ไขข้อข้องใจ 2

Page 1


䢢ŒÍ¢ŒÍง㨠จาก “มงคลสาร” เดือนมีนาคม ๒๕๑๙

นมัสการ พระมหาทองดี ที่เคารพอย่างสูง ในฐานะที่ผมเป็นชาวพุทธคนหนึ่ง ใคร่ขอถามความสงสัย และคิด ว่าความสงสัยของผมคนอื่นๆ อีกหลายต่อหลายคนก็คงจะคิดอย่างผมบ้าง เหมื อนกัน จึงขอถามเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้

๑. การฆ่าสัตว์ถือว่าเป็นบาปเพราะเหตุไร ถ้าฆ่าสัตว์ที่เกิดมาเป็น อาหารของมนุษย์ทำไมจึงถือว่าเป็นบาป การฆ่าสัตว์ไปทำบุญจะได้บุญหรือไม่ และพระที่ฉันเนื้อสัตว์จะบาปด้วยไหม เพราะถ้าพระไม่ฉันเนื้อ คนก็ไม่ฆ่าสัตว์ ทำบุ ญ

๒. เดี๋ยวนี้ทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลา หากชักช้าจะไม่ทันกิน และต้องมีอุบายร้อยแปด หากมัวเข้าวัดฟังธรรมหรือมัวคิดจะไม่ให้ผิดธรรม อยู ่แล้ว จะหากินทันคนได้อย่างไร จะมิเป็นว่างอมืองอเท้าไปหรือ ๓. คนเราตายแล้วไปไหน นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ มีอะไรเป็น เครื ่องพิสูจน์ และใครเคยไปมาแล้ว

๔. อะไรคือความสุขที่แท้จริงของมนุษย์ และจะทำให้เกิดความสุข เช่ นนั้นได้อย่างไร


2

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

หวังได้รับความกรุณาอธิบายให้เข้าใจด้วย. นมัสการด้วยความเคารพ เดชา สอยเหลือง

ถาม การ¦่าสัตว์ถือว่าเป็นบาปเพราะเหตุไร ถ้า¦่าสัตว์ที่เกิดมาเป็น อาหารของมนุษย์ทำไมจึงถือว่าเป็นบาป การ¦่าสัตว์ไปทำบุญจะได้บุญ หรือไม่ และพระที่©ันเนื้อสัตว์จะบาปด้วยไหม เพราะถ้าพระไม่©ันเนื้อ คนก็ ไม่¦่าสัตว์ทำบุญ ตอบ ในยุคที่ประชาชนกำลังตื่นตัวในหลักประชาธิปไตย ทำให้ความคิด ความเห็ นตลอดถึงการกระทำดูคล้ายกับว่าเป็นตัวของตัวเองมากยิ่งขึ้น

เกี่ยวกับเรื่องการฆ่าสัตว์นี้เราลองมาฟังเหตุผลกันดูบ้างปะไร

การฆ่าสัตว์ถือว่าเป็นบาปเพราะเป็นการเบียดเบียนเขาให้ได้รับ ความเดือดร้อน เป็นการตัดโอกาสมิให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป เพราะ ตามปกติไม่ว่าคนหรือสัตว์ต่างก็รักสุขเกลียดทุกข์ ต้องการมีชีวิตอยู่นานๆ ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งข้อนี้เราสามารถดูได้จากการที่ทั้งคนและสัตว์พยายาม แสวงหาอาหารเพื่อความอยู่รอด แม้จะต้องผจญอันตรายต่างๆ ก็ยอม พยายามป้องกันตัวเองจากโรคภัยไข้เจ็บ จากศัตรูรอบตัว และพยายามต่อสู้ กับอุปสรรคสิ่งกีดขวางต่อความราบรื่นในการมีชีวิตอยู่ ทั้งนี้ก็เพราะรักตัว กลัวตายนั่นเอง เมื่อไปทำเขาตายจึงถือว่าเป็นบาป เป็นความชั่ว และเป็นบาป เพราะจิตใจของผู้ฆ่าหยาบช้าทารุณ เป็นใจที่เศร้าหมอง ขาดเมตตาธรรม


พระธรรมกิตติวงศ์

โดยมากมนุษย์เรามักคิดเอาเองว่า ถ้าฆ่าสัตว์ที่เกิดมาเพื่อเป็น อาหารของมนุษย์แล้ว ทำไมต้องเป็นบาปด้วยเพราะมันเกิดมาเพื่อถูกฆ่า แต่สัตว์มันไม่คิดอย่างมนุษย์เลย ทั้งไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไปว่าตัวมันเกิดมา เพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ มนุษย์เราต่างหากที่เหมาเอาเองอย่างนั้นแล้วไป ฆ่ามัน สัตว์บางประเภทจะแสดงความรู้สึกออกมาเมื่อรู้ว่าตนจะถูกฆ่า เช่น หมู วัว ควาย หรือสัตว์เล็กๆ มันก็จะดิ้นรนพยายามหนีเอาตัวรอด นี่ แสดงว่ามันไม่อยากให้มนุษย์ฆ่า มันอยากอยู่ต่อไปอีกนานแสนนานเหมือน มนุ ษย์เราเช่นกัน

หากคิดว่ามันเป็นอาหารของเรา ฆ่าได้ไม่บาปแล้ว ทีคนเราถูกโรคภัย ไข้เจ็บมารุมกิน ถูกยุงกัด หรือเข้าป่าถูกงูกัด ตกน้ำตกทะเลถูกฉลามกินบ้าง ทำไมจึงไปโทษมัน และเหตุใดจึงไปฆ่ามันเสีย ก็ในเมื่อมันก็คงคิดว่ามนุษย์ เป็นอาหารของมัน เลือดและเนื้อมนุษย์คืออาหารของมันที่มันต้องการ มัน กัดมันกินคนก็เพราะถือว่าคนเป็นอาหาร มันกินอาหารของมัน อย่างนี้สัตว์ เหล่ านั้นผิดด้วยหรือ หากมีใจเป็นธรรมกันก็จะได้คำตอบที่ถูกต้อง การอ้างข้างต้นนั้นเป็นการอ้างที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์เสียมากกว่า โดยถือว่ามีกำลังกว่า มีสมองดีกว่า สัตว์มันก็คงคิดจองเวรจองกรรมกับ มนุ ษย์บ้างว่าได้ทีเมื่อไรข้าเอาเอ็งแน่ อะไรทำนองนี้

แต่บาปอันเกิดจากการฆ่าสัตว์นั้นมีไม่เท่ากัน ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ ว่า ฆ่าสัตว์ใหญ่มีโทษมาก ฆ่าสัตว์เล็กก็มีโทษน้อย ฆ่าสัตว์มีคุณประโยชน์ ต่อมนุษย์ต่อโลกมาก ก็มีโทษมาก ฆ่าสัตว์มีคุณประโยชน์น้อย ก็มีโทษน้อย และจะเป็ นบาปโดยสมบูรณ์เพราะประกอบด้วยลักษณะ ๕ ประการ คือ

(๑) ปาโณ (๒) ปาณสญฺญฺิตา

สัตว์ที่ฆ่ามีปราณคือมีลมหายใจ ผู้ฆ่าก็รู้ว่าสัตว์นั้นมีลมหายใจ


4

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

(๓) วธกจิตฺตํ (๔) อุปกฺกโม

มีเจตนาคือมีความจงใจที่จะฆ่า พยายามฆ่า แม้จะพยายามเพียงเอื้อมมือหรือ กระดิกนิ้วไปฆ่า (๕) เตน มรณํ สัตว์นั้นสิ้นลมหายใจไปเพราะความพยายามนั้น หากได้ลักษณะ ๕ ประการนี้ การฆ่าเป็นอันสมบูรณ์แล้วและเป็น บาปดังกล่าวมา หากทำไม่ครบลักษณะนี้ เช่นมีความพยายามฆ่า แต่สัตว์ ไม่ ตาย หรือฆ่าตายโดยไม่ตั้งใจ โทษก็ลดลงตามส่วน

ส่วนคำถามที่ว่าฆ่าสัตว์ไปทำบุญจะได้บุญไหมนั้น อันนี้ต้องแยกกัน คือบุญกับบาปเข้ากันไม่ได้ ตรงกันข้ามกัน บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป ที่ไหนมีบุญ บาปก็ไม่มี ที่ไหนมีบาป บุญก็ไม่มี เรื่องนี้ก็ต้องแยกกันให้ถูก เพราะต่างกรรมต่างวาระกัน คือตอนที่ฆ่าสัตว์หากพร้อมด้วยลักษณะข้างต้น ก็เป็นบาป แม้จะมีเจตนาฆ่าเพื่อนำไปทำบุญก็ตาม ตอนนำเนื้อไปทำบุญนั้น ก็ถือว่าเป็นบุญเพราะเป็นการทำดี แม้จะเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาทำบุญก็ตาม แต่อย่างไหนจะมากกว่ากันนั้นก็ต้องดูเวลาที่ทำ หากทำอย่างใดรุนแรงกว่า ก็ให้ผลหนักไปทางนั้น เช่นจงใจฆ่าและฆ่าด้วยวิธีทรมานสัตว์ ทั้งสัตว์นั้นเป็น สัตว์ที่มีคุณค่ามากด้วย แต่เวลานำไปทำบุญก็ทำไปตามประเพณี ไม่สนใจเรื่อง บุญเท่าไรนัก ถวายแล้วก็แล้วกันไป อย่างนี้ตอนแรกคือตอนที่ฆ่าหนักกว่า ผลย่ อมแรงกว่า คือมีบาปมากกว่าบุญ สำหรับคำถามที่ว่า “พระฉันเนื้อบาปไหม หากพระไม่ฉัน คนคง ไม่ ฆ่าสัตว์กัน” นั้น ข้อนี้ก็น่าคิดอยู่

แต่เมื่อพิจารณาดูให้ลึกแล้วจะเห็นว่า การที่พระฉันเนื้อนั้นเกือบจะ กล่าวได้ว่าไม่เกี่ยวกับการฆ่าสัตว์เลย เพราะท่านฉันเนื้อโดยฐานเป็นอาหาร บิณฑบาตที่ญาติโยมนำมาถวายเท่านั้น ซึ่งเนื้ออย่างนี้เรียกว่า “ปวัตตมังสะ”


พระธรรมกิตติวงศ์

คือเนื้อที่มีอยู่ตามธรรมดา เช่นเนื้อที่เขาขายตามตลาด หรือเนื้อที่เขาฆ่า รับประทานกันตามปกติ เนื้อเช่นนี้พระท่านฉันได้ พระวินัยมิได้ห้ามไว้ ส่วน เนื้อที่พระฉันแล้วผิดพระวินัยก็มี คือเนื้อที่เขาเจาะจงฆ่าถวาย ทั้งพระก็รู้ว่า เขาเจาะจงฆ่าถวายตัวเอง เนื้อชนิดนี้เรียกว่า “อุทิสสมังสะ” และเนื้อที่ พระสั่งให้เขาฆ่าถวายเอง เนื้อสองประเภทนี้พระฉันเป็นผิดพระวินัย แต่ถ้า เขาเจาะจงฆ่าถวายพระ แต่พระเองไม่รู้เรื่อง ก็ฉันได้ ไม่ผิด แต่ต้องไม่รู้ จริงๆ ไม่ใช่แกล้งทำเป็นไม่รู้ คือไม่ได้เห็นเขาฆ่า ไม่ได้ยินเขาพูดว่าฆ่า ถวายเฉพาะตน และไม่ได้รังเกียจสงสัยในทำนองนั้น อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จริง

ส่วนที่ว่าเพราะพระฉันเนื้อจึงทำให้คนฆ่าสัตว์กันนั้น ออกจะเป็นข้อ กล่าวหาที่รุนแรงไปหน่อย เพราะพระไม่ได้บังคับให้ฆ่า ไม่ได้บังคับให้ถวาย เมื่อชาวบ้านนำมาถวาย ท่านก็รับและฉัน เรื่องมันก็เท่านี้ และถึงหากว่า พระท่านไม่ฉันเนื้อ คนจะเลิกฆ่าสัตว์เลิกกินเนื้อกันเสียเมื่อไหร่ ดูอย่างใน ประเทศที่ไม่มีพระอาศัยอยู่เลยสักรูปเดียว สัตว์ต่างๆ ก็ยังถูกฆ่าไปเป็น อาหารทุกวันๆ เขาฆ่าไปถวายพระหรือ พระเรียกร้องหรือ ก็เปล่าทั้งนั้น แล้ วเขาฆ่าทำไม

ขอแถมนิดหน่อย ถือว่าเป็นของหวานก็แล้วกัน

การที่พระจะไม่ฉันเนื้อก็ดีเหมือนกัน บางท่านก็อาจสงสัยว่า ก็เมื่อ ดีเช่นนี้แล้วทำไมพระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงห้ามเสียเล่า ข้อนี้คงเป็นพระพุทธประสงค์ ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญู คงทรงหยั่งทราบและ ทรงมีเหตุผลที่ลึกซึ้ง หากทรงห้ามเสีย พระจะเป็นอย่างไร คนที่ขาดอาหาร ประเภทเนื้อสัตว์จะเป็นโรคอะไรบ้างก็รู้กันอยู่ พระองค์คงไม่ทรงต้องการให้ กองทัพธรรมของพระองค์หย่อนสมรรถนะทั้งกำลังสมองและกำลังกาย จึง มิได้ทรงห้ามไว้ แม้จะเคยมีผู้ทูลขอให้ทรงห้ามไว้ก็ตาม


6

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

ถาม เดีëยวนี้ทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลา หากชักช้าจะไม่ทันกิน และต้องมีอุบายร้อยแปด หากมัวเข้าวัดฟังธรรมหรือมัวคิดจะไม่ให้ผิด ธรรมอยู ่แล้วจะหากินทันคนได้อย่างไร จะมิเป็นว่างอมืองอเท้าไปหรือ ตอบ เรื่องนี้ยังมีผู้เข้าใจผิดกันอยู่เสมอว่า ศาสนาสอนให้คนงอมือ งอเท้า ศาสนาสอนให้คนอืดอาด ไม่กล้าทำงานให้คล่องตัว และคนที่เข้าวัด ฟังธรรมมักจะหากินไม่ทันคน เพราะกลัวผิดไปเสียหมดหรือเพราะเสียเวลา ไปกั บการไปวัด ส่วนมากคิดกันอย่างนี้ ความจริงจะโทษศาสนาไม่ถูกเลย ศาสนาทุกศาสนานั้นมีหลักคำสอน ในเรื่องการทำมาหากินครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นแต่ว่าผู้เข้าวัดฟังธรรมนั้นๆ มิได้ นำคำสอนที่เรียนหรือที่ฟังมาไปใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น ผลที่ตามมาจึงหากิน ไม่ค่อยพอกินหรือไม่ทันคน ส่วนบางคนซึ่งก็มีโดยมากเขาไม่รู้จักศาสนาไม่รู้จัก ธรรมะเสียด้วยซ้ำ แต่เขารู้จักทำมาหากิน ดำเนินชีวิตไปตามครรลองแห่งธรรมะ ของศาสนาโดยไม่รู้ตัว ผลที่ได้รับก็มีตามมา ทั้งเป็นผลดีเสียด้วย เหมือน เด็กน้อยนำเมล็ดมะม่วงไปโยนทิ้งไว้หลังบ้านโดยไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่ เมล็ดมะม่วงนั้นเมื่อได้น้ำได้ปุ‰ยลงตัวแล้วก็งอกออกมา เจริญเติบโตและให้ผล แก่เจ้าของคือเด็กคนนั้นและคนอื่นๆ ได้ ผู้ที่ไม่รู้ธรรมะ ไม่เข้าใจธรรมะ ไม่เคย ฟังธรรมะ แต่ปฏิบัติตัวและดำเนินชีวิตไปตรงกับหลักธรรมะทางศาสนาพอดี ก็ ย่อมได้รับผลดีอันเหมาะสมแก่การปฏิบัติ ในเรื่องการทำมาหากินนั้น ในทางศาสนาสอนให้ทุกคนขยันทำมา หากิน รู้จักเก็บงำ รู้จักหาคู่ครองที่ดี มีความเสียดายทรัพย์ที่หามาได้ รู้จัก ใช้จ่ายทรัพย์แต่พอควร ไม่สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟ„อย สอนให้รีบด่วนในเวลาที่ควร ด่วน โดยให้มีสติสัมปชัญญะกำกับเป็นบังเหียนรั้งใจไม่ให้ด่วนในทางผิด หรือทางเสียหายนอกลู่นอกทาง สอนให้รู้จักช้าในเวลาที่ควรช้า ดูทีท่า เหตุการณ์ด้วยสติปัญญาเสียก่อนค่อยลงมือ เป็นต้น


พระธรรมกิตติวงศ์

คนที่หากินไม่ทันคนนั้น ลองสืบหาสาเหตุดูว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ เพราะเข้าวัดหรืออย่างไร หรือเพราะเขาไม่นำพาต่อคำสอนทางศาสนาที่ได้ยิน ได้ ฟังมาจนชินหู

เป็นของแน่เหลือเกิน คนที่รู้ธรรมะแต่ไม่ปฏิบัติธรรมะ ย่อมไม่ได้รับ ผลของธรรมะ จึงสู้คนที่ไม่รู้ธรรมะแต่ปฏิบัติธรรมะไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรง เปรียบไว้ว่า เหมือนลูกจ้างที่รับจ้างเขาเลี้ยงวัวนม ได้แต่เลี้ยงและใกล้ชิดวัว ได้แต่ค่าจ้างเป็นค่าตอบแทนเท่านั้น หาได้รับผลคือน้ำนมและเนื้อของวัว เหล่านั้นไม่ ส่วนเจ้าของวัวแม้จะไม่ได้ใกล้ชิดกับวัวเลย แต่ได้นมและเนื้อ มันมาขายเลี้ยงชีวิตสบายไป ถาม คนเราตายแล้วไปไหน นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ มีอะไรเป็นเครื่อง พิ สูจน์ และใครเคยไปมาแล้ว

ตอบ คนเราตายแล้วก็ไปยังภพภูมิต่างๆ ตามกรรมคือการกระทำของตัว เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ตัวทำไว้นั้นจะสั่งสมผลอยู่ในจิต หรือสันดานของคนๆ นั้นไม่สูญหายไปไหน พอร่างกายหมดสภาพ (ตาย) ลง จิตหรือวิญญาณนั้นก็ออกจากร่างนั้นไปพร้อมกับสิ่งที่สะสม (กรรม) ไว้ และ ไปยังภพภูมิเพื่อเกิดใหม่ เหมือนเราอยู่บ้านหลังนี้มานานแล้ว พอบ้านพังไป ก็ ย้ายข้าวของพร้อมตัวเองออกไปหาบ้านใหม่อยู่ฉะนั้น

แต่หลังจากตายไปแล้วจะไปเกิดในภพภูมิใดนั้นก็แล้วแต่กรรมที่สั่งสม ไว้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เหมือนเรานำสัตว์ชนิดต่างๆ มาขังรวมกันไว้ พอปล่อย ออกไปเท่านั้น มันก็จะแยกย้ายกันไปตามถิ่นที่ท่ีมันมาหรือที่มันชอบ ไม่ไป ยังที่เดียวกัน นกก็บินไปบนฟ้า เสือก็วิ่งเข้าป่า ปลาก็ลงน้ำไป สุนัขก็ลงใต้ถุน แมวก็ป้วนเปี้ยนอยู่กับคน พวกแมลงวันก็บินหรี่ไปยังที่สกปรก หาของสด


8

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

ของคาวไป หนูและแมลงสาบก็วิ่งเข้าซอกเข้าที่รกๆ ไป มันไปต่างที่ต่างทิศกัน อย่ างนี้ คนที่ตายไปแล้วก็แยกย้ายกันไปตามกรรมนั้นๆ เช่นเดียวกันนี่แหละ

คนเราเกิดมาในโลกนี้ก็เหมือนกับสัตว์ที่ถูกจับมาขังรวมกันไว้

พอตายจากกันก็ไปตามยถากรรม คนทั่งมีกิเลสอยู่ก็ป้วนเปี้ยนอยู่ ในโลกมนุษย์นี่แหละ ไม่ค่อยอยากไปไหน คนที่หมดกิเลสแล้วก็นิพพานไป ไม่ต้องกลับมาผจญทุกข์ในโลกนี้อีก คนที่ทำดีไว้มากก็ขึ้นสวรรค์ไป ส่วนคน ที่ทำชั่วผิดไว้มากก็ตกนรกไปตามธรรมเนียม หลักของศาสนาเกือบทุกศาสนา ท่ านว่าไว้อย่างนี้ ปัจจัยที่เป็นเหตุหนุนนำให้คนได้เกิดอีกนั้นคือ อวิชชา ตัณหา และ อุ ปาทาน

อวิชชา คือความไม่รู้แจ้งเห็นจริง ความโง่เขลา ไม่ยอมรับสภาพ เป็นจริง ตัณหา คือความทะเยอทะยานอยากได้จนเกินเหตุ ความต้องการ ไม่สิ้นสุด อุปาทาน คือความยึดถืออย่างมั่นคงไม่ปล่อยวาง อะไรๆ ก็เป็นตัว เป็ นของตัวหมด ถ้ามีอย่างนี้ก็ต้องเกิดอีก ท่านเปรียบไว้เหมือนกับตะเกียงน้ำมัน หากยังมีไส้และน้ำมันอยู่ ไฟก็จะยังติดอยู่ หากหมดเชื้อหมดไส้ มันก็จะ มอดดั บไป จะจุดอีกเท่าไรก็ไม่ติด

ส่วนจะเกิดเป็นอะไรในภพภูมิไหน ก็แล้วแต่กรรมอย่างว่า ท่าน แสดงไว้ว่า - เกิดเป็นสัตว์นรก เพราะอำนาจโทสะเป็นส่วนมาก


พระธรรมกิตติวงศ์

- เกิดเป็นเปรตและอสุรกาย เพราะอำนาจโลภะเป็นส่วนมาก - เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะอำนาจโมหะเป็นส่วนมาก - เกิดเป็นมนุษย์ เพราะอำนาจศีล ๕ และอกุศลกรรมบถ ๑๐ - เกิดเป็นเทวดา เพราะมหากุศล ๘ - เกิดเป็นพรหม เพราะสมถกรรมฐานหรือฌานสมาบัติ - นิพพาน คือไม่เกิดอีก เพราะวิปัสสนากรรมฐาน

ปัญหาที่ว่า นรกสวรรค์มีจริงหรือ พิสูจน์ได้อย่างไร ใครเคยไปมาแล้ว นี้เป็นปัญหาที่สงสัยกันมาก และสงสัยกันมาทุกยุคทุกสมัย คือมีตั้งแต่เริ่ม นั บถือศาสนากันเลยทีเดียว

ตามหลักของพุทธศาสนาถือว่า นรกสวรรค์มีอยู่จริง แต่จะพิสูจน์ ให้เห็นด้วยตาเปล่าเหมือนการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์นั้นทำได้ยาก เพราะ ผู้จะพิสูจน์ได้ต้องมีเครื่องมือ เครื่องมือที่ว่านี้คือจุตูปปาตญาณหรือทิพพจักขุญาณ คือความหยั่งรู้การจุติของสัตว์ที่ตายไปแล้วว่าไปเกิดที่ไหนเหมือน กับเห็นด้วยตาเปล่า เครื่องมือนี้มีผู้เคยได้มาแล้ว ทั้งวิธีการเพื่อให้ได้มาก็ ยั งมีอยู่ ยังรอแต่คนกล้าที่จะเข้ามาเรียนวิธีและกล้าพิสูจน์เท่านั้น นรกสวรรค์นี้ตามธรรมดามองไม่เห็น แต่การจะปฏิเสธว่าสิ่งที่มอง ไม่เห็นเป็นสิ่งไม่มีจริงก็ไม่ถูกนัก เพราะในโลกนี้ยังมีสิ่งที่คนเรายังไม่รู้ไม่เห็นกัน และที่ยังพิสูจน์ไม่ได้อีกมาก และเราก็ปฏิเสธเต็มปากหรือลงความเห็นกันไม่ได้ ว่ ามันไม่มีจริง

ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้านอกจากจะไม่ทรงปฏิเสธ เรื่องนรกสวรรค์แล้ว กลับปรากฏว่าทรงแสดงเรื่องนี้ไว้ในพระสูตรต่างๆ หลายแห่ง เช่นอนุปุพพิกถาเป็นต้น ในที่นั้นพระองค์ทรงบรรยายสวรรค์ไว้ แจ่มแจ้งทีเดียว


10

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

ถาม อะไรคือความสุขที่แท้จริงของมนุษย์ และจะทำให้เกิดความสุข เช่ นนั้นได้อย่างไร ตอบ ความสุข คือ ความสบายกายสบายใจ มีความคล่องตัวคล่องใจ ในการเป็ นอยู่อย่างที่ชาวบ้านชอบพูดกันว่า “มีความอยู่ดีกินดี” นั่นแหละ

มนุษย์ทุกคนต้องการความสุขด้วยกันทั้งนั้น แต่ต้องการความสุข ไม่เหมือนกัน สำหรับมนุษย์ที่เบื่อโลกแล้ว ความสุขที่ต้องการคือการหมด กิเลสหมดกองทุกข์ได้สิ้นเชิง ส่วนมนุษย์ทั่วไปซึ่งยังไม่เบื่อโลก ความสุขที่ ต้องการแท้จริงก็คือความอยู่ดีกินดี มีคนเคารพนับถือ มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ มี สุขพร้อมนั่นเอง ความสุขอย่างที่ว่า เป็นความสุขของผู้ครองเรือนซึ่งภาษาพระเรียก ว่า “คิหิสุข” จะเกิดมีได้หลายทางด้วยกัน ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ท่ านแสดงไว้ ๔ ประการ คือ

(๑) สุขเกิดจากการมีทรัพย์

ทรัพย์ในที่นี้หมายถึงทั้งทรัพย์ที่มีวิญญาณ คือ บริวาร คนรับใช้ สัตว์พาหนะ สัตว์เลี้ยงต่างๆ และทรัพย์ไร้วิญญาณ คือ ที่ดิน บ้าน นา สวน อาหาร ของใช้ แก้วแหวนเงินทอง เป็นต้น คนเราหากมีทรัพย์อยู่กับตัว ก็พออุ่นใจได้ ไปไหนมาไหนทำอะไรก็สะดวกใจดี ถ้าขาดทรัพย์ อะไรๆ ก็ดูจะ ขาดไปเสียหมด แม้ทางศาสนาก็รับว่าความจนเป็นทุกข์ในโลก หากมีบ้านอยู่ มี เงินใช้ก็ถือว่ามีความสุขเกือบจะสมบูรณ์ ทรัพย์ย่อมทำให้คนเรามีความสุขได้ ดังนั้น เมื่อต้องการความสุข จำต้องหาทรัพย์ไว้เป็นสมบัติสำหรับตัว เมื่อมีทรัพย์แล้วก็คล่องตัวไปทุกอย่าง ผู ้คนก็ยอมรับ ดังคำโบราณว่า “มีเงินมีทองพอพูดได้ มีไม้มีไร่ปลูกเรือนงาม”


พระธรรมกิตติวงศ์ 11

(๒) สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์

เรื่องการจ่ายทรัพย์ดูเผินๆ แล้วไม่น่าจะกล่าวถึงทั้งไม่น่าจะทำให้ เกิดความสุขได้เลย เพราะเป็นการเสียทรัพย์ไป และใครๆ ก็จ่ายได้จ่ายเป็น หากมีทรัพย์อยู่ แต่ที่เป็นปัญหาก็คือหากไม่รู้จักใช้จ่าย หรือใช้จ่ายไปในทาง ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ทรัพย์นั้นอาจพาทุกข์มาให้ได้ และจะพาลหมดเอา เสียด้วย อย่างเช่นในกรณีที่มีเงินแล้วไปว่าจ้างคนให้ไปทำทุจริตผิดกฎหมาย เข้า หรือเก็บไว้เฉยๆ ไม่รู้จักใช้ก็ลำบากใจ ต้องระวังรักษา กลัวเขาจะมา ลั กมาขโมยเอาไป เกรงเขาจะรู้ว่ามีเงินมีทองมาก เป็นต้น

การใช้จ่ายทรัพย์ที่จะนำความสุขมาให้ได้ก็ต่อเมื่อรู้จักใช้ รู้จักอะไร ควรไม่ควร ใช้แบบประหยัดไม่ใช้แบบสุรุ่ยสุร่าย หรือแบบมีเท่าไรใช้หมด หมดแล้ วหาใหม่ ในกรณีนี้ ท่านวางหลักในการใช้จ่ายทรัพย์ที่จะก่อให้เกิดความสุข และเป็ นการใช้ในทางที่ถูกที่ควร คือ

- จ่ายเลี้ยงตัวเอง มารดาบิดา บุตร ภรรยา คนรับใช้ให้เป็นสุข พอสมควรแก่อัตภาพ - จ่ายเลี้ยงเพื่อนฝูงให้เป็นสุขพอควรแก่อัตภาพ - จ่ายในการป้องกันอันตรายต่างๆ ที่จะเกิดและเกิดแล้ว เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ เป็นต้น - จ่ายเพื่อทำพลี ๕ อย่าง มีเสียภาษี เป็นต้น - บริจาคทานในสมณะ ชี พราหมณ์ ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ

แต่ทรัพย์ที่จับจ่ายแล้วนำความสุขมาให้น้ันต้องเป็นทรัพย์ที่หาได้ด้วย น้ำพักน้ำแรง ได้มาโดยถูกธรรม และเป็นทรัพย์บริสุทธิ์ จ่ายแล้วจึงสบายใจ


12

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

สิ่งของที่เราใช้นั้นหากได้มาจากการซื้อหาด้วยทรัพย์บริสุทธิ์ก็ใช้ได้สะดวกใจ ไม่ ต้องหวาดระแวงคนจะสงสัยว่าได้ทรัพย์จากไหนมาซื้อ ตรงกันข้ามหากเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยมิชอบ โดยไม่ถูกธรรม เช่น ได้มา ด้วยการทุจริต ฉ้อโกง ลักปล้นเขามา ก็จ่ายไม่คล่องตัว ต้องหวาดระแวง กลัวคนจะรู้ สิ่งของที่ลักขโมยเขามาก็ไม่กล้านำออกมาใช้ให้คนเห็น กลัว ถูกจับได้ คนมีทรัพย์เช่นนี้ย่อมจะไม่ได้ความสุข ไม่ได้ความสะดวกใจในการ ใช้ จ่ายทรัพย์ที่ตนมี

(๓) สุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้

การเป็นหนี้สินคนอื่นถือว่าเป็นยอดของความทุกข์อย่างหนึ่ง ดัง พระพุทธภาษิตว่า อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก - การกู้หนี้ยืมสินเขามาเป็นทุกข์ ในโลก และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ลูกหนี้ทุกคนมักจะนอนไม่เป็นสุข ใจพะวง กังวลอยู่กับการใช้หนี้ หากหาให้ไม่ทันก็ยิ่งหนักใจเพิ่มขึ้น แม้ว่าหน้าจะยิ้ม แต่ภายในนั้นหาความสุขจริงๆ ไม่ได้เลย เมื่อถูกทวงหนี้ก็จำต้องหน้าทน ผลัดวันชำระหนี้ ไม่เคยโกหกก็ต้องโกหกเป็น ไม่เคยหนีหน้าคนก็ต้องหนีหน้า ทุกข์เพราะเงินต้นยังไม่พอ ยังทุกข์เพราะดอกอีกเล่า มันจะงอกอยู่ทุกวัน หาก ได้ ใช้หนี้ไปได้บ้างหรือใช้หมดไปก็เหมือนกับยกภูเขาออกจากอกอย่างนั้นแหละ ผู้ที่ไม่เคยเป็นหนี้ใครจึงถือว่าเป็นไทเป็นอิสระแก่ตัว จะไปไหนมาไหน ก็ไม่ต้องพะวงใจ คนมีหนี้ไม่มีอิสระอย่างนั้น ยิ่งหนี้มากก็เหมือนกับมีเพช¬ฆาต ตามติ ดอยู่เสมอทีเดียว หากต้องการทราบว่าความเป็นหนี้มันทุกข์ขนาดไหน ลองไปกู้ยืมหนี้ ยื มสินเขาดูเถิด จะรู้ดี


พระธรรมกิตติวงศ์ 1

(๔) สุขเกิดจากการทำงานที่ไม่มีโทษ

ข้อนี้บ่งบอกถึงการมีความสุขจากการประกอบอาชีพที่สุจริตไม่ผิด ศีลธรรมและกฎหมาย ทำงานที่สุจริตอย่างนี้ย่อมได้รับความสบายใจ ไม่ต้อง วิ ตกกังวลคอยถูกจับผิด

คนเราหากไม่มีงานทำก็เดือดร้อน หรือทำงานที่ทุจริตก็เดือดร้อนอีก ยิ่งเป็นงานทุจริตที่ก่อความเสียหายให้แก่สังคมส่วนรวม แก่ทางราชการด้วย แล้วยิ่งเป็นทุกข์กังวลมากขึ้น มีความไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา กลัวเขาจะ จั บได้ไล่ทันบ้าง ต้องหลบต้องซ่อนตัวบ้าง

ดังนั้น ผู้มีงานทำเป็นหลักฐาน แม้เป็นงานที่มีรายได้ต่ำและไร้เกียรติ แต่เป็นงานที่สุจริต ไม่ผิดศีลผิดธรรม ย่อมได้รับความสบายใจกว่าผู้ทำงาน ทุจริตผิดศีลธรรมและกฎหมาย แม้ว่างานนั้นจะเป็นงานมีรายได้สูงและมีเกียรติ ก็ ตาม สุขของมนุษย์ ๔ ประการนี้เป็นสุขที่พึงปรารถนาของทุกคน เมื่อ ต้องการก็พึงแสวงหากันเถิด. พระมหาทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙



䢢ŒÍ¢ŒÍง㨠จาก “มงคลสาร” เดือนเมษายน ๒๕๑๙

นมัสการ พระมหาทองดี ที่เคารพอย่างสูง กระผมได้ติดตามมงคลสารมาโดยลำดับ ทำให้เกิดความรู้หลายๆ ด้านในพระพุทธศาสนา แต่ผมเป็นคนชอบคิด เห็นพิธีการบางอย่างทางศาสนา แล้วชวนให้เกิดความสงสัยอยู่เรื่อย บางครั้งก็ไม่อยากจะเชื่อเอาเสียเลย จึงใคร่ขอถามพระคุณท่าน ได้โปรดอธิบายให้เข้าใจด้วย ซึ่งความสงสัยของ กระผมนั ้นขอถามเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ

๑. ศีลข้อที่ห้าที่ท่านบัญญัติไว้ว่าห้ามดื่มสุราและเมรัยนั้น ความจริง การดื่มสุราและเมรัยซึ่งเราซื้อของเรามาดื่มเอง ไม่ได้ไปลักขโมยของใคร และ เราก็ดื่มแต่เพียงเล็กน้อย ไม่ได้ไปก่อเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ไม่ได้ทำให้ ใครเดื อดร้อน ไม่เห็นน่าจะผิดตรงไหน ทำไมท่านจึงปรับโทษไว้ด้วย

๒. มงคลคืออะไร เคยได้ยินเขาว่า “มงคลในแบบกับมงคลนอกแบบ” หมายความว่าอย่างไร และมงคล เช่น ด้ายมงคลซึ่งสวมเวลาแต่งงานเป็นต้น มี อิทธิพลต่อมนุษย์ได้จริงหรือ

กราบนมัสการหวังได้รับคำอธิบายจากพระคุณท่าน

สมศักดิ์ นิยมวัน


16

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

ถาม ศีลข้อที่ห้าที่ท่านบัญญัติไว้ว่าห้ามดื่มสุราและเมรัยนั้น ความ จริงการดื่มสุราและเมรัยซึ่งเราซื้อของเรามาดื่มเอง ไม่ได้ไปลักขโมยของใคร และเราก็ดื่มแต่เพียงเล็กน้อย ไม่ได้ไปก่อเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ไม่ได้ ทำให้ ใครเดือดร้อน ไม่เห็นน่าจะผิดตรงไหน ทำไมท่านจึงปรับโทษไว้ด้วย ตอบ ปัญหาของคุณเห็นจะต้องตอบอย่างไม่เกรงใจกันกระมัง เพราะ ว่ าน่าคิดน่าตอบดีทีเดียว จึงขอตอบแบบนักเลงหน่อยๆ ก็แล้วกัน

ปัญหาข้อนี้ถ้าคิดเพียงผิวเผินอย่างว่าก็จะเห็นว่าไม่น่าผิดตรงไหน อย่างที่คุณคิด เพราะเป็นของของเรา เงินก็ของเรา สุราเมรัยก็ของเรา บางที เราดื่มแล้วก็นอน มันไม่น่าผิด แล้วท่านยังมาเอาผิดจนได้นี่ซิ คนทั่วไปคงคิด อย่างคุณนี่ละกระมัง โรงงานสุราบางยี่ขันและอีกหลายโรงจึงตั้งอยู่ได้จนทุก วั นนี้ และทำท่าว่าจะเจริญยิ่งๆ ขึ้นเสียด้วยซ้ำไป

คุณเอาที่ไหนมาว่าดื่มแต่เพียงเล็กน้อย และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ผู้ตอบยังไม่เคยพบเลยว่านักดื่มคนไหนจะดื่มเพียง เล็กน้อย เห็นมีแต่ดื่มไม่น้อยกันทั้งนั้น ลงมันได้ดื่มแล้วมันให้มีลูกติดพันอยู่ เรื่อยแหละน่า จะขอเวลานอกกันก็ตอนหมดขวดแล้ว หรือไม่ก็ตอนลุกแทบ ไม่ ไหวกันแทบทั้งนั้น นักดื่มทั้งหลายมักจะประเมินในใจว่า “ดื่มเพียงแค่นี้ไม่เห็นจะเดือดร้อน ใครที่ไหน” แต่ความจริงแล้ว คนที่เดือดร้อนเพราะการดื่มของตัวน่ะมีแน่ และมีมากคนด้วย อันดับแรกก็คือตัวเอง ต่อไปก็พ่อแม่ ลูก ภรรยา สามี คนในปกครอง เดือดร้อนกันไปหมด สำหรับตัวผู้ดื่มเองเดือดร้อนอย่างไร ขอตอบในยกหลั ง

เบื้องต้นขอยกบุคคลอื่นที่เดือดร้อนก่อน


พระธรรมกิตติวงศ์ 1

พ่อแม่ที่มีลูกเป็นคอเหล้าหรือติดยาเสพติดอย่างอื่นจะรู้สึกสะเทือนใจ มาก เสียใจมาก จะเกิดความผิดหวังในตัวลูกอย่างที่สุด ทั้งเสียดายเงินทอง ที่ลูกผลาญด้วยการไปซื้อสุราเมรัย ยาเสพติด ทั้งเสียดายอนาคตลูกที่ตัว วาดไว้อย่างสวยหรู การกระทำของลูกประเภทนี้เหมือนหนามแทงตาแทงใจ พ่อแม่ทุกวี่ทุกวัน พ่อแม่ที่ไหนจะยินดีชอบใจที่มีลูกเป็นขี้เมาหยำเป มีแต่จะ ชอกช้ ำใจเท่านั้น

ลูกที่มีพ่อเป็นไอ้ขี้เมาหยำเป มีแม่ที่ขี้เมาเหมือนยายบ้า จะมีปมด้อย ในใจ จะคบหาเพื่อนที่ดีพ่อแม่เขาก็ห้ามลูกเขามิให้มาคบหาด้วย คอยเตือนลูก ของเขาว่าไอ้ลูกคนขี้เมาอย่าไปคบ เดี๋ยวจะพาเสียไปด้วย เมื่อคบคนดีไม่ได้ ก็ต้องหันมาคบกุ๊ยข้างถนนเหมือนกัน หนังสือหนังหาไม่ค่อยได้เรียนเต็มที่นัก นอกจากลูกที่มีพ่อดีหรือมีแม่ดีบางคนเท่านั้นที่กัดฟันหาเงินส่งลูกเรียน จะเอา จากพ่อขี้เหล้าหรือจากแม่ขี้เมาหรือก็หมดหวัง ลูกขอค่าเทอมก็โดนด่า ลูกขอ ค่าหนังสือค่าขนมบ้างก็โดนเตะโดนถีบ เรียนไปทำไมเงินทองหายาก ออกมา ช่วยพ่อช่วยแม่ทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว แสดงความกตัญญูกตเวทีบางซิ ตอนนี้เงินไม่มีบ้างล่ะ ไปขอแม่เขาเอาซี ไปขอพ่อเขาเอาซีบ้างละ กรรมของ ลูกแท้ๆ เงินที่ซื้อเหล้าดื่มน่ะทำไมมีได้ทุกวัน แต่เงินค่าหนังสือค่าเทอมลูก บอกไม่ มี อย่างนี้ลูกไม่เดือดร้อนหรือ ภรรยาที่มีสามีขี้เหล้านั้นมันมีทุกข์ขนาดไหนไม่ต้องพูดถึง บางครั้ง ต้องหาเงินให้ซื้อ บางคราวดึกดื่นพ่อเจ้าประคุณ “อยาก” ขึ้นมาก็ต้องไป ปลุกอาโกปากตรอกซื้อมาให้ บางครั้งเมามายมาแล้วยังมาแจกมือแจกเท้า ให้เสียอีก ป้องกันตัวก็หาว่าสู้ ภรรยาบอกให้หยุดก็หาว่าเถียง ไม่พูด ไม่ ป้องกันตัวบ้างก็เจ็บตัว เจ็บใจ อายชาวบ้านด้วย ยิ่งถ้ามีลูกมากด้วยแล้ว ยิ่งทุกข์หนัก ต้องหาเลี้ยงทั้งลูกทั้งสามีเลยทีเดียว


18

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

กรรมของภรรยาที่มีสามีเป็นไหเหล้าเคลื่อนที่ !

นี่มันเดือดร้อนคนอื่นอย่างนี้

(๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖)

สามีที่มีภรรยาขี้เมาก็เป็นทุกข์ไม่แพ้กัน คนในปกครองที่มีเจ้านายชอบดื่มนั้น จะไม่ค่อยได้รับความยุติธรรม เท่ าที่ควรนอกจากจะ “คอเดียวกัน” เท่านั้น การที่ศีลข้อนี้ห้ามดื่มสุราและเมรัยนั้น เพราะห่วงอนาคต ห่วง สุขภาพของมนุษย์ทั่วไปนั่นเอง ท่านหวังดีปรารถนาดี ต้องการให้มนุษย์มี สุขภาพดีทั้งทางกายและทางใจ เพราะผู้ไม่ดื่มสุราเมรัยจะไม่ได้รับเคราะห์ กรรมและความทุ กข์เหล่านี้เลย คือ เสียทรัพย์ ทะเลาะกัน โรคเบียดเบียนง่าย ถูกตำหนิติเตียน ไม่รู้จักอาย สติปัญญาเสื่อม

ข้อแรก เสียทรัพย์ นี่มองเห็นได้ชัด แม้เราจะซื้อกินเอง ไม่ได้ขโมย ใครเขามา แต่ก็ทำให้เสียทรัพย์ ทำให้ทรัพย์หมดไปโดยใช่เหตุ ควรจะนำไป ใช้ในสิ่งที่จำเป็นหรือในทางให้เกิดประโยชน์อย่างอื่นทั้งแก่ตัว แก่ครอบครัว แก่สังคม หรือแก่ชาติบ้านเมืองได้อีกมาก ก็มาหมดเปลืองไปเพราะเรื่องนี้ จริงอยู่ บางคนอาจไม่คิดว่าเปลือง เพราะมีเกินใช้สอย แต่ก็ชื่อว่าเสียทรัพย์ เหมือนกัน คือทรัพย์เสียไปโดยใช่เหตุดังกล่าว หรือใช้ทรัพย์ไปในทางผลาญ สุขภาพ ผลาญร่างกาย หรือผลาญชีวิตตัวเองมากกว่า


พระธรรมกิตติวงศ์ 1

ข้อสอง ทะเลาะกัน นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แม้ว่าการทะเลาะกัน เพราะสุราเมรัยนั้นจะมีไม่บ่อยนัก ไม่มีทุกคนและก็ไม่มีทุกครั้งที่ดื่ม แต่ สาเหตุแห่งการทะเลาะกันอย่างหนึ่งก็มาจากการดื่มสุราและเมรัยนี้เอง เพราะ พอเมาได้ ที่แล้วมักพูดจากันชักจะไม่รู้เรื่อง ความเมามันพูดแทนเสียแล้ว

ข้อสาม โรคเบียดเบียนง่าย นี่ก็เป็นที่ยอมรับกันในวงการแพทย์ ทั่วไปแล้วว่าผู้ดื่มของมึนเมาเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ พอหยุดดื่ม หรือพอของเมาหมดฤทธิ์ ร่างกายจะอ่อนเพลีย ไม่อยากทำงาน เพราะเวลา เมาได้ที่ เลือดจะฉีดแรง ทำให้กล้ามเนื้อทำงานมาก จะทำงานอะไรแต่ละที ต้อง “โด๊ป” กันอยู่เรื่อย ไม่งั้นทำงานไม่ได้ พอหมดฤทธิ์ก็หมดกำลังอีก ร่างกายจะทนไหวหรือ พอเป็นอะไรแต่ละทีแทบเอาตัวไม่รอด โรคโน้นเอย โรคนี ้เอยแทรกซ้อนกันขึ้นมาจนตัวเองก็แทบจำไม่ได้ว่าตัวเป็นโรคอะไรบ้าง

เหล่านี้คือโรคของคนชอบ “กล้า” ด้วยการ “ดื่ม” หรือ “โด๊ป” ด้ วยน้ำที่เรียกว่า “สุรา”

คนที่มีโรคมากก็อายุสั้น เรื่องมันก็ลงเอยแค่นั้น ไม่มากไปกว่านี้ ข้อสี่ ถูกตำหนิติเตียน ข้อนี้สังคมปัจจุบันเขามองไม่เห็นกันเสียแล้ว เพราะถือเป็นของธรรมดา เห็นดื่มเห็นเมากันจนชิน หรือสังคมมันเหมือน กันไปเสียหมดแล้ว จึงหาคนตำหนิไม่ค่อยได้ เลยไม่ค่อยรู้สึกกัน คนที่พอ จะตำหนิได้ก็โดนอะไรต่อมิอะไรมาปิดปากเสีย อ้าปากไม่ไหว หรือตำหนิ เหมือนกัน แต่ไม่กล้าตำหนิต่อหน้า กลัว “ตีน” หรือกลัว “ตบ-ตี-ต่อย” อย่ างใดอย่างหนึ่งก็เลยไม่ตำหนิ ปล่อยไปตามเรื่องตามราว

คนในสังคมของเราจึงเต็มไปด้วยนักดื่มและขี้เมา คนตำหนิติติง มี น้อย เลยสู้ไม่ไหว


20

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

เอาเป็นว่าเรื่องอย่างนี้คนอย่างนี้คนดีเขารังเกียจก็แล้วกัน คนขี้เมา หาเพื่อนที่คบได้จริงๆ ยาก ก็มีแต่พวก “คอเดียวกัน” อย่างว่าเท่านั้น นอกนั้นเขาคบเพื่อหวังผลประโยชน์เท่านั้น จะให้คบหาจริงๆ แบบกัลยาณมิ ตรเขาไม่ยอมด้วยหรอก เพราะเขา “รังเกียจ” น่ะ

ข้อห้า ไม่รู้จักอาย ข้อนี้ก็ชัดเหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าคนเมา ไม่ว่าจะ เมาสุกหรือเมาดิบก็ตาม เป็นไม่รู้จักอายทั้งนั้น ด่าพ่อแม่กันเล่นก็ได้ ทุบตีกัน หรือฆ่ากันก็ได้ นอนกลางถนนก็ได้ ร้องรำทำเพลงกันกลางถนนก็ได้ พูดจา หยาบคายชนิดที่เขียนเป็นตัวหนังสือแล้วก็ยังหยาบอยู่ก็ได้ แก้ผ้าแก้ผ่อน เดินโทงๆ ตามถนนก็ได้ ซึ่งกิริยาอาการอย่างนี้ในเวลาปกติที่ไม่เมาจะทำ ไม่ได้ และไม่กล้าทำด้วยเพราะอายเขา แต่เวลาเมาแล้วทำได้อย่างสบาย เพราะความอายหมดไปแล้ ว

ข้อสุดท้าย สติปัญญาเสื่อม ข้อนี้ก็เนื่องมาจากการที่สุขภาพร่างกาย อ่อนแอเพราะพิษสุรานั่นเอง สมองก็เลยมึนชาเสื่อมทรามไปด้วย สติปัญญา ไม่ว่องไวเหมือนเก่า ตัดสินใจอะไรก็ช้าและตัดสินใจผิดๆ ทำให้สมรรถภาพ ในการทำงานเสื ่อมทรามลงโดยไม่รู้ตัว ว่ามายืดยาวก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า ท่านห้ามไว้ก็เพราะหวังดี ต้องการ ให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตใจดี เป็นปกติเหมือนคนทั่วๆ ไป นั ่นเอง

โทษเฉพาะตัวที่จะได้รับก็พอมองเห็นกันได้ดังกล่าวมาแล้ว แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ คนเราลองมันติดเสียแล้ว ต่อให้แกะอย่างไร ก็ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมหลุดง่ายๆ เห็นว่าติดกันมานานแล้วจะเลิกเสียตอนนี้ ก็ เสียดาย เลยขอต่อไปเรื่อยๆ ก่อน ความลำบากจึงไม่สิ้นสุดกันได้สักที


พระธรรมกิตติวงศ์ 21

ถาม มงคลคืออะไร เคยได้ยินเขาว่า “มงคลในแบบกับมงคลนอก แบบ” หมายความว่าอย่างไร และมงคล เช่น ด้ายมงคล ซึ่งสวมเวลา แต่งงานเป็นต้น มีอิทธิพลต่อมนุษย์ได้จริงหรือ ตอบ คำว่า มงคล เราได้ยินได้ฟังกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว จนไม่คิด อยากจะแปลกันว่าหมายถึงอะไร เพราะชินหู คำนี้เป็นภาษาบาลี เป็นภาษา แขก แต่เรานำมาพูดมาเขียนกันจนชินแล้วอย่างว่า เลยกลายเป็นภาษาไทย ที่คนไทยฟังรู้เรื่อง และทางการก็ขึ้นทะเบียนโอนสัญชาติให้เป็นภาษาไทยมา นานแล้ วด้วย มงคล แปลอย่างภาษาชาวบ้านฟังกันรู้เรื่องว่า “เหตุให้ถึงความ เจริ ญ” หรือ “สิง่ ที่สามารถนำความสุขความเจริญมาให้แก่ชีวิตมนุษย์”

คราวนี้ก็มาถึงปัญหาต่อไปว่า ก็เหตุหรือสิ่งนั้นคืออะไรล่ะ ก็ต้องแจงกันมากหน่อยอีกข้อหนึ่ง

คือคนเราทุกคนทั้งผู้ถามและผู้ตอบ ต่างก็ต้องการความสุขความ เจริญด้วยกันทั้งนั้นแหละ ไม่มีพิเศษยกเว้นใครทั้งสิ้น ข้อนี้ไม่มีใครปฏิเสธ เมื่อต้องการความสุขความเจริญก็ต้องแสวงหากัน ตอนแสวงหานี่แหละเริ่ม ผิดแผกกันไป ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างหา ต่างคนต่างไป ไม่ดำเนินไป ตามทางเดี ยวกันทั้งหมด หลายคนคิดว่าความสุขความเจริญจะมีได้ ต้องขยันทำมาหากิน เก็บหอมรอมริบไว้ เงินทองทรัพย์สมบัติจึงจะมีพอกินพอใช้ให้เป็นสุข ให้ เจริญได้ จึงต่างคนต่างก็แสวงหาทรัพย์สินเงินทองกันตามความเชื่อความ เข้ าใจของตัว ได้สมประสงค์บ้าง ได้ไม่สมประสงค์บ้าง


22

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

หลายคนคิดว่าต้องมีของดีอยู่ในตัว เช่น ต้องมีลักษณะดี มีอักษร ชื่อดี มีสัตว์ดีอยู่ในบ้าน มีว่าน มีต้นไม้ มีเครื่องรางของขลัง มีวัตถุมงคล อยู ่ในบ้าน เงินทองจึงจะไหลมาเทมา

สิ่งต่างๆ ที่มนุษย์คิดว่าจะบันดาลให้เกิดความสุขความเจริญดังกล่าว มาทั ้งหมดนี้แหละชาวโลกสมมติเรียกกันว่า “มงคล”

ทีนี้ก็พอจะได้ความหมายมงคลในแบบกับมงคลนอกแบบได้แล้ว “มงคลในแบบ” คือมงคลที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้จำนวน ๓๘ อย่าง ทั้ง ๓๘ อย่างนี้เท่านั้นจึงจะนำความสุขความเจริญมาให้แก่มนุษย์ ได้ อย่างแท้จริง

“มงคลนอกแบบ” คือมงคลที่นอกเหนือไปจาก ๓๘ ประการ นั ้น ซึ่งได้แก่มงคลที่ชาวโลกทั่วไปนับถือว่าเป็นของดีดังกล่าวถึงข้างต้น พูดง่ายๆ อีกทีก็คือ มงคลในแบบเป็นมงคลที่เกิดจากการกระทำด้วย ตัวเอง ไม่ใช่เรื่องดลบันดาลให้เป็นไป หรือด้วยอำนาจของเทพเจ้า ดวงดาว และวัตถุใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นผลที่เกิดจากอิทธิพลของการลงมือปฏิบัติของ มนุษย์ ส่วนมงคลนอกแบบเป็นมงคลที่เกิดจากวัตถุภายนอก จากอำนาจ ดลบั นดาลของเทพเจ้า ดวงดาว หรืออยู่ภายใต้ของโชคเคราะห์ เป็นต้น

มงคลทั้งสองนี้ ในทางพระพุทธศาสนาให้เชื่อมงคลในแบบเท่านั้น เพราะสามารถนำความสุข ความเจริญ นำสมบัติที่มนุษย์ต้องการมาให้ได้ ทุกอย่าง นับตั้งแต่มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติอันเป็น สมบัติวิเศษสูงสุด มงคลในแบบ ๓๘ ประการนั้น เช่น การไม่คบคนพาล การคบแต่บัณฑิต การบูชาสิ่งที่ควรบูชา การตั้งตนไว้ชอบ เป็นต้น จนชั้น สู งสุดคือ การทำใจให้หมดจดจากกิเลส ให้มีความเกษม


พระธรรมกิตติวงศ์ 2

ส่วนมงคลนอกแบบ ซึ่งได้แก่วัตถุบางอย่าง เช่น ด้าย อาวุธ ใบไม้ บางอย่าง เช่น ใบเงินใบทอง ขนมบางอย่าง เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ถ้วยฟู สัตว์บางชนิด เช่น แมว ช้าง ม้า โค นก รวมไปทั้งอำนาจของเทพเจ้า ดวงดาวต่างๆ มงคลนอกแบบเหล่านี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะบันดาลความสุข ความเจริญและสมบัติให้แก่มนุษย์ได้ทุกอย่างเหมือนมงคลในแบบ แต่ชาวโลก ยอมรับว่าเป็นมงคลจึงให้ความนับถือกันอยู่ ก็เพราะนำความสบายใจมาให้แก่ ผู้เป็นเจ้าของ เช่น ถ้าแต่งงานไม่มีมงคลแฝดสวม คู่บ่าวสาวก็จะไม่สบายใจ ถือว่าทำไม่ถูกวิธี เมื่อไม่สบายใจก็ทำให้เป็นกังวลอยู่เรื่อย ทำให้จิตใจหวาด ระแวงอยู่เสมอ หากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นภายหลัง ก็จะโทษทันทีว่าเพราะไม่สวม มงคลแฝดเป็นต้น ซึ่งที่จริงแล้วคนที่สวมมงคลแฝดแต่งงานกลับหย่าร้างกัน มี เรื่องราวกันก็มาก ส่วนคนไม่ได้สวมแต่อยู่ดีกินดีก็มีถมไป แต่ที่ยังถือยังทำอยู่ก็เพราะทำเพื่อให้เกิดความสบายใจ คือตกในคติ ที ่ว่า ทำดีกว่าไม่ทำ ทำไปแล้วก็ไม่เสียหายอันใด เรื่องอื่นๆ ก็เช่นกัน ถือกันมาเสียจนเป็นปกติธรรมดา ไม่เป็นของ แปลก แต่ถ้าไม่ถือสิกลับเป็นแปลกไป ก็อยู่ในลักษณะเดียวกันนั้น คือทำดีกว่า ไม่ ทำ มีดีกว่าไม่มี เชื่อดีกว่าไม่เชื่อ อะไรทำนองนั้น ยังมีอีกมงคลหนึ่ง ที่ทางศาสนาปฏิเสธว่าเป็นสิ่งไม่ควรถือ คือ มงคลตื ่นข่าว

อัน มงคลตื่นข่าว ก็คือการเชื่อถืออะไรตามข่าวร่ำลือ ตามที่ได้ยิน ได้ฟังมา เข้าลักษณะคนหูเบา เชื่ออะไรง่ายๆ เช่นเมื่อเร็วๆ นี้มีสาส์นแห่ง การนำโชคลาภระบาดไปทั่วกรุง คนที่เชื่อก็เกรงกลัว พิมพ์แจกคนโน้นบ้าง คนนี้บ้างต่อๆ กันไป คนที่ไม่เชื่อก็เฉยๆ และก็ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นดังนี้


24

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

เป็นต้น นี่เป็นการเชื่อแบบคนหูเบา แบบโง่เขลา ไม่คิดถึงเหตุผล ความ เป็นไปได้ ตกอยู่ในความกลัวตาย เขาว่าคนโง่เป็นเหยื่อของคนฉลาดก็เพราะ อย่างนี้เอง ไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองดูเหตุผลเสียก่อน ว่าเป็นได้ หรื อไม่ได้ นี่แหละหนอ อิทธิพลมงคลตื่นข่าว ปิดบังปัญญาคนฉลาดๆ ก็ได้ ทำให้ ตาบอดตามัวก็ได้ และทำให้ล่มจมกันมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ยังไม่เข็ดกันอีก

กรรมของมนุษย์แท้ๆ !

พระมหาทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙


䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

จาก “มงคลสาร” เดือนพฤษภาคม ๒๕๑๙

กราบนมัสการ พระมหาทองดี สุรเตโช กระผมได้อ่านหนังสือมงคลสารเป็นประจำ รู้สึกเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ที่ให้ความสว่างแก่ผู้ที่ถามมาทุกท่าน กระผมเป็นคนไทยคนหนึ่งที่รู้สึกว่า การบ้านการเมืองทุกวันนี้ยุ่งมากกว่าทุกสมัยที่ผ่านมา และที่เป็นห่วงที่สุด ก็คือ ศาสนาพุทธ เพราะว่ารอบบ้านของเราก็ล้วนแต่นับถือศาสนาพุทธ เหมือนเรา แต่ก็ได้สิ้นสุดลงทั้งนั้น เท่าที่ได้ฟังมาว่าศาสนาพุทธอยู่ได้ถึง ห้าพันปี (๕,๐๐๐ ปี) นั้น บัดนี้เพิ่ง ๒๕๑๙ ปีเท่านั้น ดูทีท่าจะสิ้น สมัยแล้วเพราะถูกลัทธิอื่นมาปราบปรามและเหยียดหยาม เท่าที่เห็นมาจาก ประเทศรอบบ้านเรา ทำให้กระผมงงมาก ไม่สามารถเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร จึงขอเรียนถามมายังท่านเป็นข้อๆ หวังว่าท่านคงให้ความกระจ่างแก่กระผม ด้วย ๑. อายุของศาสนาพุทธมีกี่ปี เริ่มต้นเมื่อไร สิ้นสุดเมื่อไร ๒. ใครเป็นผู้รับผิดชอบศาสนาพุทธ (หมายถึงโลกวิญญาณ) ๓. ทำไมพุทธศาสนิกชนต้องถูกลัทธิอื่นมาปราบปรามและเหยียดหยามทำลายศาสนาพุทธของเรา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมไม่จัดการ เอง (หมายถึงทำลายเอง ไม่ต้องถูกเหยียดหยาม)


26

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

๔. ผู้ทำลายศาสนาพุทธจะต้องถูกกรรมตามในชาตินี้ไหม ๕. ประเทศที่ถูกทำลายศาสนาพุทธมีทางฟื้นขึ้นมาใหม่ไหม ๖. ศาสนาพุทธของเรามีจุดด่างพร้อยที่ไหนบ้าง ถึงมาพบจุดจบอย่าง น่าเวทนา ๗. รู้สึกว่าผู้ที่ทำลายศาสนาพุทธมีจิตใจโหดเหี้ยมกว่าผู้นับถือศาสนา พุทธ (จากประเทศเขมร) หากว่าชาวพุทธทั้งหลายพร้อมใจกันต่อต้านจะผิด ศีลธรรมไหม กราบนมัสการมาด้วยความเคารพ สิทธิชัย เดโช

ก่อนตอบปัญหาของคุณ ขอชมเชยคุณด้วยใจจริงเสียก่อน ในการ ที่คุณแสดงความเป็นห่วงเป็นใยในพระพุทธศาสนา กลัวจะมีอันเป็นไปเหมือน อย่างในประเทศรอบๆ บ้านเรา ความจริงคุณเป็นฆราวาสแท้ๆ ถ้าจะว่าให้ ชัดลงไปก็คือว่าเป็นผู้อยู่ห่างจากวัด มิได้คลุกคลีอยู่กับศาสนา และต้อง ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องแท้ๆ ยังมีจิตใจห่วงใยเรื่องภายในวัดเรื่อง ศาสนา ซึ่งผู้อยู่ในวัดรับผิดชอบต่อความอยู่รอดของศาสนาโดยตรงเสียอีก ยังมีจิตห่วงไม่มากเหมือนเท่าคุณเลย อาจเป็นเพราะว่าสามัญสำนึกในความ เป็นพุทธศาสนิกชนของคุณเข้มข้นก็ได้ที่ทำให้คุณเป็นห่วงเป็นใยในสิ่งที่ตน เคารพเทิดทูน ไม่อยากให้ใครมาทำลาย


พระธรรมกิตติวงศ์ 2

หากทั้งผู้อยู่นอกกำแพงวัดและในกำแพงวัดพากันห่วงใยศาสนา ไม่ต้องการเห็นความวิบัติของศาสนาเหมือนคุณแล้ว เชื่อเหลือเกินว่าศาสนา พุ ทธจะคงดำรงมั่นคงอยู่ชั่วกาลนาน

แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าพากันห่วงแต่ปากเท่านั้น แต่ไม่หาวิธีการ อะไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ห่วงอย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เหมือนคนมี ทรัพย์มาก กลัวโจรลัก ได้แต่บ่นว่ากลัวๆ แต่มิได้หาทางป้องกันโจรอย่างไร ไม่ ช้าทรัพย์ก็ถูกโจรลักไปจนได้

ต่อไปนี้ขอตอบปัญหาของคุณไปทีละข้อ

อายุของศาสนาพุทธมีกี่ปี เริ่มต้นเมื่อไร สิ้นสุดเมื่อไร ถาม ตอบ เรื่องอายุของพระพุทธศาสนานี้เป็นเรื่องที่คนโบราณเชื่อถือกัน มานานแล้วว่าศาสนาพุทธจะมีอายุได้ ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น โดยนับเริ่มแต่ปี ที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน คือเท่ากับ พ.ศ. ๑ ในปีนั้นนั่นเอง ก็แสดงว่า ศาสนาพุ ทธมีอายุล่วงมาได้ ๒๕๑๙ ปีแล้ว

คราวนี้มาว่ากันตามหลักวิชาบ้าง ผู้ตอบยังไม่พบหลักฐานจากที่ไหน ที่บ่งบอกว่าพระพุทธองค์ได้ตรัสอายุพระพุทธศาสนาไว้เพียง ๕,๐๐๐ ปี เห็นมีแต่ปรากฏในคัมภีร์ญาโณทัยปกรณ์ ซึ่งพระพุทธโฆษาได้แต่งไว้เมื่อ ประมาณศตวรรษที่ ๑๐ พระเถระองค์นี้เป็นผู้ฉลาด แต่งคัมภีร์อธิบาย ความพระพุทธพจน์ไว้มาก จนได้รับยกย่องจากนักปราชญ์ทั่วไปทั้งในประเทศ ที่นับถือศาสนาพุทธและนับถือศาสนาอื่น คัมภีร์ที่ท่านแต่งไว้นั้น คณะสงฆ์ ไทยได้นำมาเป็นหลักสูตรให้ศึกษาเล่าเรียนกันตั้งแต่ชั้นประโยค ป.ธ.๓ ถึง ป.ธ. ๙ เลยทีเดียว ในคัมภีร์ญาโณปกรณ์นั้น มีบทเริ่มต้นว่า


28

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

“พระพุทธศาสนาจะครบกำหนด ๕,ððð ป‚ ในป‚ชวด” ข้อความเพียงเท่านี้กระมังที่ทำให้คนโบราณถือว่าเป็นอายุพระพุทธศาสนาและบอกเล่ ากันต่อๆ มา

ตามความเห็นของผู้ตอบแล้ว เห็นว่าอายุของพระศาสนาอาจมาก หรือน้อยกว่านั้นก็ได้ แต่อย่าได้เป็นห่วงอายุพระศาสนาเท่านั้นเลย ห่วงอายุ ของตัวเองเถิด อย่าให้อายุของตัวล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ประพฤติดี ปฏิบัติชอบตามหลักศาสนาไว้เสมอแล้วศาสนาก็ชื่อว่ายังอยู่ อายุศาสนาจะ ยั งไม่สิ้นไป ตอนนี้ขออ้างตำราหน่อย คือในตำราท่านว่าไว้ว่าความสูญสิ้นไปแห่ง ศาสนานั ้นเป็นไปตามลำดับขั้นตอน คือเสื่อมไปตั้งแต่ข้อต้นจนถึงข้อสุดท้าย

ลำดับของความเสื่อมมี ๕ ขั้น คือ

(๑) ปริยัตติอันตรธาน ความเสื่อมแห่งการศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัย (๒) ปฏิปัตติอันตรธาน ความเสื่อมแห่งการปฏิบัติธรรม (๓) ปฏิเวธอันตรธาน ความเสื่อมแห่งการรู้แจ้งธรรม (๔) ลิงคอันตรธาน ความเสื่อมแห่งเพศ (๕) ธาตุอันตรธาน ความเสื่อมแห่งพระธาตุ

หมายความว่า อันดับแรกการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย และ คำสอนของพระพุทธเจ้าจะเสื่อมสูญไปก่อน หาผู้ศึกษาไม่ได้ เมื่อไม่ศึกษา ก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ปฏิบัติไม่ถูก ปฏิบัติตามใจชอบ การปฏิบัติธรรมก็เสื่อมสูญ เมื่อไม่ปฏิบัติธรรม การรู้แจ้งแทงตลอดมรรคผลก็ไม่เกิดขึ้น พระเณรก็เป็น เพียงผู้นุ่งเหลืองห่มเหลืองเท่านั้น หนักเข้าๆ ก็ไม่มีผู้ศรัทธาที่จะบวช บวช แล้วก็ไม่มีผู้เลื่อมใสศรัทธาที่จะบำรุงเลี้ยง ความเป็นอยู่ของพระเณรก็ลำบาก


พระธรรมกิตติวงศ์ 2

เมื่อลำบากก็อยู่ไม่ได้ พากันสึกไปหมด ที่บวชใหม่เพิ่มเติมก็ไม่มี ผู้ดำรงเพศ เป็นพระก็หมดไป เมื่อพระเณรหมด ก็ไม่มีคนกราบไหว้บูชารักษาพระธาตุ พระธาตุก็ย่อมเสื่อมสูญไปตามธรรมสภาพ เมื่อพระธาตุอันตรธานเสื่อมสูญไป ศาสนาก็ ชื่อว่าหมดอายุลงด้วยประการฉะนี้ ใน ๕ ข้อนั้น ข้อแรกเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะมี อันตรธานไปโดยเร็วเสียด้วยซี ถาม ใครเป็นผู้รับผิดชอบศาสนาพุทธ (หมายถึงโลกวิญญาณ)

ตอบ ผู้รับผิดชอบต่อศาสนาพุทธนั้นหาใช่ใครที่ไหนเลย ที่แท้ก็พวกเรา ชาวพุทธนี่แหละ ชาวพุทธที่เรียกว่า “พุทธบริษัท” ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทุกท่านนี่เองที่เป็นผู้รับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนา เป็นศาสนทายาท ที่รับมรดกศาสนามาจากบรรพบุรุษแล้ว ต้องช่วยกันประคับประคองไว้ให้ดี ช่วยกันรับผิดและรับชอบที่เกิดขึ้นต่อพระศาสนา คือต้องรับทั้งส่วนที่ผิดและ ส่ วนที่ชอบ ไม่ใช่รับเฉพาะส่วนที่ชอบอย่างเดียว ส่วนที่ผิดคือความผิดพลาดในการดำเนินการรักษาพระศาสนา ความ ผิดพลาดในนโยบายการเผยแผ่พระศาสนา กล่าวคือความเสียหายที่เกิดขึ้น แล้ว ที่กำลังเกิดขึ้น และที่จะพึงเกิดขึ้นในวงการพระศาสนาต้องยอมรับกัน ว่าเป็นความผิดแล้วช่วยกันหาทางแก้ไขปรับปรุง ไม่โยนกลองกันไปมาหรือ หันหลังให้ส่วนที่ผิดนี้ เพราะตราบใดพุทธบริษัทไม่ยอมรับส่วนที่ผิดว่าเป็นผิด ก็ย่อมจะแก้ความผิดไม่ได้ เหมือนหมอจะรักษาโรคต้องยอมรับว่านั่นเป็นโรค จริงๆ เสียก่อนจึงจะรักษาให้หายได้ หากไม่ยอมรับว่ามันเป็นโรคแล้ว ยาก ที ่จะรักษาได้ หรือบางทีไม่ยอมรักษาไปเลย ส่วนการรับชอบนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะส่วนใหญ่ก็ชอบกันอยู่แล้ว


0

䢢ŒÍ¢ŒÍงã¨

ผู้รับผิดชอบต่อศาสนานั้นคือพุทธบริษัทดังกล่าว คราวนี้พุทธบริษัท ที่ว่านั้นอยู่ในวัดก็มี อยู่ในบ้านก็มี โดยเ©พาะผู้อยู่ในวัดต้องเป็นแกนกลาง เป็ นผู้ริเริ่ม เป็นผู้นำเป็นผู้เสนอ ผู้อยู่บ้านเป็นผู้ตาม เป็นผู้สนอง ผู้อยู่วัดได้แก่พระเณร ทั้งที่เป็นมหาเถระ พระเถระ อุปัชฌาย์ อาจารย์ จนถึงพระหนุ่มเณรน้อยทั้งหลาย ผู้อยู่บ้าน ได้แก่พ่อบ้าน แม่บ้าน สมาชิกในครอบครัวทั้งหมด รวมทั้ง หน่วยงานทางราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อศาสนาโดยตรง เช่น กรมการ ศาสนา กรมศิลปากร และโดยอ้อม เช่น โรงเรียน เป็นต้น เมื่อฝ†ายวัดฝ†ายบ้านมาช่วยกันจริงๆ จังๆ แล้ว ศาสนาพุทธก็จะ เป็นไปได้อย่างราบรื่น หากต่างก็ช่วยกันไปตามหน้าที่เท่านั้น ไม่มีความ รับผิดชอบ ไม่กระตือรือร้น ไม่มีจิตสำนึกว่าต้องทำเพื่อศาสนาอันเป็นที่รัก เป็นที่หวงแหนแล้ว สภาพของศาสนาพุทธก็จะยังคงเป็นอยู่อย่างที่เห็นๆ กัน และอาจจะเลวร้ายลงทุกวันๆ กล่าวคือ ผู้คนห่างวัดห่างศาสนากันมากขึ้น ภัยศาสนาเกิดลุกลามมากขึ้น ศาสนาหรือลัทธิอื่นย่อมได้โอกาสได้ช่องที่จะ เผยแผ่ ศาสนาของตนได้รวดเร็วขึ้นด้วยซ้ำ ถ้าจะว่าให้ชัดรัดกุมลงไปก็คือว่า ขอให้พุทธบริษัทพยายามประพฤติ ปฏิบัติธรรม สั่งสอนอบรมธรรม และทำตัวทำใจให้อยู่ในกรอบของธรรมเท่านั้น เท่ากับว่าได้ช่วยกันรับผิดชอบต่อศาสนาแล้ว เพราะการทำเช่นนั้นเท่ากับว่า ได้สร้างพลังในวงการศาสนา หากวงการศาสนามีพลังอย่างว่า และต่างก็ดี ด้วยกันทั้งหมดแล้ว ใครจะมาทำอะไรเราได้ เหมือนมือที่ปราศจากแผล จะกอบจะกำยาพิษไปไหนก็ย่อมได้ ยาพิษจะทำพิษให้ไม่ได้เลย เพราะเราไม่มี แผลให้ ยาพิษแทรกซึมเข้าไป รวมความแล้วต้องช่วยกัน และช่วยกันจริงๆ ว่างั้นเถอะ


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.