เพราะทุกชีวิตถูกลิขิตด้วยกฎแห่งกรรม จึงไม่มีใครหนีพ้น
บรรณาธิการ : ศักดิ์สิทธิ์ พันธุ์สัตย์ เรียบเรียง : คณาจารย์สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง ออกแบบปก : อนุชิต คำ�ซองเมือง ออกแบบรูปเล่ม : เสาวณีย์ เที่ยงตรง พิสูจน์อักษร : อรทัย คำ�แพง
หลักตัดสินก่อนเชื่อ พระพุ ท ธเจ้ า ได้ ใ ห้ ห ลั ก ก่ อ นการตั ด สิ น ใจเชื่ อ หรื อ ยึ ด ถื อ คำ�สอนหรือคำ�พูดของใครๆ เอาไว้ในกาลามสูตร ดังนี้ “ท่านทั้งหลาย อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำ�ที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำ�สืบๆ กันมา อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินว่าอย่างนี้ อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำ�รา อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน อย่าได้ยึดถือโดยตรึกตามอาการ อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตน อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรเชื่อได้ อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็น กุศล ไม่มีโทษ ผู้รู้สรรเสริญ เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ ความสุข เมือ่ นัน้ ท่านทัง้ หลาย ควรเข้าถึง (ยึดถือ) ธรรมเหล่านัน้ เถิด” เก็บความจาก เกสปุตตสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ ข้อที่ ๕๐๕ ความดีที่เกิดจากหนังสือเล่มนี้ ขอน้อมถวายบูชาแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมอบเป็นกตเวทิตาคุณแด่มารดา บิดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ทุกท่าน เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้ง ๓๑ กูมิ และหากหนังสือเล่มนี้ หมด ประโยชน์แก่ท่านแล้ว กรุณาส่งต่อให้กับผู้อื่นต่อไป เพื่อเพิ่มพูนธรรมทานบารมีแก่ ตน และร่วมเผยแผ่ รักษาพุทธธรรมคำ�สอนให้ด�ำ รงอยู่สืบต่อไป สาธุ
คำ�นำ� พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า สรรพสัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็น ของตน เป็นผูร้ บั ผลของกรรม มีกรรมนำ�มาเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ และมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ผู้ใดทำ�กรรมอันใดไว้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ก็ตาม ผู้นั้นจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว และ ทรงตรัสว่า กัมมุนา วัตตะตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ดังนั้น ชีวิตของคนเราที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน ประสบทั้งสุขและทุกข์ อย่างไรก็เป็นไปตามกรรมที่ตนได้กระทำ�ไว้ กรรมของคนเราอาจแบ่งได้เป็น ๒ ส่วน คือ กรรมที่ทำ�ใน อดีต หมายถึง กรรมที่ทำ�ไว้เมื่อครั้งอดีตชาติ ร้อยชาติ พันชาติที่ แล้วมา และกรรมที่ทำ�ในชาตินี้เมื่อสิบปีที่แล้ว หรือเมื่อวานนี้ หรือ ชั่วโมงที่แล้ว หรือ ๑ นาทีที่แล้ว หรือแม้แต่ ๑ วินาทีที่แล้ว กรรม ที่ท�ำ ล่วงมาแล้วทั้งหมดจัดเป็นอดีตกรรมทั้งสิ้น กรรมที่กำ�ลังทำ�อยู่ ณ ปัจจุบันนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เรียกว่า ปัจจุบันกรรม ชีวติ ของเราทีเ่ กิดมาต้องรับบทบาทของกรรมทัง้ ๒ ส่วนนีไ้ ป พร้อมๆ กัน คือ รับผลกรรมทีส่ ร้างไว้ในอดีตด้วย และในขณะเดียวกัน ก็สร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า สรรพสิ่ง ทุกอย่างล้วนเกิดแต่เหตุ สุขทุกข์ที่เราประสบอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ก็มีสาเหตุเช่นกัน คือ มีสาเหตุมาจากกรรมทีต่ นสร้างไว้ในอดีต อดีตจึงเป็นเหตุของปัจจุบนั
และในขณะเดียวกันสิ่งที่เราทำ�ไว้ ณ วันนี้ ก็จะเป็นเหตุให้เกิดผลใน อนาคตเช่นกัน ดังนั้น ความเป็นไปของชีวิตของเราทุกคนล้วนตกอยู่ภายใต้ การสร้างเหตุ รับผล หรือสร้างกรรม รับผลกรรม ไม่พ้นจาก วังวนนี้ นอกเสียจากผู้ที่หลุดพ้นแล้วจากอำ�นาจกิเลส พ้นจากการ เวียนว่ายตายเกิดแล้วเท่านั้นจึงจะพ้นจากวัฏจักรแห่งการสร้าง กรรมและรับผลกรรม หนังสือ แรงกรรม ได้มงุ่ เน้นนำ�เสนอเรือ่ งราวของผูส้ ร้างเหตุ แห่งกรรมและได้รบั ผลแห่งกรรม เพือ่ เป็นอุทาหรณ์ให้ทา่ นทัง้ หลาย ได้ศกึ ษาทำ�ความเข้าใจเกีย่ วกับกฎแห่งกรรมให้เข้าใจแจ่มแจ้งมากขึน้ ซึ่งเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เชื่อเหลือเกินว่า จะได้รับความรู้ใหม่ๆ และสามารถตอบข้อสงสัยบางประการที่ยังหาคำ�ตอบไม่ได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จักเอื้อประโยชน์ให้ทุกท่าน สามารถนำ�ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาและดำ�รงตนให้เป็นสุข ได้ในชีวิตประจำ�วัน าตุ จิรํ สตํ ธมฺโม ขอพระสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า จงสถิตอยู่สิ้นกาลนาน สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
สารบัญ
๑ กมฺมสฺสโกมฺหิ
เรามีกรรมเป็นของตน ๑. ๒. ๓. ๔.
พระอรหันต์อดอยาก แรงกรรมกาเมสุมิจฉาจาร แรงกรรม ๙๙๙ ศพ แรงกรรมปาณาติบาต
๘ ๒๔ ๓๓ ๓๗
๒
กมฺมทายาโท เราเป็นผู้รับผลของกรรม ๕. แรงกรรมที่ท�ำ ให้เกิดเป็นโสเภณี ๖. แรงกรรมทีท่ �ำ ให้เกิดเป็นโสเภณี (๒) ๗. แรงกรรมทำ�ให้เกิดมากินขี ้
๔๒ ๔๖ ๕๐
๓
กมฺมโยนิ เรามีกรรมนำ�มาเกิด ๘. แรงกรรมที่ทำ�ให้ทารกถูกทิ้ง
๖๒
๙. แรงกรรมของหญิงค่อม ๑๐. แรงกรรมทำ�บุญด้วยอารมณ์โกรธ ๑๑. แรงกรรมที่ทำ�ให้คนรวยไร้ทายาทสืบสกุล
๗๕ ๘๑ ๘๗
๔
กมฺมพนฺธุ เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ๑๒. แรงกรรมทำ�ดีเห็นผลทันตา ๑๓. แรงกรรมปลาทองปากเหม็น
๙๒ ๙๘
๕
กมฺมปฏิสรโณ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ๑๔. แรงกรรมทำ�แท้ง ๑๕. แรงกรรมนำ�สู่โรคประหลาด ๑๖. แรงกรรมของความอาฆาต ๑๗. แรงกรรมทำ�ให้พระเป็นเปรต ๑๘. แรงกรรมของหญิงเปรต ๑๙. แรงกรรมทำ�ผิดพระวินัย ๒๐. แรงกรรมแม่ค้าขายปลา
บทสวดมนต์ประจำ�วัน
๑๑๖ ๑๒๐ ๑๒๗ ๑๓๐ ๑๓๔ ๑๓๘ ๑๔๔
๑๕๐
๑
กมฺมสฺสโกมฺหิ
เรามีกรรมเป็นของตน โดย... ศักดิ์สิทธิ์ พันธุ์สัตย์ บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
7
๑
พระอรหันต์อดอยาก เรื่องที่จะเล่าให้ท่านทั้งหลายได้ฟังต่อไปนี้ เป็นเรื่องของ พระอรหั น ต์ รู ป หนึ่ ง ที่ อ อกบวชในศาสนาของพระพุ ท ธเจ้ า องค์ปัจจุบันของเรานี่เอง เล่าไว้โดยละเอียดในหนังสือ พระสูตร และอรรถกถาแปล เล่มที่ ๕๖๑ ซึ่งเรื่องของท่านนั้นเป็นเรื่องที่ แปลกมาก เพราะนับตัง้ แต่วนั ทีถ่ อื ปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา และ ออกบวชจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านไม่เคยที่จะได้ฉันอาหาร อิม่ ท้องแม้แต่มอ้ื เดียว ยกเว้นมือ้ สุดท้ายก่อนตาย ใครทีก่ �ำ ลังสงสัยว่า เหตุใดคนเราเกิดมาจึงต้องเป็นคนเร่ร่อน คุ้ยเขี่ยขยะเลี้ยงชีพ ต้อง อดมื้อกินมื้อ มีความเป็นอยู่ไม่ต่างกับเปรต อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านจะ ได้คำ�ตอบว่าเป็นเพราะกรรมอะไร พระอรหันต์องค์นี้ ท่านมีนามว่า พระโลสกติสสเถระ หรือ เรียกตามที่เพื่อนภิกษุเรียกสั้นๆ ว่า ท่านโลสกะ แปลเป็นไทยได้ว่า “ตัวซวย” ซึ่งจะซวยอย่างไร ขอให้ติดตามต่อไป ๑
ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๒
8
แรงกรรม
อีกมุมมองกรรม ที่ท่านอาจยังไม่เคยรู้
i
เป็นตัวซวยตั้งแต่ยังไม่คลอด o
ท่านเกิดในหมู่บ้านชาวประมง ตำ�บลหนึ่ง ในแคว้นโกศล ในวันที่ท่านปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา ปรากฏว่าคนทั้งหมู่บ้าน ซึ่งมีอยู่ประมาณ ๑ พันครอบครัว จับปลาไม่ได้เลยแม้แต่ตัวเดียว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นมาตลอดนับแต่ วันที่มารดาของท่านตั้งครรภ์ ทำ�ให้ทั้งหมู่บ้านเกิดอัตคัดขัดสนลง เรื่อยๆ มิหนำ�ซ้ำ�ยังเกิดเหตุเพลิงไหม้หมู่บ้านโดยไม่ทราบสาเหตุ ติดต่อกัน ๗ ครั้ง และยังถูกทางการดำ�เนินคดีฟ้องร้อง ต้องถูกปรับ ค่าสินไหมทั้งหมู่บ้านอีก ๗ ครั้ง ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมา ก่อนเลย เมื่อประสบความทุกข์ร้อนอย่างหนัก หัวหน้าหมู่บ้านจึง เรียกประชุมลูกบ้านและกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย เมื่อก่อนในหมู่บ้านเรา ไม่เคยเกิดเรื่อง แบบนี้ขึ้น แต่ตอนนี้มีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้น ทำ�ให้ชีวิตความ เป็นอยูข่ องพวกเราลำ�บาก ย�ำ่ แย่ เดือดร้อน อดอยากไปตามๆ กัน แสดงว่า ในกลุ่มของพวกเรา จะต้องมีใครสักคนหรือครอบครัวใด เป็นตัวกาลกิณีแน่ๆ” เพื่อหาว่า ครอบครัวไหนเป็นต้นเหตุ หัวหน้าหมู่บ้านจึงใช้ วิธีแบ่งลูกบ้านออกเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มละ ๕๐๐ ครอบครัว และ เมื่อมารดาบิดาของท่านเข้าไปอยู่ในกลุ่มใด กลุ่มนั้นก็ยังคงขัดสน เช่นเดิม ส่วนกลุ่มที่แยกออกไปก็สามารถจับปลาและกลับมามีชีวิต ที่ดีเหมือนเดิม การแยกกลุ่มดำ�เนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้รู้ว่า บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
9
ครอบครัวของท่านเป็นกาลกิณี จากนัน้ จึงขับไล่มารดาบิดาของท่าน ออกจากหมูบ่ า้ น ไปสร้างกระท่อมอยูใ่ นทีโ่ ดดเดีย่ วห่างไกลจากผูค้ น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่อัตคัด จนถึงวันกำ�หนดคลอดจึงให้กำ�เนิดท่าน ออกมามีอาการครบ ๓๒ ประการ จากนั้น บิดามารดาก็สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูท่านด้วยความลำ�บาก ยากแค้นกระทั่งโตพอวิ่งไปไหนมาไหนได้ จึงตัดสินใจเอากะลาใส่ มือท่านแล้วนำ�ไปปล่อยให้เป็นขอทานหาเลีย้ งตัวเอง ท่านต้องกลาย เป็นเด็กขอทานใช้ชวี ติ อยูอ่ ย่างโดดเดีย่ วเดียวดาย เทีย่ วหากินไปตาม ประสา ค�ำ่ ไหนนอนนัน้ ไม่มคี นคอยดูแล เนือ้ ตัวมอมแมมเหมือนกับ ปีศาจคลุกฝุ่น i
ก้าวสู่ร่มกาสาวพัสตร์ o
เด็กน้อยใช้ชีวิตร่อนเร่ หาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บเศษอาหาร ตามบริเวณที่เขาล้างถ้วยชาม มีชีวิตอยู่ไม่ต่างจากหมูหมากาไก่ กระทั่งเติบโตอายุ ๗ ขวบ วันหนึ่ง ขณะที่หนูน้อยคุ้ยหาเม็ดข้าวกินตามดินอยู่ พลันหู ก็ได้ยินเสียง “หนูน้อย มานี่ซิ” เด็กน้อยแปลกใจ จึงมองไปหาเจ้าของเสียงนัน้ เป็นพระภิกษุ รูปหนึ่งที่กำ�ลังเดินบิณฑบาต ซึ่งบังเอิญท่านเดินผ่านมาเห็นเข้าเกิด ความเมตตาเวทนาสงสารและใคร่อยากที่จะอนุเคราะห์ หนูน้อยเมื่อรู้ว่าเป็นพระภิกษุ จึงลุกขึ้นเข้าไปประณมไหว้
10
แรงกรรม
อีกมุมมองกรรม ที่ท่านอาจยังไม่เคยรู้
“หนูน้อยเธอเป็นคนหมู่บ้านไหน พ่อแม่ของเธอล่ะ” พระภิกษุไต่ถามด้วยความเมตตา “ไม่ทราบครับ พ่อกับแม่ทิ้งกระผมหนีไปแล้ว ท่านกล่าวว่า ผมเป็นตัวซวยทำ�ให้พวกท่านลำ�บาก” “ถ้าเช่นนั้น เจ้าอยากบวชหรือไม่” พระภิกษุถามด้วยหวังจะอนุเคราะห์ “ถ้ า หากว่ า การบวชทำ � ให้ ค วามเป็ น อยู่ ข องกระผมดี ขึ้ น กระผมก็จักบวช แต่ว่าใครจักบวชให้เด็กกำ�พร้าอย่างกระผม” “เราจักบวชให้เจ้าเองนะ” “สาธุ ช่างเป็นบุญของกระผมเหลือเกิน” ภิกษุรปู นัน้ พาเขาไปทีว่ ดั ทำ�การปลงผม อาบน�ำ้ ชำ�ระร่างกาย จนสะอาดปราศจากคราบไคล เสร็จแล้วจึงทำ�พิธบี รรพชาเป็นสามเณร ให้ ทำ�การอบรมสั่งสอนให้เคร่งครัดในศีลและให้เจริญในธรรมมา โดยตลอด ซึ่งสามเณรก็เชื่อฟังแต่โดยดี จนอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ จึงเป็นพระอุปชั ฌาย์ท�ำ การอุปสมบทเป็นพระภิกษุให้ หลังอุปสมบท แล้ว ท่านได้ตง้ั ใจปฏิบตั ธิ รรมทำ�ความเพียร เจริญศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งตนอยู่ในโอวาทธรรมของพระอาจารย์อย่างเคร่งครัด ไม่นาน ก็ได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดเป็นพระอรหันต์ i
คุณธรรมเปลี่ยนแต่ความอดอยากไม่เคยเปลี่ยน o
นับแต่วนั ทีท่ า่ นออกบวชเป็นสามเณร กระทัง่ อุปสมบทเป็น พระภิกษุและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เข้าถึงความสิ้นทุกข์ทางใจ เสวยบรมสุขในพระนิพพาน ชีวติ ทางด้านจิตใจเปลีย่ นไปอย่างสิน้ เชิง บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
11
แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนก็คือความอดอยาก ก่อนบวชกินอาหารไม่เคย อิ่มท้องอย่างไร ปัจจุบันก็ยังเป็นเหมือนเดิม ท่านบิณฑบาตไม่เคย ได้อาหารเลยแม้เพียงทัพพีเดียว ที่แปลกไปกว่านั้นคือหากว่าท่าน ร่วมเดินทางไปหรือพักอยู่กับพระรูปใดหรือคณะใด พระรูปนั้นหรือ คณะนั้นเป็นอันต้องบิณฑบาตไม่ได้และอดฉันไปตามๆ กัน จึงเป็น อันรู้กันในหมู่เพื่อนภิกษุว่าท่านเป็น โลสกะ คือตัวซวย เล่ากันว่า หลายครั้งที่เพื่อนพระภิกษุด้วยกันพยายามจะ ช่วยเหลือให้ท่านได้อาหารบิณฑบาตมาฉันบ้างเป็นต้นว่า ในเวลา ออกบิณฑบาตจะให้ทา่ นเดินรัง้ ท้ายไปด้วย โดยหวังจะให้โยมใส่บาตร ให้กับท่านบ้าง แต่ปรากฏว่าข้าวและกับหมดก่อนจะถึงท่านทุกที วันต่อมา เพื่อนพระภิกษุเห็นจึงเปลี่ยนให้ท่านเดินเป็นองค์แรกบ้าง แต่โยมกลับคิดว่า เมือ่ วานใส่บาตรแล้วองค์ทา้ ยไม่ได้ วันนีจ้ ะใส่บาตร ตัง้ แต่องค์ทา้ ยไปหาหัวแถว ปรากฏว่าข้าวและกับก็หมดก่อนทีจ่ ะถึง ท่านอีก เช้าวันต่อมาเพือ่ นพระภิกษุจงึ ให้ทา่ นอยูต่ รงกลาง โดยคิดว่า ไม่ว่าโยมจะใส่หัวแถวหรือท้ายแถวก่อนก็ต้องได้ข้าวแน่นอน แต่ ชาวบ้านกลับคิดกันว่า วันก่อนเราใส่หัวแถวไปหางแถว พระที่อยู่ หางแถวไม่ได้ เมื่อวานเราใส่หางแถวไปหัวแถว พระที่อยู่หัวแถว ไม่ได้ วันนี้เราจะใส่หัวแถวและหางแถวไล่มาตรงกลาง ข้าวก็หมด ก่อนจะถึงท่านอีก เป็นอันว่าท่านก็บิณฑบาตไม่ได้เลยอีก แม้ในครัง้ ทีพ่ ระเจ้าปเสนทิโกศลถวายอสทิสทาน๑ ซึง่ ถือเป็น ๑
อ่านว่า อะ-สะ-ทิ-สะ-ทาน ทานที่ไม่มีทานอื่นเสมอเหมือน
12
แรงกรรม
อีกมุมมองกรรม ที่ท่านอาจยังไม่เคยรู้
ทานที่อลังการที่สุด พระพุทธเจ้าแต่ละองค์จะมีผู้ถวายได้ครั้งเดียว ในการถวายทานครัง้ นัน้ ภิกษุหลายหมืน่ รูปได้รบั การถวายภัตตาหาร และเครื่องสักการะอย่างมากมาย ยกเว้นท่านที่ได้แค่ข้าวต้มทัพพี เดียวเท่านั้น เพราะเมื่อมีผู้ตักข้าวต้มทัพพีเดียวลงในบาตรของท่าน แรงกรรมก็บันดาลให้คนที่ใส่บาตรเห็นว่าข้าวต้มนั้นเต็มจวนจะล้น ขอบบาตร ทั้งที่ข้าวในบาตรมีหน่อยเดียว i
อิ่มมื้อแรกและมื้อสุดท้าย o
ในสภาพการณ์ที่พระพุทธศาสนากำ�ลังรุ่งเรือง มีประชาชน เลื่อมใสศรัทธาและหันมานับถือพระพุทธศาสนากันอย่างมากมาย ต่างบำ�รุงพระพุทธศาสนาและอุปถัมภ์พระภิกษุสงฆ์กนั ให้พรัง่ พร้อม ด้วยปัจจัย ๔ มีเครื่องนุ่งห่ม อาหารบิณฑบาต ที่อยู่อาศัย และ ยารักษาโรค และนับวันยิ่งมากขึ้นตามลำ�ดับ แต่สิ่งที่ดำ�เนินไป ตรงข้ามกับสภาพการณ์ขณะนั้น คือ ชีวิตของท่านโลสกะที่ไม่เคย ได้ฉันภัตตาหารอิ่มท้องเลยแม้แต่มื้อเดียว ครั้นกาลเวลาผ่านไป สังขารของท่านจึงทรุดโทรมอ่อนแรง และใกล้ถงึ วันสิน้ ลม ปลดปลง ภาระแห่งธาตุขันธ์ พระเถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ได้ทราบถึงวาระการดับขันธ์ ในวันนี้ของท่าน มีความประสงค์อยากจะสงเคราะห์ศิษย์ให้ได้ฉัน อิม่ ท้องบ้างสักมือ้ หนึง่ ก่อนตาย จึงได้ชวนพระลูกศิษย์เข้าไปบิณฑบาต ในเมืองสาวัตถี ซึง่ ประชาชนในเมืองต่างรูจ้ กั และมีความเคารพเลือ่ มใส บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
13
ในพระเถระเป็นอย่างมาก ทุกวันที่พบพระเถระจะพากันกุลีกุจอให้ การต้อนรับและถวายภัตตาหารอย่างดี แต่สำ�หรับวันนี้ไม่มีใคร สนใจพระเถระเลย พระเถระทราบว่า สิง่ ทีเ่ กิดขึน้ เป็นเพราะแรงกรรมของศิษย์ มาปิดบังตาชาวเมือง จึงให้ศิษย์กลับไปรอที่วัด พอท่านแยกตัว ออกไปเท่านัน้ ผูค้ นทีเ่ ดินผ่านไปมาก็มที ที า่ แปลกไปจากเดิม ชาวเมือง พากันแสดงอาการดีใจเหมือนว่าเพิง่ เห็นพระเถระ ต่างก็รอ้ งตะโกน บอกกันว่า “พระคุณเจ้าของเรามาแล้ว!” พากันกุลีกุจอจัดแจงอาสนะนิมนต์ให้นั่ง ตระเตรียมถวาย อาหารเป็นการใหญ่ พระเถระให้จัดภัตตาหารชุดหนึ่งนำ�ไปที่วัด โดยกำ�ชับว่า ให้นำ�ไปถวายแก่พระโลสกติสสะ ส่วนพระเถระก็ฉัน ที่บ้าน ฝ่ายคนที่นำ�อาหารไปที่วัดพอลงจากเรือนเดินไปครึ่งทาง ก็ลืมคำ�สั่งของพระเถระพากันกินอาหารที่นำ�ไปจนหมด พระเถระฉันเสร็จก็อนุโมทนา เดินทางกลับวัด พระโลสกะ เห็นพระอาจารย์กลับมาก็เข้าไปหาเพื่อทำ�การปรนนิบัติ “คุณได้อาหารที่ผมให้คนนำ�ถวายหรือยัง” พระเถระถาม “ยังขอรับ” ศิษย์ตอบพร้อมกับสีหน้าที่แสดงอาการหิวโหย สั่นสะท้าน ไปทั่วสรรพางค์กาย พระอาจารย์เห็นอาการของศิษย์ถึงกับสลดใจ กล่าวกับศิษย์ว่า
14
แรงกรรม
อีกมุมมองกรรม ที่ท่านอาจยังไม่เคยรู้
“ท่านรอผมอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวผมจะไปหาอะไรมาให้ฉัน” จากนั้นพระเถระจึงอุ้มบาตรไปยังพระราชวังของพระเจ้าโกศล พระราชาเห็นพระเถระอุม้ บาตรมาก็รวู้ า่ ท่านมาเพือ่ บิณฑบาต แต่ทรงเห็นว่าเวลานั้นเลยเวลาของการฉันภัตตาหารแล้ว จึงรับสั่ง ให้ถวายของหวาน ๔ อย่างแทน พระเถระจึงรีบกลับวัดเพื่อให้ทันเวลาที่ยังฉันอาหารได้อยู่ พอมาถึงหอฉันก็เรียกว่า “ท่านจงมาฉันของหวานเถิด” พระอุ ปั ช ฌาย์ จั ด แจงนั่ ง ลงโดยที่ มื อ ยั ง ประคองบาตรไว้ พระลูกศิษย์เห็นเช่นนัน้ จึงไม่กล้าฉัน เพราะมีความยำ�เกรงในอาจารย์ พระเถระจึงกล่าวกะท่านว่า “คุณนัง่ ลงแล้วฉันให้อม่ิ ผมจะประคองบาตรไว้อย่างนีแ้ หละ เพราะถ้าผมปล่อยมือออกจากบาตร ขนมในบาตรจะหายไปหมด” เมือ่ พระเถระพูดเช่นนัน้ แล้ว ท่านจึงนัง่ ลงฉันจนเพียงพอแก่ ความต้องการ นีเ่ ป็นครัง้ แรกในชีวติ ทีไ่ ด้ฉนั อาหารแบบอิม่ ท้อง และ เป็นอาหารมื้อสุดท้ายของชีวิตเช่นกัน เพราะหลังจากฉันเสร็จแล้ว ในวันเดียวกันนั้นเอง ท่านก็ดับขันธ์ลงด้วยอาการอันสงบ ปิดฉากชีวิตของพระอรหันต์อดอยากแต่เพียงเท่านี้
บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
15
อดีตกรรมของพระอรหันต์อดอยาก เมื่อละครชีวิตของพระโลสกะปิดฉากลง เหล่าภิกษุได้เข้า ทูลถามบุพกรรมของพระโลสกะกับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “แรงกรรมอันใดหนอที่เป็นปัจจัยให้ผ้ทู ่แี ม้เป็นพระอรหันต์ แล้วต้องมาอดๆ อยากๆ เช่นนี้ ดูเป็นการไม่สมควรเลย” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากพวกเธอได้รับรู้ถึงกรรมที่ท่าน โลสกะได้ทำ�ไว้แล้ว ท่านทั้งหลายคงไม่พูดเช่นนี้” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพร้อมกับเล่าอดีตกรรมของพระโลสกะให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า i
ก่อเกิดแรงกรรม o
“ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ พระโลสกะนี้เคย บวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนาของพระองค์ เป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ยึดมั่นในหลักการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน และได้เป็น เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่ง โดยมีคหบดีคนหนึ่งเป็นโยมอุปัฏฐาก อยูม่ าวันหนึง่ มีพระอาคันตุกะ เป็นพระทีถ่ อื ธุดงค์อยูใ่ นป่าเขา ลำ�เนาไพรองค์หนึง่ ท่านได้ออกจาริกมาถึงหมูบ่ า้ นแห่งนี้ และบังเอิญ ได้พบกับโยมอุปัฏฐากวัดพอดี ท่านคหบดีเห็นกิริยามารยาทของ
16
แรงกรรม
อีกมุมมองกรรม ที่ท่านอาจยังไม่เคยรู้
พระธุดงค์ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงเข้าไปรับอัฐบริขารนิมนต์ ให้เข้าไปนั่งพักในบ้าน ถวายภัตตาหารด้วยความนอบน้อมยินดี พระธุดงค์ได้แสดงธรรมให้ฟังตามสมควร ท่านคหบดีรู้สึก ซาบซึ้งใจยิ่งนักปรารถนาจะฟังอีก จึงนิมนต์ให้ท่านเข้าไปพักอยู่ที่ วัดที่ตนอุปัฏฐากอยู่ พระธุดงค์ทา่ นรับนิมนต์แล้วจึงไปทีว่ ดั ตามทีท่ า่ นคหบดีบอก พอไปถึงก็เข้าไปนมัสการท่านเจ้าอาวาส ทำ�การปฏิสันถารกันพอ สมควรแล้ว ก็แจ้งความจำ�นงจะขออนุญาตพักที่วัดสักคืน เมื่อ ท่านเจ้าอาวาสอนุญาตแล้วก็จัดแจงปัดกวาดเสนาสนะที่พักของตน เก็บอัฐบริขารไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว สรงน�ำ้ เสร็จก็นง่ั พัก ระงับยับยั้งอยู่ด้วยความสุขในฌาน ตกเย็น ท่านคหบดีที่เป็นโยมอุปัฏฐากวัดก็ให้คนถือเอา พวงมาลัยดอกไม้ น�ำ้ มันเติมตะเกียงเข้าไปวัดด้วย พอถึงวัดก็เข้าไป นมัสการท่านเจ้าอาวาส แล้วเรียนถามว่า “พระอาจารย์ขอรับ มีพระอาคันตุกะมาพักทีว่ ดั หรือไม่ขอรับ” “มีจ้ะ” “ตอนนี้ท่านพักอยู่ที่กุฏิหลังไหนครับ” “กุฏิหลังโน้น” ท่านคหบดีก็ขอตัวออกมาจากกุฏิเจ้าอาวาสแล้วก็ตรงไปยัง กุฏขิ องพระธุดงค์เข้าไปนัง่ ด้วยความเรียบร้อยขอฟังธรรม จนสมควร แก่เวลา จึงบูชาเจดีย์และต้นโพธิ์ จุดประทีปสว่างไสว แล้วนิมนต์ พระทั้งสองไปรับบิณฑบาตในวันรุ่งขึ้น แล้วก็กลับไป บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
17
เมื่อคหบดีกลับไปแล้ว ภิกษุที่เป็นเจ้าอาวาสคิดว่า โยม อุปัฏฐากของตน มีความเลื่อมใสในพระอาคันตุกะรูปนี้เป็นพิเศษ ชะรอยว่าถ้าพระรูปนีอ้ ยูท่ น่ี ต้ี อ่ ไป เห็นทีวา่ โยมอุปฏั ฐากคงเลิกศรัทธา เราแล้วหันไปนับถือพระองค์นี้แทนเป็นแน่ ไม่ได้การละ เราต้อง หาทางขับไล่พระอาคันตุกะนี้ให้ออกไปจากวัดโดยเร็ว” เมื่อคิดดังนั้น พระเจ้าอาวาสจึงทำ�หน้าบึ้งตึง และไม่ยอม พูดกับพระอาคันตุกะในยามที่ท่านเข้ามาหาเพื่อทำ�การปรนนิบัติ ฝ่ายพระอาคันตุกะนัน้ ท่านเป็นพระอรหันตขีณาสพพอเห็น กิริยาอาการของท่านเจ้าอาวาสเปลี่ยนแปลงไป ก็ทราบถึงอัธยาศัย พระเจ้าอาวาสในทันที อาศัยความอนุเคราะห์ไม่อยากให้เป็นบาปกรรม แก่พระเจ้าอาวาส ท่านจึงตัง้ ใจเอาไว้วา่ ท่านจะออกจากวัดในรุง่ เช้า ครัน้ ถึงเช้าวันใหม่ ได้เวลาออกรับบิณฑบาต ท่านเจ้าอาวาส จึงเคาะระฆังด้วยหลังเล็บ และเคาะประตูด้วยหลังเล็บ เพราะ เกรงว่าพระอาคันตุกะจะตืน่ แล้วก็รบี เข้าไปทีบ่ า้ นของโยมอุปฏั ฐาก แต่เพียงผู้เดียว ฝ่ า ยคหบดี เ ห็ น ท่ า นเจ้ า อาวาสเดิ น มาก็ ลุ ก ขึ้ น รั บ บาตร นิมนต์ให้นั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ เมื่อไม่เห็นพระธุดงค์จึงเรียนถาม ท่านว่า “พระอาคันตุกะไม่มาด้วยหรือ” ท่านเจ้าอาวาสได้ตอบว่า “อาตมาไม่ทราบ สงสัยเมือ่ วานคงได้ฉนั อาหารดีๆ ในบ้านโยม จึงทำ�ให้นอนขีเ้ ซา อาตมาตีระฆังก็แล้ว เคาะประตูกแ็ ล้ว ก็ยงั ไม่ยอม ตื่น คงจะยังอิ่มอยู่กระมัง” ท่านคหบดีสังเกตเห็นกิริยาก็เข้าใจทันทีว่า พระเจ้าอาวาส
18
แรงกรรม
อีกมุมมองกรรม ที่ท่านอาจยังไม่เคยรู้
มีเจตนาจะกีดกัน แต่ท่านก็ยังทำ�บุญด้วยการถวายข้าวปลาอาหาร อย่างดี พอท่านเจ้าอาวาสฉันเสร็จแล้ว ท่านคหบดีกร็ บั บาตรไปล้าง เช็ดให้แห้ง รมด้วยของหอม บรรจุข้าวปลาอาหารอย่างดีใส่จนเต็ม บาตร แล้วก็ยกบาตรไปถวายท่านเจ้าอาวาสพร้อมกล่าวว่า “พระอาจารย์ครับ พระอาคันตุกะรูปนัน้ สงสัยจะเหน็ดเหนือ่ ย เมื่อยล้า ถ้าอย่างไรกระผมใคร่ฝากอาหารนี้ไปถวายด้วยเถิดครับ” ท่านเจ้าอาวาสก็ไม่ได้ห้ามเสียทันที คงเก็บอาการขุ่นเคือง ไว้ในใจ รับประเคนบาตรมา แล้วเดินลงจากบ้านโยมอุปัฏฐากไป พลางคิดในใจว่า “หากพระป่ารูปนั้นได้ฉันอาหารมื้อนี้ เห็นทีว่าเอาช้างมา ฉุดลากคอออกจากวัดก็คงไม่ไปแน่ อย่ากระนั้นเลย เราจะทำ�ลาย กับข้าวนี้เสีย” บังเอิญระหว่างทางเห็นไฟกำ�ลังไหม้กองฟางข้าวอยู่พอดี จึงจัดการคุ้ยถ่านขึ้นแล้วเทข้าวลงในกองไฟ กลบด้วยถ่านเรียบร้อย แล้วจึงกลับเข้าวัดไปที่กุฏิของพระอาคันตุกะ ก็พบแต่ความว่าง เพราะท่านได้หลีกไปที่อื่นแล้วตั้งแต่เช้าตรู่ พระเจ้าอาวาสครัน้ ไม่พบพระอาคันตุกะ ก็รทู้ นั ทีวา่ ท่านเป็น พระอรหันต์ ซึ่งพอได้ล่วงรู้ถึงอัธยาศัยใจคอที่คับแคบของตนแล้ว ก็จากไปเสียที่อื่น จึงรู้สึกสำ�นึกผิดในการกระทำ�ของตนว่า “โอ…เราได้ท�ำ กรรมอันหนักเสียแล้วหนอ นีเ่ พราะความเห็น แก่ปากแก่ท้องแท้ๆ จึงทำ�ให้เราหลงทำ�บาปที่ไม่สมควรอย่างนี้” ความเสี ย ใจอั น ใหญ่ ห ลวงได้ เข้ า ท่ ว มทั บ จิ ต ใจของพระเจ้าอาวาส จนกระทั่งล้มป่วย ผอมแห้ง และมรณภาพลง บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
19
i
ผลจากแรงกรรม o
ด้วยผลกรรมทีค่ ดิ ประทุษร้ายในพระอรหันตขีณาสพ ผูม้ จี ติ บริสุทธิ์และไม่คิดประทุษร้ายใคร ยังผลให้พระเจ้าอาวาสรูปนั้น ตกนรกหมกไหม้สน้ิ หลายแสนปี พ้นจากนรกนัน้ แล้วก็มาบังเกิดเป็น ยักษ์อีก ๕๐๐ ชาติ พ้นจากความเป็นยักษ์แล้วก็มาเกิดเป็นสุนัข อีก ๕๐๐ ชาติ และในขณะที่เกิดเป็นยักษ์นั้นก็มีความอดอยากไม่เคยได้ กินอะไรอิ่มเต็มท้องเลย ยกเว้นในชาติที่ ๕๐๐ ได้กินรกคนอิ่มท้อง ก่อนตายครั้งเดียว และในชาติทเ่ี กิดเป็นสุนขั ก็เช่นเดียวกัน ไม่เคยได้กนิ อิม่ ท้อง เลย ยกเว้นชาติที่ ๕๐๐ ได้กินอาหารที่คนอาเจียนออก นั่นเป็น อาหารมื้อแรกและมื้อสุดท้ายที่ได้กินอิ่มท้อง พ้นจากการเกิดเป็นสุนัขแล้ว จึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ใน ตระกูลยาจกเข็ญใจตระกูลหนึง่ ในแคว้นกาสี มีอาชีพขอทานเขากิน และนับแต่วันที่เขาเกิดในท้องของแม่ ครอบครัวของเขาก็ไม่เคย ขอทานได้เลย มีแต่ตกอับลงเรื่อยๆ ชนิดที่ว่าจะหากินให้อิ่มสักครึ่ง ท้องก็ไม่มี เขามีชื่อว่า มิตตพินทุกะ เมือ่ พ่อแม่ไม่อาจจะทนอยูก่ บั เขาได้ จึงขับไล่เขาออกจากบ้าน ในฐานะเป็นตัวกาลกิณี เขาได้ร่อนเร่พเนจรไปจนถึงเมืองพาราณสี ไปอาศัยอยู่กับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ท่านหนึ่ง ซึ่งให้ความอุปการะ แก่เด็กที่ยากจนทั่วไป แต่ด้วยอุปนิสัยที่เกเร หยาบคายไม่เชื่อฟัง ในคำ�สั่งสอน จนกระทั่งมีเรื่องชกต่อยกับเด็กคนอื่นๆ และหนีออก
20
แรงกรรม
อีกมุมมองกรรม ที่ท่านอาจยังไม่เคยรู้
ไปอยูท่ ห่ี มูบ่ า้ นชายแดนแห่งหนึง่ รับจ้างเขาเลีย้ งชีพ และได้เสียกับ หญิงยาจกคนหนึ่ง อยู่กินด้วยกันจนมีลูก ๒ คน พวกชาวบ้านได้จ้างเขาเป็นยามเฝ้าตรวจตราดูแลความ ปลอดภัยของหมู่บ้าน และคอยแจ้งข่าวเมื่อเกิดเหตุร้าย ปรากฏว่า นับตั้งแต่ที่มีการจ้างนายมิตตพินทุกะ ได้เกิดเหตุร้ายขึ้นในหมู่บ้าน อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คือ เกิดไฟไหม้ในหมู่บ้าน ๗ ครั้ง ติดต่อกัน ฝายนำ�้ ที่กักเก็บน้ำ�ไว้ใช้ก็พังถึง ๗ ครั้ง มิหนำ�ซ้ำ�ยังถูก พระราชาลงโทษริบทรัพย์อีก ๗ หน เมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้นชาวบ้านจึงกล่าวโทษและขับไล่นาย มิตตพินทุกะพร้อมครอบครัวออกจากหมูบา้ น เขาพาลูกและภรรยา หนีไปทีอ่ น่ื และได้ผา่ นดงแห่งหนึง่ พวกอมนุษย์รมุ จับกินลูกและเมีย ของเขาในดงนั้น เขาหนีรอดมาได้คนเดียว ท่องเที่ยวไปถึงท่าเรือ แห่งหนึง่ จึงขอสมัครเป็นลูกเรือออกทะเลแลกกับค่าจ้าง ออกทะเล ไปได้ ๗ วัน ปรากฏว่าเรือได้หยุดอยู่กลางทะเลไม่ยอมวิ่ง ชาวเรือ จึงได้จับสลากเพื่อหาคนกาลกิณี สลากที่เป็นกาลกิณีถูกเขาจับได้ ๗ ครั้ง พวกชาวเรือจึงจับเขาโยนลงทะเลพร้อมกับแพลำ�หนึ่ง เขา ล่องแพไปพบกับวิมานของนางเปรต ๔ ตน และอยูก่ นิ กับนางเปรตนัน้ ต่อมาจึงหนีจากนางเปรตไปพบแพะตัวหนึง่ หวังจะจับกินเป็นอาหาร แต่แพะตัวนั้นเป็นยักษ์ที่แปลงมาจึงใช้ขาดีดมิตตพินทุกะไปตกที่ คูเมือง ซึ่งขณะนั้น ทหารกำ�ลังแอบซุ่มจับโจรที่มาขโมยแพะอยู่ ฝ่ายมิตตพินทุกะเห็นแพะที่เขาเลี้ยงไว้คิดว่า ตนเองถูกแพะดีดมา ตกที่นี้ ถ้าให้แพะนี้ดีดเรากลับไปที่เดิม ไปอยู่กับเมียเปรตก็น่าจะดี บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
21
คิดดังนัน้ จึงกระโดดจับที่ขาแพะเพื่อจะให้แพะดีด แต่แพะตัวนั้น เป็นแพะธรรมดาไม่ใช่แพะทีเ่ ป็นยักษ์แปลงมา เมือ่ ถูกจับมันจึงส่งเสียง ร้อง พวกทหารทีด่ กั รออยูจ่ งึ ออกมาจับเขาและทุบตี เพราะเข้าใจว่า เป็นขโมย ขณะนั้นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่เคยให้ที่พักพิงและสอน หนังสือให้แก่เขามาพบเข้าจำ�ได้จึงแนะนำ�ให้ปล่อยตัวเขา และให้ เป็นทาสรับใช้เพือ่ เป็นการอนุเคราะห์ให้เขาได้มที อ่ี ยูแ่ ละมีอาหารกิน นั บ แต่ นั้ น มามิ ต ตพิ น ทุ ก ะก็ ทำ � งานเป็ น ทาสรั บ ใช้ ค นอื่ น เพื่อแลกกับข้าวและน้ำ�จนตลอดชีวิต และเมื่อตายจากชาตินั้นแล้ว จึงได้มาเกิดเป็นพระโลสกะในชาตินี้ i
สรุปผลกรรมเป็นอุทาหรณ์ o
ความผิดเพียงครัง้ เดียวทีพ่ ระโลสกะได้กระทำ�ต่อพระอรหันต์ เมื่อครั้งอดีตได้ส่งผลเป็นแรงกรรมทำ�ให้ต้องทนทุกข์ทรมานในนรก หลายแสนปี เกิดเป็นยักษ์ ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัข ๕๐๐ ชาติ และ เกิดเป็นยาจกเข็ญใจไม่เคยได้กินอาหารอิ่มท้องเลยอีก ๑ ชาติ แม้ในชาติสุดท้ายจะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ด้วยผล แห่งศีลและภาวนาที่ตนได้สั่งสมไว้เมื่อครั้งบวชเป็นภิกษุในศาสนา ของพระกัสสปพุทธเจ้า แต่ผลแห่งกรรมยังตามสนองให้ตอ้ งเป็นพระอรหันต์อดอยาก นี่ละหนา ท่านจึงกล่าวว่า การกระทำ�ต่อผู้บริสุทธิ์ สูงด้วย คุณธรรมย่อมมีโทษมหันต์ เพราะบาปแม้เพียงเล็กน้อยที่กระทำ�แก่ ผู้บริสุทธิ์ย่อมกลายเป็นบาปอันยิ่งใหญ่ เปรียบเหมือน
22
แรงกรรม
อีกมุมมองกรรม ที่ท่านอาจยังไม่เคยรู้
ผ้าที่ขาวสะอาด แม้จะทำ�ให้แปดเปื้อนเพียงเล็กน้อย ความสกปรกย่อมปรากฏเด่นชัดฉันใด การทำ�ชั่วต่อพระอริยบุคคลก็ฉนั นัน้ ย่อมมีโทษมหาศาล ดังตัวอย่างของ พระโลสกติสสเถระนี้เป็นอุทาหรณ์
บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
23
๒
แรงกรรมกาเมสุมิจฉาจาร มีคำ�โบราณกล่าวไว้ว่า “นารีมีรูปเป็นทรัพย์” คือถ้าหญิงใด มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม หญิงนั้นก็นับว่าเป็นที่ต้องตาต้องใจของ ชายหนุ่มสามารถเลือกคู่ครองที่ทรัพย์สมบัติได้ ต่างจากหญิงที่ ขีร้ ว้ิ ขีเ้ ร่ นอกจากไม่เป็นทีห่ มายปองของชายแล้ว ยังเป็นทีเ่ กลียดชัง ของชายอีกด้วย หลายคนคงเห็นด้วยกับข้อที่ว่านี้ แต่สำ�หรับนาง อิสิทาสีแล้วไม่อยู่ในกฎข้อนี้ เพราะนางมีรูปร่างหน้าตาสะสวยแต่ กลับไม่เป็นที่หมายปองของชายใดเลย เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น ขอให้ ท่านโปรดติดตามอ่านต่อไป เรื่องของหญิงงามแต่เป็นที่เกลียดชังของชายหนุ่มนี้ เกิดขึ้น เมื่อสมัยครั้งพุทธกาล มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ เป็นประวัติของภิกษุณีชื่อ “อิสิทาสี” ซึ่งท่านเล่าไว้หลังจากที่ออก บวชและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว โดยท่านเล่าให้เพื่อนภิกษุณี ฟังว่า “ก่อนออกบวชนั้น เดิมทีดิฉันเกิดเป็นลูกสาวคนเดียวของ เศรษฐีผมู้ ที รัพย์มาก ในเมืองอุชเชนี แคว้นอวันตี มีความพรัง่ พร้อม
24
แรงกรรม
อีกมุมมองกรรม ที่ท่านอาจยังไม่เคยรู้
ทุกอย่างทัง้ รูปสมบัตแิ ละทรัพย์สมบัติ มีชอ่ื เสียง เป็นทีเ่ คารพนับถือ ของคนทั่วไป บิดาตั้งชื่อให้ว่า “อิสิทาสี” แปลว่า หญิงผู้รับใช้สามี ดิฉันเป็นที่รักของบิดาอย่างยิ่งเนื่องจากเป็นลูกสาวคนเดียว เมือ่ ดิฉนั เจริญวัยขึน้ เป็นสาว ได้มเี ศรษฐีตระกูลสูง มากด้วย ทรัพย์สมบัตจิ ากเมืองสาเกตมาสูข่ อดิฉนั ให้กบั บุตรชาย ซึง่ บิดาของ ดิฉันก็ยินดียกให้ด้วยความเต็มใจ ครั้นแต่งงานและไปอยู่ที่บ้านสามี ดิฉนั ก็ตง้ั ใจปรนนิบตั สิ ามีอย่างดีเหมือนกับแม่ดแู ลลูก ทำ�หน้าทีข่ อง ภรรยามิได้ขาดตกบกพร่อง ให้ความนับถือยำ�เกรงสามีดุจเทวดา พ่อผัวแม่ผัวต่างให้ความรักความเอ็นดูอย่างดี แต่พอผ่านไปได้หนึง่ เดือนเรือ่ งทีไ่ ม่คาดคิดก็เกิดขึน้ สามีของ ดิฉันได้บอกกับพ่อแม่ของเขาว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายและรู้สึกรังเกียจ ไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับดิฉันอีกต่อไป และขอให้ส่งตัวดิฉันคืน ไปให้กับพ่อแม่ของดิฉัน พ่อแม่ของสามีพยายามเกลี่ยกล่อมสามีของดิฉันว่า อย่าได้ พูดอย่างนั้นเลย อิสิทาสีเป็นหญิงที่ฉลาด ขยัน เอาใส่ใจในการงาน และปรนนิบัติพวกเราอย่างดีไม่เกียจคร้าน เหตุใดเจ้าจึงไม่ชอบใจ นางทำ�อะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือ สามีของดิฉนั กล่าวว่า อิสทิ าสีไม่ได้ท�ำ อะไรให้กระผมเจ็บแค้น หรือไม่ชอบใจอะไรเลย ตรงกันข้ามนางทำ�ดีทุกอย่าง แต่ด้วยเหตุ อันใดไม่รู้ทำ�ให้ลูกไม่อยากที่จะอยู่ร่วมกับนาง ลูกเกลียดนางโดย ไม่มีสาเหตุ หากนางยังอยู่ที่บ้านนี้ ลูกจะออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น พ่อผัวแม่ผัวพยายามคาดคั้นดิฉันว่า ดิฉันได้ท�ำ อะไรให้สามี บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
25
ไม่พอใจหรือไม่ ขอให้บอกมาตามตรง ดิฉันก็ได้บอกไปตามจริงว่า ไม่ได้ทำ�อะไรให้สามีเคืองใจอันใดเลย อยู่ๆ เขาก็รังเกียจดิฉันเอง ที่สุดแล้วพ่อผัวแม่ผัวจำ�ต้องส่งดิฉันคืนให้กับบิดาของดิฉัน ดิฉันต้องกลายเป็นม่ายสาวร้างสามี กลายเป็นหญิงที่ไร้ศักดิ์ศรีโดย ที่ไม่รู้สาเหตุ อยู่ต่อมาไม่นาน เพื่อลบคำ�ครหาว่าเป็นหญิงม่ายแต่ยังสาว บิดาจึงยกดิฉันให้บุตรเศรษฐีคนหนึ่งที่มีทรัพย์น้อยกว่าสามีคนแรก ครึ่งหนึ่ง เมื่อไปอยู่กับสามีคนที่ ๒ นี้ดิฉันก็ตั้งใจปรนนิบัติสามี อย่างดีไม่ต่างจากสามีคนแรก แต่พอผ่านไปได้เดือนเดียวเท่านั้น สามีกข็ อหย่ากับดิฉนั ด้วยเหตุผลเดิมกับสามีคนแรก คือ รูส้ กึ รังเกียจ และไม่อยากใช้ชวี ติ อยูร่ ว่ มกับดิฉนั และให้พอ่ ผัวแม่ผวั ส่งตัวดิฉนั คืน ดิฉันต้องกลายเป็นหญิงม่ายซำ�้ สอง เป็นที่รังเกียจของชายอื่น บิดาของดิฉันพยายามที่จะลบคำ�ดูหมิ่นว่า “หญิงม่าย” ออกจากตัวดิฉนั จึงนำ�ชายหนุม่ ขอทานคนหนึง่ มาเป็นสามีของดิฉนั แต่อยู่กันได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น สามีคนที่ ๓ นี้ก็ร้องขอกะลา และผ้าเก่าของตนคืน บอกว่าจะกลับคืนไปเป็นขอทานอย่างเดิม เพราะไม่อยากอยู่กับอิสิทาสีอีกต่อไปแล้ว บิดามารดาร่วมทัง้ หมูญ ่ าติของดิฉนั ได้กล่าวกับเขาว่า มีเรือ่ ง อันใดที่ท่านไม่สบายใจ หรือว่าอยู่ที่นี้ท่านทำ�งานหนักเกินไป ถ้า อย่างนั้นต่อไปท่านไม่ต้องทำ�งานก็ได้นะ ไม่มีใครว่า สามีคนที่ ๓ กลับกล่าวว่า ไม่มีเรื่องอันใดหรือกิจอันใดที่ ทำ�ให้ขา้ หนักใจเลย เพียงแต่ขา้ ไม่อยากจะอยูร่ ว่ มกับอิสทิ าสี เพราะ
26
แรงกรรม
อีกมุมมองกรรม ที่ท่านอาจยังไม่เคยรู้
ข้ารู้สึกรังเกียจนาง โดยที่ข้าเองก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำ�ไม ถ้าจะให้ข้าอยู่ กับอิสิทาสีข้าขอกลับไปเป็นขอทานดังเดิมเถิดนะ บิดามารดาของดิฉนั จำ�ใจต้องปล่อยเขาไป ส่วนดิฉนั นัน้ รูส้ กึ น้อยอกน้อยใจในวาสนา เหว่ว้าโดดเดี่ยวยิ่งนัก คิดจะฆ่าตัวตาย หลายครั้ง ต่อมาดิฉันได้พบกับภิกษุณีรูปหนึ่ง คือ พระนางชินทัตตเถรี ผู้ทรงพระวินัย เป็นพหูสูต เป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ กำ�ลังเที่ยวบิณฑบาต ดิฉันรับบาตรจากมือท่าน แล้วเชิญท่านให้เข้าไปในบ้านจัดอาสนะ ให้นั่ง ถวายภัตตาหารจนท่านอิ่มหนำ�สำ�ราญแล้ว จึงกราบเรียน ท่านว่า “พระแม่เจ้า ข้าพเจ้ามีความประสงค์ทจ่ี ะออกบวช ขอท่าน ได้โปรดช่วยสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าได้บวชด้วยเถิด” ฝ่ายบิดามารดาได้ยินเช่นนั้น ได้พูดกับดิฉันว่า “ลูกเอ๋ย ชีวิตของนักบวชนั้นมีความเป็นอยู่ที่ลำ�บาก หากเจ้าต้องการปฏิบัติ และศึกษาพระธรรม ไม่จำ�เป็นต้องบวช ศึกษาและปฏิบัติทั้งที่เป็น ฆราวาสนี้ก็ได้นะลูก” ดิฉันได้กล่าวกับบิดาว่า “คุณพ่อเจ้าคะ ความจริงลูกนี้เป็น คนที่มีบาปมากต้องผิดหวังในความรักเป็นม่ายถึง ๓ ครั้ง ลูกจะขอ ชำ�ระบาปนั้นให้หมดในชาตินี้ ขอคุณพ่อได้โปรดอนุญาตให้ลูกได้ บวชเถิด” บิดาเห็นว่าไม่อาจทัดทานจึงได้อนุญาตให้ดิฉันบวชและ อวยพรให้บรรลุโพธิญาณ ได้ธรรมอันเลิศ และได้พระนิพพาน ซึ่ง เป็นธรรมสูงสุดในพระพุทธศาสนา บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
27
ดิฉันกราบลาบิดามารดาและญาติทั้งหลายออกบวช เมื่อ บวชได้ ๗ วัน ก็ได้ส�ำ เร็จวิชชา ๓ ประการ๑ ดิฉันสามารถระลึกชาติ ได้ ๗ ชาติด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ จึงทำ�ให้ดิฉันได้รู้ว่า การที่ดิฉันมี รูปร่างหน้าตาสวยงาม มีฐานะร่ำ�รวย แต่ไม่เป็นที่รักของสามีเลย ต้องถูกทอดทิง้ ให้เป็นหญิงม่ายตัง้ แต่ยงั สาวนัน้ เป็นเพราะแรงกรรม อะไร เมื่อได้ทราบแล้วดิฉันจึงได้แต่ปลงสังเวชว่า “บาปกรรมที่เกิดขึ้นแก่ดิฉันนั้นสาสมแก่กรรมที่ตนได้ทำ� ไว้แล้ว” “ดูก่อนท่านอิสิทาสี ท่านทำ�กรรมอะไรไว้หรือ โปรดเล่าให้ พวกเราได้ฟังด้วยเถิด” เพื่อนภิกษุณีกล่าว จากนั้นอิสิทาสีภิกษุณีจึงได้เล่าอดีตของ ตนทั้ง ๗ ชาติให้เพื่อนภิกษุณีฟังตามลำ�ดับดังต่อไปนี้
วิชชา ได้แก่ ความรู้แจ้งอันเกิดจากการเจริญวิปัสสนา มี ๓ ประการ คือ ปุพเพนิวาสานุส สติญาณ ญาณทีท่ �ำ ให้ระลึกชาติได้, จุตปู ปาตญาณ ญาณทีท่ �ำ ให้รกู้ ารเกิดและการตายของ สัตว์, อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำ�ให้ขจัดกิเลสอาสวะทั้งปวงได้ ๑
28
แรงกรรม
อีกมุมมองกรรม ที่ท่านอาจยังไม่เคยรู้
แรงกรรมในอดีตอิสิทาสี “ในชาติท่ี ๗ นับย้อนไปแต่ชาติน้ี ดิฉนั เกิดเป็นนายช่างทอง รูปงาม และมีทรัพย์มาก อยู่ในเมืองชื่อว่า เอรกัจฉะ ในชาตินั้น ดิฉันอาศัยความเป็นหนุ่มรูปงาม เจ้าเสน่ห์ แถมรวยทรัพย์ กระทำ� การเล่นชู้กับเมียคนอื่น ผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารเป็นนิตย์ ชอบใจ หญิงคนใดก็จะใช้วาจาหว่านล้อม และใช้ทรัพย์หลอกล่อให้มาร่วม หลับนอนกับตน โดยไม่สนว่าลูกเขาเมียใคร ครั้นตายจากชาตินั้น แล้วไปเกิดในนรกต้นงิ้วชดใช้กรรมของความเจ้าชู้อยู่เป็นเวลานาน แสนนาน เมื่อชดใช้กรรมในนรกจนเบาบางแล้ว ด้วยอำ�นาจของเศษ กรรมที่ยังเหลือติดตัวได้ส่งผลให้ดิฉันเกิดเป็นลูกลิงตัวผู้ เมื่อเกิดได้ ๗ วันเท่านั้นแรงกรรมได้ส่งผลให้ดิฉันถูกลิงจ่าฝูงกัดที่อวัยวะเพศ จนขาดสะบั้น เป็นแผลเน่าเฟะได้รับทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง ที่สุดก็ ตายลง หลังจากชาตินั้นแล้ว ก็มาเกิดเป็นลูกแพะตาบอด ขาเปลี้ย เป็นง่อย ในป่าแคว้นสินธพ พอได้ ๑๒ เดือน เด็กลูกเจ้าของ ได้ขน้ึ ขีห่ ลังเล่น ซวนเซไปอวัยวะเพศกระแทกกับกิง่ ไม้ เกิดเป็นแผล เหวอะหวะ เน่าเปื่อย ถูกหนอนเจาะที่อวัยวะเพศอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งตาย บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
29
จากนัน้ ดิฉนั ก็ได้มาเกิดเป็นลูกโคในบ้านของพ่อค้าโคคนหนึง่ พอโตได้อายุ ๑๒ เดือนก็ถูกเจ้าของจับตอนได้รับความเจ็บปวด อย่างยิ่ง ดิฉันถูกเจ้าของใช้ลากไถและลากเกวียน ทำ�งานอย่างหนัก มิหนำ�ซ้ำ�ยังป่วยเป็นโรคตาบอดอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ยังถูกใช้งาน ไม่มีหยุดหย่อน เมื่อดิฉันเป็นโครับใช้งานจนกระทั่งตายลง ก็ได้มาเกิดเป็น มนุษย์ มีแม่เป็นนางทาสเร่รอ่ นอยูต่ ามท้องถนน ครอบครัวอดอยาก ยากจน ตัวดิฉันมีเพศเป็นกะเทย เป็นชายก็ไม่ใช่ เป็นหญิงก็ไม่เชิง ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความอับอายต้องถูกเขาล่อประจาน พออายุได้ ๓๐ ปีเท่านั้นก็เสียชีวิตลง เมื่อตายจากชาติที่เป็นกะเทยนั้นแล้ว กรรมชั่วที่ทำ�ไว้เริ่ม เบาบาง กรรมดีบางอย่างเริ่มให้ผล ด้วยแรงแห่งกรรมชั่วที่เบาบาง และแรงกรรมดีบางอย่างส่งผลให้ดิฉันมาเกิดเป็นลูกสาวของช่าง ทำ�เกวียน มีความเป็นอยูท่ อ่ี ตั คัดต้องกูห้ นีย้ มื สินเขาไปทัว่ ครอบครัว ถูกเจ้าหนี้ทวงหนี้ทั้งเช้า-เย็น เมื่อหนี้ทับถมมากขึ้น เจ้าหนี้ก็ริบเอา ทรัพย์ และฉุดคร่าเอาตัวดิฉนั ไปเป็นทาสขัดดอก ดิฉนั ร้องไห้เสียน�ำ้ ตา ด้วยความหวาดกลัวและไม่อยากจากพ่อแม่ ครัน้ เมือ่ มาอยูท่ บ่ี า้ นเจ้าหนี้ ลูกชายของเจ้าหนีช้ อ่ื ว่า คิรทิ าส เห็นดิฉันซึ่งขณะนั้นมีวัย ๑๖ ปีกำ�ลังเป็นสาว ก็มีจิตปฏิพัทธ์และ ขอดิฉันไปเป็นภรรยา
30
แรงกรรม
อีกมุมมองกรรม ที่ท่านอาจยังไม่เคยรู้
แต่นายคิรทิ าสนัน้ มีเมียอยูก่ อ่ นแล้วคนหนึง่ ซึง่ นางเป็นคนดี มีศีลธรรม มีความจงรักภักดีต่อสามีเป็นอย่างมาก ด้วยความอิจฉา และต้องการให้สามีมาหลงรักดิฉนั คนเดียว ดิฉนั จึงได้สร้างเรือ่ งยุยง ให้สามีเกลียดเมียหลวง ใหม่ๆ สามีก็ไม่ฟัง แต่ถูกดิฉันยุยงบ่อยๆ ก็ คล้อยตาม และเกลียดชังเมียหลวงทั้งๆ ที่นางไม่มีความผิดอันใด ด้วยผลกรรมทัง้ หมดนีแ้ ล ได้สง่ ผลให้ดฉิ นั ต้องถูกสามีรงั เกียจ และทอดทิ้งทั้งๆ ที่ดิฉันไม่มีความผิดอันใด ตรงกันข้ามกับทำ�ดี ทุกอย่างก็ยงั ถูกทอดทิง้ แม้แต่ชายขอทานก็ยงั รังเกียจในตัวของดิฉนั นี่เป็นแรงกรรมในอดีตส่งมาถึงปัจจุบัน ดิฉันต้องทนทุกข์ทรมานเกิดในนรกต้นงิ้วหลายแสนปี และ ต้องมาเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานอีก ๓ ชาติ เกิดเป็นหญิงก็ไม่ใช่ชาย ก็ไม่เชิงอีก ๑ ชาติ ด้วยผลกรรมจากการผิดลูกผิดเมียคนอืน่ เสพกาม โดยไม่เลือก ในชาติสุดท้ายยังมาทำ�กรรมยุยงให้สามีรังเกียจภรรยา ที่แสนดีอีก ซึ่งผลแห่งแรงกรรมนั้นทำ�ให้ดิฉันต้องกลายเป็นม่าย ถูกสามีทอดทิ้งตั้งแต่เป็นสาวถึง ๓ ครั้ง ในทีส่ ดุ ของการเล่าประวัตแิ ละกรรมในอดีตชาติพระอิสทิ าสี ภิกษุณีเถรี ได้กล่าวสรุปเอาไว้ว่า
บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
31
ขึ้นชื่อว่า กรรมชั่ว ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ�เลย กรรมชั่ว ตราบใดที่ยังไม่ให้ผล คนก็มักหลงว่าดี แต่เมื่อใดที่ให้ผล ก็มีผลเผ็ดร้อนทุกข์ทรมาน ข้ามภพข้ามชาติไม่จบสิ้นลงง่ายๆ ดูอย่างดิฉันทำ�กรรมเพียงชาติเดียว ต้องตามชดใช้กรรมถึง ๗ ชาติ สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม ใครทำ�กรรมอันใดไว้ ต้องได้รับผลของกรรมนั้นแน่ ไม่ช้าก็เร็ว การละกรรมชั่ว ทำ�ความดีชำ�ระจิตของตนให้บริสุทธิ์ คือทางพ้นกรรม และเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง
32
แรงกรรม
อีกมุมมองกรรม ที่ท่านอาจยังไม่เคยรู้
๓
แรงกรรม ๙๙๙ ศพ ท่ า นทั้ ง หลายคงเคยได้ ท ราบประวั ติ ข องพระองคุ ลิ ม าล พระอรหันตสาวกรูปหนึ่งของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่เคยเป็นโจรป่า ฆ่าคน ๙๙๙ คน แล้วตัดเอานิ้วมือมาร้อยเป็นมาลัยคล้องคอ ซึ่ง ภายหลังได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรม และ ออกบวชบำ�เพ็ญธรรมจนได้บรรลุพระอรหัตผล หลายคนเคยตัง้ คำ�ถาม เอาไว้ว่า คนที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ตั้งมากมายขนาดนั้นยังสามารถบรรลุ ธรรมได้อีกหรือ ดูไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย นี่แหละความซับซ้อนแห่ง กรรมหละ ท่านอาจจะคิดว่าเป็นความไม่ยุติธรรมที่คน ๙๙๙ คน ต้องมาตายฟรี โดยที่คนฆ่ากลับได้บรรลุธรรมเข้าสู่นิพพานไม่ต้อง รับผลอันใด แต่ถ้าหากว่าท่านได้ทราบถึงแรงกรรมที่คน ๙๙๙ คน ได้ทำ�กับพระองคุลิมาลไว้เมื่ออดีตชาติ เชื่อเหลือเกินว่าความคิด ตำ�หนิติเตียนว่ากรรมไม่ยุติธรรมในใจท่านจะจางหายไปสิ้น เรื่อง อดีตชาตินั้นมีดังต่อไปนี้ บริษัท สำ�นักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จำ�กัด
33