คู่มือการอบรม

Page 1

เรียนรูจากแผนที่เพื่อรูจักทองถิ่น

LEK-PRAPAI MEMORIAL DAY 10th การอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อรู้จักท้องถิ่น”

สร้างแผนที่ของท้องถิ่นตนเอง โดยปรับจากแผนที่ภูมิศาสตร์ ผสมผสานกับความเข้าใจ โดยพื้นฐานของตนเอง ตลอดจนใช้จินตนาการและความทรงจํา ในสภาพแวดล้อม ตํานาน และคําบอกเล่าภายในชุมชนจากผู้อาวุโส เพื่อสร้างแผนที่ซึ่งสามารถบอกเล่าเรื่องราวของท้องถิ่นของตนเอง ได้อย่างไม่มีทฤษฎีในการทําแผนที่มากําหนด

หลักการและวัตถุประสงค์

โครงการ “เด็กรักถิ่น” เปนแนวคิดและ จุ ด มุ  ง หมายสำคั ญ ในการทำงานของ มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธในระยะตอ ไป หลังจากมูลนิธิฯ ไดริเริ่มและจุด ประกายในการจัดทำพิพิธภัณฑทองถิ่น จนทำใหเกิดขึ้นแลวทั่วประเทศ หลัง จากนั้นจึงไดริเริ่มทำงานวิจัยทองถิ่น โดยการสรางนักวิจัยที่เปนชาวบานชาว เมืองในทองถิ่นทำงานรวมกับนักวิจัย จากมูลนิธิฯ จนสามารถเขียนรายงาน จากประสบการณทำวิจัยที่เปนกระบวน การทำงานรวมกัน และสราง ประวัติศาสตรทองถิ่นรวมทั้งปฏิบัติการ ฟนพลังของคนในสังคมทองถิ่นจากการ ศึกษาสังคมและบานเกิดของตนเอง โดย

สามารถเข า ใจถึ ง สาเหตุ แ ห ง การ เปลี่ยนแปลงภายในทองถิ่น รวมทั้ง เขาใจในรากฐานของตนเองทำใหเกิด ความมั่นใจในการศึกษาดวยตนเองโดย การเรียนรูขั้นตอนการสรางงานวิจัยและ สังเคราะหผลจากการวิจัยนั้นไดอยางมี ประสิทธิภาพ จึ ง ได พ ั ฒ นาเพื ่ อ ต อ ยอดงานเพื ่ อ เผย แพรความรูและการทำความเขาใจเรื่อง ทองถิ่นมาตามลำดับ ดังนี้

สารบัญ ภู ม ิ ว ั ฒ นธรรมและการศึ ก ษาท อ งถิ ่ น ศรี ศ ั ก ร วั ล ลิ โ ภดม

เรี ย นรู  จ ากแผนที ่ เ พื ่ อ ศึ ก ษาท อ งถิ ่ น วลั ย ลั ก ษณ ทรงศิ ร ิ

มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ รวม มือกับเมืองโบราณ สมุทรปราการ ผลิต รายการสารคดี “พอเพียงเพื่อแผนดิน เกิด” เพื​ื่อเผยแพรขอมูลขององคกรภาค 1

9

การอานแผนที่กับการเรียนรูนิเวศวัฒนธรรมของ เด็กไทยในยุคปฏิรูปการศึกษา ศรี ศ ั ก ร วั ล ลิ โ ภดม

1

3

25O

คนไทยใชแผนที่ไมเปน : เหตุการณแหงความโง เขลาเบาปญญาจนเสียรู เสียดิแดนO ศรี ศ ั ก ร วั ล ลิ โ ภดม

29


ประชาสังคมในทองถิ่นตางๆ แสดงให เห็นความหมายของคำวา “บานเกิด เมืองนอน” แผนดินทองถิ่นเกิดนั้น คนในทองถิ่นตองรักษาและไมทำลาย จนกลายเปนความวิบัติดังปรากฏการณ ที่เกิดขึ้นในสังคมของประเทศเราทุกวัน นี้

2

เพื่อความตอเนื่องในการทำงาน เพื่อศึกษาและเผยแพรสรางองคความรู ความเขาใจในทองถิ่นใหเพิ่มขึ้นจากสิ่งที่ เคยทำมาแลว มูลนิธิฯ ไดรับคำแนะนำ และตระหนั ก ว า เด็ ก การศึ ก ษา โรงเรียน องคกรทางศาสนา รวมทั้งการ มีพี่เลี้ยงที่เปนผูใหญของชุมชนที่เอาใจ ใส คื อ องค ป ระกอบสำคั ญ สำหรั บ อนาคตของสั ง คมท อ งถิ ่ น จะก า วหน า หรื อ ถอยหลั ง ขึ ้ น อยู  ก ั บ กระบวนการ สร า งการเรี ย นรู  ข นาดเล็ ก อย า งเป น ธรรมชาติ แตสามารถเขาใจภาพรวม ของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมทองถิ่น ในทุกมิติทั้งในทางที่ดีและเปนอันตราย ด ว ยการเรี ย นรู  ป ระสบการณ จ ากผู  อาวุ โ สในชุ ม ชนท อ งถิ ่ น ของตนเอง กระบวนการเรียนรูดังกลาวนั้นควรใช การศึ ก ษาทางประวั ต ิ ศ าสตร ท  อ งถิ ่ น โดยใชวิธีการทำโครงการ “ประวั ต ิ ศ าสตร บ อกเล า ” [Oral History] เพราะนอกจากจะสามารถ ฝกฝนเทคนิควิธีการในการคิดทำงาน รวมกันเปนกลุม การหัดตั้งคำถาม การ เขาสมาคมสื่อสารกับผูใหญในชุมชน การเขียน การพูด จนไปถึงการสราง องคความรูเพื่อนำไปใชในการเรียนการ สอนของทองถิ่น ตลอดจนการสราง เนื้อหาในพิพิธภัณฑทองถิ่นหากมีการ ดำเนินการอยางตอเนื่องอีกดวย

3 ในปนี้ มูลนิธิฯ ไดรับคำแนะนำจาก อาจารยศรีศักร วัลลิโภดม ผูเปนที่ ปรึกษา ที่เห็นปญหาในการใชแผนที่ เพื่อการศึกษาเรียนรูทองถิ่น ที่ไมเคยมี การจั ด การเรี ย นการสอนหรื อ เรี ย นรู  อยางเปนระบบในระบบการศึกษาอยาง เปนทางการในประเทศไทย แตถือเปน ความสำคัญอยางยิ่งยวดในการทำความ เขาในบานเกิดเมืองนอนและการรูจัก ตนเอง จึงคิดวาควรมี “การจัดอบรม เพื่อเรียนรูการอาน การใชแผนที่รูป แบบตางๆ เพื่อเรียนรูทองถิ่นของ ตนเอง” นอกจากนี้ยังสามารถเรียนรู แผนที่ซึ่งพบในชีวิตประจำวัน แผนที่ ดาวเทียมตางๆ เพื่อนำปรับใชกับการ ศึกษาทองถิ่นใหเกิดความเขาใจที่ควรจะ เปนและถือเปนเครื่องมือสำคัญตอการ ศึ ก ษาความเป น ไปในท อ งถิ ่ น ต า งๆ อยางยิ่ง

แผนที่ซึ่งสามารถบอกเลาเรื่องราวของ ทองถิ่นของตนเองไดอยางไมมีทฤษฎี ในการทำแผนที่มากำหนด

วัน-เวลา-สถานที่อบรม

เสารที่ ๒๔-จันทรที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ คายริมขอบฟาและเมือง โบราณ สมุทรปราการ

ผู้เข้าร่วมมอบรม

• เปดรับสมัครแกกลุมองคทองถิ่น ตางๆ ที่สนใจและมีความพรอม โดย แตละกลุมคัดเลือกผูเขารวมอบรมเอง จากเยาวชนระดั บ มั ธ ยมศึ ก ษาและ ผูใหญในทองถิ่น เพื่อเปนสามารถสราง กระบวนการเรียนรูรวมกันไดอยางมี ประสิทธิภาพ รวม ๕ กลุม กลุมละ ๗-๘ คน

วิธีการ • อบรมความเปนมาของแผนที่เบื้องตน

วิทยากร

ความแตกต า งของแผนที ่ แผนผั ง ภาพถายทางอากาศ ภาพถายดาวเทียม และแผนที่ที่ถูกนำไปใชเพื่อกิจการตางๆ

• อาจารยศรีศักร วัลลิโภดม

• อบรมการอานและใชแผนที่มาตรฐาน

ที่เปนแผนที่ทหารมาตราสวน 1: 50,000 และ 1: 250,000 เพื่อเรียนรูทองถิ่นของผู เขารวมอบรม โดยเปนการเรียนรูรวม กันระหวางเด็กและผูใหญ • สรางแผนที่ของทองถิ่นตนเองโดย

ปรั บ จากแผนที ่ ท หารผสมผสานกั บ ความเข า ใจโดยพื ้ น ฐานของตนเอง ตลอดจนจินตนาการและความทรงจำใน สภาพแวดลอม ตำนานและคำบอกเลา ภายในชุมชนจากผูอาวุโส เพื่อสราง 2

• เจาหนาที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

ศรี ศ ั ก ร วั ล ลิ โ ภดม

เขาถมอรัตน์ ใน อาณาบริเวณเมือง ศรีเทพโบราณ สามารถมองเห็นเป็น จุดสังเกตที่เด่นชัด ของนักเดินทาง โดย เฉพาะหากเดิน ทางในทิศทางตะวัน ตก-ตะวันออก

ภู ม ิ ว ั ฒ นธรรม และการศึ ก ษาท้ อ งถิ ่ น ! ! การศึกษา “ภูมิวัฒนธรรม” [Cultural Landscape] เปนกระบวนการขั้นพื้นฐานสำคัญ อัน นำไปสูความเขาใจใน “นิเวศวัฒนธรรม” [Cultural Ecology] ของผู  ค นในท อ งถิ ่ น ซึ ่ ง มี “ชี ว ิ ต วัฒนธรรม” [Way of Life] รวมกันใน “ชุมชนของ ชาติพันธ [Ethnic Village]

พัฒนาเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรม ซึ่งเปนการ มองอดีตอยางหยุดนิ่งและเนนแตเรื่องปจจุบัน ! ทุกวันนี้สภาพแวดลอมทางภูมิวัฒนธรรมแทบทุก แหงทุกภูมิภาคไดรับผลกระทบกระเทือนจากการ ปรับเปลี่ยนภูมิประเทศที่เปนสังคมเกษตรมาเปน อุตสาหกรรมอยางยิ่ง รวมทั้งผูคนทองถิ่นก็เคลื่อน ยายออกไปอยูตามที่ตางๆ จนแทบไมอาจใหขอมูลถึง ความเปนมาในอดีตได เปนสิ่งที่ทำใหการรับรูในเรื่อง ของความสัมพันธระหวางมนุษยกับสภาพแวดลอม ขาดหายไป

! เพื่อใหเขาใจความสัมพันธระหวางคนกับพื้นที่ โดยถองแท ตองทำความเขาใจภูมิหลังที่มีมาแตเดิม นับพันปในสังคมชาวนา [Peasant Society] เพราะ ผูคนในสังคมปจจุบันที่เปนคนรุนใหม มีชีวิตอยูใน สังคมอุตสาหกรรมจะไมรูจักและไมเขาใจในรากเหงา ! การศึ ก ษาท อ งถิ ่ น โดยพิ จ ารณาความสำคั ญ ของแผนดินและผูคน เพราะมองแตสภาพแวดลอม ของสภาพแวดลอมซึ่งเชื่อมโยงกับชีวิต สังคมและ ใกล ต ั ว ในป จ จุ บ ั น และอนาคต ทั ้ ง งานวิ จ ั ย ทาง วัฒนธรรมของมนุษยจึงเปนเรื่องที่สำคัญอยางยิ่ง สังคมศาสตรและมนุษยศาสตรสวนใหญนั้นเนนเรื่อง

3


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

การศึกษาเพื่อทำความเขาใจ “ภูมิวัฒนธรรม” ที่ เปลี ่ ย นแปลง จึ ง เป น การทำความเข า ใจสภาพ แวดลอมในอดีตและสภาพแวดลอมที่เปลี่ยนแปลงไป ในป จ จุ บ ั น จากป จ จั ย ต า งๆ ในฐานความคิ ด ซึ ่ ง สามารถเชื่อมโยงกับชีวิตวัฒนธรรมของมนุษยในมิติ ตางๆ อันจะเปนรากฐานในการศึกษา ประวัติศาสตร สังคมและวัฒนธรรมรวมทั้งสภาพแวดลอมของคน รุนใหมในทองถิ่นอันหลากหลายหรือเปนความรูพื้น ฐานสำคัญที่นำไปใชในการจัดทำหลักสูตรทองถิ่นแก สถาบันการศึกษาตาง ๆ ตลอดจนเพื่อการวางแผน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติที่สอดคลองกับ ความตองการของประชาชนและเกิดจากความเขาใจ ในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ของทองถิ่นตาง ๆ อยางแทจริง

ความหมายของภูมิวัฒนธรรม ภูมิวัฒนธรรม [Cultural Landscape] คือความ สัมพันธระหวางสภาพแวดลอมและวัฒนธรรม ซึ่งใน บริ บ ททางสั ง คม-วั ฒ นธรรมหมายถึ ง ลั ก ษณะ ภู ม ิ ป ระเทศทางภู ม ิ ศ าสตร [Geographical Landscape] ในอาณาบริเวณใดบริเวณหนึ่ง เชน บริเวณปาเขาลำเนาไพร ทองทุง หนองบึง แมน้ำ ลำคลอง หรือปากอาวชายทะเล อันสัมพันธกับการ ตั้งถิ่นฐานบานเมืองของผูคนในทองถิ่น จนเปนที่ รูจักรวมกันและมีการกำหนดนามชื่อเปนสถานที่ ตางๆ ใหเปนที่รูจักรวมกัน ในลักษณะที่เปนแผนภูมิ Fusce ac leo Purus, in consectetuer Proin in sapien. Fusce urna magna,neque eget lacus. Maecenas felis nunc, aliquam ac, consequat vitae, feugiat at, blandit vitae, euismod vel.

4

“การศึ ก ษาท อ งถิ ่ น โดยพิ จ ารณาความสำคั ญ ของสภาพแวดล อ มซึ ่ ง เชื ่ อ มโยงกั บ ชี ว ิ ต สั ง คมและวั ฒ นธรรมของมนุ ษ ย จ ึ ง เป น เรื ่ อ งที ่ ส ำคั ญ อย า งยิ ่ ง ” หรือแผนที่เพื่อสื่อสารถึงกัน และอาจสรางเปนตำนาน [Myth] ขึ ้ น มาอธิ บ ายถึ ง ความเป น มาและความ หมายความสำคั ญ ทางประวั ต ิ ศ าสตร สั ง คม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของสถานที่และทองถิ่น นั้นๆ ! ดังนั้น ในภูมิวัฒนธรรมจึงประกอบดวยองค ประกอบในการศึกษาที่สำคัญ คือ ! ภู ม ิ ศ าสตร ท ี ่ ส ั ม พั น ธ ก ั บ การตั ้ ง ถิ ่ น ฐานของ มนุ ษ ย [ Cultural Landscape] ลั ก ษณะของ ภูมิประเทศที่สำคัญในการตั้งถิ่นฐานบานเมืองของ มนุษย เชน หุบ แองที่ราบ ลุมน้ำ ภูดอย บุงทาม ฯลฯ ซึ่งจะปรากฏเปนชื่อสถานที่หรือชื่อบานนาม เมือง เชน สันทราย สันปาตอง ซับจำปา ชอนสารเดช มาบตาพุด ภูกระดึง พุเตย ฯลฯ เปนจุดเดนที่สำคัญ ของชาวบานในทองถิ่นหรือนักเดินทางที่เขามาใน พื้นที่ อยางเชน แหลมสิงห ซึ่งมีโขดหินรูปคลายหัว สิงห (ถูกฝรั่งเศสยิงเสียหายไปแลว) ตรงปากน้ำ จันทบุรี เขายอย เขาอีโก ซึ่งมีรูปรางแปลกตากวาเขา ลูกอื่นที่เพชรบุรี


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

! นิเวศวัฒนธรรม [Cultural Ecology] หมายถึง พื้นที่เฉพาะซึ่งมนุษยสรางบานสรางเมืองขึ้นมาเปน ทองถิ่นตางๆ แตละแหงยอมไมเหมือนกัน นิเวศ วัฒนธรรมในแตละแหงนั้นมักเปนการมองจากคน ภายในที่มีตอสภาพแวดลอมอยางละเอียด เห็นความ หลากหลายทางชี ว ภาพ ความหลากหลายทาง ชาติพันธุหลายชุมชนในพื้นที่เดียวกัน จากนั้นมีการ กำหนดหรือสรางเปนองคความรูในการดำเนินชีวิต สรางกติกาการอยูรวมกัน สรางประเพณี ความเชื่อ ในพื้นที่เดียวกัน

ของภูมิวัฒนธรรมและสัญลักษณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใน สังคม ! และในความสัมพันธระหวางมนุษยกับอำนาจ เหนือธรรมชาติ โดยมีสัญลักษณเปนศูนยกลางของ จักรวาลของผูคนในทองถิ่นนี้ จะเชื่อมโยงและเกาะ เกี่ยวใหคนในทองถิ่นที่ตางชุมชนและตางเผาพันธุอยู รวมกันในบานเมืองเดียวกันไดอยางราบรื่น

! นอกจากจะเปนระบบสัญลักษณที่เปนศูนยกลาง จักรวาลของทองถิ่นแลว ยังแฝงไวดวยการมีอำนาจ เหนือผูคนที่ดินที่น้ำ สภาพแวดลอมและทรัพยากร ! ชีวิตวัฒนธรรม [Way of Life] หรือโครงสราง ตางๆ ของทองถิ่นดวย ที ่ อ ยู  ใ นชี ว ิ ต ประจำวั น อั น เป น วิ ถ ี ช ี ว ิ ต ของผู  ค นใน ชุมชนเดียวกัน ซึ่งประกอบไปดวยโครงสรางสังคม ! อำนาจเหนือธรรมชาติเหลานี้ ทำใหเกิดจารีต ความสัมพันธระหวางกัน เชน การเปนเครือญาติ ประเพณี พิธีกรรมและรูปแบบเชิงสัญลักษณตางๆ ที่ การเปนกลุมทางสังคมตางๆ ทำใหคนรวมทองถิ่นเดียวกัน ตองเชื่อตองฟงและ ปฏิบัติ ! ดังนั้น การทำความเขาใจการเปลี่ยนแปลงทาง “ภูมิวัฒนธรรม” จึงตองศึกษาสภาพแวดลอมในอดีต ! องคประกอบในความสัมพันธทั้งสามประการ และสภาพแวดลอมที่เปลี่ยนแปลงไปในปจจุบันจาก ทำใหเห็นและเขาใจไดวา “ภูมิวัฒนธรรมและนิเวศ ปจจัยตางๆ ในวัฒนธรรมทองถิ่นนั้นๆ ที่เชื่อมโยง วัฒนธรรม” นั้น มีความหมายลึกลงไปถึงการเปน กับชีวิตวัฒนธรรมของมนุษยในมิติตางๆ ระบบสัญลักษณ [Symbol] และภาพพจน [Image] ของภูมิจักรวาล [Cosmology] ในการรับรูของคนใน : เพื่อสรางความเขาใจประวัติศาสตรสังคมและ ทองถิ่น [Perception] ดวย วัฒนธรรมรวมทั้งสภาพแวดลอมในมิติจากภายใน และภายนอกที่ชัดเจนและลึกซึ้ง

บ า นเมื อ งในนิ เ วศวั ฒ นธรรมอั น หลาก ความสั ม พั น ธ ใ นระหว า งมนุ ษ ย สิ ่ ง หลายและการสืบทอดความรูผานระบบ สัญลักษณ แวดลอม และอำนาจเหนือธรรมชาติ

! ในสภาพนิ เวศตามธรรมชาติ น ั ้ น ประกอบด ว ย แมน้ำ ลำน้ำใหญนอย หนอง บึง ซึ่งมีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ความเขาใจเรื่องพลวัตของ ธรรมชาติแวดลอมนั้นทำใหไมมีการตัดขาดความ สั ม พั น ธ ใ นระบบนิ เ วศจากภู เ ขาสู ง อั น เป น ต น น้ ำ ลำธารไปจนถึงลำหวยสาขา แมน้ำและแหลงพักน้ำ ตามหนองบึงที่ไหลหมุนไปตามฤดูกาล การเชื่อมโยง ของระบบนิเวศเหลานี้ทำใหเกิดความสมดุลและรักษา ! ในภูมิวัฒนธรรมตางๆ นั้น ความสัมพันธที่เชื่อม คุณภาพของระบบนิเวศอันหลากหลายที่มิใชมีเพียง โยงและเปนพลวัตเหลานี้คือ หัวใจสำคัญในการ “น้ำ” หรือ “ปลา” แตคือสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติรวม พิจารณาสังคมของมนุษยในทองถิ่นตางๆ โดย ทั้งมนุษยดวย เฉพาะความสัมพันธกับอำนาจเหนือธรรมชาตินั้น คือสิ่งที่สะทอนใหแลเห็นภูมิจักรวาลที่อยูเบื้องหลัง ! ผูคนในสมัยโบราณโดยเฉพาะภาคเหนือและภาค ตะวันออกเฉียงเหนือเปนจำนวนมาก นิยมสรางบาน ! ในโครงสรางทางสังคมโดยพื้นฐานของมนุษย มี องคประกอบของความสัมพันธทางสังคมที่เกิดการ เกี่ยวพันของผูคนภายในอยู ๓ ประการ คือ ความ สัมพันธระหวางคนกับคน ความสัมพันธระหวางคน กับธรรมชาติ และความสัมพันธระหวางคนกับสิ่ง เหนือธรรมชาติ อันทำใหเกิดสำนึกรวมของการอยู รวมเปนกลุมภายในพื้นที่ทางวัฒนธรรมเดียวกัน

5


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

“Lorem Ipsum Dolor Set Ahmet In Condinmentum. Nullam Wisi Acru Suscpit Consectetuer viviamus Lorem Ipsum Dolor Set Ahmet. Lorem Ipsum Dolor Set Ahmet In Wisi Acru Suscpit Consectetuer viviamus.” Leo Praesen

เมืองถิ่นฐานตามลำน้ำเล็กๆ และริมหนองบึงขนาดใหญเพื่อไม สิ่งที่คนในทองถิ่นเขาใจรวมกันและจดจำรวมทั้งเลาสืบตอกันมา ตองกังวลตอการพัดพาของน้ำที่ไหลแรงที่อาจทำใหบานเรือน รวมกันในพื้นที่นั้นๆ ลมจมเสียหายและปรากฏอยูในตำนานหลายเรื่องเกี่ยวกับการ ! ดังนั้น ความเขาใจใน “ภูมิวัฒนธรรม” นั้นมีความหมาย สูญหายของบานเมืองจากภัยธรรมชาติเชนนี้ สำหรับคนในทองถิ่นเพราะสรางขึ้นจากผูสรางที่เปนคนในทอง ! ริมหนองและบึงตางๆ จะมีระบบนิเวศแบบน้ำทวมที่ขึ้นและ ถิ่นผานทางตำนานเรื่องเลาตางๆ[Myth] ซึ่งเปนระบบสัญลักษณ ลงตามฤดูกาล มีการปลูกขาวทำนาแซงหรือนาทามที่มีการสราง ไมใชเรื่องเลาตรงๆ ดังนั้น สิ่งเหลานี้เมื่อผานกาลเวลานานเขาก็มี แนวคันดินหรือทำนบกักน้ำเพื่อปลูกขาวและเก็บเกี่ยวเมื่อน้ำลด การแปรเปลี่ยนความหมายแตกตางไปไดบาง หรือหากปใดน้ำมากก็จะเสียขาวไปแตไดอาหารพวกปลาตางๆ ! ดังนั้น การศึกษาภูมิวัฒนธรรมจึงตองมีการแปลความหมาย มาทดแทน เหลานั้นตามความคิดและจินตนาการในอดีตกาลหรือจากความ ! ในนิเวศวัฒนธรรมเหลานี้จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ควบคุมการใช คิดของผูคนในทองถิ่นเหลานั้น จึงจะเห็นความหมายและความ ทรัพยากรรวมกัน โดยมีการกำหนดพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งใหเปน สำคัญที่ซอนอยูเบื้องหลัง พื ้ น ที ่ ศ ั ก ดิ ์ ส ิ ท ธิ ์ ท ี ่ ล  ว งล้ ำ ไม ไ ด แ ละใช ใ นการทำพิ ธ ี ก รรมตาม ! ตำนาน คือเรื่องเลาจากคนรุนหนึ่งผานสูคนอีกรุนหนึ่ง มีทั้ง ประเพณีในฤดูกาลที่เกี่ยวของ สิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้จะทำหนาที่ปกปอง ที่บันทึกเปนลายลักษณอักษรและจากการบอกเลาจากความทรง คุ  ม ครองและให ค ำทำนายอั น เป น หลั ก ประกั น ในอนาคตเพื ่ อ จำถายทอดปากตอปากภายในทองถิ่นอยางสืบเนื่อง ในตำนาน ปกปองมนุษยในธรรมชาติที่ไมแนนอน ซึ่งเปนรูปแบบของความ เหลานี้มักจะกลาวถึงความเปนมาเปนไปของสถานที่สำคัญๆ ใน สัมพันธที่มนุษยมีผูกพันรวมกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งเปน 6


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

ทองถิ่น และไมไดมีการรับรูที่หยุดนิ่ง หากมีการ เปลี่ยนแปลงในความหมายและความสำคัญผานผูคน และชวงเวลาของการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร ตลอดเวลา อีกทั้งเมื่อมีการขยายเสนทางคมนาคม และการตั้งถิ่นฐานบานเมืองก็มีการกำหนดชื่อใหมๆ เพิ่มขึ้น : ภูมิวัฒนธรรมจากตำนานจึงไมใชเรื่องที่หยุดนิ่ง แตจะมีการทบทวน บอกเลาซ้ำไปมาและสรางความ หมายขึ ้ น ใหม ต ลอดเวลาซึ ่ ง มี ค วามหมายต อ ผู  ค น ภายในที่เห็นความสัมพันธในสามรูปแบบคือ ใน ระหว า งผู  ค น ผู  ค นกั บ ธรรมชาติ แ ละผู  ค นกั บ สิ ่ ง ศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ สวนคนจากภายนอกที่ไม เขาใจนั้นก็ตองเรียนรูผานระบบสัญลักษณที่ปรากฏ จึงจะเขาใจและรับรูความสัมพันธดังกลาว

ภูมิทัศนแหงความศักดิ์สิทธิ์ ! ในสภาพแวดลอมตางๆ โดยพื้นฐานแตดั้งเดิมมัก จะมีความคิดและความเชื่อที่วา แผนดิน ปาเขา แมน้ำ หนองบึ ง และลำห ว ยในภู ม ิ ป ระเทศที ่ เ ป น ภู ม ิ วัฒนธรรมของคนภายใน คือสมบัติของอำนาจเหนือ ธรรมชาติในจักรวาล ผูคนคือผูอยูอาศัย หาไดเปน เจาของอยางแทจริง นั่นหมายถึงการยกอำนาจในการ ดูแลควบคุมสมบัติทองถิ่นอันไดแก ทรัพยากรธรรมชาติ และสภาพแวดลอมตางๆ ใหแก อำนาจเหนือธรรมชาตินั่นเอง การแบงแยกสวนหนึ่ง สวนใดเอาไปเปนสมบัติสวนตัวหรือเพื่อกิจการอื่นๆ ที่ผิดธรรมชาติคือ การละเมิด ผิดตอสังคมและผูคนที่ อยูรวมกัน ! เพราะแหลงน้ำธรรมชาติเปนแหลงอาหารที่ใช รวมกันจึงตองมีการจัดสรรกันอยางหลวมๆ แต ยุติธรรม ไมใหมีความเห็นแกตัวเห็นแกไดจนเกินไป และไมมีสิ่งใดจะดูแลไดดีไปกวามอบอำนาจนี้ใหแก การดูแลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ

กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุดและจักรวาลที่มาจากเบื้อง บนในขณะที่ผืนน้ำและแผนดินเปนสัญลักษณของ อำนาจจากเบื้องลาง ! ภู เ ขาที ่ โ ดดเด น มี ร ู ป ลั ก ษณะพิ เ ศษมั ก จะถู ก กำหนดใหเปนที่สถิตของอำนาจเหนือธรรมชาติซึ่งนับ เปนปรากฏการณสากลทั่วโลก เชน “เขารังแมว” เปนที่สถิตของเทพเจาแหงแควนจามเหนือที่หมี่เซิน เวียดนาม “เขาถมอรัตน” ที่ลุมน้ำปาสัก สูงเดนเปน ประธานเหนือเมืองศรีเทพที่นาจะเปนศูนยกลางของ แควนศรีจนาศะในสมัยทวารวดี ในลุมน้ำปงตอนบน อันเปนที่ตั้งเมืองเชียงใหมก็มีเขาดอยปุยและดอยสุ เทพ เปนประธานของเมือง ในขณะที่บริเวณตนน้ำป งมี “ดอยหลวงเชียงดาว” ซึ่งเปนที่สถิตของเจาหลวง คำแดง ผูเปนผีใหญเหนือบรรดาผีบานผีเมืองทั้ง หลายในลานนา ในแควนจำปาสักของลาวที่ตั้งอยูริม แมน้ำโขง มี “เขาภูเกา” เปนประธานเหนือเขาทั้งปวง ! และลำน้ำลำธารที่ไหลจากยอดเขาเหลานี้ก็ถือวา เปนสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเมือง มีการกักเก็บน้ำเปน ระบบระเบียบตามลักษณะภูมิประเทศนั้นๆ สายน้ำที่ ไหลลงจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไดรับการดูแลใหเกิดความ สะอาด เพื ่ อ ใช ใ นการบริ โ ภคอุ ป โภค ถื อ เป น ทรัพยากรที่ใชรวมกัน ! ความเชื่อในเรื่องภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั้น นับเปนที่มา ของการสรางศาสนสถานแบบสถูปเจดียหรือเทวาลัย ที่ชาวบานเรียกวา “ธาตุ”และ “ปราสาท”ใหเปน สัญลักษณทางภูมิทัศนในภูมิประเทศที่ไมมีเขาและที่ สูงแตเปนที่ราบลุม ทุงนาและแมน้ำลำคลองเพื่อให ผูคนเห็นไดแตไกล

! ดังนั้น ตำนานพระธาตุเจดียตางๆ ที่ปรากฏทั่วไป ทุกภูมิภาคในประเทศจึงมีความหมายเปนอยางมากที่ ทำให ค นได ร ู  ถ ิ ่ น กำเนิ ด และบ า นเมื อ งของตนเอง เพราะเปนสิ่งที่ผูคนในทองถิ่นสรางขึ้น ซึ่งจะตองมี การแปลความในระบบสัญลักษณที่ปรากฏในตำนาน ! มีการกำหนดแหลงศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจเหนือ เหลานั้น ธรรมชาติใหเปนศูนยกลางภูมิจักรวาลของทองถิ่น ! ซึ่งพื้นฐานของมนุษยในระบบดั้งเดิมนั้นเห็นวา เพื่อผูคนไดมาประกอบพิธีกรรมรวมกัน เกิดสำนึก พื้นที่สาธารณะเปนของ สวนรวม ผานตัวแทนในนาม ความเปนผูคนบานและเมืองในทองถิ่นเดียวกันขึ้นมา พระผูเปนเจา หรือเปน ของหลวงหรือของพระมหา โดยเฉพาะภูเขาที่สำคัญของทองถิ่นเพราะมีความ กษัตริย ในยุคหนึ่ง แตมนุษยก็เริ่มสรางความเชื่อ โดดเดนกวาลักษณะภูมิประเทศอื่นใด มักจะสัมพันธ ใหมๆ เพื่อทาทายอำนาจศักดิ์สิทธิ์ในการควบคุมการ 7


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

อยูรวมกันมาเมื่อไมกี่รอยปมานี้ ซึ่งปรากฏในชวง การปฏิวัติอุตสาหกรรมทางฝายตะวันตกที่มีความคิด ควบคุ ม ธรรมชาติ แ ละมนุ ษ ย ด  ว ยกั น เองไปจนถึ ง ปรากฏการณในยุคอาณานิคมและโลกาภิวัตนตาม ลำดับ ในขณะที่พื้นที่ทางวัฒนธรรมในทองถิ่นตางๆ อีกจำนวนมากไมไดเชื่อเชนเดียวกัน จึงเกิดความลัก ลั ่ น ขั ด แย ง ของความเชื ่ อ ดั ้ ง เดิ ม ที ่ ย อมต อ อำนาจ ศักดิ์สิทธิ์และปรับตัวตอโลกกับความเชื่อที่ตองการ ควบคุมและเชื่อวามนุษยสามารถควบคุมโลกโดย ตัดขาดมิติความสัมพันธกับสิ่งเหนือธรรมชาติออกไป

สังคมแหงความหลากหลายตองเขาใจภูมิ วัฒนธรรม

โรงเรียนในทองถิ่นไดขึ้นมาอภิปรายวา การขุดแร โปแตสที่ทำใหเกลือขึ้นมานั้น เปนเสมือนการกิน กระรอกดอน (เผือก) ในตำนานผาแดงนางไอ เพราะ กระรอกดอนหรือกระรอกขาวนั้นหมายถึงเกลือที่อยู ใตดิน จะทำใหบานเมืองเกิดความวิบัติเหมือนใน ตำนานที่ผูคนพากันกินกระรอกเผือกแลวบานเมือง ลมจม ซึ่งเปนการสะทอนถึงการบอกเลาและความ เชื ่ อ ที ่ ถ ู ก ปรั บ แต ย ั ง คงความหมายเดิ ม ที ่ ย ั ง ไม ไ ด สูญหายไปแตอยางใด ! ทุ ก วั น นี ้ ก ารรั บ รู  ใ นเรื ่ อ งของความสั ม พั น ธ ระหวางมนุษยกับสภาพแวดลอมขาดหายไป ผูคนใน สังคมปจจุบันที่เปนคนรุนใหมมีชีวิตอยูในสังคม อุตสาหกรรมอาจไมรูจักและไมเขาใจในรากเหงาของ แผนดินและผูคน เพราะมองแตสภาพแวดลอมใกลตัว ในป จ จุ บ ั น และอนาคต สภาพแวดล อ มทางภู ม ิ วัฒนธรรมแทบทุกแหงทุกภูมิภาคไดรับผลกระทบ กระเทือนจากการปรับเปลี่ยนภูมิประเทศที่เปนสังคม เกษตรมาเปนอุตสาหกรรมอยางยิ่ง รวมทั้งผูคนทอง ถิ่นก็เคลื่อนยายออกไปอยูตามที่ตางๆ จนแทบไมอาจ ใหขอมูลถึงความเปนมาในอดีตได

! การขาดองคความรูเรื่อง “ภูมิวัฒนธรรม” ทำให คนไทยขาดความรู  แ ละความสนใจในเรื ่ อ ง ประวัติศาสตรสังคมและวัฒนธรรม ตั้งแตในระดับ ท อ งถิ ่ น ไปจนถึ ง ระดั บ ภู ม ิ ภ าคและระดั บ ประเทศ ทำใหไมเขาใจถึงสภาพความเปนจริงของสังคมไทยที่ มีความหลากหลายแตกตางทั้งทางชีวภาพ ชาติพันธุ และวัฒนธรรม จึงมักเกิดความขัดแยงทางสังคมและ การเมืองขึ้นหลายตอหลายครั้ง เชน ปญหาการแยง ! และการพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรม ชิงฐานทรัพยากรของทองถิ่นโดยหนวยงานรัฐหรือ ซึง่ มองอดีตอยางหยุดนิ่งและเนนแตเรื่องปจจุบัน อาจ นายทุนที่ละเมิดตอกฎเกณฑที่เคยมีอยูรวมกัน ไมใชคำตอบที่หยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสูลม ! แมการเปลี่ยนแปลงระบบวิธีคิดจากการยอมรับ สลายของสังคมทองถิ่นได หากขาดเสียซึ่งมิติในการ โอนออนในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ชวยไมใหเกิดความขัด ทำความเข า ใจความสั ม พั น ธ ข องมนุ ษ ย ก ั บ สภาพ แยงจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงในหลายพื้นที่หลายทอง แวดลอมและอำนาจศักดิ์สิทธิ์ตางๆ ซึ่งเคยประคับ ถิ่น แตก็ถือวายังไมอาจเปลี่ยนแปลงอยางถอนราก ประคองสังคมมนุษยมาทุกยุคทุกสมัย ถอนโคน เพราะธรรมชาติของมนุษยที่มีความออนแอ เปนทุนเดิม มิติความสัมพันธที่ขาดหายไปในยุค ปจจุบันคือ ความสัมพันธระหวางมนุษยกับอำนาจ ศั ก ดิ ์ ส ิ ท ธิ ์ เ หนื อ ธรรมชาติ ก ็ ไ ม ไ ด เ ปลี ่ ย นแปลงไป ทั้งหมด แตกลับมีรูปแบบใหมๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ! เชนที่ “หนองหานกุมภวาป” อำเภอกุมภวาป จังหวัดอุดรธานี อันเปนพื้นที่ซึ่งจะกระทบกระเทือน จากโครงการขุดเหมืองแรโปแตสของบริษัทตางชาติที่ ไดรับสัมปทานจากรัฐบาลไทย การทำแรโปแตสจะ ทำให ช ั ้ น หิ น เกลื อ ขึ ้ น มาตามแร ท ี ่ ข ุ ด เป น จำนวน มหาศาล อาจทำใหเกิดสภาพดินเค็มอยางควบคุมไม ได และเมื่อมีการจัดเวทีแสดงความคิดเห็นของชาว บานในลักษณะประชาพิจารณขึ้นก็มีเด็กนักเรียนของ 8


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

วลั ย ลั ก ษณ์ ทรงศิ ร ิ

อ่ า วปั ต ตานี จ าก ประสบการณ์ แ ละ ความทรงจํา ดัดแปลงจาก แ ผ น ท ี ่ ท า ง ภู ม ิ ศ าสตร์ แ ละใช้ จินตนาการวาดจน ได้ แ ผนที ่ ข องชื ่ อ สถานที่ต่างๆที่ เกี่ยวกับการทํามา หากินในอ่าว ปัตตานี ภาพของดอเลาะ เจ๊ะแต

เรี ย นรู ้ จ ากแผนที ่ เพื ่ อ ศึ ก ษาท้ อ งถิ ่ น ภูมิวัฒนธรรมคืออะไรN N คำวาภูมิทัศน landscape ใชครั้งแรกในป ค.ศ. ๑๕๙๘ ยื ม มาจากศั พ ท ข องจิ ต รกรชาวดั ช ท ระหวางศตวรรษที่ ๑๖ ในชวงแรกๆ มีความ หมายงายๆ คือ “พื้นที่ ขอบเขตของแผนดิน” แต เมื ่ อ อยู  ใ นความหมายของงานจิ ต รกรรมที ่ ช าว อังกฤษยืมมา ก็กลายเปนเรื่องของ “ภาพวาดแบบ ทิวทัศน”

บริเวณหนึ่ง เชน บริเวณปาเขาลำเนาไพร ทองทุง หนองบึง แมน้ำลำคลอง หรือปากอาวชายทะเล อันสัมพันธกับการตั้งถิ่นฐานบานเมืองของผูคนใน ทองถิ่น จนเปนที่รูจักรวมกันและมีการกำหนด นามชื่อเปนสถานที่ตางๆ ใหเปนที่รูจักรวมกัน ใน ลักษณะที่เปนแผนภูมิหรือแผนที่เพื่อสื่อสารถึงกัน และอาจสรางเปน ตำนาน [Myth] ขึ้นมาอธิบาย ถึงความเปนมาและความหมายความสำคัญทาง ประวัติศาสตร สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ของสถานที่และทองถิ่นนั้นๆ

n ภูมิวัฒนธรรม [Cultural Landscape] คือ ความสั ม พั น ธ ร ะหว า งสภาพแวดล อ มและ n ภูมิศาสตรที่สัมพันธกับการตั้งถิ่นฐานของ วัฒนธรรม ซึ่งในบริบททางสังคมวัฒนธรรม มนุษย [Cultural Landscape] ลักษณะของ หมายถึ ง ลั ก ษณะภู ม ิ ป ระเทศทางภู ม ิ ศ าสตร ภูมิประเทศที่สำคัญในการตั้งถิ่นฐานบานเมืองของ [Geographical Landscape] ในอาณาบริเวณใด 9


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

“Lorem Ipsum Dolor Set Ahmet In Condinmentum. Nullam Wisi Acru Suscpit Consectetuer viviamus Lorem Ipsum Dolor Set Ahmet. Lorem Ipsum Dolor Set Ahmet In Wisi Acru Suscpit Consectetuer viviamus.” Leo Praesen

มนุษย เชน หุบ แองที่ราบ ลุมน้ำ ภูดอย บุงทาม ฯลฯ ซึ่งจะ ปรากฏเปนชื่อสถานที่หรือชื่อบานนามเมือง เชน สันทราย สันปาตอง ซับจำปา ชอนสารเดช มาบตาพุด ภูกระดึง พุเตย ฯลฯ เปนจุดเดนที่สำคัญของชาวบานในทองถิ่นหรือนักเดิน ทางที่เขามาในพื้นที่ อยางเชน เขายอย เขาอีโกซึ่งมีรูปราง แปลกตากวาเขาลูกอื่นที่เพชรบุรี ดอยชางผาดานผาแดน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองแพร เปนตน

เชน การเปนเครือญาติ การเปนคนบานเกิดเดียวกัน หรือ การเปนกลุมทางสังคมตางๆ n การศึกษา Cultural geography ในปจจุบันพัฒนาไปจาก ธรรมเนียมการวิเคราะหเดิมๆ ที่เปนเรื่องของการวิเคราะห วิวัฒนาการของภูมิทัศนทางวัฒนธรรมและการตีความเรื่อง สภาพแวดลอมในอดีต ความหมายของแผนที่นำเสนอเรื่อง ราวความคิดหรือมุมมองเรื่องภูมิศาสตรทางวัฒนธรรมแบบ ใหม ซึ่งอยูในบริบทของทฤษฎีทางสังคมรวมสมัยและทฤษฎี ทางวัฒนธรรม ความคิดเรื่องสถานที่และพื้นที่ ถูกคนพบ ผานการศึกษาของวัฒนธรรมแบบนายกยองและแพรหลาย ผานทางเพศสภาพ เพศและเชื้อชาติ ภาษาและความคิด ตั้ง คำถามในทางที่เราจะสืบคนโลกดวยความหมายอยางไร

n นิเวศวัฒนธรรม [Cultural Ecology] หมายถึงพื้นที่ เฉพาะซึ่งมนุษยสรางบานสรางเมืองขึ้นมาเปนทองถิ่นตางๆ แตละแหงยอมไมเหมือนกัน นิเวศวัฒนธรรมในแตละแหงนั้น มักเปนการมองจากคนภายในที่มีตอสภาพแวดลอมอยาง ละเอียด เห็นความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลาย ทางชาติพันธุหลายชุมชนในพื้นที่เดียวกัน จากนั้นมีการ กำหนดหรือสรางเปนองคความรูในการดำเนินชีวิต สราง แผนที่คืออะไร กติกาการอยูรวมกัน สรางประเพณี ความเชื่อในพื้นที่ เดียวกัน ! แผนที่ คือ สิ่งที่แสดงลักษณะของพื้นผิวโลกทั้งที่สิ่งที่เกิด n ชีวิตวัฒนธรรม [Way of Life] หรือโครงสรางที่อยูใน ขึ้นเองตามธรรมชาติและสิ่งที่มนุษยสรางขึ้น โดยแสดงลงใน ชีวิตประจำวันอันเปนวิถีชีวิตของผูคนในชุมชนเดียวกัน ซึ่ง พื้นแบนราบ ดวยการยอใหเล็กลงตามขนาดที่ตองการและ ประกอบไปดวยโครงสรางสังคม ความสัมพันธระหวางกัน อาศัยเครื่องหมายกับสัญลักษณที่กำหนดเขียนลงกระดาษ แผนราบโดยใชสี เสนหรือรูปรางตางๆ ที่เปนสัญลักษณแทน 10


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

n แผนที่คือจินตนาการที่มนุษยมีตอพื้นที่และ ภูมิประเทศ สันนิษฐานวานาจะมีการทำมาตั้งแต ยุคเหล็กกันแลว แตแผนที่โลกฉบับแรก กลาวกัน วาทำโดยชาวบาบิโลเนียนเมื่อราว ๖๐๐ ปกอน คริสตกาล ซึ่งเปนบานเมืองเกาแกในลุมน้ำไทกรีส และยูเฟรตีสในดินแดนเมโสโปเตเมีย ที่รูจักกันใน นามวา Imago Mundi ซึ่งแสดงตำแหนงวาบาบิ โลนอยูในทวีปยูเฟรตีสที่ลอมรอบไปดวยเมือง ตางๆ อีกดานใหภาพวามีแมน้ำเขมลอมรอบและมี เกาะตางๆ ๗ แหงซึ่งเปนรูปแบบของดวงดาว ๗ แหงที่ลอมรอบดวย โดยมีการบรรยายถึงสถานที่ ๗ แหงซึ่งในหาแหงนั้นยังคงมีอยู

การแบงประเภทของแผนที่จากลักษณะที่ ปรากฏ n การจำแนกชนิ ด ของแผนที ่ ต ามลั ก ษณะที ่ ปรากฏบนแผนที่ในแอพริเคชั่นจากโปรแกรมการ ใชแผนที่หรือสมารทโฟนตางๆ แบงไดเปน

n แผนที่ภูมิประเทศ [Topographic map] เปน แผนที ่ ซ ึ ่ ง ให ร ายละเอี ย ดโดยทั ่ ว ๆ ไป ของ ภู ม ิ ป ระเทศ โดยสร า งเป น แผนที ่ ภ ู ม ิ ป ระเทศ มาตราสวนขนาดเล็ก กลาง และขนาดใหญ และ ไดขอมูลมาจากภาพถายทางอากาศ และภาพถาย ดาวเทียม แผนที่มาตราสวนเล็กบางทีเรียกวาเปน n สวนที่มีชื่อเสียงและเรารูจักมากที่สุดนาจะเปน แผนที่ภูมิศาสตร (Geographical map) แผนที่โลกของปโตเลมี [Ptolemy] เมื่อราว ค.ศ. n แผนที่ลายเสน [Line Map] เปนแผนที่แสดง ๑๕๐ เปนแผนที่ซึ่งใชขอมูลการพรรณนาเรื่อง รายละเอียดในพื้นที่ดวยเสนและองคประกอบของ ราวจากเอกสารของปโตเล ที่เขียนเมื่อราวค.ศ. เสน ซึ่งอาจเปนเสนตรง เสนโคง ทอนเสน หรือ ๑๕๐ ชื่อ Geographia แตนำมาเขียนเปนแแผนที่ เสนใดๆ ที่ประกอบเปนรูปแบบตางๆ เชน ถนน เมื่อ คริสตศตวรรษที่ ๑๕ ซึ่งมีการกลาวถึงสถาน แสดงด ว ยเส น คู  ข นาน อาคารแสดงด ว ยเส น ที่สำคัญๆ ในโลกนี้มากมาย และมีอิทธิพลตอการ ประกอบเปนรูปสี่เหลี่ยม สัญลักษณที่แสดงราย ทำแผนที่ของโลกอิสลามในยุคแรกๆ และเปน ละเอียดเปนรูปที่ประกอบดวยลายเสน แผนที่ ขอมูลใหนักสำรวจชาวอังกฤษ สรางภาพแผนที่ ลายเสนยังหมายรวมถึงแผนที่แบบแบนราบและ จากขอมูลการสำรวจของปโตเลมี เมื่อมีการแปล แผนที่ทรวดทรง ภาษากรี ก โบราณเป น ภาษาละติ น เมื ่ อ คริ ส ต n นอกจากนี้ยังสามารถทำเปนแผนที่เสนทาง ที่ ศักราช ๑๓๐๐ สรางขึ้นเปนเครื่องมือประกอบการเดินทาง โดย ซ้าย แผนที่ของชาว บาบิ โ ลเนี ย นเมื ่ อ ราว ๖๐๐ ปี ก ่ อ น คริ ส ต์ ก าล ซึ ่ ง เป็ น บ้านเมืองเก่าแก่ใน ลุ ่ ม น้ ํ า ไทกรี ส และยู เฟรตีสในดินแดนเม โสโปเตเมีย ที่รู้จัก กันในนามว่า Imago Mundi ขวา แผนที่โลกของ ปโตเลมี [Ptolemy ] ที่ ทําขึ้นจากข้อมูลเมื่อ ค.ศ.๑๕๐ แต่เขียน เป็นแผนที่เมื่อคริสต์ ศตวรรษที่ ๑๕

11


แผนที่ภูมิประเทศ [ To p o g ra p h i c m a p ] ภาพแผนที่มาตราส่วน 1: 250,000 แผนที่ มาตราส่ ว นเล็ ก บางที เ รี ย กว่ า เป็ น แผนที ่ ภูมิศาสตร์ (Geographical map)

แผนที่เส้นทางที่ใช้ลายเส้น แสดงพื้นที่ต่างๆ ภาพจากเวบ ไซต์ Google maps

ปกติ จ ะเป น แผนที ่ ม าตราส ว นกลาง หรื อ มาตราสวนเล็ก และแสดงเฉพาะสิ่งที่เปนที่นา สนใจของผูใช ซึ่งจะทำขึ้นโดยกลุมผูสนใจเฉพาะ ดาน

เสนโครงพิกัด ใสรายละเอียดประจำขอบระวาง แผนที่ภาพถายสามารถทำไดรวดเร็ว แตการอาน คอนขางยากเพราะตองอาศัยเครื่องมือและความ ชำนาญ

n แผนที่ภาพถาย [Photo Map] เปนแผนที่ซึ่งมี รายละเอียดในแผนที่ที่ไดจากการถายภาพดวย กลองถายภาพ ซึ่งอาจถายภาพจากเครื่องบินหรือ ดาวเทียม การผลิตแผนที่ทำดวยวิธีการนำเอา ภาพถายมาทำการดัดแก แลวนำมาตอเปนภาพ แผนเดียวกันในบริเวณที่ตองการ แลวนำมาใส

n แผนที่แบบผสม [Annotated Map] เปนแบบ ที่ผสมระหวางแผนที่ลายเสนกับแผนที่ภาพถาย โดยรายละเอียดที่เปนพื้นฐานสวนใหญจะเปนราย ละเอียดที่ไดจากการถายภาพ สวนรายละเอียดที่ สำคัญๆ เชน แมน้ำ ลำคลอง ถนนหรือเสนทาง รวมทั้งอาคารที่ตองการเนนใหเห็นเดนชัดก็แสดง

12


แผนที่ภาพถ่าย [Photo Map] เป็นแผนที่ซึ่งมีรายละเอียดในแผนที่ที่ได้จาก การถ่ายภาพด้วยกล้องถ่ายภาพ ซึ่งอาจถ่าย ภาพจากเครื่องบินหรือดาวเทียม

แผนที่แบบผสม [Annotated Map] เป็นแบบที่ผสมระหว่างแผนที่ ลายเส้นกับแผนที่ภาพถ่าย

แผนที่พิเศษ (Thematic and special map) แผนที่ชนิดนี้จะแสดง ข้อมูลเฉพาะเรื่องลงไป เช่น แผนที่ดิน แ ผ น ท ี ่ ป ร ะ ชา ก ร แ ผนที ่ พ ื ช พรรณ ธรรมชาติ แผนที่ธรณีวิทยา

13


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

ดวยลายเสน พิมพแยกสีใหเห็นเดนชัดปจจุบัน นิยมใชมาก เพราะสะดวกและงายแกการอาน มี ทั้งแบบแบนราบ และแบบพิมพนูน สวนใหญมี สีมากกวาสองสีขึ้นไป

! แผนที่พิเศษ [Thematic and special map]

เราสามารถแบงแผนที่ออกไปไดหลายประเภท แต ที่นิยมแบงกันก็คือ แบงตามมาตราสวนของแผนที่ โดยสามารถแบงไดดังนี้คือ 1. แผนที่มาตราสวนเล็ก ไดแก มาตราสวน 1 : 600,000 และ เล็กกวา 2. แผนที่มาตราสวนปานกลาง ไดแก มาตราสวน ใหญกวา 1 : 600,000 แตเล็กกวา 1 : 75,000 3. แผนที่มาตราสวนใหญ ไดแก มาตราสวน ที่ ใหญกวา 1 : 75,000

ปจจุบันมีความสำคัญมากขึ้น เพราะสามารถใช ประกอบการทำวิจัยเชิงวิทยาศาสตร การวางแผน และใชในงานดานวิศวกรรม แผนที่ชนิดนี้จะแสดง ขอมูลเฉพาะเรื่องลงไป เชน แผนที่ดิน แผนที่ หมายเหตุ ประชากร แผนที่พืชพรรณธรรมชาติ แผนที่ แผนที่มาตราสวนเล็ก ที่นิยมใชและผลิตคือ แผนที่ ธรณีวิทยา เปนตน มาตราสวน 1: 1,000,000

การแบงประเภทของแผนที่ตาม มาตราสวน

แผนที่มาตราส่วน 1: 50,000 หมายเลขประจําชุด L 708

แผนที่มาตราส่วน 1 : 250,000 หมายเลขประจํา ชุด ND47-7

14

แผนที ่ ม าตราส ว นปานกลางที ่ น ิ ย มใช แ ละผลิ ต คื อ แผนที่มาตราสวน 1: 250,000 แผนที่มาตราสวนใหญที่นิยมใชและผลิตคือ แผนที่ มาตราสวน 1: 50,000


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

แผนที่ทางภูมิศาสตร [Topograpic map]

ภาพพื้นที่ทั้งหมดที่ตองการทำแผนที่ การถาย ภาพนี้จะบินเปนแนวและถายในจุดตางๆ โดยบิน เปนเสนคูโดยนำเอาภาพมาเปรียบเทียบกัน และ ใชเครื่องมือที่เรียกวา stereoscope เพื่อจะทำให ประวัติของการทำแผนที่ภูมิประเทศ เริ่มตนที่ เห็นสภาพภูมิประเทศเปนรูปสามมิติ แลวนำไป สหรัฐอเมริกา จากการออกกฏหมายของสภาคอง วาดในแผนที่ เกรส สหรัฐฯ ในป ค.ศ.๑๘๗๙ (พ.ศ.๒๔๒๒) n หน ว ยราชการของไทยที ่ จ ั ด ทำรู ป ถ า ยทาง สวนใหญของแผนที่ภูมิศาสตรที่ทำขึ้นอยูทางภาค อากาศ คือ กรมแผนที่ทหาร กระทรวงกลาโหม ตะวั น ตกซึ ่ ง เป น พื ้ น ที ่ ก ว า งใหญ ไ พศาลของ การนำไปใชประโยชน การเริ่มงานทำแผนที่จาก สหรัฐอเมริกา ในระยะแรกใชวิธีการเดินเทา รูปถายทางอากาศ โดย พลโท พระยาศัลวิธาน สำรวจในพื้นที่ตางๆ [Planetable surveying] ซึ่ง นิเทศ กอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ราว ๒๐ ป กรม เป น ความท า ทายของนั ก สำรวจที ่ ต  อ งมี ค วาม ที่ดินถายภาพทางอากาศบริเวณจังหวัดสุรินทร สามารถในการรังวัดในสถานที่เหมาะสม จนถึง จึงมีการนำเรื่องการทำแผนที่จากภาพถายทาง ทศวรรษที่ ๑๙๔๐ ซึ่งมีการนำเครื่องบินมาใชบิน อากาศเสนอตอกระทรวงมหาดไทย และนโยบาย สำรวจและถายภาพและวิเคราะหจากภาพถายแทน เรงรัดการทำแผนที่รังวัดที่ดิน แตหยุดชะงักไปใน [Photogrammetry] การทำแผนที่แบบภูมิประเทศ ชวงสงครามโลก จากนั้นกรมที่ดินจึงเสนอตอ ตองใชทั้งความเปนศาสตร เทคโนโลยี และงาน กระทรวงมหาดไทยและคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ศิลปะ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๐ กรมแผนที่ทหารก็ เสนองบประมาณการทำแผนที่ไปดวย เมื่อวันที่ ภาพถายทางอากาศ [Aerial Photography] ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ คณะรัฐมนตรีเห็น n ภาพถายทางอากาศ (Aerial Photography) วาการทำแผนที่ของทั้ง ๒ กระทรวง มีความมุง เปนรูปภาพแสดงภูมิประเทศที่ปรากฏบนพื้นผิว หมายคลายคลึงกัน จึงมอบใหเจากรมแผนที่ โลกถายโดยใชกลองถายรูปติดไวกับเครื่องบิน ทหารบกขณะนั้นคือ “พล.ต.พระวิภัติภูมิประเทศ” กาวแรกในการทำแผนที่ทางภูมิศาสตรคือการถาย เป น เจ า ของเรื ่ อ ง พิ จ ารณาร ว มกั บ ผู  แ ทน

ตัวอย่างของ ภาพถ่ายทางอากาศ ที่ Villanueva, New Mexico, ปี 1984 ซึ ่ ง ใช ภาพ จากการถ่าย ภาพถ่ายทางอากาศ ม า ต ร า ส ่ ว น 1:24,000 นํามาลด ขนาดและซ้อนกันผ่า นกล้องสเตริ​ิโอสโคป [stereoscope] ก็ ทําให้เห็นเป็นรูปสาม มิติ แล้วจึงนํามาทํา เป็ น ภาพแผนที ่ อ ี ก ครั้งหนึ่ง

15


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

กระทรวงมหาดไทยกระทรวงเกษตร และ กระทรวงคมนาคม ประชุ ม ตกลงให จ ั ด ตั ้ ง “องคการทำแผนที่จากรูปถายทางอากาศ” ขึ้น โดยมี “พล.ท.พระยาศัลวิธานนิเทศ” เปนประธาน รั ฐ บาลอนุ ม ั ต ิ ใ ห จ ั ด ตั ้ ง องค ก ารนี ้ เ มื ่ อ พ.ศ. ๒๔๙๓ และไดอนุมัติใหเปน “กรมการแผนที่รูป ถายทางอากาศ” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔ เจาหนาที่ใน ขณะนั ้ น เป น ผู  ส ำเร็ จ ปริ ญ ญาตรี จ ากคณะ วิ ท ยาศาสตร และคณะวิ ศ วกรรมศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และผูที่เกษียณอายุจาก กรมแผนที่ที่ยังมีรางกายกำลังแข็งแรง มีความรู และประสบการณ จากงานทำแผนที่เปนผูดำเนิน งาน n การทำแผนที่จากรูปถายทางอากาศ มีทั้งงาน บินถายรูปและงานทำแผนที่ งานบินถายรูปแตเดิม เปนหนาที่ของกรมอากาศยาน ซึ่งภายหลังเปนก องทัพอากาศ เมื่อเปนกรมการแผนที่รูปถายทาง อากาศแลว ก็มีเครื่องบินเฉพาะงานนี้ แตให กองทั พ อากาศดำเนิ น การใช น ายทหารและเจ า หนาที่ของกองทัพอากาศทั้งสิ้น สวนงานอื่นเปน หนาที่ของกรมการแผนที่รูปถายทางอากาศ

เปลี่ยนแปลงในลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ ตางๆ โดยเปรียบเทียบจากรูปถายในระยะเวลา แตกตางกัน เชน การสูญเสียพื้นที่ปาชายเลย การ พังทลายของตลิ่งริมแมน้ำที่เกิดจากการกัดเซาะ ของคลื่น และการขยายตัวของชุมชนเมืองเขาไปใน พื้นที่เกษตรกรรม เปนตน n การวางแผนพัฒนาการใชที่ดิน โดยนำรูปถาย ทางอากาศไปใช เ พื ่ อ จั ด ทำแผนที ่ แ ละจำแนก ประเภทการใชที่ดินของประเทศ โดยกำหนดโซน หรือแบงพื้นที่เปนเขตอุตสาหกรรม และเขตชุมชน ที่อาศัย เปนตน n การอนุรักษพื้นที่ปาไม รูปถายทางอากาศ ทำใหทราบถึงสภาพความอุดมสมบูรณของปาไม ในพื้นที่ตางๆ เพื่อกำหนดแนวทางการอนุรักษ และพัฒนาตอไป n การศึกษาขอมูลจากรูปถายทางอากาศ ทำได 2 วิธี คือ ศึกษาดวยตาเปลาและศึกษาดวยกลอง สามมิติ เนื่องจากรูปถายทางอากาศไมมีคำอธิบาย ใดๆ ดังนั้น จึงควรศึกษาควบคูกับแผนที่ดวยจะ ทำใหเขาใจงายยิ่งขึ้น

การสำรวจภาคสนาม

N มีหนวยราชการอื่นๆ นำรูปถายทางอากาศไป ใชประโยชนทางดานวิชาการและการพัฒนาความ ! สิ่งที่สำคัญของการทำแผนที่ นอกเหนือไปจาก เจริญของบานเมือง คือ ทำใหทราบถึงความ เครือ่ งมือตางๆ แลว การออกไปทำงานแผนที่ใน

หมุ ด เหล็ ก ทองแดง ปักจุดที่สูงที่สุดมีวัด ระดับความสูง 2,565.3341 เมตร เรียกว่าระดับชั้นที่ 1 ซึ่งมีปรากฏในแผนที่ ทางอากาศจะเห็นจุด ระดับความสูงชัดเจน ทางกองทั พ อากาศ ได้สํารวจแสดงระดับ พื้นที่ไว้เมื่อ 20 ก.ค. 2519

16


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

ภาพจากดาวเทียมบริเวณประเทศไทยและบริเวณ ดอยตุง จังหวัดเชียงราย

ภาคสนามถือเปนสิ่งสำคัญ ในยุคที่ไมมีการใชเครื่องบิน สำรวจ การออกไปวาดแผนที่ดวยมือตองใชการสำรวจ ทั้งหมด แตเมื่อมีการทำดวยการบินแลวก็ตองออกไปสำรวจ เพิ่มเติมภาคสนามดวย

เมื่อเราอานแผนที่ทางภูมิศาสตรนี้ เราจะสามารถเห็นภาพ ของรู ป แบบภู ม ิ ป ระเทศ ซึ ่ ง จะมี ก ารกำหนดรายการ สัญลักษณตางๆบริเวณดานลางหรือขวามือ และสามารถวัด ระยะทางตางๆ ของตำแหนงที่ถูกกำหนดไวในแผนที่ดวย จะ ชวยใหเราคนหาพื้นที่ที่เราตองการศึกษาหรือชวยในการนำ n การสำรวจภาคสนามนั้นตองทำอยางระมัดระวังในพื้นที่ ทางหรือหาทิศทางเมื่ออยูในสถานที่จริง ที่ตองการสำรวจ สิ่งสำคัญในการกำหนดตำแหนงสองรูป แบบคือ แบบแนวนอน [Horizontal] ที่จะตองกำหนดเสน ภาพถายดาวเทียม ละติจูดและลองติจู เพื่อเลือกพื้นที่ภายในที่จะสำรวจไว โดย กำหนดมาตราสวนที่ถูกตองเพื่อใหไดระยะทางของสิ่งตางๆ ! ภาพจากดาวเทียม [Satellite Imagery] ใหประโยชน บนแผนที่ แบบที่สองคือ แบบแนวตั้ง [Vertical] ซึ่งเปนการ อ ย  า ง ม า ก ใ น ก า ร ศ ึ ก ษ า ข  อ ม ู ล เ พ ื ่ อ ส ำ ร ว จ แ ห  ง กำหนดเพื่อควบคุมพื้นที่ของความสูง [contours] จุดที่ ทรัพยากรธรรมชาติ การทำงานรับภาพของดาวเทียม เรียก วา กระบวนการรีโมทเซนซิงโดยดาวเทียมจะเก็บขอมูลของ กำหนดนี้มักจะมีการวางหมุดการสำรวจไวดวย วัตถุหรือพื้นที่เปาหมายบนพื้นโลก จากรังสีที่สะทอนขึ้นไป n การเรียนรูจากแผนที่ทางภูมิศาสตรจำเปนที่จะตองมีการ จากผิวโลกหรือจากอุณหภูมิของวัตถุนั้นๆบนพื้นผิวโลก ฝกฝนเล็กนอย ความสูงใชเสนความสูง [contours] แทนบน n ภาพจากดาวเที ย มให ป ระโยชน ใ นการศึ ก ษาทาง แผนที่ ความสูงที่แตกตางกันของระดับพื้นที่ในเสนความสูง ภูมิศาสตร คือ นำมาใชจัดทำแผนที่แสดงภูมิประเทศของ ใชชวงของเสนความสูงแทน ถาแผนที่แสดงความแบนราบ พื้นที่ตางๆ ซึ่งจะใหรายละเอียดของตำแหนงตางๆ บนพื้น ของพื้นที่มีชวงความสูงแตกตางกันในราว ๑๐ ฟุตหรือนอย โลกชัดเจนยิ่งขึ้น กวานั้น สวนพื้นที่ภูเขาเทือกเขาจะมีเสนความสูงที่ตางกัน ตั้งแต ๑๐๐ ฟุตขึ้นไป 17


4546 III

4445 I

104° E

5049 I

5049 III

5049 II

5149 III

4948 I

5048 IV

5048 I

5148 IV

5048 III

5048 II

5148 III

5148 II

5248 III

5047 IV

5047 I

5147 IV

5147 I

5247 IV

5247 I

5047 II

5147 III

5147 II

5247 III

5247 II

5146 I

4748 II

4848 III

4848 II

4948 III

4948 II

4547 I

4647 IV

4647 I

4747 IV

4747 I

4847 IV

4847 I

4947 IV

4947 I

4547 II

4647 III

4647 II

4747 III

4747 II

4847 III

4847 II

4947 III

4947 II

4646 IV 4646 I

4746 IV

4746 I

จ.แมฮองสอน 4546 I 4546 II

4646 III

4545 IV

4545 I

4545 III

4545 II 4544 I

4644 IV

4544 II

4644 III 4643 IV

จ.เชียงราย

จ.พะเยา 5047 III

4846 IV

4846 I

4946 IV

4946 I

5046 IV

5046 I 5146 IV

5246 IV

5246 I

4846 III

4846 II

4946 III

4946 II

5046 III

5046 II

5146 III

5146 II

5246 III

5246 II

4745 I

4845 IV 4845 I

4945 I

5045 IV

5045 I

5145 IV

5145 I

5245 IV

4944 I

5044 IV

5044 I

5144 IV

4944 II

5044 III

4746 III

4645 IV

4645 I

4745 IV

4645 III

4645 II

4745 III

4644 I

4744 IV

4744 I

4844 IV

4844 I

4944 IV

4644 II

4744 III

4744 II

4844 III

4844 II

4944 III

4643 I

4743 IV

4743 I

4843 IV

4843 I

4943 IV

4943 I

4643 II

4743 III

4743 II

4843 III

4843 II

4943 III

4943 II

5043 III

4642 I

4742 IV

4742 I

4842 IV

4842 I

4942 IV

4942 I

5042 IV

5042 I

4842 III

4842 II

4942 III

4942 II

5042 III

4841 I

4941 IV

4945 IV

จ.นาน

21° N

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

จ.ลำปาง จ.แพร จ.ลำพูน 4845 III 4845 II 4945 III 4945 II 5045 III 5045 II 5145 III 5145 II 5245 III

5645 IV

5645 I

5645 III

5645 II

18° N

4745 II

17° N

4544 IV

5445 III

5244 IV

5244 I

5344 IV

5344 I

5444 IV

5444 I

5544 IV 5544 I

5244 III

5244 II

5344 III

5344 II

5444 III

5444 II

5544 III

5043 I

5143 IV

5143 I

5243 IV

5243 I

5343 I

5443 IV

5443 I

5543 IV

5043 II

5143 III

5143 II

5243 III

5243 II

5343 III

5343 II

5443 III

5443 II

5142 IV

5142 I

5242 IV

5242 I

5342 IV

5342 I

5442 IV

5042 II

5142 III

5142 II

5242 III

5242 II

5342 III

5342 II

5442 III

5041 I

5241 IV

5241 I

5341 IV

5341 I

5441 IV

5441 I

5241 II 5341 III

5341 II

5441 III

5441 II

5541 III

5044 II

5043 IV

จ.สุโขทัย

5345 II

5144 I

5144 III 5144 II

จ.อุตรดิตถ

จ.พิษณุโลก

จ.เลย 5343 IV

5445 II

5545 II

จ.หนองบัวลำภู

จ.หนองคาย

5544 II

จ.อุดรธานี 5543 I

4740 I

4740 III

4740 II

4639 I

4739 IV

4639 III

4639 II

4638 IV

4638 I

5041 IV 5041 III

4940 IV

4940 I

5040 IV

4940 III

4940 II 5040 III

4939 IV

4939 I

4941 III

4840 IV

4840 I

4840 III

4840 II

4739 I

4839 IV

4839 I

4739 III

4739 II

4839 III

4839 II

4939 III

4738 IV

4738 I

4838 IV

4838 I

4938 IV

4738 III

4738 II

4838 III

4838 II

จ.อุทัยธานี

4938 III

จ.กาญจนบุรี 4737 I 4737 II

5844 I

5844 III

5844 II

5643 I

5743 IV

จ.สกลนคร

5743 I 5843 IV 5843 I

13° N

5039 III

4938 I

5038 IV

4938 II

4937 IV

4937 I

4837 II

4937 III

4937 II

4836 I

4936 IV 4936 I 4936 III

จ.ราชบุรี

4835 IV

4835 I

4835 III

4835 II

4935 IV 4935 III

จ.เพชรบุรี 4934 IV

4834 II

4934 III

4833 I

4933 IV

12° N

4933 III 4932 IV

4831 I 4831 III

5643 II

5743 III

5743 II

5843 III

5843 II

5943 III

5442 I

5542 IV

5542 I

5642 IV

5642 I

5742 IV

5742 I

5842 IV

5842 I

5942 IV

5942 I

5442 II

5542 III

5542 II

5642 III 5642 II

5742 II

5842 III

5842 II

5942 III

5942 II

5841 IV

4729 I

5037 III

4936 II

5036 III

4935 I

5035 IV

5241 III

5040 I

5140 IV

5140 I

5240 IV

5240 I

5340 IV

5340 I

5440 IV

5440 I

5540 IV

5540 I

5640 IV

5640 I

5740 IV

5740 I

5840 IV

5840 I

5940 IV

5940 I

6040 IV

6040 I

5140 III 5140 II

5240 III

5240 II

5340 III

5340 II

5440 III

5440 II

5540 III

5540 II

5640 III

5640 II

5740 III

5740 II

5840 III

5840 II

5940 III

5940 II

6040 III

6040 II

6140 III

5939 I

6039 IV

6039 I

6139 IV

5040 II

จ.เพชรบูรณ

5035 III

4934 I

5034 IV

จ.ชัยภูมิ

5541 IV

5541 I 5641 IV

5641 I

5741 IV

5741 I

5641 III

5641 II

5741 III

5741 II 5841 III

5541 II

จ.มหาสารคาม

จ.รอยเอ็ด

5841 I

5941 IV

5941 I

5841 II

5941 III

5941 II

จ.ยโสธร

จ.อำนาจเจริญ

5039 I

5139 IV

5139 I

5239 IV

5239 I

5339 IV

5339 I

5439 IV

5439 I

5539 IV

5539 I

5639 IV

5639 I

5739 IV

5739 I

5839 IV

5839 I

5939 IV

5039 II

5139 III

5139 II

5239 III

5239 II

5339 III

5339 II

5439 III

5439 II

5539 III

5539 II

5639 III

5639 II

5739 III

5739 II

5839 III

5839 II

5939 III 5939 II

5238 IV

5238 I

5338 IV

5338 I

5438 IV

5438 I

5538 IV

5638 IV

5638 I

5738 I

5838 IV

5838 I

5938 IV

5338 III

5338 II

5438 III

5337 IV

5337 I

จ.สิงหบุรี 5038 I

จ.ลพบุรี

5138 IV

จ.อางทอง 5038 II 5037 I

5138 III 5137 IV

5138 I 5138 II

5037 II

5137 III

5036 II

5136 III

5238 III

5137 II

5237 IV

5237 III 5236 IV

5136 II 5236 III 5135 I

5134 IV

4934 II

5237 I

จ.นครนายก

จ.สมุทรปราการ

5035 I

5238 II

จ.สระบุรี 5137 I

จ.พระนครศรีอยุธยา

จ.สมุทรสาคร

4935 II

จ.มุกดาหาร

5943 II

5141 I

จ.ปทุมธานี จ.นครปฐม จ.นนทบุรี 5136 IV 5136 I 5036 IV 5036 I กรุงเทพมหานคร

จ.สมุทรสงคราม

จ.ขอนแกน

5742 III

5141 II

5235 IV

5237 II

5235 III

5134 I

5234 IV

5134 II

5234 III

จ.นครราชสีมา

5337 III

จ.ปราจีนบุรี

5236 I

5336 IV

จ.ฉะเชิงเทรา 5236 II 5235 I

จ.ศรีสะเกษ

5938 I

6039 III 6038 IV

6038 I

6138 IV 6138 III

5438 II

5538 III

5538 II

5638 III

5638 II

5738 III

5738 II

5838 III

5838 II

5938 III

5938 II

6038 III

6038 II

5437 I

5537 IV

5537 I

5637 IV

5637 I

5737 IV

5737 I

5837 IV

5837 I

5937 IV

5937 I

6037 IV

6037 I

5437 III

5437 II

5537 III

5537 II

5637 III

5436 I

5536 IV

5536 I

จ.สระแกว

5336 III 5336 II 5335 I

5335 III

5335 II

5334 IV

5334 I

5334 III

5334 II

5436 III

5436 II 5435 I

5435 III

5435 II

5535 III

5434 IV

5434 I

5534 IV

5434 III

5434 II

5433 IV 5433 I

4933 II 4932 I

5534 III

จ.ตราด 5533 IV

5533 I

5433 II

5533 III

5533 II

5432 I

5532 IV

5532 I

5532 III

5532 II

อาวไทย

6037 III

5536 III

5435 IV

จ.จันทบุรี

6140 IV

6039 II 6139 III

5436 IV

4933 I

4932 III

5738 IV

จ.อุบลราชธานี

6041 II

5437 IV

5335 IV

5234 II

จ.บุรีรัมย

จ.สุรินทร

6041 III

5337 II

5234 I

จ.ระยอง

5538 I

6041 IV

5336 I

5235 II

จ.ชลบุรี

5135 II

กักัมมพูพูชชาา

อาวไทย

4931 IV 4831 II

4830 IV 4830 III

5037 IV

5943 I

5643 III

5141 III

จ.ประจวบคีรีขันธ

4833 II

4730 I

5038 III

จ.สุพรรณบุรี

4837 I

4837 III 4836 IV

5943 IV

5543 II

5141 IV

จ.นครสวรรค

จ.ชัยนาท

5944 III

จ.นครพนม

5543 III

5041 II

จ.พิจิตร

5039 IV

4939 II

4837 IV

4834 IV 4834 I

11° N

5845 III 5844 IV

5643 IV

13° N

4740 IV

4941 I 4941 II

จ.กำแพงเพชร 4841 II

4729 IV

5845 IV

5744 I 5744 II

12° N

4841 III

4730 II

5745 II

5744 III

11° N

4841 IV

4741 II

16° N

4741 I

4741 III

4737 IV

5745 I

จ.บึงกาฬ 5745 III 5744 IV

5644 II

จ.กาฬสินธุ

4742 II

4741 IV

4638 II

5745 IV

5644 I

5644 III

5644 IV

จ.ตาก 4742 III

106° E

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 5248 II

4746 II

จ.เชียงใหม

4646 II

105° E

สาธารณรั ฐสัฐงสัคมนิ ดนาม สาธารณรั งคมนิยยมเวี มเวียยดนาม

20° N

4949 I

4948 IV

4748 III

4832 II

4830 I 4830 II

4829 IV

จ.ชุมพร

4726 III

4726 II

10° N 4927 IV

4725 IV

4725 I

4625 II

4725 III

4725 II

4624 I

4724 IV

4724 I 4724 II

4928 II 4927 I

4827 II

4927 III

4927 II

4826 IV

4826 I

4926 IV

4926 I

4826 III

4826 II

4926 III

4926 II

จ.สุราษฎรธานี

4825 IV 4825 I

จ.นครศรีธรรมราช

9° N

4726 I

4626 II

4827 IV 4827 III

4727 III 4727 II 4726 IV

4928 III

4828 III

4727 I

4626 I

จ.พังงา

4829 III 4828 IV

4728 II

4627 II

4625 I

8° N

4727 IV

5026 III 5025 IV

4925 IV

4925 I

4825 II

4925 III

4925 II

5025 III

4824 IV

4824 I

4924 IV

4924 I

5024 IV

4824 III

4824 II

4823 IV

4823 I

4923 IV

4923 I

5023 IV

5023 I

4823 II

4923 III

4923 II

5023 III

5023 II

จ.กระบี่ 4825 III

4924 III

จ.ตรัง

4922 IV

4822 II

4922 III

4924 II

จ.สตูล 4922 I 4922 II

5024 III

จ.พัทลุง

5025 II 5024 I 5024 II

5022 IV

5022 I

5022 III

5022 II

5021 IV

8° N

4626 III

จ.ภูเก็ต

4729 II 4728 I

4728 III

จ.ระนอง

คำอธิบายสัญลักษณ์

5123 III 5122 IV

จ.สงขลา

5122 I 5222 IV

5222 I

จ.ปตตานี

5322 IV

5122 III

5122 II

5222 III

5222 II

5322 III

5121 IV

5121 I

5221 IV

5221 I

5321 IV

จ.ยะลา

7° N

9° N

4627 I

5321 I

จ.นราธิวาส

5221 III

5221 II

5321 III

5321 II

5220 IV

5220 I

5320 IV

5320 I

L 7018S

5421 IV 5421 III

6° N

10° N

4729 III 4728 IV 4628 II

7° N

n รายละเอียดในแผนระวางทางวัฒนธรรมซึ่ง เกิดจากฝมือมนุษย เชน ชื่อหมูบาน ตำบล จังหวัด ฯลฯ หรือลักษณะเดนทางภูมิศาสตร เชน ชื่อ ภูเขา หวย หนอง แมน้ำ

103° E

19° N

19° N

4546 IV 4446 II

5049 IV

4949 II

4949 III

4848 I

4648 II

20° N

4849 III

4949 IV

4848 IV

4648 III

4648 IV

ทะเลอั นดามั น น ทะเลอั นดามั

n แสดงบริเวณกลางขอบระวางตอนบนและทาง ดานซายของขอบระวางตอนลาง ปกติการตั้งชื่อ ระวางนั้นจะตั้งตามลักษณะเดนของ

102° E

18° N

4849 I 4849 II

4748 I

4548 II

4836 III 4836 II

ชื่อระวาง [Sheet Name]

101° E

17° N

21° N

สาธารณรั ฐแหงสหภาพพม า สาธารณรั ฐแหงสหภาพพม า

14° N

บริเวณขอบระวางของ แผนที่จะมีรายละเอียดที่จำเปนในการใชแผนที่ จำนวนมาก เราสามารถยกสวนที่สำคัญๆ ไดดังนี้ คือ

100° E

สารบาญแผนที่ มาตราสวน 1:50,000 ชุด L 7018S

15° N

: สวนประกอบของแผนที่

99° E

16° N

98° E

15° N

97° E

14° N

96° E

6° N

การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

ขอควรรูในการอานแผนที่ทาง ภูมิศาสตร

5220 III

มาเลเซี มาเลเซียย 96° E

97° E

98° E

99° E

100° E

101° E

102° E

103° E

104° E

105° E

106° E

n หมายเลขลำดับชุด อยูบริเวณขอบระวางดาน ขวาตอนบน และที่ขอบระวางดานซายตอนลาง มี บ อ ยหลายครั ้ ง ที ่ เ ราพบว า มี แ ผนที ่ ต  า งชุ ด กั น ครอบคลุมพื้นที่เดียวกันดังนั้นจึงมีความจำเปนที่ เราจะตองกำหนดหมายการพิสูจนทราบใหกับ หมายเลขระวาง [Sheet number] และ แผนที่แตละชุด โดยหมายเลขประจำชุดจะบอกถึง หมายเลขประจำชุด [Series Number] การปกคลุมทางภูมิศาสตร ยานมาตราสวนของ n อยูบริเวณดานขวาขอบบนของขอบระวาง เปน แผนที่รวมทั้งตัวเลขจำแนกโดยการกำหนดตัวเลข หมายเลขที่ใชอางอิงที่กำหนดใหกับแผนที่แตละ ใหเห็นความแตกตาง โดยเฉพาะบอกลำดับการจัด ระวาง หมายเลขนี้ถูกกำหนดขึ้นเปนตารางแบบ ทำ เชน L708, L7017, L1018 เปนตน ระบบตารางพิกัดตามความตองการของผูผลิต หมายเลขแผนที่ 1 : 50,000 กำเนิดมาจาก แผนที่ หมายเลขการจัดพิมพ [Edition 1: 100,000 โดยจะประกอบดวยตัวเลข 4 ตำแหนง Number] ซึ่งจะประกอบดวยตัวเลข 2 ชุด คือ สองตำแหนง แรกบอกหมายเลขระวางตามแนวยาว สวนสอง ! ! พบบริ เ วณด า นขวาและขอบระวางด า นซ า ย ตำแหนงจะบอกหมายเลขระวางตามแนวตั้ง ตอนลาง หมายเลขการจัดพิมพนี้จะเรียงจากนอย ไปหามากทำใหเราทราบถึงอายุของแผนที่ และ 18


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

หมายเลขจัดพิมพครั้งหลังๆ จะมีขอมูลที่ทันสมัย กวา

ชื่อชุดและมาตราสวน [Series name and Scale] n พบที่บริเวณขอบระวางดานซายตอนบนและ กึ่งกลางขอบระวางดานลาง โดยแผนที่แตละชุด ในแตละชุดจะเปนแผนที่มีมาตราสวนเทากัน ทั้ง ชุดมีระบบการวางอยางเดียวกัน จัดทำพื้นที่โซน แผนผังเดคลิเนชั่น หรือแผนผังมุมเยื้อง [Declination Diagram] หนึ่งโดยเฉพาะ n พบบริเวณที่ขอบระวางตอนลาง แผนผังเดค ลิเนชั่นนี้ทำใหเราทราบถึงความสัมพันธุ ของมุมที่ เกิดขึ้นระหวาง ทิศเหนือจริง ทิศเหนือแมเหล็ก ทิศเหนือกริด จะมีลักษณะเฉพาะ คือ ปลายที่

มาตราสวนเสนบรรทัด [Bar scale] n พบไดที่บริเวณกึ่งกลางดานลางของขอบระวาง เพื่อใชพิจารณาหาระยะบนพื้นที่ภูมิประเทศที่ ปรากฏอยู  บ นแผนที ่ แ ผนที ่ ส  ว นมากจะมี มาตราสวนเสนบรรทัดตั้งแต 3 บรรทัดขึ้นไป ซึ่ง แตละบรรทัดจะแสดงมาตราวัดระยะที่แตกตางกัน เชน ไมล หลา เมตร เปนตน

สารบัญระวางติดตอ [Adjioning Sheet] n ตำแหน ง ที ่ ป รากฎ สามารถพบได บ ริ เ วณ ตอบลางดานขวาของขอบระวางแผนที่ สารบัญ ระวางติดตอจะแสดงถึง แผนที่ที่อยูรอบ ๆ แผนที่ที่เรามีอยู

19

เปนรูปลูกศร ปลายที่เปนรูปดาว

หมายถึง ทิศเหนือแมเหล็ก หมายถึง ทิศเหนือดาว

ปลายที่เปนลักษณะเสนตรง หมายถึง ทิศ เหนือกริด n สิ่งที่เราจะไดจากแผนผังมุมเยื้อง คือเราจะ สามารถทราบไดวา เสนกริดบนแผนที่นั้นคลาด เคลื่อนจากทิศเหนือจริงเปนมุมเทาใด


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

ในภูมิประเทศจริงสิ่งนั้นเปนอะไรเครื่องหมาย แผนที่คือ เครื่องหมายหรือสัญลักษณที่ใชแทน n พบที่ขอบระวางดานลางทางซายสัญญลักษณ สิ่งตางๆ บนสภาพแวดลอมที่เกิดขึ้นเอง และตาม เครื่องหมายแผนทจะแสดงไวดวย ภาพ สี และ ธรรมชาติ เสนตางๆ โดยอธิบายใหเราทราบวาสัญญลักษณ n นอกจากเครื่องหมายแลวเรายังใชสีเปนการ ที่เราเห็นในแผนที่นั้น แสดงลักษณะภูมิประเทศอีอดวย คือ

คำอธิบายสัญญลักษณ [Legend]

สีดำ หมายถึงภูมิประเทศสำคํญทางวัฒนธรรมที่ มนุษยสรางขึ้น เชน อาคาร สุสาน วัด สถาน ที่ราชการตางๆ เปนตน สีนำเงิน หมายถึงลักษณะภูมิประเทศที่เปนน้ำ เชน ทะเล แมนำ หนอง บึง เปนตน สีนำตาล หมายถึงลักษณะภูมิประเทศที่มีความ สูงโดยทั่วไป เชน เสนชั้นความสูง สีเขียว หมายถึงพืชพันธุไมตางๆ เชน ปา สวน ไร สีแดง หมายถึงถนนสายหลัก พื้นที่ยานชุมชน หนาแนน และลักษณะภูมิประเทศสำคัญ n

20


คำแนะนำการใชกริด [Grid reference Box] ! คือขอความที่บรรจุอยูในกรอบสี่เหลี่ยมเปนคำแนะนำสำหรับการหาคาพิกัดจุดตางๆ ในแผนที่ โดยอธิบายไวเปนขั้น ตอนงายๆ

พิกัดภูมิศาสตร n เปนระบบที่เกาแกที่สุดในการกำหนดจุด โดยอาศัยเสนสองชนิด คือ เสนที่ลากผานขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใตเรียกวา “เสนลองจิจูด” หรือที่เรียกวา “เสนแวง” เสนที่สองคือเสนที่ลากตามแนวตะวันออกตะวันตกในลักษณะเสนขนานเรียกวา “เสนละติจูด” หรือ “เสนรุง” ซึ่งกำหนดใหเสนทั้งสองตัดกัน เรียกวาคาพิกัด n คาพิกัดที่ปรากฎอยูบนแผนที่ พิกัดภูมิศาสตรนี้สามารถมองเห็นบนแผนที่ บนขอบมุมระวางของแผนที่ เชน แผนที่ 1 : 50,000 จะมีขนาดเทากับ 15 x 15 ลิบดา เวลาอานก็จะอานออกมาเปนคา ละติจูด และคาลองติจูด โดยใชการแบง ทั้งแนวตั้งและ แนวนอน เปน อยางละ 15 สวน คาพิกัดที่อานไดจะมีความละเอียดเทากับ 1 ลิบดา

พิกัดกริดทางทหาร ! ระบบพิกัดกริดไดถูกนำมาใชในกิจการทหารของสหรัฐอเมริกาตั้งแตป พ.ศ. 2434 และกรมแผนที่ทหาร เริ่มนำมาใชใน

โครงการทำแผนที่จากรูปถายทางอากาศ การบอกตำแหนงโดยระบบพิกัดกริดมีสวนดีและสะดวกกวา ระบบพิกัด ภูมิศาสตร n 1. อานเลขอักษรประจำเขตกริด จากบริเวณสวนลางของขอบระวางแผนที่ ในที่นี้คือ 47N n 2. อานอักษรประจำจัตุรัส 100,000 เมตรจากขอบระวางแผนที่ โดยเสนกริดมีคานอยกวา 600 คือ NH ถามากกวามีคา PH n 3. อานคาของจตุรัส ณ จุดพิจารณา ความละเอียดจะขึ้นอยูกับจำนวนหลักที่อาน เชน ถาอานออกมาเปนพิกัด 4 ตำแหนง เชน 1542 เราจะสามารถแบงไดคือ คา เสนพิกัดของเสนกริดตะวันออก เทากับ 15 คากริดเหนือ เทากับ 42 ความ ละเอียดของพิกัดที่อานคือ 1,000 เมตร n ถาอานออกมาเปนพิกัด 6 ตำแหนง เชน 152427 เชนเดียวกันคือ 152 เปนคา กริดตะวันออก และ 427 เปนคากริดเหนือ 21


ความละเอียดของคาพิกัดที่ออกมาเทากับ 100 เมตร n ถาอานออกมาเปนคาพิกัด 8 ตำแหนง ความละเอียดของคาที่อานออกมาเทากับ 10 เมตร เชน อานพิกัดที่จุด A มี พิกัดดังนี้ คือ 47NPH152427 คือการบอกพิกัดกริดทางทหารอยางสมบูรณ แตถาพื้นที่ไมกวางใหญ อานแค 152427หรือ PH152427 ก็พอ ทดลองการหาจุด A ในแผนที่ ดังภาพ 1. ดูวาจุด A อยูที่ไหน อยูที่เสนกริดที่เทาไร โดยสังเกตุ เสนตารางกริด โดยเสนแนวนอนจะแสดง คาพิกัดทาง N และ เสนแนวตั้งจะแสดงคาทาง E จากรูป ตารางกริดที่จุด A อยูที่เสน N =47-48 และ E=95-96 ถาเราตองการคาพิกัด จุด A ที่มีคาพิกัดแค 4 สามารถอานไดคาเทากับ 9547 n

2. ในกรณีที่ตองการความละเอียดสูงขึ้นสามารถทำไดโดยการแบงตารางกริดนั้นออกเปนตาราง ขนาด 10 x 10 แลวจึง อานคาที่ไดตามเสนกริด เพิ่มจากคาที่อานไดจากขอบระวาง ถาจากรูปจะไดเทากับ 954477 คาพิกัดที่ไดจะมีความละเอียด ถึง 100 เมตร และถาตองการละเอียดกวานี้ ก็เพียงแคประมาณดวยสายตาเอา โดยแบงในกรอบออกเปน ตาราง 10 x 10 เชนเดิม

22


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์หรือ GIS

[Spatial Data] ที่แสดงในรูปของภาพ [graphic] แผนที่ GIS คืออะไร N ความหมายของคำว า "ระบบสารสนเทศภู ม ิ ศ าสตร [map] ที่เชื่อมโยงกับขอมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) [Geographic Information System ] GIS" ระบบสารสนเทศ ภูมิศาสตร หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการทำงานเกี่ยวกับขอมูลในเชิงพื้นที่ดวยระบบ คอมพิ ว เตอร ท ี ่ ใ ช ก ำหนดข อ มู ล และสารสนเทศที ่ ม ี ค วาม สัมพันธกับตำแหนงในเชิงพื้นที่ เชน ที่อยู บานเลขที่ สัมพันธกับตำแหนงในแผนที่ ตำแหนง เสนรุง เสนแวง

n ขอมูลและแผนที่ใน GIS เปนระบบขอมูลสารสนเทศที่อยู ในรูปของตารางขอมูลและฐานขอมูล ที่มีสวนสัมพันธกับ ขอมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ ของขอมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมาวิเคราะหดวย GIS และทำใหสื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่ สัมพันธกับเวลาได เชน การแพรขยายของโรคระบาด การ เคลื่อนยาย ถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย การเปลี่ยนแปลงของ การใชพื้นที่ ฯลฯ ขอมูลเหลานี้ เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให สามารถแปลและสื่อความหมาย ใชงานไดงาย n GIS เปนระบบขอมูลขาวสารที่เก็บไวในคอมพิวเตอร แต สามารถแปลความหมายเชื่อมโยงกับสภาพภูมิศาสตรอื่นๆ สภาพทองที่ สภาพการทำงานของระบบสัมพันธกับสัดสวน ระยะทางและพื้นที่จริงบนแผนที่ ขอแตกตางระหวาง GIS กับ MIS นั้นสามารถพิจารณาไดจากลักษณะของขอมูลคือ ขอมูลที่จัดเก็บใน GIS มีลักษณะเปนขอมูลเชิงพื้นที่ 23

หรือฐานขอมูล [Database] การเชื่อมโยงขอมูลทั้งสอง ประเภทเขาดวยกัน จะทำใหผูใชสามารถที่จะแสดงขอมูลทั้ง สองประเภทไดพรอมๆ กัน เชน สามารถจะคนหาตำแหนง ของจุดตรวจวัดควันดำ - ควันขาวไดโดยการระบุชื่อจุดตรวจ หรือในทางตรงกันขาม สามารถที่จะสอบถามรายละเอียด ของ จุดตรวจจากตำแหนงที่เลือกขึ้นมา ซึ่งจะตางจาก MIS ที่แสดง ภาพเพียงอยางเดียว โดยจะขาดการเชื่อมโยงกับฐาน ขอมูลที่เชื่อมโยงกับรูปภาพนั้น เชนใน CAD [Computer Aid Design] จะเปนภาพเพียงอยางเดียว แตแผนที่ใน GIS จะมีความสัมพันธกับตำแหนงในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร คือ คาพิกัดที่แนนอน n ขอมูลใน GIS ทั้งขอมูลเชิงพื้นที่และขอมูลเชิงบรรยาย สามารถอางอิงถึงตำแหนงที่มีอยูจริงบนพื้นโลกไดโดยอาศัย ระบบพิกัดทางภูมิศาสตร [Geocode] ซึ่งจะสามารถอางอิงได ทั้งทางตรงและทางออม ขอมูลใน GIS ที่อางอิงกับพื้นผิว โลกโดยตรง หมายถึง ขอมูลที่มีคาพิกัดหรือมีตำแหนงจริง บนพื้นโลกหรือในแผนที่ เชน ตำแหนงอาคาร ถนน ฯลฯ สำหรับขอมูล GIS ที่จะอางอิงกับขอมูลบนพื้นโลกไดโดยทาง ออมไดแก ขอมูลของบาน (รวมถึงบานเลขที่ ซอย เขต แขวง จังหวัด และรหัส ไปรษณีย) โดยจากขอมูลที่อยู เราสามารถ ทราบไดวาบานหลังนี้มีตำแหนงอยู ณ ที่ใดบนพื้นโลก เนื่องจากบานทุกหลังจะมีที่อยูไมซ้ำกัน


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

อางอิง http://www.maps-gps-info.com/read-topomaps.html#ixzz2CZGUJWbg http://www.gisthai.org/about-gis/gis.html

http://marble.kde.org/install.php โปรแกรม แผนที่โลก ใหดูกันในหลายๆ มุม เนนดานการ ศึกษาหาความรู ดานอากาศ ภูมิศาสตร ฯลฯ

http://www.maps-gps-info.com/free-gpsmaps.html Use this site to locate hard-to-find resources. Visit the Cool Map Tools and แนะนำลิงคสำหรับการสืบคนขอมูลเรื่อง consult the Glossary for those obscure maps and GPS terms. You'll be able to make a ของการใชแผนที่ตางๆ confident buying decision after reading the http://www.rtsd.mi.th/index.php กรมแผนที่ product reviews. ใหความรูเบื้องตนเรื่องแผนที่ ทหาร สำรวจการใหบริการตางๆ ไดอยางดี2436 สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนเลมที่ ๑๒

http://www.dmr.go.th/more_news.php? cid=28&filename=index ดาวนโหลดแผนที่ แผนที่ธรณีวิทยามาตราสวน 1:50,000 13 ก.ย. 2550 http://pointnetwork.pointasia.com/th/ PointAsia/main.aspx แผนที่กึ่งธุรกิจจาก point asia และขอมูลที่ใหบริการประกอบดวย แผนที่ภาพถายดาวเทียมที่ครอบคลุมพื้นที่ ประเทศไทยเกือบ 100% ขอมูลแผนที่ GIS พรั่ง พรอมดวยบริการขอมูลพื้นฐานและขอมูลประกอ บอื่นๆ อำนวยความสะดวกใหแกผูใชงานในการ คนหาขอมูลของสถานที่ตางๆ ได เชน ชื่อถนน ชื่อ จังหวัด เขตการปกครอง เสนทางเดินรถประจำ ทาง เปนตน https://maps.google.com โปรแกรม กูเกิล แมพ (Google Maps) http://www.google.com/earth/index.html Google Earth ตองดาวนโหลดเบราเซอร ติดตั้ง โปรแกรมไวในเครื่องคอมพิวเตอร หรือโทรศัพท เคลื่อนที่ http://map.longdo.com แผนที่ประเทศไทยและ แผนที่โลก

24

http://www.gistda.or.th/gistda_n/ สำนักงาน พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องคการมหาชน) เมื่อป 2541 รัฐบาลมีนโยบายปฏิรูประบบราชการ เพื่อใหการทำงานคลองตัวขึ้น จึงไดประกาศใช พระราชบัญญัติองคการมหาชน พ.ศ.2542 และ ดวยความสำคัญของการใชเทคโนโลยีดานการ สำรวจข อ มู ล ระยะไกลและระบบสารสนเทศ ภูมิศาสตรในการพัฒนาประเทศ ใน พ.ศ.2543 กระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม ได จ ั ด ตั ้ ง หน ว ยงานใหม โ ดยรวมกองสำรวจ ทรัพยากรธรรมชาติดวยดาวเทียม สำนักงาน คณะกรรมการวิจัยแหงชาติ และ ฝายประสานงาน และส ง เสริ ม การพั ฒ นาระบบสารสนเทศ ภูมิศาสตร ศูนยขอมูลขอสนเทศ สำนักงานปลัด กระทรวงวิทยาศาสตร เทคโนโลยีและสิ่งแวดลอม ตามพระราชกฤษฎีกา เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2543 ในนามของ " สำนักงานพัฒนา เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องคการ มหาชน) " ตั้งแตวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2543 มี หลักสูตรการฝกอบรมเทคโนโลยีอวกาศและภูมิ สารสนเทศสำหรับประชาชน หนวยงานภาครัฐ หนวยงานเอกชน หรือหนวยงานดานการศึกษา ต า งๆ เพื ่ อ ในหน ว ยงานได น ำเทคโนโลยี ม า ประยุกตใชในการพัฒนาประเทศในหลากหลาย ดาน สามารถติดตามสถานการณไฟปา น้ำทวม พายุฝน ไดจากเวบไซตนี้


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

ศรี ศ ั ก ร วั ล ลิ โ ภดม แผนที่ระวาง L 708 เป็ น การทํ า แผนที ่ ท างอากาศ ชุดแรกของ ประเทศไทย ทําขึ้น ตั้งแต่เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๙๕ แต่ ใ ห้ ใ ช้ เฉพาะหน่ ว ยงาน ทางราชการเท่านั้น ไ่ ใ ห้ ป ระชาชนหรื อ องค์กรอื่นใด นําไป ใช้ประโยชน์ แม้จะ เป็นไปเพื่อการ ศึกษา เป็นการลด โ อ ก า ส ก า ร ทํ า ความเข้ า ใจใน เรื ่ อ งภู ม ิ ป ระเทศ และท้องถิ่นของ ตนเองอย่างน่า เสียดาย

การอ่านแผนที่กับการเรียนรู้นิเวศวัฒนธรรมของเด็กไทย ในยุคปฏิรูปการศึกษา ! ทุกวันนี้ผูรับผิดชอบการศึกษาของรัฐชอบมา n อันที่จริงในเรื่องนี้ กระทรวงศึกษาธิการเอง ก็

โอกันถึงเรื่องปฏิรูปการศึกษาที่ใหความสำคัญกับ การแบงเขตการศึกษาและการใหเด็กไดเรียนรู เรื่องของทองถิ่นตางๆ นานา แตก็มักเปนเรื่องวาท กรรมในเรื่องแนวคิดที่ทำใหเกิดขอถกเถียงกัน เปนประจำ อยางเชน แนวคิดในเรื่อง เด็กเปน ศูนยกลาง เปนตน เลยแทบไมมีใครที่พูดถึงวาจะ ทำอยางไรใหเด็กไดเรียนรูในเรื่องสภาพแวดลอม ทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมรวมกัน เพื่อที่จะเกิด ความรูอยางมีประสบการณอันจะมีผลไปถึงการ รูจักตนเอง การคิดเปนทำเปน และการอยูรวมกัน กับผูอื่นในสังคมทองถิ่นเดียวกัน

25

มีการอบรมใหเด็กนักเรียนเปนลูกเสืออยูแลวnม ี ทั้งการไปอยูรวมกันในคายที่มีกิจกรรมหลายๆ อยาง โดยเฉพาะการออกไปสำรวจสถานที่และ สภาพแวดลอม มีการทำแผนที่แลวเรียบเรียงถึง สิ่งที่ไปพบเห็นเปนตน n ขาพเจาจำไดวา สมัยที่เปนเด็กเคยออกไปทำ กิจกรรมสำรวจสถานที่ ซึ่งครูกำหนดใหไปเปนก ลุมที่มีการทำแผนที่และเขียนรายงานการศึกษา เสนอครูผูควบคุม นับเปนเรื่องสนุกผจญภัยและมี ความเปนอิสระที่ไมไดอยูในการดูแลของครูอยาง ใกลชิด ทำใหมีชองวางในการตั้งคำถามและคิด รวมทั้งจินตนาการกับสิ่งตางๆ ที่พบเห็นในสภาพ


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

แวดลอมของทองถิ่น ความสนุกและพึงใจในเรื่อง นี้ไดติดตัวมาจนกระทั่งโต ทำใหชอบออกไป สำรวจตามท อ งถิ ่ น ต า งๆ กั บ พ อ ที ่ เ ป น นั ก โบราณคดีแบบเกาๆ ซึ่งมักจะแนะนำใหวา กอน ออกไปตองหาอานตำนาน พงศาวดารที่เกี่ยวกับ ความเปนมาของทองถิ่นเสียกอน รวมทั้งหาแผนที่ แผนทางดูเสียดวยวามีสภาพภูมิศาสตรและสิ่ง แวดลอมเปนอยางไรบาง เพราะจะทำใหเกิดความ เขาใจเมื่อเขาไปในพื้นที่จริงๆ

ประวัติศาสตรทองถิ่นและวัฒนธรรมทองถิ่นเปน อยางดี

n แตนาเสียดายที่วาทางราชการทหารกำหนดให เปนเรื่องของความลับทางราชการ ผูที่จะนำไป ใชไดตองเปนขาราชการที่มีหนาที่เกี่ยวของ ไมเปด โอกาสใหเอกชนหรือโรงเรียนธรรมดาๆ นำไปใช สอนเด็กใหรูจักการอานแผนที่ เพื่อที่จะเขาใจใน สภาพแวดลอมทางธรรมชาติและวัฒนธรรมใน ทองถิ่นที่ตนอยูแตอยางใด เลยทำใหเด็กไทยแต n การเตรี ย มตั ว เช น นี ้ เ ลยทำให ข  า พเจ า ได ไหนแตไรมาดูแผนที่และอานแผนที่กันไม ตระหนักวา บรรดาตำนาน พงศาวดารนั้น เปนสิ่ง n แผนที่ซึ่งเรียนรูกันตามโรงเรียนหรือแมแตใน ที่คนในชวงเวลาสรางขึ้นเพื่ออธิบายความเปนอยู มหาวิ ท ยาลั ย ก็ ม ั ก เป น มาตราส ว น ๑ : ของผูคนและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในทองถิ่นหนึ่งๆ ๒๕๐,๐๐๐ ขึ้นไป ซึ่งก็กวางใหญเกินกวาที่จะแล นั่นเอง เห็นสภาพแวดลอมและความเปนทองถิ่นได แมแต n การออกไปเห็นทองถิ่นจึงทำใหเกิดการเขาใจ ป จ จุ บ ั น นี ้ ท ี ่ ม ี ค วามก า วหน า ในทางภู ม ิ ศ าสตร เรื่องราวในตำนานดี แตเมื่อขาพเจาเรียนจบการ จนถึงขนาดใชภาพถายดาวเทียมกันแลวก็ตาม ศึกษาแลวมารับราชการอยูในมหาวิทยาลัย กลับ เด็กนักเรียนทั่วไปก็ยังไมมีโอกาสที่จะไดเรียนได ไดเปรียบกวาเมื่อสมัยเด็กในเวลาออกไปศึกษาใน อานแผนที่มาตราสวน ๑:๕๐,๐๐๐ อันเปนแผนที่ ทองถิ่น เพราะมีเครื่องมือที่ดีกวาในการชวย พื ้ น ฐานที ่ จ ะทำให เ กิ ด ความเข า ใจภาพถ า ย นำทางและทำความเขาใจกับสภาพแวดลอมทาง ดาวเทียมไดเลย วัฒนธรรม นั่นก็คือ ขาพเจามีโอกาสไดใชแผนที่ n ทำใหความรูท างสภาพแวดลอมและภูมศิ าสตร ชุด L ๗๐๘ มาตราสวน ๑ : ๕๐,๐๐๐ ชุดแรก กลายเปนเรื่องของคนที่ศึกษาเฉพาะเรื่องหรือผู ของประเทศ เขาใจวาทำจากภาพถายทางอากาศ เกี่ยวของที่มีหนาที่เทานั้นที่จะไดเรียนรูและใช แต ค.ศ. ๑๙๕๑ เปนของที่ใชเฉพาะราชการทหาร ประโยชน หาไดคิดคำนึงวาเปนเครื่องมือสำคัญที่ ของอเมริกัน แตทางราชการทหารไทยก็ใชดวย จะใหเด็กนักเรียนไดใชเพื่อที่จะไดเรียนรูอะไรตอ และไดผลิตตอมาใหเขากับการเปลี่ยนแปลงหลาย อะไรอยางกวางขวางไม ทั้งๆ ที่บรรดาอรหันตทั้ง ชวงเวลาจนมาถึงปจจุบัน หลายเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาชอบย้ำเสมอวา แผนที่ทางอากาศมาตรานี้มีประโยชนมาก เพราะ ตองใหเด็กเรียนรูเรื่องราวในทองถิ่นของตนเปน ทำใหแลเห็นตำแหนงที่ตั้งของชุมชนในทองถิ่น ทั้ง อย า งยิ ่ ง ความรู  ท  อ งถิ ่ น โดยเฉพาะนิ เ วศทาง ที่เปนบานและเมืองวามีสภาพแวดลอมเปนเชนใด วัฒนธรรมดังกลาวนี้ ไมมีทางที่จะทำใหเด็กได มีชื่อชุมชน สถานที่ และชื่อแมน้ำลำหวยภูเขาวา เรียนรูได ถาตราบใดครูผูสอนแมแตบรรดา อยางไร รวมทั้งแลเห็นรองรอยการเปลี่ยนแปลง อรหันตทางการศึกษาเหลานั้นไมเคยเห็นและอาน ลำน้ำและชุมชนเกาใหมไดเปนอยางดี ทำใหเกิด แผนที่มาตราสวน ๑ : ๕๐,๐๐๐ ที่ทางราชการ ความเขาใจในสิ่งที่เรียกวา นิเวศทางวัฒนธรรม ทหารกักไววาเปนความลับทางราชการ [Cultural Ecology] อันมีผลนำไปศึกษาในเรื่อง n เด็กไทยทุกวันนี้จึงโงเขลา [Ignorance] อาน แผนที่เพื่อที่จะรูจักตนเองและทองถิ่นที่ตนเกิดไม 26


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

่เปนดีแตถูกมอมเมาใหเรียนรูคอมพิวเตอรในยุค “แต น  า เสี ย ดายที ่ ว  า ทางราชการทหารกำหนด

สื ่ อ สารดาวเที ย มเพื ่ อ เล น เกมส ต  า งๆ อย า ง ให เ ป น เรื ่ อ งของความลั บ ทางราชการ ผู  ท ี ่ จ ะ นำไปใชไดตองเปนขาราชการที่มีหนาที่ เชี่ยวชาญเทานั้นเอง เกี่ยวของ ไมเปดโอกาสใหเอกชนหรือ n ในทำนองตรงขาม แผนที่ที่ทางราชการทหาร โรงเรี ย นธรรมดาๆ นำไปใช ส อนเด็ ก ให ร ู  จ ั ก การอ า นแผนที ่ สงวนไวเปนความลับเฉพาะคนทั่วไปนั้น กลับไม ลับเฉพาะคนหลายๆ ประเภทที่มีหนาที่และผล อยูมาแตดั้งเดิมในทองถิ่นแตอยางใด เพราะ ประโยชนเกี่ยวของ เพราะเปดโอกาสใหนำไปใชทั้ง บรรดานักวิชาการและผูมีสวนเกี่ยวของในการ อยางลับๆ และเปดเผย อยางลับๆ ก็คือ เปน วางแผนและเขียนโครงสรางเหลานี้ สวนใหญมอง เครื ่ อ งมื อ ของบรรดานายทุ น ทางเกษตร ดูสภาพแวดลอมแตจากแผนที่ จึงมองไมเห็นผูคน อุตสาหกรรมและบานจัดสรร นำไปใชในการ ที่อยูตามธรรมชาติในสภาพของความเปนจริง วางแผนในการซื้อที่ทำกินของชาวบานในราคา ถูกๆ สวนอยางเปดเผยก็คือ ทำใหบรรดานักการ n ขาพเจาเปนผูหนึ่งที่มีประสบการณอยางเศรา เมือง นักวิชาการ และเจาหนาที่ นำไปใชในการ ใจกับเรื่องการใชแผนที่มาตราสวน ๑:๕๐,๐๐๐ สรางสถานที่ราชการ สรางเขื่อน สรางถนน นี้ คือเคยสนับสนุนใหมีการนำแผนที่มาตราสวน หนทางและอะไรตางๆ นานา อันเปนโครงสราง ๑:๕๐,๐๐๐ ชุ ด ที ่ ท หารอเมริ ก ั น ทำไว เ มื ่ อ ทางนิเวศการเมือง[Political Ecology]ที่เกิดจาก ๔๐-๕๐ ป ท ี ่ ผ  า นมาและชุ ด ที ่ ใ ช ใ นป จ จุ บ ั น การใชยางลบลบโครงสรางทางกายภาพของทอง [L๗๐๘ และL๗๐๑๗] เปนเครื่องมือใหเด็กและ ถิ่นในระบบนิเวศทางวัฒนธรรมใหหมดไป แลว คนทั่วไปใชศึกษาระบบนิเวศทางวัฒนธรรมใน ใชดินสอเขียนโครงสรางทางกายภาพของนิเวศ ทองถิ่น โดยผานการอำนวยความสะดวกของ สถาบั น ทางวิ ช าการหนึ ่ ง แต ก ลั บ ถู ก ผู  ท ี ่ เ ป น ทางการเมืองทับลงไป ประธานกรรมการของสถาบั น นั ้ น ที ่ เ ป น ผู  n เหตุนี้การกอสรางตางๆ ที่ทางราชการเรียกวา เชี่ยวชาญทางกฎหมายทวงติงวาเปนความลับทาง เปนการพัฒนาและบรรดานายทุนเรียกวาเปนการ ราชการทั้งที่รูแกใจวา แผนที่ชุดนี้ไมนาจะเปน ลงทุนนั้น แทจริงสรางขึ้นอยางไมคำนึงหรืออื้อ ความลับอะไรตอไป หลายๆ คนที่ใชเปนเรื่องของ อาทรตอชีวิตวัฒนธรรมของชาวบานและผูคนที่ อดีตกันหมดแลว ซึ่งถาจะมองแคประโยชนใชสอย อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภ ดม มักจะใช้แผนที่ใน การอธิบายความหมาย ของท้องถิ่นในรูปแบบ ภูมิวัฒนธรรมเสมอ

27


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

ในปจจุบันก็มีคาเพียงแตกระดาษชำระเทานั้นเมื่อขาพเจาไปที่เขมร ยังเคยไปซื้อแผนที่ชุดนี้ของประเทศ เขมรไดอยางเปดเผย ไมเห็นมีอะไรนากลัว แตทำนองตรงขามกลับทำใหเกิดความเขาใจภูมิศาสตรและ วัฒนธรรมขอมโบราณดีขึ้น n ข า พเจ า เลยมาถึ ง ข อ สรุ ป ว า การที ่ เ ด็ ก ไทยมี ค วามโง เ ขลาไม ท ั น กั บ เด็ ก ในชาติ อ ื ่ น ในเรื ่ อ ง ประวัติศาสตรและวัฒนธรรมนั้นก็เนื่องจากบรรดาผูใหญที่เปนผูเชี่ยวชาญของทางราชการนี่แหละที่ เห็นและรับรูเพียงแตสิ่งที่ตนรูและถนัดเทานั้น หาไดมองลึกไปถึงปญหาดังกลาวแตอยางใด

หมายเหตุ ! ในขณะที่คนทั้งโลกกำลังนำขอมูลจาก ระบบฐาน ขึ้น สวนหนึ่งเปนเพราะความกาวหนาทางเทคโนโลยี การ ข อ มู ล ภู ม ิ ส ารสนเทศ หรื อ ที ่ ร ู  จ ั ก มั ก คุ  น กั น ในชื ่ อ GIS[Geographic Information Sytstem]ไปประยุกตใช เพื่ออำนวยความสะดวกแกการศึกษาดานตางๆ กัน จาละหวั่น อีกทั้งเปนสาขาวิชายอดฮิตในมหาวิทยาลัยตาง ประเทศ รั ฐ บาลทั ก ษิ ณ ก็ จ ั ด ตั ้ ง สำนั ก งานพั ฒ นา เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศขึ้นมาเปนองคการ มหาชน และพยายามกระจายความรูเหลานี้สูหนวยงาน ทองถิ่น เพราะโดยทั่วไปถือกันวา แผนที่ หรือขอมูลภูมิ สารสนเทศนั ้ น เป น สิ ่ ง ที ่ เ ป น โครงสร า งพื ้ น ฐานหรื อ infrastructure อยางหนึ่ง V นิตยสาร National Geographic ฉบับภาษาไทย เดือนมีนาคม ๒๕๔๗ มีบทความเกี่ยวกับแผนที่ใน ประเทศไทยวา

ปกปดขอมูลจึงไมจำเปนหรือทำไดอีกตอไป”

เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ คณะกรรมการภูมิ สารสนเทศมีมติกำหนดมาตรฐานการใชมาตราสวนแผน ที ่ ข องหน ว ยงานต า งๆให เ ป น ไปในทิ ศ ทางเดี ย วกั น สามารถวางทับซอนเพื่อแลกเปลี่ยนขอมูลหรืออางอิงกัน ไดในอนาคตอันใกลนี้แผนที่ผังเมือง แผนที่ทหาร แผนที่ ภูมิศาสตรทยอยเปลี่ยนเปนระบบดิจิตอล ซึ่งใชงานงาย จัดเก็บสะดวกกวาแผนที่กระดาษ V ในขณะนี้กรมแผนที่ทหารไดผลิตแผนที่ชุดใหมดวย ระบบดิจิตอลชื่อระวาง L ๗๐๑๘ มาตราสวน ๑ : ๕๐,๐๐๐ กระทรวงเกษตรและสหกรณ ผ ลิ ต แผนที ่ ภาพถายสี จากภาพถายทางอากาศ มาตราสวน๑ : ๒๕,๐๐๐ แลวเสร็จไป ๘๕ % ของพื้นที่ทั่วประเทศเปา หมายเพื่อใชประโยชนเพื่อการบริหารจัดการทรัพยสิน ของกระทรวงกรมที่ดินอยูระหวางเปลี่ยนแปลงแผนที่ ที ่ ด ิ น ให เ ป น แผนที ่ ด ิ จ ิ ต อลในมาตราส ว น ๑ : ๔,๐๐๐กรมโยธาธิการมีโครงการจัดทำแผนที่ผังเมืองทั่ว ประเทศในมาตราสวน ๑ : ๑๐,๐๐๐

V เทคโนโลยีการทำแผนที่เปลี่ยนไปอยางรวดเร็วจาก แผนที ่โ ตะ ที่ต อ งเดิ นสำรวจสู ภ าพถา ยทางอากาศและ ภาพถายดาวเทียมปจจุบันมีดาวเทียม ๒๔ ดวงโคจร รอบโลก คอยนำทางใหกับทุกคนที่มีเครื่องมือ GPS (Global Position System) แผนที่กำลังเขามามีบทบาทใน ทุกมิติของชีวิต เมื่อแผนที่หลุดพนจากกระดาษมาสูระบบ V พรอมทั้งมีมติแตงตั้งคณะทำงาน ๕ ชุดเพื่อดูแลการ ดิจิตอลและไปปรากฏในอุปกรณหลากหลายไมวาจะเปน จัดทำและใชประโยชนจากขอมูลแผนที่ ประกอบดวย คอมพิวเตอรโทรศัพทมือถือ หรือหนาปดรถยนต คณะอนุกรรมการกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับแผนที่และ V ดร.วิชา จิวาลัย ประธานคณะกรรมการสำนักงาน ขอมูลแผนที่,คณะอนุกรรมการวางแผนการใชแผนที่ชุด พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศแสดงความ L๗๐๑๘,คณะอนุ ก รรมการวางแผนการใช ป ระโยชน ภาพถ า ยทางอากาศสี , คณะอนุ ก รรมการวางแผนการ เห็นวา ประสานการใช ง านหมุ ด หลั ก จี พ ี เ อสและคณะ V “การที่รัฐถือวาแผนที่เปนความลับซึ่งมองในแงความ อนุกรรมการกำหนดมาตรฐานเขตการปกครอง มั่นคงเปนหลัก ทำใหมีขอจำกัดในการนำไปใชประโยชน โดยเฉพาะในภาคเอกชน ทั้งที่แผนที่เปนโครงสรางพื้น จดหมายขาวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ ฉบับ ฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ ไมตางไปจากถนน ๔๘ (พฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๔๗ ) หรือไฟฟา อีกทั้งการทำแผนที่ตองใชเงินลงทุนสูงกวาที่ ภาคเอกชนรั บ ภาระได เมื ่ อ รั ฐ ลงทุ น แล ว ก็ ค วรใช ประโยชนใหคุมคา อยางไรก็ตามในอนาคตมีแนวโนมที่ดี 28


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

ศรี ศ ั ก ร วั ล ลิ โ ภดม

แผนที ่ ภ ู ม ิ ศ าสตร์ มาตราส่ ว น 1 : 50,000

คนไทยใช้แผนที่ไม่เป็น : เหตุการณ์แห่งความโง่เขลาเบาปัญญาจนเสียรู้ เสียดินแดน ! รัฐประชาชาติหรือรัฐชาติ [Nation state] ภาย n ทวาการรับรูอารยะธรรมตะวันตกในหมูผูนำ

ใตคำวา “ประเทศไทย” ในทุกวันนี้ เปนรัฐใหมที่ เริ่มพัฒนามาแตสมัย รัชกาลที่ ๔ แหงกรุง รัตนโกสินทร และเปนรูปรางอยางเดนชัดแตสมัย รัชกาลที่ ๕ เปนตนมา ! เหตุที่เกิดขึ้นเปนผลกระทบจากการคุกคาม ของประเทศมหาอำนาจทางตะวั น ตกในการล า อาณานิคม ที่ทำใหผูนำประทศตองหันมาสนใจกับ อารยะธรรมตะวั น ตก เพื ่ อ ปรั บ ตั ว ให ท ั น กั บ อิทธิพลทางเศรษฐกิจการเมืองของตะวันตกใน ลักษณะที่ไมใชการเผชิญหนา แตโดยทางการตอ รองและประนีประนอม

29

ไทยยุคใหมในสมัยนั้น กลับเปนเรื่องคอนขาง หลงใหล จนอยูในภาวะครอบงำในกระบวนการที่ เรียกวานิยมตะวันตก [Westernization] ซึ่งก็แล เห็นไดจากความคิดตางกันของผูนำยุคกอนใน สมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ทรงเตือนคนรุนใหมวา ความ เจริญจากตะวันตกนั้นเปนสิ่งที่ตองเรียนรูและรับรู แตอยาถึงขนาดเลื่อมใส ดูตรงขามกันกับคนรุน ใหมแตสมัยรัชกาลที่ ๔ ลงมา ที่ดูเลื่อมใสไหล หลง ดังเห็นไดจากการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อยาง ในแนวคิดและรูปแบบการดำรงชีวิตในกลุมบุคคล ชั้นนำ จนเกิดมีสีสันตะวันตกเขามาบดบังความ เปนตะวันนออกอยางที่เคยปฏิบัติ


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

ภาพถ่ายจากมุมสูงของปราสาทพระวิหาร และภาพ ของสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ เมื่อเดินทาง ไปเยี่ยมชมประสาทพระวิหารในช่วงที่ประเทศ ฝรั่งเศสเป็นเจ้าอาณานิคมที่กัมพูชาอยู่

เริ่มแตการแตงกาย ลักษณะบานเรือนที่อยูอาศัย การเกิด ถนนหนทางขึ้นแทนการติดตอคมนาคมทางน้ำ แตที่สำคัญก็ คือความคิดในเรื่องโลกาวิสัย [Secularization] อันเปนกระ บวนการแยกทางโลกออกจากทางธรรม หรืออีกนัยหนึ่งทาง จิตวิญญาณ แตกอนโลกทัศน [World view] ของคนตะวัน ออกเชน คนสยามหรือคนไทยนั้น การมีชีวิตรวมกันอยูของ คนในโลกเห็นไดจากความสัมพันธใน ๓ มิติที่เกาะเกี่ยวกัน เปนองค อยูรวมกันเปนสังคม ไดแก

มีกติกาจารีตประเพณี จริยธรรมและศีลธรรม จุดเปลี่ยน ของการมองโลกแบบโลกวิสัย [Secularization] เกิดขึ้นใน รัชกาลที่ ๔ จากความคิดที่วาโลกแบบและมีปลาอานนทหนุน อยูตามที่ไตรภูมิอันเปนตำราเกี่ยวกับจักรวาลแตเดิม มาสู การมองวา โลกกลม ตามแบบตะวันตกที่มีการพิสูจนกัน ตามหลักวิทยาศาสตร เพราะ รัชกาลที่ ๔ ทรงติดตอและ เรียนรูจากพวกตะวันตกที่เขามาเปนที่ปรึกษา ทำใหมัก อธิ บ ายปรากฏการณทางความเชื ่ อ แต เ ดิ ม เปลี ่ ย นไปอี ก หลายๆ อยางเชน การมองดวงไฟที่ปรากฏเหนือพระบรม n ความสั ม พั น ธ ร ะหว า งคนในสั ง คมกั บ สิ ่ ง แวดล อ ม ธาตุ เ จดี ย  ท ี ่ ช าวบ า นชาวเมื อ งเชื ่ อ ว า เป น พระบรมธาตุ ธรรมชาติอันไดแก การจัดการในทางเศรษฐกิจสังคมในเรื่อง ปาฏิหาริยแตเดิมมาเปนการเกิดจากแกสเนา ที่อยูอาศัย อาหารการกิน ยารักษาโรค และการทำมาหากิน อยางเปนระบบเพื่อการอยูรอดรวมกันทางวัตถุธรรมของ n แตที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องความเชื่อในเรื่องสุริยุปราคาที่ คนในสังคมกับความสัมพันธระหวางคนในสังคมกับอำนาจ รัชกาลที่ ๔ ทรงคำนวณโดยหลักดาราศาสตรแบบตะวันตก เหนือธรรมชาติ อันเปนที่มาของศาสนาและระบบความเชื่อ ที่ตำบลหวากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ จนไดรับการยกยอง อันเปนสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจที่มีผลทำใหไปอยูรวมกันอยาง วาทรงเปนสักวิทยาศาสตรคนแรกๆ ของประเทศ แตกอน 30


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

ดาราศาสตรแฝงอยูในเรื่องของโหราศาสตร ดังใน ราชสำนักมักมีพระโหราธิบดีที่ทำหนาที่อธิบาย ปรากฏการณธรรมชาติที่เกิดขึ้นในลักษณะผิด ปกติในบานเมืองใหเปนเรื่องของโชคลาภ มาถึง ยุครัชกาลที่ ๔ ดาราศาสตรก็แยกตัวออกเปน อิสระในทางวิทยาศาสตรไป n ความคิดในเรื่องโลกวิสัยที่เนนวิทยาศาสตร เปนหลักการนั้นแพรหลายอยางรวดเร็วในหมูเจา นายและคนชั้นนำรุนใหม ควบคูไปกับการยอมรับ และชื่นชมอารยะธรรมตะวันตก กอใหเกิดการขัด แยงทางความคิดกับคนรุนเกา อีกทั้งเปนฐาน ความรูและการรับรูที่ทำใหเกิดการปฏิรูปการ ปกครองแผนดินในสมัย รัชกาลที่ ๕ n การปกครองแบบรวมศูนย [Centralization] ครั ้ ง รั ช กาลที ่ ๕ คื อ สิ ่ ง ที ่ จ ำลองมาจากการ ปกครองของรัฐจักรวรรดินิยมตะวันตกที่มีมาแต สมัยวิกตอเรียโดยแท เปนสิ่งที่แตกตางไปจากการ ปกครองแบบรวมศูนยที่มีมากอนแตสมัยอยุธยา ครั้งรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โดย เฉพาะในเรื ่ อ งกฎหมายตราสามดวงอั น เป น กฎหมายในการปกครองแผนดิน ผูรูผูเชี่ยวชาญ ตองอางพระธรรมศาสตร n แตนักกฎหมายไทยที่เกิดขึ้นใหม เชนพวกที่ เข า เรี ย นมาจากมหาวิ ท ยาลั ย ธรรมศาสตร แ ละ การเมื อ งนั ้ น ก็ ด ู เ หมื อ นไม เ คยอ า นพระ ธรรมศาสตรที่ทางมหาวิทยาลัยเอาชื่อไปใชเลย โดยยอการปฏิรูปการปกครองสมัย รัชกาลที่ ๕ นั้นใชกระบวนการโลกวิสัยอยางเปนรูปธรรมและ ชัดเจน เปนความคิดแบบตะวันตกที่ครอบงำ ชนชั้นผูนำรุนตอๆ มา อยางตอเนื่อง จนสมัยการ เปลี ่ ย นแปลงการปกครองจากระบอบสมบู ร ณ าญาสิทธิราชมาเปนระบอบประชาธิปไตยแต พ.ศ. ๒๔๗๕ n สิ ่ ง ที ่ น  า สั ง เกตเป น อย า งยิ ่ ง ก็ ค ื อ การ เปลี่ยนแปลงจากระบบปกครองโดยกษัตริยมา เปนสามัญชนนั้นก็หาไดเปลี่ยนแปลงโครงสราง การปกครองแบบรวมศูนยที่มีมาแตสมัยรัชกาลที่ 31

๕ ไม แตกลับเปนการรวมศูนยรัฐบาลกลางอยาง กระชับมากกวา อันเนื่องมาจากความซับซอนทาง เศรษฐกิจการเมืองที่เติบโตมากับการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม n ดังเห็นไดจากการเพิ่มขึ้นของหนวยราชการ เกิดกระทรวง ทบวง กรมขึ้นมากมายในการทำ หนาที่เฉพาะ [Specialization] เกิดเปนระบบ ราชการที่มีอำนาจลดหลั่นกันลงมา [Hierarchy] จนเปนความเหลื่อมล้ำเหนือผูคนในสังคมที่เปน ไพรบานพลเมืองมากกวาสมัย สมบูรณาญาสิทธิราช แมวาปจจุบันรัฐบาลแตละ สมั ย อ า งความเป น ประชาธิ ป ไตยในสั ง คมไทย ก็ตาม แตก็หาขจัดความเปนชนชั้นอันเปนความ เหลื่อมล้ำที่สังคมประชาธิปไตยตามอุดมคติเห็น วาเปนอุปสรรคของความเสมอภาคและเสรีภาพ ไมได แตที่ซ้ำรายและชั่วรายกวาแตกอนก็คือ การมอง โลก (World view) และคำนิยม (Value system) ของคนไทยในกรองของโลกาวิสัยแบบตะวันตก นั้นเปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่มีมาแตสมัยสมบูรณ าญาสิทธิราชจนหมดสิ้น โดยเฉพาะคนรุนใหมที่ เป น รุ  น พ อ แม แ ละลู ก หลานในป จ จุ บ ั น กลาย เปนการมองโลกและคำนิยมที่เปนแบบ อยากเปน อเมริกัน (Americanization) แทบทั้งสิ้น นั่นก็คือ การมองโลกที่มี ๓ มิติแตเดิม คือระหวางคนกับ คน คนกั บ ธรรมชาติ และคนกั บ สิ ่ ง เหนื อ ธรรมชาติที่เปนองครวม [Holistic] แบบแตเดิม เพื่อความมีดุลยภาพของจักรวาลนั้นเปลี่ยนไป แทบไมเหลืออะไรเลย n อิทธิพลของเศรษฐกิจการเมืองแบบทุนนิยม เสรีที่ครอบงำโลกอยูในขณะนี้ ไดทำใหความ สัมพันธทั้ง ๓ มิติพินาศไม เชนคนกลายเปน ปจเจกเหมือนเดรัจฉานอยูกันแบบตัวใครตัวมัน พวกใครพวกมัน นับเปนการขาดความเปนมนุษย ที ่ ม ี ธ รรมชาติ เ ป น สั ต ว ส ั ง คมโดยแท ระบบ เศรษฐกิจที่เปนแบบ Mass production ผลิตกัน ตลอดเวลาไม คำนึงถึงฤดูกาลและกาละเทศะนั้น ทำลายความสั ม พั น ธ ข องคนกั บ สิ ่ ง แวดล อ ม


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

! ธรรมชาติที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอยาง สิ้นเชิง สวนความสัมพันธกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่เคย จรรโลงสังคมมนุษยในทางศีลธรรมและจริยธรรมใน มิติของจิตวิญญาณก็กลายเปนสูญ ! มนุษยเดรัจฉานในยุคโลกาภิวัฒนหันมาใชและ พึ่งเทคโนโลยี และความคิดที่เขาเปนกฎกติกาทางโลก วิ ส ั ย อั น เป น เรื ่ อ งทางวั ต ถุ ธ รรมขึ ้ น มาแทน เช น กฎหมายรั ฐ ธรรมนู ญ อั น เป น หั ว ใจของความเป น ประชาธิ ป ไตยที ่ เ ป น แต เ ปลื อ ก หาใช แ ก น แท ใ น อุดมคติไม อยางในทุกวันนี้ ! ก็ เ พราะการขาดการพึ ่ ง อำนาจศั ก ดิ ์ ส ิ ท ธิ ์ ท าง ศาสนาและความเชื่อ มุงแตตัดสินความขัดแยงดวย กฎหมาย ที่อาจแกตางกันดวยทนายความและการขึ้น ศาลที่สามารถใชเงินเปนเครื่องมือทำใหความผิดก ลายเปนความถูกได จึงทำใหสังคมไทยเปนสังคมที่ ละเมิดกฎหมาย [Law violating society] อยางสุด โตง จนมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนกันเปนปกติวิสัย ในปจจุบัน ตางจากสังคมประชาธิปไตยที่ตองเคารพ กฎหมาย และใหความสำคัญกับการละเมิดสิทธิ มนุษยชน ! สังคมไทยเมื่อเขาสูยุคสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะ รัชต เปนตนมา เปนสังคมที่ถูกครอบงำโดยอเมริกัน ที ่ เ น น การพั ฒ นาเศรษฐกิ จ การเมื อ งมากกว า การ พัฒนาคนใหเปนคน เนนการศึกษาเชิงประยุกตและ เทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศใหเปนสมัยใหมและ Fusce ac leo Purus, in consectetuer Proin in sapien. Fusce urna magna,neque eget lacus. Maecenas felis nunc, aliquam ac, consequat vitae, feugiat at, blandit vitae, euismod vel.

32

ความอาภั พ ของคนไทยในความล า หลั ง ทาง วั ฒ นธรรมของรั ฐ บาลและนั ก วิ ช าการไทยที ่ บ  า แต เ รื ่ อ งเทคโนโลยี ก ็ ค ื อ คนไทยและเด็ ก ไทย ส ว นใหญ อ  า นแผนที ่ ไ ม เ ป น และใช แ ผนที ่ ไ ม เปน อยางเชนการเรียนรูตามโรงเรียน สถาบั น การศึ ก ษาและหน ว ยราชการทั ่ ว ไปได เห็ น และเรี ย นรู  แ ต แ ผนที ่ ม าตราส ว นใหญ ๆ เช น ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ขึ ้ น ไป แทบไม ม ี โ อกาสได เห็ น หรื อ เรี ย นรู  แ ผนที ่ ม าตราส ว นที ่ ใ กล ค วาม เป น จริ ง ในท อ งถิ ่ น เช น มาตราส ว น ๑ : ๕๐,๐๐๐ แต อ ย า งใด

ทันสมัยในทางวัตถุ จนเต็มไปดวยผูรู ผูเชี่ยวชาญ เฉพาะทาง [Specialization] จนขาดความเขาใจอะไร ตออะไรในทางบูรณาการและเปนองครวม ทำใหเกิด ความขัดแยงกันในการเดินกิจกรรมตางๆ ซึ่งดูไมเปน อะไรถาหากเปนเรื่องภายในประเทศ แตถาเกี่ยวของ กับตางประเทศก็มักจะเปนเรื่องทุกที คือความไมทัน เขาจนกลายเปนความโง ! อยางเชนกรณีพิพาทกับกัมพูชาเกี่ยวกับปราสาท เขาพระวิหารใน พ.ศ.๒๕๐๕ ที่ทางรัฐบาลไทยยอม ขึ ้ น ศาลโลกให เ ป น ผู  ต ั ด สิ น เพราะเชื ่ อ มั ่ น ในนั ก กฎหมายทนายความไทยที่เปนผูมีชื่อเสียง เรียนรู กฎหมายจากฝรั่งเศสและยุโรปวาสามารถเอาชนะคดี ความได โดยหารูตัวไมวาความรอบรูแตเพียงเทคนิค และวิชาการเฉพาะทางนั้นไมนาจะชนะอะไรได


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

! ประการแรก หาตระหนักไมวา คณะตุลาการ

ในศาลโลกนั้นก็มีคนฝรั่งเศสและคนตะวันตกที่ เอนเอียงไปขางกัมพูชาอยูแลว จึงไมมีการตอ ตานใดๆ เกิดขึ้น ประการที่สองไมยอมรับการ ใชแผนที่มาตราสวน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่ทำโดย ฝรั่ง เศสและใช ม าแล วแต ค รั ้ง แบ งเขตแดนใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ทั้งๆ ที่ในชวงเวลานั้นไดมี แผนที่ทางอากาศมาตราสวน ๑ : ๕๐,๐๐๐ ที่ พวกอเมริ ก ั น ได ท ำไว แ ล ว เป น แผนที ่ แ สดง ภูมิประเทศไดละเอียดและดีกวา แตฝายไทยดูไม เรียกรองและนำมาใชในการสำรวจเขตแดนโดย ใชสันปนน้ำเปนหลัก แตกลับไปดำเนินการเคารพ กฎกติกาที่ทางฝรั่งเสนอเปนสำคัญ โดยหาเฉลียว ใจไมวา ถาหากเอาประเด็นสันปนน้ำมาเปนหลัก ในการถูกโกงมาแตสมัย รัชกาลที่ ๕ แลวมีการ สำรวจเขตแดนกันใหมนั้น ความโกงที่ศาลโลก ชวยทางกัมพูชาก็จะเปนประจักษอยางเปนรูป ธรรม เพราะฉะนั้นทั้งฝายกฎหมายและฝายแผนที่ ซึ่งลวนแตอางวามีผูเชี่ยวชาญมากมายนั้น นาจะ ตองเปนผูรับผิดชอบในเรื่องนี้เปนอันดับแรก

การไม ร ู  จ ั ก แผนที ่ แ ละอ า นแผนที ่ ไ ม เ ป น ในทุ ก วั น นี ้ นั บ เป น ความล า หลั ง ทางวั ฒ นธรรม [Culture lag] อย า งยิ ่ ง ของประเทศไทยที ่ ม ั ก อ า งตนว า ทั น สมั ย เป น สมั ย ใหม หรื อ เป น ยุ ค หลั ง สมั ย ใหม ใ นความคิ ด ของนั ก วิ ช าการสติ เ ฟ  อ งรุ  น ใหม ๆ บางกลุ  ม ในขณะนี ้ โดยเฉพาะบรรดานั ก วิ ช าการห า งแผนที ่ แ ละภาพถ า ยที ่ ท ำงานอยู  ต าม สถาบั น ที ่ เ กี ่ ย วข อ งก็ ย ั ง มองเห็ น การใช แ ผนที ่ และภาพถ า ยในลั ก ษณะเป น ข อ มู ล และข อ เท็ จ จริ ง มากกว า เป น เพี ย งเครื ่ อ งมื อ

เกาะกงและเกาะกูดในเขตจังหวัดตราด อันเปน พื้นที่มีทรัพยากรแรธาตุ น้ำมัน แกส และสัตว น้ำอุดมสมบูรณ แตนับเปนเคราะหดีของชาติ ที่ทางกัมพูชาสรางความขัดแยงจนทางไทยถอน อัครราชทูตกลับและลมเลิก MOU ที่เคยทำไว เพื่อมาทบทวนกันใหม

n ขาพเจาคิดวา รัฐบาลไทยและนักวิชาการไทย จะโงหรือไมโงก็ตองดูกันตอนนี้ ถาหากมีการ ทบทวน MOU และตกลงตอรองกันใหมยังคง ยินยอมใหใชแผนที่มาตราสวน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่ n ความโงและเขลามนเรื่องนี้ก็ยังดำรงอยูสืบมา เกาแกและลาหลังที่สุนัขปานักลาอาณานิคมทำไว ถึงสมัยรัฐบาลประชาธิปตยที่มีการนำ MOU กัน แตสมัย รัชกาลที่ ๕ หรือไม ในเรื่องเขตแดนที่ยังยอมกัมพูชาในการใชแผนที่ มาตราสวน ๑ : ๒๐,๐๐๐ ที่ทั้งลาหลังและโคตร n ขาพเจาคิดวาเหนือความทันสมัยและทันโลก โกงมาแตสมัย รัชกาลที่ ๕ พอมาถึงรัฐบาล รั ฐ บาลต อ งหั น มาใช แ ผนที ่ อ ย า งน อ ย ๑ : ทักษิณก็ดูละเลยในสวนนี้ เพราะมีความเอน ๕๐,๐๐๐ หรือชุดใหมที่มีการทำขึ้นโดยเทคนิควิธี เอียงไปทางกัมพูชาในเรื่องการเปนมรดกโลก ทางวิ ท ยาศาสตร ท ี ่ เ ข า ถึ ง ความเป น จริ ง ทาง ปราสาทพระวิ ห ารเพื ่ อ ประโยชน ข องกลุ  ม ผล ภูมิประเทศและสภาพแวดลอมที่ดีกวา แตทั้งนี้ทั้ง ประโยชนขามชาติที่มีทั้งนักการเมืองไทย และ นั้นก็คือ ตองระลึกเสมอวาแผนที่ภาพถายหรือ นักการเมืองกัมพูชามีสวนรวม มาถึงรัฐบาล อะไรก็ ต ามที ่ เ กี ่ ย วกั บ สภาพแวดล อ มนั ้ น ไม ประชาธิปตยในยุคนี้ที่มีการตอรองคัดคานคณะ สามารถจะเขาถึงความเปนจริงธรรมชาติที่เปน กรรมการมรดกโลกของ UNESCO ที่ทำผิด ธรรมได เพราะเปนการมองผานสิ่งที่เปนเครื่อง อุดมการณของมรดกโลกจนเกิดการขัดแยงใน มือแตอยางเดียว ดุจการมองแบบนก [Bird eye’s เรื่องเขตแดน ซึ่งในความคิดของขาพเจาเห็นวา view] ที่ไมอาจมองลึกลงไปยังความสัมพันธ เปนการกระทำที่ถูกตอง แตก็ยังไมวายแสดง ระหวางสรรพสิ่งที่มีชีวิตไมวา คน สัตว พืชและ อาการออนแอในเรื่องเขตแดนที่ยังคงใชแผนที่ ทรัพยากรในพื้นที่อันเปนนิเวศวัฒนธรรมได มาตราสวน ๑ : ๒๕๐,๐๐๐ ในการพิจารณา แผนที่ภาพถายเปนแตเพียงเครื่องมือเพื่ออำนวย แบงเขตแดนที่กินเลยตะเข็บชายแดนแตเทือก ความสะดวกสบายใหเทานั้น หาใชเปนขอมูลอัน เขาพนมดงเร็กลงไปถึงเขตชายทะเลระหวาง เปนขอเท็จจริงไม การเขาถึงขอมูลไดนั้นก็คือลง 33


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อนู้จักท้องถิ่น”

ไ ป พ ื ้ น ท ี ่ ศ ึ ก ษ า ท า ง ภ า ค ส น า ม อ ั น เ ป  น มีลักษณะเปนเพียงเครื่องมือเหลานี้ ไมควรที่ทาง ประสบการณที่ทั้งแลเห็น สัมผัสและรูลึก ราชการโดยเฉพาะฝายความมั่นคงที่แสนลาหลัง และเชยๆ เห็นวาเปนของตองหาม เปนความลับ ความอาภั พ ของคนไทยในความล า หลั ง ทาง นั ้ น ไม น  า จะเป น สิ ่ ง ที ่ ผ ู ก ขาดโดยฝ า ยรั ฐ และ วัฒนธรรมของรัฐบาลและนักวิชาการไทยที่บาแต ราชการอีกตอไป ควรเปดโอกาสและสงเสริมอยาง เรื่องเทคโนโลยีก็คือ คนไทยและเด็กไทยสวนใหญ เต็มที่ ใหคนทั่วไปไดรูไดใชโดยเฉพาะฝกเด็กและ อานแผนที่ไมเปนและใชแผนที่ไมเปน อยางเชน เยาวชนใหไดเรียนรูเพื่อนำไปสูการศึกษาคนควา การเรียนรูตามโรงเรียน สถาบันการศึกษาและ และรับรูขอมูลอันเปนขอเท็จจริงดวยตนเอง หนวยราชการทั่วไปไดเห็นและเรียนรูแตแผนที่ มาตราสวนใหญๆ เชน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ขึ้นไป n ในสุดทายนี้ใครขอยกตัวอยางความลาหลัง แทบไม ม ี โ อกาสได เ ห็ น หรื อ เรี ย นรู  แ ผนที ่ และความเชยของรัฐมาตบทายในที่นี้วา ทุกครั้งที่ มาตราสวนที่ใกลความเปนจริงในทองถิ่น เชน ข า พเจ า ขึ ้ น เครื ่ อ งบิ น TG. ไปยั ง จั ง หวั ด มาตราสวน ๑ : ๕๐,๐๐๐ แตอยางใด เพราะ อุ บ ลราชธานี จั ง หวั ด สกลนคร จั ง หวั ด แทนที่มาตราสวนนี้ทางราชการโดยเฉพาะทาง นครราชสีมา และจังหวัดพิษณุโลก มักจะมีแอร ทหารถือวาเปนความลับที่เกี่ยวกับความมั่นคง โฮสเตส สาวๆ แตหนาตาเหี้ยมเกรียมมาเตือนและ ใครมีไวครอบครองถาหากไมใชหนวยราชการที่ หามแบบดุดันเสมอวาไมใหใชกลองถายภาพบาน เกี่ยวของก็ถือวาเปนความผิด ซึ่งเด็กเลยไมได เมืองขณะที่เครื่องบินกำลังบินลงสูสนามบิน เรียน ผูใหญก็ไมไดรู นอกจากแผนที่ซึ่งทำจาก n ขาพเจาก็ร่ำๆ ที่จะดาเอาบางวาถาจะคิดทำจาร ประสบการณในการสังเกตและสัมผัสที่บรรดานัก กรรมทำลายอะไรแลว ไมเห็นจะตองมาถายภาพ วิชาการมักเรียกวา Mind Map เทานั้นเอง จากเครื่องบินใหเมื่อย เพราะคนทั่วไปอาจใชภาพ n การไมรูจักแผนที่และอานแผนที่ไมเปนในทุก จากกู​ูเกิ้ลเอิรธยิงตอรปโดไปถึงเตียงนอนคุณได วั น นี ้ นั บ เป น ความล า หลั ง ทางวั ฒ นธรรม ทุกเมื่อ [Culture lag] อยางยิ่งของประเทศไทยที่มักอาง บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปที่ ๓๖ ฉบับที่ ๑ ตนวาทันสมัยเปนสมัยใหม หรือเปนยุคหลังสมัย มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๓ ใหมในความคิดของนักวิชาการสติเฟองรุนใหมๆ บางกลุมในขณะนี้ โดยเฉพาะบรรดานักวิชาการ หางแผนที่และภาพถายที่ทำงานอยูตามสถาบันที่ เกี่ยวของก็ยังมองเห็นการใชแผนที่และภาพถาย ในลักษณะเปนขอมูลและขอเท็จจริงมากกวาเปน เพียงเครื่องมือ ดังเห็นไดจากการใชแผนการ ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาตางๆ ที่เปน โครงการของความเป น ไปได [Feasibility study] และโครงการศึกษาผลกระทบ [EIA] ที่ มักทำใหเกิดความขัดแยงกับผูคนในทองถิ่นใน เรื่องคุกคามสภาพแวดลอมทรัพยากรธรรมและ การละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนทองถิ่นเปน ประจำ n ในปจจุบันบรรดาแผนที่ ภาพถายทางอากาศ และอะไรตางๆ นานาในเรื่อง Remote sensing ที่ 34


มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ Lek-Prapai Viriyahpant foundation ๓๙๗ ถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ 397 Phrasumaru Rd., Bowonnewed Phranakorn Bangkok 10200 www.lek-prapai.org facebook : www.facebook.com/lekfound โทรศัพท : แฟกซ ๐๒-๒๘๐๓๓๔๐ โทรศัพท ๐๒-๒๘๑๑๙๘๘ Tel : Fax 02-2803340 Tel 02-2811988 รายการ วันเสาร ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ๘.๓๐ น.- ๙.๓๐

ลงทะเบียนเข้าค่าย กล่าวแสดงความยินดีและต้อนรับ-เปิดงาน อบรม โดยตัวแทนค่ายริมขอบฟ้า/เมืองโบราณ

๙.๓๐ น.-๑๐.๐๐ น.

ชี้แจงรูปแบบการอบรม รายละเอียดของการเข้าพัก การทํากิจกรรม ในค่ายริมขอบฟ้าและเมืองโบราณ

๑๐.๐๐-๑๒.๐๐ น.

บรรยาย “ความเข้าใจเบื้องต้นเรื่องประวัติศาสตร์สังคมและภูมิ วัฒนธรรมรวมทั้งการใช้แผนที่เพื่อการศึกษาท้องถิ่น” โดยอาจารย์ ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษามูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์

๑๒.๐๐-๑๓.๐๐ น.

รับประทานอาหารกลางวัน

๑๓.๐๐-๑๔.๓๐ น.

ความรู้เบื้องต้นเรื่องความเป็นมาของแผนที่ แผนที่ชนิดต่างๆ แผนที่ ซึ่งพบในชีวิตประจําวัน ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม

๑๔.๓๐-๑๕.๐๐ น.

พักรับประทานของว่าง

๑๕.๐๐-๑๖.๓๐ น.

ความรู้เบื้องต้นเรื่อง “ภูมิทัศนท้องถิ่น์ [Local landscape] และความ หมายของ Landmark, Common property” รับประทานอาหารเย็น

๑๘.๐๐-๑๙.๐๐ น. ๑๙.๓๐-๒๒.๐๐ น.

การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรู้จากแผนที่เพื่อ รู้จักท้องถิ่น” วันเวลา สถานที่ เสาร์ที่ ๒๔ จันทร์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ ค่ายริมขอบฟ้าและเมือง โบราณ สมุทรปราการ

วิทยากร • อาจารย์ศรี

ทําความรู้จักพูดคุย สนทนาและเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องใน กิจกรรมเด็กรักถิ่นหรือกิจกรรมเยาวชนในแต่ละท้องถิ่น

วันอาทิตยที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

ศักร วัลลิโภดม • เจ้าหน้าที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ

๗.๓๐-๘.๓๐ น.

รับประทานอาหารเช้า

๙.๐๐ น.-๑๒.๐๐ น.

บรรยาย “การนําแผนที่ไปใช้เพื่องานศึกษาท้องถิ่น-บทสรุป” โดย อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม

๑๒.๐๐-๑๓.๐๐ น.

รับประทานอาหารกลางวัน

๑๓.๐๐-๑๔.๓๐ น.

แบ่งกลุ่มเรียนรู้แผนที่ในท้องถิ่นของตนและเตรียมข้อมูลเพื่อ อธิบายหรือบรรยายเรื่องราวในท้องถิ่นของตนเอง โดยพี่เลี้ยงเจ้า หน้าที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ประจํากลุ่ม

๑๔.๓๐-๑๕.๐๐ น.

รับประทานของว่าง

๑๕.๓๐-๑๗.๐๐ น.

ผู้เข้าร่วมอบรมทดลองทําแผนที่ โดยใช้เครื่องมืออย่างง่ายและถูก ต้องใกล้เคียงกับมาตราส่วนและใช้จินตนาการเพื่อสร้างภาพแผนที่ ซึ่งเป็นตัวแทนภาพสะท้อนท้องถิ่นของตนให้ได้มากที่สุด

๑๘.๐๐-๑๙.๐๐ น.

รับประทานอาหารเย็น

๑๙.๓๐-๒๒.๐๐ น.

ผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละกลุ่มนําเสนอหรือจัดแสดงสื่อต่างๆ เพื่อบอก เล่าแนะนํา “บ้านของฉัน ท้องถิ่นของฉัน” ประกอบแผนที่ที่จัดทําขึ้น แก่ผู้เข้าร่วมอบรมกลุ่มละ ๒๐ นาที

วิริยะพันธุ์

วัตถุประสงค์ • อบรมความเป็นมาของแผนที่เบื้อง ต้น ความแตกต่างของแผนที่ แผนผัง ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่าย ดาวเทียม และแผนที่ที่ถูกนําไปใช้เพื่อ กิจการต่างๆ • อบรมการอ่านและใช้แผนที่มาตรฐาน

ที่เป็นแผนที่ทหารมาตราส่วน 1: 50,000 และ 1: 250,000 เพื่อเรียนรู้ท้องถิ่นของผู้ เข้าร่วมอบรม โดยเป็นการเรียนรู้ร่วม กันระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ • สร้ า งแผนที ่ ข องท้ อ งถิ ่ น ตนเองโดย

วันจันรที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ๗.๓๐-๘.๓๐ น.

รับประทานอาหารเช้า

๘.๓๐-๑๑.๐๐ น.

นั่งรถรางและใช้เวลาชมเมืองโบราณ / สยามในความหลากหลาย ทางวัฒนธรรมและพหุลักษณ์ทางสังคม ปิดการอบรมมอบวุฒิบัตรและของที่ระลึก โดยตัวแทนจากเมือง โบราณ รับประทานอาหารกลางวัน

๑๑.๐๐-๑๒.๐๐ ๑๒.๐๐-๑๓.๐๐ น.

ผู้เข้าร่วมอบรมเดินทางกลับ

35

ปรั บ จากแผนที ่ ภ ู ม ิ ศ าสตร์ ผ สมผสาน กับความเข้าใจโดยพื้นฐานของตนเอง ตลอดจนจินตนาการและความทรงจํา ในสภาพแวดล้อม ตํานานและคําบอก เล่าภายในชุมชนจากผู้อาวุโส เพื่อสร้าง แผนที่ซึ่งสามารถบอกเล่าเรื่องราวของ ท้องถิ่นของตนเองได้อย่างไม่มีทฤษฎี ในการทําแผนที่มากําหนด


การอบรมเชิงปฏิบัติการ “เรียนรูจากแผนที่เพื่อรูจักทองถิ่น”

เนื่องในวันเล็ก-ประไพ รำลึก ครั้งที่ ๑๐ ระหวางวันเสารที่ ๒๔-จันทรที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

แผนที่แสดงการเรียกชื่อ “พื้นที่” และการใชพื้นที่ทำกินของชาวบานในอาวปตตานี


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.