ตํานาน ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม บานสําโรง เรื่องเลาที่เปนตํานาน ความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร ในชุมชนบานสําโรง มีเรื่องเลาเกี่ยวกับ ความเชื่อที่เปนตํานานเลาสืบกันมาหลายชั่วอายุคน เรื่องเลาที่เปนตํานานเหลานี้สัมพันธกับประวัติความ เปนมาของชุมชน ความเชื่อในเรื่องอํานาจนอกเหนือธรรมชาติ การดําเนินชีวิตในอดีตที่ชุมชนคอนขาง เปนอิสระในการปกครองดูแลตนเอง ซึ่งชุมชนจําเปนตองพึ่งพาผูนําที่มีความเขมแข็งพรอมๆ กับความ เมตตา เชน ขอมูลจากเรื่องเลาเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริยของพระยาเสาร เรื่องเลาที่เปนตํานานซึ่งสัมพันธ กับประเพณีพิธีกรรมของชุมชน เชน เรื่องการทําบุญตักบาตรหนองฆอง การจับมาร เรื่องเลาที่เปนตํานาน ซึ่งตอกย้ําในเรื่องของความเชื่อในอํานาจนอกเหนือธรรมชาติ ซึ่งผนวกรวมกับการนับถือพุทธศาสนา เชน เรื่องเลาเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของเจาตะเคียน เรื่องเลาเหลานี้เปนภาพสะทอนเกี่ยวกับวิธีคิด คานิยม พฤติกรรมของผูคนในสังคมดังที่ไดกลาวมา อิทธิปาฏิหาริยของพระยาเสาร ตํานานเรื่องเลาเกี่ยวกับพระยาเสารซึ่งเปนผูนําของบาน สําโรงในอดีต พระยาระวี ซึ่งเปนผูนําทางทุงขนานไดพาลูกนองมาปลนชุมชนบานสําโรงในสมัยพระยา เสารปกครองดูแลอยู ซึ่งพระยาเสารมีบุคลิกนาเกรงขาม มีความยุติธรรม เด็ดขาด แตก็มีความเอื้อเฟอ ชวยเหลือผูอื่น พระยาเสารทราบวาพระยาระวีนําลูกนองเขามาปลนในหมูบาน จึงไดทองมนตคาถา โดย ใชขาวสารสาดทั่วหมูบาน ทําใหพวกโจรมองเห็นบานของชาวบานเปนบานราง มีเถาวัลยขึ้นเต็มหลังคา หนาบานเห็นเปนปา เห็นสุนัขกลับคิดวาเปนเสือ เห็นคนที่อยูในบานวาเปนผีหลอก จึงบอกลูกนองใหถอย กลับ ไมไดอะไรติดตัวไปเลย วิ่งหนีกันเตลิด สุนัขไลกัดคิดวาเสือไลกัด พระยาเสารเปนผูมีวิชาอาคมมาก เมื่อสิ้นชีวิตไปแลวชาวบานในชุมชนบานสําโรงจึงใหความเคารพนับถือ จึงตั้งศาลไว (ปจจุบันอยูหนา โรงเรียนวัดสําโรง) ใครมีปญหาเดือดรอนเรื่องอะไรจะไปบนบานศาลกลาวขอใหชวย แลวแตจะบนให อะไร เมื่อใกลถึงวันสงกรานตประมาณ ๔-๕ วัน จะมีการเรียกเจาเขาทรง และพระยาเสารจะเขามาในราง ทรงดวย ผูที่เคยบนอะไรไวจะนําของมาแกบน เชน หัวหมู เหลา น้ําหวาน บุหรี่ พวงมาลัย ตามแตวาใคร บนอะไรไวตอหนารางทรง ถาใครไมทําตามคําพูดอาจจะเกิดภัยพิบัติกับตนเองหรือลูกหลาน คนใกลชิด หรือมีอันเปนไป ชาวบานจึงเกรงบารมีมาก แมพระยาเสารจะสิ้นชีวิตไปนานหลายชั่วอายุคนแลวก็ตาม ในเรื่องคาถาอาคม การอยูยงคงกระพัน เสนหยาแฝด ยาสั่ง หลังจากยุคพระยาเสารแลวคนที่ ชอบก็ยังเรียนตอจนถึงชวงอายุของคนประมาณ ๕๐ ปขึ้นไป คนที่อายุต่ํากวานี้มีนอยมากจนถึงปจจุบันนี้ แทบไมมีใครเรียนเลย
ศาลพระยาเสารที่บานสําโรง
การตักบาตรหนองฆองและการจับมาร การตักบาตรหนองฆองและการจับมารเปนพิธีกรรม หรืออาจเรียกไดวาเปนการละเลนที่เปนสวนหนึ่งในงานประเพณีสงกรานตของบานสําโรง การตักบาตร และการจับมารในประเพณีสงกรานตวันที่ ๑๖ เมษายนของทุกป ซึ่งจะกลาวถึงในเรื่องของงานประเพณี สงกรานตในสวนหลังของบทนี้นั้น สืบเนื่องมาจากเรื่องเลาเกี่ยวกับการตักบาตรหนองฆอง (ตักบาตรสง ทุง) ของบานสําโรงที่วา ในสมัยที่บานสําโรงปกครองดูแลโดยพระยาเสาร มีสองสามีภรรยา สามีนั้นจําชื่อ ไมได แตภรรยาชื่อนางซอลไดไปชอนลูกออดที่หนองน้ํา และไดพบฆองขนาดใหญทําดวยทองสัมฤทธิ์ ได นํามาใหพระยาเสารดู พระยาเสารลองตีฆองก็เกิดฟา ผา เกิดพายุ พระยาเสารจึงนําไปจังหวัด ทาง จังหวัดจึงสงฆองนี้ตอไปยังกรุงเทพฯ และฆองนี้ไดถูกนําไปเก็บไวที่พิพิธภัณฑ ฆองดังกลาวนั้นกอนหนานี้นําไปไวที่ไหนลองตีก็จะเกิดฟาผา พายุ ชาวบานจึงไปเขาทรงเพื่อหา สาเหตุของความผิดปกติดังกลาว เมื่อมีการเขาทรง เจาเขาทรงบอกวาความจริงแลว ฆองมี ๒ ใบ เจาของ ดั้งเดิมตั้งใจจะใหอีกใบหนึ่ง (ใบที่ ๒) แตเมื่อไปตีฆองใบแรกของเขาแลว เจาของจึงไมให จึงไดเพียงใบ เดียวที่พบครั้งแรก แลวบอกวาใหชาวบานในหมูบานทําบุญตักบาตรอุทิศสวนกุศลไปใหเขาและพวกมาร ดวย คือจากการเขาทรง เจาของฆองบอกวามีมารมาขอกินดวย จึงตองทําบุญใหมารดวย โดยการตี ตะโพน เมื่อมารไดยินเสียงตะโพนก็จะมากินอาหารที่เซน มีขนม ขาวตม เหลาขาว ในวันสงกรานตของ ทุกป โดยเมื่อถึงวันที่ ๑๓ เมษายน เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. ชาวบานจะไปยกธงตะขาบ (คลายตุงของ ทางภาคเหนือ) ซึ่งทําดวยผาดายดิบ เสร็จแลวไปขอทรายจากแมธรณีที่คลอง สมัยกอนจะมีการกอเจดีย ทรายเลนกันที่คลองกอน แลวจึงนําเอาทรายใสภาชนะมาที่บริเวณยกธง ขางพระอุโบสถใกลๆ กับเจดียที่ บรรจุอัฐิของบรรพบุรุษ จากนั้นจึงชวยกันยกธง เมื่อธงรูปตะขาบขึ้นสูยอดเสาแลวเปนสัญญาณตาม ความเชื่อที่เลาสืบกันมาวา พวกมารจะมารบกวนมนุษยไมไดแลว เทวดาหามมารเขามาในหมูบาน และ ชาวบ า นทุ กบา นจะช ว ยกัน ทํ า รา นเทวดา มี ห มากพลู ม ว นบุห รี่ เครื่ อ งหอม น้ํา อบ แป ง หวี กระจก น้ําหวาน น้ําเปลา กระถางธูป เทียน ดอกไม วางบนรานที่มีเสาไมตั้งสูงแคอก และมีไมแผนสี่เหลี่ยม กวางยาวพอวางสิ่งของบูชาไดเพื่อรับนางสงกรานต พอตอนกลางคืนจะจุดเทียนธูปบูชานางสงกรานต
ดังนั้นเมื่อเทวดาหามพวกมารทั้งหลายเขาหมูบาน ทําใหมารเกิดความอดอยากหิวโหย ไมมีใครใหอาหาร จึงตองทําบุญอุทิศสวนกุศลไปใหในวันสุดทายของเทศกาลสงกรานตที่หนองฆอง คือหนองน้ําที่นางซอ ลพบฆอง จึงตองทําบุญตักบาตรอุทิศสวนกุศลใหเจาของฆอง (ตักบาตรสงทุง) และเหลามารซึ่งเปนผี เรรอน ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๖ เมษายนของทุกป การจับมารดังกลาวในประเพณีสงกรานตนั้นก็จะมีคน แตงตัวเปนมารออกมากินเครื่องเซน จะมีผูมาจับซึ่งก็คือชาวบานที่รวมอยูในพิธี พิธีก็จะดําเนินไปดวย ความสนุกสนาน จับไดนําไปใหพระพรมน้ํามนตก็จะเสร็จพิธี ความศักดิ์สิทธิ์ของเจาตะเคียน ตํานานเรื่องเลาเกี่ยวกับเจาตะเคียน เจาตะเคียนมีความ ศักดิ์สิทธิ์มานานจนทุกวันนี้ชุมชนชาวบานสําโรงก็ยังนับถืออยู คณะผูวิจัยไดรับทราบจากคําบอกเลาของ ผูสูงอายุวา เจาตะเคียนที่ทาน้ําวัดสําโรงมีความศักดิ์สิทธิ์ โดยผูเลาเลาวาเมื่อครั้งที่ตนเองยังเปนเด็ก เล็กๆ แตก็จําความไดแลว คนแกคนเฒาจะหามไมใหเด็กไปเลนน้ําใกลตนตะเคียนที่ทาวัดโดยไมมีผูใหญ ไปดวย (ถาผูใหญไปดวยจะพูดจาขอขมาตอเจาตะเคียนกอน) ตอมาผูเลาคนเดิม (นางสรอย เกตุกัลยา และนางแดง พุทธศรี) เลาตอวาพอตนเองโตขึ้นจําความไดแลว มีเด็กผูชายชื่อพา หลงวงษ เรียนอยู ประมาณชั้นประถมศึกษาปที่ ๔ ตอนพักกลางวันไปเลนน้ําที่ทาวัดกับเพื่อนๆ กันเอง ไดยิงหนังสติ๊กไปถูก ตนตะเคียน พอกลับถึงบานก็ชักโดยไมทราบสาเหตุ หาเจาเขาทรงดู เจาบอกวา เจาตะเคียนทําและจะ เอาไปดูแลลูกของเจาตะเคียน เพราะเด็กชายพาไดยิงหนังสติ๊กไปถูกลูกตาของลูกเจาตะเคียน เด็กชาย พามีอาการชักแค ๑ วันก็ตาย ในระยะหลังพระครูพัฒนาภิรมยไดบวชตนตะเคียน (ดวยคาถา) จึงไมคอย แสดงอิทธิฤทธิ์ ภายหลังเมื่อตนตะเคียนลม จึงไดสรางศาลที่บริเวณริมคลองทาน้ําวัดจนถึงปจจุบันนี้ เมื่อใกลวันสงกรานต ๔-๕ วัน จะเรียกเจาที่ประจําหมูบานกอน ตามดวยเจาตะเคียน และพระ ยาเสารตามลําดับ ประเพณีที่เกี่ยวกับการรักษาโรค การรักษาโรคในบานสําโรง หมอพื้นบานที่มีความรูเกี่ยวกับ การรักษาโรค ความรูเกี่ยวกับสมุนไพร รวมไปถึงคาถาอาคมตางๆ จึงเปนผูมีบทบาทสําคัญ โดยเฉพาะ อยางยิ่งสภาพวิถีชีวิตในอดีตที่หางไกลจากแพทย พยาบาล การสาธารณสุขตางๆ จากการเก็บขอมูลองค ความรูของคนในชุมชนเกี่ยวกับการรักษาโรค คณะนักวิจัยไดรวบรวมบันทึกไวดังนี้ วิธีรักษาตะมอย งูสวัด และคางทูมของลุงสงา เหลือสาคร คุณลุงไดเลาวา วิธีการรักษาทําโดย เอาเหลาขาวอมในปากไว ทองคาถาแลวพนบริเวณที่เปนโรคนั้นๆ เพียงแตใชคาถาพนอยางเดียว ตาม ชนิดของโรค จะพนเวลาใดก็ได หรืออาจจะพนเชา-เย็น (ถาเปนมาก) ถารักษาหายจะมีคายกครู นําไปให ผูทําการรักษา คือ ลุงสงา โดยคาครูจะมีขันธ ๕ (ใชใบตองทําเปนกรวย ๕ อัน) เหลาขาว ๑ ขวด เงิน ๑ สลึง (๒๕ สตางค) ธูป ๑๐ ดอก ดอกไม ๑๐ ดอก (สีอะไรก็ไดยกเวนสีแดง เพราะทางบานเดิมที่จังหวัด นครสวรรคมีความเชื่อวาดอกไมสีแดงเปนดอกไมของผีปอบ) ธูปและดอกไมนําไปเสียบในกรวย (แตละ กรวยจะมีธูป ๒ ดอก ดอกไม ๒ ดอก ) แตถารักษาไมหาย ไมตองยกครู เมื่อคนที่ถูกงูกัดมาถึงมือลุงถินเพื่อใหลุงรักษา ลุงจะใชคาถาเปากระหมอม แลววิธีหารากยา สมุนไพรเพื่อนํามาตมใหกิน ถาเปนเวลากลางวันใหใชวิธีหันหลังใหตนยา กลั้นลมหายใจแลวตองไม เหยียบเงาตัวเอง ดึงเอารากสมุนไพรนั้นมาใหได ถาเปนเวลากลางคืนไมเปนไร เพราะมองไมเห็นเงา แต
ยังใชวิธีหันหลังกลั้นลมหายใจดึงตนสมุนไพรนั้นใหหลุดออกมาทั้งรากเชนเดิม โดยสมุนไพรดังกลาวนี้คือ รากหัวลิง หมากขวบ (หมากที่เก็บไวชนป) ฉากไวเปน ๗ กลีบ รากใบชะพลู ตมใหกินและทาแผลได ถา รักษาหายจึงมีคายกครูเปนเงิน ๙๒ บาท เหลาขาว ๑ ขวด ขาวสาร ๑ ถวย ผาขาว ๑ ผืน กรวยที่ทําจาก ใบตองเสียบดอกไมธูปเทียน ๔ กรวย บานสําโรงในอดีตที่พึ่งพาหมอพื้นบานเหลานี้ ถาเกิดอาการเจ็บปวย ตองการหมอรักษา จะตอง นําเทียน ๑ คู ไปหาหมอมารักษา (หมอสมุนไพรประจําหมูบาน) ถารักษาหายก็สงครู คาครู ๖ สลึง หรือ ๑๒ บาท (คาครูขึ้นอยูกับหมอที่มารักษา) อาการหนัก รักษาอยางไรก็ไมหาย จะมีการนั่งขวัญโดยมีคน ทรง ถือขัน ในขันมีขันธ ๕ ขันธ ๘ ดอกไม ใบตอง แลวจะมีครูนั่งทองคาถาหยอดเหรียญครั้งละ ๑ เหรียญ ลงในขัน อาการไขบางอยางรักษาไมหาย จะมีการจุดทอง นํายอดเตารั้งมาขูดเปนฝอยๆ ตากใหแหง กอน จุดเอาปูนมาทาที่ทอง แลวนํายอดเตารั้งที่ขูดและตากแหงแลวมาปนเปนกอนกลมๆ เล็กๆ วางบนทอง แลวจุดเหนือสะดือ ใชไฟธูปจี้ ประเพณีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการทํามาหากิน ประเพณีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการทํามาหากิน สะทอนใหเห็นถึงวิถีชีวิตในดานการทํามาหากิน การจัดการทรัพยากรเพื่อการดํารงชีพ ขอมูลเกี่ยวกับการ ประกอบพิธีกรรมการทํามาหากินของบานสําโรงพบวา ปจจุบันแทบไมหลงเหลืออยู มีเพียงนายแคน วัง แกว ที่รับชวงตอจากบิดาคือนายโตด วังแกว ยังเชื่อและถือปฏิบัติอยูครอบครัวเดียว พิธีดังกลาวคือการ เซนควาย ซึ่งผูใหขอมูลไดเลาใหฟงวา กอนจะมีการปลูกขาวไร-นา จะมีพิธีกรรมเซนควาย เดือน ๖ มีการเขาทรงเจา คนที่ทําพิธีเซน ไหวจะตองซื่อสัตย ขโมยของใครไมได ถาไมซื่อตรง เสือจะเขาบานตนเอง ถือวาผิดครู ในพิธีมีเหลา ขาวสาร ธูป เทียน แลวจะเซนตอนกลางวัน ปจจุบันยังทําอยูคนเดียว (บานเดียว) ชาวบานไมมารวมดวย เพราะ ชาวบานไมคอยเชื่อถือ เนื่องจากความเจริญตางๆ เขามาในหมูบาน เชน ถนน ไฟฟา น้ําประปา มีเครื่องทุนแรงในการประกอบอาชีพ เชน รถแทรกเตอร ใชไถไรนา ปลูกขา ว ขาวโพด และนวดขา ว นอกจากนี้ยังถือความสะดวกสบาย ความพรอมในการไถปลูกอีกดวย ตอมาอีกประมาณ ๑๐-๒๐ ป ชาวบานจะเลือกวันดีๆ ที่เปนมงคลปลูกขาว แตจะรอใหพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญผานไปกอน เมื่อได วันดีๆ และฝนฟาอํานวย เตรียมพื้นที่พรอมแลวจึงลงมือปลูกขาว สวนผูที่ทําพิธีเซนควาย ถายังไมถึง เดือน ๑๒ จะเผาตนหอม เผาขาวหลาม และตัดยอดหวายมากินไมไดเพราะกลัวความผิดจะเขาตนเอง เมื่อเซนควายแลว ชาวบานจะปลูกขาวทํานาได กอนไถนาตองมีพิธีเซนไหวเจาที่ มีขนมตมขาว ขนมตม แดง ไก เหลา เซนไหวบอกเจาที่ (แตละคนทําเอง) กอนเกี่ยวขาวมีพิธีเรียกรับขวัญขาว ๑๙ รวง (เลือกวัน ดีๆ) ไปเสียบไวบนหลังคา เมื่อเกี่ยวใกลหมดเหลือ ๑๙ กอ จะเรียกขวัญอีกครั้ง ปจจุบันชาวบานสวนใหญของบานสําโรงทําไรทําสวนเปนหลัก โดยเฉพาะอยางยิ่งสวนลําไย หรือพืชผลอื่นๆ ตามความตองการของตลาด พิธีกรรมเกี่ยวกับการทํามาหากินจึงแทบไมมีปรากฏในบาน สําโรง ประเพณีในรอบป นอกจากประเพณีที่เกี่ยวกับชีวิต ประเพณีที่เกี่ยวกับการทํามาหากินแลว ประเพณีในรอบปที่ชาวบานในชุมชนจัดขึ้นก็เปนขอมูลอีกดานหนึ่งที่ชวยทําใหมองเห็นและเขาใจชุมชน
มากขึ้น ประเพณีที่จัดขึ้นในเดือนตางๆ ในรอบปที่สําคัญในบานสําโรง ไดแก งานเทศนมหาชาติ งาน สงกรานต การทําบุญสารท การลอยประทีป การตักบาตรเทโว การลอยกระทง การเก็บขอมูลเกี่ยวกับ ประเพณีเหลานี้ทําใหเห็นทั้งบทบาทของความเชื่อ ศาสนาที่มีตอคนในชุมชน ความสัมพันธของคนกับ ธรรมชาติ ความสัมพันธของคนในสังคม รวมไปถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ดังปรากฏจากการลด การ เพิ่ม การปรับเปลี่ยนรูปแบบประเพณี ความเปลี่ยนแปลงดังกลาวยังดํารงอยูเปนภาพเคลื่อนไหว ทําบุญสารทของคนในทองถิ่น ในสมัยโบราณเปนการทําบุญอุทิศสวนกุศลใหกับบรรพบุรุษที่ ลางลับไปแลว โดยมีความเชื่อวาในรอบที่ ๑ ป มี ๒ วัน คือ วันสารทและวันสงกรานต ที่ยมบาลจะปลอย ใหญาติพี่นองหรือบรรพบุรุษมารับอาหารคาวหวาน จตุปจจัย เครื่องนุงหม ไดดวยตนเอง ถาทําบุญวัน อื่นๆ จะตองฝากไปให (เปรียบเหมือนฝากไปรษณียไปให) และในวันสารทจะเนนขาวตมมัด ผัก อาหาร ขนมตางๆ ถาในวันสงกรานตจะเพิ่มเสื้อผาของใชตางๆ ไปดวย ประเพณีทําบุญในชวงกอนออกพรรษาอีกวันหนึ่งที่ชาวบานสําโรงทําเปนประจําจนถึงปจจุบันนี้ คือ การทําบุญสารท ซึ่งตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ํา (วันสิ้นเดือน) เดือน ๑๐ เพื่อทําบุญอุทิศสวนกุศลใหบรรพ บุรุษที่ลวงลับไปแลว ปจจุบันการทําบุญวันสารทนอกจากจะอุทิศสวนกุศลใหผูตายแลว ยังไดบริจาคทาน และดํารงประเพณีอันเกาแกไวดวย ลอยประทีป การลอยประทีปเปนประเพณีที่สืบทอดมาจากประเทศกัมพูชา เพราะพระที่เปน เจาอาวาสวัดสําโรงสวนใหญเปนพระที่มาจากประเทศกัมพูชา และคนทําพิธีจะเปนคนเขมรพื้นบานที่รู เรื่องประเพณีนี้ พิธีลอยประทีปตรงกับวันแรม ๑ ค่ํา เดือน ๑๑ หลังออกพรรษา ๑ วัน ชาวบานชวยกันทํา แพมีหลังคา พอถึงวันลอยประทีปนําขนม ขาวตม ขาว ปลายาง และอาหารคาวหวานอื่นๆ หมาก พลู บุหรี่มวนเอง ธูปเทียน ทุกอยางใสในกระทงสี่มุม ๔ กระทง เพื่ออุทิศสวนกุศลใหผีเปรต การลอยประทีปนี้ ลอยกลางวันไมเกิน ๔ โมงเย็น มีคนรําในคลองเดินตามแพมาเพราะคลองตื้น โดยคนตีกลองเดินตามตลิ่ง พระจะคอยอยูที่ทาน้ํา สวดชยันโตให พอพระสวดเสร็จก็ปลอยใหแพลอยไปตามน้ํา (ทุกบานทําโคม จุด เทียนในโคมประดับไวหนาบาน) พอถึงเที่ยงคืนจะปลอยโคมใหญ (เปนโคมที่ชาวบานไดชวยกันทํา แลว เตรียมไวรอเวลาปลอยที่วัด) โดยจะทํานายจากโคมใหญนี้วา ถาลอยไปทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออก ฝนจะยังตกอยู แตถาโคมใหญลอยไปทางทิศตะวันตกหรือทิศใตจะหมดฝน เขาสูหนาหนาว เนื่องจาก ชาวบานมีอาชีพเกษตรกรรมตองใชน้ําในการเพาะปลูก ปจจุบันการลอยประทีปเลิกไปเพราะไมมีใครสืบ ทอดประเพณี ไดเปลี่ยนมาเปนตักบาตรเทโวตามสังคมภายนอก แตการปลอยโคมใหญยังคงทําอยูในคืน วันออกพรรษา และเชา วันตั กบาตรเทโวจนถึง ทุกวัน นี้ สว นโคมที่ แขวนไวหน าบา นและจุดโคมตอน กลางคืนไดเลิกไปเมื่อประมาณ ๓๐ กวาปมานี้ เพราะคนรุนตอมาไมมีคนนําทําพิธี ถึงแมวาคนรุนราว คราวเดี ยวกัน กับ คนที่ นํา พิธียัง มีชีวิต อยูแ ต พวกเขาเหลา นั้น ก็ ไมไ ด ใส ใจที่จ ะนํา คนรุน หลัง สื บ ทอด ประเพณีอันดีงามนี้ไว ตักบาตรเทโว ตั้งแตสมัยกอตั้งชุมชนและมีกิจกรรมประเพณีทางศาสนามา ไมเคยมีประเพณี ตักบาตรเทโว ชาวบานจะทําบุญในวันออกพรรษาวันเดียวและมีการลอยประทีปในวันนี้ ตอมาเมื่อความ เจริญเขาสูหมูบาน และมีการติดตอกับสังคมภายนอกเมื่อประมาณ ๒๐ กวาปมานี้ ไดเห็นที่อื่นมีการตัก
บาตรเทโว ผูใหญบานหมู ๖ ไดนิมนตเจาอาวาสวัดสําโรงไปรวมตักบาตรเทโวที่วัดทับไทร ตอมาจึงไดนํา ประเพณีนี้เขาสูบานสําโรง ฉะนั้นในวันแรม ๑ ค่ํา เดือน ๑๑ ตอจากวันออกพรรษา ประเพณีลอยกระทง (ขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๒) ประเพณีลอยกระทงในสมัยโบราณ จะมีพิธี กรอกขาวเมา (ภาษาเขมร เรียกวา เออะโมะ) เปนประเพณีที่สืบทอดมาจากประเทศกัมพูชา ตอนเชา ชาวบานนําอาหารคาว หวาน มาทําบุญที่วัด เมื่อกลับจากวัดแลวชาวบานจะทํากระทงดวยกาบหมาก กาบกลวย ใสบุหรี่ หมาก พลู ดอกไม ธูปเทียน สตางค นํากระทงมาที่วัด พระจะสวดมนต กอนลอยกระทงในตอนหัวค่ํา คนนําในพิธีนําไมมาปก ๒ อันหางกัน มีไมอีก ๑ อัน เสียบระหวาง ไม ๒ อัน เจาะรู ๑๒ รู ใสเทียนลงไป จุดเทียนทั้ง ๑๒ เลม นําใบตองมาวางไวดานลาง หมุนเทียนให น้ําตาเทียนหยดลงบนใบตองทีละ ๑ รอบ คือ ๑ เดือน เอาใบตองออก นําใบตองใหมใสเขาไป หมุนเทียน ทําใหครบ ๑๒ เดือน เอาใบตองทั้ง ๑๒ เดือนมาดู จะมีหยดน้ําตาเทียนเปนรูปตางๆ และทํานายวาจะมี ฝนหรือแหงแลงตามน้ําตาเทียนที่หยดบนใบตองแตละใบ ถาเปนรูปจระเข ปลา เทากับวาฝนจะดี ถาเปน รูปกวาง เกง หมู จะแหงแลง คนที่มารวมในพิธีจะมีทุกเพศทุกวัยเพราะมารวมทําบุญกันที่วัด และทุกคน จะนําขาวเมาที่ทําเองไปดวย เมื่อคนทําพิธีเสี่ยงทายเสร็จ จะเดินถามชาวบานทุกคนวาชื่ออะไร ใหตอบ วาชื่อเต็ม แลวผูทําพิธีจะถามตออีกวาเต็มอะไร ใหตอบวาเต็มบริบูรณ ก็จะใหขาวเมา ถาตอบเปนชื่อ อื่นๆ จะไมไดขาวเมา ซึ่งพิธีนี้ทําเพื่อเสี่ยงทายและรอเวลาใหชาวบานมารวมกลุมกันอยูในวัดจนถึงเวลา เที่ยงคืนจะไดไปลอยกระทงพรอมกัน ปจจุบันพิธีนี้ไดเลิกแลว หลังจากเสร็จพิธีกรอกขาวเมาหรือเออะโมะแลวพระนําขอขมาแมพระคงคา เสร็จแลวนําไปลอย ที่คลองตอนเที่ยงคืนที่ทาวัด ซึ่งประเพณีลอยกระทงนี้ยังทํามาจนถึงปจจุบัน แตกระทงมีการประดิษฐ อยางสวยงามดวยวัสดุในทองถิ่นจากธรรมชาติ ตอนหัวค่ําชาวบานจะนํากระทงมาที่วัดเพื่อฟงพระสวด และนําขอขมาแมพระคงคา เสร็จแลวตางคนก็แยกยายกันไปลอยกระทงที่ทาวัดสวนหนึ่ง และที่ฝายกั้น น้ําบานสําโรงบนมีการเปดเพลงเตนรําสนุกสนานจนดึกดื่น
บานสวนสม เรื่องเลาที่เปนตํานาน ความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร บานสวนสมหากเปรียบเทียบกับบาน สําโรงแลวนับวาเปนหมูบานที่กอตั้งไดเพียงไมนาน อีกทั้งการเกิดและเติบโตของชุมชนก็เกิดจากการ อพยพย า ยถิ่น เข า มาอยูอ าศั ย ของคนที่ต า งๆ ทํ า ให ข อ มู ล เกี่ย วกั บ ตํา นาน ความเชื่ อ จึง มีไ มมากนั ก อย า งไรก็ ต ามจากการเก็ บ ข อ มู ล พบว า ประชากรที่ อ ยู ใ นหมู บ า นสวนส ม มี ค วามเชื่ อ และนั บ ถื อ สิ่ ง ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแตยังไมไดตั้งหมูบาน เปนความเชื่อที่เชื่อตอๆ กันมา โดยการเลาปากตอปากของคนที่ได เขามาอยูกอนและไดประสบพบเห็นเหตุการณดวยตนเอง ซึ่งความเชื่อของคนในหมูบานที่เชื่อและยึดเปน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปองหมูบานที่สําคัญที่สุดคือ เจาพอวัวแดง และความเชื่อปลีกยอยอื่นๆ ซึ่งสะทอนถึง สภาพสังคมบานสวนสมดังตอไปนี้ เจาพอวัวแดง จากการบอกเลาของนายสมชาย ศิริธรรม ผูซึ่งเปนรางทรงของเจาพอวัวแดงที่ ชาวบานสวนสมเคารพนับถือ ไดเลาประวัติความเปนมาของความเชื่อเรื่องเจาพอวัวแดงวา สมัยกอน
ชาวบานมักเขาปาลาสัตวเพื่อนํามาเปนอาหาร วันหนึ่งไดไปเจอฝูงวัวสีแดงหากินตามชายปา จึงลงมือยิง ฝูงวัวเหลานั้น แตปรากฏวายิงแลวกระสุนปนไมออก เหตุการณแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งติดตอกัน จนเปน ที่นาแปลกใจสําหรับผูที่ไปลาสัตว จึงไดไปหาพระ พระไดนั่งทางในจึงไดทราบวามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปกษ รักษาฝูงวัวฝูงนี้อยู ไมมีใครสามารถทําอะไรได ในบริเวณที่วัวฝูงดังกลาวไดหากินอยู ขางบนเปนถ้ํา ชาวบานเรียกกันวาถ้ําเจาพอวัวแดง ซึ่ง ชาวบานนับถือ ศรัทธากันสืบมา บางคนไปบนบานศาลกลาวอะไรไวก็จะไดดั่งหวัง ถ้ําแหงนี้บางคนก็ มองเห็น บางคนก็ไมสามารถที่จะมองเห็นได เห็นแตเพียงตนไมเทานั้น แลวแตจิตของแตละคนที่จะสัมผัส ได