VOL 1 ISSUE 7 AUGUST 2011
I L L U S T R AT E D M E
S I R A PA N WAT TA N AC H I N DA byTHANAWAT CHAWEEKUNYAKUL
FREE COPY ISSN 2228-883X
6 dont magazine
8 dont magazine
dont magazine 9
พบกับเบื้องหลังการถ่ายทำ� ภาพที่ไม่ถูกตีพิมพ์ และอัพเดทข่าวสารทุกวันได้ที่ Facebook.com/DONTfreemag ISSUE 7 AUGUST 2011
8 9
Accessories 40 Accessories Twilight
Editor’s Letter Dont Miss
UNIQLO +J Fall/Winter 2011 Collection
44
BACHELOR
46
TRAVEL
Dessert
Pipat with the art of living and loving the world.
10
Also Dont Miss
12
Contributors
14
PR NEWS
48
16
FASHION
49
24
Feature
50
28
COVER STORY
Chelsea, New York City
Dont you want to get updated? Let’s Join Together! FashionVS Art
Gateaux St. Honoré
Horoscope Star Signs Define Women Power Celebrity Tips
M.L. Chiratorn Chirapravati Knows the Art of Living
Art, actually
Inspiration... 32 BEAUTY
is just popping up!
COVER LOOK หลังจากบำ�รุงผิวหน้าให้กระจ่างใสด้วย BIOTHERM Skinergetic แล้วเกลี่ย GIVENCHY Photo’Perfexion Light in Light Gold เพื่อปรับสีผิวให้เข้มขึ้น จากนั้นปัดคิ้วด้วยมาคาร่า ระบายหางคิ้วให้เข้ม เล็กน้อย วาดเส้นขอบตาด้วย MAC Fluidline in Blacktrack และ อย่าลืมวาดขอบตาล่างให้หนาหน่อยแล้วใช้นิ้วเกลี่ยให้เส้นไม่คมชัดเกิน ไป ระบายเปลือกตาด้วย NARS Single Eyeshadow in Coconut Grove ปัดแก้มด้วย ANNA SUI Face Color Accent 750 เพนท์ สีปากด้วยสีสำ�หรับเพ้นท์หน้า สี Pastel Box, Super Magenta, Navy, Banana Chip Lime Version With Digital Illustration Technique by Jeep Kongdechakul Magenta Version With Paper Cut and Collage Technique by Waranya Tungkasmith Navy Version by With Water Color and Digtal Technique by Thanawat Chaweekanyakul 10 dont magazine
Makeup Artist Wallaya Tipvannaporn Hair Stylist Chatchai Peangapichart and Chanchai Toh-im Photography Riksh Upamaya
dont magazine 11
Facebook.com/DONTfreemag
DONT you dare? DONT Readers บางท่านคงพอทราบถึงภารกิจในการทำ�นิตยสารของเรา อยู่บ้างว่า DONT คือนิตยสารที่ประกอบไปด้วยคำ�สี่คำ� นั่นคือ ICON FASHION ART และ CULTURE เท่าที่ผ่านมาทั้งหมด 6 เล่ม (เล่มที่คุณถืออยู่นี้เป็นเล่มที่ 7 ของเราแล้วนะครับ) เรายังไม่ได้มีโอกาสทำ�อะไรที่เกี่ยวกับ ART อย่างเป็นรูปธรรม เสียที ฉบับนี้จึงเป็นอีกหนึ่งความสนุกที่กองบรรณาธิการชื่นชอบ เพราะได้เปลี่ยน บรรยากาศการทำ�งานครั้งใหญ่ จากที่เคยทำ�กันอยู่ไม่กี่คน ก็ได้มาร่วมงานกับศิลปิน รุ่นใหม่อีกกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาช่วยกันเติมแต่งหนังสือเล่มนี้คนละนิดละหน่อยเพื่อให้ ภาพรวมทั้งหมดออกมาลงตัวที่สุดเท่าที่จะทำ�ได้ ขอบคุณพี่น้องศิลปินทุกท่านมา ณ ตรงนี้ด้วยนะครับ ในคราวที่ผมพบศิลปินหลักของเล่มนี้ทั้งสี่คน ได้แก่ จี๊ป ธันวิน ธนวัฒน์ และ วรัญญาเพื่อคุยถึงแนวคิดในการทำ�เล่มนี้ มันเหมือนเราได้เจอขุมพลังสร้างสรรค์ อีกแหล่งหนึ่งที่พร้อมจะจุดประกายให้ใครก็ตามที่ได้สัมผัส เกิดแรงผลักดันในการ สร้างงานใหม่ๆ ขึ้นมาบ้าง (ซึ่งผมเองก็รู้สึก) นี่เองคือสิ่งที่ DONT มองหามาตลอด พลังของคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีขีดจำ�กัดและเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา เป็นสิ่งที่จะช่วยดึง ให้สังคมเราก้าวไปพ้นจากสิ่งซ้ำ�ซากจำ�เจอที่เห็นกันอยู่ทุกวัน DONT Cover Girl ของเราก็เป็นอีกหนึ่งนักแสดงสาวที่มีพรสวรรค์ด้าน ศิลปะหลายแขนง ทั้งการแสดงและการออกแบบ ปัจจุบัน นุ่น ศิรพันธุ์ วัฒนจินดา กำ�ลังศึกษาด้านการออกแบบ ณ สถาบันออกแบบชนาพัฒน์ เป็นชีวิตอีกด้านหนึ่งที่ เธอมีความสุขและทำ�ควบคู่ไปพร้อมกับการแสดงที่เธอรัก สำ�หรับความพิเศษในการ ร่วมงานกันกับ DONT ครั้งนี้ เราจะได้เห็นฝีมือการทำ� Self Portrait ของเธอมา ประกอบในบทสัมภาษณ์ด้านในด้วย พวกเขาเหล่านี้โชคดีที่มีโอกาสเลือกเดินตามความต้องการของตัวเอง ทุกครั้ง ที่พูดถึงงาน เราจะได้เห็นแววตาแห่งความสุขที่เป็นประกายของทุกคน เพราะได้ทำ�ใน สิ่งที่รักและสามารถเลี้ยงชีพไปพร้อมๆ กัน แต่มีสักกี่คนที่จะสามารถทำ�แบบนี้ได้? ในวิถีชีวิตแบบชนชั้นกลาง ความ romantic และ pragmatic ถูกขีดเส้นแบ่ง ไว้อย่างชัดเจนด้วยคำ�ว่า “ความฝัน” สิ่งที่เราควรกังวลคือความเป็นอยู่ในแต่ละวัน
นิตยสารโดนท์
บรรณาธิการบริหาร ฤกษ์ อุปมัย บรรณาธิการความงามและไลฟ์สไตล์ วัลยา ทิพย์วรรณาภรณ์ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ศรัณย์ ตั้งเทวนนท์ ผู้จัดการฝ่ายโฆษณา ปริยนุช ภัทรวรรณ เจ้าหน้าที่ฝ่ายโฆษณา นครินทร์ ยกชม ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฐิติกาญจน์ จงวัฒนา ที่ปรึกษาฝ่ายสื่อ ธนธรณ์ ธำ�รงเจริญกุล ทีมงานรับเชิญ ที่ปรึกษาฝ่ายศิลป์ อาทิตย์ สื่อประสาร บรรณาธิการแฟชั่น ธาวิณี จันทนโกเมษ รองบรรณาธิการแฟชั่น ปิยนันท์ อุทัยแสงชัย ศิลปินงานคอลลาจและเปเปอร์คัท วรัญญา ตุงคะสมิต ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร คมกฤช ธนสมบูรณ์ นักเขียนคอลัมน์อาหาร จักรทอง อุบลสูตรวนิช ผู้พิสูจน์อักษร ขัณธ์ชัย อธิเกียรติ ผู้พิมพ์ บริษัท แอมบิเชียส จำ�กัด เลขที่ 48/163 ซอยศึกษาวิทยา ถนนสีลม (สาทร ซอย 10) แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500 ติดต่อโฆษณา info@DONTfreemag.com โทรศัพท์ 02-6344577 แยกสีและพิมพ์ บริษัท โรงพิมพ์ศิริวัฒนาอินเตอร์พรินท์ จำ�กัด (มหาชน) เลขที่ 125 ซอยจันทน์ 32 ถนนจันทน์ แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 12 dont magazine
มากกว่า การละทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาความฝันที่ไม่รู้จะมีวันเป็นจริงหรือไม่จึงเป็นแค่ เรื่อง “เพ้อฝัน”ที่เราใช้ปลอบประโลมใจไปวันๆ (ทั้่งหนัง ทั้งละคร ทั้งนิยาย) เพราะ ความกล้าอย่างเดียวคงไม่ทำ�ให้อิ่มท้องได้ อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องการไม่แพ้ความกล้าหาญเลยคือโอกาส Michael Fasbender พระเอกหนังเชื้อสายไอริช-เยอรมัน เคยให้สัมภาษณ์กับ British Vogue ไว้ว่า “พรสวรรค์เป็นเพียงส่วนน้อยนิดของความสำ�เร็จ มีคนเก่งๆ เต็มไปหมดที่ไม่มี โอกาสได้แสดงออก คนเราชอบพูดถึงแต่พรสวรรค์ แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงจังหวะที่ เหมาะสมเลย การมีโอกาสได้เจอกับคนที่เห็นแววเรา มีบทที่เหมาะกับเรา ไม่ใช่เรื่อง ง่าย จังหวะชีวิตเป็นเรื่องสำ�คัญที่สุดสำ�หรับผม” ถ้าวันนี้เราให้โอกาสตัวเองด้วยการลองทำ�ในสิ่งที่ตัวเองรักดูสักตั้ง ก็อย่า ลืมมองหาจังหวะที่ดี ประเมินความเป็นไปได้สำ�หรับก้าวต่อไป อย่ามองโลกในแง่ดีจน เกินไปนัก แต่ก็อย่าทับถมตัวเองด้วยการมองโลกในแง่ร้ายจนทำ�ให้เราหวาดระแวงกับ อนาคต โอกาสอาจไม่มาในเวลาที่เหมาะสมเสมอไป แต่ใช่ว่ามันจะไม่กลับมาหาคุณอีก ผมขอเป็นกำ�ลังใจให้ทุกคนที่กล้าออกไปว่ิงไล่ล่าความฝันของตัวเองครับ แล้วพบกันฉบับหน้า ขอบคุณครับ
Riksh Upamaya editor@DONTfreemag.com ปล. ขอเชิญ DONT Readers ทุกท่านร่วมงานปาร์ตี้เล็กๆ ที่เราจะจัดขึ้น พร้อมนิทรรศการศิลปะจากศิลปินในเล่ม รอติดตามรายละเอียดได้ที่ Fanpage ของเราที่ Facebook.com/DONTfreemag ได้เร็วๆ นี้ครับ :)
DONT Magazine
Editorial & Creative Director Riksh Upamaya editor@DONTfreemag.com Beauty Editor Wallaya Tipvannaporn wallaya@DONTfreemag.com Publisher SarUn Tangtevanon sarun@DONTfreemag.com 081-9991048 Account Manager Pariyanooch Pattarawan pariyanooch@DONTfreemag.com Account Executive Nakarin Yokchom nakarin@DONTfreemag.com 086-3951519 Public Relations Manager Thitikarn chongvatana thitikarn@DONTfreemag.com Media Consultant Thanathorn Thamrongcharoenkul Guest Contributors Artistic Consultant Atith Sueeprasan Fashion Editor Thavinee Chantanakomes Sub Fashion Editor Piyanun Uthaisangchai Artist Waranya Tungkasmith Editorial Assistant Khomkris Thanasomboon Gourmet&Cuisine Writer Jakthong Ubolsootvanich PROOF READER KHANCHAI ATHIKIAT Special Thanks Font designer Chatnarong Jingsuphatada at F0NT.com DONT is published by AMBITIOUS Co., Ltd. Nothing in this magazine can be reproduced in whole or in part without the written permission of the publisher. AMBITIOUS CO., LTD. 48/163 Soi Sueksa Wittaya, Silom Road, Silom Bangkok Thailand 10500 // DONTfreemag.com // for Advertising please contact info@DONTfreemag.com ONLINE Version available at DONTfreemag.com Updates & Actvities FACEBOOK.COM/DONTfreemag TWITTER.COM/DONTfreemag
เมื่อยักษ์ใหญ่ด้านการค้าปลีกเสื้อผ้าราคากันเองจากญี่ปุ่น UNIQLO มาจับมือกับเจ้าแม่แห่งโลกมินิมัลลิสต์อย่าง Jil Sander จึงเกิดโปรเจคดีไซน์อันระทึกวงการแฟชั่นที่ได้ รับคำ�ชมอย่างล้นหลามตั้งแต่คอลเลคชั่นแรกซึ่งเปิดตัวใน ปี 2009 จนเป็นที่รู้กันในบรรดาแฟชั่นนิสต้าราคาไฮสตรีทว่า เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง/ใบไม้ผลิ +J (อ่านว่า พลัส เจ) คืออีก หนึ่งคอลเลคชั่นที่ต้องคว้าสักไอเท่มมาเติมตู้เสื้อผ้าให้เต็ม Ms. Jil Sander เป็นดีไซเนอร์ชาวเยอรมันที่โดด เด่นในเรื่องการตัดเย็บและการเลือกใช้วัสดุอันซับซ้อน (อาจ เป็นเพราะพื้นเพการศึกษาด้านวิศวกรรมส่ิงทอที่เธอร่ำ�เรียน มา) เธอค่อนข้างชัดเจนในตัวเอง ใส่ใจสิ่งที่เธอถนัดและ ประณีตกับงานมาก จนความเป็น Perfectionist นั้นส่ง ผลให้เธอต้องมีข้อขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานและนายทุนอยู่ บ่อยๆ ซึ่งการแตกหักครั้งสำ�คัญที่ทำ�ให้เธอไม่สามารถใช้ชื่อ ของตัวเองเพื่อการโฆษณาได้อีกเลยเกิดขึ้นในปี 2004 เมื่อ เธอตัดสินใจเดินออกจากตำ�แหน่ง Head Designer ของ แบรนด์ Jil Sander ของเธอเอง ที่ Prada Group ถือ หุ้นอยู่ถึงร้อยละ 75 หลังจากนั้นเธอหายไปจากโลกแฟชั่น ระยะหนึ่งก่อนกลับมาพร้อมกับโปรเจค +J ในอีก 5 ปีให้ หลัง การสร้างสรรค์ผลงานที่ดีจากข้อจำ�กัดในแง่การลงทุน นั้นเป็นเรื่องยาก เธอจึงใช้พรสวรรค์ที่เธอมีประกอบกับ ความตั้งใจอย่างมากเพื่อผลิตเสื้อผ้าไลน์นี้ออกมา สิ่งที่เรา จะไม่ผิดหวังจากงานดีไซน์ของเธอก็คือวัสดุที่คุ้มค่าเงินและ ความเนี้ยบของการตัดเย็บ แม้ UNIQLO จะเป็นแบรนด์ราคา ตลาด แต่ Ms. Sander ก็สามารถทำ�มันออกมาได้ดีจนน่า ทึ่ง ทั้งโอเวอร์โคท และเสื้อเชิ้ตคัทติ้งคมกริบในราคาที่สมเหตุ สมผล +J จึงเป็นการวางตำ�แหน่งทางการค้าที่น่าสนใจให้ กับเสื้อผ้าไฮสตรีท ส่วน UNIQLO เองก็ได้สร้างจุดยืนด้าน แฟชั่นให้แข็งแกร่งขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย น่าเสียดายที่ +J จะต้องปิดตัวลงแล้วในปีนี้ คอลเลค -ชั่นที่ทั้งคูลขนาดนี้ ในสนนราคาขนาดนี้คงไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ ยังไม่แน่ใจว่าที่ชอป UNIQLO บ้านเราจะมีไหม ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ลองฝากเพื่อนลูกเรือซื้อดู คงไม่ยากจนเกินความสามารถ แน่นอน
Original Photo courtesy of UNIQLO Illustration Nathanich Chaidee dont magazine 13
10
12
9
13
3
8
14
7
16
6
2
1 KAIZAI OPTIC Lotho - Lola Gold Fish price upon request 2 KAIZAI OPTIC Linda Farrow x Jeremy Scott - JS Smiley price upon request 3 KAIZAI OPTIC Giles Deacon for Cutler&Gross 2011 price upon request 4 KAIZAI OPTIC Karen Walker Helter Skelter price upon request 5 KAIZAI OPTIC Raf Simons x Linda Farrow Metal Frame price upon request 6 KAIZAI OPTIC Linda Farrow x Jeremy Scott price upon request 7 LIKAYBiNDERY Notebook No.G108 3,650 THB 8 LIKAYBInDERY Notebook No.G109 3,250 THB 9 GEO DÉCOR Mannequin Grace 2,750 THB 10 GEO DÉCOR Ceremic Set Mini 3 Treasure 595
1
5
11
21
15
4 17
18 20
19
THB 11 GEO DÉCOR Standing Gozzi 1,250 THB 12 GOOSE Oval Brass Seal Songbird 725 THB 13 GOOSE Round Brass Seal 625 THB 14 GOOSE Round Brass Seal 625 THB 15 GOOSE 100 Fine Magic Marker 439 THB 16 GOOSE Valise Set Green 3,350 THB 17 GOOSE Deluxe Tnltlas Seal 815 THB 18 ASIA BOOK Hiroshige : One Hundred Famous View of EDO 1,595 THB 19 ASIA BOOK Masterpieces of Islamic Art 2,950 THB 20 ASIA BOOK Elizabeth Peyton : Ghost 2,395 THB 21 ASIA BOOK 100 Masterpieces in Detail 1,895 THB
Narissara Saisanguantsat
นักเขียน นักสัมภาษณ์ที่มักจะพร้อมรับงานด่วน (จาก บก.) เสมอ บางทีก็ด่วนเสียน่าขนลุก จนเราไม่กล้าคิดว่าต่อจากนี้เป็นต้นไป เอ๋จะยอมรับงานไฟแล่บแบบนี้อีกหรือเปล่า เล่มนี้เอ๋รับบทหนัก ทั้งสัมภาษณ์ศิลปินสองคนและ DONT cover girl ช่วงนี้เอ๋กำ�ลัง อินกับการซื้อเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเก่าๆ มาซ่อมแซมใหม่ให้ใช้ได้ ล่าสุดโปรเจคเก้าอี้ไม้ของเธอก็กำ�ลังไปได้สวยทีเดียว
Nathanich Chaidee
นิ่มเป็นสาวเปรี้ยวที่กล้าหลีกหนีกรอบของชีวิตออกมาตามหาความฝัน หลังจากค้นพบว่าตัวเองหลงใหลในศิลปะจนหมดหัวใจ ก็พักจากการศึกษาในคณะสัตวแพทยศาสตร์ เพื่อมาเรียนศิลปะอย่างที่ใจรัก นิ่มเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีความสุขในชีวิตทุกวัน และเป็นคนร่าเริงอย่างที่ลายเส้นของเธอบอกไว้ในคอลัมน์ DONT MISS! และ Dessert แล้ว แต่สิ่งที่ทำ�ให้เธอหงุดหงิดที่สุดเมื่อไม่ กี่วันที่ผ่านมาก็คือ เธอไม่สามารถซื้อบัตรคอนเสิร์ตแรพเตอร์ได้สักที!
PornratVachirachai
เพื่อนสนิทของสาวเอ๋ที่กำ�ลังอินกับงานวาดภาพสีน้ำ�เล็กๆ น้อยๆ ฝีพู่กันนี่ก็ไม่เบา แต่เราก็ขอให้เธอเบรกงานศิลปะทำ�เองไว้สัก ประเดี๋ยว แล้วมาช่วยสัมภาษณ์ศิลปินอีกสองคนให้หน่อย นิ้งก็ไม่เคยอิดออด ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาตลอด แต่เสียดายที่ เราเห็นผลงานของเธอช้าไปนิด ไม่อย่างนั้นคงได้ชวนกันมาร่วมแสดงฝีมือในเล่มนี้แล้วล่ะ
Nutthanamont Prasertthanachai
ได้ยินกิตติศัพท์จาก แพท กัลยาณี (สไตลิสต์รุ่นเล็กที่ร่วมงานกับ DONT เป็นประจำ�) ว่าเฟรช่าเป็นของดีของศิลปกรรมฯ รังสิต เลยทีเดียว เห็นจากผลงานศิลปนิพนธ์ที่ดุดันแล้ว เราเดาว่าเธอน่าจะเป็นคนเกรี้ยวกราด แต่กลับต้องเซอร์ไพรส์เมื่อได้คุยกัน เฟรช่าขอยืดเวลาส่งงานภาพประกอบคอลัมน์บทความเพราะว่าต้องไปปฏิบัติธรรม! อย่างนี้เราจะขวางทางบุญอย่างไรไหว ก็ต้อง ร่วมอนุโมทนาสาธุไปกับเธอ...
Tharit Tothong
หนุ่มสถาปนิกจากรั้วจามจุรี ผู้ที่สนุกกับงานหลายด้านที่เกี่ยวกับศิลปะ ทั้งแบบทำ�มืออย่าง popup card ที่มีลูกเล่นสนุกๆ มากมาย (tangerhyne.com) และงานที่ใช้ซอฟท์แวร์ทำ� ปัจจุบันเขาพำ�นักอยู่ในกรุงนิวยอร์ก เพื่อศึกษาต่อด้านการออกแบบและ เทคโนโลยีที่ Parsons The New Shcool (ว้าว!) ฉบับนี้เขาจะมาแนะนำ�ที่เที่ยวสำ�หรับคนหัวใจศิลป์ในคอลัมน์ Travel ของเรา
Wallaya Tipvannaporn
หลังจากแอบหนีงานหนักที่ DONT ไปเตร็ดเตร่อยู่ที่มาเก๊าอยู่สองสามวัน บรรณาธิการความงามแสนสวยของเรา ก็ต้องกลับมา วาดลวดลายความงามให้ DONT cover girl ของเรา(ที่เป็นมนุษย์จริงๆ) และบนหุ้นปั้นจากฝีมือประติมากรรุ่นเล็ก ตั๋ง-ธันวิน คำ�แย้ม ที่ปั้น Gemma Ward ในเวอร์ชั่นของเขาออกมาให้ลองเติมแต่งสีสันลงไป จะสวย จะแปลก จะตื่นตาแค่ไหนคงต้องพลิกไป ดูที่คอลัมน์บิวตี้ด้านใน แต่ขอใบ้ให้ว่าบรรเจิดมาก
DONT MISS this Subscription! DONT 12 ฉบับที่จะจัดส่งให้คุณถึงบ้าน โดยที่ไม่ต้องไปตามหาที่จุดแจกไหนๆ ทำ�ได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1. เพียงโอนเงินจำ�นวน 400 บาทเข้ามาที่บัญชีกระแสรายวัน บริษัท แอมบิเชียส จำ�กัด เลขที่ 125-0-0713-57 ธ.กรุงศรีอยุธยา 2. ถ่ายรูปหรือสแกนหรือแคปเจอร์หน้าจอ (ในกรณีที่ใช้ Internet Banking) 3. ส่งภาพสลิปบัญชีมาที่ member@DONTfreemag.com เมื่อได้รับอีเมล์แล้ว ทางทีมงานจะรีบติดต่อคุณกลับโดยเร็วที่สุด พิเศษ! สมัครสมาชิกวันนี้รับฉบับเดือนสิงหาคมชุด Collector’s Edition ครบทั้ง 3 ปกจัดส่งฟรีให้ถึงที่บ้านทันที สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 086-395-1519 หรือ info@DONTfreemag.com
DONT you want to get updated? 10thYears Anniversary ต้อนรับ “โอ” (Eau) ซึ่งแปลว่า น้ำ� ในภาษาฝรั่งเศส นาฬิกา รุ่นพิเศษจาก Issey Miyake ในวาระครบรอบ 10 ปีที่ ไลน์นาฬิกาถือกำ�เนิดมา ดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น Mr.Tokujin Yoshioka ใช้แนวคิด “รูปลักษณ์ดั่งสายน้ำ� - ใสสว่างใน เรือนเวลา” ในการออกแบบ จนได้เป็นนาฬิกาที่มีตัวเรือนใส เหมือนน้ำ� ดูคลาสสิคและใช้ได้นานเหมือนกับรุ่นก่อนๆ ที่เป็น ที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในแง่ของดีไซน์
Another super fun party! Smirnoff Bangkok Remix Party ปีนี้เค้าไปจัดกันถึง Centerpoint Studio เพื่อเตรียมต้อนรับ แขกถึงสองพันคน แดนซ์กันกระจายกับโชว์จาก ทาทา ยัง เรื่อยไปจนถึง Slot Machine และฝีมือการ เปิดแผ่นของดีเจชื่อดังอีกหลายคน เหล่าบรรดา Celebrity แห่มาร่วมสนุกเฮฮากันเพียบ
The Scent of King Louis XIV ถึงจะเป็นแบรนด์เก่าแก่จากสเปน แต่ Loewe ก็อยากทำ�น้ำ�หอมที่ได้รับแรง บันดาลใจจากกษัตริย์จากราชวงศ์บูร์บง แห่งฝรั่งเศสออกมา จึงถือกำ�เนิดมาเป็น Loewe Absoluto หลายคนสงสัยว่า ทำ�ไมแบรนด์สเปนถึงต้องมาทำ�อะไรที่เกี่ยว กับฝรั่งเศส? คำ�ตอบคือที่จริงแล้วพระ เจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นมีเลือดสแปนิชอยู่ครึ่ง หนึ่งไงล่ะ! มีกำ�หนดวางขายในประเทศไทย เดือนกันยายนนี้ ขนาด 125 ml ราคา 4,500 บาท
Fashion and Music Gucci จับมือ Grammy® ทำ�คอลเลคชั่นนาฬิกาและเครื่องประดับเอาใจคนที่รักทั้ง แฟชั่นและดนตรี มีสีขาวดำ� และสลักสัญลักษณ์ Gramophone ไว้ที่สาย PVC อีก ด้วย ซึ่งก็เป็นฝีมือการออกแบบของ Frida Giannini หัวเรือใหญ่ของ Gucci เขาละ เปิดตัวไปออกขายกันแล้วที่สยามพารากอนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
Whitening and Protecting ถ้าใครมีปัญหาผิวบางจากการใช้ครีมไวท์เทนนิ่งฟังทางนี้ จากการทดสอบพบว่าครีมบางยี่ห้อนั้นมีส่วนทำ�ให้เกิดการ ผลัดผิวบ่อยเกินไปจนบางและไวต่อแดด ตอนนี้Eucerin เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งที่ไม่ทำ�ให้ผิวบาง Eucerin White Solution ก็มีให้เลือกใช้แบบครบวงจร ทั้งโลชั่น ซีรั่มบำ�รุง เจลล้างหน้าและอื่นๆ อีกมากมาย ล่าสุดเพิ่งจะ มีงานเปิดตัวพร้อมเชิญบรรดาผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ กันพร้อมหน้า สรรหามาทดลองใช้ได้แล้ววันนี้ที่เคาน์เตอร์ Eucerin ทุกสาขา
DONT hide and never hide! Global Party ตอกย้ำ�ความเป็นร็อกอินดี้ของแว่นกันแดด สุดคูล ที่จัดขึ้น ณLED Club @ RCA ได้คนคูลๆ มาร่วม งานกันเพียบ ปาร์ตี้นี้จัดขึ้นพร้อมกันใน 12 เมืองทั่วโลก ใหญ่สมกับเป็นปาร์ตี้แห่งปี คนคูลๆ เค้ามา Never Hide ในสไตล์ของ Ray-Ban กัน 18 dont magazine
20 dont magazine
Let’s Join Together! Jeep Kongdechakul for Fall/Winter 2011/12 Collection Sneak Peek The illustration that brings fun and fashion together in her very own way. Let’s feel the vibe of the coming Fall/Winter. It’s already here!
dont magazine 21
22 dont magazine
dont magazine 23
24 dont magazine
dont magazine 25
26 dont magazine
Words Pornrat Vachirachai Self Portraits by Jeep Herself
Jeep Kongdechakul : The illustration of what I am ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจว่า ทำ�ไมผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ถึงได้ทำ�สิ่งต่างๆ ได้ มากมายขนาดนี้ เธอเป็นนักออกแบบของแบรนด์เสื้อผ้า FlYNOW III และ Be Our Friend Studio เป็นนักวาดภาพประกอบ เป็นคอลัมนิสต์ นิตยสาร Cheeze เป็นเจ้าของร้านรองเท้า The Ballet และเป็นเจ้าของ The Factory Studio & Art House ร่วมกับเพื่อนๆ ซึ่งเปิดสอน ศิลปะให้กับนักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไป นั่นหมายความว่า เธอ เป็นครูศิลปะด้วย! เธอคนนี้คือ จิ๊ป คงเดชะกุล หญิงสาวตัวกระทัดรัดผู้ ใส่แว่นตาอันโต ผมทรงเปรี้ยว และแต่งกายสมกับเป็นดีไซเนอร์ เด็กหญิงจากร้านร้องเท้า “บ้านจิ๊ปทำ�ร้านรองเท้าชื่อ The Ballet ตั้งแต่สมัยคุณย่า (พ.ศ. 2502) เป็นร้านรองเท้าผู้หญิงทรงคลาสสิก รองเท้าสำ�หรับเต้นบัลเล่ หรือเต้นรำ�ในห้างย่านราชประสงค์ ตอนเด็กๆ พอเลิกเรียนปั๊บ จิ๊ปก็จะมา อยู่ที่ร้าน เราเลยได้เห็นของใหม่ๆ ที่เอามาลงในห้างทุกวัน ด้วยความที่ เห็นของพวกนี้เยอะ ทำ�ให้เราสังเกตเห็นของสวยๆ งามๆ อยู่เรื่อย” ผู้หญิงจากมัณฑนศิลป์ “จิ๊ปชอบศิลปะตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยสนใจเรียนเท่าไหร่ (หัวเราะ) เวลา ที่อาจารย์สอน เราจะวาดรูปเล่น พอหันมาเรียนศิลปะก็พบว่าเราชอบ ศิลปะทุกสาขาเลย ทั้งตกแต่งภายใน ออกแบบผลิตภัณฑ์ นิเทศศิลป์ แต่ เวลาได้รับการบ้านจากแต่ละวิชา เราจะหยิบการบ้านของนิเทศศิลป์ขึ้นมา ก่อน เพราะเราสนุกกับการเล่นกับโจทย์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับ Visual พอเรียนจบก็ไปทำ�งานเป็นดีไซเนอร์ที่ Fly now ออกแบบเสื้อผ้า และกราฟฟิคต่างๆ ทำ�ให้จิ๊ปได้เรียนรู้เยอะและสนุกมาก หลังจากนั้นเริ่ม อยากทำ�งานกราฟฟิคมากขึ้นจึงไปทำ�งานที่ Be Our friend Studio ทำ�ได้ไม่นาน ร้านรองเท้าของที่บ้านก็เกิดต้องย้ายและเปิดใหม่หลายสาขา เราเลยออกมาช่วยที่บ้านดูแบบรองเท้า เลือกหนัง เลือกสี และตกแต่ง ร้านอยู่พักหนึ่ง” ความเป็นจิ๊ป “จิ๊ปพบสไตล์งานของตัวเองจากการทำ�บ่อยๆ สังเกตว่าเรา ชอบอะไร แล้ววาดลงสมุดสเก็ตที่เราจะวาดเล่นตอนว่างๆ เช่น รอช่าง แพทเทิร์นทำ�งาน ส่วนใหญ่จะใช้สีเมจิก วาดอะไรง่ายๆ เร็วๆ อย่าง รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำ�อาง เครื่องประดับ หรือกล่องน่ารักๆ ที่เราไป เจอ ตอนวาดก็ไม่ได้คิดว่ามันจะกลายเป็นสไตล์ของเราหรอก แต่สิ่งเหล่า
ก็ช่วยเตือนว่าเราเป็นใคร ชอบอะไร พอลูกค้าเห็นงานเราก็รู้สึกสนใจ จน ตอนนี้เราเอารูปวาดจากสมุดสเก็ตไปเป็นคอลัมน์ในนิตยสาร Cheeze ชื่อ What’s in my bag แล้ว” คนกับของ “จิ๊ปชอบวาดรูปสิ่งของ เพราะมันบอกความเป็นตัวคนใช้ได้ดี เรา อาจจะรู้จักเขาเท่าที่เห็น แต่พอได้มาดูของในกระเป๋า เรื่องราวต่อเขาก็จะ เปลี่ยนไป เราจะเห็นว่าคนๆ นี้ชอบอะไร มีชีวิตแบบไหน ยิ่งพอได้พูดคุย กันก็ยิ่งสนุกกันไปใหญ่ อีกอย่างคือ เวลาที่จิ๊ปมองสิ่งของ จิ๊ปจะมอง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทั้งการจัดวาง กระดาษที่ใช้ ตัวอักษร และ สีสัน เพื่อดูว่าคนออกแบบจัดวางให้มันออกมาดูน่ารักได้อย่างไร” ศิลปะรอบตัว “เรามักจะบอกเด็กที่มาเรียนศิลปะกับเราว่า เวลาไปไหนให้เราปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมของการมอง เช่น เวลาไปกินข้าวให้ลองดูโลโก้ วิธีการ แต่งร้าน โทนสี ตัวอักษร เวลาไปช็อปปิ้งให้ดูดิสเพลย์ในร้านไปด้วย ถ้า ไปดูหนังก็ดูมุมกล้อง เสื้อผ้า การนำ�เสนอว่าเป็นอย่างไร การมองเห็นถึง ศิลปะที่มันอยู่รอบตัวเราจะช่วยต่อยอดงานของเราต่อไปได้มาก” The Factory Studio “ที่แห่งนี้เกิดจาก วันหนึ่งเราคุยกับกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยา ลัยเล่นๆว่า อยากมีสตูดิโอเป็นของตัวเอง เพื่อนคนหนึ่งที่เป็นหุ้นส่วน ก็เอ่ยขึ้นมาว่า เขามีบ้านให้เช่าย่านใจกลางเมือง ทุกคนสนใจเลยมาดู ปรากฎว่าชอบมาก เพราะมันเป็นบ้านที่ไม่ใช่ตึกแถวและมีบริเวณให้ทำ�งาน ศิลปะได้ เป็นได้ทั้งสตูดิโอสำ�หรับทำ�งานและที่สอนศิลปะ เราจึงตัดสินใจ ลงหุ้นกันเปิดที่นี่ ในอนาคตอยากเห็นที่นี่เป็นสถาบันศิลปะที่ไม่เหมือนที่อื่น เป็นที่ที่ เด็กเข้ามาแล้วจะถูกโอบล้อมด้วยศิลปะแขนงต่างๆ ทั้ง Fine art, Pure art, พานิชย์ศิลป์ ไปจนถึง แฟชั่น เด็กที่ชอบด้านใดด้านหนึ่งจะได้เห็น งานแบบต่างๆ สายตาของเขาต่อศิลปะก็จะกว้างขวางขึ้น อยากให้ที่นี้เป็น มากกว่าที่เรียน แต่เป็นที่ให้เขาเรียนรู้ว่าศิลปินเขาทำ�งานอย่างไร เป็นห้อง สมุด เป็นที่ที่ให้แรงบันดาลใจ”
dont magazine 27
Words Riksh Upamaya Illustration Nutthanamont Prasertthanachai
FASHION VS ART Designers don’t just take art as their inspiration to make billions of dollars. They also give back to art world and bring it to the next step.
PRADA : Art is PRADA
เป็นที่รู้กันดีว่าการศึกษาระดับด็อกเตอร์ทางด้าน รัฐศาสตร์และอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์คือปูมหลัง ชีวิตที่สุดแสนจะน่าสนใจของ Miuccia Prada ดีไซเนอร์ วัย 63 ปี ที่อุตสาหกรรมแฟชั่นโลกต้องยอมสยบในวิสัย ทัศน์ของเธอ และยกตำ�แหน่งอีกหนึ่งผู้ทรงอิทธิพลต่อ ทิศทางแฟชั่นของโลกมากที่สุดในปัจจุบันให้เธออย่างเป็น เอกฉันท์ บางคนมองว่างานของ Miuccia คือศิลปะ บางคน มองว่าตัวเธอเองนั่นแหละคือศิลปะ (ผู้เขียน, 2011) และ ตัวแบรนด์เองก็คือผู้ที่ดึงคำ�ว่า “ศิลปะ” ให้เข้าใกล้ตัวมาก ขึ้น เธอและ Patrizio Bertelli (สามี) เริ่มก่อตั้ง Prada Fondazione (Prada Foundation) ขึ้นที่กรุงมิลาน ประเทศอิตาลีในปี 1993 เพื่อเป็นสถานที่แสดงงาน ประติมากรรมร่วมสมัย ต่อมางานนิทรรศการเริ่มหลาก หลาย ขึ้นและการให้การสนับสนุนเริ่มก้าวไปสู่ศิลปะแขนง อื่นๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ภาพ นิ่ง ภาพยนตร์ อะนิเมชั่น หรือแม้แต่หลักสูตรการเรียน การสอนสาขาปรัชญา[1] ทั้ง Prada Fondazione และฝั่งแบรนด์Prada ก็หมั่นฟุ้งโปรเจคที่เกี่ยวกับศิลปะออกมาอยู่เรื่อยๆ เพื่อ สร้างส่ิงใหม่ๆ ออกมาให้คนในอุตสาหกรรมการออกแบบ และแฟชั่นได้ร้อง ‘ว้าว!’ กันอยู่ไม่ขาด และผลงานที่ได้รับคำ� ชมอย่างล้นหลามที่สุดชิ้นหนึ่งคือ Prada Transformer ผลงานสุดล้ำ�ที่เธอร่วมมือร่วมใจกับสถาปนิกคู่บุญ Rem Koolhas[2] ออกแบบอาคารนิทรรศการที่สามารถปรับ รูปทรงตามรูปแบบงานแสดงที่แตกต่างออกไปได้ถึง 4 แบบ[3] ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลี Miuccia ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะยุคต่างๆ ตั้งแต่งานยุค Renaissance ไปจนถึง Pop Art ที่เธอ 28 dont magazine
นำ�มาตีความใหม่ให้ทันสมัยและนำ�ไปใช้ในการออกแบบ เสื้อผ้า พร้อมทั้งนำ�เอาลูกเล่นจากแต่ละคอลเลคชั่นมาเป็น จุดเริ่มต้นของโครงการศิลปะมากมาย เช่น Yo! Video ที่รวบรวมผู้กำ�กับภาพยนตร์หลากเชื้อชาติมาทำ�หนังสั้น หลายแนวหรือ First Spring ภาพยนตร์สั้นฝีมือศิลปิน ชาวจีน Yang Fudong[4] ที่ใช้เป็นแคมเปญสั้นประกอบ คอลเลคชั่น Spring/Summer 2010 ที่ผ่านมา ทุกโปรเจคเล็กๆ ได้ถูกบรรจุไว้ใน Prada.com นี่เป็นอีกหนึ่งช่องทางเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลนิทรรศการ ต่างๆ เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ และถ้าหากมีโอกาสเดินผ่าน เข้าไปที่สโตร์ของ Prada อย่าลืมมองหา ‘Real Fantasies’ LookBook ซึ่งแนะนำ�ใจความสำ�คัญของ แต่ละคอลเลคชั่นผ่านฝีมือของศิลปิน Alexander Reichert & Fausto Fantinuoli ทำ�ให้ Lookbook ในแต่ละฤดูกาลนั้นเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจจากงาน สร้างสรรค์ที่กลายเป็นเอกลักษณ์อีกประการของ PRADA ไปแล้ว
Dolce&Gabbana : The Online Supporter
Domenico Dolce และ Stefano Gabbana สองดีไซเนอร์คู่หูเป็นผู้บุกเบิกเนื้อหาออนไลน์ให้กับ วงการแฟชั่นมานานหลายปีดีดัก ทั้งเว็บหลักอย่าง dolcegabbana.it และ swide.com นั้นเต็มไปด้วย เทคนิคอันน่าตื่นตาตื่นใจ และรวบรวมทุกความเคลื่อนไหว ของ Dolce&Gabbana มารายงานให้แฟนๆ ได้รับรู้กัน อย่างทันท่วงที จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาทั้งสองจะมีโปรเจคมากมาย ที่เกี่ยวข้องกับโลกออนไลน์ เริ่มตั้งแต่โปรเจคหนังสือภาพ
ที่ออกมาไล่เลี่ยกันสองเล่มก็คือ Uomini และ David Gandy[5] ที่มีกำ�หนดออกขายในปลายปีนี้ เป็นโปรเจคที่ รวบรวมเนื้อหาของ Dolce&Gabbana ไว้ได้เป็นอย่าง ดีคือ ความนิยมในสรีระแบบ renaissance ของบุรุษ เพศ ที่จะนำ�รายได้มาสนับสนุนโครงการ EUPLOOS ที่ต้ัง ใจจะนำ�ชิ้นงานศิลปะทั้งหมดจาก Gabinetto Disegno e Stampe degli Uffizi ในกรุงฟลอเรนซ์เข้าสู่ระบบ ออนไลน์เพื่อจัดเก็บให้เป็นหมวดหมู่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ก่อนที่จะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ในกลุ่มศิลปินนี้ก็เป็น ที่รู้จักกันดีในแวดวงศิลปะ เช่น Botticelli, Leonardo, Raphael และ Michelangelo เป็นต้น และปิดท้ายกับ Swide.com ที่มีส่วนเฉพาะกิจสำ�หรับแนะนำ�ศิลปินใหม่ โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยยกระดับวงการแฟชั่นให้ ก้าวไปสู่อีกจุดหนึ่งอีกด้วยพลังของคนรุ่นใหม่จริงๆ
LouisVuitton : That’s how you wear art
เป็นเวลานับ 10 ปีแล้วที่ Marc Jacobs ดีไซเนอร์ ชาวอเมริกันค่อยๆ เปลี่ยนแบรนด์เครื่องหนังฝรั่งเศส ที่แบกประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าร้อยปี ให้กลายเป็น แบรนด์ร่วมสมัยได้ด้วยไลน์ Ready-to-Wear และ Accessories อันตระการตาด้วยเทคนิคใหม่ไม่รู้จบ และที่สำ�คัญไปกว่านั้นก็คือการร่วมมือกับศิลปินจากทั่ว สารทิศ ก่อให้เกิดผลงานคอลเลคชั่นที่ยังตรึงใจแฟนๆ ได้จนถึงทุกวันนี้ ย้อนกลับไปในปี 2001 การร่วมงานกันครั้งแรก ของ Stephen Sprouse[6] ดีไซเนอร์ผู้ล้มลุกคลุกคลาน อยู่ในแวดวงแฟชั่นจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตกับ Louis Vuitton ในคอลเลคชั่น Grafiti ที่สร้างความอึกทึกได้ ไม่แพ้กันจน Marc Jacobs ต้องนำ�กลับมาทำ�ซ้ำ�อีกใน ปี 2009 และขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่นาน ส่วนใน ปี 2003 Takashi Murakami[7] ออกแบบตัวการ์ตูนน่า รักน่าชังสีสันแสบทรวง และเปลี่ยนให้ลาย Monogram สีน้ำ�ตาลทองคลาสสิคเป็นสี Multicolor เปรี้ยวจี๊ด ทำ�ให้ คอลเลคชั่นนี้ทำ�ยอดขายให้กับ Louis Vuitton ในปีนั้น ได้ราวหมื่นล้านบาท การร่วมงานการในครั้งนี้สร้างความ ตื่นตะลึงให้กับวงการแฟชั่นโลกไม่น้อย แทบจะเรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในชิ้นพิเศษที่สาวกทุกคนต้องมีไว้ในครอบครอง สิ่งที่ Marc ทำ�ได้ดีคือการเปิดโอกาสให้ความ หรูหราซึ่งเป็นใจความเดิมของแบรนด์ได้มาเจอกับความ แสบซ่าของศิลปะร่วมสมัย จากตะวันตกสู่ตะวันออก จาก
Pop Art สู่งานออกแบบลายเส้นรอยสัก และล่าสุดกับ โปรเจคการประดิดประดอย ประกอบร่างสินค้าชิ้นเล็กน้อย ให้กลายเป็นสัตว์ตัวจ้อยแสนน่ารักฝีมือ Billie Achilleos ซึ่งยิ่งทำ�ให้ Louis Vuitton อยู่ในใจสาวก ไม่ใช่เพียงในฐานะความโก้เก๋คลาสสิคแต่ยังพ่วงความน่า รักสดใสเข้าไปอีกด้วย
Alexander McQueen : The Artistic Statement for Artists
ผลงานของ Lee Alexander McQueen กลาย เป็นสิ่งแสดงถึงจุดยืนในวงการแฟชั่นที่ต่างออกไป เร่ิม จากการร่วมงานกัับนักร้องสุดพิลึกอย่าง Björk[8] ในปี 1997 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นในชีวิตการทำ�งานของเขา Björk เลือกชุดของ Lee ขึ้นปกอัลบั้มชุด Homogenic แถมยัง ให้เขาช่วยกำ�กับมิวสิควีดิโอเพลงหนึ่งในอัลบั้มนั้นด้วย แม้แต่ Lady Gaga เองก็เลือกใช้เสื้อผ้าของลี อยู่บ่อยครั้ง ที่เห็นชัดที่สุดคือในมิวสิควีดิโอเพลง ‘Bad Romance’ ซึ่งนำ�เอารองเท้าทรงอัศจรรย์และคอลเลคชั่น ‘Plato Atlantis’ อันลือลั่นมาสวมใส่ราวกับเธอมาจาก ดาวดวงอื่น Lady Gaga มีใจนับถือ Lee มาก เธอเอ่ย ถึง Lee อยู่ทุกแทบทุกครั้งที่เธอขึ้นรับรางวัล และอุทิศ เพลง ‘Fashion of his love’ ในอัลบั้ม Born This Way ให้กับการจากไปของเขา ส่วน Daphne Guinness[9] ก็แทบจะต้องสวมใส่ ผลงานการออกแบบของ Lee อย่างน้อยหนึ่งชิ้นทุกครั้งที่ ปรากฏตัว เธอจึงจัดนิทรรศการแสดงคอลเลคชั่นเสื้อผ้า ส่วนตัวซึ่งรวมชิ้นพิเศษที่ไม่ได้แสดงใน Savage Beauty รวมกว่า 100 ชิ้นที่จะจัดขึ้นที่ FIT Museum ณกรุง นิวยอร์ในวันที่ 16 กันยายนนี้เป็นต้นไป แม้วันนี้จะไม่มี Lee อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ Sarah Burton ก็ยังคงสานต่อเจตนารมณ์ของเขาต่อไปอย่างไม่ หยุดยั้ง ถึงเธอจะไม่ทำ�โชว์ที่สร้างความตื่นตะลึงให้วงการ อย่างที่อดีตหัวหน้าของเธอเคยทำ�มา แต่สิ่งที่ยังคงอยู่ใน ความเป็น Alexander McQueen คือการผลักขีดจำ�กัด ของคำ�ว่า “ความเป็นไปได้” ให้ไกลออกไปเรื่อยๆ จนเรา แทบไม่รู้ตัวว่า ในวันนี้คำ�ว่าศิลปะกับแฟชั่นนั้นได้ก้าวมาไกล แค่ไหนแล้ว
Footnote [1] University of Vita-Salute San Rafaele [2] Rem Koolhas สถาปนิกชาวดัตช์ วัย 68 ปี และศาสตราจารย์ด้านสถาปัตยกรรมและ Urban Design ที่บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผลงานเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ในด้านการออกแบบอาคารและเป็นอาจารย์ของ Zaha Hadid สถาปนิกชื่อดังของโลกอีกคนหนึ่ง [3] สามารถชมภาพของโปรเจคนี้ได้ที่ pradatransformer.com [4] ศิลปินวีดิโอและภาพถ่ายชาวจีนวัย 40 ปี แสดง ผลงานมาแล้วทั้งในแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกา [5] นายแบบชาวอังกฤษวัย 30 ปีที่ประสบความ สำ�เร็จสูงสุดในแวดวงแฟชั่นโลก เขาเป็น The Face of Dolce&Gabbana มาอย่างยาวนาน และได้รับเกียรติให้ ออกหนังสือภาพส่วนตัวในปี 2011 ร่วมกับช่างภาพชื่อ ดังหลายคน [6] ศิลปินแนว Graffiti ชาวอเมริกันที่โด่งดังจาก งาน Graffiti และ Blacklight Paint ที่เป็นลายเซ็น เฉพาะตัว เคยเป็นทั้งดีไซเนอร์และศิลปินอิสระ เสียชีวิตลง ด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่ออายุได้เพียง 50 ปี [7] จิตรกรชาวญี่ปุ่นชื่อดัง ได้รับการยอมรับใน ผลงานลายเส้นสีสดอันเป็นเอกลักษณ์ประจำ�ตัว และชุด ผลงาน SuperFlat ปัจจุบันทำ�งานทั้งแนวประติมากรรม จิตรกรรม และภาพเคลื่อนไหว [8] ศิลปิน นักร้อง นักดนตรี ชาวไอซ์แลนด์ วัย 47 ปี ที่มีผลงานแปลก แหวกแนวและเป็นเอกลักษณ์มาก ที่สุดคนหนึ่งในแวดวงดนตรี [9] ทายาทตระกูลเบียร์ Guinness ชื่อก้องโลกที่ ได้รับการยอมรับในฐานะผู้หญิงที่มีสไตล์การแต่งตัวน่า นับถือที่สุด ปัจจุบันเธออายุ 43 ปี เคยมีโครงการร่วม กับดีไซเนอร์ชื่อดังมาแล้วมากมาย เช่น Comme Des Garcons เป็นต้น dont magazine 29
DONTXJASPAL
1
The Maxi Pleats
2
3
4
DONTXJASPAL
1
2
The Transformer Jacket
3
4
DONTXJASPAL
1
The White Trousers
2
3
4
DONTXJASPAL
1
The Cropped Pleats
2
3
4
Words Narisara Saisanguansat Illustration Thanawat Chaweekanyakul Self Portrait Noon Herself
Art, actually Noon and all the way back to what she loves at the beginning. ยามสายของวันศุกร์ที่แดดร่มลมตก ฉันนัดพบกับนุ่น ศิร พันธ์ วัฒนจินดา ณ สวนรถไฟ สวนสาธารณะแห่งนี้เงียบ สงบต่างจากในช่วงสุดสัปดาห์ที่มักมีผู้คนพลุกพล่าน เหมาะ แก่การนั่งละเลียดบรรยากาศหรือหาความสุนทรีสร้างแรง บันดาลใจเป็นอย่างยิ่ง และก็ช่างบังเอิญที่ในสถานที่นัดพบนี้ ก็กำ�ลังมีงานแสดงศิลปะอยู่พอดี เข้ากับเรื่องราวของ DONT เล่มนี้เสียจริง นุ่นสวมชุดเอี๊ยมกระโปรงสีเทากับเสื้อยืดสีขาวที่ดู เรียบๆ มีสไตล์แบบสาวอาร์ต แต่งหน้าบางๆ ดูเป็นธรรมชาติ ท่าทางผ่อนคลาย เธอดูคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดี คง เป็นเพราะเธอเลือกมาใช้เวลายามว่างที่นี่บ่อยๆ นุ่นเริ่มต้นเล่าความสนใจด้านศิลปะว่ามีมาตั้งแต่เด็ก เธอมักชอบเก็บสิ่งของชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาประดิษฐ์เป็นของใช้ ไปจนถึงของขวัญให้เพื่อนๆ “เอาไม้ไอติมที่เก็บสะสมไว้มาทาสี อาจารย์ยังไม่ได้สอนเราก็มาทำ�เองก่อน แปะนั่นแปะนี่ทำ�เป็น กรอบรูป เวลาให้ของขวัญเพื่อนก็จะทำ�การ์ดเอง หรือทำ�ของขวัญเอง ซึ่งตอน นั้นเรารู้สึกว่ามันดูรกๆ ดีนะ เอานั่นเอานี่มาแปะๆ ให้เป็นการ์ด” แต่ด้วยเป็นเด็กเรียนเก่ง ชีวิตของเธอจึงเดินไปตามครรลองค่านิยมของ สังคม เธอเข้าศึกษาต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ถึง แม้จะเรียนในสาขาที่ดูจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอชอบโดยสิ้นเชิง เธอก็ไม่เคยทิ้ง ความชอบนั้น “สังเกตตัวเองว่าเวลาเข้าเล็คเชอร์ ก็จะนั่งวาดไว้ว่าเดี๋ยวจะกลับบ้านไปทำ� ของแต่งบ้านอะไร ก็เลยคิดว่าสงสัยเราคงชอบ แต่บนโลกความเป็นจริงเราก็ต้อง บาลานซ์ระหว่างความชอบของเรากับทางครอบครัว ก็จบวิศวะมาโดยไม่ได้ติดขัด หรืออึดอัดนะ แต่ก็รอวันเวลาที่จะได้มาต่อยอดเรียนทางนี้” แล้วเธอก็ได้มีโอกาสไปเรียนต่อยอดที่สถาบันออกแบบนานาชาติชนา พัฒน์ (CIDI) ใช้เวลาประมาณสองปี ในสาขา Interior & Product Design และเพิ่งเรียนจบเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ สาขาที่เธอเรียนนั้นเหมือนได้สานต่อ ความรักในการประดิษฐ์ที่มีมาตั้งแต่วัยเด็ก “จากเดิมก็เป็นเด็กที่ทำ�งานกิ๊กๆ ก๊อกๆ อยู่บ้าน พอได้ไปเรียนรู้ กระบวนการความคิดที่ถูกต้อง มันก็คิดได้สนุกขึ้นเยอะเลยนะ มีอยู่วิชาหนึ่งที่ นุ่นชอบมาก อาจารย์ให้ไปเลือกภาพที่เราคิดว่าชอบที่สุดมาหนึ่งภาพจาก 100 ภาพ แล้วดึงรายละเอียดที่อยู่บนภาพนั้นออกมา นุ่นเลือกภาพหน้าของช้างเพราะ นุ่นชอบตาช้าง รู้สึกว่าแววตามันเศร้า ก็หยิบรูปนี้ขึ้นมาแล้วเริ่มวาดเส้นโค้ง เส้น ขอบตา ขนตา วาดไปเรื่อยๆ เหมือนสร้างแพทเทิร์นของอะไรสักอย่าง จากเส้น โค้งหนึ่งเส้นเราก็เอามันมาซ้อนทับกัน เอามาหมุนเปลี่ยนองศา ย่อขยาย จนได้ รูปที่เราชอบแล้วพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ รู้สึกเลยว่างานออกแบบมันเสริมสร้าง จินตนาการที่ดีมาก” “และอาจารย์ที่นี่เขามาจากอิตาลี แต่เขาก็ไม่ยัดเยียดความเป็นยุโรปหรือ ความเป็นดีไซเนอร์ของชาติเขาให้กับเรา เขาบอกเราว่าจงภูมิใจนะ ประเทศคุณมีดี มากๆ เขาชอบชะลอมกับขนมสอดไส้ เพราะแพ็คเกจจิ้งของมันตอบโจทย์ทั้งความ สวยงามและฟังก์ชั่นการใช้งาน เราอยู่มาจะ 30 ปีเพิ่งรู้สึกว่าขนมสอดไส้กับ ชะลอมสวย นี่คือความไม่จำ�กัดของงานดีไซน์” ดาราสาวเล่าอย่างกระตือรือร้น ดู เธอมีความสุขกับการเรียนจริงๆ เธอยังบอกอีกว่าอยากจะพัฒนางานออกแบบ ให้เป็นงานที่เลี้ยงตัวเองได้ในอนาคต “คิดว่าอาชีพต่อไปในอนาคตควรเป็นอาชีพที่เรารักจริงๆ และเป็นไปเพื่อ ให้เราอยู่ได้ นุ่นไม่หวังว่าจะเป็นนางเอกไปจนถึงอายุ 35 หรือ 40 ปี เราอาจยัง 36 dont magazine
เลือกเล่นในบทที่เรารู้สึกว่าน่าสนใจได้ แต่จะหวังจากการ แสดงอย่างเดียวมันก็เป็นมายาเกินไป” “อยากทำ�งานออกแบบแล้วสามารถเลี้ยงตัวเราเอง ให้อยู่ได้ ไม่ต้องอู้ฟู่หรือประสบความสำ�เร็จเป็นเซเล็บ ไม่ ต้องลงนิตยสารก็ได้ ตอนนี้ในมโนภาพคือถนนคนเดินหรือ สวนจตุจักร หรืองานที่เด็กมหาวิทยาลัยทำ�ของมาวางขาย ตามข้างถนน ทุกคนคือดีไซเนอร์ ทุกคนคือศิลปินในสไตล์ ของตัวเอง” นักแสดงสาวบอกว่า เธอมองเห็นความคล้ายคลึง กันระหว่างโลกของการแสดงกับโลกของศิลปะ เพราะทั้ง สองโลกนี้มีต้นกำ�เนิดมาจากแหล่งเดียวกัน คือความรู้สึก ภายใน ต่างกันเพียงช่องทางที่จะสื่อสารความรู้สึกเหล่า นั้นออกมา เธอยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้มาสัมผัสอาชีพ นักแสดงเพราะเป็นเส้นทางนำ�เธอไปเรียนรู้อารมณ์ที่หลาก หลาย “การเป็นนักแสดงทำ�ให้นุ่นรู้สึกว่าได้ใช้อารมณ์ในชีวิตมากกว่าปกติ ถ้า เรียนจบวิศวะแล้วไปเป็นสาวโรงงาน คงไม่มีอารมณ์แบบอยู่ๆ ก็หึงหวง อยู่ๆ ก็ อิจฉาริษยา อยู่ๆ ก็เป็นนางเอ๊ก นางเอก ก็คงต้องเรียกว่าออกกำ�ลังกายอารมณ์ ตัวเองมากกว่าอาชีพอื่น พอมาทำ�งานศิลปะ อารมณ์เราเพียบเลย เราดึง อารมณ์ออกมาได้ง่ายมากกว่าคนที่ไม่ค่อยได้มีอารมณ์กับสิ่งต่างๆ มากนัก” แต่อาชีพนักแสดงก็ไม่ได้มีแต่ข้อดี บ่อยครั้งที่เธอซึมเศร้าเพราะไม่สามารถ ถอนตัวเองออกจากอารมณ์ของตัวละครได้ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำ�ให้คน ทั่วไปมองว่านุ่น ศิรพันธ์ เป็นคน “ติสต์” หรือมีอารมณ์แปรปรวนมาก “มันทำ�ให้อารมณ์ของเราสวิงเยอะ ตอนนี้เราปกติ เฉยๆ นิ่งๆ ไม่สุขไม่ ทุกข์ แต่สมมติต้องเล่นเป็นคนบ้า ฉันก็ต้องบ้า ฉันเกลียดอีนี่จังเลย อะไรแบบ นี้ แล้วพอคัทปุ๊บมันก็ต้องกลับมาเป็นคนเดิม บางทีอารมณ์มันจะหมุนไปนู่นไปนี่ ช่วงหนึ่งเล่นเป็นผู้หญิงที่โดนทิ้ง เรากลับมาเป็นตัวเองไม่ได้ นอนไม่หลับ เครียด สะสม คิดประหนึ่งว่าเป็นตัวเองจริงๆ” ไม่เพียงอารมณ์ของตัวละครเท่านั้น อีกสิ่งที่ทำ�ร้ายตัวเธอเองอย่างมาก คือการเก็บเอาลมปากและความคิดของคนรอบข้างมาใส่ใจ บ่อยครั้งที่เธอมี อารมณ์ด้านลบต่อคนอื่นแล้วความรู้สึกเหล่านี้ก็ย้อนกลับมาทำ�ให้เธอเป็นทุกข์ “อาชีพนักแสดงมันทำ�ให้เราเห็นธรรมชาติของคน เห็นธรรมชาติของชีวิต ตอนเล่นเพื่อนสนิท เดินไปจตุจักร คนก็กรี๊ด ‘ดากานดาๆ!’ ได้ของกลับบ้านเต็ม เลย อีกอาทิตย์หนึ่งโดนเขียนด่าบนหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งเรารู้สึกว่านั่นคือคนทั้ง ประเทศ เราเห็นความไม่เที่ยง วันหนึ่งมีความสุข วันหนึ่งมีความทุกข์ วันหนึ่งมี คนชม แล้วอีกวันหนึ่งคนก็นินทา วันหนึ่งเราเคยมีเงิน อีกวันเราไม่มีแล้ว เดินไป เดี๋ยวคนก็บอกว่า “ไม่เห็นสวยเลย” อีกคนหนึ่งบอก “สวยจังเลย” อาชีพนี้ทำ�ให้ นุ่นเห็นชัด เห็นอารมณ์ที่รุนแรง มันมาทุกแบบ ซึ่งเราหาที่พึ่งไม่ได้เลย” แต่วันหนึ่ง งานออกแบบก็ช่วยสอนให้เธอเห็นว่ายังมีมุมมองอื่นๆ อีก มากมายในชีวิต “มันทำ�ให้เราพยายามหาความเป็นไปได้ เรามองของอย่างหนึ่งแล้วเราคิด ว่ามันจะเป็นอะไรได้อีก พอกลับมามองชีวิตประจำ�วัน บางทีเจอปัญหาเราก็จะมอง มุมอื่นบ้าง เช่นไม่ชอบคนนี้ เราก็จะบอกตัวเองว่าหาข้อดีของเขาสิ จากที่เกลียด จังเลย เห็นหน้าแล้วอึดอัด เครียด เราก็จะไปมองมุมที่มันสนุก” ตอนนี้เธอมองโลก มองคนอื่นอย่างใจเย็นมากขึ้น เห็นสิ่งต่างๆ อย่าง เข้าใจมากกว่าเดิม เห็นตัวเองชัดเจนมากขึ้น และนุ่นบอกว่า อีกสิ่งหนึ่งที่ทำ�ให้เธอ เรียนรู้และเข้าใจชีวิตมากขึ้นก็คือธรรมะ
dont magazine 37
“ วันหนึ่งเราเคยมีเงิน อีกวันเราไม่มีแล้ว เดินไปเดี๋ยวคนก็บอกว่า “ไม่เห็นสวยเลย” อีกคนหนึ่งบอก “สวยจังเลย” อาชีพนี้ทำ�ให้นุ่นเห็นชัด เห็นอารมณ์ที่รุนแรง มันมาทุกแบบ ” “เราอยู่กับธรรมะมาตั้งแต่เด็ก อยู่ที่บ้านก็ไปวัด แต่เราไม่เคย ศึกษาในแก่นของศาสนาอย่างจริงจัง รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของคน แก่(หัวเราะ) พอได้ศึกษาเราก็รู้สึกว่า อ๋อ มันไม่ใช่นะ วัยรุ่นก็ทำ�ได้ แต่ ตอนแรกก็อาย เหนียม ไม่กล้าบอกว่าชอบเข้าวัด ชอบอ่านธรรมะ ชอบ เอาประสบการณ์ชีวิตมาเล่าสู่กันฟังกับคนอื่น กลัวคนเขาว่าเราติสต์ เราเพี้ยน กลัวเขาบอกว่าไม่ใช่ของจริงอย่ามาพูด แต่พอวันหนึ่งเราก็ พบว่าสิ่งนี้ทำ�ให้เรามีความมั่นคงทางใจมากกว่าเมื่อก่อนเยอะ” “ตอนนี้ก็เลยบอกใครๆ ว่า ชอบเข้าวัด แต่ก็ไม่ได้บรรลุนะคะ ก็ เป็นคนปกติที่มีกิเลส โมโหก็มี แต่จะใจเย็นกว่าเมื่อก่อน ทำ�งานเจอคน เยอะแยะ เกลียด ไม่สบายใจ ไม่อยากทำ�งานด้วย ก็เลือกที่จะหามุมดีๆ ของเขา เลือกที่จะเข้าใจ หรือบอกตัวเองว่า เฮ้ยอย่าไปจริงจังมาก ชีวิต มันมีจุดหมายปลายทางที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่แค่จมอยู่กับความไม่ชอบ ความ โกรธ แต่ก็อย่างที่บอก ไม่ได้ศึกษามันจนถึงแก่นแท้ขนาดนั้น ตอนนี้แค่ บังคับจิตใจให้ไม่วอกแวกก็ยังยากเลย” ก่อนจากกัน นุ่นบอกว่าเธอมีคำ�ขอบคุณที่จะมอบให้ทุกอย่างใน ชีวิตที่ผ่านมา โดยเฉพาะสิ่งร้ายๆ ที่ทำ�ให้เธอเข้มแข็งขึ้น 38 dont magazine
“ขอบคุณคนที่เขียนนินทา เขียนด่า ตามที่ไหนๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะ เรื่องสรีระภายนอก เรื่องนิสัย เรื่องอะไรก็ไม่รู้ล่ะ ขอบคุณปัญหาทั้ง จากผู้ร่วมงาน ปัญหาชีวิตส่วนตัวทุกอย่าง เพราะมันทำ�ให้นุ่นเข้มแข็ง ขึ้น ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองมั่นคงขึ้นเยอะเลยในเรื่องความคิดและอารมณ์ และอยากกลับไปบอกคนเหล่านี้ว่า อย่าทำ�กับใครแบบนี้เลย ชีวิตเรามัน มีสิ่งสำ�คัญมากกว่าเรื่องของคนอื่น ใจเรานี่แหละสำ�คัญที่สุด ถ้าไปมุ่ง สนใจแต่เรื่องนินทาคนอื่น เห็นเรื่องที่ไม่สำ�คัญว่าเป็นเรื่องสำ�คัญมาก มันเสียดายเวลา เราไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ สู้เอาเวลาเหล่านี้มาฝึกตัวเอง ให้ดีขึ้นๆ ดีกว่าค่ะ” ชีวิตของนักแสดงคนนี้ ถ้าเป็นภาพภาพหนึ่ง ก็คงเต็มไปด้วย สีสัน ทั้งเยือกเย็น เร่าร้อน มืดมน สดใส ทึมเทา สิ่งที่เธอมีคือการ ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น ทั้งในแง่ลบและแง่บวก ฉันรู้สึกว่าชีวิตของ เธออาจจะไม่สมบูรณ์สวยงามทุกแง่มุม แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือที่เป็น เสน่ห์ในความเป็นมนุษย์
Words Narisara Saisanguansat Self Portraits by Thanawat himself
Thanawat Chaweekanyakul : Experimental Dream ธนวัช ฉวีกัลยากุล ใครจะคิดว่าชายหนุ่มเหนือผิวขาวท่าทางซื่อๆ พูดน้อย ยิ้มไปพูดไปอย่าง เขินอายแบบเขา จะเป็นเจ้าของผลงานแนว Abstract ที่สื่ออารมณ์ กวนๆ ออกมาได้ ยามที่มองภาพผลงานของเขาแต่ละชิ้น แม้จะไม่เข้าใจ ความหมาย แต่สิ่งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนนั่นคืออารมณ์ขันเล็กๆ เหมือน ภาพนั้นกำ�ลังหัวเราะขื่นๆ เสียดเย้ยโลกอยู่เบาๆ The Beginning ชินเรียนจบสาขาออกแบบกราฟิกจากคณะสถาปัตยกรรม เอก ออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยลาดกระบัง ประสบการณ์อาจจะยัง น้อยเพราะเป็นบัณฑิตใหม่ แต่มีไฟเต็มเปี่ยม เขาบอกตรงไปตรงมาว่าทุกวันนี้ยังไม่มีสไตล์ที่ชัดเจนนัก แต่ก็ สนุกกับการได้ทดลองสิ่งแปลกใหม่ จับนั่นผสมนี่ งานที่เขาสนใจเป็น พิเศษคือภาพถ่ายและภาพประกอบ ซึ่งเขามักจะหยิบเอาสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ ในรายละเอียดรอบตัวมานำ�เสนอ เช่นชุดภาพถ่ายของคนเล็กคนน้อยใน มหาวิทยาลัย อย่าง รปภ. ภัณฑารักษ์ หรือคนทำ�บัญชี ที่เขาต้องการ สื่อถึงคนกลุ่มหนึ่งที่ใครๆ อาจไม่เคยสังเกตหรือรับรู้ถึงการมีอยู่ ทั้งที่ เขาเหล่านั้นก็ชีวิต มีความฝัน และเดินสวนกันไปมาอยู่ในพื้นที่เดียวกับ เรานี่แหละ หนังคัลต์ ศิลปินหนุ่มคนนี้ชื่นชอบผู้กำ�กับอย่างเควนติน ทาแรนติโน และ มิเชล ฮาเนเก้ ทั้งยังชอบดูหนังคัลต์ญี่ปุ่น ด้วยเหตุผลว่าหนังเหล่านี้ให้ ทางออกในช่วงผิดหวังของชีวิต “ชีวิตอาจจะโหดร้าย แต่มันไม่ได้น่าเศร้า เมื่อชีวิตมันแย่มากนัก เราก็หัวเราะเยาะเย้ยมันซะเลย” และนั่นจึงกลาย เป็นวิธีมองโลกซึ่งส่งอิทธิพลต่อมายังผลงานของเขา นอกจากนี้เขายังได้ แรงบันดาลใจจากชีวิตของศิลปินอย่าง Marcel Duchamp และ John Baldessari ศิลปินยุค 70s ที่กล้าแหกขนบออกมาทำ�อะไรแปลกๆ จน ถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ศิลป์
ศิลปินอาชีพ ทุกวันนี้ศิลปินมีพื้นที่แสดงตัวตนมากขึ้น แต่หากไร้ซึ่งจุดขายแล้ว ก็ใช่ว่าจะเติบโตกันได้ง่ายๆ ศิลปินหน้าใหม่ยอมรับว่าเขาก็ยังไม่มีจุดขาย ของตนเอง แต่เรื่องแบบนี้ถ้าจะสร้างขึ้นมาแบบฉาบฉวยก็คงหวังอยู่ยาว ในวงการนี้ได้ยาก สำ�คัญจึงต้องซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง ถือคติ “ช้าแต่ชัวร์” ค่อยๆ พัฒนาผลงานไปเรื่อยๆ ถึงจะไม่ได้งานที่ดีที่สุด แต่ แน่นอนว่ามันจะต้องดีกว่าเดิม “พกสมุดไดอารี่เล่มหนึ่งไว้ คิดอะไรได้ก็จด ลงไป ถ่ายภาพที่น่าสนใจเก็บไว้ทุกวัน หนังสือที่อ่าน หนังที่ดู พยายาม เอาสิ่งเหล่านั้นมาพัฒนาให้เป็นงานของเราให้ได้” อนาคต สำ�หรับชิน อาชีพศิลปินนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นจริงๆ เขาจึงกะ ว่าจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำ�งานสัก 2-3 ปี จากนั้นคงไปเรียนต่อยัง Art Institute of Chicago สหรัฐอเมริกา (สถาบันเดียวกับอภิชาติ พงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำ�กับภาพยนตร์ “ลุงบุญมีระลึกชาติ” และ “แสง ศตวรรษ”) หรือมหาวิทยาลัยในประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นแหล่งรวมของ ศิลปะแนว Conceptualism ที่เขาชื่นชอบ (แม้เขาจะไม่ได้โอ้อวด แต่จริงๆ แล้วเขามีงานออกแบบสินค้าที่ส่งไปขายในต่างประเทศมาแล้วด้วยนะ) ฝากถึงคนอ่าน “ถ้าดูแล้วสวยก็ดีครับ ถ้าไม่สวยก็ช่วยรอดูงานต่อไปนะครับ” ศิลปินหนุ่มตอบสั้นๆ ง่ายๆ พร้อมรอยยิ้มซื่อที่เป็นเอกลักษณ์ประจำ�ตัว ของเขา
dont magazine 39
Richard Hamilton จากเกาะอังกฤษ เป็นศิลปินคนแรกๆ ที่ริเริ่มเทคนิคการ ตัดแปะ ที่เรารู้จักว่า collage เขามักจะนำ�รูปต่างๆ มา ตัดแปะเพื่อสร้างเรื่องราวสนุกๆ และชวนให้ตีความแบบ ง่ายๆ การแต่งหน้าตามสไตล์นี้ ลองใช้สีที่มีเนื้อสีเยอะ หรือใช้สีเพ้นหน้าไปเลย ถ้าง่ายๆ หน่อยให้ติด tattoo sticker ลายที่ต้องการลงไปที่หน้าเลย สำ�หรับคน ที่พอจะมีฝีมือให้ลองระบายสีตาด้วยสีหลายสี และ ระบายให้ขนาดแตกต่างกันระหว่างสองข้าง ระบายโดย ไม่ต้องเกลี่ยให้เนียบมาก อย่าได้แคร์ 40 dont magazine
Inspiration... is just popping up!
Thanwin Kumyaem for the experimental makeup on his sculpture. Makeup is art. Art is beauty. See how we take inspiration from art and translate it into our very own definition of beauty. Realisation Wallaya Tipvannaporn Photography Riksh Upamaya ดูจากปก DONT ฉบับนี้แล้ว คอลัมน์บิวตี้จะไม่พูดถึงศิลปะก็ กระไรอยู่ เห็นศิลปินหลายคนขะมักเขม้นรังสรรค์ผลงานกันอย่าง สนุกสนาน ทางฝ่ายความงามก็เริ่มมีอารมณ์ศิลป์ เกิดแรงบันดาลใจ ที่อยากลองนำ�งานศิลปะมาประยุกต์ใช้กับศิลปะการแต่งหน้าดูบ้าง หลายคนเริ่มรู้สึกว่าระยะนี้คอลัมน์บิวตี้จะเพี้ยนๆ จากเล่มที่ แล้วสอนการแต่งหน้าเลียนแบบธรรมชาติ มาฉบับนี้จะแต่งหน้าแบบ อารมณ์ศิลป์! จะธรรมดาก็ไม่ใช่ DONT สิ ว่าไหม? เราเลยเชิญ นางแบบระดับแนวหน้าอย่าง Gemma Ward มาร่วมทำ�งานกับเราใน ฉบับนี้ด้วย แต่มาในรูปของรูปหล่อปูนปั้นนะ :p ซึ่งศิลปินได้ดึงราย ละเอียดโครงหน้าและลดทอนบางส่วน(ตามอารมณ์ศิลป์ของศิลปิน) ซึ่งทำ�ให้ดูน่าสนใจมากขึ้น
People need something fun ยุคที่งานศิลปะมีความแปลกใหม่และน่าตื่นเต้นคือในช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่ผู้คนมึความตึงเครียดด้วยปัญหา เศรษฐกิจอย่างหนัก ศิลปะและแวดวงบันเทิงนั้นคึกคักมาก มีศิลปิน และดารานักร้องเกิดใหม่ มีกระแสความคลั่งไคล้ดาราศิลปินอย่าง Marilyn Monroe Elvis Presley The Beatles งานศิลปะก็มี การเปลี่ยนแปลงเช่นกัน จากความนิยมงานศิลปะในแบบ Abstract ที่ต้องอาศัยการตีความ ความคิดและจินตนาการอย่างสูงในการ ชม กลับกลายเป็นว่าผู้คนมักจะชอบศิลปะที่เป็นความเป็นจริง จับ ต้องได้ เข้าใจง่ายและเกี่ยวในชีวิตประจำ�วันมากขึ้น นั่นคือศิลปะแบบ
POP ART นั่นเอง ศิลปินแนวนี้ทำ�งานออกมาให้ดูง่าย ไม่สลับซับ ซ้อน นำ�เหตุการณ์ในปัจจุบัน วัฒนธรรม ป้ายโฆษณา สินค้าในร้าน ค้า หรือคนดังต่างๆ มาผสม ตัดปะ ดัดแปลง ลดทอนรายละเอียด เพื่อแสดงออกความคิดความรู้สึก ผลงานมักแฝงไปด้วยแนวคิด มี ลักษณะเสียดสีสังคม และล้อเลียนต่างๆ นานา จึงมีลักษณะของความ สนุก ความกล้า และความขี้เล่น
Pop Art and Runway นอกจากศิลปะแนวนี้จะมีอิทธิพลต่อวงการเสื้อและผ้าเครื่อง ประดับแล้ว รูปแบบเมคอัพก็มีความแปลกใหม่คล้ายศิลปะแนว POP ART ซึ่งมีลักษณะที่ต่างไปจากเดิม บิดเบือน แหวกขนบเดิมๆ ในการ แต่งหน้า มีการใช้สีโทนร้อนระบายที่เปลือกตา ปัดแก้มด้วยสีโทนเย็น กัดสีคิ้ว เขียนคิ้วหนาสีเข้มเกินจริง ทาปากด้วยสีนีออนฉูดฉาด หรือ เขียนขอบตารูปทรงประหลาด สไตล์ของเมคอัพแบบนี้เรามักจะเห็นบน รันเวย์หรือแคมเปญโฆษณาของหลายแบรนด์ที่ต้องการความโดดเด่น น่าสนใจและน่าจดจำ�
How to create the looks ศิลปินในยุค POP ART นั้นมีหลายท่าน แต่ละท่านก็มีผลงาน ที่เป็นเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ นำ�มาเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งหน้า คงจะสนุกไม่น้อย
Andy Warhol ศิลปินชาวอเมริกันที่ถือว่าเป็นผู้บุกเบิก ศิลปะยุคนี้ เจ้าของผลงานที่เราเห็น บนซุปกระป๋อง ตรา Campbell มักจะ ใช้สีสันฉูดฉาด แรงๆ ลายเส้นหนักๆ ใครที่ชอบแนวนี้ ลองทาปากสีสด พร้อมวาดขอบปาก แล้วลองเปลี่ยน สีคิ้วให้อ่อนลง หรือจะเปลี่ยนสีไปเลย ก็น่าสนุกดี ส่วนตานั้นระบายสีแรงๆ ที่ เราต้องการ อาจเป็นสีตรงข้ามกับสีตา ไปเลยก็ได้ สวยไปอีกแบบ
dont magazine 41
Yoshitomo Nara ชาวญี่ปุ่นที่มีผลงานโดดเด่นในการใช้สีพาสเทล และเนื้อหา ของผลงานส่วนมากจะเกี่ยวกับเด็ก ดูเพลินสบายตา บางภาพ ก็ติดตลกด้วยสีหน้าของเด็ก ถูกใจคนชอบสีพาสเทลด้วยการ ลงสีพาสเทลเฉดต่างๆ ลงบนใบหน้าตามชอบ เริ่มที่ปัดคิ้ว ด้วยสีกาแฟนม ระบายเปลือกตาด้วยสีเหลืองอ่อน ทาปากสี มิลค์เชคสตรอเบอรี่ ปัดแก้มด้วยสีส้มเล็กน้อย ไม่เขียนขอบตา แต่ปัดขนตาให้หนาขึ้นเล็กน้อย การแต่งหน้าที่นอกขนบนั้นแตกต่างกับ POP ART ตรง ที่ ‘การนำ�มาใช้ในชีวิตจริง’ แต่สามารถปรับใช้สำ�หรับงานปาร์ตี้ สนุกๆ หรือลดความเยอะเพื่อใช้สำ�หรับวันธรรมดา แต่ต้องลด เยอะจริงๆ นะคะ เดี๋ยวผู้คนจะแตกตื่นกับความจัดจ้านของสีสัน บนใบหน้าเอาได้ ขอให้สนุกกับอารมณ์ศิลป์ค่ะ 42 dont magazine
Words Pornrat Vachirachai Self Portrait Thanwin Himself
Thanwin Kamyaem : He knows what he wants for his life. ธันวิน คำ�แย้ม หรือ ตั๋ง คือเด็กหนุ่มวัยเบญจเพสที่มีแววตามุ่งมั่น ดูมีพลัง อย่างประหลาด เขาชี้งานโครงไม้ เหล็ก และงานปั้น ระหว่างที่แนะนำ�ตัวให้ฉัน รู้จัก ที่นี่คือ The Factory Studio & Art House สตูดิโอศิลปะของเขา และเพื่อนๆ ที่อยากจะทำ�งานและสอนศิลปะด้วยกัน การ์ตูนลายเส้นสไตล์ตะวัน ตกสีดำ�ตัดกับตึกสีขาวแห่งนี้เป็นอย่างดี ตัวละครในภาพวาดพูดคุยกันด้วย ภาษาอังกฤษว่าด้วยเรื่องศิลปะ การแสดงงานนิทรรศการ ไปจนถึงศิลปินที่ นั่งทำ�งานไปบ่นหิวข้าวไป บางทีภาพวาดเหล่านั้นคงจำ�ลองมาจากชีวิตจริงของ พวกเขาเองกระมัง ตั๋งกับศิลปะเริ่มรู้จักกันตอนมัธยมต้น เมื่อพี่สาวของเขาไปเรียนติว ศิลปะเพื่อสอบเอนทรานซ์ ทุกๆ วันหลังติวเสร็จ เธอก็จะเอาผลงานมาอวด ให้เขาดู จึงเป็นการจุดประกายให้ตั๋งอยากลองไปเรียนบ้าง พอเขายิ่งเรียนก็ พบว่ามันยิ่งสนุก ตั๋งเลยตั้งใจเรียนอย่างจริงจังเพื่อสอบเข้าคณะจิตรกรรม ให้ได้ ในช่วงเอนทรานซ์ ตั๋งทิ้งคะแนนที่สอบกับกระทรวงศึกษาทั้งหมด และ หันมาสอบตรงที่คณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากรเพียงแห่งเดียวเท่านั้น โดยตั้งใจว่าถ้าสอบที่นี้ไม่ติดก็พร้อมจะฝึกฝนฝีมือตัวเองและสอบใหม่ที่เดิม ให้จงได้ และแล้วเขาก็สอบติด ชีวิตนิสิตศิลปะจึงเริ่มต้นขึ้น ทั้งสนุก เครียด และมัน ผสมกันไป เรียนไปเรียนมา เขาก็หลงรักโลกของงานประติมากรรม อย่างหมดหัวใจ “ผมก็เลือกเรียนปั้น เพราะงานปั้นเป็นกึ่งงานช่างและงานศิลป์ ถ้าไม่ได้ มาเรียนเรื่องนี้โดยตรง ผมจะไม่รู้ว่าจะ ปั้น ต่อพิมพ์ หล่อ เชื่อมเหล็ก หรือ เข้าไม้ได้อย่างไร ผมรู้สึกสนใจและสนุกกับงานนี้มาก เพราะเวลาที่ทำ�งาน 3 มิติ เราจะหยิบจับเอาอะไรมาใช้ก็ได้ งานมันถึงเนื้อถึงตัว จริง และจับต้องได้” พอเรียนจบ เขาเริ่มงานจริงจังที่สตูดิโองานปั้นในนครปฐม ปั้นพระ ปั้นหุ่นขี้ผึ้งของพิพิธภัณฑ์ Ripley’s อยู่กินที่โรงปั้นถึง 6-7 เดือน แต่ก็เริ่ม รู้สึกว่าอะไรบางอย่างที่มันไม่ใช่เสียแล้ว “ชีวิตมันวนเวียนเหมือนเดิมอยู่พักใหญ่ ทำ�งาน กิน อยู่ จำ�เจเหมือน ที่บ้าน จนผมคิดว่า ถ้าอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ผมจะกลายเป็นช่าง ไม่ใช่ศิลปิน คน ทำ�งานศิลปะควรเห็นอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา เจอคนใหม่ๆ อยู่เสมอ” เขาจึงกลับมาอยู่บ้าน เพื่อทำ�งานศิลปะ และจัดนิทรรศการเดี่ยวชื่อ “The Rythm of structure” ขึ้น งานประติมากรรมทั้ง 4 ชิ้นของเขา ขายไม่ได้ แต่เขารู้อยู่แล้วว่างานประติมากรรมนั้นขายค่อนข้างยาก เพราะทั้ง เปลืองพื้นที่ใช้สอยและมูลค่าสูง เมื่อจัดเก็บงานนิทรรศการเรียบร้อย เขา จึงขอทุนด้านศิลปะชื่อ Sandwich เพื่อไปเปิดหูเปิดตาตัวเองที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลา 3 เดือน ประสบการณ์ที่นั่นแปลกใหม่ สนุกสนาน และเป็นมืออาชีพ เขาพบ ว่า ในขณะที่ศิลปินไทยยังชีพด้วยอาชีพศิลปินอย่างยากลำ�บาก ศิลปินที่นี้ สามารถทำ�งานศิลปะได้ ด้วยทุนสนับสนุนจากรัฐบาลและผู้คนที่เสพงานศิลป์ จนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
“พิพิธภัณฑ์มีอยู่ในทุกมุมเมือง ทุกวันหยุดพ่อแม่จะพาลูกเข้าไปดูงาน ศิลปะในพิพิธพัณฑ์ ถ้าคนนี้จะเช่าห้องหรือซื้อคอนโด เขาจะเตรียมพื้นที่และ งบประมาณสำ�หรับงานศิลปะไว้ด้วย พอเราได้เห็นอะไรอย่างนี้แล้วรู้สึกทึ่ง คิด ว่าคงเป็นเพราะประเทศเขาพัฒนาแล้ว ความงามในศิลปะจึงเป็นปัจจัยสำ�คัญ ที่เขาต้องการ” เมื่อกลับมา เขากับเพื่อนช่วยกันก่อตั้งสตูดิโอศิลปะแห่งนี้ เพื่อทำ�มาหา เลี้ยงชีพและทำ�งานศิลปะไปพร้อมๆ กัน “ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำ�งานศิลปะ ผมจะรู้สึกชีวิตไร้ค่า และถามตัวเองว่า “กูทำ�อะไรอยู่ว่ะเนี่ย ทำ�ไมไม่ทำ�งาน” (หัวเราะ) ทั้งๆ ที่ก็ทำ�งานอย่างอื่นอยู่นะ เพื่อนบางคนที่เรียนจบมาด้วยกัน จนถึงตอนนี้ยังไม่ยอมทำ�งานอย่างอื่นเลย ยกเว้นนั่งเขียนรูปอยู่ที่บ้าน จริงๆ แล้วผมก็เคยอยากจะทำ�อย่างนั้น แต่ก็คิด ว่ามันรบกวนพ่อแม่มากเกินไป จึงตั้งใจว่าตะต้องทำ�งานที่มีรายได้ แล้วเอาราย ได้มาสร้างงานต่อ” เขาตั้งเป้าหมายกับตัวเองว่า เขาต้องจัดนิทรรศการเดี่ยวปีละครั้ง ง่ายๆ ก็คือต้องยอมเสียเงินลงทุนทำ�งานปีละครั้งเพื่อสนองความอยากของ ตัวเอง ขายงานได้หรือไม่ได้ ค่อยว่ากัน “ศิลปินที่มีชื่อเสียงได้ ส่วนหนึ่งเพราะเขามีผลงานอย่างต่อเนื่องจนติด ตลาด คนต้องไปขอซื้องานที่บ้านเอง ลึกๆ ผมเชื่อว่า ถ้าเราทำ�งานศิลปะดีๆ อย่างสม่ำ�เสมอ วันหนึ่งมันก็จะต้องเกิดผลลัพธ์อะไรบางอย่าง” ดูเหมือนว่าศิลปะได้หยั่งรากเข้าไปในทุกอณูชีวิตของเด็กหนุ่มคนนี้ แล้ว เขาถึงกับบอกว่า ศิลปะสอนชีวิตเขาแทบทุกเรื่อง และขอเถียงกับคนที่ บอกว่า ศิลปินเป็นคนเฉื่อย ไร้ระเบียบวินัย หรือเอาแต่อารมณ์ ในอีกแง่ เขา พบว่าศิลปินจะต้องเป็นนักวางแผนชั้นเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปินแนว ประติมากรรมอย่างเขา “ด้วยความที่เราต้องทำ�งานกับวัสดุ เราเลยต้องทำ�งานเป็นขั้นเป็น ตอนและมีวินัยกับเวลา เช่น เราต้องส่งงานภายในสัปดาห์นี้ ฉะนั้นวันนี้เราจะ ต้องไปซื้อวัสดุ เพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้ขึ้นรูปเอาไว้ รอให้แห้ง ตอนบ่ายจึงมาทำ�ต่อ กลางคืนค่อยขัดมัน เป็นต้น ฉะนั้นศิลปินจึงไม่ใช่คนสบายๆ แต่เป็นคนขยัน แถมๆ จะเครียดด้วย เพราะหัวยุ่ง คิดงานอยู่ตลอดเวลา” เมื่อถามว่าเขาพอใจกับชีวิตในตอนนี้หรือไม่ เขาตอบแทบทันทีว่า พอใจแล้ว เขาทำ�สตูดิโอนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นฐานของชีวิต การทำ�งานในใจกลาง เมืองเช่นนี้ทำ�ให้เขาได้พบคนที่หลากหลาย การทำ�งานร่วมเพื่อนๆที่เรียนศิลปะ ด้วยกันทำ�ให้เขาได้คำ�วิจารณ์ที่เป็นประโยชน์ หากเขาต้องการไปเรียนต่อหรือ ท่องเที่ยวก็เพื่อแสวงหาแรงบันดาลใจในการทำ�งานศิลปะนั่นเอง แววตาอันมุ่งมั่นที่ฉันเห็นในแวบแรกก็ทำ�ให้ได้เข้าใจว่า สิ่งที่พวยพุ่งอยู่ ในแววตาของตั๋งนั่นเอง ที่เป็นใจความที่สำ�คัญที่สุดของบทสนทนาระหว่างเรา ในวันนี้...
dont magazine 43
DONT|ADVERTORIAL
44 dont magazine
DONT IGNORE!
The Art of Impeccable Skin ´Ù¼ÔÇ˹ŒÒãËŒ¾ÃŒÍÁµ‹Í¡ÒÃᵋ§áµŒÁÊÕÊѹ ໚¹ÈÔÅ»ÐÍ‹ҧ˹Ö觷Õè¤Ø³¡ç·Óä´Œ Nice paper always creates masterpiece.
Perfect foundation is your foundation.
ÈÔÅ» ¹·ÕèÁÕ½‚Á×Í ·Ñ¡ÉÐÊÙ§áÅÐàªÕèÂǪÒÞ¹Ñé¹ÁÑ¡¨ÐäÁ‹Å×ÁãËŒ¤ÇÒÁÊÓ¤ÑÞ㹡ÒÃàÅ×Í¡ ¡ÃдÒÉãËŒàËÁÒÐÊÁ¡Ñº§Ò¹ ÊÓËÃѺ§Ò¹·ÕèÅÐàÍÕ´ÂÔ觵ŒÍ§ãʋ㨡Ѻ¡ÒÃàÅ×Í¡ ¡ÃдÒÉ·Õè¤Ø³ÀÒ¾´Õ·ÕèÊØ´´ŒÇÂઋ¹¡Ñ¹ ´ŒÇÂà˵طÕèÇ‹ÒàÁ×èÍàÅ×Í¡¡ÃдÒÉ´ÕáÅÐàÃÕº áÅŒÇ ¨ÐàµÔÁᵋ§¨Ô¹µ¹Ò¡ÒÃÍÐäÃŧ仡çäÁ‹µÔ´¢Ñ´
¢Ñ鹵͹¡ÒÃàµÃÕÂÁ¼ÔÇ˹ŒÒãËŒàÃÕºà¹Õ¹ÊÁºÙó ¾ÃŒÍÁÊÓËÃѺ¡ÒÃᵋ§Ë¹ŒÒẺ ¹Ñé¹àµÃÕÂÁä´Œ´ŒÇ¡ÒÃ㪌Ãͧ¾×é¹áÅФ͹«ÕÅàÅÍà à¾×èÍ»¡» ´¨Ø´´‹Ò§´Ó ᵋ¶ŒÒ ¼ÔÇ˹ŒÒàÃÒäÁ‹àÃÕºà¹Õ¹¹Ñ鹡ç·ÓãËŒ¢Ñ鹵͹¹ÕéÂÒ¡¢Öé¹áÅÐÊ‹§¼Å¶Ö§¢Ñ鹵͹µ‹Íæ ÁÒ ã¹¡ÒÃᵋ§Ë¹ŒÒ áÅСÒÃŧÊÕÊѹµ‹Ò§æ ઋ¹¡Ñ¹ ©Ð¹Ñé¹¾×é¹°Ò¹·Õè´Õ㹡ÒÃᵋ§Ë¹ŒÒ ¤×ͼÔÇ·Õè´Õ àÃÕºà¹Õ¹¡ÃШ‹Ò§ãÊ ´ÙÁÕªÕÇÔµªÕÇÒ ªØ‹Áª×é¹ ·Ñé§Âѧ·ÓãËŒà¤Ã×èͧÊÓÍÒ§¹Ñé¹ µÔ´¤§·¹ä´ŒµÅÍ´ÇѹÍÕ¡´ŒÇ ºÓÃا§‹ÒÂæ ¹Í¡¨Ò¡¡Òô×èÁ¹éÓ»ÃÔÁÒ³ÁÒ¡æ ÃѺ»ÃзҹÍÒËÒ÷ÕèÁÕ»ÃÐ⪹ áÅзҤÃÕÁºÓÃا¼ÔÇ໚¹»ÃÐ¨Ó áÅŒÇàÃÒ¤ÇúÓÃا ¼ÔÇ˹ŒÒ´ŒÇÂà«ÃÑèÁ·ÕèÁÕʋǹ¼ÊÁ¢Í§ Vitamin C «Öè§à»š¹á͹µÕéÍÍ¡«Ôá´¹· ª‹Ç ºÓÃاãËŒ¼ÔÇ´ÙÊ´ãÊ à»Å‹§»ÅÑè§ áÅЪ‹Ç»¡»‡Í§¤ÇÒÁàÊÕÂËÒ·Õèà¡Ô´¨Ò¡ÁÅÀÒÇÐ ãËŒ¡Ñº¼ÔÇ à¾×èͼÔÇàÃÕºà¹Õ¹ ´ÙÁÕªÕÇÔµªÕÇÒ
Make up is a meticulous art.
àÇÅÒàÃÒ·Ò»Ò¡àÅÍÐ仹Դ¹Ö§ àÇÅÒàÃÒÇÒ´¢ÍºµÒµÇÑ´´ŒÇÂͧÈÒµ‹Ò§¡Ñ¹àÅ硹ŒÍ ËÃ×Í»˜´á¡ŒÁ´ŒÇµÓá˹‹§à¡×ͺ෋ҡѹ àÃÒÁÑ¡¨ÐÃÙŒÊÖ¡Ç‹ÒÁѹäÁ‹à·‹Ò¡Ñ¹«ÐàÅ áÅÐ ·¹äÁ‹ä´Œ·Õè¨ÐµŒÍ§á¡Œä¢ã¹·Ñ¹·Õ ·Ñé§æ ·Õ趌ÒàÃÒÅͧÁͧ¼‹Ò¹æ ¡çäÁ‹àË繶֧¤ÇÒÁᵡ µ‹Ò§Í‹ҧªÑ´à¨¹ ᵋ㹷ҧ¡ÅѺ¡Ñ¹ ÈÔŻСÒÃᵋ§Ë¹ŒÒ¹Ñé¹à»š¹§Ò¹·ÕèÅÐàÍÕ´ÁÒ¡ àÃÒ¨Ö§äÁ‹¤ÇÃÅÐàŤÇÒÁ¼Ô´¾ÅÒ´ äÁ‹Ç‹Ò¨ÐàÅ硹ŒÍ¢¹Ò´ä˹
·´ÅͧàµÃÕÂÁ¼ÔÇ´ŒÇ¡ÒúÓÃا´ŒÇ Lipo C Plus ä´ŒáÅŒÇÇѹ¹Õé·ÕèÅÒàºÃ͵ҹ áÅÐá¾¹¤ÅÔ¹Ô¡·Ø¡ÊÒ¢Ò·ÑèÇ»ÃÐà·È Call Center 0-2739-9999
dont magazine 45
Keratinology คงผมสวยจากซาลอนให้นานกว่าเดิม* ด้วยไลฟ์สไตล์ที่วุ่นวาย การจัดแต่งทรงผมและสภาวะแวดล้อมที่เส้นผมต้องพบเจอในแต่ละวัน ล้วนเป็น ปัจจัยที่ทำร้ายเส้นผม ทำให้เส้นผมแลดูไม่มีชีวิตชีวา และความงามของผมสวยที่ได้รับการจัดแต่งมาจาก ซาลอนเริ่มสูญเสียไป สถาบันเคราตินโนโลยีและทีมผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจถึงพฤติกรรมเส้นผมของจึงได้ สร้างสรรค์ชุดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมรายแรกที่ให้ความสำคัญต่อการคงผมสวยจากซาลอนให้นานกว่าเดิม โดยใช้หลักการทำงานที่สอดคล้องกับการดูแลเส้นผมจากซาลอน ไม่ว่าจะเป็นผมยืด ผมดัด หรือผมทำสี ให้ผมเสียทุกระดับได้รบั การฟืน้ บำรุงด้วย พิโค-นูเทรียนท์ และ เคราตินคอมเพล็กซ์ ทีอ่ ดุ มไปด้วยสารบำรุง อนุภาคขนาดพิโค ซึ่งมีขนาดเล็กกว่านาโนถึง 1,000 เท่า ซึ่งจะซึมซาบเข้าสู่ชั้นแกนเนื้อผม ฟื้นบำรุง โครงสร้างเส้นผมได้อย่างล้ำลึก เพื่อผมเสียกลับสวยสุขภาพดี ช่วยบำรุงเส้นผมที่ผ่านกระบวนการ จัดแต่งจากซาลอนให้คงความงามได้นานกว่าที่เคย*
PICO TECHNOLOGY
สูตรฟื้นบำรุงคุณภาพสูงด้วยสารบำรุงขนาดพิโค และเคราตินคอมเพล็กซ์จะซึมซาบเข้าบำรุงสู่แกน เนื้อผม ช่วยฟื้นบำรุงโครงสร้างเส้นผมได้อย่างล้ำลึก พิโค คือหน่วยของอนุภาคที่มีขนาดเล็กกว่านาโนถึง 1,000 เท่า
SPECIALADVERTORIAL 1
2
4
1. BOUNCY CURLS THERAPY SHAMPOO
KOREAN BOUNCE THERAPY
แชมพูทำความสะอาดสารตกค้าง พร้อมดูแล ผมให้คงลอนสวย
สูตรบำรุงลอนผมให้คงรูป สปริงตัวสวย สูตร ละเอียดอ่อนทรงประสิทธิภาพทีจ่ ะซึมซาบสูช่ นั้ แกน เนือ้ ผม ช่วยฟืน้ บำรุงเส้นผมทีอ่ อ่ นแออย่างล้ำลึก โดยเฉพาะช่วงปลายผมทีผ ่ า่ นการดัด ด้วยนวัตกร รมล่าสุด พิโค เทคโนโลยีTM ทีอ่ ดุ มไปด้วย สารบำรุงอนุภาคขนาดพิโค ช่วยให้ ผมดัดจากซาลอนสปริงตัวเป็นลอน สวยยาวนานยิง่ ขึน้ *
2. EXPRESS TREATMENT CONDITIONER
ครีมบำรุงผมที่มีส่วนผสมของทรีตเม้นต์ เข้มข้นช่วยบำรุงเคลือบปิดเกล็ดผมให้แข็งแรง 3. CURL DEFINITION MASK
มาสก์เข้มข้น ซึมซาบล้ำลึกสู่เส้นผม ช่วยฟื้นบำรุงให้ลอนผมจากซาลอนคงรูป สปริงตัวสวยยาวนานกว่าที่เคย
3
4. OVERNIGHT TREATMENT
ทรีตเม้นต์บำรุงผมในเวลากลางคืน ด้วย พิโค เทคโนโลยี สูตรบำรุงพิเศษสำหรับผมดัดโดย เฉพาะ ซึมซาบล้ำลึกเสริมความแข็งแรงให้กับ ส่วนปลายของเส้นผม และฟื้นคืนโปรตีนที่ จำเป็นต่อเส้นผมได้ภายในคืนเดียว 5 1
2 4
SUN KISSED COLOUR THERAPY
สูตรดูแลผมทำสี ให้นมุ่ ลืน่ สุขภาพดี สีผมคงทนเจิดจรัส เปล่งประกายเงางามยาวนานกว่าทีเ่ คย ไม่วา่ จะเทรนด์สผ ี ม ใหม่แบบไหน ผลิตภัณฑ์ดแู ลเส้นผมตัวนีก้ ส็ ามารถช่วยคง ประกายเงางามของเฉดสีไว้ได้นานกว่าเดิม ด้วยนวัตกรรม ล่าสุด พิโค เทคโนโลยีTM พิโค-นูเทรียนท์ และส่วนผสม เคราตินคอมเพล็กซ์นี้ จะซึมซาบเข้าบำรุงล้ำลึกสูช่ นั้ แกน เนือ้ ผมช่วยเคลือบปิดเกล็ดผมและช่วยให้ผมทำสีจาก ซาลอนคงสีผมสวย เปล่งประกายยาวนานกว่าเดิม* ประกอบไปด้วย 1
2
6 3
ADVANCED RECONSTRUCTION PROGRAM
สูตรบำรุงผมแห้งเสียอย่างล้ำลึกเพราะเส้นผมทีผ ่ า่ นกระบวนการจัดแต่ง จากซาลอนอาจเปราะบางและแตกหักง่ายจึงต้องการการดูแลเป็นพิเศษด้วย นวัตกรรมล่าสุด พิโค เทคโนโลยีTM ทีช่ ว่ ยฟืน้ บำรุงเส้นผมอย่างล้ำลึก ให้ผมเสียสะสมกลับฟืน้ คืนสภาพ นุม่ ลืน่ และดูมชี วี ติ ชีวา 1. DETOXIFYING SHAMPOO 3
แชมพูทำความสะอาดสาร ตกค้างบนเส้นผม พร้อม ปรับสภาพให้กลับฟื้นคืน ความงาม ดูมีชีวิตชีวา 2. EXPRESS TREATMENT CONDITIONER
1. COLOUR THERAPY SHAMPOO
แชมพูทำความสะอาดสารตกค้าง เตรียมสภาพเส้นผมให้พร้อม สำหรับการบำรุงในขั้นต่อไป
ครีมบำรุงผมที่มีส่วนผสม ของทรีตเม้นต์เข้มข้น ช่วย บำรุงเคลือบปิดเกล็ดผม อย่างเต็มประสิทธิภาพ และรวดเร็วยิ่งขึ้น
3. HAIR SPA MASK
มาสก์เข้มข้น ซึมซาบล้ำลึก สู่เส้นผมทั้ง 3 ชั้น ตั้งแต่ชั้น เกล็ดผม เนื้อผม และแกนผม ช่วยฟื้นบำรุงให้เส้นผมเรียบ ลื่นเปล่งประกายเงางาม
4. OVERNIGHT RECONSTRUCTION
ทรีตเม้นต์บำรุงผมสำหรับ กลางคืน เนื้อบางเบา ไม่ เหนียวเหนอะหนะ ซึมซาบ เข้าฟื้นบำรุงผมแห้งเสียอย่าง ล้ำลึกในขณะนอนหลับ
5. HEAT PROTECTOR SPRAY ANTI FRIZZ WITH UV FILTER
สเปรย์ปกป้องเส้นผมจาก ความร้อน ลดผมชี้ฟู ช่วย ปกป้องผมจากความร้อน ขณะจัดแต่งทรง 6. DUAL TREATMENT SHOTS
ทรีทเม้นต์บำรุงผมเข้มข้น แบบ 2 ขั้นตอน สำหรับผม แห้งเสียมาก ช่วยฟื้นบำรุง ผมแห้งเสียอย่างล้ำลึก
2.EXPRESS TREATMENT CONDITIONER
ครีมบำรุงผมที่มีส่วนผสมของทรีตเม้นต์เข้มข้น ช่วยบำรุงเคลือบปิด เกล็ดผมอย่างรวดเร็ว พร้อมปกป้องสีผมให้เปล่งประกายสวยนาน 3. GLOSSY MASK WITH SALON HAIR WAX BENEFIT
มาสก์เข้มข้น ซึมซาบล้ำลึกสู่เส้นผม ชั้นเกล็ดผม เนื้อผม แกนผม
*จากการทดสอบปอยผมในห้องปฏิบัติการเมื่อใช้ครบชุดผลิตภัณฑ์เคราตินโนโลยี เทียบกับแชมพูที่ไม่มีส่วนผสมของสารคอนดิชันเนอร์ โดยสถาบันวิจัยยูนิลีเวอร์ประเทศอังกฤษเมื่อเดือน ก.ย. 2553
LOUIS VUITTON
PRADA
DRIES VAN NOTEN
BOTTEGA VENETA
MIU MIU
ALEXANDER MCQUEEN
PRABAL GURUNG MAISON THAKOON LANVIN
BALLY 48 dont magazine
MARC JACOBS
MARC JACOBS
Accessories Twilight
Waranya for Fall/Winter 2011/12 Accessories The best items from the season are fabulously placed here in her uber sophisticated papercut and collage piece. Enjoy skimming and scanning!
MARC JACOBS
PRADA
DOLCE&GABBANA
PRADA MARTIN MARGIELA
BOTTEGA VENETA BALLY PRABAL GURUNG
JOHN GALLIANO
dont magazine 49
BALENCIAGA MIU MIU
LOUIS VUITTON LANVIN
CÉLINE
LOUIS VUITTON
JOHN GALLIANO
YVES SAINT LAURENT
BALENCIAGA
FENDI
GUCCI 50 dont magazine
MARC JACOBS
Words Narisara Saisanguansat Self Portraits by Waranya herself
Waranya Tungkasmith : Paper Cut, Love, and Laugh. วรัญญา ตุงคะสมิต เจ้าของบล็อก collagecantoandsoon.blogspot.com และเพจ Collage Canto ในเฟซบุ๊ค งานเปเปอร์คัทผสมผสานกับคอลลาจ ของบัวนั้นน่าตื่นตาตื่นใจด้วยรายละเอียดถี่ยิบที่ใครได้เห็นก็ต้องอุทาน เพราะความทึ่งและยังมีบทกวีสั้นๆ สามบรรทัดประกอบภาพที่เต็มไปด้วย จินตนาการดูภาพของเธอเพียงวันละครั้งก็อาจจะทำ�ให้หัวใจของคุณ สดใสชื่นบานไปตลอดทั้งวัน จุดเริ่มต้น ทำ�ไมจู่ๆ ถึงสนใจภาพคอลลาจและเปเปอร์คัท เราชอบงานศิลปะอยู่แล้ว ชอบวาดรูป วาดสีน้ำ� สีโปสเตอร์อะไร ไปเรื่อยเปื่อย วันหนึ่งเล่นอินเทอร์เน็ตแล้วไปเจองานคอลลาจของศิลปิน คนหนึ่ง ชื่อ Claudine Hellmuth เป็นชาวอเมริกันงานของเขาไม่เหมือน งานคอลลาจทั่วไปที่แค่เอานั่นเอานี่มาแปะ มันเป็นสีพาสเทลสวยแล้วมีเรื่อง ราวด้วย ดูแล้วก็ อุ๊ยน่ารักจังเลย คอลลาจทำ�แบบนี้ได้ด้วยเหรอ เราน่าจะ ทำ�ได้นะ เลยเริ่มตัดเลียนแบบเขาก่อน ทีนี้มันเพลิน ก็เลยตัดมาเรื่อยๆ แต่ตัดภาพเฉยๆ มันก็ไม่น่าสนุกเท่าไหร่ ก็เลยทำ�บล็อกขึ้นมาด้วย ช่วงนั้นบล็อกกำ�ลังฮิต ก็คิดว่าแล้วเราจะใส่อะไรลงไปในบล็อกดีล่ะ ด้วย ความที่เป็นคนเพ้อเจ้อ ก็เลยคิดว่างั้นเราเขียนอะไรสั้นๆ ลงไปในงาน ด้วยแล้วกัน เป็นลักษณะแคนโต้ 3 บรรทัดง่ายๆ จากวันนั้นในปี 2007 เป็นต้นมาก็เลยเป็น Collage Canto ตัดไปเรื่อยๆ แปะไปเรื่อยๆ จากงานคอลลาจเราก็ไปชอบงานเปเปอร์คัทของพวกศิลปินญี่ปุ่น ที่อลังการมากเลย เห็นปุ๊บก็ เฮ้ย เราต้องตัดได้บ้างดิทั้งที่ไม่เคยจับคัต เตอร์จริงจังขนาดนั้น แต่พอลองตัด ก็ตัดได้อีก มันมือเลยทีนี้ ไปกันใหญ่ ก็เลยกลายเป็นงานที่เห็นอย่างทุกวันนี้ จนไปเจอพี่ที่เขาทำ�หนังสือชวนทำ� ภาพประกอบ ก็ทำ�ให้ a day ด้วย ไปๆ มาๆ มันก็กลายเป็นอาชีพเสริม เป็นศิลปินโดยไม่คาดฝัน ไม่เคยคิดเลยว่าจะทำ�คอลลาจให้มันยิ่งใหญ่อลังการ แต่เผอิญ มีคนชอบ แล้วให้ตังค์ด้วย ก็ดี (หัวเราะ) ก็เลยทำ�มาเรื่อยๆ ได้ค้นหา ได้ พัฒนามาเรื่อยๆ งานเราจะละเอียด เป็นคนชอบงานละเอียด รู้สึกว่างาน ที่มันละเอียดและมีมิติมันดูแล้วไม่น่าเบื่อ ดูแล้วเราเห็นถึงความสุขของคน ทำ�งาน แล้วเราก็จะเข้าใจเขาว่าช่วงเวลานั้นมันเป็นยังไงนะ และเราก็ชอบ ช่วงเวลาที่ได้จมหายไปกับงาน จริงๆ ก็ยังกลัวใจตัวเองว่าเราจะเบื่อเพราะ เป็นคนเบื่อง่ายมาก แต่งานนี้ดีใจที่ทำ�มาได้ตั้งนาน และมีวี่แววว่าน่าจะดีนะ ในอนาคต ถ้าไม่เบื่อหรือรู้สึกเสียใจอะไรกับมันไปซะก่อน
คิดว่าจะมีอะไรที่ทำ�ให้เสียใจไหม ทุกวันนี้จะไปเสียใจแค่ว่าทำ�ไมไม่สวย ทำ�ไมทำ�แล้วไม่ได้ดั่งใจเลย หรือพอเขาให้เราทำ�แล้วมีเงินเข้ามาเกี่ยวเราก็จะเกร็ง ไม่เหมือนเวลาทำ� เพื่อให้เรารู้สึกดีเอง เราต้องทำ�ให้คนอื่นประทับใจ ให้คนอื่นชอบ ก็เลย มีความเกร็งเข้ามา บางทีก็รู้สึกว่าอีกนิดนึงนะ อีกนิดนึง (แต่เวลาไม่มีแล้ว โว้ย) เพราะเราคาดหวังกับตัวเองสูงมากมั้ง อาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้มี ต้นทุนเหมือนคนที่จบทางสายนี้มาเลย ก็เลยไม่ได้มีกระบวนความคิดเป็น แบบมืออาชีพ ทำ�ให้ตื่นเต้นตลอดเวลา เวลาทำ�งานเราจะไม่เคยวางแผนว่า ต้องอย่างนี้เป๊ะ ทุกอย่างต้องมากองตรงหน้าให้หมด ตัดอะไรทิ้งไว้ก็จับ มันมาวางเข้าด้วยกัน ถ้ามันสวยเราก็จะดีใจ สบายใจ แล้วเราก็จะวางแหมะ ไว้ตรงนั้นและออกไปเดินเล่น ไม่เคยทำ�อะไรให้เสร็จทีเดียว เพราะถ้าทำ�แบบนั้นมันจะกังวลใจว่า จริงๆ แล้วมันแปะไปได้หรือเปล่านะ พรุ่งนี้เราอาจจะไปเจออะไรที่ทำ�ให้เรา รู้สึกว่าไม่น่าแปะไปก่อนเลยหรือเปล่านะ เพราะข้อเสียของงานนี้มีอยู่อย่าง เดียวคือแก้ไม่ได้ ถ้าทำ�แล้วไม่สวยก็คือต้องฉีกทุกอย่างแล้วทำ�ใหม่หมด ถ้า ให้แก้ก็ต้องทำ�ใหม่ ชีวิตจะแย่กว่าทำ�กราฟิก (หัวเราะ) แต่พอทำ�เสร็จแล้ว คนดูอาจจะรู้สึกว่ายายคนนี้โคตรคิดมากเลย แต่จริงๆ แล้วไม่เคยคิดอะไร เลย มีอะไรก็ใส่เข้าไป คิดว่าต่อจากนี้งานจะพัฒนาไปยังไง อยากลองทำ�ไปเรื่อยๆ ก่อน แล้วมันคงไปเจอระหว่างทางเอง อาจ จะเป็นแรงบันดาลใจ หรือเราอาจจะไปเห็นอะไรสักอย่าง อย่างตอนนี้ไปเจอ งานตัดกระดาษของคนจีน คนญี่ปุ่นที่มันสวยมาก เราก็อยากตัดบ้าง มีความสุขไหมกับการทำ�งานแบบนี้ รู้สึกว่าโชคดี เราทำ�งานเขียนด้วย อันนั้นก็ชอบนะ แต่ว่าไม่ได้ถึง ขนาดจูงมือกันชี้ชวนดูนกดูไม้ มันก็เป็นงาน แต่ว่ากับงานนี้ บางวันเราตื่น ขึ้นมาแล้วก็รู้สึกว่าดีจังที่ได้ทำ� ถ้าไม่มีสิ่งนี้แล้ววันหนึ่งตกงานขึ้นมาเราจะ ทำ�อะไรหว่า ถึงแม้ว่าบางทีจะคิดว่า ถ้าเราไปค้นพบสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ตอน เรียนมหาวิทยาลัยมันคงจะทำ�ให้เรา ได้ทำ�งานมากกว่านี้ แต่พอคิดอีกที ถ้าไปเจอตอนนั้น ตอนนี้อาจจะไม่ได้ทำ�แบบนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้นเจอตอนนี้ แหละดีแล้ว ตอนนี้แค่คนมาดูแล้วบอกว่าสวย บอกว่าชอบ เราก็ดีใจจะแย่ แล้ว และถ้าสนใจอยากจ้างก็จ้างได้นะคะ (หัวเราะ)
dont magazine 51
52 dont magazine
Words Pornrat Vachirachai Photography Parkorn Mairaing
ท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร ทำ�งานในวงการบันเทิง มาแล้วหลากหลาย ทั้งเล่นละคร แสดงภาพยนตร์ เป็น พิธีกร ในอีกด้านเขาก็เป็นทั้งนักออกแบบผลิตภัณฑ์และ เจ้าของร้าน Ecoshop ร้านขายผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมา เพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม งานยุ่งขนาดนี้ แต่ท็อปก็ ยังพอมีเวลามาพูดคุยกับเราบ้าง “ตอนนี้ผมใช้เวลาไปกับงานพิธีกรรายการใหม่ 2 รายการ เลยต้องใช้เวลาศึกษาเพิ่มเติมเยอะหน่อย ใน ขณะเดียวกันก็ทำ�งานออกแบบควบคู่ไปด้วย ผมชอบงาน ทั้ง 2 อย่างที่ผมเลือก แต่งานที่ทำ�แล้วมีความสุขที่สุด คือ งานออกแบบ” ย้อนไปในวัยเด็ก เด็กชายพิพัฒน์เป็นเด็กเรียน หนังสือไม่เก่งนัก แต่เพลิดเพลินกับงานศิลปะเป็นชีวิต จิตใจ พอเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย เขาจึงเลือกเรียนด้าน ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เขาสนุกกับการเรียน ฝึกงาน และใช้ชีวิต มหาวิทยาลัยมาก วันหนึ่งเขาลองขอเอาของค้างสต๊อก จากที่ฝึกงานมาวางขายแถวนานา จึงเป็นโอกาสให้ได้พบ กับผู้จัดกองละครคนหนึ่ง เมื่อคุยกันถูกคอ ผู้จัดคนนี้ก็ ชวนมาเล่นละครด้วย ท็อปจึงก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงโดย ปริยาย จากวันนั้นที่เขาทำ�งานในสายนี้แบบทีเล่นทีจริง ก็นับเป็นเวลา 10 ปีเต็มพอดี “พอทำ�ไป ผมก็เริ่มชอบบรรยากาศในวงการ บันเทิง มันสนุก ทั้งผู้คนและแสงสีเยอะดี ได้ลองเป็น พิธีกร ดีเจ นักแสดง ไปจนถึงทดสอบเสียงเป็นนักร้อง บอยแบนด์ ดีที่เสียงห่วยเกินไป” ท็อปขำ�ตัวเอง ด้วยความที่เห็นว่าโอกาสที่เข้ามานั้นไม่ใช่เรื่องที่จะ เกิดขึ้นบ่อยๆ ท็อปจึงไม่เคยปฏิเสธที่จะลองทำ�ในสิ่งที่เขาไม่ เคยทำ� เพราะหากได้ลองลงมือทำ�แล้ว ก็จะรู้ว่าดีหรือไม่ดี ใช่หรือไม่ใช่ตัวเรา ก่อนจะตัดสินหรือปฏิเสธมัน หลังจากทำ�งานไปกว่า 5 ปี ท็อปก็ฉุกคิดได้ว่า ตัวเองได้ละเลยฝันของตัวเองไปนานพอสมควร งาน ออกแบบที่เขารักและความฝันที่อยากจะมีร้านขายงาน ออกแบบก็กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง เขาจึงร่ำ�เรียน ปริญญาโทด้านการตลาดเพิ่มเติม เพื่อหาลู่ทางทำ�ธุรกิจ ของตนเองให้เป็นเรื่องเป็นราว แม้ว่าจะต้องลดปริมาณ งานบันเทิงไป 2 ปีก็ตาม ในความบังเอิญก็มีความไม่บังเอิญซ่อนอยู่ เย็น วันหนึ่งเขาลองไปดูหนังตามที่นิตยสารแนะนำ�ว่าน่าสนใจ ตอนแรกท็อปกะจะดูเพื่อคลายเครียด แต่ปรากฎว่าหนัง
เรื่องนั้นกลับปลุกเขาให้ตื่นขึ้นด้วยข้อเท็จจริงที่ไม่น่า สบายใจเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นประเด็นครึกโครม ในช่วงสามสี่ปีให้หลังมานี้ หนังเรื่องนั้นชื่อ An Inconvenient Truth[1] “ออกจากโรงมาแล้ว มันเหมือนผมโดนอะไรซัก อย่างทิ่ม มันอาจเป็นความกลัว กลัวว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป อนาคตโลกจะเป็นยังไง เราจะเป็นยังไง ผมเลยเอาเรื่องสิ่ง แวดล้อมที่มันทิ่มผมมารวมกับความฝันของตัวเอง” เขาเริ่มด้วยการทำ�วิทยานิพนธ์ในหัวข้อ ‘แนวโน้มพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคเกี่ยวกับ เฟอร์นิเจอร์เพื่อสิ่งแวดล้อม’ ซึ่งเป็นโอกาสให้เขาได้พบ กับที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ผศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโตและ คุณจ๋า วีรนุช ตันชูเกียรติ์ ที่หลังจากเรียนจบทั้งคู่ ได้ชวน เขามาออกแบบเฟอร์นิเจอร์กับบริษัท OSISU หลังจากนั้น สวทช.[2] ก็ชวนเขามาเป็นหนึ่งในนักออกแบบของโครงการ “เปลี่ยนขยะเป็นทอง” การอยู่ในเวทีงานออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่ง แวดล้อมไม่ได้นำ�มาแค่ชื่อเสียงและรางวัล แต่ความเป็น จริงก็มาเคาะประตูทักทายด้วย เจ้าของวัสดุที่เขาอยากจะ เปลี่ยนให้เป็นทอง เดินเข้ามาถามเขาด้วยความกังวลใจว่า เขาจะเอาของที่ออกแบบไปขายได้อย่างไร ในเมื่อคนส่วน ใหญ่ยังเห็นมันเป็นเพียงขยะเหลือใช้ เขาจึงเริ่มมองเห็นว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ ออกแบบมาส่วนใหญ่นั้นไม่มีช่องทางให้เดินต่อ เพราะคน ขายไม่รู้ว่าจะวางขายที่ไหน หรือจะพัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่า นั้นให้เติบโตได้อย่างไร ในเมื่อคนส่วนใหญ่ไม่ได้สัมผัสกับ สินค้า ร้าน Ecoshop จึงเริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นเพื่อตอบ โจทย์ข้อนี้เมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา “ตอนเปิด ผมก็ไม่ได้แน่ใจหรอกว่ามันจะขายได้ดี มากแค่ไหน สินค้าพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นของทำ�มือที่ต้อง ใช้ฝีมือ และก็มีอยู่น้อยชิ้น ทำ�ให้ต้นทุนสูง หรือถ้าลูกค้า ต้องการซื้อเยอะๆ ผมก็ไม่รู้จะสนองให้ได้มั๊ยเพราะขยะ มันเกิดขึ้นไม่แน่นอน แถมคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ สินค้าที่ออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมและบางคนก็ยังไม่พร้อมที่ จะจ่ายเงินให้สินค้าแบบนี้ แต่ผมรู้สึกอยากทำ�อยากลองใช้ เวลาเต็มที่กับมัน ผมคิดว่า ถ้าเราไม่ทำ� วันหนึ่งในอนาคต ผมอาจมองย้อนกลับมาดูตัวเองแล้วบอกว่า ถ้ารู้งี้ผมทำ�ไป แล้ว ซึ่งผมไม่อยากเป็นแบบนั้น ผมเกลียดคำ�ว่ารู้งี้” ตอนนี้เขาทำ�เต็มที่กับงานทั้งสองด้าน ในขณะที่ ความรักก็เป็นไปด้วยดี เขากับนุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา
คบหากันมากว่า 4 ปี แต่ก็ออกตัวว่า ในความสัมพันธ์มี ทั้งช่วงที่ดีและไม่ดี พวกเขาผ่านการปรับความเข้าใจกันมา มากมาย แต่จะไม่เปลี่ยนตัวตนของกันและกัน “เรามีความคิดคล้ายกันว่า ถ้าเราพยายามเปลี่ยน ตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายประทับใจ วันใดวันหนึ่งเราจะทนไม่ ได้ พออีกฝ่ายเห็น ก็จะบอกว่า เราเปลี่ยนไป แต่จริงๆ แล้ว เปล่าหรอก เราแค่กลับไปเป็นตัวเอง” จนถึงวันนี้นุ่นกลายเป็นคนที่เขารัก คนที่ เสมือน คนในครอบครัว “ด้วยความที่เขายอมรับความเป็นตัวผม ยอมรับ ด้านมืดบางด้านของผมได้ ซึ่งในความสัมพันธ์ของเราก็ มีเรื่องราว เกิดขึ้นมากมาย ทั้งหมดนี้ มันทำ�ให้ผมรู้สึกว่า ถ้าวันนึงผมไม่มีคนๆนี้อยู่ข้างๆ ผมคงเป๋เหมือนกันนะ” หลังจากการพูดคุยอันยาวนาน เราถามถึงความ สุขในแต่ละวันของหนุ่มคนนี้ เขาตอบในทันทีว่าคือ การ ได้กลับบ้าน “ไม่ว่าผมจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจจากอะไรก็ตาม เวลาที่ได้กลับบ้าน ผมจะมีแม่อยู่ที่นั่นเสมอ สนุกดีเวลา คิดว่า พอถึงบ้าน จะไปบ่นอะไรให้แม่ฟังหรือจะโม้อะไรให้ แม่ฟังดี” เขาตอบด้วยน้ำ�เสียงเปี่ยมสุข เราเองก็เห็นด้วยกับ ความจริงข้อนี้เป็นที่สุด การสนทนาของเราจึงสิ้นสุดลงพร้อมกับความ รู้สึกอิ่มเอิบใจที่อย่างน้อยหนุ่มโสด (ที่หัวใจไม่ว่าง) ของ เราในฉบับนี้ ได้จุดประกายให้เราเริ่มตระหนักถึงความจริง ที่ทุกคนอาจลืมไป นั่นคือความเป็นไปของสิ่งแวดล้อม หากวันไหนได้เดินผ่านไปแถวสยามสแควร์ ก็อย่าลืมแวะ เข้าไปที่ Ecoshop สาขา Digital Gateway เผื่อจะได้ รับแรงบันดาลใจใหม่ๆ มาช่วยต่อยอดความคิดได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
[1] สารคดีเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนที่ออกฉายในปี 2006 นำ�แสดงโดย Al Gore และกำ�กับโดย Davis Guggenheim (imdb.com) [2] สำ�นักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
dont magazine 53
กว่าสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมแฝงตัวซ่อนอยู่ในหลืบ มุมของมหานครนิวยอร์ค อีกหนึ่งเมืองหลวงแห่งโลก ศิลปะ และได้ซอกแซกไปตามพิพิธภัณฑ์อันใหญ่โตมโหฬาร ที่ตั้งเรียงรายไปทั่ว ได้เสพงานศิลปะที่ถูกจัดวางมาอย่าง ดีและมีประเด็นให้ชวนติดตาม สิ่งที่ชัดเจนมากในสายตา ของบรรดาภัณฑารักษ์ที่นี่ก็คือประเด็นด้านความหลาก หลายทางวัฒนธรรม ที่อาจเป็นเรื่องเข้าใจยากในบางที แต่ในพื้นที่ของศิลปะ มนุษย์กลับสามารถเชื่อมโยงถึงกัน ได้อย่างน่าประหลาด ความยิ่งใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ในต่างประเทศ จึงไม่ใช่แค่ขนาดความโอ่โถงของอาคารที่ตั้ง แต่เป็นอุดมการณ์ในที่จะสร้างแรงขับเคลื่อนทางศิลปะให้ เกิดในแวดวงศิลปะโลกจริงๆ แต่กระนั้นก็เถอะ ผมไปเดินพิพิธภัณฑ์พวกนี้ก็จำ� ต้องยืนอ่านบทความยาวยืดที่ทางเข้านิทรรศการอยู่เสมอ เพื่อให้เข้าใจวัตถุประสงค์ของนิทรรศการ งานส่วนใหญ่ ถูกคัดสรรโดยภัณฑารักษ์ซึ่งเป็น ผู้คัดเลือกและออกแบบ วิธีการนำ�เสนองานศิลปะเหล่านี้บนพื้นฐานของแนวคิด และอุดมการณ์อันหลากหลาย ที่มาของงานแต่ละชิ้นจาก ศิลปินแต่ละคนก็จะถูกอธิบายอยู่ในกระดาษสีขาวแผ่นเล็กๆ เพื่อให้เข้าใจแต่ละชิ้นงานได้ดียิ่งขึ้น (ผมเองพอรู้จักศิลปิน บ้างนะ แต่ ผมยังไม่เคยได้สัมผัสศิลปินหรือภัณฑารักษ์ ตัวเป็นๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว!)
54 dont magazine
ถ้าคุณมาถึงนิวยอร์คเพื่อที่จะมาสังเกตความเป็นไป ทางศิลปะของมหานครแห่งนี้แบบเต็มๆ แล้วละก็ นอกจาก มิวเซียมใหญ่ๆ อย่าง MoMA, The Metropolitan Museum of Art, Guggenheim, The New Museum, P.S.1 แล้ว อีกย่านหนึ่งที่เป็นดั่งศูนย์กลางแห่ง โลกศิลปะในเมืองนี้ ที่พลาดไม่ได้เลย คือ ย่านเชลซี เชลซีกินอาณาเขตตั้งแต่ถนน 6th Avenue ถึง 12th Avenue ในแนวตั้ง และ 14th Street ถึง 34th Street ในแนวนอน แต่ที่โดดเด่นจนถูกเรียกว่าเป็น ศูนย์กลางแห่งศิลปะคือบริเวณฟากตะวันตกใกล้ ริมฝั่งแม่ น้ำ�ฮัดสัน บริเวณ 10th Avenue และ 11th Avenue เพราะในช่วงยุค 90s ทั้งศิลปินและแกลอรี่มากมาย หลั่งไหลเข้ามาจับจองพื้นที่อาคารโกดังอิฐเก่าๆ จนเชลซี กลายเป็นศูนย์กลางศิลปะต่อจาก SoHo ไปโดยปริยาย จากผนังอิฐเก่าคร่ำ�คร่าในยุคแรกๆ กลับกลายมาเป็นย่าน พักอาศัยที่แพงที่สุดย่านหนึ่งของนิวยอร์คไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าหลังจากปี 90s ย่านนี้จะกลายเป็น พื้นที่เชิงพานิชย์เต็มตัวไปแบบ SoHo รุ่นพี่ เพราะแกลอรี่ จำ�นวนเกินกึ่งหนึ่งของแกลอรี่ทั้งหมดในกรุงนิวยอร์ก ก็ ยังคงตั้งอยู่ในละแวกนี้อย่างเหนียวแน่น ไม่ใช่แค่ในระดับ พื้นถนนเท่านั้น ยังมีแกลอรี่เล็กๆ ซ่อนอยู่ในชั้นต่างๆ ของ ตึกแถบนั้นอีกด้วย ยิ่งถ้าเป็นหัวค่ำ�ของวันพฤหัสบดีที่มัก
มีการเปิดงานนิทรรศการแล้ว เราอาจพูดได้ว่า นี่แหละคือ งานสังคมของคนในแวดวงศิลปะอย่างแท้จริง หากอยากจะเที่ยวชมย่านนี้ให้ทั่ว เราอาจต้องเผื่อ เวลาไว้หนึ่งวันเต็มๆ สำ�หรับการเดินลัดเลาะไปตามตรอก ซอกซอยและตึกรามบ้านช่อง แกลลอรี่ในย่านนี้มีเยอะชนิด ที่เรียกว่าห้องเว้นห้อง เพียงดูตามหน้าต่างว่างานไหนน่า สนใจและก็แวะชมตามสบายได้ อยากบอกใบ้ให้นิดนึงว่า แกลลอรี่ชั้นเยี่ยมมักตั้งอยู่ชั้นบนสุดของตึกในย่านนี้ เรื่อง หลงทางก็ไม่ต้องกลัว เพราะว่าเขามีแผนที่รวมแกลอรี่ใน ย่านนี้วางแจกกันทุกหัวระแหง แต่ถ้าคุณมีเวลาไม่มาก เราอยากแนะนำ�ที่ที่ไม่ควร พลาดไว้สักสองสามแห่ง เผื่อได้กระทบไหล่กับศิลปินที่ ชอบ และยังได้พบกับศิลปินใหม่ไฟแรงที่กำ�ลังโดดเด่นใน โลกศิลปะด้วย เริ่มจาก The Pace Gallery ตั้งอยู่บนถนน 22nd และอีกโชว์รูมที่ถนน 25th ระหว่าง Ave. ที่ 10 และ 11 The Pace Gallery นั้นเปรียบได้กับมิวเซียมขนาด ย่อมๆ แกลอรี่นี้กระจายตัวอยู่ทั่วนิวยอร์ค ซึ่งสาขาที่ Medison Ave. เป็นสาขาใหญ่ มักจะจัดแสดงงานศิลปะ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะในช่วงศตวรรษที่ 20 หรือ งานของศิลปินแถวหน้าในยุคเราอย่าง Kiki Smith และ Chuck Close ส่วน 2 แห่งที่ฝั่งเชลซีจะเป็นงานแสดง
Words & Photography Tharit Tothong
Installation งานวิดิโออาร์ต หรืองานศิลปะจากของที่ไม่ น่าจะกลายมาเป็นงานศิลป์ได้ เตรียมใจพบกับงาน มันส์ๆ อย่างวิดิโอเกมส์ยักษ์ วิดิโออาร์ตว่าด้วยเรื่องการเมืองชวน ปวดหัว ภูเขาถ้วยกาแฟ ในเนื้อหาว่าด้วยเรื่องชีวิตโมเดิร์น และทุกสิ่งที่กำ�ลังเป็นที่สนใจของคนในเจเนอเรชั่นกูเกิล ระหว่างทางเดินจาก The Pace Gallery ที่ถนน 22nd ไปอีก Pace Gallery หนึ่งที่ถนน 25th อย่าลืม แวะชม Gagosian Gallery ทั้ง 2 โชว์รูมที่ถนน 21st และ 24th (แกลลอรี่ใหญ่ๆในเชลซีมักจะมีสาขาอยู่ห่างกัน เพียง 3 ถนนกั้น) Gagosian Gallery เป็นอีกแกลลอรี่ ใหญ่ที่มีสาขาทั้งลอนดอน ฮ่องกง และเบเวอรี่ ฮิลล์ โดย Gagosian จัดแสดงงานศิลปินแห่งยุคสมัยที่พวกเรา ต่างก็เคยได้ยินชื่อและคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอย่าง Picasso Roy Lichtenstein John Chamberlain สลับกับงาน ล้ำ�ๆ ของศิลปินหน้าใหม่ไฟแรงที่น่าจับตามอง และเพราะ Gagosian มีพื้นที่กว้างขวาง คุณยังอาจโชคดีได้เห็นงาน ประติมากรรมชิ้นยอด จากศิลปินดังๆ ด้วย บนถนนเดียวกับ Gagosian เดินลงไปซักหน่อยก็ จะพบกับอีกแกลลอรี่ยักษ์นามว่า Barbara Gladstone Gallery ป้าบาร์บาร่า แกลดสโตนเป็นดีลเลอร์และผู้ วิจารณ์งานศิลปะผู้อยู่ในวงการมากว่า 20 ปี และป้าเอง ก็มีแกลลอรี่อยู่ในเชลซีถึง 2 แห่ง (ทั้งสองแห่งตั้งอยู่บน
ถนนเดียวกับ Gagosian ทั้งคู่ จึงสามารถเดินดูไปได้ พร้อมๆกันเลย) งานที่จัดแสดงใน Gladstone Gallery จะเป็นงานที่มีกลิ่นอายของยุค 70s ยังไงชอบกล หาก ใครได้อ่านหนังสือ Just Kids ของ Patti Smith ก็จะ พอจับทางได้ เช่น งานคอลลาจภาพถ่ายจากหนังฮอลลีวู้ด ขาวดำ� โดยผู้กำ�กับ Jack Smith งานวิดีโออาร์ต Psychedelic ของศิลปินรุ่นใหญ่อย่าง Gary Hill หรือ งานเพ้นท์ติ้งของ Keith Haring เสน่ห์อีกประการหนึ่งของย่านเชลซีคือความเป็นชุม ชนแกลลอรี่เล็กๆ ที่แสดงงานแบบล้ำ�สมัย ซึ่งก็มีทั้งดีหรือ งั้นๆ ปะปนกันไป จึงไม่แปลกนักหากระหว่างการเดินท่องไป ในละแวกนี้ แล้วคุณจะบังเอิญเจอศิลปินที่ไม่เคยได้ยินชื่อ มาก่อนเลยกำ�ลังวาดรูปสดเปิดนิทรรศการอยู่ โดยมีคน ดูอยู่ในเลขหลักนิ้วมือนับ และด้วยความเป็นกันเองนี่แหละ บางจังหวะที่คุณกำ�ลังจะเดินออกจากนิทรรศการสักงาน ก็ อาจจะเจอลุงคนนึงเข้ามาทักว่าเขาใช้สีเทียนวาดภาพ แล้วก็ เริ่มวาดให้คุณดูเดี๋ยวนั้นเลยได้เหมือนกัน
How to get there ?
การเดินทางง่ายเป็นปอกกล้วยเข้าปากอยู่แล้ว ในเมือง เส้นกริดไลน์อย่างนิวยอร์ก ถ้าหากคุณจะไปเชลซีแล้วไม่มี อารมณ์จะสาวเท้าไปเอง ก็แค่นั่งสับเวย์สาย A C หรือ E
ไปลงสถานี 23 st คุณก็อยู่ใจกลางละแวกนั้นเรียบร้อย ละครับ
Dont Ignore!
อย่าลืมว่าแกลลอรี่ส่วนใหญ่ ปิดวันจันทร์ (และปิดในเวลา ประมาณห้าโมงเย็น แต่ทุกกฎย่อมก็มีข้อยกเว้นล่ะนะครับ)
Dont miss!
สุดท้ายถ้าเดินเข้าออกแกลลอรี่จนเหนื่อยกับฉากงานศิลป์ แล้ว ก็อย่าพลาดเดินขึ้นไปชม The High Line นะครับ ไม่ art นัก แต่เป็น urban renovation ที่เจ๋งสุดๆไปเลย! กับการเอาทางเดินรถไฟมารีโนเวตเป็นสวนลอยฟ้า! สวย ทุกดีเทลครับขอรับรอง High Line อยู่ในย่านเดียวกันกับแกลลอรี่ทั้ง หลาย และสามารถขึ้นได้หลายทางครับ แต่ที่ง่ายที่สุด คงจะเป็นที่ถนน 18th เพราะโผล่ขึ้นมาก็จะได้เห็นงานศิลปะ อีกชิ้นคือตึก IAC รูปร่างเบี้ยวๆ ที่ออกแบบโดย Frank Gehry เลย ตอนนี้ The High Line เพิ่งเปิดเฟสสอง หมาดๆ และเฟสสามกำ�ลังตามมาเร็วๆ นี้ครับ เดินชมศิลปะ ในเชลซีแล้วจบด้วยการชมเมืองเดินมองอาทิตย์อัสดง จาก high line ถ้าคุณไม่ high ไปด้วย ผมก็ไม่รู้จะว่าไง
dont magazine 55
Words Jakthong Ubolsootvanich Illustration Nattanich Chaidee Original Photo Atthawoot Boonyuang
มีผู้ไม่รู้เคยถามมาดมัวแซลว่า ขนมฝรั่งเศส ต่างจากขนม อเมริกัน หรืออังกฤษอย่างไร คำ�ตอบที่ง่ายที่สุดเห็นจะ เป็นความจริงที่ว่า ขนมฝรั่งเศสนั้น ทำ�กินเองที่บ้านไม่ได้ หรือถ้าทำ�ได้ ก็ใช้เวลาอย่างน้อยสองสามวันกว่าจะออกมา เป็นรูปเป็นร่าง แต่ก็อาจไม่สวยและไม่อร่อยอยู่ดี การไป ดูตู้ขนมฝรั่งเศสร้านดังๆ ในปารีส นอกจากสร้างความ เจริญหูเจริญตาแล้ว ยังเป็นการตอกย้ำ�ให้เรารู้ว่า ศาสตร์ ของการทำ�ขนมนั้น ซับซ้อนเพียงใด และเชฟทำ�ขนมนั้นมี ฝีมือขนาดไหน ในขณะที่ขนมสไตล์อเมริกัน (ที่เห็นเกร่อๆ ตามร้านขนมร้านกาแฟในเมืองไทย เช่น บลูเบอร์รี่ชีสพาย บราวนี่ ฯลฯ) นั้น ทำ�เองที่บ้านได้ง่ายและอาจอร่อยกว่าที่ วางขายอยู่หลายขุม ในบรรดาขนมฝรั่งเศสที่เห็นแล้วสำ�เหนียกตัวว่า “ซื้อกินเอาเถอะ” ที่สุด เห็นจะเป็นขนม St. Honoré ขนม ที่รอดพ้นจากเงื้อมมือของกาลเวลามาเป็นเวลากว่าร้อยปี แต่กว่าจะรอดมาได้นั้น St. Honoré ก็ผ่านวิวัฒนาการ มาตลอด เพราะหากไม่ปรับตัวก็คงสูญพันธุ์ไปนานแล้ว St. Honoré ในปัจจุบัน นั้น ร้านดังอย่าง Ladurée หรือ Pierre Hermé ใช้แป้งพายชั้น หรือที่เรียก 56 dont magazine
กันว่า Pâte Feuilletée เป็นฐานชั้นล่างสุด ให้ความ ร่วนกรอบ หอมและมัน ถัดขึ้นไปจากฐาน เชฟจะบีบแป้ง Choux (ชูส์) หรือแป้งที่ใช้ทำ�เอแคลร์ลงบนแป้งพายชั้น อีกที ก่อนนำ�ไปอบพร้อมกัน แป้งชูส์ตัวนี้จะถูกนำ�ไปบีบเป็น ลูกชูส์กลมๆ เพื่ออบต่างหากสำ�หรับตกแต่งรอบๆ ขนมอีก ทีหนึ่งในตอนท้าย ครีมที่ใช้ในขนม St. Honoré นั้นดั้งเดิมคือ crème Chiboust หรือ เพสตรี้ครีมตะล่อมเข้ากับ เมอร์แร็งก์อิตาเลียน เพื่อให้ครีมเบาลง แต่ปัจจุบัน เราอาจพบความหลากหลาย ตาม แต่ความต้องการของเชฟแต่ละคน อย่าง Ladurée จะ เป็นเพสตรี้ครีมด้านล่าง และในส่วนที่สอดไส้ลูกชูส์ เมื่อ สอดไส้แล้ว ทั้งฐานและชูส์จะถูกนำ�ไปชุบคาราเมล แล้วจบ ด้วยวิปครีมที่ไปต้มกับฝักวานิลลาล่วงหน้าหนึ่งคืนเป็น แต่งหน้าขั้นสุดท้ายขนมชิ้นเดียวจึงมีทั้งความกรอบ ความ นุ่ม ความมัน ความนวล ความเบา และความหอม ได้ยินมาว่าร้านขนมในปารีสบางร้าน เวลาจะรับผู้ ช่วยเชฟเข้าไปทำ�งานในร้าน จะให้ทำ�ขนม St. Honoré เป็นการทดสอบ เพราะเป็นขนมที่ในหนึ่งชิ้น สามารถ
ทดสอบ ทักษะพื้นฐานของเชฟ ได้ทุกด้าน ตั้งแต่การขึ้น แป้ง อบแป้ง ทำ�คาราเมล ทำ�ครีม และบีบครีม แถมรวมๆ กันแล้ว ต้องใช้เวลาเตรียมถึง สามวัน… (ถึงได้บอกให้ซื้อกิน เอาเถอะค่ะ) อย่างไรก็ดี แม้มาดมัวแซลจะโปรดปรานขนม ชิ้นนี้ในด้านรูปลักษณ์และรสชาติมากเพียงใด มาดมัวแซล ก็เชื่อว่า ส่วนหนึ่งของความเป็นอมตะของ St. Honoré ก็คือการตลาด และความสามารถในการเล็งเห็นความ สำ�คัญของเชฟ เพราะ St. Honoré นั้น เป็นทั้งชื่อถนน ที่ตั้งร้านของ Chiboust และ St. Honoré ยังเป็นชื่อ นักบุญผู้อุปถัมป์อาชีพคนทำ�ขนมอีกด้วยค่ะ เป็นชื่อที่ชาว ปารีสลืมไม่ลงเลยทีเดียว (แต่คนที่ไม่ได้ใช้ภาษาฝรั่งเศส อาจจะจำ�ยากนิดนึงนะคะ)
ในรูป: ขนม St. Honoré au Thé Thai (แซ็งต์ ออนอเร่ รสชาไทย) จากร้าน W by Wanlamun ที่อยู่ 1, ถนนช้างม่อย ซอย 2 ต. ช้างม่อย อ. เมือง จ. เชียงใหม่ 50300 โทร. 053 232328 facebook: www. facebook.com/wbywanlamun
ราศีเมษ
ราศีตุลย์
ราศีพฤษก
ราศีพิจิก
(ท่านที่เกิดวันที่ 13 เมษายน ถึง 14 พฤษภาคม) การเงิน คนรอบข้างพาเงินทองและโชคลาภมา แม้ไม่ได้ มากแต่ก็ไม่น้อย หนูพอจะเอาไปฟุ่มเฟือยปลายเดือนได้จ้ะ การงาน เรื่องเอกสารและการติดต่อนำ�ชื่อเสียงและข่าวดี มาให้ ความรัก คนโสด...โสดอยู่ทางโน้นเลยลูก อยู่ไกลๆ เพราะทางนี้จะไม่โสดแล้วจ้า ใกล้สิ้นเดือนคนที่โสดระวัง จะอินเลิฟจ้า (ท่านที่เกิดวันที่ 15 พฤษภาคม ถึง 15 มิถุนายน) การเงิน เข้าไวออกไวอย่างกับพายุทอร์นาโด ไม่ได้อยาก ใช้นะจ๊ะแต่ป้าว่ามีเรื่องจำ�เป็น การงาน คาถาที่ว่า ใช่ครับ พี่ ดีครับนาย สบายครับผม เหมาะสมครับท่าน ใช้ได้ อย่างเหมาะสมกับหนูชาวราศีพฤษภเลยจ๊ะ ระวังมีปาก เสียงกับคนอายุมากกว่านะ ความรัก แม้ช่วงนี้จะขมสัก นิดส์นึงนะ จะดีอีกทีก็ปีหน้าหนูอย่างเพิ่งท้อในความรัก นะจ๊ะ พี่ตุล อพาร์ทเม้นต์คุณป้าบอกว่า “ความรักเปรียบ เหมือนรอยสัก เจ็บปวดแต่งดงาม”
ราศีเมถุน
(ท่านที่เกิดวันที่ 16 มิถุนายนถึง 16 กรกฏาคม) การเงิน จัดได้ว่าดีทีเดียว เลยวันที่ 7 ไปแล้วการเงิน จะแจ่มจรัสดุจเพชรน้ำ�หนึ่งจ้า การงาน ด้วยอิทธิพลดาว อังคารทำ�ให้ชาวราศีเมถุนมีอาการปรวนแปร เหมือน แอร์เสีย หงุดหงิดจิตไม่ว่าง สั่งงานทีเปลี่ยนที ลูกน้องไม่ ค่อยปลื้มจ้า ความรัก ถือว่าดี ดาวจันทร์บอกว่าเวลาหนู ออกเดตต้องใส่เสื้อที่ใหม่เพิ่งซื้อ หรือใช้น้ำ�หอมที่เปิดจุก ครั้งแรก ทำ�ให้มีแต่ชีวิตรักใหม่ๆ ตลอดเวลา
ราศีกรกฎ
(ท่านที่เกิดวันที่ 17 กรกฏาคม ถึง 17 สิงหาคม) การเงิน ถือว่าได้เงินเยอะเลยออกจะงกหน่อย เก็บเล็ก ผสมน้อย อยากลงทุนอะไรใช่ไหมล่ะ ตอนนี้เราเหมาะ กับลงทุนอะไรก็ได้ที่ in เร็ว out เร็ว จ้า การงาน หลัง 18 ต้องระวังอย่าสัญญากับใครเรื่องงาน โดยเฉพาะคน ที่เด็กกว่าระวังจะมาผูกมัดตัวเรา ความรัก ช่างไม่รู้อะไร บ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่ มันแฝงอะไรบางอย่าง ที่มากกว่านั้น อยากบอกกับเขาชิมิชิมิ
ราศีสิงห์
(ท่านที่เกิดวันที่ 18 สิงหาคม ถึง 16 กันยายน) การเงิน ถ้าเป็นถนนก็วันเวย์ มีแต่เข้า ไม่ค่อยมีออกจ้า ไม่ต้องห่วง เป็นอย่างนี้อีกสักพักเลยล่ะ การงาน ตั้งแต่ ต้นเดือนมีสิ่งที่ดีๆ เข้ามา งานเริ่มจะดี แต่มีมารเข้ามา ผจญ ระวังเพื่อนร่วมงานนินทาจ้า ความรัก เพื่อนร่วม งานนินทาลามถึงคนรัก หรืออาจจะทะเลาะกับคนรัก เพราะฟังคนเพื่อนที่ทำ�งาน เรื่องประมาณนี้แหละ
ราศีกันย์
(ท่านที่เกิดวันที่ 17 กันยายน ถึง 17 ตุลาคม) การเงิน ดีเหมือนผีคุ้ม เหมือนเงินจะหมดแต่ก็ไม่หมด เหมือนจะหาไม่ทันแต่ก็ทัน ไม่ประมาทจะดีที่สุดจ้า การงาน มีปัญหาอย่างเดียว วันที่ 21 ระวังเกิดอุบัติเหตุ จนต้องล้มหมอนนอนเสื่ออยู่บ้าน ความรัก ทำ�มั้ย ทำ�ไม ดวงของหนูดาวราศีกันย์มีความรักทั้งทีต้องเป็นคนต่าง ถิ่นด้วย ถ้าหนูคนใต้ อาจได้รักคนอีสาน อยู่เหนืออาจ รักคนกรุง ปรองดองดีกว่าปูดองจ้า
(ท่านที่เกิดวันที่ 18 ตุลาคม ถึง 16 พฤศจิกายน) การเงิน ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย นายหน้า มีผล ประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ประมาณนี้ให้ผลดีก่อร่าง สร้างตัวได้ดี การงาน อย่าพึ่งคอนเนกชั่นจากเพื่อน ถ้าเลือกพึ่งพาให้เลือกคนที่อายุอ่อนกว่าไว้ใจได้มากกว่า ความรัก ดีจ้า มีแฟนเหมือนมีพ่อ ทั้งอายุและอุปนิสัย ถ้ารักกันก็ไม่ต้องแคร์สื่อ (ท่านที่เกิดวันที่ 17 พฤศจิกายน ถึง 15 ธันวาคม) การเงิน เริ่มจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ขยับได้ ขยายคล่อง จะช้อปอะไรก็นึกถึงเมื่อเดือนสองเดือนก่อนเด้อ การงาน ขึ้นลงเหมือนคลื่นลมทะเล ช่วงต้นเดือน-กลางเดือนแย่ ปลายเดือนกลับมาดี ประคองผ่านฉลุย ความรัก มีเหตุ ให้ต้องห่วง หวง หึง ห่าง คนที่รักจ้า ตั้งสติให้มั่นสะกด ใจให้นิ่งละกัน หนูทำ�ได้จ้า
ราศีธนู
(ท่านที่เกิดวันที่ 16 ธันวาคม ถึง 14 มกราคม) การเงิน เข้าสู่โหมดช้าแต่ชัวร์ เก็บเงินลูกเดียว ไม่ค่อยได้ ช้อป ชิม ชิว สักเท่าไหร่ เที่ยวบ้างน้าอย่าเอาแต่เก็บเงิน การงาน งานที่เป็นหน้าเป็นตา การพรีเซ้นต์ การต้อนรับ แขกผู้ใหญ่งานที่หนูต้องเสนอหน้ามากๆ ให้ผลดี ไม่ ต้องห่วงแม้จะมีชะนีอิจฉาบ้างก็ตาม ความรัก ออกแนว จีจ้า ดื้อ สวย ดุ ระวังเหอะ เดี๋ยวหนุ่มๆ ก็เตลิดไปหมด หรอก เดี๋ยวจะไปอยู่คานทองนิเวศน์กับป้า
ราศีมังกร
(ท่านที่เกิดวันที่ 15 มกราคม ถึง 12 กุมภาพันธ์) การเงิน เป็นอีกเดือนที่สายลมแห่งการเงินพัดเข้ามา อย่างไม่ขาดสาย สุขกายสบายจิตจริงจริ๊งชาวราศีมังกร การงาน มีส่วนร่วมข้องเกี่ยวกับงานที่ประสบความ สำ�เร็จจ้า ทำ�ให้มีชื่อเสียง ลงทุนน้อยได้เครดิตใครจะไม่ ทำ�ล่ะจ๊ะ ความรัก ว่างๆ ชวนคนที่ดูใจกันอยู่ไปชลบุรีนะ หนูนะ เกี่ยวก้อยพากันเดินตากฝน ตากนานๆ ให้ไข้ขึ้น ไปเลย เพราะ “ไข้ที่ชล” คือ “คนที่ใช่” ไงล่ะจ๊ะ
ราศีกุมภ์
(ท่านที่เกิดวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ถึง 14 มีนาคม) การเงิน ดีขึ้นกว่าเดือนก่อนๆ จ้า เพราะเจ็บจนชิน มัน กินในหัวใจ ลึกเข้าไปกร่อนใจลงทุกทีด้วย การงาน ถ้า มีเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อหน้าแต่ลับหลังเอาเราไปด่า กับ คนที่หัวแข็งแต่โคตรรักเราเลย เลือกอย่างหลังดีกว่านะ หนูนะ ความรัก ร้อน ร้อนเกินทน มันร้อนเกินไป หมื่น ฟาเรนไฮต์ ไม่รู้จะเดือดอะไรกันมากมาย รักกันแบบ สมานฉันท์เป็นไหมหนู
ราศีมีน
(ท่านที่เกิดวันที่ 15 มีนาคม ถึง 12 เมษายน) การเงิน มีผู้ใหญ่ให้เงินมาลงทุน หรือ แบ่งทรัพย์สิน ที่ดินให้ รีบรับนะหนู เราเป็นเด็กน้อย การงาน มีอุปสรรคบ้างหลังวันที่ 11 แต่ไม่ใหญ่มากผ่านได้ไม่ยาก ไม่มีอุปสรรคเราจะไม่ได้เรียนรู้คุณค่าจ้า ความรัก ก็เลิกกันแล้ว ให้มันจบๆ ไป ก็เลิกกันแล้ว เหมือนเดิมไม่ ต้องแคร์ ไม่เคยจะเหงาเพราะฉันมีตัวฉันเองดูแล คนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเอง dont magazine 57
Words by Piyanun Uthaisangchai Illustration by M.L. Chiratorn Chirapravati
M.L. CHIRATORN CHIRAPRAVATI KNOWS THE ART OF LIVING
ม.ล.จิราธร จิรประวัติ หรือคุณครูโตของลูกศิษย์ลูกหา ศิลปินที่มีผลงานเป็นที่รู้จักมากที่สุดคนหนึ่งใน ประเทศไทย ณ เวลานี้ นอกจากครูโตจะสอนเขียนรูปที่ ร้าน Chiratorn* สตูดิโอเล็กๆอันมีชีวิตชีวาแล้ว สิ่งที่แฝงมากับบทเรียนศิลปะของครูโตก็คือปรัชญาในการใช้ ชีวิตอย่างมีความสุข และการซึมซับความงดงามในชีวิต To Do : First step, know yourself. “เราต้องรู้จักตัวเองก่อน รู้ว่าเราต้องการอะไร ครูรู้ว่าครูชอบอะไรไม่ชอบอะไร ไอ้นี่เราทำ�ได้ ไอ้นี่เราไม่ชอบทำ� ไอ้นี่เราชอบมากก เมื่อเรารู้จักตัวเราข้างในมันก็จะง่าย ในความสุขแบบ ง่ายๆก็คือการเจอตัวเองนั่นแหละ” Be passionate in what you do. “ครูไม่เคยคิดว่ากระดาษสี่เหลี่ยมที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นงาน ครูมีความสุขกับมัน เราเชื่อหรือ ไม่ว่าครูเขียนภาพประกอบมากว่า 30 ปี ครูยังสนุกอยู่เลย ไม่เบื่อและไม่เคยคิดว่าจะแขวน นวมด้วย เพราะครูสนุก ครูเป็นนักบริหารกว้างxยาว ก็คือกระดาษ A4 หนึ่งแผ่นเนี่ยแหละ ครูจะทำ�ยังไงให้กระดาษแผ่นตรงหน้าสวยที่สุด ครูก็ถ่ายพลังไปตรงนั้น และคุณมองปั๊บ คุณก็จะสื่อสารมันได้ คือครูไม่ได้คาดหวังให้ใครมามีความสุขกับสิ่งที่ครูทำ� แต่อันนั้นเป็น ผลพลอยได้กับสิ่งที่ครูทำ�อย่างมีความสุข ถ้างานครูไม่มีสิ่งนี้ คนคงไม่วิ่งเข้ามาหา มันคือ ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ทุกคนเห็นพ้องกัน มันเหมือนกับอาหารอร่อย เพลงเพราะ” Life’s too short, enjoy it! “ชีวิตมันสั้นไงคุณ เพราะฉะนั้นการรู้จักตัวเองและมีความสุขกับชีวิตเป็นสิ่งที่สำ�คัญมากกก... บางคนเนี่ยทำ�ๆๆลืมซึมซับกับสิ่งที่สวยงามในชีวิต วันใดวันหนึ่งอาจจะเป็นโรคอะไรไป แล้ว ก็ตายไปเลย ทุกๆวันที่คุณตื่นขึ้นมา คุณต้องส่องกระจกแล้วมองตัวเอง แล้วชอบตัวเอง ทำ� ยังไงให้ตัวเองดูแล้วคุณชอบที่สุด ไม่ต้องให้ใครเค้ามาชอบเราหรอกนะ แค่ดูให้เราเก๋ที่สุด ในทุกๆวัน ครูเป็นคนรักตัวเอง ครูจะดูแลตัวเองเลือกทุกสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง” Appreciate the beauty around you. “เชื่อมั๊ย ครูขับรถจากบ้านมาโรงเรียน เอ้า ตอนนี้ชมพูพันทิพย์ออกดอก ตอนนี้ต้นตะแบก ออกดอก ดูดอกไม้ต้นไม้ ครูจะบอกว่าแรงบันดาลใจมีอยู่รอบตัว มีลูกศิษย์ครูบอกว่าไป ญี่ปุ่นต้นไม้สวยจังเลย ผมว่าต้นไม้ที่ญี่ปุ่นสวยกว่าเมืองไทย ครูบอกไม่จริง เวลาที่คุณออก จากบ้านคุณลืมที่จะซึมซับความงามที่บ้าน ซึมซับความงามของท้องฟ้า ลืมมองดอกไม้ริม ทาง ซึ่งมันสวยงาม เพราะฉะนั้นมันไม่มีวันหมดไม่มีวันตัน แรงบันดาลใจมีอยู่รอบๆ ตัว” Live with the present. “ครูเป็นคนอยู่กับเดี๋ยวนี้ แล้วครูก็ตัดริบบิ้นไปกับวันที่ผ่านมาแล้ว ครูก็ไม่ยุ่งว่าพรุ่งนี้จะเกิด อะไรขึ้น ครูสนุกกับเดี๋ยวนี้ เรามีหน้าที่เป็นครูเราก็สอนให้ดีที่สุด เรามีหน้าที่เขียนรูป เรา ก็เขียนให้สวยที่สุด หลังจากนั้นมันจะเป็นยังไงไม่รู้และ ครูพยายามฝึกให้ครูอยู่กับปัจจุบัน พยายามให้อยู่กับตัวเองที่สุด สนุกกับชีวิตไป” Make your life simple. “ครูเป็นคนทำ�ทุกอย่างให้มันง่าย หรือมันง่ายไปเองก็ไม่รู้นะ ครูจะเป็นคนเรื่องมากกับตัว เองแต่ก็ไม่เอาความเรื่องมากของตัวเองไปยุ่งกับใครเลยนะ ชีวิตนี้มีความต่าง คุณก็ต้องต่าง แบบนี้ คนนู้นก็ต้องเป็นอย่างนี้ ครูเชื่อในปรัชญาของการเดินสายกลาง ทุกอย่างให้มันอยู่ ตรงกลาง กลางของคุณกับกลางของครูก็ไม่เหมือนกัน” Keep calm. “การนิ่งได้มันเป็นอะไรที่ดีนะ คนที่นิ่งไม่ได้แล้วข้างในมันเหวี่ยงว้าวุ่นน่ะ เมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่ง ที่อยู่ตรงหน้าได้ นิ่งได้มันก็จะสงบลงเองล่ะ เมื่อใครสงบแล้วนิ่งได้มากที่สุดคนนั้นก็มีบุญ ถูกไม๊ เพราะไม่เหวี่ยงไปตามอะไรๆ ซึ่งครูก็ฝึกให้ข้างในตัวเองนิ่งเหมือนกัน แล้วมีความสุข กับตัวเอง จบ” “ให้ถามตัวเอง คนเราที่มีปัญหาเนี่ย คือข้างในเรายังไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร มันเลยยุ่ง มันก็เลยเหวี่ยงไปเรื่อยๆ แต่เมื่อไหร่ที่เรารู้จักตัวเอง คุณก็จะง่าย” Don’t blame something you can’t control. “ครูเป็นคนไม่โทษดินฟ้าอากาศ ไม่โทษเศรษฐกิจการเมืองสังคม ครูรักทุกคน 58 dont magazine 58 dont magazine
ครูไม่โกรธใคร แล้วก็ครูคิดว่าครูสามารถพึ่งตัวเองได้ และไม่ต้องเป็นภาระคนอื่น อันนี้เป็นสิ่งสำ�คัญ” When bad things happen, forgive and forget. “ครูก็เคยถูกเอาเปรียบ แต่ครูไม่สน เพราะถ้าเค้าทำ�ไม่ดีกับครู ก็เป็นกรรมของเค้า ก็ง่ายดี แล้วครูก็ให้อภัย” When you’re happy, you also make everyone around you happy. “เนื่องจากครูรู้จักตัวเองและครูชัดเจน ครูมีความสุขกับตัวเอง เพราะฉะนั้นคนที่มาใกล้ ก็ได้รังสีนั้นไปมั้ง สงสัยนะ ใครมาอยู่ใกล้ๆครูก็มักจะมีความสุข” ร้าน Chiratorn ห้องเสื้อและโรงเรียนสอนศิลปะของครูโต เปิดทุกวันอังคาร, เสาร์และ อาทิตย์ นอกจากนั้น หากแวะเวียนไปที่นั้นคุณยังจะได้พบกับนักวาดภาพประกอบฝีมือดี อีกหลายคน เช่น ครูปาน สมนึก คลังนอก หรือ ภัทรีดา - นวลตอง ประสานทอง สตูดิโอตั้งอยู่ชั้น 2 ตึก The Promenade Décor Building ในบริเวณเดียวกับ โรงแรม Swissotel Nai Lert Park (ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต) สามารถติดตามผลงานบางส่วนของครูโตได้ที่ www.thechocolatebrown.com
dont magazine 59
60 dont magazine