พุทธฤทธิ์ จิตเมตตามหาเสน่ห์

Page 1


¾Ø·¸Ä·¸Ôì

¨ÔµàÁµµÒ ÁËÒàʹ‹Ë

มาสรางเสนห เปลี่ยนศัตรูใหเปนมิตร เปลี่ยนชีวิตใหบริบูรณดวยความรักกันเถอะ àÃÕºàÃÕ§ : ÊØÀÒ¾ ËÍÁ¨ÔµÃ ºÃóҸԡÒà : ÈÑ¡´ÔìÊÔ·¸Ôì ¾Ñ¹¸Ø Êѵ »¡ : ͹تԵ ¤Ó«Í§àÁ×ͧ ÀÒ¾»ÃСͺ : ÊÁ¤Çà ¡Í§ÈÔÅÒ ÃÙ»àÅ‹Á : ¼Ø´¼‹Í§ Áا¤Ø³¤ÓªÒÇ


,ðððÅÒŒ ¹¤¹Í‹Ò¹ ¤¹´Õ

ñð àÅ ñðð ¤ ‹Á ñ ¹´Õ

ÅÁ‹

ñ,ð ðð ð𠤹ÍÒ‹ ¹

ñ,ð

ให้เป็นคนดี ซึ่งไม่มบี ญุ ใดจะยิง่ ใหญ่ กว่านีé สาธุ...นิพพานะปจจะโย โหตุ.

¤

àÅ‹Á ñðð

นับว่าเป็นการสร้างบุญบารมีมหาศาล เพราะนอกจากจะเป็นการช่วยรักษาพระ ศาสนาแล้ ว ยั ง เป็ น การเติ ม เชื้ อ ธรรม นิวเคลียร์ (Dhamma NuClear : DNC) เข้าสู่จิตใจคน เป็นการสร้างคนให้มี¸รรมะ

ðð

Ò‹ ¹ ¹Í

โลกยังมีความสงบสุขอยู่ได้เช่นทุกวันนี้ ก็เพราะผู้คนส่วนมากยังเห็นธรรม เป็นสิ่งสำคัญและพากันธำรงรักษาธรรมไว้ ด้วยการศึกษาและปฏิบัติตาม แม้บางคนยังศึกษา และปฏิบัติไม่เต็มที่ก็ตาม อย่างน้อยการได้ศึกษาและลงมือป¯ิบัติบ้าง ก็ถือว่าเป็นการ ช่วยรักษา¸รรมเช่นกัน และอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยรักษาธรรมให้มั่นคงอยู่ได้ คือการช่วยกัน เผยแผ่ธรรมะ ด้วยการพิมพ์หนังสือธรรมะแจกเป็นธรรมทานแก่คนที่รัก, คนในครอบครัว, ญาติสนิทมิตรสหาย, คนที่รู้จัก, โรงเรียน, วัด, อบต., เทศบาล, ñ àÅÁ‹ ñð อบจ., พศจ., สพฐ. และอื่นๆ ñ𠤹´Õ ¤ ¹ÍÒ‹ ¹ ¡ÒÃพิมพ์หนังสือแจกเป็น¸รรมทานนี้

¤¹´Õ

×è¹à ð ËÁñ,ðð è Ö § ¹ Ë


การใหธรรมะ คือ การใหปญญา “˹ѧÊ×͸ÃÃÁР໚¹Ë¹Ñ§Ê×Í·ÕèÍ‹Ò¹äÁ‹¨º Í‹Ò¹äÁ‹ÊÔé¹ Í‹Ò¹ä´ŒàÃ×èÍÂæ äÁ‹¨×´ª×´ ÊÓËÃѺ¤¹·ÕèªÍº ᵋNjÒáËŒ§áÅŒ§ ÊÓËÃѺ¤¹·ÕèäÁ‹ªÍº ʋǹ¤¹ã´Í‹Ò¹áŌǪͺ ¡çÍÂÒ¡¨ÐÍ‹Ò¹ÍÕ¡ ·Ø¡¤ÃÑ駷ÕèÁÕ¤ÇÒÁ·Ø¡¢ ·Ò§ã¨ ÁÕ»˜ÞËÒã¹ã¨ ËÃ×ÍÁÕàÃ×èͧÍÐäÃà¡Ô´¢Öé¹ ¡ç͋ҹ˹ѧÊ×͸ÃÃÁÐ Í‹Ò¹áÅŒÇä´Œ¤ÇÒÁʺÒÂ㨠à¾ÃÒФ¹ä´ŒÃѺáÅŒÇàÍÒä»Í‹Ò¹¡çà¡Ô´»˜ÞÞÒ à¡Ô´¤ÇÒÁÃÙŒ¤ÇÒÁࢌÒ㨠¨Ðä´Œ´ÓçªÕÇÔµ ÍÂÙ‹¡Ñº¸ÃÃÁÐ ¸ÃÃÁШÐÃÑ¡ÉҤ،Á¤Ãͧ ãËŒ¤¹¹Ñé¹»ÅÍ´ÀÑ ·Ñé§ÀÒÂã¹ÀÒ¹͡ พระพรหมมังคลาจารย์ (ปญญานันทภิกขุ) äÁ‹ÁÕ¢ŒÒÈÖ¡ÁÒÃØ¡ÃÒ¹¨Ôµã¨ à¾ÃÒÐÁÕ¡ÅÂØ·¸ วัดชลประทานรังสฤษฏ์ จ.นนทบุรี ·Ò§¸ÃÃÁЪ‹Ç»‡Í§¡Ñ¹á¡Œä¢ ªÕÇÔµà¢Ò¨Ð´Õ¢Öé¹” ชาตะ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ มรณภาพ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐


คำนำสร้างเสน่ห์

เสน่ห์

หมายถึง ความน่ารัก เป็นแรงดึงดูดให้คนสนใจ รักใคร่ เอ็นดู และปรารถนาที่จะมอบสิ่งดีๆ ให้ แบ่งเป็น ๒ ประการ คือ เสน่ห์ภายนอก หมายถึง เสน่ห์ที่เกิดจากความสวยงามทางร่างกาย ซึ่ ง อาจเกิ ด จากการปรุ ง แต่ ง ร่ า งกายด้ ว ยเครื่ อ งสำอาง เสื้ อ ผ้ า อาภรณ์ หรื อ เติ ม แต่ ง ด้ ว ย ศัลยกรรม เสน่ห์ภายนอกนี้ จะเรียกว่า รูปสมบัติ ก็ได้ เสน่ห์ภายใน หมายถึง เสน่ห์ที่เกิดจากจิตใจที่ดีงาม ใจที่ดีงามคือใจที่ ประกอบด้วยคุณธรรมต่างๆ เช่น ความมีเมตตา ความกตัญญูกตเวที ความเสียสละ ความ มีน้ำใจ ความซื่อสัตย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความขยันหมั่นเพียร ความอดทนอดกลั้น ความจริงใจ ในเสน่หท์ งั้ ๒ ประการ เสน่ห์ ภายนอก เป็ น สิ่ ง ที่ ไ ม่ ค งทนถาวร เพราะความงามของร่างกายนั้นไม่เที่ยงแท้ ไม่นานก็แปรสภาพเหี่ยวย่น หย่อนยาน ร่วงโรยไปตามกาลเวลา อนึง่ เสน่หภ์ ายนอก


ไม่สามารถนำมาวัดคุณค่าของความเป็นคนได้ คือจะตัดสินว่าใครดีและชัว่ จากรูปลักษณ์ ภายนอกไม่ได้ เพราะการวัดคุณค่าของคนต้องวัดกันที่จิตใจ หรือความงามภายในเท่านั้น

คนที่มีเสน่ห์ภายนอกแต่ไม่มีเสน่ห์ภายใน เปรียบได้กับดอกไม้ที่มีสี สวยงาม แต่ปราศจากกลิ่นหรือมีกลิ่นเหม็น จะมีคนชื่นชมบ้างแต่เพียงชั่วคราว ไม่มีใคร นำกลับไปบูชาพระ หรือประดับร่างกาย ส่ ว นคนที่ ม ี เ สน่ ห ์ ภ ายในเปรี ย บเหมื อ นกั บ ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมชื่นใจ ย่อมเป็นที่ต้องการของคน และคู่ควรแก่การบูชา ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ทรงมอบพระพุทธมนต์บทหนึง่ ชือ่ ว่า กรณียเมตตสูตร «ึ่งเป็นพระพุท¸มนต์ว่าด้วยหลักการสร้างเสน่ห์ ñö ข้อ แก่ภิกษุกลุ่มหนึ่งที่ไปปฏิบัติ ธรรมในปาแล้วถูกเทวดากลั่นแกล้ง และเมื่อภิกษุนำพระสูตรนี้ไปสวดให้เทวดาฟง และปฏิบัติตน ตามหลักการทั้ง ๑๖ ข้อนั้น ทำให้เทวดาทั้งหลายเกิดความรักใคร่เอ็นดู กรณียเมตตสูตร จึงได้ชอื่ ว่าเป็นพุท¸มนต์สร้างเสน่หต์ ำรับใหญ่ ทีท่ กุ คนควร สวดและศึกษาให้เกิดความเข้าใจ และนำไปปฏิบตั ิ เพือ่ ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและคนรอบข้างสืบไป ด้วยความเมตตาและปรารถนาดีจาก

ในนามคณาจารย์สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์

â»Ã´ãªŒË¹Ñ§Ê×ÍàÅ‹Á¹ÕéãËŒ¤ØŒÁÊØ´¤ØŒÁ & Í‹Ò¹áÅŒÇ áº‹§¡Ñ¹Í‹Ò¹ËÅÒ·‹Ò¹¹Ð¨ Ð Í‹Ò¹ÊÔºÃͺ ÃдÁÊÁͧ¤Ô´ÊԺ˹ ½ƒ¡½¹»˜ÞÞÒ ¾Ñ²¹Ò¡ÒûÃÐÂØ¡µ 㪌 㹪ÕÇÔµ»ÃШÓÇѹ ¨ÔµÃٌ෋ҷѹÊÃþÊÔè§ ©ÅҴ㪌 à©ÅÕÂǤԴ ªÕÇÔµ¨Ñ¡Ê¹Ø¡ ÊØ¢ ʧº àÂç¹ Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ »ÃÒö¹ÒãËŒ·Ø¡¤Ãͺ¤ÃÑÇÁÕ¤ÇÒÁÊØ¢


6

¾Ø·¸Ä·¸Ôì ¨ÔµàÁµµÒ ÁËÒàʹ‹Ë

ความเป็นมาของกรณียเมตตสูตร

กรณียเมตตสูตร หมายถึง บทสวดที่ว่าด้วยการเจริญเมตตา เป็นบทสวดที่

พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ภิกษุซึ่งไปจำพรรษา ณ ราวปาหิมวันต์แล้วถูกอมนุษย์รบกวน เรื่องนี้มีบันทึกในพระไตรปฎกเล่มที่ ๒๕ ว่า “ÊÁÑÂ˹Öè§ ¾Ãоط¸à¨ŒÒ»ÃзѺÍÂÙ‹·ÕèÇÑ´¾ÃÐવÇѹ ¡ÃاÊÒÇѵ¶Õ ÁÕÀÔ¡ÉØ ¨Ó¹Ç¹Ë¹Öè§à´Ô¹·Ò§ä»à¾×èÍáÊǧËÒ·Õ軯ԺѵԸÃÃÁ áÅÐ䴌ࢌҨӾÃÃÉÒ ³ ÃÒÇ


Ê Ó ¹Ñ ¡ ¾Ô Á ¾ à ÅÕè  § à ªÕ Â § à ¾Õ Â Ã à ¾×è Í ¾Ø · ¸ È Ò Ê ¹

7

»†ÒËÔÁÇѹµ ¤ÃÑ駹Ñé¹ àÁ×èÍÀÔ¡ÉØࢌÒÍÒÈÑÂÍÂÙ‹µÒÁ⤹µŒ¹äÁŒà¾×èÍ㪌໚¹·Õ軯ԺѵԸÃÃÁ àËÅ‹ÒÃØ¡¢à·Ç´Ò·ÕèʶԵÍÂÙ‹º¹µŒ¹äÁŒ¹Ñé¹æ ¡çà´×ʹÌ͹ à¾ÃÒÐäÁ‹ÊÒÁÒö·Õè¨ÐÊԧʶԵÍÂÙ‹ à˹×ÍÈÕÃÉТͧ¼ÙŒ·Ã§ÈÕÅä´Œ µŒÍ§Í¾Â¾Å§ÁÒÍÂÙ‹µÒÁ¾×é¹´Ô¹ ·Õáá¤Ô´Ç‹Ò ¾Ç¡ÀÔ¡ÉبоѡÍÂÙ‹ÊÑ¡ ò-ó Çѹ ᵋ¤ÃÑé¹àËç¹Ç‹Ò¾Ç¡ÀÔ¡ÉØ ¾Ñ¡ÍÂÙ‹ËÅÒ¤׹¨Ö§¤Ô´Ç‹Ò ¾Ãз‹Ò¹¤§¨Ó¾ÃÃÉÒ·Õè¹Õé ¶ŒÒ໚¹àª‹¹¹Ñé¹ ¾Ç¡àÃÒ¤§µŒÍ§ ÅӺҡṋ ¨Ö§ä´Œá»Å§¡ÒÂ໚¹ÍÁ¹ØÉ ËÅÍ¡ÀÔ¡ÉغŒÒ§ Ê‹§àÊÕ§ËÅÍ¡ºŒÒ§ à¹ÃÁÔµ ¡ÅÔ蹫ҡȾÁÒú¡Ç¹ºŒÒ§ ¾Ç¡ÀÔ¡ÉØà¡Ô´¤ÇÒÁËÇÒ´¡ÅÑÇ ¨Ö§¾Ò¡Ñ¹Ë¹Õä»à½‡Ò¾Ãоط¸à¨ŒÒ·ÕèàÁ×ͧÊÒÇѵ¶Õ ¾ÃÐ¾Ø · ¸à¨Œ Ò ·Ã§ãËŒ ¡ ÅÑ ºä»·Õè à ´Ô Á ¾ÃŒ Í Á¡Ñ º Áͺº·ÊÇ´ ¡Ã³Õ  àÁµµÊÙ µ à ËÃ× Í àÁµµÊٵà ãËŒÀÔ¡ÉØàËÅ‹Ò¹Ñé¹àÃÕ¹àÍÒáÅйÓä»ÊÇ´ÊÒ¸ÂÒ´ŒÇ àÁ×è;ǡÀÔ¡ÉØ¡ÅѺä»ÂѧÃÒÇ»†ÒáË‹§¹Ñé¹ áÅÐÊÇ´¡Ã³ÕÂàÁµµÊٵõÒÁ¾ÃÐ ´ÓÃÑʢͧ¾Ãоط¸à¨ŒÒ à·Ç´Ò·Ñé§ËÅÒÂä´Œ¿˜§à¹×éͤÇÒÁ¢Í§¾ÃÐÊٵèºÅ§ ¡çÁըԵ㨠͋͹â¹áÅÐà¡Ô´¤ÇÒÁÂÓà¡Ã§ µ‹Ò§¾Ò¡Ñ¹á»Å§¡ÒÂ໚¹¤¹¤ØŒ¹à¤ÂÍÍ¡ÁÒµŒÍ¹ÃѺ µÅÍ´¾ÃÃÉÒ ¾Ç¡ÀÔ¡ÉØä´ŒÊÇ´ÊÒ¸ÂÒ¡óÕÂàÁµµÊٵùÕé ·Ñé§àªŒÒ-àÂç¹ ·ÓãËŒ ä´ŒÃѺ¡ÒÃÍÒÃÑ¡¢Ò¨Ò¡à·Ç´Ò áÅл¯ÔºÑµÔ¸ÃÃÁâ´ÂÊдǡ ·ÕèÊØ´¡çä´ŒºÃÃÅØÍÃËѵ¼Å ´ŒÇ¡ѹ·Ñé§ËÁ´ã¹¾ÃÃÉÒ¹Ñé¹”


8

¾Ø·¸Ä·¸Ôì ¨ÔµàÁµµÒ ÁËÒàʹ‹Ë

เนื้อความแหงกรณียเมตตสูตร

¹Ô¾¾Ò¹ ¤×Í à»‡ÒËÁÒ ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒã¹ÈÕÅ ÊÁÒ¸Ô »˜ÞÞÒ ¤×Í ËÅÑ¡¡ÒÃ

หลายท่านคงอยากทราบว่า เนื้อหาของ กรณียเมตตสูตรนั้น พระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไรแก่ ภิกษุบ้าง เหตุใดเมื่อเทวดาทั้งหลายพอได้ฟงแล้ว จึงเกิดความรักในภิกษุทั้งหลาย และยินดีต้อนรับ เข้ายังที่อยู่ของตน ในกรณียเมตตสูตรนี้ พระพุทธเจ้าได้ทรง สอนอยู่ ๒ เรื่องหลักๆ คือ ๑. เปาหมายและหลักการเพื่อดำเนินไปสูเปาหมาย ซึ่ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ใน ๒ บรรทัดแรกในกรณียเมตตสูตรว่า กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสสะเมจจะ แปลได้ความว่า

กุลบุตรผูฉลาดในประโยชนมุงหวังสันตบท ควรบำเพ็ญกรณียกิจ คำว่า กุลบุตรผูฉลาดในประโยชน นี้ หมายถึง ภิกษุที่เห็นประโยชน์ของการ บวชแล้ ว จึ ง สละความเป็ น คฤหั ส ถ์ อ อกบวชเป็ น บรรพชิ ต โดยมุ่ ง หวั ง “สั น ตบท”


Ê Ó ¹Ñ ¡ ¾Ô Á ¾ à ÅÕè  § à ªÕ Â § à ¾Õ Â Ã à ¾×è Í ¾Ø · ¸ È Ò Ê ¹

9

คือ การเข้ าถึง พระนิ พพาน เมื่อเป็นฉะนี้แล้ว เธอทั้งหลายควรกระทำกรณียกิจ คือ การศึกษาในไตรสิกขา ๓ ประการ คือ ศีล สมา¸ิ ป˜ญญา การที่พระพุทธองค์ทรงยกเรื่องนี้ขึ้นแสดงก่อน ก็เพื่อเป็นการย้ำให้ภิกษุทราบถึง เปาหมายที่แท้จริงของการบวชว่า ตนบวชเพื่ออะไร มีภาระหน้าที่อย่างไร คำตอบก็คือ บวช เพื่อทำตนให้พ้นทุกข์ และทำนิพพานให้แจ้ง มีหน้าที่ต้องอบรมตนในศีล สมาธิ ปญญา ๒. ขอปฏิบัติเพื่อใหบรรลุเปาหมาย การทีพ่ ระพุทธองค์ตรัสว่า ต้อง อบรมตนในศีล สมาธิ ปญญานั้น เป็นการเทศนาในขั้นหลักการ ดังนั้นเพื่อให้ภิกษุเข้าใจ ชัดแจ้งและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นขั้นตอน จึงทรงจำแนกข้อปฏิบัติออกเป็น ๑๖ ข้อ โดยจำแนกออกเป็นหลักการปฏิบัติในขั้นศีล ๑๕ ข้อ และหลักการปฏิบัติใน ขั้นสมาธิและปญญาอีก ๑ ข้อ ตามลำดับดังนี้ คือ ขอปฏิบัติในขั้นศีล ๑๕ ขอ

ñ) ó) õ) ÷) ù)

องอาจ เคร่งครัด อ่อนน้อม สันโดษ มีกิจ¸ุระน้อย

ò) ô) ö) ø) ñð)

«ื่อตรง ว่าง่ายสอนง่าย ไม่ถือตัว ทำตนให้เลีéยงง่าย ประพÄติเบา


10

¾Ø·¸Ä·¸Ôì ¨ÔµàÁµµÒ ÁËÒàʹ‹Ë

ññ) สำรวมอินทรีย์ ñò) มีป˜ญญารักษาตน ñó) ไม่คะนอง ñô) ไม่ติดในตระกูล ñõ) ไม่ทำสิ่งทีว่ ิญ ูชนติเตียน

หลักการทั้ง ๑๕ ข้อ จัดเข้าในส่วนของศีล อันได้แก่ ส่วนของการพัฒนาในด้าน ความประพฤติทางกายและคำพูด ซึง่ จะเป็นฐานสนับสนุนการพัฒนาทางจิตให้กา้ วหน้าต่อไป ขอปฏิบัติในขั้นสมาธิและปญญา ๑ ขอ หลั ก กั ม มั ฏ ฐานซึ่ ง เป็ น อุ บ ายในการฝ ก สมาธิ แ ละอบรมป ญ ญาให้ ก ล้ า แกร่ ง สามารถกระทำให้แจ้งซึ่งมรรค ผล นิพพาน กัมมัฏฐานที่ทรงยกขึ้นแสดงและให้ภิกษุ ทั้งหลายนำไปปฏิบัติในที่นี้ ได้แก่ เมตตากัมมั¯°าน คือ การฝกจิตด้วยการแผ่เมตตา ส่ ง ความปรารถนาดี ไ ปยั ง สรรพสั ต ว์ ทั้ ง หลายทุ ก หมู่ เ หล่ า อย่ า งไม่ จ ำกั ด ในขั้ น ตอนนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงอธิบายวิธีการเจริญเมตตากัมมัฏฐานโดยละเอียดให้ภิกษุได้ทราบ จนสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง สรุป เนื้อหาของกรณียเมตตสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ภิกษุก็คือ ๑. เป‡าหมายสูงสุดของการบวชและหลักการที่จะทำให้ถึงเป‡าหมาย ๒. ข้อป¯ิบัติ โดยละเอียดที่จะทำให้ถึงเป‡าหมาย


Ê Ó ¹Ñ ¡ ¾ÔâÍŒÁ...ÊÁ³ÐàËÅ‹ ¾ à ÅÕè  § à ªÕÒ¹Õ Â é § à ¾Õ Â Ã à ¾×è Í ¾Ø · ¸ È Ò Ê ¹

ÊÒ¸Ø

ÊÒ¸Ø

ª‹Ò§ÁÕ໇ÒËÁÒÂáÅÐËÅÑ¡¡Òà ¹‹ÒàÅ×Íè ÁãʨÃÔ§ æ

11

ÊÒ¸Ø

กรณียเมตตสูตร คือมนตมหาเสนห

อาจมีข้อสงสัยว่า เหตุใด เมื่อเทวดาได้ฟงกรณียเมตตสูตรแล้ว จึงเปลี่ยนท่าที จากที่ไม่ต้องการให้ภิกษุทั้งหลายเข้ามาอาศัยในที่อยู่ของตน กลายเป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยน และออกมาต้อนรับด้วยความยินดี ที่เป็นเช่นนั้น เพราะทีแรกเทวดาทั้งหลายยังไม่ทราบว่า ภิกษุเหล่านั้น เป็นใคร มาจากไหน และเข้ามาอาศัยอยู่ที่ใต้ต้นไม้ของตนเพื่อประโยชน์อะไร รู้เพียงแต่ว่าเป็น นักบวชผู้ทรงศีลเท่านั้น จึงยังไม่เกิดความเลื่อมใสศรัทธา


12 ¾Ø·¸Ä·¸Ôì ¨ÔµàÁµµÒ ÁËÒàʹ‹Ë แต่ ห ลั ง จากที่ ไ ด้ ฟ ง กรณี ย เมตตสู ต รแล้ ว ¢Íãˌ෾à·Ç´Ò ¢ÍãËŒ·Ò‹ ¹ áÅÐÊÃþÊÑµÇ ·§Ñé ËÅÒ ทำให้รวู้ า่ ภิกษุทงั้ หลายมาเพือ่ ทำความเพียรอบรมตน ໚¹Êآઋ¹¡Ñ¹ ¨§à»š¹Êآ໚¹ÊØ¢à¶Ô´ ให้เข้าถึงพระนิพพาน และได้ทราบถึงข้อวัตรปฏิบตั ขิ อง ภิกษุตามที่กล่าวไว้ในกรณียเมตตสูตร จึงทำให้เกิด ความเลือ่ มใส ประการสำคัญ คือ เมื่อเทวดาทั้งหลาย ¹‹ÒÃÑ¡¨Ñ§ ได้ ส ดั บวิ ธีก ารเจริญ เมตตากั ม มั ฏ ฐานจากบทสวด กรณี ย เมตตสู ต ร ก็ ท ำให้ รู้ ว่ า แท้ ที่ จ ริ ง แล้ ว ภิ ก ษุ เหล่านัน้ นอกจากจะมีจดุ มุง่ หมายและข้อวัตรปฏิบตั ทิ ี่ ดีแล้ว ยังได้แผ่เมตตาจิตส่งความปรารถนาดีให้พวกตนมีความสุขปราศจากความทุกข์ดว้ ย ก็ทำ ให้ความขัดเคืองต่างๆ มลายหายสิ้นไป จิตใจเกิดความเมตตาสนองกลับมายังภิกษุทั้งหลาย ปรารถนาให้ภกิ ษุทงั้ หลายบรรลุผลหรือเปาหมายตามทีต่ งั้ ใจ จึงได้พากันเข้าอุปฏ ฐากดูแลให้ภกิ ษุ ปฏิบตั ธิ รรมได้โดยสะดวก จนได้บรรลุนพิ พานตามทีต่ อ้ งการ ด้วยเหตุทเี่ ทวดาได้ฟง แล้วเกิดความรักใคร่ในภิกษุทงั้ หลาย กรณียเมตตสูตร จึงได้ ชือ่ ว่า มนต์มหาเสน่ห ์ ผูใ ดนำไปสวดภาวนาเปนประจำอยางสม่ำเสมอจะทำใหมเี สนห  เปนทีร่ กั ของคนทัว่ ไป ศัตรูทคี่ ดิ ปองรายทัง้ ในทีล่ บั และทีแ่ จงจะมีจติ ใจออนโยนกลายเปนมิตร ชีวติ จะได รับการคุมครองจากเทวดา และเมื่อผ่านเทวสถาน หรือศาลเจ้าแห่งใดแห่งหนึ่ง ให้สวด กรณียเมตตสูตรนี้ จะทำให้เหล่าเทวดา เจ้าปา เจ้าเขารักใคร่ ไม่ทำอันตราย และช่วยรักษา คุ้มครอง


เสนห คืออะไร ?

àʹ‹ Ë ¤× Í ÅÑ ¡ ɳзÕè ¹‹ Ò ÃÑ ¡ ·ÓäÁ¤¹àÃÒ¨Ö § µŒ Í § ÊÃŒ Ò §àʹ‹ Ë ¡ç à ¾ÃÒÐàʹ‹ Ë à »š ¹ àËÁ× Í ¹á¡Œ Ç ÊÒÃ¾Ñ ´ ¹Ö ¡ «Ö§è ÊÒÁÒöºÑ¹´ÒÅÅÒÀ ÂÈ ÊÃÃàÊÃÔÞ ÊØ¢ ãËŒà¡Ô´¢Ö¹é ä´Œ µÃ§¡Ñ ¹ ¢Œ Ò Á¡Ñ º àÊ¹Õ Â ´ ¤× Í ÅÑ ¡ ɳзÕè ä Á‹ ¹‹ Ò ÃÑ ¡ àÊ¹Õ Â ´à»š ¹ µÑ Ç ·ÓÅÒÂÅÒÀ ÂÈ ÊÃÃàÊÃÔ Þ ÊØ ¢ ãËŒ¾¹Ô ÒÈä» ¡Ò÷ÕèàÃҨзÓãËŒµÑÇàͧ໚¹¼ÙŒÁÕàʹ‹Ë ¹Ñé¹ ÍÂÙ‹·Õè¡Ò÷ӵÑÇàÃÒàͧ ´Ñ§¤Ó¡Å‹ÒÇÇ‹Ò “¨Ð»ÃÒö¹Ò ÊÔè§ã´äÁ‹à¡Ô¹¹Ñ¡ àÍÒ¤ÇÒÁÃÑ¡áÅ¡ä´Œ´Ñ§»ÃÐʧ¤ ” ´Ñ§¹Ñé¹ µŒÍ§·ÓµÑÇãˌ໚¹·ÕèÃÑ¡¢Í§¤¹Í×è¹´ŒÇ¡Òû¯ÔºÑµÔ µÒÁËÅÑ¡¡ÒÃÊÌҧàʹ‹Ë๑ 㹡óÕÂàÁµµÊٵùÕé àª×èÍṋàËÅ×Í à¡Ô¹Ç‹Ò ·‹Ò¹¨ÐÁÕàʹ‹Ë µÔ´µÑÇ仨¹µÅÍ´ÍÒÂØ¢ÑÂàÅ·Õà´ÕÂÇ

Õ´ àʹ  Ì Ò ๑

à Ê ¹‹ Ë ´Õ

ดูอธิบายหลักการสร้างเสน่ห์ โดย พระราชวิจิตรปฏิภาณ หน้า ๕๔


14

¾Ø·¸Ä·¸Ôì ¨ÔµàÁµµÒ ÁËÒàʹ‹Ë

ÍÐÃÐËѧ ÊÑÁÁÒÊÑÁ¾Ø·â¸ ÀФÐÇÒ...

วิธีสวดกรณียเมตตสูตร การสวดกรณี ย เมตตสู ต ร หรือการสวดมนต์ทั่วไป อาจแบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือ

ñ. สวดแบบเต็มรูปแบบ

คือจะสวดเป็นหมู่คณะ มีการจัดเตรียม สถานที่ โตะหมู่บูชาไว้พร้อม เช่น การสวด พร้อมกันในครอบครัว โรงเรียน โรงงาน หรือการเข้าค่ายพุทธบุตร เป็นต้น ก่อนสวดให้อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด เพื่อให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น แต่งตัวให้ เรียบร้อย เมื่อพร้อมกันแล้ว ชาย นั่งคุกเข่าท่าเทพนม หญิง นั่งท่าเทพธิดา ขณะประธาน จุดเทียน-ธูปบูชาพระรัตนตรัย๑ ให้ประนมมือ จากนัน้ จึงตัง้ ใจสวดมนต์ไปตามลำดับ ดังนี้

ñ. ó. õ. ÷.

บทกราบพระรัตนตรัย บทไตรสรณคมน์ บทสรรเสริญพระ¸รรมคุณ บทกรณียเมตตสูตร

ò. ô. ö. ø.

บทนอบน้อมพระพุท¸เจ้า บทสรรเสริญพระพุท¸คุณ บทสรรเสริญพระสัง¦คุณ ทำสมา¸ิหลังสวดมนต์

การจุดเทียนให้จุดเล่มขวามือของพระพุทธรูปก่อน ตามด้วยเล่มซ้ายมือ แล้วค่อยจุดธูป


Ê Ó ¹Ñ ¡ ¾Ô Á ¾ à ÅÕè  § à ªÕ Â § à ¾Õ Â Ã à ¾×è Í ¾Ø · ¸ È Ò Ê ¹

15

ù. บทแผ่เมตตาให้ตนเอง ñð. บทแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ññ. บทกรวดนéำอุทิศส่วนกุศล ò. สวดไม่ เต็ ม รู ป แบบ จะเป็นการสวดเฉพาะกิจ สวดเฉพาะตนเอง ไม่มีการ

จัดเตรียมสถานที่ เช่น สวดมนต์ก่อนนอน สวดมนต์ตอนไปเที่ยวปา เข้าค่าย หรือนั่งรถผ่าน เทวสถานหรือศาลเจ้าแล้วนึกอยากสวดมนต์ขนึ้ มา หรือในขณะทำงาน จิตใจว้าวุน่ ต้องการสวดมนต์ ให้จติ สงบ เป็นต้น ซึง่ การสวดแบบนีจ้ ะเลือกสวดเฉพาะบางบทเท่านัน้ คือ โดยมากจะสวดเฉพาะ

บทกราบพระรัตนตรัย บทนอบน้อมพระรัตนตรัย บทกรณียเมตตสูตร บทแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ หรือจะสวดเฉพาะ บทกรณียเมตตสูตร ก็ได้ หรือจะตัดทอนบทกรณียเมตตสูตร ให้สั้นลง สวดเฉพาะวรรค เมตตัญจะ สัพพะโลกัสîมิง ฯลฯ ไปจนจบก็ได้ ¨Ð仨պÊÒÇ ¢ÍÊÇ´¡Ã³ÕÂàÁµµÊٵà àÊÃÔÁàʹ‹Ë Êѡ˹‹ÍÂ


16

¾Ø·¸Ä·¸Ôì ¨ÔµàÁµµÒ ÁËÒàʹ‹Ë

๑. บทกราบพระรัตนตรัย

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา,

พระผูม พี ระภาคเจา เปนพระอรหันต, ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกขสนิ้ เชิง, ตรัสรูช อบไดโดยพระองคเอง ; พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ. ขาพเจาอภิวาทพระผูม พี ระภาคเจา, ผูร ู ผูต นื่ ผูเ บิกบาน. ส๎วากขาโต๑ ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรม เปนธรรมที่พระผูมีพระภาคเจา, ตรัสไวดีแลว ; ธัมมัง นะมัสสามิ. ขาพเจานมัสการพระธรรม. สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆสาวกของพระผูม พี ระภาคเจา, ปฏิบตั ดิ แี ลว ; สังฆัง นะมามิ. ขาพเจานอบนอมพระสงฆ. ๑

อ่านว่า สะหวาก-ขา-โต แปลว่า ตรัสไว้ดีแล้ว


Ê Ó ¹Ñ ¡ ¾Ô Á ¾ à ÅÕè  § à ªÕ Â § à ¾Õ Â Ã à ¾×è Í ¾Ø · ¸ È Ò Ê ¹

๒. บทนอบนอมพระพุทธเจา (สวด ๓ จบ)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น ; อะระหะโต, ซึ่งเปนผูไกลจากกิเลส ; สัมมาสัมพุทธัสสะ. ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง. หมายเหตุ : ความหมาย ของภาพ

ãºâ¾¸Ôì ËÁÒ¶֧ »˜ÞÞÒ ¡ÒõÃÑÊÃÙŒ ´Í¡ºÑÇ ËÁÒ¶֧ ¤ÇÒÁºÃÔÊØ·¸Ôì¨Ò¡¡ÔàÅÊ Ë´¹éÓáÅÐâÅ¡ ËÁÒ¶֧ ¤ÇÒÁ¡ÃسҷÕèÁÕµ‹ÍÊÑµÇ âÅ¡

17


18

พระรัตนตรัย = ที่พึ่งกำจัดภัย ไตรสรณคมน์ แปลว่ า การถึ ง พระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก ได้แก่ การ

เปล่งวาจาขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่ า เป็ น สรณะที่ พึ่ ง ที่ ร ะลึ ก เป็ น การน้ อ มนำ พระรัตนตรัยเข้ามาไว้ในใจตน คำว่า สรณะ หมายถึง สิ่งที่ทำลายหรือขจัดป˜ดเป†าสิ่งชั่วร้าย ความสะดุ้ง หวาดกลัว ความเศร้าหมองของสัตว์ทั้งหลายให้หมดสิ้นไป พระพุท¸เจ้า ชื่อว่า สรณะ เพราะกำจัดภัยของสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการให้ถึง สิ่งที่เป็นประโยชน์ (ความดี) และนำออกจากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ (ความชั่ว) พระ¸รรม ชื่อว่า สรณะ เพราะช่วยคุ้มครองผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่วและ ให้บรรลุมรรค ผล นิพพาน ข้ามพ้นจากสังสารวัฏ คือ การเวียนว่ายตายเกิด พระสง¦์ ชื่อว่า สรณะ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้าแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม และเป็นเนื้อนาบุญของโลก กล่าวคือ ทักษิณาทาน ที่ถวายแก่พระสงฆ์ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ย่อมบังเกิดผลอย่างไพบูลย์


Ê Ó ¹Ñ ¡ ¾Ô Á ¾ à ÅÕè  § à ªÕ Â § à ¾Õ Â Ã à ¾×è Í ¾Ø · ¸ È Ò Ê ¹

19

๓. บทไตรสรณคมน พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ. ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ เปนที่พึ่ง แมครั้งที่สอง ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ เปนที่พึ่ง แมครั้งที่สาม ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ เปนที่พึ่ง.


20

¾Ø·¸Ä·¸Ôì ¨ÔµàÁµµÒ ÁËÒàʹ‹Ë

๔. บทสรรเสริญพระพุทธคุณ๑ อิติป โส ภะคะวา, พระผูมีพระภาคเจานั้น ; อะระหัง,1 เปนผูไกลจากกิเลส ; 2 สัมมาสัมพุทโธ, เปนผูตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง ; วิชชาจะระณะสัมปนโน,3 เปนผูถึงพรอมดวยวิชชา และจรณะ ; สุคะโต,4 เปนผูไปแลวดวยดี ; โลกะวิทู,5 เปนผูรูโลกอยางแจมแจง ; อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ,6 เปนผูสามารถฝกบุรุษที่สมควรฝกได สัตถา เทวะมะนุสสานัง,7 พุทโธ,8 ภะคะวาติ.9 ๑

อยางไมมีใครยิ่งกวา ; เปนครูผูสอนของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย ; เปนผูรู ผูตื่น ผูเบิกบานดวยธรรม ; เปนผูมีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว.

พระพุทธคุณ คือ คุณความดีของพระพุทธเจ้ามี ๙ ประการ (ดูตามเลขอารบิค)


Ê Ó ¹Ñ ¡ ¾Ô Á ¾ à ÅÕè  § à ªÕ Â § à ¾Õ Â Ã à ¾×è Í ¾Ø · ¸ È Ò Ê ¹

๕. บทสรรเสริญพระธรรมคุณ๑ ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,1 พระธรรม เปนธรรมที่พระผูมีพระภาคเจา ตรัสไวดีแลว ; สันทิฏฐิโก,2 เปนสิ่งที่ผูศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นไดดวยตนเอง ; อะกาลิโก,3 เปนสิ่งที่ปฏิบัติได และใหผลไดไมจำกัดกาล ; เอหิปสสิโก,4 เปนสิ่งที่ควรกลาวกะผูอื่นวา ทานจงมาดูเถิด ; โอปะนะยิโก,5 เปนสิ่งที่ควรนอมเขามาใสตัว ; ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหีติ๒, 6 เปนสิ่งที่ผูรูก็รูไดเฉพาะตน. ๑

พระธรรมคุณ คือ คุณความดีของพระธรรมมี ๖ ประการ (ดูตามเลขอารบิค), ๒ อ่านว่า วิน-ยู-ฮี-ติ แปลว่า ผู้รู้

21


22

¾Ø·¸Ä·¸Ôì ¨ÔµàÁµµÒ ÁËÒàʹ‹Ë

๖. บทสรรเสริญพระสังฆคุณ๑ สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,1 สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด, ปฏิบัติดีแลว๒ ; อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,2 สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด, ปฏิบัติตรงแลว๓ ; ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,3 สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด, ปฏิบัติเพื่อรูธรรม เปนเครื่องออกจากทุกขแลว๔ ; สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,4 สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด, ปฏิบัติสมควรแลว ; ๑ พระสั​ังฆคุณ แปลว่า คุณของพระสงฆ์มี ๙ ประการ (ดูตามเลขอารบิค) ๒ ปฏิบัติดี คือ ปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น ไม่ถอยหลัง และไม่ทำให้ตนและผู้อื่นเดือดร้อน ๓ ปฏิบัติตรง คือ ปฏิบัติถูกต้องตรงตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ๔

ปฏิบัติเพื่อรูธรรมเปนเครื่องออกจากทุกข คือ ปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้งในธรรม คือ อริยสัจ ๔


Ê Ó ¹Ñ ¡ ¾Ô Á ¾ à ÅÕè  § à ªÕ Â § à ¾Õ Â Ã à ¾×è Í ¾Ø · ¸ È Ò Ê ¹

23

ยะทิทัง, ไดแกบุคคลเหลานี้คือ :จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา,

คูแ หงบุรษุ ๔ คู๑ นับเรียงตัวบุรษุ ได ๘ บุรษุ ; เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, นนั่ แหละ สงฆสาวกของพระผูม พี ระภาคเจา ; อาหุเนยโย,5 เปนสงฆควรแกสักการะที่เขานำมาบูชา ; ปาหุเนยโย,6 เปนสงฆควรแกสักการะที่เขาจัดไวตอนรับ ; 7 ทักขิเณยโย, เปนผูควรรับทักษิณาทาน๒ ; อัญชะลิกะระณีโย,8 เปนผูที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี๓ ;

อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ.9

เปนเนื้อนาบุญของโลก ไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา.

คูแหงบุรุษ ๔ คู :- คู่ที่ ๑ ได้แก่ ผู้บรรลุโสดาปตติมรรค โสดาปตติผล รวมเรียกว่า พระโสดาบัน, คู่ที่ ๒ ได้แก่ ผู้ บ รรลุ ส กทาคามิ ม รรค สกทาคามิ ผ ล รวมเรี ย กว่ า พระสกทาคามี , คู่ ที่ ๓ ได้ แ ก่ ผู้ บ รรลุ อ นาคามิ ม รรค อนาคามิผล รวมเรียกว่า พระอนาคามี, คู่ที่ ๔ ได้แก่ ผู้บรรลุอรหัตมรรค อรหัตผล รวมเรียกว่า พระอรหันต์ ๒ ทักษิณาทาน หมายถึง ของทำบุญที่เขานำมาถวาย เพื่ออุทิศผลบุญแก่ผู้ตาย ๓ อัญชลี หมายถึง การยกมือไหว้


24

¾Ø·¸Ä·¸Ôì ¨ÔµàÁµµÒ ÁËÒàʹ‹Ë

ปลุก

ใจ

ใหกลาหาญ

ในกรณียเมตตสูตรนี้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นแสดงแก่ภิกษุเป็นอันดับแรก ก็คือ เป‡าหมายและหน้าที่หลักของการบวช ซึ่งพระองค์ตรัสว่า “กุลบุตรผู้ฉลาด ในประโยชน์ มุ่งหวังบรรลุสันตบทñ ควรบำเพ็ญกรณียกิจ๒” ถอดเป็นใจความได้ว่า ภิกษุที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้แสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ แก่ตน และเป็นผู้มุ่งหวังต่อพระนิพพาน คือความพ้นทุกข์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ควรทำกิจ ที่ควรทำอันจะนำไปสู่สิ่งที่มุ่งหวังนั้น กล่าวคือ การฝกฝนอบรมตนในศีล สมาธิ ปญญา ให้ถึงความบริบูรณ์ การที่พระพุทธเจ้าทรงยกเปาหมายและหลักการขึ้นสอนภิกษุก่อน ก็เพื่อกระตุ้น ให้ภิกษุตระหนักถึงจุดมุ่งหมายที่เข้ามาบวชว่า ตนเข้ามาบวชเป็นพระนี้เพื่ออะไร เป็นการ ปลุกใจของภิกษุที่กำลังหดหู่ห่อเหี่ยวที่ถูกรุกขเทวดากลั่นแกล้ง ให้กลับคืนมาฮึกเหิม อีกครั้ง ๑ สันตบท (สัน-ตะ-บด) แปลว่า ธรรมเป็นเครื่องถึงความสงบ ได้แก่ พระนิพพาน ๒

กรณียกิจ (กะ-ระ-นี-ยะ-กิด) แปลว่า กิจที่ภิกษุจะต้องทำ ได้แก่ การปฏิบัติตนในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญญา


Ê Ó ¹Ñ ¡ ¾Ô Á ¾ à ÅÕè  § à ªÕ Â § à ¾Õ Â Ã à ¾×è Í ¾Ø · ¸ È Ò Ê ¹

¾ÃйԾ¾Ò¹ ¤×Í à»‡ÒËÁÒÂÊÙ§ÊØ´¢Í§ªÕÇÔµ

๗. บทกรณียเมตตสูตร

๑) กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ กุลบุตรผูฉลาดในประโยชน มุงหวังบรรลุสันตบท ควรบำเพ็ญกรณียกิจ

ÊÇ´µ‹Í ˹ŒÒ ò÷

25


26

¾Ø·¸Ä·¸Ôì ¨ÔµàÁµµÒ ÁËÒàʹ‹Ë

หลักการปฏิบัติ เพื่อเขาถึงพระนิพพานขั้นศีล

พระพุทธเจ้าครั้นทรงแสดงนิพพานว่าเป็นเปาหมายอันสูงสุดของภิกษุ และการ ศึกษาในไตรสิกขาคือ ศีล สมา¸ิ ป˜ญญา เป็นกิจที่ควรทำ เพื่อให้ภิกษุเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น จึงทรงแจกแจงรายละเอียดออกไปเป็น ๑๖ ข้อ ñõ ข้ อ แรก เป็น ข้อ ปฏิ บัติในขั้น ของ ศี ล ส่วน ข้ อ ñö เป็น ข้อ ปฏิ บัติในขั้น ของสมา¸ิและป˜ญญา ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ปฏิบัติได้ครบทั้ง ๑๖ ข้อ ย่อมสามารถ ที่จะเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่เกิดในครรภ์อีก คุณธรรม ๑๖ นั้น เรียงตามลำดับ ดังนี้ ๑) อาจหาญ คือ กล้าหาญ ไม่ลังเลที่จะทำ ๒) «ื่อตรง คือ «ื่อตรงต่อหน้าที่ ต่อตนเอง และต่อผู้อื่น ๓) เคร่งครัด คือ ป¯ิบัติไม่ย่อหย่อน เสมอต้นเสมอปลาย ๔) ว่าง่าย คือ กล่าวสอนสิ่งใดก็รับ¿˜งและทำตามด้วยดี ๕) อ่อนโยน คือ มีความเคารพอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ๖) ไม่เย่อหยิ่ง คือ ไม่ถือตัว วางตัวให้เขาคบง่าย มีมนุษยสัมพัน¸์ดี ๗) สันโดษ คือ ยินดีในป˜จจัย ô ตามมีตามได้ ไม่แสวงหาเกินจำเป็น


Ê Ó ¹Ñ ¡ ¾Ô Á ¾ à ÅÕè  § à ªÕ Â § à ¾Õ Â Ã à ¾×è Í ¾Ø · ¸ È Ò Ê ¹

๒) สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี สันตุสสะโก จะ *

กุลบุตรนั้นพึงเปนผูอาจหาญ,1* ซื่อตรง,2 เครงครัด,3 วางาย,4 ออนโยน,5 และไมเยอหยิ่ง,6 Í เปนผูสันโดษ,7 ÊÇ´µ‹ ˹ŒÒ òù

ตัวเลขอารบิค 1-7 เป็นข้อปฏิบัติเพื่อยังศีลให้บริบูรณ์

¤‹ÍÂæ Í‹Ò¹ ¤‹ÍÂæ ¤Ô´¾Ô¨ÒÃ³Ò ¤ÃÒ¤Ô´µÔ´¢Ñ´ ËÂØ´¾Ñ¡ÊÑ¡¹Ô´ ·Ó¨Ôµãˌʧº ¨Ð¾ºáʧÊÇ‹Ò§·Ò§»˜ÞÞÒ

27


28

¾Ø·¸Ä·¸Ôì ¨ÔµàÁµµÒ ÁËÒàʹ‹Ë

หลักการปฏิบัติเพื่อเขาถึงพระนิพพานขั้นศีล (ตอ) ๘) เลีéยงง่าย คือ บริ โภคแต่พอดี ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป รวมไปถึง การไม่ยึดติดในรสอาหาร บริโภคโดยมุ่งประโยชน์เลี้ยงกายเป็นสำคัญ ๙) มีกิจน้อย คือ ไม่นำตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างæ ซึ่งเป็นเหตุให้ จิตฟุงซ่าน กล่าวคือ ทำตัวให้มีภาระน้อยที่สุด ๑๐) มีความประพÄติเบา คือ มีเพียงบริขาร ø ติดตัวไป ไม่สะสมสิ่งของ อย่างอื่นให้เป็นภาระ ทำตัวเหมือนนกมีเพียงปกบินไป ฉะนั้น ๑๑) มีอินทรีย์สงบ คือ สำรวมตา หู จมูก ลิéน กาย ใจ ไม่ให้เกิดความยินดี ยินร้าย เมื่อเห็นรูป ฟงเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส กายสัมผัส รู้อารมณ์ที่ใจคิด ๑๒) มีปญ ˜ ญารักษาตน คือ ฉลาดรูใ้ นสิง่ ทีเ่ ป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์ ๑๓) เป็นผู้ไม่คะนอง คือ สำรวมกิริยามารยาทในการเดิน การนั่ง การนอน การกิน การพูดจา รวมถึงการคิดให้อยู่ในขอบเขตที่ดีงาม ๑๔) ไม่ยึดติดในตระกูล คือ ไม่คลุกคลีสนิทสนมกับชาวบ้านเกินควร ๑๕) ไม่ประพÄติในสิง่ ทีว่ ญ ิ ูชน๑ ติเตียน คือ ไม่ทำสิ่งที่ผิดศีล¸รรมอันดีงาม ๑

วิญูชน หมายถึง คนที่มีความรู้, คนดี เป็นที่ยอมรับของสังคม


Ê Ó ¹Ñ ¡ ¾Ô Á ¾ à ÅÕè  § à ªÕ Â § à ¾Õ Â Ã à ¾×è Í ¾Ø · ¸ È Ò Ê ¹

สุภะโร จะ เลี้ยงงาย,8 * อัปปะกิจโจ จะ มีกิจนอย,9 สัลละหุกะวุตติ ประพฤติเบา,10 สันตินท๎ริโย๑ จะ มีอินทรียสงบ,11 นิปะโก จะ มีปญญารักษาตน,12 อัปปะคัพโภ เปนผูไมคะนอง,13 กุเลสุ อะนะนุคิทโธ ไมพัวพันในตระกูลทั้งหลาย,14 นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ เยนะ วิญู ปะเร อุปะวะเทยยุง. ไมควรประพฤติความเสียหายใดๆ ที่จะเปนเหตุใหวิญูชน

ตำหนิเอาได.15

* ๑

29

ÊÇ´µ‹Í ˹ŒÒ óñ

ตัวเลขอารบิค 8-15 เป็นข้อปฏิบัติเพื่อยังศีลให้บริบูรณ์ แปลว่ า เป น ผู มี อิ น ทรี ย ส งบ มาจากคำว่ า สั น ตะ (สงบ) + อิ น ท๎ ริ ย ะ (อิ น ทรี ย์ ) , อิ น ทรี ย แปลว่า สิ่งที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, อีกนัยหนึ่งหมายถึง ธรรมที่เป็นใหญ่ ๕ ประการ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา เรียกว่า อินทรีย์ ๕


30

¾Ø·¸Ä·¸Ôì ¨ÔµàÁµµÒ ÁËÒàʹ‹Ë

เมตตากัมมัฏฐาน หลักการเจริญสมาธิและปญญา ข้อปฏิบัติ ๑๕ ข้อที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ผู้หวังความหลุดพ้น จะต้ อ งมี เมื่ อ กระทำได้ ค รบทั้ ง ๑๕ ข้ อ นั้ น ได้ ชื่ อ ว่ า เป็ น ผู้ ส มบู ร ณ์ ใ นขั้ น ศี ล และ เหมาะที่จะเจริญสมาธิและปญญาในขั้นสูงต่อไป หลักของการเจริญสมาธิและปญญาที่พระพุทธเจ้ายกขึ้นแสดงในกรณียเมตตสูตร นี้ คือ เมตตากัมมั¯°าน โดยทรงแนะนำวิธีปฏิบัติว่า ผู้เจริญเมตตากัมมัฏฐานนี้ พึงยัง ความเมตตา คือ ความคิดปรารถนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุขให้บังเกิดขึ้นในดวงจิต แล้วส่งความ ปรารถนาดีนั้นไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกหมู ่เหล่า ด้วยการนึกภาวนาในใจว่า

“ขอสรรพสัตว์ทัéงหลาย จงมีความสุข มีความเกษมสำราญ มีความสุขกายสุขใจอยู่เถิด”

ให้นึกภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทุกขณะจิต อย่าให้ วอกแวก เมื่อกระทำได้อย่างนี้ จิตจะเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ และละเอียดขึ้นไปตามลำดับจนสามารถบรรลุฌานได้


Ê Ó ¹Ñ ¡ ¾Ô Á ¾ à ÅÕè  § à ªÕ Â § à ¾Õ Â Ã à ¾×è Í ¾Ø · ¸ È Ò Ê ¹

31

๓) สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา บุ ค คลควรแผ ไ มตรี จิ ต ไปยั ง หมู สั ต ว ทั้ ง หลายว า ขอสั ต ว ทั้ ง ปวง จงเปนผูมีความสุข มีความเกษมสำราญ มีความสุขกายสุขใจเถิด เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ ¢ÍãËŒÊÃþÊÑµÇ ·Ñé§ËÅÒ สัตวมีชีวิตทั้งหลาย เหลาใดเหลาหนึ่งบรรดามี ¨§ÁÕ¤ÇÒÁÊØ¢ ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา à¡ÉÁÊÓÃÒÞ´ŒÇÂà¶Ô´ เคลือ่ นทีไ่ ด๑ ก็ดี เคลือ่ นทีไ่ มได๒ ก็ดี ไมมยี กเวน ทีฆา วา เย มะหันตา วา มีกายยาวก็ดี มีกายใหญก็ดี มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา มีกายปานกลางก็ดี กายสั้นก็ดี Í มีกายละเอียดหรือกายหยาบ๓ ก็ดี ÊÇ´µ‹ ˹ŒÒ óó ๑

บางแห่งแปลว่า สัตวที่ยังเปนผูหวาดสะดุง หมายถึง สัตว์ที่ยังมีตัณหาและความกลัวภัย ได้แก่ ผู้ที่ยังไม่ได้ บรรลุพระอรหัตผล ๒ บางแห่งแปลว่า สัตวผูมั่นคง หมายถึง ผู้ละตัณหาและความกลัวได้แล้ว ได้แก่ พระอรหันต์ ๓ บางแห่งแปลว่า ผูมีกายผอมหรือกายอวน


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.