เที่ยวเถอะ Please EP.1 Tasmania Winter wonderland
Day 1
มาถึง Launceston ตอนเวลาประมาน 9 โมงเช้ า อากาศเย็นประทะผิวหน้ า หายใจออกมาเป็ นควัน ตอนนี ้อุณหภูมิ 2 องศา ที่นี่ไม่ทีตกึ สูง มีแต่อาคารบ้ านเรื อนหลังเล็กๆ หลายๆบ้ านยังใช้ ปล่องไฟ เห็นได้ จากควันพุ่งจากหลังคาที่เรี ยงราย สถาปั ตยกรรมที่นี่ยงั คงความโบราณ ใช้ อิฐสีแดง บ้ านเรื อนทาสีสนั หลากหลาย ส่วนใหญ่น่าจะมีอายุราวๆ 100 ปี เห็นจะ ได้ เติมพลังกับมื ้อแรกของวันด้ วยอาหารเช้ าที่ Still Water กับวิวของแม้ นํ ้า Tamar สุดลูกหูลกู ตา เรี ยกว่า อาหารให้ 5 วิว ตรงหน้ าให้ เต็ม 10 เลยทีเดียว เดินย่อยกันที่ George river national park ไม่ได้ คาดคิดว่ามันจะสวยงามขนาดนี ้ ยิ่งเดินเข้ าไปลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งร้ อง "ว้ าว" ตลอดเวลา กับความสวยงามของแม่นํ ้าที่เขียวเข้ ม ผาหินตังตระหง่ ้ านมีต้นไม้ สลับสีเขียวนํ ้าตาลเหมือนภาพวาด นํ ้าตกที่ ้ ใ่ จกลาง ลัดเลาะไหลเรื่ อยๆตามแนวหิน ธรรมชาติแบบป่ าดิบชื ้นโดยรอบ ใครจะเชื่อว่าทัศนียภาพสวยงามขนาดนี ้จะตังอยู เมือง Launceston มาถึงที่นี่แล้ วก็กล้ าๆ กลัวๆ ขึ ้น Chair Lift ราคา $12 ข้ ามแม่นํ ้า ขาสัน่ มาก แต่ค้ มุ ค่ากับวิวแบบ 360 จากการลอยอยู่ในอากาศ สูดหายใจเข้ านําอากาศบริ สทุ ธิ์ให้ เต็มปอด ก่อนจะกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม ผลอยหลับไปตังแต่ ้ 1 ทุม ่ เพราะความเหนื่อย Day 2
วันที่สอง รี บตื่นตังแต่ ้ 6 โมงเช้ า หลังจากนอนไป 12 ชม เต็มๆ อุน่ พาสต้ าทานกันก่อนออกไปขึ ้นรถ เปิ ดประตูออกจาก โรงแรมถึงกับเหวอ รี บปิ ดแล้ วถอยหลังมาตังหลั ้ กแทบไม่ทนั เพราะอากาศหนาวมาก ด้ านหน้ ามีแต่หมอกมองไม่เห็นอะไร เลย ทําใจสามวินาทีก่อนจะเปิ ดออกไปใหม่ พื ้นถนนเปี ยกจากความชื ้น หมอกลอยตัวหนาปกคลุมไปทุกที่ โชคดีที่รถมาเร็ว ไม่ต้องยืนรอนาน วันนี ้เราจะไปจุดชมวิว Wineglass bay กัน ออกเดินทางโดยรถตู้ ตังแต่ ้ ฟา้ ยังไม่สว่าง ล้ อหมุนมาเรื่ อยจนพระอาทิตย์ขึ ้น ทําให้ ต้องอ้ าปากค้ างกับวิวสองข้ างทางที่ทํา ให้ นกึ ถึงฉากในหนังสือเรื่ อง The secret garden ที่บรรยายถึงทุง่ หญ้ าในช่วงฤดูหนาว ที่มองไปมองไปไม่สิ ้นสุด ระหว่าง ทางมีแกะ เต็มทุ่งหญ้ า รถค่อยๆวิ่งฝ่ าทะเลหมอกไปช้ าๆ อุณหภูมิตอนนี ้ 3 องศา เราจะแวะพักจิบกาแฟกันก่อนที่ Campbell town วิวทิวทัศน์สองข้ างทางสวยเกินบรรยาย ต้ นไม้ ผลัดใบไปหมดแล้ ว เหลือแต่กิ่งก้ านที่ยงั คงยืนตระหง่าน รับความหนาว ถนนไม่คดเคี ้ยวมาก ทําให้ มนั่ ใจว่าทริ ปนี ้จะไม่จบด้ วยการเมารถอย่างแน่นอน แต่เราก็ไม่ประมาท เพราะ เตรี ยมยาหม่องตราถ้ วยทองไว้ แล้ ว บ้ านเล็กๆน่ารักเรี ยงราย เกือบทุกหลังมีปล่องไฟ ควันพวยพุ่ง
เนินเขาเล็กๆเรี ยงรายสุดลูกหูลกู ตา สะพานข้ ามแม่นํ ้าที่สร้ างจากอิฐสีแดงที่เก่าแก่ของเมือง อายุร้อยปี กบั ต้ นไม้ สลักที่ สวยงาม แล้ วเราก็มาถึงอุทยานแห่งชาติ Freycinet ผ่านทางเดินที่คอ่ นข้ างชัน เริ่ มจากหนาว พวกเราก็เริ่ มถอดเสื ้อแจ็กเกตออก เพราะยิ่งเดินร่างกายก็คอ่ ยๆอุน่ ขึ ้น เหนื่อยไม่กี่อดึ ใจ เราก็มาถึงจุดชมวิว Wineglass bay หาดสีขาวรูปครึ่งวงกลมที่ตดั กับนํ ้าทะเลสีฟา้ เข้ ม ก่อนจะแวะมา ทานอาหารกลางวันกันบนโขดหิน ฟั งเสียงคลื่นซัดสาด ที่ Honeymoon bay นํ ้าทะเลที่นี่ใสเห็นพื ้นทรายด้ านล่าง หอย นางรมสดๆบีบมะนาวนิดหน่อย รสชาติหวานอร่ อยอย่าบอกใคร ทานคูก่ บั ข้ าวผัดเบคอน ข้ าวกล่องที่เตรี ยมมา อิ่มหนํา สําราญ อิ่มท้ อง อิ่มตากับวิวที่สวยงาม วันนี ้เราโชคดีได้ เห็นฝูงโลมากระโดดโต้ คลื่นอย่างสนุกสนาน จากบน Cape tourville
ก่อนกลับเราแวะพักจิบกาแฟที่ไร่องุ่น ที่ตอนนี ้มีแต่เถาองุ่นสีนํ ้าตาลเข้ มพันเลื ้อยบนรัว้ แกะตัวอ้ วนยืนเล็มหญ้ า ภายใต้ แสงอาทิตย์ที่กําลังจะลับขอบฟ้า ระหว่างทางกลับที่พกั ก็อําลาพระอาทิตย์ดวงโต โบกมือลาแล้ วพบกันใหม่วนั พรุ่งนี ้ จบทริ ปวันที่สองด้ วยความประทับใจ และรู้สกึ ว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้ เกิดมา 😊 Day 3
วันนี ้ฟ้าเปิ ด ไม่มีเมฆ รถตู้คนั ใหญ่ของเราออกวิ่งแข่งกับพระอาทิตย์ดวงโตที่ไล่ตามกันมา รถวิ่งผ่านทุง่ หญ้ าที่ขาวโพลน เพราะโดนนํ ้าแข็งปกคลุม ส่องแสงประกายวิบวับสะท้ อนแสงอาทิตย์ แกะตัวอ้ วนนอนอาบแดดพลางเล็มหญ้ า รถวิ่งผ่านสวนมะกอกสีเขียวชอุ่ม ก่อนจะลัดเลาะเข้ าสูป่ ่ าทึบ ปกคลุมด้ วยมอสสีเขียว ถนนค่อยๆลาดชันและคดเคี ้ยวขึ ้น เรื่ อยๆ ไม่มีรถสวนมา รู้สกึ เหมือนกําลังเดินทางสูด่ ินแดนลับแล ทุกชีวิตดูเคลื่อนไหวช้ าเหมือนภาพ slow motion ม้ าตัวโตมีผ้าคลุมกันหนาว ยืนเล็มหญ้ า วัวสีนํ ้าตาลเงยหน้ ามามองเมื่อ รถของเราขับผ่าน ไม้ ฟืนวางกองรอใช้ งาน ตามบ้ านแต่ละหลัง แวะซื ้ออาหารตุนไว้ สําหรับมื ้อกลางวัน และหยุดพักยืดเส้ นยืดสายกันที่ Shaffle village หมูบ่ ้ านเล็กๆ ดูเงียบเหงา ได้ แซน วิชชิ ้นโตมาสองชิ ้น ปี กไก่ทอดอีก 2 ชิ ้น น่าจะพอสําหรับเที่ยงวันนี ้ ออกเดินทางกันต่อ เส้ นทางลาดชันและคดเคี ้ยวขึ ้นเรื่ อยๆ อุณหภูมิข้างนอกตอนนี ้ 0 องศา ถนนเริ่ มเปี ยกเพราะนํ ้าแข็งที่ ละลาย สองข้ างทางเริ่ มเต็มไปด้ วยหิมะปกคลุมตามยอดหญ้ าและพุม่ ไม้ เราผ่านอุบตั ิเหตุสองจุดดูเหมือนรถทังสองคั ้ นจะ โชคร้ ายลื่นไถลลงข้ างทาง ในที่สดุ ก็มาถึงจุดบริ การนักท่องเที่ยว ที่นี่เราจะต้ องซื ้อ National park fee และรอขึ ้นรถ Shuttle bus เพื่อเดินทางต่อไปยังที่พกั
ก่อนจะเช็คอิน เราสองคนเลือกเส้ นทางชมความงามของนํ ้าตก The pencil pine falls เดินจากที่พกั ผ่านแมกไม้ ลัดเลาะ ตามบันไดไม้ ที่ตอนนี ้กลายเป็ นสีขาวจากหิมะ กิ่งสนที่มีปยุ หิมะเกาะอยูห่ ้ อยลงเป็ นม่านไม้ เหมือนกําลังเดินผ่านต้ นคริ สมาสต์นบั ร้ อยๆต้ น ถ้ าตอนนี ้มีตวั ยูนิคอนโผล่มาทักทายก็คงจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะยิ่งเดินมายิ่งเหมือนสวนสวยๆ ของภูตน้ อยๆในนิทาน เสียงนํ ้าไหลดังขึ ้นมาเรื่ อยๆ และในที่สดุ ก็เลี ้ยวมาพบกับภาพตรงหน้ าที่ทําให้ ตาเบิกกว้ าง รุ้งกินนํ ้าสีสวยพาดผ่านนํ ้าตกที่ ไหลริ นสูล่ ําธารด้ านล่าง หิมะเริ่ มตกโปรยปราย เราตัดสินใจทานอาหารเที่ยงกันที่นี่ ใต้ เงากิ่งสน กับหิมะโปรยเบาๆ มีเสียง ู นํ ้าไหลเป็ นดนตรี จากธรรมชาติ ทําเอาสเกลความสุขยิ่งเพิ่มขึ ้นไปอีกทวีคณ อีกเส้ นทางที่เราเลือกเดินวันนี ้คือ The enchanted เดินเลียบริ มแม่นํ ้าสายเล็กๆ ผ่านต้ นไม้ ใหญ่ที่มีมอสสีเขียวขึ ้นคลุม เป็ นผ้ าห่มกันหนาว ผ่านสะพานไม้ และแนวสนที่พร้ อมใจกันโน้ มตัวมาเป็ นอุโมงทางเดินดูราวกับสวนพิศวงเลยทีเดียว มาถึงเคบินที่เราจองไว้ เปิ ดเข้ ามาก็พบกับไออุน่ จากเตาผิงกลางห้ อง โซฟานุ่มสองตัวดูจะเชื ้อเชิญให้ เราเอนหลัง พร้ อมจิบ โกโก้ ร้อนๆ ระเบียงห้ องเต็มไปด้ วยหิมะ เคบินหลังนี ้ถูกล้ อมรอบไปด้ วยต้ นไม้ ครึม้ โดยรอบ ไม่แปลกใจถ้ าจะมีสตั ว์ป่า ออกมาทักทายเราในตอนนี ้ คลายความเหนื่อยจากการเดินทางกันด้ วยการแช่ตวั ในอ่างจากุซซี่อนุ่ ๆ หอมกลิน่ เกลือจากเทือกเขาหิมาลัย กลิน่ Ginger Lily แช่นํ ้าพลางจิบ Vodka Cruiser ทําเอาทังร่ ้ างกายและจิตใจผ่อนคลาย พร้ อมที่จะรับแต่พลังงานดีๆเข้ าสูช่ ีวิตจริ งๆ Day 4
วันที่สองใน Cradle mountain ทานอาหารเช้ าพร้ อมวิวของบ่อนํ ้าที่ตอนนี ้เปลี่ยนเป็ นนํ ้าแข็ง ออกเดินตามเส้ นทางจากที่ พัก ระหว่างทางมีทงั ้ Wombat และ Wallaby แวะออกมาทักทาย รอยเท้ าสัตว์มากมายบนหิมถ เดินยังไม่ทนั เหนื่อยเราก็ มาถึง Visitor centre แวะซื ้อบัตรผ่านเข้ าอุทยาน แล้ วก็ขึ ้นรถบัส โดยจุดหมายของเราวันนี ้คือการไป Trekking ที่ Dove lake เริ่ มต้ นเส้ นทางกับ Wombat ตัวน้ อยที่ออกมาทักทาย ระยะทางกว่า 7 กิโลเมตร กับเวลา 3 ชัว่ โมง แต่น่าแปลกที่ไม่ รู้สกึ เหนื่อยเลย เพราะวิวของธารนํ ้าแข็งเบื ้องหน้ า ที่ดงึ ดูดให้ เราก้ าวขาเดินต่อไปโดยอัตโนมัติ ผ่าน Balloom forest ป่ า ทึบที่มีเสียงนํ ้าไหลคลอประกอบเส้ นทางที่มีมอสปกคลุม เดินกันมาถึงจุด Climax ของที่นี่ Boatshed บ้ านหลังน้ อยๆ กลางหุบเขา ริ มทะเลสาบที่ต้องมาเห็นด้ วยตาคุณเองว่าความสวยงามราวภาพวาดนันเป็ ้ นอย่างไร
Day 5
วันสุดท้ ายใน Cradle mountain เราเลือกเส้ นทาง Yvet Fall ที่พาเรามาถึงนํ ้าตกใหญ่ริมสะพาน ความเงียบสงัดของป่ า ไม้ ประกอบเสียงลําธารนํ ้าไหล ทําให้ เราเลือกที่จะนัง่ สมาธิกนั ที่นี่ ปลดปล่อยความตึงเครี ยด สูดหายใจรับพลังงานของ ธรรมชาติเข้ าสูร่ ่ างกาย ให้ ความสวยงามและสงบของธรรมชาติตราตรึงในความทรงจําเราตลอดไป