บ่ายนาท่านเดินทางสู่ เมืองแทนเจียร์ (Tangier) เป็นเมืองริมชายฝั่ง และเป็นเมืองท่าที่สาคัญ ที่ตั้งอยู่ทางตอน เหนือของประเทศโมร็อกโก และอยู่ทางตอนใต้ของ “ช่องแคบยิบรอลตาร์” ปัจจุบันเมืองท่าแห่งนี้ได้กลายเป็น
จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สาคัญอีกแห่งของโมร็อกโกอีกด้วย นอกจากนี้แล้วเมืองแทนเจีย ร์ยังเป็น เมืองที่มีความสาคัญทางด้านประวัติศาสตร์ไม่น้อยไปกว่าเมืองอื่นๆ อีกทั้งรอบๆตัวเมืองยังมีความโดดเด่นด้วย ทัศนียภาพที่สวยงาม รวมไปถึงหาดทรายและผู้คนที่แสนจะเป็นมิตร ชมวิวช่องแคบยิบรอลต้า ที่คั่นแบ่งระหว่าง ทวีปยุโรป และ ทวีปแอฟริกา ตามตานานเล่าว่า เป็น เพราะเทพเฮอร์คิวลิส ที่ต้องการเดินทางผ่านไปยังสุดขอบ ตะวันตกจึงยกแผ่นหินออกทาให้เกิดช่องแคบยิบรอลต้าขึ้น จากนั้นนาชม แกรนด์ ซัคโค (Grand Socco) หรือที่ รู้จักกันว่า "บิ๊กสแควร์" จัตุรัสที่รายล้อมไปด้วยเขตเมืองเก่า หรือย่านเมดินา ซึ่งถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดของเมืองแทนเจียร์ อีกทั้งยังถือว่าเป็นตลาดหลักของเมืองอีกด้วย
ค่า
หลั งจากนั้ น น าท่านเดินทางต่อ สู่ นครสีฟ้ำ เชฟชำอูน (Chefchaouen) เมืองที่ได้ชื่อว่า “ มนต์เสน่ห์แห่ ง โมร็อกโก “ แม้ว่าโมรอคโคจะเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉี ยงเหนือของทวีปแอฟริกา แต่เพราะการที่มี อาณาเขตติดต่อกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติก จึงทาให้ภูมิอากาศของประเทศเป็นแบบเมดิ เตอร์เรเนียนคล้ายตอนใต้ของอิตาลีและ สเปน เมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen) เป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ในหุบเขาริฟ (Rif Mountain หรือ Er-Rif) ประวัติความเป็นมาของเมืองนั้นยาวนานกว่า 538 ปี ในอดีตก่อนที่โมรอคโคจะได้รับ เสรีภาพในการปกครองประเทศทั้งหมดในปี 1956 เมืองเชฟชาอูนเคยอยู่ใต้การปกครองของสเปนมาก่อน และจน บัดนี้ประชากรที่มีประมาณ 40,000 คน ก็ยังคงใช้ภาษาสเปนกันอย่างแพร่หลาย อากาศบริสุทธิ์ และความสะอาด ของเมืองเชฟชาอูนได้สร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆที่ทาให้นักท่องเที่ยวที่เหนื่อยล้ามาจากการตระเวนเที่ยวที่ เมืองอื่นหายเหนื่อยได้ สาหรับท่านที่ชื่นชอบในสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโค ไม่ควรพลาดเมืองเล็ก ๆ ที่บ้านเรือน ทาทาบด้ ว ยสี ฟ้ า และสี ข าว แห่ งนี้ ที เดี ย ว สาเหตุ ที่ เมื อ งเชฟชาอู น ถื อ ว่ าเป็ น สวรรค์ ข องคนรัก สี ฟ้ า และสี ข าว โดยเฉพาะสีฟ้า นั่นก็เพราะว่าเชฟชาอูนเป็นเมืองที่บ้านเรือนเกือบทุกหลังเป็นสีขาว และมีครึ่งล่างไปจนถึงบริเวณ ถนน บันได และทางเดิน เป็นสีฟ้าสดใสเหมือนวันที่ท้องฟ้าไร้เมฆ รับประทานอาหารค่า ที่โรงแรม พักค้างคืนในนครสีฟ้า เชพชาอูนโรงแรม Parador หรือเทียบเท่า
วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560 เชฟชาอูน (Chefchaouen) โวลูบิลิส (Volubilis)– เมคเนส (Meknes) – เฟส (Fes) เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก หลังอาหารเช้านาท่านเที่ยวชม นครสีฟ้าเชฟชาอูน (Chefchaouen) จากนั้น นาท่านออกเดินทางสู่เมืองเมคเนส (Meknes) (ระยะทาง 195 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.30 ชม.) แวะชม เมืองโบรำณโรมันโวลูบิลิส (Roman city of Volubilis) ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึง ร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต อดีตเมืองโบราณแห่งจักรวรรดิโรมันแห่งนี้มีความสาคัญยิ่งใน
ยุคศตวรรษที่ 3 และล่มสลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 เมืองโรมันโบรำณแห่งนี้ได้รับกำรขึ้นทะเบียน เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1997 กลางวัน รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร บ่าย เมคเนส (Meknes) หนึ่งในเมืองมรดกโลกรับรองโดยยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ.1996 อดีตเมืองหลวงในสมัยสุลต่าน มูเล อิสมาอิล (Mouley Ismail) แห่งราชวงศ์อะลาวิท (Alawite Dynasty) ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบ การทาสงครามในช่วงศตวรรษที่ 17 ด้วยทาเลที่ตั้งที่มีแม่น้าไหลผ่านกลางเมือง เมกเนสจึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิต มะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ มีกาแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม. ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู แวะชม ประตูบับมันซู (Bab Mansour Monumental Gate) เป็นประตูที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด ตกแต่งด้วยโมเสค และกระเบื้องสีเขียวสดบนผนังสีแสด จากนั้นเดินทางสู่เมืองเฟซ (Fes) (ระยะทาง 82 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.) เส้นทางนี้ผ่านเทือกเขาแอตลาส ชื่อที่คุ้นเคยกันมานาน โดยเดินทางข้าม Middle Atlas ภูมิประเทศเขียวชอุ่มไป ด้วยป่าไม้ สองข้างทางเปลี่ยนสภาพจากความแห้งแล้วเป็นป่าไม้ พุ่ม และสลับกับความแห้งแล้งของภูเขา จนเข้าสู่เมือง เฟส ค่า รับประทานอาหาร และ พักค้างคืนในเฟสโรงแรม I’Escale วันพฤหัสที่ 9 พฤศจิกายน 2560 เฟส (Fes) - อิเฟรน (Ifrane) – เอร์ฟดู ์ (Erfoud) เช้า
รับประทานอาหารกลางวัน ณ โรงแรมที่พัก นาท่านเที่ยวชม เมืองเฟส (Fes) เมืองหลวงเก่าในศ.ต. ที่ 8 ที่มีความสาคัญทางประวัติศาสตร์เป็นเมืองสาคัญทางด้าน ศาสนาตั้งแต่ยุค ศต. ที่ 8 เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโมรอคโค นาท่านเดินชม ย่ำนเมืองเก่ำแห่งเฟซ (Medina of Fes) เขตเมืองเก่าอันกว้างใหญ่ มีซอยกว่า 10,000 ซอย โดยจะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ ทองเหลือง ทองแดง จะมีร้านค้าเล็กๆที่หน้าร้านจะมีหม้อ กระทะ อุปกรณ์เครื่องครัว วางแขวนห้อยเต็มไปหมด ย่าน ขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม ย่านงานเครื่อง จักสาน งานแกะสลักไม้ มีเวลาให้ท่านเดินเล่นเลือกซื้อของฝาก ตามอัธยาศัย ชม สุเหร่าใหญ่ไคราวีน (Kairaouine Mosque) ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมรอคโค และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว (เฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น) ชม บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบ โบรำณประจำเมืองเฟส (Chouara Tannery) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส ถูกอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก้ เมืองเฟส จึงเป็นสถานที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนอย่างยิ่ง นาท่านเดินทางสู่ เมืองอิเฟรน (Ifrane) (ระยะทาง 70 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.20 ชม.) อิเฟรน เป็นเมืองพัก ตากอากาศบนความสูงกว่า 1,650 เมตรเหนือระดับน้าทะเล ซึ่งในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างเมืองขึ้นบริเวณนี้ เป็นสถานที่ พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน บ้างก็เรียกเมืองอิเฟรนว่า เจนีวาแห่งโมรอคโค หรือ “สวิตเซอร์แลนด์แห่งโมรอคโค”
บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง มีดอกไม้ และทะเลสาบสวยงาม นาท่านเดินเล่นภายในเมืองและเก็บภาพบรรายากาศอัน สวยงามอีกแห่งของโมรอคโค จากนั้นนาท่านเดินทางต่อสู่เมือง มิเดลท์ (Midelt) กลางวัน รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร บ่าย นาท่านเดินทางสู่เมืองเมอร์ซูก้ำ (Merzouga) เมืองในทะเลทรำยซำฮำร่ำ (ระยะทาง 268 กม). ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 3.30 ชม.) ผ่านเมือง เออราชิดิยา (Errachidia) เมืองที่มีความสาคัญทางด้านยุทธศาสตร์ ซึ่งอยู่ใกล้กับ พรมแดนของประเทศแอลจีเรีย เดินทางสู่เมืองเอร์ฟูด์ (Erfoud) เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางกองคาราวานพ่อค้าที่เดินทาง มาจากทางตะวันออกกลางอย่างซาอุดิอารเบียและซูดานในแอฟริกา นาท่านพร้อมสัมภำระ(ใบเล็ก) เดินทางโดยรถ 4x4 เข้าสู่ทะลทรายซาฮารา เมอร์ซูก้า (Merzouga) (ระยะทาง54 ก.ม. ใช้เวลา 45 นาที) ผ่านภูเขาหิน ที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิล ของหอย และ แมงกะพรุนโบราณ ในอดีต เมื่อประมาณ 350 ล้านปีก่อน ดินแดนแห่งนี้เคยอยู่ใต้ท้องทะเลต่อมาเมื่อแผ่นดินผุดขึ้นมา จึงเกิดซากฟอสซิลขึ้นมากมาย ค่า รับประทานอาหารค่าที่โรงแรม จากนั้นพักผ่อนนอนดูดาว ตามอัธยาศัย พักผ่อนค้างคืนในทะเลทรายซาฮาร่า วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกำยน 2560 เอร์ฟูด์ (Erfoud)- มอร์ซูก้ำ (Merzouga) - ทินเฮียร์ (Tinerhir) – Dades - วอซำ เซท (Ouarzazate) เช้าตรู่ ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนาท่านขี่อูฐชมเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินทรายในทะเลทรายซาฮาร่า ทะเลทรายซาฮาร่า (SAHARA DESERT) เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าอเมริกาทั้งประเทศ) และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามี สิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดารงอยู่ของชีวิตมนุษย์ สัตว์ หรือพืช เพราะฝนตกน้อยมาก และพื้นที่ไม่เหมาะแก่การ เพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ หากมีสัตว์และพืชพันธุ์ใดที่สามารถเติบโตในทะเลทรายได้ ก็ต้องปรับตัวกันอย่างมาก เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องหาวิธีในการใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้ ให้ท่านได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าในทะเลทรายซาฮาร่า จาก สภาพการไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทรายมีผลทาให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทราย เกือบเป็น ศูนย์ตลอดปี ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากบนเนินทราย ซึ่งเป็นภาพที่สวยงาม น่าประทับใจ เช้า รับประทานอาหารเช้า จากนั้นเดินทางสู่ นาคณะนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4x4 ออกจากทะเลทรายซาฮาร่า มุ่งหน้าสู่เมือง เอร์ฟูด์(Erfoud) เพื่อเปลี่ยนเป็นรถโค้ชเดินทางสู่เมืองทินเฮียร์เมืองทินเฮียร์ แวะชมโอเอซิส Tinerhir ซึง่ เป็นชุมชนที่ เกาะกลุ่มอยู่รวมกัน ท่ามกลางความแห้งแล้งในเขตทะเลทราย ที่ยังมีความชุ่มชื้น มีตาน้า หรือ ลาธารน้า ซึ่งใช้ในการ ปลูก ต้นปาล์ม ต้นอัลมอนด์ โอเอซิสแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากวอซาเซท ผ่านหุบเขาดาเดดส์ (Dades) ซึ่งเป็นแนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม ทาให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆ สวยงาม จากนั้นเดินทางสู่ทอดร้ากอร์จ (Todra Gorge) โกรกธารที่มีโขดผาสูง 985 ฟุต หรือ 300 เมตร ทั้งสองด้านที่เกือบตั้ง
ทามุมสามเหลี่ยมกับแม่น้าโทดร้า ถือว่าเป็นโกรกธารและหุบเขาที่สวยที่สุดทางใต้ของโมรอคโค ชมความงดงามของช่อง เขาที่ซ่อนตัวอยู่ในโอเอซิส โดยมี ลาน้าใส ๆ ที่ไหลผ่านช่องเขากับหน้าผาสูงชันแปลกตา สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งปีน หน้าผาสาหรับนักท่องเที่ยวที่รักการเสี่ยงภัย กลางวัน รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร บ่าย เดินทางสู่เมืองวอซาเซท (Ouarzazate) เคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกาลังทหารและ พัฒนาที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร วอซาเซทเป็นเมืองที่ถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวแวดล้อมไปด้วยสตูดิโอ ภาพยนตร์ และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อการทากิจกรรมต่างๆ เช่นการขี่มอเตอร์ไซด์ อูฐ กิจกรรมผจญภัย กลางทะเลทราย (สาหรับในฤดูหนาว – ฤดูใบไม้ผลิ (พ.ย.– เม.ย.)) ควรเตรียมเสื้อกันหนาวให้เพียงพอ เพราะเมืองนี้อยู่ ใกล้ภูเขา แอตลาส ที่มีหิมะปกคลุมในช่วงดังกล่าว วอซาเซท อาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหา ความแตกต่าง และความผจญภัยที่หาไม่ได้จากที่ไหน วอซาเซทเป็นเมืองที่สาคัญที่สุดของทางตอนใต้ และที่นี่ยังเป็น ทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันตก สาหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ชอบรสชาติของความเป็นทางใต้ ณ แห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสารวจเมืองต่างๆได้ทุกวัน ก่อนถึงเมืองซอซาเซท แวะชมผลิตภัณฑ์ที่ทาจากกุหลาบที่ เมือง มากูน่า (M’Gouna) (เทศกาลกุหลาบจะจัดขึ้นประมาณเดือนพฤษภาคม) ค่า รับประทานอาหารค่า ที่โรงแรม พักค้างคืนในวอซาเซทโรงแรม วันเสำร์ทื่ 11 พฤศจิกำยน 2560 วอซำเซท(Oaurzazate)- เอทเบนฮัดดู (Ait Ben Haddou) – มำรำเกช (Marrakech) เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก นาชมป้อมทำอูเริท (Kasbah Taourirt) พระราชวังของผู้ปกครองมาราเกซ ตระกูล กลาวี (Glaoui Palace) เป็น ป้อม ดิน หรือ วังที่สร้างจากดิน ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องหับต่างๆจานวนมากรวมถึงฮาเร็ม และที่ประกอบพิธีกรรม ทางศาสนา ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยทางเล็กๆอยู่ภายใน ในห้องต่าง ๆ ยังมีลวดลายผนังอาคารและรูปแบบสถาปัตยกรรมอัน หลากหลายของการสร้างอาคารของชาวเบอร์เบอร์ การออกแบบอาคารซึ่งเหมาะกับความเชื่อและความเป็นอยู่ของ เหล่าเจ้าผู้ปกครอง ในป้อมทาอูเริทนี้ในอดีตมีคนงานและคนรับใช้จานวนหลายร้อยคนจึงต้องมีห้องเป็นจานวนมาก มี ทั้งส่วนที่เป็นวังเก่า ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง บางห้องก็ว่างเปล่า ยูเนสโก้ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาจากอาคารเดิมเพียง 1 ใน 3 ของอาคารทั้งหมด นาท่านชมโรงถ่ำยภำพยนตร์แอตลำส (Atlas Film Studios) เป็นโรงถ่ายภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ และมีชื่อเสียงมาก กล่าวกันว่าใหญ่ที่สุดในโมร็อกโก ตั้งอยู่ห่างจากกลางเมืองวาร์ซาแซตไปประมาณ 6 กิโลเมตร โรง ถ่ายภาพยนตร์แอตลาสมีพื้นที่กว้างใหญ่ 30,000 ตารางเมตร ภายในมีอาคารและสิ่งก่อสร้างมากมาย อีกทั้งมีกาแพง ใหญ่น้อยที่แบ่งพื้นที่เป็นส่วนๆ และมีฉากภาพยนตร์ นานาชนิด รวมถึงฉากและอุปกรณ์ที่ยังคงเก็บรักษาไว้เมื่อ ภาพยนตร์สร้างเสร็จแล้ว ซึ่งนอกจากภาพยนตร์ของ ฮอล์ลิวูด (Hollywood Movies) จากสหรัฐอเมริกาแล้ว ยังมี
ภาพยนตร์จากแคนาดาและประเทศในยุโรปที่นิยม ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นฉากถ่ายทาด้วย จากนั้นเดินทางสู่เมืองไอท์ เบน ฮำดดู (Ait Benhaddou) ชมเมืองไอท์ เบนฮาดดู เป็นเมืองที่อาคารต่าง ๆสร้างจากดิน เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่อง การหารายได้จากกองถ่ายทาภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมดินที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของโม รอคโค คือ ป้อมไอท์ เบนฮำดดู (Kasbash of Ait Ben Hadou) เป็นป้อมดินซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็น ปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทาภาพยนต์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrance of Arabia , Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก้ กลางวัน รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร บ่าย เดินทางสู่เมืองมำรำเกช (Marrakech) ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สาคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้ เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมรอคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆที่นาสินค้าจากทาง ตอนใต้ ไปขายยังยุโรป และ นาสินค้าจากทางเหนือ ผ่านเทือกเขา ไฮแลตลาส ไปยังทะเลทราย ซาฮาร่า ไปยังตอนใต้ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงหลายราชวงส์ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์อัลโมราวิด ช่วงศ.ต.ที่ 11 ราชวงศ์อัลโมฮัด และ ราชวงศ์ซาเตียน ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทาง แวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกาหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จึงได้สมญานามว่าเป็น A city of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้ ค่า รับประทานอาหารค่า และ พักโรงแรมที่ มาราเกซ วันอำทิตย์ที่ 12 พฤศจิกำยน 2560 มำรำเกซ (Marrakech) – คำซำลำบลังก้ำ (Casablanca) เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก นาท่านชมมัสยิด คูตูเบีย (Koutoubia Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่เก่าแก่ที่สุดในเมือง ไม่ว่าจะเดินไปแห่งใดในตัว เมืองก็จะเห็นมัสยิดนี้ได้ จากหอคอยที่มีความสูง 226 ฟิต (70 เมตร) จากนั้นชม พระรำชวังบำเฮีย (Bahia Palace) เป็นพระราชวังของท่านมหาอามาตย์ ผู้สาเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa สถาปัตยกรรมออกเป็นแนวสมัยใหม่ โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดใน สมัยนั้น สร้างขึ้นและตั้งชื่อวังตามชื่อของภรรยาคือ นางบาเฮีย ซี่งมีรูปโฉมที่งดงาม เป็นที่รักใคร่ยิ่งของท่านมหา อามาตย์ พระราชวังแห่งนี้มีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น (Stucco) บนเพดานและบานประตูมีการวาดลายโดยใช้ สีธรรมชาติบนไม้สนซีดาร์ และผนังประดับประดาด้วยโมเสกเป็นลวดลายที่สวยงามละเอียดอ่อนมาก ชมสวนในบ้านซึ่ง เป็นสไตล์ริยาด (Riad) ประกอบไปด้วยลานกลางบ้าน ซึ่งประดับด้วยน้าพุ และสวนไม้ดอก ไม้ประดับ ตามสไตล์การ แต่งบ้านแบบโมรอคโค ชมสุสำนแห่งรำชวงศ์ซำเดียน (Saadian Tombs) ที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างมากกว่า 2 ศตวรรษ ภายหลังได้รับการบูรณะและเปิดให้เข้าชมความงดงามในแบบฉบับของศิลปะแบบมัวริสแท้ๆ ความวิจิตรอลังการของ
บ่าย ค่า
ห้องโถงภายใน เสาคอลัมน์หินอ่อนสีสวย ลวดลายงานปูนที่ประดับประดาบนผนังและเพดาน สวนสวยภายนอกที่สร้าง ขึ้นใหม่ ตามแบบ Allah’s Paradise นาท่านชม จตุรัสเจมำ เอล์ฟนำ (Djemaa Fnaa Square) จตุรัสกลางเมืองเก่าที่มีชื่อเสียงที่สุด และในปีค.ศ. 1985 จากนั้นเดินทางสู่ 'คาซาบลังก้า' รับประทานอาหารค่า ที่ภัตตาคาร พักค้างคืนในคาซาบลังก้าโรงแรม
วันเสำร์ 13 พฤศจิกำยน 2560 คำซำลำบลังก้ำ (Casablanca) – สนำมบิน เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรม ฯ 06.45น. เดินทางสู่สนามบินเมืองคาซาบลังก้า 10.55น. บินสู่อาบูดาบี (Abu Dhabi) โดยเที่ยวบินที่ EY 612 CMN AUH 10355-2230 (7.35 ชม.) 23.50 น. เปลี่ยนเครื่องสู่เมืองไทย EY 406 AUH BKK 2350 – 0905 (6.15 ชม.) วันอำทิตย์ที่ 14 พฤศจิกำยน 2560 กรุงเทพฯ (BKK) 09.05 น. คณะเดินทางถึง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยความประทับใจ