Theory of color

Page 1

1

40000003 Theory of Color ความหมายของส ี

สี หมายถึง แสงทีม ากระทบวัตถุแล ้วสะท ้อนเข ้าตาเรา ทําให ้เห็นเป็ นสีตา่ งๆ การทีเ รามองเห็น ี องมันเอง เช่น วัตถุสแ ี ดง เมือ วัตถุเป็ นสีใดๆ ได ้ เพราะวัตถุนัน 2 ดูดแสงสีอน ื สะท ้อนแต่สข มีแสงส่อง ี ดง ทําให ้เรามองเห็นเป็ นสีแดง กระทบ ก็จะดูดทุกสี สะท ้อนแต่สแ เรารับรู ้สีได ้เพราะ เมือ สามร ้อยกว่าปี ทผ ี า่ นมา ไอแซก นิวตัน ได ้ค ้นพบ ว่า แสงสีขาวจาก ดวง อาทิตย์เมือ หักเห ผ่านแท่งแก ้วสามเหลีย ม ( prism) แสงสีขาวจะกระจายออกเป็ นสีรุ ้ง เรียกว่า สเปคตรัม มี 7 สี ได ้แก่ ม่วง คราม นํ2 าเงิน เขียว เหลือง ส ้ม แดง (ศักดา ศิรพ ิ ันธุ.์ 2527 : 5 อ ้างถึงใน http://rbu.qru.ac.th/~somsak/design/ lesson5/ lesson_5.html ) และได ้มีกําหนดให ้เป็ นทฤษฎีส ี ของแสงขึน 2 ความจริงสีรุ ้งเป็ นปรากฏการณ์ ตาม ธรรมชาติ ซึง เกิดขึน 2 และพบเห็นกันบ่อยๆ อยูแ ่ ล ้ว โดยเกิดจากการหักเห ของ แสงอาทิตย์หรือ แสงสว่าง เมือ ผ่าน ละอองนํ2 าในอากาศ

ซึง ลักษณะกระทบต่อสายตาให ้เห็นเป็ นสี มีผลถึงจิตวิทยา คือมีอํานาจให ้เกิดความเข ้มของแสง ทีอ ารมณ์ และความรู ้สึกได ้ การทีไ ด ้เห็นสีจากสายตา สายตาจะส่งความรู ้สึกไปยังสมองทําให ้เกิด เร่าร ้อน เยือกเย็น หรือตืน ความรู ้สึกต่างๆ ตาม อิทธิพลของสี เช่น สดชืน เต ้น มนุษย์เราเกีย วข ้องกับสี ี น ั แตกต่างกันมากมาย ต่างๆ อยูต ่ ลอดเวลาเพราะ ทุกสิง ทีอ ยูร่ อบตัวนัน 2 ล ้วนแต่มส ี ส


2

ี ม ความสําคัญของสท ี ต ี อ ่ วิถช ี วี ต ิ ของเรา สีเป็ นสิง ทีม ค ี วามสําคัญต่อวิถช ี วี ต ิ ของเราอย่างมาก นั บแต่สมัยดึกดําบรรพ์ จนถึงปั จจุบน ั เราได ้นํ าสีมา ใช ้ ให ้เกิดประโยชน์โดยใช ้เป็ นสัญลักษณ์ในการถ่ายทอด ความหมายอย่างใดอย่าง หนึง สีจงึ เป็ นสิง ทีค วรศึกษา เพือ ใช ้ประโยชน์กับวิถช ี วี ต ิ ของเรา เพราะสรรพสิง ทัง2 หลายที 2 แวดล ้อมตัวเราประกอบไปด ้วยสี ทัง2 สิน

ในงานศิลปะ สีเป็ นองค์ประกอบสําคัญอย่างหนึง และในวิถช ี วี ต ิ ของเราสีเป็ นองค์ประกอบที มีอท ิ ธิพลต่อ ความรู ้สึก อารมณ์ และจิตใจ ได ้มากกว่าองค์ประกอบอืน ๆ เช่น 1 . ใช ้ในการจําแนกสิง ต่าง ๆ เพือ ให ้เห็นชัดเจน 2 . ใช ้ในการจัดองค์ประกอบของสิง ต่าง ๆ เพือ ให ้เกิดความสวยงาม กลมกลืน เช่น การ แต่งกาย การจัดตกแต่งบ ้าน 3 . ใช ้ในการจัดกลุม ่ พวก คณะ ด ้วยการใช ้สีตา่ ง ๆ เช่น คณะสี เครือ งแบบต่าง ๆ ้ในการสื ้บอกเล่ 4 . ใช อความหมาย เป็ นสัญลักษณ์ หรือใช าเรือ งราว 5 . ใช ้ในการสร ้างสรรค์งานศิลปะ เพือ ให ้เกิดความสวยงาม สร ้างบรรยากาศ สมจริงและ น่าสนใจ 6 . เป็ นองค์ประกอบในการมองเห็นสิง ต่าง ๆ ของ มนุษย์

ทีม าของส ี

สีทม ี นุษย์ใช ้อยู่ทั วไป มีทม ี าของสีจาก 1 . สสารทีม อ ี ยูต ่ ามธรรมชาติ และนํ ามาใช ้โดยตรง หรือด ้วยการสกัด ดัดแปลงบ ้าง จากพืช สัตว์ ดิน แร่ธาตุตา่ ง ๆ 2 . สสารทีไ ด ้จากการสังเคราะห์ซงึ ผลิตขึน 2 โดยกระบวนการทางเคมี เป็ นสารเคมีทผ ี ลิตขึน 2 เพือ ให ◌ ้สามารถ นํ ามาใช ้ได ้ สะดวกมากขึน 2 ซึง เป็ นสีทเี ราใช ้อยู่ทวั ไปในปั จจุบน ั 3 . แสง เป็ นพลังงานชนิดเดียวทีใ ห ้สี โดยอยูใ่ นรูปของรังสี (Ray) ทีม ค ี วามเข ้มของแสง อยูใ่ นช่วง ทีส ายตา มองเห็นได ้ ชมในความงามทาง ปั จจุบน ั มนุษย์เรามีววิ ัฒนาการมากขึน 2 เกิดคตินย ิ มในการรับรู ้ และชืน สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) สีจงึ ได ้รับการพัฒนาเพือ นํ ามาใช ้อย่างกว ้างขวางและวิจต ิ รพิสดาร จากเดิมทีเ คยใช ้สีเพียงไม่กส ี ี ซึง เป็ นสีตามธรรมชาติ ได ้นํ ามาประดิษฐ์ คิดค ้น และผลิต สีรูปแบบ ใหม่ ๆ ออกมาเป็ นจํานวนมาก ทําให ้เกิด การสร ้างสรรค์ความงามอย่างไม่มข ี ด ี จํากัด โดยมีการ พัฒนามาเป็ นระยะ ๆ อย่างต่อเนือ ง


3

ี ับการมองเห็น แสงสก สีตา่ งๆ จะเปลีย นไปตามสภาพแวดล ้อมของสี และยัง ขึน 2 อยู่กบ ั สภาพของแสงด ้วย โดยทีใ นทีม แ ี สงสว่างจัดๆ สีจะดู อ่อนลง ในทีท ม ี แ ี สงสว่างน ้อยลงสีก็จะเข ้มขึน 2 ด ้วย และในทีไ ม่ม ี แสงสว่างเลยเราจะมองเห ้นสีตา่ งๆ เป็ นสีดําถึงแม ้จะมีความเข ้ม ของแสงเหมือนกัน แต่ถ ้ามีสภาพแวดล ้อมของสีแตกต่างกัน เช่นสี แสดทีอ ยูบ ่ นพืน 2 สีดํา จะดูออ ่ นกว่าสีแสดทีอ ยูบ ่ นพืน 2 สีขาวและสีท ี อยูบ ่ นพืน 2 สีตา่ ง ๆ กันก็จะดูมค ี วามเข ้มต่างกัน สีทบ ี นพืน 2 สีเข ้มจะ มองเห็นเด่นชัดกว่าสีทอ ี ยู่บนพืน 2 สีสว่าง เนือ งจากสีดําไม่สะท ้อน แสงสีตา่ ง ๆ ทําให ้ไม่รบกวนการมองเห็น

การมองเห็นของสีตรงข ้าม การใช ้สีตรงข ้ามกันมาใช ้ร่วมกันโดยนํ ามาวางอยูเ่ คียงคูก ่ น ั ี ก ทัง2 สองสีจะส่งผลต่อคูส ่ อ ี สีหนึง เราจะเห็นว่า สีเขียวทีอ ยูบ ่ นสีแดงจะดูมข ี นาดใหญ่กว่าสีแดง ทีอ ยูบ ่ นสีเขียว ทัง2 สองสีตา่ งหักล ้างค่าความเข ้มของสีซงึ กันและกัน จะทําให ้ไม่ดส ู ดใสเท่าทีค วร ปรากฎการณ์อก ี อย่างหนึง ของสีตรงข ้าม คือ ภาพติดตา ( After Image )โดยการจ ้องมองสีใด สีหนึง ทีส ดจัด ในทีม แ ี สงสว่างจ ้าสักครู่ จากนัน 2 ไปจ ้องมองทีก ระดาษสีขาว จะปรากฎสีตรงข ้าม ของสีนัน 2 ๆ ขึน 2 ทีก ระดาษสีขาวซึง เกิดจากอิทธิพลความแรงของสี

ภาพติดตาอีกลักษณะหนึง ก็คอ ื สีขาวกับสีดํา จากภาพเส ้นตารางสีขาว บนพืน 2 สีดํา จะมอง ้นตารางสี เห็นจุดตัดแนวตัง2 กับแนวนอน ของเส ขาว มีสเี ทา ๆ ลักษณะเช่นนีเ2 กิดจากอิทธิพลของสี ตรง ข ้ามทีอ ยูข ่ ้างเคียงคือสีดํา และรูปสีขาวบนพืน 2 ดํา จะดูใหญ่กว่ารูปสีดําทีอ ยูพ ่ น ื2 ขาว


4

ชนิดของส ี สีนํา WATER COLOUR

สีนํ2า เป็ น สีทใี ช ้กันมาตัง2 แต่โบราณ ทัง2 ในแถบยุโรป และ เอเชีย โดยเฉพาะจีน และญีป น ุ่ ซึง มีความสามารถในการ ระบายสีนํ2า แต่ในอดีตการระบายสีนํ2ามักใช ้เพียงสีเดียว คือ สีดํา ผู ้ทีจ ะระบายได ้อย่างสวยงามจะต ้องมีทก ั ษะการใช ้ ้นํ พู่กน ั ทีส งู มาก การระบายสีนํ2าจะใช 2 าเป็ นส่วนผสม และทํา ละลายให ้เจือจาง ในการใช ้สีนํ2า ไม่นย ิ มใช ้สีขาวผสมเพือ ให ้ ้สี มีนํ2าหนักอ่อนลง และไม่นย ิ มใช ดําผสมให ้มีนํ2าหนักเข ้ม ขึน 2 เพราะจะทําให ้เกิดนํ2 าหนักมืดเกินไป แต่จะใช ้สีกลางหรือสีตรงข ้ามผสมแทน ลักษณะของ ภาพวาดสีนํ2า จะมีลก ั ษณะใส บาง และสะอาด การระบาย สีนํ2าต ้องใช ้ความชํานาญสูงเพราะผิดพลาดแล ้วจะแก ้ไขยากจะระบายซํ2า ๆ ทับกันมาก ๆ ไม่ได ้จะทําให ้ ี น ภาพออกมามีสข ุ่ ๆ ไม่น่าดู หรือทีเ รียกว่า สีเน่า สีนํ2าทีม จ ี ําหน่าย ในปั จจุบน ั จะบรรจุในหลอด เป็ นเนื2อสี ฝุ่ นทีผ สมกับกาวอะราบิค ซึง เป็ นกาวทีส ามารถละลาย นํ2 าได ้ มีทงั 2 ลักษณะทีโ ปร่งแสง ( Transparent ) และกึง ทึบแสง ( Semi-Opaque ) ซึง จะมีระบุ ไว ้ข ้างหลอด สีนํ2านิยมระบายบนกระดาษทีม ผ ี วิ ขรุขระ หยาบ สีโปสเตอร์ POSTER COLOUR

สีโปสเตอร์ เป็ นสีชนิดสีฝุ่น (Tempera) ทีผ สมกาวนํ2 าบรรจุเสร็จ เป็ นขวด การใช ้งานเหมือน กับสีนํ2า คือใช ้นํ2 าเป็ นตัวผสมให ้เจือจาง สีโปสเตอร์เป็ นสีทบ ึ แสง มีเนือ 2 สีข ้น สามารถระบายให ้มีเนือ 2 เรียบ ได ้ และผสมสีขาวให ้มีนํ2าหนั กอ่อนลงได ้เหมือนกับสีนํ2ามัน หรือ สีอะครีลค ิ สามารถระบายสีทับกันได ้ มักใช ้ในการวาด ภาพ ภาพประกอบเรือ ง ในงานออกแบบ ต่าง ๆ ได ้สะดวก ในขวดสีโปสเตอร์มส ี ว่ นผสมของกลีเซอรีน จะทําให ้แห ้งเร็ว

สีชอล์ค PASTEL

สีชอล์ค เป็ นสีฝนผงละเอี ุ่ ยดบริสท ุ ธิน j ํ ามาอัดเป็ นแท่ง ใช ้ ในการวาดภาพ มากว่า 250 ปี แล ้ว ปั จจุบน ั มีการผสมขีผ 2 งึ2 หรือกาวยางไม ้เข ้าไปด ้วยแล ้วอัดเป็ น แท่งในลักษณะของดินสอสี แต่มเี นือ 2 ละเอียดกว่า แท่งใหญ่กว่า และมีราคาแพงกว่ามาก มักใช ้ใน การวาดภาพเหมือน

สีฝ่ ุน TEMPERA สีฝน ุ่ เป็ นสีเริม แรกของมนุษย์ ได ้มาจากธรรมชาติ ดิน หิน แร่ธาตุ พืช สัตว์ นํ ามาทําให ้ละเอียด เป็ นผง ผสมกาวและนํ2 า กาวทํามาจากหนังสัตว์ กระดูกสัตว์ สําหรับช่างจิตรกรรมไทยใช ้ ยางมะขวิด หรือกาวกระถิน ซึง เป็ นตัวช่วยให ้สีเกาะติดพืน 2 ผิวหน ้าวัตถุไม่หลุดได ้โดยง่าย ในยุโรปนิยมเขียนสีฝน ุ่ โดยผสมกับกาวยาง กาวนํ2 า หรือไข่ขาว สีฝนเป็ ุ่ นสีทม ี ล ี ักษณะทึบแสง มีเนือ 2 สีคอ ่ นข ้างหนา เขียนสีทบ ั


5 กันได ้ สีฝนมั ุ่ กใช ้ในการเขียนภาพทัว ไป โดยเฉพาะภาพฝาผนัง ในสมัยหนึง นิยมเขียนภาพผาฝนัง ทีเ รียกว่า สีปน ู เปี ยก (Fresco) โดยใช ้สีฝนเขี ุ่ ยนในขณะทีป น ู ทีฉ าบผนังยังไม่แห ้งดี เนือ 2 สีจะซึมเข ้าไป ในเนือ 2 ปูนทําให ้ภาพไม่หลุดลอกง่าย สีฝนในปั ุ่ จจุบน ั มีลักษณะเป็ นผง เมือ ใช ้งานนํ ามาผสมกับนํ2 าโดย ไม่ต ้องผสมกาว เนือ งจากในกระบวนการผลิตได ้ทําการผสมมาแล ้ว การใช ้งานหมือนกับสีโปสเตอร์ ดินสอสี CRAYON ดินสอสี เป็ นสีผงละเอียด ผสมกับขีผ 2 งึ2 หรือไขสัตว์ นํ ามาอัดให ้ เป็ นแท่งอยูใ่ นลักษณะของดินสอ เพือ ให ้เหมาะสําหรับเด็ก ๆ ใช ้งาน มีลก ั ษณะคล ้ายกับสีชอล์ค แต่ เป็ นสีทม ี รี าคาถูก เนือ งจากมีสว่ นผสม อืน ๆ ปะปนอยูม ่ าก มีเนื2อสีน ้อยกว่า ปั จจุบน ั มีการพัฒนาให ้ สามารถละลายนํ2 า หรือนํ2 ามันได ้ โดยเมือ ใช ้ ดินสอสีระบายสีแล ้วนํ าพู่กน ั จุม ่ นํ2 ามาระบายต่อ ทําให ้มีลักษณะ คล ้ายกับภาพสีนํ2า ( Aquarelle ) บางชนิด สามารถละลายได ้ในนํ2 ามัน ซึง ทําให ้กันนํ2 าได ้

สีเทียน OIL PASTEL สีเทียนหรือสีเทียนนํ2 ามัน เป็ นสีฝนผงละเอี ุ่ ยด ผสมกับไขมันสัตว์หรือขีผ 2 งึ2 แล ้วนํ ามาอัดเป็ นแท่ง มีลก ั ษณะทึบแสง สามารถเขียนทับกันได ้ การใช ้สีออ ่ นทับสีเข ้มจะมองเห็นพืน 2 สีเดิมอยู่บ ้าง การผสมสี อืน ๆใช ้การเขียนทับกัน สีเทียนนํ2 ามันมักไม่เกาะติดพืน 2 สามารถขูดสีออกได ้ และกันนํ2 า ถ ้าต ้องการให ้ สีตด ิ แน่นทนนาน จะมีสารพ่นเคลือบผิวหน ้าสี สีเทียนหรือสีเทียนนํ2 ามัน มักใช ้เป็ นสีฝึกหัดสําหรับเด็ก เนือ งจากใช ้ง่าย ไม่ยงุ่ ยาก ไม่เลอะเทอะเปรอะเปื2 อน และมีราคาถูก สีอะครีลค ิ ACRYLIC COLOUR สีอะครีลค ิ เป็ นสีทม ี ส ี ว่ นผสมของสารพลาสติกโพลีเมอร์ ( Polymer) จําพวก อะครีลค ิ ( Acrylic ) หรือ ไวนิล ( Vinyl ) เป็ นสีทม ี ก ี ารผลิตขึน 2 มาใหม่ลา่ สุด วลาจะใช ้นํ ามาผสมกับนํ2 า ใช ้ งานได ้เหมือนกับสีนํ2า และสีนํ2ามัน มีทงั 2 แบบโปร่งแสง และทึบ แสง แต่จะแห ้งเร็วกว่าสีนํ2ามัน 1 - 6 ชัว โมง เมือ แห ้งแล ้วจะมี คุณสมบัตก ิ น ั นํ2 าได ้และเป็ นสีทต ี ด ิ แน่นทนนาน คงทนต่อสภาพ ดินฟ้ าอากาศ สามารถเก็บไว ้ได ้นาน ๆ ยึดเกาะติดผิวหน ้าวัตถุได ้ ดี เมือ ระบายสีแล ้วอาจใช ้นํ2 ายาวานิช ( Vanish ) เคลือบ ผิวหน ้าเพือ ป้ องกัน การขูดขีด เพือ ให ้คงทนมากยิง ขึน 2 สีอะครี ลิคทีใ ช ้วาดภาพบรรจุในหลอด มีราคาค่อนข ้างแพง สีนํา ม ัน OIL COLOUR สีนํ2ามัน ผลิตจากการผสมของสีฝนกั ุ่ บนํ2 ามัน ซึง เป็ นนํ2 ามันจาก พืช เช่น นํ2 ามันลินสีด ( Linseed ) ซึง กลัน มาจากต ้น แฟลกซ์ หรือนํ2 ามันจากเมล็ดป๊ อบปี2 สีนํ2ามันเป็ นสีทบ ึ แสง เวลา ระบายมักใช ้สีขาว ผสมให ้ได ้นํ2 าหนักอ่อนแก่ งานวาดภาพสี นํ2 ามัน มักเขียนลงบนผ ้าใบ (Canvas ) มีความคงทนมากและ กันนํ2 า ศิลปิ นรู ้จักใช ้สีนํ2ามันวาดภาพมาหลายร ้อยปี แล ้ว การวาด ภาพสีนํ2ามัน อาจใช ้เวลาเป็ นเดือนหรือ เป็ นปี ก็ได ้ เนือ งจากสี นํ2 ามันแห ้งช ้ามาก ทําให ้ไม่ต ้องรีบร ้อน สามารถวาดภาพสีนํ2ามัน ทีม ข ี นาดใหญ่ ๆ และสามารถแก ้ไขงาน ด ้วยการเขียนทับงาน เดิม สีนํ2ามันสําหรับเขียนภาพจะบรรจุในหลอด ซึง มีราคา สูงตํา ขึน 2 อยู่กบ ั คุณภาพ การใช ้งานจะผสมด ้วยนํ2 ามันลินสีด ซึง จะทําให ้เหนียวและเป็ นมัน แต่ถ ้าใช ้ นํ2 ามันสน จะทําให ้แห ้งเร็วขึน 2 และสีด ้าน พู่กน ั ทีใ ช ้ระบายสีนํ2ามันเป็ นพู่กน ั แบนทีม ข ี นแข็งๆ สีนํ2ามัน ิ ปิ นส่วนใหญ่นย เป็ นสีทศ ี ล ิ มใช ้วาดภาพ มาตัง2 แต่สมัยเรอเนซองส์ยค ุ ปลาย


6

ี สม แม่ส ี และสผ สี (Color) หมายถึง แสงทีม ากระทบวัตถุแล ้วสะท ้อนเข ้าตาเรา ทําให ้เห็นเป็ นสีตา่ งๆ การทีเ รามองเห็น ี องมันเอง เช่น วัตถุสแ ี ดง เมือ วัตถุเป็ นสีใดๆ ได ้ เพราะวัตถุนัน 2 ดูดแสงสีอน ื สะท ้อนแต่สข มีแสงส่องกระทบ ี ดง ทําให ้เรามองเห็นเป็ นสีแดง ก็จะดูดทุกสี สะท ้อนแต่สแ

แม่ส ี Primary Color ในวิถช ี วี ต ิ ของเรา ทุกคนรู ้จัก เคยเห็น เคยใช ้สี และสามารถบอกได ้ว่าสิง ใดเป็ น สีแดง สีเหลือง สีได ้ถูกต ้องเท่านัน สีเขียว สีฟ้า สีมว่ ง สีขาว และสีอน ื ๆ แต่เป็ นเพียงรู ้จัก และเรียกชือ 2 จะมีกค ี นทีจ ะรู ้จักสี ได ้ลึกซึง2 ปั จจุบน ั นี2 เรายังมองข ้ามหลักวิชา ทีจ ําเป็ นต่อการดํารงชีวต ิ ประจําวันของเราอยู่ ถ ้าเรารู ้จัก หลักการเบือ 2 งต ้นของสี จะทําให ้เราสามารถเขียน ระบาย หรือ เลือกประยุกต์ใช ้สี เพือ สร ้างความสุขในการ ดําเนินวิถช ี วี ต ิ ของเราได ้ดีขน ึ2 นักวิชาการสาขาต่างๆ ได ้ศึกษาค ้นคว ้าเรือ งสี จนเกิดเป็ นทฤษฎีส ี ตาม หลักการของนั กวิชาการสาขานั น 2 ๆ แม่ส ี คือสีทน ี ํ ามาผสมกันแล ้วทําให ้เกิดสีใหม่ ทีม ล ี ก ั ษณะแตกต่างๆไปจากสีเดิม

ประเภทของส ี แบ่งได ้ 2 ประเภท 1. สีของแสง (Colored Light) 2. สีของสาร (Colored Pigment) 2 ยาวของคลืน 1. สีของแสง (Colored Light) หมายถึง ความแตกต่างสัน แสงทีม องเห็น เริม ด ้วย ั 2 ทีส ี ดงซึง มีคลืน แสงสีมว่ งทีส น ด ุ (380 nm.) ลําดับตามรุ ้งกินนํ2 าและจบทีส แ ยาวทีส ด ุ (760 nm.) * nm. = nanometers

ี สง คือ แสงสีหลักได ้แก่ แดง นํ2 าเงิน เขียว เรียกว่าสีพน แม่สแ ื2 ฐานบวก (Additive primary ี สงผสมให ้เกิดสีอน 2 -สีนํ2าเงิน กลางcolor) เกิดจากแสงขาวหักเห แม่สแ ื 3 ช่วงคลืน แสงใหญ่ คือ สัน เขียว ยาว-แดง


7

ทีม า การเห็ นสี เมือ แสงตกกระทบวัตถุจะถูกดูดกลืนและสะท ้อน อาทิ เห็น วัตถุแดง เพราะโมเลกุลวัตถุดด ู กลืนรังสีอน ื ยกเว ้นรังสีกอ ่ สีแดงจึงรับรู ้เป็ น สีแดง เมือ ดูดกลืนทัง2 หมดจะเป็ นดํา ไม่ดด ู กลืน-ขาว

การมองเห็ น การเห็นสีผา่ นการรับรู ้ทางตา มาวิเคราะห์ข ้อมูลพลังงานแสง ผ่านประสาทสัมผัสการ ั เปลีย ่ น มองเห็น ไปศูนย์สบ นในสมอง สูศ ู ย์การมองเห็น/สร ้างภาพ หรือการมองเห็นก็คอ ื การทีข ้อมูลได ้ ผ่านการวิเคราะห์ แยกแยะให ้รับรู ้สรรพสิง รอบตัว

สามเหลีย มสีซไี ออี (CIE. Color Triangle) ไรท์และกิลด์ (W.D.Wright & J.Guild, 1928) วัดคลืน แสง ั พันธ์กบ และวิเคราะห์สเปคตรัมทีส ม ั ความยาวคลืน แสดงตําแหน่งแสงขาว ท่ามกลางสเปคตรัมรอบรูป เกือกม ้าได ้สีพน ื2 ฐาน 3 มุมคือ นํ2 าเงิน เขียว แดง (สร ้างตามความสัมพันธ์พก ิ ด ั X และ Y คาร์เตเชียน)


8 วงสีนวิ ต ัน (Sir Isaac Newton, 1666) ว่าสีคอ ื ส่วนหนึง ของแสงอาทิตย์ โดยปล่อยลําแสงผ่านแก ้ว ึ ทีห ปริซม นาแน่นกว่าอากาศ จึงหักเหปรากฏสเปคตรัม ม่วง คราม นํ2 าเงิน เขียว เหลือง ส ้ม แดง เมือ นํ า ึ อีกอันมาก็รวมเป็ นสีขาวอีกครัง2 (สีตา่ งกันเพราะความยาวคลืน 2 ทีส ปริซม ต่างกัน แดงยาวทีส ด ุ ม่วงสัน ด ุ )

ี สง (แม่สน ี ักฟิ สิกส) (spectrum primaries) แม่สแ คือสีทเี กิดจากการผสมกันของคลืน แสง มีแม่ส ี 3 สี คือ 1. สีแดง (Red) 2. สีเขียว (Green) 3. สีนํ2าเงิน (Blue)

ี องแสงมาผสมกันจะเกิดเป็ นสีตา่ งๆ ดังนี2 เมือ นํ าแม่สข 1. สีมว่ งแดง (Magenta) เกิดจากสีแดง (Red) ผสมกับสีนํ2าเงิน (Blue) 2. สีฟ้า (Cyan) เกิดจากสีเขียว (Green) ผสมกับสีนํ2าเงิน (Blue) 3. สีเหลือง (Yellow) เกิดจากสีเขียว (Green) ผสมกับสี แดง (Red)

ี งั 2 3 มาผสมกัน จะได ้สีขาว และเมือ นํ าแม่สท

2. สีของสาร (Colored Pigment) หมายถึง สีของวัตถุตา่ ง ๆ ทีเ รามองเห็น ี องสาร ได ้จากธรรมชาติและสังเคราะห์ทางเคมี คือ แดง เหลือง นํ2 าเงิน และผสมเป็ น แม่สข ี องสารหรือแม่สวี ต สีขน ั 2 ที 2 ได ้ แต่ไม่สามารถผสมจากสีอน ื ได ้ แม่สข ั ถุธาตุใช ้ในวงการศิลปะ อุตสาหกรรม ฯลฯ 1. สีเหลือง (Yellow) (Gamboge) 2. สีแดง (Red) (Crimson) 3. สีนํ2าเงิน (Blue) (Prussian Blue)


9 ี าร(Colored Pigment) หรือแม่สข ี องน ักเคมี หรือแม่สวี ัตถุธาตุ หรือแม่สศ ี ล ิ ปะ แม่สส คือสีทใี ช ้ในวงการอุตสาหกรรมและวงการศิลปะ หรือเรียกอีกอย่างหนึง ว่า สีวัตถุธาตุ ทีเ รากําลังศึกษาอยู่ ใน ขณะนี2 โดยใช ้ในการเขียนภาพเกีย วกับพาณิชยศิลป์ ภาพโฆษณา ภาพประกอบเรือ ง ซึง ในหลักการ 2 ประกอบด ้วย เดียวกันทัง2 สิน สีขนที ั 1 (Primary Color) คือ สีพน ื2 ฐาน มีแม่ส ี 3 สี ได ้แก่ 1. สีเหลือง (Yellow) (Gamboge) 2. สีแดง (Red) (Crimson) 3. สีนํ2าเงิน (Blue) (Prussian Blue)

ี สมกันในอัตราส่วนทีเ ท่ากัน สีขนที ั 2 (Secondary color) คือ สีทเี กิดจากสีขน ั 2 ที 1 หรือแม่สผ จะทําให ้เกิดสีใหม่ 3 สี ได ้แก่ 1. สีส ้ม (Orange) เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกับสีเหลือง (Yellow) 2. สีเขียว (Green) เกิดจาก สีเหลือง (Yellow) ผสมกับสีนํ2าเงิน (Blue) 3. สีมว่ ง (Violet) เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกับสีนํ2าเงิน (Blue)

ี ับสีขน สีขนที ั 3 (Intermediate Color) คือสีทเี กิดจากการผสมกันระหว่างสีของแม่สก ั 2 ที 2 จะเกิดสีขน ึ2 อีก 6 สี ได ้แก่ 1. สีนํ2าเงินม่วง ( Violet-blue) เกิดจาก สีนํ2าเงิน (Blue) ผสมสีมว่ ง (Violet) 2. สีเขียวนํ2 าเงิน ( Blue-green) เกิดจาก สีนํ2าเงิน (Blue) ผสมสีเขียว (Green) 3. สีเหลืองเขียว ( Green-yellow) เกิดจาก สีเหลือง(Yellow) ผสมกับสีเขียว (Green) 4. สีส ้มเหลือง ( Yellow-orange) เกิดจาก สีเหลือง (Yellow) ผสมกับสีส ้ม (Orange) 5. สีแดงส ้ม ( Orange-red) เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกับสีส ้ม (Orange) 6. สีมว่ งแดง ( Red-violet) เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกับสีมว่ ง (Violet)


10

จากการผสมกันของแม่สวี ต ั ถุธาตุ เราสามารถนํ าสีตา่ งๆ มาจัดวางเป็ นวงจรสีเพือ ง่ายต่อ การศึกษา ี งั 2 3 มาผสมกัน จะได ้สีเทาหรือนํ2 าตาล และเมือ นํ าแม่สท

สีกลาง (Neural color) คือ สีทเี ข ้าได ้กับสีทก ุ สี สีกลางในวงจรสี มี 2 สี คือ สีนํ2าตาล กับ สี เทา

สีนํา ตาล เกิดจากสีตรงข ้ามกันในวงจรสีผสมกัน ในอัตราส่วนทีเ ท่ากัน สีนํ2าตาลมี คุณสมบัต ิ สําคัญ คือ ใช ้ผสมกับสีอน ื แล ้วจะทําให ้สีนัน 2 ๆ เข ้มขึน 2 โดยไม่เปลีย น แปลงค่าสี ถ ้าผสมมาก ๆ เข ้าก็จะ กลายเป็ นสีนํ2าตาล สีเทา เกิดจากสีทก ุ สี ๆ สีในวงจรสีผสมกัน ในอัตราส่วนเท่ากัน สีเทา มีคณ ุ สมบัตท ิ ส ี ําคัญ คือ


11 ใช ้ผสมกับสีอน ื ๆ แล ้วจะทําให ้ มืด หม่น ใช ้ในส่วนทีเ ป็ นเงา ซึง มีนํ2าหนัก อ่อนแก่ในระดับต่าง ๆ ถ ้าผสม มาก ๆ เข ้าจะกลายเป็ นสีเทา

เราสามารถผสมสีเกิดขึน 2 ใหม่ได ้อีกมากมายหลายร ้อยสีด ้วยวิธก ี ารเดียวกันนี2 ตามคุณลักษณะ ของสีทจ ี ะกล่าวต่อไป ี ดง เหลือง นํ2 าเงิน : เจ.ซี. เลอ บลอง (J.C. Le Blon, 1731) พบ 3 สีธรรมชาติ ทีม า ทฤษฎีสแ สําหรับผสม คือ แดง เหลือง นํ2 าเงิน การค ้นพบนีม 2 ค ี วามหมายยิง และตีพม ิ พ์เป็ นหลักฐานค.ศ. 1756 ี ดง มอริส แฮร์รส ิ (Morris Harris, 1766) ช่างสลัก/นักจิตวิทยาอังกฤษ ตีพม ิ พ์วงสีพน ื2 ฐานทฤษฎีสแ เหลือง นํ2 าเงินครัง2 แรกในหนังสือ The Natural System of Colures ทีอ งั กฤษ โธมาส ยัง (Thomas ี นสีพน Young) เสนอทฤษฎีสบ ื2 ฐาน แดง เหลือง นํ2 าเงิน

วงจรส ี (Color Wheel) กฎของสีธรรมชาติ Nature Order of Color สีในธรรมชาติมก ี ฎเกณฑ์ของมันเช่นเดียวกับชีวต ิ ของคนและสัตว์อยูใ่ นระบบผสมผสานกลมกลืน ของธรรมชาติ นั กปราชญ์ทา่ นวางวงจรสีเรียงลําดับเป็ นวงกลม 12 สี เรียงลําดับอ่อนแก่

วงจรส ี ี งั 2 สามมาผสมกันในอัตราส่วน แม่สวี ัตถุธาตุประกอบด ้วย สี แดง สีเหลือง และสีนํ2าเงิน ซึง เมือ นํ าแม่สท ต่างๆก็จะเกิดสีขน ึ2 มามากมาย ซึง ประโยชน์ จากการทีเ รานํ าสีมาผสมกันทําให ้เรา สามารถเลือกสีตา่ งๆมา ใช ้ได ้ตามความพอใจ สร ้างสรรค์ผลงานศิลปะ ทีง ดงามตามความพอใจของผู ้สร ้าง สีทเี กิดจากการนํ าเอา ี าผสมกัน เกิดสีใหม่เมือ แม่สม นํ ามาจัดเรียงอย่างเป็ นระบบ รวมเรียกว่าวงจรสี


12

จากวงสีจะเห็นว่า สีทอ ี อ ่ นทีส ด ุ จะอยูด ่ ้านบน คือ สีเหลือง แล ้วเรียงตามลําดับลงมาจนถึงสีทแ ี ก่ทส ี ด ุ คือ สีมว่ ง ซึง อยูใ่ นทิศทางตรงกันข ้าม ทําให ้สีในวงสีแบ่งเป็ น 2 วรรณะ หรือ 2 โทน คือ วรรณะร ้อน และ วรรณะเย็น วรรณะร้อน ได ้แก่ สีเหลือง, ส ้ม, ส ้มเหลือง, ส ้มแดง, แดง, ม่วงแดง,ม่วง วรรณะเย็ น ได ้แก่ สีม่วง, ม่วงนํ2 าเงิน, นํ2 าเงิน, เขียวนํ2 าเงิน, เขียว, เขียวเหลือง,เหลือง สําหรับในวงสีทอ ี ยูไ่ ด ้ทัง2 วรรณะร ้อนและวรรณะเย็น คือ สีมว่ ง สีเหลือง

สกุลของสี (Color Family) การใช ้สีในงานออกแบบ ห ้ได ้ผลต่อผู ้ชมคือ เกิดความรู ้สึกร ้อนรน สงบนิง ตืน เต ้นหรือน่าติด ตามนัน 2 นักออกแบบจําต ้องรู ้จักสกุลของสี เพือ จะได ้เลือกสีในสกุลเดียวกันมาใช ้ เพือ เน ้นถึงความรู ้สึกที เกิดต่อผู ้ชม สีซงี ให ้ความรู ้สึกคล ้ายๆกัน คือ สีทอ ี ยูใ่ กล่เคียงกันในวงจรสี คือเป็ นสีซงึ อยูใ่ นสกุล (Family) เดียวกัน มีเนือ 2 แม่สเี ดียวกันเจือปนอยูแ ่ ม ้แต่เพียงเล็กน ้อย เราอาจจําแนกสกลของสีได ้ดังนี2 1. สกุลของสีเหลือง Yellow Family มี 7 สี


13 2. สกุลของสีแดง Red Family มี 7 สี

3. สกุลของสีนํา เงิน Bule Family มี 7 สี

วรรณะของส ี Tone of Color วรรณะของสี คือความแตกต่างของสีแต่ละกลุม ่ ซึง สี ทีเ ราเห็นอยูท ่ ก ุ วันนี2แบ่งเป็ น 2 วรรณะ โดยแบ่งวงจรสีออกเป็ น 2 ส่วน จากสีเหลือง วนไปถึงสีมว่ ง คือ

Warm

Cool


14 วรรณะร้อน (Warm Tone) ให ้ความรู ้สึกรุนแรง ร ้อน ตืน เต ้น สนุกสนาน ร่าเริง ตืน เต ้นท ้า ทาย หรูหรา เจิดจรัส ประกอบด ้วย เหลือง เหลืองส ้ม ส ้ม แดงส ้ม แดง ม่วงแดง ม่วง

วรรณะเย็ น (Cool Tone) ให ้ความรู ้สึกเย็น สงบ สบายตา ปลอดโปร่ง เย็นสบาย รู ้สึกเป็ น กันเอง พักผ่อน อิสระเป็ นธรรมชาติ ประกอบด ้วย เหลือง เขียวเหลือง เขียว เขียวนํ2 าเงิน นํ2 าเงินม่วงนํ2 า เงิน ม่วง

เราจะเห็นว่า สีเหลือง และสีมว่ ง เป็ นสีทอ ี ยู่ได ้ทัง2 2 วรรณะ คือเป็ นสีกลาง เป็ นได ้ทัง2 สี ร ้อน และสีเย็น


15

คุณล ักษณะของส ี คุณลักษณะของสีม ี 3 ประการ คือ

1. สีแท้ หรือความเป็นสี (Hue ) หมายถึง สีทอ ี ยูใ่ นวงจรสีธรรมชาติ ทัง2 12 สี

2. ความจ ัดของสี (Intensity/ Saturation) หมายถึง ความสด หรือความบริสท ุ ธิข j องสีใด สีหนึง สีทถ ี ก ู ผสมด ้วย สีดําจนหม่นลง ความจัด หรือความบริสท ุ ธิจ j ะลดลง ความจัดของสีจะเรียงลําดับ จากจัดทีส ด ุ ไปจน หม่นทีส ด ุ ได ้หลายลําดับ ด ้วยการค่อยๆ เพิม ปริมาณของสีดําทีผ สมเข ้าไปทีละน ้อย จนถึงลําดับทีค วามจัดของสีมน ี ้อยทีส ด ุ คือเกือบเป็ นสีดํา


16 เราสามารถแบ่งกลุม ่ ความจ ัดของสีได้ด ังนี กลุม ่ สีจาง คือสีทม ี ค ี วามสดใสน ้อย เช่น สีเขียวอ่อน เหมาะกับงานทีต ้องการความนุ่มนวล อ่อนหวาน น่ารัก มักเป็ นทีน ย ิ มของกลุม ่ เด็ก วัยรุ่น สตรี กลุม ่ สีเจิดจ้า คือสีทม ี ค ี วามสดใส เหมาะกับงานทีต ้องการให ้เด่นสะดุดตา กลุม ่ สีสงบ คือสีทล ี ดความสดใสลงทําให ้รู ้สึกเบา อ่อน สงบ เงียบ แบ่งเป็ น 2 กลุม ่ ได ้แก่ กลุม ่ สีสว่าง (สีแท ้ผสมสีเทา ทําให ้รู ้สึกสงบ ราบเรียบ เบาแต่สว่าง), กลุม ่ สีหม่น (สีแท ้ผสมสีดํา ให ้ความรู ้สึก เป็ นพิธก ี ารใช ้ได ้ทุกโอกาส) กลุม ่ สีเข้มลึก เป็ นสีทม ี น ี ํ2 าหนั กเข ้ม ให ้ความรู ้สึกหนักแน่น จริงจัง เช่น สีเขียวหัวเป็ ด แดงปูน เหลืองทอง เป็ นต ้น เหมาะกับลวดลายทีเ ป็ นสีเดียวหรืองานทีเ น ้นลายมากกว่าภาพ เช่น ลายบ ้านเชียง การเน้นความสดใสของสีดว้ ยวิธก ี ารต่างๆ 1. ใช ้สีทม ี ค ี วามสดใสทีส ด ุ เป็ นจุดศูนย์กลาง แล ้วใช ้สีหม่นล ้อมรอบลวดลายทีไ ม่ จุดเน ้น สีหม่นจะช่วยขับสีทม ี ค ี วามเด่นอยูแ ่ ล ้วให ้เด่นยิง ขึน 2 2. ใช ้สีตรงกันข ้าม สีดํา สีทอง หรือสีเข ้มตัดเส ้น หรืออาจเน ้นสีขาวแทนได ้ จะทําให ้ ผลงานดูสดใสขึน 2 3. ใช ้กลุม ่ สีทล ี ักษณะแตกต่างกันระหว่างรูปกับพืน 2 เช่น กลุม ่ สีเจิดจ ้ารวมกับกลุม ่ สีสงบ 3. ค่านํา หน ักของสี (Values) หมายถึง นํ2 าหนักของสี ซึง วัดด ้วยการรับรู ้ของสายตา สีทส ี ดใส (Brightness) สีกลาง (Grayness) สีทบ ึ (Darkness) ของสีแต่ละสี สีทก ุ สีจะมีนํ2าหนั กในตัวเอง ซึง จะทําให ้ความเข ้มของสีลดความสดใสลง เกิดความรู ้สึกขรึม ลึกลับ นํ2 าหนั กของสียังหมายถึง

การเรียงลําดับนํ2 าหนั กของสีแท ้ด ้วยกันเอง โดยเปรียบเทียบ นํ2 าหนักอ่อนแก่กบ ั สีขาว – ดํา ี น Hue (ฮิว) หมายถึง สีแท ้ทีย ังไม่มส ี อ ื ผสม Tint (ทินต์) หมายถึง สีทผ ี สมด ้วยสีขาว ทําให ้ผลงานดูนุ่มนวล อ่อนหวานสบายตา Tone (โทน) หมายถึง สีแท ้ทีผ สมด ้วยสีเทา ทําให ้ความเข ้มของสีลดลง ให ้ความรู ้สึกทีส งบ ราบเรียบ Shade (เชด) หมายถึง สีทผ ี สมด ้วยสีดํา ทําให ้ความเข ้มของสีลดความสดใสลง ทําให ้รู ้สึกขรึม ลึกลับ


17 เราสามารถเปรียบเทียบระหว่างภาพสีกับภาพขาวดําได ้อย่างชัดเจนเมือ นํ าภาพสีทเี ราเห็นว่ามีส ี แดงอยูห ่ ลายค่า ทัง2 อ่อน กลาง แก่ ไปถ่ายเอกสารขาว-ดํา เมือ นํ ามาดูจะพบว่า สีแดงจะมีนํ2าหนักอ่อน แก่ ตัง2 แต่ขาว เทา ถึงดํา นั นเป็ นเพราะว่าสีแดงมีนํ2าหนักของสีแตกต่างกันนั นเอง สีตา่ งๆทีเ กิดขึน 2 ในวงจรสีหากเรานํ ามาเรียงนํ2 าหนั กความอ่อนแก่ของสีหลายสี เช่น ม่วง นํ2 าเงิน เขียว แกมนํ2 าเงิน เขียว และเหลืองแกมเขียว หรือ ม่วง แดง แดงส ้ม ส ้ม ส ้มแกม เหลือง และเหลือง หรือเรียกว่าค่าใน นํ2 าหนักของสีหลายสี (Value of different color) ดังตัวอย่าง

สําหรับค่าความเข ้มอีกประเภทหนึง เกิดจากการนํ าสีใดสีหนึง เพียงสีเดียวแล ้วนํ ามาไล่นํ2าหนักอ่อนแก่ใน ตัวเอง เราเรียกว่าค่านํ2 าหนักสีเดียว (Value of single color) ซึง ถ ้าผู ้เรียนฝึ กฝนได ้เป็ นอย่างดีแล ้ว สามารถนํ า ความรู ้จากการไล่คา่ นํ2 าหนักนี2ไปใช ้ให ้เกิดประโยชน์ได ้ มากในการสร ้างงานจิตรกรรม ดังตัวอย่าง

ึ ษาทางศิลปะบางคนชอบทีจ .............ผู ้ทีศ ก ะให ้สีหลายๆสี โดยเข ้าใจว่าจะทําให ้ภาพสวยแต่ทจ ี ริงแล ้วเป็ น ความคิดทีผ ด ิ กลับทําให ้ภาพเขียน ทีอ อกมาดูไม่สวยงาม เพราะการทีจ ะให ้สีหลายสีให ้ดูกลมกลืนกันนัน 2 เป็ นเรือ ง ทีค อ ่ นข ้างยาก หากเราได ้มีโอกาสได ้สังเกตภาพเขียนทีส วยๆของศิลปิ นหลายๆท่านจะพบว่า ผู ้สร ้างสรรค์ไม่ได ้ใช ้ เี ท่านัน สีทม ี ากมายเลย ใช ้อย่างมากสองถึงสีส 2 แต่ เราดูเหมือนว่าภาพนัน 2 มีหลากหลายสีทงั 2 นีก 2 ็เพราะว่าเขารู ้จักใช ้ ค่านํ2 าหนั กสีๆเดียวโดยการนํ าเอาสีอน ื เข ้ามาผสมผสานบ ้างเท่านัน 2 ความหมายนํา หน ักสี คือ ความสว่างมืดของสีเมือ เทียบกับนํ2 าหนักอ่อนแก่ของสีขาวดํา รูปแบบนํา หน ักสี 1. นํา หน ักแสงสี (Brightness) 2. นํา หน ักสารสี แบ่งเป็ น โทนไร ้สี และ โทนสี 2.1 โทนไร้ส ี (Achromatic) มีคา่ ความสว่างเพียงขาว เทา ดํา เทียบขาวไปดําคือ เทา 9 ลําดับ (Value keys) ก. ค่านํา หน ักความสว่างสูง (High key) ข. ค่านํา หน ักความสว่างปานกลาง (Intermediate key) ค. ค่านํา หน ักความสว่างตํา (Low key) เทา ดํา

2.2 โทนสี (Chromatic) ค่านํ2 าหนักอ่อนแก่ของสีจากการเทียบความสว่างของสีกับขาว ก. ค่านํา หน ักหลายสี (Value of different color) เรียงนํ2 าหนักอ่อนแก่ของ

หลายสีในวงจร

ข. ค่านํา หน ักสีเดียว (Value of single color) การไล่นํ2าหนั กอ่อนแก่ในสีเดียว สามารถนํ าการไล่คา่ นํ2 าหนั กใช ้ได ้มากในการสร ้างงานจิตรกรรม บางคนชอบให ้ หลายสี เข ้าใจว่าทําให ้ภาพสวย กลับทําให ้ไม่สวย เพราะหลายสีทําให ้กลมกลืนยาก หากสังเกต


18 ี แต่เหมือนหลายสีเพราะ ใช ้ค่านํ2 าหนั กสี ภาพเขียนสวยๆ จะพบว่าไม่ได ้ใช ้สีมาก ใช ้อย่างมากสองถึงสีส เดียวโดยผสมผสานสีอน ื เท่านั น 2 ให ้เกิด

3. ประโยชน์นํา หน ักสี การให ้ค่าความต่างของนํ2 าหนั กสีและไร ้สีในงานออกแบบ 2 มิต ิ จะช่วยทํา ก. แสงและเงาในภาพ ลวงตาทําให ้เกิดความลึกได ้ ช่วยให ้ภาพมี 3 มิต ิ ข. ให ้สีตา่ งกัน กลมกลืน หรือตัดกัน ค. ให ้ภาพและพืน 2 กลมกลืนหรือแยกกัน ขึน 2 กับค่านํ2 าหนักทีใ กล ้หรือต่างกันมากหรือน ้อย ง. ช่วยให ้เกิดความรู ้สึก หนัก – เบา และเคลือ นไหว

สีทน ี ํ2 าหนักใกล ้เคียงใช ้ร่วมกันจะกลมกลืน สีนํ2าหนักต่างกันเมือ ใช ้ร่วมกันจะตัดกัน การสร ้างภาพ 3 ้นํ มิต ิ ต ้องใช 2 าหนักสีประกอบกัน พบว่าสีออ ่ นรู ้สึกเบา สีแก่หนั ก และนํ2 าหนั กสีสลับกันช่วยให ้รู ้สึก เคลือ นไหวด ้วย ้ ํา หน ักสี การเติมสีคา่ นํ2 าหนั กต่างกัน นํ2 าหนั กและสีเปลีย 4. การใชน น เพิม หรือลดขึน 2 อยูก ่ ับสีท ี นํ ามาผสม ก. ผสมสีทม ี น ี ํ2 าหนักอ่อนกว่า สีจะเปลีย นและค่านํ2 าหนั กสูงขึน 2 ข. ผสมกับสีทม ี ค ี า่ นํ2 าหนักเท่ากัน สีจะเปลีย นแต่นํ2าหนักคงเดิม ค. ผสมกับสีทม ี น ี ํ2 าหนักแก่กว่า สีจะเปลีย นและ นํ2 าหนักตํา ลง


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.