แบบพุทธสถาปัตยกรรมวิหารล้านนา บนพื้นที่แห่งความต้องการที่ทบั ซ้อน กรณี ศึกษา : วิหารหลวงพ่อขาว วัดอินทขิลสะดือเมือง ต.ศรี ภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เจษฎา สุ ภาศรี* * อาจารย์ สาขาสถาปัตยกรรม คณะศิลปกรรมและสถาปั ตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่ ประเทศไทย
Abstract บทความนี้มุ่ ง น าเสนอกรณี ศึก ษา การก่อ รูป ของตั วแบบสถาปั ต ยกรรมวิห ารหลวงพ่ อ ขาว วัดอิ น ทขิ ล สะดื อเมื อง ต.ศรี ภูมิ อ.เมือ ง จ.เชีย งใหม่ พุ ท ธ สถาปั ตยกรรมล้า นนาแบบประเพณี ที่ ก่อรู ปบนพื้ นที่ ซึ่ง มี ความต้อ งการที่ ทับ ซ้อ นระหว่ า ง พื้น ที่อั นแสดงออ กซึ่ง ความเป็น โบราณสถานที่ มีคุณ ค่ า ในมิ ติท างด้า น ประวัติศาสตร์ กับวิถีความต้องการใช้พื้นที่เพื่อเป็นทางสัญจรเดินรถของผู้คนในบริบทปัจจุบัน ด้วยเทคนิคการก่อสร้างที่ประยุกต์จากเอกลักษณ์ทางโครงสร้างของวิหาร แบบล้านนา หนึ่งในองค์ประกอบสาคัญในแผนผังของวัดอินทขิลสะดื อเมือง คือโบราณสถานวิหารหลวงพ่อขาว ที่บางส่วนอยู่ลึกลงไปประมาณ 1 เมตร จากระดับดิน และ มีส่วนที่อยู่พ้นเหนือระดับดินขึ้นมาคือแท่นแก้ว ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปสาคัญ เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า หลวงพ่อขาว และด้วยเหตุจาเป็นให้มีการสร้างอาคารวิหาร หลวงพ่อขาวหลัง ใหม่คร่อมทับลงบนตาแหน่งโบราณสถานดังกล่า วขึ้น โดยกาหนดให้หลวงพ่อขาวเป็นพระประธานของวิหาร จึงนามาซึ่ง ข้อจากัดด้า นการออกแบบ สถาปัตยกรรมดังนี้ 1. ขนาดพื้นที่ใช้สอยอาคารวิหารหลวงพ่อขาวหลังใหม่ ต้องคานึงถึง การเปิดใช้ช่องทางสัญจรเดินรถได้ 1 ช่องทางจราจร (จากเดิม 2 ช่ องทางจราจร) 2. โครงสร้างฐานรากอาคารวิหาร ต้องไม่กระทบกับโบราณสถานที่อยู่ลึกลงไปใต้ระดับดิน 3. ตาแหน่งของการตั้งเสาหลวง ต้องพ้นจากแท่นแก้วหลวงพ่อขาว โดยผลการออกแบบสถาปัตยกรรมวิหารหลวงพ่อขาวหลังใหม่ นั้นได้ประสานประโยน์แห่งความต้องการใช้พื้นที่ของผู้คนซึ่งทับซ้อนกั นอยู่ ได้ในเชิงประจักษ์ ตลอดจนเทคนิควิธีการก่อสร้างอาคารนั้นได้สะท้อนถึง การนาเอาเอกลักษณ์ทางโครงสร้างของวิหารแบบล้านนามาปรับประยุกต์ใช้ ได้อย่างน่าสนใจ กรณีศึกษาข้างต้นเป็น ตัวอย่างของ หนึ่ง ในพื้นที่อันมีความต้องการใช้สอยที่ทับซ้อนกันในหลายมิติของเมืองเชี ยงใหม่ ซึ่ง อดีตนั้นเป็นศูนย์กลางแห่งอาณาจักรล้านนา โดยปัจจุบันยังพบอีกหลาย พื้นที่ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ความต้องการเช่นเดียวกันนี้และอาจไม่สามารถต่อรองกันได้เพียงแค่การใช้การออกแบบงานสถาปัตยกรรมเป็นเครื่ องมือ เป็นต้น Keywords: Viharn Luang Pho Khao, Viharn Luang Lanna, Wat Inthakin, Sadue Mueang, archaeological site.
1. บทนำ (Introduction)
วัดอินทขิลสะดือเมืองตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่มีเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ เศษ แต่เดิมเป็นวัดร้างและเคยเป็นที่ตั้ง เสาอินทขิล (เสาหลักเมือง) ของเมือง เชียงใหม่ ซึ่ง ตามตานานพื้นเมืองเหนือ กล่าวถึง การบูชาเสาอินทขิลไว้ว่า พระ อินทร์ได้ประทานให้ลัวะในสมัยการสร้างเวียงนพบุรี โดย เศรษฐีลัวะ 9 ตระกูล พระฤาษีให้กุมภัณฑ์ 2 ตน เอาเสาอินทขิล ใส่สาแหรกหามนาไปตั้งไว้ ณ แท่น กลางเมืองหรือสะดือเมืองนพบุรี ให้ช าวเมืองลัวะสักการะบูช า กระทั่งต่อมา กลายเป็นเมืองร้าง ต่อ มาพญามั ง รายได้ สร้ างเมือ งนพบุ รี ศ รีน ครพิ ง ค์เชี ย งใหม่ ขึ้ นในปี พ.ศ.1839 จึงโปรดให้ยกรูปกุมภัณฑ์และเสาอินทขิล ขึ้นมาเพื่อให้คนสักการะ กราบไหว้ตามคาแนะนาของพญาลัวะ และได้สร้างวัดขึ้น ชื่อว่าวัดอินทขิลซึ่ง ชาวบ้านเรียกว่าวัดสะดือเมือง โดยวัดแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม สาคัญ ต่างๆ ของกษัตริย์และประชาชนชาวล้านนาเรื่อยมา ในตลอดรัช สมั ย ของกษั ต ริย์ แห่ ง ราชวงศ์มั ง ราย ก่อ นที่ จะกลายเป็ น วัด ร้า ง เมื่ ออาณาจั ก ร ล้านนาถูกพม่าเข้าปกครอง (พ.ศ.2101-2317 เป็นเวลา 216 ปี) จนถึงปี พ.ศ. 2343 พระเจ้ ากาวิ ล ะ ปฐมกษั ต ริ ย์ แ ห่ ง ราชวงศ์ เจ้ า เจ็ ด ตน ได้ ฟื้ น ฟู เมื อ ง เชี ยงใหม่ ขึ้น และได้ ย้า ยเสาอิน ทขิล จากวัด อิน ทขิล มาไว้ยั ง วัด เจดีย์ หลวง พร้อมกับบูรณะฟื้นฟูวัดอินทขิล โดยได้สร้างวิหารคล่อ มฐานเดิมและอัญเชิญ พระอุ่นเมือง หรือหลวงพ่อขาว มาประดิษฐาน เป็นพระประธานภายในวิหาร วัดอิน ทขิลมี ความเจริญ รุ่ง เรืองและมีพ ระสงฆ์จ าพรรษาเรื่อ ยมาและ สันนิษฐานว่าได้กลายเป็น วัดร้างในสมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนคร
เชียงใหม่องค์ที่ 7 (พ.ศ.2416-2439) ซึ่งเป็นยุค เริ่มต้นของการรวมศูนย์เข้ากับ ส่วนกลางให้เป็นส่ว นหนึ่งของสยามประเทศ เจ้านายฝ่ายเหนือถูกลด บทบาท ลงอย่างมาก โดยต้องแบ่งเงินภาษีอากรส่งไปส่วนกลาง วัดจึงขาดการทานุบารุง พระสงฆ์ก็ ขาดการอุปถัมภ์ วัดอินทขิลหรือวัด สะดือเมืองจึงตกอยู่ในสภาพรก ร้างตั้งแต่นั้นมา จนมาสมัยหนึ่งทางราชการจึงสร้างถนนผ่าน (ปัจจุบันคือ ถนน อินทรวโรรส) ทับซ้อนกับบริเวณที่เป็นโบราณสถาน วัดอินทขิลสะดือ เมือง ซึ่ง ก็คือตาแหน่งที่เป็นแนวอาคารวิหารหลวงพ่อขาวทีอ่ ยู่ลึงลงไปใต้ผิวดินประมาณ 1 เมตร (ปัจจุบันจะสังเกตเห็นว่าวิหารหลวงพ่อขาวนั้นสร้างออกไปกลางถนน เล็กน้อย) ก่อนที่ในเวลาต่อมา มูลนิธิวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ และคณะสงฆ์ได้ทา เรื่องขอยกวัดร้างอินทขิล (ร้าง) ให้ เป็นวัดที่มีพระสงฆ์จาพรรษา (รวมถึง วัด ร้างอื่นๆ ในเขตเมืองเชียงใหม่ ที่ได้ดาเนิน การไปแล้วคือ วัดโลกโมฬี วัดหนอง เจ็ดลินและวัดเจดีย์ป่อง เป็นต้น) โดยปรากฏหลักฐานเป็นโบราณสถานได้แก่ เจดีย์ประธานทรงระฆัง วิหารหลวงพ่อขาว และเจดีย์รายทรงมณฑป 8 เหลี่ยม (ในกาแพงรั้ว หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่) ซึ่งจากหลักฐาน “แผนที่เมือง นครเชี ยงใหม่ ” พบว่ ายั ง ไม่ มีถ นนอิ น ทวโรรส เพี ยงแต่ มีเส้ น ทางเข้ ามาถึ ง ด้านหน้าวัดเท่านั้น
*
Contact Author: Jadsada Supasri, Rajamangala University of technology Lanna, Address: 128 Huay Kaew rd, Chiang Mai 50300, Thailand Tel: +66 0846142893 E-mail: jade030626@hotmail.com : jade030626@gmail.com
ภาพที่ 1 โบราณสถานวัดอินทขิลสะดือเมือง ก่อนที่จะมีการสร้างวิหารหลังใหม่ ขึ้นมา โดยกาหนดให้หลวงพ่อขาวเป็นพระประธาน ที่มา : https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/595936
2nd International Symposium on Architecture and Urban Planning/ November 2019/xx
1