คำแถลงเนื่องในโอกาสวันแห่งการต่อต้านการบังคับให้บุคคลสูญหาย

Page 1

คำแถลงกำรณ์เนื่องในโอกำสวันสำกลแห่งกำรระลึกถึงบุคคลผูส้ ญ ู หำย 30 สิงหำคม 2558 เนื่องด้วยวันที่ 30 สิงหาคมของทุกปี ได้ถูกกาหนดให้เป็นวันสากลแห่งการระลึกถึงบุคคลผู้สญ ู หาย โดยองค์การสหประชาชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา ด้วยเล็งเห็นปัญหาการละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ที่มคี วามสาคัญยิ่ง การบังคับบุคคลให้สูญหาย ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มิอาจยอมรับได้ เพราะเป็นรูปแบบที่ร้ายแรงรูปแบบหนึ่งที่ได้ ปรากฏขึ้นทัง้ ในสังคมไทย และสังคมมนุษย์ ที่เรารู้จักกันดีก็คือ “การอุ้มฆ่า” ซึ่งไม่สามารถแยกออกจากกันได้โดยเด็ดขาดจาก “การถูก บังคับให้สูญหาย” ซึ่งบ่อยครั้ง และแทบทุกครั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็มกั จะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลในเครื่องแบบ ที่มีหน้าที่ในการ “พิทักษ์สันติราษฎร์” หรือดูแล “กิจการด้านความมั่นคง” ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าว อ้างอยูเ่ สมอ การบังคับให้สูญหาย ถือเป็นหนึ่งในปัญหามนุษยธรรม และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนรูปแบบหนึ่งที่ถูกใช้เป็นยุทธศาสตร์ใน การสร้างความสะพรึงกลัวให้เกิดขึน้ ภายในสังคม ก่อให้เกิดความไม่มั่นคงในความปลอดภัย ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อครอบครัว ผู้ใกล้ชิด หากแต่ส่งผลกระทบต่อชุมชน และสังคม โดยรวมอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ถูกครอบงาโดยเผด็จการอานาจนิยม ทหาร ในสถานการณ์ความขัดแย้งภายในที่มีความสลับซับซ้อน ถือได้ว่าเป็นการบ่อนทาลายศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ที่ประชาคม ระหว่างประเทศให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ ทั้งนี้เนื่องจากสิทธิในการมีชีวิต และสิทธิในการดารงชีวิตอย่างมีหลักประกันในด้ายความ ปลอดภัย ถือเป็นสาระสาคัญในหลักการแห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (พ.ศ. 2491) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ พลเมือง และสิทธิทางการเมือง (พ.ศ. 2519) การบังคับให้หายสาบสูญ ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นอย่างสืบเนื่องนับตั้งแต่บุคคลสูญหาย จนกว่าปัญหาจะได้รับ การแก้ไข และเยียวยาโดยสมบูรณ์ ในที่นี้ญาติมติ รของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อย่อมได้รับผลกระทบทั้งทางกายภาพ และทางจิตใจ ถือเป็นการ ละเมิดสิทธิที่มคี วามซับซ้อน และ ซ้าซ้อนในหลายมิติที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยของบุคคลที่เกีย่ วข้อง ที่ สาคัญสิทธิในความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต สิทธิในการที่จะได้รับรู้ความจริง (ว่าบุคคลที่รักของเขาหายไปไหน) สิทธิที่จะได้รับการชดเชย เยียวยาอย่างเป็นธรรม ต้องได้รับการเคารพ


ในต่างประเทศและทางสากล ปัญหาการบังคับบุคคลให้สญ ู หาย ยังดารงอยู่ จากรายงานของคณะทางานสหประชาชาติว่าด้วย การสูญหายโดยไม่สมัครใจและถูกบังคับ (United Nations Working Group on Enforced and Involuntary Disappearances UNWGEID) ระบุว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีการสูญหาย จานวน 53,000 กรณี จาก 84 รัฐ/ประเทศ จนถึงปัจจุบัน รวมทั้ง กรณีนายสม บัด สมพอน นักพัฒนาสังคมอาวุโสจากประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว) ทีส่ ูญหายไปกว่า 990 วัน กลางกรุงเวียงจันทน์ กรณีนายโจนัส เบอร์ โกส์ นักพัฒนาด้านสิทธิเกษตรกร ชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยไปเมื่อปี 2552 กรณีของไทย นอกจากนายทะนง โพธิ์อ่าน ผู้นาแรงงานแล้ว ยังมีการสูญหายในเหตุการณ์พฤษภา 2535 จานวน 31 ราย และทนายสมชาย นีละไพจิตร เมื่อปี 2547 ก็อยู่ในระบบ ฐานข้อมูลผูส้ ูญหาย ของคณะทางานสหประชาชาติด้วย การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติยังมีมติที่ 47/133 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2535 รับรองปฏิญญาว่าด้วยการ ปกป้องบุคคลทั้งมวลให้ปลอดจากการถูกบังคับให้หายสาบสูญ ถือเป็นจังหวะก้าวสาคัญในการที่ประชาคมโลกให้ความสนใจต่อประเด็น การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติได้จัดทาร่าง อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการปกป้องคุ้มครองบุคลทั้งมวลจากการบังคับให้หายสาบสูญ และได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะมนตรี สิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (ที่ได้จัดตั้งขึ้นใหม่แทนคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน) เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2549 และได้รับการรับรองจากที่ประชุมสมัยที่ 61 ของสมัชชาใหญ่ องค์การสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2549 มีผลบังคับใช้ เมื่อ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ภายหลังจากที่มีประเทศภาคีร่วมลงนามครบ 20 ประเทศ นอกเหนือจากการที่รัฐพึงจะต้องมีพันธกิจในการคุ้มครองปกป้องสิทธิมนุษยชนของประชาชนตามหลักการสากลแล้ว ยัง จะต้องมีเจตจานงที่ชัดเจนและมาตรฐานคุณธรรมขั้นสูงในการใส่ใจในสิทธิมนุษยชน เพื่อดูแลทุกข์สุขของประชาชนทุกผู้คนอีกด้วย รัฐบาลไทยได้ลงนามในอนุสัญญาฉบับดังกล่าว เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555 ตามที่ได้มีการแถลงต่อที่ประชุมคณะมนตรี สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกอ่ นหน้านั้น โดยยังไม่ได้ให้สตั ยาบัน ทาให้ยังไม่มีผลบังคับผูกพันตามกฎหมายโดยสมบูรณ์ ที่ผ่านมา แนวนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐไทยในการจัดการกับปัญหาดังกล่าวยังขาดความชัดเจน ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ในการจัดการ กับปัญหาการหายสาบสูญในกรณีต่าง ๆ แม้ว่าจะมีการประกาศใช้แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับแรก (พ.ศ. 2544-2548) ฉบับที่ สอง (พ.ศ. 2552-2556) จนถึงฉบับที่ 3 ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2557-2561) แล้ว ก็แทบไม่มีความคืบหน้าใดๆ นับแต่กรณี นายทนง โพธิ์อ่าน ผู้นาสภาแรงงานแห่งประเทศไทย (สูญหายเมื่อ พ.ศ. 2534 สมัย รสช.) กรณีการปราบปรามประชาชนเมื่อเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ซึ่งผ่านไปแล้วกว่า 23 ปี แต่ผู้สญ ู หายอย่างน้อย 31 คน (จากรายงานของคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ระบุไว้ว่า 48 ราย) ยังคงไร้วี่แวว กรณีทนายความนักสิทธิมนุษยชน นายสมชาย นีละไพจิตร เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2547 กรณีประชาชนในจังหวัด ชายแดนภาคใต้จานวนไม่น้อย อีกทั้ง กรณีนายกมล เหล่าโสภาพันธ์ สมาชิกเครือข่ายต่อต้านการคอรัปชั่น ที่จังหวัดขอนแก่น บางกรณี สูญหายไประหว่างที่รัฐใช้นโยบายปราบปรามยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546 – 2547 ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ในภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคใต้ รวมทั้งล่าสุดกรณีนาย “บิลลี่” พอละจี รักจงเจริญ อดีตสมาชิก อบต. ผู้นาชนชาติพันธุ์กระเหรี่ยง ที่สูญหาย ไปเมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2557 ที่บริเวณเขตอุทยานแห่งชาติ แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี องค์กรสิทธิมนุษยชนได้ประมวล รายชื่อ และจานวนผู้สญ ู หาย ในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา นับแต่ พ.ศ. 2534 จนถึงปัจจุบัน มีรายชื่อผูส้ ูญหายกว่า 100 รายที่ยังไร้วี่แวว ซึ่ง ถือว่าเป็นจานวนไม่น้อย


อย่างไรก็ดี องค์กรสิทธิมนุษยชน และผู้ทรี่ ่วมลงชื่อท้ายคาแถลงนี้ มีข้อเสนอรูปธรรมต่อรัฐ และผู้เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. รัฐ และหน่วยงานทุกภาคส่วนในสังคม ต้องตระหนักว่า “การบังคับบุคคลให้สญ ู หาย” เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เป็น อาชญากรรม 2. รัฐ พรรคการเมือง นักการเมือง บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมต้องแสดงเจตจานงในการร่วมผลักดันให้ สิทธิมนุษยชน เป็น วาระแห่งชาติ และสาระสาคัญของสังคมอย่างชัดแจ้ง 3. รัฐบาลให้สัตยาบันต่อพิธีสารเลือกรับ (Optional Protocol) ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ายีศักดิ์ศรี (Convention Against Torture - CAT) โดยมิชักช้า 4. รัฐบาลให้สัตยาบันต่ออนุสญ ั ญาว่าด้วยการคุม้ ครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance) ในระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่ องค์การสหประชาชาติที่ กาลังจะมีขึ้นเร็ว ๆ นี้ โดยมิชักช้า 5. รัฐสภา หรือ สภานิติบญ ั ญัติแห่งชาติ ต้องเร่งพิจารณาบทบัญญัติกฎหมายเพื่อรองรับอนุสัญญาทั้งสองฉบับอันได้แก่ ความผิด กรณีการซ้อมทรมาน การปฏิบัติทเี่ ลวร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ายีศกั ดิ์ศรี รวมทั้งการอุม้ หาย (สูญหายโดยการถูกบังคับ) กาหนดมูลความผิดตามอนุสญ ั ญาดังกล่าวว่าเป็นความผิดทางอาญา และมีโทษทางอาญา เพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตจานง และ ความจริงใจของรัฐที่มีต่อการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และให้มีการดาเนินการมีผลในทางปฏิบัติ โดยเร็ว 6. รัฐต้องมีมาตรการที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยให้มีกลไกที่เป็นอิสระ มีประสิทธิภาพที่จะเอื้ออานวยให้เกิดการ แก้ไขปัญหา ป้องกัน และเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใส รวดเร็ว สามารถตรวจสอบได้ ด้วย การเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญและองค์กรภาคส่วนต่าง ๆ ทางสังคมได้เข้าร่วม อาทิเช่น องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน สื่อสารมวลชน นักกฎหมาย นักวิชาการ นักวิชาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิติเวชศาสตร์ นิติวิทยาศาสตร์ เป็นต้น 7. รัฐต้องเร่งปฏิรูประบบและกลไกในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิรูปตารวจ ทั้งกระบวนการสร้างเสริมพฤติ นิสัย ความสานึก และ กลไกในการตรวจตราอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ ด้วยการสร้างสานึกสิทธิมนุษยชน สานึกแห่ง ความถูกต้อง และเป็นธรรมให้กับบุคลากรในความดูแลของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าหน้าที่ตารวจ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” และผู้ทมี่ ีส่วนเกีย่ วข้องกับการบังคับใช้กฎหมาย ให้สามารถอานวยความยุติธรรมได้อย่างแท้จริง และเที่ยงธรรม หากรัฐไทยไร้ซึ่งความเป็นกลาง และระบบยุติธรรมขาดความน่าเชื่อถือ อาจส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง ประชาชน ทุกคน ไม่ว่าจะ ลูกเล็กเด็กแดง หญิงชาย ผู้สูงวัย ยากดีมีจน ต่างชาติพันธุ์ ศาสนาและความเชื่อ ย่อมต้องได้รับการคุ้มครองตาม รัฐธรรมนูญ กฎหมายทั้งในประเทศ และกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยเท่าเทียมกัน ไม่มกี ารเลือกปฏิบัติใดๆ สังคมจึงต้องมีส่วนร่วมกันในการดูแล และร่วมสร้างหลักประกันในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยมีความเห็นพ้องกันว่า “การ บังคับบุคคลให้สญ ู หาย” เป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในสังคมของเรา ประการสาคัญ รัฐต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นด้วยมาตรการที่เหมาะสม อันจะเป็น ภารกิจสาคัญของการส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรม ยุติปัญหาการซ้อมทรมาน และการอุ้มหายอย่างจริงจัง กลุ่มเพื่อนประชาชน คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน


มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม สถาบันสังคมประชาธิปไตย สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ศูนย์ข้อมูลชุมชน ศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติธรรม นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ กลุ่มเพื่อนประชาชน สุณัย ผาสุข Human Rights Watch งามศุกร์ รัตนเสถียร สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศกึ ษา ม.มหิดล ดวงหทัย บูรณเจริญกิจ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศกึ ษา ม.มหิดล ธนภัทร อารีพิทักษ์ เพลินใจ อัตกลับ ชนะ จันทร์แช่ม ฤทธิชัย โฉมอัมฤทธิ์ บดินทร์ สายแสง บัณฑิต หอมเกษ สมฤดี พิมลนาถเกษรา วริสรา มีภาษณี ปฐมพร แก้วหนู ชานนท์ ลัภนะทิพากร วชิรวิทย์ สร้อยสูงเนิน ณัฐฏ์ชนนท์ อัครมณี นิอับดุลฆอร์ฟาร โตะมิง เลิศศักดิ์ ต้นโต บารมี ชัยรัตน์ ศาสตราจารย์ สุริชัย หวันแก้ว ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 30 สิงหาคม 2558 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ

campaigh4hr@gmail.com หรือ

เมธา มาสขาว

เลขาธิการคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 โทร 092 546 5949

อังคณา – ประทับจิต นีละไพจิตร

มูลนิธิยตุ ธิ รรมเพื่อสันติภาพ โทร 084 728 0350

บุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์

เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน โทร 081 866 2136


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.