CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
AikidoCMU NEWSLETTER
ชมรมไอคิโด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อาคารกิจกรรมนักศึกษา (อ.มช.) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถ. สุเทพ อ.เมือง จ. เชียงใหม่ 50200 ติดต่อได้ที่
ดั๊ก (ประธานชมรม) 084-6178601
ป๋อม (ผู้ประสานงานชมรม) 089-7017686
Email: AikidoCMU@gmail.com Facebook: Aikido CMU Blog : http://aikidocmu.wordpress.com
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ : ประวัติศาสตร์ศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 10 - 30 สิงหาคม 2555 พิธีเปิดวันที่ 9 สิงหาคม 2555 13.00 ลงทะเบียน 13.15-13.25 พิธีเปิดโดยเจ้าหน้าที่ไทย 13.30-14.30 Lecture - History of Japanese Martial Arts: Weapons, War, and Society 14.40-15.30 Aikido - talk & demo 15.40 พิธีกรกล่าวนํา 15.50 ผอ. มูลนิธิญี่ปุ่นกล่าวรายงาน 16.00 ผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่และกงศุลใหญ่ ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่ร่วมตัดริบบิ้นเปิดงาน
นักเขียนในฉบับ ดร.สมบัติ ตาปัญญา
สารบาญ อ.ธีระรัตน์
จิตวิทยาของการปองกันตัว (2) หลีกเลี่ยงการลุกลามของสถานการณ .....ดร.สมบัติ ตาปญญา เซนในศิลปะการตอสู .....อ.ธีระรัตน บริพันธกุล สูสันติวัฒนธรรม ..... พระไพศาล วิสาโล ประโยชนสุขจากการสอบ ..... วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ เสนทางที่ฉันเดิน : ยุทธภูมิ ..... ออม โอริกามิ AIKIDO FAMILY
บริพันธกุล
๓ ๗ ๙
พระไพศาล วิสาโล วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์
๒๒ ๒๖ ๒๙
อ้อม โอริกามิ
หน้า ๒
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
จิตวิทยาของ การปองกันตัว ตอนที่สอง: หลีกเลี่ยงการลุกลามของสถานการณ์ !
ผศ.ดร. สมบัติ ตาปญญา
ในบทความที่ผมเขียนไว้ในฉบับที่แล้ว ผมได้พูดถึงว่าผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งแบ่งภาวะ
การตื่นตัวเป็นระดับต่างๆ โดยมีรหัสเป็นสี ได้แก่ สีขาวคือเบลอ ไม่ระวังตัว ไม่สนใจ สถานการณ์แวดล้อมรอบตัว สีเหลืองคือตื่นตัวพอที่จะรับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรืออะไรที่ไม่น่า ไว้ใจ สีส้มคือตระหนักว่าภัยกําลังจะมาถึง สีแดงภัยมาถึงตัวแล้ว และสีดําคือคุณกําลังถูก โจมตีหรือทําร้าย และประเด็นสําคัญก็คือ เราจะต้องฝึกตัวเองไม่ให้อยู่ในสภาวะสีขาว แต่ให้ อยู่ในระดับสีเหลืองตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาที่เราอยู่ในที่สาธารณะ ! ก่อนจะเขียนบทความนี้ไม่กี่วันผมก็ได้อ่านข่าวที่น่าจะถือเป็นตัวอย่างของอันตรายที่ อาจเกิดขึ้นกับเราได้หากเราอยู่ในสภาวะสีขาว เรื่องก็มีอยู่ว่า หญิงสาวคนหนึ่งนั่งรอรถเมล์ อยู่ที่ป้ายรถแห่งหนึ่ง ในขณะที่กําลังนั่งอยู่เธอก็ควักมือถือออกมากดเล่นเกม (ภาพนี้เราเห็น กันบ่อยๆ ในรถโดยสาร รถไฟฟ้า หรือที่สาธารณะทั่วไป) ข่าวให้รายละเอียดต่อไปว่า ! “เธอสังเกตว่า มีผู้ชายคนหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าศาลา แล้วเดินลงมานั่งฝั่ง ตรงข้าม โดยที่ไม่ถอดหมวกกันน็อกออก ซึ่งขณะนั้นเธอก็ไม่ได้สนใจอะไร นั่งเล่นเกมใน โทรศัพท์มือถือไปเรื่อยๆ จากนั้นไม่นาน รู้สึกว่า ชายคนดังกล่าวได้ลุกมายืนตรง ด้านหน้า เมื่อเงยขึ้นมามอง พบผู้ชายคน นั้นยืนช่วยตัวเองอยู่ ก่อนจะพ่นน้ําอสุจิ ใส่หน้าตนเองทันที โชคดีที่เบี่ยงตัวหลบ ได้ทัน โดยภายหลังเสร็จกิจชายคนดัง กล่าวได้เดินไปขี่รถ จยย.ขับออกไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางความ งุนงงของทุกคนที่นั่งอยู่ที่ศาลา ขณะที่ตัว เองถึงกับช็อกจนทําอะไรไม่ถูก าพจาก http://www.oknation.net/blog/ajhara/2008/07/08/entry-1
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
!
เมื่อเพื่อนที่นัดกันไว้มาถึงและทราบเรื่อง จึงได้แนะนําให้ไปแจ้งความ แต่ด้วย
ความที่ขณะนั้นกลัวสุดขีด ทําให้จําป้ายทะเบียนรถของชายโรคจิตไม่ได้” ! ในกรณีนี้อาจถือได้ว่าหญิงคนนี้ไม่โชคร้ายเกินไปนัก เพราะหากผู้ชายคนนี้ไม่ได้ ต้องการแค่พ่นอสุจิใส่หน้าเธอ แต่ต้องการทําร้ายเธอเพื่อแย่งมือถือหรือกระเป๋าเงิน เธอ คงจะลําบากกว่านี้อีกหลายเท่า เรื่องนี้จึงช่วยเน้นย้ําให้เราเห็นว่าการตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ในที่สาธารณะหรือที่ซึ่งอาจมีอันตรายมาถึงตัวนั้นเป็นสิ่งสําคัญและเราควรฝึกให้เคยชิน เป็นนิสัยไว้ดีกว่า ! สําหรับตอนนี้ผมอยากพูดถึงอีกแง่มุมหนึ่งของการป้องกันตัวจากความรุนแรง นั่น ก็คือความตระหนักที่ว่าความรุนแรงมักจะมีรูปแบบที่พอคาดเดาได้ คือมักเริ่มจากจุดเล็กๆ (ดังคําพังเพยจากนิทานอีสปเรื่อง “น้ําผึ้งหยดเดียว” นั่นแหละ) แล้วลุกลามใหญ่โต หาก คุณต้องการที่จะป้องกันตัวเองจากความรุนแรง คุณจึงต้องตระหนักถึงรูปแบบนี้เสมอ และ เมื่อรู้สึกว่าเรื่องกําลังจะลุกลามแล้ว คุณจะได้คิดหาทางออกเสียก่อนที่จะกลายเป็นเรื่อง ใหญ่ขึ้นมา
ภาพจาก http://www.dektube.com/action/ viewarticle/ 15048____________________US _______?vpkey= 6eb53843ae&album_id=
! เช่น วันหนึ่งคุณนั่งดื่มกาแฟอยู่ดีๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งควงแฟนเดินผ่านมาแล้ว คิดว่าคุณมองบั้นท้ายแฟนของเขา (ซึ่งบังเอิญสวยน่ามองจริงๆ แม้ว่าคุณไม่ได้มองก็ตาม) เขาจึงหันมาจ้องหน้าคุณแล้วตะคอกใส่ว่า “มองอะไรวะ” คุณรู้สึกฉุนกึกขึ้นมาก็เลยยกนิ้ว กลางให้เสียเลย ชายหนุ่มคนนั้นกลัวเสียหน้าเพราะแฟนยืนมองอยู่ จึงจําเป็นต้อง “โชว์ พาว” โดยการรี่เข้ามาผลักหน้าอก คุณ ซึ่งตอนที่เขารี่เข้ามาคุณก็ได้ ลุกขึ้นยืนแล้ว (โดยที่อาจยังไม่ ได้ตัดสินใจว่าจะสู้หรือจะหนีด)ี หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็ชุลมุน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มีใครคนหนึ่ง ถูกหามส่งโรงพยาบาลไป แล้ว และอีกคนก็ต้องไป โรงพัก และชีวิตหลัง จากนั้นก็จะมีความ วุ่นวายตามมาอีกอย่าง ไม่สิ้นสุด
หน้า ๔
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
!
คุณอาจคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นได้จริง หรือแค่ชกกันนิดๆ หน่อยไม่น่าถึง
ภาพ(ไม่เกี่ยวข้องกับบทความ)จาก http://freelancework zones .blogspot.com/2012/02/blog-post_4095.html
ตายหรือพิการ ลองอ่านข่าวที่ผมเคยตัดเก็บไว้ คือ “จับมอเตอร์ไชค์รับจ้าง ชกอาจารย์ ดับ” เรื่องมีอยู่ว่า อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อายุ 45 ปี ขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เมื่อถึงที่หมายคนขับ เรียกเก็บเงิน 10 บาท ซึ่งตามปกติค่า โดยสารจะเป็น 7 บาท แต่ขณะนั้นเวลาเลย สามทุ่มไปแล้ว จึง ต้องการเก็บ 10 บาท แต่อาจารย์วิศวะยืนยัน ว่าจะจ่ายเพียง 7 บาท ตามราคาปกติ จึงนํา ไปสู่การมีปากเสียงกัน อย่างรุนแรง ขณะนั้นมีเพื่อนของคนขับรถรับจ้างนั่งดื่มสุราอยู่ใกล้ๆ ด้วยความมึนเมาและโมโห แทนเพื่อนจึงวิ่งเข้ามาชกต่อยหลายหมัด จนอาจารย์หนุ่มคนนั้นล้มลงกับพื้นและสลบไป เมื่อถูกนําส่งโรงพยาบาลก็พบว่าสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนทําให้ เสียชีวิตในคืนนั้นเอง อนาคตของคนที่เป็นฝ่ายชกก็คงต้องเข้าคุก ส่วนอาจารย์ที่เสียชีวิตครอบครัวก็ต้องสูญ เสียและลําบากกันไปหมด เพียงเพราะเงินแค่สามบาทเท่านั้นเอง หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิด ได้เสียก่อนว่าเหตุการณ์กําลังลุกลามใหญ่โตและหยุดได้ เรื่องก็คงไม่ต้องลงเอยอย่าง เศร้าโศกเช่นนี้ ดังนั้นหากเราคิดได้ทัน และรู้ถึงหลักการข้อนี้ โอกาสที่เราจะ “ป้องกันตัว” ก็จะเพิ่มสูงขึ้น อีกแน่นอน ทุกครั้งที่มีเรื่องทะเลาะหรือขัดแย้งกับใคร เราจึงควรตรึกตรองก่อนเสมอ ว่า มันคุ้มกับการเอาชีวิตของเราไปเสี่ยงหรือไม่ เพราะบางคนเขาพร้อมที่จะมีเรื่องอยู่แล้ว เหมือนกับสติ๊กเกอร์ติดกระจกท้ายรถคันหนึ่งที่ผมเคยเห็นไม่กี่วันมานี้ ตอนที่ผมขับรถไป บนถนนแถวอําเภอหางดง เขาบอกว่า “มีเรื่องกวน ... (ตรงนี้ติดรูปเท้าไว้) ... ที่ไหนขอ ให้บอก ดีชั่วรู้หมด แต่อดใจไม่ไหว”
หน้า ๕
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
!
คนแบบนี้หากเราไปมีเรื่องกับเขามันก็จะ “เข้าทาง” เขาทันที ยิ่งถ้าเขาเพิ่งดื่มเหล้า
มาใหม่ๆ กําลังอยู่ในอารมณ์คึกคะนองอยากต่อยตีอยู่พอดี หรือมีทัศนคติแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ฝังแน่นอยู่แล้ว เราอาจเอาอนาคตมาทิ้งกับเรื่องไร้สาระเสียเปล่าๆ ก็ได้ เช่น การ ขับรถตัดหน้ากัน หรือแซงซ้าย ขับช้า เกะกะ ขวางทาง ! รู้ทันสถานการณ์แบบนี้ไว้ก่อนดีกว่า เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องใช้ความรุนแรงหรือตกเป็น เหยื่อของมันเสียเองในที่สุด
The Art of Peace Doka # ๑๔ เขียนโดย Morihei Ueshiba 1936
แปลโดย John Stevens (Edited by Seiseki Abe under the supervision of Kisshomaru Ueshiba.)
A person who In any situation Perceives the truth with resignation Would never need to draw his sword in haste. John Stevens ไดรวบรวมเอา Doka หรือบทกวีขนาดสั้นของปรมาจารยไวใน หนังสือ The Art of Peace ตอมา William McLuskie ไดนำมาลงเผยแพรที่ เวบไซต http://omlc.ogi.edu/aikido/talk/osensei/artofpeace/
หน้า ๖
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
เซนในศิลปะการตอสู อ.ธีระรัตน บริพันธกุล
ภาพยนตรสวนใหญที่เราชมกันเนื้อหาสวนใหญก็มักวนเวียนอยูกับเรื่องความรักและความ รุนแรงโดยเฉพาะเรื่องของความรุนแรงความสนุกเราใจสุดๆอยูตรงที่ทั้งสองฝายซึ่งก็ไมพนที่จะ ตองเปนพระเอกกับผูรายที่ใชกำลังเขาห้ำหั่นกัน เรื่องก็ลงเอยโดยฝายพระเอกทำลายผูรายลงได อยางยอยยับ เปนเรื่องที่ไมแปลกที่เราจะเสพติดความรุนแรงโดยไมรูตัวเพราะทุกคนจะรูสึกวาเขา คือพระเอกที่ประสบกับความสำเร็จในการการใชความรุนแรง ศิลปะการตอสูแบบตะวันออก ไมวาจะเปนคาราเต, กังฟู, ไอคิโด, วิงชุน เปนอะไรที่มาก กวาความมันสะใจในการใชความรุนแรงและดำดิ่งที่ตอบโตดวยความกาวราวอยางเดียว ศิลปะ การตอสูของโลกตะวันออกมักแฝงปรัชญาแนวคิดแบบเซนเอาไว ศิลปการตอสูจึงเปนเพียงถนน หลวงที่นำไปสูความเชื่อมั่นในตนเองและความสุขสงบทางใจอยางลึกซึ้ง โจ ไฮแอมส ผูเขียนหนังสือ “เซน ในศิลปการตอสู” ไดเลาวา เขาเริ่มเรียนคาราเตใน ป1952 เขาก็ไมตางจากนักเรียนคนอื่นๆคือใชเวลาทั้งหมด ในการฝกเทคนิคการเคลื่อนและใชพละกำลังที่มีอยูอยาง ถูกตอง เขารูสึกภูมิใจที่เปนคนมีฝมือในคาราเต(เปนนัก ปฏิบัตินิยม)ในตอนนั้นถามีคนมาพูดเกี่ยวกับเซนเขาก็รูสึก วาเปนเรื่องที่เหลวไหลและลี้ลับเชนเดียวกับการใช เวทมนตร คาถา โจ ตั้งขอสังเกตวาในคริสตศตวรรษที่สิบหก เมื่อ ความตองการเสพศิลปะการตอสูแบบตะวันออกดวยการ ใชกำลังเริ่มลดลง ศิลปะการตอสูเริ่มหันเหไปสูการฝกฝน ตนเองเพื่อการเจริญเติบโตทางจิตใจ(แนวจิตนิยม) ดังนั้น การตอสูกันใหถึงตายในสมัยนั้นจึงมีคำลงทายดวยคำวา “โด” เชน เคนโด หมายถึงวิถีแหงดาบ ไอคิโด วิถีแหง ความรักและความกลมกลืน
หน้า ๗
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
เซนไมมีทฤษฎีไมมีคำสอนที่เขียนไวอยางชัดเจน เซนที่เขามาเกี่ยวของกับศิลปการตอสูจะ เมินเฉยในเรื่องพลังแหงปญญาแตยกยองการกระทำตามสัญชาตญาณ โดยมีจุดมุงหมายสูงสุดคือ การปลดปลอยคนใหพนจากความโลภโกรธหลง อาจารยที่สอนศิลปะการตอสูในแนวเซนจะไมแสวงหาศิษยและไมปองกันศิษยที่จะหนี เมื่อ ศิษยคนใดตองการคำแนะนำอาจารยๆก็ยินดีใหโดยมีเงื่อนไขวาศิษยตองดูแลตนเองตลอดเสนทาง นั้น หนาที่ของอาจารยก็คือมอบงานอันเหมาะสมแกศิษยแตละคนเพื่อใหเขาเขาใจอยางถองแทถึง การปฏิบัติ ใหเขาพึ่งตนเองและเขาใจเขาถึงความสามารถภายในของตนใหมากที่สุด ครั้งแรกๆของการสอนของอาจารยเซนในศิลปะการตอสูจะสอนเทคนิคโดยไรคำอธิบาย สาระใดๆทั้งนี้เพื่อเปดโอกาสใหศิษยคนหาสาระดวยตนเอง อาจารยเปนเพียงผูกระตุนแรงบันดาล ใจแกศิษย จากนั้นความหมายและสาระสำคัญของศิลปการตอสูก็จะเผยตัวและเกิด “ภาวะแหงการ หยั่งรู” ในศิษยแตละคนเอง ผูที่ไมเคยลิ้มรสน้ำตาล การบรรยายดวยวาจาไมสามารถชวยใหเขารูสึกถึงรสชาตินั้นได สาระหรือถอยคำจึงนำความหมายไดเพียงบางสวน การรูรสหรือการหยั่งรูตองมีประสบการณกับ มัน ผูสำเร็จอยางถองแทในศิลปะใด ยอมเปดเผยศิลปะนั้นในการกระทำ ตัดตอนและดัดแปลงจากอมตพจนซามูไร “เซน ในศิลปการตอสู” รูจักคนอื่นเปนความฉลาด รูจักตนเองเปนการตรัสรู เลาจื้อ หน้า ๘
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
สู่สันติวัฒนธรรม ๑ พระไพศาล วิสาโล
! หากจะพูดถึงศตวรรษที่ ๒๐ ดวยถอยคำที่กระชับที่สุด คงไมมีคำพูดใดชัดเจนไปกวาคำ ของเยฮูดิ เมนูฮิน นักดนตรีนามอุโฆษชาวอังกฤษ ซึ่งกลาววา “(ศตวรรษนี้)ไดสรางความหวังที่ยิ่ง ใหญที่สุดเทาที่มนุษยชาติเคยวาดหวังมา (ขณะเดียวกัน) มันก็ไดทำลายมายาภาพและอุดมคติทั้ง มวลจนหมดสิ้น” ศตวรรษที่ ๒๐ เริ่มตนดวยความหวังวาโลกนี้จะมีสันติภาพที่ยั่งยืน แตแลวสงครามโลก ครั้งที่ ๑ ก็อุบัติขึ้น แมกระนั้นก็ยังมีความเชื่ออยางกวางขวางวา นั่นคือสงครามซึ่ง “ยุติสงครามทั้ง มวล” แตผานไปเพียง ๒ ทศวรรษเทานั้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เกิดขึ้น ตามมาดวยสงครามเย็น และสงครามตัวแทนระหวางสองมหาอำนาจซึ่งเกิดขึ้นทุกมุมโลก เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงพรอม กับการลมสลายของสหภาพโซเวียต ก็ยังเชื่อกันวาสันติภาพจะเกิดขึ้นในที่สุด และ “อวสานของ ประวัติศาสตร”อยูแคเอื้อมเทานั้น แตแลวความหวังนั้นก็พังพินาศ เมื่อเกิดสงครามกลางเมืองใน คาบสมุทรบัลขานและอีกหลายประเทศทั้งในเอเชียและอาฟริกาจนกระทั่งทุกวันนี้ ศตวรรษที่แลวเปนศตวรรษที่นองไปดวยเลือด ระหวางป ๑๙๐๐-๑๙๘๙ ซึ่งเปนปสุดทาย ของสงครามเย็น มีคนถึง ๘๖ ลานคนตายไปในสงครามตาง ๆ ยังไมนับอีก ๔๘ ลานคนซึ่งตายดวย น้ำมือของรัฐบาลของตน (รวมทั้งรัฐบาลที่นำโดยสตาลิน เหมาและพลพต) หลายสวนในจำนวนนั้น ตายเพราะการฆาลางเผาพันธุซึ่งเกิดขึ้น ทั้งในยุโรป อาฟริกา และเอเชีย ศตวรรษที่ ๒๑ ดูเหมือนจะไมไดดีไปกวาศตวรรษที่แลวมากนัก เพราะขึ้นศตวรรษใหมได แคปเดียว สงครามอยางใหมอันไดแก การกอการรายระหวางประเทศ ก็ระเบิดขึ้นอยางเต็มรูปแบบ และจุดชนวนใหเกิดสงครามตอตานการกอการราย ซึ่งลามไปสูทุกมุมโลก ทั้งนี้ยังไมไดพูดถึง สงครามกลางเมืองและการรบพุงซึ่งเกิดขึ้นกับ ๓๐ ประเทศ หรือ ๑ ใน ๘ ของประเทศทั่วโลก ซึ่งมี ประชากรรวมแลวถึง ๒,๓๐๐ ลานคน กลาวอีกนัยหนึ่ง เวลานี้มีประชากร ๑ ใน ๓ ของโลกกำลังอยู ในภาวะสงคราม๒ บทความจาก http://www.visalo.org/article/P_soSanti.htm
หน้า ๙
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
สงครามและความรุนแรงเหลานี้ไมไดเกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจสวนบุคคลของผูนำ ประเทศเทานั้น หากยังเปนผลจากแรงผลักดันของคนในชาติ หรือเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความ ตองการของพลเมืองในประเทศ สงครามที่สวนทางกับความปรารถนาของคนในชาติยอมยากที่จะ เกิดขึ้นได ในทางตรงขามสงครามทั้งหลายดำเนินไปไดเปนเวลาหลายปหรือนานนับทศวรรษ ก็ เพราะไดรับแรงสนับสนุนจากคนในประเทศ หรืออยางนอยผูคนก็ไมไดขัดขืนที่จะแบกรับภาระจาก สงคราม ไมวาในทางวัตถุ ทางกาย หรือจิตใจ สิ่งที่ผลักดันหรือหลอหลอมใหคนจำนวนมากสนับสนุนสงคราม ยอมมีมากกวาการ โฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง หรือกลไกทางการเมืองที่สามารถระดมมวลชนใหคลอยตามผูนำที่ พาประเทศเขาสูสงคราม สิ่งที่ลึกลงไปกวานั้นที่ทำใหการโฆษณาชวนเชื่อและกลไกทางการเมือง บรรลุผลได ก็คือ “วัฒนธรรม” ซึ่งรวมไปถึงสำนึกรวม คุณคา ความเชื่อ และทัศนคติที่ผูคนใน ประเทศยึดถือรวมกัน สวนเสี้ยวของวัฒนธรรมที่สนับสนุนความรุนแรง หรือผลักดันใหผูคนเห็น ความรุนแรงเปนทางออก นี้เองที่ทำใหสงครามเกิดขึ้นไดในระดับประเทศ เราอาจเรียกวัฒนธรรม สวนนี้วา เปน “วัฒนธรรมแหงความรุนแรง” องคประกอบของวัฒนธรรมแหงความรุนแรง ! สำนึกหรือทัศนคติที่มีอิทธิพลอยางมากในการผลักดันใหผูคนกระทำความรุนแรงตอกัน จนนำไปสูสงคราม ก็คือ ความถือตัวถือตนวาสูงกวา ไมวาจะโดยทางชาติพันธุ หรือผิวสี หรือ ภาษา หรือแมแตศาสนา ควบคูกันกันสำนึกดังกลาว ก็คือการเหยียดคนที่มีอัตลักษณตางจากตน วาเปนผูที่ดอยกวา หากการเหยียดนั้นไปไกลถึงขั้นที่เห็นวาต่ำกวาความเปนมนุษย การใชความ รุนแรงกับคนเหลานั้นก็เกิดขึ้นไดไมยาก การลางเผาพันธุชาวยิวเกิดขึ้นไดเมื่อชาวเยอรมันเห็นวา คนยิวนั้นคือ “เชื้อโรค” “ไวรัส” “อสูร” หรือ “เดนมนุษย” ในทำนองเดียวกันสงครามในคาบสมุทร บัลขานลุกลามอยางรวดเร็วและโหดรายยิ่ง ก็เพราะขณะที่ชาวโครเอเชียเหยียดชาวเซอรเบียวา เปน “สัตวสองขามีเครา” คนเซอรเบียก็เรียกคนโครเอเชียวา “คางคาวผี” ในสงครามอาวเปอรเซีย ทหารอเมริกันเรียกการสังหารทหารอิรักที่ลาถอยวา “การยิงไกงวง” บางคนถึงกับเปรียบทหารอิรัก วาเปน “แมลงสาบ”๓ การถือตัวถือตนวาสูงหรือเหนือกวาผูอื่น เมื่อเกิดขึ้นแลวยอมอดไมไดที่จะเหยียดอีกฝาย หนึ่งใหต่ำกวา แตไมมีอะไรที่อันตรายเทากับการถือตัววา เปนผูที่มีคุณธรรมสูงกวา หรือประเสริฐ กวา เพราะนั่นจะทำใหผูที่อยูคนละฝายถูกประทับตราไปในทันทีวา เปนผูที่ชั่วรายต่ำทราม อะไร ก็ตามเมื่อถูกตราวา ชั่วรายแลว ก็ไมมีเหตุผลที่จะอยู หากสมควรที่จะถูกขจัดออกไป ความรุนแรง ที่กระทำกับคนเหลานั้นกลายเปนความชอบธรรมขึ้นมาทันที หน้า ๑๐
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
อัตลักษณนั้นในดานหนึ่งชวยทำใหเกิดความรูสึกรวมกันในหมูผูที่มีอัตลักษณเดียวกัน แตในอีกดานหนึ่งก็ทำใหผูมีอัตลักษณตางจากตน ถูกกีดกันออกไป กลายเปนคนละพวก จนอาจ ถึงขั้นกลายเปนปรปกษกัน ความเปนปฏิปกษนี้จะรุนแรงเขมขนมากหากเกิดความรูสึกแบงเขา แบงเราขึ้นมาวา “ฉันดี แกชั่ว” เชื้อชาติ ผิวสี ภาษา อาจทำใหเกิดความรูสึกดังกลาวได แตก็ไม มากเทากับศาสนา ไมวาตางศาสนาหรือตางนิกายก็ตาม การปฏิบัติศาสนายิ่งเครงมากเทาไร ก็ยิ่ง เสริมความรูสึกวา “ฉันเปนคนดี” มากเทานั้น และเห็นคนที่ไมปฏิบัติตามแนวทางของตัว เปนคน ชั่วมากขึ้นตามไปดวย ในยุคสงครามเย็นนั้น คำถามสำคัญก็คือ “คุณอยูขางใคร?” แตในยุคปจจุบัน คำถามที่ สำคัญกวาคือ “คุณเปนใคร ?” คุณเปนคนผิวสีอะไร เปนคนชาติไหน เปนคนศาสนาอะไร อัต ลักษณเหลานี้กลายเปนประเด็นสำคัญทางการเมือง ที่กำหนดความสัมพันธทางอำนาจของผูคน กลุมตาง ๆ ในสังคม ขณะเดียวกันก็เปนพลังสำคัญในการระดมทรัพยากรทางการเมืองเพื่อขับ เคลื่อนประเทศ(หรือชุมชนทางการเมือง)ใหไปในทิศทางที่ตองการ ซึ่งสวนใหญมักหนีไมพนการ รื้อฟนความยิ่งใหญในอดีต(ตามที่เชื่อกัน)ใหกลับคืนมา แตสิ่งที่มักเกิดขึ้นควบคูกันก็คือการสราง ภาพอีกฝายหนึ่ง(ที่มีอัตลักษณตางกัน)ใหเปนศัตรู หรือเปนตนตอแหงความเสื่อมทรามและปญหา ทั้งมวลที่เกิดขึ้น เชนเดียวกับที่ชาวยิวเคยถูกตราหนาวาเปนตัวการแหงความเลวรายทั้งปวงใน ประเทศเยอรมนี การมีศัตรูอยูขางนอก ยังทำใหเกิดความสมัครสมานสามัคคีในหมูพวกเดียวกันได งายขึ้น การเมืองที่ชูเรื่องอัตลักษณ จึงเปนตัวบมเพาะความเกลียดชังและแพรความรุนแรงให ระบาดอยางรวดเร็วในปจจุบัน ทั้งนี้โดยวัฒนธรรมแหงความรุนแรงที่มีอยูเดิม (โดยเฉพาะความ ถือตัวถือตนวาสูงกวาหรือดีกวา) เปนเครื่องมือ ขณะเดียวกันก็ตอกย้ำวัฒนธรรมดังกลาวใหมั่นคง แนนหนาขึ้น นอกจากความถือตัวถือตนวาสูงกวา(ซึ่งพุทธศาสนาเรียกวา“มานะ”)แลว องคประกอบที่ สองของวัฒนธรรมแหงความรุนแรงก็คือ การยึดติดในความคิดความเชื่อหรือลัทธิอุดมการณ (ซึ่ง พุทธศาสนาเรียกวา “ทิฏฐิ”) ความยึดติดดังกลาวหากมีมากชนิดฝงหัวสามารถทำใหผูคนยอมทำ ทุกอยางเพื่อความเชื่อหรือลัทธิอุดมการณนั้น แมวาตัวเองจะตองตาย หรือทำใหผูอื่นตายก็ตาม ในดานหนึ่งเราจึงเห็นการสละชีวิตราวใบไมรวงเพื่อลัทธิคอมมิวนิสตในรัสเซีย จีน เวียดนาม กัมพูชา แตในอีกดานหนึ่งเราก็เห็นการสังหารผูคนนับไมถวนในประเทศเหลานั้นเนื่องจากขัดขวาง ความกาวหนาของลัทธิดังกลาว (อยางนอยก็จากมุมมองของผูนำในประเทศดังกลาว)๔
หน้า ๑๑
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
แมลัทธิคอมมิวนิสตจะลมสลายไปเกือบหมดแลว แตก็มีลัทธิอุดมการณอื่น ๆ ที่เขามา ครอบงำจิตใจของผูคนแทน จนนำไปสูการทำสงครามกัน ที่สำคัญก็คือลัทธิชาตินิยม ซึ่งเปนปจจัย สำคัญในการทำใหเกิดสงครามกลางเมืองเพื่อแยกประเทศจนเกิดประเทศใหม ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย ในขณะที่อีกหลายประเทศยังมีการสูรบอยางไมเลิกราในบัดนี้ เทานั้นยังไมพอ ลัทธิอุดมการณที่มา ในรูปศาสนายังเปนอีกปจจัยหนึ่งซึ่งมีบทบาทอยางมากในการผลักดันใหเกิดความรุนแรงนานา ชนิด ทั้งในรูปสงครามระหวางประเทศ สงครามกลางเมือง การกอการราย และการนองเลือด ระหวางกลุมชน ความติดยึดในลัทธิอุดมการณจนฝงหัว นอกจากจะทำใหมองคนที่คิดหรือเชื่อตางจากตน เปนศัตรูแลว ยังอาจบมเพาะความโกรธเกลียดจนถึงขั้นทำรายคนเหลานั้นได บอยครั้งลัทธิ อุดมการณดังกลาวยังเพิ่มพูนความถือตัวถือตนของผูสมาทานลัทธินั้น วาเปนผูสูงกวาในทาง คุณธรรม ซึ่งในทางกลับกันก็ทำใหเหยียดอีกฝายวา มีคุณธรรมดอยกวา หรือเปนคนเลวราย (ดังนั้น จึงไมสมควรมีชีวิตอยูบนโลกนี้) ดังผูที่เชื่อวาชีวิตเปนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตองเชิดชูปกปอง (pro-life) บางคนถึงกับบุกเขาไปสังหารหมอและพยาบาลในคลินิกทำแทง หรือนักอนุรักษสิ่งแวดลอมแบบ สุดโตงบางคนลงมือสังหารผูที่ทำลายสิ่งแวดลอมหรือทรมานสัตว แนนอนวาในบรรดาลัทธิ อุดมการณทั้งหลาย ศาสนาที่สมาทานอยางยึดติดสามารถทำใหเกิดความรูสึกทางลบไดมากที่สุด ตอคนที่คิดตางจากตน องคประกอบที่สามของวัฒนธรรมแหงความรุนแรงก็คือ ความทะยานอยาก ( พุทธศาสนา เรียกวา “ตัณหา”) ความทะยานอยากที่มีอิทธิพลในปจจุบันมากที่สุด มาในรูปของวัตถุนิยมและ บริโภคนิยม ซึ่งทำใหเชื่อวา ความสุขเกิดจากการบริโภค หรือบริโภคมากเทาไร ก็ยิ่งมีความสุขมาก เทานั้น ความเชื่อดังกลาวทำใหเกิดความทะยานอยากไมรูจักพอ จึงนำไปสูการแขงขัน ชิงดีชิงเดน และเอารัดเอาเปรียบกันทั้งตั้งแตระดับบุคคลไปจนถึงระดับประเทศ สิ่งที่ตามมาคือความรุนแรง จนถึงขั้นประหัตประหารกัน นอกจากอาชญากรรมที่แพรระบาดในหลายประเทศแลว ปจจุบันยังมี สงครามระหวางประเทศและสงครามกลางเมืองจำนวนมากเกิดขึ้นเพราะการแยงชิงทรัพยากรและ ผลประโยชนทางเศรษฐกิจ ประมาณวา ๑ ใน ๔ ของสงครามและการรบพุงในชวงหลายปที่ผานมา ประทุขึ้นมาหรือลุกลามขยายตัวเพราะการแยงชิงและครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ (Williams 161) การประหัตประหารระหวางเผาพันธุในหลายกรณีก็มีความขัดแยงทางดานทรัพยากรเปนแรง ผลักดันอยูเบื้องหลัง อาทิ การฆาลางเผาพันธุในรวันดา ซึ่งเชื่อมโยงกับการแยงชิงที่ทำกิน ดังพบวา แมในชุมชนที่มีแตคนเผาเดียวกัน ก็ยังมีการฆากันอยางมากมาย โดยที่คนตายมักจะเปนเจาของ ที่ดิน หน้า ๑๒
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
นอกจากความรุนแรงทางตรงแลว การเอารัดเอาเปรียบและแยงชิงผลประโยชน ยังกอให เกิดความรุนแรงอีกประเภทหนึ่ง คือ ความยากจนขนแคน จนอาจถึงขั้นเสียชีวิต ในปจจุบันมีคน อดอยากหิวโหยถึง ๑,๑๐๐ ลานคน (หรือ ๑ ใน ๕ ของประชากรโลก) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นทามกลาง อาหารและทรัพยากรที่มีอยูอยางลนเหลือทั่วทั้งโลก (รวมทั้งในประเทศที่มีคนหิวตายนับลาน) ความ อดอยากเหลานี้ไมไดเกิดจากการขาดแคลนทรัพยากร หากเกิดจากระบบเศรษฐกิจและการคาที่ไม เปนธรรม ซึ่งมุงตอบสนองความอยากอยางไมมีที่สุดของคนสวนนอยที่มีอำนาจ ทั้งในระดับประเทศ และระดับนานาชาติ ซึ่งทำใหเกิดชองวางอยางมหาศาลระหวางคนมีกับคนไมมี ดวยเหตุนี้เราจึงพบ วาในขณะที่แตละปผูคนในประเทศยากจนตายถึง ๙ ลานคนเพียงเพราะขาดน้ำดื่มและน้ำใชที่ สะอาด (ซึ่งแกไดดวยเงิน ๙,๐๐๐ ลานเหรียญ) คนในยุโรปใชเงินซื้อไอศกรีมปละ ๑๑,๐๐๐ ลาน เหรียญ และซื้อน้ำหอมปละ ๑๒,๐๐๐ ลานเหรียญ สวนเงินที่ใชซื้อครีมบำรุงผิวทั่วทั้งโลกสูงถึง ๒๔,๐๐๐ ลานเหรียญ ไมนับผลิตภัณฑบำรุงผมอีก ๓๘,๐๐๐ ลานเหรียญ๕ โลกาภิวัตนทางเศรษฐกิจและคมนาคม โดยเฉพาะการรุกขยายของตลาดเสรี ไดทำให บริโภคนิยมแพรกระจายไปทั้งโลก กระตุนความอยากและการแยงชิงทรัพยากรและผลประโยชนให รุนแรงขึ้นทั่วทั้งโลก ขณะเดียวกันการรุกของวัฒนธรรมตะวันตก ไดทำใหผูคนในหลายประเทศ หลายวัฒนธรรมรูสึกถูกคุกคามและกลัวจะสูญเสียอัตลักษณหรือออนแอลง จึงยิ่งชูอัตลักษณของ ตนเพื่อเปนกำแพงปกปองตนเองและกีดกันอีกฝายหนึ่งออกไป มีการสรางปมเดนทางเชื้อชาติ สีผิว ภาษา ศาสนา จนเกิดความรูสึกถือตัวถือตนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีการกลับไปหาอุดมการณ ดั้งเดิมเพื่อเปนเครื่องมือตอสูกับโลกาภิวัตน ชาตินิยมและศาสนานิยมจึงแพรไปทั่วโลก โดยมักมี ลักษณะเปนปฏิกิริยาตอตานอยางเขมขนตอสิ่งที่เชื่อวาเปนภัยคุกคามจากภายนอก จึงเกิดการ เผชิญหนากันมากขึ้นระหวางคนตางชาติตางศาสนา ขณะเดียวกันโลกาภิวัตนยังทำใหเกิดความ หลากหลายทางความคิดความเชื่อมากขึ้นแมกระทั่งในชุมชนเดียวกันหรือขางเคียงกัน จึงงายที่จะ เกิดความรูสึกเปนปฏิปกษตอกัน จนเกิดความรุนแรงไดไมยาก กลาวอีกนัยหนึ่ง ปจจุบันมานะ ทิฏฐิ และตัณหา มีแนวโนมเขมขนเพิ่มพูนมากขึ้น ทำใหวัฒนธรรมแหงความรุนแรงขยายตัวเปนลำดับ วัฒนธรรมเพื่อสันติภาพ ! วัฒนธรรมเพื่อสันติภาพ หมายถึงสำนึก คุณคา ความเชื่อที่ไมสงเสริมความรุนแรง เอื้อตอ ความสมานฉันทและการอยูรวมกันอยางสันติ หากวัฒนธรรมแหงความรุนแรง มีพื้นฐานอยูบน ความถือตัวถือตน ความติดยึดในลัทธิอุดมการณ และความทะยานอยาก องคประกอบสำคัญของ วัฒนธรรมเพื่อสันติภาพก็คือ ความเคารพผูอื่นวาเสมอกับตน ความมีขันติธรรม และความสันโดษ หน้า ๑๓
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
คุณคาหรือสำนึกที่ประสานมนุษยใหเปนหนึ่งเดียวกัน โดยไมคำนึงถึงความแตกตาง ทางอัตลักษณและความเชื่อ เปนสิ่งจำเปนอยางยิ่งในยุคโลกาภิวัตน ใชหรือไมวาการขาดคุณคา หรือสำนึกทั้ง ๓ ประการดังกลาวทำใหผูคนแบงออกเปนขั้ว ๆ และมีชองวางระหวางกันมากขึ้น นอกจากความร่ำรวยอยางสุดโตงที่เกิดขึ้นควบคูกับความจนอยางสุดโตงแลว ยังเกิดขั้วตรงขาม ระหวางสำนึกในความเปนหนึ่งเดียวกันของคนทั้งโลก (globalism) กับการติดยึดกับหมูพวกแคบ ๆ ของตัว ตามลักษณะเชื้อชาติ ภาษาและศาสนา (tribalism) หรือการแบงเปนขั้วระหวางโลก แหงวัตถุนิยมและเทคโนโลยี กับโลกแหงความเครงศาสนาจารีตและพระเจา ซึ่งมีผูตั้งฉายาวา McWorld กับ Jihad หรือขั้วระหวางแนวคิดแบบโลกิยวิสัย (secularism) กับความเครงคัมภีร (fundamentalism) ลักษณะความเปนขั้วตรงขามเกิดขึ้นอยางชัดเจนในดานตาง ๆ จนอาจเรียก ยุคนี้วา ยุคแหงความสุดโตง โลกที่แบงเปนขั้วตรงขาม จะโนมเขามาหากันไดมากขึ้น และเบียดเบียนกันนอยลง หาก ทุกฝายเปดใจเขาหากัน เคารพในอัตลักษณของกันและกัน และมีความเอื้อเฟอตอกันมากขึ้น จะ ทำเชนนั้นไดก็ตอเมื่อมองเห็นวาเราทุกคนมีความเปนมนุษยเหมือนกัน ไมวาจะมีความแตกตาง กันเพียงใด แตนั่นเปนสวนนอยเมื่อเทียบกับสิ่งที่เรามีรวมกัน เชน ความรักสุข เกลียดทุกข ความ ใฝดี ความปรารถนาที่จะไดรับการยอมรับ และความรักในศักดิ์ศรีแหงตน เปนตน นอกจากสำนึกในความเปนมนุษยรวมกัน และการเคารพในศักดิ์ศรีแหงความเปน มนุษยของทุกคนแลว ความเชื่อในการแกปญหาดวยสันติวิธี เปนสำนึกอีกประการหนึ่งที่จำเปน อยางมากสำหรับการสรางวัฒนธรรมเพื่อสันติภาพ ความรุนแรงนั้นสามารถแกหรือยุติปญหาได ชั่วคราว แตกลับสรางปญหาใหมใหเกิดขึ้น หรือทำใหปญหารุนแรงขึ้นในระยะยาว ความรุนแรง แมกำจัดคนชั่วได แตมันก็สรางคนชั่วคนใหมใหเกิดขึ้น และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือผูที่ใชความ รุนแรงเปนอาจิณนั้นเอง ดังนั้นการปฏิวัติดวยความรุนแรงจึงไมเคยกำจัดคนชั่วหมดหรือกอให เกิดสันติภาพอยางแทจริงเสียที เพราะหลังจากกำจัดฝายตรงขามแลว ในที่สุดปนทุกกระบอกก็ หันมายิงพวกเดียวกันเอง ประการสุดทายก็คือการเห็นคุณคาของการมีชีวิตที่เรียบงาย ตระหนักวาความสุขเกิด จากการไดทำสิ่งที่มีคุณคาและความหมายตอตนเองและผูอื่น รวมทั้งการเขาถึงความสุขดานใน อันเกิดจากจิตที่สงบ ไรซึ่งความโกรธเกลียดหรือทะยานอยาก หาไดเกิดจากการตักตวงวัตถุหรือ สิ่งเสพใหไดมาก ๆ ไม กลาวอีกนัยหนึ่งคือความตระหนักวาความสุขนั้นอยูไมไกล หากอยูกลาง ใจเรานี้เอง หน้า ๑๔
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
บทบาทของศาสนาในการสรางสันติวัฒนธรรม ! ความถือตัวถือตน ความยึดติดในลัทธิอุดมการณ และความทะยานอยาก ซึ่งเปนองค ประกอบพื้นฐานของวัฒนธรรมแหงความรุนแรงนั้น โดยเนื้อแทก็คือ การเอาตัวตนเปนศูนยกลาง หรือมุงสรางความเปนใหญแหงตัวตน ตัวตนนั้นไมวาระดับปจเจกหรือระดับรวมหมู ยอมตองการ เอาทุกสิ่งทุกอยางมาหนุนเสริมความยิ่งใหญใหแกมัน ไมวาสิ่งนั้นจะเปนอัตลักษณ ลัทธิอุดมการณ หรือทรัพยสินเงินทอง ศาสนาสำคัญทุกศาสนา มีจุดมุงหมายเพื่อลดความเห็นแกตัวหรือการถือเอาตัวตนเปน ศูนยกลาง หากยกจิตใจของบุคคลใหอยูเหนือความยึดติดในตัวตน พูดแบบพุทธคือ ทำใหมานะ ทิฏฐิ และตัณหา เบาบางลง หรือหมดสิ้นไป ดังนั้นจึงสวนทางกับวัฒนธรรมแหงความรุนแรง ขณะ เดียวกันก็สงเสริมสันติวัฒนธรรม ดวยการเชิดชู ความรัก ขันติธรรม ความเคารพในศักดิ์ศรีแหง ความเปนมนุษยของทุกคน รวมทั้งการเขาถึงความสุขจากชีวิตที่เรียบงายและไมอิงวัตถุ จะวาไป แลวทุกศาสนาลวนถือเอาสันติภาพของมนุษยชาติเปนเปาหมายดวยกันทั้งนั้น การปฏิบัติตามแนวทางของศาสนา สามารถบันดาลใจใหเกิดกุศลธรรม หรือทำใหเกิด คุณภาพใหมในจิตใจ เชน ความเมตตากรุณา ความเอื้ออาทร และความเสียสละอยางไมเห็นแกตัว ศาสนาจึงสามารถเปนแรงขับเคลื่อนใหเกิดความสมานฉันทในสังคม อีกทั้งยังสามารถผลักดันใหมี การเอารัดเอาเปรียบหรือเบียดเบียนกันนอยลง ดังที่เคยมีบทบาทมาแลวในการตอตานสงคราม การ ยกเลิกระบบทาส การพิทักษสิทธิมนุษยชนของคนผิวสี หรือการคัดคานระบอบเผด็จการ อยางไรก็ตามความจริงอยางหนึ่งที่ปฏิเสธไมไดก็คือ ศาสนาตาง ๆ ไดมีสวนไมนอยใน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกไมวาอดีตหรือปจจุบัน สวนหนึ่งเปนผลจากการที่ศาสนาถูกใชใน การสรางความชอบธรรมรองรับความรุนแรง เชน อางคำสอนทางศาสนาเพื่อสนับสนุนสงคราม หรือ อางวาทำสงครามเพื่อเผยแพรศาสนา หรือกอการรายเพื่อปกปองศาสนา (โดยผูที่อางเหลานั้น แทจริงหาไดศรัทธาในศาสนาไม) แตบอยครั้งความรุนแรงก็เกิดขึ้นจากผูที่มีศรัทธาอยางแรงกลาใน ศาสนา หรือไดรับแรงบันดาลใจจากศาสนาโดยตรง ดังไดกลาวกอนหนานี้แลววา บางครั้งศาสนาไดกลายมาเปนอัตลักษณอยางหนึ่งเพื่อยก ตัวเองใหสูงขึ้น ขณะที่เหยียดอีกฝายใหต่ำลงจนถึงกับตราหนาวาเขาเปนคนเลวราย และมีหลาย ครั้งที่ความยึดติดถือมั่นในศาสนาทำใหเกิดความเชื่อมั่นแรงกลาวาจะทำอะไรก็ไดทั้งนั้นเพื่อความ รุงโรจนของศาสนา พูดอีกอยางคือศาสนากลายเปนใบอนุญาตใหฆาคนตางศาสนาก็ได ทัศนะดัง กลาวพบเห็นไดในหมูศาสนิกชนจำนวนไมนอยที่เรียกวาพวกเครงคัมภีร (fundamentalist) ซึ่งหลาย คนไปไกลถึงขั้นเปนพวกสุดโตง (extremist) หน้า ๑๕
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
อยางไรก็ตามควรกลาววาพวกสุดโตงนั้นมิไดมีอยูในหมูศาสนิกหรือพวกเครงจารีตเทานั้น แมผูที่มีความเชื่อแบบโลกย หรือ secularism เชน ลัทธิคอมมิวนิสต ลัทธิอนุรักษนิยมใหม (neo-conservatism) หรือลัทธิอนุรักษธรรมชาติ ก็สามารถมีความคิดแบบสุดโตงได ชนิดที่พรอมใช ความรุนแรงกับผูที่เห็นตางจากตน ดังเห็นไดวาการสังหารผูคนนับลานหลายครั้งเกิดจากลัทธิ อุดมการณในทางโลก เชน นาซี และคอมมิวนิสต กลุมอนุรักษธรรมชาติแบบสุดโตงบางกลุมถึงกับมี คำขวัญวา “ทุกอยางทำไดทั้งนั้น” (everything is permitted) ในอีกดานหนึ่งศาสนายังถูกใชเปนเครื่องมือสงเสริมลัทธิบริโภคนิยม มีการนำคำสอนทาง ศาสนาไปใชในการสนับสนุนการแสวงหาความร่ำรวยหรือสะสมทรัพยสินเงินทอง ปรากฏการณ อยางหนึ่งที่เกิดขึ้นทุกมุมโลกก็คือการแหเขาหาศาสนาเพราะตองการโชคลาภและความมั่งมี ขณะ เดียวกันสถาบันทางศาสนาก็เปนแบบอยางแหงความมั่งคั่งหรือลนเหลือในทางวัตถุ ผูนำศาสนามี วิถีชีวิตอยางสุขสบาย จนกลาวไดวาสถาบันศาสนาจำนวนมากไดกลายเปนรางทรงของบริโภคนิยม ทั้งหมดนี้ลวนสงเสริมใหผูคนมีความทะยานอยากมากขึ้น ทำใหการแขงขันและการเอาเปรียบเพิ่ม ขึ้น ศาสนา(หรือการตีความทางศาสนา)จึงสามารถสงเสริมหรือเปนที่มาของวัฒนธรรมแหง ความรุนแรงได นี้คือสิ่งทาทายศาสนิกชนที่ปรารถนาจะเห็นศาสนาเปนบอเกิดแหงสันติวัฒนธรรม ไปพนความติดยึดทางศาสนา ! ศาสนามีศักยภาพอยางมากในการสงเสริมใหเกิดสันติวัฒนธรรมได แตทั้งหมดนี้จะตอง เริ่มตนจากกาวแรกที่สำคัญมาก นั่นคือการที่ศาสนาจักตองไมกลายเปนปจจัยสงเสริมวัฒนธรรม แหงความรุนแรงเสียเอง ศาสนาสามารถกอใหเกิดความรุนแรงได หากการยึดติดศาสนานั้นเปนไปอยางสุดโตง หรือ เพื่อสงเสริมอัตตา จนเอาตัวเองเปนศูนยกลาง ดังนั้นศาสนาจะตองปองกันไมใหเกิดแนวโนมดัง กลาว ดวยการกระตุนใหผูคนหมั่นมองตนอยางวิพากษและรูเทาทันตนเองอยางลึกซึ้ง เพื่อไมให อัตตาเขามาเปนใหญเหนือจิตใจ (อัตตาธิปไตย) อันที่จริงหัวใจของทุกศาสนาก็คือการทำใหผูคน ละวางจากความยึดถือในตัวตนอยูแลว ดังนั้นหากเขาถึงหัวใจของศาสนา โดยไมติดอยูกับเปลือก หรือรูปแบบของศาสนา ความยึดติดในตัวตนจะลดลง มานะ ทิฏฐิ ตัณหา จะหยั่งไดยากขึ้น สิ่งที่ ตามมาคือความโกรธเกลียดเดียดฉันทจะบรรเทาลง เราจะไมติดในกับดับความคิดวา “ฉันถูก แก ผิด” “ฉันดี แกเลว” เพราะรูวานี้ก็คืออำพรางของอัตตาในอีกรูปแบบหนึ่งเทานั้นเอง หน้า ๑๖
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
! การมองตนเองอยางลึกซึ้งยอมชวยใหเราตระหนักวาเสนแบงความดีกับความชั่วนั้นหาได อยูนอกตัวไม แตอยูในใจเรานี้เอง๖ มนุษยนั้นตราบใดที่ไมรูเทาทันตนเอง แมจะนับถือศาสนาอะไร ก็ตาม ยอมไมตางจาก ระเบิดที่ยังไมถอดสลัด คือสามารถกอความรุนแรงไดรอยแปด แมจะไมมี อาวุธใด ๆ อยูในมือเลยก็ตาม ดังผูกอการ ๑๑ กันยาสามารถสังหารคนหลายพันคนโดยอาศัย เครื่องบินพาณิชยเปนเครื่องมือเทานั้น ระเบิดดังกลาวจะถอดออกไปจากใจไดก็ตอเมื่อเราละวาง ความยึดถือในตัวตน โดยอาศัยการตระหนักรูในตนเองอยางลึกซึ้ง เมื่อระเบิดถูกปลดจากใจ เรายอมมีจิตใจที่โปรงเบาและเปดกวาง จนสามารถกาวขามพน กำแพงแหงศาสนาตลอดจนอัตลักษณทั้งปวง กระทั่งเห็นถึงความเปนอันหนึ่งอันเดียวกันของ มนุษยชาติ ไมวาเราจะนับถือศาสนาอะไร เราก็มีความเปนมนุษยเหมือนกัน อันที่จริงมนุษยนั้นเปน อะไรตออะไรอีกมากมาย นอกจากการเปนชาวพุทธ ชาวคริสต หรือมุสลิม แตใชหรือไมวาบอยครั้ง การนับถือศาสนาของเราทำใหเรามองขามคุณสมบัติดังกลาว และเห็นแตเพียงวาเขานับถือศาสนา อะไร หรือมีศาสนาอะไรเปน “ยี่หอ”เทานั้น๗ การนับถือศาสนาเชนนี้ทำใหเรามองมนุษยอยางคับ แคบ แทที่จริงศาสนาจะตองชวยใหเรามีทัศนะที่ไมเพียงมองเห็นตัวเองอยางลึกซึ้งเทานั้น หากมอง เห็นผูอื่นในมุมมองที่กวางขึ้น ศาสนานั้นในแงหนึ่งเปรียบเสมือน “ราก” ที่ทำใหเราเกิดความรูสึกมั่นคง และมีจิตใจที่ลุม ลึก แตเทานั้นหาพอไม หากศาสนายังจะตองเปรียบเสมือน “ปก” ที่ทำใหเรามีอิสระเสรีในทางจิตใจ ชวยใหเรามองเห็นโลกและเพื่อนมนุษยดวยทัศนะที่กวางไกล (เหมือนกับการมองจากสายตาของ นก) ใชหรือไมวาเมื่อเรามองลงมาจากที่สูง ความแตกตางของมนุษยทั้งหลายที่อยูบนพื้นโลก ไมวา เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว ยอมเลือนหายไป เราจะเห็นแตความเปนมนุษยเหมือนกันหมด การเห็นความเปนหนึ่งเดียวกันของมนุษยชาติ ยอมทำใหเรารูสึกใกลชิดกันมากขึ้น จน เห็นมนุษยทุกคนเปนเพื่อนหรือพี่นองกัน โดยไมมีศาสนา เชื้อชาติ สีผิว เปนเครื่องกีดกั้นอีกตอไป ความโกรธ เกลียด ที่มีตอกันจะลดลง ถึงตอนนั้นเราจะพบวามนุษยนั้นมิใชศัตรูของเรา ศัตรูของเรา คือความชั่วราย คือตัณหา มานะ ทิฏฐิ หรือความยึดถือในตัวตน ที่ครองจิตครองใจผูคนตางหาก การกำจัดคนที่ชั่วรายดวยความรุนแรงจึงไมใชคำตอบที่ไดผลยั่งยืน หากจะตองมุงไปที่การขจัด ความชั่วรายออกไปจากใจเขา ซึ่งตองอาศัยความดีและความรักเทานั้นจึงจะสัมฤทธิผล เพราะยิ่ง ใชความรุนแรงหรือความโกรธเกลียดมากเทาไร ก็ยิ่งเพิ่มพูนความโกรธเกลียดและความชั่วรายใน ใจเขามากขึ้น ดวยเหตุนี้พระพุทธองคจึงตรัสวา “พึงเอาชนะความโกรธดวยความไมโกรธ พึง เอาชนะความราย ดวยความดี พึงเอาชนะคนตระหนี่ ดวยการให พึงเอาชนะคนพูดพลอย ดวยคำสัตย” หน้า ๑๗
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
กลาวอยางถึงที่สุด อิสรภาพในทางจิตใจ ไมไดหมายความเพียงแคอิสรภาพจากความ ยึดติดในตัวตน หรืออิสรภาพจากการครอบงำของความโกรธเกลียดเดียดฉันทเทานั้น หากยัง หมายถึงอิสรภาพจากความยึดติดในศาสนาดวย ใชหรือไมวาลัทธิอุดมการณหรือแมแตศาสนา นั้นสามารถเปนกำแพงหรือคุกกักขังจิตใจของมนุษยได อยางไรก็ตามศาสนาก็สามารถประทาน ปกใหแกเราจนสามารถโบยบินเปนอิสระเหนือกำแพงทางศาสนาหรือลัทธิอุดมการณได แตจะทำ เชนนั้นไดก็ดวยการเขาถึงหัวใจของศาสนาจนละวางจากความยึดติดในศาสนา เปรียบเสมือน การอาศัยแพเพื่อขามแมน้ำ เมื่อถึงฝง ก็กาวออกจากแพ แลวขึ้นฝง โดยไมจำเปนตองแบกแพขึ้น ไปดวย แตแม จะยังไมถึงหัวใจของศาสนา ก็ยังจำเปนอยูเองที่จะตองตระหนักอยูเสมอวา ความยึดติดใน ศาสนานั้นอาจกอโทษได ทั้งในแงการหนุนเสริมอัตตาหรือการแบงเขาแบงเรา บทภาวนาของ นิกายเทียบหินของติช นัท ฮันห นาเปนขอเตือนใจสำหรับศาสนิกทั้งหลายไดเปนอยางดีในเรื่องนี้ “โดยตระหนักถึงความทุกขที่เกิดจากความคลั่งไคลในอุดมการณและความใจแคบ เรา ขอปณิธานวาจะไมหลงใหลติดยึดกับลัทธิอุดมการณหรือทฤษฎีใด ๆ แมแตพุทธศาสนา คำสอน ทางพุทธศาสนาคืออุปกรณนำทางที่ชวยใหเรารูจักพิจารณาอยางลึกซึ้งและพัฒนาปญญาและ กรุณา หาใชลัทธิความเชื่อสำหรับการตอสู สังหาร และยอมตายไม โดยตระหนักถึงความทุกขที่ เกิดจากความติดยึดในทัศนะและการรับรูที่ผิดพลาด เราขอปณิธาน วาจะหลีกเลี่ยงความใจแคบ และติดยึดกับทัศนะในปจจุบัน เราจะเรียนรูและฝกการปลอยวางจากความคิดเพื่อเปดใจรับรู ปญญาญาณและประสบการณของผูอื่น เราตระหนักวาความรูที่เรามีอยูนั้นมิใชสัจจะอันสัมบูรณ ที่ไมเปลี่ยนแปลง สัจจะนั้นพบไดในชีวิต และเราจะสังเกตชีวิตทั้งภายในและรอบตัวเราในทุก ขณะ และพรอมเรียนรูตลอดชีวิต” การเขาถึงหัวใจของศาสนา ยอมชวยใหเกิดการเปลี่ยนแปลงอยางลึกซึ้งในระดับจิตใจ จนเกิดอิสรภาพภายในอยางแทจริง เปนจิตที่ไมแบงฝกฝาย และมีความเมตตาอยางไมมี ประมาณตอสรรพสัตว เขาถึงความเปนมนุษยอันสากล คือเห็นถึงความเปนมนุษยของทุกคนกอน ที่จะเห็นวาเขาเปนพุทธ คริสต หรือมุสลิม และ เขาถึงความรักอันสากล มีเมตตากับทุกคนเสมอ กัน กลาวอีกนัยหนึ่งคือเปน “จิตใจไรพรมแดน” (ซึ่งเปนคุณลักษณะประการหนึ่งของพระ อรหันตหรือผูบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในทัศนะของพุทธศาสนา) นี้เปนการเสริมสรางสันติวัฒนธรรมที่ จัดไดวาเปนบทบาทในแนวลึก หน้า ๑๘
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
ปฏิบัติการเพื่อสันติวัฒนธรรม ! นอกจากบทบาทในแนวลึกหรือการสรางความเปลี่ยนแปลงระดับบุคคลแลว ศาสนายัง ควรมีบทบาทในดานกวาง ไดแกการสงเสริมใหเกิดความเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกและคุณคาใน ระดับสังคม โดยผานระบบการศึกษาและสื่อเพื่อสันติภาพ การสงเคราะหเพื่อนมนุษย และการลด ทอนความรุนแรงในสังคม การศึกษาเพื่อสันติภาพ หมายถึงการศึกษาที่เปนไปเพื่อสงเสริมขันติธรรม ยอมรับความ แตกตาง และเห็นคุณคาของความหลากหลายทางความคิดและทางวัฒนธรรม รูจักใหอภัยและมี ความเอื้อเฟอเกื้อกูลกัน ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือตระหนักวาความรุนแรงไมอาจแกปญหา อยางยั่งยืน หากตองแกดวยสันติวิธี เพราะสันติวิธีเทานั้นที่เปนหนทางสูสันติภาพที่แทจริง ควบคู กันไปก็คือการสงเสริมใหมีทักษะในการจัดการความขัดแยงดวยสันติวิธี โดยตระหนักวาความขัด แยงก็เชนเดียวกับความแตกตาง จะเปนโทษหรือเปนคุณ ขึ้นอยูกับวาเราสามารถจัดการกับมันได อยางฉลาดหรือไม สื่อเพื่อสันติภาพ นอกจากจะทำหนาที่เปนสวนหนึ่งของการศึกษาเพื่อสันติภาพตามที่ได กลาวขางตนแลว ควรจะมีบทบาทในการลดทอนอคติทางชาติพันธุ ศาสนา และสีผิว โดยนำเสนอ วิถีชีวิต ประเพณี ความเชื่อ รวมทั้งสุขทุกขและความใฝฝนของคนกลุมตาง ๆ เพื่อใหเห็นวาแทจริง เขาก็มีความเปนมนุษยเชนเดียวกับเรา ขณะเดียวกันควรใหน้ำหนักกับขาวสารที่สงเสริมสันติวิธี และการรวมมือกัน ยิ่งกวาที่จะนำเสนอนำเสนอขาวเกี่ยวกับความรุนแรง อาชญากรรม และการ ทะเลาะวิวาทกัน สื่อสำหรับเยาวชนและครอบครัวเปนสื่ออีกประเภทหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการ สงเสริมสันติวัฒนธรรม เพราะชวยใหเกิดการบมเพาะทัศนคติที่ดีงามแกเยาวชน ปฏิเสธไมไดวา ครอบครัวเปนสถาบันทางจริยธรรมที่สำคัญ ครอบครัวที่เขมแข็งยอมชวยใหเยาวชนมีทัศนคติที่ เกื้อกูลตอสันติภาพและสันติวิธี นอกจากการลดความโกรธเกลียดและความรุนแรงแลว การศึกษาและสื่อเพื่อสันติภาพ ยังควรมีบทบาทในการลดทอนวัตถุนิยมและบริโภคนิยมดวย ปฏิเสธไมไดวาวัตถุนิยมและบริโภค นิยมกำลังมีอิทธิพลอยางมากในวงการศึกษาและสื่อมวลชน การศึกษาและสื่อควรสงเสริมให ผูคนมองชีวิตและโลกโดยไมติดยึดกับความจริงทางวัตถุอยางเดียว เพราะความจริงนั้นมีหลาย ดานที่ไมอาจชั่งตวงวัดเปนตัวเลขหรือตีคาเปนตัวเงินได ขณะเดียวกันก็ชวยใหผูคนตระหนักวามี ความสุขอีกมากมายที่อยูเหนือการเสพหรือการบริโภค เชน ความสุขจากการทำความดี หรือความ สุขจากการให เปนตน หน้า ๑๙
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
การสงเคราะหเพื่อนมนุษย แกนกลางของสันติวัฒนธรรมคือความรักและความเอื้อเฟอ เกื้อกูล คุณคาดังกลาวแสดงออกไดชัดเจนที่สุดมิใชดวยคำพูดหรือการเทศน แตดวยการลงมือชวย เหลือผูอื่นอยางเปนรูปธรรม การเสริมสรางสันติวัฒนธรรมที่ดีที่สุดอยางหนึ่งคือการเขาไปชวยเหลือ เพื่อนมนุษยที่ตกทุกขไดยาก ไมวาเปนเพราะขาดแคลนปจจัยสี่ ถูกกระทำความรุนแรง ถูกเอารัดเอา เปรียบ หรือถูกละเมิดสิทธิ การชวยใหเพื่อนมนุษยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไมวาระดับบุคคล ระดับ ชุมชน หรือระดับประเทศ นอกจากจะสงเสริมวัฒนธรรมน้ำใจและการเกื้อกูลใหแพรหลาย ชวยให สังคมรมเย็นเปนสุขแลว ยังเปนแบบอยางที่สัมผัสไดจริงวาความสุขนั้นเกิดจากการให มิใชเกิดจาก การบริโภคหรือการมีมาก ๆ เทานั้น ยิ่งศาสนิกลดละตัวตนหรือความเห็นแกตัวไดมากเทาไร การ เขาไปรวมทุกขรวมสุขกับเพื่อนมนุษยก็กลายเปนเรื่องงายมากเทานั้น กลาวอีกนัยหนึ่ง การชวย เหลือเพื่อนมนุษยเปนเครื่องชี้วัดสำคัญประการหนึ่งวาศาสนิกไดลดละตัวตนมากนอยเพียงใดแลว การลดทอนความรุนแรงในสังคม ความรุนแรงในสังคมนั้นมีหลายระดับ ตั้งแตระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงระดับประเทศ การปองกันและระงับความรุนแรงเปนการสงสัญญาณที่ ชัดเจนวา ความรุนแรงเปนสิ่งที่มิอาจยอมรับได การที่ความรุนแรงยังแพรหลายในปจจุก็เพราะมี ความเชื่อวาความรุนแรง(อยางนอยก็ในบางเรื่อง เชน การทุบตีภรรยา หรือการรุมทำรายผูตองหาฆา ขมขืน การประหารชีวิตอาชญากร)เปนสิ่งที่ยอมรับได ศาสนิกจึงควรใหควรมีบทบาทแข็งขันในการ ตอตานความรุนแรงทุกรูปแบบ รวมไปถึงการทำสงคราม อยางไรก็ตามนอกจากความรุนแรงทาง ตรงแลว ในสังคมยังมีความรุนแรงทางโครงสราง คือโครงสรางที่สนับสนุนการเอารัดเอาเปรียบ ที่นำ ไปสูความยากจน ความเจ็บปวย และการถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน ความรุนแรงทางโครงสรางนั้นมี อยูในระบบเศรษฐกิจ การเมือง และระบบยุติธรรม อันสรางความทุกขยากแกผูคนจำนวนมาก ศาสนิกจึงควรใหความสำคัญในการตอตานและขจัดความรุนแรงเชิงโครงสรางดวยเชนกัน จะทำเชนนั้นไดตองอาศัย ความรักความเมตตาตอผูทุกขยาก ความกลาหาญในการเผชิญ หนากับอุปสรรค ปญญาในการเขาใจสาเหตุอันลึกซึ้ง และสติที่รูเทาทันตัณหา มานะ และทิฏฐิใน ตนเอง ทั้งหมดนี้คือพลังทางศีลธรรมที่ศาสนาสามารถเปนแรงบันดาลใหไดอยางมหาศาล ดังที่มี ตัวอยางมากมากในประวัติศาสตร แตหลายปที่ผานมาศาสนาไดถูกใชเปนแรงบันดาลใจใหผูคน จำนวนไมนอยยอมสละชีวิตเพื่อปลิดชีพผูอื่น กอใหเกิดความทุกขยากแกผูคนมากมาย และทำให หลายมุมโลกตองลุกเปนไฟ ถึงเวลาแลวที่ศาสนาจะเปนแรงบันดาลใจใหผูคนทั้งหลายยอมอุทิศตัว เพื่อปกปองชีวิตผูอื่น และดับเพลิงสงครามดวยความรักความเมตตา อยางกลาหาญ และดวยสติ ปญญาอยางลึกซึ้ง ทั้งนี้โดยอาศัยความเปลี่ยนแปลงอยางลึกซึ้งในทางจิตใจเปนพลังหลอเลี้ยง ภายใน ดวยวิธีนี้เทานั้นสันติวัฒนธรรมจึงจะเปนจริงขึ้นมาได หน้า ๒๐
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
พระไพศาล วิสาโล พระนักคิด นักเขียน และนักกิจกรรมเกี่ยวกับสันติวิธี ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาส วัดป่าสุคะโต ชัยภูมิ
เชิงอรรถ ๑ ปาฐกถาในงานสัมมนานานาชาติเรื่อง “Religion and Culture” ณ มหาวิทยาลัยพายัพ เชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๐ จัดโดยสถาบันเพื่อการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยพายัพ ๒ Jessica Williams “50 Facts that Should Change the World”(Cambridge: Icon Books,2004) น.140 ๓ Jonathan Glover “Humanity:A Moral History of the Twentieth Century” (Yale:Yale University Press,1999) น.50,130 ๔ ข้อความข้างล่างเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของลัทธิอุดมการณ์ที่หากยึดมั่นอย่างแรงกล้าแล้ว สามารถเป็นใบเบิกทางสู่การสังหารผู้คนได้ไม่ยาก “เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของเราคือชัยชนะของลัทธิ คอมมิวนิสต์ในทุกหนแห่ง เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ทุกอย่างทําได้ทั้งนั้น ไม่ว่ากล่าวเท็จ ขโมย หรือ ทําลายผู้คนนับแสนหรือแม้กระทั่งเป็นล้าน หากคนเหล่านี้ขัดขวางงานของเราหรือสามารถจะขัดขวางเรา” ทัศนะดังกล่าวไม่ได้เกิดกับผู้สมาทานคอมมิวนิสต์ในรัสเซียเท่านั้น หากยังเกิดขึ้นในจีนและกัมพูชา ในยุค เขมรแดงมีคําขวัญว่า “คนหนุ่มหนึ่งหรือสองล้านคนก็พอแล้วสําหรับสร้างกัมพูชาใหม่” ที่เหลือนอกนั้นไม่มี ความจําเป็นเลย หากถูกกําจัดไปก็ไม่เป็นไร (เพิ่งอ้าง น. 259,306) ๕ Human Development Report (1998) อ้างใน ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาวุธมีชีวิต? (กรุงเทพ ฯ:ฟ้าเดียวกัน, ๒๕๔๖) น.๒๒๒ ๖ โซลเชนิตซิน นักเขียนรางวัลโนเบลชาวรัสเซีย ซึ่งเคยถูกจองจําในค่ายกักกันของสตาลิน พูดไว้อย่างน่าฟัง ว่า “ มันจะง่ายดายสักเพียงใด ถ้าเพียงแต่ว่าคนชั่วร้ายอยู่ที่ไหนสักแห่งและคอยทําแต่สิ่งชั่วร้าย เราก็แค่ แยกคนพวกนั้นออกจากพวกเรา แล้วก็ทําลายเขาเสีย เท่านั้นก็จบกัน แต่เส้นแบ่งความดีและความชั่วนั้นผ่า ลงไปในใจของมนุษย์ทุกคน ใครเล่าที่อยากจะทําลายส่วนเสี้ยวในใจของตน?” ๗ ชาวโครแอทผู้หนึ่งได้พูดถึงปัญหาของลัทธิชาตินิยมว่า ได้ลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้คนจนเหลืออัต ลักษณ์หรือคุณสมบัติเพียงประการเดียว “ก่อนหน้านี้ ความเป็นตัวผมถูกนิยามโดยการศึกษา อาชีพ ความ คิด บุคลิก และ สัญชาติด้วย แต่เดี๋ยวนี้ทั้งหมดถูกเปลื้องออกไปจากตัวผมหมด ผมกลายเป็น nobody เพราะ ผมไม่ได้เป็นบุคคลอีกแล้ว ผมเป็นเพียง ๑ ในชาวโครแอท ๔.๕ ล้านคน”(Glover น. ๑๕๒) ใช่หรือไม่ว่า ศาสนานิยม ก็ได้ลดทอนอัตลักษณ์ของผู้คนจนเหลือเพียงหนึ่งเท่านั้นเอง คือนับถือศาสนาอะไร
หน้า ๒๑
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
ประโยชน์สุขจากการสอบ สโมสรผูนำเยาวชนเพื่อการศึกษาและพัฒนาชุมชน อำเภอปางมะผา จังหวัดแมฮองสอน
วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์
สวัสดีครับทุกทาน เชื่อวาผูอานสวนใหญคงมีประสบการณในการสอบเลื่อนสายไอคิโด กันมาแลว แตเราไมคอยมีใครเขียนถึงประสบการณในการสอบกันสักเทาไร สวนใหญก็จะ เปนการซักถามกันสวนตัว บางคนมาฝกใหม ไมรูจักใครมาก จะถามใครก็กลาๆกลัวๆ บาง คนฝกนานแลวก็จริง แตไมมีจังหวะใหถาม คืออยูไกล ไมคอยไดเจอกัน บางคนก็ขี้เกรงใจ จะถามไปก็หนักปาก ก็อมพะนำความทุกข ความกังวลเอาไว ทั้งๆที่ประสบการณการสอบ เปนเรื่องสำคัญ ที่นาจะมีการแชรกันในวงกวางกันมากๆ ดวยเหตุนี้ ผูเขียนจึงขอนำประสบ การณเล็กๆของตัวเองมาเลาสูผูอาน เผื่อจะมีแงมุมบางประการที่โดนใจใครนำไปใช ประโยชนไดบาง และจุดประกายใหมีคนอื่นๆมาชวยแชรกันมากขึ้น ขึ้นชื่อวาการสอบ แตละคนอาจตีความหรือใหความหมายกับการสอบตางกันไปนะครับ บางก็รองยี้ บางก็รองเย บางก็วาการสอบคือการทดสอบระดับความสามารถครั้งสำคัญที่ ตองมีการเตรียมตัวมาอยางหนัก บางก็ใหความสำคัญพอประมาณ ในขณะที่บางคนก็เลนบทเฉยคือ ไมสอบมันซะอยางนั้น แตขอฝก ไปเรื่อยๆ เขาทำนอง “จอมยุทธ ไร ส าย” ก็ ม ี อย า งไรก็ ต าม สำหรับผูเขียนแลว ทรรศนะตอ การสอบมีความสำคัญอยางมาก เพราะทรรศนะคื อ ตั ว กำหนด ทาทีที่เรามีตอการสอบ รวมถึง การฝกอีกดวย หน้า ๒๒
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
ยอนไปป 2545 ที่ผูเขียนเคยสอบเลื่อนสายครั้งแรก จำไดวาตัวเองมองการสอบแคบๆ เปนการวัดความรูความสามารถตามเทคนิคตางๆที่อยูในโพย ซึ่งก็โอเค ก็สอบผานๆกันไป ไมไดคิดอะไรมากมาย
สิบปใหหลัง อายุอานามก็ลวงเลยไปตามกาล ประสบการณการสอบและเห็นคนอื่น มาสอบก็สะสมตามวันเวลา ยิ่งสอบยิ่งรูสึกวาเรามองเห็นอะไรๆมากขึ้น อะไรๆในที่นี้ก็คือแง มุมใหมๆที่ไมเคยสัมผัสมากอน เรื่องเหนื่อยนี่มันเปนปกติอยูแลว แตถาเรามองวาสอบทีไร มันทุกขทุกที ผมวาคิดอยางนี้ก็ใช แตคิดแลวมันจะสรางสรรคอะไร สูเรามองแงมุมดีๆ มุม ประโยชนสุขที่จะไดรับจากการสอบ ก็เลยอยากจะชี้ชวนใหผูอานคิดตามไปดวยกันดังนี้ ครับ หน้า ๒๓
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
ประโยชนสุขที่จะไดรับจากการสอบ : ประโยชนสุขกับตัวเอง อันนี้คือสุขภาพรางกาย แข็งแรง (ถาไมโหมฝกเกินไป) จิตใจเปนสมาธิ แนวแน มีวินัย ในการซอมเพราะตองเตรียม ไปสอบ ไดขัดเกลาตัวเอง เวลา สอบก็ ไ ด ฝ ก ความอดทนต อ ความเหนื ่ อยยาก ฝ กความ ออนโยนที่จะไมโตตอบอุเกะที่ อาจจะเลนแรงๆกับเรา ประโยชนสุขตอผูอื่น ในที่นี้คือ ผูที่มาจับคูสอบกับเรา หรือมาเปนอุเกะให การสอบผานไมผานก็ขึ้นอยูกับ อุเกะอยูไมนอยนะครับ อุเกะดีก็ผอนแรง รับแรง สงแรง บางทีก็ชวยติว เหมือนไกดใหเรา ไปในตัว ถาไปเจออุเกะเลนหนัก ดักแรง เราก็เลนลำบาก แถมอาจจะบาดเจ็บตามมา อุเกะ จึงเปนองคประกอบที่สำคัญมากในการสอบ แตถาเรามีทรรศนะเชิงบวกตออุเกะ ก็จะเอื้อ ตอการสอบใหไอคิโดที่แสดงออกไปราบรื่นกลมกลืน สวยงาม การจะมีทรรศนะอยางนี้ได ก็คงตองคิดออกนอกตัวเองไปบาง คือ ไมเพียงแตนึกขอบคุณอุเกะ แตคิดถึงประโยชนสุขที่ สุขที่อุเกะจะไดรับ นั่นก็คือเขาไดออกกำลังกาย ไดมีสุขภาพดี และเติบโตทางจิตวิญญาณ ไปดวยกัน ทั้งยังสานสัมพันธเปนมิตรตอกันไดในภายภาคหนา เปนภาพความทรงจำที่ครั้ง หนึ่งเราเคยเปนคูสอบดวยกัน สอบเสร็จจะถายรูปคูดวยกัน หรือสงอีเมลแสดงความ ขอบคุณ หรือจะชวนกันไปเลี้ยงฉลองสอบเสร็จผมก็วาไมเลว หน้า ๒๔
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
ประโยชนสุขตอสวนรวม ในที่นี้ ผมแยกเปนสองอยางครับ อยาง แรก ประโยชนตอสังคม ผมสังเกตดูเวลาสอบก็ จะมีผูปกครอง เพื่อนฝูง คนรัก ญาติพี่นอง รวม ถึงคนภายนอกมาชื่นชม บางก็ถายรูปการสอบ เอาไว บางก็บันทึกเปนวิดีโอไวดู หรือเผยแพรตอ การที่เราไดเปนสวนหนึ่งในการสอบนี้ก็ เทากับวาไดชวยทำใหสังคมรูจักไอคิโดมากขึ้น และหันมาฝกกันมากขึ้น และถาผูชมพอเขาใจ หลักไอคิโดอยูบาง ก็ไมยากที่จะเชื่อมโยงกับเรื่อง สันติวัฒนธรรม สนามสอบจึงเปรียบเสมือนเวทีการเรียนรู ที่ไมใชเฉพาะผูสอบ แตเปนของผูชมอีกดวย ถาเขาใจเชนนี้แลวก็พอจะเห็นไดวา การสอบ เทากับสรางประโยชนสุขแกสวนรวมไปในตัว ทั้งหลายทั้งปวง นี่จะเห็นไดวาการสอบ จะมีความหมายกับแตละคนแคไหน เริ่มมา จากทัศนคติตอการสอบเปนพื้นฐานเลยทีเดียว นะครับ สำหรับผม เชื่อวาถาเรามีมุมมองวาการ สอบไมใชการแขงขัน ไมใชการเอาชนะ ไมใช การชิงรางวัล แตหากเปนการเรียนรูเพื่อที่จะ พัฒนาตัวเองและสรางประโยชนสุขรวมกันทั้ง กับตัวเอง ผูอื่นและกับสวนรวม นั่นคือการ สอบผานไปแลวหาสิบเปอรเซ็นต ที่เหลือเปน เรื่องของทักษะฝมือ ดวยวิธีคิดอยางนี้นาจะ ทำใหทุกทานสัมผัสถึงประโยชนสุขดานตางๆ จากการสอบไอคิโดได อยางที่ผมรูสึกและ อยากแบงปนครับ
หน้า ๒๕
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
àเÊส Œ¹น·ท∙Òา§ง·ท∙Õีè่©ฉÑั¹นàเ´ดÔิ¹น âโ´ดÂย Íอ ŒÍอÁม âโÍอÃรÔิ¡กÒาÁมÔิ
ÂยØุ·ท∙¸ธÀภÙูÁมÔิ ในการเรียนพับกระดาษที่ออมโอริกามิ วัสดุที่ สำคัญอีกอันหนึ่งที่จำเปนตองใชคือ แผนรองพับกระดาษ กอนที่จะพับกระดาษ การจัดเตรียมพื้นที่เปน เรื่องที่จำเปน พื้นที่ๆจะพับกระดาษจะตองมีความสะอาด แหง และราบเรียบสม่ำเสมอ ในการฝกไอคิโด ที่ชมรมไอคิโด มหาวิทยาลัยเชียงใหม ก็ใหความสำคัญ ในการจัดเตรียมพื้นที่ดวยเชนกัน นอกจากการกวาดพื้นกอนที่จะปูเบาะแลว พวกเราทุก คนไมวาจะสายดำสายขาว ตางเรียงหนากระดานลงไปคลานชวยกันเช็ดถูทำความสะอาด เบาะจากขอบเบาะดานหนึ่ง ไปจนสุดขอบเบาะอีกดานหนึ่งอยางไมเคอะเขินเปนธรรมชาติ ดวยความเต็มใจ กิจกรรมการเตรียมพื้นที่ในการฝกโอริกามิ (ศิลปะการพับกระดาษ) และการฝก ไอคิโด (ศิลปะการปองกันตัว)นี้ไมใชพิธีกรรม แตเปนการฝกตนเองใหมีความนอบนอม เพื่อสำนึกในบุญคุณและตอนจบที่งดงามของการฝกที่กำลังจะดำเนินตอไปตั้งแตตนจนจบ โดยสวัสดิภาพ ซึ่งจะสงผลใหผูปฏิบัติเกิดความสุข ความเบิกบาน ความภาคภูมิใจในผล งานของตนเอง และนำไปสูการเห็นคุณคาในตัวเองและผูอื่น ในแงนามธรรม พื้นที่ในการฝกหรือเบาะ คือโดโจของไอคิโด แผนรองพับก็คือ โดโจของโอริกามิ เปนดั่งยุทธภูมิที่เราจะตองสำรวมตัวเอง ใหมีความตระหนักรูและมีความ ระมัดระวังตัวเพื่อใหการฝกดำเนินไปอยางราบรื่นโดยตลอดตั้งแตเริ่มตนจนสิ้นสุดการฝก
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
Y ขณะที่การฝกไอคิโด ดำเนินอยูบนเบาะที่เปนดั่งยุทธภูมิ ทุกลมหายใจที่ดำเนินอยู ได เตือนใหเรารูวาเรายังมีชีวิต ดัง นั้น เราจึงตองดำเนินการฝกไป ดวยความละมัดระวังตัวเองโดย รอบใหทั่วพรอม หากเผลอปลอย ใจลองลอยไปชั่วแวบหนึ่งลม หายใจ ยอมหมายถึงอันตราย ตั้งแตการบาดเจ็บเล็กนอยที่ รบกวนการดำเนินชีวิตอันปกติ และอาจรายแรงไปจนถึงชีวิต จะพบไดวา ตอใหมีผูฝกหนาแนนแคไหนก็ตามบนเบาะไอคิโด แตก็ไมเคยเกิดอุบัติเหตุรายแรงขึ้นบนเบาะเลย นอกจากการกระทบกันบางเล็กๆนอยๆ ระหวางการฝก ดวยเพราะการตระหนักรูอยูเสมอขณะฝกวาตนกำลังอยูในยุทธภูมิ Y
บอยครั้งที่นักเรียนโอริกามิมักจะถามขาพเจาวาทำไมตองกำหนดใหพับ กระดาษบนกระดานรองพับ เพราะมันพับไมคอยสะดวก เนื่องมาจากการถูกจำกัดพื้นที่ในการทำงานเชนนี้ ขาพเจามักจะอธิบายใหลูกศิษยเสมอวา แผนรองพับนี้เปน ดุจยุทธภูมิที่นักเรียนจะตองฝกการจัดเตรียมพื้นที่และควบคุม ชิ้นงานที่กำลังสรางใหทำงานไดบนกระดานรองพับอยางเหมาะ สม ดังนั้น นักเรียนจึงตองพับกระดาษอยางระมัดระวังดวย ความแมนยำอยางรูตัวเสมอ มิเชนนั้น นักเรียนอาจพับ กระดาษเบี้ยวไปตั้งแตตน หรือรอยพับไมคมชัดถูกตอง รอย พับซอนกันหลายรอยดูสับสน ทำใหเกิดความเสียหายแก งานที่สรางขึ้น หรือชิ้นงานออกมาไมสมบูรณ บิดเบี้ยว ฉีกขาด เปนตน หน้า ๒๗
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
Y
อีกประการหนึ่ง การที่ฝกโอริกามิบนพื้นที่ที่ยก สูงขึ้นมาจากระดับหนาโตะอีกระดับหนึ่งขึ้นมาเล็ก นอยนั้น ดุจเปนการยกระดับกระดาษที่เรากำลัง ใชฝกในงานโอริกามิใหมีความสำคัญกวากระดาษ อื่นๆ เพราะเปนกระดาษที่มีคุณคาที่เสียสละตัว เองพลีใหแกเราใชเปนเครื่องมือพัฒนาตนเอง ดวยความรูสึกที่เปนสุขไมวาจะพับเปนรูป งายๆ ไมมีความซับซอน ไปจนถึงการพับ งานที่ซับซอนดุจเนรมิต
Y ในแงรูปธรรม หากพื้นที่ในการฝก ไมแหง สกปรก มีเชื้อรา หรือมีเศษวัสดุติดอยู เมื่อผูฝกไอคิโดตองลมลงบนเบาะ ไมวาจะเปน แบบ Koho Ukemi หรือ Uchiro Ukemi (การลมไปขางหลัง) หรือการลมแบบ Zempo Ukemi (การลมไปขางหนา) ก็อาจจะทำใหมีผลเสียตอสุขภาพผูฝกเชนเปนภูมิแพ หรือเจ็บปวย หรืออาจเกิดอุบัติเหตุที่ไมอาจคาดเดา ทำใหขาดความราบรื่นในการฝก Y สวนในการฝกโอริกามิ หากพื้นที่ไมสะอาด ก็จะทำใหกระดาษเปอนสกปรกไม สวยงาม หากพื้นที่เปยกหรือพื้นผิวขรุขระก็จะทำใหกระดาษฉีกขาด หรือพับกระดาษไม เสมอกันทำใหแนวการพับคลาดเคลื่อน ผลงานออกมาไมดี หรือไมสามารถพับงานได สำเร็จ ทำใหจิดใจขุนมัว Y แมวาไอคิโดและโอริกามิตางมียุทธภูมิที่ ขนาดแตกตางกันอยางสิ้นเชิง แตในเชิง สัญลักษณและบทบาท ไอคิโดและโอริกามิตาง ก็เปนเครื่องมือที่ดีในการฝกฝนพัฒนาตนเอง ทั้งสิ้น จึงอาจกลาวไดวา “ไอคิโด คือการฝกพับคน โอริกามิคือการฝกพับกระดาษ” หน้า ๒๘
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
Aikido Family
สอบเลื่อนสาย ศุกร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕
หน้า ๒๙
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
Aikido Family
รดน้ําดําหัวอ.สมบัติและอ.ธีระรัตน์ ศุกร์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ หน้า ๓๐
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
ปูเบาะ ไอโดโจ
CHIANG MAI UNIVERSITY AIKIDO CLUB! ฉบับที่ ๓๒ พฤษภาคม - มิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ (ปีที่ ๔)
Aikido Family "พี่ป๋อมกับอ้อม ได้ไปจัดกิจกรรม แนะนําไอคิโด และโอริกามิ ที่ สโมสรเพลิน หมู่บ้านโฮมอินปาร์ค เมื่อวันอังคารที่ 17 กรกฎาคม 2555
ปฏิทินกิจกรรม ! ฝกประจำสัปดาห ! จันทร-พุธ-ศุกร ๑๘.๓๐ - ๒๐.๓๐ น.1 1 1 1 1 สถานที่ฝก ชมรมไอคิโด มหาวิทยาลัยเชียงใหม 1 1 1 ใตถุนตึกอาคารกิจกรรมนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม หน้า ๓๒