เปดเลม จักรยานเปนสวนหนึ่งในความสุขสวนตัวของผม เมื่อยังเด็กเล็ก ..ผมเห็นแมและคนอื่นๆปนจักรยาน ภาพนั้นมันชางสวยงาม เปนตัวแทนของความ เกงกลาที่ไดควบเจาสองลอนั่นไปไหนตอไหน เพราะคงไมใชเรื่องงายกับการทรงตัวใหไดบนอาน จักรยานอันเล็กนั้น เหมือนกับเด็กที่หัดเดิน มันชางยากเย็นแสนเข็ญกวาจะเดินไดแตละยาง และเมื่อผมผานการลมลุกคลุกคลานกับเจาจักรยานคันเล็กมาได ผมก็ไดสัมผัสความสุขบนหลัง จักรยานมาเรื่อย ในอดีต ที่บานผมจะมีจักรยานอยู ๒ คัน ทุกวันหยุดเสารหรืออาทิตย แมซึ่งปนจักรยานคันใหญก็ จะปนนําหนา พาผมและพี่สาวที่ปนจักรยานขนาดกลางอีกคันไปเยี่ยมคุณยายที่อยูหางออกไปราว ๔ กิโลเมตร และผมนั่งซอนทายพี่สาวไป จนเริ่มปนจักรยานไดเองนั่นแหละ ผมจึงไดควบเจาจักรยานคันเล็กอีกคัน ปนตามแมและพี่สาวไป จนถึงบานคุณยาย เมื่อถึงวัยที่มอเตอรไซคเขามาแทนที่ จักรยานคูใจคันเล็กของผม ก็ถูกจอดสงบนิ่งในโรงเก็บจน ยางแบนแฟบและสนิมเริ่มเขามาใกลชิดจนสนิทสนมกลมเกลียว แลววันหนึ่งแมก็ยกจักรยานคันนั้น ใหลูกชาวบานคนอื่นไป สวนผมก็ขับมอเตอรไซคโฉบเฉี่ยวและคนพบความสุขแบบใหมๆบนหลัง มอเตอรไซค สุดทาย .. รถเกงก็เขามาแทนที่มเตอรไซค ซึ่งกลายเปนเรื่องอันตรายสําหรับคนวัยหนุมตอน ปลายเชนนี้ ... จักรยานก็ยังคงถูกเก็บไวในโรงรถ เหลือแมคนเดียวที่ยังปนจักรยานคันเดิมจวบจน วันนี้ เพราะนี่เปนพาหนะอยางเดียวที่แมใชมันเปน วันและเวลาเปนผูชักจูงใหผมไดมาพบกับคณะคนโงปนจักรยาน และในกาลตอๆมา เราก็ไดรวม ปนจักรยานไปทองเที่ยวกันในหลายแหง พิพิธภัณฑ วัดวาอาราม โบราณสถาน ตลาด เขาใหญ และอัมพวา ในครั่งลาลุด ราวกับยอนเวลากลับไปหาความสุขในวัยเยาว การปนจักรยาน ทําใหผมไดใกลชิดกับความทรงจําในอดีตอีกครั้ง เมื่อปนจักรยาน บางครั้งทําใหคิดถึงคุณยาย ที่เมื่อครั้งกอนผมปนจักรยานไปเยี่ยมทานบอยๆ เมื่อปนจักรยาน ผมคิดถึงวัยเด็กที่นั่งซอนทายพี่สาวอยูบอยครั้ง เมื่อปนจักรยาน ผมคิดถึงแม ที่ทุกวันนี้ในวัย ๖๐ กวา ยังปนจักรยานอยางสนุกสนานทุกเย็น เมื่อปนจักรยาน ผมมีความสุขเสมอ .. ขอบคุณครับ
จุดเริ่มตน เชาวันแม .. คนโงนัดกันปนจักรยานไปอัมพวา .. ครูแปมสงเสียงตามสายเขามาถามถึงพิกัดที่ผมอยู ณ เวลานั้น "อีก ๕ นาทีถึง" ผมตอบอยางรูวา ระยะเวลา.. เปนคําตอบที่ทําใหผูฟงสบายใจมากกวาระยะทาง เสมอ ... หลังจากนั้น ๑๐ นาทีผมก็มาถึง จุดหมาย นั่นคืออาคารพาณิชยที่ยืน เบียดกันอยางอบอุน มีเพียงถนนแคบ ขวางกั้น ใหพอรูวามิไดอยูหลัง เดียวกัน ผมกมดูนาฬิกาพลังแสงอาทิตย ของฝากจากญี่ปุนราคา ๒๕๐ บาท มันบอกเวลา ๗.๔๐ น. ผมมาตามเวลาเชนเคย .. "กินกระเพาะปลากันกอนพี่" เฮียชัยรองเชิญฐานะเจาบาน กอนจะแอบกระซิบหยั่งเชิงระหวางพา ไปนั่งทานมื้อเชา "ผมสงสัยจริงๆวา ที่เราไปปนจักรยานกันวันนี้ มันเกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องที่พี่จะทํา วิดีโองานแตงใหผมดวย" "ก็เราโงไงเฮีย" ผมแกลงรองตอบใหชาวคน โงรอบขางไดยิน เฮียแกรีบโบกมือไหวๆใหผม ลดระดับเสียงเหลือลงเพียงกระซิบ เพื่อบท สนทนาจะไดเปนความลับตอไป "ผมนึกไมออกจริงๆวาภาพมันจะออกมา ยังไง มันเกี่ยวอะไรกับปนจักรยาน นี่มันฉายใน งานแตงนะ" น้ําเสียงเฮียแกเจือกังวลเล็กๆ "เฮียไมตองคิดเรื่องนั้น" ผมปลอบ
แกถอนใจโลงอก .. "ถึงผมจะแนใจวาอยางพี่โจนี่ มันตองมีอะไรในใจอยูแลว แตแหม .. นะ มัน ก็" "ผมมีอะไรในใจอยูแลวละ ดูคลิปปนขึ้นเขาใหญที่ผมโพสเมื่อวานรึยังละ" วาแลวผมก็เดินเขาไป ซดกระเพาะปลาในบาน ปลอยใหแกยืนหนาชาอยูอยางนั้น (คลิปที่อางถึง http://www.youtube.com/jtatanan) มันเปนความทรงจําที่รวดราวของเฮีย ชัย เรื่องราวระหวางเฮียกับเขาใหญ ซึ่งจบลง ดวยโศกนาฏกรรมที่ทุกคนภาวนาใหเกิดขึ้นในวัน นั้น .. และกลายมาเปนสุขนาฏกรรมทางคลิป วิดีโอ ที่ผูชมสวนใหญหัวเราะชอบใจตามกัน "ไมมีทาง" เฮียแกยืนยัน (ยืนจริงๆ) "คราวนี้ไม มีทางเหมือนเดิม เหมือนเขาใหญ" แกยืดอกพก ความมั่นใจมาเต็มรอย กอนคิดอะไรบางอยาง ออก ... "แตเมื่อคืน" ... เฮียแกหันไปสบตาเพื่อนรักที่ขอตามมาเปนสักขีพยานแบบใหเห็นกับตา "ไอ นี่นะสิ! มันบอกวาอยากตามไปดวย ผมเลยตองไปรับมัน แลวก็ดันไปกินขาวตมกัน แมม.. กวาจะได นอนเกือบตี๓" แกพยายามหาทางลง .. เผื่อไว คณะคนโงระเบิดเสียงหัวรอลั่นระงมระแวกนั้น เรารูวาลางรายของเฮียชัย ซึ่งเปนความสุขของ พวกเราไดกอตัวขึ้นแลว ... "เอาละ .. " ครูแหลม หัวหนาคนโงเปดประเด็น ดวยน้ําเสียงที่ฟงเปนทางการมากๆ "สําหรับเสนทางการปนจักรยานของเราในวันนี้นะครับ จากบานเฮียชัยแถวบางปะกอก เราจะปน จักรยานไปพบกับคุณพอนองออม ที่รอเราอยูที่ปมน้ํามันขางแม็คโคร ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก ระยะทางการปนที่ระบุในแผนที่ ซึ่งทุกคนไดรับยกเวนเฮียชัยคนเดียวนั้น เราจะเริ่มนับระยะทางใน การเดินทางครั้งนี้ จากปมน้ํามันตรงถนนวงแหวนนะครับ สวนระยะทางจากบานเอียชัยไปถึง ปมน้ํามัน ๑๗ กิโลฯเราไมนับรวมในแผนการเดินทางนะครับ..โปรดทราบ" สิ้นเสียงประกาศ เฮียชัยทําหนาเลิ่กลัก เพราะแกเขาใจมาตลอดวา การเดินทางครั้งนี้เราจะไป นครปฐมกัน .. สวนผมก็ใจหายวาบไปอยูที่สนเทา เพราะรูวาระยะทางเมื่อบวกจากบานเฮียแกเขาไปอีก .. โอวว แมเจา!!
... เมื่อพรอมแลว คนโงทั้ง ๖ อันประกอบดวย ครูแหลม ครูแปม ครูแจง ครูตน ผม และเฮียชัย ก็ ออกเดินทางมุงสูถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก เพื่อสมทบกับคุณพอนองออม (บิดาของลูกศิษยครู แหลม) ถึงตอนนั้นเราก็จะมีกันครบ ๗ คน ผมนึกถึงคนแคระทั้ง ๗ ขึ้นมาลางๆ ... อืม คนโงทั้ง ๗ ก็เขาทาดีนะ .. แตดูเหมือนจะมีเฮียชัย เพียงคนเดียว ที่มีแมหิมะขาวคอยใหกําลังใจ คอยขับรถยนตตามไปชาๆดวยความเปนหวง .. ... การปนจักรยานบนถนนใหญเปนสิ่งที่อันตรายมาก แมใครบางคนจะบอกวา การปนจักรยานชวย ชาติประหยัดน้ํามันก็เถอะ! และจงเชื่อเราชาวคนโงเถิด .. ทานนักการเมืองและคนที่คิดโฆษณา นั้นนะ มันไมปนจักรยานมาเสี่ยงตายเพื่อประหยัดน้ํามันที่ทํากําไร ใหพวกเขาหรอกนะ ... จากบานเฮียชัยไปถึงจุดหมายแรก เราปนจักรยานมาตามถนน พระราม ๒ ซึ่งรวบรวมสารพัดผูคน รอยพอพันแม และเราก็พบวา ยิ่งรถคันใหญ ก็ยิ่งอยากเขามาใกลชิดสนิทสนม "คนโงปน จักรยาน" มากขึ้น .. ไมรูแกนึกพิศวาสอะไรกันนักหนา ราวกับวา ตนตระกูลแกเปนเจาของถนนมาแตบุราณนานป พี่รถเมลนี่ก็ใชได พิศวาสกันนาดู เห็นเราเปนขวางหูขวางตา แวะเขามาทักใกลๆอยูเรื่อย .. โดยธรรมชาติของคนปนจักรยาน เมื่อปนบนถนนใหญ (ใน ประเทศที่นักการเมืองดอยพัฒนาอยางบานเรา) ถนนบางชวงนั้นเราพบวา ขนาดปู -นีล อารมสต รอง- มาเห็น แกคงไดจํากันผิด นึกวานาซาจับแกยัดใสจรวดมาเยือนโลกพระจันทรอีกครั้ง .. ดังนั้น หากทานขับรถยนตแลวเห็นคนปนจักรยานอยูขางหนา กรุณาอยาเขาไปอิงแอบเขา เหลานั้นนัก ควรขับหางๆไว เพราะบางครั้ง เขาอาจตองหักหลบหลุมซึ่งทําใหจักรยานลมตึงได และ คงไมงามนัก ถาทานจะกระชั้นชิดมากเกินไปในหวงเวลานั้น ..
... เราใชเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมงก็ปนจักรยานมาถึงจุดหมายแรก ซึ่งถาขับรถ ผมคงใชเวลาประมาณ ๑๕ นาทีเทานั้น!
หลายคนบอกวา สถานการณความโงของเรา ใกลเคียงคําวา -ดักดาน- เขาไปทุกที ความจริง .. มิใชเราไมยอมฉลาด เพียงแตความโงยังทําใหเราสุข แมศิลปนบางคนจะย้ําเตือนวา "สุขกอน คอยทุกขทีหลัง" แตเรากลับไมคิดวา .. นั้นคือคําเตือน นอกจากบอกสิ่งที่เราคิดรวมกัน มากกวา *** ปจฉิมลิขิตสําหรับตอนนี้ .. ระหวางปนเรื่อง ขาผมราวไปหมดทั้งสองขาง มันปวดทุกครั้งที่ลงแรงกระทบพื้นโลก ใบนี้ แตความพยายามอยูไหน ชามีฟองก็อยูนั่นแล ..
สูสาครบุรี วันนั้น .. เปนวันที่ทองฟาสดใส หลังจากหมนหมองครึ้มฝน เหมาะแกการปนจักรยาน ถนอมผิวมาหลายวัน คณะเราชาวคนโง .. ก็ปนจักรยานจากบานเฮียชัยมาจนถึงปมน้ํามันใหญริมถนนกาญจนาภิเษก เปนที่เรียบรอย ปลอดภัยดีกันทุกคน "วันนี้แดดทาจะแรงนะครับ" ผมเปรยขึ้น "ก็ดีแลวนี่พี่โจ" ครูแหลมตอบ "แดดแบบนี้ แหละ เหมาะกับการปนจักรยาน" ผมพยักหนารับแมใจจะหวั่นๆเล็กนอยวา จากนี้ไปจนเที่ยงวัน แดดคงจะแรงขึ้นเรื่อยๆ จนชวงบายพวกเราจะเปนอยางไรหนอ? ระหวางที่เราพักเหนื่อย และทําความเขาใจ กับเสนทางในครั้งนี้ ผูคนที่แวะเวียนเขามา เติมน้ํามันที่เพิ่งขึ้นราคาอีกครั้งเร็วๆนี้ ตาง มองพวกเราอยางสนใจ วาเราจะไปทําอะไรที่ไหนกัน เพราะรถจักรยานกับปมน้ํามัน ดูอยางไรก็ ขัดกันลึกๆอยูดี ระหวางพักเหนื่อย .. เฮียชัยที่ดูทาจะรื่นเริงเกินเหตุ เมื่อมีทั้งวาที่เมียรักและเพื่อนเลิฟตามมา ถายภาพระหวางการเดินทางให ผมเห็นแกวิ่งหายไปในรานคาแลวออกมาพรอมกับถุงน้ําแข็งสองถุง อยาเขาใจผิดคิดวาเฮียแก เอามาคลายรอนระหวางปนจักรยานนะครับ ความจริงแกเอามาคลายรอนใหเพื่อนรักที่นั่งในรถยนต ตางหาก "ไมไดๆ รถผมมันตองเย็นฉ่ํา" แกบอกขณะเทน้ําแข็งยูนิคลงในกระติกจนเต็ม แลวจึงเอาพัดลม เล็กๆที่แกประดิษฐ วางลงบนกระติกนั้น เพื่อดูดความเย็นจากกระติกน้ําแข็งขึ้นมากระจายไปทั่วรถ นี่เปนสิ่งประดิษฐที่แกภูมิใจยิ่ง จนเมื่อไมนานมานี้ ลุงแขกโปรโมเตอรเขาใหญของเราไดแจงเฮีย แกวา ไปเห็นไอพัดลมดูดน้ําแข็งเพิ่มความเย็นแบบที่เฮียแกประดิษฐนี่แหละ วางขายอยูที่ สวิตเซอรแลนดโนน ผมก็นึกไมออกวา สวิสมันหนาวจะตาย ทําไมมีเครื่องเพิ่มความเย็นแบบที่เฮียแกประดิษฐไปโผล ที่นั่นหนอ .. ผมเคยบอกใหเฮียแกจดสิทธิบัตรนานแลว แตแกบอกวาชางมันเถอะ ใครอยากจะเอา ไปทําอะไรก็ตามใจ พวกเรามันคนโงนี่นา ..!!
หลังจากเฮียแกวุนวายกับเรื่องความเย็นในรถ อยางไมหวงความรอนที่ตัวเองกําลังจะไดรับแลว เราก็รวมพลคนโงชักรูปเก็บไวเปนที่ระลึกกอนออกเดินทาง นัยหนึ่งก็เพื่อใหดูระหวางกอนปนและ หลังปนจักรยาน เพราะนับแตนี้ไป เราจะปนไปตามถนนสายเล็ก มีเพียงบานเรือนหางไกลและนา เกลือ ทามกลางความอบอุนของแสงแดดยามบาย .. อืม อุนนาดู
ในภาพ คนโงเราในเวลานี้มีกันครบ ๗ คนแลว หลังจากคุณพอของนองออมมาสบทบกันที่นี่ .. กลายเปนคนโงทั้ง ๗
ทุกครั้งที่เราปนจักรยานกัน ในกลุมคนโงจะมีหญิงสาวรวมปนจักรยานไปดวย ทําใหบรรยากาศดูดี ขึ้นมานิดนึง แมอาจจะไมรูสึกเหมือนมีนองพริ้ตตี้งามๆมารวมปนดวยก็เถอะ
แตแหม .. พริตตี้ที่ไหนจะมาปนจักรยานใหนองโปงละจะ สูนั่งรถตากแอรเย็นฉ่ําไปกับหนุมหลอ จะไมดีกวารึ ฮา.. สาวทั้งสองคือ ครูแปมและครูแจง หนุมๆเห็นครูแปมก็อาจจะพอทําใจเชื่อไดวา เธอสามารถปนจักรยานจาก กรุงเทพฯไปจนถึงปราณบุรีมาแลว เมื่อสงกรานต ๒ ปกอน
แตครูแจงนี่สิ .. สาวเหนือรางเล็กบอบบาง ผิวขาวและโสด! (เหมือนครูแปม) คุณสมบัติเยี่ยงนี้ ไมนาจะมาลําบนปนลําบากปนจักรยานไปอัมพวากับพวกเราเลย
ใครสนใจทั้งสองสาวโสด .. คงตองมารวมปนจักรยานพิสูจนความจริงใจดวยกระมัง .. ผมวา เพียงคิด หลายคนก็หนาวแลว! เพราะครั้งตอไปไดขาววาคนโงจะปนจักรยานไป อ.ศรีประจันต เลย เมืองสุพรรณไปอีก หนุมๆคิดแลวก็เหนื่อยกับความรักแลวละสิ .. ฮา
เมื่อทุกอยางพรอม การเดินทางก็เริ่มตนอีกครั้ง เราปนไปตามเสนทางสายบางบอน ซึ่งจะไป เชื่อมกับเขตจังหวัดสมุทรสาคร สองฝงเปนโรงงานเล็กๆและบานผูคนประปราย .. ปนกันมาเรื่อยๆ เปนกลุมกอนเพราะทุกคนยังแรงดี ความเร็วเฉลี่ยตอนนี้นาจะประมาณ ๒๕ กม./ชม. ก็ถือวาดีแลว สําหรับขาปนสมัครเลนแบบพวกเรา ปนมาเพลินๆไมนาน แดดชวง ๙ โมงกวาๆก็ยังไมรอนมากมายนัก เราก็ปนผานกองกํากับการ ตํารวจมา ผมเห็นปายดานหนากองกํากับการเขียนประกาศขายขี้มาและปุยหมัก ดูนารักดีนะครับ ตํารวจขายปุย .. ถาใครไมรูวาในกองกํากับการตํารวจมามีอะไรบาง ก็คงจะปนผานไปเฉยๆ แตสําหรับคนโงอยาง เรา ไมปลอยผานไปเฉยๆหรอกครับ นอกจากงานหลักของตํารวจมาคือ การจัดขบวนตํารวจมารับเสด็จตามสถานที่และงานพระราชพิธี ตางๆ รวมถึงงานถวายความปลอดภัยรอบพระราชวังสวนจิตรดาแลว ที่กองตํารวจมา เขายังเปด โอกาสใหเด็กๆที่มีอาการผิดปกติทางสมอง ไมวาจะเปนออทิสติก ดาวนซินโดรม เขารับการบําบัด ดวยการขี่มาครับ
การบําบัดแบบนี้มีที่มาอยูตรงลักษณะการเดินของมาทั้งสี่ขานั้น ซึ่งเมื่อนํามาเทียบกับการเดิน ของคนที่ตองอาศัยขาและแขนรวมดวย ปรากฏวาขาทั้งสี่ของมาเวลาเดิน มันลงจังหวะกับการ ยางเทาและแกวงแขนของมนุษยเราพอดิบพอดี ดังนั้น เมื่อเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองไดมา ลองนั่งและหัดทรงตัวบนหลังมา เขาก็จะสามารถจับจังหวะการยางกาวของมาที่คลายกับมนุษยได ทําใหเกิดพัฒนาการดานการทรงตัว กลามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญก็พัฒนามากขึ้น แข็งแรงมากขึ้น ซึ่งวิธีการแบบนี้เราเรียกวา อาชาบําบัด ซึ่งเขาทํากันมาเปนพันๆปแลว นาจะเริ่มในสมัยกรีกซึ่ง นํามาฝกเพื่อลดความกลัวและชวยในเรื่องการทรงตัว ภาษากรีกเขาเรียกมาวา Hippo (ฮิปโป) นะ ครับ สวนมาที่นํามาใหเด็กๆฝกก็เปนมาตัวเล็กๆไมอันตราย เปนไงครับ ปนจักรยานผานแคไมกี่วินาทีเลาซะยืดยาวเชียว ..
ผานตํารวจมามาไดไมนาน เราก็ผานเขาเขตจังหวัดสมุทรสาครกันแลว สภาพบานเมืองเริ่ม หนาแนนขึ้น รถราก็มากขึ้น ยังดีที่เสนทางการปนจักรยานของเราไมถือเอาถนนสายหลักเปน เสนทางปน เมื่อมาถึงหนาวัดโพธิ์แจ เราจึงกลับรถแลวเลี้ยวเขาถนนเล็กๆขางวัดเพื่อใชถนนชนบทสายเล็กใน การปนจักรยานแทน พอเขามาถนนสายเล็กๆก็เริ่มเห็นเรือกสวนของชาวบานสองขางทาง คณะเราก็มีความเบิกบานใจ กันมากขึ้นที่ไดเห็นธรรมชาติสองฝง มากกวาเห็นบานเรือนและรถราขวักไขว สมุทรสาครเปนจังหวัดเล็กๆที่อยูติดกับกรุงเทพฯมาก หลายคนเกือบจะลืมจังหวัดนี้ไปเลย ไดแต ขับรถยนตผานไปอยางรวดเร็วเทานั้น
สมุทรสาคร เริ่มเปนชุมนตั้งแตสมัยอยุธยาแลวละครับ ดวยที่นี่หางจากทะเลเพียงแค ๒ กม. เทานั้น สมัยกอนเรือสําเภาจากจีน จะแวะพักที่นี่กันเยอะ เลยเรียกกันวา -ทาจีน- ตอมาสมัย สมเด็จพระมหาจักพรรดิ มีการสรางเมืองใหมขึ้นอีกหลายแหง เพื่อใชเปนจุดปองกันพมาที่จะยกทัพ มาทางน้ํา "ทาจีน" จึงกลายเปนเมือง -สาครบุร-ี ในตอนนั้น และเปนจุดยุทธศาสตรที่สําคัญ
ประวัติศาสตรหนาหนึ่งของจังหวัดสมุทรสาครที่เราแทบจะลืมกันไปหมดแลว คือเรื่องพันทายนร สิงห นักเรียนสมัยนี้ตอบครูวา พันทายนรสิงหคือ ..น้ําพริกเผา จะโทษเด็กหรือกลุมใจกับระบบการศึกษาไทยเราดีละทีนี้ มินา บานเมืองเราจึงหาคนซื่อสัตยอยางพันทายฯไมได มีแตศรีธนญชัยเต็มบานเมืองไปหมด สมัยพระเจาเสือเปนกษัตริยปกครองกรุงศรีฯ ทรงลองเรือพระที่นั่งมายังเขตเมืองสมุทรสาครใน ปจจุบัน ซึ่งสมัยนั้นตองเรียกวาไกลจากอยุธยามาก .. เมื่อมาถึงบริเวณคลองโคกขามซึ่งเปน เสนทางที่คดเคี้ยว เรือพระที่นั่งไดไปชนกับกิ่งไมเขาจนหัวเรือหักลง
พันทายนรสิงหซึ่งตําแหนงทานคือ นายทายเรือพระที่นั่งลํานั้น ยอมรับอาญาแผนดินดวยการถูก ตัดหัว แมพระเจาเสือจะทรงไวชีวิต แตพันทายฯก็ไมยอม ยืนยันวาพระองคจะตองรักษากฏหมาย บานเมืองดวยการตัดหัวทาน .. สุดทายพระเจาเสือตองลงอาญาตามกฏหมายบานเมือง หลัง ประหารชีวิตพันทายนรสิงหบริเวณที่เกิดเหตุแลว พระเจาเสือทรงโปรดใหสรางศาลเพียงตาไว เพื่อ เปนที่ระลึกถึงความซื่อสัตยตอหนาที่ของพันทายนรสิงห ถามผูอานวา หากทานเปนพันทายฯ ทานจะยืนยันที่จะถูกตัดหัวตามกฏหมายทั้งที่พระเจาอยูหัว ทรงเวนโทษใหแลวหรือไม .. ก็ไมแปลกที่เราเห็นแตคนขออภัยโทษ ทั้งที่ทําความผิดและไรสํานึก เต็มไปบานเมืองไปหมด หลังจากพันทายนรสิงหถูกประหารชีวิตแลว พระเจาเสือก็ทรงรับสั่งใหขุดคลองขึ้นใหมใหเปน คลองลัดและตรงมากกวาคลองโคกขามที่คดเคี้ยวจนเปนเหตุใหทหารคนสนิทของพระองคทาน ตองจบชีพลง ตอมาชาวบานเรียกคลองนั้นวา "มหาชัย" จนกลายเปนชื่อที่คนรูจักพอๆกับชื่อ จังหวัดสมุทรสาครเลยทีเดียว ถาวากันถึงประวัติศาสตรการปกครองในยุคใหมขึ้นมาอีกหนอย สมุทรสาคร ก็เกี่ยวของกับการ เปลี่ยนรูปแบบการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเปลี่ยนการปกครองมาเปนแบบมณฑลเทศาภิบาล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ ซึ่งเทศาภิบาลแหงแรกในสยามที่ทรงประกาศตั้งก็คือ เทศาภิบาลทาฉลอม ที่เมืองสมุทรสาครนี่ แหละครับ (เราเปลี่ยนการใชชื่อนําหนาจาก -เมือง- มาเปน จังหวัด เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๖ ราวป พ.ศ. ๒๔๕๖)
ดูสิครับ เปนคนโงปนจักรยานอยูดีๆ กลับพาทานทั้งหลายเลยเถิดไปถึงอดีตกาลหลายรอยปของ สมุทรสาครโนน .. แตอยางวาแหละครับ จะไปไหนมาไหนเราก็ควรรูประวัติศาสตรเขาสักหนอย จะ ไดทองเที่ยวแบบมีอรรถรสมากยิ่งขึ้น
การเดินทางครั้งนี้ ตองขอบคุณครูตอม และครูณัฐ ที่คอยตามเก็บภาพ vdo สวยๆมาฝากกัน
พี่หมู .. สหายใหมคนโงที่ตามถายภาพเด็ดๆ และ นองหมวย วาที่เจาสาวเฮียชัย ที่คอยขับรถตามใหกําลังใจพระเอกของเราตลอดการเดินทาง
ตอนตอไป เรื่องราวของเราคงเขมขนขึ้นตามกําลังของแสงแดด ที่เพิ่มดีกรีรอนแรงขึ้น ตามเวลา ใกลเที่ยงครับ .. เรื่องทะเลนั้นพี่พอรู ... แตเรื่องเจาชูมิรูจะทําฉันใด
เสนทางสายตะคริว .. เสนทางปนจักรยานครั้งนี้ คุณพอนองออมซึ่งเปนชาวอัมพวาเปนผูกําหนดเสนทางปนจักรยาน ของคณะเราชาวคนโงและรถติดตามอีก ๒ คัน ที่คอยบันทึกภาพและบริการฉุกเฉินตามประสาคนโง เสนทางที่เราเลือกปนนั้น เราหลีกเลี่ยงถนนพระราม๒ ซึ่งรถวิ่งกันเยอะเหลือเกิน เพราะปจจุบัน ถนนพระราม๒ กลายเปนเสนทางหลักที่จะมุงลงสูภาคใตไปแลว
แมเสนทางปนจักรยานของเราจะเลี่ยงรถใหญ แตก็เปนทางที่ลัดเลาะ ทําใหระยะทางในการปน จักรยานของเราเพิ่มขึ้นจนนาขนลุกขนชัน จาก ๖๐ กวากิโลเมตร กลายเปน ๙๙ กิโลเมตรอยางไม นาเชื่อ .. นอกจากจะโงปนจักรยานไปอัมพวาแลว พวกเรายังโงเลือกเสนทางที่ออมกวาชาวบานตั้ง เยอะ แบบนี้เรียกวาโงซ้ําซอนคงพอไหว กอนจะเขาเขต อ.กระทุมแบน คณะเราแวะพักที่รานขายของชําขางทาง ผมรูสึกยินดีอยางบอกไม ถูกเมื่อเห็นครูแหลมกวักมือเรียกใหหยุดอยูหนารานนั้น เพราะนี่เราก็ปนมาไดชั่วโมงกวาๆแลว ทันทีที่ขาทั้งสองขางของผมแตะลงบนพื้นโลก เหมือนปาฏิหาริย เพราะมันเกือบไรซึ่งความรูสึก ใดๆ แมเมื่อวิ่งเหยาะๆขามถนนไปยังรานคาซึ่งอยูอีกผั่งของถนน ความรูสึกของผมก็ราวกับตัวเอง กําลังลอยขามถนนไปไดเอง นี่กระมังที่เขาเรียกวา "ขาออน" ที่รานคา เราไดพักดื่มน้ําเย็นๆใหชื่นใจ .. การปนจักรยานระยะทางไกลๆอยางนี้ น้ําเปนสิ่งที่ สําคัญมากตอชีวิตเรา เพราะในขณะที่เราปนจักรยาน น้ําในรางกายของเราจะคอยๆระบายออกมา โดยที่เราไมรูสึกตัว และหากเราไมจิบน้ําบอยๆ รางกายก็อาจขาดน้ําได ซึ่งเปนเรื่องที่อันตรายมาก
มาปนจักรยานคราวนี้ลุงแขก โปรโมเตอรขวัญใจชาวคนโงไมไดติดตามมาดวย แตกระนั้นแกก็ยัง โทรมาถามขาวคราวความคืบหนา ซึ่งผมก็ไมแนใจในเจตนาของลุงแขก วาจะโทรสอบถามขาวพวก เรา หรือถามอาการเฮียชัยกันแน "พี่ .. เสียดายที่คราวนี้พี่ไมไดมาดวย" เฮียชัยกรอกเสียงใสแจวลงโทรศัพทมือถือของครูแจง ที่ เพิ่งยื่นใหคุยกับลุงแขก "พี่เปลี่ยนใจตามตอนนี้ยังทันนะ พี่จะไดมาดูความสําเร็จของผม" เฮียชัยกลาวอยางมั่นใจ
"ถุย! ..มาดูความสําเร็จ" เสียงนั้นดังชัดและแสดงเจตนาแนนอน "นี่มึงเพิ่งปนมาไดเทาไรเองไอ ชัย!" ครูแหลมกลาวเยาะ เฮียแกรีบเอามือปองโทรศัพทไวแลวหันไปถามพอนองออมที่ยืนดูดน้ําขวดอยูหนาตูแช .. "นี่เรา มาไดครึ่งทางรึยังครับคุณพอ .. แลวมันอีกไกลมั้ยครับ" เนวิเกอรเตอรของเรายิ้มอยางผูถือไพเหนือกวา แลวตอบเรียบๆ "ก็อีกแค ๖๐ กวาโลเทานั้น แหละเฮีย" "หา!.." เฮียชัยรองลั่นราน "อะไรนะ .. อีก ๖๐ โล" .. ดูเหมือนคราวนี้ความมั่นใจของแกจะดับวูบ ลงทันที เฮียแกถอนใจอยางสิ้นหวัง เอนกายลงพิงพนักเกาอี้หินออนแลวคอยๆยกมือถือขึ้นมาแนบ หูอีกครั้ง "พี่แขก .. พี่ยังไมตองรีบมาก็ไดนะ ไวรอเย็นๆพี่คอยตามมาดูความสําเร็จของผมก็ยังทัน .. ถาผม ยังปนอยูนะพี่" แลวแกก็คืนมือถือใหครูแจง ตอนนี้เอง ที่เราชาวคนโงตางควักกลองหลากประเภท ทั้งเคลื่อไหวและภาพนิ่งออกมาบันทึก เหตุการณครั้งสําคัญนี้ จนเจาของรานนึกวามีดาราปลอมตัวมาที่รานของแก "อะไรของมึงวะไอชัย" ครูแหลมเจาเดิมเปดหนาชกเฮียแกซ้ํา "ไหนคุยนักคุยหนาวาซอมทุกวัน โห.. ขี้คุยวะ" วาจานั้นเหมือนเข็มแหลมที่ทิ่มแทงใจดวงนอยๆของเฮียชัย จนรอนรนทนไมไหวลุกขึ้นมา เรียกรองศักดิ์ศรีของตนคืน
แกยืดอกที่หอเหี่ยวขึ้นเล็กนอย แลวกลาวอยางภาคภูมิ "พี่ .. ผมนะซอมทุกวัน วันละ ๑๓ กิโล ไมเคยขาด .. แตผมขอถามหนอยเหอะ .. ไอที่เราปนๆกัน มาวันนี้นี่ มันปาเขาไปกี่กิโลแลว" "แลวไงวะ" ครูแหลมถาม "ก็ผมซอมมาแค ๑๓ กิโล นี่มันเกิน ๑๓กิโลมาตั้งนานแลว มันเกินระยะที่ผมซอมแลวพี่ ผมก็หมด แรงสิ พี่จะเอาอะไรกับผมนักหนา ฮึ!" แลวเสียงหัวเราะของชาวคนโงก็กระหึ่มรานนั้น ไวเวนแมกระทั่งสหายคนสนิทของเฮียแกที่ ตามมาดวย
"มึงไมตองหัวเราะเลยไอหมู!" เฮียแกตวาดใสเพื่อนรัก "มึงนั่นแหละตัวดี เมื่อคืนแทนที่จะนอน หนอย..เสือกชวนกูคุยซะยันตี๓ ไมไดหลับไดนอน แลวนี่อีกตั้ง ๖๐กวาโล กูจะตายมั้ยเนี่ย" "มึงนี่ขี้โวยวายวะไอชัย" ครูแหลมตัดบท "เที่ยวโทษคนนั้นคนนี้ ไมเคยโทษตัวเองหรอก แลว อยางนี้มันจะเปนผูนําครอบครัวไดยังไงวะ" ครูแหลมหันไปทางสาวหมวยขวัญใจเฮียชัย "หมวย ยัง พอมีเวลานะ คิดใหมไดวาจะแตงงานกับคนอยางนี้รึเปลา" กลาวจบแกก็ลุกขึ้นเดินไปที่จักรยาน เตรียมตัวออกเดินทางตอไป ปลอยใหเฮียชัยยืนงงอยูอยางนั้น
"อาวพี่ .. ไหงบอกวาเรามาถายวิดีโองานแตงผมไง แลวพี่พูดอยางนี้ลงไป วิดีโอมันจะไดใชเหรอ พี่" เฮียแกรองถาม
"ก็มันเรื่องจริง เราจะไปโกหกแขกที่มารวมงานไดยังไงวะ วันแตงงาน..เราตองแสดงความเปน ตัวตนของเราใหออกมาจริงๆ รึมึงจะเปนคนลวงโลก" วาแลวแกก็สวมหมวกกันน็อคแลวเรียกพวก เราใหออกเดินทางตอ "มันจะเปนยังวะเนี่ย วิดีโองานแตงกูนี่" ผมเห็นเฮียแกเดินบนพึมพัมไปที่รถจักรยานแลวคอยๆปน ตามพวกเราออกมา วาแลวผมก็นึกขําในใจ เพราะตอนแรกเมื่อผมบอกเฮียชัยวาเราจะปนจักรยานไปอัมพวาในวันแม เฮียแกปฏิเสธและใหเหตุผลวา "ตองไปแจกการดแตงงาน" เมื่อเรื่องถึงหูครูแหลมหัวหนาคนโง แกก็บอกวา "คนบาอะไรวะ ดันจะไปแจกการดแตงงาน วันหยุด คนเขาก็ไปเที่ยวกันหมด แลวมันจะไปแจกใคร เอางี้ ..พี่โจบอกไอชัยมันแลวกันวา ไปครั้ง นี้เราจะถายทําวิดีโอที่จะไปฉายในงานแตงงานใหมันดวย คราวนี้มันคงไปแนนอน" และนี่คือ แผนการของเรา .. จากรานคาที่เราหยุดพัก คราวนี้เราก็เริ่มปนจักรยานเขาตัวเมืองเล็กๆอยาง อ.กระทุมแบน แลวก็ เลยไปตามทางเสนในตัวเมือง ภาพบรรยากาศตอนนี้ชวนใหคิดถึงบานเรือนในหนังไทยยุคสมบัติ เม ทะนี สรพงศ ชาตรี .. ดวยตัวเมืองแถบนี้เมื่อกอนเจริญรุงเรืองเพราะยังไมมีการตัดถนนพระราม๒ ที่ จะมุงลงใต ตอมาเมื่อตัดถนนพระราม๒ แลว เสนทางหลักในการลงสูภาคใตก็เปลี่ยนไป เมืองในแถบนี้เลย หยุดการเติบโตอยูเพียงเทานั้น กลายเปนเติบโตแบบคอยเปนคอยไป ซึ่งก็ดีไปอีกอยาง แตคนที่ อาศัยในพื้นที่เขาก็คงอยากใหบานเมืองเขาเจริญเหมือนอยางที่อื่นบางละ แตจะเจริญแบบไหน อัน นี้ก็สุดแลวแตทานที่อาศัยเจาของพื้นที่
ปนมาไดสักพัก ขบวนของเราก็เริ่มแตกแถว หัวลากอยางพอนองออม ครูตน และที่ไมนาเชื่อวา ครูแจง สาวรางเล็กผอมบางชาวเหนือ จะไปจับรวมอยูกับหัวลากได ผมเองก็ไมอยากจะเชื่อวา กับ แคเลนโยคะ..นี่ มันจะสรางความแข็งแกรงอะไรไดปานนั้น
สวนทายขบวนอยางเฮียชัย ครูแหลม ครูแปม และผม .. บัดนี้ความเร็วในการปนของเราลดลง อยางตอเนื่อง จนแทบจะกลายเปนปนจักรยานขายหวยกันไปเสียแลว สักพัก เราเห็นสะพานสูงอยูเบื้องหนา ครูแหลมตะโกนลั่น "สะพานโวย! ไอชัย.. ไหวมั้ยวะ" เฮียแกไมตอบอะไร ไดแตกางขาทั้งสองขางออก ทาทางตอนนี้เหมือนกบที่ถูกถลกหนังแลวจับ กางแขงฉีกขาเสียบไมขายอยางนั้น แหละ "ทามันจะไมดี เดี๋ยวครูไปดูมันกอน" วาแลวครูแหลมก็เรงฝเทาปนปามารธา ขึ้นไปหาเฮียชัย "เอาโวย ฮึดหนอย .. ฮุยเร ฮุย..." เสียงครูแหลมรองกระตุนตัวเองและ เฮียชัยใหรีดพลังงานที่เหลือปนขาม สะพานนั้นไปใหได ..
ผมซึ่งบัดนี้กลายเปนผูรั้งทายโดยสมบรูณ กําลังมีปญหากับการเปลี่ยนเกียรจักรยาน เพราะเจา สนิมแดงคันนี้ อายุอานามมันปาเขาไป ๓๐ กวาปแลว เกียรมันก็เปนรุนโบราณ ยังเปนระบบคันโยก ซึ่งตองกะเอาเองวาจะตองโยกลงมาแคไหน ถึงจะเปลี่ยนเปนเกียรที่ตองการ มันไมมีตัวเลขบอกให กดเปลี่ยนสบายๆเหมือนเกียรจักรยาน สมัยนี้ ผมวุนวายกับการเปลี่ยนเกียร จักรยาน ..จนในที่สุด ตัดสินใจปนมัน ขึ้นสะพานทั้งที่ไมเปลี่ยนเกียรนั่น แหละ เพราะหาเกียรสําหรับขึ้นเนินไม เจอ ปนขึ้นสะพานมาจนใกลจะถึงบนสุด ของสะพาน หัวใจผมมันเตนระรัวยิ่ง กวาไดเห็นนางงามจักรวาลเสียอีก .. "กูจะรอดมั้ยวะเนี่ย" ผมนึกในใจพลาง หอบแฮกๆ แตแลว เมื่อขึ้นมาถึงบนสุดของสะพาน ความเหนื่อยลาของผมกมลายหายไปทันที เมื่อเห็นภาพ นั้นปรากฏอยูเบื้องหนา
เฮียชัยพระเอกของทองเรื่อง .. บัดนี้ ลงไปนั่งหนาเหยเกอยูกับพื้น ขอบสะพาน มีครูตนคอยชวยบีบเคน ใหที่นอง ขางๆนั้นครูแหลมกําลังยืน ยิ้มใหกําลังใจโดยมีครูแปมกําลัง บันทึกภาพเปนที่ระลึก สวนพอนอง ออมนั้นยืนมองดูเฮียแกอยางสบาย อารมณ "แลวไมตองเอาภาพนี้ไปลงใน งานวันแตงนะโวยแปม" เฮียแกบอก ครูแปมดวยกังวล กอนจะกลับไปรอง โอดคราวญตอเมื่อครูตนลงแรงบีบ เขาที่นอง โอย... "นี่แหละเฮีย .. มันเปนธรรมชาติดี รับรองไมมีใครทําวิดีโองานแตงแบบนี้แนๆ" ผมรีบเขามา ปลอบใจแก "จะบาเหรอ" .. เฮียชัยรองลั่น "เขามีแตเอาภาพสวยๆงามของเจาบาวลง นี่มันอะไรวะ เจาบาวนั่ง ตะคริวกินก็จะเอาลงอีก โอย.. ไมตองทําอะไรแหวกแนวคนอื่นเขามากก็ได โงนอยๆหนอยก็ไดพี่" แกหันไปวิงวอนครูแหลมโปรดิวเซอรใหญของงานนี้ "นั่นแหละ .. ตรงนั้นแหละตน ที่เสนมันปูดๆขึ้นมา" ครูแหลมชี้ไปที่นองเฮียชัย "รีดมันลงตรงนั้น แหละ" ทันทีที่นิ้วครูตนกดน้ําหนักลงที่เสนปูดนั้น เสียงชายคนหนึ่งก็รองลั่นสะพาน จนปลาตื่น! .... โอย!!!!
เรื่องยังไมจบ .. แตขอไปหา -ชามีฟอง- จิบแกสมองตีบตอสักหนอยนะครับ .. ตอนตอไป .. พบกับเรื่องราวความทรหดของคนโง กับนาเกลือครับ ..
หิวขาว หมดแรง ประโยคหนึ่งที่ผมชื่นชม กลาววา "จุดหมาย มิใชปลายทาง" อานแลวมันใหรูสึกวา ทุกๆยางกาว ของเรานั้น หากมองใหดี มันมีคุณคาและแฝงความสุขไวเสมอ หากเราตั้งใจที่จะมองมัน ขอบคุณ สําหรับทานที่คิดประโยคนี้.. การเดินทางเปนสวนหนึ่งของชีวิต ไมวาคุณจะชอบมันหรือไม บางคนบอกวาไมเคยออกเดินทาง ไปไหนไดแตนั่งๆนอนๆอยูกับบาน แตถึงกระนั้น .. กาลเวลาก็พาเราออกเดินทางอยูทุกปลายเข็ม นาฬิกากระดิก ... "คนโงปนจักรยาน" เรามิไดปนจักรยานอยางยอดมนุษยผูปกปองโลกที่เด็กๆชอบดู "คําวาสูตอไป เถอะเพื่อชาวโลก ไมมีความหมายแกเรา"
เราไมไดเรียกรองสิ่งใดจากผูคนรอบกาย เพื่อใหกระทําสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่ออีกสิ่ง หากแตเรามุง แสวงหาความสุขตามวิถีทางของเรา เรียบงาย ไมเบียดเบียน และอาจโงบางตามโอกาส แตนี่มัน กลายเปนวิถีชีวิตของเราไปแลวกระมัง เชนเดียวกับการเดินทางไปอัมพวาในครั้งนี้ กอนวันเดินทางผมพยายามถามคณะคนโงวา "เราจะไปทําอะไรกันที่อัมพวา" แตไมมีใครให คําตอบผมได อีกนั่นแหละ ดูเหมือนไมมีใครสนใจวา เราจะปนจักรยานไปทําอะไรกันที่จุดหมายนั้น .. อัมพวา ทุกคนรูแตเพียงวา เราจะปนจักรยานกันไปใหถึงที่นั่น .. และมันเปนความตั้งใจอันบริสุทธิ์ ปราศจากความฉลาดเจือปน เพราะเราไมมีทางรูไดเลยวาหนทางขางหนาจะบดขยี้เราอยางไรบาง ถาผมไมไดปนจักรยานวันนั้น ผมก็จะไมไดเห็นวิถีชีวิตผูคนรายทาง บนเสนทางที่ผมเคลื่อนตัว ผานไปอยางชาๆ ดวยถนนสายนั้น .. มิไดเปนเสนทางหลักในการเชื่อมชิดกรุงเทพฯกับภาคใตอีก ตอไป นับแตมีถนนพระราม๒ เกิดขึ้น
สรรพสิ่งมักเปนเชนนี้เสมอ .. สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งก็ดับไป .. เหมือนคุณยายคนแรกที่จากไป เพื่อใหคนอีกรุนไดเติบโตขึ้นมา เปนคุณยายคนตอไป แมเราจะโศกใจกับการจากไปของคุณยายคนแรก แตปราชญทานวา "ตนไมมิ อาจเติบโตภายใตรมเงาของกันและกัน" เมล็ดพันธุถูกปลอยรวงลงจากไมตนแรก เพื่อใหเกิดการสืบทอดและเติบโตกอนที่เจาของเมล็ด พันธุจะจากไป ... มันเปนเชนนี้เอง อุปสรรคทําใหเราฉลาดขึ้น .. การเดินทางครั้งนี้ ครูแหลมเตรียมความพรอมเพื่อเอาชนะความไมรู ที่เกิดขึ้นกับการเดินทางไกลดวยจักรยานไปปราณบุรีในครั้งกอน -ยางแตก- กับจักรยานเปนของคู กัน และคราวนี้เราซื้อยางสํารองมาไวสําหรับเปลี่ยน แทนที่จะนําเอาอุปกรณปะยางมาใชเหมือนครั้ง กอน เพราะการปนจักรยานบนเสนทางอันยาวไกล(สําหรับเรา) เวลาเปนสิ่งที่มีคาที่สุด และเราควร จายบางสิ่งออกไปเพื่อซื้อเวลาใหเราไปถึงจุดหมายในเวลาอันสั้นที่สุด (แตนั่นก็ยาวนานถึง ๙ ชั่วโมงอยูดี) ความเร็ว ๙๐ - ๑๒๐ กม./ชม. บนรถยนต ทําใหคนสวนใหญพลาดรอยยิ้มและมิตรภาพที่เกิดขึ้น จากสองขางทาง
กับรถยนต เมื่อคุณหยุดบอย ทําใหรูสึกไดวาคุณเชื่องชาและกําลังเสียเวลาอันมีคา แตสําหรับ ชาวคนโง .. กลวยที่เราซื้อจากเพิงเล็กๆของแมคาใบหนาเปอนยิ้มจนเต็มกระบะจักรยานแมบาน ของครูแหลม กับเงิน ๓๐ บาทนั้น เราไมไดยินดีที่ไดกลวยราคาถูก แตสิ่งที่เติมเต็มหัวใจและทําให เหลาคนโงมีความสุขในยามระโหยโรยแรงทามกลางตะวันแรง นั่นคือความยินดีจากเธอ ที่ขอมอบ กลวยหักมุกเปนรางวัลแกความเขลา เมื่อทราบวาเราปนจักรยานมาไกลเพียงนั้น พรอมถอยคํา ปลอบประโลม .. "ดีแลวละ" ซึ่งเรายังหาความหมายในคํานั้นไมพบ "ดี" .. ของเธอคืออะไร?
เราคงไมมีวันพบกับรอยยิ้มและมิตรภาพอันจริงใจนี้ จากบิ๊กสโตรผูยิ่งใหญ แมเขาจะมอบบัตร กํานัลอภิสิทธิ์ใดๆ แตนั่นก็เปนเพียงแลกเปลี่ยนผลประโยชนที่เขาหวังจะไดรับจากเราในระยะยาว เปรียบไมไดกับกลวยหวีเล็กๆที่แมคาริมทางมอบใหเราเปนกํานัล แมเธอกลาววา "มันอาจจะไม อรอยและออกจากรสฝาดนัก" และนั่น คงเปนการกํานัลซึ่งเธอไมหวังวาเราจะปนจักรยานกลับมาซื้อ สิ่งอันใดจากเธออีกหนในชีวิตนี้ นี่คงพอเรียกไดสนิทปากวา "น้ําใสจากใจจริง" และเราคงไมใชคน พิเศษซึ่งพกบัตรแสดงความรักของหางโต เพื่อแสวงหาน้ําใจที่มอบแกลูกคา ทามกลางการเดินทางอันเชื่องชาและอันตรายกลางรถใหญและความเร็ว แมเราจะพบกับสิ่ง สวยงามรอบขาง แตการเดินทางก็มักมอบทั้งความสุขและอมทุกขใหเราเสมอ
จากรานแมคาผลไมออกมาไดราว ๓๐ นาที อยูๆเรี่ยวแรงผมก็สิ้นเอาดื้อๆ ไมมีเหตุผลอันใดที่จะ อธิบายวาทําไมเรี่ยวแรงจึงหมด ทั้งที่กอนหนานี้พละและกําลังที่จะปนจักรยานนั้นยังคงอยางไมนา สงสัยนัก หวงแหงความอมทุกขนั้น ความคิดในใจแบงออกเปนสองฝกอยางชีวิตจริง ฝายแรกบอกวา -พอ เถอะ พอกันที มันคงไมมีอะไรดีขึ้นมากมายหรอกกับการปนจักรยานตอไป ควักมือถือออกมาสิ แลว โทรหาครูณัฐใหขับรถมารับ เอาจักรยานขึ้นบนหลังคา พยายามทําหนาตาโอดโอยเบี้ยวบิด เพื่อ ไมใหเฮียชัยเอาไปอางและทับถมในสภาคนโงอีกฝายบอกวา -ปนจักรยานตอไปนะ แมเรี่ยวแรงเธอจะเหลือนอย และเอควรลดแรงถีบลง เรียนรู ที่จะใหแรงโนมถวงโลกออกแรงชวยเธอบาง ลดความเร็วลง แมวาเธอจะชาอยูแลว แตกําลังนี้ เรี่ยวแรงที่นิดนอย ออมแรงไว บางทีพนโคงหนาพวกคนโงขางหนาอาจจะหยุดพักอีกครั้งก็เปนได" ..
การตอสูในมโนคิด ไมตองฉาบดวยสีใดเปนสื่อ เพราะผมยอมรูดีวาฝายไหนวาอยางไรตอจิตผม
ยามนั้น ผมเลือกที่จะเชื่อฝายหลังวาผมยังพอทําได แมจะไมเห็นโอกาสนัก แลวความเร็วของ จักรยานผม ก็ลดลงจนเสมอดวยครูแปมที่ปนจักรยานรั้งทายอยางไมใยดีไรนัก
ผมเห็นครูแปมปนจักรยานอยางเชื่องชา ซึ่งจริงแลวเราทั้งหมดก็ชากันอยูแลว แตเธอนั้นชาอยาง พิเศษเสียอีก ใบหนาเธอเปยมสุข แมจะบนปวดกนและใกลหมดแรง แตแววตายังแสดงถึงความสุขที่ไดรับจาก ทองทุงขจีของรวงขาวสีทองอราม เคลานิดๆกับเสียงเพลงโปรด ผมนึกเอาอยางบาง .. เวลาผานไปอีก ๓๐ นาที กลุมคนโงขางหนาก็หลายลิบไปกับโคงแลวโคงเลา เพียงผมกับครูแปม ที่รั้งทายเหมือนคราวขึ้นเขาใหญ และแมเราจะปนจักรยานลําพังเพียงสองคน แตกลับไมมีวาจาใด เอยตอกันใหรําคาญความพยายามที่จะไปตอบนเสนทางนั้น .. ตางคนตางเงียบ แลวก็ปน -เห็นมั้ยฉันบอกแกแลว- เสียงนั้นโผลขึ้นมาในมโนจิต -แกจะโงปนจักรยานตอไปอีกทําไม แค หยุดแลวเอาจักรยานขึ้นหลังคารถยนต นั่งตากแอรเย็นฉ่ําสบาย ดูเพื่อนที่อยากลําบากปนตอไปสิ อยางไรเราก็ถึงจุดหมายเหมือนกันนี่ จากนั้นคอยหาคําอธิบายสวยหรูใหเขาเชื่อวาเราไมไหว (จริงๆ)-
แลวเสียงอีกฝายหนึ่งก็แทรกขึ้นมาบาง -นี่ไงละที่เรียกความเพียร เธอควรปนจักรยานตอไปให สุดกําลัง ไดเทาไหนก็เทาที่พละนั้นเหลือ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นแลว แมเธอจะหยุด แตเธอก็ไมตอง หาขออางใดมากลาวนอกจากความจริง เธอทําความเพียรอยางถึงที่สุดแลว ซึ่งมันไมนาละอาย ตรงไหนสักนิดกับการที่เรากระทําอยางถึงที่สุดแลวเทาที่เรามีพละกําลัง แตถาเธอหยุดเสียตรงนี้ ทั้งที่เธอรูวายังมีกําลังเหลือ ชีวิตที่เหลือของเธอก็ตองอยูกับขออางแหงความลมเหลวนี้ และ พยายามหลอกตัวเองเพื่อความสบายใจกับความเท็จผม .. ซึ่งปกติไมคอยมีความเพียรเปนอาภรณสักเทาไร ยามนั้นไดแตกมหนามองพื้นถนน แลว กําหนดจิตวา เมื่อขาขางหนึ่งไหลเวียนขึ้นมาอยูบนสุดของวงถีบ ก็แคพยายามใชแรงที่เหลือยันมัน ลงไปอยูลางสุด นักเดินทางที่ดียอมไมมองที่ปลายเขาซึ่งเรากําลังไป หากแตควรมองอยูที่เทาแต ละกาวที่ยางออกเทานั้น
อาการเราสอง ผมและครูแปมคงคลายกัน คือกมหนากมตาปนจักรยานตอไป ขณะที่รถคันแลวคัน เลาแลนผานเราไปอยางรวดเร็ว .. ผมไมไดรูสึกวารถเหลานั้นทิ้งเรา เพราะผมไมไดมีความผูกพัน ใดๆตอเขา ระหวางที่ไมรูจะเลือกทางใดดีในมโนจิตที่ยังคงขับเคี่ยวและเรงหาแรงโหวตเพื่อใหผมเลือก .. เสียงนั้นก็ดังขึ้น "เฮย .. !" ผมหันควับไปตามตนเสียงนั้น เห็นเหลาคนโงยืนโบกมือรองเรียกอยางอารมณดี "จะไปไหนกันวะ ไมหยุดกินขาวเหรอ" .. ใครบางคนรองถามเราทั้งสองที่กําลังกอมหนาปนตอไปจนลืมเห็นพวกเขา ที่มายืนรออยูหนารารอาหารที่ลึกเขาไปจากถนนเพียงเล็กนอย
... หลังจากกวยเตี๋ยวรสอรอยเติมพลังใหคนโงอีกครั้ง กลางวงโตะอาหารผมถามเพื่อนคนโงวา "มี ใครเห็นงูมั้ย" .. ทุกคนสายหัวปฏิเสธคําถาม .. ไมมีใครเห็นงูอะไรเลยบนถนน "แลวแปมละ เห็นรึปาว .. ไมใชงูบนหัวพี่นะ" ผมหันไปถามครูแปมที่กําลังนั่งซดกวยเตี๋ยวอยาง เมามัน ครูแปมพยักหนา "เห็นสิ .. ก็คงแคเราสองคนที่กมหนากมตาปนจนเห็นงูถูกรถทับตายมากกวา หมาเสียอีก เปนครั้งแรกนะที่สงสารงูนี่" เห็นมั้ยครับวา ทามกลางความเชื่องชา แมเราจะชาที่สุด แตเราก็ยังไดบางสิ่งกลับมาเสมอ ..
มนตรักทุงนาเกลือ เสนทางสูความสําเร็จ มักตองผานอุปสรรคอันยิ่งใหญเสมอ .. ระหวางที่ขาทั้งสองของผม ออกแรงถีบเพื่อใหโซยังคงหมุนลอตอไป ความรอนก็เริ่มแผดเผาราวเปลวนรก กระทั่งน้ําในขวด พลาสติกกลายเปนอุน .. ผมยกขวดน้ําขึ้นมาจิบแกกระหาย และนั่นคือน้ําหยาดสุดทายในขวดที่ แทบลวกปาก มองออกไปยังหนทางเบื้องหนา เห็นเพียงถนนที่มุงไปไกลลับราวไมมีที่สิ้นสุด ขนาบดวยทุงนา เกลืออันเวิ้งวาง รอน แหง เค็ม กับเรี่ยวแรงที่ออนลาและความหวังแคร่ํารอเวลาที่จะไดหยุดพักเสีย ที "จะปนอะไรกันนักหนา" ความคิดผมเริ่มประทวง แตแลว .. วาบความคิดหนึ่งก็บรรเจิดขึ้นกลางเปลวแดด "เมื่อเราทนทุกข .. จงมองหาความ งดงามทามกลางความทุกขระทม" แลวอะไรละคือความงดงามของทองทุงนาเกลือ? ไมนานนัก จูๆผมก็เริ่มฮัมเพลงเกาเมื่อเฉียด๓๐ปกอน เพลงนี้ดังขนาดอามาขางบานที่พูดไทยไมชัดยัง พยายามหัดรองไวอวดหลาน หนุมนาขาวสาวนาเกลือ บทเพลงแหงความสุขนั้นเลาถึงหนุมนาขาวกาฬสินธุ มาพบรักกับสาว นาเกลือสมุทรสาคร แตบานอยูดาวคะนอง "พี่ทํานาปลูกขาว รักนองสาวแกมเรื่อ นองก็เปน สาวนาเกลือ หนุมนาขาวไมทอดทิ้ง" อืม ไมแน ผมเริ่มคิด.. บางทีเราอาจจะพบรักแทกับสาวนา เกลือที่เปยมดวยเมตตา
ผมเธอคงยาวประบา แกมแดงใสนาถนอม แขนขายาวระหงไดสวนสัดรัดรูปกับเอวกลึงกลม ดวงตาที่หวานเยิ้มแมอยูทามกลางเม็ดเกลืออันแสนเค็ม และในไมชานี้ เธอนางนั้นของผม อาจจะ โผลมาจากขางทางที่ไหนสักแหง พรอมกับน้ําเย็นๆสักแกวใหหนุมอุบลคนไกลไดชื่นใจสักอึก ผม คงสุดที่จะหามใจรักเธอได อยางที่บทเพลงกลาวไว
จะวาไปแลว เจาความฟุงซานในสมองของผมคงจะเกิดจากความออนลาและกระหายน้ําจนแทบ คลั่ง จนทําใหผมลืมความจริงในยุคที่หญิงสาวตองผิวใสและขาวผอง ขนาดจักกะแรยังปลอยใหดํา ไมได แลวสาวนาเกลือหนาไหนจะออกมายืนยิ้มแกมเรื่อกลางแดดเปรี้ยงเยี่ยงนี้ .. นั่นสิ คิดไดอยาง นั้นแลว ความสุขของผมก็หดลง เหลือแตความทุกขระทมกับเจาจักรยานคันแดงสนิมเขรอะตอไป หนทางขางหนาเมื่อมองไปก็ยังไมมีที่สิ้นสุดอยูดี บางทีชีวิตคนโงอยางผมอาจจะสิ้นสุดกอนการ เดินทางจะจบลงก็เปนได.. "ไมสิ" ผมพยายามสรางความสุขใหตัวเองอีกครั้ง "เราตองพยายาม จินตนาการวา ตอนนี้เรากําลังปนจักรยานเคียงขางไปกับสิ่งที่มีคามากกวาทองคําเสียอีก" วาแลวผม ก็พยายามนึกยอนกลับไปในโลกโบราณที่ขณะนั้นเกลือยังมีคามากกวาทองคําเสียอีก ตอนนั้น หลายๆแหงบนผืนโลกยังจายคาจางทํางานดวยเกลือ คําวา-เงินเดือน-ในภาษาอังกฤษจึงมีรากมา จากคําวา-เกลือ-นั่นเอง และขณะนี้ ผมก็ปนจักรยานก็อยูทามกลางเม็ดเกลืออันมีคานั้น แลวทําไม ผมถึงจะไมมีความสุขละ
เสนทางชีวิตของผมกับทุงนาเกลือยังอีกยาวไกล ผมมีเวลามากพอที่จะคิดเลยเถิดไปอีกวา สิ่งที่ คนโบราณเห็นวามีคุณคา สวนมากมักเกี่ยวของกับอาหารซึ่งทําใหชีวิตดํารงอยูไดจริง โลกโบราณ จึงเลือกเกลือที่ใชถนอมอาหารไวกินในฤดูหนาวอันยาวนานแรนแคน สวนทองคําบาทละหมื่น กลางๆในวันนี้ ก็คงไรสาระหาคาใดมิไดในโลกโบราณ เพราะทองคําใชดองอาหารหรือแมกระทั่งกัด แทะกินในยามหิวก็ไมได สวนน้ํามันลิตรละเกือบ ๔๐ บาทนี้เลา ก็ยิ่งไรราคาไปใหญ เมื่อในโลก โบราณยังมีชาง มา วัว ควายและทุงหญากวางใหญไวใหพาหนะแทะเล็ม และสําหรับผมในตอนนี้ คงจะมีความสุขใกลเคียงมนุษยโบราณ ดวยจักรยานเกาๆที่มันกําลังกินเรี่ยวแรงผมจนสายตาพรามัว และใกลสิ้นสติ ไมนาเชื่อวาผมจะคนพบสัจธรรมขางทุงนาเกลือเชนนี้ ถาใหผมเลือกระหวางความจริงที่ทําให ชีวิตของผมยังคงดํารงอยูตอไปได ผมยังปรารถนาจะใหมีหญิงสาว..สวย(จําเปน)สักคน โผล ออกมาพรอมแกวน้ําเย็นๆเชนเดิม ผมไมตองการเกลือ ทองคําหรือน้ํามันที่ใชไมไดกับชีวิตผม ในตอนนี้ ขอเพียงสาวสวยกับน้ําอันชื่นใจจากมือเธอ และ .. "หยุดพักกันสักทีเถิดพอคูณ " ผมออน วอนใครก็ไดในใจ
ราวปาฏิหาริย .. ระหวางที่ผมเพอเจอ เพราะแรงแดด คณะคนโงก็มาถึงที่พักริม ทางแหงหนึ่ง "ใครไมหยุดก็ชางเถอะ ผม ขอหยุดมันตรงนี้แหละ" และโชคดีที่ผม ไมไดคิดอยางนั้นคนเดียว คณะคนโง ทั้งหมดตางหยุดพักกันที่นี่ เมื่อสติกลับคืนมา เราก็พบวามีสมาชิก คนโงหายไปหนึ่งคน นั่นคือเฮีย ชัย "อยูๆมันก็ปนจักรยานถอยหลัง หายไปเฉยๆ" ครูแหลมเลาถึงครั้งสุดทาย ที่พบเฮียชัยขณะมีชีวิตปนจักรยานใหวา ที่เจาสาวของแกฟง เพียงเทานั้น .. เธอก็ รีบเดินไปที่รถยนตซึ่งจอดอยูหนาศาลานั้น ควาเสื้อแขนยาวออกมาคลุมกันไอรอนแลวออกเดินตาม หาเฮียชัยสุดที่รักของเธอทันที ครูตอมควากลองวิดีโอบันทึกภาพความรักของเธอไวไดทัน ฝเทาที่ยางกาวรอนรนกลางแดดระ ยิบ เธอเดินไปอยางนั้นดวยกังวลยิ่ง..ทั้งที่ผมอดสงสัยไมไดวา แทนที่เธอจะเดินตากแดด ทําไมถึง ไมขับรถยนตไปตามเฮียแกละ .. ? ที่ปลายถนนอีกดาน รางของชายคนหนึ่งคอยๆเผยกายเดนชัดทีละนอย จนที่สุด พวกเราแนใจวา บุรุษนั้นคือเฮียชัยนั่นเอง หญิงสาวรีบโผกายเขาหาขณะที่เฮียแกปนจักรยานใกลเขามา "เฮีย.. ไหวมั้ย" เสียงนั้นรองถามอยางหวงใย แลวมือของเธอก็แตะเบาๆบนแขนดําปเพราะอาบแดดมา ตลอดทาง บัดนั้นเอง รอยยิ้มอยางมีความสุขพรอมดวงตาที่ฉายแววสดใสแหงปติก็ปรากฏขึ้นแก เฮียชัยผูโรยแรง ชางเหมือนอะไรกับบทเพลงนั้นหนอ หรือวา ..เมื่อกาลเปลี่ยนไป หนุม นาขาวก็ทิ้งไรนามาเปนวิศกรโรงกลึง แถวดาวคะนองบานของสาวนาเกลือ สวนสาวนาเกลือก็ทิ้งนาเค็มนั้นมา ทํางานในบริษัทติดแอรเย็นฉ่ําสบาย กวา และยังไดอยูใกลคนรักดวย เหลือเพียงคนไกลใจช้ําเฝาพร่ํา รําพันหารักแทกลางทุงนาเกลือเยี่ยง ผม ที่บัดนี้นั่งเหนื่อยหอบเพียงลําพัง ความรักก็ไมเจอ .. แถมตองนั่งตา รอนผาวกวาแสงตะวันนอกเงาเสียอีก
อัมพวา .. เสียงครางต่ําของเครื่องหางยาวคํารามแววมาแตไกล .. จนใกลเขา หนุมนอยสาวนิดในเรือ ตางโบกมือทักทายคนโงที่นั่งลอมรุมสนทนา ณ ระเบียงไมของบานริมน้ํา อัมพวา .. ผมพยายามยกมือขึ้นอยางออนลาเต็มกําลังเพื่อโบกตอบ ขณะที่รางนั้นนอนแผหราบนไม กระดานแผนกวางและหนาเตอะ สวนคนโงอื่นก็กระจายกันนั่งตามมุมของตน นี่เปนครั้งแรกใน ระยะทาง ๙๙ กิโลเมตร ที่เราไดหยอนใจกันจริงๆ
หองแถวริมน้ําที่คณะคนโงไดมาพักอาศัยหลบเหนื่อย เรนกายแฝงอยูในมุมสงบของอัมพวา คุณ ยายเจาของบาน ทานเกิดและเติบโตมากับทองน้ําและเรือกสวนอัมพวา จึงมีความผูกพันกับวิถีชีวิต และสายน้ําอยางแนบแนน
คุณพอนองออมซึ่งปนจักรยานนําทางเรามาจนถึงนี่ เลาวา "คุณแมจะกลับมาที่นี่เดือนละครั้ง ทาน เหงาเวลาอยูที่กรุงเทพ เพราะชีวิตของทานอยูที่นี่มากกวา"
แลวเสียงเรืออีกลําก็แลนผานเราไปอีกหน ... แตครั้งนี้ผมยกแขนไมขึ้นเสียแลว "เขาไปดูหิ่งหอยกันนะ เมื่อกอนแถวบานยายก็มี เดี๋ยวนี้หมดไปแลว" คุณยายเจาของบานเลาถึง ความอุดมในอดีต โดยใชมาตรวัดจากหิ่งหอย หิ่งหอย แหงอัมพวา ใครไปใครมาก็นิยมนั่งเรือออกไปชมหิ่งหอยกันในคลองหางไกล ทั้งที่อดีตมันบินมาอวดโฉมแสง ไฟสวยอยูที่สวนหลังบานเรานี่เอง จนบัดนี้ มันพากันหนีผูคนออกไปหาวิเวกในคลองที่แนนดวย ตนไมเพื่อพักอาศัยและวางไข ผูคนก็ยังตามไปชมวิถีชีวิตของหิ่งหอยอยูนั่น ไมรูวาการหนีครั้งตอไปของหิ้งหอยจะไปสิ้นสุดที่ใด .. สําหรับผูที่หลงใหลจินตนาการผานตัวอักษร หิ่งหอยก็เปนหนึ่งในตัวเอกของวรรณกรรมที่เลาถึง ความรักระหวางทหารญี่ปุนและสาวสยาม ซึ่งโดงดังลั่นบรรณพิภพจนเรียกน้ําตาผูอานทวมธรณี .. "คูกรรม" นิยายรุนคุณแมยังสาว .. นอกจากโกโบริและอังศุมาลินแลวหิ่งหอยก็นาจะมีชื่อเสียง ควบกันมาติดๆ .. เมื่ออังศุมาลินกลาวแกพอดอกมะลิวา .. เธอจะรอพบเขาที่ใตตนลําพู จวบเมื่อถึงคราวที่เธอยืนเดียวดายรอชายคนรัก ใตลําพูนั้น กลับมีแตแสงวาววับนับรอย เปลง ประกายแขงขับกับแสงจันทรเดียวดาย เธอยืนรออยูอยางนั้นใตตนลําพู .. ไรเงาของชายรักที่เฝาถวิล ทามกลางแสงสวางดวงเล็กที่บินทั่วลําพูเพื่อหมายวางไขฝากไวกับตนไมที่ชอบขึ้นริมน้ํา เธอ หงายมือขึ้นหมายชอนรางหนึ่งของหิ่งหอย แตแสงนั้นกลับบินวกหายลับไป เธอไมสามารถสัมผัส ใด เพียงแครูสึกวา "เขา" คงมาแลว .. ผมถอนใจยาว ใหแกความชอกช้ําของคูรักและหิ่งหอย
แตสําหรับผม ยามนี้จะมีอะไรดีไปกวานอนนิ่งๆ แลวปลอยใหลมเย็นที่พัดตามสายคลองหอบเอา ความเหน็ดนั้นปลิวละลอง ถึงตอนนี้ ดวงตาทั้งสองคอยๆหรี่ลง แตวงสนทนาคนโงก็กลับสงเสียงครางไมแพเครื่องหางยาว ของเรือ -วิวาทะกรรม- ของสองคนโงเริ่มตนขึ้นอีกครั้ง เฮียชัยเปนฝายรองลั่น หลังครูแหลมเอยถึงความสุขขั้นสูงสุด หากไดพายเรือจากอัมพวา กลับสู คลองบางกอกใหญที่กรุงเทพฯ "พี่จะบาเหรอ!" เฮียแกสงตาถลน "นี่แคปนจักรยานมาก็ลอไป ๙ ชั่วโมง กับ ๙๙ กิโลแลว ยังจะ คิดพายเรือกลับกรุงเทพฯอีก โอย.. ผมไมเอากะพี่ดวยหรอกงานนี้ขอตัวเลย" เฮียชัยแสดงอาการ ไมยอมรับขอเสนอของครูแหลมอยางออกนอกหนา ในขณะที่คนอื่นไดแตนั่งมองดูความขัดแยงนั้น อยางรูคําตอบดีวา มันจะจบอยางไร
คุณยายเจาของบานซึ่งทานนั่งฟงบทสนทนานั้น คงเริ่มนึกถึงความสนุกและวัยเยาวในสายน้ําของ อดีต "สมัยยายสาวๆนะ โนน" คุณยายชี้มืออกไปยังปลายคลองเบื้องหนา "พายเรือไปขายของจน เกือบถึงกระทุมแบนแนะ" เหมือนจุดประกายไฟใหแกกระถางคบเพลิงโอลิมปกจนลุกโชติ .. "นั่นเห็นมั้ยไอชัย!" ครูแหลมเอยพรอมตบเขาฉาด "คุณยายยังพายเรือไปถึงโนนเลย แลวมึง กลัวนะอะไรวะ" เฮียชัยนิ่งงัน ใบหนาเสียอาการเล็กนอย ..
"แลววายน้ําเปนมั้ยละ" คุณยายเอยกับเฮียชัย "เปนครับคุณยาย" แกตอบอยางยืดอก เพราะนอกจากปนจักรยานเปนประจําแลว กิจกรรมอีก อยางที่เฮียแกชื่นชอบมากก็คือวายน้ํา ขนาดกลางฤดูหนาวที่ผูคนพากันหนีหนาว แกกลับกระโดด ลงสระน้ําลําพัง "ผมนี่แหละนักวายน้ําตัวยง" "เหม็นขี้ปากวะ!" ครูแหลมหยัน "นักวายน้ําแตเสือกไมกลาพายเรือ" .. ใจที่ฟูฟองของเฮียชัย กลับแฟบลงอีกครั้ง เมื่อเจอคําเยยของอีกฝายเขาเต็มรัก ขณะที่คนโงที่ รายรอบตางสงเสียงขบขันตามคําเยยนั้น "ถาวายน้ําเปนก็ไมตองกลัวหรอก เรือนะ หัดพายเดี๋ยวเดียวก็เปนแลว" คุณยายเอยใหกําลังใจ "นั่นไง ที่นี่มีเรืออยูสองลํา เอาไปพายกันก็ไดนะ" "หา! ... คุณยายมีเรือดวยเหรอ โอย ตายกู" เฮียแกยกสองมือขึ้นกุมกบาลแลวทิ้งตัวลงแนบไม กระดานอยางสิ้นหวัง ทามกลางเสียงหัวเราะลั่นคลอง ครูแหลมเอยแทรกกลางปลอง "งั้นคราวหนาเราจะปนจักรยานมา ที่นี่ แลวหัดพายเรือกันใหคลอง เสร็จแลวเราก็จะพายเรือกลับโรงเรียนเราที่เจริญพาศน" ไมเฉพาะผมที่นอนฟงดวยกังวลเงียบ แตในแววตาของที่ประชุมก็ดูจะหวาดๆกับความคิดบรรเจิด นี้กันทุกคน เพียงแตไมมีใครเอื้อนเอย ทันใดนั้นเอง .. เฮียชัยก็ลุกขึ้นนั่งหลังตรงอีกครั้งราวผีสิง พรอมสีหนาจริงจัง "พี่ .." เสียงนั้นเครียด "ผมถามจริงๆเถอะ ที่พี่วาจะปนจักรยานมาแลวพายเรือกลับนะ แลว จักรยานละ พี่จะเอาใสเรือผูกไวตรงไหน" สีหนาครุนคิด "เออวะ .. ออ ก็ฝากคุณยายไวที่นี่กอนไง แลวพอถึงกรุงเทพ เราก็คอยพายเรือ กลับมาเอาจักรยานที่นี่อีก" "แลวก็ปนจักรยานกลับกรุงเทพฯกัน" เฮียแกประชด "เออ ก็ตองอยางนั้นสิวะ นี่แหละ .. วิถีศิลปน ไอชัย..!" ครูแหลมตอบเสียงขํา "ผมนะ เปนวิศวกร" มือตบอกผั๊วะ. "เชิญพี่เปนศิลปนคนโงไปเถอะ แจไมเอาดวยหรอก" สิ้นคํา เฮียแกยกแกวน้ําเย็นขึ้นซดพอคลองคอ ผมที่นอนนิ่งฟงเสียงวิวาทะไดแตภาวนาวา วิถีนั้นคงไมเกิดขึ้นจริง "ถามจริงๆเหอะพี่" เอียชัยซักหลังจิบน้ํา "ทําไมเราไมพายเรือมาจากกรุงเทพเลยละ จะโงปน จักรยานมาเอาเรือกันทําไมถึงที่นี่" เงียบสักนิด เหมือนคิดครุน ..
"มึงนี่โงจริงๆเลยวะ ก็เรือมันอยูที่นี่ มึงจะเอากะละมังพายมาจากกรุงเทพงั้นเหรอ เรืออยูที่นี่ เราก็ ตองปนจักรยานมาเอาเรือที่นี่พายกลับสิวะ!" "แลวพอถึงกรุงเทพ ก็คอยพายเรือกลับมาเอาจักรยานที่นี่อีก" เฮียชับย้ํา "ถูกตอง!" ยกมือเกาหัวแกรกๆ "เออ มันก็จริงของพี่ ก็เรือมันอยูที่นี่ ก็ตองปนจักรยานมาที่นี่กอน เออ .. จริง ดวยวะ ทําไมผมลืมไปนะเนี่ย" ดูทาวิถีคนโงจะไมจบเพียงแคตอนนี้แลวมั้ง .. ผมหลับตาป นึกถึงภาพสยองนั้น .. พายเรือมาอัมพวา!
โปรดติดตาม การเดินทางครั้งใหมของชาวคนโง ปนจักรยาน ...