สังขาร - สังขารขันธ์ ผู้ถาม : ขอโอกาสครั บหลวงตา ระหว่ าง สังขาร และ สังขารขันธ์ แตกต่ างกันอย่ างไรครั บหลวงตา เพือ ความไม่ คลาดเคลือนในการแปลภาษาครับ
หลวงตา : “สังขารขันธ์ ” หมายถึงอาการของจิตทังหมด ทีไม่ รวม เวทนาขันธ์ คือ ความรู้สึกเป็ นสุข ความรู้สึกเป็ นทุกข์ ความรู้ สกึ ไม่ สุขไม่ ทุกข์ สัญญา คือ ความจํา และ วิญญาณขันธ์ คือ ผู้ร้ ูทางประตูตา หู จมูก ลิน กาย และใจ
ส่ วน “สังขาร” หมายถึง ทุกอย่ างจากทีไม่ มีมาแต่ เดิม แล้ วมีขนมาด้ ึ วยเหตุปัจจัยปรุ งแต่ ง รวมทังสสารและ พลังงานทังหมด จะมีสภาพไม่ เทียง ทนอยู่สภาพเดิม ไม่ ได้ ต้ องเสือมไป ดับไป จึงไม่ ใช่ ตัวตน ไม่ ใช่ เรา ตัว เรา หรือ ของเรา นับตังแต่ ใหญ่ ทสุี ด เป็ นต้ นว่ าดวง อาทิตย์ ดวงดาว โลก จนถึงอนุภาค อะตอม ปรมาณูทงั ภายนอกร่ างกายจิตใจ และภายในร่ างกายจิตใจ คือ ขันธ์ ห้า ได้ แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ยกเว้ นสิงทีไม่ มีการเกิดดับเพียงอย่ างเดียวเท่ านันคือ ธาตุร้ ู ทีสินอวิชชา ซึงรวมเป็ นหนึงเดียวกับความว่ าง ของธรรมชาติหรือจักรวาล ปุจฉาวิสัชนาเมือวันทีวันที สิงหาคม
พยายามเอาความมี ไปเป็ นความไม่ มี ไม่ อาจเป็ นได้ ผู้ถาม : หลวงตา หลวงตาครับ กราบเรียนถามหน่ อยครับ เรื อง ความมี ความไม่ มี ความมี ภาษาจีนใช้ ตัว 有 แปลว่ ามี แต่ ตัวเดียวกันนี 有 ในศัพท์ เทคนิคอลของพุทธ แปลว่ า สสังขาริ ก เป็ นศัพท์ เดียวกัน ดังนัน ถ้ าคนธรรมดาไม่ ร้ ูจักศัพท์ พุทธจะเข้ าใจว่ า "มี ความมี" แต่ ถ้าเป็ นคนอ่ านคัมภีร์ พุทธ รู้ ศัพท์ เทคนิค จะไปอ่ านแล้ วเข้ าใจว่ า สสังขาริ ก มันก็จะต่ างกับ ความมี แบบนีหลวงตามีความเห็น อย่ างไรบ้ างครับ
หลวงตา : ความมีหมายถึง สังขาร ทีตกอยู่ใต้ กฎ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ส่ วนความไม่ มี หมายถึง ไม่ มีผ้ ูยึดมันถือมันทังสังขาร และวิสังขาร ก็จะไม่ มีตัวตน ไม่ มีภพ ชาติ … และไม่ มผี ้ ู ทุกข์
เมือสินตัวตนของผู้ยึดถือ หรือ สินอวิชชาแล้ ว ใจหรือ จิตเดิมแท้ หรือ ธาตุร้ ู หรื อ วิสังขารก็จะไม่ ปรากฏอะไร เกิดดับ หรือ เรียกสัน ๆ ว่ าถึงซึงความไม่ มี ธาตุร้ ูไม่ ปรากฏตัวตนของผู้ร้ ู ไม่ ปรากฏแม้ แต่ ตัวจิตตัวใจ หรื อ ไม่ มีอะไรปรากฏเลย
แต่ ผ้ ูปฏิบัตเิ กือบทังหมด จะพยายามเอาความมี ขันธ์ ห้ า ซึงเป็ นสังขาร ไปเป็ นความไม่ มี ซึงไม่ อาจเป็ นได้ เพราะเป็ นธรรมชาติคนละชนิดกัน ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที สิงหาคม
ไม่ มีผ้ ยู ดึ ถือ ก็ไม่ มีผ้ ทู ุกข์ ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะท่ านหลวงตา หลังจากที หนูได้ ไปพบหลวงตาครั งแรกทีบ้ านจิตสบาย ก็ติดตาม ฟั งไฟล์ ของหลวงตามาตลอด ตอนนีหนูเริ มจะเข้ าใจ แล้ วว่ า เมือจิตเราคิด นึก พากษ์ หรื อฟุ้งซ่ านต่ าง ๆ ก็ ให้ เพียงดูและรู้ซือ ๆ เท่ านัน ไม่ ต้องไปปรุ งแต่ งอะไร กับเรืองนัน ๆ ให้ ร้ ู สึกตัวแค่ ร้ ูเฉย ๆ หนูพงจะจั ึ บตัว ผู้ร้ ูได้ แล้ วค่ ะ ไม่ เหมือนแต่ ก่ อนทีจะไปหยุดหรือจะพยายามไปเพ่ งความรู้ สึกนึก คิดต่ าง ๆ นัน หรือกดมันไว้ ตอนนีใจมันมีอะไรเข้ ามา ก็ดูความนึกคิดนัน เหมือนฟ้ าแลบ ฟ้ าร้ อง แล้ วมันก็ ผ่ านไป กราบเรียนถามท่ านหลวงตาว่ าหนูปฏิบัติแบบนี ถูกต้ องไหมคะ
หลวงตา : เห็นและปล่ อยวางผู้ร้ ู ผู้พดู ผู้พากษ์ ในใจ ตลอดเวลา ไม่ หวังจะเอา จะได้ จะเป็ น จะถึง จะบรรลุ อะไรจากการปล่ อยผู้ร้ ูทุกปั จจุบันขณะนัน เมือ ไม่ มีผ้ ู ยึดถือ ก็ไม่ มีผ้ ูทุกข์ (นิพพาน)
ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที สิงหาคม
หลงยึดถือนิพพาน ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ หลวงตาบอกว่ า หนูมีอารมณ์ อยากนิพพาน เมือไหร่ จะนิพพานสักที แล้ วหนูบอกว่ าหนูไม่ เห็นตัวนี แต่ พอหนูกลับมาแล้ ว หนูเพิงจะนึกออกว่ า ช่ วงหลังมานี หนูมีอารมณ์ เบือ หน่ ายขันธ์ รู้ สึกว่ าโลกนีไม่ มีอะไรทีจะรั ดใจไว้ ได้ เลย เห็นแต่ เกิดดับ เกิดดับ มันเลยเบือหน่ ายและพร้ อมที จะตาย รู้ สึกแต่ ว่าถ้ าตายนีคือจบ หมดภาระ ไม่ มี ความคิดว่ าตายแล้ วไปไหน ซึงแต่ ก่อนเคยมีความคิดว่ าถ้ าเรายังไม่ นิพพาน แล้ วตายก่ อน จะทําอย่ างไร ก็เลยกลัว ไม่ ได้ กลัวตาย นะคะแต่ กลัวทีจะต้ องกลับมาเกิดแล้ วเกิดอีกซําซาก เพราะเข็ดกับสังสารวัฏนี เลยต้ องการแต่ นิพพานอย่ าง เดียว แล้ วมันก็เป็ นทุกข์ เพราะอยากนิพพาน
แต่ ช่วงหลังมานี พอรู้จักกับจิตธรรมชาติทเขาเป็ ี นของ เขาเอง ความกลัวนันก็หายไป แต่ กลับเป็ นความรู้สึกว่ า ถ้ าตายก็จะหมดภาระกับขันธ์ นีสักที อย่ างทีบอก หลวงตาข้ างบนนันไปแล้ วค่ ะ นีใช่ ไหมคะทีหลวงตาบอกว่ าหนูมีตัวเองอยาก นิพพานลึก ๆ หนูเพิงจะตระหนักนีแหละค่ ะ เพราะ ตอนนันทีตอบไปยังไม่ ได้ นึกถึงตัวนีทีเป็ นในช่ วงหลัง ๆ แต่ กไ็ ม่ ได้ ทุกข์ อะไรกับอารมณ์ นีเหมือนเมือก่ อน รู้ แต่ ว่ ามันมีมาแล้ วก็หายไป ไม่ ได้ จมอยู่กับมัน เมือก่ อนพอ มีอารมณ์ อยากนิพพานมันทุกข์ มาก แต่ ตอนนีมันไม่ ทุกข์ อย่ างนันเลยทําให้ มองไม่ เห็น เห็นแต่ ว่าพร้ อมที จะจากสละเรือลํานีทันทีถ้าโอกาสมาถึง ทีอยู่ทุกวันนีได้ เพราะมีแต่ คาํ ว่ าหน้ าทีอะไรบางอย่ างคําคออยู่ ขอหลวงตาโปรดเมตตาชีแนะด้ วยเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ ตอนชีขณะจิตทีหลงยึดถือ ส่ วนใหญ่ จะไม่ เห็นตามทีชีให้ จะมามีปัญญารู้แจ้ ง หรือ รู้เห็น ในภายหลัง รู้ เห็นและปล่ อยวางสังขาร จนถึง “ผู้ร้ ู” ทุกปั จจุบันขณะ จึง พบ “ใจหรือจิตเดิมแท้ ” ทีไม่ สังขาร หรื อ วิสังขาร ทีเป็ นความว่ างเปล่ าเป็ นหนึงเดียวกับความว่ างของ ธรรมชาติหรือจักรวาล
แต่ ถ้ามีตัวตนของผู้หลงยึดถือผู้ร้ ู หลงยึดถือสังขาร หรื อ หลงยึดถือใจหรือจิตเดิมแท้ ทีเป็ นความว่ างเปล่ า เป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติของจักรวาล ก็จะมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ให้ เป็ นภพ ชาติ และความทุกข์
ไม่ มีผ้ ูหลงยึดถือสังขาร และ วิสังขาร ใจหรือจิตเดิม แท้ จะเป็ นความว่ างเปล่ าเป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติ หรื อจักรวาล ไม่ มีผ้ ูหลงยึดถือใจหรือจิตเดิมแท้ ซึงเป็ นความว่ างเป็ น หนึงเดียวกับความว่ างของธรรมชาติหรื อจักรวาล ก็ ไม่ มีผ้ ูทุกข์ (นิพพาน)
แต่ ถ้ามีผ้ ูหลงยึดถือนิพพาน ก็จะมีผ้ ูทุกข์ เพราะมี อวิชชา ตัณหา อุปาทาน จึงมีภพ ชาติ .. และความทุกข์ ทังมวล ไม่ มีตัวตนของผู้หลงยึดถือนิพพาน คือ ไม่ มีตัวตนของ ผู้อยากได้ อยากเอา อยากบรรลุ อยากถึง อยากเป็ น นิพพาน ก็จะพ้ นทุกข์ (นิพพาน)
ผู้ถาม : สาธุ … ขอบพระคุณอย่ างหมดจิตหมดใจใน ความเมตตาของหลวงตาเจ้ าค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที สิงหาคม
จิตหนึง - จิตรวม ผู้ถาม : กราบเรียนขอโอกาสขอปรึกษาหลวงตานะคะ จาก วีดีโอธรรม "เพราะสิงนีมี สิงนีจึงมี" จะขอ สอบถามดังนีค่ ะ (ถ้ าเข้ าใจผิดหลงหรือแปลไม่ ถูกต้ อง ด้ วยความไม่ ชํานาญต้ องขออภัย และให้ ผ้ ูร้ ูช่วยแนะนําให้ เหมาะสม ด้ วยนะคะ)
. "เพราะสิงนีมี ... สิงนีจึงมี" ถ้ าจะใช้ เป็ น สิงนีมี สิงนันจึงมี จะเข้ าใจได้ เหมือนกัน หรื อเปล่ าคะ เช่ น Because This exists, That too exists. ส่ วนตัวเข้ าใจว่ าอาจจะต้ องการแยกกับคําว่ า “สิง สิง นัน” คือนิพพาน แต่ ตอนแรกอ่ านจะงง ๆ เป็ นว่ า สิงนีมีเพราะมันมีของ มันเองค่ ะ
. บทความนีมีการใช้ คาํ ว่ า อมตะ ที คือ - ธรรมชาติของสองสิงมีอยู่ค่ กู ันอยู่แล้ วอย่ างเป็ นอมตะ - สิงใด “ไม่ เกิด” ... สิงนัน “ไม่ ดับ” ... และเป็ น “อมตะ” ตลอดกาล ทีนีคือ ส่ วนตัวเข้ าใจว่ า อมตะ ประโยคแรก หมายถึง เป็ นอย่ างงันของมันอยู่แล้ ว (แต่ กย็ ังเป็ นของ เกิดดับ) เลยใช้ คาํ ว่ า เป็ นพืนฐาน fundamentally จะถูก หรื อเปล่ าคะ ส่ วนประโยคหลัง อมตะ คือไม่ เกิดไม่ ดับ จึงใช้ คําว่ า deathless คือไม่ ตาย และ timeless ไม่ ถูกผูกด้ วย เงือนเวลา
3. “ความเป็ นกลาง” หรื อ “ความสินยึด” หรื อ “จิตหนึง” อยากจะสอบถามว่ าจิตหนึง กับจิตรวมในสมาธินีคนละ อย่ างกันหรือเปล่ าคะ แปลโดยใช้ คาํ ว่ า oneness (เป็ นหนึงเดียวกัน ไม่ มีสอง) โดยเลียงใช้ one pointedness mind ซึงมีอ่าน เจอว่ ามักใช้ ถึงจิตรวมในสมาธิ หรื อทีรวมเป็ นจุด ๆ (คือเข้ าใจว่ าแบบนัน ยังมีตัวเราอยู่แกนกลางหรือเปล่ าคะ) แต่ ยังนึกคําอืนทีเหมาะสมกว่ านีไม่ ออกค่ ะ ถ้ า เข้ าใจผิดพลาด ไม่ ตรงใจอย่ างไร ขอท่ านผู้ร้ ูแนะนํา ด้ วยค่ ะ ถ้ าไม่ เป็ นประโยชน์ อย่ างไรก็กราบขออภัยมา ณ ทีนีด้ วยค่ ะ
หลวงตา : จิตหนึงทีเป็ น “วิสังขาร” หรือ หมายถึง พุทธะ ทีรู้ จริง รู้ แจ้ ง รู้สนหลง ิ รู้ สนยึ ิ ด รู้ พ้น รู้ตืน รู้เบิกบาน เมือสินยึด หรือ สินอวิชชา ผู้ร้ ู หรือ พุทธะ ก็รวมเป็ น หนึงเดียวกับใจหรือจิตเดิมแท้ ทีไม่ มีตัวจิตตัวใจ ไม่ มี ตัวตนไปยึดถือสิงใดให้ เป็ นทุกข์ เป็ นภพ ชาติ อีกต่ อไป มันจึงเหมือนกับความว่ างเปล่ าของธรรมชาติหรื อ จักรวาล ทีไม่ มีดวงจิตดวงใจ ไม่ มีการปรุ งแต่ งเกิดดับ มันจึงรวมเป็ นหนึงเดียวกับความว่ างของธรรมชาติหรื อ จักรวาล
ส่ วนจิตรวมในสมถกรรมฐาน หมายถึง จิตรวมเป็ น “สังขาร” รวมเป็ นหนึงเดียวกับสิงทีใช้ ล่อจิต เช่ น คํา บริกรรมพุทโธ เป็ นต้ น แล้ วเกิดอารมณ์ ฌาน วิตกวิจาร ปี ติ สุข อุเบกขา (อารมณ์ นิงสงบ ซึงเป็ นหนึงใน อารมณ์ ฌาน) อารมณ์ ฌานทังหมดเป็ น เวทนา ตกอยู่ ใต้ กฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที สิงหาคม
น้ อมนําเอาประสบการณ์ ตรง มาพิจารณาให้ ถึงใจ ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะหลวงตา เมือวานลูกอ่ านการปฏิบัตขิ องคุณแม่ จันดี พอ อ่ านตอนทีคุณแม่ ได้ ธรรม ลูกขนลุกซู่อยู่ รอบเลยเจ้ า ค่ ะ ช่ วง เดือนทีผ่ านลูกได้ รับรู้ ข่าวคนรอบ ๆ ตัว เจ็บป่ วยเป็ นมะเร็งหลายคนมาก รวมทังทีตายก็หลาย คน รู้สึกมากจนผิดปรกติเจ้ าค่ ะ นีคือการสอนให้ ลูก ปล่ อยวางสังขารหรื อเปล่ าเจ้ าค่ ะ และหนึงในคนทีเป็ นมะเร็ งระยะสุดท้ ายเป็ น ญาติของลูกเอง ลูกเห็นเขาทุกข์ กับการทีไม่ อยากตาย ลูกก็ส่งไฟล์ เสียงของหลวงตาไปให้ เขาฟั ง เขาก็ไม่ ค่อย ฟั ง แล้ วก็จมทุกข์ อยู่อย่ างนัน ลูกก็เลยใช้ การโทรแล้ ว พูดให้ เขาฟั งแต่ ลูกก็สอนเขาไม่ ได้ มาก ได้ เท่ าทีลูกรู้ เท่ านันเจ้ าค่ ะ
และเมือวานลูกนังอยู่ในห้ องทํางานก็ได้ กลิน เหม็นเน่ า ลูกก็หาคิดว่ ามีหนูตาย แต่ ก็ไม่ น่าใช่ เพราะ ในบ้ านไม่ มีหนู แล้ วกลินก็หายไป สักพักได้ กลินอีก แล้ ว ในใจก็เอ๊ ะยังไง สักพักมาอีก ลูกก็เลยคิดว่ าธรรม มาสอนเจ้ าค่ ะ อย่ างนีลูกควรพิจารณาร่ างกายอสุภะใช่ ไหมเจ้ าค่ ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : กําลังเป็ นประสบการณ์ ตรง รีบนํามาน้ อม พิจารณาให้ ต่อเนืองเลยนะ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที สิงหาคม
อุคคหนิมิต - ปฏิภาคนิมิต ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์ หลวงตาค่ ะ จะเรี ยนถาม หลวงตาว่ า อุคคหนิมิต แปลความหมายว่ าอย่ างไรคะ
หลวงตา : หมายถึง หน่ วงทังภาพและความรู้สึกขึน ในใจ จนติดตาติดใจได้ อย่ างต่ อเนือง เช่ น ปรากฏภาพ ตนเองตายอย่ างชัดเจนในความรู้สึก จนติดตาติดใจ อย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย ส่ วนปฏิภาคนิมิต หมายถึงภาพอุคคหนิมิตนันขยาย ความเน่ าเปื อยผุพังออกไปเรือย ๆ ซึงรู้ เห็นพร้ อมกับ เกิดความรู้ สึกปลงปล่ อยวางได้ อย่ างชัดเจนใน ความรู้ สกึ มากยิงขึนไปเรือย ๆ อย่ างต่ อเนือง ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที สิงหาคม
อวิชชาเป็ นปั จจัยให้ เกิดสังขาร ผู้ถาม : ผมเป็ นแฟนพันธุ์แท้ หลวงตามาราว เดือน ได้ เข้ าใจวิสังขารและการปล่ อยวางตัวตนแล้ ว ผมมีข้อสงสัยบางอย่ าง อยากจะเรียนถามหลวงตาว่ า เมือสังขารดับ อวิชชาเป็ นตัวพาวิสังขารไปเกิดใหม่ ใช่ ไหมครั บ แล้ วกายทิพย์ ก็คือ วิสังขารทีมีอวิชชาติดตัว ไปใช่ ไหมครับ ขอหลวงตาเมตตาอธิบายด้ วยครั บ
หลวงตา : ธาตุร้ ูทมีี อวิชชา จะยังมีตัวตนของกาย ทิพย์ ไม่ หมดพืชทีจะไปเกิดได้ อีก เพราะถูกอวิชชาหุ้ม ห่ อไป เหมือนเม็ดข้ าวทียังเป็ นข้ าวเปลือก คือ เป็ น ข้ าวเปลือกอยู่ ย่ อมไปปลูกขึน หรือ ไปเกิดใหม่ ได้ แต่ หากธาตุร้ ูสนอวิ ิ ชชา จะเหมือนข้ าวสารขัดขาว ไม่ มี อวิชชาเป็ นเปลือกหุ้ม จึงไปปลูกหรือเกิดใหม่ ไม่ ได้ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที สิงหาคม
แม้ ไฟกิเลสลดลงแล้ วก็อย่ าประมาท ผู้ถาม : เมือวานมีเด็กกําลังจะเสีย ต้ องคุยกับแม่ เด็กทางโทรศัพท์ แปลกมากเลยเจ้ าค่ ะหลวงตา พอมัน รั บรู้ถึงความตาย จากทีคิดโน่ นนีฟุ้งซ่ านเรื องจิตตัวเอง อยู่ มันหยุด และมันสงบลงด้ วยตัวของมันเอง กระแส เสียงทีออกไปมันมีแต่ ความสงบและเมตตา วางสาย แล้ ว แม้ มันยังคิดต่ อ แม้ ยังมีความคิดอยู่ แต่ เหมือนมัน ไม่ ได้ คดิ อะไร สินความตังใจและสินความ ... ใด ๆ ทังสิน บอกไม่ ถูก มันสงบมาก อยู่ลึก ๆ ข้ างในอย่ างที คุณฝรั งบอกจริง ๆ
หลังจากนันเมือเริมคิดฟุ้งเรืองจิต ความสงบลึก ๆ นัน มันจางไปกลายเป็ นความสงบเฉย ๆ และเมือเริม คิดถึงตอนทีตัวเราได้ วชิ ชา แค่ มีตัวเราในความคิด เท่ านัน ส่ วนลึกของใจมันร้ อนไปหมด เมือเห็น สภาวะเปลียนแปรต่ อหน้ า มันจึงเห็นว่ า สภาวะความ สงบแม้ จะลึกซึงเพียงใด หรื อแม้ แต่ ความร้ อน ล้ วนแต่ เป็ นเอง ตามเหตุปัจจัยทีมากระทบเท่ านัน หลังจากเห็นแบบนี มันปล่ อยทังสภาวะ และปล่ อยทัง เหตุปัจจัย สิงใดมันก็คือสิงนัน เหตุใดมันก็คือเหตุนัน
มันเห็นความเป็ นพุทธะในจิต เห็นความเป็ นพรหม เห็นความเป็ นโพธิสัตว์ หยังรู้ ภพชาติทผ่ี านมา ว่ ามัน "เป็ น" สรรพสัตว์ ในสามภพ มานับไม่ ถ้วน "ความเป็ น" ล้ วนเปลียนแปร ไม่ มีสงที ิ จีรังยังยืนเลย มันสะอึกอึงไป ไม่ ร้ ู จะยึดถือว่ าตัวเอง "เป็ น" สิงใดดี ไปไม่ ถูก ไม่ ร้ ูจะมี หลักยึดอะไร คว้ างไปหมด แต่ อิสระเหลือเกินเจ้ าค่ ะ ไฟมันกําลังมอดดับเจ้ าค่ ะ ดับไปพร้ อมกับความ ปรารถนา "ความเป็ น" และ "ความพ้ นทุกข์ " มันกําลัง จะดับสนิท โลกสงัด เห็นโลกธาตุภายนอก เริม สะเทือน มันครึมมาแต่ ไกล มันรู้เองว่ า "กําลังจะถึงบท ทดสอบอีกแล้ วหรือ" เห็นแล้ วว่ า ต้ องสอบอะไร
ความเป็ น "ตัวเรา" ในสามแดนโลกธาตุ มันต้ องตาย แตกดับ ไม่ มีส่วนเหลืออีกแล้ ว แต่ มันไม่ ยอม ไม่ มี ความองอาจกล้ าหาญมากพอ ครั งทีแล้ วมันองอาจกล้ า หาญ ยอมแลกด้ วยชีวติ แต่ ครังนี สิงทีต้ องแลกมัน หนักหนากว่ านัน
นีคงจะเป็ นความอาลัยใช่ ไหมเจ้ าคะ อาลัย "ตัวเรา" ทีกําลังจะสูญหาย เลยมีใยบางอย่ างดึง กลับมา โลกธาตุกลับคืนสู่ปกติแล้ วเจ้ าค่ ะ ครั งทีแล้ ว มันถึงแล้ วซึงความบริสุทธิ แต่ "ตัว เรา" ผู้บริ สุทธิ มันมิได้ สูญหาย แต่ ครั งนีมันจะไม่ เหมือนกันใช่ ไหมเจ้ าคะ ทําใจทิงตัวเราไปไม่ ได้ เลยคา ตัวเราไว้ เจ้ าค่ ะ ตัวเราคนนันมันไม่ มีจริงเจ้ าค่ ะหลวงตา โดนสังขารหลอกอีกแล้ ว
หลวงตา : สาธุ ไฟกิเลส ทีเกิดจากความหลงยึดถือ อาลัยอาวรณ์ ของโยมหมอเริมมอดลงแล้ ว มันมีกาํ ลัง น้ อยลงไปเรื อย ๆๆๆๆ ... อย่ าประมาทเป็ นอันขาด หากใจโยมหมอไม่ ห่างธรรม ในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไฟกิเลส ไฟแห่ งความยึดมัน ถือมัน ก็จะค่ อย ๆ ดับหมดไป ๆๆๆ .... ในทีสุด จะมี แต่ ความสงบเย็น ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที สิงหาคม
ผู้พยายามรักษา “ใจ” เป็ นสังขาร ผู้ถาม : ฟั งไฟล์ ของคุณปกรณ์ แล้ ว ชัดเจนเป็ น ประโยชน์ มากเจ้ าค่ ะ ชอบตรงทีบอกว่ า ขันธ์ มัน เพียรของมันอยู่ ไม่ ได้ มีตัวเราไปเพียร เมือไม่ มีตัวเรา เพียร มันจะไม่ มีตัวเรารอรั บผล แล้ วยังบอกว่ า ถ้ าไม่ ชัดเจนอะไรให้ พิจารณาให้ เต็มที ใช้ สังขารนีแหละ พิจารณาใช้ ขาด แล้ ววางมันไปเลย ตรงกับทีหลวงตาบอกว่ า มรรคทุกอันเป็ นสังขาร แต่ ถึงเวลาใช้ สังขารมันก็ต้องใช้ ใช้ เสร็จก็วางมันไปเจ้ าค่ ะ พิจารณาแล้ วว่ า ความผิดพลาดของคนส่ วนหนึง คือ พยายามรักษาใจทีไม่ สังขารไว้ นันมันไม่ ใช่ มรรค แต่ เป็ นกิเลสและความยึดถือ มรรคคือ ใช้ สงั ขารมา พิจารณาเพือปล่ อยวางสังขารต่ างหาก
ซึงตัวเราทังตัวเป็ นสังขาร ปล่ อยวางสังขาร ปล่ อย วางตัวเราแล้ ว มันจะเป็ นอย่ างไร จะเกิดผลการปฏิบตั ิ หรื อไม่ ก็เป็ นเรื องของมัน เรื องของสังขารไปเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ผู้พยายามรักษาใจหรือพยายามเป็ น “ใจ” ทีไม่ สังขาร (วิสังขาร) นัน มันเป็ นสังขาร เป็ นกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน รู้ เท่ าทันสังขาร ไม่ ไปเป็ นสังขาร ไม่ ยดึ ถือสังขาร หลังจากนัน สังขารก็คงปรุ งแต่ งเกิดดับในท่ ามกลางใจ ทีไม่ สังขาร ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที สิงหาคม
เอาตัวเราไปรู้อาการ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ขอโอกาสเจ้ าค่ ะ คือโยมอยากจะรบกวนหลวงตาได้ โปรดชีแนะด้ วยค่ ะ เพราะทุกวันนีโยมมีความรู้ว่าตัวเองปวดหลังมาก และ รู้ สึกว่ าไม่ ค่อยสบายตัวหลังจากการนังสมาธิเจ้ าค่ ะ ไม่ ทราบว่ าโยมทําอะไรผิดไปในการปฏิบัตคิ ะ ตอนนีเลยทํา ให้ โยมไม่ ได้ นังสมาธิเท่ าไหร่ เพราะอาการปวดหลังทําให้ หงุดหงิดมาก, ขอความเมตตากรุ ณาด้ วยเจ้ าค่ ะ ถึงโยมไม่ ได้ ส่งการบ้ านต่ อองค์ หลวงตา แต่ กต็ ิดตามฟั ง ธรรมะจากไลน์ กลุ่มแทบทุกวัน และพยายามปฎิบัติ ตามคําสังสอนของหลวงตาในกลุ่มไลน์ ทีหลวงเมตตา ส่ งวันละหลาย ๆ ไฟล์ เจ้ าค่ ะ บางทีก็เอาประสบการณ์ ของคนอืนทีเขาถามก็เลยคิดว่ าโอเค
แต่ ทาํ ไปทํามาไม่ ร้ ูว่าไปกด ตัวเองแบบไหนเจ้ า ค่ ะเลยมีอาการปวดแบบนี ขอบพระคุณหลวงตาที เมตตาโยมทีอยู่ต่างแดนเจ้ าค่ ะ สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้ ได้ มีโอกาสไปกราบหลวงตาอีก
หลวงตา : เอาตัวเรา (ยึดถือขันธ์ ห้าว่ าเป็ นตัวเรา) ไป รู้ อาการหรือ อารมณ์ มันผิด ต้ องเห็นตัวเรา ปล่ อยวางตัวเราผู้ไปรู้ตลอดเวลา ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที สิงหาคม
ไม่ มีใครหลงยึดถือ อารมณ์ ทถูี กรู้ และไม่ มีใครยึดถือผู้ร้ ู ผู้ถาม : ความบริสุทธิทีแท้ คือ ไม่ มีความบริสุทธิ หลงเหลือ และไม่ มีคนผู้บริสุทธิรองรั บ มันสงบ ร่ มเย็น เป็ นหนึงเดียว เพียรอยู่กับสิงนีเรื อยไป โดยไม่ มีใครไปอยู่ ใช่ ไหมเจ้ า คะหลวงตา
หลวงตา : ความสงบร่ มเย็น ก็ได้ แต่ ร้ ู มันเป็ นสังขาร ไม่ มีใครหลงยึดถือ อารมณ์ ทถูี กรู้ และไม่ มีใครยึดถือ ผู้ร้ ู
ผู้ถาม : ซาบซึงในธรรมนี ขอน้ อมเข้ าสู่ใจเจ้ าค่ ะหลวง ตา สาธุเจ้ าค่ ะ ขอน้ อมปฏิบัติบูชา พ่ อแม่ ครูอาจารย์ องค์ หลวงตา แผ่ นดินไม่ กลบหน้ า จะไม่ หยุดทําความ เพียรเจ้ าค่ ะ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ สาธุ สาธุ สาธุ เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที สิงหาคม
Feel the flow ผู้ถาม : สาธุ เข้ าใจแล้ วเจ้ าค่ ะ ทุกอย่ าง รวมทังผู้ร้ ู แม้ จะหายไป มันจะกลับมาอีกครั ง ทุกสิงไม่ อาจรักษา ให้ คงไว้ แค่ ปล่ อย feel the flow มันมี flow ของมัน มันง่ ายมาก ไม่ มีอะไรเลย ทําไมถึงไม่ เคยเข้ าใจอะไร ง่ าย ๆ แบบนีเลยเจ้ าค่ ะ เห็นว่ า ทุกสิงมันมาแล้ วก็ไป สติ และ กิเลส มันมาแล้ วก็ไปเหมือนกัน ปั ญญาทีบอกว่ า "รู้ อะไร" คือ ความปรุงแต่ ง ตัวเราทังตัวคือ flow
เมือไหร่ สติขาด ไปเป็ นตัวเอง มันจะเข้ าไปใน flow แต่ ไม่ ร้ ู สึกถึง flow นี แต่ ไม่ นาน ความรู้สึก "feel the flow" ก็กลับมาได้ อีก ไม่ ใช่ ตัวเรามีสติ ไม่ ใช่ ตัวเรามีกเิ ลส มันเป็ นสิงที flow ของมันเอง Let it go แล้ วจะรู้ เอง กราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ “Feel the flow” ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที สิงหาคม
ปล่ อยวาง “ตัวเรา” ตลอดเวลา ผู้ถาม : กราบเท้ าในความเมตตาไม่ มีประมาณของ หลวงตาค่ ะ ... การใช้ ชีวิตทางโลก ทีต้ องพบเจอสิงต่ าง ๆ หมุนเวียนไปไม่ จบสิน เดียวสุข เดียวทุกข์ เดียวกังวล เดียวผ่ อนคลาย เดียวดี เดียวร้ าย เดียวยึด เดียวปล่ อย วาง บางครั งได้ เสียงพูดเสียงบ่ นทังวัน มันก็ยงเบื ิ อ หน่ ายค่ ะหลวงตา ไม่ เห็นความหมายอะไรทีจะต้ องเกิด ... แต่ ศิษย์ ขาดสติ ขาดปั ญญาจึงไม่ เห็นว่ า โดนสังขาร หลอกอีกแล้ ว “ไม่ อยากเกิด เบือหน่ าย” ก็เป็ นอวิชชา มันยังมีตัวเราทีกลัวต้ องเกิด กลัวลําบาก ไม่ มนใจว่ ั าจะ จบได้ ยิงกลัวก็ยงดิ ิ นรน อัดอัน ... ก็เข้ าล็อกเดิม “ดีรัก ชัวชัง” อีกจนได้ ... ไม่ สามารถมองเห็นว่ ามันก็เป็ นแค่ สังขาร ไม่ เห็นตัวเราที เข้ าไปยึด เพราะเรากลายเป็ นผู้ยึดเสียเองเลย ... กราบเท้ าหลวงตาทีเมตตาเตือนสติค่ะ
เมือแจ้ งขึน ทําให้ เข้ าใจได้ ว่าสิงทีสะสมมามัน ละเอียดมากค่ ะ รู้ไม่ เท่ าทันก็ยังต้ องทุกข์ อยู่รําไปค่ ะ ช่ วงทีเราเข้ าไปเป็ นผู้เป็ นแล้ วเราไม่ ร้ ูเท่ าทัน (ทุกข์ นันยังเป็ นของเรา) การปฏิบัติตอนนันจะเหมือน เป็ นเอาสังขารไปดับสังขารใช่ ไหมคะหลวงตา มันจะ เหมือนเราสุขขึนมาบ้ าง แต่ ลึก ๆ มันก็ยังอึดอัด คับ แค้ น แต่ “เรา” ก็จะคอยสอนตัว “เรา” ให้ ปล่ อยวาง ให้ ทํานู่นทํานี คือยังมีตัวเรากระทําอยู่ดี
อาการนีคือให้ ทวนเข้ าหาผู้ร้ ู ใช่ ไหมคะหลวงตา คือให้ เข้ าหาตัวเรา เพือทีจะได้ ปล่ อยวางตัวเรา เมือปล่ อย วางตัวเรามันก็จะปรากฏอาการสงบ ก็รับรู้ว่ามันสงบ ช่ วง ทีสงบก็จะเห็นปรากฏการณ์ เกิดดับอย่ างสงบโดยทีไม่ มี ใครไปสนใจมัน ... สักพักมันก็ไม่ สงบอีกแล้ ว ก็ทวนเข้ าหา ผู้ร้ ูอีกใช่ ไหมคะหลวงตา แล้ วก็วางไปเรื อย ๆ ในการทําความเพียร เช่ น นังสมาธิ เดินจงกรม สวดมนต์ คือทําให้ จติ หรือความคิดทีฟุ้งซ่ านสงบลง ... พอสงบลง ก็นังมองสิงทีเกิดดับอยู่เงียบ ๆ ไม่ เข้ าไปยุ่ง กับมันใช่ ไหมคะหลวงตา
หลวงตา : ปล่ อยวางตัวเราผู้ร้ ู ผู้พดู ผู้พากษ์ ผู้อยาก ... ตลอดเวลา ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
หลงไปทําลาย สิงทีไม่ มี ผู้ถาม : มันถลําเข้ าไปมีอุปาทาน มีความดีรักชัวชัง มันพิจารณาย้ อนกลับเข้ าหาผู้ร้ ู ผู้อุปาทาน เมือปล่ อย วางผู้ร้ ู จึงสงบระงับ และอุปาทานก็ดบั ลง สู่สภาวะ เป็ นกลางได้ มันรู้ แล้ วว่ า มันอยู่ทผูี ้ ร้ ู ดับผู้ร้ ู ได้ เรือนทังหลังย่ อม พังทลาย เดินจงกรมรอบแล้ วรอบเล่ า เห็นผู้ร้ ู ชัดเจน คาอยู่เป็ นตัวตนคงที เพียรจีทุกทางเพือให้ ผ้ ูร้ ู นีแตก ทําลาย เดินไตรลักษณ์ แต่ มองอย่ างไรก็ทาํ ลายผู้ร้ ู ไม่ ได้
มีหงห้ ิ อยบินมา ลูกเห็นแสงทีออกจากหิงห้ อย มันระลึกถึงสิงทีครู บาอาจารย์ ท่านหนึงเคยบอกว่ า อวิชชา มันก็เหมือนไส้ ของหลอดไฟ มันเป็ นตัวทําให้ หลอดเรื องแสงได้ แต่ เราไม่ ร้ ู เราเข้ าใจว่ า ตัว หลอดแก้ วข้ างนอก คือตัวสร้ างแสง มันพลิกเลยเจ้ าค่ ะ "ตัวเรา" ทีเห็นคงทีนัน มัน เป็ นแค่ หลอดด้ านนอก เมือไล่ เข้ าไปเห็นสังขารตัวทีมัน กําลังเดินปั ญญา ตัวทีแสดงพฤติแห่ งจิต เพือดับ "ตัวตน" ตัวแรก
จึงมองลึกไปอีกว่ า ไหนเล่ าตัวการทีผลิต ปั ญญา ผลิตสังขาร ผลิตพฤติแห่ งจิตนันมันอยู่ตรงไหน จะได้ จัดการมัน มันหาเท่ าไหร่ กห็ าไม่ เจอ สิงทีเจอ มี เพียงกริยาอาการเท่ านัน ธรรมมันขึนมาว่ า "ของทีหา มันไม่ มี พฤติแห่ งจิต เกิดขึนมาจากความว่ าง เจ้ าหลง หาตัวตน มันไม่ มีหรอก มันไม่ มี" มันพลิกเลยเจ้ าค่ ะ เห็นพฤติแห่ งจิตทังหมด แม้ ในส่ วนทีละเอียดทีสุด ล้ วนเกิดมาจากความว่ าง ตัวตนผู้สร้ างไม่ มี เป็ นรอยเท้ านกบนอากาศ ไม่ มีใคร ไปทําลายได้ เลย เพราะมันไม่ มีมาตังแต่ แรก
หลวงตา : เลขหนึงไทย ไล่ เข้ าไป ใจกลางกลับว่ างเปล่ า มันหลงไปแล้ ว หลงไปแล้ วจริง ๆ หลงไปทําลาย สิงที ไม่ มี ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
ล้ มก็ยมิ ลุกขึนใหม่ ผู้ถาม : เช้ านีลูกโดนกิเลสถล่ มยับเยิน แพ้ ไม่ เป็ นท่ า ทังทีได้ ยินมันปั นจิตภายในใจ เห็นเป็ นภาพ เหมือน เห็น ห้ องทดลองอวกาศฟ้ ามืดดํากว้ าง มีแสงไฟสีส้ม เป็ นเส้ นไหมคลุมรอบห้ องมาเป็ นสาย ได้ ยนิ เสียงจิต มันพูดไม่ เป็ นภาษา แต่ เกิดดับไวมาก ปั นจิตรวดเร็ ว มาก มีสงหนึ ิ งเห็นมัน แต่ ลูกสู้มันไม่ ไหว อุเบกขาไม่ พอ ทําร้ ายใจตนเอง และคนรอบข้ าง ไม่ มีใครทําร้ ายเราได้ นอกจากจิต (กิเลส มาร) ของเราเอง
ได้ ยินเสียงขึนมาว่ า ปกติ มา สาย มากสุด สาย ยังไม่ ค่อยจะไหว (คิดว่ าคือกิเลส โทสะ เจ้ า ค่ ะ) วันนีมาเป็ น ล้ านเส้ น จะไปตัดไหวได้ อย่ างไร สินเสียงนีลูกเหมือนได้ ยินเสียงองค์ หลวงตา มาสอนว่ า ตัดมันทุกเส้ น ตัดไม่ ไหว ทิงมันทังยวง แล้ วทุกอย่ างก็เงียบ สงบ ลง เจ้ าค่ ะ มันมี คําตอบของทุกอย่ างเจ้ าค่ ะ เลยเข้ าใจว่ าเวลากิเลส โทสะ มันถล่ มนี พอสติ อ่ อน มันล้ มทังยืนเลยเจ้ าค่ ะ มันไม่ ใช่ แค่ ลมทีผ่ านมาแล้ วผ่ านไปเหมือนทุก ที (Winds) แต่ เช้ านีมันคือ พายุ ใหญ่ มากในจิตเจ้ าค่ ะ หากไม่ มีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ คอยเมตตา คอย สอน อาจมองไม่ เห็นมอง ไม่ หลุดจริง ๆ เจ้ าค่ ะ วันนีเหมือนกองกิเลส กองโทสะ มันระเบิดเจ้ าค่ ะ
น้ อมกราบในคําสอน น้ อมกราบในความเมตตาของพ่ อ แม่ ครู บาอาจารย์ องค์ หลวงตา ทีไม่ เคยทอดทิงเลยเจ้ าค่ ะ หลวงตามีสอนเยอะ ลูกศิษย์ ก็มากขึนทุกวัน ลูกจะ เพียรมีสติ ระลึกด้ วยตนเอง ดูแลตัวเอง ระวังอายตนะ ไม่ ทาํ ให้ หลวงตาต้ องเหนือยเพิมเจ้ าค่ ะ ถนอมสุขภาพ ถนอมขันธ์ ด้วยเจ้ าค่ ะ น้ อมกราบ กราบ กราบ เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : แพ้ ก็ยมิ ชนะก็ยมิ ล้ มก็ยมิ ลุกขึนใหม่ ทุก ครั งไป … ไม่ ช้าก็เดินได้ มันคง
ผู้ถาม : ลูกกราบขอขมา หลวงตาสอนเหนือยแล้ วยัง เอาตัวปรุ งแต่ งมารบกวนธาตุขันธ์ หลวงตาอีกเจ้ าค่ ะ น้ อมกราบขอขมา น้ อมรั บคําสอน น้ อมรับความเมตตา ด้ วยความซาบซึงจากใจจริง ๆ เจ้ าค่ ะ ลูกจะลุกขึนใหม่ ทุกครั งเจ้ าค่ ะ จะลุกให้ เร็วขึน พร้ อม รอยยิมเสมอ เจ้ าค่ ะ ไม่ มีสงใดต้ ิ องกลัวแล้ วเจ้ าค่ ะ ลม จะมา พายุจะมา ก็ร้ ู สู้ไม่ ถอยเจ้ าค่ ะ น้ อมจิต กราบ กราบ กราบ ด้ วยความเคารพนอบน้ อมยิงเจ้ าค่ ะ
ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
เร่ งพิจารณาให้ ต่อเนืองไม่ ขาดสาย ผู้ถาม : ขับรถไปเห็นก้ อนเมฆบนฟ้ า เมฆทีเราเคย เห็นความเปลียนแปลงตลอด แต่ เข้ าใจว่ ามันมีอยู่ อยู่ ๆ มันก็เห็น เห็นแจ้ งโดยไร้ คาํ พูด นําตา ไหล มันรู้ ว่า เมฆทีมีอยู่ มันไม่ มีจริง สภาวธรรมในใจ สิงทีเคยคิดว่ ามี มันไม่ มีจริง เลยเจ้ าค่ ะหลวงตา มันเห็นโดยปรมัตถ์ ในทุกสิงว่ าไม่ มี จริง มันหลอกลวง เป็ นเพียงความปรุงแต่ งไปหมดเลย มันเหนือยหน่ ายมากเลย โลกธาตุมันไร้ ความหมาย มากขึน ๆ ขยายความหลอกลวงไปเรื อย ๆ มองไป ทางไหน ก็เห็นแต่ ความจริง ความจริง ความจริ ง ของ ทีหมายไว้ กห็ ลอก ของทีเคยมีก็หลอก ของทีอยากไป คว้ ามาก็หลอก
ยิงมองยิงเหือดแห้ งมาจากข้ างใน มันเหมือน "หมดอาลัย ตายอยากจริง ๆ" ความอาลัยในสิงทังหลายกําลังจะหมดไป บาง สิงบางอย่ างมันกําลังจะตาย บอกไม่ ถูกว่ าอะไรตาย แต่ มันเหมือนกําลังจะตายจริง ๆ ความอยากทีจะอยู่ กับสิงเหล่ านันมันกําลังจะมอดหมดไปแล้ ว มันหน่ ายกันเต็มทีแล้ วเจ้ าค่ ะ ไม่ อยากทําอะไร ไม่ อยากเอาอะไรอีกแล้ ว
หลวงตา : สาธุ อย่ าเชือมันง่ าย ๆ นะ เร่ งพิจารณาให้ ต่อเนืองไม่ ขาดสาย แม้ ความหน่ ายก็ไม่ เทียง ให้ มันหน่ ายเข้ าไปอีก หน่ าย เข้ าไปอีก … ๆๆๆๆ ....... ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
รู้เท่ าทันจิตตสังขารทุกปั จจุบันขณะ ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะหลวงตา เวลาเราปฏิบัติ เช่ นเดินจงกรม ความคิดทีแยกมาปรากฏขึน เราไม่ ไหลตาม ไม่ ผลักไสด้ วยโมหะ แต่ เราพากษ์ พดู กับ ตัวเองว่ า กลับมารู้สกึ ตัว กลับมารู้สึกตัว แล้ วมาตามดู กายทีเคลือนไหว พอเกิดอีกก็ทาํ อย่ างนีอีก ขออนุญาต ขอคําแนะนําจากหลวงตาว่ าควรจะต้ องทําอย่ างไรต่ อ เจ้ าคะ เพือความก้ าวหน้ าในทางธรรมค่ ะ
หลวงตา : เพียรเห็นหรือรู้เท่ าทันจิตตสังขารทุก ปั จจุบันขณะอย่ างต่ อเนือง ต่ อเนือง โดยไม่ หลงไปเป็ น สังขารเลย ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
มรรคทุกข้ อเป็ นสังขารทังหมด ผู้ถาม : กราบขอโอกาสเจ้ าค่ ะ ปั ญญาทีแท้ จริง มี ด้ วยหรือเจ้ าคะหลวงตา สังขารทังนันหรือเปล่ าเจ้ าคะ
หลวงตา : ปั ญญาสัมมาทิฏฐิในอริยมรรคเป็ นสังขาร หรื อ มรรคทังหมดทุกข้ อเป็ นสังขารทังหมด พ้ นสังขาร หรือ พ้ นทุกข์ เป็ นปั ญญาวิมุติ จึงจะพ้ น สังขาร เป็ นใจทีไม่ สังขาร
ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
สักแต่ ว่ารู้และไม่ หลงยึดถือผู้ร้ ู พ้ นทุกข์ ผู้ถาม : กราบหลวงตาค่ ะ ความนิงเงียบเมือเข้ าไปรู้ จะถูกดูดเข้ าไปหาความสบายแล้ วเผลอหลับ นึกถึง คําพูดหลวงตาคือ ผู้ร้ ูเข้ าไปรู้ แต่ คราวนีผู้ร้ ูกถ็ กู ดูดเข้ า ไปอีก ผู้ร้ ู ใหม่ เห็นความอยากทีจะรู้ มันซ้ อนกันแบบนี ค่ ะ ใจเริมเบา แล้ วก็มีเสียงว่ ารู้ เฉย ๆ แค่ ร้ ู เบา ๆ แล้ ว มันก็ผ่านไป ..... หลวงตาคะละเอียดมากแค่ หลงอยากนิดหน่ อย มันก็จมลงเลยค่ ะ ลูกอธิบายไม่ ถูก ความพยายาม บางครั งมันก็สร้ างความอยากโดยไม่ ร้ ูตัว จิตนีเผลอ เมือไหร่ หลงเมือนันจริง ๆ ขอส่ งการบ้ านค่ ะ หลวงตา คะสิงทีเกิดขึนทังหมดคือเห็นชัดในการนังสมาธิ แต่ ใน ชีวติ ประจําวันยังไม่ ชัดเจนค่ ะ ลูกขอกราบหลวงตาค่ ะ
หลวงตา : อยู่ทสติ ี สมาธิ ปั ญญา ศรั ทธา ความเพียร เรี ยนรู้ ในขณะผัสสะปั จจุบนั ถ้ าสักแต่ ว่ารู้ทางตา หู จมูก ลิน กาย ใจ ทุกปั จจุบัน ขณะ โดยเฉพาะประตูใจ และ ไม่ หลงยึดถือว่ าตัวเราเป็ นผู้ร้ ู หรือ ผู้ร้ ูเป็ นตัวเรา ก็สนตั ิ วตน พ้ นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
เพียรรู้เห็นปล่ อยวางอย่ างต่ อเนือง ผู้ถาม : น้ อมกราบแทบเท้ าองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ ฟั ง ไฟล์ เสียงช่ วงหลัง ๆ นี มันกระแทกใจมากจริ ง ๆ เจ้ า ค่ ะหลวงตา เหมือนมันชัดเจน แจ่ มแจ้ ง ถึงใจ เข้ าไป ลึก ๆ ไม่ เหมือนก่ อนเจ้ าค่ ะ เมือก่ อนไม่ ว่ามันจะพูดจะ พากษ์ อะไรก็ช่างมัน ไม่ เกียวกัน ปล่ อยมัน ไม่ เชือมัน อีกต่ อไปแล้ ว
แต่ ตอนนี หลวงตาบอกให้ ร้ ูอีกว่ า มันเป็ น มงกุฎ หลวงตาเปรียบเทียบได้ ชัดเจนเห็นภาพจริง ๆ เจ้ าค่ ะ เมืออยู่กับ มงกุฎ ก็ต้องไม่ ประมาทในการมี สติ รู้เท่ าทันมัน และไม่ ย่ งุ กับมัน ไม่ ทาํ ตามมัน เหมือน บทสวดมนต์ บทหนึง ทีมีคาํ ว่ า "นีแหนะนายช่ างปลูก เรื อน บัดนี เรารู้จักเจ้ าเสียแล้ ว โครงเรือนของเจ้ าเรา หักทิงเสียแล้ ว เจ้ าจักทําเรือนให้ เราไม่ ได้ อีกต่ อไป" เมือก่ อนสวดแล้ ว ก็ยังไม่ ค่อยเข้ าใจในความหมาย ตอนนีเข้ าใจแล้ วเจ้ าค่ ะหลวงตา
ทุกอย่ างเหมือนมันจะละเอียดลึกซึงมากขึน สิงทีเรี ยนรู้ คืออยู่ใน "ใจ" ของเรานีเอง แต่ เมือหาใจก็ เคว้ งคว้ างว่ างเปล่ า สรุปคือ ไม่ มีอะไร มีแต่ ความว่ าง เปล่ า มายาหลอกลวง มันไม่ มีอะไรทีจะหนีจากการ ปรุงแต่ งไปได้ เลย แม้ กาํ ลังส่ งการบ้ านหลวงตาอยู่นี มันก็ปรุ งแต่ ง ถ้ าเรายึดมัน ก็หลงสุข หลงทุกข์ แน่ นอน ไม่ มีอดีต ไม่ มีอนาคต ไม่ มีแม้ ปัจจุบัน ทุกอย่ างผ่ านมา เพือให้ ได้ เรี ยนรู้ แล้ วมันก็ผ่านไป
มันเช่ นนันเองใช่ ไหมเจ้ าคะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเกิดดับ พร้ อมกัน ทังสามตัว ไม่ ได้ เกิดทีละ ตัวเลย มันเป็ นแบบนี เลยสินความยึดถือมันไปเอง เพียรรู้ ทันวางทัน ในทุกปั จจุบันขณะไป แบบนีถูกต้ อง ไหมเจ้ าคะ ธรรมแท้ ช่างละเอียดลึกซึงมากขนาดนี หาก ไม่ พบองค์ หลวงตา คงยากทีจะเข้ าใจ ขอน้ อมถวายการ ปฏิบัติความเพียรนี บูชาแด่ พระรัตนตรัย พ่ อแม่ ครู อาจารย์ องค์ หลวงตา ขอองค์ หลวงตา ถนอมธาตุขันธ์ ด้ วยเจ้ าค่ ะ สาธุ สาธุ สาธุ เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ เช่ นนันแหละ เพียรรู้เห็นปล่ อย วางอย่ างต่ อเนือง ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
ธรรมแท้ คือ ความสินความหลงยึดมันถือมัน ผู้ถาม : ขอโอกาสเรียนถามหลวงตาว่ าจากโศลกธรรม ดังกล่ าว "ธรรมะ ไม่ ใช่ การ สวดมนต์ หรื อ การนังสมาธิ แต่ ธรรมะคือ การยอมรับความจริ งตามความเป็ นจริ ง ว่ า ไม่ มีอะไรเลยทีเทียง ไม่ มีอะไรเลยทียึดมันถือมัน ได้ " มีนัย ในความลึก/ตืนของความหมายเป็ นประการ ใดบ้ าง สําหรับผู้อยู่ในทางและยังอยู่นอกทางครั บ
หลวงตา : การสวดมนต์ การนังสมาธิ หรือการเดิน จงกรม ก็เพือให้ มีความสงบใจพอทีจะพิจารณาเห็นสัจ ธรรมความจริง ในความไม่ เทียง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของขันธ์ ห้า เพือความสินความหลงยึดมันถือมันว่ าเป็ น เรา เป็ นตัวเรา หรือ ของเรา ดังนัน ธรรมแท้ คือ ความสินความหลงยึดมันถือมัน หรื อ สิน อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ .. และ ความทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
ความปรุงแต่ ง เกิดดับในใจทีไม่ ปรุ งแต่ ง ผู้ถาม : น้ อมกราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ หลวงตาเจ้ าขา มี ข้ อธรรมกราบเรียนหลวงตาเจ้ าค่ ะ "ความปรุ งแต่ งมีอยู่ (รู้อยู่เห็นอยู่) แต่ ไม่ มีผ้ ปู รุ งแต่ ง" ไม่ ทราบว่ าโยมเข้ าใจถูกไหมเจ้ าคะ
หลวงตา : รู้อยู่ เห็นอยู่ ว่ าความปรุ งแต่ งเกิดดับใน ใจทีไม่ มีตัวจิตตัวใจ เป็ นวิสังขาร คือ ไม่ ปรุงแต่ ง ไม่ มีใคร ไม่ มีตัวเรา หรือ ไม่ มีตัวจิตตัวใจ ไปอะไร กับ อะไร ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
มีสติอย่ างสมบูรณ์ เป็ นวิหารธรรม ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ มีข้อสงสัยค่ ะว่ า คําว่ า มีสติอย่ างสมบูรณ์ เป็ นวิหารธรรม มีสติอย่ างสมบูรณ์ เป็ นเครืองอยู่ คําว่ ามีสติ สมบูรณ์ เป็ น อย่ างไร มีลักษณะหรืออาการ อย่ างไรทีจะให้ ทราบได้ ไหมคะ กราบรบกวนหลวงตาแนะนําอธิบายให้ ศิษย์ ด้วยเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : .ไม่ หลงส่ งจิตออกนอก . ไม่ สยบติดอยู่กับอารมณ์ หรือความรู้สกึ ภายใน .ไม่ กังวล เพราะยึดถือขันธ์ ห้า เช่ น หลงหลงยึดถือสังขาร ในขันธ์ ห้า แล้ วเอาสังขารนันมาคิดปรุ งแต่ งดินรนค้ นหา หรื อพยายามทําอะไร เพือ หวังอยากจะได้ จะถึง จะรู้ จะ เห็น จะเป็ น จะบรรลุ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
ปล่ อยวางตัวเราผู้ร้ ู ผู้เข้ าใจ ผู้ปล่ อยวาง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ฟั งไฟล์ เสียง เรือง "ปล่ อยวางตัวเรา / ทีสุดแห่ งทุกข์ ทีสุดแห่ งธรรม และ ยึดถือความไม่ มีตัวตน" มีสติ พิจารณาปั จจุบันขณะ สังเกตลมหายใจเข้ าออกเป็ นวิหารธรรม พิจารณาอย่ าง ละเอียดลึกซึงพบว่ า เมือสินสุดลมหายใจออก พบ "ความ ว่ าง" ก่ อนการเกิดขึนของลมหายใจเข้ า รู้ธรรมชาติสังขาร เกิดดับ ๆ บนความว่ าง ปรุ งแต่ งแบบนีเรือยไป และ "ปล่ อยวางผู้ร้ ู" ไม่ ยึดถือสภาวะนี ผมขอส่ งการบ้ านครับ
หลวงตา : ปล่ อยวางตัวเราผู้ร้ ู ผู้เข้ าใจ ผู้ปล่ อยวางด้ วย ปล่ อยวางตัวเราผู้คาดหวัง ผู้อยาก ผู้ปรารถนาจะมีตัวเรา ไปเอา ไปได้ ไปเป็ น ไปรู้ เห็น ไปรู้แจ้ ง ไปบรรลุอะไรด้ วย ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
อุเบกขา .. เป็ นวิหารธรรม ผู้ถาม : กราบหลวงตาครับ ฟั งคลิป "ยอมรับตาม ความเป็ นจริง" นีแล้ ว พิจารณาตาม ... ธรรมปรากฏ ขึนว่ า นีคือ "อุเบกขา .. เป็ นวิหารธรรม" ทีหลวงตา เมตตานําธรรมสูงสุดของพ่ อแม่ ครูอาจารย์ หลวงปู่ เหรี ยญ มาถ่ ายทอดสอนพวกเราอยู่เสมอ ๆ กราบใน ความเมตตาอย่ างทีสุดของหลวงตาครับ
หลวงตา : สาธุ ใช่ แล้ ว ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
ธรรมหรือสิงทังปวง ไม่ ควรยึดมันถือมัน ผู้ถาม : วนเวียน .. เวียนวน เพราะ "มีตัวมีตน".. อยู่รําไป อยากมี อยากเป็ น อยากได้ … จนไม่ เห็น "มัน" ในใจ เข้ าใจ .. เข้ าใจ .. เข้ าใจ แต่ ไม่ เคยเข้ า "ถึงใจ" แม้ นถึงใจ แล้ วเผลอไป . . . "ยึดเอาไว้ " .. วนแน่ นอน เพียง " สิ น ยึ ด " คําสัน ๆ ตามองค์ ท่านเมตตาสอน จบวัฏฏะทีทุกข์ ร้อน ไม่ วน-เวียนอีกต่ อไป
หลวงตา : ตัวเรา ผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ และเป็ นผู้ หลงยึดถือเสียเอง คือ รู้ เห็น เข้ าใจทุกอย่ าง ทังดี ชัว สุข ทุกข์ บุญ บาป กุศล อกุศล อะไรควรไม่ ควร ซึงทังหมดล้ วนไม่ ควรยึดถือ หรือ สิงทีรู้ เห็นสัมผัสได้ ไม่ มีสงใดเขาติ ิ ดยึดยึดเรา รู ป เสียง กลิน รส สัมผัส ธรรมารมณ์ หรือ ร่ างกาย จิตใจ รวมทังผู้ร้ ู เขาไม่ ติดยึดเรา
***** แม้ เขาจะติดยึดเรา แต่ ถ้าเราไม่ ติด ไม่ ยึดเขา ตัว เราผู้ทุกข์ ก็ไม่ มี ***** เป็ นเพราะเราหลงติดยึดเขา จึงทําให้ เกิดตัวเรา เป็ นทุกข์ กับสิงนัน
“สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ” ธรรมหรื อสิงทังปวง ไม่ ควรยึดมันถือมัน เพราะมันจะ ทําให้ เกิดตัวเราเป็ นทุกข์ ไม่ มีสงใดยึ ิ ดถือเราจริง มีแต่ เรายึดถือเขาจริง จึงไม่ สินตัวตน สินผู้ยึดถือ สินกิเลส สินอวิชชา ตัณหา อุปาทาน จึงไม่ สนภพ ิ ชาติ ชรา มรณะ และ ความทุกข์ ทงมวล ั
ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
สติมี ปั ญญามี ธรรมมี สติขาด ปั ญญาขาด ธรรมขาด ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะ ทัง ๆ ทีเข้ าใจในธรรม หมดแล้ วแต่ เพราะขาด "สติ" จึงขาดปั ญญา ไม่ ร้ ู เท่ า ทันว่ าสิงทีปรากฏอยู่ตรงหน้ าเป็ นเพียงสังขารปรุ งแต่ ง เท่ านัน จึงกระโดดเข้ าไปเป็ นมันทันที ถ้ าเมือใดทีรู้ ทนั เห็นว่ าขณะนันหลงเป็ นสังขารไปแล้ วก็แค่ รู้ และไม่ ยึดถือสิงทีหลงไปแล้ ว "สติ" อันเดียวอย่ าหลายจริ ง ๆ เจ้ าค่ ะหลวงตา
หลวงตา : สติมี ปั ญญามี ธรรมมี สติขาด ปั ญญาขาด ธรรมขาด
ผู้ถาม : ค่ ะหลวงตา การเอาธรรมชาติมาสมมติ ก็เป็ น เพียงสมมติ ไม่ ใช่ วมิ ุตไิ ปได้ ค่ะ เพราะวิมุติไม่ มีอะไร ไม่ เป็ นอะไร ไม่ ใช่ อะไรค่ ะ กราบขอบพระคุณหลวงตา อย่ างหาทีสุดไม่ ได้ ค่ะ เหนือสมมติไปแล้ ว จึงไม่ ต้องพูดอะไรกันอีกค่ ะ
ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
หลงมีตัวเราติดยึดเขา .... จึงทุกข์ เอง ผู้ถาม : จิตลง แช่ นิงบ่ อย ๆ ลงฌานบ่ อยมาก ๆ และ ก็หลงไปเลยครับ กลับมาก็เห็น จิตทีดินรน ค้ นหา อยากได้ อยากเป็ น เห็นความอึดอัด เห็นความไม่ ชอบ กลับมา รู้ สึกตัว (กายอยู่ไหนใจอยู่นัน) ก็เข้ านิงกับจิต ใส ๆ อีก
หลวงตา : อารมณ์ หรือ อาการของจิต ไม่ ว่าจะเป็ น อย่ างไร แม้ แต่ อาการจิตโปร่ ง โล่ ง เบา สบาย ว่ าง ใส ๆ หรือ อาการตรงกันข้ าม เขาไม่ ติด ไม่ ยึดเรา เขาไม่ ร้ ู ว่ าใครจะชอบหรือไม่ ชอบเขา แต่ หลงมีตัวเราติดยึด เขา .... จึงทุกข์ เอง ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
เพียงแค่ “รู้ ” ไม่ ยดึ “รู้ ” ผู้ถาม : ช่ วงนีมีสติอยู่กับรู้ตลอด มีหลงบ้ างเเต่ น้อย เจ้ าค่ ะ จนรู้สกึ สติกับรู้มันเป็ นอันเดียวกันเวลาเราไม่ เผลอ เเละสติกับรู้นันมันเป็ นของมันเเบบนัน ไม่ ใช่ เรา เเละก็ไม่ ร้ ู ว่าเราอยู่ทไหน ี เเต่ ยังจําได้ ว่ามีความเป็ นเรา เเฝงอยู่ตอนเผลอเจ้ าค่ ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาที ส่ งคําสอนดีมาให้ เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ “สติ” กับ “รู้” มันอยู่ด้วยกัน
ผู้ถาม : ชอบคําว่ า “รู้ในรู้” มันตรงกับทีเป็ นอยู่ตอนนี เลยเจ้ าค่ ะ คือสติกับรู้ มันเป็ นอันเดียวกัน มันอยู่ในอีกรู้หนึงทีอยู่ห่างออกไปเเละกว้ างขวางมาก ซึงน่ าจะเป็ นวิสังขารเจ้ าค่ ะ ยังเห็นมันไม่ ค่อยชัดยกเว้ น ทีซึมชาบอยู่ในรู้ตัวใน ซึงก็เห็นเป็ นพัก ๆ เเล้ วเรา ไม่ ต้องทําอะไรกับเขาเลยเจ้ าค่ ะ เขาก็เป็ นของเขาอยู่ อย่ างนัน
หลวงตา : เพียงแค่ “รู้” ไม่ ยดึ “รู้” เป็ นรู้ จริง รู้แจ้ ง รู้ สินยึด รู้ สนหลง ิ รู้ พ้น “รู้ ” เป็ นวิสังขาร ไม่ มีตัวตน ไม่ อาจปรุ งแต่ ง “รู้ ” เป็ นเหมือนกับความว่ างเปล่ าของธรรมชาติหรื อ จักรวาล จึงไม่ อาจเอา “รู้” ไปยึดถือ หรือ แทรกแซงสิง ใดได้ ได้ แต่ แค่ ร้ ู และ ไม่ อาจยึดถือ “รู้” นันเองได้ ด้วย ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
สินอวิชชา คือ หายโง่ ผู้ถาม : สติ คือรู้ อยู่กับรู้ อาศัยความเพียร เพียรอยู่ กับรู้นัน เป็ นชัวโมงบิน ลูกเข้ าใจถูกต้ องไหมเจ้ าคะ
หลวงตา : สาธุ ต้ องฝึ กอย่ างหนักอย่ างต่ อเนือง ด้ วย การเพียรมีสติ ปั ญญา สังเกตให้ ร้ ูเห็นความจริงด้ วยใจว่ า ความคิดหรือความรู้สึกว่ าเรา ตัวเรา หรือ ของเรา เป็ น เพียงสังขารหรือสิงปรุงแต่ งขึนมา เป็ นเพียงสมมติ
ส่ วน “ใจ” หรือ “ธาตุร้ ู” ที หายโง่ (ไม่ มีอวิชชาปน) เป็ น ธรรมชาติแท้ ไม่ ปรากฏอะไรเลย เรียกว่ า วิสังขาร ***** ขณะจิตทีไม่ มีอวิชชาปน จะสังเกตเห็นได้ แต่ สังขาร คือ “สิงใดสิงหนึง เกิดขึนมาจากธรรมชาติทไม่ ี มีอะไรปรากฏ ซึงเป็ นใจหรื อธาตรู้ ทีเป็ นวิสังขารนัน แล้ วก็ดับไปเป็ นธรรมดา” ตลอดเวลา ตลอดเวลา
แม้ จะมีความคิดหรือความรู้สึกว่ าเป็ นเรา ตัวเรา หรื อ ของเรา ก็เป็ นเพียงสังขารปรุ งแต่ ง ทีปรุงแต่ งขึน มาแล้ ว ก็ดับไปเป็ นธรรมดา ไม่ ได้ เป็ นตัวตนของเราที เทียงแท้ แน่ นอน จึงเป็ นเพียงสมมติเท่ านัน เมือไม่ หลงสมมติว่ามีเรา ตัวเรา หรือ ของเรา อยู่ใน ธรรมชาติทเกิ ี ดดับ และ ในธรรมชาติทไม่ ี เกิดดับนัน ก็สนอวิ ิ ชชา คือ หาย โง่
ธรรมชาติหรือสิงใดเกิดดับได้ ย่ อมไม่ เทียง (อนิจจัง) เป็ นทุกข์ (ทุกขัง) ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา ของเรา (อนัตตา) ส่ วนธรรมชาติหรือสิงใดไม่ เกิดไม่ ดับ (วิสังขาร) ย่ อม พ้ นจากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ พ้ นทุกข์ เป็ น “นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานัง ปรมัง สุขัง” ตลอดกาล อย่ างเป็ นอมตะ
ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
ปล่ อยวางสังขารเสียให้ หมด ตลอดเวลา ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะองค์ หลวงตา รู้ทเห็ ี นสิง เกิดดับในรู้ ตอนนีรู้ มันขยายวงกว้ างรวมไปกับ ธรรมชาติ ก็ไม่ ยดึ รู้ เป็ นความว่ างเปล่ าในธรรมชาติ แต่ มันก็ร้ ู อยู่ เวลาขันธ์ ห้ามันทําอะไรคิดอะไรมันก็ร้ ู บางครั งมีความรู้ สึกว่ ามีตัวเราเข้ าไปทําอะไรมันก็ร้ ูทัน ว่ าสังขาร แล้ วต้ องปฏิบัติอย่ างไรต่ อเจ้ าค่ ะ มันก็เกิด ๆ ดับ ๆ ของมันอยู่อย่ างนันเองแหละเจ้ าค่ ะ ไม่ มีใครไปอะไร ๆ กับอะไร กับใครเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ปล่ อยวางสังขาร ซึงเป็ นสิงเกิดดับ เป็ น ของเกิดตายไปเสียให้ หมดตลอดเวลา ตลอดเวลา … ๆๆๆ ..... ถ้ าหลงไปอยู่กับของเกิดตาย หรือ หลงไปเป็ นของเกิด ตาย ก็จะมีตัวตน เกิดตาย และ เป็ นทุกข์ อยู่รําไป ไม่ มีผ้ ูใดยึดถือสังขาร ทีเกิดเอง ดับเองนัน และ ไม่ มีผ้ ูใดพยายามยึดถือใจหรือธาตุร้ ู ทีปราศจากผู้ ยึดถือ ซึงเป็ นสิงไม่ เกิด ไม่ ดับ เป็ นความไม่ มีอะไร ปรากฏ
ก็จะเป็ น “ใจ” หรือ “ธาตุร้ ู” ทีไม่ ปรากฏอะไร ไม่ เกิดไม่ ดับ ไม่ มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ในนันเลย ในนัน จึงไม่ มีผ้ ทู ุกข์ ผู้ใดพบใจ ผู้นันพบธรรม ผู้ใดถึงใจ (เป็ นใจ) ผู้นันถึงพระนิพพาน
“ใจ” ทีสินยึดถือ หรือ สินอวิชชา จะเป็ นความว่ างเปล่ า แต่ มีความรู้ พระธรรมทีออกมาจาก “ใจ” ทีว่ างเปล่ านัน เป็ นพระไตรปิ ฎกไร้ ตัวอักษร เหมือนกับแถบว่ างเปล่ า ของอากู๋ google ถ้ ามีผ้ ูป้อนข้ อมูล ก็จะมีข้อความ สมมติไหลออกมาเอง
ผู้ถาม : เข้ าใจแล้ วเจ้ าค่ ะ กราบแทบเท้ าขอบพระคุณ เจ้ าค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
สงบ และ ปล่ อยวาง ผู้ถาม : นมัสการหลวงตา โยมเข้ าใจแล้ วเวลาปฏิบัติ ช่ วงทีสํารวมกายใจมีสติ ต้ องทิงความรู้ ทเป็ ี นสุตตะและ จิตตะ ไม่ ว่าจะเคยทํารูปแบบใด แม้ แต่ ตังท่ า แค่ สาํ รวม ในอิริยาบทนัน
หลวงตา : สงบ และ ปล่ อยวางทุกอย่ าง แต่ ไม่ ยดึ ถือความสงบ และ การปล่ อยวางนัน ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
เห็นอาการของจิตเคลือนไหว ไม่ ใช่ เห็นความนิงเงียบ ผู้ถาม : กราบพระอาจารย์ ผมมีข้อธรรมถามครั บ ไม่ ทราบว่ าผมเดินผิดทางหรือเปล่ าครับ ใจของผมมัน เงียบอยู่ภายใน ใจมันก็เงียบสงบ แต่ มันไม่ มีการปรุ ง แต่ งอะไรเลย รู้ทุกอย่ างตามความเป็ นจริงทุกขณะจิต ครั บ
หลวงตา : เห็นอาการของจิตเคลือนไหว ในความไม่ มี อะไรเกิดดับ ไม่ ใช่ เห็นความนิงเงียบ ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
ความรู้สึกว่ าง ก็ตกอยู่ใต้ กฎไตรลักษณ์ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ความรู้สึกแช่ ว่าง คือมีกเิ ลสอยู่ แต่ ยังมีความคิดอีกส่ วนว่ า นีคือว่ าง ความคิดว่ า นีคือว่ าง ต้ องไม่ มีส่วนนีไปเลย จนถึงเรี ยกว่ า พ้ นทุกข์ ใช่ หรือไม่ เจ้ าคะ หรือ ความรู้สึกว่ า นีคือว่ าง จะ ติดแนบแน่ นไปจนสังขารดับไปด้ วยเจ้ าคะ จะจัดการกับ ความคิดอีกส่ วนว่ า นีคือว่ าง ได้ อย่ างไรเจ้ าคะ? ทําได้ แค่ รู้ รู้ รู้ว่าว่ างค่ ะ รู้ว่า ว่ าง ว่ าง ว่ าง จะหายไปจากจิตได้ อย่ างไร เจ้ าคะ หลวงตา
หลวงตา : ความรู้สึกว่ าง ก็เป็ นอาการอย่ างหนึง เขาไม่ เทียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา ไม่ มีผ้ ูไปอะไรอะไรกับเขา ก็ไม่ มีผ้ ูทุกข์ เมือถึงคราวทีสิง นันหายไป ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
ติดตามเป็ นแฟนพันธุ์แท้ อย่ างต่ อเนือง จะเข้ าใจเอง ผู้ถาม : นมัสการครับหลวงตา ฝึ กปฏิบัติเองครั บ ณ ปั จจุบันนีผมยังต้ องคิดให้ ผ้ ูร้ ูเขาก่ อนหรือ ปล่ อยให้ จติ เขาทํางานไปแล้ วค่ อยดูตามเขาไปครั บ
หลวงตา : ให้ ตดิ ตามเป็ นแฟนพันธ์ ◌ุแท้ และปฏิบัติ ตามอย่ างต่ อเนืองจริงสักสองสามเดือน จะเข้ าใจเอง ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
ปล่ อยวางความคิด ความรู้สึกว่ าเรารู้ ให้ หมดตลอดเวลา ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ ตอนนีเหมือนกับว่ า จิตกับ ความว่ าง เค้ ารวมตัวเป็ นเนือเดียวกันไปแล้ วเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ให้ สังเกตด้ วยความไม่ มีผ้ ยู ดึ ถือ หรือ ไม่ มี ผู้ไม่ ยึดถือไปเรื อย ๆๆๆ .... ทีสําคัญปล่ อยวางความคิด ความรู้สึกว่ าเรารู้ เราเห็น เรารู้ แจ้ ง เราเป็ นอะไร ....ให้ หมดตลอดเวลา ไม่ มีใคร ไม่ มีเรา ตัวเรา เป็ นอะไร
มีแต่ ธรรมชาติ คือ สิงเกิดดับ ย่ อม เกิดดับในความไม่ เกิดดับ เป็ นธรรมดา ไม่ มีเรา ตัวเรา ของเรา ในธรรมชาตินันเลย ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
สินหลงยึดถือจิต ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาด้ วยใจเคารพนอบ น้ อมเจ้ าค่ ะ ทีผ่ านมาเข้ าใจมาตลอดว่ า .. ตัวเรา .. เกิดจาก .. จิต .. ทีปรุ งแต่ งความเป็ นตัวเราขึนมา แต่ เนืองด้ วยมี .. อวิชชา คือ ความไม่ ร้ ู ก็เลยไปยึดจริง ๆ จัง ๆ ว่ ามีตัวเราอยู่จริง ๆ เมือไหร่ ทรูี ้ สึกว่ ามีตัวเราขึนมาจริง ๆ จัง ๆ ก็ ระลึกรู้ ด้วยใจว่ ามันเป็ นแต่ เพียงจิตทีปรุงแต่ งขึนมา เท่ านัน จริง ๆ แล้ วมันไม่ มีเราอยู่จริง ๆ ปฏิบัติแบบนี มาตลอด จนความมีตัวเราค่ อย ๆ หายไปจาก ความรู้ สกึ และ จิตก็ค่อย ๆ กลืนไปกับความว่ าง เหลือ แต่ ตัวพูดตัวพากษ์ ทยัี งพูดยังพากษ์ อยู่ แต่ ร้ ู สึกเหมือน จะอ่ อนกําลังลงเรื อย ๆ
สุดท้ ายเข้ าใจว่ าถ้ าสิน .. ตัวเรา .. จริง ๆ จิต .. ก็จะกลืนหายไปกับธรรมชาติ เปรี ยบเหมือน … เปลว ไฟทีสินเชือเจ้ าค่ ะ กราบ กราบ กราบ แทบเท้ าหลวงตา พ่ อแม่ ครู อาจารย์ เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ สินหลงยึดถือจิตปรุ งแต่ งว่ า เป็ นเรา หรื อ เป็ นตัวเรา เป็ นผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ผู้ร้ ู แจ้ ง ผู้โปร่ ง ผู้เบาสบาย ผู้พ้นทุกข์ หรื อ สินหลงยึดถือว่ าจิตใจของ เราโปร่ ง โล่ ง เบา สบาย พ้ นทุกข์
ผู้ถาม : มันเงียบ มันสงบ มันสงัด ลึก .... มาก ใจสงบตัวเดียว ทุกอย่ างสงบหมด น้ อมกราบพ่ อแม่ ครู อาจารย์ ด้วยเศียรเกล้ า ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
let it be ผู้ถาม : ธรรมทีออกจากใจวันนี คือ “สักแต่ ว่า” ไม่ ใช่ การกระทําในใจเพือความเป็ นกลาง เพือความหยุด “สักแต่ ว่า” คือ การปล่ อยธรรมชาติทุกอย่ างเป็ นตาม สภาพของมันเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : let it be ....
ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม
มีแต่ ธรรมชาติ ไม่ มีเรา ตัวเรา ของเรา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาด้ วยใจเคารพนอบ น้ อมเจ้ าค่ ะ มีสติ .. รู้ .. ทุก … ปั จจุบันขณะ ไม่ ยึด .. ทุก … ปั จจุบันขณะ อดีต .. ปั จจุบัน .. อนาคต .. เป็ นกาลเวลา เส้ นเดียวกัน ไม่ ยึดอดีต ไม่ ยดึ ปั จจุบัน ไม่ ยึดอนาคต เปรี ยบกาลเวลาเป็ นดังเชือก ก็ไม่ ควรยึดตลอดสาย ยึดต้ น (อดีต )... ก็คอื ยึด ยึดกลาง ( ปั จจุบัน) … ก็คือยึด ยึดปลาย (อนาคต) … ก็คือยึด ปล่ อยวางตลอดสาย … พ้ นทุกข์ เจ้ าค่ ะ
กราบ กราบ กราบ แทบเท้ าหลวงตา ทีเมตตาสังสอนเจ้ าค่ ะ แต่ ถ้าไม่ มี .. เรา .. ก็ไม่ มใี ครไปยึดกาลเวลาอยู่ แล้ วเจ้ าค่ ะ ไม่ ต้องทําอะไร .. แค่ ร้ ู ไม่ ต้องไปอะไรกับอะไร เปล่ า ๆ บริสุทธิ กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ขอโอกาสเจ้ าค่ ะ หลวงตาเจ้ าคะ กาลเวลาก็ไม่ มีอยู่จริงนีเจ้ าคะ เป็ นแต่ เพียงสมมติ
จริ ง ๆ มันเป็ นธรรมชาติทผ่ี านมาแล้ วก็ผ่านไป เสมอเจ้ าค่ ะ ถ้ าไม่ มี .. เรา หรื อ ใคร .. ไปขวางหรือไป ยึดเอาไว้ มันก็เป็ นแต่ เพียงธรรมชาติทผ่ี านมาแล้ วก็ ผ่ านไปเท่ านันเอง กราบ กราบ กราบแทบเท้ าหลวงตา พ่ อแม่ ครู อาจารย์ เจ้ าค่ ะ
หลวงตาคะ มันมีแต่ เพียงธรรมชาติทกลมกลื ี นเป็ นหนึง ใช่ ไหมเจ้ าคะ
หลวงตา : มีแต่ ธรรมชาติ ไม่ มีเรา ตัวเรา ของเรา ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
สิงหาคม