จดหมายข่าวโยคะสารัตถะ ฉบับเดือน กรกฎาคม 54

Page 1

จดหมายขาว

www.thaiyogainstitute.com

คุยกันกอน ปฏิทินกิจกรรม กิจกรรมของเครือขาย แลกๆ เลาๆ แลกๆ เลาๆ (ตอ) คุณถาม เราตอบ คุณถาม เราตอบ (2) คุณถาม เราตอบ (3) แนะนําหนังสือ ตําราโยคะดั้งเดิม สะกิดสะเกา เลงเลาเรื่อง

2 ทัวรอินเดีย การจัดปรับสมดุลของรางกาย 2 มรณานุสติแบบทิเบต 3 มิตรหาระ 4 เห็ด 6 กระดูกกนเคลื่อน เพราะทําทาอาสนะ 8 โยคะคละวัย 9 โดดลงน้ํา 9 ทรี คัพ ออฟ ที 11 กิเ ลส5:อวิทยาระดับความรุนแรงของกิเลส4 12 สติกเกอร 12 ตางกันที่. ..วิธียํา 13

วิถีชีวิต เพื่อสุขภาวะ

ฉบับเดือน กรกฎาคม 2554

วันอาสาฬหบูชา

จดหมายขาว โยคะสารัตถะ วิถีชวี ิตเพื่อสุขภาวะ ที่ปรึกษา แกว วิฑูรยเธียร ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน นพ.ยงยุทธ วงศภริ มยศานติ์ นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ กองบรรณาธิการ กวี คงภักดีพงษ, จิรวรรณ ตั้งจิตเมธี, จีระพร ประโยชนวิบูลย, ชนาพร เหลืองระฆัง, ณัตฐิยา ปยมหันต, ณัฏฐวรดี ศิรกิ ลุ ภัทรศรี, ธนวัชร เกตนวิมุต, ธีรนิ ทร อุชชิน, พรจันทร จันทนไพรวัน, รัฐธนันท พิริยะกุลชัย, วรรณวิภา มาลัย นวล, วัลลภา ณะนวล, วิสาขา ไผงาม, วีระพงษ ไกรวิทย, ศันสนีย นิรามิษ, สมดุลย หมั่นเพียรการ, สุจติ ฏา วิเชียร

สถาบันโยคะวิชาการ มูลนิธิหมอชาวบาน 201 ซอยรามคําแหง 36/1 บางกะป กทม.10240 โทรศัพท 02 732 2016-7, 081 401 7744 โทรสาร 02 732 2811 อีเมล yogasaratta@yahoo.co.th เว็บไซท www.thaiyogainstitute.com

สิ่งตีพิมพ

1107 1


ป 2554 ผานไปครึ่งทางแลว สารัตถะยังคงตั้งใจทํา จึงขอเชิญชวนเพื่อนๆ ที่ยังสนใจรับสารัตถะทาง หนาที่เปนสื่อกลาง เปน เวทีระหวางพวกเราผูสนใจโยคะ ไปรษณียที่หมดอายุสมาชิกไปแลว (ดูไดจากมุมขวาบนของ ผูสนใจในการพัฒนาจิต สติกเกอรจาหนา) ชวยตออายุดว ยการสงคาสมาชิกปละ 200 ในชวงหลัง ผูอานสารัตถะจะเขาอานทางอิน เตอรเน บาท สวนผูที่ไมไดตออายุม า เราขอหยุดสง โดยทานยังคง ทมากขึ้น แตในทํานองเดียวกัน ก็ยังมีสมาชิกสวนหนึ่งสะดวก สามารถอานสารัตถะทางเวบไซทของเราไดตอไป ที่จะรับทางไปรษณีย ซึ่งเราก็ยินดีดาํ เนินการจัดสง ตอไป ____________________________________________________________ จิต สิกขา เดือนกรกฎาคมนี้ ยกเลิก เนื่องจากตรงกับ ชวงวันเขาพรรษา --------------------------------------------------------โยคะอาสนะขั้นพื้นฐานเพือ่ ความสุข สําหรับผูเริ่มตน สิงหาคม เวลา 9.00 – 15.00 น. ที่ชน้ั 6 หอง 262 คณะ เดือน กรกฏาคม เต็มแลว ครั้งถัดไปจัดวันอาทิตยที่ 21 มนุษยศาสตร มศว ประสานมิตร คาลงทะเบียน 650 บาท ---------------------------------------------------------เชิญอัพเดทขาวสถาบัน ฯ เปน fan ในเฟสบุคที่ http://www. และทาง Twitter ที่ http://twitter.com/yogathai facebook.com/pages/thaiyogainstitute/208189084154 --------------------------------------------------------โยคะในสวนธรรม ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส สวนวชิร โยคะตามกําหนด สวนในวันเสารที่ 23 ก.ค. นี้ ทางสวนโมกข จําเปนตองใชส ถานที่ ของดชั่วคราว โดยในเดือนสิงหาคมก็ เบญทิศ ถ.วิภ าวดีรังสิต (หลังตึก ปตท. หาแยกลาดพราว) จะมีการสอนโยคะตามเดิม พุธที่ 20 ก.ค. เวลา 17.00 – 18.30 น. มีการสอน --------------------------------------------------------ทัวรอ ินเดีย ขอเชิญรวมทัศนศึกษา สถาบันโยคะ ที่ประเทศ วันจันทรที่ 16 เดินทางมายังเมืองมุมไบ ขึ้น เครื่องบิน กลับประเทศไทย อิน เดีย มกราคม 2555 สําหรับผูที่สนใจ เชิญอยูรวมประชุมโยคะวิชาการ รางกําหนดการ (ยังไมสรุป) สถาบัน โยคะโลนาฟลา ในวันอังคารที่ 17 ม.ค. วันศุกรที่ 6 ม.ค. เชาออกเดินทางไปมุม ไบ เขาพักที่ และสําหรับผูสนใจธรรมชาติบ ําบัด เชิญเขาพักที่ สถาบัน โยคะซานตาครูซ อาศรมนิศาโกปชาร Nisargopuchar เมืองปูเน เปนเวลาอีก 1 วันเสารที่ 7 สถาบัน โยคะซานตาครูซ สัป ดาห เดินทางกลับ เมืองไทยวันจันทรที่ 23 มกราคม 2554 วันอาทิตยที่ 8 หลังอาหารกลางวัน ออกเดินทางไป มีครูฮิโรชิเปน ไกด ครูออดเปน หัวหนาทีม และมีคณ ุ เมืองโลนาฟลา (120 กม.จากมุมไบ) เขา จันทรา เชคกัล เพื่อนชาวอิน เดียเปนผูประสานงาน การ พักที่สถาบัน ไกวัลยธรรม เดินทางในอิน เดีย เชารถปาเจโรเพื่อความสะดวกและ วันที่ 9 – วัน ที่ 13 พักที่สถาบัน ไกวัลยธรรม ปลอดภัย คาใชจายประมาณ 60,000 บาท (ไมรวมอาศรม วันเสารที่ 14 เชาออกเดินทางไปเมืองปูเน (60 กม.) ธรรมชาติบําบัด อีกประมาณ 8,000 บาท) รับ สมัครจํานวน ตอไปยังเมืองออรังกาบาด Aurangabad 14 คน สนใจเชิญลงชื่อที่ สํานักงานสถาบันฯ วันอาทิตยที่ 15 เที่ยวถา เอลลอรา Ellora มรดกโลก --------------------------------------------------------การจัด ปรับสมดุลของรางกาย เตรียมพบกับครูมิยาเกะ ครู ทาอาสนะไดดีขึ้น จัดเปน เวลา 3 วัน (ศุกร เสาร อาทิตย 9 – โยคะชาวญี่ปุน ผูเชี่ยวชาญเรื่อง การจัดปรับ สมดุลของรางกาย 11 กันยายนนี้ Body Balancing Movement ทั้งเพื่อสุขภาพ และเพื่อการฝก -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1107 2


ศิลปะแหงการดําเนินชีวิต : มรณานุสติแ บบทิเบต ชีวิตสิกขา เครือขายเพื่อการเรียนรูและเขาใจชีวิต & มูลนิธพิ นั ดารา ณ วิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร (วปอ.) ถนนวิภาวดีรังสิต วัน เสารที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๘.๓๐ – ๑๗.๐๐ น. “ความชรามีอยูในความหนุม ความเจ็บไขมีอยูในความไมม ีโรค ความตายมี อยูในชีวิต” พระพุทธวจนะ อนิจจังหรือความไมเที่ยง เปน แกนของหลักธรรมในพระพุทธศาสนา การเรียนรูและเขาใจชีวิตวาเปน สิ่งเปราะบางนัน้ เปนประโยชนอยางมาก เนื่องจากการรับรูวาชีวิตนี้สั้นนัก และความตายนั้น ตองมาเยือนอยางแนนอน เมื่อยอมรับอยางถึงกน บึ้งของจิตใจ จะทําใหเกิดแรงจูงใจ มีป ญญาและศรัทธาที่จะเห็น ถึงความสําคัญของการปฏิบัติธรรมวาเปนสิ่งที่ควรกระทําใน ทัน ทีโดยมิชกั ชา มีความเพียรและความอดทนในการที่จะฝกฝนสติ เพื่อการละวาง ถอดถอน จากความยึดมั่น ถือมัน่ ในสรรพสิ่ง ทั้งปวงเสียตั้ง แตยังมีชีวิตอยู “ความตายเปนขอจํากัดของชีวิต แตความหวัง ความรักและความกรุ ณา ไมมีขอจํากัด” คําสอนเรื่องการเตรียมตัวตายหรือการเจริญมรณานุสติ เปน มงคลชีวติ อันสูงสงที่พระพุทธองคทรงสรรเสริญให พิจารณาอยูทุกขณะ ในคําสอนของพุทธศาสนาวัชรยาน มีคําสอนอันโดดเดนจาก ‘คัม ภีรม รณศาสตรแหงทิเบต’ ทานเชอเกียม ทรุงปะ ริมโปเช ไดอธิบ ายวา การตายมีความสัมพัน ธกับการดํารงชีวิตอยู ดวยเหตุนี้ จึงสามารถเรียก ใหมไดเชนกันวา ‘คัมภีรชาตศาสตรแหงทิเบต’ (The Tibetan Book of Birth) คัมภีรที่ถูกถายทอดสืบ ตอ กัน มาอยางลึกซึ้ง เพื่อผูปฏิบ ัติธรรม อันจะใหแงคดิ ไมเพียงการเตรียมตัวเพื่อเผชิญหนากับความตายอยางสงบ และสันติสขุ รวมถึงความเขาใจ ในเรื่องของจักรวาล อันเปน การมองสิ่งแวดลอมทั้งหลายวา เอื้อ ตอการปฏิบัติธรรมทั้งสิน้ ทั้งยังเปนเครื่องเตือนใจชวนใหคิดถึง ที่เหลืออยู ใหใชชวี ิตอยางมี เมตตา กรุณา มากขึ้น โดยไมมีที่ส้นิ สุดแกทุกๆ สรรพชีวิตในทุกภพภูม ิ ภาวะเจ็บปวยทางรางกายที่เกิดขึ้นไมเพียงตองการ การดูแลเยียวยาทางกายภาพที่ดีและเหมาะสมกับ โรคเทานั้น หากยัง ตองการองคป ระกอบรวมทั้งทางดานจิตใจ สังคมและปญญา เพื่อชวยให ผูปวยอยูไดอยางมีสุขภาวะที่ดีและสมศักดิ์ศรี ของความเปนมนุษ ย เพราะถึงแมทางกายภาพอาจจะไมสมบูรณ แตศักยภาพทางดานจิตใจและปญญา ยังสามารถพัฒนาไดไป จนถึงขั้นสูงสุด ทั้งในขณะเจ็บปวย ขณะกําลัง จะตาย รวมถึงชวงขณะหลังจากการตาย ดังนัน้ ทั้งตัวผูป วยและผูดแู ลผูปวยเอง ตางก็ตองการความรู ความเขาใจ และทัศนคติในการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพื่อใหสามารถวางใจไดวาแมกายจะปวยแตใจไม ปวยเลย ถอดถอนจากผูเปน ทุกข สูผูเห็นทุกข จวบจนกระทั่งสามารถสรางเหตุปจจัยในการที่จะเผชิญกับ ชวงเวลาเปลี่ยนผาน สําคัญที่สุดของชีวิตอยางเกื้อกูล และเต็มศักยภาพของการเกิดเปนมนุษย ที่ไดพบพระพุทธศาสนา ขอเชิญทานที่ม ีจิตปรารถนาการเรียนรู ดุจดังภาชนะที่สะอาดและวางเปลา รวมเรียนรูไปดวยกัน กับ มูลนิธิพนั ดารา และ เครือขายชีวิตสิกขา เพื่อฝกฝนการละกิเลส ทําภาวนารวมไปกับ กระบวนการเรียนรูและเขาใจความจริงของชีวิต และรับ ธรรมะ ในการวางใจเพื่อรับมือกับความพลัดพรากที่กําลัง จะปรากฏกับ ทุกชีวิต ไมม ีคา ใชจายในการเขารวมอบรมสามารถบริจาคเขามูลนิธิพนั ดาราและเครือขายชีวิตสิกขาไดตามกําลังศรัทธา การเตรียมตัว

แตงกายสวมใสเสื้อผาสบายและสะดวก ไมจําเปนตองใสชดุ ขาว

หมายเหตุ

ทางเจาภาพจัดเตรียมอาหารกลางวัน (มังสวิรัติ) เครื่องดื่ม และของวางตลอดการอบรม

สงใบลงทะเบียนไดที่ jivitasikkha@gmail.com สอบถามไดที่ ครูออ ด โทร. 084-643-9245 , คุณณัฐ โทร 086-783- 3324 ๐๘.๓๐-๐๙.๐๐ ลงทะเบียน เปดการอบรมและปฐมนิเทศ

1107 3


๐๙.๐๐-๑๑.๓๐ ฝกลมหายใจแบบทิเบต เพื่อกายและใจพรอมสําหรับการเรียนรู เสวนาธรรม เรื่อ ง ‘มรณานุสติแบบทิเบต’ โดย รศ.ดร.กฤษดาวรรณ หงศลดารมภ และ อ.เยินเต็น (มูลนิธิพนั ดารา) -การภาวนาถึงความเปนอนิจจัง -ความตายและการตายในพุทธศาสนาวัชรยาน –ความเขาใจเรื่องธาตุ&ชีวิต ๑๑.๓๐-๑๒.๓๐ พิจารณาอาหารกลางวัน ๑๒.๓๐-๑๔.๓๐ ปุจฉา - วิสัชนา เรื่อง ‘คัมภีรมรณศาสตรแหงทิเบต’ โดย รศ.ดร.กฤษดาวรรณ หงศลดารมภ และ อ.เยินเต็น ดําเนินรายการโดย วรรณวิภา มาลัยนวล (ครูออด) และ กกกร เบญจาธิกุล (คุณโก) เครือ ขายชีวิตสิกขา -บารโดคืออะไร ,โอกาสแหงการหลุ ดพน จากบารโด -ตายแลวไปไหน ? ตายดีเปนอยางไร ? หลับ แลวตายไปเลยดี หรือไม ? -กุศลกรรมทามกลางความเจ็บปวยแบบทิเบต ทํากันอยางไร ? -กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ และการปฏิบัติธรรมในการดําเนิน ชีวติ ของพุทธวัชรยาน ฯลฯ ๑๔.๓๐-๑๗.๐๐ กิจกรรม ‘คลินิกสุขใจ’ โดย ธนวัชร เกตนวิมุต (ครูดล) ประธานเครือขายชีวิตสิกขา พรอมแลกเปลี่ยนประสบการณ ‘อาสาขางเตียง’ กับผูปวยระยะสุดทาย ............................................................................ 31 ส.ค. – 4 ก.ย. มหกรรมสมุนไพรแหงชาติ ครั้งที่ 8 ปนี้ เรื่องโยคะ โดยจะแบงเปน 3 หลักสูตร โยคะเพื่อสมาธิ โยคะ สถาบัน โยคะฯ ยังคงไดรับเกียรติใหเขารวมจัดอบรมระยะสั้น เพื่อสุขภาพ และ โยคะอาสนะ ………………………………………………………………….. มิ ต ร ห า ร ะ สวัสดีครับพี่เละ ขอเรียนถามขอสังเกตและขอสงสัย ดังนี้ 1. ในหลักเรื่อง "มิตรหาระ" (การกินแบบโยคี) ที่ทางสถาบัน สอนนัน้ หากวากันอยางละเอียดแลว จะครอบคลุมถึงเรื่อง "สัตวิก รชัส ตมัส" ดวยหรือไมครับ หรือ วาแยกสวนกัน คน ละตํารา (แตนํามาประกอบกันได) สวัสดีครับเล็ก พี่ขอแลกเปนขอๆ นะ 1. ตองสารภาพกอนวา พี่ไมรูวาหลักเรื่อง “มิตราหาระ” (พี่ เขาใจวานาจะตองใสสระอา หลังคําวา“มิตร”เพราะคําว ามิตรา หาระนาจะมาจาก มิตระ + อาหาระ) ที่ทางสถาบัน สอนนัน้ เปน อยางไร แตขออนุญาตแลกจากมุม มองและเลาจากแง คิด ซึ่งมาจากขอมูลเทาที่เก็บ เล็กประสมนอยมาเรื่อยๆ พูดโดยกวางๆ ระหวาง “มิตราหาระ” กับ “สัตตวะ รชัส และตมัส” นัน้ คงตองบอกวาคําแรกเปนเรื่องที่เกี่ยวกับ รางกาย ในขณะที่คาํ หลังเกี่ยวของกับ จิตใจ หากพี ่เขาใจไมผิด ความหมายตามรากศัพท โดยรวมๆ ของ “มิตราหาระ” คืออาหารที่เปนคุณหรือเปน

1107 4

โดย ธีรเดช อุทัยวิท ยารัตน ประโยชน(มิตร)ตอรางกาย ซึ่งก็คือสิ่งที่เรารับ ประทานเขาไป เพื่อบํารุงและหลอ เลี้ยงรางกาย สวนสัตตวะ รชัส และตมัส คือคุณสมบัติหรือสภาวะ ของจิตใจ ซึ่งอยางที่พวกเรานาจะคุนเคยหรือไดยินไดฟงหรือ ไดอานมาวา สัตตวะคือสภาวะจิตใจที่ชัดเจนหรือสวาง ในขณะที่รชัสคือสภาวะจิตใจที่เคลื่อนไหวไปมา สวนตมัสคือ สภาวะจิตใจที่อยูนิ่ง และโดยมากมักมีน ัยยะของอาการเฉื่อย ของจิตใจ เนื่องจากคําวา ตมัสแปลว ามืด พี่คดิ วามองจากอีก แงหนึ่ง รชัสกับตมัสอาจกลาวไดวาเปน คุณสมบัติที่อยูคนละ ปลายสุดหรือขั้วตรงกัน ขามกัน ในขณะที่สัตตวะคือสภาวะที่ สมดุลระหวางรชัส กับ ตมัส ซึ่งสามคํานี้เรียกรวมกัน วา “ตริ คุณะ” หรือคุณสมบัติสามแบบของจิตใจ อยางไรก็ตาม แมวาอาหาระกับ ตริคุณะจะเปนอะไร ที่อยูกันคนละมิติ คือกายกับ จิตอยางที่กลาวมา แตทวามี ความเชื่อมโยงและสงผลตอกัน อยางนอยก็ในระดับของคน ทั่วไป ดังที่ม ึคาํ กลาววา “เราเปน อยางที่เรากิน ” (you are what you eat) พูดงายๆ วาอาหารที่เรากิน ยอมสงผลตอจิตใจ(โดย ที่น าจะผานคุณสมบัติของรางกายซึ่งเปลี่ยนไปตามหรือไดรับ ผลกระทบจากอาหารที่เรากินอีกที) ตัวอยางเชน คนที่กินเผ็ด


มากๆ ซึ่งสงผลใหรางกายรอนและเกิดการเผาผลาญ และเมื่อ ปริม าณของอาหารรสเผ็ด ซึ่งทําใหระดับของความเผ็ดรอนใน รางกายเพิ่มถึง จุดหนึ่ง ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทาง คุณภาพ ทําใหจิตใจของคนๆ นั้นรุม รอนกระวนกระวายหรือมี อาการอยางใดอยางหนึ่งที่เทียบเคียงไดกับไฟที่คโุ ชนขึ้น เชน หงุดหงิด ขุนเคือง ซึ่งเปน ลักษณะหนึ่งของสภาวะที่เรียกวา “รชัส” ในทางตรงกัน ขาม คนที่กินอาหารที่ม ีคณ ุ สมบัติ หนัก ซึ่งหมายถึงอาหารที่ยอ ยยาก และอาหารที่เพิ่มเนื้อเพิม่ มวลใหรางกาย เชน เนื้อสัตว อาหารที่ม ีรสหวาน ของมัน ฯลฯ ก็จะทําใหรางกายเคลื่อนไหวชาลงเนื่องจากมวลที่ เพิ่ม ขึ้น (พี่คิดเอาเองวาคําว ามวลที่เพิ่ม พูนสะสมขึ้น อาจไม จําเปนวาน้ําหนักจะตองเพิ่มขึ้นเสมอไป คําวามวลที่สะสม เพิ่ม ขึ้น อาจเปนความแนนของเซลลของเนื้อเยื่อที่เพิ่มขึ้น โดย ที่น ้ําหนักตัวโดยรวมของรางกายอาจจะยัง คงเดิม แตแนนอน วาเมื่อเพิ่ม ขึ้น ถึงระดับ หนึ่งน้ําหนักจะเพิ่ม ขึ้น รูปธรรมทีน่ าจะ ใหภ าพของลักษณาการที่พี่บอกวา มวลเพิ่มแตน ้ําหนักตัวไม เพิ่ม คือคนๆ นัน้ จะเคลื่อนไหวชาลง หรือรูสึกหนักเนื้อหนวง ตัว แตน ้ําหนักยังคงที่) และเมื่อมวลในรางกายเพิ่มขึ้น รางกายก็ยอม เคลื่อนไหวชาลงหรือเฉื่อยชาลงโดยเปรียบเทียบ (กับตอนที่ ไมไดกนิ อาหารที่หนัก) จิตใจก็พลอยซึม เซาหรือไมกระตือรือ รนไปดวย ซึ่งเรียกในภาษาสันสกฤตวา “ตมัส” เชนนี้แลว ที่ถามวาหลักการเรื่องมิตราหาระ ครอบคลุมถึง สัตตวะ รชัส และตมัสดวยหรือไมนนั้ คําตอบ แบบไมสน้ั เทาไรก็คอื อาหาระหรืออาหารมีสวนสงผลตอ สภาวะของจิตใจวาจะเปนสัตตวะ รชัส หรือตมัสของคนเราได อยางที่กลาวมา โดยเฉพาะในกรณีของปุถุชนคนทั่วไป ที่บ อกวาสงผลในกรณีของปุถุชนคนทั่วไป ก็เพราะ ในกรณีของคนที่เคี่ยวกรํา (ตปสหรือตบะ) ตนจนถึงระดับที่ จิตใจสงบนิ่ง(ในยามที่ไมจําเปนตองกระทําการ) และในยามที่ ตื่น ตัวก็ ตื่น ตัวแบบไมตื่น ตระหนก อาจไมถูกกระทบหรือไดรับ ผลจากอาหารที่กินเขาไปหรือไดรับ ผลนอย เชน แมจะกิน พริกขี้หนูสวน อาจรูสึกเผ็ดรอนที่ลิ้นและมีเหงื่อผุดพรายตาม ไรผม แตจิตใจยังคงสงบนิ่งไมกระวนกระวาย พี่อยากจะขยายความคําวา สัตตวะ ในความเขาใจ ของพี่(ในเวลานี้ ซึ่งอาจเขาใจผิด)วาสภาวะจิตใจที่เปนแบบ สัตตวะ นั้นไมนาจะหมายถึง จิตใจที่อยูนิ่งๆ ตลอดเวลา เพราะ พี่คิด-เอาเอง-วาจิตใจที่ไมเคลื่อนไหวเลยไมอาจกระทําการได ทั้งนี้คงตองขยายความเพิ่มอีกวา คําวาจิตใจที่พี่เพิ่ง กลาวถึงนั้นหมายถึง “มนัส” ในทางโยคะ (รวมทั้งอายุรเวท)

1107 5

ซึ่งเปนเสมือนสัญญาณ อันเปนสื่อกลางระหวางจิตตะกับ อิน ทรียที่จะตองมี เพราะไมเชนนัน้ รางกายและอิน ทรียจะไม สามารถทําการหรือเคลื่อนไหวได มนัสอาจเทียบเคียงไดกับ คําสั่งหรือ OS (operation system) ที่จําเปนตองติดตั้ง ไม เชนนั้นหากมีแต CPU และจอกับคียบ อรด คอมพิวเตอรก็คง เหมือนกับรางกายที่อยูเฉยๆ โดยไมอาจทํ าการอะไรได สรุป รวมความแลว อาหารกับ สภาวะของจิตใจมีสว น เกียวของสัมพัน ธกันอยางที่แลกมาขางตน อยางไรก็ตาม พี่อยากจะแลกเพิ่ม เติมอีกประเด็น หนึ่งวา บางครั้งการพยายามเชื่อมโยงกายกับ จิต ซึ่งนาจะ สามารถเชื่อมโยงกันไดทุกกรณี (เชน อาหารกับสภาวะของ จิตใจ) อาจทําใหเรามองขามเรื่องของรางกายหรือเรื่องของจิต ในตัวมันเองไปก็ได อยางเชนกรณีของมิตราหาระ ซึ่งอยางที่บ อกว าเปน เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เราปอนเขาสูรางกาย(ซึ่งถือเปนสิ่งจําเปนที่ รางกายตองการเพื่อค้ําจุนรางกาย ซึ่งเปน หนึง่ ในเสาหลัก (อุปสตัม ภะ)ของชีวิต) หากเราคิดถึงแตความเชื่อมโยง ระหวางอาหารกับ จิตใจวาอาหารที่กินเขาไปจะสงผลตอ จิตใจ อยางไร เราอาจมองขามไปวา อันที่จริงแลวอาหารสง ผลตอ รางกายโดยตรง และกอนที่จะสง ผลตอจิตใจดวยซ้ํา ผลของอาหารที่มีตอรางกายโดยตรงนี้เอง จะสง ผล ตอการฝกอาสนะของเรา กลาวคือหากรับ ประทานอาหารที่ หนักหรือบํารุงมากเกินไป (ในหลายกรณีอาหารที่บ ํารุงมากๆ มักจะยอ ยยาก) รางกายก็จะหนักเนื่องจากมวลที่หนาหรือ แนนขึ้น หรืออยางนอยๆ อาหารที่ยอยยากจะอยูในกระเพาะ นานกวา พูดอีกอยางวากระเพาะตองใชเวลานานขึ้น ในการ ยอ ยอาหารกอนที่จะปลอยใหอาหารที่ยอยแลวผานลงสูลําไส ตอไป เมื่ออาหารยังคางอยูในกระเพาะ เวลาจะกมจะแอน จะบิดตัวไปดานขางหรือ จะยืดรางไปเฉียงๆ ก็ทําไดลําบาก (ขึ้น)เพราะชองทองไมโปรงโลง นี่คอื รูปธรรมที่(นาจะ)ชัดเจน ที่สุดของผลของอาหารที่มีตอการฝกอาสนะ (ซึ่งตองใช รางกาย) พอดีวาระหว างที่คดิ และเคาะคียบอรดไปดวยนี้ ไมมี ตําราอยูในมือ เลยจําไมไดวา คําวา “มิตราหาระ” ถูกเอยถึงใน บริบทไหน จะไดคดิ แบบคลําทางวา มิตราหาระที่คมั ภีร(หฐ ประทีป กา) อางถึงนั้น ตองการเนนย้ําในมิติไหนระหวางกาย กับ จิต หลังๆ เวลาอานคัมภีร( ซึ่งแปลเปนภาษาอังกฤษ) พี่ มักจะดูวาเนื้อหาหรือประเด็น รวมทั้งรายละเอียดในเรื่องนัน้ อยูในบริบทไหน หลักในการตั้งขอสังเกตนี้เปนอีกอยางหนึ่งที่


ซึมซับ รับ จากครูอ ายุรเวทของพี่ พี่คิดวาประเด็นนี้น าจะเปน ไหนๆ ก็ลากประเด็น จากที่เล็กถามเรื่อง(มิตระ)อา วิธีหนึ่งในการทําความเขาใจสาระบางเรื่อง หรือประเด็น หาระกับ ตริคุณะ มาไกลถึงเพียงนี้แลว หากจะเลยตอไปอีกก็ บางอยางในคัมภีรด้งั เดิม คงไมงงมากไปกวานี้(ฮา) พี่ก็เลยจะเอาสีขางเขาถูวา เรา เล็กคงจําไดที่พี่เคยคิดดังๆ ใหพวกเราไดยิน ใน นาจะสามารถเชื่อมโยง สัตตวะ รชัส และตมัส กับสถิระและ คลาสวิน ยาสะถึง ความหมาย (ระหวางคํา) ในตอนทายของ สุขะได ในทํานองเดียวกับ ที่เชื่อมโยง “มิตราหาระ” กับตริ โศลกที่ 47 บทที่สองของโยคสูตร ที่บ อกประมาณวา (ผูฝก) คุณะ จะเขาถึงซึ่ง (หรือกระทั่งเปนหนึ่งเดียวกับ) ความไมมที ี่สิ้นสุด อยางที่พี่เคยแลก(แลวแลกอี ก และจะยัง แลกไป (อนัน ตะ สมปตติ) โยคชนบางทานอรรถาธิบายวา ความไมมี เรื่อยๆ ตราบใดที่พวกเราไมสงเมลไปบอกวา “พี่เละ หยุดแลก ที่สิ้นสุดที่วานี้กค็ ือ “ปราณะ” หรือ “ลมหายใจ” เพราะปราณะ เถอะ”)วา สถิระกับ สุขะคือคูตรงกัน ขามแบบหนึ่ง ระหวาง เปน สิ่งที่ไมม ีขอบเขตหรือไมมที ี่ส้นิ สุด หยุดนิ่งกับ เคลื่อนไหว หรือการตรึง(มั่น คง)กับการคลาย ซึ่ง ซึ่งพี่เคยตั้งคําถามกับตัวเอง ใหพวกเราไดยิน วา ในแตละอาสนะและแตละอิริยาบถ ไมจําเปนและไมนาที่ หาก “อนันตะ” หรือความไมมีที่สน้ิ สุดที่วานี้คือ ปราณะ สภาวะของสถิระและสุขะจะเหมือนกัน เพราะเหตุใดปตัญชลีจึงไมใชคําวา “ปราณะ” ไปเลย หรือ ความทาทายของผูฝกอาสนะก็คือการคนหา เขาถึง อยางนอยก็นาจะเขียนเปน โศลกในทํานองวา (ผูฝกจะเขาถึง) และเปนหนึง่ เดียวกับ สมดุลระหวางสถิระและสุขะ ปราณะซึง่ เปนสิ่งที่ไมม ีที่สนิ้ สุด เมื่อสถิระในแงหนึ่งหมายถึงนิ่งหรือมัน่ คง สวนสุขะ ตอกรณีน ี้ พี่เคยคิดกับตัวเอง(เพราะตอนนัน้ ไมม ีใคร หมายถึงการเคลื่อนไหว(อิสระ) สถิระก็เปนคุณสมบัติ(ในทาง มาสุมหัวรวมดวยชวยคิด)วา ไมแนวา มหามุน ีทานนี้อาจเลน รางกาย)ที่คลายกับ ตมัสซึ่งเปนคุณสมบัติในทางจิตใจ สวน กับ ประสบการณของผูผานคัมภีรแตละคน หมายถึงวาเราจะ สุขะอาจเทียบไดกับรชัส ตีค วามคําวา “อนัน ตะ” อยางไรนั้น ขึ้นอยูกับประสบการณ เชนนั้นแลว สมดุลระหว างสถิระกับสุขะก็อาจเทียบ และการตกผลึกแหงสติปญญาที่เกิดจากการฝกฝนของเรา ไดกับสัตตวะ(ในทางรางกาย)นัน่ เอง เชนนี้แลว พี่เลยคิดแบบหยาบๆ (แตอ าจซับซอน– ไมงงตอนนี้แลวพี่น องจะงงตอนไหน(วะ)–ฮา ฮา)ของพี่วา ในเมื่อคําวา “อนันตะ” ถึง กลาวถึงในบริบทของ เละ อาสนะ ก็น าจะเปนไปไดเหมือนกันที่ ตัวอาสนะนัน้ เองก็ไมมี ที่สิ้นสุดไดเชนกัน …………………………………………………………………….. เ ห็ ด 2. เรื่อง "เห็ด" เห็น วา ทางอินเดีย ไมนิยมรับประทาน และ ถือวาเปน พืชที่สงั เคราะหแสงเองไมได เมื่อทานแลวจะทําให พลังเสื่อมถอย ในทางอายุรเวทกลาวถึงเห็ดไวทํานองนี้ดวย หรือไมครับ แตในขอสังเกตของผมนัน้ อาหารของไทย จีน ญี่ปนุ ก็มีสวนประกอบของเห็ด และ กลาวถึงคุณคาทาง โภชนาการไวมากอยู หรือวาเราตองพิจารณาอาหารชนิดนี้ กัน ตามภูมปิ ระเทศที่แตกตางกันดวย ขอบคุณครับ ถึงแมวาจะไปๆ กลับ ๆ ระหวางสยามประเทศกับภา รตะทวีป มาจนเริ่มเลือนๆ วาไปและมากี่เที่ยวแลว แตพี่กไ็ ม กลาฟน ธงวาชาวอิน เดียไมนิยมรับประทานเห็ดอยางที่เล็กได ยิน มา เนื่องจากพื้นที่ในอินเดียที่พี่ไปและ ”อยู” ดวยนั้น ก็กิน เนื้อที่ไมก่สี ิบตารางกิโลเมตร

1107 6

โดย ธีรเดช อุทัยวิท ยารัตน อยางไรก็ตาม เอาเปน วาเฉพาะในแถบถิ่น แผนดิน ไมกวางนักที่พี่ไปอยูรวมทั้งที่ไดไปเห็นมานัน้ หากเทียบกับ บานเราแลว เขากิน เห็ดนอยชนิดและนอยปริม าณกวาเรา อยางนอยเทาที่เห็นจากตลาด ซึ่งพี่ไมแนใจเหมือนกัน วาการ ที่เขากิน เห็ดนอยชนิดกวาบานเรานัน้ จะหมายความวาเขาไม นิยมรับ ประทานเห็ดดวยหรือไม เพราะการไมคอ ย รับประทานอาจเกิดจากหลายสาเหตุและปจจัย โดยที่หนึ่งใน นัน้ อาจเปน ไปไดวา เปน เพราะ “ไมนิยม” และที่คนบางกลุม “ไมน ิยมรับประทานเห็ด” ก็อาจเปนเพราะเชื่อหรือไดรับขอมูล วาเห็ดเปน พืช(ชั้น ต่ํา)ที่สงั เคราะหแสงเองไมได แตพูดก็พูดเถอะ พี่ม ีความคิด(ซึ่งมีความรูสึกรวมอยู ดวย)วา ตอใหคนอินเดียไมนิยมรับ ประทานเห็ด โดยเฉพาะ หากเขาไมนิยมรับประทานเห็ดมาแตด้งั แตเดิม แลวละก็ พี่ไม คิดว ามาจากเหตุผลวาเห็ดเปน พืชที่สังเคราะหแสงเองไมได


ที่คิดเชน ที่วามาก็เพราะ หากเปนกรณีที่ถาคน อิน เดียไมนิยมรับประทานเห็ดมาแตไหนแตไรแลว คนอินเดีย ในยุคนั้น ไมนาจะมีคอนเซ็ปตเรื่องการสังเคราะหแสงของพืช เวนแตวา มีคอนเซ็ปตอื่นซึ่งมาเทียบเคียงกับวิธีคิดในทาง วิทยาศาสตร แลวตรงกับ กระบวนการที่เรียกวา“การ สังเคราะหแสง” เพราะอยาลืมวาคําวา “สังเคราะหแสง” เปน ความคิดและความรูของวิทยาศาสตรสมัยใหม คิดเห็นอยางเชนที่วามาแลว พี่กเ็ ลยอดรูสึกไมไดวา ความคิดหรือความเชื่อหรือกระทั่งกลายเปนกระแสที่ถือวาคน บางหนชนบางแหงไมน ิยมรับประทานเห็ด ดวยเหตุผลของ การสังเคราะหแสง เปน การหาเหตุผลในปจจุบัน ไปอธิบ ายวิถี ในอดีตเพื่อสนับ สนุนวิธีคิด หรือกระแสบางอยางที่อ ยากจะ สรางโดยเขาใจเอาเอง(และทําใหคนอื่นพลอยเชื่อตาม) สวนที่เล็กตั้ง ขอสังเกตวา “อาหารของไทย จีน ญี่ปนุ ก็ม ีสว นประกอบของเห็ด และกลาวถึงคุณคาทางโภชนาการ ไวมากอยู” นัน้ พี่ขออนุญาตตั้งขอสังเกตเพิ่ม เติม หรืออยาง นอยก็เปนการตั้งคําถามกับ ตัวเองดังๆ วา เปนไปไดไหมวา การขุดคุยหาอาหารมา (ปรุงและ) รับประทานในชวงเริ่มแรก ของการรูจักและรับ ประทานอาหารชนิดนัน้ ๆ หลักๆ แลวเปน สัญชาติญ าณในการดิ้นรนเพื่อความอยูรอด (จากอาหารการ กิน )ของมนุษย พูดใหเห็นเปนรูป ธรรมก็คือ คนอยูกบั ปา ก็ เรียนรู(รวมทั้งอาจลองผิดลองถูก)เก็บของปามากิน ในรูป แบบ ตางๆ เห็ดก็คอื ของปาอยางหนึ่งที่คนเรียนรูจากประสบการณ วากินได แตก็ไมทุกชนิดอย างที่ชาวบานในหลายพื้น ที่มี ความรูสืบทอดกัน มาวา เห็ดก็เปน เชนสตรี(บางคน)ที่อาจทํา ใหคันคะเยอได ดังเชน “เรยา” คนนัน้ สวนคําอธิบ ายเกี่ยวกับคุณคาทางโภชนาการ หรือ กระทั่งการพลิกแพลงแตงรส ไปจนถึงการดัดแปลงเปน อาหาร ตํารับ ตางๆ เปนศาสตรและศิลปที่เกิดการคลี่ค ลายขยาย ขอบเขตความรูและประสบการณเกี่ยวกับ พืชพันธุธัญ ญาหาร ตางๆ ในชั้นหลังๆ โดยที่หนึ่งในความรูความเขาใจ เกี่ยวกับการเลือก พืชพันธุห รือสัตวตางๆ มา (ปรุงหรือประกอบ) เปนอาหาร อยางนอยก็ในมุมมองและหลั กการของอายุรเวท ก็คือการ เลือกรับประทานอาหารตามฤดูกาล ตามภูมิประเทศ ตาม ธรรมชาติของแตละคนซึ่งไมเหมือนกัน และตามปจจัยอีก หลายอยางหลายประการ ซึ่งพี่คิดวาเรายังสามารถพยายามอธิบ ายเหตุผลของ การที่ควร (เลือก) รับ ประทานอาหารไปตามปจจัยหรือมิติ แงม ุมตางๆ ที่ยกตัวอยางมาขางตนไดอีก เชน ที่มีการพูดกัน วาเราควรรับ ประทานอาหาร (ทีออก) ตามฤดูกาล (ตาม

1107 7

ธรรมชาติ) ซึ่งหากอธิบายกันในยุคนี้ ที่มนุษ ยสามารถ ดัดแปลงพันธุจนมะมวงใหผลไดสามฤดู ชมพูม ีใหกินเกือบทั้ง ป เราก็อธิบ ายวาพืชพันธุที่ถูกบังคับ ใหผลิดอกออกผลนอก ฤดูกาล อาจมีสารอาหารที่ผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติที่ควรมี ควรเปน ไมนบั สิ่งแปลกปลอมที่เราใสเ ขาไปอยางยาฆาแมลง ฯลฯ ซึ่งเปนคําอธิบายที่ม ีหลักและเหตุผลที่น าเชื่อ ถือ แตก็อีกนั่นแหละ พี่เคยแอบคิดกับตัวเองเงียบๆ แต มาดังตอนนี้วา การกินอาหารตามฤดู กาลในอดีตนั้น ไมแนวา ที่ควรกินผลไมหรือผัก(ธรรมชาติ)ตามฤดูกาลนั้น เหตุผล เพียงประการเดียวก็ คอื เพราะตอใหเราอยากกินทุเรียนนอก ฤดูกาล มันก็ไมมีใหกนิ หรอก (ฮา) พอๆ กับการอยากเจอ นักการเมืองนอกฤดูกาลเลือกตั้งอะไรประมาณนัน้ เพียงแต ความแตกต างระหวางผลไม(ตามฤดู กาลในธรรมชาติ) กับ นักการเมืองที่ไปหาชาวบานในฤดูกาลเลือกตั้ง ก็คือผลไมที่ ออกตามฤดู กาล จะอยางไรก็มีคุณคาในทางโภชนาการ และ บํารุงหลอเลี้ยงชีวิต แตนักการเมืองที่มาตามฤดูกาลเลือกตั้งนั้น ก็รูๆ กัน อยู ไหนๆ เล็กก็ถามไปอยางตั้งใจวา อายุรเวทพูด เกี่ยวกับ เห็ดไววาอยางไร แตพี่ดนั เถลไถลไปไหนตอไหนจน ถลอกปอกเปก พี่ม าตอบตอนจบก็แลวกันวา อายุรเวทพูดถึงเห็ดวา(เปนอาหารที่)มีคณ ุ สมบัติเบา ซึ่งสามารถหมายถึงทั้งยอยงาย สังเกตวาเห็ดจะมีลักษณะ กลวงๆ ยกเวน เห็ดบางชนิดที่เนื้อคอนขางเหนียว เชน เห็ด เปาฮื้อ เห็ดภูฏาน (ไมรูวาเกี่ยวของกับ พระราชาจิ๊กมี่ที่เพิ่ง ทรงทําใหสาวทั่วโลกอกหักไปหมาดๆ) ฯลฯ เห็ดบางชนิดก็ กรอบ ความที่เห็ดทั่วไปมีคณ ุ สมบัติเบา แหง เพราะฉะนัน้ การกินเห็ดในปริมาณทีม่ ากเกิน ไป โดยเฉพาะในกรณีของคน ที่ม ีธาตุลมอยูม ากในรางกาย อาจทํ าใหธาตุลมกําเริบได เชน ทองอืด ทองเฟอ เรอและตด แตเนื่องจากเห็ดมีคณ ุ สมบัติเย็น จึงเหมาะกับคนที่มีธาตุไฟมาก จากขอมูลแบบโคตรยอในสองยอหนาขางตน หากพี่ จะลองเอาสีขางเขาถูเพื่อจับแพะชนแกะ คือเอาขอมูลเรื่อง เห็ดจากมุมคิดของอายุรเวท ลากจูงมาผูกเขากับ เรื่อง สังเคราะหแสงใหได ก็อาจพูดไดประมาณวา เนื่องจากเห็ดไม สามารถสังเคราะหแสงเองได จึงทําใหม ันมีความเย็น เพราะฉะนัน้ คนที่รางกายเย็นจึงไมควรกินเห็ด ซึ่งอาจทําให คนอิน เดียบางสวนไมนิยมรับประทานเห็ด อยางไรก็ตาม พูดตามตรงวาพี่ไมเชื่อขอความ ตอนทายของยอหนาลาสุดเลย พับผาสิ


วาแตวา ถึงตอนนี้ที่อายุที่เปนตัวเลขเลยกึ่งศตวรรษ คนเราไม(ควร)นิยมรับประทานเห็ด เพราะมันสังเคราะหแสง มาแลว พี่ก็ชกั เลือนๆ ไปแลวว า กระบวนการสังเคราะหแสง เองไมได ถาเชน นัน้ หมู หมา กา ไก ก็ไมควรถูกนิยม คืออะไรหวา ใครไดเกรดเอวิชาวิทยาศาสตรชวยอธิบายทวน รับประทานดวยหรือเปลา เนื่องจากเปน สัตวหรือสิ่งมีชีวิตที่ ใหฟงอีกทีวากระบวนการสังเคราะหแสงนั้น ใชเฉพาะกับ พืช “สังเคราะหแสงเอง” ไมได เหมือนกัน หรือไม เพราะพี่เกิดสงสัยขึ้นมาแบบตั้งใจกวนเล็กๆ วา เละ …………………………………………………………………….. กระดูกกนเคลื่อน เพราะทําทาอาสนะ ถาม ดิฉ ันมีอาการกระดูกตรงกนเคลื่อนเล็กนอยเกิดจาก ทําโยคะทาเหยียดขาไปขางหนาและขางหลัง เกิดเสียงดัง กอก ของกระดูกที่เคลื่อน มีอาการหนามืด และเจ็บ มีผลทําใหเวลา นั่งเหมือนนั่งทับกระดูกชิ้น ที่เคลื่อน เจ็บ จากการเสียดสี จน ตองนั่งกนเดียว ถานั่งนานจะเจ็บราวลงถึงใตเขา จนเดินไม ถนัด บางวัน ชา บางวัน คัน กน บางวันเจ็บในกระดูกกนเหมือน โดนฉีดยา ตอนนั่งนานๆ ปวดราวลงขา จึงทําโยคะซ้ําทาเดิม ทําใหนั่งไดดีขึ้น แตไมหายขาด แตยังคงกังวลเรื่องกระดูกกด ทับ และเสียดสีเ วลานั่ง อยากให กระดูกกลับเขาที่ จึงไปทํา กายภาพบําบัดแลวดีขึ้นบาง แตกระดูกยังไมเขาที่ และตอนนี้ มีปญ  หาเรื่องเสน ใตเขาตึงเพิ่มขึ้น เปนผลมาจากไปทํา กายภาพแลวหมดนวดกดโดนเสน ที่กน เวลาเหยียดขาจาก การนั่งพับเพียบจะเจ็บมาก ดิฉ ันไมอยากผ าตัด ยังมีวิธีแก อาการใหเปนปกติไดหรือไม ขอขอบคุณมาลวงหนา ตอบ เรียน คุณผูฝ กโยคะ คําถามที่ถามมานี้ ขอมูลไมพอที่จะตอบนะครับ ไม ทราบกระดูกที่วานี้คือชิ้นไหน กระดูกที่มีปญหาเปน อยางไร เคลื่อนหรือราว เสน ประสาทบริเวณรอบๆ เปน อยางไร กลามเนื้อบริวเณรอบๆ ตอนนี้เปนอยางไร? สิ่งที่เรานาจะทํา เบื้องตน คือ วินิจฉัยโรค ซึ่งแพทยแผนตะวัน ตกจะมีความ เชี่ยวชาญ มีเครื่องมือในการตรวจวินิจฉัยที่ส ามารถบงบอกถึง สภาพที่เปนอยูไดโดยละเอียด เมื่อไดขอมูลที่เพียงพอแลว ขั้นตอไปก็คือเลือก วิธีการรักษา ซึ่งถาสภาพรุน แรงเกินกวารางกายจะฟนฟู ตัวเองได เจ็บปวดมากจนไมสามารถดําเนิน ชีวิตปกติ อาจจะ ตองผาตัด แตถายังพอไหว การทํากายภาพบําบัดก็เปนวิธีที่ดี โดยผมแนะนําใหหานักกายภาพบําบัดที่เขาใจโยคะ เชนที่ คลินิกกายภาพบําบัดของมหาวิทยาลัยมหิดล อาจารยคม ปกรณ ลิม ปสุทธิรัชต เปน อาจารยกายภาพบําบัดที่ศึกษา เรื่องโยคะดวย ผมแนะนําใหลองไปปรึกษา http://www.pt.mahidol.ac.th/ptclinic/

1107 8

โดย กอง บ.ก. เรื่องการนวดก็เปนอีกวิธีรกั ษา ซึ่งก็เชน กัน ในกรณี นี้ ควรเปนหมอนวดที่มีความเชี่ยวชาญในการนวดเพื่อรักษา โดยตรง ไมใชหมอนวดทั่วไป หรือเลือกรักษาแบบอายุรเวท โดยเปนหมอทีม่ ี ความชํานาญในเรื่องอาสนะดวย ที่ผมรูจักคือ อาจารยธีรเดช อุทัยวิท ยารัตน ซึ่งเปนหมออายุรเวทที่เรียนมาจากอินเดีย และเปนผูเชี่ยวชาญดาน วิน ิโยคะ เรียนกับ อาจารยเทสิคชา อาจารยธีรเดชมีคลินิกอายุรเวท เปดรักษาที่ซอยนวมิน ทร 74 โทรศัพท 085 076 2299 อีกทางเลือ กก็คอื รักษาโดยตนเอง ดวยโยคะตาม แนวทางตําราดั้งเดิม โยคะแนวนี้ มีเปาหมายคือ จิตอันเปน สมาธิ โดยผลพลอยไดคอื รางกายที่สมดุล การทําทาอาสนะตามแนวทางตําราดั้งเดิมนัน้ ไม เนนฝกทามากๆ มีเพียง 1 ทาศพ 2 คัน ไถ ½ ตัว 3 จระเข 4 ทางู 5 ทาตั๊กแตน 6 ทานั่งพัก 7 ทาหัวจรดเข า 8 ปศจิโมทนา 9 ทานั่งเพชร 10 ทาโยคะมุทรา 11 ทาบิดหลัง 12 ทาภูเขา 13 ทากงลอ และ 14 ปดทายดวยทาศพ การฝกอาสนะตามตําราดั้งเดิมนี้ ไมฝน ไมบงั คับ รางกาย โดยใชหลั กที่ระบุไวในตําราปตัญชลีโยคะสูตรวา 1 นิ่ง 2 สบาย 3 ใชแรงนอย และ 4 มีสติ เรียกวาตลอดเวลาของ การทําอาสนะ ผูฝกจะฟงตนเอง คอยๆเรียนรูตนเอง เขาใจ ตนเอง รูจักตนเอง เอื้อเวลาใหเกิดการจัดปรับ สมดุลภายใน กาย-ใจตนเอง เกิดความผอนคลาย ทําเสร็จรางกายเบา สบาย คลองแคลว ขณะที่จิตแจม ใส เบิกบาน ตืน่ รู เมื่อทํา อาสนะตามหลักการนี้ไปอยางสม่ําเสมอ จิตก็คอ ยๆ เปน สมาธิ ขณะที่รางกายคอยๆมีความสมดุลมากขึ้น รวมทั้งหาก มีความผิดปกติใดๆ ในรางกาย ก็คอยๆ ซอมแซม คอยๆ ฟน คืน ใหดีขึ้น ๆ ได โดยอาศัยระยะเวลาที่เหมาะสมตาม ธรรมชาติ ตามอาการที่เปน บางอาการที่ไมรุนแรง อาจใช เวลา 6 สัปดาห โดยทั่วไป ก็ประมาณ 3 เดือน สวนที่อาการ คอนขางมาก อาจใชเวลาเปนแรมป บางกรณีก็ฝกกันไป ตลอดชีวติ หยุดฝ กเมื่อไหรอาการก็กลับ มาอีก ก็มี ฝากคุณผู ฝกโยคะพิจารณา และขอเอาใจชวยใหคณ ุ หายจากอาการครับ


..............................................................................................................

โดย กอง บก โยคะคละวัย นอย เพราะนักเรียนปริมาณมานั่งหาวหวอดๆ ในชัน้ เรียนนัน้ บีบ คัน้ หัวใจครูที่ยืนสอนหนาชั้น สุดบรรยายเลยหละ อยากถามพี่พี่วา ๑. การสอนโยคะสามารถคละวัยไดไหมคะ ทั้งวัยสูงอายุ วัย ๓. จํานวนชั่วโมงที่รับ รองคุณภาพวาไดผล? อยางไร? ซึง่ ที่ เปดสอนหลักสูตร ๑๕ ชั่วโมง โดยฝกกันเฉพาะวันอาทิตยครั้ง ทํางาน? ได/ไมได เพราะอะไร? ละชั่วโมงครึ่ง ที่เหลืออีก ๖ วันในสัป ดาหผูเรียนตองฝกเองที่ ๒. ชวงอายุเทาไหรที่พอเหมาะในการฝกดวยกัน? โยคะที่พวกเราฝกกัน นี้ เนนการฝกจิตใหสงบ เปน บาน หลังจากนั้นประมาณ ๒ สัป ดาหผูเรียนบอกวารูสึก สมาธิ โดยในการสอนนักเรียนหลายๆ คนพรอมกัน หาก สบายตัวขึ้น เมื่อฝกไปไดสัก ๑ เดือนบอกวาน้ําหนักลด+ยืน ผูเรียนมีพนื้ ฐานทางดานจิตในระดับใกลเคียงกัน ก็ทําใหการ ทํางานไมเมื่อยลาดั่งแตกอน+สบายตัวขึ้น แสดงวาไมมีกํา สอนราบรืน่ หรือการที่ผูเรียนลวนมีความสนใจที่จะฝกจิต ก็จะ เกณฑรึเปลาคะ? เรื่องเวลาฝกนั้น เราใชหลักคราวๆ ดังนี้ เอื้อใหการสอนเปน ไปไดดว ยดี เมื่อเรามองในแงน ี้ อายุจึง เปาหมายของการสอนโยคะเราคือ เปลี่ยน ไมใชตัวกํ าหนดหลักครับ ผมยกตัวอยางแมคนเรียนอายุเทากัน คนนึงเปนคน พฤติกรรมของนักเรียน จากที่ไมใสใจสุขภาพ มาเปนผูใสใจ ไทยที่สนใจปฏิบัติธรรม อีกคนเปนฝรั่งที่ไมเคยไดยินอะไร ในสุขภาพของตนเอง ซึ่งการเปลี่ยนพฤติกรรมคนนัน้ เปน เกี่ยวกับ ”สติ” เลย ลองจิน ตนาการวาถาครูตองอธิบ ายใหคน เรื่องยากที่สดุ ของกระบวนการศึกษา เราจะเปลี่ยนพฤติฏรรมคนได เราตองทําใหเขา 2 คนนี้เขาใจหลั กอาสนะขอที่ 4 ใน PYS 2.47 คนแรกอาจจะ เขาใจทันทีขณะที่คนที่สองไมรูเรื่องเลย ถาเราไมอธิบ ายคนที่ ตระหนักถึงคุณคา ประโยชนที่ไดรบั จากโยคะ เราจะทําให คนๆ นึงปงในประโยชนของโยคะได ก็ตองเอื้ออํานวยใหเขา สองก็งง ครั้นเราตั้งใจอธิบาย คนแรกก็อาจจะเบื่อ ถาใหใกลตัวเขาอีกนิด นักเรียน 2 คน คราวนี้คน สามารถฝกไดนานพอที่รางกายจะตระหนักถึงผล ซึ่งตามสถิติ ไทยพุทธทั้งคู คนนึงอยากมาฝกโยคะแนวสมาธิ อีกคนอยาก คือ 3 เดือน มีบ างกรณีที่ใชเวลา เดือนครึ่ง แตโดยทั่วไปคือ 3 มาออกกําลังกาย ลองจินตนาการดู เราสอนชุดอาสนะพื้นฐาน เดือน โดยตองมีความสม่ําเสมอตลอด 3 เดือน ทําไดทุกวัน จะ 14 ทา เนน ผอนคลาย เนนทาศพ เนนการรูสกึ ตัว ฝกเสร็จคน ดีม ากเลย หากไมได อยางนอยก็ควรเปน วันเวนวัน โดยวันนึง แรกอาจจะชอบมาก ประทับ ใจ ขณะที่คนที่ 2 อาจจะไม ไมตองมาก 30 – 60 นาที ก็เพียงพอ ที่สําคัญคือ สม่ําเสมอ กลับมาฝกกับ เราอีกเลย เพราะเขาเบื่อ มันไมตรงกับ ความ จนเปนนิสัยนัน่ เอง การที่ผูเรียนรูสึกดี รูสกึ ประทับ ใจในวันแรก หรือ คาดหวังเขานะ ในกรณีที่ถาม นักเรียนคนวัยทํางานกับ วัยสูงอายุ รูสกึ ชอบ เพราะเห็นผล เชน น้ําหนักตัวลดลงใน 1 เดือนนัน้ ผมมองวาไมไดขึ้นกับวัย ขึ้น กับ ความสนใจเรื่องการพัฒนา ก็ดีกวาไมม ี แตความประทับใจเหลานั้นไมม ีพลังพอในการ จิตนะ สิ่งที่ผมปฏิบัติมาตลอดคือ การประชาสัม พันธให เปลี่ยนนิสยั ครับ ดังที่เรารับรูวา คนมาเรียนโยคะพื้นฐานกับ ชัดเจนวาเราจะสอนอะไร เพื่อคัดกรองคนที่สนใจในสิ่งที่เรา เราเปน หมืน่ ๆ คน แตที่เปลี่ยนมาเปนคนที่รักสุขภาพตัวเอง กําลังจะสอนเขามาเรียนกับเรา อยากลัววาปริมาณนักเรียนจะ เหลือแคจํานวนรอยเทานั้น ........................................................................................... โดดลงน้ํา ในการมีชีวติ อยู สําหรับหนูในฐานะที่ไดเขามา ปฎิบัติธรรมและเรียนรูในเรื่องธรรมะ อยางนอยเราก็ไดเขาใจ วาจริง ๆ แลวพระพุทธเจาทานสอนอะไร แกนของธรรมะที่ แทจริงคืออะไร ก็น ับวาไดม าถูกทางแลวคะ แตชีวิตจริงก็ยัง ทุกข ๆ สุข ๆ อยู ยัง คงตองยึดหลักธรรมะมาสอนใจตัวเองอยู ทุกวัน ขอเพียงแครูเทาทันความรูสกึ ที่เกิดขึ้น ใชไหมคะ

1107 9

โดย กอง บก อาจารย แตไปหามมันไมไดและไมควรหาม จะวางายก็งาย จะวายากก็ยากนะคะ แตที่เห็น ๆ ก็คอื เราทุกขน อยลง เพราะ ปลอยวางไดมากขึ้น เมื่อเห็นทุกอยางตามความเปนจริง ใจ เรามัน จะยอมรับไดเองในที่สุด ไมวาจะอยากหรือไมก็ตาม สรุป แลวการรับมือกับความทุกข ในการใชชวี ิต โดยทั่วไปเปนสิ่งที่หนูรับไดไมยาก แตค วามทุกขอยางเดียวที่ ยังแกะไมออก ก็คือเรื่องงานนี่แหละคะ ทํางานแลวไมมี


ความสุข มัน ไมอยากทําเลยคะ หนูวาคนที่ไดทํางานแลวมี ความสุขแถมไดเงินอีกเนี่ย โชคดีจังนะคะ สําหรับ หนูแคพอ เลี้ยงชีพไดก็พอแลว อยากไดความสุขทางใจมากกวา วางแผนคราว ๆ วาภายในสิ้นปน ี้อยากจะเกษียณแลวละคะ แตก็ยังไมรูจะไปทําอะไร หวังวาอาจารยคงสบายดีนะคะ ตอบ ดีใจมากเลยที่เราสนใจธรรมะ ศึกษา และนําธรรมะ มาเปนแนวทางในการดําเนินชีวิต เพราะมัน เปนหนทางที่พา เราเขาถึงความสุขอัน แทจริง ที่ประกอบไปดวยความสวาง ความสงบ ความเปน อิสระ โดยภารกิจหลักบนเสนทางนี้กค็ ือ การพัฒนาจิต การพัฒนาจิตมีหลายระดับ ที่เลาไปนั้น ก็บงบอกวา เราไดทํามาระดับนึงแลว ปลอยวางไดระดับนึง ทุกขน อยลง ไประดับนึง เห็น ตามจริงไดในระดับ นึง ซึ่งถือวาเปนเรื่องที่ นาชื่นชมมากๆ เรียกวา ไมใชมือใหมหัดขับ นะ ผมมองวา เราความกาวหนาในการพัฒนาจิตมา ตามลําดับ จนตอนนี้ม าถึงจุดที่ตองตัดสินใจ อันนึงก็คอื อยู อยางเดิม ยังคงทํางานที่เดิม ซึ่งเราไมมีความสุข แตมันก็มี รายไดใหเรายังชีพไดโดยไมขัดสน อีกอันก็คอื ขยับไปสูอีก ระดับ นึง ไปในพืน้ ที่เย็นใจ-สุขใจมากกวา แตก็มีความกังวล เรื่องรายไดเพื่อการยังชีพ มีคนเคยเปรียบภาวะเชนนี้วา เหมือนคนอยูบนบกที่ไฟกําลังเริ่มลุกไหม ยืน อยูริมตลิ่ง ตัดสินใจวาจะโดดลงน้ําดีไหม ถึงเวลาโดดรึยัง ขางบนก็รอ น ขึ้น ๆ แตยังพอทนได ขางลางรูวาเย็น แตไมมนั่ ใจวาเราวาย น้ําแข็งพอรึยัง และยังรูสึกตงิดๆในบางเรื่องเชน กลัวเสื้อ ผา เปยก ไมแนใจวาจะเจออะไรที่เราคิดไมถึงในน้ําหรือเปลา อะไรทํานองนัน้ ผมลองเลาชีวิตในน้ําเทาที่จะพอรูอ ยูบางใหฟง ตูม แรกที่โดดลงน้ํา ปรากฏวาพอแม ญาติ เพื่อน สนิทรอบขางหลายคนจะเปนหวงเรามาก พวกเขาวิ่งวุน อยูริม ฝง จะหาทางฉุดเราขึ้นใหได จนแทนที่เขาจะชวยอะไรเรา กลับกลายเปนเราตองชวยเขา คืออยูในน้ํานี่แหละ แตตอง คอยปลอบเขา อธิบ ายใหเขาเขาใจวา เราโดดลงมาเอง ไมใช อุบ ัติเหตุ ในน้ําขางลางนี้มปี ระโยชนมาก อะไรก็วา ไป กลาวคือ ชวงแรกนี้ เราตองยืนหยัดมากครับ ทั้งชัดเจนใน ตัวเอง ทั้งสามารถพิสูจนใหคนบนฝงที่หวงเราเห็นวาเราเอา อยู มีบ างหมือนกัน บางคนที่สุดทาย ก็กลับปน ขึ้น ฝงไปอยาง เดิม

1107 10

หลังจากการโดด เราก็เริ่มวายน้ํา การวายในน้ํา ตาง จากการเดิมบนบก อยูบ นบก เราคุน เคยกับการกินหมู ไลจับ นก กินผัก ผลไม อยูในน้ําเราเริ่ม เรียนรูที่จะกินปลา กิน สาหรายในน้ํา กินกุง กิน หอย คือจะบอกวาสิ่ง แวดลอมของ โลกบนบก (ทํางานที่เดิม) กับสิ่งแวดลอมในน้ํา (ชีวิตที่เรา เลือก early retired) ตางกันโดยสิ้นเชิง โดลงมาแลว ทิ้งความ เคยชินเดิมเสีย แลวเรียนรูสภาพแวดล อมใหมอยางเต็ม ที่ เต็ม กําลัง คนบางคนโดดลงมาแลวยังอาลัยอาวรณ ยัง คิดจะใช ชีวิตแบบเดิมเหมือนตอนอยูบนบก ยังพยายามหาหมูกินขณะ วายน้ํา อะไรทํานองนั้น คือจะบอกวา โลกในน้ําไมเหมือน โลกบนบกแนๆ และปวยการที่เราจะเอามันมาเปรียบเทียบ กัน มัน คนละเรื่องกันนะ ผมเชื่ออยางนี้ครับ ในเมื่อตอนอยูบน บก เรามีศักยภาพที่จะดํารงอยูได เมื่อเราลงมาอยูในน้ํา เราก็ ยังมีศกั ยภาพนี้อยูนนี่ า ผมมั่นใจวาเราสามารถดํารงอยูได ครับ แนนอน ถามวาเคยมีคนจมน้ําตายไหม ตอบวามี แตก็ ตองขอถามกลับดวยวาคนบนบกโดนวัวขวิดตายไดไหม ? โลกของการทํางานตามกระแส เราเอาเงิน เดือนเปน ตัวตั้ง และปริมาณเงิน จะเปนเครื่องดึงเอาความสุข (ทางวัตถุ) เขามา สวนชีวิตแหงการพัฒนาจิต เราเอาความสงบเย็นอิสระ เปน ตัวตั้ง และนํามันไปตัด ลด ละ วางวัตถุ เพื่อใหปญญา ภายในงอกงามออกมา ดังนั้นประเด็นที่วา ทําอะไรไดตั้ง หลายอยาง จะเอาตัวรอดทางเศรษฐกิจไดไหม สําหรับผมแลว มัน เหมือนกิน หมูขณะวายน้ํา ถาเปนผม ผมยอนถามอยางนี้ ครับ ที่เราทําอะไรไดตั้งหลายอยาง เชน งานวาดภาพ งาน เย็บปก การทําอาหาร ฯลฯ มันจะนําเราไปสูความสงบ เย็น เปน อิสระไดหรือเปลาตางหาก มันจะเอื้อตอการเติบ โตทาง ปญญาไหม ถาได ในทามกลางปญญานั้น ทุกอยางจะเปน ธรรมชาติ ทุกอยางจะมีความเปนปกติครับ มาถึงตรงนี้ ผมขอสรุปคือ สิ่งสําคัญ ของการตัดสิน ใจ early retired คือความมุงมัน่ ที่จะเขาถึง แกนธรรม ใจเราพรอม ที่จะทุม เทบนเสนทางแหงการพัฒนาจิตหรือยัง ถาใจพรอม อยางอื่น ไมตองกังวล เครือขายเรามีเพื่อน ซึ่งมีป ระสบการณการโดดลง น้ําก็หลายคนเราลองปรึกษาหารือ ดูได และมีครูโยคะอีกราย ทํางานในองคกรหนึง่ อึดอัดและตั้งใจจะลาออกมา 2 ปแลว แตดวยความสนใจการพัฒนาจิต กลายเปนวา ทุกวัน นี้ มี ความลงตัวในที่ทํางานมากขึ้น และดูเหมือนจะไมสนใจแลววา จะลาออกหรือ จะอยู ฝากพิจารณาครับ อีก หนึ่งความคิด ที่รวมแลกเปลี่ยน สวัสดีคะ


พี่คงมีเพียงประสบการณสวนตัว ที่อาจจะพอเปน จึงเปนการลงน้ําที่ทั้งคนวายและคนเชียรเย็น ใจไป แนวคิดเทานั้น ดวยกัน ทั้งคู มีคําถามหนึ่งที่พี่ถามตัวเองเปน หลายรอ ยหลายพัน มีสิ่งที่เราตองคํานึง ถึงคนรอบขางที่เขาอาจจะตอง ครั้งกอนตัดสิน ใจวา "ออกเพราะอยาก หรือ ออกเพราะพรอม" พึ่งพิงอาศัยเราอยูดว ย จึง ตองเตรียมการตรงนี้ใหเขาดวย ถาตอบไดเราจะไมหวั่น ไหวกับ อนาคต แตถายังตอบไมได เชนกัน แตไมใชเตรียมแบบเลิศหรู เตรียมแบบเหมาะกับ อยาเพิ่งออกเพราะมันจะไมไดอะไรเลยและเราจะเสียความ อัตภาพของเราและของเขา ตราบใดที่เรายังอยูในเพศ มัน่ ใจในอีกหลายๆเรื่องตามมา ฆราวาส เราจําเปน ตองแครคนรอบขางดวย เรายังไมไดสละ เราบอกวา อีกไมนาน คงได "โดดลงน้ํา" บาง ตอนนี้ บานเรือนออกเปนอนาคาริก เปนอยูดวยการขออาหารและ ตัวรุม ๆ เพราะความรอน อันที่จริงจะบอกวา "ตอนที่โดดลง ปฏิบัติธรรมอยางเดียว พี่คิดวาเราตองอยูบนฐานความเปน น้ํา เราควรจะตัวเย็น " ไมอยางงั้นเราจะช็อคกับ น้ําเย็นที่ จริงขอนี้ดว ยคะ กระทบตัวอยางจัง เดี๋ยวจะเปน ตะคริว "เย็นดวยธรรมะ ที่ การ early ของเรามันจะเปน early ที่เหมือนวาเรา หลอเลี้ยงใจ" เขาใจตัวเองวาออกมาเพื่ออะไรและมีเปาหมาย ไปถึงที่นัดหมายไดเชากอนเวลา เราก็จะมีเวลานั่งสบาย ของการเดินทาง หายใจหายคอคลอง ไมกงั วล เพราะมีเวลาเหลือ พี่ม ีการเตรียมการกอนออกระยะเวลาประมาณ 2 ป คุยกันไดเรื่อยๆ นะเรื่องนี้ เหนื่อยก็พัก ลาออกจาก ทําใหตัวเองเย็น และคนรอบขางรับรูความเย็นที่เกิดขึ้น จากเรา งานนะงายนิดเดียวแคกระดาษแผนเดียวเขียนเมื่อไรก็ได ไม จนเขาไมตกใจเกินไปที่จะกระโจนมาชวยเราว ายน้ําทั้งที่เขาก็ ตองรีบ แตทุกตัวอักษรที่จะเขียนตองกลั่น กรองแลวบนฐาน วายไมเปน และเขาจะคอยเฝาดูเราวายน้ํา แมวาแรกๆ เรา จิตใจที่ม ั่นคงนะ อาจจะดูเกๆ กังๆ ไมถนัด แตพอนานวันเขา เราเริ่ม วายได ดวยความระลึกถึงเสมอคะ เขาไมตองคอยลุน และเหลี ยวมองบอยๆ และเขารูวาอยางไร พี่ เราก็จะปลอดภัย ........................................................................................... โดย กองบรรณาธิการ

ทรี คัพ ออฟ ที เกร็ก มอรเทนสัน เขียน คําเมือง แปล สนพ. สัน สกฤต 560 หนา 350 บาท ชาถวยแรกที่ดื่ม คุณคือคนแปลกหนา ชาถวยที่สอง... คุณคือแขก ชาถวยที่สาม... คุณคือครอบครัว และเราตายแทนกัน ได เขียนจากเรื่องจริง ของนักไตเขาชาวอเมริกนั ใน บริเวณเทือกเขาตอนเหนือของปากีสถาน ติดกับอินเดียและ จีน ดินแดนชายขอบที่รัฐบาลปากีสถานไมสนใจที่จะพัฒนา คุณภาพชีวิตของคนทองถิ่นเหลานี้ เกร็กรอดตายจากการปน เขาและสัญญาว าจะกลับ มาชวยเหลือ ดังที่นักปน เขา ชาวตางชาติทั้งหลายใหสัญญาลมๆ แลงๆ ไวกบั คนเหลานี้ จะตางกัน นิดเดียวก็ตรงที่เกร็กรักษาสัญญา หลัง จากนั้น เขาใชเวลากวา 10 ป เดินทางไปมาระหวางอเมริกา

1107 11

กับ ชายขอบหลังคาโลกบริวเณนี้ สรางโรงเรียนกวา 50 หลัง ตลอดจนศูนยพัฒนาวิชาชีพ เขาไดม อบสิ่งที่มีคาที่สดุ ใหกับ เด็ก โดยเฉพาะเด็กผูหญิงในทองถิ่น นีซ้ ึ่งก็คอื การศึกษา ลองอาน ภารกิจของคนรักเด็กที่ไมไดเปนนามงาม เรื่องราวของเกร็กไมใชการเดินทางไปแจกดิน สอ-ปากกา โดย มีทมี ประชาสัม พันธ กองทัพนักขาวคอยถายรูปเพื่อไปลง นิตยสารดารา-คนดัง แตเปน ภารกิจที่เอาชีวิตเขาแลก อันทํา ใหหนังสือเลมนี้ขายดี แปลแลว 29 ภาษา และไดรบั รางวัล มากมาย ใครที่มีอคติกบั คนมุสลิม เหมารวมวาเขาพวกนี้หัว รุนแรง ใครที่ม ีอคติตอดินแดนผืนนี้วาเปนแหลงกบดานของ กลุม กอการรายอัลกออีดะ นักรบตอลีบ ัน ควรอานหนังสือเลม นี้ แลวเราจะรูวา ขอมูลทางหนังสือพิมพ ทางโทรทัศนที่สํานัก ขาวอินเตอรเขากรอกใสหัวเรานั้น มันเปนเรื่องตลก เกร็กเปนผูประกาศใหชาวอเมริกันและชาวโลกไดรู วา การตอสูกับปญหากอการรายขามชาตินั้น อาวุธที่ใชไมใช เครื่องบิน ทิ้งระเบิด แตคือโรงเรียนที่ใหการศึกษา มันเปน อาวุธชนิดเดียวที่รับประกันเรื่อง “สันติภาพ” ไดอยางแนนอน


------------------------------------------------------------------------------------------โดย วีระพงษ ไกรวิทย และจิรวรรณ ตั้งจิตเมธี แปลและเรียบเรียง กิเลสหา : อวิทยาและระดับความรุนแรงของกิเลสทั้งสี่ กริยาโยคะ

ครั้งที่แลวในประโยค ๒:๓ เราไดรูจักกับกิเลสทั้ง ๕ ของโยคสูตรแลว ไดแก อวิทยา อสมิตา ราคะ ทเวษะ(โทสะ) และอภินิเวศะ คราวนี้ในประโยคที่ ๒:๔ กลาววา “อวิทยาเกษตรมุตตเรษาม ประสุปตะ-ตนุ-วิจฉินโน-ทาราณาม” หมายถึง อวิทยาเปนผืนดินอันอุดมที่เอื้อใหกิเลสอีกสี่อ ยางที่ ตามมาเจริญงอกงาม การเจริญงอกงามของกิเลสเหลานี้มีการ พัฒนาเปนสี่สถานะคือ ๑. กิเลสที่มีสภาพนอนเนื่องลึกๆ อยู ภายใน ๒. กิเลสที่มีสภาพออนกําลัง ๓. กิเลสที่ม ารบกวนเปน ระยะๆ บางครั้งก็ปรากฏใหเห็นได บางคราวก็ไมป รากฏ ๔. กิเลสที่พรั่งพรูออกมาเสมอๆ อยางมีกําลัง 1 กิเลสสี่อยาง หลังที่กลาวถึง ในประโยคที่ ๒:๓ นัน้ งอกงามขึ้นมาจากผืนดินที่มีอวิทยาเปนตัวหนุนนํา กลาวอีก นัยหนึง่ คือกิเลสทั้งสี่เปน ลักษณะพิเศษ หรือเปนการวิวัฒน ออกมาจากตัวอวิทยานั่นเอง อยางที่กลาวถึงบอยๆ วา ปรัชญาสางขยะและปตัญชลีดูเหมือนจะชอบจัดกลุม สิ่งตางๆ เปนหาอยางเสมอ และกิเลสที่กล าวถึงนี้ก็มีจํานวนหาอยาง แตทั้งหมดนี้กม็ าจากรากฐานเพียงหนึ่งเดียวคือ อวิทยา ซึ่ง ปรากฏตัวออกมาในรูปแบบที่แตกตางกัน ตามสถานการณที่ ตางกัน กิเลสอันเปนเครื่องรบกวนทั้งสี่อยางดังที่ไดกลาวไว ในประโยคที่แลวคือ อสมิตา ราคะ ทเวษะ(โทสะ) และอภิ นิเวศะ ดังนัน้ ถาขจัดอวิทยาออกไปได กิเลสอื่นๆ ทั้งหมดก็จะ ปลาสนาการไปดวย การทํางานของกิเลสทั้งสี่ ซึ่งสรางปญหาใหกับการ ดําเนิน ชีวิตประจําวันของเรานั้นจะปรากฏความรุนแรงออกมาในสี่ ระดับขั้นดวยกัน ขอสังเกตอยางหนึ่งในการจัดแบงประเภทนี้คือ ไมไดมีการกลาวถึงการดับลงอยางสิ้นเชิงของกิเลสเหลานี้ ทั้งนี้ เพราะแมแตโยคีที่มีความกาวหนาที่สุดก็ยังไมอาจขจัดกิเลสออก ไดอยางสิ้นเชิง ตราบเทาที่เขายังคงตองดําเนินชีวิตอยูในโลกนี้ รองรอยจางๆ ของกิเลสยังคงมีอยูเสมอและเชื่อแนวาก็สมควรที่จะ ใหมีอยู เพราะหากปราศจากกิเลสแลว การดําเนินชีวิตบนโลกนี้ก็ ไมอาจเป นไปได ตัว อยางเชนแมแตนักบุญผูยิ่งใหญก็อาจมีบาง โอกาสที่อยางนอยก็ตองแสดงออกถึงความกรุณาปรานี หรือความ มีเมตตาบางซึ่งจัดเปนกิเลสในสวนของราคะ(ความโลภ) หรือการ แสดงความโกรธ ความไมพอใจเปนโทสะออกมาบางเพื่อแกไข พฤติกรรมหรือการกระทําที่ไมถูกตอง หรือไมเหมาะสมของผูคน 1

กิเลสสี่อยางที่ติดตามมากับอวิทยา ไดแก อสมิตา(สํานึกรูแหงการมีตวั ฉัน) ราคะ(ความโลภหรือความชอบ) ทเวษะ(ความโกรธหรือความเกลียด ไมชอบ) และอภินิเวศะ(ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยูหรือการกลัวความตาย) - ผูแปล

1107 12

ทางโลกทั่วไปที่รายลอมทานอยู และกําลังตองการคําชี้ แนะจาก ทาน และอีกครั้งที่จะกลาวตอไปในโยคสูตรประโยคที่ ๒:๙ ซึ่ง อธิบายถึงธรรมชาติของอภินิเวศะวากิเลสตัวนี้จะทํางานแมแตในผู ซึ่งฉลาดที่สุด และเรียนรูไดดีเยี่ย มที่สุดดัง เชนโยคีผูมี ความกาวหนา เพราะหากวาอภินเิ วศะหรือเจตจํานงที่จะมีชีวติ อยู หมดไปโดยสิ้นเชิง การคงอยูของชีวิตในรางกายนี้ก็ไมอาจเปนไป ได ดังนั้นในระหวางที่ดําเนินชีวิตอยูนี้ เราจึงสังเกตระดับ ของความรุนแรงของกิเลสทั้งสี่ ไดเพียงสี่ระดับเทานั้น ระดับ ที่ กิเลสทั้งสี่ไมมีพิษมีภัยที่สุด ซึ่งเทียบไดกับ การไมมอี ยูหรือการดับ ของกิเลสเรียกวา ระดับประสุปตะ กลาวคือเปนระดับ ที่กิเลสนอน เนื่องลึกๆ อยูภายใน เหมือนคนที่นอนหลับลึกมากไมมีการทํางาน หรือตอบสนองใดๆ ราวกับ คนตาย กิเลสใดๆ ในระดับขั้น ประสุป ตะนี้จะไมทํางานเหมือนกับวามันไมมีอยู นี่เปนระดับขั้นสูงที่สุดซึ่ง กิเลสถูกทําใหหมดกําลังลงในขณะดําเนินชีวิตอยู และเปนสภาวะ ของกิเลสที่มีอยูในโยคีหรือนักบุญที่ย่ิงใหญทั้งหลาย ระดับขั้นตอมาคื อขั้น ที่กิเลสออนแรงลง หรือขั้นตนุ ซึ่ง เปนที่เขาใจวากิเลสถูกทําใหออนแรงลงอยางมาก ดังนั้นมันจึง แทบจะไมทํางานหรือทํางานอยางออนกําลังมาก นี่เปนระดับขั้น ที่ อยางนอยที่สุด และเปนไปไดที่โยคะสาธกะหรือผูฝกปฏิบตั ิโยคะ จะบรรลุถงึ ไดเมื่อเขามีความกาวหนาอยางนาพอใจบนหนทางของ การฝกอัษ ฏางคโยคะ เรื่องนี้ไดกลาวถึงอยางชัดเจนแลวในโยค สูตรประโยคที่ ๒:๒ และวิธีที่ดีที่สุดที่จะบรรลุถึงระดับขั้นนี้ ก็ได กลาวอยูในประโยคนั้น เชนกัน คือ การฝกกริยาโยคะ อีกสองระดับขั้น ทายสุดของกิเลสนับเปนสิ่งซึ่งพบไดใน คนทั่วไป บุคคลผูซ่งึ พอที่จะควบคุมตนเองได กิเลสตางๆ จะ ทํางานในระดับขั้นวิจฉินนาวสถา กลาวคือกิเลสตางๆ สี่อยางใน ตัวเขาจะทํางานในบางเวลาเมื่อสถานการณตา งๆ มีความ เหมาะสมที่จะกระตุนใหกิเลสเหลานั้นแสดงพลัง แตในเวลาอื่น กิเลสเหลานี้ก็อาจไมทํางาน หรือนอนสงบอยูภ ายใน การทํางาน ของกิเลสเปนพักๆ นี้ ปตัญชลีใชคําวา “วิจฉินนะ” สวนบุคคลที่ไม สามารถควบคุมตนเองได กิเลสจะอยูในระดับขั้นอุทาระ ซึ่ง หมายความวากิเลสทํางานอยางมีพลังอยูเสมอๆ บุคคลเชนนั้น จะ มีพฤติกรรมชอบโตตอบอยางมากและทําสิ่งที่เปนอันตรายหรือเกิด ความเสียหายไดมากแมจะมี สิ่งกระตุนเราเพียงเล็กนอยก็ตาม ดังนั้นคนกลุมนี้จึงเปนอันตรายตอสังคมมาก ในกรณีเชนนั้น อารมณ ของเขาที่เกิดขึ้นจากการโตตอบกับสิ่งที่กระตุนเรากิเลส ตางๆ เหลานี้จึงตองการการควบคุ ม ซึ่งไมตองสงสัยเลยวาวิธีที่ดี ที่สุดและงายตอการปฏิบตั ิน้ันก็คือการฝกกริยาโยคะนั่นเอง อวิทยา ไมถูกรวมอยูในกลุมของกิเลสที่เ หลือทั้งสี่ ดวย เหตุผลที่วา ตัวอวิทยาเองเปนกิเลสรากฐานและอยูในวิถีชีวิต มัน จะทํางานอยูเสมอในชีวติ ของเราทุกคนและไมเกี่ยวของกับระดับ


ความรุนแรง(เหมือนกิเลสทั้งสี่) เพราะแมแตเพียงมีรองรอยของมัน ปรากฏขึ้น นั่นก็นําไปสูปญ  หาที่ยิ่งใหญแลว เปาหมายที่แทจริง ของโยคะคือการขจัดอวิทยาออกไปอย างสมบูรณ แตนั่นก็ไมใช เรื่องที่จะทําสําเร็จไดงา ยนัก อันที่จริงแลว การสูญสิ้นของอวิทยา คือสิ่งเดียวกันกับ การบรรลุไกวัลยะ ดังนั้น การสูญสิ้นของอวิทยา

จะเปนไปไดเมื่อผูฝกบรรลุถงึ ความสมบูรณแ หงโยคะและเขาถึง เปาหมายสุดทายแหงโยคะแลวเทานั้น เอกสารอางอิง : Karambelkar, P. V. (1986). PATANJALA YOGA SUTRAS Sanskrta Sutras with Transliteration, Translation & Commentary. Lonavla : Kaivalyadhama, p. 180-183. ..........................................................

ส ติ๊ ก เ ก อ ร ดวยวาซอยที่ฉ ันทํางานอยูลึกเขาไปประมาณ 700 เมตร ดังนั้น หนาปากซอยจึงมีรถสองแถวไวบริการคนในซอย โดยคิดราคากันเอง มีทงั้ หมดดวยกัน 3 คัน และ“ลุง” เปน หนึ่งในโชเฟอรรถสองแถวของซอยนี้ และเปนที่รูกันวาถาหากจะพูดกันถึงเรื่องของ “การ เมือง” แลว ลุงคอนขางจะชัดเจนในเรื่องของ “สี” หลายตอหลายครั้งนักในชีวิต ที่เรามักติดสติ๊กเกอร ใหกับคนที่เรารูจักเพี ยงผิวเผิน แคสัมผัสเพียงเปลือกนอกเรา ก็ติดสติ๊กเกอรตัดสินไปแลววาเขาเปนอยางไร หรือแมเปน สิ่ง ที่อยูภ ายใน เปน ความรูสึกนึกคิด – - ก็เพียงบางดานเทานัน้ ใชทุกดานไป และใชหรือไมที่สิ่งที่เขาเลือกที่จะคิด ที่จะเปน นัน้ แมไมใชทิศทางเดียวกัน กับ เราก็ไมไดหมายความวา เขาผิ ด – เราถูก เสมอไป เชนเดียวกับที่ฉนั และลุง แมอาจไมไดม ีมุมมองไปใน ทิศทางเดียวกัน ในเรื่องการเมือง เพราะนัน่ อาจเปนอีก บทบาทหนึง่ ของชีวติ ที่เราตางเลือกที่จะเดิน หากสําหรับ เรื่องภายในซอยแลว บทบาทที่ลุงเปน ในมุมมองของฉัน คือ ลุงเปนโชเฟอรใจดีที่ละเอียดออนเอา การ เชน ในตอนเย็นของบางวัน ระหวางที่รอ – - แลวรถยัง ไมม า ฉันก็เดิน เลนไปเรื่อยๆ จนลุงออกมาจากในซอยและ แวะจอดรับ เมื่อถึงหนาปากซอย ฉันจึงควักเงินเพื่อจายเปน

โดย อนัตตา คาโดยสาร ปรากฏวาลุงไมรับ พรอมยิ้ม อยางใจดีบอก “ไม เปนไรชวยเหลือกัน” และในตอนเชาอีกเลาที่ตามปกติรถสองแถวจะจอด เมื่อเรากดออด และดวยความที่ฉนั อยูไมไกลกัน เทาไหรน ัก กับ อีกออฟฟศหนึ่ง ดังนัน้ ทุกครั้งที่พนักงานของออฟฟศนัน้ ลงจากรถ ฉันก็เลยลงดวยและเดินตอไปอีกนิดหนอย เพราะ คิดว าคงจะดีกวาการที่จะใหลุงขับตอไปอีกนิดแลวตองหยุด หลายๆครั้งเขา แมไมเคยบอกกลาว แตดูเหมือนลุงจะรับรูใน พฤติกรรมนัน้ ของฉัน อยูมาวันหนึ่งเมื่อถึงออฟฟศนัน้ และจุด ที่จอดเปนประจําลุงก็ขับ เลยมาเล็กนอย จนโดนพนักงานของ ออฟฟศนัน้ เยาแหยวาลุงคงลืม ไปแลว ลุง ยิ้ม ใจดีอ ยางเคย มองมาทางฉันแลวบอกวา “จะไดคนละครึ่งทางไง” ฉัน ไมไดพูดอะไรมากไปกวา “คําขอบคุณ ” ไมใชขอบคุณที่ลุงขับ เลยมา ใหเพื่อยน ระยะทางใน การเดิน.. ไมใชขอบคุณที่ลุงไมเอาคาโดยสารในบางครั้ง แตขอบคุณที่ลุงมาย้ําเตือนในทุกๆวันวาใหม องอะไร ในทุกๆดาน และที่สาํ คัญอยาดวนตัดสิน โดยเอาตัวเองเปน มาตรฐานเสมอไป. เพราะสติ๊กเกอรบางชนิดโดยเฉพาะ สติ๊กเกอรที่ม ีสี เมื่อติดไปแลวอาจทําใหเราไมสามารถ มองเห็น ความเปนจริงของหัวจิตหัวใจใครคนนัน้ ไดอีก เพราะ ทุกครั้งที่ม อง เราก็จะมองเห็น เพียงสติกเกอรที่ติดไวเทานั้น

..............................................................................................

ตางกันที่...วิธยี ํา 1 ปดปาก ยืดตัวขึ้น หายใจเขา ผานรูจมูก 2 ขาง หายใจออก ทําเสียง “อืม” ประคองเสียง ยาว ๆ เชาวัน เสารที่ 11 มิถุนายน 2554 เลงตามมาดูครูเอ สอนโยคะเด็กที่โรงเรียนเซนต สตีเฟน “ผึ้ง” เปนสัตวที่เด็กๆ รูจักดี (แตบางคนก็รูจักแตบั๊บเบิล บี ไมรูจักผึ้ง) ตุกตาผึ้ง หอยจากปลายไมยาว จึง ถูกใชเปน แมเหล็กดึงดูดใหเด็กๆ ทํา

1107 13

โดย ล.เลง เสียงกระดิ่งหยก (ไมใชม ังกรบิน) เสียงผึ้ง (พราหมรี) ผึ้งบางตัวบินไปดมดอกไมกเ็ ผลอทํา น้ําลายหกใสดอกไม ผึ้งบางตัวก็ออกเสียง “แง.. หนูอยาก กลับบาน” เพราะฉะนัน้ ครูสอนโยคะเด็กตองพรอมสําหรับ เหตุการณไมคาดฝนเสมอ พรอมทั้งยังไมอาจคาดหวั งวา เด็กๆ จะยอมทําตามเรา “เราตองใหโอกาสเด็ก ทําความคุนเคยกอน” ครูดล ธนวัชร เกตนวมิ ุต บอกผูปกครองที่กาํ ลังดุลูก วา “เงียบนะ ...อยารองไห” เพราะเด็กคงไมหยุดรองงายๆ ถา


ผูคนรอบตัวยังคงกดดันใหเด็กทําตามใจเรา ไมวาจะเปนการ ออกเสียงผึ้ง หรือเงียบ-ไมออกเสียงใดๆ เคาก็ไมอยากทํา ทั้งนั้น แตพอบรรยากาศรอบตัวผอนคลาย ใหเวลาเด็กทํา ความคุนเคยกับ ผูคนและกิจกรรม และในฐานที่ 3 นองเคาก็ เดินรี่เขาไปหาตุกตาพี่นุมนิม่ ทีน่ ั่งอยูบนตักครูหมู โดยไม เหลือความหวาดกลัว ใดๆ สําหรับเด็กๆ แลว ครูผูใหญเอาแตส่งั โนนนี่ เปน ความแปลกแยกของชีวิต แตถาครูพกตุกตาตัวเล็กตัวนอย หรือตัวใหญ แลวแตกําลังที่จะแบกไปไหว ครูก็อาจแปลงกาย เปน ขวัญใจเด็กๆ ไดโดยไมยากนัก 2. จะทําโยคะ ทาไหน ครูทานเตือนใจ พวกชอบ Too much ทั้งกม ทั้งแอน บิด เอียง ขอแคพอเพียง ดวยความคมชัด ดูกลามเนื้อ ลมหายใจ สภาพจิตใจ อยาใหอึดอัด อยากฝกไปทั้งชีวติ ประมาทเพียงนิด ถูกหามสงวัด ทั้งมั่นคงและผอนคลาย สมดุล ใจกาย ไปทุกสวนสัด อยากผอนพักตระหนักรู ขอจําคําครู don’t do too much อางถึง PYS 2.46, 2.47 คํารอง ทันตแพทยส มดุล หมั่นเพียรการ ทํานองจากเพลง Too much, So much, Very much ของพี่เบิรด ธงไชย แมคอินไตย

ถาแมเหล็กในชั้น เรียนโยคะเด็กคือตุกตา แมเหล็ก ในชั้นเรียนโยคะ AF (Anatomy Fantasia) ของหมอดุลก็คือ บรรดามิวสิควิดีโอของ พี่เบิรด พี่บี้ เดอะสตาร รอบบี้ วิล เลี่ยม นิชคุน 2 PM ทาเตนโนบอดี้ การตูนโยคิน ในยูทูบ และสารพัดสื่อที่หมอดุลพยายามสรรหามา เพื่อปลดปลอ ย ตัวเองออกจากเสื้อคลุม ของหมอ หรือจะหลอกใหน ิสติ คิดวา อายุเทากันก็ไมอาจทราบได แตที่รูแนๆ ก็คือเด็กๆ รุนนี้ชอบ เรียนสรีรวิทยากายวิภาคมาก ขนาดมีนิสิตที่ไมไดเรียนวิชาโท โยคะขอมาเรียนวิชานี้ก็แลวกัน (ปรากฏการณ นี้ไมเคยมีม า กอนในมศว.ประสานมิตร เทาที่เลงรู) ถาหมอดุลใชวธิ ีทองจําแบบโบราณ เวลาสอนเรื่อง หลักการฝกอาสนะ นิ่ง มัน่ คง สบาย ผอนคลาย ใชแรงแตพอ เพียร ฝกสม่ําเสมอ เพียร แตไมตองพยายามมาก มีสติ ไม

ประมาท นิสติ ก็คงไมทองไมจํา เพราะไมรูจะทําไปทําไม แต พอบอกวาใหลองรองเพลง แร็ป โย ก็จะเปนอีกอารมณนึงเลย 3. หายใจเขา ยกแขนขึ้น เขยงปลายเทา หายใจออก ลดลง หายใจเขา พุท หายใจออก โธ เสียงครูดลบอกนักเรียน นักปฏิบ ัติธรรมทั้งหลายที่ หอจดหมายเหตุพุทธทาส สวนรถไฟใกลสวนจตุจักร เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2554 ครูดลก็เปนครูแมเหล็กคนหนึง่ ของ TYI แมเหล็กของครูดลคือเสียงทุม นุม ไพเราะ และกิจกรรมที่พก มาเปน 100 เลมเกวียน แตจะควักกิ จกรรมไหนออกมาใชก็ ตองไปดู “คลื่น ” หนางาน บางครั้งก็สนุกสนานเฮฮา บางครั้งก็ ซาบซึ้งน้ําตาซึม ครูดลมีความสามารถพิเศษ ในการเคลื่อนยายคน จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง จากความวุน วายเปนความสงบ จากความปดเปนความเปด จากความมืดเปน ความสวาง จากไมรูวาไมรู เปน รูวา ไมรู หรือรูวาอยากจะรู ฟงดูแลวก็ อาจจะยังงงๆ แตถาเคยไปเรียนกับครูดลแลวก็จะรูวามันเปน ยังไง ก็เหมือนทุเรียนนัน่ แหละ ใครมาบอกวาอรอยแคไหนก็ ไมเหมือนลองกินเอง 4. การสอนโยคะก็คลายๆ กับการทําอาหารที่แมมีเครื่องปรุง หลักอยางเดียวกันคือ อาสนะ ปราณายามะ สมาธิ แตเทคนิค วิธีการยํา ทําใหรสชาติของอาหารแปลกแตกตางกัน จะยํา ยังไงใหผูเรียนมีความสุข ออกมาจากความทุกขได จะยํายังไง ใหตอบสนองความตองการอันหลากหลาย ดวยทรัพยากรอัน จํากัดของผูสอน

5. อยางไรก็ตาม เลงคนพบวาสิ่งสําคัญที่สุดคือ คนปรุงอาหาร ตองหาทางปรุงอาหารที่ทําใหตนเองพนทุกขกอ น อิม่ กอน จึง จะพาคนกิน คนชิม คนอืน่ พนทุกขได แตถาหากอาหารที่เรา ทําเองนัน้ เรายังไมกินเลย หรือกินไมลง เห็นทีจะยากที่จะไป หาคนอื่นมาชวยชิม เพื่อนๆ เห็น ดวยไหมคะ .............................................................................

เดือ น กรกฏาคม 2554 มีผบู ริจาคสนับ สนุนการทํางานของสถาบันฯ ดังนี้ สุภ าพร ธนาพัน ธรักษ (ครูพร) คุณปยนารถ อิศรางกูร ณ อยุธ ยา โยคะธรรมะหรรษา สรุป ยอดบริจาคประจําเดือนกรกฏาคม 2554 ทั้งสิ้น

1107 14

3,900.- บาท 600.- บาท 1,240.- บาท 5,740.- บาท


...........................................................................

1107 15


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.