1
คำนำ ในการจัดพิมพ มุตโตทัย และ ปฏิปตติปุจฉาวิสัชนา ครั้งนี้ มีจุด ประสงคเพื่อรวบรวมคำสอนของพอแมครูบาอาจารยหลวงปูมั่น ภูริทัต ตเถระ เขาไวดวยกัน O สำหรับมุตโตทัยนั้น ประกอบดวยเนื้อหาสองชุด ดังคำนำบาง สวนของหนังสือซึ่งพิมพแจกในงานฌาปนกิจศพพอแมครูบาอาจารย หลวงปูมั่น เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๔๙๓ วา O “การที่ใหชื่อธรรมเทศนา ของทานอาจารยที่รวบรวมพิมพชุด แรกวา มุตโตทัย นั้น อาศัยคำชมของเจาพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจาร ย (สิริจันทเถระ จันทร) เมื่อคราวทานอาจารยแสดงธรรมวาดวยมูล กรรมฐาน ณ วิหารหลวงเชียงใหมวา ทานอาจารยแสดงธรรมดวยมุต โตทัย เปนมุตโตทัย O คำนี้ทานอาจารยนำมาเปนปญหาถามในที่ประชุมพระภิกษุ เปรียญหลายรูป ซึ่งมีขาพเจารวมอยูดวย O ในคราวที่ทานมาพักกับขาพเจาที่วัดปาสุทธาวาส จังหวัด สกลนคร ขาพเจาทราบความหมายของคำนั้นแลว O แตเห็นวาเปนอสาธารณนัย จึงกลาวแกทางใจ ทันใดนั้นทานก็ พูดขึ้นวาขาพเจาแกถูก O ซึ่งทำความประหลาดใจใหแกภิกษุทั้งหลายมิใชนอย ตางก็มารุม ถามขาพเจาวา ความหมายวาอยางไร? O ขาพเจาบอกใหทราบแกบางองคเฉพาะที่นาไวใจ 2
O คำวา มุตโตทัย มีความหมายเปนอสาธารณนัยก็จริง แตอาจเปน ความหมายมาเปนสาธารณนัยก็ได O จึงไดนำมาใชเปนชื่อธรรมเทศนาของทานอาจารย โดยมุงใหมี ความหมายวาเปนธรรมเทศนาชี้บอกแนวทางปฏิบัติใหบังเกิดความหลุด พนจากกิเลสอาสวะ ซึ่งถาจะแปลสั้น ๆ ก็วา แดนเกิดแหงความหลุดพน นั่นเอง O ธรรมเทศนาชุดแรกนี้ พระภิกษุวิริยังคกับพระภิกษุทองคำ เปนผู บันทึกในสมัยทานอาจารยอยูจำพรรษา ณ เสนาสนะปาบานโคกนามน ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร และตอนแรกไปอยู เสนาสนะปาบานหนองผือ ตำบลใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัด สกลนคร ขาพเจารับเอาบันทึกนั้นพรอมกับขออนุญาตทานอาจารย พิมพเผยแผ ทานก็อนุญาตและสั่งใหขาพเจาเรียบเรียงเสียใหมให เรียบรอย ตัดสวนที่ไมควรเผยแผออกเสียบาง O ขาพเจาก็ไดปฏิบัติตามนั้นทุกประการ ถึงอยางนั้นก็ยังมีที่ กระเทือนใจผูอานอยูบาง O จึงขอชี้แจงไวในที่นี้ คือ ขอที่วา พระสัทธรรมเมื่อเขาไป ประดิษฐานในสันดานของปุถุชนแลว ยอมกลายเปนของปลอมไปนั้น หมายความวาไปปนเขากับอัธยาศัยอันไมบริสุทธิ์เมื่อแสดงออกแกผูอื่น ก็มักมีอัธยาศัยอันไมบริสุทธิ์ ปนออกมาดวย เพื่อรักษาพระสัทธรรมให บริสุทธิ์สะอาดคงความหมายเดิมอยูได ควรมีการปฏิบัติกำจัดของปลอม คือ อุปกิเลสอันแทรกซึมอยูในอัธยาศัยนั้นใหหมดไป O ซึ่งเปนความมุงหมายของทานผูแสดงที่จะชักจูงจิตใจของผูฟงให 3
นิยมในสัมมาปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถาผูฟงมีใจสะอาด และเปนธรรมแลว ยอมจะใหสาธุการแกทานผูแสดงแนแท O ธรรมเทศนาของทานอาจารยที่ พระภิกษุทองคำ ญาโณภาโส กับ พระภิกษุวัน อุตฺตโม จดบันทึกไวในปจฉิมสมัย คือระหวาง พ.ศ. ๒๔๙๑ - ๒๔๙๒ กอนหนามรณสมัยเพียงเล็กนอยนั้น ไดรวบรวมนำมา เรียบเรียงเขาหมวดหมู เชนเดียวกับครั้งกอน O ธรรมเทศนาของทานอาจารย ทั้ง ๒ ชุดนี้ หากจะพิมพเผยแผตอ ไป ก็ควรพิมพรวมกันในนามวา มุตโตทัย O และควรบอกเหตุผลและผูทำดังที่ขาพเจาชี้แจงไวนี้ดวย จะไดตัด ปญหาในเรื่องชื่อ และที่มาของธรรมเทศนาดวย O พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) O เสนาสนะปาเขาสวนกวาง จ.ขอนแกน O ๓๑ มกราคม ๒๔๙๓” O O ในสวนของ ปฏิปตติปุจฉาวิสัชนา นั้น ไมปรากฏวาทานใด เปนผูบันทึก แตตามเนื้อความเดิมกลาววา “ตามหลักฐานที่บันทึกไวใน หนังสือฉบับเดิมวา พระเดชพระคุณพระธรรมเจดีย (จูม พนฺธุโล) วัด โพธิสมภรณ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เปนผูปุจฉาทานพระอาจารย มั่น ภูริทัตโต เปนผูวิสัชนา” O ทั้งนี้ เนื้อความ และการสะกดคำตาง ๆ ไดพยายามคงตามรูป แบบเดิมไวทั้งหมด หากมีสวนใดผิดพลาด ขอทานผูอานโปรดอภัยและ ชี้แจงขอผิดพลาดนั้นดวยจะดียิ่ง เพื่อจะไดปรับปรุงแกไขตอไป 4
O ทายสุดนี้ คณะผูจัดทำมิไดหวังสิ่งใดยิ่งไปกวาการเผยแผพระ ธรรมคำสั่งสอนของพอแมครูบาอาจารยผูซึ่งเปนสาวกของพระผูมีพระ ภาคเจาใหกวางขวางออกไป O ขออนุโมทนาในกุศลที่ทานทั้งหลายจะไดศึกษาธรรมอันบริสุทธิ์ ตอไปนี้ดวยความยินดียิ่ง ธัชชัย ธัญญาวัลย แพรวา มั่นพลศรี artyhouse@gmail.com ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕
5
มุตโตทัย บันทึกโดยพระอาจารยวิริยังค สิรินฺธโร ณ วัดปาบานนามน กิ่ง อ. โคก ศรีสุพรรณ จ.สกลนคร พ.ศ. ๒๔๘๖ ๑. การปฏิบัติ เปนเครื่องยังพระสัทธรรมใหบริสุทธิ์ O สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาทรงแสดงวาธรรมของพระตถาคต เมื่อเขาไปประดิษฐานในสันดานของปุถุชนแลว ยอมกลายเปนของ ปลอม (สัทธรรมปฏิรูป) แตถาเขาไปประดิษฐานในจิตสันดานของพระ อริยเจาแลวไซร ยอมเปนของบริสุทธิ์แทจริง และเปนของไมลบเลือน ดวย เพราะฉะนั้นเมื่อยังเพียรแตเรียนพระปริยัติถายเดียว จึงยังใชการ ไมไดดี ตอเมื่อมาฝกหัดปฏิบัติจิตใจกำจัดเหลา กะปอมกา คือ อุปกิเลส แลวนั่นแหละ จึงจะยังประโยชนใหสำเร็จเต็มที่ และทำใหพระสัทธรรม บริสุทธิ์ ไมวิปลาสคลาดเคลื่อนจากหลักเดิมดวย ๒. การฝกตนดีแลวจึงฝกผูอื่น ชื่อวาทำตามพระพุทธเจา O ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา O สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา ทรงทรมานฝกหัด พระองคจนไดตรัสรูพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เปน พุทฺโธ ผูรูกอน แลวจึงเปน ภควา ผูทรงจำแนกแจกธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว สตฺถา จึง เปนครูของเทวดาและมนุษย เปนผูฝกบุรุษผูมีอุปนิสัยบารมีควรแกการ ทรมานในภายหลัง จึงทรงพระคุณปรากฏวา กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท 6
อพฺภุคฺคโต ชื่อเสียงเกียรติศัพทอันดีงามของพระองคยอมฟุงเฟองไปใน จตุรทิศจนตราบเทาทุกวันนี้ แมพระอริยสงฆสาวกเจาทั้งหลายที่ลวงลับ ไปแลวก็เชนเดียวกัน ปรากฏวาทานฝกฝนทรมานตนไดดีแลว จึงชวย พระบรมศาสดาจำแนกแจกธรรม สั่งสอนประชุมชนในภายหลัง ทานจึง มีเกียรติคุณปรากฏเชนเดียวกับพระผูมีพระภาคเจา ถาบุคคลใดไม ทรมานตนใหดีกอนแลว และทำการจำแนกแจกธรรมสั่งสอนไซร ก็จัก เปนผูมีโทษ ปรากฏวา ปาปโกสทฺโท คือเปนผูมีชื่อเสียงชั่วฟุงไปในจตุร ทิศ เพราะโทษที่ไมทำตามพระสัมมาสัมพุทธเจา และพระอริยสงฆสาวก เจาในกอนทั้งหลาย ๓. มูลมรดกอันเปนตนทุนทำการฝกฝนตน เหตุใดหนอ ปราชญทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี หรือจะทำการกุศล ใดๆ ก็ดี จึงตองตั้ง นโม กอน จะทิ้ง นโม ไมไดเลย เมื่อเปนเชนนี้ นโม ก็ ตองเปนสิ่งสำคัญ จึงยกขึ้นพิจารณา ไดความวา น คือธาตุน้ำ โม คือ ธาตุดิน พรอมกับบาทพระคาถา ปรากฏขึ้นมาวา มาตาเปติกสมุภโว โอ ทนกุมฺมาสปจฺจโย สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกัน จึงเปนตัวตนขึ้นมา ได น เปนธาตุของ มารดา โม เปนธาตุของ บิดา ฉะนั้นเมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเขาไป ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเขาจนไดนามวา กลละ คือ น้ำมัน หยดเดียว ณ ที่นี้เอง ปฏิสนธิวิญญาณเขาถือปฏิสนธิได จิตจึงไดถือ ปฏิสนธิในธาตุ นโม นั้น เมื่อจิตเขาไปอาศัยแลว กลละ ก็คอยเจริญขึ้น เปน อัมพุชะ คือเปนกอนเลือด เจริญจากกอนเลือดมาเปน ฆนะ คือเปน แทง และ เปสี คือชิ้นเนื้อ แลวขยายตัวออกคลายรูปจิ้งเหลน จึงเปน ปญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ สวนธาตุ พ คือลม ธ คือไฟ นั้นเปน 7
ธาตุเขามาอาศัยภายหลังเพราะจิตไมถือ เมื่อละจากกลละนั้นแลว กลละ ก็ตองทิ้งเปลาหรือสูญเปลา ลมและไฟก็ไมมี คนตาย ลมและไฟก็ดับหาย สาปสูญไป จึงวาเปนธาตุอาศัย ขอสำคัญจึงอยูที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เปน เดิม O ในกาลตอมาเมื่อคลอดออกมาแลวก็ตองอาศัย น มารดา โม บิดา เปนผูทะนุถนอมกลอมเกลี้ยงเลี้ยงมาดวยการใหขาวสุกและขนมกุม มาส เปนตน ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอยาง ทานจึงเรียก มารดาบิดาวา บุพพาจารย เปนผูสอนกอนใครๆ ทั้งสิ้น มารดาบิดาเปน ผูมีเมตตาจิตตอบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได มรดกที่ทำใหกลาวคือรูป กายนี้แล เปนมรดกดั้งเดิมทรัพยสินเงินทองอันเปนของภายนอกก็เปนไป จากรูปกายนี้เอง ถารูปกายนี้ไมมีแลวก็ทำอะไรไมได ชื่อวาไมมีอะไรเลย เพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เปน "มูลมรดก" ของมารดาบิดาทั้งสิ้น จึงวาคุณทานจะนับจะประมาณมิไดเลย ปราชญทั้งหลายจึงหาไดละทิ้ง ไม เราตองเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นกอนแลวจึงทำกิริยานอมไหวลงภาย หลัง นโม ทานแปลวานอบนอมนั้นเปนการแปลเพียงกิริยา หาไดแปล ตนกิริยาไม มูลมรดกนี้แลเปนตนทุน ทำการฝกหัดปฏิบัติตนไมตองเปน คนจนทรัพยสำหรับทำทุนปฏิบัติ ๔. มูลฐานสำหรับทำการปฏิบัติ O นโม นี้ เมื่อกลาวเพียง ๒ ธาตุเทานั้น ยังไมสมประกอบหรือยังไม เต็มสวน ตองพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะจากตัว น มาใสตัว ม เอาสระ โอ จากตัว ม มาใสตัว น แลวกลับตัว มะ มาไวหนาตัว โน เปน มโน แปลวาใจ เมื่อเปนเชนนี้จึงไดทั้งกายทั้งใจเต็มตามสวน สมควร 8
แกการใชเปนมูลฐานแหงการปฏิบัติได มโน คือใจนี้เปนดั้งเดิม เปนมหา ฐานใหญ จะทำจะพูดอะไรก็ยอมเปนไปจากใจนี้ทั้งหมด ไดในพระพุทธ พจนวา มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมี ใจถึงกอน มีใจเปนใหญ สำเร็จแลวดวยใจ พระบรมศาสดาจะทรง บัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจาก ใจ คือมหาฐาน นี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผูไดมาพิจารณาตามจนถึงรูจัก มโน แจมแจงแลว มโน ก็สุดบัญญัติ คือพนจากบัญญัติทั้งสิ้น สมมติทั้งหลายในโลกนี้ตอง ออกไปจากมโนทั้งสิ้น ของใครก็กอนของใคร ตางคนตางถือเอากอนอัน นี้ ถือเอาเปนสมมติบัญญัติตามกระแสแหงน้ำโอฆะจนเปนอวิชชาตัวกอ ภพกอชาติดวยการไมรูเทา ดวยการหลง หลงถือวาเปนตัวเรา เปนของ เราไปหมด ๕. มูลเหตุแหงสิ่งทั้งหลายในสากลโลกธาตุ O พระอภิธรรม ๗ คัมภีร เวนมหาปฏฐาน มีนัยประมาณเทานั้นเทา นี้ สวนคัมภีรมหาปฏฐาน มีนัยหาประมาณมิไดเปน "อนันตนัย" เปน วิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจาเทานั้นที่จะรอบรูได เมื่อพิจารณาพระ บาลีที่วา เหตุปจฺจโย นั้นไดความวา เหตุซึ่งเปนปจจัยดั้งเดิมของสิ่งทั้ง หลายในสากลโลกธาตุนั้นไดแก มโน นั่นเอง มโน เปนตัวมหาเหตุเปนตัว เดิม เปนสิ่งสำคัญ นอนนั้นเปนแตอาการเทานั้น อารมฺมณ จนถึงอวิคฺคต จะเปนปจจัยไดก็เพราะมหาเหตุคือใจเปนเดิมโดยแท ฉะนั้น มโนซึ่ง กลาวไวในขอ ๔ ก็ดี ฐีติ ภูตํ ซึ่งจะกลาวในขอ ๖ ก็ดี และมหาธาตุซึ่ง กลาวในขอนี้ก็ดี ยอมมีเนื้อความเปนอันเดียวกัน พระบรมศาสดาจะทรง บัญญัติพระธรรมวินัยก็ดี รูอะไรๆ ไดดวย ทศพลญาณ ก็ดี รอบรู สรรพ 9
เญยฺยธรรม ทั้งปวงก็ดี ก็เพราะมีมหาเหตุนั้นเปนดั้งเดิมทีเดียว จึงทรง รอบรูไดเปนอนันตนัย แมสาวทั้งหลายก็มีมหาเหตุนี้แลเปนเดิม จึง สามารถรูตามคำสอนของพระองคไดดวยเหตุนี้แลพระอัสสชิเถระผูเปนที่ ๕ ของพระปญจวัคคียจึงแสดงธรรมแก อุปติสฺส (พระสารีบุตร) วา เย ธมฺมา เหตุปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหา สมโณ ความวา ธรรมทั้งหลายเกิดแตเหตุ...เพราะวามหาเหตุนี้เปนตัว สำคัญ เปนตัวเดิม เมื่อทานพระอัสสชิเถระกลาวถึงที่นี้ (คือมหาเหตุ) ทานพระสารีบุตรจะไมหยั่งจิตลงถึงกระแสธรรมอยางไรเลา? เพราะ อะไร ทุกสิ่งในโลกก็ตองเปนไปแตมหาเหตุถึงโลกุตตรธรรม ก็คือมหาเหตุ ฉะนั้น มหาปฏฐาน ทานจึงวาเปน อนันตนัย ผูมาปฏิบัติใจคือตัวมหา เหตุจนแจมกระจางสวางโรแลวยอมสามารถรูอะไรๆ ทั้งภายในและ ภายนอกทุกสิ่งทุกประการ สุดจะนับจะประมาณไดดวยประการฉะนี้ ๖. มูลการของสังสารวัฏฏ O ฐีติภูตํ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา อุปาทานํ ภโว ชาติ O คนเราทุกรูปนามที่ไดกำเนิดเกิดมาเปนมนุษยลวนแลวแตมีที่เกิด ทั้งสิ้น กลาวคือมีบิดามารดาเปนแดนเกิด ก็แลเหตุใดทานจึงบัญญัติปจจ ยาการแตเพียงวา อวิชฺชา ปจฺจยา ฯลฯ เทานั้น อวิชชา เกิดมาจากอะ ไรฯ ทานหาไดบัญญัติไวไม พวกเราก็ยังมีบิดามารดาอวิชชาก็ตองมีพอ แมเหมือนกัน ไดความตามบาทพระคาถาเบื้องตนวา ฐีติภูตํ นั่นเองเปน พอแมของอวิชชา ฐีติภูตํ ไดแก จิตดั้งเดิม เมื่อฐีติภูตํ ประกอบไปดวย ความหลง จึงมีเครื่องตอ กลาวคือ อาการของอวิชชาเกิดขึ้น เมื่อมี อวิชชาแลวจึงเปนปจจัยใหปรุงแตงเปนสังขารพรอมกับความเขาไป 10
ยึดถือ จึงเปนภพชาติคือตองเกิดกอตอกันไป ทานเรียก ปจจยาการ เพราะเปนอาการสืบตอกัน วิชชาและอวิชชาก็ตองมาจากฐีติภูตํเชน เดียวกัน เพราะเมื่อฐีติภูตํกอปรดวยวิชชาจึงรูเทาอาการทั้งหลายตาม ความเปนจริง นี่พิจารณาดวยวุฏฐานคามินี วิปสสนา รวมใจความวา ฐีติ ภูตํ เปนตัวการดั้งเดิมของสังสารวัฏฏ (การเวียนวายตายเกิด) ทานจึง เรียกชื่อวา "มูลตันไตร" (หมายถึงไตรลักษณ) เพราะฉะนั้นเมื่อจะตัด สังสารวัฏฏใหขาดสูญ จึงตองอบรมบมตัวการดั้งเดิมใหมีวิชชารูเทาทัน อาการทั้งหลายตามความเปนจริง ก็จะหายหลงแลวไมกออาการทั้ง หลายใดๆ อีก ฐีติภูตํ อันเปนมูลการก็หยุดหมุน หมดการเวียนวายตาย เกิดในสังสารวัฏฏดวยประการฉะนี้ ๗. อรรคฐาน เปนที่ตั้งแหงมรรคนิพพาน O อคฺคํ ฐานํ มนุสฺเสสุ มคฺคํ สตฺตวิสุทธิยา O ฐานะอันเลิศมีอยูในมนุษย ฐานะอันดีเลิศนั้นเปนทางดำเนินไป เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว โดยอธิบายวาเราไดรับมรดกมาแลวจาก นโม คือ บิดามารดา กลาวคือตัวของเรานี้แล อันไดกำเนิดเกิดมาเปนมนุษย ซึ่งเปนชาติสูงสุด เปนผูเลิศตั้งอยูในฐานะอันเลิศดวยดีคือมีกายสมบัติ วจีสมบัติ แลมโนสมบัติบริบูรณ จะสรางสมเอาสมบัติภายนอก คือ ทรัพยสินเงินทองอยางไรก็ได จะสรางสมเอาสมบัติภายในคือมรรคผล นิพพานธรรมวิเศษก็ได พระพุทธองคทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรง บัญญัติแกมนุษยเรานี้เอง มิไดทรงบัญญัติแก ชาง มา โค กระบือ ฯลฯ ที่ไหนเลย มนุษยนี้เองจะเปนผูปฏิบัติถึงซึ่งความบริสุทธิ์ได ฉะนั้นจึงไม ควรนอยเนื้อต่ำใจวา ตนมีบุญวาสนานอย เพราะมนุษยทำได เมื่อไมมี 11
ทำใหมีได เมื่อมีแลวทำใหยิ่งไดสมดวยเทศนานัยอันมาในเวสสันดรชาดา วา ทานํ เทติ สีลํ รกฺขติ ภาวนํ ภาเวตฺวา เอกจฺโจ สคฺคํ คจฺฉติ เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ นิสฺสํสยํ เมื่อไดทำกองการกุศล คือ ใหทานรักษาศีลเจริญ ภาวนาตามคำสอนของพระบรมศาสดาจารยเจาแลว บางพวกทำนอยก็ ตองไปสูสวรรค บางพวกทำมากและขยันจริงพรอมทั้งวาสนาบารมีแต หนหลังประกอบกัน ก็สามารถเขาสูพระนิพพานโดยไมตองสงสัยเลย พวกสัตวดิรัจฉานทานมิไดกลาววาเลิศ เพราะจะมาทำเหมือนพวกมนุษย ไมได จึงสมกับคำวามนุษยนี้ตั้งอยูในฐานะอันเลิศดวยดีสามารถนำตน เขาสูมรรคผล เขาสูพระนิพพานอันบริสุทธิ์ไดแล ๘. สติปฏฐาน เปน ชัยภูมิ คือสนามฝกฝนตน O พระบรมศาสดาจารยเจา ทรงตั้งชัยภูมิไวในธรรมขอไหน? เมื่อ พิจารณาปญหานี้ไดความขึ้นวา พระองคทรงตั้งมหาสติปฏฐานเปน ชัยภูมิ อุปมาในทางโลก การรบทัพชิงชัย มุงหมายชัยชนะจำตองหา ชัยภูมิ ถาไดชัยภูมิที่ดีแลวยอมสามารถปองกันอาวุธของขาศึกไดดี ณ ที่ นั้นสามารถรวบรวมกำลังใหญเขาฆาฟนขาศึกใหปราชัยพายแพไปได ที่ เชนนั้นทานจึงเรียกวา ชัยภูมิ คือที่ที่ประกอบไปดวยคายคูประตูและหอ รบอันมั่นคงฉันใด อุปไมยในทางธรรมก็ฉันนั้น ที่เอามหาสติปฏฐานเปน ชัยภูมิก็โดยผูที่จะเขาสูสงครามรบขาศึก คือ กิเลส ตองพิจารณากายานุ ปสสนาสติปฏฐานเปนตนกอน เพราะคนเราที่จะเกิด กามราคะ เปนตน ขึ้น ก็เกิดที่กายและใจ เพราะตาแลไปเห็นกายทำใหใจกำเริบ เหตุนั้นจึง ไดความวา กายเปนเครื่องกอเหตุ จึงตองพิจารณากายนี้กอน จะไดเปน เครื่องดับนิวรณทำใหใจสงบได ณ ที่นี้พึง ทำใหมาก เจริญใหมาก คือ 12
พิจารณาไมตองถอยเลยทีเดียว ในเมื่ออุคคหนิมิตปรากฏ จะปรากฏกาย สวนไหนก็ตาม ใหพึงถือเอากายสวนที่ไดเห็นนั้นพิจารณาใหเปนหลักไว ไมตองยายไปพิจารณาที่อื่น จะคิดวาที่นี่เราเห็นแลว ที่อื่นยังไมเห็น ก็ ตองไปพิจารณาที่อื่นซิ เชนนี้หาควรไม ถึงแมจะพิจารณาจนแยกกาย ออกมาเปนสวนๆ ทุกๆอาการอันเปนธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไดอยาง ละเอียด ที่เรียกวาปฏิภาคก็ตาม ก็ใหพิจารณากายที่เราเห็นทีแรกดวย อุคคหนิมิตนั้นจนชำนาญ ที่จะชำนาญไดก็ตองพิจารณาซ้ำแลวซ้ำอีก ณ ที่เดียวนั้นเอง เหมือนสวดมนตฉะนั้น อันการสวดมนต เมื่อเราทองสูตรนี้ ไดแลว ทิ้งเสียไมเลาไมสวดไวอีก ก็จะลืมเสียไมสำเร็จประโยชนอะไรเลย เพราะไมทำใหชำนาญดวยความประมาทฉันใด การพิจารณากายก็ฉัน นั้นเหมือนกัน เมื่อไดอุคคหนิมิตในที่ใดแลว ไมพิจารณาในที่นั้นใหมาก ปลอยทิ้งเสียดวยความประมาทก็ไมสำเร็จประโยชนอะไรอยางเดียวกัน การพิจารณากายนี้มีที่อางมาก ดั่งในการบวชทุกวันนี้ เบื้องตนตองบอก กรรมฐาน ๕ ก็คือ กายนี้เอง กอนอื่นหมดเพราะเปนของสำคัญ ทาน กลาวไวในคัมภีรพระธรรมบทขุทฺทกนิกายวา อาจารยผูไมฉลาด ไมบอก ซึ่งการพิจารณากาย อาจทำลายอุปนิสัยแหงพระอรหันตของกุลบุตรได เพราะฉะนั้นในทุกวันนี้จึงตองบอกกรรมฐาน ๕ กอน O อีกแหงหนึ่งทานกลาววา พระพุทธเจาทั้งหลาย พระขีณาสวเจา ทั้งหลาย ชื่อวาจะไมกำหนดกาย ในสวนแหง โกฏฐาส (คือการพิจารณา แยกออกเปนสวนๆ) ใดโกฏฐาสหนึ่งมิไดมีเลย จึงตรัสแกภิกษุ ๕๐๐ รูปผู กลาวถึงแผนดินวา บานโนนมีดินดำดินแดงเปนตนนั้นวา นั่นชื่อวา พหิทฺธา แผนดินภายนอกใหพวกทานทั้งหลายมาพิจารณา อัชฌัตติกา แผนดินภายในกลาวคืออัตตภาพรางกายนี้ จงพิจารณาไตรตรองให 13
แยบคาย กระทำใหแจงแทงใหตลอด เมื่อจบการวิสัชชนาปญหานี้ ภิกษุ ทั้ง ๕๐๐ รูปก็บรรลุพระอรหันตผล O เหตุนั้นการพิจารณากายจึงเปนของสำคัญ ผูที่จะพนทุกทั้งหมด ลวนแตตองพิจารณากายนี้ทั้งสิ้น จะรวบรวมกำลังใหญไดตองรวบรวม ดวยการพิจารณากาย แมพระพุทธองคเจาจะไดตรัสรูทีแรกก็ทรง พิจารณาลม ลมจะไมใชกายอยางไร? เพราะฉะนั้นมหาสติปฏฐาน มีกา ยานุปสสนาเปนตน จึงชื่อวา "ชัยภูมิ" เมื่อเราไดชัยภูมิดีแลว กลาวคือ ปฏิบัติตามหลักมหาสติปฏฐานจนชำนาญแลว ก็จงพิจารณาความเปน จริงตามสภาพแหงธาตุทั้งหลายดวยอุบายแหงวิปสสนา ซึ่งจะกลาวขาง หนา ๙. อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส O ธรรมชาติของดีทั้งหลาย ยอมเกิดมาแตของไมดี อุปมาดั่งดอก ปทุมชาติอันสวยๆ งามๆ ก็เกิดขึ้นมาจากโคลนตมอันเปนของสกปรก ปฏิกูลนาเกลียด แตวาดอกบัวนั้น เมื่อขึ้นพนโคลนตมแลวยอมเปนสิ่งที่ สะอาด เปนที่ทัดทรงของพระราชา อุปราช อำมาตย และเสนาบดี เปนตน และดอกบัวนั้นก็มิไดกลับคืนไปยังโคลนตมนั้นอีกเลย ขอนี้ เปรียบเหมือนพระโยคาวจรเจา ผูประพฤติพากเพียรประโยคพยายาม ยอมพิจารณาซึ่ง สิ่งสกปรกนาเกลียดนั้นก็คือตัวเรานี้เอง รางกายนี้เปน ที่ประชุมแหงของโสโครกคือ อุจจาระ ปสสาวะ (มูตรคูถ) ทั้งปวง สิ่งที่ ออกจากผม ขน เล็บ ฟน หนัง เปนตน ก็เรียกวา ขี้ ทั้งหมด เชน ขี้หัว ขี้ เล็บ ขี้ฟน ขี้ไคล เปนตน เมื่อสิ่งเหลานี้รวงหลนลงสูอาหาร มีแกงกับ เปนตน ก็รังเกียจ ตองเททิ้ง กินไมได และรางกายนี้ตองชำระอยูเสมอจึง 14
พอเปนของดูได ถาหาไมก็จะมีกลิ่นเหม็นสาป เขาใกลใครก็ไมได ของทั้ง ปวงมีผาแพรเครื่องใชตางๆ เมื่ออยูนอกกายของเราก็เปนของสะอาดนา ดู แตเมื่อมาถึงกายนี้แลวก็กลายเปนของสกปรกไป เมื่อปลอยไวนานๆ เขาไมซักฟอกก็จะเขาใกลใครไมไดเลย เพราะเหม็นสาบ ดั่งนี้จึงไดความ วารางกายของเรานี้เปนเรือนมูตร เรือนคูถ เปนอสุภะ ของไมงาม ปฏิกูล นาเกลียด เมื่อยังมีชีวิตอยูก็เปนถึงปานนี้ เมื่อชีวิตหาไมแลว ยิ่งจะ สกปรกหาอะไรเปรียบเทียบมิไดเลย เพราะฉะนั้นพระโยคาวจรเจาทั้ง หลายจึงพิจารณารางกายอันนี้ใหชำนิชำนาญดวย โยนิโสมนสิการ ตั้งแตตนมาทีเดียว คือขณะเมื่อยังเห็นไมทันชัดเจนก็พิจารณาสวนใดสวน หนึ่งแหงกายอันเปนที่สบายแกจริตจนกระทั่งปรากฏเปนอุคคหนิมิต คือ ปรากฏสวนแหงรางกายสวนใดสวนหนึ่งแลวก็กำหนดสวนนั้นใหมาก เจริญใหมาก ทำใหมาก การเจริญทำใหมากนั้นพึงทราบอยางนี้ อัน ชาวนาเขาทำนาเขาก็ทำที่แผนดิน ไถที่แผนดินดำลงไปในดิน ปตอไปเขา ก็ทำที่ดินอีกเชนเคย เขาไมไดทำในอากาศกลางหาว คงทำแตที่ดินอยาง เดียว ขาวเขาก็ไดเต็มยุงเต็มฉางเอง เมื่อทำใหมากในที่ดินนั้นแลว ไมตอง รองเรียกวา ขาวเอยขาว จงมาเต็มยุงเนอ ขาวก็จะหลั่งไหลมาเอง และ จะหามวา เขาเอยขาว จงอยามาเต็มยุงเต็มฉางเราเนอ ถาทำนาในที่ดิน นั้นเองจนสำเร็จแลว ขาวก็มาเต็มยุงเต็มฉางเอง ฉันใดก็ดีพระโยคาวจร เจาก็ฉันนั้น จงพิจารณากายในที่เคยพิจารณาอันถูกนิสัยหรือที่ปรากฏ มาใหเห็นครั้งแรก อยาละทิ้งเลยเปนอันขาด การทำใหมากนั้นมิใชหมาย แตการเดินจงกรมเทานั้น ใหมีสติหรือพิจารณาในที่ทุกสถานในกาลทุก เมื่อ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ คิด พูด ก็ใหมีสติรอบคอบในกายอยู เสมอจึงจะชื่อวา ทำใหมาก เมื่อพิจารณาในรางกายนั้นจนชัดเจนแลว 15
ใหพิจารณาแบงสวนแยกสวนออกเปนสวนๆ ตามโยนิโสมนสิการตลอด จนกระจายออกเปนธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และพิจารณาใหเห็น ไปตามนั้นจริงๆ อุบายตอนนี้ตามแตตนจะใครครวญออกอุบายตามที่ถูก จริตนิสัยของตน แตอยาละทิ้งหลักเดิมที่ตนไดรูครั้งแรกนั่นเทียว O พระโยคาวจรเจาเมื่อพิจารณาในที่นี้ พึงเจริญใหมาก ทำใหมาก อยาพิจารณาครั้งเดียวแลวปลอยทิ้งตั้งครึ่งเดือน ตั้งเดือน ใหพิจารณา กาวเขาไป ถอยออกมาเปน อนุโลม ปฏิโลม คือเขาไปสงบในจิต แลว ถอยออกมาพิจารณากาย อยางพิจารณากายอยางเดียว หรือสงบที่จิต แตอยางเดียว พระโยคาวจรเจาพิจารณาอยางนี้ชำนาญแลว หรือ ชำนาญอยางยิ่งแลว คราวนี้แลเปนสวนที่จะเปนเอง คือ จิต ยอมจะรวม ใหญ เมื่อรวมพึ่บลง ยอมปรากฏวาทุกสิ่งรวมลงเปนอันเดียวกันคือหมด ทั้งโลกยอมเปนธาตุทั้งสิ้น นิมิตจะปรากฏขึ้นพรอมกันวาโลกนี้ราบ เหมือนหนากลอง เพราะมีสภาพเปนอันเดียวกัน ไมวา ปาไม ภูเขา มนุษย สัตว แมที่สุดตัวของเราก็ตองลบราบเปนที่สุดอยางเดียวกัน พรอมกับ ญาณสัมปยุตต คือรูขึ้นมาพรอมกัน ในที่นี้ตัดความสนเทหใน ใจไดเลย จึงชื่อวา ยถาภูตญาณทัสสนวิปสสนา คือทั้งเห็นทั้งรูตามความ เปนจริง O ขั้นนี้เปนเบื้องตนในอันที่จะดำเนินตอไป ไมใชที่สุดอันพระโยคาว จรเจาจะพึงเจริญใหมาก ทำใหมาก จึงจะเปนเพื่อความรูยิ่งอีกจนรอบ จนชำนาญเห็นแจงชัดวา สังขารความปรุงแตงอันเปนความสมมติวาโนน เปนของของเรา โนนเปนเรา เปนความไมเที่ยงอาศัยอุปาทานความ ยึดถือจึงเปนทุกข ก็แลธาตุทั้งหลาย เขาหากมีหากเปนอยูอยางนี้ตั้งแต ไหนแตไรมา เกิด แก เจ็บ ตาย เกิดขึ้นเสื่อมไปอยูอยางนี้มากอน เราเกิด 16
ตั้งแตดึกดำบรรพก็เปนอยูอยางนี้ อาศัยอาการของจิต ของขันธ ๕ ไดแก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไปปรุงแตงสำคัญมั่นหมายทุก ภพทุกชาติ นับเปนอเนกชาติเหลือประมาณมาจนถึงปจจุบันชาติ จึง ทำใหจิตหลงอยูตามสมมติ ไมใชสมมติมาติดเอาเรา เพราะธรรมชาติทั้ง หลายทั้งหมดในโลกนี้ จะเปนของมีวิญญาณหรือไมก็ตาม เมื่อวาตาม ความจริงแลว เขาหากมีหากเปน เกิดขึ้นเสื่อมไป มีอยูอยางนั้นทีเดียว โดยไมตองสงสัยเลยจึงรูขึ้นวา ปุพฺเพสุ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ ธรรมดา เหลานี้ หากมีมาแตกอน ถึงวาจะไมไดยินไดฟงมาจากใครก็มีอยูอยางนั้น ทีเดียว ฉะนั้นในความขอนี้ พระพุทธเจาจึงทรงปฏิญาณพระองควา เรา ไมไดฟงมาแตใคร มิไดเรียนมาแตใครเพราะของเหลานี้มีอยู มีมาแตกอน พระองคดังนี้ ไดความวาธรรมดาธาตุทั้งหลายยอมเปนยอมมีอยูอยาง นั้น อาศัยอาการของจิตเขาไปยึดถือเอาสิ่งทั้งปวงเหลานั้นมาหลายภพ หลายชาติ จึงเปนเหตุใหอนุสัยครอบงำจิตจนหลงเชื่อไปตาม จึงเปนเหตุ ใหกอภพกอชาติดวยอาการของจิตเขาไปยึด ฉะนั้นพระโยคาวจรเจามา พิจารณา โดยแยบคายลงไปตามสภาพวา สพฺเพ สฺงขารา อนิจฺจา สพฺ เพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารความเขาไปปรุงแตง คือ อาการของจิตนั่นแล ไมเที่ยง สัตวโลกเขาเที่ยง คือมีอยูเปนอยูอยางนั้น ใหพิจารณาโดย อริย สัจจธรรมทั้ง ๔ เปนเครื่องแกอาการของจิตใหเห็นแนแทโดย ปจจักข สิทธิ วา ตัวอาการของจิตนี้เองมันไมเที่ยง เปนทุกข จึงหลงตามสังขาร เมื่อเห็นจริงลงไปแลวก็เปนเครื่องแกอาการของจิต จึงปรากฏขึ้นวา สงฺ ขารา สสฺสตา นตฺถิ สังขารทั้งหลายที่เที่ยงแทไมมี สังขารเปนอาการ ของจิตตางหาก เปรียบเหมือนพยับแดด สวนสัตวเขาก็อยูประจำโลกแต ไหนแตไรมา เมื่อรูโดยเงื่อน ๒ ประการ คือรูวา สัตวก็มีอยูอยางนั้น 17
สังขารก็เปนอาการของจิต เขาไปสมมติเขาเทานั้น ฐีติภูตํ จิตตั้งอยูเดิม ไมมีอาการเปนผูหลุดพน ไดความวา ธรรมดาหรือธรรมทั้งหลายไมใช ตน จะใชตนอยางไร ของเขาหากเกิดมีอยางนั้น ทานจึงวา สพฺเพ ธมฺ มา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายไมใชตน ใหพระโยคาวจรเจาพึงพิจารณาให เห็นแจงประจักษตามนี้จนทำใหจิตรวมพึ่บลงไป ใหเห็นจริงแจงชัดตาม นั้น โดย ปจจักขสิทธิ พรอมกับ ญาณสัมปยุตต รวมทวนกระแสแก อนุสัยสมมติเปนวิมุตติ หรือรวมลงฐีติจิต อันเปนอยูมีอยูอยางนั้นจนแจง ประจักษในที่นั้นดวยญาณสัมปยุตตวา ขีณา ชาติ ญาณํ โหติ ดังนี้ ในที่ นี้ไมใชสมมติไมใชของแตงเอาเดาเอา ไมใชของอันบุคคลพึงปรารถนา เอาได เปนของที่เกิดเอง เปนเอง รูเอง โดยสวนเดียวเทานั้น เพราะดวย การปฏิบัติอันเขมแข็งไมทอถอย พิจารณาโดยแยบคายดวยตนเอง จึงจะ เปนขึ้นมาเอง ทานเปรียบเหมือนตนไมตางๆ มีตนขาวเปนตน เมื่อบำรุง รักษาตนมันใหดีแลว ผลคือรวงขาวไมใชสิ่งอันบุคคลพึงปรารถนา เอาเลย เปนขึ้นมาเอง ถาแลบุคคลมาปรารถนาเอาแตรวงขาว แตหาได รักษาตนขาวไม เปนผูเกียจคราน จะปรารถนาจนวันตาย รวงขาวก็จะ ไมมีขึ้นมาใหฉันใด วิมฺตติธรรม ก็ฉันนั้นนั่นแล มิใชสิ่งอันบุคคลจะพึง ปรารถนาเอาได คนผูปรารถนาวิมุตติธรรมแตปฏิบัติไมถูกตองหรือไม ปฏิบัติมัวเกียจครานจนวันตายจะประสบวิมุตติธรรมไมไดเลย ดวย ประการฉะนี้ ๑๐. จิตเดิมเปนธรรมชาติใสสวาง แตมืดมัวไปเพราะอุปกิเลส O ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุ ปกฺกิลิฏฐํ 18
O ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เสื่อมปภัสสรแจงสวางมาเดิม แตอาศัย อุปกิเลสเครื่องเศราหมองเปนอาคันตุกะสัญจรมาปกคลุมหุมหอ จึงทำให จิตมิสองแสงสวางได ทานเปรียบไวในบทกลอนหนึ่งวา "ไมชะงกหกพัน งา(กิ่ง) กะปอมกากิ้งกาฮอย กะปอมนอยขึ้นมื้อพัน ครั้นตัวมาบทัน ขึ้น นำคูมื้อๆ" โดยอธิบายวา คำวาไมชะงก ๖,๐๐๐ งานั้นเมื่อตัดศูนย ๓ ศูนยออกเสียเหลือแค ๖ คงไดความวา ทวารทั้ง ๖ เปนที่มาแหงกะปอ มกา คือของปลอมไมใชของจริง กิเลสทั้งหลายไมใชของจริง เปนสิ่ง สัญจรเขามาในทวารทั้ง ๖ นับรอยนับพัน มิใชแตเทานั้น กิเลสทั้งหลาย ที่ยังไมเกิดขึ้นก็จะทวียิ่งๆ ขึ้นทุกๆ วัน ในเมื่อไมแสวงหาทางแก ธรรมชาติของจิตเปนของผองใสยิ่งกวาอะไรทั้งหมด แตอาศัยของปลอม กลาวคืออุปกิเลสที่สัญจรเขามาปกคลุมจึงทำใหหมดรัศมี ดุจพระอาทิตย เมื่อเมฆบดบังฉะนั้น อยาพึงเขาใจวาพระอาทิตยเขาไปหาเมฆ เมฆไหล มาบดบังพระอาทิตยตางหาก ฉะนั้น ผูบำเพ็ญเพียรทั้งหลายเมื่อรูโดย ปริยายนี้แลว พึงกำจัดของปลอมดวยการพิจารณาโดยแยบคายตามที่ อธิบายแลวในอุบายแหงวิปสสนาขอ ๙ นั้นเถิด เมื่อทำใหถึงขั้นฐีติจิต แลว ชื่อวายอมทำลายของปลอมไดหมดสิ้นหรือวาของปลอมยอมเขาไป ถึงฐีติจิต เพราะสะพานเชื่อมตอถูกทำลายขาดสะบั้นลงแลว แมยังตอง เกี่ยวของกับอารมณของโลกอยูก็ยอมเปนดุจน้ำกลิ้งบนใบบัวฉะนั้น ๑๑. การทรมานตนของผูบำเพ็ญเพียร ตองใหพอเหมาะกับอุปนิสัย O นายสารถีผูฝกมามีชื่อเสียงคนหนึ่ง มาเฝาพระพุทธเจาทูลถาม ถึงวิธีทรมานเวไนย พระองคทรงยอนถามนายสารถีกอนถึงการทรมาณ มา เขาทูลวามามี ๔ ชนิด คือ ๑. ทรมานงาย ๒. ทรมานอยางกลาง ๓. 19
ทรมานยากแท ๔. ทรมานไมไดเลย ตองฆาเสีย พระองคจึงตรัสวาเราก็ เหมือนกัน ๑. ผูทรมาณงาย คือผูปฏิบัติทำจิตรวมงายใหกินอาหารเพียง พอ เพื่อบำรุงรางกาย ๒. ผูทรมานอยางกลาง คือผูปฏิบัติทำจิตไมคอย จะลง ก็ใหกินอาหารแตนอยอยาใหมาก ๓. ทรมานยากแท คือผูปฏิบัติ ทำจิตลงยากแท ไมตองใหกินอาหารเลย แตตองเปน อตฺตฺู รูกำลัง ของตนวาจะทนทานไดสักเพียงไร แคไหน ๔. ทรมานไมไดเลย ตองฆา เสีย คือผูปฏิบัติทำจิตไมได เปน ปทปรมะ พระองคทรงชักสะพานเสีย กลาวคือไมทรงรับสั่งสอน อุปมาเหมือนฆาทิ้งเสียฉะนั้น ๑๒. มูลติกสูตร O ติกแปลวา ๓ มูลแปลวาเคามูลรากเหงา รวมความวาสิ่งซึ่งเปน รากเหงาเคามูลอยางละ ๓ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ก็เรียก ๓ อกุศลมูล ตัณหา ก็มี ๓ คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา โอฆะและอาสวะก็มี อยางละ ๓ คือ กามะ ภาวะ อวิชชา ถาบุคคลมาเปนไปกับดวย ๓ เชนนี้ ติปริวตฺตํ ก็ตองเวียนไปเปน๓ ๓ ก็ตองเปนโลก ๓ คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก อยูอยางนั้นแล เพราะ ๓ นั้นเปนเคามูลโลก ๓ เครื่องแกก็มี ๓ คือ ศีล สมาธิ ปญญา เมื่อบุคคลดำเนินตนตามศีล สมาธิ ปญญา อันเปนเครื่องแก น ติปริวตฺตํ ก็ไมตองเวียนไปเปน๓ ๓ ก็ไมเปน โลก ๓ ชื่อวาพนจากโลก ๓ แล ๑๓. วิสุทธิเทวาเทานั้นเปนสันตบุคคลแท O อกุปฺป สพฺพธมฺเมสุ เญยฺยธมฺมา ปเวสฺสนฺโต O บุคคลผูมีจิตไมกำเริบในกิเลสทั้งปวง รูธรรมทั้งหลายทั้งที่เปน 20
พหิทธาธรรม ทั้งที่เปน อัชฌัตติกาธรรม สนฺโต จึงเปนผูสงบระงับ สัน ตบุคคลเชนนี้แลที่จะบริบูรณดวยหิริโอตตัปปะ มีธรรมบริสุทธิ์สะอาด มี ใจมั่นคงเปนสัตบุรุษผูทรงเทวธรรมตามความในพระคาถาวา หิริ โอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร อุปตติเทวา ผูพรั่งพรอมดวยกามคุณ วุนวายอยูดวยกิเลส เหตุ ไฉนจึงจะเปนสันตบุคคลได ความในพระคาถานี้ยอมตองหมายถึงวิสุทธิ เทวา คือพระอรหันตแนนอน ทานผูเชนนั้นเปนสันตบุคคลแท สมควรจะ เปนผูบริบูรณดวยหิริโอตตัปปะ และ สุกฺกธรรม คือ ความบริสุทธิ์แท ๑๔. อกิริยาเปนที่สุดในโลก - สุดสมมติบัญญัติ f สจฺจานํ จตุโร ปทา ขีณาสวา ชุติมนฺโต เต โลเก ปรินิพฺพุตา O สัจธรรมทั้ง ๔ คือ ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ยังเปนกิริยา เพราะ แตละสัจจะๆ ยอมมีอาการตองทำคือ ทุกข-ตองกำหนดรู สมุทัย-ตองละ นิโรธ-ตองทำใหแจง มรรค-ตองเจริญใหมาก ดังนี้ลวนเปนอาการที่จะ ตองทำทั้งหมด ถาเปนอาการที่จะตองทำ ก็ตองเปนกิริยาเพราะเหตุนั้น จึงรวมความไดวาสัจจะทั้ง ๔ เปนกิริยา จึงสมกับบาทคาถาขางตนนั้น ความวาสัจจะทั้ง ๔ เปนเทาหรือเปนเครื่องเหยียบกาวขึ้นไป หรือกาว ขึ้นไป ๔ พักจึงจะเสร็จกิจ ตอจากนั้นไปจึงเรียกวา อกิริยา O อุปมา ดังเขียนเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ แลวลบ ๑ ถึง ๙ ทิ้งเสีย เหลือแต ๐ (ศูนย) ไมเขียนอีกตอไป คงอานวา ศูนย แตไมมีคา อะไรเลย จะนำไปบวกลบคูณหารกับเลขจำนวนใดๆ ไมไดทั้งสิ้นแตจะ ปฏิเสธวาไมมีหาไดไม เพราะปรากฏอยูวา ๐ (ศูนย) นี่แหละ คือปญญา รอบรู เพราะลายกิริยา คือ ความสมมติ หรือวาลบสมมติลงเสียจนหมด 21
สิ้น ไมเขาไปยึดถือสมมติทั้งหลาย คำวาลบ คือทำลายกิริยา กลาวคือ ความสมมติ มีปญหาสอดขึ้นมาวา เมื่อทำลายสมมติหมดแลวจะไปอยู ที่ไหน? แกวา ไปอยูในที่ไมสมมติ คือ อกิริยา นั่นเอง เนื้อความตอนนี้ เปนการอธิบายตามอาการของความจริง ซึ่งประจักษแกผูปฏิบัติโดย เฉพาะ อันผูไมปฏิบัติหาอาจรูไดไม ตอเมื่อไรฟงแลวทำตามจนรูเองเห็น เองนั่นแลจึงจะเขาใจได O ความแหง ๒ บาทคาถาตอไปวา พระขีณาสวเจาทั้งหลายดับโลก สามรุงโรจนอยู คือทำการพิจารณาบำเพ็ยเพียรเปน ภาวิโต พหุลีกโต คือทำใหมาก เจริญใหมาก จนจิตมีกำลังสามารถพิจารณาสมมติทั้ง หลายทำลายสมมติทั้งหลายลงไปไดจนเปนอกิริยาก็ยอมดับโลกสามได การดับโลกสามนั้น ทานขีณาสวเจาทั้งหลายมิไดเหาะขึ้นไปนกามโลก รูปโลก อรูปโลกเลยทีเดียว คงอยูกับที่นั่นเอง แมพระบรมศาสดาของ เราก็เชนเดียวกัน พระองคประทับนั่งอยู ณ ควงไมโพธิพฤกษแหง เดียวกัน เมื่อจะดับโลกสาม ก็มิไดเหาะขึ้นไปในโลกสาม คงดับอยูที่จิต ทิ่ จิตนั้นเองเปนโลกสาม ฉะนั้น ทานผูตองการดับโลกสาม พึงดับที่จิตของ ตนๆ จึงทำลายกิริยา คือตัวสมมติหมดสิ้นจากจิต ยังเหลือแตอกิริยา เปนฐีติจิต ฐีติธรรมอันไมรูจักตาย ฉะนี้แล ๑๕. สัตตาวาส ๙ O เทวาพิภพ มนุสสโลก อบายโลก จัดเปนกามโลก ที่อยูอาศัยของ สัตวเสพกามรวมเปน ๑ รูปโลก ที่อยูอาศัยของสัตวผูสำเร็จรูปฌานมี ๔ อรูปโลก ที่อยูอาศัยของสัตวผูสำเร็จอรูปฌานมี ๔ รวมทั้งสิ้น ๙ เปนที่ อยูอาศัยของสัตว ผูมารูเทาสัตตาวาส ๙ กลาวคือ พระขีณาสวเจาทั้ง 22
หลาย ยอมจากที่อยูของสัตว ไมตองอยูในที่ ๙ แหงนี้ และปรากฏใน สามเณรปญหาขอสุดทายวา ทส นาม กึ อะไรชื่อวา ๑๐ แกวา ทสหงฺ เคหิ สมนฺนาคโต พระขีณาสวเจาผูประกอบดวยองค ๑๐ ยอมพนจากสัต ตาวาส ๙ ความขอนี้คงเปรียบไดกับการเขียนเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ นั่นเอง ๑ ถึง ๙ เปนจำนวนที่นับได อานได บวกลบคูณหารกันได สวน ๑๐ ก็คือ เลข ๑ กับ ๐ (ศูนย) เราจะเอา ๐ (ศูนย) ไปบวกลบคูณ หารกับเลขจำนวนใดๆ ก็ไมทำใหเลขจำนวนนั้นมีคาสูงขึ้น และ ๐ (ศูนย) นี้เมื่ออยูโดยลำพังก็ไมมีคาอะไร แตจะวาไมมีก็ไมได เพราะเปนสิ่งปรากฏ อยู ความเปรียบนี้ฉันใด จิตใจก็ฉันนั้นเปนธรรมชาติ มีลักษณะเหมือน ๐ (ศูนย) เมื่อนำไปตอเขากับเลขตัวใด ยอมทำใหเลขตัวนั้นเพิ่มคาขึ้นอีก มาก เชน เลข ๑ เมื่อเอาศูนยตอเขา ก็กลายเปน ๑๐ (สิบ) จิตใจเรานี้ก็ เหมือนกัน เมื่อตอเขากับสิ่งทั้งหลายก็เปนของวิจิตรพิสดารมากมายขึ้น ทันที แตเมื่อไดรับการฝกฝนอบรมจนฉลาดรอบรูสรรพเญยฺยธรรมแลว ยอมกลับคืนสูสภาพ ๐ (ศูนย) คือ วางโปรงพนจากการนับการอานแลว มิไดอยูในที่ ๙ แหงอันเปนที่อยูของสัตว แตอยูในที่หมดสมมติบัญญัติคือ สภาพ ๐ (ศูนย) หรืออกิริยาดังกลาวในขอ ๑๔ นั่นเอง ๑๖. ความสำคัญของปฐมเทศนา มัชฌิมเทศนา และปจฉิมเทศนา O พระธรรมเทศนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาใน ๓ กาลมี ความสำคัญยิ่ง อันพุทธบริษัทควรสนใจพิจารณาเปนพิเศษ คือ O ก. ปฐมโพธิกาล ไดทรงแสดงธรรมแกพระปญจวัคคีย ที่ปาอิสิป ตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี เปนครั้งแรกเปนปฐมเทศนา เรียกวา ธรรมจักร เบื้องตนทรงยกสวนสุด ๒ อยางอันบรรพชิตไมควรเสพขึ้นมา 23
แสดงวา เทว เม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา ภิกษุทั้งหลาย สวนที่สุด ๒ อยางอันบรรพชิตไมพึงเสพ คือ กามสุขัลลิกา และอัตตกิลม ถา อธิบายวา กามสุขัลลิกา เปนสวนแหงความรัก อัตตกิลมถา เปนสวน แหงความชังทั้ง ๒ สวนนี้เปนตัวสมุทัย เมื่อผูบำเพ็ญตบะธรรมทั้งหลาย โดยอยูซึ่งสวนทั้งสองนี้ ชื่อวายังไมเขาทางกลาง เพราะเมื่อบำเพ็ญเพียร พยายามทำสมาธิ จิตสงบสบายดีเต็มที่ก็ดีใจ ครั้นเมื่อจิตนึกคิดฟุงซาน รำคาญก็เสียใจ ความดีใจนั้น คือ กามสุขัลลิกา ความเสียใจนั้นแล คือ อัตตกิลมถา ความดีใจก็เปนราคะ ความเสียใจก็เปนโทสะ ความไมรูเทา ในราคะ โทสะ ทั้งสองนี้เปนโมหะ ฉะนั้น ผูที่พยายามประกอบความ เพียรในเบื้องแรกตองกระทบสวนสุดทั้งสองนั้นแลกอน ถาเมื่อกระทบ สวน ๒ นั้นอยู ชื่อวาผิดอยูแตเปนธรรมดาแททีเดียว ตองผิดเสียกอนจึง ถูก แมพระบรมศาสดาแตกอนนั้นพระองคก็ผิดมาเต็มที่เหมือนกัน แม พระอัครสาวกทั้งสอง ก็ซ้ำเปนมิจฉาทิฐิมากอนแลวทั้งสิ้น แมสาวกทั้ง หลายเหลาอื่นๆ ก็ลวนแตผิดมาแลวทั้งนั้น ตอเมื่อพระองคมาดำเนินทาง กลาง ทำจิตอยูภายใตรมโพธิพฤกษ ไดญาณ ๒ ในสองยามเบื้องตนใน ราตรี ไดญาณที่ ๓ กลาวคืออาสวักขยญาณในยามใกลรุง จึงไดถูกทาง กลางอันแทจริงทำจิตของพระองคใหพนจากความผิด กลาวคือ...สวนสุด ทั้งสองนั้น พนจากสมมติโคตร สมมติชาติ สมมติวาส สมมติวงศ และ สมมติประเพณี ถึงความเปนอริยโคตร อริยชาติ อริยวาส อริยวงศ และ อริยประเพณี สวนอริยสาวกทั้งหลายนั้นเลาก็มารูตามพระองค ทำใหได อาสวักขยญาณพนจากความผิดตามพระองคไป สวนเราผูปฏิบัติอยูใน ระยะแรกๆ ก็ตองผิดเปนธรรมดา แตเมื่อผิดก็ตองรูเทาแลวทำใหถูก เมื่อ ยังมีดีใจเสียใจในการบำเพ็ญบุญกุศลอยู ก็ตกอยูในโลกธรรม เมื่อตกอยู 24
ในโลกธรรม จึงเปนผูหวั่นไหวเพราะความดีใจเสียใจนั่นแหละ ชื่อวา ความหวั่นไหวไปมา อุปฺปนฺโน โข เม โลกธรรมจะเกิดที่ไหน เกิดที่เรา โลกธรรมมี ๘ มรรคเครื่องแกก็มี ๘ มรรค ๘ เครื่องแกโลกธรรม ๘ ฉะนั้น พระองคจึงทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทาแกสวน ๒ เมื่อแกสวน ๒ ได แลวก็เขาสูอริยมรรค ตัดกระแสโลก ทำใจใหเปนจาโค ปฏินิสฺสคฺโค มุตฺติ อนาลโย (สละสลัดตัดขาดวางใจหายหวง) รวมความวา เมื่อสวน ๒ ยังมี อยูในใจผูใดแลว ผูนั้นก็ยังไมถูกทาง เมื่อผูมีใจพนจากสวนทั้ง ๒ แลว ก็ ไมหวั่นไหว หมดธุลี เกษมจากโยคะ จึงวาเนื้อความแหงธรรมจักรสำคัญ มาก พระองคทรงแสดงธรรมจักรนี้ยังโลกธาตุใหหวั่นไหว จะไมหวั่นไหว อยางไร เพราะมีใจความสำคัญอยางนี้ โลกธาตุก็มิใชอะไรอื่น คือตัวเรา นี้เอง ตัวเราก็คือธาตุของโลก หวั่นไหวเพราะเห็นในของที่ไมเคยเห็น เพราะจิตพนจากสวน ๒ ธาตุของโลกจึงหวั่นไหว หวั่นไหวเพราะจะไมมา กอธาตุของโลกอีกแล O ข. มัชฌิมโพธิกาล ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขในชุมชนพระ อรหันต ๑,๒๕๐ องค ณ พระราชอุทยานเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤหใจความสำคัญตอนหนึ่งวา อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ พึงเปนผูทำจิตใหยิ่ง การที่จะทำจิตใหยิ่งไดตองเปนผูสงบ ระงับ อิจฺฉา โลภสมาปนฺโน สมโณ กึ ภวิสฺสติ เมื่อประกอบดวยความ อยากดิ้นรนโลภหลงอยูแลวจักเปนผูสงระงับไดอยางไร ตองเปนผูปฏิบัติ คือปฏิบัติพระวินัยเปนเบื้องตน และเจริญกรรมฐานตั้งตนแตการเดิน จงกรม นั่งสมาธิ ทำใหมาก เจริญใหมาก ในการพิจารณามหาสติปฏ ฐาน มีกายนุปสสนาสติปฏฐาน เปนเบื้องแรก พึงพิจารณาสวนแหง รางกาย โดยอาการแหงบริกรรมสวนะคือ พิจารณาโดยอาการคาด 25
คะเน วาสวนนั้นเปนอยางนั้นดวยการมีสติสัมปชัญญะไปเสียกอน เพราะเมื่อพิจารณาเชนนี้ใจไมหางจากกาย ทำใหรวมงาย เมื่อทำใหมาก ในบริกรรมสวนะแลว จักเกิดขึ้นซึ่งอุคคหนิมิตใหชำนาญในที่นั้นจนเปน ปฏิภาค ชำนาญในปฏิภาคโดยยิ่งแลวจักเปนวิปสสนา เจริญวิปสสนาจน เปนวิปสสนาอยางอุกฤษฏ ทำจิตเขาถึงฐีติภูตํ ดังกลาวแลวในอุบายแหง วิปสสนาชื่อวาปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแลว โมกฺขํ จึงจะขามพน จึงพนจากโลก ชื่อวาโลกุตตรธรรม เขมํ จึงเกษมจากโยคะ (เครื่องรอย) ฉะนั้น เนื้อ ความในมัชฌิมเทศนาจึงสำคัญเพราะเล็งถึงวิมุตติธรรมดวยประการฉะนี้ และฯ O ค. ปจฉิมโพธิกาล ทรงแสดงปจฉิมเทศนาในที่ชุมชนพระอริย สาวก ณ พระราชอุทยานสาลวันของมัลลกษัตริยกรุงกุสินารา ในเวลา จวนจะปรินิพพานวา หนฺทานิ อามนฺตยามิ โว ภิกฺขเว ปฏิเวทยามิ โว ภิกฺขเว ขยวยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ เราบอกทานทั้ง หลายวาจงเปนผูไมประมาท พิจารณาสังขารที่เกิดขึ้นแลวเสื่อมไป เมื่อ ทานทั้งหลายพิจารณาเชนนั้นจักเปนผูแทงตลอด พระองคตรัสพระ ธรรมเทศนาเพียงเทานี้ก็ปดพระโอษฐมิไดตรัสอะไรตอไปอีกเลย จึงเรียก วา ปจฉิมเทศนาอธิบายความตอไปวา สังขารมันเกิดขึ้นที่ไหน อะไรเปน สังขาร สังขารมันก็เกิดขึ้นที่จิตของเราเองเปนอาการของจิตพาใหเกิด ขึ้นซึ่งสมมติทั้งหลาย สังขารนี้แล เปนตัวการสมมติบัญญัติสิ่งทั้งหลาย ในโลกความจริงในโลกทั้งหลายหรือธรรมธาตุทั้งหลายเขามีเขาเปนอยู อยางนั้น แผนดิน ตนไม ภูเขา ฟา แดด เขาไมไดวาเขาเปนนั้นเปนนี้เลย เจาสังขารตัวการนี้เขาไปปรุงแตงวา เขาเปนนั้นเปนนี้จนหลงกันวาเปน จริง ถือเอาวาเปนตัวเรา เปนของๆ เราเสียสิ้น จึงมี ราคะ โทสะ โมหะ 26
เกิดขึ้นทำจิตดั้งเดิมใหหลงตามไป เกิด แก เจ็บ ตาย เวียนวายไปไมมีที่ สิ้นสุด เปนอเนกภพ อเนกชาติ เพราะเจาตัวสังขารนั้นแลเปนตัวเหตุ จึง ทรงสอนใหพิจารณาสังขารวา สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา ใหเปนปรีชาญาณชัดแจง เกิดจากผลแหงการเจริญปฏิภาคเปน สวนเบื้องตน จนทำจิตใหเขาภวังค เมื่อกระแสแหงภวังคหายไป มีญาณ เกิดขึ้นวา "นั้นเปนอยางนั้น เปนสภาพไมเที่ยง เปนทุกข" เกิดขึ้นในจิต จริงๆ จนชำนาญเห็นจริงแจงประจักษ ก็รูเทาสังขารได สังขารก็จะมา ปรุงแตงใหจิตกำเริบอีกไมได ไดในคาถาวา อกุปฺป สพฺพธมฺเมสุ เญยฺยธมฺ มา ปเวสฺสนฺโต เมื่อสังขารปรุงแตงจิตไมไดแลว ก็ไมกำเริบรูเทาธรรมทั้ง ปวง สนฺโต ก็เปนผูสงบระงับถึงซึ่งวิมุตติธรรม ดวยประการฉะนี้ ปจฉิมเทศนานี้เปนคำสำคัญแท ทำใหผูพิจารณารูแจงถึงที่สุด พระองค จึงไดปดพระโอษฐแตเพียงนี้ O พระธรรมเทศนาใน ๓ กาลนี้ ยอมมีความสำคัญเหนือความ สำคัญในทุกๆ กาล ปฐมเทศนาก็เล็งถึงวิมุตติธรรม มัชฌิมเทศนาก็เล็งถึง วิมุตติธรรม ปจฉิมเทศนาก็เล็งถึงวิมุตติธรรม รวมทั้ง ๓ กาล ลวนแตเล็ง ถึงวิมุตติธรรมทั้งสิ้น ดวยประการฉะนี้ ๑๗. พระอรหันตทุกประเภทบรรลุทั้งเจโตวิมุตติ ทั้งปญญาวิมุตติ O อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปฺญาวิมุตฺตึ ทิฏเฐว ธมฺเม สยํ อภิฺญา สจฺฉิกตวา อุปฺปสมฺปชฺช วิหรติ พระบาลีนี้แสดงวาพระอรหันตทั้ง หลายไมวาประเภทใดยอมบรรลุทั้งเจโตวิมุตติ ทั้งปญญาวิมุตติ...ที่ ปราศจากอาสวะในปจจุบัน หาไดแบงแยกไววา ประเภทนั้นบรรลุแตเจ โตวิมุตติ หรือปญญาวิมุติไม ที่เกจิอาจารยแตงอธิบายไววา เจโตวิมุตติ 27
เปนของพระอรหันตผูไดสมาธิกอน สวนปญญาวิมุตติเปนของพระอรหัน ตสุกขวิปสสกผูเจริญวิปสสนาลวนๆ นั้นยอมขัดแยงตอมรรค มรรค ประกอบดวยองค ๘ มีทั้งสัมมาทิฏฐิ ทั้งสัมมาสมาธิ ผูจะบรรลุวิมุตติ ธรรมจำตองบำเพ็ญมรรค ๘ บริบูรณ มิฉะนั้นก็บรรลุวิมุตติธรรมไมได ไตรสิกขาก็มีทั้งสมาธิ ทั้งปญญา อันผูจะไดอาสวักขยญาณจำตอง บำเพ็ญไตรสิกขาใหบริบูรณทั้ง ๓ สวน ฉะนั้นจึงวา พระอรหันตทุก ประเภทตองบรรลุทั้งเจโตวิมุตติ ทั้งปญญาวิมุตติดวยประการฉะนี้แลฯ
28
มุตโตทัย บันทึกโดย พระอาจารยวัน อุตฺตโม และ พระอาจารยทองคำ ญาโณ ภาโส ณ วัดปาบานหนองผือ อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร พ.ศ. ๒๔๙๑ - ๒๔๙๒ ๑. เรื่อง มูลกรรมฐาน กุลบุตรผูบรรพชาอุปสมบทเขามาในพระพุทธศาสนานี้แลว ใครเลาไม เคยเรียนกรรมฐานมา บอกไดทีเดียววาไมเคยมี พระอุปชฌายทุกองค เมื่อบวชกุลบุตรจะไมสอนกรรมฐานกอนแลวจึงใหผาภายหลังไมมี ถา อุปชฌายองคใดไมสอนกรรมฐานกอน อุปชฌายองคนั้นดำรงความเปน อุปชฌายะตอไปไมได ฉะนั้นกุลบุตรผูบวชมาแลวจึงไดชื่อวาเรียน กรรมฐานมาแลว ไมตองสงสัยวาไมไดเรียน O พระอุปชฌายะสอนกรรมฐาน ๕ คือ เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟน ตโจ หนัง ในกรรมฐานทั้ง ๕ นี้ มีหนังเปนที่สุด ทำไมจึง สอนถึงหนังเทานั้น? เพราะเหตุวา หนัง มันเปนอาการใหญ คนเราทุก คนตองมีหนังหุมหอ ถาไมมีหนัง ผม ขน เล็บ ฟน ก็อยูไมได ตองหลุด หลนทำลายไป เนื้อ กระดูก เอ็น และอาการทั้งหมดในรางกายนี้ ก็จะอยู ไมได ตองแตกตองทำลายไป คนเราจะหลงรูปก็มาหลง หนัง หมายความ สวยๆ งามๆ เกิดความรักใครแลวก็ปรารถนาเพราะมาหมายอยูที่หนัง เมื่อเห็นแลวก็สำคัญเอาผิวพรรณของมัน คือผิว ดำ-ขาว-แดง-ดำแดง29
ขาวแดง ผิวอะไรตออะไร ก็เพราะหมายสีหนัง ถาไมมีหนังแลว ใครเลา จะหมายวาสวยงาม? ใครเลาจะรักจะชอบจะปรารถนา? มีแตจะเกลียด หนายไมปรารถนา ถาหนังไมหุมหออยูแลว เนื้อเอ็นและอาการอื่นๆ ก็จะ อยูไมได ทั้งจะประกอบกิจการอะไรก็ไมได จึงวาหนังเปนของสำคัญนัก จะเปนอยูไดกินก็เพราะหนัง จะเกิดความหลงสวยหลงงามก็เพราะมีหนัง ฉะนั้นพระอุปชฌายะทานจึงสอนถึงแตหนังเปนที่สุด ถาเรามาตั้งใจ พิจารณาจนใหเห็นความเปอยเนาเกิดอสุภนิมิต ปรากฏแนแกใจแลว ยอมจะเห็นอนิจจสัจจธรรม ทุกขสัจจธรรม อนัตตาสัจจธรรม จึงจะแก ความหลงสวยหลงงามอันมั่นหมายอยูที่หนังยอมไมสำคัญหมาย และไม ชอบใจ ไมปรารถนาเอาเพราะเห็นตามความเปนจริง เมื่อใดเชื่อคำสอน ของพระอุปชฌายะไมประมาทแลว จึงจะไดเห็นสัจจธรรม ถาไมเชื่อคำ สอนพระอุปชฌายะ ยอมแกความหลงของตนไมได ยอมตกอยูในบวง แหงรัชชนิอารมณ ตกอยูในวัฏจักร เพราะฉะนั้น คำสอนที่พระ อุปชฌายะไดสอนแลวแตกอนบวชนั้น เปนคำสอนที่จริงที่ดีแลวเราไม ตองไปหาทางอื่นอีก ถายังสงสัย ยังหาไปทางอื่นอีกชื่อวายังหลงงมงาย ถาไมหลงจะไปหาทำไม คนไมหลงก็ไมมีการหา คนที่หลงจึงมีการหา หา เทาไรยิ่งหลงไปไกลเทานั้น ใครเปนผูไมหา มาพิจารณาอยูในของที่มีอยู นี้ ก็จะเห็นแจงซึ่งภูตธรรม ฐีติธรรม อันเกษมจากโยคาสวะทั้งหลาย O ความในเรื่องนี้ ไมใชมติของพระอุปชฌายะทั้งหลายคิดไดแลว สอนกุลบุตรตามมติของใครของมัน เนื่องดวยพุทธพจนแหงพระพุทธ องคเจา ไดทรงบัญญัติไวใหอุปชฌายะเปนผูสอนกุลบุตรผูบวชใหม ให กรรมฐานประจำตน ถามิฉะนั้นก็ไมสมกับการออกบวชที่ไดสละบาน เรือนครอบครัวออกมาบำเพ็ญเนกขัมมธรรม หวังโมกขธรรม การบวชก็ 30
จะเทากับการทำเลน พระองคไดทรงบัญญัติมาแลว พระอุปชฌายะทั้ง หลายจึงดำรงประเพณีนี้สืบมาตราบเทาทุกวันนี้ พระอุปชฌายะสอนไม ผิด สอนจริงแทๆ เปนแตกุลบุตรผูรับเอาคำสอนไมตั้งใจ มัวประมาทลุม หลงเอง ฉะนั้นความในเรื่องนี้ วิญูชนจึงไดรับรองทีเดียววา เปนวิสุทธิ มรรคเที่ยงแท ๒. เรื่อง ศีล f สีลํ สีลา วิย ศีล คือความปกติ อุปมาไดเทากับหินซึ่งเปนของ หนักและเปนแกนของดิน แมจะมีวาตธาตุมาเปาสักเทาใด ก็ไมมีการ สะเทือนหวั่นไหวเลย แตวาเราจะสำคัญถือแตเพียงคำวา ศีล เทานั้น ก็จะ ทำใหเรางมงายอีก ตองใหรูจักเสียวาศีลนั้นอยูที่ไหน? มีตัวตนเปน อยางไร? อะไรเลาเปนตัวศีล? ใครเปนผูรักษา? ถารูจักวาใครเปนผู รักษาแลว ก็จะรูจักวาผูนั้นเปนตัวศีล ถาไมเขาใจเรื่องศีล ก็จะงมงายไม ถือศีลเพียงนอกๆ เดี๋ยวก็ไปหาเอาที่นั้นทีนี้จึงจะมีศีล ไปขอเอาที่นั่นที่นี่ จึงมี เมื่อยังเที่ยวหาเที่ยวขออยูไมใชหลงศีลดอกหรือ? ไมใชสีลพัตต ปรามาสถือนอกๆ ลูบๆ คลำๆ อยูหรือ? f อิทํ สจฺจาภินิเวสทิฏฐิ จะเห็นความงมงายของตนวาเปนของจริง เที่ยงแท ผูไมหลงยอมไมไปเที่ยวขอเที่ยวหา เพราะเขาใจแลววา ศีลก็อยู ที่ตนนี้ จะรักษาโทษทั้งหลายก็ตนเปนผูรักษา ดังที่วา "เจตนาหํ ภิกฺขเว สีลํ วทามิ" เจตนา เปนตัวศีล เจตนา คืออะไร? เจตนานี้ตองแปลงอีกจึง จะไดความ ตองเอาสระ เอ มาเปน อิ เอา ต สะกดเขาไป เรียกวา จิตฺต คือจิตใจ คนเราถาจิตใจไมมี ก็ไมเรียกวาคน มีแตกายจะสำเร็จการทำ อะไรได? รางกายกับจิตตองอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตใจไมเปนศีล กาย 31
ก็ประพฤติไปตางๆ จึงกลาวไดวาศีลมีตัวเดียว นอกนั้นเปนแตเรื่องโทษที่ ควรละเวน โทษ ๕ โทษ ๘ โทษ ๑๐ โทษ ๒๒๗ รักษาไมใหมีโทษตางๆ ก็ สำเร็จเปนศีลตัวเดียว รักษาผูเดียวนั้นไดแลวมันก็ไมมีโทษเทานั้นเอง ก็ จะเปนปกติแนบเนียนไมหวั่นไหว ไมมีเรื่องหลงมาหาหลงขอ คนที่หาขอ ตองเปนคนทุกข ไมมีอะไรจึงเที่ยวหาขอ เดี๋ยวก็กลาวยาจามิๆ ขอแลวขอ เลาขอเทาไรยิ่งไมมียิ่งอดอยากยากเข็ญ เราไดมาแลวมีอยูแลวซึ่งกาย กับจิต รูปกายก็เอามาแลวจากบิดามารดาของเรา จิตก็มีอยูแลว ชื่อวา ของเรามีพรอมบริบูรณแลว จะทำใหเปนศีลก็ทำเสียไมตองกลาววาศีลมี อยูที่โนนที่นี้ กาลนั้นจึงจะมีกาลนี้จึงจะมี ศีลมีอยูที่เรานี้แลว อกาลิโก รักษาไดไมมีกาล ไดผลก็ไมมีกาล O เรื่องนี้ตองมีหลักฐานพรอมอีก เมื่อครั้งพุทธกาลนั้น พวก ปญจวัคคียก็ดี พระยสและบิดามารดาภรรยาเกาของทานก็ดี ภัททวัคคีย ชฏิลทั้งบริวารก็ดี พระเจาพิมพิสาร และราชบริพาร ๑๒ นหุตก็ดี ฯลฯ กอนจะฟงพระธรรมเทศนาของพระผูมีพระภาคเจา ไมปรากฏวาได สมาทานศีลเสียกอนจึงฟงเทศนา พระองคเทศนาไปทีเดียว ทำไมทาน เหลานั้นจึงไดสำเร็จมรรคผล ศีล สมาธิ ปญญา ของทานเหลานั้นมาแต ไหน ไมเห็นพระองคตรัสบอกใหทานเหลานั้นของเอาศีล สมาธิ ปญญา จากพระองค เมื่อไดลิ้มรสธรรมเทศนาของพระองคแลว ศีล สมาธิ ปญญา ยอมมีขึ้นในทานเหลานั้นเอง โดยไมมีการขอและไมมีการเอาให มัคคสามัคคี ไมมีใครหยิบยกใหเขากัน จิตดวงเดียวเปนศีล เปนสมาธิ เปนปญญา ฉะนั้นเราไมหลงศีล จึงจะเปนวิญูชนอันแทจริง
32
๓. เรื่อง ปาฏิโมกขสังวรศีล O พระวินัย ๕ คัมภีร สงเคราะหลงมาในปาฏิโมกขุทเทส เมื่อปฏิบัติ ไมถูกตองตามพระวินัยยอมเขาไมได ผูปฏิบัติถูกตามพระวินัยแลว โมกฺขํ ชื่อวาเปนทางขามพนวัฏฏะได ปาฏิโมกขนี้ยังสงเคราะหเขาไปหาวิสุทธิ มรรคอีก เรียกวา ปาฏิโมกขสังวรศีล ในสีลนิเทศ O สีลนิเทศนั้น กลาวถึงเรื่องศีลทั้งหลาย คือปาฏิโมกขสังวรศีล ๑ อินทรียสังวรศีล ๑ ปจจยสันนิสสิตศีล ๑ อาชีวปาริสุทธิศีล ๑ สวนอีก ๒ คัมภีรนั้นคือ สมาธินิเทศ และปญญานิเทศ วิสุทธิมรรคทั้ง ๓ พระคัมภีร นี้สงเคราะหเขาในมรรคทั้ง ๘ มรรค ๘ สงเคราะหลงมาในสิกขาทั้ง ๓ คือ ศีล สมาธิ ปญญา เมื่อจะกลาวถึงเรื่องมรรคแลว ความประโยค พยายามปฏิบัติดัดตนอยู ชื่อวาเดินมรรค สติปฏฐานทั้ง ๔ ก็เรียกวา มรรค อริยสัจจ ๔ ก็ชื่อวามรรค เพราะเปนกิริยาที่ยังทำอยู ยังมีการ ดำเนินอยู ดังภาษิตวา "สจฺจานํ จตุโรปทา ขีณาสวา ชุติมนฺโต เต โลเก ปรินิพฺพุตา" สำหรับเทาตองมีการเดิน คนเราตองไปดวยเทาทั้งนั้น ฉะนั้นสัจจะทั้ง ๔ ก็ยังเปนกิริยาอยู เปนจรณะเครื่องพาไปถึงวิสุทธิธรรม วิสุทธิธรรมนั้นจะอยูที่ไหน? มรรคสัจจะอยูที่ไหน? วิสุทธิธรรมก็ตองอยูที่ นั่น! มรรคสัจจะไมมีอยูที่อื่น มโนเปนมหาฐาน มหาเหตุ วิสุทธิธรรมจึง ตองอยูที่ใจของเรานี่เอง ผูเจริญมรรคตองทำอยูที่นี้ ไมตองไปหาที่อื่น การหาที่อื่นอยูชื่อวายังหลง ทำไมจึงหลงไปหาที่อื่นเลา? ผูไมหลงก็ไม ตองหาทางอื่น ไมตองหากับบุคคลอื่น ศีลก็มีในตน สมาธิก็มีในตน ปญญาก็มีอยูกับตน ดังบาลีวา เจตนาหํ ภิกฺขเว สีลํ วทามิ เปนตน กายกับจิตเทานี้ประพฤติปฏิบัติศีลได ถาไมมีกายกับจิต จะเอาอะไรมา พูดออกวาศีลได คำที่วาเจตนานั้นเราตองเปลี่ยนเอาสระเอขึ้นบนสระอิ 33
เอาตัว ต สะกดเขาไป ก็พูดไดวา จิตฺตํ เปนจิต จิตเปนผูคิดงดเวนเปนผู ระวั ง รั ก ษา เป น ผู ป ระพฤติ ป ฏิ บ ั ต ิ ซึ ่ ง มรรคและผลให เ ป น ไปได พระพุทธเจาก็ดี พระสาวกขีณาสวเจาก็ดี จะชำระตนใหหมดจดจากสัง กิเลสทั้งหลายได ทานก็มีกายกับจิตทั้งนั้น เมื่อทานจะทำมรรคและผลให เกิดมีไดก็ทำอยูที่นี่ คือที่กายกับจิต ฉะนั้นจึงกลาวไดวามรรคมีอยูที่ตน ของตนนี้เอง เมื่อเราจะเจริญซึ่งสมถหรือวิปสสนา ก็ไมตองหนีจากกาย กับจิต ไมตองสงนอก ใหพิจารณาอยูในตนของตน เปนโอปนยิโก แมจะ เปนของมีอยูภายนอก เชน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เปนตน ก็ไม ต อ งส ง ออกเป น นอกไป ต อ งกำหนดเข า มาเที ย บเคี ย งตนของตน พิจารณาอยูที่นี้ ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิฺูหิ เมื่อรูก็ตองรูเฉพาะตน รูอยู ในตน ไมไดรูมาแตนอก เกิดขึ้นกับตนมีขึ้นกับตน ไมไดหามาจากที่อื่น ไมมีใครเอาให ไมไดขอมาจากผูอื่น จึงไดชื่อวา ญาณ ทสฺสนํ สุวิสุทธํ อโหสิ ฯลฯ เปนความรูเห็นที่บริสุทธิ์แท ฯลฯ ๔. เรื่อง ธรรมคติวิมุตติ O สมเด็ จ พระผู ม ี พ ระภาคเจ า นั ้ น มิ ใ ช ว า พระองค จ ะมี ป ญ ญา พิจารณาเอาวิมุตติธรรมใหไดวันหนึ่งวันเดียว พระองคทรงพิจารณามา แตยังเปนฆราวาสอยูหลายป นับแตครั้งที่พระองคไดราชาภิเษกเปน กษัตริย พวกพระญาติพระวงศไดแตงตั้งพระองคไดเปนเชนนี้แลว ยอม เปนผูไมนอนใจ จำเปนที่พระองคจะตองคิดใชปญญาพิจารณาทุกสิ่งทุก อยางในการปกครองปองกันราษฎรทั้งของเขต และการรักษาครอบครัว ตลอดถึงพระองค ก็จะตองทรงคิดรอบคอบเสมอถาไมทรงคิดไมมีพระ ปญญา ไฉนจะปกครองบานเมืองไพรฟาใหผาสุกสบายได แมพระองค 34
ทรงคิดในเรื่องของผูอื่นและเรื่องของพระองคเองเสมอแลว ปญญาวิวัฎฏ ของพระองคจึงเกิดขึ้นวา เราปกครองบังคับบัญชาไดก็แตการบานเมือง เทานี้ สวนการ เกิด แก เจ็บ ตายเลา เราบังคับบัญชาไมไดเสียแลว จะ บังคับบัญชาไมใหสัตวทั้งหลายเกิดก็ไมได เมื่อเกิดแลวจะบังคับไมใหแก ชราก็ไมได จะบังคับไมใหตายก็ไมได เราจะบังคับ ความเกิด ความแก ความเจ็บ ความตาย ของผูอื่นก็ไมได แมแตตัวของเราเองเลาก็บังคับไม ได ทรงพิจารณาเปนอนุโลมและปฏิโลม กลับไปกลับมา พิจารณาเทาไร ก็ยิ่งเกิดความสลดสังเวช และทอพระทัยในการจะอยูเปนผูปกครองราช สมบัติตอไป การที่อยูในฆราวาสรักษาสมบัติเชนนี้เพื่อตองการอะไร? เปนผูมีอำนาจเทานี้ มีสมบัติขาวของเชนนี้ จะบังคับหรือจะซื้อ หรือ ประกันซึ่งความเกิด แก เจ็บ ตายก็ไมได จึงทรงใครครวญไปอีกวา เรา จะทำอยางไรจึงจะหาทางพนจากความ เกิด แก เจ็บ ตายนี้ได จึงได ความอุปมาขึ้นวา ถามีรอนแลวก็ยังมีเย็นเปนเครื่องแกกันได มีมืดแลวยัง มีสวางแกกัน ถามีเกิด แก เจ็บ ตาย แลว อยางไรก็คงมีทางไมเกิด ไมแก ไมตาย เปนแน จึงไดทรงพยายามใครครวญหาทางจะแกเกิด แก เจ็บ ตาย ใหจนได แตวาการจะแกเกิด แก เจ็บ ตายนี้ เราอยูในฆราวาสเชน นี้ คงจะทำไมได เพราะฆราวาสนี้เปนที่คับแคบในยิ่งนัก มีแตการที่ออก หนีเสียจากการครองราชสมบัตินี้ออกไปผนวชจึงจะสามารถทำได O ครั้นทรงคิดเชนนี้แลว ตอมาวันหนึ่ง พอถึงเวลากลางคืน พวก นางสนมทั้งหลายไดพากันมาบำรุงบำเรอพระองคอยูดวยการบำเรอทั้ง หลาย ในเวลาที่นางสนมทั้งหลายยังบำเรออยูนั้นพระองคทรงบรรทม หลับไปกอน ครั้นใกลเวลาพระองคจะทรงตื่นจากบรรทมนั้น พวกนาง สนมทั้งหลายก็พากันหลับเสียหมด แตไฟยังสวางอยู เมื่อนางสนมที่ 35
บำเรอหลับหมดแลวเผอิญพระองคทรงตื่นขึ้นมา ดวยอำนาจแหงการ พิจารณาที่พระองคทรงคิดไมเลิกไมแลวนั้น ทำใหพระทัยของพระองค พลิกขณะ เลยเกิดอุคคหนิมิตขึ้น ลืมพระเนตรแลวทอดพระเนตรแลดู พวกนางสนมทั้งหลายที่นอนหลับอยูนั้นเปนซากอสุภะไปหมด เหมือน กับเปนซากศพในปาชา ผีดิบ จึงใหเกิดความสลดสังเวชเหลือที่จะทนอยู ได จึงตรัสกับพระองคเองวา เราอยูที่นี้จะวาเปนที่สนุกสนานอยางไรได คนทั้งหลายเหลานี้ลวนแตเปนซากศพในปาชาทั้งหมด เราจะอยูทำไม จำเราจะตองออกผนวชในเดี๋ยวนี้ จึงทรงเครื่องฉลองพระองคถือพระ ขรรคแลวออกไปเรียกนายฉันนะอำมาตยนำทางเสด็จหนีออกจากเมือง ไปโดยไมตองใหใครรูจัก ครั้นรุงแจงก็บรรลุถึงอโนมานที ทรงขามฝง แมนทีแลวก็ถายเครื่องประดับและเครื่องทรงที่ฉลองพระองคออกเสีย จึง สงเครื่องประดับใหนายฉันนะ ตรัสสั่งใหกลับไปเมืองพรอมดวยอัศวราช ของพระองค สวนพระองคไดเอาพระขรรคตัดพระเมาและพระมัสสุเสีย ทรงผนวชแตพระองคเดียว O เมื่อผนวชแลวจึงเสาะแสวงหาศึกษาไปกอนคือ ไปศึกษาอยูในสำ นักอาฬารดาบส และอุทกดาบส ครั้นไมสมประสงคจึงทรงหลีกไปแต พระองคเดียวไปอาศัยอยูราวปาใกลแมน้ำเนรัญชรา แขวงอุรุเวลา เสนานิคมไดมีปญจวัคคียไปอาศัยดวย พระองคไดทรงทำประโยค พยายามทำทุกกรกิริยาอยางเขมแข็ง จนถึงสลบตายก็ไมสำเร็จ เมื่อ พระองคไดสติแลวจึงพิจารณาอีกวา การที่เรากระทำความเพียรนี้จะมา ทรมานแตกายอยางเดียวเทานี้ไมควร เพราะจิตกับกายเปนของอาศัยกัน ถากายไมมีจะเอาอะไรทำประโยคพยายาม และถาจิตไมมี กายนี้ก็ทำ อะไรไมได ตอนั้นพระองคจึงไปพยุงพเยารางกายพอใหมีกำลังแข็งแรงขึ้น 36
พอควร จึงเผอิญปญจวัคคียพรอมกันหนีไป ครั้นปญจวัคคียหนีแลว พระองคก็ไดความวิเวกโดดเดี่ยวแตผูเดียว ไมตองพึ่งพาอาศัยใคร จึงได เรงพิจารณาอยางเต็มที่ O เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ประกา ในตอนเชารับธุปายาส ของนางสุชาดาเสวยเสร็จแลว ก็พักผอนอยูตามราวปานั้น ใกลจะ พลบค่ำแลว จึงเสด็จดำเนินมาพบโสตถิยพราหมณๆ ไดถวายหญาคา ๘ กำแกพระองค พระองครับแลวก็มาทำเปนที่นั่ง ณ ภายใตตนอัสสัตถ พฤกษ ผินพระพักตรไปทางบูรพาทิศ ผินพระปฤษฎางคเขาหาตนไมนั้น เมื่อพระองคประทับนั่งเรียบรอยแลว จึงไดพยุงพระหฤทัยใหเขมแข็ง ได ทรงตั้งสัจจาธิษฐานมั่นในพระหฤทัยวา ถาเราไมบรรลุพระสัมมาสัมโพธิ ญาณตามความตองการแลว เราจะไมลุกจากบัลลังกนี้ แมเลือดและเนื้อ จะแตกทำลายไป ยังเหลืออยูแตพระตจะและพระอัฏฐิก็ตามที ตอนั้นไป จึงเจริญสมถและวิปสสนาปญญา ทรงกำหนดพระอานาปานสติเปนขั้น ตน ในตอนตนนี้แหละพระองคไดทรงชำระนิวรณธรรมเต็มที่ เจาเวทนา พรอมทั้งความฟุงซานไดมาประสพแกพระองคอยางสาหัส ถาจะพูดวา มาร ก็ไดแกพวกขันธมาร มัจจุมาร กิเลสมาร เขารังควาญพระองค แต วาสัจจาธิษฐานของพระองคยังเที่ยงตรงมั่นคงอยู สติและปญญายัง พรอมอยู จึงทำใหจำพวกนิวรณเหลานั้นระงับไป ปติ ปสสัทธิ สมาธิ ได เกิดแลวแกพระองคจึงไดกลาววา พระองคทรงชนะพระยามาราธิราช ในตอนนี้เปนปฐมยาม เมื่อออกสมาธิตอนนี้ไดเกิดบุพเพนิวาสานุสสติ ญาณ เมื่อพิจารณาไปก็ไมเห็นที่สิ้นสุด จึงกลับจิตทวนกระแสเขามา พิจารณาผูมันไปเกิดใครครวญไปๆ มาๆ จิตก็เขาภวังคอีก เมื่อออกจาก ภวังคแลวจึงเกิดจุตูปปาตญาณขึ้นมาในยามที่ ๒ คือ มัชฌิมยาม ทรง 37
พิจารณาไปตามความรูชนิดนี้ ก็ยังไมมีความสิ้นสุด จึงทรงทวนกระแส จิตเขามาใครครวญอยูในเรื่องของผูพาเปนไป พิจารณากลับไปกลับมา ในปฏิจจสมุปบาทปจจยาการ จนจิตของพระองคเกิดความเบื่อหนาย สลดสังเวชเต็มที่แลว ก็ลงสูภวังคถึงฐีติธรรมภูตธรรม จิตตอนนี้ถอยออก มาแลว จึงตัดสินขาดทีเดียว จึงบัญญัติวา อาสวักขยญาณ ทรงทราบวา จิตของพระองคสิ้นแลวจากอาสวะ พนแลวจากบวงแหงมาร ไมมีเกิด แก เจ็บ ตาย พนแลวจากทุกข ถึงเอกันตบรมสุข สันติวิหารธรรม วิเวก ธรรม นิโรธธรรม วิมุตติธรรม นิพพาน ๕. เรื่อง อัจฉริยะ - อัพภูตธรรม สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาพระบรมศาสดาของพวกเรา เมื่อพระองคยัง เปนทาวศรีธารถ (สิทธัตถราชกุมาร) เสวยราชสมบัติอยู ทรงพิจารณา จตุนิมิต ๔ ประการ จึงบันดาลใหพระองคเสด็จออกสูมหาภิเนษกรมณ ทรงบรรพชา ทรงอธิษฐานบรรพชา ที่ริมฝงแมน้ำอโนมานที เครื่องสมถ บริขารมีมาเอง เลื่อนลอยมาสวมพระกายเอง ทรงเพศเปนบรรพชิต สมณสารูป สำเร็จดวยบุญญาภินิหารของพระองคเอง จึงเปนการ อัศจรรยไมเคยมีไมเคยเห็นมาในปางกอน จึงเปนเหตุใหพระองคอัศจรรย ใจ ไมถอยหลังในการประกอบความเพียร เพื่อตรัสรูพระอนุตตรสัมมา สัมโพธิญาณ ครั้นทรงบำเพ็ญเพียรทางจิตตภาวนา ไมทอถอยตลอด เวลา ๖ ป ไดตรัสรูสัจจธรรม ของจริงโดยถูกตองแลว ก็ยิ่งเปนเหตุให พระองคทรงอัศจรรยในธรรมที่ไดตรัสรูแลวนั้นอีกเปนอันมาก O ในหมูปฐมสาวกนั่นเลา ก็ปรากฏเหตุการณอันนาอัศจรรย เหมือนกัน เชน ปญจวัคคียก็ดี พระยสและสหายของทานก็ดี พระสาวก 38
อื่นๆ ที่เปนเอหิภิกฺขุก็ดี เมื่อไดฟงพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา แล ว ได ส ำเร็ จ มรรคผล และทู ล ขอบรรพชาอุ ป สมบทกั บ พระองค พระองคทรงเหยียดพระหัตตออกเปลงพระวาจาวา เอหิภิกฺขุ ทานจงเปน ภิกษุมาเถิด ธรรมวินัยเรากลาวดีแลว เพียงเทานี้ก็สำเร็จเปนภิกษุใน พระพุทธศาสนา อัฏฐบริขารเลื่อนลอยมาสวมสอดกาย ทรงเพศเปน บรรพชิตสมณสารูป มีรูปอันนาอัศจรรยนาเลื่อมในจริง สาวกเหลานั้นก็ อัศจรรยตนเองในธรรมอันไมเคยรูเคยเห็น อันสำเร็จแลวดวยบุญฤทธิ์ และอำนาจพระวาจาอิทธิปาฏิหาริยของพระบรมศาสดาจารย ทาน เหลานั้นจะกลับคืนไปบานเกาไดอยางไร เพราะจิตของทานเหลานั้นพน แลวจากบานเกา และอัศจรรยในธรรมอันตนรูตนเห็นแลว ทั้งบริขารที่ สวมสอดกายอยูก็เปนผาบังสุกุลอยางอุกฤษฎ O ครั้นตอมาทานเหลานั้นไปประกาศพระพุทธศาสนา มีผูศรัทธา เลื่อมใสใครจะบวช พระผูมีพระภาคเจาก็ทรงอนุญาตใหพระสาวกบวช ดวยติสรณคมนูปสัมปทาสำเร็จดวยการเขาถึงสรณะทั้ง ๓ คืออุทิศ เฉพาะพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ก็เปนภิกษุเต็มที่ O ครั้นตอมา พระผูมีพระภาคเจา ทรงมีพระญาณเล็งเห็นการณ ไกล จึงทรงมอบความเปนใหญใหแกสงฆ ทรงประทานญัตติจตุตถกรรม อุปสัมปทาไวเปนแบบฉบับอันหมูเราผูปฏิบัติไดดำเนินตามอยูทุกวันนี้ได พากันมาอุปสมบท O ในพระพุทธศาสนา อุทิศเฉพาะพระบรมศาสดาพรอมทั้งพระ ธรรมและพระสงฆแลว ทำความพากเพียรประโยคพยายามไปโดยไม ตองถอยแลวก็คงจะไดรับความอัศจรรยใจในพระธรรมวินัยบางเปนแน ไมนอยก็มาก ตามวาสนาบารมี ของตนโดยไมสงสัยเลย ฯ 39
๖. เรื่อง วาสนา O กุศลวาสนา อกุศลวาสนา อัพยากตวาสนา O อัธยาศัยของสัตว เปนมาแลวตางๆ คือ ดี เลว และกลางๆ วาสนาก็เปนไปตามอัธยาศัย คือวาสนาที่ยิ่งกวาตัว วาสนาเสมอตัว วาสนาที่เลวทราม บางคนเปนผูมีวาสนายิ่งในทางดีมาแลว แตคบกับ พาลวาสนาก็อาจเปนเหมือนคนพาลได บางคนวาสนายังออนแตคบกับ บัณฑิตวาสนาก็เลื่อนขึ้นไปเปนบัณฑิต บางคนคบมิตรเปนกลางๆ ไมดี ไมราย ไมหายนะ ไมเสื่อมทราม วาสนาก็พอประมาณสถานกลาง ฉะนั้น บุคคลพึงพยายามคบบัณฑิต เพื่อเลื่อนภูมิวาสนาของตนใหสูงขึ้นไปโดย ลำดับ ๗. เรื่อง สนทนาธรรมตามกาลเปนมงคลอุดม O กาเลน ธมฺมสฺสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ O การปฤกษาไตถาม หรือการสดับธรรมตามกาล ตามสมัย พระบรมศาสดาตรัสวาเปนมงคลความเจริญอันอุดมเลิศ หมูเราตางคนก็มุงหนาเพื่อศึกษามาเองทั้งนั้นไมไดไปเชื้อเชิญนิมนตมา ครั้นมาศึกษามาปฏิบัติก็ตองทำจริงปฏิบัติจริง ตามเยี่ยงอยางพระบรม ศาสดาจารยเจาและสาวกขีณาสวะเจาผูปฏิบัติมากอน O เบื้องตนพึงพิจารณา สัจจธรรมคือของจริงทั้ง ๔ ไดแก เกิด แก เจ็บ ตาย อันทานผูเปนอริยบุคคลไดปฏิบัติกำหนดพิจารณามาแลว เกิด เราก็เกิดมาแลว คือรางกายอันเปนอยูนี้มิใชกอนเกิดหรือ? แก เจ็บ ตาย ก็กอนอันนี้แล เมื่อเราพิจารณาอยูในอิริยาบถทั้ง ๔ เดินจงกรมบาง ยืน 40
กำหนดพิจารณาบาง นอนกำหนดพิจารณาบาง จิตจะรวมเปนสมาธิ รวมนอยก็เปนขณิกสมาธิ คือจิตรวมลงภวังคหนอยหนึ่งแลวก็ถอนออก มา ครั้นพิจารณาอยูไมถอยจนปรากฏเปนอุคคหนิมิต จะเปนนอกก็ตาม ในก็ตาม ใหพิจารณานิมิตนั้นจนจิตวางนิมิตรวมลงสูภวังค ตำรงอยูนาน พอประมาณแลวถอยออกมา สมาธิในชั้นนี้เรียกวา อุปจารสมาธิ พึง พิจารณานิมิตนั้นเรื่อยไปจนจิตรวมลงสูภวังคเขาถึงฐีติจิต เปน อัปปนา สมาธิปฐมฌาน ถึงซึ่งเอกัคคตา ความมีอารมณเดียว ครั้นจิตถอยออก มา ก็พึงพิจารณาอีกแลวๆ เลาๆ จนขยายแยกสวนเปนปฏิภาคนิมิตได ตอไป คือพิจารณาวาตายแลวมันจะเปนอะไรไปอีก มันจะตองเปอยเนา ผุพังยังเหลือแตรางกระดูก กำหนดทั้งภายในคือกายของตนทั้งภายนอก คือกายของผูอื่น โดยใหเห็นสวนตางๆ ของรางกายวาสวนนี้เปน ผม ขน เล็บ ฟน หนัง ฯลฯ เสนเอ็นนอยใหญมีเทาไร กระดูกทอนนอยทอนใหญ มีเทาไร โดยชัดเจนแจมแจง กำหนดใหมันเกิดขึ้นมาอีกแลวกำหนดใหมัน ยืน เดิน นั่ง นอน แลวตายสลายไปสูสภาพเดิมของมัน คือไปเปน ดิน น้ำ ไฟ ลม ถึงฐานะเดิมของมันนั้นแล O เมื่อกำหนดจิตพิจารณาอยูอยางนี้ ทั้งภายนอกทั้งภายใน ทำให มากใหหลาย ใหมีทั้งตายเกาตายใหม มีแรงกาสุนัขยื้อแยงกัดกินอยู ก็ จะเกิดปรีชาญาณขึ้น ตามแตวาสนาอุปนิสัยของตน ดังนี้แล ฯ ๘. เรื่อง การทำจิตใหผองใส f สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ O การทำจิ ต ของตนให ผ อ งใส เป น การทำตามคำสั ่ ง สอนของ พระพุทธเจาทั้งหลาย 41
O พระพุทธเจาผูพระบรมศาสดา ไดตรัสสอนกาย วาจา จิต มิได สอนอยางอื่น สอนใหปฏิบัติ ฝกหัดจิตใจ ใหเอาจิตพิจารณากายเรียกวา กายานุปสสนาสติปฏฐาน หัดสติใหมากในการคนควาที่เรียกวาธัมมวิจ ยะ พิจารณาใหพอทีเดียว เมื่อพิจารณาพอจนเปนสติสัมโพชฌงค จิตจึง จะเปนสมาธิรวมลงเอง O สมาธิมี ๓ ขั้น คือ ขณิกสมาธิ จิตรวมลงไปสูฐีติขณะแลวพักอยู หนอยหนึ่ง ถอยออกมาเสีย อุปจารสมาธิ จิตรวมลงสูภวังคแลวพักอยู นานหนอยจึงถอยออกมารูนิมิตอยางใดอยางหนึ่ง และอัปปนาสมาธิ สมาธิอันแนวแน ไดแกจิตรวมลงสูภวังคถึงฐีติธรรมถึงเอกัคคตา ความมี อารมณเดียว หยุดนิ่งอยูกับที่ มีความรูตัวอยูวา จิตดำรงอยู และ ประกอบดวยองคฌาน ๕ ประการ คอยสงบประณีตเขาไปโดยลำดับ O เมื่อหัดจิตอยูอยางนี้ ชื่อวาทำจิตใหยิ่ง ไดในพระบาลีวา อธิจิตฺ เต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ การประกอบความพากเพียรทำจิตให ยิ่ง เปนการปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา O การพิจารณากายนี้แล ชื่อวาปฏิบัติ อันนักปราชญทั้งหลายมี พระสัมมาสัมพุทธเจาเปนตนแสดงไว มีหลายนัยหลายประการ ทาน กลาวไวในมหาสติปฏฐานสูตร เรียกวา กายานุปสสนาสติปฏฐาน ในมูล กรรมฐานเรียกวา เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ที่พระอุปชฌายะสอน เบื้องตนแหงการบรรพชาเปนสามเณร และในธรรมจักกัปปวัตนสูตรวา ชาติป ทุกฺขา ชราป ทุกฺขา มรณมฺป ทุกฺขํ แมความเกิดก็เปนทุกข แม ความแกก็เปนทุกข แมความตายก็เปนทุกข ดังนี้ บัดนี้เราก็เกิดมาแลว มิใชหรือ? ครั้นเมื่อบุคคลมาปฏิบัติใหเปน โอปนยิโก นอมเขามา 42
พิจารณาในตนนี้แลวเปนไมผิด เพราะพระธรรมเปน อกาลิโก มีอยูทุก เมื่อ อาโลโก สวางโรอยูทั้งกลางวันและกลางคืน ไมมีอะไรปดบังเลย ฯ ๙. เรื่อง วิธีปฏิบัติของผูเลาเรียนมาก O ผูที่ไดศึกษาเลาเรียนคัมภีรวินัยมาก มีอุบายมากเปนปริยาย กวางขวาง ครั้นมาปฏิบัติทางจิต จิตไมคอยจะรวมงาย ฉะนั้นตองให เขาใจวาความรูที่ไดศึกษามาแลวตองเก็บใสตูใสหีบไวเสียกอน ตองมา หัดผูรูคือจิตนี้ หัดสติใหเปนมหาสติ หัดปญญาใหเปนมหาปญญา กำหนดรูเทามหาสมมติ-มหานิยม อันเอาออกไปตั้งไววาอันนั้นเปนอันนั้น เปนวันคืนเดือนป เปนดินฟาอากาศ กลางหาวดาวนักขัตตฤกษสารพัด สิ่งทั้งปวง อันเจาสังขารคือการจิตหาออกไปตั้งไวบัญญัติไววา เขาเปน นั้นเปนนี้ จนรูเทาแลว เรียกวากำหนดรูทุกข สมุทัย เมื่อทำใหมาก-เจริญ ใหมาก รูเทาเอาทันแลว จิตก็จะรวมลงได เมื่อกำหนดอยูก็ชื่อวาเจริญ มรรค หากมรรคพอแลว นิโรธก็ไมตองกลาวถึง หากจะปรากฏชัดแกผู ปฏิบัติเอง เพราะศีลก็มีอยู สมาธิก็มีอยู ปญญาก็มีอยูในกาย วาจา จิตนี้ ที่เรียกวา อกาลิโก ของมีอยูทุกเมื่อ โอปนยิโก เมื่อผูปฏิบัติมาพิจารณา ของที่มีอยู ปจฺจตฺตํ จึงจะรูเฉพาะตัว คือมาพิจารณากายอันนี้ใหเปนขอ งอสุภะ เปอยเนา แตกพังลงไป ตามสภาพความจริงของภูตธาตุ ปุพฺเพสุ ภูเตสุ ธมฺเมสุ ในธรรมอันมีมาแตเกากอน สวางโรอยูทั้งกลางวันและ กลางคืน ผูมาปฏิบัติพิจารณาพึงรูอุปมารูปเปรียบดังนี้ อันบุคคลผูทำนา ก็ตองทำลงไปในแผนดิน ลุยตมลุยโคลนตากแดดกรำฝน จึงจะเห็นขาว เปลือก ขาวสาร ขาวสุกมาได และไดบริโภคอิ่มสบาย ก็ลวนทำมาจาก 43
ของมีอยูทั้งสิ้นฉันใด ผูปฏิบัติก็ฉันนั้น เพราะ ศีล สมาธิ ปญญา ก็มีอยู ใน กาย วาจา จิต ของทุกคน ฯ ๑๐. เรื่อง ขอปฏิบัติเปนของมีอยูทุกเมื่อ O ขอปฏิบัติสำหรับผูปฏิบัติทั้งหลาย ไมมีปญหาโอปนยิโก นอมจิต เขามาพิจารณา กาย วาจา จิตอกาลิโกอันเปนของมีอยู อาโลโกสวางโร อยูทั้งกลางวันและกลางคืน ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญูหิ อันนักปราชญ ทั้งหลาย มีพระพุทธเจา และพระอริยสาวกเจาทั้งหลายผูนอมเขามา พิจารณาของมีอยูนี้ ไดรูแจงจำเพาะตัวมาแลว เปนตัวอยาง ไมใชวากาล นั้นจึงจะมี กาลนี้จึงจะมี ยอมมีอยูทุกกาล ทุกสมัย ผูปฏิบัติยอมรูได เฉพาะตัว คือผิดก็รูจัก ถูกก็รูจักในตนของตนเอง ดีชั่วอยางไรตัวของตัว ย อ มรู จ ั ก ดี ก ว า ผู อ ื ่ น ถ า เป น ผู ห มั ่ น พิ น ิ จ พิ จ ารณาไม ม ั ว ประมาท เพลิดเพลินเสีย O ตัวอยางที่มีมาแลวคือ มาณพ ๑๖ คน ซึ่งเปนศิษยของพาวรี พราหมณ ทานเหลานั้นเจริญญานกสิณติดอยูในรูปฌานและอรูปฌาน พระบรมศาสดาจารยจึงตรัสสอนใหพิจารณาของมีอยูในตน ใหเห็นแจง ดวยปญญาใหรูวา กามภพเปนเบื้องต่ำ รูปภพเปนเบื้องกลาง อรูปภพ เปนเบื้องบน แลวถอยลงมาใหรูวา อดีตเปนเบื้องต่ำ อนาคตเปนเบื้อง บน ปจจุบันเปนทามกลาง แลวชักเขามาหาตัวอีกใหรูวา อุทฺธํ อโธ ติ ริยฺจาป มชฺเฌ เบื้องต่ำแตปลายผมลงไป เบื้องบนแตพื้นเทาขึ้นมา เบื้องขวางฐานกลาง เมื่อทานเหลานั้นมาพิจารณาอยูอยางนี้ ปจฺจตฺตํ จึง รูเฉพาะขึ้นที่ตัวของตัวโดยแจมแจง สิ้นความสงสัยขอปฏิบัติ ไมตองไป เที่ยวแสวงหาที่อื่นใหลำบาก ฯ 44
๑๑. เรื่อง ไดฟงธรรมทุกเมื่อ O ผูปฏิบัติพึงใชอุบายปญญาฟงธรรมเทศนาทุกเมื่อถึงจะอยูคน เดียวก็ตาม คืออาศัยการสำเหนียก กำหนดพิจารณาธรรมอยูทั้งกลางวัน และกลางคืน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เปนรูปธรรมที่มีอยูปรากฏอยู รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็มีอยูปรากฏอยู ไดเห็นอยู ไดยินอยู ไดสูด ดม ลิ้ม เลีย และสัมผัสอยู จิตใจเลา? ก็มีอยู ความคิดนึกรูสึกในอารมณ ตางๆ ทั้งดีและรายก็มีอยู ความเสื่อม ความเจริญ ทั้งภายนอกภายใน ก็ มีอยู ธรรมชาติอันมีอยูโดยธรรมดา เขาแสดงความจริงคือความไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา ใหปรากฏอยู ทุกเมื่อ เชนใบไมมันเหลืองหลนรวง ลงจากตน ก็แสดงความไมเที่ยงใหเห็น ดังนี้เปนตน เมื่อผูปฏิบัติมาพินิจ พิจารณาดวยสติปญญา โดยอุบายนี้อยูเสมอแลว ชื่อวาไดฟงธรรมอยู ทุกเมื่อ ทั้งกลางวันและกลางคืนแล ฯ ๑๒. เรื่อง ปริญเญยฺยธรรม O การกำหนดพิ จ ารณาธรรมเรี ย กบริ ก รรมจิ ต ที ่ ก ำลั ง ทำการ กำหนดพิจารณาธรรมอยางเอาใจใส เมื่อไดความแนใจในเหตุผลของ ธรรมที่พิจารณานั้นแลว จิตจะสงบรวมลงสูภวังค ดำรงอยูหนอยหนึ่ง แลวก็ถอยออก ความสงบในขั้นนี้เรียก บริกรรมสมาธิ หรือ ขณิกสมาธิ การกำหนดพิจารณาธรรมแลวจิตสงบรวมลงสูภวังคเขาถึงฐีติธรรมดำรง อยูนานหนอยแลวถอยออกมารูเห็นอสุภะปรากฏขึ้น ความสงบในขั้นนี้ เรียกวา อุปจารสมาธิ O การกำหนดพิจารณาธรรมคืออสุภนิมิต ที่ปรากฏแกจิตที่เรียกวา 45
อุคคหนิมิตนั้นจนเพียงพอแลว จิตปลอยวางนิมิตเสีย สงบรวมลงสูภวังค ถึงฐีติธรรมดำรงอยูนาน เปนเอกัคคตามีอารมณเดียว สงบนิ่งแนวแน มี สติรูอยูวาจิตดำรงอยูกับที่ ไมหวั่นไหวไปมา ความสงบชั้นนี้เรียกวาอัป ปนาสมาธิ O สวน นิมิต อันปรากฏแกผูบำเพ็ญสมาธิภาวนาตามลำดับชั้นดัง กลาวนี้ ก็เรียกวา บริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต ตามลำดับกัน อนึ่ง ภวังค คือภพหรือฐานของจิตนั้น ทานก็เรียกชื่อเปน ๓ ตามอาการ เคลื่อนไปของจิต คือ ภวังคบาท ภวังคจลนะ ภวังคุปจเฉทะ ขณะแรกที่ จิตวางอารมณเขาสูฐานเดิมของตน ที่เรียกอยางสามัญวาปกติจิตนั้นแล เรียกวา ภวังคบาท ขณะที่จิตเริ่มไหวตัวเพื่อขึ้นสูอารมณอีกเรียกวา ภวังคจลนะ ขณะที่จิตเคลื่อนจากฐานขึ้นสูอารมณ เรียกวา ภวังคุปจเฉ ทะ O จิตของผูบำเพ็ญภาวนาเขาสูความสงบถึงฐานเดิมของจิตแลวพัก เสวยความสงบอยูในสมาธินั้นนาน มีอาการครบองคของฌานจึงเรียก วา ฌาน เมื่อทำการพินิจพิจารณาธรรมดวยปญญาจนเพียงพอแลว จิต รวมลงสูภวังค คือ ฐานเดิมของจิตจนถึงฐีติ ขณะตัดกระแสภวังคขาด หายไปไมพักเสวยอยู เกิดญาณความรูตัดสินขึ้นวา ภพเบื้องหนาของเรา ไมมีอีก ดังนี้เรียกวา ฐีติญาณ ๑๓. เรื่อง บั้นตนโพธิสัตว O ปฐมโพธิสัตว มัชฌิมโพธิสัตว ปจฉิมโพธิสัตว ปฐมโพธิกาล มัชฌิมโพธิกาล ปจฉิมโพธิกาล ปฐมเทศนา มัชฌิมเทศนา ปจฉิมเทศนา O สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาของเรา เสด็จออกจากคัพโภทรของ 46
พระนางเจาสิริมหามายา ณ สวนลุมพินีวัน ระหวางนครกบิลพัสดุกับ นครเทวหะตอกัน ครั้นประสูติแลว ก็ทรงพระเจริญวัยมาโดยลำดับ ครั้น สมควรแกการศึกษาศิลปวิทยา เพื่อปกครองรักษาบานเมืองตามขัตติย ประเพณีไดแลวก็ทรงศึกษาศิลปวิทยา เมื่อพระชนมายุได ๑๖ พรรษา ก็ไดปกครองบานเมืองเสวยราชสมบัติแทนพระเจาศิริสุทโธทนมหาราช ผูพระราชบิดานับวาไดเปนใหญเปนราชาแลว พระองคทรงพระนามวา เจาชายสิทธัตถะ ก็ตองทรงคิดอานการปกครองรักษาบานเมืองและไพร ฟาประชาราษฎรใหรมเย็นเปนสุข ทรงบังคับบัญชาอยางไร เขาก็ทำ ตามทุกอยาง ครั้นทรงพิจารณาหาทางบังคับบัญชาความเกิดแกเจ็บ ตายใหเปนไปตามใจหวังก็เปนไปไมได ถึงอยางนั้นก็มิทำใหทอพระทัยใน การคิดอานหาทางแกเกิดแกเจ็บตาย ยิ่งเราพระทัยใหคิดอานพิจารณา ยิ่งขึ้น ความคิดอานของพระองคในตอนนี้เรียกวาบริกรรม ทรงกำหนด พิจารณาในพระทัยอยูเสมอ จนกระทั่งพระสนมทั้งหมดปรากฏใหเห็น เปนซากอสุภะดุจปาชาผีดิบ จตุนิมิต ๔ ประการคือ เกิด แก เจ็บ ตาย จึงบันดาลใหพระองคเกิดเบื่อหนายในราชสมบัติ แลวเสด็จสูมหาภิเนษ กรมณบรรพชา ตอนนี้เรียกวา ปฐมโพธิสัตว เปนสัตวพิเศษ ผูจะได ตรัสรูธรรมวิเศษเปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาเที่ยงแทกอนแตกาลนี้ ไมนับ นับเอาแตกาลปจจุบันทันตาเห็นเทานั้น O ครั้นเมื่อพระองคเสด็จสูมหาภิเนษกรมณบรรพชา ณ ฝงแมน้ำอ โนมานที ทรงตัดพระเมาดวยพระขรรคอธิษฐานบรรพชา อัฏฐบริขาร มีมาเองดวยอำนาจบุญฤทธิ์อิทธิปาฏิหาริยเปนผาบังสุกุลจีวร เหตุ อัศจรรยอยางนี้มีเพียงครั้งเดียวเทานั้น ตอนั้นมาตองทรงแสวงหา เหลา ปฐมสาวกก็เหมือนกัน อัฏฐบริขารเกิดขึ้นดวยบุญฤทธิ์เพียงครั้งแรก 47
เทานั้น ครั้นทรงบรรพชาแลว ทรงทำทุกรกิริยาประโยคพยายาม พิจารณาอุคคหนิมิตที่ทรงรูครั้งแรก แยกออกเปนสวนๆ เปนปฏิภาค นิมิตจนถึงเสด็จประทับนั่ง ณ ควงแหงมหาโพธิพฤกษ ทรงชนะมารและ เสนามารเมื่อเวลาพระอาทิตยอัสดงคตยัง บุพเพนิวาสานุสติญาณ ให เกิดในปฐมยาม ยัง จุตูปปาตญาณ ใหเกิดในมัชฌิมยาม ทรงตาม พิจารณาจิตที่ยังปจจัยใหสืบตอที่เรียกวา ปจจยาการ ตอนเวลากอน พระอาทิตยขึ้น ตอนนี้เรียกวา มัชฌิมโพธิสัตว O ครั้นเมื่อทรงพิจารณาตามเหตุผลเพียงพอสมควรแลว จิตของ พระองคหยั่งลงสูความสงบถึงฐีติธรรมดำรงอยูในความสงบพอสมควร แลว ตัดกระแสภวังคขาดไป เกิดญาณความรูตัดสินขึ้นในขณะนั้นวา ภพ เบื้องหนาของเราไมมีอีกแลว ดังนี้เรียกวา อาสวักขยญาณ ประหารเสีย ซึ่งกิเลสอาสวะทั้งหลายใหขาดหายไปจากพระขันธสันดาร สรรพปรีชา ญานตางๆ อันสำเร็จมา แตบุพพวาสนาบารมี ก็มาชุมนุมในขณะจิตอัน เดียวนั้นจึงเรียกวาตรัสรูพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ระยะกาลตอนนี้ เรียกวา ปจฉิมโพธิสัตว O ครั้นตรัสรูแลว ทรงเสวยวิมุตติสุข อยูในที่ ๗ สถาน ตลอดกาล ๔๙ วันแลวแลทรงเทศนาสั่งสอนเวไนยนิกร มีพระปญจวัคคียเปนตน จึง ถึงทรงตั้งพระอัครสาวกทั้ง ๒ และแสดงมัชฌิมเทศนา ณ เวฬุวันกลันท กนิวาปสถาน ใกลกรุงราชคฤหมหานคร จัดเปนปฐมโพธิกาล O ตอแตนั้นมา ก็ทรงทรมานสั่งสอนเวไนยนิกรตลอดเวลา ๔๕ พระ พรรษา จัดเปน มัชฌิมโพธิกาล ตั้งแตเวลาทรงประทับไสยาสน ณ พระ แทนมรณมัญจาอาสน ณ ระหวางนางรังทั้งคู ในสาลวโนทยาน ของมัลล กษัตริย กรุงกุสินาราราชธานี และทรงแสดงพระปจฉิมเทศนาแลวปด 48
พระโอษฐ เสด็จดับขันธปรินิพพานระยะกาลตอนนี้จัดเปน ปจฉิมโพธิ กาล ดวยประการฉะนี้ O (สวน ปฐมเทศนา มัชฌิมเทศนา และปจฉิมเทศนา นัน้ มีเนื้อ ความเปนประการไร ไดแสดงแลวในสวนที่ ๑) ๑๔. เรื่อง โสฬสกิจ O กิจในพระธรรมวินัยนี้ ที่นับวาสำคัญที่สุดเรียกวา โสฬสกิจ เปน กิจที่โยคาวจรกุลบุตรพึงพากเพียรพยายามทำใหสำเร็จบริบูรณดวย ความไมประมาท O โสฬสกิจ ไดแกกิจในอริยสัจ ๔ ประการ คือ ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ชั้นโสดาบันก็ประชุม ๔ ชั้น สกิทาคามีก็ประชุม ๔ สองสี่ก็เปน ๘ ชั้นอนาคามีก็ประชุม ๔ ชั้นอรหันตก็ประชุม ๔ สองสี่ก็เปน ๘ สองแปด เปน ๑๖ กำหนดสัจจะทั้ง ๔ รวมเปนองคอริยมรรคเปนขั้น ๆ ไป O เมื่อเรามาเจริญอริยมรรคทั้ง ๘ อันมีอยูในกายในจิต คือ ทุกข เปนสัจจะของจริงที่มีอยูก็รูวามีอยูเปนปริญเญยฺยะ ควรกำหนดรูก็ได กำหนดรู สมุทัย เปนสัจจะของจริงที่มีอยูก็รูวามีอยู เปนปหาตัพพะ ควร ละก็ละไดแลว นิโรธ เปนสัจจะของจริงที่มีอยูก็รูวามีอยูเปนสัจฉิกาตัพ พะ ควรทำใหแจงก็ไดทำใหแจงแลว มรรค เปนสัจจะของจริงที่มีอยูก็รูวา มีอยูเปนภาเวตัพพะ ควรเจริญใหมากก็ไดเจริญใหมากแลว เมื่อมา กำหนดพิจารณาอยูอยางนี้ ก็แกโลกธรรม ๘ ไดสำเร็จ O มรรค อยูที่ กาย กับ จิต คือ ตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ รวมเปน ๖ ลิ้น ๑ เปน ๗ กาย ๑ เปน ๘ มาพิจารณารูเทาสิ่งทั้ง ๘ นี้ ไมหลงไปตาม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข อันมาถูกตอง 49
ตนของตนจิตไมหวั่นไหว โลกธรรม ๘ เปนคูปรับกับมรรค ๘ เมื่อรูเทา สวนทั้งสองนี้แลว เจริญมรรคใหบริบูรณเต็มที่ ก็แกโลกธรรม ๘ ได ก็ เปนผุ€ฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ อโสกํ วิรชํ เขมํ เอตมฺ มงฺค ลมุตฺตมํ โลกธรรมถูกตองจิตผูใดแลว จิตของผูนั้นไมหวั่นไหวเมื่อไมหวั่น ไหวก็ไมเศราโศก เปนจิตปราศจากเครื่องยอม เปนจิตเกษมจากโยคะ จัด วาเปนมงคลอันอุดมเลิศ ฉะนี้แล ฯ ๑๕. เรื่อง สำคัญตนวาไดบรรลุอรหัตตผล O กิร ดังไดสดับมา ยังมีภิกษุ ๒ รูป ในพระศาสนาของพระบรม ศาสดาของเรานี้ องคหนึ่งมีพรรษาแกกวาอีกองคหนึ่งมีพรรษาออนกวา เปนสหธรรมิกที่มีความรักใครในกันและกัน แตจากกันไปเพื่อประกอบ ความเพียร องคออนพรรษากวาไดสำเร็จพระอรหันตผลเปนพระอรหันต กอน องคแกพรรษาไดแตเพียรกำลังสมาธิสมาบัติ และเปนผูชำนาญใน วสี จะพิจารณาอธิษฐานใหเปนอยางไรก็ไดดังประสงค และเกิดทิฏฐิ สำคัญวารูทั่วแลว สวนองคหยอนพรรษาครั้นพิจารณาดูก็ทราบไดดวย ปญญาญาณ จึงสั่งใหองคแกพรรษากวาไปหาทานองคนั้นไมไป สั่งสอน สามครั้งก็ไมไป องคหยอนพรรษาจึงไปหาเสียเอง แลวยังกันและกันให ยินดี พอสมควรแลวจึงพูดกับองคแกกวาวา ถาทานสำคัญวารูจริง ก็จง อธิษฐานใหเปนสระในสระใหมีดอกบัวหลวง ๑ ดอก ในดอกบัวหลวงใหมี นางฟอนสวยงาม ๗ นาง องคแกพรรษาก็เนรมิตไดตามนั้น ครั้นเนรมิต แลวองคออนพรรษากวาจึงสั่งใหเพงดู ครั้นเพงดูนางฟอนอยู กามราคะ กิเลสอันสั่งสมมาแลวหลายรอยอัตตภาพก็กำเริบ จึงทราบไดวาตนยังไม ไดสำเร็จเปนพระอรหันต ครั้นแลวองคออนพรรษาจึงเตือนใหรูตัว และ 50
ใหเรงทางปญญาวิปสสนาญาณ องคแกพรรษากวาครั้นปฏิบัติตาม ทำความพากเพียรประโยคพยายามอยู มิชามินานก็ไดสำเร็จเปนพระอร หันตขีณาสวะบุคคลในพระพุทธศาสนาดวยประการฉะนี้ O อปรา ยังเรื่องอื่นอีก มีเนื้อความอยางเดียวกันแตนิมิตตางกัน คือใหเนรมิตชางสารซับมันตัวรายกาจวิ่งเขามาหา หลงรูปเนรมิตของ ตนเอง เกิดความสะดุงตกใจกลัวเตรียมตัววิ่งหนี เพื่อนสหธรรมมิกผูไป ชวยเหลือไดฉุดเอาไว และกลาวตักเตือนสั่งสอนโดยนัยหนหลัง จึงหยุด ยั้งใจไดและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสหธรรมมิกผูชวยเหลือนั้น ไมนาน ก็ไดสำเร็จเปนพระอรหันตขีณาสวะบุคคลในพระบวรพุทธศาสนาเชน เดียวกัน แมเรื่องนี้ก็พึงถือเอาเปนทิฏฐานุคติ เชนเดียวกับเรื่องกอน นั้นแล O นี้เปนนิทานที่เปนคติสำหรับผูปฏิบัติจะพึงอนุวัติตามคือ ผูเปน สหธรรมิก ประพฤติธรรมรวมกันทุกคน จงมาเปนสหายกันในกิจที่ชอบ ทั้งที่เปนกิจภายใน ทั้งที่เปนกิจภายนอกยังประโยชนของกันและกันให สำเร็จดวยดีเถิด ๑๖. เรื่อง อุณหัสสวิชัยสูตร O ผูใดมาถึงพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ เปนสรณะที่พึ่งแลว ผูนั้นยอมชนะไดซึ่งความรอน O อุณหัสส คือความรอนอันเกิดแกตน มีทั้งภายในและภายนอก ภายนอกมีเสือสางคางแดง ภูตผีปศาจ เปนตน ภายในคือกิเลส วิชัยคือ ความชนะ ผูที่มานอมเอาสรณะทั้งสามนี้เปนที่พึ่งแลว ยอมจะชนะความ รอนเหลานั้นไปไดหมดทุกอยางที่เรียกวา อุณหัสสวิชัย 51
O อุณหสฺสวิชดย ธมฺโม โลเก อนุตฺตโร พระธรรมเปนของยิ่งในโลก ทั้งสาม สามารถชนะซึ่งความรอนอกรอนใจอันเกิดแตภัยตางๆ ปริวชฺเช ราชทนฺเฑ พยคฺเฆ นาเค วีเส ภูเต อกาลมรเณน จ สพฺพสฺม มรณา มุตฺโต จะเวนหางจากอันตรายทั้งหลายคือ อาชญาของพระราชา เสือสาง นาค ยาพิษ ภูตผี ปศาจ หากวายังไมถึงคราวถึงกาลที่จักตายแลว ก็จัก พนไปไดจากความตายดวยอำนาจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ที่ตน นอมเอาเปนสรณะที่พึ่งที่นับถือนั้น ความขอนี้มีพระบาลีสาธกดังจะยก มาอางอิงในสมัยเมื่อสมเด็จพระผูมีพระภาคเจาพรอมดวยพระอรหันต หนุม ๕๐๐ รูป ประทับอยูในราวปามหาวันใกลกรุงกบิลพัสดุ เทวดาทั้ง หลายพากันมาดู แลวกลาวคาถาขึ้นวา เยเกจิ พุทฺธํ สรณํ คตา เส น เต คมิสฺ สนฺติ อปายภูมิ ปหาย มานุสํ เทหํ เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺติ แปล ความวา บุคคลบางพวกหรือบุคคลไรๆ มาถึงพระพุทธเจาเปนสรณะที่ พึ่งแลว บุคคลเหลานั้นยอมไมไปสูอบายภูมิทั้ง ๔ มีนรกเปนตน เมื่อละ รางกายอันเปนของมนุษยนี้แลว จักไปเปนหมูแหงเทพดาทั้งหลายดังนี้ O สรณะทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ มิไดเสื่อมสูญ อันตรธานไปไหน ยังปรากฏอยูแกผูปฏิบัติเขาถึงอยูเสมอ ผูใดมายึดถือ เปนที่พึ่งของตนแลว ผูนั้นจะอยูกลางปาหรือเรือนวางก็ตาม สรณะทั้ง สามก็ปรากฏแกเราอยูทุกเมื่อ จึงวาเปนที่พึ่งแกบุคคลจริง เมื่อปฏิบัติ ตามสรณะทั้งสามจริงๆ แลว จะคลาดแคลวจากภัยทั้งหลาย อันกอให เกิดความรอนอกรอนใจไดแนนอนทีเดียว
52
ปฏิปตติปุจฉาวิสัชนา พระธรรมเจดีย : ถามวา ผูปฏิบัติศาสนาโดยมากปฏิบัติอยูแคไหน ? พระอาจารยมั่น : ปฏิบัติอยูภูมิกามาพจารกุศลโดยมาก พระธรรมเจดีย : ทำไมจึงปฏิบัติอยูเพียงนั้น ? พระอาจารยมั่น : อัธยาศัยของคนโดยมากยังกำหนัดอยูในกาม เห็นวากามารมณที่ดี เปนสุข สวนที่ไมดีเห็นวาเปนทุกข จึงไดปฏิบัติในบุญกริยาวัตถุ มีการฟง ธรรม ใหทาน รักษาศีล เปนตน หรือภาวนาบางเล็กนอย เพราะความ มุงเพื่อจะไดสวรรคสมบัติ มนุษยสมบัติ เปนตน ก็คงเปนภูมิกามาพจร กุศลอยูนั่นเอง เบื้องหนาแตกายแตกตายไปแลว ยอมถึงสุคติบาง ไมถึง บาง แลวแตวิบากจะซัดไป เพราะไมใชนิยตบุคคล คือยังไมปดอบาย เพราะยังไมไดบรรลุโสดาปตติผล พระธรรมเจดีย : ก็ทานผูปฏิบัติที่ดีกวานี้ไมมีหรือ ? 53
พระอาจารยมั่น : มี แตวานอย พระธรรมเจดีย : นอยเพราะเหตุไร ? พระอาจารยมั่น : นอยเพราะกามทั้งหลายเทากับเลือดในอกของสัตว ยากที่จะละความ ยินดีในกามได เพราะการปฏิบัติธรรมละเอียด ตองอาศัยกายวิเวก จิตต วิเวก จึงจะเปนไปเพื่ออุปธิวิเวก เพราะเหตุนี้แลจึงทำไดดวยยาก แตไม เหลือวิสัย ตองเปนผูเห็นทุกขจริงๆ จึงจะปฏิบัติได พระธรรมเจดีย : ถาปฏิบัติเพียงภูมิกามาพจรกุศล ดูไมแปลกอะไร เพราะเกิดเปนมนุษยก็ เปนภูมิกามาพจรกุศลอยูแลว สวนการปฏิบัติจะใหดีกวาเกาก็จะตองให เลื่อนชั้นเปนภูมิรูปาวจรหรืออรูปาวจรแลโลกอุดร จะไดแปลกจากเกา ? พระอาจารยมั่น : ถูกแลว ถาคิดดูคนนอกพุทธกาล ทานก็ไดบรรลุฌาณชั้นสูงๆก็มี คนใน พุทธกาล ทานก็ไดบรรลุมรรคแลผล มีพระโสดาบัน แลพระอรหันต โดย มากนี่เราก็ไมไดบรรลุฌาณเปนอันสูคนนอกพุทธกาลไมได แลไมไดบรรลุ มรรคผลเปนอันสูคนในพุทธกาลไมได 54
พระธรรมเจดีย : เมื่อเปนเชนนี้จักทำอยางไรดี ? พระอาจารยมั่น : ตองทำในใจใหเห็นตามพระพุทธภาษิตที่วา มตฺตาสุขปริจฺจาคา ปสฺเส เจ วิปุลํ สุขํ ถาวาบุคคลเห็นซึ่งสุขอันไพบูลย เพราะบริจาคซึ่งสุขมี ประมาณนอยเสียไซร จเช มตฺตาสุขํ ธีโร สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุขํ บุคคลผูมี ปญญาเครื่องทรงไว เมื่อเล็งเห็นซึ่งสุขอันไพบูลย พึงละเสียซึ่งสุขมี ประมาณนอย พระธรรมเจดีย : สุขมีประมาณนอยไดแกสุขชนิดไหน ? พระอาจายมั่น : ไดแกสุขซึ่งเกิดแตความยินดีในกามที่เรียกวา อามิสสุข นี่แหละสุขมี ประมาณนอย พระธรรมเจดีย : ก็สุขอันไพบูลยไดแกสุขชนิดไหน ? พระอาจารยมั่น : ไดแกฌาณ วิปสสนา มรรค ผล นิพพาน ที่เรียกวานิรามิสสุขไมเจือดวย 55
กาม นี่แหละสุขอันไพบูลย พระธรรมเจดีย : จะปฏิบัติใหถึงสุขอันไพบูลยจะดำเนินทางไหนดี ? พระอาจารยมั่น : ก็ตองดำเนินทางองคมรรค 8 พระธรรมเจดีย : องคมรรค 8 ใครๆก็รู ทำไมถึงเดินกันไมใครจะถูก ? พระอาจารยมั่น : เพราะองคมรรคทั้ง 8 ไมมีใครเคยเดิน จึงเดินไมใครถูก พอถูกก็เปนพระ อริยเจา พระธรรมเจดีย : ที่เดินไมถูกเพราะเหตุอะไร ? พระอาจารยมั่น : เพราะชอบเดินทางเกาซึ่งเปนทางชำนาญ พระธรรมเจดีย : ทางเกานั้นคืออะไร ? 56
พระอาจารยมั่น : ไดแกกามสุขัลลิกานุโยคแลอัตตกิลมถานุโยค พระธรรมเจดีย : กามสุขัลลิกานุโยคนั้นคืออะไร ? พระอาจารยมั่น : ความทำตนใหเปนผูหมดมุนติดอยูในกามสุขนี้แล ชื่อวากามสุขัลลิกานุ โยค พระธรรมเจดีย : อัตตกิลมถานุโยคไดแกทางไหน ? พระอาจารยมั่น : ไดแกผูปฏิบัติผิด แมประพฤติเครงครัดทำตนใหลำบากสักเพียงไร ก็ไม สำเร็จประโยชนซึ่ง มรรค, ผล, นิพพาน, นี่แหละเรียกวาอัตตกิลมถานุ โยค พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นทางทั้ง 2 นี้ เห็นจะมีคนเดินมากกวามัชฌิมาปฏิปทาหลารอย เทา ? 57
พระอาจารยมั่น : แนทีเดียว พระพุทธเจาแรกตรัสรู จึงไดแสดงกอนธรรมอยางอื่นๆ ที่มา แลวในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เพื่อใหสาวกเขาใจ จะไดไมดำเนินในทาง ทั้ง 2 มาดำเนินในทางมัชฌิมาปฏิปทา พระธรรมเจดีย : องคมรรค 8 ทำไมจึงยกสัมมาทิฎฐิ ซึ่งเปนกองปญญขึนแสดงกอน สวน การปฏิบัติของผูดำเนินทางมรรค ตองทำศีลไปกอน แลวจึงทำสมาธิ แล ปญญา ซึ่งเรียกวาสิกขาทั้ง 3 ? พระอาจารยมั่น : ตามความเห็นของขาพเจาวาจะเปน 2 ตอน ตอนแรกสวนโลกียกุศลตอง ทำศีล สมาธิ ปญญา เปนลำดับไป ปญญาที่เกิดขึ้นยังไมเห็นอริยสัจทั้ง 4 สังโยชน 3 ยังละไมได ขีดของใจเพียงนี้เปนโลกีย ตอนที่เห็นอริยสัจ แลวละสังโยชน 3 ได ตอนนี้เปนโลกุตตร พระธรรมเจดีย : ศีลจะเอาศีลชนิดไหน ? พระอาจารยมั่น : ศีลมีหลายอยาง ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 แตในที่นี้ประสงคศีลที่ เรียกวา สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว แตตองทำใหบริบูรณ 58
พระธรรมเจดีย : สมฺมาวาจา คืออะไร ? พระอาจารยมั่น : มุสาวาทา เวรมณี เวนจากพูดเท็จ ปสุณาย วาจาย เวรมณี เวนจากพูด คำหยาบ สมฺผปฺปลาปา เวรมณี เวนจากพูดโปรยประโยชน พระธรรมเจดีย : สมฺมากมฺมนฺโต การงานชอบนั้นมีกี่อยาง ? พระอาจารยมั่น : มี 3 อยาง คือ ปาณาติปาตา เวรมณี เวนจากฆาสัตว อทินนาทานา เวรมณี เวนจากการลักทรัพย อพฺรหฺมจริยา เวรมณี เวนจากอสัทธรรม ไมใชพรหมจรรย พระธรรมเจดีย : สมฺมากมฺมนฺโต ในที่อื่นๆโดยมาเวน อพฺรหฺม สวนในมหาสติปฏฐานทำไม จึงเวนกาเมสุมิจฉาจาร ? พระอาจารยมั่น : ความเห็นของขาพเจาวาที่ทรงแสดงศีล อพฺรหฺม เห็นจะเปนดวยรับสั่งแก ภิกษุ เพราะวาภิกษุเปน พรหมจารีบุคคลนั้น สวนในมหาสติปฏฐาน 4 ก็รับสั่งแกภิกษุเหมือนกัน แตวาเวลานั้นพระองคเสด็จประทับอยูในหมู 59
ชนชาวกุรุ พวกชาวบานเห็นจะฟงอยูมาก ทานจึงสอนใหเวน กามมิจฉา จาร เพราะชาวบานมักเปนคนมีคู พระธรรมเจดีย : สมฺมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ เวนจากมิจฉาชีพนั้นเปนอยางไร ? พระอาจารยมั่น : บางแหงทานก็อธิบายไววา ขายสุรายาพิษ ศัสตราวุธ หรือขายสัตวมี ชีวิตตองเอาไปฆาเปนตน เหลานี้แหละเปนมิจฉาชีพ พระธรรมเจดีย : ถาคนที่ไมไดขายของเหลานี้ก็เปนสมฺมาอาชีโว อยางนั้นหรือ ? พระอาจารยมั่น : ยังเปนไปไมได เพราะวิธีโกงของคนมีหลายอยางนัก เชน คาขายโดยไม เชื่อ มีการโกงตาชั่งตาเต็ง หรือเอารัดเอาเปรียบอยางใดอยางหนึ่งใน เวลาที่ผูชื้อเผลอหรือเขาไวใจ รวมความพูดวาอัธยาศัยของคนที่ไมซื่อ คิดเอารัดเอาเปรียบผูอื่น เห็นแตจะไดสุดแตจะมีโอกาส จะเปนเงินหรือ ของก็ดี ถึงแมไมชอบธรรม สุดแตจะได เปนเอาทั้งนั้น ขาพเจาเห็นวา อาการเหลานี้ก็เปนมิจฉาชีพทั้งสิ้น สมฺมาอาชีโว จะตองเวนทุกอยาง เพราะเปนสิ่งที่คดคอมไดมาโดยไมชอบธรรม พระธรรมเจดีย : 60
สมฺมาวายาโม ความเพียรชอบนั้นคือเพียรอยางไร ? พระอาจารยมั่น : สังวรปธาน เพียรระวังอกุศลวิตก 3 ที่ยังไมเกิดไมใหเกิดขึ้น ปหานปธาน เพียร ละอกุศลวิตก 3 ที่เกิดขึ้นแลวใหหายไป ภาวนาปธาน เพียรเจริญ กุศลที่ยังไมเกิดขึ้นแลวใหหายไป ภาวนาปธาน เพียรเจริญกุศลที่ยังไม เกิดใหเกิดขึ้น อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดแลวไวใหสมบูรณ พระธรรมเจดีย : สมฺมาสติ ระลึกชอบนั้นระลึกอยางไร ? พระอาจารยมั่น : ระลึกอยูในสติปฎฐาน 4 คือ กายานุปสฺสนา ระลึกถึงกาย เวทนานุปสฺ สนา ระลึกถึงเวทนา จิตฺตานุปสฺสนา ระลึกถึงจิต ธมฺมานุปสฺสนา ระลึก ถึงธรรม พระธรรมเจดีย : สมฺมาสมาธิ ความตั้งใจไวชอบ คือตั้งใจไวอยางไร จึงจะเปนสมฺมา สมาธิ ? พระอาจารยมั่น : คือตั้งไวในองคฌาณทั้ง 4 ที่เรียกวา ปฐมฌาณ ทุติยฌาณ ตติยฌาณ จตุตถฌาณ เหลานี้แหละ เปน สมฺมาสมาธิ 61
พระธรรมเจดีย : สมฺมาสงฺกปฺโป ความดำริชอบนั้นดำริอยางไร ? พระอาจารยมั่น : เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป ดำริออกจากกาม อพฺยาปาทสงฺกปฺโป ดำริไมพยาบาท อวิหึสาสงฺกปฺโป ดำริในความไมเบียดเบียน พระธรรมเจดีย : สมฺมาวายาโม ก็ละอกุศลวิตก 3 แลว สมฺมาสงฺกปฺโป ทำไมจึงตองดำริอีก เลา ? พระอาจารยมั่น : ตางกันเพราะ สมฺมาวายาโมนั้น เปนแตเปลี่ยนอารมณ เชน จิตที่ฟุงซาน หรือเปนอกุศลก็เลิกนึกเรื่องเกาเสีย มามีสติระลึกอยูในอารมณที่เปน กุศลจึงสงเคราะหเขาในกองสมาธิ สวนสมฺมาสงฺกปฺโป มีปญญา พิจารณาเห็นโทษของกาม เห็นอานิสงสของเนกขัมมะ จึงไดคิดออกจาก กามด ว ยอาการที ่ เ ห็ น โทษหรื อ เห็ น โทษของพยาบาทวิ ห ิ ง สา เห็ น อานิสงสของเมตตากรุณา จึงไดคาดละพยาบาทวิหิงสา การเห็นโทษแล เห็นอานิสงสเชนนี้แหละจึงผิดกับ สมฺมาวายาโม ทานจึงสงเคราะหเขาไว ในกองปญญา พระธรรมเจดีย : 62
สมฺมาทิ€ฐิ ความเห็นชอบนั้นคือเห็นอยางไร ? พระอาจารยมั่น : คือ เห็นทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ที่เรียกวา อริยสัจ 4 ความเห็นชอบ อยางนี้แหละชื่อวา สมฺมาทิ€ฐิ พระธรรมเจดีย : อริยสัจ 4 นั้น มีกิจจะตองทำอะไรบาง ? พระอาจารยมั่น : ตามแบบที่มีมาในธรรมจักร มีกิจ 3 อยาง ใน 4 อริยสัจ รวมเปน 12 คือ สัจญาณ รูวาทุกข กิจญาณ รูวาจะตองกำหนด กตญาณ รูวากำหนด เสร็จแลว แลรูวาทุกขสมุทัยจะตองละ แลไดละเสร็จแลว และรูวา ทุกขนิโรธจะตองทำใหเจงแลไดทำใหแจงเสร็จแลว แลรูวาทุกขนิโรธคามี นีปฏิปทา จะตองเจริญ แลไดเจริญแลว นี่แหละเรียกวากิจในอริยสัจทั้ง 4 พระธรรมเจดีย : ทุกขนั้นไดแกสิ่งอะไร ? พระอาจารยมั่น : ขันธ 5 อายตนะ 6 ธาตุ 6 นามรูป เหลานี้เปนประเภททุกขสัจ 63
พระธรรมเจดีย : ทุกขมีหลายอยางนักจะกำหนดอยางไรถูก ? พระอาจารยมั่น : กำหนดอยางเดียวก็ได จะเปนขันธ 5 หรือ อายตนะ 6 หรือธาตุ 6 นาม รูปอยางใดอยางหนึ่งก็ได ไมใชวาจะตองกำหนดทีละหลายอยาง แตวาผู ปฏิบัติควรจะรูไวเพราะธรรมทั้งหลายเหลานี้ เปนอารมณของวิปสสนา พระธรรมเจีดย : การที่จะเห็นอริยสัจก็ตองทำวิปสสนาดวยหรือ ? พระอาจารยมั่น : ไมเจริญวิปสนา ปญญาจะเกิดอยางไรได เมื่อปญญาไมมีจะเห็นอริยสัจ ทั้ง 4 อยางไรได แตที่เจริญวิปสสนากันอยู ผูที่อินทรียออนยังไมเห็น อริยสัจทั้ง 4 เลย พระธรรมเจดีย : ขันธ 5 ใครๆก็รูทำไมจึงกำหนดทุกขไมถูก ? พระอาจารยมั่น : รูแตชื่อ ไมรูอาการขันธตามความเปนจริง เพราะฉะนั้นขันธ 5 เกิดขึ้นก็ ไมรูวาเกิด ขันธ 5 ดับไปก็ไมรูวาดับ แลขันธมีอาการสิ้นไปเสื่อมไปตาม ความเปนจริงอยางไรก็ไมทราบทั้งนั้น จึงเปนผูหลงประกอบดวยวิปลาส 64
คือไมเที่ยงก็เห็นวาเที่ยง เปนทุกขก็เห็นวาเปนสุข เปนอนัตตาก็เห็นวา เปนอัตตาตัวตน เปนอสุภไมงามก็เห็นวาเปนสุภะงาม เพราะฉะนั้น พระพุทธเจาจึงทรงสั่งสอนสาวก ที่มาแลวในมหาสติปฎฐานสูตร ใหรูจัก ขันธ 5 แลอายตนะ 6 ตามความเปนจริงจะไดกำหนดถูก พระธรรมเจดีย : ขันธ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้นมีลักษณะอยางไร เมื่อเวลาเกิดขึ้นแลดับไปจะไดรู ? พระอาจารยมั่น : รูปคือ ธาตุดิน 19 น้ำ 12 ลม 6 ไฟ 4 ชื่อวามหาภูตรูป เปนรูปใหญแล อุปาทายรูป 24 เปนรูปที่ละเอียด ซึ่งอาศัยอยูในมหาภูตรูป 4 เหลานี้ ชื่อวารูป แตจะแจงใหละเอียดก็มากมาย เมื่ออยากทราบใหละเอียด ก็จง ไปดูเอาในแบบเถิด พระธรรมเจดีย : ก็เวทนานั้นไดแกสิ่งอะไร ? พระอาจารยมั่น : ความเสวยอารมณ ซึ่งเกิดประจำอยูในรูปนี้แหละ คือบางคราวก็เสวย อารมณเปนสุข บางคราวก็เสวยอารมณก็เปนทุกข บางคราวก็ไมทุกข ไมสุข นี่แหละเรียกวา เวทนา 3 ถาเติมโสมนัสโทมนัส ก็เปนเวทนา 5 65
พระธรรมเจดีย : โสมนัสโทมนัสเวทนา ดูเปนชื่อของกิเลส ทำไมจึงเปนขันธ ? พระอาจารยมั่น : เวทนามี 2 อยาง คือ กายิกะเวทนาๆ ซึ่งเกิดทางกาย 1 เจตสิกเวทนาๆ ซึ่งเกิดทางใจ 1 สุขเวทนาเสวยอารมณเปนสุข ทุกขเวทนาเสวยอารมณ เปนทุกข 2 อยางนี้เกิดทางกาย โสมนัส โทมนัส อทุกขมสุขเวทนา 3 อยางนี้เกิดทางใจ ไชกิเลส คือเชนกับบางคราวอยูดีๆก็มีความสบายใจ โดยไมไดอาศัยความรักความชอบก็มี หรือบางคราวไมอาศัยโทสะหรือ ปฏิฆะ ไมสบายใจขึ้นเอง เชนคนเปนโรคหัวใจหรือโรคเสนประสาทก็มี อยางนี้เปนขันธแท ตองกำหนดรูวาเปนทุกข เมื่อเวทนาอยางใดอยาง หนึ่งปรากฎขึ้น นั่นแหละเปนความเกิดขึ้นแหงเวทนา เมื่อเวทนาเหลานั้น ดับหายไป เปนความดับไปแหงเวทนา นี่แหละเปนขันธแท เปนประเภท ทุกขสัจ พระธรรมเจดีย : เวทนานั้นอาศัยอะไรจึงเกิดขึ้น ? พระอาจารยมั่น : อาศัยอายตนะภายใน 6 ภายนอก 6 วิญญาณ 6 กระทบกันเขา ชื่อวา ผัสสะ เปนที่เกิดแหงเวทนา พระธรรมเจดีย : 66
อายตนะภายใน 6 ภายนอก 6 วิญญาณ 6 ผัสสะ 6 เวทนาที่เกิดแต ผัสสะ 6 ก็ไมใชกิเลส เปนประเภททุกขทั้งนั้นไมใชหรือ ? พระอาจารยมั่น : ถูกแลว พระธรรมเจดีย : แตทำไมคนเราเมื่อเวลาตาเห็นรูป หูไดยินเสียง จมูกไดดมกลิ่น ลิ้นไดลิ้ม รสหรือถูกตองโผฏฐัพพะดวยกาย รูรับอารมณดวยใจ ก็ยอมไดเวทนา อยางใดอยางหนึ่งไมใชหรือ ก็อายตนะแลผัสสเวทนาก็ไมใชกิเลส แต ทำไมคนเราจึงเกิดกิเลสและความอยากขึ้นไดเลา ? พระอาจารยมั่น : เพราะไมรูวาเปนขันธแลอายตนะ แลผัสสเวทนา สำคัญวาเปนผูเปนคน เปนจริงเปนจัง จึงไดเกิดกิเลสและความอยาก เพราะฉะนั้นพระพุทธเจา จึงทรงแสดงไวในฉักกะสูตรวา บุคคลเมื่อสุขเวทนาเกิดขึ้น ก็ปลอยใหรา นุสัยตามนอน ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ก็ปลอยใหปฏิฆานุสัยตามนอน อุทก ขมสุขเวทนาเกิดขึ้น ก็ปลอยใหอวิชชานุสัยตามนอน การทำที่สุดแหง ทุกขในชาตินี้ ไมใชฐานะที่จะมีไดเปนได ถาบุคคลเมื่อเวทนาทั้ง 3 เกิด ขึ้นก็ไมปลอยใหอนุสัยทั้ง 3 ตามนอน การทำที่สุดแหงทุกขในชาตินี้มี ฐานะที่มีไดเปนได นี่ก็เทากับตรัสไวเปนคำตายตัวอยูแลว พระธรรมเจดีย : 67
จะปฏิบัติอยางไรจึงจะไมใหอนุสัยทั้ง 3 ตามนอน ? พระอาจารยมั่น : ก็ตองมีสติทำความรูสึกตัวไว แลมีสัมปชัญญะ ความรูรอบคอบใน อายตนะ แลผัสสเวทนาตามความเปนจริงอยางไร อนุสัยทั้ง 3 จึงจะไม ตามนอน สมดวยพระพุทธภาษิตในโสฬสปญหาที่ 1 ตรัสตอบอชิตะ มานพวา สติ เตสํ นิวารณํ สติเปนทดุจทำนบเครื่องปดกระแสเหลานั้น ปฺญา เยเตปถิยฺยเร กระแสเหลานั้นอันผูปฏิบัติจะละเสียไดดวยปญญา แตในที่นั้นทานประสงคละตัณหา แตอนุสัยกับตัณหาหเปนกิเลสประเภท เดียวกัน พระธรรมเจดีย : เวทนาเปนขันธแทเปนทุกขสัจไมใชกิเลส แตในปฏิจจสมุปบาท ทำไมจึง มี เวทนาปจฺจยตณฺหา เพราะเหตุอะไร ? พระอาจารยมั่น : เพราะไมรูจักเวทนาตามความเปนจริง เมื่อเวทนาอยางใดอยางหนึ่งเกิด ขึ้น เวทนาที่เปนสุขก็ชอบเพลิดเพลินอยากได หรือใหคงอยูไมใหหายไป เสีย เวทนาที่เปนทุกขไมดีมีมา ก็ไมชอบประกอบดวยปฏิฆะอยากผลักไส ไลขับใหหายไปเสีย หรืออทุขมสุขเทนา ที่มีมาก็ไมรู อวิชชานุสัยจึงตาม นอน สมดวยพระพุทธภาษิตในโสฬสปญหาที่ 13 ที่อุทยะมานพทูลถาม วา กถํ สตสฺส จรโตวิญญาณํ อุปรุชฺฌติ เมื่อบุคคลประพฤติมีสติอยางไร ปฏิสนธิ วิญญานจึงจะดับ ตรัสตอบวา อชฺฌตฺตฺจ พหิทฺธา จ เวทนํ นา 68
พินนฺทโต เมื่อบุคคลไมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งเวทนาทั้งภายในแลภายนอก อวํ สตสฺส จรโต วิญญาณํ อุปรุชฺฌติ ประพฤติมีสติอยูอยางนี้ ปฏิสนธิ วิญญาณจึงจะดับ พระธรรมเจดีย : เวทนาอย า งไรชื ่ อ ว า เวทนาภายนอก เวทนาอย า งไรชื ่ อ ว า เวทนา ภายใน ? พระอาจารยมั่น : เวทนาที่เกิดแตจักขุสัมผัส โสตะสัมผัส ฆานะสัมผัส ชิวหาสัมผัส กาย สัมผัส 5 อยาง นี้ชื่อวา เวทนาที่เปนภายนอก เวทนาที่เกิดในฌาณ เชน ปติหรือสุขเปนตน ชื่อวาเวทนาภายในเกิดแตมโนสัมผัส พระธรรมเจดีย : ปติแลสุขก็เปนเวทนาดวยหรือ ? พระอาจารยมั่น : ปติแลสุขนั้นเกิดขึ้นเพราะความสงบ อาศัยความเพียรของผูปฏิบัติ ในคิริ มานนทสูตร อานาปานสติ หมวดที่ 5 กับที่ 6 ทานสงเคราะหเขาในเวท นานุปสสนาสติปฎฐาน เพราะฉะนั้นปติแลสุขจึงจัดเปนเวทนาภายในได พระธรรมเจดีย : ที่เรียกวา นิรามิสเวทนา เสวยเวทนาไมมีอามิส คือไมเจือกามคุณ เห็นจะ 69
เปนเวทนาที่เกิดขึ้นจากจิตที่สงบนี้เอง แตถาเชนนั้นความยินดีใน รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฎฐัพพะ ที่เรียกวากามคุณ 5 เวทนาที่เกิดคราวนั้น ก็ เปนอามิสเวทนา ถูกไหม ? พระอาจารยมั่น : ถูกแลว พระธรรมเจดีย : สวนเวทนาขาพเจาเขาใจดีแลว แตสวนสัญญาขันธ ความจำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ จำธัมมารมณ 6 อยางนี้ มัลักษณะอยางไร เมื่อรูป สัญญาความจำรูปเกิดขึ้นนั้น มีอาการเชนไร แลเวลาที่ความจำ รูปดับไป มีอาการเชนไร ขาพเจาอยากทราบ เพื่อจะไดกำหนดถูก ? พระอาจารยมั่น : คือเราไดเห็นรูปคน หรือรูปของอยางใดอยางหนึ่งแลวมานึกขึ้น รูปคน หรือรูปของเหลานั้นก็มาปรากฎขึ้นในใจ เหมือนอยางไดเห็นจริงๆนี่เรียก วาความจำรูป พระธรรมเจดีย : ยังไมเขาใจดี ขอใหชี้ตัวอยางใหขาวอีกสักหนอย ? พระอาจารยมั่น : เชนกับเมื่อเชานี้เราไดพบกับคนที่รูจักกันหรือไดพูดกัน ครั้นคนนั้นไป 70
จากเราแลว เมื่อเรานึกถึงคนนั้น รูปรางคนนั้นก็ปรากฎชัดเจนเหมือน เวลาที่พบกัน หรือไดเห็นของสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว เมื่อเวลานึกขึ้นก็เห็นสิ่งนั้น ชัดเจน เหมือนอยางเวลาที่เห็นรวมเปนรูป 2 อยาง คือ อุปาทินนกรูป รูปที่มีวิญญาณ เชน รูปคน หรือรูปสัตว อนุปาทินนกรูป รูปที่ไมมี วิญญาณครอง ไดแกสิ่งของตางๆ หรือตนไมดินหินกรวด พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นคนเปนก็เปนรูปที่มีวิญญาณ คนตายก็เปนรูปที่ไมมีวิญญาณ อยางนั้นหรือ ? พระอาจารยมั่น : ถูกแลว นาสลดใจ ชาติเดียวเปนได 2 อยาง พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นสัญญาก็เปนเรื่องของอดีตทั้งนั้น ไมใชปจจุบัน ? พระอาจารยมั่น : อารมณนั้นเปนอดีต แตเมื่อความจำปรากฎขึ้นในใจ เปนสัญญาปจจุบัน นี่แหละเรียกวาสัญญาขันธ พระธรรมเจดีย : ถาไมรูจักสัญญา เวลาที่ความจำรูปคนมาปรากฎขึ้นในใจ ก็ไมรูวา สัญญาของตัวเอง สำคัญวาเปนคนจริงๆ หรือความจำรูปที่ไมมีวิญญาณ 71
มาปรากฎขึ้นในใจ ก็ไมรูวาสัญญา สำคัญวาเปนสิ่งเปนของจริงๆ เมื่อ เปนเชนนี้จะมีโทษอยางไรบาง ขอทานจงอธิบายใหขาพเจาเขาใจ ? พระอาจารยมั่น : มีโทษมาก เชนนึกถึงคนที่รัก รูปรางของคนที่รักก็มาปรากฎกับใจ กามวิตกที่ยังไมเกิด ก็จะเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแลวก็จะงอกงาม หรือนึกถึงคน ที่โกรธกัน รูปรางของคนที่โกรธกันนั้นก็มาปรากฎชัดเจนเหมือนไดเห็น จริงๆ พยาบาทวิตกที่ยังไมเกิดก็จะเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแลวก็จะงอกงาม หรือนึกถึงสิ่งของที่สวยๆ งามๆ รูปรางสิ่งของเหลานั้นก็มาปรากฎในใจ เกิดความชอบใจบาง แหละอยาไดบาง เพราะไมรูวาสัญญาขันธของตัว เอง สัญญาวาสิ่งทั้งปวงเปนจริงเปนจังไปหมด ที่แทก็เหลวทั้งนั้น พระธรรมเจดีย : ก็ความเกิดขึ้นแหงสัญญามีลักษณะอยางไร ? พระอาจารยมั่น : เมื่อความจำรูปอยางใดอยางหนึ่งมาปรากฎในใจ เปนความเกิดขึ้นแหง ความจำรูป เมื่อความจำรูปเหลานั้นดับหายไปจากใจ เปนความดับไป แหงความจำรูป พระธรรมเจดีย : ความจำเสียงนั้น มีลักษณะอยางไร ? 72
พระอาจารยมั่น : เชนเวลาเราฟงเทศน เมื่อพระเทศนจบแลวเรานึกขึ้นไดวาทานแสดงวา อยางนั้นๆ หรือมีคนมาพูดเลาเรื่องอะไรๆ ใหเราฟง เมื่อเขาพูดเสร็จแลว เรานึกขึ้นจำถอยคำนั้นได นี่เปนลักษณะของความจำเสียง เมื่อความจำ เสียงปรากฎขึ้นในใจ เปนความเกิดขึ้นแหงความจำเสียง เมื่อความจำ เสียงเหลานั้นดับหายไปจากใจ เปนความดับไปแหงสัททสัญญา พระธรรมเจดีย : คันธสัญญาความจำกลิ่นมีลักษณะอยางไร ? พระอาจารยมั่น : เชนกับเราเคยไดกลิ่นหอมดอกไมหรือน้ำอบ หรือกลิ่นเหม็นอยางใด อยางหนึ่งไว เมื่อนึกขึ้นก็จำกลิ่นหอมกลิ่นเหม็นเหลานั้นได นี่เปนความ เกิดขึ้นของความจำกลิ่น เมื่อความจำกลิ่นเหลานั้นหายไปจากใจ เปน ความดับไปแหงคันธสัญญา พระธรรมเจดีย : รสสัญญาความจำรสนั้นมีลักษณะอยางไร ? พระอาจารยมั่น : ความจำรสนั้น เมื่อเรารับประทานอาหารมีรสเปรี้ยว หวาน จืด เค็ม หรือขมเปนตน เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแลว นึกขึ้นก็จำรสเหลานั้น ได อยางนี้เรียกวา ความจำรส เมื่อความจำรสปรากฎขึ้นใจใน เปนความ 73
เกิดขึ้นแหงรสสัญญา เมื่อความจำรสเหลานั้นดับหายไปจากใจ เปน ความดับไปแหงรสสัญญา พระธรรมเจดีย : โผฎฐัพพะสัญญามีลักษณะอยางไร ? พระอาจารยมั่น : ความจำเครื่องกระทบทางกาย เชนเราเดินไปเหยียบหนาม ถูกหนาม ยอก หรือถูกตองเย็นรอนออนแข็งอยางใดอยางหนึ่ง เมื่อนึกขึ้นจำความ ถูกตองกระทบกายเหลานั้นได ชื่อวาโผฏฐัพพะสัญญา พระธรรมเจดีย : เชนเมื่อกลางวันนี้เราเดินไปถูกแดดรอนจัด ครั้นกลับมาถึงบาน นึกถึงที่ ไปถูกแดดมานั้น ก็จำไดวาวันนั้นเราไปถูกแดดมานั้น ก็จัดไดวาวันนั้นเรา ไปถูกแดดรอน อยางนี้เปนโผฏฐัพพะสัญญาถูกไหม ? พระอาจารยมั่น : ถูกแลว สิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบถูกตองทางกาย เมื่อเราคิดถึงอารมณ เหลานั้น จำไดเปนโผฏฐัพพะสัญญาทั้งนั้น เมื่อความจำโผฏฐัพพะเกิดขึ้น ในใจ มีความเกิดขึ้นแหงโผฏฐัพพะสัญญา เมื่อความจำเหลานั้นดับหาย ไปจากใจ เปนความดับไปแหงโผฏฐัพพสัญญา พระธรรมเจดีย : 74
ธัมมสัญญามีลักษณะอยางไร ? พระอาจารยมั่น : ธัมมสัญญาความจำธัมมารมณนั้นละเอียดยิ่งกวาสัญญา 5 ที่ไดอธิบาย มาแลว พระธรรมเจดีย : ธัมมารมณนั้นไดแกสิ่งอะไร ? พระอาจารยมั่น : เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ 3 อยางนี้ ชื่อวาธัมมารมณ เชนเรา ไดเสวยเวทนาที่เปนสุขหรือที่เปนทุกขไว แลเวทนาเหลานั้นดับไปแลว นึกขึ้นจำไดอยางนี้ ชื่อวาความจำเวทนา หรือเคยทองบนอะไรๆ จะจำได มากก็ตามหรือจำไดนอยตาม เมื่อความจำเหลานั้นดับไปพอนึกขึ้นถึง ความจำเกาก็มาเปนสัญญาปจจุบันขึ้น อยางนี้เรียกวาความจำสัญญา หรือเราคิดนึกเรื่องอะไรๆขึ้นเองดวยใจ เมื่อความคิดเหลานั้นดับไป พอ เรานึกถึงเรื่องที่เคยคิดเอาไวนั้น ก็จำเรื่องนั้นได นี่เรียกวาความจำสัขาร ขันธ ความจำเรื่องราวของเวทนา สัญญา สังขารเหลานี้แหละชื่อธัมม สัญญา ความจำธัมมารมณ เมื่อความจำธัมมารมณมาปรากฎขึ้นในใจ เปนความเกิดขึ้นแหงธัมมสัญญา เมื่อความจำธัมมรมณเหลานั้นดับหาย ไปจากใจ เปนความดับไปแหงธัมมสัญญา พระธรรมเจดีย : 75
แหมชางซับซอนกันจริงๆ จะสังเกตอยางไรถูก ? พระอาจารยมั่น : ถายังไมรูจักอาการขันธ ก็สังเกตไมถูก ถารูจักแลว ก็สังเกตไดงาย เหมือนคนที่รูจักตัวแลรูจักชื่อกัน ถึงจะพบหรือเห็นกันมากๆ คนก็รูจักได ทุกๆคน ถาคนที่ไมคยรูจักตัวหรือรูจักชื่อกันมาแตคนเดียวก็ไมรูจักวา ผู นั้นคือใคร สมดวยพระพทุธภาษิตในคุหัฏฐกสูตรหนา 395 ที่วา สฺญํ ปริฺยา วิตเรยฺย โอฆํ สาธุชนมากำหนดรอบรูสัญญาแลวจะพึงขามโอฆ ะ พระธรรมเจดีย : สังขารขันธคืออะไร ? พระอาจารยมั่น : สังขารขันธคือความคิดความนึก พระธรรมเจดีย : สังขารขันธเปนทุกขสัจหรือเปนสมุทัย ? พระอาจารยมั่น : เปนทุกขสัจ ไมใชสมุทัย พระธรรมเจดีย : 76
ก็สังขารขันธตามแบบอภิธัมมสังคะ ทานแจกไววา มีบาปธรรม 14 โสภณเจตสิก 25 อัญญสมนา 13 รวมเปนเจตสิก 52 ดวงนั้น ดูมีทั้งบุญ ทั้งบาป และไมใชบุญไมใชบาปปนกัน ทำไมจึงเปนทุกขสัจอยางเดียว ขาพเจาฉงนนัก ? พระอาจารยมั่น : อัญญสมนา 13 ยกเวทนาสัญญาออกเสีย 2 ขันธ เหลืออยู 11 นี่แหละ เปนสังขารขันธแท จะตองกำหนดรูวาเปนทุกข สวนบาปธรรม 14 นั้น เปนสมุทัยอาศัยสังขารขันธเกิดขึ้น เปนสวนปหาตัพพธรรมจะตองละ สวนโสภณเจตสิก 25 นั้น เปนภาเวตัพพธรรมจะตองเจริญ เพราะฉะนั้น บาปธรรม 14 กับโสภณเจตสิก 25 ไมใชสังขารแท เปนแตอาศัยสังขาร ขันธเกิดขึ้น จึงมีหนาที่จะตองละแลตองเจริญความคิดความนึกอะไรๆ ที่ มาปรากฎขึ้นในใจ เปนความเกิดแหงสังขารขันธ ความคิดความนึกเหลา นั้นดับหายไปจากใจ ก็เปนความดับไปแหงสัขารขันธ พระธรรมเจดีย : วิญญาณขันธที่รูทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ 6 อยางนี้ มีลักษณะอยางไรและเวลาที่เกิดขึ้นแลดับไปมีอาการอยางไร ? พระอาจารยมั่น : คือ ตา 1 รูป 1 กระทบกันเขา เกิดความรูทางตา เชนกับเราไดเห็นคน หรือสงของอะไรๆ ก็รูไดคนนั้นคนนี้ หรือสิ่งนั้นสิ่งนี้ ชื่อวาจักขุวิญญาณ เมื่อรูปมาปรากฎกับตา เกิดความรูทางตาเปนความเกิดขึ้นแหงจักขุ 77
วิญญาณ เมื่อความรูทางตาดับหายไปเปนความดับไปแหงจักขุวิญญาณ หรือความรูทางหู รูกลิ่นทางจมูก รูรสทางลิ้น รูโผฎฐัพพะทางกายมา ปรากฎขึ้น ก็เปนความเกิดแหงโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหา วิญญาณ กายวิญญาณ เมื่อความรูทางหู จมูก ลิ้น กาย หายไป ก็เปน ความดับไปแหงโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กาย วิญญาณ เมื่อใจกับธัมมารมณมากระทบกันเขาเกิดความรูทางใจเรียกวา มโนวิญญาณ พระธรรมเจดีย : ใจนั้นไดแกสิ่งอะไร ? พระอาจารยมั่น : ใจนั้นเปนเครื่องรับธัมมารมณใหเกิดความรูทางใจ เหมือนอยางตาเปน เครื่องรับรูปใหเกิดความรูทางตา พระธรรมเจดีย : รูเวทนา รูสัญญา รูสังขารนั้น รูอยางไร ? พระอาจารยมั่น : รูเวทนานั้น เชน สุขเวทนาเปนปจจุบันเกิดขึ้น ก็รูวาเปนสุข หรือ ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ก็รูวาเปนทุกข อยางแลรูเวทนา หรือสัญญาใดมา ปรากฎขึ้นในใจ จะเปนความจำรูปหรือความจำเสียงก็ดี ก็รูสัญญานั้น อยางนี้เรียกวารูสัญญาหรือความคิดเรื่องอะไรๆขึ้น ก็รูไปในเรื่องนั้น 78
อยางนี้ รูสังขาร ความรูเวทนา สัญญา สังขาร 3 อยางนี้ ตองรูทางใจ เรียกวามโนวิญญาณ พระธรรมเจดีย : มโนวิญญาณความรูทางใจก็เหมือนกันกับธรรมสัญญา ความจำธัมมา รมณอยางนั้นหรือ เพราะนี่ก็รูวาเวทนา สัญญา สังขาร นั่นก็จำเวทนา สัญญา สังขาร ? พระอาจารยมั่น : ตางกัน เพราะสัญญานั้นจำอารมณที่ลวงแลว แตตัวสัญญาเองเปน สัญญาปจจุบัน สวนมโนวิญญาณนั้นรูเวทนา สัญญา สังขาร ที่เปน อารมณปจจุบัน เมื่อความรูเวทนา สัญญา สังขาร มาปรากฎขึ้นในใจ เปนความเกิดขึ้นแหงมโนวิญญาณ เมื่อความรู เวทนา สัญญา สังขาร ดับ หายไปจากใจ เปนความดับไปแหงมโนวิญญาณ พระธรรมเจดีย : เชนผงเขาตา รูวาเคืองตา เปนรูทางตาใชไหม ? พระอาจารยมั่น : ไมใช เพราะรูทางตานั้น หมายถึงรูปที่มากระทบกับตาเกิดความรูขึ้น สวนผงเขาตานั้นเปนกายสัมผัส ตองเรียกวารูโผฏฐัพพะ เพราะตานั้น เปนกาย ผงนั้นเปนโผฏฐัพพะ เกิดความรูขึ้น ชื่อวารูทางกาย ถาผงเขา ตาคนอื่น เขาวานเราไปดู เมื่อเราไดเห็นผงเกิดความรูขึ้น ชื่อวารูทางตา 79
พระธรรมเจดีย : สาธุ ขาพเจาเขาใจไดความในเรื่องนี้ชัดเจนดีแลว แตขันธ 5 นั้นยังไมได ความวา จะเกิดขึ้นที่ละอยางสองอยาง หรือวาตองเกิดพรอมกันทั้ง 5 ขันธ พระอาจารยมั่น : ตองเกิดขึ้นพรอมกันทั้ง 5 ขันธ พระธรรมเจดีย : ขันธ 5 ที่เกิดพรอมกันนั้น มีลักษณะอยางไร ? และความดับไปมีอาการ อยางไร ? ขอใหชี้ตัวอยางใหขาวสักหนอย พระอาจารยมั่น : เชนเวลาเรานึกถึงรูปคนหรือรูปสิ่งของอยางใดอยางหนึ่ง อาการที่นึก ขึ้นนั้นเปนลักษณะของสังขารขันธ รูปรางหรือสิ่งของเหลานั้นมาปรากฎ ขึ้นในใจนี่เปนลักษณะของรูปสัญญา ความรูที่เกิดขึ้นในเวลานั้นนี่เปน ลักษณะของมโนวิญญาณ สุขหรือทุกขหรืออุเบกขาที่เกิดขึ้นในคราวนั้น นี่เปนลักษณะของเวทนา มหาภูตรูป หรืออุปาทายรูปที่ปรากฎอยูนั้น เปนลักษณะของรูป อยางนี้เรียกวาความเกิดขึ้นแหงขันธพรอมกันทั้ง 5 เมื่ออาการ 5 อยางเหลานั้นดับไป เปนความดับไปแหงขันธทั้ง 5 พระธรรมเจดีย : 80
สวนนามทั้ง 4 เกิดขึ้นและดับไปพอจะเห็นดวย แตที่วารูปดับไปนั้นยังไม เขาใจ ? พระอาจารยมั่น : สวนรูปนั้นมีความแปรปรวนอยูเสมอเชนของเกาเสื่อมไป ของใหมเกิด แทนแตทวาไมเห็นเองเพราะรูปสันตติ รูปที่ติดตอเนื่องกันบังเสีย จึงแลไม เห็น แตก็ลองนึกดูถึงรูปตั้งแตเกิดมาจนถึงวันนี้เปลี่ยนไปแลวสักเทาไร ถารูปไมดับก็คงไมมีเวลาแกแลเวลาตาย พระธรรมเจดีย : ถาเราสังเกตขันธ 5 วาเวลาเกิดขึ้นแลดับไปนั้น จะสังเกตอยางไรจึงจะ เห็นได แลที่วาขันธสิ้นไปเสื่อมไปนั้นมีลักษณะอยางไร เพราะวาเกิดขึ้น แลวก็ดับไป แลวก็เกิดขึ้นไดอีกดูเปนของคงที่ไมเห็นมีความเสื่อม พระอาจารยมั่น : พูดกับคนที่ไมเคยเห็นความจริงนั้น ชางนาขันเสียเหลือเกิน วิธีสังเกต ขันธ 5 นั้น ก็ตองศึกษาใหรูจักอาการขันธตามความเปนจริง แลวก็มีสติ สงบความคิดอื่นเสียหมดแลว จนเปนอารมณอันเดียวที่เรียกวาสมาธิ ใน เวลานั้นความคิดอะไรๆไมมีแลว สวนรูปนั้นหมายลมหายใจ สวนเวทนาก็ มีแตปติหรือสุข สวนสัญญาก็เปนธรรมสัญญาอยางเดียว สวนสังขาร เวลานั้นเปนสติกับสมาธิ หรือวิตกวิจารณอยู สวนวิญญาณก็เปนแต ความรูอยูในเรื่องที่สงบนั้น ในเวลานั้นขันธ 5 เขาไปรวมอยูเปนอารมณ เดียว ในเวลานั้นตองสังเกตอารมณปจจุบัน ที่ปรากฎอยูเปนความเกิด 81
ขึ้นแหงขันธ พออารมณปจจุบันนั้นดับไปเปนความดับไปแหงนามขันธ สวนรูปนั้นเชนลมหายใจออกมาแลว พอหายใจกลับเขาไป ลมหายใจ ออกนั้นก็ดับไปแลว ครั้นกลับมาหายใจออกอีก ลมหายใจเขาก็ดับไป แลว นี่แหละเปนความดับไปแหงขันธทั้ง 5 แลวปรากฏขึ้นมาอีก ก็เปน ความเกิดขึ้นทุกๆอามรมณแลขันธ 5 ที่เกิดขึ้นดับไป ไมใชดับไปเปลาๆ รูปชีวิตินทรียความเปนอยูของนามขันธทั้ง 5 เมื่ออารมณดับไปครั้งหนึ่ง ชีวิตแลอายุของขันธทั้ง 5 สิ้นไปหมดทุกๆ อารมณ พระธรรมเจดีย : วิธีสังเกตอาการขันธที่สิ้นไปเสื่อมไปนั้น หมายเอาหรือคิดเอา ? พระอาจารยมั่น : หมายเอาก็เปนสัญญา คิดเอาก็เปนเจตนา เพราะฉะนั้นไมใชหมายไมใช คิด ตองเขาไปเห็นความจริงที่ปรากฎเฉพาะหนา จึงจะเปนปญญาได พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นจะดูความสิ้นไปเสื่อมไปของขันธทั้ง 5 มิตองตั้งพิธีทำใจใหเปน สมาธิทุกคราวไปหรือ ? พระอาจารยมั่น : ถายังไมเคยเห็นความจริง ก็ตองตั้งพิธีเชนนี้ร่ำไป ถาเคยเห็นความจริง เสียแลวก็ไมตองตั้งพิธีทำใจใหเปนสมาธิทุกคราวก็ได แตพอมีสติขึ้น ความจริงก็ปรากฎเพราะเคยเห็นแลรูจักความจริงเสียแลว เมื่อมีสติรูตัว 82
ขึ้นมาเวลาใด ก็เปนสมถวิปสสนากำกับกันไปทุกคราว พระธรรมเจดีย : ที่วาชีวิตแลอายุขันธสิ้นไปเสื่อมไปนั้นคือ สิ้นไปเสื่อมไปอยางไร ? พระอาจารยมั่น : เชนเราจะมีลมหายใจอยูไดสัก 100 หน ก็จะตาย ถาหายใจเสียหนหนึ่ง แลว ก็คงเหลืออีก 99 หน หรือเราจะคิดจะนึกอะไรไดสัก 100 หน เมื่อ คิดนึกเสียหนหนึ่งแลว คงเหลืออีก 99 หน ถาเปนคนอายุยืนก็หายใจอยู ไดมากหน หรือคิดนึกอะไรๆอยูไดมากหน ถาเปนคนอายุสั้น ก็มีลม หายใจและคิดนึกอะไรๆอยูไดนอยหน ที่สุดก็หมดลงวันหนึ่ง เพราะจะ ตองตายเปนธรรมดา พระธรรมเจดีย : ถาเราจะหมายจะคิดอยูในเรื่องความจริงของขันธอยางนี้ จะเปนปญญา ไหม ? พระอาจารยมั่น : ถาคิดเอาหมายเอา ก็เปนสมถะ ที่เรียกวามรณัสสติ เพราะปญญานั้น ไมใชเรื่องหมายหรือเรื่องคิด เปนเรื่องของความเห็นอารมณปจจุบันที่ ปรากฎเฉพาะหนาราวกับตาเห็นรูปจึงจะเปนปญญา พระธรรมเจดีย : 83
เมื่อจิตสงบแลว ก็คอยสังเกตดูอาการขันธที่เปนอารมณปจจุบัน เพื่อจะ ใหเห็นความจริง นั่นเปนเจตนาใชไหม ? พระอาจารยมั่น : เวลานั้นเปนเจตนาจริงอยู แตความจริงก็ยังไมปรากฎ เวลาที่ความจริง ปรากฎขึ้นนั้นพนเจตนาทีเดียว ไมเจตนาเลย เปนความเห็นที่เกิดขึ้นเปน พิเศษตอจากจิตที่สงบแลว พระธรรมเจดีย : จิตคูกับเจตสิก ใจคูกับธัมมารมณ มโนธาตุคูกับธรรมธาตุ 3 คูนี้เหมือน กันหรือตางกัน ? พระอาจารยมั่น : เหมือนกัน เพราะวาจิตกับมโนธาตุกับใจนั้นอยางเดียวกัน สวนใจนั้น เปนภาษาไทย ภาษาบาลีทานเรียกวามโน เจตสิกนั้นก็ไดแกเวทนา สัญญา สังขาร ธัมมารมณนั้นก็คือ เวทนา สัญญา สังขาร ธรรมธาตุนั้น ก็คือ เวทนา สัญญา สังขาร พระธรรมเจดีย : ใจนั้นทำไมจึงไมใครปรากฎ เวลาที่สังเกตดูก็เห็นแตเหลาธัมมารมณ คือ เวทนาบาง สัญญาบาง สังขารบาง มโนวิญญาณความรูทางใจบาง เพราะเหตุไร ใจจึงไมปรากฏเหมือนเหลาธัมมารมณ กับมโนวิญญาณ ? 84
พระอาจารยมั่น : ใจนั้นเปนของละเอียด เห็นไดยาก พอพวกเจตสิกธรรมที่เปนเหลาธัมมา รมณมากระทบเขาก็เกิดมโนวิญญาณ ถูกผสมเปนมโนสัมผัสเสียทีเดียว จึงแลไมเห็นมโนธาตุได พระธรรมเจดีย : อุเบกขาในจตุตถฌาณ เปนอทุกขมสุขเวทนา ใชหรือไม ? พระอาจารยมั่น : ไมใช อทุกขมสุขเวทนานั้นเปนเจตสิกธรรม สวนอุเบกขาในจตุตถฌาณ นั้นเปนจิต พระธรรมเจดีย : สังโยชน 10 นั้น คือ สักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา สีลัพตปรามาส กามราคะ พยาบาท รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ที่แบงเปน สังโยชนเบื้องต่ำ 5 เบื้องบน 5 นั้น ก็สวนสักกายทิฎฐิที่ทานแจกไว ตาม แบบขันธละ 4 รวม 5 ขันธ เปน 20 ที่วา ยอมเห็นรูปโดยความเปนตัว ตนบาง ยอมเห็นตัวตนวามีรูปบาง ยอมเห็นรูปในตัวตนบาง ยอมเห็นตัว ตนในรูปบาง ยอมเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณโดยความเปนตัว ตนบาง ยอมเห็นตัวตนวามี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณบาง ยอม เห็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณในตัวตนบาง ยอมเห็นตัวตนใน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณบาง ถาฟงดูทานที่ละสักกายทิฎฐิไดแลว ดูไมเปนตัวเปนตน แตทำไมพระโสดาบันก็ละสักกายทิฎฐิไดแลว สังโยชน 85
ยังอยูอีกถึง 7 ขาพเจาฉงนนัก ? พระอาจารยมั่น : สักกายทิฎฐิ ที่ทานแปลไวตามแบบ ใครๆ ฟงก็ไมใครเขัาใจ เพราะทาน แตกอน ทานพูดภาษามคธกัน ทานเขาใจไดความกันดี สวนเราเปนไทย ถึงแปลแลวก็จะไมเขาใจของทาน จึงลงความเห็นวาไมเปนตัวเปนตนเสีย ดูออกจะแรงมากไป ควรจะนึกถึงพระโกณฑัญญะ ในธัมมจักรทานไดเปน โสดาบันกอนคนอื่น ทาไดความเห็นวา ยงฺกิฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิ โรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเปนธรรมดา สิ่งนั้นลวนมีความดับ เปนธรรมดา และพระสารีบุตรพบพระอัสสชิ ไดฟงอริยสัจยอวา เย ธมฺ มา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสฺจ โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหา สมโณ "ธรรมเหลาใดเกิดแตเหตุ พระตถาคตเจาทรงแสดงเหตุของธรรม เหลานั้น และความดับของธรรมเหลานั้น พระมหาสมณะมีปกติกลาว อยางนี้" ทานก็ไดดวงตาเห็นธรรม ละสักกายทิฎฐิได พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นทานก็เห็นความจริงของปญจขันธ ถายความเห็นผิด คือ ทิฎฐิ วิปลาสเสียได สวนสีลัพพัตกับวิจิกิจฉา 2 อยางนั้น ทำไมจึงหมดไป ดวย ? พระอาจารยมั่น : สักกายทิฎฐินั้น เปนเรื่องของความเห็นผิด ถึงสีลัพพัตก็เกี่ยวกับความ เห็นวาสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ตางๆที่มีอยูในโลกจะใหดีใหชั่วได วิจิกิจฉานั้นเมื่อผู 86
ที่ยังไมเคยเห็นความจริง ก็ตองสงสัยเปนธรรมดา เพราะฉะนั้นทานที่ได ดวงตาเห็นธรรม คือ เห็นความจริงของสังขารทั้งปวง สวนสีลัพพัตนั้น เพราะความเห็นของทานตรงแลวจึงเปนอจลสัทธา ไมเห็นไปวาสิ่งอื่น นอกจากรรมที่เปนกุศลและอกุศล จะใหดีใหชั่วได จึงเปนอันละสีลัพพัต อยูเอง เพราะสังโยชน 3 เปนกิเลสประเภทเดียวกัน พระธรรมเจดีย : ถาตอบสังโยชน 3 อยางนี้แลว มิขัดกันกับสักกายทิฎฐิตามแบบที่วา ไม เปนตัวเปนตนหรือ ? พระอาจารยมั่น : คำที่วาไมเปนตัวเปนตนนั้น เปนเรื่องที่เขาใจเอาเองตางหาก เชน กับ พระโกณฑัญญะเมื่อฟงธรรมจักร ทานก็ละสักกายทิฎฐิไดแลว ทำไมจึง ตองฟงอนัตตลักขณะสูตรอีกเลา นี่ก็สอใหเห็นไดวา ทานผูที่ละสักกาย ทิฎฐิไดนั้น คงไมใชเห็นวาไมเปนตัวเปนตน พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้น ที่วาเห็นอนัตตา ก็คือเห็นวาไมใชตัวไมใชตนอยางนั้นหรือ ? พระอาจารยมั่น : อนัตตาในอนัตตะลักขณะสูตร ที่พระพุทธเจาทรงซักพระปญจวัคคีย มี เนื้อความวาขันธ 5 ไมเปนไปในอำนาจ สิ่งที่ไมเปนไปในอำนาจบังคับไม ได จึงชื่อวาเปนอนัตตา ถาขันธ 5 เปนอัตตาแลวก็คงจะบังคับได เพราะ 87
ฉะนั้นเราจึงควรเอาความวาขันธ 5 ที่ไมอยูในอำนาจ จึงเปนอนัตตา เพราะเหตุที่บังคับไมได ถาขันธ 5 เปนอัตตาตัวตนก็คงจะบังคับได พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นเห็นอยางไรเลา จึงเปนสักกายทิฎฐิ ? พระอาจารยมั่น : ตามความเห็นของขาพเจา วาไมรูจักขันธ 5 ตามความเปนจริง เห็น ปญจขันธวาเปนตน และเที่ยงสุข เปนตัวตนแกนสาร และเลยเห็นไปวา เปนสุภะความงามดวย ที่เรียกวาทิฎฐิวิปลาส นี่แหละเปนสักกายทิฎฐิ เพราะฉะนั้นจึงเปนคูปรับกับ ยงฺกิฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ ซึ่งเปนความเห็นถูก ความเห็นชอบ จึงถายความเห็นผิดเหลานั้นได พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้น ทานที่ละสักกายทิฎฐิไดแลว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จะเปน อัธยาศัยไดไหม ? พระอาจารยมั่น : ถาฟงดูตามแบบทานเห็น ยงฺกิฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ ชัดเจน อนิจฺจํ คงเปนอัธยาศัย สวนทุกขํ กับอนตฺตา ถึงจะเห็นก็ไมเปน อัธยาศัย เขาใจวาถาเห็นปญจขันธ เปนทุกขมากเขา กามราคะ พยาบาทก็คงนอย ถาเห็นปญจขันธเปนอนัตตามากเขา กามราคะ พยาบาทก็คงหมด ถาเห็นวา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ชัดเจนเขา สังโยชน 88
เบื้องบนก็คงหมด นี่เปนสวนความเขาใจ แตตามแบบทานก็ไมไดอธิบาย ไว พระธรรมเจดีย : ที่วาพระสกิทาคามี ทำการราคะพยาบาทใหนอยนั้น ดูมัวไมชัดเจน เพราะไมทราบวานอยแคไหน ไมแตกหักเหมือนพระโสดาบัน พระ อนาคามีและพระอรหันต ? พระอาจารยมั่น : แตกหักหรือไมแตกหัก ก็ใครจะไปรูของทาน เพราะวาเปนของเฉพาะตัว พระธรรมเจดีย : ถาจะสันนิษฐานไปตามแนวพระปริยัติก็จะชี้ตัวอยางใหเขาใจบางหรือ ไม ? พระอาจารยมั่น : การสันนิษฐานนั้นเปนของไมแน ไมเหมือนอยางไดรูเองเห็นเอง พระธรรมเจดีย : แนหรือไมแนก็เอาเถิด ขาพเจาอยากฟง ? พระอาจารยมั่น : ถาเชนนั้นขาพเจาเห็นวาทานที่ไดเปนโสดาบันเสร็จแลว มีอัธยาศัยใจคอ 89
ซึ่งตางกับปุถุชน ทานไดละกามราคะพยาบาทสวนหยาบถึงกับลวง ทุจริตซึ่งเปนฝายอบายคามีได คงเหลือแตอยางกลาง อยางละเอียดอีก 2 สวน ภายหลังทานเจริญสมถวิปสสนามากขึ้น ก็ละกามราคะปฏิฆะ สังโยชนอยางกลางไดอีกสวนหนึ่ง ขาพเจาเห็นวานี่แหละเปนมรรคที่ 2 ตอมาทานประพฤติปฏิบัติละเอียดเขา ก็ละกามราคะพยาบาทที่เปน อยางละเอียดไดขาด ชื่อวาพระอนาคามี พระธรรมเจดีย : กามราคะพยาบาทอยางหยาบถึงกับลวงทุจริต หมายทุจริตอยางไหน ? พระอาจารยมั่น : หมายเอาอกุศลกรรมบถ 10 วาเปนทุจริตอยางหยาบ พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นพระโสดาบันทานก็ละอกุศลกรรมบถ 10 ได เปนสมุจเฉท หรือ ? พระอาจารยมั่น : ตามความเห็นของขาพเจา เห็นวากายทุจริต 3 คือ ปาณา อทินนา กาเมสุมิจฉาจาร มโนทุจริต 3 อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฎฐินี้ละขาดได เปนสมุจเฉท สวนวจีกรรมที่ 4 คือ มุสาวาทก็ละไดขาด สวนวจีกรรมอีก 3 ตัว คือ ปสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาป ละไดแตสวนหยาบที่ ปุถุชนกลาวอยู แตสวนละเอียดยังละไมไดตองอาศัยสังวรความระวังไว 90
พระธรรมเจดีย : ที่ตองสำรวมวจีกรรม 3 เพราะเหตุอะไร ทำไมจึงไมขาดอยางมุสาวาท ? พระอาจารยมั่น : เปนดวยกามราคะ กับปฏิฆะ สังโยชนทั้ง 2 ยังละไมได พระธรรมเจดีย : วจีกรรม 3 มาเกี่ยวอะไรกับสังโยชนทั้ง 2 ดวยเลา ? พระอาจารยมั่น : บางคาบบางสมัย เปนตนวามีเรื่องที่จำเปนเกิดขึ้น ในคนรักของทานกับ คนอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขาทำความไมดีอยางใดอยางหนึ่ง จำเปนที่จะตองพูด ครั้นพูดไปแลวเปนเหตุใหเขาหางจากคนนั้น จึงตองระวัง สวนปสุณา วาจา บางคราวความโกรธเกิดขึ้นที่สุดจะพูดออกไป ดวยกำลังใจที่โกรธ วาพอมหาจำเริญแมมหาจำเริญ ที่เรียกวาประชดทาน ก็สงเคราะหเขาใจ ผรุสวาจา เพราะเหตุนั้นจึงตองสำรวม สวนสัมผัปปลาปนั้น ดิรัจฉาน กถาตางๆมีมาก ถาสมัยที่เผลอสติมีคนมาพูด ก็อาจจะพลอยพูดไปดวย ได เพราะเหตุนั้นจึงตองสำรวม พระธรรมเจดีย : ออพระโสดาบันยังมีเวลาเผลอสติอยูหรือ ? 91
พระอาจารยมั่น : ทำไมทาจะไมเผลอ สังโยชนยังอยูอีกถึง 7 ทานไมใชพระอรหันตจะได บริบูรณดวยสติ พระธรรมเจดีย : กามราคะ พยาบาท อยางกลางหมายความเอาแคไหน เมื่อเกิดขึ้นจะได รู ? พระอาจารยมั่น : ความรักแลความโกรธที่ปรากฎขึ้น มีเวลาสั้นหายเร็ว ไมถึงกับลวงทุจริต นี่แหละเปนอยางกลาง พระธรรมเจดีย : ก็กามราคะ พยาบาท อยางละเอียดนั้นหมายเอาแคไหน แลเรียกวา พยาบาทดูหยาบมาก เพราะเปนชื่อของอกุศล ? พระอาจารยมั่น : บางแหงทานก็เรียกวาปฏิฆะสังโยชนก็มี แตความเห็นของขาพเจาวา ไม ควรเรียกพยาบาท ควรจะเรียกปฏิฆะสังโยชนดูเหมาะดี พระธรรมเจดีย : ก็ปฏิฆะกับกามราคะที่อยางละเอียดนั้นจะไดแกอาการของจิตเชนใด ? 92
พระอาจารยมั่น : ความกำหนัดที่อยางละเอียด พอปรากฎขึ้นไมทันคิดออกไปก็หายทันที สวนปฏิฆะนั้น เชนคนที่มีสาเหตุโกรธกันมาแตกอน ครั้นนานมาความ โกรธนั้นก็หายไปแลว และไมไดนึกถึงเสียเลย ครั้นไปในที่ประชุมแหงใด แหงหนึ่ง ไปพบคนนั้นเขามีอาการสะดุดใจ ไมสนิทสนมหรือเกอเขิน ผิด กับคนธรรมดา ซึ่งไมเคยมีสาเหตุกัน ขาพเจาเห็นวาอาการเหลานี้เปน อยางละเอียด ควรจะเรียกปฏิฆะสังโยชนได แตตามแบบทานก็ไมได อธิบายไว พระธรรมเจดีย : สังโยชนทั้ง 2 นี้ เห็นจะเกิดจากคนโดยตรง ไมใชเกิดจากสิ่งของทรัพย สมบัติอื่นๆ ? พระอาจารยมั่น : ถูกแลว เชนวิสาขะอุบาสกเปนพระอนาคามี ไดยินวาหลีกจากนางธัมม ทินนา ไมไดหลีกจากสิ่งของทรัพยสมบัติสวนอื่นๆ สวนความโกรธหรือ ปฏิฆะที่เกิดขึ้น ก็เปนเรื่องของคนทั้งนั้น ถึงแมจะเปนเรื่องสิ่งของก็ เกี่ยวของกับคน ตกลงโกรธคนนั่นเอง พระธรรมเจดีย : สวนสังโยชนเบื้องต่ำนั้น ก็ไดรับความอธิบายมามากแลว แตสวน สังโยชนเบื้องบน 5 ตามแบบอธิบายไววา รูปราคะ คือ ยินดีในรูปฌาณ อรูปราคะยินดีในอรูปฌาณ ถาเชนนั้นคนที่ไมไดบรรลุฌาณสมาบัติ 8 93
สังโยชนทั้งสองก็ไมมีโอกาสจะเกิดได เมื่อเปนเชนนี้สังโยชนสองอยางนี้ ไมมีหรือ ? พระอาจารยมั่น : มี ไมเกิดในฌาณ ก็ไปเกิดในเรื่องอื่น พระธรรมเจดีย : เกิดในเรื่องไหนบาง ขอทานจงอธิบายใหขาพเจาเขาใจ ? พระอาจารยมั่น : ความยินดีในรูปขันธ หรือความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ นั้น ชื่อวารูปราคะ ความยินดีในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือยินดี ในสมถวิปสสนา หรือยินดีในสวนมรรคผล ที่ไดบรรลุเสขคุณแลว เหลานี้ ก็เปนอรูปราคะได พระธรรมเจดีย : ก็ความยินดีในกาม 5 พระอนาคามีละไดแลวไมใชหรือ ทำไมจึงมาเกี่ยว กับสังโยชนเบื้องบนอีกเลา ? พระอาจารยมั่น : กามมี 2 ชั้น ไมใชชั้นเดียว ที่พระอนาคามีละไดนั้น เปนสวนกำหนัดใน เมถุน ซึ่งเปนคูกับพยาบาท สวนความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพ พะ ที่ไมไดเกี่ยวกับเมถุน จึงเปนสังโยชนเบื้องบน คือรูปราคะ สวนความ 94
ยินดีในนามขันธทั้ง 4 หรือสมถวิปสสนาหรือมรรคผลชั้นตนๆ เหลานี้ ชื่อวาอรูปราคะ ซึ่งตรงกับความยินดีในธัมมารมณ เพราะฉะนั้นพระ อรหันตทั้งหลายเบื่อหนายในรูปขันธ หรือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ เปนภายนอก จึงไดสิ้นไปแหงรูปราคะสังโยชน และทานเบื่อในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และสมถหรือวิปสสนาะที่อาศัยขันธ เกิดขึ้น เมื่อทานสิ้นความยินดีในนามขันธแลว แมธรรมทั้งหลายอาศัยขันธเกิด ขึ้นทานก็ไมยินดี ไดชื่อวาละความยินดีในธัมมารมณซึ่งคูกับความ ยินราย เพราะความยินดียินรายในนามรูปหมดแลว ทานจึงเปนผูพน แลวจากความยินดียินรายในอารมณ 6 จึงถึงพรอมดวยคุณ คือ ฉะลัง คุเบกขา พระธรรมเจดีย : แปลกมากยังไมเคยไดยินใครอธิบายอยางนี้ สวนมานะสังโยชนนั้น มี อาการอยางไร ? พระอาจารยมั่น : มานะสังโยชนนั้นมีอาการใหวัด เชนกับนึกถึงตัวของตัว ก็รูสึกวาเปนเรา สวนคนอื่นก็เห็นวาเปนเขา แลเห็นวาเราเสมอกับเขา หรือเราสูงกวาเขา หรือเราต่ำกวาเขา อาการที่วัดชนิดนี้แหละเปนมานะสังโยชน ซึ่งเปนคู ปรับกับอนัตตา หรือ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา พระธรรมเจดีย : ก็อุทธัจจสังโยชนนั้นมีลักษณะอยางไร เชน พระอนาคามีละสังโยชน 95
เบื้องต่ำไดหมดแลว สวนอุทธัจจสังโยชนจะฟุงไปทางไหน ? พระอาจารยมั่น : ตามแบบทานอธิบายไววา ฟุงไปในธรรม เพราะทานยังไมเสร็จกิจจึงได ฝกใฝอยูในธรรม พระธรรมเจดีย : อวิชชาสังโยชนนั้นไมรูอะไร ? พระอาจารยมั่น : ตามแบบทานอธิบายไววา ไมรูขันธที่เปนอดีต 1 อนาคต 1 ปจจุบัน 1 อริยสัจ 4 ปฏิจจสมุปาท 1 ความไมรูในที่ 8 อยางนี้แหละชื่อวาอวิชชา พระธรรมเจดีย : พระเสขบุคคลทานก็รูอริยสัจ 4 ดวยกันทั้งนั้น ทำไมอวิชชาสังโยชนจึง ยังอยู ? พระอาจารยมั่น : อวิชชามีหลายชั้น เพราะฉะนั้นวิชชาก็หลายชั้น สวนพระเสขบุคคล มรรคแลผลชั้นใดที่ทานไดบรรลุแลว ทานก็รูเปนวิชชาขึ้น ชั้นใดยังไมรู ก็ยังเปนอวิชชาอยู เพราะฉะนั้นจึงหมดในขั้นที่สุด คือพระอรหันต พระธรรมเจดีย : 96
พระเสขบุคคลทานเห็นอริยสัจ แตละตัณหาไมได มิไมไดทำกิจในอริยสัจ หรือ ? พระอาจารยมั่น : ทานก็ทำทุกชั้นนั้นแหละ แตก็ทำตามกำลัง พระธรรมเจดีย : ที่วาทำตามชั้นนั้นทำอยางไร ? พระอาจารยมั่น : เชน พระโสดาบันไดเห็นปญจขันธเกิดขึ้นดับไป ก็ชื่อวาไดกำหนดรูทุกข และไดละสังโยชน 3 หรือทุจริตสวนหยาบๆ ก็เปนอันละสมุทัย ความที่ สังโยชน 3 สิ้นไปเปนสวนนิโรธตามชั้นของทาน สวนมรรคทานก็ได เจริญมีกำลังพอละสังโยชน 3 ได แลทานปดอบายได ชื่อวาทานทำภพ คือทุคติใหหมดไปที่ตามแบบเรียกวา ขีณนิรโย มีนรกสิ้นแลว สวนพระ สกิทาคามี ก็ไดกำหนดทุกข คือ ปญจขันธแลวละกามราคะ พยาบาท อยางกลาง ไดชื่อวาละสมุทัยขอที่ กามราคะ พยาบาท อยางกลางหมด ไป จึงเปนนิโรธของทาน สวนมรรคนั้นก็เจริญมาไดเพียงละกามราคะ พยาบาทอยางกลางนี่แหละ จึงไดทำภพชาติใหนอยลง สวนพระ อนาคามีทุกขไดกำหนดแลว ละกามราคะพยาบาทสวนละเอียดหมด ได ชื่อวาละสมุทัยกามราคะพยาบาทอยางละเอียดนี่หมดไปจึงเปนนิโรธ ของทาน สวนมรรคนั้นก็เจริญมาเพียงละสังโยชน 5 ไดหมด แลไดสิ้น ภพ คือ กามธาตุ 97
พระธรรมเจดีย : ศีล สมาธิ ปญญา ที่เปนโลกียกับโลกุตตรนั้น ตางกันอยางไร ? พระอาจารยมั่น : ศีล สมาธิ ปญญา ของผูปฏิบัติในภูมิกามาพจร รูปาพจร อรูปาพจร นี่ แหละเปนโลกียที่เรียกวาวัฏฏคามีกุศล เปนกุศลที่วนอยูในโลก สวนศีล สมาธิ ปญญา ของทานผูปฏิบัติตั้งแตโสดาบันแลวไป เรียกวาวิวัฎฎคามี กุศล เปนเครื่องขามขึ้นจากโลก นี่แหละเปนโลกุตตร พระธรรมเจดีย : ทานที่บรรลุฌาณถึงอรูปสมาบัติแลว ก็ยังเปนโลกียอยู ถาเชนนั้นเราจะ ปฏิบัติใหเปนโลกุตตรก็เห็นจะเหลือวิสัย ? พระอาจารยมั่น : ไมเหลือวิสัย พระพุทธเจาทานจึงทรงแสดงธรรมสั่งสอน ถาเหลือวิสัย พระองคก็คงไมทรงแสดง พระธรรมเจดีย : ถาเราไมไดบรรลุฌาณชั้นสูงๆจะเจริญปญญาเพื่อใหถึงซึ่งมรรคแลผลจะ ไดไหม ? พระอาจารยมั่น : ไดเพราะวิธีที่เจริญปญญาก็ตองอาศัยสมาธิจริงอยู แตไมตองถามถึงกับ 98
ฌาณ อาศัยสงบจิตที่พนนิวรณ ก็พอเปนบาทของวิปสสนาได พระธรรมเจดีย : ความสงัดจากกามจากอกุศลของผูที่บรรลุฌาณโลกีย กับความสงัดจาก กาม จากอกุศลของพระอนาคามีตางกันอยางไร ? พระอาจารยมั่น : ตางกันมาก ตรงกันขามทีเดียว พระธรรมเจดีย : ทำไจึงไดตางกันถึงกับตรงกันขามทีเดียว ? พระอาจารยมั่น : ฌาณที่เปนโลกีย ตองอาศัยความเพียร มีสติคอยระวังละอกุศล และ ความเจริญกุศลใหเกิดขึ้น มีฌาณเปนตน และยังตองทำกิจที่คอยรักษา ฌาณนั้นไวไมใหเสื่อม ถึงแมวาจะเปนอรูปฌาณที่วาไมเสื่อมในชาตินี้ ชาติหนาตอๆไปก็อาจจะเสื่อมได เพราะเปนกุปปธรรม พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้น สวนความสงัดจากกามจากอกุศลของพระอนาคามีทานไมมี เวลาเสื่อมหรือ ? พระอาจารยมั่น : 99
พระอนาคามี ทานละกามราคะสังโยชนกับปฏิคะสังโยชนไดขาด เพราะ ฉะนั้นความสงัดจากการจากอกุศลของทานเปนอัธยาศัย ที่เปนเองอยู เสมอโดยไมตองอาศัยความเพียรเหมือนอยางฌาณที่เปนโลกีย สวน วิจิกิจฉาสังโยชนนั้นหมดมาตั้งแตเปนโสดาบันแลว เพราะฉะนั้นอุทธัจ จนิวรณที่ฟุงไปหากามและพยาบาทก็ไมมี ถึงถีนะมิทธนิวรณก็ไมมี เพราะเหตุนั้นความสงัดจากกามจากอกุศลของทานจึงไมเสื่อม เพราะ เปนเองไมใชทำเอาเหมือนอยางฌาณโลกีย พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นผูที่ไดบรรลุพระอนาคามี ความสงัดจากกามจากอกุศล ที่เปน เองมิไมมีหรือ ? พระอาจารยมั่น : ถานึกถึงพระสกิทาคามี ที่วาทำสังโยชนทั้งสองใหนอยเบาบาง นาจะมี ความสงัดจากการจากอกุศลที่เปนเองอยูบาง แตก็คงจะออน พระธรรมเจดีย : ที่วาพระอนาคามีมานเปนสมาธิบริปูริการี บริบูรณดวยสมาธิ เห็นจะ เปนอยางนี้เอง ? พระอาจารยมั่น : ไมใชเปนสมาธิ เพราะวาสมาธินั้นเปนมรรคตองอาศัยเจตนา เปนสวน ภาเวตัพพธรรมสวนของพระอนาคามีทานเปนเอง ไมมีเจตนาเปนสัจฉิ 100
กาตัพพธรรม เพราะฉะนั้นจึงไดตางกันกับฌาณที่เปนโลกีย พระธรรมเจดีย : นิวรณแลสังโยชนนั้น ขาพเจาทำไมจึงไมรูจักอาการ คงรูจักแตชื่อของ นิวรณแลสังโยชน ? พระอาจารยมั่น : ตามแบบในมหาสติปฏฐานพระพุทธเจาสอนสาวก ใหรูจักนิวรณแล สังโยชนพระสาวกของทานตั้งใจกำหนดสังเกต ก็ละนิวรณแลสังโยชนได หมดจนเปนพระอรหันตโดยมาก สวนทานที่อินทรียออน ยังไมเปนพระ อรหันต ก็เปนพระเสขบุคคล สวนเราไมตั้งใจไมสังเกตเปนแตจำวานิวรณ หรือสังโยชน แลวก็ตั้งกองพูดแลคิดไปจึงไมพบตัวจริงของนิวรณและ สังโยชน เมื่ออาการของนิวรณแลสังโยชนอยางไรก็ไมรูจัก แลวจะละ อยางไรได พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นผูปฏิบัติทุกวันนี้ ที่รูจักลักษณะแลอาการของนิวรณแล สังโยชนจะมีบางไหม ? พระอาจารยมั่น : มีถมไปชนิดที่เปนสาวกตั้งใจรับคำสอนแลประพฤติปฏิบัติจริงๆ พระธรรมเจดีย : 101
นิวรณ 5 เวลาที่เกิดขึ้นในใจมีลักษณะอยางไร จึงจะทราบไดวาอยางนี้ คือ กามฉันท อยางนี้คือพยาบาท หรือถีนะมิทธะ อุทธัจจะกุกุจจะ วิจิกิจฉา และมีชื่อเสียงเหมือนกับสังโยชน จะตางกันกับสังโยชนหรือวา เหมือนกัน ขอทานจงอธิบายลักษณะของนิวรณแลสังโยชนใหขาพเจา เขาใจจะไดสังเกตถูก ? พระอาจารยมั่น : กามฉันทนิวรณ คือ ความพอใจในกาม สวนกามนั้นแยกเปนสอง คือ กิเลสกามหนึ่ง วัตถุกามอยางหนึ่ง เชน ความกำหนัดในเมถุนเปนตน ชื่อ วากิเลสกาม ความกำหนัดในทรัพยสมบัติเงินทองที่บานนาสวน และ เครื่องใชสอยหรือบุตรภรรยาพวกพอง และสัตวเลี้ยงของเลี้ยงที่เรียกวา วิญญาณกทรัพย อวิญญานกทรัพย เหลานี้ ชื่อวาวัตถุกาม ความคิด กำหนัดพอใจในสวนทั้งหลายเหลานี้ ชื่อวากามฉันทนิวรณ สวน พยาบาทนิวรณคือ ความโกรธเคือง หรือคิดแชงสัตวใหพินาศ ชื่อวา พยาบาทนิวรณ ความงวงเหงาหาวนอน ชื่อวา ถีนะมิทธนิวรณ ความ ฟุงซานรำคาญใจ ชื่อวา อุธัจจกุกกุจจนิวรณ ความสงสัย ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ แลสงสัยในกรรมที่สัตวทำเปน เปนบาป หรือสงสัย ในผลกรรมเหลานี้ เปนตน ชื่อวาวิจิกิจฉารวม 5 อยางนี้ ชื่อวานิวรณ เปนเครื่องกั้นกางหนทางดี พระธรรมเจีดีย : กามฉันทนิวรณ อธิบายเกี่ยวไปตลอดกระทั่งวิญญาณกทรัพย อ วิญญาณกทรัพย วาเปนวัตถุกาม ถาเชนนั้นผูที่ยังครองเรือน ซึ่งตอง 102
เกี่ยวของกับทรัพยสมบัติอัฐฬสเงินทองพวกพอง ญาติมิตร ก็จำเปนจะ ตองนึกถึงสิ่งเหลานั้น เพราะเกี่ยวเนื่องกับตน ก็มิเปนกามฉันทนิวรณไป หมดหรือ ? พระอาจารยมั่น : ถานึกตามธรรมดาโดยจำเปนของผูที่ยังครองเรือนอยู โดยไมไดกำหนัด ยินดีก็เปนอัญญสมนา คือเปนกลางๆ ไมใชบุญไมใชบาป ถาคิดถึงวัตถุ กามเหลานั้นเกิดความยินดีพอใจรักใครเปนหวง ยึดถือหมกมุนพัวพันอยู ในวัตถุกามเหลานั้น จึงจะเปนกามฉันทนิวรณ สมดวยพระพุทธภาษิตที่ ตรัสไววา น เต กามา ยานิ จิตฺรานิ โลเก อารมณที่วิจิตรงดงามเหลาใดในโลก อารมณเหลานั้นมิไดเปนกาม สงฺกปฺปราโค ปุริสสฺส กาโม ความกำหนัดอันเกิดจากความดำริ นี้แหละ เปนกามของคน ติ€ฐนฺติ จิตฺรานิ ตเถว โลเก อารมณที่วิจิตรงดงามในโลก ก็ตั้งอยูอยาง นั้นเอง อเถตฺถธีรา วินยนฺติ ฉนฺทํ เมื่อความจริงเปนอยางนี้นักปราชญทั้งหลาย จึงทำลายเสียได 103
ซึ่งความพอใจในกามนั้น นี่ก็ทำใหเห็นชัดเจนไดวา ถาฟงตามคาถา พระพุทธภาษิตนี้ ถานึกคิดถึงวัตถุกามตามธรรมดาก็ไมเปนกามฉันท นิวรณ ถาคิดนึกอะไรๆ ก็เอาเปนนิวรณเสียหมด ก็คงจะหลีกไมพนนรก เพราะนิวรณเปนอกุศล พระธรรมเจดีย : พยาบาทนิวรณนั้น หมายความโกรธเคือง ประทุษรายในคน ถาความ กำหนัดในคน ก็เปนกิเลสการถูกไหม ? พระอาจารยมั่น : ถูกแลว พระธรรมเจดีย : ความงวงเหงาหาวนอน เปนถีนะมิทธินิวรณ ถาเชนนั้นเวลาที่เรา หาวนอนมิเปนนิวรณทุกคราวไปหรือ ? พระอาจารยมั่น : หาวนอนตามธรรมดา เปนอาการรางกายที่จะตองพักผอน ไมเปนถีนะ มิทธนิวรณ กามฉันทหรือพยาบาทที่เกิดขึ้นแลวก็ออนกำลังลงไป หรือ ดับไปในสมัยนั้นมีอาการมัวซัวแลงวงเหงาไมสามารถจะระลึกถึงกุศลได จึ ง เป น ถี น ะมิ ท ธนิ ว รณ ถ า หาวนอนตามธรรมดา เรายั ง ดำรง สติสัมปชัญญะอยูไดจนกวาจะหลับไป จึงไมใชนิวรณ เพราะถีนะมิทธนิว รณเปนอกุศล ถาจะเอาหาวนอนตามธรรมดาเปนถีนมิทธแลว เราก็ 104
คงจะพนจากถีนะมิทธนิวรณไมได เพราะตองมีหาวนอนทุกวันดวยกันทุก คน พระธรรมเจดีย : ความฟุงซานรำคาญใจ ที่วาเปอุทธัจจกุกกุจจนิวรณนั้น หมายฟุงไปในที่ ใดบาง ? พระอาจารยมั่น : ฟุงไปในกามฉันทบาง พยาบาทบาง แตในบาปธรรม 14 ทานแยกเปน สองอยาง อุทธัจจะความฟุงซาน กุกกุจจ ความรำคาญใจ แตในนิวรณ 5 ทานรวมไวเปนอยางเดียวกัน พระธรรมเจดีย : นิวรณ 5 เปนจิตหรือเจตสิก ? พระอาจารยมั่น : เปนเจตสิกธรรมฝายอกุศลประกอบกับจิตที่เปนอกุศล พระธรรมเจดีย : ประกอบอยางไร ? พระอาจารยมั่น : เชนกามฉันทนิวรณก็เกิดในจิต ที่เปนพวกโลภะมูล พยาบาทกุกกุจจนิว 105
รณ ก็เกิดในจิตที่เปนโทสะมูล ถีนะมิทธอุทธัจจะ วิจิกิจฉา ก็เกิดในจิตที่ เปนโมหะมูล พระพุทธเจาทรงเปรียบนิวรณทั้ง 5 มาในสามัญญผลสูตร ทีฆนิกายสีลักขันธวรรค หนา 93 วา กามฉันทนิวรณ เหมือนคนเปน หนี้, พยาบาทนิวรณ เหมือนคนไขหนัก, ถีนมิทธนิวรณเหมืนอนคนติดใน เรือนจำ, อุทธัจจกุกกุจจนิวรณเหมือนคนเปนทาส, วิจิกิจฉานิวรณ เหมือนคนเดินทางกันดารมีภัยนาหวาดเสียว เพราะฉะนั้น คนที่เขาพน หนี้ หรือหายเจ็บหนัก หรือออกจากเรือนจำ หรือพนจากทาส หรือได เดินทางถึงที่ประสงคพนภัยเกษมสำราญ เขายอมถึงความยินดีฉันใด ผูที่ พนนิวรณทั้ง 5 ก็ยอมถึงความยินดีฉันนั้น แลในสังคารวสูตร ในปจจก นิบาต อังคุตตรนิยาย หนา 257 พระพุทธเจาทรงเปรียบนิวรณดวยน้ำ 5 อยาง วาบุคคลจะสองเงาหนาก็ไมเห็นฉันใด นิวรณทั้ง 5 เมื่อเกิดขึ้นก็ ไมเห็นธรรมความดีความชอบฉันนั้น กามฉันทนิวรณ เหมือนน้ำที่ระคน ดวยสีตางๆ เชน สีครั่ง สีชมพู เปนตน พยาบาทนิวรณ เหมือนน้ำที่มี จอกแหนปดเสียหมด อุทธัจจกุกกุจจนิวรณเหมือนน้ำที่คลื่นเปนระลอก วิจิกิจฉานิวรณ เหมือนน้ำที่ขุนขนเปนโคลนตม เพราะฉะนั้นน้ำ 5 อยาง นี้ บุคคลไมอาจสงดูเงาหนาของตนไดฉันใด นิวรณทั้ง 5 ที่เกิดขึ้น ครอบงำใจของบุคคลไมใหเห็นธรรมความดีความชอบไดก็ฉันนั้น พระธรรมเจดีย : ทำไมคนเราเวลาไขหนักใกลจะตาย ก็ทำบาปกรรมความชั่วอะไรไมได แลวจะกลาววจีทุจริต ปากก็พูดไมได จะลวงทำกายทุจริต มือแลเทาก็ ไหวไมไดแลว ยังเหลือแตความคิด นึกทางใจนิดเดียวเทานั้น ทำไมใจ ประกอบดวยนิวรณ จึงไปทุคติได ดูไมนาจะเปนบาปกรรมโตใหญอะไร 106
เลย ขอนี้นาอัศจรรยนักขอทานจงอธิบายใหขาพเจาเขาใจ ? พระอาจารยมั่น : กิเลสเปนเหตุใหกอกรรมๆ เปนเหตุใหกอวิบาก ที่เรียกวาไตรวัฏนั้น เชน อนุสัย หรือสังโยชนที่เกิดขึ้นในเวลานั้นชื่อวากิเลสวัฏ ผูที่ไมเคย ประพฤติปฏิบัติก็ทำในใจไมแยบคาย ที่เรียกวา อโยนิโส คิดตอออกไป เปนนิวรณ 5 หรืออุปกิเลส 16 จึงเปนกรรมวัฏฝายบาป ถาดับจิตไปใน สมัยนั้น จึงไดวิบากวัฏที่เปนสวนทุคติ เพราะกรรมวัฏฝายบาปสงให อุปมาเหมือนคนปลูกตนไม ไปนำพืชพันธุของไมที่เบื่อเมามาปลูกไว ตน แลใบที่เกิดขึ้นนั้น ก็เปนของเบื่อเมา แมผลแลดอกที่ออกมา ก็เปนของ เบื่อเมาตามพืชพันธุเดิมซึ่งนำมาปลูกไวนิดเดียว แตก็กลายเปนตนโต ใหญไปไดเหมือนกัน ขอนี้ฉันใด จิตที่เศราหมองเวลาตาย ก็ไปทุคติไดฉัน นั้น แลเหมือนพืชพันธุแหงผลไมที่ดี มีกลิ่นหอมมีรสหวาน บุคคลไปนำ พืชพันธุมานิดเดียวปลูกไวแมตนแลใบก็เปนไมที่ดีทั้งผลแลดอกที่ออกมา ก็ใชแลรับประทานไดตามความประสงค เพราะอาศัยพืชที่ดีซึ่งนำมานิด เดียวปลูกไว ขอนี้ฉันใด จิตทเปนกุศลผองใสแลวตายในเวลานั้นจึงไปสู สุคติไดสมดวยพระพุทธภาษิตที่วา จิตฺเต สงฺกลิฏเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เวลาตายจิตเศราหมอง แลวทุคติเปน หวังได จิตฺเต อสงฺกิลิฎเฐ สุคติปาฏิกงฺขา จิตผองใสไมเศราหมองเวลาตายสุคติ เปนหวังได 107
พระธรรมเจดีย : อโยนิโสมสสิกาโร ความทำในใจไมแยบคาย โยนิโสมนสิการโร ความทำ ในใจแยบคาย 2 อยางนั้นคือ ทำอยางไรชื่อวาไมแยบคาย ทำอยางไรจึง ชื่อวาแยบคาย ? พระอาจารยมั่น : ความทำสุภนิมิตไวในใจ กามฉันทนิวรณที่ยังไมเกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้น แลวก็งอกงาม ความทำปฏิฆะนิมิตไวในใจ พยาบาทนิวรณที่ยังไมเกิดก็ เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแลวก็งอกงามอยางนี้ ชื่อวาทำในใจไมแยบคาย การทำ อสุภสัญญาไวในใจ กามฉันทนิวรณที่ยังไมเกิดก็ไมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแลวก็ เสื่อมหายไป การทำเมตตาไวในใจ พยาบาทนิวรณที่ยังไมเกิดก็ไมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแลวก็เสื่อมหายไป เชนนี้เปนตัวอยาง หรือความทำในใจอยางไร ก็ตาม อกุศลที่ยังไมเกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแลวก็งอกงาม ก็ชื่อวาทำในใจ ไมแยบคาย หรือจะคิดนึกอยางไรก็ตามกุศลที่ยังไมเกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้น แลวก็บริบูรณ อยางนี้ชื่อวาทำในใจแยบคาย สมดวยสาวกภาษิตที่พระ สารีบุตรแสดงไวในพระทสุตตรสูตรหมวด 2 วา โย จ เหตุ โย จ ปจฺจโย สตฺตานํ สงฺกิลสฺสาย ความไมทำในใจโดยอุบาย อันแยบคายเปนเหตุดวยเปนปจจัยดวย เพื่อความเศราหมองแหงสัตวทั้ง หลาย 1 โย จ เหตุ โย จ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา ความทำในใจ โดยอุบาย แยบคาย เปนเหตุดวยเปนปจจัยดวย เพื่อจะไดบริสุทธิ์แหงสัตวทั้งหลาย 108
พระธรรมเจดีย : ที่วา อนุสัยกับสังโยชนเปนกิเลสวัฏ สวนนิวรณหรืออุปกิเลส 16 วาเปน กรรมวัฏเวลาที่เกิดขึ้นนั้น มีอาการตางกันอยางไร จึงจะทราบไดวา ประเภทนี้เปนนิวรณ หรืออุปกิเลส 16 ? พระอาจารยมั่น : เชน เวลาตาเห็นรูป หูไดยินเสียง จมูกไดดมกลิ่น ลิ้นไดลิ้มรส กายถูก ตองโผฎฐัพพะ รูธัมมารมณดวยใจ 6 อยางนี้ แบงเปน 2 สวน สวนที่ดี นั้นเปนอิฎฐารมณ เปนที่ตั้งแหงความกำหนัด ยินดีสวนอารมณ 6 ที่ไมดี เปนอนิฎฐารมณ เปนที่ตั้งแหงความยินราย, ไมชอบ, โกรธเคือง ผูที่ยัง ไมรูความจริงหรือไมมีสติเวลาที่ตาเห็นรูปที่ดี ยังไมทันคิดวากระไรก็เกิด ความยินดีกำหนัดพอใจขึ้น แคนี้เปนสังโยชน ถาคิดตอมากออกไป ก็ เปนกามฉันทนิวรณ หรือเรียกวากามวิตกก็ได หรือเกิดความโลภอยาก ไดที่ผิดธรรม ก็เปน อภิชฺฌาวิสมโลโภที่อยูในอุปกิเลส 16 หรือใน มโนกรรม อกุศลกรรมบถ 10 ชนิดนี้ ประกอบดวยเจตนา เปนกรรมวัฏ ฝายบาป เวลาตาเห็นรูปที่ไมดีมไมทันคิดวากระไร เกิดความไมชอบ หรือเปนโทมนัสปฏิฆะขึ้นไมประกอบดวยเจตนาแคนี้เปนปฏิฆะสังโยชน คือ กิเลสวัฏ ถาคิดตอออกไปถึงโกรธเคืองประทุษรายก็เปนพยาบาท นิวรณ หรือุปกิเลส หรืออกุศลกรรมบถ 10 ชนิดนี้ ก็เปนกรรมวัฏฝาย บาป เพราะประกอบดวยเจตนา นี่ชี้ใหฟงเปนตัวอยาง แมกิเลสอื่นๆก็พึง ตัดสินใจอยางนี้วากิเลสที่ไมตั้งใจใหเกิดก็เกิดขึ้นไดเอง พวกนี้เปนอนุสัย หรือสังโยชน เปนกิเลสวัฏ ถาประกอบดวยเจตนา คือ ยืดยาวออกไปก็ กรรมวัฏ 109
พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นเราจะตัดกิเลสวัฏ จะตัดอยางไร ? พระอาจารยมั่น : ตองตัดไดดวยอริยมรรค เพราะสังโยชนก็ไมมีเจตนา อริยมรรคก็ไมมี เจตนาเหมือนกัน จึงเปนคูปรับสำหรับละกัน พระธรรมเจดีย : ถาการปฏิบัติของผูดำเนินยังออนอยู ไมสามารถจะตัดได สังโยชนก็ยัง เกิดอยู แลวกเลยเปนกรรมวัฏฝายบาปตอออกไป มิตองไดวิบากวัฏที่ เปนสวนทุคติเสียหรือ ? พระอาจารยมั่น : เพราะอยางนั้นนะซิ ผูที่ยังไมถึงโสดาบันจึงปดอบายไมได พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นใครจะไปสวรรคไดบางเลา ในชั้นผูปฏิบัติที่ยังไมถึงโสดาบัน ? พระอาจารยมั่น : ไปไดเพราะอาศัยเปลี่ยนกรรม สังโยชนยังอยูก็จริง ถาประพฤติทุจริต กาย วาจา ใจ เวลาตายใจเศราหมองก็ตองไปทุคติ ถามาตั้งใจเวนทุจริต อยู ใ นสุ จ ริ ต ทางกาย วาจา ใจ แลเวลาตายก็ ไ ม เ ศร า หมองก็ ม ี 110
สติสัมปชัญญะก็ไปสุคติได เพราะเจตนาเปนตัวกรรม กรรมมี 2 อยาง กณฺหํ เปนกรรมดำ คือ ทุจริต กาย วาจา ใจ สุกฺกํ เปนกรรมขาว คือ สุจริตกาย วาจา ใจ ยอมใหผลตางกัน พระธรรมเจดีย : ผูที่ยังมีชีวิตอยูไดประพฤติสุจริต กาย วาจา ใจ เวลาตายใจเศราหมอง มิตองไปทุคติเสียหรือ หรือผูที่ประพฤติทุจริต กาย วาจา ใจ แตเวลา ตายใจเปนกุศล มิไปสุคติไดหรือ ? พระอาจารยมั่น : ก็ไปไดนะซี ไดเคยฟงหนังสือของสมเด็จพระวันรัต (ทับ) วัดโสมนัสบาง หรือเปลา เวลาลงโบสถทานเคยแสดงใหพระเณรฟง ภายหลังไดมาจัด พิมพกันขึ้น รวมกับขออื่นๆทานเคยแสดงวาภิกษุรักษาศีลบริสุทธิ์ เวลา จะตายหวงในจีวร ตายไปเกิดเปนเล็น แลภิกษุอีกองคหนึ่งเวลาใกลจะ ตายนึกขึ้นไดวาทำใบตะไครน้ำขาด มองหาเพื่อนภิกษุที่จะแสดงอาบัติก็ ไมมีใคร ใจก็กังวลอยูอยางนั้นแหละ ครั้นตายไปก็เกิดเปนพญานาค แล อุบาสกอีกคนหนึ่ง เจริญกายคตาสติมาถึง 30 ป ก็ไมไดบรรลุคุณวิเศษ อยางใด เกิดความสงสัยในพระธรรม ตายไปเกิดเปนจระเข ดวยโทษ วิจิกิจฉานิวรณ สวนโตเทยยะพราหมณนั้นไมใชผูปฏิบัติ หวงทรัพยที่ฝง ไว ตายไปเกิดเปนลูกสุนัขอยูในบานของตนเองดวยโทษกามฉันทนิวรณ เหมือนกัน แลนายพรานผูหนึ่งเคยฆาสัตวมากเวลาใกลจะตายพระสารี บุตรไปสอนใหรับไตรสรณคมน จิตก็ตั้งอยูในกุศลยังไมทันจะใหศีลนาย พรานก็ตายไปสูสุคติ ดวยจิตที่เปนกุศล ตั้งอยูในไตรสรณคมน นี่ก็เปน 111
ตัวอยางของผูที่ตายใจเศราหมองหรือบริสุทธิ์ กรรมของผูที่กระทำใน เมื่อเวลาใกลจะตายนั้น ชื่อวาอาสันนกรรม ตองใหผลกอนกรรมอื่นๆ ทานเปรียบวา เหมือนโคอยูใกลประตูคอก แมจะแกกำลังนอย ก็ตอง ออกไดกอน สวนโคอื่นถึงจะมีกำลังมาก ที่อยูขางใน ตองออกทีหลัง ขอนี้ ฉันใด กรรมที่บุคคลทำเมื่อใกลจะตายจึงตองใหผลกอนฉันนั้น พระธรรมเจดีย : สวนอนุสัยแลสังโยชนเปนกิเลสวัฏนิวรณ หรืออุปกิเลส 16 หรือ อกุศล กรรมบถ 10 วาเปนกรรมวัฏฝายบาป สวนกรรมวัฏฝายบุญจะไดแก อะไร ? พระอาจารยมั่น : กามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล เหลานี้ เปนกรรมวัฏฝาย บุญสงใหวิบากวัฏคือ มนุษยสมบัติบาง สวรรคสมบัติบาง พรหมโลก บาง พอเหมาะแกกุศลกรรมที่ทำไว พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นกรรมทั้งหลาย ที่สัตวทำเปนบุญก็ตาม เปนบาปก็ตาม ยอมให ผลเหมือนเงาที่ไมพรากไปจากตนฉะนั้นหรือ ? พระอาจารยมั่น : ถูกแลว สมดวยพระพุทธภาษิตที่ตรัสไวในอภิณหปจจเวกขณวา กมฺมสฺส โกมฺหิ เราเปนผูมีกรรมเปนของๆตน กมฺมทาโย เปนผูรับผลของกรรม 112
กมฺมโยนิ เปนผูมีกรรมเปนกำหนด กมฺมพนฺธุ เปนผูมีกรรมเปนเผาพันธุ กมฺมปฏิสรโณ เปนผูมีกรรมเปนที่พึ่งอาศัย ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ เราจัก ทำกรรมอันใด กลฺยาณํ ว ปาปกํ วา ดีหรือชั่ว ตสํสา ทายาโท ภวิสฺสามิ เราจักเปนผูรับผลของกรรมนั้น พระธรรมเจดีย : อนุสัยกับสังโยชน ใครจะละเอียดกวากัน ? พระอาจารยมั่น : อนุสัยละเอียดกวาสังโยชน เพราะสังโยชนนั้น เวลาที่จะเกิดขึ้น อาศัย อายตนะภายในอายตนะภายนอกกระทบกันเขาแลวเกิดวิญญาณ 6 ชื่อ วาผัสสะ เมื่อผูที่ไมมีสติ หรือไมรูความจริง เชนหูกับเสียงกระทบกันเขา เกิดความรูขึ้น เสียงที่ดีก็ชอบ เกิดความยินดีพอใจ เสียงที่ไมดี ก็ไมชอบ ไมถูกใจ ที่โลกเรียกกันวาพื้นเสีย เชนนี้แหละชื่อวาสังโยชน จึงหยาบ กวาอนุสัย เพราะอนุสัยนั้นยอมตามนอนในเวทนาทั้ง 3 เชน สุขเวทนา เกิดขึ้น ผูที่ไมเคยรูความจริง หรือไมมีสติ ราคานุสัยจึงตามนอน ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ปฏิฆานุสัยยอมตามนอน อุทกขมสุขเวทนาเกิดขึ้น อวิชชานุสัยยอมตามนอน เพราะฉะนั้นจึงละเอียดกวาสังโยชน และมี พระพุทธภาษิตตรัสไวใน มาลุงโกฺย วาทสูตร วาเด็กออนที่นอนหงายอยู ในผาออม เพียงจะรูจักวานี่ตานี่รูป ก็ไมมีในเด็กนั้น เพราะฉะนั้น สังโยชนจึงไมมีในเด็กที่นอนอยูในผาออม แตวาอนุสัยยอมตามนอนใน เด็กนั้นได 113
พระธรรมเจดีย : อนุสัยนั้นมีประจำอยูเสมอหรือ หรือมีมาเปนครั้งเปนคราว ? พระอาจารยมั่น : มีมาเปนครั้งคราว ถามีประจำอยูเสมอแลวก็คงจะละ ไมได เชนราคานุสัยก็เพิ่มมาตามนอนในสุขเวทนา หรือปฏิฆานุสัยก็เพิ่ง มาตามนอนในทุกขเวทนา หรืออวิชชานุสัยก็เพิ่งมาตามนนในอทุกขม สุขเวทนา ตามนอนไดแตผูที่ไมรูความจริง หรือมีสติก็ไมตามนอนได เรื่อง นี้ไดอธิบายไวในเวทนาขันธแลว พระธรรมเจดีย : แตเดิมขาพเจาเขาใจวาอนุสัยตามนอนอยูในสันดานเสมอทุกเมื่อไป เหมือนอยางขี้ตะกอนที่นอนอยูกนโองน้ำ ถายังไมมีใครมาคน ก็ยังไมขุน ขึ้น ถามีใครมาคนก็ขุนขึ้นได เวลาที่ไดรับอารมณที่ดี เกิดความกำหนัด ยินดีพอใจขึ้น หรือไดรับอารมณที่ไมดีก็เกิดปฏิฆะหรือความโกรธขึ้น เขาใจวานี่แหละขุนขึ้นมา ความเขาใจเกาของขาพเจามิผิดไปหรือ ? พระอาจารยมั่น : ก็ผิดนะซี เพราะเอานามไปเปรียบกับรูป คือโองก็เปนรูปที่ไมมีวิญญาณ น้ำก็เปนรูปที่ไมมีวิญญาณ แลขี้ตะกอนกนโองก็เปนรูปไมมีวิญญาณ เหมือนกัน จึงขังกันอยูได สวนจิตเจตสิกของเรา เกิดขึ้นแลวดับไป จะขัง เอาอะไรไวได เพราะกิเลสเชนอนุสัยหรือสังโยชน ก็อาศัยจิตเจตสิกเกิด ขึ้นชั่วคราวหนึ่ง เมื่อจิตเจตสิกในคราวนั้นดับไปแลว อนุสัยหรือสังโยชน จะตกคางอยูกับใคร ลองนึกดูเมื่อเรายังไมมีความรัก ความรักนั้นอยู 114
ที่ไหน ก็มีขึ้นเมื่อเกิดความรักไมใชหรือ หรือเมื่อความรักนั้นดับไปแลว ก็ ไมมีความรักไมใชหรือ และความโกรธเมื่อยังไมเกิดขึ้นก็ไมมีเหมือนกัน มี ขึ้นเมื่อเวลาที่โกรธ เมื่อความโกรธดับแลว ก็ไมมีเหมือนกัน เรื่องนี้เปน เรื่องละเอียดเพราะไปติดสัญญาที่จำไวนานแลววา อนุสัยนอนอยูเหมือน ขี้ตะกอนที่นอนอยูกนโอง พระธรรมเจดีย : ก็อนุสัยกับสังโยชนไมมีแลว บางคราวทำไมจึงมีขึ้นอีกไดเลา ขาพเจา ฉงนนัก แลวยังอาสวะอีกอยางหนึ่งที่วาดองสันดานนั้น เปนอยางไร ? พระอาจารยมั่น : ถาพูดถึงอนุสัยหรืออาสวะแลว เราควรเอาความวา ความเคยตัวเคยใจ ที่เรียกวากิเลสกับวาสนาที่พระสัมมาสัมพุทธเจาละไดทั้ง 2 อยาง ที่พระ อรหันตสาวกละไดแตกิเลสอยางเดียววาสนาละไมได เราควรจะเอาความ วาอาสวะหรืออนุสัยกิเลสเหลานี้เปนความเคยใจ เชนไดรับอารมณที่ดี เคยเกิดความกำหนัดพอใจ ไดรับอารมณที่ไมดี เคยไมชอบไมถูกใจ เชนนี้ เปนตน เหลานี้แหละควรรูสึกวาเปนเหลาอนุสัย หรืออาสวะเพราะความ คุนเคยของใจ สวนวาสนานั้น คือความคุนเคยของ กาย วาจา ที่ติดตอ มาจากเคยแหงอนุสัย เชน คนราคะจริตมีมรรยาทเรียบรอย หรือเปน คนโทสะจริตมีมรรยาทไมเรียบรอย สวนราคะแลโทสะนั้นเปนลักษณะ ของกิเลส กิริยามารยาทที่เรียบรอยแลไมเรียบรอย นั่นเปนลักษณะของ วาสนานี่ก็ควรจะรูไว 115
พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นเราจะละความคุนเคยของใจ ในเวลาที่ไดรับอารมณที่ดีหรือไม ดี จะควรประพฤติปฎิบัติอยางไรดี ? พระอาจารยมั่น : วิธีปฏิบัติที่จะละความคุนเคยอยางเกา คืออนุสัยแลสังโยชน ก็ตองมา ฝกหัดใหคุนเคยในศีลแลสมถวิปสสนาขึ้นใหม จะไดถายถอนความคุน เคยเกา เชนเหลาอนุสัยหรือสังโยชนใหหมดไปจากสันดาน พระธรรมเจดีย : สวนอนุสัยกับสังโยชน ขาพเจาเขาใจดีแลว แตสวนอาสวะนั้น คือ กามา สวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ 3 อยางนั้นเปนเครื่องดองสันดาน ถาฟงดูตาม ชื่อ ก็ไมนาจะมีเวลาวาง ดูเหมือนดองอยูกับจิตเสมอไปหรือไมไดดองอยู เสมอ แตสวนตัวขาพเจาเขาใจไวแตเดิมสำคัญวาดองอยูเสมอขอนี้เปน อยางไร ขอทานจงอธิบายใหขาพเจาเขาใจ ? พระอาจารยมั่น : ไมรูวาเอาอะไรมาซอกแซกถาม ไดตอบไวพรอมกับอนุสัยแลสังโยชน แลว จะใหตอบอีกก็ตองอธิบายกันใหญ คำที่วาอาสวะเปนเครื่องดองนั้น ก็ตองหมายความถึงรูปอีกนั่นแหละ เชนกับเขาดองฝกก็ตองมีภาชนะ เชนผักอยางหนึ่งหรือชามอยางหนึ่งและน้ำอยางหนึ่ง รวมกัน 3 อยาง สำหรับเชนกันหรือของที่เขาทำเปนแชอิ่มก็ตองมีขวดโหลหรือน้ำเชื่อม สำหรับแชของ เพราะสิ่งเหลานี้เปนรูปจึงแชแลดองกันอยูได สวนอาสวะ 116
นั้นอาศัยนามธรรมเกิดขึ้น นามธรรมก็เปนสิ่งที่ไมมีตัว อาสวะก็เปนสิ่งที่ ไมมีตัว จะแชแลดองกันอยูอยางไรได นั่นเปนพระอุปมาของพระสัมมา สัมพุทธเจาทรงบัญญัติขึ้นไววา อาสวะเครื่องดองสันดาน คือ กิเลสมี ประเภท 3 อยาง เราก็เลยเขาใจผิดถือมั่นเปนอภินิเวส เห็นเปนแชแล ดองเปนของจริงๆจังๆไปได ความจริงก็ไมมีอะไร นามและรูปเกิดขึ้นแลว ก็ดับไป อะไรจะมาแชแลดองกันอยูได เพราะฉะนั้นขอใหเปลี่ยนความ เห็นเสียใหมที่วาเปนนั่นเปนนี่ เปนจริงเปนจังเสียใหได ใหหมดทุกสิ่งที่ได เขาใจไวแตเกาๆแลว ก็ตั้งใจศึกษาเสียใหมใหตรงกับความจริง ซึ่งเปน สัมมาปฏิบัติ พระธรรมเจดีย : จะทำความเห็นอยางไรจึงจะตรงกับความจริง ? พระอาจารยมั่น : ทำความเห็นวาไมมีอะไร มีแตสมมติแลบัญญัติ ถาถอนสมมติแลบัญญัติ ออกเสียแลวก็ไมมีอะไร หาคำพูดไมได เพราะฉะนั้นพระพุทธเจาทรง บัญญัติ ขันธ 5 อายตนะ 6 ธาตุ 6 นามรูป เหลานี้ก็เพื่อจะใหรูเรื่องกัน เทานั้น สวนขันธแลอายตนะ ธาตุ นามรูป ผูปฏิบัติควรกำหนดรูวาเปน ทุกข สวนอนุสัยหรือสังโยชน อาสวะ โยคะ โอฆะ นิวรณ อุปกิเลสเปน สมุทัย อาศัยขันธหรืออายตนะหรือนามรูปเกิดขึ้นนั้นเปนสมุทัยเปนสวน หนึ่งที่ควรละ มรรคมีองค 8 ยนเขาคือ ศีล สมาธิ ปญญา เปนสวนที่ควร เจริญ ความสิ้นไปแหงกิเลส คือ อนุสัยหรือสังโยชน ชื่อวานิโรธ เปน สวนควรทำใหแจงเหลานี้แหละเปนความจริง ความรูความเห็นใน 4 117
อริยสัจนี้แหละเปนความจริง ความรูความเห็นใน 4 อริยสัจนี้แหละคือ เห็นความจริงละ พระธรรมเจดีย : สาธุ ขาพเจาเขาใจแจมแจงทีเดียว แตเมื่ออาสวะไมไดดองอยูเสมอ แลว ทำไมทานจึงกลาววา เวลาที่พระอรหันตสำเร็จขึ้นใหมๆ โดยมากแลวที่ได ฟ ง มาในแบบท า นรู ว า จิ ต ของท า นพ น แล ว จากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ขาพเจาจึงเขาใจวาผูที่ยังไมพนก็ตองมีอาสวะประจำอยูกับ จิตเปนนิตยไป ไมมีเวลาวาง กวาจะพนไดก็ตองเปนพระอรหันต ? พระอาจารยมั่น : ถาขืนทำความเห็นอยูอยางนี้ ก็ไมมีเวลาพนจริงดวย เมื่ออาสวะอยู ประจำเปนพื้นเพของจิตแลวก็ใครจะละไดเลา พระอรหันตก็คงไมมีใน โลกไดเหมือนกัน นี่ความจริงไมใชเชนนี้ จิตนั้นสวนหนึ่งเปนประเภททุกข สัจ อาสวะสวนหนึ่งเปนประเภทสมุทัย อาศัยจิตเกิดขึ้นชั่วคราว เมื่อจิต คราวนั้นดับไปแลว อาสวะประกอบกับจิตในคราวนั้นก็ดับไปดวย สวน อาสวะที่เกิดขึ้นไดบอยๆนั้น เพราะอาศัยการเพงโทษ ถาเราจักตั้งใจเพง โทษใครๆ อาสวะก็จะเกิดไดดวยยากเหมือนกัน สมดวยพระพุทธภาษิตที่ ตรัสไววา ปรวชฺชานุปสฺสํสฺส เมื่อบุคคลตามมองดู ซึ่งโทษของผูอื่น นิจฺจํ อชฺฌาน สฺญิโน เปนบุคคลมีความหมายจะยกโทษเปนนิตย อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ อาสวะทั้งหลายยอมเจริญขึ้นแกบุคคลนั้น อารา โส อา สวกฺขยา บุคคลนั้นเปนผูหางไกลจากธรรมที่สิ้นอาสวะ ถาฟงตามคาถา พระพุทธภาษิตนี้ก็จะทำใหเราเห็นชัดไดวาอาสวะนั้นมีมาในเวลาที่เพง 118
โทษ เรายังไมเพงโทษอาสวะก็ยังไมมีมาหรือเมื่อจิตที่ประกอบดวยอา สวะคราวนั้นดับไปแลวอาสวะก็ดับไปดวย ก็เปนอันไมเหมือนกัน การที่ เห็นวาอาสวะมีอยูเสมอจึงเปนความเห็นผิด พระธรรมเจดีย : อาสวะ 3 นั้น กามาสวะเปนกิเลสประเภทรัก อวิชชาสวะเปนกิเลส ประเภทไมรู แตภวาสวะนั้นไมไดความวาเปนกิเลสประเภทไหน เคยไดฟง ตามแบบทานวาเปนภพๆอยางไรขาพเจาไมเขาใจ ? พระอาจารยมั่น : ความไมรูความจริงเปนอวิชชาสวะ จึงไดเขาไปชอบไวในอารมณที่ดีมี กามเปนตนเปนกามสวะ เมื่อไมชอบไวในที่ใด ก็เขาไปยึดถือตั้งอยูในที่ นั้น จึงเปนภวาสวะนี่แหละ เขาใจวาเปนภวาสวะ พระธรรมเจดีย : ภวะทานหมายวาภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพไมใชหรือ ทำไมภพถึง จะมาอยูในใจของเราไดเลา ? พระอาจารยมั่น : ภพที่ในใจนี่ละซีสำคัญนัก จึงไดตอใหไปเกิดในภพขางนอก ก็ลองสังเกต ดู ตามแบบที่เราไดเคยฟงมาวา พระอรหันตทั้งหลายไมมีกิเลสประเภท รัก และไมมีอวิชชาภวะตัณหาเขาไปเปนอยูในที่ใด แลไมมีอุปาทาน ความชอบความยินดียึดถือในสิ่งทั้งปวง ภพขางนอก คือ กามภพ รูปภพ 119
อรูปภพ ตลอดจนกระทั่งภพ คือ สุทธาวาสของทานนั้นจึงไมมี พระธรรมเจดีย : อาสวะ 3 ไมเหนมีกิเลสประเภทโกรธ แตทำไมการเพงโทษนั้นเปนกิเลส เกลียดชังขาดเมตตา กรุณา เพราะอะไรจึงไดมาทำใหอาสวะเกิดขึ้น ? พระอาจารยมั่น : เพราะความเขาไปชอบไปเปนอยูในสิ่งใดที่ถูกใจของตน ครั้นเขามาทำที่ ไมชอบไมถูกใจจึงไดเขาไปเพงโทษ เพราะสาเหตุที่เขาไปชอบไปถูกใจ เปนอยูในสิ่งใดไวซึ่งเปนสายชนวนเดียวกัน อาสวะทั้งหลายจึงไดเจริญ แกบุคคลนั้น พระธรรมเจดีย : ความรูนั้นมีหลายอยาง เชนกับวิญญาณ 6 คือ ความรูทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือ ความรูในเรื่อง โลภ โกรธ หลง ริษยา พยาบาท หรือรู ไปในเรื่องความอยากความตองการ หรือคนที่หยิบเล็กหยิบนอยนิด หนอยก็โกรธ เขาก็วาเขารูทั้งนั้น สวนความรูในรูปฌาณหรืออรูปฌาณ ก็เปนความรูชนิดหนึ่ง สวนปญญาที่รูเห็นไตรลักษณแลอริยสัจก็เปน ความรูเหมือนกัน สวนวิชชา 3 หรือวิชชา 8 ก็เปนความรูพิเศษอยางยิ่ง เมื่อเปนเชนนี้ ควรจะแบงความรูเหลานี้เปนประเภทไหนบาง ขอทานจง อธิบายใหขาพเจาจะไดไมปนกัน ? พระอาจารยมั่น : 120
ควรแบงความรูทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วาเปนประเภททุกขสัจ เปน สวนที่ควรกำหนดรูวาเปนทุกข สวนความโลภ ความโกรธ ความหลง ริษยา พยาบาท ความอยากความตองการเปนสมุทัย เปนสวนควรละ ความรูในรูปฌาณแลอรูปฌาณ แลความรูในไตรลักษณ หรืออริยสัจเปน มรรค เปนสวนที่ควรเจริญ วิชชา 3 หรือ วิชชา 8 นั้นเปนนิโรธ เปน สวนที่ควรทำใหแจง พระธรรมเจดีย : อะไรๆก็เอาเปนอริยสัจ 4 เกือบจะไมมีเรื่องอื่นพูดกัน ? พระอาจารยมั่น : เพราะไมรูอริยสัจทั้ง 4 แลไมทำหนาที่กำหนดทุกข ละสมุทัยแลทำนิโรธ ใหแจงแลเจริญมรรค จึงไดรอนใจกันไปทั่วโลก ทานผูทำกิจถูกตาม หนาที่ของอริยสัจ 4 ทานจึงไมมีความรอนใจ ที่พวกเราตองกราบไหวทุก วัน ขาพเจาจึงชอบพูดถึงอริยสัจ พระธรรมเจดีย : ตามที่ขาพเจาไดฟงมาวา สอุปาทิเสสนิพพานนั้น ไดแกพระอรหันตที่ยัง มีชีวิตอยู อนุปาทิเสสนิพพานนั้นไดแกพระอรหันตที่นิพพานแลว ถาเชน นั้นทานคงหมายความถึงเศษนามรูป เนื้อแลกระดูกที่เหลืออยูนี่เอง ? พระอาจารยมั่น : ไมใช ถาเศษเนื้อเศษกระดูกที่หมดแลววาเปนอนุปาทิเสสนิพพาน เชน 121
นั้นใครๆตายก็คงเปนอนุปาทิเสสนิพพานไดเหมือนกัน เพราะเนื้อแลกระ ดูกชีวิตจิตใจก็ตองหมดไปเหมือนกัน พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นนิพพานทั้ง 2 อยางนี้จะเอาอยางไหนเลา ? พระอาจารยมั่น : เรื่องนี้มีพระพุทธภาษิตตรัส สอุปาทิเสสสูตรแกพระสารีบุตร ในอังคุตต รนิกาย นวกนิบาตหนา 31 ความสังเขปวา วันหนึ่งเปนเวลาเชาพระสา รีบุตรไปเที่ยวบิณฑบาตร มีพวกปริพพาชกพูดกันวา ผูที่ไดบรรลุสอุ ปาทิเสส ตายแลวไมพนนรก กำเนิดดิรัจฉาน เปรตวิสัย อบายทุคติ วินิบาต ครั้นพระสารีบุตรกลับจากบิณฑบาตรแลวจึงไปเฝาพระผูมีพระ ภาคกราบทูลตามเนื้อความที่พวกปริพาชกเขาพูดกันอยางนั้น พระผูมี พระภาคตรัสวา สอุปาทิเสสบุคคล 9 จำพวกคือ พระอนาคามี 5 จำพวก พระสกิทาคามี จำพวกหนึ่ง พระโสดาบัน 3 จำพวก ตายแลว พนจากนรก กำเนิดดิรัจฉาน เปรตวิสัย อบายทุคติวินิบาต ธรรมปริยาย นี้ยังไมแจมแจง แกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาเลย เพราะไดฟงธรรม ปริยายนี้แลวจะประมาท แลธรรมปริยายนี้เราแสดงดวยความประสงค จะตอบปญหาที่ถามในสอุปาทิเสสสูตรนี้ ไมไดตรัสถึงอนุปาทิเสส แตก็ พอสันนิษฐานไดวา อนุปาทิเสสคงเปนสวนของพระอรหันต พระธรรมเจดีย : ถาเชนนั้นทานก็หมายความถึงสังโยชน คือกิเลสที่ยังมีเศษเหลืออยูวา 122
เปนสอุปาทิเสนิพพาน สวนสังโยชนที่หมดแลวไมมีสวนเหลืออยู คือพระ อรหัตผล วาเปนอนุปาทิเสสนิพพาน ? พระอาจารยมั่น : ถูกแลว พระธรรมเจดีย : ถาเราพูดอยางนี้ คงไมมีใครเห็นดวย คงวาเราเขาใจผิดไมตรงกับเขา เพราะเปนแบบสั่งสอนกันอยูโดยมากวา สอุปาทิเสสนิพพานของพระ อรหันตที่ยังมีชีวิตอยู อนุปาทิเสสนิพพานของพระอรหันตที่นิพพาน แลว ? พระอาจารยมั่น : ขาพเจาเห็นวา จะเปนอรรถกาที่ขบ พระพุทธภาษิตไมแตกแลว ก็เลยถือ ตามกันมา จึงมีทางคัดคานไดไมคมคายชัดเจน เหมือนที่ทรงแสดงแก พระสารีบุตร ซึ่งจะไมมีทางคัดคานได หมายกิเลส นิพพานโดยตรง พระธรรมเจดีย : สอุปาทิเสสสูตรนี้ ทำไมจึงไดตรัสหลายอยางนัก มีทั้งนรก กำเนิด ดิรัจฉาน เปรตวิสัย อบายทุคติวินิบาต สวนในพระสูตรอื่นๆ ถาตรัสถึง อบายก็ไมตองกลาวถึงนรก กำเนิดดิรัจฉาน เปรตวิสัย อบายทุคติ วินิบาต ? 123
พระอาจารยมั่น : เห็นจะเปนดวยพระสารีบุตรมากราบทูลถามหลายอยาง ตามถอยคำ ของพวกปริพพาชกที่ไดยินมา จึงตรัสตอบไปหลายอยาง เพื่อใหตรงกับ คำถาม พระธรรมเจดีย : ขางทายพระสูตรนี้ ทำไมจึงมีพุทธภาษิตตรัสวา ธรรมปริยายนี้ ยังไม แจมแจงแกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาเลย เพราะไดฟงธรรมปริยาย นี้แลวจะประมาท แลธรรมปริยายนี้เราแสดงดวยความประสงคจะตอบ ปญหาที่ถาม ? พระอาจารยมั่น : ตามความเขาใจของขาพเจา เห็นจะเปนดวยพระพุทธประสงค คงมุงถึง พระเสขบุคคล ถาไดฟงธรรมปริยายนี้แลวจะไดความอบอุนใจ ที่ไมตอง ไปทุคติแลความเพียรเพื่อพระอรหันตจะหยอนไป ทานจึงไดตรัสอยางนี้ พระธรมเจดีย : เห็นจะเปนเชนนี้เอง ทานจึงตรัสวาถาไดฟงธรรมปริยายนี้แลวจะ ประมาท? พระอาจารยมั่น : ตามแบบที่ไดฟงมาโดยมาก พระพุทธประสงค ทรงเรงพระสาวก ผูยังไม พนอาสวะ ใหรีบทำความเพียรใหถึงที่สุด คือพระอรหันต 124
125