จิตประภัสสร แท้จริง ทุกข์ทั้งหลาย มาเพื่อเจียระไนจิตใจให้เจิดจรัส
พระภาวนาเขมคุณ (หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี) วัดมเหยงคณ์ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
จิตประภัสสร บรรณาธิการสาระ : ศักดิ์สิทธิ์ พันธุ์สัทธ์ สรรค์สาระ : ไพโรจน์ โรจนปัญญาวัชร์ ภาพประกอบ : ธนรัตน์ ไทยพานิช รูปเล่ม : มรุต จินตนธรรม ออกแบบปก : อนุชิต ค�ำซองเมือง พิสูจน์อักษร : หนูคล้าย กุกัญยา, อุธร นามวงศ์ ISBN 978-616-268-189-9 พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
สร้างสรรค์และลิขสิทธิ์ บริษัท ส�ำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จ�ำกัด 105/95-96 ถนนประชาอุทิศ ซอย 45 แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140 โทร./แฟกซ์ 02-872-7667 เชิญร่วมเผยแผ่เป็นธรรมทาน
สาขาทุ่งครุ : โทร. 02-872-9191, 02-872-8181, 02-872-7227, 02-872-9898 สาขาส�ำราญราษฎร์ : 02-221-1050, 02-221-4446
LC2YOU@GMAIL.COM, LC2YOU@HOTMAIL.COM WWW.LC2U.COM, WWW.พุทธะ.NET
พิมพ์ที่ : หจก. แอลซีพี ฐิติพรการพิมพ์
105/66-67 ถนนประชาอุทิศ ซอย 45 แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140 โทร./แฟกซ์ 02-872-9577 www.thitiporn.com
ค�ำน�ำ ขึ้นชื่อว่า “ทุกข์” เป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากเจอ แต่ก็ไม่มี ใครสามารถหลีกหนีพ้นได้ ถ้าหากเราฉุกคิดสักนิดจะพบว่า แท้จริง มหาบุรุษทั้งหลายในโลกล้วนแล้วแต่มีต้นก�ำเนิดมาจากความทุกข์ และใช้ความทุกข์นั้นให้เป็นประโยชน์ เพชรเม็ดงามต้องผ่านการ เจียระไน เหล็กจะเป็นเหล็กกล้าได้ต้องผ่านไฟและการตี จิตใจจะ กลายเป็นอัญมณีอันล�้ำค่าของชีวิตได้ ต้องผ่านขบวนการเคี่ยวกร�่ำ จากทุกข์เสียก่อน ไม่นานนักก็จักกลายเป็นจิตประภัสสรที่เจิดจรัส และทรงคุณค่า น่าเสียดายหากต้องพลาดอ่านหนังสือเล่มนี้ ส�ำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ ได้น�ำพระธรรม เทศนาของพระภาวนาเขมคุณ (หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี) ที่แสดง ไว้ ณ ลานธรรมเลี่ยงเชียงใน “งานไตรสิกขามหาบุญ” ซึ่งจัดขึ้นใน วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่สองของทุกๆ เดือน มาจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ทาง คณะผู้จัดท�ำได้ท�ำหัวข้อ ย่อหน้า เน้นค�ำ และวาดภาพประกอบใหม่ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจเนื้อหาง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น และลึกซึ้งยิ่งขึ้น จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือ “จิตประภัสสร” เล่มนี้ จัก เอือ้ ประโยชน์ให้ผอู้ า่ นเข้าถึงวิธกี ารเจียระไนจิต ให้ประภัสสรบริสทุ ธิ์ ส่องประกายแพรวพราวสงบสุขตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน ไพโรจน์ โรจนปัญญาวัชร์
ใจที่ถูกรู้ ถูกเจียระไน ใจก็จะใส ตื่นสว่าง โอวาทธรรม พระภาวนาเขมคุณ (หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจริญพร ญาติโยมผู้สนใจใฝ่ธรรมทั้งหลาย ทุกท่านได้ฟงั ธรรมตามกาลตามเวลาอันเหมาะสมเป็นมงคล อันสูงสุด การฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา การสนทนาธรรมตามกาลก็ เป็นมงคลอันสูงสุด การได้เห็นสมณะได้มีจิตเลื่อมใสศรัทธาก็เป็น มงคลอันสูงสุด งานวันนี้ เราก็ได้มงคลชีวติ หลายประการได้มโี อกาสสัง่ สมเหตุ ปัจจัยแห่งความสุข บุญน�ำมาซึ่งความสุข จิตประภัสสร
5
ชีวิตคนมีทั้งสุขทั้งทุกข์ เพราะท�ำทั้งบุญและบาป การสัง่ สมบุญเป็นเรือ่ งดี แต่สำ� คัญยิง่ กว่านัน้ ก็คอื การเว้นบาป ถ้าเราท�ำทั้งบุญและบาปด้วย มันเป็นการสั่งสมเหตุทั้งความสุขและ ความทุกข์ไปพร้อมๆ กัน
เวลาใดบาปให้ผลก็เดือดร้อนเป็นทุกข์ เวลาใดบุญให้ผลก็มีความสุข มนุษย์ทเี่ กิดมาก็เป็นบุคคลทีอ่ ดีตท�ำทัง้ บุญและบาป ก็จงึ มีสขุ และทุกข์ ในอดีตเราท�ำบาปไว้ เอาว่าในชาตินี้ ตอนเป็นเด็กเป็นหนุม่ สาวเคยท�ำบาปด้วยกันทั้งนั้น คงไม่ต้องถามใครท�ำอะไรมาบ้าง ทุกคนรู้อยู่กับตนเองว่า เราได้ท�ำบาปมาเยอะ ฆ่าสัตว์มา นับไม่ถ้วน ยักยอกทรัพย์ของพ่อแม่นั้นแหละ บางท่านก็ยังมีการ ประพฤติผิดในกาม ประพฤติผิดทางเพศ พูดจาโกหก ส่อเสียด หยาบคาย นั่นคือ บาปที่ท�ำไว้
กลัวไหมว่า ถ้าบาปตามมาเล่นงานทัน จะเดือดร้อนตามแบบที่ท�ำไว้ ถ้าเรากลัว ควรมีหิริโอตตัปปะ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป 6
บริษัท ส�ำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จ�ำกัด
ท�ำกรรมดี หนีกรรมชั่ว เราจะท�ำอย่างไร ที่จะไม่ให้บาปนั้นให้ผลได้ หรือว่าต้อง จ�ำยอมแล้วก็ไปตามยถากรรม
ความจริงแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะหักเหได้มีสิทธิ์ที่จะท�ำให้บาปนั้น ตามมาไม่ทันในชาตินี้ หรือแม้แต่ชาติต่อไป ก็รอดพ้นจากวิบากกรรมได้ ใครท�ำตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ครบ ๓ ประการ ถ้าท�ำได้ บาปก็จะให้ผลไม่ได้ในชาตินี้หรือชาติต่อๆ ไป คือ ๑. หยุดการท�ำบาปนั้น ไม่ไปเติม ไม่ไปท�ำอีก หยุดซะ..! เคย ลักขโมย ก็ให้มันอยู่แค่นั้น ๒. เร่งบ�ำเพ็ญบุญกุศลความดีตา่ งๆ ให้มาก ท�ำอยูเ่ ป็นประจ�ำ ต้องท�ำทุกวัน ๓. อย่าเก็บเอาเรื่องที่ผ่านไปแล้วมาคิดอีก เรื่องที่เราผิด พลาดบกพร่องท�ำผิดไปแล้ว อย่าเอามาคิด๑ ๑
ข้อนี้ในบทบรรยายผู้บรรยายได้ข้ามไป แต่มีผู้ถามย้อนหลัง อ่านเพิ่มเติมในหน้า ๔๗
จิตประภัสสร
7
ท�ำบุญไม่ยากอย่างที่คิด การท�ำบุญ ไม่ใช่เฉพาะเรือ่ งให้ทานเท่านัน้ ท�ำอย่างอืน่ ก็เป็น บุญได้ เช่น การรักษาศีล การเจริญภาวนา การไหว้พระสวดมนต์ การ อ่อนน้อม เคารพบูชาผู้หลักผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณ ผู้มีศีล การอุทิศกุศล ล้วนเป็นบุญทั้งสิ้น บุญท�ำไม่ยากเลย ที่เธอมีชีวิตยากจน เพราะเธอไม่ได้ทำ� บุญ
แค่เธอ "สาธุ" ในความดีของผู้อื่น เธอก็ได้บุญแล้ว
การอุทิศกุศลให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ใครเป็นคนได้ ญาติ ที่ตายหรือตัวเราเป็นคนได้ ก็ได้ทั้งสองฝ่าย ญาติที่ล่วงลับไปแล้วก็ อนุโมทนารับบุญกุศล
เราซึ่งเป็นผู้อุทิศกุศล ก็ได้บุญมาอีกข้อหนึ่งเรียกว่า ปัตติทานมัย บุญเกิดจากการแบ่งบุญแก่ผอู้ นื่ หรือการอุทศิ ส่วนบุญ ส่วนญาติทลี่ ว่ งลับไปแล้วได้บญ ุ จากอนุโมทนาในส่วนบุญทีเ่ รา แบ่งไปให้ โดยผูล้ ว่ งลับเพียงเปล่งวาจาว่า “สาธุ” เท่านัน้ ก็จะได้บญ ุ เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากการยินดีในการท�ำบุญของผูอ้ นื่
8
บริษัท ส�ำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จ�ำกัด
แบ่งบุญให้คนเป็น ยากเย็นกว่าแบ่งบุญให้คนตาย คราวนีม้ าพูดถึงในแง่ของ “คนเป็น” บ้าง สมมติวา่ คนทีบ่ า้ น ไม่ได้มาฟังธรรมด้วย แต่เราอยากจะให้เขาได้บุญด้วย ท�ำอย่างนี้ให้ ได้หรือไม่ ? ๑. อนุโมทนาแบ่งบุญให้ ๒. กรวดน�้ำอุทิศบุญให้ ๑. อนุโมทนาแบ่งบุญให้ ๒. กรวดน�ำ้ อุทิศบุญให้ ท�ำได้เหมือนกัน แต่ต้องไปบอกกล่าวด้วยตัวเอง หรืออาจจะ ใช้โทรศัพท์ ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้เรื่องเลย ไม่เชื่อกลับบ้านไปลองถามดูว่า “เป็นไง อิ่มไหม ฉันกรวดน�ำ้ แบ่งบุญมาให้ วันนี้ฉันไปฟัง ธรรมบ�ำเพ็ญกุศล ขอแบ่งบุญกุศลให้เธอด้วยนะ” เขาได้รับหรือยังคนที่บ้าน เขาต้องอนุโมทนา เขาต้องยกมือ ขึ้นอนุโมทนา “สาธุ” ถึงจะได้รับ บางทีพอบอกแบ่งบุญให้นะ “ก็เรือ่ งของเธอไม่เกีย่ วกับฉัน” จบกันไม่ได้รับบุญ มันต้องเกิดจากการที่จิตเขาต้องอนุโมทนาจึงได้ บุญ ไม่เหมือนคนตาย เรากรวดน�้ำตั้งจิตอุทิศไปให้เขา เขาทราบ
คนตายมีญาณหยั่งทราบได้ คนเป็นไม่มีญาณหยั่งทราบ ส่วนคนตายเราไม่ต้องสอน เขาทราบดีอยู่แล้วว่า บุญเป็นที่พึ่ง จิตประภัสสร
9
ท�ำบุญอุทิศ ต้องให้ตรงกับความต้องการของผู้รับ มีเรื่องเล่า ครั้งหนึ่ง มีเปรตมาปรากฏตัวให้พระสารีบุตรเห็น รูปร่างผอมโซ ไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่ม ท่านก็ถามว่า “นั่นเป็นใคร” เปรต ก็บอก “ข้าพเจ้าคือ เปรต ในอดีตชาติเคยเป็นมารดาของท่าน มาเพื่อขอส่วนบุญเพราะล�ำบากไม่มีอาหาร ไม่มีผ้านุ่ง ไม่มีที่อยู่ อาศัย” พระสารีบุตร แม้ท่านจะเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ก็ตาม แต่ท่านยังต้องเอาข้าวปลาอาหารน�้ำอย่างละถ้วย หาผ้ามาได้ เท่าฝ่ามือถวายสงฆ์ แล้วท่านก็สร้างกุฏเิ ป็นกระท่อมเล็กๆ ถวายสงฆ์ ประมาณ ๔ หลังและก็อุทิศให้เปรตผู้เป็นมารดา เปรตนั้น ก็ได้อนุโมทนารับบุญนั้น คราวนี้มาปรากฏรูปร่าง สวยงาม มีผ้านุ่งผ้าห่มเกิดขึ้นมากมาย แม้ผ้าที่อุทิศให้เท่าฝ่ามือ มี อาหารบริโภคอิ่มหน�ำส�ำราญ แค่อย่างละถ้วยก็ตาม แต่ไปปรากฏให้ เปรตจ�ำนวนมาก มีที่อยู่อาศัยสมบูรณ์ ข้อส�ำคัญของการท�ำบุญอุทิศต้องรู้ว่า เขาขาดแคลนอะไร เขาอดอาหาร ขาดเสื้อผ้า ไร้ที่อยู่อาศัย เราต้องบ�ำเพ็ญทานด้วย ปัจจัย ๔ จึงจะตรงตามความต้องการ ถ้าอุทิศบุญที่เรามาฟังธรรมนั่งกรรมฐานให้เปรตที่อดอาหาร หิวผอมโซ มันไม่ตรงกับที่เขาเดือดร้อน เพราะบุญจากการปฏิบัติ ธรรมมันเป็นบุญให้ผลเป็นความสุขอิ่มเอมใจมีสติปัญญา
10
บริษัท ส�ำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จ�ำกัด
ให้รองเท้า เท่ากับให้ยานพาหนะ อาตมาเคยถวายรองเท้ า กั บ พระอาจารย์ คื อ พระครู สังวรสมาธิวัตร อดีตเจ้าอาวาสวัดเพลงวิปัสสนา เป็นพระอาจารย์ ของอาตมา ครัง้ หนึง่ ไปสัมมนาพระวิปสั สนาจารย์ มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (พระพิมลธรรม ในสมัยนั้น) เป็นประธาน มีพระเข้ารับการอบรม หลายร้อยรูป เวลาจะกลับ รองเท้าของท่านเกิดหาย อาตมาก็ถอดรองเท้า ถวาย ดีใจ เราได้ถวายรองเท้าพระอาจารย์ ไม่นานท่านก็มรณภาพ รถเบนซ์คันเก่าๆ ของท่าน ทางวัดยกให้อาตมา
อานิสงส์ถวายรองเท้า แต่ว่ามันเป็นรองเท้าเก่า ก็เลยได้รถเก่า ให้ของเก่าก็ได้ของเก่าตามสภาพ อานิสงส์มนั เกิดก็ไม่คดิ ว่าเขาจะเอามาให้อาตมา เพราะฉะนัน้ เราต้องหมัน่ ท�ำบุญ แผ่เมตตา อุทศิ ส่วนกุศล บุญทีเ่ ราอุทศิ ให้ควรเป็น ปัจจัย ๔ ซึ่งตรงตามความต้องการของสรรพสัตว์ที่สุด หากปรารถนาให้มีความสะดวก ก็ถวายรองเท้าซึ่งถือว่าเป็น ยานพาหนะได้เหมือนกัน ใช้ทรัพย์สินเงินทองเป็นทาน ย่อมได้ความรวย แต่ไม่ได้ปัญญา ไม่ได้มติ รบริวาร ให้ธรรมเป็นธรรมทานด้วยการพิมพ์หนังสือแจกเป็นธรรม ทานได้ทั้งทรัพย์ ปัญญา บุญบารมี และมิตรบริวาร
จิตประภัสสร
11
แผ่เมตตา บุญที่ท�ำง่ายสลายโกรธ แผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศลเหมือนกันไหม แผ่เมตตาก็คือ แผ่ ความเมตตา อุทิศส่วนกุศลคือ เราก็ต้องท�ำบุญกุศลให้เกิดขึ้นก่อน แล้วก็อุทิศไปให้ญาติ ถ้าบุญเราไม่มีเราก็ไม่รู้จะอุทิศอะไรให้ แต่แผ่เมตตาเราไม่ต้องมีอะไร แผ่ได้เลย แผ่กระแสจิตให้ สัตว์ทั้งหลายมีสุข เป้าหมายของการแผ่เมตตาคือ ต้องการให้จิตเรา มีความสุข
จิตเราจะมีความสุข ถ้าเรามีการแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะความโกรธในใจเรา จะถูกช�ำระไปด้วยการแผ่เมตตา การแผ่เมตตาก็ง่ายๆ ท�ำใจให้มีอารมณ์เมตตาหวังดีจริงๆ ว่า “ขอให้สตั ว์ทงั้ หลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด” ให้มนั ออกจากใจเราไป เป็นภาษาบาลีหรือภาษาไทยก็ได้ หากมัวแต่นึกถึงภาษาบาลีที่สวดก็ไม่ค่อยคล่อง ก็เลยกลาย เป็นแผ่ความเครียด มันต้องแผ่ด้วยใจสบายๆ แผ่จนกระทั่งใจเราอิ่ม ใจมีเมตตาจริงๆ มันจะอิ่มเอิบ ปากยิ้มได้ มีความสุข นี่ก็เป็น บุญทีเ่ ราควรท�ำอยูเ่ สมอๆ ไม่ใช่ไปแผ่เอาตอนโกรธ มันแผ่ไม่ไหวแล้ว จะเป็นการแผ่ความโกรธเสียด้วยซ�้ำ
12
บริษัท ส�ำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จ�ำกัด
ฆ่าความโกรธได้ใจก็เป็นสุข ในครั้งพุทธกาล มีครอบครัวของพราหมณ์สองสามีภรรยา คูห่ นึง่ พราหมณ์ผเู้ ป็นสามีนบั ถือนักบวชลัทธิไม่นงุ่ ผ้า ส่วนพราหมณี ผูเ้ ป็นภรรยานับถือพระพุทธเจ้า เวลาใดทีน่ างพลัง้ เผลอก็จะอุทานว่า “นะโม ตัสสะ” ทุกที วันหนึ่งสามีเชิญนักบวชที่ไม่นุ่งผ้ามาบริโภคอาหารที่บ้าน จึง ก�ำชับภรรยาว่า “เธออย่าไปอุทาน นะโม ตัสสะ ต่อหน้าสมณะของ ฉันนะ จะท�ำให้เสียงาน” นางก็ไม่รบั รอง ใครจะไปห้ามได้คนมันตกใจ ก็เป็นจริงดังคาด พอนางยกอาหารมาเกิดสะดุดตกใจจะล้มก็อุทาน “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต” หรือบางครั้งก็ “พุทโธๆ” พวกชีเปลือยทั้งหลายได้ยินก็คายอาหารทิ้งต่อว่าพราหมณ์ เป็นการใหญ่ พราหมณ์โกรธมากจึงไปต่อว่าพระพุทธเจ้าถึงวัด พอ ไปถึงก็ถามเลยว่า “สมณะ ฆ่าอะไรดีถึงจะมีความสุข” พราหมณ์ได้ยินเท่านี้ ก็นิ่งไปเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ฆ่าความโกรธเสียได้ นั่นแหละเป็นสุข” จิตที่มีความโกรธเป็นทุกข์ ถ้าเราสามารถช�ำระความโกรธใน ใจได้ก็จะมีความสุข จิตที่มีเมตตาจะไม่มีความโกรธ ดังนัน้ แผ่เมตตาอยูเ่ รือ่ ยๆ ตืน่ ขึน้ มาก็แผ่เมตตาทันที ยืน เดิน นั่ง นอนท�ำได้หมด จิตประภัสสร
13
จิตเมื่อคุ้นเคยกับสิ่งใด จะนึกถึงสิ่งนั้น การฟังธรรมอยู่เสมอๆ จิตเราเป็นบุญมีความสุข จิตเราจะ นึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจ�ำ ใครระลึกถึงพระพุทธเจ้าทุกวัน มีไหม ? ใจระลึกถึงพระพุทธเจ้าตลอดมีไหม ? ระหว่างจิตของเรา อยูก่ บั พุทธเจ้า กับการปล่อยจิตไปตาม ล�ำพังให้ไหลไปตามอารมณ์เรือ่ งราว ไม่ดี อดีต อนาคต อันไหนสุข อัน ไหนมันเป็นทุกข์ เวลาเราดูหนังดูละครมากๆ
ใจก็จะไปติดอยู่กับตัวละคร นึกถึงดาราคนนั้นคนนี้ ใจที่ระลึกถึงดารา กับระลึกถึงพระพุทธเจ้า อันไหนจะมีความสุขมากกว่ากัน โดยเฉพาะเวลาจะตาย ก่อนจะตายจะระลึกถึง พระพุทธเจ้า หรือระลึกถึงดารานักร้อง
เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเราใกล้ชิดกับพ่อแม่ เราจะระลึก ถึงพ่อแม่อยู่เสมอ อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าใจเราอยู่กับพระพุทธเจ้าก็จะ ระลึกถึงอยู่เสมอ อันนี้ก็ฝากเตือนกันเอาไว้
14
บริษัท ส�ำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จ�ำกัด
หมู่มารร้าย ย่อมเกรงใจต่อพุทธบุตร ก า ร ที่ เ ร า จ ะ ร ะ ลึ ก ถึ ง พระพุทธเจ้าได้มากได้ดกี ด็ ว้ ยการ ปฏิบัติธรรม การศึกษาธรรม การฟัง ธรรม การฟังพุทธประวัตวิ า่ พระองค์ บ� ำ เพ็ ญ บารมี ม าอย่ า งไร ตรั ส รู ้ อย่างไร แสดงธรรมที่ไหน อย่างไร ใจเราจะอยู่กับพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นพุทธานุสสติแล้ว เราจะไม่ หวาดหวั่นพรั่นพรึง พระพุทธเจ้าเป็นพระมหาศาสดา เป็นพระบรมศาสดา เป็นครู ของเทวดาและมนุษย์ทงั้ หลาย เป็นทีย่ ำ� เกรงของหมูม่ ารร้ายทัง้ หลาย ไม่มีใครกล้าแตะต้อง
ถ้าท�ำตัวเราให้เหมือนเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ใครจะกล้าแตะต้อง อุปมาเหมือนลูกเจ้าใหญ่นายโตใครๆ ก็ยำ� เกรง นี่ระดับมนุษย์ แล้วระดับพระพุทธเจ้าสูงสุด เราได้เป็นลูกของพระองค์ มารย่อมย�ำเกรง จิตประภัสสร
15
“นะโม” พ้นภัย พระพุทธเจ้าเคยรับสั่งกับภิกษุสงฆ์ว่า “ถ้าพวกเธออยู่ในที่เปลี่ยว เกิดความกลัวขนพองสยอง เกล้าขึ้นมาให้ระลึกถึงพระองค์” มีตวั อย่างเด็กน้อยคนหนึง่ พ่อเขาสอนให้สวดมนต์ตงั้ แต่เล็กๆ วันหนึ่งนั่งเกวียนไปท�ำธุระกับพ่อนอกเมือง ขากลับพ่อปลดเกวียน แวะพักใกล้ประตูเมืองให้วัวกินน�้ำกินหญ้า แต่วัวกินเพลินไป เลย หายเข้าไปในเมือง พ่อก็ไปตามหากว่าจะเจอก็เย็น ประตูเมืองปิด พอดี ออกมาก็ไม่ได้ ส่วนลูกน้อยอยู่บนเกวียนนอกเมือง พอตกกลางคืนยักษ์มา เห็นเด็กจะมาจับกิน พอมาแตะต้อง เด็กเคยท่องสวดมนต์ พอมีอะไร ก็จะท่อง “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” ยักษ์สะดุ้งกลัว แล้วก็เห็นความผิดของตัวเองว่า “นี่ เราจะมาท�ำร้ายลูกของพระพุทธเจ้าเลยหรือ” ก็เลยแก้ความผิด ไปเอาอาหารในวังมาจัดเลี้ยงให้เด็กและ ท�ำตัวเองเหมือนเป็นพ่อ เด็กก็นึกว่าพ่ออยู่ด้วย นอนสบายทั้งคืน นี่ แค่นะโมป้องกันภัยได้
16
บริษัท ส�ำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จ�ำกัด
อยากดับทุกข์ต้องมี พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จิตเราต้องมีที่อยู่ ที่ตั้ง ที่อาศัย มีพระรัตนตรัย ท่านจึงบอก ว่า พระพุทธเจ้าเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง คือ
เราได้รับค�ำสอนจากพระพุทธองค์ ซึ่งได้ตรัสรู้สัจธรรมค�ำสอนที่ถูกต้องแล้ว พระองค์มีพระกรุณาธิคุณสั่งสอน เราปฏิบัติตามค�ำสอนแล้วก็ดับทุกข์ให้ตัวเองได้ ที่ระลึกคือ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า จิตเราจะเป็นกุศล สรุปว่า พระรัตนตรัย คือที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดหมายความว่า
ถ้าผู้ใด เข้าถึงพระรัตนตรัย บุคคลนั้น จะท�ำที่สุดแห่งทุกข์ ให้ตัวเองได้ จิตถ้าปล่อยตามล�ำพัง ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่ตั้ง มันจะไหลไป สู่ เรื่องอดีต เรื่องเก่าๆ คนนั้นไม่ดีกับเรา คนนี้ท�ำอย่างนี้กับเรา เรื่องอนาคต ก็วิตกกังวลจะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นอย่างนี้ กลัว หวั่นไหว... เป็นทุกข์ไหม ? จิตมันจะเป็นทุกข์ จิตประภัสสร
17
ทุกข์เพราะคิด หยุดคิดได้ ใจก็สบาย เราเป็นทุกข์เพราะใคร อย่างเวลาเราโกรธ นึกถึงคนที่เคยด่า เรา แกล้งเรา เคยโกงเรา ใจเราก็โกรธแค้น ตกลงที่เราเป็นทุกข์ เรา ทุกข์เพราะคนนั้นคนนี้หรือเปล่า
ทุกข์เพราะความคิดของเราเอง ทุกข์เพราะความโกรธของเราเอง ที่มันโกรธเพราะจิตเรามันคิด เคยคิดจนนอนไม่หลับมีไหม ? คิดแล้วเครียดมีไหม ? คิดแล้ว เศร้าโศกเสียใจมีไหม ? เรื่องที่เราไปนึกถึง ที่ทำ� ให้เราเสียใจมันผ่าน ไปหรือยัง มันผ่านไปกี่เดือน กี่ปีแล้ว มันจบไปแล้ว
แต่เราเอามาคิดใหม่ เราก็ทุกข์ใหม่ มันจึงไม่ใช่เป็นความทุกข์ เพราะเรื่องนั้น ทุกข์เพราะคนนั้น แต่มันทุกข์เพราะความคิดของเราเอง เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเราสามารถหยุดความคิดเรื่องไม่ ดีต่างๆได้ หยุดวิตกกังวลถึงเรื่องอดีต อนาคตได้ มันจะสบาย ท�ำ อย่างไรเราถึงจะหยุดความคิดได้ ก็ต้องเจริญสติ แบ่งปันรอยยิ้ม แบ่งปันความสุข แบ่งปันความดี ด้วยการหยิบยื่นหนังสือธรรมะสาระดีๆ ให้ผู้อื่นได้อ่าน เพื่อความสุข ความดี แก่ตนและคนที่รัก
18
บริษัท ส�ำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จ�ำกัด
ก�ำหนดรูค้ วามคิด แต่อย่าคิดปรุงแต่ง การเจริญสติ ก�ำหนดอะไร เวลาคิดให้ก�ำหนดรู้ความคิด ระหว่างความคิดกับเรือ่ งราวนี้ เหมือนกันไหม เรือ่ งราว เรือ่ งคน สัตว์ การงาน หญิง ชาย อดีต อนาคต กับความคิดเป็นอันเดียวกันไหม ? เป็นคนละอันกัน ถามว่า เรือ่ งราวเหล่านัน้ คอยจะมาหาความคิดหรือความคิด คอยไปหาเรื่องราวเหล่านั้น ?
ความคิดคอยมาหาเรื่องราว คิดบ่อย หาเรื่องบ่อย เป็นทุกข์ขึ้นมาท�ำอย่างไร ไม่ให้ใจไปหาเรื่องราวให้มันตัดเรื่องราวออกไป ต้องเจริญสติ เอาสติมาก�ำหนดดูความคิด ถามว่า ก�ำหนดความคิด เวลาก�ำหนดรู้จะต้องให้รู้ไหมว่ามัน คิดเรื่องอะไร หรือเอาแค่ความคิด ถ้าอยากรูว้ า่ คิดเรือ่ งอะไรมันก็จะออกไปหาเรือ่ ง เอาแค่ความ คิด “คิดหนอๆ”, หรือ “คิด” สักแต่ว่า “คิด”, “รู้” สักแต่ว่า “รู้” ถามว่า ก�ำหนดความคิดต้องพยายามให้หยุดคิดใช่ไหม ถ้า พยายามให้หยุดแต่มันไม่หยุด จะโมโหหนักกว่าเก่าจะเกิดความ ขัดเคืองใจ มันก็เลยไม่ถูกต้อง อ่ า นให้ รู ้ รู ้ แ ล้ ว ลงมื อ ท� ำ ท� ำ ท� ำ ท� ำ เท่ า นั้ น จึ ง จะเป็ น สุ ข สุข ทุกข์ อยู่ที่ใจ ใจใคร ใจเขา อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ที่พึ่งของตน ที่ดีที่สุด คือความดี คิดดี ท�ำดี พูดดี สิ่งดีๆ จะตามมา พาพ้นทุกข์ สุข ทุกขณะ สาธุ สาธุ สาธุ
จิตประภัสสร
19
แบร่!! เข้ามาไม่ได้หรอก เจ้าความคิด เรามีสติกรองอยู่นี่ไงล่ะ
ฮึ่มๆ
ทางที่ถูกก็คือ ก�ำหนดรู้ความคิด อย่าไปบังคับให้หยุดคิด ก�ำหนดความคิด “สักแต่ว่า” วางเฉยให้เป็น มันจะคิดก็คิดไป ผู้รู้ไม่คิดด้วย รู้เฉยๆ เหมือนเราเลี้ยงหลานจะให้เขาอยู่นิ่งๆ ได้ไหม ถ้าเราไปจับ ให้นิ่งห้ามขยับ ขยับเป็นตีๆ เด็กจะเป็นไง ถ้าไปบังคับก็จะคับแค้น ยิ่งร้องใหญ่ เราเลี้ยงเด็กต้องปล่อยเขาบ้าง ให้เขาเดิน เขาวิ่ง แต่เรา ดูอยู่ ให้อยู่ในกรอบ จิตก็เหมือนเด็ก เราจะไปบังคับไม่ได้ แต่เราดูอยู่ มีสติดูเขา จะคิดก็รู้.. ไหวไปก็รู้.. แวบไปก็รู้.. รู้อยู่อย่างนี้ก็สามารถจะควบคุม จิตไว้ได้
20
บริษัท ส�ำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จ�ำกัด
ทุกอย่างเริม่ ต้นจากความคิด จึงไปสูก่ ารกระท�ำ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ชนเหล่าใด ส�ำรวมระวังรักษาจิตได้ ชนเหล่านั้น จะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร”
ตรั ส ไว้ กั บ พระสั ง ฆรั ก ขิ ต เนื่ อ งจากท่ า นมี ห ลวงลุ ง เป็ น พระอุปัชฌาย์ วันหนึ่งท่านก็ได้ผ้าสาฎกมาสองผืน ๗-๘ ศอก ท่าน ก็เก็บไว้ใช้ผืนหนึ่ง ผืนใหญ่ท่านก็เอามาถวายหลวงลุง พอมาถึง วัดหลวงลุงก็กำ� ลังฉันอาหารอยู่ ท่านก็เอาผ้ามาวางตรงหน้า แล้วท่าน ก็หยิบเอาพัดมาโบกไปด้วย คุยไปด้วยบอกว่า “ผมได้ผ้ามา ขอน้อมถวายหลวงลุงครับ” เนื่องจากเห็นว่า จีวรของท่านก็ยังพอใช้อยู่จึงไม่รับ ส่วนพระ หลานชายอยากจะถวายก็ออ้ นวอน ท่านก็ไม่รบั เลยเกิดความคิดมาก คนเราบางทีคิดไปเอง เกิดความสงสัยว่าหลวงลุงจะรังเกียจตนเสีย แล้ว ไม่รู้ว่าจะบวชอยู่ท�ำไมอีก สึกดีกว่าก็เลยคิดจะลาสิกขาวางแผน ในใจว่า “ชีวติ ฆราวาสไม่เหมือนพระ อย่างพระเช้าก็ออกบิณฑบาต มีอาหารฉัน เป็นฆราวาสเราต้องมีเงินมีทอง ต้องท�ำมาหาเลีย้ งชีพ แล้วจะประกอบอาชีพอะไรดี ทุนรอนก็ไม่มี เอาอย่างนีแ้ ล้วกัน เอา ผ้านีแ้ หละไปขาย ได้เงินมาก็จะซือ้ แพะตัวผูต้ วั เมียมาผสมพันธุก์ นั พอมันตกลูกก็ขายลูกแพะ เราก็จะรวย พอเรามีเงินมีทองเราก็จะ แต่งงานมีลูก เราจะพาภรรยากับลูกมาเยี่ยมหลวงลุง” จิตประภัสสร
21
นี่แน่ !! ยัยเมียโง่
โอ๊ย !! แค่ไม่รับผ้า ท�ำไมต้องตีหัวกันด้วย !!
การกระทำท ที่ไม่คาดคิด มาจากความคิดที่ขาดสติ
คิดไปเองเห็นเป็นตุเป็นตะ คิดไปถึงตอนแย่งกันอุม้ ลูก ภรรยา แย่งลูกไปอุ้มแต่ท�ำลูกหลุดมือ ก็เกิดความโมโหคว้าไม้มาตีภรรยา ในความคิด ในขณะที่ก�ำพัดหลวงลุงอยู่ แต่ในใจเห็นเป็นว่า ก�ำลังตี ภรรยา มือก็เลยไปตามความคิด เอาพัดฟาดหัวหลวงลุงไปทีหนึ่ง ท่านก็ตกใจถามว่า “แค่ไม่รับผ้า ท�ำไมต้องตีหัวกันด้วย” ก็ เข้าฌานสมาบัตจิ งึ รูว้ าระจิต การรูว้ าระจิตไม่ใช่รกู้ นั ได้ตลอดเวลา ถ้า ไม่เข้าฌานสมาบัติ ไม่เข้าอภิญญาก็ไม่รู้ ท่านเลยพูดกับพระหลานชายว่า “คุณจะตีหัวภรรยาของ คุณ แต่ท�ำไมมาตีหัวผมเสียเล่า” พอได้ยินหลวงลุงพูดแบบนั้นก็ ตกใจ กลัวท�ำอะไรไม่ถูกจึงลุกหนี พระภิกษุก็ช่วยกันจับตัวไว้ น�ำไป เฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ เพราะเหตุใดเธอจึงประทุษร้ายพระอุปัชฌาย์” พระสังฆรักขิตก็กราบทูลว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้มีเจตนา พระพุทธเจ้าข้า แต่ว่าขณะนั้นข้าพระองค์คิดอย่างนี้” ก็เล่าความ จริงให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ
22
บริษัท ส�ำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จ�ำกัด
แม้แต่จิตก็ไม่เที่ยง ควรหรือจะยึดถือเป็นตัวเป็นตน
พระพุทธองค์ทรงยกเรือ่ งนีใ้ ห้เป็นอุปกรณ์การสอนจึงตรัสว่า ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ เย จิตฺตํ สญฺเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา
จิตนี้ไปไกล ไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ�้ำเป็นที่อยู่อาศัย ชนเหล่าใด ส�ำรวมระวังรักษาจิตได้ ชนเหล่านั้น จะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร นี้คือ ค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ทูรงฺคมํ จิตนี้ไปไกลไปไหนๆ คิดเป็นเรื่องเป็นราว บางทีเรา นั่งภาวนาก�ำหนดหายใจ เข้า-รู้ ออก-รู้ จิตไปโน้นแล้วไปที่ทำ� งานไป ที่ไหนๆ ไกลๆ เอกจรํ เกิดขึน้ ทีละดวง จิตนีม้ กี ารเกิดการดับเร็วมาก จิตดวง หนึง่ เกิดขึน้ ดับไป จิตดวงใหม่เกิดขึน้ ดับไป มันมีความเร็วมาก จิตดวง หนึ่งก็รับอารมณ์ได้อย่างหนึ่ง มันไม่ได้ตั้งอยู่ ฉะนัน้ จิตเทีย่ งหรือไม่เทีย่ ง ? เปลีย่ นแปลงอยู่ เมือ่ จิตไม่เทีย่ ง เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ? ทุกข์คือทนอยู่ตั้งอยู่ไม่ได้
เมือ่ จิตไม่เทีย่ งเป็นทุกข์ มีความปรวนแปรเป็นธรรมดา ควรหรือจะยึดถือว่า เป็นเราเป็นตัวตนของเรา ไม่ควรยึดถือจิต จิตนี้เป็นอนัตตา จิตประภัสสร
23
วิญญาณหลับกายสัปหงก ค�ำว่า จิตกับวิญญาณ เป็นภาษาที่เรียกต่างๆ กันจะเรียกว่า จิต ก็ได้ วิญญาณ ก็ได้ จะเรียกว่า วิญญาณขันธ์ จะเรียกว่า มโน เรียกได้หลายอย่าง
จิตหรือวิญญาณที่แฝงอยู่ในตัวเราขณะนี้ มีไหม ทุกคนมีวิญญาณแฝงอยู่ทั้งนั้น ถ้าไม่มีวิญญาณก็เป็นศพ ตอนนี้เรามีวิญญาณอยู่ ที่มานั่งได้อยู่นี้เพราะมีวิญญาณ ก็ยังต้องประคับประคองกันอยู่ แต่ ถ ้ า นั่ ง ไปๆ วิ ญ ญาณหลั บ กายจะเป็นอย่างไร สัปหงก พอจิตหลับ กายสัปหงก พอสัปหงกจิตก็ตนื่ เราก็ตงั้ ศีรษะขึ้นมาใหม่ เดี๋ยวหลับอีกสัปหงก อีก เป็นอยู่อย่างนี้ จิตมันขึ้นมารับอารมณ์แล้วมัน ก็จะลงภวังค์ไป ถ้ามันลงยาวเราก็จะ สัปหงก ถ้ายาวมากก็กรนเลย จิตจะ เป็นลักษณะที่ขึ้นมารับอารมณ์ แล้วก็ ลงภวังค์ไป
24
บริษัท ส�ำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จ�ำกัด
ความจริงชีวิตมนุษย์ เกิดดับตลอดเวลา ภวังคจิต หมายถึง จิตที่รักษาภพ ท�ำให้ชีวิตนี้ยังไม่ขาดจาก ภพนี้ ถึงแม้จะไม่มารับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ยังไม่ขาดจาก ภพนี้ เป็นภวังคจิตรักษาภพไว้
เมื่อจิตมีการเกิดดับอยู่อย่างนี้ มันจึงไม่เที่ยง มันจะเป็นตัวเราได้อย่างไร แม้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มันยังตายอยู่ตลอดเวลา ก็คือเกิดแล้วก็ดับ ก็คือตายแล้วก็เกิดใหม่ ดับใหม่ เกิด-ตาย
เมือ่ ตอนสิน้ ชีวติ ก็คอื จิตมันดับแล้วไม่เกิดในร่างนีใ้ นสังขารนี้ มันก็จะไปประกอบร่างใหม่มีขันธ์ ๕ ขึ้นมาใหม่ แล้วก็เกิดดับนับครั้ง ไม่ถ้วนในร่างใหม่ต่อๆ ไป เป็นแบบเดียวกันทุกคน ถ้ายังไม่ได้เป็น พระอรหันต์
จิตประภัสสร
25
กรรมดีกรรมชั่วไม่เคยสูญหาย จะถ่ายทอดจากจิตสู่จิต เปลีย่ นภพชาติไป แล้วเมือ่ มันดับ มันเกิดใหม่ บาปกรรมกิเลส ในจิตที่เราท�ำไว้ไม่หมดไปหรือ ? บุญบาปมันไม่หายไปหรือ ?
มันถ่ายทอดกันได้ มันถ่ายไปยังจิตดวงใหม่ ถึงเราจะไปเกิดในภพใหม่ จิตดวงใหม่มันก็ถ่ายไป มีนิสัย มีกิเลส มีกรรมอย่างไร ก็ถ่ายกันไป ดังนั้น สัตว์โลกทั้งหลายจึงเป็นไปตามกรรม มีกรรมเป็นของ ตน มีกรรมเป็นก�ำเนิด เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มี กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราท�ำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราก็จะ ต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น อย่าคิดว่า เราปกปิดคนอื่นได้ ท�ำบาป แล้วยกบาปให้คนอืน่ ได้ ในโลกมนุษย์ บางคนท�ำบาปท�ำชัว่ แล้วก็เอา ความผิดไปใส่คนอืน่ เขาติดคุก แต่เราไม่สามารถจะปิดบาปปิดกรรม ได้เลย กรรมจะให้ผลได้อย่างแม่นย�ำ จึงต้องเป็นผู้รับผลของกรรม ถ้าเราท�ำกรรมดีก็เกิดในสุคติภูมิ เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ถ้าท�ำกรรมชั่วก็เกิดในอบายภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์ เดรัจฉาน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์เกิดมาจึงไม่เหมือนกัน ร่วมสร้างสายใยสัมพันธ์รักแห่งครอบครัวให้อบอุ่น ด้วยการมอบหนังสือเล่มนี้ให้คนที่รัก โรงเรียน ห้องสมุด เยาวชน เพื่อสานสุขให้สังคมน่าอยู่ยิ่งขึ้น
26
บริษัท ส�ำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จ�ำกัด