เรียนรูจากแผนที่เพื่อรูจักทองถิ่น
LEK-PRAPAI MEMORIAL DAY 10th การอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อรู้จักท้องถิ่น”
สร้างแผนที่ของท้องถิ่นตนเอง โดยปรับจากแผนที่ภูมิศาสตร์ ผสมผสานกับความเข้าใจ โดยพื้นฐานของตนเอง ตลอดจนใช้จินตนาการและความทรงจํา ในสภาพแวดล้อม ตํานาน และคําบอกเล่าภายในชุมชนจากผู้อาวุโส เพื่อสร้างแผนที่ซึ่งสามารถบอกเล่าเรื่องราวของท้องถิ่นของตนเอง ได้อย่างไม่มีทฤษฎีในการทําแผนที่มากําหนด
หลักการและวัตถุประสงค์
โครงการ “เด็กรักถิ่น” เปนแนวคิดและ จุ ด มุ ง หมายสำคั ญ ในการทำงานของ มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธในระยะตอ ไป หลังจากมูลนิธิฯ ไดริเริ่มและจุด ประกายในการจัดทำพิพิธภัณฑทองถิ่น จนทำใหเกิดขึ้นแลวทั่วประเทศ หลัง จากนั้นจึงไดริเริ่มทำงานวิจัยทองถิ่น โดยการสรางนักวิจัยที่เปนชาวบานชาว เมืองในทองถิ่นทำงานรวมกับนักวิจัย จากมูลนิธิฯ จนสามารถเขียนรายงาน จากประสบการณทำวิจัยที่เปนกระบวน การทำงานรวมกัน และสราง ประวัติศาสตรทองถิ่นรวมทั้งปฏิบัติการ ฟนพลังของคนในสังคมทองถิ่นจากการ ศึกษาสังคมและบานเกิดของตนเอง โดย
สามารถเข า ใจถึ ง สาเหตุ แ ห ง การ เปลี่ยนแปลงภายในทองถิ่น รวมทั้ง เขาใจในรากฐานของตนเองทำใหเกิด ความมั่นใจในการศึกษาดวยตนเองโดย การเรียนรูขั้นตอนการสรางงานวิจัยและ สังเคราะหผลจากการวิจัยนั้นไดอยางมี ประสิทธิภาพ จึ ง ได พ ั ฒ นาเพื ่ อ ต อ ยอดงานเพื ่ อ เผย แพรความรูและการทำความเขาใจเรื่อง ทองถิ่นมาตามลำดับ ดังนี้
สารบัญ ภู ม ิ ว ั ฒ นธรรมและการศึ ก ษาท อ งถิ ่ น ศรี ศ ั ก ร วั ล ลิ โ ภดม
เรี ย นรู จ ากแผนที ่ เ พื ่ อ ศึ ก ษาท อ งถิ ่ น วลั ย ลั ก ษณ ทรงศิ ร ิ
มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ รวม มือกับเมืองโบราณ สมุทรปราการ ผลิต รายการสารคดี “พอเพียงเพื่อแผนดิน เกิด” เพืื่อเผยแพรขอมูลขององคกรภาค 1
9
การอานแผนที่กับการเรียนรูนิเวศวัฒนธรรมของ เด็กไทยในยุคปฏิรูปการศึกษา ศรี ศ ั ก ร วั ล ลิ โ ภดม
1
3
25O
คนไทยใชแผนที่ไมเปน : เหตุการณแหงความโง เขลาเบาปญญาจนเสียรู เสียดิแดนO ศรี ศ ั ก ร วั ล ลิ โ ภดม
29
ประชาสังคมในทองถิ่นตางๆ แสดงให เห็นความหมายของคำวา “บานเกิด เมืองนอน” แผนดินทองถิ่นเกิดนั้น คนในทองถิ่นตองรักษาและไมทำลาย จนกลายเปนความวิบัติดังปรากฏการณ ที่เกิดขึ้นในสังคมของประเทศเราทุกวัน นี้
2
เพื่อความตอเนื่องในการทำงาน เพื่อศึกษาและเผยแพรสรางองคความรู ความเขาใจในทองถิ่นใหเพิ่มขึ้นจากสิ่งที่ เคยทำมาแลว มูลนิธิฯ ไดรับคำแนะนำ และตระหนั ก ว า เด็ ก การศึ ก ษา โรงเรียน องคกรทางศาสนา รวมทั้งการ มีพี่เลี้ยงที่เปนผูใหญของชุมชนที่เอาใจ ใส คื อ องค ป ระกอบสำคั ญ สำหรั บ อนาคตของสั ง คมท อ งถิ ่ น จะก า วหน า หรื อ ถอยหลั ง ขึ ้ น อยู ก ั บ กระบวนการ สร า งการเรี ย นรู ข นาดเล็ ก อย า งเป น ธรรมชาติ แตสามารถเขาใจภาพรวม ของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมทองถิ่น ในทุกมิติทั้งในทางที่ดีและเปนอันตราย ด ว ยการเรี ย นรู ป ระสบการณ จ ากผู อาวุ โ สในชุ ม ชนท อ งถิ ่ น ของตนเอง กระบวนการเรียนรูดังกลาวนั้นควรใช การศึ ก ษาทางประวั ต ิ ศ าสตร ท อ งถิ ่ น โดยใชวิธีการทำโครงการ “ประวั ต ิ ศ าสตร บ อกเล า ” [Oral History] เพราะนอกจากจะสามารถ ฝกฝนเทคนิควิธีการในการคิดทำงาน รวมกันเปนกลุม การหัดตั้งคำถาม การ เขาสมาคมสื่อสารกับผูใหญในชุมชน การเขียน การพูด จนไปถึงการสราง องคความรูเพื่อนำไปใชในการเรียนการ สอนของทองถิ่น ตลอดจนการสราง เนื้อหาในพิพิธภัณฑทองถิ่นหากมีการ ดำเนินการอยางตอเนื่องอีกดวย
3 ในปนี้ มูลนิธิฯ ไดรับคำแนะนำจาก อาจารยศรีศักร วัลลิโภดม ผูเปนที่ ปรึกษา ที่เห็นปญหาในการใชแผนที่ เพื่อการศึกษาเรียนรูทองถิ่น ที่ไมเคยมี การจั ด การเรี ย นการสอนหรื อ เรี ย นรู อยางเปนระบบในระบบการศึกษาอยาง เปนทางการในประเทศไทย แตถือเปน ความสำคัญอยางยิ่งยวดในการทำความ เขาในบานเกิดเมืองนอนและการรูจัก ตนเอง จึงคิดวาควรมี “การจัดอบรม เพื่อเรียนรูการอาน การใชแผนที่รูป แบบตางๆ เพื่อเรียนรูทองถิ่นของ ตนเอง” นอกจากนี้ยังสามารถเรียนรู แผนที่ซึ่งพบในชีวิตประจำวัน แผนที่ ดาวเทียมตางๆ เพื่อนำปรับใชกับการ ศึกษาทองถิ่นใหเกิดความเขาใจที่ควรจะ เปนและถือเปนเครื่องมือสำคัญตอการ ศึ ก ษาความเป น ไปในท อ งถิ ่ น ต า งๆ อยางยิ่ง
แผนที่ซึ่งสามารถบอกเลาเรื่องราวของ ทองถิ่นของตนเองไดอยางไมมีทฤษฎี ในการทำแผนที่มากำหนด
วัน-เวลา-สถานที่อบรม
เสารที่ ๒๔-จันทรที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ คายริมขอบฟาและเมือง โบราณ สมุทรปราการ
ผู้เข้าร่วมมอบรม
• เปดรับสมัครแกกลุมองคทองถิ่น ตางๆ ที่สนใจและมีความพรอม โดย แตละกลุมคัดเลือกผูเขารวมอบรมเอง จากเยาวชนระดั บ มั ธ ยมศึ ก ษาและ ผูใหญในทองถิ่น เพื่อเปนสามารถสราง กระบวนการเรียนรูรวมกันไดอยางมี ประสิทธิภาพ รวม ๕ กลุม กลุมละ ๗-๘ คน
วิธีการ • อบรมความเปนมาของแผนที่เบื้องตน
วิทยากร
ความแตกต า งของแผนที ่ แผนผั ง ภาพถายทางอากาศ ภาพถายดาวเทียม และแผนที่ที่ถูกนำไปใชเพื่อกิจการตางๆ
• อาจารยศรีศักร วัลลิโภดม
• อบรมการอานและใชแผนที่มาตรฐาน
ที่เปนแผนที่ทหารมาตราสวน 1: 50,000 และ 1: 250,000 เพื่อเรียนรูทองถิ่นของผู เขารวมอบรม โดยเปนการเรียนรูรวม กันระหวางเด็กและผูใหญ • สรางแผนที่ของทองถิ่นตนเองโดย
ปรั บ จากแผนที ่ ท หารผสมผสานกั บ ความเข า ใจโดยพื ้ น ฐานของตนเอง ตลอดจนจินตนาการและความทรงจำใน สภาพแวดลอม ตำนานและคำบอกเลา ภายในชุมชนจากผูอาวุโส เพื่อสราง 2
• เจาหนาที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
ศรี ศ ั ก ร วั ล ลิ โ ภดม
เขาถมอรัตน์ ใน อาณาบริเวณเมือง ศรีเทพโบราณ สามารถมองเห็นเป็น จุดสังเกตที่เด่นชัด ของนักเดินทาง โดย เฉพาะหากเดิน ทางในทิศทางตะวัน ตก-ตะวันออก
ภู ม ิ ว ั ฒ นธรรม และการศึ ก ษาท้ อ งถิ ่ น ! ! การศึกษา “ภูมิวัฒนธรรม” [Cultural Landscape] เปนกระบวนการขั้นพื้นฐานสำคัญ อัน นำไปสูความเขาใจใน “นิเวศวัฒนธรรม” [Cultural Ecology] ของผู ค นในท อ งถิ ่ น ซึ ่ ง มี “ชี ว ิ ต วัฒนธรรม” [Way of Life] รวมกันใน “ชุมชนของ ชาติพันธ [Ethnic Village]
พัฒนาเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรม ซึ่งเปนการ มองอดีตอยางหยุดนิ่งและเนนแตเรื่องปจจุบัน ! ทุกวันนี้สภาพแวดลอมทางภูมิวัฒนธรรมแทบทุก แหงทุกภูมิภาคไดรับผลกระทบกระเทือนจากการ ปรับเปลี่ยนภูมิประเทศที่เปนสังคมเกษตรมาเปน อุตสาหกรรมอยางยิ่ง รวมทั้งผูคนทองถิ่นก็เคลื่อน ยายออกไปอยูตามที่ตางๆ จนแทบไมอาจใหขอมูลถึง ความเปนมาในอดีตได เปนสิ่งที่ทำใหการรับรูในเรื่อง ของความสัมพันธระหวางมนุษยกับสภาพแวดลอม ขาดหายไป
! เพื่อใหเขาใจความสัมพันธระหวางคนกับพื้นที่ โดยถองแท ตองทำความเขาใจภูมิหลังที่มีมาแตเดิม นับพันปในสังคมชาวนา [Peasant Society] เพราะ ผูคนในสังคมปจจุบันที่เปนคนรุนใหม มีชีวิตอยูใน สังคมอุตสาหกรรมจะไมรูจักและไมเขาใจในรากเหงา ! การศึ ก ษาท อ งถิ ่ น โดยพิ จ ารณาความสำคั ญ ของแผนดินและผูคน เพราะมองแตสภาพแวดลอม ของสภาพแวดลอมซึ่งเชื่อมโยงกับชีวิต สังคมและ ใกล ต ั ว ในป จ จุ บ ั น และอนาคต ทั ้ ง งานวิ จ ั ย ทาง วัฒนธรรมของมนุษยจึงเปนเรื่องที่สำคัญอยางยิ่ง สังคมศาสตรและมนุษยศาสตรสวนใหญนั้นเนนเรื่อง
3
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
การศึกษาเพื่อทำความเขาใจ “ภูมิวัฒนธรรม” ที่ เปลี ่ ย นแปลง จึ ง เป น การทำความเข า ใจสภาพ แวดลอมในอดีตและสภาพแวดลอมที่เปลี่ยนแปลงไป ในป จ จุ บ ั น จากป จ จั ย ต า งๆ ในฐานความคิ ด ซึ ่ ง สามารถเชื่อมโยงกับชีวิตวัฒนธรรมของมนุษยในมิติ ตางๆ อันจะเปนรากฐานในการศึกษา ประวัติศาสตร สังคมและวัฒนธรรมรวมทั้งสภาพแวดลอมของคน รุนใหมในทองถิ่นอันหลากหลายหรือเปนความรูพื้น ฐานสำคัญที่นำไปใชในการจัดทำหลักสูตรทองถิ่นแก สถาบันการศึกษาตาง ๆ ตลอดจนเพื่อการวางแผน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติที่สอดคลองกับ ความตองการของประชาชนและเกิดจากความเขาใจ ในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ของทองถิ่นตาง ๆ อยางแทจริง
ความหมายของภูมิวัฒนธรรม ภูมิวัฒนธรรม [Cultural Landscape] คือความ สัมพันธระหวางสภาพแวดลอมและวัฒนธรรม ซึ่งใน บริ บ ททางสั ง คม-วั ฒ นธรรมหมายถึ ง ลั ก ษณะ ภู ม ิ ป ระเทศทางภู ม ิ ศ าสตร [Geographical Landscape] ในอาณาบริเวณใดบริเวณหนึ่ง เชน บริเวณปาเขาลำเนาไพร ทองทุง หนองบึง แมน้ำ ลำคลอง หรือปากอาวชายทะเล อันสัมพันธกับการ ตั้งถิ่นฐานบานเมืองของผูคนในทองถิ่น จนเปนที่ รูจักรวมกันและมีการกำหนดนามชื่อเปนสถานที่ ตางๆ ใหเปนที่รูจักรวมกัน ในลักษณะที่เปนแผนภูมิ Fusce ac leo Purus, in consectetuer Proin in sapien. Fusce urna magna,neque eget lacus. Maecenas felis nunc, aliquam ac, consequat vitae, feugiat at, blandit vitae, euismod vel.
4
“การศึ ก ษาท อ งถิ ่ น โดยพิ จ ารณาความสำคั ญ ของสภาพแวดล อ มซึ ่ ง เชื ่ อ มโยงกั บ ชี ว ิ ต สั ง คมและวั ฒ นธรรมของมนุ ษ ย จ ึ ง เป น เรื ่ อ งที ่ ส ำคั ญ อย า งยิ ่ ง ” หรือแผนที่เพื่อสื่อสารถึงกัน และอาจสรางเปนตำนาน [Myth] ขึ ้ น มาอธิ บ ายถึ ง ความเป น มาและความ หมายความสำคั ญ ทางประวั ต ิ ศ าสตร สั ง คม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของสถานที่และทองถิ่น นั้นๆ ! ดังนั้น ในภูมิวัฒนธรรมจึงประกอบดวยองค ประกอบในการศึกษาที่สำคัญ คือ ! ภู ม ิ ศ าสตร ท ี ่ ส ั ม พั น ธ ก ั บ การตั ้ ง ถิ ่ น ฐานของ มนุ ษ ย [ Cultural Landscape] ลั ก ษณะของ ภูมิประเทศที่สำคัญในการตั้งถิ่นฐานบานเมืองของ มนุษย เชน หุบ แองที่ราบ ลุมน้ำ ภูดอย บุงทาม ฯลฯ ซึ่งจะปรากฏเปนชื่อสถานที่หรือชื่อบานนาม เมือง เชน สันทราย สันปาตอง ซับจำปา ชอนสารเดช มาบตาพุด ภูกระดึง พุเตย ฯลฯ เปนจุดเดนที่สำคัญ ของชาวบานในทองถิ่นหรือนักเดินทางที่เขามาใน พื้นที่ อยางเชน แหลมสิงห ซึ่งมีโขดหินรูปคลายหัว สิงห (ถูกฝรั่งเศสยิงเสียหายไปแลว) ตรงปากน้ำ จันทบุรี เขายอย เขาอีโก ซึ่งมีรูปรางแปลกตากวาเขา ลูกอื่นที่เพชรบุรี
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
! นิเวศวัฒนธรรม [Cultural Ecology] หมายถึง พื้นที่เฉพาะซึ่งมนุษยสรางบานสรางเมืองขึ้นมาเปน ทองถิ่นตางๆ แตละแหงยอมไมเหมือนกัน นิเวศ วัฒนธรรมในแตละแหงนั้นมักเปนการมองจากคน ภายในที่มีตอสภาพแวดลอมอยางละเอียด เห็นความ หลากหลายทางชี ว ภาพ ความหลากหลายทาง ชาติพันธุหลายชุมชนในพื้นที่เดียวกัน จากนั้นมีการ กำหนดหรือสรางเปนองคความรูในการดำเนินชีวิต สรางกติกาการอยูรวมกัน สรางประเพณี ความเชื่อ ในพื้นที่เดียวกัน
ของภูมิวัฒนธรรมและสัญลักษณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใน สังคม ! และในความสัมพันธระหวางมนุษยกับอำนาจ เหนือธรรมชาติ โดยมีสัญลักษณเปนศูนยกลางของ จักรวาลของผูคนในทองถิ่นนี้ จะเชื่อมโยงและเกาะ เกี่ยวใหคนในทองถิ่นที่ตางชุมชนและตางเผาพันธุอยู รวมกันในบานเมืองเดียวกันไดอยางราบรื่น
! นอกจากจะเปนระบบสัญลักษณที่เปนศูนยกลาง จักรวาลของทองถิ่นแลว ยังแฝงไวดวยการมีอำนาจ เหนือผูคนที่ดินที่น้ำ สภาพแวดลอมและทรัพยากร ! ชีวิตวัฒนธรรม [Way of Life] หรือโครงสราง ตางๆ ของทองถิ่นดวย ที ่ อ ยู ใ นชี ว ิ ต ประจำวั น อั น เป น วิ ถ ี ช ี ว ิ ต ของผู ค นใน ชุมชนเดียวกัน ซึ่งประกอบไปดวยโครงสรางสังคม ! อำนาจเหนือธรรมชาติเหลานี้ ทำใหเกิดจารีต ความสัมพันธระหวางกัน เชน การเปนเครือญาติ ประเพณี พิธีกรรมและรูปแบบเชิงสัญลักษณตางๆ ที่ การเปนกลุมทางสังคมตางๆ ทำใหคนรวมทองถิ่นเดียวกัน ตองเชื่อตองฟงและ ปฏิบัติ ! ดังนั้น การทำความเขาใจการเปลี่ยนแปลงทาง “ภูมิวัฒนธรรม” จึงตองศึกษาสภาพแวดลอมในอดีต ! องคประกอบในความสัมพันธทั้งสามประการ และสภาพแวดลอมที่เปลี่ยนแปลงไปในปจจุบันจาก ทำใหเห็นและเขาใจไดวา “ภูมิวัฒนธรรมและนิเวศ ปจจัยตางๆ ในวัฒนธรรมทองถิ่นนั้นๆ ที่เชื่อมโยง วัฒนธรรม” นั้น มีความหมายลึกลงไปถึงการเปน กับชีวิตวัฒนธรรมของมนุษยในมิติตางๆ ระบบสัญลักษณ [Symbol] และภาพพจน [Image] ของภูมิจักรวาล [Cosmology] ในการรับรูของคนใน : เพื่อสรางความเขาใจประวัติศาสตรสังคมและ ทองถิ่น [Perception] ดวย วัฒนธรรมรวมทั้งสภาพแวดลอมในมิติจากภายใน และภายนอกที่ชัดเจนและลึกซึ้ง
บ า นเมื อ งในนิ เ วศวั ฒ นธรรมอั น หลาก ความสั ม พั น ธ ใ นระหว า งมนุ ษ ย สิ ่ ง หลายและการสืบทอดความรูผานระบบ สัญลักษณ แวดลอม และอำนาจเหนือธรรมชาติ
! ในสภาพนิ เวศตามธรรมชาติ น ั ้ น ประกอบด ว ย แมน้ำ ลำน้ำใหญนอย หนอง บึง ซึ่งมีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ความเขาใจเรื่องพลวัตของ ธรรมชาติแวดลอมนั้นทำใหไมมีการตัดขาดความ สั ม พั น ธ ใ นระบบนิ เ วศจากภู เ ขาสู ง อั น เป น ต น น้ ำ ลำธารไปจนถึงลำหวยสาขา แมน้ำและแหลงพักน้ำ ตามหนองบึงที่ไหลหมุนไปตามฤดูกาล การเชื่อมโยง ของระบบนิเวศเหลานี้ทำใหเกิดความสมดุลและรักษา ! ในภูมิวัฒนธรรมตางๆ นั้น ความสัมพันธที่เชื่อม คุณภาพของระบบนิเวศอันหลากหลายที่มิใชมีเพียง โยงและเปนพลวัตเหลานี้คือ หัวใจสำคัญในการ “น้ำ” หรือ “ปลา” แตคือสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติรวม พิจารณาสังคมของมนุษยในทองถิ่นตางๆ โดย ทั้งมนุษยดวย เฉพาะความสัมพันธกับอำนาจเหนือธรรมชาตินั้น คือสิ่งที่สะทอนใหแลเห็นภูมิจักรวาลที่อยูเบื้องหลัง ! ผูคนในสมัยโบราณโดยเฉพาะภาคเหนือและภาค ตะวันออกเฉียงเหนือเปนจำนวนมาก นิยมสรางบาน ! ในโครงสรางทางสังคมโดยพื้นฐานของมนุษย มี องคประกอบของความสัมพันธทางสังคมที่เกิดการ เกี่ยวพันของผูคนภายในอยู ๓ ประการ คือ ความ สัมพันธระหวางคนกับคน ความสัมพันธระหวางคน กับธรรมชาติ และความสัมพันธระหวางคนกับสิ่ง เหนือธรรมชาติ อันทำใหเกิดสำนึกรวมของการอยู รวมเปนกลุมภายในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน
5
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
“Lorem Ipsum Dolor Set Ahmet In Condinmentum. Nullam Wisi Acru Suscpit Consectetuer viviamus Lorem Ipsum Dolor Set Ahmet. Lorem Ipsum Dolor Set Ahmet In Wisi Acru Suscpit Consectetuer viviamus.” Leo Praesen
เมืองถิ่นฐานตามลำน้ำเล็กๆ และริมหนองบึงขนาดใหญเพื่อไม สิ่งที่คนในทองถิ่นเขาใจรวมกันและจดจำรวมทั้งเลาสืบตอกันมา ตองกังวลตอการพัดพาของน้ำที่ไหลแรงที่อาจทำใหบานเรือน รวมกันในพื้นที่นั้นๆ ลมจมเสียหายและปรากฏอยูในตำนานหลายเรื่องเกี่ยวกับการ ! ดังนั้น ความเขาใจใน “ภูมิวัฒนธรรม” นั้นมีความหมาย สูญหายของบานเมืองจากภัยธรรมชาติเชนนี้ สำหรับคนในทองถิ่นเพราะสรางขึ้นจากผูสรางที่เปนคนในทอง ! ริมหนองและบึงตางๆ จะมีระบบนิเวศแบบน้ำทวมที่ขึ้นและ ถิ่นผานทางตำนานเรื่องเลาตางๆ[Myth] ซึ่งเปนระบบสัญลักษณ ลงตามฤดูกาล มีการปลูกขาวทำนาแซงหรือนาทามที่มีการสราง ไมใชเรื่องเลาตรงๆ ดังนั้น สิ่งเหลานี้เมื่อผานกาลเวลานานเขาก็มี แนวคันดินหรือทำนบกักน้ำเพื่อปลูกขาวและเก็บเกี่ยวเมื่อน้ำลด การแปรเปลี่ยนความหมายแตกตางไปไดบาง หรือหากปใดน้ำมากก็จะเสียขาวไปแตไดอาหารพวกปลาตางๆ ! ดังนั้น การศึกษาภูมิวัฒนธรรมจึงตองมีการแปลความหมาย มาทดแทน เหลานั้นตามความคิดและจินตนาการในอดีตกาลหรือจากความ ! ในนิเวศวัฒนธรรมเหลานี้จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ควบคุมการใช คิดของผูคนในทองถิ่นเหลานั้น จึงจะเห็นความหมายและความ ทรัพยากรรวมกัน โดยมีการกำหนดพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งใหเปน สำคัญที่ซอนอยูเบื้องหลัง พื ้ น ที ่ ศ ั ก ดิ ์ ส ิ ท ธิ ์ ท ี ่ ล ว งล้ ำ ไม ไ ด แ ละใช ใ นการทำพิ ธ ี ก รรมตาม ! ตำนาน คือเรื่องเลาจากคนรุนหนึ่งผานสูคนอีกรุนหนึ่ง มีทั้ง ประเพณีในฤดูกาลที่เกี่ยวของ สิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้จะทำหนาที่ปกปอง ที่บันทึกเปนลายลักษณอักษรและจากการบอกเลาจากความทรง คุ ม ครองและให ค ำทำนายอั น เป น หลั ก ประกั น ในอนาคตเพื ่ อ จำถายทอดปากตอปากภายในทองถิ่นอยางสืบเนื่อง ในตำนาน ปกปองมนุษยในธรรมชาติที่ไมแนนอน ซึ่งเปนรูปแบบของความ เหลานี้มักจะกลาวถึงความเปนมาเปนไปของสถานที่สำคัญๆ ใน สัมพันธที่มนุษยมีผูกพันรวมกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งเปน 6
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
ทองถิ่น และไมไดมีการรับรูที่หยุดนิ่ง หากมีการ เปลี่ยนแปลงในความหมายและความสำคัญผานผูคน และชวงเวลาของการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร ตลอดเวลา อีกทั้งเมื่อมีการขยายเสนทางคมนาคม และการตั้งถิ่นฐานบานเมืองก็มีการกำหนดชื่อใหมๆ เพิ่มขึ้น : ภูมิวัฒนธรรมจากตำนานจึงไมใชเรื่องที่หยุดนิ่ง แตจะมีการทบทวน บอกเลาซ้ำไปมาและสรางความ หมายขึ ้ น ใหม ต ลอดเวลาซึ ่ ง มี ค วามหมายต อ ผู ค น ภายในที่เห็นความสัมพันธในสามรูปแบบคือ ใน ระหว า งผู ค น ผู ค นกั บ ธรรมชาติ แ ละผู ค นกั บ สิ ่ ง ศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ สวนคนจากภายนอกที่ไม เขาใจนั้นก็ตองเรียนรูผานระบบสัญลักษณที่ปรากฏ จึงจะเขาใจและรับรูความสัมพันธดังกลาว
ภูมิทัศนแหงความศักดิ์สิทธิ์ ! ในสภาพแวดลอมตางๆ โดยพื้นฐานแตดั้งเดิมมัก จะมีความคิดและความเชื่อที่วา แผนดิน ปาเขา แมน้ำ หนองบึ ง และลำห ว ยในภู ม ิ ป ระเทศที ่ เ ป น ภู ม ิ วัฒนธรรมของคนภายใน คือสมบัติของอำนาจเหนือ ธรรมชาติในจักรวาล ผูคนคือผูอยูอาศัย หาไดเปน เจาของอยางแทจริง นั่นหมายถึงการยกอำนาจในการ ดูแลควบคุมสมบัติทองถิ่นอันไดแก ทรัพยากรธรรมชาติ และสภาพแวดลอมตางๆ ใหแก อำนาจเหนือธรรมชาตินั่นเอง การแบงแยกสวนหนึ่ง สวนใดเอาไปเปนสมบัติสวนตัวหรือเพื่อกิจการอื่นๆ ที่ผิดธรรมชาติคือ การละเมิด ผิดตอสังคมและผูคนที่ อยูรวมกัน ! เพราะแหลงน้ำธรรมชาติเปนแหลงอาหารที่ใช รวมกันจึงตองมีการจัดสรรกันอยางหลวมๆ แต ยุติธรรม ไมใหมีความเห็นแกตัวเห็นแกไดจนเกินไป และไมมีสิ่งใดจะดูแลไดดีไปกวามอบอำนาจนี้ใหแก การดูแลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ
กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุดและจักรวาลที่มาจากเบื้อง บนในขณะที่ผืนน้ำและแผนดินเปนสัญลักษณของ อำนาจจากเบื้องลาง ! ภู เ ขาที ่ โ ดดเด น มี ร ู ป ลั ก ษณะพิ เ ศษมั ก จะถู ก กำหนดใหเปนที่สถิตของอำนาจเหนือธรรมชาติซึ่งนับ เปนปรากฏการณสากลทั่วโลก เชน “เขารังแมว” เปนที่สถิตของเทพเจาแหงแควนจามเหนือที่หมี่เซิน เวียดนาม “เขาถมอรัตน” ที่ลุมน้ำปาสัก สูงเดนเปน ประธานเหนือเมืองศรีเทพที่นาจะเปนศูนยกลางของ แควนศรีจนาศะในสมัยทวารวดี ในลุมน้ำปงตอนบน อันเปนที่ตั้งเมืองเชียงใหมก็มีเขาดอยปุยและดอยสุ เทพ เปนประธานของเมือง ในขณะที่บริเวณตนน้ำป งมี “ดอยหลวงเชียงดาว” ซึ่งเปนที่สถิตของเจาหลวง คำแดง ผูเปนผีใหญเหนือบรรดาผีบานผีเมืองทั้ง หลายในลานนา ในแควนจำปาสักของลาวที่ตั้งอยูริม แมน้ำโขง มี “เขาภูเกา” เปนประธานเหนือเขาทั้งปวง ! และลำน้ำลำธารที่ไหลจากยอดเขาเหลานี้ก็ถือวา เปนสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเมือง มีการกักเก็บน้ำเปน ระบบระเบียบตามลักษณะภูมิประเทศนั้นๆ สายน้ำที่ ไหลลงจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไดรับการดูแลใหเกิดความ สะอาด เพื ่ อ ใช ใ นการบริ โ ภคอุ ป โภค ถื อ เป น ทรัพยากรที่ใชรวมกัน ! ความเชื่อในเรื่องภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั้น นับเปนที่มา ของการสรางศาสนสถานแบบสถูปเจดียหรือเทวาลัย ที่ชาวบานเรียกวา “ธาตุ”และ “ปราสาท”ใหเปน สัญลักษณทางภูมิทัศนในภูมิประเทศที่ไมมีเขาและที่ สูงแตเปนที่ราบลุม ทุงนาและแมน้ำลำคลองเพื่อให ผูคนเห็นไดแตไกล
! ดังนั้น ตำนานพระธาตุเจดียตางๆ ที่ปรากฏทั่วไป ทุกภูมิภาคในประเทศจึงมีความหมายเปนอยางมากที่ ทำให ค นได ร ู ถ ิ ่ น กำเนิ ด และบ า นเมื อ งของตนเอง เพราะเปนสิ่งที่ผูคนในทองถิ่นสรางขึ้น ซึ่งจะตองมี การแปลความในระบบสัญลักษณที่ปรากฏในตำนาน ! มีการกำหนดแหลงศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจเหนือ เหลานั้น ธรรมชาติใหเปนศูนยกลางภูมิจักรวาลของทองถิ่น ! ซึ่งพื้นฐานของมนุษยในระบบดั้งเดิมนั้นเห็นวา เพื่อผูคนไดมาประกอบพิธีกรรมรวมกัน เกิดสำนึก พื้นที่สาธารณะเปนของ สวนรวม ผานตัวแทนในนาม ความเปนผูคนบานและเมืองในทองถิ่นเดียวกันขึ้นมา พระผูเปนเจา หรือเปน ของหลวงหรือของพระมหา โดยเฉพาะภูเขาที่สำคัญของทองถิ่นเพราะมีความ กษัตริย ในยุคหนึ่ง แตมนุษยก็เริ่มสรางความเชื่อ โดดเดนกวาลักษณะภูมิประเทศอื่นใด มักจะสัมพันธ ใหมๆ เพื่อทาทายอำนาจศักดิ์สิทธิ์ในการควบคุมการ 7
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
อยูรวมกันมาเมื่อไมกี่รอยปมานี้ ซึ่งปรากฏในชวง การปฏิวัติอุตสาหกรรมทางฝายตะวันตกที่มีความคิด ควบคุ ม ธรรมชาติ แ ละมนุ ษ ย ด ว ยกั น เองไปจนถึ ง ปรากฏการณในยุคอาณานิคมและโลกาภิวัตนตาม ลำดับ ในขณะที่พื้นที่ทางวัฒนธรรมในทองถิ่นตางๆ อีกจำนวนมากไมไดเชื่อเชนเดียวกัน จึงเกิดความลัก ลั ่ น ขั ด แย ง ของความเชื ่ อ ดั ้ ง เดิ ม ที ่ ย อมต อ อำนาจ ศักดิ์สิทธิ์และปรับตัวตอโลกกับความเชื่อที่ตองการ ควบคุมและเชื่อวามนุษยสามารถควบคุมโลกโดย ตัดขาดมิติความสัมพันธกับสิ่งเหนือธรรมชาติออกไป
สังคมแหงความหลากหลายตองเขาใจภูมิ วัฒนธรรม
โรงเรียนในทองถิ่นไดขึ้นมาอภิปรายวา การขุดแร โปแตสที่ทำใหเกลือขึ้นมานั้น เปนเสมือนการกิน กระรอกดอน (เผือก) ในตำนานผาแดงนางไอ เพราะ กระรอกดอนหรือกระรอกขาวนั้นหมายถึงเกลือที่อยู ใตดิน จะทำใหบานเมืองเกิดความวิบัติเหมือนใน ตำนานที่ผูคนพากันกินกระรอกเผือกแลวบานเมือง ลมจม ซึ่งเปนการสะทอนถึงการบอกเลาและความ เชื ่ อ ที ่ ถ ู ก ปรั บ แต ย ั ง คงความหมายเดิ ม ที ่ ย ั ง ไม ไ ด สูญหายไปแตอยางใด ! ทุ ก วั น นี ้ ก ารรั บ รู ใ นเรื ่ อ งของความสั ม พั น ธ ระหวางมนุษยกับสภาพแวดลอมขาดหายไป ผูคนใน สังคมปจจุบันที่เปนคนรุนใหมมีชีวิตอยูในสังคม อุตสาหกรรมอาจไมรูจักและไมเขาใจในรากเหงาของ แผนดินและผูคน เพราะมองแตสภาพแวดลอมใกลตัว ในป จ จุ บ ั น และอนาคต สภาพแวดล อ มทางภู ม ิ วัฒนธรรมแทบทุกแหงทุกภูมิภาคไดรับผลกระทบ กระเทือนจากการปรับเปลี่ยนภูมิประเทศที่เปนสังคม เกษตรมาเปนอุตสาหกรรมอยางยิ่ง รวมทั้งผูคนทอง ถิ่นก็เคลื่อนยายออกไปอยูตามที่ตางๆ จนแทบไมอาจ ใหขอมูลถึงความเปนมาในอดีตได
! การขาดองคความรูเรื่อง “ภูมิวัฒนธรรม” ทำให คนไทยขาดความรู แ ละความสนใจในเรื ่ อ ง ประวัติศาสตรสังคมและวัฒนธรรม ตั้งแตในระดับ ท อ งถิ ่ น ไปจนถึ ง ระดั บ ภู ม ิ ภ าคและระดั บ ประเทศ ทำใหไมเขาใจถึงสภาพความเปนจริงของสังคมไทยที่ มีความหลากหลายแตกตางทั้งทางชีวภาพ ชาติพันธุ และวัฒนธรรม จึงมักเกิดความขัดแยงทางสังคมและ การเมืองขึ้นหลายตอหลายครั้ง เชน ปญหาการแยง ! และการพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรม ชิงฐานทรัพยากรของทองถิ่นโดยหนวยงานรัฐหรือ ซึง่ มองอดีตอยางหยุดนิ่งและเนนแตเรื่องปจจุบัน อาจ นายทุนที่ละเมิดตอกฎเกณฑที่เคยมีอยูรวมกัน ไมใชคำตอบที่หยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสูลม ! แมการเปลี่ยนแปลงระบบวิธีคิดจากการยอมรับ สลายของสังคมทองถิ่นได หากขาดเสียซึ่งมิติในการ โอนออนในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ชวยไมใหเกิดความขัด ทำความเข า ใจความสั ม พั น ธ ข องมนุ ษ ย ก ั บ สภาพ แยงจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงในหลายพื้นที่หลายทอง แวดลอมและอำนาจศักดิ์สิทธิ์ตางๆ ซึ่งเคยประคับ ถิ่น แตก็ถือวายังไมอาจเปลี่ยนแปลงอยางถอนราก ประคองสังคมมนุษยมาทุกยุคทุกสมัย ถอนโคน เพราะธรรมชาติของมนุษยที่มีความออนแอ เปนทุนเดิม มิติความสัมพันธที่ขาดหายไปในยุค ปจจุบันคือ ความสัมพันธระหวางมนุษยกับอำนาจ ศั ก ดิ ์ ส ิ ท ธิ ์ เ หนื อ ธรรมชาติ ก ็ ไ ม ไ ด เ ปลี ่ ย นแปลงไป ทั้งหมด แตกลับมีรูปแบบใหมๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ! เชนที่ “หนองหานกุมภวาป” อำเภอกุมภวาป จังหวัดอุดรธานี อันเปนพื้นที่ซึ่งจะกระทบกระเทือน จากโครงการขุดเหมืองแรโปแตสของบริษัทตางชาติที่ ไดรับสัมปทานจากรัฐบาลไทย การทำแรโปแตสจะ ทำให ช ั ้ น หิ น เกลื อ ขึ ้ น มาตามแร ท ี ่ ข ุ ด เป น จำนวน มหาศาล อาจทำใหเกิดสภาพดินเค็มอยางควบคุมไม ได และเมื่อมีการจัดเวทีแสดงความคิดเห็นของชาว บานในลักษณะประชาพิจารณขึ้นก็มีเด็กนักเรียนของ 8
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
วลั ย ลั ก ษณ์ ทรงศิ ร ิ
อ่ า วปั ต ตานี จ าก ประสบการณ์ แ ละ ความทรงจํา ดัดแปลงจาก แ ผ น ท ี ่ ท า ง ภู ม ิ ศ าสตร์ แ ละใช้ จินตนาการวาดจน ได้ แ ผนที ่ ข องชื ่ อ สถานที่ต่างๆที่ เกี่ยวกับการทํามา หากินในอ่าว ปัตตานี ภาพของดอเลาะ เจ๊ะแต
เรี ย นรู ้ จ ากแผนที ่ เพื ่ อ ศึ ก ษาท้ อ งถิ ่ น ภูมิวัฒนธรรมคืออะไรN N คำวาภูมิทัศน landscape ใชครั้งแรกในป ค.ศ. ๑๕๙๘ ยื ม มาจากศั พ ท ข องจิ ต รกรชาวดั ช ท ระหวางศตวรรษที่ ๑๖ ในชวงแรกๆ มีความ หมายงายๆ คือ “พื้นที่ ขอบเขตของแผนดิน” แต เมื ่ อ อยู ใ นความหมายของงานจิ ต รกรรมที ่ ช าว อังกฤษยืมมา ก็กลายเปนเรื่องของ “ภาพวาดแบบ ทิวทัศน”
บริเวณหนึ่ง เชน บริเวณปาเขาลำเนาไพร ทองทุง หนองบึง แมน้ำลำคลอง หรือปากอาวชายทะเล อันสัมพันธกับการตั้งถิ่นฐานบานเมืองของผูคนใน ทองถิ่น จนเปนที่รูจักรวมกันและมีการกำหนด นามชื่อเปนสถานที่ตางๆ ใหเปนที่รูจักรวมกัน ใน ลักษณะที่เปนแผนภูมิหรือแผนที่เพื่อสื่อสารถึงกัน และอาจสรางเปน ตำนาน [Myth] ขึ้นมาอธิบาย ถึงความเปนมาและความหมายความสำคัญทาง ประวัติศาสตร สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ของสถานที่และทองถิ่นนั้นๆ
n ภูมิวัฒนธรรม [Cultural Landscape] คือ ความสั ม พั น ธ ร ะหว า งสภาพแวดล อ มและ n ภูมิศาสตรที่สัมพันธกับการตั้งถิ่นฐานของ วัฒนธรรม ซึ่งในบริบททางสังคมวัฒนธรรม มนุษย [Cultural Landscape] ลักษณะของ หมายถึ ง ลั ก ษณะภู ม ิ ป ระเทศทางภู ม ิ ศ าสตร ภูมิประเทศที่สำคัญในการตั้งถิ่นฐานบานเมืองของ [Geographical Landscape] ในอาณาบริเวณใด 9
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
“Lorem Ipsum Dolor Set Ahmet In Condinmentum. Nullam Wisi Acru Suscpit Consectetuer viviamus Lorem Ipsum Dolor Set Ahmet. Lorem Ipsum Dolor Set Ahmet In Wisi Acru Suscpit Consectetuer viviamus.” Leo Praesen
มนุษย เชน หุบ แองที่ราบ ลุมน้ำ ภูดอย บุงทาม ฯลฯ ซึ่งจะ ปรากฏเปนชื่อสถานที่หรือชื่อบานนามเมือง เชน สันทราย สันปาตอง ซับจำปา ชอนสารเดช มาบตาพุด ภูกระดึง พุเตย ฯลฯ เปนจุดเดนที่สำคัญของชาวบานในทองถิ่นหรือนักเดิน ทางที่เขามาในพื้นที่ อยางเชน เขายอย เขาอีโกซึ่งมีรูปราง แปลกตากวาเขาลูกอื่นที่เพชรบุรี ดอยชางผาดานผาแดน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองแพร เปนตน
เชน การเปนเครือญาติ การเปนคนบานเกิดเดียวกัน หรือ การเปนกลุมทางสังคมตางๆ n การศึกษา Cultural geography ในปจจุบันพัฒนาไปจาก ธรรมเนียมการวิเคราะหเดิมๆ ที่เปนเรื่องของการวิเคราะห วิวัฒนาการของภูมิทัศนทางวัฒนธรรมและการตีความเรื่อง สภาพแวดลอมในอดีต ความหมายของแผนที่นำเสนอเรื่อง ราวความคิดหรือมุมมองเรื่องภูมิศาสตรทางวัฒนธรรมแบบ ใหม ซึ่งอยูในบริบทของทฤษฎีทางสังคมรวมสมัยและทฤษฎี ทางวัฒนธรรม ความคิดเรื่องสถานที่และพื้นที่ ถูกคนพบ ผานการศึกษาของวัฒนธรรมแบบนายกยองและแพรหลาย ผานทางเพศสภาพ เพศและเชื้อชาติ ภาษาและความคิด ตั้ง คำถามในทางที่เราจะสืบคนโลกดวยความหมายอยางไร
n นิเวศวัฒนธรรม [Cultural Ecology] หมายถึงพื้นที่ เฉพาะซึ่งมนุษยสรางบานสรางเมืองขึ้นมาเปนทองถิ่นตางๆ แตละแหงยอมไมเหมือนกัน นิเวศวัฒนธรรมในแตละแหงนั้น มักเปนการมองจากคนภายในที่มีตอสภาพแวดลอมอยาง ละเอียด เห็นความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลาย ทางชาติพันธุหลายชุมชนในพื้นที่เดียวกัน จากนั้นมีการ กำหนดหรือสรางเปนองคความรูในการดำเนินชีวิต สราง แผนที่คืออะไร กติกาการอยูรวมกัน สรางประเพณี ความเชื่อในพื้นที่ เดียวกัน ! แผนที่ คือ สิ่งที่แสดงลักษณะของพื้นผิวโลกทั้งที่สิ่งที่เกิด n ชีวิตวัฒนธรรม [Way of Life] หรือโครงสรางที่อยูใน ขึ้นเองตามธรรมชาติและสิ่งที่มนุษยสรางขึ้น โดยแสดงลงใน ชีวิตประจำวันอันเปนวิถีชีวิตของผูคนในชุมชนเดียวกัน ซึ่ง พื้นแบนราบ ดวยการยอใหเล็กลงตามขนาดที่ตองการและ ประกอบไปดวยโครงสรางสังคม ความสัมพันธระหวางกัน อาศัยเครื่องหมายกับสัญลักษณที่กำหนดเขียนลงกระดาษ แผนราบโดยใชสี เสนหรือรูปรางตางๆ ที่เปนสัญลักษณแทน 10
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
n แผนที่คือจินตนาการที่มนุษยมีตอพื้นที่และ ภูมิประเทศ สันนิษฐานวานาจะมีการทำมาตั้งแต ยุคเหล็กกันแลว แตแผนที่โลกฉบับแรก กลาวกัน วาทำโดยชาวบาบิโลเนียนเมื่อราว ๖๐๐ ปกอน คริสตกาล ซึ่งเปนบานเมืองเกาแกในลุมน้ำไทกรีส และยูเฟรตีสในดินแดนเมโสโปเตเมีย ที่รูจักกันใน นามวา Imago Mundi ซึ่งแสดงตำแหนงวาบาบิ โลนอยูในทวีปยูเฟรตีสที่ลอมรอบไปดวยเมือง ตางๆ อีกดานใหภาพวามีแมน้ำเขมลอมรอบและมี เกาะตางๆ ๗ แหงซึ่งเปนรูปแบบของดวงดาว ๗ แหงที่ลอมรอบดวย โดยมีการบรรยายถึงสถานที่ ๗ แหงซึ่งในหาแหงนั้นยังคงมีอยู
การแบงประเภทของแผนที่จากลักษณะที่ ปรากฏ n การจำแนกชนิ ด ของแผนที ่ ต ามลั ก ษณะที ่ ปรากฏบนแผนที่ในแอพริเคชั่นจากโปรแกรมการ ใชแผนที่หรือสมารทโฟนตางๆ แบงไดเปน
n แผนที่ภูมิประเทศ [Topographic map] เปน แผนที ่ ซ ึ ่ ง ให ร ายละเอี ย ดโดยทั ่ ว ๆ ไป ของ ภู ม ิ ป ระเทศ โดยสร า งเป น แผนที ่ ภ ู ม ิ ป ระเทศ มาตราสวนขนาดเล็ก กลาง และขนาดใหญ และ ไดขอมูลมาจากภาพถายทางอากาศ และภาพถาย ดาวเทียม แผนที่มาตราสวนเล็กบางทีเรียกวาเปน n สวนที่มีชื่อเสียงและเรารูจักมากที่สุดนาจะเปน แผนที่ภูมิศาสตร (Geographical map) แผนที่โลกของปโตเลมี [Ptolemy] เมื่อราว ค.ศ. n แผนที่ลายเสน [Line Map] เปนแผนที่แสดง ๑๕๐ เปนแผนที่ซึ่งใชขอมูลการพรรณนาเรื่อง รายละเอียดในพื้นที่ดวยเสนและองคประกอบของ ราวจากเอกสารของปโตเล ที่เขียนเมื่อราวค.ศ. เสน ซึ่งอาจเปนเสนตรง เสนโคง ทอนเสน หรือ ๑๕๐ ชื่อ Geographia แตนำมาเขียนเปนแแผนที่ เสนใดๆ ที่ประกอบเปนรูปแบบตางๆ เชน ถนน เมื่อ คริสตศตวรรษที่ ๑๕ ซึ่งมีการกลาวถึงสถาน แสดงด ว ยเส น คู ข นาน อาคารแสดงด ว ยเส น ที่สำคัญๆ ในโลกนี้มากมาย และมีอิทธิพลตอการ ประกอบเปนรูปสี่เหลี่ยม สัญลักษณที่แสดงราย ทำแผนที่ของโลกอิสลามในยุคแรกๆ และเปน ละเอียดเปนรูปที่ประกอบดวยลายเสน แผนที่ ขอมูลใหนักสำรวจชาวอังกฤษ สรางภาพแผนที่ ลายเสนยังหมายรวมถึงแผนที่แบบแบนราบและ จากขอมูลการสำรวจของปโตเลมี เมื่อมีการแปล แผนที่ทรวดทรง ภาษากรี ก โบราณเป น ภาษาละติ น เมื ่ อ คริ ส ต n นอกจากนี้ยังสามารถทำเปนแผนที่เสนทาง ที่ ศักราช ๑๓๐๐ สรางขึ้นเปนเครื่องมือประกอบการเดินทาง โดย ซ้าย แผนที่ของชาว บาบิ โ ลเนี ย นเมื ่ อ ราว ๖๐๐ ปี ก ่ อ น คริ ส ต์ ก าล ซึ ่ ง เป็ น บ้านเมืองเก่าแก่ใน ลุ ่ ม น้ ํ า ไทกรี ส และยู เฟรตีสในดินแดนเม โสโปเตเมีย ที่รู้จัก กันในนามว่า Imago Mundi ขวา แผนที่โลกของ ปโตเลมี [Ptolemy ] ที่ ทําขึ้นจากข้อมูลเมื่อ ค.ศ.๑๕๐ แต่เขียน เป็นแผนที่เมื่อคริสต์ ศตวรรษที่ ๑๕
11
แผนที่ภูมิประเทศ [ To p o g ra p h i c m a p ] ภาพแผนที่มาตราส่วน 1: 250,000 แผนที่ มาตราส่ ว นเล็ ก บางที เ รี ย กว่ า เป็ น แผนที ่ ภูมิศาสตร์ (Geographical map)
แผนที่เส้นทางที่ใช้ลายเส้น แสดงพื้นที่ต่างๆ ภาพจากเวบ ไซต์ Google maps
ปกติ จ ะเป น แผนที ่ ม าตราส ว นกลาง หรื อ มาตราสวนเล็ก และแสดงเฉพาะสิ่งที่เปนที่นา สนใจของผูใช ซึ่งจะทำขึ้นโดยกลุมผูสนใจเฉพาะ ดาน
เสนโครงพิกัด ใสรายละเอียดประจำขอบระวาง แผนที่ภาพถายสามารถทำไดรวดเร็ว แตการอาน คอนขางยากเพราะตองอาศัยเครื่องมือและความ ชำนาญ
n แผนที่ภาพถาย [Photo Map] เปนแผนที่ซึ่งมี รายละเอียดในแผนที่ที่ไดจากการถายภาพดวย กลองถายภาพ ซึ่งอาจถายภาพจากเครื่องบินหรือ ดาวเทียม การผลิตแผนที่ทำดวยวิธีการนำเอา ภาพถายมาทำการดัดแก แลวนำมาตอเปนภาพ แผนเดียวกันในบริเวณที่ตองการ แลวนำมาใส
n แผนที่แบบผสม [Annotated Map] เปนแบบ ที่ผสมระหวางแผนที่ลายเสนกับแผนที่ภาพถาย โดยรายละเอียดที่เปนพื้นฐานสวนใหญจะเปนราย ละเอียดที่ไดจากการถายภาพ สวนรายละเอียดที่ สำคัญๆ เชน แมน้ำ ลำคลอง ถนนหรือเสนทาง รวมทั้งอาคารที่ตองการเนนใหเห็นเดนชัดก็แสดง
12
แผนที่ภาพถ่าย [Photo Map] เป็นแผนที่ซึ่งมีรายละเอียดในแผนที่ที่ได้จาก การถ่ายภาพด้วยกล้องถ่ายภาพ ซึ่งอาจถ่าย ภาพจากเครื่องบินหรือดาวเทียม
แผนที่แบบผสม [Annotated Map] เป็นแบบที่ผสมระหว่างแผนที่ ลายเส้นกับแผนที่ภาพถ่าย
แผนที่พิเศษ (Thematic and special map) แผนที่ชนิดนี้จะแสดง ข้อมูลเฉพาะเรื่องลงไป เช่น แผนที่ดิน แ ผ น ท ี ่ ป ร ะ ชา ก ร แ ผนที ่ พ ื ช พรรณ ธรรมชาติ แผนที่ธรณีวิทยา
13
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
ดวยลายเสน พิมพแยกสีใหเห็นเดนชัดปจจุบัน นิยมใชมาก เพราะสะดวกและงายแกการอาน มี ทั้งแบบแบนราบ และแบบพิมพนูน สวนใหญมี สีมากกวาสองสีขึ้นไป
! แผนที่พิเศษ [Thematic and special map]
เราสามารถแบงแผนที่ออกไปไดหลายประเภท แต ที่นิยมแบงกันก็คือ แบงตามมาตราสวนของแผนที่ โดยสามารถแบงไดดังนี้คือ 1. แผนที่มาตราสวนเล็ก ไดแก มาตราสวน 1 : 600,000 และ เล็กกวา 2. แผนที่มาตราสวนปานกลาง ไดแก มาตราสวน ใหญกวา 1 : 600,000 แตเล็กกวา 1 : 75,000 3. แผนที่มาตราสวนใหญ ไดแก มาตราสวน ที่ ใหญกวา 1 : 75,000
ปจจุบันมีความสำคัญมากขึ้น เพราะสามารถใช ประกอบการทำวิจัยเชิงวิทยาศาสตร การวางแผน และใชในงานดานวิศวกรรม แผนที่ชนิดนี้จะแสดง ขอมูลเฉพาะเรื่องลงไป เชน แผนที่ดิน แผนที่ หมายเหตุ ประชากร แผนที่พืชพรรณธรรมชาติ แผนที่ แผนที่มาตราสวนเล็ก ที่นิยมใชและผลิตคือ แผนที่ ธรณีวิทยา เปนตน มาตราสวน 1: 1,000,000
การแบงประเภทของแผนที่ตาม มาตราสวน
แผนที่มาตราส่วน 1: 50,000 หมายเลขประจําชุด L 708
แผนที่มาตราส่วน 1 : 250,000 หมายเลขประจํา ชุด ND47-7
14
แผนที ่ ม าตราส ว นปานกลางที ่ น ิ ย มใช แ ละผลิ ต คื อ แผนที่มาตราสวน 1: 250,000 แผนที่มาตราสวนใหญที่นิยมใชและผลิตคือ แผนที่ มาตราสวน 1: 50,000
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
แผนที่ทางภูมิศาสตร [Topograpic map]
ภาพพื้นที่ทั้งหมดที่ตองการทำแผนที่ การถาย ภาพนี้จะบินเปนแนวและถายในจุดตางๆ โดยบิน เปนเสนคูโดยนำเอาภาพมาเปรียบเทียบกัน และ ใชเครื่องมือที่เรียกวา stereoscope เพื่อจะทำให ประวัติของการทำแผนที่ภูมิประเทศ เริ่มตนที่ เห็นสภาพภูมิประเทศเปนรูปสามมิติ แลวนำไป สหรัฐอเมริกา จากการออกกฏหมายของสภาคอง วาดในแผนที่ เกรส สหรัฐฯ ในป ค.ศ.๑๘๗๙ (พ.ศ.๒๔๒๒) n หน ว ยราชการของไทยที ่ จ ั ด ทำรู ป ถ า ยทาง สวนใหญของแผนที่ภูมิศาสตรที่ทำขึ้นอยูทางภาค อากาศ คือ กรมแผนที่ทหาร กระทรวงกลาโหม ตะวั น ตกซึ ่ ง เป น พื ้ น ที ่ ก ว า งใหญ ไ พศาลของ การนำไปใชประโยชน การเริ่มงานทำแผนที่จาก สหรัฐอเมริกา ในระยะแรกใชวิธีการเดินเทา รูปถายทางอากาศ โดย พลโท พระยาศัลวิธาน สำรวจในพื้นที่ตางๆ [Planetable surveying] ซึ่ง นิเทศ กอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ราว ๒๐ ป กรม เป น ความท า ทายของนั ก สำรวจที ่ ต อ งมี ค วาม ที่ดินถายภาพทางอากาศบริเวณจังหวัดสุรินทร สามารถในการรังวัดในสถานที่เหมาะสม จนถึง จึงมีการนำเรื่องการทำแผนที่จากภาพถายทาง ทศวรรษที่ ๑๙๔๐ ซึ่งมีการนำเครื่องบินมาใชบิน อากาศเสนอตอกระทรวงมหาดไทย และนโยบาย สำรวจและถายภาพและวิเคราะหจากภาพถายแทน เรงรัดการทำแผนที่รังวัดที่ดิน แตหยุดชะงักไปใน [Photogrammetry] การทำแผนที่แบบภูมิประเทศ ชวงสงครามโลก จากนั้นกรมที่ดินจึงเสนอตอ ตองใชทั้งความเปนศาสตร เทคโนโลยี และงาน กระทรวงมหาดไทยและคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ศิลปะ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๐ กรมแผนที่ทหารก็ เสนองบประมาณการทำแผนที่ไปดวย เมื่อวันที่ ภาพถายทางอากาศ [Aerial Photography] ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ คณะรัฐมนตรีเห็น n ภาพถายทางอากาศ (Aerial Photography) วาการทำแผนที่ของทั้ง ๒ กระทรวง มีความมุง เปนรูปภาพแสดงภูมิประเทศที่ปรากฏบนพื้นผิว หมายคลายคลึงกัน จึงมอบใหเจากรมแผนที่ โลกถายโดยใชกลองถายรูปติดไวกับเครื่องบิน ทหารบกขณะนั้นคือ “พล.ต.พระวิภัติภูมิประเทศ” กาวแรกในการทำแผนที่ทางภูมิศาสตรคือการถาย เป น เจ า ของเรื ่ อ ง พิ จ ารณาร ว มกั บ ผู แ ทน
ตัวอย่างของ ภาพถ่ายทางอากาศ ที่ Villanueva, New Mexico, ปี 1984 ซึ ่ ง ใช ภาพ จากการถ่าย ภาพถ่ายทางอากาศ ม า ต ร า ส ่ ว น 1:24,000 นํามาลด ขนาดและซ้อนกันผ่า นกล้องสเตริิโอสโคป [stereoscope] ก็ ทําให้เห็นเป็นรูปสาม มิติ แล้วจึงนํามาทํา เป็ น ภาพแผนที ่ อ ี ก ครั้งหนึ่ง
15
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
กระทรวงมหาดไทยกระทรวงเกษตร และ กระทรวงคมนาคม ประชุ ม ตกลงให จ ั ด ตั ้ ง “องคการทำแผนที่จากรูปถายทางอากาศ” ขึ้น โดยมี “พล.ท.พระยาศัลวิธานนิเทศ” เปนประธาน รั ฐ บาลอนุ ม ั ต ิ ใ ห จ ั ด ตั ้ ง องค ก ารนี ้ เ มื ่ อ พ.ศ. ๒๔๙๓ และไดอนุมัติใหเปน “กรมการแผนที่รูป ถายทางอากาศ” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔ เจาหนาที่ใน ขณะนั ้ น เป น ผู ส ำเร็ จ ปริ ญ ญาตรี จ ากคณะ วิ ท ยาศาสตร และคณะวิ ศ วกรรมศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และผูที่เกษียณอายุจาก กรมแผนที่ที่ยังมีรางกายกำลังแข็งแรง มีความรู และประสบการณ จากงานทำแผนที่เปนผูดำเนิน งาน n การทำแผนที่จากรูปถายทางอากาศ มีทั้งงาน บินถายรูปและงานทำแผนที่ งานบินถายรูปแตเดิม เปนหนาที่ของกรมอากาศยาน ซึ่งภายหลังเปนก องทัพอากาศ เมื่อเปนกรมการแผนที่รูปถายทาง อากาศแลว ก็มีเครื่องบินเฉพาะงานนี้ แตให กองทั พ อากาศดำเนิ น การใช น ายทหารและเจ า หนาที่ของกองทัพอากาศทั้งสิ้น สวนงานอื่นเปน หนาที่ของกรมการแผนที่รูปถายทางอากาศ
เปลี่ยนแปลงในลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ ตางๆ โดยเปรียบเทียบจากรูปถายในระยะเวลา แตกตางกัน เชน การสูญเสียพื้นที่ปาชายเลย การ พังทลายของตลิ่งริมแมน้ำที่เกิดจากการกัดเซาะ ของคลื่น และการขยายตัวของชุมชนเมืองเขาไปใน พื้นที่เกษตรกรรม เปนตน n การวางแผนพัฒนาการใชที่ดิน โดยนำรูปถาย ทางอากาศไปใช เ พื ่ อ จั ด ทำแผนที ่ แ ละจำแนก ประเภทการใชที่ดินของประเทศ โดยกำหนดโซน หรือแบงพื้นที่เปนเขตอุตสาหกรรม และเขตชุมชน ที่อาศัย เปนตน n การอนุรักษพื้นที่ปาไม รูปถายทางอากาศ ทำใหทราบถึงสภาพความอุดมสมบูรณของปาไม ในพื้นที่ตางๆ เพื่อกำหนดแนวทางการอนุรักษ และพัฒนาตอไป n การศึกษาขอมูลจากรูปถายทางอากาศ ทำได 2 วิธี คือ ศึกษาดวยตาเปลาและศึกษาดวยกลอง สามมิติ เนื่องจากรูปถายทางอากาศไมมีคำอธิบาย ใดๆ ดังนั้น จึงควรศึกษาควบคูกับแผนที่ดวยจะ ทำใหเขาใจงายยิ่งขึ้น
การสำรวจภาคสนาม
N มีหนวยราชการอื่นๆ นำรูปถายทางอากาศไป ใชประโยชนทางดานวิชาการและการพัฒนาความ ! สิ่งที่สำคัญของการทำแผนที่ นอกเหนือไปจาก เจริญของบานเมือง คือ ทำใหทราบถึงความ เครือ่ งมือตางๆ แลว การออกไปทำงานแผนที่ใน
หมุ ด เหล็ ก ทองแดง ปักจุดที่สูงที่สุดมีวัด ระดับความสูง 2,565.3341 เมตร เรียกว่าระดับชั้นที่ 1 ซึ่งมีปรากฏในแผนที่ ทางอากาศจะเห็นจุด ระดับความสูงชัดเจน ทางกองทั พ อากาศ ได้สํารวจแสดงระดับ พื้นที่ไว้เมื่อ 20 ก.ค. 2519
16
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
ภาพจากดาวเทียมบริเวณประเทศไทยและบริเวณ ดอยตุง จังหวัดเชียงราย
ภาคสนามถือเปนสิ่งสำคัญ ในยุคที่ไมมีการใชเครื่องบิน สำรวจ การออกไปวาดแผนที่ดวยมือตองใชการสำรวจ ทั้งหมด แตเมื่อมีการทำดวยการบินแลวก็ตองออกไปสำรวจ เพิ่มเติมภาคสนามดวย
เมื่อเราอานแผนที่ทางภูมิศาสตรนี้ เราจะสามารถเห็นภาพ ของรู ป แบบภู ม ิ ป ระเทศ ซึ ่ ง จะมี ก ารกำหนดรายการ สัญลักษณตางๆบริเวณดานลางหรือขวามือ และสามารถวัด ระยะทางตางๆ ของตำแหนงที่ถูกกำหนดไวในแผนที่ดวย จะ ชวยใหเราคนหาพื้นที่ที่เราตองการศึกษาหรือชวยในการนำ n การสำรวจภาคสนามนั้นตองทำอยางระมัดระวังในพื้นที่ ทางหรือหาทิศทางเมื่ออยูในสถานที่จริง ที่ตองการสำรวจ สิ่งสำคัญในการกำหนดตำแหนงสองรูป แบบคือ แบบแนวนอน [Horizontal] ที่จะตองกำหนดเสน ภาพถายดาวเทียม ละติจูดและลองติจู เพื่อเลือกพื้นที่ภายในที่จะสำรวจไว โดย กำหนดมาตราสวนที่ถูกตองเพื่อใหไดระยะทางของสิ่งตางๆ ! ภาพจากดาวเทียม [Satellite Imagery] ใหประโยชน บนแผนที่ แบบที่สองคือ แบบแนวตั้ง [Vertical] ซึ่งเปนการ อ ย า ง ม า ก ใ น ก า ร ศ ึ ก ษ า ข อ ม ู ล เ พ ื ่ อ ส ำ ร ว จ แ ห ง กำหนดเพื่อควบคุมพื้นที่ของความสูง [contours] จุดที่ ทรัพยากรธรรมชาติ การทำงานรับภาพของดาวเทียม เรียก วา กระบวนการรีโมทเซนซิงโดยดาวเทียมจะเก็บขอมูลของ กำหนดนี้มักจะมีการวางหมุดการสำรวจไวดวย วัตถุหรือพื้นที่เปาหมายบนพื้นโลก จากรังสีที่สะทอนขึ้นไป n การเรียนรูจากแผนที่ทางภูมิศาสตรจำเปนที่จะตองมีการ จากผิวโลกหรือจากอุณหภูมิของวัตถุนั้นๆบนพื้นผิวโลก ฝกฝนเล็กนอย ความสูงใชเสนความสูง [contours] แทนบน n ภาพจากดาวเที ย มให ป ระโยชน ใ นการศึ ก ษาทาง แผนที่ ความสูงที่แตกตางกันของระดับพื้นที่ในเสนความสูง ภูมิศาสตร คือ นำมาใชจัดทำแผนที่แสดงภูมิประเทศของ ใชชวงของเสนความสูงแทน ถาแผนที่แสดงความแบนราบ พื้นที่ตางๆ ซึ่งจะใหรายละเอียดของตำแหนงตางๆ บนพื้น ของพื้นที่มีชวงความสูงแตกตางกันในราว ๑๐ ฟุตหรือนอย โลกชัดเจนยิ่งขึ้น กวานั้น สวนพื้นที่ภูเขาเทือกเขาจะมีเสนความสูงที่ตางกัน ตั้งแต ๑๐๐ ฟุตขึ้นไป 17
4546 III
4445 I
104° E
5049 I
5049 III
5049 II
5149 III
4948 I
5048 IV
5048 I
5148 IV
5048 III
5048 II
5148 III
5148 II
5248 III
5047 IV
5047 I
5147 IV
5147 I
5247 IV
5247 I
5047 II
5147 III
5147 II
5247 III
5247 II
5146 I
4748 II
4848 III
4848 II
4948 III
4948 II
4547 I
4647 IV
4647 I
4747 IV
4747 I
4847 IV
4847 I
4947 IV
4947 I
4547 II
4647 III
4647 II
4747 III
4747 II
4847 III
4847 II
4947 III
4947 II
4646 IV 4646 I
4746 IV
4746 I
จ.แมฮองสอน 4546 I 4546 II
4646 III
4545 IV
4545 I
4545 III
4545 II 4544 I
4644 IV
4544 II
4644 III 4643 IV
จ.เชียงราย
จ.พะเยา 5047 III
4846 IV
4846 I
4946 IV
4946 I
5046 IV
5046 I 5146 IV
5246 IV
5246 I
4846 III
4846 II
4946 III
4946 II
5046 III
5046 II
5146 III
5146 II
5246 III
5246 II
4745 I
4845 IV 4845 I
4945 I
5045 IV
5045 I
5145 IV
5145 I
5245 IV
4944 I
5044 IV
5044 I
5144 IV
4944 II
5044 III
4746 III
4645 IV
4645 I
4745 IV
4645 III
4645 II
4745 III
4644 I
4744 IV
4744 I
4844 IV
4844 I
4944 IV
4644 II
4744 III
4744 II
4844 III
4844 II
4944 III
4643 I
4743 IV
4743 I
4843 IV
4843 I
4943 IV
4943 I
4643 II
4743 III
4743 II
4843 III
4843 II
4943 III
4943 II
5043 III
4642 I
4742 IV
4742 I
4842 IV
4842 I
4942 IV
4942 I
5042 IV
5042 I
4842 III
4842 II
4942 III
4942 II
5042 III
4841 I
4941 IV
4945 IV
จ.นาน
21° N
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
จ.ลำปาง จ.แพร จ.ลำพูน 4845 III 4845 II 4945 III 4945 II 5045 III 5045 II 5145 III 5145 II 5245 III
5645 IV
5645 I
5645 III
5645 II
18° N
4745 II
17° N
4544 IV
5445 III
5244 IV
5244 I
5344 IV
5344 I
5444 IV
5444 I
5544 IV 5544 I
5244 III
5244 II
5344 III
5344 II
5444 III
5444 II
5544 III
5043 I
5143 IV
5143 I
5243 IV
5243 I
5343 I
5443 IV
5443 I
5543 IV
5043 II
5143 III
5143 II
5243 III
5243 II
5343 III
5343 II
5443 III
5443 II
5142 IV
5142 I
5242 IV
5242 I
5342 IV
5342 I
5442 IV
5042 II
5142 III
5142 II
5242 III
5242 II
5342 III
5342 II
5442 III
5041 I
5241 IV
5241 I
5341 IV
5341 I
5441 IV
5441 I
5241 II 5341 III
5341 II
5441 III
5441 II
5541 III
5044 II
5043 IV
จ.สุโขทัย
5345 II
5144 I
5144 III 5144 II
จ.อุตรดิตถ
จ.พิษณุโลก
จ.เลย 5343 IV
5445 II
5545 II
จ.หนองบัวลำภู
จ.หนองคาย
5544 II
จ.อุดรธานี 5543 I
4740 I
4740 III
4740 II
4639 I
4739 IV
4639 III
4639 II
4638 IV
4638 I
5041 IV 5041 III
4940 IV
4940 I
5040 IV
4940 III
4940 II 5040 III
4939 IV
4939 I
4941 III
4840 IV
4840 I
4840 III
4840 II
4739 I
4839 IV
4839 I
4739 III
4739 II
4839 III
4839 II
4939 III
4738 IV
4738 I
4838 IV
4838 I
4938 IV
4738 III
4738 II
4838 III
4838 II
จ.อุทัยธานี
4938 III
จ.กาญจนบุรี 4737 I 4737 II
5844 I
5844 III
5844 II
5643 I
5743 IV
จ.สกลนคร
5743 I 5843 IV 5843 I
13° N
5039 III
4938 I
5038 IV
4938 II
4937 IV
4937 I
4837 II
4937 III
4937 II
4836 I
4936 IV 4936 I 4936 III
จ.ราชบุรี
4835 IV
4835 I
4835 III
4835 II
4935 IV 4935 III
จ.เพชรบุรี 4934 IV
4834 II
4934 III
4833 I
4933 IV
12° N
4933 III 4932 IV
4831 I 4831 III
5643 II
5743 III
5743 II
5843 III
5843 II
5943 III
5442 I
5542 IV
5542 I
5642 IV
5642 I
5742 IV
5742 I
5842 IV
5842 I
5942 IV
5942 I
5442 II
5542 III
5542 II
5642 III 5642 II
5742 II
5842 III
5842 II
5942 III
5942 II
5841 IV
4729 I
5037 III
4936 II
5036 III
4935 I
5035 IV
5241 III
5040 I
5140 IV
5140 I
5240 IV
5240 I
5340 IV
5340 I
5440 IV
5440 I
5540 IV
5540 I
5640 IV
5640 I
5740 IV
5740 I
5840 IV
5840 I
5940 IV
5940 I
6040 IV
6040 I
5140 III 5140 II
5240 III
5240 II
5340 III
5340 II
5440 III
5440 II
5540 III
5540 II
5640 III
5640 II
5740 III
5740 II
5840 III
5840 II
5940 III
5940 II
6040 III
6040 II
6140 III
5939 I
6039 IV
6039 I
6139 IV
5040 II
จ.เพชรบูรณ
5035 III
4934 I
5034 IV
จ.ชัยภูมิ
5541 IV
5541 I 5641 IV
5641 I
5741 IV
5741 I
5641 III
5641 II
5741 III
5741 II 5841 III
5541 II
จ.มหาสารคาม
จ.รอยเอ็ด
5841 I
5941 IV
5941 I
5841 II
5941 III
5941 II
จ.ยโสธร
จ.อำนาจเจริญ
5039 I
5139 IV
5139 I
5239 IV
5239 I
5339 IV
5339 I
5439 IV
5439 I
5539 IV
5539 I
5639 IV
5639 I
5739 IV
5739 I
5839 IV
5839 I
5939 IV
5039 II
5139 III
5139 II
5239 III
5239 II
5339 III
5339 II
5439 III
5439 II
5539 III
5539 II
5639 III
5639 II
5739 III
5739 II
5839 III
5839 II
5939 III 5939 II
5238 IV
5238 I
5338 IV
5338 I
5438 IV
5438 I
5538 IV
5638 IV
5638 I
5738 I
5838 IV
5838 I
5938 IV
5338 III
5338 II
5438 III
5337 IV
5337 I
จ.สิงหบุรี 5038 I
จ.ลพบุรี
5138 IV
จ.อางทอง 5038 II 5037 I
5138 III 5137 IV
5138 I 5138 II
5037 II
5137 III
5036 II
5136 III
5238 III
5137 II
5237 IV
5237 III 5236 IV
5136 II 5236 III 5135 I
5134 IV
4934 II
5237 I
จ.นครนายก
จ.สมุทรปราการ
5035 I
5238 II
จ.สระบุรี 5137 I
จ.พระนครศรีอยุธยา
จ.สมุทรสาคร
4935 II
จ.มุกดาหาร
5943 II
5141 I
จ.ปทุมธานี จ.นครปฐม จ.นนทบุรี 5136 IV 5136 I 5036 IV 5036 I กรุงเทพมหานคร
จ.สมุทรสงคราม
จ.ขอนแกน
5742 III
5141 II
5235 IV
5237 II
5235 III
5134 I
5234 IV
5134 II
5234 III
จ.นครราชสีมา
5337 III
จ.ปราจีนบุรี
5236 I
5336 IV
จ.ฉะเชิงเทรา 5236 II 5235 I
จ.ศรีสะเกษ
5938 I
6039 III 6038 IV
6038 I
6138 IV 6138 III
5438 II
5538 III
5538 II
5638 III
5638 II
5738 III
5738 II
5838 III
5838 II
5938 III
5938 II
6038 III
6038 II
5437 I
5537 IV
5537 I
5637 IV
5637 I
5737 IV
5737 I
5837 IV
5837 I
5937 IV
5937 I
6037 IV
6037 I
5437 III
5437 II
5537 III
5537 II
5637 III
5436 I
5536 IV
5536 I
จ.สระแกว
5336 III 5336 II 5335 I
5335 III
5335 II
5334 IV
5334 I
5334 III
5334 II
5436 III
5436 II 5435 I
5435 III
5435 II
5535 III
5434 IV
5434 I
5534 IV
5434 III
5434 II
5433 IV 5433 I
4933 II 4932 I
5534 III
จ.ตราด 5533 IV
5533 I
5433 II
5533 III
5533 II
5432 I
5532 IV
5532 I
5532 III
5532 II
อาวไทย
6037 III
5536 III
5435 IV
จ.จันทบุรี
6140 IV
6039 II 6139 III
5436 IV
4933 I
4932 III
5738 IV
จ.อุบลราชธานี
6041 II
5437 IV
5335 IV
5234 II
จ.บุรีรัมย
จ.สุรินทร
6041 III
5337 II
5234 I
จ.ระยอง
5538 I
6041 IV
5336 I
5235 II
จ.ชลบุรี
5135 II
กักัมมพูพูชชาา
อาวไทย
4931 IV 4831 II
4830 IV 4830 III
5037 IV
5943 I
5643 III
5141 III
จ.ประจวบคีรีขันธ
4833 II
4730 I
5038 III
จ.สุพรรณบุรี
4837 I
4837 III 4836 IV
5943 IV
5543 II
5141 IV
จ.นครสวรรค
จ.ชัยนาท
5944 III
จ.นครพนม
5543 III
5041 II
จ.พิจิตร
5039 IV
4939 II
4837 IV
4834 IV 4834 I
11° N
5845 III 5844 IV
5643 IV
13° N
4740 IV
4941 I 4941 II
จ.กำแพงเพชร 4841 II
4729 IV
5845 IV
5744 I 5744 II
12° N
4841 III
4730 II
5745 II
5744 III
11° N
4841 IV
4741 II
16° N
4741 I
4741 III
4737 IV
5745 I
จ.บึงกาฬ 5745 III 5744 IV
5644 II
จ.กาฬสินธุ
4742 II
4741 IV
4638 II
5745 IV
5644 I
5644 III
5644 IV
จ.ตาก 4742 III
106° E
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 5248 II
4746 II
จ.เชียงใหม
4646 II
105° E
สาธารณรั ฐสัฐงสัคมนิ ดนาม สาธารณรั งคมนิยยมเวี มเวียยดนาม
20° N
4949 I
4948 IV
4748 III
4832 II
4830 I 4830 II
4829 IV
จ.ชุมพร
4726 III
4726 II
10° N 4927 IV
4725 IV
4725 I
4625 II
4725 III
4725 II
4624 I
4724 IV
4724 I 4724 II
4928 II 4927 I
4827 II
4927 III
4927 II
4826 IV
4826 I
4926 IV
4926 I
4826 III
4826 II
4926 III
4926 II
จ.สุราษฎรธานี
4825 IV 4825 I
จ.นครศรีธรรมราช
9° N
4726 I
4626 II
4827 IV 4827 III
4727 III 4727 II 4726 IV
4928 III
4828 III
4727 I
4626 I
จ.พังงา
4829 III 4828 IV
4728 II
4627 II
4625 I
8° N
4727 IV
5026 III 5025 IV
4925 IV
4925 I
4825 II
4925 III
4925 II
5025 III
4824 IV
4824 I
4924 IV
4924 I
5024 IV
4824 III
4824 II
4823 IV
4823 I
4923 IV
4923 I
5023 IV
5023 I
4823 II
4923 III
4923 II
5023 III
5023 II
จ.กระบี่ 4825 III
4924 III
จ.ตรัง
4922 IV
4822 II
4922 III
4924 II
จ.สตูล 4922 I 4922 II
5024 III
จ.พัทลุง
5025 II 5024 I 5024 II
5022 IV
5022 I
5022 III
5022 II
5021 IV
8° N
4626 III
จ.ภูเก็ต
4729 II 4728 I
4728 III
จ.ระนอง
คำอธิบายสัญลักษณ์
5123 III 5122 IV
จ.สงขลา
5122 I 5222 IV
5222 I
จ.ปตตานี
5322 IV
5122 III
5122 II
5222 III
5222 II
5322 III
5121 IV
5121 I
5221 IV
5221 I
5321 IV
จ.ยะลา
7° N
9° N
4627 I
5321 I
จ.นราธิวาส
5221 III
5221 II
5321 III
5321 II
5220 IV
5220 I
5320 IV
5320 I
L 7018S
5421 IV 5421 III
6° N
10° N
4729 III 4728 IV 4628 II
7° N
n รายละเอียดในแผนระวางทางวัฒนธรรมซึ่ง เกิดจากฝมือมนุษย เชน ชื่อหมูบาน ตำบล จังหวัด ฯลฯ หรือลักษณะเดนทางภูมิศาสตร เชน ชื่อ ภูเขา หวย หนอง แมน้ำ
103° E
19° N
19° N
4546 IV 4446 II
5049 IV
4949 II
4949 III
4848 I
4648 II
20° N
4849 III
4949 IV
4848 IV
4648 III
4648 IV
ทะเลอั นดามั น น ทะเลอั นดามั
n แสดงบริเวณกลางขอบระวางตอนบนและทาง ดานซายของขอบระวางตอนลาง ปกติการตั้งชื่อ ระวางนั้นจะตั้งตามลักษณะเดนของ
102° E
18° N
4849 I 4849 II
4748 I
4548 II
4836 III 4836 II
ชื่อระวาง [Sheet Name]
101° E
17° N
21° N
สาธารณรั ฐแหงสหภาพพม า สาธารณรั ฐแหงสหภาพพม า
14° N
บริเวณขอบระวางของ แผนที่จะมีรายละเอียดที่จำเปนในการใชแผนที่ จำนวนมาก เราสามารถยกสวนที่สำคัญๆ ไดดังนี้ คือ
100° E
สารบาญแผนที่ มาตราสวน 1:50,000 ชุด L 7018S
15° N
: สวนประกอบของแผนที่
99° E
16° N
98° E
15° N
97° E
14° N
96° E
6° N
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
ขอควรรูในการอานแผนที่ทาง ภูมิศาสตร
5220 III
มาเลเซี มาเลเซียย 96° E
97° E
98° E
99° E
100° E
101° E
102° E
103° E
104° E
105° E
106° E
n หมายเลขลำดับชุด อยูบริเวณขอบระวางดาน ขวาตอนบน และที่ขอบระวางดานซายตอนลาง มี บ อ ยหลายครั ้ ง ที ่ เ ราพบว า มี แ ผนที ่ ต า งชุ ด กั น ครอบคลุมพื้นที่เดียวกันดังนั้นจึงมีความจำเปนที่ เราจะตองกำหนดหมายการพิสูจนทราบใหกับ หมายเลขระวาง [Sheet number] และ แผนที่แตละชุด โดยหมายเลขประจำชุดจะบอกถึง หมายเลขประจำชุด [Series Number] การปกคลุมทางภูมิศาสตร ยานมาตราสวนของ n อยูบริเวณดานขวาขอบบนของขอบระวาง เปน แผนที่รวมทั้งตัวเลขจำแนกโดยการกำหนดตัวเลข หมายเลขที่ใชอางอิงที่กำหนดใหกับแผนที่แตละ ใหเห็นความแตกตาง โดยเฉพาะบอกลำดับการจัด ระวาง หมายเลขนี้ถูกกำหนดขึ้นเปนตารางแบบ ทำ เชน L708, L7017, L1018 เปนตน ระบบตารางพิกัดตามความตองการของผูผลิต หมายเลขแผนที่ 1 : 50,000 กำเนิดมาจาก แผนที่ หมายเลขการจัดพิมพ [Edition 1: 100,000 โดยจะประกอบดวยตัวเลข 4 ตำแหนง Number] ซึ่งจะประกอบดวยตัวเลข 2 ชุด คือ สองตำแหนง แรกบอกหมายเลขระวางตามแนวยาว สวนสอง ! ! พบบริ เ วณด า นขวาและขอบระวางด า นซ า ย ตำแหนงจะบอกหมายเลขระวางตามแนวตั้ง ตอนลาง หมายเลขการจัดพิมพนี้จะเรียงจากนอย ไปหามากทำใหเราทราบถึงอายุของแผนที่ และ 18
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
หมายเลขจัดพิมพครั้งหลังๆ จะมีขอมูลที่ทันสมัย กวา
ชื่อชุดและมาตราสวน [Series name and Scale] n พบที่บริเวณขอบระวางดานซายตอนบนและ กึ่งกลางขอบระวางดานลาง โดยแผนที่แตละชุด ในแตละชุดจะเปนแผนที่มีมาตราสวนเทากัน ทั้ง ชุดมีระบบการวางอยางเดียวกัน จัดทำพื้นที่โซน แผนผังเดคลิเนชั่น หรือแผนผังมุมเยื้อง [Declination Diagram] หนึ่งโดยเฉพาะ n พบบริเวณที่ขอบระวางตอนลาง แผนผังเดค ลิเนชั่นนี้ทำใหเราทราบถึงความสัมพันธุ ของมุมที่ เกิดขึ้นระหวาง ทิศเหนือจริง ทิศเหนือแมเหล็ก ทิศเหนือกริด จะมีลักษณะเฉพาะ คือ ปลายที่
มาตราสวนเสนบรรทัด [Bar scale] n พบไดที่บริเวณกึ่งกลางดานลางของขอบระวาง เพื่อใชพิจารณาหาระยะบนพื้นที่ภูมิประเทศที่ ปรากฏอยู บ นแผนที ่ แ ผนที ่ ส ว นมากจะมี มาตราสวนเสนบรรทัดตั้งแต 3 บรรทัดขึ้นไป ซึ่ง แตละบรรทัดจะแสดงมาตราวัดระยะที่แตกตางกัน เชน ไมล หลา เมตร เปนตน
สารบัญระวางติดตอ [Adjioning Sheet] n ตำแหน ง ที ่ ป รากฎ สามารถพบได บ ริ เ วณ ตอบลางดานขวาของขอบระวางแผนที่ สารบัญ ระวางติดตอจะแสดงถึง แผนที่ที่อยูรอบ ๆ แผนที่ที่เรามีอยู
19
เปนรูปลูกศร ปลายที่เปนรูปดาว
หมายถึง ทิศเหนือแมเหล็ก หมายถึง ทิศเหนือดาว
ปลายที่เปนลักษณะเสนตรง หมายถึง ทิศ เหนือกริด n สิ่งที่เราจะไดจากแผนผังมุมเยื้อง คือเราจะ สามารถทราบไดวา เสนกริดบนแผนที่นั้นคลาด เคลื่อนจากทิศเหนือจริงเปนมุมเทาใด
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
ในภูมิประเทศจริงสิ่งนั้นเปนอะไรเครื่องหมาย แผนที่คือ เครื่องหมายหรือสัญลักษณที่ใชแทน n พบที่ขอบระวางดานลางทางซายสัญญลักษณ สิ่งตางๆ บนสภาพแวดลอมที่เกิดขึ้นเอง และตาม เครื่องหมายแผนทจะแสดงไวดวย ภาพ สี และ ธรรมชาติ เสนตางๆ โดยอธิบายใหเราทราบวาสัญญลักษณ n นอกจากเครื่องหมายแลวเรายังใชสีเปนการ ที่เราเห็นในแผนที่นั้น แสดงลักษณะภูมิประเทศอีอดวย คือ
คำอธิบายสัญญลักษณ [Legend]
สีดำ หมายถึงภูมิประเทศสำคํญทางวัฒนธรรมที่ มนุษยสรางขึ้น เชน อาคาร สุสาน วัด สถาน ที่ราชการตางๆ เปนตน สีนำเงิน หมายถึงลักษณะภูมิประเทศที่เปนน้ำ เชน ทะเล แมนำ หนอง บึง เปนตน สีนำตาล หมายถึงลักษณะภูมิประเทศที่มีความ สูงโดยทั่วไป เชน เสนชั้นความสูง สีเขียว หมายถึงพืชพันธุไมตางๆ เชน ปา สวน ไร สีแดง หมายถึงถนนสายหลัก พื้นที่ยานชุมชน หนาแนน และลักษณะภูมิประเทศสำคัญ n
20
คำแนะนำการใชกริด [Grid reference Box] ! คือขอความที่บรรจุอยูในกรอบสี่เหลี่ยมเปนคำแนะนำสำหรับการหาคาพิกัดจุดตางๆ ในแผนที่ โดยอธิบายไวเปนขั้น ตอนงายๆ
พิกัดภูมิศาสตร n เปนระบบที่เกาแกที่สุดในการกำหนดจุด โดยอาศัยเสนสองชนิด คือ เสนที่ลากผานขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใตเรียกวา “เสนลองจิจูด” หรือที่เรียกวา “เสนแวง” เสนที่สองคือเสนที่ลากตามแนวตะวันออกตะวันตกในลักษณะเสนขนานเรียกวา “เสนละติจูด” หรือ “เสนรุง” ซึ่งกำหนดใหเสนทั้งสองตัดกัน เรียกวาคาพิกัด n คาพิกัดที่ปรากฎอยูบนแผนที่ พิกัดภูมิศาสตรนี้สามารถมองเห็นบนแผนที่ บนขอบมุมระวางของแผนที่ เชน แผนที่ 1 : 50,000 จะมีขนาดเทากับ 15 x 15 ลิบดา เวลาอานก็จะอานออกมาเปนคา ละติจูด และคาลองติจูด โดยใชการแบง ทั้งแนวตั้งและ แนวนอน เปน อยางละ 15 สวน คาพิกัดที่อานไดจะมีความละเอียดเทากับ 1 ลิบดา
พิกัดกริดทางทหาร ! ระบบพิกัดกริดไดถูกนำมาใชในกิจการทหารของสหรัฐอเมริกาตั้งแตป พ.ศ. 2434 และกรมแผนที่ทหาร เริ่มนำมาใชใน
โครงการทำแผนที่จากรูปถายทางอากาศ การบอกตำแหนงโดยระบบพิกัดกริดมีสวนดีและสะดวกกวา ระบบพิกัด ภูมิศาสตร n 1. อานเลขอักษรประจำเขตกริด จากบริเวณสวนลางของขอบระวางแผนที่ ในที่นี้คือ 47N n 2. อานอักษรประจำจัตุรัส 100,000 เมตรจากขอบระวางแผนที่ โดยเสนกริดมีคานอยกวา 600 คือ NH ถามากกวามีคา PH n 3. อานคาของจตุรัส ณ จุดพิจารณา ความละเอียดจะขึ้นอยูกับจำนวนหลักที่อาน เชน ถาอานออกมาเปนพิกัด 4 ตำแหนง เชน 1542 เราจะสามารถแบงไดคือ คา เสนพิกัดของเสนกริดตะวันออก เทากับ 15 คากริดเหนือ เทากับ 42 ความ ละเอียดของพิกัดที่อานคือ 1,000 เมตร n ถาอานออกมาเปนพิกัด 6 ตำแหนง เชน 152427 เชนเดียวกันคือ 152 เปนคา กริดตะวันออก และ 427 เปนคากริดเหนือ 21
ความละเอียดของคาพิกัดที่ออกมาเทากับ 100 เมตร n ถาอานออกมาเปนคาพิกัด 8 ตำแหนง ความละเอียดของคาที่อานออกมาเทากับ 10 เมตร เชน อานพิกัดที่จุด A มี พิกัดดังนี้ คือ 47NPH152427 คือการบอกพิกัดกริดทางทหารอยางสมบูรณ แตถาพื้นที่ไมกวางใหญ อานแค 152427หรือ PH152427 ก็พอ ทดลองการหาจุด A ในแผนที่ ดังภาพ 1. ดูวาจุด A อยูที่ไหน อยูที่เสนกริดที่เทาไร โดยสังเกตุ เสนตารางกริด โดยเสนแนวนอนจะแสดง คาพิกัดทาง N และ เสนแนวตั้งจะแสดงคาทาง E จากรูป ตารางกริดที่จุด A อยูที่เสน N =47-48 และ E=95-96 ถาเราตองการคาพิกัด จุด A ที่มีคาพิกัดแค 4 สามารถอานไดคาเทากับ 9547 n
2. ในกรณีที่ตองการความละเอียดสูงขึ้นสามารถทำไดโดยการแบงตารางกริดนั้นออกเปนตาราง ขนาด 10 x 10 แลวจึง อานคาที่ไดตามเสนกริด เพิ่มจากคาที่อานไดจากขอบระวาง ถาจากรูปจะไดเทากับ 954477 คาพิกัดที่ไดจะมีความละเอียด ถึง 100 เมตร และถาตองการละเอียดกวานี้ ก็เพียงแคประมาณดวยสายตาเอา โดยแบงในกรอบออกเปน ตาราง 10 x 10 เชนเดิม
22
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์หรือ GIS
[Spatial Data] ที่แสดงในรูปของภาพ [graphic] แผนที่ GIS คืออะไร N ความหมายของคำว า "ระบบสารสนเทศภู ม ิ ศ าสตร [map] ที่เชื่อมโยงกับขอมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) [Geographic Information System ] GIS" ระบบสารสนเทศ ภูมิศาสตร หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการทำงานเกี่ยวกับขอมูลในเชิงพื้นที่ดวยระบบ คอมพิ ว เตอร ท ี ่ ใ ช ก ำหนดข อ มู ล และสารสนเทศที ่ ม ี ค วาม สัมพันธกับตำแหนงในเชิงพื้นที่ เชน ที่อยู บานเลขที่ สัมพันธกับตำแหนงในแผนที่ ตำแหนง เสนรุง เสนแวง
n ขอมูลและแผนที่ใน GIS เปนระบบขอมูลสารสนเทศที่อยู ในรูปของตารางขอมูลและฐานขอมูล ที่มีสวนสัมพันธกับ ขอมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ ของขอมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมาวิเคราะหดวย GIS และทำใหสื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่ สัมพันธกับเวลาได เชน การแพรขยายของโรคระบาด การ เคลื่อนยาย ถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย การเปลี่ยนแปลงของ การใชพื้นที่ ฯลฯ ขอมูลเหลานี้ เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให สามารถแปลและสื่อความหมาย ใชงานไดงาย n GIS เปนระบบขอมูลขาวสารที่เก็บไวในคอมพิวเตอร แต สามารถแปลความหมายเชื่อมโยงกับสภาพภูมิศาสตรอื่นๆ สภาพทองที่ สภาพการทำงานของระบบสัมพันธกับสัดสวน ระยะทางและพื้นที่จริงบนแผนที่ ขอแตกตางระหวาง GIS กับ MIS นั้นสามารถพิจารณาไดจากลักษณะของขอมูลคือ ขอมูลที่จัดเก็บใน GIS มีลักษณะเปนขอมูลเชิงพื้นที่ 23
หรือฐานขอมูล [Database] การเชื่อมโยงขอมูลทั้งสอง ประเภทเขาดวยกัน จะทำใหผูใชสามารถที่จะแสดงขอมูลทั้ง สองประเภทไดพรอมๆ กัน เชน สามารถจะคนหาตำแหนง ของจุดตรวจวัดควันดำ - ควันขาวไดโดยการระบุชื่อจุดตรวจ หรือในทางตรงกันขาม สามารถที่จะสอบถามรายละเอียด ของ จุดตรวจจากตำแหนงที่เลือกขึ้นมา ซึ่งจะตางจาก MIS ที่แสดง ภาพเพียงอยางเดียว โดยจะขาดการเชื่อมโยงกับฐาน ขอมูลที่เชื่อมโยงกับรูปภาพนั้น เชนใน CAD [Computer Aid Design] จะเปนภาพเพียงอยางเดียว แตแผนที่ใน GIS จะมีความสัมพันธกับตำแหนงในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร คือ คาพิกัดที่แนนอน n ขอมูลใน GIS ทั้งขอมูลเชิงพื้นที่และขอมูลเชิงบรรยาย สามารถอางอิงถึงตำแหนงที่มีอยูจริงบนพื้นโลกไดโดยอาศัย ระบบพิกัดทางภูมิศาสตร [Geocode] ซึ่งจะสามารถอางอิงได ทั้งทางตรงและทางออม ขอมูลใน GIS ที่อางอิงกับพื้นผิว โลกโดยตรง หมายถึง ขอมูลที่มีคาพิกัดหรือมีตำแหนงจริง บนพื้นโลกหรือในแผนที่ เชน ตำแหนงอาคาร ถนน ฯลฯ สำหรับขอมูล GIS ที่จะอางอิงกับขอมูลบนพื้นโลกไดโดยทาง ออมไดแก ขอมูลของบาน (รวมถึงบานเลขที่ ซอย เขต แขวง จังหวัด และรหัส ไปรษณีย) โดยจากขอมูลที่อยู เราสามารถ ทราบไดวาบานหลังนี้มีตำแหนงอยู ณ ที่ใดบนพื้นโลก เนื่องจากบานทุกหลังจะมีที่อยูไมซ้ำกัน
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
อางอิง http://www.maps-gps-info.com/read-topomaps.html#ixzz2CZGUJWbg http://www.gisthai.org/about-gis/gis.html
http://marble.kde.org/install.php โปรแกรม แผนที่โลก ใหดูกันในหลายๆ มุม เนนดานการ ศึกษาหาความรู ดานอากาศ ภูมิศาสตร ฯลฯ
http://www.maps-gps-info.com/free-gpsmaps.html Use this site to locate hard-to-find resources. Visit the Cool Map Tools and แนะนำลิงคสำหรับการสืบคนขอมูลเรื่อง consult the Glossary for those obscure maps and GPS terms. You'll be able to make a ของการใชแผนที่ตางๆ confident buying decision after reading the http://www.rtsd.mi.th/index.php กรมแผนที่ product reviews. ใหความรูเบื้องตนเรื่องแผนที่ ทหาร สำรวจการใหบริการตางๆ ไดอยางดี2436 สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนเลมที่ ๑๒
http://www.dmr.go.th/more_news.php? cid=28&filename=index ดาวนโหลดแผนที่ แผนที่ธรณีวิทยามาตราสวน 1:50,000 13 ก.ย. 2550 http://pointnetwork.pointasia.com/th/ PointAsia/main.aspx แผนที่กึ่งธุรกิจจาก point asia และขอมูลที่ใหบริการประกอบดวย แผนที่ภาพถายดาวเทียมที่ครอบคลุมพื้นที่ ประเทศไทยเกือบ 100% ขอมูลแผนที่ GIS พรั่ง พรอมดวยบริการขอมูลพื้นฐานและขอมูลประกอ บอื่นๆ อำนวยความสะดวกใหแกผูใชงานในการ คนหาขอมูลของสถานที่ตางๆ ได เชน ชื่อถนน ชื่อ จังหวัด เขตการปกครอง เสนทางเดินรถประจำ ทาง เปนตน https://maps.google.com โปรแกรม กูเกิล แมพ (Google Maps) http://www.google.com/earth/index.html Google Earth ตองดาวนโหลดเบราเซอร ติดตั้ง โปรแกรมไวในเครื่องคอมพิวเตอร หรือโทรศัพท เคลื่อนที่ http://map.longdo.com แผนที่ประเทศไทยและ แผนที่โลก
24
http://www.gistda.or.th/gistda_n/ สำนักงาน พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องคการมหาชน) เมื่อป 2541 รัฐบาลมีนโยบายปฏิรูประบบราชการ เพื่อใหการทำงานคลองตัวขึ้น จึงไดประกาศใช พระราชบัญญัติองคการมหาชน พ.ศ.2542 และ ดวยความสำคัญของการใชเทคโนโลยีดานการ สำรวจข อ มู ล ระยะไกลและระบบสารสนเทศ ภูมิศาสตรในการพัฒนาประเทศ ใน พ.ศ.2543 กระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม ได จ ั ด ตั ้ ง หน ว ยงานใหม โ ดยรวมกองสำรวจ ทรัพยากรธรรมชาติดวยดาวเทียม สำนักงาน คณะกรรมการวิจัยแหงชาติ และ ฝายประสานงาน และส ง เสริ ม การพั ฒ นาระบบสารสนเทศ ภูมิศาสตร ศูนยขอมูลขอสนเทศ สำนักงานปลัด กระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม ตามพระราชกฤษฎีกา เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2543 ในนามของ " สำนักงานพัฒนา เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องคการ มหาชน) " ตั้งแตวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2543 มี หลักสูตรการฝกอบรมเทคโนโลยีอวกาศและภูมิ สารสนเทศสำหรับประชาชน หนวยงานภาครัฐ หนวยงานเอกชน หรือหนวยงานดานการศึกษา ต า งๆ เพื ่ อ ในหน ว ยงานได น ำเทคโนโลยี ม า ประยุกตใชในการพัฒนาประเทศในหลากหลาย ดาน สามารถติดตามสถานการณไฟปา น้ำทวม พายุฝน ไดจากเวบไซตนี้
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
ศรี ศ ั ก ร วั ล ลิ โ ภดม แผนที่ระวาง L 708 เป็ น การทํ า แผนที ่ ท างอากาศ ชุดแรกของ ประเทศไทย ทําขึ้น ตั้งแต่เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๙๕ แต่ ใ ห้ ใ ช้ เฉพาะหน่ ว ยงาน ทางราชการเท่านั้น ไ่ ใ ห้ ป ระชาชนหรื อ องค์กรอื่นใด นําไป ใช้ประโยชน์ แม้จะ เป็นไปเพื่อการ ศึกษา เป็นการลด โ อ ก า ส ก า ร ทํ า ความเข้ า ใจใน เรื ่ อ งภู ม ิ ป ระเทศ และท้องถิ่นของ ตนเองอย่างน่า เสียดาย
การอ่านแผนที่กับการเรียนรู้นิเวศวัฒนธรรมของเด็กไทย ในยุคปฏิรูปการศึกษา ! ทุกวันนี้ผูรับผิดชอบการศึกษาของรัฐชอบมา n อันที่จริงในเรื่องนี้ กระทรวงศึกษาธิการเอง ก็
โอกันถึงเรื่องปฏิรูปการศึกษาที่ใหความสำคัญกับ การแบงเขตการศึกษาและการใหเด็กไดเรียนรู เรื่องของทองถิ่นตางๆ นานา แตก็มักเปนเรื่องวาท กรรมในเรื่องแนวคิดที่ทำใหเกิดขอถกเถียงกัน เปนประจำ อยางเชน แนวคิดในเรื่อง เด็กเปน ศูนยกลาง เปนตน เลยแทบไมมีใครที่พูดถึงวาจะ ทำอยางไรใหเด็กไดเรียนรูในเรื่องสภาพแวดลอม ทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมรวมกัน เพื่อที่จะเกิด ความรูอยางมีประสบการณอันจะมีผลไปถึงการ รูจักตนเอง การคิดเปนทำเปน และการอยูรวมกัน กับผูอื่นในสังคมทองถิ่นเดียวกัน
25
มีการอบรมใหเด็กนักเรียนเปนลูกเสืออยูแลวnม ี ทั้งการไปอยูรวมกันในคายที่มีกิจกรรมหลายๆ อยาง โดยเฉพาะการออกไปสำรวจสถานที่และ สภาพแวดลอม มีการทำแผนที่แลวเรียบเรียงถึง สิ่งที่ไปพบเห็นเปนตน n ขาพเจาจำไดวา สมัยที่เปนเด็กเคยออกไปทำ กิจกรรมสำรวจสถานที่ ซึ่งครูกำหนดใหไปเปนก ลุมที่มีการทำแผนที่และเขียนรายงานการศึกษา เสนอครูผูควบคุม นับเปนเรื่องสนุกผจญภัยและมี ความเปนอิสระที่ไมไดอยูในการดูแลของครูอยาง ใกลชิด ทำใหมีชองวางในการตั้งคำถามและคิด รวมทั้งจินตนาการกับสิ่งตางๆ ที่พบเห็นในสภาพ
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
แวดลอมของทองถิ่น ความสนุกและพึงใจในเรื่อง นี้ไดติดตัวมาจนกระทั่งโต ทำใหชอบออกไป สำรวจตามท อ งถิ ่ น ต า งๆ กั บ พ อ ที ่ เ ป น นั ก โบราณคดีแบบเกาๆ ซึ่งมักจะแนะนำใหวา กอน ออกไปตองหาอานตำนาน พงศาวดารที่เกี่ยวกับ ความเปนมาของทองถิ่นเสียกอน รวมทั้งหาแผนที่ แผนทางดูเสียดวยวามีสภาพภูมิศาสตรและสิ่ง แวดลอมเปนอยางไรบาง เพราะจะทำใหเกิดความ เขาใจเมื่อเขาไปในพื้นที่จริงๆ
ประวัติศาสตรทองถิ่นและวัฒนธรรมทองถิ่นเปน อยางดี
n แตนาเสียดายที่วาทางราชการทหารกำหนดให เปนเรื่องของความลับทางราชการ ผูที่จะนำไป ใชไดตองเปนขาราชการที่มีหนาที่เกี่ยวของ ไมเปด โอกาสใหเอกชนหรือโรงเรียนธรรมดาๆ นำไปใช สอนเด็กใหรูจักการอานแผนที่ เพื่อที่จะเขาใจใน สภาพแวดลอมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมใน ทองถิ่นที่ตนอยูแตอยางใด เลยทำใหเด็กไทยแต n การเตรี ย มตั ว เช น นี ้ เ ลยทำให ข า พเจ า ได ไหนแตไรมาดูแผนที่และอานแผนที่กันไม ตระหนักวา บรรดาตำนาน พงศาวดารนั้น เปนสิ่ง n แผนที่ซึ่งเรียนรูกันตามโรงเรียนหรือแมแตใน ที่คนในชวงเวลาสรางขึ้นเพื่ออธิบายความเปนอยู มหาวิ ท ยาลั ย ก็ ม ั ก เป น มาตราส ว น ๑ : ของผูคนและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในทองถิ่นหนึ่งๆ ๒๕๐,๐๐๐ ขึ้นไป ซึ่งก็กวางใหญเกินกวาที่จะแล นั่นเอง เห็นสภาพแวดลอมและความเปนทองถิ่นได แมแต n การออกไปเห็นทองถิ่นจึงทำใหเกิดการเขาใจ ป จ จุ บ ั น นี ้ ท ี ่ ม ี ค วามก า วหน า ในทางภู ม ิ ศ าสตร เรื่องราวในตำนานดี แตเมื่อขาพเจาเรียนจบการ จนถึงขนาดใชภาพถายดาวเทียมกันแลวก็ตาม ศึกษาแลวมารับราชการอยูในมหาวิทยาลัย กลับ เด็กนักเรียนทั่วไปก็ยังไมมีโอกาสที่จะไดเรียนได ไดเปรียบกวาเมื่อสมัยเด็กในเวลาออกไปศึกษาใน อานแผนที่มาตราสวน ๑:๕๐,๐๐๐ อันเปนแผนที่ ทองถิ่น เพราะมีเครื่องมือที่ดีกวาในการชวย พื ้ น ฐานที ่ จ ะทำให เ กิ ด ความเข า ใจภาพถ า ย นำทางและทำความเขาใจกับสภาพแวดลอมทาง ดาวเทียมไดเลย วัฒนธรรม นั่นก็คือ ขาพเจามีโอกาสไดใชแผนที่ n ทำใหความรูท างสภาพแวดลอมและภูมศิ าสตร ชุด L ๗๐๘ มาตราสวน ๑ : ๕๐,๐๐๐ ชุดแรก กลายเปนเรื่องของคนที่ศึกษาเฉพาะเรื่องหรือผู ของประเทศ เขาใจวาทำจากภาพถายทางอากาศ เกี่ยวของที่มีหนาที่เทานั้นที่จะไดเรียนรูและใช แต ค.ศ. ๑๙๕๑ เปนของที่ใชเฉพาะราชการทหาร ประโยชน หาไดคิดคำนึงวาเปนเครื่องมือสำคัญที่ ของอเมริกัน แตทางราชการทหารไทยก็ใชดวย จะใหเด็กนักเรียนไดใชเพื่อที่จะไดเรียนรูอะไรตอ และไดผลิตตอมาใหเขากับการเปลี่ยนแปลงหลาย อะไรอยางกวางขวางไม ทั้งๆ ที่บรรดาอรหันตทั้ง ชวงเวลาจนมาถึงปจจุบัน หลายเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาชอบย้ำเสมอวา แผนที่ทางอากาศมาตรานี้มีประโยชนมาก เพราะ ตองใหเด็กเรียนรูเรื่องราวในทองถิ่นของตนเปน ทำใหแลเห็นตำแหนงที่ตั้งของชุมชนในทองถิ่น ทั้ง อย า งยิ ่ ง ความรู ท อ งถิ ่ น โดยเฉพาะนิ เ วศทาง ที่เปนบานและเมืองวามีสภาพแวดลอมเปนเชนใด วัฒนธรรมดังกลาวนี้ ไมมีทางที่จะทำใหเด็กได มีชื่อชุมชน สถานที่ และชื่อแมน้ำลำหวยภูเขาวา เรียนรูได ถาตราบใดครูผูสอนแมแตบรรดา อยางไร รวมทั้งแลเห็นรองรอยการเปลี่ยนแปลง อรหันตทางการศึกษาเหลานั้นไมเคยเห็นและอาน ลำน้ำและชุมชนเกาใหมไดเปนอยางดี ทำใหเกิด แผนที่มาตราสวน ๑ : ๕๐,๐๐๐ ที่ทางราชการ ความเขาใจในสิ่งที่เรียกวา นิเวศทางวัฒนธรรม ทหารกักไววาเปนความลับทางราชการ [Cultural Ecology] อันมีผลนำไปศึกษาในเรื่อง n เด็กไทยทุกวันนี้จึงโงเขลา [Ignorance] อาน แผนที่เพื่อที่จะรูจักตนเองและทองถิ่นที่ตนเกิดไม 26
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
่เปนดีแตถูกมอมเมาใหเรียนรูคอมพิวเตอรในยุค “แต น า เสี ย ดายที ่ ว า ทางราชการทหารกำหนด
สื ่ อ สารดาวเที ย มเพื ่ อ เล น เกมส ต า งๆ อย า ง ให เ ป น เรื ่ อ งของความลั บ ทางราชการ ผู ท ี ่ จ ะ นำไปใชไดตองเปนขาราชการที่มีหนาที่ เชี่ยวชาญเทานั้นเอง เกี่ยวของ ไมเปดโอกาสใหเอกชนหรือ n ในทำนองตรงขาม แผนที่ที่ทางราชการทหาร โรงเรี ย นธรรมดาๆ นำไปใช ส อนเด็ ก ให ร ู จ ั ก การอ า นแผนที ่ สงวนไวเปนความลับเฉพาะคนทั่วไปนั้น กลับไม ลับเฉพาะคนหลายๆ ประเภทที่มีหนาที่และผล อยูมาแตดั้งเดิมในทองถิ่นแตอยางใด เพราะ ประโยชนเกี่ยวของ เพราะเปดโอกาสใหนำไปใชทั้ง บรรดานักวิชาการและผูมีสวนเกี่ยวของในการ อยางลับๆ และเปดเผย อยางลับๆ ก็คือ เปน วางแผนและเขียนโครงสรางเหลานี้ สวนใหญมอง เครื ่ อ งมื อ ของบรรดานายทุ น ทางเกษตร ดูสภาพแวดลอมแตจากแผนที่ จึงมองไมเห็นผูคน อุตสาหกรรมและบานจัดสรร นำไปใชในการ ที่อยูตามธรรมชาติในสภาพของความเปนจริง วางแผนในการซื้อที่ทำกินของชาวบานในราคา ถูกๆ สวนอยางเปดเผยก็คือ ทำใหบรรดานักการ n ขาพเจาเปนผูหนึ่งที่มีประสบการณอยางเศรา เมือง นักวิชาการ และเจาหนาที่ นำไปใชในการ ใจกับเรื่องการใชแผนที่มาตราสวน ๑:๕๐,๐๐๐ สรางสถานที่ราชการ สรางเขื่อน สรางถนน นี้ คือเคยสนับสนุนใหมีการนำแผนที่มาตราสวน หนทางและอะไรตางๆ นานา อันเปนโครงสราง ๑:๕๐,๐๐๐ ชุ ด ที ่ ท หารอเมริ ก ั น ทำไว เ มื ่ อ ทางนิเวศการเมือง[Political Ecology]ที่เกิดจาก ๔๐-๕๐ ป ท ี ่ ผ า นมาและชุ ด ที ่ ใ ช ใ นป จ จุ บ ั น การใชยางลบลบโครงสรางทางกายภาพของทอง [L๗๐๘ และL๗๐๑๗] เปนเครื่องมือใหเด็กและ ถิ่นในระบบนิเวศทางวัฒนธรรมใหหมดไป แลว คนทั่วไปใชศึกษาระบบนิเวศทางวัฒนธรรมใน ใชดินสอเขียนโครงสรางทางกายภาพของนิเวศ ทองถิ่น โดยผานการอำนวยความสะดวกของ สถาบั น ทางวิ ช าการหนึ ่ ง แต ก ลั บ ถู ก ผู ท ี ่ เ ป น ทางการเมืองทับลงไป ประธานกรรมการของสถาบั น นั ้ น ที ่ เ ป น ผู n เหตุนี้การกอสรางตางๆ ที่ทางราชการเรียกวา เชี่ยวชาญทางกฎหมายทวงติงวาเปนความลับทาง เปนการพัฒนาและบรรดานายทุนเรียกวาเปนการ ราชการทั้งที่รูแกใจวา แผนที่ชุดนี้ไมนาจะเปน ลงทุนนั้น แทจริงสรางขึ้นอยางไมคำนึงหรืออื้อ ความลับอะไรตอไป หลายๆ คนที่ใชเปนเรื่องของ อาทรตอชีวิตวัฒนธรรมของชาวบานและผูคนที่ อดีตกันหมดแลว ซึ่งถาจะมองแคประโยชนใชสอย อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภ ดม มักจะใช้แผนที่ใน การอธิบายความหมาย ของท้องถิ่นในรูปแบบ ภูมิวัฒนธรรมเสมอ
27
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
ในปจจุบันก็มีคาเพียงแตกระดาษชำระเทานั้นเมื่อขาพเจาไปที่เขมร ยังเคยไปซื้อแผนที่ชุดนี้ของประเทศ เขมรไดอยางเปดเผย ไมเห็นมีอะไรนากลัว แตทำนองตรงขามกลับทำใหเกิดความเขาใจภูมิศาสตรและ วัฒนธรรมขอมโบราณดีขึ้น n ข า พเจ า เลยมาถึ ง ข อ สรุ ป ว า การที ่ เ ด็ ก ไทยมี ค วามโง เ ขลาไม ท ั น กั บ เด็ ก ในชาติ อ ื ่ น ในเรื ่ อ ง ประวัติศาสตรและวัฒนธรรมนั้นก็เนื่องจากบรรดาผูใหญที่เปนผูเชี่ยวชาญของทางราชการนี่แหละที่ เห็นและรับรูเพียงแตสิ่งที่ตนรูและถนัดเทานั้น หาไดมองลึกไปถึงปญหาดังกลาวแตอยางใด
หมายเหตุ ! ในขณะที่คนทั้งโลกกำลังนำขอมูลจาก ระบบฐาน ขึ้น สวนหนึ่งเปนเพราะความกาวหนาทางเทคโนโลยี การ ข อ มู ล ภู ม ิ ส ารสนเทศ หรื อ ที ่ ร ู จ ั ก มั ก คุ น กั น ในชื ่ อ GIS[Geographic Information Sytstem]ไปประยุกตใช เพื่ออำนวยความสะดวกแกการศึกษาดานตางๆ กัน จาละหวั่น อีกทั้งเปนสาขาวิชายอดฮิตในมหาวิทยาลัยตาง ประเทศ รั ฐ บาลทั ก ษิ ณ ก็ จ ั ด ตั ้ ง สำนั ก งานพั ฒ นา เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศขึ้นมาเปนองคการ มหาชน และพยายามกระจายความรูเหลานี้สูหนวยงาน ทองถิ่น เพราะโดยทั่วไปถือกันวา แผนที่ หรือขอมูลภูมิ สารสนเทศนั ้ น เป น สิ ่ ง ที ่ เ ป น โครงสร า งพื ้ น ฐานหรื อ infrastructure อยางหนึ่ง V นิตยสาร National Geographic ฉบับภาษาไทย เดือนมีนาคม ๒๕๔๗ มีบทความเกี่ยวกับแผนที่ใน ประเทศไทยวา
ปกปดขอมูลจึงไมจำเปนหรือทำไดอีกตอไป”
เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ คณะกรรมการภูมิ สารสนเทศมีมติกำหนดมาตรฐานการใชมาตราสวนแผน ที ่ ข องหน ว ยงานต า งๆให เ ป น ไปในทิ ศ ทางเดี ย วกั น สามารถวางทับซอนเพื่อแลกเปลี่ยนขอมูลหรืออางอิงกัน ไดในอนาคตอันใกลนี้แผนที่ผังเมือง แผนที่ทหาร แผนที่ ภูมิศาสตรทยอยเปลี่ยนเปนระบบดิจิตอล ซึ่งใชงานงาย จัดเก็บสะดวกกวาแผนที่กระดาษ V ในขณะนี้กรมแผนที่ทหารไดผลิตแผนที่ชุดใหมดวย ระบบดิจิตอลชื่อระวาง L ๗๐๑๘ มาตราสวน ๑ : ๕๐,๐๐๐ กระทรวงเกษตรและสหกรณ ผ ลิ ต แผนที ่ ภาพถายสี จากภาพถายทางอากาศ มาตราสวน๑ : ๒๕,๐๐๐ แลวเสร็จไป ๘๕ % ของพื้นที่ทั่วประเทศเปา หมายเพื่อใชประโยชนเพื่อการบริหารจัดการทรัพยสิน ของกระทรวงกรมที่ดินอยูระหวางเปลี่ยนแปลงแผนที่ ที ่ ด ิ น ให เ ป น แผนที ่ ด ิ จ ิ ต อลในมาตราส ว น ๑ : ๔,๐๐๐กรมโยธาธิการมีโครงการจัดทำแผนที่ผังเมืองทั่ว ประเทศในมาตราสวน ๑ : ๑๐,๐๐๐
V เทคโนโลยีการทำแผนที่เปลี่ยนไปอยางรวดเร็วจาก แผนที ่โ ตะ ที่ต อ งเดิ นสำรวจสู ภ าพถา ยทางอากาศและ ภาพถายดาวเทียมปจจุบันมีดาวเทียม ๒๔ ดวงโคจร รอบโลก คอยนำทางใหกับทุกคนที่มีเครื่องมือ GPS (Global Position System) แผนที่กำลังเขามามีบทบาทใน ทุกมิติของชีวิต เมื่อแผนที่หลุดพนจากกระดาษมาสูระบบ V พรอมทั้งมีมติแตงตั้งคณะทำงาน ๕ ชุดเพื่อดูแลการ ดิจิตอลและไปปรากฏในอุปกรณหลากหลายไมวาจะเปน จัดทำและใชประโยชนจากขอมูลแผนที่ ประกอบดวย คอมพิวเตอรโทรศัพทมือถือ หรือหนาปดรถยนต คณะอนุกรรมการกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับแผนที่และ V ดร.วิชา จิวาลัย ประธานคณะกรรมการสำนักงาน ขอมูลแผนที่,คณะอนุกรรมการวางแผนการใชแผนที่ชุด พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศแสดงความ L๗๐๑๘,คณะอนุ ก รรมการวางแผนการใช ป ระโยชน ภาพถ า ยทางอากาศสี , คณะอนุ ก รรมการวางแผนการ เห็นวา ประสานการใช ง านหมุ ด หลั ก จี พ ี เ อสและคณะ V “การที่รัฐถือวาแผนที่เปนความลับซึ่งมองในแงความ อนุกรรมการกำหนดมาตรฐานเขตการปกครอง มั่นคงเปนหลัก ทำใหมีขอจำกัดในการนำไปใชประโยชน โดยเฉพาะในภาคเอกชน ทั้งที่แผนที่เปนโครงสรางพื้น จดหมายขาวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ ฉบับ ฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ ไมตางไปจากถนน ๔๘ (พฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๔๗ ) หรือไฟฟา อีกทั้งการทำแผนที่ตองใชเงินลงทุนสูงกวาที่ ภาคเอกชนรั บ ภาระได เมื ่ อ รั ฐ ลงทุ น แล ว ก็ ค วรใช ประโยชนใหคุมคา อยางไรก็ตามในอนาคตมีแนวโนมที่ดี 28
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
ศรี ศ ั ก ร วั ล ลิ โ ภดม
แผนที ่ ภ ู ม ิ ศ าสตร์ มาตราส่ ว น 1 : 50,000
คนไทยใช้แผนที่ไม่เป็น : เหตุการณ์แห่งความโง่เขลาเบาปัญญาจนเสียรู้ เสียดินแดน ! รัฐประชาชาติหรือรัฐชาติ [Nation state] ภาย n ทวาการรับรูอารยะธรรมตะวันตกในหมูผูนำ
ใตคำวา “ประเทศไทย” ในทุกวันนี้ เปนรัฐใหมที่ เริ่มพัฒนามาแตสมัย รัชกาลที่ ๔ แหงกรุง รัตนโกสินทร และเปนรูปรางอยางเดนชัดแตสมัย รัชกาลที่ ๕ เปนตนมา ! เหตุที่เกิดขึ้นเปนผลกระทบจากการคุกคาม ของประเทศมหาอำนาจทางตะวั น ตกในการล า อาณานิคม ที่ทำใหผูนำประทศตองหันมาสนใจกับ อารยะธรรมตะวั น ตก เพื ่ อ ปรั บ ตั ว ให ท ั น กั บ อิทธิพลทางเศรษฐกิจการเมืองของตะวันตกใน ลักษณะที่ไมใชการเผชิญหนา แตโดยทางการตอ รองและประนีประนอม
29
ไทยยุคใหมในสมัยนั้น กลับเปนเรื่องคอนขาง หลงใหล จนอยูในภาวะครอบงำในกระบวนการที่ เรียกวานิยมตะวันตก [Westernization] ซึ่งก็แล เห็นไดจากความคิดตางกันของผูนำยุคกอนใน สมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ทรงเตือนคนรุนใหมวา ความ เจริญจากตะวันตกนั้นเปนสิ่งที่ตองเรียนรูและรับรู แตอยาถึงขนาดเลื่อมใส ดูตรงขามกันกับคนรุน ใหมแตสมัยรัชกาลที่ ๔ ลงมา ที่ดูเลื่อมใสไหล หลง ดังเห็นไดจากการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อยาง ในแนวคิดและรูปแบบการดำรงชีวิตในกลุมบุคคล ชั้นนำ จนเกิดมีสีสันตะวันตกเขามาบดบังความ เปนตะวันนออกอยางที่เคยปฏิบัติ
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
ภาพถ่ายจากมุมสูงของปราสาทพระวิหาร และภาพ ของสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ เมื่อเดินทาง ไปเยี่ยมชมประสาทพระวิหารในช่วงที่ประเทศ ฝรั่งเศสเป็นเจ้าอาณานิคมที่กัมพูชาอยู่
เริ่มแตการแตงกาย ลักษณะบานเรือนที่อยูอาศัย การเกิด ถนนหนทางขึ้นแทนการติดตอคมนาคมทางน้ำ แตที่สำคัญก็ คือความคิดในเรื่องโลกาวิสัย [Secularization] อันเปนกระ บวนการแยกทางโลกออกจากทางธรรม หรืออีกนัยหนึ่งทาง จิตวิญญาณ แตกอนโลกทัศน [World view] ของคนตะวัน ออกเชน คนสยามหรือคนไทยนั้น การมีชีวิตรวมกันอยูของ คนในโลกเห็นไดจากความสัมพันธใน ๓ มิติที่เกาะเกี่ยวกัน เปนองค อยูรวมกันเปนสังคม ไดแก
มีกติกาจารีตประเพณี จริยธรรมและศีลธรรม จุดเปลี่ยน ของการมองโลกแบบโลกวิสัย [Secularization] เกิดขึ้นใน รัชกาลที่ ๔ จากความคิดที่วาโลกแบบและมีปลาอานนทหนุน อยูตามที่ไตรภูมิอันเปนตำราเกี่ยวกับจักรวาลแตเดิม มาสู การมองวา โลกกลม ตามแบบตะวันตกที่มีการพิสูจนกัน ตามหลักวิทยาศาสตร เพราะ รัชกาลที่ ๔ ทรงติดตอและ เรียนรูจากพวกตะวันตกที่เขามาเปนที่ปรึกษา ทำใหมัก อธิ บ ายปรากฏการณทางความเชื ่ อ แต เ ดิ ม เปลี ่ ย นไปอี ก หลายๆ อยางเชน การมองดวงไฟที่ปรากฏเหนือพระบรม n ความสั ม พั น ธ ร ะหว า งคนในสั ง คมกั บ สิ ่ ง แวดล อ ม ธาตุ เ จดี ย ท ี ่ ช าวบ า นชาวเมื อ งเชื ่ อ ว า เป น พระบรมธาตุ ธรรมชาติอันไดแก การจัดการในทางเศรษฐกิจสังคมในเรื่อง ปาฏิหาริยแตเดิมมาเปนการเกิดจากแกสเนา ที่อยูอาศัย อาหารการกิน ยารักษาโรค และการทำมาหากิน อยางเปนระบบเพื่อการอยูรอดรวมกันทางวัตถุธรรมของ n แตที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องความเชื่อในเรื่องสุริยุปราคาที่ คนในสังคมกับความสัมพันธระหวางคนในสังคมกับอำนาจ รัชกาลที่ ๔ ทรงคำนวณโดยหลักดาราศาสตรแบบตะวันตก เหนือธรรมชาติ อันเปนที่มาของศาสนาและระบบความเชื่อ ที่ตำบลหวากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ จนไดรับการยกยอง อันเปนสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจที่มีผลทำใหไปอยูรวมกันอยาง วาทรงเปนสักวิทยาศาสตรคนแรกๆ ของประเทศ แตกอน 30
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
ดาราศาสตรแฝงอยูในเรื่องของโหราศาสตร ดังใน ราชสำนักมักมีพระโหราธิบดีที่ทำหนาที่อธิบาย ปรากฏการณธรรมชาติที่เกิดขึ้นในลักษณะผิด ปกติในบานเมืองใหเปนเรื่องของโชคลาภ มาถึง ยุครัชกาลที่ ๔ ดาราศาสตรก็แยกตัวออกเปน อิสระในทางวิทยาศาสตรไป n ความคิดในเรื่องโลกวิสัยที่เนนวิทยาศาสตร เปนหลักการนั้นแพรหลายอยางรวดเร็วในหมูเจา นายและคนชั้นนำรุนใหม ควบคูไปกับการยอมรับ และชื่นชมอารยะธรรมตะวันตก กอใหเกิดการขัด แยงทางความคิดกับคนรุนเกา อีกทั้งเปนฐาน ความรูและการรับรูที่ทำใหเกิดการปฏิรูปการ ปกครองแผนดินในสมัย รัชกาลที่ ๕ n การปกครองแบบรวมศูนย [Centralization] ครั ้ ง รั ช กาลที ่ ๕ คื อ สิ ่ ง ที ่ จ ำลองมาจากการ ปกครองของรัฐจักรวรรดินิยมตะวันตกที่มีมาแต สมัยวิกตอเรียโดยแท เปนสิ่งที่แตกตางไปจากการ ปกครองแบบรวมศูนยที่มีมากอนแตสมัยอยุธยา ครั้งรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โดย เฉพาะในเรื ่ อ งกฎหมายตราสามดวงอั น เป น กฎหมายในการปกครองแผนดิน ผูรูผูเชี่ยวชาญ ตองอางพระธรรมศาสตร n แตนักกฎหมายไทยที่เกิดขึ้นใหม เชนพวกที่ เข า เรี ย นมาจากมหาวิ ท ยาลั ย ธรรมศาสตร แ ละ การเมื อ งนั ้ น ก็ ด ู เ หมื อ นไม เ คยอ า นพระ ธรรมศาสตรที่ทางมหาวิทยาลัยเอาชื่อไปใชเลย โดยยอการปฏิรูปการปกครองสมัย รัชกาลที่ ๕ นั้นใชกระบวนการโลกวิสัยอยางเปนรูปธรรมและ ชัดเจน เปนความคิดแบบตะวันตกที่ครอบงำ ชนชั้นผูนำรุนตอๆ มา อยางตอเนื่อง จนสมัยการ เปลี ่ ย นแปลงการปกครองจากระบอบสมบู ร ณ าญาสิทธิราชมาเปนระบอบประชาธิปไตยแต พ.ศ. ๒๔๗๕ n สิ ่ ง ที ่ น า สั ง เกตเป น อย า งยิ ่ ง ก็ ค ื อ การ เปลี่ยนแปลงจากระบบปกครองโดยกษัตริยมา เปนสามัญชนนั้นก็หาไดเปลี่ยนแปลงโครงสราง การปกครองแบบรวมศูนยที่มีมาแตสมัยรัชกาลที่ 31
๕ ไม แตกลับเปนการรวมศูนยรัฐบาลกลางอยาง กระชับมากกวา อันเนื่องมาจากความซับซอนทาง เศรษฐกิจการเมืองที่เติบโตมากับการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม n ดังเห็นไดจากการเพิ่มขึ้นของหนวยราชการ เกิดกระทรวง ทบวง กรมขึ้นมากมายในการทำ หนาที่เฉพาะ [Specialization] เกิดเปนระบบ ราชการที่มีอำนาจลดหลั่นกันลงมา [Hierarchy] จนเปนความเหลื่อมล้ำเหนือผูคนในสังคมที่เปน ไพรบานพลเมืองมากกวาสมัย สมบูรณาญาสิทธิราช แมวาปจจุบันรัฐบาลแตละ สมั ย อ า งความเป น ประชาธิ ป ไตยในสั ง คมไทย ก็ตาม แตก็หาขจัดความเปนชนชั้นอันเปนความ เหลื่อมล้ำที่สังคมประชาธิปไตยตามอุดมคติเห็น วาเปนอุปสรรคของความเสมอภาคและเสรีภาพ ไมได แตที่ซ้ำรายและชั่วรายกวาแตกอนก็คือ การมอง โลก (World view) และคำนิยม (Value system) ของคนไทยในกรองของโลกาวิสัยแบบตะวันตก นั้นเปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่มีมาแตสมัยสมบูรณ าญาสิทธิราชจนหมดสิ้น โดยเฉพาะคนรุนใหมที่ เป น รุ น พ อ แม แ ละลู ก หลานในป จ จุ บ ั น กลาย เปนการมองโลกและคำนิยมที่เปนแบบ อยากเปน อเมริกัน (Americanization) แทบทั้งสิ้น นั่นก็คือ การมองโลกที่มี ๓ มิติแตเดิม คือระหวางคนกับ คน คนกั บ ธรรมชาติ และคนกั บ สิ ่ ง เหนื อ ธรรมชาติที่เปนองครวม [Holistic] แบบแตเดิม เพื่อความมีดุลยภาพของจักรวาลนั้นเปลี่ยนไป แทบไมเหลืออะไรเลย n อิทธิพลของเศรษฐกิจการเมืองแบบทุนนิยม เสรีที่ครอบงำโลกอยูในขณะนี้ ไดทำใหความ สัมพันธทั้ง ๓ มิติพินาศไม เชนคนกลายเปน ปจเจกเหมือนเดรัจฉานอยูกันแบบตัวใครตัวมัน พวกใครพวกมัน นับเปนการขาดความเปนมนุษย ที ่ ม ี ธ รรมชาติ เ ป น สั ต ว ส ั ง คมโดยแท ระบบ เศรษฐกิจที่เปนแบบ Mass production ผลิตกัน ตลอดเวลาไม คำนึงถึงฤดูกาลและกาละเทศะนั้น ทำลายความสั ม พั น ธ ข องคนกั บ สิ ่ ง แวดล อ ม
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
! ธรรมชาติที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอยาง สิ้นเชิง สวนความสัมพันธกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่เคย จรรโลงสังคมมนุษยในทางศีลธรรมและจริยธรรมใน มิติของจิตวิญญาณก็กลายเปนสูญ ! มนุษยเดรัจฉานในยุคโลกาภิวัฒนหันมาใชและ พึ่งเทคโนโลยี และความคิดที่เขาเปนกฎกติกาทางโลก วิ ส ั ย อั น เป น เรื ่ อ งทางวั ต ถุ ธ รรมขึ ้ น มาแทน เช น กฎหมายรั ฐ ธรรมนู ญ อั น เป น หั ว ใจของความเป น ประชาธิ ป ไตยที ่ เ ป น แต เ ปลื อ ก หาใช แ ก น แท ใ น อุดมคติไม อยางในทุกวันนี้ ! ก็ เ พราะการขาดการพึ ่ ง อำนาจศั ก ดิ ์ ส ิ ท ธิ ์ ท าง ศาสนาและความเชื่อ มุงแตตัดสินความขัดแยงดวย กฎหมาย ที่อาจแกตางกันดวยทนายความและการขึ้น ศาลที่สามารถใชเงินเปนเครื่องมือทำใหความผิดก ลายเปนความถูกได จึงทำใหสังคมไทยเปนสังคมที่ ละเมิดกฎหมาย [Law violating society] อยางสุด โตง จนมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนกันเปนปกติวิสัย ในปจจุบัน ตางจากสังคมประชาธิปไตยที่ตองเคารพ กฎหมาย และใหความสำคัญกับการละเมิดสิทธิ มนุษยชน ! สังคมไทยเมื่อเขาสูยุคสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะ รัชต เปนตนมา เปนสังคมที่ถูกครอบงำโดยอเมริกัน ที ่ เ น น การพั ฒ นาเศรษฐกิ จ การเมื อ งมากกว า การ พัฒนาคนใหเปนคน เนนการศึกษาเชิงประยุกตและ เทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศใหเปนสมัยใหมและ Fusce ac leo Purus, in consectetuer Proin in sapien. Fusce urna magna,neque eget lacus. Maecenas felis nunc, aliquam ac, consequat vitae, feugiat at, blandit vitae, euismod vel.
32
ความอาภั พ ของคนไทยในความล า หลั ง ทาง วั ฒ นธรรมของรั ฐ บาลและนั ก วิ ช าการไทยที ่ บ า แต เ รื ่ อ งเทคโนโลยี ก ็ ค ื อ คนไทยและเด็ ก ไทย ส ว นใหญ อ า นแผนที ่ ไ ม เ ป น และใช แ ผนที ่ ไ ม เปน อยางเชนการเรียนรูตามโรงเรียน สถาบั น การศึ ก ษาและหน ว ยราชการทั ่ ว ไปได เห็ น และเรี ย นรู แ ต แ ผนที ่ ม าตราส ว นใหญ ๆ เช น ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ขึ ้ น ไป แทบไม ม ี โ อกาสได เห็ น หรื อ เรี ย นรู แ ผนที ่ ม าตราส ว นที ่ ใ กล ค วาม เป น จริ ง ในท อ งถิ ่ น เช น มาตราส ว น ๑ : ๕๐,๐๐๐ แต อ ย า งใด
ทันสมัยในทางวัตถุ จนเต็มไปดวยผูรู ผูเชี่ยวชาญ เฉพาะทาง [Specialization] จนขาดความเขาใจอะไร ตออะไรในทางบูรณาการและเปนองครวม ทำใหเกิด ความขัดแยงกันในการเดินกิจกรรมตางๆ ซึ่งดูไมเปน อะไรถาหากเปนเรื่องภายในประเทศ แตถาเกี่ยวของ กับตางประเทศก็มักจะเปนเรื่องทุกที คือความไมทัน เขาจนกลายเปนความโง ! อยางเชนกรณีพิพาทกับกัมพูชาเกี่ยวกับปราสาท เขาพระวิหารใน พ.ศ.๒๕๐๕ ที่ทางรัฐบาลไทยยอม ขึ ้ น ศาลโลกให เ ป น ผู ต ั ด สิ น เพราะเชื ่ อ มั ่ น ในนั ก กฎหมายทนายความไทยที่เปนผูมีชื่อเสียง เรียนรู กฎหมายจากฝรั่งเศสและยุโรปวาสามารถเอาชนะคดี ความได โดยหารูตัวไมวาความรอบรูแตเพียงเทคนิค และวิชาการเฉพาะทางนั้นไมนาจะชนะอะไรได
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
! ประการแรก หาตระหนักไมวา คณะตุลาการ
ในศาลโลกนั้นก็มีคนฝรั่งเศสและคนตะวันตกที่ เอนเอียงไปขางกัมพูชาอยูแลว จึงไมมีการตอ ตานใดๆ เกิดขึ้น ประการที่สองไมยอมรับการ ใชแผนที่มาตราสวน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่ทำโดย ฝรั่ง เศสและใช ม าแล วแต ค รั ้ง แบ งเขตแดนใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ทั้งๆ ที่ในชวงเวลานั้นไดมี แผนที่ทางอากาศมาตราสวน ๑ : ๕๐,๐๐๐ ที่ พวกอเมริ ก ั น ได ท ำไว แ ล ว เป น แผนที ่ แ สดง ภูมิประเทศไดละเอียดและดีกวา แตฝายไทยดูไม เรียกรองและนำมาใชในการสำรวจเขตแดนโดย ใชสันปนน้ำเปนหลัก แตกลับไปดำเนินการเคารพ กฎกติกาที่ทางฝรั่งเสนอเปนสำคัญ โดยหาเฉลียว ใจไมวา ถาหากเอาประเด็นสันปนน้ำมาเปนหลัก ในการถูกโกงมาแตสมัย รัชกาลที่ ๕ แลวมีการ สำรวจเขตแดนกันใหมนั้น ความโกงที่ศาลโลก ชวยทางกัมพูชาก็จะเปนประจักษอยางเปนรูป ธรรม เพราะฉะนั้นทั้งฝายกฎหมายและฝายแผนที่ ซึ่งลวนแตอางวามีผูเชี่ยวชาญมากมายนั้น นาจะ ตองเปนผูรับผิดชอบในเรื่องนี้เปนอันดับแรก
การไม ร ู จ ั ก แผนที ่ แ ละอ า นแผนที ่ ไ ม เ ป น ในทุ ก วั น นี ้ นั บ เป น ความล า หลั ง ทางวั ฒ นธรรม [Culture lag] อย า งยิ ่ ง ของประเทศไทยที ่ ม ั ก อ า งตนว า ทั น สมั ย เป น สมั ย ใหม หรื อ เป น ยุ ค หลั ง สมั ย ใหม ใ นความคิ ด ของนั ก วิ ช าการสติ เ ฟ อ งรุ น ใหม ๆ บางกลุ ม ในขณะนี ้ โดยเฉพาะบรรดานั ก วิ ช าการห า งแผนที ่ แ ละภาพถ า ยที ่ ท ำงานอยู ต าม สถาบั น ที ่ เ กี ่ ย วข อ งก็ ย ั ง มองเห็ น การใช แ ผนที ่ และภาพถ า ยในลั ก ษณะเป น ข อ มู ล และข อ เท็ จ จริ ง มากกว า เป น เพี ย งเครื ่ อ งมื อ
เกาะกงและเกาะกูดในเขตจังหวัดตราด อันเปน พื้นที่มีทรัพยากรแรธาตุ น้ำมัน แกส และสัตว น้ำอุดมสมบูรณ แตนับเปนเคราะหดีของชาติ ที่ทางกัมพูชาสรางความขัดแยงจนทางไทยถอน อัครราชทูตกลับและลมเลิก MOU ที่เคยทำไว เพื่อมาทบทวนกันใหม
n ขาพเจาคิดวา รัฐบาลไทยและนักวิชาการไทย จะโงหรือไมโงก็ตองดูกันตอนนี้ ถาหากมีการ ทบทวน MOU และตกลงตอรองกันใหมยังคง ยินยอมใหใชแผนที่มาตราสวน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่ n ความโงและเขลามนเรื่องนี้ก็ยังดำรงอยูสืบมา เกาแกและลาหลังที่สุนัขปานักลาอาณานิคมทำไว ถึงสมัยรัฐบาลประชาธิปตยที่มีการนำ MOU กัน แตสมัย รัชกาลที่ ๕ หรือไม ในเรื่องเขตแดนที่ยังยอมกัมพูชาในการใชแผนที่ มาตราสวน ๑ : ๒๐,๐๐๐ ที่ทั้งลาหลังและโคตร n ขาพเจาคิดวาเหนือความทันสมัยและทันโลก โกงมาแตสมัย รัชกาลที่ ๕ พอมาถึงรัฐบาล รั ฐ บาลต อ งหั น มาใช แ ผนที ่ อ ย า งน อ ย ๑ : ทักษิณก็ดูละเลยในสวนนี้ เพราะมีความเอน ๕๐,๐๐๐ หรือชุดใหมที่มีการทำขึ้นโดยเทคนิควิธี เอียงไปทางกัมพูชาในเรื่องการเปนมรดกโลก ทางวิ ท ยาศาสตร ท ี ่ เ ข า ถึ ง ความเป น จริ ง ทาง ปราสาทพระวิ ห ารเพื ่ อ ประโยชน ข องกลุ ม ผล ภูมิประเทศและสภาพแวดลอมที่ดีกวา แตทั้งนี้ทั้ง ประโยชนขามชาติที่มีทั้งนักการเมืองไทย และ นั้นก็คือ ตองระลึกเสมอวาแผนที่ภาพถายหรือ นักการเมืองกัมพูชามีสวนรวม มาถึงรัฐบาล อะไรก็ ต ามที ่ เ กี ่ ย วกั บ สภาพแวดล อ มนั ้ น ไม ประชาธิปตยในยุคนี้ที่มีการตอรองคัดคานคณะ สามารถจะเขาถึงความเปนจริงธรรมชาติที่เปน กรรมการมรดกโลกของ UNESCO ที่ทำผิด ธรรมได เพราะเปนการมองผานสิ่งที่เปนเครื่อง อุดมการณของมรดกโลกจนเกิดการขัดแยงใน มือแตอยางเดียว ดุจการมองแบบนก [Bird eye’s เรื่องเขตแดน ซึ่งในความคิดของขาพเจาเห็นวา view] ที่ไมอาจมองลึกลงไปยังความสัมพันธ เปนการกระทำที่ถูกตอง แตก็ยังไมวายแสดง ระหวางสรรพสิ่งที่มีชีวิตไมวา คน สัตว พืชและ อาการออนแอในเรื่องเขตแดนที่ยังคงใชแผนที่ ทรัพยากรในพื้นที่อันเปนนิเวศวัฒนธรรมได มาตราสวน ๑ : ๒๕๐,๐๐๐ ในการพิจารณา แผนที่ภาพถายเปนแตเพียงเครื่องมือเพื่ออำนวย แบงเขตแดนที่กินเลยตะเข็บชายแดนแตเทือก ความสะดวกสบายใหเทานั้น หาใชเปนขอมูลอัน เขาพนมดงเร็กลงไปถึงเขตชายทะเลระหวาง เปนขอเท็จจริงไม การเขาถึงขอมูลไดนั้นก็คือลง 33
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”
ไ ป พ ื ้ น ท ี ่ ศ ึ ก ษ า ท า ง ภ า ค ส น า ม อ ั น เ ป น มีลักษณะเปนเพียงเครื่องมือเหลานี้ ไมควรที่ทาง ประสบการณที่ทั้งแลเห็น สัมผัสและรูลึก ราชการโดยเฉพาะฝายความมั่นคงที่แสนลาหลัง และเชยๆ เห็นวาเปนของตองหาม เปนความลับ ความอาภั พ ของคนไทยในความล า หลั ง ทาง นั ้ น ไม น า จะเป น สิ ่ ง ที ่ ผ ู ก ขาดโดยฝ า ยรั ฐ และ วัฒนธรรมของรัฐบาลและนักวิชาการไทยที่บาแต ราชการอีกตอไป ควรเปดโอกาสและสงเสริมอยาง เรื่องเทคโนโลยีก็คือ คนไทยและเด็กไทยสวนใหญ เต็มที่ ใหคนทั่วไปไดรูไดใชโดยเฉพาะฝกเด็กและ อานแผนที่ไมเปนและใชแผนที่ไมเปน อยางเชน เยาวชนใหไดเรียนรูเพื่อนำไปสูการศึกษาคนควา การเรียนรูตามโรงเรียน สถาบันการศึกษาและ และรับรูขอมูลอันเปนขอเท็จจริงดวยตนเอง หนวยราชการทั่วไปไดเห็นและเรียนรูแตแผนที่ มาตราสวนใหญๆ เชน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ขึ้นไป n ในสุดทายนี้ใครขอยกตัวอยางความลาหลัง แทบไม ม ี โ อกาสได เ ห็ น หรื อ เรี ย นรู แ ผนที ่ และความเชยของรัฐมาตบทายในที่นี้วา ทุกครั้งที่ มาตราสวนที่ใกลความเปนจริงในทองถิ่น เชน ข า พเจ า ขึ ้ น เครื ่ อ งบิ น TG. ไปยั ง จั ง หวั ด มาตราสวน ๑ : ๕๐,๐๐๐ แตอยางใด เพราะ อุ บ ลราชธานี จั ง หวั ด สกลนคร จั ง หวั ด แทนที่มาตราสวนนี้ทางราชการโดยเฉพาะทาง นครราชสีมา และจังหวัดพิษณุโลก มักจะมีแอร ทหารถือวาเปนความลับที่เกี่ยวกับความมั่นคง โฮสเตส สาวๆ แตหนาตาเหี้ยมเกรียมมาเตือนและ ใครมีไวครอบครองถาหากไมใชหนวยราชการที่ หามแบบดุดันเสมอวาไมใหใชกลองถายภาพบาน เกี่ยวของก็ถือวาเปนความผิด ซึ่งเด็กเลยไมได เมืองขณะที่เครื่องบินกำลังบินลงสูสนามบิน เรียน ผูใหญก็ไมไดรู นอกจากแผนที่ซึ่งทำจาก n ขาพเจาก็ร่ำๆ ที่จะดาเอาบางวาถาจะคิดทำจาร ประสบการณในการสังเกตและสัมผัสที่บรรดานัก กรรมทำลายอะไรแลว ไมเห็นจะตองมาถายภาพ วิชาการมักเรียกวา Mind Map เทานั้นเอง จากเครื่องบินใหเมื่อย เพราะคนทั่วไปอาจใชภาพ n การไมรูจักแผนที่และอานแผนที่ไมเปนในทุก จากกููเกิ้ลเอิรธยิงตอรปโดไปถึงเตียงนอนคุณได วั น นี ้ นั บ เป น ความล า หลั ง ทางวั ฒ นธรรม ทุกเมื่อ [Culture lag] อยางยิ่งของประเทศไทยที่มักอาง บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปที่ ๓๖ ฉบับที่ ๑ ตนวาทันสมัยเปนสมัยใหม หรือเปนยุคหลังสมัย มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๓ ใหมในความคิดของนักวิชาการสติเฟองรุนใหมๆ บางกลุมในขณะนี้ โดยเฉพาะบรรดานักวิชาการ หางแผนที่และภาพถายที่ทำงานอยูตามสถาบันที่ เกี่ยวของก็ยังมองเห็นการใชแผนที่และภาพถาย ในลักษณะเปนขอมูลและขอเท็จจริงมากกวาเปน เพียงเครื่องมือ ดังเห็นไดจากการใชแผนการ ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาตางๆ ที่เปน โครงการของความเป น ไปได [Feasibility study] และโครงการศึกษาผลกระทบ [EIA] ที่ มักทำใหเกิดความขัดแยงกับผูคนในทองถิ่นใน เรื่องคุกคามสภาพแวดลอมทรัพยากรธรรมและ การละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนทองถิ่นเปน ประจำ n ในปจจุบันบรรดาแผนที่ ภาพถายทางอากาศ และอะไรตางๆ นานาในเรื่อง Remote sensing ที่ 34
มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ Lek-Prapai Viriyahpant foundation ๓๙๗ ถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ 397 Phrasumaru Rd., Bowonnewed Phranakorn Bangkok 10200 www.lek-prapai.org facebook : www.facebook.com/lekfound โทรศัพท : แฟกซ ๐๒-๒๘๐๓๓๔๐ โทรศัพท ๐๒-๒๘๑๑๙๘๘ Tel : Fax 02-2803340 Tel 02-2811988 รายการ วันเสาร ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ๘.๓๐ น.- ๙.๓๐
ลงทะเบียนเข้าค่าย กล่าวแสดงความยินดีและต้อนรับ-เปิดงาน อบรม โดยตัวแทนค่ายริมขอบฟ้า/เมืองโบราณ
๙.๓๐ น.-๑๐.๐๐ น.
ชี้แจงรูปแบบการอบรม รายละเอียดของการเข้าพัก การทํากิจกรรม ในค่ายริมขอบฟ้าและเมืองโบราณ
๑๐.๐๐-๑๒.๐๐ น.
บรรยาย “ความเข้าใจเบื้องต้นเรื่องประวัติศาสตร์สังคมและภูมิ วัฒนธรรมรวมทั้งการใช้แผนที่เพื่อการศึกษาท้องถิ่น” โดยอาจารย์ ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษามูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์
๑๒.๐๐-๑๓.๐๐ น.
รับประทานอาหารกลางวัน
๑๓.๐๐-๑๔.๓๐ น.
ความรู้เบื้องต้นเรื่องความเป็นมาของแผนที่ แผนที่ชนิดต่างๆ แผนที่ ซึ่งพบในชีวิตประจําวัน ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม
๑๔.๓๐-๑๕.๐๐ น.
พักรับประทานของว่าง
๑๕.๐๐-๑๖.๓๐ น.
ความรู้เบื้องต้นเรื่อง “ภูมิทัศนท้องถิ่น์ [Local landscape] และความ หมายของ Landmark, Common property” รับประทานอาหารเย็น
๑๘.๐๐-๑๙.๐๐ น. ๑๙.๓๐-๒๒.๐๐ น.
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อ รู้จักท้องถิ่น” วันเวลา สถานที่ เสาร์ที่ ๒๔ จันทร์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ ค่ายริมขอบฟ้าและเมือง โบราณ สมุทรปราการ
วิทยากร • อาจารย์ศรี
ทําความรู้จักพูดคุย สนทนาและเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องใน กิจกรรมเด็กรักถิ่นหรือกิจกรรมเยาวชนในแต่ละท้องถิ่น
วันอาทิตยที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
ศักร วัลลิโภดม • เจ้าหน้าที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ
๗.๓๐-๘.๓๐ น.
รับประทานอาหารเช้า
๙.๐๐ น.-๑๒.๐๐ น.
บรรยาย “การนําแผนที่ไปใช้เพื่องานศึกษาท้องถิ่น-บทสรุป” โดย อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม
๑๒.๐๐-๑๓.๐๐ น.
รับประทานอาหารกลางวัน
๑๓.๐๐-๑๔.๓๐ น.
แบ่งกลุ่มเรียนรู้แผนที่ในท้องถิ่นของตนและเตรียมข้อมูลเพื่อ อธิบายหรือบรรยายเรื่องราวในท้องถิ่นของตนเอง โดยพี่เลี้ยงเจ้า หน้าที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ประจํากลุ่ม
๑๔.๓๐-๑๕.๐๐ น.
รับประทานของว่าง
๑๕.๓๐-๑๗.๐๐ น.
ผู้เข้าร่วมอบรมทดลองทําแผนที่ โดยใช้เครื่องมืออย่างง่ายและถูก ต้องใกล้เคียงกับมาตราส่วนและใช้จินตนาการเพื่อสร้างภาพแผนที่ ซึ่งเป็นตัวแทนภาพสะท้อนท้องถิ่นของตนให้ได้มากที่สุด
๑๘.๐๐-๑๙.๐๐ น.
รับประทานอาหารเย็น
๑๙.๓๐-๒๒.๐๐ น.
ผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละกลุ่มนําเสนอหรือจัดแสดงสื่อต่างๆ เพื่อบอก เล่าแนะนํา “บ้านของฉัน ท้องถิ่นของฉัน” ประกอบแผนที่ที่จัดทําขึ้น แก่ผู้เข้าร่วมอบรมกลุ่มละ ๒๐ นาที
วิริยะพันธุ์
วัตถุประสงค์ • อบรมความเป็นมาของแผนที่เบื้อง ต้น ความแตกต่างของแผนที่ แผนผัง ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่าย ดาวเทียม และแผนที่ที่ถูกนําไปใช้เพื่อ กิจการต่างๆ • อบรมการอ่านและใช้แผนที่มาตรฐาน
ที่เป็นแผนที่ทหารมาตราส่วน 1: 50,000 และ 1: 250,000 เพื่อเรียนรู้ท้องถิ่นของผู้ เข้าร่วมอบรม โดยเป็นการเรียนรู้ร่วม กันระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ • สร้ า งแผนที ่ ข องท้ อ งถิ ่ น ตนเองโดย
วันจันรที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ๗.๓๐-๘.๓๐ น.
รับประทานอาหารเช้า
๘.๓๐-๑๑.๐๐ น.
นั่งรถรางและใช้เวลาชมเมืองโบราณ / สยามในความหลากหลาย ทางวัฒนธรรมและพหุลักษณ์ทางสังคม ปิดการอบรมมอบวุฒิบัตรและของที่ระลึก โดยตัวแทนจากเมือง โบราณ รับประทานอาหารกลางวัน
๑๑.๐๐-๑๒.๐๐ ๑๒.๐๐-๑๓.๐๐ น.
ผู้เข้าร่วมอบรมเดินทางกลับ
35
ปรั บ จากแผนที ่ ภ ู ม ิ ศ าสตร์ ผ สมผสาน กับความเข้าใจโดยพื้นฐานของตนเอง ตลอดจนจินตนาการและความทรงจํา ในสภาพแวดล้อม ตํานานและคําบอก เล่าภายในชุมชนจากผู้อาวุโส เพื่อสร้าง แผนที่ซึ่งสามารถบอกเล่าเรื่องราวของ ท้องถิ่นของตนเองได้อย่างไม่มีทฤษฎี ในการทําแผนที่มากําหนด
การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรูจากแผนที่เพื่อรูจักทองถิ่น”
เนื่องในวันเล็ก-ประไพ รำลึก ครั้งที่ ๑๐ ระหวางวันเสารที่ ๒๔-จันทรที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
แผนที่แสดงการเรียกชื่อ “พื้นที่” และการใชพื้นที่ทำกินของชาวบานในอาวปตตานี