ปล่ อยวางทังกายและจิต ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ แล้ วทีเห็นผลจากการปล่ อย วาง มันดับไปต่ อหน้ าต่ อตานีใช้ ได้ ไหมคะ หรือไม่ เอา จิตเลย มันมัวๆ กายบ้ าง ความตายบ้ าง จิตเห็นจิต บ้ าง มันไม่ สามารถกัดจิตต่ อเนืองด้ วยวิธีใดวิธีหนึงได้ นานเจ้ าค่ ะ โดดไปโดดมา เหมือนเด็กหัดพูด bilingual ทีพูดทังสองภาษา มันวนกลับไปกลับมาอยู่เรือย
หลวงตา : ปล่ อยวางหมดทังกายและจิต ไม่ มีผ้ ูยึดถือ ถูกทังหมด ไม่ ว่าจะพิจารณาเพือปล่ อยวางกาย ก็ต้อง ปล่ อยวางจิต (จิตหรือวิญญาณขันธ์ ทมีี เจตสิกประกอบ ทุกดวง) แต่ โยมหมอไม่ ได้ ปล่ อยวาง แต่ พจิ ารณา เพือ ตัวเราจะเอา จะได้ จะถึง จะเป็ นอะไร อย่ างนีผิดทาง นิพพานทังหมด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
รู้ในรู้ หรือ พุทธะ ผู้ถาม : กราบองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ ตอนนีลูกรู้สึกว่ า เหมือนคนไม่ ร้ ูอะไรเลย ทีอยู่ไปเหมือนคนปกติ ธรรมดา ๆ ทีไม่ ได้ มีความรอบรู้ อะไรเลยเจ้ าค่ ะ จะคิด ธรรมคิดอะไรเหมือนเมือก่ อนมันคิดไม่ ออกเจ้ าค่ ะ เหมือนถ้ าพยายามจะคิด มันจะแห้ งแล้ งไปหมดคิด ไม่ ได้ เลย แต่ ถ้าสิงใดผุดขึนมา เขาจะผุดขึนมาของเขา เองเจ้ าค่ ะ เคยนึกสงสัยเหมือนกันว่ าทําไมยิงปฏิบัติยงโง่ ิ ลงเจ้ าค่ ะ แต่ ตอนนีรู้ สึกว่ าก็ช่างมันเถอะเจ้ าค่ ะ เพราะ ไม่ ร้ ู จะดินรนไปทําไม ทุกข์ เปล่ า ๆ เจ้ าค่ ะ กราบองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ ลูกพิมพ์ ส่งองค์ หลวงตาเสร็จ เขาก็ผุดขึนมาว่ า "สิงทีผุดมานันก็ไม่ ใช่ เราเจ้ าค่ ะ"
หลวงตา : ไม่ ต้องรู้อะไร แค่ ร้ ูในรู้ หรื อ พุทธะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
อยู่กับรู้เห็นความจริงจาก “ใจ” ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะ หนูสังเกตพบว่ า … ตอนทีหลงยึดถือสิงใด สิงนันจะ “ค้ างคา” อยู่ในใจ ตอนยึดความรู้กจ็ ะมี ความคิดวนเวียนอยู่แต่ เรืองนัน ทบทวนกลับไปพบว่ ามันไม่ ร้ ูเท่ าทันและเข้ าใจว่ า … “ศึกษา” ความจริง ทัง ๆ ทีมันเป็ น “หมกมุ่น” เจ้ าค่ ะ
ตอนนีทุกสิง (ปรากฏการณ์ ) ยังคงเหมือนเดิม แต่ หนูแค่ ร้ ู สึกว่ า ... คนทีเป็ นจริงเป็ นจังกับ “ความพ้ นทุกข์ ” กับ “ความรู้ ” เหมือนมันหายไปเจ้ าค่ ะ มันแล้ วแล้ วไปง่ าย ขึนมาก เพียงแต่ ควรทําสิงใดก็ทาํ ไปเจ้ าค่ ะ อยู่กับ ปั จจุบันไปเรือย เป็ นธรรมดา ธรรมดา กราบขอความเมตตาองค์ หลวงตาชีแนะด้ วย เจ้ าค่ ะ “ความเป็ นธรรมดา คือ อิสระทีแท้ จริ ง” เจ้ าค่ ะ มันมีคาํ ขึนมา นําตาจะร่ วง ผ่ านไปแล้ วเจ้ าค่ ะ กราบขอบพระคุณองค์ หลวงตาทีเมตตาหนูมา ตลอด กราบ กราบ กราบ เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ร่ างกาย จิตใจ รวมทังผู้ร้ ู หรือ ตัวเราทังตัว ไม่ ว่ามันจะเป็ นอย่ างไร ก็เป็ น “สังขาร” ทังนัน ปรุงแต่ งเกิดเอง ดับเอง เกิดเอง ดับเอง ..... ๆๆๆๆ ..... ไม่ มีใครหลงยึดถือ
“อยู่กับรู้ เห็นความจริงจาก ‘ใจ’” “ใจ” ไม่ ได้ เป็ นของใคร ไม่ ได้ เป็ นเรา ตัวเรา หรื อของเรา ไม่ ปรากฏอะไร ไม่ มีตัวจิตใจ ไม่ เคลือนไหว ไม่ เกิดดับเลย
ผู้ถาม : เข้ าใจแล้ วเจ้ าค่ ะ “อยู่กับรู้ เห็นความจริงจาก ‘ใจ’” “ใจ” ไม่ ได้ เป็ นของใคร ไม่ ได้ เป็ นเรา ตัวเรา หรื อของเรา ไม่ ปรากฏอะไร ไม่ มีตัวจิตใจ ไม่ เคลือนไหว ไม่ เกิดดับเลย เห็นแบบนีเลย แม้ แต่ ความเกิดดับ ก็ไม่ มี
หลวงตา : สาธุ ผู้ถาม : น้ อมกราบขอบพระคุณองค์ หลวงตาอย่ างสูง เจ้ าค่ ะ อ่ านคําตอบองค์ หลวงตา ข้ างในมันร้ องไห้ กราบ กราบ กราบ เจ้ าค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
ธรรมชาติเกิดดับในความไม่ มีอะไร ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ปั จจุบันขณะสติ ตืนรู้ เห็น "จิตสังขารเขาปรุงแต่ งไม่ มีสนสุ ิ ด" ผู้ร้ ูก็ (ปรุ งแต่ ง) รู้เห็นจิตสังขารแสดงอาการนัน ๆ ความรู้ ทเกิ ี ดขึนบางครังเหมือนเกิดขืนมาจาก แกนกลางในตัวตน แต่ เมือฟั งไฟล์ ซาํ "รู้ค่ ใู จ" กลับมามี สติเกิดปั ญญาเห็น จิตสังขารและผู้ร้ ู ต่างก็เกิดขึนมา จากความว่ าง ไม่ มีแก่ นแกนอะไร ขอกราบอนุโมทนาในความเมตตาหลวงตา อบรมสังสอนชีแนะลูกศิษย์ ขอส่ งการบ้ านครับ
หลวงตา : มีแต่ ธรรมชาติเกิดดับในความไม่ มีอะไร ไม่ มีใครเป็ นเป็ นเจ้ าของ สิงทีเกิดดับ และ ไม่ มีใครเป็ นเจ้ าของความไม่ มีอะไร หรือสิงทีไม่ เกิดดับ ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา หรือ ของเรา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
มีวาสนาแต่ ขาดความสนใจ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตา ได้ มีโอกาสเข้ ากราบ หลวงตา หลังจากกลับมาจากได้ พบหลวงตาได้ ฝันว่ า ไปพระธาตุพนม แล้ วหลาย ๆ พระธาตุหลาย ๆ ทีได้ เจอร่ องรอยของนําท่ วมจนถึงบนพืนหน้ าพระธาตุ แล้ ว เจอดอกบัวเป็ นกอง ๆ เรียงกันสวยงามมีใบมีดอก ชูช่อสวยงาม เยอะแยะมากมาย มีปลามีก้ งุ หอยปูเต็ม ไปหมดเลย คืนติด ๆ กัน หมายความว่ าอย่ างไรคะ หลวงตา กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : มีบุญวาสนาบารมีมาแต่ ปางก่ อน แต่ ยงั ไม่ สนใจปฏิบัติธรรม คือ ปล่ อยวางความหลงยึดนัน ยึดนี ปล่ อยวาง จะได้ พ้นทุกข์ เสียที ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
มีตัวตนอยากหลุดออกจาก “จิต” เป็ นอวิชชา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ขอโอกาสส่ ง การบ้ านค่ ะ ในชีวติ ประจําวันหนูกฟ ็ ั งไฟล์ เสียงหลวง ตา และก็ดูจิตคิดนึกตรึกตรองปรุ งแต่ ง แต่ มีเหตุการณ์ หนึงเกิดขึนคือ เมือเช้ าหนูปวด ท้ องมากเหมือนท้ องจะเสีย จึงเดินไปเข้ าห้ องนํา แล้ ว อยู่ ๆ ก็วูบไปโดยไม่ ไม่ ร้ ูตัว มารู้ตัวอีกทีกล็ งไปกองอยู่ พืนห้ องนําแล้ ว แต่ ในขณะทีวูบล้ มอยู่ทพื ี นห้ องนํา ถึง จะไม่ ร้ ู สึกว่ ากายมันล้ มลง แต่ มันเห็นจิตพูดตลอดเวลา ว่ าคิดเรื องปวดท้ องมาก ๆๆ ไม่ เคยปวดอย่ างนีมา ก่ อน จะทําอย่ างไรให้ หายปวด แล้ วก็มาคิดเรืองดูจิต ว่ าให้ ดูจิตสิและพิจารณาสิ เดียวก็หายปวด และก็คิด ว่ าดูไปก็ไม่ หายปวด เดียวก็เป็ นหนักขึน
ซึงมันก็พูดเรื องดูจติ ต่ าง ๆ นานา พอมารู้ตัวจาก อาการวูบ ก็ลุกขึนมาตามปกติ แล้ วสักพักพอไม่ มีอาการ ก็มาพิจารณาถึงว่ า เมือสักครู่ ตอนทีวูบ ถึงแม้ จะไม่ ร้ ูตัวว่ าเกิดอะไรขึน แต่ ก็ไปดูจติ ตลอด แต่ ทดูี จติ ตอนนันเป็ นเพียงแค่ อาการ ของจิต และผู้ร้ ูตัวปลอม ทีคอยบอกให้ ดูจิต ให้ พิจารณาต่ างๆ นานา แล้ วก็คิดนึกตรึกตรอง ปรุ งแต่ ง ถึงแม้ ว่า ณ ขณะทีวูบนัน มันก็มีร้ ู สึกขึนมานิด หนึงนะคะว่ า อันนีหลงไปทําตามผู้ร้ ูตัวปลอม ทีคอย บอกให้ เร่ งพิจารณา ไม่ ใช่ ผ้ ูร้ ูตัวจริง แต่ กร็ ้ ูสึกว่ าไม่ สามารถหลุดออกมาได้ และก็อยากหลุดจากความคิด ปรุงแต่ ง พอมาพิจารณาภายหลังพบว่ า หากยังอยาก ให้ หลุดก็เลยไม่ หลุด ในขณะนันมีแต่ ความปรุ งแต่ ง
จริ ง ๆ ก็แค่ ร้ ูทุกอาการทีเกิดขึน ไม่ ไปอะไร อะไรกับมันก็พอแล้ ว ทีหนูเข้ าใจถูกต้ องหรือไม่ คะ และอาการวูบที หนูพบเหมือนกับจิตทีใกล้ ตายไหมคะ แล้ วถ้ าหนูตาย ในขณะทีหลงกับผู้ร้ ู ตวั ปลอม ตายไปแล้ วก็ต้องเกิดอีก ต่ อไปไม่ จบสิน ทําให้ หนูสลดสังเวช และรู้สึกว่ าต้ องเร่ ง ปฏิบัติต่อไป เพือให้ พ้นทุกข์ ก่อนทีความตายจะมาถึง จริง ๆ กราบเท้ านมัสการมาด้ วยความเคารพสูงสุด
หลวงตา : ความคิด ความรู้สึกว่ า เราอยากหลุด ออกจากสิงทีติดไป ก็หลงมีตัวตนของเราอยาก หลุดออกจากความคิด อาการของจิต *****โดยเฉพาะอยากหลุดออกจากที “จิต” อย่ างนี มันเป็ นกิเลส (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน) เพือให้ ตัวเราว่ างเปล่ าจากจิตปรุงแต่ งหรื อจากอาการของจิต ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
ปล่ อยวางตัวเราผู้อยากตลอดเวลา ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะ บางครังจิตมันรู้สึกมี นําหนักขึนมา ยังไม่ ทนั รู้ ว่าปรุงเป็ นอะไรก็ร้ ู เท่ าทัน แค่ นันพอหรือไม่ วางหรือไม่ คะ แต่ บางครั งก็เห็น ละเอียดไปว่ ามันอยากผลักไสความหนักในจิต แต่ บางครั งเห็นการวางจากความหนักนันโดยไม่ มี ความอยาก
หลวงตา : ปล่ อยวางตัวเราผู้อยากอะไรต่ อมิอะไร ตลอดเวลา จนรู้แจ้ งด้ วยใจว่ า พ้ นความคิด หรื อ ความรู้ สกึ ว่ าเป็ นตัวตนเป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรื อ เป็ น ของเรา ซึงเป็ นสังขาร
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
ความคิด หรือความรู้ สึกว่ าเป็ นตัวตน เป็ นสังขาร ผู้ถาม : คุณหมอโอ๊ ตสรุปได้ ชัดเจน ถึงใจมากเลยเจ้ า ค่ ะ ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่ านทีนําธรรมทีท่ านถึง ท่ านรู้ ด้วยใจแล้ วนํามาอธิบายให้ เข้ าใจถึงใจอย่ าง ไม่ ต้องคิดตามเลยเจ้ าค่ ะ ขออนุโมทนาบุญเจ้ าค่ ะ ถึงใจเลย
หลวงตา : ปล่ อยวางตัวเราผู้อยากอะไรต่ อมิอะไร ตลอดเวลา จนรู้แจ้ งด้ วยใจว่ า พ้ นความคิด หรือ ความรู้ สกึ ว่ าเป็ นตัวตนเป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรื อ เป็ น ของเรา ซึงเป็ นสังขาร ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
ความคิด หรือความรู้สึกว่ าเรา เป็ น “สังขาร” ปรุ งแต่ งทังนัน ผู้ถาม : กราบแทบเท้ าหลวงตาเจ้ าค่ ะ โยมฟั งไฟล์ เสียงทัง ไฟล์ คือ “ทางเดินจากใจสู่ใจ” และ “สักแต่ ว่ ารู้ คือปล่ อยวาง” แล้ วทราบทันทีว่า โยมเองก็เป็ นหนึง ในผู้ปฏิบัติ ทีปฏิบัติเพือเอาคะแนนในช่ วงเข้ าพรรษา เมือปี ทีแล้ ว ตามทีเค้ าคุยกันในไฟล์ เจ้ าค่ ะ โยมยังไม่ เกิดปั ญญา เหมือนทีเค้ าคุยกันในไฟล์ เพราะยังเห็นว่ า ท่ านก็สอนเหมือนหลวงตาเจ้ าค่ ะ ซึงก็ทุลักทุเลเวลาไปเข้ าคอร์ สทีวัด เพราะโยม ฟั งไฟล์ เสียงของหลวงตาตลอดทุกวัน และปฏิบัตธิ รรม ตามทีท่ านสอนตลอดทุกวันเช่ นกันเจ้ าค่ ะ ขอความเมตตาหลวงตาได้ โปรดชีแนะโยม ด้ วยเจ้ าค่ ะ กราบขอบพระคุณเป็ นอย่ างสูงเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ไม่ มีตัวตนของเรามาแต่ แรก เพราะจิต วิญญาณทุกดวงเกิดมาจากความไม่ มีอะไร แล้ วดับ กลับไปสู่ความไม่ มีอะไรในทุกปั จจุบันขณะ ความคิด หรือความรู้สึกว่ า เราเป็ นผู้ เราเป็ นผู้เห็น เรา เป็ นผู้เป็ นอย่ างนัน เป็ นอย่ างนี เช่ น เราโปร่ งโล่ งเบา สบายว่ าง หรือ เรามีอาการแน่ น อึดอัด คับข้ อง ไม่ สบายกาย ไม่ สบายใจ ล้ วนแต่ เป็ น “สังขาร” ปรุงแต่ ง ทังนัน มันเป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สินความหลงยึดถือสังขารทังหมด เอามาเป็ นเรา ตัว เรา หรือของเรา และสินหลงเอาสังขารทีเป็ นเราหรื อ ตัวเราไปยึดถือ “ใจ” หรือธาตุร้ ู ทเป็ ี น “วิสังขาร” ก็สนตั ิ วตน สินกิเลส พ้ นทุกข์ (นิพพาน) ทันที ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
ธรรม หรือ ธรรมชาติแท้ ๆ ไม่ มีตัวตนของเรา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ หนูร้ ูสึกว่ าการเข้ าไป แก้ ปัญหากับทางโลกมันวุ่นวาย เหนือยมากเลยเจ้ าค่ ะ ตลอด - วันทีผ่ านมาเป็ นเพราะหนูกระโดดเข้ าไปเป็ น มัน และติดแช่ รึเปล่ าเจ้ าคะ แต่ พอกลับมาอยู่คนเดียวเดินจงกลมพิจารณา ปล่ อยวางสักพัก ก็ร้ ูสึกว่ ามันเงียบ สงบ สงัด ตืนเช้ ามา ทุกอย่ างรอบๆ ตัวก็ยังเงียบ สงบ สงัด เหมือนเดิม แต่ ก็พิจารณาว่ าความเงียบ สงบก็เป็ นธรรมชาติของมัน ไม่ ได้ เป็ นของหนู หนูไม่ ได้ เป็ นมัน แต่ กแ็ อบคิดสงสัย ว่ ามีเราไปแอบพอใจ ชอบใจในความเงียบ สงบนันรึ เปล่ า แล้ วจิตมันก็ร้ ู ว่าตัวทีสงสัย หรือตัวทีชอบใจ ดีใจ ก็เป็ นสังขารเหมือนกัน กราบขอความเมตตาหลวงตา ชีแนะเจ้ าค่ ะ
บางทีกร็ ้ ู สึกว่ าควรพุทโธ ๆๆ พิจารณาทวนเข้ า หาผู้ร้ ู ไหม เพราะเกิดความไม่ มันใจว่ า … เอ ... เราเคย พบผู้ร้ ู รึยังหว่ า (โดนสังขารหลอกอีกแน่ เลย) หรื อเรา ควรจะพิจารณาว่ ายังมี อะไรยึดอยู่ไหม หรือควรจะ พิจารณาตัวต้ นจิตทีคิด นึก ตรึกตรอง วิเคราะห์ เข้ าใจ แล้ วปล่ อยวางตรงนัน เหมือน basic มันยังไม่ แน่ น ควรกลับไป ทบทวน basic ให้ แน่ นก่ อน มันเป็ นความไม่ แน่ ใจ งง ๆ สับสน จนบอกไม่ ถูกค่ ะ อีกใจก็ร้ ูว่าความคิด ความรู้ สึก แบบนี เป็ นสังขาร ถ้ าไปจริงจังกับมันแสดงว่ ามีตัวเราที ยังไม่ สนตั ิ วตนเลยตะเกียกตะกายอยากทําโน่ น ทํานี เพือ ให้ "ตัวเรา" พ้ นทุกข์ อยากนิพพาน
สรุปว่ าอาการทังหลายแหล่ นีเป็ นสังขารทังนัน เลย ต้ องปล่ อยวางทุกขณะจิต มีอะไรขึนมาก็ วางๆๆๆๆไป ไม่ ต้องหาวิธีการทีแน่ นอน ไม่ ต้องหา แนวทาง ไม่ ต้องหาทางออก ไม่ ต้องหาคําตอบ เพราะ มันไม่ มี ก็ถ้าเรารู้ทันสังขาร ก็ไม่ มีตัวเราหลงเข้ าไปเล่ น กับมันจนเป็ นอวิชชา แค่ นันเอง.... ถึงตอนนีก็ร้ ู เข้ าใจว่ าความลังเล สงสัยนีเป็ น ตัวดีเลยทีทําให้ หมุนวนอยู่ในโอ่ ง ต้ องช่ างมัน เจ้ าค่ ะ กราบขมาทีรบกวนธาตุขันธ์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : “ธรรม หรือ ธรรมชาติแท้ ๆ” มีแต่ สงใด ิ สิงหนึง (สังขาร) เกิดขึนมาจากความไม่ มีอะไร (วิสังขาร) แล้ วก็ดับไปเป็ นธรรมดา ไม่ มีตวั ตนของเรา หรื อตัวเราเป็ นส่ วนเกินธรรมชาติเลย ส่ วนทีมีความรู้ สกึ ว่ า มีตัวตนของเราในธรรมชาตินัน เป็ นแต่ เพียงความโง่ หลงเข้ าใจผิด (มิจฉาทิฏฐิ) หลง ปรุ งแต่ งหลงยึดถือขึนมาเอง (อวิชชา)
ธรรม หรือ ธรรมชาติแท้ ๆ ก่ อนนีก็เป็ นมาอย่ างนี ปั จจุบันก็เป็ นอย่ างนี อนาคตไม่ มีทสิี นสุดก็เป็ นเช่ นนี เรี ยกว่ าเป็ นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ มีใคร หรื อไม่ มีตัวเราเป็ นเจ้ าของธรรมชาติ หรื อ ธรรมชาติ ไม่ ได้ เป็ นตัวตนของเรา เพียรสอนให้ จติ ใจเข้ าถึงความจริงของธรรม หรื อ ธรรมชาติ อย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย ด้ วยวิธีหรือแง่ มุม อย่ างไรก็ได้ จนจิตใจเขารู้ แจ้ งถึงความจริงด้ วยใจ เขาก็ สินความหลงว่ ามีตัวตน มีเรา ตัวเรา หรือ ของเรา
เมือสินตัวตน หรือ สินตัวเราในความรู้สึก ก็สนผู ิ ้ เสวย หรื อสินผู้ยึดมันถือมัน สินกิเลส พ้ นทุกข์ (นิพพาน) ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
สูงสุด กลับคืนสู่สามัญ ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะหลวงตา หนูขอส่ งการบ้ าน ค่ ะ ล่ าสุดหนูทุกข์ หนักมากเลยค่ ะ ดินรน ค้ นหา อยากจะเข้ าใจ จนสับสนวุ่นวาย มีความทะยาน อยากจะเข้ าใจและทําให้ ได้ ตามสิงทีครู บาอาจารย์ สอน และให้ ปฏิบัติตาม หนูหาสารพัดวิธีทจะเข้ ี าใจให้ ได้ พอ ยิงทําไม่ ได้ ไม่ เข้ าใจยิงทุกข์ หนักสาหัสมากจนถึงขัน ถอดใจ เรามันบุญน้ อยไม่ มีปัญญาคงไม่ มีวันเข้ าใจ อะไร พาลฟุ้งซ่ านอาการหนัก ทังหมดมีจุดเริ มต้ นทีอวิชชา “มีเรา ... อยาก … จะทําให้ ได้ อย่ างทีครู บาอาจารย์ ทเคารพรั ี กสอนมา ... เรา เรา เรา เรา .... จนลืมสนิทเลยเลยว่ าพระพุทธเจ้ า สอนอะไร
เราทําทุกอย่ างยกเว้ น … ปล่ อยวาง … แบก อวิชชาไว้ เหนือหัวแบบไม่ ร้ ูตัว และแล้ วกลับมาคําเดิม เลยค่ ะ เพียรหา เพียรส่ อง เพียรทํา ไม่ พบ เลิกทํา จึงพบ จบทีใจ หนูโง่ มากเลยค่ ะ วนไปวนมากลับมาจุดเดิมเลยค่ ะ สุดท้ าย … หยุด … ปล่ อยวาง …
จะปล่ อยวางจริ งหรือมีอาการอยากจะปล่ อย วางก็แค่ ร้ ู รู้ จริงหรือรู้ไม่ จริงก็ไม่ ได้ คิดว่ าถูกหรือผิด อะไรทีเป็ นอาการมันสังขารหมด มันทํางานของมันเอง ทําอะไรไม่ ได้ เลย ได้ แค่ รับรู้และปล่ อยวาง คือปล่ อย วางตัวทีคอยไปรั บรู้โน่ นนีนัน ตอนนีปฏิบัตแิ บบนีถูกต้ องไหมคะหลวงตา หนู มีตรงไหนทีเข้ าใจเพียน ๆ อยู่ อันไหนยังไม่ ถึงธรรม เป็ นแค่ การกระทํา แล้ วควรเพียรตรงไหนต่ อ หนูขอ กราบหลวงตาเมตตาชีแนะสังสอนด้ วยค่ ะ ขอก้ มกราบหลวงตาด้ วยใจเคารพบูชาอย่ างทีสุดค่ ะ
หลวงตา : สูงสุด กลับคืนสู่สามัญ คือ ดินรนค้ นหาแทบตาย (สังขาร - ปรุ งแต่ ง) สุดท้ าย ก็จบลงทีหยุดดินรน (วิสังขาร - ไม่ ปรุ งแต่ ง) ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
การให้ ทแท้ ี จริง ผู้ถาม : หลวงตาคะ ไฟล์ “ผู้ให้ ทแท้ ี จริ ง” ทําให้ ได้ เห็น ถึงความเมตตาไม่ มีทสุี ดไม่ มีประมาณของพ่ อแม่ ครู อาจารย์ ทไม่ ี หวังสิงใดตอบแทนจริงๆ นะคะหลวงตา เลยทําให้ ได้ ย้อนกลับมาเห็นว่ า “ใจทียิงใหญ่ ” ของ ความเป็ นผู้ให้ นัน คือ ให้ โดยไม่ หวังแม้ สงใดตอบแทน ิ นันจึงเป็ น “การให้ ทแท้ ี จริ ง”
การได้ มีโอกาสได้ ช่วยงานหลวงตาบ้ างตังแต่ งานหนังสือ จนถึงปั จจุบันนัน มองเห็นได้ ว่าแท้ จริง เริมต้ นด้ วยความเสียสละ (แบบแอบหวังผลตอบแทน ในใจ มีตัวเราทีอยากจะได้ อะไรจากการช่ วยงานหลวง ตา จะได้ บุญกุศล ได้ ความสุขใจ ได้ ความรู้เพิม ได้ รับ ความเมตตาจากหลวงตาฯลฯ) ทังหมดเหล่ านันแอบมี “ตัวเราตัวใหญ่ มาก” เป็ นเบืองหลังทังสิน เวลาผ่ านมาจนถึงวันนี สิงทีได้ เรี ยนรู้ จากหลวง ตาทีเป็ นต้ นแบบที “ทําให้ ดู” ถึงความเป็ นผู้ให้ ทแท้ ี จริ ง ทําให้ ใจเริมน้ อมลงมากขึน การจะทําอะไรเพือให้ ตัว เรา “ได้ รับผล” อะไร ให้ ตัวเรา “ดีกว่ าใคร” ยึด “ความคิดความเห็นของเรา” เริมลดลงเรื อยๆ
หลวงตาเคยพูดถึงว่ า ในหลวงรัชกาลที ท่ าน ให้ “ปิ ดทองหลังพระ” สิงนีคงเป็ นกุศโลบายของการลด ตัวตน ลดทิฏฐิมานะ ลดอัตตาตัวตน ว่ า เราเก่ ง เราแน่ เราดีกว่ าใคร ให้ หมดลงไป ขอกราบถวายชีวติ ทังหมดนี เป็ นทาส พระพุทธเจ้ า เป็ นทาสพระธรรม เป็ นทาสพระอริยสงฆ์ เป็ นทาสของหลวงตาพ่ อแม่ ครูอาจารย์ จากนีจะขอ เสียสละความมีตัวตนทังหมด เป็ นเพียงผู้ปิดทองหลัง พระ รับใช้ งานพระศาสนา ช่ วยงานหลวงตา (เท่ าที ความสามารถจะกระทําได้ ) จนกว่ าชีวิตนีจะหาไม่ ขอถวายความนอบน้ อมแด่ องค์ หลวงตาพ่ อแม่ ครู อาจารย์ ด้วยเศียรเกล้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ สาธุ “ใจทีเป็ นผู้ให้ โดยไม่ หวังสิงตอบแทน.... ยิงใหญ่ เหนือความยิงใหญ่ ” ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
พิจารณาเพือให้ เห็น สัจธรรมความจริงด้ วยใจ ผู้ถาม : ช่ วงนีมีเอายูทูป ผ่ าศพมาดู จริง ๆ ก็ดูมาได้ สักระยะแล้ ว แต่ เมือวันสองวันนี ดูแล้ วรู้ สึกใจภายใน มันเศร้ า ๆ เหมือนจะร้ องไห้ ก็คอยดูว่าเป็ นการปรุ ง แต่ งหรื อเปล่ า แต่ ก็ร้ ูสึกว่ ามันมาจากภายในจริง ผม กลัวว่ าการพิจารณาเช่ นนี จะทําให้ ใจเป็ นทุกข์ ไม่ ร้ ู ว่า ควรพิจารณาต่ อไปไหม ทุกวันนีพอนึกทีไร ใจมันก็ เศร้ า ๆ จะร้ องไห้ เอา กราบรบกวนหลวงตาหน่ อยครั บ พอดีช่วงนีก็ คอยตามรู้ กายใจตลอด กลางคืนก็เดินจงกรม พยายาม จะเดินให้ มากขึนเรื อย ไม่ ยอมแพ้ ความง่ วง แต่ บางวัน ก็ต้องพักบ้ าง เพราะกลัวจะมีปัญหากับการทํางาน ระหว่ างวัน
หลวงตา : น้ อมพิจารณาเพือให้ เห็นสัจธรรมความ จริงด้ วยใจ ว่ า ตัวตนของเรา หรือ ตัวเรา หรือ เรา ทังร่ างกาย จิตใจ รวมทังผู้ร้ ู ทีเป็ นตัวตนคงทีสักน้ อยหนึง นิดหนึง ปรมาณูหนึง ไม่ มีเลย จะได้ หายโง่ หรื อ สินอวิชชา ไม่ ใช่ หลงยึดถืออารมณ์ หดหู่ เศร้ าสร้ อย แม้ อารมณ์ นี ก็ไม่ เทียง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
ยึดถือความไม่ หลง ผู้ถาม : กราบขอโอกาสเจ้ าค่ ะ ... ฟั งไฟล์ เสียงองค์ หลวงตาซํา ๆ "ยึดถือความไม่ หลง" ซึงสมบูรณ์ โดย ธรรมอันบริสุทธิ ... ขอถวายถอดความซึงไม่ อาจเอาสิง ใดเข้ าไปปะปนได้ เลยเจ้ าค่ ะ ... อ่ านซํา ๆ น้ อมซํา ๆ ยิงถึงใจ ... กราบเท้ านมัสการมาด้ วยความเคารพสูงสุด เจ้ าค่ ะ *****************
หลงก็เป็ น "อาการ" เป็ นสภาวะ ... ก็ไม่ เทียง เวลามันหลง ก็ไม่ เป็ นทังผู้หลง เวลามันหยุด เหมือนโลกธาตุมันหยุดไปหมดเลยทัง ภายในและภายนอก ก็ไม่ มีตัวเราเป็ นผู้หยุด เป็ นแต่ "สภาวะทีหยุด" เวลามันหลงก็ไม่ มีตัวเราเป็ น "ผู้หลง" ก็เป็ นแต่ สภาวะ พอมันหยุด เหมือนโลกธาตุมันหยุดทังภายในภายนอก ก็ไม่ มีตัวเราเป็ น "ผู้หยุด"
สุดท้ าย ... จะหลง จะหยุด ก็ไม่ มี "ตัวเรา" ไม่ มีผ้ ูทไปยึ ี ดถือ - รังเกียจความหลง และไม่ มีผ้ ูไปหลงยึดถือความหยุด (อยากให้ หยุดและมีสภาวะอย่ างนีตลอดไป อย่ างนีก็ จะกลายเป็ นความหลง)
คิดว่ าตัวเองไม่ หลง แต่ ตัวเองพยายามยึดถือ "ความ หยุด" เลยกลายเป็ นความหลง ... เลยเรียกว่ า "หลง ความไม่ ยดึ ถือ" คือ พยายามทีจะไม่ ยดึ ถือ แล้ วก็คิดว่ า ตัวเราน่ ะไม่ ยึดถือ แล้ วก็ไปรั งเกียจความหลง แต่ โหย หาความไม่ หลง โหยหาความหยุด อย่ างนันน่ ะ "ยึดถือ ความไม่ ยดึ ถือ" เท่ ากับ "ยึดถือ" อีก เพราะฉะนัน ... มันจะหยุด มันจะหลง เราก็เพียรไป เรื อย มันหลง เราก็ไม่ หลงไปกับมัน ไม่ มีตัวเราไปหลง กับมัน
มันหยุด ก็ไม่ มีตัวเราไปพยายามทําหยุด และ "ไม่ มีตัว เราหลง" มันเลยเป็ นหยุด แต่ พอเราจะรั กษาความหยุด มันก็มีตัวเราไปหลงอีก ฉะนันเมือไม่ มีตัวเราไปหลง และไม่ มีตัวเราไปทําหยุด มันก็ไม่ มีใครปรุงแต่ ง มันก็เป็ นความไม่ ปรุ งแต่ ง และก็ถ้ามีเราไปพยายามไปรั กษาความไม่ ปรุ งแต่ ง มัน ก็กลายเป็ นหลงอีก รังเกียจความปรุ งแต่ ง จะพยายาม โหยหาความไม่ ปรุ งแต่ ง ก็กลายเป็ นหลงอีก เรานึกว่ า ไม่ หลงแล้ ว แต่ ในทีสุดก็หลง ... สุดท้ าย ... มันจะเป็ น ยังไงก็ช่างมัน … !!!
สุดท้ ายนะ ... ถ้ าเค้ าจะให้ อยู่ ก็ต้องทํางานหนักอยู่ เรื อยไป ก็เป็ นเรื องของเขา ถ้ าเค้ าอยากจะให้ อยู่กต็ ้ อง อยู่ ถ้ ามันถึงเวลาจะต้ องตาย มันก็ต้องตาย ไม่ ได้ เกียวกับเราเลย เป็ นเรืองของเขา ถ้ าเค้ าจะให้ เราอยู่เพือช่ วยงานพระศาสนา เราก็ทาํ งาน หนักเรื อยไป ถ้ าเค้ าจะให้ เราตาย ให้ สนการที ิ จะอยู่ ก็ เป็ นเรื องของเขา ไม่ เกียวกับเรา เป็ นเรื องของ ธรรมชาติ ด้ วยเหตุด้วยปั จจัย ไม่ มีใครเป็ น ไม่ มีใครเกิด ไม่ มีใครตาย ไม่ มีใครเป็ น อะไรเลย !!!
หลวงตา : สาธุ ลึกซึง ลึกลํา จริง ๆ… ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
ไม่ มีตัวเรา แม้ ในทุก ๆ ปรมาณูของจิต ผู้ถาม : กราบองค์ หลวงตาเจ้ าคะ ความผิดพลาดของ ผู้ปฏิบัติมันมีมาตังแต่ เกิดแล้ วใช่ ไหมคะ เพราะเรายึด ตัวตนว่ ากายนีใจนีเป็ นเราจนเคยชิน ตามทีโลกเขายึด กัน เลยผิดปกติจากธรรมชาติ เราไปเห็นว่ ามันมีตัวเรา แต่ แท้ จริ งมันไม่ มีตัว เรา ถ้ าตัวเราไม่ มีทุก ๆ ปรมาณูของจิต จึงจะรวมเป็ น ธรรมชาติ โดยเข้ าใจและเห็นด้ วยใจจริง ๆ ใช่ ไหมคะ ขอองค์ หลวงตาเมตตาสังสอนด้ วยคะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ ถูกต้ องแล้ ว ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
เมือเห็นโทษ ใจมันวางของมันเอง ผู้ถาม : เมืออ่ านสูตรของเว่ ยหลางแล้ ว ก็ร้ ูสึกว่ า ข้ อความในหนังสือกับไฟล์ ทหลวงตาให้ ี ฟังและ ความเห็นทีส่ งไปในครั งก่ อนนัน ในบางแง่ มุมช่ าง เกียวพันกันได้ พอดี จึงทําให้ มีความรู้ในหลายสิงหลาย อย่ าง แต่ ไม่ อาจเขียนระบุลงไปในทีนีได้ จึงขอส่ งแค่ ความรู้ความเห็นทีเพิมขึนเกียวกับ “ทางเดินทีลัดสันหรือเส้ นทางทีลัดสัน” ซึงมีคาํ อธิบายว่ า หมายความว่ า วิธีทจะทํ ี าให้ ผ้ ูปฏิบัติตามวิธีลัดนีให้ บรรลุธรรมได้ อย่ างฉับพลันโดยไม่ มีพิธีรีตอง แต่ วิธีการ ที “ฉับพลัน” นัน ย่ อมขึนอยู่แก่ ความช่ วยเหลือของครู อาจารย์ หรือผู้ควบคุมทีสามารถจริง ๆ เป็ นส่ วนใหญ่ เพราะตามธรรมดาแล้ ว “การเขียให้ ถูกจุด” นันแหละ เป็ นความสําเร็จทีฉับพลันเหนือความสําเร็จทังปวง
ถ้ ามีความจําเป็ นถึงขนาดทีจะต้ องให้ ตัวเอง เป็ นอาจารย์ ของตัวเองแล้ ว ขอจงได้ พยายามศึกษา และจับใจความสําคัญแห่ งข้ อความนัน ๆ ให้ ได้ จริ ง ๆ เถิด ... ดังนัน เมือพิจารณาข้ อความทังหมดนี ประกอบกับการปฏิบัตทิ อาศั ี ยเพียงฟั งจากไฟล์ คาํ สอน ของหลวงตา และวิธีการส่ งความรู้ความเห็นที เปลียนไป จึงอยากคิดว่ าเข้ าใจคําสอนตรงนีได้ ตาม สมควรคะ
หลวงตา : ปล่ อยให้ ทุกอย่ างเป็ นไปตามธรรมชาติ ของเขา ไม่ หลงติดไปกับสิงใด ไม่ ได้ ตังใจทําอะไร หลงติดไปกับสิงใด หรือ ตังใจไปทําอะไร ทุกข์ ใจทุกที มันเห็นโทษ...... *****ใจมันวางของมันเอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
หลงส่ งจิตออกนอกบ่ อย คือหลงยึดถือมาก ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ โยมผ่ านชีวิตการทํางาน และดูแลครอบครัว อย่ างไม่ เคยมีเวลาเป็ นของตัวเอง มาแล้ ว ตอนนีโยมแก่ แล้ ว หยุดทํางาน ลูกโตกัน หมดแล้ ว โยมแค่ คอยเป็ นกําลังใจให้ พ่ อ แม่ สามี ลูก ๆ เท่ านัน วางอะไรได้ โยมก็วางหมดเจ้ าค่ ะ วัน ๆ ก็ฟัง ธรรม เพียรเจริญสติ ไปปฏิบัติธรรม อยู่อย่ างนิง สงบ เย็น คบเพือนน้ อยมาก ไม่ ดูละครทีวี มีเล่ น line เพือฟั ง ไฟล์ เสียงธรรม ชีวติ นีพอแล้ ว พร้ อมตาย อยู่อย่ างนีเข้ าข่ ายค่ อย ๆ กลายเป็ นคนโง่ ดักดาน ซือบือ ลงไปเรือย ๆ อย่ างทีหลวงตาบอกไหม เจ้ าคะ กราบ กราบ กราบ เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ใจสินยึดถือหรือเปล่ าเล่ า ย่ อมเป็ นปั จจัตตัง รู้ได้ ด้วยตนเอง ทดลองให้ มี “สติ สัมปชัญญะ” คือ มีความรู้สึกตัวทัว พร้ อมอยู่กบั ลมหายใจเข้ าออก หายใจเข้ าบริกรรมว่ า “พุท” หายใจออก บริกรรมว่ า “โธ” โดยไม่ ขาดสติ หลงเหม่ อเผลอเพลินส่ งจิตออกนอกไป ทีอืน ไปหาสามี ลูก หลาน เรืองในอดีต กังวลเรื องใน อนาคต หมกมุ่นครุ่นคิดจนไม่ มีความรู้สกึ ตัวทัวพร้ อม อยู่กับลมหายใจเข้ า “พุท” หายใจออก “โธ”
ถ้ าสติ สัมปชัญญะ คือความรู้สึกตัวทัวพร้ อมขาดจาก ลมหายใจเข้ าออกขาด โดยหลงส่ งจิตออกนอกบ่ อย แสดงว่ ายังมีความหลงยึดถืออยู่มาก ทีนิงเฉยสงบว่ าง จึงเป็ นเพียงของปลอม คือ สะกดจิต ให้ อยู่กับความรู้สกึ นิงเฉยสงบว่ างเท่ านัน แต่ ไม่ ได้ ปล่ อยวางอะไรเลย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
หลงมี “ตัวเรา” ผู้ถาม : กราบเจ้ าค่ ะ หลังจากพบหลวงตาจดจ่ อฟั ง ธรรมนานหลายเดือนแล้ ว โยมมีสติร้ ูตัวอยู่ตลอด แต่ ไม่ ได้ % เมือส่ งจิตออกนอกก็ร้ ู เวลาเห็นทุกอย่ าง รอบตัว หรือคิดนึกสิงใด ธรรมของหลวงตาจะพรังพรู เข้ ามาสอนตลอดเจ้ าค่ ะ เพียรต่ อไปเจ้ าค่ ะ สร้ างเหตุที ดี โดยไม่ หวังผลอะไรเจ้ าค่ ะ กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : พระพุทธเจ้ าตรั สว่ า ถ้ าวิญญาณของเธอ . ไม่ ฟ้ ุงซ่ านออกไปภายนอก (ส่ งจิตออกนอก) .ไม่ สยบติดอยู่ภายใน (คือ หลงยึดติด หรือแช่ ติด อาการภายใน เช่ น นิงเฉย สงบ ว่ าง โปร่ ง โล่ ง เบา สบาย หรื อ สยบติดในอารมณ์ ฌาน) และ . ไม่ หลงยึดถือขันธ์ ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่ าเป็ นเรา ตัวเรา หรือของเรา
เช่ น เมือมีอาการโปร่ ง โล่ ง เบา สบาย นิง เฉย สงบ ว่ าง ก็ ไม่ หลงยึดถือว่ า เราเป็ นอาการเหล่ านัน หรือ อาการ เหล่ านันเป็ นของเรา เช่ น หลงยึดถือว่ าเราว่ าง โล่ ง เบา สบาย ...... หรื อ หลง ยึดถือว่ าจิตใจของเราว่ าง โล่ ง เบา สบาย ... หรื อ หลงยึดถือว่ าเราแน่ น ทึบ ตือ หนัก .... หรือ หลง ยึดถือว่ าจิตใจของเราแน่ น ทึบ ตือ หนัก .. ก็จะสินภพ ชาติ .. และความทุกข์ ทงมวล ั
พิจารณาดูแล้ ว โยมยังหลงยึดถือมีตัวตน มีเรา ตัวเรา หรื อของเรา ซึงเป็ นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือ เป็ น กิเลสโดยไม่ ร้ ู ตัว คือ มีตัวเราหลงยึดถือใจทีว่ าง โล่ ง โปร่ ง เบา สบาย สงบ นิง... และ มีเราหรือตัวเราดินรนค้ นหาทางออกจากทุกข์ หรื อมีเราหรือตัวเราเกลียดทุกข์ รักสุข ดีรัก ชัวชัง
ผู้ถาม : กราบเจ้ าค่ ะ เป็ นเช่ นนันเจ้ าค่ ะ กราบแทบเท้ า หลวงตา เป็ นพระคุณอย่ างสูงสุดทีช่ วยชีแนะเจ้ าค่ ะ จะเพียรต่ อตามทีหลวงตาชีแนะเจ้ าค่ ะ กราบ กราบ กราบ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
มีแต่ ธรรมชาติของสังขาร เกิดเอง ดับเอง ในความไม่ มีอะไร (วิสังขาร) ผู้ถาม : ความหลงทังหลายแหล่ อยู่ทจิี ต จิตทีหลงยึดตัวเองว่ าเป็ นตัวเป็ นตนของเรา จึงหลงรองรับทุกอย่ างไว้ ด้วยความไม่ ร้ ู หลงมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน จิตหลงยึดถือ จึงมีการปรุงแต่ งไปเอาไปผลัก หรื อไป ทําอะไร ๆ ให้ กบั จิต จิตจึงเป็ นแม่ ของอวิชชา ดับอวิชชา ดับทีความยึดถือจิตเป็ นตัวเป็ นตน จิตต้ องดับความยึดถือนันด้ วยปั ญญาของจิตเอง ไม่ ใช่ เราดันมีอวิชชาไปช่ วยสร้ างจิตสังขารไปดับจิต เพราะนันก็จะเป็ นการหลงยึดถือ มีจติ ตัวใหม่ อยู่รําไป
หลวงตา : ไม่ มีเรา ตัวเรา หรือ ของเราอยู่ในอาการ ของจิตใจหรือสังขารปรุ งแต่ ง และ ในวิสังขาร คงมีแต่ ธรรมชาติของสังขารเกิดเอง ดับเอง … เกิดเอง ดับเอง ในความไม่ มีอะไร (วิสังขาร ) ... อย่ างนีเรื อยไป มีสติ ปั ญญารู้เห็นความจริงจากใจอย่ างนี โดยไม่ มีเรา ตัวเราหรือ ของเราเลย
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
สุดท้ าย … ไม่ เหลืออะไรเลย ไม่ มีอะไรเลย ผู้ถาม : สุดท้ ายทีเพียรปฏิบัติมาทังหมด เพือยอมรับ สัจธรรมความจริง ว่ า "มันจะไม่ เหลืออะไรเลย ไม่ มี อะไรเลย" ใช่ ไหมเจ้ าคะหลวงตา น้ อมกราบแทบเท้ าองค์ หลวงตาทีเมตตาอย่ าง หาประมาณมิได้ ลูกขอถวายการเพียรปฏิบัติทงหมด ั เป็ นอาจาริยบูชาแด่ องค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ ใช่ แล้ ว ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
"รู้แก่ ใจ" ในปั จจุบันขณะ ผู้ถาม : กราบขอโอกาสเจ้ าค่ ะ วันนีกลับไปฟั งไฟล์ เสียง “สินผู้แสวงหา” อีกรอบหนึง ฟั งแล้ วน้ อมเข้ ามา พิจารณาอ่ านตน ก็ได้ ความแจ้ งแก่ ใจในสิงที องค์ หลวงตาเมตตาตักเตือนไว้ ก่อนหน้ านีเจ้ าค่ ะ หลายครังทีเมือจิตผุดปรากฏการณ์ ข้อธรรม หรื อความรู้ความเห็นอะไรพิเศษ แล้ วน้ อมไปพิจารณา เข้ า มันเลยกลายเป็ นหลงไปเป็ นสังขาร มีตัวเราไป พยายามทําความเข้ าใจ รู้เห็น จนสุดท้ ายยึดไว้ ไม่ ปล่ อยผู้ร้ ู หลงมีตัวตนเข้ าไปกระทํา เราคิดว่ าเราปล่ อย วางแล้ ว แต่ มันยังมีตัวเราไปปล่ อยวาง มันไม่ ได้ ปล่ อย วางตัวเรา และหลงยึดถือความไม่ ยึดถือด้ วยเข้ าใจผิด มีเราหลงแบกปั ญญาอยู่ ทิงร่ องรอยไว้ ให้ ครูบาอาจารย์ จับได้ ต่ อเมือเห็นได้ ในขณะจิตต่ อ ๆ มา ทีได้ รับการ ชีแนะ จึงได้ เข้ าใจและ "เห็นและละ" ได้ เร็วขึน
ตอนนีศิษย์ เริมเข้ าใจมากขึนแล้ วเจ้ าค่ ะ เห็น ความผิดพลาดของตน และพอจะรู้วิธีทจะไม่ ี กลับไป "ตกร่ องเดิม" ด้ วยสิงทีรู้ เห็นเป็ นออกมาจากใจ เมือ น้ อมไฟล์ เสียงมาพิจารณาตาม เรียกว่ าแจ้ งเจือก ๆๆ เจ้ าค่ ะ ธรรมชาติมันเป็ นอย่ างนีเอง ปรากฏการณ์ ทาง จิตทีโผล่ ขนมาเองให้ ึ จติ สัมผัสได้ อยู่ ๆ เมือมันถึงเวลา ปั ญญามันหมุนของมันเอง ข้ างในเขาหมุนของเขาเอง มันมีขึนมาแล้ ว มันเป็ นขึนมาแล้ ว ไม่ ต้องไปหาเหตุผล หรอก "มันถึงเวลาของมัน" มันหมุนของมันเอง เพราะ มันมีปัญญาเข้ าใจทีหลวงตาสอน ก็เลยนึกถึงกงล้ อธรรมจักรทีหมุน เมือ ธรรมจักรเคลือนตัว วงล้ อจะหมุนไปเรื อย เมือข้ างใน เค้ าเดินปั ญญา แม้ แต่ จะหลับหรือรู้ สึกตัวตืน เค้ าก็ ทํางานของเค้ าเอง
การหมุนของปั ญญามันก็คล้ ายกับการหมุน ของกิเลสในวงจรปฏิจจสมุปบาท ในแง่ ทว่ี า... ถึงทีสุด มันก็จะหยุดหมุนเอง โดยไม่ มีใครไปทําให้ หยุด ... เนืองด้ วยเหตุปัจจัย สิงทีปรากฏขึนได้ ไม่ ว่าหยาบละเอียดปานใด แม้ ความคิดปรุ งแต่ งทีปรุงเป็ นปั ญญามาสอนจิต ก็เป็ น สังขาร เป็ นธรรมชาติทเกิ ี ดเองดับเอง ถ้ าไม่ มี "เรา" เป็ นคนคิด ไม่ มีใครไปเบรคมัน ไปห้ ามมัน เมือจบ กระบวนการ เขาก็ดับไปเอง เป็ นธรรมชาติล้วน ๆ แต่ ทมีี ปัญหาคือมีตัวเราเข้ าไปร่ วมกับมัน แทนทีจะปล่ อยให้ มันเกิดเองดับเอง ดันมีตัวเราไป แทรกแซงธรรมชาติ
และทันทีทมีี "ตัวแสวง" เพืออยากจะทําความ เข้ าใจกับสังขารทีผุดขึนมา ก็มี "ตัวเสวย" และตัวนัน แหละคือ "ตัวยึด" คือตัวเราทีร่ วมไปกับสังขาร กลายเป็ นความดินรน ค้ นหา ประมวลผล อยากจะพา ตัวเองไปพ้ นทุกข์ แอบมีเป้ าหมาย ฯลฯ ... กลายเป็ น ไม่ สนตั ิ วตน ... วนเวียนอยู่อย่ างนีเรื อย ๆ หลวงตาได้ เมตตาบอกทางแก้ ไขไว้ แล้ วซํา ๆ ยํา ๆ ทุกวัน "แค่ เห็นมันเป็ นสังขาร แล้ วปล่ อยให้ มัน เกิดเองดับเอง" คือ รู้และเห็นออกมาจากใจว่ าสิงทีกระเพือม ไหวตัวใน "ใจ" ทุกอาการทีรั บรู้และนํามาเล่ าต่ อได้ เป็ น "สังขาร" และไม่ มีตัวเราไปยึดถืออาการของสังขาร ปล่ อยให้ มันเกิดเองดับเอง และไม่ ยดึ ถือใจทีไม่ สังขาร (วิสังขาร) ขณะจิตนันจึงพ้ นทุกข์ ไป ...
อาการทีเจือกวันนีจึงเข้ าไปถึงใจได้ มากกว่ า ครั งก่ อน ๆ ก็เพราะมันมีเหตุของมัน ซึงไม่ ต้องทํา ความเข้ าใจเจ้ าค่ ะ แค่ "รู้แก่ ใจ" ในปั จจุบันขณะเดียวนี แล้ วก็ไม่ มีใครไปยึดถือมัน แค่ นีเองเจ้ าค่ ะ ขอถวายปรากฏการณ์ นีบูชาพระคุณอันบริสุทธิของ องค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ กราบเท้ านมัสการมาด้ วยความ เคารพสูงสุด
หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
เพียรสร้ างเหตุทดีี ผู้ถาม : ลูกคิดว่ าลูกพบตัวรู้ตัวสุดท้ ายแล้ ว เมือเย็น วันพฤหัส ทีเหมือนร่ างจะระเบิด เลยนํามาพิจารณา และจะต้ องเพียรต่ อ เพราะมันละเอียดมาก ๆ และอยู่ กันมานานจริง ๆ เพียรแค่ ทาํ เหตุให้ ดี เมือถึงเวลา มันจะเป็ นไปตามกาล และเวลาของมันเองเจ้ าค่ ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาทีเมตตาให้ ลกู มี ซีรีส์ทอาจจะเป็ ี นประโยชน์ ต่อโลกบ้ างเจ้ าค่ ะ น้ อมกราบแทบเท้ าองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ กราบ กราบ กราบ เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
เหลือแค่ ธรรมชาติสองสิง จนกว่ าจะสินอายุขัย ผู้ถาม : น้ อมจิตกราบองค์ หลวงตาด้ วยความเคารพ อย่ างสูงยิงเจ้ าค่ ะ เช้ านีฟั งไฟล์ เสียงแล้ วเจ้ าค่ ะ ชัดเจน แจ่ มแจ้ งเจ้ าค่ ะ (สักแต่ ว่าชัดเจน สักแต่ ว่าแจ่ มแจ้ งเจ้ า ค่ ะ) หลวงตาชีให้ เห็นตัวผู้ร้ ูตัวสุดท้ ายที ละเอียดอ่ อนมาก ๆ หากไม่ มีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ องค์ หลวงตาช่ วยชีก็คงไม่ ชัดเจนเจ้ าค่ ะ
หลังจากทีหลวงตาชีสภาวะให้ พอเห็นมันแล้ ว มีอาการขนลุกซู่ ข้ างในใจวาบ ๆ เป็ นอยู่หลายครั งสัก พักใหญ่ ก่อนจะเข้ านอนเจ้ าค่ ะ แต่ ลูกไม่ สามารถนอนได้ ภายในสว่ างมาก มากเหมือนตอนกลางวัน เหมือนนอนกลางแดด สว่ าง มากกว่ าสภาวะจิตตืน ลูกเลยนังภาวนาสักแป๊ บเดียว ต้ องกราบขอขมานะเจ้ าคะ หลวงตาเคยสอนว่ า นอน ไม่ หลับถือเป็ นโอกาส แต่ สว่ างหลายชัวโมงแล้ วเลย ต้ องขออนุญาตภาวนาเจ้ าค่ ะ
ฟั งไฟล์ เสียงแล้ วนําตาจะไหล ซาบซึงในมหา เมตตาของหลวงตาทีคอยชีแนะสังสอนชีขณะจิตให้ การได้ มีโอกาสไปกราบหลวงตาถือเป็ นบุญวาสนาอย่ าง สูงยิง นับเป็ นอีกหนึงเรื องในภพขาตินีทีถือว่ าเกิดมา ไม่ เสียชาติเกิด ลูกจะเพียรต่ อไปจนลมหายใจสุดท้ าย จะสู้ไม่ ถอย จนกว่ าแผ่ นดินจะกลบหน้ า ให้ สมกับที พระบรม ศาสดาเมตตา พระธรรม พระอริยสงฆ์ องค์ หลวงตา และพ่ อแม่ ครู บาอาจารย์ เมตตาเจ้ าค่ ะ
ผู้ร้ ูตัวนีช่ างละเอียดอ่ อนนัก ต้ องใช้ มหาสติ มหาสมาธิ และมหาปั ญญา จึงจะละได้ จริง เพราะมัน ติดแนบเนียนมานานจริง ๆ ลูกฟั งไฟล์ เสียง “หลวงตาสอนอะไร” หลายครั ง ผู้ร้ ูตัวนีคือตัวหลวงตาบอกว่ า สามเส้ า คือมี สังขาร วิสังขาร และตัวเกินมาอีกตัว ให้ เห็นมันเป็ นสังขาร ก็ จะเหลือแต่ ธรรมชาติสองสิง เค้ าดําเนินไปจนสิน อายุขัย หากมีความคลาดเคลือนหลวงตาเมตตาด้ วย เจ้ าค่ ะ
น้ อมอนุโมทนากับผู้อยู่เบืองหลัง ทีมงานทุก ๆ ท่ าน จากใจจริง ๆ เจ้ าค่ ะ ความสามารถทางคอมพิวเตอร์ ไอที ลูกมีน้อย แต่ หาก มีสงใดที ิ ลูกพอจะทําได้ ลูกยินดีเจ้ าค่ ะ หลวงตาถนอมขันธ์ ถนอมสุขภาพด้ วยนะเจ้ าคะ น้ อมจิต กราบ กราบ กราบ เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
ปล่ อยวาง หรือ ไม่ มีผ้ ูยึดถือ ย่ อมถูกต้ องทังหมด ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ หลายวันมานีผม มีเรื องอยากกราบรายงานหลวงตาเกียวกับการปฏิบัติ แต่ เมือพิมพ์ ออกมาแล้ ว ก็คิด ก็เข้ าใจว่ าสิงทีอยากจะ กราบเรี ยนหลวงตา อยากจะถามหลวงตามันเป็ น สังขารทังนัน ผมก็เลยไม่ ส่งมา เช่ นเมือเช้ าผมฟั งเรื อง "วางแม้ แต่ ผ้ ูวาง" ขณะทีหญิงท่ านนันกําลังอธิบายถึงสภาวธรรมของเขา ใจผมมันก็ตนตั ื นขึนมาดือ ๆ นําตาไหล ข้ างในใจก็ บอกมาพร้ อมกันทันทีว่าเป็ นสังขาร มันก็ทเุ ลาลงและ หายไป
ผมก็กะจะกราบเรียนหลวงตา แต่ ใจก็ร้ ูว่าที เป็ นอย่ างนันเพราะ "มันโดนใจ" ส่ วนทีอยากจะถามก็ เป็ นสังขาร และก่ อนหน้ านีรวมถึงปั จจุบันนี เมือมีสติดีอยู่ ผมพิจารณาเห็นสังขารเกิดดับในความว่ างเปล่ า และ เห็นว่ าผู้เห็นแล้ วคิดปรุงนันก็เกิดดับในความว่ างเปล่ า เช่ นกัน มันก็สงสัยว่ านีเรามโนเอาเองหรื อเปล่ า ก็อยากจะกราบเรียนถามหลวงตา แต่ ใจมันก็บอกว่ า การพิจารณารู้เห็นอย่ างนี ผู้ร้ ูผ้ ูเห็นนีก็เป็ นสังขาร การ ทีสงสัยอย่ างนันก็เป็ นสังขาร ผมก็เลยไม่ ได้ กราบเรียน ถามหลวงตาครั บ แต่ คิดไปคิดมาก็กลัวว่ าถ้ าผิดทางจะไปกันใหญ่ ก็เลยกราบเรียนหลวงตาครั บว่ าทีผมพิจารณาอย่ างนัน และปั จจุบันผมเดินทางมาถูกทางไหมครับ
หลวงตา : ปล่ อยวาง หรือ ไม่ มีผ้ ูยึดถือ ย่ อมถูกต้ อง ทังหมด ยึดถืออะไร แม้ ยึดถือความว่ าง โอภาส (ความสว่ าง) หรื อ นิพพาน ย่ อมผิดทางคําสอนทังหมด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
ความพ้ นทุกข์ อยู่ที ใจสินโลก ผู้ถาม : ขอโอกาสถามหลวงตาค่ ะ หลวงตามีความ คิดเห็นอย่ างไรกับการอยู่ทางโลกและปฏิบัติภาวนาไป ด้ วย กับการละทางโลกเข้ าสู่ทางธรรมด้ วยการเป็ นแม่ ออกถือศีล หรือการบวชชี อย่ างไหนจะง่ ายกว่ าใน การได้ ธรรมคะ
หลวงตา : ทางไหนก็พ้นทุกข์ ได้ เหมือนกัน ...... “อยู่ทใจสิ ี นโลก” ถ้ าใจเป็ นโลก อยู่ทไหน ี ไม่ ว่าจะเป็ นอะไร ก็ไม่ พ้นทุกข์ เหมือนกัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
สินตัวตนของเราไปยึดธรรมชาติ หลวงตา : คําว่ า “สินผู้ร้ ู” อาจตีความผิด ทําให้ ทงรู ิ ้ ไป หมด ส่ วนธรรมชาติร้ ู ทีเป็ นพุทธะ ก็จะสินไปไม่ ได้ เพียงแต่ สนตั ิ วตนของเราไปยึดเขา เท่ านัน สินหลงยึดถือผู้ร้ ูตัวปลอม ก็จะพบใจ ซึงเป็ นผู้ร้ ู ตัวจริง และ ไม่ ยึดถือใจ ก็พ้นทุกข์ หรือ นิพพาน แต่ ถ้ายึดถือ นิพพาน ก็ยังเป็ นทุกข์ ไม่ ยึดถือนิพพานด้ วย จึงพ้ นทุกข์ พ้ นทุกข์ เพราะสินความหลงรู้สึกว่ ามีตัวตนของเรา หรื อ สินหลงว่ ามีตัวเรา จึงไม่ มีตัวเราไปยึดถืออะไร และไม่ มีตัวเรา มาหลงยึดถือตัวเรา ให้ เป็ นทุกข์ จึงพ้ นทุกข์ (นิพพาน)
ผู้ถาม : อย่ าทิงรู้ ค่ะ รู้ อะไรก็ร้ ู ไปแต่ ไม่ มีใครยึดเจ้ าค่ ะ ผู้ถาม : กราบ กราบ กราบในความเมตตาขององค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ ... ทีไม่ เคยปล่ อยโอกาสทีจะแก้ ความเห็นผิดของศิษย์ เลย ... สินตัวตนของผู้ทไปหลงยึ ี ดถืออะไร ก็คือสินความ ยึดถือไปในตัว ... แต่ ความสินไปเหล่ านัน ... ไม่ ได้ ทาํ ให้ "ความรู้" (พุทธะ) หายไป ... ยังคงความเป็ นอมตธาตุ อมตธรรมตลอดกาล กราบสาธุเจ้ าค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ไม่ มีตัวตนของผู้ยดึ ถือ จึงไม่ มีผ้ ทู ุกข์ ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ ทําไมเวลาทีมันว่ าง ไม่ มี อะไร มันจึงเห็นคนทังหลายเป็ นของว่ างด้ วย ? ไม่ สามารถเห็นจิต หรือเห็นความเคลือนไหวของจิต เขาได้ เลย ? โลกภายนอกมันว่ างไปหมด แม้ ความคิด ยังพูดไม่ หยุดก็ตาม แล้ วอย่ างนีจะสอนเขาได้ อย่ างไร ถ้ ามันไม่ เห็น จิตเขา?
หลวงตา : ใครเล่ าเป็ นผู้ร้ ูความว่ างนัน ? ผู้ร้ ูความว่ างนัน เป็ นผู้ร้ ู ตัวปลอม เพราะมันจะคิดตรึกตรองได้ จึงเป็ น “สังขาร” เป็ นสิงทีไม่ เทียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา ให้ ปล่ อยวางผู้ร้ ูนันทุกปั จจุบันขณะ ก็จะสินสังขาร พบใจทีไม่ สังขาร ไม่ ยึดถือใจนัน จึงพ้ นทุกข์ (นิพพาน)
“ใจ” และ นิพพานไม่ ใช่ สภาวะ ไม่ มีสัญลักษณ์ ไม่ มีที หมาย จึงไม่ มีอะไรให้ ยึดถือได้ อีกทังไม่ มีตัวตนของผู้ยึดถือด้ วย เมือไม่ มีตัวตนของผู้ยึดถือ จึงไม่ มีผ้ ูทุกข์ (นิพพาน) เมือพ้ นทุกข์ แล้ ว ก็จะรู้แก่ ใจเองว่ า บัดนี สินผู้เสวย หรื อ สินผู้ยึดมันถือมัน จึงสินกิเลส พ้ นทุกข์ (นิพพาน) แล้ ว ชาตินีเป็ นชาติสุดท้ าย ภพชาติใหม่ ไม่ มีอีกต่ อไป พระอริยเจ้ าทังหลาย อยู่กบั รู้นี หรื อ อยู่กบั รู้ ว่าสินตัวตนของผู้ยดึ ถือแล้ ว จึงรู้ทุกอย่ าง ด้ วยความเป็ นกลาง หรือเป็ นอุเบกขา
ผู้ถาม : เจ้ าค่ ะหลวงตา มันมีตัวหนู ไปอะไร ๆ กับ ความว่ างอีกแล้ ว มันยึดถือกับการสอนผู้อืนเลยโวยวายเจ้ าค่ ะ จริ ง ๆ ไอ้ ตัวโวยวาย ก็คือผู้ร้ ูความว่ าง ตัวปลอมนันเอง
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ความจริงของธรรมชาติ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ เมือเช้ าตืนมา เบลอๆ ไม่ เเน่ ใจว่ าส่ งจิตออกนอกหรือเปล่ า พอเข้ า ห้ องพระสวดมนต์ ก็เห็นจิตผู้ร้ ูเป็ นดวง เเล้ วก็เห็น เปลือกของเขาสลายไป เลยอยู่กับรู้ทไม่ ี มีจุดมีดวง ความสงสัยก็ยังมีอยู่ว่าทําถูกหรื อเปล่ าเจ้ าค่ ะ หลงก็ ตามรู้ ทีหลังเจ้ าค่ ะ ไฟล์ เสียงวันนีหวานฟั งหมดเเล้ วเจ้ าค่ ะ ด้ วยความ สงสัย หวานได้ บริกรรมพุทโธ เเต่ จติ ก็ไม่ รวมเป็ นดวง เหมือนเดิม บางครั งพุทโธถี ๆ ก็เห็นมีเป็ นกระเเส ความคิดมากําลังจะสร้ างเปลือก พอเห็นก็สลายไป ตอนนีไม่ ต้องบอกเตือนว่ าเป็ นสังขารเเล้ วเจ้ าค่ ะ ดู เหมือนเขารู้อยู่เเล้ วเจ้ าค่ ะ
กราบขอบพระคุณหลวงตาทีเมตตาหวานเจ้ าค่ ะ หวาน ยังรู้สึกมีตัวตน คือลึกๆยังไม่ เเน่ ใจว่ าเราเเอบส่ งออก หรื อเปล่ าเจ้ าค่ ะ เเละยังยึดว่ าปล่ อยให้ ส่งออกไม่ ได้ เจ้ า ค่ ะ
หลวงตา : ความรู้สึกว่ ามีตัวตนของเรา หรือ มีตัวเรา อยู่ในความรู้สึก เป็ นเพียงมายาของสังขาร คือ ความ หลงไปตามความคิด ความรู้สึก หรือสิงทีปรุงแต่ ง
***** เพียงแค่ ร้ ูเห็นจากใจว่ า ความคิดหรือความรู้ สึกว่ า เป็ นตัวเป็ นตน เป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรื อ เป็ นของเรา รวมทังความคิด ความปรุ งแต่ ง หรื ออาการใด ๆ ทุก ปั จจุบันขณะ แม้ เพียงน้ อยหนึง นิดหนึง ปรมาณูหนึง เป็ นเพียงมายา เป็ นสังขารปรุ งแต่ ง ใจเขาก็จะไม่ หลง ยึดถือเอง ให้ ย้อนกลับไปอ่ านพิจารณาทังหมดตังแต่ ต้น จนสิน สงสัย นะ
ผู้ถาม : อย่ างหวานนีควรทําสมถะทุกวันก่ อนฟั ง ธรรมหลวงตาใช่ ไหมเจ้ าคะ ไม่ งนมั ั นส่ งออกไปอยู่กับ ว่ างตอนตืนนอน เเล้ วดูยากเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : จะไปทําอะไร ก็มีเบืองหลังแอบแฝงอยาก ให้ เราหรือตัวเราไปได้ ไปเป็ น ไปบรรลุอะไร มันเป็ น กิเลส หรื อ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ทําให้ เกิดภพชาติ … และความทุกข์ ทงมวล ั ความจริงของธรรมชาติ คือ ไม่ มีตัวตนของเราทีเป็ น ส่ วนเกินธรรมชาติเลย ถ้ ามีความรู้สึกว่ ามีเราหรื อตัว เรา จะไปเอา ไปได้ ไปถึง ไปเป็ นอะไร มันจะเป็ น ส่ วนเกินของธรรมชาติ จึงไม่ สามารถกลืนหายไปใน ธรรมชาติได้ จิตหรือวิญญาณมันจะเหลือตัวตนโปร่ ง แสง ให้ ยมทูตเขามาเอาตัวไปพิพากษาและต้ องรั บผล กรรมได้
ให้ มีสติ ปั ญญา เห็นผู้ร้ ู ปล่ อยวางผู้ร้ ูทุกปั จจุบันขณะ เพราะ ผู้ร้ ู เป็ นจิตหรือวิญญาณขันธ์ ทีทํางานร่ วมกับ เจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร ทุกปั จจุบันขณะ ดังนัน ถ้ า ไม่ ร้ ู เท่ าทันผู้ร้ ู และ ไม่ ปล่ อยวางผู้ร้ ูทุก ปั จจุบันขณะ ก็จะปล่ อยวางขันธ์ ห้าไม่ ครบห้ าขันธ์ และ เมือไม่ เห็นผู้ร้ ู ก็จะหลงสังขาร หรือ หลงเอาสังขารคือ ขันธ์ ห้ามาคิดปรุ งแต่ งยึดถือเป็ นเรา ตัวเรา หรื อของเรา ถ้ าปล่ อยวางสังขารหมดตลอดเวลา จนถึงต้ นจิต คือ ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจว่ าอะไรเป็ นอะไร เลยจากนันไปจนไม่ มีทหมายจะเป็ ี นความไม่ มีอะไรปรากฏเลย หรื อ รู้ เห็นจากใจว่ า “สังขาร” ทังหมดทุกปั จจุบันขณะ ก่ อนเกิดก็ไม่ มี มีแล้ วก็ดับไปเสียทังหมดเป็ นธรรมดา หรื อ สังขารทังหมดทุกปั จจุบันขณะเกิดขึนมาจาก ความไม่ มีอะไร แล้ วก็ดับไปเป็ นธรรมดา ไม่ มีตัวตน ของผู้ยึดมันถือมัน ก็สนกิ ิ เลส พ้ นทุกข์
ดังนัน จะปฏิบัติอย่ างไรก็ได้ แต่ ต้องสินความหลง ยึดถือว่ ามีตัวตนของเรา หรือ มีตัวเรา เพราะ หลง สังขาร หรือ หลงยึดถือขันธ์ ห้าเท่ านัน จึงหลงเอา สังขารหรือขันธ์ ห้ามาคิดปรุ งแต่ งเป็ นความหลงว่ ามี ตัวตนของเราในความรู้สึก ถ้ าพ้ นสังขารแล้ ว ก็ไม่ อาจเอาสังขารมาหลงปรุ งแต่ ง เป็ นอะไรได้ ก็ได้ แต่ แค่ ร้ ูเท่ านัน แต่ ก็ไม่ มีใครเป็ นเจ้ าของ ”รู้ ” เพราะ เขาเป็ นธรรมชาติ หรื อ เป็ นธรรมธาตุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
เพราะรู้ทนั ผู้ถาม : กราบขอโอกาสเจ้ าค่ ะ ... การบ้ านทีได้ ส่ง เป็ นปั จจุบันธรรมในภาพธรรมวันนี เป็ นเครื องสะท้ อน ให้ เห็นอาการเกิดดับของ "จิต" ทีไวมาก อยู่ในความ ไม่ เกิดดับของ "ใจ" เหมือนไลฟ์ สดด้ วยกล้ องปรมาณู เข้ าไป จิตเกิดปรากฏการณ์ "ถึงใจ" มากขึนเรื อย ๆ แม้ ในธรรมทีพิจารณาลงแก่ ใจแล้ วเจ้ าค่ ะ ในความละเอียด ก็ยังมีหยาบ กลาง ละเอียด แม้ ทสุี ดของความละเอียด ก็ยังมี "ปรมาณู" ทีองค์ หลวงตาเมตตายํานักยําหนา ... เพือเตือนให้ มีสติร้ ูเท่ า ทัน ... "อย่ าทิงรู้ " ในความเข้ าใจถึงใจทีสุดนัน ขันธ์ ยังทํางาน รั บรู้ปกติ มีอารมณ์ ครบทุกอารมณ์ ดีใจ เสียใจ ซาบซึง
ศิษย์ เข้ าใจและเห็นด้ วยใจว่ า ... การ "สักแต่ ว่ารู้ " คือ การปล่ อยวางทุกอย่ างไปในตัว รับรู้ ทุกอาการที กระเพือม รับรู้ แม้ ความหลง ... และไม่ มีผ้ ไู ปยึดถือหรื อ ทําอะไรกับมัน ทุกอย่ างเกิดแล้ วต้ องดับไปตาม ช่ วงเวลาเหมาะสมคือเหตุปัจจัยของมัน โดยทีไม่ มีใคร ต้ องเข้ าไป "อะไรกับอะไร" เลย ... กราบขอบพระคุณจากทุกอณูของ "ใจ" ในความเมตตา ไม่ มีทสุี ดไม่ มีประมาณ ทีพ่ อแม่ ครู อาจารย์ มีให้ เสมอ มาเจ้ าค่ ะ หากสามารถทําได้ ขอเอากระหม่ อมนีไว้ รอง บาทพ่ อแม่ ครูอาจารย์ ... ขอเป็ นผ้ าขีริวให้ หลวงตา เมตตาเช็ดเท้ าเจ้ าค่ ะ กราบเท้ านมัสการมาด้ วยความ เคารพสูงสุดเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : แล้ วจะเหลืออะไรเพราะรู้ทนั ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
วางผู้วาง ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะ มีอุบายธรรมอะไรไหมคะ ทีทําให้ จิตเราแค่ ร้ ู การทีจิตจะรู้ ซือ ๆ ได้ ต้องมีกาํ ลังตัง มันก่ อนใช่ หรือไม่ คะ การทีรู้ ซือ ๆโดยไม่ เข้ าไป แทรกแซงยากมากค่ ะ
หลวงตา : มันเป็ นอย่ างไร ก็วางไปอย่ างเดียว วางผู้วาง ผู้อยากให้ มันเป็ นอย่ างไรนันแหละ ... ก็พ้นทุกข์
ผู้ถาม : หมายความว่ ามันจะปรุ งอย่ างไรแค่ ร้ ูทนั ใช่ หรือไม่ คะ
หลวงตา : แล้ วจะเหลืออะไรเพราะรู้ทัน เช่ นนีก็แค่ ร้ ู ทนั จิตทีปรุ ง มีแค่ นี มันเป็ นอย่ างไร ก็วางไปอย่ างเดียว วางผู้วาง ผู้อยากให้ มันเป็ นอย่ างไรนันแหละ... ก็พ้นทุกข์
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณค่ ะ
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที กรกฎาคม
“เรา” ทีพยายามสอน “ตัวเรา” คือ สังขาร ผู้ถาม : กราบขอโอกาสเจ้ าค่ ะ เช้ านีขณะทําวัตร สวดมนต์ ปรากฏเป็ นความเข้ าใจสอนจิตให้ แจ้ งลงไป อีกเจ้ าค่ ะ แจ้ งแบบเนียน ๆ ให้ จิตได้ ซึมซับและ "ยอมรับ" ด้ วยใจจริง ๆ ยอมรั บแบบไร้ ข้อแม้ ไร้ ความ พยายามแม้ กระทังจะดู รู้ เห็นอะไร รับรู้อย่ าง ธรรมชาติ ปากก็สวดมนต์ ไป ใจก็รับรู้ไป ธรรมารมณ์ กระแทกใจ นําตาก็ร่วงไป แต่ ขันธ์ ทุกขันธ์ ต่างฝ่ ายต่ าง ทํางานตามปกติ ตามหน้ าทีของเค้ า
ไม่ ว่าจะปฏิบัติมาตังแต่ ภพชาติใด หลงผิดบ้ าง มาถูก ทางบ้ าง เวียนวนเป็ นมิจฉาทิฏฐิบ้าง ได้ เจอครู บา อาจารย์ ชีทางสัมมาทิฏฐิบ้างเมือยังไม่ "สินเชือ" แห่ ง "ความหลง" ก็ยังคงต้ องขึนลงปี นป่ ายตกเขาพระ นิพพานกันมานับครั งไม่ ถ้วน สาเหตุคือด้ วยความดือ รั น ไม่ ยอมรั บ "ธรรมชาติตามความเป็ นจริง" มันถึงไม่ สามารถจะเข้ าถึง "สัจธรรมความจริง" ได้ ทีเราเพียรปฏิบัติกันมานี เพียงแค่ "ฝึ กจิต" ให้ "เข้ าใจ และยอมรับ" ความจริงของธรรมชาติ อย่ าง "ถึงใจ" จน ไม่ หลงเหลือ "ความยึดมันถือมัน" ใด ๆ อยู่เลย ว่ าสัจ ธรรมความจริงนัน มีแต่ "ธรรมชาติ" ไม่ เคยมี "ตัวตน ของเรา" มาตังแต่ แรก และไม่ เคยมีอยู่ตลอดกาล
กระบวนการ "เข้ าใจ" อย่ างถึงใจ ก็เป็ นการยากทีจะ เข้ าถึง หากมี "ตัวเรา" พยายามกระทําให้ เป็ นไปอย่ าง ทีเราหวังผล นันคือสิงกีดขวางทีเป็ นเหมือนม่ านบาง ๆ ทีมองด้ วยตาเปล่ าไม่ เห็น แต่ เมือ "ถึงใจ" ซะแล้ ว ย่ อม เข้ าใจด้ วยใจ ไม่ เหลือวิสัยของการเพียรมีสติร้ ู เท่ าทัน กัดติดจดจ่ อต่ อเนือง กระบวนการ "ยอมรับ" ยิงยากกว่ าความเข้ าใจ ยอมรับ ว่ า สุดท้ ายจะ "ไม่ เหลืออะไรเลย" ต้ องอาศัยความ หาญกล้ าทีจะยอมรับว่ า แม้ จะพยายาม "สงวนรั กษา" ปรมาณูส่วนทีละเอียดทีสุดไว้ สุดท้ ายจะมีแค่ "ความ ว่ างเปล่ า" ต้ องกล้ าทิงทุกอย่ างจริง ๆ แม้ แต่ เส้ นบาง ๆ ของความรู้สึกทียึดไว้ ในใจ คือสังขารส่ วนละเอียดทีสุด เมือสินยึดทังโลกและธรรม อิสรภาพทีไร้ พันธนาการจึง จะปรากฏขึน
สภาวธรรมทุกอย่ างเป็ นเพียงสังขาร เกิดขึนและดับไป ในขณะจิต เมือได้ เรี ยนรู้ และ "รู้เห็นด้ วยใจ" บ่ อย ๆ นี คือครู ทดีี ทสุี ด กัลยาณมิตรทีดีทสุี ดคือใจทีผ่ านการ ฝึ กฝนให้ รั บรู้ความจริงของธรรมชาติตามความเป็ น จริง อย่ างทีมันเป็ น และนีคือ "เส้ นทางแห่ งพุทธะ" ทีองค์ หลวงตาเมตตา เน้ น ยํา จําจีจําไช ด้ วยความเมตตา ให้ ทุกคนได้ ผ่าน "ประสบการณ์ การเรียนรู้ " ด้ วยตนเอง น้ อมกราบแทบ เท้ าพ่ อแม่ ครูอาจารย์ ด้วยความเคารพสูงสุดเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : อ่ านพิจารณาดูแล้ ว มีเราพยายามสอนตัว เรา พยายามทําความเข้ าใจ บีบบังคับให้ ยอมรั บตาม ความเป็ นจริง ก็คือยังไม่ สนความหลงว่ ิ ามีตัวเราอยู่ ให้ เห็นว่ าความคิดความรู้สึกนันเป็ นสังขาร
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณองค์ หลวงตาทีเมตตา ชีให้ เห็นเจ้ าค่ ะ "ความคิดความรู้สึกเหล่ านันเป็ น สังขาร" น้ อมมาพิจารณาต่ อให้ ต่อเนืองเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ ผู้ถาม : กราบขอโอกาสเจ้ าค่ ะ ... ทีหลวงตาเมตตา เตือนว่ า "มีเราพยายามสอนตัวเรา พยายามทําความเข้ าใจ บีบ บังคับให้ ยอมรับตามความเป็ นจริ ง" ...
โดนใจมากเจ้ าค่ ะ น้ อมพิจารณาแล้ ว เห็นเจ้ า "สังขาร หมาอยากเห่ า" ทีแสดงอาการเป็ นผู้พยายามบีบคันให้ ตัวเองเข้ าใจ ตอนทีมันเค้ นจะกราบเรี ยนถวายหลวงตา ตอนทีมันเกิดขึน มันเป็ นชัวขณะจิตเดียวเจ้ าค่ ะ แล้ วก็ หลงมีตัวเราไปตกร่ อง ... เค้ นอธิบายสังขารนัน ก็เลย ไม่ สนตั ิ วตนเจ้ าค่ ะ ตอนนีเริมทันมันมากขึน เพราะองค์ หลวงตาชีแนะเตือนสติ เห็นแล้ วเจ้ าค่ ะ ของจริงนิงเป็ นใบ้ ของพูดได้ บรรยาย ได้ ของไม่ จริง สังขารลวงโลกทังนันเจ้ าค่ ะ กราบเท้ า นมัสการมาด้ วยความเคารพสูงสุดเจ้ าค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ปล่ อยวางผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ทุกปั จจุบันขณะ ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ ขอโอกาสเรี ยนถาม หลวงตาจากสิงทีเพิงเกิดขึนเจ้ าค่ ะ ทุกอย่ างเป็ นมายา จิตหลงไปยึด ว่ าชอบ หรือ ไม่ ชอบ ก็เท่ านัน เดินผ่ านร้ านขายกระเป๋า ตามองเห็นว่ า กระเป๋าสวยทุกใบ ก็ร้ ูว่าสวย พอเจ้ าของร้ านบอกว่ า ทําจาก "หนังจระเข้ " แท้ เท่ านัน เห็นจิตมีอาการรังเกียจกระเป๋าทุกใบที เมือครู่ ยังเห็นว่ าสวยขึนมาทันทีเจ้ าค่ ะ
ก็เห็นตลอดว่ า สังขารมันปรุ งไปเรื อยตลอดเวลา ชอบ หรื อ รั งเกียจ แล้ วอย่ างไรล่ ะ !!! ทําจากหนังอะไร ก็ เป็ นสมมุติ เพราะปรุงแต่ ง รู้สึกรังเกียจก็หลงอารมณ์ ไปรั งเกียจ เลยซือมาใช้ เจ้ าค่ ะ จะดูใจว่ ามันจะหยุด รั งเกียจเมือไรเจ้ าค่ ะ กราบหลวงตาชีแนะด้ วยเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : หลงไปกับอาการรังเกียจก็คือหลงยึดถือ หลงดูให้ อาการรังเกียจหายไป ก็หลงยึดถืออาการ ตรงกันข้ าม ให้ ปล่ อยวางผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ผู้ อยากให้ เป็ นอย่ างไร ทุกปั จจุบันขณะ ก็จะพ้ นจากทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ปล่ อยวางผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ตลอดเวลา ผู้ถาม : คล้ ายหลวงตาจะยกตัวอย่ างว่ าเหมือนเห็น พระพุทธรู ปอยู่ข้างหน้ า แล้ วขยายให้ เล็กใหญ่ ได้ และ ย้ ายให้ เคลือนทีไปไว้ ตรงไหนก็ได้ ไว้ ข้างหน้ าเราก็ได้ ไว้ ข้างหลังก็ได้ (ประมาณนี) ฟั งแล้ วเหมือนความรู้สึก ตอนนีทีคล้ ายจะเห็นพระพุทธรูปองค์ ใหญ่ อยู่ตรงหน้ า แต่ ไม่ ร้ ูว่าจะเป็ นอย่ างไรต่ อไป จึงได้ แต่ เห็นอยู่อย่ างนัน ความจริ งไม่ ร้ ูมาก่ อนว่ าวันนีเป็ นวันพระ แต่ เมือคืนได้ ฟังธรรมจนหลับไป พอตืนเช้ านังนิง ๆ แล้ ว รู้ สึกสงบ และได้ ยินเสียงเพลงทีวัดคิดว่ าอาจเป็ นวัน พระ จึงเปลียนไปนังในห้ องพระแทน ตังใจว่ านังเสร็ จ จะอธิษฐานขอขมาและน้ อมนําบารมีพระพุทธ พระ ธรรม พระอริยสงฆ์ เข้ าสู่ใจ
พอนังสงบไปเรือย ๆ เหมือนทุกลมหายใจที เข้ าออกยาวมาก เหมือนไม่ มีร่างกายมีแต่ ลมทีพองขึน และยุบลงเท่ านัน จึงคิดว่ าจุดทีเป็ นอานาปานสติคือ ตรงนีนีเอง เมือเห็นร่ างกายพองยุบไปสักพักหนึง ใจก็ นึกถึงคําอธิบายปฏิภาคนิมติ ทีเป็ นพระพุทธรูปเล็กได้ ใหญ่ ได้ และนําไปไว้ ทไหนก็ ี ได้ เหมือนเห็นพระพุทธรูป อยู่ในตัว แล้ วเข้ าใจว่ าทําให้ เล็กใหญ่ ได้ ด้วยอานาปาน สตินีเอง โดยจะให้ ใหญ่ หรือเล็กแค่ ไหนก็ได้
ภาวะนันทําให้ นึกถึงคําว่ า “จิต คือ พุทธะ” เหมือนจะ เข้ าใจคําสอนนีเลยค่ ะว่ าเป็ นอย่ างไร จากทีคิดว่ าได้ อยู่ ใกล้ พระพุทธเจ้ า ความรู้ ตรงนีก็เปลียนไป รู้ สึกเหมือน ใจมีความแข็งแรงมากขึนจึงเห็นภาพนีได้ แล้ วเมือ อธิษฐานขอขมาและขอบารมีเป็ นทีพึงตามทีตังใจไว้ ตอนแรก ก็ยงมั ิ นใจว่ าความเห็นและสิงทีทําไปนัน ถูกต้ องแล้ ว เมือใจเห็นพุทธะเต็มองค์ กค็ วรจะ อาราธนาบารมีท่านมาคุ้มครองด้ วย ถึงตรงนีทําให้ นึก ถึงคําพูดหลวงตาทีเคยบอกว่ า “ไม่ สอน ถ้ ามีบุญบารมี ก็เป็ นเอง” ขอหลวงตาโปรดเมตตาชีแนะด้ วยค่ ะ
หลวงตา : ให้ ปล่ อยวางผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจว่ าอะไร เป็ นอะไร ผู้คิดนึกตรึกตรอง ผู้แสดงแอคชันต่ าง ๆ ในปั จจุบันขณะตลอดเวลา เพราะเรายึดถืออาการหรื อ พฤติแห่ งจิตเหล่ านันเป็ นเรา ตัวเรา หรื อ ของเรา อาการต่ าง ๆ เหล่ านัน รวมทังอุคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต และอารมณ์ ทถูี กรู้ทงหมดล้ ั วนเป็ นสังขารปรุ งแต่ ง เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พ้ นสังขารไม่ มีอะไรเลย ไม่ มีเรา ตัวเรา หรื อของเรา ไม่ ปรากฏอะไรเลย เป็ นความว่ างเปล่ าจากตัวตน จึงไม่ มีตัวตนตน ไม่ มีตัวเรา ไม่ มีผ้ ูยึดถือในนัน จึงสินกิเลส พ้ นทุกข์ (นิพพาน) หรือ เป็ นความดับสนิท แห่ งกิเลส หรือ ดับสนิทอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ .. และความทุกข์ ทงมวล ั ชัวนิรันดร์ (นิจฉาโต ปรินิพพุโต ติ)
ผู้ถาม : ขอกราบขอบพระคุณหลวงตาทีเมตตาชีแนะ และรู้สึกโชคดีทมีี พ่อแม่ ครู อาจารย์ ให้ ถามได้ ค่ะ หนู อาจจะดือและไม่ กลัวว่ าจะผิดหรือถูกด้ วยจึงกล้ าถาม ขอนอบน้ อมนําคําสังสอนของหลวงตาทุกสิงอย่ างไป พินิจพิจารณาอย่ างละเอียดรอบคอบให้ ลงแก่ ใจค่ ะ คําตอบของหลวงตาเพียงแค่ นีก็ทาํ ให้ เข้ าใจอะไรได้ อีก มากมายค่ ะ เข้ าใจแล้ วว่ าไม่ มีอะไรสําคัญมากไปกว่ า การเห็นจิตของตัวเอง และจิตนีมีความเฉลียวฉลาด รอบรู้ ได้ มากมาย
แต่ เมือตัวตนของเราไม่ มี ไม่ มีเรา ตัวเราหรื อ ตัวตนของเรา … มีแต่ การปล่ อยวางและไม่ ยดึ ถืออะไร เลยหรือสินการยึดถือ สุดท้ ายก็ต้องปล่ อยวางทังกาย และจิต และนีคือคําว่ า ถึงจิตจะดีอย่ างไรก็ยึดไม่ ได้ ไม่ ยึดโลก ไม่ ยึดธรรม ไม่ ยดึ ความรู้ ไม่ ยึดครูบาอาจารย์ ไม่ ยึดจิตทีเป็ นพุทธะ ไม่ ยึดแม้ แต่ พระพุทธเจ้ า ทุก อย่ างล้ วนว่ างเปล่ า และความว่ างเปล่ าก็ไม่ ยึด
หลวงตา : สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
เพียรให้ ต่อเนือง แล้ วจะสินสงสัย ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ ลูกสังเกตว่ า เมือหลงไปเป็ น เวลานาน คือ ขาดสติ ดําเนินชีวติ ไปโดยเอาตัวเรา เข้ าไปทําสิงต่ าง ๆ สักพัก (สําหรับลูกคือการทํางาน เอาตัวเราเข้ าไปเป็ นคนดูแลคนไข้ มีตัวตนจมเข้ าไปใน งานเจ้ าค่ ะ) เมือมีสติกลับมาอีกที มันจะไม่ สามารถ เห็นผู้ร้ ู ปลอมได้ แล้ ว แต่ มันจะได้ แค่ เพียง หลงไปกับ ความคิด แล้ วก็ร้ ูสึกตัว สักพักก็ฟ้ ุงซ่ านเข้ าไปจริงจังกับ ความคิด แล้ วก็ร้ ูสึกตัว เพียงเท่ านัน
พอแบบนี สติปัญญา มันเข้ าใจ ว่ ามันไม่ สงบ มันเข้ าไม่ ถึงฐาน ขันธ์ หยาบ บังขันธ์ ละเอียด สิงทีมัน ทํา คือ อยู่เงียบ ๆ พิจารณาความจริงใหม่ เริมจากสิง ภายนอกเลยว่ า ไม่ เทียง รถรา ตึก ก็เห็นแต่ ความเก่ า ความเสือม น้ อมเข้ าสู่ภายในอย่ างหยาบคือ กายหยาบ สู่ลมหายใจ หลงเอาตัวตนทีหลงปรุ งแต่ งไปดู รู้ เห็น อาการของจิต ปุจฉาวิสัชนาเมือวันที
กรกฎาคม
หลงเอาตัวตนทีหลงปรุ งแต่ ง ไปดู รู้ เห็น อาการของจิต ผู้ถาม : อาจารย์ ครับขอส่ งการบ้ านครับ จิตหรือสิง ๆ นันเกิดขึนใจรู้ธรรมดาปกติว่าสิง ๆ นันคือ สังขาร สิง ๆ นันก็จะแตกหายไปเลย และทุกอย่ างสังเกตดูเหมือน มันจะช้ าและหยุดนิงไป ซักพักนิดเดียวแล้ วทุกอย่ างก็ เริมหมุนไปต่ อ ทัง ๆ ทีไม่ ได้ ตังใจรู้ ไม่ ทราบว่ าอยู่บน เส้ นทางทีอาจารย์ สอนไหม หรื อผิดทางขอความเมตตา พ่ อแม่ ครู อาจารย์ อธิบายด้ วยครับ จะไปเอามาปรับปรุ ง ต่ อ ๆ ไป
หลวงตา : แสดงว่ าหลงสังขาร ปรุงแต่ งยึดถือว่ ามีตัว เราเป็ นตัวเป็ นตน แล้ วหลงเอาตัวตนทีหลงปรุ งแต่ ง ยึดถือขึนมานัน ไปดู รู้ เห็น อาการของจิต (ไม่ ใช่ จติ แต่ เป็ นเงาหรือมายา) จึงสามารถไปกดบังคับสังขารให้ หยุดได้ ส่ วนธรรมธาตุร้ ูตามธรรมชาติ ไม่ มีตัวตน จึงไปกด บังคับให้ อาการใด ๆ หยุดหรื อดับได้ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ติดไปกับความหลงคิดปรุงแต่ ง คือหลงยึดถือ
ผู้ถาม : วันนีต้ องเอาฤกษ์ เอาชัยซะหน่ อย หลวงตา เมตตามาทัก โยมจะปล่ อยวางและเป็ นรู้ พยายามให้ มี สติทงวั ั น
หลวงตา : แค่ คิดว่ า จะเริมต้ นพยายามนันแหละ กําลังหลงยึดถือ แต่ ตดิ ไปกับความหลงคิดปรุ งแต่ ง ก็หลงยึดถือ
ผู้ถาม : การเห็นมันปรุ งแต่ งมีค่าเท่ ากับไม่ ปรุ งแต่ งใน ชัวขณะนัน ใช่ หรื อไม่ และการเห็นนันเท่ ากับเราวางไป ในตัวด้ วย ใช่ หรือไม่ คะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ ช่ วงทีผ่ าน มาเวลามีสงใดเกิ ิ ดขึน ข้ างในมันก็แค่ รับรู้ เหมือนกับว่ า มันก็เป็ นอย่ างนันแหละ ไม่ มี “ธรรม” ลึกซึงใด ๆ มา ระยะหนึงแล้ วเจ้ าค่ ะ..... มีแต่ อย่ างนันแหละ เมือกีนีเดินกลับไปกลับมา อยู่ ๆ ขึนมาว่ า “ไม่ มีธรรม ไม่ มีอะไร” ขนลุก ปี ติ แล้ วก็ผ่านไป หมดแล้ วเจ้ าค่ ะ รีบมาพิมพ์ ถวาย เพราะเดียวจะจํา ไม่ ได้ อีกเจ้ าค่ ะ น้ อมส่ งการบ้ านเจ้ าค่ ะ หากมีสงใด ิ ผิดพลาด ขอองค์ หลวงตาเมตตาชีแนะด้ วยเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : แสดงว่ า ธรรมมาปรากฏสอนใจว่ า แม้ ธรรมนัน ทังสังขาร และวิสังขาร เป็ น “อนัตตา” ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา ของเรา ไม่ ควรหลงยึดมันให้ เป็ นทุกข์ (สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ)
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณมาก ๆ เจ้ าค่ ะ
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
“ธาตุร้ ู” ไม่ อาจคิดปรุงแต่ งหลง ยึดถือสิงใดให้ เป็ นทุกข์ ผู้ถาม : กราบมนัสการความเมตตาหลวงตาค่ ะ ธรรมชาติ เงียบ สงบ งดงาม ไม่ ต้องปรุ งแต่ งเขาเองจริ ง ๆ ค่ ะ ตอนนีลูกก็ไม่ สงบ ไม่ ลงตัว ไม่ สินปรุงแต่ ง อย่ างหลวง ตากล่ าวจริง ๆ ค่ ะ บางครั งเมือหลงไปแล้ ว กลับมาต้ อง จงใจตังอยู่เพือให้ อยู่กับปั จจุบัน ยังมีตัวตนอยู่ค่ะ และ ไฟล์ “ปล่ อยขันธ์ ทํางานโดยอิสระ” ลูกตังใจฟั งหลาย ๆ รอบ และไฟล์ อนื ๆ ด้ วยค่ ะ ฟั งให้ ลงแก่ ใจอย่ างธรรมชาติ เมือลูกระลึกได้ ถึงคําสอนของหลวงตาทีว่ าสินอาลัย สินโลกและได้ หันมามองลูก, พ่ อแม่ นําตาไหลทุกครังค่ ะ กราบหลวงตาด้ วยความเมตตาไม่ มีทสิี นไม่ มีประมาณของ หลวงตาค่ ะ
หลวงตา : สายใยผูกใจ ช่ างเหนียวนัก ความจริง ไม่ มี ใครต้ องละทิงใคร เพียงแต่ หลงคิดปรุ งแต่ งไปเอง เพียงแต่ เพียรมีสติ สมาธิ ปั ญญา รวมเป็ นหนึงใน ปั จจุบันขณะ สังเกตจิตอยู่อย่ างเงียบเชียบจริ ง ๆ จน ขณะจิตหนึง เห็นจิตสังขารเริมต้ นคิดหรื อแสดงอาการ ขึนมาจากความไม่ มีอะไร แล้ วก็ดับไป “จิตสังขาร” ทีเกิดขึนมาแล้ วดับไปในทุกปั จจุบันขณะ เช่ น ความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุ งแต่ งต่ าง ๆ พยายาม เพ่ ง จ้ อง มอง ดู รู้ เห็น อยากให้ ได้ ให้ เป็ น หรื อ ไม่ อยากให้ เป็ นอย่ างนัน อย่ างนี เป็ นต้ น
โดยเพียรสังเกตจนขณะจิตหนึง เห็นจิตสังขารเกิด ขึนมาจากความไม่ มีอะไร แล้ วก็ดับไป แล้ วจิตดวงใหม่ ก็คิดหรือแสดงอาการขึนมาจากความไม่ มีอะไร แล้ วก็ดับไปอีก อย่ างนีเรื อยไป โดยไม่ หลงไปเป็ น สังขาร คือ หลงปรุ งแต่ งยึดถือว่ ามีตัวเราเป็ นตัวเป็ นตน แล้ วหลงเอาตัวตนทีหลงปรุงแต่ งยึดถือขึนมานัน ไปยึดถือร่ างกาย และจิตใจ ทังตัวเราและคนอืน หลงคิดปรุ งแต่ งเพลินใจ หลงคิดปรุ งแต่ งดินรนค้ นหา ธรรมหรื อนิพพาน หลงไปแสดงอาการพยายามดู รู้ เห็น อาการของจิต ซึงเป็ นเงาหรือมายา
เมือยังหลงยึดถือสังขารเป็ นเรา ตัวเรา หรื อของเรา แล้ วเอาตัวเราไปยึดถืออย่ างอืนอีก จึงยังมีผ้ ูทุกข์ อยู่ ส่ วนธรรมธาตุร้ ูตามธรรมชาติ เป็ น วิสังขาร ไม่ มีตัวตน จึงไม่ อาจคิดปรุ งแต่ งหลงยึดถือร่ างกายและจิตใจ ซึง เป็ นขันธ์ ของเราและคนอืน ให้ เป็ นทุกข์ ได้ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
"เขา" ทีวิงหา แท้ จริงอยู่บนหัวของตัวเอง ผู้ถาม : ลูกเข้ าใจแล้ วเจ้ าค่ ะองค์ หลวงตา ความเงียบ สงบสงัด ความไม่ ปรุงแต่ งมันมีอยู่แล้ ว อยู่ต่อหน้ าต่ อ ตา และเป็ นนิรันดร์ ตลอดเวลา ไม่ เคยหายไปไหน เพียงแค่ หายโง่ เพียงแค่ ตืน และลืมตาต่ อสิงทีมีอยู่แล้ ว โดยสมบูรณ์ นันเท่ านัน จริ ง ๆ มันก็ไม่ มีอะไรทีต้ อง แสวงหาอีก ทีผ่ านมาเราไม่ เคยหยุดและอยู่กับสิงนัน จริ ง ๆ แต่ "หยุด" เพราะหวังจะได้ มาซึงอีกสิงหนึง
ซึงจริง ๆ แล้ ว สิงนันมันไม่ เคยมี !! นีคือ ทีสุด ของความหลอกลวง หลอกให้ วงหา ิ เหมือนวัวเหมือน ควายทีวิงหา “เขา" ของตัวเอง ทัง ๆ ทีติดอยู่บนหัว ตัวเองแท้ ๆ กราบขอบพระคุณองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ ที ชีให้ เห็นให้ เจอ "เขา" ของตัวเองเสียที ถึงแม้ มันจะ หลับไปอีก แต่ อย่ างน้ อย มันรู้แล้ วว่ า "เขา" อยู่บนหัว ของมันเองเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ สาธุ นีซิ .. สมกับเป็ นศิษย์ ตถาคต ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ไม่ มีปรากฏการณ์ ตามธรรมชาติใด ๆ จากผู้ร้ ูเลย ผู้ถาม : ความไม่ มี เพราะมันเป็ นความไม่ มี มันจึงถูก หลงลืมไปเสมอ เพราะมัวไปสนใจแต่ ความมี กราบ ขอบพระคุณหลวงตาทีสอนให้ ร้ ู จักความไม่ มีค่ะ
หลวงตา : “ความไม่ มี” ก็เป็ นอนัตตา ไม่ มีตัวตนของ ผู้ยึดถือ ปล่ อยให้ ร่างกายและจิตใจ หรื อ ขันธ์ ห้า เขาแสดง กริยาหรื ออาการ หรื อ พฤติแห่ งจิตขึนมาเอง แล้ วดับ ไปเอง ตลอดเวลา ไม่ มีผ้ ูเสวย หรือ ผู้ยดึ มันถือมัน ***** ไม่ มีปรากฏการณ์ ตามธรรมชาติใด ๆ จากผู้ร้ ู เลย
ผู้ถาม : ไม่ มีปรากฏการณ์ ใดจากผู้ร้ ูตัวจริงค่ ะ ปรากฏการณ์ ทเกิ ี ดขึนมีแต่ สังขารเท่ านัน ขอบพระคุณ ค่ ะหลวงตา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ยึดถือความว่ าง จึงไม่ ว่างจากตัวตนของเรา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ลูกขอโอกาส ส่ งการบ้ านเจ้ าค่ ะ ด้ วยความเมตตาขอองค์ หลวงตา เจ้ าค่ ะ ลูกขอสรุ ปความเห็นเข้ าใจว่ า เมือเห็นหรื อได้ พบเจอธาตุร้ ูทเป็ ี นความว่ าง (เปรียบดังท้ องฟ้ า) หรือความว่ าง ดังบรรยากาศหรื อ อากาศรอบ ๆ ตัวเราทีเงียบ สงบ สงัด ดังนันจึงรู้ว่า ตัวตน (กายเนือและขันธ์ ห้า) มันไม่ มี ไม่ มีอะไรเลยอยู่ ในความว่ างนันเจ้ าค่ ะ มันเป็ นเหมือนความว่ างดัง อากาศหรือบรรยากาศรอบ ๆ นันเจ้ าค่ ะ ทัง ๆ ทีลูก เดินอยู่ ยืนอยู่ เหมือนดัง กายเนือของลูกหายไปกับ อากาศเจ้ าค่ ะ
ลูกจึงสรุ ปว่ า ลูกพบเจอใจ หรือ ธาตุร้ ู เมือเห็น หรื อความรู้สกึ ว่ า ตัวตน กายเนือไม่ มี เห็นขันธ์ ห้า (มัน เล่ นละครไปในแต่ ละวัน) โดยสักแต่ ว่ารู้ แค่ ร้ ู ไม่ ยึดไม่ ติดไปกับขันธ์ ห้านัน ๆ และอยู่กับรู้ทไม่ ี มี ไม่ มีอะไร ไม่ เป็ นอะไรเลยจริง ๆ อยู่กับธาตุร้ ู ทีเป็ นธรรมชาตินัน ไปตลอด ลูกขอองค์ หลวงตาชีแนะความเห็นความเข้ าใจ ของลูกด้ วยเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ยังหลงยึดถือร่ างกายและจิตใจ ซึงเป็ น ขันธ์ ห้าเป็ นตัวตนของเรา แล้ วหลงเอาตัวเราทีเกิดจาก การปรุ งแต่ งยึดถือ ไปพึงพอใจติดใจยินดียดึ ถือความ ว่ าง จึงไม่ ว่างจากตัวตนของเรา และไม่ ว่างเปล่ าจาก กิเลส คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึงเป็ นปั จจัยให้ เกิดภพ ชาติ .. และความทุกข์ ทงมวล ั ***** วิธีแก้ คือ ให้ ถามใจตนเองว่ า นอกจากตัวเราแล้ ว มีใครรู้ ว่าเราว่ างหรื อใจของเราว่ างบ้ างหรือไม่ ก็จะ ได้ รับคําตอบว่ า มีเพียงหนึงคนทีรู้ ก็คือตัวเรา
จึงให้ มีสติ สมาธิ ปั ญญา ศรั ทธา ความเพียร สังเกตที “ผู้ร้ ู ” (วิญญาณขันธ์ ) ซึงเป็ นสังขาร คือ สิงปรุงแต่ ง อย่ างต่ อเนือง จะเห็นว่ าผู้ร้ ูจะพูด พากษ์ อยู่ในใจตลอดเวลา เพราะมี เจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร เข้ าประกอบจิตหรือ วิญญาณขันธ์ ทเกิ ี ดมารู้ รูป เสียง กลิน รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ คือ อาการของจิตใจทุกดวงใน ปั จจุบันขณะทีมีการกระทบหรื อผัสสะ
เมือพบเห็นผู้ร้ ูทคิี ดหรื อปรุ งแต่ งแล้ ว ก็สักแต่ ว่ารู้ หรือ ปล่ อยวาง หรือ ไม่ มีผ้ ูเสวย หรือไม่ มีผ้ ูยึดถือผู้ร้ ู ทปรุ ี ง แต่ ง หรื อ ผู้ร้ ูตัวปลอมนันเลย เมือสินผู้หลงยึดถือผู้ร้ ูตัวปลอม ก็จะพบผู้ร้ ูตัวจริ งทีเป็ น ธรรมธาตุ หรือเป็ นธรรมชาติแท้ ทีไม่ มีอะไรปรากฏ เลย เป็ นวิสังขาร คือ ไม่ ปรุงแต่ ง เป็ นเหมือนความว่ าง เปล่ าของธรรมชาติ ไม่ มใี ครเป็ นเจ้ าของ ไม่ ใช่ เป็ นของ เรา เป็ นเรา หรือเป็ นตัวเรา
เมือสินผู้เสวย หรือ สินผู้ยึดถือผู้ร้ ูตัวจริง ***** ก็จะมีแต่ ธรรมชาติของสังขาร ปรากฏการณ์ เกิด ดับ ในท่ ามกลางธรรมชาติทไม่ ี มีอะไรปรากฏ โดยไม่ หลงมีตัวตนของเราไปหลงยึดถือผู้ยดึ ถืออะไรอีกเลย ตลอดกาล เมือสินผู้ยึดถือ ก็สนกิ ิ เลส พ้ นทุกข์ (นิพพาน) ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
สังเกต “ตัวเรา” ทีพากษ์ ในใจตลอดเวลา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ จากไฟล์ เสียง เรื อง “ทางแห่ งพุทธะ” หนูได้ สนทนาธรรมกับน้ อง … เจ้ าค่ ะ น้ อง … เขาฟั งหลวงตาแล้ วเขานําตาไหลเลย เขาบอกว่ าเขาสงสารหลวงตา อยากมีเงินอยากจะสร้ าง วัดให้ หลวงตา เห็นหลวงตาต้ องเหนือย เดินทางไป สอนหลายที นีคือความรู้ สึกของน้ องเค้ าเจ้ าค่ ะหลวงตา
ส่ วนความรู้สึกของหนูคือ หนูอยากสละหมด ทุกอย่ างเหมือนหลวงตา อยากไปบวช โดยทีไม่ เอา อะไรติดตัวไปเลยแบบหลวงตา (แต่ หลวงตาเคยบอก ว่ าผู้หญิงไม่ เหมือนผู้ชาย ลําบากกว่ า) จากเรื อง เดียวกันฟั งแล้ วเห็นไม่ เหมือนกัน คงเป็ นมาจากนิสัย สันดานเดิมใช่ ไหมเจ้ าคะหลวงตา น้ องเขาเป็ นผู้ให้ ส่ วนหนูดูเหมือนเห็นแก่ ตัวเลยนะเจ้ าคะหลวงตา กราบเท้ าหลวงตาด้ วยความเคารพอย่ างสูงสุด เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ให้ มีสติ สมาธิ ปั ญญา สังเกตตรง ความรู้ สกึ ว่ ามีตัวเราอยากพ้ นทุกข์ จะเห็นว่ ามัน สารพัดจะพูด จะบ่ น จะพากษ์ อยู่ในใจตลอดเวลา อย่ าหลงติดไปกับมัน และ อย่ าไปพยายามดับมัน ปล่ อยให้ มันพูดพากษ์ หรือปรุ งแต่ งในใจอย่ างเป็ น อิสระ โดยไม่ มีผ้ เู สวยหรือผู้ยดึ ถือใด ๆ เลย ก็นิพพาน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ในธรรมชาติปรุ งแต่ งและในธรรมชาติไม่ ปรุงแต่ ง ไม่ มีเรา ตัวเรา หรื อ ตัวตนของเรา ผู้ถาม : กราบองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ ความว่ างเปล่ า ความเงียบสงบสงัด เป็ นเพียงสิงถูกรู้ เหนือความว่ าง เปล่ าสงบสงัดไป ยังมี "รู้" ไม่ ยึดถือความว่ างเปล่ า ความเงียบสงบสงัด จึงได้ แต่ ร้ ู และรู้อยู่อย่ างนัน ได้ แต่ รู้ ๆๆๆ อยู่อย่ างนัน แค่ นีหรื อเปล่ าเจ้ าคะ กราบขอ โอกาสขอองค์ หลวงตาเมตตาชีแนะเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : เมือสินความหลงปรุงแต่ งแล้ ว ก็อยู่กับรู้ หรื อ เป็ นใจไม่ ปรุ งแต่ ง (วิสังขาร) หรือ สติ สมาธิ ปั ญญา เป็ นหนึงเดียวกับใจ หรือ จิตเดิมแท้ หรือธาตุร้ ู หรื อธรรมธาตุ สุญญตาธาตุ มหาสุญญตาธาตุ นิพพาน ธาตุ อสังขตธาตุ หรือ อสังขตธรรม ไม่ เป็ นสติ สมาธิ ปั ญญาทีเป็ นสังขารอีกต่ อไป เรียกว่ า ใจมีสติ สมาธิ ปั ญญาอัตโนมัติอยู่ในธาตุร้ ูของเขาเอง ไม่ ต้องพึงพาสติตงั หรือ สติปรุ งแต่ ง สมาธิปรุ งแต่ ง และปั ญญาปรุ งแต่ งอีกต่ อไป
กลายเป็ นใจทีสินปรุ งแต่ ง ไม่ ปรากฏอะไร ไม่ มีแม้ ตัว จิตตัวใจ จึงเป็ นธรรมชาติทสงบแท้ ี ว่ างเปล่ าแท้ เพราะ ไม่ ปรุ งแต่ งโดยธรรม หรื อ โดยธรรมชาติของเขาแท้ ๆ ตลอดกาล ส่ วนสังขารของขันธ์ ห้าทียังไม่ ตายแตกดับ ก็เกิดดับใน ธรรมชาติแท้ ทไม่ ี เกิดไม่ ดับนี จนกว่ าจะสินอายุขัย ขันธ์ ห้าก็แตกดับไป ใจหรื อ วิญญาณ
ไม่ มีเรา ตัวเรา หรือ ตัวตนของเรา ในธรรมชาติทปรุ ี ง แต่ ง (สังขาร) และในธรรมชาติไม่ ปรุ งแต่ ง (วิสังขาร) เมือสินตัวตนว่ าเป็ นเรา ตัวเรา หรื อ ของเรา ก็สนผู ิ ้ หลง ยึดมันถือมัน ก็สนกิ ิ เลส พ้ นทุกข์
ทีอธิบายมาทังหมดล้ วนเป็ นการปรุ ง เพือให้ ทาํ ความ เข้ าใจว่ าอะไรเป็ นอะไรเท่ านัน ***** แต่ กย็ ังไม่ ใช่ “ใจ” ทีเป็ นธรรมไม่ ปรุ งแต่ ง ถ้ ายังไม่ สินปรุ งแต่ งหาเหตุผล ก็จะหลงหาเขาทีอยู่บนหัว
ผู้ถาม : นันหนะสิเจ้ าคะ ถามองค์ หลวงตาไปแล้ วเพิง จะรู้ ตัวเจ้ าค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ไม่ มีใครเป็ นเจ้ าของธรรมชาติ ของสังขารและวิสังขาร ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ เมือวานหลังจากทีวางความ โกรธได้ หมด มันเห็นความจริงของ กิเลสและความสิน กิเลสว่ าทีแท้ มันอยู่ด้วยกัน วิสังขารเหมือนนําไหลนิง มันหลอมรวมกับทุกสิงทีเป็ นสังขาร อยู่ในใบไม้ อยู่ใน สัตว์ อยู่ในเสียงทีตกกระทบ อยู่ในคน แม้ แต่ อยู่ใน กิเลส มันมีความว่ างทีไม่ มีอะไรอยู่รายรอบ
วิสังขารกับสังขารมันอยู่ด้วยกัน อันนีมันแจ้ งแล้ ว ถึงใจ แล้ ว ในส่ วนทีเป็ นของหยาบ คือ สิงภายนอก กายของ เรา และกิเลสอย่ างหยาบ จนถึงส่ วนทีเป็ นอารมณ์ คือ มันเข้ าใจถึงใจว่ า สิงเหล่ านี ถูกห่ อหุ้มด้ วยความว่ าง มันจึงไม่ มีแก่ นสารทีแท้ ของการดํารงอยู่ เป็ นเพียง ธรรมชาติ และ ไม่ มีผลกับใจอีกแล้ ว ใจไม่ สามารถเกาะ หรื อกักเก็บอารมณ์ หยาบได้ อีก ตามธรรมชาติทมัี นเป็ น ของมันเอง
แต่ กเิ ลสละเอียด ๆ จิตยังเห็นความจริงแค่ แว๊ บ ๆ บางครั งหลงไปในมัน บางครั งเข้ าใจว่ า จิตเราเป็ นแบบ นัน จิตเราฟุ้งซ่ าน จิตเราง่ วงเบลอ จิตเรามีการกระทํา เป็ นสังขารอีกแล้ ว มันยังมีความยึดถือ มีเป้ าหมาย มี ความพอใจไม่ พอใจอยู่เจ้ าค่ ะ เพราะมันยังไม่ เข้ า ใจความจริงของสิงอันละเอียดจนถึงใจแท้ ๆ มันเลย ยังไม่ ขาดสนิท เพียงแต่ มาอยู่ในรูปของความคิด ฟุ้งซ่ านละเอียด ๆ แต่ ไม่ ได้ มาอยู่ในรูปของอารมณ์ ให้ จับได้ แล้ ว
มันก็แค่ ศึกษาความจริงต่ อไป เห็นวิสังขารทีอยู่ค่ กู ับ สังขารเรื อยไป มันรู้ ตัวมันเองว่ าทําแบบนีไปเรื อย ๆ จะนําไปสู่การยอมรับและปล่ อยวางของมันเอง โดยที ไม่ ต้องเอาตัวเราไปทําอะไรเพิม แค่ ร้ ู ปัจจุบันแบบทีมัน เป็ นแค่ นันเจ้ าค่ ะ ทีนี ส่ วนทีลูกจะรบกวนปรึกษาหลวงตา คือ ให้ มันเดินหน้ าต่ อไปได้ ใช่ ไหมเจ้ าคะ ลูกพิจารณา แล้ วแต่ อยากให้ หลวงตายืนยันอีกที เดิมทีมีความกลัวอยู่ว่าเกิดอะไรขึนต่ อจากนี ตัวเราจะอยู่ในโลกไม่ ได้ ต้ องออกจากโลก แล้ วเรายัง ไม่ พร้ อม ยังมีงานต้ องทํา ออกตอนนีไม่ ได้ จะให้ เกิดผลในตอนทียังไม่ พร้ อมต้ องกลับคืนโลกมีกิเลส แบบ full option ลูกไม่ เอา ทุกข์ ตาย
ตอนนี มันกลับเห็นว่ า แท้ จริ งโลกกับธรรมคือสิง เดียวกัน เราเป็ นธรรมท่ ามกลางโลกได้ เราสินความ เกาะเกียวในอารมณ์ ทงหลาย ั ท่ ามกลางสิงกระทบ ท่ ามกลางผู้ทมีี อารมณ์ ได้ เพราะชีวติ ทางโลก ก็ไม่ ได้ มี ภาระ ไม่ ได้ มีครอบครั ว ทีต้ องใช้ function ของ "ความ อินความคิด" "ความอินอารมณ์ " เลย สิงทีต้ องใช้ คือ ความเมตตา ทีออกจากใจทีเป็ นธรรมแท้ เพือ ช่ วยเหลือผู้อนต่ ื างหาก ดังนัน อะไรมันจะสิน ก็ให้ มันสินไป ก็อยู่ไปแบบทีมัน เป็ น ไม่ ร้ ู ว่ามันพิจารณาถูกไหมเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ธรรมชาติทงภายนอก ั และภายในร่ างกาย จิตใจ เป็ นธรรมชาติเหมือนกัน คือ สังขารหรื อขันธ์ ห้า ปรุงแต่ งเกิดดับอยู่ในวิสังขารทีไม่ มีปรากฏการณ์ ปรุ ง แต่ งเกิดดับ ไม่ มีตัวตน ไม่ มีใครเป็ นเจ้ าของธรรมชาติของสังขารและวิสังขาร “ใจ” คงเป็ นธรรมชาติของวิสังขาร ขันธ์ ห้าก็คงเป็ นธรรมชาติของสังขาร จนกว่ าจะสิน อายุขัย ขันธ์ ห้าจึงแตกดับ (ตาย) ส่ วน “ใจ” ก็รวมเข้ ากับความว่ างของจักรวาลเดิม
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ไม่ มีเรา ตัวเรา หรือ ของเรา ในธรรมชาติ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ เริมฟั งหลวงตามา ตังแต่ ต้นเดือนกรกฎาคม และได้ เข้ ามาในกลุ่ม line วันที กรกฎาคม ตามฟั งใน YouTube ทังวันทังคืน จนมันเห็นว่ า ทีผ่ านมาทําทุกอย่ างตามความเคยชิน ของจิต ปล่ อยให้ จิตและความเคยชินในหลายภพชาติ มานําพาไปให้ ทาํ แต่ สิงปลอม ๆ แย่ ๆ พอได้ ฟังหลวงตามันแบบ เงิบ ตกใจ มองเห็น เหมือนหนูเข้ าไปดูหนังดูละครแล้ วมันสลดใจ แต่ ไม่ เศร้ าไม่ โศก ไม่ โทษอะไรเลย แค่ เหมือนดูหนังย้ อนหลัง แล้ วก็นําตาไหลคิดว่ า โห … เรานีขาดตัวผู้ร้ ู มาหลาย ภพชาติ
พอจิตมันรู้ ว่าเรารู้ มันปรุ งเลย มันดันมันสร้ าง อุปาทานเลยว่ า ไปเลยไปหาหลวงตา ไปขอคํายืนยัน เลยว่ า รู้ แล้ วเก่ งแล้ วจริงไหม ขํามันจังค่ ะหลวงตา หนูอยู่ออสเตรเลียค่ ะ พอเห็นมันคิดแบบนีหนู ก็ดูมัน ไม่ ให้ ค่าไม่ หือไม่ อือกับมัน ปล่ อยมันพูดพล่ าม ไป ทุกคืนจะฟั งหลวงตาตรวจการบ้ านค่ ะ พอมีคาํ ถามติดขัดเกิดขึนในใจ นึกถึงหลวงตาทีไร เปิ ด มาหลวงตาก็ตอบทุกทีเลยค่ ะ กราบขอบพระคุณจาก หัวจิตหัวใจจากธาตุขันธ์ ของหนูนะคะ ทีหลวงตาจุด แสงนําทางนีมาถึงออสเตรเลีย หลวงตาคะ หนูขอส่ งเป็ นการบ้ านบ้ างนะคะ ถ้ าหนูใช้ คาํ พูดไม่ ถูก กราบเท้ าหลวงตาขออภัยนะเจ้ า คะ
หลวงตา : ดี ๆ เพียรให้ ต่อเนืองนะ ให้ ร้ ูเท่ าทัน ความคิดปรุ งแต่ ง ไม่ หลงไปกับมัน และปล่ อยวางตัว เราผู้พูด ผู้พากษ์ ไปทุกปั จจุบันขณะ
ผู้ถาม : ปล่ อยวางตัวเราผู้พูดผู้พากษ์ คือไม่ เอาใจเข้ า ไปร่ วม ถูกหรือไม่ คะ หลวงตาหนูร้องไห้ นําตาไหลเลย สงสารตัวเอง สงสารสังขาร หลวงตาคะหนูมีวาสนา เหลือเกินได้ พบหลวงตา หนูจะพ้ นทุกข์ สุขก็ไม่ เอา คอยดู ปั กธง ตายเป็ นตายเจ้ าค่ ะ แท้ จริงแล้ วมันก็ไม่ มี อะไรทังนัน แต่ แค่ ตัวผู้ร้ ูมันเหม่ อเผลอลอยเหมือน หลวงตาว่ านันแหละค่ ะ จริ งแท้ ๆ มันแค่ เป็ นว่ าง ๆ อากาศ โปร่ ง ๆ ทังความรู้ สึกสุขหรื อทุกข์
หลวงตา : มันจะเป็ นอย่ างไร มันก็เป็ นธรรมชาติอย่ างนันเอง ไม่ มีเรา ตัวเรา หรือ ของเราในธรรมชาตินัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ธรรมชาติ มีแต่ สังขารเกิดดับ ในธรรมชาติทไม่ ี สังขาร ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ รู้แล้ วเจ้ าค่ ะว่ ามันอยู่ตรงไหน ความแตกต่ างระหว่ าง ธรรมแท้ ทออกจากจิ ี ตทีเป็ น พุทธะ กับธรรมปลอมทีออกจากการปรุงแต่ ง ธรรมปลอม มันจะเป็ นสังขารทีเกิดขึน ตามหลังกริยา จิต คือ "การตรึก" "การตรอง" สังเกตดี ๆ มันจะปรุ ง ตัวนีขึนมาก่ อน หลังจากนันจึงค่ อยออกมาเป็ นคําพูด ก่ อนหน้ านี รู้ เท่ าทันแค่ ตอนปลาย ทีเป็ นสังขาร ความคิดคําพูดว่ าตัวนีไม่ ใช่ เรา แต่ ความละเอียดส่ วนของกริ ยาจิต "ตรึ กตรอง" เพิงเห็นชัดไม่ นานเจ้ าค่ ะ ว่ า "มันเป็ นสังขาร"
"มันปรุ งธรรมปลอม" นีหว่ า เมือเห็นก็ปล่ อยวาง คือ ไม่ ไปอะไร ๆ กับมัน ไม่ ได้ เชือมัน ไม่ ได้ ชอบใจปรุ ง ธรรมตามมันแล้ ว ก็ร้ ูมันเฉย ๆ เจ้ าค่ ะ ส่ วนธรรมแท้ นัน มันเกิดตรง ๆ ขึนมาเอง บางครั งเป็ นความรู้ความเข้ าใจทีไม่ ได้ ผ่านคําพูด ไม่ ได้ มีกริยาจิตของการตรึกตรองมาคัน แค่ เห็นสิงนัน ก็ร้ ู แบบนันตรงไปตรงมาเลย ซึงเกิดจากการกระทบ ในขณะจิตทีว่ าง เป็ นวิสังขารจริง ๆ เจ้ าค่ ะ ยกตัวอย่ าง ขณะทีจิตไม่ ได้ ปรุ งแต่ งส่ งออกกับ อะไร พอคุยกับผู้อืน แค่ เห็นเขา มันก็เห็นจิตเขาได้ มัน "รู้ " ขึนมาเองเลย ถามเขาไปได้ เลย เป็ นขณะ ๆ จิต ว่ าตอนนีคิดกังวลอะไรอยู่ เหมือนจมความคิด พอเขา เล่ าออกมา มันฟั งเฉย ๆ ก็ร้ ูจิตเขาทีเปลียนแปลงไป เรื อย ๆ เวลาเล่ าถึงตอนทีโกรธ จิตเขาก็โกรธขึนมา สัก พักอาหารมา คุยเรืองอืน จิตเขาก็คลายออก เป็ น dynamic แบบนีเลยเจ้ าค่ ะ
เมือก่ อนไม่ ใช่ ไม่ เคยเห็นนะเจ้ าคะ แต่ เมือก่ อน มันเห็นจิตเป็ นรูปบ้ าง หรือ มีตัวตนของเราไปรองรับ มันรู้ สึกได้ ว่า "ตัวเราโดนกระแทก" "ตัวเราเศร้ าหมอง" " ตัวเราหงุดหงิด" ไปด้ วย เหมือนซึมซับเขามาหมด ตอนนีมันไม่ มีแล้ ว มันรู้ แล้ วว่ า ความโกรธ อารมณ์ ทถูี กเห็น มันไม่ ใช่ ของเรา ไม่ มีอะไรเข้ าสู่ใจได้ เพราะมันไม่ มีตัวใจ ทีจะกักขังอะไรไว้ เลยเจ้ าค่ ะ อารมณ์ ทเกิ ี ด มันคงไว้ ไม่ ได้ เลย กลืนหายไปกับความ ว่ างทังหมดเลยเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ทังสังขาร คือ ธรรมชาติปรุ งแต่ ง และ วิสังขาร หรือ ใจ ซึงเป็ นธรรมไม่ ปรุงแต่ ง เป็ นความไม่ มีอะไรปรากฏ ไม่ มีใครเป็ นเจ้ าของ เขาไม่ ได้ เป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรือ เป็ นของเรา ธรรม หรือ ธรรมชาติ มีแต่ สังขารเกิดดับ ในธรรมชาติทไม่ ี สังขาร เป็ นความปกติธรรมดาของธรรมชาติเช่ นนีตลอดกาล ในอดีตก็เป็ นเช่ นนี ปั จจุบันก็เป็ นเช่ นนี อนาคตก็เป็ นเช่ นนี ไม่ มีเรา ตัวเรา หรือ ของเราในธรรมชาติเลย หายโง่ (อวิชชาดับสนิท) เสียที ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ไม่ ดูด ไม่ ผลัก สักแต่ ว่ารู้ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ การบ้ านคราก่ อน คือมีความหลงสังขาร สร้ างอวิชชาตัวใหม่ ขนมาเรื ึ อย ๆ ในใจรู้ สึกพอง ๆ หลงไปเรื อย ๆ อวิชชาสร้ างความว่ าง ขึนมา สร้ างว่ าจิตดี คือหลงสารพัด ภาวนาก็กลายเป็ น ฌานฤาษี ปฏิบัตกิ ม็ ีความมุ่งหมายคิดหาคําตอบอยากดี อยากได้ อยากเป็ น อยากบรรลุ รู้สึกเหมือนวัวพันหลัก ค่ ะหลวงตา ยิงหลงยิงเดิน หลวงตาได้ เมตตาเตือนสติ ว่ าหลงแล้ วและไป ผิดทาง ไอ้ ตัวตนอันยิงใหญ่ ของเราก็ไม่ ฟัง แต่ สะเทือน ใจมันสะเทือนเหมือนโดนไม้ หน้ าสามมาฟาด เอ … เอาอย่ างไรดี ไปไหนแล้ วเรา
หนูเลยตัดสินใจเลิกหมดทุกอย่ างไม่ ทาํ อะไร เลยวางหมดหน้ าตัก อยู่แบบโลก ๆ เลย ไม่ นังสมาธิ ภาวนาอะไร เป็ นระยะเวลา - เดือน สิงทีเกิดจากการ ไม่ ทาํ อะไรคือ . หนูไม่ มีความอยากบรรลุอะไรเพราะไม่ ทาํ อะไรให้ ได้ อะไร .อวิชชาทีสร้ างจิตว่ าว่ าง ๆ มันก็ไม่ ว่าง หนูกลับมา เริมต้ นฟั งเสียงบ่ นในใจ แต่ ก่อนหลงไปจัดการมันจน เหนือย ตีกันวุ่นไปหมด หลังจากหมดแรงเลิกทําอะไร ก็ร้ ู ว่ามันก็เกิดดับ ๆ เป็ นธรรมชาติของมันบังคับไม่ ได้ นีนา ความคิดบ่ นไปบ่ นมาก็มีต่อไปแต่ ไม่ มีใครไปยุ่ง
.ในความไร้ สติของหนูดาํ เนินชีวติ แบบโลก ๆ กลับมี เหตุการณ์ ให้ เราได้ ใช้ สติพจิ ารณาว่ า คนเดิม เหตุการณ์ เดิมเคยทําให้ เราทุกข์ ใจอย่ างสาหัส แต่ มา วันนีคนเดิม เหตุการณ์ เดิมกลับไม่ ทุกข์ เพราะอะไร ? เราไม่ ได้ เข้ าไปเป็ น แต่ เป็ นแค่ ร้ ู เฉย ๆ อ่ าวเอ๊ ะก็ไม่ ทุกข์ นีนา .เมือวานมาฟั งธรรมทีเรือนนํา ได้ หลับตาฟั งธรรม ขณะหลวงตาสอนชีให้ เห็นจักรวาลทีว่ างเปล่ าทีเกิดขึน ไม่ ได้ เราสร้ างขึนมา หนูเห็นในจักรวาลมีความว่ าง เปล่ าแบบไร้ ขอบเขต หนูเห็นตัวทีเป็ นก้ อนในจักรวาล (หนูก็ปล่ อยให้ มีไปไม่ ทาํ อะไร อยู่แค่ ร้ ูถงึ ตัวตนทีอยู่ใน จักรวาลทีว่ างเปล่ า)
. เมือวานทําให้ เข้ าใจว่ าอะไรคือธรรมทีเกิดจากใจ และลงแก่ ใจ ธรรมของหลวงตาทีหนูฟังมาตลอดเป็ น ความรู้ ความเข้ าใจแบบผ่ านสมอง ทําก็เกิดจากสมอง คิดพิจารณามีอวิชชาคอยแทรกซึมตลอด จนมาถึงวันนี ธรรมเกิดขึนมาลงแก่ ใจประจักษ์ แก่ ใจ ลงใจ เข้ าใจ คือ อะไร … สุดท้ าย ฮู้ซือ ๆ ไม่ ดือ ไม่ ผลัก สักแต่ ว่ารู้ นีลง แก่ ใจค่ ะ กราบขอให้ หลวงตาเมตตาชีแนะด้ วยค่ ะ
หลวงตา : สาธุ ไม่ ดือ ทีจะเอา จะเป็ นอะไร ไม่ ดูด ไม่ ผลัก สักแต่ ว่ารู้ และไม่ หลงยึดถือว่ าตัวเรา เป็ นผู้ร้ ู หรื อ ผู้ร้ ูเป็ นตัวเรา ก็พ้นทุกข์
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาค่ ะ หนูร้ ูสึกว่ า ธรรมชาติไม่ ได้ ซับซ้ อนอะไร แต่ อวิชชาทําให้ ซับซ้ อน ค่ ะ
หลวงตา : “อวิชชา” ก็ไม่ ได้ ซับซ้ อน เพราะอวิชชา คือ มีผ้ ูยึดเท่ านัน ถ้ าไม่ มีผ้ ูยึด ก็ไม่ มีอวิชชา แต่ เพราะมีตัวเรามีความอยากซับซ้ อน อยากได้ อยากเอา อยากให้ เป็ นอย่ างนัน อยากให้ เป็ น อย่ างนี ไม่ อยากให้ เป็ นอย่ างนัน ไม่ อยากให้ เป็ นอย่ างนี
ผู้ถาม : ตัวเราผู้ยึดสร้ างความซับซ้ อนขึนมาเอง … กราบขอบพระคุณค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
เบาหรื อว่ างขนาดไหน ก็ไม่ มีผ้ ยู ึดถือ ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะ เช้ านีไม่ เดินจงกรมไม่ นัง สมาธิไม่ สวดมนต์ ไม่ มีอะไรกับอะไร แต่ ยังเห็นว่ ามี อะไร ในการประคองความไม่ มีอะไร
หลวงตา : สาธุ ไม่ ดือ ทีจะเอา จะเป็ นอะไร ไม่ ดูด ไม่ ผลัก สักแต่ ว่ารู้ และไม่ หลงยึดถือว่ าตัวเรา เป็ นผู้ร้ ู หรื อ ผู้ร้ ูเป็ นตัวเรา ก็พ้นทุกข์
ผู้ถาม : มันเบาจนแทบไม่ ร้ ู แบบนีคือต้ อง กัดติดจดจ่ อเอาใช่ หรือไม่ จึงจะสังเกตเห็น แต่ ก็ไม่ ต้อง เจตนาสังเกตอีกด้ วย ใช่ หรื อไม่ คะ
หลวงตา : มันเบา มันว่ างขนาดไหน ก็ไม่ มีผ้ ูยึดถือ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
อธิษฐาน คือ ตัดใจ ไม่ อาลัยภพชาติ ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะหลวงตา วันนีมีประชุม แล้ วต้ องมีการแสดงความคิดเห็นทีแตกต่ างกันในการ ทํางาน ทุกครั งจะไม่ เคยมองเห็นความอารมณ์ เสีย ความเร่ งเพิมระดับเสียงให้ ดังขึน เพือจะพยายามให้ คน อืน ๆ เห็นด้ วยกับความคิดเรา แต่ วันนีพอถกเถียงกัน ขึนมา เหมือนหนูเห็นไอ้ จติ หรือไอ้ ใครก็ไม่ ร้ ู ในตัวเรา เนียมันพูดใหญ่ โต แหมมันจะเอาคนอืนให้ ลงให้ ได้ มัน จะเถียงเขาอยู่นัน เขายังพูดไม่ จบมันก็จะแทรก
แต่ เอ๊ ะทําไมหูมันก็ฟังเขาไป ปากก็ไม่ อ้า ใจก็ นิงว่ าเดียวรอคนอืนพูดจบ และใจมันก็รอได้ ไม่ ร้อน ไม่ รน มันมีคาํ ถามละ พอกลับถึงบ้ านเปิ ด YouTube โอ้ โห หลวงตาเจ้ าขา มันมาเจอหลวงตาเทศน์ และเล่ า เรื องหลวงปู่ (สินผู้เสวย) ทรุดเลยค่ ะ กราบระลึกถึง หลวงตา แล้ วอ๋ อ มันเป็ นเช่ นนีเอง ฟั งจบนังสมาธิ ชัวโมง แล้ วเปิ ดคําขอถอน อธิษฐานเลยเจ้ าค่ ะ กราบองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ า กราบธรรมะของพระพุทธเจ้ า กราบพระอริยสงฆ์ เจ้ าหลวงตา กราบ กราบเจ้ าค่ ะ หลวงตาคะ แต่ หนูยังอธิษฐานไม่ เป็ นเลยค่ ะ ส่ งการบ้ านนะเจ้ าคะ
หลวงตา : สาธุ อธิษฐาน คือ ตัดใจ ไม่ อาลัยภพชาติ ให้ ชาตินีเป็ นชาติสุดท้ าย น้ อมเอาพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อันไม่ มี ทีสุดไม่ มีประมาณ และเทพเทวดามาเป็ นสักขีพยาน และน้ อมเอาบุญบารมีทเรากระทํ ี ามาแล้ วทังหมด รวมเป็ นตบะ เดชะ พละ ปั จจัย ดลบันดาล ให้ ข้าพระพุทธเจ้ าสินกิเลส คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทานทังหมดโดยสินเชิงตังแต่ บัดนี ด้ วยเทอญ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
วางทังหมดทีใจ จบทีใจในปั จจุบัน ผู้ถาม : นมัสการค่ ะหลวงตา หนูมีคาํ ถามค่ ะ เท่ าทีหนู เข้ าใจ -ความคิดนึก ตรึกตรอง ปรุงแต่ ง คือ สังขาร -เวทนา คือ สังขาร -ความรู้ สกึ เป็ นตัวเรา คือสังขาร -ผู้ทมารู ี ้ อาการเหล่ านัน คือสังขาร (บางทีก็ยังมี ความรู้ สกึ ว่ าเราเป็ นคนรู้ค่ะ) ให้ ปล่ อยวางผู้ร้ ูอาการเรือยไป แบบนีถูกต้ องมัยคะ ยัง มีสังขารอะไรทีหนูไม่ ร้ ู จักอีกมัยคะ ตอนทีพิมพ์ ถาม หลวงตา ก็ร้ ูนะคะว่ ามันเป็ นสังขารปรุงแต่ งมาถามเพือ ความเข้ าใจ ขอบคุณหลวงตาค่ ะ
หลวงตา : ผู้มอง ผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้พยายาม ผู้เจตนา ผู้ตังใจ ผู้จงใจ ผู้ปล่ อยวาง ผู้ .... และทุกอย่ างทีจากไม่ มีแล้ วมีขนมา ึ มี แล้ วก็เสือมไป หรือดับไป เช่ น รู ป เสียง กลิน รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อายตนะ ภายใน ร่ างกายและจิตใจ หรือ ขันธ์ ห้า สังขารทุกตัว ในปฏิจจสมุปบาท ตังแต่ อวิชชา เป็ นต้ นไป จนถึงทุกข์ นิวรณ์ ห้า กิเลส สังโยชน์ .... เป็ นต้ น สิงทีรู้ แล้ ว เห็นแล้ ว ในอดีต ก็วางให้ หมดในปั จจุบัน สิงทีกําลังรู้ เห็นในปั จจุบัน ก็วางทังหมด วางทังสิงที ถูกรู้หรื ออารมณ์ ทถูี กรู้ และวางทังผู้ร้ ู สิงในอนาคต ก็วางทังหมดในปั จจุบัน
วางทังสังขาร และวางวิสังขาร วางผู้วาง วางความอยาก ความปรารถนา อยากเอา อยากเป็ น อยากรู้ อยากเห็น อยากรู้แจ้ ง อยากบรรลุ อยากจบ อยากนิพพาน ไม่ ตดิ ไม่ ยึด ไม่ เหลือความปรารถนาใด ๆ หรื อ วางหมดใจ วางใจ และ วางผู้วาง ***** วางทังหมดทีใจ จบทีใจในปั จจุบันนี … เดียวนี โดยไม่ มีเหตุผลใด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
เราไม่ มี
มีแต่ อาการทีเป็ นปรากฏการณ์ ธรรมชาติ ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะ ฟั งหลวงตาแล้ วแสดงว่ า ธาตุร้ ูมีในทุกคน เพียงเห็นอารมณ์ สิงปรุ งแต่ งต่ าง ๆ ทีมาห่ อหุ้มปกปิ ดธาตุร้ ูอันนีไว้ โดยไม่ ไปอะไรกับอะไร เพิมปิ ดเพิมเข้ าไปใช่ หรื อไม่ คะ เหมือนแหวกออกไป เรื อย ๆ ธาตุร้ ูก็จะปรากฏเองให้ เห็น แต่ ไม่ จงใจไป แหวกหรื อกระทําอะไรเพิมลงไป
หลวงตา : ไม่ หลงไปแหวก แม้ มีกริ ิ ยาจิตทีพยายามแหวกหรือกระทําอะไรเพิม ก็ ไม่ มีตัวตนของเราเป็ นผู้กระทํา เพราะตัวตนของเราไม่ มีแต่ แรก มีแต่ อาการทีเป็ นปรากฏการณ์ ธรรมชาติ เท่ านัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
เพียรปฏิบัติอย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย แล้ วจะสินสงสัย ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ รบกวนหลวงตาช่ วย ชีแนะเจ้ าค่ ะ อย่ างเช่ น ช่ วงเข้ าพรรษา ตังใจว่ า จะ เพียรไปฟั งธรรมและปฏิบัติธรรมทีวัดต่ าง ๆ รวมทังกับ หลวงตาทีปั ญจคีรีด้วยเจ้ าค่ ะ ได้ ให้ เพือนในพืนที ไปดู สถานทีแล้ วเจ้ าค่ ะ เพือนบอกว่ าให้ โยมเช่ าบ้ านพักทีอยู่ ใกล้ สถานปฏิบัติธรรม ทีหลวงตาพักอยู่ให้ มากทีสุด เพราะโยมไปคนเดียวอยู่คนเดียว ส่ วนวัดหลวงพ่ อกัณ หา ค่ อนข้ างไกลเกินไป เข้ าพรรษาไปอยู่วัดควรทํา ไหมเจ้ าคะ เป็ นความยึดมันถือมันไหมเจ้ าคะ
หลวงตา : ควรเพียรพิจารณาร่ างกายและจิตใจให้ เห็นว่ าไม่ เทียง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา ไม่ ใช่ ตัวตนคงที ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา ของเราอย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย แล้ ว จะสินสงสัยเอง ตอบความสงสัยเพียงใด ก็ไม่ เท่ ารู้จริง เห็นจริ ง เป็ น จริง หากมีข้อสงสัยจริง ๆ ก็มาถามหรื อมาส่ งการบ้ าน เป็ นระยะ ๆ แล้ วเพียรเอากลับไปพิจารณาปล่ อยวาง ตามทีชีแนะไป ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
สินหลงยึดถือ ก็พ้นทุกข์ ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ วันนีอ่ านธรรมะทีหลวงตาส่ ง ในไลน์ เห็นความคิด ตรึกตรอง ความอยาก "ไม่ มี" "ไม่ เป็ น" "ไม่ เอา" ทีมันซ่ อนอยู่ ใช่ เลยค่ ะ ทัง "สิงทีมี" และ "สิงทีไม่ มี" มันเป็ น "สักแต่ ว่า" ตามธรรมชาติของเขาเอง ทัง "สังขาร" และ "วิสังขาร" ทุกอย่ างเขาทําหน้ าทีโดยสมบูรณ์ บริบูรณ์ ของเขาเองอยู่แล้ ว ไม่ มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่ ในนัน หยุดอยาก หยุดปรารถนา "ความไม่ มี" หยุด รั งเกียจ "ความมี" .... หยุด … หยุด … หยุด เจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ธรรมชาติภายนอก และภายในร่ างกาย จิตใจ ก็มีเพียงสองชนิดเท่ านัน คือ “สังขาร” หรื อ สิงปรุงแต่ ง เช่ น ดวงอาทิตย์ โลก ดวงดาวทุกดวง อุกกาบาต ทุกอย่ างทีบินหรือเคลือนที ได้ ทงหมดในอากาศ ั ทังสิงทีมีชีวติ ได้ แก่ นก แมลง และสิงทีไม่ มีชีวติ ได้ แก่ เครื องบิน ยานอวกาศ รูป รวมทังร่ างกายและอวัยวะทังหมด เสียง กลิน รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ได้ แก่ ความรู้สึก นึก คิด ตรึก ตรองปรุ งแต่ ง และอารมณ์ ต่าง ๆ อายตนะภายใน ได้ แก่ ตา หู จมูก ลิน กาย ใจ (ส่ วนทีเป็ นทวารหรือ ประตู) ขันธ์ ห้า ได้ แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ (ผู้ร้ ู ) สรุ ปแล้ ว ทุกอย่ างล้ วนเป็ น “สังขาร” ทังหมด
ยกเว้ น “วิสังขาร” เพียงหนึงเดียวเท่ านัน ซึงเป็ น ธรรมชาติทไม่ ี มตี ัวตน ไม่ มีแม้ แต่ ตัวจิตตัวใจ ไม่ มี รู ปร่ าง ไม่ มีเครื องหมายหรือสัญลักษณ์ ไม่ สังขาร หรื อ ไม่ ปรุ งแต่ ง คือ ไม่ ปรากฏการกระเพือมหรื อเคลือนไหว ไม่ ปรากฏอะไรเกิดดับเลย ไม่ มีการไป ไม่ มีถอยหลัง ทังไม่ หยุดอยู่ ธรรมชาติทงภายนอกร่ ั างกายจิตใจ และ ธรรมชาติ ภายในร่ างกายจิตใจ จะมีการทํางานตามธรรมชาติ เหมือนกัน คือ สังขารทังหมด เกิดดับในวิสังขาร ซึงทัง สังขาร และ วิสังขารเขาเป็ นธรรมชาติ ไม่ มีใครเป็ น เจ้ าของธรรมชาติ
ในธรรมชาติกไ็ ม่ มีเรา ตัวเรา หรื อ ของเรามาแต่ แรก คงมีแต่ ผ้ ูทมีี ความโง่ หรืออวิชชา ทีหลงยึดถือธรรมชาติ ทังสังขารและวิสังขารว่ า เป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรื อ เป็ น ของเรา ซึงจะมีผ้ ูหลงยึดถือ (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน) หรื อ ไม่ มีผ้ ูหลงยึดถือก็ตาม “ธรรมชาติกค็ งเป็ น เช่ นนัน” คือ สังขารเกิดดับในวิสังขาร เพียงแต่ ว่าถ้ าใครโง่ หรือมีอวิชชา ก็จะหลงยึดถือว่ ามี ตัวเรา ไปหลงยึดถือสิงต่ าง ๆ “เมือเขาหลงยึดถือธรรมชาติ ทีไม่ มีใครจะบังอาจ ยึดถือไว้ ได้ ตลอดไป เขาย่ อมเป็ นทุกข์ จนกว่ าจะหายโง่ หรือสินอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็จะ ไม่ มีผ้ ูทุกข์ ”
ไม่ มีใครเป็ นเจ้ าของธรรมชาติ คือของธาตุทมาปรุ ี งแต่ งรวมกันขึนเป็ นขันธ์ ห้า คือ รู ป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรื อ ร่ างกายและ จิตใจรวมถึงผู้ร้ ู หรื อ อีกนัยหนึง ธรรมชาติของสังขาร และ วิสังขาร ทีเป็ นร่ างกายและ จิตใจ นี ไม่ ได้ เป็ นตัวตนของเรา ไม่ ได้ เป็ นเรา หรือ ของเรา หรือ ไม่ มีเราทีเป็ นตัวตนคงทีมาแต่ แรกแล้ ว หรือ มีแต่ ธรรมชาติเท่ านัน ไม่ มตี ัวเราเป็ นส่ วนเกินของ ธรรมชาติ
ผู้ถาม : มีแต่ การทํางานของธรรมชาติ ผู้หลงไปยึดถือก็เป็ นเพียงความปรุงแต่ ง ว่ าเป็ นเรา เป็ นมายา ไม่ ได้ มีอยู่จริงเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ สินหลงยึดถือ ก็พ้นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
การปฏิบัติบูชา เป็ นทีสุดกว่ าการบูชาใด ๆ ทังปวง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ตังแต่ ปฏิบัติ ตามทีหลวงตาแนะนํามา จิตใจสงบลงมากครับ ขอนมัสการรบกวนหลวงตาหน่ อยครั บ เกียวกับพระ อรหันตธาตุ มีเพือนให้ สิงนีมาครั บ มีลกั ษณะคล้ ายหิน งอกสีขาว เขาบอกว่ า เป็ นพระธาตุของพระสีวลี โดย ได้ มาจากถําสามร้ อยยอด ประจวบคีรีขันธ์ ครั บ ถ้ าเป็ น พระอรหันตธาตุจริง จะต้ องบูชาอย่ างไรครับ สาธุครับ
หลวงตา : บูชา ด้ วยการปฏิบัตบิ ูชา ซึงเป็ นทีสุดของ การบูชาทีพระพุทธเจ้ าสรรเสริ ญ ด้ วยการปล่ อยวางร่ างกายจิตใจ ไม่ หลงยึดมันถือมัน เหมือนกับพระพุทธเจ้ าและพระอรหันต์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
เพียรน้ อมเห็น “ตัวเรา” ตาย เน่ า เปื อย ผุพัง ผู้ถาม : กราบหลวงตาครับ ขอโอกาสส่ งการบ้ านครับ หลังจากหลวงตาได้ เมตตาชีแนวทาง ทังอ่ านทังฟั งซีดี ผมว่ าผมเจอโลกใหม่ เลยครับ เข้ าใจโลกและเริ มรู้จัก อีกโลก หมันเพียรดํารงสติ ไม่ ฝืน ไม่ บังคับ ไม่ อยาก รู้ สึกตัวในปั จจุบัน แม้ บางครัง จะรู้ สึกช้ าไปบ้ าง แต่ ก็ร้ ู ชัดภายในของตัวครับ หลวงตาครับช่ วงเร็ว ๆ นีผมเจออุปาทาน ใน กามตัณหาบ่ อย ๆ เหมือนกับศึกรบรุ นแรงในจิตใจ ครั บ จนครั งหลังสุด ปรากฏภาพบุคคลนันเริม เปลียนแปลงสภาพเป็ นคนแก่ เหียวจนทีสุดเป็ นศพที กําลังเน่ า ผุดขึนมาแทน ต้ องสะดุ้งตืนในภวังค์ นันครั บ
ผมนึกถึงหลวงตาก่ อนก็ไม่ ร้ ูทาํ ไมครับ ภายหลังทีเผชิญ ศึกในจิตใจอีก มันเหมือนมีสติรังไว้ ไม่ ไปคลุกด้ วย หลวงตาให้ ช่วยชีแนวปฏิบัตคิ รับ หลวงตาเมตตาผม ด้ วยครับ ขอบพระคุณหลวงตาครับ
หลวงตา : ให้ เพียรน้ อมเห็นตัวเราตาย เน่ า เปื อย ผุพัง ดังทีเห็นมานัน ให้ ต่อเนือง เป็ นวัน เป็ นเดือน เป็ นปี อย่ าท้ อถอย ก็จะสินสงสัย ถ้ าเห็นแต่ คนอืนตาย เน่ า เปื อย ผุ พัง จิตมันไม่ ปลง ปล่ อยวาง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ตัวเราผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ เป็ นสังขารปรุงแต่ ง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ขอโอกาสครับ หลังจากทีหลวงตาเมตตาส่ งข้ อความมาให้ หลวงตาให้ วางทังหมด แม้ กระทังวางผู้วาง ผมแจ้ งแก่ ใจแล้ วครับ หลวงตา ถึงการยึดถือทังสังขารและวิสังขาร สังขารก็ดี วิสังขารก็ดี เขาไม่ ได้ เป็ นของ ๆ เรา หรือของ ๆใคร ไม่ ใช่ ตัวไม่ ใช่ ตน บุคคล เรา เขาฯ เพราะความหลงไม่ ร้ ู คืออวิชชา จึงหลงเข้ าไปยึดถือทังสังขารและวิสังขาร สุดท้ ายก็ต้องวางทังหมด ยึดอะไรไม่ ได้ เลย ขอกราบ ขอบพระคุณในความเมตตาของหลวงตาครั บ
หลวงตา : สาธุ รู้ เห็นอะไร ก็ปล่ อยวางไปทังหมด และ ไม่ หลงยึดถือ ว่ าเราหรื อตัวเราเป็ นผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจว่ าอะไรเป็ น อะไร เพราะ ทังหมดนันเป็ นสังขารปรุ งแต่ ง
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
รับรู้ตามทวาร ตามปกติธรรมชาติ แต่ ไม่ ขาดสติ ผู้ถาม : หนูกราบนมัสการหลวงตาค่ ะ หนูขอถามหลวง ตาค่ ะว่ า หนูกาํ ลังฟั งไฟล์ หลวงตา อยู่ ๆ มีคนมาพูดใส่ หนูและหนูไปฟั งเข้ าแสดงว่ าหนูส่งจิตออกนอกใช่ มัย คะ ถ้ าหนูไม่ ได้ ยินเขาพูด หนูฟังไฟล์ หลวงตาหนูไม่ ได้ ส่ งจิตออกนอกใช่ มัยคะ หนูปฎิบัตแิ บบนีถูกมัยคะ กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ
หลวงตา : ต้ องมีการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิน กาย ใจ ตามปกติธรรมชาติทงหมด ั เพียงแต่ ว่าไม่ ขาดสติ หลง ส่ งจิตออกนอกไปเคล้ าคลอเคลียหรือแนบติดแน่ นกับ อารมณ์ ซึงเป็ นอายตนะภายนอก ด้ วยอํานาจแห่ ง ความรั ก หรือ ความชัง แม้ ฟังธรรมะอยู่ เมือเขาพูดด้ วย ก็ต้องได้ ยิน ถ้ าไม่ ได้ ยิน แสดงว่ าขาดสติ ไม่ มีความรู้สึกตัวทัวพร้ อม ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
เมือใจเข้ าถึงความจริง เขาจะปล่ อยวางของเขาเอง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาและเคารพธรรมที ออกมาจากใจอันบริสุทธิของหลวงตาสู่ใจของโยมทียัง มืดบอดอยู่ น้ อมกราบ ๆ สาธุ ๆ เจ้ าค่ ะ ฟั งจากยูทปู โดยบังเอิญได้ ยังไม่ ถึงเดือน จิตจังงังเจ้ าค่ ะ ลงลึกถึงใจ ดันนําตาไหล ๆๆ โอ้ โหทําไมกระทุ้งจิตขนาดนี (ไม่ มี เรา ยังมีเราไปแอบแฝง)
ถ้ าจะเล่ าไปมันจะยาวไป เอาเป็ นว่ าเคยดูอสุภะของจริ ง ติดตาติดใจ น้ อม ๆๆ ทีไรชัดไปไหน ๆ เหมือนอสุภะ ตามตลอด (แต่ ไม่ หลอนนะเจ้ าคะ) ย้ อนดูตัวเองชัดถึง นําทีเคลือบอยู่ตามไส้ ตามเครืองใน ท้ องเริมมีอาการ มวนท้ องขึนมา จิตผละออกไม่ ดูเลยค่ ะ ก็เคยไปเล่ าให้ พระท่ านฟั ง ท่ านก็ให้ ท่อง ตาเห็นรูป ๆ ไม่ เทียง เกิด ดับ ตัวฉันไม่ เทียง เกิดดับ หูได้ ยนิ เสียง เสียงไม่ เทียง เกิดดับ ตัวฉันไม่ เทียง เกิด ดับไปเรื อย ๆ จนครบแล้ วก็วนอยู่อย่ างนันเท่ าทีระลึก ได้ จนจิตท่ องเอง วันต่ อ ๆ มาคิดอะไรไม่ ออกเลย แต่ ร้ ู เห็นได้ ยนิ เสียงคุยกับคนอืนรู้ เรื องหมด แต่ คิดไม่ ออก ทําให้ ข้างในอึดอัดมากจนจะเป็ นลม (อดีต) ก็คาอยู่แค่ นันค่ ะ พอได้ ฟังธรรมหลวงตานําตาไหลดีใจ (อาการ ของจิตข้ างใน) เบา ๆ จะไปอย่ างไรต่ อเจ้ าคะหลวงตา
หลวงตา : เพียรพิจารณาให้ ต่อเนืองไม่ ขาดสาย จน ใจเข้ าถึงความจริง เขาจะปล่ อยวางของเขาเอง ไม่ ใช่ เราเป็ นผู้ปล่ อยวาง พิจารณาจนเหลือแต่ กระดูก แล้ วเอาไฟเผาหรื อทําลาย กระดูกให้ เป็ นธุลีดนิ ไปด้ วยวิธีใดก็ได้ กระดูกและอวัยวะของแข็ง มาจากดินก็คืนสู่ดิน ส่ วนนําเลือด นําลาย นําปั สสาวะ .. ต้ องกลับคืนสู่นํา ลม ไฟ และธาตุร้ ูทว่ี างเปล่ า ก็ต้องคืนธรรมชาติเขา หมด ไม่ เหลือตัวตนของเรา
ต้ องพิจารณาซํา ๆๆๆๆ .......... จนใจสินหลงยึดมันถือ มันว่ ามีเรา ตัวเรา ของเรา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
วาง (ไม่ มีผ้ ยู ดึ ถือ) ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะหลวงตา เมือคืนหนูหลงไป คิดถึงเรื องทีเสียใจ หลงไปคิดโดยไม่ มีสติอยู่พักหนึง พอรู้ ตัวหนูกเ็ ลยเคลือนไหวร่ างกายโดยเดินไปเดินมา แล้ วบอกตัวเองว่ าพอแล้ ว ทุกอย่ างทีเกิดขึนในจิต อาการทีเกิดขึน ความเสียใจ เป็ นแค่ อาการทีเกิดจาก กิเลส ถ้ าเราเข้ าไปคลุกไปอยู่กับมัน เราก็จะทุกข์ ยังไม่ พออีกเหรอ ตัวนีทําให้ ก่อเกิดเวรกรรม และไม่ พ้นจาก การเวียน ว่ าย ตาย เกิดอีกไม่ ร้ ูกีภพ กีชาติ ยังไม่ เบือ อีกเหรอ แล้ วหนูกบ็ อกตัวเอง พอแล้ ว ไม่ เอาแล้ ว ไม่ อยากเกิดอีก ก็เลยพิจารณากายและใจ ไม่ มีตัวตน ไม่ เหลืออะไรซักอย่ าง ร่ างกายตายไปเหลือแต่ โครง กระดูก แล้ วก็ป่นเป็ นผงกองไปสลายไปกับอากาศ จิตก็แตกดับไป ไม่ มี ไม่ เหลือ กลายเป็ นอากาศธาตุไป หนูเดินไปเดินมา พิจารณาอยู่อย่ างนีจนจิตสงบ สักพัก
หนูกไ็ หว้ พระสวดมนต์ แผ่ เมตตา แล้ วก็เข้ านอน หนู ไม่ ได้ ฝันอะไร จนเช้ าตืนขึนมารู้ สกึ ตัวแปลกไป เหมือนต่ าง ดาว ต่ างดาวอย่ างไรก็ไม่ ร้ ูค่ะหลวงตา เหมือนหนูไม่ ใช่ เรา จิตไม่ ใช่ เรา มองเห็นรอบตัวเหมือนชัวคราวไป หมดทุกอย่ าง หนูกน็ ึกถึงคําสอนหลวงตาว่ าอะไร เกิดขึนให้ วาง ให้ วาง หลวงตาบอกว่ า ผู้ร้ ูไม่ คิด ผู้คดิ ไม่ รู้ แต่ หนูน้องอาศัยผู้คิดอยู่นะคะหลวงตา ทีจะเตือน ตัวเอง บอกตัวเองอยู่ ตัวนีบางทีกด็ ี บางทีกไ็ ม่ ดีค่ะ เมือก่ อนจะตัดไม่ ดี แต่ ยิงตัดยิงเหมือนต่ อต้ านหนักขึน กว่ าเก่ า หนูเลยยอมรับแต่ ไม่ สนใจมากนัก เหมือนมี เพือนทังดี และไม่ ดีนะคะ ฟั งทังดีและไม่ ดี ดีก็ทาํ ไม่ ดี ก็ฟังเฉย ๆ ไม่ ให้ ค่าให้ ความสนใจ แล้ วบอกตัวเอง จิต ดี จิตไม่ ดี เค้ าก็เป็ นของเค้ าอย่ างนัน ปล่ อยไป
หลวงตา : รู้อะไรแล้ ว ก็ วาง (ไม่ มีผ้ ยู ดึ ถือ) รู้ อะไรในปั จจุบันขณะ ก็ วาง (ไม่ มีผ้ ูยึดถือ) ในอนาคต อยากรู้ อยากเห็น อยากได้ อยากเป็ นอะไร ก็วาง (ไม่ มีผ้ ูยึดถือ) ผู้ทุกข์ กไ็ ม่ มี
ผู้ถาม : หลวงตาคะ อยู่แบบไม่ มีจิต ไม่ มีใจ คือทุก อย่ างผ่ านไปหมด ไม่ มีกายและใจรองรับ มันผ่ านไป หมดใช่ ไหมเจ้ าคะหลวงตา
หลวงตา : อยู่กบั รู้ ว่า ธรรมชาติร้ ู เขาได้ แต่ ร้ ู ไม่ มี ตัวตนของรู้ “รู้ ” ไม่ ยึดถือตัวมันเอง และไม่ มีตัวตนไปยึดถืออารมณ์ หรื อสิงทีถูกรู้
ผู้ถาม : กราบขอขมาค่ ะหลวงตา หนูยังมีผ้ ูสงสัยอยู่ค่ะ รู้ แล้ ววางไม่ มีผ้ ูยึดถือค่ ะ กราบพระพุทธ กราบพระ ธรรม กราบพระสงฆ์ กราบพ่ อแม่ ครูบาอาจารย์ เจ้ าค่ ะ หนูยังมีตัวไปยึดรู้อยู่นันเองใช่ ไหมคะ แล้ วไปยุ่งกับสิง ทีถูกรู้ด้วย กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้ าค่ ะทีชีแนะ เจ้ าค่ ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ความรู้สึกว่ าง ไม่ ใช่ “นิพพาน” ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ อาการของจิต หนูไม่ มีผ้ ูยึดถืออะไรในอะไร จิตเบา,โล่ ง เพราะไม่ มี อะไรในอะไร ไม่ มีอยากอะไรในอะไร ไปเรื อย ๆ เฉย ๆ นิง ๆ ว่ าง ๆ ไม่ ห่วงกังวล สติร้ ู การเกิด ดับ เป็ น ธรรมชาติททุี กคนต้ องเผชิญ ว่ าง ๆ วาง ๆ ทุกอย่ าง เป็ นไปตามทางของมันเอง อธิบายไม่ ถูก ว่ างไม่ มีอะไร ยึดถือ ทุกข์ ไม่ มี สุขไม่ มี อดีต อนาคต ไม่ ได้ กังวล เหมือนก่ อน เฉย ๆ เบา ๆ เขาจะจัดสรรเอง ไม่ ดนรน ิ ในความอยากอะไรเจ้ าค่ ะ ติดตามอ่ านหลวงตาในกลุ่ม มาโดยตลอดค่ ะ
หลวงตา : สาธุ ปล่ อยวาง หรื อ ไม่ ยึดถือผู้ร้ ู ผู้ถาม : ไม่ มีผ้ ูยึดถือเจ้ าค่ ะ ว่ างๆ เบาๆ บอกไม่ ถูกค่ ะ ไม่ ฟ้ งุ ซ่ านเหมือนก่ อน
หลวงตา : อย่ าไปสนใจความว่ าง มันมีตัวเรารู้ความ ว่ าง ให้ ปล่ อยวางตัวเรา “ผู้ร้ ู” ตลอดเวลา หรือ ไม่ มีผ้ ู ยึดถือตัวเราผู้ร้ ู ว่า เป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรือ เป็ นของเรา เขาเป็ นเพียงสังขาร
ผู้ถาม : พอใจว่ าง ๆ จัดบ้ านโละของบริจาคออกสละ ออก ไม่ ยึดของทีเก็บทีหวงไว้ แบ่ งปั นให้ ผ้ ูอนื บ้ าน สะอาด จิตจะเบาโล่ งตามไปด้ วยค่ ะ ขนออกบริจาค ตัว เราก็ว่าง ๆ ว่ าง ๆๆๆๆ แบบเฉย ๆ ค่ ะ
หลวงตา : มันมีตัวเราแอบยึดถือ คือ พึงพอใจความ ว่ าง โยมแอบพึงพอใจยึดถือใจทีว่ าง หรือ หลงยึดถือ ความว่ างโดยไม่ ร้ ูตัว ให้ ร้ ู เท่ าทัน ปล่ อยวางตัวตนของผู้ ยึดถือเสีย ในธรรมชาติไม่ มีตัวเรา ไม่ มีจิตใจของเรา ว่ าง มีผ้ ูปฏิบัติพากันหลงผิดเช่ นนีเป็ นจํานวนมาก โดยหมายยึดถือเอา “ความว่ าง” หรื อ ความรู้สึกว่ าง โล่ ง โปร่ ง เบา สบายใจ ใจมีแต่ ความสุขสงบ เป็ น “นิพพาน” แล้ วก็สยบติดอยู่กับสภาวะ หรือ อารมณ์ เหล่ านัน อย่ างนี มันเป็ นกิเลส หรือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
“นิพพาน” คือ สินผู้ยึดมันถือมัน ไม่ ว่าจะมีสภาวะอย่ างใด ถูกใจ หรื อ ไม่ ถกู ใจ สุข หรือ ทุกข์ ผ่ องใส หรือ เศร้ าหมอง ว่ าง หรือ ไม่ ว่าง สงบ หรื อ วุ่นวาย โปร่ ง โล่ ง เบา สบาย หรื อ ไม่ โปร่ ง โล่ ง เบา สบาย ก็ไม่ มีผ้ ูยึดถือ หรื อ ไม่ มีผ้ ูยึดมันถือมัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ธรรม เป็ นเรื องของ “ใจ” ทีไม่ ปรุงแต่ ง ผู้ถาม : อาจารย์ ครับขอปรึกษาพ่ อแม่ ครูอาจารย์ หน่ อยครับ เมือเราเป็ นส่ วนหนึงของธรรมชาติ สังขาร และ วิสังขาร เราเห็นแนวทางปฏิบัตติ ่ าง ๆ รอบ ๆ ตัว เรา ไปในทางทีผิด หลงยึดติดหลงเชือสังขาร รวมถึง โยมแม่ ในฐานะทีให้ กาํ เนิดเรามา เราก็อยากตอบแทน ด้ วยความรู้บ้างตามเหตุ พอจะมีแนวทางไหนทีพ่ อแม่ ครู อาจารย์ พอจะแนะนําได้ ไหมครับ หรือแค่ ร้ ู แล้ ว ปล่ อยทุกอย่ างไปตามเหตุ ตามปั จจัยของสิงนัน ๆ ขอปั ญญาจากพ่ อแม่ ครูอาจารย์ ด้วยครั บ
หลวงตา : เรืองโลก ก็ต้องมีความเพียร ขยัน อดทน เล่ าเรี ยนเขียนอ่ าน ทําการงาน เป็ นผู้มีนาใจ ํ เป็ นผู้ให้ ไม่ เห็นแก่ ตัว มีเมตตา กรุ ณา มุทติ า อุเบกขา ช่ าง สังเกต จดจํา เรียนรู้ เป็ นนักปราชญ์ ปฏิบัติหน้ าทีทุก อย่ างได้ สมบูรณ์ ถูกต้ อง ทังถูกกาละ เทศะ บุคคล โอกาส สถานที รู้ อะไรควร ไม่ ควร ส่ วนเรื องของธรรม เป็ นเรืองของ “ใจ” ทีไม่ ปรุ งแต่ ง (วิ สังขาร) ไม่ มีตัวตน ไม่ มีตัวจิตตัวใจ จึงหลงไปยึดถือสิง ใดไม่ ได้ จึงไม่ มีผ้ ทู ุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
การตอบแทนบิดามารดา ผู้ถาม : แล้ วเราสามารถตอบแทนโยมแม่ แบบไหนได้ บ้ างครั บสําหรับการปฏิบัติของเรา
หลวงตา : เมือบวชแล้ ว หรือ เป็ นฆราวาสก็อธิษฐาน บวชใจ ถือศีลห้ าให้ บริสุทธ์ แล้ วตังใจเพียรปฏิบัติให้ พ้ นทุกข์ ในปั จจุบัน เพือบูชาคุณพระพุทธ คุณพระ ธรรม คุณพระอริยสงฆ์ คุณบิดามารดา เป็ นฆราวาสก็ต้องเลียงดูท่านให้ ดดี ้ วย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ต้ องเพียรพิจารณา อย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะหลวงตา หลังจากทีส่ ง การบ้ านหลวงตาครั งทีแล้ ว ก็จะมีธรรมชาติปรากฏให้ เห็นอยู่เรือย ๆ ว่ าไม่ ว่าจะเป็ นคน สัตว์ ต้ นไม้ ผลไม้ สิงของ ก็มีแต่ เกิด แก่ เก่ า เจ็บ ตาย เป็ นธรรมดาจริง ๆ … หนูกถ็ ่ ายภาพเก็บไว้ พิจารณาอยู่ซาํ ๆ แต่ ส่วนใหญ่ ถ้าเจอพวกผลไม้ สัตว์ จะกระแทก ใจได้ ง่าย ตอนทีไปเจอแมลงตายกับเจอปลาเน่ ามัน กระแทกใจสุด ๆ ค่ ะ แต่ ปัญหาคือมันไม่ ต่อเนือง บางที มันก็คิดพิจารณาได้ บางทีกไ็ ม่ ได้ ปั จจุบันหนูกต็ ามฟั ง ไฟล์ เสียงหลวงตาเป็ นประจํา แต่ ไฟล์ เสียงส่ วนใหญ่ เป็ นเรื องพิจารณาจิต ซึงหนูไม่ ค่อยเข้ าใจ
ส่ วนภาพธรรมกับทีลูกศิษย์ หลวงตาส่ ง การบ้ าน อ่ านตามไม่ ทันค่ ะ เลยอยากขอคําแนะนํา หลวงตาว่ าหนูก็พิจารณาสังขารร่ างกายแบบนีไปเรือย ๆ โดนไม่ ต้องไปสนใจเรื องดูจิตใช่ ไหมคะ
หลวงตา : ให้ เอาธรรมชาติรอบตัวอย่ างทีเห็นและ ถ่ ายภาพเก็บไว้ พิจารณาเปรี ยบเทียบเข้ าหาตนเอง อย่ างทีทํานันแหละ ถูกต้ อง ดีมาก ๆๆ .. เพียรน้ อม พิจารณาอย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย จิตเขาก็จะจําภาพ และความรู้สึกถึงความไม่ เทียง เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาขึนมาในใจได้ ชัดเจนติดตาติดใจ เรียกว่ าเกิด อุคคหนิมิต แล้ วจะขยายความชัดเจนถึงความตายเน่ า เปื อยผุพังของตัวเราและธรรมชาติรอบตัวเรามาก ยิงขึน ยิงขึนเรื อย ๆ จิตใจก็จะยิงปลงปล่ อยวางมาก ยิงขึนไปเรือย ๆ อย่ างต่ อเนือง
จนกระทังจิตใจเขาทนต่ อความเป็ นจริงไม่ ได้ ก็ปล่ อย วางความหลงยึดมันถือมันในร่ างกายตนเองและผู้อืน สัตว์ อืนจนหมดใจ “อวิชชา” ทีเคยหลงยึดถือร่ างกายว่ าเป็ นตัวเป็ นตน เป็ น เรา ตัวเรา หรือ ของเรา ทีหุ้มห่ อใจหรือจิตเดิมแท้ มา ชัวกัปป์ กัลป์ ก็ดับลง มีอาการคล้ ายกับโลกธาตุภายใน ระเบิดออกไปรวมกับธรรมชาติภายนอก ของโยม ขาดแต่ ความเพียรไม่ ต่อเนือง จึงทํา ให้ เกิดอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต ขึนมาติดตาติดใจ อย่ างต่ อเนืองไม่ ได้
ถ้ าพิจารณาต่ อเนืองจนเกิดอุคคหนิมติ และปฏิภาค นิมิตแล้ ว แม้ แต่ ในขณะทํางานประจําหรือไม่ ว่าจะทํา กิจอันใดในชีวิตประจําวัน ภาพความตายเน่ าเปื อยผุพัง และความรู้สึกปลงปล่ อยวาง ก็จะต่ อเนืองไม่ ขาดสาย หมายเหตุ - ไม่ ต้องสนใจเรืองจิตเลย จนกว่ าจิตใจจะ ปลงปล่ อยวางความหลงยึดถือร่ างกายตนจนหมดสิน แล้ วจะสินสงสัยเอง ให้ กนิ น้ อย นอนน้ อย สํารวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิน กาย ใจ ไม่ คลุกคลีหมู่คณะ ไม่ พูดสิงทีไม่ มีประโยชน์ สาระแก่ นสาร
ไม่ หลงเพลิดเพลินใจไปกับสิงใด โดยเฉพาะทาง โทรศัพท์ มือถือ มีหริ ิโอตตัปปะ คือ มีความละอายแก่ ใจและเกรงกลัว ต่ อบาปกรรม ***** มีความเพียรพิจารณาอย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย พระพุทธเจ้ าตร้ สว่ า ถ้ าปฏิบัตติ ามทีกล่ าวมาทังหมดนี ไม่ ว่าจะเป็ นพระภิกษุ เณร ชี หรื อ ฆราวาส ก็ตาม อย่ างเร็วทีสุดอาจบรรลุนิพพานในวันเดียว หรื อ ภายในเจ็ดวัน หรือ ภายในเจ็ดสัปดาห์ หรื อ ภายใน เจ็ดเดือน หรือ อย่ างช้ าทีสุดไม่ เกินเจ็ดปี ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
เพียรปฏิบัติตามทีสอน แม้ อยู่ไกลก็ชือว่ าอยู่ใกล้ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ไม่ มีอะไรเจ้ า ค่ ะ คิดถึงหลวงตาเจ้ าค่ ะ อันนีเตือนสติดีมากเลยเจ้ าค่ ะ สาธุ
หลวงตา : สาธุ สาธุ คิดถึง ก็ให้ เพียรปฏิบัติตามที สอนนีนะ แม้ อยู่ไกลก็ได้ ชือว่ าอยู่ใกล้ พระพุทธ พระ ธรรม พระอริยสงฆ์ และหลวงตาตลอดเวลา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
จิตไม่ เทียง เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะหลวงตา ลูกขอกราบ เรี ยนถามหลวงตาเจ้ าค่ ะ ตัวจิตกับตัวผู้ร้ ูแตกต่ างกัน อย่ างไรเจ้ าคะ และจะแยกอย่ างไรเจ้ าคะ หลวงตาช่ วย ชีแนะลูกด้ วยเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ตัวจิต คือ จิตแต่ ละดวงทีเกิดดับอย่ าง รวดเร็ วปานปรมาณู ในแต่ ละปั จจุบันขณะทีมีการ กระทบทางตา หู จมูก ลิน กาย ใจ จะเกิดจิตหรือ วิญญาณขันธ์ ขึนมารู้ รูป เสียง กลิน รส โผฏฐัพพะ หรื อธรรมารมณ์ และจะมีเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร เกิดมาประกอบจิตหรือวิญญาณขันธ์ ทุกดวง
ดังนัน จิตหรื อ ตัวผู้ร้ ู ผู้ร้ ูสึก ผู้คิดตรึกตรอง ผู้มีอาการ หรื ออารมณ์ ต่าง ๆ จึงเป็ นขณะจิตดวงเดียวกันใน ปั จจุบันขณะ ดวงเก่ าดับไป ดวงใหม่ กเ็ กิดมารู้ และมีเจตสิกเข้ า ประกอบทุกดวง จิตหรื อวิญญาณขันธ์ จงึ ไม่ เทียง เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา หรือ ของเรา ซึงรวมทังร่ างกายด้ วย ก็เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา ของเรา เขาเป็ นเพียงกระบวนการทํางานของขันธ์ ห้าเท่ านัน
ทังร่ างกายและจิตหรือวิญญาณ จึงไม่ ใช่ ตัวเรา ของเรา เพียรพิจารณาให้ เห็นสัจธรรมความจริงนีอย่ างต่ อเนือง จนจิตเขายอมรับตามความเป็ นจริง ก็ปล่ อยวางความ หลงยึดถือจนหมดใจ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
พระธรรมลึกซึงตรงที ไม่ มีความปรุงแต่ ง ผู้ถาม : กราบขอโอกาสเจ้ าค่ ะ ศิษย์ เข้ าใจแล้ วเจ้ าค่ ะ ว่ า "หลวงตาสอนอะไร" ผ่ านการให้ โอกาสมีส่วนร่ วมใน "งานเผยแผ่ ธรรมะ" สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทังปวงทังทีเป็ นสังขารและวิสังขาร ... ไม่ ใช่ เรา ตัวเรา หรือตัวตนของเรา ... สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทังปวงทังทีเป็ นสังขารและวิสังขาร ... ไม่ อาจยึดมันถือมันได้ ...
เมือไม่ มี "ตัวตนของเรา" ไปยึดมัน "สิงใด" เลย ... เมือ นันจึงมีแต่ "ธรรมชาติ" ล้ วน ๆ ทีเกิดขึน ตังอยู่ แปรปรวน และดับไป ... ไม่ มี "เรา" เป็ นส่ วนเกินของ ธรรมชาติ ... - ไม่ เคยมี - "ไม่ มีคาํ พูดใดเลยเจ้ าค่ ะ ... ไม่ มีคาํ พูดใดอธิบายปรากฏการณ์ นีได้ เลย" กราบเท้ า นมัสการมาด้ วยความซาบซึงและเคารพสูงสุดเจ้ าค่ ะ ...
หลวงตา : สาธุ สาธุ พระธรรมทีลึกซึงเช่ นนี ตรงทีไม่ มีความปรุงแต่ งเสียอีก แล้ วจะปรุ งแต่ งเอามาสอนกันอย่ างไร แต่ ถงึ อย่ างไร ก็มีผ้ ูร้ ูธรรมตามพระพุทธเจ้ าได้ สามารถรู้ ธรรม เห็นธรรม ใจเป็ นธรรม ธรรมเป็ นใจ หรื อ ธรรมกับใจเป็ นอันเดียวกันเสียเลย สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
สินผู้ยดึ ถือก็พ้นทุกข์ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาตอนเช้ าเจ้ าค่ ะ หลวง ตาคะการทีจะเริ มพิจารณาความตาย หรือ พิจารณา มองให้ เห็นสภาพร่ างกาย (อสุภะ) ต้ องเริมอย่ างไรเจ้ า คะ กราบในความเมตตาเจ้ าค่ ะ คือทุกครังทีมอง พิจารณานีมันยังไม่ ชัดค่ ะหลวงตา มันพาไปมองแต่ สวย ๆ ชืนชม มันเข้ าไปไม่ ถึงความเน่ า ความเห็นของ สังขารธาตุขันธ์ มันติดสวยค่ ะ เห็นมันเลย
หลวงตา : หาดูจากอินเตอร์ เน็ต แล้ วน้ อมเข้ ามาสู่ใจ ว่ าเราเองก็เป็ นเช่ นนัน ไม่ อาจเป็ นอย่ างอืนไปได้ น้ อมซํา ๆๆ .... อย่ างต่ อเนืองร้ อยครัง พันครั ง หมืน ครั ง แสนครั ง ..... เป็ นภาพความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เน่ า เปื อย ผุพัง คืนสู่ธาตุดิน นํา ลม ไฟ อากาศ
ธาตุร้ ูทว่ี างเปล่ าเป็ นหนึงเดียวกับความว่ างเปล่ าของ ธรรมชาติ แต่ มีร้ ูแบบ “พุทธะ” อยู่ในความไม่ มีอะไร ปรากฏเลย เป็ นรู้จริง รู้แจ้ ง รู้ว่าสินยึด รู้ ว่าสินหลง รู้ ตืน รู้เบิกบาน รู้ว่าว่ าพ้ นแล้ ว ชาตินีเป็ นชาติสุดท้ าย เพราะไม่ หลงยึดถือ ผู้ร้ ู ผู้คิด ผู้ร้ ูสึก ผู้เข้ าใจ ผู้ .... ซึงเป็ นสังขารปรุงแต่ ง รวมทังไม่ ยึดถือธาตุดิน นํา ลม ไฟ อากาศ และธาตุร้ ู ว่ าเป็ นตัวตน เป็ นเรา เป็ นตัวเรา เป็ นของเรา สินผู้ยึดถือ ไม่ ยดึ ถือแม้ ความว่ าง ความเบาสบาย ความไม่ มีอะไร ไม่ ยึดถือผู้ร้ ู ไม่ ยึดถือผู้ปล่ อยวาง ไม่ ยึดถือผู้ว่างเปล่ า ไม่ ยึดถือผู้พ้นทุกข์ ไม่ ยึดถือนิพพาน สินผู้ยึดถือก็พ้นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ทีสุดแห่ งทุกข์ ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ ตอนนีลูก รู้ สึกเหมือนคนสินเนือประดาตัวแล้ วเจ้ าค่ ะ ไม่ เหลือ อะไรเลยถอยกลับก็ไม่ ได้ หยุดอยู่กไ็ ม่ ได้ ไปต่ อก็ไม่ ได้ รู้ สึกเหมือนจนมุมไม่ มีทจะไปแล้ ี วเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : พระพุทธองค์ ตรัสว่ า “........... ไปต่ อก็ไม่ ใช่ ถอยกลับก็ไม่ ใช่ หยุดอยู่ก็ไม่ ใช่ ทังไม่ ใช่ ผ้ ูไปต่ อหรือสิงทีไปต่ อ ไม่ ใช่ ผ้ ูถอยกลับหรือสิงทีถอยกลับ ไม่ ใช่ ผ้ ูหยุดอยู่ หรือ สิงทีหยุดอยู่ นันแหละ คือ ทีสุดแห่ งทุกข์
ผู้ถาม : สุดท้ ายมันไม่ มีอะไรเหลือจริง ๆ ใช่ ไหมเจ้ า คะ "ใคร" เหลือคนนันก็ทกุ ข์ ไปเองใช่ ไหมเจ้ าคะองค์ หลวงตา
หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
ความเคลือนไหว ในความสงบ หลวงตา : “ความเคลือนไหว ในความสงบ” ขออธิบายเพิมเติม เพือ ความเข้ าใจตรงกัน จะได้ หา ภาษามาแปลให้ ตรงกับความหมาย “ความสงบ” มีสองนัย คือ ความสงบ สลับหน้ ากับ ความเคลือนไหว คือ เมือ ความเคลือนไหวหยุดลง ก็เป็ น “ความสงบ” เมือมีความเคลือนไหวใหม่ ความสงบก็หายไป ดังนัน ทังความสงบ และ ความเคลือนไหว จึงเป็ น สังขารปรุงแต่ ง เป็ นเพียงปรากฏการณ์ ของธรรมชาติ ภายนอกและภายในใจ
“ความสงบ” อีกชนิดหนึง หมายถึง วิสังขาร คือ ธรรมชาติทไม่ ี มีอะไรปรากฏ ไม่ มีตัวตน ไม่ มี เครื องหมายหรือสัญลักษณ์ ไม่ ปรุ งแต่ ง ไม่ เกิดดับ ไม่ มี การไป ไม่ มีการมา ไม่ มีการหยุดอยู่ มันจึงเป็ น ธรรมชาติทเป็ ี นความสงบอย่ างบริสุทธ์ โดยธรรมชาติ แท้ ๆ ของเขาเอง และสิงนีแหละ คือ ทีสุดแห่ งทุกข์ หรื อ พ้ นทุกข์ หรือ นิพพาน เห็นความเคลือนไหวในความสงบ ซึง “ความสงบ” ใน ทีนี ไม่ ได้ หมายถึง จิตตสังขาร ทีสงบ แล้ วไม่ สงบ สลับ หน้ ากัน แต่ หมายถึง “วิสังขาร “ ซึงเป็ นความสงบที ไม่ ใช่ สิงปรุงแต่ งหรือเป็ นสังขาร แต่ เป็ นความสงบ ตามธรรมชาติแท้ ไม่ มีการปรุ งแต่ ง ไม่ มีการเกิดดับชัว นิจนิรันดร์
แต่ ถ้า มีผ้ ูยึดถือ ความสงบ ทีเป็ น “วิสังขาร” ก็จะไม่ เป็ นนิพพาน เพราะเมือมีผ้ ูหลงยึดถือ วิสังขาร ก็จะเป็ น อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพชาติ .. และความทุกข์ ดังนัน “นิพพาน” จึงหมายถึง ไม่ มีผ้ ูยึดถือทังสังขาร และ วิสังขาร เมือ สินผู้ยึดถือ จึงไม่ มีผ้ ูทุกข์ เรียกชือ สมมติว่า “นิพพาน” จึงไม่ มีใครเรี ยก “วิสังขารว่ า ‘นิพพาน’” เพราะ “นิพพาน” ไม่ มีผ้ ูยึดวิสังขาร และไม่ มีผ้ ูยึดสังขาร แต่ อย่ างไรก็ตามเมือไม่ มีผ้ ยู ึดทังสังขารและวิสังขาร หรื อ นิพพานแล้ ว ใจซึงเป็ นวิสังขาร ก็เป็ นธรรมชาติทบริ ี สุทธิคือไม่ มี ตัวตน ไม่ ปรุ งแต่ ง ไม่ ปรากฏอะไรเลย ไม่ เกิดไม่ ดับ ไม่ มีการไป ไม่ มีการมา ไม่ มีการหยุดอยู่ มันจึงเหมือนกับ ความว่ างเปล่ าของธรรมชาติ หรือจักรวาล ทีไม่ มีตัวตน ไปยึดถือสิงใดให้ เป็ นทุกข์ ได้ เขาจึงเรียกธาตุวสิ ังขารว่ า นิพพานธาตุ
ผู้ถาม : แล้ วคําว่ า Peace ล่ ะครับ ใช้ สาํ หรับวิสังขาร ได้ ไหม? เนืองจาก คําแปลได้ ทงสงบและสั ั นติ และ ตามอภิธรรมกล่ าวว่ า นิพพานมีลักษณะ สันติ หรื อวิ สังขารในทีนียังไม่ เกียวกับนิพพาน?
หลวงตา : นิพพาน ไม่ ได้ หมายถึง “วิสังขาร” ส่ วน “นิพพาน” แปลว่ าความดับทุกข์ หรื อพ้ นทุกข์ ใช้ ในกรณีทสิี นผู้ยึดถือ ทังสังขาร และ วิสังขาร ส่ วน “วิสังขาร “ เป็ นนิพพานธาตุ เกิดจากสินตัวตน ของผู้ยึดถือ จึงพ้ นทุกข์ เรียกว่ า “นิพพาน” ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
อย่ าไปหมายตรงความว่ าง ผู้ถาม : ขอโอกาสหลวงตาครับ ผมเล่ าสิงทีพบให้ หมอเล็กฟั ง หมอแนะให้ ผมส่ งการบ้ านหลวงตา ผมเล่ า ให้ หมอฟั งดังข้ างล่ างนีครั บ หลายคืนทีผ่ านมาหลับตืนมาก ตืนถีมาก ๆ ฝั นตลอดจําได้ บ้างไม่ ได้ บ้าง ไม่ เคยเกิดพฤติการณ์ แบบนีครับ ในฝั นเหมือนกําลังท้ าทายต่ อสู้กับกิจกรรม ภายในจิตสํานึกดีชัวลึกมากข้ างใน แต่ ในนัน เหมือน ผมรับรู้ มีสตินะ มันรุนแรงอิมแพ็คมาก ๆ กับมโนสํานึก แต่ ไม่ ได้ ฝืนบังคับ ผมมีสติรับรู้ ตามทีเคย ๆ ฝึ กให้ เกิด เป็ นสัญชาตญาณ (อันนีตามทีผมเข้ าใจหรื อเรี ยกแบบ นัน) หลับตาจะนอนอีกครั งตีห้าแล้ วนึกถึงการบ้ านที หลวงตาแนะไว้
ดูร่างกายพิจารณาตัวเราไล่ จากจุดทีเจ็บป่ วย ลงไปเส้ นเอ็น เนือ กระดูก นํา ไล่ ไปดูแต่ ละส่ วน ตกใจ อยู่บ้างในสิงทีพิจารณาพบเจอ สติพยายามเตือนตัวว่ า นีเรากําลังจินตนาการอยู่ มันเป็ นมโนทีเราสร้ าง ไม่ ใช่ ของจริงแต่ ก็ถือเป็ นเรื องใหม่ เอียมมาก ๆ ในชีวติ แล้ ว ครั บ ผมพิจารณาไป พบว่ าพอจะโฟกัสไปทีหน้ าตา ตัวเอง มันจําไม่ ได้ ว่าตัวเราหน้ าตาอย่ างไร ตังสติ กําหนดดูอยู่หลายครังก็นึกหน้ าตัวเองไม่ ออก มัน หายไปหมด เข้ าใจแล้ วว่ าไม่ ใช่ ตัวเราแล้ ว เข้ าใจที หลวงตาแนะนํา มันเหมือนซ้ อมการตายก่ อนตายจริง
ผมโฟกัสลงตรงไหนของร่ างกาย ทีสุดแล้ วมัน ค่ อย ๆ หายไปหมด จะดูว่ามันเละเน่ าแบบไหน แต่ มัน หายไปหมดไม่ มีอะไรแล้ ว ผมพบว่ าตัวนอกจากจะ ไม่ ใช่ เราของเรา มันไม่ มีอะไรเหลือแล้ ว ไม่ มีอะไรเลย เจอความว่ างพิจารณาซําตรงนัน ก็ว่างเปล่ าไปมา ไม่ มี อะไรแล้ ว ไม่ มีอะไรจริง ๆ อารมณ์ ความรู้สึกใด ๆ ใช้ ตรงนันไม่ ได้ ด้วยซํา เพราะมันไม่ มีอะไร จะสบายใจโล่ ง ใจก็ไม่ มี ทุกข์ ร้อนลนก็ไม่ มี ตรงนันมันไม่ มีอะไร ไม่ รู้ สึกอะไรเลยครับ มันหายไปหมดขาดจากทุก ๆ อย่ าง พิจารณาซํา ๆ ก็ไม่ มีอะไร ไม่ ใช่ โล่ งใจ แต่ ไม่ มีอะไร เหลือให้ จับยึดแล้ ว
หลวงตา : ให้ เพียรน้ อมเห็นตัวเราตาย เน่ า เปื อย ผุ พังดังทีเห็นมานัน ให้ ต่อเนือง เป็ นวัน เป็ นเดือน เป็ นปี อย่ าท้ อถอย ก็จะสินสงสัย ให้ น้อมพิจารณา ซํา ๆๆ … อย่ างต่ อเนือง อย่ าไป หมายตรงความว่ าง จะต้ องไม่ สนใจความว่ างเลย ให้ น้อมแต่ ความไม่ เทียง เป็ นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดิม ไม่ ได้ เป็ นอนัตตา ไม่ มีตัวตนคงที ไม่ ใช่ เป็ นเรา ตัวเรา ของเรา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
มีแต่ การรู้แจ้ ง แต่ ไม่ ยึดว่ าเราเป็ นผู้ร้ ูแจ้ ง ผู้ถาม : ประมาณ ปี ก่ อน หนูพจิ ารณาดูรูปไม่ เทียง ค่ ะ (มีครู บาอาจารย์ แนะนําค่ ะ) ดูว่ารูปนีไม่ เทียง อย่ างไร อาการความไม่ เทียงมีการเปลียนแปลง เดินทาง ไม่ อยู่คงทีแล้ วก็เสือมไปสินไปค่ ะ ดูทุกรูปแล้ ว ก็น้อมมาทีตัวค่ ะว่ าร่ างกายเราก็ต้องไม่ เทียงเหมือนรู ป นัน จนมาวันนึงค่ ะ พิจารณาดูฟองนํา (ต่ อมนํา) ดูว่า ก่ อนทีจะมีฟองนํามันก็ไม่ มี ฟองนําเกิดขึนได้ เพราะมี เหตุและปั จจัยคือการกระทบกันของของ สิงจึงเกิดมี ฟองนําขึนมา และเมือหมดเหตุและปั จจัยฟองนําก็ แตกดับหายไปไปสู่ความไม่ มี จากนันก็น้อมเข้ ามาดูว่า ร่ างกายนีเกิดได้ อย่ างไร เกิดจากสเปิ ร์ มของพ่ อมาผสม กับไข่ สุกของแม่ แล้ วก็แตกตัวกิงก้ านสาขาโตขึนมา
ด้ วยอาหาร นํา ลม ไฟ แล้ วร่ างกายนีก็เดินทางไป เรื อย ๆๆ จนมันแก่ เจ็บแล้ วก็ตาย เอาไปเผาก็กลับ กลายเป็ นธาตุ ไหนหละตัวเรา พอตรงนีมันตกใจค่ ะ มันรู้ ความจริงแล้ วว่ ามันไม่ มเี ราตังแต่ แรกเลย ร่ างกาย นีไม่ ใช่ เรา มันก็ร้องไห้ ออกมาอย่ างหนักเลยค่ ะ แล้ วก็ พูดว่ าตัวเราไม่ มี ๆๆ แล้ วหลังจากนันหนูกด็ ูความไม่ เทียงของขันธ์ ค่ ะ (นิสัยไม่ ดีของหนูคือ พอครูบาอาจารย์ ให้ ตัวใหม่ มาก็ จะมาศึกษาดูและพิจารณาค่ ะ ตัวเก่ าก็จะทิงค่ ะ เหมือน ได้ ของเล่ นใหม่ กจ็ ะไม่ สนใจของเล่ นอันเก่ า) ทีนีก็มาดูเรื องขันธ์ ก็เห็นว่ ามันเกิดอย่ างไร และ ทํางานร่ วมกับตัวไหน และดับไปเพราะอะไรค่ ะ เช่ น ตากระทบรู ปเกิดจักขุวญ ิ ญาณ อย่ างนีเรียกผัสสะ ผัสสะเป็ นปั จจัยให้ เกิดเวทนา สัญญาและสังขารค่ ะ และดับไปเพราะมันไม่ เทียง ก็ดูมาอย่ างนีเรื อย ๆ
แต่ ยังไม่ ลงใจค่ ะ จนมีคนแนะนําให้ ลองเปิ ดใจมาฟั ง หลวงตาเมือปลายเดือนทีแล้ วค่ ะ ฟั งตอนแรกหนูกง็ งนะคะ (เพราะตอนนันในขันธ์ หนู เข้ าใจทุกขันธ์ ยกเว้ นสังขารทีเข้ าใจแต่ ไม่ เข้ าใจ) ไม่ เคย ได้ ยินผู้ร้ ู ตัวจริง ตัวปลอม (นึกว่ ามีแต่ ผ้ รู ้ ูคือวิญญาณ อย่ างเดียว) วิสังขารหนูกไ็ ม่ เคยได้ ยนิ ค่ ะ ก็เลยทิง ทังหมดทีเคยทํามา แล้ วก็เปิ ดใจฟั ง ศึกษา ตังแต่ ลืมตา จนเข้ านอนเลยค่ ะ แม้ แต่ เข้ าห้ องนําหนูกเ็ อาเข้ าไปฟั ง ค่ ะเพราะอยาก (ยังมีอยาก) จะเข้ าใจในสิงทีหลวงตา สอน ตอนนีหนูเข้ าใจแล้ วค่ ะว่ าหน้ าตาของสังขารเป็ น ยังไง คือทุก ๆๆ สิงทีมีความเคลือนไหวแม้ จะนิดนึง น้ อยหนึง แม้ ปรมาณูเดียวก็ใช่ สังขารทังหมด และก็ เห็นสังขารเกิดอยู่บนวิสังขารค่ ะ เมือก่ อนมันไม่ มี แล้ ว ก็มีขนมา ึ เมือหมดเหตุและปั จจัยมันก็ดบั ไปสู่ ความไม่ มี (เหมือนฟองนําทีเคยพิจารณาเลยค่ ะ) เหมือนเดิมค่ ะ
ตอนนีก็เพียรอย่ างทีหลวงตาสอนค่ ะ เฝ้ าดูอยู่ทประตู ี ใจ เมือมีผัสสะ (เมือก่ อนไปดูทอายตนะภายนอกค่ ี ะ ไปดูรูป ดับ เสียงดับ ฯลฯ ) มาดูว่าเกิดอะไรขึนทีใจ เห็นเลยค่ ะ มันทํางานร่ วมกันแบบแป๊ บ ๆๆ เร็วมากเลย พอรู้ ปุ๊บ มันส่ งต่ อเวทนา สัญญา สังขารเลยค่ ะ ก็เห็น กระบวนการ และก็ร้ ูว่าเป็ นสังขารแล้ วก็ปล่ อยมันไปค่ ะ (ถึงไม่ ปล่ อยมันก็ดับเอง) ไม่ ว่าจะเกิดอะไรขึน ก็ร้ ูแล้ วก็ ปล่ อยค่ ะ ไม่ เข้ าไปเป็ นอะไร ๆ กับอะไร และก็ไม่ อาลัย อาวรณ์ เพราะมันไม่ มีอะไรอยู่ในอะไรค่ ะ ไม่ มีแม้ แต่ ใคร ไปอะไรอาลัย มีแต่ ธรรมชาติ (สังขารและวิสังขาร)
กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และกราบ ขอบพระคุณครูบาอาจารย์ และองค์ หลวงตาทีอบรม สังสอนจนมีทุกวันนีค่ ะ ถ้ ามีอะไรผิดพลาด ขอเมตตา องค์ หลวงตาโปรดชีแนะด้ วยเจ้ าค่ ะ ไม่ เสียดายชาติเกิดที ได้ มาพบมาได้ ยนิ ได้ ฟังธรรมของพระพุทธเจ้ า ที ถ่ ายทอดจากหลวงตาได้ ละเอียดลออมากเจ้ าค่ ะ ไม่ เคย ได้ ยินได้ ฟังมาก่ อน ขอบคุณบุญกุศลทีพาให้ มาพบเจ้ าค่ ะ บุญคุณครั งนีหนูไม่ มีสงใดจะทดแทนนอกจากเพี ิ ยร ปฏิบัติให้ สนทุ ิ กข์ สินยึด และยังประโยชน์ ตนและ ประโยชน์ ผ้ ูอนให้ ื ถึงพร้ อมเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : สาธุ เพียรรู้ เห็นเข้ าใจละเอียดเข้ าไป ละเอียดเข้ าไป … ๆๆๆๆๆๆๆ .... แต่ กป็ ล่ อยวางทังหมดตลอดเวลา ไม่ เอาอะไรเลย ไม่ ยึดถืออะไรเลย ไม่ ตดิ ไม่ ยึด ไม่ หวัง ไม่ ปรารถนาจะได้ จะเป็ นอะไรในการดู รู้ เห็น เข้ าใจ มีแต่ การรู้ แจ้ ง รู้สัจธรรมความจริงในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย แต่ กไ็ ม่ ตดิ ยึดว่ าเราเป็ นผู้ร้ ูแจ้ ง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม
จิตทุกดวงเกิดดับในความไม่ เกิดดับ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ส่ งการบ้ านเจ้ าค่ ะ ทําไมเราถึงแตกต่ างกัน เพราะในหนึงขณะจิตมันเกิดดับเร็วมาก มาก มาก จน ไม่ สามารถบอกเป็ นตัวเลขเวลาได้ เหมือนทีหลวงตา บอกว่ าเป็ นปรมาณู ปรมาณู ณ ขณะจิตนัน ๆ เราก็คิด นึกปรุ งแต่ งไปต่ าง ๆ นานา พร้ อมกับอวิชชาทียังมีอยู่ วงจรปฏิจจสมุปบาทยังครบถ้ วน ทําให้ เกิดกายโปร่ งใส เพือไปรอภพชาติใหม่ ต่อไปในทุกขณะจิต
ทีนี ณ ขณะจิตซึงเร็วมาก แล้ วเราตาย ในขณะจิตที ตายนันเราคิดนึกปรุ งแต่ งอะไรอยู่ กําลังยึดอะไรอยู่ กําลังห่ วงอะไรอยู่ ถ้ าเราขาดสติ ไม่ เคยฝึ กจิต ไม่ เคย ปล่ อยวาง ยังมีตัวตน ยังมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ณ ขณะจิตเดียวนันทีทําให้ เราแตกต่ างกัน ขณะจิต เดียวนันทีตายไปพร้ อมอวิชชา เราก็เลยต้ องไปเกิดใน ภพภูมิที ณ ขณะจิตทีดับไป ซึงขณะนันแต่ ละคนก็คดิ แต่ ละแบบ แตกต่ างกันไป ทําให้ ภพทีเราไปเกิดใหม่ นันต่ างกัน ถ้ าเกิดในภพมนุษย์ ก็จะมีรูปร่ างหน้ าตาที แตกต่ างกัน ความนึกคิดหรื ออะไร ๆ ก็แตกต่ างกัน หรื อถ้ าไม่ ได้ เกิดในภพมนุษย์ ไปเกิดในภพต่ าง ๆ เป็ น สัตว์ ประเภทต่ าง ๆ ก็จะแตกต่ างกันไป จึงทําให้ ไม่ แปลกใจอีกเลยว่ าทําไมเราถึงแตกต่ างกัน ณ ขณะจิต เดียวเท่ านันทีทําให้ เราแตกต่ างกัน ขณะจิตเดียว เท่ านันจริง ๆ กราบเท้ าหลวงตาด้ วยความเคารพอย่ างสูงเจ้ าค่ ะ
หลวงตา : ถูกแล้ ว มันเป็ นเช่ นนันจริง แต่ แม้ จติ ทีคิด หรื อ ปรุ งแต่ งเกิดดับรวดปานปรมาณู ก็ไม่ ได้ เป็ นเรา ตัวเรา ของเรา จิตทุกดวงเกิดดับรวดเร็วปานใด แต่ จิตทุกดวงก็เกิดดับ ในความไม่ เกิดดับ ความไม่ เกิดดับนัน ก็ไม่ เป็ นเรา ตัวเรา ของเรา
เมือไม่ มีตัวเราในสิงใดเลย จึงไม่ มีตัวเราไปหลงยึดถือ ถือขันธ์ ห้า ว่ าเป็ นเรา ตัวเรา หรื อของเรา และจะไม่ มี ตัวเราไปหลงยึดถือสิงใด ให้ เป็ นทุกข์ เป็ นภพ ชาติ .. และความทุกข์ ทงมวล ั ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที
กรกฎาคม