ความเปนมาของเชียงของยุคแรก: คนดั้งเดิมและการตั้งถิ่นฐาน ในหัวขอนี้จะวาดวยเรื่องกลุมชนดั้งเดิมที่อยูในบริเวณเชียงของ-เวียงแกนและบริเวณลุมน้ําโขง ในภาคเหนือบางกลุม โดยการใชตํานานโบราณ คําบอกเลาในพุทธตํานาน ในอักษรธรรมลานนาจากการ สอบถามคนเฒ า คนแก และใช ตํ า นานเหล า นี้ แ จกแจงที่ ม าของนามบ า นนามเมื อ ง อธิ บ ายถึ ง ความสัมพันธและความสําคัญของลักษณะทางภูมิศาสตรธรรมชาติกับการตั้งถิ่นฐานและการตั้งเมือง ตํานานตํามิละ: ลัวะคนดั้งเดิมในเชียงของ จากหนังสือที่ระลึกงานผาปาสามัคคี “สี่ตระกูล” เนื้อหาในหนังสือสวนหนึ่งเปนบันทึกของขุนภูนภิเลขกิจ (เจาหนานบุษรส จิตตางกูร) เขียนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘ กลาวถึงประวัติการสรางเมืองเชียงของ ในบันทึกดังกลาวขุนภูนภิเลขกิจ ไดอางถึงหนังสือ พื้นเมืองเลมหนึ่งที่คัดลอกมาจากหลักศิลาจารึกวัดแกวและไดสูญหายไปจากเชียงของแลวในยุคเจาเชียง ของตนกําเนิดสี่ตระกูล (๒๓๐๕-๒๔๕๗) จากบั น ทึ ก สรุ ป ได ว า เชี ย งของเป น เมื อ งของตํ า มิ ล ะ มี ช าวตํ า มิ ล ะอาศั ย อยู ตั้ ง แต ใ นช ว ง พระพุทธเจาเลียบโลกพรอมพระอานนท และทานไดเสด็จมาถึงดอยลูกหนึ่ง ซึ่งอยูทางฝงซายของขรนัทที (แมน้ําของ / แมน้ําโขง) ใกลกับเมืองเมิงของลาว เรียกวา “ผาตูบ” (ผากระทอม) แลวประทับรอยพระบาท ไวที่ผาแหงนี้ จากนั้นเสด็จขามแมน้ําโขงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต ของผาตูบนั้น อันเปนที่อยูของชาวตํา มิละ พระพุทธองคทรงสรงน้ํา แลวมาประทับบนกอนศิลาคลายชาง (นาจะชื่อ “ผาชางมูบ”) อยูในลําน้ํา โขง ในการเสด็จครั้งนั้นหัวหนากลุมตํามิละไดพาพรรคพวกมาเฝาพระพุทธเจา แลวเลาความเปนอยู ของพวกเขาวามีอาชีพคาขาย ลาเนื้อ หาปลา (อาชีพนายพรานและเก็บของปาขาย) นับถือผีสาง เมือ่ พระ พุทธองคทรงสดับแลว ทรงมีพระเมตตาเทศนาธรรม ใหกลุมตํามิละถือ ศีลหา เลิกเลี้ย งผี ใหยึดพระ รั ต นตรั ย เป น ที่ พึ่ ง พวกตํ า มิ ล ะ ก็ เ กิ ด ศรั ท ธาในพระพุ ท ธศาสนาด ว ยใจจริ ง หั น มายอมรั บ นั บ ถื อ พระพุทธศาสนา ตํานานพระเจาเลียบโลกนี้ เปนตํานานที่พบทั่วไปในภาคเหนือ ในตํานานของลานนา เชน ตํานานสุวรรณคําแดง , ตํานานเชียงแสน ไดกลาวถึงการเคลื่อนตัว ลงมาของกลุมคนไทย 1 เขาใจวามาจากบริเวณตอนใตของจีน กลุมคนไทยคอย ๆ เคลื่อนตัวกันลงมา ซึ่งไมใชการอพยพอยางใหญโต การลงมาก็เพื่อหาที่ทํากินที่อุดมสมบูรณ กลุมคนไทยไดเขามาตั้งถิ่น ฐานอยูในเขตที่ราบลุมน้ําปงและที่ราบลุมน้ํากก การเขามาของกลุมคนไทยคงเขามาเปนกลุมเล็ก ๆ โดย มีผูน้ําเปน “เจาชาย“ นําบริวารลงมา ดังจะพบวา ตํานานเรียกผูนําวาเจาชายสิงหนวัติ , เจาสุวรรณคํา แดง คนไทยซึ่งเปนคนกลุมเล็กไดสรางบานแปลงเมืองในที่ลุม มีวัฒนธรรมการทํานาดําและรูจักการทํา เหมืองฝาย และที่สําคัญคือ กลุมคนไทยอยูปะปนกับชาวพื้นเมือง ตํานานสุวรรณคําแดงไดกลาวถึงเจา สุวรรณคําแดง มีชายาเปนชาวพื้นเมืองซึ่งมีระดับวัฒนธรรมต่ํากวา ทั้งยังอธิบายการแลกเปลี่ยนทาง วัฒนธรรมระหวางกลุมคนไทยและชาวลัวะ ซึ่งเปนคนพื้นเมือง ในตํานานเชียงแสนกลาววาเจาสิงหนวัติ เปนราชบุตรกษัตริยฮอ ทําใหเขาใจวา คนไทยกลุมนี้อาจจะมาจากเมืองใดเมืองหนึ่ง ในยูนนาน เมื่อ 1
สรัสวดี อองสกุล. ประวัติศาสตรลานนา, ภาควิชาประวัติศาสตร คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม, พิมพครั้งที่ ๒, ๒๕๓๙, หนา ๓๕.
พิจารณาเสนทางการเคลื่อนยายแลวพบวาไดขามน้ําคงลงมาในแนวตะวันออกเฉียงใต ซึ่งทําใหดู เหมือนเปนกลุมไทใหญไปได ตํานานอาจบอกตําแหนงคลาดเคลื่อนไปก็ได แตแกนของเรื่องคือพยายาม ชี้วามีคนไทยเคลื่อนยายเขามาในแองเชียงราย กลุมคนไทยไดมาสรางเวียงโยนกหรือตอมาเรียกเวียง หนอง และตอมาไดแตกตัวสรางเวียงขึ้นอีก เชน เวียงพางคํา เวียงไชยนารายณ ผูนําคนไทยไดมีอํานาจ เหนือหัวหนาของชาวพื้นเมือง ดังตํานานกลาววา “...ทานก็มีอาญาใชไปเรียกรองเอาขุนหลวงมิลักขุ ทั้งหลาย ใหเขามาสูสมภารแหงตนเสี้ยงแล..” หัวหนาของชาวพื้นเมือง “ลัวะ” ยังไดรับมอบอํานาจใหทํา หนาที่ดูแลชุมชนระดับเล็ก ความสัมพันธระหวางกลุมคนไทยซึ่งมีจํานวนนอยกับชาวพื้นเมืองคงราบรื่น พอสมควร เพราะเทาที่ทราบตํานานในลานนา เชน ตํานานเชียงแสน ตํานานสุวรรณคําแดง ตํานานเมือง พะเยาฉบับหอสมุดแหงชาติ อธิบายการชวยเหลือเกื้อกูลกันอยางดีระหวางคนไทยกับลัวะ ตํานานเชียง แสนยังกลาวในภายหลังถึงเจาไทยเชื้อสายสิงหนวัติมีชายาเปนชาวพื้นเมือง ในตํานานพื้นเมืองเชียงแสน 2 กลาววาบานเมืองเชียงตุงเปนที่อยูของชาวลัวะมากอนที่พญามัง รายจะเขาไปสํารวจและสรางเมืองเชียงตุง นอกจากนี้ในยุคสมัยของพญาแสนพู ราชบุตรเจาพญามัง คราม ซึ่งไดสรางวัดปาสักเชียงแสนไดกลาวถึงการที่พวกลัวะมาเปนแรงงานทานใหแกวัดปาสัก หลังจาก สรางวัดแลวสราง เวียงเชียงแสนใหม โดยมีพญาลวะมิลักขุซึ่งเปนใหญในเขตแดนภูดอยมาสงสวยดวย เห็นไดวา ลัวะเคยอาศัยอยูในเขตนี้มากอน และนาจะเคยมีแวนแควนของตนเอง แตในชวงการเขามาของ กลุมชาติพันธุใหมจากยูนนานจึงทําใหพวกลัวะกลายเปนชนชั้นสวนนอยในภูดอยที่ถูกปกครอง ชาวลัวะเปนชนเผาที่อาศัยหาของปา ลาสัตว ไมรูจักวิธีการเพาะปลูกพืชพันธุเอง และบางสวน อาจผสมผสานกับกลุมชนที่เคลื่อนยายมาอยูใหมจนเปนเมืองขึ้นมา และเขาใจวา การเกิดของเมืองเชียง ของเกาหรือบานตํามิละหรือเมืองฮอยเตานาจะเปนไปในเคานี้ ประวัติศาสตรของเชียงของตอจากนี้ไปก็รวบรวมไดจากเอกสารทางประวัติศาสตรที่เปนอันหนึ่ง อันเดียวกับตํานานในดินแดนลานนาทั้งหลาย อาทิ ตํานานพื้นเมืองเชียงแสน พงศาวดารโยนก ประชุม ตํานานลานนาไทย ซึ่งจะมีก็แตการกลาวถึงเมืองที่สรางขึ้นใหมนั้น สรางบริเวณเมืองรางตํามิละ คือ เมืองรอยเตา (ฮอยเตา) เมืองฮอยเตา: อดีตเมืองเชียงของ ในตํานานพื้นเมืองเลาวา ตอมาบานเมืองตํามิละก็ กลายเปนเมืองราง จะดวยสาเหตุใดไมทราบได พวกตํามิละหายไปจากประวัติศาสตรเชียงของ ความ เปนมาของเชียงของก็ขาดชวงไปเชนเดียวกับดินแดนในลานนาอื่นๆ ตํานานพื้นเมือง3 ไดกลาวถึง สมัยที่เมืองเชียงแสนเปนเมืองหลวงของเมืองตางๆ ทางเหนือของ ประเทศไทยปจจุบัน และมีอาณาเขตติดตอสัมพันธถึงตอนใตของจีน มีพระเจาแผนดินหรือพญาปกครอง อยู วันหนึ่ง ชางของพญาเชียงแสนแตกปลอกและตกมัน ควาญชางไดติดตามรอยชาง ก็มาพบชางที่ปา บานรางตํามิละ ซึ่งที่ปามีเตามากมาย นายชางจึงจับเอาเตามารอยเปนพวง บรรทุกหลังชางไปเชียงแสน พญาเชียงแสนถามนายชางวาไปพบชางที่ไหน นายชางไมรูวาจะตอบอยางไร เพราะไมรูวาบริเวณนั้น 2 3
สรัสวดี อองสกุล : ปริวรรต ตรวจสอบและวิเคราะห, นิธิ เอียวศรีวงศ : บรรณาธิการ, กรุงเทพฯ : อมรินทร, ๒๕๔๖ ขุนภูนภิเลขกิจ, อางแลว, หนา ๔.
เรียกวาอยางไร นายชางนึกถึงปาที่มีเตาและตนไดรอยเตาเอามาดวย นายชางจึงตอบวา พบที่ “ปารอย เตา” กรณีนี้ นักศึกษาประวัติศาสตร จึงมักเรียกเมืองเชียงของในอดีตวา เมืองรอยเตา จากพงศาวดารโยนกและตํานานเชียงแสน กลาววา เมื่อพบชางแลว ควาญชางก็กลับไปกราบ ทูลเหตุการณทั้งปวง พญาลาวจกราช จึงใหสรางเมือง ณ ที่พบรอยชางใหญนั้นใหชื่อวา เวียงชางรอย (เวียงจางฮอย) นานมาจึงกลายเปน เวียงเชียงราย (เวียงเจียงฮาย) และที่ตําบลบานรอยเตานั้นภายหลัง มาก็เปนเชียงของ (เจียงของ) ที่ตั้งของเมืองเกา เมืองเชียงของเปนเมืองที่ตั้งขึ้นมานานมีหลักฐานไดไมแนชัดวา สรางใน สมัยใด ตัวเมืองเดิมและบานเมืองในปจจุบันนี้ตั้งอยูบริเวณเดียวกัน ตัวเมืองมีความยาวจากเหนือไปใต ยาวประมาณ ๕๐๐ วา บนฝงแมน้ําโขง ความกวางของเมืองประมาณ ๓๐๐ วาจากแมน้ําโขงตะวันออก ไปทางตะวันตก มีกําแพงลอมรอบสามดาน คือ ดานเหนือ ดานใต และดานตะวันตก สวนดานตะวันออก ถือเอาแมน้ําโขงเปนคันคูเมือง กําแพงเมืองดานเหนือและดานใตมีกําแพงเมือง ๒ ชั้น คูเมือง ๒ ชั้น ระหวางกําแพงและคูเมือง ชั้นในกับชั้นนอกมีระยะหางกันประมาณ ๑๐๐ เมตร คูเมืองกวางประมาณ ๔๐ เมตร ลักษณะกําแพง เมืองทุกดานถมดินขึ้นสูงประมาณ ๔ เมตร แลวกอกําแพงดวยอิฐมีใบเสมาพรอม ปจจุบันกําแพงที่กอ ดวยอิฐไดพังทลายไปหมดเหลือเพียงซากอิฐกระจัดกระจายอยูเทานั้น จึงเหลืออยูแตเพียงคันดิน สวน กําแพงดานตะวันตกมีกําแพงและคูเมืองชั้นใน ๑ ชั้น ชั้นนอกถือเอาลําหวยน้ําสมเปนคูเมืองชั้นนอก
ตัวกําแพงเมืองทั้งสามดานมีประตู ๖ ประตู ดานใตมี ๒ ประตู คือ ประตูชัย อีกประตูหนึ่งไม ทราบชื่อ วัดที่อยูใกล ๆ จึงมีชื่อวาวัดชัย หรือวัดศรีดอนชัย ดานตะวันตกมี ๒ ประตู คือ ประตูเสือ และ ประตูเวียงหวาก ดานเหนือมีอีก ๒ ประตู แตไมทราบชื่อ ภายในตัวเมือง มี ๓ หมูบาน คือ บานเวียงแกว
บานวัดหลวง และบานศรีดอนชัย นอกกําแพงเมืองดานเหนือเปนบานหัวเวียง และดานใตเปนบานสบสม บานหาดไครและบานโจโก สถานะของเมืองเชียงของเปนเมืองหนาดานดานตะวันออกและดานใตของเมืองเชียงแสน ดังนั้น เจาผูครองเมืองนครหิรัญเงินยาง เมืองเชียงราย และเมืองเชียงใหมจึงสงพระญาติมาปกครอง อยางตอเนื่อง นอกจากเมืองเชียงของแลวยังมีเมืองคูกับเมืองเชียงของอีก คือเมืองผาแดง ตั้งอยูบนฝงแมน้ํา โขง หางจากเมืองเชียงของไปทางทิศใตประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ปจจุบันตัวเมืองสวนใหญถูกน้ํากัดเซาะ พังลงไปในน้ําโขงประมาณสามสวนยังคงเหลืออยูประมาณ ๑ สวน ดานตะวันตกของเมืองยังมีแนวคู เมืองปรากฏใหเห็นเปนบางแหง ในตัวเมืองจะเปนที่ตั้งของหมูบานดอนมหาวันในปจจุบัน นอกจากทั้ง ๒ เมืองดังที่กลาวมาแลวนั้น ยังมีเมืองที่เปนเมืองหนาดานของเมืองเชียงของอีก ๔ เมือง ไดแก (๑) เมืองกาน จากเมืองเชียงของขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ ๒๐ กิโลเมตรมี เมืองเกาแหงหนึ่ง ตั้งอยูบนฝงแมน้ําโขง ขณะนี้พอจะสังเกตเห็นแนวคูเมืองเปนบางแหงเทานั้น เวลานี้ บริเวณเมืองกานเดิม เปนหมูบานเมืองกาญจน ตําบลริมโขง อําเภอเชียงของ (๒) เมืองเวียงแกน อยู ในทองที่บานมวง ตําบลมวงยาย อําเภอเวียงแกน หางจากเมืองเชียงของไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต ประมาณ ๔๕ กิโลเมตร เมืองรางแหงนี้กลางเมืองคอนไปทางดานตะวันตกเปนเนินสูง มองเห็นภูมิ ประเทศไกลออกไป บริเวณเมืองมีพื้นที่ประมาณ ๓๐๐ ไร มีคูเมืองลอมรอบ มีวัดรางอยูในตัวเมือง และรอบเมืองดานนอก ประมาณ ๑๐ วัด มีประตูเมือง ๔ ทิศ ๔ ประตู ปจจุบันเปนบริเวณที่มีปาไมอุดม สมบูรณมาก (๓) ดงเวียง หางจากเมืองเชียงของไปทางทิศตะวันตกเฉียงใตประมาณ ๑๐ กิโลเมตรมี พื้นที่ประมาณ ๓๐๐ ไร มีคูเมืองรอบทุกดาน มีวัดรางหลายแหง สภาพเดิมเปนปาดงดิบ ปจจุบันชาวบาน แผวถางทําเปนไรสวนจนไมมีสภาพปาเหลืออยูเลย เมืองเกาแหงนี้ไมปรากฏชื่อ แตชาวบานเรียกวา ดง เวียง ทางอําเภอขึ้นทะเบียนเปนโบราณสถานไวแลว อยูในบานน้ํามา ตําบลสถาน (๔) เวียงหวาย หาง จากเมืองเชียงของไปทางทิศตะวันตกเฉียงใตประมาณ ๒๐ กิโลเมตร จะมีเมืองเกาตั้งอยูบนเนินเขา ใน เขตบานหวาย ตําบลศรีดอนชัย มีพื้นที่บริเวณ ๒๐๐ ไรเศษ มีคูเมืองลอมรอบ ๒ ชั้น ในบริเวณเมืองมีวัด รางหลายแหง ชาวบานที่เขาไปทําสวนเคยขุดพบพระพุทธรูปบูชาจํานวนมาก เมืองนี้ชื่อวา เมืองเวียง หวาย หลักฐานตาง ๆ เหลานี้ แมผูศึกษาคนควาจะไมระบุอายุของของเมืองหรือยังไมสามารถระบุอายุ ของเมืองได แตก็เปนการสะทอนถึงรองรอยของการอยูอาศัยของผูคนที่มีมาชานานในแถบนี้ และยังบอก ไวสอดคลองกับตํานานพื้นถิ่น ซึ่งมีสํานวนยอยๆ อีกมากมายในเชียงของ ที่ลวนสื่อใหเห็นที่มาของชื่อ บา นนามเมือ ง โดยส ว นใหญจ ะเกี่ ย วขอ งกับ เรื่ อ งเหนื อ จริ ง เรื่ อ งพุ ท ธทํ า นายและเกี่ ย วกั บ ลั ก ษณะ ทรัพยากรธรรมชาติของแตละชุมชนของคนลุมน้ําโขง เชน ตํานานเรื่องปูระหึ่งเปนอีกตํานานหนึ่งที่ระบุวา ชื่อ “เมืองกาน” ซึ่งเปนชื่อเดิมของบานเมืองกาญจน ตําบลริมโขงในปจจุบันนั้นหมายถึง ไมคาน (กาน) ปูระหึ่ง: บรรพบุรุษรางใหญของคนลุมน้ําโขง คนเชียงของเลากันวา บรรพบุรุษของคนลุม น้ําโขงเปนปูระหึ่งซึ่งมีรางใหญ ภูดอยตาง ๆ ในเขตสองฝงน้ําโขงเปนเพียงแคกอนดินจากการไถแปรของ
ปูร ะหึ่ ง เห็ น ได ว า ตํ า นานในลั ก ษณะนี้ มีอ ยู ม ากมายในทุ ก พื้น ถิ่น เป น ตํ า นานที่ รอ ยเอาสถานที่ ท าง ธรรมชาติของทองถิ่นมาผูกเปนโครงเรื่อง มีเรื่องเลาวาวันหนึ่งปูระหึ่งหาบถานไปทางเหนือเมืองเชียงของ โดยใชไมคาน (ภาษาพื้นถิ่น ออกเสียงวา “ไมกาน”) หาบถานซึ่งอยูในตะกราหรือกวยไปจนถึงเหนือ ผากันตุงแลวไมคานหัก สวนของ ไมคานที่หักเรียกวาบานเมืองกานที่อยูริมฝงโขงมาจนปจจุบัน สวนของถานกอนหนึ่งตกอยูใกลบานเมือง กาน เรียกวา ผาถานหลวง อีกอันหนึ่งมาตกอยูที่ผาถานริมทาวัดหลวงในปจจุบัน กลุมชาติพันธุที่อาศัยอยูในพื้นที่ราบและชายฝงแมน้ําโขง อิง งาว คือกลุมคนยวน คนลื้อ คน ลาว โดยเฉพาะกลุมคนลาวบานหวยลึก ซึ่งอยูในเขตชายแดนลึกสุดของน้ําโขงและสันปนน้ําที่ผาได มี ตํานานซึ่งบอกเลาความสัมพันธระหวางคนลานนาและลานชางไดดี บานหวยลึก แตเดิมนั้นมีชื่อเรียก เปนภาษาที่คนในหมูบานใชกันวา “ฮองเลิ๊ก” ดวยสภาพลําหวยขางหมูบานที่ลึกมาก จึงเปนที่มาของชื่อ หมูบานคําวา “ฮอง” หมายถึงรองน้ํา ทางเดินของน้ําที่มีขนาดเล็กกวาลําหวย สวนคําวา “เลิ๊ก” หมายถึง ลึก ดังนั้นสองคํารวมกันจึงมีความหมายวา รองน้ําที่มีความลึกมาก แตผูคนในชุมชนใกลเคียงซึ่งเปนคน เหนือหรือเปนชาวไทยวน เรียกวา หวยเลิ๊ก ซึ่งก็เรียกกันมาจนเปนที่ยอมรับในเวลาตอมา และเปลี่ยนเปน หวยลึก ตามการตั้งชื่อหมูบานของราชการจนถึงปจจุบัน คนบานหวยลึกอพยพมาจากฝงลาวและเดินทางขามไปมาระหวางสองฝงโขงเพื่อการทํามาหา กินและไปมาหาสูพี่นอง บานหวยลึกอยูใกลผาไดในปจจุบัน ชาวบานเลาใหฟงวา คําวาผาได มาจาก ลักษณะของโขดหินริมตลิ่งดานฝงไทยเมื่อถึงฤดูแลง น้ําโขงลดลง เกาะแกงโขดหินจะโผลพนน้ํา แกงหิน บริเวณนี้จะมีลักษณะเหมือนขั้นบันได จึงไดชื่อวา แกงผาได สวนที่มาของชื่อเรียกตาง ๆ ของเกาะแกงแมน้ําโขงในเขตเชียงของตั้งแตบริเวณบานหาดบาย จนถึงผาไดจุดสุดทายที่แมน้ําโขงอยูในภาคเหนือตอนบนของไทย มีเกาะแกงกวา ๖๐ แกง มีชื่อและ เรื่องราวเปนเฉพาะแหลงไปตามตํานาน รูปรางลักษณะของเกาะแกงเหลานั้น เชน คอนผีหลงเปนบริเวณที่อยูระหวางบานดอนที่ บานผากุบ บานเมืองกาญจน ตําบลริมโขง อําเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายมีความยาวตามลําน้ําโขงประมาณ ๑๐ กิโลเมตร มีแกงหินนอยใหญที่ ตั้งอยูอยางสลับซับซอนงดงามมาก น้ําในลําน้ําโขงไหลผานมาทําใหเกิดชอง รองน้ํา ซึ่งเรียกวา คอน คอนผีหลง หมายถึง รองน้ําที่มีผีหลง ผีในที่นี้หมายถึง คนตายหรือศพมาติดคางอยูคอนนี้ ชุมชนริมฝง แมน้ําโขงบางกลุมเรียกคอนผีหลงวา แสนผี สาเหตุที่เรียกเกาะ แกงหิน บริเวณนี้เปนคอนผีหลง หรือแสน ผี เมื่อศพลอยพัดหลงเขามาถึงบริเวณที่มีแกงหินสลับซับซอนของคอนผีหลง แรงปะทะของน้ําโขงกับแกง หิน ทําใหแพพลิกคว่ํา ศพคนตายก็มาติดตรงแกง หาด ดอนบาง ตรงน้ําวังวนบาง จนเรียกกันติดปากวา เปนคอนผีหลง คือ ชองน้ําที่ผีมาหลงวนอยูตรงนี้ ชาวบานผากุบฝงไทย เลาวา หลายครั้งที่คนหาปลาเห็น แพลอยมา มีเครื่องใชไมสอย ที่นอนหมอนมุงครบถวนลอยมาดวย คนหาปลาบางคนไปเก็บมาใชบางก็มี ขณะเดียวกัน ชุมชนไทยริมฝงโขงเรียกชื่อกลุมแกงหินเหลานี้ตางออกไป โดยเรียกตามความเชื่อ รูปรางและลักษณะบางอยางของหาด ดอน แกงหิน และผาหิน คือ
ดอนสะเล็ ง เปน ดอนทรายกลางลํ า น้ํ า โขง มี ก ลุ ม หิ น ใต น้ํ า รายรอบ ผิ ว น้ํ า ที่ไ หลผ า นจะไม ราบเรียบ แตเปนคลื่นหรือสะเล็ง เรือที่ผานชวงนี้จะเจอกับคลื่นและกระแสน้ําแรงมาก ดอนรองไก คือ บริเวณหนึ่งที่รองน้ําผานตรงกลางดอน เปนถิ่นกําเนิดของไก สาหรายน้ําจืด รองก็คือรองน้ํา ผาหลัก แกง หินที่มีลักษณะคลายหลักหรือเสาหินปกกลางน้ํา ผาฟอง เปนบริเวณที่มีแกงหินใตน้ําจํานวนมาก เมื่อ กระแสน้ําไหลผานจะเกิดฟองอากาศตลอดเวลาเทากับการเติมออกซิเจนในน้ํา ใหสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยูใน นั้น ผาฟาเปนแกงหินที่มีขนาดใหญที่สุดในบริเวณคอนผีหลง ตรงปลายยอดตั้งตระหงาน น้ําทวมไมถึง ซึ่งชาวบานเชื่อกันวาเปนที่สิงสถิตของเหลานางฟา หาดฮาย ฮายแปลวา รายหรืออันตรายเปนบริเวณทีม่ ี แกงหินจํานวนมาก น้ําเชี่ยวและรุนแรงตองระมัดระวังในการเดินเรือ ผาชาง เมื่อมองจากกลางลําน้ําโขง มายังฝงไทยจะมองเห็นแกงหินมีรูปรางคลายชางหันหนาเขาหาฝงบรรทุกสัมภาระไวบนหลัง ผาเสือ มี ลักษณะคลายเสืออยูฝงตรงขามกับผาชาง (ปจจุบันหัวเสือไดหักลง เนื่องจากการระเบิดหิน เพื่อสราง ถนนในฝงลาว) ผาชางและผาเสือเปนสัญลักษณทางธรรมชาติท่ีชวยคาดการณวา เมื่อใดที่ระดับน้ําขึ้น สูงถึงปากชางคางเสือ ไมควรเดินเรือ เพราะระดับน้ําที่สูงและเชี่ยวจะเกิดอันตรายถึงชีวิต ผาพระ ตํานาน เลาวา สมัยโบราณ เจาองคหนึ่งจากหลวงพระบางลองเรือผานผานี้เกิดอุบัติเหตุเรือลมทําใหลูกชาย เสียชีวิตจึงไดสลักรูปพระไวบนหนาผาเพื่ออุทิศใหผูตาย ปจจุบันชุมชนทั้งสองฝงใหความเคารพ เปน สถานที่ทําพิธีทางศาสนารวมกันชวงเทศกาลสงกรานต ผากันตุง กันตุงคือ คันธง แกงหินสูงมีลักษณะ คลายแทนหินปกธงชัยหรือตุง เปนตน