-------------------
2
หยดน้ำ�หมึก
--------------------------------
------------------------
--------------
วารสาร
------------------------
------------------
บรรณาธิการ รวบรวมบทความ พิสูจน์อักษร ออกแบบปก/รูปเล่ม จัดซื้อกระดาษ ดูแลการพิมพ์
บ่าว ผู้โดดเดี่ยว Nus nee Aisa Sulaiman จิ๊กโก๋ ตักวา น้ำ�เเข็งร้อน,เวลา ไม่รอคัย Ch Rapper
-------------------
บอกอขอเล่า..
บ่าว ผู้โดดเดี่ยว
ด้วยพระนามของอัลลอฮ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ อัลฮัมดุลิลลาฮ.... ท้ายที่สุดวารสารหยดน้ำ�หมึกของภาคการเรียนที่สองก็ได้คลอดไปสู่สายตาผู้อ่านอีกครั้ง หลังจากที่เราได้พบกับปัญหาและอุปสรรคในการจัดทำ�วารสาร ทางทีมงานของเราก็ได้พยายามหาวิธีแก้ปัญหา โดยการขอคำ�ปรึกษา จากอดีตอามีเราะห์ฝ่ายวารสารซึ่งมีประสบการณ์ในการจัดทำ�วารสารมากพอสมควร ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นนั้นส่วนหนึ่งแล้ว เกิดจากการที่เราได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำ�งานจากรุ่นก่อนโดยทางเราวางคอนเซปให้กับผู้เขียนแต่เราได้พบว่าสิ่งที่เราได้ปรับ เปลี่ยนไปนั้นเป็นอุปสรรคสำ�หรับผู้เขียนเพราะการที่เราไปวางคอนเซปให้กับผู้เขียนนั้นเหมือนเป็นการบล็อกความคิดของผู้เขียน เอาไว้ เราจึงได้รับคำ�แนะนำ�จากรุ่นพี่ที่เป็นอดีตอามีเราะห์ฝ่ายวารสารให้ปรับรูปแบบการทำ�งานสู่รูปแบบเดิมที่รุ่นพี่เคยทำ�ไว้ และ เราก็ได้แก้ปัญหาตามคำ�แนะนำ�ของรุ่นพี่ ทางเราจึงได้จัดรูปแบบการเขียนวารสารโดยปาราศจากการวางคอนเซปเพื่อให้ผู้เขียนได้ ถ่ายทอดงานเขียนของตัวเองได้กว้างยิ่งขี้น... อุปสรรคในครั้งนั้นกลายเป็นบทเรียนของผมในวันนี้ เป็นบทเรียนชีวิตที่สอนผมหลาย สิ่งหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรับอามานะห์ ความรับผิดชอบ การรู้จักแก้ไขปัญหาด้วยเหตุผล หรือแม้แต่การเป็นผู้นำ�ที่ดี ทั้งหมดแล้วล้วนเป็นบททดสอบของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) อัลฮัมดูลิลลาฮฺสำ�หรับอุปสรรคการทำ�งานในครั้งนี้ที่ทำ�ให้ผมและทีมงานสามารถ ฟันฝ่ามันไปได้ด้วยอนุมัติของพระองค์... สำ�หรับวารสารเล่มนี้เราได้รวบรวมประสบการณ์ต่างๆของผู้เขียนและสอดแทรกคำ�ตักเตือน โดยเฉพาะประสบการณ์ของพี่น้องที่กำ�ลังศึกษาอยู่ต่างแดนทั้งจีนและอินโดนีเซีย โดยผู้เขียนได้เรียบเรียงตัวอักษรของตัวเองออกมา ในรูปแบบของบทความ เรื่องสั้นและการ์ตูน ส่วนเนื้อหาจะมีรสชาติอย่างไร จะสนุกและอินแค่ไหนนั้น ต้องเปิดอ่านดูด้วยตัวเองแล้ว ละครับ !! สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าทุกคำ�ตักเตือนและประสบการณ์ผ่านตัวอักษรในวารสารเล่มนี้จะเป็นความรู้และเกิดประโยชน์แก่ผู้อ่านไม่มาก ก็น้อย อินชาอัลลอฮฺ และในฐานะที่ผมเป็นบก. ซึ่งผมเองก็ได้รับอามานะห์ให้เป็นส่วนหนึ่งของวารสารเล่มนี้ ทุกหยดน้ำ�หมึกที่ผมได้ ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของตัวอักษรนั้นหากมีข้อผิดพลาดประการใด ผมขอมาอัฟ ณ ที่นี้ด้วย... วัสลาม
Contents ในคราวแรกทที่ท่านรอซูลจากเราไป ของฝากจากจีนแผ่นดินใหญ่ ใครบอก เพื่อการจากไป เพียงศรัทธา ญามะอะฮในรั้วมหาลัย ฟิฏเราะฮฺในความรักของหนุ่มสาว เหรียญ. ว้า““““ แย่จัง!! เเมื่อคนหนุ่ม-สาว...ไม่รู้จักหน้าที่และ บทบาทการทำ�งานอิสลาม อิสระ
---------------------------------------------------------------------------------
ช่วงเวลาหนึ่งของการเดินทาง
6 12 14 17 18 21 22 24 27 28 32 35
ง ่ชว
ล เว
ร า งก
อ ึ่งข
น ห า
ิเดน
n o p
c n (o
u e
ง า ท
) e im
t a
เจ้าหญิง นิทรา
ทุกๆย่างก้าวของการเดินทางนั้น ต่างมีเป้าหมายเสมอ เพื่อไปให้ถึง ณ สถานที่ ที่เราตั้งใจไว้ หากระยะทางไม่ไกลมากนัก การเดินทางของเราก็จะใช้เวลาไม่มาก หรืออาจไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเลย แต่ทว่าหากเป้าหมายที่เราจะไปนั้นมีระยะ ทางที่ไกลแสนไกล อาจต้องใช้เวลาหลายวันเพื่อไปถึงเป้าหมายนั้น ระหว่างทางก็คงต้องมีความเหน็ดเหนื่อยบ้างเป็นธรรมดา สิ่งที่เรา สามารถทำ�ได้ก็คงจะมีแค่หยุดพัก เพื่อรอจนกว่าความเหนื่อยจะลดลง แล้วค่อยไปต่อ ทั้งหมดนี้ก็ไม่ต่างกับชีวิตของคนเราที่ต้องใช้ เวลาทั้งหมดเพื่อการเดินทาง ในแต่ละวันของคนเรานั้นใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเดินทาง เราเริ่มเดินทางตั้งแต่เราคลอด จากนั้นเดินทางมาสู่วัยเด็ก แล้วไปวัยทำ�งาน เข้าสู่วัยกลางคน จนถึงวัยเกษียณ การเดินทางของชีวิตไม่มีที่สิ้นสุด เราต้องเดินไปเรื่อยๆ มีคนบอกว่าการเดินทาง ของคนเรานั้นสิ้นสุดก็ต่อเมื่อตาย แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่บอกว่าต่อให้เราตายไปแล้วเราก็ยังต้องเดินทางอยู่ ข้าพเจ้าเองก็ เชื่ออย่างนั้น แต่อย่างไรก็ตามทุกๆการเดินทางของเรานั้นไม่มีวันศูนย์เปล่าอย่างแน่นอน หากเราสังเกตดูระหว่างทางมีอะไรมากมาย ที่เราได้ประสบพบเจอกับปัญหา เหมือนเวลาเราขับรถ จากบ้านไปโรงเรียน เชื่อไหม ว่ามีสิ่งต่างๆที่อยู่ระหว่างทางนั้น อาจมีดอกไม้ ริมทาง ที่หลายคนมองข้าม หากเรามองดูมันดีๆ ความจริงแล้วมันสวยนะ สวยมาก สวยในแบบของมัน มีต้นหญ้าเล็กๆงอกขึ้นมา พูดถึงต้นหญ้าแล้ว ต้นหญ้านี้แกร่งดีนะ ขนาดเราเดินเหยียบมันอยู่ทุกวัน แต่มันก็ไม่ตาย เหยียบวันนี้พรุ่งนี้ก็ยืดตัวตรงเหมือนเดิน ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็อดคิดย้อนมาถึงชีวิตของคนเรา ที่ต้องเจออุปสรรค์ที่คอยเหมือนจะเหยียบย้ำ�ให้ชีวิตเราต่ำ�ลง แต่กระนั้นถ้าเราไม่ ยอมแพ้ซะอย่าง มีหรือที่อุปสรรค์จะมาทำ�ร้ายเราได้ นอกจากเสียว่าเรานี้แหละที่ทำ�ร้ายตัวเราเอง ตอนข้าพเจ้ายังเด็กอยู่ ข้าพเจ้ามักคิดเสมอว่า ถ้าการเดินทางของเราถึงเป้าหมายเร็วๆก็ดีสินะ เหมือนเวลาเราจะไปโรงเรียน ก็ขึ้นจักรยานไปเลยจะได้ถึงเร็วๆ สมัยที่ข้าพเจ้ายังเรียนประถมศึกษาอยู่นั้น ข้าพเจ้าไปโรงเรียนกับจักรยานเสมอ ปั่นเร็วๆเพื่อจะ ได้ถึงโรงเรียนก่อนใครเพื่อน และทุกครั้งที่ข้าพเจ้าปั่นไปโรงเรียนทุกวันๆนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยสังเกตสิ่งแวดล้อมระหว่างทางเลยสักนิด อาจเป็นเพราะความเคยชิน ว่าระหว่างทางมันก็มีแค่ต้นไม้ ใบหญ้า มีทุ่งนาจะไปสวยอะไรมากมายในทุ่งนาก็คงมีแต่วัว , แพะ , แกะ ,ไก่ ก็เท่านั้นแหละ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำ�ไม เพื่อนๆของข้าพเจ้าชอบเดินมาโรงเรียนกันจัง ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ต้อง ตื่นมาเรียนตั้งแต่ หกโมงเช้าเพื่อมาให้ทันเข้าแถวตอนแปดโมง ข้าพเจ้าเคยถามเพื่อนๆว่า “เพราะอะไรถึงชอบเดินกันจัง ตื่นเช้าๆมา เรียนง่วงนอนจะตายไป ถ้าปั่นจักรยานมาก็ไม่ต้องมาลำ�บากแบบนี้แล้ว” เพื่อนๆของข้าพเจ้ายิ้ม แล้วบอกกับข้าพเจ้าว่า “ถ้าอยากรู้ ว่าเพราะอะไร วันพรุ่งนี้ก็ลองตื่นให้เช้ากว่าเดิม แล้วมาเดินไปโรงเรียนด้วยกันสิ” ด้วยความที่สงสัยมานาน ข้าพเจ้าเลยตัดสินใจเดิน ไปโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนๆในวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าตื่นเช้ามากเพื่อเดินไปโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนๆ เช้าวันนั้นเพื่อนๆมาพร้อมกันที่หน้า บ้านของข้าพเจ้า จากนั้นก็เริ่มออกเดินทาง ในขณะที่ข้าพเจ้าเดินอยู่นั้น พระอาทิตย์ก็ค่อยๆฉายแสงขึ้นมา ความมหัศจรรย์ก็บังเกิด ขึ้นในใจข้าพเจ้า มันช่างสวยอะไรอย่างนี้ ระหว่างทางมีทุ่งนา ที่เขียวขจี มีต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์ มีนกบินออกจากรังในเวลาเช้าตรู่ แล้ว ค่อยๆมีแสงสว่างจากพระอาทิตย์ส่องลงมากระทบทุ่งนา ในใจข้าพเจ้าตอนนั้น มันช่างมหัศจรรย์อะไรอย่างนี้ ทำ�ไมตอนปั่นจักรยาน ถึงไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้นะ ตอนนั้นเองที่ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเพราะเหตุใดเพื่อนๆของข้าพเจ้าจึงชอบเดินไปโรงเรียน และ ข้าพเจ้าได้รู้อีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราลองเดินช้าลงอีกสักนิด สังเกตสิ่งรอบข้างให้มากขึ้นเราจะเจอสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่เราเคยมอง ข้ามไป จนเกือบพลาดสิ่งที่ดีที่สุด หลังจากการเดินทางครั้งนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มเดินช้าลง เดินช้าในที่นี้ไม่ใช่การค่อยๆขยับ หรือทำ�อะไรเชื่องช้า แต่หมายถึงการ มองสิ่งต่างๆให้ชัดเจนขึ้น สังเกตสิ่งรอบข้างให้มากขึ้น ไม่มองข้ามสิ่งเล็กๆบางอย่างไป ถ้านำ�มาเทียบกับคนเรา อาจเทียบกับคนรอบ ข้างก็เป็นได้ การเดินทางการใช้ชีวิตของเรา สิ่งที่เราควรคำ�นึงให้มากที่สุดนั้นก็คือเพื่อนร่วมทาง คนทุกคนอยู่คนเดียวไม่ได้ ถึงแม้จะ สวย รวย เก่ง ก็ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ เพราะเราคือสัตว์สังคม จริงอยู่ว่าบางเวลาเราอาจอยากที่จะอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ใช่ตลอดไป เราทุกคนมีเพื่อนร่วมโลก ไม่ใช่เฉพาะมนุษย์ เพื่อนของเรายังมีอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ต้นไม้ สัตย์เดรัจฉาน ลม ฟ้า อากาศ ล้วน วารสารหยดน้ำ�หมึก l 7
แล้วแต่เป็นเพื่อนของเราทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น หากใครที่กำ�ลังคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวนั้น คุณคิดผิดอย่างมหันต์ จงรู้ไว้ว่าคุณไม่ได้อยู่ คนเดียว ไม่เคยอยู่คนเดียว และไม่มีวันอยู่คนเดียวอย่างแน่นอน การใช้ชีวิตของข้าพเจ้าเดินทางมาถึงช่วงมัธยมตอนต้น ช่วงนี้เป็นช่วงพลิกชีวิตของข้าพเจ้ามากที่สุด ข้าพเจ้าย้ายบ้านไปอยู่ อำ�เภออื่น การเดินทางครั้งนี้ข้าพเจ้าจดจำ�ได้ดีเสมอมา ต่อให้ผ่านไปแล้ว เจ็ดปี ก็ตาม การเปลี่ยนแปลงกำ�ลังจะเกิดขึ้น ทุกอย่างที่ ข้าพเจ้าคุ้นชินกำ�ลังจะหายไป ยิ่งเวลาเหลือน้อยข้าพเจ้าก็ยิ่งต้องทำ�ทุกนาทีให้มีค่า เพราะหลังจากนี้ข้าพเจ้าก็คงไม่มีโอกาส กลับมา ที่นี้ได้อีก หรือถ้ากลับก็คงอีกนาน ข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นคนกลัวการเปลี่ยนแปลง ทุกนาทีที่ข้าพเจ้าอยู่ที่นั้นในวันที่รู้ว่าใกล้เวลาจาก ไปแล้ว ข้าพเจ้าทำ�ในสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยทำ� คุยกับคนที่ข้าพเจ้าไม่สนิทไม่พูดด้วยมานาน ยิ้มให้กับทุกคนที่นั้นเพราะข้าพเจ้ารู้ดีว่าหลัง จากนี้เขาจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของข้าพเจ้าอีกแล้ว และข้าพเจ้าเองก็คงจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของทุกคนที่นี้แล้วเช่นกัน สำ�หรับข้าพเจ้า แล้วรอยยิ้มเป็นสิ่งที่สำ�คัญที่สุด เช่นเวลาที่เครียดที่สุดถ้าเรามัวแต่ทำ�หน้าบึ้งปัญหาก็จะยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิม สู้เรายิ้มดีกว่าแล้วค่อยๆ แก้ปัญหาด้วยความใจเย็น และแล้ววันสุดท้ายก็มาถึง วันที่ข้าพเจ้าต้องออกเดินทางไปยังบ้านหลังใหม่ บ้านที่ข้าพเจ้าไม่คุ้นเคย ไม่รู้ ด้วยซ้ำ�ว่ามีโครงสร้างเป็นเช่นไร ตอนนั้นเองที่เพื่อนๆและคนในหมู่บ้านต่างก็มาส่งข้าพเจ้าขึ้นรถ เพื่อการบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีกนานแสนนาน ในขณะที่พ่อกับแม่ของข้าพเจ้ากำ�ลังนำ�สัมภาระขึ้นรถอยู่นั้นน้ำ�ตาของข้าพเจ้าก็ไหลรินอาบ แก้ม ข้าพเจ้าอดหวั่นกลัวไม่ได้ ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าข้าพเจ้าจะเป็นเช่นไร จะมีเพื่อนๆและคนในหมู่บ้านที่ดีแบบนี้อีกไหม ข้าพเจ้า โบกมือลาทุกคนใน ขณะ ที่พ่อก็ค่อยๆขับรถออกไปอย่างช้าๆ ข้าพเจ้าเห็นเพื่อนๆร้องไห้ ก็อดใจหายไม่ได้ หนทางข้างหน้าจะมีเพื่อน ที่ดีแบบนี้อีกไหมนะ ในระหว่างที่คิดน้ำ�ตาก็ยังคงไหลรินอยู่ บนเส้นทางที่ดูไม่คุ้นเคยกับความว่างเปล่าในใจของข้าพเจ้าตอนนั้นไม่มี อะไรที่ทำ�ให้ข้าพเจ้าหยุดร้องไห้ได้เลย คงไม่มีอีกแล้วร้านอาหารที่ข้าพเจ้าชอบไปนั่งพักผ่อนแม้จะไม่ได้สั่งข้าวมาแต่แม่ค้าก็ให้นั่งเล่น ตามสบาย คงไม่มีอีกแล้วร้านโรตีที่อร่อยที่สุดที่ข้าพเจ้าเคยกินมาตั้งแต่เด็กๆ และคงจะไม่มีโอกาสได้ปั่นจักรยานเล่นบนเส้นทางเก่า อีกต่อไป ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้ซ้ำ�ไปซ้ำ�มา พร้อมน้ำ�ตาที่ดูเหมือนจะยังคงไหลไม่ยอมหยุด ตอนนั้นเองที่แม่ของข้าพเจ้าพูดกับข้าพเจ้าว่า “คนเราทุกคนต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะเร็วหรือช้า เท่านั้นเอง แต่ก็ใช่ว่าการจากลาครั้งนี้จะเป็นการจาก ลาชั่วนิรันดร์ เพียงแต่จากเพื่อไปเจอสิ่งที่ดีกว่า แล้วถ้าวันหนึ่งเราประสบความสำ�เร็จเมื่อไหร่ เราก็ยังกลับมาเยี่ยมที่นั้นได้” ข้าพเจ้า จึงเข้าไปกอดแม่ ในใจตอนนั้น ก็คิดเรื่องการเดินทางไปโรงเรียนอีกครั้งการเดินทางที่แปลกใหม่อาจเจออะไรที่ดีกว่าเดิมก็เป็นได้ เพ ราะทุกๆการเปลี่ยนแปลงย่อมต้องมีสิ่งที่ดีกว่าเสมอ เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงค่ำ�พอดี ข้าพเจ้าเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ถึงบ้านใหม่แล้ว ที่นี้ช่างต่าง จากบ้านเก่าเหลือเกิน บ้านใหญ่กว่ามีต้นไม้ล้อมรอบ ด้านขวามีบ้านของใครก็ไม่รู้สามหลัง ด้านซ้ายสองหลัง และหลังบ้าน อีกสอง หลัง ข้าพเจ้าเดินสำ�รวจรอบๆบ้านใหม่ บรรยากาศดี สงบ ได้ยินเสียงนกร้อง เจี๊ยวจ๊าว ยามค่ำ� ทำ�ให้รู้สึกเหมือนอยู่ในป่าราวๆนั้น บางครั้งการเปลี่ยนแปลงก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายเสมอไป อย่างที่เขาว่า ทุกๆการเปลี่ยนแปลงมักมีเรื่องดีๆที่คาดไม่ถึงเสมอ เช้าวันนี้ข้าพเจ้าต้องไปโรงเรียนแต่เช้า มีรถโรงเรียนมารับ บนรถมีแต่คนแปลกหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะยิ้มให้ ข้าพเจ้าเดินหน้า นิ่งแล้วไปหาที่นั่ง โรงเรียนใหม่ของข้าพเจ้ามีรถรับ-ส่งเด็กนักเรียน ข้าพเจ้าจึงสะดวกต่อการไป-กลับ เมื่อถึงโรงเรียนสิ่งที่พบคือ โรงเรียนใหญ่มากเดินไปไหนไม่ถูกกลัวหลง ไม่รู้จะเดินไปหาใครไม่รู้จักใครเลย เสียงประกาศเรียกเด็กนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาชั้นปีที่ หนึ่งดังขึ้น ประกาศให้ไปพร้อมกันที่ห้องประชุม วันนั้นข้าพเจ้าได้เจอกับเพื่อนคนหนึ่งที่ตลกมาก เข้ามาทักและได้รู้ว่าอยู่ห้อง เดียวกัน ข้าพเจ้ากับเพื่อนคนนั้นเป็นเพื่อนกันมาจนถึงปัจจุบัน นั้นเป็นเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าแต่การเดินทางของชีวิตมันไม่ ได้ราบรื่นแบบในนิยายนะสิ ข้าพเจ้าใช้เวลาปรับตัวนานพอสมควร ประมาณ3เดือนได้ที่ข้าพเจ้าใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น ถ้า เทียบกับการเดินทางแล้วมันคงเป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าหัดขับรถเพื่ออกเดินทางและกว่าจะขับรถได้ดี ก็กินเวลาไปตั้ง3เดือนถึงจะ สามารถขับออกสู่ท้องถนนได้ แต่หลังจากนั้นการเดินทางของข้าพเจ้าก็เริ่มอยู่ตัว เริ่มปรับตัวได้ สามารถอยู่ร่วมกับสิ่งแปลกใหม่ที่ วารสารหยดน้ำ�หมึก l 8
ข้าพเจ้ากลัวมาโดยตลอด มีเพื่อนมากมาย มีทั้งมิตรและศัตรู ไม่แปลกหรอกที่จะเป็นเช่นนี้ เพราะเคยมีใครขับรถ แล้วไม่มีแมลงบิน ชนหน้าบ้าง ทุกคนล้วนเคยทั้งสิ้น ถึงจะเป็นคนซ้อนท้ายก็ต้องเคยโดนสิ่งกีดขว้างกระทบส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายด้วยเช่นกัน ข้าพเจ้ามักคิดเสมอว่ามันก็เป็นสีสันของการใช้ชีวิตอย่างหนึ่งเท่านั้นแหละ เพื่อเติมรสชาติให้กลมกล่อมจะได้ไม่จืดชืดมากจนเกินไป ช่วงบ่ายของวันถัดมาข้าพเจ้าได้เข้าไปนั่งเล่นในห้องสมุดของโรงเรียน เดินดูหนังสือไปเรื่อยๆ จนไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งเป็นหนังสือที่ เก่ามาก จะเรียกว่าเล่มเลยก็ไม่เชิงเพราะ ปกหน้าไม่มี ปกหลังก็ขาด ข้าพเจ้าเปิดเข้าไปดูหนังสือเล่มนั้น มันขึ้นต้นด้วยคำ�กล่าวที่ว่า “เราไม่สามารถรู้ได้ว่า เราจะบินได้สูงแค่ไหน…จนกว่าเราจะกางปีกแล้วบิน” โอ้โฮ!! ช่างน่าสนใจดีแท้ ข้าพเจ้าเลยยืมหนังสือนั้นกลับ ไปอ่านที่บ้านอ่านตั้งแต่หน้าแรก เขาบอกว่า “ถ้าอยากประสบความสำ�เร็จในชีวิต เราต้องมีเป้าหมายก่อน” จากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ ใช้ชีวิตไปวันๆ พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เริ่มอยากประสบความสำ�เร็จแล้วสิ ข้าพเจ้าอ่านไปเรื่อยๆเพื่อหาดูว่าจะทำ�อย่างไรจึงจะตั้ง เป้าหมายชีวิตให้ได้ดี จนนำ�ไปสู่ความสำ�เร็จ ข้าพเจ้าพลิกอ่านไปเรื่อยๆ จนไปเจอคำ�ๆหนึ่งกล่าวว่า “เราต้องสร้างโอกาส ให้ตัวเอง ใน เมื่อโอกาสไม่มา เราก็ต้องเป็นฝ่ายเข้าไปหามัน” ข้อความสั่นๆแค่นั้นทำ�ให้ข้าพเจ้าพอที่จะรู้วิธีแล้วสิ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มเติม น้ำ�มันให้กับชีวิตตัวเองโดยการเริ่มตั้งใจเรียนก่อนเป็นอันดับแรก มีคนเก่งมากมาย ที่เรียนห้องเดียวกับข้าพเจ้า ทุกคนต่างได้คะแนน ดีๆสูงๆกันทั้งนั้น ส่วนตัวข้าพเจ้านะหรือ ? ได้ที่กลางๆไม่เก่งมากและไม่น้อยมาก ข้าพเจ้าอยากลองได้คะแนนสูงบ้าง แต่ก็ไม่รู้ต้องทำ� อย่างไร? นึกขึ้นได้ว่ามีหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ยืมมาจากห้องสมุด. เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียนก็รีบกลับไปค้นหาหนังสือเล่มนั้นแล้วเปิดอ่าน แล้วพบข้อความตอนหนึ่งว่า ถ้าอยากเด่นก็ต้องแตกต่าง “คิดต่าง ชีวิตต่าง” ตอนนั้นเหมือนเริ่มเจอทางสว่าง หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ เริ่มอ่านหนังสือให้มากขึ้น คนอื่นอ่านหนึ่งเราอ่านสอง คนอื่นอ่าน สอง เราอ่านสาม ทำ�ให้ต่างให้มากกว่าคนอื่น จนมาถึงวันสอบ ทุก อย่างก็ดำ�เนินตามปกติ จนมาถึงวันประกาศผลสอบ “อัลฮัมดูลิลละฮ.”ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง นี้หรือที่เรียกว่าความต่าง ทำ�มากได้ มาก ข้าพเจ้าได้ท็อปของห้อง ช่างหน้าอัศจรรย์ จริงๆ เพื่อนๆของข้าพเจ้าเองก็แทบไม่อยากเชื่อเช่นกัน ข้าพเจ้ามีความสุขมากที่ พยายามจนประสบความสำ�เร็จ แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็มาจากความพยายาม ในเย็นวันนั้น ข้าพเจ้าเริ่มมองหาสิ่งที่อยากทำ�สิ่งที่ถนัด และมองหาตัวตนของตัวเอง ข้าพเจ้าค้นพบว่าตัวเองนั้นเป็นคนชอบการบรรยาย ทั้งการพูดและการเขียน อีกทั้งได้เป็นตัวแทนของ โรงเรียนอีกด้วย ข้าพเจ้าคิดว่าการเดินทางตามถนนสายนี้น่าจะราบรื่นได้ตลอดทาง และไม่ต้องการให้มีสิ่งกีดขวางระหว่างทางแต่ก็รู้ ดีว่าไม่มีทางที่คนเราจะเดินได้จนไม่สะดุดล้ม เพียงแต่ถ้าล้มแล้วต้องยืนให้ได้ด้วยตัวเองเท่านั้นจึงจะเข้มแข็ง ตลอดการเดินทางจาก มัธยมต้นทั้งสามปีเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ข้าพเจ้าได้เพื่อนที่ดี ไม่เคยทอดทิ้งข้าพเจ้า ทั้งในเวลาสุขและทุกข์ เราอยู่ด้วยกันเสมอ ทุกคน เข้าใจในความเป็นข้าพเจ้า ช่างเป็นเพื่อนร่วมทางที่วิเศษที่สุดที่เคยมีมา หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ดำ�เนินชีวิตมาแบบนี้จนมาถึง ช่วงมัธยม ปลาย ช่วงพลิกล็อคพอสมควร กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือเป็นช่วงที่แย่ที่สุดเลยก็ว่าได้ ข้าพเจ้าสอบติดห้องที่ดีที่สุด ใน ขณะที่เพื่อนๆของ ข้าพเจ้าไม่มีใครสามารถมาร่วมเดินทางกับข้าพเจ้าได้เลย ที่แย่ไปกว่านั้นข้าพเจ้าต้องอยู่ร่วมห้องกับเพื่อนร่วมทางที่ไม่คุ้นเคย ข้าพเจ้า โดนคำ�นินทา สารพัด ข้าพเจ้าร้องไห้แทบทุกวัน เริ่มท้อแท้ ไม่อยากเดินต่อ ไม่อยากไปโรงเรียน เหมือนน้ำ�มันรถหมด เหมือนบ่อน้ำ� มันแห้ง ช่างเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ข้าพเจ้าไปไหนมาไหนโดยลำ�พังที่แย่ไปกว่านั้นคือแม้แต่ความช่วยเหลือเขาก็ไม่มีให้ นาน เกือบเดือนที่เป็นอย่างนี้ ข้าพเจ้าไม่ทราบเลยว่าไปทำ�อะไรให้พวกเขาเคืองหรือเปล่า บางทีข้าพเจ้าอาจทำ�ผิดโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ข้าพเจ้า กลับมาถึงบ้านน้ำ�ตาอาบแก้มโผลงเข้ากอดแม่แล้วสะอื้นด้วยความเจ็บปวด ตอนนั้นเองที่แม่น้ำ�ตาไหลไปพร้อมกับข้าพเจ้า แม่ให้ ข้าพเจ้านอนลงบนตัก แล้วค่อยๆลูบศีรษะ แม่บอกกับข้าพเจ้าว่า “ไม่แปลกที่คนเราจะเดินอยู่แล้วบังเอิญสะดุดก้อนหินจนล้ม แต่ เมื่อล้มแล้วเราต้องรู้วิธียืนด้วยตัวเองให้ได้ ถ้าเหนื่อยก็นั่งพักก่อนอย่าเพิ่งรีบลุก ถ้าไหวเมื่อไรแล้วค่อยลุกก็ได้” จริงอย่างที่แม่บอก ก็ คงเหมือนถนนที่ไม่ได้เรียบเสมอไป อาจมีขรุขระบ้างเป็นธรรมดา เช้าวันต่อมาพี่สาวข้าพเจ้าส่งหนังซื้อเล่มหนึ่งมาให้เป็นหนังสือเรื่อง “พลิกชีวิตจากหายนะ….สู่ความสำ�เร็จ”ของคุณ สมคิด ลวางกูร ข้าพเจ้าเริ่มเปิดอ่านหน้าแรก สิ่งที่ไม่อยากเชื่อเลยคือมีคำ�พูดที่ ข้าพเจ้าเคยเจอมาตรงกับในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าอ่านไปเรื่อยๆจนพบบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นบุคคลสำ�คัญของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย นั้นก็ คือ เดล คาร์เนกี ทั้งเรื่อง คิดต่างชีวิตต่าง และเรื่องการประสบความสำ�เร็จในชีวิต สิ่งที่น่าทึ่งคือ เขาคือคนเดียวกับคนที่เขียนหนังสือ เล่มเก่าในห้องสมุดเล่มนั้น ข้าพเจ้าอ่านไปเรื่อยๆ เนื้อหาตลกแต่สาระแน่น. เปลี่ยนปมด้อย...ให้เป็นแรงบันดาลใจ...ในวันที่พลังเริ่ม หมดลงพอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เริ่มอยากสู้ใหม่ และคิดใหม่ว่าพลังของเรานั้นไร้ขีดจำ�กัด ชีวิตเริ่มอยากเดินต่อ ข้าพเจ้าเริ่มมองปัญหา วารสารหยดน้ำ�หมึก l 9
เป็นยาวิเศษ เจอบ่อยๆจะได้ชิน เจอทุกวันก็ทำ�ให้เรามีภูมิต้านทาน ใจดีสู้เสือ เขาด่าเรายิ้ม เขาเกลียดเรารัก ทำ�ทุกอย่างด้วยตัวเองให้ เกิดความสำ�เร็จอยู่บ่อยๆ จนเขาเริ่มเห็นความดีของเรา จากเกลียดมาก ก็เริ่มยิ้มให้ จากทานข้าวคนเดียวก็เริ่มมีคนมานั่งด้วย เมื่อ ก่อนร้องไห้คนเดียว ตอนนี้มีคนมาปลอบ ชีวิตเริ่มดีขึ้น เหมือนกำ�ลังขับจักรยานริมทะเล ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น และสุดท้ายก็กลายเป็น มิตรกัน ก็อย่างที่ปราชญาจีนกล่าว คือ มีเพื่อน 100 คน...ถือว่าน้อยเกินไป... มีศัตรู 1 คน...ถือว่ามากไป เพราะฉะนั้นเลยจับศัตรูมา เป็นมิตรให้หมด ชีวิตข้าพเจ้าเดินทางมาถึงช่วงมัธยมตอนปลายชั้นปีที่หก แน่นอนละ ข้าพเจ้าก็เคยมีรัก เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ รักครั้งแรกของข้าพเจ้าไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากคนที่ข้าพเจ้ารักนั้น มีคนรักอยู่แล้ว ในช่วงแรกข้าพเจ้าเองก็ไม่คิดที่จะรักเขาหรอก แต่ หลังจากได้ทำ�ความรู้จักข้าพเจ้าเองก็เริ่มรู้ว่าตัวเองอยู่ในโหมดนั้นแล้ว ความรักครั้งนั้นข้าพเจ้าดูแลเป็นอย่างดี ดีมากๆหากให้คะแนน เต็ม100 ก็คงได้สัก100 คะแนนเต็มข้าพเจ้าทุ่มเทกับความรักครั้งนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากตัวข้าพเจ้าเองกว่าจะรักใครสักคนไม่ใช่ เรื่องง่ายเลยข้าพเจ้าไม่เคยทำ�ร้ายจิตใจเขาเลยสักครั้ง ทุกคืนก่อนนอนข้าพเจ้าจะได้ฟังนิทานจากเขาเสมอ ช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุดข้าพเจ้า สามารถแบ่งเวลามาให้เขาคนนั้นได้ และทุกครั้งที่รู้ว่าเขาอยู่ข้างๆข้าพเจ้ารู้สึกอุ่นใจเสมอ แต่ข้าพเจ้าก็รู้ดีว่าสักวันเรื่องราวทั้งหมดคง ต้องจบลงเพราะเขายังมีอีกคนอยู่ข้างๆ ใครอีกคนที่ไม่เคยแม้แต่จะดูแลเขา มีแต่จะทำ�ให้เขาต้องเสียใจ และก็เป็นข้าพเจ้านี้แหละที่ ดูแลเขาเรื่อยมา จนมาถึงวันที่ใครอีกคนเพิ่งจะรู้ค่าของเขาในวันที่เขากำ�ลังจะห่างเธอคนนั้นไป ใครอีกคนคนนั้นจึงทำ�ทุกอย่างเพื่อให้ ได้เขาคืน ในตอนนั้นข้าพเจ้าเองก็รู้ดีว่าอยู่ในสถานะใด ข้าพเจ้าไม่อยากทำ�ลายความรักของใครทั้งนั้น เรื่องทุกอย่างคงจะดีขึ้นถ้า ข้าพเจ้าเป็นคนที่จากไปแล้วนิทานทั้งหมดก็ต้องจบลง เมื่อข้าพเจ้าเดินจากมา การจากลาของข้าพเจ้าไม่ได้ทิ้ง ไม่ได้ทำ�ร้าย หรือ ทำ�ลายเขา แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ใครอีกคนต้องเสียใจ ไม่ต้องการทำ�ลายความรักของใคร อีกอย่างข้าพเจ้าอยากจากมาแบบเพชร ไม่ใช่ตะกั่ว ข้าพเจ้ามีค่ามากกว่านั้น มากกว่าที่จะทนอยู่ที่ที่ไม่ใช่ สำ�หรับข้าพเจ้าแล้วแม้ความรักจะยิ่งใหญ่แต่ก็คงไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะ แลกกับศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าได้เลย ช่วงแรกยอมรับว่าการจากลาทั้งที่ยังรักเกินร้อย มันช่างทรมาน เหลือเกิน ในแต่ละวันของข้าพเจ้า มันดูเชื่องช้า กินไม่ได้เลย และกว่าจะหลับได้ต้องใช่ความพยายามอย่างมาก ข้าพเจ้าก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งข้าพเจ้าจะหายดี และ จะไม่มีวันหันหลังให้กับอดีตที่เลวร้ายนี้อย่างแน่นอน และเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รู้นั้นก็คือ การเดินทางที่ยาวนานที่สุดคือ การเดินทางแบบยึดติดนั้นเอง ถ้าปล่อยมันได้ ไม่พยายามไปจับมัน แล้วปล่อยไป การเดินทางของเราก็จะราบรื่นมากขึ้น ทุกอย่างเริ่ม คลี่คลายและข้าพเจ้าหวังว่าสักวันข้าพเจ้าจะได้พบคู่แท้ที่พระเจ้ากำ�หนดไว้ และจะเก็บใจเอาไว้ให้เขาผู้เดียวเท่านั้น ปัญหาเริ่มหมด ลง ข้าพเจ้าเองก็เดินทางมาสู่เป้าหมายของชีวิตอีกครั้ง ได้เวลาสอบเข้าระดับอุดมศึกษาแล้วสิ ตอนนั้นคิดหนักอยู่เหมือนกันว่าจะเข้า คณะอะไร ที่เรียนแล้วสามารถประกอบอาชีพตามฝันได้ เริ่มตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนขึ้น หาสิ่งที่ใช้และชอบ ไม่ตามกระแสใดๆทั้งสิ้น เชื่อมั่นในตัวเอง จนในที่สุดก็ค้นพบคณะที่ฝัน และข้าพเจ้าเองก็สอบเข้าคณะนั้นได้ดั่งที่หวังและฝันไว้ตลอดมา การเดินทางของข้าพเจ้าไม่สามารถรู้ได้เลยว่าหลังจากนี้จะเป็นเช่นไร จะมีปัญหาและอุปสรรค์อีกมากมายแค่ไหนจึงจะ เจอหนทางที่หวังไว้ และไม่รู้ว่าจะมีเพื่อนร่วมทางที่ดีหรือไม่? แต่ก็นับว่าการเดินทางของข้าพเจ้าตั้งแต่ต้นจนมาถึงวันนี้เป็นช่วงเวลา ของการเดินทางที่ดีที่สุด ที่น่าจดจำ�เลยทีเดียว ข้าพเจ้าเคยสุขและข้าพเจ้าเองก็เคยทุกข์ ข้าพเจ้าเชื่อว่า ความสุขนั้นอยู่กับเราไม่ นาน ความทุกข์ก็เช่นกัน เดียวมันก็ผ่านไป หลังจากนี้การเดินทางของข้าพเจ้าจะเป็นอย่างไรไม่สำ�คัญ ขอแค่ช่วงเวลานั้นข้าพเจ้ายัง สามารถจดจำ�มันได้ ไม่ท้อก่อนจะประสบความสำ�เร็จและฝ่าฟันมันไปได้ก็พออินชาอัลลอฮ.
วารสารหยดน้ำ�หมึก l 10
Muhammad
ในคราวแรกที่ท่านรอซูลจากเราไป
.....
“ในวันที่ท่านนบีวาฟาต ประชาติอิสลามเปรียบเสมือนกับฝูงแกะในเวลากลางคืน อยู่ท่ามกลางเม็ดฝนพร่ำ�ๆ ในขณะเดียวกันยาฮูดและนัศรอนีก็ชะโงกดูอยู่ห่างๆ พร้อมที่จะขย้ำ�ฝูงแกะได้ทุกเมื่อ แต่แล้วผู้ชายที่ชื่ออบูบักรก็ดึงประชาชชาติอิสลาม ขึ้นมาอีกครั้ง ” คำ�พูดดังกล่าวเป็นคำ�พรรณนาถึงยุคแรกเริ่มความปั่นป่วนของประชาชาติอิสลาม หลังจากหัวหอก หัวเรี่ยวหัวแรง ผู้ริเริ่มเผยแพร่ ผู้รับวะห์ยูจากพระเจ้าได้ล้มหาย ตายจากประชาชาติ สิ่งที่เหลือไว้คือคัมภีร์และแบบอย่างที่ยังมิได้ถูกบันทึก(ในยุค นั้น) และสิ่งประชาชาติต้องทำ�คือยึดมั่นต่อไป ท่านรอซูลจากไปในตอนที่มุสลิมมี จำ�นวนเรือนแสน แต่แล้วข่าวการจากไปของท่านก็กระจายออกไป มีจิ้งจอกจอม เจ้าเล่ห์คิดจะฉวยโอกาสกับสถาณการณ์นี้โดยการประกาศตัวเองตั้งตัวเป็นรอซูลคน ใหม่ มีมุสลิมเรือนแสนเช่นเดียวกันที่หลงคารมณ์คมคายนี้ ในขณะที่อีกฝากหนึ่ง ของโลกอิสลาม หัวหน้าเผ่าต่างๆที่เคยสิโรราบต่อท่านรอซูล เกิดแข็งข้อขึ้นมาดื้อๆ โดยการไม่ยอมจ่ายซากาต ส่งผลให้ในตอนนี้ โลกที่เป็นอิสลามจริงๆเหลือเพียงแค่ สามเมืองเพียงเท่านั้น คือ มักกะฮฺ มาดีนะฮฺ ฏออีฟ จากหลักแสนเป็นหลักหมื่น จากหลักหมื่นเป็นหลักพัน นี่คือการดำ�เนินไปของ จำ�นวนประชาชาติอิสลาม สามเมืองนี้ถ้าถูกกลุ่มกบฎริดดะฮฺที่ไม่ยอมจ่ายซากาตเข้า ถล่มในตอนนั้น วันนี้เราคงไม่รู้จักว่าอิสลามคืออะไร ศึกในก็ถาโถม ศึกนอกก็เหิม เกริม เพราะโรมันก็เตรียมพร้อมที่จะขย้ำ�มุสลิมให้เป็นผงกระจุยเช่นเดียวกัน เช่น นั้นแล้วคอลีฟะฮฺคนแรกของประวัติศาสตร์อิสลามจึงมีปัญหาที่ต้องแก้อย่างหนัก หน่วง อบูบักรอัศศีก สหายรักท่านรอซูลมีกองกำ�ลังเพียงไม่กี่นาย บัญชาการให้ คอลิดบิน วาลิด และอิกรีมะฮฺบินมูฆีเราะฮฺ นำ�ทัพออกไป ในตอนแรกผู้เขียนก็ นึกว่าจะไปต่อสู้กับกบฎริดดะฮฺ แต่มิได้เป็นเช่นนั้น อบูบักร ส่งกองทัพไปปะทะกับ มัน ทำ�ให้อุมัร บิน คอฏฏอบ ค่อนข้างที่จะเห็นแย้งกับท่าน เพราะเนื่องจากว่า ศึก ในเรายังจัดการไม่ได้ แล้วจะด่วนไปศึกนอกได้อย่างไร แต่ด้วยความเชื่อมั่นที่อบู บักรมี การส่งทัพไปสู้กับโรมันเป็นคำ�สั่งของท่านรอซูล จึงมิได้เฉไฉในการตัดสิน ใจ ทางด้านกบฎริดดะฮฺที่กำ�ลังจะบุกมาดีนะฮฺ เมื่อได้ข่าวการออกรบกับโรมัน จึงได้ ชะลอเสียก่อน เพราะรอกองทัพมุสลิมพ่ายแพ้ค่อยเข้าไปพิชิตเมือง สองแม่ทัพแห่ง ประชาชาติอิสลาม กองทัพของอบูบักร ออกไปกระโจนใส่กองทัพโรมันเรือนแสน (สงครามยัรมูก)ให้จงได้ กองทัพโรมันแตกพ่ายราบเป็นหน้ากลองเป็นสิ่งที่ไม่มีใคร คาดคิดว่า อิสลามจะชนะโรมได้แม้เต่พวกกบฎริดดะฮฺ ในวันที่กองทัพอิสลามเดิน กลับเข้าเมืองมาดีนะฮฺนั้น กบฎริดดะฮฺที่รอคอยจะขย้ำ� ได้แต่มองตาปริบๆ ความ กลัวก็งอกเงยขึ้นในหัวใจของพวกเขา กองทัพอิสลามเดินเข้าไปอย่างสง่างาม
เมื่อแม่ทัพกลับมาถึง อบูบักรประกาศอีกครั้งว่า “ การละหมาดและการจ่ายซากาต เป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ “ จึงได้ มอบหมายให้ คอลีด บินวาลีด นำ�ทัพไปปราบกบฎริดดะฮฺที่อยู่รอบๆเขตแดนมุสลิมโดยมิทันจะได้พัก คอลีด บินวาลีด ผู้ได้รับฉายา ว่า ดาบของอัลลออฮฺ มิเคยหวั่นต่อศัตรู รีบนำ�ทัพ ตระเวนทำ�สงครามปราบผู้ที่ตกศาสนา โดยใช้เวลาทั้งสิ้น เจ็ดเดือนด้วยกัน ท่านผู้ อ่านทราบไหมว่า ในเจ็ดเดือนนี้ กองทัพมุสลิมไม่แพ้เลย จนในที่สุด อบูบักรก็สามารถธำ�รงค์ให้อิสลามดำ�รงค์อยู่อีกครั้ง นี่คือวีรกรรมที่สำ�คัญต่อประชาชาติอิสลามมาก การเข้ารับตำ�แหน่งของอบูบักร อัศศิดดีกในการเป็นคอลีฟะฮฺ หรืออามีรุลมุมีนีนนั้น ใช้เวลาเพียงแค่สองปีกว่า แต่ท่านได้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ถ้าหากจะถามว่าผู้ใดคือกลุ่มชนแห่งชัยชนะที่ท่านรอซูลได้กล่าวไว้ แน่นนอนผู้เขียนจะตอบว่า กลุ่มของอบูบักร. อัศศิดดีก อย่างแน่นอน
อ้างอิงจาก : ครูของผู้เขียน ....อัล อัค.......
---------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------
วารสารหยดน้ำ�หมึก l 13
China Made In
ของฝากจากจีนแผ่นดินใหญ่ Mukhlis Kabae
ท้าวความที่มาที่ไปถึงสาเหตุที่ผมได้มาเป็นส่วนหนึ่งของวารสารเล่มนี้ก่อน เรื่องมีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่ง กับชีวิตในต่างแดน พร้อมกับวันที่อากาศหนาวเหน็บ บรรยากาศเงียบสงบ เช้าๆกับอากาศที่บริสุทธิ์ ผมก็ได้เปิดเฟสบุคขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีพี่น้องคนหนึ่ง ทักผมมา ซึ่งมันทำ�ให้ความทรงจำ�ของผมที่เคยอยู่ร่วมกันกับเขาคนนั้นลอยมาในห้วงของความคิด นอกจากห้วงของความทรงจำ� ระหว่างผมกับคนนั้นแล้ว ยังมีความทรงจำ�ก้อนโตๆที่ลอยเข้ามาในความคิดอีกด้วย อันเป็นการจุดประกายความคิดถึงให้ทวีคูณมาก ขึ้นยิ่งไปใหญ่ ความคิดถึงนี้ก็คือ ความคิดถึงที่มีต่อมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์และครอบครัวมุสลิม อันอบอุ่นที่ผมได้สัมผัสมาตลอด นั่นก็คือ “ชมรมมุสลิม” และหวังว่าครอบครัวนี้จะยังคงอบอุ่นเช่นเดิม หรือไม่ก็มากกว่าเดิม เพราะ ผมคงจะรู้สึกเศร้าใจและน่าเสียดายอย่างหาที่เปรียบมิได้ หากรุ่นน้องของผมจะไม่ได้สัมผัสเช่นเดียวกับสิ่งที่ตัวผมเองนั้นได้สัมผัส และผมเชื่อว่าผู้ที่อยู่ในเวลาเดียวกับผมทุกคนก็คงจะสัมผัสถึงความอบอุ่นได้เช่นเดียวกัน อินชาอัลลอฮฺ บางคนอาจจะสงสัยว่าทำ�ไมคนที่ทักผมคนนั้นถึงได้มีอิทธิพลต่อความคิดถึงของผม คำ�ตอบก็คือ เพราะมันเป็นการพูดคุยกับคนที่มี บทบาทในครอบครัวชมรมมุสลิม และยังเป็นคนเคยทำ�งานมาด้วยกัน คนๆนั้นคืออามีรฝ่ายวารสารนั่นเอง มันจึงไม่แปลกที่ผู้นั้นจะ สามารถจุดประกายความคิดถึงของผมได้ แม้ว่าตอนนี้ตัวเองจะอยู่ในสถานะ “คนเคยเรียนวลัยลักษณ์” และไม่ได้อยู่ร่วมกับ “ชมรมมุสลิม” แล้วก็ตาม แต่ใจของผมยังคงอยู่ และยังคงติดตามอยู่เสมอ ยังอยากเป็นส่วนหนึ่งที่คอยขับเคลื่อนยานนี้ให้เดินหน้าต่อไปได้ ยังอยากมีส่วนร่วม กับชมรมแห่งนี้ แม้ว่าจะทำ�ได้ไม่มากก็ตาม ซึ่งหนึ่งในวิธีการที่ผมจะมีส่วนร่วมกับชมรมนี้ได้ก็คือผ่านตัวอักษรในวารสารนี้ ซึ่งก็เป็น โอกาสหนึ่งที่อามีรฝ่ายวารสารได้หยิบยื่นให้กับข้าน้อย ทั้งหมดทั้งมวลคือที่มาก่อนจะเริ่มเขียนบทความนี้เท่านั้นนะครับ ส่วนของ ฝากจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ผมจะมอบให้กับพี่น้องทุกคน อยู่ด้านล่างนี้แล้ว เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน ใครอยากได้ของฝาก อย่ารอช้า รีบไปอ่านต่อกันได้เลยครับ เมื่อกล่าวถึง “ประเทศจีน” พี่น้องทุกคนจะนึกถึงอะไร? สำ�หรับตัวผมเอง ก่อนที่จะได้มาอยู่ที่นี่จริงๆ ก็เคยรับรู้จากแหล่ง ต่างๆ ทั้งจากทางสื่อและการอ่านหนังสือ รู้เพียงแค่ว่า ประเทศนี้ใหญ่มาก ประชากรเยอะมาก มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมาก มี วัฒนธรรมประเพณีที่เก่าแก่มาก เป็นประเทศที่เป็นแหล่งกำ�เนิดของเลียนแบบ(copy) เป็นต้น ส่วนทางด้านพฤติกรรมของคนจีน ที่ได้รับรู้มาก็มีทั้งด้านที่ดีและไม่ดี ด้านที่ดีก็เช่น คนจีนขยันมาก คนจีนตรงเวลามาก ส่วนด้านที่ไม่ ดีก็เช่น คนจีนมักจะพูดจากันเสียงดัง(ขึ้นเสียงเหมือนทะเลาะกัน ทั้งๆที่ไม่ได้ทะเลาะกัน) คนจีนมักแซงคิว คนจีนมักขากเสลดและถ่ม น้ำ�ลายตามถนนหนทาง เป็นต้น ครั้นเมื่อผมได้มาอยู่ในประเทศนี้จริงๆ ผมก็ได้เห็นอะไรมากมาย มีทั้งที่ตรงและไม่ตรงกับข้อมูลเก่าที่ตัวเองมี แน่นอนว่าด้วย จำ�นวนประชากรที่ประเทศนี้มีมากเหลือเกิน ก็ย่อมจะทำ�ให้เราได้พบเจอกับปรากฏการณ์แปลกๆของคนจากประเทศนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ ที่สื่อพูดถึงก็จะออกแนวด้านลบไปหน่อย (ก็ไม่แปลก เพราะด้านบวกมีเยอะเป็นปกติ จึงไม่มีการนำ�เสนอ) การมาอยู่ในประเทศนี้ มัน ก็มีให้เห็นทั้งสิ่งที่ไม่ดี และสิ่งที่ดี(ซึ่งมีให้เห็นเยอะกว่ามาก) ผมจึงอยากเก็บสิ่งดีๆมาฝากให้กับพี่น้องทุกคน และหวังว่าพี่น้องจะได้รับ ประโยชน์จากของฝากนี้ โดยจะขอพูดถึงภาพรวมของผู้คนส่วนใหญ่ เพราะแน่นอนว่าจะมีคนส่วนน้อยที่มีความแตกต่างออกมาอยู่ แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมมองว่าเป็นสิ่งที่ดีของคนจีนก็คือ วิถีชีวิตของคนจีนมีความสวยงามและความสมดุล ที่ผมกล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า วิถีชีวิต ของคนจีนมีความคล้ายคลึงกับซุนนะห์นบีหลายอย่าง ตัวอย่างของความสวยงามของวิถีชีวิตต่อไปนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผมอยากยก ตัวอย่างให้ทุกคนได้ทราบและเอาเป็นเยี่ยงอย่าง โดยจะขอพูดเน้นถึงวัยวัยนักศึกษาเป็นหลัก เพราะเชื่อว่าผู้อ่านบทความนี้อยู่ ส่วน ใหญ่จะเป็นนักศึกษา เพื่อที่จะได้เห็นและเปรียบเทียบอย่างเห็นภาพ ตัวอย่างมีดังต่อไปนี้ วารสารหยดน้ำ�หมึก l 15
1.การขยันหมั่นเพียรและจริงจังในทุกการงาน คนจีนกับความขยัน เป็นของคู่กันจริงๆ ดังประโยคเปรียบเปรยที่คนกล่าวไว้ว่าคนจีน “หอบเสื่อผืนหมอนใบก็พอแล้ว” (เพียงพอที่ จะสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้) ข้อนี้เราจะสังเกตได้ทุกที่ที่มีคนจีน ไม่ว่าจะเป็นจีนแผ่นดินใหญ่หรือจีน โพ้นทะเล(รวมถึงคนเชื้อสายจีนที่อยู่ในประเทศไทยด้วย) ใครเป็นนักเรียนก็จะขยันและจริงจังกับการเรียนมาก ใครประกอบอาชีพ ค้าขายก็จะขยันและจริงจังกับการค้าขาย ใครมีหน้าที่อะไรเขาก็จะขยันสุดๆไปกับหน้าที่ของตัวเอง และเรามักจะเห็นได้เลยว่าคนจีน ประกอบอาชีพอะไรก็ประสบความสำ�เร็จเสมอ เพราะเขามีกุญแจสำ�คัญนั่นก็คือ “ความขยันและจริงจัง” หากใครอยากประสบความ สำ�เร็จก็ลองเอากุญแจนี้ไปใช้ดู อินชาอัลลอฮฺเราจะประสบความสำ�เร็จกันทุกคน 2.การงีบหรือกอยลุลละฮฺช่วงเที่ยงวัน คำ�ว่า “กอยลุลละฮฺ” ผมเชื่อว่าพี่น้องทุกคนคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี และเชื่อว่ามีไม่กี่คนที่สามารถทำ�ได้ อาจเป็นเพราะไม่เคยใส่ใจ กับซุนนะห์นี้หรือเป็นเพราะตารางเวลาของเราไม่เอื้อที่จะให้เราปฏิบัติซุนนะห์นี้ได้ แต่ที่จีนแทบทุกคน ทุกอาชีพจะสามารถกอยลุลละฮฺได้ เพราะเวลาพักเที่ยงของประเทศจีนเอื้อให้ทุกคน คือ 12.00-14.00น. เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ทุกคน ก็จะไปรับประทานอาหารกันหมด และเมื่อรับประทานอาหารเสร็จก็จะกลับที่พักหรือที่ทำ�งาน เว้นช่วงหลังจากกินข้าวสักพักเล็กๆ จากนั้นทุกคนก็จะเตรียมพร้อมเพื่อกอยลุลละฮฺ(สำ�หรับมุสลิมก็จะละหมาดซุฮรีให้เรียบร้อยก่อนกอยลุลละฮฺ) โดยจะใช้เวลาในการกอ ยลุลละฮฺประมาณ 15-20 นาที (หากนานไปกว่านี้อาจทำ�ให้เกิดอาการง่วงค้างได้) ผมเองได้มีโอกาสลองใช้ชีวิตโดยมีการกอยลุลละฮฺ แบบจริงๆจังๆหลายๆวันดูก็ที่จีนนี่แหละ ปรากฏว่ามันเป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ จึงอยากฝากให้ทุกคนลองศึกษาและพยายามปฏิบัติ กัน แม้จะทำ�ได้ไม่ทุกวันก็ทำ�เท่าที่สามารถ เพราะการกอยลุลละฮฺ นอกจากจะได้ความดีเนื่องจากเป็นซุนนะห์นบีแล้ว เรายังจะได้ รับผลดีกับสมองของตัวเอง เพราะมีการวิจัยออกมาแล้วว่าการงีบหรือกอยลุลละฮฺจะทำ�ให้สมองมีประสิทธิภาพการทำ�งานที่ดีขึ้น เป็นการพักและรีเฟรช(ฟื้นฟู)สมองหลังจากที่ใช้งานเหนื่อยล้ามาแล้วครึ่งวัน 3.การทำ�กิจวัตรอย่างเป็นเวลา ขอยกตัวอย่างชีวิตของนักศึกษา นักศึกษาจีนที่นี่ส่วนใหญ่หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นและทำ�ภารกิจด้านนอกเสร็จสิ้น ทุกคนก็ จะกลับเข้าหอเพื่ออ่านหนังสือต่อ แต่ก็จะอ่านไม่เกินเที่ยงคืน จะนอนก่อนเที่ยงคืนและจะตื่นกันอีกทีอย่างพร้อมเพรียงกันประมาณ ตี 5-6 โมงเช้า หากมองที่กระจกของหอพักนักศึกษาจีน จะเห็นได้ชัดเจนว่าไฟของแต่ละห้องจะเปิดในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน และทุก คนจะไม่นอนในตอนเช้า นักศึกษาจีนจะเตรียมตัวเพื่อที่จะไปเรียน (ต่างกับชีวิตส่วนใหญ่ของนักศึกษาไทยที่มักนอนดึกและตื่นสาย) นอกจากการนอนและตื่นเป็นเวลาแล้ว การกินของคนจีนก็มักครบมื้อและเป็นเวลาเช่นกัน ครั้นก่อนที่ผมยังเป็นนักศึกษาในไทย ผม คิดอยู่เสมอว่า วัยนักศึกษา(โดยเฉพาะระดับมหาวิทยาลัย) เป็นวัยที่มีนาฬิกาชีวิตที่ไม่ค่อยสู้จะดีนักหากเทียบกับวัยอื่นๆ ทั้งการตื่น และนอนไม่เป็นเวลา การกินอาหารไม่ครบมื้อและไม่เป็นเวลา แต่ ณ ตอนนี้ ผมมีความเชื่อที่เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่าวัยนักศึกษาก็เป็น วัยที่มีนาฬิกาชีวิตที่ดีได้ เพียงแต่เราอาจต้องพยายามควบคุมพฤติกรรมของตัวเองสักหน่อย ยิ่งต้องอยู่ในสังคมที่มีวิถีชีวิตไม่ตรงกับ ที่เราอยากเป็น ทำ�ให้เราปรับตัวลำ�บาก (เช่น เราอยากนอนเร็ว ตื่นเช้า แต่เพื่อนร่วมห้องเราเขาเป็นมนุษย์ค้างคาว ที่ไม่นอนกลางคืน ก็อาจส่งผลเล็กน้อยสำ�หรับการนอนเร็วของเรา) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่มีอิทธิพลกำ�หนดทิศทางพฤติกรรมของเราที่สุดก็คือตัวและหัวใจ ของเรานั่นเอง ทั้งสามตัวอย่างเป็นส่วนหนึ่งจากความสวยงามของวิถีชีวิตที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างเท่านั้น สิ่งสำ�คัญที่อยากจะฝากท้ายนี้คือ ผมอยากจะฝากให้ผู้อ่านทุกท่าน ลองศึกษาซุนนะห์นบีว่าในชีวิตประจำ�วัน นบีมีวิถีชีวิตอย่างไร นอนอย่างไร ตื่นนอนอย่างไร กินอย่างไร ดื่มน้ำ�อย่างไร ศึกษาอย่างไร สอนอย่างไร ละหมาดอย่างไร ถือศีลอดอย่างไร และทำ�อะไรๆอย่างไร แล้ว เราจะเห็นว่าในชีวิตประจำ�วันทั่วไปของเรานี้มีซุนนะห์นบีหลายอย่างให้เราได้ทำ�ตาม เมื่อเรารู้ว่าอะไรคือซุนนะห์นบี และเราทำ�มันอย่างเป็นประจำ� ให้เป็นวิถีชีวิต คิดดูว่าเราจะอยู่ในโลกนี้ไปอีกกี่ปี เราได้ทำ�กิจวัตรแบบซุนนะห์นบีซ้ำ�ๆกี่ครั้ง มันเป็นเวลาที่เราอยู่ไปกับซุนนะห์นบีตลอด แน่นอนว่าความดีที่เราจะได้รับย่อมมากมายและหอมหวานแน่นอน อินชาอัลลอฮฺ วารสารหยดน้ำ�หมึก l 16
-----------------------------------------------------
ใครบอก มณิส เย็นชา
----------------------------------------------------กลับมาหา รักแท้...สักที
ใครบอกเธอว่าความผิดพลาดของเธอนั้นจะไม่ได้รับการอภัย ใครบอกเธอว่าเธอนั้นต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย ใครบอกว่าไม่มีใครจะรับฟังเรื่องราวที่เธออึดอัดใจ ใครบอกเธอว่าไม่มีใครรักเธอ ใครบอกเธอ.... “และเมื่อบ่าวของข้าได้ถามเจ้าถึงข้าแล้วละก็ (จงตอบเถิดว่า) แท้จริง ข้านั้นอยู่ใกล้ ข้าจะตอบรับคำ�วิงวอนของผู้ที่วิงวอน เมื่อเขาได้ วิงวอนต่อข้า ดังนั้น พวกเขาจงตอบรับต่อข้าเถิดและให้พวกเขาศรัทธาต่อข้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้อยู่ในทางที่ถูกต้อง” ... (ความหมา ยอัลกุรอาน บท อัล-บะเกาะเราะฮฺ โองการที่ 186) เธอคงเป็นทุกข์มากใช่ไหม เมื่อนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเธอ ครั้นเมื่อเธอทุกข์ใจ เธอคงอยากหาที่ผ่อนคลายจิตใจ หากแต่เธอเลือกจะบอกความทุกข์ใจของเธอกับคนที่ไว้ใจ พวกเขาเพียงรับฟังเรื่องราวต่างๆของเธอเท่านั้น แต่พระเจ้าของเธอรอคอยเธอเพื่อปลอบโยน เมื่อเธอได้กระทำ�ความผิด พระเจ้าก็รอคอยเธอเพื่อว่าเธอจะสำ�นึกและพระองค์จะทรงอภัยโทษแก่เธอ เมื่อเธอนั้นรู้สึกโดดเดี่ยวพระองค์นั้นอยู่ใกล้เธอ รอเธอเรียกหาพระองค์ พระองค์ทรงอยู่ใกล้เสมอ ความรักจากพระองค์นั้นเปี่ยมล้น หากเธอเรียนรู้รักแรกคือ การรักอัลลอฮฺ มันจะทำ�ให้เธอเข้าใจความรักอื่นๆ เธอจะไม่เป็นทุกข์ เธอจะไม่รู้สึกเหงา เธอลองหันกลับมาหารักแรกของเธอสิ สำ�นึกผิดกลับเนื้อกลับตัว กลับมาหาพระเจ้าผู้ทรงรัก เธอมากกว่าใครๆ แล้วเธอจะพบรักแท้ของเธอ จากท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ เล่าว่า: ฉันได้ยินท่านศาสนทูตมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า: อัลลอฮฺพระผู้สูงส่ง ตรัสว่า: “โอ้ลูกหลานอาดัม (มวลมนุษย์) เอ๋ย ! ตราบใดที่สูเจ้าวิงวอน (ดุอาอ์) และฝากความหวังไว้กับข้า ตราบนั้น ข้าจะอภัยใน ความผิดที่สูเจ้าได้กระทำ� และข้าก็จะไม่สนใจมันอีก โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ย! แม้ว่าความผิดของสูเจ้าจะสูงเทียมฟ้า แล้วเจ้าได้ขออภัย โทษต่อข้า ข้าก็จะให้อภัยแก่เจ้า โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ย! ถ้าหากสูเจ้ามาหาข้า พร้อมด้วยบาปที่เต็มแน่นเท่าผืนพิภพ แล้วเจ้าได้มาพบ กับข้าโดยที่สูเจ้าไม่ได้ตั้งภาคีใด ๆ กับข้า แน่นอน ! ข้าก็จะให้อภัยแก่สูเจ้าเท่าพิภพเช่นเดียวกัน” ... (หะดีษบันทึกโดยอัต-ติรมิซีย์ 2495 และท่านกล่าวว่า เป็นหะดีษอยู่ในระดับหะสันเศาะหี้หฺ)
เพื่อการจากไป.................... เรื่องสั่น
บินตี อิสมาแอล
ฉันเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า สิ่งของต่างๆ ที่ถูกซื้อมาเมื่อวันก่อน ถูกเรียบเรียงลงใน กระเป๋าใบใหญ่ทีละชิ้นสองชิ้น มันเป็นสิ่งของอันมากมายที่ฉันได้ตระเตรียมไว้สำ�หรับชีวิตใน ต่างแดนของฉัน ใช่แล้วล่ะ! พรุ่งนี้ฉันจะต้องเตรียมตัวออกเดินทาง ข้ามน้ำ� ข้ามทะเลไปยังดิน แดนแห่งหนึ่ง ซึ่งได้ชื้อว่าเป็นดินแดนที่มีมุสลิมมากที่สุดได้ในโลก กับด้วยระยะเวลา 6 เดือน ที่ต้องใช้ชีวิต ณ ที่นั่น ฉันจึงต้องเตรียมความพร้อมทุกอย่าง เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องไปลำ�บาก ลำ�บนอยู่ในที่ๆ ที่ไม่มีพ่อแม่ พี่น้อง คอยช่วยเหลืออีกแล้ว ฉันใส่สิ่งของต่างๆ เข้าไปใน กระเป๋าจนแน่นขนัด ฉันหันไปมองของข้างๆ ตัวฉัน ซึ่งยังมีอีกมากมายที่ใส่ไปไม่ได้ เฮ้อ! ฉัน ถอยหายใจออกมา เมื่อพบว่าฉันจำ�เป็นต้องจัดกระเป๋าใหม่เพื่อเลือกเอาของที่จำ�เป็นที่สุดใส่ ไปเท่านั้น ด้วยกับขนาดกระเป๋าที่จำ�กัดนัก จนเมื่อฉันจัดเสร็จอย่างพอดีกับของจำ�เป็นที่ต้อง ใช้ และเพื่อความแน่นอน ฉันได้แบกกระเป๋าอันหนักอึ้งใบนั้นไปชั่งน้ำ�หนักที่หน้าเซเว่น แต่ เมื่อพบว่าน้ำ�หนักของที่ฉันจะพาไปเกินกับน้ำ�หนักที่ตัวเองสามารถพาขึ้นเครื่องได้กว่า 10 กิโล เฮ้อ! ฉันเลยถอนหายใจอีกรอบ บวกกับเคืองตัวเองนิดๆ ที่ไม่ยอมซื้อน้ำ�หนักเพิ่มเหมือนเพื่อน เค้า ฉันกลับมาบ้านพร้อมกับจัดกระเป๋าเป็นรอบที่สาม และรอบนี้แหละที่ต้องคิดหนักที่สุด กับของที่ต้องพาไป ฉันจัดเสื้อผ้าแค่ไม่กี่ชุด และของที่จำ�เป็นจริงๆ เท่านั้น ของกินต่างๆ ถูก นำ�เอาออก ของใช้ที่ยังถือว่าจำ�เป็นน้อยก็ถูกเอาออกเช่นกัน การเดินทางในครั้งนี้เลยดูเสมือน ว่าตัวฉันจะสบายที่สุดกับน้ำ�หนักกระเป๋าที่แสนจะเบากว่าใครคนอื่นเค้า และในใจก็พยายาม คิดในทางที่ดีเพื่อปลอบใจตัวเอง ฉันจากบ้านเกิดเมืองนอนครั้งนี้มาเพื่อแสวงหาความรู้ เพียง แค่หกเดือนเท่านั้น แค่หกเดือนตัวฉันก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิมที่บ้านแล้ว อาจมี อะไรที่ขาดหายไปบ้างในชีวิต สิ่งอำ�นวยสะดวกต่างๆ อาจไม่มีเหมือนเก่าก่อน แต่เพราะฉันมา อยู่แค่ไม่นานเท่านั้น อดทนเถอะ อดทน! ฉันได้แต่ให้กำ�ลังใจตัวเอง และ ณ วันนี้ ฉันก็ได้อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินที่เรียกว่า “อินโดนีเซีย” ร่วมกว่าสอง เดือนแล้ว มันคือสองเดือนที่ต้องใช้ความทรหดอดทนค่อนข้างสูงเลยทีเดียว การใช้ชีวิตที่ นี่มันไม่ได้สุขสบายเหมือนที่ที่ฉันได้จากมา ฉันต้องเดินไปเรียนด้วยระยะทางที่ไม่ได้ใกล้เลย อาหารการกินก็แทบไม่มีอะไรที่จะกินได้อย่างเต็มปากเต็มคำ�นัก ความยากลำ�บากที่พบเจอมัน ทำ�ให้ฉันคิดอยู่เสมอว่า อดทนเหอะ! เดียวก็ได้กลับบ้านแล้ว แค่ตั้งใจเรียนให้มากๆ ทำ�ตามเป้า หมายของการมาอยู่ที่นี่ให้คุ้มก็เพียงพอแล้ว เก็บเกี่ยวทุกอย่างให้กับตัวเองเพื่อกลับไปจะได้ เอาผลงานไปให้อาจารย์ โดยแลกกับเกรดซึ่งเป็นผลตอบแทนสำ�หรับการมาที่นี่ ใช่แล้ว! เพื่อ เกรดดีๆ เท่านั้นเอง ฉันจึงจำ�ต้องมาอยู่ในที่ที่ลำ�บากแบบนี้ ฉะนั้นแล้ว การใช้ชีวิตของฉันที่ผ่านไปแต่ละวัน ดูเสมือนว่าฉันใช้ไปอย่างไม่ได้สนใจ ใยดีกับวิถีชีวิตที่เป็นอยู่นัก ฉันแค่พยายามตั้งใจเรียน ลงพื้นที่เก็บข้อมูล แค่ทำ�ตามเป้าหมาย ของตัวเองให้เต็มที่ที่สุด เสมือนว่าฉันเองเตรียมพร้อมอยู่เสมอกับการจะกลับไปยังบ้านเกิด เมืองนอนของตัวเอง เพราะฉันรู้ว่าระยะเวลาของฉันที่จะอยู่ที่นี่เพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น ฉัน วางแผนไว้เสียดิบดีว่า ฉันมาที่นี่ฉันต้องเอาอะไรกลับไปบ้างกับด้วยระยะเวลาที่มีอยู่ ดังนั้น ฉันจึงไม่ค่อยจะมีเวลาให้กับเรื่องที่อาจพูดได้ว่า ไร้สาระมากนัก ฉันไม่ค่อยได้ไปเที่ยว ไม่ค่อย ได้นั่งโม้นานๆ กับเพื่อนฝูง วิถีชีวิตฉันก็แสนจะสมถะยิ่งกว่าอยู่ไทยเสียอีก เสื้อผ้าที่เอามาก็ วารสารหยดน้ำ�หมึก l 19
น้อยนิดแม้จะซื้อเพิ่มมาบ้างแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ซักสักสัปดาห์หนึ่งนี่ คือหมดตู้เลย เครื่องใช้อื่นๆ ฉันก็แทบไม่มีและไม่ได้ซื้อเพิ่มด้วย เพราะคิดอยู่อย่างเดียวว่า ไม่รู้จะซื้อไปทำ�ไม เดียวก็กลับแล้ว ไว้ไปใช้ชีวิตที่สุขสบายที่บ้านเกิดตัวเองดีกว่า เพราะ ณ ที่นี่ ฉันรู้ดีอยู่แก่ใจว่า วันเวลาของฉันมีเท่าไหร่ ก่อนที่เวลาของฉันจะหมดลง ฉันจึงได้พยายามทำ�ตามเป้าหมาย ของฉันให้คุ้มที่สุดเท่าที่จะทำ�ได้ เพื่อรอวันที่กลับไปพร้อมกับเอาผลงานไปให้อาจารย์ อะไรที่ไม่มีผลต่อเกรดมากนัก ดูเหมือนว่าฉัน จะปล่อยๆ มันไป แม้มันอาจจะทำ�ให้ชีวิตดูมีรสชาติ สนุกสนาน ไม่น่าเบื่อเหมือนที่เป็นอยู่ แต่ทำ�ไงได้ล่ะ เมื่อฉันมาที่นี่เพื่อเรียน ผล การเรียนของฉันย่อมต้องออกมาดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ เมื่อถึงวันแห่งการประกาศผล ส่วนความสนุกสนานอื่นๆ ไว้ตอนกลับไปที่ไทย แล้วกัน เพราะฉันคิดเช่นนี้ ฉันจึงไม่มีเวลามาเสียเวลากับสิ่งไร้สาระในต่างแดน และเช่นเดียวกัน ชีวิตของฉันในดุนยานี้มันก็ไม่ต่าง มากนัก กับการเป็นเพียงสถานที่อยู่แค่ชั่วคราวเพื่อรอวันที่ฉันและมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้กลับไปยังบ้านเดิมของตัวเอง แต่ทำ�ไมฉัน กลับไม่สามารถคิดและใช้ชีวิตในดุนยาให้เหมือนกับการใช้ชีวิตในอินโดนีเซียของฉันได้ หรืออาจเป็นเพราะฉันรู้ว่าในอินโดนีเซีย ฉัน จะอยู่แค่ 6 เดือน ฉันจึงต้องรีบขวนขวาย ในขณะที่ชีวิตในดุนยาของฉัน ฉันกลับไม่สามารถรู้ได้ว่าจะอยู่ได้สักกี่วัน และเหลืออีกกี่วัน นับจากนี้ เพราะความไม่รู้ ทำ�ให้ฉันเผลอคิดไปว่า มันคงจะอีกนาน นานพอที่จะให้ฉันใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ สนุกสนานรื่นเริงกับการละ เล่นต่างๆ บนดุนยานี้ได้ ก่อนที่จะรีบเร่งเก็บเกี่ยวความดี เวลาของฉันมันยังอีกมาก เวลาแห่งการทำ�ความดี เวลาแห่งการเตาบัตตัว มันยังอีกยาวไกลสำ�หรับตัวฉัน ซึ่งฉันค่อยทำ�มันเมื่อไหร่ก็ได้ ฉันจึงใช้ชีวิตในดุนยาไปอย่างไร้แก่นสาร มิใช่เพราะฉันลืมเป้าหมายที่แท้จริงของการมาอยู่ในโลกอันชั่วคราวนี้หรอก ฉัน รู้ดี และฉันคิดว่าทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจดีเช่นกัน เพียงแต่เราต่างลืมไปว่า วันเวลาของเรามีวันหมดอายุ วันหมดอายุซึ่งไม่รู้ว่าวันไหน จึงไม่ได้เตรียมตัวเสียแต่เนิ่นๆ ไม่ได้เตรียมเสบียงสำ�หรับการกลับไปยังบ้านเดิมของตัวเอง มีแต่วัตถุแห่งดุนยาที่ซื้อสั่งสมมาเสีย มากมาย เพื่อตอบสนองต่อความสุขสบายในโลกอันชั่วคราวนี้ โดยพยายามอ้างกับตัวเองอยู่เสมอว่า วัตถุเหล่านี้ เราจำ�เป็นต้องใช้ไป อีกนาน นานไปจนถึงวันตาย แน่ละ! มันอาจจะรับใช้เราไปจนถึงวันตาย ซึ่งวันตายนั้นอาจจะเป็นพรุ่งนี้ หรือ มะรืนนี้ก็ได้ และเราก็ ลืมนึกไปว่า เมื่อถึงวันแห่งความตายมาเยือนแล้ว สิ่งเหล่านั้นเราไม่สามารถนำ�ติดตัวไปได้เลย ทั้ง เงินทอง เครื่องประดับ เครื่องแต่ง กาย ไอแพด ไอโฟน ต่างถูกโยนทิ้งไว้ที่ดุนยาแห่งนี้แทบทั้งสิ้น จะเหลือก็แต่ผลงานที่เราได้ขวนขวายเอาไว้ เพื่อนำ�ไปชำ�ระผลแห่งการ ตอบแทน เมื่อถึงวันที่กลับเมืองไทย ฉันคงขนหนังสือ ชีดต่างๆ พร้อมทั้งความรู้ที่อยู่ในหัวสมองสองซีกนี้กลับไป ส่วนสัมภาระอื่นๆ ฉัน คงต้องทิ้งไว้ที่นี่ กะลามัง โต๊ะเขียนหนังสือ ไม้แขวนเสื้อ ฯลฯ เพราะมันคงจะหนักกระเป๋าหากจะแบกกลับไป ซึ่งมันไม่มีส่วนได้ ส่วนเสียกับเกรดของฉันเลย หากแต่วันที่ฉันต้องกลับไปยังโลกอาคิรัตแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยอำ�นวยความสะดวกให้กับฉันในโลกนี้ ก็คงต้องถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเช่นกัน สิ่งที่ฉันพาติดตัวไปได้ก็คงจะเป็นการงานของฉันที่ได้กระทำ�ในโลกนี้เท่านั้น เพื่อนำ�กลับไปชำ�ระ สอบสวน และตอบแทนสำ�หรับผลงานของฉันที่เคยทำ�มาตลอดทั้งชีวิต ฉันกลับไทยรอบนี้ หวังเหลือเกินว่าเกรดของฉันจะต้องออกมาดี เท่ากับที่ฉันพยายามทุ่มเทการเรียนให้กับมัน ถ้าจะให้พูด ตามตรง ฉันหวัง A หมดทุกตัวเลยละ แต่ทำ�ไมกัน หากถึงวันที่ฉันจะต้องกลับสู่โลกอาคิรัต ฉันกลับไม่สามารถตอบได้เลยว่า ผลงาน ของฉันที่สร้างสมมันมาตลอดชีวิตจะแลกด้วยกับอะไร ระหว่าง สวรรค์ และ นรก ทำ�ไมฉันจึงตอบไม่ได้และไม่มั่นใจเอาเสียเลย
วารสารหยดน้ำ�หมึก l 20
เพียงศรัทธา
เพียงศรัทธา ^^
บ่อยครั้งที่ฉันมองไม่เห็นค่าของเวลา บ่อยครั้งที่ฉันปล่อยปะละเลย บ่อยครั้งที่ฉันคิดว่าพรุ่งนี้ฉันจะยังคงดำ�เนินชีวิตได้ปกติ เฉกเช่นในทุกๆวัน.... แต่แล้วเมื่อฉันตื่นขึ้นมาในวันนี้ อะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อฉันไม่สามารถทำ�อะไรได้ด้วยตัวเอง ฉันไม่ สามารถลุกขึ้นมานั่งด้วยตัวเอง ฉันไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง ฉันไม่สามารถแม้แต่จะขยับตัวของฉันได้เลยใช่...ฉันเป็นอัมพาต! ฉัน เพิ่ง 19 ปี ฉันกำ�ลังสนุกกับวัยของฉันบ่อยครั้งที่ภาพเก่าๆ เข้ามาในความคิด ตอนที่ฉันกำ�ลังสนุกกับเพื่อนและคนรอบข้าง ฉันมักจะ ถามตัวเองอยู่เสมอว่าทำ�ไมสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นกับฉันด้วย จนลืมไปแล้วว่าลิขิตของอัลลอฮฺนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำ�หรับบ่าวของ พระองค์เสมอ ดังที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงตรัสไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน ความว่า “หรือว่าพวกเจ้าคิดว่า พวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์ ทั้งๆ ที่ อัลลอฮฺยังมิได้ทดสอบพวกเจ้าเพื่อพระองค์ทรงให้เป็นที่ประจักษ์ ใครคือบรรดาผู้ต่อสู้ในหมู่พวกเจ้าและใครคือบรรดาผู้อดทน”(อา ละอิมรอม อายะฮฺ 142)ฉันคิดอยู่เสมอว่าเมื่อฉันนอนหลับฉันจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับสภาพร่างกายที่ปกติ เดินได้ วิ่งได้ และทำ�ทุก อย่างได้ด้วยตัวเองเหมือนที่ฉันเคยทำ�ได้ ฉันคิดพรางน้ำ�ตาที่ไหลออกมา และน้ำ�ตาของผู้หญิงที่ฉันเรียกเธอว่า “อุมมี” ก็ไหลตาม ออกมาด้วย แต่ฉันก็ไม่สามารถปัดน้ำ�ตาที่อาบแก้มบนใบหน้าของท่านได้เลย... มีแต่คนบอกกับฉันว่า ฉันไม่มีวันหายเป็นปกติได้ อีกแล้ว เหมือนฉันอยู่เป็นภาระให้คนรอบข้างเพื่อรอวันตาย ฉันกลัวเหลือเกิน ฉันเสียดายเวลาที่ฉันปล่อยโดยมองไม่เห็นค่าของมัน อยากย้อนเวลาแต่ฉันก็ทำ�ได้แค่ในห้วงความคิด ฉันใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยมือและเท้าของคนอื่นที่คอยเดินหยิบยื่นทุกสิ่งอย่างให้แก่ ฉัน ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นภาระให้แก่พวกเขา ถึงแม้ทุกคนจะปฏิเสธว่ามันไม่ใช่ ฉันรู้สึกทรมานกับโรคที่ฉันเป็นอยู่มากเหลือเกินฉันยังเด็ก อยู่ ทำ�ไมต้องเป็นฉัน ทำ�ไมไม่เป็นคนอื่น ฉันยังคงตั้งคำ�ถามกับตัวเองอยู่ทุกวัน ทั้งที่ฉันก็รู้คำ�ตอบว่านี่ คือลิขิตของพระองค์ที่ฉันต้อง ยอมรับและอดทน... เมื่ออัลลอฮฺทรงรักมวลมนุษย์ พระองค์จะทรงทดสอบพวกเขา และผู้ใดก็ตามที่ยอมรับมัน ย่อมได้รับความพึง พอพระทัยจากอัลลอฮฺ และผู้ใดก็ตามที่พร่ำ�บ่นต่อบททดสอบนั้น ย่อมได้รับความโกรธกริ้วจากพระองค์ (บันทึกโดย ติรมีซี หมายเลข 2320, ฮาดิษศอฮิฮฺ อัลญามิอฺ หมายเลขฮาดิษ 2210)ฉันเจ็บปวดและทรมานกับโรคร้ายที่ฉันประสบอยู่เหลือเกิน ฉันยังคงหวังว่าพรุ่ง นี้ฉันจะเดินได้ เมื่อตะวันลับขอบฟ้าฉันมีความหวังเสมอว่าเมื่อแสงอาทิตย์รุ่งอรุณ ฉันจะตื่นขึ้นมาพร้อมสภาพร่างกายที่ปกติ แต่แล้ว ฉันก็ได้แต่หวังและร้องไห้คร่ำ�ครวญเมื่อพบว่ากี่วันๆ ฉันก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม สภาพที่ยังคงต้องใช้ร่างกายคนอื่นทำ�ทุกอย่างที่ตัวเอง อยากทำ�... ฉันร้องห่มร้องไห้จนกระทั่งเสียงนาฬิกาดังขึ้นมาในเวลาประมาณตี 3 เศษๆ ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยน้ำ�เสียงสะอึกสะอื้น จากการร้องไห้และฉันก็พบว่าทั้งหมดนั้นคือความฝันฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆและกล่าวออกมาว่า “อัลฮัมดูลิลลาฮฺ”สำ�หรับฉันแล้ว มันคือฝันดี ฝันดีที่ทำ�ให้ฉันได้รู้ว่า ทุกลมหายใจมีค่าแค่ไหน บางครั้งในชีวิตจริงหลังจากนี้ฉันอาจจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าฉันไม่เพียงแต่ เป็นอัมพาต แต่ฉันอาจจะไม่มีลมหายใจอีกแล้วก็ได้... มนุษย์เรานั้นหายใจกันจนเคยชินจนกลายเป็นเรื่องปกติ... ปกติเสียจนบ่อยครั้ง ที่มนุษย์เราไม่ได้คิดถึงมัน ว่าเรานั้น “กำ�ลังหายใจ” ทำ�ให้คนส่วนใหญ่มักคิดถึงมัน ก็ต่อเมื่อวันที่ “ระบบการหายใจนั้นไม่เป็นปกติ แล้ว” “แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นผู้มีบุญคุณต่อมนุษย์ แต่ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่ขอบคุณ” (อัลกุรอ่าน,10:60)
วารสารหยดน้ำ�หมึก l 21
ญามะอะฮในรั้วมหาลัย...
สายชล
ญามะอะฮ (กลุ่มคณะ)เปรียบเสมือนสิ่งก่อสร้าง ซึ่งความคงทนแข็งแรงของมันขึ้นอยู่กับการยึดเหนี่ยวจับตัวระหว่างอิฐกับ ปูน ในทำ�นองเดียวกัน ญะมาอะฮฺจะแข็งแกร่งได้ต่อเมื่อดวงจิตของบรรดาสมาชิกต่างยึดเหนี่ยวกันอย่างเหนียวแน่นเท่านั้น และสิ่ง ที่ดีที่สุดที่จะยึดเหนี่ยวให้พวกเขารวมตัวกันได้ คือ “อัล-อิควะฮฺ-ความเป็นพี่น้อง” ที่มีต่อกันอย่างจริงใจ นิสิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นถือเป็นญามาอะฮหนึ่งที่มีพลังสำ�คัญในการขับเคลื่อนการทำ�งานเพื่ออิสลาม เพราะนิสิต คือ ‘ปัญญาชน’ ผู้ที่สามารถส่งเสียงได้ดังกว่าคนอื่น เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความคิด ความหวัง และความมุ่งมั่น เพื่อประกาศสัจธรรม และเชิดชูพระดำ�รัสของอัลลอฮ์ ให้สูงส่ง การเป็นนิสิตตลอดระยะเวลา 4ปีหรือมากกว่านี้ เรายังไม่มีภาระหน้าที่อันใดต้องรับผิดชอบ นอกเสียจากการเรียน และการศึกษาความรู้ศาสนาควบคู่กันไป ดังนั้นจึงถือว่า การแบ่งเวลาให้ดีจะสามารถสร้างประโยชน์มากมาย ให้กับการทำ�งานศาสนาของเรา...”มากกว่าการทำ�งานศาสนา คือ กระบวนการขัดเกลาจิตใจของตนเอง…” แต่สิ่งที่ดูว่าเป็นปัญหาใหญ่ในปัจุบันของญามะอะฮในหลายๆมหาลัย นั้นก็คือ ความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แก่งแย่งชิงดี ชิงเด่นในกลุ่มญามะอะฮ อันเกิดจากสมาชิกบางท่านนั้นเกิดความยึดติดกับกลุ่มหรือความคิดของตัวเอง มองว่ากลุ่มและความคิดของ ตนนั้นดีที่สุดแล้ว และสิ่งที่ยิ่งไปกว่านั้นสำ�หรับบางคนก็คือ จะมองว่าญามะอะฮอื่นนั้นไม่ดี ไม่สมบูรณ์เพียบพร้อมอย่างกลุ่ม ของตน จึงเกิดปฏิกิริยาที่ว่าจะต้องพยายามจับคนสนิทหรือคนรู้จักกันมาก่อนมาอยู่ในญามาอะฮของตน พยายามดึงสมาชิกที่มีอยู่ของตนไม่ ว่าโดยวิธีใดก็แล้วแต่ กระทั่งวิธีมัดมือชกก็คงยอมที่จะกระทำ�ก็อาจเป็นไปได้ จนบางครั้งลืมใส่ใจความรู้สึกของคนเหล่านั้น และลืมที่ จะใส่ใจกับความถูกต้อง จนอาจจะเกิดความไม่ไว้เนื้อเชื้อใจกันในที่สุด... สิ่งที่ว่านี้คงจะไม่ใช่ความสำ�เร็จอย่างที่ควรจะเป็น! จริงมั้ย? ความถูกต้องคืออะไร........?????????????? คือการที่เราเรียนรู้มาฝ่ายเดียวเป็นแบบนั้น ก็ตัดสินว่าถูกอย่างนั้นหรอ! ท่านอิหม่ามหะซัน อัลบันนา ได้กล่าวเกี่ยวกับหลักยึดในการปฏิบัติต่อญามะอะฮต่างๆไว้ว่า “แท้จริงแล้วมันมิใช้สนามแห่งการ แข่งขัน (หรือการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น) แต่มันคือ สนามแห่งการช่วยเหลือ” เกื้อกูลซึ่งกันและกันด้วยความจริงใจและจริงจัง เป้าหมาย สูงสุดของทุกญามะอะฮมีร่วมกัน ก็คือการทำ�งานเพื่ออิสลามปรากฏตัวอย่างที่มีเกียรติและมีศักดิ์ศรี เพื่อให้มุสลิมทั้งมวลได้รับความ ผาสุกโดยถ้วนหน้ากัน แต่ว่า (ในแต่ละญามอะฮฺ) ก็มีข้อแตกต่างเล็กๆน้อยๆ ในวิธีการดะวะฮ ในแผนการปฏิบัติงานและในการชี้นำ� หรือขับเคลื่อนพลังของมวลสมาชิก และสำ�หรับบรรดาผู้ที่ทำ�ไม่เหมือน (หรือค้าน) กับเรา ในบางสิ่งบางอย่างที่เป็น เรื่องปลีกย่อย หรือเป็นรายละเอียด เราถือว่าสิ่งเหล่านั้นมิใช้สาระสำ�คัญอะไร (ที่เราจะต้องมาขัดแย้งกัน) และพวกเราเห็นว่าความแตกต่างนั้นมิได้ เป็นอุปสรรคเลยที่จะมาขวางกั้นมิให้เราผูกพันกัน รักและช่วยเหลือเกื้อหนุนซึ่งกันและกันในสิ่งที่เป็นความดี” ญามะอะฮที่แข็งแกร่งและสามารถดำ�รงอยู่ได้นั้น ก็ต่อเมื่อบรรดาสมาชิกมีความเป็นพี่น้องระหว่างกัน มีการแสดงทัศนะของตนออก มาด้วยน้ำ�ใสใจจริง ไม่ซ่อนเร้นอำ�พรางสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ ไม่อวดอ้างภูมิปัญญา มีความซื่อสัตย์และความจริงใจระหว่างกันการตัรบียะห์ (ขัดเกลา) ตัวเองอยู่สม่ำ�เสมอก็เช่นเดียวกัน ^^!
วารสารหยดน้ำ�หมึก l 23
ฟิฏเราะฮฺในความรักของหนุ่มสาว
Affan Al-kahfi
ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำ�ว่า อัซซาลามูอาลัยกุมและขอให้สันติสุขจงมีแด่ท่านครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของการได้เขียนบทความเชิงด้านศาสนา ซึ่งโดยตัวผู้เขียนไม่ค่อยมีความชำ�นาญ เท่าไรแต่ผู้เขียนอยากเขียนให้บทความนี้ออกมาเป็นบทความที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำ�ได้ คำ�ว่า ฟิฏเราะฮฺ หมายถึงธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ ซึ่งสรรพสิ่งต่างๆ ไม่ว่าสัตว์ หรือพืชต่างก็ถูกสร้างให้เจริญเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับมัน หากผิดแผกไปก็ ส่งผลที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับมัน ดังพืชผลบางชนิดเมื่อเปลี่ยนสถานที่ปลูก เมื่ออากาศเปลี่ยนไป อาจจะเจริญเติบโต แต่ไม่ออกดอกออกผล หรือมีบางอย่างที่บกพร่องเสียหายไปธรรมชาติ แห่งการสร้างนี้ในคำ�สอนอิสลามเรียกว่า ฟิฏเราะฮฺ ซึ่งเป็นแบบแผนการสร้างของอัลลอฮฺ ดัง ปรากฏในอัล-กุรอานว่า “ดังนั้น เจ้าจงผินหน้าของเจ้าสู่ศาสนาที่เที่ยงแท้ เป็นฟิฏเราะฮฺ(ธรรมชาติ) ของอัลลอฮฺ ซึ่ง พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการสร้างของอัลลอฮฺ นั่นคือศาสนา อันเที่ยงตรง แต่ส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้ (อัล กุรอาน 30:30)” เมื่อทราบถึงความหมายของคำ�ว่า ฟิฏเราะฮฺ ว่าหมายถึงอะไร แล้วฟิฏเราะฮฺของ มนุษย์ในเรื่องความรักล่ะ จะเป็นยังไง มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมามีความรักกันทุกคนรวมไปถึง ผู้อ่านเองก็เช่นกัน ซึ่งการประสบในเรื่องความรักของแต่ละคนนั้นจะมีความแตกต่างกันไป รักที่ฮาลาลหรือความรักในแบบฉบับของสังคมทั่วไป แล้วสิ่งไหนล่ะท์มุสลิมอย่างเราละถึง ควรที่จะปฏิบัติตาม หนุ่มสาวย่อมเกิดมาที่มีการชอบหรือรักใคร่ระหว่างกันเป็นธรรมดา ซึ่ง แต่ละคนย่อมมีฟิฏเราะฮฺเป็นของตนเอง สมมุติว่า มีผู้ชายคนหนึ่งได้กำ�ลังศึกษาอยู่ในระดับ อุดมศึกษาในมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง สภาพแวดล้อมในมหาลัยนั้นเป็นสังคมแห่งความหลาก หลายทางด้านวัฒนธรรมและศาสนา แต่ละคนมีพื้นฐานด้านศาสนาที่ไม่เหมือนกัน (มุสลิม) ชายหนุ่มก็ได้เดินไปที่โรงอาหารเพื่อต้องการไปซื้ออาหารแล้วเจอผู้คนมากหน้าหลายตา และ สายตาของเขานั้นก็เหมือนกับผู้ชายทั่วไป ที่ชอบมอง ผู้หญิงที่สวยและมีอยู่มาวันหนึ่งชาย หนุ่มคนนี้ก็ได้ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งในมหาลัยเดียวกัน ซึ่งเธอผู้นั้นมีหน้าตาที่น่ารัก มี จิตใจที่ดีเต็มเปี่ยมไปด้วยมารยาท และยังมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีอีกด้วย และผู้หญิงคนนี้ยังเป็นที่ หมายปองของหนุ่มๆหลายคนการตกหลุมรักก็เกิดขึ้นเนื่องจากการมอง จากเหตุการณ์ที่ได้กล่าวข้างตนจะพบว่า มันเป็นฟิฏเราะฮฺของผู้ชายที่ชอบมอง ผู้หญิง แต่มันก็มีหลักเกณฑ์ของมันอยู่ก็คือ เราสามารถที่จะมองผู้หญิงได้ แต่ไม่ควรที่จะ มากกว่าหรือเกินสองครั้ง เพราะหลังจากนั้นความ ฟิฏเราะฮฺ ของมนุษย์เราจะแปรเปลี่ยน เป็นสิ่งอื่นซึ่งก็คือ ฟิตนะฮ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดเป็นอย่างมาก ดังรายงานที่ว่า ในหะดีษของทานรอ ซูล มุฮัมหมัด (ศ๊อลฯ) ได้กล่าวว่า “ถูกกำ�หนดให้ลูกหลานอาดัม (มนุษย์ทุกคน)ต้องพบกับ การทำ�ซีนาหรือการประพฤติผิดทางเพศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สองตาทำ�ซีนาด้วยการมอง สองหูซีนาด้วยการฟัง ลิ้นซีนาของมันคือการพูด มือทำ�ซีนาด้วยการจับต้อง เท้าทำ�ซีนาด้วย การเดินไปหา หัวใจทำ�ซีนาด้วยการแสดงอารมณ์และความต้องการ อวัยวะเพศจะทำ�ให้ผู้นั้น ทำ�มันให้เป็นจริงหรือยกเลิก”(รายงานโดย มุสลิม 6696) วารสารหยดน้ำ�หมึก l 25
จากหะดิษดังกล่าวจะพบว่าการมองโดยตาเป็นชนวนสำ�คัญที่ทำ�ให้อวัยวะเพศอื่นต้องตกกระไดพลอยโจรไปด้วยเพราะหะ ดิษเริ่มจากดวงตาก่อน สิ่งสำ�คัญในการป้องกันก็คือการลดสายตาลงเพราะการลดสายตาลงมันสามารถที่จะยับยั้งการเกิดฟิตเราะ ห์ได้อย่างดียิ่งในปัจจุบันความรักวัยหนุ่มสาวเริ่มเข้าสู่ขั้นวิกฤตและกลายเป็นแฟชั่นไปแล้ว โดยจะพบว่าในสังคมมักจะพบว่า การมี แฟนเป็นเรื่องที่ปกติ การไม่มีแฟนเป็นสิ่งที่เชย ระบบนี้มันมีวงจรอยู่ก็คือ เจอครั้งแรกก็ตกหลุมรัก จากนั้นคบหาดูใจเป็นระยะ ท้าย ที่สุดคือการให้เหตุผลที่ว่า เราไม่สามารถไปด้วยกันได้ จนถึงขั้นบอกเลิก วงจรเหล่านี้ได้วงเวียนเป็นวัฏจักร ซึ่งในอิสลามของเราแล้ว เป็นสิ่งที่ผิดเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งเหล่านี้นำ�ไปสู่การซีนา ดังนั้นแล้วทางผู้เขียนอยากกล่าวว่า ความรักนั้นมันสามารถที่จะมีได้แต่จงมีความรักในแบบฉบับของอิสลามและแบบฉบับ ของท่านนบี ซึ่งเป็นรักที่ฮาลาล การที่จะชอบใครมันเป็นฟิฏเราะฮฺของมนุษย์ถ้าเราเจอคู่ครองของเราแล้ว และเขาคนนั้นคือคนที่ ใช่ จงทำ�ตามกระบวนแบบฉบับของอิสลามก็คือ จงเข้าไปสู่ขอแล้วทำ�การแต่งงาน เพราะการแต่งงานเป็นสิ่งที่ทำ�ลายวงจรของคำ�ว่า แฟน ได้ดีที่สุด และเป็นการยับยั้ง การฟิตนะฮและการซีนาได้ดีที่สุด ดังหะดิษที่ว่าการแต่งงานคือรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีเลิศ “และหนึ่งในสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ ทรงสร้างคู่ครองให้แก่พวกเจ้าจากตัวของพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความสุขอยู่ กับนาง และทรงมอบความรักใคร่และความเมตตาระหว่างพวกเจ้า แท้จริง ในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ” (อัล-กุ รอาน 30:21) สิ่งที่สำ�คัญอีกอย่างหนึ่งคือการที่ไม่หมกมุ่นกับความรักจนเกินไป เรื่องคู่ครองนั้นไม่ควรที่จะมากังวลเพราะทุกคนล้วนถูก กำ�หนดให้มีคู่ครองเป็นของตนเอง และจงคิดไว้เสมอว่า แม้ไม่ได้คู่ครองในโลกนี้ แต่อัลลอฮจะทรงประสงค์ให้คู่ครองของท่านในวันอา คิรัต และจงคิดย้อนกลับไปอีกว่า เราไม่ควรที่จะมากังวลในโลกดุนยาให้มากนัก และจงจำ�ไว้เสมอว่าดุลยาเป็นเพียงแค่ที่พักชั่วคราว แต่อาคิรัตสิ เป็นบ้านที่ถาวรและเราก็จะอยู่กับคู่ครองของเราได้นานเท่านานซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่จำ�เป็นอย่างมากและควรที่จะยึดถือใน ทางปฏิบัติ การหมกมุ่นนั้นนำ�ไปสู่สิ่งการโหยหาที่ไม่สิ้นสุด เมื่อมันเป็นเช่นนี้สิ่งที่จะตามมาการทำ�บาปโดยไม่รู้ตัว ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ผู้เขียนอยากย้ำ�เตือนตัวผู้เขียนเองและผู้อ่านก็คือ การระวังการฟิฏเราะฮฺที่แปรเปลี่ยนเป็นนัฟซู ไปสู่การฟิตนะฮ และสิ้นสุดด้วยการซีนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งน่ากลัวเป็นอย่างมาก เพราะมันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้ตั้งตัวเปรียบเสมือนรถไฟความเร็วสูง ชิงคังเซ็น ที่นับวันเริ่มมีการพัฒนาให้มีความเร็วเพิ่มขึ้นไปทุกครั้ง
อย่าแสวงหาความรักเพียงแค่สายตา แต่จงหาความรักตามที่หัวใจตามผู้สร้างหัวใจต้องการ
วารสารหยดน้ำ�หมึก l 26
เหรียญ.............. เหรียญ เหรียญหนึ่งได้ตกลงมาข้างหน้าชายผู้หนึ่งที่กำ�ลังก้มหน้าก้มตาผสมปูนเพื่อปูพื้นคอนกรีต ทันที่ที่เห็นเหรียญนั้นมือของชาย ดังกล่าวก็ไม่รอช้าที่จะคว้ามันมาใส่กระเป๋าแล้วเขาก็ทำ�การผสมปูนต่อ และอีกสักพักเขาก็ได้พบอีกเหรียญหนึ่งตกอยู่ตรงหน้าไม่ไกล จากที่เขายืนอยู่ ชายผู้นั้นหันซ้าย หันขวาและมองไปรอบๆ ตัวไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นนอกจากเขา ทันใดนั้นเขารีบเก็บเหรียญและ พูดขึ้นมาในใจว่า “ ริสกีของข้า ” ชายผู้นี้หาได้รู้ตัวไม่ว่าเหรียญที่เขาเก็บมานั้นเป็นเหรียญที่หัวหน้างานของเขาโยนลงมาจากชั้นแปด เพื่อเรียกให้เขาหันขึ้นไปมอง หลังจากที่หัวหน้างานของเขาได้ตะโกนเรียกเขาอยู่นานแล้วแต่เขาก็ไม่ได้ยิน ด้วยเหตุนี้หัวหน้างานจึง ตัดสินใจโยนเหรียญลงมาเผื่อว่าเขาเห็นเหรียญแล้วจะเงยหน้าขึ้นมามองบนตึกบ้าง แต่หน้าเสียดายที่ต่อให้หัวหน้างานของเขาจะโยน เหรียญลงมาจนหมดแล้ว ชายคนนี้ก็ยังคงคิดไม่ได้ว่าเหรียญที่เขาเก็บนั้นอาจเป็นของใครสักคนที่ส่งมาเพื่อสื่อสารอะไรบ้างอย่างแก่ เขา เมื่อเหรียญของหัวหน้าได้หมดลง หัวหน้างานจึงตัดสินใจเก็บหินลูกเล็กๆ โยนลงไปแทน หินลูกแล้วเล่าตกลงไปบนร่างของชายผู้ นี้เขารู้สึกเจ็บจึงเงยหน้าขึ้นไปมองว่าใครคือต้นต่อของหินที่โยนใส่เขา เพื่อนเอย กี่ครั้งแล้วที่อัลลอฮส่งริสกีให้แก่เรา รวมถึงเราะมัตที่ถูกส่งมาแก่เราอย่างไม่อาจคิดคำ�นวณได้ พระองค์ทรง ประทานริสกีและความสุขสบายแก่เราเพื่อเรียกให้เราเข้าหาพระองค์ ระลึกถึงพระองค์และซูโกรต่อพระองค์ แต่บ่อยครั้งที่เราเผลอ เลอ เสพสุขกับริสกีที่พระองค์มอบให้จนลืมที่จะซูโกรต่อพระองค์ดังตัวอย่างของหัวหน้างานกับชายผสมปูนผู้นี้ ในขณะที่เหรียญ ตกลงมาที่อาจเปรียบได้กับความสุขก็ไม่เคยคิดที่จะมองหาผู้ให้ แต่ทันที่ที่ลูกหินตกใส่ที่เปรียบดังความถึงก็รีบเร่งที่จะมองหาที่มา ว่าใครคือต้นต่อและในช่วงแค่เวลาที่ทนทุกข์เท่านั้นหรือที่คุณๆ ทั้งหลายจะยกมือขึ้นมาขอดุอาอฺต่อพระผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงอภิบาลแห่ง สากลโลก เพื่อนเอย อย่าให้การใช้ชีวิตของท่านเป็นดังชายผสมปูนผู้นี้เลย
บทความ ZU แปลและเรียบเรียงใหม่โดย ชามก๋วยเตี๋ยว
วารสารหยดน้ำ�หมึก l 27
!! ว้าาาาา แย่จัง!!
เรื่องสั่น
วารสารหยดน้ำ�หมึก l 28
เปรี้ยง !!! เสียงแจกันเซรามิกลายดอกไม้กระทบกับพื้นหินปูใน ห้องรับแขกดังกระหึ่มไปทั่วบ้าน เศษเจกันที่แตกเป็นชิ้นเล็กๆ กระจัดกระจายไปทั่วห้อง น้ำ�ไหลนองพื้น พร้อมกับดอกกุหลาบ สีแดงที่เพิ่งนำ�มาปักเมื่อเช้า บัดนี้ ได้ลงไปนอนหมอบอยู่กับเศษ แจกันเรียบร้อยแล้ว นูรีนยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างตกตะ ลึก สลับกับใบหน้าของพ่อและแม่ที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง เธอ แผดเสียงกรีดร้องคล้ายคนบ้าคลั่ง ก่อนที่จะวิ่งถลาออกไปนอก บ้าน เปิดประตูรถเก๋งส่วนตัวของเธอ แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว “นูรีนๆๆ ลูก อย่าออกไปน่ะลูก มาคุยกับแม่ก่อน นูรีนนนน” เสียงแม่ของเธอดังไล่ตามหลังมาพร้อมกับพ่อของเธอที่คอยพยุงตัว แม่ไม่ให้ล้ม แต่ไม่ทันเสียแล้ว รถเก๋งสีขาวคันใหม่ที่เพิ่งถอยได้ไม่ ถึงเดือนถูกขับออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยทิ้งไว้เพียงความว่างปล่าว และความเงียบงัน.......... “บังอยู่ไหนค่ะ ออกมาหานูรีนได้หรือเปล่า” เสียงสะอื้นของนูรีน ดังผ่านตามสายโทรศัพย์ ทำ�เอาอามีน ชายหนุ่มที่เธอรักและคิดว่า จะรักเธอถึงกับตกอกตกใจ “นูรีน เป็นอะไร แล้วตอนนี้อยู่ไหน เดียวบังจะรีบออกไปหาน่ะ” “นูรีนขับรถอยู่ค่ะ บังอามีนเจอกันที่ร้านอาหารร้านเดิมน่ะค่ะ” นูรีนวางสายโทรศัพย์จากแฟนหนุ่ม แล้วปาดน้ำ�ตาที่ยังคงไหลนอง ใบหน้า ก่อนที่จะเหยียบคันเกียร์เร่งความเร็วสูงเพื่อแซงรถคันด้าน หน้าที่ขับอยู่ ซึ่งมันเป็นจังหวะเดียวกับที่รถยนต์อีกคันหนึ่งซึ่งเธอ ไม่ทันเห็นขับมาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งทำ�ให้รถทั้งสองประสาน งากันอย่างจัง นูรีนกระเด็นออกจากรถนอนจมกองเลือดอยู่ริม ถนนอีกฝั่งหนึ่ง ในขณะที่รถที่ประสานงาด้วยก็พลิกกลับไปกลับมา หลายตลบ ความโกลาหลและชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นบนถนนใหญ่ ในแถบใจกลางเมืองกรุง ซึ่งเป็นสาเหตุให้รถติดจนยาวเหยียด และ กว่าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง นูรีนถูกนำ�ตัวส่งโรงพยาบาลในสภาพที่หลับไร้สติ บนใบหน้าและ ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดจากการอุบัติเหตุในครั้งนี้ ....................................................................... แม่ยังคงนั่งอยู่กับพ่อในห้องรับแขก ภายหลังจากที่นูรีนขับรถหนี ออกไปจากบ้าน เขาทั้งสองกำ�ลังนั่งปรึกษากันว่าจะไปตามหานูรีน ได้ที่ไหนดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วันนี้ถือเป็นวันหยุด ทั้งพ่อและ แม่ซึ่งทำ�งานเป็นข้าราชการก็มีโอกาสได้หยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้านกับ ลูก แต่แล้ววันหยุดที่คิดว่าน่าจะมีความสุขกับการอยู่พร้อมหน้า พร้อมตาพ่อแม่ลูก แต่เหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อ นูรีนลูกสาวคนเดียวของสองข้าราชการผู้นี้ได้เอ่ยปากขอบางสิ่ง
บางอย่างจากเขาทั้งสอง แต่เมื่อพ่อแม่ไม่สามารถให้ได้อีก การมีปากเสียงกันจึงเกิดขึ้นในช่วงบ่ายที่ผ่านมา “แม่ค่ะ ลูกขอแค่นี้แม่ให้ไม่ได้หรอค่ะ พ่อแม่มีเงินตั้งเยอะแยะมากมาย จะเก็บไว้ทำ�ไมกันค่ะ” นูรีนตวาดใส่พ่อแม่ของเธอ เมื่อพ่อแม่ปฏิเสธที่จะซื้อโทรศัพย์รุ่นใหม่ล่าสุดให้ตามคำ�ร้องขอของเธอ “นูรีน ฟังแม่ก่อน โทรศัพย์ลูกแม่เพิ่งซื้อให้เมื่อเดือนที่แล้วเองน่ะ ลูกจะรีบเปลี่ยนไปทำ�ไม แล้วรถเก๋งส่วนตัวที่ลูกอยากได้ พ่อแม่ก็ หามาให้แล้ว ลูกจะใช้จ่ายอะไร แม่อยากให้ลูกคิดคำ�นึงบ้าง ลูกแม่โตแล้วน่ะ ไม่ใช่เด็กๆ ที่จะเอาแต่ใจตัวเองแล้ว” แม่พยายามอธิ บายนูรีนถึงเหตุผลของพ่อแม่ที่จำ�เป็นต้องขัดใจลูกของตัวเองบ้าง “พ่อแม่ไม่รักหนูแล้ว หนูขอแค่นี้พ่อแม่ก็ให้หนูไม่ได้ ไม่เหมือนบังอามีนที่รักหนู เขาให้หนูได้ทุกอย่างที่หนูอยากได้ หนูไม่อยากอยู่ที่ บ้านหลังนี้อีกแล้ว” นูรีนพูดพร้อมกับเสียงที่กำ�ลังสะอื้นอย่างหนัก ก่อนที่อารมณ์โกรธจะทำ�ให้เธอใช้มือจับแจกันที่อยู่ข้างๆ ฟาดลงไปต่อหน้า “โค รมมมมมมม !!” “ตื้ด ตื้ด” เสียงโทรศัพย์ของพ่อนูรีนดังขึ้น ในขณะที่ทั้งสองกำ�ลังนั่งกังวลอยู่กับการหนีไปของนูรีน “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นผู้ปครองของคุณนูรีนหรือเปล่าครับ” “ครับ ผมเป็นพ่อของนูรีน” “ตอนนี้คุณนูรีนประสบอุบัติเหตุ อาการสาหัส คุณหมอต้องการพบผู้ปกครองด่วนครับ” “ครับๆ เดียวผมจะรีบไปเดียวนี้เลยครับ” พ่อวางสายโทรศัพย์ ยังคงอึ้งกับข่าวที่ได้รับฟังมา ก่อนที่จะตั้งสติและเล่าเรื่องราวให้แม่ฟังอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ตกอกตกใจจนเกิด เป็นลมล้มไปอีกคน และทั้งสองก็รีบออกไปยังโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ................................................................................. “แม่ หนูเจ็บ” เสียงเรียกผู้เป็นมารดาอย่างโอดครวญของนูรีนที่นอนอยู่บนเตียงสีขาวดังออกมาจากปากที่ขยับอย่างยากลำ�บาก เกือบสิบวันที่นูรีน หลับอย่างไร้สติอยู่บนเตียงนอนในโรงพยาบาล มันเกือบทำ�ให้พ่อแม่ของเธอแทบสิ้นหวังกับการฟื้นคืนสติของลูกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ แล้วเสียงเรียกของนูรีนก็ทำ�ให้มารดาที่หลับอยู่ข้างๆ เตียงรีบตื่นขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลน “นูรีนๆ ตื่นแล้วหรอลูก นูรีน พ่อ พ่อ มานี่เร็ว ลูกเราฟื้นแล้ว” แม่พยายามเรียกนูรีนอีกครั้ง เพื่อจะได้มั่นใจว่าลูกตัวเองฟื้นแล้วจริงๆ พร้อมกับเรียกพ่อที่นั่งอยู่ที่โซฟาในห้องให้มาดูลูก น้ำ�ตาของผู้ เป็นบิดาและมารดาไหลพรากออก เมื่อพบว่าดุอาที่เขาทั้งสองพยายามวอนขอมาตลอดเกือบสิบวันได้ถูกตอบรับจากผู้เป็นเจ้าแล้ว “ลูกได้ยินแม่มั้ยจ่ะ” แม่พยายามเรียกลูกตัวเองอีกครั้ง นูรีนพยายามขยับริมฝีปากในขณะที่ดวงตายังปิดสนิท ก่อนที่เธอจะพยายามลืมตาขึ้นมาเพื่อให้ พบเจอกับโลกใบเก่าที่เธอไม่พบเจอมาเกือบสิบวัน แสงของหลอดไฟนีออนในห้องกระทบดวงตานูรีน จนทำ�ให้ต้องหรี่ตาลงเพื่อ ปรับสภาพดวงตาให้ค่อยๆ รับแสงนั้นได้ เธอลืมตาขึ้นช้าๆ มองเห็นภาพใบหน้าสองคนที่เธอคุ้นเคยอย่างเลือนลาง ก่อนที่จะชัดเจน ยิ่งขึ้น พร้อมกับสมองของเธอที่พยายามเรียกคืนความทรงจำ�ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับชีวิตเธอก่อนที่เธอจะต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ “บังอามีนอยู่ไหน” นั่นคือคำ�ถามแรกที่เปล่งออกมาจากปากของนูรีน เพื่อสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างได้ “ตั้งแต่วันที่ลูกประสบอุบัติเหตุ แม่ยังไม่เห็นเขามาเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาลเลย” น้ำ�ตาแม่ยังไหลไม่หยุด แม้จะยังคงรู้สึกเจ็บปวดกับคำ�ถามของลูกที่ถามถึงคนอื่นที่ไม่เคยใส่ใจใยดีกับตัวเธอเลย แต่แม่ก็คือแม่ ไม่ ว่าลูกจะเป็นเช่นไร แม่ก็ยังคงอยู่เคียงข้างลูกอยู่เช่นนั้น “แล้วเขารู้หรือเปล่าว่าลูกเกิดอุบัติเหตุ” วารสารหยดน้ำ�หมึก l 29
“รู้จ่ะ เพราะเพื่อนของลูกที่มหาวิทยาลัยมาเยี่ยมเมื่อวันก่อน ก็ถามถึงบังอามีนของลูกด้วยว่าไปไหน เพื่อนของลูกบอกอามีนเรื่อง ลูกแล้ว แต่แม่ไม่เห็นว่าเขาจะมาที่นี่เลย” น้ำ�ตาของนูรีนเริ่มไหลออกมา แม้เธอจะรู้สึกเจ็บปวดและอยากตะโกนมันออกมามากแค่ไหน แต่ด้วยพละกำ�ลังของเธออันน้อยนิด ที่มีอยู่ตอนนี้ ก็ทำ�ให้เธอแสดงความเสียใจได้แค่น้ำ�ตาที่ไหลออกมาจนนองหน้า ผู้เป็นมารดามองหน้าลูกรักอย่างสงสารจับใจ ก่อนที่ จะพยายามปลอบใจลูกตัวเองให้เข้มแข็งอีกครั้ง “ลูกรักของแม่ ลูกเห็นแล้วใช่มั้ยว่าผู้ชายที่ลูกคิดว่าเค้ารักลูก ให้ลูกได้ทุกอย่าง ในวันที่ลูกได้รับความยากลำ�บาก ทำ�ไมเขาถึงกลับไม่ มาสนใจใยดีกับลูกของแม่เลย ลืมเขาเถอะลูก แม่พยายามบอกลูกหลายครั้งแล้วว่าไม่มีใครรักลูกจริงๆ นอกจากพ่อและแม่ และสิ่ง ที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เค้าไม่ได้รักลูกของแม่จริง ลืมผู้ชายคนนั้นเสียเถอะลูก แม่อยากให้ลูกกลับมาเป็น ลูกที่ดีของพ่อและแม่ อยากให้ลูกตั้งใจเรียน เพื่ออนาคตที่ดีของลูกน่ะลูก” นูรีนยังคงร้องไห้ออกมาไม่หยุด ยิ่งคำ�พูดของแม่ที่กระทบกับจิตใจเธอก็ยิ่งทำ�ให้เธอร้องให้ออกมาอย่างหนัก พ่อชวนแม่ออกไปด้าน นอกห้อง เพื่อปล่อยให้นูรีนได้คิดใคร่ครวญด้วยตัวเองสักพัก ก่อนที่ทั้งสองจะวิ่งเข้าไปในห้องอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของนูรีน “แม่!!! ขาซ้ายหนูหายไปไหน แม่ ไม่จริงใช่มั้ย ไม่จริงๆๆ ฮือๆๆ” นูรีนถามแม่ของเธอถึงสภาพร่างกายของเธอที่ตอนนี้มันไม่ครบเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เธอกรีดร้องออกมาอย่างหนัก มือทั้งสองทุบ ลงบนขาอย่างคนเสียสติ พ่อแม่ของเธอทำ�ได้เพียงพยายามจับลูก เพื่อควบคุมสติลูกไว้ ก่อนที่จะอธิบายทุกอย่างให้ลูกเข้าใจ “ลูกจ๋า ฟังแม่ก่อนน่ะ ตอนนี้ร่างกายของลูกไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ในวันที่ลูกประสบอุบัติเหตุ ขาซ้ายของลูก เอ่อ.. หัก จนต้อง ตัดทิ้ง แต่ไม่เป็นไรน่ะลูก คุณหมอจะใส่ขาเทียมให้ลูกเมื่อแผลของลูกหาย ยังไงลูกแม่ก็จะสามารถกลับมาเดินเหมือนเดิมได้น่ะ” แม่พยายามสรรหาคำ�พูดเพื่อตอบคำ�ถามให้กับลูกรักของตัวเองอย่างดีที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบกับจิตใจของนูรีนมากนัก แต่ไม่ว่าแม่จะ พยายามอย่างไร นูรีนก็ยังคงร้องไห้โฮออกมาไม่หยุดหย่อน ซึ่งสร้างความกระทบกระเทือนใจให้กับผู้เป็นแม่อย่างถึงที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตนูรีนในตอนนี้ แม้มันจะเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าที่เด็กสาววัยยี่สิบปีจะยอมรับกับสิ่งที่ประสบกับตัวเองได้ ความรัก อันหอมหวาน ความสนุกสนานในวชวัยแห่งความสดใส ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนจะสิ้นสุดลงแล้วกับชีวิตที่เหลือของผู้หญิงคนนี้ มันคง ต้องใช้เวลาอีกนานสำ�หรับการทำ�ใจและการยอมรับในบททดสอบที่พระผู้เป็นเจ้าให้กับสาวน้อยนูรีนผู้นี้ ......................................................................... นูรีนหอมแก้มพ่อและแม่ พร้อมกับยื่นมือให้สลามก่อนที่จะเดินทางไปมหาวิทยาลัย ภาพของหญิงสาวหน้าตาสวยสง่าที่คลุมฮิญาบอ ย่างมิดชิด กำ�ลังเดินอย่างกระโผกกระเผกออกไปรอรถประจำ�ทางเพื่อไปมหาวิทยาลัย ณ วันนี้ มันผ่านมาเกือบสี่ปีแล้วสำ�หรับชีวิต ใหม่ของนูรีนหลังจากประสบกับอุบัติเหตุในครั้งนั้น เธอต้องใช้เวลาเกือบปีเพื่อบำ�บัดกับสภาพจิตใจที่ไม่อาจยอมรับกับการต้องสูญ เสียขาซ้ายของเธอไปได้ แม้จะมีขาเทียมเข้ามาทดแทน แต่มันเป็นขาเทียมที่ไม่เท่ากับขาเดิมของเธอ ส่งผลให้เธอต้องเดินกระโผกก ระเผกเช่นคนที่พิการทางร่างกายคนหนึ่ง หลังจากที่เธอได้บำ�บัดสภาพจิตใจตัวเองด้วยการเข้าหาศาสนามากขึ้น เริ่มอ่านอัลกุรอ่านที่มีแปลความหมาย เริ่มละหมาด และเริ่ม ศึกษาอิสลามซึ่งเธอทอดทิ้งมันมานานจนแทบจำ�อะไรไม่ได้อีกแล้ว การได้อยู่อย่างสงบเพื่อรำ�ลึกถึงอัลลอฮฺ ได้เข้าใกล้พระองค์ เป็น ผลให้เธอเริ่มยอมรับกับบททดสอบที่พระองค์ให้กับเธอ และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้น เธอจะพยายามอยู่ในหนทาง ของศาสนา และจะกลับไปเรียนในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง แม้จะกลับไปในสภาพที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วก็ตาม เธอรู้ว่าชีวิตเธอในรั้วมหาวิทยาลัยจะไม่เป็นเหมือนเก่าอีก สาวสวยไฮโซ ที่มีแต่หนุ่มๆ มารุมจีบ คงเป็นเพียงภาพในอดีตที่ฝังอยู่ใน จิตใจของเธอ เธออาจไม่มีเพื่อนมากมาย อาจไม่ได้ไปเที่ยวไหนต่อไหนได้อีกแล้ว แต่เธอก็ทำ�ใจและพร้อมจะรับกับสภาพนั้นให้ได้ ด้วยหัวใจที่เชื่อมั่นในพระองค์อย่างเข้มแข็ง เพราะเธอคิดถึงคำ�พูดของท่านศาสดา(ซ.ล.) อยู่เสมอว่า “ผู้ใดที่อัลลอฮฺ ปราถนาให้เขา พบกับความงามดีแล้ว พระองค์จะทดสอบเขา”และพบบททดสอบนี้กระมัง ที่ทำ�ให้เธอได้ค้นพบกับอิสลามที่เธอละทิ้งมาตลอดชีวิต ของเธอ เธอเดินเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอย่างเชื่อมั่นในตัวเอง แม้ในช่วงแรกมันจะทำ�ให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างถึงที่สุด แต่เมื่อนานวันเข้า เธอได้ วารสารหยดน้ำ�หมึก l 30
พบว่าพี่น้องนักศึกษามุสลิมที่อยู่ในรั้วมหาลัยต่างพร้อมที่จะต้อนรับเธอเข้าสู่ครอบครัวมุสลิมที่ยิ่งใหญ่ ที่ดำ�รงอยู่ที่นั่น การได้คลุกคลี กับพี่น้องมุสลิมด้วยกัน มันยิ่งทำ�ให้หัวใจเธอเข้มแข็งขึ้น และพร้อมจะสู้ต่อไปในหนทางของพระองค์อย่างถึงที่สุด นูรีนยืนรอรถประจำ�ทางอยู่ที่ศาลาข้างถนน ปีนี้คงเป็นปีสุดท้ายแล้วสำ�หรับการศึกษาเล่าเรียนของเธอในรั้วมหาวิทยาลัย เธอไม่เคย มีความสุขอะไรที่มากไปกว่าการได้ทำ�ให้พ่อแม่ของเธอดีใจในความสำ�เร็จของเธอ อีกไม่นานเธอก็จะสามารถทำ�ตามที่พ่อแม่คาดหวัง ได้แล้ว นูรีนยิ้มอย่างมีควาสุข แต่ดูเสมือนว่า แววตาแห่งความสุขของเธอมันไม่ได้มีแค่เรื่องของการจบการศึกษาในระดับปริญญา ตรีเพียงเท่านั้น สมองของเธอกำ�ลังคิดเลยเถิดไปถึงสิ่งที่จะติดตามมาหลังจากเรียนจบ นั้นคือ การสร้างครอบครัวใหม่ของเธอกับ ใครคนหนึ่ง ซึ่งใครคนนั้นได้เข้ามาสู่ขอเธออย่างเป็นทางการแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน แม้เธอจะไม่เคยรู้จักเขามาก่อน แต่เธอก็เชื่อว่า คนที่พ่อแม่ไว้ใจที่จะมอบลูกสาวให้ เขาคงต้องเป็นคนดี มีศาสนาและมีความรับผิดชอบอย่างแน่นอน อย่างน้อย การที่เขารับกับ สภาพร่างกายที่ไม่ปกติของเธอได้นั้น มันก็บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าผู้ชายคนนี้รักศาสนาที่มีอยู่ในตัวของเธอ มากกว่าที่จะรักรูปร่าง หน้าตาที่สักวันหนึ่งก็ต้องการไปเป็นเพียงก้อนดิน รอยยิ้มยังคงปรากฏบนใบหน้าของนูรีน ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลาที่ถูกกำ�หนด... แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งตื่นจาก ภวังค์แห่งความนึกคิด เมื่อรถประจำ�ทางที่เธอรอได้ผ่านหน้าเธอไปแล้ว วันนี้เธอคงต้องเข้าห้องเรียนสายแน่ อาจารย์สรุปแนว ข้อสอบด้วยสิ “ว้าาาาา แย่จัง!! “ เธอเผลอคิดในใจ ^^
วารสารหยดน้ำ�หมึก l 31
--SHABAB-
เมื่อคนหนุ่ม-สาว...ไม่รู้จักหน้าที่ และบทบาทการทำ�งานอิสลาม
โอ้ พี่น้องของฉัน................ในหนึ่งวันเจ้ามีกิจวัตอย่างไร โอ้ พี่น้องของฉัน...............ในหนึ่งปีเจ้าปฎิบัติตนเช่นไร โอ้ พี่น้องของฉัน..............ตลอดอายุไขของเจ้า เจ้าได้กระทำ�สิ่งใดบ้าง มนุษย์ คือ สิ่งมีชีวิตที่มีทั้งหัวใจและความคิด มากกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆบนโลกใบนี้ ดัง นั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร หากมนุษย์จะมีกิเลสตัณหาตลอดการมีอายุไข ดังนั้น มนุษย์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความผิดบาปอยู่ตลอดเวลา ยากที่จะหมดสิ้นไปกับสิ่งที่เป็นบาป หาก พระองค์ไม่ได้ยึดดวงวิญญาณไป..... (นาอูซุบิลลา ฮีมีนัลซาลิก ขอพระองค์ทรงประทานความ ห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้ด้วยเถิด) หากเรามองลงไปในตัวของมนุษย์ ซึ่งจะมีช่วงวัยต่างกัน หลักๆแล้ว แน่นอนช่วงวัยเด็ก วัยรุ่น คนทำ�งาน คนเกษียร และคนชรา ซึ่งช่วงวัยเหล่านี้ไม่ได้บ่งบอกถึงสถานะของการที่มนุษย์ จะลดกิเลสตัณหาในหัวใจและการกระทำ�ได้เลย เว้นแต่สิ่งเดียวที่สามารถแยกแยะได้คือ “อี มาน” ข้าพเจ้าเชื่อเสมอว่า แม้มนุษย์จะมีวุฒิภาวะมากแค่ไหน อายุในการใช้ชีวิตบนโลกนี้นาน แค่ไหน ไม่ได้เป็นตัววัดพื้นฐานจิตใจที่ดี หากปราศจากการยำ�เกรงและหัวใจที่ภักดีต่อพระผู้สร้าง หากเราย้อนกลับไปในสมัยของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซล.) ซึ่งในสมัยนั้นช่วงวัยที่มีความ สำ�คัญต่อการสู้รบ หรือเผยแพร่อิสลามนั้น คือช่วงวัยรุ่น หรือเรามักจะเรียกว่า ช่วงวัย “ชะบ๊าบ” แล้วถ้าเรามองกลับมาในปัจจุบัน ชะบ๊าบของอิสลามอยู่แห่งหนใด? แล้วผู้ที่เรียกว่าชะบ๊าบและ พร้อมที่จะเชิญชวนผู้อื่นสู่ความดีล่ะ เขาทำ�หน้าที่ได้สมกับที่เขาได้รับมอบหมายหรือสัญญาต่อผู้ สร้างหรือเปล่า? สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่บ่งบอกสถานะที่แท้จริงถึงความอีมานของคนในปัจจุบันนี้ โอ้ ชะบ๊าบ เจ้าตื่นเถิดจากความหลับใหล โอ้ ชะบ๊าบ เจ้าลุกเถิดจากความขี้ขลาด โอ้ ชะบ๊าบ เจ้าออกมาเถิด จากการมโนหรือจินตนาการในสิ่งที่ตนเองทำ�ว่ามันถูกต้อง โอ้ ชะบ๊าบ เจ้าจงลุกขึ้นมา แล้วถามตนเองเสียเถิดว่า ตอนนี้เจ้าได้ทำ�หน้าที่ของตนเอง ได้สมบูรณ์แบบหรือยัง อย่าปล่อยให้การจินตนาการในการกระทำ�ของตนเอง เป็นการทำ�ลายอีมานในหัวใจของ เจ้า มิเช่นนั้นเจ้าจะเป็นผู้ที่ขาดทุน หน้าที่ของเจ้า คืออะไร เจ้ารู้บ้างไหม? ใช่เพียงแค่การทำ�งานศาสนาในองค์กร องค์กร หนึ่งเพียงอย่างเดียวหรือมากกว่านั้น จงไตร่ตรองบทบาทหน้าที่ของการเป็นชะบ๊าบให้ถ่องแท้ แล้วเจ้าจะพบกับสัจธรรมที่แท้จริง หากกล่าวถึงหน้าที่ของชะบ๊าบต่ออิสลาม แน่แท้ทุกคนจะนึกถึง การทำ�งานอิสลาม การ ทำ�งานสังคม การปฏิบัติตนตรงตามหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและเป็นความจริงที่ยังไง แล้วในชีวิตหนึ่งเราจะต้องทำ� เพราะในวันพิพากษา พระองค์จะถามเจ้าถึงการใช้ชีวิตบนโลกดุน ยา การทำ�งานอิสลามนั้น มิใช่แค่เพียงการทำ�งานเพื่อที่จะสนองการเป็นมุสลิมที่ดีเพียง
วารสารหยดน้ำ�หมึก l 32
เท่านั้น แต่มันยังหมายถึงการทำ�งานที่ต้องการเรียกร้องสู่ความดี นำ�ผู้ที่หลงผิดกลับมาสู่หนทางที่ถูกต้อง แต่การที่จะกระทำ�เช่นนั้น ได้ ผู้ที่ทำ�งานอิสลามจะต้องมีการวางตัวที่ดี ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น และที่สำ�คัญต้องมีมารยาท และความอ่อนน้อมถ่อมตน กล้าที่จะรับความจริงมากกว่าการหลีกเลี่ยง สำ�หรับการวางตัวที่ดีนั้นสิ่งที่สำ�คัญสำ�หรับการเรียกร้องให้ผู้อื่นสู่ความดี คือการเดินใน ทางสายกลาง ซึ่งสิ่งนี้เป็นคุณสมบัติที่ดีที่เยาวชนมุสลิมควรตระหนักในการดำ�เนินชีวิต คำ�ว่า “ทางสายกลาง” ไม่ใช่ทางที่เป็นถนนนะ แต่มันคือทางที่เราจะเดินในการยึดความศรัทธาและการปฏิบัติที่ถูกต้อง ตรงตามหลักศาสนาอิสลาม แต่ไม่ได้ทำ�ให้ผู้อื่นเดือดร้อน กล่าวคือคนทำ�งานอิสลามจะต้องเดินบนทางสายกลาง ไม่สุดโต่ง ไม่หย่อน แม้ว่าในสังคมจะมีการปฏิบัติกิจวัตหรือความเชื่อ ความศรัทธาที่แตกต่างกัน เราไม่ควรที่จะไปกล่าวหาหรือว่าร้าย หรือด่าทอเขาด้วย ถ้อยคำ�ที่แรงๆ หากเขาได้กระทำ�อะไรที่ผิดจากสิ่งที่ศาสนาได้บัญญัติ แต่เราสามารถใช้คำ�พูดที่สุภาพ ตักเตือนด้วยหัวใจและการกระ ทำ�ที่ดีซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจก็เพียงพอแล้ว ในขณะเดียวกันหากสิ่งที่เขากระทำ�เป็นสิ่งที่ผิด เราก็ไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ในกิจกรรมหรือประเพณีเหล่านั้น เพราะเปรียบเสมือนเรากำ�ลังให้การสนับสนุนเขาให้ทำ�ผิดต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นจะทำ�ให้บุคคลอื่นมอง เราในทางที่ไม่ดี ก่อให้เกิด “ฟิตนะห์” แม้หัวใจของเราจะมีการเนียตที่ดีแล้วก็ตาม ดั้งนั้น จงระวังเถิดทุกการกระทำ�คือสิ่งที่บุคคลอื่น มองและสามารถนำ�ไปปฏิบัติตามได้ เพราะเขาเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะผู้นำ�ทางการทำ�งานศาสนายังกระทำ�ได้ ข้าพเจ้ามิได้ หวังสิ่งใด นอกจากให้คนทำ�งานอิสลามเข้าใจในวิถีของการทำ�งานอย่างท่องแท้ ตลอดจนไปถึงวิถีของการดำ�เนินชีวิตในสังคมที่เรียก ว่า “พหุสังคม” อิสลามไม่ได้ต้องการให้มีการเผยแพร่ศาสนาของพระองค์ไปในแนวทางที่สุดโต่ง แต่อิสลามมุ่งเน้นให้มีการเผยแพร่อิสลามไป ในหนทางที่เป็นกลางโดยใช้วิทยปัญญาและการตักเตือนที่ดี ดังเช่นพระองค์ได้ตรัสไว้ว่า “และหากเจ้าเป็นผู้ประพฤติหยาบช้า และมี จิตใจแข็งกระด้างแล้วไซร้ แน่นอนพวกเขาก็ย่อมแยกตัวออกไปจากรอบ ๆ เจ้ากันแล้ว”(อัลกุรอาน 3:159) โอ้ คนทำ�งานศาสนา เจ้ามีแบบอย่างที่ดี ดังเช่นท่านศาสดามูฮัมมัด เหตุใดเล่า เจ้าถึงไม่ใช้คุณสมบัติที่ท่านศาสดาได้กระทำ� ในการเผยแพร่ศาสนาของพระองค์อัลลอฮ เจ้าจำ�ได้หรือไม่ว่า ท่านศาสดาใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาเผยแพร่ความดี มากกว่าใช้ สติปัญญาในการต่อสู้เพื่อชิงความเป็นบุคคลที่ดีที่สุดในหมู่คนทำ�งานด้วยกัน และท่านศาสดา ไม่ได้ใช้การตักเตือนด้วยคำ�พูดที่รุนแรง แต่ท่านใช้มารยาทที่ดี และคำ�พูดที่อ่อนหวาน หากเจ้ายังมิเข้าใจถึงสิ่งนั้น ข้าพเจ้าคิดว่า เจ้าคงจะต้องกลับไปพิจารณาตนเองและ หมั่นอ่านชีวประวัติของท่าน เพื่อเป็นพื้นฐานของการทำ�งานอิสลาม แม้ว่าเจ้าจะทำ�งานศาสนาด้วยเหตุประการเช่นใด แม้ว่าเจ้าจะมีอุปนิสัยเช่นใด ของให้เจ้ารำ�ลึกเสมอว่า ทุกการกระทำ� หาก ปราศจาก “กอลบีและอิคลาส”(หัวใจและความบริสุทธิ์ใจ) ยากแน่แท้ที่ท่านจะประสบความสำ�เร็จ แม้กระทั่งในสายตาของผู้สร้าง ท่านเอง จงใช้หัวใจในการทำ�งาน และจงหลีกเลี่ยงการสร้างความขัดแย้งในการทำ�งาน และจงเรียกร้องเขาสู่ความดีไม่ว่าเขาเหล่านั้น จะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม และจงใช้มารยยาทที่ดีในการเข้าหา อินชาอัลลอฮ สักวันพระองค์จะทรงช่วยเหลือการงานอิสลามของ เรา และเราจะพบแต่ความสุข ไม่ใช่ควาทุกข์ในการทำ�งาน สุดท้ายอยากจะฝากคำ�เตือนสติไปยังผู้ที่ทำ�งานอิสลามทุกคนว่า “เจ้าทำ�งานอิสลามมานานมากแล้ว แล้วในองค์กรของ พวกเจ้า เจ้าเคยทำ�อะไรให้ศาสนาอื่นเข้าใจในความเป็นอิสลามหรือไม่ หรือที่แล้วมามีแต่ความไม่เข้าใจกันรึปล่าว และในสถานที่ที่ เจ้าทำ�งานอิสลามนั้น มีบุคคลที่นับถือศาสนาอื่น แล้วเขาได้เห็นสัจธรรมที่แท้จริงของอิสลาม แล้วเดินมาหาเจ้า เพื่อต้องการเข้ารับ ศาสนาอิสลาม กี่คน” หากสองสิ่งที่ได้กล่าวไป เป็นสิ่งที่พบเห็นในสังคมที่เจ้าอยู่ ก็จงภูมิใจเถิดว่า พวกเจ้าได้ทำ�งานอิสลามอย่าง สมบูรณ์แบบแล้ว เพราะหลักๆในการทำ�งานอิสลามนั้น ไม่ใช่การสร้างผลงาน แต่มันคือ การเชิญชวนให้ผู้อื่นสู่ความดี ต่างหาก คำ�ดำ�รัสจากพระองค์ “และใครเล่าจะมีคำ�พูดดีเลิศยิ่งไปกว่าผู้เชิญชวน(ดะวะฮ์)ไปสู่อัลลอฮ์ และเขาปฏิบัติการงานที่ดี และเขากล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นหนึ่ง ในบรรดาผู้นอบน้อม”(อัลกุรอาน 41: 32) วารสารหยดน้ำ�หมึก l 33
SHABAB
เจ้าตื่นเถิดจากความหลับใหล เจ้าลุกเถิดจากความขี้ขลาด เจ้าออกมาเถิด จากการมโนหรือ จินตนาการในสิ่งที่ตนเองทำ�ว่ามันถูกต้อง เจ้าจงลุกขึ้นมา แล้วถามตนเองเสียเถิดว่า ตอนนี้เจ้าได้ทำ�หน้าที่ของตนเองได้สมบูรณ์แบบหรือยัง
อิสระ
คุณรู้จักคำ�นี้ไหม ?? นาฬิกาปลุกดอกไม้ แล้วคุณเข้าใจมันมากแค่ไหน ฉันเชื่อว่าทุกคนต้องรู้จักคำ�นี้อย่างแน่นอน บางทีอาจนิยามหรือตีความได้ไม่เหมือนกัน ตอนเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ เราอยู่ติดกับพ่อแม่ ผู้ใหญ่ เพราะเรายังอ่อนเยาว์มากบนโลกบนสังคมนี้ เราดูแลช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สื่อสารไม่เป็น ครั้นเมื่อโตขึ้น เราถูกตามใจน้อยลง พร้อมๆกับที่เราสามารถทำ�อะไรเองได้มากขึ้น จริงหรือเปล่า ที่ความห่วงใยของผู้ใหญ่แปรผกผันกันกับอายุของเรา (ไม่ใช่แค่อายุสิ ประสบการณ์ และความสามารถด้วย) เปรียบเสมือนดั่งนกน้อย เมื่อแตกมาจากไข่ มีแม่คอยดูแล มีพ่อคอยระวังคาบเหยื่อมาป้อนให้ คอยดูแลไม่ห่างไกล นานวันนกน้อย นั้นยิ่งโตขึ้น เริ่มปีกกล้าขาแข็งขึ้น บินโฉบเฉี่ยวท่ามกลางเวหา เที่ยวไปในไพรพนา เสาะหาอาหารช่วยเหลือตัวเอง เราก็เช่นกัน นาน วัน ยิ่งเยอะประสบการณ์ ตั้งแต่เป็นเด็กน้อย เริ่มขึ้นอนุบาล,ประถม,มัธยม,มหาวิทยาลัย กรอบที่พ่อแม่เคยขีดไว้ก็เหมือนจะกว้างขึ้น เรื่อยๆ เริ่มอนุญาตให้ไปไหนมาไหนเอง เริ่มปล่อย ไว้ใจให้เราดูแลตัวเอง “ชีวิตมหาลัย” ชีวิตอิสระ จริงหรอ ?? ถ้าจะว่าจริงมันก็จริงนะ ถ้าจริงแล้วมันคือสิ่งที่ดีหรือเปล่า ? ดีสิ ,อยากทำ�อะไรก็ทำ� อยากไปไหน อยากใช้ชีวิตยังไง บางคนอิสระ อิสระจนลืมเป้าหมาย ก็มันอิสระนิ บางคนใช้ชีวิต เหมือนโดนขัง เพราะกลัวคำ�ว่าอิสระ อิสระจนเตลิด จะมีสักกี่คนที่ใช้ชีวิตแบบอิสระที่ไม่ลืมเป้าหมาย อิสระได้ แต่ให้อยู่ในกรอบ ใน ขอบเขต(อิสลามมีขอบเขต) ยิ่งเป็นเยาวชน ต้องมีความหมาย มีความหวัง แต่วัยนี้กับปัจจุบันนี้สิ่งยั่วยุมันเยอะเหลือเกิน ฉันกลัว กลัวเหลือเกินว่าในวันหนึ่ง ฉันจะลืมเป้าหมาย จะลืมว่าฉันคือความหวัง(ความหวังของอีกหลายๆชีวิต) ฉันใช้ชีวิตแบบอิสระ และบ่อยครั้งฉันทำ�ตามสิ่งที่หัวใจฉันเรียกร้อง ซึ่งบางครั้งมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลย บางทีมันก็แสนดี แต่บางทีฉันก็เกลียด เกลียดจน อยากจะควักมันออกมา อีหม่านของมนุษย์มีขึ้นมีลง ขอเพียงเราเตาบัต สำ�นึกผิดอยู่เสมอ อยู่กับคนดีๆรัศมีของคนดีจะทำ�ให้เรานั้นดีไปด้วย ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขียนว่า “แสวงหาสิ่งที่ท่านต้องการจะเป็นในมหาวิทยาลัย ไม่มีช่วงชีวิตอื่นใดที่จะมีผลต่อการดำ�เนิน ชีวิตของท่านมากเท่าในรั้วอุดมศึกษา ที่สำ�คัญจงแสวงหาอุดมการณ์สูงสุดของชีวิตในช่วงเวลานี้ เพราะถ้าไม่เจอในช่วงนี้แล้ว เกรงว่า ท่านจะไม่เจอมันอีกเลย” (หนังสือมีคม : M.Fahmee Talib) ฉันคิดว่ามันเป็นประโยคที่ถูกต้องและน่าคิดมากๆ เพราะวัยอุดมศึกษานี่แหละที่เราจะสามารถเดินตามความฝันได้เต็มที่ ทำ�ในสิ่งที่ ชอบ ที่อยากทำ� เพราะถ้าจบจากนี้ไป เราก็ต้องทำ�งาน มีครอบครัว มันไม่อิสระอย่างตอนนี้ โอกาสอาจจะมี แต่เวลาที่จะทุ่มเท อาจไม่เป็นใจอีกแล้ว ใช้ชีวิตอุดมศึกษาให้เต็มที่ ใช้ชีวิตแบบสร้างสรรค์ ไขว่คว้าประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด จำ�ได้ไหม ? ตอนมัธยม เธออยากมีมหาวิทยาลัยที่จะศึกษาต่อ เธออยากมีอิสระจากกรอบรั้วโรงเรียน คิดว่าอุดมศึกษานี่แหละอิสระ ที่สุด มาถึงตอนนี้เธอได้ครอบครองมันแล้ว ซึ่งเธอคือคนที่ถูกเลือกให้มายืนอยู่ตรงนี้ จุดๆนี้ แล้วแต่เธอแล้วกันว่าจะใช้โอกาสนี้ อย่างไร วิธีไหน หนทางใด ^^
วารสารหยดน้ำ�หมึก l 35
ศัตรูเรายังมีไม่มากพออีกหรือ? เขียนโดย Annisa -------------------------------------------------------------------------------------
พี่น้อง..
หากพื้นที่ที่เราดำ�รงอยู่ด้วยกันคือ มหาวิทยาลัย สถาบันที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของผู้คน ซึ่งมาจากต่างที่ ต่างพ่อแม่ ต่างสิ่งแวดล้อม ต่างการ เรียนรู้ต่างแนวคิด ต่างวิธีปฏิบัติ และต่างการยึดถือ หากที่นี่ คือพื้นที่ของคำ�ว่า ‘พหุสังคม’ ฉะนั้นแล้ว ได้โปรดทำ�ความเข้าใจเถิด การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ. คือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน
พี่น้อง...
อิสลามไม่ได้สั่งสอนให้สร้างความแตกแยกในระหว่างหมู่ มนุษย์ไม่ว่าจะต่างศาสนิก หรือมุสลิมด้วยกันเองก็ตาม และยิ่งโดยเฉพาะ ในหมู่มวลมุสลิมด้วยกันแล้ว หากแม้นมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่แตกต่างกัน ได้โปรดให้เกียรติในระหว่างมู่พวกเราเถิด เพราะอย่างน้อย เราก็ยังได้ชื่อว่า เป็นพี่น้องร่วมชาฮาดะห์เดียวกันอยู่
วารสารหยดน้ำ�หมึก l 36
พี่น้อง...
หากแม้นมีผู้ใดที่มีวิถีปฏิบัติและความเชื่อต่างไปจากเรา สมควรแล้วหรือที่จะสบถมันออกมาว่า “มึงผิด กูถูก” ชี้หน้าด่าว่า “ไอ้พวกนอกคอก” ลุกขึ้นต่อต้าน เสมือนต้องการให้ผู้คนในใบโลกนี้ เป็นเฉกเช่นตัวเองเพียงผู้เดียว หากเป็นเช่นนั้นแล้ว.. สังคมจะเกิดความสันติได้อย่างไร เมื่อผู้คนไร้ซึ่ง การให้เกียรติซึ่งกันและกัน
เราเป็นเพียงมนุษย์ เป็นเพียงสิ่งถูกสร้าง.. อย่าได้ทำ�ตัวเป็นพระเจ้า ด้วยการพิพากษาผู้ใดเลย เพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่ของเรา เรามีหน้าที่เพียงประกาศสัจธรรมสู่ผืนแผ่นดินของพระผู้ เป็นเจ้า มีหน้าที่เป็นแบบอย่างที่ดีตามแบบฉบับของท่านศาสดา ส่วนผู้ใดจะเดินรอยตามเส้นทางที่เราขีดไว้หรือไม่ นั่นไม่ใช่อำ�นาจที่เราจะบังคับผู้ใดได้
พี่น้อง..
ทุกวันนี้ อิสลามก็มีศัตรูที่คอยจ้องทำ�ร้ายมากพออยู่แล้ว เราจะมาเป็นศัตรูระหว่างกัน อีกทำ�ไม ได้โปรดตระหนักเถิด..พี่น้อง
-----------------------------------------------------------------------------------------
พี่น้อง...
พี่น้อง..
เหล่านิสิตนักศึกษามุสลิมทั้งหลาย ภายใต้รั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้.. เราก็มีกันเพียงน้อยนิดอยู่แล้ว หาก ณ วันนี้ เรายังสร้างความแตกแยกกันอยู่อีก แล้วเมื่อไหร่เล่าที่เราจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อต่อสู้กับความอธรรมที่มีอยู่บนหน้าแผ่นดินนี้ นั่นต่างหาก.. คือหน้าที่ของพวกเรามิใช่หรือ
วารสารหยดน้ำ�หมึก l 37
“
อย่าแสวงหาความรักเพียงแค่สายตา แต่จงหาความรักตามผู้สร้างหัวใจต้องการ
“