¨จ´ดËหÁมÒาÂย¢ข ‹ÒาÇว âโÂย¤คÐะÊสÒาÃรÑัµต¶ถÐะ
ÊสÒาÃรÑัµต¶ถÐะ µตØุÅลÒา¤คÁม 2555
»ปÃรÐะàเ´ดÔิÁม¤คÍอÅลÑัÁม¹น ãใËหÁม ‹
ÃรÐะºบºบ»ปÃรÐะÊสÒา·ท∙ ·ท∙Õี่¤คÃรÙูâโÂย¤คÐะ¤คÇวÃรÃรÙู Œ
www.thaiyogainstitute.com [1]
¨จ´ดËหÁมÒาÂย¢ข ‹ÒาÇว âโÂย¤คÐะÊสÒาÃรÑัµต¶ถÐะ ÇวÔิ¶ถÕีªชÕีÇวÔิµตàเ¾พ×ื่ÍอÊสØุ¢ขÀภÒาÇวÐะ
¤คØุÂย¡กÑั¹น¡ก ‹Íอ¹น
เรามีนัดกันนะครับ วันเสาร์ที่ ๒๗ ตุลาคม นี้ งานพบปะเครือข่ายครูประจำปี และ ไหว้ครู ที่ มศว ประสานมิตร เชิญชวนพวกเรากลับมาพบปะ เจอะเจอ มาสนทนากับครูฮิโรชิ ครูฮิเดโกะ และถือ โอกาสไหว้ครูกัน ·ท∙Õี่»ปÃรÖึ¡กÉษÒา áแ¡ก ŒÇว ÇวÔิ±ฑÙูÃรÂย àเ¸ธÕีÂยÃร ¸ธÕีÃรàเ´ดªช ÍอØุ·ท∙ÑัÂยÇวÔิ·ท∙ÂยÒาÃรÑัµต¹น ¹น¾พ.Âย§งÂยØุ·ท∙¸ธ Çว§งÈศ ÀภÔิÃรÁมÂย ÈศÒา¹นµตÔิ์ ¹น¾พ.ÊสÁมÈศÑั¡ก´ดÔิ์ ªชØุ³ณËหÃรÑัÈศÁมÔิ์
¡กÃรÃรÁม¡กÒาÃร ¡กÇวÕี ¤ค§งÀภÑั¡ก´ดÕี¾พ§งÉษ , ¨จÕีÃรÐะ¾พÃร »ปÃรÐะâโÂยªช¹น ÇวÔิºบÙูÅลÂย , ¹นÑั¹น·ท∙¡กÒา àเ¨จÃรÔิÞญ¸ธÃรÃรÁม, ÃรÑั°ฐ¸ธ¹นÑั¹น·ท∙ ¾พÔิÃรÔิÂยÐะ¡กØุÅลªชÑัÂย, ÇวÃรÃร³ณÇวÔิÀภÒา ÁมÒาÅลÑัÂย¹นÇวÅล, ÊสÁม´ดØุÅลÂย ËหÁมÑั่¹นàเ¾พÕีÂยÃร¡กÒาÃร
ÊสÓำ¹นÑั¡ก§งÒา¹น ¾พÃร·ท∙Ôิ¾พÂย ÍอÖึ§ง¤คàเ´ดªชÒา, ÇวÑัÅลÅลÀภÒา ³ณÐะ¹นÇวÅล, ÊสØุ¨จÔิµต¯ฏÒา ÇวÔิàเªชÕีÂยÃร
¡กÍอ§งºบÃรÃร³ณÒา¸ธÔิ¡กÒาÃร ¨จÔิÃรÇวÃรÃร³ณ µตÑั้§ง¨จÔิµตàเÁม¸ธÕี, ªช¹นÒา¾พÃร àเËหÅล×ืÍอ§งÃรÐะ¦ฆÑั§ง, ³ณÑัµต°ฐÔิÂยÒา »ป ÂยÁมËหÑั¹นµต , ³ณÑั¯ฏ°ฐ ÇวÃร´ดÕี ÈศÔิÃรÔิ¡กØุÅลÀภÑั·ท∙ÃรÈศÃรÕี, ¸ธ¹นÇวÑัªชÃร àเ¡กµต¹น ÇวÔิÁมØุµต, ¸ธÕีÃรÔิ¹น·ท∙Ãร ÍอØุªชªชÔิ¹น, ¾พÃร¨จÑั¹น·ท∙Ãร ¨จÑั¹น·ท∙¹นäไ¾พÃรÇวÑั¹น, ÇวÔิÊสÒา¢ขÒา äไ¼ผ ‹§งÒาÁม, ÇวÕีÃรÐะ¾พ§งÉษ äไ¡กÃรÇวÔิ·ท∙Âย , ÈศÑั¹นÊส¹นÕีÂย ¹นÔิÃรÒาÁมÔิÉษ
2]
CONTENTS
Activities update 05
04 : âโÂย¤คÐะÍอÒาÊส¹นÐะ¢ขÑั้¹น¾พ×ื้¹น°ฐÒา¹น áแÅลÐะ âโÂย¤คÐะãใ¹นÊสÇว¹น¸ธÃรÃรÁม 05 : ¾พÔิ¸ธÕีäไËหÇว Œ¤คÃรÙู áแÅลÐะ¾พºบ»ปÐะ»ปÃรÐะ¨จÓำ»ปี กิจกรรมรำลึกพระคุณคุณครูฮิโรชิ และครูฮิเดโกะ
¡กÔิ¨จ¡กÃรÃรÁม¢ขÍอ§งàเ¤คÃร×ืÍอ¢ข ‹ÒาÂย 08 : ¸ธÃรÃรÁมÐะ ºบÓำºบÑั´ด¤คÇวÒาÁมàเ¨จ็ºบ»ป †ÇวÂย äไ´ด Œ¨จÃรÔิ§งËหÃร×ืÍอ ? ¤คÃรÑั้§ง·ท∙Õี่ 2 06 : Little Om : Family Yoga Camp
ÇวÔิ¶ถÕีâโÂย¤คÐะ ÇวÔิ¶ถÕีªชÕีÇวÔิµต 09 ¤คÃรÙู¤ค×ืÍอãใ¤คÃร ãใ¤คÃร¤ค×ืÍอ¤คÃรÙู
17
10 ¨จÒา¡กàเ¾พ×ื่Íอ¹น¤คÃรÙู ãใºบÊสÑั่§งÂยÒา
10
12 ¨จÒา¡กàเ¾พ×ื่Íอ¹น¤คÃรÙู ËหÅลÑัºบµตÒาàเ»ป š¹นäไËหÁม 14 ºบ·ท∙¡กÅลÍอ¹น Ãร¶ถµตÔิ´ด
14
16 àเÅล ‹ÒาÊสÙู ‹¡กÑั¹น¿ฟ ˜§ง The Biology of Belief 17 ¨จÒา¡กàเ¾พ×ื่Íอ¹น¤คÃรÙู ¾พÑั´ดÅลÁมàเ¨จ ŒÒา»ป ˜ÞญËหÒา ? 20 Recommended : ÃรÐะºบºบ»ปÃรÐะÊสÒา·ท∙ ·ท∙Õี่¤คÃรÙูâโÂย¤คÐะ¤คÇวÃรÃรÙู Œ
¤คÍอÅลÑัÁม¹น »ปÃรÐะ¨จÓำ
20
15 µตÓำÃรÒาâโÂย¤คÐะ´ดÑั้§งàเ´ดÔิÁม 19 ¾พÃรÐะäไµตÃร»ป ®ฎ¡กáแ¡ก ‹¹น¸ธÃรÃรÁม
3]
Activities ¡กÔิ¨จ¡กÃรÃรÁม´ดÕีæๆ
µตØุÅลÒา¤คÁม 23
âโÂย¤คÐะÍอÒาÊส¹นÐะ¢ขÑั้¹น¾พ×ื้¹น°ฐÒา¹นàเ¾พ×ื่Íอ¤คÇวÒาÁมÊสØุ¢ข ÊสÓำËหÃรÑัºบ¼ผÙู้àเÃรÔิ่Áมµต้¹น
จัดวันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม เวลา 9.00 – 15.00 น. ที่ชั้น 6 ห้อง 262 คณะมนุษยศาสตร์ มศว ประสานมิตร ค่าลงทะเบียน 650 บาท
âโÂย¤คÐะãใ¹นÊสÇว¹น¸ธÃรÃรÁม ³ณ ËหÍอ¨จ´ดËหÁมÒาÂยàเËหµตØุ¾พØุ·ท∙¸ธ·ท∙ÒาÊส
3
10
17
24
31
ทุกวันพุธ เวลา17.00 – 18.30 น. 3 ต.ค. ครูวิไลวรรณ สุพรม (เป้) โยคะเพื่อการผ่อนคลาย 10 ต.ค. ครูวรรณี สืบพงษ์ศิริ (วรรณ) โยคะในสวนธรรม 17 ต.ค. ครูวรรณวิภา มาลัยนวล (อ๊อด) โยคะ สมดุล ชีวิต 24 ต.ค. ครูพรพรรณ อุดมพงษ์สุข (กุ้ง) โยคะในสวนธรรม 31 ต.ค. ครูวัลลภา ณะนวล (กลอย) โยคะในสวนธรรม วันเสาร์ที่ 27 เวลา 14–16.00 น. ครูอทิตยา อภิชาตินันท์ (โอ๋) หัวข้อ โยคะกับธรรมชาติบำบัด ไม่เสียค่าใช้จ่าย
4]
Êส¶ถÒาºบÑั¹นÏฯ Ãร ‹ÇวÁม¡กÑัºบ ÀภÒา¤คÇวÔิªชÒา»ปÃรÑัªชÞญÒาáแÅลÐะÈศÒาÊส¹นÒา ¤ค³ณÐะÁม¹นØุÉษÂยÈศÒาÊสµตÃร Áม.ÈศÃรÕี¹น¤คÃรÔิ¹น·ท∙ÃรÇวÔิâโÃร²ฒ
àเªชÔิÞญÃร ‹ÇวÁม¡กÔิ¨จ¡กÃรÃรÁมäไËหÇว Œ¤คÃรÙู áแÅลÐะ ¡กÒาÃร¾พºบ»ปÐะ»ปÃรÐะ¨จÓำ»ป ‚ ò๒õ๕õ๕õ๕ ÇวÑั¹นàเÊสÒาÃร ·ท∙Õี่ ò๒÷๗ µตØุÅลÒา¤คÁม ๙.๐๐ ลงทะเบียน ๙.๓๐ – ๑๐.๔๕ ฝึกเทคนิคโยคะ อาสนะ ปราณายามะ ๑๑.๐๐ – ๑๒.๐๐ “วิสัยทัศน์ โยคะในประเทศไทย ปี ๒๕๖๕” โดยครูฮิโรชิ ไอคาตะ ๑๒.๐๐ อาหารกลางวัน ๑๓.๐๐ – ๑๕.๐๐ กิจกรรม “จุดประกายโยคะ” โดยเพื่อนครู ๑๐ ท่าน ขึ้นพูดบนเวทีคนละ ๕ นาที มีเป้าหมายเพื่อจุดประกายความคิด และ สร้างแรงบันดาลใจในการเดินบนเส้นทางโยคะ ๑๕.๓๐ – ๑๖.๓๐ พิธีไหว้ครูฮิโรชิ ฮิเดโกะ ไอคาตะ ๑๖.๓๐ เสร็จพิธี โดยเชิญบริจาค สมทบทุนค่าใช้จ่ายในการจัดงาน และเพื่อมอบให้ครูทั้ง ๒ ไปใช้ในกิจกรรมเผยแพร่ โยคะต่อไป
5]
The Little Om: family yoga camp ÊสØุ¢ขÀภÒาÂยãใ¹นÊสÃร ŒÒา§งäไÇว Œáแµต ‹ÇวÑัÂยàเÂยÒาÇว
µตÍอ¹น “happy sea, happy me” ÇวÑั¹น·ท∙Õี่ 10 – 11 ¾พÄฤÈศ¨จÔิ¡กÒาÂย¹น 2555 ³ณ ÃรÕีàเ¨จ Œ¹น·ท∙ ªชÒาàเÅล ‹µต ÃรÕีÊสÍอÃร ·ท∙ Íอ.ªชÐะÍอÓำ ¨จ.àเ¾พªชÃรºบØุÃรÕี กลับมาอีกครั้ง ตามคำเรียกร้องกับค่ายโยคะครอบครัว The Little Om : Family Yoga Camp ปีที่ 2 ที่ จะชวนคุณพ่อคุณแม่และน้องๆไปร่วมสนุกสนานกับ กิจกรรมโยคะครอบครัวสไตล์บูธารา .… เรียนรู้เครื่องมือ และแนวทางสร้าง “ความสุขภายใน” เพื่อการเติบโตทั้งร่างกายและจิตใจของเด็ก สร้างความสัมพันธ์ใน ครอบครัว สนุกสนานและผ่อนคลายในบรรยากาศริมชายหาดชะอำ ความสุข ความสำเร็จภายนอกนั้น ไม่ยากที่จะตามหา แต่ความสุข ความสำเร็จภายในนั้นเล่า จะตามหา หรือไขว่คว้าหาจากที่ใด นั่นกลับเป็นสิ่งที่ต้องบ่มเพาะ ตั้งแต่ “ที่นี่” และ “เดี๋ยวนี้” ทั้งนี้ พ่อ แม่ คือ หัวใจสำคัญในฐานะ “ผู้ปลูกฝัง” และสนับสนุนการสร้างสุขภายในอย่างต่อเนื่อง ให้พวก เขาได้เรียนรู้สัมผัสผ่านประสบการณ์ในแต่ละช่วงขณะของชีวิต รวม ทั้งการ “เติมเต็ม” พลังของพ่อแม่เองเพื่อ พร้อมจะ “มอบให้” และ “ร่วมเคียงข้าง” การเดินทางของลูกน้อย บ่มเพาะความสุขภายในไปด้วยกัน ผ่าน “การ สื่อสารอันสันติสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกัน”
[6]
กำหนดการ วันเสาร์ที่ 10 พ.ย. 55 7:30 : ขึ้นรถพร้อมกันที่ แมคโดนัลด์ พระราม 2 10:30 : เดินทางถึง รีเจ้นท์ ชาเล่ต์ รีสอร์ท อ.ชะอำ 11:30 : อาหารเที่ยง 12:45 : เริ่มกิจกรรม / แนะนำตัว แนะนำค่าย 13:30 : Family Team Building “เกมส์เชื่อ(ม)ใจ” 15:00 : ห้องเรียน A : Sea Walk “สติน้อยๆในรอยทราย” ห้องเรียน B : โยคะพ่อแม่ “สังเกตเรา สังเกตลูก”
16:30 : พักผ่อนตามอัธยาศัย 18:00 : อาหารเย็น 19:30 : นิทานชวนฝัน บทเพลงกล่อมใจ สมาธิส่งนอน 21:00 : หมดไปหนึ่งวันละ...เข้านอนกันเถอะ ^__^ วันอาทิตย์ที่ 11 พ.ย. 55 7:00 : โยคะรับอรุณ ณ ริมหาด Good morning Yoga on the Beach 8:30 : อาหารเช้า 9:30 : Sense Rally “มหัศจรรย์แดนสัมผัส” 11:30 : สรุปการเรียนรู้ / ถาม - ตอบ 12.15 : ออกเดินทางจากรีสอร์ท 12.30 : อาหารเที่ยง / ซื้อของฝาก / เดินทางกลับ 17.00 : ถึงกรุงเทพฯอย่างปลอดภัย รับครอบครัวที่มีลูกอายุ 5 – 10 ปี ค่าสมัคร 6,200 บาท สำหรับเด็ก 1 คน และผู้ปกครอง 1 ท่าน (เพิ่มผู้ปกครอง 1 ท่าน = 2,900 บาท เพิ่มเด็ก 1 คน = 2,500 บาท ) (หมายเหตุ : กรณีเดินทางไปด้วยตนเอง ลดราคา 400 บาท )
ครูเก๋ 085-121-1396, rosukon3@yahoo.com, ครูเล็ก 081-869-1816, whitemusic1@gmail.com
[7]
“¸ธÃรÃรÁมÐะºบÓำºบÑั´ด¤คÇวÒาÁม»ป †ÇวÂย...äไ´ด Œ¨จÃรÔิ§งËหÃร×ืÍอ?” ¤คÃรÑั้§ง·ท∙Õี่ 2
ÍอÒา·ท∙ÔิµตÂย 7 µตØุÅลÒา¤คÁม àเ¤คÃร×ืÍอ¢ข ‹ÒาÂยªชÕีÇวÔิµตÊสÔิ¡ก¢ขÒา www.lifebhavana.net
¢ขÍอàเªชÔิÞญ·ท∙Øุ¡ก·ท∙ ‹Òา¹นàเ¢ข ŒÒาÃร ‹ÇวÁม¡กÒาÃรÍอºบÃรÁม “¸ธÃรÃรÁมÐะºบÓำºบÑั´ด¤คÇวÒาÁม»ป †ÇวÂย...äไ´ด Œ¨จÃรÔิ§งËหÃร×ืÍอ?”
¤คÃรÑั้§ง·ท∙Õี่ 2 (ÀภÒา¤ค»ป¯ฏÔิºบÑัµตÔิ)
ÇวÑั¹นÍอÒา·ท∙ÔิµตÂย ·ท∙Õี่ 7 µตØุÅลÒา¤คÁม 2555 àเÇวÅลÒา 09.00-16.00 ¹น. ³ณ ÊสâโÁมÊสÃรÇวÔิ·ท∙ÂยÒาÅลÑัÂย»ป ‡Íอ§ง¡กÑั¹นÃรÒาªชÍอÒา³ณÒา¨จÑั¡กÃร (Çว»ปÍอ.) ¶ถ. ÇวÔิÀภÒาÇว´ดÕีÃรÑั§งÊสÔิµต âโ´ดÂย ¾พÃรÐะÍอÒา¨จÒาÃรÂย ´ดØุÉษ®ฎÕีàเÁม¸ธÑั§ง¡กØุâโÃรàเ¨จ ŒÒาÍอÒาÇวÒาÊสÇวÑั´ด·ท∙Øุ ‹§งäไ¼ผ ‹ ªชØุÁม¾พÃร 08.30-09.00 ¹น.
Åล§ง·ท∙ÐะàเºบÕีÂย¹น
09.00-11.30 ¹น.
½ฝ ƒ¡กàเ¨จÃรÔิÞญÊสµตÔิÀภÒาÇว¹นÒา
11.30-12.00 ¹น.
àเ·ท∙¤ค¹นÔิ¤ค¡กÒาÃรËหÒาÂยãใ¨จàเ¾พ×ื่Íอ¤คÇวÒาÁม¼ผ ‹Íอ¹น¤คÅลÒาÂย
12.00-13.00 ¹น.
ÃรÑัºบ»ปÃรÐะ·ท∙Òา¹นÍอÒาËหÒาÃรÁมÑั§งÊสÇวÔิÃรÑัµตÔิ (âโ´ดÂยàเ¨จ ŒÒาÀภÒา¾พ¨จÑั´ดàเµตÃรÕีÂยÁมµต ŒÍอ¹นÃรÑัºบ·ท∙Øุ¡ก·ท∙ ‹Òา¹น)
13.00-16.00 ¹น.
ÁมÃร³ณÒา¹นØุÊสÃร³ณ ¤คØุ³ณÊสØุÀภÒา¾พÃร ¾พ§งÈศ ¾พÄฤ¡กÉษ
¡กÒาÃรÍอºบÃรÁม¤คÃรÑั้§ง¹นÕี้àเ»ป š¹น¸ธÃรÃรÁม·ท∙Òา¹นäไÁม ‹ÁมÕี¤ค ‹Òาãใªช Œ¨จ ‹ÒาÂย àเËหÁมÒาÐะÊสÓำËหÃรÑัºบ¼ผÙู Œ»ป †ÇวÂย, ¼ผÙู Œ´ดÙูáแÅล¼ผÙู Œ»ป †ÇวÂยáแÅลÐะ¼ผÙู ŒÊส¹นãใ¨จ·ท∙Ñั่Çวäไ»ป ¡กÃรØุ³ณÒาàเµตÃรÕีÂยÁม¼ผ ŒÒา¾พÑั¹น¤คÍอËหÃร×ืÍอ¼ผ ŒÒา¤คÅลØุÁม áแµต ‹§ง¡กÒาÂยµตÒาÁม»ป¡กµตÔิäไÁม ‹¨จÓำàเ»ป š¹นµต ŒÍอ§งàเ»ป š¹นªชØุ´ด¢ขÒาÇว ÇวÔิ¸ธÕีÅล§ง·ท∙ÐะàเºบÕีÂย¹นÊส ‹§งªช×ื่Íอ-Êส¡กØุÅล E-mail äไ»ป·ท∙Õี่ wilai@bangkokinsurance.com ÊสÍอºบ¶ถÒาÁม·ท∙Õี่.... ¤คØุ³ณÇวÔิÀภÒา 081-299-0543, ¤คØุ³ณÇวÔิäไÅล 081-643-8088
[8]
¨จÒา¡กàเ¾พ×ืè่Íอ¹น¤คÃรÙู
¤คÃรÙู¤ค×ืÍอãใ¤คÃร ãใ¤คÃร¤ค×ืÍอ¤คÃรÙู àเÃร×ื่Íอ§ง ¤คÃรÙูÍอ Íอ´ด ÇวÃรÃร³ณÇวÔิÀภÒา ÁมÒาÅลÑัÂย¹นÇวÅล คำว่า "ครู" มาจากศัพท์ ภาษาสันสกฤต "คุรุ" และ ภาษาบาลี "ครุ, คุรุ" เพิ่งได้มีโอกาสอ่านจากหนังสือของหลวงปู่พุทธทาส ที่ครูกวีให้ยืมมานานมากแล้วยังไม่อ่านและก็เลยยังไม่ได้คืนครูสักที ชื่อเรื่อง การศึกษา สมบูรณ์แบบ คือวงกลมที่คุ้มครองโลกถึงที่สุด แต่โชคดีที่ไม่ได้อ่านและมีโอกาสหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาตอนใกล้จะถึงวันไหว้ครู ที่ปีนี้ สถาบันฯจะจัดให้เป็นเรื่องเป็นราวเป็นครั้งแรก ข้อความบางอย่างในหนังสือเล่มนี้ ช่วยปลุกเร้าความภูมิใจในการได้มีโอกาสพบครูหลายท่านในชีวิต “ครูต้องเป็นปูชนียบุคคล เพราะว่าทำหน้าที่ครูผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เงินเดือนที่ได้รับนั้น ถ้าไปเทียบกับคุณค่าที่ทำให้แก่ลูกศิษย์ นั้น มันมากมายกว่ากันนัก การเปิดประตูให้เขาออกมาเสียจากความโง่ มันมีราคาเป็นล้านๆ เงินเดือนเราไม่กี่พัน ไม่กี่หมื่น ผลที่ลูก ศิษย์ได้รับเป็นแสงสว่างเป็นการออกมาจากคอกของอวิชชา….” อ่านประโยคนี้แล้วหน้าครูหลายท่านก็ลอยมาปรากฏในความคิด สิ่งหนึ่งที่อดแบ่งปันกับพวกเราชาวสถาบันฯไม่ได้ ในปีนี้เมื่อคนสมัครคอร์สครู ยาวเป็นไปไม่ถึงกำหนดในวันที่คอร์สใกล้จะเปิดไม่กี่วัน แอบส่งเมล์ไปถามครูกวีว่าเปิดไหวเหรอครู ค่าเรียนจะไม่พอค่าใช้จ่ายของสถาบันนะคะ แต่คำที่ครูกวีตอบมาก็ทำให้แอบชื่นชมครูอยู่ในใจและดีใจที่คอร์สได้เปิดไว้ตามที่กำหนด ด้วยความที่เป็นคนรักคอร์สครูยาวมากมาตั้งแต่ตอนที่ ได้เรียน และก็จะบอกกับใครๆแบบนี้เสมอ โดยส่วนตัวไม่อยากให้คอร์สนี้หายไปจากสังคมโยคะของไทยเลย ปีไหนที่คนเรียนมีน้อยก็อดไม่ ได้ที่จะใจแป้วว่าคอร์สจะเปิดได้หรือเปล่า แล้วในที่สุดเราก็ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้กันอีกปีหนึ่งอย่างปาฎิหาริย์ อ่านหนังสือไปได้อีกสักระยะ ท่านหลวงปู่เล่าถึง พระปัญญาคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า แล้วว่า “…คนที่จะสมัครเป็นครูตามรอยพระพุทธเจ้า ก็จะต้องมีอย่างเดียวกัน ฉะนั้นพวกที่จะไปเป็นครู ไปสอนพวกลูกเด็กๆ จะต้องนึกถึง ข้อนี้ไว้ให้มาก คือ ต้องมีปัญญา มีความรู้พอตัว จะต้องมีบริสุทธิ์คือซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อหน้าที่การงานก่อน อะไรทั้งหมดจะต้องซื่อตรง มีกรุณา อย่าสอนเอาเพียงค่าจ้างเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆหนึ่ง ทำการสอนด้วยความกรุณา ก็มีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกับ พระพุทธเจ้า เขามีคำพูดใช้เรียกเหมือนกัน เรียกว่า ‘ครู’ ผิดกันนิดหน่อย ก็ที่พระพุทธเจ้าท่านเป็น ‘บรมครู’…” อ่านยังไม่จบเล่มแต่อิ่มเต็มกับคำว่า ‘ครู’ เสียเหลือเกิน ยิ่งใกล้ วันไหว้ครู 27 ตค. ก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณครูทุกท่านในชีวิต ที่ทำให้มีเราในวันนี้ อยาก ให้ถึงวันไหว้ครูเร็วๆ อยากเห็นศิษย์ทั้งหลายนั่งหน้าแฉล้มแช่มช้อย กล่าวคำบูชาครูร่วมกัน แล้วกราบลงงามๆ เพื่อระลึกถึงบุญคุณครูทั้งหลาย ในสากลโลก ทั้งในภพชาตินี้และชาติก่อนหน้า ที่ช่วยสอนช่วยบอกจนได้มาเกิดเป็นคนอยู่ ณ วันนี้ เจอกันในงานวันไหว้ครูให้ได้นะคะ…..ศิษย์มีครู….. [9]
¨จÒา¡กàเ¾พ×ืè่Íอ¹น¤คÃรÙู
ãใºบÊสÑั è่§งÂยÒา àเÃร×ื่Íอ§ง àเµตÂย
àเÃรÕีÂย¹น¤คÃรÙู เตยดีใจมากที่วันก่อนได้มีโอกาสได้พูดคุยกับครูและร่วมฝึกโยคะกับครูฮิโรชิและครูฮิเดโกะอีกครั้ง เหมือนได้ไปชาร์จพลังชีวิตมารอบ ใหญ่ ขอบคุณครูมากๆ ที่ให้โอกาสและให้เวลา วันนั้นได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างทั้งการพัฒนาตนเองในวิถีแห่งโยคะ มุมมองชีวิตที่เปลี่ยน ไป หลังเรียนรู้โยคะในแง่มุมที่ลึกซึ้งขึ้น และกลับมารู้เรื่องตัวเองมากขึ้น วันนี้เลยมีเรื่องเล่ามาให้อ่านหลายเรื่อง (เหมือนไม่ได้เจอกันนานเลย แฮะ) ความรู้จากครูใหญ่ออนไลน์มาไกลจากแดนภารตะ หนึ่งในหลายเรื่องที่ได้คุยกับครู ซึ่งเตยได้เล่าให้ฟังว่าวันก่อนสไกป์กับโบกอลจี ครูใหญ่ของไกวัลยธรรม ครูก็ถามไถ่เรื่องชีวิต เตยก็ เล่าให้ฟังว่าก็สอนโยคะอยู่ค่ะ มีนักเรียนประจำอยู่ เห็นพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นตลอด แรกๆ ก็เรียนรู้กัน เพราะถือว่าเป็นโยคะในรูปแบบที่เขา ไม่คุ้นเคย แต่พอลงตัวแล้วก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าถามว่าเป็นที่นิยมไหม ตอบได้ว่า ก็เป็นที่นิยมสำหรับคนที่ชอบฝึกโยคะเพื่อสมาธิ เนิบๆ รู้ตัวชัด แต่ไม่เป็นที่นิยมสำหรับคนหมู่มากที่ชอบแนวการฝึกโยคะแบบออกกำลังกาย โบกอลจีตอบกลับมาทันทีว่า โยคะแบบไกวัลยธรรมเป็นเรื่องของระดับจิตใจ ให้เรียนรู้ที่จะขัดเกลาตนเองผ่านวิถีแห่งโยคะ เพราะการ ฝึกแบบนี้จะลงลึกไปในด้านจิตใจ ให้ผู้ฝึกกลับมาเรียนรู้ภายในตนเอง เป็นการชำระล้างจากภายใน โยคะที่อื่นๆ เขาสอนให้มองออกข้างนอก ซึ่งผู้ฝึกก็จะรู้สึกดีอยู่ชั่วคราว แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่ ให้เพียรฝึกในแนวทางนี้ต่อไป แล้วผู้ฝึกจะค่อยๆ ขจัดปัญหาภายในตนเองได้
[10]
ซึ่งยังได้นั่งสมาธิร่วมกันอีกพักใหญ่ๆ เนื่องจากเตยจะนำไปสอนคุณป้าที่เป็น มะเร็งตับระยะสุดท้าย อันนี้ว่าจะแยกไปเขียนอีกรอบนึงเพราะมีรายละเอียดเยอะ ตั้งแต่การหลับตาจนถึงการฝึกสมาธิ ใบสั่งยาจากดร.บาเลการ์ อย่างที่เตยเคยบอกว่าเตยเคยเป็นโรคภูมิแพ้ ตอนไปอยู่อินเดียผื่นขึ้นมากมาย แบบน่าเกลียด คัน เจ็บและเซ็งมาก (ณ ตอนนั้น) ตอนไปเรียนจำได้ว่าที่โน่นเขา ไม่อยากให้เรากินยาฝรั่ง แต่ทำยังไงก็ไม่หาย แถมลามไปจนครึ่งหลังมือเลยต้อง แล่นไปหาหมอ ซึ่งหมอก็เป็นครูที่สอนนักเรียน C.C.Y. นี่แหละ เตยก็โชว์มือใคร ครูดู "ครูคะๆ หนูผื่นขึ้นเต็มเลย อยากได้ยาไปกินค่ะ ผื่นขึ้นคะเยอ คันยึกยือ ทำ ยังไงก็ไม่หาย" ครูมองหน้าแล้วหยิบกระดาษมาเขียนใบสั่งยา แล้วอธิบายให้ฟัง ดังนี้ "เธอไม่ต้องกินยาหรอกนะ เอาใบนี้ไปฝึกเช้าเย็น ภายในหกถึงแปดอาทิตย์ จะเห็นผล แล้วเธอจะค่อยๆ ดีขึ้น" ชุดฝึกปราณายามะตอนเช้า 1 กปาลภาติ 120-120-120 2 พิจารณาลมหายใจ 5 นาที 3 ภาสตริกะ (กปาลภาติ 20 สโตรคและสูรยเภทนา) จำนวน 12 รอบ แล้วเมื่อฝึก อย่างสม่ำเสมอให้เพิ่มเป็นยี่สิบรอบ 4 ท่าศพ พิจารณาลมหายใจและร่างกาย ชุดฝึกปราณายามะตอนเย็น 1 พรามรี (Bhramari) 20 รอบ 2 อนุโลมวิโลม 12 รอบ 3 ท่าศพ พิจารณาลมหายใจและร่างกาย (ให้นับลมหายใจไปเรื่อยๆ หายใจเข้า-ออกหนึ่งครั้งนับเป็นหนึ่งรอบ หรือรับรู้สัมผัสของลม หายใจที่โพรงจมูก) ผลจากการฝึก ผื่นที่เป็นค่อยๆ หายไปอย่างช้า เอ่อ ช้ามาก แต่หายจริงๆ ค่ะ คอนเฟิร์ม
ได้เจอครูเหมือนได้กลับบ้าน หนึ่งในหลายๆ เรื่องที่ได้ฟังครูญี่ปุ่นเลคเชอร์ในวันนั้น ทำให้ย้อนกลับมาถามตัวเองว่า เออ หนอ เราติดครูอย่างที่ครูญี่ปุ่นบอกหรือ เปล่า เวลาเราทำท่ายากๆ ได้เรารู้สึกอย่างไร เรามีสีหน้ามั่นใจเต็มไปด้วยอีโก้หรือเปล่า นึกแล้วก็เหมือนดูหนังที่เห็นภาพเป็นฉากๆ คิดว่าผ่าน มาหมดเลยทุกแบบ ตั้งแต่ไม่เลือกครู จนติดครู จนสุดท้ายเราก็เป็นครูของตัวเอง ฝึกกับใครก็ตามเรากลับมาฟังเรื่องร่างกายเราเสมอ แต่ถ้า เผลอไม่ดูสังขารตัวเองก็กลับมาบาดเจ็บได้อีก และอีกอย่างที่สำคัญคือครูที่ดีควรมีเมตตาแก่นักเรียน ส่วนเรื่องอาสนะ เตยเองก็จัดเต็มมาตั้งแต่ ทำไม่ได้เลย ทำได้นิดหน่อย จนถึงคิดว่าเรามีเวลาทั้งชาติ ก่อนตายคงทำได้ ล้มแล้วลุกแล้ว ท้อจนเลิกท้อจนทำได้ในสุด มีอีโก้พอกพูนจนค่อยๆ ลดลงได้ ขัดถูๆ อีโก้ที่พอกๆ อยู่ให้ลดลงไปทุกวันๆ ^^ ส่วนเรื่องอาหาร มิตะหาระ เตยชอบมาเลยที่ครูบอกว่าคือการประมาณในโภชนา เมื่อก่อนเราไม่เคย "ประมาณ" เลยแฮะ เรียกได้ว่า ขอให้อร่อยก็ซัดลูกเดียว ครูฮิโรชิอธิบายต่อด้วยว่าให้กินด้วยทัศนคติที่เคารพต่อธรรมชาติ เตยฟังไปก็นึกไปว่าตั้งแต่เตยกลับมาจากอินเดีย ก็ เปลี่ยนวิถีการกินไปเลยอย่างสิ้นเชิง ครูที่โน่นก็บอกว่ามันจะเอื้อต่อการฝึก ส่วนตัวเตยก็เชื่อเช่นนั้นนะคะ รู้สึกตัวเบา ย่อยง่าย แล้วก็ไม่กิน จุบจิบ เห็นอะไรๆ ก็อยากกินไปซะหมดเหมือนเมื่อก่อน แต่แปลกดีที่ของบางอย่างที่เราเคยชอบมากๆ เช่นถั่วทองทอดกรอบ เมื่อก่อนเห็นแล้ว ตาลุกวาว น้ำลายสอ เดี๋ยวนี้พอซื้อมากินแล้วก็กินได้นิดหน่อย ไม่ได้กินด้วยความลิงโลดเหมือนเมื่อก่อน กินไม่หมดถุงด้วย ไม่น่าเชื่อ เหมือน ร่างกายเค้าจะเลือกรับของที่จะกินแล้วมั้งเตยคิดว่า แหม เรียนกำลังสนุกเลยหมดเวลาซะละ เลยร่ำลาครูกลับบ้าน ดีใจที่ได้กลับไปฝึก กลับไปเจอครูอีก เหมือนได้กลับบ้าน เพราะบางทีเราก็เผลอออกทะเลไปบ้าง ฮ่าๆๆ วันนั้นฝึกแล้วก็รู้สึกเบากาย สบายใจ มีแรงใจเพิ่มขึ้นอีกมากมายเลยค่ะ ทั้งนี้เตยแนบรูปใบสั่งยา กับรูปโบกอลจิกับดร.บาเลการ์มาด้วย เผื่อมีคนอยากเห็นตัวจริง ^^ วันนี้ขอลาไปแต่เพียงเท่านี้ค่ะ แล้วจะขอไปเยี่ยมเยือนอีกนะคะ
สวัสดีค่ะ เตย
[11]
¨จÒา¡กàเ¾พ×ืè่Íอ¹น¤คÃรÙู
ËหÅลÑั ºบµตÒาàเ»ป š¹นäไËหÁม
àเÃรÕีÂย¹น¤คÃรÙู เมื่อวานที่เล่าค้างไว้ เตยขอมาเล่าต่อ ตามนี้เลยค่ะ เนื่องจากมีโอกาสได้ความรู้จากการพูดคุยกับโบกอลจี (Prin. R.S. Bhogal ครูใหญ่และ ผู้บรรยายวิชา Yoga and Mental Health แห่งโรงเรียนอบรมครู สถาบันไกวัลยธรรม เมืองโลนาฟลา ประเทศอินเดีย) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เตยเลยอยากจะนำมาแบ่งปันค่ะ การเปล่งเสียงโอม ไม่ต้องทำเสียงดังๆ ก่อนที่จะเล่าเรื่องทำสมาธิ ครูโบกอลเคยสอนไว้เรื่องการโอม ครูให้เตยออกเสียงโอมให้ฟัง ซึ่งตอนนั้นเตยทั้งประหม่า ทั้งตื่นเต้น เป็นการโอมที่เสียงบี้แบนมาก ทั้งๆ ที่ครูก็ย้ำแล้วย้ำอีกเวลาสวดก่อนเรียนหนังสือว่า เวลาโอมจะต้องใช้เสียง low tone low pitch เท่านั้น เรา ทำเพื่อให้ตัวเราได้ยินไม่ใช่โชว์ให้คนอื่นได้ยิน ซึ่งเราก็จ๋อยกันไปตาม ๆ กัน
[12]
ครูใหญ่ใจดีเลยสอนเตยใหม่ ว่าการโอมมีหลักการอย่างไร อย่างแรกคือ ต้องออกเสียงโอเพียงสามวินาทีด้วยโทนเสียงต่ำ ซึ่งส่งผลให้เรารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่บริเวณหัวใจ อย่างที่สอง คือปิดริมฝีปากลงเพื่อออกเสียงอืมมม... ยาวต่อไปแล้วค่อยๆ สอบเสียงให้เบาลง ให้นึกถึงเสียงระฆังที่เมื่อดังขึ้นมาระยะ หนึ่งจะค่อยๆ ลดเสียงลงอย่างช้าๆ ซึ่งการทำเช่นนี้ทำให้เราเกิดความใส่ใจอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายคือ เสียงอืมม...จะบางเบาจนเหมือนก้านของใยบัวที่เราได้ยินคนเดียว เกิดเสียงที่สั่นสะเทือนอย่างบางเบาซึ่งจะทำให้เรารู้สึก สงบใจอย่างเป็นธรรมชาติ ครูแนะนำว่าเราสามารถฝึกอนุโลมวิโลม 10 รอบ เปล่งเสียงโอม 10 รอบ และตามด้วยกายาตรีมันตราอีก 10 รอบ วันละสามครั้งเช้า กลางวัน เย็น เราจะรู้สึกถึงความสงบกายสบายใจจนรู้สึกได้ ซึ่งส่วนตัวเตยคิดว่าเตยเปล่งเสียงโอมได้ดีขึ้น ไม่ตะกุกจะกักเหมือนช่วงแรกๆ ที่ พร้อมจะเพื้ยนตลอดเวลา ทำแล้วก็รู้สึกสงบจริงๆ อย่างที่ครูว่าไว้ การทำสมาธิ ทีนี้มาต่อเรื่องทำสมาธิดีกว่า เรื่องมีอยู่ว่าเตยได้ปรึกษาโบกอลจีไปว่า คุณป้าที่ป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายถามเตยว่า โยคะจะช่วย อะไรป้าได้บ้าง แต่ป้าขอไม่ฟังเทปธรรมะ ไม่อ่านหนังสือหรือให้พระมาเทศน์ มีวิธีแนะนำอย่างไรบ้าง ครูตอบกลับมาว่าคุณป้าสามารถทำสมาธิ ในท่านอนได้ แต่ให้สไกป์คุยกันกับครูจะได้เข้าใจ การหลับตา ก่อนอื่นครูให้หลับตาลง ซึ่งการหลับตาไม่ใช่ว่าอยู่ๆ จะหลับตาพรึ่บเดียวเลย ก่อนหน้านี้ครูเคยถามว่า “เธอหลับตาเป็นไหม” แต่ด้วย ความที่ตื่นเต้นเนื่องจากคุยกับครูใหญ่แถมฟังสำเนียงแขกไม่ค่อยออก เลยตอบไปว่า “ไม่เป็นค่ะ” ครูถึงกับเอามือจับศีรษะ ส่ายหน้าเบาๆ (ซึ่ง เตยแอบเห็น แล้วเพิ่งตระหนักได้ว่าครูคงถามเรื่องที่เราควรจะทำได้) ครูบอกว่า ถ้าอยู่ๆ เราหลับตาลงไปเลยเนี่ยเคยสังเกตไหมว่าตามันจะ รู้สึกยุบยิบๆ เราต้องเตรียมพร้อมโดยการค่อยๆ หลุบตาลงมองบนพื้นห่างออกไประยะหนึ่งทางด้านหน้า โดยที่ยังคงลืมตาอยู่และค่อยๆ กะพริบตาลงช้าๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าตาของเราจะค่อยๆ ปิดสนิทอย่างนุ่มนวล ครูเอานิ้วเปิดเปลือกตาตัวเองให้ดูด้วย บอกว่า “เห็นไหม ถ้าเรา ปิดตาสนิทแบบเป็นธรรมชาติ เราจะไม่เห็นตาดำเลยนะ” แล้วก็ทำอีกหลายรอบ ซึ่งก็ไม่เห็นตาดำจริงๆ นะ สิ่งที่สำคัญคือ ไม่ต้องรีบ กะพริบไป เรื่อยๆ จนกว่าเปลือกตาจะปิดสนิทเอง ซึ่งเตยก็ใช้เวลานานเหมือนกัน แต่พอตาปิดลงแล้วรู้สึกสบายตาดีแฮะ เหมือนเปลือกตา ดวงตาได้ผ่อน คลายอย่างสบาย แล้วแผ่ความสบายไปยังหน้าผาก ไปยังใบหน้าทั้งใบหน้า รับรู้ถึงความรู้สึกบริเวณใบหน้า ไล่ความสบายจากใบหน้าลงไปทั่วตัว ทีนี้พอเรารู้สึกสบายที่ใบหน้าแล้ว เราสามารถทำอย่างเดียวกันกับร่างกายทั้งหมดได้ โดยค่อยๆ ไล่ความสบายจากใบหน้าลงไปทั่ว ร่างกาย ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นธรรมชาติ ผ่อนคลายทั่วทั้งร่างกาย ตระหนักรู้ถึงร่างกายทั้งร่างว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นในร่างกายของเราโดย ไม่ปรุงแต่ง หากมีความคิดแว่บเข้ามาให้กลับมาพิจารณาแขน ขาของเราทันที แล้วความคิดจะหายไป และความรู้สึกอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นใน ร่างกายของเราจะกลับมาโดยอัตโนมัติ จากนั้นความคิดอื่นๆ อาจเกิดขึ้นอีกก็ให้พิจารณาแขนขาของเราทันที ความรู้ตัวก็จะกลับมาทันที พร้อมๆ กับความคิดที่หายไป ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เงียบและไม่โต้ตอบ จากนั้นเราจะเริ่มรู้สึกถึงความเงียบ หากมีความรู้สึกใดๆ เกิดขึ้นในร่างกายให้เพียงรับรู้ความรู้สึกนั้นโดยไม่ตอบโต้ ทำต่อไปรับรู้ถึง ความเงียบ รับรู้ความรู้สีกต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตอบโต้ แล้วจะค่อยๆ เกิดความรู้สึกสุขใจ สงบใจขึ้นมา ให้อยู่กับความรู้สึกนี้ไปจนกว่าต้องการ ออกจากสมาธิ สำหรับผู้ป่วย เขาสามารถนอนทำและหลับไปพร้อมกับความรู้สึกแบบนี้ได้เลย ส่วนผลการฝึก ขอเวลารวบรวมข้อมูลก่อนแล้วจะรายงานผลให้ทราบนะคะ ถ้าใครสนใจลองทำดูค่ะ หรือสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่ม เติมได้จากหนังสือ Yoga & Mental Health & Beyond โดยครูโบกอลค่ะ ขอจบเรื่องเล่าของวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ค่ะ
ÃรÒาµตÃรÕีÊสÇวÑั Êส´ดÔิì์ àเµตÂยàเÍอ§ง¤ค ‹Ðะ¤คÃรÙู
[13]
Ãร¶ถµตÔิ ´ด ....................
ÂยÒาÁมÃร¶ถµตÔิ´ด Ëห§งØุ´ดËห§งÔิ´ดãใ¨จ ãใ¨จ§งØุ ‹¹น§ง ‹Òา¹น ÊสÙูÞญ¾พÅลÑั §ง§งÒา¹น àเÇวÅลÒาàเÊสÕีÂย àเ¾พÅลÕีÂยÊสÁมÍอ§ง ¤คÍอÂยàเ¤คÅล×ืè่Íอ¹นÃร¶ถ ·ท∙ÕีÅลÐะ¹นÔิ´ด ¼ผÔิ´ด·ท∙Óำ¹นÍอ§ง àเÁมÕีÂย§งàเÁมÕีÂย§งÁมÍอ§ง àเ½ฝ ‡Òาäไ¿ฟáแ´ด§ง áแ»ปÅล§งàเ»ปÅลÕีè่Âย¹น·ท∙Õี ....................
¤คÃรÙูàเ»ป ˆÒาÐะ ¹นÑั ¹น·ท∙Òา
เขียน ณ ถนนสุขุมวิท ที่รถติดติดอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
[14]
âโ´ดÂย ÇวÕีÃรÐะ¾พ§งÉษ äไ¡กÃรÇวÔิ·ท∙Âย áแÅลÐะ¨จÔิÃรÇวÃรÃร³ณ µตÑั้§ง¨จÔิµตàเÁม¸ธÕี áแ»ปÅลáแÅลÐะàเÃรÕีÂยºบàเÃรÕีÂย§ง
»ป ˜ÞญÞญÒาÞญÒา³ณ ¨จÒา¡ก¡กÒาÃรËหÂยÑัè่§งÃรÙู Œ¤คÇวÒาÁม¨จÃรÔิ§งÊสÙู§งÊสØุ´ด ความตอนที่แล้วสรุปได้ว่า สาเหตุของสังโยคะ คือ อวิทยา ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสี่เรื่องด้วยกันคือ เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่า เป็นสิ่งที่เที่ยง เห็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ว่าเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นความสุข และเห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน(ตัวเรา-ของเรา) ว่าเป็นตัวตน และหากขจัดอวิทยาให้หมดไปสังโยคะจึงจะหมดสิ้นลง ผู้ปฏิบัติที่เดิน ทางมาถึงจุดนี้ได้จะเกิดศักยภาพในการรู้เฉยๆ ของปุรุษะ นั่นคือการ บรรลุถึงสภาวะไกวัลยะ หรือพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่าเมื่อใดที่ผู้ปฏิบัติโยคะ เกิดการตระหนักรู้ชัดอย่างต่อเนื่องในการแยกความแตกต่างระหว่างปุ รุษะกับประกฤติ เมื่อนั้นผู้ปฏิบัติก็จะบรรลุถึงไกวัลยะ และนี่คือหนทาง แห่งการดับทุกข์ โยคสูตรประโยคถัดมาคือ “ตัสยะ สัปตธา ปรานตะ-ภูมิห์ ปรัชญา” ๒:๒๗ แปลว่า ปรัชญา1ที่เกิดจากการตระหนักรู้ชัดในการ แยกความแตกต่างระหว่างปุรุษะ กับประกฤติมี ๗ ขั้นตอนที่เด่นชัด วิเวกะขยาติ ไม่ได้เป็นเพียงความรู้ทางเชาว์ปัญญาเท่านั้น แต่เป็นประสบการณ์จริงหรือการตระหนักรู้ในการแยกความแตกต่าง ระหว่างปุรุษะกับประกฤติ เพื่อที่จะเข้าถึงการตระหนักรู้ดังกล่าวความ เข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฎทั้งสอง (ปุรุษะ-ประกฤติ) นี้เป็นเรื่องที่ จำเป็นต้องรู้ก่อนและเป็นขั้นเริ่มต้น การตระหนักรู้อย่างสมบูรณ์ของ การแยกความแตกต่างนี้ ผู้ปฏิบัติจะเข้าถึงได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีจำนวนขั้นที่แน่นอนตามที่ได้ชี้ชัดในประโยคนี้ และประโยคถัด ไป (๒:๒๘) ขั้นเหล่านี้แยกออกจากกันอย่างชัดเจนและมีอยู่ทั้งหมด เจ็ดขั้น การตระหนักรู้สูงสุดนี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยศักยภาพใหม่อย่างหนึ่ง ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาระหว่างฝึกปฏิบัติโยคะ โดยเฉพาะระหว่าง การฝึกธารณา ธยานะ และสมาธิ (๓ ขั้นสุดท้ายของมรรค ๘ โยคะ) ศักยภาพในการตระหนักรู้นี้อยู่ในลักษณะเฉพาะบางอย่างเหมือนกับ การหยั่งรู้ นั่นคือ มันให้ความรู้โดยตรงโดยปราศจากการทำงานผ่าน ประสาทสัมผัสทั้งหลาย ซึ่งในประโยคนี้มีการใช้คำว่า “ปรัชญา” แทน ความรู้ลักษณะนี้ แต่คำว่า ปรัชญา นี้ไม่ควรจะใช้ในความหมายว่าเป็น ความรู้ทางเชาว์ปัญญาตามที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไป ความจริงแล้ว ศักยภาพพิเศษในการเข้าถึงความรู้นี้โดยตรงได้มีการกล่าวถึงแล้วใน ประโยคที่ ๑:๔๘ โดยใช้คำว่า ฤตัมภราปรัชญา ปรัชญานี้เกิดขึ้นใน ขั้นสพีชะสมาธิตอนต้น (๑:๔๘) ซึ่งสามารถให้ความรู้ในความจริงที่อยู่ เบื้องหลังสิ่งต่างๆ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ และมันค่อยๆ หยั่งลึก เข้าไปมากขึ้นๆ ในขณะที่การปฏิบัติสมาธิกำลังดำเนินไป และใน ระหว่างที่กำลังก้าวหน้าไปในขั้นต่างๆ ของสมาธิ ได้แก่ สพีชะ นิรพี ชะ และธรรมเมฆะ ก็จะได้รับความรู้จากวัตถุที่เลือกใช้สำหรับ
กระบวนการ ปฏิบัติในขั้นของ ธารณา ธยานะ และสมาธิ ซึ่งจะ เข้าใกล้ความจริง สู ง สุ ด ยิ ่ ง ขึ ้ น เรื่อยๆ การเข้าถึง ความจริ ง สู ง สุ ด อย่างค่อยเป็นค่อยไป นี้ เกิดขึ้นทั้งหมด เจ็ดขั้นตอน ซึ่งแยกกันอย่าง ชั ด เจนตามที ่ ป ระโยคนี ้ กล่าวไว้ ในแต่ละขั้นผู้ปฏิบัติจะได้รับความรู้หรือประสบการณ์จากวัตถุ ที่เลือกใช้ในการปฏิบัติสมาธิซึ่งจะเข้าใกล้ความจริงสูงสุดที่อยู่เบื้อง หลังมันมากกว่าในขั้นที่อยู่ก่อนหน้า ปตัญชลีได้ใช้ศัพท์ว่า ปรานตภูมิห์ ไม่ได้ใช้แค่เพียง ภูมิห์ ใน ประโยคนี้ เหตุผลดูเหมือนจะเป็นว่า การพัฒนาปรัชญาที่ผ่านขั้นตอน ต่างๆ นั้นมีความโดดเด่นชัดเจนเหมือนกับเขตการปกครองทาง ภูมิศาสตร์ (ที่แบ่งแยกได้อย่างชัดเจน) และมีจำนวนขั้นตอนที่ชัดเจน แน่นอนคือ ๗ ขั้น อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่าผู้ปฏิบัติบางคน อาจรู้สึกว่าขั้นตอนเหล่านี้มีน้อยกว่าหรือมากกว่าเจ็ดก็ได้ ปตัญชลี เพียงแต่กล่าวว่า ขั้นตอนเหล่านี้มีอยู่เจ็ดขั้นอย่างแน่นอนเท่านั้น และ ท่านก็ไม่ได้ให้ชื่อของขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ไว้ด้วย อรรถกถาจารย์บาง คนได้ให้ชื่อ และรายละเอียดของลักษณะธรรมชาติของขั้นตอนเหล่านี้ แต่ชื่อและคำอธิบายเหล่านั้นจะเป็นที่ยอมรับของปตัญชลีหรือไม่ ยัง คงเป็นคำถามอยู่ต่อไป เนื่องจากปตัญชลีไม่ได้ให้คำอธิบายที่ชัดเจน ใดๆ เกี่ยวกับขั้นตอนทั้งเจ็ดนี้(ปรานตภูมิ) มันจึงไม่ได้มีความหมาย มากนักสำหรับผู้ปฏิบัติที่จะต้องรู้ชื่อ และลักษณะเฉพาะของขั้นตอน เหล่านี้ อรรถกถาจารย์ของหนังสือเล่มนี2้ เห็นว่า สิ่งที่เป็นจุดมุ่งหมาย หลักของประโยคนี้ก็คือ ปตัญชลีต้องการที่จะให้ข้อสังเกตต่อผู้ปฏิบัติ โยคะว่า การพัฒนาปรัชญาให้เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างค่อยเป็น ค่อยไป และเป็นไปได้มากๆ ว่าผู้ปฏิบัติจะได้รับประสบการณ์ในขั้น ต่างๆ อย่างชัดเจนระหว่างการพัฒนาปรัชญานี้ซึ่งก็คือ เขาจะตระหนัก รู้ในความจริงของทั้งเจ็ดขั้นตอน และแต่ละขั้นตอนที่กำลังเข้าถึงนั้นก็ ทำให้เขายิ่งเข้าใกล้ความจริงสูงสุดมากขึ้นเรื่อยๆ เอกสารอ้างอิง : Karambelkar, P. V. (1986). PATANJALA YOGA SUTRAS Sanskrta Sutras with Transliteration, Translation & Commentary. Lonavla : Kaivalyadhama, p. 227-229. & Commentary. Lonavla : Kaivalyadhama, p. 221-224.
µตÓำÃรÒาâโÂย¤คÐะ
´ดÑัé้§งàเ´ดÔิÁม
1 ปรัชญาในที่นี้หมายถึงปัญญาญาณ เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติสมาธิขั้นสูงของโยคะ ความรู้นี้ไม่ได้ผ่านช่องทางของประสาทสัมผัสทั้ง ๕ และการนึกคิด(ใจ) เหมือนกับ
ความรู้ภายนอกทั่วไป แต่เป็นญาณหยั่งรู้ (intuition) ภายใน (ผู้แปล) 2 ดูเอกสารอ้างอิงท้ายบทความ
[15]
àเÅล ‹ÒาÊสÙู ‹¡กÑั¹น¿ฟ ˜§ง
the biology of belief ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเรื่อง The Biology of Belief โดย Bruce H. Lipton มีเนื้อหาสอดคล้องกับความเชื่อของเครือข่ายครูโยคะทาง ด้านแพทย์ทางเลือก กับทัศนะต่อชีวิตที่ตั้งคำถามแพทย์แผนตะวันตก และหันมามองแบบตะวันออกมากขึ้นๆ จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง ในบทเกริ่นนำ ผู้เขียนท้าวความถึงความรู้เดิมเกี่ยวกับชีววิทยา โดยเฉพาะเรื่องของเซลล์ที่ระบุว่า เซลล์ (โดยยีนส์พันธุกรรม) เป็นผู้ ควบคุมกลไก (สรีระวิทยา) และพฤติกรรมของชีวิต โดยหนังสือเล่มนี้นำเสนอความคิดที่กลับกันว่า สิ่งแวดล้อม (ทั้งทางกายภาพและพลังงาน) ต่างหากที่กำกับความเป็นไปของเซลล์ เซลล์ได้รับอิทธิพลจากยีนส์หรือพันธุกรรมอยู่เหมือนกันแต่ก็เพียงเล็กน้อย คือเป็นแค่พิมพ์เขียวสำหรับ โครงสร้างเนื้อเยื่อ และอวัยวะของเซลล์เท่านั้น แต่ชีวิตของเซลล์ๆ หนึ่งจะเติบโต-จะวิวัฒน์ไปอย่างไรขึ้นกับสิ่งแวดล้อม “ความรับรู้” ของเซลล์ ต่อสิ่งแวดล้อมนั่นแหละ ที่เป็นรากฐานกลไกของสิ่งมีชีวิต ผู้เขียนปูพื้นว่าหนังสือ ชีววิทยาของความเชื่อ ตั้งอยู่บนศาสตร์ใหม่ ๒ ศาสตร์คือ ๑) signal transduction ว่าด้วยกลไกเคมีชีวในเซลล์ที่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม บ่งบอกถึงการที่สิ่งแวดล้อมสามารถแทรกแซงการ ทำงานของยีนส์ในเซลล์ได้ การที่สิ่งแวดล้อมควบคุมชะตาชีวิตของเซลล์ มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของเซลล์ กำกับการเอาชีวิตรอดหรือ กระทั่งทำลายชีวิตของเซลล์ ศาสตร์นี้เชื่อว่า กรรมหรือพฤติกรรมของจุลชีพเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการรับรู้ของมันต่อสิ่งแวดล้อม พูดง่ายๆ ว่า ชีวิตเราจะเป็นไป อย่างไร ไม่ได้ขึ้นกับชะตาลิขิต (หรือพันธุกรรมลิขิต) แต่ขึ้นกับว่าเรารับรู้มันอย่างไร ๒) ศาสตร์การควบคุมเหนือพันธุกรรม (epigenetics) ศึกษาถึงการที่สิ่งแวดล้อมเลือก ปรับ ควบคุมพันธุกรรมได้อย่างไร ศาสตร์นี้ อธิบายว่าพฤติกรรมของพันธุกรรมจะปรับเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องขึ้นกับประสบการณ์ที่มันได้รับ ซึ่งย้ำว่า การรับรู้ของเรากำกับชีววิทยาในตัว เรา นอกจากนั้น ผู้เขียนยังชี้แจงมิจฉาคติของนักวิทยาศาสตร์ตะวันตก ที่ตำหนิถึงการที่ใครสักคนพยายามอธิบายสิ่งๆ หนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ โดยเทียบเคียงว่ามันเป็นมนุษย์ (Anthropomorphism) ว่าเป็นบาป ซึ่งผู้เขียนแย้งว่ามันเป็นเรื่องล้าสมัย เป็นมิจฉาทิฎฐิเพราะเป็นมุมมองที่ยก มนุษย์สูงเหนือสัตว์อื่น ซึ่งไม่ใช่สัจธรรม ในเนื้อหา ผู้เขียนมองว่า เซลล์ก็คือ มนุษย์ตัวจิ๋ว นั่นเอง โดยมนุษย์เป็นอย่างไร เซลล์ก็เป็นอย่างนั้น เรามีระบบประสาท เซลล์มี eukaryote (nucleus containing cell) เรามีระบบย่อยอาหาร หายใจ ขับถ่าย ฮอร์โมน กล้ามเนื้อ-กระดูก ไหลเวียนเลือด ผิวหนัง เซลล์ก็มี เหมือนกัน เซลล์พื้นผิว (ซึ่งทำให้มันเป็นเอกเทศจากเซลล์อีกเซลล์หนึ่ง) มีกลไกสืบพันธุ์ รวมทั้ง กลไกภูมิคุ้มกัน เซลล์แต่ละตัวมีความฉลาด และเอาชีวิตรอดได้ด้วยตนเอง เมื่อนักทดลองแยกเซลล์ออกจากร่างกายไปไว้อีกที่หนึ่ง มันกระเสือก กระสน มีความมุ่งมั่น มีเป้าหมาย มันจะเคลื่อนไปสู่ที่ๆ เอื้อต่อการมีชีวิตรอด ขณะเดียวกันก็หลีกหนีจากที่ๆอันตรายหรือเป็นพิษ มันวิเคราะห์ จุลภาวะที่มีนับพันนับหมื่นรอบๆ ตัวมัน แล้วจึงแสดงพฤติกรรมตอบสนองอันเหมาะสม เพื่อการมีชีวิตรอด เซลล์แต่ละตัวสามารถเรียนรู้ สั่งสมประสบการณ์ บันทึกจดจำ แล้วส่งผ่านต่อไปยังลูกหลานของมัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อฉีดวัคซีน ป้องกันโรคหัดเข้าสู่ทารก เซลล์ที่รับผิดชอบด้านภูมิคุ้มกันจะสร้างโปรตีนต่อต้านเชื้อหัด พร้อมทั้งสร้างพิมพ์เขียวโปรตีนชนิดนี้เก็บไว้เพื่อที่ พร้อมสร้างโปรตีนแบบเดียวกันนี้อีกในอนาคตหากมีความจำเป็นต้องใช้ หนังสือประกอบด้วยรายละเอียดต่างๆ ผู้สนใจสามารถหาอ่านได้ หนังสือ The Biology of Belief ช่วยยืนยันทัศนะต่อชีวิตแบบตะวันออก มันช่วยยืนยันว่า ชีวิตไม่ใช่เพียงเรื่องของพรหมลิขิต แต่การก ระทำของเรา กรรมของเราเปลี่ยนลิขิตชีวิตได้ มันช่วยยืนยันว่า เราไม่ควรไปตู่เอาว่าฉันเป็นเจ้าของชีวิต ในทางกลับกัน ที่ปรากฏอยู่นี้ มันคือ องค์ประกอบของชีวิต (เซลล์) ๕๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ชีวิตต่างหาก เมื่อพิจารณาลงไปจนถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่า “เป็นเรา” เลย ไม่มี
[16]
¨จÒา¡กàเ¾พ×ืè่Íอ¹น¤คÃรÙู
¾พÑั ´ดÅลÁมàเ¨จé้Òา»ปÑั ÞญËหÒา ? Íอ¹นÑัµตµตÒา “หนูรู้สึกว่าหนูมีปัญหากับพัดลมค่ะอาจารย์” ฉันยังจำประโยคนี้ของตัวเองได้ดี.. ในวันที่ ๒ ของการเข้ารับการอบรมหลักสูตรวิปัสสนาเป็นเวลา ๑๐ วัน ของที่นี่ จำได้ถึงแววตาแห่งความเมตตาของอาจารย์ผู้สอนในวันนั้น ที่เมื่อบอกให้ฉันลองมองไปรอบๆ ห้องที่อัดแน่นไปด้วยเบาะอาสนะและเก้าอี้
[17]
ว่าหากฉันจะย้ายที่นั่งเพื่อหลีกลี้หนีพัดลมแล้ว ฉันจะเปลี่ยนไปนั่งได้ตรงไหนบ้าง อีกทั้งชวนให้แหงนมองไปบนเพดานที่เต็มไปด้วยพัดลมในทุกระยะๆ สุดท้ายชวนให้ดูภายในตัวเอง.. ว่าสาเหตุที่ฉันไม่สามารถรับรู้ถึงสัมผัสของลมหายใจเข้าออกตามที่อาจารย์บอกให้สังเกตุว่าจะกระทบพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยม เหนือริมฝีปากได้ และที่ฉันบอกว่ามันเป็นเพราะลมแรงจากพัดลมมาขโมยซีนนั้น ... แท้จริงแล้วเป็นเพราะอะไร สรุปว่าฉันไม่ได้รับอนุญาติให้ได้รับการเปลี่ยนที่นั่ง แต่จำได้ว่าในขณะนั้นวิญญาณกระทิงน้อยในตัวฉันเริ่มรู้สึกสงบลงๆ ไม่ได้ฟึดฟัด ฮึดฮัด เหมือนตอนแรก ดังนั้นเมื่อถึงช่วงปฏิบัติในภาคบ่ายฉันจึงลองรวบรวมความตั้งใจ และบอกตัวเองให้อดทนมากขึ้น อดทนต่อทั้งความเจ็บปวดทางกาย และจากสิ่งรบกวนรอบกาย ที่สุดก็วางทุกอย่างไว้.. แล้วก็ได้พบว่าฉันไม่ได้รู้สึกถึงลมแรงๆ จากพัดลมเพดานอีกต่อไป เ ห มื อ น ฉั น เ ป็ น อิ ส ร ะ จ า ก ใ บ พั ด นั่ น เ ห มื อ น ฉั น เ ป็ น ห นึ่ ง เ ดี ย ว กั บ มั น ฉันยังคงนั่งหลับตาภายนอก ในขณะที่ดวงตาภายในได้เปิดออกและเริ่มมองเห็นแสงสว่าง ว่าเมื่อเราไม่สามารถสงบได้ภายใน เราก็จะพาลโทษทุกสิ่งรอบข้าง ฉันทำโน่นไม่สำเร็จ เพราะสิ่งนั้น ฉันทำนี่ไม่สำเร็จ เพราะสิ่งนี้ เรียกว่าทุกสิ่งไม่ดีไปหมด.. ยกเว้นตัวเราเอง ที่ เ ร า ไ ม่ เ ค ย ม อ ง เ ห็ น แต่ในวันที่เราเปิดหัวใจให้กว้างขึ้น เพื่อยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง และนั่นหมายถึงตัวเรารวมอยู่ในสรรพสิ่งเหล่านั้นด้วย เราก็ได้พบว่า.. อะไรที่เกิดขึ้นแล้วมันต้องเป็นไป และมันดีเสมอจริงๆ หากเราทำใจยอมรับได้ แล้วเมื่อนั้น.. แม้จะมีพายุภายนอกพัดโหมกระหน่ำเพียงไร เราก็จะพบว่าภายในของเรากลับสงบได้อย่างไม่ยากเย็น ในการปฏิบัติเป็นครั้งสุดท้ายของวันที่ ๑๐ ฉันเหลือบมองพัดลมเพดานตัวนั้น และนึกขอบคุณอยู่ในใจอย่างเงียบๆ ขอบคุณสายลม ที่มาให้ฉันเรียนรู้ และพัดพาความตื่นรู้มาสู่ภายใน เพื่อให้ฉันได้รู้จักตัวเองได้มากขึ้นอีกครั้ง
[18]
http://www.84000.org/tipitaka/
¾พÃรÐะäไµตÃร»ป ®ฎ¡ก áแ¡ก ‹¹น¸ธÃรÃรÁม ¾พÃรÐะäไµตÃร»ป ®ฎ¡ก àเÅล ‹Áม·ท∙Õีè่ ñ๑ø๘ ¾พÃรÐะÊสØุµตµตÑั¹นµต»ป ®ฎ¡ก àเÅล ‹Áม·ท∙Õีè่ ñ๑ð๐ ÊสÑั§งÂยØุµตµต¹นÔิ¡กÒาÂย ÊสÌฬÒาÂยµต¹นÇวÃรÃร¤ค ÍอØุ·ท∙¡กÊสÙูµตÃร [๑๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า อุทก ดาบสรามบุตร ย่อมกล่าววาจาอย่างนี้ว่า เรา ขอบอก เราเป็นผู้ถึงซึ่งเวทโดยส่วนเดียว เรา ขอบอก เราเป็นผู้ชนะก่อนโดยส่วนเดียว เรา ขอบอก เราขุดเสียแล้วซึ่งมูลรากแห่งทุกข์ที่ ใครขุดไม่ได้โดยส่วนเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุทกดาบสรามบุตรยังเป็น ผู้ไม่ถึงซึ่งเวทก็กล่าวว่าเราเป็นผู้ถึงซึ่งเวท ยังเป็นผู้ไม่ชนะก่อน ก็กล่าวว่าเราเป็นผู้ชนะ ก่อน ยังไม่ได้ขุดมูลรากแห่งทุกข์ ก็กล่าวว่า เรา ขุดมูลรากแห่งทุกข์ได้แล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อจะกล่าวข้อนั้นโดยชอบ ควรกล่าวว่า เราขอบอก เราเป็นผู้ถึงซึ่งเวทโดยส่วน เดียว เราขอบอก เราเป็นผู้ชนะก่อนโดยส่วนเดียว เรา ขอบอกเราขุดมูลรากแห่งทุกข์ที่ใครขุดไม่ได้โดยส่วน เดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเป็นผู้ถึงซึ่งเวทอย่างไร ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุย่อมรู้ตามความเป็นจริงซึ่งความเกิดความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งผัสสายตนะ ๖ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเป็นผู้ถึงซึ่งเวทอย่างนี้แล ภิกษุย่อมเป็นผู้ชนะก่อนอย่างไร ภิกษุรู้แจ้งตามความเป็นจริงซึ่ง ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งผัสส ายตนะ ๖ เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะไม่ถือมั่น ภิกษุย่อมเป็นผู้ชนะ ก่อนอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย มูลรากแห่งทุกข์ที่ใครขุดไม่ได้ อันภิกษุขุดได้แล้ว อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่า "คัณฑะ" นี้ เป็นชื่อของกายนี้อันเป็นที่ ประชุมแห่งมหาภูตรูป ๔ ซึ่งมีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เติบโตขึ้นเพราะข้าว สุกและขนมสด มีความไม่เที่ยง ต้องขัดสี นวดฟั้น แตกสลายกระจัดกระจาย เป็นธรรมดา คำว่า "คัณฑมูล" นี้ เป็นชื่อของตัณหา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตัณหาภิกษุละเสียแล้ว ให้มีรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาล ยอดด้วน ทำให้ไม่มีไม่ให้เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย มูลรากแห่งทุกข์ที่ใครๆ ขุดไม่ได้ ภิกษุขุดเสียแล้วอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า อุทกดาบสรามบุตร ย่อมกล่าววาจาอย่างนี้ว่า เราขอบอก เราเป็น ผู้ถึงซึ่งเวทโดยส่วนเดียวเราขอบอก เราชนะก่อนโดยส่วนเดียว เราขอบอก เราขุดเสียแล้วซึ่งมูลรากแห่งทุกข์ที่ใครขุดไม่ได้โดยส่วนเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุทกดาบสรามบุตรยังเป็นผู้ไม่ถึงซึ่งเวท ก็กล่าวว่า เราเป็นผู้ถึงซึ่งเวท ยังเป็นผู้ไม่ชนะก่อน ก็กล่าวว่าเราชนะ ก่อน ยังขุดมูลรากแห่งทุกข์ไม่ได้ ก็กล่าวว่า เราขุดมูลรากแห่งทุกข์เสียแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อจะกล่าวข้อนี้โดยชอบ ควรกล่าวว่า เราขอบอกเราเป็นผู้ถึงซึ่งเวทโดยส่วนเดียว เราขอบอก เราเป็นผู้ ชนะก่อนโดยส่วนเดียวเราขอบอก เราขุดมูลรากแห่งทุกข์ที่ใครขุดไม่ได้โดยส่วนเดียว ฯ
[19]
ÃรÐะºบºบ»ปÃรÐะÊสÒา·ท∙ ·ท∙Õี ่ ¤ค ÃรÙู âโ Âย¤คÐะ¤คÇวÃรÃรÙู ้ àเÃร×ื่Íอ§ง àเËหÂยÕี่ÂยÇวµตÐะÇวÑั¹นÇวÍอÍอ¡ก àเËหÂยÕี่ÂยÇวµตÐะÇวÑั¹นµต¡ก
µตÍอ¹น 1
ÈศÃร´ดÍอ¡กáแÃร¡ก
àเÁม×ืè่ÍอÃรÙู ŒÊสÖึ¡ก àเ¨จç็ºบ»ปÇว´ด ÍอÂย ‹Òา§งÃรÇว´ดàเÃร ŒÒา ¡กç็ÃรÙู Œàเ·ท∙ ‹Òา Çว ‹Òา "àเ¨จç็ºบËห¹นÍอ" àเ·ท∙ ‹Òา¹นÑั é้¹นËห¹นÒา äไÁม ‹àเ¡กÔิ´ดÂยÖึ´ด Çว ‹Òา "¡กÙู" àเ¨จç็ºบ "¡กÙู" ·ท∙ÃรÁมÒา³ณ ¹นÕีé้àเÃรÕีÂย¡กÇว ‹Òา ÁมÕีÈศÃร´ดÍอ¡ก àเ¾พÕีÂย§ง´ดÍอ¡กàเ´ดÕีÂยÇวÏฯ ¶ถ ŒÒาàเ¡กÔิ´ด¤คÇวÒาÁม ¤คÔิ´ด¼ผÔิ´ด ÍอÕี¡ก¹นÔิ´ดËห¹นÖึè่§ง Çว ‹Òา"¡กÙู"¶ถÖึ§ง ·ท∙Øุ¡ก¢ข Ãร ŒÒาÂย ãใËห ŒËหÇวÒา´ดàเÊสÕีÂยÇว ÂยÖึ´ดÇว ‹Òา"¡กÙู" µตÒาÂยáแÂย ‹ àเ»ป š¹นáแ¹น ‹àเ·ท∙ÕีÂยÇว ÈศÃร´ดÍอ¡กàเ´ดÕีÂยÇว ¡กÅลÒาÂยàเ»ป š¹นÊสÍอ§ง µต ŒÍอ§ง¡กÒาÂยÒาÏฯ ÈศÃร´ดÍอ¡กáแÃร¡ก äไÁม ‹¡กÃรÐะäไÃร äไÃร ŒÂยÒา¾พÔิÉษ äไÁม ‹àเ¼ผÒา¨จÔิµต àเ¾พÕีÂย§งàเ¨จç็ºบ¡กÒาÂย äไÃร Œâโ·ท∙ÉษÒา ´ดÍอ¡ก·ท∙Õีè่ÊสÍอ§ง ÍอÒาºบÂยÒา¾พÔิÉษ Äฤ·ท∙¸ธÔิì์ÁมËหÖึÁมÒา ÁมÑั ¹นàเ¨จç็ºบ¡กÅล ŒÒา ·ท∙Øุ¡ก¢ข ¡กÅล ŒÒา ÂยÔิè่§ง¡กÇว ‹ÒาµตÒาÂยÏฯ ¾พØุ·ท∙¸ธ·ท∙ÒาÊสÀภÔิ¡ก¢ขุ คำกลอนของท่านพุทธทาสข้างต้นนี้ ผู้เขียนอ่านพบบนซองที่ใส่วารสารจากสมาคมการศึกษาเรื่องความปวด ที่ส่งมาที่บ้าน คือเป็นคำกลอนที่ต่อท้ายจากรูปของท่านพุทธทาสและคำ"สวัสดี ปีใหม่ 2549" ที่ผู้จัดทำวารสารคงตั้งใจให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ สมาชิก ด้วยความที่อ่านแล้วเกิดความรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก หรือถ้าภาษาวัยรุ่นก็ต้องบอกว่า "โดน"เข้าอย่างจัง จึงยังเก็บซอง วารสารนี้ไว้อยู่จนทุกวันนี้ และเมื่อสบโอกาสจึงขอนำมาใช้ เป็นบทนำเข้าสู่ "ระบบประสาทที่ครูโยคะควรรู้" ดังที่จะกล่าวในฉบับนี้และ ฉบับต่อๆ ไป
[20]
คือข้อมูลอย่างหนึ่ง มาผสมผสานประมวลวิเคราะห์ ออกมาเป็น "ความรู้สึกเจ็บปวด" ซึ่งจะถึงขั้น "รวดเร้า" แค่ไหนนั้น ก็ขึ้นกับ หลายปัจจัย โดยใน "ศรดอกแรก" นั้น ผู้เขียนคิดว่าขึ้นกับความแรง ของสิ่งกระตุ้นเป็นหลัก เช่น บาดแผลใหญ่ก็รู้สึกเจ็บปวดมากกว่า บาดแผลที่เล็ก แต่ก็ดังที่กล่าวแล้วว่าระบบประสาทส่วนกลางนั้นมี การประเมินและเก็บสะสมข้อมูลเป็นความจำ ซึ่งก็จะมีผลต่อการ แปลและประมวลข้อมูลในครั้งต่อๆ ไป บาดแผลใหญ่สำหรับบางคน อาจแค่รู้สึก "เจ็บหนอ" เท่านั้นหนา ในขณะที่บางคนอาจถึงขั้น "รวด เร้า" ตลอดจน "ทรมาณ์" ก็ขึ้นกับประสบการณ์ความทรงจำหรือ กระบวนความคิดและอารมณ์ของแต่ละบุคคล ถึงตรงนี้เราก็ได้รู้จัก โครงสร้างที่สัมพันธ์กับหน้าที่ของ ระบบประสาท 2 ระบบใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ระบบประสาทรับความ รู้สึก (sensory nervous system) และ ระะบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system) ยังมีระบบประสาทอีกระบบหนึ่ง ที่ทำ หน้าที่รับข้อมูลจากระบบประสาทส่วนกลางและทำให้เกิดการตอบ สนองต่างๆ ระบบนั้นก็คือ ระบบประสาทมอเตอร์ (motor nervous system) ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปใน "ศรดอกที่สอง" ข้อควรรู้เพิ่มเติมประจำฉบับนี้ ระบบประสาทรับความรู้สึกยังแบ่งออกเป็น 1) ระบบประสาทรับความรู้สึกจากร่างกาย (somatic sensation) ซึ่ง ได้แก่ รับสัมผัส เจ็บปวด อุณหภูมิ ความรู้สึกจากกล้ามเนื้อและข้อ (proprioception) 2) ระบบรับความรู้สึกพิเศษ (special senses) ซึ่งได้แก่การมองเห็น การได้ยินและการทรงตัว การรับกลิ่นและรส สวัสดีค่ะ และ พบกันใหม่ฉบับหน้านะคะ
µตÍอ¹น “ÈศÃร´ดÍอ¡กáแÃร¡ก” การที่เราจะ"รับ"ความรู้สึกปวดนั้น ระบบประสาทแรกที่ทำ หน้าที่นั้นก็คือ "ระบบประสาทรับความรู้สึก"(sensory nervous system) โดยระบบนี ้ จ ะทำหน้ า ที ่ ร ั บ รู ้ ค วามรู ้ ส ึ ก และรั บ รู ้ ก าร เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม โดยการจะรับรู้ความรู้สึกต่างๆได้ ต้อง ประกอบด้วย ตัวรับความรู้สึก(sensory receptors) ซึ่งมีหน้าที่ เปลี่ยนสิ่งกระตุ้นในรูปของพลังงานต่างๆ ให้เป็น กระแสประสาท (nerve impulse) แล้วส่งไปตามประสาทรับความรู้สึกหรือประสาทนำ เข้า (sensory หรือ afferent neurons) นำความรู้สึกไปแปลที่สมอง ส่วนสูง ซึ่งสำหรับ"ศรดอกแรก" สิ่งกระตุ้นก็คือความเจ็บปวด (โดย ในบทแรกนี้ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง เป็นความเจ็บปวดที่สัมผัสได้ทาง กาย) ที่เมื่อรับมาแล้วก็ส่งเป็นกระแสประสาทไปยังสมองส่วนสูง ซึ่งก็ คือระบบประสาทที่ทำหน้าที่ลำดับต่อไป ที่มีชื่อว่า "ระบบประสาท ส่วนกลาง" (central nervous system) ประกอบด้วยสมองและ ไขสันหลัง ทำหน้าที่ประสานงาน (integration) โดยรวบรวมข้อมูลที่ ได้รับและนำมาผสมผสาน ประมวลวิเคราะห์ และประเมินข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ที่ได้รับ รวมไปถึงการสะสมเก็บไว้เป็นความจำ และ หน้าที่ขั้นสูงอื่นๆ เช่นกระบวนความคิด ภาษาหรือทักษะ พฤติกรรม หรืออารมณ์ต่างๆ ในที่นี้ (ในคำกลอน) เมื่อระบบประสาทรับความ รู้สึกส่งผ่านเส้นประสาทมายังสมอง เมื่อสมองรับกระแสประสาทซึ่งก็
[21]
àเ´ด×ืÍอ¹น ¡กÑั¹นÂยÒาÂย¹น 2555 มีผู้บริจาคสนับสนุนการทำงานของสถาบันฯ ดังนี้ ครูชุติมา อรุณมาศ (กล้วย T11) 2,000 ครูพรทิพย์ อึงคเดชา (เปิ้ล T10) สอนที่สวนโมกข์ (29/8/55) 200 เงินสมทบกิจกรรมโยคะในสวนธรรม 29/8/55 1,070 ครูวิมลรัตน์ พุทธาศรี (กุ้ง T10) สอนที่สวนโมกข์ (5/9/55) 200 เงินสมทบกิจกรรมโยคะในสวนธรรม 5/9/55 850 ครูชุติมา อรุณมาศ (กล้วย T11) บริจาคค่าวิทยากรงานสมุนไพร คืนสถาบันฯ 1,200 ครูมานิสา โสมภีร์ (เจี๊ยบ T10) บริจาคค่าวิทยากรงานสมุนไพร คืนสถาบันฯ 200 ครูอิทธิราช ปิตุพรหมพันธุ์ (เอ็กซ์ T10) บริจาคค่าวิทยากรงานสมุนไพร คืนสถาบันฯ 100 ครูวิไลวรรณ สุพรม (เป้ T11) และคณะทัวร์เพชรบูรณ์ 2,000 เงินสมทบกิจกรรมโยคะในสวนธรรม 12/9/55 980 เงินสมทบกิจกรรมโยคะในสวนธรรม 19/9/55 470 คุณหมอศุภลัคน์ เลิศมโนรัตน์ 5,000 ครูวิไลวรรณ สุพรม (เป้ T11) บริจาคค่าวิทยากรงานสมุนไพร คืนสถาบันฯ 500 เงินสมทบกิจกรรมบรรยาย อ.โสรีช์ โพธิแก้ว 25/9/55 2,460 เงินจากตู้บริจาคในสำนักงาน สถาบันฯ 880
รวม 18,110
Ãร่ÇวÁมÊส¹นÑัºบÊส¹นØุ¹น¡กÒาÃร¨จÑั´ด·ท∙Óำ¨จØุÅลÊสÒาÃร âโÂย¤คÐะÊสÒาÃรÑัµต¶ถÐะ äไ´ด้·ท∙Õี่ ºบÑัÞญªชÕีÍอÍอÁม·ท∙ÃรÑั¾พÂย์àเÅล¢ข·ท∙Õี่ 173-2-32949-1 ªช×ื่ÍอºบÑัÞญªชÕี ÁมÙูÅล¹นÔิ¸ธÔิËหÁมÍอªชÒาÇวºบ้Òา¹น (Êส¶ถÒาºบÑั¹นâโÂย¤คÐะÇวÔิªชÒา¡กÒาÃร) ¸ธ¹นÒา¤คÒาÃรäไ·ท∙Âย¾พÒา³ณÔิªชÂย์ ÊสÒา¢ขÒาàเ´ดÍอÐะÁมÍอÅลÅล์ 3 ÃรÒาÁม¤คÓำáแËห§ง Êส ‹§งËหÅลÑั¡ก°ฐÒา¹น¡กÒาÃรâโÍอ¹นàเ§งÔิ¹น ÁมÒา·ท∙Õี่.. Êส¶ถÒาºบÑั¹นâโÂย¤คÐะÇวÔิªชÒา¡กÒาÃร ÁมÙูÅล¹นÔิ¸ธÔิËหÁมÍอªชÒาÇวºบ ŒÒา¹น 201 «ซÍอÂยÃรÒาÁม¤คÓำáแËห§ง 36/1 ºบÒา§ง¡กÐะ»ป ¡ก·ท∙Áม.10240 âโ·ท∙ÃรÈศÑั¾พ·ท∙ 02 732 2016-7, 081 401 7744 âโ·ท∙ÃรÊสÒาÃร 02 732 2811 ÍอÕีàเÁมÅล yogasaratta@yahoo.co.th àเÇว็ºบäไ«ซµต www.thaiyogainstitute.com [22]