คัดลอกจาก พระไตรปฎกและอรรถกถาแปล ชุด 91 เลม (มหามกุฎราชวิทยาลัย)
-1-
“รูเรื่องพระพุทธรูป ตามความเปนจริง” รูปเหมือนพระพุทธเจาไมมี
เลม 32 หนา 214 บรรทัด 6
อปฺปฎิโม (ไมมีผูเปรียบ) ความวา อัตภาพ ( ความเปนตัวตน ) เรียกวารูปเปรียบ ชื่อวาไมมีผเู ปรียบ เพราะรูปเปรียบอื่นเชนกับอัตภาพของทานไมมี อีกอยางหนึ่ง มนุษยทั้งหลายกระทํารูปเปรียบใดลวนแลวดวยทองและเงินเปนตน ในบรรดารูปเปรียบเหลานัน ้ ชื่อวาผูสามารถกระทําโอกาสแมสก ั เทาปลายขนทราย (แมเพียงนิ๊ดนึง) ใหเหมือนอัตภาพของพระตถาคต ยอมไมมี พราะเหตุนน ั้ จึงชื่อวาไมมีผูเปรียบแมโดยประการทัง้ ปวง. อปฺปฎิสโม (ไมมผ ี ูเทียบ) ความวา ชื่อวาไมมีผเู ทียบ เพราะใคร ๆ ชื่อวาผูจะเทียบกับอัตภาพของพระตถาคต นั้นไมมี
รูปเหมือนพระพุทธเจา...ไมมี (อีกที)
เลม 11 หนา 66
….ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย กายของตถาคตมีตณ ั หาอันจะนําไปสูภพขาดแลว ยังดํารงอยู เทวดาและมนุษยทงั้ หลายยอมเห็นตถาคตชั่วเวลาทีก ่ ายของตถาคตดํารงอยู ตอเมือ ่ กายแตกสิน ้ ชีวต ิ แลว เทวดาและมนุษยทงั้ หลายจะไมเห็นตถาคต......
เลม 13 หนา 121 .....ดังที่พระองคตรัสไววา ดูกรภิกษุทงั้ หลาย พระมหาบุรุษทรงปลื้มพระทัยนักแล เมื่อผลกรรมปรากฏ ทรงงดงาม เพราะอวัยวะสวนใดยาว อวัยวะสวนนัน ้ ยอมตัง้ อยูยาว ทรงงดงาม เพราะอวัยวะสวนใดสัน ้ อวัยวะสวนนัน ้ ยอมตัง้ อยูสน ั้ ทรงงดงาม เพราะอวัยวะสวนใดล่าํ อวัยวะสวนนัน ้ ยอมตัง้ อยูลา่ํ ทรงงดงาม เพราะอวัยวะสวนใดเรียว อวัยวะสวนนั้นยอมตั้งอยูเ รียว ทรงงดงาม เพราะอวัยวะสวนใดกวาง อวัยวะสวนนัน ้ ยอมตัง้ อยูก วาง ทรงงดงาม เพราะอวัยวะสวนใดกลม อวัยวะสวนนัน ้ ยอมตัง้ อยูก ลมดังนี้ อัตตภาพของพระมหาบุรุษสะสมไวดวย ทานจิต บุญจิต ตระเตรียมไวดวยบารมี ๑๐ ดวยประการฉะนี้. ศิลปนทั้งปวงหรือผูมฤ ี ทธิ์ทั้งปวงในโลก
ไมสามารถสรางรูปเปรียบได.....
ธรรม – วินัย ที่พระองคตรัสตางหากเลา คือตัวแทนพระศาสดา เลม 13 หนา 320 ....ดูกอนอานนท บางที่พวกเธอจะพึงมีความคิดอยางนีว้ า ปาพจน (พุทธพจน) มีพระศาสดาลวงแลว พระศาสดาของพวกเราไมมี ขอนีพ ้ วกเธอไมพึงเห็นอยางนั้น ธรรมก็ดี วินย ั ก็ดีอน ั ใดอันเราแสดงแลว ไดบัญญัติไวแลวแกพวกเธอ ธรรมและวินัยอันนัน ้ จักเปนศาสดาแหงพวกเธอ โดยกาลลวงไปแหงเรา......
-2-
ความหมายของอุทเทสิกเจดียที่แทจริง
เลม 60 หนา 267
....พระอานนทเถระรับวา ดีละ แลวทูลถามพระตถาคตวา ขาแตพระองคผูเจริญ เจดียมก ี ี่อยาง. พระศาสดาตรัสตอบวา มีสามอยางอานนท. พระอานนทเถระทูลถามวา สามอยางอะไรบาง พระเจาขา. พระศาสดาตรัสวา ธาตุเจดีย ๑ ปริโภคเจดีย ๑ อุทเทสิกเจดีย ๑. พระอานนทเถระทูลวาขาแตพระองคผูเจริญ เมื่อพระองคเสด็จจาริกไป ขาพระองคอาจกระทําเจดียไดหรือ. พระศาสดาตรัสวา อานนท สําหรับธาตุเจดียไมอาจทําได เพราะธาตุเจดียน น ั้ จะมีไดในกาลที่พระพุทธเจาปรินพ ิ พานแลว สําหรับอุทเทสิกเจดียก ็ไมมวี ัตถุปรากฏ เปนเพียงเนือ ่ งดวยตถาคตเทานัน ้ ... *** เจดีย แปลวา ที่เคารพนับถือ, บุคคล – สถานที่ หรือวัตถุที่ควรเคารพบูชา *** ภิกษุสงฆรุนหลังใหความหมายของอุทเทสิกเจดียวา เจดียที่สรางอุทิศพระพุทธเจา คือ พระพุทธรูป
แตพระพุทธเจาใหถือเจดียคือธรรม (คําสอนของพระองค) เลม 21 หนา 202 ครั้งนัน ้ แล เมื่อพระเจาปเสนทิโกศลเสด็จไปแลวไมนาน พระผูมีพระภาคเจาตรัสเรียกภิกษุทงั้ หลายมาตรัสวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พระเจาปเสนทิโกศลพระองคนี้ ตรัสธรรมเจดีย คือพระวาจาเคารพธรรม ทรงลุกจากที่ประทับนัง่ แลวเสด็จหลีกไป ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เธอทัง้ หลายจงเรียนธรรมเจดียน ี้ไว จงทรงจําธรรมเจดียน ี้ไว ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเจดียประกอบดวยประโยชน เปนอาทิพรหมจรรย. พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระพุทธพจนนี้แลว ภิกษุเหลานั้นพากันชืน ่ ชมยินดีพระภาษิตของพระผูมีพระภาคเจา ฉะนี้แล.
วัตถุทั้งหลายทั้งปวง หรอกนะ
พระพุทธเจาไมใหทานทั้งหลายเอาเปนที่พึ่ง เลม 27 หนา 90
บทวา อตฺตทีปา ความวา ทานทัง้ หลายจงทําตนใหเปนเกาะ เปนที่ตา นทาน เปนที่เรน เปนคติที่ไปในเบือ ้ งหนาเปนทีพ ่ งึ่ อยูเถิด.
อนฺญสรณา นี้ เปนคําหามพึง่ ผูอ ื่น ดวยวาผูอ ื่นเปนทีพ ่ ึ่งไมได เพราะคนหนึง่ จะ พยายามทําอีกคนหนึง่ ใหบริสท ุ ธิ์หาไดไม สมจริงดังที่ตรัสไววา ตนนัน ่ แลเปนที่พึ่งของตน คนอืน ่ ใครเลาจะเปนที่พงึ่ ได เพราะเหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสวา อนฺญสรณา ไมมีสิ่งอืน ่ เปนสรณะ ถามวา ก็ในทีน ่ ี้ อะไรชื่อวาตน ? ตอบวา ธรรมที่เปนโลกิยะและเปนโลกุตตระ (ชื่อวาตน). ดวยเหตุนน ั้ นัน ่ แล พระองคจงึ ตรัสวา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนฺญสรณา มีธรรมเปนเกาะ มีธรรมเปนสรณะ ไมมีสิ่งอื่นเปนสรณะ
-3-
เลม 30 หนา 444 ...ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึง่ ในบัดนีก ้ ็ดี ในกาลที่ลวงไปแลวก็ดี จักเปนผูมต ี นเปนเกาะ มีตนเปนทีพ ่ ึ่ง ไมมีสิ่งอืน ่ เปนที่พงึ่ คือ มีธรรมเปนเกาะ มีธรรมเปนที่พงึ่ ไมมีสิ่งอืน ่ เปนที่พงึ่ อยู ภิกษุเหลานี้นน ั้ เปนผูใ ครตอการศึกษา จักเปนผูเ ลิศ.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระพุทธรูปที่ทํากันเกรออยูตอนนี้ พระพุทธเจาไมเคยบัญญัติ – ไมเคยกลาว – ไมเคยแสดง วาใหชาวพุทธพากันทําขึน ้ มาได แลวชาวพุทธจะทํากันไปทําไม ? แลวชาวพุทธจะกราบไหวกันไปทําไม ?
แลวชาวพุทธจะเคารพไปเพื่ออะไร?
เลม 32
หนา 176
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดง สิ่งที่เปนธรรม วา เปนอธรรม.... ภิกษุพวกที่แสดง สิ่งที่มใิ ชวินย ั วา เปนวินัย… ภิกษุพวกที่แสดง วินัย วา มิใชวินัย… ภิกษุพวกที่แสดง คําพูดอันตถาคตมิไดภาษิตไว - มิไดกลาวไว วา เปนคําพูดที่ตถาคตภาษิตไว – กลาวไว… ภิกษุพวกที่แสดง ภิกษุพวกที่แสดง ภิกษุพวกที่แสดง ภิกษุพวกที่แสดง
คําพูดอันตถาคตไดภาษิตไว - กลาวไว วา เปนคําพูดที่ตถาคต มิไดภาษิตไว – มิไดกลาวไว … กรรมอันตถาคตมิไดสั่งสม วา ตถาคตสัง่ สม…. กรรมอันตถาคตไดสั่งสมไว วา ตถาคตมิไดสั่งสมไว …. สิ่งอันตถาคตบัญญัติไว วา ตถาคตมิไดบญ ั ญัติไว….
ภิกษุเหลานั้น ชื่อวา เปนผูปฏิบัตเิ พือ ่ ไมเปนประโยชนเกือ ้ กูล ไมเปนความสุขแกชนเปน อันมาก เพื่ออนัตถะเพื่อมิใชประโยชนเกื้อกูลชนเปนอันมาก เพือ ่ ทุกขแกเทวดาและ มนุษยทั้งหลาย ทั้งยอมประสบบาปมิใชบญ ุ เปนอันมาก และยอมยังสัทธรรมนีใ้ ห อันตรธาน….
รูปรางทั้งหลายพระพุทธเจาติเตียนนัก รวมทั้งพระพุทธรูปในปจจุบัน นี้ดวย เลม 33 หนา 468 ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษผูเ ขลา ไมเฉียบแหลม ประกอบดวยธรรม ๒ ประการ ยอมบริหารตนใหถูกกําจัด ใหถูกทําลาย เขายอมเปนไปกับดวยโทษ ถูกผูรูติเตียน ทั้งไดประสบบาปเปนอันมากอีกดวยธรรม ๒ ประการเปนไฉน คือ ไมพิจารณาไตรตรองแลว เกิดความเลื่อมใสในฐานะอันไมเปนที่ตั้งแหงความ เลื่อมใส ๑ ไมพิจารณาไตรตรองแลว เกิดความไมเลื่อมใสในฐานะอันเปนที่ตั้งแหงความ เลื่อมใส ๑ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษผูเขลา ไมเฉียบแหลม ประกอบดวยธรรม ๒ ประการนี้แล ยอมบริหารตนใหถูกกําจัด ถูกทําลาย เขายอมเปนไปกับดวยโทษ ถูกผูรูติเตียน ทั้งไดประสบบาปเปนอันมากอีกดวย…. *** แลวผูท ี่เรียกตัวเองวาชาวพุทธแตไปเลื่อมใสพระพุทธรูปทัง้ หลายนัน ่ ละจะวาไงดี ? ไดบุญหรือไดบาป ?
-4-
คําวา
สรณะ แปลวา ที่พง ึ่ ที่พงึ่ ที่สามารถทําความกลัว – ความสะดุง – ความทุกข – ทุคติ – ความเศรา หมองทุกดาน ใหพินาศ – ยอยยับ – สลายไป ดวยการเขาถึงสรณะนั้น คําวา สรณะ นี้เปนชื่อของพระรัตนตรัยนัน ่ เอง. ทีนี้พระพุทธรูปตองไมสามารถที่จะกําจัดความทุกข - ความสะดุง - ความเศราหมอง ใหใครไดอยางถูกตองแนนอน พระพุทธรูปจึงไมใชพระรัตนตรัยโดยประการทัง้ ปวง สิ่งที่จะกําจัดในสิง่ ทีก ่ ลาวมาไดมอ ี ยูอ ยางเดียวคือ ธรรมของพระพุทธเจาเทานัน ้ ธรรมของพระพุทธเจาก็ไมใชวัตถุทงั้ หมดทัง้ สิ้น แตเปนคําสอนเทานั้น ตามเหตุผลที่อา นมาตามลําดับแลว อธิบายแบบนี้ถูกตองแลวใชไหม ทานทั้งหลาย ? (ตอบในใจ) เพราะฉะนั้น ใครทีก ่ ต ็ ามที่เคารพพระพุทธรูป เอาพระพุทธรูปเปนที่พงึ่ - เปนที่ระลึก เปนที่พก ั พิง ของใจ จึงขาดกันกับพระรัตนตรัยแนนอน เปนคนที่สรณะขาด ตอสัญญาณการระลึกกับพระรัตนตรัยไมติด เปนคนทีไ ่ มมีพระรัตนตรัยเปนที่พงึ่ จึงไมใชชาวพุทธที่แทจริง
ชาวพุทธที่สกปรก
เลม 36
หนา 373
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผูป ระกอบดวยธรรม 5 ประการ ยอมเปนอุบาสกผูเลวทราม เศราหมอง และนาเกลียด ธรรม 5 ประการเปนไฉน ? คือ 1. 2 3. 4. 5.
อุบาสกเปนผูไ มมีศรัทธา เปนผูท ุศีล เปนผูถือมงคลตื่นขาว เชื่อมงคลไมเชือ ่ กรรม แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้ ทําการสนับสนุนในศาสนานัน ้
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผูป ระกอบดวยธรรม ๕ ประการนี้แล เปนอุบาสกผูเ ลวทราม เศราหมอง และนาเกลียด. *** เปนผูไมมีศรัทธา คือ ไมเชื่อมัน ่ ในพุทธ – ธรรม – สงฆ อยางถูกตองไม เชื่อมั่นวาพระรัตนตรัยมีอยูจริงประกาศตนหรือปฏิญาณตนวานับถือพุทธะตามธรรมเนียม ประเพณีเฉย ๆ ไมรูเรือ ่ ง – ไมไดศึกษาใหเขาใจในคําสอนพุทธะ *** เชื่อมงคลตื่นขาว คือ ถือเอาตามความเห็นของคนสวนมากที่ไมรูจริงวาสิง่ นั้นดี – สิ่งนี้ดี เหรียญรุนนัน ้ ดี – เหรียญรุนนี้ดี หรือ ถือเอาวัตถุใดๆวาเปนมงคล หรือ เชื่อหมอดูทั้งหลาย หรือ กราบไหวบูชาเอาพระพุทธรูปเปนทีพ ่ งึ่ - เอาพระพุทธรูปเปน พระพุทธเจา เปนตน คําวา มงคล ตามหลักพุทธศาสนามีอยู 38 ประการ พุทธประกาศเอาไวแลว พระอรรถกถาจารยทานก็ไดอธิบายเพิ่มเติมเอาไวอยางละเอียดมาก อยูในเลม 39
-5-
เลม 31 หนา 384 ผูใดมีศรัทธาตัง้ มัน ่ ไมหวั่นไหว ในพระตถาคต มีศีลอันงาม ที่พระอริยเจาใครแลว สรรเสริญแลว มีความเลื่อมใสในพระสงฆ และมีความเห็นตรง บัณฑิตเรียกผูนั้นวา เปนคนไมขัดสน ชีวิตของเขาไมเปลาประโยชน เพราะฉะนั้น บุคคลผูม ีปญญา เมื่อระลึกถึงคําสอนของพระพุทธเจา พึงประกอบตามซึง่ ศรัทธา (ความเชือ ่ มั่น) ศีล ความเลื่อมใส และความเห็นธรรม.
คุณสมบัติของพระรัตนตรัย ที่พระพุทธรูปไมมี
เลม 33 หนา 327
ชื่อวา พุทธ เพราะกําจัดภัยของเหลาสัตว ดวยใหสิ่งที่เปนประโยชนเปนไป ใหออกจากสิง่ ทีไ ่ มเปนประโยชน หรืออีกอยางหนึง่ พระพุทธเจาชื่อวาเปนสรณะ เพราะกําจัดภัยของสัตวทงั้ หลายดวยการใหหันเขาหาประโยชน และใหหันเหออกจากสิ่งที่ไมเปนประโยชนเกื้อกูล ทรงเปนที่ดาํ เนินไปในเบื้องหนา ทรงเปนที่ยึดเหนีย ่ ว ทรงเปนผูทาํ ลายทุกข ชื่อวา ธรรม เพราะยกสัตวใหขา มจากกันดารคือภพ และเพราะทําความเบาใจ แกสัตวโลก ชื่อวา สงฆ เพราะทําสักการะแมมีประมาณนอย กลับไดผลไพบูลย. ฉะนัน ้
พระรัตนตรัยจึงเปนสรณะ
และเลม 39
โดยปริยายแมนี้
หนา 19
บัดนี้ จะกลาวอธิบายคําที่วาจะประกาศพระสรณตรัยนั้น ดวยขออุปมา (ขอเปรียบเทียบ) ทั้งหลาย ก็ในคํานั้น พระพุทธเจาเปรียบเหมือน พระจันทรเพ็ญ พระธรรมเปรียบเหมือนกลุม รัศมีของพระจันทร พระสงฆเปรียบเหมือน โลกที่เอิบอิ่มดวยรัศมีของพระจันทรเพ็ญที่ทําใหเกิดขึน ้ พระพุทธเจาเปรียบเหมือน ดวงอาทิตยทอแสงออน ๆ พระธรรมดังกลาวเปรียบเหมือน ขายรัศมีของดวงอาทิตยนั้น พระสงฆเปรียบเหมือน โลกทีด ่ วงอาทิตยนน ั้ กําจัดมืดแลว. พระพุทธเจาเปรียบ เหมือนคนเผาปา พระธรรมเครื่องเผาปาคือกิเลสเปรียบเหมือน ไฟเผาปา พระสงฆที่เปนบุญเขต เพราะเผากิเลสไดแลว เปรียบเหมือนภูมิภาคที่เปนเขตนา เพราะเผาปาเสียแลว. พระพุทธเจาเปรียบเหมือน เมฆฝนใหญ พระธรรมเปรียบเหมือน น้ําฝน พระสงฆผูระงับละอองกิเลสเปรียบเหมือน ชนบทที่ระงับละอองฝุน เพราะฝนตก. พระพุทธเจาเปรียบเหมือน สารถีที่ดี พระธรรมเปรียบเหมือน อุบายฝกมาอาชาไนย พระสงฆเปรียบเหมือน ฝูงมาอาชาไนยที่ฝก มาดีแลว.
-6-
พระพุทธเจาเปรียบเหมือน ศัลยแพทย [หมอผาตัด] เพราะทรงถอนลูกศร คือ ทิฏฐิไดหมด พระธรรมเปรียบเหมือน อุบายที่ถอนลูกศรออกได พระสงฆผูถอนลูกศรคือทิฏฐิออกแลว เปรียบเหมือน ชนที่ถก ู ถอนลูกศรออกแลว. อีกนัยหนึ่ง พระพุทธเจาเปรียบเหมือน จักษุแพทย เพราะทรงลอกพื้นชั้นโมหะ ออกไดแลว พระธรรมเปรียบเหมือน อุบายเครื่องลอกพื้น [ตา] พระสงฆผม ู ีพน ื้ ชั้นตาอันลอกแลว ผูมีดวงตาคือญาณอันสดใส เปรียบเหมือนชนที่ ลอกพื้นตาแลว มีดวงตาสดใส. อีกนัยหนึ่ง พระพุทธเจาเปรียบเหมือนแพทยผฉ ู ลาด เพราะทรงสามารถกําจัดพยาธิ คือ กิเลสพรอมทั้งอนุสัยออกได พระธรรมเปรียบเหมือน เภสัชยาทีท ่ รงปรุงถูกตองแลว พระสงฆผม ู ีพยาธิคอ ื กิเลสและอนุสัยอันระงับแลวเปรียบเหมือน หมูชนที่พยาธิ(ความเจ็บปวย) ระงับแลว เพราะการประกอบยา. อีกนัยหนึ่ง พระพุทธเจาเปรียบเหมือน ผูชี้ทาง พระธรรมเปรียบเหมือน ทางดี หรือ พื้นที่ที่ปลอดภัย พระสงฆเปรียบเหมือน ผูเดินทางถึงทีท ่ ี่ปลอดภัย พระพุทธเจาเปรียบเหมือน นายเรือที่ดี พระธรรมเปรียบเหมือน เรือ พระสงฆเปรียบเหมือน ชนผูเดินทางถึงฝง . พระพุทธเจาเปรียบเหมือน ปาหิมพานต พระธรรมเปรียบเหมือน โอสถยาที่เกิดแตปาหิมพานตนน ั้ พระสงฆเปรียบเหมือน ชนผูไมมโี รคเพราะใชยา. พระพุทธเจาเปรียบเหมือน ผูประทานทรัพย พระธรรมเปรียบเหมือน ทรัพย พระสงฆผไ ู ดอริยทรัพยมาโดยชอบเปรียบเหมือน ชนผูไดทรัพยตามที่ประสงค. พระพุทธเจาเปรียบเหมือน ผูชี้ขุมทรัพย พระธรรมเปรียบเหมือน ขุมทรัพย พระสงฆเปรียบเหมือน ชนผูไดขุมทรัพย. อีกนัยหนึ่ง พระพุทธเจาผูเปนวีรบุรุษเปรียบเหมือน ผูประทานความไมมีภัย พระธรรมเปรียบเหมือน ไมมีภย ั พระสงฆผล ู วงภัยทุกอยางเปรียบเหมือน ชนผูถึงความไมมีภย ั
-7-
พระพุทธเจาเปรียบเหมือน ผูปลอบ พระธรรมเปรียบเหมือน การปลอบ พระสงฆเปรียบเหมือน ชนผูถูกปลอบ พระพุทธเจาเปรียบเหมือน มิตรดี พระธรรมเปรียบเหมือน คําสอนที่เปนหิตประโยชน พระสงฆเปรียบเหมือนชน ผูประสบประโยชนตน เพราะประกอบหิตประโยชน (ประโยชนเกื้อกูล) พระพุทธเจาเปรียบเหมือน บอเกิดทรัพย พระธรรมเปรียบเหมือน ทรัพยทเี่ ปนสาระ พระสงฆเปรียบเหมือน ชนผูใชทรัพยที่เปนสาระ พระพุทธเจาเปรียบเหมือน ผูทรงสรงสนานพระราชกุมาร พระธรรมเปรียบเหมือน น้ําที่สนานตลอดพระเศียร พระสงฆผส ู รงสนานดีแลวดวยน้าํ คือพระสัทธรรม เปรียบเหมือน หมูพระราชกุมาร ที่สรงสนานดีแลว. พระพุทธเจาเปรียบเหมือน ชางผูทําเครื่องประดับ พระธรรมเปรียบเหมือน เครื่องประดับ พระสงฆผป ู ระดับดวยพระสัทธรรมเปรียบเหมือน หมูพระราชโอรสที่ทรงประดับแลว. พระพุทธเจาเปรียบเหมือน ตนจันทน พระธรรมเปรียบเหมือน กลิ่นอันเกิดแตตน จันทนนน ั้ พระสงฆผูระงับความเรารอนไดสน ิ้ เชิงเพราะอุปโภคใชพระสัทธรรมเปรียบ เหมือน ชนผูระงับความรอนเพราะใชจันทน พระพุทธเจาเปรียบเหมือน บิดามอบมฤดกโดยธรรม พระธรรมเปรียบเหมือน มฤดก พระสงฆผส ู ืบมฤดกดือพระสัทธรรม เปรียบเหมือน พวกบุตรผูสบ ื มฤดก. พระพุทธเจาเปรียบเหมือน ดอกปทุมทีบ ่ าน พระธรรมเปรียบเหมือน น้ําออยที่เกิดจากดอกปทุมที่บานนัน ้ พระสงฆเปรียบเหมือน หมูภมรที่ดด ู กินน้าํ ออยนัน ้ . พึงประกาศพระสรณตรัยนัน ้ ดวยขออุปมาทั้งหลายดังกลาวมาฉะนี้.
และเรียนรูเรื่องพระรัตนตรัยตออีก วัตถุทั้งหมดไมวารูปอะไรก็เปนอยางนี้แหละ...ไมมีขอยกเวน เลม 66 หนา 153 พระสมณะครั้นรูรูปอยางนี้แลวจึงพิจารณารูป คือ พิจารณาโดยความเปนของไมเทีย ่ ง เปนทุกข เปนโรค เปนดังหัวฝ เปนดังลูกศร เปนของลําบาก เปนอาพาธ เปนอยางอื่น เปนของชํารุด เปนเสนียดเปนอุบาทว เปนภัย เปนอุปสรรค เปนของหวัน ่ ไหว เปนของแตกพัง เปนของไมยั่งยืน เปนของไมมท ี ี่ซอนเรน เปนของไมมท ี ี่พงึ่ เปนของวาง เปนของเปลา เปนของสูญ เปนอนัตตา เปนโทษ เปนของมีความแปรปรวนไปเปนธรรมดา
-8-
เปนของไมมีแกนสาร เปนมูลแหงความลําบาก เปนดังเพชฌฆาต เปนของปราศจากความเจริญ เปนของมีอาสวะ (เปนของหมักดอง) เปนของอันเหตุปจจัยปรุงแตง เปนเหยื่อแหงมาร เปนของมีชาติเปนธรรมดา เปนของมีชราเปนธรรมดา เปนของมีพยาธิ (ความเจ็บปวย) เปนธรรมดา เปนของมีมรณะเปนธรรมดา เปนของมีความโศก ความรําพัน ความเจ็บกาย ความ เจ็บใจและความแคนใจ เปนธรรมดา เปนของมีความเศราหมองเปนธรรมดา เปนเหตุเกิดแหงทุกข เปนของดับไป เปนของชวนใหหลงแชมชื่น เปนอาทีนพ (เปนของมีโทษ) เปนนิสสรณะ (เปนของตองพรากจากไป) *** แตก็ไมไดบังคับใครทุกคนใหตองเชื่อ - ตองถือตามหรอกนะ ใหพิจารณาเอาตามสติปญญาของแตละคนที่จะเอื้ออํานวยให ใครอยากจะถือพระพุทธรูปยึดติดอยูในรูปทั้งหลายวาเปนทีพ ่ ึ่งที่ระลึก ก็เอาตามที่ใจตองการก็แลวกัน หรือใครจะเลิกถือพระพุทธรูปเลิกยึดติดรูป ทั้งหลายวาเปนที่พง ึ่ วาเปนที่ระลึก ก็เอาตามที่ใจตองการก็แลวกันนะ -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เลม 24 หนา 401 รูปใด ๆ จะอยูในโลกนี้หรือโลกอื่นและจะอยูในอากาศ มีรัศมีรุงเรืองก็ตามที รูปทั้งหมดเหลานั้น อันมารสรรเสริญแลว วางดักสัตวไวแลว เหมือนเขาใสเหยื่อลอเพื่อฆาปลา ฉะนัน ้ .
บวงแหงมาร
เลม 28
หนา 192
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย รูปที่จะพึงรูแจงดวยจักษุ อันนาปรารถนา นาใคร นาพอใจ นารัก อาศัยความใคร ชวนใหกาํ หนัด มีอยูหากภิกษุเพลิดเพลิน สรรเสริญ หมกมุน พัวพันรูปนัน ้ ภิกษุนี้เรากลาววาไปสูทอ ี่ ยูข องมาร ตกอยูในอํานาจของมาร ถูกมารคลอง รัด มัดดวยบวง ภิกษุนน ั้ พึงถูกมารผูมบ ี าปใชบว งทําไดตามปรารถนา ฯลฯ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ธรรมารมณที่จะพึงรูแจงดวยใจ อันนาปรารถนา นาใคร นาพอใจ นารัก อาศัยความใครชวนใหกําหนัด มีอยู หากภิกษุเพลิดเพลิน หมกมุน พัวพันธรรมารมณนน ั้ ภิกษุนี้เรากลาววาไปสูทอ ี่ ยูข องมาร ตกอยูใ นอํานาจ ของมาร ถูกมารคลอง รัด มัดดวยบวง ภิกษุนั้นพึงถูกมารผูม บ ี าปใชบว งทําไดตาม ปรารถนา.
รักสิ่งใด...ตายแลวก็จะไปอยูกับสิ่งนั้น เลม 43 หนา 17 บรรทัดที่ 7 ...ลําดับนัน ้ พี่สาวของทานจัดแจงวัตถุมย ี าคูและภัตเปนตน เพื่อประโยชนแกภิกษุสามเณรผูทําจีวรของพระติสสะนั้น. ก็ในวันที่จวี รเสร็จ พี่สาวใหทําสักการะมากมาย. ทานแลดูจีวรแลว เกิดความเยือ ่ ใยในจีวรนัน ้ คิดวา "ในวันพรุงนี้ เราจักหมจีวรนั้น" แลวพับพาดไวที่สายระเดียง ในราตรีนน ั้ ไมสามารถใหอาหารที่ฉน ั แลวยอยไปได มรณภาพ (ตาย) แลว เกิดเปนเล็นที่จีวรนัน ้ นั่นเอง……
-9-
อาลัยสิ่งใด...ตายแลวไปเกิดอยูกับสิ่งนั้น เลม 51 หนา 107 บรรทัดที่20 …พระศาสดาตรัสวา ภัททชิ รัตนปราสาทที่เธอเคยอยูในเวลาที่เธอเปนพระราชามีนามวา มหาปนาทะอยู ตรงไหน ? พระภัททชิเถระกราบทูลวา จมอยูใ นที่นพ ี้ ระเจาขา. พระศาสดาตรัสวา ภัททชิ ถาเชนนัน ้ เธอจงตัดความสงสัยของเพื่อนสพรหมจารี ทั้งหลาย. ในขณะนัน ้ พระเถระ ถวายบังคมพระศาสดาแลว ไปดวยกําลังฤทธิ์ ยกยอดปราสาทขึ้นดวยหัวแมเทาแลวชะลอปราสาท สูง ๒๕ โยชน เหาะขึ้นบนอากาศ และเมื่อเหาะขึน ้ ได ๕๐ โยชน ก็ยกปราสาทขึน ้ พนจากน้ํา ลําดับนั้นญาติทั้งหลายในภพกอนของทาน เกิดเปนปลาเปนเตาและเปนกบ ดวยความโลภอันเนื่องอยูในปราสาท เมื่อปราสาทนัน ้ ถูกยกขึน ้ ก็หลนตกลงไปในน้าํ พระศาสดาเห็นสัตวเหลานัน ้ ตกลงไป จึงตรัสวา ภัททชิ ญาติทั้งหลายของเธอจะ ลําบาก. พระเถระจึงปลอยปราสาท ตามคําของพระศาสดา……….
*** หลวงพอเกษมบอกวา
พวกคนที่มีเครือ ่ งรางของขลังหรือวัตถุวิเศษใดๆก็ตาม และพวกคนเหลานี้มค ี วามรัก – อาลัย – ยึดถือ ในเครื่องรางของขลังหรือวัตถุวิเศษใดๆนั้นวาเปนที่พงึ่ เมื่อพวกคนเหลานีต ้ ายไปแลวก็เขาไปสถิตอยูในเครื่องรางของขลังหรือวัตถุวิเศษ เหลานัน ้ ก็มีมาก
ผูพอใจในรูปรางทั้งหลาย...ตองรู
เลม 28 หนา 357
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอาทิตตปริยายและธรรมปริยายแกเธอทั้งหลาย เธอทัง้ หลายจงฟง ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อาทิตตปริยายและธรรมปริยายเปนไฉน. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคลแทงจักขุนทรีย (หนวยตา) ดวยหลาวเหล็กอันรอนไฟติด ลุกโพลงแลว ยังดีกวา การถือนิมต ิ โดยอนุพยัญชนะในรูป อันจักขุวิญญาณพึงรูแจง จะดีอะไร วิญญาณอันตะกรามดวยความยินดีในนิมิต (เครื่องหมาย) หรือตะกรามดวย ความยินดีในอนุพยัญชนะ เมื่อตัง้ อยูกพ ็ ึงตัง้ อยูได ถาบุคคลพึงทํากาลกิริยา (ตาย) เสียในสมัยนัน ้ ไซร ขอทีบ ่ ุคคลจะพึงเขาถึงคติ (การไปเกิด) ๒ อยาง คือ นรกหรือกําเนิดสัตวเดียรฉานอยางใดอยางหนึ่ง ก็เปนฐานะที่จะมีได ดูกอนภิกษุทั้งหลายเราเห็นโทษอันนี้ จึงกลาวอยางนี้..... ***อนุพยัญชนะ หมายถึง แยกถือเอาเปนสวนๆ เชน มืองาม, เทางาม , คิ้วงาม ,หนางาม , เปนตน รูปนี้หมายรวมทั้ง พระพุทธรูปดวยนะ แมแตรูปรางของพระพุทธเจาตัวจริง ๆ เมือ ่ 2500 กวาปกอ น ก็ยงั อันตรายถาไปยึดเอาเปนที่พงึ่ เพราะฉะนั้นจึงไมจําเปนตองกลาวถึงพระพุทธรูปทัง้ หลายหรือวัตถุทั้งหลายเลย
- 10 -
ชะตากรรมในโลกหนาของผูไมมีพระรัตนตรัย...เปนที่พึ่ง เลม 18 หนา 28 บทวา โย สตฺถริ ปสาโท โส น สมฺมคฺคโต ความวา ก็ศาสดา (ผูสงั่ สอน) ในศาสนาทีไ ่ มเปนเครือ ่ งนําสัตวออกจากทุกข (ที่ไมใช พระพุทธเจา) ทํากาละ (ตาย) แลวเปนสีหะ (สิงโต)บาง เสือโครงบาง เสือเหลืองบาง หมีบาง เสือดาวบาง. สวนสาวกทัง้ หลายของศาสดานั้น เปนเนื้อบาง สุกร(หมู) บาง กระตายบาง. มันไมทาํ ความอดทน หรือความหวังดี หรือความเอ็นดูวา สัตวเหลานี้ เคยเปนอุปฏ ฐาก ผูใหปจจัย (เครือ ่ งดํารงชีวิต) แกเรา ฆาสัตวเหลานัน ้ แลว ดูดเลือด บาง กินเนื้อสันทัง้ หลายบาง. ก็อก ี ประการหนึง่ ศาสดาเกิดเปนแมว. สาวกทัง้ หลายเปนไกหรือหนู. ลําดับนัน ้ แมวก็ จะไมทําความอนุเคราะห ยอมกินไกหรือหนูเหลานั้นโดยนัยกลาวแลวนั้นเทียว. อนึง่ ศาสดาเปนนายนิรยบาล สาวกทั้งหลายเปนสัตวนรก. นายนิรยบาลนั้น จะไมทาํ ความอนุเคราะหวา สัตวเหลานี้ เคยใหปจจัยแกเรา ยอมทํากรรมกรณ (เครือ ่ งลง อาชญา) ตางๆ ใสในรถที่รอนจัดบางใหขน ึ้ ภูเขาไฟบาง ทิ้งศีรษะลงในหมอโลหะบาง ประกอบดวยทุกขธรรมหลายอยางบาง. ก็หรือสาวกทั้งหลายตายไปเปนสัตวมีสีหะเปนตน. ศาสดาเปนสัตวอยางใดอยางหนึ่งมี เนื้อเปนตน. สัตวเหลานัน ้ ไมทําความอดทน หรือความหวังดี หรือความเอ็นดูในสัตว นั้นวา เราเคยอุปฏ ฐากสัตวนด ี้ วยปจจัยสี่ สัตวนเี้ คยเปนศาสดาของพวกเรา ดังนี้ ยอมใหถึงความพินาศ โดยนัยกลาวแลวนัน ้ เทียว. ในศาสนาทีไ ่ มเปนเครือ ่ งนําสัตวออกจากทุกขดวยประการฉะนี้ ความเลือ ่ มใสในศาสดา ใด ความเลื่อมใสนั้นไมไปแลวโดยชอบ แมไปสูก าละ (ตาย) อยางไรแลว จะพินาศ ในภายหลังนั้นเทียว. บทวา โย ธมฺเม ปสาโท ความวา ก็ธรรมดาความเลื่อมใสในธรรม ในศาสนาที่ไมเปนเครื่องนําสัตวออกจากทุกข เปนความเลื่อมใสในตันติธรรม (ประเพณี) เพียงเรียน เลาเรียน ทรงไวและบอกแลว แตความพนจากวัฏฏะ (การเวียนวายตายเกิด) ไมมีในความเลือ ่ มใสนัน ้ เพราะฉะนั้น ความเลือ ่ มใสในธรรมนั้นใด ความเลื่อมใสนัน ้ รังแตจะทําวัฏฎะใหลึก บอย ๆ เพราะฉะนั้นเรากลาววาไมไปแลวโดยชอบ คือ ไมไปแลวโดยสภาวะ.
พึ่งพุทธ – ธรรม – สงฆ (อยางถูกตอง) ยอดเยี่ยมนัก เลม 42 หนา 346 มนุษยเปนอันมาก ถูกภัยคุกคามแลว ยอมถึงภูเขา ปา อาราม และรุกขเจดีย (ตนไม) วาเปนที่พงึ่ สรณะนัน ่ แลไมเกษม สรณะนั่นไมอุดม เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่น ยอมไมพน จากทุกขทงั้ ปวงได. สวนบุคคลใดถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ วาเปนที่พึ่ง ยอมเห็นอริยสัจ 4 (คือ) ทุกข เหตุใหเกิดทุกข ความกาวลวงทุกข และมรรคมีองค ๘ อันประเสริฐ ซึ่งยังสัตวใหถงึ ความสงบแหงทุกข ดวยปญญาชอบ สรณะนั่นแลของบุคคลนัน ้ เกษม สรณะนั่นอุดม เพราะบุคคลอาศัย สรณะนัน ่ ยอมพนจากทุกขทั้งปวงได
- 11 -
พึ่งพระพุทธ – ธรรม – สงฆ (อยางถูกตอง) ...นี้...ดีนัก เลม 29 หนา 119 ครั้งนัน ้ แล ทาวสักกะจอมเทพกับเทวดา ๘๔,๐๐๐ องค เขาไปหาทานพระมหาโมคคัลลานะถึงทีอ ่ ยู ไหวทา นพระมหาโมคคัลลานะแลว ไดไปประทับยืนอยู ณ ที่ควรสวนขางหนึง่ ครั้นแลว ทานพระมหาโมคคัลลานะไดพูดกะทาวสักกะจอมเทพวา ดูกอนจอมเทพ การถึงพระพุทธเจาเปนสรณะ (ที่พึ่ง) ดีนก ั เพราะเหตุแหงการถึง พระพุทธเจาเปนสรณะ สัตวบางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค การถึงพระธรรมเปนสรณะดีนัก….. การถึงพระสงฆเปนสรณะดีนก ั เพราะเหตุแหงการถึงพระสงฆเปนสรณะ สัตวบางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค ทาวสักกะจอมเทพตรัสวา ขาแตทานพระโมคคัลลานะผูนิรทุกข (ไมมีทก ุ ข) การถึงพระพุทธเจาเปนสรณะดีนัก เพราะเหตุแหงการถึงพระพุทธเจาเปนสรณะ สัตวบางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค การถึงพระธรรมเปนสรณะดีนัก... การถึงพระสงฆเปนสรณะดีนก ั เพราะเหตุแหงการถึงพระสงฆเปนสรณะ สัตวบางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค ครั้งนัน ้ แล ทาวสักกะจอมเทพกับเทวดา ๕๐๐ องค เขาไปหาทานพระมหาโมคคัลลานะถึงทีอ ่ ยู ไหวทานพระมหาโมคคัลลานะแลว ไดประทับยืนอยู ณ ทีค ่ วรสวนขางหนึ่ง ครั้นแลว ทานพระมหาโมคคัลลานะไดพูดกะทาวสักกะจอมเทพวา ดูกอนจอมเทพ การประกอบดวยความเลือ ่ มใสอันไมหวัน ่ ไหวในพระพุทธเจาวา แมเพราะเหตุนี้ ๆ พระผูมีพระภาคเจาพระองคนน ั้ เปนพระอรหันตตรัสรูเองโดยชอบ ถึงพรอมดวยวิชชา (ความรูแจง) และจรณะ (ความประพฤติ) เสด็จไปดีแลว ทรงรูแจงโลก เปนสารถีฝกบุรษ ุ ที่ควรฝก ไมมีผูอน ื่ ยิง่ กวา เปนศาสดาของเทวดาและ มนุษยทั้งหลาย เปนผูเบิกบานแลว เปนผูจ ําแนกธรรมดังนี้ ดีนัก เพราะเหตุแหงการประกอบดวยความเลื่อมใสอันไมหวัน ่ ไหวในพระพุทธเจา สัตวบางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค ดูกอนจอมเทพ การประกอบดวยความเลือ ่ มใสอันไมหวัน ่ ไหวในพระธรรมวา พระธรรมอันพระผูมีพระภาคเจาตรัสดีแลว อันผูไ ดบรรลุพึงเห็นเอง ไมประกอบดวยกาล ควรเรียกใหมาดู ควรนอมเขามา อันวิญูชน (ผูรูแจง) พึงรูเฉพาะตน ดังนี้ ดีนัก เพราะเหตุแหงการประกอบดวยความเลื่อมใสอันไมหวัน ่ ไหวในพระธรรม สัตวบางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค ดูกอนจอมเทพ การประกอบดวยความเลื่อมใสอันไมหวัน ่ ไหวในพระสงฆวา พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา เปนผูปฏิบต ั ิดีแลว ปฏิบต ั ิตรง ปฏิบัติเปน ธรรม ปฏิบัติชอบ คือ คูแหงบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี้ พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา เปนผูควรของคํานับ ควรของตอนรับ ควรของทําบุญ ควรทําอัญชลี (ประนมมือไหว) เปนนาบุญของโลก ไมมีนาบุญอืน ่ ยิ่ง กวา ดังนี้ ดีนัก เพราะเหตุแหงการประกอบดวยความเลือ ่ มใสอันไมหวัน ่ ไหวใน พระสงฆ สัตวบางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค
- 12 -
ดูกอนจอมเทพ การประกอบดวยศีลทีพ ่ ระอริยเจาใครแลว อันไมขาด ไมทะลุ ไมดา ง ไมพรอย เปนไทย วิญูชนสรรเสริญ อันตัณหา (ความทะยานอยาก) และทิฏฐิ (ความเห็น) ลูบคลําไมได เปนไปเพือ ่ สมาธิ ดีนัก เพราะเหตุแหงการประกอบดวยศีลทีพ ่ ระอริยเจาใครแลว สัตวบางพวกในโลกนีเ้ มื่อ แตกกายตายไป ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค….. ……..ทานพระมหาโมคคัลลานะไดพด ู กะทาวสักกะจอมเทพวา ดูกอนจอมเทพ การถึงพระพุทธเจาเปนสรณะดีนัก เพราะเหตุแหงการถึงพระพุทธเจาเปนสรณะ สัตวบางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไปยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค เขาเหลานัน ้ ยอมครอบงําเทวดาพวกอืน ่ ดวยฐานะ ๑๐ ประการ คือ ดวยอายุ วรรณะ (ผิวพรรณ) สุข ยศ ความเปนใหญ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัส) อันเปนพิพย ดูกอนจอมเทพ การถึงพระธรรมเปนสรณะดีนัก เพราะเหตุแหงการถึงพระธรรมเปนสรณะ สัตวบางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค เขาเหลานัน ้ ยอมครอบงําเทวดาพวกอืน ่ ดวยฐานะ ๑๐ ประการ คือ ดวยอายุ วรรณะ สุข ยศ ความเปนใหญ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเปนทิพย. การถึงพระสงฆเปน สรณะ ดีนก ั . เพราะเหตุแหงการถึงพระสงฆเปนสรณะ สัตวบางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค เขาเหลานัน ้ ยอมครอบงําเทวดาพวกอืน ่ ดวยฐานะ ๑๐ ประการ คือ ดวยอายุ วรรณะ สุข ยศ ความเปนใหญ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเปนทิพย…….. รูเรื่องการสวดมนตที่ถูกตอง = อาน ผูชอบสวดมนตหามพลาด เรื่องเครื่องรางของขลัง = อาน เรือ ่ งเครื่องรางของขลังกับวัดสามแยก รูเรื่องพระธาตุ = อาน รูเรื่องพระธาตุเปนของกลาง -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อันตรายของน้ํามนต
เลม 39
หนา 227
...ดังนัน ้ ในวันทีพ ่ ระผูมีพระภาคเจาเสด็จถึงกรุงเวสาลีนั่นเอง รัตนสูตร นี้ทพ ี่ ระผูมีพระ ภาคเจาตรัสใกล ประตูกรุงเวสาลี เพื่อกําจัดอุปท วะ (ความอุบาทว) เหลานัน ้ ทานพระ อานนทกเ็ รียนเอา เมื่อจะกลาวเพื่อเปนปริตร [ปองกัน] จึงเอาบาตรของพระผูมีพระ ภาคเจาตักน้าํ มา เดินประพรมไปทั่วพระนคร. พอพระเถระกลาววา ยงฺกิฺจิ เทานัน ้ พวกอมนุษยทอ ี่ าศัยกองขยะและที่ฝาเรือนเปนตน ซึ่งยังไมหนีไปในตอนแรก ก็พากันหนีไปทางประตูทั้ง 4 ประตูทั้งหลาย ก็ไมมท ี ี่วางอมนุษยบางพวก เมื่อไมไดทวี่ างทีป ่ ระตูทั้งหลาย ก็ทลายกําแพงเมือง หนีไป......
- 13 -
เลม 56 หนา 303 "ผูใดไมถือมงคลตืน ่ ขาว ไมถืออุกกาบาต ไมถือความฝน ไมถอ ื ลักษณะดีหรือชั่ว ผูนน ั้ ชื่อวาลวงพนโทษแหงการถือมงคลตืน ่ ขาว ครอบงํากิเลสเครื่องประกอบสัตว ไวในภพ ที่เปนคูกน ั้ ยอมไมกลับมาเกิดอีก"
พระอรรถกถาจารยอธิบายเพิ่มเติมความวา ไดยน ิ วา พราหมณชาวพระนครราชคฤหผห ู นึ่ง เปนผูถอ ื มงคลตื่นขาว ไมเลื่อมใสใน พระรัตนตรัย เปนมิจฉาทิฏฐิ (มีความเห็นผิด) มั่งคัง่ มีทรัพยมาก มีโภคะมาก. หนูกัดคูแหงผาสาฎกที่เขาเก็บไวในหีบ ครั้นถึงเวลาที่เขาสนานเกลา (สระผม) จงนําผาสาฎก (ผาหม) มา คนทั้งหลายจึงบอกการที่หนูกัดผาแกเขา เขาคิดวาดวยผาสาฎกทั้งคูท ี่หนูกัดนี้ จักคงมีในเรือนนี้ละก็ ความพินาศอยางใหญ หลวงจักมี เพราะผาคูนเี้ ปนอวมงคล (ความไมเจริญ) เชนกับตัวกาฬกรรณี (ความ จัญไร) ทั้งไมอาจใหแกบุตรธิดา หรือทาสกรรมกร เพราะความพินาศอยางใหญหลวงจักตองมีแกผูที่รบ ั ผานี้ไปทุกคน ตองใหทิ้งมันเสียที่ ปาชาผีดิบ แตไมกลาใหในมือพวกทาสเปนตน เพราะพวกนั้นนาจะเกิดโลภในผาคูน ี้ ถือเอาไปแลวถึงความพินาศไปตาม ๆ กันได เราจักใหลูกถือผาคูนน ั้ ไป เขาเรียกบุตรมาบอกเรือ ่ งราวนั้นแลว ใชไปดวยคําวา พอคุณ ถึงตัวเจาเองก็ตองไม เอามือจับมัน จงเอาทอนไมคอนไปทิ้งเสียที่ปาชาผีดบ ิ อาบน้าํ ดําเกลาแลวมาเถิด. แมพระบรมศาสดาเลา ในวันนั้น เวลาใกลรุง ทรงตรวจพวกเวไนยสัตว เห็นอุปนิสย ั แหงโสดาปตติผลของพอลูกคูนก ี้ ็เสด็จไปเหมือนพรานเนือ ้ ตามรอยเนื้อ ฉะนัน ้ ไดประทับยืน ณ ประตูปาชาผีดิบ ทรงเปลงพระพุทธรังษี 6 ประการอยู. แมมาณพ (หนุมนอย) รับคําบิดาแลว คอนผาคูนน ั้ ดวยปลายไมเทา เหมือนคอนงูเขียว เดินไปถึงประตูปา ชาผีดิบ. ลําดับนั้นพระศาสดารับสั่งกะเขาวา มาณพ เจาทําอะไร ? มาณพกราบทูลวา ขาแตพระโคดมผูเจริญ ผาคูน ี้ถูกหนูกัด เปนเชนเดียวกับตัวกาฬกรรณีเปรียบดวยยาพิษที่รายแรง บิดาของขาพระองคเกรงวา เมื่อผูท ิ้งมันเปนคนอื่น นาจะเกิดความโลภขึน ้ ถือเอาเสีย จึงใชขาพระองค ขาแตพระโคดมผูเจริญ ขาพเจาเองก็มาดวยหวังวาจักทิง้ มันเสีย. พระศาสดาตรัสวา ถาเชนนั้น ก็จงทิ้งเถิด. มาณพจึงทิ้งเสีย พระศาสดาตรัสวา คราวนี้สมควรแกเราตถาคตดังนี้แลว ทรงถือเอาตอหนามาณพนัน ้ ทีเดียว ทั้ง ๆ ที่มาณพนั้นหามอยูวา ขาแตพระโคดมผูเจริญ นั่นเปนอวมงคลเหมือนตัวกาฬกรรณี อยาจับ อยาจับเลย พระศาสดาก็ทรงถือเอาผาคูน น ั้ เสด็จผันพระพักตรมุงหนาตรงไปพระเวฬุวัน....
ฤกษงามยามดีในพุทธศาสนา
เลม 34
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สัตวเหลาใดประพฤติสุจริต ดวยกาย ดวยวาจา ในเวลาเชา เวลาเชานั้น ก็เปนเวลาดีของสัตวเหลานั้น สัตวเหลาใดประพฤติสุจริตดวยกาย ดวยวาจา ดวยใจ ในเวลากลางวัน เวลากลางวันนั้น ก็เปนเวลาดีของสัตวเหลานัน ้
หนา 591 ดวยใจ
- 14 -
สัตวเหลาใดพระพฤติสุจริตดวยกายดวยวาจา ดวยใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นนัน ้ ก็เปนเวลาดีของสัตวเหลานัน ้ . กายกรรม (การกระทําทางกาย) วาจากรรม (การกระทําทางวาจา) มโนกรรม (การ กระทําทางใจ) ความปรารถนาของทาน เปนประทักษิณ (ความเจริญ) เปนฤกษดี มงคลดี แจงดี รุงดี ขณะดี ครูดี และเปนการบูชาอยางดีใน พรหมจารีทงั้ หลาย คนทํากรรมอันเปน ประทักษิณแลว ยอมไดประโยชนอันเปนประทักษิณ (ความเจริญ) ทานทัง้ หลาย จงเปนผูมป ี ระโยชนอน ั ไดแลว ถึงซึ่งความสุข งอกงามใน พระพุทธศาสนา เปนผูหาโรคมิได สําราญกายใจ พรอมดวยญาติทงั้ ปวง เทอญ.
เลม 56 หนา 49 " ประโยชนไดลวงเลยคนโงเขลา ผูมัวคอยฤกษอยู ประโยชนเปนฤกษของประโยชน ดวงดาวจักทําอะไรได." ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ออกจากการบวงสรวงที่ผิด...สูการบูชาที่ถูกตอง เลม 25
หนา 137
......ก็ในวันนัน ้ มีพลีกรรม (บวงสรวง) เพื่อภูต (อมนุษย )ในเรือนนัน ้ . ทุกเรือนทาสีเขียว มีขาวตอกเกลื่อนกลาด. แวดลอมดวยทรัพยและดอกไม ยกธงชัย ธงปฏากขึน ้ ตัง้ หมอ น้ํามีน้ําเต็มไวในทีน ่ ั้น ๆ จุดประทีปสวาง ประดับดวยผงของหอมและดอกไมเปนตน. ไดมีแวนเวียนเทียนถือสงตอกันไปโดยรอบ. นางพราหมณีแมนน ั้ ลุกขึน ้ แตเชาตรู อาบน้าํ หอม 16 หมอ ตกแตงรางกายดวย เครื่องประดับพรอมสรรพ. สมัยนั้น นางใหพระมหาขีณาสพ (พระอรหันต) นัง่ แลว มิไดถวายแมเพียงขาวยาคูกระบวยหนึง่ คิดวา เราจักใหมหาพรหมบริโภค จึงบรรจุ ขาวปายาสเต็มถาดทอง ปรุงดวยเนยใสน้ําผึ้งและน้าํ ตาลกรวดเปนตน ที่หลังบานมี พื้นทีท ่ ี่ประดับดวยของทาสีเขียวเปนตน นางถือถาดนัน ้ ไปทีน ่ น ั้ วางกอนขาวปายาส ตรงที่ 4 มุมและตรงกลางแหงละกอน ถือไปกอนหนึ่ง มีเนยใสไหลลงถึงขอศอก คุกเขาบนแผนดิน กลาวเชิญพรหมใหบริโภควา ขอทานมหาพรหมจงบริโภค ขอทานมหาพรหมจงนําไป ขอมหาพรหมจงอิ่มหนํา ดังนี้. บทวา เอตทโหสิ ความวา ความคิดนี้ไดมีแกทา วสหัมบดีพรหมผูสูดกลิน ่ ศีลของพระ มหาขีณาสพ ซึ่งทวมเทวโลกฟุง ไปถึงพรหมโลก. บทวาสํเวเชยฺยํ ไดแกพงึ ตักเตือน คือพึงใหประกอบในสัมมาปฏิบัติ (ปฏิบัตใิ หถูกตอง). อธิบายวาจริงอยู นางพราหมณีนน ั้ ใหพระมหาขีณาสพผูเปนอัครทักขิไณยบุคคล (ผูสมควรแกของทําบุญอันยอดเยี่ยม) เห็นปานนี้ ใหนั่งแลว มิไดถวายอาหารแมเพียง ขาวยาคูกระบวยหนึง่ คิดวา เราจักใหมหาพรหมบริโภค ดุจทิง้ ตาชั่งเสียแลวใชมือชัง่ ดุจทิ้งกลองเสียแลวประโคมทอง ดุจทิง้ ไฟเสียแลวเปาหิง่ หอย เที่ยวทําพลีแกภูต เราจักไปทําลายมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ของนาง ยกนางขึน ้ จากทางแหงอบาย (ไมสบาย) จะกระทําโดยวิธีใหนางหวานทรัพย 80 โกฏิ ( 1 โกฏิ = 10 ลาน ) ลงในพระพุทธศาสนาแลวขึน ้ สูทางสวรรค.
- 15 -
บทวา ทูเร อิโต ความวา ไกลจากทีน ่ ี้. จริงอยู กอนศิลาขนาดเทาเรือนยอดตกจากพรหมโลก วันหนึง่ คืนหนึง่ สิน ้ ระยะทาง 48,000 โยชน (1 โยชน = 16 ก.ม.) ใชเวลาถึง 4 เดือนโดยทํานองนี้ จึงตกถึงพื้นแผนดินโลก พรหมโลกชัน ้ ทีต ่ ่ํากวาเขาทั้งหมดอยูไ กลอยางนี้. บทวา ยสฺสาหุตึ ความวา โลกของพรหมทีน ่ างพราหมณีบูชาดวยกอนขาว
อยูไ กล.
ในบทวา พฺรหฺมปถํ นี้ มีวินิจฉัยดังตอไปนีท ้ าวมหาพรหมกลาววา ชื่อวาทางของพรหม ไดแกกุศลฌาน 4 สวนวิบาก (ผล) ของฌาน 4 ชื่อวาเปนทางชีวต ิ ของพรหมเหลานัน ้ เธอไมรูทางของพรหมนัน ้ กระซิบอยูท ําไม เพอเจออยูท ําไม จริงอยู พรหมทั้งหลาย ยอมยังอัตภาพ(ความเปนตัวตน) ใหเปนไป ดวยฌานที่มป ี ติ หาไดใสขา วสารแหงขาวสาลี และเคี้ยวกินน้ํานมที่เคี่ยวแลวไม ทานอยาลําบากเพราะสิ่งที่ไมใชเหตุเลย ครั้นกลาวอยางนี้แลว จึงประคองอัญชลี (ประนมมือ) แลวยอตัวเขาไปชี้พระเถระอีกกลาววา ดูกอนนางพราหมณี ก็ทา นพระ พรหมเทวะของทานนี้ ดังนี้เปนตน.........
รูจัก...การถือมงคลผิดๆ ของผูที่ไมรูจริงทั้งหลาย เลม 65 หนา 497 .......มีความวา สมณพราหมณบางพวก ปรารถนาความหมดจด ดวยการเห็นรูป สมณพราหมณเหลานัน ้ ยอมเชื่อถือการเห็นรูปบางอยางวา เปนมงคล ยอมเชื่อถือการ เห็นรูปบางอยางวา ไมเปนมงคล. สมณพราหมณเหลานัน ้ ยอมเชือ ่ ถือการเห็นรูปเหลาไหนวา เปนมงคล สมณพราหมณเหลานัน ้ ลุกขึ้นแตเชา ยอมเห็นรูปทัง้ หลายที่ถงึ เหตุเปนมงคลยิง่ คือ เห็นนกแอนลม เห็นผลมะตูมออนทีเ่ กิดขึน ้ โดยบุษยฤกษ เห็นหญิงมีครรภ เห็นคนทีใ่ ห เด็กหญิงขี่คอเดินไป เห็นหมอน้าํ เต็ม เห็นปลาตะเพียน เห็นมาอาชาไนย เห็นรถที่เทียมดวยมาอาชาไนย เห็นโคตัวผู เห็นแมโคดาง ยอมเชื่อถือการเห็นรูป เห็นปานนี้วา เปนมงคล. สมณพราหมณเหลานัน ้ ยอมซึง่ ถือการเห็นรูปเหลาไหนวา ไมเปนมงคล สมณพราหมณเหลานัน ้ เห็นกองฟาง เห็นหมอเปรียง เห็นหมอเปลา เห็นนักฟอน เห็นสมณะเปลือย เห็นลา เห็นยานทีเ่ ทียมดวยลา เห็นยานที่เทียมดวยพาหนะตัว เดียว เห็นคนตาบอด เห็นคนงอย เห็นคนกระจอก เห็นคนเปลี้ย เห็นคนแก เห็นคนเจ็บ เห็นคนตาย ยอมเชือ ่ ถือการเห็นรูปเห็นปานนี้วา ไมเปนมงคล พอควร สมณพราหมณเหลานัน ้ เปนผูปรารถนาความหมดจดดวยการเห็นรูป ยอมเชื่อถือ ความหมดจด ความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ ความพน ความพนวิเศษ ความพนรอบ ดวยการเห็นรูป. มีสมณพราหมณบางพวก ปรารถนาความหมดจด ดวยการไดยินเสียง สมณพราหมณ เหลานัน ้ ยอมเชื่อถือการไดยน ิ เสียงบางอยางวา เปนมงคล ยอมเชื่อถือการไดยน ิ เสียงบางอยางวา ไมเปนมงคล
- 16 -
สมณพราหมณเหลานัน ้ ยอมเชือ ่ ถือการไดยน ิ เสียงเหลาไหนวา เปนมงคล พอควร. สมณพราหมณเหลานัน ้ ลุกขึ้นแตเชา ยอมไดยินเสียงทัง้ หลายที่ถงึ เหตุเปนมงคลยิ่ง คือ ไดยน ิ เสียงวาเจริญ เสียงวาเจริญอยู เสียงวาเต็มแลว เสียงวาขาด เสียงวาไมเศราโศก เสียงวามีใจดี เสียงวาฤกษดี เสียงวามงคลดี เสียงวามีสิริ หรือเสียงวาเจริญดวยสิริ ยอมเชื่อถือการไดยินเสียงเห็นปานนีว้ า เปนมงคล. สมณพราหมณเหลานัน ้ ยอมเชื่อถือการไดยินเสียงเหลาไหนวา ไมเปนมงคล สมณพราหมณเหลานัน ้ ยอมไดยน ิ เสียงวาคนตาบอด เสียงวาคนงอย เสียงวาคนกระจอก เสียงวาคนเปลี้ย เสียงวาคนแก เสียงวาคนเจ็บ เสียงวาคนตาย เสียงวาถูกตัด เสียงวาถูกทําลาย เสียงวาไฟไหม เสียงวาของหาย หรือเสียงวาของไมมี ยอมเชือ ่ ถือการไดยน ิ เสียงเห็นปานนี้วา ไมเปนมงคล สมณพราหมณเหลานีน ้ ั้นเปนผูปรารถนาความหมดจดดวยการไดยน ิ เสียง ยอมเชือ ่ ถือความหมดจด ความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ ความพน ความพน วิเศษ ความพนรอบ ดวยการไดยน ิ เสียง. ้ มีสมณพราหมณบางพวก ปรารถนาความหมดจด ดวยศีล สมณพราหมณเหลานัน ยอมเชือ ่ ถือความหมดจด ความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ ความพน ความพน วิเศษ ความพนรอบ ดวยเหตุสก ั วาศีล เหตุสักวาความสํารวม เหตุสักวาความระวัง เหตุสักวาความไมละเมิดศีล ปริพาชกผูเปนบุตรนางปริพาชิกา ชื่อสมณมุณฑิกา. กลาวอยางนีว้ า ดูกอนชางไม เรายอมบัญญัติบุรุษบุคคลผูป ระกอบดวย ธรรม ๔ ประการนี้แล วาเปนผูมีกศ ุ ลถึงพรอมแลว มีกุศลเปนอยางยิ่ง เปนผูถงึ พระอรหัตอันอุดมที่ควรถึง เปนสมณะ เปนผูอ น ั ใคร ๆ ตอสูไมได ธรรม ๔ ประการเปนไฉน. ดูกอนชางไม บุรุษบุคคลในโลกนี้ ยอมไมทําบาปกรรมดวยกาย ๑ ยอมไมกลาววาจาอันลามก ๑ ยอมไมดาํ ริถึงเหตุที่พึงดําริอันลามก ๑ ยอมไมอาศัยอาชีพอันลามกเปนอยู ๑ ดูกอนชางไม เรายอมบัญญัติบุรุษผูประกอบดวยธรรม ๔ ประการนี้แล วาเปนผูมีกุศลถึงพรอมแลว มีกุศลเปนอยางยิง่ เปนผูถึงพระอรหัตอันอุดมทีค ่ วรถึง เปนสมณะ เปนผูอ น ั ใครๆ ตอสูไมได สมณพราหมณบางพวก ปรารถนาความหมดจดดวยศีล สมณพราหมณเหลานัน ้ ยอมเชื่อถือความหมดจดความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ ความพน ความพนวิเศษ ความพนรอบ ดวยเหตุสก ั วาศีล เหตุสักวาความสํารวม เหตุสักวาความระวัง เหตุสักวาความไมละเมิดศีล อยางนี้แล. ้ มีสมณพราหมณบางพวก ปรารถนาความหมดจด ดวยวัตร สมณพราหมณเหลานัน เปนผูประพฤติหัตถีวต ั รบาง ประพฤติอัสสวัตรบาง ประพฤติโควัตรบาง ประพฤติกก ุ กุรวัตรบาง ประพฤติกากวัตรบาง ประพฤติวาสุเทววัตรบาง ประพฤติพลเทววัตรบาง ประพฤติปณ ุ ณภัตรวัตรบาง ประพฤติมณีภัตรวัตรขาง ประพฤติอัคคิวัตรบาง ประพฤตินาควัตรบาง ประพฤติสุปณ ณวัตรบาง ประพฤติยก ั ขวัตรบาง ประพฤติอสุรวัตรบาง ประพฤติคันธัพพวัตรบาง
- 17 -
ประพฤติมหาราชวัตรบาง ประพฤติจันทวัตรบาง ประพฤติสุริยวัตรบาง ประพฤติอน ิ ทวัตรบาง ประพฤติพรหมวัตรบาง ประพฤติเทววัตรบาง ประพฤติทิสวัตรบาง สมณพราหมณเหลานัน ้ ปรารถนาความหมดจดดวยวัตร ยอมเชือ ่ ถือความหมดจด ความหมดจดรอบ ความพน ความพนวิเศษ ความพนรอบ ดวยวัตร. มีสมณพราหมณบางพวก ปรารถนาความหมดจด ดวยอารมณที่ทราบ มีพราหมณเหลานัน ้ ลุกขึน ้ แตเชา ยอมจับตองแผนดิน จับตองของสดเขียว จับตองโค มัยจับตองเตา เหยียบขาย จับตองเกวียนบรรทุกงา เคี้ยวกินงาสีขาว ทาน้ํามันงาสีขาว เคี้ยวไมสฟ ี น ขาว อาบน้ําดวยดินสอพอง นุงขาวโพกผาโพกสีขาว สมณพราหมณเหลานัน ้ ปรารถนาความ หมดจดดวยอารมณที่ทราบ ยอมเชือ ่ ถือ ความหมดจด ความหมดจดวิเศษความหมดจดรอบ ความพน ความพน วิเศษ ความพนรอบ ดวยอารมณที่ทราบ……. พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา สมณพราหมณเหลานัน ้ ละตน อาศัยหลัง ไปตามความแสวงหา ยอมไมขามกิเลส เครื่องเกีย ่ วของได สมณพราหมณเหลานัน ้ ยอมจับถือ หนา ฉะนัน ้ ……..
ยอมละ เหมือนลิงจับ และ ละกิ่งไมเบื้อง
คําวา ไปตามความแสวงหา คือ ไปตาม ไปตามแลว ตกไปตามความแสวงหา อันความแสวงหาครอบงําแลว ควบคุมแลว.
แลนไปตาม ถึงแลว มีจิตอันความแสวงหา
คําวา ยอมไมขามกิเลสเครื่องเกี่ยวของได คือ ยอมไมขาม ไมขามขึ้น ไมขา มพน ไมกาวพน ไมกา วลวง ไมลวงเลย ซึ่งกิเลสเครื่องเกีย ่ วของ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ทุจริต เพราะฉะนัน ้ จึงชื่อวา สมณพราหมณเหลานั้นไปตาม ความแสวงหา ยอมไมขามกิเลสเครื่องเกีย ่ วของได. คําวา สมณพราหมณเหลานัน ้ ยอมจับถือ ยอมละ มีความวา สมณพราหมณเหลานั้น ยอมถือศาสดา ละศาสดานัน ้ แลวยอมถือศาสดาอืน ่ ยอมถือธรรมที่ศาสดาอื่นบอก ละธรรมที่ศาสดาบอกนัน ้ แลว ยอมถือธรรมที่ศาสดาอื่นบอก ยอมถือหมูค ณะ ละหมูคณะนัน ้ แลว ยอมถือหมูค ณะอืน ่ ยอมถือทิฏฐิ ละทิฏฐินั้นแลวถือทิฏฐิอื่น ยอมถือปฏิปทา ละปฏิปทานั้นแลว ถือปฏิปทาอืน ่ ยอมถือมรรค ละมรรคนั้นแลว ถือมรรคอื่น ยอมถือและปลอย คือ ยอมยึดถือและยอมละ. เพราะฉะนั้นจึงชื่อวา สมณพราหมณเหลานั้น ยอมจับถือ ยอมละ.
- 18 -
คําวา เหมือนลิงจับและละกิ่งไมเบือ ้ งหนา ฉะนั้น มีความวา สมณพราหมณเปนอันมาก ยอมจับถือและปลอย คือยอมยึดถือและ สละทิฏฐิเปนอันมาก เหมือนลิงเทีย ่ วไปในปาใหญ ยอมจับกิ่งไม ละกิ่งไมนน ั้ แลว จับกิง่ อืน ่ ละกิ่งอืน ่ นั้นแลวจับกิ่งอื่น ฉะนัน ้ เพราะฉะนัน ้ จึงชื่อวา เหมือนลิงจับและละ กิ่งไมเบือ ้ งหนา ฉะนัน ้ ….. พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา ชันตุชนสมาทานวัตรทั้งหลายเอง เปนผูของในสัญญา ยอมดําเนินผิด ๆ ถูก ๆ สวนบุคคลผูม ีความรู รูธรรมดวยความรูทงั้ หลาย เปนผูมีปญ ญากวางขวางดุจ แผนดิน ยอมไมดําเนินผิด ๆ ถูก ๆ....... คําวา ชันตุชน ไดแก สัตว นรชน ฯลฯ มนุษย.
ความยอดเยี่ยมที่สุดของศาสนาพุทธ
เลม 36 หนา 609
ก็อนุสตานุตริยะเปนอยางไร ? (การระลึกถึงอยางยอดเยีย ่ ม) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ยอมระลึกถึงการไดบุตรบาง ภริยาบาง ทรัพยบาง หรือการไดมาก - นอย หรือระลึกถึงสมณะหรือพราหมณผูเห็นผิด ผูปฏิบัติผด ิ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย การระลึกนี้มอ ี ยู เราไมกลาววา ไมมี ก็แตวา การระลึกนีน ้ น ั้ เปนกิจเลว เปนของชาวบาน เปนของปุถช ุ น ไมประเสริฐ ไมประกอบดวย ประโยชน ไมเปนไปเพื่อความเบือ ่ หนาย เพื่อคลายกําหนัด เพื่อความดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรูย ิ่ง เพื่อตรัสรู เพื่อนิพพาน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สวนผูใ ดมีศรัทธาตัง้ มั่น มีความรักตัง้ มัน ่ มีศรัทธาไม ยอมระลึกถึงพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิง่ การระลึกถึงนีย ้ อดเยี่ยมกวาการระลึกถึงทัง้ หลาย ยอมเปนไปพรอมเพือ ่ ความบริสุทธิ์ แหงสัตวทั้งหลาย เพื่อกาวลวงความโศกและความร่าํ ไรเพื่อความดับสูญแหงทุกข และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพือ ่ ทําใหแจงซึ่งนิพพาน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ขอทีบ ่ ุคคลผูมศ ี รัทธาตั้งมัน ่ มีความรักตั้งมัน ่ มีศรัทธาไม หวั่นไหว มีความเลือ ่ มใสยิ่ง ยอมระลึกถึงพระตถาคตหรือสาวก ของพระตถาคต นี้เราเรียกวา อนุสตานุตริยะ (การระลึกถึงอยางยอดเยีย ่ ม) ก็ลาภานุตริยะเปนอยางไร ? (การไดลาภอยางยอดเยีย ่ ม) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ยอมไดลาภคือบุตรบาง ภรรยาบาง ทรัพยบาง หรือลาภมากบางนอยบาง หรือไดศรัทธาในสมณะหรือพราหมณผูเห็นผิด ผูปฏิบัติผด ิ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ลาภนี้มีอยู เราไมกลาววา ไมมี ก็แตวา ลาภนี้นน ั้ เปนของเลว เปนของชาวบาน เปนของปุถุชน ไมประเสริฐ ไมประกอบดวยประโยชน ไมเปนไปเพือ ่ ความเบือ ่ หนาย เพื่อคลายกําหนัด เพื่อความดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรูย ิ่ง เพื่อตรัสรู เพื่อนิพพาน
- 19 -
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สวนผูใ ดมีศรัทธาตัง้ มัน ่ มีความรักตั้งมัน ่ มีศรัทธาไมหวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิง่ ยอมไดศรัทธาในพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต การไดนย ี้ อดเยี่ยมกวาการไดทงั้ หลาย ยอมเปนไปพรอมเพือ ่ ความบริสท ุ ธิ์แหงสัตว ทั้งหลาย เพือ ่ กาวลวงความโศกและความร่ําไร เพือ ่ ความดับสูญแหงทุกขและ โทมนัส เพือ ่ บรรลุญายธรรม เพือ ่ ทําใหแจงซึ่งนิพพาน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ขอทีบ ่ ุคคลผูมศ ี รัทธาตั้งมัน ่ มีความรักตั้งมัน ่ มีศรัทธาไม หวั่นไหวมีความเลือ ่ มใสยิง่ ยอมไดศรัทธาในพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตนี้ เราเรียกวา ลาภานุตริยะ (การไดลาภอยางยอดเยี่ยม) ก็สิกขานุตริยะเปนอยางไร ? (การศึกษาที่ยอดเยีย ่ ม) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ยอมศึกษาศิลปะเกี่ยวกับชางบาง มาบาง รถบาง ธนูบา ง ดาบบาง หรือศึกษาศิลปะชั้นสูงชั้นต่ํา หรือยอมศึกษาตอสมณะ หรือพราหมณผูเห็นผิด ผูปฏิบต ั ิผด ิ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย การศึกษานี้มอ ี ยู เราไมกลาววา ไมมี ก็แตวาการศึกษานัน ้ เปนการศึกษาที่เลว เปนของชาวบาน เปนของปุถุชน ไมประเสริฐ ไมประกอบดวยประโยชน ไมเปนไปเพือ ่ ความเบือ ่ หนาย เพือ ่ คลายกําหนัด เพื่อความดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรูย ิ่ง เพื่อตรัสรู เพือ ่ นิพพาน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สวนผูใดมีศรัทธาตัง้ มั่น มีความรักตัง้ มัน ่ มีศรัทธาไม หวั่นไหว มีความเลือ ่ มใสยิ่ง ยอมศึกษาอธิศีลบาง อธิจิตบาง อธิปญญาบาง ในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแลว การศึกษานี้ยอดเยี่ยมกวาการศึกษาทั้งหลาย ยอมเปนไปพรอมเพื่อความบริสุทธิ์แหงสัตวทั้งหลาย เพือ ่ กาวลวงความโศกและความ ร่ําไร เพือ ่ ความดับสูญแหงทุกขและโทมนัส เพือ ่ บรรลุญายธรรม เพื่อทําใหแจงซึ่ง นิพพาน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ขอทีบ ่ ุคคลผูมศ ี รัทธาตั้งมัน ่ มีความรักตั่งมั่น มีศรัทธาไม หวั่นไหวมีความเลือ ่ มใสยิง่ ยอมศึกษาอธิศีลบาง อธิจิตบาง อธิปญญาบาง ในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแลวนี้ เราเรียกวา สิกขานุตริยะ. (การศึกษาทีย ่ อดเยี่ยม)
สาวกของพระพุทธเจาตองความคิด - การกระทําเหมือนเจามหานาม ศากยะนี้ เลม 31 หนา 332 ...ขาแตพระองคผูเจริญ ความบังเกิดแหงเหตุเฉพาะบางประการ (ขอที่ถกเถียงกัน)พึง บังเกิดขึ้นไดในธรรมวินัยนี้ คือ ฝายหนึง่ เปนพระผูมีพระภาคเจา (ตรัส) และ ฝายหนึ่งเปนภิกษุสงฆ (กลาว) ฝายใด พระผูมีพระภาคเจาตรัส หมอมฉันพึงเปน ฝายนั้น ขอพระผูมพ ี ระภาคเจาโปรดทรงจําหมอมฉันวาเปนผูเลือ ่ มใสอยางนี้. ...ฝายหนึ่งเปนพระผูมพ ี ระภาคเจา (ตรัส) และ ฝายหนึง่ เปนภิกษุสงฆและภิกษุณีสงฆ (กลาว) ฝายใด พระผูมีพระภาคเจาตรัส หมอมฉันเปนฝายนัน ้ ... ...ฝายหนึ่งเปนพระผูมพ ี ระภาคเจา (ตรัส) และ ฝายหนึง่ เปนภิกษุสงฆ ภิกษุณี สงฆ และอุบาสกทัง้ หลาย (กลาว) ฝายใด พระผูมีพระภาคเจาตรัส หมอมฉันเปน
- 20 -
ฝายนั้น... ...ฝายหนึ่งเปนพระผูมพ ี ระภาคเจา (ตรัส) และ ฝายหนึง่ เปนภิกษุสงฆ ภิกษุณี สงฆ อุบาสกทัง้ หลาย และอุบาสิกาทัง้ หลาย (กลาว) ฝายใด พระผูมีพระภาคเจา ตรัส หมอมฉันเปนฝายนัน ้ ... ...ขาแตพระองคผูเจริญ ความบังเกิดแหงเหตุเฉพาะบางประการ (ขอถกเถียงกัน) พึง บังเกิดขึ้นไดในธรรมวินัยนี้ คือ ฝายหนึ่งเปนพระผูมีพระภาคเจา (ตรัสไว) และฝาย หนึ่งเปนภิกษุสงฆ ภิกษุณีสงฆ อุบาสกทั้งหลายและอุบาสิกาทั้งหลาย โลกพรอม ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมูสัตวพรอมทั้งสมณพราหมณ เทวดาและมนุษย (กลาวไว) ฝายใดพระผูมีพระภาคเจาตรัส หมอมฉันพึงเปนฝายนัน ้ พระผูมพ ี ระภาค เจาโปรดทรงจําหมอมฉันวาเปนผูเลือ ่ มใสอยางนี… ้ ....บทวา ฝายหนึง่ เปนพระผูมีพระภาคเจา ฝายหนึง่ เปนภิกษุสงฆ ความวา เมื่อเหตุใดเกิดขึน ้ แลว พระผูมีพระภาคเจา ทรงมีลท ั ธิตางจากภิกษุ สงฆ ตรัสวาทะอยางหนึง่ แมอีกฝายหนึง่ ที่เปนภิกษุสงฆ ก็กลาววาทะอีกอยาง หนึ่ง … เพราะพระผูมีพระภาคเจาทรงเปนพระสัพพัญู ก็เจาศากยะนัน ้ ยอมมีความคิดอยางนีว้ า ภิกษุสงฆ แมไมรูกก ็ ลาว เพราะตนมิใช สัพพัญู สวนพระศาสดานั้นขึ้นชือ ่ วาสิ่งทีไ ่ มทรงทราบ ยอมไมมี เพราะเหตุนน ั้ จึงกลาวไวอยางนี้แล...
การทําความดีในศาสนาพุทธ หาไดอยางยากยิ่งนัก ทานทั้งหลายจึง ไมควรประมาทในการศึกษาศาสนา เลม 37 หนา 451 ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผูไมไดสดับ ยอมกลาววา โลกไดขณะจึงทํากิจ ๆ แตเขาไมรูขณะหรือมิใชขณะ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย กาลมิใชขณะมิใชสมัยในการอยู ประพฤติพรหมจรรย ๘ ประการนี้ ๘ ประการเปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัตข ิ ึ้นแลวในโลกนี้ เปนพระอรหันต ตรัสรูเองโดยชอบ ถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแลว ทรงรูแจงโลก เปนสารถีฝกบุรุษที่ควรฝก ไมมีผูอน ื่ ยิง่ กวา เปนศาสดาของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย เปนผูเบิกบานแลว เปนผูจําแนกธรรม และธรรมอันพระผูมพ ี ระภาคเจายอมทรงแสดง นําความสงบมาให เปนไปเพื่อปรินพ ิ พาน ใหถึงการตรัสรู อันพระสุคตเจาประกาศแลว แตบุคคลผูน ี้เขาถึง นรกเสีย ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย นี้มิใชขณะ มิใชสมัยในการอยูประพฤติพรหมจรรย ขอที่ ๑. อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัตข ิ ึ้นในโลก ฯลฯ เปนผูจ ําแนกธรรม และธรรมอันพระผู มีพระภาคเจายอมทรงแสดง... แตบุคคลผูน เี้ ขาถึงกําเนิดสัตวดิรัจฉานเสีย ดูกอนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใชขณะมิใชสมัยในการอยูประพฤติพรหมจรรยขอ ที่ ๒. อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แตบุคคลนี้เขาถึงปตติวิสัยแลว ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย นี้มิใชขณะ มิใชสมัยในการอยูประพฤติพรหมจรรยขอที่ ๓.
- 21 -
อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แตบุคคลนีเ้ ขาถึงเทพนิกายผูม ีอายุยน ื ชัน ้ ใดชัน ้ หนึง่ เสีย (หมายถึงพวกอสัญญีพรหม) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใชขณะ มิใชสมัยในการอยู ประพฤติพรหมจรรยขอ ที่ ๔. อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แตบุคคลนีก ้ ลับมาเกิดในปจจันตชนบทและอยูในพวกมิลก ั ขะ ไมรูดีรูชอบ อันเปนสถานทีไ ่ มมีภก ิ ษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปมา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใชขณะ มิใชสมัยในการอยูป ระพฤติพรหมจรรยขอที่ ๕. อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แตบุคคลนีก ้ ลับมาเกิดในมัชฌิมชนบทแตเขาเปนมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริตวา ทานที่ใหแลวไมมผ ี ล ยัญที่บูชาแลวไมมีผล การบวงสรวงไมมีผล ผลวิบากแหงกรรมดีกรรมชั่วไมมี โลกนีไ ้ มมี โลกหนาไมมี มารดาไมมี บิดาไมมี สัตวทงั้ หลายที่ผด ุ เกิดขึ้นไมมี สมณพราหมณผูปฏิบต ั ิดีปฏิบต ั ิชอบ กระทําใหแจงซึ่ง โลกนี้และโลกหนาดวยปญญาอันยิ่งเอง แลวสั่งสอนประชุมชนใหรูตาม ไมมีในโลก ดูกอนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใชขณะมิใชสมัยในการอยูประพฤติพรหมจรรยขอ ที่ ๖ อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แตบุคคลนีก ้ ลับมาเกิดในมัชฌิมชนบทแตเขามีปญญาทราม บาใบ ไมสามารถรูอรรถแหงสุภาษิตและทุพภาษิต (ไมสามารถรูเนื้อความแหงคําดี และคําชั่ว) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใชขณะ มิใชสมัยในการอยูประพฤติพรหมจรรย ขอที่ ๗. อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบต ั ิแลวในโลก เปนพระอรหันตตรัสรูเองโดยชอบ ถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแลวทรงรูแจงโลก เปนสารถีฝกบุรุษที่ควรฝก ไมมีผูอน ื่ ยิง่ กวา เปนศาสดาของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย เปนผูเบิกบานแลว เปนผูจําแนกธรรม ธรรมอันนําความสงบมาให เปนไปเพือ ่ ปรินิพพาน ใหถึงการตรัสรู อันพระสุคตเจาทรงประกาศแลว พระตถาคตมิไดแสดง (แกเขา) ถึงบุคคลผูนี้จะเกิดในมัชฌิมชนบทและมีปญ ญา ไมบาใบ ทั้งสามารถจะรูอรรถแหง สุภาษิตและทุพภาษิต ดูกอนภิกษุทั้งหลายนี้มใิ ชขณะ มิใชสมัยในการอยูป ระพฤติ พรหมจรรยขอ ที่ ๘ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย กาลอันมิใชขณะ มิใชสมัยในการอยู ประพฤติ พรหมจรรย ๘ ประการนี้แล. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สวนขณะและสมัยในการอยูประพฤติพรหมจรรย มีประการเดียว ประการเดียวเปนไฉน ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ตถาคตอุบต ั ิขน ึ้ แลวในโลกนี้ เปนพระ อรหันต ตรัสรูเองโดยชอบ ถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแลว ทรงรูแจงโลก เปนสารถีฝกบุรุษทีค ่ วรฝกไมมผ ี ูอน ื่ ยิง่ ไปกวา เปนศาสดาของเทวดาและมนุษย ทั้งหลาย เปนผูเบิกบานแลว เปนผูจําแนกธรรม และธรรมอันตถาคตทรง แสดง เปนธรรมนําความสงบมาให เปนไปเพื่อปรินพ ิ พาน ใหถึงการตรัสรู พระสุคตเจาทรงประกาศแลว และบุคคลนี้เกิดในมัชฌิมชนบท ทั้งมีปญญา ไมบาใบ สามารถเพื่อจะรูอรรถแหงสุภาษิตและทุพภาษิตได ดูกอนภิกษุทั้งหลายนีเ้ ปนขณะและสมัย ในการอยูประพฤติพรหมจรรยประการเดียว. ชนเหลาใด เกิดในมนุษยโลกแลว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศสัทธรรม ไมเขาถึงขณะ ชนเหลานั้นเชื่อวาลวงขณะ ชนเปนอันมาก กลาวเวลาที่เสียไปวา กระทําอันตรายแกตน พระตถาคตเจาเสด็จอุบัติขน ึ้ ในโลก ในกาลบางครั้งบางคราว การทีพ ่ ระตถาคตเจา เสด็จอุบัติขน ึ้ ในโลก ๑ การไดกาํ เนิดเปนมนุษย ๑ การแสดงสัทธรรม ๑ ที่จะพรอมกันเขาได หาไดยากในโลก
- 22 -
ชนผูใครประโยชน จึงควรพยายามในกาลดังกลาวมานั้น ที่ตนพอจะรูจะเขาใจสัทธรรมได ขณะอยาลวงเลยทานทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลทีป ่ ลอยเวลาใหลว งไปพากันยัดเยียดในนรก ก็ยอ มเศราโศก หากเขาจะไมสาํ เร็จอริยมรรค อันเปนธรรมตรงตอสัทธรรมในโลกนีไ ้ ด เขาผูม ีประโยชนอันลวงเสียแลว จักเดือดรอนสิน ้ กาลนาน เหมือนพอคาผูป ลอยให ประโยชนลวงไป เดือดรอนอยู ฉะนัน ้ คนผูถูกอวิชชาหุมหอไว พรากจากสัทธรรม จักเสวยแตสงสาร คือ ชาติและมรณะ สิ้นกาลนาน สวนชนเหลาใดไดอัตภาพเปน มนุษยแลว เมื่อพระตถาคตประกาศสัทธรรม ไดกระทําแลว จักกระทํา หรือ กระทําอยู ตามพระดํารัสของพระศาสดา ชนเหลานัน ้ ชื่อวาไดประสบขณะ คือ การประพฤติพรหมจรรยอันยอดเยีย ่ มในโลก ชนเหลาใดดําเนินไปตามมรรคา ที่พระตถาคตเจาทรงประกาศแลว สํารวมในศีลสังวรที่พระตถาคตเจา ผูมีจักษุเปน เผาพันธุแหงพระอาทิตย ทรงแสดงแลว คุมครองอินทรีย มีสติทุกเมื่อ ไมชุมดวยกิเลส ตัดอนุสย ั ทัง้ ปวงอันแลนไปตามกระแสบวงมาร ชนเหลานั้นแล บรรลุความสิน ้ อาสวะถึงฝง คือ นิพพานในโลกแลว.
เมื่อชาวพุทธเกิดความหวาดหวั่น
เลม 25
หนา 466
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เธอทัง้ หลายอยูใ นปาก็ดี อยูท ี่โคนไมก็ดี อยูในเรือนวางเปลาก็ดี พึงระลึกถึงพระสัมพุทธเจาเถิด ความกลัวไมพึงมีแกเธอทัง้ หลาย ถาวาเธอทัง้ หลายไมพึงระลึกถึงพระพุทธเจาผูเจริญที่สุดในโลก ผูองอาจกวานรชน ทีนน ั้ เธอทัง้ หลายพึงระลึกถึงพระธรรมอันนําออกจากทุกข อันพระพุทธเจาทรงแสดงดี แลว ถาเธอทั้งหลายไมพึงระลึกถึงพระธรรมอันนําออกจากทุกข อันพระพุทธเจาทรง แสดงดีแลว ทีนน ั้ เธอทัง้ หลายพึงระลึกถึงพระสงฆผูเปนบุญเขต ไมมีบุญเขตอื่นยิ่ง ไปกวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทัง้ หลายระลึกถึงพระพุทธเจา พระธรรม และพระสงฆ อยางนี้ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุง ก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี จักไมมีเลย.
วิธีถึงพุทธ – ธรรม – สงฆ วาเปนที่พึ่ง
เลม 11 หนา 485
โลกิยสรณคมนนี้นน ั้ จําแนกเปน 4 อยาง คือ 1. โดยมอบกายถวายชีวิต 2. โดยมีพระรัตนตรัยนัน ้ เปนเบื้องหนา 3. โดยมอบตัวเปนศิษย 4. โดยความนอบนอม ใน 4 อยางนัน ้ ที่ชอ ื่ วามอบกายถวายชีวต ิ ไดแกการสละตนแกพระพุทธเจาเปนตน อยางนี้วา ตั้งแตวน ั นีเ้ ปนตนไป ขาพเจาขอมอบตนแดพระพุทธเจา แดพระธรรม แดพระสงฆ. ที่ชื่อวามีพระรัตนตรัยนั้นเปนเบือ ้ งหนา ไดแกความเปนผูมพ ี ระรัตนตรัยเปนเบื้องหนา อยางนี้วา ตั้งแตวน ั นีเ้ ปนตนไป ขอทานทัง้ หลายโปรดทรงจําขาพเจาวา ขาพเจาเปนผูมีพระพุทธเจา มีพระธรรม และมีพระสงฆเปนทีไ ่ ปในเบือ ้ งหนา. ที่ชื่อวามอบตัวเปนศิษย ไดแกเขาถึงความเปนศิษยอยางนี้วา ตัง้ แตวันนี้เปนตนไป
- 23 -
ขอทานทัง้ หลายโปรดทรงจําขาพเจาวา ขาพเจาเปนอันเตวาสิก (ศิษย) ของ พระพุทธเจา ของพระธรรม ของพระสงฆ. ที่ชื่อวาความนอบนอม ไดแกการเคารพอยางยิง่ ในพระพุทธเจาเปนตนอยางนี้วา ตั้งแตวน ั นี้เปนตน ไป ขอทานทัง้ หลายโปรดทรงจําขาพเจาวา ขาพเจาจะกระทําการกราบไหว การลุกรับ อัญชลีกรรม (ประนมมือ) สามีจิกรรม (การกระทําที่สมควร) แดวัตถุทงั้ 3 มีพระพุทธเจาเปนตนเทานัน ้ . ก็เมื่อกระทําอาการ 4 อยางนี้แมอยางใดอยางหนึ่ง โดยแท.
ตัวอยางของผูถึงพระรัตนตรัยอยางแทจริง
ยอมเปนอันถือเอาสรณะแลว
เลม 11
หนา 493
พระเจาอชาตศัตรูถงึ สรณะดวยการมอบตนอยางนี้วา ชีวิตของขาพระองคยงั เปนไปอยูตราบใด ขอพระองคโปรดทรงจํา คือทรงทราบขาพระองคไวตราบนั้นเถิดวา เขาถึงแลว ไมมีผูอน ื่ เปนศาสดา ถึงสรณะเปนดวยสรณคมนทงั้ 3 เปนอุบาสก เปนกัปปยการก (ศิษยรับใช) ดวยวาแมหากจะมีใครเอาดาบคมกริบตัดศีรษะของขา พระองค ขาพระองคก็จะไมพงึ กลาวพระพุทธเจาวาไมใชพระพุทธเจา ไมพึงกลาวพระธรรมวา ไมใชพระธรรม ไมพึงกลาวพระสงฆวา ไมใชพระสงฆ ดังนี้
ผูถึงพระรัตนตรัยแบบหลอกๆ ยอมมีโทษแกตน เลม 11 หนา 489 ในสรณคมนทงั้ โลกิยะ (เนื่องในโลก) และโลกุตตระ (เหนือโลก) เหลานัน ้ สรณคมนที่เปนโลกิยะยอมเศราหมองดวยความไมรู ความสงสัยและความเขาใจผิดใน พระรัตนตรัย เปนตน ไมรุงเรืองมากมายไปได ไมแพรหลายใหญโตไปได สรณคมนที่เปนโลกุตตระไมมีความเศราหมอง อนึง่ สรณคมนที่เปนโลกิยะมี 2 ประเภท คือ 1. ที่มีโทษ 2. ทีไ ่ มมีโทษ ใน 2 อยางนัน ้ ที่มีโทษ ยอมมีไดดว ยเหตุเปนตนวา มอบตนในศาสดาอืน ่ เปนตน. (รวมถึงพวกที่มีวต ั ถุมงคลทัง้ หลายเปนที่พงึ่ ดวย และ ฯลฯ แตก็บอกวามีพระ รัตนตรัยเปนทีพ ่ ึ่ง) สรณคมนที่มโี ทษนั้นมีผลไมนาปรารถนา. สรณคมนที่ไมมโี ทษ ยอมมีดว ยกาลกิริยา(ตาย). สรณคมนที่ไมมโี ทษนัน ้ ไมมีผล เพราะไมเปนวิบาก (ผล). สวนสรณคมนที่เปนโลกุตตระไมมก ี ารแตกเลย. เพราะพระอริยสาวกไมอุทศ ิ ศาสดาอื่นแม ในระหวางภพ. พึงทราบความเศราหมอง และการแตกแหงสรณคมน ดวยประการฉะนี้.
- 24 -
ภิกษุปลุกเสกเลขยันต....ผิด
เลม 11 หนา 315
มหาศีล 1. ภิกษุเวนขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดดวยติรัจฉานวิชา (วิชาที่ขัดกับพระนิพพาน) เชนอยางที่สมณพราหมณผูเจริญบางจําพวก ฉันโภชนะ ( อาหาร ) ที่เขาใหดวยศรัทธา แลว ยังเลีย ้ งชีพโดยทางผิดดวยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมต ิ ( เครือ ่ งหมาย ) ทายฟาผา เปนตน ทํานายฝน ทํานายลักษณะ ทํานายหนูกด ั ผา ทําพิธบ ี ูชาไฟ ทําพิธเี บิกแวนเวียนเทียน ทําพิธีซัดแกลบบูชาไฟทําพิธีซัดรําบูชาไฟ ทําพิธีซัดขาวสารบูชาไฟ ทําพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทําพิธีเติมน้ํามันบูชาไฟ ทําพิธีเสก เปาบูชาไฟ ทําพลีกรรมดวยโลหิต เปนหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บาน ดูลักษณะทีน ่ า เปนหมอปลุกเสก เปนหมอผี เปนหมอลงเลขยันตคุมกันบานเรือน เปนหมองู เปนหมอยาพิษ เปนหมอแมลงปอง เปนหมอรักษาแผลหนูกัด เปนหมอทายเสียงนก เปนหมอทายเสียงกา เปนหมอทายอายุ เปนหมอเสกกันลูกศร เปนหมอทายเสียง สัตว แมขอนีก ้ ็เปนศีลของเธอประการหนึง่ ....... ....6. ภิกษุเวนขาดจากการเลีย ้ งชีพโดยทางผิดดวยติรัจฉานวิชา เชนอยางที่สมณ พราหมณผเู จริญบางจําพวก ฉันโภชนะที่เขาใหดวยศรัทธาแลว ยังเลีย ้ งชีพโดยทางผิด ดวยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ใหฤกษอาวาหมงคล ใหฤกษวิวาหมงคล ดูฤกษ เรียงหมอน ดูฤกษหยาราง ดูฤกษเก็บทรัพย ดูฤกษจายทรัพย ดูโชคดี ดูเคราะห ใหยาผดุงครรภ รายมนตใหลน ิ้ กระดาง รายมนตใหคางแข็ง รายมนตไหมอ ื สั่น รายมนตใหหูไมไดยน ิ เสียง เปนหมอทรงกระจก เปนหมอทรงหญิงสาว เปนหมอทรงเจา บวงสรวงพระอาทิตย บวงสรวงทาวมหาพรหม รายมนตพน ไฟ ทําพิธเี ชิญขวัญ แมขอ นีก ้ ็เปนศีลของเธอประการหนึง่ . 7. ภิกษุเวนขาดจากการเลีย ้ งชีพโดยทางผิดดวยติรัจฉานวิชา เชนอยางที่สมณ พราหมณผเู จริญบางจําพวก ฉันโภชนะที่เขาใหดวยศรัทธาแลว ยังเลีย ้ งชีพโดยทาง ผิดดวยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทําพิธบ ี นบาน ทําพิธแ ี กบน รายมนตขับผี สอนมนตปองกันบานเรือน ทํากะเทยใหกลับเปนชาย ทําชายใหกลายเปนกะเทย ทําพิธป ี ลูกเรือน ทําพิธีบวงสรวงพื้นที่ พนน้ํามนต รดน้ํามนต ทําพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสํารอก ปรุงยาถาย ปรุงยาถายโทษเบื้องบน ปรุงยาถายโทษเบือ ้ งลาง ปรุงยาแกปวดศีรษะ หุงน้ํามันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ปายยาตา ทําการผาตัด รักษาเด็ก ชะแผล แมขอนี้กเ็ ปนศีลของเธอ ประการหนึง่ ....
ผูที่ยินดีในความผิดผูอื่น...บาปมาก
เลม 70 หนา231 บรรทัด10
...ไดยน ิ วา ในอดีตกาล พระโพธิสัตวบงั เกิดเปนชาวประมง ในหมูบานชาวประมง วันหนึง่ พระโพธิสัตวนั้นกับพวกบุรุษชาวประมง ไปยังทีท ่ ี่ฆา ปลา เห็นปลาทัง้ หลายตาย ไดทําโสมนัส (ความดีใจ) ใหเกิดขึน ้ ในขอทีป ่ ลาตายนั้น แมบุรุษชาวประมงที่ไปดวยกัน ก็ทําความโสมนัสใหเกิดขึน ้ อยางนัน ้ เหมือนกัน ดวยอกุศลกรรม (บาปกรรม) นั้น พระโพธิสัตวไดเสวยทุกขในอบายทัง้ 4 (นรก – เปรต – อสุรกาย – สัตวเดรัจฉาน) ในอัตภาพ ( ความเปนตัวตน ) หลังสุดนี้ ไดบังเกิดขึ้นตระกูลศากยราช พรอมกับบุรุษ เหลานัน ้ แมจะไดบรรลุความเปนพระพุทธเจาโดยลําดับแลว ก็ยงั ไดเสวยความ เจ็บปวยที่ศีรษะดวยตนเอง และเจาศากยะเหลานัน ้ ถึงความพินาศกันหมดในสงคราม ของเจาวิฑฑ ู ภะ...
- 25 -
ประเพณีการเก็บกระดูกของบรรพบุรุษเชนพอ – แม ไว ไมมีประโยชน เลย เลม 38 หนา 347 ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ในทักษิณาชนบท มีธรรมเนียมการลางกระดูกแหงญาติผูตาย ในธรรมเนียมการลางกระดูกนั้น มีขาวบาง น้ําบาง ของขบเคีย ้ วบาง ของบริโภคบาง เครื่องลิ้มบาง เครื่องดื่มบาง การฟอนบาง เพลงขับบาง การประโคมบาง ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเนียมการลางนั้นมีอยู เรามิไดกลาววา ไมมี แตวาการลางนั้นแลเปนของเลว เปนของชาวบาน เปนของปุถุชน ไมเปนของพระอริยะ ไมประกอบดวยประโยชน...
บทวา โธวนํ ไดแก
ลางกระดูก.
จริงอยู ในชนบทนั้น ผูคนทัง้ หลาย เมื่อญาติตายก็ไมเผา แตขุดหลุมฝงดิน. ครั้นแลวจึงนํากระดูกที่ผุแลวของญาติเหลานัน ้ มาลาง แลวยกขึ้นวางเรียงกัน ตั้งบูชาดวยของหอม และดอกไมเปนตน เมื่อคราวนักขัตฤกษ (งานประเพณี) ก็นาํ กระดูกเหลานั้นมา แลวก็รองไหคร่ําครวญ ตอนัน ้ ก็เลนนักขัตฤกษกน ั .
เมื่อบรรพบุรุษเชนพอ – แม ตายไปแลว ทําอยางไรถึงจะมีประโยชน
เลม 39
หนา 277
...หวงน้าํ เต็มแลว ยอมยังสาครใหเต็ม ฉันใด ทานทีท ่ ายกใหไปจากมนุษยโลกนี้ ยอมสําเร็จผลแกฝงู เปรต (ผูที่ตายจากโลกนีไ ้ ปแลว) ฉันนั้นเหมือนกัน. บุคคลเมือ ่ ระลึกถึงกิจที่ทานทํามาแตกอ นวา ทานไดทาํ กิจแกเรา ไดใหแกเรา ไดเปน ญาติมิตรเปนเพื่อนของเราดังนี้ จึงควรใหทก ั ษิณา (นําสิ่งของทําบุญแลวอุทิศบุญอยาง ถูกตอง) แกฝูงเปรต (แกคนคุน เคยกันที่ตายไปแลว) การรองไห การเศราโศก หรือการพิไรรําพันอยางอืน ่ ๆ ก็ไมควรทํา เพราะการรองไห เปนตนนั้น ไมเปนประโยชนแกผูลวงลับไปแลว ญาติทั้งหลาย (ที่ตายไปแลว) ก็คงอยูอ ยางนัน ้ .
พระอรรถกถาจารยอธิบายเพิ่มเติมความวา พระผูมีพระภาคเจา ครั้นทรงประกาศความนี้วา ผูทํากาลกิริยาละ (ผูตาย)ไปแลว ยอมยังอัตภาพใหเปนไปในเปรตวิสย ั นัน ้ ดวยทานที่ญาติมิตรสหาย ใหไปจาก มนุษยโลกนี้ ดังนี้แลว เมื่อทรงแสดงอีกวา เพราะเหตุที่หมูเ ปรตเหลานัน ้ หวังเต็มทีว่ า พวกเราจักไดอะไร ๆ จากมนุษยโลกนี้ แมพากันมาถึงเรือนญาติแลวก็ไมสามารถจะรองขอวา "ขอทานทัง้ หลาย โปรดใหของชื่อนี้แกพวกเราเถิด" ฉะนั้น กุลบุตรเมือ ่ ระลึกถึงสิง่ ที่ ควรระลึกเหลานัน ้ พึงใหทก ั ษิณา เพื่อหมูเปรตเหลานัน ้ จึงตรัสคาถา (คําพูด) นี้วา อทาสิ เม เปนตน. คาถา (คําพูด) นัน ้ มีความวา กุลบุตรเมื่อระลึกทุกอยางอยางนี้วา ทาน (ผูน)ี้ ไดให ทรัพยหรือธัญญาหารชื่อนี้แกเรา ทานไดพากเพียรดวยตนเอง ไดกระทํากิจชือ ่ นี้แกเรา คนโนนเปนญาติ เพราะเกีย ่ วเนือ ่ งขางมารดาหรือขางบิดาของเรา คนโนนเปนมิตร เพราะสามารถชวยเหลือโดยสิเนหา และคนโนนเปนเพื่อนเลนฝุนดวยกันของเรา ดังนี้ พึงใหทก ั ษิณา (...อุทิศบุญ) พึงมอบทานใหแกเขาผูลวงลับไปแลว.
- 26 -
เมื่อทรงแสดงอีกวา... การรองไหและการเศราโศก เปนตนนัน ้ ของชนเหลานัน ้ มีแตทําตัวใหเดือดรอนอยางเดียวเทานั้น ยอมไมยงั ประโยชนอะไรๆ ใหสําเร็จแกผู ลวงลับไปแลวเลย จึงตรัสคาถานีว้ า น หิ รุณฺณํ วา เปนตน. พระผูมีพระภาคเจา ครั้นทรงแสดงการรองไหเปนตนวา ไมเปนประโยชน การรําพัน อยางอื่นแมทั้งหมด ก็ไมมป ี ระโยชนแกผล ู ว งลับไปแลว ที่แทมีแตทําตัวใหเดือดรอน อยางเดียวเทานัน ้ ญาติทงั้ หลาย (ที่ตายไป) ก็ตงั้ อยูอยางนัน ้ ดังนี้แลว เมื่อทรงแสดงความทีท ่ ักษิณา (นําสิง่ ของทําบุญแลวอุทศ ิ บุญอยางถูกตองเพื่อญาติ) ซึ่งพระเจามคธรัฐ ทรงถวายแลวมีประโยชน จึงตรัสคาถานี้ วา อยฺจ โข ทกฺขิณา ดังนี้เปนตน. คาถานัน ้ มีความวา ขอถวายพระพร ทักษิณา (ของทําบุญ) นีแ ้ ล มหาบพิตรถวาย แลวอุทศ ิ บุญเพื่อหมูพ ระประยูรญาติของมหาบพิตรในวันนี้ เพราะเหตุทพ ี่ ระสงฆเปนเนือ ้ นาบุญอันยอดเยี่ยมของโลกฉะนั้น ทักษิณานั้น พึงเปนทักษิณาที่ทรงตั้งไวดีแลวในพระสงฆ จึงสําเร็จผล ทานอธิบายวา สัมฤทธิ์ผลิตผล เพื่อประโยชนเกื้อกูล เพื่อสุขแกเปตชน (คนผูต ายไป) สิน ้ กาลนาน.
เปลี่ยนชื่อแลวมันจะเปลี่ยนชีวิตใหดีขึ้นจริงๆ เรอ
เลม56 หนา 371
ในอดีตกาล พระโพธิสัตวเสวยพระชาติเปนอาจารยทิศาปาโมกข บอกมนตกะมาณพ ๕๐๐ คน พระนครตักกสิลา มาณพผูหนึง่ ของทาน ชื่อ ปาปกะ (นายบาปผูลามก) โดยนาม ถูกเขาเรียกอยูวา มาเถิด ปาปกะ ไปเถิด ปาปกะ คิดวา ชื่อของเราเปนอัปมงคล ตองขอใหอาจารยตงั้ ชื่ออืน ่ ใหใหม เขาไปหาอาจารยเรียนวา ทานอาจารยขอรับ ชื่อของกระผมเปนอัปมงคล โปรดตัง้ ชื่ออยางอืน ่ ใหเถิดขอรับ ครั้งนัน ้ อาจารยไดกลาวกะเขาวา ไปเถิดพอ เจาจงเที่ยวไปตามชนบทแลว กําหนด เอาชือ ่ ที่เปนมงคลชือ ่ หนึ่ง ที่ตนชอบใจอยางยิง่ แลวมา เราจักเปลี่ยนชื่อของเจาเปน ชื่ออยางอืน ่ เขารับคําวา ดีแลว ขอรับ ถือเอาเสบียงออกเดินทางไป ทองเที่ยวไปตามคามนิคมชนบท ลุถึงนครแหงหนึง่ ในพระนครนัน ้ แหละ มีบุรุษผูหนึง่ ชื่อวา ชีวกะ (บุญรอด ) โดยนาม ตายลง เห็นหมูญาติกําลังหามเขาไปสูป าชา จึงถามวา ชายผูน ี้ชื่ออะไร ? หมูญาติตอบวา จะชื่อวา ชีวกะ(บุญรอด) ก็ดี อชีวก(ไมรอด) ก็ดี ก็ตายทั้งนัน ้ ชื่อเปนเพียงบัญญัติสาํ หรับเรียกกัน เจานี่ เห็นจะโงกระมัง. เขาฟงคํานั้นแลว มีความรูสก ึ เฉย ๆ ในเรือ ่ งชือ ่ เดินทางกลับเขาเมืองของตน ครั้งนัน ้ พวกนายทุน กําลังจับนางทาสีผห ู นึ่งซึ่งไมใหดอกเบีย ้ ใหนั่งที่ประตู เฆี่ยนดวยเชือก และนางทาสีผูนน ั้ ก็มีชื่อวา ธนปาลี(คนมีทรัพย) เขาเดินเรือ ่ ยไปตาม ทองถนนเห็นนางถูกเฆี่ยน ก็ถามวา มันไมยอมใหดอกเบีย ้ เขาถามวา ก็นางมีชอ ื่ อยางไรเลา ?
- 27 -
พวกนายทุนตอบวา นางชื่อ ธนปาลี (คนมีทรัพย) เขาถามวา แมจะมีชื่อ ธนปาลี โดยนาม ก็ยงั ไมอาจใหเงินแคดอกเบี้ยหรือ ? พวกนายทุนตอบวา จะชื่อ ธนปาลี คนรวยก็ดี จะชื่อ อธนปาลี คนจนก็ดี ก็เปนคนเข็ญใจไดทงั้ นั้น ชื่อเปนเพียงบัญญัติสาํ หรับเรียกกัน เจานี่เห็นจะโงแน เขายิ่งรูสก ึ เฉย ๆ ในเรื่องชื่อยิ่งขึน ้ เดินออกจากเมืองไปตามทางในระหวางทางพบคน หลงทาง ถามวา ผูเปนเจาเที่ยวทําอะไรอยูเลา ? เขาตอบวา ขาพเจาหลงทางเสียแลว เขายอนถามวา ก็คุณชื่อไรเลา ? เขาตอบวา ขาพเจาชื่อ ปนถก (ผูชํานาญทาง) เขาถามวา ขนาดชื่อ ปนถกะ ยังหลงทางอีกหรือ ? คนหลงทางกลาววา จะชื่อ ปนถกะ (ชํานาญทาง) หรือชื่อ อปนถกะ (ไมชํานาญ ทาง) ก็มีโอกาสหลงทางไดเทากัน ชื่อเปนบัญญัติสําหรับเรียกกัน ก็ทานเอง เห็นจะโงแน. เขาเลยวางเฉยในเรือ ่ งชื่อ
ไปสูสํานักของพระโพธิสัตว
ครั้นพระโพธิสัตวถามวา อยางไรเลา พอคุณ เจาไดชื่อที่ถูกใจมาแลวหรือ ? ก็เรียนทานวา ทานอาจารยขอรับ ธรรมดาคนเราถึงจะชื่อวาชีวก แมจะชื่ออชีวก คงตายเทากัน ถึงจะชื่อธนปาลี แมจะชื่อ อธนปาลี ก็เปนทุคคตะ (คนยากจน) ไดทงั้ นัน ้ ถึงจะชื่อ ปนถกะ แมจะชื่อ อปนถกะ ก็หลงทางไดเหมือนกัน ชื่อเปนเพียง บัญญัติสําหรับเรียกกัน ความสําเร็จเพราะชื่อมิไดมีเลย ความสําเร็จมีไดเพราะการกระทําเทานั้น พอกันทีเรื่องชื่อสําหรับกระผม กระผมขอใชชื่อเดิม นั่นแหละตอไป…
มัวแตรอฤกษงามยาม (ไม) ดี ไรสาระเปลาๆ
เลม 56
หนา 51
ในอดีตกาล ครั้งพระเจาพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี ชาวพระนครพากัน ไปสูขอธิดาของชาวชนบท กําหนดวันแลว ถามอาชีวก (นักบวชนอกศาสนาประเภท หนึ่ง) ผูคุนเคยกันวา พระคุณเจาผูเ จริญ วันนี้ผมจะกระทํางานมงคลสักอยางหนึง่ ฤกษดีไหมขอรับ. อาชีวกนัน ้ โกรธอยูแลววา คนพวกนี้กาํ หนดวันเอาตามพอใจตน บัดนี้ กลับถามเรา คิดตอไปวา ในวันนีเ้ ราจักทําการขัดขวางงานของคนเหลานั้นเสีย แลวกลาววา วันนี้ฤกษไมดี ถากระทําการมงคลจักพากันถึงความพินาศใหญ. คนเหลานั้นพากันเชื่อ อาชีวกจึงไมไปรับเจาสาว. ชาวชนบททราบวา พวกนั้นไมมา ก็พูดกันวา พวกนัน ้ กําหนดวันไววันนี้ แลวก็ไมมา ธุระอะไรจักตองคอยคนเหลานั้น แลวก็ยกธิดาใหแกคนอื่น. รุงขึน ้ ชาวเมืองพากันมาขอรับเจาสาว ชาวชนบทก็พากันกลาววา พวกทานขึ้นชือ ่ วา เปนชาวเมือง แตขาดความเปนผูดี กําหนดวันไวแลว แตไมมารับเจาสาว เพราะพวก ทานไมมาเราจึงยกใหคนอืน ่ ไป.
- 28 -
ชาวเมืองกลาววา พวกเราถามอาชีวกดู ไดความวา ฤกษไมดี จึงไมมา จงใหเจาสาว แกพวกเราเถิด. ชาวชนบทแยงวา เพราะพวกทานไมมากัน พวกเราจึงยกเจาสาวใหคนอื่นไป แลว คราวนี้จก ั นําตัวเจาสาวที่ใหเขาไปแลวมาอีกไดอยางไรเลา ? เมื่อคนเหลานัน ้ โตเถียงกันไป โตเถียงกันมา อยูอ ยางนี้ ก็พอดีมีบุรุษผูเปนบัณฑิต ชาวเมืองคนหนึง่ ไปชนบทดวยกิจการบางอยาง ไดยินชาวเมืองเหลานั้นกลาววา พวกเราถามอาชีวกแลว จึงไมมาเพราะฤกษไมดี ก็พด ู วา ฤกษจะมีประโยชน อะไร เพราะการไดเจาสาวก็เปนฤกษอยูแลว มิใชหรือ ? ดังนี้แลว กลาวคาถานี้ความวา "ประโยชนผานพนคนโง ผูมัวคอยฤกษยามอยู ประโยชนเปนฤกษของ ประโยชน ดวงดาวทัง้ หลาย จักทําอะไรได"
เลื่อมใสในพระรัตนตรัยอันเลิศ ที่ไมใชพระพุทธรูป และวัตถุที่เลวทรามทั้งหลาย (อีกที) เลม 45
หนา 556
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ความเลือ ่ มใสอันเลิศ ๓ ประการนี้ ๓ ประการเปนไฉน ? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สัตวไมมีเทาก็ดี มี ๒ เทาก็ดี มี ๔ เทาก็ดี มีเทามากก็ดี มีรูปก็ดี ไมมีรูปก็ดี มีสัญญา (ความจํา) ก็ดี ไมมีสัญญาก็ดี มีสัญญาก็มิใชไมมี สัญญาก็มิใชก็ดี มีอยูประมาณเทาใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา บัณฑิตกลาววา เลิศกวาสัตวประมาณเทานัน ้ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ชนเหลาใดเลื่อมใสในพระพุทธเจา ชนเหลานัน ้ ชื่อวาเลือ ่ มใสใน บุคคลผูเ ลิศ ก็และผลอันเลิศ ยอมมีแกบุคคลผูเลือ ่ มใสในพระพุทธเจาผูเลิศ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรม (ธรรมที่ปจ จัยปรุงแตง) ก็ดี อสังขตธรรม (ธรรมที่ ปจจัยปรุงแตงไมได) ก็ดี มีประมาณเทาใด วิราคะ (หมายถึง พระนิพพาน) คือ ธรรมเปนทีบ ่ รรเทาความเมา นําออกเสียซึ่งความกระหาย ถอนขึน ้ ดวยดีซึ่งอาลัย ตัดซึ่งวัฏฏะ สิ้นไปแหงตัณหา สิ้นกําหนัด ดับ นิพพานบัณฑิตกลาววาเลิศกวา สังขตธรรม และอสังขตธรรมเหลานัน ้ ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ชนเหลาใดเลือ ่ มใสใน วิราคธรรม ชนเหลานั้นชือ ่ วาเลื่อมใสในธรรมอันเลิศ ก็ผลอันเลิศ ยอมมีแกบุคคลผู เลื่อมใสในธรรมอันเลิศ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรมมีประมาณเทาใด อริยมรรคมีองค ๘ คือ ความ เห็นชอบ ความคิดชอบ คําพูดชอบ ประกอบการงานชอบ ประกอบอาชีพชอบ ประกอบความเพียรชอบ ตั้งสติไวชอบ มีจิตตั้งมัน ่ โดยชอบ บัณฑิตกลาววาเลิศกวา สังขตธรรมเหลานั้น ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ชนเหลาใดเลื่อมใสในธรรมคืออริยมรรคมี องค ๘ (ทางดําเนินอันประเสริฐ) ชนเหลานัน ้ ชื่อวาเลือ ่ มใสในธรรมอันเลิศก็ผลอันเลิศ ยอมมีแกบุคคลผูเลือ ่ มใสในธรรมอันเลิศ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย หมูก็ดี คณะก็ดี มีประมาณเทาใด หมูสาวกของพระ
- 29 -
ตถาคต คือ คูแหงบุรษ ุ ๔ (พระอริยะทัง้ หมด) บุรุษบุคคล ๘ บัณฑิตกลาววาเลิศกวา หมูและคณะเหลานัน ้ ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ชนเหลาใดเลือ ่ มใสในพระสงฆ ชนเหลานั้นชือ ่ วา เลือ ่ มใสในหมูผเู ลิศ ก็ผลอันเลิศ ยอมมีแกบุคคลผูเ ลื่อมใสใน พระสงฆผเู ลิศ ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ความเลื่อมใสอันเลิศ ๓ ประการนี้แล. พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสเนือ ้ ความนี้แลวในพระสูตรนัน ้ พระผูมพ ี ระภาคเจา ตรัสคาถา ประพันธ ดังนี้วา เมื่อชนทั้งหลายเลื่อมใสแลวในพระรัตนตรัยที่เลิศ โดยความเปนของเลิศ รูแจงธรรม อันเลิศ เลื่อมใสแลวในพระพุทธเจาผูเลิศ ซึ่งเปนทักขิไณยบุคคล (ผูควรรับของ ทําบุญ) ผูย อดเยีย ่ ม เลื่อมใสแลวในธรรมอันเลิศ ซึ่งเปนที่สิ้นกําหนัด และเปนที่ สงบ เปนสุข เลื่อมใสแลวในพระสงฆผูเลิศ ซึ่งเปนบุญเขตอยางยอดเยีย ่ ม ถวาย ทานในพระรัตนตรัย ที่เลิศ บุญที่เลิศยอมเจริญ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติคณ ุ สุขะ และพละอันเลิศ ยอมเจริญ นักปราชญถวาย ไทยธรรม (ของทําบุญ) แกพระ รัตนตรัยที่เลิศตั้งมัน ่ อยูในธรรมอันเลิศแลว เปนเทวดาหรือเปนมนุษยก็ตาม เปนผูถึง ความเปนผูเลิศ ยอมบันเทิงอยู. พระอรรถกถาจารยอธิบายเพิ่มเติมความวา ...ในสัตวโลกเหลานัน ้ พระผูมีพระภาคเจา ชื่อวาเปนผูประเสริฐกอนโดยความหมายวา ไมมีผูเปรียบโดยความหมายวา เปนผูวเิ ศษ ดวยคุณความดี และโดยความหมายวา ไมมีผูเสมอเหมือน. จริงอยูพ ระองคชื่อวาเปนผูล้ําเลิศโดยความหมายวา ไมมีผเู ปรียบ เพราะทรงทําอภินิหารมามาก และการสั่งสมบารมี ๑๐ ประการมาเปนเบื้องตน จึงไม เปนเชนกับคนทัง้ หลายที่เหลือ เพราะพระคุณคือพระโพธิสมภารเหลานัน ้ และเพราะ พระพุทธคุณทัง้ หลาย. ชื่อวาเปนผูล้ําเลิศ เพราะเปนผูสงู สุดกวาสรรพสัตว แมโดยความหมายวา เปน ผูวิเศษดวยคุณความดี เพราะพระองคมพ ี ระคุณมีพระมหากรุณาคุณ เปนตน ที่วิเศษ กวาคุณทั้งหลายของสรรพสัตวที่เหลือ. ชื่อวาเปนผูล้ําเลิศ แมโดยความหมายวา ไมมีผูเสมอเหมือน เพราะพระสัมมาสัม พุทธเจาพระองคนี้เอง เปนผูเ สมอโดยพระคุณทางรูปกาย และพระคุณทางธรรมกาย กับพระสัมมาสัมพุทธเจาทัง้ หลายในปางกอน ผูไมเสมอเหมือนกับสรรพสัตวอื่น. อนึ่ง พระผูมีพระภาคเจาทานเรียกวาเปนผูเลิศในโลก เพราะมีปรากฏการณที่หาได ยาก เพราะความเปนอัจฉริยะ. เพราะนํามาซึ่งหิตสุข (ประโยชนสุข) แกคนหมูมาก และเพราะความเปนผูไ มเปนที่สอง (ของใคร) และไมมีใครเปนสหาย (รวมคิด) เปนตน เชน ที่ตรัสไวในปาฐะ (พระบาลี) วา ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ความปรากฏขึ้นแหงบุคคล ผูเปนเอก หาไดยากในโลก. บุคคลผูเ ปนเอกคือใคร ? คือ พระตถาคตอรหันต สัมมาสัมพุทธเจา ภิกษุทงั้ หลาย บุคคลผูเปนเอก เมื่ออุบัตข ิ น ึ้ ในโลกจะอุบัติขน ึ้ เปน อัจฉริยะมนุษย ภิกษุทั้งหลายบุคคลผูเ ปนเอก เมื่ออุบัติขน ึ้ ในโลก จะอุบัติขน ึ้ เพื่อประโยชนเกื้อกูลแกชนหมูมาก ฯลฯ บุคคลผูเ ปนเอกนั้นคือ พระอรหันตสัมมาสัม พุทธเจา ภิกษุทงั้ หลาย บุคคลผูเ ปนเอก เมื่อเกิดขึน ้ ในโลก จะเกิดขึ้นไมเปนที่ ๒ (ของใคร) ไมมีใครเปนสหาย (รวมคิด) ไมมีผูเทียบ ไมมีผูเทียม ไมมีบุคคลผูเทียม ทัน ไมมีผูเสมอ ไมมผ ี ูเสมอเหมือน เปนผูล้ําเลิศกวาสัตว ๒ เทาทั้งหลายบุคคลผู เปนเอก (นั้น) คือใคร คือพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา. แมพระธรรมและพระสงฆก็ชื่อวาล้ําเลิศกวาพระธรรมและพระสงฆเหลาอืน ่ (ของลัทธิ ศาสนาอืน ่ ) โดยความหมายวา ไมมีสิ่งเหมือนและไมมผ ี ูละมายคลาย และโดยเปน ของมีปรากฏการณทห ี่ าไดยาก เพราะเปนผูมีคุณความดีพิเศษ เปนตน...
- 30 -
...ก็แหละ พระธรรมและพระสงฆ (ในพระศาสนานี)้ ชื่อวา ประเสริฐที่สุดกวาพระธรรม และพระสงฆอน ื่ เหลานั้น เพราะเปนธรรมและเปนหมูท ี่มีคุณวิเศษในตัวเองนั่น แหละ. อนึง่ พระธรรมและพระสงฆเหลานัน ้ เปนเหตุนําประโยชนเกือ ้ กูลและ ความสุขมาใหชนหมูมาก เพราะเปนความเกิดขึน ้ ที่หาไดยากและเปนสิง่ ที่นา อัศจรรย และมีสภาพไมเปนที่ ๒ ของใคร และไมมีใครเปนสหาย (รวมคิด) เปนตน. แทจริง พระผูมีพระภาคเจาเปนผูมีความปรากฏที่หาไดยาก เพราะธรรมที่ล้ําเลิศอัน ใด แมพระธรรมและพระสงฆ ก็เปนผูมีความปรากฏที่หาไดยาก ก็เพราะธรรมที่ลา้ํ เลิศ อันนั้น. แมในความเปนอัจฉริยะเปนตน ก็มน ี ัยนี้เหมือนกัน. ความเลื่อมใสในสิ่งทีล ่ ้ําเลิศ คือ สิ่งที่ประเสริฐ สิ่งสูงสุด สิ่งที่บวร ไดแก สิ่งที่ วิเศษดวยคุณอยางนีเ้ พราะฉะนัน ้ จึงชื่อวา อัคคัปปสาทา (ความเลื่อมใสในสิ่งที่ล้ํา เลิศ)... ...ดังทีต ่ รัสไววา ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในพระศาสนานี้เปนผูป ระกอบแลว ดวยความเลื่อมใสที่หยั่งลงแลว ในพระพุทธเจาดังนี้เปนตน อนึ่ง ความเลือ ่ มใส เหลานี้ ชื่อวาเปนความเลือ ่ มใสล้ําเลิศเพราะมีผลล้ําเลิศบาง. สมจริงดังที่พระองคได ตรัสไววา ก็เมือ ่ บุคคลเลื่อมใสในสิ่งที่เลิศแลว ผลเลิศก็จะมี. ...บทวา วิราโค เตสํ อคฺคมกฺขายติ ความวา บรรดาสังขตธรรมและอสังขตธรรม ทั้งหลายเหลานัน ้ อสังขตธรรม กลาวคือ วิราคะ บัณฑิตเรียกวา เลิศ คือ ประเสริฐ ไดแกสูงสุด หมายความวาล้าํ เลิศเพราะเปนสิง่ ละเอียด และสุขุมตาม สภาพนัน ่ เอง เพราะเปนสิง่ สงบและประณีตกวา และเพราะเปนสิง่ ที่ลก ึ ซึ้ง เปนตน และเพราะเปนความสรางเมาเปนตน. จริงอยางนัน ้ ความเมาทุกอยางมีเมาเพราะมานะ (ถือตัว)เมาในความเปนบุรุษ เปนตน จะสรางไป คือ ถูกทําลายไปเพราะมาถึง นิพพานนัน ้ ความกระหายทัง้ หมดมีกระหายในกาม เปนตน ก็จะถูกนําออกไป ถึงความอาลัยทัง้ มวล มีอาลัยในกามเปนตน ก็จะถูกถอนขึ้น กรรมวัฏ กิเลสวัฏ และวิปากวัฏทัง้ ผองก็จะถูกตัดขาด ตัณหาทั้งปวงที่แยกประเภทออกเปน ๑๐๘ อยาง ก็จะสิ้นไป กิเลสก็จะสํารอกออกหมด ทุกขยอ มจะดับไปสิ้นเพราะมาถึง นิพพานนัน ้ .... ... บทวา ตถาคตสาวกสงฺโฆ ไดแก สงฆสาวกของพระตถาคตเจา ผูรวมกันดวยความเสมอกันแหงทิฏฐิ และศีล กลาวคือ ชุมนุมพระ อริยบุคคล ๘ จําพวก. บทวา เตสํ อคฺคมกฺขายติ ความวา สงฆสาวกของพระตถาคตเจา บัณฑิตกลาววา เลิศ คือประเสริฐสุด ไดแกสูงสุด หมายความวา ล้ําเลิศ ดวยคุณวิเศษ มีศีล สมาธิ ปญญาและวิมุตติเปนตน ของตน. *** เมื่อเลื่อมใสในสิ่งที่เลิศ ก็ยอ มจะไดในสิ่งที่เลิศ แตเมื่อเลือ ่ มใสในสิ่งที่เลวทราม ก็ยอมจะไดในสิ่งที่เลวทรามเหมือนกัน -----------------------------------------------------------------------------------------------
- 31 -
เรื่องพระรัตนไตรในภาพรวม
โดยหลวงพอเกษม
พระรัตนตรัย หรือ พุทธ - ธรรม - สงฆ ที่พระพุทธเจาสอนไวใหชาวโลก ทั้งหลายไดศึกษากันนี้ เปนเพียงวิธก ี ารและทางดําเนินไป คือ อันนี้เปนวิธีคิดและวิธี พิจารณาเพือ ่ ใหเกิดความรู รูจนไมยึดในรูปใน - รูปนอก - รูปในใน - รูปในนอก – และไมยึดในเวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ และ จิต ก็ปลอยวางกันหมด เมื่อปลอยวางกันหมดก็ดับสนิท พระรัตนตรัย (แกววิเศษสุด 3 อยาง) หรือ เรียกอีกอยางหนึ่งวา พุทธ - ธรรม - สงฆ เมื่อเกิดความรูรอบและรอบรูแลวก็ดับสนิท อาการทีด ่ ับสนิทนั่นแหละ คือ พุทธ - ธรรม – สงฆ ไมใชอาการกอนดับ และไมใชอาการหลังดับ แมแตเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในลานของวินาทีกอนจะดับสนิทก็ไมใชนะ ทีนี้เมื่อทุกอยางดับสนิทแลว เราทั้งหลายอธิษฐานใชพลังของอะไรกัน ? ที่เราอธิษฐานก็ใชพลังของความดับนี่แหละ คือ นอมเอาพลังของความเสียสละ - ความปลอยคืน - ความปลอยวางทัง้ หมด – ความไมยึด อะไรไว ปลอย - วาง - สละไปหมด ไมยด ึ ไวแมแตจต ิ พลังอันที่วา นี้จะใชไดก็ตอเมื่อมีการสัง่ สอนสืบเนือ ่ งปฏิบัตต ิ อกันมาอยู (คือ อยูในยุคที่ ยังมีคาํ สอนของพระพุทธเจา) บางยุค - บางกาล เมื่อหมดผูสอน เมื่อหมดผูรูจัก พลังอันนี้กจ ็ ะไมมีผูรูจก ั ใช (คือ ยุคที่พท ุ ธศาสนาอันตรธานไปแลว) ผูสอนคนแรก - ผูรูจักพลังอันที่วา นี้เปนคนแรกก็คอ ื สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา และไดสั่งสอนสืบเนื่องปฏิบัตต ิ อกันมาอยูเปนลําดับโดยพระสงฆสาวกของสมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจา เมื่อกาลเวลาผานไปเนิ่นนานมาก ๆ ผูสอนพุทธศาสนาในลําดับหลังๆนีก ้ ็จะพาผูค นไมใหเอา – ไมใหทําตามทีพ ่ ระพุทธเจา สอนไว และผูสอนพุทธศาสนาในลําดับหลังๆนีก ้ ็จะพาผูค นไปเอาอันอืน ่ - ไปเอาสิ่งอื่น มาปะปน – ไปเอาสิง่ อื่นมาผสมปนเปกัน จนผูคนทัง้ หลายเกิดอาการ งง ไมรูจัก พุทธ - ธรรม - สงฆ ที่แทจริงวาเปนอยางไร ? ถึงแมวา พุทธ - ธรรม - สงฆ จะมีอยูตลอดกาลในอนันตจักรวาลโดยอานุภาพก็ตามที แตถายุคไหน - กาลใด สัตวโลกไมนอมนํามาทําประโยชนใหเกิดขึน ้ สัตวโลกทัง้ หลายก็จะไมมีผูไดรบ ั ประโยชนจากอานุภาพของพระรัตนตรัยเลย เพราะเมือ ่ สอนเรือ ่ งพระรัตนตรัยกันแลวไมมผ ี ูเขาใจ นานไปผูทไ ี่ มเขาใจนัน ้ ก็ไปสอนกันตอก็ยงิ่ เลอะเลือน นานไปผูทเี่ ลอะเลือนนั้นก็ไปสอนกันตอก็ยงิ่ เลือนลางจางหาย ทายที่สุดก็จะหาคําหรือหาความคิดแมเพียงครั้งเดียวของขณะจิตที่จะระลึกถึง พระรัตนตรัยก็ไมมเี ลย แตในขณะปจจุบน ั นีเ้ ราทั้งหลายตางก็โชคดีกันมาก ๆ ที่ไดพบเจอกับคําสอนของพระรัตนตรัย จงเรงศึกษาคนควา อยามัวแตอยากฟงและอยากถามแตผท ู ี่เกิดในยุคนี้ และมีความรูน อยเชนเรา
- 32 -
จงคนศึกษาตรวจดูคําสอนของพระพุทธเจาที่มีมาตัง้ แตครัง้ พุทธกาลใหดีกอ น กอนที่จะถามเรา มันจึงจะสามารถเขาใจได เพราะวาถาจะเอาเฉพาะคําพูดของเราแลว ไมมีผูที่จะลงใจในคําพูดของเราไดงายๆหรอก จงเรงศึกษาและคนควาพิจารณาคําสอนของพระพุทธเจาในพระไตรปฎกดวยตัวเอง แลวเราจะยืนยันใหตามความรูท ี่เรามี มันยังจะดีกวา ดีกวาทีจ ่ ะคอยแตถามเราผูมี ความรูน อยนิด นอยนิดจนไมสามารถจะเทียบไดกับธุลท ี ี่ติดปลายสนพระบาทของพุทธองค แมเพียง แปปเดียวแลวหลุดออก ความรูที่เรามีกไ ็ มสามารถจะเทียบไดแลว เพราะฉะนั้นจึงควรฟงและพิจารณาตามคําสอนของพระพุทธองคที่ยังมีอยูนน ั่ แหละเปน สําคัญ
พระเกษม อาจิณฺณสีโล