การจัดการทรัพยากรน้ําในลุมน้ําหมัน ลําน้ําหมันเกิดจากภูเขาคอนไก (ภูลมโล) ภูเขาลูกนี้มีพื้นที่ครอบคลุม ๓ จังหวัด คือ จังหวัดเลย จังหวัดเพชรบูรณ และจังหวัดพิษณุโลก ไหลยอนไปทางทิศเหนือ ผานตําบลกกสะทอน ตําบลดานซาย ตําบลนาหอ ตําบลนาดี ไปบรรจบแมนํา้ เหืองที่ตําบลปากหมัน (ตําบลดังกลาวที่อยูในเขตอําเภอดานซาย ทั้งหมด) สภาพของลําน้ํา เปนลําน้ําสายเล็กๆ และแคบ แตมีน้ําไหลตลอดป มีลําหวยมากมายที่ไหลลงสู ลําน้ําสายนี้ ตนน้ําในชวงที่น้ําไหลผานตําบลกกสะทอน สภาพพื้นที่เปนภูเขาสูงต่ําลดหลั่นและสูงชัน มี แกงและโขดหินติดตอกันเปนระยะทางไกล บางชวงน้ําจะไหลลอดโขดหิน หนาแลงจะมองไมเห็นน้ํา (ชาวบานเรียกวาน้ําดั้น ดั้นแปลวาลอด) ฤดูฝนน้ําไหลเชี่ยวมาก สภาพของลําน้ําในชวงที่ไหลผานตําบล ดานซาย คือ หมูบานหัวนายูง บานเหนือ บานเดิ่น บานหนองคู บานนาเวียง และบานนาหอ ตําบลนาหอ เปนพื้นที่ราบ กระแสน้ําไหลไมแรงนัก ในอดีต (เมื่อ ๕๐–๖๐ ปกอน) ในหนาฝนผูคนจะใชน้ําฝนที่รองจาก หลังคาบานของแตละครัวเรือน เก็บใสโองใสตุมไวดื่มไวใชจนตลอดฤดู (มีฝนตกตามฤดูกาล) สวน หนาแลงตั้งแตเดือนพฤศจิกายน-เดือนพฤษภาคม น้ําในลําน้ําหมันจะใสสะอาด ผูคนที่ตั้งบานเรือนอยูริมฝงน้ํานี้จะใชน้ําในลําน้ําหมัน สําหรับดื่ม อาบ และซักลางสิ่งของตางๆ ไดตลอดป แตละหมูบานจะมีทาน้ําเปนของตนเอง และมีเสนทางลําน้ําเชื่อมกับถนนสายหลักของหมูบาน ตอนเชาของแตละวันคนในครัวเรือนจะนําภาชนะ (คุ-ถัง) ลงไปตักน้ําในลําน้ําขึ้นมากักเก็บไวในโองหรือ ตุม (สวนมากเปนหนาที่ของฝายหญิง) ใหพอดื่มกินไดตลอดทั้งวัน จะมากหรือนอยขึ้นอยูกับจํานวนผูคน ในครัวเรือน และตักน้ําสําหรับใชมาเก็บไวในโองหรือตุมอีกทีหนึ่ง เพื่อใชลางถวยชามและภาชนะอื่นๆ ใน ครัวเรือน การซักเสื้อผาและเครื่องนุงหมอื่นๆ ชาวบานจะนําไปซักที่ทาน้ําในตอนเย็นทุกวัน ชาวบานทุก คนจะลงไปอาบน้ําที่ทาน้ําในหมูบานของตนเอง สวนมากจะอาบน้ําวันละครั้ง คือ ตอนเย็นของแตละวัน หลังจากทํางานเหน็ดเหนื่อยมาแลวทั้งวัน การใชน้ําในการเกษตร หนาแลง ชาวบานจะปลูกพืช ผัก เชน หอม กระเทียม ผักชี ผักกาด กะหล่ําปลี กะหล่ําดอก เปนตน ตามริมฝงทั้งสองฟาก โดยใชน้ําในลําน้ําหมันรดพืชที่ปลูกไว ในหนาฝน ชาวบานหัวนายูง บานเดิ่น บานเหนือ และบานหนองคู จะไมใชน้ําในลําน้ําหมันชวยในการทํานา เพราะที่ นาอยูสูงจากระดับน้ําและไดน้ําฝนจากลําหวยที่ไหลจากภูเขาซึ่งมีปริมาณมากพอสําหรับการทํานาอยู แลว แตชาวบานนาเวียง บานนาหอ ที่มีที่นาอยูใกลลําน้ําหมัน เขาจะใชน้ําจากลําน้ําชวยในการทํานา เรียกวา นาน้ําพัด โดยการทําพัด (ระหัด) วิดน้ําเขานา ซึ่งจะทํานาไดปละครั้ง คือ ในหนาฝนเทานั้น ใน ปจจุบันยังพอมีพัดใหเห็นอยูบาง ระบบ “น้ําภูเขา” กอนป ๒๕๐๖ ชาวบานหนองคู บานเหนือ บานเดิ่น และบานหัวนายูงใชน้ํา จากลําน้ําหมัน สําหรับดื่ม อาบ และอื่นๆ หลังจากนั้นมา สุขาภิบาลดานซายไดจัดสรางประปาภูเขาจาก หวยน้ําอุน (หวยน้ําอุน เปนสาขาหนึ่งของหวยน้ําศอกและลําน้ําหมัน ตนน้ําอุนเกิดจากภูเขาในหมูบาน กกเหี่ยนและบานกางปลา ทางทิศตะวันออกเฉียงใตของบานเดิ่น) โดยกั้นเปนฝายน้ําลน (ฝายคอนกรีต)
บนภูเขาในเขตหมูบานเดิ่น แลวตอทอเหล็กเชื่อมติดตอกันเขามาในหมูบานเดิ่น บานหนองคู บานเหนือ และบานหัวนายูง ใหชาวบานใชดื่ม อาบ และอื่นๆ (ใชน้ําจากธรรมชาติ ไมตองผานกรรมวิธีทําน้ําให สะอาดแตอยางใด เพราะชาวบานเชื่อวา น้ําที่ไหลจากภูเขานั้นสะอาดอยูแลว) สุขาภิบาลดานซายเก็บ คาบริการการใชน้ําประปาภูเขาครัวเรือนละ ๒๐ บาทตอเดือน ตอมาราวป ๒๕๓๘ สุขาภิบาลดานซายไดโอนกิจการประปาภูเขาใหกับการประปาสวนภูมิภาค สาขาดานซาย การประปาสวนภูมิภาคยังคงใชน้ําจากหวยน้ําอุนและน้ําจากลําน้ําหมันมาผลิตเปนน้ํา สะอาด จําหนายใหแกชาวบานในเขตเทศบาลตําบลดานซายไปทางทิศใตประมาณ ๖ กิโลเมตร หาก เขื่อนนี้สรางเสร็จ สามารถกักเก็บน้ําไดจํานวนหนึ่ง คงชวยบรรเทาความเดือดรอนจากภัยน้ําทวมของ หมูบานใตเขื่อนไดในระดับหนึ่ง จึงเห็นไดวา คนสมัยกอนการมาตั้งถิ่นฐานที่อยูอาศัย การทํามาหากินจะตองหาทําเลที่มีแหลง น้ํา มีพื้นที่ทําการเพาะปลูกพืชตางๆ มีพื้นที่ในการเลี้ยงสัตว ที่สําคัญที่สุดคือแหลงน้ํา ไมวาจะน้ําดื่ม น้ํา ใชในครัวเรือน น้ําที่ใชในการเพาะปลูก ชาวบานนาหอก็อาศัยแหลงน้ํา คือลําน้ําหมัน สมัยกอนผูคนยังไม มากจึงทําใหลําน้ําหมันสะอาด สามารถใชดื่มได ครั้นตอมาเมื่อมีผูคนมากขึ้นจึงทําใหลําน้ําหมันสกปรก ไมสามารถใชดื่มได ชาวบา นจึ ง หาวิ ธีทําน้ํา ดื่มโดยการขุดบอ น้ํ าตามเชิงเขาที่มีน้ํา ซึมใตดิน การทํ า การเกษตรตองอาศัยลําน้ําหวยบนภูเขาที่สูงแลวทํารองน้ําลงมาหาพื้นที่แปลงเกษตร น้ําหวยบนภูเขาจะ ไหลตลอดป ถาพื้นที่ทําการเกษตรอยูใกลลําน้ําหมันชาวบานก็จะทําพัดเพื่อเอาน้ําขึ้นไปบนแปลงเกษตร ถาพื้นที่ทําการเกษตรอยูสูงกวาลําน้ําหมัน ก็อาศัยลําหวยบนภูเขาที่สูงทํารองน้ําไหลลงสูแปลงที่ทํา การเกษตร โดยอาศัยลําหวยน้ําตับที่อยูดานภูผาแดด ปจจุบันชาวบานก็ยังอาศัยลําหวยน้ําตับนี้อยู “พัด” หรือระหัดวิดน้ํา หมูบานนาหอตั้งอยูติดกับแมน้ําหมัน ที่นาทําการเกษตรก็อยูติดแมน้ํา หมัน การจะเอาน้ําจากแมน้ําหมันขึ้นไปบนพื้นที่นา เมื่อสมัยกอนยังไมมีเครื่องยนตสูบน้ํา ชาวบานนาหอ จึงหาวิธีวิดน้ําขึ้นพื้นที่นา โดยการทําพัดหรือระหัดวิดน้ํา ทําดวยไมไผ ใชงานไดเพียง ๑ ป เทานั้น ถึงป ตอไปก็ทําใหม ปจจุบันนี้หมูบานนาหอยังมีการทําพัดใชอยู จึงกลาวไดวาพัดมีประโยชนหลายอยางตอชาวบานในลุมน้ําหมัน โดยเฉพาะเกษตรกรผูทํานาได อาศัยพัดวิดน้ําเพื่อทํานา ปลูกพืช และเลี้ยงสัตวไดอยางเพียงพอ โดยไมตองรอน้ําฝน สวนการใชพัดทาง การเกษตรจะใชไดเฉพาะคนที่มีที่นาอยูใกลลําน้ําหมันเทานั้น หางออกไปไมสามารถใชไดเนื่องจาก น้ําที่ พัดขึ้นมาอาจสงแรงไปไมถึง ขั้นตอนการทําพัด เริ่มตนจากการตัดลําไมไผเปนทอนๆ ยาว ๒ เมตร แลวนํามาตอกลงกลางลํา น้ําหมัน เปนแนวสลับฟนปลา และวางรูปเฉียงลงตามลําน้ําหมัน ซึ่งเรียกกันวา “ลงหลักหรวย” เพื่อใหน้ํา ไหลไปทางเดียวกัน คือลงไปที่พัด พัดก็จะหมุนขึ้น พอตอกลงหลักเสร็จแลวคอยนําใบมะพราวหรือปลาย ไมไผมาใสทับไวใหแนนหนา สวนเสาทวนหรือแกนกลางทําจากแกนไมเนื้อแข็งมีความยาวประมาณ ๖-๗ เมตร เสาทวนนี้จะตองมีความทนทานมาก ขณะที่ดุมพัดทําจากแกนไมเนื้อแข็งมีความยาวประมาณ ๒ เมตร หนาประมาณ ๒๐ เซนติเมตร เปนทอนยาวกลม ดุมจะตองเจาะใหเปนรูเพราะจะไดเอาธนูเสียบ โดยธนูทําจากไมที่อยูในไร จะเปนไม
อะไรก็ไดแตตองมีอายุประมาณ ๑-๒ ป สวนขื่อจะทําดวยไมไรเชนกัน ทําเปนวงกลม ใชไมไรยาวมัดตอ กันเปนวงลอมกลม สําหรับกรงจะใชไมไรที่เสียบกับดุมจรดวงพัดเปนวงกลม สวนใบพัดใชไมไผผาสับเปนซีกเล็กแลวเอามาสานเปนแพติดไวเปนระยะๆ ตรงกรงและขื่อ ระยะ ชวงหางใหเทากัน เสร็จแลวตอดวยไมไผเปนทอนยาวประมาณ ๑.๕๐เมตร ไมไผนี้จะตองทะลุปลองออก เพื่อที่จะไดตักน้ําขึ้นไปเทใสรางน้ําซึ่งอยูขางบนเรียกวา “บั้งพัด”
พัดหรือระหัดวิดน้ํา ภูมิปญญาทองถิ่นวัฒนธรรมลุมแมน้ําหมัน ปจจุบนั ชาวบานยังคงใชพัดนี้อยูที่บานนาเวียงและนาหอ
ขณะที่บั้งพัดใชไมไผตัดเปนกระบอกยาวประมาณ ๒ ปลอง และจะตองทะลุปลองแลวเอามามัด ตัดกับขางใบพัด โดยมัดเปนรูปเฉียง เสร็จแลวพัดก็จะหมุนไปเรื่อย ๆ สงน้ําไปตามรางน้ํา ซึ่งจะมีทั้งราง น้ําสั้น คือรางน้ําที่รองน้ําจากบั้งพัด และรางน้ํายาว คือตองใชไมไผเปนทอนยาวที่ทะลุปลองแลวมาตอ กันเปนทอนยาว ที่สงน้ําไหลไปหานา นอกจากนี้ยังตองทําแพพื้น คือพื้นน้ําขางลางตรงพัดหมุนจะตองทําแพไวใต เพราะกันน้ําเซะพื้น โดยใชไมไผสับใหเปนแพ (เรียกวาฟาก) ปูลงพื้นดินในน้ําหรือจะใชไมเปนทอนลํายาวก็ไดเหมือนกัน จึงกลาวไดวา พัดถูกนํามาใชประโยชนเพื่อวิดน้ําทํานามานานแลว พัดจึงมีประโยชนตอคนลุม น้ําหมันมาก เพราะนอกจากไดใชน้ําทํานาแลวยังไดหาปูหาปลางายสะดวกสบาย เพราะเปนแหลงที่อยู อาศัยของสัตวน้ํา เมื่อกอนคนที่มีพัด เรียกไดวาเปนคนที่มีฐานะดีมาก เพราะวาไดทํานามีน้ําทํานาตลอด ทั้งป ไมตองรอน้ําจากฝน ไดทํานามีขาวไวกินและขายตลอดทั้งป ปจจุบันหลายครอบครัวในบานนาเวียง และนาหอยังคงใชพัดอยูเชนเดิม การสรางบานเรือนในชุมชนลุมน้ําหมัน สวนสภาพบานเรือนของชุมชนลุมน้ําหมันทั้ง ๓ ชุมชนมีลักษณะคลายๆ กัน กลาวคือ การดํารงชีวิตของคนรุนปู ยา ตา ยาย เมื่อ ๖๐–๗๐ ปกอน การ สรางที่อยูอาศัย วัสดุอุปกรณในการกอสรางที่อยูอาศัยหาไดจากปาบริเวณรอบหมูบานตรงบริเวณโคกวัว (ปจจุบันคือ โรงเรียนศรีสองรัก) หรือบริเวณโคกนอยที่ตั้งทหารพราน ภูแกงขี้ควายบานนาหวา การขนไม
จากปาสูหมูบานจะอาศัยแรงคนชวยกันแบกหาม ถาเกินกําลังคนก็อาศัยแรงงานสัตว (ควาย) เปน พาหนะลากจูง การปลูกบานแลวแตฐานะของแตละครอบครัว ผูมีฐานะดีจะสรางบานถาวร เปนเสาไมเนื้อแข็ง (ไมจริง) ถากเปนเสากลมๆ พื้นแปน ฝากระดาน (พื้นแปน ฝาแปน หมายถึง ไมกระดานที่เลื่อยเปนแผนๆ จากไมเนื้อแข็ง) หลังคามุงดวยแปนเกร็ด (กระเบื้องไม) บานเปนทรงมะลิลา มีจั่ว มีระเบียงหนาบาน กั้น ฝาระหวางหองนอนกับระเบียง มีประตู ๒ ขาง เวนหองกลาง มีหนาตางดานขางเปนชวงแคบๆ เรียกวา ปองเอี้ยมหรือปองเยี่ยม สวนระเบียงดานหนาปลอยโลง หองนอนโลง แตจะใชผากั้น (ผามาน) กั้นเปน หองนอนของพอ-แมและลูกอยางเปนสัดสวน พื้นที่ของตัวบานจะมีขนาด ๘ X ๑๖ ศอก ปลูกเรือนไฟ (เรือนครัว) แยกตางหาก โดยสรางฐานติดตอกัน ระหวางเรือนนอนกับเรือนไฟจะมีฮาน (ราน) โองน้ํากิน สวนน้ําใชแยกตั้งไวใกลเรือนครัว น้ํากินน้ําใชไดจากลําน้ําหมัน ใชภาชนะคุบรรจุ (ตัก) หาบขึ้นมาใสโอง น้ํากิน น้ําใช น้ํากินตองรีบตักแตเชาๆ เพราะน้ําจะใสสะอาดดีในตอนเชา รั้วบาน (ฮั้ว) รอบบริเวณบานจะปลูกไมมะเยา (ไมสบู) เปนเสาหลัก ใชไมขาวหลาม หรือไมหาง ชาง (ไมไผชนิดหนึ่ง) เปนเคราใชตอกมัด (ไมตอกทําจากไมไผที่มีอายุไมเกิน ๑ ป) บานสวนมากจะไมมี รั้วจะปลอยโลงๆ สะดวกในการติดตอของเพื่อนบานที่อยูบานใกลเรือนเคียง ผูมีฐานะปานกลางจะปลูกบานตามฐานะของตนเอง คือ วัสดุอุปกรณที่ใชจะเปนไมไผ มี เฉพาะ เสาเทานั้นที่จําเปนจะตองใชไมเนื้อแข็ง (เสาไมแกนหมายถึงไมเนื้อแข็งที่ตายแลว สวนที่เปนกระพี้หายไป เหลือเฉพาะแกน ปลวกกัดกินยาก) พื้นฝาทําดวยฟากใชไมไผสับแลวเล็มเปนแผนๆ กอนนําไปแชน้ําเพื่อ ลดปริมาณน้ําตาลในเนื้อไม ปองกันมอดกัดกิน ถือเปนภูมิปญญาชาวบานที่ไมตองใชสารเคมีมีพิษ ไมไผ นี้จะนํามาปูพื้นและกั้นฝา หลังคามุงดวยหญาแฝก (แฝกคือหญาคา นําตนที่มีความสูงประมาณ ๑ วา ทําเปน “ตับ”) การทําหลังคานั้นจะตองทําใหเปนทรงแหลมมีจั่ว ภาษาถิ่นเรียกวา “แปลญอก” (ออกเสียง ที่จมูก) ทั้งนี้เพื่อใหเม็ดฝนที่ตกลงมาไหลเร็วไมตกคางบนหลังคา ปองกันการผุพังของแฝก ใหมีอายุใช การไดนานๆ การจัดตับบนหลังคาจะใชไมตอกผูกมัดติดกันใหแนน บานประเภทนี้มีอายุใชงานประมาณ ๑๐–๑๕ ป ก็จะตองซอมแซมทุกๆ ป สวนเรือนครัวและเรือนไฟ จะปลูกแยกตางหาก สวนผูที่มีฐานะยากจนจะปลูกบานเปนตูบ (กระตอบ) วัสดุอุปกรณจะเปนไมไผเกือบทั้งหมด เสา อาจจะเปนไมจิงหรือไมแกนลอน หรือไมก็ไมมอกปอกลื่ม ไมจิงจะตองทุบเปลือกออก หลังคามุงแฝกใช หวายหรือไมตอกผูกมัดกันโยก มีอายุการใชงาน ๓-๕ ป บานก็ชํารุดตองซอมแซมหรือไมก็รื้อถอนปลูก สรางใหม เปนที่นาสังเกตวาการปลูกสรางบานสมัยกอนจะใชหวายหรือไมตอกแทนตะปู การปลูกบานของ คนยุคนั้นจะใชแรงงานของคนในหมูบาน อาจเปนเพื่อนบานหรือญาติพี่นองชวยกันทํา จะจายคาจาง เฉพาะสวนที่ทําไมเปน เชน บานประตูและหนาตางตองจางคนจากที่อื่น บานสวนใหญนิยมปลูกบานใต ถุนสูง ใชเปนที่ผูกวัวควาย เลาไก และตั้งที่ทอผา เก็บฟน และทํางานอื่นๆ ที่ตองอาศัยรมเงา ชาวบานจึง ใชใตถุนบานไดสารพัดประโยชนและคุมคา
ปจจุบันชาวบานในชุมชนลุมน้ําหมันมักไมใชไมในการสรางบาน กลับหันมานิยมการปลูกบาน ดวยการกออิฐฉาบปูน ใชหลังคาโครงเหล็ก เวนแตประตูหนาตางที่ยงั คงใชไม ทั้งนี้เพราะชาวบานมองวา การปลูกบานทีม่ ีลักษณะแบบนี้ดูทันสมัยและนาอยูมากกวา