คราสและควินิน รื้อ-สร้าง 'ปากไก่และใบเรือ' ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ โดย พิพัฒน์ พสุธารชาติ (บทที่ 1)

Page 1

คราส และ ควินิน รื้อ–สร้าง ‘ปากไก่และใบเรือ’ ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์

พิพัฒน์ พสุธารชาติ



ความชอบของหนังสือเล่มนี้ มอบให้กับ นิภรณ์ พสุธารชาติ ภรรยาผู้อดทนต่อการปลีกตัวใน กิจกรรมทางปัญญาของข้าพเจ้า



คราสและควินิน

สารบัญ

ค�ำนิยม โดย โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ 11 ค�ำน�ำ โดย วีระศักดิ์ กีรติวรนันท์ 15 กิตติกรรมประกาศ 21 บทน�ำ ท�ำไมต้องรื้อ–สร้าง ‘ปากไก่และใบเรือ’ ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ 27 บทที่ 1 ‘ปากไก่และใบเรือ’ หลักหมายส�ำคัญหนึ่งของไทยศึกษา 45

7


8

คราสและควินิน

บทที่ 2 ‘ปากไก่และใบเรือ’ กับอิทธิพลของ​มักซ์ เวเบอร์ 87 บทที่ 3 ปัญหาของ “ความเป็นเหตุเป็นผล” 137 บทที่ 4 การรับวิทยาการจากตะวันตก 167 บทที่ 5 โลกของนางนพมาศ 191 บทที่ 6 สัจนิยมในวรรณกรรมไทย 235 บทที่ 7 พระจอมเกล้าฯ กับความคลุมเครือของ “ความเป็นเหตุเป็นผล” 277


คราสและควินิน

บทที่ 8 วิจารณ์ความเป็น “มนุษยนิยม” และ “เหตุผลนิยม” ของธรรมยุติกนิกาย 323 ภาคผนวก 1 ปัญหาเรื่อง “ความรู้จากประสบการณ์” 365 ภาคผนวก 2 ‘ปากไก่และใบเรือ’ กับมายาคติเรื่องชนชั้นกลาง 393

9



คราสและควินิน

11

ค�ำนิยม

ผมรู้จักกับคุณพิพัฒน์มาได้หลายปีแล้ว จริง ๆ ผมรู้จักชื่อคุณพิพัฒน์ตั้งแต่ก่อนได้พบ กันตัวต่อตัว คือผมเห็นหนังสือที่คุณพิพัฒน์เขียนเรื่อง “ปลายทางที่อินฟินิต้ี” แล้วก็ สนใจว่าคนที่จะมาสนใจเรื่องแบบนี้ คือปรัชญาคณิตศาสตร์กับปรัชญาวิทยาศาสตร์ ค่อนข้างหายากมากในเมืองไทย แล้วก็สงสัยว่าคุณพิพฒ ั น์เป็นใคร ยิง่ เมือ่ รูว้ า่ คุณพิพฒ ั น์ เป็นวิศวกรก็ยิ่งเกิดความสนใจมากขึ้นไปอีก เพราะปรกติวิศวกรมักจะสนใจแต่เรื่อง งานเฉพาะหน้าของตนแล้วก็การทำ�มาหากิน การดำ�รงสถานภาพในสังคม เช่นเดียว กับคนทีท่ �ำ อาชีพทีท่ �ำ เงินได้ด ี ๆ อืน่  ๆ แต่คณ ุ พิพฒ ั น์ดจู ะไม่ใช่เช่นนัน้ หาไม่แล้วคงไม่ อดทนเขียนหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาคณิตศาสตร์ที่ยากและหาคนสนใจได้น้อยแบบนี้ ผมอ่านหนังสือเรื่องอินฟินิตี้ ไปได้ ไม่นาน คุณพิพัฒน์ก็มาหาผมที่ห้องทำ�งาน เราได้ สนทนากันค่อนข้างยาว แล้วคุณพิพฒ ั น์กม็ าบอกว่ากำ�ลังสนใจงานเรือ่ งใหม่ ไม่เกีย่ วกับ คณิตศาสตร์แล้ว คือเรื่อง “องค์รวม” จำ�ได้ว่าเราสนทนาเรื่ององค์รวมนี้พอสมควร ปัญหาในเวลานั้นก็คือว่า คนไทยโดยเฉพาะผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รู้ระดับนำ� พูดเรื่อง องค์รวมกันมาก แต่ปญ ั หาก็คอื ว่าตัวคนพูดนัน้ บางทีกไ็ ม่รชู้ ดั ว่าตัวเองพูดอะไรอยู่ คุณ พิพัฒน์ก็เลยเขียนหนังสือเล่มนี้มาเพื่อยกระดับคุณภาพของการคิดการพูดเกี่ยวกับ เรื่องนี้ ในสังคมไทย เพื่อที่เวลาพูดเรื่ององค์รวมจะได้มีหลักมีเกณฑ์มากขึ้น ต่อมาคุณพิพฒ ั น์กเ็ ปลีย่ นความสนใจอีก คือไปสนใจเรือ่ งสุนทรียศาสตร์กบั ปรัชญา ศิลปะ ผมจำ�ชือ่ หนังสือทีค่ ณ ุ พิพฒ ั น์เขียนเกีย่ วกับเรือ่ งนี้ ไม่ได้แล้ว (ใครทีส่ นใจอยากรู้ ว่าคุณพิพฒ ั น์เขียนอะไรไว้บา้ ง ก็ไปค้นชือ่ หนังสือและหามาอ่านได้โดยไม่ยาก) จำ�ได้ แต่เพียงว่าคุณพิพฒ ั น์ลงทุนอ่านงานเกีย่ วกับสุนทรียศาสตร์อนั มีชอื่ เสียงของคานท์ คือ “วิพากษ์พลังตัดสิน” หรือ Critique of Judgement ในภาษาอังกฤษ งานชิน้ นีเ้ ป็นงาน แบบฉบับของทุกคนที่สนใจด้านสุนทรียศาสตร์ และคุณพิพัฒน์ก็อ่านงานนี้ ได้อย่างดี มีความเข้าใจความคิดอันซับซ้อนของคานท์อย่างถูกต้อง คุณพิพฒ ั น์ ไม่ได้อา่ นแต่คานท์ เท่านั้น แต่ยังอ่านงานของนักปรัชญาสมัยหลัง ๆ ที่เขียนเกี่ยวกับงานศิลปะด้วย เช่น นักปรัชญาในกลุม่ ทฤษฎีวพิ ากษ์ (Critical Theory) รวมทัง้ งานของมาร์ตนิ  ไฮเดกเกอร์ ต่อจากนัน้ คุณพิพฒ ั น์กเ็ บนความสนใจไปยังวิชาประวัตศิ าสตร์ โดยเฉพาะประวัต-ิ ศาสตร์เกีย่ วกับการปะทะกันระหว่างระบบความรู้ ซึง่ เป็นเรือ่ งทีน่ า่ สนใจมาก ๆ เรือ่ งหนึง่


12

คราสและควินิน

ในประวัตศิ าสตร์ การปะทะกันนีห้ มายความถึงการทีม่ ตี วั แทนจากวัฒนธรรมหนึง่ มา ติดต่อกับอีกวัฒนธรรมหนึง่ ซึง่ สองวัฒนธรรมนีอ้ าจไม่เคยมีการติดต่อกันมาก่อนเลย การมองโลกการเข้าใจโลกของสองวัฒนธรรมนี้แตกต่างกันมาก แต่เมื่อมาติดต่อกัน วัฒนธรรมทีอ่ อ่ นแอกว่าจะปรับตัวอย่างไร ตัวอย่างทีค่ ณ ุ พิพฒ ั น์สนใจในหนังสือเล่มนี้ ก็ได้แก่การปะทะกันระหว่างระบบความรูด้ ง้ั เดิมในสังคมไทย กับระบบทีม่ ากับฝรัง่ จาก ยุโรปที่ไม่ได้เอามาแต่เพียงระบบความรู้อันได้แก่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่มาเท่านั้น แต่ ยังเอาผลผลิตของเทคโนโลยีทว่ี ฒ ั นธรรมทีเ่ ป็นฝ่ายรับไม่มที างสู้ ได้เลย เช่น เรือกลไฟ ปืนใหญ่ ทหารที่ฝึกมาอย่างเป็นมืออาชีพ ฯลฯ ผมเคยเขียนงานชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ วิทยาศาสตร์ในสังคมและวัฒนธรรม ไทย ซึง่ เป็นงานทีไ่ ด้รบั การสนับสนุนจากสำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั (สกว.) เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว และคุณพิพัฒน์ก็ได้พูดถึงงานชิ้นนี้ ไว้ ในหนังสือนี้ด้วย จุดสนใจ ที่เรามีร่วมกันก็คือ พยายามตอบปัญหาว่า เกิดอะไรขึ้นเมื่อระบบความรู้อันทรงพลัง ของยุโรป ทีไ่ ด้กอ่ ตัวขึน้ ในคริสต์ศตวรรษที ่ 17 และพัฒนาอย่างเข้มแข็งในศตวรรษที ่ 19 มาปะทะกับระบบความรูด้ ง้ั เดิมของไทย อันมีงานอย่าง ไตรภูมพิ ระร่วง จักกวาฬ­ ทีปนี เป็นแกนกลาง? เรื่องพวกนี้ ไม่เพียงแต่นักประวัติศาสตร์เท่านั้นที่สนใจ แต่ นักปรัชญาก็สนใจมาก เพราะการปะทะกันของระบบความรู้ เป็นปรากฏการณ์ทาง ญาณวิทยาทีน่ า่ สนใจ เมือ่ ระบบสองระบบมาปะทะกัน เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าระบบใด เป็นความจริง ระบบใดเป็นความเท็จ? หรือว่าในท้ายทีส่ ดุ แล้วเป็นจริงทัง้ คู?่ หรือเป็น เท็จทั้งคู่? เป็นไปได้หรือไม่ว่าสองระบบนี้จะมีการกลืนเข้าหากันจนทำ�ให้กลายเป็น ระบบเดียวกันในท้ายที่สุด หรือว่าเข้ากันไม่ได้เลย? การปะทะกันของระบบความรู้ตะวันตกกับของไทยนี้เกิดขึ้นสองครั้งในประวัติศาสตร์ของสยาม ครัง้ แรกเกิดขึน้ ในสมัยอยุธยา เมือ่ ชาวตะวันตกมาติดต่อกับอยุธยา ก็แน่นอนว่าย่อมเอาระบบความรู้คือวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเทคโนโลยีของตนมาด้วย การติดต่อนี้เห็นได้ชัดที่สุดในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีหลักฐาน กล่าวว่าบาทหลวงจากยุโรปได้ถวายกล้องดูดาวให้แก่สมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งได้ทรง ตัง้ กล้องนี้ ไว้บนดาดฟ้าในพระราชวังทีก่ รุงละโว้ แต่หลักฐานไม่ได้กล่าวว่าพระองค์ทรง สนพระทัยจะมองท้องฟ้าด้วยกล้องนี้มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นใน สมัยอยุธยาก็คอื ว่า แม้จะมีการติดต่อและการรับเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาจาก ชาวตะวันตกในระดับหนึ่ง แต่การรับนี้ก็เป็นไปอย่างผิวเผินมาก ไม่ปรากฏหลักฐาน เลยว่าชาวอยุธยาสนใจเรียนรูว้ ทิ ยาการของตะวันตก และก็ดจู ะไม่เกิดการตัง้ คำ�ถามว่า ระบบความรูข้ องตะวันตกจะมาคุกคามสถานะของความรูด้ ง้ั เดิมของสยามอย่างไร และ จะแก้ ไขอย่างไร ซึ่งเป็นปัญหาสำ�คัญที่ปัญญาชนสยามในสมัยรัชกาลที่ 3 ของกรุง­


คราสและควินิน

13

รัตนโกสินทร์สนใจ (หนึง่ ในนัน้ ก็ได้แก่พระอนุชาของรัชกาลที ่ 3 คือเจ้าฟ้ามงกุฎทีท่ รง ผนวชอยู่ในเวลานั้นด้วย) เมื่อขุนนางจำ�นวนหนึ่งในปลายสมัยพระนารายณ์มหาราช เห็นว่าฝรัง่ เหล่านีเ้ ป็นภัยคุกคาม ก็ท�ำ การรัฐประหารโค่นล้มราชวงศ์ของพระนารายณ์ และพระเพทราชาขึ้นครองราชย์ตั้งราชวงศ์ ใหม่คือราชวงศ์บ้านพลูหลวง สิ่งแรก ๆ ที่ พระเพทราชาทรงทำ�ก็คอื ขับไล่ฝรัง่ โดยเฉพาะฝรัง่ เศสกับบรรดาบาทหลวงออกไปจนหมด เหลือไว้แต่เพียงชาวฮอลันดาที่ได้รับอนุญาตให้ตั้งสถานีการค้าเล็ก ๆ ได้ เราอาจมองว่าที่ชาวยุโรปสามารถถูกขับไล่ไปได้ ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 อาจ เป็นเพราะในสมัยนัน้ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก�ำ ลังเพิง่ ก่อรูปขึน้ มา ยังไม่มพี ลังมากพอที่ จะต่อกรกับระบบความรูด้ ง้ั เดิมของไทยในสมัยเดียวกันนัน้ ได้ แต่สถานการณ์เปลีย่ นไป อย่างหน้ามือเป็นหลังมือในสมัยรัชกาลที่ 3 เพราะในตอนกลางของคริสต์ศตวรรษที่  19 นั้น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของยุโรปพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด จนความรู้ กับเทคโนโลยีดงั้ เดิมของประเทศอืน่  ๆ นอกทวีปยุโรปตามไม่ทนั ทำ�ให้เกิดปัญหาความ เหลื่อมลํ้าทั้งทางด้านความรู้และเศรษฐกิจเป็นผลพวงมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อชาวยุโรป กลับมาใหม่ในช่วงนี้ ก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปที่ชาวสยามจะลุกมาขับไล่แบบเดียวกับที่ พระเพทราชาเคยทำ� สถานการณ์เช่นนีท้ �ำ ให้ปญ ั ญาชนช่วงนัน้ ต้องมาคิดว่า เมือ่ วิทยาศาสตร์กบั เทคโนโลยีจากยุโรปไม่สามารถขับไล่ไปได้ (อันทีจ่ ริงก็ไม่นา่ ขับออกไปด้วยซํา้ เพราะมีประโยชน์มากมายดังที่ทราบกันอยู่) แล้วเราจะรักษาเอกลักษณ์ทางความรู้ และวัฒนธรรมของเราไว้ ได้อย่างไร ในแง่หนึง่ ปัญหานีก้ ย็ งั คงอยูก่ บั เราแม้ ใน พ.ศ. 2560 ซึง่ เป็นคริสต์ศตวรรษที ่ 21 คือท่ามกลางกระแสของโลกาภิวตั น์ของความรู้ คนไทยจะ รักษาเอกลักษณ์ของตนไว้ ได้อย่างไร หรือว่าควรจะรักษาไว้หรือไม่ เพราะเหตุใด ผมมองว่าหนังสือเล่มนี้ของคุณพิพัฒน์เป็นความพยายามหนึ่งที่จะสานต่อการ สนทนานี้ ซึง่ เริม่ มีขนึ้ ตัง้ แต่พระวชิรญาณภิกขุไปเรียนภาษาละตินกับบาทหลวงปัลเลอ­ กัวซ์ในสมัยรัชกาลที ่ 3 แล้ว ถึงแม้วา่ จุดสนใจของคุณพิพฒ ั น์ในหนังสือเล่มนีจ้ ะไม่ได้ อยู่ที่การปะทะกันของระบบความรู้ดังที่ได้เล่ามา แต่อยู่ที่เหตุการณ์การก่อตัวขึ้นของ ชนชัน้ กลางในสมัยรัชกาลที ่ 1 แต่คณ ุ พิพฒ ั น์กไ็ ด้อภิปรายประเด็นสำ�คัญ ๆ ในปรัชญา ไว้มากพอสมควร เช่นเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล (Rationality) เราจะรู้ ได้อย่างไรว่า ระบบวิทยาศาสตร์ของตะวันตกมี “ความเป็นเหตุเป็นผล” มากกว่าระบบของไทยแต่เดิม ทีม่ เี รือ่ งเขาพระสุเมรุ มีทะเลสีทนั ดร ฯลฯ ในขณะทีข่ องยุโรปมีแผนทีแ่ บบเมอร์เคเตอร์ มีการวัดเส้นรุ้งเส้นแวงอย่างเป็นระบบ มีแผนที่ที่ตรงกับพื้นที่จริงที่มาจากการสำ�รวจ จริง ไม่เหมือนกับแผนทีโ่ บราณของไทยทีม่ าจากคัมภีรโ์ บราณอย่างเดียวโดยไม่มกี าร สำ�รวจใด ๆ เมือ่ เป็นเช่นนีจ้ ะพูดได้หรือไม่วา่ ระบบของตะวันตกมี “ความเป็นเหตุเป็นผล” มากกว่าของไทย? รู้ ได้อย่างไร? คุณพิพฒ ั น์ ได้มวี วิ าทะในเรือ่ งนีก้ บั นักประวัตศิ าสตร์


14

คราสและควินิน

ชั้นนำ� เช่น อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ไว้อย่างน่าสนใจมาก ก็เลยอยากจะเสนอว่า หนังสือเล่มนีจ้ ะเป็นประโยชน์แก่วงการวิชาการ ทัง้ ในสาขา ประวัตศิ าสตร์ ปรัชญา มานุษยวิทยา สังคมวิทยา เมืองไทยไม่คอ่ ยมีหนังสือวิชาการ ทีม่ งุ่ เสนอประเด็นถกเถียง ชวนให้คดิ ชวนให้อภิปรายมากนัก หนังสือต่าง ๆ ในสาขา วิชาต่าง ๆ ของคุณพิพฒ ั น์กเ็ ป็นเช่นนี้ ดังนัน้ ผูท้ ซี่ อื้ หนังสือเล่มนี้ ไปอ่าน จะไม่ผดิ หวัง แน่นอน โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์  ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 12 มกราคม พ.ศ. 2560


คราสและควินิน

15

ค�ำน�ำ อ่านและตั้งค�ำถาม ‘ปากไก่และใบเรือ’ ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ของพิพัฒน์ พสุธารชาติ (1) ‘ปากไก่และใบเรือ’ ของนิธิ เอียวศรีวงศ์

ปากไก่และใบเรือ: รวมความเรียงว่าด้วยวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ต้นรัตนโกสินทร์ของนิธ ิ เอียวศรีวงศ์ เป็นงานเขียนทางประวัตศิ าสตร์ทอ่ี ธิบายถึงความแตกต่าง กันระหว่างโลกทัศน์สมัยอยุธยากับสมัยต้นรัตนโกสินทร์ สอดคล้องกับการเติบโตของ การค้าสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ ประการแรก เห็นภาพการ เปลีย่ นแปลงทีไ่ ม่ตอ่ เนือ่ งกัน (Discontinuity) ระหว่างสมัยอยุธยากับสมัยรัตนโกสินทร์ ประการที่สอง เห็นความสำ�คัญของปัจจัยภายในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่ต่อเนื่องกัน (Continuity) หรือเป็นที่มา (Cause) ของการปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่ง แตกต่างไปจากฐานคิดเดิมที่อธิบายว่า ยุคต้นรัตนโกสินทร์เป็นการสืบทอดต่อเนื่อง มาจากสมัยอยุธยา จึงมีความสอดคล้องกันมากกว่ายุคการปฏิรปู ประเทศสมัยรัชกาล ที ่ 5 ทีม่ สี าเหตุมาจากการคุกคามของประเทศมหาอำ�นาจจากทวีปยุโรปในยุคล่าอาณานิคม หรือปัจจัยภายนอกเป็นสาเหตุของการเปลีย่ นแปลงสยามประเทศให้ปรับตัวตาม แบบแผนประเทศตะวันตก ซึง่ การอธิบายของปากไก่และใบเรือกลับเสนอว่า สมัยต้น รัตนโกสินทร์มคี วามแตกต่างไปจากสมัยอยุธยา แต่มคี วามต่อเนือ่ งกันกับยุคการปฏิรปู ประเทศสมัยรัชกาลที่ 5 ในวงวิชาการตะวันตก การอธิบายที่เน้นปัจจัยภายในเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสังคมอุษาคเนย์ ให้สอดคล้องกับแบบแผนประเทศตะวันตกดังกล่าว มีความ สอดคล้องกับบริบทการศึกษาประวัตศิ าสตร์อษุ าคเนย์ในยุคหลังสงครามโลกครัง้ ทีส่ อง ซึง่ เปลีย่ นแปลงจากฐานคิดเดิมทีม่ มี มุ มองยึดยุโรปเป็นศูนย์กลาง (Eurocentric) หรือ


16

คราสและควินิน

เป็นมุมมองจากเจ้าอาณานิคมในช่วงก่อนสงครามโลกครัง้ ทีส่ อง ได้เปลีย่ นแปลงไปเป็น มุมมองใหม่ที่ยึดเอเชียเป็นศูนย์กลาง (Asiacentric) หรือมองจากมุมของชนพื้นเมือง ดังนัน้ เมือ่ นักวิชาการไทยรุน่ แรก ๆ ทีไ่ ด้เดินทางไปเรียนต่อในประเทศสหรัฐอเมริกาใน ทศวรรษ 1970 ซึง่ รวมทัง้ นิธ ิ เอียวศรีวงศ์ดว้ ย ต่อมาภายหลังทีเ่ รียนจบกลับมาได้เขียน งานวิชาการในช่วงปลายทศวรรษ 1970–ต้นทศวรรษ 1980 จึงไม่แปลกทีป่ ากไก่และ ใบเรือเปลีย่ นมาอธิบายให้ความสำ�คัญกับปัจจัยภายในของสังคมอุษาคเนย์เป็นสาเหตุ ของการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมสมัยใหม่ตามแบบแผนประเทศตะวันตก แต่ในวิชาการไทยอยูใ่ นสภาพทีแ่ ตกต่างออกไปจากวงวิชาการตะวันตก ดังนัน้ การ​ นำ�เสนอมุมมองทีใ่ ห้ความสำ�คัญกับปัจจัยภายในของปากไก่และใบเรือในช่วงต้นทศวรรษ  2520 นัน้ กลับอยูใ่ นบรรยากาศยุคหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 อันเป็นช่วงพลิกผัน ของสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยมีการ โต้แย้งกันระหว่างการอธิบายประวัตศิ าสตร์แบบรัฐไทยกับแบบมาร์กซิสต์ ซึง่ ต่างมีจดุ เด่น ข้อด้อยที่แตกต่างกันไป ทำ�ให้ข้อเสนอที่แตกต่างออกไปของปากไก่และใบเรือได้รับ ความสนใจและการยอมรับจากวงวิชาการประวัติศาสตร์ ไทยในช่วงทศวรรษ 2520 แต่ในทางตรงกันข้ามคือ กลับมีการวิจารณ์มาจากทัง้ จากวงวิชาการวรรณคดีไทยและ กลุม่ เศรษฐศาสตร์การเมืองแทน อย่างไรก็ตาม เมือ่ สงครามกลางเมืองในประเทศไทย สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของระบอบประชาธิปไตยครึง่ ใบในช่วงปลายทศวรรษ 2520 ได้ เป็นการปิดฉากทศวรรษของการโต้แย้งกันอย่างจริงจังเพื่ออธิบายประวัติศาสตร์ ไทย ตามไปด้วย ในช่วงเวลาเดียวกันกับการตีพิมพ์การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ (2529)

(2) พิพัฒน์ พสุธารชาติ

ในช่วงปีใหม่ 2553 Blog ของ Laughable Loves ได้จัด ‘10 อันดับนักวิชาการใน ดวงใจ (ขณะนี)้ ’ สายสังคมศาสตร์ขน้ึ มา แต่ในเดือนต่อมากลับเขียนว่าได้ลมื ใส่ชอ่ื ของ พิพัฒน์ พสุธารชาติ ไว้ ในการจัดอันดับด้วย โดยให้ความเห็นว่าควรจัดให้อันดับของ พิพัฒน์ พสุธารชาติ อยู่ในอันดับที่คู่คี่กับนักวิชาการในดวงใจอันดับที่ 4 ด้วยเหตุผล


คราสและควินิน

17

ประกอบคือการอ่านหนังสือเรื่อง รัฐกับศาสนา หลังจากนั้นในอีกเจ็ดเดือนต่อมาได้ เขียนเล่าถึงหนังสือเรือ่ ง ความจริงในภาพวาดฯ ของพิพฒ ั น์ พสุธารชาติ ประกอบกับ เรื่องการทำ�รายงานการเรียนในมหาวิทยาลัย พิพฒ ั น์ พสุธารชาติ มีรายการหนังสือตีพมิ พ์แล้วจำ�นวน 6 เรือ่ ง (2544–2558) เรียงตามลำ�ดับจากเล่มหลังไปหาเล่มแรกดังนี้ (1) กลิน่ ไอ การเมือง และภาพยนตร์: อ่าน “งานศิลปะในยุคของการผลิตซํา้ เชิง จักรกล ของวอลเตอร์ เบนยามิน” (2558) เขียนร่วมกับ อรรถสิทธิ์ สิทธิดำ�รง (2) ความจริงในภาพวาด บทวิจารณ์ว่าด้วยสุนทรียศาสตร์ของไฮเด็กเกอร์และ แดร์รดิ า: รวบรวมบทวิจารณ์ดา้ นปรัชญาศิลปะของไฮเด็กเกอร์และแดร์รดิ า (2553) (3) องค์รวม: บทวิพากษ์ว่าด้วยวิทยาศาสตร์และศาสนา ในสังคมไทย (2548) (4) ไชลด์เซ็นเตอร์: สำ�นวนซํ้าซากของการศึกษาไทย (2547) (5) รัฐกับศาสนา: บทความว่าด้วยอาณาจักร ศาสนจักร และเสรีภาพ (2545) (2549) (2553) (6) ปลายทางที่อินฟินิตี้: นวนิยายแปลกใหม่ ที่ท้าทายผู้ชอบเล่นสนุกทางความ คิด วรรณกรรมปรัชญาคณิตศาสตร์ ที่ไม่ยุ่งยากเหมือนการแก้สมการ (2544) บทความเรื่อง อ่านและตั้งคำ�ถามกับ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ของพิพฒ ั น์ พสุธารชาติ จำ�นวน 14 ตอนได้ตพี มิ พ์แต่ละตอนไว้ ในนิตยสารวิภาษาเป็น จำ�นวน 13 ตอนแล้ว (ในขณะที่เขียนคำ�นำ�) เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่ 1 ในวิภาษาปีที่ 5 ฉบับที ่ 2 ลำ�ดับที ่ 34 (1 พฤษภาคม–15 มิถนุ ายน 2554) จนถึงตอนที ่ 13 ในวิภาษา ปีท ่ี 6 ฉบับที ่ 8 ลำ�ดับที ่ 48 (1 กุมภาพันธ์–15 มีนาคม 2556) เว้นลำ�ดับที ่ 38 กับ 41 (คาดว่าตอนที ่ 14 จะมีการตีพมิ พ์ในวิภาษาฉบับต่อ ๆ ไป) ก่อนการนำ�มารวมตีพิมพ์ เป็นเล่ม โดยแบ่งเนื้อหาเป็น 8 บทคือ บทที่ 1 ‘ปากไก่และใบเรือ’ กับอิทธิพลของ​ มักซ์ เวเบอร์ บทที่ 2 ปัญหาของ “ความเป็นเหตุเป็นผล” บทที่ 3 การรับวิทยาการ จากตะวันตก บทที ่ 4 ปัญหาเรือ่ ง “ความรูจ้ ากประสบการณ์” บทที ่ 5 โลกของนาง­ นพมาศ บทที่ 6 สัจนิยมในวรรณกรรมไทย บทที่ 7 ไสยศาสตร์: สิ่งผิดปรกติใน โลกทัศน์แบบกระฎุมพี บทที่ 8 ความเป็นเหตุเป็นผล ของพระจอมเกล้าฯ งานเขียนจำ�นวน 6 เล่มของพิพฒ ั น์ พสุธารชาติ มีความแตกต่างกัน แสดงให้เห็น ถึงความสนใจในประเด็นทีห่ ลากหลาย ตัง้ แต่ปรัชญาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศาสนา รัฐ การศึกษา ปรัชญาศิลปะ ซึ่งในจำ�นวนนี้รัฐกับศาสนามีการตีพิมพ์ครั้งที่ 3 แล้ว อย่างต่อเนือ่ งกันทุก 4 ปี แต่ยงั เร็วเกินไปสำ�หรับการสรุปเกีย่ วกับความจริงในภาพวาดฯ ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่าพิพัฒน์ พสุธารชาติ จะอ่านปากไก่และใบเรือของนิธิ


18

คราสและควินิน

เอียวศรีวงศ์อย่างไร และทำ�ไมจึงต้อง ‘อ่าน’ แทนการเขียนข้อเสนอใหม่ของพิพัฒน์ ที่แตกต่างไปจากงานเขียนของนิธิ

(3) สนุกอ่าน

‘สนุกนิน์ กึ ’ (2428) เป็นงานนิพนธ์ของกรมหลวงพิชติ ปรีชากร ตีพมิ พ์ในวชิรญาณ­ วิเศษได้รบั การยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมเรือ่ งสัน้ เรือ่ งแรกของไทย ซึง่ เป็นเรือ่ งทีแ่ ต่งขึน้ เกีย่ วกับบทสนทนาของพระภิกษุหนุม่  4 รูปในวัดบวรนิเวศ โดยเรือ่ งราวในบทสนทนา มีบางช่วงทีไ่ ม่เหมาะสมกับสมณเพศ ดังนัน้ เมือ่ มีการตีพมิ พ์แล้ว จึงสร้างความไม่พอใจ ขึน้ มาเนือ่ งจากมีพระสงฆ์ชน้ั ผู้ ใหญ่ในวัดบวรนิเวศเข้าใจว่าผูแ้ ต่งแกล้งเขียนเล่าเรือ่ งจริง เพื่อประจานวัดบวรนิเวศ ในที่สุดเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง ทราบเรื่องนี้ จึงได้มีพระราชหัตถเลขาไปชี้แจงว่า ‘สนุกนิ์นึก’ เป็นเพียงเรื่องที่แต่ง ขึ้นมาเท่านั้น ไม่ได้เป็นเรื่องจริงแต่อย่างใด เรื่องราวจึงได้ยุติลงด้วยดี ในวงวิชาการไทย งานวิชาการประเภท ‘การอ่าน’ (Reading) เป็นเรื่องที่นิยมทำ� กันอยู่ในสาขาวรรณคดีวิจารณ์ ตลอดจนสังคมไทยคุ้นเคยดีกับการวิจารณ์งานศิลปะ ภาพยนตร์ ละคร ดนตรี กีฬา อาหาร บุคคลสาธารณะ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม การเขียน งานประเภท ‘การอ่าน’ นิยมกันทัว่ ไปในวงวิชาการตะวันตก เนือ่ งจากฐานคิดหลักของ สังคมตะวันตกมาจากงานเขียนทีส่ �ำ คัญ (Great Books) นับตัง้ แต่ พระคัมภีร์ ไบเบิล บทสนทนาของเพลโต งานเขียนของอริสโตเติล ฯลฯ ซึง่ งานเขียนทีส่ �ำ คัญเหล่านีล้ ว้ น ผ่าน การอ่าน การตีความ การวิจารณ์ การโต้แย้งกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ใน สังคมไทยซึ่งนิยมการพูดสด (มุขปาฐะ) โดยมีวิธีการเรียนรู้มาจากวิธีการฟังเพื่อให้ ทำ�ตามด้วยความเชือ่ ฟัง จึงอาจสับสน สงสัยได้วา่ ทำ�ไมจึงต้องเขียนหนังสือเรือ่ ง ‘การ อ่าน’ ปากไก่และใบเรือ ขึ้นมาอีก ในเมื่อทุกคนก็สามารถอ่านได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว ตัวอย่างหนึ่งคือ ในท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงเกือบทศวรรษที่ ผ่านมา มีการเรียกร้องอยู่อย่างต่อเนื่องภายในสังคมไทยให้ ‘การเสนอข่าว’ กับ ‘ข้าราช­การ’ ต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งหมายถึงผู้ประกอบอาชีพสื่อสาร­ มวลชนกับข้าราชการควรมีความเป็นกลางทางการเมือง ถ้าจะตัง้ เป็นคำ�ถามคือทำ�ไม


คราสและควินิน

19

สือ่ สารมวลชนกับข้าราชการจึงไม่ควรมีความเห็นทางการเมืองเป็นของตนเองได้ ก็จะ ได้ค�ำ ตอบว่า เมือ่ มีความเห็นทางการเมืองเป็นของตนเองแล้ว ก็จะนำ�ไปสูก่ ารประพฤติ­ ปฏิบัติตนโดยลำ�เอียง ประเด็นที่ควรนำ�มาเปรียบเทียบเพื่อตั้งคำ�ถามได้คือ ทำ�ไม สือ่ มวลชนในประเทศตะวันตกสามารถรายงานข่าวตามข้อเท็จจริงได้ โดยทำ�ไปพร้อม กับการเสนอความเห็นทางการเมืองผ่านข้อเขียนต่าง ๆ ได้โดยเสรี แต่ท�ำ ไมสือ่ มวลชน ไทยจึงไม่สามารถทำ�ในสิง่ เดียวกันได้ ประเด็นสำ�คัญของตัวอย่างนีค้ อื สังคมไทยมีขอ้ จำ�กัดในการแยกแยะระหว่างความจริงทีเ่ ป็นกลางของสาธารณะกับความเห็นส่วนบุคคล ทีเ่ ป็นสิทธิสว่ นตัว หรือเหตุผลในการเขียน ‘การอ่าน’ คือเพือ่ แสดงความคิดเห็นทีไ่ ด้ จากการอ่าน การเขียนงานประเภท ‘การอ่าน’ (ของพิพฒ ั น์ พสุธารชาติ) จึงเป็นการเขียนงาน แสดงความเห็นส่วนบุคคลเพือ่ เสนอต่อสาธารณะ แต่ไม่ใช่การเขียนเสนอความรู้ ใหม่ เพือ่ มีการอธิบายความจริงทีแ่ ตกต่างไปจากฐานคิดเดิม (ในงานเขียนของนิธ ิ เอียวศรี­ วงศ์) ซึง่ สังคมไทยทีค่ นุ้ เคยกับการฟังความรูเ้ พือ่ เชือ่ ฟัง อาจสับสนและสงสัยทีไ่ ม่พบ ความรู้ ใหม่โดยตรงจาก ‘การอ่าน’ แต่ประเด็นทีค่ วรนำ�มาเปรียบเทียบเพือ่ ตัง้ คำ�ถาม ได้คือ ทำ�ไมเราจึงไม่นิยมแสดงความเห็นและตั้งคำ�ถาม หรือวิจารณ์ความรู้ที่ได้จาก การอ่าน (หรือ ‘ความจริง’) ทั้ง ๆ ที่เราได้วิจารณ์แสดงความเห็นได้กับงานศิลปะกัน โดยทั่วไปอยู่แล้ว ภายหลังได้อา่ น ‘การอ่านปากไก่และใบเรือ’ ของพิพฒ ั น์ พสุธารชาติ แล้ว เห็นว่า อ่านแล้วสนุกตรงที่ ประการแรก พิพัฒน์เห็นต่างไปจากนิธิอย่างชัดเจนในเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างไสยศาสตร์กบั เหตุผลในสังคมสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เพราะจากมุมมอง ของนิธอิ ธิบายว่า ‘ความรูแ้ บบเหตุผล’ ได้ขนึ้ ครองความเป็นใหญ่เหนือ ‘ความเชือ่ แบบ ไสยศาสตร์’ ได้สำ�เร็จในยุคต้นรัตนโกสินทร์นี้ แต่พิพัฒน์กลับมองว่า ‘เหตุผล’ อยู่ ร่วมกับ ‘ไสยศาสตร์’ อย่างแยกขาดออกจากกันไม่ได้ ดุจฝาแฝดอินจัน (แฝดสยาม) โดยเฉพาะการย้อนกลับไปหาจารีตความคิดของตะวันตกทีม่ ดี า้ นทีแ่ ยกเหตุผลออกจาก ความเชือ่ ไม่ได้โดยเด็ดขาดเช่นเดียวกัน ประการทีส่ อง ไม่มคี วามเห็นเรือ่ งวรรณกรรม การแพทย์ โหราศาสตร์ ประการที่สาม พิพัฒน์มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความคิดเรื่อง ชนชั้นกลางของนิธิ ซึ่งหมายรวมไปถึงนักวิชาการร่วมสมัยของนิธิด้วย หรือหมายถึง บริบทในการเขียนปากไก่และใบเรือของนิธิ โดยเฉพาะบทที่ว่าด้วย ‘มายาคติเรื่อง ชนชั้นกลาง’ ประการที่สี่ ตั้งเป็นข้อสังเกตว่าบริบทการอ่านของพิพัฒน์อยู่ในบรรยากาศที่วงวิชาการตะวันตกเรียกว่า ‘หลังสมัยใหม่’ ในขณะที่วงวิชาการนอกตะวันตก เรียกกันว่า ‘หลังอาณานิคม’ ในสภาพสังคมไทยทีม่ งุ่ หน้าหาประชาคมอาเซียนภายหลัง ั น์กลับเห็นสอดคล้องกับ วิกฤตการเมืองและนาํ้ ประการทีห่ า้ น่าสนใจทีส่ ดุ ท้ายพิพฒ


20

คราสและควินิน

นิธิในเรื่องความสำ�คัญของปัจจัยภายในมากกว่าการกลับไปให้ความสำ�คัญกับปัจจัย ภายนอกเช่น งานเขียนเรื่อง Siam Mapped: A History of the Geo–Body of a Nation ของธงชัย วินิจจะกูล การเขียนหนังสือประเภท ‘การอ่าน’ หนังสือสำ�คัญโดยเฉพาะในงานวิชาการยังมี วงจำ�กัดอยู่ โดยทั่วไปนิยมศึกษาความคิดกันเป็นตัวบุคคลกันไปเลย ดังเช่นการจัด อันดับสิบนักวิชาการในดวงใจของ Laughable Loves (2553) ซึ่งจัดให้พิพัฒน์อยู่ใน อันดับคู่คี่กับอันดับที่ 4 แต่ต้องขอแจ้งไว้ด้วยว่าอันดับที่ 1 ของนักวิชาการในดวงใจ ของ Laughable Loves นัน้ มีชอื่ ว่านิธ ิ เอียวศรีวงศ์ ดังนัน้ ถ้ายังไม่สนุกกับการอ่านของ พิพัฒน์ก็ขอให้สนุกนึกกันต่อไป วีระศักดิ์ กีรติวรนันท์  ต้นปี 2560


คราสและควินิน

21

กิตติกรรมประกาศ

หนังสือทีท่ �ำ ให้ผเู้ ขียนเกิดข้อสงสัยต่อ ปากไก่และใบเรือ ในทางปรัชญา รวมทัง้ ประเด็น การรับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จากตะวันตกคือ ‘วิทยาศาสตร์ในสังคมและวัฒนธรรม ไทย’ ของโสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ งานของธเนศ วงศ์ยานนาวา อย่างเช่นบทความ ‘วัฏจักร ของทฤษฎีและประวัตศิ าสตร์ของชนชัน้ กลาง...จากการปฏิวตั ฝิ รัง่ เศสสูพ่ ฤษภาทมิฬ/ 19 กันยายน’ ทำ�ให้ผเู้ ขียนเริม่ เกิดความสงสัยต่อความเชือ่ ทีว่ า่ การปฏิวตั ฝิ รัง่ เศส ค.ศ.  1789 เป็นการปฏิวตั ขิ องชนชัน้ กระฎุมพี ในขณะทีง่ านของโยชิฟมู  ิ ทามาดะ อย่างเช่น หนังสือ ‘Myths and Realities: The Democratization of Thai Politics’ ทำ�ให้ผู้เขียน ไม่เชื่อว่าเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ ชนชั้นกลาง และหนังสือ ‘Making Democracy: Leadership, Class, Gender, and Political Participation in Thailand’ ของเจมส์ อ็อคเค (James Ockey) ทำ�ให้ผเู้ ขียน มีความเคลือบแคลงสงสัยต่อการอธิบายการเคลือ่ นไหวทางการเมืองของไทยครัง้ ต่าง ๆ  ด้วยแนวคิดชนชั้นกลาง บทความ ‘นิราศเมืองสุพรรณของสุนทรภู่และเสมียนมี: บันทึกการเดินทางและ การอ่านเพือ่ เข้าถึงเรือ่ งท้องถิน่ ’ วารุณ ี โอสถารมย์ ทำ�ให้ผเู้ ขียนเกิดความเข้าใจว่าการ เดินทางของสุนทรภู่ไปยังเมืองสุพรรณบุรีนั้น ไม่ได้เป็นการเดินทางที่สนุกสนานและ มีสสี นั แต่เต็มไปด้วยอันตรายและความยากลำ�บากนานาประการ งานของวารุณเี ป็น จุดตั้งต้นที่ทำ�ให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยต่อคำ�อธิบายเรื่องความเป็นสัจนิยมของวรรณกรรมในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ วิทยานิพนธ์เรื่อง ‘การปรับตัวทางความรู้ ความจริง และอำ�นาจของชนชั้นสยาม  พ.ศ. 2325–2411’ ของทวีศักดิ์ เผือกสม และหนังสือของทวีศักดิ์เรื่อง ‘การแพทย์ สมัยใหม่ในสังคมไทย เชื้อโรค ร่างกาย และรัฐเวชกรรม’ รวมทั้งวิทยานิพนธ์ของ เยาวลักษณ์ ขยันการ เรื่อง ‘ความรู้แบบตำ�รับหลวงเรื่องครรภ์รักษาในสมัยต้นรัตนโกสินทร์’ มีส่วนสำ�คัญเป็นอย่างมากต่อการเขียนบท ‘การรับวิทยาการตะวันตก’ วิทยานิพนธ์เรื่อง ‘มโนทัศน์เรื่องเหตุการณ์อัศจรรย์ของเดวิด ฮูม’ ของ อัญชลี  ปิยปัญญาวงศ์ มีสว่ นสำ�คัญในการเขียนบท “ปัญหาเรือ่ ง ‘ความรูจ้ ากประสบการณ์’” บทความ ‘จักรพรรดิราช: ความคิดทางการเมืองเบือ้ งหลังสงครามไทยรบพม่า (พ.ศ.


22

คราสและควินิน

2081–2397)’ ของ สุเนตร ชุตนิ ธรานนท์ และบทความ ‘สงคราม การค้า และชาตินิยมในความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา’ ของพวงทอง ภวัครพันธุ์ ทำ�ให้ผเู้ ขียนเข้าใจว่าสมัย รัชกาลที ่ 3 เป็นช่วงของการค้าและสงคราม ซึง่ มีความเกีย่ วข้องกับแนวคิดจักรพรรดิราช วิทยานิพนธ์เรือ่ ง ‘ปฐมสมโพธิกถาภาษาไทยฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรม­ พระปรมานุชติ ชิโนรส: ความสัมพันธ์ดา้ นสารัตถะกับวรรณกรรมพุทธประวัตอิ น่ื ’ ของ อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล และบทความ ‘ธรรมยุติกนิกาย: การศึกษาความสัมพันธ์กับ สมณวงศ์ของลังกาผ่านพุทธศิลป์’ ของ พิชญา สุม่ จินดา ทำ�ให้ผเู้ ขียนสามารถวิจารณ์ แนวคิด ความเป็นมนุษยนิยม ของ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ในบท พระปฐมสมโพธิ­กถาฯ ได้ เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมงานของนักวิชาการในแขนงวิชา ต่าง ๆ เข้าไว้ดว้ ยกัน โดยมีค�ำ ถามทางด้านปรัชญาและแนวคิดทางด้านชนชัน้ เป็นแกน­ กลาง ผู้เขียนจึงต้องขอแสดงความขอบคุณต่อนักวิชาการท่านต่าง ๆ ที่ได้อ้างถึงงาน ของพวกท่านเอาไว้ที่นี้ อย่างไรก็ตามความถูกต้องของงานชิ้นนี้เป็นความรับผิดชอบ ของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว อนึง่ งานชิน้ นีจ้ ะไม่มที างสำ�เร็จได้ ถ้าไม่ได้รบั คำ�ชีแ้ นะและความช่วยเหลือจากคุณ วีระศักดิ์ กีรติวรนันท์ ซึ่งให้ความสนใจกับงานชิ้นนี้ตลอดมาตั้งแต่บทความวิจารณ์ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ชิน้ แรกพิมพ์ในนิตยสารวิภาษา จนถึงบทความตอนที ่ 14 ซึง่ เป็น ชิ้นสุดท้าย และถึงแม้จะใช้เวลาแก้ ไขอยู่นาน ในที่สุดก็กลายมาเป็นหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนต้องขอขอบคุณคุณวีระศักดิ์เป็นอย่างสูง ขอขอบคุณนิตยสารวิภาษา และคุณธัญลักษณ์ เหลืองวิสุทธิ์ ที่อนุญาตให้นำ� บทความทั้งหมดที่พิมพ์ ไปแล้วในวิภาษามาใช้ ในเล่มนี้ แต่ผู้เขียนได้ตัดเนื้อหาเดิมใน บางบทออก พร้อมกับเพิม่ เนือ้ หาเข้าไปในบางบท โดยพยายามทีจ่ ะรักษาเนือ้ หาหลัก เอาไว้ มีการเปรียบเทียบแนวคิดของมักซ์ เวเบอร์ (Max Weber) และนิธเิ พิม่ มากขึน้ ที่สำ�คัญผู้เขียนขอขอบคุณ อธิป จิตตฤกษ์ ที่ช่วยแปลงานของ เวเบอร์ เพื่อนำ�มาใส่ ในงานชิน้ นี้ และขอขอบคุณกิตติพล สรัคคานนท์ ทีช่ ว่ ยให้ค�ำ แนะนำ�ทีเ่ ป็นประโยชน์ ในการพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ให้ออกมาได้อย่างสวยงาม สุดท้าย ผูเ้ ขียนขอขอบคุณผูเ้ ข้าร่วมโครงการสัมนาเชิงปฏิบตั กิ าร “คราสและควินนิ ... รื้อสร้าง ‘ปากไก่และใบเรือ’ ของนิธิ เอียวศรีวงศ์” ที่ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะ ศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันที ่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560 อันได้แก่ โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์, เกษม เพ็ญภินนั ท์, ธนภาษ เดชภาวุฒกิ ลุ , ชาญณรงค์  บุญหนุน, สุรพศ ทวีศักดิ์, อาทิตย์ ศรีจันทร์, กิตติพล สรัคคานนท์ และ สุธาชัย  ยิม้ ประเสริฐ คำ�วิจารณ์และข้อชีแ้ นะต่าง ๆ ของพวกท่าน ทำ�ให้ผเู้ ขียนได้เปลีย่ นแปลง และเพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนของงานชิ้นนี้ ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น




คราส และ ควินิน



ท�ำไมต้องรื้อ–สร้าง ‘ปากไก่และใบเรือ’ ของนิธิ เอียวศรีวงศ์


28

คราสและควินิน

บทนำ�

ศาสตราจารย์ ดร.นิธ ิ เอียวศรีวงศ์ ได้รบั การยอมรับว่าเป็นนักประวัตศิ าสตร์ทโ่ี ดดเด่น ที่สุดคนหนึ่ง หลังจากสมัยกรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ และจิตร ภูมิศักดิ์1 ธเนศ  อาภรณ์สุว รรณ ซึ่งเป็นนัก ประวัติศ าสตร์ อี กผู้ ห นึ่ ง ได้ กล่ า วถึ ง นิ ธิ เมื่ อวั น ที่  18 ธันวาคม 2557 ตอนหนึ่งว่า “อาจารย์นิธิเป็นนักประวัติศาสตร์ ไทย ที่สามารถศึกษาและทำ�งานประวัติศาสตร์ ได้อย่างแตกต่างและน่าสนใจ ท่ามกลางประวัติศาสตร์ชาตินิยม และ พงศาวดารต่าง ๆ ทัง้ นี้ ข้อสังเกตเกีย่ วกับงานประวัตศิ าสตร์ของอาจารย์นธิ ิ คือ ผ่านมา 20 ปีแล้ว แต่ยังได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางและเป็นที่พูด ถึงอยู่ ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น กรณีเช่นนี้เป็นไปได้ยากมาก แม้ว่าเทียบกับ การเขียนและการศึกษาประวัติศาสตร์สากล เพราะโดยปกติประวัติศาสตร์ ทั่วโลกจะไม่ใช้ ในการศึกษาเกิน 20 ปี แต่ประเด็นที่อาจารย์นิธิพูดถึงใน ประวัตศิ าสตร์ยงั คงสามารถเอามาพูดถึง ตีความ หรือพูดได้วา่ งานประวัต-ิ ศาสตร์นั้น ๆ ทำ�ให้เกิดการสนทนาอย่างไม่สิ้นสุดในตัวของมันเอง”2 (เน้น โดยผู้เขียน) นอกจากความเป็นนักประวัตศิ าสตร์ทโี่ ดดเด่นแล้ว นิธยิ งั เป็นปัญญาชนสาธารณะ ที่มีอิทธิพลและความสำ�คัญต่อสังคมไทย ข้อเขียนของเขาในหนังสือพิมพ์รายวันและ นิตยสารรายสัปดาห์ (โดยเฉพาะในมติชนสุดสัปดาห์) ได้รบั ความนิยมจากผูอ้ า่ นเป็น อย่างมากจนมีการนำ�มารวมเล่มตีพิมพ์อยู่ตลอดและพิมพ์ซํ้าอยู่หลายครั้ง3 ปัจจุบัน คนทัว่ ไปสามารถเข้าไปอ่านข้อเขียนของนิธไิ ด้อย่างสะดวกในเว็บเพจของมติชนออนไลน์4 (เข้าถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2559) เสวนาแห่งปี “นิธ ิ เอียวศรีวงศ์” นักคิดแห่งยุคสมัย “นิธ ิ 20 ปีให้หลัง”, http://www.prachachat. net/news_detail.php?newsid=1418908198 (เข้าถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2559) 3  นอกจากหนังสือรวบรวมบทความทั่วๆไปแล้ว งานวิชาการอีก 4 เล่ม ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ก็ถูก นำ�มาตีพิมพ์อีกครั้งโดยสำ�นักพิมพ์มติชนในปี พ.ศ. 2557 ได้แก่ 1. กรุงแตก พระเจ้าตาก และ ประวัตศิ าสตร์  2. ไทย, โขน, คาราบาว นาํ้ เน่าและหนังไทย  3. ผ้าขาวม้า, ผ้าซิน่ , กางเกงใน และ ฯลฯ และ 4. ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์ 4  http://www.matichon.co.th/category/columnists/nidhi–eoseewong 1

2

https://th.wikipedia.org/wiki/นิธิ_เอียวศรีวงศ์


������������������������������������

29

ความเป็นปัญญาชนสาธารณะชัน้ นำ�ของนิธยิ งั ได้รบั การยอมรับจากแวดวงวิชาการ หลากหลายสาขาในสังคมศาสตร์ ไทย ความคิดของนิธมิ คี วามหลากหลายและครอบคลุม ั ญา ยิง่ จนเขาได้รบั การขนานนามว่า “Renaissance Man”5 อันหมายถึงบุคคลทีม่ ปี ญ ความรู้ มีความสนใจในเรือ่ งต่างๆอย่างกว้างขวาง ครอบคลุมทัง้ ในด้านมนุษยศาสตร์ ศิลปะ และวิทยาศาสตร์6 ตามทีไ่ ชยันต์ ไชยพร ผูเ้ ขียนหนังสือ ‘นิธ ิ เอียวศรีวงศ์ ใน/ กับวิกฤตการเมืองไทย (2557)’ ได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า “นักวิชาการในสาขาแพทยศาสตร์ก็ยังอ้างอิงงานเขียนของนิธ7ิ ...เขาเป็นนัก­ วิชาการเพียงคนเดียวที่ไม่ใช่แพทย์หรือทำ�งานในวงการสาธารณสุขที่ได้รับ การยอมรับให้ได้รางวัลปาฐกถาสุด แสงวิเชียน และในสาขาศิลปะก็ได้อานิสงส์ จากภูมิปัญญาความรู้อันกว้างขวางของนิธิด้วย...”8 (เน้นโดยผู้เขียน) ในปีพ.ศ. 2530 นิธิได้รับรางวัลปาฐกถาสุด แสงวิเชียร อันเป็นรางวัลที่ต้องการ ยกย่องผูท้ มี่ ผี ลงานทางวิชาการดีเด่นและมีความรับผิดชอบต่อสังคม ในปี พ.ศ. 2536 นิธิได้รับรางวัลปาฐกถาป๋วย อึ้งภากรณ์ ครั้งที่ 4 จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากนี้เขายังเคยได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นจากสภาวิจัยแห่งชาติ รางวัลฟูกูโอกะ รางวัลศรีบรู พา ฯลฯ รางวัลต่างๆเหล่านีเ้ ป็นเครือ่ งยืนยันถึงความสำ�คัญของความคิด และอิทธิพลที่นิธิมีต่อสังคมไทยได้เป็นอย่างดี

พิเคราะห์ “นิธ”ิ ปราชญ์เจ๊กๆ ส.ศ.ษ., ม.ร.ว. อคิน รพีพฒ ั น์, ศรีศกั ร วัลลิโภดม, สุจติ ต์ วงศ์เทศ, พระไพศาล วิสาโล, ผศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ, สายชล สัตยานุรักษ์, วารุณี ภูริสินสิทธิ์, สุชาดา  จักรพิสทุ ธิ,์ สมเกียรติ ตัง้ มโน, ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ (กรุงเทพฯ: สำ�นักพิมพ์มติชน: 2544) 6  The American Heritage Dictionary of the English Language , Forth Edition copyright 2000, by Houghton Mifflin Company, http://www.thefreedictionary.com/ Renaissance+man 7  นิธิ เอียวศรีวงศ์, “องค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย: สถานะ วาระ การวิจัย และแนวทางการศึกษาในอนาคต” ใน พรมแดนความรู้ประวัติศาสตร์การแพทย์และ สาธารณสุขไทย: เอกสารสรุปผลการประชุมระดมความคิดเห็นทางวิชาการด้านประวัตศิ าสตร์การ แพทย์และสาธาณสุขไทย, บรรณาธิการโดย โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ และ ชาติชาย มุกสง (นนทบุรี: แผนงานวิจัยสังคมและสุขภาพ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2545). 8  ไชยันต์ ไชยพร, นิธ ิ เอียวศรีวงศ์ ใน/กับวิกฤตการเมืองไทย (กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2557) หน้า 20–21 5


30

คราสและควินิน

นิธิศึกษา

จากการเป็นนักคิดทีม่ อี ทิ ธิพลและความสำ�คัญต่อสังคมไทยดังกล่าว ความคิดของนิธิ จึงเป็นหัวข้อทีม่ กี ารศึกษาสืบเนือ่ งกันมาเป็นเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ9 เริม่ ตัง้ แต่ป ี พ.ศ.  2528 จากบทความเรือ่ ง “ความเปลีย่ นแปลงของสังคมไทยในทัศนะของ ดร.นิธ ิ เอียว­ ศรีวงศ์” ของอุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกริก ซึง่ ศึกษาทรรศนะของนิธติ ง้ั แต่กอ่ นทีเ่ ขาจะได้รบั ตำ�แหน่งศาสตราจารย์และได้รบั รางวัลต่างๆ ต่อมาก็มงี านของ จิราพร วิทยศักดิพ์ นั ธุ์ เรือ่ ง “เมืองไทยในความคิดและ ความใฝ่ฝันของศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์” โครงการวิจัยชุดจินตนาการสู่ปี  2000: เมืองไทยในความใฝ่ฝนั ของนักคิดอาวุโส” อันเป็นงานวิจยั ทีไ่ ด้รบั การสนับสนุน จากสำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย พ.ศ. 2539 ในปี พ.ศ. 2544 ชัยณรงค์ บุญฤทธิ์ ได้ทำ�วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขานิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเรื่อง “แนวคิดเชิงวิพากษ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม–วัฒนธรรม ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ในมติชนสุดสัปดาห์” และในปีเดียวกัน นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ได้จดั ทำ�หนังสือฉบับพิเศษชือ่ ว่า “พิเคราะห์ “นิธ”ิ ปราชญ์ เจ๊กๆ” โดยรวบรวมบทความจากนักคิดนักวิชาการในสาขาต่างๆเนื่องในโอกาสที่นิธิ มีอายุครบ 60 ปี10 อีก 5 ปีตอ่ มา พ.ศ. 2549 มีวทิ ยานิพนธ์ฉบับภาษาอังกฤษของ ชัชฎาภรณ์ กลา่ํ ดี (Chatchadaporn Klumdee เรือ่ ง “ทัศนะของ นิธ ิ เอียวศรีวงศ์ เกีย่ วกับความเป็นไทย ในยุคโลกาภิวัตน์ (Nidhi Eoseewong’s views on Thainess in Globalization)” ซึ่ง เป็นวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ และในปีเดียวกันก็มีหนังสือรวมบทความเพื่อเป็นเกียรติแก่นิธิออกมาอีก เล่มคือ “จักรวาลวิทยา: บทความเพื่อเป็นเกียรติแก่ นิธิ เอียวศรีวงศ์”11 และล่าสุด ดู ไชยันต์ ไชยพร, นิธิ เอียวศรีวงศ์ ใน/กับวิกฤตการเมืองไทย หน้า 18–19 พิเคราะห์ “นิธ”ิ ปราชญ์เจ๊กๆ ส.ศ.ษ., ม.ร.ว. อคิน รพีพฒ ั น์, ศรีศกั ร วัลลิโภดม, สุจติ ต์ วงศ์เทศ, พระไพศาล วิสาโล, ผศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ, สายชล สัตยานุรักษ์, วารุณี ภูริสินสิทธิ์, สุชาดา  จักรพิสทุ ธิ,์ สมเกียรติ ตัง้ นโม, ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ (กรุงเทพฯ: สำ�นักพิมพ์มติชน: 2544) 11  จักรวาลวิทยา: บทความเพือ่ เป็นเกียรติแก่ นิธ ิ เอียวศรีวงศ์, ธเนศ วงศ์ยานนาวา, บรรณาธิการ, ผู้เขียนประกอบด้วย ธเนศ วงศ์ยานนาวา, นิติ ภวัครพันธุ์, วรศักดิ์ มหัทธโนบล, วีระ สมบูรณ์, พวงทอง ภวัครพันธุ์, กนกศักดิ์ แก้วเทพ, ฉลอง สุนทราวาณิชย์, (กรุงเทพฯ; สำ�นักพิมพ์มติชน: 2544) 9

10


������������������������������������

ที่มา

31

ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์

http://politicalbase.in.th/index.php?title=นิธิ_เอียวศรีวงศ์

(เข้าถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2559)

(ในขณะที่เขียนคำ�นำ�นี้อยู่) ในปี พ.ศ. 2557 ไชยันต์ ไชยพร ก็ได้เขียน “นิธิ เอียว­ ศรีวงศ์ ใน/กับวิกฤตการเมืองไทย” ซึ่งมาจากงานวิจัย “วิกฤตความแตกแยกของ ธรรมวิทยาแห่งพลเมือง: การศึกษาการประกาศธรรมของประกาศกร่วมสมัย” งาน ของไชยันต์เป็นการศึกษาความคิดทางการเมืองของนิธทิ มี่ ตี อ่ วิกฤตการเมืองไทยทีเ่ ริม่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สำ�คัญอย่างหนึ่งในการศึกษาความคิดของนิธิ ตามข้อ สังเกตของไชยันต์กค็ อื งานของนิธไิ ม่คอ่ ยมีเชิงอรรถหรือการอ้างอิงทฤษฎีแนวคิด ทีเ่ ป็นกรอบหรืออยูเ่ บือ้ งหลังการเขียนของตนให้ผอู้ า่ นได้รบั ทราบ โดยทีน่ กั วิชาการ ชาวไทยแทบทุกคนซึง่ รวมถึงนิธิ ย่อมต้องได้รบั อิทธิพลจากแนวคิดทฤษฎีตะวันตกไม่ มากก็นอ้ ย ตามทีไ่ ชยันต์ ได้กล่าวไว้วา่ “การถือกำ�เนิดและการสืบสานพัฒนาองค์ความรู้ ทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และรวมทั้งวิทยาศาสตร์ในเมืองไทย ล้วนได้รับ


32

คราสและควินิน

อิทธิพลจากตะวันตกมาตัง้ แต่ตน้ ”12 แม้แต่นกั วิชาการในโลกตะวันตกเองก็ไม่สามารถ ปฏิเสธอิทธิพลทางแนวคิดทฤษฎีของนักคิดและนักวิชาการตะวันตกในรุ่นก่อนๆ ที่ สามารถย้อนกลับไปถึงยุคกรีกโบราณ อิทธิพลทางแนวคิดทฤษฎีนี้อาจอยู่ในรูปแบบ ของการยอมรับและนำ�มาประยุกต์ใช้เพือ่ อธิบายและวิเคราะห์สาเหตุและผลของปรากฏการณ์ทเ่ี กิดขึน้ หรือในรูปแบบของการปฏิเสธและวิพากษ์วจิ ารณ์ความไม่สมเหตุสมผล หรือความไม่พอเพียงเหมาะสมของแนวคิดทฤษฎีเดิม พร้อมกับเสนอแนวคิดทฤษฎี ใหม่ที่สามารถอธิบายและวิเคราะห์สาเหตุและผลของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดีกว่า ไชยันต์ยังเขียนอีกว่า “ความโดดเด่นที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศผ่านผลงานทางวิชาการทาง ประวัตศิ าสตร์ของเขา (หมายถึงนิธ.ิ ..ผูเ้ ขียน) นัน้ เกิดจาก “การตีความใหม่” ของเขา ทั้งนี้มิพักต้องพูดถึงความพยายามค้นหา “ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ไทยใหม่ ๆ” ไปด้วยในเวลาเดียวกัน และ “การตีความใหม่” ของเขาก็เกิด จากการนำ�เอากรอบทางญาณวิทยาและปรัชญาประวัตศิ าสต์ตะวันตกมาใช้ แม้วา่ จะไม่ใช่กรอบทางญาณวิทยาและปรัชญาประวัตศิ าสตร์ที่ “ใหม่” ในโลก วิชาการตะวันตก แต่ก็ถือว่า “ใหม่” สำ�หรับแวดวงวิชาการไทยที่ต้องอาศัย พึง่ พาอิทธิพลความรูจ้ ากตะวันตกเป็นกรอบคิดวิเคราะห์อกี ทีหนึง่ ”13 (เน้นโดย ผู้เขียน) ถ้านิธิมีการใช้ทฤษฎีตะวันตกในการเขียนทรรศนะทางการเมืองของเขา และถ้า เราสามารถค้นพบทฤษฎีที่นิธิใช้แต่ไม่ได้กล่าวอ้างอิงถึง ก็ถือได้ว่าเราสามารถเข้าใจ นิธิได้ดีขึ้น ดังนั้นเพื่อที่จะศึกษาความคิดทางการเมืองของนิธิต่อวิกฤตการเมืองไทย ไชยั น ต์ จึ ง ได้ ศึ ก ษาข้ อ เขี ย นต่ า งๆของนิ ธิ ที่ เ ป็ น บทความทางหนั ง สื อ พิ ม พ์ ห รื อ บท สัมภาษณ์ตามสื่อสิ่งพิมพ์ และพยายามค้นหาทฤษฎีต่างๆในข้อเขียนเหล่านั้น ที่นิธิ ไม่ได้กล่าวอ้างถึงหรือใส่เชิงอรรถออกมาให้ผู้อ่านได้เห็น คือเป็นการถอดรหัสความ คิดทางการเมืองของนิธิ โดยสามารถใส่เชิงอรรถอ้างอิงทฤษฎีของนักวิชาการตะวันตก ไชยันต์ ไชยพร, นิธิ เอียวศรีวงศ์ ใน/กับวิกฤตการเมืองไทย หน้า 39 หรือดู อนุสรณ์ ลิ่มมณี, พัฒนาการของรัฐศาสตร์ ไทยท่ามกลางความเปลีย่ นแปลง: การปรับทิศทางและหลักสูตรการศึกษา, โครงการผลิตตำ�ราและเอกสารการสอน คณะรัฐศาสตร์ (กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: 2543) 13  ไชยันต์ ไชยพร, นิธิ เอียวศรีวงศ์ ใน/กับวิกฤตการเมืองไทย หน้า 43 12


������������������������������������

33

ให้แก่ข้อเขียนเหล่านี้ อันจะทำ�ให้ ไชยันต์สามารถเข้าใจนิธิได้อย่างที่นิธิเข้าใจตนเอง14 ไชยันต์กล่าวในตอนหนึ่งว่า “หลังจากที่ผู้เขียนได้ศึกษาเอกสารข้อเขียนในส่วนที่เกี่ยวกับวิกฤตการเมือง ไทยของนิธิแล้ว ผู้เขียนพบกรอบและแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ที่นิธิใช้ ในการ วิเคราะห์อธิบายปรากฏการณ์การเมืองไทยของเขาที่มีความสอดคล้องหรือ มีความคล้ายคลึงกับกรอบทฤษฎีแนวคิดทีส่ �ำ คัญต่าง ๆ ในทางสังคมศาสตร์ ของแวดวงวิชาการตะวันตกอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีและแนวทาง การศึกษารัฐศาสตร์กระแสหลัก เพียงแต่นิธิไม่ได้อ้างอิงถึงให้เห็นเท่านั้น”15 (เน้นโดยผู้เขียน) จากตัวอย่างงานศึกษาของไชยันต์ดังกล่าว เราจะเห็นว่านิธิมีการใช้กรอบทฤษฎี แนวคิดทีส่ �ำ คัญต่าง ๆ ในทางสังคมศาสตร์ของแวดวงวิชาการตะวันตก ดังนัน้ การทีจ่ ะ เข้าใจความคิดของนิธไิ ด้ถกู ต้อง หรือเข้าใจได้เหมือนกับทีน่ ธิ เิ ข้าใจตนเอง เรามีความ จำ�เป็นที่ต้องเข้าใจทฤษฎีของนักวิชาการตะวันตกที่นิธิใช้ ในงานของเขา ถึงแม้นิธิจะ ไม่ได้อ้างอิงถึงทฤษฎีเหล่านี้ก็ตาม ทำ�ไมต้องเป็น ‘ปากไก่และใบเรือ’

ถึงแม้จะมีคนศึกษาความคิดของนิธสิ บื เนือ่ งกันมาเป็นเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ และนิธิ ก็ได้รบั การยอมรับให้เป็นนักประวัตศิ าสตร์ทโี่ ดดเด่นทีส่ ดุ คนหนึง่ ในขณะที ่ “ปากไก่ และใบเรือ” ซึง่ พิมพ์เป็นเล่มครัง้ แรกตัง้ แต่ป ี พ.ศ. 2527 ถือได้วา่ เป็นงานทางประวัต-ิ ศาสตร์ของนิธทิ ไี่ ด้รบั การยกย่องเป็นอย่างมาก จนจัดได้วา่ เป็นหลักหมายหนึง่ ของไทย­ ศึกษา แต่เป็นเรื่องแปลกที่มีงานเขียนที่มีบทสนทนากับความคิดและข้อเสนอของนิธิ

ไชยันต์ ไชยพร, นิธิ เอียวศรีวงศ์ ใน/กับวิกฤตการเมืองไทย หน้า 45 หรือดู Leo Strauss, “Political Philosophy and History” in Leo Strauss, What is the Political Philosophy? and Other Studies (Chicago: the University of Chicago Press: 1959, 1988), p. 66 15  ไชยันต์ ไชยพร, นิธิ เอียวศรีวงศ์ ใน/กับวิกฤตการเมืองไทย หน้า 47 14


34

คราสและควินิน

ใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ น้อยมาก16 และถ้าเราถือว่างานประวัติศาสตร์ที่สำ�คัญ จะ ทำ�ให้เกิดการสนทนาอย่างไม่สิ้นสุดในตัวของมันเอง ความสำ�คัญของ ‘ปากไก่และ ใบเรือ’ ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ กลับดูจะเป็นเรื่องที่มีความย้อนแย้งในตัวเอง จากการที่ มันขาดความสืบเนื่องของการสร้างบทสนทนา ตามที่วีรศักดิ์ กีรติวรนันท์ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า การนำ�เสนอมุมมองที่ให้ความ สำ�คัญกับปัจจัยภายในของปากไก่และใบเรือ ในช่วงต้นทศวรรษ 2520 นั้น อยู่ใน บรรยากาศยุคหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 อันเป็นช่วงพลิกผันของสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยมีการโต้แย้งกันระหว่าง การอธิบายประวัติศาสตร์แบบรัฐไทยกับแบบมาร์กซิสต์ (โดยเฉพาะของ “สำ�นัก ฉัตรทิพย์”) ซึง่ ต่างมีจดุ เด่นข้อด้อยทีแ่ ตกต่างกันไป ทำ�ให้ขอ้ เสนอทีแ่ ตกต่างออกไป ของ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ได้รับความสนใจและการยอมรับจากวงวิชาการประวัติศาสตร์ไทยในช่วงทศวรรษ 2520 อย่างไรก็ตามเมือ่ สงครามกลางเมืองในประเทศไทย สิน้ สุดลงด้วยชัยชนะของระบอบประชาธิปไตยครึง่ ใบในช่วงปลายทศวรรษ 2520 ถือ ได้วา่ เป็นการปิดฉากทศวรรษของการโต้แย้งกันอย่างจริงจังเพือ่ อธิบายประวัตศิ าสตร์ ไทย ในช่วงเวลาเดียวกันกับการตีพมิ พ์หนังสือ การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ (2529) สรุปได้ว่า การสนทนาที่เคยมีความคึกคักมาก่อนเนื่องจาก ‘ปากไก่และใบเรือ’ (โดยเฉพาะกับสำ�นักฉัตรทิพย์) ได้ปดิ ฉากลงภายหลังชัยชนะของระบอบประชาธิปไตย ครึง่ ใบในช่วงปลายทศวรรษ 2520 และภายหลังการเขียนหนังสือ ‘การเมืองไทยสมัย พระเจ้ากรุงธนบุร’ี ในปี พ.ศ. 2529 โดยนิธจิ ะไม่มกี ารผลิตผลงานสำ�คัญทางประวัต-ิ ศาสตร์ ในระดับเดียวกับที่เขาได้ทำ�มาก่อนใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ รวมถึง ‘การเมือง ไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี’ จุดมุ่งหมายอย่างหนึ่งของ ‘คราสและควินิน’ จึงเป็นการพยายามที่จะเปิดบท สนทนากับ‘ปากไก่และใบเรือ’ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ ถ้าเราดูจากปีที่พิมพ์ ใหม่ของหนังสือเล่มนี้ ก็จะพบว่ามันไม่ได้เป็น หนังสือที่คนส่วนใหญ่นิยมอ่านกัน การพิมพ์หนังสือเล่มนี้ครั้งล่าสุดซึ่งเป็นครั้งที่สี่ใน ปี พ.ศ. 2555 มีระยะห่างจากการพิมพ์ครั้งที่สามในปี พ.ศ. 2543 ถึง 12 ปี การ Kullada Kesboonchoo–Mead and Kengkij Kitirianglarp, “Transition Debates and the Thai State: An Observation,” in Essays on Thailand’s Economy and Society for Professor Chatthip Nartsupha at 72, Pasuk Phongpaichit and Chris Baker, Editor., (Bangkok, Sangsan, 2013), pp. 94–95 16


������������������������������������

35

ศึกษาวรรณกรรมในสมัยต้นรัตนโกสินทร์อย่างทีน่ ธิ ทิ �ำ ในหนังสือเล่มนี้ ไม่นา่ เป็นหัวข้อ ที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะให้ความสนใจมากนัก ยิ่งถ้าพิจารณาถึงหัวข้อวรรณกรรม ไทยซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเบื่อสำ�หรับคนทั่วไป แม้กระทั่งผู้เขียนเองที่มาสนใจต่อ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ก็ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นมาจากความสนใจในทางวรรณกรรม แต่เกิด มาจากความสนใจในประเด็นการรับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จากตะวันตกของสยาม ซึง่ ‘ปากไก่และใบเรือ’ มีการพูดถึงโดยเฉพาะในบทหนังสือนางนพมาศ อย่างไรก็ตามความไม่เป็นที่นิยมของ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ก็ไม่ได้หมายความว่า ‘มโนทัศน์’ หรือ ‘จินตภาพ’ ที่ใช้ ในหนังสือเล่มนี้ จะกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัย สูญหาย หรือถูกลืมเลือนไป ตรงกันข้ามมโนทัศน์ในงานชิน้ นีย้ งั มีความร่วมสมัย มีความคงทน จนไม่ถูกลืมเลือนไปได้อย่างง่าย ๆ ตามที่ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ได้กล่าวถึงความร่วม สมัยของ ‘ปากไก่และใบเรือ’ เอาไว้ว่า “สิง่ สำ�คัญทีท่ �ำ ให้งานประวัตศิ าสตร์ของอาจารย์นธิ ยิ งั คงร่วมสมัย มีอยูด่ ว้ ยกัน  2 ประเด็นคือ 1. อาจารย์นธิ ไิ ด้เขียนประวัตศิ าสตร์ไทยในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ทส่ี มบูรณ์ มีบรรยากาศรองรับข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ จึงทำ�ให้ประวัติศาสตร์ ไม่ น่าเบือ่ ให้ความสำ�คัญกับภาพลักษณ์ หรือการเปลีย่ นแปลงของสังคมไทยสูง มาก มีการถ่ายทอดมโนภาพของสังคมไทยได้ดี โดยงานของอาจารย์มองเห็น สิ่งสำ�คัญคือ พิสูจน์ว่า ประวัติศาสตร์ช่วงต้นรัตนโกสินทร์เป็นอีกยุคของ ประวัตศิ าสตร์ ไทย เป็นสังคมกระฎุมพีทชี่ นชัน้ นำ�ไทยและชนชัน้ นำ�เฉพาะ ในกรุงเทพฯ ได้รู้จักวิธีการเปลี่ยนเศรษฐกิจแบบเก่าในยุคก่อนหน้ามาเป็น เศรษฐกิจแบบใหม่ 2. มโนทัศน์ของอาจารย์นิธิยังไม่ถูกโต้แย้งด้วยนักประวัติศาสตร์ใหม่ ๆ  ว่ายุครัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้นเป็นสังคมกระฎุมพีอย่างไร งานของอาจารย์ นิธิจึงยังถูกพูดถึงอยู่เสมอ”17 (เน้นโดยผู้เขียน) ความเห็นของธเนศที่กล่าวว่า มโนทัศน์ ‘สังคมกระฎุมพี’ ในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ของนิธิ ยังไม่ถูกโต้แย้งด้วยงานของนักประวัติศาสตร์ใหม่ ๆ และมีการพูดถึงอยู่เสมอ

เสวนาแห่งปี “นิธิ เอียวศรีวงศ์” นักคิดแห่งยุคสมัย “นิธิ 20 ปีให้หลัง”, http://www.pracha​ chat.net/news_detail.php?newsid=1418908198 (เข้าถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2559) 17


36

คราสและควินิน

แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทีส่ �ำ คัญยิง่ ของงานชิน้ นีท้ ไี่ ม่ได้มเี ฉพาะต่อประวัตศิ าสตร์นพิ นธ์ ไทย แต่ยังรวมไปถึงความนึกคิดของคนไทยทั่วไป ความสำ�คัญของงานทางประวัติศาสตร์ของนิธิไม่ได้อยู่ที่การทำ�ให้ประวัติศาสตร์ เป็นเรือ่ งของความจำ� คือมันไม่ได้มคี วามสำ�คัญตรงทีก่ ารให้รายละเอียดของเหตุการณ์ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตได้อย่างถูกต้อง แต่งานของนิธิเป็นการทำ�ให้ประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องของความคิด ตามที่สายชล สัตยานุรักษ์ นักประวัติศาสตร์อีกท่านซึ่งเป็น ลูกศิษย์ของนิธิมาก่อน ได้เสนอว่าความหมายทางการเมืองที่ส�ำ คัญที่สุดอย่างหนึ่งใน งานประวัตศิ าสตร์ของนิธิ คือ การรือ้ ถอนการครอบงำ�ทางความคิด ให้คนไทยไม่ถกู จูงจมูกอย่างเซื่อง ๆ แต่ให้มีวิธีคิดหรือวิสัยทัศน์ ใหม่ ซึ่งจะทำ�ให้มีเสรีภาพและเป็น พลเมืองที่มีคุณภาพสูงในระบอบประชาธิปไตย18 จากการทำ�ให้ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของความคิดดังกล่าว เราจึงเห็นว่ามโนทัศน์ ‘กระฎุมพี’ ทีอ่ ยูใ่ น ‘ปากไก่และใบเรือ’ รวมทัง้ มโนทัศน์ ‘คนชัน้ กลาง’ ทีอ่ ยูใ่ นข้อเขียน จำ�นวนมากมายของนิธิ มีส่วนสำ�คัญที่ทำ�ให้มโนทัศน์ดังกล่าวสามารถดำ�รงอยู่ได้ ใน ความรูส้ กึ นึกคิดของคนไทย นิธนิ นั้ มีการใช้ค�ำ ‘กระฎุมพี’ หรือ ‘คนชัน้ กลาง’ ในงาน เขียนของตนอยู่เสมอ เขาเริ่มผลิตงานศึกษาเกี่ยวกับกระฎุมพีในสังคมไทยมาตั้งแต่ ต้นทศวรรษ 2520 หนึ่งในผลงานชิ้นสำ�คัญคือ “วัฒนธรรมกระฎุมพีกับวรรณกรรม ต้นรัตนโกสินทร์ (2525)” ซึง่ ต่อมาจะนำ�มารวมอยูใ่ น “ปากไก่และใบเรือ (2527)” หลังจากนั้นนิธิก็เขียนงานเรื่องชนชั้นกลางหรือกระฎุมพีไทยในมิติที่เกี่ยวข้อง กับการเมืองและวัฒนธรรมออกมาอีกจำ�นวนมาก ยกตัวอย่างเช่น ท่ามกลางความ เคลือ่ นไหวต่อต้านรัฐบาลยิง่ ลักษณ์ ชินวัตร ทีต่ อ่ มาขยายไปเป็นม็อบนกหวีดทีล่ ม้ การ เลือกตั้งและปูทางให้เกิดการรัฐประหาร นิธิก็ได้เขียนบทวิพากษ์กระฎุมพีไทยอย่าง ร้อนแรง อย่างเช่น “การลงร่องของกระฎุมพีไทย” (มติชนสุดสัปดาห์, 3–9 พฤษภาคม  2556) หรือกบฏกระฎุมพี (มติชนรายวัน, 10 และ 17 กุมภาพันธ์ 2557)19 หรือ ก่อนหน้านั้นไม่นานคือในช่วงภายหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไป จนถึงช่วงทีม่ รี ฐั ธรรมนูญฉบับปี 2550 มาใช้ ได้สกั ระยะ นิธกิ ไ็ ด้เขียนถึงคนชัน้ กลาง อย่างเช่น “วัฒนธรรมทางการเมืองของชนชัน้ กลางไทย” และ “24 ชัว่ โมงของคนชัน้

สายชล สัตยานุรักษ์: ประวัติศาสตร์แบบนิธิ เอียวศรีวงศ์ฯ, http://prachatai.com/journal/​ 2012/05/40727 (เข้าถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2559) 19  ดูบทสัมภาษณ์นิธิ เอียวศรีวงศ์ โดย ชัยวัฒน์ ตุลานนท์ และธนาพล อิ๋วสกุล ฟ้าเดียวกัน ปีที่  12, ฉบับที่ 2–3 (พฤษภาคม–ธันวาคม 2557), หน้า 87–89 18


������������������������������������

37

กลางไทย” ซึ่งสองบทความนี้ถูกรวบรวมเป็นหนังสือที่ชื่อว่า “รากหญ้าสร้างบ้าน ชนชัน้ กลางสร้างเมือง (2552)”20 หรือในสมัยทีท่ กั ษิณ ชินวัตร ยังเป็นนายกรัฐมนตรี นิธกิ ไ็ ด้เขียนบทความ “ความชอบธรรมทางการเมือง” ซึง่ ได้รวมอยูใ่ นหนังสือ “วัฒนธรรมคนอย่างทักษิณ (2549)” โดยนิธิเสนอว่าปัญหาของระบอบทักษิณหรือวัฒนธรรมของความเป็นคนอย่างทักษิณนัน้ เป็นส่วนหนึง่ ของอุดมคติและโลกทรรศน์แบบที่ แพร่หลายในกลุม่ คนชัน้ กลาง21 และถ้าจะมองย้อนหลังออกไปอีกคือช่วงหลังเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 2535 นิธิก็ได้ ไปกล่าวปาฐกถาเรื่อง “ชนชั้นกลางบนกระแสประชาธิปไตยไทย” ทีค่ ณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึง่ ในตอนนัน้ นิธดิ จู ะยัง มีความหวังในคนชั้นกลางอยู22่ จะเห็นว่านิธิมีการใช้มโนทัศน์ ‘กระฎุมพี’ หรือ ‘คน ชั้นกลาง’ ในงานเขียนของตนตลอดมาเป็นเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ นับตั้งแต่งาน ‘ปากไก่และใบเรือ’ ที่ทำ�มาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2520 ปัญหาของมโนทัศน์ “กระฎุมพี”

อนึ่ง ถ้าเราต้องการเข้าใจความคิดเรื่อง ‘กระฎุมพี’ ของนิธิได้อย่างถูกต้อง หรือ เหมือนกับที่นิธิเข้าใจตนเอง เราก็จำ�เป็นต้องเข้าใจทฤษฎีของนักวิชาการตะวันตกที่ นิธิใช้ ในงานของเขา แต่งานเรื่องชนชั้นกลางหรือกระฎุมพีไทยในมิติที่เกี่ยวข้องกับ การเมืองและวัฒนธรรมที่มีอยู่จำ�นวนมากนั้น ก็เช่นกันที่ไม่ค่อยมีเชิงอรรถหรือการ อ้างอิงทฤษฎีแนวคิดที่เป็นกรอบหรืออยู่เบื้องหลังการเขียนให้ผู้อ่านทราบ อย่างไร ก็ตามเนือ่ งจากนิธเิ ริม่ ผลิตงานศึกษาเกีย่ วกับกระฎุมพีไทยมาตัง้ แต่ตน้ ทศวรรษ 2520 นั่นคือ “วัฒนธรรมกระฎุมพีกับวรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ (2525)” ซึ่งต่อมา

นิธ ิ เอียวศรีวงศ์, รากหญ้าสร้างบ้าน ชนชัน้ กลางสร้างเมือง: ทางออกของ “ภาคประชาชน” ใน การแสวงหาจุดร่วมบนเวทีการเมืองยุคใหม่ (กรุงเทพฯ: สำ�นักพิมพ์มติชน: กุมภาพันธ์ 2552) 21  นิธิ เอียวศรีวงศ์, “ความชอบธรรมทางการเมือง” ใน วัฒนธรรมคนอย่างทักษิณ (กรุงเทพฯ: สำ�นักพิมพ์มติชน: 2549), หน้า 11 22  นิธิ เอียวศรีวงศ์, “วัฒนธรรมของคนชั้นกลาง,” ใน ชนชั้นกลางบนกระแสประชาธิปไตยไทย, บรรณาธิการโดย สังศิต พิรยิ ะรังสรรค์ และผาสุก พงษ์ ไพจิตร (กรุงเทพฯ: ศูนย์ศกึ ษาเศรษฐศาสตร์ การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมูลนิธิฟรีดริด เอแบร์ท, 2536), หน้า 49–50. 20


38

คราสและควินิน

จะนำ�มารวมอยู่ใน “ปากไก่และใบเรือ (2527)” การพยายามค้นหาทฤษฎีต่าง ๆ ใน “ปากไก่และใบเรือ” ซึ่งเป็นงานทางวิชาการที่จำ�เป็นต้องมีการใส่เชิงอรรถหรือการ อ้างอิงทฤษฎีที่ใช้เป็นกรอบในการเขียน จึงน่าจะเป็นแนวทางการศึกษาที่ถูกต้องใน การค้นหาว่านิธินำ�แนวคิด ‘กระฎุมพี’ มาจากทฤษฎีของนักวิชาการตะวันตกผู้ ใด อย่างไรก็ตามความพยายามเช่นนี้ ก็จะพบกับอุปสรรคเหมือนเดิม เพราะนิธไิ ม่มกี าร ใส่เชิงอรรถหรืออ้างอิงทฤษฎีทใี่ ช้เป็นกรอบให้กบั แนวคิด ‘กระฎุมพี’ ใน ‘ปากไก่และ ใบเรือ’ อีกเช่นกัน23 อนึ่ง ‘ปากไก่และใบเรือ’ มักได้รับการตีความว่าเป็นการเขียนประวัติศาสตร์ ไทย ทีใ่ ช้โต้แย้งกับงานของฉัตรทิพย์ นาถสุภา โดยทีง่ านของฉัตรทิพย์และคณะจะเป็นการ เขียนประวัตศิ าสตร์แนวมาร์กซิสม์ทใ่ี ห้ความสำ�คัญต่อระบบการผลิต ในขณะที่ ‘ปากไก่ และใบเรือ’ ให้ความสำ�คัญไปที่เรื่องของโลกทัศน์และการขยายตัวของการค้า แม้ว่า ข้อเสนอเรื่องกระฎุมพีต้นรัตนโกสินทร์จะได้รับการยอมรับจากชุมชนนักวิชาการของ ั หาอย่างหนึง่ ในการตีความ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ตามทีแ่ พทริค  ไทยอย่างรวดเร็ว24 แต่ปญ โจรี (Patrick Jory) ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ก็คือ เราจะจัดงานชิ้นนี้ของนิธิไว้ตรงจุดใด? เนือ่ งจากไม่มคี วามชัดเจนว่านิธเิ ลือกใช้ทฤษฎีใดมาเป็นกรอบในการเขียนประวัต-ิ ศาสตร์ นิธเิ องก็มกั กล่าวว่าเขาไม่ได้ยดึ มัน่ ในทฤษฎีหรือสำ�นักคิดใดเป็นการเฉพาะ25 ในบทที่ 2 ของ ‘คราสและควินิน’ ผู้เขียนได้พยายามถอดรหัสแนวคิดแนวคิด ‘กระฎุมพี’ ที่ปรากฏใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ โดยพยายามหาทฤษฎีของนักวิชาการ ตะวันตกที่นิธิใช้ ผู้เขียนพบว่า แนวคิด “กระฎุมพี” (ใน ‘ปากไก่และใบเรือ’) เกิด จากการดัดแปลงแนวคิดบางอย่างของมักซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ผสมเข้ากับแนวคิด “ชนชัน้ กระฎุมพี” ของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) แต่ความยอกย้อนอยูต่ รงทีแ่ นวคิด พื้นฐานบางอย่างของนิธิเองก็เข้ากันไม่ได้กับของเวเบอร์ และแนวคิดปรัชญาประวัติ-

ไชยันต์อธิบายว่า สาเหตุหนึ่งที่นิธิไม่ค่อยใส่เชิงอรรถในงานของตน เกิดจากความกังวลใจต่อ อิทธิพลทางความคิดทีเ่ ขาได้รบั จากนักคิดก่อนหน้าเขา ดู ไชยันต์ ไชยพร, นิธ ิ เอียวศรีวงศ์ ใน/กับ วิกฤตการเมืองไทย หน้า 39–42 24  สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, “สังคมไทย จากศักดินาสู่ทุนนิยม,” วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 11, ฉบับ ที่ 2 (2525), หน้า 152. 25  แพทริค โจรี, “สงครามประวัติศาสตร์นิพนธ์ ไทย: การต่อสู้ของสถาบันกษัตริย์ในประวัติศาสตร์ สมัยใหม่,” แปลโดย จิรวัฒน์ แสงทอง, ฟ้าเดียวกัน ปีท ี่ 8, ฉบับที ่ 1 (มกราคม–กันยายน 2553), หน้า 115. รวมทั้งดู นิธิ เอียวศรีวงศ์, “จดหมายถึงบรรณาธิการ,” วารสารอักษรศาสตร์ ปีที่ 6, ฉบับที่ 1–2 (2526), หน้า 409–411. 23


������������������������������������

39

ศาสตร์ของนิธิก็ไม่ได้เป็นแบบเดียวกับมาร์กซ์ จนทำ�ให้แนวคิด “กระฎุมพี” ที่นิธิใช้ มีความขัดแย้งในตัวเองอยู่ อนึ่งความแตกต่างและความเหมือน หรืออิทธิพลที่นักวิชาการแต่ละคนได้รับจาก นักคิดรุน่ ก่อน ไม่ใช่เป็นเรือ่ งใหญ่ในทางวิชาการ ตามทีก่ ล่าวไปแล้วว่านักวิชาการสามารถ ปฏิเสธและวิพากษ์วิจารณ์ความไม่สมเหตุสมผลหรือความไม่พอเพียงเหมาะสมของ แนวคิดทฤษฎีเดิม พร้อมกับเสนอแนวคิดทฤษฎีใหม่ที่สามารถอธิบายและวิเคราะห์ สาเหตุและผลของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดีกว่า แต่ปัญหาคือการที่นิธิไม่ได้มีการ อ้างอิงและไม่ได้อธิบายความเป็นมาของแนวคิดหรือมโนทัศน์ “กระฎุมพี” ที่ตน ใช้อย่างชัดเจน ถึงแม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับเวเบอร์หรือมาร์กซ์ซงึ่ ก็เป็นสิง่ ทีส่ ามารถทำ�ได้ ถ้าเขามี เหตุผลสนับสนุนในทางวิชาการในการไม่เห็นด้วยดังกล่าว แต่การทีไ่ ม่ได้มกี ารอ้างอิง และอธิบายความเป็นมาของแนวคิดทีต่ นใช้ ทำ�ให้แนวคิดดังกล่าวทีไ่ ม่มพี นื้ ฐานรับรอง ในทางทฤษฎีทหี่ นักแน่น และนิธกิ ไ็ ด้น�ำ แนวคิดนีท้ มี่ ปี ญ ั หาในทางทฤษฎี มาเป็นเครือ่ ง­ มือหลักหรือเป็นแบบในอุดมคติ (Ideal type) ในการอธิบายปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ทีต่ น สนใจ แต่การกระทำ�ดังกล่าวย่อมมีโอกาสมากทีจ่ ะให้เกิดคำ�อธิบายทีผ่ ดิ พลาดตามมา ดังที่หนังสือเล่มนี้พยายามจะอธิบายให้เห็น ตามทีไ่ ชยันต์ ได้วจิ ารณ์ ไว้วา่ ผลงานทางวิชาการทางประวัตศิ าสตร์ของนิธเิ กิดจาก “การตีความใหม่” รวมไปถึงความพยายามค้นหา “ข้อมูลทางประวัตศิ าสตร์ ไทยใหม่ ๆ” ไปด้วยในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตามการตีความใหม่” ของนิธกิ เ็ กิดจากการนำ�เอา กรอบทางญาณวิทยาและปรัชญาประวัตศิ าสตร์ตะวันตกมาใช้ ดังนัน้ ถ้ากรอบดังกล่าว เป็นกรอบทีม่ ปี ญ ั หา การตีความของนิธกิ ย็ อ่ มจะเกิดปัญหาตามไปด้วย นีย่ งั ไม่นบั ถึง ปัญหาที่เกิดจากการตีความ อย่างเช่นว่านิธิตีความวรรณกรรมต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง หรือไม่ ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่หนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึง อนึ่ง สายชล สัตยานุรักษ์ ได้เสนอว่าความหมายทางการเมืองที่สำ�คัญที่สุดอย่าง หนึ่งในงานประวัติศาสตร์ของนิธิ คือการรื้อถอนการครอบงำ�ทางความคิด อย่างไร ก็ตามถ้า “กระฎุมพี” หรือ “คนชัน้ กลาง” ทีน่ ธิ ใิ ช้ เป็นมโนทัศน์ทมี่ ปี ญ ั หา การทำ�ให้ มโนทัศน์ดงั กล่าวเป็นทีย่ อมรับในคนหมูม่ ากหรือแม้กระทัง่ ในหมูน่ กั ประวัตศิ าสตร์ดว้ ย กันเอง มันจะไม่กลายไปเป็นการครอบงำ�ทางความคิดเสียเองละหรือ ตามที่สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์อีกคนที่มีความเข้าใจในงาน ของนิธเิ ป็นอย่างดี ได้เคยแสดงความเห็นไว้วา่ งานของนิธโิ ดยเฉพาะใน ‘ปากไก่และ ใบเรือ’ ได้ทำ�ให้คำ�ว่า “ศักดินา” ซึ่งเคยมีฐานะเป็น “จินตภาพแกนกลาง” (central organizing concept) ของ “การวิจารณ์ทางการเมือง” ของปัญญาชนปีกซ้ายของไทย


40

คราสและควินิน

เป็นเวลา 30 ปี ได้เลือนหายไป26 สมศักดิ์ชี้ว่านิธิกับลูกศิษย์ของเขาไม่นิยมใช้คำ� ‘ศักดินา’ ในงานทางประวัติศาสตร์ของพวกตน ต่อเรื่องนี้ผู้เขียนคิดว่าสาเหตุสำ�คัญ อย่างหนึง่ น่าจะเกิดจากการทีน่ ธิ อิ ธิบายให้ชนชัน้ นำ�ในระบบศักดินาสมัยต้นรัตนโกสินทร์ สามารถเปลีย่ นแปลงตัวเองไปเป็นกระฎุมพี และความเป็นกระฎุมพีดงั กล่าวยังหมายถึง “ความเป็นเหตุเป็นผล”, “การให้ความสำ�คัญกับความจริงเชิงประจักษ์” รวมทัง้ “ความ เป็นมนุษยนิยม” เป็นต้น การอธิบายเช่นนี้จะทำ�ให้แนวคิด “ศักดินา” ไม่มีความ สำ�คัญในการอธิบายถึงความสืบเนือ่ งของประวัตศิ าสตร์ ระบบทุนนิยม และความ เป็นสมัยใหม่ของไทยอีกต่อไป การเก็บกดความเป็นอื่นด้วยความคิดเชิงนามธรรม

นอกจากนี้จะเห็นว่าคำ�อธิบายเรื่อง “กระฎุมพี” ของนิธิมีฐานมาจากความคิดเชิง นามธรรมต่าง ๆ อย่างไรก็ตามถ้าไม่ได้มีการให้คำ�อธิบายที่ชัดเจนต่อความคิดเหล่านี้ ความคิดที่เป็นนามธรรมเหล่านี้ก็อาจปิดกั้นหรือเก็บกดแนวคิดแบบอื่นไม่ให้ปรากฏ ตัวออกมาได้ (อย่างเช่น แนวคิด ‘ศักดินา’ ทีถ่ กู ทำ�ให้เลือนหายไปดังทีไ่ ด้กล่าวไปแล้ว) โดยทีไ่ ชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ได้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง “เหตุผล” และ “ความ ไร้เหตุผล” เอาไว้ตอนหนึ่งว่า

สมศักดิ์ยังให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า ถ้าเปรียบเทียบชะตาชีวิตของงานของนิธิกับของนักคิดร่วม สมัยคนสำ�คัญอีกคนหนึง่ คือ ฉัตรทิตย์ นาถสุภา ซึง่ ในงานยุคเดียวกับนิธิ ยังใช้ค�ำ นีเ้ ป็นจินตภาพ ใจกลางอยู่ (ไอเดียเรื่อง “วิถีการผลิตเอเซีย” ที่ฉัตรทิตย์ชูขณะนั้น เป็นการแตกแขนงออกมาจาก ไอเดียเรื่อง “ศักดินานิยม”) ขณะที่งานในยุคนั้นของนิธิยังได้รับการตีพิมพ์ซํ้ามาโดยตลอดและมี ฐานะเป็นทีย่ อมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบนั งานของฉัตรทิตย์ของยุคนัน้ ถ้าพูดในแง่คณ ุ ภาพแล้ว ไม่อาจกล่าวได้ว่าแตกต่างกัน แต่การที่งานฉัตรทิตย์ ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ซํ้าอีกหลังยุคนั้น ไม่ใช่ ปัญหาคุณภาพ แต่เป็นผลสืบเนือ่ งมาจากการ “ตาย” หรือ “หายจากไป” ของจินตภาพ “ศักดินา” นี่เอง สุดท้ายสมศักดิ์ชี้ว่า ถือเป็นเรื่อง irony ที่ ต่อมา ในงานของฉัตรทิพย์เอง ‘จินตภาพนี้’ ก็ หมดบทบาทไปด้วย (ถูกแทนทีด่ ว้ ยจินตภาพเรือ่ ง “ชุมชนหมูบ่ า้ น” และ “วัฒนธรรมชุมชน” และ “ชาวบ้าน” ในทีส่ ดุ ) ดู สมศักดิ ์ เจียมธีรสุกล, การกลับมาของ “ศักดินา” ในฐานะจินตภาพการเมือง (25 ธันวาคม 2549) http://somsakcouppostings.blogspot.com/2006_12_01_archive.html​ ?m=0 (เข้าถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2559) 26


������������������������������������

41

“นักคิดแนวนี้ (หมายถึงสกุลความคิดแบบหลังโครงสร้างนิยม...ผูเ้ ขียน) ต้องการ ฉายภาพอีกด้านของสิ่งที่เรียกว่า “เหตุผล” โดยชี้ ให้เห็นว่า “เหตุผล” เป็น ตัวตนดำ�รงอยูไ่ ด้กด็ ว้ ยการสร้างและเก็บกดความเป็นอืน่ ในรูปของสิง่ ทีเ่ รียก ว่า “ความไม่มเี หตุผล” ความไม่มเี หตุผลจึงเป็นเรือ่ งของการขาดเหตุผล จึง เป็นการมองทีเ่ อาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ฉะนัน้ ในสิง่ ทีเ่ รียกว่า “เหตุผล” จึง มิใช่วา่ มีเหตุผลล้วน ๆ แต่ยงั มีสงิ่ ทีเ่ รียกว่า “ไม่มเี หตุผล” ประกอบอยูด่ ว้ ย เพือ่ สร้างตัวตนและการดำ�รงอยูใ่ ห้กบั เหตุผล เมือ่ เป็นเช่นนี้ เป้าหมายหลัก ของวิธกี ารหาความรูแ้ บบหลังโครงสร้างนิยมและหลังสมัยใหม่ จึงอยูท่ กี่ ารเป็น ปากเสียงให้กบั ความเป็นอืน่ แบบต่าง ๆ ทีร่ ะบบคิดหลักแห่งยุคสมัยสร้างขึน้ มา ตัวอย่างเช่น ในสังคมทีเ่ น้นความเป็นปรกติอย่างสังคมปัจจุบนั ของเรา จะสร้าง “สิง่ ผิดปรกติ” แบบต่าง ๆ ขึน้ มา เพือ่ ดำ�รงความเป็นปรกติในแบบของตนไว้”27 (เน้นโดยผู้เขียน) ใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ นิธิไม่ได้ ให้คำ�อธิบายที่ชัดเจนว่า ‘ความเป็นเหตุเป็นผล’ ของโลกทัศน์แบบกระฎุมพีคืออะไร อย่างไรก็ตามนิธิมักจะอธิบายถึงสิ่งที่อยู่ตรงข้าม กับความมีเหตุมีผลและความจริงเชิงประสบการณ์ของความคิดแบบกระฎุมพีซึ่งก็คือ “ไสยศาสตร์” นิยาม ‘กระฎุมพี’ ของนิธจิ งึ จำ�เป็นต้องกล่าวถึงไสยศาสตร์ควบคูก่ นั ไป เสมอ พูดได้อีกอย่างว่าไสยศาสตร์คือ “สิ่งผิดปรกติ” ในระบบคิดของนิธิ อย่างไรก็ตามใน ‘คราสและควินนิ ’ ผูเ้ ขียนต้องการอธิบายถึงความสำ�คัญของไสยศาสตร์ ซึง่ อยูใ่ นความรูส้ กึ นึกคิดของคนไทยทุกระดับตัง้ แต่ยคุ ต้นรัตนโกสินทร์จนถึง ปัจจุบนั และไม่ได้เป็นสิง่ ทีม่ คี วามขัดแย้งกับความมีเหตุมผี ลและความจริงเชิงประสบการณ์ รวมไปถึงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เหมือนกับทีน่ ธิ ไิ ด้อธิบายไว้ จนอาจกล่าวได้วา่ ‘เหตุผล’ อยู่ร่วมกับ ‘ไสยศาสตร์’ ในสังคมไทยอย่างแยกขาดออกจากกันไม่ได้ นอกจากนี้นิธิยังอธิบายว่า ‘ความรู้แบบเหตุผลที่เน้นความจริงจากประสบการณ์’ ได้ขึ้นครองความเป็นใหญ่เหนือ ‘ความเชื่อแบบไสยศาสตร์’ ได้สำ�เร็จในยุคต้นรัตนโกสินทร์นี้ การรับวิทยาการตะวันตกได้ท�ำ ให้เกิดการสัน่ คลอนพืน้ ฐานอารยธรรมไทย อย่างรุนแรง จนทำ�ให้เกิดการเปลี่ยนแนวคิดเป็นตรงกันข้าม อย่างไรก็ตามความเชื่อ ดังกล่าวของนิธมิ คี วามเกีย่ วข้องกับปัญหาเรือ่ งการปะทะกันระหว่างระบบความรูด้ งั้ เดิม ในสังคมไทยกับระบบที่มากับฝรั่งจากยุโรป โดยนิธิเชื่อว่าระบบความรู้ของฝรั่งเป็น ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, “ญาณวิทยาและวิธีวิทยาแบบหลังโครงสร้างนิยม/หลังสมัยใหม่นิยม,” วิภาษา ปีที่ 6, ฉบับที่ 5 (16 กันยายน–31 ตุลาคม 2555), หน้า 7.

27


42

คราสและควินิน

ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะโดยเด็ดขาด แต่ตามที่โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อ ระบบสองระบบมาปะทะกัน เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าระบบใดเป็นความจริง ระบบใด เป็นความเท็จ? หรือว่าในท้ายที่สุดแล้วเป็นจริงทั้งคู่? หรือเป็นเท็จทั้งคู่? เป็นไปได้ หรือไม่ว่าสองระบบนี้จะมีการกลืนเข้าหากันจนทำ�ให้กลายเป็นระบบเดียวกันในท้าย ที่สุด หรือว่าเข้ากันไม่ได้เลย? ใน ‘คราสและควินิน’ ผู้เขียนได้อาศัยการศึกษาของนักวิชาการท่านอื่น อย่างใน กรณีของ ‘วิธีการอยู่ไฟ’ อันเป็นความรู้ ในการดูแลมารดาหลังคลอดบุตรของการ แพทย์แผนโบราณ รวมทั้งกรณีของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อจะ แสดงให้เห็นว่าระบบความรูข้ องฝรัง่ ไม่ได้เป็นฝ่ายทีไ่ ด้รบั ชัยชนะโดยเด็ดขาดต่อระบบ ความรู้ดั้งเดิมในสังคมไทยตามที่นิธิเสนอ การวิจารณ์นิธิในเรื่องดังกล่าว ทางหนึ่งก็ เป็นการแสดงให้เห็นว่าความคิดเชิงนามธรรมทีน่ ธิ ใิ ช้ อย่างเช่น “ความเป็นเหตุเป็นผล” และ “การให้ความสำ�คัญกับความจริงเชิงประจักษ์” ได้ปดิ กัน้ หรือเก็บกดแนวคิดแบบ อื่นไม่ให้ปรากฏตัวออกมา นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้วิจารณ์ “ความเป็นมนุษยนิยม” โดยอาศัยงานของนักวิชาการท่านอื่น ๆ ที่ศึกษาในเรื่องของธรรมยุติกนิกาย Post นิธิ

นิธไิ ด้กล่าวถึงอคติทซี่ อ่ นอยูใ่ นงานของนักประวัตศิ าสตร์เอาไว้ครัง้ หนึง่ ว่า “ทีผ่ มพูดว่า ประวัตศิ าสตร์ก�ำ ลังฮิตก็เพราะใครต่อใครมักจะถามอยูเ่ สมอว่า แล้วเรือ่ งจริงเป็นอย่างไร? น่าประหลาดใจทีส่ ว่ นใหญ่ของคนทีเ่ รียนประวัตศิ าสตร์มกั ตอบว่า ‘เรือ่ งจริงเป็นอย่างไร ผมไม่รู้ และผมคิดว่า...นักประวัติศาสตร์มีหน้าที่สร้างเรื่องขึ้นมาครับ...ที่ผมพูดว่า นักประวัติศาสตร์สร้าง ‘เรื่อง’ ขึ้นมาจากหลักฐานอย่างเดียวก็ไม่จริง จะรู้ตัวหรือไม่ ก็ตาม นักประวัตศิ าสตร์ยงั ใช้โลกทัศน์ ค่านิยม ความเชือ่ อคติ ฯลฯ ของตัวเองและ ยุคสมัยของตัวเป็นเครื่องมือในการสร้างด้วย ไม่ต่างจากการเขียนนวนิยาย”28 แต่นิธิก็ได้กล่าวปกป้องประวัติศาสตร์ ไว้ด้วยว่า “ประวัติศาสตร์และนวนิยายก็ใช่ ว่าจะไม่แตกต่างกันเลย ความต่างอยู่ที่ว่าประวัติศาสตร์มีพลังที่จะให้ความหมายเชิง สัญลักษณ์แก่ปัจจุบันได้มากกว่านวนิยายอย่างเทียบกันไม่ได้”29 อนึ่งการที่ข้อเขียน 28  29

นิธ ิ เอียวศรีวงศ์, “เรือ่ งจริงอิงนิยาย”, มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 973 ประจำ�วันที ่ 13 เมษายน 2542 เพิ่งอ้าง


������������������������������������

43

จำ�นวนมากมายของนิธิ มีสว่ นสำ�คัญทีท่ �ำ ให้มโนทัศน์ ‘กระฎุมพี’ และ ‘ชนชัน้ กลาง’ สามารถดำ�รงอยู่ได้ ในความรู้สึกนึกคิดของคนไทยทั่วไป ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า ประวัติศาสตร์แบบนิธิมีพลังที่จะให้ความหมายเชิงสัญลักษณ์แก่ปัจจุบันได้ อย่างไร ก็ตามใน ‘คราสและควินนิ ’ ผูเ้ ขียนต้องการรือ้ –สร้างมโนทัศน์ ‘กระฎุมพี’ ของนิธิ เพือ่ เปิดโอกาสให้แนวคิดแบบอื่นที่ถูกมโนทัศน์‘กระฎุมพี’เก็บกดไม่ให้ปรากฏตัว (ไม่ว่า จะเป็น ชนชัน้ ศักดินา, ไสยศาสตร์, ความคิดแบบไตรภูม,ิ แนวคิดพระเจ้าจักรพรรดิราช ฯลฯ) มีโอกาสเปิดเผยตัวออกมาอีกครัง้ เพือ่ ให้เกิดการปะทะกับแนวคิดเดิม ๆ ทีเ่ ป็น เหมือนกรอบหรือข้อจำ�กัดในการหาคำ�อธิบายใหม่ๆในเรื่องความสืบเนื่องของประวัติศาสตร์ ระบบทุนนิยม และความเป็นสมัยใหม่ของไทย อาจกล่าวสัน้  ๆ ได้วา่ เราต้องข้าม ให้พน้ กรอบหรือข้อจำ�กัดทีน่ ธิ ไิ ด้วางไว้ ใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ เมือ่ เกือบสามสิบปีกอ่ น นอกจากนี้ ถึงแม้นักประวัติศาสตร์จะไม่สามารถสลัดอคติของตัวเองและยุคสมัย ของตัวเองออกไปได้ แต่นักประวัติศาสตร์รุ่นต่อมาก็สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์งาน ของนักประวัติศาสตร์รุ่นก่อน เพื่อชี้ ให้เห็นถึงอคติที่ซ่อนอยู่ในงานสำ�คัญชิ้นนั้น เพื่อ เปิดหนทางทีจ่ ะสร้างงานทางประวัตศิ าสตร์ทดี่ กี ว่าเดิม (หรือมีอคติทนี่ อ้ ยลงกว่าเดิม) ต่อไปได้ ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องการแสดงให้เห็นถึง ‘อคติ’ ต่างๆที่ซ่อนอยู่ใน ‘ปากไก่ และใบเรือ’ เพื่อเปิดหนทางดังกล่าว โดยที่อคติที่ว่าก็ได้แก่ 1. การใช้กรอบวิธีคิดของ คนไทยยุคปัจจุบันไปครอบวิธีคิดของคนไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์  2. การให้ความ สำ�คัญต่อการค้าและการลงทุนต่อรัฐสยามในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มากไปกว่าการทำ� สงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน  3. การเสนอว่าพวกกระฎุมพีในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีความอยากรูเ้ รือ่ งราวของพืน้ ทีอ่ นื่ ทีอ่ ยูน่ อกกรุงเทพฯ นิราศจึงได้รบั ความนิยมเพราะ มันให้ภาพการผจญภัยทีไ่ ม่เป็นอันตราย หากแต่มสี สี นั และความสนุกสนาน  4. ความ เชือ่ ว่าการปฏิรปู พุทธศาสนาของธรรมยุตกิ นิกายในสยาม ทำ�ให้เกิดแนวทางความเชือ่ แบบเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้นและมีความเป็นมนุษยนิยมมากขึ้น เป็นต้น ผู้เขียนได้อธิบายโครงสร้างของหนังสือเล่มนี้ ไว้ ในตอนท้ายของบทที่ 1 แล้ว จึง ขอจบบทนำ�นี้แต่เพียงเท่านี้ พิพัฒน์ พสุธารชาติ  กรุงเทพฯ 12 มิถุนายน 2559



บทที่ 1

‘ปากไก่และใบเรือ’ หลักหมายส�ำคัญหนึ่ง ของไทยศึกษา


46

คราสและควินิน

บทนำ�

‘ปากไก่และใบเรือ…ว่าด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์–วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์’ (ต่อไปขอเรียกว่า ‘ปากไก่และใบเรือ’) เป็นหนังสือทีร่ วบรวมบทความของศาตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ จำ�นวน 5 ชิน้ ทีพ่ มิ พ์เผยแพร่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2522–2525 ต่อมาได้พิมพ์รวมเป็นเล่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2527 พิมพ์ครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2538 พิมพ์ครั้งที่สามในปี พ.ศ. 2543 และพิมพ์เป็นฉบับภาษาอังกฤษในปี พ.ศ. 2548 ใน ชื่อว่า ‘Pen & Sail: Literature and History in Early Bangkok’ (ต่อไปขอเรียกว่า ‘Pen & Sail’) ล่าสุดมีการพิมพ์เป็นครัง้ ทีส่ ใ่ี นปี พ.ศ. 2555 โดยสำ�นักพิมพ์ฟา้ เดียวกัน บทความ 5 ชิ้นที่อยู่ใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ ประกอบไปด้วย 1. ‘วัฒนธรรมกระฎุมพีกบั วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ (2525)’ เสนอประกอบ การสัมมนา ‘สองศตวรรษรัตนโกสินทร์: ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย’ ของสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2525 2. ‘สุนทรภู่: มหากวีกระฎุมพี (2524)’ เป็นเอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง ‘ประวัตศิ าสตร์สงั คมสมัยต้นรัตนโกสินทร์’ จัดโดยชมรมประวัตศิ าสตร์ศกึ ษา (สมศ.) เมื่อวันที่ 17–19 มกราคม พ.ศ. 2524 3. ‘อันเนื่องมาจากมหาชาติเมืองเพชร (2524)’ ปรับปรุงจาก “อันเนื่องมาจาก มหาชาติเมืองเพชร” พิมพ์ใน วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 10 เล่มที ่ 4 (2524) 4. “โลกของนางนพมาศ (2522)” ปรับปรุงจาก “โลกของนางนพมาศ” พิมพ์ใน วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 9 เล่มที่ 1 (2522) 5. ‘พระปฐมสมโพธิกถากับความเคลือ่ นไหวทางศาสนาในต้นรัตนโกสินทร์ (2524)’ เสนอประกอบการบรรยายของสมาคมสังคมศาสตร์เรือ่ ง ‘พระปฐมสมโพธิกถา: ธรรมประวัติ หรือชีวประวัติ’ (2524)1

วีระศักดิ ์ กีรติวรนันท์, “การอ่านและการวิจารณ์ ตัง้ คำ�ถามกับปากไก่และใบเรือ: ว่าด้วยการศึกษา ประวัติศาสตร์–วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์,” ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 6, ฉบับที่ 1 (มกราคม–มีนาคม 2551), หน้า 230–231. 1


�����������������������������������������������

47

โดยใน ‘Pen & Sail’ (2548) และ ‘ปากไก่และใบเรือ’ (2555) ซึง่ เป็นการพิมพ์ ครัง้ ทีส่ ี่ มีการเพิม่ บทความ “ประวัตศิ าสตร์รตั นโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา (2521)” เข้าไปด้วยเป็นบทที่ 62 วีระศักดิ์ กีรติวรนันท์ ได้สรุปเนื้อหาโดยย่อของบทความ 5 ชิ้น ใน ‘ปากไก่และ ใบเรือ’ (ไม่รวมถึงบทความ ประวัตศิ าสตร์รตั นโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา (2521)) เอาไว้ดังนี้ ในบทความทั้ง 5 เรื่องนั้น บทความแรก “วัฒนธรรมกระฎุมพีกับวรรณกรรมต้น รัตนโกสินทร์” เป็นบทความเดียวที่เน้น การศึกษาภาพรวม จากจารีตการเขียน วรรณกรรมสองชนชั้น ไปจนถึงการอธิบายความแตกต่างของวรรณกรรมและการค้า ระหว่างสมัยอยุธยากับสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบแสดงความ แตกต่างว่าการค้าสมัยอยุธยามีขนาดเล็กกว่าและสอดคล้องกับผูค้ นมีโลกทัศน์นยิ มทาง ศาสนามากกว่าผูค้ นสมัยต้นรัตนโกสินทร์ทม่ี โี ลกทัศน์นยิ มวัตถุมากกว่าและสอดคล้อง กับขนาดการค้า (มีการจำ�แนกปริมาณ มูลค่า ความหลากหลายของสินค้า) ทีใ่ หญ่กว่า บทความ 4 เรือ่ งต่อมา มีลกั ษณะเป็น การศึกษาเฉพาะเรือ่ ง โดย บทความเรือ่ ง ที่สอง “สุนทรภู่: มหากวีกระฎุมพี” เป็นการศึกษาโลกทัศน์ต้นรัตนโกสินทร์จาก วรรณกรรมของสุนทรภู่ โดยอธิบายว่าวรรณกรรมสุนทรภู่แสดงออกถึงเรื่องราวการ รับรูเ้ กีย่ วกับภูมศิ าสตร์การเดินเรือร่วมสมัย และการให้คณ ุ ค่าทางวัตถุของสุนทรภูก่ บั ผู้อ่านในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ บทความเรื่องที่สาม “อันเนื่องมาจากมหาชาติเมือง เพชร” เป็นการวิพากษ์จารีตการเขียนวรรณกรรมที่แตกต่างกันระหว่างสมัยอยุธยา กับรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยเปรียบเทียบสำ�นวนการเขียนจากวรรณกรรมการเทศน์ มหาชาติหลายสำ�นวนทัง้ สมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์ บทความเรือ่ งทีส่ ี่ “โลกของ นางนพมาศ” เป็นการวิพากษ์วรรณกรรมเรื่องหนึ่ง กล่าวถึงตัวเอกเป็นคนในสมัย สุโขทัย และยอมรับกันว่าเป็นวรรณกรรมทีแ่ ต่งขึน้ ในสมัยสุโขทัย แต่มกี ารแก้ไขหรือ แต่งใหม่สว่ นหนึง่ ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ซึง่ สะท้อนโลกทัศน์ทใี่ ห้คณ ุ ค่าทางวัตถุสมัย ต้นรัตนโกสินทร์ และ บทความเรื่องที่ห้า “พระปฐมสมโพธิกถากับการเคลื่อนไหว ทางศาสนาในต้นรัตนโกสินทร์” เป็นการเปรียบเทียบวรรณกรรมพุทธประวัติจำ�นวน  3 ฉบับจากผู้แต่ง 3 ท่านโดยลำ�ดับต่อเนื่องกันในสมัยต้นรัตนโกสินทร์

2

นิธิ เอียวศรีวงศ์, ปากไก่และใบเรือ, พิมพ์ครั้งที่ 4 (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2555), หน้า 367


48

คราสและควินิน

ที่มา:

หน้าปก ‘ปากไก่และใบเรือ’ พิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2527

http://khunmaebook.tarad.com/product.detail_646347_th_5910400

เข้าถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2559

บทความทั้ง 4 เรื่องนำ�มาสู่การอธิบายการเปลี่ยนแปลงจารีตการเขียนวรรณกรรมจากสมัยอยุธยาถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งสอดคล้องกับความแตกต่างของ ขนาดทางการค้าระหว่างสมัยอยุธยากับสมัยต้นรัตนโกสินทร์ อันนำ�ไปสู่ข้อสรุปใน บทความ ‘วัฒนธรรมกระฎุมพีกับวรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์’ หรือกล่าวได้ว่า บทความ 4 เรื่องหลังของ ‘ปากไก่แ ละใบเรื อ ’ ซึ่ ง เสนอและพิ ม พ์ ในช่ ว งปี  พ.ศ.  2522–2524 เป็นทีม่ าของการได้ขอ้ สรุปในบทความแรกของ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ซึง่ เสนอในปี พ.ศ. 25253

วีระศักดิ ์ กีรติวรนันท์, “การอ่านและการวิจารณ์ ตัง้ คำ�ถามกับปากไก่และใบเรือ: ว่าด้วยการศึกษา ประวัติศาสตร์–วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์,” หน้า 230–231. 3


�����������������������������������������������

49

คำ�วิจารณ์ของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล4

หลังจากข้อสรุปใน “วัฒนธรรมกระฎุมพีกบั วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์” เมือ่ ปี พ.ศ.  2525 สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็ได้เขียนบทความปริทัศน์ในปีเดียวกันคือ “สังคมไทย จากศักดินาสู่ทุนนิยม” ลงใน วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 11 ฉบับ 2 (มิถุนายน พ.ศ.  2525) โดยสมศักดิ์ก็ได้เขียนถึงนิธิอย่างยกย่องว่า “นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นนักประวัตศิ าสตร์คนสำ�คัญ ทีม่ คี วามสามารถมากทีส่ ดุ ในยุคนี้ ผลงานของเขาแม้จะมีไม่มากคือมีประมาณ 10 เรือ่ งเท่านัน้ (ราวครึง่ หนึง่ เป็นงานประวัตศิ าสตร์นพิ นธ์) แต่แทบทุกเรือ่ งได้รบั การยอมรับอย่างกว้าง ขวางในเวลาอันสั้น (นิธิ เพิ่งจะมีผลงานอย่างสมํ่าเสมอ ในช่วงหลังปี 2521 นี้เอง) และคงไม่เป็นการเกินเลยไป ถ้าจะกล่าวว่าผลงานทางประวัติศาสตร์ ของนิธแิ ทบทุกเรือ่ ง ตัง้ แต่ “ประวัตศิ าสตร์รตั นโกสินทร์ในพระราชพงศาวดาร อยุธยา”, “การเมืองไทยสมัยพระนารายณ์” จนถึง “สุนทรภู่: มหากวี กระฎุมพี” มีผลให้เกิดการ เปลี่ยน หรือ เกือบจะเปลี่ยน การตีความทาง ประวัตศิ าสตร์ ในเรือ่ งนัน้  ๆ เลยทีเดียว เฉพาะประเด็นนีป้ ระเด็นเดียว ก็ท�ำ ให้ งานของนิธิมีลักษณะโดดเด่นออกมา มากกว่านักประวัติศาสตร์คนใดในยุค เดียวกัน”5 สมศักดิ์ ได้บรรยายถึงพัฒนาการของการผลิตงานทางประวัตศิ าสตร์ของนิธ ิ เอียว­ ศรีวงศ์ ทีเ่ ริม่ เผยแพร่บทความประกอบปาฐกถาเรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์รตั นโกสินทร์ใน พระราชพงศาวดารอยุธยา” (2521) ซึ่งต้องการแสดงให้เห็นโลกทัศน์ที่เปลี่ยนแปลง ไปของชนชัน้ นำ�สมัยต้นรัตนโกสินทร์ซงึ่ แตกต่างไปจากชนชัน้ นำ�​สมัยอยุธยาโดยแสดงออกผ่านการชำ�ระพระราชพงศาวดารอยุธยา นอกจากนี้ ชนชัน้ นำ�สมัยรัตนโกสินทร์ ก็ยงั ใช้เหตุผลและหลักศาสนาพุทธในการอธิบายมากกว่าการอ้างอำ�นาจลึกลับ อิทธิฤทธิป์ าฏิหาริย์ ตามชนชัน้ นำ�สมัยอยุธยา ส่วนในบทความเรือ่ ง “โลกของนางนพมาศ” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. ที่ 2 (มิถุนายน 2525): 5  สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. ที่ 2 (มิถุนายน 2525): 4

“สังคมไทย จากศักดินาสู่ทุนนิยม.” วารสารธรรมศาสตร์. ปีที่ 11, ฉบับ หน้า 128–164 “สังคมไทย จากศักดินาสู่ทุนนิยม.” วารสารธรรมศาสตร์. ปีที่ 11, ฉบับ หน้า 143


50

คราสและควินิน

หน้าปก ‘ปากไก่และใบเรือ’ พิมพ์ครั้งที่สามในปี พ.ศ. 2543

(2522) นัน้ ก็ได้พสิ จู น์ตอ่ ไปว่าหนังสือเรือ่ ง “นางนพมาศ” เป็นวรรณกรรมทีส่ ะท้อน “โลก” ที่กำ�ลังเปลี่ยนแปลงในความคิดของคนไทย (ชั้นสูง) เอาไว้อย่างเด่นชัด อย่างไรก็ตาม สมศักดิเ์ ห็นว่างานเขียนในช่วงแรกนีก้ ย็ งั เป็นแค่งานประวัตศิ าสตร์ ความคิด หากต้องรอจนถึง “สุนทรภู:่ มหากวีกระฎุมพี” (2524) ทีส่ มศักดิเ์ ห็นว่า นิธไิ ด้เชือ่ มโยงการเปลีย่ นแปลงด้านวรรณกรรมเข้ากับการเปลีย่ นแปลงด้านเศรษฐกิจ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยนิธิชี้ให้เห็นว่า “วรรณกรรมของชนชั้นสูงในต้นรัตนโกสินทร์ ได้ละทิ้งจารีตทางวรรณกรรมของอยุธยาไปหลายอย่าง จนทำ�ให้เกิดลักษณะเด่นของ ตนเอง” คือ “การรับเอาจารีตทางวรรณกรรมของประชาชนเข้าไปอย่างมาก” ในขณะ ที่วรรณกรรมอยุธยาส่วนใหญ่ “มีลักษณะเป็นวรรณกรรมของศักดินาโดยแท้” นิธิ อธิบายว่า “ต้นรัตนโกสินทร์เป็นยุคทีก่ ารค้ากับจีนเจริญถึงขีดสุด การค้าสำ�เภากับ ทีอ่ นื่  ๆ ก็เพิม่ ขึน้ มาก จึงมีคนจำ�นวนมากถูกกระทบด้วยเศรษฐกิจแบบเงินตรา โดย สุนทรภูแ่ ละวรรณกรรมของเขาแสดงให้เห็นถึงลักษณะของสังคมกระฎุมพีในสมัย ต้นรัตนโกสินทร์ได้เป็นอย่างดี”


�����������������������������������������������

51

สมศักดิ์อธิบายว่าในบทความเรื่อง “พระปฐมสมโพธิกถา: ธรรมประวัติหรือชีวประวัต”ิ (2524) ว่าการเปลีย่ นแปลงโลกทัศน์สมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีผลให้การมอง “พระพุทธเจ้า” เปลีย่ นจากจากเดิมทีเ่ น้นการอธิบายพุทธประวัตแิ บบ “ธรรมประวัต”ิ หรือลักษณะของธรรมะทีด่ �ำ รงอยูช่ วั่ กาล ไม่จ�ำ กัดเพียงบุคคลใดเพียงคนเดียว แต่ได้ ลดการพูดถึงอภินิหารลงแล้วกลับมาเน้นการอธิบายพุทธประวัติแบบ “ชีวประวัติ” ที่ เน้นตัวบุคคลจริง และสะท้อนว่าชนชัน้ นำ�สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้หนั มายึดถือ “ความจริงตามประสบการณ์” จนถึงบทความชิ้นสุดท้ายคือ “วัฒนธรรมกระฎุมพี กับวรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์” (2525) ซึง่ สมศักดิเ์ ห็นว่านิธไิ ด้เปลีย่ นจุดหลักจาก เรื่องความเปลี่ยนแปลงด้านความคิด โดยหันมาเน้นที่เรื่อง “กระฎุมพีในเศรษฐกิจ แบบส่งออก” นิธเิ ริม่ ต้นอธิบายให้เห็นภาพการเปลีย่ นแปลงด้านวรรณกรรมเปรียบเทียบระหว่าง สมัยอยุธยากับรัตนโกสินทร์ตอนต้นว่า วรรณกรรมสมัยอยุธยามีลกั ษณะวรรณกรรม สองชนชั้นคือ “วรรณกรรมราชสำ�นัก” ซึ่งมีหน้าที่ด้านพิธีกรรมเป็นส่วนใหญ่ กับ “วรรณกรรมไพร่” อันมีหน้าทีด่ า้ นบันเทิงอย่างเด่นชัด แต่วรรณกรรมในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มลี กั ษณะที ่ “วรรณกรรมราชสำ�นัก” ได้รบั เอาจารีตของวรรณกรรมประชาชน ไปใช้ในวรรณกรรมของชนชัน้ สูงเพิม่ มากขึน้ เช่น การเขียน “บทอัศจรรย์” ในขณะที่ ลักษณะวรรณกรรมราชสำ�นักได้ลดลักษณะพิธกี รรมลงและไม่ศกั ดิส์ ทิ ธิล์ ลี้ บั เท่าสมัย อยุธยา ส่วนในอีกด้านหนึง่ คือ “วรรณกรรมไพร่” มีการขยายตัวในลักษณะของ วรรณกรรมสำ�หรับอ่านเพื่อความบันเทิง ซึ่งขยายตัวไปมากในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ สมศักดิ์ชี้ว่านิธิตระหนักดีในความแพร่หลายของแนวคำ�อธิบายแบบ “ฉัตรทิพย์ และคณะ” ที่ว่าระบบเศรษฐกิจไทยก่อน ค.ศ. 1855 มีลักษณะแบบยังชีพ การค้าถึง จะมีกไ็ ม่มากและเป็นระบบผูกขาดโดยพระคลังสินค้า แต่ค�ำ อธิบายของนิธไิ ด้เน้นความ สำ�คัญของการค้าต่างประเทศในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ทเ่ี พิม่ ขึน้ ชัดเจน เนือ่ งจากรัฐสมัย ต้นรัตนโกสินทร์ตอ้ งเผชิญหน้ากับความเสือ่ มสลายของระบบควบคุมกำ�ลังคน รายได้ หลักของรัฐมาจากการค้าต่างประเทศ รัฐจึงเพิม่ ความต้องการเงินตราไว้เพือ่ นำ�ไปจ้าง แรงงานและหาซื้ออาวุธ นิธไิ ด้อา้ งหลักฐานจากบันทึกของชาวตะวันตกทีเ่ ดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ในสมัย ต้นรัตนโกสินทร์ และชีใ้ ห้เห็นถึงความคึกคักของการค้าไทย–จีน กรุงเทพฯ เป็นเมืองท่า ที่มีปริมาณการค้ามากเป็นอันดับที่สองรองจากเมือง กังตั๋งในจีน ทั้งนี้ไม่นับเมืองท่า ในเอเชียที่เป็นอาณานิคมของชาวตะวันตก ยิ่งไปกว่านั้น กรุงเทพฯ มีปริมาณการค้า มากกว่าการค้าสมัยอยุธยาอย่างชัดเจน และประเภทสินค้าก็เพิม่ ขึน้ จากสินค้าของป่า ขยายไปถึงสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมซึ่งต้องผ่านกระบวนการผลิตไม่มากก็น้อย


52

คราสและควินิน

หน้าปก ‘ปากไก่และใบเรือ’ พิมพ์ครั้งที่สี่ในปี พ.ศ. 2555

ทั้งสิ้น นอกจากนี้ลักษณะการจัดเก็บภาษีในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เปลี่ยนแปลงไปจาก การจัดเก็บภาษีทต่ี วั สินค้าเป็นการจัดเก็บภาษีทก่ี ระบวนการผลิตสินค้าผ่านระบบเจ้า­ ภาษีนายอากร จากการเปลีย่ นแปลงของการค้าต่างประเทศส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจ– สังคมตามมา โดยเฉพาะการอพยพเข้ามาของคนจีนซึ่งมีบทบาทสำ�คัญในเศรษฐกิจ การผลิตเพือ่ ส่งสินค้าออกทีเ่ ริม่ ก่อตัวขึน้ ก่อนการทำ�สนธิสญ ั ญาเบาว์รงิ ใน ค.ศ. 1855  ซึง่ เกิดควบคูไ่ ปกับการขยายตัวของเศรษฐกิจแบบเงินตราและวัฒนธรรมแบบกระฎุมพี กล่าวโดยสรุป สมศักดิเ์ ห็นว่า นิธยิ อมรับว่าการเปลีย่ นแปลงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ นัน้ มีขอบเขตจำ�กัดกว่ามาก ถ้าเปรียบเทียบกับขนาดของการเปลีย่ นแปลงในสมัยการ ปฏิรูปราชวงศ์จักรี แต่การวิเคราะห์และให้ความสำ�คัญกับพลวัตการเปลี่ยนแปลงใน สมัยต้นรัตนโกสินทร์นั้น ก็เป็นสิ่งสำ�คัญซึ่งได้มาจากความแตกต่างของมรรควิธีทาง ประวัตศิ าสตร์ของนิธิ อันมีความแตกต่างจากมรรควิธที างเศรษฐศาสตร์การเมืองของ ฉัตรทิพย์ กล่าวคือใน “ขณะที่ฉัตรทิพย์มุ่งที่จะศึกษา ‘วิถีการผลิต’ ที่สำ�คัญ และ ลักษณะทัว่ ไปของมัน ซึง่ ดำ�รงอยูต่ ลอดช่วงของประวัตศิ าสตร์หนึง่ นิธกิ ลับสนใจทีจ่ ะ


�����������������������������������������������

53

ศึกษาลักษณะพิเศษเฉพาะของประวัติศาสตร์ในส่วนที่ละเอียดลงไป”6 ถัดจากบทความของสมศักดิอ์ กี  23 ปีตอ่ มา คริส เบเกอร์ (Chris Baker) ซึง่ เป็น บรรณาธิการของหนังสือ ‘Pen & Sail’ หรือ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ในภาคภาษาอังกฤษ ซึ่งพิมพ์ในปี พ.ศ. 2548 ก็ได้กล่าวยกย่องนิธิใน “คำ�ตาม” ว่า หนังสือเล่มนี้ “ได้ สถาปนาให้นธิ  ิ เอียวศรีวงศ์ เป็นนักประวัตศิ าสตร์ทสี่ ร้างสรรค์ และได้รบั การยอมรับ อย่างมากที่สุดในนักประวัติศาสตร์รุ่นเดียวกัน...ผลงานที่รวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “วัฒนธรรมกระฎุมพีกับวรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์” “สุนทรภู่: มหากวีกระฎุมพี” และ “ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา” ได้สร้างชือ่ เสียงระดับรากฐานให้แก่นธิ ยิ ง่ิ กว่างานชิน้ ใด ๆ”7 หนังสือเล่มนีไ้ ด้พลิกมุมมอง เกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์ไทยทีไ่ ม่เพียงแต่ชว่ งเวลาในการศึกษาของหนังสือเล่มนีเ้ ท่านัน้ แต่วิธีวิทยาที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ได้เป็นการเปิดมุมมองในการศึกษาสังคมไทย ในมิติต่าง ๆ ที่มากกว่าประวัติศาสตร์ ในส่วนคำ�นำ�ของสำ�นักพิมพ์ฟา้ เดียวกันใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ (2555) ก็ได้กล่าว ไว้ตอนหนึ่งว่า “ปากไก่และใบเรือ: รวมความเรียงว่าด้วยวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ต้น รัตนโกสินทร์ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการจัดพิมพ์หนังสือชุดสยามพากษ์ ซึ่ง เราได้คัดเลือกหนังสือที่เห็นว่ามีความสำ�คัญในการศึกษาทำ�ความเข้าใจความ เปลีย่ นแปลงของสังคมการเมืองไทยในยุคสมัยนัน้  ๆ ขณะเดียวกันจุดร่วมของ หนังสือชุดนีค้ อื การท้าทายหรือหักล้างงานศึกษาก่อนหน้านัน้ ด้วยข้อมูลและ/ หรือกรอบทฤษฎี แน่นอนว่าไม่มีงานวิชาการชิ้นไหนที่ปราศจากจุดอ่อนให้ วิพากษ์หักล้าง ไม่เว้นแม้แต่งานที่เราได้คัดสรรมาจัดพิมพ์ แต่เราเชื่อว่า

วีระศักดิ ์ กีรติวรนันท์, “การอ่านและการวิจารณ์ ตัง้ คำ�ถามกับปากไก่และใบเรือ: ว่าด้วยการศึกษา ประวัติศาสตร์–วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์,” ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 6, ฉบับที่ 1 (มกราคม–มีนาคม 2551), หน้า 230–231. 7  คริส เบเกอร์, “ประวัติศาสตร์หลัง 6 ตุลา: การตอบรับของสังคมไทยต่อ ปากไก่และใบเรือของ นิธ ิ เอียวศรีวงศ์,” แปลโดย สายชล สัตยานุรกั ษ์ ฟ้าเดียวกัน ปีท ่ี 10, ฉบับที ่ 2 (กรกฎาคม–ธันวาคม 2555), หน้า 145. บทความนี้แปลจาก “Afterword” ใน Nidhi Eoseewong, Pen and Sail: Literature and History in Early Bangkok, edited by Chris Baker et al. ( Chiangmai, Thailand: Silkworm Books, 2005). 6


54

คราสและควินิน

หนังสือชุด “สยามพากษ์” นีเ้ ป็นงานที่ “ต้องอ่าน” ไม่วา่ จะเห็นพ้องต้องกัน ด้วยหรือไม่ก็ตาม”8 (เน้นโดยผู้เขียน) จากทีอ่ ธิบายมาทัง้ หมด เราจึงกล่าวได้วา่ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ถือเป็น ‘หลักหมาย’ หนึง่ ของวิชาไทยศึกษาซึง่ นักวิชาการด้านต่าง ๆ ทีส่ นใจศึกษาประวัตศิ าสตร์และวรรณกรรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์ แทบทุกคนจะต้องมีการอ้างอิงถึง ไม่วา่ เขาจะเห็นด้วยกับ งานชิ้นนี้ของนิธิมากน้อยเพียงใดก็ตาม คำ�วิจารณ์ของกุลลดา เกษบุญชู มี้ด และเก่งกิจ กิติเรียงลาภ9

ในบทความ “การถกเถียงเรื่องการเปลี่ยนผ่านและรัฐไทย: บทสำ�รวจ (Transition Debates and The Thai State: An Observation (2013)” ของกุลลดา เกษบุญชู มี้ด และเก่งกิจ กิตเิ รียงลาภ ทัง้ สองได้ตงั้ ข้อสังเกตว่า หลังจากทีส่ มศักดิ ์ เจียมธีรสกุล ได้ เขียนยกย่องนิธิผ่านไปแล้วกว่า 24 ปี แต่กลับมีงานเขียนที่มีบทสนทนากับความคิด และข้อเสนอของนิธใิ น ‘ปากไก่และใบเรือ’ น้อยมาก หรือแทบจะไม่มงี านเขียนชิน้ สำ�คัญ ชิน้ ใดเลย นอกจากงานของสมศักดิ ์ เจียมธีรสกุล ทีส่ มควรต้องได้รบั การประเมินใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทที่ต่อมาถูกนำ�มาพิมพ์ เป็นหนังสือของสายชล สัตยานุรักษ์ และอรรถจักร สัตยานุรักษ์ ลูกศิษย์คนสำ�คัญ ของนิธแิ ล้ว ก็ไม่ปรากฏงานเขียนทางประวัตศิ าสตร์ชนิ้ สำ�คัญชิน้ ใดทีส่ านต่อข้อเสนอ หรือมรรควิธีที่นิธิได้บุกเบิกไว้ใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ อีกแม้แต่ชิ้นเดียว ตามที่คริส  เบเกอร์ ได้ตงั้ ข้อสังเกตในปี พ.ศ. 2005 ต่อนิธแิ ละ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ว่า “มันไม่มี งานวิจารณ์ทางวิชาการต่อ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ตัง้ แต่ทพี่ มิ พ์ออกเป็นหนังสือ และ ไม่มีความพยายามที่จะวิจารณ์งานทางประวัติศาสตร์ของนิธิในภาพรวม10 นิธิ เอียวศรีวงศ์, ปากไก่และใบเรือ, พิมพ์ครั้งที่ 4 (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2555), หน้า 11 Kullada Kesboonchoo–Mead and Kengkij Kitirianglarp, “Transition Debates and the Thai State: An Observation,” in Essays on Thailand’s Economy and Society for Professor Chatthip Nartsupha at 72, Pasuk Phongpaichit and Chris Baker, Editor., (Bangkok, Sangsan, 2013), pp. 91–118 10  “there has been no academic review of Pen and Sail since it appeared in book form, and there has been no general attempt to review Nidhi’s historical work as a 8

9


�����������������������������������������������

55

จวบจนปัจจุบนั ไม่มงี านเขียนเชิงวิพากษ์ชน้ิ สำ�คัญทีม่ ตี อ่ นิธแิ ละ ‘ปากไก่และใบเรือ’ หรือหากจะมีอยู่ก็เพียง 2–3 ชิ้น คือ 1) งานของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล11 ในปี พ.ศ.  2525 2) งานวิทยานิพนธ์ปริญญาโท สาขาประวัติศาสตร์ ของทวีศักดิ์ เผือกสม12 ในปี 2540 และ 3) งานเขียนของคริส เบเกอร์13 ในปี พ.ศ. 2005 ซึง่ เขียนขึน้ ในช่วง ระยะเวลาที่ห่างกันกว่า 15 ปี และ 9 ปี ตามลำ�ดับ ความย้อนแย้งดังกล่าวทำ�ให้ กุลลดาและเก่งกิจสรุปว่า ความสำ�เร็จของนิธ ิ เอียวศรีวงศ์ ในปัจจุบนั ไม่ได้มที มี่ าจาก นิธิที่เป็นนักประวัติศาสตร์ ซึ่งอยู่ในงานประวัติศาสตร์ชิ้นหลัก ๆ ของเขา แต่ความ สำ�เร็จของนิธิในปัจจุบันกลับเป็นนิธิที่เป็นปัญญาชนสาธารณะ ซึ่งผู้คนรู้จักเขาผ่าน คอลัมน์ของหนังสือพิมพ์รายวันและรายสัปดาห์มากกว่า จากนั้นกุลลดาและเก่งกิจก็ได้เปรียบเทียบความต่างและความเหมือนของสำ�นัก ฉัตรทิพย์และสำ�นักนิธิ ใน 4 ประเด็นสำ�คัญ14 ประเด็นแรก ในขณะที่ฉัตรทิพย์มองว่าสังคมเศรษฐกิจไทยก่อนการเข้ามาของ เบาว์รงิ เป็นเศรษฐกิจแบบพอยังชีพ โดยเกีย่ วพันกับระบบเศรษฐกิจภายนอกน้อยมาก15 นิธกิ ลับชีใ้ ห้เห็นอย่างน่าสนใจว่า เศรษฐกิจสยามต้นรัตนโกสินทร์ตา่ งจากสมัยอยุธยา อย่างสิน้ เชิง คือ ระบบเศรษฐกิจของสยามเข้าไปเกีย่ วพันกับระบบเศรษฐกิจของเอเชีย­ ตะวันออกเฉียงใต้และจีนอย่างมาก ซึ่งการค้ากับต่างประเทศดังกล่าวส่งผลสะเทือน ต่อผู้คนในแทบทุกระดับของสยามต้นรัตนโกสินทร์16 กล่าวอีกอย่างก็คือ ในขณะที่ ฉัตรทิพย์มองว่า ก่อนหน้าเบาว์รงิ สังคมสยามมีลกั ษณะปิด หยุดนิง่ ไม่เปลีย่ นแปลง whole.” Chris Baker, “Afterword,” in Nidhi Eoseewong, Pen & Sail: Literature and History in Early Bangkok (Chiangmai: Silkworm Books, 2005), p. 374.

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. “สังคมไทย จากศักดินาสู่ทุนนิยม.” วารสารธรรมศาสตร์. ปีที่ 11, ฉบับ ที่ 2 (มิถุนายน 2525): หน้า 128–164 12  ทวีศกั ดิ ์ เผือกสม, “การปรับตัวทางความรู้ ความจริง และอำ�นาจของชนชัน้ นำ�สยาม พ.ศ. 2325– 2411,” วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาประวัติศาสตร์, ภาควิชา ประวัติศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2540 13  Chris Baker, “Afterword,” in Nidhi Eoseewong, Pen & Sail: Literature and History in Early Bangkok (Chiangmai: Silkworm Books, 2005), pp. 360–87. 14  Kullada Kesboonchoo–Mead and Kengkij Kitirianglarp, “Transition Debates and the Thai State: An Observation,” pp. 94–95 15  ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และคณะ, ประวัตศิ าสตร์เศรษฐกิจและสังคม (กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์, 2527), หน้า 330. 16  Nidhi Eoseewong, Pen & Sail: Literature and History in Early Bangkok (Chiangmai: Silkworm Books, 2005), p. 65. 11


56

คราสและควินิน

แต่นธิ กิ ลับเสนอตรงกันข้ามว่า สังคมสยามโดยเฉพาะต้นรัตนโกสินทร์เป็นสังคมเปิด มีพลวัตและความเปลี่ยนแปลงอย่างสำ�คัญเกิดขึ้น ประเด็นที่สอง ในขณะที่ฉัตรทิพย์เสนอว่า ชนชั้นนำ�ในสังคมสยามมีลักษณะ ไม่เปลีย่ นแปลงไปจากสังคมอยุธยาคือ เป็นชนชัน้ ศักดินาทีข่ ดู รีดจากการเป็นเจ้าของ ทีด่ นิ และต้องรอการเข้ามาของเบาว์รงิ จึงจะเกิดชนชัน้ กระฎุมพีขนึ้ แต่นธิ กิ ลับชีว้ า่ ​ การขยายตัวของการค้าในต้นรัตนโกสินทร์มผี ลสำ�คัญให้เกิดชนชัน้ กระฎุมพีขนึ้ เป็น ครัง้ แรก โดยเฉพาะการที ่ “ชนชัน้ สูงในต้นรัตนโกสินทร์เป็นคนทีม่ รี ากมาจากแวดวง การค้าและการเป็นขุนนาง จึงอยูใ่ นฐานะทีพ่ ร้อมจะเปลีย่ นวิธถี อื ประโยชน์จากการค้า ต่างประเทศซึ่งกำ�ลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างกระฉับกระเฉง เพราะไม่ผูกมัดด้วยจารีต ประเพณีและแบบปฏิบตั ทิ ม่ี มี า”17 ส่วนกระฎุมพีอกี พวกคือ พ่อค้าจีน ซึง่ “มิใช่การค้า ของพ่อค้าอิสระ แต่เป็นพ่อค้าที่พร้อมจะสมยอมต่อระบอบศักดินา และพร้อมจะถูก ดูดซึมเข้าไปในระบบนั้นเพื่อถือประโยชน์จากระบบให้แก่การค้าของตน การค้าต่าง ประเทศซึ่งเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างมากในต้นรัตนโกสินทร์นี้จึงแทนที่จะก่อให้เกิดชนชั้น ใหม่ที่เป็นอิสระจากระบบศักดินา กลับไม่ก่อให้เกิดอะไรขึ้น แต่มีผลทำ�ให้ชนชั้นนำ� ในระบบศักดินาเปลี่ยนแปลงลักษณะตนเองไปเป็นกระฎุมพีมากขึ้น”18 ประเด็นที่สาม ไม่ว่านิธิและฉัตรทิพย์จะเห็นต่างในแง่ของช่วงเวลากำ�เนิดของ ชนชั้นกระฎุมพีอย่างใดก็ตาม แต่ทั้งสองคนกลับได้ข้อสรุปอย่างเดียวกัน คือ สังคม สยาม (แม้ภายหลังการเข้ามาของเบาว์รงิ ก็ตาม) ไม่มชี นชัน้ กระฎุมพีทเี่ ป็นอิสระจาก ระบบศักดินา ชนชั้นกระฎุมพีของไทยผูกพันและเป็นส่วนหนึ่งของระบบศักดินา ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มระบบศักดินาแบบที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตก19 และประเด็นที่สุดท้าย ในขณะที่นิธิจำ�กัดตัวอยู่ที่การอธิบายเฉพาะช่วงต้นรัตนโกสินทร์ว่าสังคมไทยในช่วงนี้ “ไม่อาจจัดได้ว่าเป็นเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แม้ว่ามี ลักษณะบางอย่างที่คล้ายกับเศรษฐกิจแบบทุนนิยมก็ตาม... จุดเริ่มต้นหรือพื้นฐาน สำ�คัญของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในประเทศไทยได้ก�ำ เนิดขึน้ แล้วในสมัยนี้ อันจะเป็น ปัจจัยที่มีส่วนช่วยกำ�หนดพัฒนาการของเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งจะเฟื่องฟูขึ้นหลัง Ibid., p. 66. Ibid., p. 76. 19  Ibid., pp. 77, 100–101.; ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และคณะ, ประวัตศ ิ าสตร์เศรษฐกิจและสังคม, หน้า ​ 341–3; Chatthip Nartsupa and Somphop Manarungsan, “Introduction,” in Chatthip Nartsupha and Somphop Manarungsan editors, Prawatsat settakit thai chon teung 2484 [Thai economic history until 1941] (Bangkok: Thammasat University Press, 1984), p. 5. 17

18


�����������������������������������������������

57

สนธิสญ ั ญาเบาว์รงิ ”20 ฉัตรทิพย์กลับเสนอแบบทัว่ ไป ครอบคลุมช่วงเวลาหลังจากนัน้ ว่า “จนถึง พ.ศ. 2484 วิถกี ารผลิตศักดินายังคงดำ�รงอยูใ่ นสังคมไทยเป็นวิถกี ารผลิต หลัก และสังคมเศรษฐกิจที่ปรากฏเป็นสังคมเศรษฐกิจศักดินาโดยพื้นฐาน ทุนนิยม เป็นส่วนที่เข้ามาผสมปรากฏเป็นส่วนรอง มีอิทธิพลในด้านการค้ากับต่างประเทศใน การผลิตเป็นส่วนใหญ่ โครงสร้างชนชั้นและความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นส่วนสำ�คัญ รัฐและวัฒนธรรม ยังคงเป็นลักษณะศักดินานิยม”21 แม้วา่ กุลลดาและเก่งกิจจะยอมรับว่างานของนิธจิ ะชีใ้ ห้เห็นพลวัตของสังคมไทย ยุคต้นรัตนโกสินทร์ได้อย่างค้านได้ยาก ซึง่ ทำ�ให้ขอ้ เสนอของฉัตรทิพย์สญ ู เสียความ หนักแน่นลงไปอย่างไม่มวี นั ฟืน้ กลับมาได้อกี แต่ทงั้ สองก็ได้วจิ ารณ์วา่ นิธแิ ทบไม่มี ข้อเสนอในการวิเคราะห์ลกั ษณะสังคมไทยร่วมสมัยอย่างเป็นระบบอีกหลังจากงาน ‘ปากไก่และใบเรือ’ เนือ่ งจากมีงาน 2–3 ชิน้ ทีน่ ธิ พิ ยายามชีใ้ ห้เห็นลักษณะของชนชัน้ กระฎุมพีไทยร่วมสมัย หนึง่ ในนัน้ คือ บทความชิน้ เล็ก ๆ เกีย่ วกับวัฒนธรรมชนชัน้ กลาง ไทย และลัทธิพิธีเสด็จพ่อ ร.522 ที่ขยับขยายการวิเคราะห์จากการจำ�กัดเฉพาะต้น รัตนโกสินทร์มาเป็นข้อสรุปทั่วไป เกี่ยวกับชนชั้นกระฎุมพีไทย โดยชนชั้นกระฎุมพี ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์กบั ชนชัน้ กระฎุมพีปจั จุบนั มีลกั ษณะร่วมกันทีส่ �ำ คัญคือ การ ยอมรับและยึดโยงตนเองอยูภ่ ายใต้รากฐานทางภูมปิ ญ ั ญา/วิธกี ารมองโลกแบบศักดินา มากกว่าที่จะสร้างรากฐานทางภูมิปัญญาของชนชั้นตนเองขึ้นมา อย่างไรก็ตามคริส เบเกอร์ ก็ได้วิจารณ์กรอบการวิเคราะห์ในลักษณะดังกล่าวว่า นิธไิ ด้แต่อธิบายซาํ้  ๆ ถึงความต่อเนือ่ งระหว่างชนชัน้ กระฎุมพีในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ (ซึ่งเป็นพวกชนชั้นสูง) มาจนถึงกระฎุมพีในยุคปัจจุบัน23 Nidhi Eoseewong, Pen & Sail: Literature and History in Early Bangkok, p. 114. Chatthip and Somphop, “Introduction,” Prawatsat settakit thai chon teung 2484 [Thai economic history until 1941], p. 8. 22  Nidhi Eoseewong, “Wattanatam kong chonchan klang thai” [Culture of Thai middle class] in Pasuk Phongpaichit and Rungsit Piriyarungsan eds., Chonchan klang bon krasae prachatippatai [ Thai middle class in Democratization] ( Bangkok: Political Economy Studies Center, Chulalongkorn University, 1993), pp. 60–65.; ลัทธิพิธีเสด็จ พ่อ ร.5 (Bangkok: Silpawattanatham, 1993) 23  “It repeatedly emphasized the continuities between the bourgeoisie of the early Bangkok era (meaning, mainly the court) and the bourgeoisie of the present day.” Chris Baker, “Afterword,” in Nidhi Eoseewong, Pen & Sail: Literature and History in Early Bangkok, p. 370. 20  21


58

คราสและควินิน

กุลลดาและเก่งกิจจึงตั้งคำ�ถามต่อกรอบการวิเคราะห์ของนิธิว่า จริงหรือที่ชนชั้น กระฎุมพีไทยไม่มคี วามเปลีย่ นแปลงอย่างมีนยั ยะสำ�คัญเลยตลอดกว่า 200 ปี หาก เป็นเช่นนัน้ จริง เราจะอธิบายบทบาทของคณะราษฎรทีล่ กุ ขึน้ มาท้าทายระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และขบวนการ เสือ้ แดงในปัจจุบนั ได้อย่างไร หลังจากนัน้ ทัง้ คูก่ ส็ รุปว่า ปัญหาหลักมาจากการที ่ แม้วา่ นิธิจะชี้ว่ามีพลวัตอย่างมหาศาลในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ แต่เมื่อนิธิพูดถึงสังคมไทย ร่วมสมัย โดยเฉพาะสถานะของชนชัน้ กระฎุมพีไทยแล้ว นิธกิ ลับมองไม่เห็นพลวัต หรือความเปลี่ยนแปลงของชนชั้นกระฎุมพีในประวัติศาสตร์แต่อย่างใด ปัญหาของนิธิก็คือ ไม่สามารถชี้ให้เห็นได้ว่าการเกิดขึ้นของชนชั้นกระฎุมพีใน ช่วงปลายอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์มนั เปลีย่ นแปลงไปหรือหายไป “หลัง” จาก ที่เบาว์ริงเข้ามาอย่างไร ข้อสรุปของนิธิจึงไม่ต่างจากฉัตรทิพย์คือ ต้องรอให้เบาว์ริง เข้ามาก่อน รัฐสยามจึงจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ แต่ก็เป็นสมัยใหม่ที่ ไม่ได้แตกหักกับระบบศักดินา ซึง่ ก็ไม่สามารถบอกได้วา่ รัฐในช่วงเวลาดังกล่าวมีลกั ษณะ อย่างไร และสัมพันธ์กับพลังทางสังคมต่าง ๆ โดยเฉพาะชนชั้นกระฎุมพีที่ถือกำ�เนิด ขึ้นมาตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์อย่างไร24 ในส่วน “กระฎุมพีและความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย (The Bourgeoisie and Changes in Thai Society)” เก่งกิจและกุลลดาแสดงความไม่เห็นด้วยบางส่วนกับนิธิ ทีเ่ สนอว่า ชนชัน้ กระฎุมพีประกอบไปด้วยชนชัน้ ขุนนางและพ่อค้าชาวจีนได้ถอื กำ�เนิด ขึ้นในต้นรัตนโกสินทร์ ทั้งสองเห็นว่าชนชั้นขุนนางดังกล่าวไม่อาจจัดเป็นชนชั้น กระฎุมพีได้ ถึงแม้ขุนนางบางคนได้มีส่วนร่วมกับกิจการการค้ากับจีน แต่พวกเขาก็ ไม่ได้สลัดทิ้งเอกลักษณ์ทางประเพณีของชนชั้นศักดินา พร้อมกับเปลี่ยนเอกลักษณ์ ใหม่มาเป็นชนชัน้ กระฎุมพีไป พวกขุนนางเหล่านีย้ งั มีความพอใจกับผลประโยชน์ทเี่ ขา ได้จากสถานะเดิมในระดับศักดินาอยู่ อย่างไรก็ตามทัง้ สองก็ยอมรับว่าพ่อค้าชาวจีน ในตอนนัน้ ถือได้วา่ เป็นชนชัน้ กระฎุมพีกลุม่ แรกในสังคมสยาม แต่กไ็ ม่ได้เป็นชนชัน้ ทีเ่ ป็นอิสระจากระบบศักดินา ส่งผลให้บคุ คลเหล่านีไ้ ม่ใช่พลังสำ�คัญในการเปลีย่ นแปลง อำ�นาจรัฐในเวลาต่อมา25

Kullada Kesboonchoo–Mead and Kengkij Kitirianglarp, “Transition Debates and the Thai State: An Observation,” pp. 96–97 25  Ibid., p. 112 24


�����������������������������������������������

59

คำ�วิจารณ์ของสุมาลี วีระวงศ์

หลักฐานทีน่ ธิ ใิ ช้ ในการอธิบายการก่อตัวของโลกทัศน์กระฎุมพีของชนชัน้ นำ�ไทยใน สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ส่วนใหญ่มาจากการตีความทางวรรณกรรม อย่างเช่นงานของ สุนทรภู่ หรือหนังสือนางนพมาศ เป็นต้น โดยนักวิชาการทีท่ �ำ งานด้านประวัตศิ าสตร์ ก็มักจะยอมรับในการตีความของนิธิ อย่างเช่นที่สมศักดิ์วิจารณ์ว่า“สุนทรภู่: มหากวี กระฎุมพี” (2524) ทำ�ให้เห็นว่านิธไิ ด้เชือ่ มโยงการเปลีย่ นแปลงด้านวรรณกรรมเข้ากับ การเปลีย่ นแปลงด้านเศรษฐกิจได้อย่างยอดเยีย่ ม ทัง้  ๆ ทีก่ ารตีความของนิธโิ ดยเฉพาะ ใน ‘วัฒนธรรมกระฎุมพีกบั วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์’ ได้รบั การโต้แย้งจากนักวิชาการ ด้านวรรณคดีศกึ ษาของบ้านเรา ไม่วา่ จะเป็นสุมาลี วีระวงศ์26 และดวงมน จิตร์จ�ำ นงค์27 เป็นต้น ใน “บทความปริทัศน์ ข้อคิดเนื่องจากบทความเรื่อง ‘วัฒนธรรมกระฎุมพีกับ วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์’ ของนิธ ิ เอียวศรีวงศ์” ซึง่ ตีพมิ พ์ในวารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 ในปี พ.ศ. 2525 สุมาลีได้ปฏิเสธข้อความที่ เธอเรียกว่าความคิดรวบยอดของนิธคิ อื “ยุคปฏิรปู ในพุทธศตวรรษที ่ 25 นัน้ ‘มีความ สืบเนือ่ งกับยุคต้นรัตนโกสินทร์ยงิ่ กว่ายุคต้นรัตนโกสินทร์มคี วามสืบเนือ่ งกับอยุธยา’” ซึ่งสุมาลีเห็นว่าทำ�ให้ “การวิเคราะห์วรรณกรรม...ถูกจำ�กัดด้วยความคิดรวบยอดนี้ ไปด้วย... มีหลายตอนทีส่ งั เกตได้วา่ มีลกั ษณะเป็นการเลือกอ้างข้อมูลจากวรรณกรรม ต่าง ๆ มาใช้เพียงเพือ่ สนับสนุนแนวความคิดของผูเ้ ขียน โดยมิได้พจิ ารณาวรรณกรรม ชิน้ นัน้  ๆ อย่างรอบด้าน และยุตธิ รรมเพียงพอ ประกอบกับมิได้ตดิ ตามศึกษาวิจยั ทาง ประวัตแิ ละลักษณะวรรณกรรมไทยให้ทว่ั ถึง ข้อมูลทีอ่ า้ งจึงมีหลายตอนที.่ ..ผิดพลาด... ไปอย่างน่าเสียดายยิ่งนัก”28 (เน้นโดยผู้เขียน) สุมาลีปฏิเสธการแยกวรรณกรรมเป็นสองประเภทของนิธิ คือวรรณกรรมไพร่กับ วรรณกรรมของชนชั้นมูลนาย โดยให้เหตุผลว่า “แม้ว่าวิถีชีวิตจะต่างกัน แต่สภาพ สุมาลี วีระวงศ์. “ข้อคิดเนือ่ งจากบทความเรือ่ ง ‘วัฒนธรรมกระฎุมพีกบั วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์’ ของนิธิ เอียวศรีวงศ์.” วารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. ปีที่ 5, ฉบับที่ 2 (2525): 113–125. 27  ดวงมน จิตร์จ�ำ นงค์. คุณค่าและลักษณะเด่นของวรรณคดีไทยสมัยต้นรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ: สำ�นักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2540), หน้า 61–62 28  สุมาลี วีระวงศ์. “ข้อคิดเนือ่ งจากบทความเรือ่ ง ‘วัฒนธรรมกระฎุมพีกบั วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์’ ของนิธิ เอียวศรีวงศ์.”: 113–125. 26


60

คราสและควินิน

แวดล้อมของคนทัง้ สองกลุม่ นัน้ (หมายถึงไพร่กบั มูลนาย) เป็นสภาพเดียวกัน สังคม ที่บรรยายไว้ในพงศาวดารเหนือก็ไม่แปลกไปจากที่พรรณนาไว้ในลิลิตพระลอนัก จะ ต่างกันก็ด้วยมุมมองผู้ประพันธ์” การวิเคราะห์การใช้ฉันทลักษณ์ที่แตกต่างกันในวรรณกรรมสองชนชั้นของนิธิ ที่ อธิบายว่ามีแต่วรรณกรรมแบบมูลนายที่รับฉันทลักษณ์แบบวรรณกรรมไพร่มาใช้ ตัวอย่างคือกลอน ซึ่งเป็นฉันทลักษณ์ของวรรณกรรมไพร่ แต่มูลนายรับมาพัฒนาใน ช่วงอยุธยาตอนปลาย ในขณะที่วรรณกรรมไพร่ไม่ได้รับฉันทลักษณ์วรรณกรรมแบบ มูลนายมาใช้ แต่สมุ าลีแย้งว่า “บทสูข่ วัญแต่งงาน หรือทำ�ขวัญนาค ซึง่ นิธคิ งกำ�หนดเป็นวรรณกรรมไพร่นั้น ใช้ฉันทลักษณ์แบบร่ายยาวโดยตลอด บทพากย์หนังแบบโบราณที่เห็น เค้าในบทเบิกโรงสมุทรโฆษคำ�ฉันท์กใ็ ช้ฉนั ทลักษณ์แบบกาพย์ฉบังเป็นหลัก และศัพท์ ทีใ่ ช้นนั้ ก็อา่ นเข้าใจง่ายโดยตลอด บทหนัง บทมโหรีและขับไม้ตา่ ง ๆ เป็นเครือ่ งบันเทิง ของทั้งไพร่และมูลนายได้เสมอกัน ปฏิสัมพันธ์เชิงฉันทลักษณ์จึงน่าจะมีอยู่ตั้งแต่ ต้นมา ในลักษณะซึ่งกันและกันมากกว่าจากฝ่ายเดียว” สุมาลียังได้โต้แย้งการวิเคราะห์วรรณกรรมของนิธิอีกหลายประเด็น เช่น (1) นิธิอธิบายว่า ประณามพจน์เป็นลักษณะศักดิ์สิทธิ์แบบพิธีกรรมที่ถือเคร่งใน สมัยอยุธยา แต่มาเสือ่ มคลายในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ แต่สมุ าลีเห็นว่าหน้าที่ ของประณามพจน์ คือคำ�ไหว้ครู ขอพร เป็นจารีตของไพร่ผดู้ เี สมอกัน ดังนัน้ การเห็นคุณค่าของวรรณกรรมโดยไม่เกีย่ วกับพิธกี รรมไม่ได้เกิดขึน้ ในสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว (2) นิธิอธิบายจุดเด่นของวรรณกรรมไพร่เรื่องหนึ่งคือ บทอัศจรรย์ และสุมาลี ยอมรับว่า บทอัศจรรย์ในวรรณกรรมไพร่อาจเด่นชัดกว่าวรรณกรรมราชสำ�นัก ด้วยข้อจำ�กัดในเรื่องความสุภาพของภาษาและขนบธรรมเนียม แต่วรรณกรรมราชสำ�นักก็มีบทอัศจรรย์เช่นกัน (3) นิธิอธิบายว่าวรรณกรรมไพร่มีหน้าที่ในการสร้างความบันเทิงแตกต่างจาก วรรณกรรมของมูลนายมีหน้าทีท่ างพิธกี รรม แต่สมุ าลีแย้งว่าหน้าทีข่ องวรรณกรรมไม่ได้มแี ค่วรรณกรรมไพร่ทส่ี ร้างความบันเทิง กับวรรณกรรมของมูลนาย ที่มีหน้าที่เชิงพิธีกรรม แต่หน้าที่ของวรรณกรรมและงานเขียนทุกเรื่องขึ้น อยู่กับจุดประสงค์ของผู้แต่งซึ่งมีหลากหลายกว่าที่นิธิระบุไว้ (4) สมุ าลีเสนอว่าวัฒนธรรมทางวรรณกรรมสมัยต้นรัตนโกสินทร์ไม่ได้เกิดขึน้ เองโดยปราศจากความเกี่ยวพันกับช่วงอยุธยาตอนปลาย และรากเหง้าที่ หยั่งลึกลงไปในอดีต


�����������������������������������������������

61

(5) ส มุ าลีวจิ ารณ์วา่ นิธไิ ม่ได้ศกึ ษาพัฒนาการของมหรสพอย่างเป็นกลาง และไม่ พยายามยอมรับว่ามหรสพต่าง ๆ เป็นสมบัตริ ว่ มระหว่างคนในระดับต่าง ๆ ของ สังคม (6) สมุ าลีสรุปว่าวรรณกรรมไทยนับตัง้ แต่สมัยอยุธยาตอนต้นทีไ่ ม่มจี ดุ ประสงค์ เพื่อพิธีกรรม แต่ล้วนมีเพื่อความบันเทิงทั้งสิ้น ไม่ใช่พึ่งเริ่มมีวรรณกรรม เพือ่ ความบันเทิงในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยสุมาลีเชือ่ ว่าวรรณกรรมอยุธยา ที่เรารู้จักกัน มีน้อยกว่าที่เคยมีอยู่จริงในสมัยอยุธยาอยู่มาก แต่ไม่มีการ ตกทอดมาถึงสมัยหลัง29 อนึ่งถ้าภาพการเปลี่ยนแปลงด้านวรรณกรรมเปรียบเทียบระหว่างสมัยอยุธยากับ รัตนโกสินทร์ตอนต้นตามที่นิธิเสนอในบทความ ‘วัฒนธรรมกระฎุมพีกับวรรณกรรม ต้นรัตนโกสินทร์’ มีความไม่ถูกต้องตามคำ�วิจารณ์ของสุมาลี ก็จะทำ�ให้ข้อเสนอของ นิธใิ นเรือ่ ง “กระฎุมพีในเศรษฐกิจแบบส่งออก” พลอยได้รบั ผลกระทบกระเทือนตาม ไปด้วย ประวัติศาสตร์กับวรรณกรรม

นอกจากข้อโต้แย้งจากนักวิชาการด้านวรรณกรรมศึกษาแล้ว ประเด็นสำ�คัญอีกเรื่อง ที่นักประวัติศาสตร์ซึ่งนำ�เอาข้อสรุปของ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ไปใช้ มักไม่ค่อยได้ พิจารณาถึง ก็คือความแตกต่างระหว่างประวัติศาสตร์และวรรณกรรม กล่าวคือ ประวัตศิ าสตร์และวรรณกรรมมีความแตกต่างกันในด้านวิธกี าร หลักวิชา และจุด­ ประสงค์ในการศึกษา กล่าวคือ วรรณกรรมเป็นศิลปะทีม่ งุ่ เน้นในการแสดงอารมณ์ ความรูส้ กึ จินตนาการและความงดงามของภาษา เมือ่ มีการบันทึกเหตุการณ์ในอดีต จึงมักมีการสอดแทรกอารมณ์ ความรูส้ กึ นาํ้ เสียง และทัศนคติของตนลงไปในเนือ้ หา ด้วย หรือแม้แต่การเพิม่ เติมข้อมูลบางส่วนทีม่ ไิ ด้ปรากฏว่าเกิดขึน้ จริง เพือ่ สร้างสีสนั และอรรถรสในการอ่าน วรรณกรรมจึงมิได้มุ่งเน้นที่ข้อเท็จจริง

สรุปจาก วีระศักดิ์ กีรติวรนันท์, “การอ่านและการวิจารณ์ ตั้งคำ�ถามกับปากไก่และใบเรือ: ว่า ด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์–วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์,” หน้า 230–231.

29


62

คราสและควินิน

ในขณะที่ประวัติศาสตร์เป็นการรวบรวมข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงจากกระบวนการ สืบสวน ค้นคว้า วิจยั พิจารณา วินจิ ฉัย และตีความตามระเบียบวิธวี ทิ ยาศาสตร์ โดย ไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก เมื่อมองในแง่นี้ประวัติศาสตร์จึงมีความแตกต่าง จากวรรณคดี อันทีจ่ ริงแล้ว วรรณกรรมอาจเป็นแหล่งข้อมูลทีส่ �ำ คัญให้กบั นักประวัตศิ าสตร์ได้ และนักประวัตศิ าสตร์อย่าง สุเนตร ชุตนิ ธรานนท์ ก็สามารถนำ�เนือ้ หาในวรรณกรรม มาอธิบายประวัติศาสตร์ทางภูมิปัญญาของไทยได้อย่างลึกซึ้ง30 อย่างไรก็ตามเรา ไม่อาจใช้ข้อมูลจากวรรณกรรมแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อนำ�มาตีความอย่างที่นิธิได้ทำ� ใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ คำ�อธิบายเรื่องชนชั้นกระฎุมพีของนิธิ (ถ้าชนชั้นนี้มีอยู่จริง) นอกจากการใช้หลักฐานทางวรรณกรรมมาสนับสนุนแล้ว ยังจำ�เป็นต้องใช้ข้อมูลจาก แหล่งอืน่ มาประกอบด้วย ไม่วา่ จะเป็นหลักฐานทีแ่ สดงถึงความสัมพันธ์ทางครอบครัว การบริโภค การใช้จา่ ย ความเป็นอยู่ บทบาทของสตรี การเลีย้ งดูบตุ ร การศึกษาของ บุตรธิดา ความสนใจหรือรสนิยมในศิลปะ ความเชือ่ ทางศาสนา ฯลฯ ของคนในชนชัน้ กระฎุมพีดังกล่าว ธเนศ วงศ์ยานนาวาได้กล่าวถึงแนวคิดของเยอร์เก้น ค็อกค้า (Jurgen Kocka) นักประวัตศิ าสตร์ชาวเยอรมัน ทีใ่ ห้ความสำ�คัญต่อสถาบันครอบครัวต่อการสร้างชนชัน้ กระฎุมพีในทวีปยุโรปว่า “สถาบันครอบครัวเป็นหนึง่ ในสถาบันสำ�คัญของชนชัน้ กลาง ทัง้ นีอ้ ย่างน้อย ๆ  ชนชั้นตํ่าหรือกรรมกรก็ไม่สามารถที่จะมีทรัพยากรทางวัตถุและวัฒนธรรม ตลอดจนความมัน่ คงมากพอทีจ่ ะจรรโลงคุณค่าต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่วา่ นัน่ จะเป็น​ การมีสาวใช้ หรือผูห้ ญิงในฐานะแม่ทจี่ ะต้องไม่ท�ำ งานนอกบ้าน แม่จงึ สามารถ ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับการเลี้ยงดูลูกที่ดำ�เนินไปตามแนวคิดเรื่องการเลี้ยงดูลูก ด้วยตนเอง อันเป็นความคิดทีเ่ กิดขึน้ ในศตวรรษที ่ 18 ในฐานะเครือ่ งมือในการ โจมตีชนชัน้ สูง แม้วา่ ชนชัน้ สูงจะมีคนรับใช้ ไว้เลีย้ งดูลกู ตามแนวทางของชนชัน้ สูง ที่ไม่นิยมเลี้ยงลูกด้วยตนเองหรือแม้กระทั่งทำ�กับข้าวเองก็ตาม ทั้งนี้แม่หรือ ผูห้ ญิงในสถาบันครอบครัวเท่านัน้ ทีถ่ อื ว่ามีความสำ�คัญในการสร้างและถ่ายทอด

ดู สุเนตร ชุตินธรานนท์, พม่ารบไทย: ว่าด้วยการสงครามระหว่างไทยกับพม่า, พิมพ์ครั้งที่ 11 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2555). หรือดู สุเนตร ชุตินธรานนท์, บุเรงนอง (กะยอดินนรธา): กษัตริย์ พม่าในโลกทัศน์ ไทย, พิมพ์ครั้งที่ 3 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2548).

30


�����������������������������������������������

63

ทุนทางวัฒนธรรมทางชนชั้นให้กับลูก ๆ ได้ การถ่ายทอดทุนทางวัฒนธรรม เหล่านี้ จึงไม่สมควรทีจ่ ะให้สาวใช้ทม่ี าจากชนชัน้ ตํา่ หรือชาวนาเป็นตัวถ่ายทอด”31 อนึ่งเราไม่จำ�เป็นต้องใช้ปัจจัยเรื่องสถาบันครอบครัวแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อมา อธิบายการเกิดขึ้นของชนชั้นกระฎุมพีในประเทศไทยเหมือนกับที่ค็อกค้าได้ทำ�ไว้ แต่ เราจำ�เป็นต้องใช้ปัจจัยทางสังคมบางประการมาอธิบายการเกิดขึ้นหรือการล่มสลาย ของชนชัน้ กระฎุมพีของไทย (เช่น มองจาก “ชีวติ ด้านวัตถุ” การบริโภค หรือความเชือ่ ทางศาสนา เป็นต้น) ซึ่งทำ�ให้ชนชั้นกระฎุมพีนี้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำ�คัญกับ ชนชั้นอื่น ๆ กล่าวสั้น ๆ ได้ว่าเราต้องมีประวัติศาสตร์สังคม (Social History) ของ ชนชัน้ กระฎุมพีไทย มิฉะนัน้ เวลาทีเ่ รากล่าวถึงชนชัน้ กระฎุมพี เราก็จะมีเพียงคำ�อธิบาย ทีด่ เู ป็นเรือ่ งทีจ่ งใจสร้างขึน้ มากกว่าจะแสดงให้เห็นถึงการคลีค่ ลายของประวัตศิ าสตร์ ที่ใช้ระยะเวลายาวนาน เครก เรย์โนลด์ ได้อธิบายว่า ประวัตศิ าสตร์สงั คมเกีย่ วข้องกับชีวติ ทางสังคม ปฏิสัมพันธ์ของผูค้ น พฤติกรรม และกิจกรรมของคนตามสภาพทางสังคม ถ้าเราตัดสถาบัน การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมบางประการ (เช่น ความเชือ่ และอุดมการณ์ออก ไป) สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือประวัติศาสตร์สังคม โดยที่ “ชนชั้น” ก็เป็นหัวข้อหนึ่งของ ประวัตศิ าสตร์สงั คม อย่างเช่น การเคลือ่ นไหวของฐานะทางชนชัน้ ความสัมพันธ์ระหว่าง ชนชั้น ชนชั้นและอาชีพใหม่ที่เกิดขึ้น เป็นต้น32 ‘ปากไก่และใบเรือ’ นั้นไม่ได้เป็นงานประวัติศาสตร์ทางสังคม แต่น่าจะเป็น ประวัตศิ าสตร์ทางภูมปิ ญ ั ญา ตามทีก่ ล่าวไปแล้วว่าหลักฐานทีน่ ธิ ใิ ช้ในการอธิบายการ ก่อตัวของโลกทัศน์กระฎุมพีของชนชัน้ นำ�ไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์นนั้ ส่วนใหญ่มา จากการตีความทางวรรณกรรม โดยที่นิธิไม่ได้ใช้ปัจจัยทางสังคมใด ๆมาอธิบายการ เกิดขึ้นหรือการล่มสลายของชนชั้นกระฎุมพีไทย ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาดังที่กุลลดา และเก่งกิจได้วจิ ารณ์ไว้ ก็คอื นิธไิ ม่สามารถชีใ้ ห้เห็นได้วา่ การเกิดขึน้ ของชนชัน้ กระฎุมพี

ธเนศ วงศ์ยานนาวา, “วัฏจักรของทฤษฎีและประวัตศิ าสตร์ของชนชัน้ กลาง: จากการปฏิวตั ฝิ รัง่ เศส สู่พฤษภามิฬ/19 กันยายน,” หน้า 18–19. หรือดู Jurgen Kocka, “The Middle Class in Europe,” Journal of Modern History Vol. 67, No. 4 (December, 1995), p. 787. 32  เครก เจ. เรย์โนลด์, เจ้าสัว ขุนศึก ศักดินา และคนสามัญ: รวมบทความประวัติศาสตร์ของ เครก เจ. เรย์โนลด์, บรรณาธิการแปลโดย วารุณี โอสถารมย์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำ�รา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2550), หน้า 60–65. 31


64

คราสและควินิน

ในช่วงปลายอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์ มันเปลีย่ นแปลงไปหรือหายไป “หลัง” จาก ที่เบาว์ริงเข้ามาอย่างไร และเมื่อนิธิพูดถึงสังคมไทยร่วมสมัย โดยเฉพาะสถานะของ ชนชัน้ กระฎุมพีไทย นิธกิ ไ็ ม่สามารถอธิบายให้เห็นถึงพลวัตหรือความเปลีย่ นแปลงของ ชนชั้นกระฎุมพีในประวัติศาสตร์แต่อย่างใด นอกจากนี้ ในทางทฤษฎีแล้ว เราจะประสบปัญหามากมายในการตีความตัวบท วรรณกรรม เพื่อมุ่งหาความจริงที่แน่นอน (Fact) ในโลกภายนอก ที่วรรณกรรม เรือ่ งนัน้ อ้างอิงถึง (อันเกิดมาจากแนวคิดแบบสัจนิยม ตามคำ�อธิบายของนิธเิ อง) การ ตีความจากงานทางวรรณกรรมอย่างเช่นงานของสุนทรภู่ หนังสือนางนพมาศ หรือ วรรณกรรมชิน้ อืน่  ๆ ทีน่ ธิ ไิ ด้ท�ำ ใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ เพือ่ แสดงให้เห็นถึงการก่อเกิด ชนชัน้ (หรือโลกทัศน์) กระฎุมพีกเ็ ช่นกัน ทีจ่ ะทำ�ให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ตามที่ จะกล่าวถึงต่อไปอย่างละเอียดในหนังสือเล่มนี้ ตามทีก่ ลุ ลดาและเก่งกิจตัง้ ข้อสังเกตว่า นอกเหนือจากวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท ทีต่ อ่ มาถูกนำ�มาพิมพ์เป็นหนังสือของสายชล สัตยานุรกั ษ์ และอรรถจักร สัตยานุรกั ษ์ ลูกศิษย์คนสำ�คัญของนิธิแล้ว ก็ไม่ปรากฏงานเขียนทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำ�คัญชิ้นใด ที่สานต่อข้อเสนอหรือมรรควิธีที่นิธิได้บุกเบิกไว้ใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ อีกแม้แต่ชิ้น เดียว ผูเ้ ขียนขอเสริมตรงนีว้ า่ ความไม่ตอ่ เนือ่ งดังกล่าว ส่วนหนึง่ น่าจะเกิดจากปัญหา ในทางมรรควิธีของนิธิ ที่ทำ�การตีความตัวบททางวรรณกรรม เพื่อมุ่งหาความจริงที่ แน่นอนในโลกภายนอก ความคลุมเครือของ “กระฎุมพี”

คำ�ว่า ‘กระฎุมพี’ หรือ ‘Bourgeoisie’ มักใช้ในการเรียกชนชัน้ ทางสังคมกลุม่ หนึง่ ซึง่ อยูใ่ นกลุม่ ชนชัน้ กลางหรือชนชัน้ พ่อค้าวาณิช ซึง่ ได้สถานะทางสังคมหรืออำ�นาจมาจาก หน้าที่การงาน การศึกษา หรือความมั่งมี ซึ่งตรงกันข้ามกับพวกอภิชน (Aristocrat) ซึง่ ได้สถานะทางสังคมหรืออำ�นาจมาจากชาติก�ำ เนิด เมือ่ มองในความหมายนี้ ชนชัน้ ‘กระฎุมพี’ จะต้องมีคุณสมบัติที่แยกตัวออกมาได้จากพวกอภิชน (หรือพวกชนชั้น ศักดินา) แต่ถา้ เราใช้ ‘กระฎุมพี’ ตามกรอบคิดของ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ก็จะหมายถึง พวกนายทุนหรือผู้ที่ครอบครองปัจจัยการผลิต (means of production) และอาศัย ปัจจัยการผลิตเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการขูดรีดมูลค่าส่วนเกิน (surplus value) จาก ชนชั้นที่ไม่มีปัจจัยการผลิต ซึ่งก็คือชนชั้นแรงงาน เมื่อมองในแง่นี้ชนชั้น ‘กระฎุมพี’


�����������������������������������������������

65

ก็ต้องสามารถแยกตัวออกมาได้จากชนชั้นแรงงาน (Labour) อย่างไรก็ตามคำ�ว่า ‘กระฎุมพี’ ในความหมายของนิธิที่ใช้ใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ นั้น นอกจากจะหมายถึงพวกพ่อค้าแล้ว ยังรวมไปถึงชนชั้นนำ�ในระบบศักดินาที่ได้ เปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็นกระฎุมพี ตามที่นิธิเรียกรวมกันว่า เจ้าและขุนนางเจ๊สัว ราษฎรผูม้ ที รัพย์ และชนชัน้ นำ�เหล่านีก้ ค็ อื กลุม่ ทีส่ ร้างวัฒนธรรมแบบกระฎุมพีขนึ้ มา นิธอิ ธิบายว่า ชนชัน้ นำ�เหล่านี้ ถึงแม้จะจัดเป็นพวกศักดินา แต่กเ็ ป็นศักดินาชนิด พิเศษ ซึง่ มีความแตกต่างจากพวกศักดินาในสมัยอยุธยา คือเป็นพวกศักดินาทีม่ คี วาม­ คิดหรือโลกทัศน์แบบกระฎุมพี อย่างเช่น การรังเกียจไสยศาสตร์บางชนิด การให้ความ สำ�คัญกับความจริงจากประสบการณ์ มีความเป็นมนุษยนิยม ฯลฯ อย่างไรก็ตามมีคำ�ถามเกิดขึ้นต่อคำ�อธิบายเรื่องชนชั้นกระฎุมพีแบบนี้ เนื่องจาก ความหมายทีน่ ธิ ใิ ช้ ไม่ได้ท�ำ ให้ชนชัน้ ‘กระฎุมพี’ สามารถแยกตัวออกมาได้จากชนชัน้ ศักดินา ความถูกต้องของนิยามที่นิธิใช้ จึงไม่ได้เป็นเพียงระดับของความสอดคล้อง ระหว่างกรอบคิดทฤษฎีกับข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายใน กรอบทฤษฎีเรื่องชนชั้น (Class) เนื่องจากการอธิบายว่ากระฎุมพีเป็นชนชั้นนำ�ของ ไทย แต่ก็เป็นชนชั้นศักดินาด้วย หมายความว่าชนชั้นนำ�ของไทยสามารถเป็นได้ทั้ง ชนชั้นศักดินา (Nobility) และชนชั้นกระฎุมพี (Bourgeois) ไปพร้อม ๆ กันอย่าง นั้นหรือ? สังคมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนัน้ เป็นสังคมแบบจารีต (Traditional Society) ทีม่ กี ารระบบการแบ่งชนชัน้ ตามระบบไพร่ทเ่ี คร่งครัด คือมีการแบ่งคนในสังคมออกเป็น สองกลุ่มคือ พวกมูลนาย อันได้แก่ กษัตริย์ ขุนนาง กับผู้ที่ขึ้นอยู่กับสังกัดภายใต้ ความควบคุมของมูลนาย อันได้แก่ ไพร่กับทาส ระบบไพร่ยังประกอบไปด้วยการใช้ ศักดินาเป็นเครื่องกำ�หนดสถานะของคนในสังคมเป็นลำ�ดับชั้น33 ชาวจีนทีเ่ ข้ามาอาศัยอยูใ่ นประเทศไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นซึง่ นิธใิ ห้ความ สำ�คัญเป็นอย่างมากนั้น มีอยู่สองสถานะ พวกหนึ่งอยู่ในระบบไพร่ เพราะชาวจีน เหล่านี้ต้องเสียภาษีอากรให้กับรัฐเป็นรายหัวเรียกว่า ‘ผูกปี้’ สำ�หรับชาวจีนที่ไม่เงิน ผูกปี้ก็ต้องถูกเกณฑ์แรงงานทำ�ให้หลวง เราจึงจัดคนจีนที่ถูกเกณฑ์แรงงานว่าอยู่ใน

ยังมีปัญหาในการตีความระบบศักดินาของสังคมไทยว่าหมายถึงการครอบครองที่ดินหรือการ ควบคุมกำ�ลังคน ดู อัญชลี สุสายัณห์, ความเปลีย่ นแปลงของระบบไพร่และผลกระทบต่อสังคมไทย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พิมพ์ครั้งที่ 3 (กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์บุ๊คส์, 2552), หน้า 36–46.

33


66

คราสและควินิน

ระบบไพร่34 กับอีกพวกหนึง่ เป็นคนนอกระบบไพร่ ซึง่ มีสทิ ธิประกอบอาชีพและสามารถ เดินทางไปที่ต่าง ๆ ได้35 ในสมัยนั้นประเด็นเรื่องชาติพันธุ์ (Ethnic) ของชาวจีนไม่ใช่ เป็นเรือ่ งสำ�คัญเทียบเท่ากับความสัมพันธ์ของชาวจีนกับระบบไพร่36 เนือ่ งจากรัฐไทย ในระบบจารีต ต้องการรวบรวมผูค้ นเป็นหลัก มากกว่าจะคำ�นึงถึงประเด็นเรือ่ งเชือ้ ชาติ สำ�หรับชาวจีนทีอ่ ยูน่ อกระบบไพร่เหล่านีบ้ างคนทำ�ตัวเข้ากับขุนนางไทยได้ดี จึงได้ รับตำ�แหน่งแบบกึง่ ข้าราชการเป็นเจ้าภาษีนายอากรมีหน้าทีใ่ นการรวบรวมภาษีมาส่ง ให้รฐั 37 โดยรัฐได้เปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาประมูลผูกขาดภาษี เนือ่ งจากภาษีในสมัย ต้นรัตนโกสินทร์ได้เปลีย่ นรูปจากสิง่ ของมาเป็นตัวเงิน ทำ�ให้การเก็บภาษีในรูปของตัว เงินมีความยุ่งยากทั้งการเก็บและการคำ�นวณ รัฐจึงมอบหมายหน้าที่นี้ให้กับเจ้าภาษี นายอากร โดยจะต้องจัดหาเงินจำ�นวนที่แน่นอนมาให้กับรัฐ อย่างไรก็ตามเจ้าภาษี นายอากรก็ถกู ดูดกลืนเข้ามาเป็นส่วนหนึง่ ของระบบศักดินาไป คือมีบรรดาศักดิ์ หรือ ได้สร้างสัมพันธ์โดยการสมรสกับชนชัน้ นำ�ในระบบศักดินา รวมทัง้ มีการส่งบุตรสาว ของตนเข้าไปเป็นข้าบาทบริจาริกาให้กับขุนนางหรือกษัตริย์ เป็นต้น38 พรรณี บัวเล็ก ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “เจ้านายภาษีอากรซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน มีบทบาทสำ�คัญต่อการหารายได้ ของรัฐในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คนกลุ่มนี้จัดได้ว่าต้นกำ�เนิดของชนชั้น นายทุนไทย คนกลุม่ นีถ้ อื ได้วา่ เป็นนายทุน เนือ่ งจากต้องประกอบกิจกรรมทาง เศรษฐกิจโดยการลงทุน ต้องประมูลภาษีอากร และต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่งให้ รัฐก่อนที่จะเก็บภาษีแสวงหากำ�ไรให้ตัวเอง เจ้าภาษีอากรกลุ่มนี้จึงถือกำ�เนิด ภายใต้ระบบศักดินาและได้รบั การอุปถัมภ์จากชนชัน้ ศักดินาให้ด�ำ เนินกิจกรรม ดู วราภรณ์ จิวชัยศักดิ,์ นโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้า­ เจ้าอยูห่ วั (กรุงเทพฯ: สำ�นักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547 ), หน้า 93. หรือ ดู ศรศักดิ ์ ชูสวัสดิ์, “ผูกปี้: การจัดเก็บเงินค่าแรงแทนการเกณฑ์แรงงานจากคนจีน ในสมัยรัตนโกสินทร์,” (วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวัตศิ าสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย, จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, 2524), หน้า 15. นอกจากนี้ดู Kasien Teijapira, “Pigtail: A Pre–History of Chineseness in Siam,” Sojourn vol. 7, no. 1 (February 1992), pp. 107–108. 35  อัญชลี สุสายัณห์, ความเปลี่ยนแปลงของระบบไพร่และผลกระทบต่อสังคมไทย ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า 83–84. 36  Kasien Teijapira, “Pigtail: A Pre–History of Chineseness in Siam,” pp. 107–8. 37  พรรณี บัวเล็ก, สยามในกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลง: ประวัติศาสตร์ ไทยตั้งแต่สมัยรัชกาล ที่ 5 (กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2541), หน้า 77–79. 38  นิธิ เอียวศรีวงศ์, ปากไก่และใบเรือ, พิมพ์ครั้งที่ 4 (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2555), หน้า 96 34


�����������������������������������������������

67

ทางเศรษฐกิจ เนือ่ งจากระบบเจ้านายภาษีอากรนัน้ จำ�เป็นต้องอาศัยโครงสร้างในระบบศักดินาในการแสวงหาประโยชน์ ระบบนี้เอื้ออำ�นวยให้กับ ชนชัน้ นำ�ของไทยทัง้ กลุม่ ไม่ใช่เพียงกษัตริยผ์ เู้ ดียว เพราะปรากฏว่าเบือ้ งหลัง ของเจ้าภาษีอากรก็คอื ขุนนางและเจ้านายบางพระองค์ซงึ่ เป็นเจ้าภาษีลบั  ๆ  เสียเอง ระบบเจ้าภาษีอากรจึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงระบบศักดินา”39 (เน้น โดยผู้เขียน) สำ�หรับข้อเสนอของนิธทิ วี่ า่ ชนชัน้ นำ�ในระบบศักดินาทีไ่ ด้เปลีย่ นแปลงตัวเองไปเป็น กระฎุมพีนน้ั จัดว่ามีความน่าสงสัยอยูไ่ ม่นอ้ ย เนือ่ งจากเป็นเรือ่ งธรรมดาทีก่ ษัตริยแ์ ละ เหล่าขุนนางไทยในสมัยก่อนมีความสามารถในการส่งเรือสำ�เภาไปค้าขายกับต่างชาติได้ อันเป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ทำ�ให้เกิดการสร้างรายได้ ให้กับชนชั้นสูงเหล่านี้ ในสมั ย รั ช กาลที่  2–3 ไทยมี ก ารค้ า กั บ จี น เป็ น ปริ ม าณมาก (ตามที่ อ ธิ บ ายไว้ ใน ‘ปากไก่และใบเรือ’) ถึงขนาดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ รัชกาลที่ 2 ทรง เรียกล้อพระราชโอรสองค์โตของพระองค์ คือในหลวงรัชกาลที ่ 3 ขณะทีท่ รงดำ�รงพระ ยศเป็นก​ รมหมืน่ เจษฎาบดินทร์และทรงรับผิดชอบกรมท่าในเวลานัน้ ว่าเป็น “เจ้าสัว”40 มีขอ้ สังเกตว่า คำ� “เจ้าสัว” หรือ “เจ๊สวั ” อาจไม่ได้มาจากภาษาจีน แต่มาจาก ภาษาไทยว่า “เจ้าขรัว” ทำ�ให้ประเด็นเรือ่ งการรับวัฒนธรรมจีนของชนชัน้ สูงไทยตาม ที่นิธิอธิบายไม่น่ามีความเชื่อถือ เนื่องจากคนจีนที่เข้ามาในเมืองไทยสมัยต้นรัตนโกสินทร์นั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ไม่มีการศึกษา พวกเขาจึงไม่สามารถถ่ายทอด วัฒนธรรมชั้นสูงของชาวจีนให้แก่ชนชั้นสูงของไทยในตอนนั้นได้ ดังจะเห็นว่าคำ� ไทย–จีน ทีเ่ ราใช้กนั ในปัจจุบนั ล้วนเป็นคำ�ทีใ่ ช้ในหมูค่ นธรรมดาทัว่ ไป แต่ไม่มกี าร ใช้กันในหมู่คนชั้นสูง41

พรรณี บัวเล็ก, สยามในกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลง: ประวัติศาสตร์ ไทยตั้งแต่สมัยรัชกาล ที่ 5, หน้า 74–79. 40  วราภรณ์ ทินานนท์, “การค้าสำ�เภาของไทยสมัยต้นรัตนโกสินทร์ตอนต้น,” (วิทยานิพนธ์อักษร­ ศาสตร์มหาบัณฑิต ภาควิชาประวัตศิ าสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2522), หน้า 67. หรือดูใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระธรรมเทศนาเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระ­ นัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั (ทีร่ ะลึกงานพระราชทางเพลิงศพนาย กระเจิน่ สิงหเสนี ณ วัดมกุฎกษัตริยาราม  17 ธันวาคม 2537), หน้า 37. 41  ดูสว่ น “คำ�นำ�” ใน วรศักดิ ์ มหัทธโนบล, คำ�จีนสยาม: ภาพสะท้อนปฏิสมั พันธ์ไทยจีน (กรุงเทพฯ: สำ�นักพิมพ์อมรินทร์, 2555), หน้า 33, 40. 39


68

คราสและควินิน

อนึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างคนต่าง ๆ ในสังคมไทยด้วยกันเอง เราย่อมไม่อาจจัด เชื้อพระวงศ์หรือเหล่าขุนนางเหล่านี้ว่าเป็นเพียงคนรํ่ารวยได้ จะเห็นว่า ‘เจ้าสัว’ เป็น คำ�ที่ในหลวงรัชกาลที่ 2 ทรงเรียกล้อพระราชโอรสองค์โตของพระองค์ แต่ไม่ใช่เป็น คำ�ที่คนอื่น ๆ จะนำ�ใช้เรียกกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้ เพราะถ้าขืนเรียกแบบนั้น มีสิทธิ์หัวขาดได้ คนไทยส่วนใหญ่ในตอนนั้นมีความรู้สึกนึกคิดต่อพระมหากษัตริย์ และเหล่าขุนนางในฐานะที่เป็นพวกมูลนาย พระมหากษัตริย์ซึ่งปกครองไพร่ฟ้าย่อม ทรงอำ�นาจเด็ดขาดที่จะลงโทษประหารชีวิต หรือบำ�เหน็จความชอบให้แก่บุคคลใด บุคคลหนึ่งตามแต่จะทรงพอพระทัย พระองค์คือเจ้าชีวิตที่ทรงสามารถสั่งตัดหัวใคร ก็ได้ พระองค์ยังมีพระราชอำ�นาจที่จะยึดทรัพย์สินและกวาดต้อนผู้คนของคน ๆ นั้น เข้ามาเป็นของพระองค์ จึงเป็นเรือ่ งเหมาะสมกว่าถ้าจะเรียกชนชัน้ สูงเหล่านีว้ า่ เป็น ชนชั้นศักดินา (หรือมูลนาย) ไม่ใช่พ่อค้าหรือกระฎุมพีในความหมายของชนชั้น ถึงแม้รายได้ของคนเหล่านี้บางส่วนจะมาจากการค้าก็ตาม ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก เพราะกษัตริย์ในสมัยอยุธยาก็มีการส่งเรือไปค้าขายกับจีนเช่นกัน นอกจากนี้นิธิได้เขียนเรื่อง “กระฎุมพี” ตอนหนึ่งว่า “เมื่อกล่าวถึงกระฎุมพีไทยในต้นรัตนโกสินทร์จึงหมายถึงชนชั้นนำ�ในระบบ ศักดินา ผสมกับชาวจีนและเชื้อสายจำ�นวนมากทั้งที่ได้ถูกกลืนเข้าไปใน ระบบศักดินาแล้วและยังไม่ได้ถูกกลืนเป็นส่วนใหญ่ คนเหล่านี้คุมอำ�นาจ ทางการเมืองของระบบศักดินาไว้อย่างเหนียวแน่นและประกอบกันขึ้นเป็น ชนชั้นสูงของสังคมไทย มีบทบาทในพัฒนาการทางวัฒนธรรมของชนชั้นสูง ของสังคม ”42 (เน้นโดยผู้เขียน) จากคำ�อธิบายข้างบน จะเห็นว่านิธใิ ช้ค�ำ ‘กระฎุมพี’ในความหมายทีข่ ดั แย้งในตัว เอง เพราะเป็นการรวมเอากลุม่ คนทีไ่ ม่นา่ เข้ากันได้ มารวมอยูด่ ว้ ยกัน43 ยกตัวอย่าง เช่น ประโยคครึง่ แรกทีว่ า่ “กระฎุมพีไทยในต้นรัตนโกสินทร์คอื ชนชัน้ นำ�ในระบบ ศักดินาผสมกับชาวจีนและเชื้อสายจำ�นวนมาก ทั้งที่ได้ถูกกลืนเข้าไปในระบบ ศักดินาแล้ว” ประโยคนี้หมายถึงชนชั้นนำ�ในสังคม ซึ่งก็คือกษัตริย์และพวกขุนนาง

นิธิ เอียวศรีวงศ์, ปากไก่และใบเรือ, พิมพ์ครั้งที่ 4 (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2555), หน้า 132 ผมได้ความคิดนี้มาจากการอ่าน ดวงมน จิตร์จำ�นงค์, คุณค่าและลักษณะเด่นของวรรณคดีไทย สมัยต้นรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ: สำ�นักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2540), หน้า 62–63.

42

43


�����������������������������������������������

69

รวมไปถึงพวกพ่อค้าชาวจีน (หรือชาติอื่น ๆ) ที่มีอำ�นาจ (อันได้แก่พวกเจ้านายภาษี­ อากร เป็นต้น) ซึง่ คนเหล่านีค้ มุ อำ�นาจทางการเมืองในสมัยต้นรัตนโกสินทร์เอาไว้ แต่ พวกเขาก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งหรือถูกกลืนอยู่ในระบบศักดินาทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น คนพวกนี้จะเป็นชนชั้นกระฎุมพีไปได้อย่างไร สำ�หรับคำ�อธิบายในประโยคครึ่งหลัง ซึ่งกล่าวถึง “กระฎุมพีไทยในต้นรัตนโกสินทร์คอื ชาวจีนและเชือ้ สายจำ�นวนมาก…(ที)่ ยังไม่ได้ถกู กลืน (ในระบบศักดินา) เป็นส่วนใหญ่” อนึง่ การทีค่ นกลุม่ นีไ้ ม่ได้ถกู กลืนอยูใ่ นระบบศักดินา (เพราะอยูห่ า่ งไกล กับชนชั้นสูง) พวกเขาจึงน่าจะมีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าคนกลุ่มแรก เราจึง น่าจะจัดให้พวกเขา (ซึง่ เป็นพวกพ่อค้า) เป็นพวกกระฎุมพีได้งา่ ยกว่าพวกแรก (ที่ กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้เขียนเชื่อว่ามีชนชั้นกระฎุมพีในสมัยนั้นแล้ว แต่เป็น​ การกล่าวในเชิงเปรียบเทียบกับคนจีนกลุม่ แรก) อย่างไรก็ตามในเมือ่ พวกเขาไม่ได้เป็น พวกศักดินา จึงไม่ได้รบั บรรดาศักดิใ์ ด ๆ เขาจึงหมดโอกาสทีจ่ ะไต่เต้าเข้ามาเป็นส่วนหนึง่ ของชนชัน้ นำ�ในสังคมไทยได้ เมือ่ เป็นเช่นนัน้ พวกเขาจะมีบทบาทในพัฒนาการทาง วัฒนธรรมกระฎุมพีของชนชั้นสูงได้อย่างไร จะเห็นว่าการใช้มโนทัศน์ “กระฎุมพี” ทำ�ให้นธิ สิ ามารถนำ�คนสองกลุม่ ทีแ่ ตกต่าง กันให้เข้ามารวมไว้เป็นกลุม่ เดียวกัน โดยนำ�คุณสมบัตทิ แ่ี ตกต่างกันของคนสองกลุม่ มาผสมเข้าด้วยกันจนกลายไปเป็นคุณสมบัตริ ว่ มของคนทัง้ สองกลุม่ ไป ยกตัวอย่าง เช่น พ่อค้าคนจีนทีก่ ลายเป็นชนชัน้ ศักดินา กับพ่อค้าคนจีนทีไ่ ม่ได้เป็นศักดินา (ซึง่ มี ความเป็นกระฎุมพีมากกว่า) เข้ามาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน จนทำ�ให้พ่อค้าทั้งสองกลุ่ม กลายไปเป็นกระฎุมพีและก็เป็นชนชัน้ นำ� (คือเป็นศักดินา) ในเวลาเดียวกัน และ ด้วยตรรกะเดียวกัน มโนทัศน์ “กระฎุมพี” ยังทำ�ให้นธิ สิ ามารถอธิบายให้กษัตริยแ์ ละ เหล่าขุนนางที่เป็นศักดินากลายมาเป็นพวกกระฎุมพีได้อีกเช่นกัน อนึง่ นิธจิ ะเสนอในเวลาต่อมาว่าชนชัน้ นำ�เหล่านี้ ถึงแม้จะจัดเป็นพวกศักดินาก็จริง แต่ก็เป็นศักดินาชนิดพิเศษ (ซึ่งมีความแตกต่างจากพวกศักดินาในสมัยอยุธยา) คือ เป็นพวกศักดินาทีม่ คี วามคิดแบบกระฎุมพีค�ำ ‘กระฎุมพี’ ในทีน่ จี้ งึ ไม่ได้หมายถึงชนชัน้ แต่เพียงอย่างเดียว แต่ได้กลายเป็นความรู้สึกนึกคิด โลกทัศน์ หรือวัฒนธรรม (อย่างเช่น การรังเกียจไสยศาสตร์บางชนิด การให้ความสำ�คัญกับความจริงจาก ประสบการณ์มากกว่าจะเชื่อตำ�รา ฯลฯ) อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนีต้ อ้ งการปฏิเสธคำ�อธิบายดังกล่าว โดยผูเ้ ขียนขอเสนอ ว่าโลกทัศน์แบบกระฎุมพี (ตามคำ�อธิบายของนิธิ) เป็นเพียงแบบอุดมคติ (หรือ “Ideal type” ตามมักซ์ เวเบอร์ (Max Weber)) ที่ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ไม่มีความ สอดคล้องกับความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ (ไม่ว่าจะเป็น


70

คราสและควินิน

พระมหากษัตริย์ ขุนนาง แม่ทัพนายกอง หรือแม้กระทังไพร่) เราจึงอาจกล่าวสรุป ได้สั้น ๆ ว่า โลกทัศน์ดังกล่าวไม่มีอยู่จริง แต่ก่อนที่จะวิจารณ์เรื่องโลกทัศน์ต่อไป ผู้เขียนขออธิบายถึงเรื่อง ‘กระบวนทัศน์กระฎุมพี’ อันเป็นแนวคิดที​ี่ฝังรากลึกอยู่ใน วัฒนธรรมตะวันตก (รวมไปถึงนักวิชาการไทย) ซึง่ เป็นตัวกำ�หนดกรอบของการถกเถียง ในทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าผู้ถกเถียงจะอยู่ฝ่ายใดก็ตาม การปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ได้เป็น “การปฏิวัติกระฎุมพี”

ในบทความ “สุนทรภู่: มหากวีกระฎุมพี” นิธิได้เขียนตอนหนึ่งว่า “กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ–สังคมของไทยขยายตัวขึ้นเสมอมา หลังจากนั้น (หมายถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์...ผู้เขียน) สนธิสัญญาเบาว์ริง ยิง่ เร่งเร้ากระบวนการนี้ ให้แผ่ไปกว้างขวางขึน้ และดำ�เนินไปอย่างรวดเร็วขึน้ นั่นหมายความว่าจำ�นวนของประชาชนที่เข้ามาเกี่ยวข้องผูกพันกับเศรษฐกิจ แบบตลาดก็เพิม่ ขึน้ ตามไปด้วย การรักษาโครงสร้างอำ�นาจการเมืองในกรอบ โครงของศักดินาแบบเก่าไม่สามารถจะทำ�ได้อีกต่อไป แม้การปฏิรูปอย่าง กว้างขวางในรัชกาลที่ 5 ก็ได้แต่ยืดอายุของโครงสร้างของอำ�นาจต่อไปอีก ประมาณครึ่ง ศตวรรษเท่านั้น การปฏิวัติของพวกกระฎุมพีใน พ.ศ. 2475 จึงเกิดขึ้นเพื่อจัดสรรโครงสร้างของอำ�นาจในหมู่กระฎุมพีด้วยกันใหม่ นับ เป็นความสืบเนือ่ งในประวัตศิ าสตร์ทยี่ าวนาน อันอาจมองย้อนหลังไปได้ถงึ ต้นรัตนโกสินทร์”44 (เน้นโดยผู้เขียน) นิธมิ องการปฏิวตั ใิ นปี พ.ศ. 2475 ของไทยเป็นการปฏิวตั ขิ องพวกกระฎุมพี อัน เป็นความเชือ่ ตาม “ความเป็นประวัตศิ าสตร์” ของพวกมาร์กซิสต์ทตี่ อ้ งการทำ�ให้ พวกกระฎุมพีมบี ทบาทสำ�คัญในการเปลีย่ นแปลงการปกครองแบบดัง้ เดิม การทำ�ให้ กระฎุมพีมบี ทบาทต่อการล้มล้างระบอบศักดินา เป็นความเชือ่ หลักของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ที่ปรากฏอยู่ใน “แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์” ตามที่มาร์กซ์เขียน ตอนหนึ่งว่า 44

นิธิ เอียวศรีวงศ์, ปากไก่และใบเรือ, พิมพ์ครั้งที่ 4, หน้า 259.


�����������������������������������������������

71

“ในประวัติศาสตร์ ชนชั้นกระฎุมพี เคยมีบทบาทที่ปฏิวัติอย่างยิ่ง ในที่ที่ ชนชัน้ นายทุนยึดการปกครองได้แล้ว ชนชัน้ นี้ ได้ท�ำ ลายบรรดาความสัมพันธ์ แบบศักดินาแบบพ่อค้าและแบบบทเพลงชนบทลงจนหมดสิ้น ชนชั้นนี้ ได้ ทำ�ลายเครื่องพันธนาการศักดินาชนิดต่าง ๆ ซึ่งผูกมัดผู้คนไว้กับผู้เป็นใหญ่ โดยธรรมชาติให้หักสะบั้นอย่างไม่ปรานี ทำ�ให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนด้วย กันไม่มีอะไรอื่นใดอีกเลยนอกจากความสัมพันธ์ ในด้านผลได้ผลเสียอย่าง เปิดเผยล่อนจ้อน และการค้าชำ�ระเงินสดอย่างหน้าเลือดไร้ความปรานี” 45 (เน้นโดยผู้เขียน) เหตุการณ์ทมี่ คี วามสำ�คัญทีส่ ดุ ต่อความเชือ่ เรือ่ งการปฏิวตั ขิ องพวกกระฎุมพีในการ ทำ � ลายการปกครองของพวกศั ก ดิ น าลง ก็ คื อ การปฏิ วั ติ ฝ รั่ ง เศส ค.ศ. 1789 ซึ่ ง นักประวัติศาสตร์สายมาร์กซิสต์​์ชาวฝรั่งเศสที่สำ�คัญคือ จอร์จส์ เลอแฟบ (Georges Lefebvre, 1874–1959) และอาล์แบร์ โซบัว (Albert Soboul, 1914–1982) พากัน อธิบายว่าเป็นการปฏิวัติของชนชั้นกระฎุมพี อย่างไรก็ตามหลังจากเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1968 การเล่าเรื่องทางประวัติศาสตร์ ทีใ่ ห้ความสำ�คัญแก่ชนชัน้ กระฎุมพีของการปฏิวตั ฝิ รัง่ เศสก็คอ่ ย ๆ หมดความหมายไป (ผู้เขียนหมายถึงโลกวิชาการของตะวันตก แต่นักวิชาการไทยส่วนใหญ่แม้ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสายมาร์กซิสต์หรือเสรีนิยมก็ตาม ส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าการปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นการปฏิวัติของชนชั้นกระฎุมพีอยู่)46 อนึ่งการเปลี่ยนแปลงความเชื่อในโลกวิชาการตะวันตกน่าจะมีจุดเริ่มต้นจากงาน ของนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษที่ชื่อ อัลเฟรด คอบเบน (Alfred Cobban, 1901– 1968) ซึ่งได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “The Myth of the French revolution” ในปี  ค.ศ. 1954  โดยเขาได้ปฏิเสธความเชือ่ ของนักประวัตศิ าสตร์สายมาร์กซิสต์ชาวฝรัง่ เศส ในเรื่องการปฏิวัติของชนชั้นกระฎุมพี เหตุผลหลักของคอบเบนก็คือ บรรดานักปฏิวัติที่ล้มล้างระบอบทั้งหลายต่างก็มี รายได้และมีวิถีชีวิตที่ไม่ได้แตกต่างไปจากบรรดาขุนนางทั้งหลายซึ่งเป็นคนชั้นสูงของ ดูบทที ่ 2 ใน George C. Comninel, Rethinking the French Revolution: Marxism and the Revisionist Challenge (London: Verso, 1987), pp. 28–32. หรือดู คาร์ล มาร์กซ และเฟรเดอริค  45

เองเกลส์, แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (ม.ป.ท.: สำ�นักพิมพ์โลกทัศน์, ม.ป.ป.), หน้า 57. 46  ดูความเห็นของเกษียร เตชะพีระ ใน “ทางแพร่งแห่งการปฏิวตั กิ ระฎุมพีไทย,” ประชาไท, http:// prachatai.com/journal/2007/09/14190 (เข้าถึงเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2552).


72

คราสและควินิน

สังคมฝรัง่ เศส อย่างเช่น มีต�ำ แหน่งในสังคม มีรายได้ทมี่ าจากการเก็บค่าเช่า เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนั้นมันจึงไม่ได้เป็นการปฏิวัติของพวกกระฎุมพี (ที่เป็นนายทุน) แต่กลับ เป็นการปฏิวตั ขิ องชนชัน้ สูงทีท่ รยศต่อชนชัน้ ของตัวเอง ฝรัง่ เศสในตอนนัน้ ยังไม่ได้ มีโรงงานทีท่ นั สมัยเหมือนกับอังกฤษ สภาพทางเศรษฐกิจก่อนการปฏิวตั กิ ไ็ ม่ได้มคี วาม แตกต่างไปจากสภาพในปี ค.ศ. 1650 ยิ่งไปกว่านั้นผลของการปฏิวัติในปี ค.ศ. 1789 ยังทำ�ให้ฝรัง่ เศสเกิดการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เกิดการเติบโตอย่างทีค่ นส่วนใหญ่ เชื่อกัน แม้แต่การปฏิวัติต่อมาในปี ค.ศ. 1830 เศรษฐกิจของประเทศก็ยังเกิดขึ้นใน โครงสร้างแบบเดิมที่เคยเป็นมาในศตวรรษก่อน47 นอกจากนีภ้ าพของความขัดแย้งทางชนชัน้ ก็ไม่ได้ปรากฏในการรับรูข้ องหนังสือพิมพ์ และสำ�นึกของผูค้ นในช่วงก่อนและหลังการปฏิวตั ฝิ รัง่ เศส ท่ามกลางความขัดแย้งทาง​ การเมืองทีร่ นุ แรงในตอนนัน้ ไม่มใี ครทีจ่ ะตระหนักว่านีเ่ ป็นความขัดแย้งทางชนชัน้ เนื่องจากภาพลักษณ์ความเป็นเอกภาพทางการเมือง ยังคงเป็นกรอบของความเข้าใจ ที่สำ�คัญของผู้คนในฝรั่งเศสในครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบแปด48 หลังจากการปาฐกถาดังกล่าว อีกสิบปีต่อมาคอบเบนได้พิมพ์หนังสือที่ชื่อ “The Social Interpretation of the French Revolution” ในปี ค.ศ. 1964 ซึ่งได้กลายเป็น คัมภีรห์ ลักของพวกนักประวัตศิ าสตร์แนวแก้ไข (Revisionism) ไป แต่ไม่วา่ นักประวัต-ิ ศาสตร์สายแอลโกลแซกซอนที่ได้อิทธิพลจากคอบเบนจะเขียนหนังสือหรือบทความ ไม่เห็นด้วยกับการตีความของนักประวัติศาสตร์สายมาร์กซิสต์ชาวฝรั่งเศสมากมาย เพียงใด มันก็ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอะไรมากมายกับโลกทางวิชาการในประเทศ ฝรัง่ เศส (ประเทศทีใ่ ห้ก�ำ เนิดการปฏิวตั )ิ จนกระทัง่ ฟรานคัว ฟูเรต (Francois Furet, 1927–1997) นักประวัตศิ าสตร์ชาวฝรัง่ เศสได้เขียนหนังสือในปี ค.ศ. 1978 ทีแ่ ปลเป็น ภาษาอังกฤษได้ว่า “Interpretation the French Revolution” อันเป็นการปฏิเสธการ ตีความของนักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสสายมาร์กซิสต์ก่อนหน้านี้ในเรื่องการปฏิวัติ ของพวกกระฎุมพี ฟูเรตนั้นมีการอ้างอิงแนวคิดบางอย่างของคอบเบน แต่เขาก็ให้ ความสำ�คัญเป็นอย่างมากต่อการศึกษาประวัตศิ าสตร์แบบวัฒนธรรม โดยนักประวัต-ิ ศาสตร์สายแอลโกลเซกซันที่ได้อิทธิพลจากฟูเรตก็ได้แก่ ลินน์ ฮันท์ (Lynn Hunt) และ คีทห์ มิเชล เบเกอร์ (Keith Michael Baker) เป็นต้น อันทำ�ให้เกิดการศึกษา Jerrold Seigel, Modernity and Bourgeois Life: Society, Politics and Culture in England, France, and Germany since 1750 (Cambridge: Cambridge University Press, 2012), p. 4. 48  ธเนศ วงศ์ยานนาวา, “เส้นทางความคิดเรื่อง ‘ประชาชน’: จากโรมันโบราณถึง Emmanuel Abbe Sieyes,” รัฐศาสตร์สาร ปีที่ 32, ฉบับที่ 3 (กันยายน–ธันวาคม 2554), หน้า 218–220. 47


�����������������������������������������������

73

การปฏิวัติฝรั่งเศสที่เน้นไปที่ด้านวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ มากกว่าจะเน้นไปที่ เศรษฐกิจการเมืองเหมือนพวกมาร์กซิสต์ หนังสือของฟูเรตเล่มนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนต่อวงการประวัติศาสตร์ของ ประเทศฝรั่งเศส ในปี 1989 ฟูเรต อาจถือเป็นนักประวัติศาสตร์ด้านการปฏิวัติ ฝรัง่ เศสทีส่ �ำ คัญทีส่ ดุ ในโลก และหลังจากนัน้ ก็ได้เกิดการถกเถียงกันมากมายต่อความ น่าเชือ่ ถือในเรือ่ งการปฏิวตั กิ ระฎุมพี แม้นกั ประวัตศิ าสตร์ส�ำ นักมาร์กซิสต์อ์ ย่างจอร์จ  ซี. คอร์มิเนล (George C. Comninel) ก็ได้เขียนหนังสือ “Rethinking the French Revolution... Marxism and the Revisionist Challenge” เพื่ออธิบายการตีความเรื่อง กระฎุมพีทผี่ ดิ พลาดของมาร์กซ์ จนในปัจจุบนั เรากล่าวได้วา่ ในแวดวงการวิชาการด้าน การปฏิวตั ฝิ รัง่ เศส ไม่มนี กั ประวัตศิ าสตร์คนใดทีม่ คี วามเชือ่ มัน่ ว่าการปฏิวตั ฝิ รัง่ เศส เป็นการปฏิวัติกระฎุมพี เหมือนกับคนในรุ่นเลอแฟบ อีกต่อไป49 กระบวนทัศน์กระฎุมพี

นอกจากนักวิชาการที่ทำ�งานด้านประวัติศาสตร์ที่ใช้ข้อสรุปของ ‘ปากไก่และใบเรือ’ จะไม่ค่อยสนใจต่อคำ�ทักท้วงของนักวรรณกรรมศึกษาแล้ว พวกเขายังยอมรับใน กระบวนทัศน์กระฎุมพี (Bourgeois paradigm) คือความเชื่อว่าในโลกตะวันตกนั้น ชนชั้นกระฎุมพีที่เป็นอิสระจะเป็นผู้โค่นล้นระบบศักดินาลง ตามที่กุลลดาและเก่งกิจ ได้เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า “จริงหรือที่ชนชั้นกระฎุมพีไทยไม่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำ�คัญเลย ตลอดกว่า 200 ปี หากเป็นเช่นนัน้ จริง เราจะอธิบายบทบาทของคณะราษฎร ทีล่ กุ ขึน้ มาท้าทายระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การต่อสูข้ องพรรคคอมมิวนิสต์ ดู “Introduction” ของ Gwynne Lewis ใน Alfred Cobban, The Social Interpretation of the French revolution, second edition (Cambridge: Cambridge University Press, 1999). หรือดู Gary Kates (ed.), The French Revolution: Recent Debates and New Controversies, second edition (New York: Routledge, 2006). หรือดู Gwynne Lewis, The French Revolution: Rethinking the Debate (New York: Routledge, 1993). หรือดู T.C.W Blanning, The French Revolution: Class War or Culture Clash?, second edition (Basingstoke, U.K.: Macmillan Press, 1998) 49


74

คราสและควินิน

แห่งประเทศไทย และขบวนการเสื้อแดงในปัจจุบันได้อย่างไร”50 (เน้นโดย ผู้เขียน) “ผู้เขียน (หมายถึงกุลลดาและเก่งกิจ) เห็นพ้องในประเด็นที่นิธิเสนอ ว่า พ่อค้าจีนเป็นชนชั้นกระฎุมพีกลุ่มแรกในสังคมสยาม และลักษณะของ ชนชั้นกระฎุมพีชาวจีนไม่ได้เป็นชนชั้นที่เป็นอิสระจากระบบศักดินา ส่งผล ให้บคุ คลเหล่านี้ ไม่ใช่พลังสำ�คัญในการเปลีย่ นแปลงอำ�นาจรัฐในเวลาต่อมา แต่ สิ่งที่ผู้เขียนให้ความสนใจก็คือ บทบาทของกระฎุมพีในการเปลี่ยนแปลง รูปแบบรัฐ ซึ่งในกรณีของสยาม ก็คือ ชนชั้นกระฎุมพีที่มาจากพ่อค้าไม่ได้ มีบทบาทในการเปลีย่ นแปลงรูปแบบรัฐ แต่ชนชัน้ กระฎุมพีขา้ ราชการ (bureaucratic bourgeoisie) ซึง่ หมายถึง ชนชัน ้ ใหม่ทเี่ กิดขึน้ จากระบบการศึกษา สมัยใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพื่อตอบสนองความ ต้องการของระบบทุนนิยม ไม่วา่ จะเกิดขึน้ ในรัฐไทยหรือรัฐอาณานิคม ชนชัน้ นี้ทำ�หน้านี้เป็นกลไกในระบบราชการของรัฐสมัยใหม่ ดังนั้น เหตุการณ์การ ปฏิวตั  ิ 2475 จึงถือเป็นการสิน้ สุดของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซงึ่ เป็นช่วงท้าย ของรัฐศักดินา และถือว่าเป็นจุดกำ�เนิดของรัฐประชาชาติแบบทุนนิยม นัยยะ สำ�คัญคือพลังของชนชั้นกระฎุมพีเข้ามาเป็นผู้กำ�หนดนโยบายของรัฐแทน ชนชั้นศักดินา”51 (เน้นโดยผู้เขียน) แม้ว่ากุลลดาและเก่งกิจจะวิจารณ์นิธิได้ลึกซึ้งเพียงใด แต่ทั้งสอง (ซึ่งรวมทั้งนิธิ และฉัตรทิพย์) ก็ล้วนยังมีความเชื่อใน ‘กระบวนทัศน์กระฎุมพี’ ร่วมกันอยู่ ในกรณี ของกุลลดาและเก่งกิจ ทีเ่ ห็นได้ชดั ก็คอื ความสนใจของทัง้ สองต่อบทบาทของกระฎุมพี ในการเปลีย่ นแปลงรูปแบบของรัฐ (ซึง่ ทัง้ สองหมายถึง ‘กระฎุมพีขา้ ราชการ’ ใน พ.ศ.  2475) เอลเลน มีกซินส์ วูด (Ellen Meiksins Wood, 1942–2016) นักทฤษฎีการเมือง ชาวอเมริกัน สำ�นักคิดมาร์กซิสต์​์ ได้อธิบายถึง “กระบวนทัศน์กระฎุมพี (Bourgeois paradigm)” อันเป็นแนวคิดทีฝ ี่ งั รากลึกอยูใ่ นวัฒนธรรมตะวันตก52 ซึง่ เป็นตัวกำ�หนด Kullada Kesboonchoo–Mead and Kengkij Kitirianglarp, “Transition Debates and the Thai State: An Observation,” p. 96 51  Ibid., p. 112 52  Ellen Meiksins Wood, “Capitalsim,” in The Ellen Meiksins Wood Reader, edited by Larry Patriquin (Leiden & Boston: Brill, 2012), pp. 32–36. 50


�����������������������������������������������

75

กรอบของการถกเถียงในทางประวัตศิ าสตร์ ไม่วา่ ผูถ้ กเถียงจะอยูฝ่ า่ ยใดก็ตาม กระบวน­ ทัศน์กระฎุมพีนเ้ี กิดจากการใช้องั กฤษเป็นแม่แบบในการกำ�หนดพัฒนาการความก้าวหน้า  (Progress) ทางประวัตศิ าสตร์ทป่ี ระเทศต่าง ๆ จะต้องดำ�เนินตาม กระบวนทัศน์กระฎุมพี นี้สามารถอธิบายได้จากการใช้มโนทัศน์คู่ตรงข้ามที่ง่าย ๆ อย่างเช่น ชนบทกับเมือง, เกษตรกรรมกับการค้าและอุตสาหกรรม, ชุมชนกับปัจเจก, ความไม่มเี หตุผล (อย่าง เช่น ไสยศาสตร์ สิง่ มหัศจรรย์ หรือแม้แต่ศาสนา) กับความมีเหตุผล, ฐานะ (status) กับสัญญา (contract) และที่สำ�คัญที่สุดคือ พวกศักดินากับพวกกระฎุมพี หลักการ ของความเปลีย่ นแปลงระหว่างมโนทัศน์คตู่ รงข้ามเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้า ของความรู้ เหตุผล หรือเทคโนโลยีของมนุษย์ โดยที่ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำ�ให้เกิด รูปแบบของกรอบทัว่ ไปในการผงาดขึน้ หรือการร่วงหล่นของชนชัน้ ต่าง ๆ จนถึงชัยชนะ ของชนชั้นกระฎุมพีที่ครอบครองความรู้ นวัตกรรม และความก้าวหน้า จนในที่สุดก็ ทำ�ให้เกิดระบบทุนนิยมขึ้น สิ่งที่น่าสงสัยต่อกระบวนทัศน์กระฎุมพีนี้ ถึงแม้มันจะมีส่วนของความจริงอยู่บ้าง แต่มนั ก็ไม่ได้มคี วามสอดคล้องกับเหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ ในประวัตศิ าสตร์ ในประเทศ อังกฤษที่เกิดระบบทุนนิยมขึ้น แต่มันก็ไม่ได้เกิดจากชนชั้นกระฎุมพี ในประเทศ ฝรั่งเศส อาจเกิดชัยชนะของพวกกระฎุมพี แต่ชัยชนะดังกล่าวก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ระบบทุนนิยม ไม่มปี ระเทศใดทีร่ ะบบทุนนิยมเป็นผลมาจากการแข่งขันระหว่างความ พ่ายแพ้ของพวกศักดินากับชัยชนะของพวกกระฎุมพี และไม่มที ใี่ ดทีร่ ะบบทุนนิยม จะเกิดจากการแข่งขันระหว่างเมืองที่มีความเป็นพลวัตกับชนบทที่มีความสถิต กระบวนทัศน์กระฎุมพี จึงเป็นการนำ�ประสบการณ์ของการปฏิวัติฝรั่งเศส มา สวมครอบระบบทุนนิยมในอังกฤษ หรือในทางกลับกันเป็นการตีความประสบการณ์ ทางการเมืองของฝรั่งเศส บนพัฒนาการทางเศรษฐกิจของอังกฤษ อย่างไรก็ตามพัฒนาการทางของระบบทุนนิยมในประเทศอังกฤษไม่ได้มีความ สอดคล้องกับกระบวนทัศน์กระฎุมพี พลวัตของระบบทุนนิยมภาคเกษตรกรรมของ อังกฤษ เกิดจากการกระตือรือร้นของพวกเจ้าของที่ดินในทางการค้า รวมทั้งการ ขาดเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างพวกกระฎุมพีกับพวกศักดินา (ดังที่จะอธิบายต่อไป) ทัง้ หมดนีแ้ สดงให้เห็นถึงรูปแบบอืน่ ในการเปลีย่ นแปลงทางประวัตศิ าสตร์ เราอาจเห็น ได้จากงานของจอห์น ล็อค (John Locke) ซึง่ จัดได้วา่ เป็นนักปรัชญาของพวกกระฎุมพี โดยที่ล็อคมองความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในแง่มุมอื่น ความแตกต่างระหว่างระบบเก่า และระบบใหม่ ในสายตาของล็อค แน่นอนว่าเกิดจากความก้าวหน้าของความรู้ แต่ มันไม่ได้อยู่ในรูปแบบของความแตกต่างทางชนชั้นระหว่างพวกศักดินากับพวก กระฎุมพี หรือมาจากการเผชิญหน้ากันระหว่างเมืองและชนบท หรือระหว่างภาค


76

คราสและควินิน

เกษตรกรรมและการค้า แต่ล็อคมองความแตกต่างนี้ว่าเกิดมาจากสิ่งที่ก่อให้เกิด ผลผลิต และสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิต รวมทั้งความแตกต่างระหว่างทรัพย์สินที่เกิด จากการเช่าที่มีความสถิต กับความก้าวหน้าทางเกษตรกรรม เกณฑ์ที่ล็อคใช้มองนี้ สามารถนำ�มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเท่าเทียมกันต่อพวกเจ้าของที่ดิน คนที่อาศัยอยู่ใน เมือง พวกศักดินาและพวกกระฎุมพี นอกจากนี้ เอลเลน มีกซินส์ วูด ยังได้อา้ งอิงงานของนักประวัตศิ าสตร์ชาวอังกฤษ คือ โรเบิร์ต เบรนเนอร์ (Robert Brenner)53 โดยเสนอว่าทุนนิยมในอังกฤษนั้น มี จุดเริ่มต้นมาจากภาคเกษตรกรรม54 อันเป็นข้อเสนอที่น่าประหลาดใจมาก อังกฤษ ในศตวรรษที่ 19 เป็นสังคมอุตสาหกรรมแห่งแรก แต่การโลดแล่นของทุนนิยมใน ศตวรรษที ่ 18 คือสิง่ ทีท่ �ำ ให้สงั คมอุตสาหกรรมในศตวรรษที ่ 19 เกิดขึน้ ได้ อนึง่ มักมี ความเชือ่ ว่าทุนนิยมอังกฤษในศตวรรษที ่ 18 น่าจะเกิดมาจากการเติบโตของทุนนิยม แบบพ่อค้าวาณิชย์ที่เกิดก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะในรูปแบบของบริษัทอีสต์อินเดีย อย่างไรก็ตามทุนนิยมแบบพ่อค้าวาณิชย์ไม่ได้เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการผลิตแบบ ทุนนิยม แต่อปุ สงค์ภายในต่างหากทีข่ บั เคลือ่ นการเติบโตของการผลิตในศตวรรษ ที ่ 18 ไม่ใช่อปุ สงค์จากต่างประเทศ โดยเราสามารถโยงอุปสงค์ภายในนีไ้ ด้ไกลถึงการ เติบโตของการผลิต การบริโภค และตลาดในอังกฤษในช่วงศตวรรษที ่ 16 ซึง่ การผลิต ในช่วงนี้ยังมีขนาดเล็ก และทำ�กันในอาคารห้างร้านหรือในครัวเรือน ไม่ใช่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นช่วงที่มีการขยายตัวอย่างมาก ที่สำ�คัญก็คือการ เปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ของสังคมในชนบท ที่ความสัมพันธ์แบบตลาดได้ เข้ามาแทนที่ความสัมพันธ์แบบศักดินา เจ้าขุนมูลนายกลายเป็นเจ้าของที่ดิน โดย ยังชีพด้วยค่าเช่าที่ดินซึ่งจ่ายโดยชาวนาผู้เช่า ขณะที่ชาวนาก็แข่งขันในตลาดสิทธิใน การเช่าทีด่ นิ ทีด่ นิ ถูกใช้ประโยชน์โดยแรงงานรับจ้างมากขึน้ และกลายเป็นทรัพย์สนิ ที่สามารถซื้อขายกันได้ เนื่องจากศักดินาในอังกฤษลงหลักปักฐานไม่มั่นคงเท่าที่อื่น ในสังคมศักดินา อำ�นาจตุลาการและการทหารจะถูกกระจายไปให้เจ้าขุนมูลนายในแต่ละท้องถิ่น พวก เขาใช้อ�ำ นาจในการกวาดต้อนชาวไร่ชาวนามาอยูใ่ นสังกัด และใช้ประโยชน์จากแรงงาน Robert Brenner, “Agarian Class Structure and Economic Development, in Pre– industrial Europe,” Past & Present No. 70 (Feb., 1976), pp. 30–75. 54  Ellen Meiksins Wood, The Origin of Capitalism (New York: Monthly Review Press, 53

1999). โดยในส่วนนีท้ งั้ หมดผมเอามาจาก เจมส์ ฟุลเชอร์, ทุนนิยม: ความรูฉ้ บับพกพา, แปลโดย ปกรณ์ เลิศเสถียรชัย (กรุงเทพฯ: Openworlds, 2554), หน้า 54–76.


�����������������������������������������������

77

ของคนเหล่านี้ แต่อังกฤษเป็นสังคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ค่อนข้างเป็นเอกภาพ มีระเบียบและเหนียวแน่น อังกฤษได้กลายเป็นรัฐในยุโรปทีเ่ ป็นศักดินาน้อยทีส่ ดุ เป็น เอกภาพและรวมศูนย์มากทีส่ ดุ ชนชัน้ ปกครองของอังกฤษจึงไม่สามารถใช้ก�ำ ลังทหาร ในการขูดรีดเอาส่วนเกินจากชาวนาชาวไร่ได้หนักหน่วงเท่ากับชนชั้นนำ�ในยุโรปภาค พืน้ ทวีปทำ�กัน ชนชัน้ นำ�ในอังกฤษจึงพึง่ พากลไกทางเศรษฐกิจทีม่ าจากการเป็นเจ้าของ ที่ดิน ค่าเช่า และแรงงานรับจ้าง จนกลายมาเป็นพื้นฐานให้เกิดพัฒนาการของระบบ ทุนนิยมต่อไป อนึ่งเมืองมีบทบาทในการพัฒนาของทุนนิยมในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเมืองในอิตาลี บรูกส์ (Bruges) อันต์เวิร์ป อัมสเตอร์ดัม และลอนดอน อย่างไรก็ตามการบอกว่า เมืองเป็นคำ�อธิบายหนึง่ เดียวของกำ�เนิดทุนนิยมในยุโรปมีปญ ั หาหลายประการ ใน ช่วงศตวรรษที่ 11 ถึง 13 เมืองมีความเป็นอิสระมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในหลายศตวรรษ ถัดมา เมืองก็สญ ู เสียอิสรภาพในการปกครองตนเอง ช่วงแรกก็เสียให้กบั ชนชัน้ ศักดินา ที่ฟื้นขึ้นมาใหม่ และต่อมาก็เสียให้กับรัฐชาติ นอกจากนี้การผลิตแบบทุนนิยมยัง พัฒนาอย่างเข้มแข็งในชนบทมากกว่าในเมือง เนื่องจากสมาพันธ์วิชาชีพในเมืองขัด ขวางไม่ให้นายทุนแสวงหาวิธกี ารผลิตใหม่และแรงงานราคาถูก อย่างน้อยในอังกฤษที่ การเปลีย่ นแปลงในภาคกสิกรรมมีสว่ นสำ�คัญต่อการเติบโตของการผลิตแบบทุนนิยม จากตัวอย่างของอังกฤษที่อธิบายมา จึงเป็นไปได้ที่ระบบทุนนิยมจะเกิดมาจาก ระบบศักดินา อนึ่งเป็นความเชื่อโดยทั่วไปว่าสังคมศักดินาเป็นบ่อเกิดของกระแส อนุรักษนิยมที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงไปสู่ทุนนิยม อย่างไรก็ตามสังคมศักดินาก็มี ความยืดหยุ่นและมีพลวัต (อย่างเช่นในอังกฤษหรือยุโรปตะวันตก แต่ไม่ใช่ยุโรป ตะวันออก) ลักษณะที่สำ�คัญของทุนนิยม อย่างเช่น ตลาดและแรงงานรับจ้าง สามารถเกิดขึน้ ในสังคมศักดินาได้งา่ ยกว่าสังคมทีใ่ ช้แรงงานทาส ระบบศักดินาทำ�ให้ ผูผ้ ลิตมีอสิ รภาพในระดับหนึง่ เพราะพวกเขาแตกต่างจากทาสตรงทีม่ พี นั ธะหน้าทีต่ อ่ เจ้าผูค้ รองทีด่ นิ ในขณะทีไ่ พร่สามารถหาเงินจากการขายแรงงานหรือขายการผลิตใน ตลาด ส่วนเจ้าผู้ครองที่ดินก็กระตุ้นการค้าและการผลิตผ่านการใช้จ่ายรายได้ที่ได้มา จากการนั่งกินนอนกินไปกับผลิตภัณฑ์ที่หรูหราฟุ่มเฟือย ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่า การปฏิวัติฝรั่งเศสน่าจะจัดเป็นการปฏิวัติของชนชั้นสูงที่ ทรยศต่อชนชั้นของตัวเอง ไม่ใช่การปฏิวัติของพวกกระฎุมพี อย่างไรก็ตามภายหลัง เหตุการณ์การปฏิวตั ฝิ รัง่ เศสไม่นาน นักประวัตศิ าสตร์ชาวฝรัง่ เศสทีม่ หี วั เสรีนยิ มอย่าง เช่น โอกุสแต็ง ตีแยรี (Augustin Thirrey, 1795–1856) และ ฟร็องซัว กีโซ (Francois Guizot, 1787–1874) กลับมองเหตุการณ์สงครามกลางเมือง (civil war) ของอังกฤษ ผ่านเลนส์ของการปฏิวัติฝรั่งเศส ว่าเป็นการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างพวกกระฎุมพี


78

คราสและควินิน

หัวก้าวหน้ากับพวกชนชั้นศักดินาที่ล้าหลัง มาร์กซ์ซึ่งได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมากจาก งานของนักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในครึ่งแรกของศตวรรษที่สิบเก้าดังกล่าว จึงได้ อธิบายเหตุการณ์การปฏิวตั ใิ นอังกฤษและฝรัง่ เศสว่าเป็นการปฏิวตั ขิ องพวกกระฎุมพี ประกอบกับคำ�อธิบายแบบวัตถุนยิ มเชิงประวัตศิ าสตร์ (Historical Materialism) อัน ทรงอิทธิพลของมาร์กซ์ ทำ�ให้เกิดเป็นกระบวนทัศน์กระฎุมพีขึ้น55 จะเห็นว่าคำ�อธิบายของนิธทิ วี่ า่ การปฏิวตั ใิ น พ.ศ. 2475 เป็นการปฏิวตั ขิ องพวก กระฎุมพี อันทำ�ให้เกิดการจัดสรรโครงสร้างของอำ�นาจในหมูก่ ระฎุมพีใหม่ดว้ ยกัน ใหม่ นับเป็นความสืบเนื่องในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานอันมองย้อนหลังไปได้ถึงต้น รัตนโกสินทร์ คำ�อธิบายดังกล่าวมีฐานคิดมาจากกระบวนทัศน์กระฎุมพีนั้นเอง อย่างไรก็ตามทีเ่ อลเลน มีกซินส์ วูด ได้วจิ ารณ์ไว้กล่าวคือ กระบวนทัศน์นไี้ ม่ได้มคี วาม สอดคล้องกับเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือประเทศใด ๆ ในโลก นอกจากนี้จากตัวอย่างของอังกฤษ แสดงให้เห็นว่าระบบ ทุนนิยมสามารถเกิดได้ในระบบศักดินา ระบบศักดินาจึงไม่ได้มีความหยุดนิ่ง แต่ สามารถปรับตัวได้อย่างมีพลวัต เมื่อเปรียบเทียบกับไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ซึ่ง ถือได้วา่ เป็นรัฐแบบศักดินา ทีย่ งั ไม่ใช่รฐั แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์56 ผูเ้ ขียนจึงเห็น ว่าไม่มีความจำ�เป็นใด ๆ ที่ต้องนำ� “ชนชั้นกระฎุมพี” หรือแม้กระทั่ง “โลกทัศน์ กระฎุมพี” ตามคำ�อธิบายของนิธิ มาเป็นปัจจัยในการอธิบายสภาพทางเศรษฐกิจ สังคมของไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์

Robert Brenner, Bourgeois revolution and transition to capitalism, in The First Modern Society: Essays in English History in Honour of Lawrence Stone, edited by A.L. Beier et al. (Cambridge: Cambridge University Press, 1989), pp. 271–303. 56  ดูบทแรก “The Siamese State, Society and the World–Economies before Absolutism” ใน Kullada Kesboonchoo Mead, The Rise and Decline of Thai Absolutism ( London: Routledge Curzon, 2004), pp. 10–37. 55

ดู


�����������������������������������������������

79

ชนชั้นกระฎุมพีกับบทบาททางการเมือง

มักมีความเชื่อโดยทั่วไปว่าพวกกระฎุมพีมีความคิดทางการเมืองแบบเสรีนิยม (Liberalism) และเป็ น ผู้ นิ ย มระบบการเมื อ งแบบประชาธิ ป ไตย ( Democracy) พวก กระฎุมพีจงึ มีบทบาทสำ�คัญทางการเมืองในการล้มล้างระบบศักดินาและการปกครอง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ลง (นีค่ อื ทัศนคติทนี่ ธิ แิ ละฉัตรทิพย์มรี ว่ มกัน ถึงแม้นธิ ิ จะค้นพบพวกกระฎุมพีก่อนการเข้ามาของสนธิสัญญาเบาว์ริง ในขณะที่ฉัตรทิพย์จะ ค้นไม่พบก็ตาม) แม้แต่กุลลดาและเก่งกิจ ก็ยังเรียกกลุ่มข้าราชการที่ทำ�ให้เกิดการ ปฏิวัติ 2475 ของไทยว่าพวก “ข้าราชการกระฎุมพี”57 แสดงให้เห็นว่า “กระฎุมพี” มักมีความหมายประหวัดไปถึงผู้ที่มีความคิดทางการเมืองแบบเสรีนิยม หรือเป็นผู้มี ความนิยมในการปกครองแบบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามการวิจัยทางประวัติศาสตร์ของตะวันตกในรอบห้าสิบปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นความเคลือบแคลงสงสัยต่อความเชือ่ มัน่ ต่อบทบาททางการเมืองของชนชัน้ กระฎุมพีดงั กล่าว แน่นอนทีก่ ระฎุมพีในฐานะทีเ่ ป็นปัจเจกย่อมมีอ�ำ นาจหรืออิทธิพล บางอย่างอันมาจากความมั่งคั่งในฐานะของเขา แต่ความพยายามในการหาความ สัมพันธ์ระหว่างรูปแบบเฉพาะทางการปกครองประเทศ (ไม่วา่ จะเป็นแบบประชาธิปไตย หรือแบบอืน่ ) กับความสนใจ (Interest) ของพวกกระฎุมพีในฐานะทีเ่ ป็น ชนชั้น โดยไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นกระฎุมพีกับชนชั้นต่าง ๆ ในสังคม เป็นความพยายามที่ประสบความยากลำ�บากมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐบาลในยุโรปในศตวรรษที่ 19 (โดยที่อีริค ฮอบสบอม (Eric Hobswarm) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษเรียกช่วง ค.ศ. 1848–1875 ว่าเป็น “ยุค แห่งทุนนิยม”) ทีส่ นับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ การขยายขอบเขตทางการศึกษา และออกกฎหมายคุม้ ครองสิทธิในทรัพย์สนิ นัน้ อันเป็นยุคทีพ่ วกกระฎุมพีมคี วามเจริญ รุ่งเรืองที่สุดนั้น นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลที่มีลักษณะของเสรีนิยม ไม่ได้มาจาก บทบาททางการเมืองของพวกกระฎุมพี ในประเทศฝรัง่ เศสภายหลังการปฏิวตั  ค.ศ. 1848 สิง่ ทีเ่ กิดขึน้ ไม่ใช่รฐั บาลของพวก กระฎุมพี แต่เป็นรัฐบาลแบบอำ�นาจนิยมของสาธารณะที่สอง (Second republic) ที่ มีนโปเลียนทีส่ ามเป็นประธานาธิบดีคนแรก นโปเลียนทีส่ ามมีนโยบายทีแ่ ข็งกร้าวต่อ Kullada Kesboonchoo–Mead and Kengkij Kitirianglarp, “Transition Debates and the Thai State: An Observation,” p. 112 57


80

คราสและควินิน

คูแ่ ข่งทางการเมืองของเขา โดยได้จบั คนเหล่านีเ้ ข้าคุกหรือไม่กเ็ นรเทศออกนอกประเทศ (วิกเตอร์ ฮูโก (Victor Hugo) ก็อยูใ่ นกลุม่ ทีถ่ กู เนรเทศด้วย) ในขณะเดียวกันนโปเลียน ทีส่ ามก็ได้สนับสนุนให้เกิดการขยายตัวของระบบรถไฟในประเทศ มีการสร้างเมืองปารีส ขึน้ ใหม่ตามการออกแบบทีท่ นั สมัยของบารอน เฮาส์มนั น์ (Baron Haussmann) มีการ ลงทุนทางด้านอุตสาหกรรม แต่พวกกระฎุมพีกลับต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เนื่องจากกังวลว่าผลประโยชน์ของพวกเขาจะได้รับผลกระทบ และรัฐจะได้รับอำ�นาจ มากจนเกินไปจากนโยบายเหล่านี58้ ที่อังกฤษได้เกิดการออกกฎหมาย The Reform Bill ในปี 1832 เพื่อขยายสิทธิ ในการเลือกตัง้ ไปสูค่ นชัน้ กลาง อย่างไรก็ตามผูผ้ ลักดันให้เกิดกฎหมายดังกล่าว ไม่ใช่ พวกกระฎุมพี แต่เป็นพวกวิกส์ (Whig) ซึ่งเป็นกลุ่มขุนนางชั้นสูง ที่ครองอำ�นาจ ทางการเมืองของอังกฤษในตลอดศตวรรษที่ 19 ในเยอรมนี บิสมาร์ค (Bismarck) เสนาบดีเหล็กได้รวมเยอรมันเป็นประเทศได้ส�ำ เร็จในปี 1871 หลังจากการรวมประเทศ เยอรมันได้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว มีการสร้างรัฐสวัสดิการขึ้นเป็น แห่งแรกของโลก มีการสร้างระบบกฎหมายที่เป็นรากฐานต่อประชาสังคมสมัยใหม่ ก่อนทีจ่ ะล่มสลายลงภายหลังสงครามโลกครัง้ ที ่ 1 ความสำ�เร็จของบิสมาร์คเกิดมาจาก การใช้ก�ำ ลังทหาร และการหาเสียงสนับสนุนทางการเมืองในช่วง 1862–1871 ทีส่ ามารถ เอาชนะนักการเมืองพวกกระฎุมพี (Burger) และได้รบั การสนับสนุนจากพวกจุงเกอร์ (Junger) ซึง่ เป็นกลุม่ ขุนนางทีม่ รี ายได้หลักมาจากค่าเช่าทีด่ นิ 59 จะเห็นว่านโยบายแบบ เสรีนิยมในอังกฤษและเยอรมนีในช่วงศตวรรษที่ 19 เกิดมาจากบทบาทของขุนนาง หรือชนชั้นสูง มากกว่าจะมาจากพวกกระฎุมพี ในฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน ในเวลาต่อมา อำ�นาจของพวกขุนนางจะค่อย ๆ  ลดลง แต่มนั ก็เกิดขึน้ พร้อมกันกับการเติบโตของชนชัน้ กรรมาชีพ อิทธิพลทางการเมือง ของพวกกสิกร พวกนายทุนน้อย (petit bourgeosie) ทีช่ นชัน้ กระฎุมพีจะต้องประนีประนอมด้วย โดยกาเร็ท สเตดแมน โจนส์ (Gareth Stedman Jones) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมนิยม (socialism) ได้อธิบายตอนหนึ่งว่า

David Pinkney, The French Revolution of 1830 (Princeton: Princeton Univercity Press, Jerrold Seigel, Modernity and Bourgeois Life: Society, Politics and Culture in England, France, and Germany since 1750 (New York: Cambridge University Press, 2002), p. 4. 59  Jerrold Seigel, Modernity and Bourgeois Life..., pp. 4–5. 58

1972) อ้างถึงใน


�����������������������������������������������

81

“ความก้าวหน้าอันเหลือ่ มลาํ้ ของอุตสาหกรรมได้สร้างการเผชิญหน้าทางชนชัน้ ขึน้ มาสารพัดระนาบ โดยทัว่ ไป พัฒนาการของทุนนิยมอุตสาหกรรมยิง่ มีมาก ขึ้นเพียงใด มันก็ยิ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพวกกระฎุมพีรายใหญ่ กับ ผู้ผลิตรายเล็กและพวกพ่อค้าคนกลางจำ�นวนมาก ซึ่งระบบมันพัฒนาขึ้นมา อย่างไรก็ตามหากอุตสาหกรรมพัฒนาไปน้อยและพวกกระฎุมพียังไม่พัฒนา ไปมาก ความแตกต่างระหว่างพวก ‘กระฎุมพี’ กับ ‘กระฎุมพีนอ้ ย’ ก็จะมีนอ้ ย และความแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวของประชาชนก็จะมีมาก”60 ยิ่งระบบอุตสาหกรรมแบบทุนนิยมเติบโตขึ้น ช่องว่างระหว่างพวกกระฎุมพีกับ ชนชั้นต่าง ๆ ก็เพิ่มมากขึ้นพวกกระฎุมพีจึงต้องเผชิญหน้ากับการท้าทายของพวก นายทุนน้อยและชนชั้นกรรมาชีพซึ่งมีจำ�นวนมากกว่า ในขณะที่ระบบการปกครอง แบบประชาธิปไตยก็มีการเติบโตขึ้น สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งจึงได้กระจายไปสู่ ชัน้ กรรมาชีพด้วย ทำ�ให้พวกนักการเมืองทีม่ าจากชนชัน้ กระฎุมพีตอ้ งประนีประนอม กับชนชั้นกรรมาชีพเหล่านี้เพื่อให้ ได้เสียงสนับสนุนจากการเลือกตั้ง แต่พวกเขาก็ไม่ ต้องการเสียผลประโยชน์ของพวกตนที่ได้มาจากการขูดรีดมูลค่าส่วนเกิน (Surplus value) ในระบบการผลิตจากชนชั้นกรรมาชีพ (ถ้าเราใช้ภาษาแบบมาร์กซ์) เมื่อมอง ในแง่นี้ มันจึงไม่มคี วามจำ�เป็นของทีพ่ วกกระฎุมพีจะมีความนิยมในการปกครองแบบ ประชาธิปไตย ที่ทำ�ให้คนชั้นล่างมีสิทธิในการเลือกตั้งเท่าเทียมกับพวกเขา จ็อฟ เอลเล (Geoff Elley) นักประวัตศิ าสตร์ชาวอังกฤษผูเ้ ชีย่ วชาญด้านเยอรมนี ได้เขียนตอนหนึ่งว่า

60

“For

the uneven progress of industrialzation produced a whole spectrum of differing forms of class confrontation. In general, the more industrial capitalism developed the stronger was the economic power of the grande bourgeosie in relation to the masses of small producers and dealers from which it had sprung, and the greater the distance between their respective aims. Conversely, the less developed the bourgeosie, the smaller the gulf between ‘bourgeosie’ and ‘petit bourgeosie’ and the greater the preponderance and cohesion of the popular movement.” G.S. Jones, “Society and Politics at the Beginning of the World Economy: Reviewing: Eric Hobsbawm, The Age of Capital 1848–1875,” Cambridge Journal of Economics vol. 1, no. 1 (March 1977), p. 84.


82

คราสและควินิน

“การทีก่ ลุม่ เสรีนยิ มแบบต่าง ๆ ปรากฏตัวขึน้ ในพืน้ ทีห่ รือประเทศหนึง่  ๆ ณ จุด เวลาหนึ่ง มันขึ้นอยู่กับดุลยภาพของพลังทางการเมืองในเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ทล่ี กั ษณะเฉพาะ เช่นเดียวกับทีม่ นั ขึน้ อยูก่ บั รากฐานของพัฒนาการทาง เศรษฐกิจ (ซึง่ มักไม่เท่ากัน) หากมองในมุมนี้ เราจะเห็นว่ามันมีความไม่แน่นอน ในหลายระดับในการก่อตัวของการเมืองแบบเสรีนิยม ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่อง น่ากังขาถ้าเราจะขืนสรุปอย่างทือ่  ๆ และสัน้  ๆ แม้มนั จะมีความสะดวกเพียงใด ว่า ‘เสรีนิยม’ มีลักษณะของ ‘กระฎุมพี’ เสมอไป”61 (เน้นโดยผู้เขียน) เนื่องจากนโยบายแบบเสรีนิยม เกิดมาจากสมดุลของอำ�นาจในประเทศนั้น ๆ ใน ช่วงประวัติศาสตร์หนึ่ง ๆ นโยบายดังกล่าวไม่ได้เกิดจากอำ�นาจทางการเมืองของฝ่ายกระฎุมพีแต่เพียงอย่าง เดียว และยังมีตัวแปรเฉพาะหน้า (contingency) หลายประการที่มีผลกระทบต่อ การเมืองแบบเสรีนยิ ม ทำ�ให้เราไม่สามารถเหมารวมได้วา่ “ลัทธิเสรีนยิ ม” เป็นสิง่ เดียวกับความเป็น “กระฎุมพี” โครงสร้างของหนังสือ

สิ่งที่ผู้เขียนจะทำ�ต่อไปในหนังสือเล่มนี้ คือการอธิบายให้เห็นว่า “โลกทัศน์แบบ กระฎุมพี” เป็นเพียงแนวคิดหรือสมมติฐานทีไ่ ม่มคี วามสอดคล้องกับความเชือ่ ของ คนไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ อาจกล่าวสั้น ๆ ได้ว่า โลกทัศน์ดังกล่าวไม่มีอยู่จริง ซึง่ ถ้าผูเ้ ขียนมีความเข้าใจในเรือ่ งนีถ้ กู ต้อง ก็ตคี วามได้วา่ ชนชัน้ กระฎุมพีไทยในสมัย “Exactly which groups liberalism may have presented in a particular region or country at a particular point of time depended very much on the balance of political forces in the particular historical conjuncture, as well as on the fundamental (an uneven) movements of the economy. In view of this complexity–the several levels of contingency in the formation of liberal politics– it is doubtful whether liberalism can reasonbly be regarded –however shorthand or convenient the formulation–as straightwordly ‘bourgeois’ at all. David Blackbourn and Geoff Elley, The Peculiarities of German History: Bourgeois Society and Politics in Nineteenth–Century Germany (Oxford: Oxford University Press, 1984), p. 77. 61


�����������������������������������������������

83

ต้นรัตนโกสินทร์ตามคำ�อธิบายของนิธิ พลอยไม่มีอยู่จริงตามไปด้วย คริส เบเกอร์ ได้ให้ความเห็นว่า แกนหลักทีเ่ ชือ่ มความเรียงทัง้ หมดใน ‘ปากไก่ และใบเรือ’ ไม่ใช่การศึกษาประวัตศิ าสตร์เศรษฐกิจ แต่เป็นการศึกษาประวัตศิ าสตร์ ภูมิปัญญา (Intellectual history) ของสมัยต้นรัตนโกสินทร์1 ความเห็นของคริสข้างต้นมีความสอดคล้องกับของทวีศักดิ์ เผือกสม ที่เสนอว่า หัวใจของปากไก่และใบเรือ อยูท่ กี่ ารเสนอภาพโลกทัศน์และจิตสำ�นึกแบบกระฎุมพี ที่ ให้ความสำ�คัญกับความเป็นเหตุเป็นผล และความจริงเชิงประจักษ์ บวกกับความเป็น มนุษยนิยม ทีป่ รากฏอยูใ่ นงานวรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ อันแตกต่างจากจิตสำ�นึก และโลกทัศน์ในวรรณกรรมของสังคมปลายอยุธยา2 ในขณะทีส่ มภพ มานะรังสรรค์ ได้เขียนบทความ “การขยายตัวทางเศรษฐกิจของ ไทยในช่วงต้นศตวรรษที่ 19” เพื่อวิจารณ์คำ�อธิบายเรื่องการขยายตัวทางการค้าของ นิธิ โดยสมภพยอมรับข้อเสนอของ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ในเรื่องการขยายตัวของ เศรษฐกิจตลาดในต้นศตวรรษที ่ 19 ก่อนหน้าสนธิสญ ั ญาเบาว์รงิ่ เพียงแต่สมภพเห็น ว่าเศรษฐกิจตลาดที่ขยายตัวขึ้นนี้ ไม่มีความเป็นกอบเป็นกำ� คือไม่ได้มีความ เข้มแข็งและขอบเขตของความเปลี่ยนแปลงนั้นมีไม่มากนัก3 อย่างไรก็ตามนิธไิ ด้เขียนบทความตอบกลับว่า เขาไม่ได้มคี วามเห็นทีแ่ ตกต่างจาก สมภพในเรื่องขีดจำ�กัดของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ นิธิอธิบายว่าความสนใจ ที่แท้จริงของ ‘ปากไก่และใบเรือ’ ไม่ได้อยู่ที่การชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจของต้นรัตนโกสินทร์ แต่ตอ้ งการชีใ้ ห้เห็นถึงการเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรม ของชนชัน้ นำ�ของสังคมไทยในเวลานัน้ ซึง่ สังเกตได้ชดั จากหลักฐานด้านวรรณกรรม4 คำ�อธิบายของนิธิแสดงให้เห็นว่าความสนใจของ ‘ปากไก่และใบเรือ’ อยู่ที่การอธิบาย ถึงความเปลี่ยนแปลงทางโลกทัศน์ (หรือภูมิปัญญา) มากกว่าความเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจ คริส เบเกอร์, “ประวัติศาสตร์หลัง 6 ตุลา: การตอบรับของสังคมไทยต่อ ปากไก่และใบเรือของ นิธิ เอียวศรีวงศ์,” หน้า 160. 2  ทวีศักดิ์ เผือกสม, “การปรับตัวทางความรู้ ความจริง และอำ�นาจของชนชั้นสยาม พ.ศ. 2325– 2411,” (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2540), หน้า 22–26. 3  สมภพ มานะรังสรรค์, “การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงต้นศตวรรษที ่ 19,” เอเชียปริทศั น์ ปีที่ 10 (มกราคม–เมษายน 2532), หน้า 96–107. 4  นิธิ เอียวศรีวงศ์, “ปฏิกริยาจาก นิธิ เอียวศรีวงศ์,” เอเชียปริทัศน์ ปีที่ 10 (มกราคม–เมษายน 2532), หน้า 107–108. 1


84

คราสและควินิน

ด้วยความเข้าใจเบื้องต้นดังกล่าว หนังสือเล่มนี้จะเน้นหนักไปที่การวิจารณ์มโน ทัศน์ทางภูมปิ ญ ั ญาทีน่ ธิ ใิ ช้ ไม่วา่ จะเป็น “ความเป็นเหตุเป็นผล” และ “ความจริง เชิงประจักษ์” รวมทั้ง “ความเป็นมนุษยนิยม” ในบททีส่ อง ผูเ้ ขียนต้องการกล่าวถึงร่องรอยทางความคิดของมักซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมนี ที่มีต่อแนวคิดเรื่อง “ความเป็นเหตุเป็นผล” ที่ นิธิใช้ใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ และจากการเปรียบเทียบนิธิกับเวเบอร์จะทำ�ให้เราเห็น ได้วา่ นิธเิ ชือ่ ว่าความคิดแบบ “เหตุผลนิยม (หรือสัจนิยม)” ของชนชัน้ นำ�ไทย (ตาม ที่สังเกตได้จากลักษณะของวรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้เอง อย่างอัตโนมัติจากการที่ชนชั้นนำ�ของไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แบบส่งออกที่ขยายตัวในช่วงนั้น ในขณะที่เวเบอร์เชื่อว่าการที่ผู้คนในตะวันตกเน้น ความสนใจมายังกิจกรรมทางโลก รวมทั้งปฏิเสธความสำ�คัญของเวทมนตร์หรือสิ่ง เหนือธรรมชาติต่างๆนั้น เกิดมาจากมาจากคำ�สอนของลัทธิคาลวินอันเป็นผลมาจาก การปฏิรปู ทางศาสนา (Reformation) ทีเ่ กิดในทวีปยุโรปช่วงศตวรรษที ่ 16 โดยนิธจิ ะ ไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่าคำ�สอนชุดใดในพุทธศาสนาทีท่ �ำ ให้ชนชัน้ นำ�ของไทยในสมัย ต้นรัตนโกสินทร์มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดหรือโลกทัศน์ไปเป็นแบบ “เหตุผล­นิยม (หรือสัจนิยม)” อนึ่งการที่ผู้เขียนเปรียบเทียบนิธิกับเวเบอร์นั้น ไม่ได้มีเจตนาลดคุณค่าของนิธิ หรือปฏิเสธคุณูปการที่ ‘ปากไก่และใบเรือ’ มีต่อไทยศึกษา แต่การกล่าวถึงแนวคิด ของเวเบอร์ จะทำ�ให้ผเู้ ขียนสามารถใช้เป็นฐานในการวิจารณ์แนวคิด “ความเป็นเหตุ­ เป็นผล” ในบททีส่ ามต่อไปได้ โดยผูเ้ ขียนต้องการชีใ้ ห้เห็นว่า “ความเป็นเหตุ­เป็นผล” ไม่ได้อยู่ในด้านตรงกันข้ามกับ “ไสยศาสตร์” อย่างที่นิธิเสนอ ในบทที่สี่ จะเป็นการอธิบายลักษณะของการรับวิทยาการตะวันตกของชนชั้นนำ� ของไทย บทนี้ผู้เขียนต้องการแย้งนิธิที่เสนอว่า การรับวิทยาการตะวันตกของไทย ทำ�ให้เกิดการสั่นคลอนพื้นฐานอารยธรรมไทยอย่างรุนแรง โดยผู้เขียนมองว่าการรับ วิทยาการตะวันตกของไทย มีลักษณะของการเลือกรับในสิ่งที่ไม่ขัดแย้งกับความเชื่อ พื้นฐานของไทย บทที่ห้า ผู้เขียนเสนอการตีความหนังสือ “นางนพมาศ” ที่มีความแตกต่างจาก การตีความของนิธิ โดยการตีความของผู้เขียนตั้งอยู่บนคติความเชื่อดั้งเดิมของไทย นั่นคือคัมภีร์ไตรภูมิและแนวคิดพระเจ้าจักรพรรดิราช อย่างไรก็ตามผู้เขียนไม่ได้ ต้องการเสนอว่าการตีความของผู้เขียนมีความถูกต้องอย่างสมบูรณ์ โดยผู้เขียนจะ กล่าวทิ้งท้ายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับการตีความวรรณกรรมเพื่อหาความจริงจากโลก ภายนอก


�����������������������������������������������

85

บทที่หก เป็นการวิจารณ์แนวคิดเรื่องสัจนิยมในวรรณกรรมไทย (โดยเฉพาะงาน ของสุนทรภู่) ผู้เขียนต้องการเสนอว่า เราไม่ควรอ่านงานของสุนทรภู่ (โดยเฉพาะ นิราศ) เพื่อมุ่งความสำ�คัญไปที่ข้อเท็จจริงแต่เพียงอย่างเดียว แต่เราต้องคำ�นึงถึง เนือ้ หาทีเ่ กิดจากจินตนาการของผูแ้ ต่ง รวมไปถึงขนบธรรมเนียมในการแต่งวรรณกรรม ของคนไทยในสมัยนั้น บทที่เจ็ด เป็นการชี้ให้เห็นว่า แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่ง ได้รบั การยอมรับจากนักประวัตศิ าสตร์สว่ นใหญ่วา่ เป็นนักปราชญ์และรัฐบุรษุ ผูเ้ ริม่ ต้น การเปลีย่ นแปลงครัง้ ยิง่ ใหญ่ให้กบั ประเทศไทยไปสูค่ วามทันสมัย แต่ถา้ เราศึกษาพระ­ ราชประวัติของพระองค์อย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยไม่พยายามปฏิเสธ (หรือลดความ สำ�คัญ) ต่อการกระทำ�ที่มีลักษณะไม่เป็นวิทยาศาสตร์ของพระองค์ท่าน (คือการไม่ ยึดติดกับกรอบโลกทัศน์แบบกระฎุมพี ทีเ่ น้นความมีเหตุมผี ลและความรูเ้ ชิงประจักษ์) เราก็จะพบว่าโลกทัศน์ของพระองค์ ไม่ได้มคี วามเป็นเหตุเป็นผลแบบตะวันตก (หรือ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์) ที่ชัดเจน ตามคำ�อธิบายของนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ บทที่แปด เป็นการปฏิเสธการตีความของ ‘ปากไก่และใบเรือ’ เรื่อง “ความเป็น มนุษยนิยม” และ “เหตุผลนิยม” ในธรรมยุตกิ นิกายทีถ่ กู สถาปนาโดยพระวชิรญาณ หรือเจ้าฟ้ามงกุฎ โดยผูเ้ ขียนต้องการเสนอว่า “ความเป็นมนุษยนิยม” ไม่ใช่เป็นสิง่ ที่ เพิง่ เกิดในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ และธรรมยุตกิ นิกายก็ไม่ได้มแี นวโน้มของ “เหตุผล­ นิยม” อย่างที่ ‘ปากไก่และใบเรือ’ พยายามจะบอกกับเราแบบนั้น ในส่วนท้าย (Appendix) ของหนังสือเล่มนีม้ อี ยูส่ องส่วน ส่วนแรกเป็นการวิจารณ์ “ความรูจ้ ากประสบการณ์” โดยผูเ้ ขียนต้องการแย้งนิธทิ เี่ สนอว่า ผูเ้ ขียนหนังสือนาง­ นพมาศได้เขียนถึงความจริงแบบใหม่ ที่มาจากประสบการณ์ (หรือประสาทสัมผัส ทัง้ ห้าเป็นหลัก) โดยผูเ้ ขียนต้องการเสนอว่าทัง้ คนในอดีตและปัจจุบนั ต่างจำ�เป็นต้อง ศึกษาหาความรูจ้ ากตำ�ราหรือจากคำ�บอกเล่าของผูอ้ นื่ ด้วยกันทัง้ สิน้ ไม่มใี ครสามารถ หาความรู้จากลำ�พังประสบการณ์ที่จำ�กัดของตัวเองได้ สำ�หรับส่วนท้ายทีส่ อง เป็นการนำ�บทความทีผ่ เู้ ขียนเคยเขียนเกียี่ วกับชนชัน้ กลาง มาลงรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ โดยผูเ้ ขียนต้องการชีใ้ ห้เห็นถึงความนิยมในหมูน่ กั วิชาการ ทีน่ �ำ เอาแนวคิด “ชนชัน้ กลาง” มาอธิบายการเปลีย่ นแปลงทางการเมืองของไทย โดย ผูเ้ ขียนคิดว่านอกจากอิทธิพลของมาร์กซ์แล้ว เรายังอาจสืบสาวความนิยมนีไ้ ด้มาจาก แนวคิดเรื่อง “กระฎุมพี” ที่ปรากฏอยู่ใน ‘ปากไก่และใบเรือ’ นั่นเอง



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.