................................................................................... ................................................................................................. ................................................................................................. ................................................................................................. ................................................................................................. ................................................................................................. ................................................................................................. ................................................................................................. ................................................................................................. ................................................................................... ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอุทิศผล
บุญกุศลนี้แผ่ไปให้ไพศาล ถึงบิดามารดาครูอาจารย์ ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน คนเคยร่วมทำงานการทั้งหลาย มีส่วนได้ในกุศลผลบุญฉัน ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัญ ขอให้ท่านได้กุศลผลนี้เทอญ
บทอธิษฐานขออโหสิกรรม กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มะโนกัมมัง สัญจิจจะกัมมัง อะสัญจิจจะกัมมัง ขะมันตุ เม อะโหสิกัมมัง ภะวะตุ เม
กรรมใดๆ ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ข้าพเจ้า
ได้ทำล่วงเกินแก่ผู้ใด ทั้งโดยตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ในภพชาติใดก็ตาม
ขอให้ เจ้ า กรรมนายเวรทั้ ง หลาย จงโปรดยกโทษให้ เ ป็ น อโหสิ ก รรมแก่ ข้าพเจ้า อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อกันอีกเลย แม้แต่กรรมใดที่ใครๆ ทำแก่ข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม ให้ทั้งสิ้น ยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน ขอจงดลใจให้เขาเหล่านั้นกลับ มีเมตตาจิต คิดเป็นมิตรกับข้าพเจ้า เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อกันตลอดไป ด้ ว ยอานิ ส งส์แห่งอภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าพร้อมทั้งครอบครัว ตลอดจน วงศาคณาญาติ ผู้มีอุปการคุณของข้าพเจ้า พ้นจากความทุกข์ยาก ลำบากเข็ญใจ ความทุกข์อย่าได้ใกล้ ความเจ็บไข้อย่าได้มี ขอให้มีความสุข สวัสดีมีชัย เสนียดจัญไรและอุปัทวันตรายทั้งหลาย จงเสื่อมสิ้นหายไป นึกคิดปรารถนาสิ่งใด ที่เป็นไปโดยชอบประกอบด้วยธรรมแล้ว ขอให้สิ่งนั้น จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จเทอญ
นิพพานะปัจจะโย โหตุ
สรรค์สาระ : ณัฐพันธ์ ปิ่นทวีเกียรติ บรรณาธิการสาระ : ศักดิ์สิทธิ์ พันธุ์สัตย์ พิสูจน์อักษร : อรัญ มีพันธ์ บรรณาธิการศิลปะ : อนุชิต คำซองเมือง ภาพหน้าปก : ธนรัตน์ ไทยพานิช ออกแบบรูปเล่ม : ธิติ สัคคะวัฒนะ ภาพประกอบ : สมควร กองศิลา, ธนรัตน์ ไทยพานิช, ชิชกาน ทองสิงห์ ออกแบบปก : ธิติ สัคคะวัฒนะ, ณัฐพันธ์ ปิ่นทวีเกียรติ
คำนำ
พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า “ตราบใดที่ยังมีร่างกาย คำว่าปราศจากโรคภัยนั้นย่อมไม่มี” ไม่ว่าจะเกิดมายากดีมีจนหรือมียศถาบรรดาศักดิ์ สูงต่ำเพียงใดก็ตาม ไม่มีใครสามารถหลีกหนีความทุกข์จากความเจ็บไข้
ได้ป่วยได้ หากเราใช้โอกาสแห่งความเจ็บไข้นี้ให้เกิดประโยชน์ด้วยการ ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามที่หลวงปู่พุทธทาสได้ถ่ายทอดเอาไว้ โรคภัยไข้ เจ็บต่างๆ ที่เกิดขึ้น หรือที่จะเกิดขึ้นกับเราในอนาคตนั้นก็จะไม่เป็นปัญหา อีกต่อไป ดั ง นี้ แ ล้ ว สำนั ก พิ ม พ์ เ ลี่ ย งเชี ย ง เพี ย รเพื่ อ พุ ท ธศาสน์ จึ ง ได้ น ำ
พระธรรมเทศนาเรื่อง “ยาระงับสรรพโรค” และ “การมีสติสัมปชัญญะต่อสู้ ความเจ็ บ ไข้ ” ของหลวงปู่ พุ ท ธทาส มาจั ด พิ ม พ์ ใ หม่ ใ นชื่ อ ว่ า “คนไข้
ไปนิพพาน” โดยในการจัดพิมพ์ครั้งนี้ยังคงบทพระธรรมเทศนาไว้เหมือน เดิม แต่ได้เพิ่มเติมในส่วนของบทคัดย่อ ใส่สีเน้นคำ ทำเชิงอรรถ เสริมสาระ อธิบายข้อธรรม และใส่ภาพประกอบ เพื่อให้อ่านง่าย เข้าใจง่าย ช่วยย่น ระยะเวลาในการอ่าน เข้าถึงแก่นแท้ของธรรมะและหยิบใช้ได้ทันที มีสุข ทันใจ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จักเอื้อประโยชน์ให้กับผู้อ่าน
ได้ปฏิบัติตนและดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์ อยู่เหนือโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิด และได้เข้าถึง “พระนิพพาน” อันเป็นบรมสุขได้ในชาติปัจจุบันนี้ทุกท่าน เทอญ
โปรดใช้เล่มนี้ให้คุ้มสุดคุ้ม & อ่านแล้ว -> แบ่งกันอ่านหลายท่านนะจ๊ะ
อ่านสิบรอบ ระดมสมองคิดสิบหน ฝึกฝนปัญญา พัฒนาการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน จิตรู้เท่าทันสรรพสิ่ง ฉลาดใช้ เฉลียวคิด ชีวิตจักสนุก สงบ เย็น สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ ปรารถนาให้ทุกครอบครัวมีความสุข
สารบัญ ยาระงับสรรพโรค หน้า ๖-๖๖
การ์ตูนธรรมะดีจัง หน้า ๖๗-๗๕
การมีสติสัมปชัญญะต่อสู้ความเจ็บไข้ หน้า ๗๖-๑๑๕ สวดมนต์รักษาโรค หน้า ๑๑๖-๑๔๒ สุขภาพใจดี สุขภาพกายดี หน้า ๑๔๓-๑๔๖ เรียนรู้ ฝึกจิต คิดสนุก พัฒนาสมอง หน้า ๑๔๗-๑๕๗
ยาระงับสรรพโรค ยานี้ต้องการเครื่องยา ๗ อย่าง คือ เปลือกต้น “ไม่รู้ไม่ชี้” แล้วก็แก่นต้น “ช่างหัวมัน” แล้วก็รากต้น “อย่างนั้นเอง” แล้วก็ใบต้นที่ว่า “ไม่มีตัวกูของกู” แล้วก็ดอกต้น “ไม่น่าเอาไม่น่าเป็น” แล้วก็ลูกของต้น “ตายเสียก่อนตาย” แล้วก็เมล็ดต้น “ดับไม่เหลือ”
วันนี้อาตมาจะบรรยายเรื่อง “ยาระงับสรรพโรค” ตั้งใจศึกษาและนำไปปฏิบัติให้ดีล่ะ ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายประจำ วั น เสาร์ แ ห่ ง ภาคมาฆบู ช าในวั น นี้ อาตมาจะบรรยายโดยหั ว ข้ อ ว่ า
“ยาระงับสรรพโรค” เป็นอันว่าในภาคมาฆบูชานี้ จะพูดด้วยเรื่อง ปกิณกะแต่ละเรื่องๆ เป็นเรื่องๆ ไป ไม่ต้องติดต่อเป็นชุดเป็นพวกอะไร ก็ได้บรรยายมาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว ในวันนี้ก็จะได้พูดเรื่อง “ยาระงับสรรพโรค” เพราะว่าได้แจก ฉลากยาไปมากแล้ว นานแล้ว ก็จะติดตามอธิบายให้สำเร็จประโยชน์
๑
ปาฐกถาธรรม ประจำวันเสาร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ เดิมชื่อ “ยาระงับสรรพโรค”
แสดง ณ สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 7
ธรรมบรรยาย
ยาระงับสรรพโรค๑
ธรรมบรรยาย
โรคมี ๓ ชนิด คือ โรคทางกาย โรคทางจิต โรคทางวิญญาณ โรคมี ๓ ชนิด โยมตั้งใจศึกษาให้ดีล่ะ
สาธุ ดิฉันจะตั้งใจศึกษา และนำไปปฏิบัติค่ะ
สิ่งแรกก็คือเรื่อง “โรค” เรื่องการเป็นโรค บางคนอาจจะคิดว่า ตัวเองไม่มีโรค ข้าพเจ้าไม่มีโรค ไม่เป็นโรค ไม่มีโรคที่น่ากลัวอะไร ขอให้ สังเกตพิจารณาดูกันเสียใหม่ว่า โรคทางจิตใจนี่แหละสำคัญมาก
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า โรคมี ๒ ชนิด คือ กายิกโรค โรคที่เกิดเกี่ยวกับทางกาย นี่พวกหนึ่ง แล้วเจตสิกโรค โรคที่เกิดเกี่ยวกับทางจิต นี่ก็อีกโรคหนึ่ง เป็น ๒ โรค แต่อาตมาเคยเอามาแยกออกเป็น ๓ โรค คือว่าโรคทางจิตนั่นแยกออกเป็น ๒ คือ เป็นโรคทางสติปัญญาอีกโรคหนึ่ง เรียกว่า “โรคทางวิญญาณ” พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า “ร่างกายเป็นรังแห่งโรค ตราบใดที่ยังมีร่างกาย
คำว่าปราศจากโรคภัยนั้นย่อมไม่มี” เพราะร่างกายอันเกิดจากธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นมีความเสื่อมไปตลอดเวลา เช่น ความหิว พระพุทธองค์ก็ตรัสว่าเป็นโรคทางกาย
ไม่มีใครที่มีร่างกายแล้วไม่เกิดความหิว (ทุกข์ทางกาย) ถ้าเราลองพิจารณาคำสอนของ พระพุ ท ธองค์ ก็ จ ะเห็ น ได้ ว่ า ทุ ก คนมี ค วามหิ ว เกิ ด ขึ้ น ทุ ก วั น เป็ น โรคประจำตั ว หาก
ร่างกายขาดอาหารจนถึงทีส่ ดุ แล้ว ร่างกายก็ตอ้ งถึงแก่ความตายอย่างแน่นอน จริงหรือ ไม่ ? ให้ลองพิจารณาเพื่อเห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมามีร่างกายอยู่เนืองๆ 8
คนไข้ไปนิพพาน
ธรรมบรรยาย
ถ้ารู้สึกเบื่อที่ต้องนอนนานๆ
ขอบคุณครับ หมอแนะนำให้ทำสมาธินะ เป็นคำแนะนำ เพราะจะทำให้ไม่ฟุ้งซ่่าน ที่ดีมากเลยครับ และยังช่วยให้หายป่วยเร็วด้วยนะครับ ๑. โรคทางกาย เจ็บป่วยทางกายก็ไปโรงพยาบาลตามธรรมดา ช่วยกันจับหน่อยเร็ว ฉันผอมแล้ว ฉันสวยที่สุดเลย กินยาลดความอ้วน จนประสาทหลอน ๒. โรคทางจิต จิตไม่สมประกอบ บ้าบอ เป็นโรคประสาทรบกวน
อะไรเหล่านี้ก็เป็นโรคทางจิต ก็ต้องจัดการไปอีกอย่างหนึ่ง หรือไปหา โรงพยาบาลประสาท โรงพยาบาลโรคจิต
๓. แต่ถ้าเป็น โรคทางวิญญาณ คือโรคทางสติปัญญาแล้ว ต้องไปหา โรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า คือ ธรรมะ ที่จะช่วยขจัดโรคทางวิญญาณ เห็นชัดเป็น ๓ อย่าง ๓ ประการด้วยกัน ดังนี้ บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 9
ธรรมบรรยาย
“โรคทางวิญญาณ” เป็นปัญหามากที่สุด
โรคทางวิญญาณ คืออะไรคะ ? ตั้งแต่เรียนแพทย์มาไม่เคยได้ยินเลย ต่ อ ไปก็ จ ะได้ พู ด ถึ ง สิ่ ง ที่ จ ะระงั บ โรคเหล่ า นี้ อาตมาใช้ ค ำว่ า
“สรรพโรค” คือ โรคทั้งปวง ก็เป็นโรคทางวิญญาณนั่นแหละ แต่ต้อง สังเกตดูให้ดีว่า โรคทางวิญญาณนั้นมันเป็นปัญหามากที่สุด เพราะว่า โรคทางกายนั้นมันไม่มีความหมายอะไรนัก มันไม่ได้ทำอันตรายอะไร นัก มันเป็นแต่ทางกาย แล้วอีกอย่างหนึ่ง โรคทางกายนี่ไม่ค่อยจะเป็น กัน นานๆ จะปวดหัวตัวร้อนสักทีหนึ่ง นานๆ จะเจ็บด้วยโรคนั้นโรคนี้ กันสักทีหนึ่ง แต่ถ้าว่า
โรคทางจิตทางวิญญาณนี่ดูจะเป็นกันตลอดเวลา จนจะเรียกว่าแทบทุกลมหายใจเข้าออกก็ได้ มันเกิดเร็ว มันดับเร็ว คิดดูให้ดีเถอะ โรคทางจิตน่ะมันเกิดเร็ว ดับเร็ว วันเดียวเป็นสักร้อยโรคก็ได้ แล้วมันก็ไม่แสดงอะไรให้เอะอะตึงตัง ไม่ค่อยแสดงในทางกาย
แสดงแต่ ในทางจิต คนก็คิดไปเสียอย่างอื่นได้ จึงคล้ายๆ กับว่า
ไม่ได้เป็นโรคอะไร ที่จริงเป็นอยู่แทบจะตลอดเวลา 10
คนไข้ไปนิพพาน
ธรรมบรรยาย
กิเลสเกิดขึ้นเมื่อใด ก็เป็นโรคทางวิญญาณเมื่อนั้น วู้ววว !! ได้เงินเยอะแยะสมใจอยากแล้วเว้ย อยากรวยอีก แล้วจะเอาไปทำอะไรดีนะ ?
เอาไปทำบุญ บ้างนะพี่
นั่งอยู่ตรงนี้ ดูให้ดีเถอะ ก็มีโรคทางจิตอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ รบกวนอยู่ ถ้ า ไม่ สั ง เกตดู ใ ห้ ดี ก็ จ ะไม่ เ ห็ น เพราะฉะนั้ น เราจะต้ อ ง จาระไนแจกแจงในเรื่องโรคทางจิตนี่กัน ให้เห็นได้ว่ามันเป็นอยู่เกือบจะ ตลอดเวลาเลย วันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้ง กี่สิบครั้งหรือร้อยครั้งก็ได้ถ้ามันเป็น เก่ง พูดกำปั้นทุบดินก็พูดว่า
เกิดกิเลสทีหนึ่งก็เป็นโรคทางจิตทีหนึ่ง เกิดกิเลสวันละกี่ครั้งมันก็เป็นเท่านั้นครั้ง
พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ขณะที่ร่างกายยังมีลมหายใจอยู่ ให้พยายามระลึกรู้
ลมหายใจเข้าออกทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน เท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการฝึกเจริญสติ สำรวม ป้องกัน ระมัดระวังรักษาใจจากกิเลส เพราะเมื่อเกิดการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กิเลสจะเกิดขึ้นที่ใจ ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ จิตจะรู้เท่าทันกิเลสเมื่อกระทบผัสสะต่างๆ ได้ทันท่วงที และให้หมั่นตรวจดู ศีล สมาธิ ปัญญา อย่าให้พร่องไปจากจิต ถ้าเผลอหรือ หลงลืมไปเมื่อไหร่ ให้เริ่มต้นใหม่ (อ่านวิธีปฏิบัติหน้า ๑๕๖) บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 11
ธรรมบรรยาย
โรคทางวิญญาณ เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคทางกาย โรคทางวิญญาณเป็นต้นเหตุทำให้เกิด โรคทางกายสารพัดอย่างเลยนะ
ขอให้ ฟั ง ให้ ดี ว่ า โรคทางจิ ต น่ ะ มั น มี อ าการอย่ า งไร ถ้ า รู้ จั ก อาการของมันแล้ว มันก็จะเข้าใจได้ มันเป็นอยู่แทบจะทุกลมหายใจ
เข้าออก เกือบทุกลมหายใจเข้าออก
เมื่อเป็นโรคทางจิตแล้ว มันจะพาลเป็นโรคทางกายเอาด้วย เช่น เป็นโรควิตกกังวล นอนไม่หลับ เดี๋ยวมันก็ปวดหัว เป็นโรคทางกาย มีความรบกวนทางจิตมาก มันก็เป็นโรคกระเพาะอาหาร เป็นโรคลำไส้ เป็นโรคร้ายๆ ต่างๆ สารพัดอย่างขึ้นมา เพราะว่ามันมีโรคทางจิตเป็นต้นเหตุอยู่ภายใน โรคทางจิตเป็นเหตุให้เกิดโรคทางกาย หนังสือเล่มนี้บรรจุพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์
โปรดใช้หนังสือเล่มนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าที่สุด เมื่อไม่อ่านแล้ว กรุณาส่งต่อผู้อื่นเพื่อเป็นการเผยแผ่ธรรมและบำเพ็ญทานบารมีแก่ตน
12
คนไข้ไปนิพพาน
จะยกตัวอย่างโรคทางจิตให้เป็นเครื่องสังเกตได้ง่ายๆ ว่า ญญาณละ เข้าใจคำว่าโรคทางวิ
ธรรมบรรยาย
ลักษณะอาการของโรคทางวิญญาณ
ความรัก เป็นโรคทางจิต ความโกรธ เป็นโรคทางจิต ความเกลียด เป็นโรคทางจิต ความกลัว เป็นโรคทางจิต ความตื่นเต้น เป็นโรคทางจิต ความวิตกกังวล เป็นโรคทางจิต ความอาลัยอาวรณ์ เป็นโรคทางจิต ความอิจฉาริษยา เป็นโรคทางจิต สาธุ ครับ ความหวง เป็นโรคทางจิต คุณหมอ ความหึง เป็นโรคทางจิต ความยึดมั่นเป็นคู่ๆ บวกลบ ดีชั่ว บุญบาป ยึดมั่นเป็นคู่ๆ แล้วก็ดี ใจเสียใจ นี่เรียกว่า ความยึดของเป็นคู่ นี่ก็เรียกว่าเป็นโรคทางจิต ความสงสัย ไม่แน่ ใจไปเสียทุกอย่าง กระทั่งว่าไม่แน่ ใจว่าได้สิ่งที่ควรจะได้แล้ว
ต้องคอยฝึกสังเกตใจตัวเองบ่อยๆ แล้ว
เคยสังเกตกันไหมครับว่า ทำไมคนที่จบการศึกษาสูงๆ เช่น จบดอกเตอร์ จบ ปริญญาจากต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งคนที่เรียนจบหมอ ถึงยังเป็นบ้า ฆ่าคน รวมไปถึง ฆ่าตัวตายได้ ลองพิจารณากันดูนะครับ บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 13
ธรรมบรรยาย
เพราะเป็นโรคทางจิตจึงมีทุกข์ จะดับโรคทางจิตต้องอาศัยพุทธศาสนา ทีนี้ก็จะขอถามทุกคนที่นั่งอยู่ตรงที่นี้ว่า ใครไม่มีความสงสัย
ข้อนีบ้ า้ ง ใครมีความแน่ใจว่าได้สงิ่ ทีค่ วรได้โดยแน่นอนแล้ว หรือใครยังมี ปั ญ หาว่ า เรายั ง ไม่ ไ ด้ สิ่ ง ที่ ค วรจะได้ ถ้ า ยั ง มี ค วามสงสั ย อยู่ ลั ง เลอยู่
อย่างนี้ ก็นั่งอยู่ที่นี่ตรงนี้แหละ ฟังบรรยายอยู่นี่แหละ เป็นโรคจิต เป็น โรคสงสัยอยู่เสมอว่ามันยังไม่ได้สิ่งที่ควรจะได้ ยังดับทุกข์ไม่ได้ ยังไม่ได้ ดับทุกข์ ยังไม่มีพระนิพพานเป็นที่หวังอันแน่นอน มันวิตกกังวลสงสัย อาลัยอาวรณ์ นี่ก็เป็นโรคทางจิตทางวิญญาณ จึงว่าไม่ยกเว้นใครทั้งนั้น ไม่ยกเว้น มันเป็นได้ทุกหนทุกแห่ง เมื่อไรก็ได้ เท่าไรก็ได้ อย่างไรก็ได้
นี่ขอให้ลองคิดดู
โรคทางจิต ทางวิญญาณ จึงเป็นโรคที่มหาศาล น่ากลัวยิ่งกว่าโรคใดๆ เลย ถ้าเราไม่มีโรคทางจิตแล้ว เราก็ไม่มีความทุกข์ คิดดูให้ดีๆ ถ้าเราไม่มีโรคทางจิตแล้ว เราก็ไม่มีความทุกข์ แล้วเราก็ไม่ต้องมาศึกษาพุทธศาสนาให้ลำบากหรอก ถ้าเราไม่มีโรคทางวิญญาณ คือโรคที่เป็นไปทางจิตน่ะ เดี๋ยวนี้มันมีโรคเป็นไปทางจิต มีความทุกข์ จึงต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะศึกษา ที่จะต่อสู้ ที่จะรักษาโรคทางจิต
14
คนไข้ไปนิพพาน
คนสวย มารั กกับผมเถอะ ผมมีเงินเยอะแยะเลย ใช่สิ เราไม่หล่อไม่รวย ฮือๆ
ธรรมบรรยาย
อาการของโรคทางวิญญาณ เราสองคนจะรักกันจนวันตาย
ดีจังเลย รักกันๆ
๑. ความรัก
ทีนี้ก็จะขอให้ดูให้ดีอย่างที่ว่ามาแล้วคือ ความรัก ถ้ารักเรื่อง กามารมณ์ก็เป็นเรื่องเสียดแทงอย่างยิ่ง บ้าๆ บอๆ แม้จะรักอย่างพ่อรัก ลูก ลูกรักพ่อ นี่มันเป็นความสุขอยู่เมื่อไหร่ มันเป็นปัญหายุ่งยากลำบาก ใจสั ก เท่ า ไหร่ แม้ แ ต่ ว่ า เป็ น ความรั ก และเมตตากรุ ณ า แม้ ว่ า รั ก เพื่อนบ้าน รักผู้อื่น รักที่จะช่วยเขาให้พ้นทุกข์ มันก็มีปัญหา มันเนื่อง
มาจากความรัก แล้วใครบ้างที่มันไม่มีความรัก มันก็มีความรักตาม สัญชาตญาณ มีความรักในสันดานของสิ่งที่มีชีวิต อย่างแม่ไก่ มันก็รักลูกยิ่งกว่าชีวิตของมันเอง ลูกไก่มันก็รัก
แม่ไก่เหมือนกัน นี่ก็เป็นปัญหา แม้ว่าความรักที่เรียกว่าด้วยเมตตา กรุณาที่ยังต่ำอยู่น่ะ ยังเป็นเมตตากรุณาที่มาจากความยึดมั่นถือมั่นว่า ตัวตน นี่ฟังดูให้ดี เมตตากรุณานั่นมาจากตัวตนก็มี มาจากอวิชชา น้อยๆ ก็ม ี บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 15
ธรรมบรรยาย
ฮือๆ ทำไมเราต้อง เป็นผู้ผิดหวังอีกแล้ว ทำไมไม่เป็นคนอื่น
เมื่อก่อนทุกข์ เพราะยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวเรา เป็นของของเรา เลยไม่รู้ตาม ความเป็นจริง
เมตตากรุณาที่มาจากปัญญาอันสูงสุดไม่เกี่ยวกับตัวตน เช่น เมตตากรุณาของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ไม่มีตัวตน ไม่มีอวิชชา อะไร ก็มีเมตตา ก็เรียกว่าเมตตาเหมือนกัน แต่เมตตาอย่างนี้ไม่มีปัญหา ไม่รวมอยู่ในข้อนี้ที่ว่ามีความรักแล้วก็จะเป็นทุกข์
ถ้ามันเป็นเมตตากรุณาที่ยังมีตัวตน มันยังมีอวิชชาที่ทำให้เห็นว่าตัวตน แล้วก็เห็นแก่ตัวตน แล้วก็รักเพราะเหตุความเห็นแก่ตัวตน อย่างนี้ยังเป็นทุกข์
แม้แต่แม่จะรักลูก ลูกจะรักแม่ รักเพื่อน รักอะไรต่างๆ ผู้มีพระคุณอะไรก็ตาม มันยังเป็นความรักอย่างมีตัวตน แล้วก็ยังเป็นโรคทางวิญญาณอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แล้วมันสบายกี่มากน้อย เป็นทุกข์สักกี่มากน้อย ขอให้ลองคิดดู มันเกิดเมือ่ ไรก็ได้ ทีไ่ หนก็ได้ เท่าไรก็ได้ อย่างไรก็ได้ นีค่ วามรักมันเป็นโรค ค่อย ๆ อ่าน ค่อย ๆ คิด คราคิดติดขัด หยุดพักสักนิด ทำจิตให้สงบ จักพบทางออก อ่านแล้วคิด คิดให้เข้าใจ เข้าใจแล้วลงมือทำ ทำด้วยสติสัมปชัญญะ ทำวันนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ อย่ารอช้า อย่าผัดวัน อย่าประมาท คิดเร็ว สุขเร็ว ทำช้า ทุกข์มาก ทุกข์ยาวนาน
16
คนไข้ไปนิพพาน
ธรรมบรรยาย
๒. ความโกรธ
ทีนี้ ความโกรธ เกือบจะไม่ต้องพูดละความโกรธนี่
พอเกิดโกรธขึ้นมาก็เป็นไฟละ แล้วมันไปเก็บ เก็บเอาความโกรธไว้เป็นความอาฆาตพยาบาท แล้วมันก็ยิ่งยืดเยื้อ มันก็เป็นโรคฝ่ายไฟโทสะ
ไอ้บ้า ! แกว่าฉันหน้าผีเหรอ ฉันสวยกว่าเมียแกอีกนะ
ก็แกมาด่าเมียฉันทำไมล่ะ นี่แน่ะ !
ไม่ได้ศึกษาเรื่องโรคทางวิญญาณ ผลจึงออกมาเป็นแบบนี้
คนเป็นทาสของกิเลส จึงวุ่นวาย เป็นทุกข์ อย่างรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เชิญชวนทุกท่านร่วมกันช่วยเพื่อนมนุษย์ให้เอาชนะกิเลส พบสุขได้ ด้วยการพิมพ์หนังสือเล่มนี้แจกเป็นธรรมทาน ยิ่งมาก บุญยิ่งทวี อย่างไม่โลภเมาบุญ รู้ว่าเป็นหน้าที่ช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (โปรดใช้ปัญญาพิจารณาเรื่องนี้)
บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 17
ธรรมบรรยาย
กรี๊ด... ! แกแย่ง
ผู้ชายของฉัน แกต้องโดนตบ ! ๓. ความเกลียด
เกลียดนางร้ายคนนี้จริงๆ เลย
ทีนี้ ความเกลียด นี่ก็ลำบาก ถ้าไม่ถูกใจมันก็เกลียด บางทีมันก็ ไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา แต่ว่ามันไม่ถูกใจ ไม่ถูกแก่ความรู้สึก มันก็เกลียด มันอาจจะโง่มาก ไปเกลียดอย่างไม่มีเหตุมีผลมีตัวมีตนอะไร ถ้าไปดูยี่เกไปดูหนังตะลุงอะไรก็ได้ มันเกิดมีทะเลาะวิวาทกัน ระหว่างพวกมนุษย์กับยักษ์ พอมีการทะเลาะวิวาทระหว่างมนุษย์กับ ยักษ์ เรามันก็พลอยเกลียดยักษ์ ทั้งๆ ที่ยักษ์มันไม่ได้เป็นอะไรกับเรา
ไม่ใช่เรื่องของเรา เราก็พลอยโง่ไปเกลียดยักษ์ เข้าข้างมนุษย์ นี่ความ เกลียดมันเกิดได้ง่ายๆ อย่างนี้ หรือแม้ความเกลียดของน่าเกลียดน่าชังอย่างนี้ ของสกปรก
เน่าเหม็นซากศพนี่ มันก็มีความทุกข์ มีความเกลียดที่ไหนมันก็มีความ ทุกข์เสียดแทงจิตใจที่นั่น ไม่มีความเกลียดอะไรสบายกว่าไม่รู้สึกว่า
น่าเกลียด รู้สึกว่ามันเช่นนั้นเอง มันธรรมดาเช่นนั้นเอง แม้แต่ซากผี ซากศพเน่าเหม็นอะไรมันก็เช่นนั้นเอง ไม่ต้องไปเกลียดมันให้ลำบาก แต่มนั ก็อดไม่ได้ เห็นเขาทะเลาะกันอย่างนี้ มันก็มกั จะเข้าข้างอีกฝ่ายหนึง่
มันก็เกลียดฝ่ายที่เราไม่ชอบ ไม่พอใจ เพียงแต่ไม่ถูกหูถูกตามันก็เกลียดเสียแล้ว ไม่อยากจะให้เห็นหน้า มันก็เกลียดเสียแล้ว มันก็เป็นโรคทางวิญญาณ 18
คนไข้ไปนิพพาน
เป็นนางเอกแล้ว ยังทุกข์อีกเหรอ...อ !
๔. ความกลัว
ทีนี้ ความกลัว มันก็เป็นสัญชาตญาณอันหนึ่งที่มันกลัวสิ่งที่ น่ากลัว ติดมาแต่ในท้อง แต่พอเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่แล้ว มันก็ถูก สอนให้กลัวยิ่งขึ้นไปอีก ให้โง่ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะมันเป็นอุบายอันหนึ่งที่ จะควบคุมเด็ก ก็หลอกให้เด็กกลัวนั่นกลัวนี่ กลัวจิ้งจก กลัวตุ๊กแก กลัว ผี กลัวอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริงทั้งนั้นแหละ มันก็เลยกลัวมากเกิน กว่าเหตุ กระทั่งกลัวผี ถ้าพูดถึงเรื่องกลัวผีแล้ว คนก็สู้หมาไม่ได้ เพราะ ว่าหมามันไม่กลัวผี ไม่มีปัญหาเรื่องกลัวผี แต่ว่าคนเรานี่มันถูกหลอกให้ กลัวผีกลัวอะไรเสียอย่างแน่นแฟ้น หนาแน่น ช่วยไม่ได้ มันก็มีปัญหา ถ้าเด็กๆ อย่าถูกสอนให้กลัวมากเหมือนที่สอนๆ กันอยู่ ปัญหา ก็จะไม่ค่อยมี เดี๋ยวนี้พอเด็กมันรู้ประสีประสา ผู้ใหญ่ก็ทำท่ากลัวนั่น กลัวนี่ ทำท่าให้ดูกลัวนั่นกลัวนี่ มันก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกันนะ มันจะ ได้ไม่ไปทำสิ่งที่อันตราย แต่ว่ามันกลัวเกินกว่าเหตุ แล้วมันก็เป็นเรื่อง ทำลายความสงบสุข ฟังให้ดี... บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 19
ธรรมบรรยาย
หา... เป็นนางเอกเรื่อง หมูสวรรค์หั่นแล้วทอด นางเอก ในเรื่องต้องถูกหั่นศพเหรอ... ไม่เอา...
ธรรมบรรยาย
เรื่องความกลัว มันทำลายความสงบสุข สู้ความกล้าที่ถูกต้องไม่ได้ ความกลัวนี่มันเป็นความไม่รู้มากกว่า แต่ความกล้านี่บางทีก็บ้าบิ่น กล้าเพราะไม่รู้ก็มีเหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่าความกลัว เป็นโรคทางวิญญาณ
เดี๋ยวนี้ก็มีความกลัวกันอยู่ทั่วโลก กลัวระเบิดปรมาณู กลัวโลก จะวินาศ กลัวอะไรสารพัดอย่างที่ว่า กลัวกันไปทั้งนั้น ทั้งโลกเลย
ฮือๆๆ เรากลัวตาย เราต้องตายจริงๆ ใช่ไหม ?
พระพุทธองค์ทรงเมตตา ตรัสสอนว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความไม่สมหวัง ล้วนเป็นทุกข์ รักแผ่นดินไทย ส่งเสริมเด็กไทยให้ได้ใกล้ชิดธรรมะ ด้วยการพิมพ์หนังสือเล่มนี้ แจกเป็นธรรมทานแก่เด็ก โรงเรียน มหาวิทยาลัย ห้องสมุด สถานพยาบาล ร้านค้า โรงแรม ประจำบ้าน ฯลฯ เพื่อให้เด็กได้อ่านเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม สนใจติดต่อ : ๐๒-๘๗๒-๙๑๙๑, ๐๒-๘๗๒-๗๒๒๗
20
คนไข้ไปนิพพาน
กรี๊ด!!
๕. ความตื่นเต้น
ธรรมบรรยาย
พี่เคน ธีรศักดิ์ หล่อมากๆ เลย
ทีนี้ ความตื่นเต้น คือ ปกติอยู่ไม่ได้ ต้องตื่นเต้น ถ้าเขามาทำ ตลกให้ดูก็อดหัวเราะไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าเขาแกล้งทำตลก คนที่ดูตลกมันก็ อดหั ว เราะไม่ ไ ด้ เ พราะมั น โง่ น่ ะ มั น มี ค วามตื่ น เต้ น ๆ ยิ่ ง สิ่ ง นั้ น มั น ประหลาดด้วยแล้ว มันก็ยิ่งอดไม่ได้ มันยิ่งต้องตื่นเต้น ไปดูกีฬาที่น่า
ตื่นเต้นก็ต้องดูด้วยความโง่ คือต้องมีความตื่นเต้นจึงจะสนุก ถ้าไม่
ตื่นเต้นมันก็ไม่สนุก ไปดูของที่น่าตื่นเต้น เช่น กายกรรมมาจากเมืองจีนเรียกว่า กายกรรมเปียงยาง ดูเข้าแล้วมันก็น่าตื่นเต้นจริงเหมือนกัน ใครเคยไปดู แล้วก็รู้เองว่ามันน่าตื่นเต้น เพราะมันความโง่ของเราว่ามันเช่นนั้นเอง เมื่อมันฝึกเข้าๆ มันก็แสดงได้เช่นนั้นเอง ไม่ต้องตื่นเต้น แต่มันก็อดไม่ได้
แล้วไปดูของแปลกที่ทำให้เกิดความตื่นเต้น ไปเกาะอะไรต่างๆ แวะที่นี่ด้วย มาแวะที่นี่ก็ถามไปไหนมา ก็ไปดู ไปดูที่นั่นน่ะ นี้เป็นผล ของความโง่ที่มันตื่นเต้น ทำให้ต้องไปดู ไปดูแล้วมันก็ตื่นเต้นๆ กลับมา ก็ได้แต่ความตื่นเต้นๆ มันจะปกติไม่ได้ มันต้องตื่นเต้น นี่ก็เป็นโรคทาง วิญญาณ บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 21
ธรรมบรรยาย
โอว ! แม่เจ้าโว้ยยยย กรี๊ด!!
ว้าว ! สุดยอดดดดดด ตื่นเต้นเวลามีเพลงหรือมีจำอวด มียี่เกอะไรมาแสดงที่ตลาดนี่ คนก็ ไ ปกั น ทั้ ง บ้ า น ให้ ลู ก กุ ญ แจอยู่ เ ฝ้ า เรื อ น ไปดู เ พลงที่ ต ลาดได้
แต่ถ้าว่าบอกมาฟังเทศน์ที่วัดก็ไม่มีคน อยู่เรือนหมด คนอยู่เรือนหมด ถ้าไปดูสิ่งที่น่าตื่นเต้น มีลูกกุญแจอยู่เรือน ไม่มีคนอยู่เรือน คิดดูเถอะ ความตื่นเต้นนี่มันมีอิทธิพล มีอำนาจมากมายเหมือนกันที่จะดึงให้คน ไปที่ไหนๆ ก็ได้ ต้ อ งขออวดดีสักหน่อยว่า เดี๋ยวนี้อาตมาไม่ สู้ จ ะตื่ น เต้ น แล้ ว
ตัวเองน่ะ ก่อนนี้อยากจะไปเมืองนอกเมืองนา ไปดูที่แปลกประหลาด
ที่ได้อ่านได้ยินได้ฟัง อยากจะไปดู อยากจะไป นานเข้าๆ พอมาศึกษา ธรรมะนานเข้าๆ บอก โอ้ ! ไอ้ความโง่โว้ย ! มันมีอะไรที่ไหนแปลก ประหลาดล่ะ มันไม่มีอะไรแปลกประหลาด มันเป็น อิทัปปัจจยตา๑
ทั้งนั้นเลย ไม่ว่าชนิดไหน ต่อให้ไปเมืองเทวดามันก็ไม่แปลกประหลาด
มันก็เป็นอิทัปปัจจยตา มันเลยไม่ตื่นเต้น ๑
อิ ทั ป ปั จ จยตา (อ่ า นว่ า อิ - ทั บ -ปั ด -จะ-ยะ-ตา) คื อ หลั ก ทางพุ ท ธศาสนาที่ ก ล่ า วถึ ง
ความเกีย่ วเนือ่ งกันของเหตุและผล เมือ่ มีเหตุ ย่อมมีผล เมือ่ เหตุดบั ผลก็ดบั เมือ่ สิง่ นีม้ ี สิง่ นี้
ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะ
ความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป 22
คนไข้ไปนิพพาน
ธรรมบรรยาย
จะใช้เงิน กิน เที่ยว ให้หนำใจไปเลย กรู้วว เย่ๆ ถูกรางวัลที่ ๑ รวยแล้วเรา !! เลขที่ออก...
เดี๋ยวนี้ใครจะมาออกเงินให้หมด พาไปเที่ยวเมืองนอก ไปดูของ แปลกประหลาด ก็ บ อกว่ า ไม่ ไ ปหรอก ขอที เ ถอะ อย่ า ต้ อ งไปเลย
ไม่อยากจะที่เรียกว่ายักกระดูก ไม่อยากจะยักกระดูก ไม่ต้องไป ไม่ต้อง ไปที่ ไ หน ขอนอนอยู่ ที่ นี่ ไม่ ต้ อ งไปหรอก นี่ เ พราะว่ า ความตื่ น เต้ น
มันลดลงไป
ถ้าความตื่นเต้นมันมีมาก ใครพูดอะไรที่ไหนก็ไปแหละ เสียสตางค์เองแหละ ไม่ต้องมี ใครมาเสียสตางค์ ให้ ให้มันไปดูของแปลกๆ ไปเมืองนอกเมืองนา เดี๋ยวนี้ ไม่มีอะไรหรอก ต่อให้ใครมาชวนไปโลกพระจันทร์ ก็ไม่ไป ออกค่ารถ ค่าเรือ ค่าพาหนะให้หมดก็ไม่ไปหรอก มันบ้านี่ มันโง่นี่ มันเป็นโรคตื่นเต้น แล้วก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง คนที่มีพฤติกรรมชอบกินชอบเที่ยว ได้ชื่อว่าตั้งอยู่ในความประมาท คือไม่รักษาตัว ไม่ดูแลสุขภาพของตัวเอง มัวเมาลุ่มหลงในสิ่งที่ก่อให้เกิดโทษ คือความเดือดร้อน
ไม่เฉพาะตัวเองเท่านั้น ครอบครัวญาติพี่น้องก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย จงช่วยกัน ลด ละ เลิกอบายมุขกันเถิด เพื่อตัวท่านและคนที่รัก
บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 23
ธรรมบรรยาย
๖. โรควิตกกังวล และ อาลัยอาวรณ์
ทีนี้มันก็มี โรควิตกกังวล ที่มันเป็นเรื่องอนาคต วิตกไปว่าจะ เป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ ใครไม่วิตกกังวล ใครนอนหลับสนิททันที ไม่วิตกอนาคต แล้วมันก็คู่กันกับ อาลัยอาวรณ์ นี่เป็นเรื่องอดีต อดีตที่ ผ่านมาแล้วก็ยังอาลัยอาวรณ์
วิตกกังวลก็เป็นเรื่องอนาคตข้างหน้า อาลัยอาวรณ์ก็เป็นเรื่องอดีตข้างหลัง ใครบ้างไม่เป็นโรคนี้ ใครนอนลงแล้วหลับสนิททันทีบ้าง มันก็ต้องมีอาลัยที่นั่นที่นี่ อาวรณ์ที่นั่นที่นี่ แล้วโดยเฉพาะถ้ามันเป็นเรื่องรุนแรงๆ กลัวมันจะเป็นจะตาย
ลูกมันจะตกน้ำตาย ลูกมันจะถูกรถทับตาย พ่อแม่มันก็หายใจไม่เป็นสุขอยู่ที่บ้าน ทีนี้ถ้าลูกมันได้ตายไปจริงๆ มันก็อาลัยอาวรณ์ ร้องห่มร้องไห้อยู่หลายวันหลายเดือน นี่มันเป็นโรคอาลัยอาวรณ์ โรคทางจิต โรคทางวิญญาณ เครียดๆๆๆ เจ้านายจะชอบ ผลงานของเราไหมนะ
24
คนไข้ไปนิพพาน
ฮือๆ ตัวเองไม่อยู่แล้ว เค้าจะอยู่กับใคร เค้าจะตามไปด้วย
เมื่อเกิดความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวตน หลงสมมติ ความเห็นแก่ตัวก็เกิดตามจริงๆ
พ่อซื้อให้ผมนะ พี่ก็มีตุ๊กตาแล้วนี่
๗. โรคอิจฉาริษยา
ทีนี้ โรคอิจฉาริษยา อย่าเข้าใจว่าเป็นเรื่องง่ายๆ นะ อิจฉา ริษยานี่มันเป็นโรคลึกๆ ในสันดานเหมือนกัน เป็นโรคทางสัญชาตญาณ เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นแล้วไอ้เด็กเล็กๆ มันอิจฉาพี่อิจฉาน้องมันไม่ได้ หรอก ไอ้ตัวเล็กๆ น่ะ มันอิจฉาเป็นแล้ว เพราะมันติดมาแต่ในสันดาน เป็นโรคของสัญชาตญาณ
อิจฉาริษยาเพียงเขาดีกว่าเราเท่านั้นแหละ เขาไม่ได้ทำอะไรเรามากมาย เพียงแต่เขาดีกว่าเรา มันก็อิจฉาแล้ว ผู้หญิงนั้นเป็นกันมาก ถ้าใครสวยกว่าตัวแล้วก็อิจฉา ไม่ต้องมีเรื่องอะไร เพียงแต่เขาสวยกว่าตัวมันก็อิจฉา โรคอิจฉาริษยามันไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมากมาย แล้วมันก็กัดๆๆ หัวใจกี่มากน้อย ไอ้โรคอิจฉาริษยานี่ มันกัดหัวใจกี่มากน้อย ขอให้ลองคิดดู บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 25
ธรรมบรรยาย
เฮ้ย ! ของเล่นใหม่นี่ พ่อซื้อให้ฉัน เอามานี่นะ
ธรรมบรรยาย
ถ้าเป็นเรื่องร่ำรวย สวยกว่า ดีกว่า มีอำนาจวาสนามากกว่าแล้ว มันก็ อิ จ ฉาๆๆ เดี๋ ยวนี้มันก็เป็นเรื่องอิจฉากัน ระหว่ า งประเทศต่ า งๆ นานา มันจะแย่งกันครองโลก มันอิจฉาริษยากัน มันคิดที่จะล้างผลาญ กัน อิจฉาริษยานี่มันจะทำโลกให้วินาศ อรติ โลกนาสิกา๑ ความริษยา เป็นเครื่องทำโลกให้ฉิบหาย นี่คอยดูเถอะ ถ้ามันระงับความอิจฉากัน
ไม่ได้ แล้วมันก็ใช้อาวุธมหาประลัยนิวเคลียร์อะไรกันขึ้นมา มันก็วินาศ เหมือนกัน ไอ้โรคอิจฉานี่ อิจฉาริษยา ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ! มาดูถูกเราอีกแล้ว เจ้านายก็ไม่เห็นหัวเรา ไปยกตำแหน่งหัวหน้า ให้มันทำไม !
แต่เดี๋ยวนี้อิจฉากันอยู่ที่บ้านที่เรือนนี่มันก็อิจฉากันนะ ถ้าเห็น ว่าไอ้พริก มะเขือ มะละกอ หมาก ส้มของเขาเป็นลูกดกกว่าของเรา มัน ก็อิจฉาเสียแล้ว เพียงเท่านั้นมันก็อิจฉาเสียแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดา สามัญที่สุด บางทีไม่ได้เป็นเรื่องอะไรกัน มันก็อยากจะให้เพื่อนฉิบหาย เพราะมันเป็นคู่เคียงคู่แข่งกัน อยากให้ไฟไหม้บ้านเพื่อน ให้น้ำท่วม
บ้านเพื่อน อย่ามาท่วมบ้านกู นี่เพราะมันอิจฉาริษยา มันเป็นโรคทาง วิญญาณอย่างนี้ ถ้าไม่มีจะดีไหม ๑
อรติ โลกนาสิกา (อ่านว่า อะ-ระ-ติ โล-กะ-นา-สิ-กา) แปลว่า ความอิจฉาริษยาทำให้โลก
เสื่อม (พุทธศาสนสุภาษิต)
26
คนไข้ไปนิพพาน
ธรรมบรรยาย
๘. ความหวง
ล่วงหน้าๆ ไม่ทันมีเรื่องมีราวก็หวงไว้ล่วงหน้า ยิ่งกว่ามดแดง มดแดงมันหวงเพราะมีสิ่งที่จะหวง แต่คนนี่ไม่ต้องมีวัตถุข้าวของมันก็ หวงไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ว่ามะม่วงยังไม่ออกลูกก็หวงไว้ล่วงหน้าว่ามัน
ออกมากูจะไม่ให้ใครหรอก มันก็หวงไว้ล่วงหน้าอย่างนี้ก็ได้ เป็นความ หวง หวงแหนก็ได้ เป็นความหวง หวงแหน “มัจฉริยะ” แปลว่า หวงแหน
หวงเงิน หวงทอง หวงข้าว หวงของ หวงความดี กลัวว่าคนอื่นจะดีเท่าตัว ก็ไม่อยากจะให้คนอื่นดีขึ้นมา ก็หวงความดี ก็ปิดความรู้ ฉันไม่แบ่งแกหรอก มีความรู้อะไรก็ไม่อยากจะให้เพื่อนรู้ หวงเสียนี่
๙. ความหึง
ขี้งก !!
ถ้ า มั น เป็ น วงแคบเข้ า มา เข้ ม ข้ น เข้ า มา มั น ก็ เ ป็ น ความหึ ง ความหึงนี่รู้กันแล้วไม่ต้องอธิบายหรอก เฮ้ย !!
ความหึงนี่มันกัดหัวใจเท่าไร คนหึงรู้ดี ไม่ต้องพูดก็ได้ กัดหัวใจกี่มากน้อย คนที่หึงเป็นหรือหึงอยู่มันรู้ดี ความหวง ความหึง อันนี้ก็เป็นโรคทางวิญญาณ
แฟนข้าใครอย่าแตะ
บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 27
ธรรมบรรยาย
๑๐. ความยึดติดของคู ่
ความยึดในของคู่ อันนี้ลึกละเอียด ติดยึดในของเป็นคู่ๆ ทำให้ เกิดความอยากขึ้นมาสองทาง คือทางบวกและทางลบ ทางบวก อยาก จะได้ อยากจะเอา อยากจะมี อยากจะเป็น อยากจะยึดครอง ทางลบ ก็ตรงกันข้าม อยากไม่มี ไม่เป็น อยากจะฆ่าเสีย อยากจะทำลายเสีย อยากจะไปให้พ้นเสีย คือยินร้าย มีสิ่งที่น่ายินดีก็ยินดีหลงใหล มีสิ่งที่น่ายินร้ายก็ยินร้าย มันปกติ อยู่ไม่ได้ อย่างนี้ก็เรียกว่าบวกหรือลบ เป็นภาษาวิทยาศาสตร์ บวกคือ ต้องการ ลบคือไม่ต้องการ มีบวกมีลบเมื่อมีสิ่งมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฟังให้ดี...
ถ้ามีสิ่งมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดเวทนาขึ้นมาแล้ว จะมีความรู้สึกไม่เป็นบวกก็เป็นลบแหละ ถ้าเวทนานั้นถูกใจก็รับเอา ยินดี หวงแหน เป็นบวก ถ้าไม่ถูกใจมันก็เป็นลบ เกลียด โกรธ อยากจะฆ่า อยากจะทำลาย นี่เรื่องเป็นบวก เป็นลบ ยินดียินร้าย ฟูๆ แฟบๆ นี่เป็นเรื่องเป็นของคู่ๆ เป็นธรรมดา ไม่ได้ดั่งใจ! ฉันจะเอาแบบที่ฉันชอบ
28
คนไข้ไปนิพพาน
แบบนี้ถูกใจผมมากเลยครับ ชอบจริงๆ ครับ
กำไรก็ชอบ ขาดทุนก็ไม่ชอบ ได้เปรียบก็ชอบ เสียเปรียบก็ไม่ชอบ ชนะก็ชอบ แพ้ก็ไม่ชอบ มันก็เป็นคู่ๆ ไม่รู้สักกี่ร้อยคู่ เป็นคนที่ติดอยู่ ในความหมายของสิ่งที่เป็นคู่ มีจิตใจไม่ปกติ ไม่เป็นอุเบกขา มันก็เป็นทุกข์แหละ
ธรรมบรรยาย
การยึดติดในของเป็นคู่ๆ ทำให้เป็นทุกข์
มันก็หวังด้วย ความเป็นบวกก็หวัง หวังยิ่งกว่าหวังสิ่งใดแหละ เหมือนกับคนหวังสวรรค์ก็หวังจนหมดหัวใจ หวังจนตายแหละ หรือว่า ถ้าเกลียดนรก ก็เอามาเกลียดกลัวจนไม่มีความสุขแหละ ถ้าไม่ต้อง เกลียด ไม่ต้องรัก ไม่ต้องหวังอะไร มันก็ไม่ดีกว่าหรือ ที่จริงความเป็นคู่ นี่เป็นเหตุให้เกิดความเห็นแก่ตัว ที่มันน่ารักก็เกิด ตัวกู ที่จะรักขึ้นมา ทันที ที่มันน่าโกรธ ไม่น่ารัก ก็เกิด ตัวกู ที่ไม่รักขึ้นมาทันที ตัวกูไม่ได้ เกิดอยู่ตลอดเวลาหรอก เกิดแต่เมื่อมีสิ่งที่มาครอบงำใจรุนแรง เช่น ความอร่อย ความสวยงาม อะไรครอบงำใจก็เกิดตัวกูที่รัก
ที่จะเอาขึ้นมา ถ้าว่ามันไม่อร่อย ไม่สวย ไม่งาม ไม่น่าปรารถนาก็เกิด
ตัวกูที่เกลียดโกรธขึ้นมา ตัวกูมันเพิ่งเกิดเมื่อมีอารมณ์อย่างนี้เข้ามา
ถ้าไม่มีอารมณ์อย่างนี้จิตมันก็ปกติ มันก็นอนหลับ พอมีอารมณ์แรงๆ
เข้ามาทางบวก มันก็เกิดตัวกูฝา่ ยบวก อารมณ์แรงๆ ฝ่ายลบเข้ามา มันก็ เกิดตัวกูฝ่ายลบ นี้ก็เรียกของเป็นคู่ๆ เป็นดี เป็นชั่วก็ได้ แต่ว่ามันดีชนิด ที่มันบ้าได้ หลงได้ เมาได้ บ้าดี เมาดี หลงดี นี่มันก็คือไฟชนิดหนึ่ง ชัว่ ก็ เหมือนกัน หลงเข้ามันก็วนิ าศทัง้ นัน้ สุขก็เถอะ บ้าสุข เมาสุข หลงสุขก็ไม่ มีความสุขหรอก บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 29
ธรรมบรรยาย
รักสวรรค์ เกลียดนรก ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ได้บุญเยอะๆ ขอให้ จะได้ไปสวรรค์ ได้เป็นเทวดาหล่อๆ มีวิมานและนางฟ้าสวยๆ เทอญ
ที นี้ ค วามยึ ด ติ ด นี้ มั น ก็ สู ง ขึ้ น มาถึ ง บุ ญ ลองบ้ า บุ ญ สิ บ้ า บุ ญ
เมาบุญ หลงบุญจนไม่มแี ผ่นดินอยู่ ฉะนัน้ อย่าหลงของเป็นคูเ่ ลย อยูเ่ ป็น ปกติตรงกลางดีกว่า พูดแล้วมันก็จะไม่มีใครชอบหรอก เมื่อไม่เอานรก แล้วก็อย่าเอาสวรรค์เลย มันบ้าเท่าๆ กันแหละ เมื่อไม่อยากได้นรกแล้ว ก็อย่าอยากได้สวรรค์เลย มันบ้าๆ บอๆ พอๆ กันแหละ
ต้องการพระนิพพานเถิด ไม่บวก ไม่ลบ สวรรค์เป็นบวก นรกเป็นลบ พระนิพพานไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ เพราะมันไม่อยู่ ในคู่ มันอยู่นอกคู่หรือเหนือคู่ แต่คนเราก็มีจิตใจติดอยู่ ในของเป็นคู่ๆ อย่างนี้เรียกว่าเป็นโรคทางวิญญาณ โรคร้ายกาจทางวิญญาณ ทรมานจิตใจที่สุด การเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ล้วนไม่เที่ยง เพียงแค่ชั่วคราว เมื่อหมดบุญก็ต้อง เวียนว่ายตายเกิดต่อไปตามกรรม ตามบุญบาปที่ได้กระทำไว้ ตายแล้วอาจจะไปเกิดใน อบายภูมิก็ได้ นี่คือความน่ากลัวของสังสารวัฏ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้ปฏิบัติธรรม
เพื่อ “พระนิพพาน” 30
คนไข้ไปนิพพาน
ธรรมบรรยาย
ไม่รัก ไม่ชัง ไม่บวก ไม่ลบ เบา สบาย ไม่เป็นโรคทางวิญญาณ จิตเดิมแท้ของเราทุกคนประภัสสร แต่เศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา คอยระมัดระวังใจ อย่าให้เศร้าหมองนะครับ
ที่รักก็ทำให้ลำบากเพราะรัก ที่เกลียด ที่น่าเกลียด ที่น่าชัง ก็ทำให้ลำบากเพราะชัง ถ้ามันมีรัก มีชัง มันก็อยู่ ในกองเพลิง อย่ามีรัก อย่ามีชัง ไม่มีบวก ไม่มีลบ นั่นแหละก็จะสบาย นี่ เรี ย กว่ า เป็ น โรคหลงในของที่ เ ป็ น คู่ ได้ ห รื อ เสี ย นี่ มั น ก็ เ ป็ น
คู่หนึ่งตรงกันข้าม บ้าได้ หลงได้ กลัวเสีย กลัวอะไรกันอยู่ตลอดเวลา ทรมานจิตใจด้วยเรื่องได้เรื่องเสียอยู่ตลอดเวลา ขยายออกไปเป็นวิตก กังวล วิตกกังวลนอนไม่หลับ วิตกกังวลนานๆ เข้าก็เป็นโรคกระเพาะ โรคมีแผลในกระเพาะใหญ่โตไปเลย ขอให้เรารู้ว่า เรื่องความรู้สึกที่เป็นบวกเป็นลบนี่ร้ายกาจที่สุด เลย อย่าไปบวกไปลบกับมัน ปกติๆ หมายความว่าไม่เป็นบวกไม่เป็น ลบ ถ้าว่ามันมีความเป็นบวกขึ้นมาแล้ว มันก็หลอกให้รักแหละ ถ้ามี ความเป็นลบขึ้นมา มันก็หลอกให้เกลียดให้กลัว ขอให้เข้าใจไว้อย่างนี้ บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 31
ธรรมบรรยาย
บุญ บาป กฎแห่งกรรม มีจริงหรือเปล่านะ ?
๑๑. ความสงสัย
ทีนี้ตัวอย่างข้อสุดท้ายอีกสักข้อหนึ่งก็ว่า ความสงสัย คำว่า “สงสัย” นี่ก็คือความไม่แน่ใจ หรือความไม่มีศรัทธาก็ได้ ไม่มีศรัทธา
มันก็ไม่แน่ใจ มันก็สงสัย ถ้าไม่แน่ใจว่าเราได้ทำถูกต้องแล้ว ครบถ้วน แล้ว ปลอดภัยแล้ว มันก็ต้องเป็นวิตกกังวลอยู่เพียงนั้นแหละ
เรื่องบุญกุศลก็เหมือนกัน ถ้ารู้สึกว่ายังทำไว้ไม่เพียงพอ ไม่แน่ ใจ มันก็เป็นห่วงกังวลอยู่เพียงนั้นแหละ เรื่องละกิเลสเป็นพระนิพพานก็เหมือนกันแหละ มันยังไม่แน่ ใจ มันยังสงสัยอยู่ว่าเรายังทำไว้ไม่พอ ยังจะต้องไปตกนรกเล่นสักพักหนึ่งก่อน ใครบ้างล่ะที่มันแน่ ใจได้ ก็มีบุญมากแหละ ใครมันแน่ ใจได้
ไม่มีความสงสัยในข้อนี้แล้ว นับว่ามีบุญมาก ถ้ายังสงสัยไม่แน่ ใจอยู่ มันก็ยังเป็นโรคทางวิญญาณ 32
คนไข้ไปนิพพาน
ธรรมบรรยาย
โรคทางวิญญาณที่เป็นกันมาก
ขอให้จำไว้ดีๆ เถอะ นี่มันเป็นเรื่องทดสอบว่ามีธรรมะหรือไม่มี
มีธรรมะเป็นเครื่องดับทุกข์เพียงพอแล้วหรือยัง อาการของโรคทาง วิญญาณนั้นมีมากแหละ ถ้าจะแจงกันแล้วมีมากหลายสิบอย่าง แต่เอา อย่างที่เข้มๆ ข้นๆ เห็นได้ง่ายมาพูดให้ฟังพอเป็นตัวอย่างสำหรับศึกษา ต่อไปว่า
ความรัก ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความโกรธ ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความเกลียด ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความกลัว ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความตื่นเต้น สงบอารมณ์ไว้ไม่ได้ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความวิตกกังวลในอนาคต ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความอาลัยอาวรณ์ ในอดีต ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความอิจฉาริษยา ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความหวง ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความหึง ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความหลงใหลในของเป็นคู่ ดึงซ้ายดึงขวาอยู่ไม่หยุดหย่อน นี่ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความสงสัย ไม่มีความแน่ ใจว่าปลอดภัยแล้ว ไม่แน่ ใจว่าหลุดพ้นได้แล้ว ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ทรมานใจ
บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 33
ธรรมบรรยาย
เป็นโรคทางวิญญาณเพราะขาดธรรมะ โรคทางวิญญาณน่ากลัวที่สุด เลยนะครับ
เรามาตั้งใจรักษา โรคทางวิญญาณ กันนะคะ สาธุ
เห็ น หรื อ ยั ง ว่ า มั น เป็ น โรคทางวิ ญ ญาณน่ ะ เป็ น ได้ ติ ด ต่ อ กั น
ทุกลมหายใจเข้าออกก็ได้ ส่วนโรคทางกายนัน้ บางทีเดือนหนึง่ ไม่ได้เป็น อะไรเลยก็มี โรคทางกายน่ะ ตั้งเดือนหนึ่งก็ไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่...
โรคทางวิญญาณนี้ ในวันหนึ่งเท่านั้นมันจะเป็นเสียตั้งสิบอย่าง ยี่สิบอย่าง
ร้อยอย่างก็ได้ถ้ามันเก่ง ความคิดที่มันผิดปกติไป ผิดหลักธรรมะไปเท่านั้นแหละ มันก็เป็นโรคทางวิญญาณ เรามารักษาโรคทางวิญญาณ นั่นแหละ มันจึงจะหมดโรคหรือจึงจะปลอดโรค พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า อย่าฝืนโลก อย่าฝืนธรรม อย่าประมาทในชีวิต ให้คิดถึง ความตาย ฝึกจิตให้พร้อมรับความตายไว้เสมอ แล้วจิตจักเป็นสุข เพราะร่างกายที่เห็นอยู่นี้ เป็นสมบัติของโลก ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายมันเสื่อมโทรมลงทุกวัน บังคับให้ มันทรงตัวไม่ได้ ทำได้เพียงดูแลมันไปตามหน้าที่ เมื่อร่างกายตายแล้ว จิตของเราเท่านั้น
ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีใครสามารถเอาร่างกายและทรัพย์สมบัติทางโลกไปได้ ให้หมั่น พิจารณาและยอมรับความจริงจนเห็นความเป็น “ธรรมดา” 34
คนไข้ไปนิพพาน
ธรรมบรรยาย
คาถาปรุง “ยาระงับสรรพโรค”
ที นี้ ก็ จ ะพู ด กั น ถึ ง ยาแก้ โรคทางวิ ญ ญาณ พิ ม พ์ แจกกั น ไป หลายพันหลายหมื่นฉบับแล้ว จะได้ผลคุ้มค่าหรือยังก็ไม่ทราบ จะบอก ชื่อตัวยาหรือเครื่องยาเสียก่อน ต้น “ไม่รู้-ไม่ชี้” นี่เอาเปลือก ต้น “ช่างหัวมัน” นั้นเลือก เอาแก่นแข็ง “อย่างนั้นเอง” เอาแต่ราก ฤทธิ์มันแรง ต้น “ไม่มีกู-ของกู” นี้แสวง เอาแต่ใบ ยาแผนปัจจุบันไม่สามารถ รักษาโรคทางวิญญาณได้นะคะ ต้น “ไม่น่าเอา-ไม่น่าเป็น” เฟ้นเอาดอก “ตายก่อนตาย” เลือกออก ลูกใหญ่ใหญ่่ หกอย่างนี้ อย่างละชั่ง ตั้งเกณฑ์ไว้ “ดับไม่เหลือ” สิ่งสุดท้าย ใช้เมล็ดมัน หนักหกชั่ง เท่ากับ ยาทั้งหลาย ต้องปรุงยาระงับสรรพโรค เคล้ากันไป เสกคาถา ที่อาถรรพ์ ด้วยตนเองนะครับ “สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย” อัน เป็นธรรมชั้น หฤทัย ในพุทธนาม จัดลงหม้อ ใส่น้ำ พอท่วมยา เคี่ยวไฟกล้า เหลือได้ หนึ่งในสาม หนึ่งช้อนชา สามเวลา พยายาม กินเพื่อความ หมดสรรพโรค เป็นโลกอุดร บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 35
ธรรมบรรยาย
“ยาระงับสรรพโรค” ประกอบด้วยเครือ่ งยา ๗ อย่าง
ยานี้ต้องการเครื่องยา ๗ อย่าง จำเอาไว้ให้ดีๆ นะ
ยานี้ต้องการเครื่องยา ๗ อย่าง คือ เปลือกต้น “ไม่รู้ไม่ชี้” แล้วก็แก่นต้น “ช่างหัวมัน” แล้วก็รากต้น “อย่างนั้นเอง” แล้วก็ใบต้นที่ว่า “ไม่มีตัวกูของกู” แล้วก็ดอกต้น “ไม่น่าเอาไม่น่าเป็น” แล้วก็ลูกของต้น “ตายเสียก่อนตาย” แล้วก็เมล็ดต้น “ดับไม่เหลือ” ๖ อย่างแรก เอาอย่างละ ๑ ชั่ง อย่างสุดท้าย “ดับไม่เหลือ”
นี่สำคัญมาก เอา ๖ ชั่ง เท่ากับสิ่งอื่นรวมกัน เรียกว่าเท่ายาทั้งหลาย รวมกันแล้วก็เป็น ๑๒ ชั่ง ก็ใส่หม้อ ใส่น้ำต้มให้เหลือ ๑ ใน ๓ กิน
๓ เวลา ครั้งละหนึ่งช้อนชาเรื่อยๆ ไป ก็จะหมดโรค หมดสรรพโรค
เป็น “โลกอุดร” น่ะ อยู่เหนือโลก เหนือโลกซึ่งเป็นโรค 36 คนไข้ไปนิพพาน
ทุกคนมีเครื่องยาทั้ง ๗ อยู่ในตัวแล้วใช่ไหมคะ
ใช่แล้วโยม เราจะต้องรู้จักเครื่องยา มีคนมาถามเหมือนกัน ถามอาตมาว่า เครือ่ งยานีจ้ ะไปซือ้ ทีไ่ หน ไปซือ้ ทีร่ า้ นไหน อาตมาก็ตอบไม่ถกู งงเหมือน กัน
เครื่องยาเหล่านี้มันคงไม่มีที่ร้านไหนขายหรอก แล้วที่ในป่าในทุ่งในนานี่มันก็คงจะไม่มี มันก็ต้องหาในตัวคนน่ะ หาในตัวคุณเองที่กาย วาจา ใจของคุณ ในชีวิตของคุณน่ะ ก็หาเครื่องยานี้ดูส ิ
หนังสือ ๑ เล่ม แบ่งกันอ่าน ๑๐ คน เผื่อแผ่แบ่งปันความสุขได้ ๑๐๐ คน หนังสือ ๑๐,๐๐๐ เล่ม แบ่งปันความสุขได้ ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ร่วมสร้างความสุข สนับสนุนการพิมพ์ (ยิง่ พิมพ์มาก ยิง่ ถูกมาก) ติดต่อโทร. ๐๒-๘๗๒-๘๐๘๐, ๐๒-๘๗๒-๘๑๘๑, ๐๒-๘๗๒-๕๙๗๘
บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 37
ธรรมบรรยาย
เครือ่ งยาทัง้ ๗ ไม่มขี าย หาได้ภายในตัวเอง
ธรรมบรรยาย
สรรพคุณของเครื่องยา ๗ ชนิด เครื่องยาชนิดแรกคือ ไม่รู้ไม่ชี้ ได้โอกาสปรุงยาแล้วนะลูก
แม่บ่นอีกแล้ว เบื่อจัง
๑. ไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่รู้ไม่ชี้” ก็อย่าไปจู้จี้อะไรให้มันมากนัก อย่าไปจู้จี้อะไรให้มันเกินไป อย่าจู้จี้พิถีพิถันนี่นั่นมากเกินไป ไม่มีเรื่องก็ทำให้มันมีเรื่อง เรื่องมันน้อยก็ไปทำให้เรื่องมันมาก นั่นน่ะเรียกว่ามันรู้มันชี้มากเกินไป มันวิตกกังวลไม่เข้าเรื่อง อาลัยอาวรณ์ไม่เข้าเรื่อง นี่รู้จักไม่รู้ไม่ชี้ เสียบ้างสิ ที่มันควรจะไม่รู้ไม่ชี้ได้ก็อย่าไปรู้ไปชี้กะมัน คนแก่ๆ เขาว่า
จู้จี้พิถีพิถันมากจะเป็นโรค นี่ต้องรู้จักไม่รู้ไม่ชี้กันเสียบ้าง บางอย่าง แกล้งทำหูหนวกตาบอดเสียดีกว่า นี่ไม่รู้ไม่ชี้ ปริยัติ รู้จัก, ปฏิบัติ รู้จริง, ปฏิเวธ รู้แจ้ง ดำรงชีวิตตามพระสัทธรรมเช่นนี้ มีผลทำให้เป็นคน รู้ดี ทำดี มีคุณภาพ (จริงหรือไม่ ? ใคร่พิจารณา) 38
คนไข้ไปนิพพาน
ธรรมบรรยาย
ถึงผมจะไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง อย่างที่เคยยึดมั่นถือมั่น แต่ผมก็จะตั้งใจทำงาน ให้ดีที่สุด คุณเลิกดูถูกคนอื่นเถอะนะ
เฮ้ย ! ทำไมครั้งนี้ไม่โกรธ เหมือนคราวที่แล้ว
เพราะเขาเห็น ตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งไม่ควรยึดมั่น ถือมั่นแล้วนั่นเอง ยึดมากก็ทุกข์มาก
๒. ช่างหัวมัน
แล้วก็ “ช่างหัวมัน” ช่างหัวมันคือรู้ว่า
ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา ฟังไม่ถูกก็ไม่รู้เรื่องว่ากฎอิทัปปัจจยตา กฎปฏิจจสมุปบาท๑ มันมีของมันอย่างนั้นน่ะ เราจะไม่ ให้มันเป็นอย่างนั้น ให้มันเป็นไปตามความต้องการของเรานี้น่ะ มันก็ไม่ได้สิ เมื่อมันต้องเป็นไปตามกรรม หรือต้องเป็นไปตาม กฎอิทัปปัจจยตา ก็ช่างหัวมันก็ได้ในที่ที่ควรจะช่างหัวมัน แต่มันมีข้อยกเว้นบางเรื่องที่ช่างหัวมันไม่ได้ ชีกระจ่างเขาเอา เครื่องชั่งมาวาง แล้วเอาหัวมันมาวางไว้บนเครื่องชั่งเพื่อจะให้เกิดความ หมายว่า “ชั่ง-หัว-มัน” ชั่งหัวมันอย่างนี้คุณเอาไปทำยาไม่ได้หรอก เครื่องชั่งกับหัวมันนี่คุณเอาไปทำยาไม่ได้ เอาไปทำยาไม่ได้ จะต้องรู้จัก ทำจิตใจอย่าให้มันเป็นทุกข์ มันรู้ มันชี้ มันจู้จี้ มันจริงจังไปเสียหมด ๑
ปฏิจจสมุปบาท (อ่านว่า ปะ-ติด-จะ-สะ-หมุบ-บาด) คือ การอธิบายถึงการที่ทุกข์เกิดขึ้น
เพราะอาศัยเหตุปัจจัยสืบเนื่องกันมา บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 39
ธรรมบรรยาย
“ให้ช่างหัวมัน” ถ้าเป็นเรื่องที่ต้อง เป็นไปตามกฎธรรมดา
ช่างหัวมันนี่มีคำกลอนที่เขียนไว้นานแล้วว่า
คาถาวิเศษคือ “ช่างมันเรื่องธรรมดา”
จงยืนกราน สลัดทั่ว “ช่างหัวมัน” ถ้าเรื่องนั้น นั้นเป็นเหตุ แห่งทุกข์หนา อย่าสำออย ตะบอยจัด ไว้อัตรา ตัวกูกล้า ขึ้นไป อัดใจตาย เรื่องนั้นนิด เรื่องนี้หน่อย ลอยมาเอง ไปบวกเบ่ง ให้เห็นว่า จะฉิบหาย เรื่องเล็กน้อย พลอยเห็น เป็นมากมาย แต่ละราย รีบเขวี้ยงขว้าง ช่างหัวมัน เมื่อตัวกู ลู่หลุบ ลงเท่าไร จะเยือกเย็น ลงไป ได้เท่านั้น รอดตัวได้ เพราะรู้ใช้ “ช่างหัวมัน” จงพากัน หัดใช้ ไว้ทุกคน
หัดใช้ความคิดเรื่อง “ช่างหัวมัน” นี้ไว้ให้พอสมควร
ให้รู้จักช่างหัวมัน ช่างหัวมันนี่ตัดออกไปเสียได้ตามสมควร ถ้ามันเป็นเรื่องที่ว่ามันเป็นไปตามธรรมดา ตามกฎอิทัปปัจจยตา
40
คนไข้ไปนิพพาน
ธรรมบรรยาย
“อย่าช่างหัวมัน” ถ้าเป็นเรือ่ งทีจ่ ะต้องช่วยเหลือผูอ้ นื่
ทีนี้อีกทางหนึ่งตรงกันข้าม อย่าช่างหัวมันๆ ถ้ามันเป็นเรื่องที่ จะต้ อ งช่ ว ย จะต้องแก้ไขแล้วนี่อย่าช่างหั ว มั น ก็เลยมีคำกลอนที่ ตรงกันข้ามว่า อย่าบิ่นบ้า มัวแต่อ้าง “ช่างหัวมัน” ถ้าเรื่องนั้นนั้น เกี่ยวกับเพื่อน มนุษย์หนา ต้องเอื้อเฟื้อ ปฏิบัติ เต็มอัตรา เมื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมแล้ว อย่าลืมช่วยกันระดมธรรม โดยถือว่า เป็นเพื่อนเกิด แก่เจ็บตาย นำสันติสุขให้ผู้อื่นได้สุขตามนะครับ การช่วยเพื่อน เหมือนช่วย ตัวเราเอง ธรรมะสวัสดีครับ เมื่อจิตเพ่ง เล็งช่วย ทวยสหาย ย่อมลดความ เห็นแก่ตัว ลงมากมาย ทุกทุกราย อย่าเขวี้ยงขว้าง ช่างหัวมัน เจริญในธรรม ครับทุกท่าน เห็นแก่ตัว เบาบาง ลงเท่าไร ยิ่งเข้าใกล้ พระนิพพาน เห็นปานนั้น รอดตัวได้ เพราะไม่มัว ช่างหัวมัน จงพากัน ใคร่ครวญ ถ้วนทุกคน
“ช่างหัวมัน” มันต้องใช้ในกรณีที่ควรช่างหัวมัน แต่ถ้าในการบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ช่างหัวมัน ที่มันจะมาทำให้เราเป็นทุกข์ ยุ่งยากลำบาก รำคาญ หยุมหยิมๆ ไปเสียหมดนี่ช่างหัวมันเสียบ้าง รู้จักช่างหัวมันทิ้งไปเสียบ้างก็จะได้เครื่องยามา
บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 41
ธรรมบรรยาย
ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันเป็นเช่นนั้นเอง รีบปฏิบัติธรรม เพื่อความพ้นทุกข์กันเถอะ
๓. เช่นนั้นเอง
ทีนี้ก็มาถึง “เช่นนั้นเองๆ”
ความเจ็บไข้มันก็มีตามธรรมชาติ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันก็มีตามธรรมชาติ ความวิบัติอย่างที่เราไม่คิดไม่หวัง มันก็มีตามธรรมชาติ เราจงเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ดี-ชั่ว บุญ-บาป บวก-ลบ นี่ก็เป็นเช่นนั้นเอง บุญมันก็ทำให้เวียนว่าย บาปมันก็ทำให้เวียนว่าย ให้เวียนว่าย ในวัฏสงสาร พ้นบุญพ้นบาปให้เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่บุญไม่บาป มันก็อย่างนี้ มันจึงจะหยุดเวียนว่าย ให้เห็นเช่นนั้นเอง คำนี้มันสูงสุดในพระพุทธศาสนาคำหนึ่งด้วยเหมือนกัน จำไว้ว่า “ตถตา” หรือ “ตถาตา” ก็ได้เหมือนกัน แปลว่า “เช่นนั้นเอง” ยิ่งอายุ มากๆ แก่ชราแล้วก็ยิ่งเก่งที่จะใช้เช่นนั้นเองๆ เพราะความเจ็บไข้มันมา
รบกวนมากขึ้นๆ แก่ชราแล้วอะไรๆ โดยรอบข้างมันจะรบกวนมากขึ้น ลูกหลานมันก็มากขึ้น มันก็รบกวนมากขึ้น ให้รู้จักเช่นนั้นเอง 42
คนไข้ไปนิพพาน
ธรรมบรรยาย
เมื่อเห็นเช่นนั้นเองถึงที่สุด ก็ถึงความเป็นพระอรหันต์ เห็นว่ามันเป็นอนัตตา มันไม่ใช่ตวั ตน คือทีแรกมันเห็นเป็นอนิจจัง มั น เปลี่ ย นแปลงเรื่ อ ย เพราะเปลี่ ย นแปลงเรื่ อ ยจึ ง ลำบากยุ่ ง ยาก
เลยเป็ น ทุ ก ข์ มั น เปลี่ ย นแปลงเรื่ อ ยแหละ เป็ น ทุ ก ข์ แ ล้ ว ไม่ มี ใ คร ต้านทานได้ นั่นมันเป็นอนัตตา มันเป็นอนัตตาคือมันเป็นเช่นนั้นเอง มั น เป็ น ไปตามกฎอิ ทั ป ปั จ จยตา แล้ ว ก็ เ ห็ น ว่ า เช่ น นั้ น เอง ก็ เ ห็ น สุญญตาๆ ว่างจากตัวตนๆๆ นี่ก็จะเห็นเช่นนั้นเอง ถึงที่สุดเห็นตถาตา ในที่สุด ไม่หวั่นไหว ไม่บวก ไม่ลบ ไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่เกลียด ไม่กลัว ไม่รัก ไม่โกรธ ไม่อะไรหมดหรอก ถ้าเห็นเช่นนั้นเอง คือ ตถาตา, ตถา แปลว่า เช่นนั้นเอง, ตถะ แปลว่า ถึง, ตถาคตะ คือ พระตถาคต แปลว่า ผู้ถึงซึ่ง เช่นนั้นเอง คือเป็นพระอรหันต์
ผู้ใดมีเช่นนั้นเองเต็มที่ไม่มีหวั่นไหว ไม่มีบวก ไม่มีลบ ไม่มีขึ้น ไม่มีลง ไม่มีดี ใจเสียใจ ไม่มีอะไรอีกต่อไป นี่เรียกว่า พระตถาคต ถึงซึ่งความเป็นเช่นนั้นเอง คือความคงที่ๆ อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป
ถ้ า เห็ น เช่ น นั้ น เองเสี ย แล้ ว มั น ไม่ มี อ ะไรมายั่ ว ได้ อะไรมาก็
“เช่นนั้นเอง” น่ารักมาก็เช่นนั้นเอง น่าเกลียดมาก็เช่นนั้นเอง น่ากลัว มาก็เช่นนั้นเอง อะไรก็ปรุงแต่งไม่ได้ นั่นแหละคือว่าเห็นเช่นนั้นเอง
ก็คงที่ ก็เป็นพระตถาคต คือเป็นพระอรหันต์ บริษัท สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำกัด 43
ธรรมบรรยาย
ความยึดมั่นว่ามีตัวตนนี้ ก็มีดีเหมือนกันนะ ทำให้เรารู้จักดิ้นรนแสวงหา ไม่เกียจคร้าน
แต่ถ้ายึดมั่นมากเกินไป ก็จะทำให้เป็นทุกข์นะพ่อ หนูเห็นด้วย ค่ะแม่
๔. ไม่มีตัวกู-ของกู
ทีนี้เครื่องยาที่สี่ก็ “ไม่มีตัวกู-ของกู” ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู นี่คือ สติปัญญาสูงสุด จะเห็นว่ามันเป็นตามธรรมดา ตามธรรมชาติ มีเหตุ ปัจจัยปรุงแต่ง มันก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามอิทัปปัจจยตา ตาม ปฏิจจสมุปบาท ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไปตามกฎของไตรลั ก ษณ์ ไม่ มี อ ะไรที่ จ ะดึ ง เอามาเป็ น ตั ว กู ข องกู ที่ จ ะต่ อ สู้ กั บ กฎของ ธรรมชาติได้ แต่ว่า...
ตัวกูของกูนี่มันเกิดมาในใจเพราะความไม่รู้ เพราะอวิชชา เพราะสัญชาตญาณตามธรรมดาของสิ่งที่มีชีวิต
มันต้องรู้สึกเป็นตัวกูของกู เป็นรากฐานสำหรับจะได้หากิน สำหรับจะได้ต่อสู้ สำหรับจะได้วิ่งหนีอันตราย สำหรับจะได้สืบพันธุ์ไว้อย่าให้สูญพันธุ ์ นี่ แ หละ มั น เป็ น ความรู้ สึ ก ของสั ญ ชาตญาณในสิ่ ง ที่ มี ชี วิ ต
ทั้ ง หลาย ของมนุ ษ ย์ ก็ มี ของสั ต ว์ เ ดรั จ ฉานก็ มี ของต้ น ไม้ ต้ น ไร่ ก็ มี
ความรู้สึกว่าตัวกูแม้แต่ต้นหญ้าไมยราบน่ะ เอามือไปถูกเข้ายังหุบเลย แล้วมันหนีภยั มันรูจ้ กั สงวนตัวกู ความรูส้ กึ เป็นตัวกูๆ มันมีในสิง่ ทีม่ ชี วี ติ 44
คนไข้ไปนิพพาน