Åล ŒÇว ! àเ»ป ´ดÃรÑัºบÊสÁมÑั¤คÃรÒาÃรáแ¾พÑั²ฒ¹นÒา¨จÔิµต ×ืè่Íอ¡ก ¤คÍอÃร ÊสâโÂย¤คÐะàเ¾พ ãใ¹น©ฉºบÑัºบ ÃรÒาÂยÅลÐะàเÍอÕีÂย´ด
¨จ´ดËหÁมÒาÂย¢ข ‹ÒาÇว âโÂย¤คÐะÊสÒาÃรÑัµต¶ถÐะ
ÊสÒาÃรÑัµต¶ถÐะ àเÁมÉษÒาÂย¹น 2555
ÊสÑัÁม¼ผÑัÊสËหÅลÒา¡ก»ปÃรÐะÊสºบ¡กÒาÃร³ณ์¢ขÍอ§ง¤ค¹นâโÂย¤คÐะ..ºบ¹นÇวÔิ¶ถÕีáแËห่§งÊสØุ¢ขÀภÒาÇวÐะ ครูหนู ชมชื่น สิทธิเวช อัพเดตทริปอินเดีย..ล่าสุด กระเทาะเปลือกชีวิต คุณเดชา ศิริภัทร ผู้อํานวยการมูลนิธิข้าวขวัญ ครูอ๊อด วรรณวิภา มาลัยนวล พาไปรู้จัก..สถาบันไกวัลยธรรม และ..¤คÍอÅลÑัÁม¹น ãใËหÁม ‹
àเ¨จÔิ´ดÊสØุ´ดæๆ..¡กÒาÃรàเÃรÕีÂย¹นÃรÙู Œ·ท∙Õี่äไÁม ‹ÊสÔิ้¹นÊสØุ´ด based on true story
ฉบับ บุก¤ค¹นÊสÓำ¤คÑัÞญ
www.thaiyogainstitute.com [1]
¤คØุÂย¡กÑั¹น¡ก ‹Íอ¹น
¹นÕีé้ õ๕ õ๕ õ๕ ò๒ ì์ µต ¹น ÃรÒา ¡ก §ง Êส ¹น Ñั Çว ÒาÅล ¡ก Èศ ÊสÇวÑัÊส´ดÕี»ปÕี ãใËหÁมè่ äไ·ท∙Âย ãใ¹นàเ·ท∙ Ãร×ืè่Íอ§งÍอÂยÙูè่ àเ¤ค ¹น ç็ àเ»ป Ðะ Áม ÃรÃร ¸ธ Õี Áม Ðะ ¤ค Âย âโ Õี Áม è่ Õี Òา·ท∙ àเÃร ¡ก ÍอÒา¡กÒาÈศÃรé้Íอ¹น¨จÃรÔิ§งæๆ ¡กç็ËหÇวÑั§งÇวè่Òา¾พÇว ÃรÑัºบ ¤ค Ðะ ¹น ¨จ ãใ ì์ ¢ข ¡ก Øุ ·ท∙ ãใ¨จ ¹น Íอ é้ Ãร è่ äไÁม è่ µต áแ ¡ก ¤ค§ง¨จÐะÃรé้Íอ¹นáแµตè่àเ¾พÕีÂย§ง¡กÒาÂยÀภÒาÂย¹นÍอ Editor’s Note
¨จ´ดËหÁมÒาÂย¢ข ‹ÒาÇว âโÂย¤คÐะÊสÒาÃรÑัµต¶ถÐะ ที่ปรึกษา กองบรรณาธิการ
ÇวÔิ¶ถÕีªชÕีÇวÔิµตàเ¾พ×ื่ÍอÊสØุ¢ขÀภÒาÇวÐะ
แก้ว วิฑูรย์เธียร ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน์ นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ กวี คงภักดีพงษ์, จิรวรรณ ตั้งจิตเมธี, จีระพร ประโยชน์วิบูลย์, ชนาพร เหลืองระฆัง, ณัตฐิยา ปิยมหันต์, ณัฏฐ์วรดี ศิริกุลภัทรศรี, ธนวัชร์ เกตน์วิมุต, ธีรินทร์ อุชชิน, พรจันทร์ จันทนไพรวัน, รัฐธนันท์ พิริยะกุลชัย, วรรณวิภา มาลัยนวล, วัลลภา ณะนวล, วิสาขา ไผ่งาม, วีระพงษ์ ไกรวิทย์, ศันสนีย์ นิรามิษ, สมดุลย์ หมั่นเพียรการ, สุจิตฏา วิเชียร
[2]
CONTENTS 4 : »ป¯ฏÔิ·ท∙Ôิ¹น¡กÔิ¨จ¡กÃรÃรÁม 5 : ¤คÍอÃร ÊสâโÂย¤คÐะàเ¾พ×ื่Íอ¡กÒาÃร¾พÑั²ฒ¹นÒา¨จÔิµต ÃรØุ ‹¹น 12 Special Feature : ºบØุ¡ก¤ค¹นÊสÓำ¤คÑัÞญ 7 : ¡กÒาÂยáแÅลÐะãใ¨จãใ¹นÍอÔิ¹นàเ´ดÕีÂย âโ´ดÂย..¤คÃรÙูËห¹นÙู ªชÁมªช×ื่¹น ÊสÔิ·ท∙¸ธÔิàเÇวªช
10 : ªชÕีÇวÔิµตàเÃรÔิ่Áมµต Œ¹นàเÁม×ื่ÍอÍอÒาÂยØุ 40 ..¤คØุ³ณàเ´ดªชÒา ÈศÔิÃรÔิÀภÑั·ท∙Ãร ¼ผÙู ŒÍอÓำ¹นÇวÂย¡กÒาÃรÁมÙูÅล¹นÔิ¸ธÔิ¢ข ŒÒาÇว¢ขÇวÑัÞญ
12 : àเ¡ก็ºบÁมÒา½ฝÒา¡ก ¨จÒา¡กÍอÔิ¹นàเ´ดÕีÂย ไกววัลยธรรม อายุรเวทและโยคะ 14 : Based on true story : ªชÕีÇวÔิµต¤คÙู ‹ การเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด 19 : ¨จÒา¡กàเ¾พ×ื่Íอ¹น¤คÃรÙู มาร์ชเมลโล, โยคะ จิตอาสา ภาค 4 , โยคะในสวน 24 : ¾พÃรÐะäไµตÃร»ป ®ฎ¡กáแ¡ก ‹¹น¸ธÃรÃรÁม 25 : ºบÑั¹น·ท∙Öึ¡ก·ท∙ ‹ÒาÈศ¾พ 26 : àเÅล Œ§งàเÅล ‹ÒาàเÃร×ื่Íอ§ง ต้นชบากับคนตาบอด 27 : µตÓำÃรÒาâโÂย¤คÐะ´ดÑั้§งàเ´ดÔิÁม องค์ประกอบและจุดประสงค์ของสรรพสิ่งทั้งหลาย(ประกฤติ)
[3]
YOGA IS ALL AROUND
¡กÔิ¨จ¡กÃรÃรÁม´ดÕีæๆ
4, 18,28
Activities
àเÁมÉษÒาÂย¹น âโÂย¤คÐะãใ¹นÊสÇว¹น¸ธÃรÃรÁม ³ณ ËหÍอ¨จ´ดËหÁมÒาÂยàเËหµตØุ¾พØุ·ท∙¸ธ·ท∙ÒาÊส
วันพุธที่ 4 เม.ย. 17.00–18.30 น. โดยณัฐหทัย ริ้วรุจา (ครูณัฐ) วันพุธที่ 18 เม.ย. 17.00–18.30 น. โดย นภมน ทวีสุกลรัตน์ (ครูปุ๊ย) วันเสาร์ที่ 28 เม.ย. มีการเปลี่ยนเวลามาเป็นช่วงบ่าย 14.00–16.00 น. โดยนันทนา เกรียงพิชิตชัย (ครูเป๊าะ)) ไม่เสียค่าใช้จ่าย
âโÂย¤คÐะÍอÒาÊส¹นÐะ¢ขÑั้¹น¾พ×ื้¹น°ฐÒา¹นàเ¾พ×ื่Íอ¤คÇวÒาÁมÊสØุ¢ข ÊสÓำËหÃรÑัºบ¼ผÙู้àเÃรÔิ่Áมµต้¹น
งด!
เดือนเมษายน บรรยากาศท่องเที่ยวจึงงดจัด ครั้งต่อไปจัดวันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม เวลา 9.00–15.00 น. ที่ชั้น 6 ห้อง 262 คณะมนุษยศาสตร์ มศว ประสานมิตร ค่าลงทะเบียน 650 บาท
FREE ¢ข³ณÐะ¹นÕี้·ท∙Øุ¡ก·ท∙่Òา¹น·ท∙Õี่ÁมÕี äไÍอâโ¿ฟ¹น, äไÍอàเ¾พ´ด, ÊสÒาÁมÒาÃร¶ถ´ดÒาÇว¹น์âโËหÅล´ดÍอ่Òา¹น¤คÙู่Áม×ืÍอËหÁมÍอªชÒาÇวºบ้Òา¹น
¿ฟÃรÕี äไ´ด้áแÅล้Çว
¾พºบ¡กÑัºบ DoctorMe áแÍอ»ป¾พÅลÔิàเ¤คªชÑั¹น´ด้Òา¹นÊสØุ¢ขÀภÒา¾พºบ¹น iOS µตÑัÇวáแÃร¡ก¢ขÍอ§ง¤ค¹นäไ·ท∙Âย ãใËห้¤คØุ³ณÃรÙู้ÇวÔิ¸ธÕี´ดÙูáแÅล µตÑัÇวàเÍอ§ง¨จÒา¡กÍอÒา¡กÒาÃรàเ¨จ็ºบ»ป่ÇวÂยàเºบ×ื้Íอ§งµต้¹น´ด้ÇวÂยµต¹นàเÍอ§ง àเªช่¹น àเ»ป็¹นäไ¢ข้ àเ¨จ็ºบ¤คÍอ »ปÇว´ดËหÑัÇว »ปÇว´ด·ท∙้Íอ§ง ÏฯÅลÏฯ âโËหÅล´ดÍอ่Òา¹นäไ´ด้·ท∙Ñั่ÇวâโÅล¡ก ·ท∙Õี่ doctorme.in.th ¤คÃรÑัºบ
[4]
áแÅลÐะÀภÒา¤คÇวÔิªชÒา»ปÃรÑัªชÞญÒาáแÅลÐะÈศÒาÊส¹นÒา ¤ค³ณÐะÁม¹นØุÉษÂยÈศÒาÊสµตÃร ÁมÈศÇว ¢ขÍอàเªชÔิÞญ¼ผÙู ŒÊส¹นãใ¨จàเ¢ข ŒÒาÃรÑัºบ¡กÒาÃรÍอºบÃรÁม
âโÂย¤คÐะàเ¾พ×ื่ Íอ¡กÒาÃร¾พÑั²ฒ¹นÒา¨จÔิµต µตÒาÁมµตÓำÃรÒา´ดÑัé้§งàเ´ดÔิÁม ËหÅลÑั¡กÊสÙูµตÃร 220 ¢ขÑัè่ÇวâโÁม§ง
(ÃรØุè่¹น12)
âโ´ดÂย¤คÃรÙูÎฮÔิâโÃรªชÔิ áแÅลÐะ¤คÃรÙูÎฮÔิàเ´ดâโ¡กÐะ ÍอÒาäไÍอ¤คÒาµตÐะ áแÅลÐะ ·ท∙ÕีÁม¤คÃรÙูÊส¶ถÒาºบÑั¹นâโÂย¤คÐะÇวÔิªชÒา¡กÒาÃร ในส่วนของครูญี่ปุ่น บรรยายเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมล่ามแปลเป็นไทย
เป้าหมายของการอบรม 1 ฝึก อาสนะ ปราณ และเทคนิคที่เกี่ยวข้อง ตามตำราดั้งเดิมอย่างสม่ำเสมอ ตระหนักถึงคุณค่าด้านการพัฒนาจิตของโยคะ 2 ศึกษาโยคะตามตำราดั้งเดิม จนเห็นแผนที่โยคะอย่างชัดเจน จากยมะ นิยมะ อาสนะ ปราณายามะ.. ไปถึงสมาธิ 3 สามารถเชื่อมโยงโยคะเข้ากับการดำเนินชีวิต พัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเป็น องค์รวม 4 สามารถเผยแพร่การปฏิบัติโยคะตามตำราดั้งเดิม ให้กับผู้อื่นได้ [5]
ÃรÑัºบ¹นÑั¡กàเÃรÕีÂย¹น
30 ¤ค¹น
4 ¡ก.¤ค
»ป°ฐÁม¹นÔิàเ·ท∙Èศ.
6 7 8 ¡ก.¤ค.
¤ค ‹ÒาÂยàเ»ป ´ด
ÇวÑั¹น·ท∙Õี่ 9 ¡ก.¤ค. – 22 ¡ก.Âย.
àเÃรÕีÂย¹น¨จÑั¹น·ท∙Ãร ¾พØุ¸ธ ¾พÄฤËหÑัÊสºบ´ดÕี 17.30–20.00 ¹น
(áแÅลÐะÇวÑั¹นÍอÑั§ง¤คÒาÃร 17, 31 ¡ก.¤ค. 14 Êส.¤ค.)
ÇวÑั¹นàเÊสÒาÃร 8-16.00 ¹น. 17 18 19 Êส.¤ค.
¤ค ‹ÒาÂย¡กÔิÃรÔิÂยÒา
24 ¡ก.Âย. – 6 µต.¤ค.
½ฝ ƒ¡กÊสÍอ¹น / ¹นÓำàเÊส¹นÍอ§งÒา¹นÇวÔิ¨จÑัÂย
8 – 13 µต.¤ค.
ÊสÍอºบ
àเ¹น×ื้ÍอËหÒาÀภÒา¤ค»ป¯ฏÔิºบÑัµตÔิ ½ฝ ƒ¡กÍอÒาÊส¹นÐะµตÒาÁมµตÓำÃรÒา»ปµตÑัÞญªชÅลÕีâโÂย¤คÐะÊสÙูµตÃร áแÅลÐะ Ëห°ฐ»ปÃรÐะ·ท∙Õี»ป ¡กÐะ ½ฝ ƒ¡ก»ปÃรÒา³ณÒาÂยÒาÁมÐะµตÒาÁมµตÓำÃรÒาâโÂย¤คÐะÊสÙูµตÃร áแÅลÐะ Ëห°ฐ»ปÃรÐะ·ท∙Õี»ป ¡กÐะ àเÃรÕีÂย¹นÃรÙู ŒáแÅลÐะ½ฝ ƒ¡ก ÁมØุ·ท∙ÃรÒา ¾พÑั¹น¸ธÐะ ¡กÔิÃรÔิÂยÒา ·ท∙Õี่àเ¡กÕี่ÂยÇว¢ข ŒÍอ§ง ·ท∙Óำ¡กÒาÃรºบ ŒÒา¹น àเ¢ขÕีÂย¹นºบÑั¹น·ท∙Öึ¡ก»ปÃรÐะÊสºบ¡กÒาÃร³ณ ¡กÒาÃร½ฝ ƒ¡กâโÂย¤คÐะÐะ·ท∙Øุ¡กÇวÑั¹น
ÀภÒา¤ค·ท∙ÄฤÉษ®ฎÕี ÇวÔิªชÒาÊสÃรÕีÃรÇวÔิ·ท∙ÂยÒา »ปÃรÐะÇวÑัµตÔิÈศÒาÊสµตÃร »ปÃรÑัªชÞญÒาÍอÔิ¹นàเ´ดÕีÂย ·ท∙ÑัÈศ¹นÐะªชÕีÇวÔิµต àเ¢ขÕีÂย¹นÊสÃรØุ»ปàเ¹น×ื้ÍอËหÒา¨จÒา¡กËห¹นÑั§งÊส×ืÍอàเÃรÕีÂย¹น 14 àเÅล ‹Áม
¤ค ‹ÒาÅล§ง·ท∙ÐะàเºบÕีÂย¹น
35,000 ºบÒา·ท∙
[6]
âโ´ดÂย..
¤คÃรÙูËห¹นÙู
¡กÒาÂยáแÅลÐะãใ¨จ ãใ¹นÍอÔิ¹นàเ´ดÕีÂย àเÃร×ื ่ Íอ §ง ¤คÃรÙู ªช Áมªช×ื ่ ¹น ÊสÔิ ·ท∙ ¸ธÔิ àเ Çวªช
ÇวÑั¹นàเ´ดÔิ¹น·ท∙Òา§ง ¡กÒาÃรàเ´ดÔิ ¹น ·ท∙Òา§งäไ»ปÍอÔิ ¹น àเ´ดÕี Âย ¤คÃรÑั ้ §ง ¹นÕี ้ ¹นÑั ºบ àเ»ป็ ¹น ¤คÃรÑั ้ §ง ·ท∙Õี ่ àเ ·ท∙่ Òา ãใ´ด ÊสÓำËหÃรÑั ºบ ©ฉÑั ¹น ¹น่ Òา ¨จÐะÁมÒา¡ก¡กÇว่ Òา 20 ¤คÃรÑั ้ §ง àเ¢ข้ Òา äไ»ปáแÅล้ Çว àเ¾พÃรÒาÐะ©ฉÑั ¹น µต้ Íอ §งäไ»ป·ท∙Øุ ¡ก »ปÕี áแµต่ ¤คÃรÑั ้ §ง ¹นÕี ้ ´ด ้ Çว ÂยÍอÒาÂยØุ ¢ข Ñั Âย àเÅลÂยÇวÑั Âย ÊสÒาÇวãใËหÞญ่ áแÅลÐะ´ด้ Çว Âย»ปÃรÐะÊสºบ¡กÒาÃร³ณ์ ·ท∙ ÓำãใËห้ ©ฉÑั ¹น ËหÂยÑั ่ §ง ÃรÙู ้ ¤ค ÇวÒาÁมÃรÙู ้ Êส Öึ ¡ก ¢ขÍอ§งµต¹นàเÍอ§งÁมÒา¡ก¢ขÖึ ้ ¹น ¤ค×ื Íอ ÍอÂยÒา¡ก·ท∙ÓำÊสÔิ ่ §ง ·ท∙Õี ่ µต้ Íอ §ง¡กÒาÃร¨จÐะ·ท∙ÓำáแÅลÐะ¾พÂยÒาÂยÒาÁม·ท∙ÓำãใËห้ äไ ´ด้ ¤ค×ื Íอ ¡กÒาÃรäไ´ด้ äไ »ป»ป¯ฏÔิ ºบ Ñั µต Ôิ ¸ธ ÃรÃรÁม ³ณ àเ ºบ ×ื ้ Íอ §ง ¾พ Ãร Ðะ ºบ Òา ·ท∙ ¾พ Ãร Ðะ Èศ Òา Êส ´ด Òา ãใ µต ้ µต ้ ¹น ¾พ Ãร Ðะ ÈศÃรÕี Áม ËหÒาâโ¾พ¸ธÔิ ์ àเÁม×ื Íอ §ง¤คÂยÒา ÃรÑั °ฐ ¾พÔิ Ëห ÒาÃร »ปÃรÐะàเ·ท∙ÈศÍอÔิ ¹น àเ´ดÕี Âย âโ´ดÂยÊส่ Çว ¹นµตÑั Çว
7!
[]
©ฉÑั¹น¨จÖึ§งàเÅล×ืÍอ¡กÊสÍอ§งÊส¶ถÒา¹น ÊสÓำËหÃรÑัºบ¡กÒาÃร»ป¯ฏÔิºบÑัµตÔิ¸ธÃรÃรÁมãใ¹น¤คÃรÑัé้§ง¹นÕีé้ ¤ค×ืÍอàเÁม×ืÍอ§ง¤คÂยÒา Êส¶ถÒา¹น·ท∙Õีè่µตÃรÑัÊสÃรÙู Œ áแÅลÐะàเÁม×ืÍอ§งÃรÒาªช¤คÄฤËห àเ¾พ×ืè่Íอ¢ขÖึé้¹นàเ¢ขÒา ¤คÔิªช¬ฌ¡กÙู¯ฏäไ»ป¡กÃรÒาºบÊสÑั¡ก¡กÒาÃรÐะÁมÙูÅล¤คÑั¹น¸ธ¡กØุ¯ฏÕี Êส¶ถÒา¹น·ท∙Õีè่·ท∙Õีè่¾พÃรÐะ¾พØุ·ท∙¸ธÍอ§ง¤ค ·ท∙Ãร§ง»ปÃรÐะ·ท∙Ñัºบ¹นÒา¹นËหÅลÒาÂย¾พÃรÃรÉษÒา ¡กÒาÃรàเ´ดÔิ¹น·ท∙Òา§งäไ»ปÍอÔิ¹นàเ´ดÕีÂยáแµต ‹ÅลÐะ¤คÃรÑัé้§ง ¤คÇวÃรàเµตÃรÕีÂยÁม·ท∙Øุ¡กÊสÔิè่§งÍอÂย ‹Òา§งãใËห ŒàเÃรÕีÂยºบÃร ŒÍอÂย âโ´ดÂยàเ©ฉ¾พÒาÐะÍอÂย ‹Òา§งÂยÔิè่§ง·ท∙Õีè่àเÁม×ืÍอ§ง¤คÂยÒา àเ¾พÃรÒาÐะ¶ถ ŒÒา¢ขÒา´ดÍอÂย ‹Òา§งãใ´ดÍอÂย ‹Òา§งËห¹นÖึè่§งÍอÒา¨จËหÒา«ซ×ืé้ÍอäไÁม ‹ äไ´ด Œ ãใ¹นàเÁม×ืÍอ§ง¹นÕีé้ ËหÃร×ืÍอÍอÒา¨จËหÒาäไ´ด Œáแµต ‹¡กç็äไÁม ‹ÁมÕี¤คØุ³ณÀภÒา¾พ ÊสÔิè่§ง·ท∙Õีè่ äไÁม ‹¤คÇวÃรÅล×ืÁมàเÅลÂย¤ค×ืÍอ ¡กÒาµต ŒÁม¹น ŒÓำ áแÅลÐะäไ¿ฟ©ฉÒาÂยËหÃร×ืÍอàเ·ท∙ÕีÂย¹นäไ¢ข¾พÃร ŒÍอÁมäไÁม Œ¢ขÕี´ด äไ¿ฟ¿ฟ ‡ÒาàเÁม×ืÍอ§ง¹นÕีé้ªชÍอºบ´ดÑัºบ áแÅลÐะ´ดÑัºบºบ ‹ÍอÂยàเÊสÕีÂย´ด ŒÇวÂย... ©ฉÑั¹นàเÅล×ืÍอ¡กâโÃร§งáแÃรÁมÃรÐะ´ดÑัºบ »ปÒา¹น¡กÅลÒา§ง ·ท∙Õีè่ÊสÐะÍอÒา´ด »ปÅลÍอ´ดÀภÑัÂย áแÅลÐะÊสÒาÁมÒาÃร¶ถàเ´ดÔิ¹นäไ»ปÂยÑั§ง¾พÃรÐะÈศÃรÕีÁมËหÒาâโ¾พ¸ธÔิì์ äไ´ด Œ... ¸ธÃรÃรÁมÐะ¨จÑั´ดÊสÃรÃรãใËห Œ©ฉÑั¹นäไ´ด Œ¾พºบ¤ค¹น´ดÕี áแÅลÐะÊสÔิè่§ง ´ดÕีæๆ ³ณ ·ท∙Õีè่¹นÕีé้àเÊสÁมÍอ âโÂย¤คÐะáแÅลÐะ¡กÒาÃร»ป¯ฏÔิºบÑัµตÔิ¸ธÃรÃรÁม àเ»ป š¹นÊสÔิè่§ง·ท∙Õีè่¤คÇวÃร¤คÙู ‹¡กÑั¹นäไ»ปäไ´ด ŒÍอÂย ‹Òา§ง§ง´ด§งÒาÁม àเ¾พÃรÒาÐะàเ»ป š¹น¡กÒาÃรãใªช ŒÊสµตÔิ¡กÓำËห¹น´ดÃรÙู Œ¡กÒาÃร¡กÃรÐะ·ท∙Óำ ËหÃร×ืÍอ ¡กÓำËห¹น´ดÃรÙู Œ¡กÑัºบÊสÔิè่§ง·ท∙Õีè่¾พºบàเ¨จÍอÃรÍอºบµตÑัÇวàเÃรÒา ¤ค×ืÍอ¡กÒาÃรµตÑัé้§งÊสµตÔิÃรÑัºบÃรÙู Œ ÊสÔิè่§งáแÃร¡ก·ท∙Õีè่©ฉÑั¹นäไ´ด Œ¾พºบáแÅลÐะ¡กÓำËห¹น´ดÃรÙู ŒàเÁม×ืè่ÍอÅล§ง¨จÒา¡กàเ¤คÃร×ืè่Íอ§ง TG 8820 àเ¢ข ŒÒาÊสÙู ‹ÍอÒา¤คÒาÃรàเ¾พ×ืè่Íอ¼ผ ‹Òา¹น´ด ‹Òา¹นµตÁม. ¹นÑัè่¹น¤ค×ืÍอ “¡กÒาÃรÃรÍอ¤คÍอÂย” ³ณ àเÇวÅลÒา¹นÑัé้¹นáแÅลÐะÇวÑั¹น¹นÑัé้¹น (ÈศØุ¡กÃร 9 ÁมÕี¹นÒา¤คÁม) àเ»ป š¹นÇวÑั¹น·ท∙Õีè่ 3 ¢ขÍอ§งàเ·ท∙Èศ¡กÒาÅลâโÎฮÅลÕี (ÇวÑั¹นÊส§ง¡กÃรÒา¹นµต ÍอÔิ¹นàเ´ดÕีÂย) ¾พ¹นÑั¡ก§งÒา¹นÅลÒาËหÂยØุ´ดäไ»ปàเÅล ‹¹นÊสÒา´ดÊสÕี¡กÑั¹น àเËหÅล×ืÍอ¾พ¹นÑั¡ก§งÒา¹นÍอÒาÇวØุâโÊส·ท∙Óำ§งÒา¹น»ปÃรÐะ·ท∙Ñัºบ µตÃรÒา 2 ¤ค¹น µต ‹Íอ¼ผÙู Œâโ´ดÂยÊสÒาÃรàเ¢ข ŒÒาàเÁม×ืÍอ§งàเ»ป š¹นÃร ŒÍอÂย ¡กÒาÃร¡กÓำËห¹น´ดÃรÙู Œ¨จÖึ§งàเ¡กÔิ´ด¢ขÖึé้¹นãใ¹นºบÑั´ด´ดÅล àเ¾พÃรÒาÐะäไÁม ‹ÃรÙู ŒÇว ‹Òา¨จÐะâโÇวÂยÇวÒาÂยäไ»ปàเ¾พ×ืè่ÍอÍอÐะäไÃร ÀภÒาÇว¹นÒาãใ¹นãใ¨จÇว ‹Òา “¤คÍอÂยËห¹นÍอ... ¤คÍอÂยËห¹นÍอ...” ãใªช ŒàเÇวÅลÒา¤คÍอÂย¡กÇว ‹Òา¨จÐะ¶ถÖึ§ง¤คÔิÇว 2 ªชÑัè่ÇวâโÁม§ง ¨จÖึ§งËหÂยÔิºบ¢ข¹นÁม SNACK ¢ขÍอºบ¤คØุ³ณàเ¨จ ŒÒา Ëห¹น ŒÒา·ท∙Õีè่ äไ»ป 2-3 Ëห ‹Íอ àเ»ป š¹น¡กÒาÃรãใËห Œ¡กÓำÅลÑั§งãใ¨จ·ท∙Õีè่ÍอØุµตÊส ‹ÒาËห ÁมÒา·ท∙Óำ§งÒา¹น¹นÐะ... âโ¶ถ... ÁมÑั¹นàเ»ป š¹นàเªช ‹¹น¹นÑัé้¹นàเÍอ§ง¤ค ‹Ðะ ©ฉÑั¹นºบÍอ¡ก¢ขÍอâโ·ท∙Éษ¤ค¹น¢ขÑัºบÃร¶ถ·ท∙Õีè่ÁมÒาÃรÑัºบÇว ‹Òา “¼ผÔิ´ดàเÇวÅลÒา” áแµต ‹ äไ´ด ŒÃรÑัºบ¤คÓำµตÍอºบ·ท∙Õีè่ÊสØุÀภÒา¾พÇว ‹Òา “äไÁม ‹àเ»ป š¹นäไÃร ÁมÑั¹นàเ»ป š¹นàเÃร×ืè่Íอ§ง»ป¡กµตÔิ” àเËหç็¹นÁมÑัé้Âย¤คÐะÇว ‹Òาáแ¢ข¡กãใ¨จàเÂยç็¹น ©ฉÑั¹นÃรÙู ŒÊสÖึ¡กªช×ืè่¹นªชÁมãใ¹นãใ¨จÇว ‹Òา àเ¢ขÒาàเ¤คÒาÃร¾พËห¹น ŒÒา·ท∙Õีè่·ท∙Õีè่µต¹นÃรÑัºบ¼ผÔิ´ดªชÍอºบ ©ฉÑั¹น¶ถÖึ§งâโÃร§งáแÃรÁม·ท∙Õีè่¾พÑั¡ก»ปÃรÐะÁมÒา³ณ 4 âโÁม§งàเÂยç็¹น ·ท∙ ŒÍอ§งäไÊส ŒàเÃรÔิè่Áม»ป ˜ ›¹น»ป †Çว¹นàเ¾พÃรÒาÐะËหÔิÇว ¢ขÍอáแ¹นÐะ¹นÓำàเ¤คÃร×ืè่Íอ§ง´ด×ืè่Áมªช§งÃร ŒÍอ¹นæๆ àเªช ‹¹น ¹นÁมÃร ŒÍอ¹น ¢ข ŒÒาÇวâโÍอ µตÃร ŒÍอ¹น ËหÃร×ืÍอâโ¡กâโ¡ก ŒÃร ŒÍอ¹น ·ท∙ÓำãใËห Œ¡กÒาÃร»ปÃรÑัºบµตÑัÇว¢ขÍอ§ง¡กÃรÐะàเ¾พÒาÐะáแÅลÐะÅลÓำäไÊส Œ äไÁม ‹áแ»ปÃร»ปÃรÇว¹น àเÊสºบÕีÂย§งàเËหÅล ‹Òา¹นÕีé้©ฉÑั¹นàเµตÃรÕีÂยÁมäไ»ป¾พÃร ŒÍอÁม »ปÃรÐะËหÂยÑั´ดäไ»ป 1 Áม×ืé้Íอ ¤ค×ืÍอ§ง´ด ¢ข ŒÒาÇวàเÂยç็¹นÍอÂย ‹Òา§งÁมÕีÊสµตÔิ ¨จÒา¡ก¹นÑัé้¹นàเµตÃรÕีÂยÁมÍอØุ»ป¡กÃร³ณ àเªช ‹¹น ¼ผ ŒÒาÃรÍอ§ง¹นÑัè่§งÊสÁมÒา¸ธÔิ ¼ผ ŒÒา¤คÅลØุÁมäไËหÅล ‹ ¶ถØุ§งàเ·ท∙ ŒÒา Ëห¹น ŒÒา¡กÒา¡ก¡กÑั¹น½ฝØุ †¹น ¶ถØุ§ง¾พÅลÒาÊสµตÔิ¡ก ÊสÓำËหÃรÑัºบãใÊส ‹ÃรÍอ§งàเ·ท∙ ŒÒา ¹น ŒÓำ´ด×ืè่ÁมãใÊส ‹¡กÃรÐะµตÔิ¡ก ÂยÒา¡กÑั¹นÂยØุ§งáแºบºบÊสàเ»ปÃรÂย àเ¾พÃรÒาÐะµตÍอ¹น¤ค ‹Óำ·ท∙Õีè่ÁมËหÒาâโ¾พ¸ธÔิì์ ÂยØุ§งµตÑัÇวãใËหÞญ ‹ÁมÒา¡กæๆ ©ฉÑั¹นãใªช ŒÇวÔิ¸ธÕีàเ´ดÔิ¹น¨จÒา¡กâโÃร§งáแÃรÁม·ท∙Õีè่¾พÑั¡กäไ»ปÂยÑั§งÁมËหÒาâโ¾พ¸ธÔิì์ ¡กÒาÃรãใªช ŒÊสµตÔิ¡กÓำËห¹น´ด ÃรÙู Œ¡กÒาÃรàเ´ดÔิ¹นºบ¹น¶ถ¹น¹นãใ¹นàเÁม×ืÍอ§ง¤คÂยÒาËหÃร×ืÍอàเÁม×ืÍอ§งäไËห¹นæๆ ãใ¹นÍอÔิ¹นàเ´ดÕีÂย¤ค§งàเËหÁม×ืÍอ¹น ¡กÑั¹นËหÁม´ด ¹นÑัè่¹น¤ค×ืÍอ¤คØุ³ณµต ŒÍอ§ง¾พºบàเ¨จÍอÊสÔิè่§งäไÁม ‹¾พÖึ§ง»ปÃรÐะÊส§ง¤ค àเªช ‹¹น ¢ขÕีé้½ฝØุ †¹น ¢ขÕีé้áแ¾พÐะ ¢ขÕีé้ËหÁมÒา ¢ขÕีé้ÇวÑัÇว ÊสØุ´ด·ท∙ ŒÒาÂย¤ค×ืÍอ ¢ขÕีé้¤ค¹น ÃรÍอ§งÅล§งÁมÒา¡กç็ÍอÒา¨จàเ»ป š¹น ¹น ŒÓำËหÁมÒา¡ก ¹น ŒÓำÁมÙู¡ก ¹น ŒÓำÅลÒาÂย ¹น ŒÓำàเÊสÅล´ด µต ‹Íอäไ»ป¡กç็àเ»ป š¹น¢ขÂยÐะµต ‹Òา§งæๆ áแµต ‹ÊสÔิè่§งàเËหÅล ‹Òา¹นÕีé้àเ»ป š¹น
! []!
8
¤คÇวÒาÁม»ป¡กµตÔิ ¶ถ ŒÒาàเÃรÒา¡กÓำËห¹น´ดÃรÙู Œ áแÅลÐะÃรÐะÇวÑั§งàเ»ป š¹น ¡กç็äไÁม ‹ ãใªช ‹»ป ˜ÞญËหÒาÍอÂย ‹Òา§งäไÃร ©ฉÑั¹น¨จÖึ§งàเ´ดÔิ¹น¡ก ŒÒาÇวÂย ‹Òา§งÍอÂย ‹Òา§งÊสºบÒาÂย ¤คÔิ´ดãใ¹นãใ¨จÇว ‹ÒาÍอÂยÒา¡ก ÁมÒาàเ»ป š¹นàเ·ท∙ÈศÁม¹นµตÃรÕี·ท∙Õีè่àเÁม×ืÍอ§ง¤คÂยÒา¨จÑั§ง ! ¼ผ ‹Òา¹น¹นÃร¡ก¡กç็µต ŒÍอ§ง¾พºบÊสÇวÃรÃร¤ค àเÁม×ืè่Íอ©ฉÑั¹นàเ´ดÔิ¹นÁมÒา¶ถÖึ§ง·ท∙Òา§งàเ¢ข ŒÒา¾พÃรÐะÈศÃรÕีÁมËหÒาâโ¾พ¸ธÔิì์àเÁม×ืè่ÍอËหÅลÒาÂย»ป ‚¡ก ‹Íอ¹น©ฉÑั¹น¨จÓำäไ´ด ŒÇว ‹Òา¨จÐะÁมÕีªชØุÁมªช¹น ¢ขÍอ·ท∙Òา¹นÁมÒาªชØุÁม¹นØุÁม¡กÑั¹นãใµต Œµต Œ¹นäไÁม Œ ãใËหÞญ ‹Ëห¹น ŒÒา·ท∙Òา§งàเ¢ข ŒÒา ÁมÒา¤คÃรÑัé้§ง¹นÕีé้¤ค§งÁมÕี¡กÒาÃร¨จÑั´ดÃรÐะàเºบÕีÂยºบÊสÑั§ง¤คÁม¢ขÍอ·ท∙Òา¹นãใËหÁม ‹áแ¹น ‹æๆ Íอ ŽÍอ! ©ฉÑั¹นÁมÍอ§งàเËหç็¹น áแÅล ŒÇว¾พÇว¡กàเ¢ขÒาÂย¡กÃรÐะ´ดÑัºบÁมÒา·ท∙ÓำËห¹น ŒÒา·ท∙Õีè่¢ขÒาÂยàเ·ท∙ÕีÂย¹นãใÊส ‹¶ถ ŒÇวÂย·ท∙Íอ§งàเËหÅล×ืÍอ§ง ©ฉÑั¹นäไ´ด Œáแµต ‹ÁมÍอ§งÍอÂย ‹Òา§งÊส§งÊสÑัÂยãใ¤คÃรËห¹นÍอËหÑัÇวãใÊสàเ»ป š¹น¹นÒาÂย·ท∙Øุ¹น ãใËห Œ ¾พÍอàเ´ดÔิ¹นäไ»ปÍอÕี¡ก¹นÔิ´ด¨จÐะÁมÕี¢ขÍอ·ท∙Òา¹นÃรØุ ‹¹นàเÅลç็¡กàเÃรÔิè่ÁมËหÑั´ด¾พÂยÒาÂยÒาÁมàเ´ดÔิ¹น¢ขÍอ ¨จÐะºบÍอ¡กãใËห Œ¶ถ ŒÒาäไÁม ‹ÍอÂยÒา¡กàเ´ด×ืÍอ´ดÃร ŒÍอ¹น µต ŒÍอ§งãใªช ŒÁม¹นµต ÊสÐะ¡ก´ด ¢ขÍอ·ท∙Òา¹น¤ค×ืÍอ¤คÓำÇว ‹Òา “äไÁม ‹” ÍอÍอ¡กàเÊสÕีÂย§ง´ด ŒÇวÂยÀภÒาÉษÒาÎฮÔิ¹น´ดÕี ãใËห ŒËห¹นÑั¡กáแ¹น ‹¹นÇว ‹Òา “àเ»ป«ซ ‹Òา ¹นÒาÎฮÕี” àเ§งÔิ¹นäไÁม ‹ÁมÕี áแÅลÐะ¡กç็·ท∙ÓำÁม×ืÍอãใËห ŒÇวØุ ‹¹นÇวÒาÂย áแºบºบ¤ค¹นÍอÔิ¹นàเ´ดÕีÂยàเÊสÕีÂยËห¹น ‹ÍอÂย ¢ขÍอ·ท∙Òา¹นàเ´ดç็¡กæๆ ¡กç็¨จÐะ¶ถÍอÂยËห ‹Òา§งäไ»ป àเ¢ขÒา·ท∙ÓำËห¹น ŒÒา·ท∙Õีè่¢ขÍอÍอÂย ‹Òา§งàเ´ดÕีÂยÇวäไÁม ‹·ท∙ÓำÃร ŒÒาÂยàเÃรÒา¤ค ‹Ðะ ¤คÇวÒาÁมÇวØุ ‹¹นÇวÒาÂย¨จÒา¡กàเÊสÕีÂย§งáแµตÃรÃร¶ถ àเÊสÕีÂย§ง¾พ ‹Íอ¤ค ŒÒา àเÊสÕีÂย§ง ´ด¹นµตÃรÕี¨จÒา¡กÃร ŒÒา¹น¤ค ŒÒาàเ§งÕีÂยºบÅล§งãใ¹นºบÑั´ด´ดÅล àเÁม×ืè่ÍอàเÃรÒาäไ´ด Œ¡ก ŒÒาÇวÅล§ง ºบÑั¹นäไ´ดËหÔิ¹นáแ¡กÃร¹นÔิµต Åล§งÊสÙู ‹¾พ×ืé้¹นËหÔิ¹นÍอ ‹Íอ¹นàเ¢ข ŒÒาÊสÙู ‹ºบÃรÔิàเÇว³ณàเ¨จ´ดÕีÂย ÁมËหÒาâโ¾พ¸ธÔิì์ ÁมÕีºบ·ท∙¤คÇวÒาÁมàเ¢ขÕีÂย¹นàเ»ปÃรÕีÂยºบàเ·ท∙ÕีÂยºบäไÇว ŒÇว ‹Òา “¡กÒาÃรàเ´ดÔิ¹นÅล§งºบÑั¹นäไ´ด àเËหÁม×ืÍอ¹นàเ»ป š¹น¡กÒาÃรàเ´ดÔิ¹น¨จÒา¡กáแÁม ‹¹น ŒÓำàเ¹นÃรÑัÞญªชÃรÒาàเ¢ข ŒÒาÊสÙู ‹µต Œ¹นÁมËหÒาâโ¾พ¸ธÔิì์ ÁมÕีâโ¾พ¸ธÔิì์ºบÑัÅลÅลÑั§ง¡ก ÍอÂยÙู ‹¢ข ŒÒา§งËห¹น ŒÒา àเÁม×ืè่ÍอÅล§งºบÑั¹นäไ´ด¨จÐะ¾พºบ¾พÃรÐะ¾พØุ·ท∙¸ธÃรÙู»ป “¾พØุ·ท∙¸ธàเÁมµตµตÒา” àเ»ปÃรÕีÂยºบàเÊสÁม×ืÍอ¹นÍอ§ง¤ค ¾พÃรÐะ¼ผÙู ŒÁมÕี¾พÃรÐะÀภÒา¤คàเ¨จ ŒÒา»ปÃรÐะ·ท∙ÑัºบÍอÂยÙู ‹ ³ณ ·ท∙Õีè่¹นÑัé้¹น ËหÑั¹น¾พÃรÐะ¾พÑั¡กµตÃรÊสÙู ‹·ท∙ÔิÈศµตÐะÇวÑั¹นÍอÍอ¡ก ¤ค×ืÍอ½ฝ ˜ ›§ง áแÁม ‹¹น ŒÓำàเ¹นÃรÑัÞญªชÃรÒา... ©ฉÑั¹นàเ´ดÔิ¹นàเ¢ข ŒÒาäไ»ปÀภÒาÂยãใ¹น¾พÃรÐะàเ¨จ´ดÕีÂย ¶ถÇวÒาÂย´ดÍอ¡กäไÁม ŒÊส´ดËห¹น ŒÒา¾พÃรÐะ¾พØุ·ท∙¸ธàเÁมµตµตÒา àเÃรÔิè่ÁมÊสÇว´ดÁม¹นµต ¾พØุ·ท∙¸ธ¤คØุ³ณ 1 ¨จºบàเ»ป š¹นÍอÑั¹น´ดÑัºบáแÃร¡ก ÀภÒาÂยãใ¹น¾พÃรÐะàเ¨จ´ดÕีÂย ¨จÐะÁมÕี¹นÑั¡กºบÇวªชÅลÒาÁมÐะ¹นÑัè่§งÊสÇว´ดÁม¹นµต ÍอÂยÙู ‹ËหÅลÒาÂยÃรÙู»ป ÍอÒา¡กÒาÈศ ÀภÒาÂยãใ¹น¾พÃรÐะàเ¨จ´ดÕีÂย äไÁม ‹¤ค ‹ÍอÂย ¶ถ ‹ÒาÂยàเ·ท∙àเ¾พÃรÒาÐะ¤คÑัºบáแ¤คºบ ¼ผÙู ŒÁมÕี¨จÔิµตÈศÃรÑั·ท∙¸ธÒาàเ´ดÔิ¹นàเ¢ข ŒÒา-ÍอÍอ¡กµตÅลÍอ´ดàเÇวÅลÒา ·ท∙ÓำãใËห Œ äไÁม ‹ÊสÐะ´ดÇว¡กµต ‹Íอ¡กÒาÃร·ท∙ÓำÊสÁมÒา¸ธÔิ ¨จÐะ¾พÒาÅลàเ»ป š¹นÅลÁมàเÊสÕีÂย ¡ก ‹Íอ¹น ¨จÖึ§งÍอÍอ¡กÁมÒาãใªช ŒÊส¶ถÒา¹น·ท∙Õีè่ÀภÒาÂย¹นÍอ¡ก¾พÃรÐะàเ¨จ´ดÕีÂย àเ»ป š¹น·ท∙Õีè่àเËหÁมÒาÐะáแ¡ก ‹¡กÒาÃรÊสÇว´ดÁม¹นµต ¹นÑัè่§งÀภÒาÇว¹นÒาÁมÒา¡ก·ท∙Õีè่ÊสØุ´ด ¹นÑัè่¹น¤ค×ืÍอãใµต Œµต Œ¹น¾พÃรÐะ ÈศÃรÕีÁมËหÒาâโ¾พ¸ธÔิì์ ©ฉÑั¹นÊสÇว´ดÁม¹นµต ·ท∙ÓำÇวÑัµตÃรàเÂยç็¹นµต ‹Íอ´ด ŒÇวÂย¹นÑัè่§งÀภÒาÇว¹นÒา àเ´ดÔิ¹น¨จ§ง¡กÃรÁม ©ฉÑั¹นàเ¤คÂยÃรÙู ŒÊสÖึ¡ก¡กÑั§งÇวÅล¡กÑัºบàเÊสÕีÂย§งµต ‹Òา§งæๆ ÃรÍอºบµตÑัÇวºบÃรÔิàเÇว³ณ ¾พÃรÐะÈศÃรÕีÁมËหÒาâโ¾พ¸ธÔิì์Çว ‹Òา¨จÐะ·ท∙ÓำãใËห ŒÁมÕีÊสÁมÒา¸ธÔิäไ´ด ŒÍอÂย ‹Òา§งäไÃร? áแµต ‹»ปÃรÒา¡ก®ฎÇว ‹ÒาàเÊสÕีÂย§ง¡กÖึ¡ก¡ก ŒÍอ§ง¹นÑัé้¹นäไÁม ‹àเ»ป š¹นÍอØุ»ปÊสÃรÃร¤คÍอÑั¹นãใ´ดàเÅลÂย¶ถ ŒÒาàเÃรÒาÍอÂยÙู ‹ ãใ¹น ÊสÁมÒา¸ธÔิ ÁมÕีÊสµตÔิµตÑัé้§งÁมÑัè่¹นÍอÂยÙู ‹¡กÑัºบÊสÔิè่§ง·ท∙Õีè่àเÃรÒา¡กÓำÅลÑั§ง·ท∙Óำ ´ดÑั§ง¤คÓำ¤คÃรÙูºบÒาÍอÒา¨จÒาÃรÂย àเ¤คÂยÊสÍอ¹นÇว ‹Òา “àเÃรÒาäไÁม ‹àเÍอÒาËหÙูäไ»ปÃรºบ¡กÇว¹นàเÊสÕีÂย§ง àเÊสÕีÂย§ง¹นÑัé้¹น¡กç็ ¨จÐะäไÁม ‹Ãรºบ¡กÇว¹นàเÃรÒา” àเËหç็¹นÁมÑัé้Âย¤คÐะ âโÂย¤คÐะÀภÒาÂย¹นÍอ¡กäไÁม ‹¨จÓำàเ»ป š¹นµต ŒÍอ§งÍอÂยÙู ‹ ãใ¹น·ท∙ ‹Òา ´ดÑั´ดµต¹น ¤คØุ³ณÊสÒาÁมÒาÃร¶ถàเ¨จÃรÔิÞญÊสµตÔิµต ‹Íอ·ท∙Øุ¡กæๆ ÍอÔิÃรÔิÂยÒาºบ·ท∙·ท∙Õีè่¤คØุ³ณ·ท∙Óำ ´ด ŒÇวÂย ¨จÔิµตãใ¨จ·ท∙Õีè่¼ผ ‹Íอ§งãใÊส àเºบÔิ¡กºบÒา¹น ¤คÔิ´ด´ดÕี áแÅลÐะàเÁมµตµตÒา àเÃรÕีÂย¡กäไ´ด ŒÇว ‹Òาàเ»ป š¹น âโÂย¤คÐะâโ´ดÂยÊสÁมºบÙูÃร³ณ äไ´ด Œàเªช ‹¹น¡กÑั¹น
µต ‹Íอ©ฉºบÑัºบËห¹น ŒÒา
9!
[]
âโ´ดÂย áแÍอ»ปàเ»ป Åล¼ผÅล¡กÅลÒา§ง
ªชÕีÇวÔิµตàเÃรÔิ่Áมµต Œ¹น àเÁม×ื่ÍอÍอÒาÂยØุ 40 ¤คØุ³ณàเ´ดªชÒา ÈศÔิÃรÔิÀภÑั·ท∙Ãร »ป ˜ ¨จ ¨จØุ ºบ Ñั ¹น ´ดÓำÃร§งµตÓำáแËห¹น ‹ §ง ¼ผÙู Œ Íอ Óำ¹นÇวÂย¡กÒาÃรÁมÙู Åล ¹นÔิ ¸ธ Ôิ ¢ข Œ Òา Çว¢ขÇวÑั Þญ ÁมÒา¡กÃรÐะàเ·ท∙ÒาÐะàเ»ปÅล×ื Íอ ¡กàเÅล ‹ Òา áแ§ง ‹ Áม Øุ Áม àเÅล็ ¡ก æๆ ãใËห Œ àเ ËหÅล ‹ Òา ÊสÁมÒาªชÔิ ¡ก ¤คÃรÙู âโ Âย¤คÐะäไ´ด Œ ¡ก ÃรÐะ¨จ ‹ Òา §งáแ¨จ Œ §ง ãใ¹น´ดÇว§ง¨จÔิ µต ¾พÃร ŒÍอÁม·ท∙Ñั้§งÊสÓำÃรÇว¨จµตÑัÇวµต¹น¢ขÍอ§งªชÕีÇวÔิµตµตÒาÁมäไ»ป¾พÃร ŒÍอÁม æๆ ¡กÑั¹น
ี่พี่เดชาเล่าให้ฟัง ว่า “อาชีพเดิมของผม คือ เลี้ยงวัว หมู ปลา วัน หนึ่ง ๆ ส่งขายให้ตลาดเป็นตัน ๆ ซึ่งเห็นเป็นเรื่องปกติเพราะเรียน มาแบบนี้ เวลาจับปลาเป็นขึ้นมาเป็นกะบะแล้วเอาน้ำแข็งใส่ให้ปลา ตายเย็นเพื่อให้ปลาสดตลอดเวลา แม่ก็จะกลัวว่าผมจะลงนรก จึง มาชวนให้ผมบวช” ซึ่งพี่เดชาปฏิเสธตลอดมาจนกระทั่งแม่เสีย ชีวิต จึงได้ตัดสินใจบวชเพื่อทดแทนคุณมารดา
! []!
แต่การบวชครั้งนี้พี่เดชาตั้งใจไว้แล้วว่า จะไม่ใช่เป็นเพียง การบวชหน้ า ศพแต่ จ ะต้ อ งให้ แ ม่ ไ ด้ ร ั บ บุ ญ ใหญ่ เ ต็ ม ที ่ ด ้ ว ยการ บรรพชาให้ครบ 1 พรรษา กับวัดที่เคร่งครัด โดยได้วางเป้าหมาย ไว้ที่สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี แต่ถูกปฏิเสธในครั้งแรก จึง ได้ไปบวชกับหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุซึ่งเป็นเครือข่ายกับทาง สวนโมกข์ในปีถัดไป จนได้รับคัดเลือกให้มาจำพรรษาอยู่ที่สวน โมกข์ เป็นศิษย์ท่านพุทธทาสสมใจ ครั้นอยู่ไปรู้สึกติดใจในรสพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากบวชไม่สึก แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากยังมีภาระหน้าที่ทางโลกในบทบาทของสามีและพ่อที่ยังคง ต้องดำเนินต่อไป จึงได้ตัดสินใจกลับมาสู่โลกแห่งวิถีปุถุชน แต่กลับ ให้รู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะเริ่มทำใจยอมรับไม่ได้กับมิจฉา อาชีพ คือ การเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นที่ตนได้เริ่มไว้ แต่จำต้องอดทน ทำต่อไป ทั้งนี้ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เริ่มต้นมองหาอาชีพใหม่ที่เป็นการ สร้างกุศลให้กับชีวิตของตนเองและสังคม ใช้เวลาอยู่กว่า 7 ปี โอกาสนั้นจึงมาถึง โดยเริ่มจากการชักชวนของเพื่อนให้มาเป็น วิทยากร
10
เดิมทีอาชีพวิทยากร ตนเองก็ไม่เคยรู้จัก แต่จากการที่ เพื่อนเล่าให้ฟังและตนเห็นว่างานนี้ดีมีประโยชน์ เมื่อเห็นว่ามี ตำแหน่งว่างจึงได้รีบคว้าไว้ และได้ทดลองทำอย่างเต็มความ สามารถอยู่ถึง 5 ปี เมื่อรู้แล้วว่าใช่สิ่งที่ตนเองถามหา จึงได้ออกมา ตั้งองค์กรเองตั้งแต่ปี 2532 เกิดเป็นมูลนิธิข้าวขวัญ และได้ทำมา ตลอดจนถึงปัจจุบัน จากประสบการณ์ในชีวิตครั้งนั้น ทำให้มองเห็นว่า คนเรา บางที คิดได้แต่ทำไม่ได้ เพราะโอกาสยังมาไม่ถึง แต่บางครั้งทั้งที่ โอกาสมาถึงผ่านหน้าเราไปแต่เราไม่รู้ หรือบางทีโอกาสมาถึงใน ขณะที่เราเองยังไม่พร้อม แต่ หน้าที่ของเรา คือ ต้องทำตัวให้ พร้อมที่สุดอยู่ตลอดเวลา เพราะเมื่อโอกาสมาถึงแล้วต้องจับไว้ให้ ได้ เนื่องด้วยโอกาสไม่ได้มาให้จับได้บ่อย ตรงกับวลีที่ฝรั่งต่างชาติกล่าวอ้างไว้ ว่า ชีวิตคนเราเริ่มต้น เมื่ออายุ 40 หมายความว่า เริ่มที่จะรู้จริง รู้ชัด ว่า ชีวิตจะทำอะไร
11!
อยู่อย่างไร ดำเนินไปเช่นไร และเริ่มเป็นจริงเป็นจังเมื่ออายุ 40 ปี โดยช่วงก่อนหน้านี้ตั้งแต่เรียนจบมาถือเป็นช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ ค้นหา ลองผิดลองถูก ทำอะไรก็ได้ที่มีความสนใจ และทำให้เต็ม ความสามารถ เมื่อพบว่าไม่ใช่ก็เริ่มต้นค้นหาและทดลองใหม่ ค้นหา ตัวตนให้เจอ อายุเฉลี่ยของคนเราอยู่ที่ 80 ปี เวลาที่เหลืออีก 40 ปี จะได้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข พี่เดชาเล่าว่าเมื่อครั้งที่ออกมาตั้งมูลนิธิข้าวขวัญ ขณะนั้น อายุได้ 41 ปี ถือเป็นการเริ่มต้นชีวิตที่แท้จริง โดยได้ใช้เวลาที่ผ่าน มาแล้ว 20 ปี ทำงานที่ตัวเองรักได้อย่างไม่เบื่อ และจะยังคงมีความ สุขกับอาชีพนี้ต่อไปอีก 20 ปีเป็นอย่างน้อย ขณะที่คนในสังคม ทุนนิยมปัจจุบันยึดถืออาชีพตั้งแต่เรียนจบ กอดไว้และดำเนินต่อไป ตามกระแสของสังคม ถูกกำหนดโดยคนรอบกายจนเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี ทั้งที่ไม่เคยรู้จักความต้องการที่แท้จริงของตนเอง แล้วชีวิตที่ เหลืออีก 20 ปี คิดหรือยังว่าจะทำอย่างไรต่อไป
[]
Êส¶ถÒาºบÑั¹นäไ¡กÇวÑัÅลÂย¸ธÃรÃรÁม ¡ก Òา ½ฝ Òา Áม ºบ ็ ¡ก àเ ¨จÒา¡ก India
Yogini of Mumbai
ÍอÒาÂยØุÃรàเÇว·ท∙ áแÅลÐะâโÂย¤คÐะ
âโ´ดÂย..ÇวÃรÃร³ณÇวÔิÀภÒา ÁมÒาÅลÑัÂย¹นÇวÅล
áแÁม้¨จÐะäไ´ด้ÁมÕีâโÍอ¡กÒาÊสÃรÙู้¨จÑั¡กÊส¶ถÒาºบÑั¹นäไ¡กÇวÑัÅลÂย¸ธÃรÃรÁม ¼ผ่Òา¹น·ท∙Òา§ง ¡กÒาÃรºบÍอ¡กàเÅล่Òา¢ขÍอ§ง¤คÃรÙูÞญÕี่»ปØุ่¹น áแÅลÐะÍอÕี¡กËหÅลÒาÂยæๆ ·ท∙่Òา¹น·ท∙Õี่àเ¤คÂยäไ´ด้ÁมÒาàเÂย×ืÍอ¹นËหÃร×ืÍอàเÃรÕีÂย¹น·ท∙Õี่¹นÕี่ Êส¶ถÒาºบÑั¹นÍอÑั¹นàเ»ป็¹นµต้¹นáแºบºบ¢ขÍอ§งÊส¶ถÒาºบÑั¹น âโÂย¤คÐะÇวÔิªชÒา ¡กÒาÃร àเÁม×ื่ÍอÇวÑั¹น·ท∙Õี่äไ´ด้ÁมÕีâโÍอ¡กÒาÊสÁมÒาàเÂยÕี่ÂยÁมàเÂยÕีÂย¹น ÀภÒา¾พ¢ขÍอ§งÊส¶ถÒาºบÑั¹นäไ¡กÇวÑัÅลÂย¸ธÃรÃรÁม¡ก็¤ค่ÍอÂย áแ¨จ่ÁมªชÑั´ด¢ขÖึ้¹นÁมÒา¡ก¡กÇว่Òา¤คÓำºบÍอ¡กàเÅล่Òา ! []!
12
ห้องสมุด ร้านหนังสือ อาคารเรียน ห้องประชุม ส่วนงาน วิจัย อาคารหอพัก ห้องฝึกอาสนะ อาคารฝึกกริยา ห้องอาหาร ฯลฯ ทุกอย่างที่หลอมรวมกันเป็นสถาบัน ทำให้รู้สึกเหมือนกลับ ไปเป็นนักศึกษาที่ต้องนอนหอพัก กินข้าวในโรงอาหาร ยามเหงา ก็นั่งเล่นอ่านหนังสือในสวน ด้านหลังของสถาบันมีแปลงปลูกพืช สมุนไพร เพื่อประกอบกับการทำงานเรื่องธรรมชาติบำบัดและ อายุรเวท ผสมกลิ่นอายของธรรมะบนวัดฮินดูที่เนินเขาหลัง สถาบัน ที่เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนและร่วมในพิธีสวดมนต์กับ พระในยามเย็นใกล้ค่ำ ความแตกต่างที่ชัดเจน ระหว่างสถาบันไกวัลยธรรมและ The Yoga Institute (YI) ที่ Santacruz สถาบันไกวัลยธรรมดูมี ความเป็นโรงเรียนมากกว่า ในขณะที่ YI ดูเป็นอาศรมมากกว่า การจัดอบรมคอร์สสั้นๆ 7 วันเพื่อรองรับชาว ต่างชาติที่นี่ คอร์ส จึงถูกจัดเป็นกระบวนการขั้นตอน กำหนด เวลาเช้าฝึกกริยา เสร็จ แล้วฝึกอาสนะ แล้วจึงจะมาทานอาหารเช้า จากนั้นก็แยกย้ายไป ทำธรรมชาติบำบัดตามแต่จะชอบ พอเที่ยงก็มาทานอาหาร บ่าย ก็เลือกไปเข้าคอร์สธรรมชาติบำบัดอีกครั้ง บ่ายสามโมงก็ดื่มชา สมุนไพร ก่อนที่จะมาฝึกอาสนะรอบเย็น และฝึกปราณยามะ แล้ว จึงทานอาหารเย็น (ที่น่าจะเรียกว่าอาหารค่ำ) ตบท้ายด้วยการ บรรยายในช่วงกลางคืนก่อนเข้านอนในแต่ละวัน ครูญี่ปุ่น พาให้กลุ่มเราได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับคุณ หมอทางอายุรเวท ชัคทิศ (Dr.Jagdish) ซึ่งประเด็นพูดคุยช่วย เปิดให้เห็นเส้นแบ่งของอายุรเวทกับโยคะ และหนทางที่ควบคู่กัน ไปได้ชัดเจนมากขึ้น ตามแนวคิดของคนอินเดีย คนเรานั้นมีกาย หยาบ อันประกอบไปด้วยธาตุตามธรรมชาติ สิ่งนี้เราดูแลให้เป็น ปกติโดยอาศัยศาสตร์ของอายุรเวท และส่วนที่เป็นกายละเอียด จนถึงระดับจิตนั้น เราดูแลโดยศาสตร์ของโยคะ คุณหมอยิ่ง ตอกย้ำความเข้าใจกับเราให้จำขึ้นใจว่า โยคะมีเป้าหมายเพื่อจิต อายุรเวทเพื่อกาย คุณหมอเล่าเบื้องต้นเกี่ยวกับอายุรเวทให้ฟังว่า มี 3 ขั้น ตอนคือ 1) การป้องกัน หรือ Prevent เป้าหมายสำคัญคือ Anti-aging อายุรวัฒน์ หรือชะลอวัย ซึ่งการที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เพื่อเหตุผลไร้ สาระในเชิงพาณิชย์ แต่ผลที่คำนึงถึงคือ เพื่อให้กายนี้มั่นคง แข็ง แรง และสามารถใช้กายเป็นพาหนะไปสู่เป้าหมายสูงสุดของการมี ชีวิตได้นั่นเอง 2) การชำระล้าง หรือ Purification ซึ่งจะทำให้เกิดความเบา สบาย ก็แล้วแต่เทคนิคต่างๆ ของอายุรเวทที่จะนำมาใช้ เช่นการ อดอาหาร เป็นต้น 3) การจัดสมดุลหรือ Balancing ซึ่งอันนี้คือการให้มีการ ตระหนักรู้ภายใน คำถามที่พวกเราอดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วการดูแลแบบ อายุรเวทจะนำมาประยุกต์ใช้ในเมืองไทยได้อย่างไร คุณหมอ
13
อมยิ้มแล้วบอกว่า อายุรเวททำงานกับสมดุลของธาตุต่างๆ ใน ร่างกาย เราก็ต้องหาความรู้ในสมุนไพรของประเทศเราแล้วปรับ ใช้ให้สมดุลกับธาตุในตนเอง ฟังแล้วนึกถึงแพทย์แผนไทย แผน จีนที่มีการใช้งานกันอยู่เหมือนกัน คุณหมอเล่าว่าทางอายุรเวท แบ่งช่วงอายุคร่าวๆ เป็น 3 ช่วงคือ 1-25 ปี เป็นช่วงเวลาของกผะ (ธาตุดิน + ธาตุน้ำ) 26-50 ปี เป็นช่วงเวลาของปิตะ (ธาตุไฟ + ธาตุน้ำ) และ 50 ปีขึ้นไป เป็นช่วงของวาตะ (ธาตุลม + อากาศธาตุ) การสังเกตตัวเองในส่วนที่เกี่ยวกับธาตุเพื่อให้สมดุล ก็ ให้ฝึกสังเกตและจัดปรับ เช่น *ธาตุดิน เกี่ยวเนื่องกับอาหารการกิน และรูปแบบการใช้ชีวิต *ธาตุน้ำ เกี่ยวกับการทำกิจกรรมในชีวิตของเรา *ธาตุไฟ เกี่ยวกับเรื่องการพักผ่อน ผ่อนคลาย การทำสมาธิ *ธาตุลม เกี่ยวกับเรื่องของระดับความช้า ความเร็วในชีวิต การ ผันผวน หรือการยึดติด การยอมรับหรือการเตรียมการสำหรับ การเปลี่ยนแปลง การก้าวผ่านความกลัว ซึ่งปรับสมดุลโดยใช้งาน อดิเรก *อากาศธาตุ เกี ่ ย วกั บ ความเป็ น ตั ว ของตั ว เอง ความเป็ น เอกลักษณ์ที่แตกต่างจากคนอื่น สิ่งเหล่านี้ เป็นพื้นฐานในการให้เราลองนำไปสังเกตตัว เอง ดูว่าธาตุไหนในเราไม่ค่อยสมดุลก็หาวิธีจัดปรับ เช่น บางคน อาจจะกลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แสดงว่า ธาตุลมเราไม่สมดุล เราอาจจะต้องพาตัวเราไปทำอะไรอย่างอื่น เพื่อปรับตัวให้คุ้นกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นการช่วยกระตุ้นธาตุ ให้ทำงานสมดุล หรือบางคนอายุยังไม่มากเท่าไร แต่กลับรู้สึกว่า กลัวการเปลี่ยนแปลง เพราะโดยปกติเด็กๆ หรือคนอายุน้อยๆ เขาจะไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงในชีวิต แสดงว่า เราไม่สมดุลเช่น กัน แต่ในทางตรงข้ามหากว่าอายุมากแล้ว แต่ยังรู้สึกสนุกกับการ เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีอิสระ แสดงว่าสมดุล และอาจจะกล่าวได้ว่า ยังหนุ่มยังสาวกว่าอายุจริงที่เป็นเพียงตัวเลขนั่นเอง หรือบางคนที่ รู้สึกว่าตัวเราไม่มีเอกลักษณ์ ไม่มีความต่างจากคนอื่นเลย แสดง ว่า อากาศธาตุไม่สมดุล เราก็ลองหาว่าจะมีอะไรช่วยปรับสมดุล ให้กับเราได้บ้าง ข้อคิดที่ได้จากความรู้ด้านอายุรเวท ก็ทำให้มุมมอง ต่อโยคะแจ่มชัดขึ้นเช่นกัน คุณหมอบอกว่า ทั้งสองศาสตร์นี้ ต้องทำงานไปร่วมกัน ดังนั้นหากมีความรู้ด้านโยคะ และ ศึกษาด้านอายุรเวทไปด้วย จะผสมผสานการดูแลตนเองได้ อย่ า งครบถ้ ว นทั ้ ง ทางกายและใจ และที ่ น ่ า สนใจก็ ค ื อ อายุ ร เวทก็ เ ป็ น อี ก หนึ ่ ง ศาสตร์ ท ี ่ ท ่ า นปตั ญ ชลี ไ ด้ เ ป็ น ผู ้ รวบรวมความรู้นี้ไว้ส่งต่อมาจนถึงรุ่นเราด้วยเช่นกัน. รวบรวมความรู้นี้ไว้ส่งต่อมาจนถึงรุ่นเราด้วยเช่น กัน.
âโ´ดÂย ¡กÍอ§งºบÃรÃร³ณÒา¸ธÔิ¡กÒาÃร
¡กÒาÃรàเÃรÕี Âย ¹นÃรÙู é้ ·ท Õี è่ äไ Áมè่ Êส Ôิ é้ ¹น ÊสØุ ´ด
. . . ªชÕีÇวÔิµต¤คÙู ‹ ãใ¤คÃรÊสÑั¡ก¤ค¹นºบÍอ¡กàเÃรÒาÇว ‹Òา ªชÕีÇวÔิµต¤ค×ืÍอ¡กÒาÃรàเÃรÕีÂย¹นÃรÙู Œ àเÁม×ื่ÍอÁมÕีâโÍอ¡กÒาÊส¿ฟ ˜§งàเÃร×ื่Íอ§งÃรÒาÇว¢ขÍอ§งËหÞญÔิ§งÊสÒาÇว¤ค¹นËห¹นÖึ่§ง àเÃรÒา¾พºบÇว ‹Òา¡กÒาÃรàเÃรÕีÂย¹นÃรÙู Œ¢ขÍอ§งàเ¸ธÍอ¹นÑั้¹น ÁมÕี¤คØุ³ณ¤ค ‹Òา¡กÑัºบªชÕีÇวÔิµตàเ¸ธÍอàเ»ป š¹นÍอÂย ‹Òา§ง àเÃร×ื่Íอ§งËห¹นÖึ่§ง·ท∙Õี่ÁมÕี¤ค ‹Òา¡กÑัºบªชÕีÇวÔิµต¢ขÍอ§งÅลÙู¡ก¼ผÙู ŒËหÞญÔิ§งÍอÕี¡กËหÅลÒาÂย¤ค¹น ·ท∙Õี่ÍอÒา¨จ ªชÕีÇวÔิµต¨จÐะàเ´ดÔิ¹น·ท∙Òา§งµต ‹Íอäไ»ปÍอÂย ‹Òา§งäไÃร àเÃรÒา¨จÖึ§ง¢ขÍอÍอ¹นØุÞญÒาµตàเ¸ธÍอ ¤คÃรÙูâโÂย¤คÐะ äไ´ด ŒÊสÐะ·ท∙ ŒÍอ¹น
ÁมÒา¡ก áแÅลÐะ¹นÕี่ÍอÒา¨จ¨จÐะàเ»ป š¹นÍอÕี¡ก ¨จÐะÍอÂยÙู ‹ÃรÐะËหÇว ‹Òา§ง¡กÒาÃรµตÑั´ดÊสÔิ¹นãใ¨จÇว ‹Òา
¹นÓำàเÃร×ื่Íอ§งÃรÒาÇว¹นÕี้ÁมÒาáแºบ ‹§ง»ป ˜¹นãใËห Œ¡กÑัºบàเ¾พ×ื่Íอ¹น ãใËห ŒàเËห็¹นÁมØุÁมÁมÍอ§งªชÕีÇวÔิµตãใ¹นÍอÕี¡กáแ§ง ‹ÁมØุÁม
based on true story ในบรรยากาศสบายๆ ริมสระน้ำธรรมชาติ ลมเย็นพัด เอื่อยๆ หญิงสาวผิวขาวบางใสหน้าตาสดชื่น แววตามีความมั่นคง และสดใส แทบไม่น่าเชื่อว่า เธอเพิ่งจะผ่านพ้นมรสุมชีวิตครอบครัว มาไม่นานมานี้เอง เธอเล่าให้ฟังว่า คบกับสามีมาตั้งแต่อายุ 23 ดูใจ กันมาประมาณ 8 ปีก่อนที่จะตกลงสร้างครอบครัวด้วยกัน ตอนที่ คบกันก็มีความสุขดี พบกันทุกวันหยุด รู้สึกว่าเขาเป็นคนดี รักแม่ เสียแต่ว่าชอบความบันเทิง ชอบไปเที่ยวกลางคืน เธอก็คิดว่าคนเรา
ก็ต้องมีสังคมบ้าง สมัยที่คบกันเขายังเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาๆ ไม่มีทรัพย์สินอะไร ก่อนแต่งงานเขาก็มีเริ่มสร้างกิจการเป็นของตัว เอง แต่ก็ยังมีภาระหลายอย่างที่ต้องดูแลครอบครัว และเป็นหลัก ของทุกคนในครอบครัว หลังแต่งงานเธอย้ายไปอยู่บ้านของสามี และในวันศุกร์เสาร์ ก็กลับไปค้างคืนที่บ้านแม่ของเธอ เพื่อให้โอกาสเขาได้มีอิสระ กับเพื่อนและก็จะกลับมาอีกทีในวันอาทิตย์อย่างนี้เป็นปกติ
14
เธอเล่าว่าเคยไปเที่ยวกลางคืนกับเขาบ้างเหมือนกัน เวลา ถ้าเขาอยากแนะนำกับเพื่อนๆ แต่เธอเองไม่ชอบเที่ยว เพราะเหม็น บุหรี่ กินเหล้าตื่นเช้ามาก็ปวดหัว เขาจึงไปคนเดียว แต่พอกลับถึง บ้าน เขาก็จะโทรบอกว่าถึงบ้านแล้ว ก็เลยรู้สึกชีวิตลงตัว ว่าต่างคน ต่างก็มีชีวิตส่วนของตัวเองบ้าง เธอเล่าว่า เธอเป็นลูกสาวคนโต มีน้องชายคนเดียว ส่วน ทางบ้านสามีมีพี่น้องสี่คน เขาเป็นคนที่สาม ครอบครัวค่อนข้างมี ความแตกต่างกันในเรื่องการเลี้ยงดู บ้านของเธอเลี้ยงลูกแบบสมัย ใหม่ พ่อแม่ลูกพูดถึงเรื่องชีวิต เรื่องความตายกันเป็นเรื่องปรกติ ใน ขณะที่คนจีนสมัยก่อนพูดแบบนี้จะต้องโดนดุ ในขณะที่บ้านของสามี จะเป็นคนจีนโบราณหน่อย อย่างเช่นการจะย้ายข้าวของจากชั้นหนึ่ง ไปอีกชั้นหนึ่ง ก็ต้องดูวัน คือทุกอย่างต้องพึ่งไสยศาสตร์ พ่อแม่จะมี ความเชื่อเรื่องนี้ค่อนข้างมาก แม่เขาเป็นแม่บ้าน ทำงานบ้าน ทำ กับข้าวดูแลลูก ทำทุกอย่างให้ลูก ส่วนแม่เธอเป็น working woman ทำงานนอกบ้าน สำหรับตัวเธอเอง ก่อนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องศาสนาหรือ ไสยศาสตร์ ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนพุทธด้วย วัดก็ไม่ไป ที่บ้านก็ไม่ สวดมนต์หรือทำอะไรแกี่ยวกับศาสนาทั้งสิ้น ในขณะที่บ้านสามีก็เข้า วัดแต่เป็นลักษณะของการไปขอ ไปเพื่อเอาบุญ ตัวเธอเองโชคดีมี น้าสาวเป็นน้องของแม่ ซึ่งสนใจฝึกโยคะและปฏิบัติธรรม เขาก็เห็น ว่าเป็นสิ่งที่ดี อยากจะให้คนในครอบครัวได้รับอะไรดีๆ บ้าง ในช่วง เรียนและทำวิทยานิพนธ์ยังไม่ได้ทำงานประจำ น้าก็ชวนไปฝึกโยคะ และก็ค่อยพาเธอให้ได้พบกับธรรมะ ตอนแรกก็รู้สึกว่าดีกับร่างกาย ต่อมาก็พบว่าดีกับจิตใจด้วย หลังแต่งงานเธอต้องย้ายไปอยู่กับครอบครัวเขา ซึ่งเขาก็ จะคอยถามว่า happy ไหม มีความสุขไหม เธอก็มีความรู้สึกที่ดี แล้วก็ทำงานนอกบ้าน มีธุรกิจส่วนตัวแล้ว ก็ทำงานด้วยกัน ถ้าวัน ไหนงานน้อย ก็ทำความสะอาดบ้าน ทำงานบ้าน พอแต่งไปสักปี ชีวิตเริ่มเปลี่ยน เขาก็เริ่มเที่ยวมากขึ้นแล้วก็ไม่กลับบ้าน ตัวเธอก็เริ่ม รู้สึกว่าเกินไป เหมือน ว่าดีได้สักหกเดือน และเริ่มมีพฤติกรรมอะไร ที่เธอรับไม่ได้มากขึ้น เหตุการณ์ที่ทำให้ต้องทบทวนชีวิตคือ เมื่อวันปีใหม่ที่มี เหตุการณ์ ซานติกาผับไฟไหม้ วันนั้นเป็นวันที่รู้สึกแย่มาก พอเช้ามี ข่าวไฟไหม้ โทรหาเขาก็ไม่รับ หายไปเลย ตอนนั้นคิดว่าจะเป็นศพ อยู่ในนั้นไหม เพื่อนขับรถพาไปสน.ทองหล่อ รู้สึกรันทดตัวเอง ตาม หาสามีโดยไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เป็นจุดที่แย่ที่สุดในชีวิต รู้สึกว่าเขา เป็นสามีแต่กลับไม่รู้ว่าเขาไปไหน ไปหาดูรูปที่สน. ว่าจะรูป หรือ สร้อย หรืออะไรที่ให้จำได้ว่าเป็นเขาไหม ถึงไม่ได้ร้องไห้แต่ก็รู้สึก กลัว และห่วง จนตกเย็นเขาถึงส่งข้อความเข้ามาในโทรศัพท์ว่าไม่ ได้อยู่ที่นั่น แต่ก็ไม่ได้โทรเข้ามาหา ตอนนั้นก็ยังคิดว่าทนไปก่อน เดี๋ยวคงจะดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่คิด
15
เธอเริ่มมีคำถามกับตัวเองว่า เธอแต่งงานกับใคร เขา เหมือนคนไม่รู้จักกัน พอปีที่สองใกล้ครบรอบแต่งงาน รู้สึกเหมือน ตัวเองจะเป็นบ้า ทั้งที่ไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่มีทุ่มเถียงหรือเสียงดังใส่ กัน เขารู้ว่าผิดก็จะขอโทษ ทำดีด้วย พาไปเที่ยวบ้าง แต่ก็ไม่มีอะไร ดีกว่าเดิม เป็นวงจรซ้ำๆ อย่างนั้น จนปีใหม่ปีที่สองก็ย้ายกลับมาอยู่ บ้านแม่ อันที่จริงเริ่มรู้สึกว่าแปลกๆ ตั้งแต่อยากจะย้ายกลับบ้าน แล้ว และพอย้ายออกมาเขาก็ไม่คิดจะทำอะไรจริงจังให้เธอรู้สึกว่า อยากกลับไปใช้ชีวิตคู่อีก สามเดือนผ่านไปก็ยังไม่ทำอะไร แต่ใจก็ยัง ไม่ได้คิดไปถึงว่าเขามีคนอื่น เพราะก่อนแต่งงานเขาก็เคยพูดว่าแต่ง ไปแล้วจะไม่เลิกกัน ออกจากบ้านเขามาได้เกือบหกเดือน เธอเล่าว่ามีอยู่คืน หนึ่งตอนตีสี่ครึ่ง เพื่อนมานอนที่บ้านด้วย มีโทรศัพท์เข้ามา “ฮัลโหล ค่ะ แฟนคุณ…..ใช่ม๊ยคะ” “ค่ะ” “ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอคะ” “มีอะไรคะ ว่ามาเลยค่ะ” “รู้มั๊ยคะว่าคุณ….เค้ามีเมียน้อย” “อ๋อ ไม่รู้หรอกค่ะ แต่ นี่เวลาพักผ่อน ขอนอนก่อนนะคะ” แล้วก็นอน เพราะลึกๆ ในใจเธอ ก็รู้สึกว่าเรื่องอย่างนี้ก็น่าจะมาถึงสักวัน อยู่ที่ว่าจะมาเมื่อไหร่ เพื่อนที่มาอยู่เป็นเพื่อนก็บอกว่า “ไปถามให้รู้เรื่อง ไม่ด่าเห รอ ทำไมไม่โทรไปด่าเลย” สุดท้ายก็เจอเขาและคาดคั้น จนเขาบอกขอโทษ ยอมรับ แต่ยังบอกว่าคนนั้นเป็นแค่เล่นๆ เธอก็ยังเชื่อว่า คงไม่มีอะไร เขาก็ บอกว่าจะมารับกลับบ้าน แต่ก็ไม่ได้กลับเพราะคิดไปถึงสาเหตุที่ต้อง ย้ายกลับมาบ้าน ตอนนั้นคิดแต่ว่าพฤติกรรมเขาไม่เหมาะที่จะเป็น สามี คนจะอยู่ด้วยกันควรมีศีลเสมอกัน เธอเล่าว่าเคยมีอาการ เหมือนซึมเศร้าเช่นอาบน้ำอยู่เฉยๆ ก็ร้องไห้เลย ทั้งที่ไม่รู้ว่าเขามี คนอื่น ก็ยังรู้สึกมีความบีบคั้นอยู่ในใจ พอเขาชวนกลับก็คิดว่าถ้า กลับไปอยู่กับเขา แล้วเขายังไม่ปรับตัว หรือคิดจะทำอะไรให้ดีขึ้นจะ ทนได้อย่างไร เลยไม่ได้กลับไปบ้านเขาอีกเลยจนกระทั่งตัดสินใจ หย่ากัน มีบางช่วงบางตอนที่ดูเหมือนว่าเขาตัดสินใจจะเลิกกับผู้ หญิงคนนั้น แต่แล้วก็ไม่ได้เลิก ชีวิตคู่ของเธอก็เลยไม่รอด ยิ่งยื้อกัน ไปนานวัน อารมณ์ของตัวเธอเองก็ยิ่งแย่ จากที่เป็นคนไม่เคยปรี๊ด ไม่เคยวี้ด ก็ระเบิดกรี๊ดออกมาว่า “พอแล้ว ไม่เอาแล้ว”
เขายื้ออยู่สักระยะเวลาหนึ่ง จนสุดท้ายเธอบอกเขาว่า “ช่วยซื่อสัตย์กับตัวเอง ให้เวลาตัวเองคิดดูดีๆ แล้วตัดสินใจมา” สุดท้ายเขาก็โทรมาแล้วบอกว่า “เลิกกัน” หลังจากเลิกแล้ว อารมณ์ต่างจากตอนที่ยังมีความหวัง รับ รู้แล้วว่าไม่ได้เป็นที่รัก ไม่ได้เป็นที่ต้องการอีกแล้ว ก็เศร้าและเสียใจ นั่งซึม เมื่อไหร่จะหมดวัน กว่าจะผ่านไปยากมาก คิดภาพตัวเองจม กองเลือดเพราะกรีดข้อมือ หรือ กระโดดตึกบ่อยๆ แต่ก็โชคดีที่แค่ คิด วนเวียนกับคำถามว่า “ทำไมเค้าทำอย่างนี้กับเรา ทำไมเค้า ไม่รักเรา เราไม่มีค่าเลย ไม่มีอะไรในชีวิต” ความรู้สึกว่าล้มเหลว ผู้หญิงอายุ 34 เลิกกับสามี งานไม่มีทำ ต่อไปในอนาคตจะเริ่มต้น ใหม่อย่างไร ตอนนั้นก็ไม่อยากไปไหน แม่ก็ถามว่าจะมานอนเป็นเพื่อน ไหม ก็บอกว่า อยู่คนเดียวได้ ใจก็ทรมานบ้าง สุดท้ายคิดว่าไม่ต้อง ไปหาเหตุผลอะไรหรอก ว่าทำไมเขาถึงทิ้ง ทำไมเขาไม่รัก ถึงรู้ก็ คงจะไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้น อาจจะจะแย่ลงอีกด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าวันไหน อารมณ์หนักมากก็โทรหาเพื่อน ร้องไห้ระบายบ้าง โชคดีเพื่อนก็รับ ฟัง และให้กำลังใจ แล้วก็มีคำพูดของครูที่สถาบันฯ บอกว่า “มัน เหมือนหมดสิ้นเวรกรรมกันแล้ว มันหมดแล้วก็คือหมด ไม่ต้อง ไปหาเหตุผลหรอกว่ามันหมดไปเพราะอะไร “ เธอคิดว่าผู้หญิงที่พบเรื่องแบบนี้ เจ็บและทรมานกันทุกคน คนที่แสดงออกน้อย ไม่ใช่ว่าจะเจ็บน้อยกว่าคนที่ตีโพยตีพาย อยู่ที่ ว่าแต่ละคนจะมีปฏิกิริยา และจัดการกับความทรมานแบบไหน สำหรับตัวเธอเอง โชคดีและต้องขอบคุณพ่อแม่ที่รับได้กับสภาพของ ลูกสาว และเข้าใจ ทั้งยังเป็นที่พึ่งพิงให้เสมอ ไม่เช่นนั้นเธอก็คงไม่รู้ ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต เธอบอกว่าช่วงที่มีปัญหาก็มีพี่ๆ เพื่อนๆ ครู คอยให้คำ ปรึกษาและรับฟัง รวมถึงเรื่องปฏิบัติธรรมก็มีพูดคุยกัน หลังจากนั้น อารมณ์ยังมีขึ้นลงบ้าง แต่ช่วงที่ลงหนักๆ ก็แค่หนเดียว ไม่ได้ ทุรนทุราย จากที่เคยคิดว่าชีวิตคงแย่ที่ต้องอยู่คนเดียว กลาย เป็นว่า “มันก็ดีนะ ที่อยู่คนเดียว” ตอนนั้นพี่ที่สถาบันฯ ก็แนะนำให้เอาจิตเข้ามาอยู่กับกาย ใส่ใจกับร่างกายตอนที่อารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ใส่ใจความรู้สึกตัวเอง คิดว่าที่เคยปฏิบัติธรรมและ ฝึกโยคะมาก่อนหน้านี้ช่วยได้ ช่วงที่ กลับมาบ้านก็ฝึกโยคะทุกวัน ยิ่งช่วงที่ผู้หญิงคนนั้นโทรมา ก็ยิ่งฝึก มากแล้วก็แผ่เมตตาด้วย ดูเหมือนว่าธรรมะปฏิบัติที่แม้จะไม่ปะติด ปะต่อ แต่ก็เหมือนได้สะสมอะไรข้างใน ไว้เป็นเสบียงใช้เวลาที่คับขัน และถูกดึงออกมาขณะที่จวนตัวใช้ได้ยามฉุกเฉิน เมื่อถามเธอว่า มีข้อคิดสำหรับผู้หญิงที่จะมีชีวิตครอบครัว ไหม เธอตอบได้น่าฟังว่า “ก็ต้องรักตัวเองให้เป็น บางทีเราใช้ อารมณ์ก็ต้องมาใช้เหตุผลบ้าง สิ่งที่ช่วยได้ก็คือสติ เพราะฉะนั้น ตอนที่ไม่มีปัญหาอะไร ก็หมั่นฝึกสะสมไว้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะต้องใช้ เหมือนมีอาวุธพร้อม เพราะถ้าไม่มีเลย ถึงเวลาที่ต้องใช้มันจะไม่ทัน
ดังนั้นตอนที่มีความสุข ก็น่าจะเริ่มสะสมการเจริญสติไว้ เพราะถ้ารอ จนทุกข์ยับเยินแล้ว คงไม่รู้จะเอาอะไรมาใช้ตอนฉุกเฉิน” ตอบคำถามที่ว่า อะไรที่ทำให้รอดจากวิกฤตชีวิตครั้งนี้ได้ เธอก็ย้ำกับเราว่า ‘สติ’ จากการที่ได้ปฏิบัติธรรม และการที่ไม่ได้ ยึดว่านั่นคือของเรา รู้ว่าการที่ยึดเอาไว้มันจะทุกข์ นอกจากสติ แล้วก็ทัศนคติมุมมองต่อเหตุการณ์ว่า ไม่ใช่เราคนเดียวที่ทุกข์ และการมีกัลยาณมิตร ถ้าไม่ได้มาอยู่ในสังคมนี้เราก็ไม่รู้จะคุยกับ ใคร เขาอาจจะยุให้เราไปตบกันก็ได้ มันเป็นที่เราเลือกสรรว่าเราจะ คุยกับคนไหน คุยกับพี่ๆ ครูๆ ที่จะคอยให้กำลังใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่ นั้นมันดีงามสมควรแล้ว อีกอย่างที่สำคัญก็คือการให้อภัย แรกๆ ก็ โกรธแค้นแน่นอน เพราะก็ยังไม่ได้บรรลุ แต่ก็อภัยได้เมื่อให้อภัย แล้วรู้สึกใจก็เป็นอิสระ เพื่อนๆ ตระหนักว่าเธอมีชีวิตที่ดีขึ้นได้แม้จะผ่านมรสุม ชีวิตมา เพื่อนบอกว่าเธอแสดงให้เห็นจริงๆ ว่าสิ่งที่เคยปลอบใจพื่อน แล้วพอถึงคราวของเธอๆ ก็ทำอย่างที่บอกเขา ก่อนนั้นเขาอาจจะไม่ เชื่อ แต่พอถึงคราวทำให้ประจักษ์ว่า ผ่านได้ รอดได้ ด้วยสติ แต่ตอนนี้เธอก็ยังไม่ประมาท เพราะว่าวิกฤติในชีวิตคนเรา คงไม่ได้มาครั้งเดียว เจอวิกฤติเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องอื่นเข้า มาอีก หรือแม้แต่ว่า บางวันที่คิดว่า ดีแล้วทำใจได้ อีกวันก็อาจจะ กระเพื่อมอีกก็ได้ มันขึ้นๆ ลงๆ ตลอด ถ้าเราเตรียมพร้อมไว้ อะไร จะเข้ามาก็จะไม่สั่นคลอนจนเกินไปนัก และ การที่เราพ้นวิกฤตมา ได้ไม่ได้หมายความว่าเราเก่ง เราดีกว่าคนอื่น แต่มันสอนให้ เราเตรียมพร้อมไม่ประมาท ถามเธอว่าอยากฝากถึงสุภาพสตรี และสุภาพบุรุษทั้ง หลายก่อนจะมีคู่ว่าอย่างไรบ้าง เธอยิ้มแล้วบอกว่า “ก่อนจะเลือกคู่ ก็ดูดีๆ ให้มีศีลเสมอกัน ความรักเป็นพื้นฐานก็จริง แต่นานวันถ้า ศีลไม่เสมอกัน ก็จะกลายเป็นเหมือนคนที่ไม่รู้จัก เหมือนคนที่อยู่ คนละโลกไป ดังนั้นถ้าคนที่มีศีลเสมอกันก็จะทำให้อยู่กันได้ง่ายขึ้น สำหรับคุณสุภาพบุรุษ ถ้าคิดจะแต่งงานก็ควรจะคิดว่า จะมีอีกคน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชิวิต ไม่ใช่แค่แต่งงานแล้วมาอยู่ด้วยกัน เมื่อ คิดจะทำอะไรก็ควรจะคิดเผื่ออีกคนหนึ่งด้วย หากยังไม่พร้อม ก็ไม่ ควรแต่งงานให้เกิดเป็นปัญหาครอบครัวในอนาคต” จากการที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอ ผ่านเรื่องราวชีวิตที่ แสนยากช่วงหนึ่งของลูกผู้หญิง ทำให้เราพบว่า ในวิกฤติมีโอกาส เสมอ และเมื่อมองย้อนกลับไปอาจจะทำให้เราต้อง ขอบคุณความ ทุกข์ที่มาเยี่ยมเยือนและทำให้ได้พบว่า ‘ธรรมะเท่านั้นที่เป็นที่ พึ่งอันเกษมอย่างแท้จริง’ ท้ายที่สุดนี้ โยคะสารัตถะต้องขออนุโมทนากับเธอ ที่ อนุญาตให้นำเรื่องราวมาแบ่งปัน เธอหวังเพียงว่าเรื่องนี้อาจจะเป็น อุทาหรณ์ให้กับใครบางคน ที่อาจจะกำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ และเธอก็ หวังว่าเขาจะพบทางสว่างอย่างที่เธอได้พบเช่นกัน
16
เข้าวัดแต่เป็นลักษณะของการไปขอ ไปเพื่อเอาบุญ ตัวเธอ เองโชคดีมีน้าสาวเป็นน้องของแม่ ซึ่งสนใจฝึกโยคะและปฏิบัติธรรม เขาก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี อยากจะให้คนในครอบครัวได้รับอะไรดีๆ บ้าง ในช่วงเรียนและทำวิทยานิพนธ์ยังไม่ได้ทำงานประจำ น้าก็ ชวนไปฝึกโยคะ และก็ค่อยพาเธอให้ได้พบกับธรรมะ ตอนแรกก็รู้สึก ว่าดีกับร่างกายต่อมาก็พบว่าดีกับจิตใจด้วย หลังแต่งงานเธอต้องย้ายไปอยู่กับครอบครัวเขา ซึ่งเขาก็ จะคอยถามว่า happy ไหม มีความสุขไหม เธอก็มีความรู้สึกที่ดี แล้วก็ทำงานนอกบ้าน มีธุรกิจส่วนตัวแล้ว ก็ทำงานด้วยกัน ถ้าวัน ไหนงานน้อย ก็ทำความสะอาดบ้าน ทำงานบ้าน พอแต่งไปสักปี ชีวิตเริ่มเปลี่ยน เขาก็เริ่มเที่ยวมากขึ้นแล้วก็ไม่กลับบ้าน ตัวเธอก็ เริ่มรู้สึกว่าเกินไป เหมือน ว่าดีได้สักหกเดือน และเริ่มมีพฤติกรรม อะไรที่เธอรับไม่ได้มากขึ้น เหตุการณ์ที่ทำให้ต้องทบทวนชีวิตคือ เมื่อวันปีใหม่ที่มี เหตุการณ์ ซานติกาผับไฟไหม้ วันนั้นเป็นวันที่รู้สึกแย่มาก พอเช้ามี ข่าวไฟไหม้ โทรหาเขาก็ไม่รับ หายไปเลย ตอนนั้นคิดว่าจะเป็นศพ อยู่ในนั้นไหม เพื่อนขับรถพาไปสน.ทองหล่อ รู้สึกรันทดตัวเอง ตาม หาสามีโดยไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เป็นจุดที่แย่ที่สุดในชีวิต รู้สึกว่าเขา เป็นสามีแต่กลับไม่รู้ว่าเขาไปไหน ไปหาดูรูปที่สน. ว่าจะรูป หรือ สร้อย หรืออะไรที่ให้จำได้ว่าเป็นเขาไหม ถึงไม่ได้ร้องไห้แต่ก็รู้สึก กลัว และห่วง จนตกเย็นเขาถึงส่งข้อความเข้ามาในโทรศัพท์ว่าไม่ ได้อยู่ที่นั่น แต่ก็ไม่ได้โทรเข้ามาหา ตอนนั้นก็ยังคิดว่าทนไปก่อน เดี๋ยวคงจะดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่คิด เธอเริ่มมีคำถามกับตัวเองว่า เธอแต่งงานกับใคร เขา เหมือนคนไม่รู้จักกัน พอปีที่สองใกล้ครบรอบแต่งงาน รู้สึกเหมือน ตัวเองจะเป็นบ้า ทั้งที่ไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่มีทุ่มเถียงหรือเสียงดังใส่ กัน เขารู้ว่าผิดก็จะขอโทษ ทำดีด้วย พาไปเที่ยวบ้าง แต่ก็ไม่มีอะไร ดีกว่าเดิม เป็นวงจรซ้ำๆ อย่างนั้น จนปีใหม่ปีที่สองก็ย้ายกลับมาอยู่ บ้านแม่ อันที่จริงเริ่มรู้สึกว่าแปลกๆ ตั้งแต่อยากจะย้ายกลับบ้าน แล้ว และพอย้ายออกมาเขาก็ไม่คิดจะทำอะไรจริงจังให้เธอรู้สึกว่า
17
อยากกลับไปใช้ชีวิตคู่อีก สามเดือนผ่านไปก็ยังไม่ทำอะไร แต่ใจ ก็ยังไม่ได้คิดไปถึงว่าเขามีคนอื่น เพราะก่อนแต่งงานเขาก็เคย พูดว่าแต่งไปแล้วจะไม่เลิกกัน ออกจากบ้านเขามาได้เกือบหกเดือน เธอเล่าว่ามีอยู่คืน หนึ่งตอนตีสี่ครึ่ง เพื่อนมานอนที่บ้านด้วย มีโทรศัพท์เข้ามา “ฮัล โหลค่ะ แฟนคุณ…..ใช่ม๊ยคะ” “ค่ะ” “ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอคะ” “มี อะไรคะว่ามาเลยค่ะ” “รู้มั๊ยคะว่าคุณ….เค้ามีเมียน้อย” “อ๋อ ไม่รู้ หรอกค่ะ แต่นี่เวลาพักผ่อน ขอนอนก่อนนะคะ” แล้วก็นอน เพ ราะลึกๆ ในใจเธอก็รู้สึกว่าเรื่องอย่างนี้ก็น่าจะมาถึงสักวัน อยู่ที่ว่า จะมาเมื่อไหร่ เพื่อนที่มาอยู่เป็นเพื่อนก็บอกว่า “ไปถามให้รู้เรื่อง ไม่ด่าเห รอ ทำไมไม่โทรไปด่าเลย” สุดท้ายก็เจอเขาและคาดคั้น จนเขาบอกขอโทษ ยอมรับ แต่ยังบอกว่าคนนั้นเป็นแค่เล่นๆ เธอก็ยังเชื่อว่า คงไม่มีอะไร เขาก็ บอกว่าจะมารับกลับบ้าน แต่ก็ไม่ได้กลับเพราะคิดไปถึงสาเหตุที่ ต้องย้ายกลับมาบ้าน ตอนนั้นคิดแต่ว่าพฤติกรรมเขาไม่เหมาะที่จะ เป็นสามี คนจะอยู่ด้วยกันควรมีศีลเสมอกัน เธอเล่าว่าเคยมีอาการ เหมือนซึมเศร้าเช่นอาบน้ำอยู่เฉยๆ ก็ร้องไห้เลย ทั้งที่ไม่รู้ว่าเขามี คนอื่น ก็ยังรู้สึกมีความบีบคั้นอยู่ในใจ พอเขาชวนกลับก็คิดว่าถ้า กลับไปอยู่กับเขา แล้วเขายังไม่ปรับตัว หรือคิดจะทำอะไรให้ดีขึ้นจะ ทนได้อย่างไร เลยไม่ได้กลับไปบ้านเขาอีกเลยจนกระทั่งตัดสินใจ หย่ากัน มีบางช่วงบางตอนที่ดูเหมือนว่าเขาตัดสินใจจะเลิกกับผู้ หญิงคนนั้น แต่แล้วก็ไม่ได้เลิก ชีวิตคู่ของเธอก็เลยไม่รอด ยิ่งยื้อกัน ไปนานวัน อารมณ์ของตัวเธอเองก็ยิ่งแย่ จากที่เป็นคนไม่เคยปรี๊ด ไม่เคยวี้ด ก็ระเบิดกรี๊ดออกมาว่า “พอแล้ว ไม่เอาแล้ว” เขายื้ออยู่สักระยะเวลาหนึ่ง จนสุดท้ายเธอบอกเขาว่า “ช่วยซื่อสัตย์กับตัวเอง ให้เวลาตัวเองคิดดูดีๆ แล้วตัดสินใจมา” สุดท้ายเขาก็โทรมาแล้วบอกว่า “เลิกกัน” หลังจากเลิกแล้ว อารมณ์ต่างจากตอนที่ยังมีความหวัง รับ รู้แล้วว่าไม่ได้เป็นที่รัก ไม่ได้เป็นที่ต้องการอีกแล้ว ก็เศร้าและเสียใจ นั่งซึม เมื่อไหร่จะหมดวัน กว่าจะผ่านไปยากมาก คิดภาพตัวเองจม กองเลือดเพราะกรีดข้อมือ หรือ กระโดดตึกบ่อยๆ แต่ก็โชคดีที่แค่ คิด วนเวียนกับคำถามว่า “ทำไมเค้าทำอย่างนี้กับเรา ทำไมเค้า ไม่รักเรา เราไม่มีค่าเลย ไม่มีอะไรในชีวิต” ความรู้สึกว่าล้มเหลว ผู้หญิงอายุ 34 เลิกกับสามี งานไม่มีทำ ต่อไปในอนาคตจะเริ่มต้น ใหม่อย่างไร ตอนนั้นก็ไม่อยากไปไหน แม่ก็ถามว่าจะมานอนเป็นเพื่อน ไหม ก็บอกว่า อยู่คนเดียวได้ ใจก็ทรมานบ้าง สุดท้ายคิดว่าไม่ต้อง ไปหาเหตุผลอะไรหรอก ว่าทำไมเขาถึงทิ้ง ทำไมเขาไม่รัก ถึงรู้ก็ คงจะไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้น อาจจะจะแย่ลงอีกด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าวันไหน อารมณ์หนักมากก็โทรหาเพื่อน ร้องไห้ระบายบ้าง โชคดีเพื่อนก็รับ ฟัง และให้กำลังใจ แล้วก็มีคำพูดของครูที่สถาบันฯ บอกว่า “มัน เหมือนหมดสิ้นเวรกรรมกันแล้ว มันหมดแล้วก็คือหมด ไม่ ต้องไปหาเหตุผลหรอกว่ามันหมดไปเพราะอะไร “
¢ขÍอºบ¤คØุ ³ณ ¤คÇวÒาÁม·ท∙Øุ ¡ก ¢ข์ ·ท∙ Õี ่ Áม ÒาàเÂยÕี ่ Âย ÁมàเÂย×ื Íอ ¹นáแÅลÐะ·ท∙ÓำãใËห้ äไ ´ด้ ¾พ ºบÇว่ Òา ‘¸ธÃรÃรÁมÐะàเ·ท∙่ Òา ¹นÑั ้ ¹น ·ท∙Õี ่ àเ »ป็ ¹น ·ท∙Õี ่ ¾พ Öึ ่ §ง ÍอÑั ¹น àเ¡กÉษÁมÍอÂย่ Òา §งáแ·ท∙้ ¨จ ÃรÔิ §ง ’
เธอคิดว่าผู้หญิงที่พบเรื่องแบบนี้ เจ็บและทรมานกันทุก คน คนที่แสดงออกน้อย ไม่ใช่ว่าจะเจ็บน้อยกว่าคนที่ตีโพยตีพาย อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะมีปฏิกิริยา และจัดการกับความทรมานแบบ ไหน สำหรับตัวเธอเอง โชคดีและต้องขอบคุณพ่อแม่ที่รับได้กับ สภาพของลูกสาว และเข้าใจ ทั้งยังเป็นที่พึ่งพิงให้เสมอ ไม่เช่นนั้น เธอก็คงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต เธอบอกว่าช่วงที่มีปัญหาก็มีพี่ๆ เพื่อนๆ ครู คอยให้คำ ปรึกษาและรับฟัง รวมถึงเรื่องปฏิบัติธรรมก็มีพูดคุยกัน หลังจาก นั้นอารมณ์ยังมีขึ้นลงบ้าง แต่ช่วงที่ลงหนักๆ ก็แค่หนเดียว ไม่ได้ ทุรนทุราย จากที่เคยคิดว่าชีวิตคงแย่ที่ต้องอยู่คนเดียว กลาย เป็นว่า “มันก็ดีนะ ที่อยู่คนเดียว” ตอนนั้นพี่ที่สถาบันฯ ก็แนะนำให้เอาจิตเข้ามาอยู่กับ กาย ใส่ใจกับร่างกายตอนที่อารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ใส่ใจความรู้สึก ตัวเอง คิดว่าที่เคยปฏิบัติธรรมและ ฝึกโยคะมาก่อนหน้านี้ช่วยได้ ช่วงที่กลับมาบ้านก็ฝึกโยคะทุกวัน ยิ่งช่วงที่ผู้หญิงคนนั้นโทรมา ก็ยิ่งฝึกมากแล้วก็แผ่เมตตาด้วย ดูเหมือนว่าธรรมะปฏิบัติที่แม้จะ ไม่ปะติดปะต่อ แต่ก็เหมือนได้สะสมอะไรข้างใน ไว้เป็นเสบียงใช้ เวลาที่คับขัน และถูกดึงออกมาขณะที่จวนตัวใช้ได้ยามฉุกเฉิน เมื ่ อ ถามเธอว่ า มี ข ้ อ คิ ด สำหรั บ ผู ้ ห ญิ ง ที ่ จ ะมี ช ี ว ิ ต ครอบครัวไหม เธอตอบได้น่าฟังว่า “ก็ต้องรักตัวเองให้เป็น บางที เราใช้อารมณ์ก็ต้องมาใช้เหตุผลบ้าง สิ่งที่ช่วยได้ก็คือสติ เพราะ ฉะนั้นตอนที่ไม่มีปัญหาอะไร ก็หมั่นฝึกสะสมไว้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะ ต้องใช้ เหมือนมีอาวุธพร้อม เพราะถ้าไม่มีเลย ถึงเวลาที่ต้องใช้ มันจะไม่ทัน ดังนั้นตอนที่มีความสุข ก็น่าจะเริ่มสะสมการเจริญสติ ไว้ เพราะถ้ารอจนทุกข์ยับเยินแล้ว คงไม่รู้จะเอาอะไรมาใช้ตอน ฉุกเฉิน” ตอบคำถามที่ว่า อะไรที่ทำให้รอดจากวิกฤตชีวิตครั้งนี้ ได้ เธอก็ย้ำกับเราว่า ‘สติ’ จากการที่ได้ปฏิบัติธรรม และการที่ ไม่ได้ยึดว่านั่นคือของเรา รู้ว่าการที่ยึดเอาไว้มันจะทุกข์ นอกจากสติ แล้วก็ทัศนคติมุมมองต่อเหตุการณ์ว่า ไม่ใช่เรา คนเดียวที่ทุกข์ และการมีกัลยาณมิตร ถ้าไม่ได้มาอยู่ในสังคมนี้ เราก็ไม่รู้จะคุยกับใคร เขาอาจจะยุให้เราไปตบกันก็ได้ มันเป็นที่ เราเลือกสรรว่าเราจะคุยกับคนไหน คุยกับพี่ๆ ครูๆ ที่จะคอยให้ กำลังใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นมันดีงามสมควรแล้ว อีกอย่างที่สำคัญ ก็คือการให้อภัย แรกๆ ก็โกรธแค้นแน่นอน เพราะก็ยังไม่ได้ บรรลุ แต่ก็อภัยได้เมื่อให้อภัยแล้วรู้สึกใจก็เป็นอิสระ
เพื่อนๆ ตระหนักว่าเธอมีชีวิตที่ดีขึ้นได้แม้จะผ่านมรสุม ชีวิตมา เพื่อนบอกว่าเธอแสดงให้เห็นจริงๆ ว่าสิ่งที่เคยปลอบ ใจพื่อน แล้วพอถึงคราวของเธอๆ ก็ทำอย่างที่บอกเขา ก่อนนั้น เขาอาจจะไม่เชื่อ แต่พอถึงคราวทำให้ประจักษ์ว่า ผ่านได้ รอดได้ ด้วยสติ แต่ตอนนี้เธอก็ยังไม่ประมาท เพราะว่าวิกฤติในชีวิตคน เราคงไม่ได้มาครั้งเดียว เจอวิกฤติเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องอื่น เข้ามาอีก หรือแม้แต่ว่า บางวันที่คิดว่า ดีแล้วทำใจได้ อีกวันก็ อาจจะกระเพื่อมอีกก็ได้ มันขึ้นๆ ลงๆ ตลอด ถ้าเราเตรียมพร้อม ไว้ อะไรจะเข้ามาก็จะไม่สั่นคลอนจนเกินไปนัก และ การที่เรา พ้นวิกฤตมาได้ไม่ได้หมายความว่าเราเก่ง เราดีกว่าคนอื่น แต่มันสอนให้เราเตรียมพร้อมไม่ประมาท ถามเธอว่าอยากฝากถึงสุภาพสตรี และสุภาพบุรุษทั้ง หลายก่อนจะมีคู่ว่าอย่างไรบ้าง เธอยิ้มแล้วบอกว่า “ก่อนจะเลือก คู่ก็ดูดีๆ ให้มีศีลเสมอกัน ความรักเป็นพื้นฐานก็จริง แต่นานวัน ถ้าศีลไม่เสมอกัน ก็จะกลายเป็นเหมือนคนที่ไม่รู้จัก เหมือนคนที่ อยู่คนละโลกไป ดังนั้นถ้าคนที่มีศีลเสมอกันก็จะทำให้อยู่กันได้ ง่ายขึ้น สำหรับคุณสุภาพบุรุษ ถ้าคิดจะแต่งงานก็ควรจะคิดว่า จะ มีอีกคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชิวิต ไม่ใช่แค่แต่งงานแล้วมาอยู่ ด้วยกัน เมื่อคิดจะทำอะไรก็ควรจะคิดเผื่ออีกคนหนึ่งด้วย หากยัง ไม่พร้อม ก็ไม่ควรแต่งงานให้เกิดเป็นปัญหาครอบครัวในอนาคต” จากการที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอ ผ่านเรื่องราวชีวิตที่ แสนยากช่วงหนึ่งของลูกผู้หญิง ทำให้เราพบว่า ในวิกฤติมีโอกาส เสมอ และเมื่อมองย้อนกลับไปอาจจะทำให้เราต้อง ขอบคุณ ความทุกข์ที่มาเยี่ยมเยือนและทำให้ได้พบว่า ‘ธรรมะเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งอันเกษมอย่างแท้จริง’ ท้ายที่สุดนี้ โยคะสารัตถะต้องขออนุโมทนากับเธอ ที่ อนุญาตให้นำเรื่องราวมาแบ่งปัน เธอหวังเพียงว่าเรื่องนี้อาจจะ เป็นอุทาหรณ์ให้กับใครบางคน ที่อาจจะกำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ และเธอก็หวังว่าเขาจะพบทางสว่างอย่างที่เธอได้พบเช่นกัน
18
ÁมÒาÃร ªชàเÁมÅลâโÅล วันนี้ในช่วงเช้า ฉันเที่ยวเสาะหาเจ้ามาร์ชเมลโล่ตามร้านค้า ในละแวกที่พอจะหาได้ เพื่อหวังจะยกตำแหน่งพระเอกตัวจริงให้กับ เจ้ามาร์ชเมลโล่ ในการทำกิจกรรมร่วมกับเด็กๆ และแล้วร้านสะดวก ซื้อแห่งหนึ่งก็เปิดโอกาสให้ฉันเจอะเจอกับเจ้ามาร์ชเมลโล่เสียที เธอ อวดโฉมด้วยรสชาติอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอร์รี่ ลิ้นจี่ เม ลอน รวมทั้งรสชอกโกเล็ต ฉันมิรอช้ากะจำนวนคร่าวๆ ให้เท่ากับ จำนวนของเด็กๆ แล้วรีบบึ่งรถไปหาเด็กๆ ทันที แต่ดูเหมือนว่า ท้องถนนในวันนี้ไม่ตอบรับกับความตั้งใจของ ฉันเอาเสียเลย เพราะรถทุกคันที่เรียงรายอยู่รอบตัวฉันนิ่งสนิทไม่ไหว ติง ฉันได้แต่ภาวนาในใจให้ถึงที่หมายได้ทันเวลา กว่าเจ้าสายหมอก คันเก่งจะพาฉันไปถึงโรงเรียนได้ก็ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง ก้าวแรกที่ ย่างเข้าสู่ประตูรั้วของโรงเรียน เสียงเพลงบรรเลงก็ดังขึ้น เพื่อเป็น สัญญาณให้เด็กๆ รู้ว่าการเรียนการสอนกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ฉันรีบกุลีกุจอหอบหิ้วเจ้ามาร์ชเมลโล่ไปยังห้องโยคะ ซึ่งเป็น ช่วงเวลาเดียวกับที่เด็กๆ กำลังเดินแถวรถไฟไปเรียนโยคะพอดี เสียง ทักทายของเด็กๆ ดังแว่วมาแต่ไกล พลอยทำให้ความกังวลใจที่มี มลายหายไป ตอนนี้เบื้องหน้าของฉันมีแต่เด็กๆ เท่านั้น ในฐานะพระเอกตัวจริง ฉันเลือกให้เจ้ามาร์ชเมลโล่ เป็น กิจกรรมท้ายสุดก่อนที่จะสิ้นสุดการเรียนการสอน ฉันเริ่มต้นอธิบาย รายละเอียดของกิจกรรม รวมถึงกติกาต่างๆ เมื่อเด็กๆ เข้าใจแล้ว กิจกรรมของเราก็เริ่มต้นขึ้น โดยเด็กๆ แต่ละคนจะต้องนอนหงายราบ ลงไปกับพื้น (ท่าปลาดาว) จากนั้นฉันก็จะจัดแจง วางเจ้ามาร์ชเมลโล่ ไว้ตรงตำแหน่งหน้าท้องของเด็กแต่ละคน หน้าที่ของเด็กๆ คือต้อง ดูแลไม่ให้เจ้ามาร์ชเมลโล่หล่นลงพื้น พร้อมกติกาที่สำคัญคือห้ามใช้มือ จับ ภายใต้เวลาที่กำหนดคือ 5 นาที เมื่อครบเวลาที่กำหนด ถ้าเจ้า มาร์ชเมลโล่ยังอยู่ดีมีสุขบนหน้าท้องของตนเอง เด็กๆ ก็จะได้เจ้ามาร์ช เมลโล่กลับไป ตลอดเวลา 5 นาทีฉันเฝ้ามองเด็กๆ ที่กำลังดูแลรักษาเจ้า มาร์ชเมลโล่เป็นอย่างดี โดยขยับเขยื้อนร่างกายให้น้อยที่สุด เริ่มตั้งแต่ ระวังไม่ให้ปากขยับ จัดระเบียบของแขนและขาให้อยู่นิ่ง แม้แต่ลม หายใจก็ระแวดระวังให้แผ่วเบาที่สุด สัญญาณเสียงของฉันดังขึ้น เมื่อเข็มยาวของนาฬิกาเดินทาง ครบจำนวนห้ารอบ เด็กๆ ได้รับอนุญาตให้ชื่นชมเจ้ามาร์ชเมลโล่ หลัง จากที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ รอยยิ้ม สุ้มเสียงที่แฝงไปด้วยความตื่น เต้นเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หลังเงียบหายไปห้านาที บางคนพออกพอใจกับ มาร์ชเมลโล่ซึ่งเป็นรสที่ตนเองชื่นชอบ ในขณะที่บางคนขอแลกเปลี่ยน
19
àเÃร×ืè่Íอ§ง.. ¤คÃรÙูàเÍอ
¨จÒา¡ก
àเ¾พ×ื่Íอ¹น¤คÃรÙู กับเพื่อนที่นั่งข้างๆ เพื่อหวังรสชาติ ที่ตนเองอยากได้ ก่อนที่จะกล่าวลาจากกันในกิจกรรมครั้ง นี ้ เราได้ ม ี โอกาสแบ่งปันความรู้สึกที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาห้านาทีอันแสนวิเศษนี้ น้องมินท์บอกว่า “รู้สึกเย็นๆ ตรงที่มาร์ชเมลโล่วางอยู่” “น้องมุกว่า หลังของมุกมันร้อนอ่ะ” “พอล กลัวว่ามันจะหล่นลงไป” “ไม่รู้สิ มาร์คว่า มันสบายดี” “กรณ์ อยากจะกินไวๆ” “ยุ้ยบอกตัวเองว่าต้องอดทนไว้ ก่อน” “ฟ้าอยากเอามือจับเพราะกลัวหล่น แต่ก็กลัวว่าคุณครูจะเอาคืน” เด็กๆ ต่างบอกความรู้สึกของตนเองด้วยความภาคภูมิใจ ที่สามารถ ผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาได้ ในขณะนั่งฟังเด็กๆ แต่ละคน ฉันรู้สึกรอยยิ้มที่มุมปากของ ฉันเพิ่มความกว้างขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกดีใจร่วมไปกับพวกเขาที่ได้มีโอกาส เห็นความรู้สึกของร่างกาย รวมถึงความนึกคิดของใจ ถึงแม้เป้าหมาย ของกิจกรรมในครั้งนี้คือ การฝึกหัดให้เด็กรู้จักการรอคอย แต่สิ่งที่ได้ รับเหนือความคาดหมายในครั้งนี้ กลับเป็นจุดเริ่มต้นที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้และเข้าใจตนเองมากขึ้น ขอบคุณทุกๆ ความรู้สึกของเด็กๆ ครูเอ 6 มีนาคม 2555
¨จÒา¡ก
àเ¾พ×ื่Íอ¹น¤คÃรÙู
âโÂย¤คÐะ¨จÔิµตÍอÒาÊสÒา
ถึง ครูและเพื่อนๆ ที่รักทุกคน อยากแชร์ความรู้สึกที่ดีๆ ของเสาร์สุดท้ายของคอร์ส ครู ยาวของพวกเรา ก่อนอื่นขอแจ้งว่า เงินจากน้ำใจของทุกคนถึงคุณป้า พี่คน เปิดประตู และ รปภ. รวม 880 บาทจ๊ะ ส่วนการ์ดของน้องเนยที่ สวยงาม หวานถูกใจทุกคน (พี่ว่าครูฮิเดโกะต้องชอบมากๆ แหล่ะ) และของพี่สิน (หมู่แมลงแทนตัวพวกเรา) ไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายเท่าใด แต่ ก็ขอบคุณมากๆ นะจ๊ะ... ครั้งหนึ่งเมื่อธันวาฯ ปีห้าสี่ (ปีมหาอทุกภัย) วาระสุดท้ายที่ เราต้องไปเจอกันในห้องเรียน แต่มิใช่สุดท้ายของชีวิต (หากเรายัง ต้องการกันและกัน) เป้คิดมาหลายวันว่าจะไปดีหรือไม่ เนื่องจากไม่ ได้ส่งการบ้านครบ (ส่งไปชิ้นเดียวของหมอ) รู้สึกผิดคำพูดที่บอกครู ไว้ (ครูลืมมันไปเถอะนะคะ) และยังไม่รู้จะส่งหรือเปล่า ตกลงใจ ไปเหอะ ถ้าเขาแจกใบประกาศค่อยๆ หลบออกมา ขอบคุณพี่ภัทร ที่
àเÃร×ืè่Íอ§ง.. àเ»ป ‡
ÀภÒา¤ค 4
ให้เป้แลกเงินกลบเกลื่อนช่วงเขารับประกาศกัน ขอบพระคุณครูที่ไม่ พูดถึง จะจำวิธีการของครูไปใช้ในอนาคต เป้ไม่ชอบการตั้งนาฬิกาปลุก (ตื่นเองตามนาฬิกาชีวิตเจ็ด โมงเช้า) เจ้ากรรม กลับตื่นตั้งแต่ตีสี่ นอนไม่หลับ อาบน้ำเสร็จยังไม่ หกโมงเช้า แต่ไหนๆ ก็ออกไปเลยแล้วกัน ไปตักบาตรพระก่อนก็ได้ อืม.. ขับรถผ่านชุมชนประจำจอดซื้ออาหารกับลุงหนวด (เป็นอิสลาม ขับวิน ผ่านกันก็พยักหน้าหงึกๆ หรือไม่ก็เบิกกระจกทัก...ทักไป เรื่อย... ) ใส่ตังค์ไปด้วย (พระบ้าน ถ้าพระป่าห้ามเอาตังค์ใส่บาตร ท่านนะ ท่าน(พระอาจารย์คึกฤทธิ์) ว่าเท่ากับใส่เหล้าเข้าไปเชียวแห ล่ะ) จากนั้นก็ตรงแน่วไป มศว.รถไม่ติดเลยสักคัน ว้าว คิดไปว่าถ้า จะซื้อพวงมาลัยไหว้ลาครูจะดีป่ะ แต่ก็ไม่ได้ถามเพื่อนๆ เว่อร์อีกมั๊ง ไม่เอาดีกว่านะ.. พอจอดรถ เจอพี่ศักดิ์, พี่บี ค่อยยังชั่ว ไม่ได้มาก่อนคนอื่น (เขินอ่ะ) พี่บีไม่พูด บอกเจ็บคอ มานั่งรอกันที่หน้าตึก น้องดาวมา
20
ตามมาด้วยครูรัฐ (น่าจะมีฉายาว่า ครูสดใส หัวใจวัยรุ่น ยิ้มตาหยี เหมือนเดิม) ประตูยังไม่เปิด ได้คุยกับอาจารย์ตัวเล็กๆ สอนภาษา อังกฤษ ไม่น่าเชื่อเขาไม่เคยมาเรียนโยคะที่นี่นะ ก็ชวนๆ เขา แหม ถ้าอยู่ต่อเสร็จพวกเราเนอะ.. คุยจบอาจารย์ (ขอเรียกแบบนี้ตาม ความรู้สึกตัวเอง) ก็เดินมา โว้ว.. อาจารย์ฮิเดโกะสวยมาก มาในชุด เสื้อม่วงอ่อนๆ ผ้าพันคอ(หมวกสวยจริงๆ) ยิ้มหวานมาทั้งคู่ พี่ศักดิ์ รีบส่งซาละเปาให้ก่อนเลย แหมอิจฉาเล็กๆ (เราได้ก่อนแล้วมีใครได้ กินป่ะ) อาจารย์ทั้งสองเล่าให้ฟังว่าไปพิมายมา (ปราสาทเขาพนม รุ้ง) โชว์รูปและก็อธิบาย ต้องให้พี่ศักดิ์เล่าเพราะเป้ฟังออกมั่งไม่ออก มั่ง ภาษาไม่ค่อยแข็งแรง... ปราสาทนี้เป้เคยไปมาแล้วสองครั้ง สวย สะอาด เป็นศิลปะขอม (เล็กกว่านครวัดจ๊า) เพื่อนๆ ไปดูได้นะ ขับ รถสี่ห้าชั่วโมง... พี่คนเปิดประตูมา (คนสาว) พี่สินเพื่อนๆ เริ่มทยอยมากัน ขึ้นไปชั้นหกกันพี่สินเอาการ์ดหมู่แมลงให้เขียน (พี่สินผู้มีน้ำใจงาม) ยังถามแมลงเยอะจังพี่ เอ้า..ก็พวกเราไงแทนด้วยแมลงจากหลาย เหล่า (พี่สินตอบ) ก็ให้น้องดาวกับน้องหมิวเขียนก่อน ยังไปแซวเขา ว่าห้ามลอกกัน... พี่กุ้ง วันนี้ใส่ชุดวัยรุ่นน่ารัก (ใส่สแลค เขาเรียก กันว่า อินเทรนด์...ใช่ป่ะเพื่อนๆ ) ครูก็เหมือนเดิม ครูรัฐไปหอบเบาะมา พวกเราก็เม้าท์ กระจาย อาจารย์ก็ไปเตรียมอุปกรณ์ของท่านไป คุยกันเสียงระงม เชียวแหละ (ถ้าวันหลังไปสอนเด็ก กรรมจะตามทันมั๊ง) เริ่มเรียน ซึ่งวันนี้เราตั้งใจว่าต้องจำให้มากกว่าเดิม (ตั้งสติ) อัดเสียงไว้ด้วย เพราะครั้งที่แล้วเปิดแต่ลืม record ทำอาสนะไปก็รู้ ว่า ร่างกายเราไม่ยืดหยุ่นเหมือนเดิมนะเทียบกับช่วงเรียนประจำ แล้ววิปริตกรณี อาจารย์พูดว่ามุทรา เอ๊... เราเข้าใจผิดว่าเป็นอาสนะ และอีกอย่างที่ผิดมหันต์คือ อัคนีสาระ ซี่งทำผิดมาตลอด แถม แนะนำคนเรียนผิดด้วยว่าทำตอนหายใจเข้าเต็มปอดแล้วกลั้นลม หายใจไว้ จากนั้นค่อยดันท้องออก ยุบท้องเข้า... อาสนะอื่นๆ คิดว่า เข้าใจ มาถึงปราณายามะ ลมหายใจไม่ต่อเนื่องตอนทำอนุโลม วิโลม (คิดว่าเนื่องจากนอนไม่พอ) แต่พอทำอุชชายีช่วงท้าย อาจารย์ทำให้เราได้คิดว่า เรารู้อะไรมั่งที่สามารถอธิบายเขียนออก มาได้จริงๆ เช่นเดียวกับอาจารย์ฮิโรชิที่เขียนออกมาจากกันบึ้งของ
หัวใจ ตอนตอบคำถามยิ่งตอกย้ำความเป็นผู้รู้คุณคุรุของท่าน เรา หล่ะ?....อยู่ตรงไหน ช่วงฟังประสบการณ์และงานวิจัยเพื่อน พี่นัทสุดยอดมาก เหมือนพี่ค้นพบสิ่งวิเศษที่เจอเสียที (ธรรมะจัดสรร) วันนี้ (อาทิตย์) เป้คิดถึงคำพูดของพี่นัท "อยากให้เพื่อนๆ ได้รู้บ้าง" พี่รู้มั๊ยเป้ได้อ่าน หนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เขียนโดยหลวงตามหา บัว หลวงปู่ฯ ออกปฎิบัติ บำเพ็ญสมณธรรมคนเดียวตามจังหวัด ต่างๆ จนท่านมีกำลังใจมั่นคงจึงเกิดความสงสารหมู่คณะและสนใจที่ จะแนะนำสั่งสอน (ความคิดนี้เกิดตอนที่ท่านอยู่ที่ถ้ำสาริกา) เป้ไม่ได้ เปรียบเทียบนะคะแต่จิตของเป้ระลึกไปถึงท่านเอง ดีใจกับพี่มากๆ นะคะ บุญเก่ามีทำมาดี พี่กล้วยน้ำท่วมบ้านแต่ไม่ท่วมใจ หน้าตาสดใส ใจดีกับ น้องๆ เหมือนเดิม วันหน้าขอไปบ้านพี่มั่งนะคะ ขอคัดลอกแต่ไม่ เลียนแบบ น้องสร้อยเขาก็เป็นตัวเองดีเนอะ วันนี้มีเด็กน้อยว่าทำท่างูเลื้อย กระต่ายกระโดด ฯลฯ สังเกตว่าเขาชอบคนสวยๆ นะ (ว่าเปล่าแม่ปุ๋ม) ที่สำคัญเขาน่ารัก จริ๊งๆ (อยากมีลูกแต่ไม่อยากมีสามี ) ช่วงท้ายเรื่องค่าไปสอน ครูเขาก็บอกให้เราคิดแบบไม่ กดดัน อืมดี.. ที่สำคัญพวกเราทำด้วยใจ ...(ไม่มีคำพูด) อยากฝาก ครูทุกท่านด้วยนะคะ ว่าขอบพระคุณอย่างสูงในความเสียสละ เพื่อนๆ รู้ป่ะ ว่าเกือบสี่โมงครึ่งเลิก บรรยากาศไม่เหมือน วันสุดท้ายเลย เหมือนทุกๆ วัน คนกลับๆ ไป แต่เราซึ่งจ้องๆ ว่า กล่องเนี่ยของใครกัน (มะม่วงน้ำปลาหวาน) พี่กุ้งบอกว่าทำมาเอง.... โห รอตั้งแต่พักเที่ยง น้ำลายหยดไปหลายแล้ว ขนมที่ใครไม่ได้กินก็ รอปีหน้า ซาลาเปาพี่ศักดิ์หนึ่งลูกก็ยกให้เด็กไปแล้ว เขามีไหว้ขอบ คุณน่ารั๊ก.. เราที่เหลือก็เลยยกพวก (ไปกินกัน) ที่ม้าหินข้างล่างใต้ ต้นดอกไม้ มะม่วงน้ำปลาหวานฝีมือพี่กุ้งอร่อย มะม่วงไม่เปรี้ยวมาก (สำหรับเป้นะ) มีขนมของเป้สองกล่องที่เหลือ ก็กินไปแซวกันไป สนุกมาก (มีพาดพิงถึงผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จด้วยนะ ..อยากรู้ ป่าว?) เที่ยงคืนแล้ว นอนก่อนนะ เพื่อนๆ ช่วยมาเล่ากันต่อหน่อย จ๊า จะรอ... เคารพครูและรักเพื่อน (จนกว่าจะมีความเปลี่ยนแปลง)
เดือน มีนาคม 2555 มีผู้บริจาคสนับสนุนการทำงานของสถาบันฯ ดังนี้ คุณชุติมา อรุณมาศ (เป็นค่าซื้อระฆัง 3 ใบ) คุณจินตนา พงษ์ถิ่นทองงาม จากตู้รับบริจาค ที่สำนักงานสถาบันฯ สรุปยอดบริจาคประจำเดือนมีนาคม 2555 ทั้งสิ้น
21
1,700 1,000 956 3,656.- บาท
àเÃร×ืè่Íอ§ง.. »ปØุ ‡Áม
âโÂย¤คÐะãใ¹นÊสÇว¹น อ้วนมีเรื่องที่ประทับใจอยากเล่าให้ครูฟังน่ะค่ะ ช่วงนี้ เป็นช่วงที่อ้วนใช้เวลาอยู่บ้านเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน ก่อนไป ค่ายก็ได้ปรับพื้นรอบๆ บ้าน เพราะต้นไม้ตาย และสภาพเป็นดิน เลน เลยจัดการถมดินปูพื้นรอบบ้าน เหลือพื้นดินเพียงเล็กน้อย เป็นสนามหญ้า ในบรรดาต้นไม้ที่ยังรอดอยู่มีคุณการะเวก 2 ต้นที่ เลื้อยบนเรือนกล้วยไม้เล็กๆ แต่พอน้ำท่วม กล้วยไม้ตายหมด เรือนก็ผุ จึงจัดการรื้อออก ก็เหลือคุณ 2 ต้นนี่ที่ตอนแรกคนสวน บอกตัดทิ้งไปเถอะ แต่อ้วนยังลังเล เห็นใจที่เค้าอุตสาห์อดทนรอดมาได้ ก็ เลยให้คุณลุงเค้าจับทั้งสองพันเกี่ยวกันไว้ชั่วคราว กะว่ามีเวลา ค่อยหาโครงเหล็กมาให้ยึดเกาะแทนเรือนเดิม ปรากฎว่า เมื่อวานเห็นเค้าโอนเอนเข้าหาบ้านมาก เพราะมีกิ่ง ก้านใบที่แตกใหม่มากเกิน กะว่าจะแค่ริดกิ่งออก บ้างเพื่อให้เค้าทรงตัวได้ดีขึ้น ก็เลยเอาบันไดมา ปีน จะได้ตัดยอดด้านบนด้วย ช่วงที่ตัดกิ่งแรก ก็มีนกบินหนีออกไป ก็รู้สึกเฉยๆ เพราะปกติก็ เห็นนกหลายชนิดอยู่ในบริเวณบ้านมาตลอด แต่เมื่อตัดไปเรื่อยๆ สังเกตเห็นมีรังนก เล็กๆ ซ่อนอยู่ในกลุ่มใบที่เกี่ยวพันกันของทั้ง 2 ต้น ก็เลยระมัดระวังมากขึ้น กลัวจะทำให้รังเค้าร่วงหล่นเพราะ ต้นการะเวกเค้าโอนเอนอยู่แล้ว พอใกล้รังมากขึ้น มองลงไปเห็นมี ไข่เล็กๆ อยู่ 2 ใบ ใจคิดถึงภาพที่ครูอ๊อดให้ดู แม่นกที่สอนลูกๆ หัดบินยังประทับใจอยู่เลย วันนี้ได้มีโอกาสเห็นเค้าตั้งแต่อยู่ในไข่ ได้เริ่มเห็นตั้งแต่ จุดเริ่มต้นของเค้า ช่างดีจริงๆ เลย บอกเค้าว่ายินดีต้อนรับสู่บ้าน หลังนี้นะจ๊ะ ขอให้เค้ามีชีวิตในรังน้อยอย่างมีความสุขที่นี่นะ แล้ว ค่อยๆ บรรจงให้ต้นทั้งสองยึดเกี่ยวกัน จนทรงตัวได้ดี พอคุณแม่ กลับมาได้เล่าให้คุณแม่ฟังว่ามีรังนกอยู่บนต้นการะเวก คุณ แม่จะได้ไม่เผลอไปรบกวนเค้าโดยไม่ตั้งใจ วันนี้พออ้วนลงไปข้างล่างกำลังจะเปิดประดูเหล็กดัด ออกไปด้านข้างบ้าน เห็นมีเศษเปลือกไข่เล็กๆ คล้ายไข่นกที่เห็น เมื่อวาน ถามคุณแม่ว่าเปลือกไข่มาอยู่ในบ้านได้ยังไง คุณแม่ก็ ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นนก 2 ตัวบินเล่นอยู่ในบ้านใกล้ๆบริเวณนั้น
(ตอนนี้ที่บ้านถอดมุ้งลวดออกยังไม่ได้ติดใส่ มีแต่เหล็กดัดโปร่งๆ ถ้าเปิดประตูกระจกนกก็บินเข้าออกได้) ด้วยความสงสัยก็เลยเอาบันไดไปปีนดู เห็นนกอยู่ในรัง มองหน้ากันแล้วเค้าก็บินออกไปเกาะที่ต้นมะม่วงข้างๆ อ้วนมอง ตามไปรู้ว่าไม่ใช่ตัวที่บินออกไปเมื่อวาน เพราะตัวนี้ใหญ่กว่าและ สีเข้มกว่ามาก พอมองลงไปในรัง เห็นสองชีวิตน้อยๆ นอนขดติด กันอยู่ เศษเปลือกไข่อีกครึ่งยังติดที่ตัวเค้าอยู่เลย ช่างเป็นภาพที่ ประทับใจจริงๆ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะปลื้มใจได้ขนาดนี้ วันนี้เรา ได้เห็นการเกิดของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เราไม่เคยได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้ เรามีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องราวที่มีคุณค่า ต้องขอบคุณคุณน้ำที่มา เยี่ยมและยึดครองบ้านเรา จนทำให้เราต้องปรับเปลี่ยน หลายสิ่งหลายอย่าง ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยได้ทำ (เช่น การปีนตัดกิ่งไม้ซึ่งปกติก็จะเรียกคุณลุงคนสวน มาตัดให้) คราวนี้พอไปยืนใกล้ๆ ต้นการะเวกก็เลยอดไม่ ได้ที่จะแหงนมองไปที่รังน้อยของครอบครัวนี้ ตกลงว่าเรารู้จักกันครบหมดแล้วนะ ทั้งคุณแม่ นก (ตัวที่บินออกไปเมื่อวาน) คุณพ่อนก (ที่สบตา กันวันนี้) และคุณลูกน้อยทั้งสอง ไม่รู้ว่าจะได้มี โอกาสเห็นเค้าสอนลูกน้อยหัดบิน เหมือนที่ครูอ๊อดให้ดูมั้ย แต่แค่นี้ก็ทำให้เรารู้สึกประทับใจ จนอยากจะถ่ายถอดให้ครูได้รับรู้ ด้วย ทั้งที่ปกติจะมีปัญหากับการใช้ดัชนีนางจิ้มตัวอักษรมาก คิด ว่าคงจะส่ง เรื่องราวคำขอบคุณถึงครูแค่ครั้งเดียว ถ้าจะเล่าอะไร ยาวๆ คงต้องใช้วิธีเขียนน่าจะดีกว่า แต่อดใจไม่ไหวจริงๆ ค่ะ ขนาดคุณแม่ยังพลอยตื่นเต้นไปด้วยเลย ชมเค้าทั้งสองว่าฉลาด จัง อุตสาห์คาบเปลือกมาบอกให้เรารู้ ฉลาดจริงๆ แหละ ไม่งั้นคง ไม่ได้ขึ้นไปเยี่ยมต้อนรับสมาชิกใหม่ของเค้าหรอก ยินดีกับครอบ ครัวน้อยๆ นะจ๊ะ
¨จÒา¡ก
àเ¾พ×ื่Íอ¹น¤คÃรÙู
22
âโ´ดÂย ¤คÃรÙู«ซÔิé้Áม ¨จ.µตÃรÑั§ง ¨จÒา¡ก
àเ¾พ×ื่Íอ¹น¤คÃรÙู
¢ขÍอºบ¤คØุ³ณÁมÒา¡กÊสÓำËหÃรÑัºบ¢ข ‹ÒาÇวÊสÒาÃร ·ท∙Õีè่¡กÃรØุ³ณÒาÊส ‹§งãใËห ŒÊสÁม ‹ÓำàเÊสÁมÍอ àเ¹น×ืè่ÔิÍอ§ง¨จÒา¡กäไÁม ‹àเªชÕีè่ÂยÇวàเÃร×ืè่Íอ§ง IT äไ´ด Œáแµต ‹ÃรÑัºบ·ท∙Òา§งäไ»ปÃรÉษ³ณÕีÂย ÃรÑัºบÃรÙู Œ¤คÇวÒาÁม àเ¤คÅล×ืè่Íอ¹นäไËหÇว¢ขÍอ§งÊส¶ถÒาºบÑั¹น ·ท∙ÓำãใËห ŒÃรÙู ŒÊสÖึ¡กÁมÕีàเ¾พ×ืè่Íอ¹นâโÂย¤คÐะàเ´ดÔิ¹นÃร ‹ÇวÁม·ท∙Òา§งäไ»ป ´ด ŒÇวÂย¡กÑั¹น ÃรÙู ŒÊสÖึ¡ก´ดÕีÁมÒา¡กæๆ ¤คÐะ ¢ขÍอáแºบ ‹§ง»ป ˜¹น¹นÐะ¤คÐะ µตÑัé้§งáแµต ‹ÃรÑัºบÈศÒาÊสµตÃร ÁมÒาµตÑัé้§งáแµต ‹ ¾พÈศ.2547 ¡กç็àเÃรÔิè่Áม¹นÓำ½ฝ ƒ¡ก âโÂย¤คÐะÁมÒาµตÅลÍอ´ด ·ท∙Õีè่µตÃรÑั§งÁมÕี¤คÃรÙูâโÂย¤คÐะ¨จÔิµตÍอÒาÊสÒาàเ»ป ´ด¡กÅลØุ ‹Áม¹นÓำâโÂย¤คÐะãใËห Œ ¼ผÙู ŒÊส¹นãใ¨จ âโ´ดÂย¨จÑั´ดãใ¹นàเ¢ขµตàเ·ท∙ÈศºบÒาÅล¹น¤คÃรµตÃรÑั§ง 2 ¡กÅลØุ ‹Áม ¤คÃรÙู«ซÔิé้Áม¡กÑัºบ ¤คÃรÙูäไ¹น·ท∙ àเÃรÒาàเ»ป ´ดàเÇวÅลÒาáแºบ ‹§ง»ป ˜¹น¡กÑั¹นËหÅลÑั§งàเÅลÔิ¡ก§งÒา¹น âโ´ดÂยãใËห ŒºบÃรÔิ¡กÒาÃร¿ฟÃรÕี «ซÖึè่§ง¾พºบ¡กÑั¹นàเÁม×ืè่ÍอäไÃร ¡กç็¨จÐะÁมÕี¤คÇวÒาÁมÊสØุ¢ขÁมÒา¡ก·ท∙Õีè่¨จÐะäไ´ด ŒàเÅล ‹ÒาÊสÙู ‹¡กÑั¹น¿ฟ ˜§งãใ¹น ¤คÇวÒาÁม§งÍอ¡ก§งÒาÁมÀภÒาÂยãใ¹น¢ขÍอ§ง¼ผÙู ŒÁมÒา½ฝ ƒ¡ก ¢ข³ณÐะàเ´ดÕีÂยÇว¡กÑั¹น¡กç็ÃรÑัºบÃรÙู Œ¶ถÖึ§ง¡กÒาÃร àเµตÔิºบâโµต¢ขÍอ§งàเÃรÒา¡กÑั¹นàเÍอ§ง¤ค ‹Ðะ áแÅลÐะ·ท∙Øุ¡ก¤คÃรÑัé้§ง·ท∙Õีè่ äไ´ด Œàเ»ป ´ดÍอ ‹Òา¹น¢ข ‹ÒาÇวÊสÒาÃร·ท∙Õีè่ Êส ‹§งãใËห Œ ¡กç็ÂยÔิè่§งäไ´ด ŒâโÍอ¡กÒาÊส¤ค Œ¹นÊสÔิè่§ง´ดÕีæๆ ¨จÒา¡กÀภÒาÂยãใ¹น ¤คÃรÑัé้§งáแÅล ŒÇว¤คÃรÑัé้§ง àเÅล ‹Òา ...
23
µตÍอ¹นàเ»ป ´ด¹นÓำ¡กÅลØุ ‹Áมªช ‹Çว§งáแÃร¡กæๆ ·ท∙Õีè่¨จÔิµตäไÁม ‹Åล§งµตÑัÇว ÃรÙู ŒÊสÖึ¡กÇว ‹Òา ÅลÓำºบÒา¡กÁมÒา¡กãใ¹น¡กÒาÃรÊสÅลÐะàเÇวÅลÒาãใËห Œ¡กÅลØุ ‹Áม áแµต ‹ ãใ¹น¢ข³ณÐะàเ´ดÕีÂยÇว¡กÑั¹น ·ท∙Øุ¡ก ¤คÃรÑัé้§ง·ท∙Õีè่¹นÓำ¡กÅลØุ ‹Áม¡กç็ÃรÑัºบÃรÙู Œ¶ถÖึ§ง¤คÇวÒาÁมÊสØุ¢ขãใ¨จ ÍอÔิè่Áมãใ¨จ ÊสºบÒาÂย¡กÒาÂย ÊสºบÒาÂยãใ¨จ ËหÅลÑัºบÅลÖึ¡ก ¡กÒาÃร¹นÍอ¹นÁมÕี¤คØุ³ณÀภÒา¾พ ¡กç็µตÑัé้§งãใ¨จ¹นÓำ¡กÅลØุ ‹Áมµต ‹Íอäไ»ปàเÃร×ืè่ÍอÂยæๆ ¡กÃรÐะ·ท∙Ñัè่§งºบ ŒÒา§งªช ‹Çว§ง·ท∙Õีè่µตÔิ´ดÀภÒาÃรÐะ¡กÔิ¨จµต ŒÍอ§งäไ»ปµต ‹Òา§ง¨จÑั§งËหÇวÑั´ด µต ŒÍอ§ง½ฝ ƒ¡กâโÂย¤คÐะ ¤ค¹นàเ´ดÕีÂยÇว äไÁม ‹ äไ´ด Œ¹นÓำ¡กÅลØุ ‹Áม½ฝ ƒ¡กâโÂย¤คÐะËหÅลÒาÂยÇวÑั¹น ÃรÙู ŒÊสÖึ¡กÇว ‹ÒาäไÁม ‹ÊสØุ¢ขÊสºบÒาÂย àเËหÁม×ืÍอ¹นªช ‹Çว§ง·ท∙Õีè่¹นÓำ¡กÅลØุ ‹ÁมÊสÁม ‹ÓำàเÊสÁมÍอ ¨จÖึ§ง·ท∙ÓำãใËห ŒÃรÑัºบÃรÙู ŒªชÑั´ดàเ¨จ¹นÇว ‹ÒาàเÃรÒา¡กÑัºบ âโÂย¤คÐะ¤ค§ง¨จÐะáแÂย¡ก¨จÒา¡ก¡กÑั¹นäไÁม ‹ äไ´ด ŒáแÅล ŒÇว ...áแÅลÐะ·ท∙ÓำãใËห Œàเ¢ข ŒÒาãใ¨จÇว ‹Òา àเÁม×ืè่ÍอäไÃร »ปÃรÐะâโÂยªช¹น µต¹น»ปÃรÐะâโÂยªช¹น ·ท∙ ‹Òา¹นàเ»ป š¹นÍอÑั¹นàเ´ดÕีÂยÇว¡กÑั¹น ...¹นÑัè่¹น¡กç็¤ค×ืÍอ¤คÇวÒาÁม àเ»ป š¹นËห¹นÖึè่§ง... «ซÖึè่§ง¤ค×ืÍอ¤คÇวÒาÁมËหÁมÒาÂย¢ขÍอ§งâโÂย¤คÐะ·ท∙Õีè่¤ค Œ¹น¾พºบäไ´ด ŒàเÍอ§ง ... ÃรÙู Œ áแ ¨จ Œ §ง ´ด Œ Çว Âย»ปÃรÐะÊสºบ¡กÒาÃร³ณ µต Ãร§ง¨จ¹นËหÁม´ด¢ข Œ Íอ Êส§งÊสÑั Âย ¤ค ‹ Ðะ ÊสÅลÐะàเÇวÅลÒา¹นÓำ¡กÅลØุ ‹ÁมâโÂย¤คÐะ = àเÇวÅลÒา·ท∙Õีè่ÊสÅลÐะ¡กÔิàเÅลÊสµต¹นàเÍอ§งáแ·ท∙ Œæๆ ¢ขÍอºบ¤คØุ³ณÁมÒา¡ก áแÅลÐะ¢ขÍอÍอ¹นØุâโÁม·ท∙¹นÒาÊสÓำËหÃรÑัºบ¨จÔิµต·ท∙Õีè่§ง´ด§งÒาÁม ·ท∙Øุ¡กæๆ ´ดÇว§ง·ท∙Õีè่Ãร ‹ÇวÁม¡กÑั¹นÊสÃรÃร¤ค ÊสÃร ŒÒา§งÊสÑั§ง¤คÁมÍอÂย ‹Òา§งµตÑัé้§งãใ¨จ
http://www.84000.org/tipitaka/
¾พÃรÐะäไµตÃร»ป ®ฎ¡ก áแ¡ก ‹¹น¸ธÃรÃรÁม ¾พÃรÐะäไµตÃร»ป ®ฎ¡ก àเÅล ‹Áม·ท∙Õีè่ ñ๑õ๕ ¾พÃรÐะÊสØุµตµตÑั¹นµต»ป ®ฎ¡ก àเÅล ‹Áม·ท∙Õีè่ ÷๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ภิกขุนีสังยุต อาฬวิกาสูตรที่ ๑ ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถีฯ ครั้งนั้นเวลาเช้า อาฬวิกาภิกษุณีนุ่งห่มแล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาต มีความต้องการด้วยวิเวก จึงเข้าไปในป่าอันธวัน ฯ ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้อาฬวิกาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพอง สยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากวิเวก จึงเข้าไปหาอาฬวิกาภิกษุณีถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าว กะอาฬวิกาภิกษุณีด้วยคาถาว่า ในโลก ไม่มีทางออกไปจากทุกข์ได้ ท่านจักทำอะไรด้วยวิเวก จงเสวยความยินดีในกาม เถิดอย่าได้มีความเดือดร้อนในภายหลังเลย ฯ ลำดับนั้น อาฬวิกาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าวคาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ฯ ทันใดนั้น อาฬวิกาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู้มีบาป ใคร่จะให้ เราบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะ ให้เคลื่อนจากวิเวก จึงกล่าวคาถา ฯ ครั้นอาฬวิกาภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะมาร ผู้มีบาปด้วยคาถาว่า ในโลกนี้มีทางออกไปจากทุกข์ได้ เรารู้ชัด ดีแล้วด้วยปัญญา ดูกรมารผู้มีบาปซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ของผู้ประมาท ท่านไม่รู้ จักทางนั้น กามทั้งหลายเปรียบด้วยหอกและหลาว กองกามทั้งหลายนั้นประหนึ่งว่าผีร้าย เราไม่ใยดีถึง ความยินดีในกามที่ท่านกล่าวถึงนั้น ฯ ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า อาฬวิกภิกษุณี รู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
24
âโ´ดÂย ³ณÑั°ฐËห·ท∙ÑัÂย ÃรÔิ้ÇวÃรØุ¨จÒา
ºบÑั¹น·ท∙Öึ¡ก·ท∙ ‹ÒาÈศ¾พ คำถามที่สงสัยก่อนเริ่มวิจัย 1. ครูทอม (ครูสอนโยคะที่ฟิตเนส) บอกว่า ชื่อก็เรียกว่าท่าศพ ขณะที่ฝึกท่าศพก็ให้เรารู้สึกว่า ไม่มี แขนและขา ไม่มีร่างกายเหลือแต่ลมหายใจ (อะไรทำนองนี้) เหมือนกับเราเป็นศพ ซึ่งเราก็พยายามทำอย่างที่ครู บอกแต่ก็ยังทำไม่ได้ พยายามที่จะเป็นศพแต่ก็ยังเป็นเราที่จิตยังไม่นิ่ง แล้วต้องทำยังไงเนี่ยะ 2. ครู Hiroshi (ครูที่แสนจะใจดีที่สถาบันโยคะวิชาการ) ก็พยายามสอนเทคนิคการผ่อนคลายตั้งแต่เท้า ถึงศีรษะ ซึ่งก็พอทำได้แต่เมื่อมาถึงว่า ให้ผ่อนคลาย ลิ้น โคนลิ้น ขมับ ขากรรไกร รวมทั้งอวัยวะภายในร่างกาย เอาละสิแล้วเราจะผ่อนคลายได้ยังไงเนี่ยะ ยังทำไม่ได้เลยอะ (งง) 3. ครู Hiroshi บอกให้ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งฟังดูง่ายๆ แต่เป็นอะไรที่ โค-ตะ-ระ ยากเลย (ไม่รู้เขียนอย่างนี้ถือเป็นการหยาบคายหรือเปล่า แต่ไม่ได้มีเจตนานะคะ อยากให้รู้สึกเป็นกันเอง) เพราะเราคิด ว่าผ่อนคลายทุกส่วนแล้วแต่พอเอาจิตเข้าไปสำรวจ โอ๊ย บางส่วนยังเกร็งอยู่เลย มันยังไม่ผ่อนคลายร้อยเปอร์ เซนเลยอะ แล้วมันต้องทำยังไงเนี่ยะ 4. แล้วเราจะรู้ได้ยังไรว่าเราทำท่าศพได้สมบูรณ์แล้ว มันควรจะต้องมีความรู้สึกยังไงเนี่ยะ คำถามที่ณัฐสงสัย คิดว่าน่าจะตรงใจผู้ฝึกหลายท่านที่มีปัญหาเดียวกัน ใช่ไหมคะ งั้นเรามาลองฝึก พร้อมกันเลยดีไหมคะ ฤกษ์ดีของเราเริ่มวันที่ 26 ก.ค 2554 ขอตั้งชื่อว่า วันเฟรชชี่ เมื่อถึงเวลา 8.30 ก็จัดแจงลงไปนอนในท่าศพด้วยใจที่สงบ จัดปรับร่างกายให้รู้สึกสบายและหายใจเข้า ออกช้าๆ ตามจังหวะ พยายามผ่อนคลายร่างกายทุกส่วนให้สบายและตามลมหายใจไปเรื่อยๆ จะสังเกตุเห็นว่า กล้ามเนื้อที่กำลังตึงตัว (เมื่อย) จะผ่อนคลายได้ยากกว่าปกติ ทำให้คิดว่าอาจต้องหาท่าอาสนะที่จะช่วยผ่อน คลายกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ช่วงจังหวะที่คิดว่าเกิดการผ่อนคลายได้มากคือ ช่วงลมหายใจออก ยิ่งเราสามารถ หายใจออกอย่างช้าๆ ยาวๆ กล้ามเนื้อจะคลายตัวได้มากขึ้น ขณะฝึกในวันนี้ ร่างกายมีอาการตึงที่ไหล่ทั้งสอง ข้าง เพราะช่วงนี้นั่งอ่านหนังสือและทำการบ้านเยอะและเป็นเวลานาน ทำให้การผ่อนคลายต้องใช้เวลานานและ ยังไม่สามารถผ่อนคลายได้ทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามก็รู้สึกผ่อนคลายได้มากและรู้สึกถึงหัวสมองโล่ง (ขณะที่รู้สึก ผ่อนคลายได้ลึก จะรับรู้ถึงร่างกายที่ค่อยๆ จมลงกับพื้นและพบว่าช่วงที่เรารู้สึกจะหลับแต่ยังมีสติอยู่ จะเป็นช่วง ที่เกิดการผ่อนคลายสูงสุด แต่ก็ยังไม่สามารถคงอยู่ในสภาวะนั้นได้นานเพราะยังรู้สึกว่าไหล่ยังไม่ค่อยผ่อนคลาย มันเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่เรื่มฝึกใหม่ๆ ที่จะหลุดจากการสังเกตุลมหายใจ ทันทีที่รู้ตัวให้กลับไปตาม ลมหายใจใหม่ ขอเพียงแต่มีความอดทนและมุ่งมั่นที่จะฝึกต่อไปอย่างต่อเนื่อง ต้องทำได้ดีสักวันสิหน่า สู้ๆ (วันนี้ ใช้เวลาในการฝึกประมาณ 10 นาที) (ยังมีต่อ)
25
àเÃร×ื ่ Íอ §ง Åล.àเÅล้ §ง àเÊสÕี Âย §ง¡กÃรÐะ´ดÔิ ่ §ง ËหÂย¡ก (äไÁม่ ãใ ªช่ Áม Ñั §ง ¡กÃรºบÔิ ¹น )
àเÅล Œ§ง
µต้¹นªชºบÒา ¡กÑัºบ ¤ค¹นµตÒาºบÍอ´ด
àเÅล ‹ÒาàเÃร×ื่Íอ§ง
ฤดูร้อนปีนี้อากาศร้อนจนเหงื่อหยด ถ้าอยู่บ้าน ก็ ต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันวันละหลายรอบ ถ้าอยู่นอกบ้านก็ จะหิวน้ำบ่อย เปลืองเงินซื้อน้ำซื้อน้ำแข็งอีก แต่ฤดูร้อนก็เป็น ช่วงเวลาที่กินไอศครีมอร่อยที่สุด ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น แขก มาเที่ยว เยอะที่สุด นักเรียนไม่ต้องไปโรงเรียน ช่วงเช้า-เย็นรถก็ไม่ ค่อยติด นับว่าถนนเป็นสวรรค์ของคนขับรถในกทม.ก็ช่วง 3 เดือนนี้แหละ เมื่อวานนี้ ได้ยินนักเรียนโยคะคุยกันว่า “ฝึกโยคะมาก็หลายปี ไม่เคยรู้เลยว่า เค้าฝึกแบบ (ผิด-ผิด) มาตลอด เพิ่งจะรู้วันนี้เองว่า ฝึกแบบ ถูก-ถูกเป็นยังไง” สิ่งที่ได้ยินมาตามสายลมนั้น ประมาณว่าครูข.จะ สอนถูก แต่ครูก.สอนผิด ทำให้กลับมาคิดถึงตัวเองว่าเคยชอบ เทคนิคการฝึกอาสนะของครูข. แล้วก็นึกเลยไปถึงเทคนิคของ ครูก.ที่ไม่ถูกจริตกับเรา จากนั้นก็ด่วนสรุปว่าครูข.ดีกว่าครูก. เพราะครูข.ทำให้เราเข้าใจและฝึกอาสนะได้ดีกว่าครูก. หลายปีผ่านไปจึงได้เข้าใจว่า ที่คิดว่าครูก.สอนไม่ดี นั้น น่าจะมีอะไรดีซ่อนอยู่บ้าง แต่เรามองไม่เห็น มองข้ามไป
เลยเห็นแต่ไอ้ที่ไม่ดี เพราะถ้าทั้งหมดที่ครูสอนไม่มีอะไรดีเลย วันนี้เราคงเลิกฝึกอาสนะไปแล้ว เราคงไม่ฝึกมาจนถึงวันที่เรา ได้เจอครูข.หรอก บาทีก็ไม่ใช่ครูหรือนักเรียนไม่ดี แต่เป็นเหมือนต้น ชบากับคนตาบอด คนตาบอดน่าจะชอบดอกมะลิ ราตรี ชำมะนาด มากกว่า เพราะประสาทรับรู้กลิ่นทางจมูกเปิดให้ เค้าเรียนรู้ได้มากกว่าประสาทรับรู้สีของดอกชบาทางตา ถ้าเราสอนแล้วนักเรียนไม่รู้เรื่อง หรือกลับกัน ถ้าเรา เรียนกับครูคนนี้แล้วไม่เข้าใจ อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปว่าใครถูก ใครผิด ใครดีใครไม่ดี ในที่สุดแล้ว อาจจะเป็นแค่ มวยไม่ถูกคู่ ก็ได้ แล้วฤดูร้อนปีนี้ เราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง ถ้าเรา เป็นโยคีมืออาชีพ ก็น่าจะมีวิธีจัดการกับปัจจัยภายนอกที่ไม่ สะดวกสบาย โดยที่ไม่ยาก ไม่ลำบาก ใช่ไหม ถ้ามีวิธีอะไรดีๆ อื่นๆ ก็ช่วยเขียนมาบอกเล่า 90 กัน บ้างเด้อ จบแล้วจ้า
26
âโ´ดÂย ÇวÕีÃรÐะ¾พ§งÉษ äไ¡กÃรÇวÔิ·ท∙Âย áแÅลÐะ¨จÔิÃรÇวÃรÃร³ณ µตÑั้§ง¨จÔิµตàเÁม¸ธÕี áแ»ปÅลáแÅลÐะàเÃรÕีÂยºบàเÃรÕีÂย§ง
µตÓำÃรÒาâโÂย¤คÐะ
´ดÑัé้§งàเ´ดÔิÁม
Íอ§ง¤ค์»ปÃรÐะ¡กÍอºบáแÅลÐะ ¨จØุ´ด»ปÃรÐะÊส§ง¤ค์¢ขÍอ§ง ÊสÃรÃร¾พÊสÔิ่§ง·ท∙Ñั้§งËหÅลÒาÂย (»ปÃรÐะ¡กÄฤµตÔิ)
สรุปเนื้อหาตอนที่แล้วในโยคสูตรประโยคที่ ๒:๑๖ และ ๒:๑๗ พูด คือสิ่งที่มีชีวิตหรือสิ่งที่รับรู้ความรู้สึกได้ ซึ่งมีธาตุทั้ง ๕ เป็นองค์ ถึงว่า ¤ค¹นàเÃรÒาäไÁม ‹ÊสÒาÁมÒาÃร¶ถËหÅลÕี¡กËห¹นÕี¨จÒา¡ก¤คÇวÒาÁม ประกอบเช่นเดียวกัน แต่ในโครงสร้างของกลุ่มนี้ จะมีหน้าที่การ ·ท∙Øุ¡ก¢ข ãใ¹นÍอ´ดÕีµตËหÃร×ืÍอ¤คÇวÒาÁม·ท∙Øุ¡ก¢ข ãใ¹น»ป ˜¨จ¨จØุºบÑั¹น (·ท∙Õีè่ ทำงานที่แน่นอนชัดเจนเรียกว่า อวัยวะ หรือ อินทรีย์ ดังนั้นทฤศยะ ¡กÓำÅลÑั§งÃรÑัºบ¼ผÅลÍอÂยÙู ‹) áแµต ‹ÊสÒาÁมÒาÃร¶ถËหÅลÕี¡กàเÅลÕีè่Âย§ง หรือสรรพสิ่งทั้งหลายจึงรวมเอาทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตไว้ด้วย ¤คÇวÒาÁม·ท∙Øุ¡ก¢ข ·ท∙Õีè่ÂยÑั§งÁมÒาäไÁม ‹¶ถÖึ§ง (ãใ¹นÍอ¹นÒา¤คµต)äไ´ด Œ “อะไรคือจุดประสงค์ที่อยู่เบื้องหลังของสรรพสิ่งทั้ง áแÅลÐะÊสÒาàเËหµตØุáแËห ‹§ง·ท∙Øุ¡ก¢ข àเ¡กÔิ´ด¨จÒา¡ก¡กÒาÃรÃรÇวÁม¡กÑั¹น หลายที่รวมตัวกันขึ้นมานี้” นี่เป็นคำถามรากฐานและไม่มีที่สิ้นสุด ¢ขÍอ§ง»ปØุÃรØุÉษÐะáแÅลÐะ»ปÃรÐะ¡กÄฤµตÔิËหÃร×ืÍอÊสÑัÁมâโÂย¤คÐะ ดังนั้น อีกคำถามหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมีคำตอบสุดท้ายที่น่าพึงพอใจเช่นกัน แต่ การแยกปุรุษะออกจากประกฤติได้ก็คือวิธีการขจัดความทุกข์นั่นเอง เพราะโยคะเป็ น ระบบซึ ่ ง ถู ก พั ฒ นาขึ ้ น เพื ่ อ ใช้ ก ั บ มนุ ษ ย์ เ ท่ า นั ้ น ต่อมาในโยคสูตรประโยคที่ ๒:๑๘ กล่าวว่า “ประกาศะ- คำถามนี้จึงเป็นคำถามที่จำกัดขอบเขตของการถามไว้ เพื่อหาคำ กริยา-สถิติ-ศีลัง ภูเตนฺทริยาตมกัง โภคาปวรรคารถัง ทฤศยัม” ตอบให้กับมนุษย์เท่านั้นไม่ใช่สิ่งอื่นๆ สำหรับผู้ปฏิบัติโยคะคำถามนี้ แปลว่า สรรพสิ่งทั้งหลาย(ทฤศยะหรือประกฤติ)ที่ถูกรับรู้นั้นล้วนมี น่าจะเปลี่ยนเป็นว่า “อะไรคือประโยชน์ของสรรพสิ่งทั้งหลายนี้ คุณลักษณะของความสว่างใส การกระทำ และความคงที่ ประกอบ ที่มีต่อการบรรลุเป้าหมายโยคะของข้าพเจ้า” คำตอบของคำถาม ด้วยมหาภูตะทั้ง ๕1 และมีอินทริยะ(อินทรีย์หรืออวัยวะ) ต่างๆ นี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติโยคะมากที่สุด ได้อธิบายไว้ในส่วนสุดท้าย สรรพสิ่ง2เหล่านี้มีขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการเก็บรับประสบการณ์อัน ของประโยคนี้แล้ว จุดประสงค์ที่สรรพสิ่งทั้งหลายนี้ เป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติ นำไปสู่การหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์ (ของทรัษฏาหรือปุรุษะ) ทฤศยะ หรือสรรพสิ่งที่ถูกรู้ในที่นี้ประกอบด้วยคุณลักษณะ โยคะก็ ค ื อ การให้ ป ระสบการณ์ ( โภคะ)กั บ ผู ้ ป ฏิ บ ั ต ิ (หรื อ ให้ พื้นฐานสามอย่างคือ ความสว่างใส การกระทำ และความคงที่ นี่คือ ประสบการณ์กับตัวผู้รู้ หรือทรัษฏาที่มีอยู่ในตัวผู้ปฏิบัติ) เป็น คุณลักษณะของ ๓ คุณะ อันได้แก่ สัตตวะ รชัส และตมัส ตามลำดับ ประสบการณ์ทางโลก และด้วยการผ่านประสบการณ์นี้เท่านั้น คุณะทั้งสามนี้ไม่เพียงแต่เป็นคุณลักษณะสามอย่างเท่านั้น แต่ยัง สุดท้ายผู้ปฏิบัติจึงบรรลุถึงความหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์ได้ คำว่า โภค เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่ถักทอขึ้นเป็นประกฤติ คุณะทั้งสามนี้ ะ ได้รับการตีความอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นประสบการณ์อันน่าพึงพอใจ ปรากฏอยู่ในทุกสรรพสิ่งหรือที่เรียกว่า ประกฤติ พูดอีกอย่างหนึ่ง หรือความสุข แต่บางครั้งคำนี้ก็ถูกใช้กับประสบการณ์อันเจ็บปวด ทฤศยะก็คือประกฤติ คือสรรพสิ่งทั้งปวงทั้งที่ปรากฏชัดและไม่ เป็นทุกข์ด้วย ในที่นี้มันไม่เพียงแต่รวมเอาประสบการณ์ที่เป็นทุกข์ และเป็นสุขเท่านั้น หากดูเฉพาะเจาะจงไปยังประโยคที่ ๒:๑๕ จริงๆ ปรากฏชัด ทฤศยะหรือสรรพสิ่งสามารถแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มหลักที่ แล้ ว มั น หมายเอาเฉพาะเพี ย งความทุ ก ข์ ค วามเจ็ บ ปวดทั ้ ง หมด ต่างกันชัดเจนคือ ๑) กลุ่มที่ประกอบด้วยธาตุหรือมหาภูตะ ๕ เท่านั้น หากผู้ปฏิบัติ ไม่สามารถผ่านประสบการณ์ความทุกข์ยาก เท่านั้น และ ๒) กลุ่มที่มีการรวมตัวกันเป็นโครงสร้างหรือมีอวัยวะ เหล่านี้ได้ ก็ยังไม่อาจบรรลุถึงความหลุดพ้น (อปวรรคะ) มิอาจสงสัย ต่างๆ (อินทรีย์) ในกลุ่มแรกเป็นกลุ่มของสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ความ เลยว่า มุมมองของผู้ปฏิบัติที่มีต่อประสบการณ์ที่ได้รับเป็นไปตาม รู้สึกได้ เพราะมีเพียงการรวมตัวกันของธาตุทั้ง ๕ เท่านั้น ไม่มีการ ประโยคที่ ๒:๑๕ ต่อเมื่อผู้ปฏิบัติถูกโน้มน้าวว่าทุกๆ สิ่งแม้แต่สิ่งที่ ทำงานของส่วนต่างๆ ในโครงสร้างของกลุ่มนี้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งนั้น เรียกว่าความสุขในที่สุดแล้วก็เป็นความทุกข์ เขาก็จะเบือนหน้าหนี
27
มันและแสวงหาหนทางที่จะหลุดออกมาจากมันให้ได้ ดังนั้นความ หลุดพ้นจึงบรรลุได้ด้วยการผ่านเส้นทางแห่งประสบการณ์ นั่นจึง เป็นเหตุผลว่าทำไมประโยคนี้จึงไม่ได้กล่าวเพียง “อปวรรคารถัง” แต่กล่าวถึงจุดประสงค์ของสรรพสิ่งที่ถูกรู้หรือทฤศยะ ว่าเป็น ประสบ การณ์ที่ต้องผ่านเพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นหรือ “โภคะอปวรรคารถัง” เอกสารอ้างอิง :
Karambelkar, P. V. (1986). PATANJALA YOGA SUTRAS Sanskrta Sutras with Transliteration, Translation & Commentary. Lonavla : Kaivalyadhama, p.208-210.
1 มหาภูตะทั้ง ๕ คือ ธาตุหลักพื้นฐานในธรรมชาติมี ๕ อย่าง ได้แก่ อากาศ ลม ไฟ น้ํา และดิน (ผู้แปล)
2 ประกฤติหรือสรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งกาย-จิตของมนุษย์มีขึ้นเพื่อให้ปุรุษะหรือวิญญาณหยั่งรู้ความจริงแท้ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งกาย-จิตนี้ไม่ใช่ตัวมัน (ปุรุษะ) – ผู้แปล
Êส¶ถÒาºบÑั¹นâโÂย¤คÐะÇวÔิªชÒา¡กÒาÃร ÁมÙูÅล¹นÔิ¸ธÔิËหÁมÍอªชÒาÇวºบ ŒÒา¹น 201 «ซÍอÂยÃรÒาÁม¤คÓำáแËห§ง 36/1 ºบÒา§ง¡กÐะ»ป ¡ก·ท∙Áม.10240 âโ·ท∙ÃรÈศÑั¾พ·ท∙ 02 732 2016-7, 081 401 7744 âโ·ท∙ÃรÊสÒาÃร 02 732 2811 อีเมล์ yogasaratta@yahoo.co.th เว็บไซท์ www.thaiyogainstitute.com
ªช×ืè่Íอ ·ท∙Õีè่ÍอÂยÙูè่¼ผÙูé้ÃรÑัºบ
28