àÃÕ¹ÃÙŒÇÔ¸ÕÊÌҧºØÞºÒÃÁÕãËŒà¡Ô´ÁÕá¡‹µ¹ ´ŒÇ¡Ò÷ÓÊÁÒ¸ÔáÅÐÊÇ´Á¹µ
ได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เมื่อ วันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๒ นับเปนประมุขสงฆ์ลำดับที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดระยะเวลาที่ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสั ง ฆปริ ณ ายก พระองค์ ท รงมี คุ ณู ป การอั น ทรงคุ ณ ประโยชน์ ต่ อ ประเทศชาติ และพระพุ ท ธศาสนาอย่ า งอเนกอนั น ต์ ในฐานะที่ ท รงเป น ประมุขสงฆ์สูงสุด ด้วยทรงปฏิบัติพระกรณียกิจและพระศาสนกิจได้อย่าง ครบถ้วน ทรงเปนนักปกครองที่เที่ยงธรรมและมั่นคงในพระธรรมวินัยเปน อย่ า งยิ่ ง จึ ง ควรที่ เ หล่ า พุ ท ธศาสนิ ก ชนจั ก ได้ พ ร้ อ มใจกั น ถวายพระพรให้ พระองค์ ท รงพระสุ ข ภาพพลานามั ย แข็ ง แรงสมบู ร ณ์ ทรงพระชนมายุ ยิ่ ง ยืนนาน สถิตเปนหลักชัยของพระพุทธศาสนา เปนที่พึ่งของปวงประชาชาวไทย ไปตลอดจิรัฐิติกาลนานเทอญ.
การทำสมาธิก็ดี การสวดมนต์ไหว้พระก็ดี ถือเป็นหลักการทำความดี ที่เรียกว่า บุญ อย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ซึ่งหลักการทำความดีหรือหลักการ ทำบุญนั้นมีอยู่ ๓ ประการด้วยกัน คือ ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน, สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล, ภาวนามัย บุญเกิดจากการภาวนา คือการฝึกอบรม จิตให้สงบจากกิเลส ในหลักการทำบุญทั้ง ๓ ประการนั้น ภาวนามัย มีอานิสงส์มากที่สุด เพราะเป็นวิธีที่มุ่งชำระใจให้หมดจากกิเลสที่ตรงที่สุด และยังผู้ปฏิบัติให้เข้าใกล้ พระนิพพานมากที่สุดอีกด้วย การปฏิบัติภาวนามัยนั้น ท่านจำแนกไว้หลายลักษณะด้วยกัน เช่น ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ไม่คิดอิจฉา ความมีความเห็นชอบตามคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รวมถึงการทำสมาธิ และการสวดมนต์ไหว้พระ ดังนั้น การที่เราจะได้ศึกษา ทำความเข้าใจในเรื่องของการเจริญสมาธิภาวนา สวดมนต์ไหว้พระนีใ้ ห้เข้าใจแจ่มแจ้ง นำไปปฏิบตั ไิ ด้ถกู ต้อง ย่อมจะเกิดเปนบุญ กุศลแก่ผู้ศึกษาและปฏิบัติอย่างมากมาย โดยเฉพาะกับเด็กๆ เยาวชนที่กำลัง เจริญเติบโตในท่ามกลางกระแสวัตถุนิยมนี้ ก็จะเปนภูมิคุ้มกันให้กับเขากล้าที่จะ ทำดีและปฏิเสธที่จะทำชั่ว ซึ่งเปนสิ่งที่พ่อแม่ ครู อาจารย์ ผู้ปกครอง ควรที่ ตระหนักและให้ความสำคัญ
หนังสือ สมาธิเบือ้ งต้น เสกมนต์ใส่ใจ เล่มนี ้ ประกอบด้วยเนือ้ หาหลัก ๒ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ สมาธิเบือ้ งต้น ว่าด้วยการแนะนำวิธกี ารฝึกสมาธิเบือ้ งต้น สำหรับ ผูท้ เ่ี ริม่ ฝึกหัดทำสมาธิ ซึง่ เป็นบทพระราชนิพนธ์ของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เรื่อง “หลักการทำสมาธิเบื้องต้น” ส่วนที่ ๒ เสกมนต์ใส่ใจ ว่าด้วยการสวดมนต์เพื่อให้เกิดความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ สัมฤทธิ์ผลตามต้องการ ซึ่งเป็นผลงานของ พระราชปฏิภาณมุนี (บุญมา อาคมปุญฺโญ ป.ธ.๘) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสและประธานองค์การเผยแผ่ วัดประยุรวงศาวาส ซึ่งผลงานทั้ง ๒ ดังกล่าว ทางสำนักพิมพ์ฯ ได้รับประทาน อนุญาตและอนุญาตให้จัดพิมพ์เป็นรูปเล่มมาก่อนหน้านี้แล้ว ในการจัดพิมพ์ครั้งนี้ ทางสำนักพิมพ์ ฯ ได้นำเนื้อหาจากต้นฉบับเดิม มาสร้างสรรค์นำเสนอในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างออกไป เช่น จัดทำหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย ใส่สีเน้นคำ ซอยย่อหน้า ทำเชิงอรรถเสริมคำอธิบาย ใส่ภาพการ์ตูน ประกอบ เน้นให้ผู้อ่านอ่านง่ายเข้าใจง่าย และเข้าถึงแก่นธรรม เกิดปัญญา และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์และสร้างความสุข ให้กับทุกๆ ท่าน ทุกครอบครัว ทุกสังคม ได้เป็นอย่างดี
ด้วยศรัทธาและปรารถนาดี
สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
â»Ã´ãªŒàÅ‹Á¹Õé ãËŒ¤ØŒÁÊØ´¤ØŒÁ & Í‹Ò¹áÅŒÇ -> ẋ§¡Ñ¹Í‹Ò¹ËÅÒ·‹Ò¹¹Ð¨ Ð Í‹Ò¹ÊÔºÃͺ ÃдÁÊÁͧ¤Ô´ÊԺ˹ ½ƒ¡½¹»˜ÞÞÒ ¾Ñ²¹Ò¡ÒûÃÐÂØ¡µ 㪌㹪ÕÇÔµ»ÃШÓÇѹ ¨ÔµÃٌ෋ҷѹÊÃþÊÔè§ ÁÕʵԻ˜ÞÞÒ ©ÅҴ㪌 à©ÅÕÂǤԴ ªÕÇÔµ¨Ñ¡Ê¹Ø¡ ÊØ¢ ʧº àÂç¹ Êӹѡ¾ÔÁ¾ àÅÕè§àªÕ§ à¾ÕÂÃà¾×è;ط¸ÈÒʹ »ÃÒö¹ÒãËŒ·Ø¡¤Ãͺ¤ÃÑÇÁÕ¤ÇÒÁÊØ¢
ÊÁÒ¸Ô ÁÕã¹ËÅÒÂËÑÇ¢ŒÍ¸ÃÃÁ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมาธิ นี้มีอยู่ในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก ในสิกขา ๓ ก็มี...ศีล สมาธิ ปญญา ในมรรคมีองค์ ๘๑ ก็มี...สัมมาสมาธิ เป็นข้อสุดท้าย และในหมวดธรรมทั้งหลาย๒ ก็มีสมาธิ รวมอยู่ด้วยข้อหนึ่งเป็นอันมาก ทั้งได้มีพระพุทธภาษิตตรัสสอนไว้ให้ ทำสมาธิในพระสูตรต่างๆ อีกเป็นอันมาก เช่นที่ตรัสสอนไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอบรมสมาธิ เพราะวาผูที่มีจิตตั้งมั่นเปนสมาธิแลว ยอมรูตามเปนจริง” ดังนี้ ๑ มรรคมีองค์ ๘ คือ
๑. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ๒. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ๓. สัมมาวาจา การเจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ ๕. สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพชอบ ๖. สัมมาวายามะ ความพยายามชอบ ๗. สัมมาสติ ความระลึกชอบ ๘. สัมมาสมาธิ ความตั้งจิตมั่นชอบ ๒ หมวดธรรมที่มีหัวข้อสมาธิรวมอยู่ด้วย เช่น อินทรีย์ ๕ : สมาธินทรีย์ อินทรีย์คือสมาธิ, พละ ๕ : สมาธิพละ กำลังคือสมาธิ, โพชฌงค์ ๗ : สมาธิสัมโพชฌงค์ องค์แห่งการตรัสรู้พร้อมคือสมาธิ, กถาวัตถุ ๑๐ : สมาธิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำจิตตั้งมั่น เป็นต้น (เพิ่มเติมโดย ไพยนต์ กาสี)
๖
¡Ô¨¡Òçҹ·Ø¡Í‹ҧµŒÍ§¡ÒÃÊÁÒ¸Ô ฉะนั้น สมาธิ จึงเป็นธรรมปฏิบัติสำคัญข้อหนึ่งในพระพุทธศาสนา แต่ว่า สมาธินั้นมิใชเปนขอปฏิบัติในทางศาสนาเทานั้น แตเปนขอที่พึงปฏิบัติใน ทางทั่วๆ ไปดวย เพราะสมาธิเป็นข้อจำเป็นจะต้องมีในการกระทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการดำเนินชีวิตทั่วไป หรือทางด้านปฏิบัติธรรม มี ค นไม่ น้ อ ยที่ เข้ า ใจว่ า เป็ น ข้ อ ที่ พึ ง ปฏิ บั ติ เ ฉพาะในด้ า นศาสนา คื อ สำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติธรรมอย่างภิกษุสามเณร หรือเป็นผู้ที่เข้าวัดเท่านั้น ซึ่ง เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ฉะนั้น ก็จะได้กล่าวถึงความหมายของสมาธิทั่วไปก่อน
“ÊÁÒ¸Ô” ¹Ñé¹ ä´Œá¡‹¡ ¤ÇÒÁµÑé§ã¨ÁÑè¹ ÍÂÙ‹ã¹àÃ×èͧ·Õ赌ͧ¡ÒÃãˌ㨵Ñé§äÇŒ à¾Õ§àÃ×èͧà´ÕÂÇ äÁ‹ãËŒ¨Ôµã¨ ¤Ô´¿Ø‡§«‹Ò¹ÍÍ¡ä» ¹Í¡¨Ò¡
àÃ×èͧ·Õ赌ͧ¡ÒèÐãˌ㨵Ñ駹Ñé¹
ความตั้งใจดังนี้ เป็นความหมายทั่วไปของสมาธิ และก็ จะต้องมีในกิจการที่จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรียนศึกษา หรือว่าการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง
๗
¤ÇÒÁµÑé§ã¨ ¤×Í ÊÁÒ¸Ô㹪ÕÇÔµ»ÃШÓÇѹ ในการเล่าเรียนศึกษา จะอ่านหนังสือก็ตอ้ งมีสมาธิในการอ่าน และเขียน หนังสือก็ต้องมีสมาธิในการเขียน และการฟังคำสอนคำบรรยายของครูอาจารย์ ก็ต้องมีสมาธิในการฟัง ดังที่เรียกว่า ตั้งใจอ่าน ตั้งใจเขียน ตั้งใจฟัง ในความตั้งใจ ดังกล่าวนี้ ก็จะต้องมีอาการของกายและใจประกอบกัน เช่นว่า
µÑé§ã¨Í‹Ò¹ = ÁÕÊÁÒ¸Ô㹡ÒÃÍ‹Ò¹ ในการอ่าน ร่างกายก็ต้องพร้อมที่จะอ่าน เช่นว่า เปดหนังสือ ตาก็ต้อง ดูหนังสือ ใจก็ต้องอ่านด้วย ไม่ใช่ว่าตาอ่านแล้ว ใจไม่อ่าน ถ้าใจไปคิดถึงเรื่องอื่น เสียแล้ว ตาจับอยู่ที่หนังสือ ก็จับอยู่ค้างๆ เท่านั้น เรียกว่า ตาค้าง จะมองไม่เห็น หนังสือ จะไม่รู้เรื่อง ใจจึงต้องอ่านด้วย และเมื่อใจอ่านไปพร้อมกับตาที่อ่านจึง จะรู้เรื่องที่อ่าน
¤ÇÒÁÃÙŒàÃ×èͧ¡çàÃÕ¡NjÒ໚¹»˜ÞÞÒÍ‹ҧ˹Öè§ ¤×Í ä´Œ»˜ÞÞÒ¨Ò¡¡ÒÃ͋ҹ˹ѧÊ×Í ¶ŒÒËҡNjҵҡѺã¨Í‹Ò¹Ë¹Ñ§Ê×Í仾ÌÍÁ¡Ñ¹ ¡ç¨Ð͋ҹ䴌àÃçÇ ÃÙŒàÃ×èͧàÃçÇ áÅШÓä´Œ´Õ ã¨Í‹Ò¹¹ÕèáËÅÐ ¤×Í ã¨ÁÕÊÁÒ¸Ô ËÁÒ¤ÇÒÁÇ‹Ò㨵Ñé§ÍÂÙ‹·Õè¡ÒÃÍ‹Ò¹
๘
µÑé§ã¨à¢Õ¹ = ÁÕÊÁÒ¸Ô㹡ÒÃà¢Õ¹
ในการเขียนหนังสือก็เหมือนกัน มือเขียน ใจก็ต้องเขียนด้วย การเขียน หนังสือ จึงจะสำเร็จด้วยดี ถ้าใจไม่เขียน หรือว่าใจคิดไปถึงเรื่องอื่น ฟุงซ่านออกไปแล้วก็เขียนหนังสือไม่สำเร็จ ไม่เป็นตัว ใจจึงต้องเขียนด้วย คือว่าตั้งใจเขียน ไปพร้อมกับมือที่เขียน
µÑé§ã¨¿˜§ = ÁÕÊÁÒ¸Ô㹡Òÿ˜§ ในการฟังก็เหมือนกัน หูฟัง ใจก็ต้องฟังไปพร้อมกับหูด้วย ถ้าใจไม่ฟัง แม้เสียงมากระทบหู ก็ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ใจจึงต้องฟังด้วย ใจจะฟังก็ต้องมีสมาธิ ในการฟัง คือตั้งใจฟัง
ÊÁÒ¸Ô´ÕÁÕ»˜ÞÞÒ
ÊÁÒ¸ÔäÁ‹´Õ¨ÐÁÕ»˜ÞËÒ
๙ ดังนี้จะเห็นว่าในการเรียนหนังสือ ในการอ่าน การเขียน การฟัง จะต้อง มีสมาธิ ในการทำงานทุกอย่างก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการงานที่ทำทางกาย ทางวาจา แม้ใจที่คิดอ่านการงานต่างๆ ก็ต้องมีสมาธิอยู่ในการงานที่ทำนั้น เมื่อเป็นดังนี้จึงทำการงานสำเร็จได้
µÒÁ¹Ñ¹Õé¨ÐàËç¹Ç‹Ò ÊÁÒ¸Ô໚¹ÊÔ觨Ó໚¹ µŒÍ§ÁÕ㹡Ò÷ӧҹ·Ø¡Í‹ҧ ¹Õé໚¹¤ÇÒÁËÁÒ¢ͧÊÁÒ¸Ô·ÑèÇä» áÅÐ໚¹¡ÒÃáÊ´§Ç‹Ò¨Ó໚¹µŒÍ§ÁÕÊÁÒ¸Ô㹡ÒÃàÃÕ¹ 㹡Òçҹ·Õè¾Ö§·Ó·Ø¡Í‹ҧ
ÁÕÊÁÒ¸ÔµÑé§ã¨àÃÕ¹·Ø¡Çѹ ·Ó¢ŒÍÊͺ»ÅÒÂÀÒ¤§‹Ò¨Ãԧ˹Í
๑๐
¡Òýƒ¡ËÑ´ÊÁÒ¸Ô ·ÓäÁµŒÍ§½ƒ¡ËÑ´ã¨ãËŒÁÕÊÁÒ¸Ô ? ต่อจากนี้จะได้กล่าวถึง สมาธิในการหัด ก็เพราะว่าความตั้งใจให้เป็น สมาธิดังกล่าวนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการหัดประกอบด้วย
ÊÁÒ¸Ô·ÕèÁÕÍÂÙ‹µÒÁ¸ÃÃÁ´Ò àËÁ×͹Í‹ҧ·Õè·Ø¡¤¹ÁÕÍÂÙ‹ÂѧäÁ‹à¾Õ§¾Í ¡çà¾ÃÒÐÇ‹Ò¡ÓÅѧ㨷ÕèµÑé§ÁÑè¹Âѧ͋͹áÍ Âѧ´Ôé¹Ã¹¡ÇÑ´á¡Ç‹§ ¡ÃÐÊѺ¡ÃÐÊ‹ÒÂä´Œ§‹Ò â¡â¤Å§ä´Œ§‹Ò ËÇÑè¹äËÇä»ã¹ÍÒÃÁ³ ¤×ÍàÃ×èͧµ‹Ò§æ ä´Œ§‹Ò และทุกคนจะต้องพบเรื่องราวต่างๆ ที่เข้าไปเป็นอารมณ์ คือเรื่องของใจ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือทางอายตนะทั้ง ๖ อยู่เป็นประจำ เมื่อเป็นดังนี้ จึงได้มีความรักใคร่บ้าง ความชังบ้าง ความหลงบ้าง เมื่อจิตใจมีอารมณ์ที่หวั่นไหว และมีเครื่องทำให้ใจหวั่นไหวเกิดประกอบขึ้นมาอีก อันเนื่องจากอารมณ์ดังกล่าว ก็ยากที่จะมีสมาธิในการเรียน ในการทำงานตามที่ประสงค์ได้ ดังจะพึงเห็นได้ว่า
๑๑ ในบางคราว หรือในหลายคราว รวมใจให้มาอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ฟังคำสอน ไม่ค่อยจะได้ เพราะว่าใจพลุ่งพล่านอยู่ในเรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ที่ชอบบ้าง ที่ชังบ้าง ที่หลงบ้าง จนรวมใจเข้ามาไม่ติด เมื่อเป็นดังนี้ ก็ทำให้ไม่สามารถจะอ่าน จะเขียน จะฟัง ทำให้การเรียนไม่ดี ในการงานก็เหมือนกัน เมื่อจิตใจกระสับกระส่ายไปด้วยอำนาจของอารมณ์ และภาวะที่เกิดสืบจากอารมณ์ ดังจะเรียกว่า “กิเลส” คือ ความรัก ความชัง ความหลง เป็นต้น ดังกล่าวนั้น ก็ทำให้ไม่สามารถที่จะทำการงานให้ดีได้เช่นเดียวกัน
㨷ÕèäÁ‹ä´ŒËÑ´·ÓÊÁÒ¸Ô¡ç¨Ð໚¹´Ñ§¹Õé áÅÐáÁŒÇ‹Ò¨ÐÂѧäÁ‹ÁÕÍÒÃÁ³ ÍÐäÃࢌÒÁÒú¡Ç¹ãËŒà¡Ô´¡ÃÐÊѺ¡ÃÐÊ‹Ò ¤ÇÒÁµÑé§ã¨¡çÂѧäÁ‹ÊÙŒ¨Ðáç¹Ñ¡ ©Ð¹Ñé¹ ¨Ö§ÊÙŒËÑ´·ÓÊÁÒ¸ÔäÁ‹ä´Œ
àÎŒÍ... Çѹ¹Õé ã¨äÁ‹à»š¹ÊÁÒ¸ÔàÅÂ
๑๒
Çѵ¶Ø»ÃÐʧ¤ ¢Í§¡Òýƒ¡ËÑ´ã¨ãˌ໚¹ÊÁÒ¸Ô ในการหัดทำสมาธินั้น มีอยู่ ๒ อย่าง คือ
อย่างหนึ่ง หัดทำสมาธิเพื่อแก้ อารมณ์ และกิเลส ของใจที่เกิดขึ้น ในปจจุบัน
อย่างหนึ่ง ก็เพื่อฝกใจให้มี พลังของสมาธิ มากขึ้น
ñ. ËÑ´ÊÁÒ¸Ôà¾×èÍá¡ŒÍÒÃÁ³ áÅСÔàÅʷҧ㨷Õèà¡Ô´¢Öé¹ã¹»˜¨¨ØºÑ¹ อย่างแรกนั้น ก็คือว่า อารมณ์ และกิเลสของใจในปัจจุบันนั้น บางคราวก็เป็นอารมณ์รัก เป็นความรักซึ่งจะชักใจให้กระสับกระส่าย เสียสมาธิ เมื่อเป็นดังนี้ก็ต้องหัดสงบใจจากอารมณ์รัก จากความรักชอบ นั้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อการศึกษา ต่อการงานที่พึงทำ ตลอดจนถึงต่อ กฎหมาย ต่อศีลธรรม นี่เป็นวิธีหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน คือ ต้องหัดเอาชนะใจให้สงบจากอารมณ์ ดังนั้นให้ได้ ¡ÔàÅʤ×ÍÊÔ觷ÕèÁѹ¹Í¹¹Ôè§ÍÂً㹨Ե ¢Í§¤¹ ¨ÐÍÍ¡ÁÒÍÒÅÐÇÒ´ àÁ×èͶ١¡Ãе،¹
๑๓ บางคราวก็เกิดอารมณ์โกรธ ความโกรธอันทำใจให้ร้อนรุ่มกระสับ- กระส่าย ก็เป็นอันตรายอีกเหมือนกัน เพราะทำให้เสียสมาธิ ฉะนั้น ก็ต้องหัดทำสมาธิ คือ หัดสงบใจจากอารมณ์โกรธ จากความโกรธนั้น
ในบางคราวก็มีอารมณ์หลง ความหลง ซึ่งมีลักษณะเป็นความง่วงงุน เคลิบเคลิ้มบ้าง มีลักษณะเป็นความฟุงซ่านรำคาญใจต่างๆ บ้าง มีลักษณะ เป็นความเคลือบแคลงสงสัยบ้าง เมื่อเป็นดังนี้ ก็ต้องหัดทำสมาธิ หัดสงบใจจากอารมณ์หลง จากความหลงนั้นๆ
๑๔ ÇÔ¸Õ½ƒ¡ÊÁÒ¸Ôà¾×èÍá¡ŒÍÒÃÁ³ áÅСÔàÅʷҧ㨷Õèà¡Ô´¢Öé¹ คราวนี้ หลักของการสอนสมาธิทางพระพุทธศาสนา วิธีที่จะทำสมาธิ สงบใจจากอารมณ์ รัก โกรธ หลง ดังกล่าว ก็ต้องเปลี่ยนอารมณ์ให้แก่ใจ คือ เป็นที่ทราบแล้วว่า อารมณ์รัก ทำให้เกิดความรักชอบ เมื่อเป็นดังนี้ ก็ต้องเปลี่ยน อารมณ์รักนั้น มาเป็นอารมณ์ที่ไม่รักไม่ชอบ
ความโกรธก็เหมือนกัน ก็ต้องเปลี่ยนอารมณ์โกรธนั้นมาเป็นอารมณ์ที่ ไม่โกรธ หรือให้เปลี่ยนมาเป็นอารมณ์รัก แต่ว่าเป็นความรักที่เป็นเมตตา คือ เป็นความรักที่บริสุทธิ์อย่างญาติมิตรสหาย รักญาติมิตรสหาย มารดาบิดาบุตรธิดา รักกัน ความหลงก็เหมือนกัน ก็เปลี่ยนอารมณ์หลง มาเป็นอารมณ์ที่ไม่หลง เพราะว่าภาวะของใจจะเป็นอย่างไรนั้น สุดแต่ว่าตั้งใจอยู่ในอารมณ์อะไร
๑๕ เมื่อใจตั้งอยูในอารมณรัก ความรักชอบก็เกิดขึ้น ถาใจไมตั้งอยูในอารมณรัก แตวาตั้งอยูในอารมณ ที่ตรงกันขาม ก็เกิดความสงบใจ โกรธก็เหมือนกัน ก็เพราะตั้งอยูในอารมณโกรธ เมื่อเปลี่ยนอารมณ ใหตั้งใจอยูในอารมณที่ตรงกันขาม โกรธก็สงบ หลงก็ หลง เหมือนกัน เมื่อตั้งอยูในอารมณที่ไมหลง ความหลงก็สงบ
พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสชี้เอาไว้ว่า “อารมณ์เช่นไร ควรจะหัดใจให้ตั้งไว้ ในเวลาไหน” เมื่อเป็นดังนี้แล้ว การที่หัดไว้ก็จะทำให้รู้ลู่ทางที่จะสงบใจ ของตนเอง อย่างนี้ก็จะทำให้สามารถสงบใจของตนเองได้ ดังนี้เป็นข้อมุ่งหมายของการทำสมาธิอย่างหนึ่ง ที่จะต้องหัดเอาไว้
๑๖
ò. ËÑ´·ÓÊÁÒ¸Ôà¾×èÍà¡Ô´¾Åѧ㨷ÕèµÑé§ÁÑè¹ÁÒ¡¢Öé¹ ¤×Í ãËŒÁÕ¾Åѧ¢Öé¹ ก็เหมือนกับการที่ออกกำลังกาย เพื่อให้กายมีกำลังเรี่ยวแรง เมื่อหัด ออกกำลังอยู่บ่อยๆ กำลังร่างกายก็จะดีขึ้น จิตใจก็เหมือนกัน เมื่อหัดทำสมาธิอยู่ บ่อยๆ แล้ว โดยที่ปฏิบัติอยู่ในหลักสมาธิข้อใดข้อหนึ่งเป็นประจำ สำหรับที่จะ หัดใจให้มีพลังของสมาธิเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้พลังของสมาธินี้มากขึ้นได้ เช่นเดียวกับ การออกกำลังกาย ทำให้มีพลังทางกายเพิ่มมากขึ้นได้ นี้คือสมาธิในการฝกหัด
๑๗
ÊÁÒ¸ÔÁÒ¡¢Öé¹ ¹Óä»ãªŒ·ÓÍÐäà ? คราวนี้ สมาธิในการใช้ก็มี ๒ อย่าง เหมือนกัน อย่างหนึ่งก็เพื่อ ใช้ระงับอารมณ์ ระงับกิเลสที่เป็นปัจจุบัน ดังกล่าวข้างต้น ผู้ที่ได้ฝึกหัดทำสมาธิตามสมควรแล้ว จะสามารถระงับใจได้ดี จะไม่ลุอำนาจของอารมณ์ ของกิเลสที่เป็นความรัก ความชัง ความหลง ทั้งหลาย จะสามารถสงบใจตัวเองได้ รักษาใจ ให้สวัสดีได้ อารมณ์และกิเลสเหล่านี้จะไม่มาเป็น อันตรายต่อการเรียน ต่อการงาน ต่อกฎหมาย ต่อศีลธรรมอันดีงาม และอีกอย่างหนึ่ง ก็ต้องการเพื่อ ใช้สำหรับประกอบการงานที่จะพึงทำ ทั้งหลาย ตั้งต้นด้วยในการเรียน ในการอ่าน ในการเขียน ในการฟัง จะมีพลัง สมาธิในการเรียน ในการงานดีขึ้น และเมื่อเป็นดังนี้จะทำให้เรียนดี จะทำให้การ ทำการงานดี นี้คือสมาธิในการใช้ ตามที่กลาวมานี้ เปนการที่ แสดงให เ ห็ น หลั ก ของการทำ สมาธิ ทั่ ว ๆ ไป และก็ ตั้ ง ต น แต ความหมายทั่ ว ไปของสมาธิ การหัดทำสมาธิ และการใชสมาธิ
๑๘
ËÅÑ¡¡Ò÷ÓÊÁÒ¸Ôàº×éͧµŒ¹ ¢Ñ鹵͹·Õè ñ ËÒÁØÁʧº·Ò§¡Ò à¾×èÍãËŒã¨äÁ‹ÁÕÊÔè§Ãº¡Ç¹ จะได้ให้วิธีทำสมาธิย่อๆ ข้อหนึ่ง ก็คือว่า ท่านสอนให้เลือกสถานที่ทำสมาธิ ที่สงบจากเสียง และจากบุคคลรบกวน ทั้งหลาย เช่น ในปา โคนไม้ เรือนว่าง มุ่งหมาย ก็คือว่า ที่ที่มีความสงบพอสมควร ที่จะพึงได้ และเข้าไปสู่สถานที่นั้น
¢Ñ鹵͹·Õè ò ·‹Ò¹Ñ觶١ÇÔ¸Õ ½ƒ¡ÊÁÒ¸Ôä´Œ¹Ò¹ นั่ ง ขั ด บั ล ลั ง ก์ หรื อ ที่ เรี ย กว่ า ขัดสมาธิ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือชนกัน หรื อ ว่ า มื อ ขวาทั บ มื อ ซ้ า ย ตั้ ง ตั ว ตรง หรือว่าจะนั่งพับเพียบก็ได้ สุดแต่ความ พอใจ หรือตามที่จะมีความผาสุก
๑๙
¢Ñ鹵͹·Õè ó µÑé§ÊµÔ¡Ó˹´ÅÁËÒÂ㨠ó.ñ ÇÔ¸Õ¡Ó˹´ÅÁËÒÂã¨áººÂØºË¹Í - ¾Í§Ë¹Í ดำรงสติ จ ำเพาะหน้ า คื อ หมายความว่ า รวมสติ เข้ า มากำหนดลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้ หากจะถามว่ารู้ที่ไหน ก็คงจะตอบได้ว่า จุดที่รู้ง่ายนั้น ก็คือว่า ปลายกระพุ้งจมูก หรือริมฝปากเบื้องบน อันเป็นที่ลมกระทบ เมื่อหายใจเข้า ลมหายใจเข้าก็จะมากระทบที่จุดนี้ ในขณะเดียวกันท้องก็จะพองขึ้น ลมหายใจออกที่จุดนี้ในขณะเดียวกัน ท้องก็จะแฟบลงหรือว่ายุบลงไป
เพราะฉะนั้น ก็ทำความรู้ลมหายใจเข้าจากปลายกระพุ้งจมูกเข้าไป ถึงนาภีที่พอง หายใจออกก็จากนาภีที่ยุบถึงปลายจมูกก็ได้ ก็ลองทำความรู้ ในการหายใจเข้าหายใจออก ดูดังนี้ก่อน หายใจเข้าก็จากปลายกระพุ้งจมูกเข้าไป ถึงนาภีที่พอง ออกก็จากนาภีที่ยุบจนถึงปลายจมูก นี่ท่านเรียกว่า เปนทางเดิน ของลมในการกำหนดทำสมาธิ คราวนี้ก็ไม่ต้องดูเข้าไปจนถึงนาภีดังนั้น แต่ว่ากำหนดอยู่เฉพาะ ที่ปลายจมูกแห่งเดียว หายใจเข้าก็ให้รู้ว่าเราหายใจเข้า หายใจออก ก็ให้รู้ว่าเราหายใจออก รวมใจเข้ามาให้รู้ดังนี้
๒๐
ñ ò ó ô õ
-
ñ ò ó ô õ
ó.ò ÇÔ¸Õ¡Ó˹´ÅÁËÒÂ㨴ŒÇ¡ÒùѺàÅ¢ áÅÐ㹡ÒõÑé§ÊµÔ¡Ó˹´¹Õé ¨Ð㪌¡ÒùѺª‹Ç´ŒÇ¡çä´Œ ËÒÂã¨à¢ŒÒ ñ ËÒÂã¨ÍÍ¡ ñ ËÒÂã¨à¢ŒÒ ò ËÒÂã¨ÍÍ¡ ò, ó-ó, ô-ô, õ-õ áŌǡç¡ÅѺ ñ-ñ ò-ò ó-ó ô-ô õ-õ ö-ö áŌǡç¡ÅѺ ñ-ñ ò-ò ó-ó ô-ô õ-õ ö-ö ÷-÷ áŌǡç¡ÅѺ ñ-ñ ò-ò ó-ó ô-ô õ-õ ö-ö ÷-÷ ø-ø áŌǡç¡ÅѺ ñ-ñ ò-ò ó-ó ô-ô õ-õ ö-ö ÷-÷ ø-ø ù-ù áŌǡç¡ÅѺ ñ-ñ ò-ò ó-ó ô-ô õ-õ ö-ö ÷-÷ ø-ø ù-ù ñð-ñð áŌǡç¡ÅѺ ñ-ñ ¶Ö§ õ-õ ãËÁ‹ áŌǡç ñ-ñ ¶Ö§ ö-ö ãËÁ‹ ´Ñ§¹ÕéËÅÒÂæ ˹¨¹¨ÔµÃÇÁࢌÒä´Œ´Õ¾ÍÊÁ¤Çà ¡çäÁ‹µŒÍ§¹Ñº¤Ù‹ áµ‹Ç‹Ò ¹Ñº ñ ò ó ô õ, ñ ò ó ô õ ö ໚¹µŒ¹ä» àÁ×èͨԵÃÇÁࢌÒÁÒ´ÕáŌǡçàÅÔ¡¹Ñº ·Ó¤ÇÒÁ¡Ó˹´ÃÙŒÍÂÙ‹·Õè»ÅÒ¨ÁÙ¡ËÃ×Í·ÕèÃÔÁ½‚»Ò¡àº×éͧº¹à·‹Ò¹Ñé¹ ÇԸչѺ´Ñ§¹Õé ໚¹ÇԸչѺ·Õè¾ÃÐÍÒ¨Òà·‹Ò¹Ê͹ÁÒ㹤ÑÁÀÕà ÇÔÊØ·¸ÔÁÃä ᵋ¨Ð㪌ÇÔ¸ÕÍ×蹡çä´Œ ઋ¹ ¹Ñº ñ-ñ ¨¹¶Ö§ ñð-ñð ·Õà´ÕÂÇ áŌǡç¡ÅѺãËÁ‹ ËÃ×Í Ç‹ Ò ¨ÐàÅ ñð-ñð 仡ç ä ´Œ à ËÁ× Í ¹¡Ñ ¹ ᵋ ·Õè ·‹ Ò ¹Ê͹äÇŒ á ¤‹ ñð-ñð ¹Ñé ¹ ·‹Ò¹áÊ´§Ç‹Ò¶ŒÒÁÒ¡à¡Ô¹ä»áŌǨеŒÍ§à¾ÔèÁÀÒÃÐ㹡ÒùѺÁÒ¡ ¨ÐµŒÍ§ ẋ§ã¨ä»ã¹àÃ×èͧ¡ÒùѺÁÒ¡à¡Ô¹ä» ©Ð¹Ñ鹨֧ãËŒ¹ÑºÍÂÙ‹ã¹Ç§ ·ÕèäÁ‹µŒÍ§ãªŒÀÒÃÐ㹡ÒùѺÁÒ¡à¡Ô¹ä»
๒๑
ó.ó ÇÔ¸Õ¡Ó˹´ÅÁËÒÂ㨴ŒÇ¡ÒÃÀÒÇ¹Ò “¾Ø·â¸” ÍÕ¡Í‹ҧ˹Ö觾ÃÐÍÒ¨Òà·‹Ò¹Ê͹ãËŒ¡Ó˹´ ËÒÂã¨à¢ŒÒ “¾Ø·” ËÒÂã¨ÍÍ¡ “⸔ ¾Ø·â¸ ¾Ø·â¸ ËÃ×Í ¸ÑÁâÁ ¸ÑÁâÁ ËÃ×ÍÇ‹Ò Êѧ⦠Êѧ⦠¡çä´Œ àÁ×èÍã¨Ê§º´ÕáŌǡçàÅÔ¡¡Ó˹´Í‹ҧ¹Ñé¹ ·Ó¤ÇÒÁÃٌࢌÒÁÒãËŒ¡Ó˹´ ÍÂًᵋÅÁ·ÕèÁÒ¡Ãзºà·‹Ò¹Ñé¹ ãËŒ·Ó´Ñ§¹Õ騹¨ÔµÃÇÁࢌÒÁÒãˌṋÇṋ ä´Œ¹Ò¹æ ¹Õè໚¹áºº½ƒ¡ËÑ´¢Ñé¹µŒ¹·ÕèãËŒã¹Çѹ¹Õé ·‹Ò¹·Õèʹ㨡ç¢ÍãËŒ ¹Óä»»¯ÔºÑµÔµ‹Íä»
๒๒
ÍØ»ÊÃä¡Ñ鹨ԵäÁ‹ãˌ໚¹ÊÁÒ¸Ô áµ‹¨Ôµ¹Ñé¹â´Â»¡µÔäÁ‹Ê§º ´Ñ§ÁÕ¾Ãоط¸ÀÒÉÔµµÃÑÊäÇŒÇ‹Ò ´Ôé¹Ã¹ ¡ÇÑ´á¡Ç‹§ ¡ÃÐÊѺ¡ÃÐÊ‹Ò à¾ÃÒÐÍÐäà ? ¡çà¾ÃÒйÔÇó ¹Ñè¹àͧ «Öè§á»ÅÇ‹Ò ¡ÔàÅÊ à»š¹ à¤Ã×èͧ¡Ñé¹ ¤×Í ¡Ñ鹨ԵäÇŒäÁ‹ãˌ䴌ÊÁÒ¸Ô äÁ‹ãˌ䴌»˜ÞÞÒ ©Ð¹Ñ鹨֧µŒÍ§ÁÕÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ ·Ó¨Ôµãˌʧº ÇÔ¸Õ»¯ÔºÑµÔ·Ó¨Ôµãˌʧº¹Ñ鹡ç¤×Í¡ÑÁÁѯ°Ò¹¹Õèàͧ ¤×ÍÊÁ¶¡ÃÃÁ°Ò¹ ໚¹ÇÔ¸Õ·Õè·Ó¨ÔµãËŒµÑé§ÁÑè¹ÍÂÙ‹ã¹ÍÒÃÁ³ ¢Í§ÊÁÒ¸ÔËÃ×ͧ͢ÊÁ¶Ð àÁ×èͨԵ䴌·ÕèµÑé§ ´Ñ§¹Õé ¨Ôµ¨Ö§Ê§ºÅ§ä´Œ à¾ÃÒЩйÑé¹ àÁ×èÍÁØ‹§¶Ö§¡ÒõÑ駨ԵãËŒÁÑè¹ ¡çàÃÕÂ¡Ç‹Ò ÊÁÒ¸Ô áÅÐàÁ×èÍÁØ‹§¶Ö§ ¤ÇÒÁʧº¨Ò¡¤ÇÒÁ´Ô¹é ù ¡ÇÑ´á¡Ç‹§ ¡ÃÐÊѺ¡ÃÐÊ‹Ò ¡çàÃÕÂ¡Ç‹Ò ÊÁ¶Ð ¨Ôµ¨Ö§Ê§º ໚¹ÊÁ¶Ð´ŒÇÂÊÁÒ¸Ô ¤×͵Ñé§ÁÑè¹ÍÂÙ‹ã¹ÍÒÃÁ³ ¢Í§¤ÇÒÁʧº ËÃ×Í¡Å‹ÒÇÍÕ¡Í‹ҧ˹Öè§ ¨Ôµ¨ÐµÑé§ÁÑè¹à»š¹ÊÁÒ¸Ôä´Œ ¡ç´ŒÇ¨ԵÁÕ¤ÇÒÁʧº ¨Ò¡¤ÇÒÁ´Ôé¹Ã¹ ¡ÇÑ´á¡Ç‹§ ¡ÃÐÊѺ¡ÃÐÊ‹Ò ʧº¡ÑºµÑé§ÁÑ蹨֧໚¹ä»´ŒÇ¡ѹ ʧº¡çàÃÕÂ¡Ç‹Ò ÊÁ¶Ð µÑé§ÁÑ蹡çàÃÕÂ¡Ç‹Ò ÊÁÒ¸Ô µŒÍ§¤Ù‹¡Ñ¹ä» ໚¹ä»´ŒÇ¡ѹ ´Ñ§·Õèä´Œ¡Å‹ÒÇáÅŒÇÇ‹Ò ¨Ôµ´Ôé¹Ã¹ ¡ÇÑ´á¡Ç‹§ ¡ÃÐÊѺ¡ÃÐÊ‹Ò¡紌Ç ÍÓ¹Ò¨¹ÔÇó «Öè§à»š¹à¤Ã×èͧ¡Ñ鹴ѧ¡Å‹ÒÇáÅŒÇ ¤×Í¡Ñ鹨ԵäÇŒäÁ‹ãˌ䴌ÊÁÒ¸Ô äÁ‹ãˌ䴌 »˜ÞÞÒ ¡Ò÷շè ÓÊÁÒ¸ÔäÁ‹ÊÓàÃç¨à»š¹ÊÁÒ¸Ô ¡çà¾ÃÒТ‹Á¹ÔÇó äÁ‹Å§ ¶ŒÒ¢‹Á¹ÔÇó ŧ䴌 ¨Ôµ¡ç໚¹ÊÁÒ¸Ôä´Œ ¹ÔÇó ¨Ö§à»š¹à˵ØÊÓ¤ÑÞ Íѹ¨Ó໚¹·Õè¨ÐµŒÍ§¢‹Áãˌʧº
๒๓
¹ÔÇó õ : à¤Ã×èͧ¡Ñé¹¢ÇÒ§·Ò§Ê§º ¨Ôµ·ÕèäÁ‹ÁÕÊÁÒ¸Ô ¡çà¾ÃÒÐÁÕ¹ÔÇó ·ÓãËŒäÁ‹ä´Œ¤ÇÒÁʧº äÁ‹ä´ŒŒ»˜ÞÞÒ ¨Ö§¨ÐáÊ´§¹ÔÇó õ áÅСÃÃÁ°Ò¹ÊÓËÃѺᡌà¾ÔèÁàµÔÁ ´Ñ§µ‹Í仹Õé ¢Œ Í ñ ¡ÒÁ©Ñ ¹ · ¤ÇÒÁ¾Íã¨ÃÑ ¡ã¤Ã‹ ã ¹¡ÒÁ ¤× Í ¡ÒÁ¤Ø ³ ÒÃÁ³ ÍÒÃÁ³ ¤×Í¡ÒÁ¤Ø³ Íѹ䴌ᡋ ÃÙ» àÊÕ§ ¡ÅÔè¹ ÃÊ â¼¯°Ñ¾¾Ð ÊÔ觶١µŒÍ§·Ò§¡Ò ·Õ蹋ÒÃÑ¡ã¤Ã‹»ÃÒö¹Ò¾Í㨷Ñé§ËÅÒ ¢ŒÍ ò ¾ÂÒºÒ· ¤ÇÒÁÁØ‹§ÃŒÒÂËÁÒÂŌҧ¼ÅÒÞ áµ‹¡çËÁÒÂÃÇÁ ¨¹¶Ö§â·ÊÐ ¤ÇÒÁâ¡Ã¸·Õè໚¹à¤Ã×èͧ»ÃзØÉÌҨԵ㨢ͧµ¹àͧãËŒà´×ʹÌ͹ »¯Ô¦Ð ¤ÇÒÁ¡Ãзº¡ÃзÑ觷ҧ¨Ôµã¨ ¢ŒÍ ó ¶Õ¹ÁÔ·¸Ð ¤ÇÒÁ§‹Ç§§Ø¹à¤ÅÔºà¤ÅÔéÁ ໚¹¤ÇÒÁ·ŒÍá·Œ·Ò§¡Ò ·Ò§ã¨ ÍѹÊ׺à¹×èͧÁÒ¨Ò¡¤ÇÒÁ§‹Ç§§Ø¹à¤ÅÔºà¤ÅÔéÁ ¤ÇÒÁàº×èÍ˹‹Òµ‹Ò§æ ·ÓãËŒ ¡ÒÂã¨äÁ‹ÁÕ¡ÓÅѧ·Õè¨Ð»ÃСͺ¡Ô¨µ‹Ò§æ ä´Œ ¢ŒÍ ô ÍØ·¸Ñ¨¨¡Ø¡¡Ø¨¨Ð ¤ÇÒÁ¿Ø‡§«‹Ò¹ÃÓ¤ÒÞ㨠¤×ͨԵ¹Õé¿Ø‡§«‹Ò¹ä» ã¹àÃ×èÍ §ÃÙ » àÊÕ Â § ¡ÅÔè¹ ÃÊ â¼¯°Ñ¾¾ÐºŒÒ § ËÃ× Íã¹àÃ×è Í §¹Ñé ¹àÃ×è Í §¹Õé ºŒÒ § áÅФÇÒÁÃÓ¤ÒÞ㨵‹Ò§æ à¾ÃÒÐÁÕ¤ÇÒÁÃÙŒÊÖ¡¤Ñºá¤ºËÃ×ͤѺᤌ¹µ‹Ò§æ ·Õè·Ó ãËŒã¨äÁ‹Ê§º ¢ŒÍ õ ÇÔ¨Ô¡Ô¨©Ò ¤ÇÒÁà¤Å×ͺá¤Å§Ê§ÊÑ ¤×ÍʧÊÑÂä»ã¹àÃ×èͧ¢Í§ µ¹ºŒÒ§ ã¹àÃ×èͧ¢Í§¼ÙŒÍ×蹺ŒÒ§ ÍѹÊ׺à¹×èͧÁÒ¨Ò¡ÁÕµÑÇàÃÒ ¢Í§àÃÒ໚¹ÁÙÅ à¾ÃÒÐàÁ×èÍÁÕµÑÇàÃÒ ¢Í§àÃÒáÅŒÇ ¡ç¨ÐµŒÍ§ÁÕ¤ÇÒÁʧÊÑÂ仵‹Ò§æ ã¹àÃ×èͧáË‹§ µÑÇàÃÒ ¢Í§àÃÒ µÅÍ´¨¹¶Ö§àÃ×èͧ¢Í§à¢Ò ¹Í¡¨Ò¡¹Õé ÂѧÃÇÁ¶Ö§¤ÇÒÁà¤Å×ͺá¤Å§ ʧÊÑÂã¹¾Ãоط¸à¨ŒÒ ¾ÃиÃÃÁ áÅоÃÐʧ¦ ã¹ÊÔ¡¢ÒËÃ×Í¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ ÃÇÁ¤ÇÒÁ à¤Å×ͺá¤Å§Ê§ÊÑ·ءÍ‹ҧ·Õè·Ó¨Ôµã¨ÁÔãËŒºÑ§à¡Ô´¤ÇÒÁàª×è͵Ñé§ÁÑè¹Å§ä´Œ ·ÓãËŒ¨Ôµã¨äÁ‹Ê§º
๒๔
¡ÃÃÁ°Ò¹ÊÓËÃѺᡌ¹ÔÇó พระอาจารย์ ไ ด้ แ สดงสมถกรรมฐานที่ เ หมาะแก่ นิ ว รณ์ ทั้ ง ๕ อันหมายความว่าสามารถจะแก้นิวรณ์ทั้ง ๕ ได้ไว้ เหมือนอย่างว่าหมอที่รักษา ผู้ปวยไข้ให้หายโรค ให้ยาที่เหมาะแก่โรค คือที่สามารถจะแก้โรคได้ ทำโรคให้ หายได้ เมื่อได้ยาที่เหมาะแก่โรคดังนี้ โรคก็หายได้ บรรเทาไปได้ ฉะนั้น จะได้ แสดงกรรมฐานอันเป็นส่วนสมถกรรมฐานสำหรับแก้นิวรณ์ทั้ง ๕ นี้
¢ŒÍ·Õè ñ ÇÔ¸Õá¡Œ ¡ÒÁ©Ñ¹· ñ ข้อแรกเมื่อเกิดขึ้น ให้ทำกรรมฐานข้อ กายคตาสติ๒ คือสติที่ไปในกาย คือกายที่มีชีวิตอยู่นี้ โดยพิจารณาโดยนัยที่พระพุทธเจ้าได้แสดงว่า กายนี้แล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดโดย รอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน เป็ น ต้ น ดังที่ได้เรียกกันว่า อาการ ๓๒ หรือว่าพิจารณา อสุภะ คือซากศพ ซึ่งเป็นอสุภะ คือเป็นของไม่งดงามปรากฏ คือพิจารณาศพที่พองขึ้น ศพที่มีสีเขียว ศพที่มีน้ำเหลืองน้ำหนองไหล ศพที่เป็นช่องเล็ก ช่องใหญ่ ศพที่ถูกกัดกิน ศพที่ขาดเป็นท่อน ศพที่ถูกตัดเป็นท่อน ศพที่มีโลหิตไหล ศพที่มีหนอน และพิจารณากระดูก ก็เป็นอสุภะ ๑๐ ประการ การพิจารณาดังนี้ ซึ่งเป็นกายคตาสติ ก็ดี อสุภกรรมฐาน ก็ดี เป็นเครื่องแก้ กามฉันท์ คือความพอใจรักใคร่ในกาม ๑ อ่านว่า กาม - มะ - ฉัน, ๒ อ่านว่า กา - ยะ - คะ - ตา - สะ - ติ
๒๕
¢ŒÍ·Õè ò ÇÔ¸Õá¡Œ ¾ÂÒºÒ· เมตตา เป็นเครื่องแก้พยาบาท เมตตานั้น ก็คือความรักใคร่ปรารถนา ให้เป็นสุข การแผ่เมตตานั้น ก็แผ่ไปด้วยจิตนี้เอง คิดแผ่ออกไปโดยเจาะจง ที่เรียกว่า โอทิสผรณา และโดยไม่เจาะจงเรียกว่า อโนทิสผรณา โดยเจาะจงนั้น ก็คือแผ่ไปในคนนั้นคนนี้ที่ตนปรารถนาจะแผ่เมตตาจิตไปให้ โดยไม่เจาะจงนั้น ก็คือแผ่ไปในสรรพสัตว์ทุกถ้วนหน้า การแผ่ไปทั้ง ๒ วิธีมีนัยอย่างเดียวกัน คือพิจารณาว่า “จงเป็นสุข จงอยู่เป็นสุข จงบรรลุถึงความสุข จงไม่มีโรค จงไม่มีทุกข์กายทุกข์ใจ จงไม่มี ความเบียดเบียน จงมีสุขรักษาตน” ซึ่งท่านผูกคำไว้เป็นภาษาบาลีว่า “สุขิตา โหนฺตุ จงมีสุข มีสุขเถิด, อโรคา โหนฺตุ จงไม่มีโรคเถิด, อนีฆา โหนฺตุ จงไม่มี ทุกข์กายทุกข์ใจเถิด, อพฺยาปชฺฌา โหนฺตุ จงไม่เบียดเบียนกันเถิด จงไม่มีความ เบียดเบียนกันเถิด, สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ จงเป็นผู้มีสุขรักษาตนเถิด” ดังที่เรา สวดกันอยู่ในพรหมวิหารทั้ง ๔ และท่านสอนให้แผ่ไปทั้ง ๑๐ ทิศ คือ ทิศใหญ่ทั้ง ๔ คือ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศน้อยทั้ง ๔ คือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทิศ ตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ และในทิศ เบื้องบน ในทิศเบื้องล่าง ก็รวมเป็น ๑๐ ทิศ* หัดแผ่เมตตาไปทั้งโดยเจาะจง ทั้งโดยไม่เจาะจงไปในทิศทั้ง ๑๐ ดังนี้ เสมอๆ จะทำให้จิตใจผ่องใสพ้นจากพยาบาท แม้จะมีพยาบาทหรือความโกรธ กระทบกระทั่งเกิดขึ้น ก็ดับได้ง่ายด้วยอำนาจของเมตตา จะทำให้จิตใจประกอบ ไปด้วยเมตตา ทำให้มีความสุข ¹éÓàÁµµÒ Ōҧ¾ÂÒºÒ·
* ขอรับหนังสือ “พุทธฤทธิ์พิชิตเจ้ากรรมนายเวร คาถามหาเมตตาหลวง” ฟรี ส่งแสตมป ๑๕ บาทไปที่ มูลนิธิจิตอิ่มบุญบารมี ๑๐๕/๗๔ ถ.ประชาอุทิศ ซอย ๔๕ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ๑๐๑๔๐
๒๖
¢ŒÍ·Õè ó ÇÔ¸Õá¡Œ ¶Õ¹ÁÔ·¸Ðñ ๒
๓
กรรมฐาน ๒ ข้อ คือ อาโลกสัญญา กับ พุทธานุสสติ แก้ถีนมิทธะ ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม อาโลกสัญญา คือการทำความกำหนดหมายว่าแสงสว่าง หรือที่เรียกว่า ทิวาสัญญา ความกำหนดหมายว่ากลางวัน คือตั้งจิตกำหนดนึกถึงความสว่าง แสงสว่างขึ้นในจิตใจ เหมือนความสว่างในกลางวัน หรือความสว่างจากแสงไฟ กำหนดใจในความสว่างหรือแสงสว่างนั้น ใจก็จะสว่างทำให้จิตนี้หายความง่วงงุน เคลิบเคลิ้ม และหายความท้อแท้ ทำให้จิตใจมีพลังหรือกำลังในอันที่จะประกอบ กระทำการงาน อีกข้อหนึ่ง พุทธานุสสติ ระลึกถึง คุณของพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้าทรงประกอบ ด้ ว ยพระคุ ณ เป็ น อั น มาก ดั ง เช่ น นวหรคุ ณ พระคุณของพระอรหันต์ ๙ ประการ ดังที่เรา สวดกันว่า อิตปิ โส ภควา อรหํ สมฺมา สมฺพทุ โฺ ธ เป็นต้น เมื่อย่อลงก็เป็นพระคุณ ๓ ประการ คื อ พระป ญ ญาคุ ณ พระวิ สุ ท ธิ คุ ณ พระ กรุ ณ าคุ ณ เมื่ อ ระลึก ถึงย่อมเป็นเหตุท ำให้ จิ ต ใจผ่ อ งใส ด้ ว ยความเลื่ อ มใสในพระคุ ณ เมือ่ จิตเกิดความเลือ่ มใส ผ่องใส ก็หายง่วงเหงา หรือง่วงงุนเคลิบเคลิม้ ก็ทำใจให้สว่างได้เหมือนกัน คือปลอดโปร่งด้วยความเลื่อมใสผ่องใส ฉะนั้น อาโลกสัญญา กับ พุทธานุสสติ นี้ จึงเป็นเครื่องแก้ ถีนมิทธะ ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม ๑ อ่านว่า ถี - นะ - มิด - ทะ ๒ อ่านว่า อา - โล - กะ - สัน - ยา,
๓ อ่านว่า พุด - ทา - นุด - สะ - ติ
๒๗
¢ŒÍ·Õè ô ÇÔ¸Õá¡Œ ÍØ·¸Ñ¨¨¡Ø¡¡Ø¨¨Ðñ อานาปานสติò สติระลึกถึงลมหายใจเข้าออก เป็นเครื่องแก้ อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุงซ่านรำคาญใจ อานาปานสติ นี้ เป็ น กรรมฐานข้ อ หนึ่ ง ที่ พ ระพุ ท ธเจ้ า ตรั ส สอนไว้ เป็นข้อต้นของกายานุปัสสนาสติปัฏฐานแห่งสติปัฏฐานสูตร ดังที่ได้ตรัสสอนไว้ ในพระสูตรนั้นว่า “เข้าไปสู่ปา เข้าไปสู่โคนไม้ เข้าไปสู่เรือนว่าง นั่งตั้งกายให้ตรง นั่งขัดสมาธิหรือขัดบัลลังก์ ก็คือขัดสมาธินั่นเอง ดำรงสติเฉพาะหน้า หายใจเข้า ก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้...” และเพื่อช่วยในข้อนี้ พระอาจารย์จึงได้สอนวิธีช่วย ประคับประคองจิตในครั้งแรก ในเมื่อจิตยังใหม่ต่ออานาปานสติ ยังไม่คุ้น ยังควบคุมให้สงบได้ยาก ให้ใช้วิธีนับ คือหายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๑ นับคู่ ดังนี้ไปถึง ๕–๕ แล้วกลับใหม่ ๑-๑ ถึง ๖–๖ แล้วกลับใหม่ ๑–๑ ถึง ๗–๗ แล้ว กลับใหม่ ๑–๑ ถึง ๘–๘ แล้วกลับใหม่ ๑–๑ ถึง ๙–๙ แล้วกลับใหม่ ๑–๑ ถึง ๑๐–๑๐ เป็นการนับคู่ จนจิตสงบจึงเลิกนับคู่มานับ หายใจเข้า ๑ หายใจออก ๒ เป็นต้น เมื่อจิตสงบได้ที่แล้วก็หยุดนับ อีกอย่างหนึ่งที่นิยมกัน ในตอนนี้มาก ก็หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” ใช้ พุทโธ ประกอบ แต่เมื่อจิต เป็นสมาธิขึ้นก็จะสงบ จึงหยุดกำหนด
๑ อ่านว่า อุอุด - ทัด - จะ - กุก - กุด - จะ ๒ ขั้นตอนการปฏิบัติอานาปานสติ โปรดพลิกกลับไปอ่านหัวข้อหลักการทำสมาธิเบื้องต้น หน้า ๑๘ - ๒๑