ปุจฉา-วิสัชนา เดือน ก.พ. 61 (not for MAC, iPhone, iPad)

Page 1

ปุจฉา - วิสัชนา กุมภาพันธ 2561


รู้เห็นว่ าสังขารทุกขณะจิตปั จจุบัน ไม่ มีผ้ ยู ดึ มันถือมัน ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ตังแต่ ทได้ ี กราบ หลวงตาอีกรอบ เดือนธันวาคมทีแล้ ว โยมบวชใจ ถอน คําอธิษฐานทุกครังก่ อนทีจะทําวัตรและฟั งเทศนาของ หลวงตา ฟั งเข้ าใจบ้ าง ไม่ เข้ าใจบ้ าง และเมือเช้ าได้ ฟัง ของตอนคุณเล็ก แต่ ชอบคําอธิบายของอาเจ้ มากเจ้ าค่ ะ และรู้สึกเหมือนเป็ นคุณเล็กเลย


คือ ตอนนีโยมทําสมาธิโดยอาศัยฟั งเสียง เทศนาของหลวงตาเป็ นเครื องดึงสติ และพยายามหา มาก ๆ ว่ าอันไหนคือจิต อันไหนคือสังขาร แต่ หาไม่ เจอ แยกไม่ ออกและมีอาการเหนือยและจุกทีหน้ าอก โยมจึงเลิกหา พอเลิกหาก็เกิดความว่ าง


แต่ โยมไม่ แน่ ใจว่ าความว่ างทีเกิดขึนนี เป็ น ความว่ างจริงหรือเป็ นความว่ างทีโยมสร้ างขึนมาเจ้ าค่ ะ ขอหลวงตาเมตตาชีแนะทางเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : อะไรรู้แล้ วเห็นแล้ วก็วางไปให้ หมด อะไรทียังไม่ ร้ ู ไม่ เห็น อยากจะได้ ก็ให้ วางไปให้ หมด ไม่ ว่าว่ างจริงหรือว่ างปลอม ก็วางไป รู้ หมด ทิงหมด เห็นหมด วางหมด ไม่ ใช่ วาง ๆ ไปโดยไม่ ร้ ู ไม่ เห็น


ผู้ถาม : ต้ องให้ ร้ ู ให้ เห็นก่ อนจึงวางใช่ ไหมเจ้ าคะ แล้ วฝึ กอย่ างไรถึงจะแยกจิตออกจากสังขารได้ ต้ องพิจารณาตรงไหนคะหลวงตา

หลวงตา : ถูกต้ องแล้ ว ต้ องรู้เห็นเสียก่ อน จึงวาง อย่ าพยายามแยกจิตออกจากสังขาร เพราะจิตก็เป็ น สังขาร เกิดดับ รู้ เห็นว่ ามีสังขารเกิดขึนมา หรือปรากฏขึนมา ทุกขณะจิตปั จจุบันแล้ วก็วางไปทันที หรือ รู้เห็นว่ า สังขารทุกขณะจิตปั จจุบัน ไม่ มีผ้ ูยึดมันถือมัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


อรูปพรหมไปจากขณะดับจิตสุดท้ าย มีตัวเราไปเสพความรู้สึกว่ าง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ อรูปพรหมคือ จิตทีติดเข้ าสมาธิแล้ วรูปหายไม่ ได้ เดินปั ญญาใช่ ไหมคะ แต่ จติ ทีเดินปั ญญาแล้ วรู้ว่ารูปนามไม่ มี ตัวเราไม่ มี แบบนีถึงจะเป็ นนิพพานใช่ ไหมคะ

หลวงตา : อรูปพรหมไปจากขณะดับจิตสุดท้ ายมีตัว เราไปเสพความรู้สึกว่ าง “นิพพาน” สินตัวตนของผู้เสวย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


เพราะฟั งไฟล์ เสียงต่ อเนือง ทําให้ ได้ เห็นตัวเองชัดเจนขึน ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาทีเคารพอย่ างสูงเจ้ าค่ ะ โยมฟั งไฟล์ ในกลุ่มตังแต่ คุณหมอบี น้ องเล็กอัยการ และ ท่ านอธิบดีนันทวัน คุณเน๊ ะ และ รวมถึง คําอธิบายของคุณมุ้ยค่ ะ ฟั งแล้ วรู้สึกว่ าไฟล์ เสียง เหล่ านันช่ วยได้ มากค่ ะ มันทําให้ โยมได้ เห็นตัวเอง ชัดเจนขึนค่ ะ ญาติธรรมเหล่ านีเปรี ยบเสมือนกระจก เงาให้ โยมได้ ส่องเห็นตัวเอง ค่ ะ ตังแต่ โยมได้ ฟังไฟล์ ทหลวงตาเมตตาส่ ี งมา พร้ อมกับการบ้ าน โยมก็น้อมไปปฏิบัติค่ะ เดียวนีโยม ปล่ อยวางได้ เร็วขึนค่ ะ ยึดถือน้ อยลง แต่ กย็ ังมีปรุ งแต่ ง เผลอบ้ างเป็ นครั งคราวค่ ะ ทุกข์ น้อยลงไปมากค่ ะ เพราะโยมคอยน้ อมใจเสมอว่ าขันธ์ ไม่ ใช่ ของเราค่ ะ ใช้ เค้ าให้ เกิดประโยชน์ สูงสุดแล้ วก็ปล่ อยวางค่ ะ


โยมขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของ หลวงตาอย่ างไม่ มีทสุี ดและไม่ มีประมาณค่ ะ ตอนนีก็มีน้อง ๆ แถวทีโยมอยู่ติดตามธรรมะ ของหลวงตาเพิมขึนค่ ะ เสียดายทีเพือนต่ างชาติของ โยมไม่ มี โอกาสได้ ฟังธรรมะ หรืออ่ านหนังสือธรรมะ ของหลวงตาเป็ นภาษาอังกฤษค่ ะ ถ้ าเค้ าได้ มาฟั งหรือ มาอ่ านธรรมะ ของหลวงตา โยมคิดว่ าจะช่ วยพวกเค้ า ให้ หลุดพ้ นได้ ค่ะ โดยเฉพาะคนเวียดนามทีอยู่อเมริ กา เค้ าอายุ ไม่ มากค่ ะ มีลูกชายยังเล็กอยู่ค่ะ เค้ าเพิงตรวจพบว่ า เค้ าเป็ นมะเร็งเต้ านมค่ ะ โยมได้ ส่งข้ อความธรรมะของ หลวงตาที เป็ นภาษาอังกฤษไปให้ เค้ าอ่ านค่ ะ เค้ าเข้ า มาทางพุทธศาสนาค่ ะ


โยมจะทําความเพียรต่ อไปค่ ะ และจะเป็ นแฟนพันธุ์ แท้ ของหลวงตาค่ ะ ปั ญหาของโยมขณะนี คือฟั งอะไร เสร็จ จะลืมค่ ะ แต่ โยมจะฟั งด้ วยใจค่ ะ และก็จะหมัน สวดถอนคําอธิษฐานและบวชใจค่ ะ โยมคิดว่ าโยมยัง สวดและถอนคําอธิษฐานไม่ ขาดค่ ะ กราบสาธุเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : สาธุ มีไฟล์ เสียงภาษาอังกฤษอยู่หนึงไฟล์ ให้ เขาศึกษาจากภาพธรรมภาษาอังกฤษ และมีหนังสือ หลายเล่ มทีแปลเป็ นภาษาอังกฤษแล้ ว ให้ เข้ าไปดาวน์ โหลดในเว็บหลวงตานะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


บวชใจและถอนคําอธิษฐานไม่ ทะลุเข้ าในใจ

เพราะไม่ ปล่ อยวาง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาทีเคารพอย่ างสูงอีก ครั งเจ้ าค่ ะ โยมเพิงฟั งไฟล์ ของหมอโบจบเป็ นรอบที สองค่ ะ หมอโบยังมีสงในใจที ิ ยังตัดไม่ ขาด แต่ โยมมา พิจารณาดูแล้ วตัวโยมเองไม่ มีอะไรทีมายึดเหนียวใจค่ ะ พ่ อแม่ และสามีกเ็ สียชีวติ ไปนานแล้ ว โยมก็ไม่ มีลูกให้ ยึดหรื อห่ วง พีน้ องของโยมทีเมืองไทย โยมก็เกือกูล ตามหน้ าที ของพีและน้ อง โยมรั กพวกเขาแต่ โยมไม่ ยึด เมือก่ อนโยมยอมรับว่ าห่ วงสํานักสงฆ์ และ พระสงฆ์ และวัดอืนทีโยมเป็ นโยมอุปัฏฐากค่ ะ แต่ ตอนนีโยมไม่ ได้ ยึดและห่ วงค่ ะ


เวลาโยมบวชใจและถอนคําอธิษฐาน ทําไมถึง ไม่ ทะลุเข้ าในใจคะ โยมรู้ว่าโยมเป็ นคนจิตไม่ นิงค่ ะ จิตจะกระโดดไปมาอยู่เรื อยค่ ะ กราบสาธุเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : ไม่ ปล่ อยวาง แต่ ปิดกลบไว้ ในใจ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


น้ อมนําเอาพระธรรมอันบริ สุทธิ อันเป็ นธรรมแท้ มาสู่ใจ ให้ เป็ นธรรมแท้ เผยแผ่ ไปยังธาตุร้ ูของผู้อืน ด้ วยใจอัน บริ สุทธิ ผู้ถาม : เมือคืนนีฝั นถึงหลวงตาและกลุ่มศิษย์ ว่ ามาที บ้ านเดิมของป้ าทีปั จจุบันเป็ น ร.พ.รั ตนิน และหนังสือที ทําด้ วยกันเสร็จแล้ ว แต่ เป็ นหนังสือ “ดุจนาวากลาง มหาสมุทร” ทีกําลังเร่ งปิ ดเล่ มอยู่ขณะนี 😊 เหมือน จิตใต้ สาํ นึกเตือนถึงงานแปลคําหลวงตาทีควรจะเริมทํา


หลวงตา : ให้ โยมคุณหญิงอธิษฐานจิตน้ อมนําเอา พระธรรมอันบริสุทธิ อันเป็ นธรรมแท้ ทีออกจากนํา พระทัยอันบริสุทธิของพระพุทธเจ้ า และพระอริยสงฆ์ มาสู่ใจให้ เป็ นธรรมแท้ เผยแผ่ ไปยังธาตุร้ ูของผู้อืน ด้ วย ใจอันบริสุทธิด้ วยเทอญ ขอให้ ผลงานเผยแผ่ พระธรรม จงเป็ นธรรมแท้ ทีออกจากนําพระทัยอันบริสุทธิของพระพุทธเจ้ าโดย ไม่ ผิดจากธรรมแท้ แม้ แต่ น้อยนิด นิดหนึงก็ขออย่ าได้ มี ด้ วยเทอญ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


“การพิจารณา” ในทางธรรม คือ ไม่ ยดึ ถือสิงใดในโลก ผู้ถาม : โยมขอกราบเรียนถามเพิมเติมว่ าเวลามี ปั ญหาเกิดขึนเราคิดแก้ ปัญหา การคิดแก้ ปัญหานีใช่ การพิจารณาหรือไม่ เจ้ าคะ

หลวงตา : การคิดแก้ ปัญหาเรืองโลก เป็ นเรืองของโลก “การพิจารณา”ในทางธรรม คือ ไม่ ยึดถือสิงใดในโลก รวมทังปั ญหาทางโลก มาเป็ นไฟราคะ โทสะ โมหะ หรื อ ความโลภ โกรธ หลง เผารนจิตใจให้ เร่ าร้ อน ถ้ ายึดถือ พิจารณาเห็นแล้ วว่ าเป็ นทุกข์ โทษภัย ก็ปล่ อย วางไปทุกขณะจิตปั จจุบัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


สติ ปั ญญา จงกลับมา ผู้ถาม : ฟั งซีรีส์ แล้ วเตือนใจตัวเอง ขอบคุณหลวง ตามาก ๆ นะคะ หนูน้อมระลึกขอบคุณทีคอยสังสอน ค่ ะ มองไม่ เห็นว่ าเผลอหลงโลกไปจริง ๆ แม้ จะปฏิบัติ แต่ กเ็ ผลอหลงปรุ งแต่ งไปโดยไม่ ร้ ูตัว หลังจากฟั งแล้ วรู้ตัวว่ าเราเผลอหลงไปยึดตัว เราให้ ได้ อย่ างใจ เผลอไม่ พอใจ ไม่ ร้ ูตัว มีแต่ ทุกข์ ตอนนีพอปล่ อยความยึดอารมณ์ ตรงนัน ๆ ไปแล้ วรู้สกึ โล่ งและกลับมามีสติค่ะหลวงตา

หลวงตา : สาธุ สติ ปั ญญา จงกลับมา .. ๆๆๆๆๆ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


รู้แล้ ว ... วาง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตา หนูฟังธรรมของหลวงตา บ่ อย ๆ แล้ วเข้ าใจไปในใจว่ าเราไม่ มีตัวตน แล้ วก็ ร้ องไห้ ๆๆๆ หนูควรปล่ อยให้ มันร้ องจนสมใจ หรื อควร รู้ เท่ าทันอารมณ์ นัน มันจะได้ หยุดร้ องเจ้ าคะ ฟั งธรรมหลวงตาแล้ วอิมเอมใจมาก ๆ หนูควร รู้ ๆๆๆๆ แล้ ววาง ๆๆๆๆ เจ้ าคะหลวงตา

หลวงตา : สาธุ รู้แล้ ว ... วาง ... วาง ... ๆๆๆๆ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


ทําลายผู้ร้ ูได้ โดยเห็นว่ า ผู้ร้ ูเป็ นสังขารปรุงแต่ ง ผู้ถาม : ขอโอกาสถามหลวงตา คือว่ าทุกวันนีการ ภาวนากระผมติดอยู่กับตัวผู้ร้ ู ผมอยากทราบว่ าเราจะ ทําลายผู้ร้ ู ได้ อย่ างไรครั บหลวงตา

หลวงตา : ให้ เห็นว่ าผู้ร้ ูเป็ นสังขารปรุ งแต่ ง (เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) เมือลงแก่ ใจ ใจเขาจะปล่ อยวางของเขาเอง ไม่ ใช่ หน้ าทีของเราทีไปพยายามปล่ อยวาง ถ้ าพยายามเอาตัวเราไปปล่ อยวางผู้ร้ ู แล้ วใครจะปล่ อยวางตัวเราเล่ า ? ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


จันทร์ มืดมน ดังใจไม่ พ้นโลกธรรม ผู้ถาม : โดนใจจริง ๆ เจ้ าค่ ะ จันทร์ มืดมน ดังใจไม่ พ้น โลกธรรม ไม่ พ้นทุกข์ ไม่ พ้นโลกธรรม สินโลก ... เหลือ ธรรม ขอโอกาสหลวงตาเจ้ าค่ ะ พอเห็นแบบนีด้ วยใจ แล้ ว ทําไมใจมันถึงได้ แต่ ร้องไห้ ไม่ หยุด มันเกิด ๆ ดับ ๆ อารมณ์ ต่าง ๆ ตามสังขาร แต่ ก็ร้ ูว่าทุกข์ สุข ก็ร้ ู แล้ ว ปล่ อย ว่ างค่ ะ มันเป็ นธรรมชาติใช่ ไหมคะหลวงตา ขอโอกาสเจ้ าค่ ะ ขอกราบนมัสการหลวงตาเจ้ า ค่ ะ ขอน้ อมเอาธรรมอันบริสุทธิทีหลวงตาส่ งมาให้ ส้ ถู งึ ใจเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : สาธุ เป็ นเช่ นนันเอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


ไม่ พยายามแยกสังขาร ออกจากใจทีไม่ สังขาร ผู้ถาม : ประโยคนีแก้ ไขทีใจได้ เจ้ าค่ ะ ช่ วงหลัง ๆ มี พี ๆ ทีรู้ จัก เขาบอกโยมลูกว่ าปฏิบัตวิ ่ าง ไม่ มีทุกข์ เลย ว่ างหมด และโยมลูกตอบ สภาวะจิตโยมลูกมันแสดง อาการเกิด ๆ ดับ ๆ ตลอดเวลา ไม่ เคยว่ าง ก็ดูเขาไป เขาก็บอกปฏิบัตผิ ิดทําผิดวิธี ก็ไม่ ได้ หนีทุกข์ หนีสุข ก็รับเจ้ าค่ ะ แต่ แยกสังขารออกจากใจ คงใช้ เวลาเจ้ าค่ ะ หลวงตา

หลวงตา : ไม่ พยายามแยกสังขารออกจากใจทีไม่ สังขาร ให้ ร้ ูเท่ าทันความพยายามนัน ปล่ อยวางพยายามนันไปเสีย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


“จิต” แสดงอาการได้ แต่ “ใจ” ได้ แต่ ร้ ู ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาด้ วยใจเคารพนอบ น้ อมเจ้ าค่ ะ 🙏🙏🙏 ขอโอกาสกราบเรี ยนถามเจ้ าค่ ะ ได้ ฟังไฟล์ เสียงคุณชี เข้ าใจ ถึงใจทุกอย่ างเจ้ าค่ ะ แต่ สงสัยประเด็นทีหลวงตาสอนว่ า เมือเป็ นใจทีเป็ นธาตุร้ ู จะรู้ ได้ อย่ างเดียว ไอ้ ทมี​ี อาการทังรู้ ทงคิ ั ด ๆ นันเป็ น … อาการของใจ ใจทีหลวงตาพูดถึงนีคือ จิต ทีเป็ นวิญญาณ ขันธ์ ทไปรั ี บรู้ความคิด นึก ตรึกตรอง ปรุงแต่ ง แสดง อาการได้ ใช่ หรือเปล่ าเจ้ าคะ กราบ กราบ กราบ แทบเท้ าหลวงตาทีเมตตา สังสอนเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : จิต หรือ วิญญาณขันธ์ ทไปรั ี บรู้ แล้ วคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุ งแต่ ง แสดงอาการได้ นัน คือ “อาการ ของใจ” เป็ นธรรมชาติฝ่ายสังขารปรุ งแต่ ง ส่ วนใจ หรื อ ธาตุร้ ู เป็ นธรรมชาติฝ่ายวิสังขาร เป็ นธรรมชาติทไม่ ี มีอะไรปรากฏเลย ไม่ อาจคิดหรือแสดงอาการใดได้ เลย เหมือนเป็ นความว่ างในธรรมชาติ ในอวกาศหรือ จักรวาล ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที 7 กุมภาพันธ์


สินยึดในปั จจุบัน ทุกขณะจิตปั จจุบัน ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ อยู่ไปแบบไม่ มีใครยึดสังขาร ไม่ มีใครยึดใจ จนกว่ าจะสินยึด ใช่ ไหมเจ้ าคะ

หลวงตา : ปล่ อยวาง หรือ สินยึดในปั จจุบัน ทุกขณะจิตปั จจุบัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


ทีสุดแห่ งทุกข์ คือ ความไม่ มีอะไร ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ ช่ วงนีใจโยมมันรู้อยู่ เฉย ๆ มาก ไม่ อยากฟั งไฟล์ เสียง ไม่ อยากทําอะไร ไม่ แสวงหาอะไร ไม่ อยากคิดอะไร ไม่ ทุกข์ สบายดีแค่ รู้ อยู่เฉย ๆ ไม่ มีความกระตือรื อร้ น ทีจะเร่ งความเพียร เหมือนแต่ ก่อนเจ้ าค่ ะ อาการนีหลงอีกใช่ ไหมเจ้ าคะ แล้ วจะแก้ ไขอย่ างไร ?

หลวงตา : ปล่ อยวางความรู้สึกเบาสบาย และ ตัวเรา ผู้เบาสบายไปเสียทันทีเดียวนี มันเป็ นการหลงยึดถือ เป็ นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ทีทําให้ เกิดทุกข์


ทังตัวเราทีรู้ สกึ เบาสบาย และ ความรู้สึกเบา สบาย เป็ น “สังขาร” ปรุงแต่ ง เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ ถ้าหากหลงยึดถือ มันจะเป็ นอวิชชา เป็ น อัตตา

ผู้ถาม : แล้ วอยู่แบบไหนเจ้ าคะ ? แล้ วไม่ อยากฟั งไฟล์ ไม่ พยายามแล้ วทําอย่ างไรเจ้ าคะ

หลวงตา : ไม่ มีตัวตนของเรา ไม่ มีจติ หรือใจของเรา มาตังแต่ แรก อยู่คนเดียวเงียบ ๆ แล้ วสังเกตเห็นว่ าทุก อาการของสังขาร ก่ อนปรากฏก็ไม่ มี มีแล้ วก็ดับ กลับคืนไปสู่ความไม่ มี สังเกตให้ เห็นทีเกิดดับของอาการของจิตใจ ว่ า มันเกิดดับอยู่ในความไม่ มีอะไรเลย นันแหละคือทีสุด แห่ งทุกข์


ผู้ถาม : ทีสุดแห่ งทุกข์ คือพ้ นทุกข์ เหรอเจ้ าคะ หลวงตา : ทีสุดแห่ งทุกข์ ก็เหมือน ทีสุดแห่ งความร้ อนทีสุด หรือ ทีสุดแห่ งความสูงทีสุด คืออะไรเล่ า ?

ผู้ถาม : ไม่ มีอะไร เจ้ าค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


“ใจสงบ จึงพบทางออก” ผู้ถาม : ช่ วงนีชีวติ ทางโลกกําลังเปลียนแปลงอย่ าง มากเจ้ าค่ ะ เป็ นช่ วงรอยต่ อทีต้ องตัดสินใจเลือกเจ้ าค่ ะ ว่ าจะไปในทิศทางไหน ไปทีใด ทําให้ ต้องคิดวุ่นวายไป พอสมควรเจ้ าค่ ะ ศิษย์ น้อมรั บคําสังสอนมาพิจารณาเจ้ าค่ ะองค์ หลวงตา


หลวงตา : ตัดสินแก้ ปัญหาด้ วยใจทีสงบเป็ นหนึง เดียวกับพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้ วจึงจะ เกิดปั ญญาสัมมาทิฏฐิ ตัดสินใจทีถูกต้ องตามธรรม ไม่ ใช่ ตามใจกิเลส “ใจสงบ จึงพบทางออก” ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


ทีสุดแห่ งทุกข์ ไม่ ใช่ อยู่ตรงทีเกิดดับ ... แต่ "อยู่ตรงทีไม่ เกิดไม่ ดับ" ผู้ถาม : ทีสุดแห่ งทุกข์ คือ การเกิดดับหรือไม่ คะ เพียงแต่ เพราะเราไม่ เห็นความเกิดดับจึงไม่ เห็นทุกข์ และหลงไปกับอารมณ์ สุขทุกข์ เฉย ๆ อยู่ตลอดเวลา หากเราเห็นทีสุดของทุกข์ คือความเกิดดับก็จะปล่ อย วางได้ ง่ายขึนตามลําดับใช่ หรือไม่ คะหลวงตา และครั งนีพอปล่ อยวางได้ ก็จะไม่ กลับไปยึดติด ความว่ าง ทีเบาสบายอีกเพราะเห็นแล้ วว่ าความเบา สบายเป็ นสังขาร แต่ จะคอยเฝ้ าดูอยู่อย่ างนัน เพราะ ความสบายมันก็หายไป กลับมาเป็ นเกิดดับต่ อไปอีก แล้ วเราก็เบือหน่ ายความเกิดดับนี เห็นมันไปเรือย ๆ แบบนีใช่ ไหมคะ


หลวงตา : ทีสุดแห่ งทุกข์ ไม่ ใช่ อยู่ตรงทีเกิดดับ ... แต่ "อยู่ตรงทีไม่ เกิดไม่ ดบั " จะพบความไม่ เกิดดับได้ .... ก็เพราะรู้เห็นและปล่ อย วางอารมณ์ หรื อสิงทีเกิดดับในปั จจุบันขณะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


ปล่ อยวางทังความคิดตรึ กตรอง หรื ออารมณ์ ทถูี กรู้ และ ผู้ร้ ู ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ตอนทีหนูเดินตามหลวงตารับบาตรเจ้ าค่ ะ หนู ก็เห็นมันคุยไม่ หยุดเลยเจ้ าค่ ะ ทังตัวคุยและตัวทีรู้ ว่าคุย และตัวสติก็สอนทับแล้ วมันก็ดับแล้ วมันก็คุยอีก แล้ วก็ จะมีสติต่อ ว่ าช่ างมันบ้ าง ปล่ อยบ้ าง แล้ วแต่ เค้ าบ้ าง มันก็คุยไม่ หยุดเลยเจ้ าค่ ะ จะมีตัวคุยผู้เห็นตัวคุยและ ตัวทีหยุดให้ คุยมาเป็ นชุด ๆ อย่ างนีเรื อยไป เรื อยไป เจ้ าค่ ะ คือใจนีมันห้ ามอะไรไม่ ได้ เลยนะเจ้ าค่ ะ มันจะพูดจะคุยอะไรก็เป็ นของมัน แต่ มันจะมีสติมา ห้ ามทับต่ ออยู่แล้ วแล้ วมันจะดับไป แต่ เดียวก็พูดซํา


เดิมอีก สติกม็ าอีก และก็ดบั ไปอีกเป็ นเช่ นนี ๆ ไปน่ ะ เจ้ าค่ ะ

หลวงตา : ปล่ อยวางทังความคิดตรึกตรองหรื อ อารมณ์ ทีถูกรู้ และ ผู้ร้ ู

ผู้ถาม : เจ้ าค่ ะ ขํา ๆ ดีน่ะเจ้ าค่ ะ ความรู้ความเห็น ความคิดนึกตรึกตรองอารมณ์ ทถูี กรู้ และผู้ร้ ูทงที ั เป็ น ตัวเดียวกันมาตังแต่ แรก มันกลับเหมือนมันละเอียด ขึนตาม มันก็เป็ น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของมัน อยู่อย่ างนัน แต่ กลับไม่ ร้ ู ทัง ๆ ทีก็เคยเจอกับมัน มาแล้ ว ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


เพราะติดแช่ ใจสบาย สลับกับความหงุดหงิด ฟุ้งซ่ าน ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ขอกราบเรียน ถามหลวงตาสองข้ อค่ ะ ) กรณีทมี​ี คนบอกว่ าเห็นเราแล้ วไม่ ชอบหน้ าแต่ แรก และเราทําอะไรเขาก็หงุดหงิดและว่ ากล่ าว ส่ วนตัวเรา เอง เราพบคนนึงไม่ ว่าเขาทําจะอะไรกับเรา เราก็ หงุดหงิดเช่ นกัน คิดว่ าคน ๆ นันก็คงเป็ นแบบนี คงเป็ น กรรมทีทําต่ อกันมา สิงทีทําขณะนีคือเมือถอนอธิษฐาน ขอขมาก็ นึกถึงเขาทังสอง และหลีกเลียงการพบปะ เมือใดทีต้ อง พบก็ได้ แต่ ร้ ูอาการไม่ ชอบใจ รู้ ทุกอาการทีเกิดขึนว่ า เป็ นสังขาร ๆ ไม่ เข้ าไปยึดถือ ไม่ แทรกแซง เป็ นอนิจจัง วางทังหมด หากเห็นผู้ร้ ูก็วางผู้ร้ ู วาง ๆๆ ทุกอย่ าง


) ในปั จจุบันไม่ มีความกระตือรื อร้ น ทีจะเร่ งทําความ เพียรคล้ ายกับปุจฉาวิสัชนาทีหลวงตาส่ งมาเลยค่ ะ ไม่ ได้ จดจ่ อกับทุกไฟล์ เสียง ไม่ ได้ เปิ ดฟั งทันที บางครั ง เลือกฟั งเฉพาะทีหลวงตาบอกว่ าเด็ด แต่ กร็ ้ ูอารมณ์ รู้ อาการรู้ นึกคิดทีเกิดขึนว่ าเป็ นสังขาร แล้ ววาง แต่ วาง ได้ บ้างไม่ ได้ บ้างแล้ วแต่ กรณีค่ะ แต่ ไม่ เอามาใส่ ใจ ปล่ อยไปค่ ะ ขอความเมตตาหลวงตาช่ วยชีแนะด้ วยเจ้ าค่ ะ กราบขอบพระคุณและกราบนมัสการค่ ะ กราบ กราบ กราบ

หลวงตา : ติดแช่ ใจสบาย สลับกับความหงุดหงิด ฟุ้งซ่ าน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


ปล่ อยวางตัวเราผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ผู้ร้ ู แจ้ งไปด้ วย

เพราะมันเป็ น “สังขาร” ความปรุ งแต่ ง

ผู้ถาม : กราบนมัสการครับหลวงตา ขอโอกาสส่ ง การบ้ านครับ ทีผมเห็นมันมีสองแบบครับ คือ รู้แล้ ว ปล่ อยผ่ านเลยไม่ ได้ ไปยุ่งอะไรกับมันอันนีจบเลย เป็ นรู้แล้ วผ่ านไปเฉย ๆ ไม่ ต้องทําอะไรแม้ แต่ การวางก็ ไม่ ต้อง มันผ่ านไปเฉย ๆ ของมันเอง กับอีกอันรู้ แล้ วเข้ าไปยุ่งกับมัน อันนีพอเห็นว่ า เข้ าไปยุ่งกับมันก็วางไป มันก็จบลงทีรู้ ว่าวางครั บ แล้ วก็ เห็นเป็ นของใหม่ เรื อย ๆ ไปแบบนีครั บ กราบนมัสการครับ


หลวงตา : สาธุ ปล่ อยวางตัวเราผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ผู้ร้ ู แจ้ งไปด้ วย เพราะมันเป็ น “สังขาร” ความปรุ งแต่ ง ตัวตนของเรา ไม่ มีมาแต่ แรกแล้ ว ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


ปล่ อยวางสิงทีรู้ ทีเห็น ทีเป็ น ไม่ ใช่ ปล่ อยวาง “สติ ปั ญญา” ผู้ถาม : ขอกราบเรียนส่ งการบ้ านหลวงตาเจ้ าค่ ะ หลังจากทีไปส่ งการบ้ านหลวงตาทีวัดป่ าจันทรังษี หนูกลับบ้ านมาฟั งไฟล์ ซีรีส์ของคุณณัชชา พร้ อมกับ นังลืมตาอยู่เงียบ ๆ ก็มีความรู้ความเข้ าใจออกมาจาก ใจว่ าธรรมชาติมีแต่ สังขารกับวิสังขาร แล้ วมันถาม ขึนมาว่ า ทําไมถึงมีตัวหนู (ซึงก็ถูกรู้ ว่าเป็ นฝั งสังขาร) จะไปหานิพพานทีไหน ? ได้ อย่ างไร ?


ในระยะหลังนีหนูไม่ ค่อยรู้สกึ ทุกข์ เท่ าไหร่ ออกจะรู้ สึกเฉย ๆ สบาย ๆ ก็เห็นสังขารเกิดดับบนใจ ทีไม่ มีอะไร หรือบางทีกเ็ ห็นเกิดดับบนใจทีสบาย ๆ ด้ วยซํา แต่ จากข้ อความข้ อธรรมทีหลวงตาเมตตาส่ ง มานี หนูได้ เขียนลอกออกมาอ่ านอีกครั งนึง และเมือ นํามาพิจารณากับตัวเองแล้ ว หนูเลยคิดว่ าหนูกาํ ลังยึด เอาใจทีไม่ มีอะไร ใจทีสบาย ๆ มาเป็ นของหนูค่ะหลวงตา


ทีนีถ้ าหนูจะโยนิโสว่ าไม่ มีใจของเรา ได้ ไหมคะ (กลัวจะเก็บไหปลาร้ าเอาไว้ ) แต่ คือหนูสงสัยว่ า ถ้ าการ โยนิโสแบบนีจะเป็ นการกระทําทีมีตัวเราไปรอรับผล หรื อป่ าวเจ้ าคะ ? หรือก็แค่ วางไปเลย ? กราบขอคําชีแนะจากหลวงตาเจ้ าค่ ะ ปล. พอหนูเข้ าใจว่ าปั ญญาก็เกิดดับ หนูเลย ไม่ ค่อย กล้ าพึงการพิจารณาเท่ าไหร่ หรือว่ าจริง ๆ แล้ วหนู เผลอทิงเรือหรื อเปล่ าคะหลวงตา


หลวงตา : ปล่ อยวางสิงทีรู้ ทีเห็น ทีเป็ น ทุกขณะปั จจุบัน ไม่ ใช่ ปล่ อยวาง “สติ ปั ญญา” เลยไม่ ร้ ู เห็นอะไรเลย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


ไม่ ใช่ ไป “ปล่ อยวางความรู้สึก” แต่ ให้ “ปล่ อยวางผู้ร้ ูอารมณ์ ” ผู้ถาม : ฟั งไฟล์ ล่าสุด เหตุเกิดผลเกิดเหตุดับผลดับ มันเข้ าใจแล้ วเจ้ าค่ ะ เห็นโทษของการขาดสติ ขาดปั ญญา การยึดถือ สิงนีเป็ น "ธรรม" ฝ่ ายเหตุแห่ งทุกข์ ผลย่ อม เกิดทุกข์ แน่ นอน เมือรู้ เท่ าทัน เกิดสติเกิดปั ญญา มันปล่ อยวาง นีเป็ น "ธรรม" ฝ่ ายมรรค ย่ อมส่ งผลเป็ นนิโรธ คือ ความดับทุกข์ อย่ างจริงแท้ มีเพียง กระบวนการของสภาวธรรม ทีมันเกิด และดับตามเหตุปัจจัยจริง ๆ ไม่ มีตัวเราเป็ นเจ้ าของ ความทุกข์ และการดับทุกข์ เลยแม้ แต่ นิด


มันจึงไม่ มีอะไรยาก ไม่ มีอะไรทีจะทําได้ ทาํ ไม่ ได้ เพราะมันไม่ มีอะไรให้ ทาํ ไม่ มีตัวเราคนทีจะต้ องไปทํา อะไร ให้ มันถึง ให้ มันได้ ให้ มันเป็ นตังแต่ แรกแล้ ว ให้ ร้ ูความสบาย ความหงุดหงิด ฟุ้งซ่ าน ดูการ เกิดดับ แล้ ววางหรือเปล่ าคะ

หลวงตา : ไม่ ใช่ ไปปล่ อยวาง ความรู้สึกสบาย ความรู้ สกึ หงุดหงิด ความฟุ้งซ่ าน สิงเหล่ านีเป็ นอาการ หรื ออารมณ์ ทถูี กรู้ แต่ ให้ ปล่ อยวางผู้ร้ ูอารมณ์

ผู้ถาม : เจ้ าค่ ะ กราบขอบพระคุณค่ ะ หลงอีกแล้ วค่ ะ กราบ กราบ กราบค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


สินยึดหรื อสินผู้ให้ ค่า ก็พ้นทุกข์ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ หนูเพิงจะได้ รู้ จักหลวงตาจากซีดี และได้ ปฏิบัติธรรมมาไม่ นาน นังสมาธิ เดินจงกรม จนได้ มาเจอซีดีของหลวงตาและ ได้ ฟังคําสอนของหลวงตา ทําให้ หนูได้ เข้ าใจคําว่ ากายกับใจมากขึนเจ้ าค่ ะ และหนูก็ได้ สวดอธิษฐานบวชใจทัง แผ่ นของหลวงตา ทุกครั งก่ อนนังสมาธิ


แต่ สงหนึ ิ งทีเกิดกับหนูจากการนังสมาธิเมือไม่ นานคือ มันมีความเย็นอยู่ข้างในกลางอกตรงลินปี โล่ ง เบา แต่ ทาํ ไมหนูร้ ู สึกมันมีความทุกข์ อยู่ในนันเจ้ าค่ ะ อาการนีจะอยู่ประมาณ - วัน จะเป็ นทุกครั งเมือหนู นังสมาธิเจ้ าค่ ะ หนูได้ ฟังจากไฟล์ เสียงของหลวงตา หนูเข้ าใจ ว่ า นีคืออาการของสังขาร เดียวมันก็ดับไปเอง ไม่ ต้อง ไปให้ ค่ามันหรือสนใจ ยึดมันใช่ ไหมเจ้ าคะหลวงตา หนู ห้ ามมันไม่ ให้ เกิดก็ไม่ ได้ ให้ มันหยุดก็ไม่ ได้ มันเกิดของ มัน และ ดับไปเองเจ้ าค่ ะหลวงตา หนูขอกราบขอคําแนะนําจากหลวงตาด้ วย เจ้ าค่ ะ กราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : เมือไม่ มีผ้ ไู ปยึดถือให้ ค่ามัน ไม่ ว่าสุข คือความสงบเย็นอยู่ข้างใน และมีความทุกข์ อยู่ในนัน ย่ อมดับไปเป็ นธรรมดา ไม่ อาจจะเลือกเอาแต่ สุขอย่ างเดียวได้ เพราะสุขกับ ทุกข์ มันเป็ นธรรมชาติค่ กู ัน สินยึด หรื อ สินผู้ให้ ค่า ตัวตนของผู้สุข ผู้ทุกข์ ก็ไม่ มี หรือพ้ นทุกข์


ผู้ถาม : หมายความว่ า ไม่ มีผ้ ูรับสุขหรือรับทุกข์ หนูเข้ าใจถูกไหมเจ้ าคะ

หลวงตา : ถูกต้ องแล้ ว ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กุมภาพันธ์


ปล่ อยวาง “ผู้ร้ ู ” ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะ เช้ านีเดินจงกรม ระหว่ างนันเห็นความคิดทีผุดขึนมา ปรุงไป มีเราเป็ นผู้ดู จนเห็นความดับลงของความคิดนัน ... เกิดความว่ างขึนมาแทน รู้ความว่ าง ความว่ างดับ ... จึงเข้ าใจทีหลวงตาสอนว่ า สังขารเกิดปล่ อยมัน ไม่ เข้ าไปเสวย มันดับเองตามเหตุปัจจัย.. วางทังสังขาร วางทังผู้ร้ ูไปในทุกขณะปั จจุบัน ... โดยไม่ ต้องทําอะไร เค้ าเป็ นของเค้ าเช่ นนันเอง ... ศิษย์ เข้ าใจถูกไหมคะ


หลวงตา : ปล่ อยวาง “ผู้ร้ ู” รู้ อยู่ แต่ ไม่ ยึดรู้ คือ ไม่ ยึดถือว่ าเราเป็ นผู้ร้ ู หรื อ ผู้ร้ ู เป็ นเรา ผู้ร้ ูเป็ น “วิญญาณขันธ์ ” ทํางานร่ วมกับเวทนา สัญญา สังขาร ปล่ อยวางผู้ร้ ู หรื อไม่ ยึดถือผู้ร้ ูว่าเป็ นเรา หรื อเราเป็ นผู้ร้ ู เท่ ากับปล่ อยวางหมดทังห้ าขันธ์ เท่ าทีพิจารณา โยมว่ า .. วางทังสังขาร .. วางทังผู้ร้ ู แต่ ร้ ู สกึ ว่ าโยมยังมีความพึงพอใจ ยินดีกับการรู้ เห็นเป็ น เช่ นนัน

ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาค่ ะ เห็นแล้ วเจ้ าค่ ะว่ า ยังมีเราทีเข้ าไปพึงพอใจในการเห็นอาการนัน ขอบคุณ หลวงตาทีเตือนค่ ะ การส่ งการบ้ านสําคัญจริง ๆ ค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


หลงมี “ตัวเรา” ยืนพืน ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ กราบขอโอกาสส่ งการบ้ านค่ ะ ช่ วงก่ อนหน้ านี รู้ สึกว่ ามีความเข้ าใจชัดเจนขึน จนเข้ าใจว่ าปล่ อยวางได้ มากขึน แต่ พอมา - วันนี ไม่ ว่าจะทําอะไรโดยเฉพาะสิงทีชอบ ก็จะมีตัวเข้ าไปยึด หรื อความพยายามทีจะรู้ หรื อให้ เป็ นอะไรหรือได้ อะไร และเวลากระทบอะไรทังทางโลกและทางธรรมก็เป็ น แบบเดียวกัน เห็นว่ ายังรักสุขเกลียดทุกข์ อยู่ค่ะ กราบขอบพระคุณค่ ะ


หลวงตา : มันวนก็เพราะ มันยังหลงมี “ตัวเรา” ยืนพืน อยู่ อยากได้ อยากเอา อยากเป็ น อยากรู้ อยากเห็น อยากบรรลุ อยู่ตลอดเวลา ดังนันไม่ ว่าจะตอบอย่ างไรก็ ยังคงมีตัวเราอยู่ตลอดไป จริง ๆ แล้ วตัวตนของเราก็ไม่ มีอยู่จริงตังแต่ แรกแล้ วและไม่ มีตัวตนของเราอยู่จริงในปั จจุบันและ ในอนาคต ส่ วนตัวเราทีสัมผัสได้ นันเป็ นเพียงขันธ์ ห้า ทีประกอบหรือผสมปรุ งแต่ ง มาจากธาตุดินนําลมไฟ อากาศและธาตุร้ ู เป็ นเพียงสมมติอยู่ชัวคราวเท่ านัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


ถึงใจ คือ สินผู้เสวย สินผู้จะเอา สินผู้ยดึ มันถือมัน ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์ หลวงตาด้ วยความเคารพ อย่ างสูงเจ้ าค่ ะ หนูขอเรี ยนถามหลวงตาว่ า การปล่ อย วาง "ผู้ร้ ู " ให้ ได้ นัน มีเหตุและถึงพร้ อมด้ วยปั จจัยใด หรื อเจ้ าคะ? กราบองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ หรื อว่ าการทีจิตพ้ นจากความยึดหลงว่ ามีตัวเรา พ้ นจากความโง่ พ้ นจากอวิชชา ถึงพร้ อมถึงใจจริ ง ๆ นันคือ การปล่ อยวางผู้ร้ ู เจ้ าคะ


หลวงตา : ถึงพร้ อมด้ วยสินผู้เสวย สินผู้จะเอา ก็คือ สินผู้ยึดมันถือมัน ถ้ ายังมีผ้ ูจะเอา อยากได้ อยากเป็ น อยากรู้ อยากเห็น อยากเข้ าใจ อยากรู้ แจ้ ง อยากปล่ อยวางผู้ร้ ู อยากบรรลุ ก็ยังไม่ ถึงพร้ อม ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


อยู่กับรู้ ทีไม่ มีความรู้สึกว่ าตัวเราเป็ นผู้ร้ ู ผู้ถาม : กราบท่ านอาจารย์ ครับ ผมมีความรู้สึกว่ าเรามี ความจําเป็ นต้ องเร่ งปฏิบัติให้ มากขึนเพราะอายุมากขึน แล้ ว ถ้ าขืนชักช้ ามากไปกว่ านีอาจไม่ ทันการ จึงพยายามฟั งไฟล์ เสียงและกัดติดจดจ่ อกับการรู้ตัว แล้ วปล่ อยวางให้ มากขึน ทังขณะทีเริมตืน จนกระทัง ก่ อนหลับ


จนวันนี เวลา ประมาณ ๒ นาฬิกาตืนขึนมา ก็เริมทําความรู้สึกตัวแล้ วปล่ อยวางโดยการวางสิงทีถูก รู้ ทเป็ ี นสังขารทังหลาย จนเห็นผู้ร้ ู ทไปรู ี ้ สงั ขารแล้ วก็ ปล่ อยวางผู้ร้ ูอีกเป็ นอยู่อย่ างนี จนขณะจิตหนึงจึงเกิดการวางผู้ร้ ู ไปโดยไม่ ได้ ตังใจวาง แต่ ร้ ูว่ามันวางไปโดยไม่ ต้องทําอะไร แล้ ว เหมือนทุกอย่ างทีเคยทํามันไม่ ต้องทําอะไร ได้ แต่ ร้ ู รู้ โดยไม่ ต้องพยายามเหมือนก่ อนหน้ านัน สิงทีถูกรู้ทเป็ ี นสังขารก็ยังมีให้ ร้ ูอยู่ แต่ เราไม่ ต้ องไปจ้ องวางเหมือนเมือก่ อน ได้ แต่ ร้ ู เห็นว่ ามัน เคลือนไหวของมันอยู่ตลอดเวลาโดยเราไม่ ได้ ไปทํา อะไรกับมันอีก


ตอนนีก็มีความรู้ สึกว่ า ไม่ มีอะไร ไม่ ทาํ อะไร ได้ แต่ ร้ ู ว่าอยู่อย่ างปกติ ไม่ ได้ ดินรนทีจะปล่ อยวาง หรื อ พยายามทําอะไรให้ เป็ นอะไร ทําอย่ างทีเคยเกิดหรื อ พยายามให้ เกิดมันหายไป ซึงอาการอย่ างนีไม่ เคย เกิดขึนตังแต่ ปฏิบัติมา เคยแต่ ต้องพยายามให้ เกิดทํา ให้ เกิด พยายามวาง ตังใจวาง แต่ ตอนนีมันรู้ เฉย ๆ แต่ อาการทีมันบอกไม่ ถูกว่ ามีลักษณะอย่ างไร รู้แต่ ว่ามัน หยุดทํา แต่ กร็ ้ ูอยู่ จึงกราบเรียนให้ ท่านอาจารย์ ทราบ


หลวงตา : สาธุ อนุโมทนาด้ วยนะ หลังจากทีเพียร กระทํามาหลายสิบปี อยู่กับรู้ ทีไม่ มีความรู้สึกว่ าตัวเราเป็ นผู้ร้ ู หรือผู้ร้ ูตัวเรา อย่ างนันนันแหละ รอจนธาตุขันธ์ แตกดับเมือใด “ รู้ ” ซึงเป็ นธาตุร้ ู ทไม่ ี มี ใครเป็ นเจ้ าของ ไม่ ได้ เป็ นของใครนี จะกลืนไปเป็ น หนึงเดียวกับธรรมชาติ จิตวิญญาณไม่ มีตัวตนในปั จจุบัน ในอนาคต และ ตลอดกาล เธอจะสินกิเลส พ้ นทุกข์ (นิพพาน) ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


ปล่ อยวาง... ผู้พยายามปล่ อยวาง หลวงตา : ถอนให้ หมด ละให้ หมด ปล่ อยวางทีใจให้ หมด ปล่ อยวางแม้ ตัวเราและใจของเรา ไม่ เอาอะไรเลย ไม่ ยึดถืออะไรเลย ปล่ อยวางความหวัง ความปรารถนาอยากได้ พระโสดาบันนันไปเสีย ปล่ อยวางความอยาก ความปรารถนาแม้ แต่ อยากได้ ความสุขทีทุกข์ ไม่ มีหรือพระนิพพาน


ปล่ อยวางอดีตทีผ่ านมาทังหมด อดีตเหมือนความฝั น ปล่ อยวางความอยากได้ อยากเอา อยากเป็ น อยากรู้ อยากเห็น อยากเข้ าใจอยากบรรลุ หรือความ ปรารถนา ความกังวลในอนาคต มีสติตืนรู้ความคิดหรืออารมณ์ ตามความเป็ นจริงทุกขณะ จิตปั จจุบัน รู้แล้ ว เห็นแล้ ว เข้ าใจแล้ ว ก็ปล่ อยวางไป ทุกปั จจุบันขณะ

ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณเจ้ าค่ ะ โยมไม่ ทราบจะปล่ อยอย่ างไงล่ ะเจ้ าค่ ะ ขอนัง ท่ องคําตอบของหลวงตา. ให้ ขนใจ ึ ไปพรางๆก่ อน เจ้ า ค่ ะ กราบ กราบ กราบ เจ้ าค่ ะ


หลวงตา : ปล่ อยวางผู้พยายามท่ องคําตอบเพือการ ปล่ อยวาง ปล่ อยวาง... ผู้พยายามปล่ อยวาง ปล่ อยวาง..ตัวเราทีจะไปเอาผลของการปล่ อยวาง ปล่ อยวาง...ปล่ อยวาง...ปล่ อยวางทันที ไม่ มีกรรมวิธีใด


ถ้ าหากรรมวิธี....เท่ ากับยังไม่ ปล่ อยวาง ถ้ าปล่ อยวาง ไม่ มีกรรมวิธี เหมือนแบกของหนักมา หรื อยึดถือให้ หนักอกหนักใจ ก็ให้ วางเสีย ถ้ ายังไม่ ร้ ู สึกหนัก คือเป็ นทุกข์ เพราะการแบก การยึด ใจก็ยังไม่ ยอมวางหรอก ยึดถือสิงใด หรือ แบกสิงใด ล้ วนแต่ หนักหรื อเป็ นทุกข์ สินยึด หรื อ ปล่ อยวาง ก็ว่างเปล่ าเบาสบาย หายหนัก หายเครี ยด พ้ นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


กิเลสเกิดปั จจุบัน จัดการมันทันที จนเหลือตัวเราสุดท้ าย จึงปล่ อยวางตัวเรา ผู้ถาม : “ต้ องทําสงคราม กับกิเลส” ด้ วยเหรอเจ้ าคะ ไม่ ใช่ แค่ ร้ ู แล้ ววางหรือ

หลวงตา : กิเลสเกิดปั จจุบนั จัดการมันทันที จน เหลือตัวเราสุดท้ าย ผู้ทาํ สงคราม จึงปล่ อยวางตัวเรา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


เพราะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงไม่ ดูด ไม่ ผลัก ไม่ ติดรัก ไม่ ตดิ ชัง (จากคําถามก่ อนหน้ านี) ผู้ถาม : "ต้ องทําสงคราม กับกิเลส" ด้ วยเหรอเจ้ าคะ ไม่ ใช่ แค่ ร้ ู แล้ ววางหรื อ หลวงตา : กิเลสเกิดปั จจุบัน จัดการมันทันที จน เหลือตัวเราสุดท้ าย ผู้ทาํ สงคราม จึงปล่ อยวางตัวเรา

ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ขอกราบเรียน ถามเรื องการจัดการกิเลสค่ ะ " กิเลสเกิดปั จจุบัน จัดการมันทันที" จัดการอย่ างไรคะ โดยการรู้ (ว่ าคือ สังขาร เกิดขึน ตังอยู่ ดับไป) แล้ ววางหรือเปล่ าคะ กราบขอบพระคุณค่ ะ กราบ กราบ กราบ


หลวงตา : กิเลสเกิดในปั จจุบันขณะ รู้เท่ าทัน แล้ วทํา อย่ างไรก็ได้ ทไม่ ี ให้ จิตใจเอือยหรื ออ้ อยอิงติดอยู่ในมัน เช่ น กระชากความรู้สึกตัวขึนมา แล้ วเคลือนไหว เปลียนความสนใจไปทําอย่ างอืนทันที แต่ ไม่ ใช่ เข้ าใจผิด ไปพยายามดับทีอารมณ์ หรื ออาการ เช่ นอารมณ์ โกรธ ให้ มันหายไปทันที เพียงแต่ มีสติร้ ูเท่ าทัน แล้ วไม่ สนใจมัน ว่ ามัน ยังคงอยู่หรือจะดับไปเมือใด ให้ เคลือนไหวร่ างกาย ลุกไปทําอย่ างอืนทันที


ฝึ กให้ เกิดความชํานาญ ถ้ ายังมีอารมณ์ แรง ๆ เกิดขึน ซํา ๆ ก็ให้ เคลือนไหวซํา ๆ แรง ๆ ให้ สมดุลย์ กับอารมณ์ แต่ มีข้อแม้ ว่าต้ องไม่ คอยเข้ าไปสังเกตว่ า อารมณ์ ดับไปหรือยังหรืออยากให้ อารมณ์ ดับไป อย่ าง นีมันจะเป็ นกิเลสซ้ อนกิเลสมากยิงขึน เมือฝึ กฝนจนชํานาญ อารมณ์ ต่าง ๆ ทีเกิดขึน ทุกปั จจุบันขณะ จะค่ อย ๆ สินอิทธิพลต่ อใจไปทีละ น้ อย ทีละน้ อย ต่ อจากนัน ก็สามารถทีจะรับรู้ รับทราบทุก ปั จจุบันขณะ แต่ ไม่ รับเอาเข้ ามา หรือรับรู้ ด้วยใจเป็ น กลางหรือเป็ นอุเบกขา ซึงหมายถึงผู้มีปัญญาสูงสุด เพราะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงไม่ ดดู ไม่ ผลัก ไม่ ติดรั ก ไม่ ติดชัง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


วางหมดทีใจ วางแม้ ใจ วางแม้ ผ้ ูปล่ อยวาง ผู้ถาม : เมือเราปล่ อยวางทังใจแล้ ว เรากลับมาปล่ อย วางสังขารทีเกิดทีหลังอีกไหมครั บ เมือรู้ว่ามันคือขันธ์

หลวงตา : วางหมดทีใจ วางแม้ ใจ วางแม้ ผ้ ปู ล่ อยวาง ทุกปั จจุบันขณะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


ความรู้ทงหมด ั เพือปล่ อยวางทังหมดทีใจ ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะ โยมฟั งไซอิว มีคาํ สอนทังหมด กราบขอโอกาสหลวงตา ชีแนะคะ -

จะเป็ นพระต้ องเดินทีละก้ าว ธรรมชาติ สงบ สุขสันติ (ว่ างเปล่ า) ผู้นําทาง"นโม" (เปรียบเหมือนธาตุของพ่ อ+แม่ ) สละร่ างมนุษย์ (ปล่ อยวางร่ างกาย) ดินแดนสมบูรณ์ แบบ โลกทีไร้ นําหนัก (ไม่ มตี ัวตน) สติ สมาธิ ปั ญญา


- เรื องทางโลกต้ องปล่ อยวาง ไม่ ต้องเตรียมตัวใน การปล่ อยวาง ถึงจะได้ พระไตรปิ ฎกจริง - เรื องของกรรม - คัมภีร์ทแท้ ี จริง ไร้ ตัวอักษร - ปล่ อยวางตัดขาดทางโลก - รู ปธรรมและนามธรรม ล้ วนเป็ นสิงว่ างเปล่ า - ถ้ าไม่ ชาํ ระกาย-ใจ จะไม่ สามารถเปิ ดดู พระไตรปิ ฎกได้ เลย


หลวงตา : ความรู้ทงหมดที ั กล่ าวนัน มันก็เพือปล่ อย วางทังหมดทีใจในปั จจุบันขณะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


ถ้ ายังหลงอยู่ในสังขาร ก็ไม่ อาจปล่ อยวางขันธ์ ห้าทีเป็ นสังขารได้ หลวงตา : วิญญาณขันธ์ มีหน้ ารู้ ทางตา หู จมูก ลิน กาย ใจอย่ างเดียว ไม่ มีหน้ าทีเข้ าใจ ทีเข้ าใจเพราะ ทํางานร่ วมกับเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร อีก สามขันธ์ ทุกปั จจุบันขณะ ผู้ร้ ู ทีเป็ นวิญญาณขันธ์ อย่ างเดียว โดยไม่ ทาํ งานร่ วมกับเจตสิก (เวทนา สัญญา สังขาร) จะรู้ เขาไม่ ได้


เพราะธรรมชาติของวิญญาณขันธ์ มีหน้ าทีรู้ เขา จึงไม่ อาจถูกรู้ แต่ เขาทํางานร่ วมกับเจตสิก คือ เกิด พร้ อมกันดับพร้ อมกัน จึงเหมือนกับว่ า ทังรู้ ทังถูกใจ ไม่ ถูกใจ จําได้ หมายรู้ว่าอะไรเป็ นอะไร หรือทังรู้ ทังคิด ทังพอใจ ไม่ พอใจ จึงสามารถปล่ อยวางเหมายกเข่ งได้ คือ วางผู้ร้ ู ทคิี ดปรุงแต่ งพอใจ ไม่ พอใจไปทังหมดทุก ปั จจุบันขณะ เรียกว่ าวางทังอารมณ์ ทถูี กรู้ (ธรรมารมณ์ ) และ วางผู้ร้ ู (วิญญาณขันธ์ ) ไปพร้ อมกัน


ผู้ถาม : อ๋ อครับ เข้ าใจได้ เพราะทํางานร่ วมกัน ทังหมด สติ ปั ญญา ก็เกิด จาก การทํางานของเขา ทังหมด แล้ วก็กลับมาปล่ อยวางตนเองใช่ ไหมครั บ

หลวงตา : ถูกต้ องแล้ ว ความเข้ าใจตรงนีสําคัญทีสุด ทําให้ ปล่ อยวางขันธ์ ห้าได้ ก็เพราะรู้ เห็น เข้ าใจตรงนี ว่ า ทีแท้ จริ งแล้ ว ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ก็เป็ นเพียงขันธ์ ห้า ทีเป็ นสังขารปรุ งแต่ งทังหมด จนถึงวิญญาณขันธ์ ที ทํางานร่ วมกับเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร ทุก ปั จจุบันขณะ จึงตกอยู่ใต้ กฎธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุก ขัง อนัตตา ตรงนีแหละทีอยากให้ ทุกคนเข้ าใจ จึงจะรู้ เห็นด้ วยความปล่ อยวาง ไม่ ใช่ ยดึ ถือขันธ์ ห้า


ผู้ถาม : แต่ คนจะเข้ าใจยากมากเลยครับ เพราะมัน เหมือนต้ องถึงใจว่ าไม่ มีตัวเรา ถึงกลับมาเห็นได้ ว่า สิงอืน ๆ ทังหมดเป็ นเพียงธรรมชาติททํี างานด้ วยกัน ครั บ คนทัวไปเห็นทุกอย่ างเป็ นเราไปหมดครับ


หลวงตา : ดังนัน จึงต้ องถึง “ใจ” ทีเป็ นธรรมธาตุ เป็ น หนึงเดียวกับธรรมชาติ ทีไม่ มีตัวจิตตัวใจ ไม่ มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่ ใช่ รูปนาม ไม่ ใช่ ธาตุดิน ธาตุนาํ ธาตุลม ธาตุอากาศ ไม่ ใช่ อากาสานัญจายตนะ ไม่ ใช่ วญ ิ ญาณัญจายตนะ ไม่ ใช่ อากิญจัญญายตนะ ไม่ ใช่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ อาจคิดหรือปรุงแต่ งได้


ไม่ เป็ นสังขาร เป็ น “วิสังขาร” ไม่ เกิด ไม่ ดับ ไม่ ไปข้ างหน้ า ไม่ ถอยหลัง ทังไม่ หยุดอยู่ ไม่ ปรากฏอาการใด ๆ เลย เป็ นเหมือนความว่ างของธรรมชาติหรืออวกาศหรือ จักรวาล จึงจะหลุดพ้ นจากสังขารได้ ถ้ ายังหลงอยู่ในสังขาร ก็ไม่ อาจปล่ อยวางขันธ์ ห้าทีเป็ น สังขารทังแท่ งได้ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


“อวิชชา” คือ มีตัวเรา จะไปเอาหรือพยายามไปให้ ถงึ ความไม่ มี ผู้ถาม : น้ อมส่ งการบ้ านเจ้ าค่ ะ ฟั งไฟล์ “เวลาเจ็บไข้ ได้ ป่วยคือโอกาสทอง” ฟั งไปตอน ทีออกกําลังกายไป เสียงหลวงตาทีเน้ นว่ า “ มันกําลัง จะดับแล้ ว ๆๆๆ” หลวงตายิงพูด มันเหมือนใจมันถูก กระแทก ถูกค้ อนทุบ ทุบเอา ๆๆๆ น้ อมเห็นจิตผู้ร้ ู ปั ญญารู้ เห็นเข้ าใจ สติทงหลาย ั วันหนึงมันต้ อง ดับ ๆๆๆๆๆ ไม่ มีส่วนเหลือเลย ไม่ มีอะไรเหลือสักอย่ าง มันนําตาร่ วง ยอมปล่ อยหมด จึงเห็นว่ า ปล่ อยวาง ไม่ ได้ หมายถึงสิงนันดับไป สติกย็ ังคงเป็ นสติ ปั ญญาก็ยังคงเป็ นปั ญญา รู้กย็ ังคง เป็ นรู้ แต่ มันแค่ ไม่ มีผลกับใจแล้ วเท่ านันเอง


หลังจากนัน มันเห็นว่ ามีเยือใยบางอย่ าง พยายามไปคว้ าจับขันธ์ เหมือนเดิมดอกบัวทีบานออกหมดแล้ ว มันมี เยือใย ไปยึดโยงกลีบดอกชันใน เข้ ามาหุ้มห่ ออีก เข้ า มาเป็ นตัวมัน นีคือ ความอาลัยขันธ์ ใช่ ไหมเจ้ าคะ มันยังมี เยือใย มันจึงกลับมาหุ้มใหม่ แต่ พอน้ อมให้ จิตจดจ่ อเห็นความจริง ว่ าไม่ มี ๆ ดับ ๆๆๆๆๆ สิงทีหุ้มก็คลายอีก แต่ มัน คลายง่ ายกว่ าเดิม วางง่ ายกว่ าเดิม

หลวงตา : ยังหลงยึดถือ เป็ น “อวิชชา “ คือ มีตัวเรา จะไปเอาหรือพยายามไปให้ ถงึ ความไม่ มี หรือ ความ ว่ าง หรือ ความพ้ นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


เพราะติดใจทีโปร่ ง โล่ ง เบา สบาย จึงเกลียดทุกข์ รักสุข ดีรัก ชัวชัง ผู้ถาม: ทําไมยิงปฏิบัติ อารมณ์ ของลูกเหมือนกับ รุ นแรงและเด่ นชัดขึน ยังรู้ ไม่ ค่อยทันเลยไปกระทบกับ คนอืนก่ อนนิดหนึงแล้ วค่ อยรู้ค่ะ


หลวงตา : เป็ นเพราะติดใจทีโปร่ ง โล่ ง เบา สบาย จึง ทําให้ เกลียดทุกข์ รักสุข ดีรัก ชัวชัง เมือไม่ ได้ อย่ างใจ ก็เป็ นทุกข์ สงบ...ก็..เอา ไม่ สงบ...ก็..เอา ก็จะไม่ มีตัวตนของผู้ทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


“การปล่ อยวาง” ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะ หลวงตา หนูได้ สนทนาธรรมกับหลวงตาทีบ้ านจิตสบาย หลวงตาได้ เมตตาสังสอนว่ า หนูยังมีเราเป็ นตัวผู้ร้ ู ผู้ เห็น ก็ได้ กลับมาสังเกตว่ ามีเราจริ ง ๆ และวางมันไป เรื อย ๆ จนกว่ าใจจะยอมและขาดอย่ างถาวร


ยังมีอีกคําแนะนํา หลวงตาแนะนําว่ าเมือปล่ อย สภาวะใดไปแล้ วก็ไปยึดสภาวะอืนอีก เหมือนยังวางไม่ สุด อันนีหนูปัญญาไม่ ถึงค่ ะ มันมีการพอใจกับอาการ ละเอียด ๆ ได้ ฟังไฟล์ เสียงหลวงตา หลวงตาบอกว่ าการจะ เข้ าใจถึงความไม่ มีจริง จะต้ องเคยพบสภาวะตรงนัน มี ผู้บอก ผู้ชีแนะก่ อน จึงจะทราบ ขอคําชีแนะด้ วยค่ ะ


หลวงตา : รู้อะไร ก็ให้ ปล่ อยวางตัวเรา “ผู้ร้ ู” เรือยไป จนกว่ าจะหมดความรู้สึกว่ ามีตัวเรา ถ้ ามีความรู้ สึกว่ า มีตัวเราผู้เสวยอาการอะไร ก็วางตัวเราไปอีก “การปล่ อยวาง” คือ การวางทังอาการทีถูกรู้ วางผู้ร้ ู ผ้ ูเสวยอาการนันทุกปั จจุบันขณะ เช่ น มีการ พอใจอาการละเอียด ให้ วาง “อาการ” นัน และวาง “ตัว เรา” เราผู้ร้ ู อาการและผู้พอใจอาการละเอียดนันด้ วย |ความไม่ มี| … ไม่ ใช่ อาการว่ างทีเป็ นอารมณ์ ว่าง |ความไม่ มี| … คือ ไม่ มีตัวตนของเราอยู่จริง หรื อ ความไม่ มีตัวตน


จะพบความไม่ มีตัวตน ต้ องปล่ อยวาง “ผู้ร้ ู ” คือ ความรู้ สกึ ทีเป็ นตัวเราเป็ นผู้ร้ ู หรือผู้ร้ ู เป็ นเรา |ความไม่ มี| หมายถึง ไม่ มีตัวตนของผู้ไปเสวยอารมณ์ แต่ อาการหรืออารมณ์ ยังมีอยู่ตามปกติ

ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณค่ ะหลวงตา น้ อมนําไป ปฏิบัติค่ะ ปล่ อยวางทังอาการทีถูกรู้ และผู้ร้ ูทุกขณะ ปั จจุบันค่ ะ ขอน้ อมกายและจิตให้ หลวงตาสังสอน เคาะกะลาไปจน รู้ แจ้ งเห็นจริงเจ้ าค่ ะ ขอบุญกุศลทีหนูได้ กระทํา รั กษาธาตุขันธ์ หลวงตาด้ วยเจ้ าค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


เพียรปล่ อยวางตัวเราผู้ร้ ู ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะหลวงตา โยมได้ เล่ าให้ หลวงตาฟั งทีบ้ านจิตสบายว่ า … พอฟั ง ธรรมหลวงตาแล้ ว ทําให้ ภาพจิกซอว์ การเวียนว่ ายตาย เกิดในสังสารวัฏชัดเจนมากขึน เข้ าใจมากขึน …


หลวงตาได้ เมตตาสังสอนว่ า โยมยังไม่ ได้ ปล่ อย วางตัวเราผู้ร้ ู ให้ ปล่ อยวางผู้ร้ ูด้วย อย่ าไปยึดเอาตัว เรามาเป็ นผู้ร้ ู หากยังมีตัวเราคาอยู่อย่ างนี ก็จะเป็ น อวิชชา ตัณหา อุปาทาน จะทําอะไรก็เพือตัวเรา มีตัว เราเป็ นต้ นเหตุ เป็ นทุกข์ รําไป … - วันทีผ่ านมาโยมก็น้อมคําสอนของหลวงตา มาพิจารณาเนือง ๆๆ … เมือเช้ านีโยมตืนขึนมาตอน ตี . น. ก็เดินจงกรมสักพักแล้ วก็ไปนังสมาธิ


ขณะนังสมาธิ ก็เอาสติกาํ กับทีจิตตลอด ความรู้ สกึ จะเริมเข้ าไปอยู่ทประตู ี ใจ เห็นความสงบบ้ าง บางช่ วง ก็เหมือนได้ ยินคําสอนของหลวงตาขึนมา ก็ รั บรู้ แล้ ววาง … เป็ นเช่ นนีอยู่เกือบชัวโมงก็คลายออก จากสมาธิ แผ่ เมตตา อุทศิ ส่ วนบุญกุศลเสร็จก็กลับมา นอนภาวนาต่ อ … สักพักโยมเห็นสภาวะทีเหมือนดวง จิต มันแยกออกมา แว๊ บหนึง


ณ ขณะนัน มันเข้ าใจเลยว่ า … ตัวเราไม่ มีจริง ๆ มันมีแต่ จติ จริง ๆ ไม่ ทราบโยมเข้ าใจถูกหรื อเปล่ าเจ้ าคะ … ขอคําชีแนะ ขอความเมตตาจากหลวงตาด้ วยเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : อย่ างนันนันแหละ เพียรเข้ านะ ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้ าค่ ะ สาธุ ๆๆๆๆ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


อยากให้ มีแต่ ความสงบ ก็เพราะหลง “สังขาร” ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ ปกติปฏิบัตธิ รรมมาบ้ าง พอสมควร ได้ ฟัง ธรรมทีหลวงตาบรรยายทางยูทูปมาทุกวันประมาณ อาทิตย์ รู้ เลยว่ าหลวงตาสอนทางพ้ นทุกข์ อย่ าง แท้ จริง ตัวเองปฏิบัตมิ า แต่ มีคาํ ถามในใจอยู่เนือง ๆ ว่ า เอ๊ ะ ! ยังทุกข์ อยู่นะ ปั จจุบันทีปฏิบัตอิ ยู่ คือนัง สมาธิ ยืนสมาธิ เดินจงกรม และพิจารณากาย จิต เห็น ค่ ะว่ า จิตมันจะวิบวับ ไหวไปไหวมา ไหลไปคิดเรื อง อดีต อนาคต คิดเรืองโน้ น เรื องนี เรื องนัน เห็นว่ ามัน ไม่ พอใจ หงุดหงิด งุ่นง่ าน อึดอัด แน่ น ๆ


และมีตัวทีคอยพูดว่ า ทําไมเธอเป็ นแบบนี เธอไม่ เข้ าใจอีกหรือ ดังอยู่ภายในตลอด คือเห็นว่ าอีก ตัวมันไปคิด ๆๆๆ อีกตัวคอยเตือน คอยดึง ฟั งหลวงตาเปรี ยบเปรยเรื องนกกับฟ้ า เข้ าใจค่ ะว่ าจริ ง ๆ แล้ วของเดิมไม่ มีอะไร ว่ างเปล่ า แต่ ตัวทีนึกคิดปรุงแต่ ง คือ หน้ าทีตามธรรมชาติของขันธ์


คําถามคือ หนูติดอะไรถึงยังรู้สึกพอกระทบ แล้ วยังกระเทือน รู้อาการกระเทือน แต่ ยังไม่ ร้ ูซือ ๆ ยัง มีอาการขุ่นข้ องอึดอัดอยู่ภายใน แต่ ไม่ ได้ ออกมาทาง วาจาหรื อการกระทํา เพียงแต่ มันรู้สึกอึดอัดค่ ะ ถ้ าหากผิดพลาดประการใด ขอให้ หลวงตา เมตตาด้ วยค่ ะ


หลวงตา : เพราะมี “อวิชชา” หลง “สังขาร” คิดปรุ งแต่ งเป็ นความรู้สึกมีเรา มีตัวตนของเรา ไม่ อยากให้ จติ ใจกระทบกระเทือน หรื อมีความไม่ สบายใจ อยากให้ มีแต่ ความสงบ ความว่ างเปล่ าเพียงอย่ างเดียว ต้ องมีสติปัญญา รู้ เท่ าทันความคิดปรุงแต่ งทีเป็ นอวิชชานัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


ให้ ปล่ อยวาง “ผู้ร้ ู ” อารมณ์ ช่ างแม่ ง … มัน ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะหลวงตา ลูกขอสอบถามเจ้ าค่ ะ เวลาเรามีอารมณ์ เศร้ า หดหู่ เซ็ง เบือหน่ าย เกิดขึนในจิต และมีใจเราเป็ นผู้ดู เหมือนเป็ นผู้ สังเกตการณ์ ไม่ ได้ เข้ าไปเป็ นผู้มีอารมณ์ นัน แต่ บางครั งเหมือนมีแรงเสียดทานหรือความอดทนอ่ อน ๆ ทีจะไม่ เป็ นผู้เข้ าไปคว้ าเอาทุกข์ มา อดทนแค่ ร้ ูเฉย ๆ เวลาเกิดทุกข์ ในใจ ลูกกระทําแบบนี เป็ น แนวทางทีถูกต้ องไหมคะ ควรวางผู้เข้ าไปอดทน และ รู้ เฉย ๆ มันมาเดียวมันก็ไป แบบนีไหมเจ้ าคะ รบกวนหลวงตาชีแนะเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : ให้ ปล่ อยวาง “ผู้ร้ ู ” อารมณ์ นัน ทุกปั จจุบันขณะ ไม่ ไปสนใจให้ ค่าให้ ความสําคัญมันหมาย หรื อยึดถืออารมณ์ ทถูี กรู้ว่าจะหายไปหรือไม่


ผู้ถาม : ขอบพระคุณเจ้ าค่ ะ หลวงตา ไม่ มีสงใดที ิ ต้ องให้ ค่า

หลวงตา : สาธุ ถูกต้ องทีสุดเลย


ผู้ถาม : ขออนุญาตนะเจ้ าคะ เหมือนไม่ ใช่ เรื องของกูใช่ ไหมเจ้ าคะ

หลวงตา : ช่ างแม่ ง … มัน ผู้ถาม : เจ้ าค่ ะ ขอบคุณเจ้ าค่ ะหลวงตา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


ถามเอง ก็ร้ ูแก่ ใจเอง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ ตอนนีพอแยกออกว่ า อันไหนสังขารอันไหนวิ สังขารค่ ะ โดยเฉพาะตอนเดิน แต่ โดยส่ วนใหญ่ จะถูก สังขารพาไปนู่นไปนีค่ ะ ทัง ๆ ทีรู้ ว่าประมาทก็ยอม ปล่ อยใจไปค่ ะ ยกเว้ นตอนหน้ าสิวหน้ าขวาน เมือสองวันก่ อนถูกคนชวนให้ เกิดความโมโห มาก ๆ ทัง ๆ ทีไม่ ใช่ ความผิดของเราเลย ก็เดินตามไป จะไปมีเรืองกับเขาค่ ะ ถึงแม้ จะเป็ นผู้ชายตัวใหญ่ ลาก็ ํ ไม่ กลัวค่ ะ ช่ วงเดินตามไปก็ลองเอาใจไปอยู่วสิ ังขารแทน จะทดสอบดูว่าทุกข์ จะหายไหม เคืองจะหายไหม ก็เห็น เหมือนอยู่คนละโลกเลยค่ ะ เหมือนมีกระจกกันระหว่ าง โลกสังขารและวิสังขาร เห็นว่ ามีความเคืองแต่ ไม่ ย่ ุงกับ ความเคืองนัน เหมือนอยู่อีกฝั งหนึงกับสังขารเลยค่ ะ


มองไปเห็นเหมือนดูละครจากอีกฝั งหนึงค่ ะ ไม่ มีความรู้ สกึ ว่ าเป็ นความเคือง เป็ นตัวเรา เขาค่ ะ เลย สรุ ปไม่ ตามไปเอาคืนค่ ะ ขอเรี ยนถามหลวงตาว่ า อย่ างนีปฏิบัติ ถูกไหมคะ และมีความประมาทไหมคะทีรอให้ เกิดเรือง ถึงจะกระตือรือร้ นจะทําค่ ะ กราบขอบพระคุณเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : ถามเอง ก็ร้ ูแก่ ใจเอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


ปล่ อยวาง “ผู้ร้ ู ” อารมณ์ ทุกปั จจุบันขณะ ผู้ถาม : นมัสการหลวงตาค่ ะ เมือเช้ าอ่ านข้ อความนีของหลวงตาแล้ วก็โดน ใจเช่ นกันค่ ะ ช่ วงนีมีปัญหาต่ าง ๆ เข้ ามา พอเห็น อาการ ของใจ บางครั งก็หลงไปกับอาการของใจ /อารมณ์ นัน พอหลวงตามายําให้ ปล่ อยวาง “ผู้ร้ ู ” อารมณ์ ไม่ ยึดมันอารมณ์ ว่าจะหายหรือไม่ นีใช่ เลยค่ ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาค่ ะ


หลวงตา : ให้ ปล่ อยวาง “ผู้ร้ ู” อารมณ์ นัน ทุกปั จจุบันขณะ ไม่ ไปสนใจให้ ค่าให้ ความสําคัญมันหมาย หรื อยึดถืออารมณ์ ทถูี กรู้ว่าจะหายไปหรือไม่ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


“ปล่ อยวาง” ไม่ พยายามทําอะไร ให้ เป็ นอะไร ผู้ถาม : ตอนนียังมีสังขารเคลือนไหวอยู่ตลอดเลย ครั บก็ปล่ อยมันไป หลงก็กลับมารู้อยู่กับขณะปั จจุบัน แล้ วก็วางทังผู้ถูกรู้ ผู้ร้ ู วางแม้ กระทังความเข้ าใจว่ ามัน เป็ นสังขาร แต่ บางทีถ้ามันไม่ ยอมมาอยู่กับรู้ ปัจจุบัน ก็ ต้ องอาศัยพุทโธเป็ นหลักก่ อน พอสติมีกาํ ลังก็ไปสู้ศึก ใหม่ ครับ


หลวงตา : วางความอยากของตัวเรา ทีอยากให้ เป็ นอย่ างไร หรื อ ไม่ อยากให้ เป็ นอย่ างไรในปั จจุบันขณะ อย่ าพยายามให้ มาอยู่กับปั จจุบัน และอย่ าพยายามไม่ ให้ หลง มันเป็ นอย่ างไร ก็ปล่ อยให้ มันอย่ างนัน เพียงแค่ ร้ ู เห็นและยอมรับอย่ างทีมันเป็ น เช่ นนี เรียกว่ า… “ปล่ อยวาง” ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


ปฏิจจสมุปบาท เกิดทุกปั จจุบันขณะทีหลงยึดถือ ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ หนูมีเรื องอยากกราบเรี ยนถามเจ้ าค่ ะว่ า … การ เห็นปฏิจจสมุปบาทต้ องเห็นเหมือนกันไหมเจ้ าคะ เพราะว่ าสิงทีมันรู้ มันเห็นจะเป็ นว่ า ... เพราะมีอวิชชา ใจหรือธาตุร้ ูทบริ ี สุทธิ (วิสังขาร) จึงถูก ห่ อหุ้มกลายเป็ นมีตัวใจ (สังขาร) เพราะมีสังขาร จึงเกิดเป็ นวิญญาณทีมีความรู้ สึกของ ความเป็ นตัวตน (กู)


เพราะมีวญ ิ ญาณทีมีความรู้ สึกของความเป็ นตัวตน (กู) จึงเกิดนามรูปทีเป็ นตัวตน (การเกิดของกายโปร่ งแสง หรื อเรียกนามกาย) เพราะมีนามรูปทีเป็ นกายโปร่ งแสง จึงเกิดสฬายตนะที มีความรู้ สกึ ถึงความมีตัวตน (กู) เพราะมีสฬายตนะทีมีความเป็ นตัวตน (กู) เช่ น ตาเรา จึงเกิดเป็ นผัสสะของความมีตัวตน (กู) เป็ นเราเห็น เพราะเกิดผัสสะของความมีตัวตน (กู) จึงเกิดเวทนาทีมี ตัวตน (กู) เช่ น เราสุข หรือ เราทุกข์ เพราะเกิดเวทนาทีมีตัวตน (กู) เช่ น เราสุข จึงเกิด ตัณหาความทะยานอยาก


เพราะเกิดตัณหาความทะยานอยาก จึงเกิดอุปาทาน ความยึดมันถือมัน เพราะเกิดอุปาทานความยึดมันถือมัน จึงเกิดภพขึน ในจิตเจ้ าของ เพราะเกิดภพขึนในจิตเจ้ าของ จึงนํามาซึงชาติ คือ เกิดจิตดวงใหม่ ทเป็ ี นตัวเป็ นตนจริง ๆ จัง ๆ (กูอีก) จน ตามมาด้ วยชรา มรณะ โสกะปะริเทวะทุกขโทมนัส อุปายาส


หนูกราบขอขมาองค์ หลวงตาอย่ างสูงด้ วยเจ้ า ค่ ะ เพราะข้ างในมันไม่ เห็นปฏิจจฯ แบบข้ ามภพชาติ ทัง ๆ ทีตังใจฟั งองค์ หลวงตานะเจ้ าคะ มันนึกน้ อมแบบ ข้ ามภพชาติอันนันไม่ เห็น แต่ เหมือนกับคิดตามพร้ อมดูคลิปวีดีโอทีเด็ก ในหมู่บ้านกลับมาเกิดในครอบครั วเดิม แต่ มันไม่ ลงถึง ใจเจ้ าค่ ะ บางครั งจึงไม่ ค่อยกล้ าพูดถึงปฏิจจสมุปบาท เพราะถ้ าพูดมันก็จะไม่ เป็ นแบบทีออกมาจากใจ จึง กราบขอความเมตตาจากองค์ หลวงตาด้ วยเจ้ าค่ ะ ว่ า ปล่ อยมันเห็นของมันแบบนีได้ ไหมเจ้ าคะ


หนูเคยคิดจะกราบเรี ยนถามองค์ หลวงตา หลายครัง แต่ นึกว่ าช่ างมันเถอะ ช่ างมันเถอะ อย่ ายึด ความรู้ ความเห็น ปล่ อยให้ มันผ่ านไป แต่ กจ็ ะมาติด เวลาคนมาถามเจ้ าค่ ะ ไม่ ร้ ูจะอธิบายอย่ างไรเจ้ าค่ ะ และตอนนีหนูใช้ ชีวิตเหมือนคนปรกติทไม่ ี ได้ ภาวนาเลยเจ้ าค่ ะ แต่ มนั ก็ร้ ูอยู่นะเจ้ าคะ และก็ยังมี หลงแต่ กช็ ่ างมันเจ้ าค่ ะ เพราะธรรมชาติเค้ าต้ อง ทํางานของเค้ าเอง กราบขอความเมตตาองค์ หลวงตาช่ วยชีแนะ ด้ วยเจ้ าค่ ะ และกราบขอขมาทีต้ องรบกวนองค์ หลวงตา หลายครังเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : ก็เป็ นอย่ างทีรู้เห็นและเข้ าใจนันแหละ เพราะขณะจิตปั จจุบัน เกิดอวิชชา ตัณหา อุปาทาน คือ ไปยึดถือสิงใดมาไว้ ในใจ วิญญาณจึงเกิดเป็ นตัวตน โปร่ งแสงขึนมาในปั จจุบันขณะนัน ครั นขณะจิตต่ อมา เปลียนไปมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ต่ อสิงอืน วิญญาณทีสร้ างภพชาติเป็ นกายโปร่ งแสงเก่ า ก็ตาย (ชรามรณะ) เกิดวิญญาณเป็ นกายโปร่ งแสดงตัวใหม่ เพราะยึดถือสิงใหม่ เมือเปลียนสิงทีเอามายึดถือในใจ วิญญาณโปร่ งแสง ตัวเก่ าก็ดับไป (ชรามรณะ) เกิดวิญญาณซึงเป็ นกาย โปร่ งแสงตัวใหม่ เพราะเปลียนความยึดถือ


ดังนัน วิญญาณทีเกิดเป็ นตัวตนโปร่ งแสง จะเกิดตาย ไปเรื อย ๆ ตามความยึดถือทีเปลียนไปในปั จจุบันขณะ เมือจะดับจิตสุดท้ าย อยู่ทยึี ดถืออะไร และเป็ นไปตาม อํานาจแห่ งกรรม แม้ มีเจตนาจะยึดถือคนใดเพือให้ วิญญาณเกิดกับคนนัน แต่ บุญกุศลไม่ พอทีวิญญาณจะ เกิดกับคนนันได้ จึงต้ องไปตามแรงกรรม เพราะ วิญญาณสุดท้ ายยังเกิดตัวตนโปร่ งแสง เนืองจากขณะ จะดับจิตสุดท้ ายยังหลงยึดถืออยู่ ดังนัน ปฏิจจสมุปบาท หมายถึง อวิชชา เป็ นปั จจัยให้ เกิดสังขาร สังขารเป็ นปั จจัยให้ เกิดวิญญาณ ....... ฯลฯ ทีเป็ นกายโปร่ งแสง ทุกปั จจุบันขณะทีหลงยึดถือ


เมือเปลียนสิงทีหลงยึดถือในเวลาถัดมา วงจรปฏิจสมุปบาทเก่ าดับไป คือ กายโปร่ งแสงเก่ าดับ หรื อตายไป เกิดอวิชชา เป็ นปั จจัยให้ เกิดสังขาร สังขารเป็ นปั จจัย ให้ เกิดวิญญาณ ... ฯลฯ ซึงเป็ นกายโปร่ งแสงตัวใหม่ แล้ วก็ดับหรือตายไป เมือเปลียนการยึดถือใหม่ ก็ไป เกิดกายโปร่ งแสงตัวใหม่ ดังนัน วงจรปฏิจจสมุปบาท จึงเกิดดับครบวงจร เป็ น ขณะจิตปั จจุบันไป


ขณะทีธาตุขันธ์ แตกดับ แล้ วยังไม่ สนยึ ิ ดถือ วิญญาณที เป็ นกายโปร่ งแสงจึงไม่ ดับ ต้ องไปรับกรรม และไปเกิด ในร่ างใหม่ และ เมือขณะจิตปั จจุบันในชาติใหม่ หลง ยึดถืออะไร ก็เกิดวงจรปฏิจจสมุปบาท เกิดวิญญาณ เป็ นกายโปร่ งแสงตามร่ างในชาติใหม่ เมือเปลียนการ ยึด วิญญาณโปร่ งแสงก็จะดับ เกิดวิญญาณโปร่ งแสง ตัวใหม่ วนเวียนเกิดดับอย่ างนีเรื อยไป จนกว่ า จะสินความหลงยึดมันถือมัน (อวิชชาดับสนิท) วิญญาณทีเป็ นกายโปร่ งแสงก็ดับสนิท ครั นธาตุแตกขันธ์ ดับ จึงไม่ มีวญ ิ ญาณทีเป็ นกายโปร่ งแสง เหลือเป็ นตัวตน ให้ ต้องเวียนเกิดตายหรื อรั บกรรมอีก ต่ อไป


ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณองค์ หลวงตาอย่ างสูงเจ้ าค่ ะ กราบในความเมตตาอันหาทีสุดมิได้ แจ่ มแจ้ งถึงใจเจ้ าค่ ะ เป็ นบุญของหนูยงแล้ ิ วทีได้ เป็ น ศิษย์ องค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ กราบ กราบ กราบ เจ้ าค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


ปล่ อยวาง “ผู้ร้ ู ” เดียวนี ผู้ถาม : กราบเท้ าหลวงตาเจ้ าค่ ะ พยายามเขียนส่ งการบ้ านหลวงตามาสักพัก ใหญ่ ค่ะ แต่ จะเขียนอย่ างไงมันก็จบลงตรงเห็นตัวเรา ไปยึด ไปให้ ค่า ให้ ความหมายกับสิงต่ าง ๆ ทีเป็ นของ ธรรมชาติ ซึงมันก็เป็ นของมันอย่ างนัน มันคงดําเนิน ของมันไปตามเหตุปัจจัยของมัน แต่ มีตัวเราไปยึด ไปให้ ค่า รั กชอบ เกลียดชัง อยู่เป็ นระยะ ๆ


สิงทีศิษย์ ปฏิบัติ คือ น้ อมจิตว่ ามีตัวเราอยู่ ตรงไหน เลยจากขันธ์ มันไม่ มีอะไร แล้ วก็ทาํ จิตให้ ตัง มัน อยู่นิง ๆ “รู้ เห็นทุกคิด โดยไม่ เข้ าไปยุ่งกับมัน” อาการทีศิษย์ เห็นตอนมีการเข้ าไปยุ่งกับมัน คือ มีเสียง วิพากษ์ วจิ ารณ์ ชืนชม เออออ เห็นด้ วย คัดค้ าน เมือ เห็นก็แค่ ร้ ู ไม่ ไปยุ่งอีก ตอนนีศิษย์ ปฏิบัติเพียงเท่ านีเลยค่ ะหลวงตา ศิษย์ ขอความเมตตาหลวงตาช่ วยชีแนะด้ วยค่ ะ


หลวงตา : ปล่ อยวาง “ผู้ร้ ู” เดียวนี ไม่ ไปพยายามดู รู้ เห็น ละ ปล่ อย วางอะไร ไม่ กลัว ไม่ กังวล ว่ าถ้ าปล่ อยวางหมด เดียวจะหลง เดียวจะไม่ พ้ นทุกข์ บรรลุพระนิพพาน วางเลย วางหมดเลย ไม่ กลัว ไม่ กังวล มันจะเป็ นอะไร หรื อไม่ เป็ นอะไรก็ช่างมัน เพราะไม่ มีตัวเราเป็ น อยู่กับรู้ แก่ ใจทุกปั จจุบันขณะ ว่ าบัดนีหรือทุกขณะจิต ปั จจุบันนีสินหลงคิดปรุ งแต่ งดินรนค้ นหา พยายามจะกระทําอะไรเพือจะให้ ได้ ให้ ถงึ ให้ เป็ นอะไร ไม่ ยึดถืออะไร ไม่ อยากหรือปรารถนา จะไปได้ ไปเอา ไปรู้ ไปเห็น ไปเป็ นอะไร ก็สนกั ิ งวล พ้ นทุกข์ ทนั ทีในทุกปั จจุบันขณะ


ทีบอกว่ าวางหมด เดียวไม่ ร้ ู นัน ไม่ จริง เพราะไม่ ร้ ูอะไร แต่ ร้ ู อยู่อย่ างเดียว คือ รู้ ว่าบัดนีเป็ น “ใจ” ทีไม่ สังขาร ไม่ ปรุ งแต่ งแล้ ว ซึงเป็ นธรรมแท้ เป็ นธรรมธาตุ หรื อ เป็ นของจริง นิงเป็ นใบ้ ของคิด ปรุงแต่ งได้ เป็ นของไม่ จริ ง และรู้ ว่าทีคิดหรือปรุ งแต่ งได้ ทงหมด ั ไม่ ใช่ “ใจ” อยู่กับธรรม กินกับธรรม นอนกับธรรม ไปไหนก็ไปกับ ธรรมแท้ ทีไม่ เกิด ไม่ ดับ ทีไม่ เคยเกิด ไม่ เคยตาย อย่ าไปอยู่กับสังขาร คือ สิงหรื ออาการทีเกิดดับ ซึงเป็ น ของตาย มิฉะนัน จะต้ องไปเกิดตายไม่ จบสิน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


ไม่ ร้ ูสึกว่ ามีตัวตนของเรา ก็จบภพชาติและความทุกข์ ผู้ถาม : กราบเจ้ าค่ ะ ไม่ มอี ะไรได้ มาง่ ายๆ กว่ าหลวงตา จะมาถึงวันนี หลวงตาเพียรมาอย่ างมหาศาล ทังชาติ ปั จจุบัน และอดีตชาติ จิตมันทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ ได้ จึงต้ องการ การเปลียนแปลง การปลีกวิเวก ของโยมครั งนีก็ตังใจจะ น้ อมจิต ตามไฟล์ เสียงของหลวงตาเรืองสังขารไม่ เทียงเจ้ าค่ ะ โยม ก็ไม่ ได้ มาเคร่ งเครี ยดอะไรหรอกเจ้ าค่ ะ ชอบเงียบสงัด ไม่ มีอะไรเลย ไม่ มีอะไรต้ องรับผิดชอบ ดูแล ห่ วงใย เป็ น ธุระ มาอยู่เฉยๆ ฟั งธรรม น้ อมจิต รู้สึกตัว ทุกอย่ างทีทิง มา ก็เป็ นอยู่เหมือนเดิม แค่ ไม่ มีโยม มันก็จบ


หลวงตา : สาธุ แค่ ไม่ ร้ ู สึกว่ ามีเรา มีตัวเรา มีตัวตน ของเรา มีของเรา เท่ านัน ก็จบภพชาติและความทุกข์

ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


“สังขาร” เท่ านันทีเกิดขึน ตังอยู่ และดับ ไป ผู้ถาม : นมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ หนูไม่ มีอะไรจะถาม และสงสัยเกียวกับธรรมะทีพระพุทธเจ้ าตรั สรู้และ หลวงตานํามาถ่ ายทอดต่ อ แต่ หนูสงสัยทีหลวงตาว่ าเคยปฏิบัติผิดตัวเป็ น หินเกือบตาย แล้ วแก้ อย่ างไรคะ เพราะสภาวธรรมแรก ๆ ทีหนูเป็ น คือหนูเป็ นหินแล้ วแผ่ ขยายออกไปไม่ มี ขอบเขต หนูไปกราบหลวงตาครั งแรก หลวงตาว่ าข้ างใน หนูแข็งมาก หมดพลังไปเยอะกว่ าจะหักลงได้ หลังจาก นันหนูก็เป็ นแฟนพันธุ์แท้ ตดิ ตามฟั งธรรมมาตลอดและ เข้ าใจธรรมมากขึน รู้สกึ มันลงแก่ ใจ


เมือหนูมีโอกาสกราบขอบพระคุณหลวงตาทีช่ วย หยิบภาชนะทีควําให้ หงายขึน หลวงตาก็ทกั ว่ าหนูไปเป็ น ธรรมตังแต่ เมือไหร่ ให้ เล่ าเส้ นทางให้ ฟัง ในระหว่ างเล่ า หนูเข้ าใจเลยว่ าการส่ งธรรมจากใจสู่ใจเป็ นอย่ างไร การ ระเบิดอวิชชาจากข้ างในจนมันไม่ มีอะไรเหลือเลย หลังจากนันการฟั งธรรมมันลงแก่ ใจ เข้ าใจเลยว่ าทําไม หลวงตาให้ ทาํ ประโยชน์ ตนก่ อนแล้ วค่ อยทําประโยชน์ ท่ าน สภาวธรรมท้ าย ๆ ทีเห็นคือโลกว่ าง ๆ มัน หมุนทวนเข็มนาฬิกา แล้ วมันมีโลกว่ าง ๆ อีกใบมัน หมุนตามเข็มนาฬิกาซ้ อนจาง ๆ อยู่ข้างล่ างเจ้ าค่ ะ ถึง เวลากลับบ้ านเดิมแท้ เสียที หลังจากออกมาท่ องเทียว เป็ นอนันตกาล ขอกราบขอพระคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่ อแม่ ครูอาจารย์ และองค์ หลวงตาทีถ่ ายทอด ธรรมแท้ จากใจสู่ใจมาจนถึงยุคปั จจุบันเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : สาธุ ทุกอย่ าง แก้ ที ถึง “ใจ” ไร้ ตัวตน เป็ น “ใจ” ไร้ ตวั ตน “ธาตุร้ ู ” เป็ น “ใจ” หรือ “ใจ” เป็ น “ธาตุร้ ู ” หรือ เป็ นสิงเดียวกัน เป็ นความไม่ มีอะไรปรากฏเลย ไม่ การเกิด ไม่ มีการดับ ไม่ อาจถูกทําลายได้ เพราะไม่ มีตัวตน ไม่ มีรูปร่ าง หรื อไม่ มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่ อาจคิด ปรุงแต่ ง แสดง อาการใดได้ ไม่ อาจกระเพือม หรือเคลือนไหวได้ เป็ น “วิสังขาร” หรื อ


“อสังขตธาตุ” ไม่ มีอะไรปรากฏให้ รับรู้ ทางอายตนะ ภายใน คือ ประตูตา หู จมูก ลิน กาย และใจ ได้ เลย หรื อ มีแต่ ความรู้ แต่ ไม่ มีตัวตน ไม่ มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่ มีการเกิดขึน และไม่ มีการดับไป ไม่ มีการเริมต้ น และไม่ มีการสินสุด จึงไม่ ได้ เริมต้ นทีการเกิด และสินสุดทีการตาย ไม่ มีการไป ไม่ มีการมา ไม่ มีการตังอยู่หรื อหยุดอยู่ เป็ นความไม่ มีอะไรปรากฏ ไม่ ใช่ ธาตุดิน ธาตุนาํ ธาตุลม ธาตุไฟ ไม่ ใช่ อากาสานัญจายตนะ ไม่ ใช่ วญ ิ ญานัญจายตนะ ไม่ ใช่ อากิญจัญญายตนะ ไม่ ใช่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ


หรื อ ทุกอย่ างในจักรวาล ทีนอกจาก “ธาตุร้ ู” หรือ “ใจ” แล้ ว ไม่ มีอะไรเลยทีไม่ เป็ นสังขาร “สังขาร” ทังหมด รวมทังขันธ์ ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ไม่ เทียง เป็ นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดิมไม่ ได้ ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา หรือตัวตนของเรา หรื อ มีแต่ สังขารเท่ านันทีเกิดขึน มีแต่ สังขารเท่ านันทีตังอยู่ มีแต่ สังขารเท่ านันทีดับไป ส่ วน “ใจ” หรือ “ธาตุร้ ู” ไม่ เป็ นสังขาร ไม่ มีอะไรปรากฏเลย ........... จึงพ้ นจากทุกข์


ขณะจิตปั จจุบัน หรื อขณะใดขณะหนึง ทีเกิดปั ญญา ตรั สรู้ หรื อรู้ แจ้ งถึงใจไม่ กลับคืนอีก ว่ า “ใจ” เป็ น “ธาตุร้ ู ” หรื อเป็ น “ธรรมธาตุ” ซึงเป็ น ธรรมชาติทไม่ ี มีอะไรปรากฏเลย ไม่ มีการเกิด การดับ ไม่ มีตัวตน รูปร่ าง หรือรูปพรรณสัณฐานใด ไม่ มีความ มืด ไม่ มีความสว่ าง ไม่ อาจมีความรู้สึกสุข ทุกข์ ผ่ องใส หรื อ เศร้ าหมอง เป็ นเหมือนเป็ นความว่ างในธรรมชาติ ในอวกาศหรือจักรวาล ดังนัน ทีว่ าอยู่กับธรรม กินกับธรรม นอนกับธรรม ไปไหนก็ ไปกับธรรม ตายไปกับธรรม หรืออยู่กับ “รู้ ” หรือ อยู่ กับ “ผู้ร้ ู ”


หรื อ อยู่กับ “ฮู่ซือซือ (ภาษาท้ องถินภาคอีสาน)” หรือ สักแต่ ว่ ารู้ หรื อ อยู่กับรู้ ด้วยใจเป็ นกลางหรือเป็ นอุเบกขา ก็ คือ อยู่กับใจ หรื อเป็ นใจ ทีเป็ น “ธรรมธาตุ” นีตลอด กาลอย่ างเป็ นอมตะนิรันดร์ ทีว่ า “ใจเป็ นอุเบกขา” คือ ใจทีเป็ นธรรมธาตุ หรือ ธรรมชาติทไม่ ี มีตัวตน ไม่ อาจมีความรู้สึก นึก คิด ตรึก ตรอง ปรุ งแต่ ง หรือมีอารมณ์ ใดได้


ดังนัน จึงไม่ ใช่ ใจทีมีความรู้ สกึ นิงเฉยสงบว่ าง ทีเป็ น ธรรมารมณ์ ซึงเป็ นสังขารอายตนะภายนอก ถูกรับรู้ได้ ทางประตูใจ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


“สังขาร” ไม่ เทียง เกิดดับใน “ใจ” ทีว่ างเปล่ า ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ลูกน้ อมนําคําสอนของหลวงตามาพิจารณา ธรรมชาติ คือความว่ างเปล่ า และ ปรากฏการณ์ ทุก อย่ างในโลกภายนอก เกิดขึนมาจากความว่ าง ณ ขณะนีภาพเบืองหน้ าทีเห็น ไม่ ว่าดวง อาทิตย์ เมฆ ลมพัดต้ นไม้ ใบไม้ ไหว หรือลมทีพัดธง ไหว ๆ รวมถึงชีวติ ความดินรนของผู้คน ทุกสิงปรากฏ อยู่บนความว่ างของโลก


ย้ อนกลับเข้ ามาดูโลกภายในก็เช่ นกัน ทุกสิงที ปรากฏขึนมา ไม่ ว่า ความคิด ความรู้สึก ความหวันไหว ความดินรนใด ๆ นันคือปรากฏการณ์ ธรรมชาติ ทีเกิด จากพืนฐานของความว่ าง เช่ นเดียวกัน ให้ เห็นทุกอย่ างเป็ นเพียงปรากฏการณ์ ธรรมชาติ อย่ างนีลูกเข้ าใจถูกต้ องไหมคะ กราบสาธุหลวงตาที เมตตาสังสอนค่ ะ


หลวงตา : สาธุ นันแหละ เห็นธรรม เพียรเห็นความจริงอย่ างนีอย่ างต่ อเนือง จะสินหลงมีตวั ตนของผู้ยดึ มัน เมือสินหลงมีตัวตนไปยึดถือปรากฏการณ์ ธรรมชาติ ที คิด ปรุงแต่ ง แสดงปรากฏการณ์ ต่าง ๆ ก็จะเห็นตามความเป็ นจริ งของธรรมชาติ ทังภายนอก และภายในเป็ นธรรมชาติอย่ างเดียวกัน คือ ปรากฏการณ์ ของธรรมชาติ ปรากฏอยู่บนความว่ าง ความว่ างภายในทีเรียกว่ า “ใจ” นัน ก็เป็ นดังเช่ นความ ว่ างของธรรมชาติภายนอก เมือ “ใจ” เป็ นความว่ าง จึงไม่ มีตัวตนไปยึดถือสิงใดได้ และ ไม่ มีอะไรให้ ถูกยึดถือได้


เมือ ทังรู้ ทังเห็น และเป็ นความจริ งภายในใจ ว่ าปรากฏการณ์ ตามธรรมชาติ ทีเป็ นความรู้สึก นึก คิด ตรึกตรอง ปรุงแต่ ง รวมทังความคิดปรุ งแต่ งเป็ นเรา ตัวเรา หรือของเรา นัน เป็ นเพียง “สังขาร” ไม่ เทียง เกิดดับใน “ใจ” ทีว่ างเปล่ า ไม่ มีตัวตนของเราอยู่จริง ก็จะสินหลงมีตัวตนไปยึดถือให้ เป็ นทุกข์ “ใจ” ก็เป็ นความว่ างหนึงเดียวกับธรรมชาติภายนอก เป็ นพืนรองรับปรากฏการณ์ ของธรรมชาติ ทีเกิดดับในความว่ าง เมือ ถึงเวลาทีธาตุแตกขันธ์ ดับ “ใจ” จึงกลืนหายไปกับ ความว่ างของธรรมชาติ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


พบใจพบธรรม ผู้ถาม : ขอน้ อมกราบนมัสการเจ้ าค่ ะหลวงตา ลูกฟั งธรรมของหลวงตาทังเช้ าเย็น เดินประมาณ ชัวโมง บางทีก็นัง ชัวโมงเจ้ าค่ ะ ไม่ ร้ ู จะถามหลวงตาอย่ างไรกับสภาวธรรมของลูกเจ้ าค่ ะ กราบนมัสการ เจ้ าค่ ะหลวงตา มันรู้ เห็นกาย กับจิตมันแนบกัน บางทีเห็นกายไม่ ใช่ เรา เวลากินข้ าวบางครั งเหมือน หุ่นยนต์ เจ้ าค่ ะ


หลวงตา : นันแหละ ให้ ปล่ อยวางตัวเรา คือร่ างกายและจิตทีรู้ สึกนึกคิดตรึก ตรองปรุ งแต่ งหรือปรากฏอารมณ์ ต่าง ๆ ทีเกิดขึนให้ ร้ ู เห็นได้ ในทุกปั จจุบันขณะไปเสียให้ หมดตลอดเวลา ให้ เป็ น “ใจ” ทีไม่ มีอะไรเลย ไม่ มีตัวตน ไม่ อาจคิด ปรุ ง แต่ ง หรือแสดงอาการใด ๆ ได้ เลย จึงไม่ มีอาการหรื อ ปรากฏการณ์ เกิดดับ


มันเป็ นเหมือนความว่ างของธรรมชาติหรื อจักรวาล แต่ มันแตกต่ างจากความว่ างของธรรมชาติ ตรงทีมันไม่ มีอะไรปรากฏ แต่ มันมีความรู้อยู่ในตัวมันเอง เหมือน ดังพระอาทิตย์ ทมี​ี แสงสว่ างในตัวเอง โดยมันรู้ ว่ามันไม่ มีอะไรปรากฏเลย และรู้ว่าอะไรทีปรากฏหรื อคิดปรุ ง แต่ ง เกิดดับได้ ไม่ ใช่ มัน มันไม่ ใช่ จิตปรุ งแต่ งแสดงพฤติกรรมมีเจตนา จงใจ ตังใจ หรื อพยายามดูจิตหรืออาการของจิตในปั จจุบัน ขณะ และมันไม่ ใช่ ความรู้สึกว่ าเรารู้ เห็นเข้ าใจและ พอใจหรือไม่ พอใจในสภาวธรรมใด ในผลของการ ปฏิบัติ เช่ น เมือรู้ เห็นเข้ าใจ ปล่ อยวางได้ ก็มีความรู้สกึ ว่ าใจเบากายเบา มีอาการปี ติ โปร่ ง โล่ ง เบา สบาย จน มีความรู้ สกึ ว่ างไปหมด เพราะนันเป็ น “สังขาร” ปรุง แต่ ง เกิดดับได้ ทงนั ั น


“ใจ” ไม่ อาจมีความสุข ทุกข์ ผ่ องใส เศร้ าหมอง เพราะ อาการเหล่ านันเป็ น เวทนาขันธ์ เป็ นธรรมารมณ์ เป็ น อายตนะภายนอก ซึงเป็ น “สังขาร” ปรุ งแต่ ง ส่ วน “ใจ” เป็ น “วิสังขาร” “ใจ” มีความรู้ ในตัวเอง มันไม่ ต้องพึงพาสิงใด เหมือน ดังพระอาทิตย์ ทมัี นมีแสงสว่ างในตัวมันเอง ไม่ ต้อง พึงพาแสงสว่ างจากทีใด ไม่ เหมือนกับพระจันทร์ ทต้ี อง รั บแสงสว่ างจากพระอาทิตย์ จึงไม่ ต้องพยายามหลง เอา “ใจ” ไปอยู่หรื อฝากไว้ กับอะไร


ไม่ อาจจะเอาตัวเราทีเป็ นขันธ์ ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไปยึดถือ “ใจ” ได้ เพราะมันไม่ มีอะไรให้ ยึดถือ และไม่ อาจจะรับรู้ได้ ทางอายตนะ ภายใน คือ ตา หู จมูก ลิน กาย และใจ ทุกปั จจุบันขณะ ต้ องไม่ ยึดถือ “สังขาร” ทังรู ปและนาม และไม่ หลงยึดถือใจด้ วย จึงจะพบ “ใจ” หรือ พบ “ธรรม” คือ ธรรมชาติทไม่ ี ปรุ งแต่ ง ไม่ เกิดดับ ไม่ อาจถูกทําลายได้ เป็ นอสังขตธาตุ


แล้ วถึงใจ เป็ นใจ “ทีมีความรู้ ” หรื อ อยู่กับ “รู้ ” หรือ อยู่ กับ “ผู้ร้ ู ” ว่ าทุกปั จจุบันขณะสินผู้ยึดถือ หรือสินผู้เสวย เพราะเป็ น “ใจ” ทีไม่ มีอะไรเลย ไม่ มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาในนัน อยู่กับใจ กินกับใจ นอนกับใจ ไป ไหนก็ไปกับใจ และตายไปกับใจทีเป็ นธรรม ทีไม่ เกิด ไม่ ดับ ไม่ ตาย หรื อ อยู่กบั “รู้ ” ว่ าอยู่กับธรรม กินกับธรรมนอนกับ ธรรม ไปไหนก็ไปกับธรรม ตายไปกับธรรม(ธาตุขันธ์ แตกดับ) “ส่ วนใจ” ซึงเป็ นธาตุร้ ู หรือธรรมธาตุแล้ ว ก็ กลืนหายไปในความว่ างเปล่ าของธรรมชาติของ จักรวาล หรื อเป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติอย่ างเป็ น อมตะนิรันดร์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


ทังสังขารและวิสงั ขาร ล้ วนทําหน้ าทีของเขา … เราไม่ มี ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาครับ ข้ อธรรมต่ าง ๆ ทีหลวงตาเมตตาส่ งมาให้ อ่าน ให้ ฟัง เสมอ ๆ ช่ วยตอกยําความชัดเจนเป็ นปั ญญาส่ งคืน ความมีและความไม่ มีส่ ธู รรมชาติได้ อย่ างดีครั บ ทังภายนอกและภายใน ล้ วนมีความว่ าง เป็ น ฐานรองรับการเกิดดับของสังขาร ทังรู ปธรรม นามธรรม เมือปราศจากผู้หลงให้ ค่า … ผู้หลงปรุ งแต่ ง … ผู้หลงยึดถือ สิงทีมีจึงเป็ นเพียงสังขารทํางาน


“รู้ ” ก็ทาํ หน้ าทีของเขาไป ทุกสิงล้ วนเสมอกัน ทังภายในและภายนอก สังขารเคลือนไหวเปลียนแปลงตามเหตุตาม ปั จจัยของธรรมชาติ ความปรุ งแต่ งภายใน ไม่ ต่างอะไรกับภายนอก ในเมือต่ างฝ่ ายต่ างก็ทาํ หน้ าทีปรุงแต่ งเหมือนกันล้ วน เกิดดับอยู่ในความไม่ เกิดไม่ ดับเหมือนกัน


เมือสติปัญญารู้แจ้ งเห็นจริง … เข้ าใจและลงแก่ ใจ … ว่ า ... ทังภายนอกและภายในทีมีอยู่ เป็ นเพียงสังขารปรุ งแต่ ง … ปราศจากการยึดถือใด ๆ มีแต่ ธรรมชาติทเกิ ี ดดับ ... ในความว่ างเปล่ า ... ในใจทีว่ างเปล่ า ทุกสิง (ทังสังขารและวิสังขาร) ล้ วนทําหน้ าทีของเขา … เราไม่ มี ...


ไม่ ยึดสังขารและใช้ สังขารทีมีนีทําหน้ าทีให้ สมบูรณ์ และเมือหมดเหตุปัจจัย ก็คนื ธาตุทงหลายนี ั ให้ แก่ ธรรมชาติไปครั บ

หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


อวิชชาเป็ นปั จจัยให้ เกิดสังขาร ผู้ถาม : ขอหลวงตาโปรดเมตตาตรวจสอบเจ้ าค่ ะ เพราะมีตัวเราเข้ าไปยึด ไปขับเคลือน จึงเกิดอวิชชา เพราะมีอวิชชาไปรวมกับธาตุร้ ู จึงเกิดปฏิสนธิ วิญญาณ ทําให้ เกิดภพชาติไม่ จบสิน อวิชชาเปรี ยบเหมือนหัวรถจักรทีขับเคลือนสังสารวัฏ วงจรปฎิจจสมุปบาท ข้ อความนีถูกต้ องไหมเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : “เพราะมีตัวเราเข้ าไปยึด ไปขับเคลือน จึงเกิดอวิชชา” ข้ อความนีผิด เพราะมีความหลงยึดถืออยู่ในใจข้ ามภพชาติมาอยู่แล้ ว คือ เป็ นอวิชชา หลงยึดถือว่ ามีเรา ตัวเรา หรื อตัวตน ของเราของเรา มาทุกภพชาติ มาในชาตินี ก็เป็ น อวิชชาอีก คือ หลงยึดขันธ์ ห้า ว่ าเป็ นเรา เป็ นตัวเรา ของเรา หรือ มีตัวเราอยู่ในขันธ์ เพราะมีตัวเราเข้ าไปยึด หรือยึดว่ าเป็ นเรา ตัวเรา หรื อ ของเรา จึงเป็ นอวิชชาอยู่ในใจลึกๆ เหมือนอยู่ในจิตใต้ สํานึก หลังจากนัน มีตัวเราไปขับเคลือน (สังขาร) หรื อ ขับเคลือน (สังขาร) ไปด้ วยอวิชชา ***ไม่ ใช่ เกิดอวิชชา ตอนมีตัวเราไปขับเคลือน


แต่ เพราะมีอวิชชาอยู่ในใจแต่ แรกแล้ ว จึงสังขาร หรื อ ขับเคลือนไปด้ วยอวิชชา สมดังพุทธพจน์ ว่า “อวิชชา เป็ นปั จจัยให้ เกิด สังขาร สังขารเป็ นปั จจัยให้ เกิดวิญญาณ (ปฏิสนธิวญ ิ ญาณ) .....ฯลฯ” “เพราะมีอวิชชาไปรวมกับธาตุร้ ู จึงเกิดปฏิสนธิ วิญญาณ ทําให้ เกิดภพชาติไม่ จบสิน” ข้ อความนี ก็ไม่ ถูกต้ อง ต้ องบอกว่ า “เพราะ “อวิชชา” เป็ นปั จจัยเกิดสังขาร “สังขาร” เป็ นปั จจัยให้ เกิดวิญาณ (ปฏิสนธิวิญญาณ) ......ฯลฯ


หรื อ “เพราะหลงมีตัวเรา (อวิชชา) ไปขับเคลือน (ปรุงแต่ ง) หรื อ หลงปรุ งแต่ งไปตามกิเลส ตัณหา ตามความเพลิน ใจ (นันทิ) ของตัวเรา จึงเกิดอุปาทาน ภพ ชาติ คือ เกิด วิญญาณกายโปร่ งแสงกับสิงทียึดถือในปั จจุบันขณะ แล้ วขณะทีเปลียนการยึดถือในขณะถัดไป วิญญาณที เป็ นกายโปร่ งแสงก็ดับ แล้ วเกิดตัวใหม่ กับสิงทียึดถือ ใหม่ ๆ เรื อย ๆ ไป


ครั นตายลง วิญญาณซึงเป็ นกายโปร่ งแสงก็ไปเกิด (ปฏิสนธิวญ ิ ญาณ) ตามอํานาจของกรรม เพราะขณะ ดับจิตสุดท้ าย ยังไม่ สิน “อวิชชา” “อวิชชาเปรียบเหมือนหัวรถจักรทีขับเคลือนสังสารวัฏ วงจรปฏิจจสมุปบาท” ข้ อความนีถูกตามพุทธพจน์ คือ


อวิชชา เป็ นปั จจัยให้ เกิดสังขาร .. สังขารเป็ นปั จจัยให้ เกิดวิญญาณ .....ฯลฯ (วงจรปฏิจจสมุปบาท) ** เพราะหลงยึดถือว่ า ขันธ์ ห้าทีเป็ นรูปร่ าง เป็ นก้ อน เป็ นแท่ ง ให้ รับรู้ และจับต้ องได้ นัน เป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรื อเป็ นตัวตนของเรา ซึงเป็ น “อวิชชา” **


แต่ เมือได้ ฟังธรรม และเห็นความจริงว่ า คน สัตว์ แม้ แต่ พืช ทยอยตาย เน่ าเปื อยผุพัง ตาม ๆ กันไป ทังหมด ไม่ มีใครไม่ อาจไม่ ตายได้ เมือเห็นและนํามา น้ อมพิจารณาบ่ อย ๆๆๆ ....... ใจอาจจะยอมรับตามความจริ ง แล้ วปล่ อยวางความ หลงยึดถือร่ างกายได้ แม้ ไม่ ยดึ ถือร่ างกายแล้ ว แต่ ก็ยังหลงยึดถือ “จิต” ว่ า เป็ นเรา ตัวเรา หรือ ตัวตนของเรา จึงเป็ น “อวิชชา” ดังนัน เมือจิตมีอาการหรือสภาวะหรื ออารมณ์ อย่ างใด ก็จะหลงยึดถือว่ า เราเป็ น หรือ เป็ นเรา เช่ น จิตมี อารมณ์ โปร่ ง โล่ ง เบา สบาย ก็หลงยึดถือว่ า เรามีความ โปร่ ง โล่ ง เบา สบาย และเมือจิตไม่ สบาย เช่ น มี อาการแน่ น อึดอัด คับข้ อง แช่ หรือมีอาการรู้ สึกแย่ ๆ ก็หลงยึดถือว่ า เราไม่ สบายอย่ างนันอย่ างนี


เมือ มีความรู้ ความเห็น ความเข้ าใจ ก็หลงยึดถือว่ า เราเป็ นผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ เมือดู รู้ ละ ปล่ อยวาง ก็หลงยึดถือว่ า เราเป็ นผู้ดู ผู้ร้ ู โดยเฉพาะ “ปล่ อยวาง” ** แต่ กลับหลงยึดถือว่ า “เราเป็ นผู้ปล่ อยวาง” ** ดังนี เท่ ากับไม่ ได้ ปล่ อยวาง ทีเป็ น “อวิชชา” ก็เพราะความไม่ ร้ ูเห็นตามความเป็ นจริ ง (ยถาภูตญาณทัสสนะ) ว่ าขันธ์ ห้าเป็ นเพียงสิงผสมปรุ ง แต่ งขึนมาจาก ธาตุดิน คือ สเปิ ร์ มของพ่ อ ผสมกับไข่ คือ ธาตุนาของแม่ ํ ธาตุลม ธาตุไฟ ซึงเป็ นของใช้ สินเปลือง จึงต้ อง กินซากพืช ซากสัตว์ ธาตนํา ธาตุลม ธาตุไฟ เติมเข้ าไปทดแทนส่ วนทีใช้ สนเปลื ิ องไป ส่ วน “ธาตุร้ ู ” ซึงเป็ น “ใจ” ความไม่ มีอะไร จึงไม่ สินเปลือง และไม่ มีการเกิดดับ


ธาตุดิน - เป็ น ผม ขน เล็บ ฟั น หนัง เนือ เอ็น กระดูก อวัยวะภายใน ธาตุนาํ - เป็ นนําเลือด นําปั สสาวะ ฯลฯ ธาตุลม - เช่ น ลมหายใจเข้ าออก ฯลฯ ธาตุไฟ - ความอบอุ่น ธาตุร้ ู*** เป็ น “ใจ” ทีรู้ แต่ ไม่ มีอะไรเลย ไม่ มีตัวตน ไม่ มี รู ปพรรณสัณฐานใด เป็ นวิสังขาร ไม่ อาจคิด หรื อปรุ ง แต่ งได้ ไม่ เกิด ไม่ ดับ ไม่ อาจถูกทําลายได้ ไม่ มีการไป การมา การตังอยู่ หรื อหยุดอยู่ ไม่ อาจถูกรับรู้หรือ สัมผัสได้ ทางอายตนะภายใน มันเป็ นเหมือนกับความ ว่ างของธรรมชาติหรือจักรวาล มันไม่ ใช่ ทงเป็ ั นผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ผู้ร้ ูแจ้ ง “จิต” เป็ นเพียงปรากฏการณ์ ตามธรรมชาติเป็ นปั จจุบัน ขณะ ๆ แล้ วดับไป **แต่ ขณะจิตใดมีผ้ หู ลงยึดถือว่ า เป็ นเรา หรือเราเป็ น อย่ างนัน เราเป็ นอย่ างนี ก็จะเป็ น “อวิชชา”


ถ้ าไม่ มีผ้ หู ลงยึดถือ ไม่ ว่าจิตจะเป็ นอย่ างไร ก็เป็ นเพียง ปรากฏการณ์ ธรรมชาติ เท่ านัน ขันธ์ ห้าเป็ นสิงผสมปรุงแต่ ง จึงไม่ เทียง เป็ นทุกข์ เป็ น อนัตตา ต้ องแตกดับ กลับคืนสู่ธาตุดิน นํา ลม ไฟ ส่ วนธาตุร้ ู ถ้ ายังมี “อวิชชา” อยู่ ก็ไม่ อาจกลืนหายไป เป็ นหนึงเดียวกับความว่ างของธรรมธาตุหรื อจักรวาล ได้ เพราะหลงผิดยึดถือว่ าขันธ์ ห้าเป็ นเรา ตัวเรา ตัวตน ของเรา หรือมีตัวเราอยู่ในขันธ์ ห้า จึงมีตัวตนของเรา เป็ นกายโปร่ งแสง เตรียมไปเกิดตายในร่ างอืน ๆ ต่ อไป อีก


ดังนัน ต้ องสินหลงยึดขันธ์ ห้า หรือ สินหลงยึดทังกาย และจิต ว่ าเป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรื อ เป็ นตัวตนของเรา หรื อ ไม่ มีตัวเราอยู่ในขันธ์ ห้า ธาตุร้ ู หรื อ “ใจ” จึงเป็ นความว่ างเป็ นหนึงเดียวกับ ความว่ างของธรรมชาติหรื อจักรวาล ดังนัน “อวิชชา”ทีติดอยู่ในจิตเดิมมาทุกภพชาติ จะดับ ได้ กรณีเดียวเท่ านัน คือ สินยึดถือขันธ์ ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่ าเป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรื อเป็ นของเรา หรื อ มีเรา ตัวเรา ของเราอยู่ในขันธ์ ห้ านี


สินยึดถือ คือ วาง วาง คือ สินยึดถือ พระพุทธเจ้ าและพระอริ ยสงฆ์ ทงหมดตั ั งแต่ อดีต ปั จจุบัน และอนาคต ล้ วนแต่ ปล่ อยวางขันธ์ ห้า หรือ สิน ยึดขันธ์ ห้า “อวิชชา” จึงดับ อวิชชาดับ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ และทุกข์ จึงดับพร้ อม ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


แค่ ร้ ู คือ วาง ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะ เช้ านีฟั งไฟล์ แค่ ร้ ู เกิดความเข้ าใจทีหลวงตาพูดว่ า แค่ รับรู้รับทราบ เดินนิโรธ มรรค ไปเรื อย ๆ แค่ ร้ ู ทุกอย่ างก็จบ ศิษย์ เข้ าใจถูกไหมคะ


หลวงตา : สาธุ ถูกแล้ ว แค่ ร้ ู คือ วาง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นันเห็นธรรม ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ ไม่ ร้ ู มันเป็ นอย่ างไร เหมือนมีเหตุบางอย่ าง มา ทําให้ เห็นความทุกข์ ของการทําอะไรเพือตัวเราเอง แค่ จับยึดอะไรไว้ มันก็ทุกข์ แล้ ว ยิงไปทําอะไรเพือตัวเอง ไปทําอะไรให้ เป็ นอะไรมันยิงทุกข์ ยิงการพิจารณา สังขารวิสังขารหรือพยายามรู้ละปล่ อยวางอะไร ยิงทํา ไม่ ได้ เลย มันปวดหัวหนักหัวมาก ๆ มันเหมือนเป็ น ภาคบังคับจากอะไรก็ไม่ ร้ ู บังคับให้ มันต้ องหยุดดินรน ปรุ งแต่ งเพือตัวเอง ต้ องปล่ อยให้ ทุกสิงดําเนินไปอย่ าง ไม่ มีทางฝื นเจ้ าค่ ะ เหมือนอะไรสักอย่ างทีเคยยึดจับไว้ เป็ นหลัก เพือไปสู่ความพ้ นทุกข์ มันยึดไม่ ได้ แล้ ว ต้ องปล่ อยให้ เข้ าสู่กองทุกข์ เรียนรู้ ทุกข์ ไปจริง ๆ


หลงคิดแม้ แค่ เศษเสียวทีเข้ าไปรวม อินกับ อะไร มันหนักมาก ทนไม่ ไหวจนมันต้ องเลิกอินของมัน เองเจ้ าค่ ะ ทําไมมันเหมือนไม่ เคยรู้มาก่ อนว่ าการไป อะไรกับอะไร มันทุกข์ ขนาดนีก็ไม่ ร้ ู เจ้ าค่ ะ

หลวงตา : สาธุ นันแหละ มันใกล้ จะพ้ นทุกข์ แล้ ว เพราะ พระพุทธเจ้ า ตรั สว่ า “ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นันเห็นธรรม” คือ เมือรู้ เห็นด้ วยใจว่ า เหตุทปรุ ี งแต่ งในปั จจุบันขณะ เช่ นนัน มันเป็ นทุกข์ ทนได้ ยากมากขึนเรื อย ๆ มันจึงยอมปล่ อยวางการปรุ งแต่ ง ทีจะทําให้ เกิดทุกข์ การปรุ งแต่ งทีจะทําให้ เกิดทุกข์ จึงน้ อยลงไปเรื อย ๆ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

กุมภาพันธ์


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.