นำเสนอสาระ : ณัฐพันธ ปนทวีเกียรติ บรรณาธิการสาระ : ศักดิ์สิทธิ์ พันธุสัตย ออกแบบปก : วันดี ตามเที่ยงตรง บรรณาธิการศิลปะ : อนุชิต คำซองเมือง ภาพประกอบ : ธนรัตน ไทยพานิช ศิลปกรรมรูปเลม : วันดี ตามเที่ยงตรง
ÃдÁ¸ÃÃÁ ¹ÓÊѹµÔÊØ¢ ชาตกาล ๒๗ พ.ค. ๒๔๔๙ มรณกาล ๘ ก.ค. ๒๕๓๖ “ธรรมทานมีผลมากกว่าทานอื่นๆ จริงๆ วัตถุทาน ก็ช่วยกัน แต่เป็นเรื่องมีชีวิตอยู่รอด อภัยทานก็เป็นเรื่อง มีชีวิตอยู่รอด แต่มันยังไม่ดับทุกข์ มีชีวิตอยู่รอดอย่าง เป็นทุกข์น่ะ มันดีอะไร ? เขาให้มีชีวิตอยู่ แต่เขาได้รับทุกข์ ทรมานอยู่ นี้มันดีอะไร มันดีอะไร เมื่อรอดชีวิตแลวมันจะ ตองไมมีความทุกขดวย จึงจะนับวาดี มีประโยชน ขอนี้ สำคัญดวยธรรมทาน มีความรู้ธรรมะแล้ว รู้จักทำให้ไม่มี ความทุกข์ รู้จักปองกันไม่ให้เกิดความทุกข์ รู้จักหยุดความ ทุกข์ที่กำลังเกิดอยู่ ธรรมทานจึงมีผลกว่าในลักษณะอย่างนี้ มันช่วยให้ชีวิตไม่เป็นหมัน วัตถุทานและอภัยทาน ช่วยให้ รอดชีวิตอยู่ บางทีก็เฉยๆ มันสักว่ารอดชีวิตอยู่เฉยๆ แต่ ถามีธรรมทานเขามา ก็จะสามารถชวยใหมีผลดีถึงที่สุด ที่มนุษยควรจะไดรับ เพราะฉะนั้น ขอใหสนใจในเรื่อง ธรรมทาน”
¤Ó¹Ó “พุทโธ” เป็นคำที่พุทธศาสนิกชนนำมาใช้พูดกัน จนติดปาก สำหรับภาวนาหรือบริกรรมคิดนึกเพื่อเป็นที่ ยึดเหนี่ยวจิตใจในชีวิตประจำวัน แต่เราเคยเกิดคำถามกันบ้างไหมว่า จริงๆ แล้ว “พุทโธ” คืออะไร ? เราบริกรรม “พุทโธ” กันเพื่ออะไร ? แล้วผลจากการที่เราบริกรรม “พุทโธ” นั้นคืออะไร ? ทำไม พระพุทธเจ้าทรงมอบสิ่งมีค่าที่สุดคือ “พุทโธ” ไว้ให้กับ เรา ? หากยังไม่สามารถตอบคำถามต่างๆ ข้างต้นนี้ได้ ขอให้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาแล้วเปิดอ่าน ค่อยๆ เปิดไป ทีละหน้า ค่อยๆ สัมผัสกับท่วงทำนองแห่งความตื่นรู้ไป ทีละหน้า แล้วคุณจะค้นพบว่าที่ผ่านมาเราได้รับประโยชน์ จากการรู้จัก “พุทโธ” น้อยเหลือเกิน เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านพุทธคุณบรรยายในบท “พุทโธ” ของหลวงพ่อพุทธทาสในครั้งแรก ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ได้ค้นพบตาน้ำแห่งความรู้เข้าแล้ว เพราะงานชิ้นนี้อธิบาย ความหมายได้ลึกซึ้ง ตลอดถึงการปฏิบัติเพื่อรับประโยชน์ สูงสุดจากพุทธคุณข้อนี้ น่าเสียดายหากต้องพลาดการอ่าน หนังสือเล่มนี้
เมื่อท่านเปิดหนังสือเล่มนี้อ่าน ขอให้ค่อยๆ วาง ความรู้สึกทั้งหมด ปล่อยใจของท่านให้สัมผัสกับธรรมะ ที่หลวงพ่อพุทธทาสได้ถ่ายทอดเอาไว้ ธรรมะที่จะค่อยๆ เปลี่ยนจากความศรัทธาให้เป็นปัญญา ธรรมะที่จะนำพา ทุกๆ ท่านเข้าถึงสภาวะแห่งความตื่นรู้อย่างแท้จริง หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุได้บรรยายพระธรรมเทศนา เรื่องสำคัญๆ ไว้เป็นจำนวนมาก และบทว่าด้วย “พุทโธ” เล่มนี้ เป็นหนึ่งในธรรมบรรยายชุดพระพุทธคุณบรรยาย ซึ่งถูกรวบรวมไว้ในหนังสือชุด ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส ผู้รวบรวมเห็นว่ามีเนื้อหาสาระดีมาก เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ที่พุทธศาสนิกชนทุกคนควรรู้ให้ชัด และนำไปประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจำวันเพื่อให้เกิดประโยชน์และความสุข ทั้งแก่ ตนเองและส่วนรวมเป็นเบื้องต้น กระทั่งเข้าถึงความพ้น ทุกข์คือ “พระนิพพาน” ซึ่งเป็นสุขอันสูงสุด ดังคำกล่าว ของหลวงพ่อพุทธทาสที่ว่า... “อย่าสักแต่ว่าท่อง ‘พุทโธ’ ‘พุทโธ’ บางคนเก่ง ถึงขนาดว่า เข้า-พุท ออก-โธ, เข้า-พุท ออก-โธ อย่างนั้น ก็มี มันก็ยังไม่มีทางที่จะรู้จักพุทโธ เว้นไว้แต่มาศึกษา เรื่องอย่างนี้ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง” ดังนี้แล้ว สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ จึงได้นำพระธรรมเทศนาเรื่องสำคัญนี้มาจัดพิมพ์ ใหม่ โดยได้จัดหน้า ทำวรรคตอน ตั้งหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย ทำบทคัดย่อ ใส่สีเน้นคำ ทำเชิงอรรถ เสริมสาระ อธิบาย ข้อธรรม และใส่ภาพประกอบ เพื่อให้อ่านง่าย เข้าใจง่าย
ช่วยย่นระยะเวลาในการอ่าน เห็นแก่นแท้ของธรรมะ และ หยิบใช้ได้ทันที มีสุขทันใจ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จักเอื้อประโยชน์ ให้ผู้อ่านเข้าถึงแก่นสำคัญของคำว่า “พุทโธ” จนกระทั่ง ปฏิบัติตนและดำเนินไปสู่ความเป็น “พุทธะ” คือ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามรอยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นเปาหมายและประโยชน์สูงสุดของการศึกษาพุทธศาสนา แล้วจะพบว่าพระพุทธเจ้า หรือ “พุทธะ” ที่แท้จริง อยู่ในกายในใจของเรานี่เอง หาใช่อื่นไกล จิรํ ทิปฺปตุ โลกสฺมึ สมฺมาสมฺพุทฺธํ ขอพระศาสนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงเจริญรุ่งเรืองอยู่ ในโลกตลอดกาลเทอญ. â»Ã´ãªŒàÅ‹Á¹Õé ãËŒ¤ØŒÁÊØ´¤ØŒÁ Í‹Ò¹áÅŒÇ Ê‹§µ‹Í¡Ñ¹Í‹Ò¹ËÅÒÂæ ·‹Ò¹ ¹Ð¤ÃѺ ÊÒ¸Ø ¸ÃÃÁÐ ÊÇÑÊ´Õ¤ÃѺ
Í‹Ò¹áŌǾԨÒÃ³Ò ¢ŒÍ¸ÃÃÁ ¹ÓÁÒ»¯ÔºÑµÔ㪌 㹪ÕÇÔµ»ÃШÓÇѹ¡Ñ¹¹Ð¤Ð ¸ÃÃÁÐ ÍÂً㹡Ò ã¹ã¨¢Í§àÃÒ ¹Õèàͧ
6
“¾Ø·â¸” ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂã¨
¾Ø·â¸* ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂ㨠ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ในวันนี้ จะได้พูดถึงบทว่า พุทฺโธ และบทว่า ภควา ซึ่งเป็นบทที่ ถูกนำมากล่าวขานกันมากที่สุด ตามปกติ เราก็จะเรียกพระพุทธองค์ด้วย บทว่า ภควา มากกว่าบทอื่น และถือว่าเป็นบทที่แสดงความเคารพอย่างยิ่ง บทว่า พุทโธ ก็ยังนำมากล่าวถึงน้อยกว่า แต่รวมความแล้ว สองบทนี้ เป็นบทที่กล่าวถึงมาก ดังนั้น ในวันนี้ก็เป็นการกล่าวถึงบทพระคุณที่ถูก กล่าวขานมากที่สุดนั่นเอง
Í‹Ò¹áŌǾԹԨ¾Ô¨ÒÃ³Ò áÅйÓä»»¯ÔºÑµÔ ãˌࢌҶ֧ “¾Ø·¸Ð” ໚¹¼ÙŒÃÙŒ ¼ÙŒµ×è¹ ¼ÙŒàºÔ¡ºÒ¹ ãˌ䴌·Ø¡¤¹¹Ð
* บรรยายครั้งที่ ๔ เมื่อ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๐ คัดจากหนังสือ ธรรมโฆษณของพุทธทาส ชุด พระพุทธคุณบรรยาย
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
7
“¾Ø·â¸” ËÁÒ¶֧ª×èÍáÅоÃФس¢Í§ ¾Ãоط¸à¨ŒÒ
ลำดับนี้ ก็จะได้กล่าวโดย บทว่า พุทฺโธ
¤ÓÇ‹Ò ¾Ø·â¸ ¹Õé ÁÕ ò ¹Ñ ¤×Í ñ. ໚¹ª×è͸ÃÃÁ´ÒÊÒÁÑÞ·Õè 㪌àÃÕ¡¾ÃÐͧ¤ ¹Õé¡çÁÕÍÂÙ‹¹ÑÂ˹Öè§ ò. ÍÕ¡¹ÑÂ˹Ö觡ç໚¹¡ÒÃáÊ´§¾ÃÐ¤Ø³Ç‹Ò ¾ÃÐͧ¤ ·Ã§»ÃСͺ´ŒÇ¾ÃФسÍ‹ҧäà 㹤ÇÒÁËÁÒ¢ͧ¤ÓÇ‹Ò ¾Ø·â¸ สำหรับบทที่ใช้เป็นคำชื่อหรือสามานยนามสำหรับเรียกพระองค์นั้น ไม่ต้องวินิจฉัยอะไร ส่วนบทที่แสดงพระคุณอันสูงสุดอยูในคำนี้ นี่แหละ เป็นบทที่จะตองนำมาวินิจฉัยกันใหมากเทาที่จะทำได
8
“¾Ø·â¸” ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂã¨
“¾Ø·¸Ð” ÁÕ¤ÇÒÁËÁÒÂÁÒ¡ÁÒ ÊØ´·ŒÒÂÊÃػŧ㹠¼ÙŒÃÙŒ ¼ÙŒµ×è¹ ¼ÙŒàºÔ¡ºÒ¹ เพื่อจะทราบถึงพระคุณข้อนี้ ในชั้นแรกก็ทราบคำคำนี้โดยพยัญชนะ คือ โดยคำพูดนั่นเองกันเสียก่อน คำว่า “พุทธะ” โดยพยัญชนะ ท่านก็ ตีความกันมากมายหลายอย่าง ในที่สุดยุติกันได้สัก ๓ อย่าง หรือ ๓ นัย คือ
“¾Ø·¸Ð” á»ÅÇ‹Ò ¼ÙŒÃÙŒ “¾Ø·¸Ð” á»ÅÇ‹Ò ¼ÙŒµ×蹨ҡËÅѺ “¾Ø·¸Ð” á»ÅÇ‹Ò ¼ÙŒàºÔ¡ºÒ¹
“¾Ø·â¸” ¼ÙŒÃÙŒ ¼ÙŒµ×è¹ ¼ÙŒàºÔ¡ºÒ¹ ´ŒÇ¸ÃÃÁ
»ÃÐà·Èä·Âà¤Âä´Œª×èÍÇ‹Ò໚¹àÁ×ͧ¾Ø·¸ ໚¹àÁ×ͧ¢Í§¼ÙŒÃÙŒ ¼ÙŒµ×è¹ ¼ÙŒàºÔ¡ºÒ¹ ᵋºÑ´¹Õé »ÃÐà·Èä·Â¡ÓÅѧ¨Ð¡ÅÒÂ໚¹ºŒÒ¹»†ÒàÁ×ͧà¶×è͹ à¾ÃÒФ¹ã¹»ÃÐà·È¡ÓÅѧÅзÔ駸ÃÃÁÐ ÂÖ´¶×Íᵋ·Ô°ÔÁÒ¹ÐËÁÒÂàÍÒª¹Ð ¤Ð¤Ò¹¡Ñ¹¨¹à¡Ô´¤ÇÒÁᵡá¡Í‹ҧÃعáç ´Ñ§¹ÕéáÅŒÇ ¢Í·‹Ò¹·Ñé§ËÅÒ ·Õèµ×è¹ÍÂÙ‹ ¨§ä´ŒÁÒËÇÁ¡Ñ¹ÃдÁ¸ÃÃÁà¾×è;ÅÔ¡¿„œ¹»ÃÐà·Èä·ÂãËŒ¡ÅѺÁÒ Ê§ºÊØ¢ à¾×èÍ໚¹àÁ×ͧáË‹§¾Ø·¸Ð´Ñ§à´ÔÁâ´ÂàÃçÇà¶Ô´
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
9
ภาษาบาลีเป็นภาษาที่มีความหมายอยู่ในตัวคำพูดนั้นๆ จะเป็น เพราะท่านบัญญัติกันขึ้น หรือว่าเป็นคำที่มีความหมายสำเร็จมาแล้วในตัว ตั้งแต่มนุษย์รู้จักใช้พูดคำคำนั้น เดี๋ยวนี้เอาตามที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคัมภีร์ชั้นหลังๆ ซึ่งท่านชอบค้นคว้าประมวลความหมาย แห่งคำนั้นๆ กันอย่างเต็มที่ หรือถ้าพูดอย่างสมัยนี้ ก็เรียกว่าสุดเหวี่ยง ฉะนั้น ในบางคัมภีร์ก็เลยเฟอ หรือเกินไปก็มี ส่วนที่เฟอหรือเกินอย่างนี้ เราไม่เอามาวินิจฉัยกัน มันไม่จำเป็น พุทธะในภาษาคน หมายถึง องคพระพุทธเจา เนื้อหนัง ของทาน รางกายของทานที่เกิดในประเทศอินเดียเมื่อสองพันกวาป มาแลว นิพพานแลว เผาไหมไปหมดแลว นั่นพุทธะภาษาคน สวน พุทธะในภาษาธรรม นั้นหมายถึง ตัวธรรมแทที่พระพุทธองคตรัสวา... “ผู ใดเห็นธรรม ผูนั้นเห็นตถาคต ผู ใดเห็นตถาคต ผูนั้นเห็นธรรม ผูที่ ไมเห็นธรรมนั้น แมจะจับจีวรของตถาคตอยูแทๆ ก็ ไมชื่อวาเห็นตถาคต เลย” ลองคิดดูวา “ธรรมะ” ในที่นี้คืออะไร ? ...จากหนังสือธรรมะ ๙ ตา, พุทธทาสภิกขุ...
»ÃÐà·È·ÕèÁÕ»ÃЪҸԻäµÂ ᵋ¢Ò´¸ÃÃÁÒ¸Ô»äµÂ äÁ‹¹Ò¹¡ç¨Ðà¡Ô´ ¤ÇÒÁ¢Ñ´áÂŒ§áÅФÇÒÁÇØ‹¹ÇÒ à¾ÃÒе‹Ò§¤¹µ‹Ò§ÅзÔ駸ÃÃÁÐ ÂÖ´¶×Íᵋ ¼Å»ÃÐ⪹ ¢Í§µ¹áÅоǡ¾ŒÍ§à»š¹ËÅÑ¡ ˹·Ò§à´ÕÂÇ·Õ軇ͧ¡Ñ¹ä´Œ ¤×Í ¡Òê‹Ç¡ѹ»ÅÙ¡¸ÃÃÁÒ¸Ô»äµÂã¹ËÑÇ㨢ͧ¼ÙŒ¹ÓáÅлÃЪҪ¹ã¹»ÃÐà·È ãËŒ¨§ä´Œ
10
“¾Ø·â¸” ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂã¨
àÃÒµŒÍ§ÁͧãËŒàËç¹ ¤ÇÒÁËÁÒ·ÕèὧÍÂÙ‹ã¹ “¾Ø·¸Ð” เป็นอันว่า จะวินิจฉัยคำว่า พุทธะ นี้ แต่เพียง ๓ นัย คือ ๑. ผู้รู้ ๒. ผู้ตื่นจากหลับ ๓. ผู้เบิกบาน แล้วก็ขยายความออกไปในทางที่เป็น คู่ๆ กัน ออกไปอีกสักตอนหนึ่ง ตัวอย่างเช่น 㹤ÓÇ‹Ò “¾Ø·â¸” ¹Õé ÁÕ¤ÇÒÁËÁÒÂÍÐäà ὧÍÂÙ‹ºŒÒ§Ë¹Í ?
“¼ÙŒÃÙŒ” ¡ç¢ÂÒ¤ÇÒÁÍ͡件֧¤ÇÒÁËÁÒ·ÕèÇ‹Ò à»š¹¼ÙŒÊÒÁÒöÊÑè§Ê͹, ¶ŒÒ “¼ÙŒµ×蹨ҡËÅѺ” ¡ç¢ÂÒ¤ÇÒÁËÁÒÂÍÍ¡ä»¶Ö§Ç‹Ò ·‹Ò¹ÊÒÁÒö»ÅØ¡¼ÙŒÍ×è¹ãËŒµ×è¹´ŒÇÂ, ¤ÇÒÁËÁÒ·ÕèÇ‹Ò໚¹ “¼ÙŒàºÔ¡ºÒ¹” ¹Ñé¹ ¢ÂÒ¤ÇÒÁËÁÒµ‹Íä»Ç‹Ò ໚¹¼ÙŒÊÒÁÒö¨Ù§ã¨ ¼ÙŒ·Õèä´Œ¾ºàËç¹ãˌʹã¨ËÃ×Í·ÓµÒÁ
นี้ขอให้สังเกตดู ความหมายอะไรบ้างที่แฝงอยู่ในตัวหนังสือ หรือ คำพูดนั้นๆ พระองค์เป็นผู้รู้ เพราะเป็นผู้รู้จึงสามารถสอนเขา ฉะนั้น ความ สามารถสอนเขามันแฝงกันอยู่กับผู้รู้ นี้เป็นตัวอย่าง ฉะนั้น ท่านทั้งหลาย ก็จะต้องลองคิดดูเองบ้าง ว่ามีพระคุณอะไรที่แฝงอยู่ในคำพูดที่บัญญัติไว้ ตรงๆ
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
11
¾Ø·¸¤Ø³ ¨ÐÊÑÁ¼ÑÊä´ŒµŒÍ§ãªŒÊµÔ»˜ÞÞÒ ¾Ô¨ÒóÒÍ‹ҧẤҠµ¶Ò¤µµÃÑÊÃÙŒªÍº¡çà¾×èÍ»ÃСͺ ÊÔ觷Õè໚¹»ÃÐ⪹ ÊآᡋÊÃþÊѵÇ
ÊÒ¸Ø
ÊÒ¸Ø
ความเปนผูรู มันเปนพระคุณสวนพระองค และความเปนผูสามารถ สอน มันกลายเปนพระคุณที่เกี่ยวไปถึงผูอื่น พระคุณของพระพุทธองค จะอยูในรูปแบบที่เปนคูๆ อยางนี้เสมอไป ความเปนผูตื่น ก็มีความสามารถที่จะปลุกผู้อื่นให้ตื่น คนที่หลับอยู่ ไม่สามารถจะปลุกใครให้ตื่นได้ ทีนี้ ผู้ตื่นอย่างพระพุทธเจ้านั้นก็เล็งถึง ความที่สามารถทำโลกนี้ทั้งโลกให้มันตื่นขึ้นมา ฉะนั้น ความเป็นผู้ตื่น กับความสามารถในการปลุกจึงเนื่องอยู่ด้วยกัน
12
“¾Ø·â¸” ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂã¨
ความเปนผูเบิกบาน หมายถึง มีความสุข มีความแจ่มใส มีความ น่าเลื่อมใส พอใครมองเห็นเข้า มันก็ครอบงำใจบุคคลนั้น ทำบุคคลนั้น ให้สนใจ ให้สมัครใจที่จะทำตาม เพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง ทีนี้เราทั้งหลายเป็นสาวกของพระองค์ แล้วก็เรียกกันว่า เกิดใน สุดท้ายภายหลัง ไม่มีโอกาสที่จะเห็นพระองค์โดยพระวรกายหรือโดย เนื้อหนัง เราก็เห็นพระพุทธองค์ยังทรงอยู่โดยพระคุณ
¹Õé ¤Ø³àËÅ‹Ò¹Õé¡çäÁ‹ 㪋¨ÐàËç¹ä´Œâ´Â§‹Ò µŒÍ§ÁÕʵԻ˜ÞÞÒ¾Ô¨ÒÃ³Ò µŒÍ§ãªŒÊµÔ»˜ÞÞÒ¾Ô¨ÒÃ³Ò ·ÕèẤÒÂáÅÐäÁ‹¹ŒÍ à¾ÃÒЩйÑé¹ ¨Ö§à»š¹¡ÒÃÊÁ¤Ç÷ÕèàÃÒ¨Ðä´Œ¹ÓÁÒ¾Ô¨ÒÃ³Ò ¤×Í ·Ó¡ÒÃÈÖ¡ÉÒãˌࢌҶ֧¾ÃФس¹Ñé¹æ นี่ขอให้ท่านทั้งหลายพยายามทำในใจโดยแยบคาย เพื่อจะเข้าใจ ความหมายเหล่านี้จนเราได้ซึมซาบในพระคุณ ถึงขนาดที่จะเป็นประโยชน์ ได้จริง ไม่เสียทีที่เป็นพุทธบริษัท ¡Òû¯ÔºÑµÔà¾×èͤÇÒÁ໚¹ “¾Ø·¸Ð” »¯ÔºÑµÔä´Œâ´Â¡ÒÃ㪌ÊÁ¶¡ÃÃÁ°Ò¹ ¤×Í ¡Òû¯ÔºÑµÔà¾×èÍÊÁÒ¸ÔáÅФÇÒÁʧº¢Í§¨Ôµ ÊÁ¶¡ÃÃÁ°Ò¹¡Í§ÊÓ¤ÑÞ ·Õè¾Ãоط¸à¨ŒÒáÅоÃÐÍÃÔÂʧ¦ ·Ø¡¾ÃÐͧ¤ äÁ‹ÅзÔé§áÅл¯ÔºÑµÔÍÂÙ‹µÅÍ´àÇÅÒ ¤×Í ÍҹһҹʵԡÃÃÁ°Ò¹ ໚¹¡ÒõÒÁÃÙŒÅÁËÒÂã¨à¢ŒÒÍÍ¡ã¹·Ø¡ÍÔÃÔÂÒº¶ Â×¹ à´Ô¹ ¹Ñè§ ¹Í¹ ¾ÃŒÍÁÀÒÇ¹Ò “¾Ø·â¸” ໚¹¡ÒÃà¨ÃÔ޾ط¸Ò¹ØÊµÔ ¨¹¨Ôµà»š¹ÊÁÒ¸Ô à¡Ô´¤ÇÒÁʧº ʋǹ ÇÔ»˜ÊʹҡÃÃÁ°Ò¹ ໚¹¡ÒÃà¨ÃÔÞ»˜ÞÞÒâ´ÂÍÒÈѺҷ°Ò¹¢Í§ÊÁÒ¸Ô·Õèä´Œ¨Ò¡ÊÁ¶¡ÃÃÁ°Ò¹ ¾Ô¨ÒóҡÒÂáÅÐ㨠áÊ´§ “äµÃÅѡɳ ” ͹Ԩ¨Ñ§ ·Ø¡¢Ñ§ ͹ѵµÒ ·Ñé§ ò »ÃÐàÀ·µŒÍ§ãªŒ¤Çº¤Ù‹¡Ñ¹ ÊÓËÃѺ¾Ô¨ÒóÒáÅеѴ¡ÔàÅÊ à»š¹¼ÙŒÃÙŒ ¼ÙŒµ×è¹ ¼ÙŒàºÔ¡ºÒ¹
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
¹Ñ·Õè ñ
13
“¾Ø·¸Ð” 㹤ÇÒÁËÁÒÂÇ‹Ò ¼ÙŒÃÙŒ ¤×Í ÃÙŒ ø Í‹ҧ
เอาละ ในชั้นนี้ก็จะได้แสดงถึง พระคุณโดยนัยที่ ๑ ของคำวา พุทธะ นั่นคือ ผูรู
à·‹Ò·ÕèÃÙŒ¡Ñ¹â´ÂÁÒ¡ ¡ç¨Ð¹Ö¡¶Ö§¤ÓÇ‹Ò µÃÑÊÃÙŒÍÃÔÂÊѨ¨ ô ÃÙŒ·Ø¡¢ ÃÙŒà˵ØãËŒà¡Ô´·Ø¡¢ ÃÙŒ¤ÇÒÁ´Ñº·Ø¡¢ áÅзҧãËŒ¶Ö§¤ÇÒÁ´Ñº·Ø¡¢ ¹Ñ鹡ç¶Ù¡Í‹ҧÂÔè§ áµ‹Ç‹ÒàÃÒ¤ÇèÐÃÙŒÍÐäáѹãËŒÁҡ仡NjҹÑé¹ÍÕ¡Êѡ˹‹Í อาตมาก็จะรวบรวมเอามาแสดงให้เป็นที่เข้าใจโดยลำดับ คำว่า แสดงโดยลำดับนี้ ก็มีความประสงค์เฉพาะและก็อาจจะเฉพาะอาตมาที่เห็น ว่าแสดงอย่างไร มันจึงจะเข้าใจง่ายโดยลำดับ “จิตนั้นมันมีภาวะที่รูสึก รับรู คิดนึกอะไรก็ได ถามัน ไปปรุงแตงกันผิดเขา มันก็เปนวัฏสงสาร ถาปฏิบัติถูกตอง มัน ก็เปนพระนิพพานขึ้นมาในจิตดวงเดียว” ...จากหนังสือพุทธทาสตอบคำถาม, พุทธทาสภิกขุ...
14
“¾Ø·â¸” ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂã¨
ÃÙŒñ
“¼ÙŒÃÙŒ” ËÁÒ¶֧ ÃÙŒàÃ×èͧ·Õ辌¹ÇÔÊÑÂâÅ¡
คำว่า ผู้รู้ ในข้อแรกนี้ จะแสดงโดยหัวข้อว่า ทรงฉลาด ในเรื่องที่พ้นวิสัยโลก อันเป็นเหตุให้ ทรงแสวงหา สิ่งที่อยู่เหนือโลก ท่านทั้งหลายลองคิดดูให้ดีว่า...
¾Ãоط¸Í§¤ ·Ã§©ÅÒ´ ã¹àÃ×èͧ·ÕèÁѹ¹Í¡à˹×Í仨ҡ·Õ褹¸ÃÃÁ´Òà¢ÒÃÙŒÊÖ¡ËÃ×ͤԴ¹Ö¡¡Ñ¹ ¤¹¸ÃÃÁ´Ò¡ç¤Ô´¹Ö¡ÃÙŒÊ֡ǹàÇÕ¹¡Ñ¹ÍÂًᵋã¹àÃ×èͧâÅ¡æ àÃ×èͧÇÔÊÑÂâÅ¡ à¾ÃÒÐÇ‹Òà¢ÒäÁ‹©ÅÒ´ 㹡Ò÷Õè¨ÐÃÙŒÍ͡件֧àÃ×èͧà˹×ÍÇÔÊÑÂâÅ¡ à¾ÃÒÐ㽆ËÒᵋàÃ×èͧ㹷ҧâÅ¡ »ÅÙ¡½˜§áµ‹àÃ×èͧ·Õè·ÓãËŒà¡Ô´¡ÔàÅÊ ÁÒÍ‹ҧÂÒǹҹáÅе‹Íà¹×èͧ ¤¹ã¹Êѧ¤Á¨Ö§àËç¹á¡‹µÑÇáÅÐàºÕ´àºÕ¹¡Ñ¹ ÁÒ¡¢Öé¹à»š¹ÅӴѺ ÂѧäÁ‹ÊÒ·Õè¨Ðª‹Ç¡ѹÃдÁ¸ÃÃÁãËŒ¡ÅѺ¿„œ¹¤×¹ÊÙ‹Êѧ¤Á ÍÕ¡¤ÃÑé§
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
15
à¾ÃÒзç©ÅÒ´ã¹àÃ×èͧ¾Œ¹ÇÔÊÑÂâÅ¡ ¨Ö§áÊǧËÒÊÔè§à˹×ÍâÅ¡
แตพระองคทรงฉลาดออกไปนอกวิสัยของโลกนี้ จึงทรงกระทำไป ในลักษณะอยางนั้น คือ แสวงหาสิ่งเหนือโลก เชน การออกผนวชไปเปน นักบวช แสวงหาการตรัสรู ถ้าไม่ฉลาดในเรื่องนี้ ก็จะจมอยู่ในโลก ครองบ้านครองเมือง เป็น คนอยู่ในโลก แล้วพระพุทธเจ้าก็จะไม่เกิดขึ้น นี่ควรจะถือว่า เป็นความรู้ พื้นฐานอันแรกที่ทำให้เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นในโลก หรือให้แคบเข้ามา ก็คือ ทำให้พระองค์สละโลก ออกไปหาสิ่งที่เหนือโลก “พระองคทรงออกผนวชเพื่อแสวงหาวาอะไรเปนกุศล คำวา กุศล ของพระองคในที่นี้หมายถึง ความฉลาด หมายถึง ความรูที่ถูกตองถึงที่สุด” ...จากหนังสือคูมือมนุษย, พุทธทาสภิกขุ...
16
“¾Ø·â¸” ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂã¨
à¾ÃÒЩÅÒ´ã¹àÃ×èͧâÅ¡Í×è¹ ¨Ö§ª×èÍÇ‹Ò ÃÙŒàÃ×èͧ¾Œ¹ÇÔÊÑÂâÅ¡
นี่ข้อนี้ทราบได้ตามพระบาลี จูฬโคปาลสูตร มัชฌิมนิกาย ซึ่งมีใจความว่า...
“ÀÔ¡ÉØ·Ñé§ËÅÒ ! àÃÒ¹ÕéáŠ໚¹¼ÙŒ©ÅÒ´ã¹àÃ×èͧâÅ¡¹Õé ©ÅÒ´ã¹àÃ×èͧâÅ¡Í×è¹ à»š¹¼ÙŒ©ÅÒ´µ‹ÍÇѯ¯Ð Íѹ໚¹·ÕèÍÂÙ‹¢Í§ÁÒà ໚¹¼ÙŒ©ÅÒ´µ‹ÍÇÔÇѯ¯Ð ÍѹäÁ‹à»š¹·ÕèÍÂÙ‹¢Í§ÁÒà ໚¹¼ÙŒ©ÅÒ´µ‹ÍÇѯ¯Ð Íѹ໚¹·ÕèÍÂÙ‹¢Í§ÁĵÂ٠໚¹¼ÙŒ©ÅÒ´µ‹ÍÇÔÇѯ¯Ð ÍѹäÁ‹à»š¹·ÕèÍÂÙ‹¢Í§ÁĵÂÙ ª¹àËÅ‹Òã´¶×ÍÇ‹ÒàÃ×èͧ¹Õé¤Çÿ˜§ ¤ÇÃàª×èÍ ¢ŒÍ¹Ñ鹨Ð໚¹ä»à¾×èÍ»ÃÐ⪹ à¡×éÍ¡ÙÅ à¾×èͤÇÒÁÊØ¢ á¡‹ª¹·Ñé§ËÅÒÂàËÅ‹Ò¹Ñé¹ ÊÔ鹡ÒŹҹ”
ËÅǧ¾‹Í¾Ø·¸·ÒÊà¤Â¡Å‹ÒÇäÇŒÇ‹Ò “¶ŒÒàÃҨзÓÍÐäÃäÁ‹ãˌ໚¹·Ø¡¢ àÃÒµŒÍ§·Ó´ŒÇÂʵԻ˜ÞÞÒ ·ÕèàËÁÒÐÊÁ ·Õèà¾Õ§¾Í Í‹ҷÓä»´ŒÇ¡ÔàÅʵѳËÒ ã¹àÃ×èͧ¹Ñé¹à»š¹Íѹ¢Ò´” à¾ÃÒжŒÒ·Ó´ŒÇµѳËÒ¡ç¨ÐÁÕᵋ¤ÇÒÁËÒ¹Р¨§Å´ µÑ³ËÒã¹ã¨áÅлÅÙ¡½˜§¤Ø³¸ÃÃÁ ¤×Í ¤ÇÒÁàÁµµÒãËŒÁÒ¡ áŌǺŒÒ¹àÁ×ͧ ¨Ð¾Œ¹¨Ò¡ÇԡĵÔä´Œ
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
17
ÍÂÙ‹ã¹âÅ¡ ᵋäÁ‹¶Ù¡ÍÔ·¸Ô¾Å¢Í§âÅ¡¤Ãͺ§Ó¨Ôµ ª×èÍÇ‹Ò à¢ŒÒ¶Ö§âÅ¡Í×è¹ ขอให้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำพูดเหล่านี้ว่า พระองค์ตรัสว่า ทรงเปนผูฉลาดในเรื่องโลกนี้ และฉลาดในเรื่องโลกอื่นคือปรโลก
¤ÓÇ‹Ò âÅ¡Í×è¹ ËÃ×Í »ÃâÅ¡ ¹Ñé¹ ¤×Í ÁѹµÃ§¡Ñ¹¢ŒÒÁ¡ÑºâÅ¡¹Õé áÅÐÁÔä´ŒËÁÒ¤ÇÒÁᵋà¾ÕÂ§Ç‹Ò µÒÂáŌǨ֧¨Ðä»ÊÙ‹»ÃâÅ¡ áÁŒÍÂÙ‹·Õè¹Õèà´ÕëÂǹÕé ¡çÂѧÁÕ·Ò§·Õè¨ÐÃÙŒËÃ×ÍàËç¹ËÃ×;º»ÃâÅ¡ ¤×Í ¤ÇÒÁ໚¹ÍÂÙ‹Í‹ҧÍ×è¹·ÕèÁѹäÁ‹àËÁ×͹ ËÃ×͵ç¡Ñ¹¢ŒÒÁ¡ÑºâÅ¡¹Õé ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจว่า ปรโลกนั้นเป็นแผ่นดินโลกอื่น และไป ถึงได้ต่อเมื่อตายแล้ว เข้าโลงไปแล้วจึงจะไปถึง ดังนี้แล้วขอให้คิดเสียใหม่ ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการตรัสรู้ของพระองค์ว่า... “เราอยู่ที่นี่ ในโลกนี้ ในแผ่นดินนี้ แต่มีจิตใจอย่างอื่น ซึ่งอิทธิพล ของโลกนี้ครอบงำจิตใจไม่ได้” นี่เรียกวา โลกอื่น ปริยัติ รูจัก, ปฏิบัติ รูจริง, ปฏิเวธ รูแจง ดำรงชีวิตตามพระสัทธรรมเชนนี้ มีผลทำใหเปนคน รูดี ทำดี มีคุณภาพ (จริงหรือไม ? ใครพิจารณา)
18
“¾Ø·â¸” ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂã¨
¸ÃÃÁ´Ò¢Í§Á¹ØÉ ÃÙŒÊÖ¡¡Ñ¹Í‹ҧäà ¶ŒÒÁÕ¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡·Õàè »š¹Í‹ҧÍ×è¹ á»Å¡ÍÍ¡ä» ËÃ×͵ç¡Ñ¹¢ŒÒÁ¡Ñº¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡¢Í§Á¹ØÉ áÅŒÇ ¡çàÃÕÂ¡Ç‹Ò ¼ÙŒ¹Ñé¹à¢ŒÒ¶Ö§âÅ¡Í×è¹ä´Œ·Ñ駹Ñé¹ พระองค์ทรงฉลาดในเรื่องของโลกอื่นอีกมากมายหลายสิบรูปแบบ ที่มันไม่เหมือนกับโลกนี้ นี้เป็นต้นเหตุให้ทรงแสวงหาโลกอื่นที่ยิ่งๆ ขึ้นไป และเป็นเหตุให้รู้เรื่องที่อยู่เหนือวิสัยโลกโดยประการทั้งปวง นี้ข้อหนึ่ง »ÃЪҸԻäµÂÍÂÙ‹ä˹ ? ÂغÊÀÒ !
ÅÒÍÍ¡...!!!
Í‹ҷÓÌҠ¡Ñ¹àŹФÃѺ à¡Ô´¤ÇÒÁÍÒ¦Òµâ·ÊÐ ÂÔ§¡Ñ¹µÒµ͹¹Õé µ¡¹Ã¡à¾ÃÒФÇÒÁ â¡Ã¸á¹‹¹Í¹
µ×è¹à¶ÍФÃѺ ¡ÒÂ໚¹Á¹ØÉ ᵋã¨à»š¹ÊÑµÇ ¹Ã¡¡Ñ¹áÅŒÇ
¡Ò÷ÐàÅÒСѹà¡Ô´áµ‹¤ÇÒÁàËç¹ÍѹäÁ‹Å§ÃÍ¡ѹ áÅФÇÒÁàËç¹ ÍѹäÁ‹Å§ÃÍ¡ѹ¹Ñé¹ ¹Ó¾Òä»ÊÙ‹¤ÇÒÁËÒ¹Ðã¹·ÕèÊØ´
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
19
ÃÙŒ¤ÇÒÁ໚¹ä»¢Í§¡ÔàÅÊÀÒÂã¹ã¨ ª×èÍÇ‹Ò ©ÅÒ´µ‹ÍÇѯ¯ÐáÅÐÇÔÇѯ¯Ð Íѹ໚¹·ÕèÍÂÙ‹¢Í§ÁÒà ข้อที่ตรัสว่า เปนผูฉลาดตอวัฏฏะที่เปนที่อยูของมารและตอวิวัฏฏะ อันไมเปนที่อยูของมาร นี้ก็ไม่ต้องไปนึกถึงเรื่องต่อเมื่อตายแล้วหรือเรื่อง ภพอื่นที่ไหนก็ยังไม่รู้
¢ÍãËŒÁͧàËç¹ à¢ŒÒ㨻ÃÐ¨Ñ¡É ªÑ´Ç‹Ò 㹡ÒÃËÁعàÇÕ¹áË‹§¨Ôµã¨ ·ÕèÁÕ¤ÇÒÁ¤Ô´¹Ö¡ä»µÒÁÍÓ¹Ò¨¢Í§¡ÔàÅÊ ¡çàÃÕÂ¡Ç‹Ò Çѯ¯Ð ¶ŒÒÁÕ¡ÔàÅÊ¡ç໚¹à˵ØãËŒÂÖ´¶×ÍÇ‹ÒµÑÇÇ‹Òµ¹¡çËÁع仵ÒÁÍÓ¹Ò¨¢Í§¡ÔàÅÊ ÁÕ¡ÒáÃзӡÃÃÁáÅÐÃѺ¼ÅáË‹§¡ÃÃÁ ໚¹µŒ¹ áÅŒÇÁѹ¡çÁÕàÃ×èͧ·Ø¡¢ Ì͹
“วัฏสงสารมีอยูอยางนากลัวในจิตใจ ในชีวิตประจำวัน ของแตละคน รีบออกมาเสียดวยการทำลายกิเลส พอหมดกิเลส แลว วัฏสงสารมันก็หมุนไมได” ...จากหนังสือพุทธทาสตอบคำถาม, พุทธทาสภิกขุ...
20
“¾Ø·â¸” ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂã¨
ทุกขรอนนี้เรียกวา มาร พระองค์ตรัสว่า “วัฏฏะอันเปนที่อยู ของมาร คือ การไหลเวียนแหงจิตใจของคนโงคนเขลา คนปุถุชนที่ไมรู อะไรเอาเสียเลย” ในความวนเวียนแห่งจิตนั้นมันมีมาร คือ สิ่งที่ทำให เปนทุกข ใหเดือดรอน ใหเสื่อมเสีย ใหไมมีคาของความเปนมนุษย ทีนี้ได้ตรัสสิ่งที่เป็นคู่ตรงกันข้ามว่า “วิวัฏฏะ” อันไม่เป็นที่อยู่ ของมาร หมายความว่า...
¨Ôµ·ÕèäÁ‹»ÃСͺ仴ŒÇ¡ÔàÅÊ ÁվĵÔÍѹºÃÔÊØ·¸Ôì¢Í§¨Ôµª¹Ô´¹Õé äÁ‹ÁÕ¡ÔàÅÊ äÁ‹ÁÕ¡ÃÃÁ äÁ‹ÁÕ¡ÒÃÃѺ¼Å¡ÃÃÁ ¡çäÁ‹ÁÕÍÒ¡Ò÷ÕèàÃÕÂ¡Ç‹Ò ÁÒà ¹Ñé¹¹‹Ð¤×Í ·Óãˌ໚¹·Ø¡¢ ໚¹ÃŒÍ¹ Í‹ҧ¹ÕéàÃÕÂ¡Ç‹Ò ÇÔÇѯ¯Ð ¾ÃÐͧ¤ ¡ç·Ã§·ÃÒº ΋Òææ ´‹ÒÁѹÊÔ à¡ÅÕ´ÁѹÊÔ â¡Ã¸ÁѹÊÔ Í͡仦‹Ò¾Ç¡¹Ñé¹àÅ ¦‹Ò¡Ñ¹àÂÍÐæ ΋Òæææ
¡ÔàÅÊËÁعǹ à¡Ô´ã¹ã¨ÍÕ¡áÅŒÇ˹Í
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
21
ÃÙŒÇÔ¸Õà¾Ô¡¶Í¹¨ÔµÍÍ¡¨Ò¡¡ÔàÅÊ໚¹à˵ØãËŒ¡ÅÑǵÒ ª×èÍÇ‹Ò ÃÙŒÇѯ¯Ð ÇÔÇѯ¯Ð Íѹ໚¹·ÕèÍÂÙ‹¢Í§ÁĵÂÙ ทีนี้คู่ถัดไปว่า เปนผูฉลาดตอวัฏฏะอันเปนที่อยูของมฤตยู คือ ความตาย และฉลาดตอวิวัฏฏะอันไมเปนที่อยูของมฤตยู ก็คือ ไม่มี ความตาย นี่ทรงทราบทั้ง ๒ ฝายว่า ถ้าโง่กันขนาดนี้แล้ว ความตายก็เกิดมี ความหมายขึ้นมาครอบงำจิตใจ ทำให้มีความทุกข์อันเนื่องด้วยความตาย เหมือนกับที่ทุกคนมันมีปัญหาและความทุกข์อยู่ที่ความตาย โง่มากถึง ขนาดที่ว่า ต้องมีความทุกข์เพราะความตาย โดยที่ความตายยังไม่มาถึง ความตายก็เลยมีปัญหา คือ ทำให้สะดุ้ง ทำให้หวาดเสียว ทำให้กลัว
àÃÒ·Ø¡¤¹ÁÕ¤ÇÒÁÊд،§ ËÇÒ´àÊÕÂÇ ÁÕ¤ÇÒÁ¡ÅÑǪ¹Ô´ä˹¡çµÒÁ ÁѹŌǹᵋÁÒ¨Ò¡¤ÇÒÁµÒ ¤×Í ¤ÇÒÁ¡ÅÑǵÒ ¨Ôµ·ÕèǹàÇÕ¹ÍÂًᵋ ã¹ÃٻẺÍ‹ҧ¹Õé Áѹ¡çÁÕ¤ÇÒÁ¡ÅÑǵÒ·‹ÇÁ·ÑºÍÂÙ‹µÅÍ´àÇÅÒ อานใหรู รูแลวลงมือทำ ทำ ทำ ทำ เทานั้น จึงจะเปนสุข
สุข ทุกข อยูที่ใจ ใจใคร ใจเรา อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนแลเปนที่พึ่งของตน ที่พึ่งของตนที่ดีที่สุด คือ ความดี คิดดี ทำดี พูดดี สิ่งดีๆ จะตามมา พาพนทุกข สุขทุกขณะ สาธุ สาธุ สาธุ
22
“¾Ø·â¸” ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂã¨
¹Õé ¾Ãоط¸à¨ŒÒ ·‹Ò¹·Ã§·ÃÒºÇÔÇѯ¯Ð ¤×Í à¾Ô¡¶Í¹ÊÀҾǹàÇÕ¹ÍÂÙ‹ ´ŒÇÂÍÇÔªªÒÍ‹ҧ¹ÕéÍÍ¡ä»àÊÕÂä´Œ ¡çàÅÂ໚¹ ÇÔÇѯ¯Ð ¤×Í äÁ‹ËÁعàÇÕ¹ áŌǡçäÁ‹à»š¹·ÕèÍÂÙ‹ ¢Í§¤ÇÒÁËÁÒÂáË‹§¤ÇÒÁµÒ àÃÕ¡§‹ÒÂæ Ç‹Ò äÁ‹à»š¹·ÕèÍÂÙ‹¢Í§ÁĵÂÙ ที่จริงท่านก็ตรัสถึงเรื่องเดียวกัน แต่ใช้คำพูดที่ต่างกันว่า เป็น ผู้ฉลาดในเรื่องโลกนี้ และฉลาดในเรื่องของโลกอื่น โลกนี้มันก็โลกของคน บาๆ บอๆ ของปุถุชนที่มีความทุกข โลกอื่น ก็ไมมีอะไร มันตองเปนโลก ของคนที่มีความรู แลวก็ไมมีความทุกข ทีนี้ คนมันไม่รู้จักโลกอื่นชนิดนั้น เอาโลกอื่นกันอย่างประสา เด็กอมมือ มันก็เป็นโลกอื่นชนิดที่ยังมีความทุกข์อยู่ ผู้มีปัญญาเขาก็ หัวเราะเยาะว่า มันจะเป็นโลกอื่นไปอย่างไรได้ เมื่อมันยังมีความทุกข์ และความตาย ถ้ามันจะเป็นโลกอื่นจริงๆ มันก็ไม่ควรจะมีความทุกข์หรือ มีความตาย
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
23
ÃÙŒàÃ×èͧ¾Œ¹ÇÔÊÑÂâÅ¡ ÊÃØ»¤×Í ÃÙŒâÅ¡·ÕèäÁ‹ÁÕ¤ÇÒÁ·Ø¡¢ áÅÐäÁ‹ÁÕ¤ÇÒÁµÒ “à˹×ÍâÅ¡ÊÁÁµÔ” àÃÕÂ¡Ç‹Ò âÅ¡·ÕèäÁ‹ÁÕ¤ÇÒÁ·Ø¡¢ áÅÐäÁ‹ÁÕ¤ÇÒÁµÒ ÊÒ¸Ø ¾Ç¡àÃҨРÈÖ¡ÉÒ¸ÃÃÁÐ áÅеÑé§ã¨ »¯ÔºÑµÔ¤ÃѺ
ÊÒ¸Ø
ÊÒ¸Ø
เอาละ เป็นอันว่า ให้มีโลกกันหลายๆ แบบ แต่สรุปแล้วก็ขอให้ สรุปว่า
ãËŒÁѹÁÕ âÅ¡ª¹Ô´·Õè໚¹ä»¡Ñº´ŒÇ¤ÇÒÁ·Ø¡¢ áÅФÇÒÁµÒ áÅŒÇÁÕÊÀÒ¾·Õèà˹×ͤÇÒÁ໚¹Í‹ҧ¹Ñé¹ ¤×Í à˹×ÍâÅ¡ÊÁÁµÔ àÃÕÂ¡Ç‹Ò âÅ¡·Õè äÁ‹ÁÕ¤ÇÒÁ·Ø¡¢ áÅÐäÁ‹ÁÕ¤ÇÒÁµÒ นี่พูดโดยภาษาคนธรรมดาก็ต้องพูดอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ไม่มี ใครต้องการ ก็พูดด้วยภาษาคนธรรมดาว่า มีโลกหนึ่งที่ไม่มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นโลกถาวร นิรันดร เป็นต้น
24
“¾Ø·â¸” ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂã¨
¹ÕèáËÅФÇÒÁµÃÑÊÃÙŒ ËÃ×ͤÇÒÁ໚¹¼ÙŒÃÙŒ¢Í§¾ÃÐͧ¤ ·Ã§·ÃÒºàÃ×èͧ·Õè໚¹¢Í§µÃ§¡Ñ¹¢ŒÒÁÇ‹Ò ÁÕ¤ÇÒÁ·Ø¡¢ ÁÕ¤ÇÒÁµÒ ¡ÑºäÁ‹ÁÕ¤ÇÒÁ·Ø¡¢ äÁ‹ÁÕ¤ÇÒÁµÒ ¶ŒÒ¼ÙŒ ã´à¢ŒÒã¨àÃ×èͧ¹Õ騹àËç¹Ç‹Ò ໚¹àÃ×èͧ·Õè¤ÇÃàª×èÍáÅФÇÿ˜§ ¤Çÿ˜§áÅФÇÃàª×èÍ ¹ÕèáËÅШÐ໚¹»ÃÐ⪹ á¡‹¤¹àËÅ‹Ò¹Ñé¹ นี่เดี๋ยวนี้ เรามีความรู้สึกที่ทำให้เห็นว่า เป็นเรื่องที่ควรเชื่อ หรือ ควรฟังกันหรือเปล่า ? ขอให้ไปคิดดูเองเถิด ¾Ù´¡Ñ¹äÁ‹ÃÙŒàÃ×èͧ ¡çäÁ‹µŒÍ§¾Ù´¡Ñ¹áÅŒÇ µÒ«Р!
¹Õè໚¹à˵ءÒó ¨ÓÅͧ ᵋÍÒ¨à¡Ô´¢Ö鹨ÃÔ§ ¶ŒÒäÁ‹Ê¹ã¨ ¸ÃÃÁйФÃѺ
¨ÐËÒàÃ×èͧÃÖä§ !
¢Í§¾Ç¡àÃÒµ‹Ò§ËÒ¡ ! ÁÑèÇáŌǾǡ¹Õé ! §Ñé¹ÅͧàÍÒ¹Õè仡Թ !
“นิพพาน ในภาษาธรรมะนั้น หมายถึง ความดับสิ้นสุดลง แหงกิเลสและความทุกขโดยประการทั้งปวงและอยางแทจริง เมื่อใด มีการดับแหงกิเลสและความทุกขอยางแทจริง เมื่อนั้นเปนนิพพาน” ...จากหนังสือธรรมะ ๙ ตา, พุทธทาสภิกขุ...
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
25
àÁ×èÍÃٌᨌ§ªÑ´ã¹àÃ×èͧ¾Œ¹âÅ¡Ç‹ÒÁÕÊØ¢ ¡çªÑ¡ªÇ¹ãËŒ¼ÙŒÍ×è¹ÁÒÃÙŒµÒÁ »Ãеٹ¤Ã áË‹§¤ÇÒÁäÁ‹µÒ µ¶Ò¤µà» ´âÅ‹§äÇŒÃÍáÅŒÇ à¸Í¨Ñ¡ä»ËÃ×ÍäÁ‹ ?
ÊÒ¸Ø
เมื่อพระองค์ได้ตรัสใจความอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ก็ได้ตรัส คำประพันธ์ที่เรียกกันว่าคาถาต่อไปอีกว่า... “ทั้งโลกนี้และโลกอื่น ตถาคตทราบดีอยู ไดประกาศไวชัดแจงแลว ทั้งที่ที่มารไปไมถึง และที่ที่มฤตยูไปไมถึง ตถาคตรูชัด เขาใจชัด ไดประกาศ ไวชัดแจงแลว เพราะรูโลกทั้งปวง ประตูนครแหงความไมตาย ตถาคต ไดเปดไวโลงแลวเพื่อสัตว์ทั้งหลายจะเขาถึงถิ่นอันเกษมนั้น กระแสแหงมาร ผูมีบาป ตถาคตปดกั้นเสียแลว กำจัดเสียแลว ทำใหหมดพิษสงแลว ดูกอน ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเปนผูมากหมกไปดวยปราโมทย์ ปรารถนา ธรรมอันเกษมจากโยคะเถิด”
26
“¾Ø·â¸” ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂã¨
àÃÒÁÒ½ƒ¡à¨ÃÔÞʵԡѹ¹Ð¤Ð ¸ÃÃÁÐÍÂً㹡ÒÂã¹ã¨¢Í§àÃÒ áÅŒÇàÃҨоŒ¹·Ø¡¢ ã¹·ÕèÊØ´
àÃÒÁÒàÃÕ¹ÃÙŒ¤ÇÒÁ¨ÃÔ§ 㹡ÒÂã¹ã¨¡Ñ¹¹Ð¤ÃѺ ¤ÇÒÁ¨ÃÔ§ = äµÃÅѡɳ
µÔ´µÒÁÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ¸ÃÃÁ§‹ÒÂæ ·ŒÒÂàÅ‹Á¹Ð¤ÃѺ
พระพุทธภาษิตนี้ตรัสยืนยันว่า...
ÁѹÁÕ âÅ¡·Õè äÁ‹ÁÕ¤ÇÒÁ·Ø¡¢ äÁ‹ÁÕ¤ÇÒÁµÒ ·Õè¾ÃÐͧ¤ ä´Œ·Ã§·ÃÒº áŌǡçà» ´à¼ÂãËŒ¤¹Í×è¹·ÃÒº µÃÑÊâ´ÂÊӹǹâÇËÒÃÇ‹Ò »ÃеÙàÁ×ͧ·Õè äÁ‹ÁÕ¤ÇÒÁµÒ¹Ñé¹ µ¶Ò¤µà» ´äÇŒ âÅ‹§áÅŒÇ ãËŒÊÑµÇ ·Ñé§ËÅÒÂࢌÒä» เดี๋ยวนี้ก็คิดดูเถอะว่ามีใครสักกี่คนที่เห็นว่าประตูนั้นอยู่ที่ไหน ? มันเปิดโล่งอยู่อย่างไร ? “á¼¹·ÕèÊÙ‹·Ò§¾Œ¹·Ø¡¢ ·Õè¾Ãоط¸Í§¤ ·Ã§¤Œ¹¾º ¤×Í ¡ÒÃà¨ÃÔÞÇÔ»˜ÊʹҡÃÃÁ°Ò¹ ËÃ×Í¡ÒõÒÁÃÙŒ¡ÒÂÃÙŒã¨ã¹ªÕÇÔµ»ÃШÓÇѹ ¨¹àËç¹á¨Œ§µÒÁ¤ÇÒÁ໚¹¨ÃÔ§ ¤×Í àËç¹¾ÃÐäµÃÅѡɳ , ͹Ԩ¨Ñ§ ·Ø¡¢Ñ§ ͹ѵµÒ 㹡ÒÂã¹ã¨”
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
27
¾Ãоط¸¤Ø³ÍѹãËÞ‹ËÅǧ·Õ¤è ¹Í¡µÑÞ ÙÁͧäÁ‹àËç¹
ที่ยิ่งไปกว่านั้น ก็ตรัสว่า... กระแสแหงมารผูมีบาป ก็หมายความว่า ลู่ทางหรือแนวทางที่จะ ไปสู่อำนาจแห่งมาร พระองค์ก็ช่วยปิดกั้นไว้แล้ว หรือสอนให้เห็นว่ามันเป็น อย่างไร ได้ทรงกระทำโดยพระองค์เองให้เป็นตัวอย่างว่าปิดกั้นกระแสแห่ง มารได้แล้ว ¹ÕéáÊ´§Ç‹Ò àÁ×èͷç໚¹¼ÙŒÃÙŒ ¡ç໚¹¼ÙÊŒ ÒÁÒöÊÑè§Ê͹ àÁ×èÍ໚¹¼ÙŒµ×è¹ ¡ç໚¹¼ÙÊŒ ÒÁÒö»ÅØ¡ àÁ×èÍ໚¹¼ÙŒàºÔ¡ºÒ¹ ¡çÊÒÁÒö¨Ù§ã¨ ãËŒ¤¹ÊÁѤÃ㨷Õè¨Ðà´Ô¹µÒÁ แล้วที่เราน่าจะนึกกันให้มากเป็นพิเศษก็คือ พระพุทธดำรัสมากมาย หลายสิบแห่ง ที่ตรัสไว้ในลักษณะเหมือนกับวิงวอนออนวอน ใหพวกเรา ทำความเกษม หรือปลอดภัยใหแกตัวเอง นี่คือ พระคุณของพระองค อันใหญหลวงที่คนไมมองเห็น ไมยอมรับ ไมรับรู เพราะวามันเปนสัตว อกตัญู มันไม่เคยได้ยิน และไม่เคยสนองพระพุทธดำรัสข้อนี้ ที่มีอยู่ ทั่วๆ ไป กราบพระพุทธ ผูมีลูกศิษยมากที่สุดในจักรวาล กราบพระธรรม อันเปนคำสอนครอบคลุมจักรวาล กราบพระสงฆ ผูอบรมตนและผูอื่นใหปฏิบัติตามพระธรรม
28
“¾Ø·â¸” ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂã¨
และในสูตรนี้ก็มีว่า “ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเปน ผูมากไปดวยปราโมทย์ ปรารถนาธรรมอันเกษมจากโยคะเถิด” ใครบ้างกี่คน ทั้งที่เป็นพระเป็นเณร ทั้งที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ได้มากไปด้วยปราโมทย์ ในธรรมะนี้ และปรารถนาความเกษมจากโยคะ มันมีแต่จะมุดหัวจมลงไป ในโลก จึงไม่เคยทราบถึงพระคุณของพระองค์ ก็ไม่ต้องพูดถึงความกตัญู กตเวทีที่เกี่ยวกับเรื่องนี้
¹ÕèÍÒµÁÒ¹ÓàÍÒ¾ÃкÒÅÕ¹ÕéÁÒáÊ´§ à¾×èÍãËŒ·ÃÒºÇ‹Ò ¤ÓÇ‹Ò໚¹ ¼ÙŒÃÙŒ ¼ÙŒÃÙŒ¹Ñé¹ ÃÙŒÍÐäà ? ¢ŒÍáá¤×ÍÃٌ͋ҧ¹Õé ÃٌNjÒÁѹÁÕàÃ×èͧ·ÕèÍÂÙ‹à˹×ÍÇÔÊÑÂâÅ¡ äÁ‹µŒÍ§ÁÕ¤ÇÒÁ·Ø¡¢ Í‹ҧâÅ¡æ ¨§áÊǧËҡѹà¶Ô´ ´Ñ§·Õè¾ÃÐͧ¤ ·Ã§áÊǧáÅŒÇ áÅоºáÅŒÇ áÅзç¹ÓÁÒáÊ´§äÇŒ ãËŒ»ÃÒ¡¯ÍÂÙ‹ àÍÒ¸ÑÁÁÒ¸Ô»äµÂ¤×¹ÁÒ ! àÍÒÍ‹ҧ¹ÕéàÅÂàËÃͤÃѺËÅǧ¾Õè ¢ÍãËŒ·Ø¡¤¹ ÍÍ¡ÁÒÊٌú ¡Ñº¡ÔàÅÊ
àÍÒª¹Ð¡ÔàÅÊãˌ䴌 à¾×èÍáÊ´§¤ÇÒÁ¡µÑÞ Ùµ‹Í¾Ãоط¸à¨ŒÒ
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
ÃÙŒò
29
“¼ÙŒÃÙŒ” ËÁÒ¶֧ ÃÙŒàÃ×èͧ ÁÔ¨©Ò·Ô¯°Ô* ¤ÇÒÁàËç¹¼Ô´
¡ÒÃÃÙŒ¨Ñ¡¹Ã¡ ÊÇÃä ¾ÃйԾ¾Ò¹ ¤ÇÃÃÙŒã¹àÇÅÒ·ÕèÂѧÁÕªÕÇÔµÍÂÙ‹
ทีนี้ตัวอย่างต่อไปของความเป็นผู้รู้ ก็คือ ความทรงทราบทิฏฐิผิด ก็คือ ความที่ทรงทราบมิจฉาทิฏฐิทั้งหลายทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ทิฏฐิ ๖๒ ว่านี่มันเปนเครื่องกักขังสัตว อาตมากำลังพูดถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทราบพวกที่ ๒ คือ สิ่งที่เปน เครื่องกักขังสัตว ไดแก มิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย แล้วประมวลอยู่ในทิฏฐิ ๖๒ ท่านทั้งหลายจะต้องไปหาเรื่องราวของทิฏฐิ ๖๒ อย่างที่แสดงไว้ในพรหมชาลสูตรมาศึกษาแล้วก็จะทราบได้ว่า พระองค์ทรงทราบมิจฉาทิฏฐิ ๖๒ นี่อย่างครบถ้วน
* มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด เช่น ตายแล้วสูญ ทุกสิ่งเที่ยงแท้ถาวร เป็นต้น ตาม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน เขียนเป็น มิจฉาทิฐิ, ในที่นี้คงรูปไว้ตามต้นฉบับ ซึ่งเป็นศัพท์บาลีเดิม
30
“¾Ø·â¸” ÊÑÁ¼ÑʾÃоط¸à¨ŒÒ´ŒÇÂã¨
ÁÔ¨©Ò·Ô¯°Ô ¤×Í ÍǹáË¡Ñ¡¢Ñ§µÑÇàÃÒ ¤Ãº¶ŒÇ¹ËÁÒ¤ÇÒÁÇ‹Ò ÊÑµÇ ·Ñé§ËÅÒ·Ñ駻ǧ ÁѹÁÕÁÔ¨©Ò·Ô¯°ÔÍÂÙ‹ ã¹ÃٻẺµ‹Ò§æ ¡Ñ¹ áŌǡçäÁ‹¹Í¡Í͡仨ҡ öò ¹Õé ·Õ¹Õé ã¤ÃÁÕ·Ô¯°Ô¼Ô´æ Í‹ҧäà ·Ô¯°Ô¹Ñ鹡ç¢Ñ§¤¹¹Ñé¹äÇŒ ã¹Íǹã¹áˢͧ·Ô¯°Ô¹Ñé¹ ÁѹµÔ´ÍÂÙ‹·Õè¹Ñè¹ ¶ŒÒäÁ‹ÃÙŒ¨Ñ¡·Ô¯°ÔàËÅ‹Ò¹Ñé¹áÅŒÇ Áѹ¡çÍÍ¡ä»äÁ‹ä´Œ ¤×Í Áѹ¨ÐÍÍ¡ÁÒ¨Ò¡¡Í§·Ø¡¢ äÁ‹ä´Œ การทรงทราบทิฏฐิ ๖๒ นี้ ก็คงจะได้ทรงทราบมาเรื่อยๆ คือ ได้ ศึกษาลัทธิอื่นมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่ออกผนวช กว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นเวลานานถึง ๖ ป และเมื่อตรัสรู้ ในวันตรัสรู้นั้นก็ทราบ แจ่มแจ้งกระจ่างทั่วถึงกันหมด จนรู้ว่าการสัมผัสทางจิตใจได้ทำให้เกิดทิฏฐิ ต่างๆ กันขึ้นมา ผูกพันจิตของสัตว์ไว้ในความคิดผิดๆ เป็นประเภทๆ ไป ·Ó´Õä´Œ´Õ ·ÓªÑèÇä´ŒªÑèÇ ¼Áàª×èÍáŌǤÃѺ...
਌ÒÅÔ§¹ŒÍÂàºÔ¡ºÒ¹ ª‹ÇÂà¢ÒãËŒ¾Œ¹·Ø¡¢ àÃçÇࢌÒ
ÍÂÒ¡ÃÙŒÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ à» ´·ŒÒÂàÅ‹Á áÅŒÇÅͧ»¯ÔºÑµÔàŤÃѺ »Å‹Í©ѹÍ͡仨ҡ਌ÒÍǹáË ¢Í§·Ô¯°Ô¹Õé·Õ ©Ñ¹·Ø¡¢ àËÅ×Íà¡Ô¹
Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ
31
เช่น ประเภทว่า เที่ยง หรือเที่ยงทุกอย่าง หรือเที่ยงแต่บางอย่าง ว่ามีที่สุด ว่าไม่มีที่สุด ว่ามีที่สุดแต่บางอย่าง ไม่มีที่สุดบางอย่าง ว่าเป็น อัตตาที่มีรูป อัตตาที่ไม่มีรูป เป็นอัตตาที่มีที่สุด อัตตาที่ไม่มีที่สุด อัตตา เหมือนกัน อัตตาต่างกัน อัตตามีสุข อัตตามีทุกข์ กระทั่งว่าขาดสูญ ไม่มี ตัวตน กระทั่งหลงเอากามารมณ์เป็นนิพพาน หรือเอาความสุขที่เกิดแต่ ฌานหรือสมาธิว่าเป็นนิพพาน นี่เมื่อกล่าวกันให้หมดก็ต้องกล่าวอย่างนี้ ว่ามันมีมากอย่างนี้ เป็นมิจฉาทิฏฐิทำให้สัตว์ติดอยู่ในกองทุกข์
¾ÃÐͧ¤ ·Ã§·ÃÒº·Ô¯°Ô¼Ô´æ àËÅ‹Ò¹Õé·Ø¡ÃٻẺ ¨Ö§ä´Œ¾ÃйÒÁÇ‹Ò à»š¹¼ÙŒÃÙŒ áŌǡçÃÙŒÁÔ¨©Ò·Ô¯°ÔÇ‹ÒÁÕÍÂÙ‹Í‹ҧäà ¹ÕéàÃÒ¨ÐäÁ‹¾Ù´¡Ñ¹áµ‹à¾Õ§NjÒÃÙŒÍÃÔÂÊѨ¨ à´ÕëÂǹÕéÁÒÃٌʋǹ·ÕèÁѹ¼Ô´ «Öè§à»š¹¡Òáѡ¢Ñ§ÊÑµÇ äÇŒ 㹤ÇÒÁ¤Ô´ ¡ç·Ã§·ÃÒº ¡Ò֍·ÃÒºÁÔ¨©Ò·Ô¯°Ô¹Õé ¡çàÃÕÂ¡Ç‹Ò ¼ÙŒÃÙŒ “ที่รูวาอะไรเปนอะไรนั้น ถากลาวตามหลักแหง พระพุทธศาสนา ก็คือ รูวาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงประกอบไปดวย ลักษณะที่เรียกวา ‘ไตรลักษณ’ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ...จากหนังสือคูมือมนุษย, พุทธทาสภิกขุ...